title
stringlengths
0
33.4k
context
stringlengths
0
133k
raw
stringlengths
39
133k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.ลำปาง ขับเคลื่อนงานพัฒนาสังคม พร้อมผลักดันตำบลต้นแบบไร้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ
วันอังคารที่ 15 มกราคม 2562 รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.ลําปาง ขับเคลื่อนงานพัฒนาสังคม พร้อมผลักดันตําบลต้นแบบไร้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.ลําปาง ขับเคลื่อนงานพัฒนาสังคม พร้อมผลักดันตําบลต้นแบบไร้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ วันที่ 14 ม.ค. 62 เวลา 14.30 น. พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่จังหวัดลําปาง เพื่อพบปะเยี่ยมเยียนและรับฟังข้อเสนอแนะและความต้องการของประชาชน อีกทั้งติดตามการดําเนินงานของหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ ตามนโยบายของรัฐบาลในการลดความเหลื่อมล้ําของสังคมและการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ พลเอก อนันตพร กล่าวว่า รัฐบาล โดยกระทรวง พม. มีภารกิจหลักในการรับผิดชอบประชาชนกลุ่มเป้าหมายทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็ก เยาวชน สตรี คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาส โดยมุ่งเน้นการสนับสนุน พัฒนา ช่วยเหลือ และดูแลประชาชน เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายได้รับสวัสดิการของรัฐอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สําหรับจังหวัดลําปาง เป็นจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของภาคเหนือ ตั้งอยู่ในแอ่งที่ราบล้อมรอบด้วยภูเขา ทําให้เป็นแหล่งผลิตถ่านหินลิกไนต์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ส่งผลสําคัญต่อเศรษฐกิจของจังหวัด อีกทั้งยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์และสวยงาม ทั้งนี้ การลงพื้นที่จังหวัดลําปางครั้งนี้ มีการพบปะเยี่ยมเยียนและรับฟังข้อเสนอแนะและความต้องการของประชาชน พร้อมทั้งตรวจเยี่ยมการบูรณาการการขับเคลื่อนงานด้านพัฒนาสังคมและสวัสดิการจังหวัดลําปาง มอบเงินสมทบกองทุนสวัสดิการชุมชนระดับภาค 199 กองทุน และจังหวัดลําปาง จํานวน 12 กองทุน มอบงบประมาณบ้านพอเพียงชนบทปี 2562 จังหวัดลําปาง จํานวน 150 หลัง มอบประกาศเกียรติคุณผู้บริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ มอบธรรมนูญครอบครัว จํานวน 3 พื้นที่ และเยี่ยมชมนิทรรศการและผลิตภัณฑ์เครือข่ายต่างๆ อีกทั้ง ยังได้ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ ได้แก่ บ้านพักเด็กและครอบครัว จังหวัดลําปาง สถานพัฒนาและฟื้นฟูเด็ก จังหวัดลําปาง ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ จังหวัดลําปาง ศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงจังหวัดลําปาง ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จังหวัดลําปาง และนิคมสร้างตนเองกิ่วลม จังหวัดลําปาง พลเอก อนันตพร กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ กระทรวง พม. ได้ตระหนักและให้ความสําคัญกับการรณรงค์และป้องกันความรุนแรงในทุกรูปแบบ ภายใต้ชื่อ "สังคมไทยไร้ความรุนแรง” โดยในปีงบประมาณ 2562 มีการกําหนดให้เป็น 1 ใน 13 โครงการสําคัญ (Flagship) ของกระทรวง พม. ที่ทุกส่วนราชการจําเป็นต้องร่วมกันบูรณาการและขับเคลื่อนงานดังกล่าว เพื่อให้สังคมไทยเป็นสังคมไร้ความรุนแรง โดยในระดับพื้นที่ได้มีการผลักดันให้เกิดตําบลต้นแบบไร้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ ซึ่งการลงพื้นที่ในวันนี้ ได้ร่วมประกาศเจตนารมณ์ไม่ใช้ความรุนแรง เพื่อให้ทุกคนในชุมชมได้ตระหนักและให้ความสําคัญในการป้องกันการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบในสังคม โดยเริ่มต้นจากครอบครัวเป็นสําคัญ “ทั้งนี้ ขอขอบคุณทุกภาคีเครือข่ายในพื้นที่ โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งทีม พม. One Home จังหวัดลําปาง ที่เป็นกลไกสําคัญในการบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายสําหรับการนํานโยบายรัฐบาลและกระทรวงพม. มาแปลงสู่การปฏิบัติให้สอดคล้องกับนโยบายจังหวัดรองรับยุทธศาสตร์การพัฒนาให้เป็นรูปธรรมในพื้นที่ท้องถิ่นชุมชน เพื่อสร้างหลักประกันและความมั่นคงในชีวิตของประชาชนกลุ่มเป้าหมายให้ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ําของสังคมภายใต้ปฎิบัติการ “พม.ลําปาง สร้างสรรค์ ปันสุข ทุกช่วงวัย” อย่างไรก็ตาม หากประชาชนในพื้นที่พบเห็นหรือประสบปัญหาทางสังคม ถูกกระทําความรุนแรงในครอบครัว หรือต้องการฝึกพัฒนาทักษะอาชีพ สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการช่วยเหลืออย่างเต็มทีต่อไป” พลเอก อนันตพร กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.ลำปาง ขับเคลื่อนงานพัฒนาสังคม พร้อมผลักดันตำบลต้นแบบไร้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ วันอังคารที่ 15 มกราคม 2562 รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.ลําปาง ขับเคลื่อนงานพัฒนาสังคม พร้อมผลักดันตําบลต้นแบบไร้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.ลําปาง ขับเคลื่อนงานพัฒนาสังคม พร้อมผลักดันตําบลต้นแบบไร้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ วันที่ 14 ม.ค. 62 เวลา 14.30 น. พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่จังหวัดลําปาง เพื่อพบปะเยี่ยมเยียนและรับฟังข้อเสนอแนะและความต้องการของประชาชน อีกทั้งติดตามการดําเนินงานของหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ ตามนโยบายของรัฐบาลในการลดความเหลื่อมล้ําของสังคมและการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ พลเอก อนันตพร กล่าวว่า รัฐบาล โดยกระทรวง พม. มีภารกิจหลักในการรับผิดชอบประชาชนกลุ่มเป้าหมายทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็ก เยาวชน สตรี คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาส โดยมุ่งเน้นการสนับสนุน พัฒนา ช่วยเหลือ และดูแลประชาชน เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายได้รับสวัสดิการของรัฐอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สําหรับจังหวัดลําปาง เป็นจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของภาคเหนือ ตั้งอยู่ในแอ่งที่ราบล้อมรอบด้วยภูเขา ทําให้เป็นแหล่งผลิตถ่านหินลิกไนต์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ส่งผลสําคัญต่อเศรษฐกิจของจังหวัด อีกทั้งยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์และสวยงาม ทั้งนี้ การลงพื้นที่จังหวัดลําปางครั้งนี้ มีการพบปะเยี่ยมเยียนและรับฟังข้อเสนอแนะและความต้องการของประชาชน พร้อมทั้งตรวจเยี่ยมการบูรณาการการขับเคลื่อนงานด้านพัฒนาสังคมและสวัสดิการจังหวัดลําปาง มอบเงินสมทบกองทุนสวัสดิการชุมชนระดับภาค 199 กองทุน และจังหวัดลําปาง จํานวน 12 กองทุน มอบงบประมาณบ้านพอเพียงชนบทปี 2562 จังหวัดลําปาง จํานวน 150 หลัง มอบประกาศเกียรติคุณผู้บริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ มอบธรรมนูญครอบครัว จํานวน 3 พื้นที่ และเยี่ยมชมนิทรรศการและผลิตภัณฑ์เครือข่ายต่างๆ อีกทั้ง ยังได้ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ ได้แก่ บ้านพักเด็กและครอบครัว จังหวัดลําปาง สถานพัฒนาและฟื้นฟูเด็ก จังหวัดลําปาง ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ จังหวัดลําปาง ศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงจังหวัดลําปาง ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จังหวัดลําปาง และนิคมสร้างตนเองกิ่วลม จังหวัดลําปาง พลเอก อนันตพร กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ กระทรวง พม. ได้ตระหนักและให้ความสําคัญกับการรณรงค์และป้องกันความรุนแรงในทุกรูปแบบ ภายใต้ชื่อ "สังคมไทยไร้ความรุนแรง” โดยในปีงบประมาณ 2562 มีการกําหนดให้เป็น 1 ใน 13 โครงการสําคัญ (Flagship) ของกระทรวง พม. ที่ทุกส่วนราชการจําเป็นต้องร่วมกันบูรณาการและขับเคลื่อนงานดังกล่าว เพื่อให้สังคมไทยเป็นสังคมไร้ความรุนแรง โดยในระดับพื้นที่ได้มีการผลักดันให้เกิดตําบลต้นแบบไร้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ ซึ่งการลงพื้นที่ในวันนี้ ได้ร่วมประกาศเจตนารมณ์ไม่ใช้ความรุนแรง เพื่อให้ทุกคนในชุมชมได้ตระหนักและให้ความสําคัญในการป้องกันการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบในสังคม โดยเริ่มต้นจากครอบครัวเป็นสําคัญ “ทั้งนี้ ขอขอบคุณทุกภาคีเครือข่ายในพื้นที่ โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งทีม พม. One Home จังหวัดลําปาง ที่เป็นกลไกสําคัญในการบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายสําหรับการนํานโยบายรัฐบาลและกระทรวงพม. มาแปลงสู่การปฏิบัติให้สอดคล้องกับนโยบายจังหวัดรองรับยุทธศาสตร์การพัฒนาให้เป็นรูปธรรมในพื้นที่ท้องถิ่นชุมชน เพื่อสร้างหลักประกันและความมั่นคงในชีวิตของประชาชนกลุ่มเป้าหมายให้ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ําของสังคมภายใต้ปฎิบัติการ “พม.ลําปาง สร้างสรรค์ ปันสุข ทุกช่วงวัย” อย่างไรก็ตาม หากประชาชนในพื้นที่พบเห็นหรือประสบปัญหาทางสังคม ถูกกระทําความรุนแรงในครอบครัว หรือต้องการฝึกพัฒนาทักษะอาชีพ สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการช่วยเหลืออย่างเต็มทีต่อไป” พลเอก อนันตพร กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18142
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษก รบ.ย้ำ แบนพาราควอต- คลอร์ไพริสฟอส 1 มิ.ย.นี้ แนะเกษตรกร มีไว้ครอบครอง ให้ส่งคืนภายใน 90 วัน
วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม 2563 รองโฆษก รบ.ย้ํา แบนพาราควอต- คลอร์ไพริสฟอส 1 มิ.ย.นี้ แนะเกษตรกร มีไว้ครอบครอง ให้ส่งคืนภายใน 90 วัน รองโฆษก รบ.ย้ํา แบนพาราควอต- คลอร์ไพริสฟอส 1 มิ.ย.นี้ แนะเกษตรกร มีไว้ครอบครอง ให้ส่งคืนภายใน 90 วัน เมื่อวันที่30พ.ค.น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่านับตั้งแต่วันที่1มิ.ย.เป็นต้นไปประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่องบัญชีรายชื่อวัตถุอันตรายฉบับที่6พ.ศ.2563จะมีผลบังคับใช้โดยห้ามให้มีการผู้ผลิตนําเข้าส่งออกและมีไว้ครอบครองสารเคมีทางการเกษตรเพื่อกําจัดศัตรูพืช5รายการประกอบด้วย1.คอลร์ไพริฟอส2.คลอร์ไพริสฟอส-เมทิล3.พาราควอต4.พาราควอตไดคลอไรด์และ5.พาราควอตไดคลอไรด์โดยก่อนหน้านี้กรมวิชาการเกษตรได้ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ต่อกับทุกภาคส่วนแล้วพร้อมกันนี้อธิบดีกรมวิชาการเกษตรยังได้ลงนามในคําสั่งเพื่อดําเนินการตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งผู้มีไว้ในครอบครองเพื่อใช้กําจัดศัตรูพืชในการประกอบการเกษตรกรรมต้องส่งมอบคืนวัตถุอันตรายดังกล่าวแก่ผู้ขายที่ซื้อมาภายใน90หรือไม่เกินวันที่29ส.ค.2563ส่วนผู้ขายต้องรับคืนจากผู้ซื้อแล้วรวบรวมข้อมูลการครอบครองส่งให้เจ้าหน้าที่กรมวิชาการเกษตรภายใน120หรือไม่เกิน28ก.ย.2563 น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่ารัฐบาลคํานึงถึงสุขภาพที่ดีของประชาชนซึ่งการห้ามใช้สารเคมีดังกล่าวเนื่องด้วยเป็นสารเคมีความเสี่ยงสูงเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อมและทั้งเกษตรกรและผู้บริโภคจึงได้ห้ามไม่ให้มีการใช้โดยผ่านความเห็นชอบจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กระทรวงอุตสาหกรรมคณะกรรมการวัตถุอันตรายรวมถึงภาคีเครือข่ายเกษตรกรต่างๆ "ส่วนสารทดแทนกรมวิชาการเกษตรได้เตรียมสารทดแทนรวมถึงข้อเสนอเกี่ยวกับการกําจัดศัตรูพืชแบบธรรมชาติไว้แล้วเพื่อรองรับผลกระทบที่จะมีต่อเกษตรกรขอให้มั่นใจว่าการห้ามใช้สารเคมีดังกล่าวเป็นผลดีต่อสุขภาพของประชาชนเกิดประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน"น.ส.ไตรสุลีกล่าว ....................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษก รบ.ย้ำ แบนพาราควอต- คลอร์ไพริสฟอส 1 มิ.ย.นี้ แนะเกษตรกร มีไว้ครอบครอง ให้ส่งคืนภายใน 90 วัน วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม 2563 รองโฆษก รบ.ย้ํา แบนพาราควอต- คลอร์ไพริสฟอส 1 มิ.ย.นี้ แนะเกษตรกร มีไว้ครอบครอง ให้ส่งคืนภายใน 90 วัน รองโฆษก รบ.ย้ํา แบนพาราควอต- คลอร์ไพริสฟอส 1 มิ.ย.นี้ แนะเกษตรกร มีไว้ครอบครอง ให้ส่งคืนภายใน 90 วัน เมื่อวันที่30พ.ค.น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่านับตั้งแต่วันที่1มิ.ย.เป็นต้นไปประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่องบัญชีรายชื่อวัตถุอันตรายฉบับที่6พ.ศ.2563จะมีผลบังคับใช้โดยห้ามให้มีการผู้ผลิตนําเข้าส่งออกและมีไว้ครอบครองสารเคมีทางการเกษตรเพื่อกําจัดศัตรูพืช5รายการประกอบด้วย1.คอลร์ไพริฟอส2.คลอร์ไพริสฟอส-เมทิล3.พาราควอต4.พาราควอตไดคลอไรด์และ5.พาราควอตไดคลอไรด์โดยก่อนหน้านี้กรมวิชาการเกษตรได้ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ต่อกับทุกภาคส่วนแล้วพร้อมกันนี้อธิบดีกรมวิชาการเกษตรยังได้ลงนามในคําสั่งเพื่อดําเนินการตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งผู้มีไว้ในครอบครองเพื่อใช้กําจัดศัตรูพืชในการประกอบการเกษตรกรรมต้องส่งมอบคืนวัตถุอันตรายดังกล่าวแก่ผู้ขายที่ซื้อมาภายใน90หรือไม่เกินวันที่29ส.ค.2563ส่วนผู้ขายต้องรับคืนจากผู้ซื้อแล้วรวบรวมข้อมูลการครอบครองส่งให้เจ้าหน้าที่กรมวิชาการเกษตรภายใน120หรือไม่เกิน28ก.ย.2563 น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่ารัฐบาลคํานึงถึงสุขภาพที่ดีของประชาชนซึ่งการห้ามใช้สารเคมีดังกล่าวเนื่องด้วยเป็นสารเคมีความเสี่ยงสูงเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อมและทั้งเกษตรกรและผู้บริโภคจึงได้ห้ามไม่ให้มีการใช้โดยผ่านความเห็นชอบจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กระทรวงอุตสาหกรรมคณะกรรมการวัตถุอันตรายรวมถึงภาคีเครือข่ายเกษตรกรต่างๆ "ส่วนสารทดแทนกรมวิชาการเกษตรได้เตรียมสารทดแทนรวมถึงข้อเสนอเกี่ยวกับการกําจัดศัตรูพืชแบบธรรมชาติไว้แล้วเพื่อรองรับผลกระทบที่จะมีต่อเกษตรกรขอให้มั่นใจว่าการห้ามใช้สารเคมีดังกล่าวเป็นผลดีต่อสุขภาพของประชาชนเกิดประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน"น.ส.ไตรสุลีกล่าว ....................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31720
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ร่วมกับกระทรวงแรงงาน ร่วมเจรจาไกล่เกลี่ย และหารือแนวทางร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของกลุ่มสมัชชาคนจน
วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562 กระทรวงยุติธรรม ร่วมกับกระทรวงแรงงาน ร่วมเจรจาไกล่เกลี่ย และหารือแนวทางร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของกลุ่มสมัชชาคนจน กระทรวงยุติธรรม ร่วมกับกระทรวงแรงงาน ร่วมเจรจาไกล่เกลี่ย และหารือแนวทางร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของกลุ่มสมัชชาคนจน ในวันศุกร์ที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๑.๐๐ น. ณ ห้องประชุมสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี นายสมพาศ นิลพันธุ์ ที่ปรึกษาสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม นายเกิดโชค เกษมวงศ์จิตร รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ผู้แทนจากกระทรวงยุติธรรม และผู้แทนกระทรวงแรงงาน ฯลฯ ได้เข้าร่วมเจรจาไกล่เกลี่ยและหารือแนวทางร่วมกัน สืบเนื่องจากปัญหาความเดือดร้อนของกลุ่มสมัชชาคนจน ดังนี้ ๑. กรณีพนักงานเอกชน ถูกบริษัท ซูซูกิ (ประเทศไทย) จํากัด บอกเลิกจ้างและจ่ายค่าชดเชยไม่เป็นธรรม จนมีการฟ้องร้องต่อศาลแรงงาน ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างขั้นตอนการบังคับคดี ซึ่งปัญหาดังกล่าวเป็นประเด็นเกี่ยวกับการจ่ายค่าชดเชย ทั้งนี้ผู้แทนกระทรวงแรงงานจะได้ประสานบริษัทฯ มาเจรจาไกล่เกลี่ยให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป ๒. กรณีบริษัทเอกชนปิดกิจการ แล้วไม่จ่ายค่าจ้างและค่าชดเชย จนมีการฟ้องร้องต่อศาล และศาลพิพากษาให้บริษัทฯ ชดใช้ค่าชดเชยให้กับกลุ่มลูกจ้าง ซึ่งในชั้นบังคับคดี ได้รวบรวมทรัพย์สินของบริษัทออกขายทอดตลาด แต่ปรากฎว่าเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดได้เฉลี่ยให้กับเจ้าหนี้บุริมสิทธิ (ธนาคาร) ที่ได้ยื่นขอเฉลี่ยทรัพย์ต่อศาลไว้แล้ว ปัจจุบันกลุ่มเจ้าหนี้ตามคําพิพากษา(ลูกจ้าง)ยังไม่ได้รับค่าชดเชยตามคําพิพากษาแต่อย่างใด ทั้งนี้ประเด็นปัญหาดังกล่าวในเบื้องต้นได้หารือแนวทางร่วมกันเกี่ยวกับการสืบทรัพย์เพื่อนํามาเฉลี่ยให้กับกลุ่มผู้ถูกเลิกจ้าง โดยกองทุนยุติธรรมจะให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมต่อไป ทั้งนี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม ได้นําเจ้าหน้าที่จากกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่พูดคุยและรับเรื่องราวร้องทุกข์จากประชาชนที่เดินทางมาปักหลักชุมนุม​ โดยกลุ่มสมัชชาฯ​ ได้ขอบคุณกระทรวงยุติธรรมที่ได้ให้ความช่วยเหลือ​ ซึ่งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า รัฐบาลมีความจริงใจในการแก้ปัญหาของประชาชน จากการร่วมเจรจาไกล่เกลี่ยและหารือแนวทางร่วมกันในวันนี้ บางข้อเรียกร้องมีการดําเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงยุติธรรม ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มสมัชชาคนจนได้ดําเนินการเรียบร้อยแล้ว และทั้งนี้ได้รับการประสานว่าประชาชนบางส่วนเต็มใจที่จะเดินทางกลับภูมิลําเนา​ ซึ่งได้เตรียมรถบัสไว้​ จํานวน​ ๒​ คัน โดยช่วงท้าย ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม ได้เน้นย้ําว่า​ นายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความห่วงใย​ และสั่งการให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนทุกคนอย่างเร่งด่วน ในส่วนของกระทรวงยุติธรรมท่าน สมศักดิ์ เทพสุทิน เน้นย้ําให้ช่วยเหลือพ่อแม่พี่น้องประชาชน ทั้งนี้ในข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงยุติธรรม ได้ดําเนินการรับคําร้องแล้ว ตามข้อเรียกร้องของพ่อแม่พี่น้องสมัชชาคนจน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ร่วมกับกระทรวงแรงงาน ร่วมเจรจาไกล่เกลี่ย และหารือแนวทางร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของกลุ่มสมัชชาคนจน วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562 กระทรวงยุติธรรม ร่วมกับกระทรวงแรงงาน ร่วมเจรจาไกล่เกลี่ย และหารือแนวทางร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของกลุ่มสมัชชาคนจน กระทรวงยุติธรรม ร่วมกับกระทรวงแรงงาน ร่วมเจรจาไกล่เกลี่ย และหารือแนวทางร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของกลุ่มสมัชชาคนจน ในวันศุกร์ที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๑.๐๐ น. ณ ห้องประชุมสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี นายสมพาศ นิลพันธุ์ ที่ปรึกษาสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม นายเกิดโชค เกษมวงศ์จิตร รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ผู้แทนจากกระทรวงยุติธรรม และผู้แทนกระทรวงแรงงาน ฯลฯ ได้เข้าร่วมเจรจาไกล่เกลี่ยและหารือแนวทางร่วมกัน สืบเนื่องจากปัญหาความเดือดร้อนของกลุ่มสมัชชาคนจน ดังนี้ ๑. กรณีพนักงานเอกชน ถูกบริษัท ซูซูกิ (ประเทศไทย) จํากัด บอกเลิกจ้างและจ่ายค่าชดเชยไม่เป็นธรรม จนมีการฟ้องร้องต่อศาลแรงงาน ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างขั้นตอนการบังคับคดี ซึ่งปัญหาดังกล่าวเป็นประเด็นเกี่ยวกับการจ่ายค่าชดเชย ทั้งนี้ผู้แทนกระทรวงแรงงานจะได้ประสานบริษัทฯ มาเจรจาไกล่เกลี่ยให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป ๒. กรณีบริษัทเอกชนปิดกิจการ แล้วไม่จ่ายค่าจ้างและค่าชดเชย จนมีการฟ้องร้องต่อศาล และศาลพิพากษาให้บริษัทฯ ชดใช้ค่าชดเชยให้กับกลุ่มลูกจ้าง ซึ่งในชั้นบังคับคดี ได้รวบรวมทรัพย์สินของบริษัทออกขายทอดตลาด แต่ปรากฎว่าเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดได้เฉลี่ยให้กับเจ้าหนี้บุริมสิทธิ (ธนาคาร) ที่ได้ยื่นขอเฉลี่ยทรัพย์ต่อศาลไว้แล้ว ปัจจุบันกลุ่มเจ้าหนี้ตามคําพิพากษา(ลูกจ้าง)ยังไม่ได้รับค่าชดเชยตามคําพิพากษาแต่อย่างใด ทั้งนี้ประเด็นปัญหาดังกล่าวในเบื้องต้นได้หารือแนวทางร่วมกันเกี่ยวกับการสืบทรัพย์เพื่อนํามาเฉลี่ยให้กับกลุ่มผู้ถูกเลิกจ้าง โดยกองทุนยุติธรรมจะให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมต่อไป ทั้งนี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม ได้นําเจ้าหน้าที่จากกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่พูดคุยและรับเรื่องราวร้องทุกข์จากประชาชนที่เดินทางมาปักหลักชุมนุม​ โดยกลุ่มสมัชชาฯ​ ได้ขอบคุณกระทรวงยุติธรรมที่ได้ให้ความช่วยเหลือ​ ซึ่งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า รัฐบาลมีความจริงใจในการแก้ปัญหาของประชาชน จากการร่วมเจรจาไกล่เกลี่ยและหารือแนวทางร่วมกันในวันนี้ บางข้อเรียกร้องมีการดําเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงยุติธรรม ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มสมัชชาคนจนได้ดําเนินการเรียบร้อยแล้ว และทั้งนี้ได้รับการประสานว่าประชาชนบางส่วนเต็มใจที่จะเดินทางกลับภูมิลําเนา​ ซึ่งได้เตรียมรถบัสไว้​ จํานวน​ ๒​ คัน โดยช่วงท้าย ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม ได้เน้นย้ําว่า​ นายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความห่วงใย​ และสั่งการให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนทุกคนอย่างเร่งด่วน ในส่วนของกระทรวงยุติธรรมท่าน สมศักดิ์ เทพสุทิน เน้นย้ําให้ช่วยเหลือพ่อแม่พี่น้องประชาชน ทั้งนี้ในข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงยุติธรรม ได้ดําเนินการรับคําร้องแล้ว ตามข้อเรียกร้องของพ่อแม่พี่น้องสมัชชาคนจน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23945
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ดึงภาคีเครือข่าย สอนคนพิการทำเบเกอรี่แบบมืออาชีพ
วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2563 รมว.พม. ดึงภาคีเครือข่าย สอนคนพิการทําเบเกอรี่แบบมืออาชีพ รมว.พม. ดึงภาคีเครือข่าย สอนคนพิการทําเบเกอรี่แบบมืออาชีพ วันนี้ (22 มิ.ย. 63) เวลา 10.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรมพัฒนาทักษะด้านอาชีพของคนพิการหลักสูตรการพัฒนาทักษะการทําเบเกอรี่ ขนมไทย และการทําเครื่องตกแต่งเบเกอรี่ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 – 27 มิถุนายน 2563 ณ วิทยาลัยเทคโนโลยีธุรกิจอาหารไทยและนานาชาติ เขตยานนาวา กทม. นายจุติ กล่าวว่า ด้วยรัฐบาลโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศเพื่อลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างความเสมอภาคอย่างยั่งยืนของสังคมในทุกมิติให้กับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง รวมทั้งได้สร้างโอกาสสําหรับกลุ่มคนพิการในประเทศไทยกว่า 2 ล้านคน สามารถเข้าถึงสวัสดิการสังคมและบริการของรัฐอย่างทั่วถึง ด้วยการส่งเสริมการประกอบอาชีพให้เลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้อย่างภาคภูมิใจและมีศักดิ์ศรี ปราศจากการถูกเลือกปฏิบัติ ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) และกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) จึงได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) ร่วมกับมหาวิทยาลัยนเรศวร และวิทยาลัยเทคโนโลยีธุรกิจอาหารไทยและนานาชาติ เพื่อร่วมกันพัฒนาคนและสังคมได้เต็มตามศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการช่วยเหลือตนเองสําหรับการดํารงชีวิต ด้วยการมีอาชีพและรายได้อย่างมั่นคง ซึ่งกระทรวง พม. ได้มีนโยบายและมาตรการฟื้นฟูรายได้และเตรียมการสําหรับการปรับตัวเข้าสู่การดํารงชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) อย่างเหมาะสมและมีคุณภาพสําหรับคนพิการ โดยการส่งเสริมการพัฒนาทักษะการดํารงชีวิตในสังคมและทักษะอาชีพ การพัฒนาทักษะเพิ่มเติมในความเชี่ยวชาญเดิม (Upskill) การยกระดับทักษะอาชีพ (Reskill) การพัฒนาภาพลักษณ์ (Re-image) และการพัฒนาคุณค่าในตนเอง (Re-value) นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สําหรับกิจกรรมวันนี้เป็นการนําร่องการพัฒนาทักษะอาชีพด้านอาหาร โดยจัดฝึกอบรมพัฒนาทักษะด้านอาชีพของคนพิการ หลักสูตรการพัฒนาทักษะการทําเบเกอรี่ ขนมไทย และการทําเครื่องตกแต่งเบเกอรี่ให้กับคนพิการทางสติปัญญาและครอบครัว 20 ครอบครัว รวม 40 คน ได้เรียนรู้และฝึกปฏิบัติตั้งแต่วิธีการทําเบเกอรี่การทําเครื่องตกแต่งเบเกอรี่ และการทําขนมไทย โดยใช้เวลารวมทั้งสิ้น 36 ชั่วโมง (6 วัน) นอกจากนี้ จะมีการคัดเลือกคนพิการและครอบครัวที่มีทักษะความสามารถในการทําอาหารและเบเกอรี่ 10 ครอบครัว เพื่อพัฒนาต่อยอดทักษะอาชีพ พัฒนาผลิตภัณฑ์ และช่องทางการตลาด โดยได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยนเรศวร นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ กิจกรรมวันนี้ ยังเป็นการส่งเสริมให้คนพิการได้มีทักษะการประกอบอาชีพอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง พร้อมพัฒนาอาหารให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐานและมีรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ซึ่งตนขอขอบคุณ อาจารย์ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ ผู้อํานวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีธุรกิจอาหารไทยและนานาชาติ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วรเดช ณ กรม มหาวิทยาลัยนเรศวร และองค์กร คนพิการ ที่บูรณาการการทํางานร่วมกันยกระดับคุณภาพชีวิตคนพิการเพื่อความมั่นคงในการดํารงชีวิตอย่างเข้มแข็งต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ดึงภาคีเครือข่าย สอนคนพิการทำเบเกอรี่แบบมืออาชีพ วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2563 รมว.พม. ดึงภาคีเครือข่าย สอนคนพิการทําเบเกอรี่แบบมืออาชีพ รมว.พม. ดึงภาคีเครือข่าย สอนคนพิการทําเบเกอรี่แบบมืออาชีพ วันนี้ (22 มิ.ย. 63) เวลา 10.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรมพัฒนาทักษะด้านอาชีพของคนพิการหลักสูตรการพัฒนาทักษะการทําเบเกอรี่ ขนมไทย และการทําเครื่องตกแต่งเบเกอรี่ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 – 27 มิถุนายน 2563 ณ วิทยาลัยเทคโนโลยีธุรกิจอาหารไทยและนานาชาติ เขตยานนาวา กทม. นายจุติ กล่าวว่า ด้วยรัฐบาลโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศเพื่อลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างความเสมอภาคอย่างยั่งยืนของสังคมในทุกมิติให้กับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง รวมทั้งได้สร้างโอกาสสําหรับกลุ่มคนพิการในประเทศไทยกว่า 2 ล้านคน สามารถเข้าถึงสวัสดิการสังคมและบริการของรัฐอย่างทั่วถึง ด้วยการส่งเสริมการประกอบอาชีพให้เลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้อย่างภาคภูมิใจและมีศักดิ์ศรี ปราศจากการถูกเลือกปฏิบัติ ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) และกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) จึงได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) ร่วมกับมหาวิทยาลัยนเรศวร และวิทยาลัยเทคโนโลยีธุรกิจอาหารไทยและนานาชาติ เพื่อร่วมกันพัฒนาคนและสังคมได้เต็มตามศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการช่วยเหลือตนเองสําหรับการดํารงชีวิต ด้วยการมีอาชีพและรายได้อย่างมั่นคง ซึ่งกระทรวง พม. ได้มีนโยบายและมาตรการฟื้นฟูรายได้และเตรียมการสําหรับการปรับตัวเข้าสู่การดํารงชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) อย่างเหมาะสมและมีคุณภาพสําหรับคนพิการ โดยการส่งเสริมการพัฒนาทักษะการดํารงชีวิตในสังคมและทักษะอาชีพ การพัฒนาทักษะเพิ่มเติมในความเชี่ยวชาญเดิม (Upskill) การยกระดับทักษะอาชีพ (Reskill) การพัฒนาภาพลักษณ์ (Re-image) และการพัฒนาคุณค่าในตนเอง (Re-value) นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สําหรับกิจกรรมวันนี้เป็นการนําร่องการพัฒนาทักษะอาชีพด้านอาหาร โดยจัดฝึกอบรมพัฒนาทักษะด้านอาชีพของคนพิการ หลักสูตรการพัฒนาทักษะการทําเบเกอรี่ ขนมไทย และการทําเครื่องตกแต่งเบเกอรี่ให้กับคนพิการทางสติปัญญาและครอบครัว 20 ครอบครัว รวม 40 คน ได้เรียนรู้และฝึกปฏิบัติตั้งแต่วิธีการทําเบเกอรี่การทําเครื่องตกแต่งเบเกอรี่ และการทําขนมไทย โดยใช้เวลารวมทั้งสิ้น 36 ชั่วโมง (6 วัน) นอกจากนี้ จะมีการคัดเลือกคนพิการและครอบครัวที่มีทักษะความสามารถในการทําอาหารและเบเกอรี่ 10 ครอบครัว เพื่อพัฒนาต่อยอดทักษะอาชีพ พัฒนาผลิตภัณฑ์ และช่องทางการตลาด โดยได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยนเรศวร นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ กิจกรรมวันนี้ ยังเป็นการส่งเสริมให้คนพิการได้มีทักษะการประกอบอาชีพอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง พร้อมพัฒนาอาหารให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐานและมีรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ซึ่งตนขอขอบคุณ อาจารย์ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ ผู้อํานวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีธุรกิจอาหารไทยและนานาชาติ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วรเดช ณ กรม มหาวิทยาลัยนเรศวร และองค์กร คนพิการ ที่บูรณาการการทํางานร่วมกันยกระดับคุณภาพชีวิตคนพิการเพื่อความมั่นคงในการดํารงชีวิตอย่างเข้มแข็งต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32627
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันไม่ยกเลิกใช้มาตรา 44 ควบคุมพื้นที่วัดพระธรรมกาย จนกว่าพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสจะมอบตัว หรือดำเนินคดีได้
วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560 นายกรัฐมนตรียืนยันไม่ยกเลิกใช้มาตรา 44 ควบคุมพื้นที่วัดพระธรรมกาย จนกว่าพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสจะมอบตัว หรือดําเนินคดีได้ นายกรัฐมนตรียืนยันไม่ยกเลิกใช้มาตรา 44 ควบคุมพื้นที่วัดพระธรรมกาย จนกว่าพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสจะมอบตัว หรือดําเนินคดีได้ วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 15.35 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงปัญหาการตรวจค้นวัดพระธรรมกายกรณีสถานีโทรทัศน์บางช่อง และพิธีกรบางคนออกมาระบุว่า รัฐบาลไม่สามารถใช้อํานาจตามมาตรา 44 ดําเนินการกับวัดธรรมกายได้ว่า เรื่องนี้หากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ปัญหาก็จะเกิด กลายเป็นการเชียร์มวย ดูกันว่าใครจะชนะระหว่างพระกับเจ้าหน้าที่ ถามว่าเกิดประโยชน์อะไรกับบ้านเมืองบ้างไหม เรื่องนี้เป็นคดีความ ถ้าสู้กันตามกระบวนการทุกอย่างก็จบ ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่ตํารวจออกมาระบุว่า 7 วัน คือหมายความว่าต้องรู้ว่าจะทําอย่างไรต่อไป วันนี้มีการทํางานร่วมกันทั้งสํานักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และมหาเถรสมาคมต่างหารือร่วมกันเพื่อทําให้วัดพระธรรมกาย เป็นสถานที่ที่ประชาชนสามารถเข้าไปได้ไม่แตกต่างจากที่อื่น ส่วนคดีความเป็นเรื่องของบุคคล ใครทําผิดก็ต้องดําเนินการตามกฎหมาย สําหรับกรณีที่วัดพระธรรมกายมีการต่อเติมอาคาร และใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้รับอนุญาตจากทางการ ซึ่งอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คนทําผิดกฎหมายยังไม่มาขึ้นศาลตามกระบวนการ จึงอย่าเพิ่งถามว่าผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้ที่เกี่ยวข้องจะมีความผิดหรือไม่ ดังนั้นสื่อมวลชน จึงควรบอกผู้ที่กระทําความผิดให้มามอบตัว เพราะเป็นหน้าที่ของสื่อ ส่วนเรื่องที่วัดพระธรรมกายขอให้ยกเลิกมาตรา 44 นายกรัฐมนตรีกล่าวยืนยันว่า ไม่ยกเลิก เพราะยังไม่จบเรื่องแล้วจะยกเลิกได้อย่างไร กฎหมายเลิกได้ที่ไหน ในเมื่อยังนําตัวผู้กระทําความผิดมาดําเนินคดีไม่ได้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ต้องควบคุมไปตลอดจนกว่าพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสจะมอบตัวหรือดําเนินคดีได้ พร้อมมีการบริหารจัดการใหม่วัดธรรมกายใหม่ ----------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันไม่ยกเลิกใช้มาตรา 44 ควบคุมพื้นที่วัดพระธรรมกาย จนกว่าพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสจะมอบตัว หรือดำเนินคดีได้ วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560 นายกรัฐมนตรียืนยันไม่ยกเลิกใช้มาตรา 44 ควบคุมพื้นที่วัดพระธรรมกาย จนกว่าพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสจะมอบตัว หรือดําเนินคดีได้ นายกรัฐมนตรียืนยันไม่ยกเลิกใช้มาตรา 44 ควบคุมพื้นที่วัดพระธรรมกาย จนกว่าพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสจะมอบตัว หรือดําเนินคดีได้ วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 15.35 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงปัญหาการตรวจค้นวัดพระธรรมกายกรณีสถานีโทรทัศน์บางช่อง และพิธีกรบางคนออกมาระบุว่า รัฐบาลไม่สามารถใช้อํานาจตามมาตรา 44 ดําเนินการกับวัดธรรมกายได้ว่า เรื่องนี้หากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ปัญหาก็จะเกิด กลายเป็นการเชียร์มวย ดูกันว่าใครจะชนะระหว่างพระกับเจ้าหน้าที่ ถามว่าเกิดประโยชน์อะไรกับบ้านเมืองบ้างไหม เรื่องนี้เป็นคดีความ ถ้าสู้กันตามกระบวนการทุกอย่างก็จบ ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่ตํารวจออกมาระบุว่า 7 วัน คือหมายความว่าต้องรู้ว่าจะทําอย่างไรต่อไป วันนี้มีการทํางานร่วมกันทั้งสํานักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และมหาเถรสมาคมต่างหารือร่วมกันเพื่อทําให้วัดพระธรรมกาย เป็นสถานที่ที่ประชาชนสามารถเข้าไปได้ไม่แตกต่างจากที่อื่น ส่วนคดีความเป็นเรื่องของบุคคล ใครทําผิดก็ต้องดําเนินการตามกฎหมาย สําหรับกรณีที่วัดพระธรรมกายมีการต่อเติมอาคาร และใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้รับอนุญาตจากทางการ ซึ่งอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คนทําผิดกฎหมายยังไม่มาขึ้นศาลตามกระบวนการ จึงอย่าเพิ่งถามว่าผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้ที่เกี่ยวข้องจะมีความผิดหรือไม่ ดังนั้นสื่อมวลชน จึงควรบอกผู้ที่กระทําความผิดให้มามอบตัว เพราะเป็นหน้าที่ของสื่อ ส่วนเรื่องที่วัดพระธรรมกายขอให้ยกเลิกมาตรา 44 นายกรัฐมนตรีกล่าวยืนยันว่า ไม่ยกเลิก เพราะยังไม่จบเรื่องแล้วจะยกเลิกได้อย่างไร กฎหมายเลิกได้ที่ไหน ในเมื่อยังนําตัวผู้กระทําความผิดมาดําเนินคดีไม่ได้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ต้องควบคุมไปตลอดจนกว่าพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสจะมอบตัวหรือดําเนินคดีได้ พร้อมมีการบริหารจัดการใหม่วัดธรรมกายใหม่ ----------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1984
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ ประจิน เป็นประธานส่งมอบโครงการ “เสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส” จ.นครพนม
วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 รองนายกฯ ประจิน เป็นประธานส่งมอบโครงการ “เสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส” จ.นครพนม รองนายกฯ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานพิธีส่งมอบโครงการ “เสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส” โดยมี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดร.มนต์ชัย หนูสง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) และนายสมชาย วิทย์ดํารงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เข้าร่วมพิธีฯ ซึ่งมี นายอุทิศ นนเลาพล ผู้อํานวยการโรงเรียนบ้านดงวิทยาคาร เป็นผู้รับมอบ ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมหลักโภชนาการและคุณภาพอนามัยที่ดี ยกระดับคุณภาพวิชาการด้วยระบบเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษา สร้างสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่ดีต่อการใช้ชีวิตของนักเรียน ซึ่งนับเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโอกาสช่วยเหลือสังคมของหน่วยงานภาครัฐด้านการพัฒนาเยาวชนตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ชาติให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2561 ณ โรงเรียนบ้านดงวิทยาคาร ตําบลนาขมิ้น อําเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม ***********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ ประจิน เป็นประธานส่งมอบโครงการ “เสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส” จ.นครพนม วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 รองนายกฯ ประจิน เป็นประธานส่งมอบโครงการ “เสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส” จ.นครพนม รองนายกฯ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานพิธีส่งมอบโครงการ “เสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส” โดยมี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดร.มนต์ชัย หนูสง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) และนายสมชาย วิทย์ดํารงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เข้าร่วมพิธีฯ ซึ่งมี นายอุทิศ นนเลาพล ผู้อํานวยการโรงเรียนบ้านดงวิทยาคาร เป็นผู้รับมอบ ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมหลักโภชนาการและคุณภาพอนามัยที่ดี ยกระดับคุณภาพวิชาการด้วยระบบเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษา สร้างสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่ดีต่อการใช้ชีวิตของนักเรียน ซึ่งนับเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโอกาสช่วยเหลือสังคมของหน่วยงานภาครัฐด้านการพัฒนาเยาวชนตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ชาติให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2561 ณ โรงเรียนบ้านดงวิทยาคาร ตําบลนาขมิ้น อําเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม ***********************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10041
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมคณะ เข้าเยี่ยมชมงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว" ณ พระลานพระราชวังดุสิตและสนามเสือป่า
วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม 2561 ปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมคณะ เข้าเยี่ยมชมงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว" ณ พระลานพระราชวังดุสิตและสนามเสือป่า ศาสตราจารย์วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าเยี่ยมชมงาน “อุ่นไอรัก คลายความหนาว” ในวันศุกร์ที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๗.๓๐ น. ศาสตราจารย์วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าเยี่ยมชมงาน “อุ่นไอรัก คลายความหนาว” ณ พระลานพระราชวังดุสิต และสนามเสือป่า ซึ่งในส่วนของกระทรวงยุติธรรม โดยโครงการกําลังใจในพระดําริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ได้ร่วมกับกรมราชทัณฑ์จัดกิจกรรมออกร้านกําลังใจภายในงาน “อุ่นไอรัก คลายความหนาว” โซนพื้นที่ ๖ (ฝั่งซ้าย) สนามเสือป่า โดยการจัดบูธนิทรรศการและจําหน่ายผลิตภัณฑ์จากฝีมือผู้ต้องขัง เพื่อช่วยเหลือผู้ก้าวพลาดให้กลับคืนสู่สังคม การสาธิตการทําขนมไทย อาหารไทย วาดภาพจิตรกรรม การประดิษฐ์มาลัยกระดาษทิชชู มาลัยสบู่และดินหอม บริการนวดเท้า พร้อมทั้งจัดการแสดงจากผู้ต้องขัง สําหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๑ ตั้งแต่เวลา ๑๐.๓๐ – ๒๑.๐๐ น. (วันศุกร์ - วันเสาร์ เวลา ๑๐.๓๐ – ๒๒.๐๐ น. ) ณ พระลานพระราชวังดุสิต และสนามเสือป่า โดยไม่เสียค่าบัตรผ่านประตู
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมคณะ เข้าเยี่ยมชมงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว" ณ พระลานพระราชวังดุสิตและสนามเสือป่า วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม 2561 ปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมคณะ เข้าเยี่ยมชมงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว" ณ พระลานพระราชวังดุสิตและสนามเสือป่า ศาสตราจารย์วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าเยี่ยมชมงาน “อุ่นไอรัก คลายความหนาว” ในวันศุกร์ที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๗.๓๐ น. ศาสตราจารย์วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าเยี่ยมชมงาน “อุ่นไอรัก คลายความหนาว” ณ พระลานพระราชวังดุสิต และสนามเสือป่า ซึ่งในส่วนของกระทรวงยุติธรรม โดยโครงการกําลังใจในพระดําริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ได้ร่วมกับกรมราชทัณฑ์จัดกิจกรรมออกร้านกําลังใจภายในงาน “อุ่นไอรัก คลายความหนาว” โซนพื้นที่ ๖ (ฝั่งซ้าย) สนามเสือป่า โดยการจัดบูธนิทรรศการและจําหน่ายผลิตภัณฑ์จากฝีมือผู้ต้องขัง เพื่อช่วยเหลือผู้ก้าวพลาดให้กลับคืนสู่สังคม การสาธิตการทําขนมไทย อาหารไทย วาดภาพจิตรกรรม การประดิษฐ์มาลัยกระดาษทิชชู มาลัยสบู่และดินหอม บริการนวดเท้า พร้อมทั้งจัดการแสดงจากผู้ต้องขัง สําหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๑ ตั้งแต่เวลา ๑๐.๓๐ – ๒๑.๐๐ น. (วันศุกร์ - วันเสาร์ เวลา ๑๐.๓๐ – ๒๒.๐๐ น. ) ณ พระลานพระราชวังดุสิต และสนามเสือป่า โดยไม่เสียค่าบัตรผ่านประตู
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10479
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยยังคงพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 รายใหม่ เชิญชวนประชาชนพกหน้ากากอนามัยติดตัวป้องกันตนเอง
วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2563 สธ. เผยยังคงพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 รายใหม่ เชิญชวนประชาชนพกหน้ากากอนามัยติดตัวป้องกันตนเอง กระทรวงสาธารณสุขเผย คณะผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่ออุบัติใหม่ 3 ด้าน ยืนยันพบผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เพิ่มอีก 5 ราย เป็นคนจีน 4 ราย และไทย 1 ราย ขอเชิญประชาชนใช้หน้ากากอนามัยจากผ้าพกไว้ติดตัวป้องกันตนเองจากโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุขเผย คณะผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่ออุบัติใหม่ 3 ด้าน ยืนยันพบผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เพิ่มอีก 5 ราย เป็นคนจีน 4 ราย และไทย 1 ราย ขอเชิญประชาชนใช้หน้ากากอนามัยจากผ้าพกไว้ติดตัวป้องกันตนเองจากโรคติดต่อทางเดินหายใจ บ่ายวันนี้ (31 มกราคม 2563 เวลา 16.00 น.) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวภายหลังได้ข้อสรุปจากคณะผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่ออุบัติใหม่ 3 ด้าน (ด้านคลินิก ด้านระบาดวิทยา และด้านห้องปฏิบัติการ) ว่าพบผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เพิ่มอีก 5 ราย ทําให้มีผู้ป่วยสะสมรวม 19 ราย ปัจจุบันกลับบ้านได้แล้ว 7 ราย เหลือนอนที่โรงพยาบาล 12 ราย โดยผู้ป่วยยืนยันรายใหม่เป็นชายชาวจีน 4 ราย มีประวัติการเดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ และชายชาวไทย 1 ราย อาชีพขับแท็กซี่ ซึ่งเป็นผู้ป่วยคนไทยรายแรกที่ไม่มีประวัติเดินทางไปประเทศจีน ทั้งนี้เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขได้ขยายการเฝ้าระวัง และคัดกรองโรคไปยังผู้ที่มีอาชีพสัมผัสกับกลุ่มชาวจีน จึงสามารถตรวจจับผู้ป่วยรายนี้ได้ ขณะนี้ทีมสอบสวนและควบคุมโรคได้ลงพื้นที่ค้นหาผู้สัมผัสเสี่ยงสูงได้ครบถ้วนแล้ว ผลการตรวจเบื้องต้นทุกรายเป็นลบ นายแพทย์สุขุม กล่าวต่อว่า สถานการณ์ภาพรวมของทั่วโลกขณะนี้ เริ่มพบผู้ป่วยภายในประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เป็นต้น สําหรับการตรวจพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อในประเทศสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของระบบเฝ้าระวังของประเทศไทย ซึ่งมีการยกระดับตามสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา ทําให้พบผู้ป่วย สามารถเข้าไปควบคุมไม่ให้แพร่กระจายไปในวงกว้าง ทั้งนี้ จากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญความเสี่ยงที่คนไทยมีจะสัมผัสเชื้อปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ยังอยู่ในระดับต่ํา แต่เพื่อความไม่ประมาทยังคงมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น และขอแนะนําให้คนไทยปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันตัวเองและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ขอให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด หรือมีมลภาวะ และไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยไอจาม ขอเชิญชวนประชาชนพกหน้ากากอนามัยจากผ้าไว้ติดตัวเพื่อป้องกันตนเองจากโรคติดต่อทางเดินหายใจ หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ํา และสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ หากมีไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ํามูก ให้สวมหน้ากากอนามัย และรีบไปพบแพทย์ทันที สําหรับผู้ขับรถโดยสารสาธารณะและผู้ใช้บริการขอให้ดูแลสุขลักษณะส่วนบุคคล สวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ํา และสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือแอลกอฮอล์ หมั่นทําความสะอาดยานพาหนะหลังให้บริการ หากพบผู้โดยสารมีอาการไอ จาม มีน้ํามูก ขอความร่วมมือผู้โดยสารสวมหน้ากากอนามัย หากเป็นไปได้ให้เตรียมเจลล้างมือแอลกอฮอล์สํารองไว้ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 หรือเว็บไซต์https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/intro.php และ Line@/เพจเฟสบุ๊ค : รู้กันทันโรค เพจเฟสบุ๊ค : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ************************** 31 มกราคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยยังคงพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 รายใหม่ เชิญชวนประชาชนพกหน้ากากอนามัยติดตัวป้องกันตนเอง วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2563 สธ. เผยยังคงพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 รายใหม่ เชิญชวนประชาชนพกหน้ากากอนามัยติดตัวป้องกันตนเอง กระทรวงสาธารณสุขเผย คณะผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่ออุบัติใหม่ 3 ด้าน ยืนยันพบผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เพิ่มอีก 5 ราย เป็นคนจีน 4 ราย และไทย 1 ราย ขอเชิญประชาชนใช้หน้ากากอนามัยจากผ้าพกไว้ติดตัวป้องกันตนเองจากโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุขเผย คณะผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่ออุบัติใหม่ 3 ด้าน ยืนยันพบผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เพิ่มอีก 5 ราย เป็นคนจีน 4 ราย และไทย 1 ราย ขอเชิญประชาชนใช้หน้ากากอนามัยจากผ้าพกไว้ติดตัวป้องกันตนเองจากโรคติดต่อทางเดินหายใจ บ่ายวันนี้ (31 มกราคม 2563 เวลา 16.00 น.) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวภายหลังได้ข้อสรุปจากคณะผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่ออุบัติใหม่ 3 ด้าน (ด้านคลินิก ด้านระบาดวิทยา และด้านห้องปฏิบัติการ) ว่าพบผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เพิ่มอีก 5 ราย ทําให้มีผู้ป่วยสะสมรวม 19 ราย ปัจจุบันกลับบ้านได้แล้ว 7 ราย เหลือนอนที่โรงพยาบาล 12 ราย โดยผู้ป่วยยืนยันรายใหม่เป็นชายชาวจีน 4 ราย มีประวัติการเดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ และชายชาวไทย 1 ราย อาชีพขับแท็กซี่ ซึ่งเป็นผู้ป่วยคนไทยรายแรกที่ไม่มีประวัติเดินทางไปประเทศจีน ทั้งนี้เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขได้ขยายการเฝ้าระวัง และคัดกรองโรคไปยังผู้ที่มีอาชีพสัมผัสกับกลุ่มชาวจีน จึงสามารถตรวจจับผู้ป่วยรายนี้ได้ ขณะนี้ทีมสอบสวนและควบคุมโรคได้ลงพื้นที่ค้นหาผู้สัมผัสเสี่ยงสูงได้ครบถ้วนแล้ว ผลการตรวจเบื้องต้นทุกรายเป็นลบ นายแพทย์สุขุม กล่าวต่อว่า สถานการณ์ภาพรวมของทั่วโลกขณะนี้ เริ่มพบผู้ป่วยภายในประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เป็นต้น สําหรับการตรวจพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อในประเทศสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของระบบเฝ้าระวังของประเทศไทย ซึ่งมีการยกระดับตามสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา ทําให้พบผู้ป่วย สามารถเข้าไปควบคุมไม่ให้แพร่กระจายไปในวงกว้าง ทั้งนี้ จากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญความเสี่ยงที่คนไทยมีจะสัมผัสเชื้อปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ยังอยู่ในระดับต่ํา แต่เพื่อความไม่ประมาทยังคงมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น และขอแนะนําให้คนไทยปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันตัวเองและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ขอให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด หรือมีมลภาวะ และไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยไอจาม ขอเชิญชวนประชาชนพกหน้ากากอนามัยจากผ้าไว้ติดตัวเพื่อป้องกันตนเองจากโรคติดต่อทางเดินหายใจ หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ํา และสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ หากมีไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ํามูก ให้สวมหน้ากากอนามัย และรีบไปพบแพทย์ทันที สําหรับผู้ขับรถโดยสารสาธารณะและผู้ใช้บริการขอให้ดูแลสุขลักษณะส่วนบุคคล สวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ํา และสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือแอลกอฮอล์ หมั่นทําความสะอาดยานพาหนะหลังให้บริการ หากพบผู้โดยสารมีอาการไอ จาม มีน้ํามูก ขอความร่วมมือผู้โดยสารสวมหน้ากากอนามัย หากเป็นไปได้ให้เตรียมเจลล้างมือแอลกอฮอล์สํารองไว้ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 หรือเว็บไซต์https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/intro.php และ Line@/เพจเฟสบุ๊ค : รู้กันทันโรค เพจเฟสบุ๊ค : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ************************** 31 มกราคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26208
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนะวิธีฟื้นฟูบ้านหลังน้ำท่วม
วันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2562 แนะวิธีฟื้นฟูบ้านหลังน้ําท่วม .. #ไทยคู่ฟ้า ขณะนี้สถานการณ์น้ําท่วมในหลายพื้นที่ลดลงแล้ว จึงฝากถึงประชาชนในพื้นที่ประสบภัย ก่อนเข้าไปในตัวบ้านขอให้คํานึงถึงความปลอดภัยเป็นสําคัญ โดยเฉพาะเรื่อง "ไฟฟ้า" หากมีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จมน้ํา ห้ามใช้งานทันที ควรเรียกช่างไฟฟ้าที่มีความรู้ความชํานาญมาตรวจนะครับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนะวิธีฟื้นฟูบ้านหลังน้ำท่วม วันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2562 แนะวิธีฟื้นฟูบ้านหลังน้ําท่วม .. #ไทยคู่ฟ้า ขณะนี้สถานการณ์น้ําท่วมในหลายพื้นที่ลดลงแล้ว จึงฝากถึงประชาชนในพื้นที่ประสบภัย ก่อนเข้าไปในตัวบ้านขอให้คํานึงถึงความปลอดภัยเป็นสําคัญ โดยเฉพาะเรื่อง "ไฟฟ้า" หากมีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จมน้ํา ห้ามใช้งานทันที ควรเรียกช่างไฟฟ้าที่มีความรู้ความชํานาญมาตรวจนะครับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23488
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยกเลิกกรอกใบ ตม.6 อำนวยความสะดวกผู้เดินทางสัญชาติไทย
วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2560 ยกเลิกกรอกใบ ตม.6 อํานวยความสะดวกผู้เดินทางสัญชาติไทย เพื่อลดความแออัดบริเวณหน้าด่านตรวจคนเข้าเมือง ให้คนไทยสะดวกสบายมากขึ้น ต่างชาติรอคิวน้อยลง ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบให้ผู้เดินทางสัญชาติไทยไม่ต้องกรอกแบบรายการบุคคลในการเดินทางเข้าหรือออกประเทศ หรือใบ ตม.6 ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเดินผ่านช่องตรวจอนุญาตปกติหรือผ่านเครื่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ เพียงยื่นหนังสือเดินทางเพื่อสแกนและตรวจลงตราก็ถือว่าผ่าน ตม.แล้ว ทั้งนี้ เพื่ออํานวยความสะดวก ช่วยประหยัดเวลา และเพิ่มความคล่องตัวแก่ผู้เดินทาง ส่วนกรณีของชาวต่างชาติยังคงต้องกรอกใน ตม.6 เช่นเดิม เพื่อประโยชน์ด้านความมั่นคงและการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ โดยนายกรัฐมนตรีประสงค์ที่จะแก้ไขปัญหาความแออัดและล่าช้าบริเวณด่านตรวจคนเข้าเมือง และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในการบริการตรวจคนเข้าเมืองของไทยอย่างยั่งยืน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยกเลิกกรอกใบ ตม.6 อำนวยความสะดวกผู้เดินทางสัญชาติไทย วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2560 ยกเลิกกรอกใบ ตม.6 อํานวยความสะดวกผู้เดินทางสัญชาติไทย เพื่อลดความแออัดบริเวณหน้าด่านตรวจคนเข้าเมือง ให้คนไทยสะดวกสบายมากขึ้น ต่างชาติรอคิวน้อยลง ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบให้ผู้เดินทางสัญชาติไทยไม่ต้องกรอกแบบรายการบุคคลในการเดินทางเข้าหรือออกประเทศ หรือใบ ตม.6 ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเดินผ่านช่องตรวจอนุญาตปกติหรือผ่านเครื่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ เพียงยื่นหนังสือเดินทางเพื่อสแกนและตรวจลงตราก็ถือว่าผ่าน ตม.แล้ว ทั้งนี้ เพื่ออํานวยความสะดวก ช่วยประหยัดเวลา และเพิ่มความคล่องตัวแก่ผู้เดินทาง ส่วนกรณีของชาวต่างชาติยังคงต้องกรอกใน ตม.6 เช่นเดิม เพื่อประโยชน์ด้านความมั่นคงและการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ โดยนายกรัฐมนตรีประสงค์ที่จะแก้ไขปัญหาความแออัดและล่าช้าบริเวณด่านตรวจคนเข้าเมือง และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในการบริการตรวจคนเข้าเมืองของไทยอย่างยั่งยืน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7970
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พล.ต.อ.อดุลย์ฯ”กำชับดูแลลูกจ้างโรงงานผลิตถุงมือยาง จ.ตรัง อย่างครบวงจร
วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 “พล.ต.อ.อดุลย์ฯ”กําชับดูแลลูกจ้างโรงงานผลิตถุงมือยาง จ.ตรัง อย่างครบวงจร รมว.แรงงาน สั่งการแรงงานจังหวัดตรังประสานหน่วยในสังกัดและเกี่ยวข้องดูแลช่วยเหลือคนงานเหตุเพลิงไหม้โรงงานผลิตถุงมือยาง จ.ตรัง อย่างครบวงจร พร้อมรายงานผลให้ทราบ ลูกจ้างต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิตามกฎหมาย สิทธิประกันสังคม รมว.แรงงาน สั่งการแรงงานจังหวัดตรังประสานหน่วยในสังกัดและเกี่ยวข้องดูแลช่วยเหลือคนงานเหตุเพลิงไหม้โรงงานผลิตถุงมือยาง จ.ตรัง อย่างครบวงจร พร้อมรายงานผลให้ทราบ ลูกจ้างต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิตามกฎหมาย สิทธิประกันสังคม ความต้องการพัฒนาฝีมือแรงงานและตําแหน่งงานใหม่รองรับ ส่วนสํานักงานแรงงานไทย รมว.แรงงานได้สั่งการให้ สนร.ไทเป รายงานสถานการณ์แผ่นดินไหวในไต้หวันอย่างใกล้ชิดที่มีผลกระทบต่อแรงงานไทยอย่างไร นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงแรงงาน (ศปก.รง.) ว่า จากกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้บริษัทไทยกองจํากัดเลขที่ 85 ม.6 ต.ควนธานี อ.กันตัง จ.ตรัง ซึ่งเป็นสถานประกอบกิจการผลิตถุงมือยาง เมื่อวันที่ 4 ก.พ.61 นั้น พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มีข้อสั่งการให้แรงงานจังหวัดเป็นหน่วยหลักร่วมกับหน่วยงานในสังกัดประสานการให้ความช่วยเหลือดูแลคนงานอย่างครบวงจรและรายงานผลให้ทราบ เพื่อให้การคุ้มครองแรงงานตามสิทธิทางกฎหมาย สิทธิประกันสังคม ความต้องการพัฒนาฝีมือแรงงาน รวมถึงตําแหน่งงานใหม่รองรับโดยเบื้องต้นสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดตรังได้เข้าไปหารือกับผู้บริหารของบริษัทฯ แล้ว พบว่า โรงงานมีพนักงานทั้งหมดประมาณ 1,100 คน แยกเป็นพนักงานที่อยู่ในส่วนโกดังสินค้าที่ผลิตแล้วเพื่อเตรียมส่งออกเป็นจุดที่เกิดเพลิงไหม้ประมาณ 200 คน ส่วนที่เป็นการผลิตสามารถดําเนินการผลิตต่อไปได้ ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด นางเพชรรัตน์ฯ กล่าวต่อว่า กรณีดังกล่าวสถานประกอบการสามารถใช้มาตรา 75 เข้ามาดําเนินการ ตามพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน 2541 แก้ไขเพิ่มเติม 2551 กรณีเกิดเหตุที่เกี่ยวข้อง เช่น กรณีไฟไหม้หรือ น้ําท่วมที่เป็นเหตุฉุกเฉิน นายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติ อาจจะต้องหยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วน ให้นายจ้างจ่ายเงินให้กับลูกจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของค่าจ้างในวันที่ลูกจ้างได้รับก่อนที่จะหยุด ตลอดระยะเวลาที่นายจ้างไม่มีงานให้ลูกจ้างทํางาน ทั้งนี้ สถานประกอบการยังไม่ได้แสดงความประสงค์ ว่าจะใช้มาตรา 75 หรือไม่ พล.ต.อ.อดุลย์ฯ ยังได้สั่งการให้สํานักงานแรงงาน ณ กรุงมะนิลา (ส่วนที่ 2) กรุงไทเป ติดตามเหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่อาจจะเกิดผลกระทบกับแรงงานไทยในไต้หวันอย่างใกล้ชิด เบื้องต้นทราบว่ามีแรงงานไทยจํานวน 1 คนได้รับบาดเจ็บจากเหตุแผ่นดินไหว โดยถูกแผ่นหินแกรนิตหล่นทับที่หลังข้อเท้าขณะทํางานกะกลางคืนขณะนี้ได้รับการรักษาพยาบาลและได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดแล้ว --------------------------- กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/ 8 กุมภาพันธ์ 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พล.ต.อ.อดุลย์ฯ”กำชับดูแลลูกจ้างโรงงานผลิตถุงมือยาง จ.ตรัง อย่างครบวงจร วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 “พล.ต.อ.อดุลย์ฯ”กําชับดูแลลูกจ้างโรงงานผลิตถุงมือยาง จ.ตรัง อย่างครบวงจร รมว.แรงงาน สั่งการแรงงานจังหวัดตรังประสานหน่วยในสังกัดและเกี่ยวข้องดูแลช่วยเหลือคนงานเหตุเพลิงไหม้โรงงานผลิตถุงมือยาง จ.ตรัง อย่างครบวงจร พร้อมรายงานผลให้ทราบ ลูกจ้างต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิตามกฎหมาย สิทธิประกันสังคม รมว.แรงงาน สั่งการแรงงานจังหวัดตรังประสานหน่วยในสังกัดและเกี่ยวข้องดูแลช่วยเหลือคนงานเหตุเพลิงไหม้โรงงานผลิตถุงมือยาง จ.ตรัง อย่างครบวงจร พร้อมรายงานผลให้ทราบ ลูกจ้างต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิตามกฎหมาย สิทธิประกันสังคม ความต้องการพัฒนาฝีมือแรงงานและตําแหน่งงานใหม่รองรับ ส่วนสํานักงานแรงงานไทย รมว.แรงงานได้สั่งการให้ สนร.ไทเป รายงานสถานการณ์แผ่นดินไหวในไต้หวันอย่างใกล้ชิดที่มีผลกระทบต่อแรงงานไทยอย่างไร นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงแรงงาน (ศปก.รง.) ว่า จากกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้บริษัทไทยกองจํากัดเลขที่ 85 ม.6 ต.ควนธานี อ.กันตัง จ.ตรัง ซึ่งเป็นสถานประกอบกิจการผลิตถุงมือยาง เมื่อวันที่ 4 ก.พ.61 นั้น พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มีข้อสั่งการให้แรงงานจังหวัดเป็นหน่วยหลักร่วมกับหน่วยงานในสังกัดประสานการให้ความช่วยเหลือดูแลคนงานอย่างครบวงจรและรายงานผลให้ทราบ เพื่อให้การคุ้มครองแรงงานตามสิทธิทางกฎหมาย สิทธิประกันสังคม ความต้องการพัฒนาฝีมือแรงงาน รวมถึงตําแหน่งงานใหม่รองรับโดยเบื้องต้นสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดตรังได้เข้าไปหารือกับผู้บริหารของบริษัทฯ แล้ว พบว่า โรงงานมีพนักงานทั้งหมดประมาณ 1,100 คน แยกเป็นพนักงานที่อยู่ในส่วนโกดังสินค้าที่ผลิตแล้วเพื่อเตรียมส่งออกเป็นจุดที่เกิดเพลิงไหม้ประมาณ 200 คน ส่วนที่เป็นการผลิตสามารถดําเนินการผลิตต่อไปได้ ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด นางเพชรรัตน์ฯ กล่าวต่อว่า กรณีดังกล่าวสถานประกอบการสามารถใช้มาตรา 75 เข้ามาดําเนินการ ตามพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน 2541 แก้ไขเพิ่มเติม 2551 กรณีเกิดเหตุที่เกี่ยวข้อง เช่น กรณีไฟไหม้หรือ น้ําท่วมที่เป็นเหตุฉุกเฉิน นายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติ อาจจะต้องหยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วน ให้นายจ้างจ่ายเงินให้กับลูกจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของค่าจ้างในวันที่ลูกจ้างได้รับก่อนที่จะหยุด ตลอดระยะเวลาที่นายจ้างไม่มีงานให้ลูกจ้างทํางาน ทั้งนี้ สถานประกอบการยังไม่ได้แสดงความประสงค์ ว่าจะใช้มาตรา 75 หรือไม่ พล.ต.อ.อดุลย์ฯ ยังได้สั่งการให้สํานักงานแรงงาน ณ กรุงมะนิลา (ส่วนที่ 2) กรุงไทเป ติดตามเหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่อาจจะเกิดผลกระทบกับแรงงานไทยในไต้หวันอย่างใกล้ชิด เบื้องต้นทราบว่ามีแรงงานไทยจํานวน 1 คนได้รับบาดเจ็บจากเหตุแผ่นดินไหว โดยถูกแผ่นหินแกรนิตหล่นทับที่หลังข้อเท้าขณะทํางานกะกลางคืนขณะนี้ได้รับการรักษาพยาบาลและได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดแล้ว --------------------------- กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/ 8 กุมภาพันธ์ 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9948
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเพื่อลดผลกระทบด้านแรงงาน
วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 นายกรัฐมนตรีประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเพื่อลดผลกระทบด้านแรงงาน นายกรัฐมนตรีประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเพื่อลดผลกระทบด้านแรงงาน กระตุ้นการลงทุนเพื่อสนับสนุนการเกษตรครบวงจร ประกาศกําหนดให้อุตสาหกรรม s-Surve -กิจการสนับสนุนวิทยาศาสตร์ฯเป็นประเภทกิจการเป้าหมายสําหรับเขตส่งเสริมฯในพื้นที่ EEC วันนี้ (14 ก.พ.61) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ครั้งที่ 1/2561 โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ซึ่งภายหลังการประชุม นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้แถลงผลการประชุมสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการเพื่อสนับสนุนการยกระดับความสามารถด้านดิจิทัลเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการลดผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานและค่าแรงที่ปรับสูงขึ้น โดยให้ปรับปรุงเพิ่มเติมมาตรการส่งเสริมการลงทุน เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตโดยขยายขอบข่ายให้ครอบคลุมถึงการนําเทคโนโลยีด้านดิจิทัลมาใช้ โดยกิจการจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจากโครงการที่ดําเนินการอยู่เดิม เป็นระยะเวลา 3 ปี ในวงเงินร้อยละ 50 ของมูลค่าเงินลงทุนโดยไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน และให้ปรับปรุงมาตรการเพื่อความสามารถในการแข่งขันโดยการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล เช่น ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ชั้นสูง (Big Data Analysis, Internet of Things) เป็นต้น โดยจะให้ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม ร้อยละ 200 ของเงินลงทุนหรือค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีขั้นสูงที่เกี่ยวข้อง พร้อมกันนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ส่งเสริมการลงทุนในกิจการด้านการเกษตรเป็นกรณีพิเศษ หากยื่นขอรับการส่งเสริมภายในสิ้นปี 2561 เพื่อสนับสนุนให้ท้องถิ่นสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าเกษตรอย่างครบวงจร และช่วยยกระดับราคาสินค้าเกษตรในประเทศให้สูงขึ้น โดยผ่อนปรนเงื่อนไขด้านการผลิตให้ง่ายขึ้นและปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์สําหรับกิจการที่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร เช่น กิจการผลิตปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์เคมีนาโน และสารป้องกันการกําจัดศัตรูพืชชีวภัณฑ์ กิจการปรับปรุงพันธุ์พืชหรือสัตว์ กิจการคัดคุณภาพบรรจุและเก็บรักษาพืชผักผลไม้ หรือดอกไม้ กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ กิจการผลิตภัณฑ์จากผลพลอยได้ทางการเกษตร การผลิตเชื้อเพลิงจากผลผลิตการเกษตร การผลิตสารสกัดจากวัตถุดิบทางธรรมชาติ หรือผลิตภัณฑ์จากสารสกัดจากวัตถุดิบทางธรรมชาติ การผลิตหรือถนอมอาหารและเครื่องดื่ม กิจการห้องเย็นและขนส่งห้องเย็น กิจการศูนย์กลางการค้าสินค้าเกษตร เป็นต้น และกําหนดแนวทางการส่งเสริมออกเป็น 2 กรณี ได้แก่ กรณีที่ 1 หากเป็นผู้ประกอบการไทยขนาดย่อมที่ลงทุนในกิจการด้านการเกษตรตามที่กําหนด จะผ่อนปรนเงินลงทุนขั้นต่ําของโครงการจาก 1 ล้านบาท เหลือ 5 แสนบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) และผ่อนปรนให้นําเครื่องจักรใช้แล้วในประเทศมาใช้ในโครงการได้บางส่วน โดยจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 5-8 ปี ในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 200 ของมูลค่าเงินลงทุนโดยไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน กรณีที่ 2 หากเป็นผู้ประกอบการที่สนับสนุนหรือร่วมดําเนินการกับท้องถิ่นลงทุนในกิจการด้านการเกษตรตามที่กําหนด จะต้องมีเงินลงทุนขั้นต่ําของแต่ละโครงการไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท โดยจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 3 ปีจากรายได้ของกิจการที่ดําเนินการอยู่เดิมในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 100 ของเงินลงทุนโดยไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวด้วยว่า หลังจากที่บอร์ดบีโอไอได้อนุมัติมาตรการอีอีซี โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา และได้ประกาศกําหนดประเภทกิจการเป้าหมายสําหรับ “เขตส่งเสริมเพื่อกิจการพิเศษ” และ “นิคมหรือเขตอุตสาหกรรมทั่วไป” แล้ว ในครั้งนี้ บอร์ดยังได้อนุมัติให้กําหนดกลุ่มประเภทกิจการเป้าหมาย เพื่อรองรับการประกาศ “เขตส่งเสริมเพื่อกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมาย” ของคณะกรรมการนโยบายอีอีซี ซึ่งจะทําให้ประเภทกิจการเป้าหมายสําหรับแต่ละเขตมีผลใช้บังคับทันทีที่คณะกรรมการนโยบายอีอีซีออกประกาศกําหนด “เขตส่งเสริมเพื่อกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมาย” ทั้งนี้ อุตสาหกรรมเป้าหมายประกอบด้วยอุตสาหกรรมเอสเคิร์ฟ (s-Surve) และกิจการสนับสนุนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นอกจากนี้ ที่ประชุมได้อนุมัติให้ส่งเสริมการลงทุนแก่กิจการผลิตเอทานอล 99.5% ของบริษัท อิมเพรส เอทานอล จํากัด (หุ้นไทย และมาเลเซีย) เงินลงทุน 2,970 ล้านบาท เพื่อผลิตเอทานอลปีละประมาณ 109,500,000 ลิตร ซึ่งจะใช้วัตถุดิบในประเทศ ได้แก่ มันสําปะหลัง ปีละ 700,000 ตัน ตั้งอยู่ อําเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา ---------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก (ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเพื่อลดผลกระทบด้านแรงงาน วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 นายกรัฐมนตรีประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเพื่อลดผลกระทบด้านแรงงาน นายกรัฐมนตรีประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเพื่อลดผลกระทบด้านแรงงาน กระตุ้นการลงทุนเพื่อสนับสนุนการเกษตรครบวงจร ประกาศกําหนดให้อุตสาหกรรม s-Surve -กิจการสนับสนุนวิทยาศาสตร์ฯเป็นประเภทกิจการเป้าหมายสําหรับเขตส่งเสริมฯในพื้นที่ EEC วันนี้ (14 ก.พ.61) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ครั้งที่ 1/2561 โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ซึ่งภายหลังการประชุม นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้แถลงผลการประชุมสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการเพื่อสนับสนุนการยกระดับความสามารถด้านดิจิทัลเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการลดผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานและค่าแรงที่ปรับสูงขึ้น โดยให้ปรับปรุงเพิ่มเติมมาตรการส่งเสริมการลงทุน เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตโดยขยายขอบข่ายให้ครอบคลุมถึงการนําเทคโนโลยีด้านดิจิทัลมาใช้ โดยกิจการจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจากโครงการที่ดําเนินการอยู่เดิม เป็นระยะเวลา 3 ปี ในวงเงินร้อยละ 50 ของมูลค่าเงินลงทุนโดยไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน และให้ปรับปรุงมาตรการเพื่อความสามารถในการแข่งขันโดยการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล เช่น ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ชั้นสูง (Big Data Analysis, Internet of Things) เป็นต้น โดยจะให้ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม ร้อยละ 200 ของเงินลงทุนหรือค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีขั้นสูงที่เกี่ยวข้อง พร้อมกันนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ส่งเสริมการลงทุนในกิจการด้านการเกษตรเป็นกรณีพิเศษ หากยื่นขอรับการส่งเสริมภายในสิ้นปี 2561 เพื่อสนับสนุนให้ท้องถิ่นสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าเกษตรอย่างครบวงจร และช่วยยกระดับราคาสินค้าเกษตรในประเทศให้สูงขึ้น โดยผ่อนปรนเงื่อนไขด้านการผลิตให้ง่ายขึ้นและปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์สําหรับกิจการที่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร เช่น กิจการผลิตปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์เคมีนาโน และสารป้องกันการกําจัดศัตรูพืชชีวภัณฑ์ กิจการปรับปรุงพันธุ์พืชหรือสัตว์ กิจการคัดคุณภาพบรรจุและเก็บรักษาพืชผักผลไม้ หรือดอกไม้ กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ กิจการผลิตภัณฑ์จากผลพลอยได้ทางการเกษตร การผลิตเชื้อเพลิงจากผลผลิตการเกษตร การผลิตสารสกัดจากวัตถุดิบทางธรรมชาติ หรือผลิตภัณฑ์จากสารสกัดจากวัตถุดิบทางธรรมชาติ การผลิตหรือถนอมอาหารและเครื่องดื่ม กิจการห้องเย็นและขนส่งห้องเย็น กิจการศูนย์กลางการค้าสินค้าเกษตร เป็นต้น และกําหนดแนวทางการส่งเสริมออกเป็น 2 กรณี ได้แก่ กรณีที่ 1 หากเป็นผู้ประกอบการไทยขนาดย่อมที่ลงทุนในกิจการด้านการเกษตรตามที่กําหนด จะผ่อนปรนเงินลงทุนขั้นต่ําของโครงการจาก 1 ล้านบาท เหลือ 5 แสนบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) และผ่อนปรนให้นําเครื่องจักรใช้แล้วในประเทศมาใช้ในโครงการได้บางส่วน โดยจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 5-8 ปี ในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 200 ของมูลค่าเงินลงทุนโดยไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน กรณีที่ 2 หากเป็นผู้ประกอบการที่สนับสนุนหรือร่วมดําเนินการกับท้องถิ่นลงทุนในกิจการด้านการเกษตรตามที่กําหนด จะต้องมีเงินลงทุนขั้นต่ําของแต่ละโครงการไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท โดยจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 3 ปีจากรายได้ของกิจการที่ดําเนินการอยู่เดิมในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 100 ของเงินลงทุนโดยไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวด้วยว่า หลังจากที่บอร์ดบีโอไอได้อนุมัติมาตรการอีอีซี โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา และได้ประกาศกําหนดประเภทกิจการเป้าหมายสําหรับ “เขตส่งเสริมเพื่อกิจการพิเศษ” และ “นิคมหรือเขตอุตสาหกรรมทั่วไป” แล้ว ในครั้งนี้ บอร์ดยังได้อนุมัติให้กําหนดกลุ่มประเภทกิจการเป้าหมาย เพื่อรองรับการประกาศ “เขตส่งเสริมเพื่อกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมาย” ของคณะกรรมการนโยบายอีอีซี ซึ่งจะทําให้ประเภทกิจการเป้าหมายสําหรับแต่ละเขตมีผลใช้บังคับทันทีที่คณะกรรมการนโยบายอีอีซีออกประกาศกําหนด “เขตส่งเสริมเพื่อกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมาย” ทั้งนี้ อุตสาหกรรมเป้าหมายประกอบด้วยอุตสาหกรรมเอสเคิร์ฟ (s-Surve) และกิจการสนับสนุนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นอกจากนี้ ที่ประชุมได้อนุมัติให้ส่งเสริมการลงทุนแก่กิจการผลิตเอทานอล 99.5% ของบริษัท อิมเพรส เอทานอล จํากัด (หุ้นไทย และมาเลเซีย) เงินลงทุน 2,970 ล้านบาท เพื่อผลิตเอทานอลปีละประมาณ 109,500,000 ลิตร ซึ่งจะใช้วัตถุดิบในประเทศ ได้แก่ มันสําปะหลัง ปีละ 700,000 ตัน ตั้งอยู่ อําเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา ---------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก (ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10082
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เร่งช่วยเหลือครอบครัวคนพิการด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.สุรินทร์ และประจวบคีรีขันธ์
วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม 2561 พม. เร่งช่วยเหลือครอบครัวคนพิการด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.สุรินทร์ และประจวบคีรีขันธ์ พม. เร่งช่วยเหลือครอบครัวคนพิการด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.สุรินทร์ และประจวบคีรีขันธ์ วันนี้( 19 ก.ค. 61) เวลา 8.30 น.นายอภิชาติ อภิชาตบุตร หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 101/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยมีคณะผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานภายในกระทรวง เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ จากกรณี หญิงชราวัย 81 ปี อาศัยอยู่กับลูกชายที่ป่วยพิการทางสมอง ครอบครัวมีฐานะยากจน ถูกชาย 2 คน บุกเข้าบ้าน และจี้ชิงเงิน 200 บาท ซึ่งเป็นเงินทั้งหมดที่มีอยู่ของครอบครัว ทําให้ไม่มีเงินสําหรับซื้ออาหารใช้ประทังชีวิต ที่ จังหวัดสุรินทร์ และกรณีหญิงวัย 34 ปี ประสบอุบัติเหตุถูกรถชน ทําให้มีเลือดคลั่งในสมอง ไม่รู้สึกตัว ต้องนอนป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ในขณะที่น้องชายต้องลาออกจากงาน เพื่อมาอยู่ดูแลอย่างใกล้ชิด ทําให้ครอบครัวขาดรายได้ ที่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากกรณีดังกล่าว ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด สุรินทร์ (พมจ.สุรินทร์) และประจวบคีรีขันธ์ (พมจ.ประจวบคีรีขันธ์) พร้อมด้วยทีม One Home ทั้ง 2 จังหวัด เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้านและประเมินทางสังคม เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านผู้สูงอายุ คนพิการ และครอบครัวของกระทรวง พม. โดยเฉพาะการมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น เงินสงเคราะห์ และการให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องการประกอบอาชีพที่มั่นคง และการขอรับสิทธิสวัสดิการตามกฎหมาย ซึ่งต่อไปจะมีการหารือร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อวางแผนในการช่วยเหลือระยะยาวต่อไป รวมทั้งการจัดส่งทีม One Home ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน และติดตาม ให้ความช่วยเหลือตามความต้องการเป็นระยะอย่างต่อเนื่องต่อไป ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นหรือประสบปัญหาทางสังคม สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการช่วยเหลือต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เร่งช่วยเหลือครอบครัวคนพิการด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.สุรินทร์ และประจวบคีรีขันธ์ วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม 2561 พม. เร่งช่วยเหลือครอบครัวคนพิการด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.สุรินทร์ และประจวบคีรีขันธ์ พม. เร่งช่วยเหลือครอบครัวคนพิการด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.สุรินทร์ และประจวบคีรีขันธ์ วันนี้( 19 ก.ค. 61) เวลา 8.30 น.นายอภิชาติ อภิชาตบุตร หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 101/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยมีคณะผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานภายในกระทรวง เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ จากกรณี หญิงชราวัย 81 ปี อาศัยอยู่กับลูกชายที่ป่วยพิการทางสมอง ครอบครัวมีฐานะยากจน ถูกชาย 2 คน บุกเข้าบ้าน และจี้ชิงเงิน 200 บาท ซึ่งเป็นเงินทั้งหมดที่มีอยู่ของครอบครัว ทําให้ไม่มีเงินสําหรับซื้ออาหารใช้ประทังชีวิต ที่ จังหวัดสุรินทร์ และกรณีหญิงวัย 34 ปี ประสบอุบัติเหตุถูกรถชน ทําให้มีเลือดคลั่งในสมอง ไม่รู้สึกตัว ต้องนอนป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ในขณะที่น้องชายต้องลาออกจากงาน เพื่อมาอยู่ดูแลอย่างใกล้ชิด ทําให้ครอบครัวขาดรายได้ ที่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากกรณีดังกล่าว ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด สุรินทร์ (พมจ.สุรินทร์) และประจวบคีรีขันธ์ (พมจ.ประจวบคีรีขันธ์) พร้อมด้วยทีม One Home ทั้ง 2 จังหวัด เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้านและประเมินทางสังคม เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านผู้สูงอายุ คนพิการ และครอบครัวของกระทรวง พม. โดยเฉพาะการมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น เงินสงเคราะห์ และการให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องการประกอบอาชีพที่มั่นคง และการขอรับสิทธิสวัสดิการตามกฎหมาย ซึ่งต่อไปจะมีการหารือร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อวางแผนในการช่วยเหลือระยะยาวต่อไป รวมทั้งการจัดส่งทีม One Home ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน และติดตาม ให้ความช่วยเหลือตามความต้องการเป็นระยะอย่างต่อเนื่องต่อไป ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นหรือประสบปัญหาทางสังคม สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการช่วยเหลือต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13966
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ประกาศผลการตัดสินรางวัล โครงการประกวดแบบ “บ้านรักษ์โลก” รับทุนการศึกษามูลค่ารวม 1,100,000 บาท
วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน 2560 ธอส. ประกาศผลการตัดสินรางวัล โครงการประกวดแบบ “บ้านรักษ์โลก” รับทุนการศึกษามูลค่ารวม 1,100,000 บาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ประกาศผลการตัดสิน 6 สุดยอดแบบบ้าน ที่ผ่านการคัดเลือกคว้ารางวัลทุนการศึกษามูลค่ารวม 1,100,000 บาท ตามโครงการประกวดแบบ “บ้านรักษ์โลก” จากกว่า 60 ผลงาน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ประกาศผลการตัดสิน 6 สุดยอดแบบบ้าน ที่ผ่านการคัดเลือกคว้ารางวัลทุนการศึกษามูลค่ารวม 1,100,000 บาท ตามโครงการประกวดแบบ “บ้านรักษ์โลก” จากกว่า 60 ผลงาน ซึ่ง ธอส.ได้เปิดโอกาสให้กับนิสิตนักศึกษาทั่วประเทศ ร่วมส่งผลงานการออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน และรักษาสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นผลงานการออกแบบบ้านที่มีความคิดสร้างสรรค์ สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน และพฤติกรรมการอยู่อาศัย รวมทั้งเหมาะสมสําหรับครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และรองรับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต พร้อมเปิดโอกาสให้ประชาชนที่สนใจดาวน์โหลดพิมพ์เขียวแบบบ้านไปปลูกสร้างเองได้ฟรี!! หรือนํามายื่นกู้ปลูกสร้างกับ ธอส.รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส.ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีบทบาทสําคัญในการสนับสนุนนโยบายด้านที่อยู่อาศัยของภาครัฐ และดําเนินการตามพันธกิจ : ทําให้คนไทยมีบ้าน ซึ่งสินเชื่อเพื่อปลูกสร้างถือเป็นหนึ่งในวัตถุประสงค์หลักที่ประชาชนทั่วไปต้องการมาใช้บริการกับธนาคาร และแบบแปลนการปลูกสร้างถือป็นส่วนหนึ่งของเอกสารสําคัญที่ใช้ประกอบการยื่นกู้ จึงเป็นที่มาของการจัดทํากิจกรรม CSR โครงการประกวดแบบ “บ้านรักษ์โลก” เพื่อค้นหาสุดยอดนิสิตนักศึกษาจากทั่วประเทศที่มุ่งเน้นผลงานการออกแบบบ้านภายใต้แนวคิด “ประหยัดเงิน ประหยัดพลังงาน ด้วยบ้านรักษ์โลก” โดยมีความคิดสร้างสรรค์ สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน และพฤติกรรมการ อยู่อาศัย รวมทั้งเหมาะสมสําหรับครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และรองรับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต ด้วยการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่ประหยัดพลังงานจากองค์กรพันธมิตรที่ดําเนินธุรกิจสอดคล้องกับวัตถุประสงค์โครงการ อาทิ บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จํากัด และบริษัท เทคโนเซล (เฟรย์) จํากัด ผู้นําเข้าฟิล์มกรองแสงรถยนต์และอาคาร อาคารลามิน่า เพื่อชิงทุนการศึกษามูลค่ารวม 1,100,000 บาท โดยกําหนดให้การออกแบบบ้านเป็นลักษณะบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่ก่อสร้างไม่เกิน 40 ตารางวา และแบ่งวงเงินก่อสร้างออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.แบบบ้านราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท 2.แบบบ้านราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งธนาคารได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญในด้านที่อยู่อาศัยจากสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน สภาสถาปนิก และผู้แทนของธนาคาร ร่วมเป็นคณะกรรมการตัดสินผลงานการประกวดของนักศึกษา ภายหลังจากธนาคารเปิดให้ผู้ที่สนใจส่งผลงานได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2559 พบว่ามีนิสิตนักศึกษาจากทั่วประเทศให้ความสนใจส่งแบบบ้านเข้าประกวดมากกว่า 60 ผลงาน ซึ่งคณะกรรมการตัดสินได้คัดเลือกผลงานที่ได้รับรางวันทุนการศึกษา ทั้ง 2 ประเภท ประกอบด้วย 1. รางวัลประเภทแบบบ้านราคาไม่เกิน 1,000,000.-บาท อันดับ 1 นายชานนท์ จาดตานิม (จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ได้รับทุนการศึกษาจํานวน 300,000.-บาท อันดับ 2 นายวิชญะ วิภูษณวรรณ (จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ได้รับทุนการศึกษาจํานวน 150,000.-บาท อันดับ 3 นายศักดิสรรพ์ ทองตัน (จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ได้รับทุนการศึกษาจํานวน 100,000.-บาท 2. รางวัลประเภทแบบบ้านราคาไม่เกิน 2,000,000.-บาท อันดับ 1 นายพชร ดีเลิศทวีทรัพย์ (จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ได้รับทุนการศึกษาจํานวน 300,000.-บาท อันดับ 2 นางสาวกุลจิรา อธิเศรษฐ์ (จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญญบุรี) ได้รับทุนการศึกษาจํานวน 150,000.-บาท อันดับ 3 นายพีรพล สุทธิมรรคผล (จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง) ได้รับทุนการศึกษาจํานวน 100,000.-บาท การประกวดแบบ “บ้านรักษ์โลก” ถือเป็นส่วนหนึ่งของการโครงการที่ดําเนินงานตามนโยบายแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร ซึ่ง ธอส. ให้ความสําคัญควบคู่ไปกับการดําเนินธุรกิจมาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า 64 ปีที่ได้สานฝันทําให้คนไทยมีบ้านเป็นของตนเองมาแล้วกว่า 3 ล้านครอบครัว ซึ่งหลังจากนี้ประชาชนสามารถยังดาวน์โหลดพิมพ์เขียวของสุดยอดแบบบ้านที่ได้รับรางวัลทั้ง 6 แบบ นําไปปลูกสร้างบ้านที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงานได้ฟรี!! ที่ www.ghb.co.th และสามารถนํามายื่นขอกู้ปลูกสร้างบ้านกับ ธอส. โดยจะได้รับสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษด้วย ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ประกาศผลการตัดสินรางวัล โครงการประกวดแบบ “บ้านรักษ์โลก” รับทุนการศึกษามูลค่ารวม 1,100,000 บาท วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน 2560 ธอส. ประกาศผลการตัดสินรางวัล โครงการประกวดแบบ “บ้านรักษ์โลก” รับทุนการศึกษามูลค่ารวม 1,100,000 บาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ประกาศผลการตัดสิน 6 สุดยอดแบบบ้าน ที่ผ่านการคัดเลือกคว้ารางวัลทุนการศึกษามูลค่ารวม 1,100,000 บาท ตามโครงการประกวดแบบ “บ้านรักษ์โลก” จากกว่า 60 ผลงาน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ประกาศผลการตัดสิน 6 สุดยอดแบบบ้าน ที่ผ่านการคัดเลือกคว้ารางวัลทุนการศึกษามูลค่ารวม 1,100,000 บาท ตามโครงการประกวดแบบ “บ้านรักษ์โลก” จากกว่า 60 ผลงาน ซึ่ง ธอส.ได้เปิดโอกาสให้กับนิสิตนักศึกษาทั่วประเทศ ร่วมส่งผลงานการออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน และรักษาสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นผลงานการออกแบบบ้านที่มีความคิดสร้างสรรค์ สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน และพฤติกรรมการอยู่อาศัย รวมทั้งเหมาะสมสําหรับครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และรองรับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต พร้อมเปิดโอกาสให้ประชาชนที่สนใจดาวน์โหลดพิมพ์เขียวแบบบ้านไปปลูกสร้างเองได้ฟรี!! หรือนํามายื่นกู้ปลูกสร้างกับ ธอส.รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส.ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีบทบาทสําคัญในการสนับสนุนนโยบายด้านที่อยู่อาศัยของภาครัฐ และดําเนินการตามพันธกิจ : ทําให้คนไทยมีบ้าน ซึ่งสินเชื่อเพื่อปลูกสร้างถือเป็นหนึ่งในวัตถุประสงค์หลักที่ประชาชนทั่วไปต้องการมาใช้บริการกับธนาคาร และแบบแปลนการปลูกสร้างถือป็นส่วนหนึ่งของเอกสารสําคัญที่ใช้ประกอบการยื่นกู้ จึงเป็นที่มาของการจัดทํากิจกรรม CSR โครงการประกวดแบบ “บ้านรักษ์โลก” เพื่อค้นหาสุดยอดนิสิตนักศึกษาจากทั่วประเทศที่มุ่งเน้นผลงานการออกแบบบ้านภายใต้แนวคิด “ประหยัดเงิน ประหยัดพลังงาน ด้วยบ้านรักษ์โลก” โดยมีความคิดสร้างสรรค์ สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน และพฤติกรรมการ อยู่อาศัย รวมทั้งเหมาะสมสําหรับครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และรองรับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต ด้วยการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่ประหยัดพลังงานจากองค์กรพันธมิตรที่ดําเนินธุรกิจสอดคล้องกับวัตถุประสงค์โครงการ อาทิ บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จํากัด และบริษัท เทคโนเซล (เฟรย์) จํากัด ผู้นําเข้าฟิล์มกรองแสงรถยนต์และอาคาร อาคารลามิน่า เพื่อชิงทุนการศึกษามูลค่ารวม 1,100,000 บาท โดยกําหนดให้การออกแบบบ้านเป็นลักษณะบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่ก่อสร้างไม่เกิน 40 ตารางวา และแบ่งวงเงินก่อสร้างออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.แบบบ้านราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท 2.แบบบ้านราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งธนาคารได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญในด้านที่อยู่อาศัยจากสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน สภาสถาปนิก และผู้แทนของธนาคาร ร่วมเป็นคณะกรรมการตัดสินผลงานการประกวดของนักศึกษา ภายหลังจากธนาคารเปิดให้ผู้ที่สนใจส่งผลงานได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2559 พบว่ามีนิสิตนักศึกษาจากทั่วประเทศให้ความสนใจส่งแบบบ้านเข้าประกวดมากกว่า 60 ผลงาน ซึ่งคณะกรรมการตัดสินได้คัดเลือกผลงานที่ได้รับรางวันทุนการศึกษา ทั้ง 2 ประเภท ประกอบด้วย 1. รางวัลประเภทแบบบ้านราคาไม่เกิน 1,000,000.-บาท อันดับ 1 นายชานนท์ จาดตานิม (จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ได้รับทุนการศึกษาจํานวน 300,000.-บาท อันดับ 2 นายวิชญะ วิภูษณวรรณ (จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ได้รับทุนการศึกษาจํานวน 150,000.-บาท อันดับ 3 นายศักดิสรรพ์ ทองตัน (จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ได้รับทุนการศึกษาจํานวน 100,000.-บาท 2. รางวัลประเภทแบบบ้านราคาไม่เกิน 2,000,000.-บาท อันดับ 1 นายพชร ดีเลิศทวีทรัพย์ (จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ได้รับทุนการศึกษาจํานวน 300,000.-บาท อันดับ 2 นางสาวกุลจิรา อธิเศรษฐ์ (จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญญบุรี) ได้รับทุนการศึกษาจํานวน 150,000.-บาท อันดับ 3 นายพีรพล สุทธิมรรคผล (จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง) ได้รับทุนการศึกษาจํานวน 100,000.-บาท การประกวดแบบ “บ้านรักษ์โลก” ถือเป็นส่วนหนึ่งของการโครงการที่ดําเนินงานตามนโยบายแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร ซึ่ง ธอส. ให้ความสําคัญควบคู่ไปกับการดําเนินธุรกิจมาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า 64 ปีที่ได้สานฝันทําให้คนไทยมีบ้านเป็นของตนเองมาแล้วกว่า 3 ล้านครอบครัว ซึ่งหลังจากนี้ประชาชนสามารถยังดาวน์โหลดพิมพ์เขียวของสุดยอดแบบบ้านที่ได้รับรางวัลทั้ง 6 แบบ นําไปปลูกสร้างบ้านที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงานได้ฟรี!! ที่ www.ghb.co.th และสามารถนํามายื่นขอกู้ปลูกสร้างบ้านกับ ธอส. โดยจะได้รับสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษด้วย ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4543
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 27 มิถุนายน 2560
วันอังคารที่ 27 มิถุนายน 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 27 มิถุนายน 2560 วันอังคารที่ 27 มิถุนายน 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ระหว่างวันที่ 19 – 25 ตุลาคม 2561 พบการกระทำผิด จำนวน 383 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 5.75 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561 ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ระหว่างวันที่ 19 – 25 ตุลาคม 2561 พบการกระทําผิด จํานวน 383 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 5.75 ล้านบาท กรมสรรพสามิตดําเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต นางสดศรี พงศ์อุทัย รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศ พร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภค ให้บริโภคสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากการบริโภคสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าสินค้าโดยทั่วไป จากผลการตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2562 (ระหว่างวันที่ 19 - 25 ตุลาคม 2561) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 383 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 5.75 ล้านบาท โดยแยกเป็น - สุรา จํานวน 189 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 1.68 ล้านบาท - ยาสูบ จํานวน 107 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 2.30 ล้านบาท - ไพ่ จํานวน 11 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.11 ล้านบาท - น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 22 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.44 ล้านบาท - น้ําหอม จํานวน 1 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.01 ล้านบาท - รถจักรยานยนต์ จํานวน 30 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ จํานวน 0.64 ล้านบาท - สินค้าอื่น ๆ จํานวน 23 คดี รวมเป็นเงินค่าปรับ 0.57 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 655.415 ลิตร ยาสูบ จํานวน 6,951 ซอง ไพ่ จํานวน 429 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 42,406.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 267 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 36 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ระหว่างวันที่ 19 – 25 ตุลาคม 2561 พบการกระทำผิด จำนวน 383 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 5.75 ล้านบาท วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561 ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ระหว่างวันที่ 19 – 25 ตุลาคม 2561 พบการกระทําผิด จํานวน 383 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 5.75 ล้านบาท กรมสรรพสามิตดําเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต นางสดศรี พงศ์อุทัย รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศ พร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภค ให้บริโภคสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากการบริโภคสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าสินค้าโดยทั่วไป จากผลการตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2562 (ระหว่างวันที่ 19 - 25 ตุลาคม 2561) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 383 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 5.75 ล้านบาท โดยแยกเป็น - สุรา จํานวน 189 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 1.68 ล้านบาท - ยาสูบ จํานวน 107 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 2.30 ล้านบาท - ไพ่ จํานวน 11 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.11 ล้านบาท - น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 22 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.44 ล้านบาท - น้ําหอม จํานวน 1 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.01 ล้านบาท - รถจักรยานยนต์ จํานวน 30 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ จํานวน 0.64 ล้านบาท - สินค้าอื่น ๆ จํานวน 23 คดี รวมเป็นเงินค่าปรับ 0.57 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 655.415 ลิตร ยาสูบ จํานวน 6,951 ซอง ไพ่ จํานวน 429 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 42,406.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 267 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 36 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16351
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME Development Bank จัดงานสัมมนา"จับอาหาร ผสานนวัตกรรมทำเงินล้านด้วยเทคโนโลยี"ดันอุตสาหกรรมด้านอาหารก้าวสู่ Thailand4.0
วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม 2560 SME Development Bank จัดงานสัมมนา"จับอาหาร ผสานนวัตกรรมทําเงินล้านด้วยเทคโนโลยี"ดันอุตสาหกรรมด้านอาหารก้าวสู่ Thailand4.0 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.หรือ SME Development Bank) ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จัดสัมมนา “จับอาหาร ผสานนวัตกรรมทําเงินล้านด้วยเทคโนโลยี” ในวันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม 2560 เวลา 13.00-16.30 น. ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.หรือ SME Development Bank) ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จัดสัมมนา “จับอาหาร ผสานนวัตกรรมทําเงินล้านด้วยเทคโนโลยี” ในวันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม 2560 เวลา 13.00-16.30 น. ณ Co-Working Space อาคารสํานักงานใหญ่ SME Bank Tower ติดสถานีรถไฟฟ้าอารีย์ จากธุรกิจอาหารก้าวสู่นวัตกรรม ร่วมหาคําตอบว่าอาหารจะผนวกกับนวัตกรรมได้อย่างไร กับวิทยากร ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงวิสัยทัศน์กว้างไกล ทั้ง2ท่าน นายรังสรรค์ พรมประสิทธิ์ หรือ โจ้QueQ ผู้ก่อตั้งแอพพลิเคชั่นQueQเพื่อแก้ปัญหาการรอคิวร้านอาหารตามห้างสรรพสินค้า ปัจจุบันมีลูกค้าใช้งานQueQ แล้วกว่า200,000ราย พร้อมกําลังขยายตลาดสู่สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย วิทยากรอีกท่าน นายชัยรัตน์ คงศุภมานนท์ รองประธานกรรมการ บริษัท กรีนเดย์ โกลบอล จํากัด แบรนด์อาหารไทยที่ประสบความสําเร็จในฐานะผู้ผลิตผักและผลไม้แปรรูป ในรูปแบบของขนมขบเคี้ยวที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพจนได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคหลายประเทศทั่วโลกและมีการส่งออกสู่ตลาดโลกอีก25ประเทศซึ่งทํารายได้ทั้งหมด 280 ล้านต่อปี ผู้สนใจเข้าร่วมงานสํารองที่นั่งด่วน โทร02-265-3009, 098-269-8077 หรือ email: [email protected] รับจํานวนจํากัด ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ :ศูนย์พัฒนา SMEs โทร 081-4807594 ผู้เผยแพร่ข้อมูล :ฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 0-265-4574-5 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME Development Bank จัดงานสัมมนา"จับอาหาร ผสานนวัตกรรมทำเงินล้านด้วยเทคโนโลยี"ดันอุตสาหกรรมด้านอาหารก้าวสู่ Thailand4.0 วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม 2560 SME Development Bank จัดงานสัมมนา"จับอาหาร ผสานนวัตกรรมทําเงินล้านด้วยเทคโนโลยี"ดันอุตสาหกรรมด้านอาหารก้าวสู่ Thailand4.0 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.หรือ SME Development Bank) ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จัดสัมมนา “จับอาหาร ผสานนวัตกรรมทําเงินล้านด้วยเทคโนโลยี” ในวันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม 2560 เวลา 13.00-16.30 น. ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.หรือ SME Development Bank) ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จัดสัมมนา “จับอาหาร ผสานนวัตกรรมทําเงินล้านด้วยเทคโนโลยี” ในวันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม 2560 เวลา 13.00-16.30 น. ณ Co-Working Space อาคารสํานักงานใหญ่ SME Bank Tower ติดสถานีรถไฟฟ้าอารีย์ จากธุรกิจอาหารก้าวสู่นวัตกรรม ร่วมหาคําตอบว่าอาหารจะผนวกกับนวัตกรรมได้อย่างไร กับวิทยากร ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงวิสัยทัศน์กว้างไกล ทั้ง2ท่าน นายรังสรรค์ พรมประสิทธิ์ หรือ โจ้QueQ ผู้ก่อตั้งแอพพลิเคชั่นQueQเพื่อแก้ปัญหาการรอคิวร้านอาหารตามห้างสรรพสินค้า ปัจจุบันมีลูกค้าใช้งานQueQ แล้วกว่า200,000ราย พร้อมกําลังขยายตลาดสู่สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย วิทยากรอีกท่าน นายชัยรัตน์ คงศุภมานนท์ รองประธานกรรมการ บริษัท กรีนเดย์ โกลบอล จํากัด แบรนด์อาหารไทยที่ประสบความสําเร็จในฐานะผู้ผลิตผักและผลไม้แปรรูป ในรูปแบบของขนมขบเคี้ยวที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพจนได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคหลายประเทศทั่วโลกและมีการส่งออกสู่ตลาดโลกอีก25ประเทศซึ่งทํารายได้ทั้งหมด 280 ล้านต่อปี ผู้สนใจเข้าร่วมงานสํารองที่นั่งด่วน โทร02-265-3009, 098-269-8077 หรือ email: [email protected] รับจํานวนจํากัด ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ :ศูนย์พัฒนา SMEs โทร 081-4807594 ผู้เผยแพร่ข้อมูล :ฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 0-265-4574-5 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3443
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ บรรยายพิเศษ เรื่อง “หน้าที่ความรับผิดชอบของประชาชนชาวไทย และการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ” แก่ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ เด็กและเยาวชนของสถานพินิจฯ จ.นราธิวาส
วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2561 ม.ล.ปนัดดาฯ บรรยายพิเศษ เรื่อง “หน้าที่ความรับผิดชอบของประชาชนชาวไทย และการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ” แก่ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ เด็กและเยาวชนของสถานพินิจฯ จ.นราธิวาส ม.ล.ปนัดดาฯ บรรยายพิเศษ เรื่อง “หน้าที่ความรับผิดชอบของประชาชนชาวไทย และการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ” แก่ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ เด็กและเยาวชนของสถานพินิจฯ จ.นราธิวาส เมื่อวันอังคารที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๐๐ น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยม พร้อมให้กําลังใจแก่คณะผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานราชการ ครูอาจารย์ นักสังคมสงเคราะห์ ฝ่ายปกครอง และบุคลากรในสังกัด พร้อมทั้งบรรยายพิเศษ เรื่อง “หน้าที่ความรับผิดชอบของประชาชนชาวไทย และการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ” แก่เด็กและเยาวชนในสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก และเยาวชนจังหวัดนราธิวาส และศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนจังหวัดนราธิวาส ณ ห้องประชุม สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนราธิวาส และศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนจังหวัดนราธิวาส อ.เมือง จ.นราธิวาส ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวตอนหนึ่งของการบรรยายพิเศษ ความว่า : “จงหนักแน่นและมุ่งมั่นกระทําสิ่งที่ถูกที่ควร จากนี้ไปจงนึกเปรียบตนเป็นเสมือน “ต้นหน” นําผู้คนบนเรือเดินสมุทร หรือผู้คนในสังคมเป็นจํานวนมากไปสู่จุดหมายปลายทางที่เป็นความสําเร็จ และคลาดแคล้วจากภยันตรายใดๆ การทําความดีเริ่นต้นได้ที่ใจเรา ส่วนใครเขาทําไม่ดี เขาทําชั่วย่อมถือเป็นเรื่องของเวรกรรมบุญบาป ใครเลือกที่จะเป็นบัวใต้น้ําหรือเหนือน้ํา ก็มีให้แลเห็นกันอยู่ในภาพของสังคมอันเป็นความหลากหลาย เช่น ความอวดรู้ อวดดี และการสําคัญตนผิดๆ ทั้งที่คนเขาทําอะไรต่ออะไรสําเร็จกันมามากมายแล้วตั้งแต่เรายังไม่เกิด สามารถยกขึ้นเป็นกรณีศึกษาในเชิงประจักษ์ได้มากมายหลายเรื่อง ลูกๆ หลานๆ ต้องมีความแม่นยํา ในเรื่องเหล่านี้ ต้องทันคนทันเหตุการณ์ในยุคสมัยของวัตถุนิยม ที่ทําให้หลักคุณธรรม และหลักศีลธรรมจรรยาผิดแผกไปจากก่อน คือ ตกต่ําลงไปมาก พูดกันถึงการดําเนินชีวิตปัจจุบัน ทุกคนจะต้องมีความระมัดระวังตัวขึ้นเป็นอันมาก ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท” พร้อมกันนี้ ม.ล.ปนัดดาฯ ได้อัญเชิญพระราชดํารัสคําสอนในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มากล่าวต่อผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานราชการ และเยาวชนศูนย์ฝึกอบรมฯ และสถานพินิจฯ จ.นราธิวาส พร้อมขอให้น้อมนําสู่การปฏิบัติ เพื่อยังความเป็นสิริมงคลเกิดขึ้นแก่ตนและครอบครัว ดั่งกระแสพระราชดํารัส ความว่า : "คนดีของฉันรึ จะต้องเป็นคนที่ไม่พูดปด ไม่สอพลอ ไม่อิจฉาริษยา ไม่คดโกง และไม่มีความทะเยอทะยาน อย่างบ้าๆ แต่พยายามทําหน้าที่ของตนให้ดี ในขอบเขตของศีลธรรม"
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ บรรยายพิเศษ เรื่อง “หน้าที่ความรับผิดชอบของประชาชนชาวไทย และการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ” แก่ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ เด็กและเยาวชนของสถานพินิจฯ จ.นราธิวาส วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2561 ม.ล.ปนัดดาฯ บรรยายพิเศษ เรื่อง “หน้าที่ความรับผิดชอบของประชาชนชาวไทย และการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ” แก่ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ เด็กและเยาวชนของสถานพินิจฯ จ.นราธิวาส ม.ล.ปนัดดาฯ บรรยายพิเศษ เรื่อง “หน้าที่ความรับผิดชอบของประชาชนชาวไทย และการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ” แก่ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ เด็กและเยาวชนของสถานพินิจฯ จ.นราธิวาส เมื่อวันอังคารที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๐๐ น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยม พร้อมให้กําลังใจแก่คณะผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานราชการ ครูอาจารย์ นักสังคมสงเคราะห์ ฝ่ายปกครอง และบุคลากรในสังกัด พร้อมทั้งบรรยายพิเศษ เรื่อง “หน้าที่ความรับผิดชอบของประชาชนชาวไทย และการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ” แก่เด็กและเยาวชนในสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก และเยาวชนจังหวัดนราธิวาส และศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนจังหวัดนราธิวาส ณ ห้องประชุม สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนราธิวาส และศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนจังหวัดนราธิวาส อ.เมือง จ.นราธิวาส ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวตอนหนึ่งของการบรรยายพิเศษ ความว่า : “จงหนักแน่นและมุ่งมั่นกระทําสิ่งที่ถูกที่ควร จากนี้ไปจงนึกเปรียบตนเป็นเสมือน “ต้นหน” นําผู้คนบนเรือเดินสมุทร หรือผู้คนในสังคมเป็นจํานวนมากไปสู่จุดหมายปลายทางที่เป็นความสําเร็จ และคลาดแคล้วจากภยันตรายใดๆ การทําความดีเริ่นต้นได้ที่ใจเรา ส่วนใครเขาทําไม่ดี เขาทําชั่วย่อมถือเป็นเรื่องของเวรกรรมบุญบาป ใครเลือกที่จะเป็นบัวใต้น้ําหรือเหนือน้ํา ก็มีให้แลเห็นกันอยู่ในภาพของสังคมอันเป็นความหลากหลาย เช่น ความอวดรู้ อวดดี และการสําคัญตนผิดๆ ทั้งที่คนเขาทําอะไรต่ออะไรสําเร็จกันมามากมายแล้วตั้งแต่เรายังไม่เกิด สามารถยกขึ้นเป็นกรณีศึกษาในเชิงประจักษ์ได้มากมายหลายเรื่อง ลูกๆ หลานๆ ต้องมีความแม่นยํา ในเรื่องเหล่านี้ ต้องทันคนทันเหตุการณ์ในยุคสมัยของวัตถุนิยม ที่ทําให้หลักคุณธรรม และหลักศีลธรรมจรรยาผิดแผกไปจากก่อน คือ ตกต่ําลงไปมาก พูดกันถึงการดําเนินชีวิตปัจจุบัน ทุกคนจะต้องมีความระมัดระวังตัวขึ้นเป็นอันมาก ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท” พร้อมกันนี้ ม.ล.ปนัดดาฯ ได้อัญเชิญพระราชดํารัสคําสอนในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มากล่าวต่อผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานราชการ และเยาวชนศูนย์ฝึกอบรมฯ และสถานพินิจฯ จ.นราธิวาส พร้อมขอให้น้อมนําสู่การปฏิบัติ เพื่อยังความเป็นสิริมงคลเกิดขึ้นแก่ตนและครอบครัว ดั่งกระแสพระราชดํารัส ความว่า : "คนดีของฉันรึ จะต้องเป็นคนที่ไม่พูดปด ไม่สอพลอ ไม่อิจฉาริษยา ไม่คดโกง และไม่มีความทะเยอทะยาน อย่างบ้าๆ แต่พยายามทําหน้าที่ของตนให้ดี ในขอบเขตของศีลธรรม"
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16951
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดการอบรม “การพัฒนาวิทยากรแกนนำเน็ตประชารัฐ เพื่อการรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล”
วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม 2561 รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดการอบรม “การพัฒนาวิทยากรแกนนําเน็ตประชารัฐ เพื่อการรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล” รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตร “การพัฒนาวิทยากรแกนนําเน็ตประชารัฐเพื่อการรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล” ภายใต้กิจกรรมการสร้างการรับรู้ในการใช้ประโยชน์โครงข่ายและส่งเสริมการใช้งานแก่ประชาชน โดยกระทรวงดิจิทัลฯ มอบหมายให้บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) รัฐวิสาหกิจในสังกัดฯ จัดขึ้น ซึ่งหลักสูตรดังกล่าวเป็นการอบรมเจ้าหน้าที่ของสํานักงานสถิติจังหวัด และ บมจ.ทีโอที ในแต่ละพื้นที่ รวมไม่น้อยกว่า 100 คน เพื่อเป็น “วิทยากรแกนนําเน็ตประชารัฐ” ทําหน้าที่ผู้แทนกระทรวงดิจิทัลฯ ไปสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับเจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเป็นผู้นําด้านดิจิทัลในระดับชุมชน และสามารถนําความรู้ที่ได้รับไปถ่ายทอดต่อในพื้นที่ของตนเอง ซึ่งกระบวนการนี้จะสร้างผู้นําระดับชุมชนได้อีก จํานวน 8,400 คน ภายใน 1-2 เดือนนับจากนี้ และเป็นเครือข่ายในการสร้างการรับรู้และการใช้ประโยชน์จากโครงข่ายเน็ตประชารัฐได้เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่ม “วิทยากรแกนนําเน็ตประชารัฐ” ยังมีส่วนสําคัญในการสานต่อนโยบายของรัฐบาลในระดับพื้นที่ เป็นฟันเฟืองในการนําเทคโนโลยีดิจิทัลไปสร้างโอกาสให้กับประชาชนได้อย่างเท่าเทียม นําพาประเทศสู่การเป็น “ไทยแลนด์ 4.0” ในอนาคตอันใกล้ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2561 ณ สถาบันวิชาการ ทีโอที ถนนงามวงศ์วาน อําเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ****************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดการอบรม “การพัฒนาวิทยากรแกนนำเน็ตประชารัฐ เพื่อการรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล” วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม 2561 รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดการอบรม “การพัฒนาวิทยากรแกนนําเน็ตประชารัฐ เพื่อการรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล” รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตร “การพัฒนาวิทยากรแกนนําเน็ตประชารัฐเพื่อการรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล” ภายใต้กิจกรรมการสร้างการรับรู้ในการใช้ประโยชน์โครงข่ายและส่งเสริมการใช้งานแก่ประชาชน โดยกระทรวงดิจิทัลฯ มอบหมายให้บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) รัฐวิสาหกิจในสังกัดฯ จัดขึ้น ซึ่งหลักสูตรดังกล่าวเป็นการอบรมเจ้าหน้าที่ของสํานักงานสถิติจังหวัด และ บมจ.ทีโอที ในแต่ละพื้นที่ รวมไม่น้อยกว่า 100 คน เพื่อเป็น “วิทยากรแกนนําเน็ตประชารัฐ” ทําหน้าที่ผู้แทนกระทรวงดิจิทัลฯ ไปสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับเจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเป็นผู้นําด้านดิจิทัลในระดับชุมชน และสามารถนําความรู้ที่ได้รับไปถ่ายทอดต่อในพื้นที่ของตนเอง ซึ่งกระบวนการนี้จะสร้างผู้นําระดับชุมชนได้อีก จํานวน 8,400 คน ภายใน 1-2 เดือนนับจากนี้ และเป็นเครือข่ายในการสร้างการรับรู้และการใช้ประโยชน์จากโครงข่ายเน็ตประชารัฐได้เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่ม “วิทยากรแกนนําเน็ตประชารัฐ” ยังมีส่วนสําคัญในการสานต่อนโยบายของรัฐบาลในระดับพื้นที่ เป็นฟันเฟืองในการนําเทคโนโลยีดิจิทัลไปสร้างโอกาสให้กับประชาชนได้อย่างเท่าเทียม นําพาประเทศสู่การเป็น “ไทยแลนด์ 4.0” ในอนาคตอันใกล้ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2561 ณ สถาบันวิชาการ ทีโอที ถนนงามวงศ์วาน อําเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ****************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14396
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ติวเข้มพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานมุ่งลดความขัดแย้งด้านแรงงาน
วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน 2561 กสร. ติวเข้มพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานมุ่งลดความขัดแย้งด้านแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดอบรมพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน เพื่อยกระดับความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติงานด้านแรงงานสัมพันธ์ในพื้นที่ ตั้งเป้าเป็นตัวกลางเจรจานายจ้าง ลูกจ้างให้สามารถยุติลงได้และได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย พร้อมทํางานร่วมกันได้อย่างสันติสุข นายวิวัฒน์ ตังหงส์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กสร. ได้จัดอบรมพัฒนาศักยภาพพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน เพื่อเพิ่มทักษะและยกระดับความรู้ ความสามารถและเทคนิคในการปฏิบัติงานด้านการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทแรงงานและข้อขัดแย้งระหว่างนายจ้าง ลูกจ้างให้ยุติลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมให้นายจ้าง ลูกจ้างสามารถทํางานร่วมกันได้ โดยมีพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนงานด้านแรงงานสัมพันธ์ในพื้นที่เข้ารับการอบรม รวม 30 คน ซึ่งการอบรมครั้งนี้รองรับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และนโยบายของพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่อง ในการมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานให้หลุดพ้นความยากจน ตลอดจนลดความเหลื่อมล้ํา ลดความขัดแย้งในสังคม และนําพาประเทศชาติไปสู่ ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน นายวิวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า การอบรมดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-9 พฤศจิกายน 2561 รวม 4 วัน โดยมีหัวข้อการบรรยายครอบคลุมทุกมิติของการปฏิบัติงานด้านแรงงานสัมพันธ์ อาทิ จิตวิทยาเพื่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งแรงงาน เทคนิคการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงาน การติดตามความเคลื่อนไหวและประเมินสถานการณ์ด้านแรงงาน เป็นต้น ซึ่งผู้ผ่านการอบรมจะสามารถนําความรู้และเทคนิคไปใช้ในการปฏิบัติจริง ในการเป็นตัวกลางเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานและข้อขัดแย้งระหว่างนายจ้างลูกจ้าง และสามารถส่งเสริมระบบแรงงานสัมพันธ์ที่ดีให้แก่สถานประกอบกิจการเพื่อให้ทํางานร่วมกันได้อย่างสันติสุขต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ติวเข้มพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานมุ่งลดความขัดแย้งด้านแรงงาน วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน 2561 กสร. ติวเข้มพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานมุ่งลดความขัดแย้งด้านแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดอบรมพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน เพื่อยกระดับความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติงานด้านแรงงานสัมพันธ์ในพื้นที่ ตั้งเป้าเป็นตัวกลางเจรจานายจ้าง ลูกจ้างให้สามารถยุติลงได้และได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย พร้อมทํางานร่วมกันได้อย่างสันติสุข นายวิวัฒน์ ตังหงส์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กสร. ได้จัดอบรมพัฒนาศักยภาพพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน เพื่อเพิ่มทักษะและยกระดับความรู้ ความสามารถและเทคนิคในการปฏิบัติงานด้านการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทแรงงานและข้อขัดแย้งระหว่างนายจ้าง ลูกจ้างให้ยุติลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมให้นายจ้าง ลูกจ้างสามารถทํางานร่วมกันได้ โดยมีพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนงานด้านแรงงานสัมพันธ์ในพื้นที่เข้ารับการอบรม รวม 30 คน ซึ่งการอบรมครั้งนี้รองรับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และนโยบายของพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่อง ในการมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานให้หลุดพ้นความยากจน ตลอดจนลดความเหลื่อมล้ํา ลดความขัดแย้งในสังคม และนําพาประเทศชาติไปสู่ ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน นายวิวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า การอบรมดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-9 พฤศจิกายน 2561 รวม 4 วัน โดยมีหัวข้อการบรรยายครอบคลุมทุกมิติของการปฏิบัติงานด้านแรงงานสัมพันธ์ อาทิ จิตวิทยาเพื่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งแรงงาน เทคนิคการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงาน การติดตามความเคลื่อนไหวและประเมินสถานการณ์ด้านแรงงาน เป็นต้น ซึ่งผู้ผ่านการอบรมจะสามารถนําความรู้และเทคนิคไปใช้ในการปฏิบัติจริง ในการเป็นตัวกลางเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานและข้อขัดแย้งระหว่างนายจ้างลูกจ้าง และสามารถส่งเสริมระบบแรงงานสัมพันธ์ที่ดีให้แก่สถานประกอบกิจการเพื่อให้ทํางานร่วมกันได้อย่างสันติสุขต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16605
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลียและคณะเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันพุธที่ 23 สิงหาคม 2560 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลียและคณะเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลียและคณะเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี วันนี้(23 ส.ค. 2560) เวลา 13.30 น. นางสาวมารีส เพย์น (Marise Payne) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลียและคณะเข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกระทรวงกลาโหม ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลียในนามของรัฐบาลไทยและนายกรัฐมนตรี โดยนับเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหญิงคนแรกที่นายกรัฐมนตรีได้พบปะ จึงเป็นโอกาสอันดีอย่างยิ่งที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหารือในเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายสนใจร่วมกัน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียินดีที่ทราบว่าการหารือระหว่างกระทรวงกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลียและไทยประสบความสําเร็จด้วยดี พร้อมแสดงความขอบคุณผู้สําเร็จราชการออสเตรเลียและภริยาที่ลงนามแสดงความอาลัยต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงแคนเบอร์รา และแสดงความประสงค์จะมาร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลียยืนยันความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ราบรื่นและใกล้ชิดมายาวนาน 65 ปี ทั้งทางด้านความสัมพันธ์ทางการทูต ทางการค้าและเศรษฐกิจ และความร่วมมือทางด้านทหาร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลียพร้อมสานต่อและพัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือต่อไปบนผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ สําหรับความร่วมมือทางด้านความมั่นคง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายมีช่องทางในการประสานความร่วมมือระหว่างกันอยู่แล้ว ไทยยินดีให้การสนับสนุนการบินผ่านหรือขึ้นลงของอากาศยานทหารของออสเตรเลีย ความร่วมมือทางด้านการลาดตระเวน การพิจารณาขยายขอบเขตการฝึกร่วม โดยขอให้ทั้งสองฝ่ายหารือเพิ่มเติมในกลไกที่ไทยและเครือรัฐออสเตรเลียมีอยู่แล้ว นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องในการสานต่อการแลกเปลี่ยนบุคลากรทางด้านความมั่นคงและความร่วมมือทางด้านทุนการศึกษาระหว่างทั้งสองประเทศต่อไป เพื่อจะได้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบุคลากรทางด้านความมั่นคงของไทยและเครือรัฐออสเตรเลียในอนาคต ความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและความร่วมมือกับนานาชาติ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าไทยให้ความสําคัญอย่างยิ่ง เพราะการก่อการร้ายส่งผลกระทบต่อทุกประเทศและประเทศไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลกและองค์การสหประชาชาติจึงยินดีให้ความร่วมมือในทุกประเด็น นายกรัฐมนตรียังเน้นย้ําในเรื่องการใช้ความร่วมมือทางด้านความมั่นคงเชิงป้องปราม ไม่ใช่เพื่อการรุกราน และเน้นการเจรจาเพื่อนําไปสู่สันติภาพอย่างถาวรและยั่งยืน โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลียกล่าวว่า การหารือระหว่างกระทรวงกลาโหมของทั้งสองฝ่ายเมื่อช่วงเช้าวันนี้ประสบผลสําเร็จและเกิดผลลัพธ์ที่น่าพอใจ ในเรื่องการต่อต้านการก่อการร้าย เครือรัฐออสเตรเลียได้เข้าร่วมปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายทั่วโลก จึงเห็นด้วยอย่างยิ่งกับนโยบายของรัฐบาลไทยในเรื่องการเข้มแข็งไปด้วยกัน(Stronger Together) และยินดีร่วมมือกับไทยและอาเซียนในการต่อต้านการก่อการร้ายในภูมิภาคและทั่วโลก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลียและคณะเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี วันพุธที่ 23 สิงหาคม 2560 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลียและคณะเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลียและคณะเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี วันนี้(23 ส.ค. 2560) เวลา 13.30 น. นางสาวมารีส เพย์น (Marise Payne) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลียและคณะเข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกระทรวงกลาโหม ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลียในนามของรัฐบาลไทยและนายกรัฐมนตรี โดยนับเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหญิงคนแรกที่นายกรัฐมนตรีได้พบปะ จึงเป็นโอกาสอันดีอย่างยิ่งที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหารือในเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายสนใจร่วมกัน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียินดีที่ทราบว่าการหารือระหว่างกระทรวงกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลียและไทยประสบความสําเร็จด้วยดี พร้อมแสดงความขอบคุณผู้สําเร็จราชการออสเตรเลียและภริยาที่ลงนามแสดงความอาลัยต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงแคนเบอร์รา และแสดงความประสงค์จะมาร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลียยืนยันความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ราบรื่นและใกล้ชิดมายาวนาน 65 ปี ทั้งทางด้านความสัมพันธ์ทางการทูต ทางการค้าและเศรษฐกิจ และความร่วมมือทางด้านทหาร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลียพร้อมสานต่อและพัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือต่อไปบนผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ สําหรับความร่วมมือทางด้านความมั่นคง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายมีช่องทางในการประสานความร่วมมือระหว่างกันอยู่แล้ว ไทยยินดีให้การสนับสนุนการบินผ่านหรือขึ้นลงของอากาศยานทหารของออสเตรเลีย ความร่วมมือทางด้านการลาดตระเวน การพิจารณาขยายขอบเขตการฝึกร่วม โดยขอให้ทั้งสองฝ่ายหารือเพิ่มเติมในกลไกที่ไทยและเครือรัฐออสเตรเลียมีอยู่แล้ว นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องในการสานต่อการแลกเปลี่ยนบุคลากรทางด้านความมั่นคงและความร่วมมือทางด้านทุนการศึกษาระหว่างทั้งสองประเทศต่อไป เพื่อจะได้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบุคลากรทางด้านความมั่นคงของไทยและเครือรัฐออสเตรเลียในอนาคต ความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและความร่วมมือกับนานาชาติ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าไทยให้ความสําคัญอย่างยิ่ง เพราะการก่อการร้ายส่งผลกระทบต่อทุกประเทศและประเทศไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลกและองค์การสหประชาชาติจึงยินดีให้ความร่วมมือในทุกประเด็น นายกรัฐมนตรียังเน้นย้ําในเรื่องการใช้ความร่วมมือทางด้านความมั่นคงเชิงป้องปราม ไม่ใช่เพื่อการรุกราน และเน้นการเจรจาเพื่อนําไปสู่สันติภาพอย่างถาวรและยั่งยืน โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลียกล่าวว่า การหารือระหว่างกระทรวงกลาโหมของทั้งสองฝ่ายเมื่อช่วงเช้าวันนี้ประสบผลสําเร็จและเกิดผลลัพธ์ที่น่าพอใจ ในเรื่องการต่อต้านการก่อการร้าย เครือรัฐออสเตรเลียได้เข้าร่วมปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายทั่วโลก จึงเห็นด้วยอย่างยิ่งกับนโยบายของรัฐบาลไทยในเรื่องการเข้มแข็งไปด้วยกัน(Stronger Together) และยินดีร่วมมือกับไทยและอาเซียนในการต่อต้านการก่อการร้ายในภูมิภาคและทั่วโลก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6150
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ขอบคุณสื่อไม่รบกวนชีวิตทีมหมูป่า 13 คนและครอบครัว ย้ำเป็นดุลพินิจควรทำหรือไม่ กำชับเจ้าหน้าที่ดูแลกวดขันคุ้มครองตามหลักสากล
วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม 2561 นายกฯ ขอบคุณสื่อไม่รบกวนชีวิตทีมหมูป่า 13 คนและครอบครัว ย้ําเป็นดุลพินิจควรทําหรือไม่ กําชับเจ้าหน้าที่ดูแลกวดขันคุ้มครองตามหลักสากล นายกฯ ขอบคุณสื่อไม่รบกวนชีวิตทีมหมูป่า 13 คนและครอบครัว ย้ําเป็นดุลพินิจควรทําหรือไม่ กําชับเจ้าหน้าที่ดูแลกวดขันคุ้มครองตามหลักสากล วันที่ 21 ก.ค.61 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอบคุณสื่อมวลชนที่ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามคําแนะนําของแพทย์และนักจิตวิทยา โดยไม่ไปสัมภาษณ์หรือรบกวนการใช้ชีวิตของเยาวชนทีมฟุตบอลหมูป่าอะคาเดมีทั้ง 13 คน และครอบครัว ซึ่งถือเป็นการเคารพสิทธิส่วนบุคคลและสอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองเด็กด้วย "นายกฯ ระบุว่า กรณีของสื่อต่างชาติที่ไปสัมภาษณ์เด็กและพ่อแม่ถึงที่บ้าน ทราบว่าไม่ได้ประสานงานกับทางอําเภอแม่สายก่อน จึงเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมอย่างมาก ดังนั้น เรื่องนี้น่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้กับสื่อมวลชนและสังคมได้เป็นอย่างดี" นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า ไม่มีใครบังคับหรือจํากัดสิทธิของใครได้ แต่ถือเป็นดุลพินิจของแต่ละบุคคลว่าสิ่งใดควรทําหรือไม่ควรทํา และหน่วยงานของรัฐได้ชี้แจงแนวทางอย่างชัดเจนไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายดูแลกวดขันเรื่องการดูแลเด็กตามหลักสากล รวมถึงการติดต่อขอสัมภาษณ์เด็กและครอบครัวให้มากขึ้น ซึ่งเบื้องต้นได้รับทราบว่าครอบครัวของเด็กก็ไม่สบายใจที่มีสื่อติดต่อขอสัมภาษณ์เป็นจํานวนมาก เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อการเรียนและชีวิตส่วนตัว โดย จ.เชียงรายได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลเรื่องนี้และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเด็กทั้ง 13 คน ประกอบด้วยผู้แทนจากหลายฝ่าย เช่น นักจิตวิทยา นักพัฒนาสังคม ฯลฯ และมีนายอําเภอแม่สาย เป็นหัวหน้าทีม จึงแนะนําให้ผู้ปกครองเด็กส่งเรื่องต่อไปยังคณะกรรมการของอําเภอ เพื่อช่วยพิจารณาถึงความเหมาะสมต่อไป "นายกฯ ได้รับทราบว่า ขณะนี้มีบริษัทภาพยนตร์ต่างประเทศ และบริษัทของไทยส่วนหนึ่งมีความประสงค์จะจัดสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับการช่วยเหลือทีมหมูป่าออกจากถ้ําหลวง โดยส่วนตัวมองว่าเรื่องนี้เป็นข่าวที่รับรู้ไปทั่วโลก และจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ แต่ทุกอย่างจะต้องวางแผนเตรียมการให้ดี เพื่อให้เกิดผลได้มากกว่าผลเสีย จึงจะมีการตั้งคณะกรรมการระดับชาติขึ้นมาดูแลเรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษ ซึ่ง ครม.จะได้พิจารณารายละเอียดในเร็ว ๆ นี้" ------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ขอบคุณสื่อไม่รบกวนชีวิตทีมหมูป่า 13 คนและครอบครัว ย้ำเป็นดุลพินิจควรทำหรือไม่ กำชับเจ้าหน้าที่ดูแลกวดขันคุ้มครองตามหลักสากล วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม 2561 นายกฯ ขอบคุณสื่อไม่รบกวนชีวิตทีมหมูป่า 13 คนและครอบครัว ย้ําเป็นดุลพินิจควรทําหรือไม่ กําชับเจ้าหน้าที่ดูแลกวดขันคุ้มครองตามหลักสากล นายกฯ ขอบคุณสื่อไม่รบกวนชีวิตทีมหมูป่า 13 คนและครอบครัว ย้ําเป็นดุลพินิจควรทําหรือไม่ กําชับเจ้าหน้าที่ดูแลกวดขันคุ้มครองตามหลักสากล วันที่ 21 ก.ค.61 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอบคุณสื่อมวลชนที่ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามคําแนะนําของแพทย์และนักจิตวิทยา โดยไม่ไปสัมภาษณ์หรือรบกวนการใช้ชีวิตของเยาวชนทีมฟุตบอลหมูป่าอะคาเดมีทั้ง 13 คน และครอบครัว ซึ่งถือเป็นการเคารพสิทธิส่วนบุคคลและสอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองเด็กด้วย "นายกฯ ระบุว่า กรณีของสื่อต่างชาติที่ไปสัมภาษณ์เด็กและพ่อแม่ถึงที่บ้าน ทราบว่าไม่ได้ประสานงานกับทางอําเภอแม่สายก่อน จึงเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมอย่างมาก ดังนั้น เรื่องนี้น่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้กับสื่อมวลชนและสังคมได้เป็นอย่างดี" นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า ไม่มีใครบังคับหรือจํากัดสิทธิของใครได้ แต่ถือเป็นดุลพินิจของแต่ละบุคคลว่าสิ่งใดควรทําหรือไม่ควรทํา และหน่วยงานของรัฐได้ชี้แจงแนวทางอย่างชัดเจนไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายดูแลกวดขันเรื่องการดูแลเด็กตามหลักสากล รวมถึงการติดต่อขอสัมภาษณ์เด็กและครอบครัวให้มากขึ้น ซึ่งเบื้องต้นได้รับทราบว่าครอบครัวของเด็กก็ไม่สบายใจที่มีสื่อติดต่อขอสัมภาษณ์เป็นจํานวนมาก เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อการเรียนและชีวิตส่วนตัว โดย จ.เชียงรายได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลเรื่องนี้และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเด็กทั้ง 13 คน ประกอบด้วยผู้แทนจากหลายฝ่าย เช่น นักจิตวิทยา นักพัฒนาสังคม ฯลฯ และมีนายอําเภอแม่สาย เป็นหัวหน้าทีม จึงแนะนําให้ผู้ปกครองเด็กส่งเรื่องต่อไปยังคณะกรรมการของอําเภอ เพื่อช่วยพิจารณาถึงความเหมาะสมต่อไป "นายกฯ ได้รับทราบว่า ขณะนี้มีบริษัทภาพยนตร์ต่างประเทศ และบริษัทของไทยส่วนหนึ่งมีความประสงค์จะจัดสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับการช่วยเหลือทีมหมูป่าออกจากถ้ําหลวง โดยส่วนตัวมองว่าเรื่องนี้เป็นข่าวที่รับรู้ไปทั่วโลก และจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ แต่ทุกอย่างจะต้องวางแผนเตรียมการให้ดี เพื่อให้เกิดผลได้มากกว่าผลเสีย จึงจะมีการตั้งคณะกรรมการระดับชาติขึ้นมาดูแลเรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษ ซึ่ง ครม.จะได้พิจารณารายละเอียดในเร็ว ๆ นี้" ------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14019
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เห็นชอบมาตรการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางอิเล็กทรอนิกส์
วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563 คกก.นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เห็นชอบมาตรการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางอิเล็กทรอนิกส์ คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เห็นชอบมาตรการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยวิธีการหรือในลักษณะการขายทางอิเล็กทรอนิกส์ ป้องกันผู้บริโภคเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ง่าย คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เห็นชอบมาตรการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยวิธีการหรือในลักษณะการขายทางอิเล็กทรอนิกส์ ป้องกันผู้บริโภคเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ง่าย วันนี้ (2 กรกฎาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ครั้งที่ 17 (ครั้งที่ 1/2563) โดยมีนายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม เพื่อติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดร.สาธิต กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยวิธีการหรือในลักษณะการขายทางอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากการระบาดของโรคโควิด 19 ทําให้มีการขายเครื่องดื่มทางอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น โดยเฉพาะในสื่อออนไลน์มีการขายพร้อมโปรโมชั่นพิเศษและจัดส่งให้ถึงหน้าบ้าน โดยไม่มีข้อจํากัดทางด้านอายุ เวลา และสถานที่ ส่งผลให้ผู้บริโภคเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ง่าย และทําให้การบังคับใช้กฎหมายตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 เป็นไปได้ยาก และยังเป็นการทําลายกรอบการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกรูปแบบ อาทิ เด็ก/วัยรุ่นอายุต่ํากว่า 20 ปี สามารถสั่งซื้อได้,สั่งซื้อในเวลาและสถานที่ที่ห้ามขาย ทําให้รัฐเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษี เพราะตรวจสอบยอดขายยาก ร่างประกาศฯ ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันผู้บริโภคเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้โดยง่าย ซึ่งต้องมีมาตรการควบคุมเน้นไปที่วิธีการและลักษณะการขาย อาศัยอํานาจตามมาตรา 30 (6) เพื่อออกประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีกําหนดลักษณะและวิธีการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื้อหาจะมุ่งเน้นไปที่กระบวนการทํานิติกรรมสัญญาเป็นหลัก โดยเริ่มตั้งแต่การทําคําเชิญชวน การทําคําเสนอซื้อ และการสนองรับการขาย เพื่อเป็นการควบคุมในเรื่องวิธีการและลักษณะการขาย ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ด้านนายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวเสริมว่า สําหรับข้อยกเว้นของประกาศฯ ฉบับนี้ ในอนาคตร้านค้า/ร้านอาหารอาจมีการนําเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการภายในร้าน มีการสั่งเครื่องดื่มผ่านทางหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ จะไม่ถือว่าเป็นความผิดตามประกาศฯ ฉบับนี้ เนื่องจากเป็นการซื้อขายโดยตรง ที่ร้านค้า ร้านอาหาร หรือสถานที่ที่ให้บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้เป็นการซื้อขายผ่านระบบออนไลน์ ทั้งนี้ ปัจจุบันมีระบบเฝ้าระวังการละเมิดกฎหมายควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (TAS) ประชาชนสามารถร้องเรียนผ่านระบบดังกล่าวผ่านเว็บไซต์ https://tas.go.th หากมีข้อสงสัยสามารถโทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนบุหรี่และสุรา โทร. 0 2590 3342 **************************** 2 กรกฎาคม 2563 *************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เห็นชอบมาตรการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางอิเล็กทรอนิกส์ วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563 คกก.นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เห็นชอบมาตรการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางอิเล็กทรอนิกส์ คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เห็นชอบมาตรการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยวิธีการหรือในลักษณะการขายทางอิเล็กทรอนิกส์ ป้องกันผู้บริโภคเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ง่าย คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เห็นชอบมาตรการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยวิธีการหรือในลักษณะการขายทางอิเล็กทรอนิกส์ ป้องกันผู้บริโภคเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ง่าย วันนี้ (2 กรกฎาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ครั้งที่ 17 (ครั้งที่ 1/2563) โดยมีนายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม เพื่อติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดร.สาธิต กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยวิธีการหรือในลักษณะการขายทางอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากการระบาดของโรคโควิด 19 ทําให้มีการขายเครื่องดื่มทางอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น โดยเฉพาะในสื่อออนไลน์มีการขายพร้อมโปรโมชั่นพิเศษและจัดส่งให้ถึงหน้าบ้าน โดยไม่มีข้อจํากัดทางด้านอายุ เวลา และสถานที่ ส่งผลให้ผู้บริโภคเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ง่าย และทําให้การบังคับใช้กฎหมายตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 เป็นไปได้ยาก และยังเป็นการทําลายกรอบการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกรูปแบบ อาทิ เด็ก/วัยรุ่นอายุต่ํากว่า 20 ปี สามารถสั่งซื้อได้,สั่งซื้อในเวลาและสถานที่ที่ห้ามขาย ทําให้รัฐเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษี เพราะตรวจสอบยอดขายยาก ร่างประกาศฯ ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันผู้บริโภคเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้โดยง่าย ซึ่งต้องมีมาตรการควบคุมเน้นไปที่วิธีการและลักษณะการขาย อาศัยอํานาจตามมาตรา 30 (6) เพื่อออกประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีกําหนดลักษณะและวิธีการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื้อหาจะมุ่งเน้นไปที่กระบวนการทํานิติกรรมสัญญาเป็นหลัก โดยเริ่มตั้งแต่การทําคําเชิญชวน การทําคําเสนอซื้อ และการสนองรับการขาย เพื่อเป็นการควบคุมในเรื่องวิธีการและลักษณะการขาย ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ด้านนายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวเสริมว่า สําหรับข้อยกเว้นของประกาศฯ ฉบับนี้ ในอนาคตร้านค้า/ร้านอาหารอาจมีการนําเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการภายในร้าน มีการสั่งเครื่องดื่มผ่านทางหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ จะไม่ถือว่าเป็นความผิดตามประกาศฯ ฉบับนี้ เนื่องจากเป็นการซื้อขายโดยตรง ที่ร้านค้า ร้านอาหาร หรือสถานที่ที่ให้บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้เป็นการซื้อขายผ่านระบบออนไลน์ ทั้งนี้ ปัจจุบันมีระบบเฝ้าระวังการละเมิดกฎหมายควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (TAS) ประชาชนสามารถร้องเรียนผ่านระบบดังกล่าวผ่านเว็บไซต์ https://tas.go.th หากมีข้อสงสัยสามารถโทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนบุหรี่และสุรา โทร. 0 2590 3342 **************************** 2 กรกฎาคม 2563 *************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33054
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทย ผนึกบสย.หนุน SMEs ประชารัฐและนโยบายรัฐ ผ่าน 5 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อ พร้อมยกเว้นค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 3 ปีแรก
วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน 2561 กรุงไทย ผนึกบสย.หนุน SMEs ประชารัฐและนโยบายรัฐ ผ่าน 5 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อ พร้อมยกเว้นค่าธรรมเนียมค้ําประกัน 3 ปีแรก ธนาคารกรุงไทย ร่วมมือ บสย. ต่อยอดธุรกิจ SMEs ไทย ในโครงการค้ําประกันสินเชื่อผู้ประกอบการ SMEs ประชารัฐและนโยบายรัฐ ผ่านธนาคารกรุงไทย ในวงเงินค้ําประกันรวม 1 หมื่นล้านบาท ผ่าน 5 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อ ธนาคารกรุงไทย ร่วมมือ บสย. ต่อยอดธุรกิจ SMEs ไทย ในโครงการค้ําประกันสินเชื่อผู้ประกอบการ SMEs ประชารัฐและนโยบายรัฐ ผ่านธนาคารกรุงไทย ในวงเงินค้ําประกันรวม 1 หมื่นล้านบาท ผ่าน 5 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อ ทั้งร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ธุรกิจท่องเที่ยว ผู้ประกอบการในโครงการ EEC และกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 S-Curve รวมทั้งการเปลี่ยนรถตู้เป็นมินิบัส โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมค้ําประกันใน 3 ปีแรก นอกจากนี้ยังสนับสนุน SMEs บัญชีเดียว รวมทั้ง SMEs ขนาดเล็กอีกด้วย นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย และ นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล ประธานกรรมการ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ร่วมแถลงข่าวใน โครงการค้ําประกันสินเชื่อผู้ประกอบการ SMEs ประชารัฐและนโยบายรัฐ ผ่านธนาคารกรุงไทย เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพ มีความสําคัญเชิงยุทธศาสตร์ในการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยค้ําประกันสินเชื่อให้กับ SMEs ที่หลักประกันไม่เพียงพอ หรือขาดหลักประกัน โดยไม่คิดค่าธรรมเนียมค้ําประกันใน 3 ปีแรก นายผยง ศรีวณิช เปิดเผยรายละเอียดว่า ธนาคารกรุงไทย ได้ออก 5 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อสําหรับโครงการดังกล่าว วงเงินค้ําประกันรวมเป็น 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยพิเศษ ได้แก่ สินเชื่อ Krungthai sSME ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ เพื่อสนับสนุนร้านค้าธงฟ้าประชารัฐที่ติดตั้งเครื่อง EDC และจะขยายไปยังร้านค้าที่ติดแอปพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐ ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น และสามารถดําเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรณีไม่มีหลักประกัน ให้วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยให้ บสย.ค้ําประกัน สินเชื่อ Krungthai sSME ธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนวงเงินในการขยายธุรกิจ ให้ผู้ประกอบการ SME เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ทัวร์ ร้านอาหาร ร้านขายสินค้า OTOP ทั้งในเมืองท่องเที่ยวเมืองหลักและเมืองรอง รวมถึงธุรกิจต่อเนื่องทั้งหมด อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 4% ต่อปี สินเชื่อ Krungthai sSME EEC 4.0 สําหรับผู้ประกอบการหรือคู่ค้าที่อยู่ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ในจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา กรณีไม่มีหลักประกัน ให้วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยให้ บสย.ค้ําประกัน สินเชื่อเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 S-Curve ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต เช่น ยานยนต์สมัยใหม่ หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม การบินและโลจิสติกส์ เป็นต้น และสุดท้ายคือ สินเชื่อ Krungthai Mini Bus สนับสนุนเงินทุนให้กับผู้ประกอบการรถตู้โดยสาร เพื่อเปลี่ยนเป็นรถมินิบัส ให้กู้สูงสุดรายละไม่เกิน 20 ล้านบาท นอกจาก 5 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อในโครงการค้ําประกันสินเชื่อผู้ประกอบการ SMEs ประชารัฐและนโยบายรัฐ ผ่านธนาคารกรุงไทยแล้ว ธนาคารกรุงไทยยังสนับสนุน SMEs ทําบัญชีเดียว ซึ่งภาครัฐจะนํามาใช้ในต้นปีหน้า โดยจัดอบรมให้ความรู้การจัดทําบัญชีเดียวให้กับลูกค้าที่เป็นนิติบุคคล และลูกค้าไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการค้ําประกันเป็นระยะเวลา 3 ปี ส่วนลูกค้า SMEs ขนาดเล็ก วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท ธนาคารก็สนับสนุนเช่นกัน โดยไม่คิดค่าธรรมเนียมการค้ําประกันเป็นระยะเวลา 2 ปี ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร. 0-2208-4177
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทย ผนึกบสย.หนุน SMEs ประชารัฐและนโยบายรัฐ ผ่าน 5 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อ พร้อมยกเว้นค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 3 ปีแรก วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน 2561 กรุงไทย ผนึกบสย.หนุน SMEs ประชารัฐและนโยบายรัฐ ผ่าน 5 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อ พร้อมยกเว้นค่าธรรมเนียมค้ําประกัน 3 ปีแรก ธนาคารกรุงไทย ร่วมมือ บสย. ต่อยอดธุรกิจ SMEs ไทย ในโครงการค้ําประกันสินเชื่อผู้ประกอบการ SMEs ประชารัฐและนโยบายรัฐ ผ่านธนาคารกรุงไทย ในวงเงินค้ําประกันรวม 1 หมื่นล้านบาท ผ่าน 5 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อ ธนาคารกรุงไทย ร่วมมือ บสย. ต่อยอดธุรกิจ SMEs ไทย ในโครงการค้ําประกันสินเชื่อผู้ประกอบการ SMEs ประชารัฐและนโยบายรัฐ ผ่านธนาคารกรุงไทย ในวงเงินค้ําประกันรวม 1 หมื่นล้านบาท ผ่าน 5 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อ ทั้งร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ธุรกิจท่องเที่ยว ผู้ประกอบการในโครงการ EEC และกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 S-Curve รวมทั้งการเปลี่ยนรถตู้เป็นมินิบัส โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมค้ําประกันใน 3 ปีแรก นอกจากนี้ยังสนับสนุน SMEs บัญชีเดียว รวมทั้ง SMEs ขนาดเล็กอีกด้วย นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย และ นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล ประธานกรรมการ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ร่วมแถลงข่าวใน โครงการค้ําประกันสินเชื่อผู้ประกอบการ SMEs ประชารัฐและนโยบายรัฐ ผ่านธนาคารกรุงไทย เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพ มีความสําคัญเชิงยุทธศาสตร์ในการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยค้ําประกันสินเชื่อให้กับ SMEs ที่หลักประกันไม่เพียงพอ หรือขาดหลักประกัน โดยไม่คิดค่าธรรมเนียมค้ําประกันใน 3 ปีแรก นายผยง ศรีวณิช เปิดเผยรายละเอียดว่า ธนาคารกรุงไทย ได้ออก 5 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อสําหรับโครงการดังกล่าว วงเงินค้ําประกันรวมเป็น 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยพิเศษ ได้แก่ สินเชื่อ Krungthai sSME ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ เพื่อสนับสนุนร้านค้าธงฟ้าประชารัฐที่ติดตั้งเครื่อง EDC และจะขยายไปยังร้านค้าที่ติดแอปพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐ ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น และสามารถดําเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรณีไม่มีหลักประกัน ให้วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยให้ บสย.ค้ําประกัน สินเชื่อ Krungthai sSME ธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนวงเงินในการขยายธุรกิจ ให้ผู้ประกอบการ SME เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ทัวร์ ร้านอาหาร ร้านขายสินค้า OTOP ทั้งในเมืองท่องเที่ยวเมืองหลักและเมืองรอง รวมถึงธุรกิจต่อเนื่องทั้งหมด อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 4% ต่อปี สินเชื่อ Krungthai sSME EEC 4.0 สําหรับผู้ประกอบการหรือคู่ค้าที่อยู่ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ในจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา กรณีไม่มีหลักประกัน ให้วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยให้ บสย.ค้ําประกัน สินเชื่อเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 S-Curve ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต เช่น ยานยนต์สมัยใหม่ หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม การบินและโลจิสติกส์ เป็นต้น และสุดท้ายคือ สินเชื่อ Krungthai Mini Bus สนับสนุนเงินทุนให้กับผู้ประกอบการรถตู้โดยสาร เพื่อเปลี่ยนเป็นรถมินิบัส ให้กู้สูงสุดรายละไม่เกิน 20 ล้านบาท นอกจาก 5 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อในโครงการค้ําประกันสินเชื่อผู้ประกอบการ SMEs ประชารัฐและนโยบายรัฐ ผ่านธนาคารกรุงไทยแล้ว ธนาคารกรุงไทยยังสนับสนุน SMEs ทําบัญชีเดียว ซึ่งภาครัฐจะนํามาใช้ในต้นปีหน้า โดยจัดอบรมให้ความรู้การจัดทําบัญชีเดียวให้กับลูกค้าที่เป็นนิติบุคคล และลูกค้าไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการค้ําประกันเป็นระยะเวลา 3 ปี ส่วนลูกค้า SMEs ขนาดเล็ก วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท ธนาคารก็สนับสนุนเช่นกัน โดยไม่คิดค่าธรรมเนียมการค้ําประกันเป็นระยะเวลา 2 ปี ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร. 0-2208-4177
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16591
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชกฤษฎีกา ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชกฤษฎีกา ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ได้เผยแพร่พระราชกฤษฎีกา ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๖๐ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป พระราชกฤษฎีกา ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ(ฉบับที่ ๙) พ.ศ.๒๕๖๐ ----------- สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๐ เป็นปีที่ ๒ ในรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการอาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๒๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว)พุทธศักราช ๒๕๕๗ และมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติการกําหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินบางประเภทตามงบประมาณรายจ่าย พ.ศ.๒๕๑๘ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า“พระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ(ฉบับที่ ๙)พ.ศ.๒๕๖๐” มาตรา ๒พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ให้ยกเลิกความในบทนิยามคําว่า“ข้าราชการ”ในมาตรา ๔ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน ““ข้าราชการ”หมายความว่า ข้าราชการพลเรือนตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนข้าราชการครูตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ข้าราชการรัฐสภาตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการรัฐสภา ข้าราชการตํารวจตามกฎหมายว่าด้วยตํารวจแห่งชาติและข้าราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการทหาร” มาตรา ๔ให้ยกเลิกความในวรรคสามของมาตรา ๑๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ(ฉบับที่ ๘)พ.ศ.๒๕๕๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “การเดินทางไปราชการเป็นหมู่คณะซึ่งมีผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง หรือตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพลตรี พลเรือตรีพลอากาศตรี ขึ้นไป หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพลตํารวจตรี ขึ้นไป เป็นหัวหน้าคณะ หากมีความจําเป็นต้องใช้สถานที่ในที่เดียวกันกับที่พักเพื่อเป็นที่ประสานงานของคณะหรือบุคคลอื่น ให้เบิกค่าเช่าที่พักได้เพิ่มขึ้นสําหรับห้องพักอีกห้องหนึ่ง หรือจะเบิกค่าเช่าห้องชุดแทนก็ได้เท่าที่จ่ายจริง ทั้งนี้ ภายในวงเงินและเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังกําหนด” มาตรา ๕ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๒ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ(ฉบับที่ ๘)พ.ศ.๒๕๕๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๒๒ การเดินทางไปราชการ โดยปกติให้ใช้ยานพาหนะประจําทางและให้เบิกค่าพาหนะได้โดยประหยัด ในกรณีที่ไม่มียานพาหนะประจําทาง หรือมีแต่ต้องการความรวดเร็วเพื่อประโยชน์แก่ราชการให้ใช้พาหนะอื่นได้ แต่ผู้เดินทางไปราชการจะต้องชี้แจงเหตุผลและความจําเป็นไว้ในหลักฐานการขอเบิกค่าพาหนะนั้น การเบิกค่าพาหนะรับจ้างให้เบิกได้สําหรับกรณีดังต่อไปนี้ (๑)การเดินทางไปกลับระหว่างสถานที่อยู่ ที่พัก หรือสถานที่ปฏิบัติราชการกับสถานียานพาหนะประจําทาง หรือกับสถานที่จัดพาหนะที่ต้องใช้ในการเดินทางไปยังสถานที่ปฏิบัติราชการภายในเขตจังหวัดเดียวกัน (๒)การเดินทางไปกลับระหว่างสถานที่อยู่ ที่พัก กับสถานที่ปฏิบัติราชการภายในเขตจังหวัดเดียวกันวันละไม่เกินสองเที่ยว (๓)การเดินทางไปราชการในเขตกรุงเทพมหานคร การเดินทางตาม(๑)หากเป็นการเดินทางข้ามเขตจังหวัด ให้เบิกค่าพาหนะรับจ้างได้เท่าที่จ่ายจริงแต่ต้องไม่เกินอัตราที่กระทรวงการคลังกําหนด การเดินทางไปสอบคัดเลือกหรือรับการคัดเลือกผู้เดินทางไปราชการจะเบิกค่าพาหนะรับจ้างตาม(๒)ไม่ได้ ในกรณีที่ผู้เดินทางไปราชการมีความจําเป็นต้องออกเดินทางล่วงหน้า หรือไม่สามารถเดินทางกลับท้องที่ตั้งสํานักงานปกติ เมื่อเสร็จสิ้นการปฏิบัติราชการเพราะมีเหตุส่วนตัวตามมาตรา ๘/๑ ให้เบิกค่าพาหนะเท่าที่จ่ายจริงตามเส้นทางที่ได้รับคําสั่งให้เดินทางไปราชการ กรณีที่มีการเดินทางนอกเส้นทางในระหว่างการลานั้น ให้เบิกค่าพาหนะได้เท่าที่จ่ายจริงโดยไม่เกินอัตราตามเส้นทางที่ได้รับคําสั่งให้เดินทางไปราชการ” มาตรา ๖ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๕ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๒๕ การใช้พาหนะส่วนตัวเดินทางไปราชการ ผู้เดินทางจะต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาดังต่อไปนี้ และต้องใช้พาหนะนั้นตลอดเส้นทาง จึงจะมีสิทธิเบิกเงินชดเชยเป็นค่าพาหนะในลักษณะเหมาจ่ายได้ คือ (๑)อธิบดีขึ้นไปหรือตําแหน่งที่เทียบเท่า สําหรับราชการบริหารส่วนกลาง (๒)หัวหน้าสํานักงาน สําหรับราชการบริหารส่วนกลาง ที่มีสํานักงานอยู่ในส่วนภูมิภาคหรือมีสํานักงานแยกต่างหากจากกระทรวง ทบวง กรม (๓)หัวหน้าส่วนราชการในภูมิภาค สําหรับราชการบริหารส่วนภูมิภาค ในกรณีผู้เดินทางไม่สามารถใช้พาหนะส่วนตัวได้ตลอดเส้นทาง ต้องชี้แจงเหตุผลความจําเป็นต่อผู้บังคับบัญชาตาม(๑) (๒)หรือ(๓)เพื่อพิจารณาอนุญาต” มาตรา ๗ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ(ฉบับที่ ๘)พ.ศ.๒๕๕๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๒๗ การเดินทางไปราชการโดยเครื่องบิน ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ (๑)ชั้นธุรกิจ สําหรับผู้ดํารงตําแหน่งดังต่อไปนี้ (ก)หัวหน้าคณะผู้แทนรัฐบาล (ข)ประธานรัฐสภา และรองประธานรัฐสภา (ค)ประธานวุฒิสภา และรองประธานวุฒิสภา (ง)ประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร (จ)รัฐมนตรี (ฉ)ผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตําแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือตําแหน่งที่เทียบเท่า สมุหราชองครักษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ (๒)ชั้นประหยัด สําหรับผู้ดํารงตําแหน่งดังต่อไปนี้ (ก)ผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ได้แก่ รองปลัดกระทรวง ผู้ตรวจราชการ อธิบดีหรือตําแหน่งที่เทียบเท่า ผู้ว่าราชการจังหวัด เอกอัครราชทูต ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิตําแหน่งประเภทบริหารระดับต้น ตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูง หรือตําแหน่งที่เทียบเท่าหรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพลตรี พลเรือตรี พลอากาศตรี ขึ้นไป หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพลตํารวจตรีขึ้นไป (ข)ผู้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับต้น ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการพิเศษ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับอาวุโส ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับชํานาญงานหรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพันโท นาวาโท นาวาอากาศโท ขึ้นไป หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพันตํารวจโทขึ้นไป ทั้งนี้ นอกจากที่ระบุใน(ก) (ค)ผู้ดํารงตําแหน่งระดับ หรือยศ ต่ํากว่าที่ระบุใน(ก)หรือ(ข)เฉพาะกรณีที่มีความจําเป็นรีบด่วนเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการ ในกรณีผู้เดินทางตาม(๒) (ก)มีความจําเป็นต้องโดยสารเครื่องบินในชั้นที่สูงกว่าสิทธิให้ผู้ดํารงตําแหน่งที่เดินทางดังกล่าวสามารถเดินทางและเบิกค่าโดยสารเครื่องบินในชั้นที่สูงกว่าสิทธิได้โดยต้องได้รับอนุมัติจากปลัดกระทรวงเจ้าสังกัด ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์สมุหราชองครักษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศและผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ สําหรับส่วนราชการใดที่ไม่มีปลัดกระทรวงให้ผู้บังคับบัญชาที่มีอํานาจเช่นเดียวกับปลัดกระทรวงเป็นผู้อนุมัติ การเดินทางซึ่งไม่เข้าหลักเกณฑ์ตาม(๑)หรือ(๒)จะเบิกค่าใช้จ่ายได้ไม่เกินค่าพาหนะในการเดินทางภาคพื้นดินระยะเดียวกันตามสิทธิซึ่งผู้เดินทางจะพึงเบิกได้” มาตรา ๘ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๒๘ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ(ฉบับที่ ๘)พ.ศ.๒๕๕๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๒๘ ผู้เดินทางไปราชการในหน้าที่เลขานุการกับผู้บังคับบัญชาที่เป็นหัวหน้าคณะซึ่งดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ ตําแหน่งประเภทบริหารระดับต้น ตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูง ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษ หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพันเอก นาวาเอก นาวาอากาศเอกอัตราเงินเดือนพันเอกพิเศษ นาวาเอกพิเศษ นาวาอากาศเอกพิเศษ ขึ้นไป หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพันตํารวจเอก อัตราเงินเดือนพันตํารวจเอกพิเศษ ขึ้นไป หากมีความจําเป็นต้องเดินทางพร้อมกับผู้บังคับบัญชาและเพื่อประโยชน์ในการประสานสั่งการในระหว่างเดินทางไปราชการ ให้เบิกค่าพาหนะได้เท่ากับที่ผู้บังคับบัญชามีสิทธิเบิกและให้พักแรมในที่เดียวกับผู้บังคับบัญชา โดยเบิกค่าเช่าที่พักได้ตามสิทธิที่ตนเองได้รับ หรือเบิกได้เท่าที่จ่ายจริงในอัตราต่ําสุดของที่พักนั้น แต่ไม่เกินอัตราที่ผู้บังคับบัญชามีสิทธิเบิก” มาตรา ๙ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา ๓๖ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการพ.ศ.๒๕๒๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ(ฉบับที่ ๘)พ.ศ.๒๕๕๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “การเบิกค่าเช่าที่พักและค่าพาหนะสําหรับผู้ติดตามให้เบิกได้ดังต่อไปนี้ (๑)หนึ่งคน สําหรับข้าราชการซึ่งดํารงตําแหน่งประเภททั่วไประดับชํานาญงาน ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับปฏิบัติการ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับปฏิบัติงาน หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพันโท นาวาโท นาวาอากาศโท ลงมา หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพันตํารวจโท ลงมา (๒)ไม่เกินสองคน สําหรับข้าราชการซึ่งดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ ตําแหน่งประเภทบริหารระดับต้น ตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษ ตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับต้น ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการพิเศษ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับอาวุโสตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการ หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพันเอกนาวาเอก นาวาอากาศเอก ขึ้นไป หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพันตํารวจเอก ขึ้นไป” มาตรา ๑๐ให้ยกเลิกความใน(๓)ของมาตรา ๓๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ(ฉบับที่ ๗)พ.ศ.๒๕๔๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “(๓)หัวหน้าส่วนราชการในภูมิภาค สําหรับราชการบริหารส่วนภูมิภาค” มาตรา ๑๑ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา ๕๑ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ(ฉบับที่ ๘)พ.ศ.๒๕๕๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “การเดินทางไปราชการเป็นหมู่คณะ ให้ผู้เดินทางไปราชการเบิกค่าเช่าที่พักได้ดังต่อไปนี้ (๑)ผู้ดํารงตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับต้น ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการพิเศษตําแหน่งประเภททั่วไประดับอาวุโส ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับชํานาญงาน ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับปฏิบัติการ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับปฏิบัติงานหรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพันเอก นาวาเอก นาวาอากาศเอก ลงมาหรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพันตํารวจเอก ลงมา ให้พักแรมรวมกันสองคนต่อหนึ่งห้อง โดยให้เบิกค่าเช่าที่พักได้เท่าที่จ่ายจริงในอัตราค่าเช่าห้องพักคู่ คนละไม่เกินร้อยละเจ็ดสิบของอัตราค่าเช่าห้องพักคนเดียวถ้าผู้ดํารงตําแหน่งดังกล่าวแยกพักห้องพักคนเดียวให้เบิกได้อัตราเดียวกัน เว้นแต่เป็นกรณีที่ไม่เหมาะสมจะพักรวมกันหรือมีเหตุจําเป็นที่ไม่อาจพักรวมกับผู้อื่นได้ ให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงในอัตราค่าเช่าห้องพักคนเดียว (๒)ผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิตําแหน่งประเภทบริหารระดับต้น ตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูง ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษ หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพันเอก นาวาเอก นาวาอากาศเอก อัตราเงินเดือนพันเอกพิเศษ นาวาเอกพิเศษ นาวาอากาศเอกพิเศษขึ้นไป หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพันตํารวจเอก อัตราเงินเดือนพันตํารวจเอกพิเศษ ขึ้นไป ให้เบิกค่าเช่าที่พักได้เท่าที่จ่ายจริงในอัตราค่าเช่าห้องพักคนเดียว (๓)ผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง หรือตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิหรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพลตรี พลเรือตรี พลอากาศตรี ขึ้นไป หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพลตํารวจตรี ขึ้นไป ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะ หากมีความจําเป็นต้องใช้สถานที่ในที่เดียวกันกับที่พักเพื่อเป็นที่ประสานงานของคณะหรือกับบุคคลอื่น ให้เบิกค่าเช่าที่พักได้เพิ่มขึ้นสําหรับห้องพักอีกห้องหนึ่งในอัตราค่าเช่าห้องพักคนเดียวหรือจะเบิกค่าเช่าห้องชุดแทนก็ได้ แต่ทั้งนี้ต้องมีอัตราไม่เกินสองเท่าของอัตราค่าเช่าห้องพักคนเดียว” มาตรา ๑๒ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕๓ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ(ฉบับที่ ๘)พ.ศ.๒๕๕๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๕๓ การเดินทางไปราชการต่างประเทศโดยเครื่องบินจากประเทศไทยไปต่างประเทศหรือจากต่างประเทศกลับประเทศไทย หรือการเดินทางในต่างประเทศ สําหรับผู้ดํารงตําแหน่งดังต่อไปนี้ให้เดินทางโดยชั้นหนึ่ง (๑)หัวหน้าคณะผู้แทนรัฐบาล (๒)ประธานรัฐสภา และรองประธานรัฐสภา (๓)ประธานวุฒิสภา และรองประธานวุฒิสภา (๔)ประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร (๕)รัฐมนตรี (๖)ผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตําแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือตําแหน่งที่เทียบเท่า สมุหราชองครักษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ” มาตรา ๑๓ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๕๓/๑ และมาตรา ๕๓/๒ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖ “มาตรา ๕๓/๑ การเดินทางไปราชการต่างประเทศโดยเครื่องบินจากประเทศไทยไปต่างประเทศหรือจากต่างประเทศกลับประเทศไทย หรือการเดินทางในต่างประเทศที่มีระยะเวลาในการเดินทางตั้งแต่เก้าชั่วโมงขึ้นไป ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ (๑)ชั้นหนึ่ง สําหรับผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ได้แก่ รองปลัดกระทรวงผู้ตรวจราชการ อธิบดี หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า ผู้ว่าราชการจังหวัด เอกอัครราชทูต หรือตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพลเอก พลเรือเอกพลอากาศเอก พลโท พลเรือโท พลอากาศโท หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพลตํารวจเอก พลตํารวจโท (๒)ชั้นธุรกิจหรือชั้นระหว่างชั้นหนึ่งกับชั้นประหยัด สําหรับผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับต้น ตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูง หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพลตรีพลเรือตรี พลอากาศตรี หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพลตํารวจตรี (๓)ชั้นประหยัด สําหรับผู้ดํารงตําแหน่งระดับ ชั้น หรือยศ นอกจากที่ระบุใน(๑)และ(๒) ในกรณีผู้เดินทางตาม(๒)มีความจําเป็นต้องโดยสารเครื่องบินในชั้นที่สูงกว่าสิทธิ ให้ผู้ดํารงตําแหน่งที่เดินทางดังกล่าวสามารถเดินทางและเบิกค่าโดยสารเครื่องบินในชั้นที่สูงกว่าสิทธิได้ โดยต้องได้รับอนุมัติจากปลัดกระทรวงเจ้าสังกัด ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ สมุหราชองครักษ์ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ สําหรับส่วนราชการใดที่ไม่มีปลัดกระทรวงให้ผู้บังคับบัญชาที่มีอํานาจเช่นเดียวกับปลัดกระทรวงเป็นผู้อนุมัติ มาตรา ๕๓/๒ การเดินทางไปราชการต่างประเทศโดยเครื่องบินจากประเทศไทยไปต่างประเทศหรือจากต่างประเทศกลับประเทศไทย หรือการเดินทางในต่างประเทศที่มีระยะเวลาในการเดินทางต่ํากว่าเก้าชั่วโมง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ (๑)ชั้นธุรกิจ สําหรับผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ได้แก่ รองปลัดกระทรวงผู้ตรวจราชการ อธิบดี หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า ผู้ว่าราชการจังหวัด เอกอัครราชทูต หรือตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพลเอก พลเรือเอกพลอากาศเอก พลโท พลเรือโท พลอากาศโท ข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพลตํารวจเอก พลตํารวจโท (๒)ชั้นประหยัด สําหรับผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับต้น ตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูง ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษ ตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับต้น ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการพิเศษ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับอาวุโสตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับชํานาญงาน ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับปฏิบัติการ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับปฏิบัติงาน หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพลตรี พลเรือตรี พลอากาศตรี ลงมา หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพลตํารวจตรี ลงมา ในกรณีผู้เดินทางตาม(๑)และ(๒)มีความจําเป็นต้องโดยสารเครื่องบินในชั้นที่สูงกว่าสิทธิให้ผู้ดํารงตําแหน่งที่เดินทางดังกล่าวสามารถเดินทางและเบิกค่าโดยสารเครื่องบินในชั้นที่สูงกว่าสิทธิได้โดยต้องได้รับอนุมัติจากปลัดกระทรวงเจ้าสังกัด ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์สมุหราชองครักษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ สําหรับส่วนราชการที่ไม่มีปลัดกระทรวง ให้ผู้บังคับบัญชาที่มีอํานาจเช่นเดียวกับปลัดกระทรวงเป็นผู้อนุมัติ เว้นแต่ผู้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญตําแหน่งประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษ ตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับต้น ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการพิเศษ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับอาวุโส ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการตําแหน่งประเภททั่วไประดับชํานาญงาน ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับปฏิบัติการ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับปฏิบัติงาน หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพันเอก นาวาเอก นาวาอากาศเอกอัตราเงินเดือนพันเอกพิเศษ นาวาเอกพิเศษ นาวาอากาศเอกพิเศษ ลงมา หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพันตํารวจเอก อัตราเงินเดือนพันตํารวจเอกพิเศษ ลงมา ให้โดยสารชั้นประหยัด” มาตรา ๑๔ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๕๓ ทวิ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ(ฉบับที่ ๗)พ.ศ.๒๕๔๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๕๓ ทวิ ผู้เดินทางไปราชการต่างประเทศในหน้าที่เลขานุการกับผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐบาล หรือซึ่งดํารงตําแหน่งประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร รองประธานรัฐสภา รองประธานวุฒิสภา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือรัฐมนตรีให้เบิกค่าพาหนะได้เท่ากับที่ผู้บังคับบัญชามีสิทธิเบิกและให้พักแรมในที่เดียวกับผู้บังคับบัญชา โดยให้เบิกค่าเช่าที่พักได้เท่าที่จ่ายจริงตามสิทธิที่ตนเองได้รับหรือเบิกในอัตราต่ําสุดของที่พักนั้น แล้วแต่จํานวนใดจะสูงกว่า” มาตรา ๑๕ให้ยกเลิกความในวรรคสามของมาตรา ๖๒ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ(ฉบับที่ ๘)พ.ศ.๒๕๕๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “ผู้เดินทางไปราชการประจําในต่างประเทศจะเบิกค่าพาหนะสําหรับผู้ติดตามซึ่งได้รับอนุญาตจากกระทรวงเจ้าสังกัดแล้วได้ดังต่อไปนี้ (๑)หนึ่งคน สําหรับข้าราชการซึ่งดํารงตําแหน่งประเภททั่วไประดับชํานาญงาน ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับปฏิบัติการ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับปฏิบัติงาน หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพันโท นาวาโท นาวาอากาศโท ลงมา หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพันตํารวจโท ลงมา (๒)ไม่เกินสองคน สําหรับข้าราชการซึ่งดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ ตําแหน่งประเภทบริหารระดับต้น ตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษ ตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับต้น ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการพิเศษ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับอาวุโสตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการ หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพันเอกนาวาเอก นาวาอากาศเอก ขึ้นไป หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพันตํารวจเอก ขึ้นไป” มาตรา ๑๖ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๗๐/๑ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖ “มาตรา ๗๐/๑ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการของข้าราชการที่ปฏิบัติราชการประจําในต่างประเทศในกรณีไปประจําสํานักงานซึ่งต่างสังกัด ให้เบิกจากสังกัดใหม่ซึ่งไปประจํา” มาตรา ๑๗เพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความเป็นธรรม ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนและองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ จัดให้มีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับชั้นโดยสารเครื่องบินเช่นเดียวกับหน่วยงานภาครัฐตามแนวทางของกระทรวงการคลังที่กําหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ:-เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ โดยที่การจ่ายเงินตามงบประมาณรายจ่ายในประเภทค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการตามพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖และที่แก้ไขเพิ่มเติม ยังไม่เหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบัน สมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจ่ายเงิน วิธีการเบิกจ่าย อัตราการจ่าย ของผู้มีสิทธิได้รับเงินประเภทดังกล่าวรวมทั้งหลักเกณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้อง กรณีการเดินทางไปราชการชั่วคราวและราชการประจําในราชอาณาจักรและกรณีการเดินทางไปราชการต่างประเทศ จึงจําเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ รายละเอียดเพิ่มเติม:เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชกฤษฎีกา ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชกฤษฎีกา ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ได้เผยแพร่พระราชกฤษฎีกา ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๖๐ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป พระราชกฤษฎีกา ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ(ฉบับที่ ๙) พ.ศ.๒๕๖๐ ----------- สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๐ เป็นปีที่ ๒ ในรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการอาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๒๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว)พุทธศักราช ๒๕๕๗ และมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติการกําหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินบางประเภทตามงบประมาณรายจ่าย พ.ศ.๒๕๑๘ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า“พระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ(ฉบับที่ ๙)พ.ศ.๒๕๖๐” มาตรา ๒พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ให้ยกเลิกความในบทนิยามคําว่า“ข้าราชการ”ในมาตรา ๔ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน ““ข้าราชการ”หมายความว่า ข้าราชการพลเรือนตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนข้าราชการครูตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ข้าราชการรัฐสภาตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการรัฐสภา ข้าราชการตํารวจตามกฎหมายว่าด้วยตํารวจแห่งชาติและข้าราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการทหาร” มาตรา ๔ให้ยกเลิกความในวรรคสามของมาตรา ๑๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ(ฉบับที่ ๘)พ.ศ.๒๕๕๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “การเดินทางไปราชการเป็นหมู่คณะซึ่งมีผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง หรือตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพลตรี พลเรือตรีพลอากาศตรี ขึ้นไป หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพลตํารวจตรี ขึ้นไป เป็นหัวหน้าคณะ หากมีความจําเป็นต้องใช้สถานที่ในที่เดียวกันกับที่พักเพื่อเป็นที่ประสานงานของคณะหรือบุคคลอื่น ให้เบิกค่าเช่าที่พักได้เพิ่มขึ้นสําหรับห้องพักอีกห้องหนึ่ง หรือจะเบิกค่าเช่าห้องชุดแทนก็ได้เท่าที่จ่ายจริง ทั้งนี้ ภายในวงเงินและเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังกําหนด” มาตรา ๕ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๒ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ(ฉบับที่ ๘)พ.ศ.๒๕๕๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๒๒ การเดินทางไปราชการ โดยปกติให้ใช้ยานพาหนะประจําทางและให้เบิกค่าพาหนะได้โดยประหยัด ในกรณีที่ไม่มียานพาหนะประจําทาง หรือมีแต่ต้องการความรวดเร็วเพื่อประโยชน์แก่ราชการให้ใช้พาหนะอื่นได้ แต่ผู้เดินทางไปราชการจะต้องชี้แจงเหตุผลและความจําเป็นไว้ในหลักฐานการขอเบิกค่าพาหนะนั้น การเบิกค่าพาหนะรับจ้างให้เบิกได้สําหรับกรณีดังต่อไปนี้ (๑)การเดินทางไปกลับระหว่างสถานที่อยู่ ที่พัก หรือสถานที่ปฏิบัติราชการกับสถานียานพาหนะประจําทาง หรือกับสถานที่จัดพาหนะที่ต้องใช้ในการเดินทางไปยังสถานที่ปฏิบัติราชการภายในเขตจังหวัดเดียวกัน (๒)การเดินทางไปกลับระหว่างสถานที่อยู่ ที่พัก กับสถานที่ปฏิบัติราชการภายในเขตจังหวัดเดียวกันวันละไม่เกินสองเที่ยว (๓)การเดินทางไปราชการในเขตกรุงเทพมหานคร การเดินทางตาม(๑)หากเป็นการเดินทางข้ามเขตจังหวัด ให้เบิกค่าพาหนะรับจ้างได้เท่าที่จ่ายจริงแต่ต้องไม่เกินอัตราที่กระทรวงการคลังกําหนด การเดินทางไปสอบคัดเลือกหรือรับการคัดเลือกผู้เดินทางไปราชการจะเบิกค่าพาหนะรับจ้างตาม(๒)ไม่ได้ ในกรณีที่ผู้เดินทางไปราชการมีความจําเป็นต้องออกเดินทางล่วงหน้า หรือไม่สามารถเดินทางกลับท้องที่ตั้งสํานักงานปกติ เมื่อเสร็จสิ้นการปฏิบัติราชการเพราะมีเหตุส่วนตัวตามมาตรา ๘/๑ ให้เบิกค่าพาหนะเท่าที่จ่ายจริงตามเส้นทางที่ได้รับคําสั่งให้เดินทางไปราชการ กรณีที่มีการเดินทางนอกเส้นทางในระหว่างการลานั้น ให้เบิกค่าพาหนะได้เท่าที่จ่ายจริงโดยไม่เกินอัตราตามเส้นทางที่ได้รับคําสั่งให้เดินทางไปราชการ” มาตรา ๖ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๕ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๒๕ การใช้พาหนะส่วนตัวเดินทางไปราชการ ผู้เดินทางจะต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาดังต่อไปนี้ และต้องใช้พาหนะนั้นตลอดเส้นทาง จึงจะมีสิทธิเบิกเงินชดเชยเป็นค่าพาหนะในลักษณะเหมาจ่ายได้ คือ (๑)อธิบดีขึ้นไปหรือตําแหน่งที่เทียบเท่า สําหรับราชการบริหารส่วนกลาง (๒)หัวหน้าสํานักงาน สําหรับราชการบริหารส่วนกลาง ที่มีสํานักงานอยู่ในส่วนภูมิภาคหรือมีสํานักงานแยกต่างหากจากกระทรวง ทบวง กรม (๓)หัวหน้าส่วนราชการในภูมิภาค สําหรับราชการบริหารส่วนภูมิภาค ในกรณีผู้เดินทางไม่สามารถใช้พาหนะส่วนตัวได้ตลอดเส้นทาง ต้องชี้แจงเหตุผลความจําเป็นต่อผู้บังคับบัญชาตาม(๑) (๒)หรือ(๓)เพื่อพิจารณาอนุญาต” มาตรา ๗ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ(ฉบับที่ ๘)พ.ศ.๒๕๕๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๒๗ การเดินทางไปราชการโดยเครื่องบิน ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ (๑)ชั้นธุรกิจ สําหรับผู้ดํารงตําแหน่งดังต่อไปนี้ (ก)หัวหน้าคณะผู้แทนรัฐบาล (ข)ประธานรัฐสภา และรองประธานรัฐสภา (ค)ประธานวุฒิสภา และรองประธานวุฒิสภา (ง)ประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร (จ)รัฐมนตรี (ฉ)ผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตําแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือตําแหน่งที่เทียบเท่า สมุหราชองครักษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ (๒)ชั้นประหยัด สําหรับผู้ดํารงตําแหน่งดังต่อไปนี้ (ก)ผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ได้แก่ รองปลัดกระทรวง ผู้ตรวจราชการ อธิบดีหรือตําแหน่งที่เทียบเท่า ผู้ว่าราชการจังหวัด เอกอัครราชทูต ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิตําแหน่งประเภทบริหารระดับต้น ตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูง หรือตําแหน่งที่เทียบเท่าหรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพลตรี พลเรือตรี พลอากาศตรี ขึ้นไป หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพลตํารวจตรีขึ้นไป (ข)ผู้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับต้น ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการพิเศษ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับอาวุโส ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับชํานาญงานหรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพันโท นาวาโท นาวาอากาศโท ขึ้นไป หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพันตํารวจโทขึ้นไป ทั้งนี้ นอกจากที่ระบุใน(ก) (ค)ผู้ดํารงตําแหน่งระดับ หรือยศ ต่ํากว่าที่ระบุใน(ก)หรือ(ข)เฉพาะกรณีที่มีความจําเป็นรีบด่วนเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการ ในกรณีผู้เดินทางตาม(๒) (ก)มีความจําเป็นต้องโดยสารเครื่องบินในชั้นที่สูงกว่าสิทธิให้ผู้ดํารงตําแหน่งที่เดินทางดังกล่าวสามารถเดินทางและเบิกค่าโดยสารเครื่องบินในชั้นที่สูงกว่าสิทธิได้โดยต้องได้รับอนุมัติจากปลัดกระทรวงเจ้าสังกัด ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์สมุหราชองครักษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศและผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ สําหรับส่วนราชการใดที่ไม่มีปลัดกระทรวงให้ผู้บังคับบัญชาที่มีอํานาจเช่นเดียวกับปลัดกระทรวงเป็นผู้อนุมัติ การเดินทางซึ่งไม่เข้าหลักเกณฑ์ตาม(๑)หรือ(๒)จะเบิกค่าใช้จ่ายได้ไม่เกินค่าพาหนะในการเดินทางภาคพื้นดินระยะเดียวกันตามสิทธิซึ่งผู้เดินทางจะพึงเบิกได้” มาตรา ๘ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๒๘ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ(ฉบับที่ ๘)พ.ศ.๒๕๕๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๒๘ ผู้เดินทางไปราชการในหน้าที่เลขานุการกับผู้บังคับบัญชาที่เป็นหัวหน้าคณะซึ่งดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ ตําแหน่งประเภทบริหารระดับต้น ตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูง ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษ หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพันเอก นาวาเอก นาวาอากาศเอกอัตราเงินเดือนพันเอกพิเศษ นาวาเอกพิเศษ นาวาอากาศเอกพิเศษ ขึ้นไป หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพันตํารวจเอก อัตราเงินเดือนพันตํารวจเอกพิเศษ ขึ้นไป หากมีความจําเป็นต้องเดินทางพร้อมกับผู้บังคับบัญชาและเพื่อประโยชน์ในการประสานสั่งการในระหว่างเดินทางไปราชการ ให้เบิกค่าพาหนะได้เท่ากับที่ผู้บังคับบัญชามีสิทธิเบิกและให้พักแรมในที่เดียวกับผู้บังคับบัญชา โดยเบิกค่าเช่าที่พักได้ตามสิทธิที่ตนเองได้รับ หรือเบิกได้เท่าที่จ่ายจริงในอัตราต่ําสุดของที่พักนั้น แต่ไม่เกินอัตราที่ผู้บังคับบัญชามีสิทธิเบิก” มาตรา ๙ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา ๓๖ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการพ.ศ.๒๕๒๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ(ฉบับที่ ๘)พ.ศ.๒๕๕๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “การเบิกค่าเช่าที่พักและค่าพาหนะสําหรับผู้ติดตามให้เบิกได้ดังต่อไปนี้ (๑)หนึ่งคน สําหรับข้าราชการซึ่งดํารงตําแหน่งประเภททั่วไประดับชํานาญงาน ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับปฏิบัติการ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับปฏิบัติงาน หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพันโท นาวาโท นาวาอากาศโท ลงมา หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพันตํารวจโท ลงมา (๒)ไม่เกินสองคน สําหรับข้าราชการซึ่งดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ ตําแหน่งประเภทบริหารระดับต้น ตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษ ตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับต้น ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการพิเศษ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับอาวุโสตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการ หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพันเอกนาวาเอก นาวาอากาศเอก ขึ้นไป หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพันตํารวจเอก ขึ้นไป” มาตรา ๑๐ให้ยกเลิกความใน(๓)ของมาตรา ๓๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ(ฉบับที่ ๗)พ.ศ.๒๕๔๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “(๓)หัวหน้าส่วนราชการในภูมิภาค สําหรับราชการบริหารส่วนภูมิภาค” มาตรา ๑๑ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา ๕๑ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ(ฉบับที่ ๘)พ.ศ.๒๕๕๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “การเดินทางไปราชการเป็นหมู่คณะ ให้ผู้เดินทางไปราชการเบิกค่าเช่าที่พักได้ดังต่อไปนี้ (๑)ผู้ดํารงตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับต้น ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการพิเศษตําแหน่งประเภททั่วไประดับอาวุโส ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับชํานาญงาน ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับปฏิบัติการ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับปฏิบัติงานหรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพันเอก นาวาเอก นาวาอากาศเอก ลงมาหรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพันตํารวจเอก ลงมา ให้พักแรมรวมกันสองคนต่อหนึ่งห้อง โดยให้เบิกค่าเช่าที่พักได้เท่าที่จ่ายจริงในอัตราค่าเช่าห้องพักคู่ คนละไม่เกินร้อยละเจ็ดสิบของอัตราค่าเช่าห้องพักคนเดียวถ้าผู้ดํารงตําแหน่งดังกล่าวแยกพักห้องพักคนเดียวให้เบิกได้อัตราเดียวกัน เว้นแต่เป็นกรณีที่ไม่เหมาะสมจะพักรวมกันหรือมีเหตุจําเป็นที่ไม่อาจพักรวมกับผู้อื่นได้ ให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงในอัตราค่าเช่าห้องพักคนเดียว (๒)ผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิตําแหน่งประเภทบริหารระดับต้น ตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูง ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษ หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพันเอก นาวาเอก นาวาอากาศเอก อัตราเงินเดือนพันเอกพิเศษ นาวาเอกพิเศษ นาวาอากาศเอกพิเศษขึ้นไป หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพันตํารวจเอก อัตราเงินเดือนพันตํารวจเอกพิเศษ ขึ้นไป ให้เบิกค่าเช่าที่พักได้เท่าที่จ่ายจริงในอัตราค่าเช่าห้องพักคนเดียว (๓)ผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง หรือตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิหรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพลตรี พลเรือตรี พลอากาศตรี ขึ้นไป หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพลตํารวจตรี ขึ้นไป ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะ หากมีความจําเป็นต้องใช้สถานที่ในที่เดียวกันกับที่พักเพื่อเป็นที่ประสานงานของคณะหรือกับบุคคลอื่น ให้เบิกค่าเช่าที่พักได้เพิ่มขึ้นสําหรับห้องพักอีกห้องหนึ่งในอัตราค่าเช่าห้องพักคนเดียวหรือจะเบิกค่าเช่าห้องชุดแทนก็ได้ แต่ทั้งนี้ต้องมีอัตราไม่เกินสองเท่าของอัตราค่าเช่าห้องพักคนเดียว” มาตรา ๑๒ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕๓ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ(ฉบับที่ ๘)พ.ศ.๒๕๕๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๕๓ การเดินทางไปราชการต่างประเทศโดยเครื่องบินจากประเทศไทยไปต่างประเทศหรือจากต่างประเทศกลับประเทศไทย หรือการเดินทางในต่างประเทศ สําหรับผู้ดํารงตําแหน่งดังต่อไปนี้ให้เดินทางโดยชั้นหนึ่ง (๑)หัวหน้าคณะผู้แทนรัฐบาล (๒)ประธานรัฐสภา และรองประธานรัฐสภา (๓)ประธานวุฒิสภา และรองประธานวุฒิสภา (๔)ประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร (๕)รัฐมนตรี (๖)ผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตําแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือตําแหน่งที่เทียบเท่า สมุหราชองครักษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ” มาตรา ๑๓ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๕๓/๑ และมาตรา ๕๓/๒ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖ “มาตรา ๕๓/๑ การเดินทางไปราชการต่างประเทศโดยเครื่องบินจากประเทศไทยไปต่างประเทศหรือจากต่างประเทศกลับประเทศไทย หรือการเดินทางในต่างประเทศที่มีระยะเวลาในการเดินทางตั้งแต่เก้าชั่วโมงขึ้นไป ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ (๑)ชั้นหนึ่ง สําหรับผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ได้แก่ รองปลัดกระทรวงผู้ตรวจราชการ อธิบดี หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า ผู้ว่าราชการจังหวัด เอกอัครราชทูต หรือตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพลเอก พลเรือเอกพลอากาศเอก พลโท พลเรือโท พลอากาศโท หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพลตํารวจเอก พลตํารวจโท (๒)ชั้นธุรกิจหรือชั้นระหว่างชั้นหนึ่งกับชั้นประหยัด สําหรับผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับต้น ตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูง หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพลตรีพลเรือตรี พลอากาศตรี หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพลตํารวจตรี (๓)ชั้นประหยัด สําหรับผู้ดํารงตําแหน่งระดับ ชั้น หรือยศ นอกจากที่ระบุใน(๑)และ(๒) ในกรณีผู้เดินทางตาม(๒)มีความจําเป็นต้องโดยสารเครื่องบินในชั้นที่สูงกว่าสิทธิ ให้ผู้ดํารงตําแหน่งที่เดินทางดังกล่าวสามารถเดินทางและเบิกค่าโดยสารเครื่องบินในชั้นที่สูงกว่าสิทธิได้ โดยต้องได้รับอนุมัติจากปลัดกระทรวงเจ้าสังกัด ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ สมุหราชองครักษ์ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ สําหรับส่วนราชการใดที่ไม่มีปลัดกระทรวงให้ผู้บังคับบัญชาที่มีอํานาจเช่นเดียวกับปลัดกระทรวงเป็นผู้อนุมัติ มาตรา ๕๓/๒ การเดินทางไปราชการต่างประเทศโดยเครื่องบินจากประเทศไทยไปต่างประเทศหรือจากต่างประเทศกลับประเทศไทย หรือการเดินทางในต่างประเทศที่มีระยะเวลาในการเดินทางต่ํากว่าเก้าชั่วโมง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ (๑)ชั้นธุรกิจ สําหรับผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ได้แก่ รองปลัดกระทรวงผู้ตรวจราชการ อธิบดี หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า ผู้ว่าราชการจังหวัด เอกอัครราชทูต หรือตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพลเอก พลเรือเอกพลอากาศเอก พลโท พลเรือโท พลอากาศโท ข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพลตํารวจเอก พลตํารวจโท (๒)ชั้นประหยัด สําหรับผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับต้น ตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูง ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษ ตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับต้น ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการพิเศษ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับอาวุโสตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับชํานาญงาน ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับปฏิบัติการ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับปฏิบัติงาน หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพลตรี พลเรือตรี พลอากาศตรี ลงมา หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพลตํารวจตรี ลงมา ในกรณีผู้เดินทางตาม(๑)และ(๒)มีความจําเป็นต้องโดยสารเครื่องบินในชั้นที่สูงกว่าสิทธิให้ผู้ดํารงตําแหน่งที่เดินทางดังกล่าวสามารถเดินทางและเบิกค่าโดยสารเครื่องบินในชั้นที่สูงกว่าสิทธิได้โดยต้องได้รับอนุมัติจากปลัดกระทรวงเจ้าสังกัด ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์สมุหราชองครักษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ สําหรับส่วนราชการที่ไม่มีปลัดกระทรวง ให้ผู้บังคับบัญชาที่มีอํานาจเช่นเดียวกับปลัดกระทรวงเป็นผู้อนุมัติ เว้นแต่ผู้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญตําแหน่งประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษ ตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับต้น ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการพิเศษ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับอาวุโส ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการตําแหน่งประเภททั่วไประดับชํานาญงาน ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับปฏิบัติการ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับปฏิบัติงาน หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพันเอก นาวาเอก นาวาอากาศเอกอัตราเงินเดือนพันเอกพิเศษ นาวาเอกพิเศษ นาวาอากาศเอกพิเศษ ลงมา หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพันตํารวจเอก อัตราเงินเดือนพันตํารวจเอกพิเศษ ลงมา ให้โดยสารชั้นประหยัด” มาตรา ๑๔ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๕๓ ทวิ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ(ฉบับที่ ๗)พ.ศ.๒๕๔๘ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๕๓ ทวิ ผู้เดินทางไปราชการต่างประเทศในหน้าที่เลขานุการกับผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐบาล หรือซึ่งดํารงตําแหน่งประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร รองประธานรัฐสภา รองประธานวุฒิสภา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือรัฐมนตรีให้เบิกค่าพาหนะได้เท่ากับที่ผู้บังคับบัญชามีสิทธิเบิกและให้พักแรมในที่เดียวกับผู้บังคับบัญชา โดยให้เบิกค่าเช่าที่พักได้เท่าที่จ่ายจริงตามสิทธิที่ตนเองได้รับหรือเบิกในอัตราต่ําสุดของที่พักนั้น แล้วแต่จํานวนใดจะสูงกว่า” มาตรา ๑๕ให้ยกเลิกความในวรรคสามของมาตรา ๖๒ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ(ฉบับที่ ๘)พ.ศ.๒๕๕๓ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “ผู้เดินทางไปราชการประจําในต่างประเทศจะเบิกค่าพาหนะสําหรับผู้ติดตามซึ่งได้รับอนุญาตจากกระทรวงเจ้าสังกัดแล้วได้ดังต่อไปนี้ (๑)หนึ่งคน สําหรับข้าราชการซึ่งดํารงตําแหน่งประเภททั่วไประดับชํานาญงาน ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับปฏิบัติการ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับปฏิบัติงาน หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพันโท นาวาโท นาวาอากาศโท ลงมา หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพันตํารวจโท ลงมา (๒)ไม่เกินสองคน สําหรับข้าราชการซึ่งดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ ตําแหน่งประเภทบริหารระดับต้น ตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษ ตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับต้น ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการพิเศษ ตําแหน่งประเภททั่วไประดับอาวุโสตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการ หรือตําแหน่งที่เทียบเท่า หรือข้าราชการทหารซึ่งมียศพันเอกนาวาเอก นาวาอากาศเอก ขึ้นไป หรือข้าราชการตํารวจซึ่งมียศพันตํารวจเอก ขึ้นไป” มาตรา ๑๖ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๗๐/๑ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖ “มาตรา ๗๐/๑ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการของข้าราชการที่ปฏิบัติราชการประจําในต่างประเทศในกรณีไปประจําสํานักงานซึ่งต่างสังกัด ให้เบิกจากสังกัดใหม่ซึ่งไปประจํา” มาตรา ๑๗เพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความเป็นธรรม ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนและองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ จัดให้มีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับชั้นโดยสารเครื่องบินเช่นเดียวกับหน่วยงานภาครัฐตามแนวทางของกระทรวงการคลังที่กําหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หมายเหตุ:-เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ โดยที่การจ่ายเงินตามงบประมาณรายจ่ายในประเภทค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการตามพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ.๒๕๒๖และที่แก้ไขเพิ่มเติม ยังไม่เหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบัน สมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจ่ายเงิน วิธีการเบิกจ่าย อัตราการจ่าย ของผู้มีสิทธิได้รับเงินประเภทดังกล่าวรวมทั้งหลักเกณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้อง กรณีการเดินทางไปราชการชั่วคราวและราชการประจําในราชอาณาจักรและกรณีการเดินทางไปราชการต่างประเทศ จึงจําเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ รายละเอียดเพิ่มเติม:เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1925
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สธ.ลงพื้นที่เรือนจำ ดูแลรักษา และป้องกันการแพร่ของโรคหิด
วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม 2560 ​สธ.ลงพื้นที่เรือนจํา ดูแลรักษา และป้องกันการแพร่ของโรคหิด กระทรวงสาธารณสุข เตรียมส่งทีมแพทย์ ลงพื้นที่เรือนจําเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เฝ้าระวังดูแลรักษา ป้องกัน การแพร่ระบาดของผู้ต้องขังที่ติดโรคหิด นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากได้รับทราบว่ามีผู้ต้องขังชายมีอาการคันบริเวณผิวหนัง มีตุ่มผื่นทั่วบริเวณร่างกายจํานวนหนึ่ง จึงได้สั่งให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสุราษฎร์ธานี และ ผอ.รพ.เกาะสมุย จัดทีมแพทย์เข้าตรวจและค้นหาผู้ป่วย เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคหิด ซึ่งที่ผ่านมาทางเรือนจําฯ ได้มีการส่งตัวผู้ต้องขังมารักษากับแพทย์ รพ.เกาะสมุย มาโดยตลอด แต่ยังพบว่ามีการแพร่ระบาดอยู่เป็นระยะๆ ซึ่งรพ.เกาะสมุยได้หารือกับผู้บัญชาการเรือนจําฯแล้ว โดยจะส่งแพทย์และทีมสหวิชาชีพจํานวน 10 คน พร้อมยาทารักษาโรคหิด (Benzyl benzoate)จํานวนประมาณ 200 ขวด เข้าตรวจรักษาในวันอังคารที่ 29 สิงหาคม 2560 และจะติดตามการแพร่ระบาดของโรคหิดในเรือนจําเดือนละ 1 ครั้ง นพ.เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า โรคหิดเกิดจากตัวหิดหรือScabies miteเป็นปรสิต จะขุดรูวางไข่และอาศัยอยู่บนบริเวณผิวหนัง รูขุมขนของมนุษย์ ซึ่งรูดังกล่าวจะทําให้เกิดตุ่มแดงบริเวณผิวหนัง และมีอาการคันทั่วบริเวณร่างกาย อาจมีแผลผุผอง และมีน้ําเหลืองไหลในบางราย ติดต่อกันได้โดยการสัมผัสหรือใช้ของร่วมกัน โรคดังกล่าวไม่น่ากลัวอย่างที่คิด สามารถรักษาให้หายขาดได้ภายใน 1–2 สัปดาห์ โดยการพบแพทย์เพื่อเข้ารับยารักษาโรคหิดโดยเฉพาะ รวมถึงการดูรักษาความสะอาดของร่างกายอย่างสม่ําเสมอ **************************************** 27 สิงหาคม 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สธ.ลงพื้นที่เรือนจำ ดูแลรักษา และป้องกันการแพร่ของโรคหิด วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม 2560 ​สธ.ลงพื้นที่เรือนจํา ดูแลรักษา และป้องกันการแพร่ของโรคหิด กระทรวงสาธารณสุข เตรียมส่งทีมแพทย์ ลงพื้นที่เรือนจําเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เฝ้าระวังดูแลรักษา ป้องกัน การแพร่ระบาดของผู้ต้องขังที่ติดโรคหิด นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากได้รับทราบว่ามีผู้ต้องขังชายมีอาการคันบริเวณผิวหนัง มีตุ่มผื่นทั่วบริเวณร่างกายจํานวนหนึ่ง จึงได้สั่งให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสุราษฎร์ธานี และ ผอ.รพ.เกาะสมุย จัดทีมแพทย์เข้าตรวจและค้นหาผู้ป่วย เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคหิด ซึ่งที่ผ่านมาทางเรือนจําฯ ได้มีการส่งตัวผู้ต้องขังมารักษากับแพทย์ รพ.เกาะสมุย มาโดยตลอด แต่ยังพบว่ามีการแพร่ระบาดอยู่เป็นระยะๆ ซึ่งรพ.เกาะสมุยได้หารือกับผู้บัญชาการเรือนจําฯแล้ว โดยจะส่งแพทย์และทีมสหวิชาชีพจํานวน 10 คน พร้อมยาทารักษาโรคหิด (Benzyl benzoate)จํานวนประมาณ 200 ขวด เข้าตรวจรักษาในวันอังคารที่ 29 สิงหาคม 2560 และจะติดตามการแพร่ระบาดของโรคหิดในเรือนจําเดือนละ 1 ครั้ง นพ.เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า โรคหิดเกิดจากตัวหิดหรือScabies miteเป็นปรสิต จะขุดรูวางไข่และอาศัยอยู่บนบริเวณผิวหนัง รูขุมขนของมนุษย์ ซึ่งรูดังกล่าวจะทําให้เกิดตุ่มแดงบริเวณผิวหนัง และมีอาการคันทั่วบริเวณร่างกาย อาจมีแผลผุผอง และมีน้ําเหลืองไหลในบางราย ติดต่อกันได้โดยการสัมผัสหรือใช้ของร่วมกัน โรคดังกล่าวไม่น่ากลัวอย่างที่คิด สามารถรักษาให้หายขาดได้ภายใน 1–2 สัปดาห์ โดยการพบแพทย์เพื่อเข้ารับยารักษาโรคหิดโดยเฉพาะ รวมถึงการดูรักษาความสะอาดของร่างกายอย่างสม่ําเสมอ **************************************** 27 สิงหาคม 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6211
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ ไทยดีขึ้น 6 อันดับ
วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 2562 ผลการจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ ไทยดีขึ้น 6 อันดับ วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562 ​ Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ธนาคารโลกเผยแพร่รายงานการจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจประจําปี 2563 เพื่อแสดงถึงประสิทธิภาพการอํานวยความสะดวกของภาครัฐในการประกอบธุรกิจของเอกชนใน 190 ประเทศ โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 21 ดีขึ้นถึง 6 อันดับจากปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากความพยายามของภาครัฐในการดําเนินมาตรการต่าง ๆ เช่น ลดขั้นตอนการขออนุมัติ นําระบบดิจิทัลเข้ามาให้บริการ ปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ดีขึ้น และการคุ้มครองผลประโยชน์ของนักลงทุน ช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนและส่งเสริมการจ้างงานคุณภาพในอนาคต ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ ไทยดีขึ้น 6 อันดับ วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 2562 ผลการจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ ไทยดีขึ้น 6 อันดับ วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562 ​ Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ธนาคารโลกเผยแพร่รายงานการจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจประจําปี 2563 เพื่อแสดงถึงประสิทธิภาพการอํานวยความสะดวกของภาครัฐในการประกอบธุรกิจของเอกชนใน 190 ประเทศ โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 21 ดีขึ้นถึง 6 อันดับจากปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากความพยายามของภาครัฐในการดําเนินมาตรการต่าง ๆ เช่น ลดขั้นตอนการขออนุมัติ นําระบบดิจิทัลเข้ามาให้บริการ ปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ดีขึ้น และการคุ้มครองผลประโยชน์ของนักลงทุน ช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนและส่งเสริมการจ้างงานคุณภาพในอนาคต ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24175
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยเผยความคืบหน้าการจัดเตรียมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ฯ ในส่วนภูมิภาค พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นจิตอาสาประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ถวายในหลวงรัชกาลที่ 9
วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน 2560 กระทรวงมหาดไทยเผยความคืบหน้าการจัดเตรียมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ฯ ในส่วนภูมิภาค พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นจิตอาสาประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 กระทรวงมหาดไทย เผยความคืบหน้าการจัดเตรียมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ฯ ในส่วนภูมิภาค พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นจิตอาสาประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 วันนี้ (15 มิ.ย. 60) นายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการฝ่ายจัดพิธีการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ของประชาชนในส่วนภูมิภาค โดยภารกิจอันเกี่ยวเนื่องกับการจัดงานพิธีถวายดอกไม้จันทน์ในส่วนภูมิภาค กระทรวงมหาดไทยได้กําหนดสถานที่สําหรับดําเนินการจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ จํานวน 878 แห่ง ซึ่งเท่ากับจํานวนของอําเภอทั่วประเทศ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้มีโอกาสถวายความจงรักภักดีและถวายความอาลัยอย่างทั่วถึงรวมทั้งได้มีการประชุมซักซ้อมแนวทางการจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ในส่วนภูมิภาค เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับการจัดงานพิธีในส่วนกลาง กระทรวงมหาดไทยขอเรียนให้ทราบถึงความคืบหน้าในการดําเนินการจัดงานพิธีฯ ที่จะจัดขึ้นในส่วนภูมิภาค ซึ่งขณะนี้ทุกจังหวัดได้เตรียมความพร้อมในการดําเนินการแล้ว เช่น การกําหนดสถานที่จัดพิธีการเตรียมการจัดทําซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ หรือการประดับภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของจังหวัดและอําเภอ การเตรียมการจัดแสดงนิทรรศการ และมหรสพวัฒนธรรมไทย ตลอดจนการเตรียมพร้อมในด้านต่างๆอาทิ การประชาสัมพันธ์กิจกรรม การแจกจ่ายแผ่นพับประวัติศาสตร์ การบันทึกภาพนิ่งพร้อมภาพเคลื่อนไหว และการอํานวยความสะดวกให้แก่พี่น้องประชาชนที่จะเข้าร่วมพิธีดังกล่าวซึ่งจังหวัดและอําเภอจะดําเนินการพร้อมกันทุกจังหวัดทั่วประเทศ สําหรับการจัดทําดอกไม้จันทน์ในส่วนภูมิภาค กระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้ทุกจังหวัด และอําเภอทั่วประเทศจัดทําดอกไม้จันทน์ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ดอกไม้จันทน์สําหรับเป็นตัวแทนจังหวัดและอําเภอ จํานวน 878 ช่อ เพื่อจัดส่งไปร่วมกับส่วนกลางที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง และส่วนที่ 2 ดอกไม้จันทน์สําหรับประชาชน ในการเข้าร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ในพื้นที่ โดยกระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้กรมการพัฒนาชุมชน รับผิดชอบในการออกแบบและจัดทําดอกไม้จันทน์ของจังหวัดและอําเภอ รวมทั้งสนับสนุนการฝึกสอนการทําดอกไม้จันทน์สําหรับประชาชน ซึ่งกรมการพัฒนาชุมชนได้รายงานผลความก้าวหน้าในการจัดทําดอกไม้จันทน์ ดังนี้ 1.ดอกไม้จันทน์สําหรับเป็นตัวแทนจังหวัดและอําเภอได้กําหนดให้จังหวัดออกแบบและจัดทําดอกไม้จันทน์ โดยมีต้นแบบเป็นดอกไม้ประจําจังหวัดที่มีความเหมาะสม เช่น จังหวัดปทุมธานี-ดอกบัวหลวง จังหวัดเพชรบุรี-ดอกลีลาวดี จังหวัดชุมพร-ดอกพุทธรักษา จังหวัดสตูล-ดอกกาหลง จังหวัดเชียงใหม่-ดอกทองกวาว จังหวัดแม่ฮ่องสอน–ดอกบัวตอง จังหวัดชัยภูมิ-ดอกกระเจียว จังหวัดบุรีรัมย์-ดอกสุพรรณิการ์ จังหวัดบึงกาฬ –ดอกสิรินธรวัลลี เป็นต้น โดยกําหนดขนาดความกว้าง 21-24 ซม.และสูง 35-45 ซม. พร้อมป้ายชื่ออําเภอ/จังหวัด เน้นการใช้วัสดุธรรมชาติที่มีในพื้นที่ หรือวัสดุดัดแปลงตามแนวทางหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เช่น เปลือกข้าวโพด ผักตบชวา ใบตองแห้ง ใบยางพารา หรือ กระดาษสา ซึ่งขณะนี้ทุกจังหวัดได้มีการออกแบบและอยู่ระหว่างการจัดทํา คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2560 นี้ 2.ดอกไม้จันทน์สําหรับประชาชนกรมการพัฒนาชุมชน ได้คัดเลือกผู้มีความชํานาญ มีทักษะพื้นฐานในการประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ จังหวัดละ 2 คน เพื่อเข้ารับการฝึกสอนการประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์พระราชทานตาม “โครงการจิตอาสาประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์พระราชทาน” ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นครูต้นแบบถ่ายทอดให้กับทีมวิทยากรของจังหวัด ซึ่งขณะนี้ได้ขยายผลโครงการจิตอาสาประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์พระราชทานไปแล้วทั้ง 76 จังหวัด โดยแต่ละจังหวัดจะใช้ชื่อ “โครงการจิตอาสาประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์พระราชทานจังหวัด...”ปัจจุบันมีครูต้นแบบจํานวน 184 คน มีวิทยากรกลุ่มอาชีพทําดอกไม้จันทน์ พร้อมอุปกรณ์ จํานวน 3,335 คน และมีการเชิญชวนกลุ่มพลังมวลชน ประชาชน และจิตอาสา เข้าร่วมการฝึกสอนและร่วมทําดอกไม้จันทน์ ไม่น้อยกว่า 1.2 ล้านคน ซึ่งคาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2560 ทั้งนี้ได้กําหนดเป้าหมายในการจัดทําดอกไม้จันทน์ไว้จํานวน 36 ล้านดอก ขณะนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 11 มิ.ย. 60) ดําเนินการแล้วเสร็จ 5.06 ล้านดอก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่านอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยจะได้จัดกิจกรรมอาสาประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์พระราชทานกระทรวงมหาดไทย ขึ้นในระหว่างวันที่ 19-20 มิถุนายน 2560 เวลา 09.00-16.00 น. ณ ห้องประชุม 3 ชั้น 5 อาคารสถาบันดํารงราชานุภาพ เพื่อให้บุคลากรในสังกัดกระทรวงมหาดไทย (ส่วนกลาง) ได้ร่วมเป็นจิตอาสาประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์พระราชทาน เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยกรมการพัฒนาชุมชน จะจัดทีมวิทยากร/ครูฝึก มาถ่ายทอดและฝึกสอนการทําดอกไม้จันทน์ฯ ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทย จังหวัด อําเภอ ตลอดจนหน่วยงาน และทุกภาคส่วนในพื้นที่จะได้ร่วมกันเตรียมความพร้อมในการจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ของประชาชนในส่วนภูมิภาค ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สวยงาม และสมพระเกียรติ. ครั้งที่ 89/2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยเผยความคืบหน้าการจัดเตรียมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ฯ ในส่วนภูมิภาค พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นจิตอาสาประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน 2560 กระทรวงมหาดไทยเผยความคืบหน้าการจัดเตรียมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ฯ ในส่วนภูมิภาค พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นจิตอาสาประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 กระทรวงมหาดไทย เผยความคืบหน้าการจัดเตรียมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ฯ ในส่วนภูมิภาค พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นจิตอาสาประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 วันนี้ (15 มิ.ย. 60) นายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการฝ่ายจัดพิธีการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ของประชาชนในส่วนภูมิภาค โดยภารกิจอันเกี่ยวเนื่องกับการจัดงานพิธีถวายดอกไม้จันทน์ในส่วนภูมิภาค กระทรวงมหาดไทยได้กําหนดสถานที่สําหรับดําเนินการจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ จํานวน 878 แห่ง ซึ่งเท่ากับจํานวนของอําเภอทั่วประเทศ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้มีโอกาสถวายความจงรักภักดีและถวายความอาลัยอย่างทั่วถึงรวมทั้งได้มีการประชุมซักซ้อมแนวทางการจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ในส่วนภูมิภาค เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับการจัดงานพิธีในส่วนกลาง กระทรวงมหาดไทยขอเรียนให้ทราบถึงความคืบหน้าในการดําเนินการจัดงานพิธีฯ ที่จะจัดขึ้นในส่วนภูมิภาค ซึ่งขณะนี้ทุกจังหวัดได้เตรียมความพร้อมในการดําเนินการแล้ว เช่น การกําหนดสถานที่จัดพิธีการเตรียมการจัดทําซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ หรือการประดับภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของจังหวัดและอําเภอ การเตรียมการจัดแสดงนิทรรศการ และมหรสพวัฒนธรรมไทย ตลอดจนการเตรียมพร้อมในด้านต่างๆอาทิ การประชาสัมพันธ์กิจกรรม การแจกจ่ายแผ่นพับประวัติศาสตร์ การบันทึกภาพนิ่งพร้อมภาพเคลื่อนไหว และการอํานวยความสะดวกให้แก่พี่น้องประชาชนที่จะเข้าร่วมพิธีดังกล่าวซึ่งจังหวัดและอําเภอจะดําเนินการพร้อมกันทุกจังหวัดทั่วประเทศ สําหรับการจัดทําดอกไม้จันทน์ในส่วนภูมิภาค กระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้ทุกจังหวัด และอําเภอทั่วประเทศจัดทําดอกไม้จันทน์ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ดอกไม้จันทน์สําหรับเป็นตัวแทนจังหวัดและอําเภอ จํานวน 878 ช่อ เพื่อจัดส่งไปร่วมกับส่วนกลางที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง และส่วนที่ 2 ดอกไม้จันทน์สําหรับประชาชน ในการเข้าร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ในพื้นที่ โดยกระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้กรมการพัฒนาชุมชน รับผิดชอบในการออกแบบและจัดทําดอกไม้จันทน์ของจังหวัดและอําเภอ รวมทั้งสนับสนุนการฝึกสอนการทําดอกไม้จันทน์สําหรับประชาชน ซึ่งกรมการพัฒนาชุมชนได้รายงานผลความก้าวหน้าในการจัดทําดอกไม้จันทน์ ดังนี้ 1.ดอกไม้จันทน์สําหรับเป็นตัวแทนจังหวัดและอําเภอได้กําหนดให้จังหวัดออกแบบและจัดทําดอกไม้จันทน์ โดยมีต้นแบบเป็นดอกไม้ประจําจังหวัดที่มีความเหมาะสม เช่น จังหวัดปทุมธานี-ดอกบัวหลวง จังหวัดเพชรบุรี-ดอกลีลาวดี จังหวัดชุมพร-ดอกพุทธรักษา จังหวัดสตูล-ดอกกาหลง จังหวัดเชียงใหม่-ดอกทองกวาว จังหวัดแม่ฮ่องสอน–ดอกบัวตอง จังหวัดชัยภูมิ-ดอกกระเจียว จังหวัดบุรีรัมย์-ดอกสุพรรณิการ์ จังหวัดบึงกาฬ –ดอกสิรินธรวัลลี เป็นต้น โดยกําหนดขนาดความกว้าง 21-24 ซม.และสูง 35-45 ซม. พร้อมป้ายชื่ออําเภอ/จังหวัด เน้นการใช้วัสดุธรรมชาติที่มีในพื้นที่ หรือวัสดุดัดแปลงตามแนวทางหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เช่น เปลือกข้าวโพด ผักตบชวา ใบตองแห้ง ใบยางพารา หรือ กระดาษสา ซึ่งขณะนี้ทุกจังหวัดได้มีการออกแบบและอยู่ระหว่างการจัดทํา คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2560 นี้ 2.ดอกไม้จันทน์สําหรับประชาชนกรมการพัฒนาชุมชน ได้คัดเลือกผู้มีความชํานาญ มีทักษะพื้นฐานในการประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ จังหวัดละ 2 คน เพื่อเข้ารับการฝึกสอนการประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์พระราชทานตาม “โครงการจิตอาสาประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์พระราชทาน” ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นครูต้นแบบถ่ายทอดให้กับทีมวิทยากรของจังหวัด ซึ่งขณะนี้ได้ขยายผลโครงการจิตอาสาประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์พระราชทานไปแล้วทั้ง 76 จังหวัด โดยแต่ละจังหวัดจะใช้ชื่อ “โครงการจิตอาสาประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์พระราชทานจังหวัด...”ปัจจุบันมีครูต้นแบบจํานวน 184 คน มีวิทยากรกลุ่มอาชีพทําดอกไม้จันทน์ พร้อมอุปกรณ์ จํานวน 3,335 คน และมีการเชิญชวนกลุ่มพลังมวลชน ประชาชน และจิตอาสา เข้าร่วมการฝึกสอนและร่วมทําดอกไม้จันทน์ ไม่น้อยกว่า 1.2 ล้านคน ซึ่งคาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2560 ทั้งนี้ได้กําหนดเป้าหมายในการจัดทําดอกไม้จันทน์ไว้จํานวน 36 ล้านดอก ขณะนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 11 มิ.ย. 60) ดําเนินการแล้วเสร็จ 5.06 ล้านดอก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่านอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยจะได้จัดกิจกรรมอาสาประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์พระราชทานกระทรวงมหาดไทย ขึ้นในระหว่างวันที่ 19-20 มิถุนายน 2560 เวลา 09.00-16.00 น. ณ ห้องประชุม 3 ชั้น 5 อาคารสถาบันดํารงราชานุภาพ เพื่อให้บุคลากรในสังกัดกระทรวงมหาดไทย (ส่วนกลาง) ได้ร่วมเป็นจิตอาสาประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์พระราชทาน เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยกรมการพัฒนาชุมชน จะจัดทีมวิทยากร/ครูฝึก มาถ่ายทอดและฝึกสอนการทําดอกไม้จันทน์ฯ ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทย จังหวัด อําเภอ ตลอดจนหน่วยงาน และทุกภาคส่วนในพื้นที่จะได้ร่วมกันเตรียมความพร้อมในการจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ของประชาชนในส่วนภูมิภาค ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สวยงาม และสมพระเกียรติ. ครั้งที่ 89/2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4553
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ดีเดย์จ่ายเงินประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
วันพุธที่ 16 ตุลาคม 2562 ธ.ก.ส. ดีเดย์จ่ายเงินประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ธ.ก.ส.เคาะจ่ายเงินตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 แก่ผู้ปลูกข้าว 5 ชนิด ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี และข้าวเปลือกเหนียว เพื่อช่วยเหลือด้านรายได้ให้กับเกษตรกร ธ.ก.ส. เคาะจ่ายเงินตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 แก่ผู้ปลูกข้าว 5 ชนิด ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี และข้าวเปลือกเหนียว เพื่อช่วยเหลือด้านรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวกว่า 4.31 ล้านราย วงเงินกว่า 20,000 ล้านบาท เริ่มโอนรอบแรก 15 ตุลาคม นี้ กว่า 3.49 แสนราย เป็นเงินกว่า 9,400 ล้านบาท วันนี้ (15 ตุลาคม 2562) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในงานจ่ายเงินประกันรายได้งวดแรกให้แก่เกษตรกรตาม “โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1” โดยมีนายศรายุทธ ยิ้มยวน รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และผู้แทนจากส่วนงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน ณ องค์การบริหารส่วนตําบลหลักชัย อําเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายศรายุทธ ยิ้มยวน รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 และมติคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2562 โดยนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและประธานคณะกรรมการ ธ.ก.ส.เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดําเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว โดยกลไกตลาดยังคงทํางานเป็นปกติ ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณ 20,940 ล้านบาท จํานวนเกษตรกรที่จะได้รับประโยชน์กว่า 4.31 ล้านราย โดยประกันรายได้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว 5 ชนิด ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน กรณีเกษตรกรปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด จะได้สิทธิไม่เกินจํานวนสูงสุดของข้าวแต่ละชนิด และเมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงชนิดข้าวที่กําหนดไว้สูงสุด โดยมีการกําหนดราคาอ้างอิงและระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2562 – 28 กุมภาพันธ์ 2563 (ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 31 พฤษภาคม 2563) ซึ่งคณะอนุกรรมการกํากับดูแลและกําหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงครั้งแรกวันที่ 15 ตุลาคม 2562 เพื่อใช้ในการชดเชยส่วนต่างตามโครงการ ความชื้นความเปลือกแต่ละชนิดไม่เกิน 15% โดยในวันนี้ชดเชยส่วนต่างราคาประกันข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 2,469.64 บาท และข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 783.45 บาท มีเกษตรกรที่มีคุณสมบัติถูกต้องได้รับเงินทั้งสิ้น 349,392 ราย เป็นเงิน 9,413 ล้านบาท จากนั้นจะประชุมเพื่อกําหนดราคาอ้างอิงทุก ๆ 15 วัน จนถึงวันสิ้นสุดโครงการฯ สําหรับหลักเกณฑ์การจ่ายเงินประกันรายได้ เกษตรกรจะต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2562/63 รอบที่ 1 กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเป็นเกษตรกรที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 (ยกเว้นภาคใต้ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน - 28 กุมภาพันธ์ 2563) และต้องแจ้งวันที่คาดว่าจะเก็บเกี่ยว เพื่อใช้เป็นข้อมูลช่วงเวลาที่เกษตรกรจะได้รับสิทธิชดเชย โดยกรมส่งเสริมการเกษตรจัดส่งข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว จําแนกตามช่วงเวลาที่เก็บเกี่ยวและคํานวณปริมาณผลผลิต โดยใช้พื้นที่ทั้งหมดที่ขึ้นทะเบียนปลูกข้าวแต่ละชนิดคูณผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่เป็นปริมาณผลผลิตที่ต้องชดเชย แต่ต้องไม่เกินปริมาณที่กําหนดไว้ข้างต้น ส่งให้ ธ.ก.ส. เพื่อเป็นข้อมูลในการจ่ายเงิน จากนั้น ธ.ก.ส. จะดําเนินการจ่ายเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง ภายใน 3 วัน นับจากวันที่ได้รับราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงในแต่ละรอบจากคณะอนุกรรมการฯ ซึ่งเกษตรกรสามารถตรวจสอบผล การโอนเงินได้ที่ Link: http://chongkho.inbaac.com
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ดีเดย์จ่ายเงินประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 วันพุธที่ 16 ตุลาคม 2562 ธ.ก.ส. ดีเดย์จ่ายเงินประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ธ.ก.ส.เคาะจ่ายเงินตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 แก่ผู้ปลูกข้าว 5 ชนิด ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี และข้าวเปลือกเหนียว เพื่อช่วยเหลือด้านรายได้ให้กับเกษตรกร ธ.ก.ส. เคาะจ่ายเงินตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 แก่ผู้ปลูกข้าว 5 ชนิด ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี และข้าวเปลือกเหนียว เพื่อช่วยเหลือด้านรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวกว่า 4.31 ล้านราย วงเงินกว่า 20,000 ล้านบาท เริ่มโอนรอบแรก 15 ตุลาคม นี้ กว่า 3.49 แสนราย เป็นเงินกว่า 9,400 ล้านบาท วันนี้ (15 ตุลาคม 2562) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในงานจ่ายเงินประกันรายได้งวดแรกให้แก่เกษตรกรตาม “โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1” โดยมีนายศรายุทธ ยิ้มยวน รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และผู้แทนจากส่วนงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน ณ องค์การบริหารส่วนตําบลหลักชัย อําเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายศรายุทธ ยิ้มยวน รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 และมติคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2562 โดยนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและประธานคณะกรรมการ ธ.ก.ส.เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดําเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว โดยกลไกตลาดยังคงทํางานเป็นปกติ ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณ 20,940 ล้านบาท จํานวนเกษตรกรที่จะได้รับประโยชน์กว่า 4.31 ล้านราย โดยประกันรายได้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว 5 ชนิด ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน กรณีเกษตรกรปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด จะได้สิทธิไม่เกินจํานวนสูงสุดของข้าวแต่ละชนิด และเมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงชนิดข้าวที่กําหนดไว้สูงสุด โดยมีการกําหนดราคาอ้างอิงและระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2562 – 28 กุมภาพันธ์ 2563 (ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 31 พฤษภาคม 2563) ซึ่งคณะอนุกรรมการกํากับดูแลและกําหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงครั้งแรกวันที่ 15 ตุลาคม 2562 เพื่อใช้ในการชดเชยส่วนต่างตามโครงการ ความชื้นความเปลือกแต่ละชนิดไม่เกิน 15% โดยในวันนี้ชดเชยส่วนต่างราคาประกันข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 2,469.64 บาท และข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 783.45 บาท มีเกษตรกรที่มีคุณสมบัติถูกต้องได้รับเงินทั้งสิ้น 349,392 ราย เป็นเงิน 9,413 ล้านบาท จากนั้นจะประชุมเพื่อกําหนดราคาอ้างอิงทุก ๆ 15 วัน จนถึงวันสิ้นสุดโครงการฯ สําหรับหลักเกณฑ์การจ่ายเงินประกันรายได้ เกษตรกรจะต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2562/63 รอบที่ 1 กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเป็นเกษตรกรที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 (ยกเว้นภาคใต้ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน - 28 กุมภาพันธ์ 2563) และต้องแจ้งวันที่คาดว่าจะเก็บเกี่ยว เพื่อใช้เป็นข้อมูลช่วงเวลาที่เกษตรกรจะได้รับสิทธิชดเชย โดยกรมส่งเสริมการเกษตรจัดส่งข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว จําแนกตามช่วงเวลาที่เก็บเกี่ยวและคํานวณปริมาณผลผลิต โดยใช้พื้นที่ทั้งหมดที่ขึ้นทะเบียนปลูกข้าวแต่ละชนิดคูณผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่เป็นปริมาณผลผลิตที่ต้องชดเชย แต่ต้องไม่เกินปริมาณที่กําหนดไว้ข้างต้น ส่งให้ ธ.ก.ส. เพื่อเป็นข้อมูลในการจ่ายเงิน จากนั้น ธ.ก.ส. จะดําเนินการจ่ายเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง ภายใน 3 วัน นับจากวันที่ได้รับราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงในแต่ละรอบจากคณะอนุกรรมการฯ ซึ่งเกษตรกรสามารถตรวจสอบผล การโอนเงินได้ที่ Link: http://chongkho.inbaac.com
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23854
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ชื่นชม กรป.กลางมะปรางมันปัตตานี ต้นแบบสหกรณ์บริหารการจัดการดีเด่น
วันอังคารที่ 21 มกราคม 2563 รมช.มนัญญา ชื่นชม กรป.กลางมะปรางมันปัตตานี ต้นแบบสหกรณ์บริหารการจัดการดีเด่น รมช.มนัญญา ชื่นชม กรป.กลางมะปรางมันปัตตานี ต้นแบบสหกรณ์บริหารการจัดการดีเด่น พร้อมฝากโครงการนําลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน ยอดผู้สมัครพุ่งกว่า 5,000ราย นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังรับฟังการบรรยายสรุปการดําเนินงานของสหกรณ์การเกษตร กรป.กลางมะปรางมันปัตตานี จํากัด โดยมีผู้บริหารของกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมวิชาการเกษตร และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ร่วมในการลงพื้นที่ตรวจราชการ ในวันที่ 20 มกราคม 2563 ณ จังหวัดปัตตานี ว่า สหกรณ์การเกษตรฯ แห่งนี้ เป็นกลุ่มวิสาหกิจแปลงใหญ่ยางพารา (Mega Farm Enterprise) โดยดําเนินธุรกิจรวบรวมน้ํายางสดและยางก้อนถ้วย สามารถสร้างรายได้ให้แก่สมาชิกได้มากขึ้น โดยในปี 2562 ที่ผ่านมา มีปริมาณการรวบรวมน้ํายาง จํานวน 22.173 ตัน คิดเป็นมูลค่า 275,358 บาท โดยจากภาพรวมมีทุนดําเนินงานทั้งสิ้น 96,241,885 บาท แสดงถึงความเข้มแข็งของสหกรณ์ และการบริหารจัดการบัญชีที่ดี สร้างสวัสดิการให้กับสมาชิกของสหกรณ์ ซึ่งเป็นตัวอย่างของสหกรณ์ที่ควรเป็นต้นแบบเพื่อเป็นแนวทางในการดําเนินงานและบริหารจัดการให้กับสหกรณ์อื่นๆ ในประเทศต่อไป " ได้มอบนโยบายให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ ให้การช่วยเหลือและสนับสนุนสหกรณ์ต่างๆ หากต้องการหรือยังขาดเครื่องมือ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักรกล สามารถแจ้งความต้องการเพิ่มเติมมาได้ และโอกาสนี้ขอฝากโครงการนําลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร เพื่อให้ลูกหลานสมาชิกสหกรณ์ เกษตรกร หรือประชาชนทั่วไป ที่มีที่ทํากินหรือมีความพร้อม และความต้องการที่จะกลับบ้านมาสานต่ออาชีพการเกษตรในภูมิลําเนาเดิม เพื่อให้มีเวลาได้อยู่กับครอบครัวและสามารถทําการเกษตรได้อย่างยั่งยืน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมบูรณาการการทํางานทุกภาคส่วนในสังกัด เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการดําเนินงานโครงการดังกล่าว โดยขณะนี้มีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ แล้วไม่น้อยกว่า 5,000 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง " รมช. กล่าว ภายหลังการพบปะกับสมาชิกสหกรณ์ และเกษตรกร คณะได้เยี่ยมชมบูธนิทรรศการ อาทิ การสาธิตการกรีดยาง ของการยางแห่งประเทศไทย สาขาโคกโพธิ์ กิจกรรมแนะนําการจัดทําบัญชีครัวเรือนและต้นทุนอาชีพ ของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กิจกรรมผสมปุ๋ยใช้เองเพื่อลดต้นทุนการผลิต ของสํานักงานเกษตรอําเภอ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ชื่นชม กรป.กลางมะปรางมันปัตตานี ต้นแบบสหกรณ์บริหารการจัดการดีเด่น วันอังคารที่ 21 มกราคม 2563 รมช.มนัญญา ชื่นชม กรป.กลางมะปรางมันปัตตานี ต้นแบบสหกรณ์บริหารการจัดการดีเด่น รมช.มนัญญา ชื่นชม กรป.กลางมะปรางมันปัตตานี ต้นแบบสหกรณ์บริหารการจัดการดีเด่น พร้อมฝากโครงการนําลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน ยอดผู้สมัครพุ่งกว่า 5,000ราย นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังรับฟังการบรรยายสรุปการดําเนินงานของสหกรณ์การเกษตร กรป.กลางมะปรางมันปัตตานี จํากัด โดยมีผู้บริหารของกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมวิชาการเกษตร และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ร่วมในการลงพื้นที่ตรวจราชการ ในวันที่ 20 มกราคม 2563 ณ จังหวัดปัตตานี ว่า สหกรณ์การเกษตรฯ แห่งนี้ เป็นกลุ่มวิสาหกิจแปลงใหญ่ยางพารา (Mega Farm Enterprise) โดยดําเนินธุรกิจรวบรวมน้ํายางสดและยางก้อนถ้วย สามารถสร้างรายได้ให้แก่สมาชิกได้มากขึ้น โดยในปี 2562 ที่ผ่านมา มีปริมาณการรวบรวมน้ํายาง จํานวน 22.173 ตัน คิดเป็นมูลค่า 275,358 บาท โดยจากภาพรวมมีทุนดําเนินงานทั้งสิ้น 96,241,885 บาท แสดงถึงความเข้มแข็งของสหกรณ์ และการบริหารจัดการบัญชีที่ดี สร้างสวัสดิการให้กับสมาชิกของสหกรณ์ ซึ่งเป็นตัวอย่างของสหกรณ์ที่ควรเป็นต้นแบบเพื่อเป็นแนวทางในการดําเนินงานและบริหารจัดการให้กับสหกรณ์อื่นๆ ในประเทศต่อไป " ได้มอบนโยบายให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ ให้การช่วยเหลือและสนับสนุนสหกรณ์ต่างๆ หากต้องการหรือยังขาดเครื่องมือ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักรกล สามารถแจ้งความต้องการเพิ่มเติมมาได้ และโอกาสนี้ขอฝากโครงการนําลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร เพื่อให้ลูกหลานสมาชิกสหกรณ์ เกษตรกร หรือประชาชนทั่วไป ที่มีที่ทํากินหรือมีความพร้อม และความต้องการที่จะกลับบ้านมาสานต่ออาชีพการเกษตรในภูมิลําเนาเดิม เพื่อให้มีเวลาได้อยู่กับครอบครัวและสามารถทําการเกษตรได้อย่างยั่งยืน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมบูรณาการการทํางานทุกภาคส่วนในสังกัด เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการดําเนินงานโครงการดังกล่าว โดยขณะนี้มีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ แล้วไม่น้อยกว่า 5,000 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง " รมช. กล่าว ภายหลังการพบปะกับสมาชิกสหกรณ์ และเกษตรกร คณะได้เยี่ยมชมบูธนิทรรศการ อาทิ การสาธิตการกรีดยาง ของการยางแห่งประเทศไทย สาขาโคกโพธิ์ กิจกรรมแนะนําการจัดทําบัญชีครัวเรือนและต้นทุนอาชีพ ของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กิจกรรมผสมปุ๋ยใช้เองเพื่อลดต้นทุนการผลิต ของสํานักงานเกษตรอําเภอ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25950
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เข้มสุ่มตรวจสินค้าเกษตร ให้ผู้บริโภคจับจ่ายสินค้าเกษตรปลอดภัย ในช่วงเทศกาลสงกรานต์
วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม 2560 กระทรวงเกษตรฯ เข้มสุ่มตรวจสินค้าเกษตร ให้ผู้บริโภคจับจ่ายสินค้าเกษตรปลอดภัย ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ กระทรวงเกษตรฯ เข้มสุ่มตรวจสินค้าเกษตร บูรณาการร่วมกัน 3 หน่วยงาน หวังยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรตั้งแต่ต้นน้ําถึงปลายน้ํา ให้ผู้บริโภคได้จับจ่ายสินค้าเกษตรคุณภาพเพื่อการบริโภคที่ปลอดภัย ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มุ่งเน้นให้ปี 2560 เป็นปีแห่งการยกระดับสินค้าเกษตรสู่ความมั่นคง ประกอบด้วยนโยบายที่สําคัญหลายด้าน อาทิ โครงการส่งเสริมเกษตรทฤษฎีใหม่ โครงการเกษตรอินทรีย์ การบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) การส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ และการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร เป็นต้น รวมทั้งยังได้เน้นย้ําให้หน่วยงานในสังกัดร่วมกันทํางานแบบบูรณาการทุกภาคส่วน เพื่อให้มีความก้าวหน้าและเห็นผลเป็นรูปธรรม และเพื่อให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สําหรับการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นมาตรการที่กระทรวงเกษตรฯ ดําเนินการอย่างต่อเนื่องมาโดยมาตลอด โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้บริโภคมีการจับจ่ายซื้อหาสินค้าเกษตรเพื่อการบริโภคมากอีกช่วงหนึ่งอย่างเทศกาลสงกรานต์ กระทรวงเกษตรฯ จึงได้บูรณาการร่วมกันกับ 3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมปศุสัตว์ กรมวิชาการเกษตร และกรมประมง ร่วมกันลงพื้นที่ตรวจเข้มด้านมาตรฐานสินค้าเกษตร โดยกําหนดให้วันที่ 1 – 7 เมษายน 2560 เป็นสัปดาห์แห่งการเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยด้านอาหาร โดยเน้นการดําเนินงานตั้งแต่ต้นน้ําถึงปลายน้ํา ด้านนายอภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมปศุสัตว์ได้วางแผนการดําเนินการตั้งแต่ การตรวจสอบฟาร์ม/โรงงานผลิตอาหารสัตว์ อาหารสัตว์นําเข้า สถานที่จําหน่าย สถานที่แปรรูป รวมทั้งการขับเคลื่อน พรบ. ควบคุมโรงฆ่าสัตว์ที่ช่วยขับเคลื่อนนโยบายให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น และเป็นไปตามเป้าหมายของกรมปศุสัตว์ในปี 2562 รวมทั้งการลงพื้นที่สุ่มเก็บตัวอย่างยังสถานที่จําหน่าย อาทิ โมเดิร์นเทรด ตลาดต่างๆ ซึ่งบูรณาการร่วมกัน 3 หน่วยงาน ทั้งสินค้าพืช ประมง และปศุสัตว์ นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า กรมวิชาการเกษตรได้มุ่งเน้นการตรวจสอบโรงงานผลิตปุ๋ย และวัตถุอันตราย โดยจะมีมาตรการตรวจสอบความถูกต้อง ว่าตรงตามที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้หรือไม่ ส่วน การสุ่มตรวจสารตกค้างในสินค้าประเภทพืชผัก เป็นมาตรการตามแผนการดําเนินงานในปี 2560 โดยมีเป้าหมายสุ่มตรวจ 9,500 ตัวอย่าง ซึ่งทั้งหมดถือเป็นการสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค ในการเลือกซื้อสินค้าเกษตรปลอดภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์อีกทางหนึ่ง นายมีศักดิ์ ภักดีคง รองอธิบดีกรมประมง กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมประมงเข้มงวดกวดขันตั้งแต่มาตรฐานฟาร์มเพาะเลี้ยง ร้านค้าปัจจัยการผลิต ตลอดจนสถานที่จําหน่ายสินค้าประมง นอกจากนี้ยังได้แนะนําการเลือกซื้อสินค้าประมงโดยเน้นเลือกซื้อสินค้าที่มีความสด เลือกซื้อจากร้านค้าที่มีความสะอาด เพื่อให้ได้สินค้าประมงที่มีคุณภาพและปลอดภัย นอกจากนี้ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ยังได้เตรียมจัดงานตลาดเกษตรอินทรีย์ในวันที่ 26 มีนาคม 2560 นี้โดยจะแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งของตลาด อ.ต.ก. ย่านพหลโยธิน ประมาณ 450 ตารางเมตร บริเวณข้างธนาคารกรุงไทย เป็นสถานที่จําหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์คุณภาพ สินค้าเกษตรแปรรูป และกิจกรรมส่งเสริมการจําหน่ายสินค้า ทั้งปลีกและส่งแบบครบวงจรด้วย กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เข้มสุ่มตรวจสินค้าเกษตร ให้ผู้บริโภคจับจ่ายสินค้าเกษตรปลอดภัย ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม 2560 กระทรวงเกษตรฯ เข้มสุ่มตรวจสินค้าเกษตร ให้ผู้บริโภคจับจ่ายสินค้าเกษตรปลอดภัย ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ กระทรวงเกษตรฯ เข้มสุ่มตรวจสินค้าเกษตร บูรณาการร่วมกัน 3 หน่วยงาน หวังยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรตั้งแต่ต้นน้ําถึงปลายน้ํา ให้ผู้บริโภคได้จับจ่ายสินค้าเกษตรคุณภาพเพื่อการบริโภคที่ปลอดภัย ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มุ่งเน้นให้ปี 2560 เป็นปีแห่งการยกระดับสินค้าเกษตรสู่ความมั่นคง ประกอบด้วยนโยบายที่สําคัญหลายด้าน อาทิ โครงการส่งเสริมเกษตรทฤษฎีใหม่ โครงการเกษตรอินทรีย์ การบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) การส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ และการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร เป็นต้น รวมทั้งยังได้เน้นย้ําให้หน่วยงานในสังกัดร่วมกันทํางานแบบบูรณาการทุกภาคส่วน เพื่อให้มีความก้าวหน้าและเห็นผลเป็นรูปธรรม และเพื่อให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สําหรับการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นมาตรการที่กระทรวงเกษตรฯ ดําเนินการอย่างต่อเนื่องมาโดยมาตลอด โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้บริโภคมีการจับจ่ายซื้อหาสินค้าเกษตรเพื่อการบริโภคมากอีกช่วงหนึ่งอย่างเทศกาลสงกรานต์ กระทรวงเกษตรฯ จึงได้บูรณาการร่วมกันกับ 3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมปศุสัตว์ กรมวิชาการเกษตร และกรมประมง ร่วมกันลงพื้นที่ตรวจเข้มด้านมาตรฐานสินค้าเกษตร โดยกําหนดให้วันที่ 1 – 7 เมษายน 2560 เป็นสัปดาห์แห่งการเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยด้านอาหาร โดยเน้นการดําเนินงานตั้งแต่ต้นน้ําถึงปลายน้ํา ด้านนายอภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมปศุสัตว์ได้วางแผนการดําเนินการตั้งแต่ การตรวจสอบฟาร์ม/โรงงานผลิตอาหารสัตว์ อาหารสัตว์นําเข้า สถานที่จําหน่าย สถานที่แปรรูป รวมทั้งการขับเคลื่อน พรบ. ควบคุมโรงฆ่าสัตว์ที่ช่วยขับเคลื่อนนโยบายให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น และเป็นไปตามเป้าหมายของกรมปศุสัตว์ในปี 2562 รวมทั้งการลงพื้นที่สุ่มเก็บตัวอย่างยังสถานที่จําหน่าย อาทิ โมเดิร์นเทรด ตลาดต่างๆ ซึ่งบูรณาการร่วมกัน 3 หน่วยงาน ทั้งสินค้าพืช ประมง และปศุสัตว์ นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า กรมวิชาการเกษตรได้มุ่งเน้นการตรวจสอบโรงงานผลิตปุ๋ย และวัตถุอันตราย โดยจะมีมาตรการตรวจสอบความถูกต้อง ว่าตรงตามที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้หรือไม่ ส่วน การสุ่มตรวจสารตกค้างในสินค้าประเภทพืชผัก เป็นมาตรการตามแผนการดําเนินงานในปี 2560 โดยมีเป้าหมายสุ่มตรวจ 9,500 ตัวอย่าง ซึ่งทั้งหมดถือเป็นการสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค ในการเลือกซื้อสินค้าเกษตรปลอดภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์อีกทางหนึ่ง นายมีศักดิ์ ภักดีคง รองอธิบดีกรมประมง กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมประมงเข้มงวดกวดขันตั้งแต่มาตรฐานฟาร์มเพาะเลี้ยง ร้านค้าปัจจัยการผลิต ตลอดจนสถานที่จําหน่ายสินค้าประมง นอกจากนี้ยังได้แนะนําการเลือกซื้อสินค้าประมงโดยเน้นเลือกซื้อสินค้าที่มีความสด เลือกซื้อจากร้านค้าที่มีความสะอาด เพื่อให้ได้สินค้าประมงที่มีคุณภาพและปลอดภัย นอกจากนี้ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ยังได้เตรียมจัดงานตลาดเกษตรอินทรีย์ในวันที่ 26 มีนาคม 2560 นี้โดยจะแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งของตลาด อ.ต.ก. ย่านพหลโยธิน ประมาณ 450 ตารางเมตร บริเวณข้างธนาคารกรุงไทย เป็นสถานที่จําหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์คุณภาพ สินค้าเกษตรแปรรูป และกิจกรรมส่งเสริมการจําหน่ายสินค้า ทั้งปลีกและส่งแบบครบวงจรด้วย กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2600
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานงานกิจกรรม จิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อม เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจำปี 2562
วันพุธที่ 24 กรกฎาคม 2562 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานงานกิจกรรม จิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อม เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจําปี 2562 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานงานกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อม เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจําปี 2562 ณ สวนวชิรเบญจทัศ เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร วันนี้ (24 กรกฎาคม 2562) เวลา 10.30 น. ณ สวนวชิรเบญจทัศ เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานงานกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อม เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจําปี 2562 ซึ่งมีนางนราพร จันทร์โอชา ภริยานายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี คู่สมรสรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ประชาชนจิตอาสา เข้าร่วม โดยนายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมด้วยผู้เข้าร่วมกิจกรรมฯ ถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เปิดกรวยกระทงดอกไม้ ธูปเทียนแพ และถวายความเคารพ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความสํานึก ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงปฏิบัติบําเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการด้วยพระราชประสงค์ ที่จะสืบสาน รักษา ต่อยอด ศาสตร์พระราชาและงานในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริหลากหลายสาขาของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเฉพาะด้านการอนุรักษ์และบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมจัดตั้งโครงการจิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. เพื่อความสมัครสมาน สามัคคีของพสกนิกรทุกหมู่เหล่าในการร่วมกันบําเพ็ญกิจกรรมสาธารณประโยชน์ พัฒนาชุมชน และชุมชนเมือง ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ทําให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี รัฐบาลร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน รวมทั้งภาคีเครือข่ายจิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. ได้น้อมนําพระปฐมบรมราชโองการมาเป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อสนองพระราชปณิธานโดยร่วมกันดําเนินกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อม ปลูกต้นไม้ ณ สวนวชิรเบญจทัศ กรุงเทพมหานคร เพื่อปรับภูมิทัศน์สร้างความสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพิ่มพื้นที่สีเขียวในชุมชน ในเมือง รวมทั้งลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ อีกทั้งเป็นการช่วยเสริมสร้างจิตสํานึก และความตระหนักถึงความสําคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในถิ่นฐานที่อยู่อาศัยของตนเอง ให้คงอยู่และพัฒนาอย่างยั่งยืนสืบไป จากนั้น นายกรัฐมนตรีร่วมปลูกต้นหางนกยูงฝรั่ง จํานวน 1,010 ต้น ร่วมกับภาคีเครือข่ายที่สนับสนุนต้นหางนกยูงฝรั่ง เพื่อใช้ในกิจกรรมปลูกต้นไม้ครั้งนี้จํานวน 10 องค์กร ประกอบด้วย 1) ธนาคารเกียรตินาคิน จํากัด (มหาชน) 2) กลุ่มบริษัท นายเลิศ จํากัด 3) บริษัท บีซีพีจี จํากัด (มหาชน) 4) บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ และทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) 5) บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) 6) ธนาคารแห่งอเมริกา 7) บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน) 8) บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จํากัด (มหาชน) 9) บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จํากัด (มหาชน) และ 10) ธนาคารทหารไทย จํากัด (มหาชน) โดยสมาคมภูมิสถาปนิกประเทศไทย ร่วมออกแบบพื้นที่ปลูก และประชาชนจิตอาสาร่วมปลูก และปรับภูมิทัศน์สวนวชิรเบญจทัศให้มีความสวยงามเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับประเทศ จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะ ร่วมถ่ายหมู่ ณ ทุ่งดอกบานชื่น ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรี ร่วมปลูกต้นรวงผึ้ง ในโครงการ “ปลูกต้นรวงผึ้งเฉลิมพระเกียรติ ล้นเกล้ารัชกาลที่ 10” จัดโดย สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ มูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ กองบัญชาการกองทัพไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกองทัพบก ก่อนเดินไปเยี่ยมชมอุทยานผีเสื้อและแมลง และชมนิทรรศการ “เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9” ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เมื่อเสร็จกิจกรรมจึงเดินทางกลับ -------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานงานกิจกรรม จิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อม เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจำปี 2562 วันพุธที่ 24 กรกฎาคม 2562 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานงานกิจกรรม จิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อม เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจําปี 2562 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานงานกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อม เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจําปี 2562 ณ สวนวชิรเบญจทัศ เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร วันนี้ (24 กรกฎาคม 2562) เวลา 10.30 น. ณ สวนวชิรเบญจทัศ เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานงานกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อม เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจําปี 2562 ซึ่งมีนางนราพร จันทร์โอชา ภริยานายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี คู่สมรสรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ประชาชนจิตอาสา เข้าร่วม โดยนายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมด้วยผู้เข้าร่วมกิจกรรมฯ ถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เปิดกรวยกระทงดอกไม้ ธูปเทียนแพ และถวายความเคารพ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความสํานึก ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงปฏิบัติบําเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการด้วยพระราชประสงค์ ที่จะสืบสาน รักษา ต่อยอด ศาสตร์พระราชาและงานในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริหลากหลายสาขาของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเฉพาะด้านการอนุรักษ์และบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมจัดตั้งโครงการจิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. เพื่อความสมัครสมาน สามัคคีของพสกนิกรทุกหมู่เหล่าในการร่วมกันบําเพ็ญกิจกรรมสาธารณประโยชน์ พัฒนาชุมชน และชุมชนเมือง ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ทําให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี รัฐบาลร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน รวมทั้งภาคีเครือข่ายจิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. ได้น้อมนําพระปฐมบรมราชโองการมาเป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อสนองพระราชปณิธานโดยร่วมกันดําเนินกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อม ปลูกต้นไม้ ณ สวนวชิรเบญจทัศ กรุงเทพมหานคร เพื่อปรับภูมิทัศน์สร้างความสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพิ่มพื้นที่สีเขียวในชุมชน ในเมือง รวมทั้งลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ อีกทั้งเป็นการช่วยเสริมสร้างจิตสํานึก และความตระหนักถึงความสําคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในถิ่นฐานที่อยู่อาศัยของตนเอง ให้คงอยู่และพัฒนาอย่างยั่งยืนสืบไป จากนั้น นายกรัฐมนตรีร่วมปลูกต้นหางนกยูงฝรั่ง จํานวน 1,010 ต้น ร่วมกับภาคีเครือข่ายที่สนับสนุนต้นหางนกยูงฝรั่ง เพื่อใช้ในกิจกรรมปลูกต้นไม้ครั้งนี้จํานวน 10 องค์กร ประกอบด้วย 1) ธนาคารเกียรตินาคิน จํากัด (มหาชน) 2) กลุ่มบริษัท นายเลิศ จํากัด 3) บริษัท บีซีพีจี จํากัด (มหาชน) 4) บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ และทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) 5) บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) 6) ธนาคารแห่งอเมริกา 7) บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน) 8) บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จํากัด (มหาชน) 9) บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จํากัด (มหาชน) และ 10) ธนาคารทหารไทย จํากัด (มหาชน) โดยสมาคมภูมิสถาปนิกประเทศไทย ร่วมออกแบบพื้นที่ปลูก และประชาชนจิตอาสาร่วมปลูก และปรับภูมิทัศน์สวนวชิรเบญจทัศให้มีความสวยงามเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับประเทศ จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะ ร่วมถ่ายหมู่ ณ ทุ่งดอกบานชื่น ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรี ร่วมปลูกต้นรวงผึ้ง ในโครงการ “ปลูกต้นรวงผึ้งเฉลิมพระเกียรติ ล้นเกล้ารัชกาลที่ 10” จัดโดย สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ มูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ กองบัญชาการกองทัพไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกองทัพบก ก่อนเดินไปเยี่ยมชมอุทยานผีเสื้อและแมลง และชมนิทรรศการ “เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9” ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เมื่อเสร็จกิจกรรมจึงเดินทางกลับ -------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21726
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เปิดประชาพิจารณ์ กฎหมายแรงงานสัมพันธ์
วันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561 กสร. เปิดประชาพิจารณ์ กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปิดประชาพิจารณ์ ร่างพ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. .... จัดเวที 4 ครั้ง เชิญนายจ้าง ลูกจ้าง และผู้เกี่ยวข้องร่วมแสดงความคิดเห็น เพื่อแก้ไขให้สอดคล้องสถานการณ์ด้านแรงงานและมาตรฐานสากล นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กสร. เปิดเวทีประชาพิจารณ์ร่างพ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. .... เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายฉบับนี้อย่างทั่วถึงและรอบด้าน ตลอดจนวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 เป็นกฎหมายหลักที่ใช้การดําเนินกระบวนการแรงงานสัมพันธ์ระหว่างนายจ้าง ลูกจ้างในสถานประกอบกิจการซึ่งใช้มาเป็นระยะเวลานาน ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาด้านแรงงานสัมพันธ์ สภาพการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้ง ให้สอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานสากล อาทิ อนุสัญญาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว และอนุสัญญาฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง จึงมีความจําเป็นในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายดังกล่าว อธิบดีกสร. กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ เวทีประชาพิจารณ์ร่างกฎหมายฉบับนี้ เปิดให้ผู้แทนองค์กรนายจ้าง องค์กรลูกจ้าง นักวิชาการ และผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมแสดงความคิดเห็นจํานวน 4 ครั้ง โดยครั้งแรกจัดเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อวันที่ 13 ก.พ.61 ที่ผ่านมา ณ จังหวัดสงขลา และมีกําหนดจัดอีก 3 ครั้ง ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่ 22 ก.พ.61 จังหวัดนครราชสีมา วันที่ 27 ก.พ.61 และส่วนกลาง ณ กระทรวงแรงงาน ในวันที่ 9 มี.ค.61 หลังจากนั้นจะสรุป และวิเคราะห์ผลที่ได้จากการทําประชาพิจารณ์เพื่อนําไปประกอบการพิจารณาปรับปรุงร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สํานักแรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทร. 0 2245 8993 หรือสายด่วน 1506 กด 3ป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เปิดประชาพิจารณ์ กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ วันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561 กสร. เปิดประชาพิจารณ์ กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปิดประชาพิจารณ์ ร่างพ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. .... จัดเวที 4 ครั้ง เชิญนายจ้าง ลูกจ้าง และผู้เกี่ยวข้องร่วมแสดงความคิดเห็น เพื่อแก้ไขให้สอดคล้องสถานการณ์ด้านแรงงานและมาตรฐานสากล นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กสร. เปิดเวทีประชาพิจารณ์ร่างพ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. .... เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายฉบับนี้อย่างทั่วถึงและรอบด้าน ตลอดจนวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 เป็นกฎหมายหลักที่ใช้การดําเนินกระบวนการแรงงานสัมพันธ์ระหว่างนายจ้าง ลูกจ้างในสถานประกอบกิจการซึ่งใช้มาเป็นระยะเวลานาน ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาด้านแรงงานสัมพันธ์ สภาพการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้ง ให้สอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานสากล อาทิ อนุสัญญาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว และอนุสัญญาฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง จึงมีความจําเป็นในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายดังกล่าว อธิบดีกสร. กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ เวทีประชาพิจารณ์ร่างกฎหมายฉบับนี้ เปิดให้ผู้แทนองค์กรนายจ้าง องค์กรลูกจ้าง นักวิชาการ และผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมแสดงความคิดเห็นจํานวน 4 ครั้ง โดยครั้งแรกจัดเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อวันที่ 13 ก.พ.61 ที่ผ่านมา ณ จังหวัดสงขลา และมีกําหนดจัดอีก 3 ครั้ง ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่ 22 ก.พ.61 จังหวัดนครราชสีมา วันที่ 27 ก.พ.61 และส่วนกลาง ณ กระทรวงแรงงาน ในวันที่ 9 มี.ค.61 หลังจากนั้นจะสรุป และวิเคราะห์ผลที่ได้จากการทําประชาพิจารณ์เพื่อนําไปประกอบการพิจารณาปรับปรุงร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สํานักแรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทร. 0 2245 8993 หรือสายด่วน 1506 กด 3ป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10105
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เกษตรฯ แจงข่าวดีรับปีใหม่ สิงคโปร์ไฟเขียวอนุญาตให้โรงงานผลิตเนื้อไก่สดแช่แข็งของไทยส่งออกได้เพิ่มอีก 20 แห่ง
วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม 2560 “เกษตรฯ แจงข่าวดีรับปีใหม่ สิงคโปร์ไฟเขียวอนุญาตให้โรงงานผลิตเนื้อไก่สดแช่แข็งของไทยส่งออกได้เพิ่มอีก 20 แห่ง “เกษตรฯ แจงข่าวดีรับปีใหม่ สิงคโปร์ไฟเขียวอนุญาตให้โรงงานผลิตเนื้อไก่สดแช่แข็งของไทยส่งออกได้เพิ่มอีก 20 แห่ง คาดปี’60 ไก่สดไทยบุกแดนสิงโตทะเลเพิ่มขึ้นไม่ต่ํากว่า 5,000 ตัน มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานอาหาร เกษตรและสัตวแพทย์สิงคโปร์Agri-Food and Veterinary AuthorityหรือAVAขณะนี้ได้ประกาศรับรองอนุญาตให้โรงงานผลิตเนื้อไก่สดแช่แข็งของไทยส่งออกไปยังประเทศสิงคโปร์ได้เพิ่มเติมอีก 20โรงงาน ซึ่งเป็นผลสําเร็จตามที่ได้หารือระดับทวิภาคีกับทางการสิงคโปร์ ในโอกาสเดินทางเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่38ณ ประเทศสิงคโปร์เมื่อเดือนตุลาคม 2559 ที่ผ่านมาเพื่อเร่งรัดให้หน่วยงานAVAประกาศรับรองรายชื่อโรงงานผลิตเนื้อไก่สดแช่แข็งจากประเทศไทยเพิ่มเติม “ตั้งแต่ปี 2547 ประเทศไทยส่งออกได้เฉพาะผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ปีกปรุงสุกไปยังประเทศสิงคโปร์เท่านั้น ที่ผ่านมากรมปศุสัตว์ได้เจรจาและเชิญหน่วยงานAVAประเทศสิงคโปร์เดินทางมาตรวจรับรองโรงงานผลิตเนื้อไก่สดแช่แข็งของไทยและช่วงปลายปี 2555 หน่วยงานAVAได้อนุญาตให้ประเทศไทยสามารถส่งออกเนื้อไก่สดแช่แข็งไปยังประเทศสิงคโปร์ได้ปัจจุบันประเทศไทยสามารถส่งออกเนื้อไก่สดแช่แข็งไปยังประเทศสิงคโปร์ได้เพียง2โรงงาน ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากหน่วยงานAVA” พลเอก ฉัตรชัย กล่าว อย่างไรก็ตาม ในปี 2560 คาดว่าจะมียอดการส่งออกเนื้อไก่สดแช่แข็งจากไทยไปยังประเทศสิงคโปร์ขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกจํานวนไม่ต่ํากว่า 5,000ตัน มูลค่าไม่ต่ํากว่า 400 ล้านบาท จากเดิมที่ในปัจจุบันไทยสามารถส่งออกสินค้าปศุสัตว์ไปยังประเทศสิงคโปร์ได้ราว16,000ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ2,340ล้านบาท (ปี2559)สินค้าปศุสัตว์ที่ส่งออกไปยังประเทศสิงคโปร์ได้ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่แปรรูปปรุงสุก95%,เนื้อไก่สดดิบแช่เย็นแช่แข็ง3%และผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรแปรรูปปรุงสุกและผลิตภัณฑ์ไข่แปรรูป2% ด้านนายสัตวแพทย์อภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมกระบวนการผลิตสินค้าปศุสัตว์เพื่อการส่งออก ได้ร่วมกับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสัตว์ปีกได้พัฒนาและสร้างความมั่นใจในคุณภาพมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์ของไทย โดยพัฒนาระบบมาตรฐานฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โรงงานอาหารสัตว์ โรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ ระบบการป้องกันควบคุมโรค และระบบการตรวจสอบสืบย้อนกลับได้จนถึงระดับฟาร์มจนมีมาตรฐานระดับโลก ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกเนื้อไก่รายใหญ่ อันดับ 3 ของโลก รองจาก บราซิล และสหรัฐอเมริกา และได้รับความเชื่อมั่นจากหลายๆประเทศอนุญาตให้โรงงานผลิตเนื้อไก่ดิบสดแช่แข็งและเนื้อไก่ปรุงสุกของไทยส่งออกไปสู่ตลาดโลกได้ ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป อาเซียน สาธารณรัฐเกาหลี และล่าสุดประเทศสิงคโปร์ เป็นต้น สําหรับข้อมูลการส่งออกผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกในปี 2559 พบว่า ไทยสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ปีกมากกว่า 720,000ตันมูลค่ากว่า 92,000ล้านบาท ซึ่งปริมาณการส่งออกเพิ่มสูงขึ้นกว่า 7%เมื่อเทียบกับปี 2558 และคาดการณ์ว่าปี 2560 ประเทศไทยจะมีปริมาณการส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ปีกได้กว่า 750,000ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 96,000ล้านบาท กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เกษตรฯ แจงข่าวดีรับปีใหม่ สิงคโปร์ไฟเขียวอนุญาตให้โรงงานผลิตเนื้อไก่สดแช่แข็งของไทยส่งออกได้เพิ่มอีก 20 แห่ง วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม 2560 “เกษตรฯ แจงข่าวดีรับปีใหม่ สิงคโปร์ไฟเขียวอนุญาตให้โรงงานผลิตเนื้อไก่สดแช่แข็งของไทยส่งออกได้เพิ่มอีก 20 แห่ง “เกษตรฯ แจงข่าวดีรับปีใหม่ สิงคโปร์ไฟเขียวอนุญาตให้โรงงานผลิตเนื้อไก่สดแช่แข็งของไทยส่งออกได้เพิ่มอีก 20 แห่ง คาดปี’60 ไก่สดไทยบุกแดนสิงโตทะเลเพิ่มขึ้นไม่ต่ํากว่า 5,000 ตัน มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานอาหาร เกษตรและสัตวแพทย์สิงคโปร์Agri-Food and Veterinary AuthorityหรือAVAขณะนี้ได้ประกาศรับรองอนุญาตให้โรงงานผลิตเนื้อไก่สดแช่แข็งของไทยส่งออกไปยังประเทศสิงคโปร์ได้เพิ่มเติมอีก 20โรงงาน ซึ่งเป็นผลสําเร็จตามที่ได้หารือระดับทวิภาคีกับทางการสิงคโปร์ ในโอกาสเดินทางเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่38ณ ประเทศสิงคโปร์เมื่อเดือนตุลาคม 2559 ที่ผ่านมาเพื่อเร่งรัดให้หน่วยงานAVAประกาศรับรองรายชื่อโรงงานผลิตเนื้อไก่สดแช่แข็งจากประเทศไทยเพิ่มเติม “ตั้งแต่ปี 2547 ประเทศไทยส่งออกได้เฉพาะผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ปีกปรุงสุกไปยังประเทศสิงคโปร์เท่านั้น ที่ผ่านมากรมปศุสัตว์ได้เจรจาและเชิญหน่วยงานAVAประเทศสิงคโปร์เดินทางมาตรวจรับรองโรงงานผลิตเนื้อไก่สดแช่แข็งของไทยและช่วงปลายปี 2555 หน่วยงานAVAได้อนุญาตให้ประเทศไทยสามารถส่งออกเนื้อไก่สดแช่แข็งไปยังประเทศสิงคโปร์ได้ปัจจุบันประเทศไทยสามารถส่งออกเนื้อไก่สดแช่แข็งไปยังประเทศสิงคโปร์ได้เพียง2โรงงาน ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากหน่วยงานAVA” พลเอก ฉัตรชัย กล่าว อย่างไรก็ตาม ในปี 2560 คาดว่าจะมียอดการส่งออกเนื้อไก่สดแช่แข็งจากไทยไปยังประเทศสิงคโปร์ขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกจํานวนไม่ต่ํากว่า 5,000ตัน มูลค่าไม่ต่ํากว่า 400 ล้านบาท จากเดิมที่ในปัจจุบันไทยสามารถส่งออกสินค้าปศุสัตว์ไปยังประเทศสิงคโปร์ได้ราว16,000ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ2,340ล้านบาท (ปี2559)สินค้าปศุสัตว์ที่ส่งออกไปยังประเทศสิงคโปร์ได้ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่แปรรูปปรุงสุก95%,เนื้อไก่สดดิบแช่เย็นแช่แข็ง3%และผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรแปรรูปปรุงสุกและผลิตภัณฑ์ไข่แปรรูป2% ด้านนายสัตวแพทย์อภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมกระบวนการผลิตสินค้าปศุสัตว์เพื่อการส่งออก ได้ร่วมกับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสัตว์ปีกได้พัฒนาและสร้างความมั่นใจในคุณภาพมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์ของไทย โดยพัฒนาระบบมาตรฐานฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โรงงานอาหารสัตว์ โรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ ระบบการป้องกันควบคุมโรค และระบบการตรวจสอบสืบย้อนกลับได้จนถึงระดับฟาร์มจนมีมาตรฐานระดับโลก ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกเนื้อไก่รายใหญ่ อันดับ 3 ของโลก รองจาก บราซิล และสหรัฐอเมริกา และได้รับความเชื่อมั่นจากหลายๆประเทศอนุญาตให้โรงงานผลิตเนื้อไก่ดิบสดแช่แข็งและเนื้อไก่ปรุงสุกของไทยส่งออกไปสู่ตลาดโลกได้ ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น สหภาพยุโรป อาเซียน สาธารณรัฐเกาหลี และล่าสุดประเทศสิงคโปร์ เป็นต้น สําหรับข้อมูลการส่งออกผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกในปี 2559 พบว่า ไทยสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ปีกมากกว่า 720,000ตันมูลค่ากว่า 92,000ล้านบาท ซึ่งปริมาณการส่งออกเพิ่มสูงขึ้นกว่า 7%เมื่อเทียบกับปี 2558 และคาดการณ์ว่าปี 2560 ประเทศไทยจะมีปริมาณการส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ปีกได้กว่า 750,000ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 96,000ล้านบาท กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1207
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.​ ร่วมถวายแจกันดอกไม้ และลงนามถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี
วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2563 ทส.​ ร่วมถวายแจกันดอกไม้ และลงนามถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี วันนี้​ (25 มิถุนายน​ 2563) เวลา 13.00 น. นายวราวุธ​ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ นําคณะผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงร่วมถวายแจกันดอกไม้ และลงนามถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ กรมพระศรีสวางควั วันนี้​ (25 มิถุนายน​ 2563)เวลา 13.00 น. นายวราวุธ​ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ นําคณะผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงร่วมถวายแจกันดอกไม้ และลงนามถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ให้ทรงหายจากอาการประชวร​ ณ​ บริเวณ ชั้น 1ศูนย์การแพทย์มะเร็งวิทยาจุฬาลงกรณ์โรงพยาบาล​จุฬาภรณ์ เขตหลักสี่​ กรุงเทพมหานคร​
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.​ ร่วมถวายแจกันดอกไม้ และลงนามถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2563 ทส.​ ร่วมถวายแจกันดอกไม้ และลงนามถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี วันนี้​ (25 มิถุนายน​ 2563) เวลา 13.00 น. นายวราวุธ​ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ นําคณะผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงร่วมถวายแจกันดอกไม้ และลงนามถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ กรมพระศรีสวางควั วันนี้​ (25 มิถุนายน​ 2563)เวลา 13.00 น. นายวราวุธ​ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ นําคณะผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงร่วมถวายแจกันดอกไม้ และลงนามถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ให้ทรงหายจากอาการประชวร​ ณ​ บริเวณ ชั้น 1ศูนย์การแพทย์มะเร็งวิทยาจุฬาลงกรณ์โรงพยาบาล​จุฬาภรณ์ เขตหลักสี่​ กรุงเทพมหานคร​
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32750
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุม ครม. สัญจร ครั้งที่ 3 และตรวจราชการ จ.สุรินทร์ และ จ. บุรีรัมย์
วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2561 นายกรัฐมนตรีประชุม ครม. สัญจร ครั้งที่ 3 และตรวจราชการ จ.สุรินทร์ และ จ. บุรีรัมย์ นายกรัฐมนตรีประชุม ครม. สัญจร ครั้งที่ 3 และตรวจราชการ จ.สุรินทร์ และ จ. บุรีรัมย์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ร่วมเดินทางไปยังจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อตรวจราชการในพื้นที่เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 พร้อมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2561 ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารอเนกคุณาคาร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 7-8 พฤษภาคม 2561 ประกอบด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รอง นรม. พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รอง นรม. พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว. มท. นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต. นร. นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว. กก. นายกฤษฎา บุญราช รมว. กษ. นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว. คค. พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทส. นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว. พณ. และนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว. วธ. นายกรัฐมนตรีและคณะ จะลงพื้นที่เพื่อตรวจราชการในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 หรือ กลุ่มจังหวัด “นครชัยบุรินทร์” ประกอบด้วย จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดสุรินทร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อติดตามประเด็นการพัฒนาที่สําคัญ ได้แก่ การพัฒนาโครงข่ายและคุณภาพของโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมทั้งทางอากาศและทางถนน การพัฒนาการค้าชายแดน การพัฒนาด้านการกีฬาและการท่องเที่ยวเชิงกีฬา การบริหารจัดการน้ํา การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ และการอนุรักษ์และพัฒนาต่อยอดภูมิปัญญาไทยด้านการทอผ้าไหม เป็นต้น ซึ่งมุ่งหวังที่จะเชื่อมโยงจุดเด่นในแต่พื้นที่ เพิ่มเติมจุดแข็งของสินค้าและการบริการด้วยนวตกรรมและการวิจัยและพัฒนา นําไปสู่การสร้างรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในกลุ่มจังหวัดดังกล่าว โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2561 ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารอเนกคุณาคาร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ด้วย และก่อนหน้านั้น นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 (นครชัยบุรินทร์: นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์) เพื่อร่วมประชุมหารือกับหัวหน้าส่วนราชการ และเยี่ยมชมหมู่บ้านท่องเที่ยววิถีไทย สงวนนอก และสนามบินบุรีรัมย์ นายกรัฐมนตรีมีกําหนดปฏิบัติภารกิจต่างๆ ดังนี้ วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม 2561 ช่วงเช้า เวลา 09.00 น. นายกรัฐมนตรีจะตรวจเยี่ยมชมจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม ซึ่งเป็นด่านผ่านแดนถาวรเพื่อการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว เวลา 11.00 น. เยี่ยมชมหมู่บ้านทอผ้าไหมยกทองโบราณบ้านท่าสว่าง ซึ่งยังคงมีการอนุรักษ์ศิลปะการทอผ้าไหมชั้นสูง และได้รับเลือกให้เป็นผู้ผลิตผ้าไหมที่ระลึกแก่ผู้นําต่างประเทศที่เข้าร่วมการประชุมเอเปค ครั้งที่ไทยเป็นเจ้าภาพปี 2003 ด้วย ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางต่อไปยัง จ. บุรีรัมย์ เวลา 15.00 น. โดยประมาณ นายกรัฐมนตรีจะพบปะกับประชาชน ณ สนามช้างอารีน่า และตรวจเยี่ยมความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก สนามที่ 15 รายการ PTT Thailand Grand Prix ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ช่วงค่ํา นายกรัฐมนตรีและคณะจะเยี่ยมชมถนนคนเดินเซาะกราว (Sroew Ground Walking Street) ซึ่งเป็นถนนสายวัฒนธรรมที่ได้รับรางวัลการบริหารจัดการชุมชนและสิ่งแวดล้อม วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม 2561 เวลา 08.30 น. นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 (นครชัยบุรินทร์: นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์) ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารอเนกคุณาคาร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ และ เวลา 10.30 น. นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2561 ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมฯ นายกรัฐมนตรี และคณะ จะเดินทางไปเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยววิถีไทย (Homestay) บ้านสนวนนอก ซึ่งเป็นหมู่บ้านชุมชนโบราณที่ดํารงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ตามแบบวิถีชุมชนเขมร และมีการจัดการด้านการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของบุรีรัมย์ และเดินทางไปตรวจเยี่ยมท่าอากาศยานบุรีรัมย์ ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานครในช่วงเย็นวันดังกล่าว อนึ่ง การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ และการตรวจราชการ เป็นการบริหารงานแนวประชารัฐ เพื่อให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เข้าใจสภาพแวดล้อม ภูมิประเทศ และร่วมประชุมรับฟังความเห็นจากหน่วยปฏิบัติราชการในท้องถิ่น ภาคเอกชน ผู้นําท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่ นําไปสู่การพัฒนาภารกิจและมาตรการต่างๆ ให้ตรงต่อความต้องการของประชาชนแต่ละพื้นที่อย่างแท้จริง //
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุม ครม. สัญจร ครั้งที่ 3 และตรวจราชการ จ.สุรินทร์ และ จ. บุรีรัมย์ วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2561 นายกรัฐมนตรีประชุม ครม. สัญจร ครั้งที่ 3 และตรวจราชการ จ.สุรินทร์ และ จ. บุรีรัมย์ นายกรัฐมนตรีประชุม ครม. สัญจร ครั้งที่ 3 และตรวจราชการ จ.สุรินทร์ และ จ. บุรีรัมย์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ร่วมเดินทางไปยังจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อตรวจราชการในพื้นที่เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 พร้อมประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2561 ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารอเนกคุณาคาร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 7-8 พฤษภาคม 2561 ประกอบด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รอง นรม. พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รอง นรม. พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว. มท. นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต. นร. นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว. กก. นายกฤษฎา บุญราช รมว. กษ. นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว. คค. พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทส. นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว. พณ. และนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว. วธ. นายกรัฐมนตรีและคณะ จะลงพื้นที่เพื่อตรวจราชการในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 หรือ กลุ่มจังหวัด “นครชัยบุรินทร์” ประกอบด้วย จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดสุรินทร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อติดตามประเด็นการพัฒนาที่สําคัญ ได้แก่ การพัฒนาโครงข่ายและคุณภาพของโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมทั้งทางอากาศและทางถนน การพัฒนาการค้าชายแดน การพัฒนาด้านการกีฬาและการท่องเที่ยวเชิงกีฬา การบริหารจัดการน้ํา การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ และการอนุรักษ์และพัฒนาต่อยอดภูมิปัญญาไทยด้านการทอผ้าไหม เป็นต้น ซึ่งมุ่งหวังที่จะเชื่อมโยงจุดเด่นในแต่พื้นที่ เพิ่มเติมจุดแข็งของสินค้าและการบริการด้วยนวตกรรมและการวิจัยและพัฒนา นําไปสู่การสร้างรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในกลุ่มจังหวัดดังกล่าว โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2561 ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารอเนกคุณาคาร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ด้วย และก่อนหน้านั้น นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 (นครชัยบุรินทร์: นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์) เพื่อร่วมประชุมหารือกับหัวหน้าส่วนราชการ และเยี่ยมชมหมู่บ้านท่องเที่ยววิถีไทย สงวนนอก และสนามบินบุรีรัมย์ นายกรัฐมนตรีมีกําหนดปฏิบัติภารกิจต่างๆ ดังนี้ วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม 2561 ช่วงเช้า เวลา 09.00 น. นายกรัฐมนตรีจะตรวจเยี่ยมชมจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม ซึ่งเป็นด่านผ่านแดนถาวรเพื่อการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว เวลา 11.00 น. เยี่ยมชมหมู่บ้านทอผ้าไหมยกทองโบราณบ้านท่าสว่าง ซึ่งยังคงมีการอนุรักษ์ศิลปะการทอผ้าไหมชั้นสูง และได้รับเลือกให้เป็นผู้ผลิตผ้าไหมที่ระลึกแก่ผู้นําต่างประเทศที่เข้าร่วมการประชุมเอเปค ครั้งที่ไทยเป็นเจ้าภาพปี 2003 ด้วย ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางต่อไปยัง จ. บุรีรัมย์ เวลา 15.00 น. โดยประมาณ นายกรัฐมนตรีจะพบปะกับประชาชน ณ สนามช้างอารีน่า และตรวจเยี่ยมความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก สนามที่ 15 รายการ PTT Thailand Grand Prix ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ช่วงค่ํา นายกรัฐมนตรีและคณะจะเยี่ยมชมถนนคนเดินเซาะกราว (Sroew Ground Walking Street) ซึ่งเป็นถนนสายวัฒนธรรมที่ได้รับรางวัลการบริหารจัดการชุมชนและสิ่งแวดล้อม วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม 2561 เวลา 08.30 น. นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 (นครชัยบุรินทร์: นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์) ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารอเนกคุณาคาร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ และ เวลา 10.30 น. นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2561 ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมฯ นายกรัฐมนตรี และคณะ จะเดินทางไปเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยววิถีไทย (Homestay) บ้านสนวนนอก ซึ่งเป็นหมู่บ้านชุมชนโบราณที่ดํารงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ตามแบบวิถีชุมชนเขมร และมีการจัดการด้านการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของบุรีรัมย์ และเดินทางไปตรวจเยี่ยมท่าอากาศยานบุรีรัมย์ ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานครในช่วงเย็นวันดังกล่าว อนึ่ง การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ และการตรวจราชการ เป็นการบริหารงานแนวประชารัฐ เพื่อให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เข้าใจสภาพแวดล้อม ภูมิประเทศ และร่วมประชุมรับฟังความเห็นจากหน่วยปฏิบัติราชการในท้องถิ่น ภาคเอกชน ผู้นําท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่ นําไปสู่การพัฒนาภารกิจและมาตรการต่างๆ ให้ตรงต่อความต้องการของประชาชนแต่ละพื้นที่อย่างแท้จริง //
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11973
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน เปิดตัวการให้บริการจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) อย่างเป็นทางการ
วันพุธที่ 19 เมษายน 2560 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน เปิดตัวการให้บริการจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) อย่างเป็นทางการ ผู้ประกอบการสามารถจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตได้แล้วอย่างครบวงจรตั้งแต่เริ่มต้นประกอบธุรกิจจนถึงเลิกกิจการ เป็นการพลิกโฉมการให้บริการจดทะเบียนนิติบุคคลแบบเดิมๆ มาเป็นการให้บริการผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งการอํานวยความสะดวกในการเริ่มต้นธุรกิจทําให้ได้รับความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงบริการได้ทุกที่ ทุกเวลา ตามความต้องการ ณ ศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาธุรกิจการค้า ชั้น 6 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน เปิดตัวการให้บริการจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) อย่างเป็นทางการ วันพุธที่ 19 เมษายน 2560 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน เปิดตัวการให้บริการจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) อย่างเป็นทางการ ผู้ประกอบการสามารถจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตได้แล้วอย่างครบวงจรตั้งแต่เริ่มต้นประกอบธุรกิจจนถึงเลิกกิจการ เป็นการพลิกโฉมการให้บริการจดทะเบียนนิติบุคคลแบบเดิมๆ มาเป็นการให้บริการผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งการอํานวยความสะดวกในการเริ่มต้นธุรกิจทําให้ได้รับความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงบริการได้ทุกที่ ทุกเวลา ตามความต้องการ ณ ศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาธุรกิจการค้า ชั้น 6 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3139
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 5 พฤษภาคม 2563
วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 5 พฤษภาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยรายงานวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ถึงร้อยละ 91.93 ของผู้ป่วยทั้งหมด (กลับบ้าน 7 ราย รวมกลับบ้านสะสม 2,747 ราย) ทําให้ขณะนี้เหลือผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 187 ราย รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) ประจําวันที่5 พฤษภาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ในประเทศไทยรายงานวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ถึงร้อยละ 91.93 ของผู้ป่วยทั้งหมด (กลับบ้าน 7 ราย รวมกลับบ้านสะสม 2,747 ราย) ทําให้ขณะนี้เหลือผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 187 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 6.26 ของผู้ป่วยทั้งหมด ผู้ป่วยรายใหม่ 1 ราย ผู้เสียชีวิตรวม 54 ราย ทําให้มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 2,988 ราย จํานวนผู้ป่วยรายใหม่รายงานวันนี้ 1 ราย (ลําดับที่ 2,988) จาก จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต วันนี้รายงานผู้ป่วยรายใหม่ลดลงเหลือเพียง 1 ราย ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามาตรการที่รัฐบาลกําหนดและระบบเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคของประเทศไทยมีประสิทธิภาพรวมถึงความร่วมมือของคนไทยทุกคนที่ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด ทั้งการหยุดเชื้ออยู่บ้าน การเว้นระยะห่าง การสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า การล้างมือบ่อยๆ แต่อย่างไรก็ตามจํานวนผู้ป่วยรายใหม่ที่รายงานอาจเพิ่มขึ้นได้ในวันอื่น จึงขอความร่วมมือประชาชนช่วยกันรักษาระดับการเพิ่มจํานวนของผู้ป่วยรายใหม่ให้คงอยู่ในระดับนี้หรือน้อยลงจนอยู่ในระดับ 0 อย่างแท้จริง ด้วยการปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัดต่อไปอีกระยะ ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะมีการผ่อนปรนมาตรการ อาทิ การเปิดสวนสาธารณะ สถานที่ออกกําลังกายกลางแจ้ง การอนุญาตให้เปิดกิจการบางชนิด สถานพยาบาล แต่ขอให้อย่าประมาท เนื่องจากยังมีความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อได้อยู่ กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สํานักงานกองทุนสนับสนุนการส่งเสริมสุขภาพ (สสส.) และศูนย์ Fake News จัดทําแบบสอบถามออนไลน์ เรื่องการจัดการกับข่าวสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากสื่อออนไลน์ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เพื่อนําเอาผลสํารวจไปปรับปรุงและพัฒนาแนวทางแก้ไขนโยบายเพื่อแก้ปัญหา โดยขอความร่วมมือประชาชน เข้าไปทําแบบสอบถามได้ที่https://forms.gle/Y9zhyoJnctq5Ev4j6 หรือแสกนได้จาก QR Code ****************************** 5 พฤษภาคม2563 ***********************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 5 พฤษภาคม 2563 วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 5 พฤษภาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยรายงานวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ถึงร้อยละ 91.93 ของผู้ป่วยทั้งหมด (กลับบ้าน 7 ราย รวมกลับบ้านสะสม 2,747 ราย) ทําให้ขณะนี้เหลือผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 187 ราย รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) ประจําวันที่5 พฤษภาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ในประเทศไทยรายงานวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ถึงร้อยละ 91.93 ของผู้ป่วยทั้งหมด (กลับบ้าน 7 ราย รวมกลับบ้านสะสม 2,747 ราย) ทําให้ขณะนี้เหลือผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 187 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 6.26 ของผู้ป่วยทั้งหมด ผู้ป่วยรายใหม่ 1 ราย ผู้เสียชีวิตรวม 54 ราย ทําให้มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 2,988 ราย จํานวนผู้ป่วยรายใหม่รายงานวันนี้ 1 ราย (ลําดับที่ 2,988) จาก จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต วันนี้รายงานผู้ป่วยรายใหม่ลดลงเหลือเพียง 1 ราย ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามาตรการที่รัฐบาลกําหนดและระบบเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคของประเทศไทยมีประสิทธิภาพรวมถึงความร่วมมือของคนไทยทุกคนที่ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด ทั้งการหยุดเชื้ออยู่บ้าน การเว้นระยะห่าง การสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า การล้างมือบ่อยๆ แต่อย่างไรก็ตามจํานวนผู้ป่วยรายใหม่ที่รายงานอาจเพิ่มขึ้นได้ในวันอื่น จึงขอความร่วมมือประชาชนช่วยกันรักษาระดับการเพิ่มจํานวนของผู้ป่วยรายใหม่ให้คงอยู่ในระดับนี้หรือน้อยลงจนอยู่ในระดับ 0 อย่างแท้จริง ด้วยการปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัดต่อไปอีกระยะ ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะมีการผ่อนปรนมาตรการ อาทิ การเปิดสวนสาธารณะ สถานที่ออกกําลังกายกลางแจ้ง การอนุญาตให้เปิดกิจการบางชนิด สถานพยาบาล แต่ขอให้อย่าประมาท เนื่องจากยังมีความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อได้อยู่ กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สํานักงานกองทุนสนับสนุนการส่งเสริมสุขภาพ (สสส.) และศูนย์ Fake News จัดทําแบบสอบถามออนไลน์ เรื่องการจัดการกับข่าวสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากสื่อออนไลน์ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เพื่อนําเอาผลสํารวจไปปรับปรุงและพัฒนาแนวทางแก้ไขนโยบายเพื่อแก้ปัญหา โดยขอความร่วมมือประชาชน เข้าไปทําแบบสอบถามได้ที่https://forms.gle/Y9zhyoJnctq5Ev4j6 หรือแสกนได้จาก QR Code ****************************** 5 พฤษภาคม2563 ***********************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30325
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 12 มิถุนายน 2563
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 12 มิถุนายน 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย เป็นคนไทยที่เดินทางกลับจากประเทศอินเดียและเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้าน ยอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,987 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.46 ของผู้ป รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) ประจําวันที่12 มิถุนายน 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย เป็นคนไทยที่เดินทางกลับจากประเทศอินเดียและเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้าน ยอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,987 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.46 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 84 ราย หรือร้อยละ 2.68 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,129 ราย สถานการณ์ผู้ติดเชื้อของประเทศไทยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีผู้ติดเชื้อรายใหม่ จํานวน 53 ราย ทุกรายเป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ และไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศต่อเนื่องเป็นเวลา 18 วัน ส่งผลให้สถานการณ์ของประเทศดีขึ้น รัฐบาลจึงได้ผ่อนคลายมาตรการในระยะที่ 4 เริ่มวันที่ 15 มิถุนายน 2563 ให้เปิด กิจการ/กิจกรรมเพิ่มขึ้นในกลุ่มสีแดง มีความเสี่ยงสูง อาทิ สถานศึกษา ร้านอาหาร สถานรับเลี้ยงเด็ก ขนส่งสาธารณะ สวนสนุก สระว่ายน้ํา สนามกีฬา ลานกิจกรรม ศูนย์ประชุม กองถ่าย สปา เป็นต้น ขอให้เจ้าของกิจการ พนักงานให้บริการ เตรียมมาตรการป้องกันควบคุมโรคตามแนวทางปฏิบัติของกรมอนามัยและกรมควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด สําหรับประชาชนยังต้องเข้มพฤติกรรมป้องกันตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่าง 1-2 เมตร รวมถึงหลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่แออัด มีคนรวมกันจํานวนมาก ขอย้ําการสวมเฟซชิลล์โดยไม่สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า ไม่สามารถป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้ สําหรับรายการเกมส์โชว์ที่ไม่สามารถสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าได้ ถึงแม้จะสวมเฟซชิลล์ต้องเว้นระยะห่างระหว่างกัน 1-2 เมตร ด้วย ****************************** 12 มิถุนายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 12 มิถุนายน 2563 วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 12 มิถุนายน 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย เป็นคนไทยที่เดินทางกลับจากประเทศอินเดียและเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้าน ยอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,987 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.46 ของผู้ป รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) ประจําวันที่12 มิถุนายน 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย เป็นคนไทยที่เดินทางกลับจากประเทศอินเดียและเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้าน ยอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,987 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.46 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 84 ราย หรือร้อยละ 2.68 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,129 ราย สถานการณ์ผู้ติดเชื้อของประเทศไทยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีผู้ติดเชื้อรายใหม่ จํานวน 53 ราย ทุกรายเป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ และไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศต่อเนื่องเป็นเวลา 18 วัน ส่งผลให้สถานการณ์ของประเทศดีขึ้น รัฐบาลจึงได้ผ่อนคลายมาตรการในระยะที่ 4 เริ่มวันที่ 15 มิถุนายน 2563 ให้เปิด กิจการ/กิจกรรมเพิ่มขึ้นในกลุ่มสีแดง มีความเสี่ยงสูง อาทิ สถานศึกษา ร้านอาหาร สถานรับเลี้ยงเด็ก ขนส่งสาธารณะ สวนสนุก สระว่ายน้ํา สนามกีฬา ลานกิจกรรม ศูนย์ประชุม กองถ่าย สปา เป็นต้น ขอให้เจ้าของกิจการ พนักงานให้บริการ เตรียมมาตรการป้องกันควบคุมโรคตามแนวทางปฏิบัติของกรมอนามัยและกรมควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด สําหรับประชาชนยังต้องเข้มพฤติกรรมป้องกันตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่าง 1-2 เมตร รวมถึงหลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่แออัด มีคนรวมกันจํานวนมาก ขอย้ําการสวมเฟซชิลล์โดยไม่สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า ไม่สามารถป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้ สําหรับรายการเกมส์โชว์ที่ไม่สามารถสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าได้ ถึงแม้จะสวมเฟซชิลล์ต้องเว้นระยะห่างระหว่างกัน 1-2 เมตร ด้วย ****************************** 12 มิถุนายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32270
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ
วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2559 รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ เข้ารับตําแหน่งอย่างเป็นทางการ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้ารับตําแหน่งอย่างเป็นทางการ โดยมีพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วยคณะผู้บริหารและข้าราชการ กระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับ โอกาสนี้ รมว.ศึกษาธิการ พร้อมด้วย รมช.ศึกษาธิการและคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการได้ไปสักการะพระพุทธรูปประจํากระทรวง"พระพุทธบารมีศักดิ์สิทธิ์สยามิศรจักรี สัฏฐีอนุสรณ์ ศึกษาทรรังสรรค์"จากนั้นรัฐมนตรีทั้ง3ท่านได้มอบนโยบายการทํางาน ที่ห้องประชุมศาสตราจารย์ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่าการแถลงนโยบายในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้แจ้งให้ทุกท่านได้รับทราบเกี่ยวกับแนวทางที่กระทรวงศึกษาธิการจะเดินหน้าต่อไป โดยมีนโยบายสําคัญ ดังนี้ ● การน้อมนําแนวพระราชกระแสฯ ด้านการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และพระบรมราโชบายด้านการศึกษา ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มาปรับใช้กับนโยบายด้านการศึกษา จากการที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่รัฐมนตรีนั้น พระองค์ทรงขอให้ผู้บริหารทุกคนสืบสานพระราชปณิธานด้านการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาให้เกิดเป็นรูปธรรม เพราะพระราชปณิธานของพระองค์ท่านถือเป็นพรอันสูงสุดรวมทั้งพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรซึ่งกระทรวงศึกษาธิการจะได้น้อมนํามาปฏิบัติเช่นกัน สําหรับพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรมีใจความสําคัญว่า"การศึกษาต้องมุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียนใน2ด้าน คือ ส่งเสริมให้นักเรียนมีทัศนคติที่ถูกต้อง2)การศึกษาต้องมุ่งสร้างพื้นฐานชีวิตหรืออุปนิสัยที่มั่นคงเข้มแข็ง อาทิ การสร้างบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีงาม (Character of Education)" สําหรับการสืบสานพระราชปณิธานด้านการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชนั้นพระองค์ได้ทรงมีแนวพระราชกระแสฯ ที่ได้ทรงพระราชทานในวโรกาสต่าง ๆเกี่ยวกับนักเรียน ครู และการศึกษา สิ่งที่สําคัญที่พระองค์ได้พระราชทานพระบรมราโชวาท คือ การให้ครูรู้จักอบรมเด็กทั้งด้านศีลธรรม จรรยา และวัฒนธรรม และได้ทรงเน้นย้ําเสมอว่า "การสอน" ต่างกับ "การอบรม" สิ่งสําคัญอีกประการ คือ "ความรู้" กับ "คุณธรรม" จะต้องเป็นเรื่องเดียวกัน และ "ประเทศชาติของเราจะเจริญหรือเสื่อมลงนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการศึกษาของประชาชนแต่ละคนเป็นสําคัญ ผลการศึกษาอบรมในวันนี้จะเป็นเครื่องกําหนดอนาคตของชาติในวันข้างหน้า" ● การดําเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่านอกจากการน้อมนําแนวพระราชกระแสฯ ด้านการศึกษา และพระบรมราโชบายด้านการศึกษา มาปรับใช้กับนโยบายด้านการศึกษาแล้วกระทรวงศึกษาธิการจะดําเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) ภายใต้วิสัยทัศน์“ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”ซึ่งได้กําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฯโดยมียุทธศาสตร์ด้านการศึกษาที่จะดําเนินการ 6 ด้านคือ1) ความมั่นคง 2) การสร้างความสามารถในการแข่งขัน 3) การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ 4) การสร้างโอกาสความเสมอภาคและการลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม 5) การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 6) การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ 1) ความมั่นคงตัวอย่างกิจกรรมในการจัดศึกษาของสถานศึกษาในพื้นที่3จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่ง พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ กํากับดูแลและลงพื้นที่อย่างสม่ําเสมอ หากในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ไม่สงบก็จะส่งผลถึงคุณภาพการศึกษา หรือกรณีปัญหาโรงเรียนในเขตพื้นที่สูงจังหวัดชายแดนภาคเหนือ (โรงเรียนชายขอบ) ซึ่งที่ผ่านมาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงให้ความสําคัญกับการศึกษาของโรงเรียนในจังหวัดชายแดนภาคใต้และโรงเรียนชายขอบด้วยเช่นกัน ทั้งการให้ความสําคัญกับภาษาที่ใช้ในพื้นที่ หรือสิ่งที่เรียนสถานศึกษา ฯลฯ ดังนั้น ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงจึงมีความสําคัญกับนโยบายด้านการศึกษาเป็นอย่างมาก 2) การสร้างความสามารถในการแข่งขัน โดยส่งเสริมให้มีคนไทยมีความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศได้ อาทิ การส่งเสริมด้านภาษาอังกฤษ หรือการอาชีวศึกษาแนวใหม่ที่มีความร่วมมือกับภาคเอกชน ซึ่งจะทําให้การอาชีวศึกษาของไทยมีความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศมากขึ้น ก็ถือเป็นตัวอย่างกิจกรรมโครงการของยุทธศาสตร์ด้านนี้ 3) การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะการลงทุนกับเด็กเล็กในระดับ Pre-school เป็นสิ่งสําคัญมาก เพราะเป็นการลงทุนที่ได้ผลมากที่สุด นอกจากนี้ การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง การพัฒนาครูด้วย 4) การสร้างโอกาสความเสมอภาคและการลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม อาทิ การประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ หรือ PISA ซึ่งคะแนนเฉลี่ยในแต่ละวิชาของเด็กไทยยังไม่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่หากดูคะแนนสูงสุดของเด็กไทยในแต่ละวิชา พบว่ามีคะแนนมากกว่านักเรียนสิงคโปร์ที่ได้อันดับหนึ่งจากการประเมินผล PISA แต่การที่คะแนนเฉลี่ย PISA ของเด็กไทยได้อันดับต่ํา เพราะไทยส่งทุกโรงเรียนเข้ารับการประเมิน รวมถึงโรงเรียนขนาดเล็กและโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ซึ่งหลายโรงเรียนยังคงมีคะแนนต่ําด้วย จึงทําให้ค่าเฉลี่ยของประเทศต่ําลง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเป็นตัวอย่างของความเหลื่อมล้ําทางการศึกษาระหว่างโรงเรียนที่มีความพร้อมกับโรงเรียนในชนบทที่ยังขาดการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ดังนั้น เราต้องกลับไปพิจารณาว่าโรงเรียนเหล่านั้นยังขาดอะไรบ้าง เช่น ขาดครูกี่คน มีครูครบชั้นหรือไม่ ครูสอนไม่ตรงสาขา เป็นต้น เพื่อทําการสนับสนุนและแก้ปัญหาได้ตรงจุด 5) การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมีหลากหลายโครงการที่สําคัญ อาทิ โครงการเศรษฐกิจพอเพียง นโยบายโรงเรียนคุณธรรม เป็นต้น 6) การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ เช่น การดําเนินการด้านต่าง ๆ ของคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) เป็นต้น ●มอบหมายภารกิจและหน่วยงานในความรับผิดชอบของ รมช.ศึกษาธิการ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า ในการมอบหมายภารกิจและหน่วยงานที่รับผิดชอบให้กับ รมช.ศึกษาธิการ จะแบ่งงานให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี โดยคํานึงถึงความถนัดของ รมช.ศึกษาธิการ ดังนี้ 1) พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์รับผิดชอบเรื่องความมั่นคงทางการศึกษาและยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เช่น การจัดการศึกษาแบบบูรณาการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ10เขตของไทย การจัดการศึกษาแบบบูรณาการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ใน3เมือง ที่สุไหงโก-ลก เบตง และหนองจิกรวมทั้งโรงเรียนในบริเวณพื้นที่ชายแดน หรือชายขอบ และมอบหมายภารกิจให้ดูแลหน่วยงาน2หน่วยงาน คือ สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สํานักงาน กศน.) 2) ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รับผิดชอบเกี่ยวกับการขับเคลื่อนงานเกี่ยวกับคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) รวมทั้งศึกษาธิการภาค, โครงการเศรษฐกิจพอเพียง, โรงเรียนคุณธรรม, โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติและโรงเรียนตามโครงการในพระราชดําริ, คณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ, สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (ITD), งานด้านการประชาสัมพันธ์ของกระทรวงศึกษาธิการและมอบหมายภารกิจให้ดูแลหน่วยงานสํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) สําหรับองค์กรวิชาการของกระทรวงศึกษาธิการได้แก่ สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.), สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.), สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.), สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.), สํานักงานเลขาธิการคุรุสภา, สํานักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (สํานักงาน กคศ.), สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.), สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สทศ.), สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) และโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ (องค์การมหาชน) นั้น รมว.ศึกษาธิการ จะรับผิดชอบและดูแลด้วยตนเอง ยกเว้นบางเรื่องใน สกอ. เช่น การReprofileสถาบันอุดมศึกษา จะมอบให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงศึกษาธิการ รับผิดชอบเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม แม้จะแบ่งงานแล้ว แต่ขอให้ทุกหน่วยงานเน้นการทํางานร่วมกันแบบบูรณาการ สามารถเชื่อมโยงข้อมูลและการดําเนินการในด้านต่าง ๆ ซึ่งกันและกันได้ ● ประกาศว่า ศธ.ยุคนี้จะโปร่งใสที่สุดในประวัติศาสตร์ และAnti-Corruption นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่ากระทรวงศึกษาธิการในยุคนี้จะเน้นเรื่องความโปร่งใสและ Anti-Corruption ซึ่งจะเป็นยุคที่กระทรวงศึกษาธิการมีความโปร่งใสที่สุดในประวัติศาสตร์ จะไม่มีใต้โต๊ะ หลังโต๊ะ หลังบ้าน ตามน้ําใด ๆ ทั้งสิ้น และยืนยันว่าไม่มีการนําชื่อหรือทีมงานทั้งสามท่านไปแอบอ้างเพื่อขอรับผลประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่สําคัญอีกประการ คือ"กระทรวงศึกษาธิการต้องการสร้างเด็กให้โตขึ้นมา เกลียดการโกง หรือเติบโตขึ้นมากับความไม่โกง ด้วยการปลูกฝังการไม่โกงไว้ในบรรยากาศ ระบบ และการสนทนา เพราะการไม่โกงมีวิธีการเดียว ก็คือ ให้เกลียดการโกง และจะได้ไม่ทํา" ●เตรียมพัฒนาโรงเรียนICUทั่วประเทศ ตามแนวทาง School Improvement Project ในระยะเวลาการทํางานที่เหลือตามRoadmapของรัฐบาลกระทรวงศึกษาธิการจะเน้นการทํางานที่เป็น "รูปธรรม" อย่างแท้จริง โดยโครงการที่สําคัญคือ จะให้ สพฐ.คัดเลือกโรงเรียนที่มีสภาพแย่ที่สุดหรือตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ที่เป็น ICU ในทุกภูมิภาคและทุกเขตพื้นที่การศึกษา โดยจะต้องไม่ใช่โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการโรงเรียนสานพลังประชารัฐกว่า7,000แห่ง เพราะโรงเรียนเหล่านั้นได้รับการสนับสนุนแล้วทั้งนี้ เพื่อต้องการให้โรงเรียน ICU เหล่านี้ได้รับความช่วยเหลือเร่งด่วนในด้านต่าง ๆ ตามที่โรงเรียนเหล่านั้นขาดแคลน ซึ่งคาดว่าภายใน 5 ปี โรงเรียน ICU เหล่านี้จะได้รับการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน อีกทั้งนโยบายนี้จะทําให้รู้ว่าโรงเรียน ICU นั้นตั้งอยู่ในจังหวัดอะไรบ้าง เพื่อที่ กศจ. จะได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาด้านการศึกษาได้อย่างตรงจุด ● ย้ําไม่ทิ้งนโยบายเดิม แต่จะปรับปรุงให้ดีและทันสมัยมากขึ้น ยืนยันว่ากระทรวงศึกษาธิการมีแนวทางที่จะสานต่อนโยบายเดิมที่ดําเนินการไว้ดีอยู่แล้ว อาทิ นโยบายลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ แต่จะปรับปรุงให้มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนยิ่งขึ้น หรือแนวทางการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งจะจัดทําแผนงานและโครงการต่าง ๆ ให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีด้วย นอกจากนี้ จะทําให้กระทรวงศึกษาธิการมีความทันสมัยกับสถานการณ์ปัจจุบัน หรือ Modernise MOE ภายใต้คําขวัญที่ว่า "Work hard, be nice" อีกทั้งจะไม่ใช้ One size fits all หรือการตัดเสื้อขนาดเดียวแล้วนํามาใช้กับทุกคน เนื่องจากแต่ละหน่วยงานมีบริบทที่แตกต่างกัน ดังนั้น แนวทางการปฏิบัติงานต่าง ๆ ของแต่ละแห่ง ย่อมมีความแตกต่างกันด้วย ●ร่างรัฐธรรมนูญฯ ฉบับลงประชามติ พ.ศ.2559ที่เกี่ยวข้องด้านการศึกษา นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องในการดําเนินการดูแลกองทุนตามร่างรัฐธรรมนูญฯ ฉบับดังกล่าว ตามมาตรา54วรรคหก และดําเนินการปฏิรูปการศึกษาในด้านต่าง ๆ ให้เกิดผล ตามมาตรา258ต่อไป นอกจากนี้จะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานศึกษาต่าง ๆ ให้มากขึ้น โดยอาจไม่แจ้งล่วงหน้า และหน่วยงานหรือสถานศึกษาไม่จําเป็นต้องจัดทําป้ายต้อนรับ หรือให้นักเรียนและครูทิ้งห้องเรียนเพื่อมาเข้าแถวต้อนรับ โดยย้ําว่ากระทรวงศึกษาธิการจะมีแนวทางดําเนินงานที่จะทําให้เด็กอยากไปโรงเรียน อยากเรียนหนังสือ และครูอยากจะสอน รวมถึงการมีห้องสมุดที่ดี และมีตําราเรียนที่มาตรฐานอีกด้วย. พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า จะตั้งใจทํางานทุกอย่างตามที่ได้รับมอบหมายให้สําเร็จ โดยส่วนตัวมีหลักคิดประจําใจเพื่อใช้ในการทํางานต่าง ๆ คือ "ภารกิจเหนือสิ่งใด" และ "การยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล" จึงขอเชิญชวนชาวกระทรวงศึกษาธิการทุกคนร่วมมือ ร่วมใจ ร่วมพลังความคิด เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษา เพื่อจัดการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนไทยอย่างมีคุณภาพ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อรัฐสภา ตามนโยบายรัฐบาล และนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อย่างเต็มกําลังความสามารถ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล กล่าวว่า มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ในฐานะข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ โดยพร้อมจะนําประสบการณ์การทํางานในภูมิภาคตลอด 37 ปีที่ผ่านมา ให้เกิดประโยชน์ต่องานด้านการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับแผนการศึกษาแห่งชาติ ของสํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, การดูแลกิจการลูกเสือเนตรนารี, ความร่วมมือเพื่อพัฒนาประเทศให้ยั่งยืนกับสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน), การประสานความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในภูมิภาค เพื่อขับเคลื่อนการบริหารงานของคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) หรือศึกษาธิการภาค ตลอดจนการดําเนินงานของโรงเรียนหลวง หรือโรงเรียนในโครงการตามพระราชดําริ โรงเรียนคุณธรรม เป็นต้น โดยจะน้อมนําและยึดมั่นในหลักคิดของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาใช้ในการทํางาน เช่น หลัก "บวร" (บ้าน-วัด-โรงเรียน) ที่จะใช้ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในการบริหารการศึกษา รวมทั้งจะพยายามบูรณาการและเชื่อมโยงงานที่ได้รับมอบหมายกับงานของรัฐมนตรีทั้งสองท่านอย่างเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้มีความรู้สึกยินดีกับงานที่ได้รับมอบหมาย และพร้อมจะทํางานอย่างเต็มที่ เพื่อสืบสานพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยขณะนี้เตรียมที่จะผลักดันให้เกิด Idol ในวงการศึกษา เช่นเดียวกับในอดีตที่ตนมีหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล เป็น Idol หรือเด็กคนอื่น ๆ อาจมีครู พ่อแม่ หรือผู้ปกครองเป็นแบบอย่าง โดยจะสร้าง Idol ด้านการศึกษา เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับเด็กและเยาวชน ทั้งในระดับหมู่บ้าน ตําบล อําเภอ และจังหวัดให้ครบทั้ง 76 จังหวัด พร้อมจะจัดทํา Model เพื่อพัฒนาครูอย่างยั่งยืนด้วย นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการกล่าวในนามของชาวกระทรวงศึกษาธิการว่า มีความยินดีที่จะได้ทํางานเพื่อขับเคลื่อนการศึกษาไทยร่วมกับรัฐมนตรีทั้งสามท่าน ซึ่งทุกองค์กรหลักและหน่วยงานในกํากับ กําลังพยายามปรับโครงการและงบประมาณให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 ด้าน และในระยะยาวสํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษาจะเป็นเจ้าภาพหลัก ในการประสานการหารือร่วมกับทุกหน่วยงาน ที่จะมีการบูรณาการการทํางานให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2559 รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ เข้ารับตําแหน่งอย่างเป็นทางการ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้ารับตําแหน่งอย่างเป็นทางการ โดยมีพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วยคณะผู้บริหารและข้าราชการ กระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับ โอกาสนี้ รมว.ศึกษาธิการ พร้อมด้วย รมช.ศึกษาธิการและคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการได้ไปสักการะพระพุทธรูปประจํากระทรวง"พระพุทธบารมีศักดิ์สิทธิ์สยามิศรจักรี สัฏฐีอนุสรณ์ ศึกษาทรรังสรรค์"จากนั้นรัฐมนตรีทั้ง3ท่านได้มอบนโยบายการทํางาน ที่ห้องประชุมศาสตราจารย์ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่าการแถลงนโยบายในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้แจ้งให้ทุกท่านได้รับทราบเกี่ยวกับแนวทางที่กระทรวงศึกษาธิการจะเดินหน้าต่อไป โดยมีนโยบายสําคัญ ดังนี้ ● การน้อมนําแนวพระราชกระแสฯ ด้านการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และพระบรมราโชบายด้านการศึกษา ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มาปรับใช้กับนโยบายด้านการศึกษา จากการที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่รัฐมนตรีนั้น พระองค์ทรงขอให้ผู้บริหารทุกคนสืบสานพระราชปณิธานด้านการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาให้เกิดเป็นรูปธรรม เพราะพระราชปณิธานของพระองค์ท่านถือเป็นพรอันสูงสุดรวมทั้งพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรซึ่งกระทรวงศึกษาธิการจะได้น้อมนํามาปฏิบัติเช่นกัน สําหรับพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรมีใจความสําคัญว่า"การศึกษาต้องมุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียนใน2ด้าน คือ ส่งเสริมให้นักเรียนมีทัศนคติที่ถูกต้อง2)การศึกษาต้องมุ่งสร้างพื้นฐานชีวิตหรืออุปนิสัยที่มั่นคงเข้มแข็ง อาทิ การสร้างบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีงาม (Character of Education)" สําหรับการสืบสานพระราชปณิธานด้านการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชนั้นพระองค์ได้ทรงมีแนวพระราชกระแสฯ ที่ได้ทรงพระราชทานในวโรกาสต่าง ๆเกี่ยวกับนักเรียน ครู และการศึกษา สิ่งที่สําคัญที่พระองค์ได้พระราชทานพระบรมราโชวาท คือ การให้ครูรู้จักอบรมเด็กทั้งด้านศีลธรรม จรรยา และวัฒนธรรม และได้ทรงเน้นย้ําเสมอว่า "การสอน" ต่างกับ "การอบรม" สิ่งสําคัญอีกประการ คือ "ความรู้" กับ "คุณธรรม" จะต้องเป็นเรื่องเดียวกัน และ "ประเทศชาติของเราจะเจริญหรือเสื่อมลงนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการศึกษาของประชาชนแต่ละคนเป็นสําคัญ ผลการศึกษาอบรมในวันนี้จะเป็นเครื่องกําหนดอนาคตของชาติในวันข้างหน้า" ● การดําเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่านอกจากการน้อมนําแนวพระราชกระแสฯ ด้านการศึกษา และพระบรมราโชบายด้านการศึกษา มาปรับใช้กับนโยบายด้านการศึกษาแล้วกระทรวงศึกษาธิการจะดําเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) ภายใต้วิสัยทัศน์“ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”ซึ่งได้กําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฯโดยมียุทธศาสตร์ด้านการศึกษาที่จะดําเนินการ 6 ด้านคือ1) ความมั่นคง 2) การสร้างความสามารถในการแข่งขัน 3) การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ 4) การสร้างโอกาสความเสมอภาคและการลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม 5) การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 6) การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ 1) ความมั่นคงตัวอย่างกิจกรรมในการจัดศึกษาของสถานศึกษาในพื้นที่3จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่ง พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ กํากับดูแลและลงพื้นที่อย่างสม่ําเสมอ หากในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ไม่สงบก็จะส่งผลถึงคุณภาพการศึกษา หรือกรณีปัญหาโรงเรียนในเขตพื้นที่สูงจังหวัดชายแดนภาคเหนือ (โรงเรียนชายขอบ) ซึ่งที่ผ่านมาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงให้ความสําคัญกับการศึกษาของโรงเรียนในจังหวัดชายแดนภาคใต้และโรงเรียนชายขอบด้วยเช่นกัน ทั้งการให้ความสําคัญกับภาษาที่ใช้ในพื้นที่ หรือสิ่งที่เรียนสถานศึกษา ฯลฯ ดังนั้น ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงจึงมีความสําคัญกับนโยบายด้านการศึกษาเป็นอย่างมาก 2) การสร้างความสามารถในการแข่งขัน โดยส่งเสริมให้มีคนไทยมีความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศได้ อาทิ การส่งเสริมด้านภาษาอังกฤษ หรือการอาชีวศึกษาแนวใหม่ที่มีความร่วมมือกับภาคเอกชน ซึ่งจะทําให้การอาชีวศึกษาของไทยมีความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศมากขึ้น ก็ถือเป็นตัวอย่างกิจกรรมโครงการของยุทธศาสตร์ด้านนี้ 3) การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะการลงทุนกับเด็กเล็กในระดับ Pre-school เป็นสิ่งสําคัญมาก เพราะเป็นการลงทุนที่ได้ผลมากที่สุด นอกจากนี้ การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง การพัฒนาครูด้วย 4) การสร้างโอกาสความเสมอภาคและการลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม อาทิ การประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ หรือ PISA ซึ่งคะแนนเฉลี่ยในแต่ละวิชาของเด็กไทยยังไม่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่หากดูคะแนนสูงสุดของเด็กไทยในแต่ละวิชา พบว่ามีคะแนนมากกว่านักเรียนสิงคโปร์ที่ได้อันดับหนึ่งจากการประเมินผล PISA แต่การที่คะแนนเฉลี่ย PISA ของเด็กไทยได้อันดับต่ํา เพราะไทยส่งทุกโรงเรียนเข้ารับการประเมิน รวมถึงโรงเรียนขนาดเล็กและโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ซึ่งหลายโรงเรียนยังคงมีคะแนนต่ําด้วย จึงทําให้ค่าเฉลี่ยของประเทศต่ําลง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเป็นตัวอย่างของความเหลื่อมล้ําทางการศึกษาระหว่างโรงเรียนที่มีความพร้อมกับโรงเรียนในชนบทที่ยังขาดการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ดังนั้น เราต้องกลับไปพิจารณาว่าโรงเรียนเหล่านั้นยังขาดอะไรบ้าง เช่น ขาดครูกี่คน มีครูครบชั้นหรือไม่ ครูสอนไม่ตรงสาขา เป็นต้น เพื่อทําการสนับสนุนและแก้ปัญหาได้ตรงจุด 5) การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมีหลากหลายโครงการที่สําคัญ อาทิ โครงการเศรษฐกิจพอเพียง นโยบายโรงเรียนคุณธรรม เป็นต้น 6) การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ เช่น การดําเนินการด้านต่าง ๆ ของคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) เป็นต้น ●มอบหมายภารกิจและหน่วยงานในความรับผิดชอบของ รมช.ศึกษาธิการ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า ในการมอบหมายภารกิจและหน่วยงานที่รับผิดชอบให้กับ รมช.ศึกษาธิการ จะแบ่งงานให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี โดยคํานึงถึงความถนัดของ รมช.ศึกษาธิการ ดังนี้ 1) พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์รับผิดชอบเรื่องความมั่นคงทางการศึกษาและยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เช่น การจัดการศึกษาแบบบูรณาการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ10เขตของไทย การจัดการศึกษาแบบบูรณาการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ใน3เมือง ที่สุไหงโก-ลก เบตง และหนองจิกรวมทั้งโรงเรียนในบริเวณพื้นที่ชายแดน หรือชายขอบ และมอบหมายภารกิจให้ดูแลหน่วยงาน2หน่วยงาน คือ สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สํานักงาน กศน.) 2) ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รับผิดชอบเกี่ยวกับการขับเคลื่อนงานเกี่ยวกับคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) รวมทั้งศึกษาธิการภาค, โครงการเศรษฐกิจพอเพียง, โรงเรียนคุณธรรม, โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติและโรงเรียนตามโครงการในพระราชดําริ, คณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ, สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (ITD), งานด้านการประชาสัมพันธ์ของกระทรวงศึกษาธิการและมอบหมายภารกิจให้ดูแลหน่วยงานสํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) สําหรับองค์กรวิชาการของกระทรวงศึกษาธิการได้แก่ สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.), สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.), สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.), สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.), สํานักงานเลขาธิการคุรุสภา, สํานักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (สํานักงาน กคศ.), สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.), สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สทศ.), สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) และโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ (องค์การมหาชน) นั้น รมว.ศึกษาธิการ จะรับผิดชอบและดูแลด้วยตนเอง ยกเว้นบางเรื่องใน สกอ. เช่น การReprofileสถาบันอุดมศึกษา จะมอบให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงศึกษาธิการ รับผิดชอบเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม แม้จะแบ่งงานแล้ว แต่ขอให้ทุกหน่วยงานเน้นการทํางานร่วมกันแบบบูรณาการ สามารถเชื่อมโยงข้อมูลและการดําเนินการในด้านต่าง ๆ ซึ่งกันและกันได้ ● ประกาศว่า ศธ.ยุคนี้จะโปร่งใสที่สุดในประวัติศาสตร์ และAnti-Corruption นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่ากระทรวงศึกษาธิการในยุคนี้จะเน้นเรื่องความโปร่งใสและ Anti-Corruption ซึ่งจะเป็นยุคที่กระทรวงศึกษาธิการมีความโปร่งใสที่สุดในประวัติศาสตร์ จะไม่มีใต้โต๊ะ หลังโต๊ะ หลังบ้าน ตามน้ําใด ๆ ทั้งสิ้น และยืนยันว่าไม่มีการนําชื่อหรือทีมงานทั้งสามท่านไปแอบอ้างเพื่อขอรับผลประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่สําคัญอีกประการ คือ"กระทรวงศึกษาธิการต้องการสร้างเด็กให้โตขึ้นมา เกลียดการโกง หรือเติบโตขึ้นมากับความไม่โกง ด้วยการปลูกฝังการไม่โกงไว้ในบรรยากาศ ระบบ และการสนทนา เพราะการไม่โกงมีวิธีการเดียว ก็คือ ให้เกลียดการโกง และจะได้ไม่ทํา" ●เตรียมพัฒนาโรงเรียนICUทั่วประเทศ ตามแนวทาง School Improvement Project ในระยะเวลาการทํางานที่เหลือตามRoadmapของรัฐบาลกระทรวงศึกษาธิการจะเน้นการทํางานที่เป็น "รูปธรรม" อย่างแท้จริง โดยโครงการที่สําคัญคือ จะให้ สพฐ.คัดเลือกโรงเรียนที่มีสภาพแย่ที่สุดหรือตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ที่เป็น ICU ในทุกภูมิภาคและทุกเขตพื้นที่การศึกษา โดยจะต้องไม่ใช่โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการโรงเรียนสานพลังประชารัฐกว่า7,000แห่ง เพราะโรงเรียนเหล่านั้นได้รับการสนับสนุนแล้วทั้งนี้ เพื่อต้องการให้โรงเรียน ICU เหล่านี้ได้รับความช่วยเหลือเร่งด่วนในด้านต่าง ๆ ตามที่โรงเรียนเหล่านั้นขาดแคลน ซึ่งคาดว่าภายใน 5 ปี โรงเรียน ICU เหล่านี้จะได้รับการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน อีกทั้งนโยบายนี้จะทําให้รู้ว่าโรงเรียน ICU นั้นตั้งอยู่ในจังหวัดอะไรบ้าง เพื่อที่ กศจ. จะได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาด้านการศึกษาได้อย่างตรงจุด ● ย้ําไม่ทิ้งนโยบายเดิม แต่จะปรับปรุงให้ดีและทันสมัยมากขึ้น ยืนยันว่ากระทรวงศึกษาธิการมีแนวทางที่จะสานต่อนโยบายเดิมที่ดําเนินการไว้ดีอยู่แล้ว อาทิ นโยบายลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ แต่จะปรับปรุงให้มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนยิ่งขึ้น หรือแนวทางการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งจะจัดทําแผนงานและโครงการต่าง ๆ ให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีด้วย นอกจากนี้ จะทําให้กระทรวงศึกษาธิการมีความทันสมัยกับสถานการณ์ปัจจุบัน หรือ Modernise MOE ภายใต้คําขวัญที่ว่า "Work hard, be nice" อีกทั้งจะไม่ใช้ One size fits all หรือการตัดเสื้อขนาดเดียวแล้วนํามาใช้กับทุกคน เนื่องจากแต่ละหน่วยงานมีบริบทที่แตกต่างกัน ดังนั้น แนวทางการปฏิบัติงานต่าง ๆ ของแต่ละแห่ง ย่อมมีความแตกต่างกันด้วย ●ร่างรัฐธรรมนูญฯ ฉบับลงประชามติ พ.ศ.2559ที่เกี่ยวข้องด้านการศึกษา นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องในการดําเนินการดูแลกองทุนตามร่างรัฐธรรมนูญฯ ฉบับดังกล่าว ตามมาตรา54วรรคหก และดําเนินการปฏิรูปการศึกษาในด้านต่าง ๆ ให้เกิดผล ตามมาตรา258ต่อไป นอกจากนี้จะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานศึกษาต่าง ๆ ให้มากขึ้น โดยอาจไม่แจ้งล่วงหน้า และหน่วยงานหรือสถานศึกษาไม่จําเป็นต้องจัดทําป้ายต้อนรับ หรือให้นักเรียนและครูทิ้งห้องเรียนเพื่อมาเข้าแถวต้อนรับ โดยย้ําว่ากระทรวงศึกษาธิการจะมีแนวทางดําเนินงานที่จะทําให้เด็กอยากไปโรงเรียน อยากเรียนหนังสือ และครูอยากจะสอน รวมถึงการมีห้องสมุดที่ดี และมีตําราเรียนที่มาตรฐานอีกด้วย. พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า จะตั้งใจทํางานทุกอย่างตามที่ได้รับมอบหมายให้สําเร็จ โดยส่วนตัวมีหลักคิดประจําใจเพื่อใช้ในการทํางานต่าง ๆ คือ "ภารกิจเหนือสิ่งใด" และ "การยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล" จึงขอเชิญชวนชาวกระทรวงศึกษาธิการทุกคนร่วมมือ ร่วมใจ ร่วมพลังความคิด เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษา เพื่อจัดการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนไทยอย่างมีคุณภาพ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อรัฐสภา ตามนโยบายรัฐบาล และนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อย่างเต็มกําลังความสามารถ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล กล่าวว่า มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ในฐานะข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ โดยพร้อมจะนําประสบการณ์การทํางานในภูมิภาคตลอด 37 ปีที่ผ่านมา ให้เกิดประโยชน์ต่องานด้านการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับแผนการศึกษาแห่งชาติ ของสํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, การดูแลกิจการลูกเสือเนตรนารี, ความร่วมมือเพื่อพัฒนาประเทศให้ยั่งยืนกับสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน), การประสานความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในภูมิภาค เพื่อขับเคลื่อนการบริหารงานของคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) หรือศึกษาธิการภาค ตลอดจนการดําเนินงานของโรงเรียนหลวง หรือโรงเรียนในโครงการตามพระราชดําริ โรงเรียนคุณธรรม เป็นต้น โดยจะน้อมนําและยึดมั่นในหลักคิดของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาใช้ในการทํางาน เช่น หลัก "บวร" (บ้าน-วัด-โรงเรียน) ที่จะใช้ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในการบริหารการศึกษา รวมทั้งจะพยายามบูรณาการและเชื่อมโยงงานที่ได้รับมอบหมายกับงานของรัฐมนตรีทั้งสองท่านอย่างเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้มีความรู้สึกยินดีกับงานที่ได้รับมอบหมาย และพร้อมจะทํางานอย่างเต็มที่ เพื่อสืบสานพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยขณะนี้เตรียมที่จะผลักดันให้เกิด Idol ในวงการศึกษา เช่นเดียวกับในอดีตที่ตนมีหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล เป็น Idol หรือเด็กคนอื่น ๆ อาจมีครู พ่อแม่ หรือผู้ปกครองเป็นแบบอย่าง โดยจะสร้าง Idol ด้านการศึกษา เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับเด็กและเยาวชน ทั้งในระดับหมู่บ้าน ตําบล อําเภอ และจังหวัดให้ครบทั้ง 76 จังหวัด พร้อมจะจัดทํา Model เพื่อพัฒนาครูอย่างยั่งยืนด้วย นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการกล่าวในนามของชาวกระทรวงศึกษาธิการว่า มีความยินดีที่จะได้ทํางานเพื่อขับเคลื่อนการศึกษาไทยร่วมกับรัฐมนตรีทั้งสามท่าน ซึ่งทุกองค์กรหลักและหน่วยงานในกํากับ กําลังพยายามปรับโครงการและงบประมาณให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 ด้าน และในระยะยาวสํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษาจะเป็นเจ้าภาพหลัก ในการประสานการหารือร่วมกับทุกหน่วยงาน ที่จะมีการบูรณาการการทํางานให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1078
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ รวมพลังจิตอาสา จัดใหญ่ Big Cleaning Day เฉลิมพระเกียรติพระสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2560 กระทรวงเกษตรฯ รวมพลังจิตอาสา จัดใหญ่ Big Cleaning Day เฉลิมพระเกียรติพระสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ กระทรวงเกษตรฯ รวมพลังจิตอาสา จัดใหญ่ Big Cleaning Day เฉลิมพระเกียรติพระสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นายสุรพงษ์เจียสกุลรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรมโครงการ Big Cleaning Day ว่าตามมติที่ประชุมคณะกรรมการสวัสดิการสํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์(สป.กษ.) เห็นชอบให้ดําเนินการแต่งตั้งคณะทํางานBig Cleaning Day สป.กษ.เพื่อให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นองค์กรน่าอยู่ น่ามอง และเกิดประโยชน์แก่ผู้มาติดต่อราชการในกระทรวงฯ โดยให้หน่วยงานในสังกัดสป.กษ.มีส่วนร่วมในการดําเนินกิจกรรม และเพื่อเป็นไปตามแผนเสริมสร้างความผาสุกและความผูกพันของบุคลากรที่มีต่อองค์กรของสป.กษ.ประจําปี2559 - 2561 ด้านกายภาพ กลยุทธ์ที่ 1 การพัฒนาสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานที่ดี ดังนั้น จึงได้จัด “โครงการ จิตอาสา Big Cleaning Day เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสทรงพระเจริญพระชนมพรรษา85 พรรษาของสํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ขึ้น ในวันที่ 25 สิงหาคม 2560 ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อีกทั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและให้หน่วยงานภายในสํานักงานมีระบบบริหารและการจัดการที่ดีสามารถพัฒนาประสิทธิภาพในการทํางานเพิ่มผลผลิต นอกจากนี้ ยังประกอบด้วยกิจกรรม 5 ส ได้แก่ สะสาง สะดวก สะอาด สุขลักษณะ และสร้างนิสัย ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพ เป็นการจัดระเบียบและสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับองค์กร มีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทํางานเพื่อให้เกิดสภาพการทํางานที่ดี เป็นระเบียบ สะอาด และเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน ทําให้สถานที่ทํางานและสภาพแวดล้อมการทํางาน สะอาด ปราศจากสิ่งสกปรก บุคลากรมีสุขภาพกายและจิตดี มีระเบียบวินัยในการทํางานมากขึ้นลดการเก็บเอกสารที่ซ้ําซ้อนลง เป็นการขจัดความสิ้นเปลืองของทรัพยากร วัสดุ และงบประมาณของหน่วยงาน กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ รวมพลังจิตอาสา จัดใหญ่ Big Cleaning Day เฉลิมพระเกียรติพระสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2560 กระทรวงเกษตรฯ รวมพลังจิตอาสา จัดใหญ่ Big Cleaning Day เฉลิมพระเกียรติพระสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ กระทรวงเกษตรฯ รวมพลังจิตอาสา จัดใหญ่ Big Cleaning Day เฉลิมพระเกียรติพระสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นายสุรพงษ์เจียสกุลรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรมโครงการ Big Cleaning Day ว่าตามมติที่ประชุมคณะกรรมการสวัสดิการสํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์(สป.กษ.) เห็นชอบให้ดําเนินการแต่งตั้งคณะทํางานBig Cleaning Day สป.กษ.เพื่อให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นองค์กรน่าอยู่ น่ามอง และเกิดประโยชน์แก่ผู้มาติดต่อราชการในกระทรวงฯ โดยให้หน่วยงานในสังกัดสป.กษ.มีส่วนร่วมในการดําเนินกิจกรรม และเพื่อเป็นไปตามแผนเสริมสร้างความผาสุกและความผูกพันของบุคลากรที่มีต่อองค์กรของสป.กษ.ประจําปี2559 - 2561 ด้านกายภาพ กลยุทธ์ที่ 1 การพัฒนาสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานที่ดี ดังนั้น จึงได้จัด “โครงการ จิตอาสา Big Cleaning Day เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสทรงพระเจริญพระชนมพรรษา85 พรรษาของสํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ขึ้น ในวันที่ 25 สิงหาคม 2560 ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อีกทั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและให้หน่วยงานภายในสํานักงานมีระบบบริหารและการจัดการที่ดีสามารถพัฒนาประสิทธิภาพในการทํางานเพิ่มผลผลิต นอกจากนี้ ยังประกอบด้วยกิจกรรม 5 ส ได้แก่ สะสาง สะดวก สะอาด สุขลักษณะ และสร้างนิสัย ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพ เป็นการจัดระเบียบและสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับองค์กร มีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทํางานเพื่อให้เกิดสภาพการทํางานที่ดี เป็นระเบียบ สะอาด และเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน ทําให้สถานที่ทํางานและสภาพแวดล้อมการทํางาน สะอาด ปราศจากสิ่งสกปรก บุคลากรมีสุขภาพกายและจิตดี มีระเบียบวินัยในการทํางานมากขึ้นลดการเก็บเอกสารที่ซ้ําซ้อนลง เป็นการขจัดความสิ้นเปลืองของทรัพยากร วัสดุ และงบประมาณของหน่วยงาน กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6191
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-1 พฤษภาคม 2560
วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม 2560 1 พฤษภาคม 2560 คําปราศรัย ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี “เนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ ประจําปี 2560” ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม 2560 เวลา 08.00 น. เนื่องในโอกาสวันแรงงานแห่งชาติได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกวาระหนึ่งในวันที่ 1 พฤษภาคม 2560 นี้ ผมขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศทุกท่าน แรงงานถือเป็นทรัพยากรบุคคลที่สําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ทั้งในภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคการผลิตและบริการ ให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง และมีส่วนสําคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็ง และการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลมีนโยบายในการสร้างงาน สร้างอาชีพที่มั่นคงให้แก่คนไทย โดยมุ่งหวังให้คนไทยทุกคนมีงานทํา มีรายได้ และมีหลักประกันทางอาชีพ พร้อมทั้งมีความมุ่งมั่นที่จะดูแลพี่น้องแรงงานไทยในทุกสาขาอาชีพ ทั้งแรงงานภายในประเทศและในต่างประเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดี ให้แก่พี่น้องผู้ใช้แรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ ให้ได้รับความคุ้มครอง สามารถเข้าถึงสวัสดิการของรัฐอย่างเท่าเทียม และมีรายได้ที่มั่นคง ตลอดจนได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือ เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่แรงงานไทย ในการก้าวสู่ยุคประเทศไทย 4.0 ซึ่งจะทําให้เราสามารถเพิ่มรายได้ให้กับทุกคนได้ในระยะต่อไป รัฐบาลขอขอบคุณและขอเป็นกําลังใจให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกท่าน ที่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าไปอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนตลอดมา ในโอกาสวันแรงงานแห่งชาติ วันที่ 1 พฤษภาคม 2560 นี้ ผมขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัย และอํานาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก อีกทั้งเดชะพระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้โปรดอภิบาลประทานพร ให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกท่าน พร้อมทั้งครอบครัว จงประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีกําลังกาย กําลังใจที่เข้มแข็ง เพื่อร่วมเป็นพลังสําคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทยให้เจริญก้าวหน้าต่อไป สวัสดีครับ -------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-1 พฤษภาคม 2560 วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม 2560 1 พฤษภาคม 2560 คําปราศรัย ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี “เนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ ประจําปี 2560” ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม 2560 เวลา 08.00 น. เนื่องในโอกาสวันแรงงานแห่งชาติได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกวาระหนึ่งในวันที่ 1 พฤษภาคม 2560 นี้ ผมขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังพี่น้องผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศทุกท่าน แรงงานถือเป็นทรัพยากรบุคคลที่สําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ทั้งในภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคการผลิตและบริการ ให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง และมีส่วนสําคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็ง และการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลมีนโยบายในการสร้างงาน สร้างอาชีพที่มั่นคงให้แก่คนไทย โดยมุ่งหวังให้คนไทยทุกคนมีงานทํา มีรายได้ และมีหลักประกันทางอาชีพ พร้อมทั้งมีความมุ่งมั่นที่จะดูแลพี่น้องแรงงานไทยในทุกสาขาอาชีพ ทั้งแรงงานภายในประเทศและในต่างประเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดี ให้แก่พี่น้องผู้ใช้แรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ ให้ได้รับความคุ้มครอง สามารถเข้าถึงสวัสดิการของรัฐอย่างเท่าเทียม และมีรายได้ที่มั่นคง ตลอดจนได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือ เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่แรงงานไทย ในการก้าวสู่ยุคประเทศไทย 4.0 ซึ่งจะทําให้เราสามารถเพิ่มรายได้ให้กับทุกคนได้ในระยะต่อไป รัฐบาลขอขอบคุณและขอเป็นกําลังใจให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกท่าน ที่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าไปอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนตลอดมา ในโอกาสวันแรงงานแห่งชาติ วันที่ 1 พฤษภาคม 2560 นี้ ผมขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัย และอํานาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก อีกทั้งเดชะพระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้โปรดอภิบาลประทานพร ให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกท่าน พร้อมทั้งครอบครัว จงประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีกําลังกาย กําลังใจที่เข้มแข็ง เพื่อร่วมเป็นพลังสําคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทยให้เจริญก้าวหน้าต่อไป สวัสดีครับ -------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3405
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ยุติธรรม สานต่อความร่วมมือระหว่างหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจร่วมไทย-ออสเตรเลีย (TASKFORCE STORM) ด้านปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติ
วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2560 ก.ยุติธรรม สานต่อความร่วมมือระหว่างหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจร่วมไทย-ออสเตรเลีย (TASKFORCE STORM) ด้านปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับนายไมเคิล คีแนน รัฐมนตรียุติธรรม และรัฐมนตรีผู้ช่วยนายกรัฐมนตรีด้านการต่อต้านการก่อการร้าย เครือรัฐออสเตรเลีย พร้อมคณะ ในวันจันทร์ที่ ๒๐พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๑.๑๕ น. ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับนายไมเคิล คีแนน รัฐมนตรียุติธรรม และรัฐมนตรีผู้ช่วยนายกรัฐมนตรีด้านการต่อต้านการก่อการร้าย เครือรัฐออสเตรเลีย พร้อมคณะ ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ และหารือข้อราชการร่วมกัน ต่อจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมทั้งรัฐมนตรียุติธรรมและรัฐมนตรีผู้ช่วยนายกรัฐมนตรี ด้านการต่อต้านการก่อการร้าย เครือรัฐออสเตรเลีย ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามขยายระยะเวลา ของความร่วมมือหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจร่วมไทย-ออสเตรเลีย (Ceremony of Extension of Taskforce Storm) ระหว่าง ๕หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมสอบสวนคดีพิเศษ สํานักงาน ป.ป.ส. สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงาน ปปง. และ Australian Federal Police: AFP เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านการปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติ โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า นโยบายด้านการปราบปรามยาเสพติด และอาชญากรรมข้ามชาติเป็นหนึ่งในนโยบายที่สําคัญที่กระทรวงยุติธรรมให้ความสําคัญสูงสุด สําหรับข้อตกลงการขยายระยะเวลาในครั้งนี้ จะทําให้งานของหน่วยปฏิบัติการร่วม Taskforce Storm ดําเนินต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การขยายระยะเวลาข้อตกลงร่วมดังกล่าว ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองประเทศในการจัดการกับภัยคุกคามข้ามชาติอย่างจริงจัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ยุติธรรม สานต่อความร่วมมือระหว่างหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจร่วมไทย-ออสเตรเลีย (TASKFORCE STORM) ด้านปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติ วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2560 ก.ยุติธรรม สานต่อความร่วมมือระหว่างหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจร่วมไทย-ออสเตรเลีย (TASKFORCE STORM) ด้านปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับนายไมเคิล คีแนน รัฐมนตรียุติธรรม และรัฐมนตรีผู้ช่วยนายกรัฐมนตรีด้านการต่อต้านการก่อการร้าย เครือรัฐออสเตรเลีย พร้อมคณะ ในวันจันทร์ที่ ๒๐พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๑.๑๕ น. ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับนายไมเคิล คีแนน รัฐมนตรียุติธรรม และรัฐมนตรีผู้ช่วยนายกรัฐมนตรีด้านการต่อต้านการก่อการร้าย เครือรัฐออสเตรเลีย พร้อมคณะ ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ และหารือข้อราชการร่วมกัน ต่อจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมทั้งรัฐมนตรียุติธรรมและรัฐมนตรีผู้ช่วยนายกรัฐมนตรี ด้านการต่อต้านการก่อการร้าย เครือรัฐออสเตรเลีย ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามขยายระยะเวลา ของความร่วมมือหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจร่วมไทย-ออสเตรเลีย (Ceremony of Extension of Taskforce Storm) ระหว่าง ๕หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมสอบสวนคดีพิเศษ สํานักงาน ป.ป.ส. สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงาน ปปง. และ Australian Federal Police: AFP เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านการปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติ โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า นโยบายด้านการปราบปรามยาเสพติด และอาชญากรรมข้ามชาติเป็นหนึ่งในนโยบายที่สําคัญที่กระทรวงยุติธรรมให้ความสําคัญสูงสุด สําหรับข้อตกลงการขยายระยะเวลาในครั้งนี้ จะทําให้งานของหน่วยปฏิบัติการร่วม Taskforce Storm ดําเนินต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การขยายระยะเวลาข้อตกลงร่วมดังกล่าว ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองประเทศในการจัดการกับภัยคุกคามข้ามชาติอย่างจริงจัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8228
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงแจ้งเบี่ยงการจราจรบนถนนมิตรภาพ เพื่อก่อสร้างสะพานโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หมายเลข 6 สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม เป็นต้นไป
วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561 กรมทางหลวงแจ้งเบี่ยงการจราจรบนถนนมิตรภาพ เพื่อก่อสร้างสะพานโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หมายเลข 6 สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม เป็นต้นไป กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินการก่อสร้างสะพานของโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หมายเลข 6 (มอเตอร์เวย์) สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา จึงมีความจําเป็นต้องเบี่ยงการจราจรบนทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) ช่วง กม. 73+400 - กม. 73+900 (ฝั่งขาออก) ระยะทาง 500 เมตร ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2561 จนกว่างานจะแล้วเสร็จ โดยสามารถใช้เส้นทางได้ 3 ช่องจราจรตามปกติ ทล. ขออภัยในความไม่สะดวก และขอความร่วมมือผู้ใช้เส้นทางโปรดสังเกตป้ายเตือน สัญญาณไฟจราจร และปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจรอย่างเคร่งครัด รวมทั้งขอความร่วมมือให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยเฉพาะบริเวณงานก่อสร้าง เพื่อความสะดวกและปลอดภัย สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือแจ้งเหตุต่าง ๆ ได้ที่ สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงแจ้งเบี่ยงการจราจรบนถนนมิตรภาพ เพื่อก่อสร้างสะพานโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หมายเลข 6 สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม เป็นต้นไป วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561 กรมทางหลวงแจ้งเบี่ยงการจราจรบนถนนมิตรภาพ เพื่อก่อสร้างสะพานโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หมายเลข 6 สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม เป็นต้นไป กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินการก่อสร้างสะพานของโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หมายเลข 6 (มอเตอร์เวย์) สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา จึงมีความจําเป็นต้องเบี่ยงการจราจรบนทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) ช่วง กม. 73+400 - กม. 73+900 (ฝั่งขาออก) ระยะทาง 500 เมตร ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2561 จนกว่างานจะแล้วเสร็จ โดยสามารถใช้เส้นทางได้ 3 ช่องจราจรตามปกติ ทล. ขออภัยในความไม่สะดวก และขอความร่วมมือผู้ใช้เส้นทางโปรดสังเกตป้ายเตือน สัญญาณไฟจราจร และปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจรอย่างเคร่งครัด รวมทั้งขอความร่วมมือให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยเฉพาะบริเวณงานก่อสร้าง เพื่อความสะดวกและปลอดภัย สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือแจ้งเหตุต่าง ๆ ได้ที่ สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10543
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย อวยพรสงกรานต์ปีใหม่ไทยแก่ประชาชนชาวไทย ๒๕๖๓
วันพุธที่ 15 เมษายน 2563 สถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจําประเทศไทย อวยพรสงกรานต์ปีใหม่ไทยแก่ประชาชนชาวไทย ๒๕๖๓ สถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจําประเทศไทย อวยพรสงกรานต์ปีใหม่ไทยแก่ประชาชนชาวไทย ๒๕๖๓ เนื่องในโอกาสวาระดิถีขึ้นปีใหม่ พ.ศ ๒๕๖๓ กระทรวงวัฒนธรรมได้จัดกิจกรรมเชิญชวนสถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจําประเทศไทย จัดทําคลิปวิดีโออวยพรปีใหม่แก่ประชาชนชาวไทย ซึ่งมีสถานเอกอัครราชทูตฯ จาก ๑๑ ประเทศ นําโดยเอกอัครราชทูต และเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตฯ ส่งคลิปวิดีโอเข้าร่วมกิจกรรม เพื่อร่วมถ่ายทอดคําอวยพร ความปรารถนาดี และมิตรไมตรีมอบให้แก่ประชาชนชาวไทยให้มีความสุขตลอดปีใหม่ พ.ศ ๒๕๖๓
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย อวยพรสงกรานต์ปีใหม่ไทยแก่ประชาชนชาวไทย ๒๕๖๓ วันพุธที่ 15 เมษายน 2563 สถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจําประเทศไทย อวยพรสงกรานต์ปีใหม่ไทยแก่ประชาชนชาวไทย ๒๕๖๓ สถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจําประเทศไทย อวยพรสงกรานต์ปีใหม่ไทยแก่ประชาชนชาวไทย ๒๕๖๓ เนื่องในโอกาสวาระดิถีขึ้นปีใหม่ พ.ศ ๒๕๖๓ กระทรวงวัฒนธรรมได้จัดกิจกรรมเชิญชวนสถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจําประเทศไทย จัดทําคลิปวิดีโออวยพรปีใหม่แก่ประชาชนชาวไทย ซึ่งมีสถานเอกอัครราชทูตฯ จาก ๑๑ ประเทศ นําโดยเอกอัครราชทูต และเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตฯ ส่งคลิปวิดีโอเข้าร่วมกิจกรรม เพื่อร่วมถ่ายทอดคําอวยพร ความปรารถนาดี และมิตรไมตรีมอบให้แก่ประชาชนชาวไทยให้มีความสุขตลอดปีใหม่ พ.ศ ๒๕๖๓
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29133
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋”มอบเงินสมทบบำเหน็จชราภาพแก่ทายาท แรงงานไทยเสียชีวิตที่เกาหลีใต้
วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2561 “บิ๊กอู๋”มอบเงินสมทบบําเหน็จชราภาพแก่ทายาท แรงงานไทยเสียชีวิตที่เกาหลีใต้ รมว.แรงงาน มอบเงินสมทบกรณีบําเหน็จชราภาพ ตาม พ.ร.บ.กองทุนประกันสังคม แก่ทายาทแรงงานไทยที่เสียชีวิตในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 เป็นเงิน 106,156.28 บาท เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561 ที่กระทรวงแรงงาน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบเงินสมทบกรณีบําเหน็จชราภาพตาม พ.ร.บ.กองทุนประกันสังคม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 106,156.28 บาท แก่ทายาท ที่เป็นบิดา มารดา และบุตร 2 คน ของนางสาวศรีนวล ประวัน แรงงานไทยซึ่งมีภูมิลําเนาเป็นชาวอําเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา และเสียชีวิตที่ประเทศเกาหลีใต้เนื่องจากเข้าไปทํางานเป็นแม่บ้านที่เมืองแทกู ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ย.60 และเสียชีวิตเนื่องจากล้มในห้องน้ํา โดยนางสาวศรีนวลฯ มีประวัติความเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 เมื่อวันที่ 22 มี.ค.44 และสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนเมื่อวันที่ 10 พ.ย.60 มีเงินสมทบกรณีบําเหน็จชราภาพ จํานวน 186 งวด เป็นเงิน 106,156.28 บาท พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวต่อว่า จากการสอบถามข้อมูลของเจ้าหน้าที่ทราบว่า เมื่อวันที่ 31 ต.ค.61 นายสมชาย ประวัน น้องชายของ น.ส.ศรีนวลฯ ผู้ตาย ได้ร้องขอความช่วยเหลือที่สํานักงานใหญ่หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ กรณี น.ส.ศรีนวลฯ ซึ่งเป็นพี่สาวเข้าไปทํางานเป็นแม่บ้านที่เมืองแทกูในประเทศเกาหลีใต้ ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ย.60 และเสียชีวิตเนื่องจากล้มในห้องน้ํา โดยนายสมชายฯ ร้องขอความช่วยเหลือค่าใช้จ่ายให้กับทางโรงพยาบาลที่เกาหลีใต้ เพื่อนําศพกลับมาประกอบพิธีทางศาสนา ทั้งนี้ นางสาวพินยุดา แจ่มจันทร์ศรี อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจําสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ได้สอบถามจากฝ่ายกงสุล สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ทราบข้อเท็จจริงว่า ฝ่ายกงสุลได้รับเรื่องไว้เมื่อวันที่ 31 ต.ค.61 และเซ็นมอบอํานาจให้บริษัทเป็นผู้จัดการศพเรียบร้อยแล้ว โดยได้ติดต่อญาติอย่างต่อเนื่อง และกําลังจะดําเนินการเรื่องเผาศพ แต่ไม่มีผู้ใดรับผิดชอบค่าใช้จ่ายจัดการศพ ส่วนกรณีญาติอ้างว่า ได้สื่อสารกับสถานทูตไม่รู้เรื่องนั้น ฝ่ายกงสุลแจ้งว่าไม่ใช่สถานทูตไทยในเกาหลี ทั้งนี้ หากญาติไม่มีค่าใช้จ่ายเพื่อจัดการศพ สามารถติดต่อกรมการกงสุลเพื่อกู้ยืมเงินก่อนและชดคืนได้ในภายหลัง อย่างไรก็ตาม ฝ่ายแรงงานฯ จะสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตจากฝ่ายกงสุลต่อไป ------------------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/ สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/ 2 พฤศจิกายน 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋”มอบเงินสมทบบำเหน็จชราภาพแก่ทายาท แรงงานไทยเสียชีวิตที่เกาหลีใต้ วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2561 “บิ๊กอู๋”มอบเงินสมทบบําเหน็จชราภาพแก่ทายาท แรงงานไทยเสียชีวิตที่เกาหลีใต้ รมว.แรงงาน มอบเงินสมทบกรณีบําเหน็จชราภาพ ตาม พ.ร.บ.กองทุนประกันสังคม แก่ทายาทแรงงานไทยที่เสียชีวิตในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 เป็นเงิน 106,156.28 บาท เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561 ที่กระทรวงแรงงาน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบเงินสมทบกรณีบําเหน็จชราภาพตาม พ.ร.บ.กองทุนประกันสังคม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 106,156.28 บาท แก่ทายาท ที่เป็นบิดา มารดา และบุตร 2 คน ของนางสาวศรีนวล ประวัน แรงงานไทยซึ่งมีภูมิลําเนาเป็นชาวอําเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา และเสียชีวิตที่ประเทศเกาหลีใต้เนื่องจากเข้าไปทํางานเป็นแม่บ้านที่เมืองแทกู ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ย.60 และเสียชีวิตเนื่องจากล้มในห้องน้ํา โดยนางสาวศรีนวลฯ มีประวัติความเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 เมื่อวันที่ 22 มี.ค.44 และสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนเมื่อวันที่ 10 พ.ย.60 มีเงินสมทบกรณีบําเหน็จชราภาพ จํานวน 186 งวด เป็นเงิน 106,156.28 บาท พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวต่อว่า จากการสอบถามข้อมูลของเจ้าหน้าที่ทราบว่า เมื่อวันที่ 31 ต.ค.61 นายสมชาย ประวัน น้องชายของ น.ส.ศรีนวลฯ ผู้ตาย ได้ร้องขอความช่วยเหลือที่สํานักงานใหญ่หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ กรณี น.ส.ศรีนวลฯ ซึ่งเป็นพี่สาวเข้าไปทํางานเป็นแม่บ้านที่เมืองแทกูในประเทศเกาหลีใต้ ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ย.60 และเสียชีวิตเนื่องจากล้มในห้องน้ํา โดยนายสมชายฯ ร้องขอความช่วยเหลือค่าใช้จ่ายให้กับทางโรงพยาบาลที่เกาหลีใต้ เพื่อนําศพกลับมาประกอบพิธีทางศาสนา ทั้งนี้ นางสาวพินยุดา แจ่มจันทร์ศรี อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจําสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ได้สอบถามจากฝ่ายกงสุล สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ทราบข้อเท็จจริงว่า ฝ่ายกงสุลได้รับเรื่องไว้เมื่อวันที่ 31 ต.ค.61 และเซ็นมอบอํานาจให้บริษัทเป็นผู้จัดการศพเรียบร้อยแล้ว โดยได้ติดต่อญาติอย่างต่อเนื่อง และกําลังจะดําเนินการเรื่องเผาศพ แต่ไม่มีผู้ใดรับผิดชอบค่าใช้จ่ายจัดการศพ ส่วนกรณีญาติอ้างว่า ได้สื่อสารกับสถานทูตไม่รู้เรื่องนั้น ฝ่ายกงสุลแจ้งว่าไม่ใช่สถานทูตไทยในเกาหลี ทั้งนี้ หากญาติไม่มีค่าใช้จ่ายเพื่อจัดการศพ สามารถติดต่อกรมการกงสุลเพื่อกู้ยืมเงินก่อนและชดคืนได้ในภายหลัง อย่างไรก็ตาม ฝ่ายแรงงานฯ จะสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตจากฝ่ายกงสุลต่อไป ------------------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/ สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/ 2 พฤศจิกายน 2561
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16523
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แนะประชาชนจัดงานบุญ งานบวชตามแนว New Normal [กระทรวงสาธารณสุข]
วันอังคารที่ 23 มิถุนายน 2563 สธ.แนะประชาชนจัดงานบุญ งานบวชตามแนว New Normal [กระทรวงสาธารณสุข] สธ.แนะประชาชนจัดงานบุญ งานบวชตามแนว New Normal กระทรวงสาธารณสุข แนะแนวทางกิจกรรมงานบุญแบบ New Normal ยึดมาตรการความปลอดภัย ในช่วงเข้าพรรษาไม่นําเชื้อเข้าวัด มติมหาเถรสมาคมให้จัดงานบุญ งานบวช แต่ต้องเว้นระยะห่าง ใส่หน้ากาก ล้างมือ สร้างความปลอดภัยทั้งพระสงฆ์และญาติโยมจากโควิด 19 วันนี้ (22 มิถุนายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสําราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ก่อนเข้าพรรษาในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ว่า ในช่วงก่อนเข้าพรรษาขอให้ภิกษุ สามเณร เข้ารับการตรวจสุขภาพ และกักกันตัวเอง 14 วัน เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่นําเชื้อไปแพร่ให้แก่พระรูปอื่น และญาติโยมที่มาทําบุญที่วัด ควรทําความสะอาดพื้นที่ภายในบริเวณวัด และสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ มีจุดคัดกรองก่อนเข้าสถานที่สําคัญ เช่น พระอุโบสถ และมีอากาศถ่ายเทสะดวก และสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่อไปสถานที่สาธารณะ สังเกตอาการผิดปกติ ไข้ ไอ จาม น้ํามูก ให้ไปโรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือโควิด 19 ในช่วงเข้าพรรษาถือเป็นช่วงเวลาสําคัญของพุทธศาสนาที่พระภิกษุสงฆ์จะต้องจําวัด รวมทั้งมีกิจกรรมทางศาสนา ต้องดูแลสุขภาพให้แข็งแรง มีกิจกรรมออกกําลังกายที่เหมาะสมอย่างน้อยวันละ 30 นาที ฉันอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ ทั้งโปรตีน ผักผลไม้ และต้องปฏิบัติตามมาตรการการควบคุมการระบาดของโควิด 19 สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อปฏิบัติศาสนกิจ ใช้เจลแอลกอฮอล์ก่อนเข้าพิธี เว้นระยะห่างในวัตรปฏิบัติที่ไม่ใกล้ชิดหรืออยู่ในที่แออัดเกินไป สําหรับประชาชนที่ไปทําบุญ ยึดตามมาตรการ การป้องกันอย่างเคร่งครัด การ์ดอย่าตก ให้คํานึงว่าวัดต้องปลอดเชื้อ เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ได้จําวัดอย่างปลอดภัยในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา กระทรวงสาธารณสุขพร้อมจัดหน่วยบริการด้านสุขภาพพระสงฆ์ ถวายความรู้ วิธีพยาบาลแด่พระคิลานุปัฏฐาก นายสาโรจน์ กาลศิริศิลป์ ผู้อํานวยการสํานักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สํานักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า สํานักพุทธศาสนาดูแลวัดในประเทศไทย ประมาณ 42,000 แห่ง มีจํานวนพระภิกษุ สามเณรกว่า 3 แสนรูป ที่ผ่านมาในช่วงวิกฤติการระบาดของโควิด 19 มหาเถรสมาคมมีมติให้วัดงดจัดกิจกรรมทุกประเภท แต่ปัจจุบันเมื่อรัฐบาลมีมาตรการผ่อนปรน มหาเถรสมาคมจึงมีคําสั่งผ่อนปรนให้ทุกวัดจัดกิจกรรมได้เหมือนเดิม อาทิ งานบุญ งานบวช ภายใต้มาตรการความปลอดภัยตามที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด เน้น 6 มาตรการสําคัญ ประกอบด้วย 1.คัดกรองวัดไข้ผู้ที่เข้ามาในวัด 2.การสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย 3.ล้างมือด้วยน้ําสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ 4.เว้นระยะห่างระหว่างบุคคลในการเข้าไปในพระอุโบสถ ไม่รวมตัวหนาแน่นในขณะทํากิจกรรม 5.รักษาความสะอาดภายในวัด จัดระบบการระบายอากาศให้ดี และ 6.ลงทะเบียนเข้า-ออก วัดทุกครั้ง “วันพระใหญ่ในช่วงวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา ทางวัดสามารถจัดกิจกรรมทําบุญได้ตามปกติ แต่ต้องปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด สามารถจัดพิธีเวียนเทียนในวันอาสาฬหบูชาได้ โดยแต่ละวัดอาจกําหนดเป็นรอบ หรือจัดตามความเหมาะสมและมีมาตรการอย่างเข้มงวด สําหรับกิจกรรมของพระภิกษุสงฆ์ การทําวัตรเช้า-เย็น บําเพ็ญภาวนา วัดวาต้องสะอาด เป็นหัวใจสําคัญที่พระสงฆ์จะต้องยึดปฏิบัติ โดยทางสํานักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดจะติดตามให้เป็นตามเกณฑ์ที่มหาเถรสมาคมและกระทรวงสาธารณสุขกําหนดต่อไป” นายสาโรจน์ กล่าว *************************************** 22 มิถุนายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แนะประชาชนจัดงานบุญ งานบวชตามแนว New Normal [กระทรวงสาธารณสุข] วันอังคารที่ 23 มิถุนายน 2563 สธ.แนะประชาชนจัดงานบุญ งานบวชตามแนว New Normal [กระทรวงสาธารณสุข] สธ.แนะประชาชนจัดงานบุญ งานบวชตามแนว New Normal กระทรวงสาธารณสุข แนะแนวทางกิจกรรมงานบุญแบบ New Normal ยึดมาตรการความปลอดภัย ในช่วงเข้าพรรษาไม่นําเชื้อเข้าวัด มติมหาเถรสมาคมให้จัดงานบุญ งานบวช แต่ต้องเว้นระยะห่าง ใส่หน้ากาก ล้างมือ สร้างความปลอดภัยทั้งพระสงฆ์และญาติโยมจากโควิด 19 วันนี้ (22 มิถุนายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสําราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ก่อนเข้าพรรษาในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ว่า ในช่วงก่อนเข้าพรรษาขอให้ภิกษุ สามเณร เข้ารับการตรวจสุขภาพ และกักกันตัวเอง 14 วัน เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่นําเชื้อไปแพร่ให้แก่พระรูปอื่น และญาติโยมที่มาทําบุญที่วัด ควรทําความสะอาดพื้นที่ภายในบริเวณวัด และสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ มีจุดคัดกรองก่อนเข้าสถานที่สําคัญ เช่น พระอุโบสถ และมีอากาศถ่ายเทสะดวก และสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่อไปสถานที่สาธารณะ สังเกตอาการผิดปกติ ไข้ ไอ จาม น้ํามูก ให้ไปโรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือโควิด 19 ในช่วงเข้าพรรษาถือเป็นช่วงเวลาสําคัญของพุทธศาสนาที่พระภิกษุสงฆ์จะต้องจําวัด รวมทั้งมีกิจกรรมทางศาสนา ต้องดูแลสุขภาพให้แข็งแรง มีกิจกรรมออกกําลังกายที่เหมาะสมอย่างน้อยวันละ 30 นาที ฉันอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ ทั้งโปรตีน ผักผลไม้ และต้องปฏิบัติตามมาตรการการควบคุมการระบาดของโควิด 19 สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อปฏิบัติศาสนกิจ ใช้เจลแอลกอฮอล์ก่อนเข้าพิธี เว้นระยะห่างในวัตรปฏิบัติที่ไม่ใกล้ชิดหรืออยู่ในที่แออัดเกินไป สําหรับประชาชนที่ไปทําบุญ ยึดตามมาตรการ การป้องกันอย่างเคร่งครัด การ์ดอย่าตก ให้คํานึงว่าวัดต้องปลอดเชื้อ เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ได้จําวัดอย่างปลอดภัยในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา กระทรวงสาธารณสุขพร้อมจัดหน่วยบริการด้านสุขภาพพระสงฆ์ ถวายความรู้ วิธีพยาบาลแด่พระคิลานุปัฏฐาก นายสาโรจน์ กาลศิริศิลป์ ผู้อํานวยการสํานักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สํานักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า สํานักพุทธศาสนาดูแลวัดในประเทศไทย ประมาณ 42,000 แห่ง มีจํานวนพระภิกษุ สามเณรกว่า 3 แสนรูป ที่ผ่านมาในช่วงวิกฤติการระบาดของโควิด 19 มหาเถรสมาคมมีมติให้วัดงดจัดกิจกรรมทุกประเภท แต่ปัจจุบันเมื่อรัฐบาลมีมาตรการผ่อนปรน มหาเถรสมาคมจึงมีคําสั่งผ่อนปรนให้ทุกวัดจัดกิจกรรมได้เหมือนเดิม อาทิ งานบุญ งานบวช ภายใต้มาตรการความปลอดภัยตามที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด เน้น 6 มาตรการสําคัญ ประกอบด้วย 1.คัดกรองวัดไข้ผู้ที่เข้ามาในวัด 2.การสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย 3.ล้างมือด้วยน้ําสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ 4.เว้นระยะห่างระหว่างบุคคลในการเข้าไปในพระอุโบสถ ไม่รวมตัวหนาแน่นในขณะทํากิจกรรม 5.รักษาความสะอาดภายในวัด จัดระบบการระบายอากาศให้ดี และ 6.ลงทะเบียนเข้า-ออก วัดทุกครั้ง “วันพระใหญ่ในช่วงวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา ทางวัดสามารถจัดกิจกรรมทําบุญได้ตามปกติ แต่ต้องปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด สามารถจัดพิธีเวียนเทียนในวันอาสาฬหบูชาได้ โดยแต่ละวัดอาจกําหนดเป็นรอบ หรือจัดตามความเหมาะสมและมีมาตรการอย่างเข้มงวด สําหรับกิจกรรมของพระภิกษุสงฆ์ การทําวัตรเช้า-เย็น บําเพ็ญภาวนา วัดวาต้องสะอาด เป็นหัวใจสําคัญที่พระสงฆ์จะต้องยึดปฏิบัติ โดยทางสํานักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดจะติดตามให้เป็นตามเกณฑ์ที่มหาเถรสมาคมและกระทรวงสาธารณสุขกําหนดต่อไป” นายสาโรจน์ กล่าว *************************************** 22 มิถุนายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32644
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เชิญชวนส่งภาพถ่ายเข้าประกวดในกิจกรรม Mileage Millionaire competition
วันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2560 บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) เชิญชวนส่งภาพถ่ายเข้าประกวดในกิจกรรม Mileage Millionaire competition บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) (บกท.) กระทรวงคมนาคม เชิญชวนสมาชิกสะสมไมล์ รอยัล ออร์คิด พลัส ส่งภาพถ่ายเข้าประกวดในกิจกรรม Mileage Millionaire competition หรือ 20 ปี สตาร์อัลไลแอนซ์ 21 ล้านไมล์ คืนกําไรผู้โดยสาร เนื่องในโอกาสพิเศษครบรอบ 20 ปี ของการก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรสตาร์อัลไลแอนซ์ เพื่อรับรางวัลไมล์สะสม 1 ล้านไมล์ ตั้งแต่วันนี้ - 31 กรกฎาคม 2560 กิจกรรม Mileage Millionaire competition เปิดโอกาสให้สมาชิกสะสมไมล์ รอยัล ออร์คิด พลัส ทั้ง 21 โปรแกรมของกลุ่มสายการบินสตาร์อัลไลแอนซ์ ส่งภาพถ่ายพร้อมคําบรรยายเข้าประกวดในหัวข้อ “Connecting People and Cultures” เพื่อแบ่งปันความประทับใจจากประสบการณ์การเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางทั่วทุกมุมโลกกับกลุ่มพันธมิตรสตาร์อัลไลแอนซ์ โดยโปรแกรมสะสมไมล์ทั้ง 21 โปรแกรม จะมอบรางวัลโปรแกรมละ 1 ล้านไมล์ ให้แก่ผู้ชนะเลิศที่เป็นสมาชิกของโปรแกรมนั้นๆ สําหรับใช้แลกบัตรโดยสารเพื่อเดินทางกับสายการบินในกลุ่มพันธมิตรสตาร์อัลไลแอนซ์ ไปยังทั่วทุกมุมโลก หรือใช้แลกของรางวัลอื่น ๆ ผู้สนใจส่งผลงานเข้าร่วมกิจกรรมสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและอัพโหลดผลงานผ่านทางเว็บไซต์ www.staralliance.com/mileagemillionaire ตั้งแต่วันนี้ - 31 กรกฎาคม 2560 ประกาศรายชื่อผู้ชนะเลิศในวันที่ 28 กันยายน 2560 สําหรับเงื่อนไขการเข้าร่วมกิจกรรมฯ ได้แก่ สมาชิก 1 ท่าน มีสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมต่อ 1 โปรแกรมสะสมไมล์เท่านั้น หากเป็นสมาชิกหลายโปรแกรมสะสมไมล์ ต้องเลือกโปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่ง แนบรูปโปรไฟล์ของสมาชิก คําบรรยายภาพจะต้องไม่เกิน 300 ตัวอักษร และต้องเป็นภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน โปรตุเกส สเปน เกาหลี ญี่ปุ่น หรือ จีนกลาง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เชิญชวนส่งภาพถ่ายเข้าประกวดในกิจกรรม Mileage Millionaire competition วันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2560 บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) เชิญชวนส่งภาพถ่ายเข้าประกวดในกิจกรรม Mileage Millionaire competition บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) (บกท.) กระทรวงคมนาคม เชิญชวนสมาชิกสะสมไมล์ รอยัล ออร์คิด พลัส ส่งภาพถ่ายเข้าประกวดในกิจกรรม Mileage Millionaire competition หรือ 20 ปี สตาร์อัลไลแอนซ์ 21 ล้านไมล์ คืนกําไรผู้โดยสาร เนื่องในโอกาสพิเศษครบรอบ 20 ปี ของการก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรสตาร์อัลไลแอนซ์ เพื่อรับรางวัลไมล์สะสม 1 ล้านไมล์ ตั้งแต่วันนี้ - 31 กรกฎาคม 2560 กิจกรรม Mileage Millionaire competition เปิดโอกาสให้สมาชิกสะสมไมล์ รอยัล ออร์คิด พลัส ทั้ง 21 โปรแกรมของกลุ่มสายการบินสตาร์อัลไลแอนซ์ ส่งภาพถ่ายพร้อมคําบรรยายเข้าประกวดในหัวข้อ “Connecting People and Cultures” เพื่อแบ่งปันความประทับใจจากประสบการณ์การเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางทั่วทุกมุมโลกกับกลุ่มพันธมิตรสตาร์อัลไลแอนซ์ โดยโปรแกรมสะสมไมล์ทั้ง 21 โปรแกรม จะมอบรางวัลโปรแกรมละ 1 ล้านไมล์ ให้แก่ผู้ชนะเลิศที่เป็นสมาชิกของโปรแกรมนั้นๆ สําหรับใช้แลกบัตรโดยสารเพื่อเดินทางกับสายการบินในกลุ่มพันธมิตรสตาร์อัลไลแอนซ์ ไปยังทั่วทุกมุมโลก หรือใช้แลกของรางวัลอื่น ๆ ผู้สนใจส่งผลงานเข้าร่วมกิจกรรมสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและอัพโหลดผลงานผ่านทางเว็บไซต์ www.staralliance.com/mileagemillionaire ตั้งแต่วันนี้ - 31 กรกฎาคม 2560 ประกาศรายชื่อผู้ชนะเลิศในวันที่ 28 กันยายน 2560 สําหรับเงื่อนไขการเข้าร่วมกิจกรรมฯ ได้แก่ สมาชิก 1 ท่าน มีสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมต่อ 1 โปรแกรมสะสมไมล์เท่านั้น หากเป็นสมาชิกหลายโปรแกรมสะสมไมล์ ต้องเลือกโปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่ง แนบรูปโปรไฟล์ของสมาชิก คําบรรยายภาพจะต้องไม่เกิน 300 ตัวอักษร และต้องเป็นภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน โปรตุเกส สเปน เกาหลี ญี่ปุ่น หรือ จีนกลาง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3974
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ยืนยันไทยเดินตามมาตรการที่เข้มแข็งของศบค. ช่วยลดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมชื่นชมพลังคนไทย ไม่มีการแบ่งฝัก แบ่งฝ่าย ร่วมกันเอาชนะไวรัสโควิด-19
วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2563 โฆษก ศบค. ยืนยันไทยเดินตามมาตรการที่เข้มแข็งของศบค. ช่วยลดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมชื่นชมพลังคนไทย ไม่มีการแบ่งฝัก แบ่งฝ่าย ร่วมกันเอาชนะไวรัสโควิด-19 โฆษก ศบค. ยืนยันไทยเดินตามมาตรการที่เข้มแข็งของศบค. ช่วยลดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมชื่นชมพลังคนไทย ไม่มีการแบ่งฝัก แบ่งฝ่าย ร่วมกันเอาชนะไวรัสโควิด-19 วันนี้ (12 เม.ย. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลางตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบข้อซักถามเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังนี้ โฆษก ศบค. ชี้แจงคําถามของสื่อมวลชนกรณีจํานวนผู้ติดเชื้อลดลงนั้น มาจากการตรวจกลุ่มเสี่ยงผู้ติดเชื้อจากสนามมวยครบแล้ว รวมกับมาตรการที่ภาครัฐดําเนินการใช้อยู่นั้นได้ผลดีว่า ทุกการดําเนินงานนั้นย่อมต้องมีการประเมินสถานการณ์อยู่เสมอ หากอ้างอิงตัวเลขหลังการประกาศใช้มาตรการเคอร์ฟิว ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 63 เป็นเวลา 9 วัน จํานวนผู้ป่วยได้ลดลงอย่างชัดเจนเหลือจากหลักร้อยเหลือเพียงหลักหน่วย มีเพียงแค่วันที่ 5 เม.ย. 63 และ วันที่ 8 เม.ย. 63 ที่ตัวเลขกลับไปสู่จํานวนหลักร้อย เนื่องจากวันที่ 8 เม.ย. 63 นั้นได้นับรวมจํานวนคนไทยที่เดินทางกลับมาจากอินโดนีเซีย เช่นเดียวกับการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ตั้งแต่วันที่ 27 มี.ค. 63 ที่ทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือ หากดูตามปัจจัยเสี่ยง กลุ่มสนามมวยที่มีจํานวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มากได้ลดลงอย่างต่อเนื่องและในสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่พบผู้ติดเชื้อเลย สัปดาห์ที่ 12 (15 – 21 มี.ค. 63) พบจํานวนผู้ป่วยยืนยัน 110 คน สัปดาห์ที่ 13 (22 มี.ค. – 28 มี.ค. 63) พบจํานวนผู้ป่วยยืนยัน 113 คน สัปดาห์ที่ 14 (29 มี.ค. – 4 เม.ย. 63) พบจํานวนผู้ป่วยยืนยัน 19 คน และขณะนี้ไม่มีจํานวนผู้ป่วยแล้ว เพราะได้มีมาตรการควบคุมที่รัดกุมอย่างดี และได้รับความร่วมมือจากกลุ่มเสี่ยงที่เข้ารับการตรวจคัดกรองโรค เช่นเดียวกับกรณีกลุ่มคนที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ในสัปดาห์ที่ 12 (15 – 21 มี.ค. 63) พบจํานวนผู้ป่วยยืนยัน 18 คน สัปดาห์ที่ 13 (22 มี.ค. – 28 มี.ค. 63) พบจํานวนผู้ป่วยยืนยัน 33 คน สัปดาห์ที่ 14 (29 มี.ค. – 4 เม.ย. 63) พบจํานวนผู้ป่วยยืนยัน 33 คน และสัปดาห์ที่ 15 (5 เม.ย. – 11 เม.ย. 63) พบจํานวนผู้ป่วยยืนยัน 5 คน จากกลุ่มคนที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ 158 คน ซึ่งทุกคนได้ให้ความร่วมมือเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคอย่างดี โฆษก ศบค. ยืนยันว่า การมีมาตรการที่เข้มข้นเป็นการช่วยลดจํานวนผู้ติดเชื้อได้ ประกอบกับช่วงระยะเวลาการฟักตัวของเชื้อไวรัสที่ใช้เวลา 5 – 7 วัน เมื่อมีการแสดงอาการก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการรักษา เพราะฉะนั้น 9 วันที่ผ่านมานั้นถือว่าอยู่ในการควบคุมดูแลของมาตรการของศูนย์ ศบค. ตามที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อํานวยการ ศบค. ได้วางมาตรการทางสาธารณสุขเป็นอันดับแรก ตามมาด้วยมาตรการการจัดการหน้ากากอนามัย และมาตรการด้านความมั่นคง ที่ทั้งหมดจะทํางานไปด้วยกัน และจําเป็นที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนด้วย จากนั้น โฆษก ศบค. ชี้แจงถึงกรณีทําไมประเทศไทยถึงไม่มีการประกาศมาตรการงดจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมกันในพื้นที่ทุกจังหวัด พร้อมแนะนําการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ เพื่อลดอัตราการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า การประกาศมาตรการงดจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮออล์ ถือเป็นมาตรการของผู้ว่าราชการจังหวัดในแต่ละจังหวัด โดยในที่ประชุม ศบค. ย่อย ได้หารือมาตรการดังกล่าวแล้วขณะนี้อยู่ในช่วงของการพิจารณา โดยคณะกรรมการโรคติดต่อประจําจังหวัด ศบค.และกระทรวงมหาดไทยร่วมกันพิจารณา ประสานงาน เมื่อมีการประกาศแล้วจําเป็นต้องหามาตรการควบคุมตามที่ได้มีการประกาศ รวมทั้งตรวจสอบผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบด้วย โฆษก ศบค. ยังแนะนําถึงการปฏิบัติตัวในช่วงเทศกาลสงกรานต์โดยเน้นย้ําว่า ไม่ควรอยู่ใกล้ผู้สูงอายุ งดการเล่นน้ํา งดการรดน้ําขอพร รวมถึงงดการเข้าร่วมพิธีกรรมต่างๆ ที่มีการรวมตัวของกลุ่มคนจํานวนมาก เพราะละอองฝอยที่เกิดจากสารคัดหลั่งสามารถแพร่กระจายไปยังบุคคลอื่นได้ โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ ซึ่งอาจจะทําให้ได้รับเชื้อโควิด-19 ได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามต้องขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนทุกคน ช่วยกันลดอัตราการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ในช่วงท้าย โฆษก ศบค. ยังชื่นชมการรวมพลังของคนไทย ช่วยไทยก้าวผ่าน ทําให้ตัวเลขลดลง แม้ห่างทางกาย (Physical Distancing) แต่สิ่งสําคัญที่สุด คือ การผูกพันที่ดีของสังคม (Social Cohesion) เป็นกําลังใจให้ก้าวผ่าน ไม่มีการแบ่งฝัก แบ่งฝ่าย ศัตรูร่วมกัน คือ เชี้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โควิด -19 เพื่อเราสู้และชนะในที่สุด กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ยืนยันไทยเดินตามมาตรการที่เข้มแข็งของศบค. ช่วยลดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมชื่นชมพลังคนไทย ไม่มีการแบ่งฝัก แบ่งฝ่าย ร่วมกันเอาชนะไวรัสโควิด-19 วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2563 โฆษก ศบค. ยืนยันไทยเดินตามมาตรการที่เข้มแข็งของศบค. ช่วยลดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมชื่นชมพลังคนไทย ไม่มีการแบ่งฝัก แบ่งฝ่าย ร่วมกันเอาชนะไวรัสโควิด-19 โฆษก ศบค. ยืนยันไทยเดินตามมาตรการที่เข้มแข็งของศบค. ช่วยลดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมชื่นชมพลังคนไทย ไม่มีการแบ่งฝัก แบ่งฝ่าย ร่วมกันเอาชนะไวรัสโควิด-19 วันนี้ (12 เม.ย. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลางตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบข้อซักถามเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังนี้ โฆษก ศบค. ชี้แจงคําถามของสื่อมวลชนกรณีจํานวนผู้ติดเชื้อลดลงนั้น มาจากการตรวจกลุ่มเสี่ยงผู้ติดเชื้อจากสนามมวยครบแล้ว รวมกับมาตรการที่ภาครัฐดําเนินการใช้อยู่นั้นได้ผลดีว่า ทุกการดําเนินงานนั้นย่อมต้องมีการประเมินสถานการณ์อยู่เสมอ หากอ้างอิงตัวเลขหลังการประกาศใช้มาตรการเคอร์ฟิว ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 63 เป็นเวลา 9 วัน จํานวนผู้ป่วยได้ลดลงอย่างชัดเจนเหลือจากหลักร้อยเหลือเพียงหลักหน่วย มีเพียงแค่วันที่ 5 เม.ย. 63 และ วันที่ 8 เม.ย. 63 ที่ตัวเลขกลับไปสู่จํานวนหลักร้อย เนื่องจากวันที่ 8 เม.ย. 63 นั้นได้นับรวมจํานวนคนไทยที่เดินทางกลับมาจากอินโดนีเซีย เช่นเดียวกับการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ตั้งแต่วันที่ 27 มี.ค. 63 ที่ทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือ หากดูตามปัจจัยเสี่ยง กลุ่มสนามมวยที่มีจํานวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มากได้ลดลงอย่างต่อเนื่องและในสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่พบผู้ติดเชื้อเลย สัปดาห์ที่ 12 (15 – 21 มี.ค. 63) พบจํานวนผู้ป่วยยืนยัน 110 คน สัปดาห์ที่ 13 (22 มี.ค. – 28 มี.ค. 63) พบจํานวนผู้ป่วยยืนยัน 113 คน สัปดาห์ที่ 14 (29 มี.ค. – 4 เม.ย. 63) พบจํานวนผู้ป่วยยืนยัน 19 คน และขณะนี้ไม่มีจํานวนผู้ป่วยแล้ว เพราะได้มีมาตรการควบคุมที่รัดกุมอย่างดี และได้รับความร่วมมือจากกลุ่มเสี่ยงที่เข้ารับการตรวจคัดกรองโรค เช่นเดียวกับกรณีกลุ่มคนที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ในสัปดาห์ที่ 12 (15 – 21 มี.ค. 63) พบจํานวนผู้ป่วยยืนยัน 18 คน สัปดาห์ที่ 13 (22 มี.ค. – 28 มี.ค. 63) พบจํานวนผู้ป่วยยืนยัน 33 คน สัปดาห์ที่ 14 (29 มี.ค. – 4 เม.ย. 63) พบจํานวนผู้ป่วยยืนยัน 33 คน และสัปดาห์ที่ 15 (5 เม.ย. – 11 เม.ย. 63) พบจํานวนผู้ป่วยยืนยัน 5 คน จากกลุ่มคนที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ 158 คน ซึ่งทุกคนได้ให้ความร่วมมือเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคอย่างดี โฆษก ศบค. ยืนยันว่า การมีมาตรการที่เข้มข้นเป็นการช่วยลดจํานวนผู้ติดเชื้อได้ ประกอบกับช่วงระยะเวลาการฟักตัวของเชื้อไวรัสที่ใช้เวลา 5 – 7 วัน เมื่อมีการแสดงอาการก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการรักษา เพราะฉะนั้น 9 วันที่ผ่านมานั้นถือว่าอยู่ในการควบคุมดูแลของมาตรการของศูนย์ ศบค. ตามที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อํานวยการ ศบค. ได้วางมาตรการทางสาธารณสุขเป็นอันดับแรก ตามมาด้วยมาตรการการจัดการหน้ากากอนามัย และมาตรการด้านความมั่นคง ที่ทั้งหมดจะทํางานไปด้วยกัน และจําเป็นที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนด้วย จากนั้น โฆษก ศบค. ชี้แจงถึงกรณีทําไมประเทศไทยถึงไม่มีการประกาศมาตรการงดจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมกันในพื้นที่ทุกจังหวัด พร้อมแนะนําการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ เพื่อลดอัตราการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า การประกาศมาตรการงดจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮออล์ ถือเป็นมาตรการของผู้ว่าราชการจังหวัดในแต่ละจังหวัด โดยในที่ประชุม ศบค. ย่อย ได้หารือมาตรการดังกล่าวแล้วขณะนี้อยู่ในช่วงของการพิจารณา โดยคณะกรรมการโรคติดต่อประจําจังหวัด ศบค.และกระทรวงมหาดไทยร่วมกันพิจารณา ประสานงาน เมื่อมีการประกาศแล้วจําเป็นต้องหามาตรการควบคุมตามที่ได้มีการประกาศ รวมทั้งตรวจสอบผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบด้วย โฆษก ศบค. ยังแนะนําถึงการปฏิบัติตัวในช่วงเทศกาลสงกรานต์โดยเน้นย้ําว่า ไม่ควรอยู่ใกล้ผู้สูงอายุ งดการเล่นน้ํา งดการรดน้ําขอพร รวมถึงงดการเข้าร่วมพิธีกรรมต่างๆ ที่มีการรวมตัวของกลุ่มคนจํานวนมาก เพราะละอองฝอยที่เกิดจากสารคัดหลั่งสามารถแพร่กระจายไปยังบุคคลอื่นได้ โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ ซึ่งอาจจะทําให้ได้รับเชื้อโควิด-19 ได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามต้องขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนทุกคน ช่วยกันลดอัตราการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ในช่วงท้าย โฆษก ศบค. ยังชื่นชมการรวมพลังของคนไทย ช่วยไทยก้าวผ่าน ทําให้ตัวเลขลดลง แม้ห่างทางกาย (Physical Distancing) แต่สิ่งสําคัญที่สุด คือ การผูกพันที่ดีของสังคม (Social Cohesion) เป็นกําลังใจให้ก้าวผ่าน ไม่มีการแบ่งฝัก แบ่งฝ่าย ศัตรูร่วมกัน คือ เชี้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โควิด -19 เพื่อเราสู้และชนะในที่สุด กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28881
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ดึงบิ๊กเอกชน จับคู่พัฒนาเศรษฐกิจฐานชุมชน
วันศุกร์ที่ 20 เมษายน 2561 ก.อุตฯ ดึงบิ๊กเอกชน จับคู่พัฒนาเศรษฐกิจฐานชุมชน ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม หารือร่วมกับผู้แทนผู้ประกอบการพี่ใหญ่ (big brother) ของจังหวัดสระบุรี ได้แก่ บมจ.อิตาเลียนไทย บมจ.ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2561/จ.สระบุรี นางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และ นายสมศักดิ์ หวลกสิน อุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี หารือร่วมกับผู้แทนผู้ประกอบการพี่ใหญ่ (big brother) ของจังหวัดสระบุรี ได้แก่ บมจ.อิตาเลียนไทย บมจ.ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) และคณะที่ปรึกษาโครงการหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (civ 4.0) รวมทั้ง นายมานะ พุทธิโชติ นายช่างเทคนิคชํานาญงาน ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 8 เพื่อชี้แจงโครงการเศรษฐกิจฐานราก (local economy) ของ กระทรวงอุตสาหกรรม แก่โรงงานขนาดใหญ่ ซึ่งจะเข้าไปช่วยส่งเสริม ทั้งแหล่งท่องเที่ยว และกลุ่มเกษตรแปรรูปในพื้นที่ โดยดําเนินงานด้วยความสมัครใจและสอดคล้องกับนโยบาย csr ของภาคเอกชน รวมทั้งความต้องการของชุมชน ณ ห้องประชุมสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี นอกจากนี้ คณะผู้ตรวจฯ ได้สํารวจเส้นทางเดินทาง วัดเขาแก้ว วัดต้นตาล ท่าน้ําศักดิ์สิทธ์ ตลาดต้าน้ําโบราณบ้านต้นตาล พิพิธภัณฑ์เรือ ศูนย์วัฒนธรรมไทยวน และศูนย์โอทอปพุแค สระบุรี ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมในการต้อนรับ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายสมชาย หาญหิรัญ) พร้อมคณะ ที่มีกําหนดจะลงพื้นที่ จ.สระบุรี ช่วงปลายเดือนนี้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ดึงบิ๊กเอกชน จับคู่พัฒนาเศรษฐกิจฐานชุมชน วันศุกร์ที่ 20 เมษายน 2561 ก.อุตฯ ดึงบิ๊กเอกชน จับคู่พัฒนาเศรษฐกิจฐานชุมชน ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม หารือร่วมกับผู้แทนผู้ประกอบการพี่ใหญ่ (big brother) ของจังหวัดสระบุรี ได้แก่ บมจ.อิตาเลียนไทย บมจ.ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2561/จ.สระบุรี นางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และ นายสมศักดิ์ หวลกสิน อุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี หารือร่วมกับผู้แทนผู้ประกอบการพี่ใหญ่ (big brother) ของจังหวัดสระบุรี ได้แก่ บมจ.อิตาเลียนไทย บมจ.ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) และคณะที่ปรึกษาโครงการหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (civ 4.0) รวมทั้ง นายมานะ พุทธิโชติ นายช่างเทคนิคชํานาญงาน ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 8 เพื่อชี้แจงโครงการเศรษฐกิจฐานราก (local economy) ของ กระทรวงอุตสาหกรรม แก่โรงงานขนาดใหญ่ ซึ่งจะเข้าไปช่วยส่งเสริม ทั้งแหล่งท่องเที่ยว และกลุ่มเกษตรแปรรูปในพื้นที่ โดยดําเนินงานด้วยความสมัครใจและสอดคล้องกับนโยบาย csr ของภาคเอกชน รวมทั้งความต้องการของชุมชน ณ ห้องประชุมสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี นอกจากนี้ คณะผู้ตรวจฯ ได้สํารวจเส้นทางเดินทาง วัดเขาแก้ว วัดต้นตาล ท่าน้ําศักดิ์สิทธ์ ตลาดต้าน้ําโบราณบ้านต้นตาล พิพิธภัณฑ์เรือ ศูนย์วัฒนธรรมไทยวน และศูนย์โอทอปพุแค สระบุรี ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมในการต้อนรับ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายสมชาย หาญหิรัญ) พร้อมคณะ ที่มีกําหนดจะลงพื้นที่ จ.สระบุรี ช่วงปลายเดือนนี้
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11640
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.จัดแถลงผลงาน "การขับเคลื่อนแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้" ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา ที่ปัตตานี
วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน 2561 ศธ.จัดแถลงผลงาน "การขับเคลื่อนแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้" ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา ที่ปัตตานี กระทรวงศึกษาธิการ โดยศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ จัดการแถลงผลงาน "การขับเคลื่อนแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้" ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการ โดยศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ จัดการแถลงผลงาน "การขับเคลื่อนแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้" ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา โดย พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลฯ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน ได้เน้นย้ําความสําเร็จการทํางานที่ผ่านมาและทิศทางการขับเคลื่อนนโยบายตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ 6 ด้าน ที่มุ่งเน้นให้เกิดการทํางานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว "MOE one team" เพื่อให้การศึกษาเป็นรากฐานที่สําคัญนําไปสู่การพัฒนาประเทศ ด้วยความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน 19 กันยายน 2561, พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานแถลงผลงาน "การขับเคลื่อนแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้" ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา ที่โรงแรมซีเอส ปัตตานี อําเภอเมืองปัตตานี ● น้อมนํายุทธศาสตร์พระราชทานและพระราโชบายด้านการศึกษามาขับเคลื่อน พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวว่า 4 ปีที่ผ่านมาที่เข้ามารับผิดชอบการทํางานเพื่อพัฒนาการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความรู้สึกว่าผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก หากเปรียบกับการเรียนหนังสือในระดับปริญญาตรี ก็เป็นปีที่จะจบและได้รับปริญญาบัตร จึงมีความปลื้มใจและดีใจที่ได้ทํางานด้วยความเข้มแข็งร่วมกับบุคคลและหน่วยงานหลายฝ่ายมาโดยตลอด ซึ่งผู้บริหารที่เข้าร่วมงานในครั้งนี้ต่างก็เผยความรู้สึกเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษา รมช.ศธ., พล.ต.ต.ธัมมศักดิ์ วาสะศิริ ที่ปรึกษาหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล, นายอดินันท์ ปากบารา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี, ที่ปรึกษารองหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล และผู้บริหาร ศธ. อีกหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็นนายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายชลํา อรรถธรรม เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน, นายศรีชัย พรประชาธรรม รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (จะดํารงตําแหน่งเลขาธิการ กศน. ในวันที่ 1 ตุลาคม 2561), นายสนิท แย้มเกษร ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายเรวัฒน์ เพ็ชรสงฆ์ รักษาการในตําแหน่งผู้อํานวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.) ตลอดจนที่ปรึกษาและผู้แทนขององค์กรหลัก ศธ. ที่ประชุมพร้อมกันในวันนี้ จากการที่ได้รับชม VTR การนําเสนอผลการสรุปการขับเคลื่อนแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ นิทรรศการเพื่อสร้างการรับรู้ และการแถลงผลงานทั้ง 6 ด้านในช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ถือว่าคนไทยโชคดีมีความเป็นมงคลชีวิตที่ได้มียุทธศาสตร์พระราชทาน "ศาสตร์พระราชา" ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" เศรษฐกิจพอเพียง และหลักการทรงงาน รวมทั้งพระบรมราโชวาทในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (รัชกาลที่ 10) ซึ่งทรงพระราชทานเกี่ยวกับ "การศึกษาที่ต้องมุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน 4 ด้าน" คือ 1) มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง ที่ยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 2) มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรมจริยธรรม 3) มีงานทํา มีอาชีพสุจริต 4) เป็นพลเมืองดี ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้น้อมนํามาเป็นหลักคิดและดําเนินการตามภารกิจสําคัญ เพื่อทําให้การศึกษาเกิดความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ● รัฐบาลให้ความสําคัญ ตั้ง คปต.เป็นหน่วยงานหลักขับเคลื่อนแก้ปัญหา จชต. รัฐบาล "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี" ได้ให้ความสําคัญกับการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยได้ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) โดย "พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี" เป็นประธาน และผู้แทนพิเศษของรัฐบาล 13 ท่าน เพื่อเชื่อมโยงการทํางานกับกระทรวงและหน่วยงานต่าง ๆ เป็นเนื้อเดียวกันให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม ส่งผลให้ประชาชนซึ่งเป็น "ศูนย์กลาง" มีความสุขในพื้นที่ โดยมีการจัดระบบงานให้กระทรวงต่าง ๆ ทํางาน ภายใต้ 7 กลุ่มภารกิจงาน ซึ่งงานด้าน "การศึกษา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม" จัดอยู่ในกลุ่มภารกิจงานที่ 4 ด้วย เพราะฉะนั้น การเชื่อมโยงงานจากส่วนกลางไปสู่พื้นที่ จึงมี คปต.เป็นหน่วยงานหลัก ร่วมขับเคลื่อนกับหน่วยงานในพื้นที่ ภายใต้แผนการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) ที่จะแบ่งการทํางานเป็นห้วง ๆ ละ 5 ปี, แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560-2564), โครงการพัฒนาเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" (ที่หนองจิก เบตง และสุไหงโก-ลก), โครงการขับเคลื่อน "ไทยนิยม ยั่งยืน" ซึ่งคาดหวังให้ชุมชนจังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดความเข้มแข็งในทุกด้านอย่างยั่งยืน ● ศธ.พร้อมขับเคลื่อนแนวนโยบายรัฐบาล เน้น "MOE one team" เป็นหนึ่งเดียวในกระทรวง ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้พยายามทํางานพัฒนาคุณภาพการศึกษา ภายใต้ปัญหาที่สําคัญคือ ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ด้วยหลักสําคัญคือ "การศึกษาถือเป็นทรัพยากรอันมีค่าของประชาชน" ดังนั้น หากสามารถจัดการเรียนการสอนได้ด้วยความร่วมมือร่วมใจ กับฝ่ายความมั่นคงและหลายฝ่ายทํางานร่วมกันในพื้นที่ ซึ่งช่วยให้เกิดความปลอดภัยในการไปเรียนหนังสือ ภายใต้การทํางานที่เป็น "MOE one team" เกิดการทํางานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวของกระทรวงศึกษาธิการ โดย ศปบ.จชต.เป็นหน่วยงานหลักในการประสานแผนการทํางานร่วมกันให้เกิดการทํางานเชิงบูรณาการ อันจะส่งผลให้การทํางานเกิดคุณค่า เกิดประโยชน์สูงสุด ● จัดตั้ง "ศปบ.จชต." ให้เป็นหน่วยงานหลักของ ศธ.วางรากฐานพัฒนาคุณภาพการศึกษา จชต. ศปบ.จชต. หรือ "กระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนหน้า)" ได้รับการประกาศจัดตั้งเป็นหน่วยงานทางการศึกษา สังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา และจะมีอาคารทําการถาวรในห้วงเวลาต่อไป เพื่อที่จะเป็นหน่วยงานสําคัญในการวางรากฐานการศึกษาให้เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างมั่นคงถาวร สามารถก้าวข้ามปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ให้หมดไป เพื่อเดินไปข้างหน้าด้วยความเข้มแข็งและมั่นคง ● รมช.ศธ.ให้ข้อเสนอแนะ 6 ด้าน เพื่อยกระดับขับเคลื่อนแผนคุณภาพการศึกษา จชต. พล.อ.สุรเชษฐ์ ได้กล่าวให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการขับเคลื่อนแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้ง 6 ด้าน โดยให้เน้นการทํางานที่ใช้ความพยายาม ร่วมมือร่วมใจกัน เพื่อไปสู่ผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายจัดการศึกษา เช่น การศึกษาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง ที่จะต้องร่วมกันคิดหาแนวทางวิธีการที่จะช่วยทําให้เกิดความเข้มแข็งและความยั่งยืนมากยิ่งขึ้นด้วยกิจกรรมหลากหลายต่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในสังคมพหุวัฒนธรรม การผลิตและพัฒนากําลังคนให้มีสมรรถนะในการแข่งขัน โดยให้ศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา ภาคใต้ชายแดน ซึ่งตั้งอยู่ภายในวิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกปัตตานี ที่ได้จัดวางระบบ Big Data ในการวางแผนผลิตและพัฒนากําลังคน ที่ถือเป็นต้นแบบให้แก่ศูนย์ภาคอื่น ๆ เพื่อประโยชน์ในการรวบรวมข้อมูลตลาดงานในพื้นที่ วางแผนจัดการศึกษาอาชีวศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนจบแล้วมีอาชีพ มีงานทํา ไม่ตกงาน ที่สําคัญคือการเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนสายอาชีวศึกษากับสายสามัญให้เพิ่มขึ้น ปัจจุบันทั้งประเทศมีสัดส่วนอยู่ที่ 40:60 ส่วนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้อยู่ที่ 20:80 จึงหวังว่าจะต้องพยายามขับเคลื่อนเพิ่มผู้เรียนสายอาชีวศึกษาให้มากขึ้น เพราะหากผู้เรียนจบสายอาชีพที่เป็นความต้องการของตลาดงานในพื้นที่ จะส่งผลให้มีรายได้มากขึ้น คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อันจะส่งผลถึงความสามารถในการแข่งขันของประเทศอีกด้วย การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัยและการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ สิ่งที่ต้องพัฒนาต่อไปคือ "เขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา" เพื่อต้องการพัฒนาให้สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามีอิสระในการบริหารจัดการและการบูรณาการทํางานในเขตพื้นที่มากขึ้น ทั้งความร่วมมือจากประชารัฐ สังคม เศรษฐกิจ ชุมชน ซึ่งเขตพื้นที่การศึกษาจะต้องส่งเสริมให้โรงเรียนในสังกัดมีความเป็นอิสระในการบริหารจัดการ และยกระดับคุณภาพนักเรียนและโรงเรียนบนความหลากหลายของพื้นที่ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลและ ศธ.ได้เห็นชอบให้นําร่องเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ครบทั้ง 6 ภาคทั่วประเทศแล้ว คือ ภาคใต้ ที่สตูล, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ศรีสะเกษ, ภาคตะวันออก ที่ระยอง, ภาคเหนือ ที่เชียงใหม่, ภาคกลาง ที่กาญจนบุรี และภาคใต้ชายแดน ที่ปัตตานี ซึ่งนอกจากจะนําร่องเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาภาคใต้ชายแดนที่ปัตตานีแล้ว คาดว่าจะดําเนินการทั้ง 3 จังหวัดในภาคใต้ชายแดน คือ ยะลา นราธิวาส และปัตตานี ให้เป็นเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เพราะจากการดําเนินงาน 4 ปีที่ผ่านมา เห็นผลการดําเนินงานขับเคลื่อนด้านนวัตกรรมในการจัดการศึกษาในพื้นที่เกิดขึ้นมีผลชัดเจนหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น DLTV ในโรงเรียนขนาดเล็ก, DLIT ในโรงเรียนขนาดกลาง, Google Education เริ่มต้นในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ 750 โรงเรียน ซึ่งได้มีการอบรมผู้บริหารสถานศึกษาทุกระดับจํานวน 7 รุ่น หรือการเปิด Open Class โดยใช้ตําบลเป็นฐาน ฯลฯ ถือว่าเรื่องนวัตกรรมในพื้นที่โดดเด่นไม่น้อยหน้าใคร การสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางการศึกษา รมช.ศธ.กล่าวว่า "โอกาสที่เคยขาด วันนี้เราเติมเต็มแล้ว" เพราะที่ผ่านมาได้ดําเนินการสร้างโอกาสให้แก่ผู้เรียนในพื้นที่อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นห้องเรียนดนตรี การส่งเสริมด้านศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี รวมทั้งด้านกีฬาเข้าสู่ระบบการศึกษา ซึ่งถือว่าโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ จํานวน 12 โรงเรียน จชต. กลายเป็นต้นแบบขยายไปสู่ภูมิภาคต่าง ๆ อีก 9 แห่ง ตามโครงการห้องเรียนกีฬา โครงการสานฝันฯ จึงเป็นโครงการที่ได้รับความชื่นชมจากประชาชนเป็นจํานวนมาก จึงขอให้รักษามาตรฐานเพื่อลูกหลานของเราได้รับการศึกษาอย่างมีคุณภาพต่อไป การจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ก็เป็นสิ่งจําเป็นที่ต้องดําเนินการต่อไป ทั้งมาตรฐานสถานศึกษา หลักสูตร การสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ฐานข้อมูลแหล่งเรียนรู้ และเครือข่ายความร่วมมือ การพัฒนาระบบการบริหารจัดการศึกษา ฝากเรื่องการสร้าง "จิตวิญญาณ" ในการทํางาน ที่จะต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต มีระบบธรรมาภิบาล การน้อมนําศาสตร์พระราชาไปสู่การปฏิบัติ ใช้หลักคิดทําให้ครบฯ ยึดหลักความคุ้มค่า ความโปร่งใส ความมีส่วนร่วม ความยุติธรรม และหลักนิติธรรม เป็นแนวทางปฏิบัติ ● ภูมิใจทุกภาคส่วนที่ร่วมขับเคลื่อนการศึกษาจนส่งผลให้ประชาชนเกิดความพึงพอใจ ผลของการจัดการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี 2560 ถือเป็นอีกเรื่องที่เป็นความภูมิใจร่วมกันของทุกหน่วยงานในพื้นที่ที่ได้ร่วมกันขับเคลื่อนงานด้านการศึกษา เพราะได้มีการสํารวจความคิดเห็น "ความพึงพอใจด้านการศึกษา" ของประชาชนทุกจังหวัดในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ซึ่งผลสํารวจทั้ง 2 ครั้งพบว่าใกล้เคียงกัน กล่าวคือประชาชนมีความพึงพอใจมากถึงร้อยละ 85 และในการสํารวจความคิดเห็นผ่านระบบออนไลน์ในวันแถลงผลงานครั้งนี้ก็พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 91 มีความพึงพอใจผลงานด้านการศึกษาของรัฐบาลในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจะขอให้มีการสํารวจเพิ่มเติมให้ครอบคลุมทั้งระบบ ทั้งเพศ อายุ รายได้ ฯลฯ เพื่อสรุปรายงานเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบในโอกาสต่อไป ● ฝากให้ยึดความเห็นส่วนรวมมากกว่าส่วนตน พล.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวสรุปด้วยว่า "หากเราก้าวข้ามอุปสรรคได้ ความสําเร็จก็จะเกิดขึ้น" หากเรามีความเห็นตรงกันมากขึ้น ก็จะส่งผลถึงความรู้รักสามัคคี และหากเราก้าวข้าม "ความเห็นประโยชน์ส่วนตน" โดยมอง "ประโยชน์ส่วนรวม" มากกว่า เราก็จะคิดทําอะไรเพื่อส่วนรวมมากกว่าทําเพื่อตนเอง อันจะส่งผลให้การศึกษาขับเคลื่อนตามแผนงานต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ด้วยความพยายามร่วมกัน ทั้งนี้ ความสําเร็จเกิดขึ้นได้ด้วยกลไกประชารัฐ ด้วยความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมทั้งสื่อมวลชน เพื่อส่งผลให้ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดํารงชีวิตอย่างเป็นสุขในสังคมพหุวัฒนธรรม สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 เพื่อให้การศึกษาเป็นรากฐานที่สําคัญนําไปสู่การพัฒนาประเทศ ด้วยความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป. การแถลงผลงานการขับเคลื่อนแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ข้อมูลพื้นฐาน : ในภาพรวมของการจัดการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี, ยะลา, นราธิวาส, 4 อําเภอของสงขลา และสตูล) โดยในปีการศึกษา 2561 มีนักเรียนนักศึกษา จํานวน 961,063 คน ครูอาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา 59,625 คน และมีสถานศึกษารวม 5,085 แห่งในทุกสังกัด ประกอบด้วย สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สํานักงานการศึกษาพิเศษ สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สํานักงานส่งเสริมการศึกษาเอกชน สถาบันพระบรมราชชนนี กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรมการปกครองส่วนท้องถิ่น ตํารวจตระเวนชายแดน และสํานักงานพระพุทธศาสนา ทิศทางการขับเคลื่อนนโยบายด้านการศึกษา : ศปบ.จชต.ให้ความสําคัญกับการจัดการศึกษาแก่ประชาชนทุกคนทุกช่วงวัย ตั้งแต่ปฐมวัย วัยเรียน วัยทํางาน และผู้สูงวัย ให้มีโอกาสในการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อเป็นคนที่มีคุณภาพ มีความสามารถ มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ในการดํารงชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในสังคมพหุวัฒนธรรม ภายใต้วิสัยทัศน์ " ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รับการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดํารงชีวิตอย่างเป็นสุขในสังคมพหุวัฒนธรรม สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21" พร้อมน้อมนํายุทธศาสตร์พระราชทาน "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และ พระบรมราโชบายของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ด้านการศึกษาที่มุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน 4 ด้านได้แก่ มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง, มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรม, มีงานทํา มีอาชีพ และเป็นพลเมืองดี เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ในพื้นที่ จชต.ตลอดไป ผลการขับเคลื่อนแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในภารกิจหลัก 6 ด้าน ด้านที่ 1 การศึกษาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง : นําเสนอโดย นายสนิท แย้มเกสร ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง ได้ดําเนินการขับเคลื่อนบูรณาการร่วมกับหน่วยงานทางการศึกษาในพื้นที่ เพื่อกําหนดแนวทางในการจัดการเรียนการสอน ที่จะทําให้เยาวชนและประชาชนเกิดความภาคภูมิใจและแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อ สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ น้อมนํา ศาสตร์พระราชามาเป็นแกนหลักในการยกระดับคุณภาพการศึกษา ตลอดจนปลูกฝังการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และจัดกิจกรรมลูกเสือเนตรนารียุวกาชาด เพื่อส่งเสริมจิตอาสาและการบําเพ็ญประโยชน์ โดยมีโครงการและกิจกรรมสําคัญ อาทิ กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร 66 พรรษา พร้อมปลูกต้นไม้ประจําพระองค์ "ต้นรวงผึ้ง", กิจกรรมปลูกจิตสํานึกความเป็นชาติไทยในโครงการรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด (To Be Number One) ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาสิริวัฒนาพรรณวดี, กิจกรรมประวัติศาสตร์ชาติไทยและบุญคุณของพระมหากษัตริย์ไทย โดยวิทยากรแกนนําจํานวน 25 คนจัดอบรมขยายผลให้แก่ผู้บริหารข้าราชการครูบุคลากรทางการศึกษาและพนักงานราชการ จํานวน 1,204 คน, กิจกรรมพัฒนาทักษะทางสังคมพหุวัฒนธรรม ผ่านกิจกรรมกระบวนการพัฒนาผู้นํา และกิจกรรมครอบครัวสุขสันต์สมานฉันท์สังคมไทย โดยมีผู้เข้าร่วม 1,590 คน ส่งผลให้พ่อแม่ผู้ปกครองมีความรู้ความเข้าใจในการดูแลบุตรหลาน และสร้างความอบอุ่นในครอบครัว, การจัดงานรอมฎอนสัมพันธ์ของหน่วยงานทางการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสร้างความสามัคคีและปลูกจิตสํานึกการอยู่ร่วมกันโดยมี ผู้บริหาร บุคลากร หน่วยงานภาคราชการในพื้นที่ องค์กรชุมชน/ศาสนา ตลอดจนผู้ปกครอง เข้าร่วมกว่า 17,320 คน, การพัฒนาสถานศึกษาพอเพียง และพัฒนาครูแกนนําเพื่อออกแบบและขับเคลื่อนการเรียนรู้ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและหลักนิติธรรม ในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 13 เขต และสํานักงาน กศน.จชต. การจัดกิจกรรมชุมนุมลูกเสือจังหวัดชายแดนภาคใต้ ครั้งที่ 13 โดยมีผู้บังคับบัญชาลูกเสือ ลูกเสือเนตรนารี 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และจากประเทศเพื่อนบ้าน (มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม เนปาล การ์ต้า) เข้าร่วม 3,760 คน นอกจากนี้ ยังมีลูกเสือจิตอาสาช่วยเหลือประชาชนที่ไปประกอบพิธีฮัจย์ จํานวน 420 คน และจิตอาสาอาชีวะในกิจกรรมอาชีวะร่วมด้วยช่วยประชาชน เพื่อให้บริการในช่วงเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ และวันสงกรานต์ เป็นต้น ด้านที่ 2 การผลิตและพัฒนากําลังคน ให้มีสมรรถนะในการแข่งขัน : นําเสนอโดย นายอิทธิฤทธิ์ ศรีชุมภู รองผู้อํานวยการวิทยาลัยสารพัดช่างยะลา ในเรื่องของการผลิตและพัฒนากําลังคนให้มีสมรรถนะในการแข่งขัน ได้กําหนดแนวทางการพัฒนาประชากรวัยแรงงาน ให้มีทักษะทางภาษาเพื่อการสื่อสาร ส่งเสริมประสบการณ์ด้านอาชีพเพื่อเพิ่มสมรรถนะในการแข่งขัน พร้อมทั้งส่งเสริมอาชีพทางเลือก และพัฒนาฝีมือแรงงาน ตลอดจนผลิตกําลังคนให้ตามความต้องการของสถานประกอบการในท้องถิ่น จชต. สอดรับตามนโยบายเมืองต้นแบบ สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน พร้อมมุ่งพัฒนากลุ่มอุตสาหกรรมฮาลาล เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจฮาลาลโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยมีโครงการและกิจกรรมสําคัญ อาทิ การพัฒนาภาษาสู่ยุคอาเซียน ได้แก่ ภาษาอังกฤษ, ภาษามลายูกลาง, ภาษาจีน และภาษาพม่า แก่นักเรียนนักศึกษา 1,695 คน ในสถานศึกษาอาชีวศึกษา 18 แห่ง, การฝึกอบรมหลักสูตรมัคคุเทศก์ทั่วไป แก่ประชาชน จํานวน 40 คน เพื่อให้ได้รับบัตรมัคคุเทศก์ทั่วไป (บัตรบรอน) ที่จะสามารถประกอบอาชีพได้จริงตามกฎหมาย, โครงการหลักสูตร 2 ปริญญา ระหว่างคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา กับคณะอักษรศาสตร์มหาวิทยาลัยมาลัง ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อพัฒนาหลักสูตรสองปริญญาร่วมกัน มีการเทียบโอนหน่วยกิตและได้รับปริญญาทั้ง 2 มหาวิทยาลัย, การอบรมเชิงปฏิบัติการจัดทําหลักสูตรฐานสมรรถนะระยะสั้น Thailand 4.0 แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา กว่า 100 คน พร้อมหลักสูตรการพัฒนาวิชาชีพครูด้วยนวัตกรรมศึกษา Lesson study และวิธีการแบบเปิด Open Approach ให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา 450 คน นอกจากนี้ยังได้ส่งเสริมประสบการณ์อาชีพให้กับนักเรียน 1,300 คน ออกไปฝึกประสบการณ์ในสถานประกอบการ ร้านอาหาร และโรงเรียน และร้านอาหาร และฝึกประสบการณ์อาชีพเพื่อการมีงานทํา 1,700 คน, การ ฝึกอาชีพและจัดตั้งกลุ่มอาชีพในสถาบันศึกษาปอเนาะและโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม 182 แห่ง รวม 4,021 คน, โครงการขยายโอกาสทางการศึกษาวิชาชีพและพัฒนาทักษะวิชาชีพ ศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it Center) ใน 58 ตําบล พร้อมจัดโครงการอาชีวศึกษาประชารัฐ 4 แห่ง ( วิทยาลัยอาชีวะจังหวัดยะลา, วิทยาลัยการอาชีพสุไหงโก-ลก, วิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกปัตตานี และวิลัยเทคนิคจะนะ) โดยมีนักเรียนนักศึกษาเข้าร่วม 382 คน, จัดกิจกรรมฝึกทักษะอาชีพและอาชีพทางเลือกอาชีพใหม่แก่ประชาชน 10,034 คนใน 80 อาชีพ พร้อมจัดตั้งกลุ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ใน 11 กลุ่มอาชีพ รวมทั้ง จัดโครงการพัฒนาร้านอาหารอัตลักษณ์มลายูใน จชต. และส่งผลงานนักเรียนนักศึกษา เข้าร่วมการประกวดวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหารฮาลาล และสิ่งประดิษฐ์ที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมฮาลาล กว่า 80 ผลงาน ด้านที่ 3 การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัย และการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ : นําเสนอโดย นายประสิทธิ์ หนูกุ้ง ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 1 ได้เปิดโอกาสให้ประชากรทุกช่วงวัยได้รับการพัฒนาคุณภาพ ให้สามารถเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อรองรับบริบทการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก โดยให้ความสําคัญกับการพัฒนาหลักสูตรระดับปฐมวัย หลักสูตรด้านอาชีพ และหลักสูตรอิสลามศึกษาฟัรฏูอีนประจํามัสยิด ระดับอิสลามศึกษาตอนต้นตามความต้องการของพื้นที่ ตลอดจนจัดตั้งศูนย์ภาษาและเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาทักษะทางภาษาที่หลากหลาย และจัดตั้งศูนย์พัฒนาครูเพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการจัดการเรียนการสอน โดยมุ่งเน้นรูปแบบสะเต็มศึกษาและการสอนแบบโครงงาน โดยใช้นวัตกรรมการศึกษาชั้นเรียนและวิธีการแบบเปิด ตลอดจนสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้วิชาชีพครูด้วย โดยมีโครงการและกิจกรรมสําคัญ อาทิ การอบรมหลักสูตรแกนกลางและการจัดการเรียนรู้ปฐมวัย รูปแบบ Active Learning แก่ครู 80 คน, การอบรมเชิงปฏิบัติการ การใช้วรรณกรรมเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย จํานวน 3 รุ่น กว่า 200 คน, โครงการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาไทย ผ่านกิจกรรมแข่งขันทักษะภาษาไทยให้แก่นักเรียน เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ โครงการส่งเสริมภาษาคู่การเรียนรู้สู่หมู่บ้านชายแดนใต้แก่ประชาชน 220 คน, จัดกิจกรรมขับเคลื่อนคุณภาพภาษาไทยโดยใช้ "ห้องสมุดคุณภาพ" ในโรงเรียน 161 แห่ง, โครงการค่ายภาษาอังกฤษ English Camp แก่นักเรียน 180 คน พร้อมจัดทํา MOU ว่าด้วยความร่วมมือในการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาวะผ่านการเพิ่มขีดความสามารถด้านการอ่านและเขียนภาษา, จัดการเรียนการสอนแบบสะเต็มศึกษา และการสอนแบบโครงงาน เพื่อพัฒนาผู้เรียน ตามกระบวนการสะเต็มศึกษา และสร้างสรรค์ผลงานแบบโครงงาน ที่ใช้องค์ความรู้ในหลายสาขาวิชา ที่จะเป็นการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ, การจัดตั้งศูนย์ดิจิทัลประจําอําเภอ, จัดอบรมพัฒนาศักยภาพครูสอนไม่ตรงสาย 9 กลุ่มสาระการเรียนรู้ จํานวน 660 คน และจัดอบรมพัฒนาครูรูปแบบครบวงจร (คูปองพัฒนาครู) ใน 3 หลักสูตร โดยมีผู้เข้าร่วม 157 คน ด้านที่ 4 การสร้างโอกาส ความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางการศึกษา : นําเสนอโดย นายเรวัฒน์ เพ็ชรสงฆ์ รักษาการในตําแหน่ง ผู้อํานวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้สร้างแนวทางการดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ พร้อมลดความเหลื่อมล้ําและสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่ประชาชนผู้ด้อยโอกาส คนพิการ และผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ และที่สําคัญคือ การนําประชากรวัยเรียนที่อยู่นอกระบบการศึกษาเข้าสู่ระบบการศึกษา การให้ทุนการศึกษาเพื่อเพิ่มโอกาสในการศึกษาต่อ ตลอดจนส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการศึกษาของประชากรวัยเรียนอย่างมีคุณภาพ พร้อมผลักดันโครงการโรงเรียนประชารัฐจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีโครงการและกิจกรรมสําคัญ อาทิ การแก้ปัญหาเด็กที่อยู่นอกระบบการศึกษา ให้กลับเข้ามาเข้าสู่ระบบการศึกษาพร้อมจัดหาที่เรียน จํานวน 27,376 คน (ร้อยละ 60.45) จากจํานวนทั้งหมด 45,289 คน, จัดอบรมครูรับผิดชอบระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 111 คน, จัดสรรทุนการศึกษาสําหรับผู้ด้อยโอกาส คนพิการ ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ และผู้เรียนต่อ เช่น ทุนรพี 50 ทุน ทุนการศึกษาเงินอุดหนุนการศึกษานักเรียนมุสลิมและอิสลามศึกษาแห่งประเทศไทย กว่า 700 ทุน ทุนอาชีวศึกษา กว่า 900 ทุน เป็นต้น, โรงเรียนประชารัฐ จชต. ในลักษณะโรงเรียนประจําโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอาชีวศึกษา รวม 68 แห่งใน 37 อําเภอ และโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ ในโรงเรียน 12 แห่ง โดยมีนักเรียนเจ้าร่วมโครงการ 1,300 คน ด้านที่ 5 การจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม : นําเสนอโดย นายสราวุธ เดชมณีรัตน์ ผู้อํานวยการสํานักพัฒนาการศึกษาเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ดําเนินการกําหนดมาตรฐานสถานศึกษาน่าอยู่ น่าเรียน และจัดทําหลักสูตรการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระดับสถานศึกษา พร้อมสร้างเครือข่ายความร่วมมือการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในสถานศึกษาและชุมชน ตลอดจนจัดทําสื่อ ข้อมูลแหล่งเรียนรู้ และส่งเสริมการวิจัย เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมด้านการสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีโครงการและกิจกรรมสําคัญ อาทิ ขับเคลื่อนกลยุทธ์กําหนดมาตรฐานสถานศึกษาน่าอยู่ น่าเรียน พร้อมพัฒนาสู่มาตรฐาน และยกย่องเชิดชูสถานศึกษาที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน, จัดหลักสูตรวิทยากรแกนนํา หลักสูตรท้องถิ่นอุทยานธรณีโลกสตูล (Satun UNESCO Global Geopark) และหลักสูตรส่งเสริมอาชีพที่เกี่ยวข้องกับอุทยานธรณีสตูล พร้อมส่งเสริมภาษาเพื่อการท่องเที่ยวส่งเสริมให้ประชาชนทําความดี เรียนรู้หลักธรรม และยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง, จัดกิจกรรมเรียนรู้ระบบนิเวศน์ตามธรรมชาติ, จัดโครงการเรียนรู้ อนุรักษ์ พืชสมุนไพรชุมชน และภูมิปัญญาท้องถิ่น, จัดกิจกรรมบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ จิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดําริ เราทําความดี ด้วยหัวใจ พร้อมจัดทําฐานข้อมูลแหล่งเรียนรู้ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ด้านที่ 6 การพัฒนาระบบการบริหารจัดการศึกษา : นําเสนอโดย ดร.นวลพรรณ วรรณสุธี อาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้ากลุ่มอํานวยการและประสานงาน ศปบ.จชต. การพัฒนาระบบการบริหารจัดการศึกษา มีเป้าหมายให้ผู้เรียน ครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน พร้อมส่งเสริมความสัมพันธ์โรงเรียนกับชุมชน พัฒนาต้นแบบการจัดการศึกษาท้องถิ่นพึ่งพาตนเองโดยใช้ตําบลเป็นฐาน ตลอดจนอบรมและพัฒนาการบริหารจัดการของ ศปบ.จชต. และแสวงหาความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีโครงการและกิจกรรมสําคัญ อาทิ จัดทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในการปฏิบัติตามแผนและมาตรการรักษาความปลอดภัยครูบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียน 1,133 แห่ง, การจัดกิจกรรมชุมชนสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับพื้นที่บริการ เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมจัดและระดมทรัพยากรทางการศึกษา ในโรงเรียน 1,256 แห่ง, ศึกษาธิการส่วนหน้าเคลื่อนที่พบประชาชนผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย ทั้งจากหน่วยงานการศึกษา สถานศึกษา และส่วนราชการในพื้นที่ ในการส่งเสริมทักษะทางวิชาการ อาชีพ การบริการชุมชน การบริการข้อมูลข่าวสาร และบริการจากหน่วยงานในพื้นที่ โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรม 37,210 คน และมีผลสํารวจความพึงพอใจของประชาชนกลุ่มตัวอย่างอยู่ในระดับ "พึงพอใจมาก", การพัฒนาต้นแบบการจัดการศึกษาท้องถิ่นพึ่งพาตนเอง โดยใช้ตําบลเป็นฐานใน 12 ตําบล เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา บนฐานอัตลักษณ์ของตนเอง, การสร้างความเข้มแข็งของสถานศึกษา Smart Office โดยจัดประชุมขับเคลื่อนแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค วิเคราะห์รายงานการประเมินคุณภาพภายในสถานศึกษาของโรงเรียนเอกชน พร้อมศึกษาวิจัยปัจจัยสู่ความสําเร็จในการบริหารการศึกษาของโรงเรียนกลุ่มเป้าหมาย 5 โรงเรียนใน 5 จังหวัด, การสร้างขวัญและกําลังใจในการปฏิบัติงาน พร้อมยกย่องและเชิดชูเกียรติกรณีพิเศษ อาทิ จัดพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เยี่ยมสถานศึกษาเพื่อสร้างขวัญและกําลังใจในช่วงเปิดภาคเรียน เยียวยาทายาทผู้ได้รับผลกระทบ จัดทุนการศึกษาระดับปริญญาโท-เอก สําหรับครูและบุคลากรจังหวัดชายแดนภาคใต้กว่า 10 ล้านบาท Written by นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร Photo Credit อิทธิพล รุ่งก่อน, ปกรณ์ เรืองยิ่ง VDO Rewriter นวรัตน์ รามสูต Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.จัดแถลงผลงาน "การขับเคลื่อนแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้" ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา ที่ปัตตานี วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน 2561 ศธ.จัดแถลงผลงาน "การขับเคลื่อนแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้" ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา ที่ปัตตานี กระทรวงศึกษาธิการ โดยศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ จัดการแถลงผลงาน "การขับเคลื่อนแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้" ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการ โดยศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ จัดการแถลงผลงาน "การขับเคลื่อนแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้" ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา โดย พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลฯ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน ได้เน้นย้ําความสําเร็จการทํางานที่ผ่านมาและทิศทางการขับเคลื่อนนโยบายตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ 6 ด้าน ที่มุ่งเน้นให้เกิดการทํางานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว "MOE one team" เพื่อให้การศึกษาเป็นรากฐานที่สําคัญนําไปสู่การพัฒนาประเทศ ด้วยความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน 19 กันยายน 2561, พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานแถลงผลงาน "การขับเคลื่อนแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้" ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา ที่โรงแรมซีเอส ปัตตานี อําเภอเมืองปัตตานี ● น้อมนํายุทธศาสตร์พระราชทานและพระราโชบายด้านการศึกษามาขับเคลื่อน พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวว่า 4 ปีที่ผ่านมาที่เข้ามารับผิดชอบการทํางานเพื่อพัฒนาการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความรู้สึกว่าผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก หากเปรียบกับการเรียนหนังสือในระดับปริญญาตรี ก็เป็นปีที่จะจบและได้รับปริญญาบัตร จึงมีความปลื้มใจและดีใจที่ได้ทํางานด้วยความเข้มแข็งร่วมกับบุคคลและหน่วยงานหลายฝ่ายมาโดยตลอด ซึ่งผู้บริหารที่เข้าร่วมงานในครั้งนี้ต่างก็เผยความรู้สึกเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษา รมช.ศธ., พล.ต.ต.ธัมมศักดิ์ วาสะศิริ ที่ปรึกษาหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล, นายอดินันท์ ปากบารา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี, ที่ปรึกษารองหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล และผู้บริหาร ศธ. อีกหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็นนายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายชลํา อรรถธรรม เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน, นายศรีชัย พรประชาธรรม รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (จะดํารงตําแหน่งเลขาธิการ กศน. ในวันที่ 1 ตุลาคม 2561), นายสนิท แย้มเกษร ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายเรวัฒน์ เพ็ชรสงฆ์ รักษาการในตําแหน่งผู้อํานวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.) ตลอดจนที่ปรึกษาและผู้แทนขององค์กรหลัก ศธ. ที่ประชุมพร้อมกันในวันนี้ จากการที่ได้รับชม VTR การนําเสนอผลการสรุปการขับเคลื่อนแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ นิทรรศการเพื่อสร้างการรับรู้ และการแถลงผลงานทั้ง 6 ด้านในช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ถือว่าคนไทยโชคดีมีความเป็นมงคลชีวิตที่ได้มียุทธศาสตร์พระราชทาน "ศาสตร์พระราชา" ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" เศรษฐกิจพอเพียง และหลักการทรงงาน รวมทั้งพระบรมราโชวาทในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (รัชกาลที่ 10) ซึ่งทรงพระราชทานเกี่ยวกับ "การศึกษาที่ต้องมุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน 4 ด้าน" คือ 1) มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง ที่ยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 2) มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรมจริยธรรม 3) มีงานทํา มีอาชีพสุจริต 4) เป็นพลเมืองดี ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้น้อมนํามาเป็นหลักคิดและดําเนินการตามภารกิจสําคัญ เพื่อทําให้การศึกษาเกิดความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ● รัฐบาลให้ความสําคัญ ตั้ง คปต.เป็นหน่วยงานหลักขับเคลื่อนแก้ปัญหา จชต. รัฐบาล "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี" ได้ให้ความสําคัญกับการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยได้ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) โดย "พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี" เป็นประธาน และผู้แทนพิเศษของรัฐบาล 13 ท่าน เพื่อเชื่อมโยงการทํางานกับกระทรวงและหน่วยงานต่าง ๆ เป็นเนื้อเดียวกันให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม ส่งผลให้ประชาชนซึ่งเป็น "ศูนย์กลาง" มีความสุขในพื้นที่ โดยมีการจัดระบบงานให้กระทรวงต่าง ๆ ทํางาน ภายใต้ 7 กลุ่มภารกิจงาน ซึ่งงานด้าน "การศึกษา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม" จัดอยู่ในกลุ่มภารกิจงานที่ 4 ด้วย เพราะฉะนั้น การเชื่อมโยงงานจากส่วนกลางไปสู่พื้นที่ จึงมี คปต.เป็นหน่วยงานหลัก ร่วมขับเคลื่อนกับหน่วยงานในพื้นที่ ภายใต้แผนการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) ที่จะแบ่งการทํางานเป็นห้วง ๆ ละ 5 ปี, แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560-2564), โครงการพัฒนาเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" (ที่หนองจิก เบตง และสุไหงโก-ลก), โครงการขับเคลื่อน "ไทยนิยม ยั่งยืน" ซึ่งคาดหวังให้ชุมชนจังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดความเข้มแข็งในทุกด้านอย่างยั่งยืน ● ศธ.พร้อมขับเคลื่อนแนวนโยบายรัฐบาล เน้น "MOE one team" เป็นหนึ่งเดียวในกระทรวง ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้พยายามทํางานพัฒนาคุณภาพการศึกษา ภายใต้ปัญหาที่สําคัญคือ ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ด้วยหลักสําคัญคือ "การศึกษาถือเป็นทรัพยากรอันมีค่าของประชาชน" ดังนั้น หากสามารถจัดการเรียนการสอนได้ด้วยความร่วมมือร่วมใจ กับฝ่ายความมั่นคงและหลายฝ่ายทํางานร่วมกันในพื้นที่ ซึ่งช่วยให้เกิดความปลอดภัยในการไปเรียนหนังสือ ภายใต้การทํางานที่เป็น "MOE one team" เกิดการทํางานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวของกระทรวงศึกษาธิการ โดย ศปบ.จชต.เป็นหน่วยงานหลักในการประสานแผนการทํางานร่วมกันให้เกิดการทํางานเชิงบูรณาการ อันจะส่งผลให้การทํางานเกิดคุณค่า เกิดประโยชน์สูงสุด ● จัดตั้ง "ศปบ.จชต." ให้เป็นหน่วยงานหลักของ ศธ.วางรากฐานพัฒนาคุณภาพการศึกษา จชต. ศปบ.จชต. หรือ "กระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนหน้า)" ได้รับการประกาศจัดตั้งเป็นหน่วยงานทางการศึกษา สังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา และจะมีอาคารทําการถาวรในห้วงเวลาต่อไป เพื่อที่จะเป็นหน่วยงานสําคัญในการวางรากฐานการศึกษาให้เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างมั่นคงถาวร สามารถก้าวข้ามปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ให้หมดไป เพื่อเดินไปข้างหน้าด้วยความเข้มแข็งและมั่นคง ● รมช.ศธ.ให้ข้อเสนอแนะ 6 ด้าน เพื่อยกระดับขับเคลื่อนแผนคุณภาพการศึกษา จชต. พล.อ.สุรเชษฐ์ ได้กล่าวให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการขับเคลื่อนแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้ง 6 ด้าน โดยให้เน้นการทํางานที่ใช้ความพยายาม ร่วมมือร่วมใจกัน เพื่อไปสู่ผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายจัดการศึกษา เช่น การศึกษาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง ที่จะต้องร่วมกันคิดหาแนวทางวิธีการที่จะช่วยทําให้เกิดความเข้มแข็งและความยั่งยืนมากยิ่งขึ้นด้วยกิจกรรมหลากหลายต่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในสังคมพหุวัฒนธรรม การผลิตและพัฒนากําลังคนให้มีสมรรถนะในการแข่งขัน โดยให้ศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา ภาคใต้ชายแดน ซึ่งตั้งอยู่ภายในวิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกปัตตานี ที่ได้จัดวางระบบ Big Data ในการวางแผนผลิตและพัฒนากําลังคน ที่ถือเป็นต้นแบบให้แก่ศูนย์ภาคอื่น ๆ เพื่อประโยชน์ในการรวบรวมข้อมูลตลาดงานในพื้นที่ วางแผนจัดการศึกษาอาชีวศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนจบแล้วมีอาชีพ มีงานทํา ไม่ตกงาน ที่สําคัญคือการเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนสายอาชีวศึกษากับสายสามัญให้เพิ่มขึ้น ปัจจุบันทั้งประเทศมีสัดส่วนอยู่ที่ 40:60 ส่วนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้อยู่ที่ 20:80 จึงหวังว่าจะต้องพยายามขับเคลื่อนเพิ่มผู้เรียนสายอาชีวศึกษาให้มากขึ้น เพราะหากผู้เรียนจบสายอาชีพที่เป็นความต้องการของตลาดงานในพื้นที่ จะส่งผลให้มีรายได้มากขึ้น คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อันจะส่งผลถึงความสามารถในการแข่งขันของประเทศอีกด้วย การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัยและการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ สิ่งที่ต้องพัฒนาต่อไปคือ "เขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา" เพื่อต้องการพัฒนาให้สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามีอิสระในการบริหารจัดการและการบูรณาการทํางานในเขตพื้นที่มากขึ้น ทั้งความร่วมมือจากประชารัฐ สังคม เศรษฐกิจ ชุมชน ซึ่งเขตพื้นที่การศึกษาจะต้องส่งเสริมให้โรงเรียนในสังกัดมีความเป็นอิสระในการบริหารจัดการ และยกระดับคุณภาพนักเรียนและโรงเรียนบนความหลากหลายของพื้นที่ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลและ ศธ.ได้เห็นชอบให้นําร่องเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ครบทั้ง 6 ภาคทั่วประเทศแล้ว คือ ภาคใต้ ที่สตูล, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ศรีสะเกษ, ภาคตะวันออก ที่ระยอง, ภาคเหนือ ที่เชียงใหม่, ภาคกลาง ที่กาญจนบุรี และภาคใต้ชายแดน ที่ปัตตานี ซึ่งนอกจากจะนําร่องเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาภาคใต้ชายแดนที่ปัตตานีแล้ว คาดว่าจะดําเนินการทั้ง 3 จังหวัดในภาคใต้ชายแดน คือ ยะลา นราธิวาส และปัตตานี ให้เป็นเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เพราะจากการดําเนินงาน 4 ปีที่ผ่านมา เห็นผลการดําเนินงานขับเคลื่อนด้านนวัตกรรมในการจัดการศึกษาในพื้นที่เกิดขึ้นมีผลชัดเจนหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น DLTV ในโรงเรียนขนาดเล็ก, DLIT ในโรงเรียนขนาดกลาง, Google Education เริ่มต้นในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ 750 โรงเรียน ซึ่งได้มีการอบรมผู้บริหารสถานศึกษาทุกระดับจํานวน 7 รุ่น หรือการเปิด Open Class โดยใช้ตําบลเป็นฐาน ฯลฯ ถือว่าเรื่องนวัตกรรมในพื้นที่โดดเด่นไม่น้อยหน้าใคร การสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางการศึกษา รมช.ศธ.กล่าวว่า "โอกาสที่เคยขาด วันนี้เราเติมเต็มแล้ว" เพราะที่ผ่านมาได้ดําเนินการสร้างโอกาสให้แก่ผู้เรียนในพื้นที่อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นห้องเรียนดนตรี การส่งเสริมด้านศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี รวมทั้งด้านกีฬาเข้าสู่ระบบการศึกษา ซึ่งถือว่าโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ จํานวน 12 โรงเรียน จชต. กลายเป็นต้นแบบขยายไปสู่ภูมิภาคต่าง ๆ อีก 9 แห่ง ตามโครงการห้องเรียนกีฬา โครงการสานฝันฯ จึงเป็นโครงการที่ได้รับความชื่นชมจากประชาชนเป็นจํานวนมาก จึงขอให้รักษามาตรฐานเพื่อลูกหลานของเราได้รับการศึกษาอย่างมีคุณภาพต่อไป การจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ก็เป็นสิ่งจําเป็นที่ต้องดําเนินการต่อไป ทั้งมาตรฐานสถานศึกษา หลักสูตร การสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ฐานข้อมูลแหล่งเรียนรู้ และเครือข่ายความร่วมมือ การพัฒนาระบบการบริหารจัดการศึกษา ฝากเรื่องการสร้าง "จิตวิญญาณ" ในการทํางาน ที่จะต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต มีระบบธรรมาภิบาล การน้อมนําศาสตร์พระราชาไปสู่การปฏิบัติ ใช้หลักคิดทําให้ครบฯ ยึดหลักความคุ้มค่า ความโปร่งใส ความมีส่วนร่วม ความยุติธรรม และหลักนิติธรรม เป็นแนวทางปฏิบัติ ● ภูมิใจทุกภาคส่วนที่ร่วมขับเคลื่อนการศึกษาจนส่งผลให้ประชาชนเกิดความพึงพอใจ ผลของการจัดการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี 2560 ถือเป็นอีกเรื่องที่เป็นความภูมิใจร่วมกันของทุกหน่วยงานในพื้นที่ที่ได้ร่วมกันขับเคลื่อนงานด้านการศึกษา เพราะได้มีการสํารวจความคิดเห็น "ความพึงพอใจด้านการศึกษา" ของประชาชนทุกจังหวัดในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ซึ่งผลสํารวจทั้ง 2 ครั้งพบว่าใกล้เคียงกัน กล่าวคือประชาชนมีความพึงพอใจมากถึงร้อยละ 85 และในการสํารวจความคิดเห็นผ่านระบบออนไลน์ในวันแถลงผลงานครั้งนี้ก็พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 91 มีความพึงพอใจผลงานด้านการศึกษาของรัฐบาลในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจะขอให้มีการสํารวจเพิ่มเติมให้ครอบคลุมทั้งระบบ ทั้งเพศ อายุ รายได้ ฯลฯ เพื่อสรุปรายงานเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบในโอกาสต่อไป ● ฝากให้ยึดความเห็นส่วนรวมมากกว่าส่วนตน พล.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวสรุปด้วยว่า "หากเราก้าวข้ามอุปสรรคได้ ความสําเร็จก็จะเกิดขึ้น" หากเรามีความเห็นตรงกันมากขึ้น ก็จะส่งผลถึงความรู้รักสามัคคี และหากเราก้าวข้าม "ความเห็นประโยชน์ส่วนตน" โดยมอง "ประโยชน์ส่วนรวม" มากกว่า เราก็จะคิดทําอะไรเพื่อส่วนรวมมากกว่าทําเพื่อตนเอง อันจะส่งผลให้การศึกษาขับเคลื่อนตามแผนงานต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ด้วยความพยายามร่วมกัน ทั้งนี้ ความสําเร็จเกิดขึ้นได้ด้วยกลไกประชารัฐ ด้วยความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมทั้งสื่อมวลชน เพื่อส่งผลให้ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดํารงชีวิตอย่างเป็นสุขในสังคมพหุวัฒนธรรม สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 เพื่อให้การศึกษาเป็นรากฐานที่สําคัญนําไปสู่การพัฒนาประเทศ ด้วยความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป. การแถลงผลงานการขับเคลื่อนแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ข้อมูลพื้นฐาน : ในภาพรวมของการจัดการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี, ยะลา, นราธิวาส, 4 อําเภอของสงขลา และสตูล) โดยในปีการศึกษา 2561 มีนักเรียนนักศึกษา จํานวน 961,063 คน ครูอาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา 59,625 คน และมีสถานศึกษารวม 5,085 แห่งในทุกสังกัด ประกอบด้วย สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สํานักงานการศึกษาพิเศษ สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สํานักงานส่งเสริมการศึกษาเอกชน สถาบันพระบรมราชชนนี กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรมการปกครองส่วนท้องถิ่น ตํารวจตระเวนชายแดน และสํานักงานพระพุทธศาสนา ทิศทางการขับเคลื่อนนโยบายด้านการศึกษา : ศปบ.จชต.ให้ความสําคัญกับการจัดการศึกษาแก่ประชาชนทุกคนทุกช่วงวัย ตั้งแต่ปฐมวัย วัยเรียน วัยทํางาน และผู้สูงวัย ให้มีโอกาสในการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อเป็นคนที่มีคุณภาพ มีความสามารถ มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ในการดํารงชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในสังคมพหุวัฒนธรรม ภายใต้วิสัยทัศน์ " ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รับการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดํารงชีวิตอย่างเป็นสุขในสังคมพหุวัฒนธรรม สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21" พร้อมน้อมนํายุทธศาสตร์พระราชทาน "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และ พระบรมราโชบายของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ด้านการศึกษาที่มุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน 4 ด้านได้แก่ มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง, มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรม, มีงานทํา มีอาชีพ และเป็นพลเมืองดี เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ในพื้นที่ จชต.ตลอดไป ผลการขับเคลื่อนแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในภารกิจหลัก 6 ด้าน ด้านที่ 1 การศึกษาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง : นําเสนอโดย นายสนิท แย้มเกสร ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง ได้ดําเนินการขับเคลื่อนบูรณาการร่วมกับหน่วยงานทางการศึกษาในพื้นที่ เพื่อกําหนดแนวทางในการจัดการเรียนการสอน ที่จะทําให้เยาวชนและประชาชนเกิดความภาคภูมิใจและแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อ สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ น้อมนํา ศาสตร์พระราชามาเป็นแกนหลักในการยกระดับคุณภาพการศึกษา ตลอดจนปลูกฝังการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และจัดกิจกรรมลูกเสือเนตรนารียุวกาชาด เพื่อส่งเสริมจิตอาสาและการบําเพ็ญประโยชน์ โดยมีโครงการและกิจกรรมสําคัญ อาทิ กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร 66 พรรษา พร้อมปลูกต้นไม้ประจําพระองค์ "ต้นรวงผึ้ง", กิจกรรมปลูกจิตสํานึกความเป็นชาติไทยในโครงการรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด (To Be Number One) ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาสิริวัฒนาพรรณวดี, กิจกรรมประวัติศาสตร์ชาติไทยและบุญคุณของพระมหากษัตริย์ไทย โดยวิทยากรแกนนําจํานวน 25 คนจัดอบรมขยายผลให้แก่ผู้บริหารข้าราชการครูบุคลากรทางการศึกษาและพนักงานราชการ จํานวน 1,204 คน, กิจกรรมพัฒนาทักษะทางสังคมพหุวัฒนธรรม ผ่านกิจกรรมกระบวนการพัฒนาผู้นํา และกิจกรรมครอบครัวสุขสันต์สมานฉันท์สังคมไทย โดยมีผู้เข้าร่วม 1,590 คน ส่งผลให้พ่อแม่ผู้ปกครองมีความรู้ความเข้าใจในการดูแลบุตรหลาน และสร้างความอบอุ่นในครอบครัว, การจัดงานรอมฎอนสัมพันธ์ของหน่วยงานทางการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสร้างความสามัคคีและปลูกจิตสํานึกการอยู่ร่วมกันโดยมี ผู้บริหาร บุคลากร หน่วยงานภาคราชการในพื้นที่ องค์กรชุมชน/ศาสนา ตลอดจนผู้ปกครอง เข้าร่วมกว่า 17,320 คน, การพัฒนาสถานศึกษาพอเพียง และพัฒนาครูแกนนําเพื่อออกแบบและขับเคลื่อนการเรียนรู้ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและหลักนิติธรรม ในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 13 เขต และสํานักงาน กศน.จชต. การจัดกิจกรรมชุมนุมลูกเสือจังหวัดชายแดนภาคใต้ ครั้งที่ 13 โดยมีผู้บังคับบัญชาลูกเสือ ลูกเสือเนตรนารี 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และจากประเทศเพื่อนบ้าน (มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม เนปาล การ์ต้า) เข้าร่วม 3,760 คน นอกจากนี้ ยังมีลูกเสือจิตอาสาช่วยเหลือประชาชนที่ไปประกอบพิธีฮัจย์ จํานวน 420 คน และจิตอาสาอาชีวะในกิจกรรมอาชีวะร่วมด้วยช่วยประชาชน เพื่อให้บริการในช่วงเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ และวันสงกรานต์ เป็นต้น ด้านที่ 2 การผลิตและพัฒนากําลังคน ให้มีสมรรถนะในการแข่งขัน : นําเสนอโดย นายอิทธิฤทธิ์ ศรีชุมภู รองผู้อํานวยการวิทยาลัยสารพัดช่างยะลา ในเรื่องของการผลิตและพัฒนากําลังคนให้มีสมรรถนะในการแข่งขัน ได้กําหนดแนวทางการพัฒนาประชากรวัยแรงงาน ให้มีทักษะทางภาษาเพื่อการสื่อสาร ส่งเสริมประสบการณ์ด้านอาชีพเพื่อเพิ่มสมรรถนะในการแข่งขัน พร้อมทั้งส่งเสริมอาชีพทางเลือก และพัฒนาฝีมือแรงงาน ตลอดจนผลิตกําลังคนให้ตามความต้องการของสถานประกอบการในท้องถิ่น จชต. สอดรับตามนโยบายเมืองต้นแบบ สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน พร้อมมุ่งพัฒนากลุ่มอุตสาหกรรมฮาลาล เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจฮาลาลโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยมีโครงการและกิจกรรมสําคัญ อาทิ การพัฒนาภาษาสู่ยุคอาเซียน ได้แก่ ภาษาอังกฤษ, ภาษามลายูกลาง, ภาษาจีน และภาษาพม่า แก่นักเรียนนักศึกษา 1,695 คน ในสถานศึกษาอาชีวศึกษา 18 แห่ง, การฝึกอบรมหลักสูตรมัคคุเทศก์ทั่วไป แก่ประชาชน จํานวน 40 คน เพื่อให้ได้รับบัตรมัคคุเทศก์ทั่วไป (บัตรบรอน) ที่จะสามารถประกอบอาชีพได้จริงตามกฎหมาย, โครงการหลักสูตร 2 ปริญญา ระหว่างคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา กับคณะอักษรศาสตร์มหาวิทยาลัยมาลัง ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อพัฒนาหลักสูตรสองปริญญาร่วมกัน มีการเทียบโอนหน่วยกิตและได้รับปริญญาทั้ง 2 มหาวิทยาลัย, การอบรมเชิงปฏิบัติการจัดทําหลักสูตรฐานสมรรถนะระยะสั้น Thailand 4.0 แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา กว่า 100 คน พร้อมหลักสูตรการพัฒนาวิชาชีพครูด้วยนวัตกรรมศึกษา Lesson study และวิธีการแบบเปิด Open Approach ให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา 450 คน นอกจากนี้ยังได้ส่งเสริมประสบการณ์อาชีพให้กับนักเรียน 1,300 คน ออกไปฝึกประสบการณ์ในสถานประกอบการ ร้านอาหาร และโรงเรียน และร้านอาหาร และฝึกประสบการณ์อาชีพเพื่อการมีงานทํา 1,700 คน, การ ฝึกอาชีพและจัดตั้งกลุ่มอาชีพในสถาบันศึกษาปอเนาะและโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม 182 แห่ง รวม 4,021 คน, โครงการขยายโอกาสทางการศึกษาวิชาชีพและพัฒนาทักษะวิชาชีพ ศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it Center) ใน 58 ตําบล พร้อมจัดโครงการอาชีวศึกษาประชารัฐ 4 แห่ง ( วิทยาลัยอาชีวะจังหวัดยะลา, วิทยาลัยการอาชีพสุไหงโก-ลก, วิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกปัตตานี และวิลัยเทคนิคจะนะ) โดยมีนักเรียนนักศึกษาเข้าร่วม 382 คน, จัดกิจกรรมฝึกทักษะอาชีพและอาชีพทางเลือกอาชีพใหม่แก่ประชาชน 10,034 คนใน 80 อาชีพ พร้อมจัดตั้งกลุ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ใน 11 กลุ่มอาชีพ รวมทั้ง จัดโครงการพัฒนาร้านอาหารอัตลักษณ์มลายูใน จชต. และส่งผลงานนักเรียนนักศึกษา เข้าร่วมการประกวดวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหารฮาลาล และสิ่งประดิษฐ์ที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมฮาลาล กว่า 80 ผลงาน ด้านที่ 3 การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัย และการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ : นําเสนอโดย นายประสิทธิ์ หนูกุ้ง ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 1 ได้เปิดโอกาสให้ประชากรทุกช่วงวัยได้รับการพัฒนาคุณภาพ ให้สามารถเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อรองรับบริบทการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก โดยให้ความสําคัญกับการพัฒนาหลักสูตรระดับปฐมวัย หลักสูตรด้านอาชีพ และหลักสูตรอิสลามศึกษาฟัรฏูอีนประจํามัสยิด ระดับอิสลามศึกษาตอนต้นตามความต้องการของพื้นที่ ตลอดจนจัดตั้งศูนย์ภาษาและเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาทักษะทางภาษาที่หลากหลาย และจัดตั้งศูนย์พัฒนาครูเพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการจัดการเรียนการสอน โดยมุ่งเน้นรูปแบบสะเต็มศึกษาและการสอนแบบโครงงาน โดยใช้นวัตกรรมการศึกษาชั้นเรียนและวิธีการแบบเปิด ตลอดจนสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้วิชาชีพครูด้วย โดยมีโครงการและกิจกรรมสําคัญ อาทิ การอบรมหลักสูตรแกนกลางและการจัดการเรียนรู้ปฐมวัย รูปแบบ Active Learning แก่ครู 80 คน, การอบรมเชิงปฏิบัติการ การใช้วรรณกรรมเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย จํานวน 3 รุ่น กว่า 200 คน, โครงการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาไทย ผ่านกิจกรรมแข่งขันทักษะภาษาไทยให้แก่นักเรียน เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ โครงการส่งเสริมภาษาคู่การเรียนรู้สู่หมู่บ้านชายแดนใต้แก่ประชาชน 220 คน, จัดกิจกรรมขับเคลื่อนคุณภาพภาษาไทยโดยใช้ "ห้องสมุดคุณภาพ" ในโรงเรียน 161 แห่ง, โครงการค่ายภาษาอังกฤษ English Camp แก่นักเรียน 180 คน พร้อมจัดทํา MOU ว่าด้วยความร่วมมือในการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาวะผ่านการเพิ่มขีดความสามารถด้านการอ่านและเขียนภาษา, จัดการเรียนการสอนแบบสะเต็มศึกษา และการสอนแบบโครงงาน เพื่อพัฒนาผู้เรียน ตามกระบวนการสะเต็มศึกษา และสร้างสรรค์ผลงานแบบโครงงาน ที่ใช้องค์ความรู้ในหลายสาขาวิชา ที่จะเป็นการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ, การจัดตั้งศูนย์ดิจิทัลประจําอําเภอ, จัดอบรมพัฒนาศักยภาพครูสอนไม่ตรงสาย 9 กลุ่มสาระการเรียนรู้ จํานวน 660 คน และจัดอบรมพัฒนาครูรูปแบบครบวงจร (คูปองพัฒนาครู) ใน 3 หลักสูตร โดยมีผู้เข้าร่วม 157 คน ด้านที่ 4 การสร้างโอกาส ความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางการศึกษา : นําเสนอโดย นายเรวัฒน์ เพ็ชรสงฆ์ รักษาการในตําแหน่ง ผู้อํานวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้สร้างแนวทางการดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ พร้อมลดความเหลื่อมล้ําและสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่ประชาชนผู้ด้อยโอกาส คนพิการ และผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ และที่สําคัญคือ การนําประชากรวัยเรียนที่อยู่นอกระบบการศึกษาเข้าสู่ระบบการศึกษา การให้ทุนการศึกษาเพื่อเพิ่มโอกาสในการศึกษาต่อ ตลอดจนส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการศึกษาของประชากรวัยเรียนอย่างมีคุณภาพ พร้อมผลักดันโครงการโรงเรียนประชารัฐจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีโครงการและกิจกรรมสําคัญ อาทิ การแก้ปัญหาเด็กที่อยู่นอกระบบการศึกษา ให้กลับเข้ามาเข้าสู่ระบบการศึกษาพร้อมจัดหาที่เรียน จํานวน 27,376 คน (ร้อยละ 60.45) จากจํานวนทั้งหมด 45,289 คน, จัดอบรมครูรับผิดชอบระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 111 คน, จัดสรรทุนการศึกษาสําหรับผู้ด้อยโอกาส คนพิการ ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ และผู้เรียนต่อ เช่น ทุนรพี 50 ทุน ทุนการศึกษาเงินอุดหนุนการศึกษานักเรียนมุสลิมและอิสลามศึกษาแห่งประเทศไทย กว่า 700 ทุน ทุนอาชีวศึกษา กว่า 900 ทุน เป็นต้น, โรงเรียนประชารัฐ จชต. ในลักษณะโรงเรียนประจําโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอาชีวศึกษา รวม 68 แห่งใน 37 อําเภอ และโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ ในโรงเรียน 12 แห่ง โดยมีนักเรียนเจ้าร่วมโครงการ 1,300 คน ด้านที่ 5 การจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม : นําเสนอโดย นายสราวุธ เดชมณีรัตน์ ผู้อํานวยการสํานักพัฒนาการศึกษาเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ดําเนินการกําหนดมาตรฐานสถานศึกษาน่าอยู่ น่าเรียน และจัดทําหลักสูตรการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระดับสถานศึกษา พร้อมสร้างเครือข่ายความร่วมมือการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในสถานศึกษาและชุมชน ตลอดจนจัดทําสื่อ ข้อมูลแหล่งเรียนรู้ และส่งเสริมการวิจัย เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมด้านการสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีโครงการและกิจกรรมสําคัญ อาทิ ขับเคลื่อนกลยุทธ์กําหนดมาตรฐานสถานศึกษาน่าอยู่ น่าเรียน พร้อมพัฒนาสู่มาตรฐาน และยกย่องเชิดชูสถานศึกษาที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน, จัดหลักสูตรวิทยากรแกนนํา หลักสูตรท้องถิ่นอุทยานธรณีโลกสตูล (Satun UNESCO Global Geopark) และหลักสูตรส่งเสริมอาชีพที่เกี่ยวข้องกับอุทยานธรณีสตูล พร้อมส่งเสริมภาษาเพื่อการท่องเที่ยวส่งเสริมให้ประชาชนทําความดี เรียนรู้หลักธรรม และยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง, จัดกิจกรรมเรียนรู้ระบบนิเวศน์ตามธรรมชาติ, จัดโครงการเรียนรู้ อนุรักษ์ พืชสมุนไพรชุมชน และภูมิปัญญาท้องถิ่น, จัดกิจกรรมบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ จิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดําริ เราทําความดี ด้วยหัวใจ พร้อมจัดทําฐานข้อมูลแหล่งเรียนรู้ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ด้านที่ 6 การพัฒนาระบบการบริหารจัดการศึกษา : นําเสนอโดย ดร.นวลพรรณ วรรณสุธี อาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้ากลุ่มอํานวยการและประสานงาน ศปบ.จชต. การพัฒนาระบบการบริหารจัดการศึกษา มีเป้าหมายให้ผู้เรียน ครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน พร้อมส่งเสริมความสัมพันธ์โรงเรียนกับชุมชน พัฒนาต้นแบบการจัดการศึกษาท้องถิ่นพึ่งพาตนเองโดยใช้ตําบลเป็นฐาน ตลอดจนอบรมและพัฒนาการบริหารจัดการของ ศปบ.จชต. และแสวงหาความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีโครงการและกิจกรรมสําคัญ อาทิ จัดทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในการปฏิบัติตามแผนและมาตรการรักษาความปลอดภัยครูบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียน 1,133 แห่ง, การจัดกิจกรรมชุมชนสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับพื้นที่บริการ เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมจัดและระดมทรัพยากรทางการศึกษา ในโรงเรียน 1,256 แห่ง, ศึกษาธิการส่วนหน้าเคลื่อนที่พบประชาชนผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย ทั้งจากหน่วยงานการศึกษา สถานศึกษา และส่วนราชการในพื้นที่ ในการส่งเสริมทักษะทางวิชาการ อาชีพ การบริการชุมชน การบริการข้อมูลข่าวสาร และบริการจากหน่วยงานในพื้นที่ โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรม 37,210 คน และมีผลสํารวจความพึงพอใจของประชาชนกลุ่มตัวอย่างอยู่ในระดับ "พึงพอใจมาก", การพัฒนาต้นแบบการจัดการศึกษาท้องถิ่นพึ่งพาตนเอง โดยใช้ตําบลเป็นฐานใน 12 ตําบล เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา บนฐานอัตลักษณ์ของตนเอง, การสร้างความเข้มแข็งของสถานศึกษา Smart Office โดยจัดประชุมขับเคลื่อนแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค วิเคราะห์รายงานการประเมินคุณภาพภายในสถานศึกษาของโรงเรียนเอกชน พร้อมศึกษาวิจัยปัจจัยสู่ความสําเร็จในการบริหารการศึกษาของโรงเรียนกลุ่มเป้าหมาย 5 โรงเรียนใน 5 จังหวัด, การสร้างขวัญและกําลังใจในการปฏิบัติงาน พร้อมยกย่องและเชิดชูเกียรติกรณีพิเศษ อาทิ จัดพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เยี่ยมสถานศึกษาเพื่อสร้างขวัญและกําลังใจในช่วงเปิดภาคเรียน เยียวยาทายาทผู้ได้รับผลกระทบ จัดทุนการศึกษาระดับปริญญาโท-เอก สําหรับครูและบุคลากรจังหวัดชายแดนภาคใต้กว่า 10 ล้านบาท Written by นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร Photo Credit อิทธิพล รุ่งก่อน, ปกรณ์ เรืองยิ่ง VDO Rewriter นวรัตน์ รามสูต Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15544
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. สร้างความเข้าใจองค์กรนายจ้างสุราษฎร์ธานี เตรียมหักเงินเดือนผู้กู้ยืมตาม พ.ร.บ. ใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2561 กยศ. สร้างความเข้าใจองค์กรนายจ้างสุราษฎร์ธานี เตรียมหักเงินเดือนผู้กู้ยืมตาม พ.ร.บ. ใหม่ กยศ.จัดสัมมนาเรื่อง “นายจ้างมีหน้าที่นําส่งเงินตาม พ.ร.บ. กยศ. พ.ศ. 2560 ต้องทําอย่างไร” โดยเชิญหน่วยงานองค์กรนายจ้างในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เข้าร่วมรับฟังกว่า100 แห่ง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2561 ณ โรงแรมบรรจงบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จัดสัมมนาเรื่อง “นายจ้างมีหน้าที่นําส่งเงินตาม พ.ร.บ. กยศ. พ.ศ. 2560 ต้องทําอย่างไร” โดยเชิญหน่วยงานองค์กรนายจ้างในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เข้าร่วมรับฟังกว่า100 แห่ง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2561 ณ โรงแรมบรรจงบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีนายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนฯ เป็นประธาน และได้รับเกียรติจากนายธีระชัย ศรีโพธิ์ชัย ประธานหอการค้าจังหวัดสุราษฎร์ธานี นายสุทธินันท์ นาคน้อย รองประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานี ร่วมเสวนา นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนฯ เปิดเผยว่า “เนื่องมาจากการที่พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 ซึ่งในสาระสําคัญของกฎหมายดังกล่าวได้กําหนดให้องค์กรนายจ้างทั้งภาครัฐและเอกชน มีหน้าที่หักเงินได้พึงประเมินของพนักงานหรือลูกจ้างที่เป็นผู้กู้ยืม เพื่อชําระเงินกู้ยืมคืนตามจํานวนที่กองทุนแจ้งให้ทราบผ่านกรมสรรพากร ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กองทุนกําหนด โดยนายจ้างจะเริ่มดําเนินการหักเงินเดือนได้ต่อเมื่อกองทุนได้แจ้งต่อนายจ้างอย่างเป็นทางการแล้วเท่านั้น ในการจัดงานครั้งนี้ กองทุนได้เชิญองค์กรนายจ้างภาคเอกชนที่เป็นสมาชิกหอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด สภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย รวมถึงสถานศึกษา และสื่อมวลชนในจังหวัดสุราษฎร์ธานีจํานวนกว่า 100 แห่ง เข้าร่วมรับฟังแนวทางขั้นตอน และวิธีการหักเงินเดือนบุคลากรที่เป็นผู้กู้ยืมในสังกัด เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและเตรียมความพร้อมในการดําเนินการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้บุคลากรในสังกัดตระหนักถึงความจําเป็นในการชําระเงินคืนกองทุนและสร้างจิตสํานึกในการชําระเงินคืน เพื่อส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้กับผู้กู้ยืมในรุ่นน้องต่อไป” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. สร้างความเข้าใจองค์กรนายจ้างสุราษฎร์ธานี เตรียมหักเงินเดือนผู้กู้ยืมตาม พ.ร.บ. ใหม่ วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2561 กยศ. สร้างความเข้าใจองค์กรนายจ้างสุราษฎร์ธานี เตรียมหักเงินเดือนผู้กู้ยืมตาม พ.ร.บ. ใหม่ กยศ.จัดสัมมนาเรื่อง “นายจ้างมีหน้าที่นําส่งเงินตาม พ.ร.บ. กยศ. พ.ศ. 2560 ต้องทําอย่างไร” โดยเชิญหน่วยงานองค์กรนายจ้างในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เข้าร่วมรับฟังกว่า100 แห่ง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2561 ณ โรงแรมบรรจงบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จัดสัมมนาเรื่อง “นายจ้างมีหน้าที่นําส่งเงินตาม พ.ร.บ. กยศ. พ.ศ. 2560 ต้องทําอย่างไร” โดยเชิญหน่วยงานองค์กรนายจ้างในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เข้าร่วมรับฟังกว่า100 แห่ง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2561 ณ โรงแรมบรรจงบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีนายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนฯ เป็นประธาน และได้รับเกียรติจากนายธีระชัย ศรีโพธิ์ชัย ประธานหอการค้าจังหวัดสุราษฎร์ธานี นายสุทธินันท์ นาคน้อย รองประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานี ร่วมเสวนา นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนฯ เปิดเผยว่า “เนื่องมาจากการที่พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 ซึ่งในสาระสําคัญของกฎหมายดังกล่าวได้กําหนดให้องค์กรนายจ้างทั้งภาครัฐและเอกชน มีหน้าที่หักเงินได้พึงประเมินของพนักงานหรือลูกจ้างที่เป็นผู้กู้ยืม เพื่อชําระเงินกู้ยืมคืนตามจํานวนที่กองทุนแจ้งให้ทราบผ่านกรมสรรพากร ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กองทุนกําหนด โดยนายจ้างจะเริ่มดําเนินการหักเงินเดือนได้ต่อเมื่อกองทุนได้แจ้งต่อนายจ้างอย่างเป็นทางการแล้วเท่านั้น ในการจัดงานครั้งนี้ กองทุนได้เชิญองค์กรนายจ้างภาคเอกชนที่เป็นสมาชิกหอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด สภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย รวมถึงสถานศึกษา และสื่อมวลชนในจังหวัดสุราษฎร์ธานีจํานวนกว่า 100 แห่ง เข้าร่วมรับฟังแนวทางขั้นตอน และวิธีการหักเงินเดือนบุคลากรที่เป็นผู้กู้ยืมในสังกัด เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและเตรียมความพร้อมในการดําเนินการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้บุคลากรในสังกัดตระหนักถึงความจําเป็นในการชําระเงินคืนกองทุนและสร้างจิตสํานึกในการชําระเงินคืน เพื่อส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้กับผู้กู้ยืมในรุ่นน้องต่อไป” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15040
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/2559 เห็นชอบในหลักการร่างแผนปฏิบัติการ คปก. ระยะที่ 2
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2559 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/2559 เห็นชอบในหลักการร่างแผนปฏิบัติการ คปก. ระยะที่ 2 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/59 เห็นชอบหลักการร่างแผนปฏิบัติการโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) ระยะที่ 2 พร้อมรับทราบความคืบหน้าการปฏิรูปการศึกษาใน 4 ประเด็นสําคัญเร่งด่วน วันนี้ (19 ส.ค.59) เวลา 09.30 น. ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/2559 โดยมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม สรุปสาระสําคัญของผลการประชุมดังนี้ ในวาระประธานแจ้งที่ประชุมทราบ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงความสําคัญของแนวทางการขับเคลื่อนด้านการศึกษาทั้งโครงการที่มีการดําเนินการแล้วและแผนการดําเนินการในระยะต่อไป ควรมุ่งเน้นการบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน รวมถึงองค์กรประชาสังคม เพื่อให้การพัฒนาด้านการศึกษามีความต่อเนื่องและเกิดความยั่งยืนในระยะยาวต่อไป ที่ประชุมฯ ประชุมฯ รับทราบความคืบหน้าการปฏิรูปการศึกษา ประกอบด้วย 4 ประเด็นสําคัญเร่งด่วน คือ 1. โครงสร้างและการบริหารงบประมาณ โดยจัดโครงสร้างการบริหารงานใหม่ที่บูรณาการการทํางานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความต้องการของสถานศึกษาและนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษอย่างแท้จริง 2. การบริหารงานบุคคล โดยมีการจัดทําข้อมูลแผนที่แสดงอัตราการขาด-เกินข้าราชการครู พนักงานราชการ และครูอัตราจ้าง จัดทําแผนอัตรากําลังครู การผลิตและพัฒนาครูอย่างเป็นระบบ แผนดําเนินการในการแก้ปัญหาการบรรจุ โยกย้าย และแต่งตั้ง การปรับหลักสูตรการผลิตครูที่มีคุณภาพ และการบริหารจัดการครูในโรงเรียนขนาดเล็ก 3. ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารและจัดการศึกษา โดยบูรณาการและพัฒนาเครือข่าย ICT /MIS ขยายการบริการ DLTV & DLIT จัดทําฐานข้อมูลผู้เรียน/บุคลากรการศึกษาที่เชื่อมโยงระหว่างสถานศึกษาทุกสังกัด 4. คุณภาพและมาตรฐานการศึกษา โดยมีแผนการดําเนินการสําคัญ อาทิ การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา โครงการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ การขับเคลื่อนโครงการประชารัฐ การยกระดับภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนและครู ปรับระบบการสอบ O-NET ปรับปรุงการประเมินและประกันคุณภาพการศึกษา การจัดให้มี STEM Education ทุกโรงเรียน ภายใน 5 ปี การสร้างระบบที่ยืดหยุ่นในการเข้าสู่การศึกษาในแต่ละระดับ เช่น กําหนดให้มีจํานวนที่นั่งให้กับนักศึกษาที่จบ ปวช. มาศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี การจัดการศึกษาอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ทวิศึกษา สหกิจศึกษา และทวิวุฒิ (ได้วุฒิการศึกษาทั้งของสถาบันการศึกษาไทยและต่างประเทศ) การส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนตามขีดความสามารถโดยจัดให้มีแบบทดสอบความถนัด พร้อมกันนี้ ที่ประชุมพิจารณา เรื่อง (ร่าง) แผนปฏิบัติการโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2560-2579) ซึ่งมีสาระสําคัญ เป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการในระยะที่ 1 โดยเสนอขอทุนนักศึกษาภายใต้ 3 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย (1) คปก.โลกาภิวัฒน์ การให้ทุนนักศึกษาในสาขาที่สอดคล้องกับการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เป็น new engine of growth (2) คปก. อาเซียน +6 เป็นการให้ทุนนักศึกษาอาเซียนมาเรียนในประเทศไทย โดยเฉพาะในสาขาวิชาที่ประเทศไทยมีความเข้มแข็ง (3) คปก.เพื่อหน่วยงานภาครัฐ โดยการผลิตบุคลากรระดับปริญญาเอกร่วมกับหน่วยงานรัฐที่ไม่ใช่สถาบันการศึกษา รวม 12,390 ทุน วงเงินรวม 34,380 ล้านบาท เพื่อให้ประเทศไทยมีนักวิจัย 25 คน ต่อประชากร 10,000 คน ทั้งนี้ ภายใต้แผนปฏิบัติการ เสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกํากับทิศทางสาขาวิจัยและสัดส่วนที่จะให้ทุน ให้เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ และกําหนดกรอบการประเมินทุก 5 ปี โดยให้ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาโครงการจนโครงการแล้วเสร็จ โดยที่ประชุมมีข้อสังเกตว่า การให้โจทย์ในการวิจัยควรพิจารณาให้ครอบคลุมกับทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งอุตสาหกรรมเดิมและอุตสาหกรรมใหม่ของประเทศ และกําหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน อาทิ กลุ่มภาคเอกชน ข้าราชการ ประชาชนทั่วไป และให้พิจารณาถึงความซ้ําซ้อนการให้ทุนการศึกษาของประเทศซึ่งมีหลายหน่วยงานดําเนินการอยู่ และควรเพิ่มเติมหลักสูตรระยะสั้นเพื่อเน้นกระบวนการคิดในเชิงกว้าง เพื่อเสริมต่อกับการเรียนปริญญาเอกที่เน้นการสร้างความรู้ในเชิงลึกให้กับทั้งนักวิชาการรุ่นใหม่และรุ่นเก่า รวมถึงอาจจัดให้มีหลักสูตรที่ใช้เวลาสั้นกว่าการศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกในการสร้างนักวิจัย ตลอดจนควรมีการส่งเสริมอาชีพนักวิจัยโดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีความสนใจในการทําการวิจัยอย่างแท้จริง และควรมีการสร้างกลไกการรับรองมาตรฐานและกําหนดค่าตอบแทนที่เหมาะสมให้กับอาชีพนักวิจัย เพื่อสร้างกําลังใจและพัฒนาความก้าวหน้าทางอาชีพ นอกจากนี้ ควรสร้างกลไกในการรวมกลุ่มบัณฑิตปริญญาเอกโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในต่างประเทศให้มาร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศต่อไป มติที่ประชุมเห็นชอบในหลักการร่างแผนปฏิบัติการ คปก. ระยะที่ 2 โดยในส่วนของการอนุมัติงบประมาณ เห็นควรให้แบ่งการดําเนินการเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ระยะที่ 2 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 -2562 และระยะที่ 3 ช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 - 2579 โดยพิจารณาจากความสําคัญและความเร่งด่วน และให้สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) รับข้อสังเกตจากที่ประชุมไปพิจารณาปรับปรุงร่างแผนปฏิบัติการ เพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ----------------------- กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สํานักโฆษก (ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/2559 เห็นชอบในหลักการร่างแผนปฏิบัติการ คปก. ระยะที่ 2 วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2559 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/2559 เห็นชอบในหลักการร่างแผนปฏิบัติการ คปก. ระยะที่ 2 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/59 เห็นชอบหลักการร่างแผนปฏิบัติการโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) ระยะที่ 2 พร้อมรับทราบความคืบหน้าการปฏิรูปการศึกษาใน 4 ประเด็นสําคัญเร่งด่วน วันนี้ (19 ส.ค.59) เวลา 09.30 น. ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/2559 โดยมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม สรุปสาระสําคัญของผลการประชุมดังนี้ ในวาระประธานแจ้งที่ประชุมทราบ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงความสําคัญของแนวทางการขับเคลื่อนด้านการศึกษาทั้งโครงการที่มีการดําเนินการแล้วและแผนการดําเนินการในระยะต่อไป ควรมุ่งเน้นการบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน รวมถึงองค์กรประชาสังคม เพื่อให้การพัฒนาด้านการศึกษามีความต่อเนื่องและเกิดความยั่งยืนในระยะยาวต่อไป ที่ประชุมฯ ประชุมฯ รับทราบความคืบหน้าการปฏิรูปการศึกษา ประกอบด้วย 4 ประเด็นสําคัญเร่งด่วน คือ 1. โครงสร้างและการบริหารงบประมาณ โดยจัดโครงสร้างการบริหารงานใหม่ที่บูรณาการการทํางานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความต้องการของสถานศึกษาและนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษอย่างแท้จริง 2. การบริหารงานบุคคล โดยมีการจัดทําข้อมูลแผนที่แสดงอัตราการขาด-เกินข้าราชการครู พนักงานราชการ และครูอัตราจ้าง จัดทําแผนอัตรากําลังครู การผลิตและพัฒนาครูอย่างเป็นระบบ แผนดําเนินการในการแก้ปัญหาการบรรจุ โยกย้าย และแต่งตั้ง การปรับหลักสูตรการผลิตครูที่มีคุณภาพ และการบริหารจัดการครูในโรงเรียนขนาดเล็ก 3. ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารและจัดการศึกษา โดยบูรณาการและพัฒนาเครือข่าย ICT /MIS ขยายการบริการ DLTV & DLIT จัดทําฐานข้อมูลผู้เรียน/บุคลากรการศึกษาที่เชื่อมโยงระหว่างสถานศึกษาทุกสังกัด 4. คุณภาพและมาตรฐานการศึกษา โดยมีแผนการดําเนินการสําคัญ อาทิ การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา โครงการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ การขับเคลื่อนโครงการประชารัฐ การยกระดับภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนและครู ปรับระบบการสอบ O-NET ปรับปรุงการประเมินและประกันคุณภาพการศึกษา การจัดให้มี STEM Education ทุกโรงเรียน ภายใน 5 ปี การสร้างระบบที่ยืดหยุ่นในการเข้าสู่การศึกษาในแต่ละระดับ เช่น กําหนดให้มีจํานวนที่นั่งให้กับนักศึกษาที่จบ ปวช. มาศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี การจัดการศึกษาอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ทวิศึกษา สหกิจศึกษา และทวิวุฒิ (ได้วุฒิการศึกษาทั้งของสถาบันการศึกษาไทยและต่างประเทศ) การส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนตามขีดความสามารถโดยจัดให้มีแบบทดสอบความถนัด พร้อมกันนี้ ที่ประชุมพิจารณา เรื่อง (ร่าง) แผนปฏิบัติการโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2560-2579) ซึ่งมีสาระสําคัญ เป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการในระยะที่ 1 โดยเสนอขอทุนนักศึกษาภายใต้ 3 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย (1) คปก.โลกาภิวัฒน์ การให้ทุนนักศึกษาในสาขาที่สอดคล้องกับการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เป็น new engine of growth (2) คปก. อาเซียน +6 เป็นการให้ทุนนักศึกษาอาเซียนมาเรียนในประเทศไทย โดยเฉพาะในสาขาวิชาที่ประเทศไทยมีความเข้มแข็ง (3) คปก.เพื่อหน่วยงานภาครัฐ โดยการผลิตบุคลากรระดับปริญญาเอกร่วมกับหน่วยงานรัฐที่ไม่ใช่สถาบันการศึกษา รวม 12,390 ทุน วงเงินรวม 34,380 ล้านบาท เพื่อให้ประเทศไทยมีนักวิจัย 25 คน ต่อประชากร 10,000 คน ทั้งนี้ ภายใต้แผนปฏิบัติการ เสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกํากับทิศทางสาขาวิจัยและสัดส่วนที่จะให้ทุน ให้เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ และกําหนดกรอบการประเมินทุก 5 ปี โดยให้ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาโครงการจนโครงการแล้วเสร็จ โดยที่ประชุมมีข้อสังเกตว่า การให้โจทย์ในการวิจัยควรพิจารณาให้ครอบคลุมกับทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งอุตสาหกรรมเดิมและอุตสาหกรรมใหม่ของประเทศ และกําหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน อาทิ กลุ่มภาคเอกชน ข้าราชการ ประชาชนทั่วไป และให้พิจารณาถึงความซ้ําซ้อนการให้ทุนการศึกษาของประเทศซึ่งมีหลายหน่วยงานดําเนินการอยู่ และควรเพิ่มเติมหลักสูตรระยะสั้นเพื่อเน้นกระบวนการคิดในเชิงกว้าง เพื่อเสริมต่อกับการเรียนปริญญาเอกที่เน้นการสร้างความรู้ในเชิงลึกให้กับทั้งนักวิชาการรุ่นใหม่และรุ่นเก่า รวมถึงอาจจัดให้มีหลักสูตรที่ใช้เวลาสั้นกว่าการศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกในการสร้างนักวิจัย ตลอดจนควรมีการส่งเสริมอาชีพนักวิจัยโดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีความสนใจในการทําการวิจัยอย่างแท้จริง และควรมีการสร้างกลไกการรับรองมาตรฐานและกําหนดค่าตอบแทนที่เหมาะสมให้กับอาชีพนักวิจัย เพื่อสร้างกําลังใจและพัฒนาความก้าวหน้าทางอาชีพ นอกจากนี้ ควรสร้างกลไกในการรวมกลุ่มบัณฑิตปริญญาเอกโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในต่างประเทศให้มาร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศต่อไป มติที่ประชุมเห็นชอบในหลักการร่างแผนปฏิบัติการ คปก. ระยะที่ 2 โดยในส่วนของการอนุมัติงบประมาณ เห็นควรให้แบ่งการดําเนินการเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ระยะที่ 2 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 -2562 และระยะที่ 3 ช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 - 2579 โดยพิจารณาจากความสําคัญและความเร่งด่วน และให้สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) รับข้อสังเกตจากที่ประชุมไปพิจารณาปรับปรุงร่างแผนปฏิบัติการ เพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ----------------------- กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สํานักโฆษก (ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/239
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย – ฮ่องกง จับมือเดินหน้าเชื่อมโยงนโยบาย One-Belt One-Road
วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2560 ไทย – ฮ่องกง จับมือเดินหน้าเชื่อมโยงนโยบาย One-Belt One-Road รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางอภิรดี ตันตราภรณ์) เข้าร่วมการประชุม Hong Kong Summit : Regional Co-operation between Hong Kong and East Asia (Hong Kong Summit) ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2560 โดยได้รับเชิญให้ขึ้นร่วมเสวนาในหัวข้อ “การค้าเสรีและความร่วมมือในภูมิภาค” เพื่อสร้างพลวัตใหม่ในการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การประชุม Hong Kong Summit จัดโดยสภาหอการค้าจีน (Chinese General Chamber of Commerce : CGCC) ของฮ่องกง มีความสําคัญอย่างมาก เนื่องจากเป็นงานประชุมใหญ่หลังการเยือนฮ่องกงของประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ในโอกาสการเฉลิมฉลอง 20 ปี การกลับคืนสู่จีนของฮ่องกง และเป็นสักขีพยานในพิธีสาบานตนเข้ารับตําแหน่งผู้บริหารเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ของนางแครี แลม เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ ผู้นําคนใหม่ของฮ่องกงได้กล่าวปาฐกถา เน้นย้ําความสําคัญของความร่วมมือในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอน และความสําคัญของอาเซียน ในฐานะคู่ค้าอันดับสองของฮ่องกง (รองจากจีน) โดยเลือกที่จะเยือนประเทศต่างๆ ในอาเซียนเป็นกลุ่มแรก นางแลมฯ เห็นว่าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง ซึ่งตั้งเป้าให้มีการลงนามในปีนี้ ความตกลงการค้าเสรีระหว่างจีนกับฮ่องกง ตลอดจนโครงการ Great Bay Area (กวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า) จะยิ่งส่งเสริมบทบาทนําของฮ่องกงในการเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการลงทุนในภูมิภาค และเสริมสร้างความเชื่อมโยงกับนโยบาย One-Belt One-Road (OBOR) ของจีนอย่างเป็นรูปธรรม นางอภิรดี กล่าวว่า การเข้าร่วม Hong Kong Summit ครั้งนี้ ได้กล่าวแสดงวิสัยทัศน์บนเวทีใน 3 ประเด็นหลัก คือ 1) ความสําคัญของความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ต่อการรวมกลุ่มในภูมิภาค 2) บทบาทนําของไทยและฮ่องกงในการเป็นประตูทางการค้าและการลงทุน ซึ่งสนับสนุนการเชื่อมโยงในภูมิภาคและการดําเนินกิจกรรมต่างๆ ภายใต้นโยบาย OBOR ของจีน และยังได้นําเสนอโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ให้เป็นเขตเศรษฐกิจที่ทันสมัยที่สุดในอาเซียน มีโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางบก ทางน้ํา และทางอากาศ โดยสามารถเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ระหว่างเอเชียตะวันออก – อาเซียน – เอเชียใต้ และเพื่อรองรับการขยายตัวทางการค้าทั้งแบบดั้งเดิมและการค้าขายออนไลน์ (E-Commerce) ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และ 3) การพัฒนาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยนวัตกรรมใหม่ และเพื่อให้มีส่วนร่วมในห่วงโซ่มูลค่าในภูมิภาค โดยกระทรวงพาณิชย์มีสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (New Economic Academy) ที่พร้อมจะพัฒนาความร่วมมือด้าน SME และผู้ประกอบการ Startups กับฮ่องกงและประเทศต่างๆ ในภูมิภาค ซึ่งจะทําให้เกิดการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจต่อไป นอกจากนี้ รมว.พาณิชย์ ได้มีโอกาสหารือทวิภาคีกับนาย Edward Yau รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและพัฒนาเศรษฐกิจคนใหม่ของฮ่องกง โดยสองฝ่ายต่างตระหนักถึงความสัมพันธ์อันดีและการเป็นประตูการค้าการลงทุนให้กันและกัน และต่างเห็นพ้องร่วมกันดําเนินการให้มีการลงนามความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง ภายในปีนี้ ไทยและฮ่องกงสามารถกระชับความร่วมมือระหว่างกันได้อีกหลายด้าน โดยเฉพาะการบ่มเพาะ SMEs Startups และกลุ่ม Talents ให้สอดคล้องกับรูปแบบการทําธุรกิจและธุรกรรมทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ ได้มีการหารือถึงความคืบหน้าหลังการเยือนฮ่องกงของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ซึ่งสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (HKTDC) ได้พาคณะนักลงทุนฮ่องกงมาศึกษาลู่ทางและศักยภาพในการลงทุนใน EEC ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยนาย Yau แจ้งว่า HKTDC มีแผนจะดําเนินกิจกรรมต่างๆ กับไทยอย่างต่อเนื่อง Chinese General Chamber of Commerce: CGCC เป็นสภาหอการค้าที่ใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลมากที่สุดของฮ่องกง โดยมีสมาชิกกว่า 6,000 คน สําหรับงาน Hong Kong Summit ครั้งนี้ มีผู้แทนระดับสูงจากจีน รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (กัมพูชา ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม) ประธานกองทุนเส้นทางสายไหม (Silk Road Fund) ผู้ประกอบการ นักธุรกิจและนักลงทุนจากจีนและฮ่องกง สนใจเข้าร่วมงานกว่า 800 คน ด้านการค้า ในปี 2559 ฮ่องกงเป็นคู่ค้าอันดับ 9 ของไทย เป็นประตูสู่จีนแผ่นดินใหญ่ ในปี 2559 การค้ารวมระหว่างไทยกับฮ่องกงมีมูลค่า 1.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีอัตราการเติบโตลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2558 ร้อยละ 2.50 สินค้าส่งออกสําคัญของไทยไปฮ่องกง ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า ข้าว ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง สินค้านําเข้าสําคัญของไทยจากฮ่องกง ได้แก่ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคํา เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องประดับอัญมณี และผ้าผืน สําหรับการลงทุน ในปี 2559 ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI เป็นอันดับที่ 7 จํานวน 32 โครงการคิดเป็นมูลค่า 8.6 พันล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 68.9 ด้านการท่องเที่ยว ในปี 2559 มีนักท่องเที่ยวฮ่องกงเดินทางมาไทย 7.5 แสนคน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 12 มีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปฮ่องกง 5.9 แสนคน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 12 ส่วนด้านแรงงาน ในปี 2559 มีแรงงานไทยเข้าไปทํางานในฮ่องกงประมาณ 2,000 คน ส่วนมากประกอบอาชีพผู้ช่วยแม่บ้าน พนักงานบริการ และผู้ประกอบอาหาร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย – ฮ่องกง จับมือเดินหน้าเชื่อมโยงนโยบาย One-Belt One-Road วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2560 ไทย – ฮ่องกง จับมือเดินหน้าเชื่อมโยงนโยบาย One-Belt One-Road รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางอภิรดี ตันตราภรณ์) เข้าร่วมการประชุม Hong Kong Summit : Regional Co-operation between Hong Kong and East Asia (Hong Kong Summit) ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2560 โดยได้รับเชิญให้ขึ้นร่วมเสวนาในหัวข้อ “การค้าเสรีและความร่วมมือในภูมิภาค” เพื่อสร้างพลวัตใหม่ในการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การประชุม Hong Kong Summit จัดโดยสภาหอการค้าจีน (Chinese General Chamber of Commerce : CGCC) ของฮ่องกง มีความสําคัญอย่างมาก เนื่องจากเป็นงานประชุมใหญ่หลังการเยือนฮ่องกงของประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ในโอกาสการเฉลิมฉลอง 20 ปี การกลับคืนสู่จีนของฮ่องกง และเป็นสักขีพยานในพิธีสาบานตนเข้ารับตําแหน่งผู้บริหารเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ของนางแครี แลม เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ ผู้นําคนใหม่ของฮ่องกงได้กล่าวปาฐกถา เน้นย้ําความสําคัญของความร่วมมือในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอน และความสําคัญของอาเซียน ในฐานะคู่ค้าอันดับสองของฮ่องกง (รองจากจีน) โดยเลือกที่จะเยือนประเทศต่างๆ ในอาเซียนเป็นกลุ่มแรก นางแลมฯ เห็นว่าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง ซึ่งตั้งเป้าให้มีการลงนามในปีนี้ ความตกลงการค้าเสรีระหว่างจีนกับฮ่องกง ตลอดจนโครงการ Great Bay Area (กวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า) จะยิ่งส่งเสริมบทบาทนําของฮ่องกงในการเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการลงทุนในภูมิภาค และเสริมสร้างความเชื่อมโยงกับนโยบาย One-Belt One-Road (OBOR) ของจีนอย่างเป็นรูปธรรม นางอภิรดี กล่าวว่า การเข้าร่วม Hong Kong Summit ครั้งนี้ ได้กล่าวแสดงวิสัยทัศน์บนเวทีใน 3 ประเด็นหลัก คือ 1) ความสําคัญของความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ต่อการรวมกลุ่มในภูมิภาค 2) บทบาทนําของไทยและฮ่องกงในการเป็นประตูทางการค้าและการลงทุน ซึ่งสนับสนุนการเชื่อมโยงในภูมิภาคและการดําเนินกิจกรรมต่างๆ ภายใต้นโยบาย OBOR ของจีน และยังได้นําเสนอโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ให้เป็นเขตเศรษฐกิจที่ทันสมัยที่สุดในอาเซียน มีโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางบก ทางน้ํา และทางอากาศ โดยสามารถเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ระหว่างเอเชียตะวันออก – อาเซียน – เอเชียใต้ และเพื่อรองรับการขยายตัวทางการค้าทั้งแบบดั้งเดิมและการค้าขายออนไลน์ (E-Commerce) ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และ 3) การพัฒนาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยนวัตกรรมใหม่ และเพื่อให้มีส่วนร่วมในห่วงโซ่มูลค่าในภูมิภาค โดยกระทรวงพาณิชย์มีสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (New Economic Academy) ที่พร้อมจะพัฒนาความร่วมมือด้าน SME และผู้ประกอบการ Startups กับฮ่องกงและประเทศต่างๆ ในภูมิภาค ซึ่งจะทําให้เกิดการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจต่อไป นอกจากนี้ รมว.พาณิชย์ ได้มีโอกาสหารือทวิภาคีกับนาย Edward Yau รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและพัฒนาเศรษฐกิจคนใหม่ของฮ่องกง โดยสองฝ่ายต่างตระหนักถึงความสัมพันธ์อันดีและการเป็นประตูการค้าการลงทุนให้กันและกัน และต่างเห็นพ้องร่วมกันดําเนินการให้มีการลงนามความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง ภายในปีนี้ ไทยและฮ่องกงสามารถกระชับความร่วมมือระหว่างกันได้อีกหลายด้าน โดยเฉพาะการบ่มเพาะ SMEs Startups และกลุ่ม Talents ให้สอดคล้องกับรูปแบบการทําธุรกิจและธุรกรรมทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ ได้มีการหารือถึงความคืบหน้าหลังการเยือนฮ่องกงของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ซึ่งสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (HKTDC) ได้พาคณะนักลงทุนฮ่องกงมาศึกษาลู่ทางและศักยภาพในการลงทุนใน EEC ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยนาย Yau แจ้งว่า HKTDC มีแผนจะดําเนินกิจกรรมต่างๆ กับไทยอย่างต่อเนื่อง Chinese General Chamber of Commerce: CGCC เป็นสภาหอการค้าที่ใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลมากที่สุดของฮ่องกง โดยมีสมาชิกกว่า 6,000 คน สําหรับงาน Hong Kong Summit ครั้งนี้ มีผู้แทนระดับสูงจากจีน รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (กัมพูชา ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม) ประธานกองทุนเส้นทางสายไหม (Silk Road Fund) ผู้ประกอบการ นักธุรกิจและนักลงทุนจากจีนและฮ่องกง สนใจเข้าร่วมงานกว่า 800 คน ด้านการค้า ในปี 2559 ฮ่องกงเป็นคู่ค้าอันดับ 9 ของไทย เป็นประตูสู่จีนแผ่นดินใหญ่ ในปี 2559 การค้ารวมระหว่างไทยกับฮ่องกงมีมูลค่า 1.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีอัตราการเติบโตลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2558 ร้อยละ 2.50 สินค้าส่งออกสําคัญของไทยไปฮ่องกง ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า ข้าว ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง สินค้านําเข้าสําคัญของไทยจากฮ่องกง ได้แก่ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคํา เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องประดับอัญมณี และผ้าผืน สําหรับการลงทุน ในปี 2559 ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI เป็นอันดับที่ 7 จํานวน 32 โครงการคิดเป็นมูลค่า 8.6 พันล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 68.9 ด้านการท่องเที่ยว ในปี 2559 มีนักท่องเที่ยวฮ่องกงเดินทางมาไทย 7.5 แสนคน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 12 มีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปฮ่องกง 5.9 แสนคน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 12 ส่วนด้านแรงงาน ในปี 2559 มีแรงงานไทยเข้าไปทํางานในฮ่องกงประมาณ 2,000 คน ส่วนมากประกอบอาชีพผู้ช่วยแม่บ้าน พนักงานบริการ และผู้ประกอบอาหาร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5175
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนพฤศจิกายน 2562
วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม 2563 รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจําเดือนพฤศจิกายน 2562 ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ยังคงมีจํานวนผู้สนใจยื่นคําขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) เข้ามาอย่างต่อเนื่อง นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ยังคงมีจํานวนผู้สนใจยื่นคําขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งประเภทพิโกไฟแนนซ์ (มีทุนจดทะเบียนชําระแล้วไม่ต่ํากว่า 5 ล้านบาท ให้สินเชื่อแก่ประชาชนได้ไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย และเรียกเก็บดอกเบี้ย กําไรจากการให้สินเชื่อ ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมอื่นใด รวมกันได้ไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective Rate)) และประเภทพิโกพลัส (ทุนจดทะเบียนชําระแล้วไม่ต่ํากว่า 10 ล้านบาท ให้สินเชื่อแก่ประชาชนได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย และเรียกเก็บดอกเบี้ย กําไรจากการให้สินเชื่อ ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมอื่นใด รวมกันได้ไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective Rate) สําหรับวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 50,000 บาทแรก และสําหรับวงเงินสินเชื่อที่เกินกว่า 50,000 บาทเป็นต้นไป ให้เรียกเก็บได้ไม่เกินร้อยละ 28 ต่อปี (Effective Rate)) โดยผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้ง 2 ประเภท สามารถให้บริการสินเชื่อโดยรับสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือรถเพื่อการเกษตรเป็นประกัน หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน” หรือ “สินเชื่อจํานําทะเบียนรถ” ทั้งนี้ คําขออนุญาตที่ยื่นเข้ามาในเดือนพฤศจิกายน 2562 ส่วนใหญ่จะเป็นการยื่นคําขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ประเภทพิโกพลัส เนื่องจากผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ประเภทพิโกพลัสสามารถให้บริการสินเชื่อแก่ประชาชนในวงเงินที่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 จนถึง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2562 มีนิติบุคคลยื่นคําขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้งประเภทพิโกไฟแนนซ์และประเภทพิโกพลัสรวมจํานวนทั้งสิ้น 1,254 ราย ใน 76 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้ยื่นคําขออนุญาตมากที่สุด 3 ลําดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (110 ราย) กรุงเทพมหานคร (96 ราย) และขอนแก่น (65 ราย) ตามลําดับ อย่างไรก็ดี ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว มีนิติบุคคลที่คืนคําขออนุญาตสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์รวมจํานวนทั้งสิ้น 127 ราย ใน 51 จังหวัด จึงคงเหลือนิติบุคคลที่ยื่นคําขออนุญาตสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้ง 2 ประเภทสุทธิเป็นจํานวน 1,127 ราย ใน 75 จังหวัด และมีผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้ง 2 ประเภท จํานวนทั้งสิ้น 716 ราย ใน 72 จังหวัด ทั้งนี้ มีผู้ประกอบธุรกิจได้แจ้งเปิดดําเนินการแล้วจํานวน 619 ราย ใน 68 จังหวัด และได้ดําเนินการปล่อยสินเชื่อแล้วจํานวน 611 ราย ใน 68 จังหวัด โดยแบ่งออกเป็น (1) สินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ มีจํานวนผู้ยื่นคําขออนุญาตสุทธิทั้งสิ้น 1,006 ราย ใน 75 จังหวัด โดยมีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์แล้วจํานวน 701 ราย ใน 72 จังหวัด และมีผู้เปิดดําเนินการแล้วจํานวน 607 รายใน 68 จังหวัด (2) สินเชื่อประเภทพิโกพลัส มีจํานวนผู้ยื่นคําขออนุญาตสุทธิทั้งสิ้น 121 ราย ใน 46 จังหวัด ประกอบด้วยนิติบุคคลที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์เดิมซึ่งได้รับใบอนุญาตและเปิดดําเนินการแล้วมายื่นขอเปลี่ยนใบอนุญาตเป็นสินเชื่อประเภทพิโกพลัสจํานวน 78 ราย ใน 38 จังหวัด และเป็นนิติบุคคลที่ยื่นคําขอใหม่จํานวน 43 ราย ใน 22 จังหวัด โดยมีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัสแล้วจํานวน 15 ราย ใน 8 จังหวัด และมีผู้เปิดดําเนินการแล้วจํานวน 12 ราย ใน 7 จังหวัด (3) ยอดสินเชื่ออนุมัติสะสมและยอดสินเชื่อคงค้างสะสม (3.1) ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2562 มียอดสินเชื่ออนุมัติสะสมจํานวน 160,596 บัญชี รวมเป็นจํานวนเงิน 4,245.20 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่ออนุมัติเฉลี่ยจํานวน 26,434.03 บาทต่อบัญชี ประกอบด้วย สินเชื่อแบบมีหลักประกันจํานวน 79,921 บัญชี เป็นจํานวนเงิน 2,310.25 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 54.42 ของจํานวนยอดสินเชื่ออนุมัติสะสม และสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกันจํานวน 80,675 บัญชี เป็นจํานวนเงิน 1,934.95 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 45.58 ของจํานวนยอดสินเชื่ออนุมัติสะสม (3.2) ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2562 มียอดสินเชื่อคงค้างสะสมรวมเป็นจํานวนทั้งสิ้น 82,946 บัญชี คิดเป็นจํานวนเงิน 2,257.05 ล้านบาท โดยมีสินเชื่อค้างชําระ 1 - 3 เดือน สะสมรวมจํานวน 10,422 บัญชี หรือคิดเป็นจํานวนเงิน 306.63 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 13.59 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม และมีสินเชื่อค้างชําระที่เกินกว่า 3 เดือน (NPL) สะสมรวมจํานวน 9,584 บัญชี หรือคิดเป็นจํานวนเงิน 269.34 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 11.93 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม สินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560 ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้อนุมัติสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินสําหรับเป็นทางเลือกให้กับประชาชนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบทดแทนหนี้นอกระบบรายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.85 ต่อเดือน โดยได้เร่งกระจายความช่วยเหลือด้านสินเชื่อดังกล่าวแก่ประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2562 มีการอนุมัติสินเชื่อสะสมรวม 623,214 ราย เป็นจํานวนเงิน 27,362.22 ล้านบาท จําแนกเป็นสินเชื่อที่อนุมัติแก่ประชาชนทั่วไปจํานวน 577,505 ราย เป็นจํานวนเงิน 25,390.78 ล้านบาท และสินเชื่อที่อนุมัติให้กับผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ที่มีหนี้นอกระบบจํานวน 45,709 ราย เป็นจํานวนเงิน 1,971.44 ล้านบาท การดําเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่กระทําผิดกฎหมาย สํานักงานตํารวจแห่งชาติยังคงกวดขันจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบและผู้ติดตามทวงถามหนี้โดยวิธีการผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดําเนินการจับกุมผู้กระทําความผิดสะสมนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 เป็นต้นมา จนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2562 มีจํานวนรวมทั้งสิ้น 5,340 คน นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังคงดําเนินการร่วมกับหน่วยงานภาคีแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่องใน 5 มิติ ได้แก่ (1) ดําเนินการจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย (2) เพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ (3) ลดภาระหนี้นอกระบบโดยการไกล่เกลี่ย (4) เพิ่มศักยภาพลูกหนี้นอกระบบ และ (5) สนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบโดยองค์กรการเงินชุมชน ซึ่งประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดําเนินการได้ทางเว็บไซต์ www.1359.go.th และสามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบที่ผิดกฎหมายได้โดยตรงที่ • สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สายด่วน 1599 • ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรมของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ สายด่วน 1155 • ศูนย์ดํารงธรรม สายด่วน 1567 • ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง สายด่วน 1359 • ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม (ศนธ.ยธ.) โทร 0 2575 3344
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนพฤศจิกายน 2562 วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม 2563 รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจําเดือนพฤศจิกายน 2562 ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ยังคงมีจํานวนผู้สนใจยื่นคําขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) เข้ามาอย่างต่อเนื่อง นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ในเดือนพฤศจิกายน 2562 ยังคงมีจํานวนผู้สนใจยื่นคําขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งประเภทพิโกไฟแนนซ์ (มีทุนจดทะเบียนชําระแล้วไม่ต่ํากว่า 5 ล้านบาท ให้สินเชื่อแก่ประชาชนได้ไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย และเรียกเก็บดอกเบี้ย กําไรจากการให้สินเชื่อ ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมอื่นใด รวมกันได้ไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective Rate)) และประเภทพิโกพลัส (ทุนจดทะเบียนชําระแล้วไม่ต่ํากว่า 10 ล้านบาท ให้สินเชื่อแก่ประชาชนได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย และเรียกเก็บดอกเบี้ย กําไรจากการให้สินเชื่อ ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมอื่นใด รวมกันได้ไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective Rate) สําหรับวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 50,000 บาทแรก และสําหรับวงเงินสินเชื่อที่เกินกว่า 50,000 บาทเป็นต้นไป ให้เรียกเก็บได้ไม่เกินร้อยละ 28 ต่อปี (Effective Rate)) โดยผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้ง 2 ประเภท สามารถให้บริการสินเชื่อโดยรับสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือรถเพื่อการเกษตรเป็นประกัน หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน” หรือ “สินเชื่อจํานําทะเบียนรถ” ทั้งนี้ คําขออนุญาตที่ยื่นเข้ามาในเดือนพฤศจิกายน 2562 ส่วนใหญ่จะเป็นการยื่นคําขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ประเภทพิโกพลัส เนื่องจากผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ประเภทพิโกพลัสสามารถให้บริการสินเชื่อแก่ประชาชนในวงเงินที่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 จนถึง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2562 มีนิติบุคคลยื่นคําขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้งประเภทพิโกไฟแนนซ์และประเภทพิโกพลัสรวมจํานวนทั้งสิ้น 1,254 ราย ใน 76 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้ยื่นคําขออนุญาตมากที่สุด 3 ลําดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (110 ราย) กรุงเทพมหานคร (96 ราย) และขอนแก่น (65 ราย) ตามลําดับ อย่างไรก็ดี ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว มีนิติบุคคลที่คืนคําขออนุญาตสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์รวมจํานวนทั้งสิ้น 127 ราย ใน 51 จังหวัด จึงคงเหลือนิติบุคคลที่ยื่นคําขออนุญาตสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้ง 2 ประเภทสุทธิเป็นจํานวน 1,127 ราย ใน 75 จังหวัด และมีผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้ง 2 ประเภท จํานวนทั้งสิ้น 716 ราย ใน 72 จังหวัด ทั้งนี้ มีผู้ประกอบธุรกิจได้แจ้งเปิดดําเนินการแล้วจํานวน 619 ราย ใน 68 จังหวัด และได้ดําเนินการปล่อยสินเชื่อแล้วจํานวน 611 ราย ใน 68 จังหวัด โดยแบ่งออกเป็น (1) สินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ มีจํานวนผู้ยื่นคําขออนุญาตสุทธิทั้งสิ้น 1,006 ราย ใน 75 จังหวัด โดยมีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์แล้วจํานวน 701 ราย ใน 72 จังหวัด และมีผู้เปิดดําเนินการแล้วจํานวน 607 รายใน 68 จังหวัด (2) สินเชื่อประเภทพิโกพลัส มีจํานวนผู้ยื่นคําขออนุญาตสุทธิทั้งสิ้น 121 ราย ใน 46 จังหวัด ประกอบด้วยนิติบุคคลที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์เดิมซึ่งได้รับใบอนุญาตและเปิดดําเนินการแล้วมายื่นขอเปลี่ยนใบอนุญาตเป็นสินเชื่อประเภทพิโกพลัสจํานวน 78 ราย ใน 38 จังหวัด และเป็นนิติบุคคลที่ยื่นคําขอใหม่จํานวน 43 ราย ใน 22 จังหวัด โดยมีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัสแล้วจํานวน 15 ราย ใน 8 จังหวัด และมีผู้เปิดดําเนินการแล้วจํานวน 12 ราย ใน 7 จังหวัด (3) ยอดสินเชื่ออนุมัติสะสมและยอดสินเชื่อคงค้างสะสม (3.1) ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2562 มียอดสินเชื่ออนุมัติสะสมจํานวน 160,596 บัญชี รวมเป็นจํานวนเงิน 4,245.20 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่ออนุมัติเฉลี่ยจํานวน 26,434.03 บาทต่อบัญชี ประกอบด้วย สินเชื่อแบบมีหลักประกันจํานวน 79,921 บัญชี เป็นจํานวนเงิน 2,310.25 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 54.42 ของจํานวนยอดสินเชื่ออนุมัติสะสม และสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกันจํานวน 80,675 บัญชี เป็นจํานวนเงิน 1,934.95 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 45.58 ของจํานวนยอดสินเชื่ออนุมัติสะสม (3.2) ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2562 มียอดสินเชื่อคงค้างสะสมรวมเป็นจํานวนทั้งสิ้น 82,946 บัญชี คิดเป็นจํานวนเงิน 2,257.05 ล้านบาท โดยมีสินเชื่อค้างชําระ 1 - 3 เดือน สะสมรวมจํานวน 10,422 บัญชี หรือคิดเป็นจํานวนเงิน 306.63 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 13.59 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม และมีสินเชื่อค้างชําระที่เกินกว่า 3 เดือน (NPL) สะสมรวมจํานวน 9,584 บัญชี หรือคิดเป็นจํานวนเงิน 269.34 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 11.93 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม สินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560 ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้อนุมัติสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินสําหรับเป็นทางเลือกให้กับประชาชนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบทดแทนหนี้นอกระบบรายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.85 ต่อเดือน โดยได้เร่งกระจายความช่วยเหลือด้านสินเชื่อดังกล่าวแก่ประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2562 มีการอนุมัติสินเชื่อสะสมรวม 623,214 ราย เป็นจํานวนเงิน 27,362.22 ล้านบาท จําแนกเป็นสินเชื่อที่อนุมัติแก่ประชาชนทั่วไปจํานวน 577,505 ราย เป็นจํานวนเงิน 25,390.78 ล้านบาท และสินเชื่อที่อนุมัติให้กับผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ที่มีหนี้นอกระบบจํานวน 45,709 ราย เป็นจํานวนเงิน 1,971.44 ล้านบาท การดําเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่กระทําผิดกฎหมาย สํานักงานตํารวจแห่งชาติยังคงกวดขันจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบและผู้ติดตามทวงถามหนี้โดยวิธีการผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดําเนินการจับกุมผู้กระทําความผิดสะสมนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 เป็นต้นมา จนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2562 มีจํานวนรวมทั้งสิ้น 5,340 คน นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังคงดําเนินการร่วมกับหน่วยงานภาคีแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่องใน 5 มิติ ได้แก่ (1) ดําเนินการจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย (2) เพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ (3) ลดภาระหนี้นอกระบบโดยการไกล่เกลี่ย (4) เพิ่มศักยภาพลูกหนี้นอกระบบ และ (5) สนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบโดยองค์กรการเงินชุมชน ซึ่งประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดําเนินการได้ทางเว็บไซต์ www.1359.go.th และสามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบที่ผิดกฎหมายได้โดยตรงที่ • สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สายด่วน 1599 • ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรมของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ สายด่วน 1155 • ศูนย์ดํารงธรรม สายด่วน 1567 • ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง สายด่วน 1359 • ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม (ศนธ.ยธ.) โทร 0 2575 3344
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ชวนคนไทย น้อมนำศาสตร์พระราชาด้านเกษตรอินทรีย์
วันอังคารที่ 16 ตุลาคม 2561 ชวนคนไทย น้อมนําศาสตร์พระราชาด้านเกษตรอินทรีย์ รัฐบาลส่งเสริมให้คนไทยน้อมนําศาสตร์พระราชาด้านการเกษตรอินทรีย์ไปใช้ในการดํารงชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 เสาร์ที่ 13 ต.ค.61 ชวนคนไทย น้อมนําศาสตร์พระราชาด้านเกษตรอินทรีย์ ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลส่งเสริมให้คนไทยน้อมนําศาสตร์พระราชาด้านการเกษตรอินทรีย์ไปใช้ในการดํารงชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยเริ่มจากการปลูกผักแบบไม่ใช้สารเคมีเพื่อกินเองภายในครัวเรือนก่อน โดยหากทําได้ 10,000 ครัวเรือน จะช่วยประหยัดเงินในการซื้อผักมาบริโภคได้ถึงปีละ 60 ล้านบาท จากนั้นจึงนําส่วนเกินออกขายเพื่อสร้างรายได้กลับมาสู่ครอบครัว ทั้งนี้ ตลาดในปัจจุบันมีความต้องการผลผลิตเกษตรอินทรีย์เป็นอย่างมาก เพราะมีความสะอาด ปลอดภัย ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค นอกจากนี้ ยังมีรสชาติดีและมีราคาสูง โดยรัฐบาลตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ให้ได้ 1.3 ล้านไร่ ภายใน 5 ปี ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 2,000 ล้านบาท ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ชวนคนไทย น้อมนำศาสตร์พระราชาด้านเกษตรอินทรีย์ วันอังคารที่ 16 ตุลาคม 2561 ชวนคนไทย น้อมนําศาสตร์พระราชาด้านเกษตรอินทรีย์ รัฐบาลส่งเสริมให้คนไทยน้อมนําศาสตร์พระราชาด้านการเกษตรอินทรีย์ไปใช้ในการดํารงชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 เสาร์ที่ 13 ต.ค.61 ชวนคนไทย น้อมนําศาสตร์พระราชาด้านเกษตรอินทรีย์ ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลส่งเสริมให้คนไทยน้อมนําศาสตร์พระราชาด้านการเกษตรอินทรีย์ไปใช้ในการดํารงชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยเริ่มจากการปลูกผักแบบไม่ใช้สารเคมีเพื่อกินเองภายในครัวเรือนก่อน โดยหากทําได้ 10,000 ครัวเรือน จะช่วยประหยัดเงินในการซื้อผักมาบริโภคได้ถึงปีละ 60 ล้านบาท จากนั้นจึงนําส่วนเกินออกขายเพื่อสร้างรายได้กลับมาสู่ครอบครัว ทั้งนี้ ตลาดในปัจจุบันมีความต้องการผลผลิตเกษตรอินทรีย์เป็นอย่างมาก เพราะมีความสะอาด ปลอดภัย ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค นอกจากนี้ ยังมีรสชาติดีและมีราคาสูง โดยรัฐบาลตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ให้ได้ 1.3 ล้านไร่ ภายใน 5 ปี ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 2,000 ล้านบาท ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16110
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับผู้แทน UNODC ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก
วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน 2561 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับผู้แทน UNODC ประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับผู้แทน UNODC ประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก ในวันพุธที่ ๕ กันยายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๘.๑๕ น. ณ ห้อง ๑๐๑ ตึกบัญชาการ ๑ ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ Mr.Jeremy Douglas ผู้แทนสํานักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime : UNODC) ประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก พร้อมคณะ ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ พร้อมหารือข้อราชการเกี่ยวกับการบริหารจัดการชายแดน (Border Management) และแนวทางความร่วมมือในการส่งเสริมความมั่นคงปลอดภัยบริเวณชายแดน ในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเด็นการแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงยุติธรรมได้เน้นย้ําถึงความสําคัญในการลดอุปสงค์และอุปทาน รวมถึงการสกัดกั้นเคมีภัณฑ์และสารตั้งต้น โดยฝ่าย UNODC ยินดีให้การสนับสนุนและส่งเสริมความร่วมมือกับกระทรวงยุติธรรมในประเด็นดังกล่าวต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับผู้แทน UNODC ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน 2561 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับผู้แทน UNODC ประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับผู้แทน UNODC ประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก ในวันพุธที่ ๕ กันยายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๘.๑๕ น. ณ ห้อง ๑๐๑ ตึกบัญชาการ ๑ ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ Mr.Jeremy Douglas ผู้แทนสํานักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime : UNODC) ประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก พร้อมคณะ ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ พร้อมหารือข้อราชการเกี่ยวกับการบริหารจัดการชายแดน (Border Management) และแนวทางความร่วมมือในการส่งเสริมความมั่นคงปลอดภัยบริเวณชายแดน ในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเด็นการแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงยุติธรรมได้เน้นย้ําถึงความสําคัญในการลดอุปสงค์และอุปทาน รวมถึงการสกัดกั้นเคมีภัณฑ์และสารตั้งต้น โดยฝ่าย UNODC ยินดีให้การสนับสนุนและส่งเสริมความร่วมมือกับกระทรวงยุติธรรมในประเด็นดังกล่าวต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15184
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี แถลงผลการสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนผู้รับบริการที่มีต่อกระบวนการบังคับคดี ประจำปี ๒๕๖๑
วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม 2561 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี แถลงผลการสํารวจความเชื่อมั่นของประชาชนผู้รับบริการที่มีต่อกระบวนการบังคับคดี ประจําปี ๒๕๖๑ กรมบังคับคดี แถลงผลการสํารวจความเชื่อมั่นของประชาชนผู้รับบริการที่มีต่อกระบวนการบังคับคดี ประจําปี ๒๕๖๑ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น. นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี แถลงผลการสํารวจความเชื่อมั่นของประชาชนผู้รับบริการที่มีต่อกระบวนการบังคับคดี โดยผลการสํารวจพบว่าร้อยละ ๙๗.๘ เชื่อมั่นในการดําเนินงานของกรมบังคับคดี และร้อยละ ๙๓.๘ มีความพึงพอใจต่อกระบวนการบังคับคดี ในภาพรวม นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี แถลงว่า กรมบังคับคดีมีภารกิจหลักในการบังคับคดีตามคําพิพากษา หรือคําสั่งของศาล ในการบังคับคดีแพ่ง คดีล้มละลาย การฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี และกระบวนการหลายขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง โดยเป็นการดําเนินงานที่เกี่ยวข้องกับคู่ความ ผู้มีส่วนได้เสียในคดี รวมถึงประชาชนผู้สนใจเข้าซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาด การให้บริการด้านการบังคับคดีที่เป็นขั้นตอนของกฎหมาย การให้ความสะดวกรวดเร็ว เป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยมุ่งให้บริการกับประชาชน ดังนั้นการสํารวจความเชื่อมั่นของผู้รับบริการที่มีต่อกระบวนการบังคับคดี ในทุกกระบวนการ โดยให้บุคคลภายนอกเป็นผู้ดําเนินการ เพื่อนําผลการสํารวจมาพัฒนาการให้บริการให้มีคุณภาพ เพื่อให้เกิดความมั่นใจ ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่น และความพึงพอใจให้กับผู้รับบริการให้มากที่สุด จึงได้จัดให้มีโครงการสํารวจความเชื่อมั่นของประชาชนผู้รับบริการที่มีต่อกระบวนการบังคับคดี ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ดําเนินการโดยบริษัท อินโฟเสิร์ช จํากัด เพื่อสํารวจการตอบรับของประชาชนผู้รับบริการของกรมบังคับคดีทั่วประเทศในภาพรวมของกระบวนการบังคับคดี และกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการรับรู้และความคิดเห็นต่อการให้บริการ e-Service ของกรมบังคับคดี ที่ได้นําระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการ ผลจากการสํารวจความเชื่อมั่นของผู้รับบริการหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรมบังคับคดีต่อกระบวนการบังคับคดี พบว่าร้อยละ ๙๗.๘ มีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการบังคับคดี โดยเฉพาะ ร้อยละ ๙๖.๒ มีความเชื่อมั่นในกระบวนการด้านการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี ร้อยละ ๙๙.๒ มีความเชื่อมั่น ในกระบวนการประมูลซื้อทรัพย์/การขายทอดตลาด ทีสูงขึ้นมาก ซึ่งถือว่าเป็นการตอบรับที่ดีของประชาชนผู้รับบริการ จากการที่กรมบังคับคดีได้จัดขายทอดตลาดในวันเสาร์ และการจัดมหกรรมในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศและร้อยละ ๙๓.๘ มีความพึงพอใจต่อกระบวนการบังคับคดี ในภาพรวม สําหรับร้อยละ ๙๖.๑ มีความเชื่อมั่นในกระบวนการบังคับคดีล้มละลาย ร้อยละ ๙๕.๕ มีความเชื่อมั่นกระบวนการติดตามและเฉลี่ยทรัพย์สินในคดีล้มละลาย ที่ลดลงจากปีที่ผ่านมา ซึ่งต้องพิจารณาปรับปรุงและพัฒนาการให้บริการ นอกจากนี้เรื่องการรับรู้เรื่องการให้บริการ e – serviceที่ยังมีผู้ใช้บริการเป็นจํานวนไม่มาก จึงเป็นเรื่องที่ต้องหาแนวทางในการดําเนินการเพื่อให้ประชาชนรับรู้ และใช้บริการ e – service ของกรมบังคับคดีให้มากขึ้น ในเบื้องต้นได้ประสานกับสภาทนาย เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจในบริการ e – service ของกรมบังคับคดีกับทนายความ ทั้งนี้ กรมบังคับคดีจะได้สํารวจความเชื่อมั่นของประชาชนผู้รับบริการที่มีต่อกระบวนการบังคับคดี อย่างต่อเนื่องต่อไปในทุก ๆ ปี เพื่อพัฒนาปรับปรุงการให้บริการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และความพึงพอใจให้กับประชาชนผู้รับบริการ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี แถลงผลการสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนผู้รับบริการที่มีต่อกระบวนการบังคับคดี ประจำปี ๒๕๖๑ วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม 2561 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี แถลงผลการสํารวจความเชื่อมั่นของประชาชนผู้รับบริการที่มีต่อกระบวนการบังคับคดี ประจําปี ๒๕๖๑ กรมบังคับคดี แถลงผลการสํารวจความเชื่อมั่นของประชาชนผู้รับบริการที่มีต่อกระบวนการบังคับคดี ประจําปี ๒๕๖๑ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น. นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี แถลงผลการสํารวจความเชื่อมั่นของประชาชนผู้รับบริการที่มีต่อกระบวนการบังคับคดี โดยผลการสํารวจพบว่าร้อยละ ๙๗.๘ เชื่อมั่นในการดําเนินงานของกรมบังคับคดี และร้อยละ ๙๓.๘ มีความพึงพอใจต่อกระบวนการบังคับคดี ในภาพรวม นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี แถลงว่า กรมบังคับคดีมีภารกิจหลักในการบังคับคดีตามคําพิพากษา หรือคําสั่งของศาล ในการบังคับคดีแพ่ง คดีล้มละลาย การฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี และกระบวนการหลายขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง โดยเป็นการดําเนินงานที่เกี่ยวข้องกับคู่ความ ผู้มีส่วนได้เสียในคดี รวมถึงประชาชนผู้สนใจเข้าซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาด การให้บริการด้านการบังคับคดีที่เป็นขั้นตอนของกฎหมาย การให้ความสะดวกรวดเร็ว เป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยมุ่งให้บริการกับประชาชน ดังนั้นการสํารวจความเชื่อมั่นของผู้รับบริการที่มีต่อกระบวนการบังคับคดี ในทุกกระบวนการ โดยให้บุคคลภายนอกเป็นผู้ดําเนินการ เพื่อนําผลการสํารวจมาพัฒนาการให้บริการให้มีคุณภาพ เพื่อให้เกิดความมั่นใจ ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่น และความพึงพอใจให้กับผู้รับบริการให้มากที่สุด จึงได้จัดให้มีโครงการสํารวจความเชื่อมั่นของประชาชนผู้รับบริการที่มีต่อกระบวนการบังคับคดี ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ดําเนินการโดยบริษัท อินโฟเสิร์ช จํากัด เพื่อสํารวจการตอบรับของประชาชนผู้รับบริการของกรมบังคับคดีทั่วประเทศในภาพรวมของกระบวนการบังคับคดี และกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการรับรู้และความคิดเห็นต่อการให้บริการ e-Service ของกรมบังคับคดี ที่ได้นําระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการ ผลจากการสํารวจความเชื่อมั่นของผู้รับบริการหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรมบังคับคดีต่อกระบวนการบังคับคดี พบว่าร้อยละ ๙๗.๘ มีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการบังคับคดี โดยเฉพาะ ร้อยละ ๙๖.๒ มีความเชื่อมั่นในกระบวนการด้านการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี ร้อยละ ๙๙.๒ มีความเชื่อมั่น ในกระบวนการประมูลซื้อทรัพย์/การขายทอดตลาด ทีสูงขึ้นมาก ซึ่งถือว่าเป็นการตอบรับที่ดีของประชาชนผู้รับบริการ จากการที่กรมบังคับคดีได้จัดขายทอดตลาดในวันเสาร์ และการจัดมหกรรมในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศและร้อยละ ๙๓.๘ มีความพึงพอใจต่อกระบวนการบังคับคดี ในภาพรวม สําหรับร้อยละ ๙๖.๑ มีความเชื่อมั่นในกระบวนการบังคับคดีล้มละลาย ร้อยละ ๙๕.๕ มีความเชื่อมั่นกระบวนการติดตามและเฉลี่ยทรัพย์สินในคดีล้มละลาย ที่ลดลงจากปีที่ผ่านมา ซึ่งต้องพิจารณาปรับปรุงและพัฒนาการให้บริการ นอกจากนี้เรื่องการรับรู้เรื่องการให้บริการ e – serviceที่ยังมีผู้ใช้บริการเป็นจํานวนไม่มาก จึงเป็นเรื่องที่ต้องหาแนวทางในการดําเนินการเพื่อให้ประชาชนรับรู้ และใช้บริการ e – service ของกรมบังคับคดีให้มากขึ้น ในเบื้องต้นได้ประสานกับสภาทนาย เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจในบริการ e – service ของกรมบังคับคดีกับทนายความ ทั้งนี้ กรมบังคับคดีจะได้สํารวจความเชื่อมั่นของประชาชนผู้รับบริการที่มีต่อกระบวนการบังคับคดี อย่างต่อเนื่องต่อไปในทุก ๆ ปี เพื่อพัฒนาปรับปรุงการให้บริการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และความพึงพอใจให้กับประชาชนผู้รับบริการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17375
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรี ยังไม่นำเรื่องแต่งตั้งปลัดกระทรวงเข้าที่ประชุมครม. สัปดาห์นี้ โดยเตรียมหารือร่วมสปท. ก่อนสิ้นสุดวาระเมื่อกฎหมายปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติประกาศใช้
วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2560 โฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรี ยังไม่นําเรื่องแต่งตั้งปลัดกระทรวงเข้าที่ประชุมครม. สัปดาห์นี้ โดยเตรียมหารือร่วมสปท. ก่อนสิ้นสุดวาระเมื่อกฎหมายปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติประกาศใช้ โฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรี แจงยังไม่นําเรื่องแต่งตั้งปลัดกระทรวงเข้าที่ประชุมครม. สัปดาห์นี้ สั่งการให้แต่ละกระทรวงไปจัดทําแผนในภาพรวมให้เรียบร้อย โดยเตรียมหารือร่วมสปท. ก่อนสิ้นสุดวาระเมื่อกฎหมายปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติประกาศมีผลบังคับใช้ วันนี้ ( 11 ก.ค. 60 ) เวลา 13.50 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี รายงานที่ประชุมครม. รับทราบเกี่ยวกับเรื่องพระราชบัญญัติการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. .... และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดําเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. .... ภายหลังผ่านความเห็นชอบสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และได้ส่งกลับมายังรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลได้นําความขึ้นกราบบังคมทูลฯ แล้ว ทั้งนี้ เมื่อ พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้แล้ว สภาปฏิรูปประเทศ (สปท.) จะสิ้นสุดวาระลงทันที ซึ่งก่อนที่ สปท. จะหมดวาระลงจึงถือโอกาสเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือแลกเปลี่ยนความเห็นในประเด็นต่าง ๆ โดยนายกรัฐมนตรี จึงได้ให้แนวทางให้จัดประชุมหารือร่วมกันที่ห้องประชุมสภาฯ โดยจะมีการเชิญแม่น้ําทุกสายเข้าร่วมประชุมหารือในครั้งนี้ด้วย พร้อมกันนี้ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า หลังจากที่กฎหมายทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวได้ประกาศใช้แล้ว ภายใน 15 วัน จะต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ จํานวน 11 คณะ โดยมีองค์ประกอบคณะละ 15 คน ซึ่งปัจจุบันได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไปแล้ว 2 คณะ คือ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตํารวจ) และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา โดยปัจจุบันเหลืออยู่ 9 คณะ ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจาก ครม. รวมถึงการดําเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ก็ให้ดําเนินการลักษณะเช่นเดียวกัน โดย ครม. ต้องแต่งตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน ทั้งนี้ คาดว่าแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ และแผนยุทธศาสตร์ชาติจะแล้วเสร็จเรียบร้อยประมาณกลางปีหน้า (พ.ศ.2561) อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ แล้ว แต่คณะกรรมการภายใต้ ป.ย.ป. ทั้ง 4 คณะจะยังคงปฏิบัติหน้าที่เช่นเดิมต่อไป จนถึงประมาณกลางปีหน้า (พ.ศ.2561) ก่อนพิจารณาความเหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่ของ ป.ย.ป. อีกครั้ง รวมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ําว่า การใช้จ่ายงบประมาณในการดําเนินงานของ ป.ย.ป. ไม่ควรใช้จ่ายงบฯ มาก เนื่องจากเป็นที่จับตาของทุกคน เพราะในอนาคตจะมีคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เข้ามาทํางานตรงนี้ด้วย นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้แจ้งต่อที่ประชุมรับทราบถึงเรื่องคําสั่งแต่งตั้งปลัดกระทรวงว่า ให้แต่ละกระทรวงไปจัดทําแผนในภาพรวมให้เรียบร้อยก่อน สัปดาห์นี้จึงขอไม่นําเรื่องคําสั่งแต่งตั้งปลัดกระทรวงเข้ามาพิจารณาในที่ประชุมครม. ถึงแม้จะมีการเสนอเข้ามาแล้ว จํานวน 14 คน ทั้งนี้ การพิจารณาแต่งตั้งจะนําเรื่องเข้าที่ประชุม ครม. พิจารณาแบ่งเป็นแต่ละรอบไป เช่น รอบปลัดกระทรวง รอบผู้ตรวจ รอบรองปลัดกระทรวง รอบอธิบดี เป็นต้น ---------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรี ยังไม่นำเรื่องแต่งตั้งปลัดกระทรวงเข้าที่ประชุมครม. สัปดาห์นี้ โดยเตรียมหารือร่วมสปท. ก่อนสิ้นสุดวาระเมื่อกฎหมายปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติประกาศใช้ วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2560 โฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรี ยังไม่นําเรื่องแต่งตั้งปลัดกระทรวงเข้าที่ประชุมครม. สัปดาห์นี้ โดยเตรียมหารือร่วมสปท. ก่อนสิ้นสุดวาระเมื่อกฎหมายปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติประกาศใช้ โฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรี แจงยังไม่นําเรื่องแต่งตั้งปลัดกระทรวงเข้าที่ประชุมครม. สัปดาห์นี้ สั่งการให้แต่ละกระทรวงไปจัดทําแผนในภาพรวมให้เรียบร้อย โดยเตรียมหารือร่วมสปท. ก่อนสิ้นสุดวาระเมื่อกฎหมายปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติประกาศมีผลบังคับใช้ วันนี้ ( 11 ก.ค. 60 ) เวลา 13.50 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี รายงานที่ประชุมครม. รับทราบเกี่ยวกับเรื่องพระราชบัญญัติการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. .... และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดําเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. .... ภายหลังผ่านความเห็นชอบสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และได้ส่งกลับมายังรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลได้นําความขึ้นกราบบังคมทูลฯ แล้ว ทั้งนี้ เมื่อ พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้แล้ว สภาปฏิรูปประเทศ (สปท.) จะสิ้นสุดวาระลงทันที ซึ่งก่อนที่ สปท. จะหมดวาระลงจึงถือโอกาสเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือแลกเปลี่ยนความเห็นในประเด็นต่าง ๆ โดยนายกรัฐมนตรี จึงได้ให้แนวทางให้จัดประชุมหารือร่วมกันที่ห้องประชุมสภาฯ โดยจะมีการเชิญแม่น้ําทุกสายเข้าร่วมประชุมหารือในครั้งนี้ด้วย พร้อมกันนี้ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า หลังจากที่กฎหมายทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวได้ประกาศใช้แล้ว ภายใน 15 วัน จะต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ จํานวน 11 คณะ โดยมีองค์ประกอบคณะละ 15 คน ซึ่งปัจจุบันได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไปแล้ว 2 คณะ คือ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตํารวจ) และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา โดยปัจจุบันเหลืออยู่ 9 คณะ ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจาก ครม. รวมถึงการดําเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ก็ให้ดําเนินการลักษณะเช่นเดียวกัน โดย ครม. ต้องแต่งตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน ทั้งนี้ คาดว่าแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ และแผนยุทธศาสตร์ชาติจะแล้วเสร็จเรียบร้อยประมาณกลางปีหน้า (พ.ศ.2561) อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ แล้ว แต่คณะกรรมการภายใต้ ป.ย.ป. ทั้ง 4 คณะจะยังคงปฏิบัติหน้าที่เช่นเดิมต่อไป จนถึงประมาณกลางปีหน้า (พ.ศ.2561) ก่อนพิจารณาความเหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่ของ ป.ย.ป. อีกครั้ง รวมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ําว่า การใช้จ่ายงบประมาณในการดําเนินงานของ ป.ย.ป. ไม่ควรใช้จ่ายงบฯ มาก เนื่องจากเป็นที่จับตาของทุกคน เพราะในอนาคตจะมีคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เข้ามาทํางานตรงนี้ด้วย นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้แจ้งต่อที่ประชุมรับทราบถึงเรื่องคําสั่งแต่งตั้งปลัดกระทรวงว่า ให้แต่ละกระทรวงไปจัดทําแผนในภาพรวมให้เรียบร้อยก่อน สัปดาห์นี้จึงขอไม่นําเรื่องคําสั่งแต่งตั้งปลัดกระทรวงเข้ามาพิจารณาในที่ประชุมครม. ถึงแม้จะมีการเสนอเข้ามาแล้ว จํานวน 14 คน ทั้งนี้ การพิจารณาแต่งตั้งจะนําเรื่องเข้าที่ประชุม ครม. พิจารณาแบ่งเป็นแต่ละรอบไป เช่น รอบปลัดกระทรวง รอบผู้ตรวจ รอบรองปลัดกระทรวง รอบอธิบดี เป็นต้น ---------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5149
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. กำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงชราวัย 84 ปี พิการนอนติดเตียง และอาศัยอยู่กับลูกสาว ที่เป็นโรคเนื้องอกในมดลูก ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์
วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2560 รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงชราวัย 84 ปี พิการนอนติดเตียง และอาศัยอยู่กับลูกสาว ที่เป็นโรคเนื้องอกในมดลูก ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงชราวัย 84 ปี พิการนอนติดเตียง และอาศัยอยู่กับลูกสาว ที่เป็นโรคเนื้องอกในมดลูก ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมชื่นชมเด็กหญิงสู้ชีวิตวัย 11 ปี รับจ้างทํางานทุกอย่าง เพื่อหาเงินดูแล พ่อ-แม่ ที่ร่างกายไม่แข็งแรง ที่ จ.ตาก วันนี้ (6 พ.ย. 60) เวลา 08.15 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 747/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขและป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีคณะผู้บริหารและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 8 กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า จากกรณีหญิงชราวัย 84 ปี พิการนอนป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ร่างกายผอมซูบ อาศัยอยู่กับลูกสาววัย 45 ปี ที่ป่วยเป็นโรคเนื้องอกในมดลูก ประกอบอาชีพทํางานรับจ้างก่อสร้าง ซึ่งมีรายได้ไม่เพียงพอค่ารักษาพยาบาล ครอบครัวมีฐานะยากจน โดยทั้ง 2 ชีวิต อาศัยในห้องเช่าสภาพเก่าทรุดโทรม ที่อําเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (พมจ.ประจวบคีรีขันธ์) พร้อมหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวหญิงชราดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านผู้สูงอายุและคนพิการ พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยของผู้ป่วยทั้งหมดอย่างต่อเนื่องในระยะยาว และการปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มีความมั่นคง แข็งแรง และถูกสุขลักษณะเหมาะกับคนพิการ รวมทั้งการให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า สําหรับกรณีเด็กหญิงวัย 11 ปี นักเรียนชั้น ป.5 โรงเรียนแห่งหนึ่ง ครอบครัวมีฐานะยากจน แต่สู้ชีวิต โดยใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนและในวันหยุด ทํางานรับจ้างปลูกกาแฟ ขนทราย และรับจ้างถางหญ้า เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว อาศัยอยู่กับผู้เป็นพ่อที่ป่วยเป็นโรคหอบหืด ไม่สามารถทํางานหนักได้ และแม่ที่มีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง มีอาการเหนื่อยง่าย และเดินไม่ค่อยไหว ที่อําเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก นั้น ตนขอชื่นชมเด็กหญิงคนดังกล่าว ที่มีจิตใจที่เข้มแข็ง ด้วยความกตัญญู ความขยันหมั่นเพียร และความอดทน เพื่อช่วยเหลือครอบครัว โดยไม่ย่อท้อต่อความยากลําบาก นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดตาก (พมจ.ตาก) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการศึกษาของเด็กหญิงอย่างต่อเนื่อง และการรักษาพยาบาลอาการป่วยของผู้ที่เป็นพ่อและแม่อย่างใกล้ชิด รวมทั้ง การให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม พร้อมให้คําแนะนําแก่ครอบครัวดังกล่าวในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. กำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงชราวัย 84 ปี พิการนอนติดเตียง และอาศัยอยู่กับลูกสาว ที่เป็นโรคเนื้องอกในมดลูก ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2560 รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงชราวัย 84 ปี พิการนอนติดเตียง และอาศัยอยู่กับลูกสาว ที่เป็นโรคเนื้องอกในมดลูก ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงชราวัย 84 ปี พิการนอนติดเตียง และอาศัยอยู่กับลูกสาว ที่เป็นโรคเนื้องอกในมดลูก ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมชื่นชมเด็กหญิงสู้ชีวิตวัย 11 ปี รับจ้างทํางานทุกอย่าง เพื่อหาเงินดูแล พ่อ-แม่ ที่ร่างกายไม่แข็งแรง ที่ จ.ตาก วันนี้ (6 พ.ย. 60) เวลา 08.15 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 747/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขและป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีคณะผู้บริหารและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 8 กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า จากกรณีหญิงชราวัย 84 ปี พิการนอนป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ร่างกายผอมซูบ อาศัยอยู่กับลูกสาววัย 45 ปี ที่ป่วยเป็นโรคเนื้องอกในมดลูก ประกอบอาชีพทํางานรับจ้างก่อสร้าง ซึ่งมีรายได้ไม่เพียงพอค่ารักษาพยาบาล ครอบครัวมีฐานะยากจน โดยทั้ง 2 ชีวิต อาศัยในห้องเช่าสภาพเก่าทรุดโทรม ที่อําเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (พมจ.ประจวบคีรีขันธ์) พร้อมหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวหญิงชราดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านผู้สูงอายุและคนพิการ พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยของผู้ป่วยทั้งหมดอย่างต่อเนื่องในระยะยาว และการปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มีความมั่นคง แข็งแรง และถูกสุขลักษณะเหมาะกับคนพิการ รวมทั้งการให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า สําหรับกรณีเด็กหญิงวัย 11 ปี นักเรียนชั้น ป.5 โรงเรียนแห่งหนึ่ง ครอบครัวมีฐานะยากจน แต่สู้ชีวิต โดยใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนและในวันหยุด ทํางานรับจ้างปลูกกาแฟ ขนทราย และรับจ้างถางหญ้า เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว อาศัยอยู่กับผู้เป็นพ่อที่ป่วยเป็นโรคหอบหืด ไม่สามารถทํางานหนักได้ และแม่ที่มีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง มีอาการเหนื่อยง่าย และเดินไม่ค่อยไหว ที่อําเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก นั้น ตนขอชื่นชมเด็กหญิงคนดังกล่าว ที่มีจิตใจที่เข้มแข็ง ด้วยความกตัญญู ความขยันหมั่นเพียร และความอดทน เพื่อช่วยเหลือครอบครัว โดยไม่ย่อท้อต่อความยากลําบาก นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดตาก (พมจ.ตาก) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการศึกษาของเด็กหญิงอย่างต่อเนื่อง และการรักษาพยาบาลอาการป่วยของผู้ที่เป็นพ่อและแม่อย่างใกล้ชิด รวมทั้ง การให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม พร้อมให้คําแนะนําแก่ครอบครัวดังกล่าวในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7847
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตร “นักบริหารรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ รุ่นที่ 7”
วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2560 รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตร “นักบริหารรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ รุ่นที่ 7” รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตร “นักบริหารรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ รุ่นที่ 7” โดยสํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สรอ./EGA หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ จัดขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐให้มีความพร้อมทั้งความรู้ และความสามารถที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในยุคเปลี่ยนผ่านประเทศเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล นับเป็นก้าวที่มีความสําคัญต่อผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งจะต้องเตรียมความพร้อมในการบริหารงานโดยการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการวางแผนและกําหนดนโยบายการขับเคลื่อนองค์กรต่อไป นอกจากนี้ การอบรมหลักสูตรฯ ดังกล่าว จะส่งผลให้เกิดการต่อยอดและนําความรู้ที่ได้มาปรับในการทํางานอย่างแท้จริง รวมถึงความรู้ที่จะได้รับจากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างผู้เข้ารับการอบรม และกรณีศึกษาจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญทั้งในประเทศและต่างประเทศ ณ ห้อง Executive โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560 ************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตร “นักบริหารรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ รุ่นที่ 7” วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2560 รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตร “นักบริหารรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ รุ่นที่ 7” รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตร “นักบริหารรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ รุ่นที่ 7” โดยสํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สรอ./EGA หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ จัดขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐให้มีความพร้อมทั้งความรู้ และความสามารถที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในยุคเปลี่ยนผ่านประเทศเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล นับเป็นก้าวที่มีความสําคัญต่อผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งจะต้องเตรียมความพร้อมในการบริหารงานโดยการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการวางแผนและกําหนดนโยบายการขับเคลื่อนองค์กรต่อไป นอกจากนี้ การอบรมหลักสูตรฯ ดังกล่าว จะส่งผลให้เกิดการต่อยอดและนําความรู้ที่ได้มาปรับในการทํางานอย่างแท้จริง รวมถึงความรู้ที่จะได้รับจากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างผู้เข้ารับการอบรม และกรณีศึกษาจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญทั้งในประเทศและต่างประเทศ ณ ห้อง Executive โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560 ************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2637
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เป็นประธานสักขีพยานในพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ (ภาคเหนือตอนล่าง)
วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561 นายกรัฐมนตรี เป็นประธานสักขีพยานในพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ (ภาคเหนือตอนล่าง) นายกรัฐมนตรี เป็นประธานสักขีพยานในพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ (ภาคเหนือตอนล่าง) นายกรัฐมนตรี เป็นประธานสักขีพยานในพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ (ภาคเหนือตอนล่าง) เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ ณ อาคารเอนกประสงค์สัมมนาและจัดแสดงนิทรรศการบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานสักขีพยานในพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ (ภาคเหนือตอนล่าง) ภายใต้โครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล โดยมี พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้มอบให้แก่ นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี จํานวน ๒ พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าปลายห้วยกระเสียว เนื้อที่ ๗๑๗ ไร่ ๒ งาน ๖๖ ตารางวา และพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยทับเสลาและป่าห้วยคอกควาย เนื้อที่ ๕๕๔ ไร่ ๓ งาน ๕๕ ตารางวา เพื่อลดความเหลื่อมล้ําของสังคมและแก้ไขปัญหา ความเดือดร้อนของประชาชนด้านที่ดินทํากินตามนโยบายรัฐบาล โดยการจัดที่ดินทํากินให้แก่ผู้ยากไร้ที่ไม่มีที่ดินทํากิน โดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ แต่อนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในที่ดินของรัฐเป็นกลุ่มหรือชุมชนตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข มีคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) กําหนด รวมทั้ง การส่งเสริมการประกอบอาชีพตามศักยภาพของพื้นที่ พร้อมกันนี้ได้มอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชน ตามนโยบายที่ให้ชุมชนร่วมกับภาครัฐในการบริหารจัดการดูแลเพื่อให้ป่าเกิดความยั่งยืน ๔ พื้นที่ได้แก่ • ป่าชุมชนบ้านคลองห้วยหวาย ม.๒๑ ต.แม่เปิน อ.แม่เปิน จ.นครสวรรค์ เนื้อที่ ๒,๔๑๒ ไร่ ๑ งาน โดยเป็นบริเวณป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่วงก์-แม่เปิน • ป่าชุมชนบ้านเขาโล้น ม.๖ ต.เขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร เนื้อที่ ๔๗๖ ไร่ โดยเป็นบริเวณป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาเจ็ดลูก ป่าเขาตะพานนาค และป่าเขาชะอม • ป่าชุมชนบ้านอีพุ่งใหญ่ ม.๔ ต.เจ้าวัด อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี เนื้อที่ ๕๒๘ ไร่ โดยเป็นบริเวณป่าตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ ๒๔๘๔ • ป่าชุมชนบ้านศรีมงคล ม.๑๕ ต.ปางมะค่า อ.ขาณุวรลักษบุรี จ.กําแพงเพชร เนื้อที่ ๓๐๐ ไร่ โดยเป็นบริเวณป่าสงวนแห่งชาติคลองคลุมและป่าแม่วงก์ ในการนี้ นายพุฒิพงศ์ สุรพฤกษ์ รองเลขาธิการสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประชาชน และสื่อมวลชน จํานวนประมาณ ๑,๕๐๐ คน เข้าร่วมงานดังกล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เป็นประธานสักขีพยานในพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ (ภาคเหนือตอนล่าง) วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561 นายกรัฐมนตรี เป็นประธานสักขีพยานในพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ (ภาคเหนือตอนล่าง) นายกรัฐมนตรี เป็นประธานสักขีพยานในพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ (ภาคเหนือตอนล่าง) นายกรัฐมนตรี เป็นประธานสักขีพยานในพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ (ภาคเหนือตอนล่าง) เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ ณ อาคารเอนกประสงค์สัมมนาและจัดแสดงนิทรรศการบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานสักขีพยานในพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ (ภาคเหนือตอนล่าง) ภายใต้โครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล โดยมี พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้มอบให้แก่ นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี จํานวน ๒ พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าปลายห้วยกระเสียว เนื้อที่ ๗๑๗ ไร่ ๒ งาน ๖๖ ตารางวา และพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยทับเสลาและป่าห้วยคอกควาย เนื้อที่ ๕๕๔ ไร่ ๓ งาน ๕๕ ตารางวา เพื่อลดความเหลื่อมล้ําของสังคมและแก้ไขปัญหา ความเดือดร้อนของประชาชนด้านที่ดินทํากินตามนโยบายรัฐบาล โดยการจัดที่ดินทํากินให้แก่ผู้ยากไร้ที่ไม่มีที่ดินทํากิน โดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ แต่อนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในที่ดินของรัฐเป็นกลุ่มหรือชุมชนตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข มีคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) กําหนด รวมทั้ง การส่งเสริมการประกอบอาชีพตามศักยภาพของพื้นที่ พร้อมกันนี้ได้มอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชน ตามนโยบายที่ให้ชุมชนร่วมกับภาครัฐในการบริหารจัดการดูแลเพื่อให้ป่าเกิดความยั่งยืน ๔ พื้นที่ได้แก่ • ป่าชุมชนบ้านคลองห้วยหวาย ม.๒๑ ต.แม่เปิน อ.แม่เปิน จ.นครสวรรค์ เนื้อที่ ๒,๔๑๒ ไร่ ๑ งาน โดยเป็นบริเวณป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่วงก์-แม่เปิน • ป่าชุมชนบ้านเขาโล้น ม.๖ ต.เขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร เนื้อที่ ๔๗๖ ไร่ โดยเป็นบริเวณป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาเจ็ดลูก ป่าเขาตะพานนาค และป่าเขาชะอม • ป่าชุมชนบ้านอีพุ่งใหญ่ ม.๔ ต.เจ้าวัด อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี เนื้อที่ ๕๒๘ ไร่ โดยเป็นบริเวณป่าตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ ๒๔๘๔ • ป่าชุมชนบ้านศรีมงคล ม.๑๕ ต.ปางมะค่า อ.ขาณุวรลักษบุรี จ.กําแพงเพชร เนื้อที่ ๓๐๐ ไร่ โดยเป็นบริเวณป่าสงวนแห่งชาติคลองคลุมและป่าแม่วงก์ ในการนี้ นายพุฒิพงศ์ สุรพฤกษ์ รองเลขาธิการสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประชาชน และสื่อมวลชน จํานวนประมาณ ๑,๕๐๐ คน เข้าร่วมงานดังกล่าว
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13071
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. เปิดเวทีเครือข่ายภาคีเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแบบมีส่วนร่วม ครั้งที่ 2
วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561 ทส. เปิดเวทีเครือข่ายภาคีเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแบบมีส่วนร่วม ครั้งที่ 2 ทส. เปิดเวทีเครือข่ายภาคีเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแบบมีส่วนร่วม ครั้งที่ 2 วันที่ 30 มีนาคม 61กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จัดการประชุมสัมมนา "เครือข่ายภาคีเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแบบมีส่วนร่วม เพื่อพัฒนาศักยภาพเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล ตามแนวทางไทยยั่งยืน" ณ โรงแรมบรรจงบุรี อ.เมือง จ.สุราษฏร์ธานี โดยมีพลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานและ กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง "ความสําคัญของอาสาสมัครภาคประชาชนต่อการพัฒนาดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย" พร้อมทั้งมอบบัตรประจําตัวอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล "Marine Rangers" ให้กับอาสาสมัครในพื้นที่ การประชุมสัมมนา เครือข่ายภาคีเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแบบมีส่วนร่วมในครั้งนี้ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 เพื่อเป็นเวทีการสื่อสารเกี่ยวกับนโยบาย ระเบียบ กฏหมาย และข้อมูลสภาพระบบนิเวศแหล่งทรัพยากรการจัดการทรัพยากรในท้องถิ่น การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์เพื่อพัฒนาแนวคิดร่วมในการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อันจะส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพและความเข้มแข็งของภาคีเครือข่ายต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. เปิดเวทีเครือข่ายภาคีเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแบบมีส่วนร่วม ครั้งที่ 2 วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561 ทส. เปิดเวทีเครือข่ายภาคีเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแบบมีส่วนร่วม ครั้งที่ 2 ทส. เปิดเวทีเครือข่ายภาคีเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแบบมีส่วนร่วม ครั้งที่ 2 วันที่ 30 มีนาคม 61กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จัดการประชุมสัมมนา "เครือข่ายภาคีเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแบบมีส่วนร่วม เพื่อพัฒนาศักยภาพเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล ตามแนวทางไทยยั่งยืน" ณ โรงแรมบรรจงบุรี อ.เมือง จ.สุราษฏร์ธานี โดยมีพลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานและ กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง "ความสําคัญของอาสาสมัครภาคประชาชนต่อการพัฒนาดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย" พร้อมทั้งมอบบัตรประจําตัวอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล "Marine Rangers" ให้กับอาสาสมัครในพื้นที่ การประชุมสัมมนา เครือข่ายภาคีเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแบบมีส่วนร่วมในครั้งนี้ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 เพื่อเป็นเวทีการสื่อสารเกี่ยวกับนโยบาย ระเบียบ กฏหมาย และข้อมูลสภาพระบบนิเวศแหล่งทรัพยากรการจัดการทรัพยากรในท้องถิ่น การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์เพื่อพัฒนาแนวคิดร่วมในการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อันจะส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพและความเข้มแข็งของภาคีเครือข่ายต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11294
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓
วันอังคารที่ 14 เมษายน 2563 กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ ในวันศุกร์ที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกฤษณะ ผลอนันต์ อาคาร ๓ ชั้น ๒ สํานักงาน ป.ป.ส. ถนนดินแดง กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ ซึ่งเป็นการดําเนินการตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.๒๕๓๔ โดยมี นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการ ป.ป.ส. ทําหน้าที่เลขานุการ และนายไพศาล กันทะเตียน ผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินคดียาเสพติด ทําหน้าที่ผู้ช่วยเลขานุการ พร้อมคณะกรรมการฯ ซึ่งเป็นผู้แทนส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมพิจารณา โดยที่ประชุมคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาสํานวนคดีตรวจสอบทรัพย์สิน จํานวน ๑๓๙ คดีทรัพย์สิน จํานวน ๕๔๒ รายการ รวมมูลค่า ๘๐,๔๑๗,๐๐๐ บาท ซึ่งการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินเป็นกระบวนการในการบังคับใช้กฎหมายตามมาตรการริบทรัพย์สินในคดียาเสพติด มีวัตถุประสงค์เพื่อตัดโอกาสในการกลับมาเป็นผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดซ้ํา และไม่ให้ผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดได้รับประโยชน์ใดจากทรัพย์สินที่ได้มาจากค้ายาเสพติด อันจะนํามาซึ่งความมั่นคงปลอดภัยของประชาชนและสังคมจากปัญหายาเสพติด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ วันอังคารที่ 14 เมษายน 2563 กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ ในวันศุกร์ที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกฤษณะ ผลอนันต์ อาคาร ๓ ชั้น ๒ สํานักงาน ป.ป.ส. ถนนดินแดง กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ ซึ่งเป็นการดําเนินการตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.๒๕๓๔ โดยมี นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการ ป.ป.ส. ทําหน้าที่เลขานุการ และนายไพศาล กันทะเตียน ผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินคดียาเสพติด ทําหน้าที่ผู้ช่วยเลขานุการ พร้อมคณะกรรมการฯ ซึ่งเป็นผู้แทนส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมพิจารณา โดยที่ประชุมคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาสํานวนคดีตรวจสอบทรัพย์สิน จํานวน ๑๓๙ คดีทรัพย์สิน จํานวน ๕๔๒ รายการ รวมมูลค่า ๘๐,๔๑๗,๐๐๐ บาท ซึ่งการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินเป็นกระบวนการในการบังคับใช้กฎหมายตามมาตรการริบทรัพย์สินในคดียาเสพติด มีวัตถุประสงค์เพื่อตัดโอกาสในการกลับมาเป็นผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดซ้ํา และไม่ให้ผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดได้รับประโยชน์ใดจากทรัพย์สินที่ได้มาจากค้ายาเสพติด อันจะนํามาซึ่งความมั่นคงปลอดภัยของประชาชนและสังคมจากปัญหายาเสพติด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29058
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร่วมจัดกิจกรรมบริการประชาชนเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 66 พรรษา 28 กรกฎาคม 2561
วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม 2561 ก.อุตฯ ร่วมจัดกิจกรรมบริการประชาชนเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 66 พรรษา 28 กรกฎาคม 2561 ก.อุตฯ ร่วมจัดกิจกรรมบริการประชาชนเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 66 พรรษา 28 กรกฎาคม 2561 วันนี้ (28 กรกฎาคม 2561) นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าเยี่ยมชมและร่วมแจกอาหารว่าง เครื่องดื่ม ให้แก่ประชาชนในบูทกิจกรรมบริการประชาชนของกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งจัดขึ้นเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 66 พรรษา 28 กรกฎาคม 2561 โดยมีนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม นายศิริรุจ จุลกะรัตน์ นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกิจกรรม ณ บริเวณท้องสนามหลวง ตรงข้ามวัดพระแก้ว โดยกิจกรรมภายในบูทกระทรวงอุตสาหกรรมประกอบด้วย งานบริการประชาชน การฝึกอาชีพระยะสั้น การแจกจ่ายเครื่องดื่ม อาหารว่าง แก่ผู้เข้าร่วมงาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร่วมจัดกิจกรรมบริการประชาชนเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 66 พรรษา 28 กรกฎาคม 2561 วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม 2561 ก.อุตฯ ร่วมจัดกิจกรรมบริการประชาชนเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 66 พรรษา 28 กรกฎาคม 2561 ก.อุตฯ ร่วมจัดกิจกรรมบริการประชาชนเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 66 พรรษา 28 กรกฎาคม 2561 วันนี้ (28 กรกฎาคม 2561) นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าเยี่ยมชมและร่วมแจกอาหารว่าง เครื่องดื่ม ให้แก่ประชาชนในบูทกิจกรรมบริการประชาชนของกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งจัดขึ้นเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 66 พรรษา 28 กรกฎาคม 2561 โดยมีนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม นายศิริรุจ จุลกะรัตน์ นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกิจกรรม ณ บริเวณท้องสนามหลวง ตรงข้ามวัดพระแก้ว โดยกิจกรรมภายในบูทกระทรวงอุตสาหกรรมประกอบด้วย งานบริการประชาชน การฝึกอาชีพระยะสั้น การแจกจ่ายเครื่องดื่ม อาหารว่าง แก่ผู้เข้าร่วมงาน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14206
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่ 27 – 29 พฤศจิกายน 2561
วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน 2561 นายกรัฐมนตรีมีกําหนดการเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่ 27 – 29 พฤศจิกายน 2561 นายกรัฐมนตรีพร้อมเปิดศักราชใหม่ความสัมพันธ์ไทย-เยอรมนี ย้ําความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งในระดับทวิภาคีและภูมิภาค พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีกําหนดการเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่ 27 – 29 พฤศจิกายน 2561 ดังนี้ การเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีครั้งนี้ นับเป็นการเยือนสาธารณรัฐเยอรมนีครั้งแรกของนายกรัฐมนตรี มีวัตถุประสงค์สําคัญเพื่อเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ไทยและเยอรมนี ภายหลังจากที่สหภาพยุโรปปรับข้อมติต่อไทยและเป็นการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนที่ยั่งยืน ผ่านความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศตามนโยบายประเทศไทย 4.0 เนื่องจากเยอรมนีเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าและเป็นผู้นําด้านอุตสาหกรรม 4.0 มีความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนา การพัฒนาทรัพยากรบุคคลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงการพัฒนาศักยภาพ SMEs และ Startup ทั้งนี้ การเยือนสาธารณรัฐเยอรมนีของนายกรัฐมนตรียังสะท้อนให้เห็นว่า นายกรัฐมนตรีได้รับความยอมรับ และความเชื่อมั่นทางการเมืองจากประเทศชั้นนําที่มีความสําคัญของโลก หลังจากก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีได้เดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และได้เข้าร่วมการประชุมสําคัญๆ ในเวทีระหว่างประเทศ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจะหารือกับนางอังเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี เพื่อเน้นย้ําความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับทวิภาคี โดยมีสาขาเป้าหมาย ได้แก่ 1) อาชีวศึกษา ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะเชิญชวนให้เยอรมนีเป็นหุ้นส่วนกับสถาบันอาชีวศึกษาของไทย เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขา โดยมีเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมแรงงานอาชีพของภูมิภาค 2) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเทคโนโลยีสีเขียว ไทยประสงค์ให้เยอรมนีถ่ายทอดเทคโนโลยีสีเขียวให้แก่ไทย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนและกระชับความเป็นหุ้นส่วนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายจะหารือถึงความร่วมมือในการเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาในภูมิภาค โดยจะเชิญชวนให้เยอรมนีเป็นหุ้นส่วนด้านการพัฒนาของ ACMECS และเชิญชวนให้เยอรมนีมีความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนในกรอบอาเซียนในฐานะที่ไทยจะเป็นประธานอาเซียนในปี 2562 สําหรับภารกิจที่สําคัญอื่น ๆ ของนายกรัฐมนตรี ได้แก่ เดินทางไปศึกษาดูงานที่ Fraunhofer IPK เข้าร่วม กิจกรรม Thai-German Business Forum : Asia-Europe Partnership for the Future พบหารือกับผู้บริหารบริษัทเอกชนเยอรมนี ร่วมรับประทานอาหารค่ํากับภาคเอกชนเยอรมนีและภาคเอกชนไทย นอกจากนี้ภารกิจสําคัญในการเยือนฯครั้งนี้ คือการสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนเยอรมัน พร้อมทั้งเชิญชวนให้มาลงทุนใน EEC ซึ่งมีบริษัทสําคัญของเยอรมนีแสดงความสนใจขอเข้าเยี่ยมคารวะเพื่อหารือเรื่องการร่วมลงทุนที่ไทยหลายบริษัท ได้แก่ บริษัท เดมเลอร์ AG บริษัท Dräxlmaier บริษัท BMW และสมาคมระบบรางเยอรมนี (Verband Deutsche Bahnindustrie: VDB)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่ 27 – 29 พฤศจิกายน 2561 วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน 2561 นายกรัฐมนตรีมีกําหนดการเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่ 27 – 29 พฤศจิกายน 2561 นายกรัฐมนตรีพร้อมเปิดศักราชใหม่ความสัมพันธ์ไทย-เยอรมนี ย้ําความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งในระดับทวิภาคีและภูมิภาค พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีกําหนดการเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่ 27 – 29 พฤศจิกายน 2561 ดังนี้ การเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีครั้งนี้ นับเป็นการเยือนสาธารณรัฐเยอรมนีครั้งแรกของนายกรัฐมนตรี มีวัตถุประสงค์สําคัญเพื่อเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ไทยและเยอรมนี ภายหลังจากที่สหภาพยุโรปปรับข้อมติต่อไทยและเป็นการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนที่ยั่งยืน ผ่านความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศตามนโยบายประเทศไทย 4.0 เนื่องจากเยอรมนีเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าและเป็นผู้นําด้านอุตสาหกรรม 4.0 มีความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนา การพัฒนาทรัพยากรบุคคลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงการพัฒนาศักยภาพ SMEs และ Startup ทั้งนี้ การเยือนสาธารณรัฐเยอรมนีของนายกรัฐมนตรียังสะท้อนให้เห็นว่า นายกรัฐมนตรีได้รับความยอมรับ และความเชื่อมั่นทางการเมืองจากประเทศชั้นนําที่มีความสําคัญของโลก หลังจากก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีได้เดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และได้เข้าร่วมการประชุมสําคัญๆ ในเวทีระหว่างประเทศ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจะหารือกับนางอังเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี เพื่อเน้นย้ําความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับทวิภาคี โดยมีสาขาเป้าหมาย ได้แก่ 1) อาชีวศึกษา ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะเชิญชวนให้เยอรมนีเป็นหุ้นส่วนกับสถาบันอาชีวศึกษาของไทย เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขา โดยมีเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมแรงงานอาชีพของภูมิภาค 2) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเทคโนโลยีสีเขียว ไทยประสงค์ให้เยอรมนีถ่ายทอดเทคโนโลยีสีเขียวให้แก่ไทย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนและกระชับความเป็นหุ้นส่วนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายจะหารือถึงความร่วมมือในการเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาในภูมิภาค โดยจะเชิญชวนให้เยอรมนีเป็นหุ้นส่วนด้านการพัฒนาของ ACMECS และเชิญชวนให้เยอรมนีมีความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนในกรอบอาเซียนในฐานะที่ไทยจะเป็นประธานอาเซียนในปี 2562 สําหรับภารกิจที่สําคัญอื่น ๆ ของนายกรัฐมนตรี ได้แก่ เดินทางไปศึกษาดูงานที่ Fraunhofer IPK เข้าร่วม กิจกรรม Thai-German Business Forum : Asia-Europe Partnership for the Future พบหารือกับผู้บริหารบริษัทเอกชนเยอรมนี ร่วมรับประทานอาหารค่ํากับภาคเอกชนเยอรมนีและภาคเอกชนไทย นอกจากนี้ภารกิจสําคัญในการเยือนฯครั้งนี้ คือการสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนเยอรมัน พร้อมทั้งเชิญชวนให้มาลงทุนใน EEC ซึ่งมีบริษัทสําคัญของเยอรมนีแสดงความสนใจขอเข้าเยี่ยมคารวะเพื่อหารือเรื่องการร่วมลงทุนที่ไทยหลายบริษัท ได้แก่ บริษัท เดมเลอร์ AG บริษัท Dräxlmaier บริษัท BMW และสมาคมระบบรางเยอรมนี (Verband Deutsche Bahnindustrie: VDB)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17079
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. นำผู้แทนคนพิการ เข้าพบนายกรัฐมนตรี พร้อมติดเข็มสัญลักษณ์วันคนพิการสากล ประจำปี 2562
วันอังคารที่ 3 ธันวาคม 2562 รมว.พม. นําผู้แทนคนพิการ เข้าพบนายกรัฐมนตรี พร้อมติดเข็มสัญลักษณ์วันคนพิการสากล ประจําปี 2562 รมว.พม. นําผู้แทนคนพิการ เข้าพบนายกรัฐมนตรี พร้อมติดเข็มสัญลักษณ์วันคนพิการสากล ประจําปี 2562 วันนี้ (3 ธ.ค. 62) เวลา 08.30 น. ที่บริเวณตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) นําคณะผู้บริหาร ผู้นําคนพิการ และคนพิการต้นแบบ เข้าพบพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์งานวันคนพิการสากล ประจําปี 2562 โดยมี นางสาวกาญจนา พิมพา (ปุ๊กกี้) Miss Deaf Thailand และ Miss Deaf Asia 2019 (คนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย) ติดเข็มสัญลักษณ์วันคนพิการสากล ประจําปี 2562 ให้นายกรัฐมนตรี พร้อมพบปะผู้นําคนพิการและคนพิการต้นแบบ ได้แก่ 1) นายดําเกิง มุ่งธัญญา (ไอซ์) ครูสอนวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นคนพิการทางการเห็น 2) นายชาตรี กรวัชรธาดา (ต๊อด) นักศึกษาฝึกงานช่างยนต์ ซึ่งเป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหว และ 3) นางสาวกาญจนา พิมพา Miss Deaf Thailand และ Miss Deaf Asia 2019 ซึ่งเป็นคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย นอกจากนี้ ได้เยี่ยมชมบูธตัวอย่างของร้านกาแฟ 60+ (Sixty plus) ที่กําลังจะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ ณ ทําเนียบรัฐบาล โดยมีพนักงานประจําร้านกาแฟเป็นคนพิการ นายจุติ กล่าวว่า สืบเนื่องจากองค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้วันที่ 3 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคนพิการสากล เพื่อเป็นการรําลึกถึงวันที่สมัชชาใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติ ได้รับรองแผนปฏิบัติการโลกว่าด้วยเรื่องคนพิการ และเชิญชวนให้ประเทศสมาชิก ร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อให้คนพิการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมและโอกาสในการแสดงศักยภาพในสังคม ส่งผลให้สังคมเกิดเจตคติเชิงสร้างสรรค์ต่อคนพิการและความพิการ เพื่อให้การยอมรับคนพิการในฐานะที่เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าของสังคม และในปี 2562 องค์กรสหประชาชาติได้กําหนดประเด็นหลัก คือ สร้างการมีส่วนร่วม เสริมความเป็นผู้นําคนพิการ สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ.2030 (Promoting the participation of persons with disabilities and their leadership: taking action on the 2030 Development Agenda) โดยให้ความสําคัญกับการส่งเสริมคนพิการในด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน ตามที่กําหนดไว้ในวาระและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030) ซึ่งให้คํามั่นว่า เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สําหรับงานวันคนพิการสากล ประจําปี 2562 กําหนดจัดขึ้นในวันที่ 3 ธ.ค. 62 ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานฯ เวลา 15.00 น. ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมสําคัญ ได้แก่ 1) การอ่านสาส์นวันคนพิการสากล ประจําปี 2562 โดยผู้แทนองค์กรสหประชาชาติ และนายกสมาคมสภาคนพิการแห่งประเทศไทย 2) พิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณดีเด่นแก่องค์กรที่สนับสนุนงานด้านคนพิการดีเด่น หน่วยงานดีเด่นด้านการจัดสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับคนพิการ มาตรฐานองค์กรดีเด่นด้านคนพิการหรือองค์กรอื่นใดที่ให้บริการแก่คนพิการ และคนพิการต้นแบบ และ 3) นิทรรศการแสดงผลงานด้านการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เป็นต้น นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้พบปะพร้อมชื่นชมคณะเยาวชนพิการไทยที่ได้รับเหรียญรางวัลจากการแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2562 (2019 Global IT Challenge for Youth with Disabilities) ณ เมืองปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. นำผู้แทนคนพิการ เข้าพบนายกรัฐมนตรี พร้อมติดเข็มสัญลักษณ์วันคนพิการสากล ประจำปี 2562 วันอังคารที่ 3 ธันวาคม 2562 รมว.พม. นําผู้แทนคนพิการ เข้าพบนายกรัฐมนตรี พร้อมติดเข็มสัญลักษณ์วันคนพิการสากล ประจําปี 2562 รมว.พม. นําผู้แทนคนพิการ เข้าพบนายกรัฐมนตรี พร้อมติดเข็มสัญลักษณ์วันคนพิการสากล ประจําปี 2562 วันนี้ (3 ธ.ค. 62) เวลา 08.30 น. ที่บริเวณตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) นําคณะผู้บริหาร ผู้นําคนพิการ และคนพิการต้นแบบ เข้าพบพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์งานวันคนพิการสากล ประจําปี 2562 โดยมี นางสาวกาญจนา พิมพา (ปุ๊กกี้) Miss Deaf Thailand และ Miss Deaf Asia 2019 (คนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย) ติดเข็มสัญลักษณ์วันคนพิการสากล ประจําปี 2562 ให้นายกรัฐมนตรี พร้อมพบปะผู้นําคนพิการและคนพิการต้นแบบ ได้แก่ 1) นายดําเกิง มุ่งธัญญา (ไอซ์) ครูสอนวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นคนพิการทางการเห็น 2) นายชาตรี กรวัชรธาดา (ต๊อด) นักศึกษาฝึกงานช่างยนต์ ซึ่งเป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหว และ 3) นางสาวกาญจนา พิมพา Miss Deaf Thailand และ Miss Deaf Asia 2019 ซึ่งเป็นคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย นอกจากนี้ ได้เยี่ยมชมบูธตัวอย่างของร้านกาแฟ 60+ (Sixty plus) ที่กําลังจะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ ณ ทําเนียบรัฐบาล โดยมีพนักงานประจําร้านกาแฟเป็นคนพิการ นายจุติ กล่าวว่า สืบเนื่องจากองค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้วันที่ 3 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคนพิการสากล เพื่อเป็นการรําลึกถึงวันที่สมัชชาใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติ ได้รับรองแผนปฏิบัติการโลกว่าด้วยเรื่องคนพิการ และเชิญชวนให้ประเทศสมาชิก ร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อให้คนพิการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมและโอกาสในการแสดงศักยภาพในสังคม ส่งผลให้สังคมเกิดเจตคติเชิงสร้างสรรค์ต่อคนพิการและความพิการ เพื่อให้การยอมรับคนพิการในฐานะที่เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าของสังคม และในปี 2562 องค์กรสหประชาชาติได้กําหนดประเด็นหลัก คือ สร้างการมีส่วนร่วม เสริมความเป็นผู้นําคนพิการ สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ.2030 (Promoting the participation of persons with disabilities and their leadership: taking action on the 2030 Development Agenda) โดยให้ความสําคัญกับการส่งเสริมคนพิการในด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน ตามที่กําหนดไว้ในวาระและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030) ซึ่งให้คํามั่นว่า เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สําหรับงานวันคนพิการสากล ประจําปี 2562 กําหนดจัดขึ้นในวันที่ 3 ธ.ค. 62 ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานฯ เวลา 15.00 น. ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมสําคัญ ได้แก่ 1) การอ่านสาส์นวันคนพิการสากล ประจําปี 2562 โดยผู้แทนองค์กรสหประชาชาติ และนายกสมาคมสภาคนพิการแห่งประเทศไทย 2) พิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณดีเด่นแก่องค์กรที่สนับสนุนงานด้านคนพิการดีเด่น หน่วยงานดีเด่นด้านการจัดสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับคนพิการ มาตรฐานองค์กรดีเด่นด้านคนพิการหรือองค์กรอื่นใดที่ให้บริการแก่คนพิการ และคนพิการต้นแบบ และ 3) นิทรรศการแสดงผลงานด้านการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เป็นต้น นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้พบปะพร้อมชื่นชมคณะเยาวชนพิการไทยที่ได้รับเหรียญรางวัลจากการแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2562 (2019 Global IT Challenge for Youth with Disabilities) ณ เมืองปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24982
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. เป็นประธานพิธีลงนาม MOU ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ระหว่าง กฟภ. และ กปภ. เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนมาตรการอนุรักษ์พลังงาน และขานรับนโยบายรัฐบาล
วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 รมว.มท. เป็นประธานพิธีลงนาม MOU ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ระหว่าง กฟภ. และ กปภ. เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนมาตรการอนุรักษ์พลังงาน และขานรับนโยบายรัฐบาล รมว.มท. เป็นประธานพิธีลงนาม MOU ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ระหว่าง กฟภ. และ กปภ. เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนมาตรการอนุรักษ์พลังงาน และขานรับนโยบายรัฐบาล วันนี้ (18 ก.พ. 62) เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU)ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าระหว่าง การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.)โดย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และรักษาการในตําแหน่งประธานกรรมการการประปาส่วนภูมิภาคและ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)โดย นายชยพล ธิติศักดิ์ ประธานกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในโครงการส่งเสริมการลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในกระบวนการผลิต ส่งจ่ายน้ําประปา และระบบเกี่ยวเนื่องของการประปาส่วนภูมิภาค โดยมี นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองหน่วยงาน ร่วมเป็นสักขีพยาน โอกาสนี้พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวว่าพลังงานไฟฟ้านับเป็นปัจจัยสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และมีความจําเป็นต่อการดํารงชีวิตของประชาชน และปัจจุบันประเทศไทยต้องพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติเป็นหลักซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงมากส่งผลให้เมื่อเกิดปัญหาด้านการจัดหาก๊าซธรรมชาติ เช่นการซ่อมบํารุงแหล่งจ่ายก๊าซจากประเทศเพื่อนบ้าน ก็จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในการผลิตไฟฟ้าหรือกระทบต่อต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าอย่างมาก จากสภาพปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น รัฐบาลมีความห่วงใยในเรื่องดังกล่าว จึงได้กําหนดให้นโยบายด้านความมั่นคงทางพลังงานเป็นวาระสําคัญของชาติ โดยกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนเล็งเห็นความสําคัญของการอนุรักษ์พลังงานการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก เพื่อใช้เป็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาพลังงานของประเทศให้มีความมั่นคงอย่างยั่งยืน และการลงนามMOUในครั้งนี้ ตนรู้สึกชื่นชมและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทั้ง 2 หน่วยงาน แสดงให้เห็นความมุ่งมั่นตั้งใจในการแสวงหาแนวทางเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานตามนโยบายของรัฐบาลและเชื่อมั่นว่าการใช้พลังงานทดแทนในกระบวนการผลิตส่งจ่ายน้ําประปาและระบบเกี่ยวเนื่องซึ่งนับเป็นกิจกรรมหลักในห่วงโซ่คุณค่าของการประปาส่วนภูมิภาคจะส่งผลอย่างมีนัยสําคัญต่อปริมาณการใช้พลังงานของการประปาส่วนภูมิภาคเองและปริมาณการใช้พลังงานในภาพรวมของหน่วยงานภาครัฐ จึงขอให้ทั้ง 2 หน่วยงานได้ใช้ความเชี่ยวชาญและความสามารถพิเศษขององค์กรมาบูรณาการร่วมกัน เพื่อให้เกิดเทคโนโลยีประหยัดพลังงานที่เหมาะสมมีประสิทธิภาพ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในวันนี้จะถูกยกระดับสู่ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในอนาคตเพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสามารถสร้างการเติบโตและความเข้มแข็งให้กับการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ต่อไป สําหรับความร่วมมือของทั้ง 2 หน่วยงานในครั้งนี้ เกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนในระบบผลิตส่งจ่ายน้ําประปาของการประปาการประปาภูมิภาคทั่วประเทศโดยจะนําเทคโนโลยีทันสมัยมาประยุกต์ใช้ลดต้นทุนการใช้ไฟฟ้าของการประปาส่วนภูมิภาคอย่างเป็นรูปประธรรมซึ่งกรอบความร่วมมือของโครงการดังกล่าวทั้ง 2 หน่วยงานจะดําเนินการร่วมกันเพื่อสํารวจวิเคราะห์ออกแบบและเสนอการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการใช้พลังงานไฟฟ้า เพื่อภารกิจ ของการประปาส่วนภูมิภาค นอกจากนี้ ทั้ง 2 หน่วยงานจะดําเนินงานแบบบูรณาการทํางานร่วมกันทั้งในด้านการบริหารจัดการ โครงการเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดรวมถึงมีการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรการแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการและการเพิ่มประสบการณ์การทํางานในส่วนที่เกี่ยวข้องของทั้ง 2 หน่วยงาน นายนพรัตน์ เมธาวีกุลชัย ผู้ว่าการประปาส่วนภูมิภาค กล่าวว่าสําหรับภารกิจในการผลิตส่งจ่ายน้ําประปาและให้บริการน้ําสะอาดมาตรฐานสากลแก่ประชาชนในพื้นที่ 74 จังหวัดทั่วประเทศของการประปาส่วนภูมิภาคนั้นจําเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าสนับสนุนกระบวนการผลิตและจ่ายน้ําประปาในปริมาณสูงมาก ดังนั้น เพื่อตอบสนองนโยบายกระทรวงมหาดไทย การประปาส่วนภูมิภาค จึงร่วมมือกับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนมาตรการอนุรักษ์พลังงานให้ปรากฏเป็นรูปธรรม และนอกจากนี้ยังจะเป็นการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนมีการนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้เพื่อลดต้นทุนการใช้ไฟฟ้าของการประปาส่วนภูมิภาคอย่างชัดเจนและยังช่วยลดต้นทุนในระบบผลิตส่งจ่ายน้ําประปาของการไฟฟ้าการประปาส่วนภูมิภาค รวมถึง การส่งเสริมพัฒนาบุคลากรการแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการ และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้จะมีการขยายผลสู่การประปาส่วนภูมิภาคทั้ง 234 สาขาทั่วประเทศต่อไป ด้าน นายสมพงษ์ ปรีเปรม ผู้ว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือPEAเป็นองค์กรชั้นนําที่ทันสมัยในระดับภูมิภาค มุ่งมั่นให้บริการไฟฟ้าและธุรกิจเกี่ยวเนื่องอย่างมีประสิทธิภาพเชื่อถือได้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืนและด้วยภารกิจดังกล่าวนี้ จึงได้ร่วมมือกับการประปาส่วนภูมิภาคดําเนินการส่งเสริมลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในระบบผลิตส่งจ่ายน้ําประปาและระบบเกี่ยวเนื่องของการประปาส่วนภูมิภาคเพื่อให้เกิดการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ โดยPEAจะเป็นผู้ดําเนินการใน ให้บริการในรูปแบบของการจัดการพลังงานแบบครบวงจร ซึ่งได้แก่ การสํารวจ วิเคราะห์ ออกแบบ และนําเสนอมาตรการประหยัดพลังงานสําหรับการประปาส่วนภูมิภาค พร้อมทั้งดําเนินการจัดหาและติดตั้งอุปกรณ์ และประเมินผลการประหยัดพลังงานไฟฟ้า เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการใช้พลังงานไฟฟ้า กับการประปาส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นการสนับสนุนนโยบายการอนุรักษ์พลังงานของประเทศชาติตามนโยบายรัฐบาลอีกทางหนึ่งด้วย.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. เป็นประธานพิธีลงนาม MOU ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ระหว่าง กฟภ. และ กปภ. เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนมาตรการอนุรักษ์พลังงาน และขานรับนโยบายรัฐบาล วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 รมว.มท. เป็นประธานพิธีลงนาม MOU ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ระหว่าง กฟภ. และ กปภ. เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนมาตรการอนุรักษ์พลังงาน และขานรับนโยบายรัฐบาล รมว.มท. เป็นประธานพิธีลงนาม MOU ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ระหว่าง กฟภ. และ กปภ. เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนมาตรการอนุรักษ์พลังงาน และขานรับนโยบายรัฐบาล วันนี้ (18 ก.พ. 62) เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU)ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าระหว่าง การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.)โดย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และรักษาการในตําแหน่งประธานกรรมการการประปาส่วนภูมิภาคและ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)โดย นายชยพล ธิติศักดิ์ ประธานกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในโครงการส่งเสริมการลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในกระบวนการผลิต ส่งจ่ายน้ําประปา และระบบเกี่ยวเนื่องของการประปาส่วนภูมิภาค โดยมี นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองหน่วยงาน ร่วมเป็นสักขีพยาน โอกาสนี้พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวว่าพลังงานไฟฟ้านับเป็นปัจจัยสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และมีความจําเป็นต่อการดํารงชีวิตของประชาชน และปัจจุบันประเทศไทยต้องพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติเป็นหลักซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงมากส่งผลให้เมื่อเกิดปัญหาด้านการจัดหาก๊าซธรรมชาติ เช่นการซ่อมบํารุงแหล่งจ่ายก๊าซจากประเทศเพื่อนบ้าน ก็จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในการผลิตไฟฟ้าหรือกระทบต่อต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าอย่างมาก จากสภาพปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น รัฐบาลมีความห่วงใยในเรื่องดังกล่าว จึงได้กําหนดให้นโยบายด้านความมั่นคงทางพลังงานเป็นวาระสําคัญของชาติ โดยกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนเล็งเห็นความสําคัญของการอนุรักษ์พลังงานการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก เพื่อใช้เป็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาพลังงานของประเทศให้มีความมั่นคงอย่างยั่งยืน และการลงนามMOUในครั้งนี้ ตนรู้สึกชื่นชมและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทั้ง 2 หน่วยงาน แสดงให้เห็นความมุ่งมั่นตั้งใจในการแสวงหาแนวทางเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานตามนโยบายของรัฐบาลและเชื่อมั่นว่าการใช้พลังงานทดแทนในกระบวนการผลิตส่งจ่ายน้ําประปาและระบบเกี่ยวเนื่องซึ่งนับเป็นกิจกรรมหลักในห่วงโซ่คุณค่าของการประปาส่วนภูมิภาคจะส่งผลอย่างมีนัยสําคัญต่อปริมาณการใช้พลังงานของการประปาส่วนภูมิภาคเองและปริมาณการใช้พลังงานในภาพรวมของหน่วยงานภาครัฐ จึงขอให้ทั้ง 2 หน่วยงานได้ใช้ความเชี่ยวชาญและความสามารถพิเศษขององค์กรมาบูรณาการร่วมกัน เพื่อให้เกิดเทคโนโลยีประหยัดพลังงานที่เหมาะสมมีประสิทธิภาพ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในวันนี้จะถูกยกระดับสู่ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในอนาคตเพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสามารถสร้างการเติบโตและความเข้มแข็งให้กับการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ต่อไป สําหรับความร่วมมือของทั้ง 2 หน่วยงานในครั้งนี้ เกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนในระบบผลิตส่งจ่ายน้ําประปาของการประปาการประปาภูมิภาคทั่วประเทศโดยจะนําเทคโนโลยีทันสมัยมาประยุกต์ใช้ลดต้นทุนการใช้ไฟฟ้าของการประปาส่วนภูมิภาคอย่างเป็นรูปประธรรมซึ่งกรอบความร่วมมือของโครงการดังกล่าวทั้ง 2 หน่วยงานจะดําเนินการร่วมกันเพื่อสํารวจวิเคราะห์ออกแบบและเสนอการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการใช้พลังงานไฟฟ้า เพื่อภารกิจ ของการประปาส่วนภูมิภาค นอกจากนี้ ทั้ง 2 หน่วยงานจะดําเนินงานแบบบูรณาการทํางานร่วมกันทั้งในด้านการบริหารจัดการ โครงการเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดรวมถึงมีการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรการแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการและการเพิ่มประสบการณ์การทํางานในส่วนที่เกี่ยวข้องของทั้ง 2 หน่วยงาน นายนพรัตน์ เมธาวีกุลชัย ผู้ว่าการประปาส่วนภูมิภาค กล่าวว่าสําหรับภารกิจในการผลิตส่งจ่ายน้ําประปาและให้บริการน้ําสะอาดมาตรฐานสากลแก่ประชาชนในพื้นที่ 74 จังหวัดทั่วประเทศของการประปาส่วนภูมิภาคนั้นจําเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าสนับสนุนกระบวนการผลิตและจ่ายน้ําประปาในปริมาณสูงมาก ดังนั้น เพื่อตอบสนองนโยบายกระทรวงมหาดไทย การประปาส่วนภูมิภาค จึงร่วมมือกับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนมาตรการอนุรักษ์พลังงานให้ปรากฏเป็นรูปธรรม และนอกจากนี้ยังจะเป็นการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนมีการนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้เพื่อลดต้นทุนการใช้ไฟฟ้าของการประปาส่วนภูมิภาคอย่างชัดเจนและยังช่วยลดต้นทุนในระบบผลิตส่งจ่ายน้ําประปาของการไฟฟ้าการประปาส่วนภูมิภาค รวมถึง การส่งเสริมพัฒนาบุคลากรการแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการ และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้จะมีการขยายผลสู่การประปาส่วนภูมิภาคทั้ง 234 สาขาทั่วประเทศต่อไป ด้าน นายสมพงษ์ ปรีเปรม ผู้ว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือPEAเป็นองค์กรชั้นนําที่ทันสมัยในระดับภูมิภาค มุ่งมั่นให้บริการไฟฟ้าและธุรกิจเกี่ยวเนื่องอย่างมีประสิทธิภาพเชื่อถือได้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืนและด้วยภารกิจดังกล่าวนี้ จึงได้ร่วมมือกับการประปาส่วนภูมิภาคดําเนินการส่งเสริมลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในระบบผลิตส่งจ่ายน้ําประปาและระบบเกี่ยวเนื่องของการประปาส่วนภูมิภาคเพื่อให้เกิดการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ โดยPEAจะเป็นผู้ดําเนินการใน ให้บริการในรูปแบบของการจัดการพลังงานแบบครบวงจร ซึ่งได้แก่ การสํารวจ วิเคราะห์ ออกแบบ และนําเสนอมาตรการประหยัดพลังงานสําหรับการประปาส่วนภูมิภาค พร้อมทั้งดําเนินการจัดหาและติดตั้งอุปกรณ์ และประเมินผลการประหยัดพลังงานไฟฟ้า เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการใช้พลังงานไฟฟ้า กับการประปาส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นการสนับสนุนนโยบายการอนุรักษ์พลังงานของประเทศชาติตามนโยบายรัฐบาลอีกทางหนึ่งด้วย.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18869
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม “ชุมชนย่านกะดีจีน:ชุมชนศาสนิกสัมพันธ์สู่ชุมชนคุณธรรม”
วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน 2560 พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม “ชุมชนย่านกะดีจีน:ชุมชนศาสนิกสัมพันธ์สู่ชุมชนคุณธรรม” พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม “ชุมชนย่านกะดีจีน:ชุมชนศาสนิกสัมพันธ์สู่ชุมชนคุณธรรม” วันที่ 16 มิถุนายน 2560 เวลา 08.45 น. พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม “ชุมชนย่านกะดีจีน:ชุมชนศาสนิกสัมพันธ์สู่ชุมชนคุณธรรม” เยี่ยมชมมัสยิดบางหลวง(กุฎีขาว) โบสถ์ซางตาครู้ส และวัดประยุรวงศาวาส และเยี่ยมชมแหล่งผลิตขนมฝรั่งกุฎีจีน พิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน บ้านโบราณ “บ้านทรงไทยแบบวิคตอเรีย” โดยมีดร.ฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม นายปรารพ เหล่าวานิช เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางพิมพ์กาญจน์ ชัยจิตร์สกุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายมนัส ทารัตน์ใจ อธิบดีกรมการศาสนาและผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรมร่วมลงพื้นที่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม “ชุมชนย่านกะดีจีน:ชุมชนศาสนิกสัมพันธ์สู่ชุมชนคุณธรรม” วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน 2560 พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม “ชุมชนย่านกะดีจีน:ชุมชนศาสนิกสัมพันธ์สู่ชุมชนคุณธรรม” พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม “ชุมชนย่านกะดีจีน:ชุมชนศาสนิกสัมพันธ์สู่ชุมชนคุณธรรม” วันที่ 16 มิถุนายน 2560 เวลา 08.45 น. พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม “ชุมชนย่านกะดีจีน:ชุมชนศาสนิกสัมพันธ์สู่ชุมชนคุณธรรม” เยี่ยมชมมัสยิดบางหลวง(กุฎีขาว) โบสถ์ซางตาครู้ส และวัดประยุรวงศาวาส และเยี่ยมชมแหล่งผลิตขนมฝรั่งกุฎีจีน พิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน บ้านโบราณ “บ้านทรงไทยแบบวิคตอเรีย” โดยมีดร.ฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม นายปรารพ เหล่าวานิช เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางพิมพ์กาญจน์ ชัยจิตร์สกุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายมนัส ทารัตน์ใจ อธิบดีกรมการศาสนาและผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรมร่วมลงพื้นที่
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4616
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ใช้ความนิยมสินค้าไทย เจาะตลาดอาเซียน
วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน 2560 พาณิชย์ใช้ความนิยมสินค้าไทย เจาะตลาดอาเซียน “อภิรดี”สั่งการกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจัดกิจกรรมขยายตลาดอาเซียนปี 61 เป็นพิเศษ หวังสร้างการรู้จักสินค้าไทยและผลักดันการส่งออกให้ได้เพิ่มมากขึ้น “จันทิรา”รับลูกเตรียมจัดงาน Top Thai Brand และ Mini Thailand Week นําสินค้าไทยโชว์ เผยยังมีแผนนําสินค้าไทยขยายตลาดอินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ ปากีสถาน และอิหร่านด้วย นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้มอบนโยบายให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จัดกิจกรรมขยายตลาดอาเซียนปี 2561 เป็นพิเศษ เพื่อหาทางผลักดันสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดให้ได้เพิ่มมากขึ้น และขยายการส่งออกสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดอาเซียนให้ได้มากขึ้น โดยให้เน้นการจัดงานกิจกรรมแนะนําสินค้าไทย รวมถึงการจัดงานแสดงสินค้าไทย เพื่อผลักดันให้สินค้าไทยเป็นที่รู้จักและเป็นที่ต้องการเพิ่มมากขึ้น ทั้งกับผู้ซื้อ ผู้นําเข้า รวมถึงผู้บริโภคในประเทศต่างๆ ของอาเซียน “ปัจจุบันตลาดอาเซียนเป็นตลาดหลักที่สําคัญของไทย มีแนวโน้มการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาด CLMV ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะให้ความสําคัญกับการบุกเจาะตลาดอย่างเต็มที่ และขอให้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมด้านการตลาดเป็นพิเศษ”นางอภิรดีกล่าว นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า กรมฯ ได้จัดทําแผนการขยายตลาดอาเซียนเสร็จแล้ว โดยได้กําหนดที่จะจัดงาน Top Thai Brand 2018 ที่กัมพูชา เมียนมา เวียดนาม สปป.ลาว และมาเลเซีย และจัด Mini Thailand Week 2018 ที่สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ เวียดนาม กัมพูชา เมียนมา โดยจะเน้นในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ของใช้ของตกแต่งบ้าน สินค้าความงาม แฟชั่น ไลฟ์สไตล์ เครื่องนุ่งห่ม สินค้าเกษตร อัญมณีและเครื่องประดับ และสินค้าบริการ เครื่องจักรกล เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะจัด Thailand Week 2018 ในประเทศต่างๆ นอกเหนือจากอาเซียน เช่น อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ ปากีสถาน และอิหร่าน เป็นต้น สําหรับการจัดงาน Top Thai Brand 2018 ได้กําหนดจัด 6 ครั้ง ได้แก่ พนมเปญ กัมพูชา วันที่ 1-4 ก.พ.2561 , ย่างกุ้ง เมียนมา วันที่ 22-25 มี.ค.2561 , โฮจิมินห์ซิตี้ เวียดนาม วันที่ 10-13 พ.ค.2561 , เวียงจันทน์ สปป.ลาว เดือนพ.ค.2561 , ฮานอย เวียดนาม วันที่ 16-19 ส.ค.2561 และกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย วันที่ 23-25 ส.ค.2561 ส่วนงาน Mini Thailand Week 2018 กําหนดจัด 6 ครั้ง ได้แก่ ที่เวียงจันทน์ สปป.ลาว เดือน ก.พ.2561 จํานวน 5 วัน , มะนิลา ฟิลิปปินส์ วันที่ 15-18 มี.ค.2561 , นครไฮฟอง เวียดนาม วันที่ 15-18 มี.ค.2561 , เสียมราฐ กัมพูชา เดือนเม.ย.2561 จํานวน 4 วัน , เกิ่นเทอ เวียดนาม วันที่ 6-8 ก.ค.2561 และตองยี เมียนมา วันที่ 24-26 ส.ค.2561 ขณะที่กําหนดการจัดงาน Thailand Week 2018 ในประเทศอื่นๆ ได้แก่ โกลกาตา อินเดีย เดือนก.พ.-มี.ค.2561 , โคลัมโบ ศรีลังกา วันที่ 9-11 มี.ค.2561 , ธากา อินเดีย วันที่ 22-26 พ.ค.2561 , มุมไบ/ บังกาลอร์ อินเดีย เดือนมิ.ย. หรือ ก.ค.2561 , เจนไน อินเดีย วันที่ 10-12 ส.ค.2561 , การาจีน ปากีสถาน เดือนก.ย.2561 และเตหะราน อิหร่าน เดือนส.ค.หรือก.ย.2561 สําหรับตลาดอาเซียน เป็นคู่ค้าอันดับ 1 และเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย โดยการส่งออกในช่วง 9 เดือนของปี 2560 (ม.ค.-ก.ย.) มีมูลค่า 43,750.84 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 9.82% และมูลค่าคิดเป็น 24.94% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย คาดว่าการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2560 ตลาดอาเซียนจะยังคงขยายตัวได้ดีต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ใช้ความนิยมสินค้าไทย เจาะตลาดอาเซียน วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน 2560 พาณิชย์ใช้ความนิยมสินค้าไทย เจาะตลาดอาเซียน “อภิรดี”สั่งการกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจัดกิจกรรมขยายตลาดอาเซียนปี 61 เป็นพิเศษ หวังสร้างการรู้จักสินค้าไทยและผลักดันการส่งออกให้ได้เพิ่มมากขึ้น “จันทิรา”รับลูกเตรียมจัดงาน Top Thai Brand และ Mini Thailand Week นําสินค้าไทยโชว์ เผยยังมีแผนนําสินค้าไทยขยายตลาดอินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ ปากีสถาน และอิหร่านด้วย นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้มอบนโยบายให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จัดกิจกรรมขยายตลาดอาเซียนปี 2561 เป็นพิเศษ เพื่อหาทางผลักดันสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดให้ได้เพิ่มมากขึ้น และขยายการส่งออกสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดอาเซียนให้ได้มากขึ้น โดยให้เน้นการจัดงานกิจกรรมแนะนําสินค้าไทย รวมถึงการจัดงานแสดงสินค้าไทย เพื่อผลักดันให้สินค้าไทยเป็นที่รู้จักและเป็นที่ต้องการเพิ่มมากขึ้น ทั้งกับผู้ซื้อ ผู้นําเข้า รวมถึงผู้บริโภคในประเทศต่างๆ ของอาเซียน “ปัจจุบันตลาดอาเซียนเป็นตลาดหลักที่สําคัญของไทย มีแนวโน้มการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาด CLMV ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะให้ความสําคัญกับการบุกเจาะตลาดอย่างเต็มที่ และขอให้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมด้านการตลาดเป็นพิเศษ”นางอภิรดีกล่าว นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า กรมฯ ได้จัดทําแผนการขยายตลาดอาเซียนเสร็จแล้ว โดยได้กําหนดที่จะจัดงาน Top Thai Brand 2018 ที่กัมพูชา เมียนมา เวียดนาม สปป.ลาว และมาเลเซีย และจัด Mini Thailand Week 2018 ที่สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ เวียดนาม กัมพูชา เมียนมา โดยจะเน้นในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ของใช้ของตกแต่งบ้าน สินค้าความงาม แฟชั่น ไลฟ์สไตล์ เครื่องนุ่งห่ม สินค้าเกษตร อัญมณีและเครื่องประดับ และสินค้าบริการ เครื่องจักรกล เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะจัด Thailand Week 2018 ในประเทศต่างๆ นอกเหนือจากอาเซียน เช่น อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ ปากีสถาน และอิหร่าน เป็นต้น สําหรับการจัดงาน Top Thai Brand 2018 ได้กําหนดจัด 6 ครั้ง ได้แก่ พนมเปญ กัมพูชา วันที่ 1-4 ก.พ.2561 , ย่างกุ้ง เมียนมา วันที่ 22-25 มี.ค.2561 , โฮจิมินห์ซิตี้ เวียดนาม วันที่ 10-13 พ.ค.2561 , เวียงจันทน์ สปป.ลาว เดือนพ.ค.2561 , ฮานอย เวียดนาม วันที่ 16-19 ส.ค.2561 และกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย วันที่ 23-25 ส.ค.2561 ส่วนงาน Mini Thailand Week 2018 กําหนดจัด 6 ครั้ง ได้แก่ ที่เวียงจันทน์ สปป.ลาว เดือน ก.พ.2561 จํานวน 5 วัน , มะนิลา ฟิลิปปินส์ วันที่ 15-18 มี.ค.2561 , นครไฮฟอง เวียดนาม วันที่ 15-18 มี.ค.2561 , เสียมราฐ กัมพูชา เดือนเม.ย.2561 จํานวน 4 วัน , เกิ่นเทอ เวียดนาม วันที่ 6-8 ก.ค.2561 และตองยี เมียนมา วันที่ 24-26 ส.ค.2561 ขณะที่กําหนดการจัดงาน Thailand Week 2018 ในประเทศอื่นๆ ได้แก่ โกลกาตา อินเดีย เดือนก.พ.-มี.ค.2561 , โคลัมโบ ศรีลังกา วันที่ 9-11 มี.ค.2561 , ธากา อินเดีย วันที่ 22-26 พ.ค.2561 , มุมไบ/ บังกาลอร์ อินเดีย เดือนมิ.ย. หรือ ก.ค.2561 , เจนไน อินเดีย วันที่ 10-12 ส.ค.2561 , การาจีน ปากีสถาน เดือนก.ย.2561 และเตหะราน อิหร่าน เดือนส.ค.หรือก.ย.2561 สําหรับตลาดอาเซียน เป็นคู่ค้าอันดับ 1 และเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย โดยการส่งออกในช่วง 9 เดือนของปี 2560 (ม.ค.-ก.ย.) มีมูลค่า 43,750.84 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 9.82% และมูลค่าคิดเป็น 24.94% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย คาดว่าการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2560 ตลาดอาเซียนจะยังคงขยายตัวได้ดีต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8088
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวอเมริกันส่งมอบโบราณวัตถุยุคบ้านเชียง 12 ชิ้น “ภาชนะดินเผา-ลูกกลิ้งดินเผา-หินดุ-กำไลสำริด” พร้อมภาพถ่าย 1 รายการ คืนให้ไทย
วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม 2561 ชาวอเมริกันส่งมอบโบราณวัตถุยุคบ้านเชียง 12 ชิ้น “ภาชนะดินเผา-ลูกกลิ้งดินเผา-หินดุ-กําไลสําริด” พร้อมภาพถ่าย 1 รายการ คืนให้ไทย ชาวอเมริกันส่งมอบโบราณวัตถุยุคบ้านเชียง 12 ชิ้น “ภาชนะดินเผา-ลูกกลิ้งดินเผา-หินดุ-กําไลสําริด” พร้อมภาพถ่าย 1 รายการ คืนให้ไทย บอร์ดติดตามโบราณวัตถุเห็นชอบติดตามโบราณวัตถุที่พิพิธภัณฑ์ Norton Simon คืนเพิ่มอีก 9 รายการ ชาวอเมริกันส่งมอบโบราณวัตถุยุคบ้านเชียง 12 ชิ้น “ภาชนะดินเผา-ลูกกลิ้งดินเผา-หินดุ-กําไลสําริด” พร้อมภาพถ่าย 1 รายการ คืนให้ไทย บอร์ดติดตามโบราณวัตถุเห็นชอบติดตามโบราณวัตถุที่พิพิธภัณฑ์ Norton Simon คืนเพิ่มอีก 9 รายการกรมศิลป์ทยอยส่งมอบเอกสาร-หลักฐานตามที่สํานักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิฯยื่นขอมา วันที่ 2 สิงหาคม 2561 ที่ห้องประชุมศรีอยุธยา หอวชิราวุธานุสรณ์ นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย ครั้งที่ 2/2561 ว่า ที่ประชุมได้รับรายงานกรณีนาง Katherine Ayers-Mannix ชาวอเมริกัน แจ้งความประสงค์ ส่งมอบโบราณวัตถุก่อนประวัติศาสตร์คืนให้แก่ประเทศไทย 12 รายการ และภาพถ่ายรวมโบราณวัตถุทั้ง 12 รายการ จํานวน 1 ภาพ ทั้งนี้ DR. joyce White ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะบ้านเชียงและผู้อํานวยการ Institute for Southeast Asian Archaeology มหาวิทยาลัย Pennsylvania ได้ให้ความเห็นว่าโบราณวัตถุดังกล่าวเชื่อว่าเป็นโบราณวัตถุยุคก่อนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบ้านเชียงของไทย ทั้งนี้ ขณะนี้สถานทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ได้จัดส่งโบราณวัตถุทั้งหมดมายังกระทรวงการต่างประเทศ เรียบร้อยแล้ว โดยขั้นตอนต่อไปกรมศิลปากรและกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกันตรวจสอบโบราณวัตถุและส่งมอบให้แก่กรมศิลปากร ซึ่งรายการโบราณวัตถุที่ส่งมอบคืน ได้แก่ 1. ภาชนะดินเผาสีดํา อายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบ้านเชียง สมัยต้น ราว 4,300-3,000 ปี 2. ภาชนะดินเผาลายขูดขีดผสมการระบายสีแดง อายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบ้านเชียง สมัยต้น ระยะปลาย ราว 3,000 ปี 3. ภาชนะดินเผาลายขูดขีดผสมการระบายสีแดง อายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบ้านเชียง สมัยต้น ระยะปลาย ราว 3,000 ปี 4. ภาชนะดินเผาลายเชือกทาบประดับด้วยเส้นนูน อายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบ้านเชียง สมัยต้นราว 4,300-3,000 ปี5. ภาชนะดินเผาลายเขียนสี อายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบ้านเชียง สมัยปลาย ราว 2,300-1,800 ปี 6. ภาชนะดินเผาลายเขียนสี อายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบ้านเชียง สมัยปลาย ราว 2,300-1,800 ปี 7. ภาชนะดินเผาลายเขียนสี อายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบ้านเชียง สมัยปลาย ราว 2,300-1,800 ปี 8. ภาชนะดินเผาลายเขียนสี อายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบ้านเชียง สมัยปลาย ราว 2,300-1,800 ปี 9. ภาชนะดินเผาสีดํา 10. ลูกกลิ้งดินเผา อายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบ้านเชียง สมัยปลายราว 2,300-1,800 ปี 11. หินดุดินเผา อายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์ 12. กําไลสําริด อายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบ้านเชียง ราว 2,300-1,800 ปี และ13. ภาพถ่ายรวมโบราณวัตถุทั้ง 12 รายการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบผลการศึกษาและวิเคราะห์ของคณะอนุกรรมการวิชาการเพื่อติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย และมีมติเห็นชอบให้ติดตามโบราณวัตถุกลับคืนประเทศไทย 9 รายการเพิ่มเติม ที่ปัจจุบันจัดแสดงณ พิพิธภัณฑ์ Norton Simon มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยให้กรมศิลปากรทําหนังสือถึงสํานักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ สหรัฐอเมริกา เนื่องจากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นโบราณวัตถุดังกล่าวเชื่อได้ว่ามีแหล่งกําเนิดในประเทศไทยและมีการนําออกจากประเทศไทยโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้ โบราณวัตถุทั้ง 9 รายการ ได้แก่ 1.พระโพธิสัตว์ไมเตรยะ สําริด เป็นศิลปะลพบุรี (ศิลปะเขมรที่พบในประเทศไทย) ก่อนเมืองพระนคร อายุราว พ.ศ.1300-1350 2.พระพุทธรูปยืนปางแสดงธรรม สําริด เป็นลักษณะเฉพาะศิลปะแบบทวารวดี ในบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย กําหนดอายุได้ราวพุทธศตวรรษที่ 13-15 3.พระพุทธรูปประทับยืน หินทราย เป็นลักษณะเฉพาะของศิลปะทวารวดี การทําอุณาโลมเป็นลักษณะใกล้เคียงกับศิลปะอินเดีย อาจสร้างขึ้นในระยะแรกราวพุทธศตวรรษที่ 13 4.พระพุทธรูปางสมาธิ สําริด เป็นศิลปะทวารวดีตอนกลาง ราวพุทธศตวรรษที่ 13-15 5.พระพุทธรูปลีลา สําริด เป็นลักษณะเฉพาะของพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัย อายุราวพ.ศ.1800-2000 6.เศียรพระพุทธรูป หินทราย พระพุทธรูปแบบทวารวดีตอนกลาง อายุราวพุทธศตวรรษที่ 13-15 7.พระสุริยะเทพ หินทราย เป็นประติมากรรมเทวรูปรุ่นเก่า สกุลช่างศรีเทพอายุราวพ.ศ.1100-1200 8.นาคปัก หินทราย เป็นรูปแบบศิลปะขอม สมัยเมืองบาปวน อายุราวพุทธศตวรรษที่ 16 และ9.แผ่นทองคําดุนลวดลาย 5 แผ่น นายวีระ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทยกรณีทับหลังปราสาทหนองหงส์ จ.บุรีรัมย์ และทับหลังปราสาทเขาโล้นจ.สระแก้ว ซึ่งจัดแสดงอยู่ที่ Asian Art Museum เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ขณะนี้อยู่ระหว่างดําเนินการตามขั้นตอนกฎหมายของสหรัฐอเมริกา ซึ่งอธิบดีกรมศิลปากรได้ลงนามหนังสือถึงผู้อํานวยการสํานักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐอเมริกา ผ่านกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อเข้าสู่กระบวนการขอคืนทับหลังทั้ง 2 รายการ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา โดยที่ประชุมได้รับรายงานว่า สหรัฐอเมริกาได้ตั้งอัยการเพื่อรับผิดชอบเรื่องดังกล่าวโดยตรง และมีการแจ้งขอหลักฐานของโบราณวัตถุทั้งสองรายการเพิ่มเติม ซึ่งกรมศิลปากรได้ทยอยส่งหลักฐานตามที่ขอไปแล้ว และพร้อมจะส่งหลักฐานเพิ่มเติมหากมีการร้องขอมาอีก อย่างไรก็ตาม ได้รับแจ้งว่า ขณะนี้โบราณวัตถุทั้งสองรายการได้ถูกนําไปเก็บไว้และไม่ได้มีการจัดแสดงแล้ว นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับรายงานความคืบหน้าการขอคืนโบราณวัตถุจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะโฮโนลูลู สหรัฐอเมริกา 17 รายการ กรมศิลปากร โดยสํานักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นําเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการวิชาการฯ ได้ศึกษาและวิเคราะห์โบราณวัตถุ 17 รายการดังกล่าว ผลสรุปว่า โบราณวัตถุดังกล่าว ยืนยันได้ว่ามีแหล่งกําเนิดในประเทศไทย 14 รายการ และได้ทยอยส่งมอบข้อมูลให้สํานักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ สหรัฐอเมริกาผ่านกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อเป็นข้อมูลในการขอคืนไปเรียบร้อยแล้ว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวอเมริกันส่งมอบโบราณวัตถุยุคบ้านเชียง 12 ชิ้น “ภาชนะดินเผา-ลูกกลิ้งดินเผา-หินดุ-กำไลสำริด” พร้อมภาพถ่าย 1 รายการ คืนให้ไทย วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม 2561 ชาวอเมริกันส่งมอบโบราณวัตถุยุคบ้านเชียง 12 ชิ้น “ภาชนะดินเผา-ลูกกลิ้งดินเผา-หินดุ-กําไลสําริด” พร้อมภาพถ่าย 1 รายการ คืนให้ไทย ชาวอเมริกันส่งมอบโบราณวัตถุยุคบ้านเชียง 12 ชิ้น “ภาชนะดินเผา-ลูกกลิ้งดินเผา-หินดุ-กําไลสําริด” พร้อมภาพถ่าย 1 รายการ คืนให้ไทย บอร์ดติดตามโบราณวัตถุเห็นชอบติดตามโบราณวัตถุที่พิพิธภัณฑ์ Norton Simon คืนเพิ่มอีก 9 รายการ ชาวอเมริกันส่งมอบโบราณวัตถุยุคบ้านเชียง 12 ชิ้น “ภาชนะดินเผา-ลูกกลิ้งดินเผา-หินดุ-กําไลสําริด” พร้อมภาพถ่าย 1 รายการ คืนให้ไทย บอร์ดติดตามโบราณวัตถุเห็นชอบติดตามโบราณวัตถุที่พิพิธภัณฑ์ Norton Simon คืนเพิ่มอีก 9 รายการกรมศิลป์ทยอยส่งมอบเอกสาร-หลักฐานตามที่สํานักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิฯยื่นขอมา วันที่ 2 สิงหาคม 2561 ที่ห้องประชุมศรีอยุธยา หอวชิราวุธานุสรณ์ นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย ครั้งที่ 2/2561 ว่า ที่ประชุมได้รับรายงานกรณีนาง Katherine Ayers-Mannix ชาวอเมริกัน แจ้งความประสงค์ ส่งมอบโบราณวัตถุก่อนประวัติศาสตร์คืนให้แก่ประเทศไทย 12 รายการ และภาพถ่ายรวมโบราณวัตถุทั้ง 12 รายการ จํานวน 1 ภาพ ทั้งนี้ DR. joyce White ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะบ้านเชียงและผู้อํานวยการ Institute for Southeast Asian Archaeology มหาวิทยาลัย Pennsylvania ได้ให้ความเห็นว่าโบราณวัตถุดังกล่าวเชื่อว่าเป็นโบราณวัตถุยุคก่อนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบ้านเชียงของไทย ทั้งนี้ ขณะนี้สถานทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ได้จัดส่งโบราณวัตถุทั้งหมดมายังกระทรวงการต่างประเทศ เรียบร้อยแล้ว โดยขั้นตอนต่อไปกรมศิลปากรและกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกันตรวจสอบโบราณวัตถุและส่งมอบให้แก่กรมศิลปากร ซึ่งรายการโบราณวัตถุที่ส่งมอบคืน ได้แก่ 1. ภาชนะดินเผาสีดํา อายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบ้านเชียง สมัยต้น ราว 4,300-3,000 ปี 2. ภาชนะดินเผาลายขูดขีดผสมการระบายสีแดง อายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบ้านเชียง สมัยต้น ระยะปลาย ราว 3,000 ปี 3. ภาชนะดินเผาลายขูดขีดผสมการระบายสีแดง อายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบ้านเชียง สมัยต้น ระยะปลาย ราว 3,000 ปี 4. ภาชนะดินเผาลายเชือกทาบประดับด้วยเส้นนูน อายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบ้านเชียง สมัยต้นราว 4,300-3,000 ปี5. ภาชนะดินเผาลายเขียนสี อายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบ้านเชียง สมัยปลาย ราว 2,300-1,800 ปี 6. ภาชนะดินเผาลายเขียนสี อายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบ้านเชียง สมัยปลาย ราว 2,300-1,800 ปี 7. ภาชนะดินเผาลายเขียนสี อายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบ้านเชียง สมัยปลาย ราว 2,300-1,800 ปี 8. ภาชนะดินเผาลายเขียนสี อายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบ้านเชียง สมัยปลาย ราว 2,300-1,800 ปี 9. ภาชนะดินเผาสีดํา 10. ลูกกลิ้งดินเผา อายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบ้านเชียง สมัยปลายราว 2,300-1,800 ปี 11. หินดุดินเผา อายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์ 12. กําไลสําริด อายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบ้านเชียง ราว 2,300-1,800 ปี และ13. ภาพถ่ายรวมโบราณวัตถุทั้ง 12 รายการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบผลการศึกษาและวิเคราะห์ของคณะอนุกรรมการวิชาการเพื่อติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย และมีมติเห็นชอบให้ติดตามโบราณวัตถุกลับคืนประเทศไทย 9 รายการเพิ่มเติม ที่ปัจจุบันจัดแสดงณ พิพิธภัณฑ์ Norton Simon มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยให้กรมศิลปากรทําหนังสือถึงสํานักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ สหรัฐอเมริกา เนื่องจากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นโบราณวัตถุดังกล่าวเชื่อได้ว่ามีแหล่งกําเนิดในประเทศไทยและมีการนําออกจากประเทศไทยโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้ โบราณวัตถุทั้ง 9 รายการ ได้แก่ 1.พระโพธิสัตว์ไมเตรยะ สําริด เป็นศิลปะลพบุรี (ศิลปะเขมรที่พบในประเทศไทย) ก่อนเมืองพระนคร อายุราว พ.ศ.1300-1350 2.พระพุทธรูปยืนปางแสดงธรรม สําริด เป็นลักษณะเฉพาะศิลปะแบบทวารวดี ในบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย กําหนดอายุได้ราวพุทธศตวรรษที่ 13-15 3.พระพุทธรูปประทับยืน หินทราย เป็นลักษณะเฉพาะของศิลปะทวารวดี การทําอุณาโลมเป็นลักษณะใกล้เคียงกับศิลปะอินเดีย อาจสร้างขึ้นในระยะแรกราวพุทธศตวรรษที่ 13 4.พระพุทธรูปางสมาธิ สําริด เป็นศิลปะทวารวดีตอนกลาง ราวพุทธศตวรรษที่ 13-15 5.พระพุทธรูปลีลา สําริด เป็นลักษณะเฉพาะของพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัย อายุราวพ.ศ.1800-2000 6.เศียรพระพุทธรูป หินทราย พระพุทธรูปแบบทวารวดีตอนกลาง อายุราวพุทธศตวรรษที่ 13-15 7.พระสุริยะเทพ หินทราย เป็นประติมากรรมเทวรูปรุ่นเก่า สกุลช่างศรีเทพอายุราวพ.ศ.1100-1200 8.นาคปัก หินทราย เป็นรูปแบบศิลปะขอม สมัยเมืองบาปวน อายุราวพุทธศตวรรษที่ 16 และ9.แผ่นทองคําดุนลวดลาย 5 แผ่น นายวีระ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทยกรณีทับหลังปราสาทหนองหงส์ จ.บุรีรัมย์ และทับหลังปราสาทเขาโล้นจ.สระแก้ว ซึ่งจัดแสดงอยู่ที่ Asian Art Museum เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ขณะนี้อยู่ระหว่างดําเนินการตามขั้นตอนกฎหมายของสหรัฐอเมริกา ซึ่งอธิบดีกรมศิลปากรได้ลงนามหนังสือถึงผู้อํานวยการสํานักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐอเมริกา ผ่านกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อเข้าสู่กระบวนการขอคืนทับหลังทั้ง 2 รายการ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา โดยที่ประชุมได้รับรายงานว่า สหรัฐอเมริกาได้ตั้งอัยการเพื่อรับผิดชอบเรื่องดังกล่าวโดยตรง และมีการแจ้งขอหลักฐานของโบราณวัตถุทั้งสองรายการเพิ่มเติม ซึ่งกรมศิลปากรได้ทยอยส่งหลักฐานตามที่ขอไปแล้ว และพร้อมจะส่งหลักฐานเพิ่มเติมหากมีการร้องขอมาอีก อย่างไรก็ตาม ได้รับแจ้งว่า ขณะนี้โบราณวัตถุทั้งสองรายการได้ถูกนําไปเก็บไว้และไม่ได้มีการจัดแสดงแล้ว นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับรายงานความคืบหน้าการขอคืนโบราณวัตถุจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะโฮโนลูลู สหรัฐอเมริกา 17 รายการ กรมศิลปากร โดยสํานักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นําเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการวิชาการฯ ได้ศึกษาและวิเคราะห์โบราณวัตถุ 17 รายการดังกล่าว ผลสรุปว่า โบราณวัตถุดังกล่าว ยืนยันได้ว่ามีแหล่งกําเนิดในประเทศไทย 14 รายการ และได้ทยอยส่งมอบข้อมูลให้สํานักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ สหรัฐอเมริกาผ่านกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อเป็นข้อมูลในการขอคืนไปเรียบร้อยแล้ว
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14536
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พระคาร์ดินัล ฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช ประธานสภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล เข้าเยี่ยมคารวะรมว.วธ.
วันอังคารที่ 18 สิงหาคม 2563 พระคาร์ดินัล ฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช ประธานสภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล เข้าเยี่ยมคารวะรมว.วธ. พระคาร์ดินัล ฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช ประธานสภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล เข้าเยี่ยมคารวะรมว.วธ. วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๑.๓๐ น. พระคาร์ดินัล ฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช ประธานสภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย คุณหญิงปัทมา ลีสวั
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พระคาร์ดินัล ฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช ประธานสภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล เข้าเยี่ยมคารวะรมว.วธ. วันอังคารที่ 18 สิงหาคม 2563 พระคาร์ดินัล ฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช ประธานสภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล เข้าเยี่ยมคารวะรมว.วธ. พระคาร์ดินัล ฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช ประธานสภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล เข้าเยี่ยมคารวะรมว.วธ. วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๑.๓๐ น. พระคาร์ดินัล ฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช ประธานสภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย คุณหญิงปัทมา ลีสวั
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34297
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลปรับหลักเกณฑ์บ้านประชารัฐ ให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงได้มากขึ้น
วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2560 $("#video-player3").css("background-color", "#000000"); var container = document.getElementById("video-player3"); flowplayer.conf = { share :false, // --> set share button // facebook :true, // ratio :9/16, // --> set ratio // seekable :true, // autoplay :false, // splash : true, // chromecast :true, // auto quality // hlsQualities:true, poster :"https://media.thaigov.go.th/uploads/thumbnail/news/2017/04/3372_s_144665_3653.jpg", //poster // swf :"flowplayer.swf", // hlsQualities:[{level: -1, label: "ABR"},{level: 1, label: "SD"}, {level: 6, label: "HD"}], }; flowplayer(container, { clip: { sources: [ { // type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl // src: "vod/testcar.mp4" // type: "application/x-mpegurl", // file: "smil.php?filename=hp_2.mp4/playlist.m3u8", type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl src: "https://media.thaigov.go.th/uploads/vod/155/2017/04/mp3/03รัฐบาลปรับหลักเกณฑ์บ้านประชารัฐ ให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงได้มากขึ้น.mp3" } ], title: "รัฐบาลปรับหลักเกณฑ์บ้านประชารัฐ ให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงได้มากขึ้น ", // qualities: ["160p", "260p", "530p", "800p"], // defaultQuality: "260p" } }); รัฐบาลปรับหลักเกณฑ์บ้านประชารัฐ ให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงได้มากขึ้น รัฐปรับคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการบ้านประชารัฐ เพื่อให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อย สามารถเข้าร่วมโครงการได้มากขึ้น ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลปรับปรุงเงื่อนไขโครงการบ้านประชารัฐและโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ เพื่อช่วยให้เจ้าหน้าทีรัฐและผู้ที่มีรายได้น้อยเข้าร่วมโครงการได้มากขึ้นโดยคุณสมบัติของผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของบ้านประชารัฐจะครอบคลุมไปถึงผู้ที่เคยมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยมาก่อน แต่ขณะนี้ได้ขายที่อยู่อาศัยไปแล้ว ให้สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ส่วนโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ จะเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่รัฐที่มีรายได้ไม่เกิน 20,000 บาทต่อเดือน และมีหรือไม่มีที่อยู่อาศัยอยู่แล้วก็สามารถเช่าบ้านอยู่อาศัยในระยะสั้นได้ ส่วนการเช่าในระยะยาวนั้นเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนที่ปัจจุบันไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองสามารถเข้าร่วมโครงการได้ ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังที่จะลดความเหลื่อมล้ําในสังคมและยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลปรับหลักเกณฑ์บ้านประชารัฐ ให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงได้มากขึ้น วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2560 $("#video-player3").css("background-color", "#000000"); var container = document.getElementById("video-player3"); flowplayer.conf = { share :false, // --> set share button // facebook :true, // ratio :9/16, // --> set ratio // seekable :true, // autoplay :false, // splash : true, // chromecast :true, // auto quality // hlsQualities:true, poster :"https://media.thaigov.go.th/uploads/thumbnail/news/2017/04/3372_s_144665_3653.jpg", //poster // swf :"flowplayer.swf", // hlsQualities:[{level: -1, label: "ABR"},{level: 1, label: "SD"}, {level: 6, label: "HD"}], }; flowplayer(container, { clip: { sources: [ { // type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl // src: "vod/testcar.mp4" // type: "application/x-mpegurl", // file: "smil.php?filename=hp_2.mp4/playlist.m3u8", type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl src: "https://media.thaigov.go.th/uploads/vod/155/2017/04/mp3/03รัฐบาลปรับหลักเกณฑ์บ้านประชารัฐ ให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงได้มากขึ้น.mp3" } ], title: "รัฐบาลปรับหลักเกณฑ์บ้านประชารัฐ ให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงได้มากขึ้น ", // qualities: ["160p", "260p", "530p", "800p"], // defaultQuality: "260p" } }); รัฐบาลปรับหลักเกณฑ์บ้านประชารัฐ ให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงได้มากขึ้น รัฐปรับคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการบ้านประชารัฐ เพื่อให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อย สามารถเข้าร่วมโครงการได้มากขึ้น ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลปรับปรุงเงื่อนไขโครงการบ้านประชารัฐและโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ เพื่อช่วยให้เจ้าหน้าทีรัฐและผู้ที่มีรายได้น้อยเข้าร่วมโครงการได้มากขึ้นโดยคุณสมบัติของผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของบ้านประชารัฐจะครอบคลุมไปถึงผู้ที่เคยมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยมาก่อน แต่ขณะนี้ได้ขายที่อยู่อาศัยไปแล้ว ให้สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ส่วนโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ จะเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่รัฐที่มีรายได้ไม่เกิน 20,000 บาทต่อเดือน และมีหรือไม่มีที่อยู่อาศัยอยู่แล้วก็สามารถเช่าบ้านอยู่อาศัยในระยะสั้นได้ ส่วนการเช่าในระยะยาวนั้นเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนที่ปัจจุบันไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองสามารถเข้าร่วมโครงการได้ ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังที่จะลดความเหลื่อมล้ําในสังคมและยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3372
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. รับมอบหน้ากากอนามัยจาก เทสโก้ โลตัส สนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ [กระทรวงแรงงาน]
วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 2563 กสร. รับมอบหน้ากากอนามัยจาก เทสโก้ โลตัส สนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ [กระทรวงแรงงาน] กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน รับมอบหน้ากากอนามัย 10,000 ชิ้น จาก บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จํากัด (เทสโก้ โลตัส) เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และผู้มาติดต่อราชการ ร่วมป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวภายหลังรับมอบหน้ากากอนามัย จํานวน 10,000 ชิ้น จากบริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จํากัด (เทสโก้ โลตัส) ว่า ขอขอบคุณภาคเอกชนที่มีส่วนร่วมในการสู้ภัยโควิด-19 และเห็นความสําคัญของเจ้าหน้าที่ของกสร. ซึ่งยังคง เปิดดําเนินการให้บริการแก่นายจ้าง ลูกจ้าง และประชาชนอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงเวลานี้ทางกสร.จะได้ดําเนินการให้บริการประชาชนผ่านระบบออนไลน์ก็ตาม แต่ยังคงมีประชาชนบางส่วนที่ยังคงต้องการติดต่อสอบถามกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานโดยตรง รวมทั้งบางกิจกรรมที่เจ้าหน้าที่ยังคงต้องมีการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง เช่น การตรวจแรงงาน ณ ศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออก เรือประมงหรือศูนย์ PIPO ทั้งนี้เชื่อว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความร่วมมือของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง “สําหรับหน้ากากอนามัยที่ได้รับการสนับสนุนในครั้งนี้ กสร. จะส่งมอบหน้ากากอนามัยให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานใกล้ชิดประชาชน เช่น เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน ณ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมทั้งที่ศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออก เรือประมงหรือศูนย์ PIPO ตลอดจนแรงงานและประชาชนผู้มาติดต่อราชการเพื่อนําไปใช้ประโยชน์ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ต่อไป” นายอภิญญากล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. รับมอบหน้ากากอนามัยจาก เทสโก้ โลตัส สนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ [กระทรวงแรงงาน] วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 2563 กสร. รับมอบหน้ากากอนามัยจาก เทสโก้ โลตัส สนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ [กระทรวงแรงงาน] กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน รับมอบหน้ากากอนามัย 10,000 ชิ้น จาก บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จํากัด (เทสโก้ โลตัส) เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และผู้มาติดต่อราชการ ร่วมป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวภายหลังรับมอบหน้ากากอนามัย จํานวน 10,000 ชิ้น จากบริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จํากัด (เทสโก้ โลตัส) ว่า ขอขอบคุณภาคเอกชนที่มีส่วนร่วมในการสู้ภัยโควิด-19 และเห็นความสําคัญของเจ้าหน้าที่ของกสร. ซึ่งยังคง เปิดดําเนินการให้บริการแก่นายจ้าง ลูกจ้าง และประชาชนอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงเวลานี้ทางกสร.จะได้ดําเนินการให้บริการประชาชนผ่านระบบออนไลน์ก็ตาม แต่ยังคงมีประชาชนบางส่วนที่ยังคงต้องการติดต่อสอบถามกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานโดยตรง รวมทั้งบางกิจกรรมที่เจ้าหน้าที่ยังคงต้องมีการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง เช่น การตรวจแรงงาน ณ ศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออก เรือประมงหรือศูนย์ PIPO ทั้งนี้เชื่อว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความร่วมมือของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง “สําหรับหน้ากากอนามัยที่ได้รับการสนับสนุนในครั้งนี้ กสร. จะส่งมอบหน้ากากอนามัยให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานใกล้ชิดประชาชน เช่น เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน ณ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมทั้งที่ศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออก เรือประมงหรือศูนย์ PIPO ตลอดจนแรงงานและประชาชนผู้มาติดต่อราชการเพื่อนําไปใช้ประโยชน์ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ต่อไป” นายอภิญญากล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30214
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.ได้ทบทวนหรือยกสิทธิให้แก่กลุ่มที่ได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ในการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย เช่นไรบ้าง ??
วันพุธที่ 15 กรกฎาคม 2563 ศบค.ได้ทบทวนหรือยกสิทธิให้แก่กลุ่มที่ได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ในการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย เช่นไรบ้าง ?? ศบค.ได้ทบทวนหรือยกสิทธิให้แก่กลุ่มที่ได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ เช่นไรบ้าง ?? Q : ศบค.ได้ทบทวนหรือยกสิทธิให้แก่กลุ่มที่ได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ในการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย เช่นไรบ้าง ?? A : 1. ให้กระทรวงการต่างประเทศ ยกเลิกการอนุญาตบินเข้าของเที่ยวบินกองทัพอากาศอียิปต์ ที่อนุญาตไปแล้วทั้งหมด 8 เที่ยวบิน (ช่วงวันที่ 17-20 ก.ค. 2563 และ 25-29 ก.ค. 2563) 2. ให้ชะลอการอนุญาตการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย แบบผ่อนคลายมาตรการ State Quarantine ตามข้อกําหนดที่ 12 (2 กลุ่มที่มีเหตุยกเว้น), (3 บุคคลในคณะทูต), (11 special arrangement) ไปก่อน 3. ดําเนินการทบทวนการผ่อนคลายมาตรการกักกันบุคคลในคณะทูต โดยเฉพาะคู่สมรส บิดามารดา หรือบุตรของกลุ่มบุคคลดังกล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.ได้ทบทวนหรือยกสิทธิให้แก่กลุ่มที่ได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ในการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย เช่นไรบ้าง ?? วันพุธที่ 15 กรกฎาคม 2563 ศบค.ได้ทบทวนหรือยกสิทธิให้แก่กลุ่มที่ได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ในการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย เช่นไรบ้าง ?? ศบค.ได้ทบทวนหรือยกสิทธิให้แก่กลุ่มที่ได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ เช่นไรบ้าง ?? Q : ศบค.ได้ทบทวนหรือยกสิทธิให้แก่กลุ่มที่ได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ในการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย เช่นไรบ้าง ?? A : 1. ให้กระทรวงการต่างประเทศ ยกเลิกการอนุญาตบินเข้าของเที่ยวบินกองทัพอากาศอียิปต์ ที่อนุญาตไปแล้วทั้งหมด 8 เที่ยวบิน (ช่วงวันที่ 17-20 ก.ค. 2563 และ 25-29 ก.ค. 2563) 2. ให้ชะลอการอนุญาตการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย แบบผ่อนคลายมาตรการ State Quarantine ตามข้อกําหนดที่ 12 (2 กลุ่มที่มีเหตุยกเว้น), (3 บุคคลในคณะทูต), (11 special arrangement) ไปก่อน 3. ดําเนินการทบทวนการผ่อนคลายมาตรการกักกันบุคคลในคณะทูต โดยเฉพาะคู่สมรส บิดามารดา หรือบุตรของกลุ่มบุคคลดังกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33387
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคกับผู้นำอาเซียน
วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2560 นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปคกับผู้นําอาเซียน นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปคกับผู้นําอาเซียน วันนี้ (10 พ.ย. 2560)เวลา 16.45 น. ณ ห้องOcean Ballroom โรงแรม Furama Resort Da Nang นครดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปคกับผู้นําอาเซียนภายใต้หัวข้อ การร่วมมือกันเพื่อสร้างพลวัตใหม่สําหรับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกที่บูรณาการและเชื่อมโยงในทุกมิติ (Partnering for New Dynamism for a Comprehensively Connected and Integrated Asia-Pacific)โดยภายหลังการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความขอบคุณเวียดนามที่จัดให้มีการหารือระหว่างผู้นําเอเปคและอาเซียนในวันนี้ในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกก่อตั้งทั้งเอเปคและอาเซียน ไทยเห็นพัฒนาการของทั้งสองกรอบมาตั้งแต่แรกเริ่ม จนในวันนี้ที่อาเซียนครบรอบ 50 ปี และก้าวสู่การเป็นประชาคมเป็นปีที่สอง นับเป็นช่วงเวลาอันเหมาะสมที่เอเปคและอาเซียนมีปฏิสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์ระหว่างกันเพื่อสร้างพลวัตใหม่ให้ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก นายกรัฐจึงเสนอมุมมองต่อความร่วมมือระหว่างเอเปคและอาเซียนใน 4 ประเด็น ได้แก่ ประการแรก การส่งเสริมความเชื่อมโยงในทุกมิติ ทั้งด้านกายภาพ กฎระเบียบ และระหว่างประชาชน รวมถึงความเชื่อมโยงทางดิจิทัล เป็นเครื่องมือผลักดันการบูรณาการทางเศรษฐกิจและสังคมในภูมิภาค โดยไทยให้ความสําคัญกับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก - ตะวันตก (East-West Economic Corridor) เหนือ – ใต้ (North – South Economic Corridor) และได้จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งมีเป้าหมายในการยกระดับความเชื่อมโยงในอนุภูมิภาคและภูมิภาค ประการที่สอง การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนายกรัฐมนตรีสนับสนุนให้การเจรจา RCEP คืบหน้าไปสู่ข้อสรุปโดยเร็วและต่อยอดไปสู่การจัดทํา FTAAP ในอนาคต ทั้ง RCEP และ FTAAP ควรเป็นข้อตกลงที่ได้มาตรฐานและครอบคลุม ดังนั้น เอเปคและอาเซียนจะต้องร่วมกันสื่อสารผลประโยชน์ของการค้าเสรีและการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคแก่สาธารณชน ประการที่สาม เอเปคและอาเซียนควรร่วมมือกันพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับสังคมสูงวัยและการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัล โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนบุคลากรในสาขาวิชาชีพซึ่งสามารถต่อยอดจากข้อตกลงยอมรับร่วมคุณสมบัตินักวิชาชีพของอาเซียน (Mutual Recognition Agreement หรือ MRA) และกรอบมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพที่เอเปคมีอยู่แล้ว เช่น วิศวกรและสถาปนิก ประการที่สี่ ไทยสนับสนุนความพยายามในการขับเคลื่อนให้เอเปคและอาเซียนก้าวสู่เศรษฐกิจสีเขียวโดยไทยได้ร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับเปรูจัดทํายุทธศาสตร์เอเปคว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยั่งยืน และมีนวัตกรรม (APEC Strategy for Green, Sustainable and Innovative MSMEs) และพร้อมที่จะขยายผลให้เกิดความร่วมมือในประเด็นนี้ในกรอบอาเซียนต่อไป ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีหวังว่าเอเปคและอาเซียนจะเป็น “หุ้นส่วนเชิงสร้างสรรค์” โดยสร้างความสอดคล้องระหว่างวิสัยทัศน์ของเอเปคหลังปี 2563 (ค.ศ. 2020) วิสัยทัศน์อาเซียนปี 2568 (ค.ศ. 2025) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ เพื่อส่งเสริมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในภูมิภาคและยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนทุกกลุ่ม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคกับผู้นำอาเซียน วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2560 นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปคกับผู้นําอาเซียน นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปคกับผู้นําอาเซียน วันนี้ (10 พ.ย. 2560)เวลา 16.45 น. ณ ห้องOcean Ballroom โรงแรม Furama Resort Da Nang นครดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปคกับผู้นําอาเซียนภายใต้หัวข้อ การร่วมมือกันเพื่อสร้างพลวัตใหม่สําหรับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกที่บูรณาการและเชื่อมโยงในทุกมิติ (Partnering for New Dynamism for a Comprehensively Connected and Integrated Asia-Pacific)โดยภายหลังการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความขอบคุณเวียดนามที่จัดให้มีการหารือระหว่างผู้นําเอเปคและอาเซียนในวันนี้ในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกก่อตั้งทั้งเอเปคและอาเซียน ไทยเห็นพัฒนาการของทั้งสองกรอบมาตั้งแต่แรกเริ่ม จนในวันนี้ที่อาเซียนครบรอบ 50 ปี และก้าวสู่การเป็นประชาคมเป็นปีที่สอง นับเป็นช่วงเวลาอันเหมาะสมที่เอเปคและอาเซียนมีปฏิสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์ระหว่างกันเพื่อสร้างพลวัตใหม่ให้ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก นายกรัฐจึงเสนอมุมมองต่อความร่วมมือระหว่างเอเปคและอาเซียนใน 4 ประเด็น ได้แก่ ประการแรก การส่งเสริมความเชื่อมโยงในทุกมิติ ทั้งด้านกายภาพ กฎระเบียบ และระหว่างประชาชน รวมถึงความเชื่อมโยงทางดิจิทัล เป็นเครื่องมือผลักดันการบูรณาการทางเศรษฐกิจและสังคมในภูมิภาค โดยไทยให้ความสําคัญกับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก - ตะวันตก (East-West Economic Corridor) เหนือ – ใต้ (North – South Economic Corridor) และได้จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งมีเป้าหมายในการยกระดับความเชื่อมโยงในอนุภูมิภาคและภูมิภาค ประการที่สอง การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนายกรัฐมนตรีสนับสนุนให้การเจรจา RCEP คืบหน้าไปสู่ข้อสรุปโดยเร็วและต่อยอดไปสู่การจัดทํา FTAAP ในอนาคต ทั้ง RCEP และ FTAAP ควรเป็นข้อตกลงที่ได้มาตรฐานและครอบคลุม ดังนั้น เอเปคและอาเซียนจะต้องร่วมกันสื่อสารผลประโยชน์ของการค้าเสรีและการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคแก่สาธารณชน ประการที่สาม เอเปคและอาเซียนควรร่วมมือกันพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับสังคมสูงวัยและการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัล โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนบุคลากรในสาขาวิชาชีพซึ่งสามารถต่อยอดจากข้อตกลงยอมรับร่วมคุณสมบัตินักวิชาชีพของอาเซียน (Mutual Recognition Agreement หรือ MRA) และกรอบมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพที่เอเปคมีอยู่แล้ว เช่น วิศวกรและสถาปนิก ประการที่สี่ ไทยสนับสนุนความพยายามในการขับเคลื่อนให้เอเปคและอาเซียนก้าวสู่เศรษฐกิจสีเขียวโดยไทยได้ร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับเปรูจัดทํายุทธศาสตร์เอเปคว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยั่งยืน และมีนวัตกรรม (APEC Strategy for Green, Sustainable and Innovative MSMEs) และพร้อมที่จะขยายผลให้เกิดความร่วมมือในประเด็นนี้ในกรอบอาเซียนต่อไป ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีหวังว่าเอเปคและอาเซียนจะเป็น “หุ้นส่วนเชิงสร้างสรรค์” โดยสร้างความสอดคล้องระหว่างวิสัยทัศน์ของเอเปคหลังปี 2563 (ค.ศ. 2020) วิสัยทัศน์อาเซียนปี 2568 (ค.ศ. 2025) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ เพื่อส่งเสริมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในภูมิภาคและยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนทุกกลุ่ม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7994
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การท่าเรือแห่งประเทศไทยยกระดับปรับยุทธศาสตร์ ICT เพื่อก้าวสู่ Thailand 4.0
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560 การท่าเรือแห่งประเทศไทยยกระดับปรับยุทธศาสตร์ ICT เพื่อก้าวสู่ Thailand 4.0 เรือเอก สุทธินันท์ หัตถวงษ์ ผู้อํานวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) กําหนดแผนการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในเชิงรุกและเชิงรับ ทั้งแผนระยะสั้นและระยะยาว เพื่อบูรณาการการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยน เป็นการทํางานแบบไร้ตะเข็บและรอยต่อ (Borderless) พร้อมบริการทาง Web Portal และสื่อสังคม (Social Media) ที่สะดวกและทันสมัย การบริหารจัดการองค์ความรู้ขององค์กร (Knowledge Management) บนเครือข่ายและสื่อสังคมภายใต้มาตรฐานความมั่นคง ปลอดภัย และการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ พร้อมเข้าสู่ยุคดิจิทัลด้วยเครื่องมือและช่องทางเลือกที่หลากหลาย ในระบบ ICT ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นศูนย์กลางข้อมูลสารสนเทศการขนส่งทางน้ําและโลจิสติกส์ที่ทันสมัยของประเทศ สําหรับยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของ กทท. มุ่งพัฒนาระบบฯ ให้มีประสิทธิภาพ มั่นคง และปลอดภัย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งภายในและภายนอกองค์กรให้ได้รับประโยชน์ร่วมกัน ดังนี้ 1. การพัฒนาระบบให้บริการอิเล็กทรอนิกส์แบบเบ็ดเสร็จ (One Stop e-Port Service) เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถทําธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ การยื่นคําร้องขอใช้บริการ การชําระเงิน และการสอบถามข้อมูลผ่านระบบ Internet 2. การพัฒนาระบบเชื่อมโยงฐานข้อมูลและการบริการแบบบูรณาการ โดยใช้สถาปัตยกรรม Service-Oriented Architecture (SOA) เพื่อรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลของระบบทั้งภายในองค์กรและภายนอกองค์กร รวมทั้งการเชื่อมโยงกับระบบ National Single Window (NSW) 3. ระบบบูรณาการสารสนเทศเพื่อผู้บริหารในการตัดสินใจของ กทท. (Enterprise Data Warehouse) โดยดําเนินการรวบรวมข้อมูลจากระบบสารสนเทศต่าง ๆ ของ กทท. เพื่อจัดทําคลังข้อมูล พร้อมนําเสนอข้อมูลสารสนเทศที่ผู้บริหารใช้ประกอบการพิจารณาตัดสินใจในการบริหารงาน 4. การพัฒนาระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ (Office Automation : OA) เพื่อลดปริมาณการใช้กระดาษ โดยจัดกลุ่มเอกสารที่ใช้ภายในองค์กรที่สามารถนําเสนอและให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติภายในระบบ ในรูปแบบ Work Flow 5. การปรับปรุงขั้นตอน ระเบียบ และวิธีการ ให้สอดคล้องกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ กทท. พัฒนา 6. การพัฒนาบุคลากร ให้มีความรู้ความเข้าใจเพื่อนํา ICT มาใช้ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ แผนแม่บท ICT เป็นแผนสําคัญของ กทท. ที่มุ่งสู่การเป็นผู้นําการพัฒนาระบบการบริการอิเล็กทรอนิกส์เชิงนิเวศในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ภายใต้บริบทที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการบริการขนส่งทางน้ําและระบบโลจิสติกส์ของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมขับเคลื่อนประเทศเข้าสู่ยุค Thailand 4.0
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การท่าเรือแห่งประเทศไทยยกระดับปรับยุทธศาสตร์ ICT เพื่อก้าวสู่ Thailand 4.0 วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560 การท่าเรือแห่งประเทศไทยยกระดับปรับยุทธศาสตร์ ICT เพื่อก้าวสู่ Thailand 4.0 เรือเอก สุทธินันท์ หัตถวงษ์ ผู้อํานวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) กําหนดแผนการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในเชิงรุกและเชิงรับ ทั้งแผนระยะสั้นและระยะยาว เพื่อบูรณาการการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยน เป็นการทํางานแบบไร้ตะเข็บและรอยต่อ (Borderless) พร้อมบริการทาง Web Portal และสื่อสังคม (Social Media) ที่สะดวกและทันสมัย การบริหารจัดการองค์ความรู้ขององค์กร (Knowledge Management) บนเครือข่ายและสื่อสังคมภายใต้มาตรฐานความมั่นคง ปลอดภัย และการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ พร้อมเข้าสู่ยุคดิจิทัลด้วยเครื่องมือและช่องทางเลือกที่หลากหลาย ในระบบ ICT ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นศูนย์กลางข้อมูลสารสนเทศการขนส่งทางน้ําและโลจิสติกส์ที่ทันสมัยของประเทศ สําหรับยุทธศาสตร์ด้าน ICT ของ กทท. มุ่งพัฒนาระบบฯ ให้มีประสิทธิภาพ มั่นคง และปลอดภัย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งภายในและภายนอกองค์กรให้ได้รับประโยชน์ร่วมกัน ดังนี้ 1. การพัฒนาระบบให้บริการอิเล็กทรอนิกส์แบบเบ็ดเสร็จ (One Stop e-Port Service) เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถทําธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ การยื่นคําร้องขอใช้บริการ การชําระเงิน และการสอบถามข้อมูลผ่านระบบ Internet 2. การพัฒนาระบบเชื่อมโยงฐานข้อมูลและการบริการแบบบูรณาการ โดยใช้สถาปัตยกรรม Service-Oriented Architecture (SOA) เพื่อรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลของระบบทั้งภายในองค์กรและภายนอกองค์กร รวมทั้งการเชื่อมโยงกับระบบ National Single Window (NSW) 3. ระบบบูรณาการสารสนเทศเพื่อผู้บริหารในการตัดสินใจของ กทท. (Enterprise Data Warehouse) โดยดําเนินการรวบรวมข้อมูลจากระบบสารสนเทศต่าง ๆ ของ กทท. เพื่อจัดทําคลังข้อมูล พร้อมนําเสนอข้อมูลสารสนเทศที่ผู้บริหารใช้ประกอบการพิจารณาตัดสินใจในการบริหารงาน 4. การพัฒนาระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ (Office Automation : OA) เพื่อลดปริมาณการใช้กระดาษ โดยจัดกลุ่มเอกสารที่ใช้ภายในองค์กรที่สามารถนําเสนอและให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติภายในระบบ ในรูปแบบ Work Flow 5. การปรับปรุงขั้นตอน ระเบียบ และวิธีการ ให้สอดคล้องกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ กทท. พัฒนา 6. การพัฒนาบุคลากร ให้มีความรู้ความเข้าใจเพื่อนํา ICT มาใช้ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ แผนแม่บท ICT เป็นแผนสําคัญของ กทท. ที่มุ่งสู่การเป็นผู้นําการพัฒนาระบบการบริการอิเล็กทรอนิกส์เชิงนิเวศในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ภายใต้บริบทที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการบริการขนส่งทางน้ําและระบบโลจิสติกส์ของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมขับเคลื่อนประเทศเข้าสู่ยุค Thailand 4.0
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3508
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ พลิกวิกฤต Covid-19 เป็นโอกาส ส่งเสริมการใช้แอพลิเคชันขายสินค้าออนไลน์
วันพุธที่ 25 มีนาคม 2563 เกษตรฯ พลิกวิกฤต Covid-19 เป็นโอกาส ส่งเสริมการใช้แอพลิเคชันขายสินค้าออนไลน์ เกษตรฯ พลิกวิกฤต Covid-19 เป็นโอกาส ส่งเสริมการใช้แอพลิเคชันขายสินค้าออนไลน์ ผ่าน DGT Farm และ CoopCare นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid – 19 ที่ประเทศไทยเริ่มมีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 ไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 106 ราย โดยมียอดสะสมผู้ติดเชื้อล่าสุดอยู่ที่ 847 ราย ทําให้รัฐบาลจะมีการประกาศบังคับใช้พระราชกําหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส Covid – 19 ออกมานั้น กระทรวงเกษตรฯ โดย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไม่นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นห่วงผลกระทบของโรคระบาดต่อภาคการเกษตร ภาคธุรกิจบริการหยุดชะงักลงถึงกลางเดือนเมษายน ประชาชนเริ่มกลัวการออกมาจับจ่ายใช้สอยนอกบ้าน และหันมาใช้บริการการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์กันมากขึ้น กระทรวงเกษตรฯ จึงใช้โอกาสในวิกฤต Covid – 19 ส่งเสริมให้เกษตรกรขายสินค้าเกษตรผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งผ่านทางช่องทางของภาคเอกชน เช่น LAZADA Shopee และขายผ่านช่องทางของหน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯ โดยเฉพาะ DGT farm.com ซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกรเข้ามาลงทะเบียนใช้งานจํานวนมาก มีสินค้าเกษตรทั้งของแปรรูปและของสดให้เลือกซื้อหลากหลายรายการ โดยสินค้าที่อยู่บนแพลตฟอร์ม DGT farm ทั้งหมดเป็นสินค้าที่ได้รับรองมาตรฐาน และมีตราสัญลักษณ์ Q ซึ่งทําให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ถึงความปลอดภัย เหมือนเดินไปเลือกซื้อเองที่ห้างซุปเปอร์มาร์เก็ต เหมาะกับช่วงที่ต้องเก็บตัวอยู่บ้าน นอกจากจะช่วยชาติ ช่วยบุคลากรทางการแพทย์แล้ว ยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรโดยตรงไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง นายอลงกรณ์ พลบุตร กล่าวเพิ่มเติมว่า หากเกษตรกรที่ต้องการขายผ่านสหกรณ์การเกษตร แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร กระทรวงเกษตรฯ มีบริการแอพลิเคชัน CoopCare ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้บริการข้อมูลแก่ประชาชน เป็นข้อมูลเกี่ยวกับสหกรณ์ภาคการเกษตร แหล่งรับซื้อ-ขาย ผลผลิตทางการเกษตรของสหกรณ์ เกษตรกรสามารถค้นหาข้อมูลที่สนใจได้ โดย Application จะแสดงรายละเอียดข้อมูลที่ค้นหา บอกระยะทาง และข้อมูลอื่น ๆ และใช้ระบบ GPS แสดงข้อมูลสหกรณ์บนแผนที่เพื่อให้สามารถนําทางไปยังสหกรณ์ได้ ข้อมูลที่ให้บริการ มีดังนี้ ข้อมูลพื้นฐานสหกรณ์ภาคการเกษตร แหล่งรับซื้อสินค้าเกษตร แหล่งผลิตสินค้าเกษตร และข้อมูลอุปกรณ์การตลาด มั่นใจได้ว่า ช่วงวิกฤตนี้ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการขายออนไลน์ เกษตรกรขายได้ ผู้บริโภคได้สินค้าเกษตรคุณภาพ สนใจการขายสินค้าเกษตรออนไลน์ขอข้อมูลเพิ่มได้ที่ 1170 หรือ www.moac.go.th นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังมีระบบการบริการออนไลน์ต่าง ๆ เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่เกษตรกร และประชาชน อาทิ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ออนไลน์ที่ให้บริการประชาชนของกรมประมง ซึ่งประกอบด้วย 1. การแจ้งเข้า – ออกของเรือประมงผ่านระบบ Single window 4 fishing feet 2. การออกใบรับรองการแปรรูปสัตว์น้ํา (Annex IV) และ 3. SMART Fisheries Single Window : FSW ซึ่งเกษตรกรสามารถขอรับบริการผ่านระบบออนไลน์ทั้งจากโทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์ที่บ้าน โดยไม่ต้องเสียเวลามาติดต่อด้วยตนเอง และยังเป็นการลดความเสี่ยงจากโรค Covid – 19 อีกด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ พลิกวิกฤต Covid-19 เป็นโอกาส ส่งเสริมการใช้แอพลิเคชันขายสินค้าออนไลน์ วันพุธที่ 25 มีนาคม 2563 เกษตรฯ พลิกวิกฤต Covid-19 เป็นโอกาส ส่งเสริมการใช้แอพลิเคชันขายสินค้าออนไลน์ เกษตรฯ พลิกวิกฤต Covid-19 เป็นโอกาส ส่งเสริมการใช้แอพลิเคชันขายสินค้าออนไลน์ ผ่าน DGT Farm และ CoopCare นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid – 19 ที่ประเทศไทยเริ่มมีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 ไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 106 ราย โดยมียอดสะสมผู้ติดเชื้อล่าสุดอยู่ที่ 847 ราย ทําให้รัฐบาลจะมีการประกาศบังคับใช้พระราชกําหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส Covid – 19 ออกมานั้น กระทรวงเกษตรฯ โดย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไม่นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นห่วงผลกระทบของโรคระบาดต่อภาคการเกษตร ภาคธุรกิจบริการหยุดชะงักลงถึงกลางเดือนเมษายน ประชาชนเริ่มกลัวการออกมาจับจ่ายใช้สอยนอกบ้าน และหันมาใช้บริการการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์กันมากขึ้น กระทรวงเกษตรฯ จึงใช้โอกาสในวิกฤต Covid – 19 ส่งเสริมให้เกษตรกรขายสินค้าเกษตรผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งผ่านทางช่องทางของภาคเอกชน เช่น LAZADA Shopee และขายผ่านช่องทางของหน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯ โดยเฉพาะ DGT farm.com ซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกรเข้ามาลงทะเบียนใช้งานจํานวนมาก มีสินค้าเกษตรทั้งของแปรรูปและของสดให้เลือกซื้อหลากหลายรายการ โดยสินค้าที่อยู่บนแพลตฟอร์ม DGT farm ทั้งหมดเป็นสินค้าที่ได้รับรองมาตรฐาน และมีตราสัญลักษณ์ Q ซึ่งทําให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ถึงความปลอดภัย เหมือนเดินไปเลือกซื้อเองที่ห้างซุปเปอร์มาร์เก็ต เหมาะกับช่วงที่ต้องเก็บตัวอยู่บ้าน นอกจากจะช่วยชาติ ช่วยบุคลากรทางการแพทย์แล้ว ยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรโดยตรงไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง นายอลงกรณ์ พลบุตร กล่าวเพิ่มเติมว่า หากเกษตรกรที่ต้องการขายผ่านสหกรณ์การเกษตร แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร กระทรวงเกษตรฯ มีบริการแอพลิเคชัน CoopCare ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้บริการข้อมูลแก่ประชาชน เป็นข้อมูลเกี่ยวกับสหกรณ์ภาคการเกษตร แหล่งรับซื้อ-ขาย ผลผลิตทางการเกษตรของสหกรณ์ เกษตรกรสามารถค้นหาข้อมูลที่สนใจได้ โดย Application จะแสดงรายละเอียดข้อมูลที่ค้นหา บอกระยะทาง และข้อมูลอื่น ๆ และใช้ระบบ GPS แสดงข้อมูลสหกรณ์บนแผนที่เพื่อให้สามารถนําทางไปยังสหกรณ์ได้ ข้อมูลที่ให้บริการ มีดังนี้ ข้อมูลพื้นฐานสหกรณ์ภาคการเกษตร แหล่งรับซื้อสินค้าเกษตร แหล่งผลิตสินค้าเกษตร และข้อมูลอุปกรณ์การตลาด มั่นใจได้ว่า ช่วงวิกฤตนี้ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการขายออนไลน์ เกษตรกรขายได้ ผู้บริโภคได้สินค้าเกษตรคุณภาพ สนใจการขายสินค้าเกษตรออนไลน์ขอข้อมูลเพิ่มได้ที่ 1170 หรือ www.moac.go.th นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังมีระบบการบริการออนไลน์ต่าง ๆ เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่เกษตรกร และประชาชน อาทิ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ออนไลน์ที่ให้บริการประชาชนของกรมประมง ซึ่งประกอบด้วย 1. การแจ้งเข้า – ออกของเรือประมงผ่านระบบ Single window 4 fishing feet 2. การออกใบรับรองการแปรรูปสัตว์น้ํา (Annex IV) และ 3. SMART Fisheries Single Window : FSW ซึ่งเกษตรกรสามารถขอรับบริการผ่านระบบออนไลน์ทั้งจากโทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์ที่บ้าน โดยไม่ต้องเสียเวลามาติดต่อด้วยตนเอง และยังเป็นการลดความเสี่ยงจากโรค Covid – 19 อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27838
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจรจาฯ ชี้โควิด-19 หนุนส่งออก“ถุงมือยาง”พุ่ง แนะอย่าลืมใช้เอฟทีเอสร้างแต้มต่อ [กระทรวงพาณิชย์]
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563 กรมเจรจาฯ ชี้โควิด-19 หนุนส่งออก“ถุงมือยาง”พุ่ง แนะอย่าลืมใช้เอฟทีเอสร้างแต้มต่อ [กระทรวงพาณิชย์] กรมเจรจาฯ ชี้โควิด-19 หนุนส่งออก“ถุงมือยาง”พุ่ง แนะอย่าลืมใช้เอฟทีเอสร้างแต้มต่อ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศชี้วิกฤตโควิด-19 ทําความต้องการ “ถุงมือยาง” พุ่ง ยอดส่งออก 4 เดือนปี 63 มีมูลค่า 449 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 16% เผยปัจจัยหนุนมาจากไทยมีอุตสาหกรรมครบวงจร ผลิตได้มาตรฐาน และยังได้เปรียบจากการทําเอฟทีเอ ที่คู่เจรจามีการปรับลดภาษีลงมาแล้ว แนะหากส่งออกไปยังคู่เจรจาเอฟทีเอ ควรใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอในการสร้างแต้มต่อด้วย นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการถุงมือยางเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัว เนื่องจากสินค้าดังกล่าวเป็นอุปกรณ์ป้องกันที่จําเป็นสําหรับบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ป่วย และถุงมือยางยังเป็นสินค้าจําเป็นในยุคชีวิตวิถีใหม่ (New Normal)เพราะประชาชนตื่นตัวเรื่องสุขอนามัยและหันมาใช้ถุงมือยางเพื่อป้องกันเชื้อโรคมากขึ้น ทําให้ความต้องการถุงมือยางในตลาดสูงขึ้นหลายเท่าตัว ทั้งนี้ ผลจากความต้องการที่สูงขึ้น ทําให้การส่งออกถุงมือยางไปตลาดโลกในช่วง 4 เดือนของปี 2563 (ม.ค.-เม.ย.) มีมูลค่า 449 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 16 โดยตลาดที่ไทยมีความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ด้วย เช่นจีนส่งออกมูลค่า 31 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่ม 129.5% ออสเตรเลียมูลค่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่ม 79% อาเซียนมูลค่า 18 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 77% อินเดีย มูลค่า 8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 28% เกาหลีใต้ มูลค่า 8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 55% และตลาดที่ไม่มีเอฟทีเอ เช่น สหรัฐฯ มูลค่า 194 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 9% และบราซิล มูลค่า 12 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 69% เป็นต้น ปัจจัยที่ส่งผลให้ไทยส่งออกถุงมือยางได้เพิ่มขึ้น มาจากการที่ไทยมีห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมถุงมือยางที่ครบวงจรคือ มีผลผลิตยางพารา สามารถผลิตน้ํายางข้นได้เองและมีเทคโนโลยีการผลิตถุงมือยางที่มีมาตรฐาน ทําให้ได้เปรียบคู่แข่งทั้งในด้านต้นทุนราคาและได้รับการยอมรับด้านคุณภาพรวมถึงสามารถผลิตได้เพียงพอกับความต้องการในประเทศและเพื่อการส่งออกและยังได้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ)ที่เป็นแต้มต่อช่วยในการส่งออก จากการที่ประเทศคู่เจรจาได้มีการลดภาษีนําเข้าให้กับไทย ปัจจุบันประเทศคู่เอฟทีเอ 17 ประเทศ ได้แก่ สมาชิกอาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เปรู และฮ่องกง ไม่เก็บภาษีนําเข้าถุงมือยางของไทยแล้ว เหลือเพียงอินเดียที่ยังคงเก็บภาษีนําเข้าถุงมือยางที่ 10% ดังนั้น ในช่วงที่แนวโน้มความต้องการถุงมือยางเพิ่มขึ้น จึงเป็นโอกาสที่ไทยจะเพิ่มกําลังการผลิต เพื่อรองรับความต้องการตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอเป็นแต้มต่อช่วยในการส่งออก ในปี 2562 ไทยผลิตถุงมือยางได้กว่า 2 หมื่นล้านชิ้น มีสัดส่วนการส่งออกถึง 89% ของการจําหน่ายถุงมือยางทั้งหมด คิดเป็นมูลค่า 1,203 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากมาเลเซีย และจีน เมื่อเทียบกับก่อนที่ไทยจะมีเอฟทีเอฉบับแรกกับอาเซียนในปี 2535 พบว่า มูลค่าส่งออกขยายตัว 992% โดยการส่งออกไปประเทศคู่เอฟทีเอขยายตัวทุกตลาด ได้แก่ ตลาดอินเดียเพิ่มสูงสุด 16,872% รองลงมาคือจีนเพิ่ม 16,505% และเปรูเพิ่ม 6,000% โดยถุงมือยางจัดเป็นผลิตภัณฑ์ยางขั้นปลายที่สามารถสร้างรายได้จากการส่งออกให้ไทยสูงเป็นอันดับ2รองจากผลิตภัณฑ์กลุ่มยางล้อรถยนต์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจรจาฯ ชี้โควิด-19 หนุนส่งออก“ถุงมือยาง”พุ่ง แนะอย่าลืมใช้เอฟทีเอสร้างแต้มต่อ [กระทรวงพาณิชย์] วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563 กรมเจรจาฯ ชี้โควิด-19 หนุนส่งออก“ถุงมือยาง”พุ่ง แนะอย่าลืมใช้เอฟทีเอสร้างแต้มต่อ [กระทรวงพาณิชย์] กรมเจรจาฯ ชี้โควิด-19 หนุนส่งออก“ถุงมือยาง”พุ่ง แนะอย่าลืมใช้เอฟทีเอสร้างแต้มต่อ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศชี้วิกฤตโควิด-19 ทําความต้องการ “ถุงมือยาง” พุ่ง ยอดส่งออก 4 เดือนปี 63 มีมูลค่า 449 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 16% เผยปัจจัยหนุนมาจากไทยมีอุตสาหกรรมครบวงจร ผลิตได้มาตรฐาน และยังได้เปรียบจากการทําเอฟทีเอ ที่คู่เจรจามีการปรับลดภาษีลงมาแล้ว แนะหากส่งออกไปยังคู่เจรจาเอฟทีเอ ควรใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอในการสร้างแต้มต่อด้วย นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการถุงมือยางเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัว เนื่องจากสินค้าดังกล่าวเป็นอุปกรณ์ป้องกันที่จําเป็นสําหรับบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ป่วย และถุงมือยางยังเป็นสินค้าจําเป็นในยุคชีวิตวิถีใหม่ (New Normal)เพราะประชาชนตื่นตัวเรื่องสุขอนามัยและหันมาใช้ถุงมือยางเพื่อป้องกันเชื้อโรคมากขึ้น ทําให้ความต้องการถุงมือยางในตลาดสูงขึ้นหลายเท่าตัว ทั้งนี้ ผลจากความต้องการที่สูงขึ้น ทําให้การส่งออกถุงมือยางไปตลาดโลกในช่วง 4 เดือนของปี 2563 (ม.ค.-เม.ย.) มีมูลค่า 449 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 16 โดยตลาดที่ไทยมีความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ด้วย เช่นจีนส่งออกมูลค่า 31 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่ม 129.5% ออสเตรเลียมูลค่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่ม 79% อาเซียนมูลค่า 18 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 77% อินเดีย มูลค่า 8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 28% เกาหลีใต้ มูลค่า 8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 55% และตลาดที่ไม่มีเอฟทีเอ เช่น สหรัฐฯ มูลค่า 194 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 9% และบราซิล มูลค่า 12 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 69% เป็นต้น ปัจจัยที่ส่งผลให้ไทยส่งออกถุงมือยางได้เพิ่มขึ้น มาจากการที่ไทยมีห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมถุงมือยางที่ครบวงจรคือ มีผลผลิตยางพารา สามารถผลิตน้ํายางข้นได้เองและมีเทคโนโลยีการผลิตถุงมือยางที่มีมาตรฐาน ทําให้ได้เปรียบคู่แข่งทั้งในด้านต้นทุนราคาและได้รับการยอมรับด้านคุณภาพรวมถึงสามารถผลิตได้เพียงพอกับความต้องการในประเทศและเพื่อการส่งออกและยังได้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ)ที่เป็นแต้มต่อช่วยในการส่งออก จากการที่ประเทศคู่เจรจาได้มีการลดภาษีนําเข้าให้กับไทย ปัจจุบันประเทศคู่เอฟทีเอ 17 ประเทศ ได้แก่ สมาชิกอาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เปรู และฮ่องกง ไม่เก็บภาษีนําเข้าถุงมือยางของไทยแล้ว เหลือเพียงอินเดียที่ยังคงเก็บภาษีนําเข้าถุงมือยางที่ 10% ดังนั้น ในช่วงที่แนวโน้มความต้องการถุงมือยางเพิ่มขึ้น จึงเป็นโอกาสที่ไทยจะเพิ่มกําลังการผลิต เพื่อรองรับความต้องการตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอเป็นแต้มต่อช่วยในการส่งออก ในปี 2562 ไทยผลิตถุงมือยางได้กว่า 2 หมื่นล้านชิ้น มีสัดส่วนการส่งออกถึง 89% ของการจําหน่ายถุงมือยางทั้งหมด คิดเป็นมูลค่า 1,203 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากมาเลเซีย และจีน เมื่อเทียบกับก่อนที่ไทยจะมีเอฟทีเอฉบับแรกกับอาเซียนในปี 2535 พบว่า มูลค่าส่งออกขยายตัว 992% โดยการส่งออกไปประเทศคู่เอฟทีเอขยายตัวทุกตลาด ได้แก่ ตลาดอินเดียเพิ่มสูงสุด 16,872% รองลงมาคือจีนเพิ่ม 16,505% และเปรูเพิ่ม 6,000% โดยถุงมือยางจัดเป็นผลิตภัณฑ์ยางขั้นปลายที่สามารถสร้างรายได้จากการส่งออกให้ไทยสูงเป็นอันดับ2รองจากผลิตภัณฑ์กลุ่มยางล้อรถยนต์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31519
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ประชุมหารือหลักสูตร BTEC ของ Pearson สหราชอาณาจักร ก่อนร่วมลงนามความร่วมมือเพื่อเริ่มต้นเปิดหลักสูตรในไทย ตั้งแต่ปีการศึกษา 2562
วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2561 ศธ.ประชุมหารือหลักสูตร BTEC ของ Pearson สหราชอาณาจักร ก่อนร่วมลงนามความร่วมมือเพื่อเริ่มต้นเปิดหลักสูตรในไทย ตั้งแต่ปีการศึกษา 2562 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานประชุมหารือการพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติ ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานประชุมหารือการพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติ ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยมีผู้เข้าร่วม อาทิ ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, ดร.สุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติ ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ ภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม และสภาหอการค้าของต่างประเทศในประเทศไทยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน 2561ณ ห้องประชุมราชวัลลภ รมว.ศึกษาธิการเปิดเผยผลการหารือว่า ได้ชี้แจงแนวทางการดําเนินงานการจัดการศึกษาหลักสูตร Business and Technology Education Council (BTEC) ของ PearsonEducation Limited แห่งสหราชอาณาจักร ภายหลังที่กระทรวงศึกษาธิการ โดยคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติ ได้ให้การรับรองหลักสูตร BTEC เข้ามาเปิดสอนในสถาบันอาชีวศึกษาของไทย พร้อมรับฟังข้อเสนอแนะจากที่ประชุมเกี่ยวกับหลักสูตรดังกล่าว ก่อนที่จะเดินทางไปลงนามความร่วมมืออย่างเป็นทางการ ที่สหราชอาณาจักร ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2561 ในเบื้องต้นทาง Pearson ได้สํารวจสถานศึกษาของไทยที่มีความพร้อม ทั้งในด้านหลักสูตร สถานที่ และบุคลากร ซึ่งได้ข้อสรุปที่จะเริ่มจัดการศึกษาหลักสูตร BTEC ตั้งแต่ปีการศึกษา 2562 ใน 4 สถาบันได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพหลักสูตรด้านช่างซ่อมบํารุงเครื่องบิน (Aircraft Maintenance) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังหลักสูตรด้านการท่องเที่ยวและการบริการ (Tourism and Hospitality) วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่นหลักสูตรด้านการท่องเที่ยวและการบริการ (Tourism and Hospitality) วิทยาลัยเทคโนโลยีจิตรลดาหลักสูตรด้านอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics) นอกจากนี้ ได้เตรียมคัดเลือก Master Trainers เข้ารับการฝึกอบรมจาก BTEC จํานวน 1,000 คน เป็นเวลา 5 วัน เพื่อทําหน้าที่เป็น "ครูแม่ไก่" ฝึกอบรมวิธีการสอนและเนื้อหาวิชาตามมาตรฐานของ BTEC ต่อไป ที่ประชุมยังได้มีการหารือกันอย่างกว้างขวาง และมีข้อเสนอแนะน่าสนใจหลายประเด็นอาทิ คุณสมบัติผู้เรียน ควรรับผู้จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรืออาจจะไม่จํากัดวุฒิการศึกษา, กําหนดอายุผู้ที่จะมาเรียนอย่างกว้าง ๆ เช่น ตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เพื่อเอื้อให้สถานประกอบการส่งพนักงาน มาเรียนเพิ่มพูนสมรรถนะตนเอง, การพิจารณาสิทธิ์พิเศษต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งส่วนนี้จะต้องมีการหารือในรายละเอียดต่อไป นพ.ธีระเกียรติ กล่าวด้วยว่าหลักสูตร BTEC ถือเป็นการพลิกประวัติศาสตร์ของการจัดหลักสูตรอาชีวศึกษาไทยสู่มาตรฐานสากล ที่เน้นสมรรถนะด้านอาชีพต่าง ๆ มีการเรียนการสอนและฝึกอบรมแบบกรณีศึกษา (Case Study) อย่างเข้มข้น และที่สําคัญคือสามารถทํางานได้ทันที รวมทั้งทําให้สถานประกอบการพิจารณาให้ค่าตอบแทนตามความสามารถด้วย โดยเชื่อว่าหลักสูตร BTEC จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสําหรับผู้เรียน และผู้ประกอบที่ต้องการพัฒนาสมรรถนะพนักงาน ด้วยหลักสูตรมาตรฐานสากลที่กระทรวงศึกษาธิการให้การรับรอง และเมื่อเรียนจบจะได้รับประกาศนียบัตรรับรองเช่นเดียวกับหลักสูตร BTEC ในสหราชอาณาจักร และสร้างโอกาสให้ได้รับค่าตอบแทนที่สูงกว่าด้วย Writtenbyนวรัตน์ รามสูต Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ประชุมหารือหลักสูตร BTEC ของ Pearson สหราชอาณาจักร ก่อนร่วมลงนามความร่วมมือเพื่อเริ่มต้นเปิดหลักสูตรในไทย ตั้งแต่ปีการศึกษา 2562 วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2561 ศธ.ประชุมหารือหลักสูตร BTEC ของ Pearson สหราชอาณาจักร ก่อนร่วมลงนามความร่วมมือเพื่อเริ่มต้นเปิดหลักสูตรในไทย ตั้งแต่ปีการศึกษา 2562 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานประชุมหารือการพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติ ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานประชุมหารือการพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติ ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยมีผู้เข้าร่วม อาทิ ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, ดร.สุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติ ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ ภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม และสภาหอการค้าของต่างประเทศในประเทศไทยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน 2561ณ ห้องประชุมราชวัลลภ รมว.ศึกษาธิการเปิดเผยผลการหารือว่า ได้ชี้แจงแนวทางการดําเนินงานการจัดการศึกษาหลักสูตร Business and Technology Education Council (BTEC) ของ PearsonEducation Limited แห่งสหราชอาณาจักร ภายหลังที่กระทรวงศึกษาธิการ โดยคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติ ได้ให้การรับรองหลักสูตร BTEC เข้ามาเปิดสอนในสถาบันอาชีวศึกษาของไทย พร้อมรับฟังข้อเสนอแนะจากที่ประชุมเกี่ยวกับหลักสูตรดังกล่าว ก่อนที่จะเดินทางไปลงนามความร่วมมืออย่างเป็นทางการ ที่สหราชอาณาจักร ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2561 ในเบื้องต้นทาง Pearson ได้สํารวจสถานศึกษาของไทยที่มีความพร้อม ทั้งในด้านหลักสูตร สถานที่ และบุคลากร ซึ่งได้ข้อสรุปที่จะเริ่มจัดการศึกษาหลักสูตร BTEC ตั้งแต่ปีการศึกษา 2562 ใน 4 สถาบันได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพหลักสูตรด้านช่างซ่อมบํารุงเครื่องบิน (Aircraft Maintenance) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังหลักสูตรด้านการท่องเที่ยวและการบริการ (Tourism and Hospitality) วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่นหลักสูตรด้านการท่องเที่ยวและการบริการ (Tourism and Hospitality) วิทยาลัยเทคโนโลยีจิตรลดาหลักสูตรด้านอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics) นอกจากนี้ ได้เตรียมคัดเลือก Master Trainers เข้ารับการฝึกอบรมจาก BTEC จํานวน 1,000 คน เป็นเวลา 5 วัน เพื่อทําหน้าที่เป็น "ครูแม่ไก่" ฝึกอบรมวิธีการสอนและเนื้อหาวิชาตามมาตรฐานของ BTEC ต่อไป ที่ประชุมยังได้มีการหารือกันอย่างกว้างขวาง และมีข้อเสนอแนะน่าสนใจหลายประเด็นอาทิ คุณสมบัติผู้เรียน ควรรับผู้จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรืออาจจะไม่จํากัดวุฒิการศึกษา, กําหนดอายุผู้ที่จะมาเรียนอย่างกว้าง ๆ เช่น ตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เพื่อเอื้อให้สถานประกอบการส่งพนักงาน มาเรียนเพิ่มพูนสมรรถนะตนเอง, การพิจารณาสิทธิ์พิเศษต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งส่วนนี้จะต้องมีการหารือในรายละเอียดต่อไป นพ.ธีระเกียรติ กล่าวด้วยว่าหลักสูตร BTEC ถือเป็นการพลิกประวัติศาสตร์ของการจัดหลักสูตรอาชีวศึกษาไทยสู่มาตรฐานสากล ที่เน้นสมรรถนะด้านอาชีพต่าง ๆ มีการเรียนการสอนและฝึกอบรมแบบกรณีศึกษา (Case Study) อย่างเข้มข้น และที่สําคัญคือสามารถทํางานได้ทันที รวมทั้งทําให้สถานประกอบการพิจารณาให้ค่าตอบแทนตามความสามารถด้วย โดยเชื่อว่าหลักสูตร BTEC จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสําหรับผู้เรียน และผู้ประกอบที่ต้องการพัฒนาสมรรถนะพนักงาน ด้วยหลักสูตรมาตรฐานสากลที่กระทรวงศึกษาธิการให้การรับรอง และเมื่อเรียนจบจะได้รับประกาศนียบัตรรับรองเช่นเดียวกับหลักสูตร BTEC ในสหราชอาณาจักร และสร้างโอกาสให้ได้รับค่าตอบแทนที่สูงกว่าด้วย Writtenbyนวรัตน์ รามสูต Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16512
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปตท. สำนักงานใหญ่เปิดจำหน่ายข้าวจากโครงการรวมพลังซื้อข้าวจากชาวนา
วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน 2559 ปตท. สํานักงานใหญ่เปิดจําหน่ายข้าวจากโครงการรวมพลังซื้อข้าวจากชาวนา ปตท. สํานักงานใหญ่เปิดจําหน่ายข้าวจากโครงการรวมพลังซื้อข้าวจากชาวนา เปิดจําหน่ายข้าวสาร ตรงจากมือชาวนา ระหว่างวันที่ 7-11 พ.ย. 59 ณ บริเวณด้านข้างร้านคาเฟ่อเมซอน อาคาร ปตท. สํานักงานใหญ่ และอาคารเอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ ถ.วิภาวดี พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เยี่ยมชมการเปิดจําหน่ายข้าว ที่อาคาร ปตท. สํานักงานใหญ่ ถ.วิภาวดี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ โครงการรวมพลังซื้อข้าวจากชาวนา โดยมี นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) และคณะผู้บริหาร ปตท. ให้การต้อนรับ นายเทวินทร์ เปิดเผยว่า ปตท. ได้เพิ่มช่องทางการบรรเทาความเดือดร้อนของชาวนาโดยประสานงานกับเครือข่ายทางเกษตรกรจากภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือกลุ่มต่างๆ หมุนเวียนนําข้าวสารคุณภาพมาจําหน่ายที่อาคาร ปตท. สํานักงานใหญ่ และอาคารเอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ ถ.วิภาวดี ระหว่างวันที่ 7-11 พฤศจิกายน 2559 โดยเป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการรวมพลังซื้อข้าวจากชาวนา” ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ที่ผ่านมา เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกร ตัวแทนกลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ชุมชน โรงสีข้าวชุมชน หรือโรงสีข้าวสหกรณ์ นําข้าวสารมาจําหน่ายแก่ผู้บริโภคได้โดยตรงที่สถานีบริการน้ํามัน ปตท. ที่ร่วมโครงการทั่วประเทศโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และได้รับการตอบรับอย่างดียิ่ง สําหรับข้าวสารที่นํามาจําหน่ายในครั้งนี้ ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ 105 ข้าวหอมมะลิ 105 ทุ่งกุลา ข้าวหอมมะลินิล ข้าวหอมมะลิกุหลาบ ข้าวดําลืมผัว รวมถึงข้าวอินทรีย์ และข้าวปลอดสารซึ่งขัดสีโดยชุมชน เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ ปตท. ยังจัดให้สถานีบริการน้ํามัน ปตท. ในกรุงเทพมหานครเป็นจุดจําหน่ายข้าวสารจากจังหวัดต่างๆ เพื่อให้ผู้บริโภคที่อยู่ในกรุงเทพมหานครสามารถหาซื้อข้าวจากเกษตรกรโดยตรงได้สะดวกยิ่งขึ้น นายเทวินทร์ เพิ่มเติมว่า นอกจากทําหน้าที่สร้างความมั่นคงทางพลังงานแล้ว ปตท. ยังดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ําเพื่อให้ชาวนาซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม และขอขอบคุณผู้บริโภคทุกคนที่ร่วมอุดหนุนข้าว ช่วยแบ่งเบาความเดือดร้อนของชาวนา รวมไปถึงเจ้าของสถานีบริการน้ํามัน ปตท. ทั่วประเทศที่ช่วยเป็นช่องทางให้ชาวนานําข้าวสารมาจําหน่าย ทั้งนี้ ขณะนี้มีสถานีบริการน้ํามัน ปตท. ที่เข้าร่วมโครงการจํานวน 688 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งผู้สนใจสามารถตรวจสอบข้อมูลและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ PTT Contact Center 1365 และ www.pttplc.com
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปตท. สำนักงานใหญ่เปิดจำหน่ายข้าวจากโครงการรวมพลังซื้อข้าวจากชาวนา วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน 2559 ปตท. สํานักงานใหญ่เปิดจําหน่ายข้าวจากโครงการรวมพลังซื้อข้าวจากชาวนา ปตท. สํานักงานใหญ่เปิดจําหน่ายข้าวจากโครงการรวมพลังซื้อข้าวจากชาวนา เปิดจําหน่ายข้าวสาร ตรงจากมือชาวนา ระหว่างวันที่ 7-11 พ.ย. 59 ณ บริเวณด้านข้างร้านคาเฟ่อเมซอน อาคาร ปตท. สํานักงานใหญ่ และอาคารเอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ ถ.วิภาวดี พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เยี่ยมชมการเปิดจําหน่ายข้าว ที่อาคาร ปตท. สํานักงานใหญ่ ถ.วิภาวดี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ โครงการรวมพลังซื้อข้าวจากชาวนา โดยมี นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) และคณะผู้บริหาร ปตท. ให้การต้อนรับ นายเทวินทร์ เปิดเผยว่า ปตท. ได้เพิ่มช่องทางการบรรเทาความเดือดร้อนของชาวนาโดยประสานงานกับเครือข่ายทางเกษตรกรจากภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือกลุ่มต่างๆ หมุนเวียนนําข้าวสารคุณภาพมาจําหน่ายที่อาคาร ปตท. สํานักงานใหญ่ และอาคารเอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ ถ.วิภาวดี ระหว่างวันที่ 7-11 พฤศจิกายน 2559 โดยเป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการรวมพลังซื้อข้าวจากชาวนา” ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ที่ผ่านมา เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกร ตัวแทนกลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ชุมชน โรงสีข้าวชุมชน หรือโรงสีข้าวสหกรณ์ นําข้าวสารมาจําหน่ายแก่ผู้บริโภคได้โดยตรงที่สถานีบริการน้ํามัน ปตท. ที่ร่วมโครงการทั่วประเทศโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และได้รับการตอบรับอย่างดียิ่ง สําหรับข้าวสารที่นํามาจําหน่ายในครั้งนี้ ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ 105 ข้าวหอมมะลิ 105 ทุ่งกุลา ข้าวหอมมะลินิล ข้าวหอมมะลิกุหลาบ ข้าวดําลืมผัว รวมถึงข้าวอินทรีย์ และข้าวปลอดสารซึ่งขัดสีโดยชุมชน เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ ปตท. ยังจัดให้สถานีบริการน้ํามัน ปตท. ในกรุงเทพมหานครเป็นจุดจําหน่ายข้าวสารจากจังหวัดต่างๆ เพื่อให้ผู้บริโภคที่อยู่ในกรุงเทพมหานครสามารถหาซื้อข้าวจากเกษตรกรโดยตรงได้สะดวกยิ่งขึ้น นายเทวินทร์ เพิ่มเติมว่า นอกจากทําหน้าที่สร้างความมั่นคงทางพลังงานแล้ว ปตท. ยังดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ําเพื่อให้ชาวนาซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม และขอขอบคุณผู้บริโภคทุกคนที่ร่วมอุดหนุนข้าว ช่วยแบ่งเบาความเดือดร้อนของชาวนา รวมไปถึงเจ้าของสถานีบริการน้ํามัน ปตท. ทั่วประเทศที่ช่วยเป็นช่องทางให้ชาวนานําข้าวสารมาจําหน่าย ทั้งนี้ ขณะนี้มีสถานีบริการน้ํามัน ปตท. ที่เข้าร่วมโครงการจํานวน 688 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งผู้สนใจสามารถตรวจสอบข้อมูลและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ PTT Contact Center 1365 และ www.pttplc.com
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/791
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​บัตรอภินิหาร ยกมาตรฐานชีวิตคนไทย
วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน 2561 ​บัตรอภินิหาร ยกมาตรฐานชีวิตคนไทย -- คนไทยราว 67 ล้านคน มีผู้มีรายได้น้อย หรือมีรายได้ต่ํากว่าปีละ 100,000 บาท จํานวน 11.4 ล้านคน ตัวเลขนี้มาจากการเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลที่เป็นระบบมากกว่าในอดีต เพราะรัฐบาลชุดปัจจุบันต้องการดูแลช่วยเหลือคนกลุ่มนี้อย่างตรงจุด “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” เป็นเครื่องมือสําคัญที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ค่าเดินทาง และค่าอื่น ๆ ให้กับผู้มีรายได้น้อย โดยผู้ถือบัตรจะได้รับวงเงินสําหรับซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านบัตรสวัสดิการฯ เดือนละ 200-300 บาท (หากเข้าร่วมโครงการฝึกอาชีพ จะได้เพิ่มอีก 100 - 200 บาท ซึ่งส่วนนี้สามารถกดเป็นเงินสดออกมาใช้ได้) ส่วนลดซื้อก๊าซหุงต้ม 45 บาท/ต่อเดือน และค่าใช้จ่ายรถโดยสารสาธารณะ แบ่งเป็น ค่ารถเมล์และรถไฟฟ้า 500 บาท/เดือน ค่าโดยสารรถ บขส.500 บาท/เดือน และค่าโดยสารรถไฟ 500 บาท/เดือน ซึ่งทั้งหมดจะใช้กับเครื่องรับชําระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) ผู้ถือบัตรไม่สามารถกดหรือถอนออกมาเป็นเงินสดได้ สําหรับการรูดซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจําวัน ตั้งแต่ 1 พ.ย. 61 - 30 เม.ย. 62 รัฐบาลจะแบ่งภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 7% ที่ปกติรวมอยู่ในราคาสินค้า กลับคืนเข้ากระเป๋าเงินในบัตรสวัสดิการฯ 5% ซึ่งเงินในส่วนนี้ผู้ถือบัตรสามารถนําไปรูดซื้อสินค้าหรือกดออกมาเป็นเงินสดไว้ใช้จ่ายได้ อีกส่วนหรือ 1% จะโอนเข้าบัญชีกองทุนการออมแห่งชาติของผู้ถือบัตร และที่เหลือ 1% เก็บเป็น VAT เข้ารัฐตามปกติ ไม่เพียงเท่านั้น ผู้สูงอายุที่ถือบัตรสวัสดิการฯ จะได้รับเงินเพิ่มอีกคนละ 50 - 100 บาท/เดือน เพราะมีผู้สูงอายุจํานวนหนึ่งบริจาคเงินกลับคืนกองทุนผู้สูงอายุ เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค.61 - 15 มิ.ย. 62 ซึ่งเงินส่วนนี้สามารถกดเป็นเงินสดมาใช้จ่ายได้ นอกจากนี้ ผู้ถือบัตรยังมีโอกาสกู้ซื้อบ้านในโครงการบ้านคนไทยประชารัฐในอัตราพิเศษ และไม่ต้องจ่ายค่าอากรแสตมป์สําหรับการโอนบ้านที่ผู้ถือบัตรเข้าประมูลจากกรมบังคับคดี เพื่อสนับสนุนให้ผู้มีรายได้น้อยมีบ้านเป็นของตนเอง ส่วนวินมอเตอร์ไซค์ทั้งหลายที่ถือบัตรสวัสดิการฯ ก็จะได้รับเงินอุดหนุนรายเดือนเป็นค่าเติมน้ํามันรถอีกด้วย นอกจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแล้ว บัตรทอง หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค ก็ยังได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น และรัฐบาลยืนยันหนักแน่นว่าไม่เคยคิดจะยกเลิก เพราะต้องการดูแลคนไทยที่ไม่มีสิทธิข้าราชการ สิทธิประกันสังคม หรือสิทธิอื่น ๆ ที่รัฐจัดให้ โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ให้ดีที่สุดด้วย ตรงนี้สําคัญมาก! ทุกวันนี้เวลาผู้มีสิทธิบัตรทอง หรือสิทธิ 30 บาท หรือที่ถูกต้องจริง ๆ ต้องเรียกว่า สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เจ็บป่วยทั่วไปหรือฉุกเฉิน นั้น สามารถไปรักษาได้ฟรีแล้ว ทั้งในโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งคุ้มครองไปถึงผู้ป่วยโรคจิต โรคเรื้อรัง และผู้ติดยาเสพติด ไม่ใช่แค่นั้น...รัฐบาลยังได้ขยายบริการของบัตรทองให้มากขึ้นกว่าเดิม เช่น เพิ่มสิทธิฉีดวัคซีนโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไวรัสตับอักเสบบี และป้องกันมะเร็งปากมดลูก เพิ่มสิทธิตรวจคัดกรองมะเร็งลําไส้ การใช้ยาราคาแพง 11 รายการ เช่น ยารักษามะเร็ง ยาไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง เพิ่มสิทธิให้ผู้ป่วยอายุต่ํากว่า 55 ปี สามารถผ่าข้อเข่าเสื่อมฟรี และให้ผู้ป่วยที่ผ่าตัดลําไส้ได้รับอุปกรณ์ถุงทวารเทียม ฯลฯ รัฐบาลชุดนี้ได้สนับสนุนงบประมาณให้กับกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 153,152 ล้านบาท ในปี 2558 เป็น 181,584 ล้านบาท ในปี 2562 ช่วยเพิ่มคุณภาพการดูแลประชาชนรายหัว ลดภาระค่ารักษาพยาบาล และลดจํานวนโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขที่มีปัญหาทางการเงิน งานนี้...ธนาคารโลกเอ่ยปากว่า สิ่งที่รัฐบาลทํานั้น ทําให้ประชาชนมีเงินในกระเป๋าเหลือไปทําอย่างอื่น ครัวเรือนมีกําลังซื้อมากขึ้น ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ ส่วนองค์การอนามัยโลกได้ยกย่องให้ประเทศไทยเป็นต้นแบบของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแก่ประเทศอื่น ๆ ในโลกด้วย อย่างนี้แหละ ถึงได้เรียกว่า “บัตรอภินิหาร” ยังไงล่ะ!! -------------------- ภาพ/ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​บัตรอภินิหาร ยกมาตรฐานชีวิตคนไทย วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน 2561 ​บัตรอภินิหาร ยกมาตรฐานชีวิตคนไทย -- คนไทยราว 67 ล้านคน มีผู้มีรายได้น้อย หรือมีรายได้ต่ํากว่าปีละ 100,000 บาท จํานวน 11.4 ล้านคน ตัวเลขนี้มาจากการเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลที่เป็นระบบมากกว่าในอดีต เพราะรัฐบาลชุดปัจจุบันต้องการดูแลช่วยเหลือคนกลุ่มนี้อย่างตรงจุด “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” เป็นเครื่องมือสําคัญที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ค่าเดินทาง และค่าอื่น ๆ ให้กับผู้มีรายได้น้อย โดยผู้ถือบัตรจะได้รับวงเงินสําหรับซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านบัตรสวัสดิการฯ เดือนละ 200-300 บาท (หากเข้าร่วมโครงการฝึกอาชีพ จะได้เพิ่มอีก 100 - 200 บาท ซึ่งส่วนนี้สามารถกดเป็นเงินสดออกมาใช้ได้) ส่วนลดซื้อก๊าซหุงต้ม 45 บาท/ต่อเดือน และค่าใช้จ่ายรถโดยสารสาธารณะ แบ่งเป็น ค่ารถเมล์และรถไฟฟ้า 500 บาท/เดือน ค่าโดยสารรถ บขส.500 บาท/เดือน และค่าโดยสารรถไฟ 500 บาท/เดือน ซึ่งทั้งหมดจะใช้กับเครื่องรับชําระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) ผู้ถือบัตรไม่สามารถกดหรือถอนออกมาเป็นเงินสดได้ สําหรับการรูดซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจําวัน ตั้งแต่ 1 พ.ย. 61 - 30 เม.ย. 62 รัฐบาลจะแบ่งภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 7% ที่ปกติรวมอยู่ในราคาสินค้า กลับคืนเข้ากระเป๋าเงินในบัตรสวัสดิการฯ 5% ซึ่งเงินในส่วนนี้ผู้ถือบัตรสามารถนําไปรูดซื้อสินค้าหรือกดออกมาเป็นเงินสดไว้ใช้จ่ายได้ อีกส่วนหรือ 1% จะโอนเข้าบัญชีกองทุนการออมแห่งชาติของผู้ถือบัตร และที่เหลือ 1% เก็บเป็น VAT เข้ารัฐตามปกติ ไม่เพียงเท่านั้น ผู้สูงอายุที่ถือบัตรสวัสดิการฯ จะได้รับเงินเพิ่มอีกคนละ 50 - 100 บาท/เดือน เพราะมีผู้สูงอายุจํานวนหนึ่งบริจาคเงินกลับคืนกองทุนผู้สูงอายุ เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค.61 - 15 มิ.ย. 62 ซึ่งเงินส่วนนี้สามารถกดเป็นเงินสดมาใช้จ่ายได้ นอกจากนี้ ผู้ถือบัตรยังมีโอกาสกู้ซื้อบ้านในโครงการบ้านคนไทยประชารัฐในอัตราพิเศษ และไม่ต้องจ่ายค่าอากรแสตมป์สําหรับการโอนบ้านที่ผู้ถือบัตรเข้าประมูลจากกรมบังคับคดี เพื่อสนับสนุนให้ผู้มีรายได้น้อยมีบ้านเป็นของตนเอง ส่วนวินมอเตอร์ไซค์ทั้งหลายที่ถือบัตรสวัสดิการฯ ก็จะได้รับเงินอุดหนุนรายเดือนเป็นค่าเติมน้ํามันรถอีกด้วย นอกจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแล้ว บัตรทอง หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค ก็ยังได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น และรัฐบาลยืนยันหนักแน่นว่าไม่เคยคิดจะยกเลิก เพราะต้องการดูแลคนไทยที่ไม่มีสิทธิข้าราชการ สิทธิประกันสังคม หรือสิทธิอื่น ๆ ที่รัฐจัดให้ โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ให้ดีที่สุดด้วย ตรงนี้สําคัญมาก! ทุกวันนี้เวลาผู้มีสิทธิบัตรทอง หรือสิทธิ 30 บาท หรือที่ถูกต้องจริง ๆ ต้องเรียกว่า สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เจ็บป่วยทั่วไปหรือฉุกเฉิน นั้น สามารถไปรักษาได้ฟรีแล้ว ทั้งในโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งคุ้มครองไปถึงผู้ป่วยโรคจิต โรคเรื้อรัง และผู้ติดยาเสพติด ไม่ใช่แค่นั้น...รัฐบาลยังได้ขยายบริการของบัตรทองให้มากขึ้นกว่าเดิม เช่น เพิ่มสิทธิฉีดวัคซีนโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไวรัสตับอักเสบบี และป้องกันมะเร็งปากมดลูก เพิ่มสิทธิตรวจคัดกรองมะเร็งลําไส้ การใช้ยาราคาแพง 11 รายการ เช่น ยารักษามะเร็ง ยาไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง เพิ่มสิทธิให้ผู้ป่วยอายุต่ํากว่า 55 ปี สามารถผ่าข้อเข่าเสื่อมฟรี และให้ผู้ป่วยที่ผ่าตัดลําไส้ได้รับอุปกรณ์ถุงทวารเทียม ฯลฯ รัฐบาลชุดนี้ได้สนับสนุนงบประมาณให้กับกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 153,152 ล้านบาท ในปี 2558 เป็น 181,584 ล้านบาท ในปี 2562 ช่วยเพิ่มคุณภาพการดูแลประชาชนรายหัว ลดภาระค่ารักษาพยาบาล และลดจํานวนโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขที่มีปัญหาทางการเงิน งานนี้...ธนาคารโลกเอ่ยปากว่า สิ่งที่รัฐบาลทํานั้น ทําให้ประชาชนมีเงินในกระเป๋าเหลือไปทําอย่างอื่น ครัวเรือนมีกําลังซื้อมากขึ้น ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ ส่วนองค์การอนามัยโลกได้ยกย่องให้ประเทศไทยเป็นต้นแบบของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแก่ประเทศอื่น ๆ ในโลกด้วย อย่างนี้แหละ ถึงได้เรียกว่า “บัตรอภินิหาร” ยังไงล่ะ!! -------------------- ภาพ/ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16503
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยให้ลูกค้าพักชำระทั้งเงินต้น-ดอกเบี้ยนาน 3 เดือน ยื่นผ่านเว็บไซต์และคอลเซ็นเตอร์ [กระทรวงการคลัง]
วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2563 กรุงไทยให้ลูกค้าพักชําระทั้งเงินต้น-ดอกเบี้ยนาน 3 เดือน ยื่นผ่านเว็บไซต์และคอลเซ็นเตอร์ [กระทรวงการคลัง] ธนาคารกรุงไทยออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจและการระบาดของโควิด-19 อย่างเต็มที่ ล่าสุดพักชําระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับลูกค้าสินเชื่อปกติ นาน 3 เดือน ธนาคารกรุงไทยออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจและการระบาดของโควิด-19 อย่างเต็มที่ ล่าสุดพักชําระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับลูกค้าสินเชื่อปกติ นาน 3 เดือน พร้อมเปิดช่องทางใหม่ให้ยื่นขอรับความช่วยเหลือผ่านเว็บไซต์ www.krungthai.com/covid19 และ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111 ได้ทุกวัน ตลอด 24 ชม. นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากวิกฤติเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อลูกค้าของธนาคาร ทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจ ซึ่งธนาคารได้เร่งให้ความช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่ม โดยออกมาตรการต่างๆ เพื่อเยียวยาช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งขณะนี้ได้ให้ความช่วยเหลือไปแล้วกว่า 1,500 ราย วงเงินกว่า 30,000 ล้านบาท และมีลูกค้าที่อยู่ระหว่างดําเนินการอีกกว่า 70,000 ราย วงเงินประมาณ 250,000 ล้านบาท รวมวงเงินทั้งสิ้น 280,000 ล้านบาท “ธนาคารยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และได้ออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ล่าสุดธนาคารพักชําระหนี้ให้ลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจที่มีสถานะชําระปกติ ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยนาน 3 เดือน ทั้งลูกค้าสินเชื่อบุคคล ได้แก่ สินเชื่อ Smart Money และสินเชื่ออเนกประสงค์ 5 Plus และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท รวมทั้งสินเชื่อธุรกิจ ที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 20 ล้านบาท โดยสามารถยื่นความประสงค์เข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันนี้ - 30 มิถุนายน 2563” นอกเหนือจากมาตรการดังกล่าว ธนาคารยังพักชําระเงินต้น 12 เดือนให้กับลูกค้ารายย่อย พักชําระเงินต้น 12 เดือน ขยายระยะเวลาชําระหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) และสินเชื่อ Trade Finance ออกไปอีก 6 เดือน สําหรับลูกค้าธุรกิจที่มีรายได้ลดลง รวมทั้งให้สินเชื่อกรุงไทยต้ายภัยโควิด-19 ดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 2% ต่อปี คงที่ 2 ปีแรก วงเงินกู้สูงสุด 20 ล้านบาท ฟรีค่าธรรมเนียม บสย. ค้ําประกัน 4 ปี ทําธุรกรรมโอน รับ จ่าย ไม่คิดค่าธรรมเนียมนาน 1 ปี กับลูกค้าธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว โรงแรม รถเช่า ร้านขายของฝาก ของที่ระลึก นายผยง ศรีวณิช กล่าวในตอนท้ายว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ ธนาคารเน้นดูแลและติดตามลูกค้าอย่างใกล้ชิด ตลอดจนคํานึงถึงความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงานเป็นสําคัญ ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของไวรัสในวงกว้าง และการเว้นระยะห่างทางสังคม ธนาคารจึงได้เพิ่มช่องทางให้ลูกค้าลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ขอรับความช่วยเหลือได้ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านทางเว็บไซต์ www.krungthai.com/covid19 และ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111 โดยธนาคารจะตรวจสอบข้อมูลและติดต่อกลับภายใน 5 วันทําการ เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนต่อไป ฝ่ายกลยุทธ์การตลาด โทร.0-2208-4174-7
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยให้ลูกค้าพักชำระทั้งเงินต้น-ดอกเบี้ยนาน 3 เดือน ยื่นผ่านเว็บไซต์และคอลเซ็นเตอร์ [กระทรวงการคลัง] วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2563 กรุงไทยให้ลูกค้าพักชําระทั้งเงินต้น-ดอกเบี้ยนาน 3 เดือน ยื่นผ่านเว็บไซต์และคอลเซ็นเตอร์ [กระทรวงการคลัง] ธนาคารกรุงไทยออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจและการระบาดของโควิด-19 อย่างเต็มที่ ล่าสุดพักชําระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับลูกค้าสินเชื่อปกติ นาน 3 เดือน ธนาคารกรุงไทยออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจและการระบาดของโควิด-19 อย่างเต็มที่ ล่าสุดพักชําระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับลูกค้าสินเชื่อปกติ นาน 3 เดือน พร้อมเปิดช่องทางใหม่ให้ยื่นขอรับความช่วยเหลือผ่านเว็บไซต์ www.krungthai.com/covid19 และ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111 ได้ทุกวัน ตลอด 24 ชม. นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากวิกฤติเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อลูกค้าของธนาคาร ทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจ ซึ่งธนาคารได้เร่งให้ความช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่ม โดยออกมาตรการต่างๆ เพื่อเยียวยาช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งขณะนี้ได้ให้ความช่วยเหลือไปแล้วกว่า 1,500 ราย วงเงินกว่า 30,000 ล้านบาท และมีลูกค้าที่อยู่ระหว่างดําเนินการอีกกว่า 70,000 ราย วงเงินประมาณ 250,000 ล้านบาท รวมวงเงินทั้งสิ้น 280,000 ล้านบาท “ธนาคารยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และได้ออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ล่าสุดธนาคารพักชําระหนี้ให้ลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจที่มีสถานะชําระปกติ ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยนาน 3 เดือน ทั้งลูกค้าสินเชื่อบุคคล ได้แก่ สินเชื่อ Smart Money และสินเชื่ออเนกประสงค์ 5 Plus และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท รวมทั้งสินเชื่อธุรกิจ ที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 20 ล้านบาท โดยสามารถยื่นความประสงค์เข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันนี้ - 30 มิถุนายน 2563” นอกเหนือจากมาตรการดังกล่าว ธนาคารยังพักชําระเงินต้น 12 เดือนให้กับลูกค้ารายย่อย พักชําระเงินต้น 12 เดือน ขยายระยะเวลาชําระหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) และสินเชื่อ Trade Finance ออกไปอีก 6 เดือน สําหรับลูกค้าธุรกิจที่มีรายได้ลดลง รวมทั้งให้สินเชื่อกรุงไทยต้ายภัยโควิด-19 ดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 2% ต่อปี คงที่ 2 ปีแรก วงเงินกู้สูงสุด 20 ล้านบาท ฟรีค่าธรรมเนียม บสย. ค้ําประกัน 4 ปี ทําธุรกรรมโอน รับ จ่าย ไม่คิดค่าธรรมเนียมนาน 1 ปี กับลูกค้าธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว โรงแรม รถเช่า ร้านขายของฝาก ของที่ระลึก นายผยง ศรีวณิช กล่าวในตอนท้ายว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ ธนาคารเน้นดูแลและติดตามลูกค้าอย่างใกล้ชิด ตลอดจนคํานึงถึงความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงานเป็นสําคัญ ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของไวรัสในวงกว้าง และการเว้นระยะห่างทางสังคม ธนาคารจึงได้เพิ่มช่องทางให้ลูกค้าลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ขอรับความช่วยเหลือได้ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านทางเว็บไซต์ www.krungthai.com/covid19 และ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111 โดยธนาคารจะตรวจสอบข้อมูลและติดต่อกลับภายใน 5 วันทําการ เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนต่อไป ฝ่ายกลยุทธ์การตลาด โทร.0-2208-4174-7
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28309
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อว. เปิดประชุมหารือในหัวข้อ BRANDING THAILAND
วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2563 รมว.อว. เปิดประชุมหารือในหัวข้อ BRANDING THAILAND รมว.อว. เปิดประชุมหารือในหัวข้อ BRANDING THAILAND (8 มิถุนายน 2563) ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) เป็นประธานการประชุมหารือในหัวข้อ Branding Thailand พร้อมด้วย ดร.อภิชัย สมบูรณ์ปกรณ์ โฆษกกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และคณะทํางาน เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 22 สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) (ถนนศรีอยุธยา) ที่ประชุมนําเสนอวัตถุประสงค์ในการประชุมหารือของหัวข้อ Branding Thailand ว่า 1. สร้างความเชื่อมั่น และฟื้นฟูการบริโภค การท่องเที่ยวและการลงทุนภายในประเทศภายหลังโควิด 19 2. สร้างการรับรู้ถึงศักยภาพของประเทศไทยในภาพรวมเพื่อสื่อสารทั้งในและต่างประเทศ 3. สร้างความภาคภูมิใจในความเป็นไทยให้กับประชาชน ซึ่งทั้งหมดถูกรวมและใช้เรียกว่า THAI CARE คือ การสัมผัสถึงความเป็นไทย จากการรักษา ดูแลเอาใจใส่ การบริการ อาหาร วัฒนธรรม พื้นที่ที่หลากหลาย และความคิดสร้างสรรค์ของไทยผ่านเรื่องราว และประสบการณ์จากการท่องเที่ยว การทํางาน การอยู่อาศัย ที่นําไปสู่การสร้างความรู้สึกดีในด้านสุขภาพกายและใจ (Wellbeing) ในทุกมิติ THAI CAREมาจากจุดแข็งและศักยภาพของประเทศไทย คือTHAI CORE STRENGTHซึ่งแบ่งตามนี้ 1. HOSPITALITY - Health : สาธารณสุขของไทย ในการรับมือกับสถานการณ์ COVID-19 - Care : การช่วยเหลือกันของคนไทยในสถานการณ์ COVID-19 - Service : บริการที่ดีของสถานบริการ เช่น โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ร้านสปา ร้านอาหาร 2. DIVERSITY - Food : ความหลากหลายทางชีวภาพ ด้านอุตสาหกรรมอาหาร สมุนไพรที่จะเป็นอุตสาหกรรมตอบโจทย์ในอนาคต - Culture : ความหลากหลายทางวัฒนธรรม - Geography : ความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ ธรรมชาติ 3. Creativity - Creative Solution : ความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยในการแก้ปัญหา การพัฒนาสินค้าและบริการที่สวยงามและตอบโจทย์ความต้องการของตลาดยุคใหม่ Branding Thailand Outcome ก็คือ (1) ช่วยกระตุ้นให้เกิดการบริโภคจากการออกจากบ้านมาท่องเที่ยว (2) ช่วยร้านค้าและผู้ประกอบการให้มีรายได้จากการท่องเที่ยว (3) ช่วยส่งออกสินค้าไทยผ่านนักท่องเที่ยวต่างชาติ (4) ช่วยจ้างงานคนในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่ได้รับผลกระทบ (5) ช่วยสร้างโอกาสในการลงทุนด้านการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพที่สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค ด้านดร.สุวิทย์ รมว.อว.กล่าวว่าการประชุมหารือกันครั้งนี้จะเป็นการสร้างThailand in the new global landscapeหลังPost-COVIDโดยมีเป้าหมายคือการResetประเทศไทยอย่างไรมากกว่าคือประเทศไทยกําลังวิตกกังวลกับการที่จะมีวิกฤติเศรษฐกิจ แต่จริง ๆ แล้ว มีโอกาส งานนี้ถือเป็นการเปลี่ยนมุมมองของการมอง เปลี่ยนจากมองที่วิกฤติเป็นมองที่โอกาส งานนี้เป็นการ Reset ประเทศไทยโดยที่มองจากมุมของโอกาส และมี 4 กลุ่มสําคัญ คือ (1) ประชาคมโลก ประเทศไทยจะต้องสร้าง Soft power และในประชาคมโลกเราต้องการให้ประเทศไทยมีจุดยืน (2)คนในประเทศไทยต้องเปลี่ยนจากวิกฤติให้เป็นโอกาสและที่ต้องมีคือProud to be Thai (3)เรื่องของGlobal Citizenคือต้องร่วมใจและใส่ใจในเรื่องนี้ซึ่งงานนี้ต้องไม่ใช่งานของรัฐบาลฝ่ายเดียว เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อว. เปิดประชุมหารือในหัวข้อ BRANDING THAILAND วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2563 รมว.อว. เปิดประชุมหารือในหัวข้อ BRANDING THAILAND รมว.อว. เปิดประชุมหารือในหัวข้อ BRANDING THAILAND (8 มิถุนายน 2563) ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) เป็นประธานการประชุมหารือในหัวข้อ Branding Thailand พร้อมด้วย ดร.อภิชัย สมบูรณ์ปกรณ์ โฆษกกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และคณะทํางาน เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 22 สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) (ถนนศรีอยุธยา) ที่ประชุมนําเสนอวัตถุประสงค์ในการประชุมหารือของหัวข้อ Branding Thailand ว่า 1. สร้างความเชื่อมั่น และฟื้นฟูการบริโภค การท่องเที่ยวและการลงทุนภายในประเทศภายหลังโควิด 19 2. สร้างการรับรู้ถึงศักยภาพของประเทศไทยในภาพรวมเพื่อสื่อสารทั้งในและต่างประเทศ 3. สร้างความภาคภูมิใจในความเป็นไทยให้กับประชาชน ซึ่งทั้งหมดถูกรวมและใช้เรียกว่า THAI CARE คือ การสัมผัสถึงความเป็นไทย จากการรักษา ดูแลเอาใจใส่ การบริการ อาหาร วัฒนธรรม พื้นที่ที่หลากหลาย และความคิดสร้างสรรค์ของไทยผ่านเรื่องราว และประสบการณ์จากการท่องเที่ยว การทํางาน การอยู่อาศัย ที่นําไปสู่การสร้างความรู้สึกดีในด้านสุขภาพกายและใจ (Wellbeing) ในทุกมิติ THAI CAREมาจากจุดแข็งและศักยภาพของประเทศไทย คือTHAI CORE STRENGTHซึ่งแบ่งตามนี้ 1. HOSPITALITY - Health : สาธารณสุขของไทย ในการรับมือกับสถานการณ์ COVID-19 - Care : การช่วยเหลือกันของคนไทยในสถานการณ์ COVID-19 - Service : บริการที่ดีของสถานบริการ เช่น โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ร้านสปา ร้านอาหาร 2. DIVERSITY - Food : ความหลากหลายทางชีวภาพ ด้านอุตสาหกรรมอาหาร สมุนไพรที่จะเป็นอุตสาหกรรมตอบโจทย์ในอนาคต - Culture : ความหลากหลายทางวัฒนธรรม - Geography : ความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ ธรรมชาติ 3. Creativity - Creative Solution : ความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยในการแก้ปัญหา การพัฒนาสินค้าและบริการที่สวยงามและตอบโจทย์ความต้องการของตลาดยุคใหม่ Branding Thailand Outcome ก็คือ (1) ช่วยกระตุ้นให้เกิดการบริโภคจากการออกจากบ้านมาท่องเที่ยว (2) ช่วยร้านค้าและผู้ประกอบการให้มีรายได้จากการท่องเที่ยว (3) ช่วยส่งออกสินค้าไทยผ่านนักท่องเที่ยวต่างชาติ (4) ช่วยจ้างงานคนในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่ได้รับผลกระทบ (5) ช่วยสร้างโอกาสในการลงทุนด้านการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพที่สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค ด้านดร.สุวิทย์ รมว.อว.กล่าวว่าการประชุมหารือกันครั้งนี้จะเป็นการสร้างThailand in the new global landscapeหลังPost-COVIDโดยมีเป้าหมายคือการResetประเทศไทยอย่างไรมากกว่าคือประเทศไทยกําลังวิตกกังวลกับการที่จะมีวิกฤติเศรษฐกิจ แต่จริง ๆ แล้ว มีโอกาส งานนี้ถือเป็นการเปลี่ยนมุมมองของการมอง เปลี่ยนจากมองที่วิกฤติเป็นมองที่โอกาส งานนี้เป็นการ Reset ประเทศไทยโดยที่มองจากมุมของโอกาส และมี 4 กลุ่มสําคัญ คือ (1) ประชาคมโลก ประเทศไทยจะต้องสร้าง Soft power และในประชาคมโลกเราต้องการให้ประเทศไทยมีจุดยืน (2)คนในประเทศไทยต้องเปลี่ยนจากวิกฤติให้เป็นโอกาสและที่ต้องมีคือProud to be Thai (3)เรื่องของGlobal Citizenคือต้องร่วมใจและใส่ใจในเรื่องนี้ซึ่งงานนี้ต้องไม่ใช่งานของรัฐบาลฝ่ายเดียว เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32759
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยออกสินเชื่อ กรุงไทย SME รักกันยาวๆ ดอกเบี้ยพิเศษตลอดระยะเวลากู้
วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561 กรุงไทยออกสินเชื่อ กรุงไทย SME รักกันยาวๆ ดอกเบี้ยพิเศษตลอดระยะเวลากู้ ธนาคารกรุงไทย ออกสินเชื่อกรุงไทย SME รักกันยาวๆ สนับสนุนวงเงินเพื่อขยายกิจการให้กับผู้ประกอบการ SME อัตราดอกเบี้ยพิเศษ ผ่อนชําระนาน 10 ปี ปลอดชําระเงินต้น 12 เดือน ให้กู้สูงสุด 100 ล้านบาทต่อราย วงเงินกู้รวม 2 พันล้านบาท ธนาคารกรุงไทย ออกสินเชื่อ กรุงไทย SME รักกันยาวๆ สนับสนุนวงเงินเพื่อขยายกิจการให้กับผู้ประกอบการ SME อัตราดอกเบี้ยพิเศษ ผ่อนชําระนาน 10 ปี ปลอดชําระเงินต้น 12 เดือน ให้กู้สูงสุด 100 ล้านบาทต่อราย วงเงินกู้รวม 2 พันล้านบาท ติดต่อขอสินเชื่อที่สํานักงานธุรกิจทั่วประเทศ ภายใน 30 มิถุนายนนี้ นายปฏิเวช สันตะวานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานธุรกิจขนาดกลาง ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากการที่ธนาคารได้สนับสนุนผู้ประกอบการ SME ซึ่งเป็นกลไกสําคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน ให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง ล่าสุด ธนาคารได้ออกสินเชื่อ กรุงไทย SME รักกันยาวๆ ให้กับผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการวงเงินสําหรับลงทุนขยายกําลังการผลิต หรือเป็นเงินทุนในการดําเนินกิจการ โดยคิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ตลอดระยะเวลากู้ ผ่อนชําระนาน 10 ปี ปลอดชําระเงินต้น 12 เดือน วงเงินกู้สูงสุด 100 ล้านบาทต่อราย โดยตั้งเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อไว้ที่ 2 พันล้านบาท สําหรับคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้ขอสินเชื่อ เป็นผู้ประกอบการ SME ที่มียอดขาย 100 – 500 ล้านบาท มีประสบการณ์หรือดําเนินธุรกิจที่ขอสินเชื่อไม่น้อยกว่า 3 ปี และมีกําไรสุทธิ 2 ใน 3 ปีล่าสุด ทั้งนี้ ธนาคารมั่นใจว่าจะได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการ SME สามารถยื่นขอสินเชื่อได้ที่สํานักงานธุรกิจทั้ง 79 แห่งทั่วประเทศ หรือกรอกข้อมูลขอสินเชื่อที่เว็บไซต์ https://sme.ktb.co.th โดยจะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับในภายหลัง ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2561 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTB Call center โทร. 02-111-1111 ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร. 0-2208-4176
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยออกสินเชื่อ กรุงไทย SME รักกันยาวๆ ดอกเบี้ยพิเศษตลอดระยะเวลากู้ วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561 กรุงไทยออกสินเชื่อ กรุงไทย SME รักกันยาวๆ ดอกเบี้ยพิเศษตลอดระยะเวลากู้ ธนาคารกรุงไทย ออกสินเชื่อกรุงไทย SME รักกันยาวๆ สนับสนุนวงเงินเพื่อขยายกิจการให้กับผู้ประกอบการ SME อัตราดอกเบี้ยพิเศษ ผ่อนชําระนาน 10 ปี ปลอดชําระเงินต้น 12 เดือน ให้กู้สูงสุด 100 ล้านบาทต่อราย วงเงินกู้รวม 2 พันล้านบาท ธนาคารกรุงไทย ออกสินเชื่อ กรุงไทย SME รักกันยาวๆ สนับสนุนวงเงินเพื่อขยายกิจการให้กับผู้ประกอบการ SME อัตราดอกเบี้ยพิเศษ ผ่อนชําระนาน 10 ปี ปลอดชําระเงินต้น 12 เดือน ให้กู้สูงสุด 100 ล้านบาทต่อราย วงเงินกู้รวม 2 พันล้านบาท ติดต่อขอสินเชื่อที่สํานักงานธุรกิจทั่วประเทศ ภายใน 30 มิถุนายนนี้ นายปฏิเวช สันตะวานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานธุรกิจขนาดกลาง ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากการที่ธนาคารได้สนับสนุนผู้ประกอบการ SME ซึ่งเป็นกลไกสําคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน ให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง ล่าสุด ธนาคารได้ออกสินเชื่อ กรุงไทย SME รักกันยาวๆ ให้กับผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการวงเงินสําหรับลงทุนขยายกําลังการผลิต หรือเป็นเงินทุนในการดําเนินกิจการ โดยคิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ตลอดระยะเวลากู้ ผ่อนชําระนาน 10 ปี ปลอดชําระเงินต้น 12 เดือน วงเงินกู้สูงสุด 100 ล้านบาทต่อราย โดยตั้งเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อไว้ที่ 2 พันล้านบาท สําหรับคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้ขอสินเชื่อ เป็นผู้ประกอบการ SME ที่มียอดขาย 100 – 500 ล้านบาท มีประสบการณ์หรือดําเนินธุรกิจที่ขอสินเชื่อไม่น้อยกว่า 3 ปี และมีกําไรสุทธิ 2 ใน 3 ปีล่าสุด ทั้งนี้ ธนาคารมั่นใจว่าจะได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการ SME สามารถยื่นขอสินเชื่อได้ที่สํานักงานธุรกิจทั้ง 79 แห่งทั่วประเทศ หรือกรอกข้อมูลขอสินเชื่อที่เว็บไซต์ https://sme.ktb.co.th โดยจะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับในภายหลัง ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2561 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTB Call center โทร. 02-111-1111 ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร. 0-2208-4176
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9849
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เผยความคืบหน้า “ร่างพระราชบัญญัติสหกรณ์ว่าด้วยการกำกับดูแลกิจการทางการเงินสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน”
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560 กระทรวงเกษตรฯ เผยความคืบหน้า “ร่างพระราชบัญญัติสหกรณ์ว่าด้วยการกํากับดูแลกิจการทางการเงินสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน” กระทรวงเกษตรฯ เผยความคืบหน้า “ร่างพระราชบัญญัติสหกรณ์ว่าด้วยการกํากับดูแลกิจการทางการเงินสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน” เตรียมเปิดรับฟังความเห็น ก่อนมีผลบังคับใช้ 1 มิ.ย. นี้ นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติสหกรณ์ว่าด้วยการกํากับดูแลกิจการทางการเงินสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ภายหลังจากที่มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 ได้เห็นชอบแนวทางการปฏิรูประบบการบริหารจัดการและกํากับดูแลกิจการสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ตามที่กระทรวงการคลังนําเสนอ จึงมีการหารือร่วมกันระหว่างกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย ในวันที่ 24 มีนาคม 2560 และวันที่ 27 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมเปิดรับฟังความเห็นร่างพระราชบัญญัติสหกรณ์ว่าด้วยการกํากับดูแลกิจการทางการเงินสหกรณ์ออมทรัพย์และเครดิตยูเนี่ยน ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2560 ผ่านเว็บไซต์กรมส่งเสริมสหกรณ์ ก่อนมีผลบังคับใช้ 1 มิถุนายน 2560 นี้ ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการประชุมร่วมกันระหว่างกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยทั้งสองครั้ง ได้มีข้อสรุปแนวทางการดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี โดยได้มีการกําหนดหลักเกณฑ์การกํากับดูแลให้นายทะเบียนสหกรณ์สามารถกําหนดได้ทันทีภายใต้อํานาจปัจจุบัน ซึ่งหลักเกณฑ์หลักๆ และมีความเร่งด่วน ได้แก่ การให้ผลตอบแทนแก่สมาชิก เพื่อให้สหกรณ์มีต้นทุนทางการเงินในระดับที่เหมาะสมและลดแรงกดดันในการหาผลตอบแทนจากการลงทุน โดยแบ่งเป็น กําหนดอัตราเงินปันผลตามหุ้นที่ชําระแล้วของสมาชิก และกําหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยเงินฝากไม่ให้เกิน 4.5% ขณะเดียวกันได้กําหนดให้สหกรณ์ต้องดํารงสินทรัพย์สภาพคล่องอยู่ที่ประมาณ 6% ซึ่งให้สํารองไว้ในรูปแบบของสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ทันที ซึ่งการกําหนดให้ดํารงสินทรัพย์สภาพคล่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อจะดูแลความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของสหกรณ์ และยังมีการกําหนดการลงทุนของสหกรณ์ในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ํา และมีสัดส่วนที่ไม่มากจนเกินไป เพื่อไม่ให้การลงทุนของสหกรณ์มีความเสี่ยงสูง และมีการกํากับลูกหนี้รายใหญ่ โดยสหกรณ์จะให้กู้กับสหกรณ์หนึ่งได้ไม่เกินอัตราที่กําหนด เพื่อไม่ให้สินเชื่อกระจุกตัวที่ลูกหนี้รายใดรายหนึ่งด้วย สําหรับกรณีการเปิดรับสมาชิกสมทบ ได้จํากัดจํานวนสมาชิกสมทบให้อยู่ในวงจํากัดเท่านั้น โดยกําหนดกําหนดคุณสมบัติของสมาชิกสมทบของสหกรณ์ รับได้เฉพาะบิดา มารดา สามี ภรรยาหรือบุตรของสมาชิกสหกรณ์นั้น หรือบุคคลในหน่วยงานที่ขาดคุณสมบัติจะเป็นสมาชิกเท่านั้น เพื่อป้องกันการระดมทุนจากภายนอก และยังมีการกําหนดให้สหกรณ์เปิดเผยข้อมูลผลประโยชน์และค่าตอบแทนของกรรมการดําเนินการและผู้จัดการต่อที่ประชุมใหญ่ เพื่อให้สมาชิกทราบ และให้สหกรณ์รายงานผลการดําเนินธุรกรรมของสหกรณ์เป็นรายเดือนให้กรมส่งเสริมสหกรณ์รับทราบเป็นระยะๆ เพื่อให้กรมฯสามารถตรวจสอบและติดตามการดําเนินงานของสหกรณ์ได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นข้อมูลในการบริหารความเสี่ยงของสหกรณ์ ป้องกันการเกิดปัญหาทุจริตภายในสหกรณ์หรือการแก้ไขปัญหาที่อาจจะล่าช้าจนส่งผลทําให้เกิดความเสียหายในวงกว้างได้ ทั้งนี้ กรมส่งเสริมสหกรณ์จะเปิดรับฟังความเห็นเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ข้างต้น และขอเชิญชวนผู้แทนและสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ร่วมแสดงความคิดเห็นในวันที่ 18 พฤษภาคม 2560 พร้อมกันนี้ กรมฯจะเปิดรับฟังความคิดเห็น ร่างพระราชบัญญัติสหกรณ์ ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2560 ผ่านเว็บไซต์ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ และจะนําหลักเกณฑ์มาบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2560 เป็นต้นไป กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เผยความคืบหน้า “ร่างพระราชบัญญัติสหกรณ์ว่าด้วยการกำกับดูแลกิจการทางการเงินสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน” วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560 กระทรวงเกษตรฯ เผยความคืบหน้า “ร่างพระราชบัญญัติสหกรณ์ว่าด้วยการกํากับดูแลกิจการทางการเงินสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน” กระทรวงเกษตรฯ เผยความคืบหน้า “ร่างพระราชบัญญัติสหกรณ์ว่าด้วยการกํากับดูแลกิจการทางการเงินสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน” เตรียมเปิดรับฟังความเห็น ก่อนมีผลบังคับใช้ 1 มิ.ย. นี้ นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติสหกรณ์ว่าด้วยการกํากับดูแลกิจการทางการเงินสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ภายหลังจากที่มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 ได้เห็นชอบแนวทางการปฏิรูประบบการบริหารจัดการและกํากับดูแลกิจการสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ตามที่กระทรวงการคลังนําเสนอ จึงมีการหารือร่วมกันระหว่างกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย ในวันที่ 24 มีนาคม 2560 และวันที่ 27 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมเปิดรับฟังความเห็นร่างพระราชบัญญัติสหกรณ์ว่าด้วยการกํากับดูแลกิจการทางการเงินสหกรณ์ออมทรัพย์และเครดิตยูเนี่ยน ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2560 ผ่านเว็บไซต์กรมส่งเสริมสหกรณ์ ก่อนมีผลบังคับใช้ 1 มิถุนายน 2560 นี้ ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการประชุมร่วมกันระหว่างกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยทั้งสองครั้ง ได้มีข้อสรุปแนวทางการดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี โดยได้มีการกําหนดหลักเกณฑ์การกํากับดูแลให้นายทะเบียนสหกรณ์สามารถกําหนดได้ทันทีภายใต้อํานาจปัจจุบัน ซึ่งหลักเกณฑ์หลักๆ และมีความเร่งด่วน ได้แก่ การให้ผลตอบแทนแก่สมาชิก เพื่อให้สหกรณ์มีต้นทุนทางการเงินในระดับที่เหมาะสมและลดแรงกดดันในการหาผลตอบแทนจากการลงทุน โดยแบ่งเป็น กําหนดอัตราเงินปันผลตามหุ้นที่ชําระแล้วของสมาชิก และกําหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยเงินฝากไม่ให้เกิน 4.5% ขณะเดียวกันได้กําหนดให้สหกรณ์ต้องดํารงสินทรัพย์สภาพคล่องอยู่ที่ประมาณ 6% ซึ่งให้สํารองไว้ในรูปแบบของสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ทันที ซึ่งการกําหนดให้ดํารงสินทรัพย์สภาพคล่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อจะดูแลความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของสหกรณ์ และยังมีการกําหนดการลงทุนของสหกรณ์ในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ํา และมีสัดส่วนที่ไม่มากจนเกินไป เพื่อไม่ให้การลงทุนของสหกรณ์มีความเสี่ยงสูง และมีการกํากับลูกหนี้รายใหญ่ โดยสหกรณ์จะให้กู้กับสหกรณ์หนึ่งได้ไม่เกินอัตราที่กําหนด เพื่อไม่ให้สินเชื่อกระจุกตัวที่ลูกหนี้รายใดรายหนึ่งด้วย สําหรับกรณีการเปิดรับสมาชิกสมทบ ได้จํากัดจํานวนสมาชิกสมทบให้อยู่ในวงจํากัดเท่านั้น โดยกําหนดกําหนดคุณสมบัติของสมาชิกสมทบของสหกรณ์ รับได้เฉพาะบิดา มารดา สามี ภรรยาหรือบุตรของสมาชิกสหกรณ์นั้น หรือบุคคลในหน่วยงานที่ขาดคุณสมบัติจะเป็นสมาชิกเท่านั้น เพื่อป้องกันการระดมทุนจากภายนอก และยังมีการกําหนดให้สหกรณ์เปิดเผยข้อมูลผลประโยชน์และค่าตอบแทนของกรรมการดําเนินการและผู้จัดการต่อที่ประชุมใหญ่ เพื่อให้สมาชิกทราบ และให้สหกรณ์รายงานผลการดําเนินธุรกรรมของสหกรณ์เป็นรายเดือนให้กรมส่งเสริมสหกรณ์รับทราบเป็นระยะๆ เพื่อให้กรมฯสามารถตรวจสอบและติดตามการดําเนินงานของสหกรณ์ได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นข้อมูลในการบริหารความเสี่ยงของสหกรณ์ ป้องกันการเกิดปัญหาทุจริตภายในสหกรณ์หรือการแก้ไขปัญหาที่อาจจะล่าช้าจนส่งผลทําให้เกิดความเสียหายในวงกว้างได้ ทั้งนี้ กรมส่งเสริมสหกรณ์จะเปิดรับฟังความเห็นเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ข้างต้น และขอเชิญชวนผู้แทนและสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ร่วมแสดงความคิดเห็นในวันที่ 18 พฤษภาคม 2560 พร้อมกันนี้ กรมฯจะเปิดรับฟังความคิดเห็น ร่างพระราชบัญญัติสหกรณ์ ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2560 ผ่านเว็บไซต์ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ และจะนําหลักเกณฑ์มาบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2560 เป็นต้นไป กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3502
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานกิจกรรมจิตอาสา พัฒนาสิ่งแวดล้อม และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ รัชกาลที่ 9
วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม 2562 นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานกิจกรรมจิตอาสา พัฒนาสิ่งแวดล้อม และบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ รัชกาลที่ 9 นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานกิจกรรมจิตอาสา พัฒนาสิ่งแวดล้อมและบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพรัชกาลที่ 9 ขอให้ร่วมกันทําความดี เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และมีความสามัคคีเดินหน้าไปด้วยกัน วันนี้ (5 ธันวาคม 2562) เวลา 09.30 น. ณ บริเวณท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นประธานกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อมและบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมีรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี คู่สมรสคณะรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ และประชาชนจิตอาสา เข้าร่วมงาน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ความว่า ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ในวันนี้ ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ข้าราชการ และ ประชาชนจิตอาสา ที่ได้มาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียงด้วยความจงรักภักดี ณ ที่แห่งนี้ ต่างร่วมใจกัน จัดกิจกรรมจิตอาสาถวายพระราชกุศลเพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาสุดมิได้ ตลอดรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระองค์ได้ทรงทุ่มเทกําลังพระวรกายและพระสติปัญญาปฏิบัติพระราชกรณียกิจนับเป็นอเนกประการเพื่อธํารงไว้ซึ่งประโยชน์สุขของเหล่าพสกนิกรทั่วราชอาณาจักร ทรงศึกษาศาสตร์แขนงต่าง ๆ อย่างถ่องแท้ และด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล ได้พระราชทานแนวทางในการแก้ไขปัญหาด้านต่าง ๆ ที่เป็นเหตุแห่งความทุกข์ยากของประชาราษฎร เช่น ด้านการสาธารณสุข การเกษตร ซึ่งรวมทั้งการพัฒนาทรัพยากรดินและน้ําให้มีความอุดมสมบูรณ์ พระราชทานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อให้เป็นรากฐานในการดํารงชีวิตและสร้างความผาสุกร่มเย็นแก่ปวงพสกนิกรทั่วราชอาณาจักร จวบจนรัชสมัยแห่งใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปวงข้าพระพุทธเจ้าต่างประจักษ์และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่พระราชทาน “โครงการจิตอาสาพระราชทาน” โดยรัฐบาลได้น้อมนําแนวทางพระราชทานมาจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ประชาชนทุกหมู่เหล่ามีส่วนร่วมในการทํากิจกรรมอันเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ ได้แสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทิตา และถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ด้วยสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงมีต่อเหล่าปวงชนชาวไทย ปวงข้าพระพุทธเจ้าขอสืบสานพระราชปณิธานด้วยความจงรักภักดี และขอพระราชทานถวายพระพรชัยมงคล น้อมอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากล ตลอดจนพระบรมเดชานุภาพแห่งบุรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ โปรดอภิบาลบันดาลดลให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงเจริญพร้อมจตุรพิธพรชัย ทรงพระเกษมสําราญ สถิตเป็นมิ่งขวัญร่มเกล้าปวงข้าพระพุทธเจ้าและเหล่าพสกนิกรตราบกาลนิรันดร์ เทอญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ จากนั้นนายกรัฐมนตรี ชมนิทรรศการ 5 ธันวาคม วันดินโลก ของกรมพัฒนาที่ดิน กระบวนการแปรรูปผักตบชวาของสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมทําดินปุ๋ยหมักผักตบชวา ร่วมกับคณะรัฐมนตรี และแจกจ่ายดินปุ๋ยให้แต่ละหน่วยงาน นําไปบํารุงต้นไม้ และนําดินปุ๋ยไปบํารุงต้นมะขาม รอบบริเวณท้องสนามหลวง โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่าให้ร่วมกันทําความดี เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มีความสามัคคีเดินหน้าไปด้วยกัน ต่อจากนั้น ชมนิทรรศการอนุรักษ์ดิน กระบวนการทําดินปุ๋ย จากการสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โดยกล่าวให้กําลังใจนักศึกษาอาชีวะว่า เป็นกําลังสําคัญของชาติ ขอให้รักและสามัคคีขอให้นําความรู้ช่วยเหลือสังคม และเยี่ยมชมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อมและบริการประชาชนบริเวณ “ชุมชนต้นแบบแห่งความดี วิถีไทยในแบบพ่อ” จากจังหวัดปัตตานี นครศรีธรรมราช สงขลา ภูเก็ต เสร็จกิจกรรมนายกรัฐมนตรีและภริยาเดินทางกลับ ----------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานกิจกรรมจิตอาสา พัฒนาสิ่งแวดล้อม และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ รัชกาลที่ 9 วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม 2562 นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานกิจกรรมจิตอาสา พัฒนาสิ่งแวดล้อม และบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ รัชกาลที่ 9 นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานกิจกรรมจิตอาสา พัฒนาสิ่งแวดล้อมและบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพรัชกาลที่ 9 ขอให้ร่วมกันทําความดี เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และมีความสามัคคีเดินหน้าไปด้วยกัน วันนี้ (5 ธันวาคม 2562) เวลา 09.30 น. ณ บริเวณท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นประธานกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อมและบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมีรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี คู่สมรสคณะรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ และประชาชนจิตอาสา เข้าร่วมงาน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ความว่า ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ในวันนี้ ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ข้าราชการ และ ประชาชนจิตอาสา ที่ได้มาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียงด้วยความจงรักภักดี ณ ที่แห่งนี้ ต่างร่วมใจกัน จัดกิจกรรมจิตอาสาถวายพระราชกุศลเพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาสุดมิได้ ตลอดรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระองค์ได้ทรงทุ่มเทกําลังพระวรกายและพระสติปัญญาปฏิบัติพระราชกรณียกิจนับเป็นอเนกประการเพื่อธํารงไว้ซึ่งประโยชน์สุขของเหล่าพสกนิกรทั่วราชอาณาจักร ทรงศึกษาศาสตร์แขนงต่าง ๆ อย่างถ่องแท้ และด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล ได้พระราชทานแนวทางในการแก้ไขปัญหาด้านต่าง ๆ ที่เป็นเหตุแห่งความทุกข์ยากของประชาราษฎร เช่น ด้านการสาธารณสุข การเกษตร ซึ่งรวมทั้งการพัฒนาทรัพยากรดินและน้ําให้มีความอุดมสมบูรณ์ พระราชทานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อให้เป็นรากฐานในการดํารงชีวิตและสร้างความผาสุกร่มเย็นแก่ปวงพสกนิกรทั่วราชอาณาจักร จวบจนรัชสมัยแห่งใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปวงข้าพระพุทธเจ้าต่างประจักษ์และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่พระราชทาน “โครงการจิตอาสาพระราชทาน” โดยรัฐบาลได้น้อมนําแนวทางพระราชทานมาจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ประชาชนทุกหมู่เหล่ามีส่วนร่วมในการทํากิจกรรมอันเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ ได้แสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทิตา และถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ด้วยสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงมีต่อเหล่าปวงชนชาวไทย ปวงข้าพระพุทธเจ้าขอสืบสานพระราชปณิธานด้วยความจงรักภักดี และขอพระราชทานถวายพระพรชัยมงคล น้อมอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากล ตลอดจนพระบรมเดชานุภาพแห่งบุรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ โปรดอภิบาลบันดาลดลให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงเจริญพร้อมจตุรพิธพรชัย ทรงพระเกษมสําราญ สถิตเป็นมิ่งขวัญร่มเกล้าปวงข้าพระพุทธเจ้าและเหล่าพสกนิกรตราบกาลนิรันดร์ เทอญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ จากนั้นนายกรัฐมนตรี ชมนิทรรศการ 5 ธันวาคม วันดินโลก ของกรมพัฒนาที่ดิน กระบวนการแปรรูปผักตบชวาของสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมทําดินปุ๋ยหมักผักตบชวา ร่วมกับคณะรัฐมนตรี และแจกจ่ายดินปุ๋ยให้แต่ละหน่วยงาน นําไปบํารุงต้นไม้ และนําดินปุ๋ยไปบํารุงต้นมะขาม รอบบริเวณท้องสนามหลวง โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่าให้ร่วมกันทําความดี เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มีความสามัคคีเดินหน้าไปด้วยกัน ต่อจากนั้น ชมนิทรรศการอนุรักษ์ดิน กระบวนการทําดินปุ๋ย จากการสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โดยกล่าวให้กําลังใจนักศึกษาอาชีวะว่า เป็นกําลังสําคัญของชาติ ขอให้รักและสามัคคีขอให้นําความรู้ช่วยเหลือสังคม และเยี่ยมชมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อมและบริการประชาชนบริเวณ “ชุมชนต้นแบบแห่งความดี วิถีไทยในแบบพ่อ” จากจังหวัดปัตตานี นครศรีธรรมราช สงขลา ภูเก็ต เสร็จกิจกรรมนายกรัฐมนตรีและภริยาเดินทางกลับ ----------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25042
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ดีเดย์จิตอาสาปราบยุงลายทั่วไทย
วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม 2562 สธ.ดีเดย์จิตอาสาปราบยุงลายทั่วไทย กระทรวงสาธารณสุข ดีเดย์นําชาวสาธารณสุขทั่วประเทศ ร่วมทํากิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อม กําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ลดโรคไข้เลือดออก “ทําความดีด้วยหัวใจ” ตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร วันนี้ (22 สิงหาคม 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมทางไกล (VDO Conference) นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อํานวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปทุกจังหวัด เกี่ยวกับมาตรการป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออก พร้อมเปิดโครงการจิตอาสา “ทําความดีด้วยหัวใจ” เพื่อประโยชน์ด้านสาธารณสุขและประชาชน ตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ด้วยกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อม กําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ลดโรคไข้เลือดออก นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ดําเนินการป้องกันการเกิดโรคไข้เลือดออกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยความร่วมมือจากประชาชนทุกภาคส่วนในการกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายซึ่งเป็นสาเหตุของโรค นอกจากนี้ศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. เห็นชอบให้บูรณาการกิจกรรม “จิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อม กําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย” เป็นกิจกรรมหนึ่งในการดําเนินงานของจิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. ภายใต้โครงการหน่วยพระราชทานและประชาชนจิตอาสา “เราทําความดี ด้วยหัวใจ” ในวันนี้ ได้นําจิตอาสาร่วมกันจัดการสิ่งแวดล้อมพร้อมกันทุกจังหวัด ดําเนินการอย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์ โดยมีกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ กําจัดลูกน้ํา ทําลายแหล่งเพาะพันธุ์ ทั้งภายในและภายนอกสถานที่ของบ้าน วัด โรงเรียน โรงแรม โรงงาน โรงพยาบาล และสถานที่ราชการ นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงฤดูฝนทําให้มีการระบาดของโรคไข้เลือดออกในหลายพื้นที่ ได้สั่งการให้ทุกจังหวัดดําเนินการตามมาตรการที่กําหนด โดยเปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) ในจังหวัดที่มีการระบาด เน้นการป้องกันโดยให้บุคลากรสาธารณสุข อสม. ให้ความรู้ประชาชนดูแลป้องกันตนเองและครอบครัวไม่ให้ยุงกัด ดูแลกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในบ้านและชุมชน หากมีไข้ 2 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้นให้รีบมาโรงพยาบาล ขอความร่วมมือคลินิกและร้านขายยาไม่จ่ายยาแก้ปวดลดไข้กลุ่มเอนเสดแก่ผู้ป่วยที่สงสัยอาจป่วยเป็นไข้เลือดออก นอกจากนี้ ได้ให้กรมการแพทย์จัดทําเกณฑ์รักษา–การส่งต่อผู้ป่วยที่ชัดเจน จัดอบรมแพทย์ จัดแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้คําปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง “สถานการณ์ไข้เลือดออกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีแนวโน้มพบผู้ป่วยเพิ่มสูงจากปีที่ผ่านมา 2-3 เท่า สําหรับประเทศไทยล่าสุดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2562 พบผู้ป่วย 69,055 ราย เสียชีวิต 75 ราย โดยพบมากในกลุ่มอายุ 5 – 14 ปี หากไม่ร่วมมือกันดําเนินการอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง คาดว่าปีนี้จะพบผู้ป่วยสูงกว่าแสนราย ขอให้ทุกคนร่วมมือกันกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายทุกสัปดาห์ตามมาตรการ 3 เก็บ 3 โรค ซึ่งจะช่วยลดจํานวนผู้ป่วยลงได้” นายแพทย์สุขุมกล่าว ********************************** 22 สิงหาคม 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ดีเดย์จิตอาสาปราบยุงลายทั่วไทย วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม 2562 สธ.ดีเดย์จิตอาสาปราบยุงลายทั่วไทย กระทรวงสาธารณสุข ดีเดย์นําชาวสาธารณสุขทั่วประเทศ ร่วมทํากิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อม กําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ลดโรคไข้เลือดออก “ทําความดีด้วยหัวใจ” ตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร วันนี้ (22 สิงหาคม 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมทางไกล (VDO Conference) นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อํานวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปทุกจังหวัด เกี่ยวกับมาตรการป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออก พร้อมเปิดโครงการจิตอาสา “ทําความดีด้วยหัวใจ” เพื่อประโยชน์ด้านสาธารณสุขและประชาชน ตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ด้วยกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อม กําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ลดโรคไข้เลือดออก นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ดําเนินการป้องกันการเกิดโรคไข้เลือดออกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยความร่วมมือจากประชาชนทุกภาคส่วนในการกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายซึ่งเป็นสาเหตุของโรค นอกจากนี้ศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. เห็นชอบให้บูรณาการกิจกรรม “จิตอาสาพัฒนาสิ่งแวดล้อม กําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย” เป็นกิจกรรมหนึ่งในการดําเนินงานของจิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. ภายใต้โครงการหน่วยพระราชทานและประชาชนจิตอาสา “เราทําความดี ด้วยหัวใจ” ในวันนี้ ได้นําจิตอาสาร่วมกันจัดการสิ่งแวดล้อมพร้อมกันทุกจังหวัด ดําเนินการอย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์ โดยมีกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ กําจัดลูกน้ํา ทําลายแหล่งเพาะพันธุ์ ทั้งภายในและภายนอกสถานที่ของบ้าน วัด โรงเรียน โรงแรม โรงงาน โรงพยาบาล และสถานที่ราชการ นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงฤดูฝนทําให้มีการระบาดของโรคไข้เลือดออกในหลายพื้นที่ ได้สั่งการให้ทุกจังหวัดดําเนินการตามมาตรการที่กําหนด โดยเปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) ในจังหวัดที่มีการระบาด เน้นการป้องกันโดยให้บุคลากรสาธารณสุข อสม. ให้ความรู้ประชาชนดูแลป้องกันตนเองและครอบครัวไม่ให้ยุงกัด ดูแลกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในบ้านและชุมชน หากมีไข้ 2 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้นให้รีบมาโรงพยาบาล ขอความร่วมมือคลินิกและร้านขายยาไม่จ่ายยาแก้ปวดลดไข้กลุ่มเอนเสดแก่ผู้ป่วยที่สงสัยอาจป่วยเป็นไข้เลือดออก นอกจากนี้ ได้ให้กรมการแพทย์จัดทําเกณฑ์รักษา–การส่งต่อผู้ป่วยที่ชัดเจน จัดอบรมแพทย์ จัดแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้คําปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง “สถานการณ์ไข้เลือดออกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีแนวโน้มพบผู้ป่วยเพิ่มสูงจากปีที่ผ่านมา 2-3 เท่า สําหรับประเทศไทยล่าสุดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2562 พบผู้ป่วย 69,055 ราย เสียชีวิต 75 ราย โดยพบมากในกลุ่มอายุ 5 – 14 ปี หากไม่ร่วมมือกันดําเนินการอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง คาดว่าปีนี้จะพบผู้ป่วยสูงกว่าแสนราย ขอให้ทุกคนร่วมมือกันกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายทุกสัปดาห์ตามมาตรการ 3 เก็บ 3 โรค ซึ่งจะช่วยลดจํานวนผู้ป่วยลงได้” นายแพทย์สุขุมกล่าว ********************************** 22 สิงหาคม 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22438
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-งานสัมมนา ASA Real Estate Forum 2018 ภายใต้แนวคิด “ปรับบ้าน ปรุงเมือง Redefined Habitat”
วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 งานสัมมนา ASA Real Estate Forum 2018 ภายใต้แนวคิด “ปรับบ้าน ปรุงเมือง Redefined Habitat” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในงานสัมมนา ASA Real Estate Forum 2018 ภายใต้แนวคิด “ปรับบ้าน ปรุงเมือง Redefined Habitat” ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิร์ด วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในงานสัมมนา ASA Real Estate Forum 2018 ภายใต้แนวคิด “ปรับบ้าน ปรุงเมือง Redefined Habitat” พร้อมปาฐกถา เรื่อง Thailand, Junction of the world ประเทศไทยขั้วเศรษฐกิจแห่งใหม่ของโลก ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิร์ด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-งานสัมมนา ASA Real Estate Forum 2018 ภายใต้แนวคิด “ปรับบ้าน ปรุงเมือง Redefined Habitat” วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 งานสัมมนา ASA Real Estate Forum 2018 ภายใต้แนวคิด “ปรับบ้าน ปรุงเมือง Redefined Habitat” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในงานสัมมนา ASA Real Estate Forum 2018 ภายใต้แนวคิด “ปรับบ้าน ปรุงเมือง Redefined Habitat” ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิร์ด วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในงานสัมมนา ASA Real Estate Forum 2018 ภายใต้แนวคิด “ปรับบ้าน ปรุงเมือง Redefined Habitat” พร้อมปาฐกถา เรื่อง Thailand, Junction of the world ประเทศไทยขั้วเศรษฐกิจแห่งใหม่ของโลก ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิร์ด
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9972
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ส่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา อาชีวเวชศาสตร์ และพิษวิทยา ร่วมหาสาเหตุการป่วยผู้ต้องขังที่เรือนจำกันทรลักษ์
วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม 2560 สธ.ส่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา อาชีวเวชศาสตร์ และพิษวิทยา ร่วมหาสาเหตุการป่วยผู้ต้องขังที่เรือนจํากันทรลักษ์ กระทรวงสาธารณสุข ส่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา อาชีวเวชศาสตร์และพิษวิทยาจากส่วนกลาง ร่วมหาสาเหตุการเจ็บป่วยของผู้ต้องขังในเรือนจํากันทรลักษ์ กระทรวงสาธารณสุข ส่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา อาชีวเวชศาสตร์และพิษวิทยาจากส่วนกลาง ร่วมหาสาเหตุการเจ็บป่วยของผู้ต้องขังในเรือนจํากันทรลักษ์ โดยในวันนี้ได้ส่งทีมแพทย์เข้าคัดกรองผู้ป่วยและให้การรักษาตามอาการ ขณะนี้นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล2ราย วันนี้ (14 ธันวาคม 2560) นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์กรณีผู้ต้องขังในเรือนจํากันทรลักษ์จ.ศรีสะเกษ ป่วยด้วยอาการแขนขาอ่อนแรง ปวดศีรษะ ปวดท้ายทอย ใจสั่น มือสั่นและมีผู้เสียชีวิต ว่า ในวันนี้ได้ส่งผู้ตรวจราชการกระทรวงเขตสุขภาพที่10ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานด้านการรักษาพยาบาลและสอบสวนควบคุมโรคโดยมีทีมแพทย์จากโรงพยาบาลกันทรลักษ์ โรงพยาบาลศรีษะเกษ ทีมสอบสวนโรคจากสํานักงานควบคุมป้องกันโรคที่10และสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษร่วมกันตรวจคัดกรองผู้ต้องขังในเรือนจําที่มีอาการเจ็บป่วย เก็บตัวอย่างน้ําดื่มน้ําใช้ ตรวจหาโลหะหนักในเลือดและปัสสาวะ ตรวจหาสารหนูในตัวอย่างอาหารสด/ อาหารปรุง / อาเจียน/ อุจจาระ รวมทั้งตรวจหาระดับวิตามินบี1ในเลือด โดยส่งตัวอย่างที่เก็บทั้งหมดไปตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จะเร่งรัดให้ได้ผลโดยเร็ว นอกจากนี้ ได้ส่งทีมสุขภาพจิต จากกรมสุขภาพจิตเข้าไปดูแลควบคู่ไปด้วย โดยอาการเจ็บป่วยที่พบคือ แขนขาอ่อนแรง ปวดศีรษะ ปวดท้ายทอย ใจสั่น มือสั่น เบื้องต้นได้ให้การรักษาตามอาการ และฉีดวิตามินบีให้ผู้ต้องขังจํานวน800ราย พร้อมแนะนําให้ผู้ดูแลเรือนจําเข้มงวดเรื่องความสะอาดของน้ําดื่มน้ําใช้ และให้เติมปริมาณคลอรีนในน้ําดื่มน้ําใช้ตามมาตรฐาน ขณะนี้มีผู้ป่วยต้องนอนรักษาในโรงพยาบาล2รายที่โรงพยาบาลกันทรลักษ์และโรงพยาบาลศรีสะเกษ ในส่วนผู้เสียชีวิต 2 ราย อยู่ระหว่างการชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิต “เนื่องจากการเจ็บป่วยของผู้ต้องขังในครั้งนี้ มีจํานวนผู้ป่วยค่อนข้างมาก และการอยู่รวมกันในที่จํากัด หากป่วยด้วยโรคติดต่อเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดได้ง่าย หรือหากเป็นโรคที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมก็จะพบการเจ็บป่วยด้วยโรคเดียวกันได้ ดังนั้นเพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ซ้ําได้ส่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา อาชีวเวชศาสตร์ จากกรมควบคุมโรคและโรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี รวมทั้งเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านพิษวิทยาจากโรงพยาบาลรามาธิบดี เข้าร่วมสอบสวนหาสาเหตุการป่วยและเสียชีวิตต่อไป”นายแพทย์เจษฎา กล่าว ****************************** 14ธันวาคม 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ส่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา อาชีวเวชศาสตร์ และพิษวิทยา ร่วมหาสาเหตุการป่วยผู้ต้องขังที่เรือนจำกันทรลักษ์ วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม 2560 สธ.ส่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา อาชีวเวชศาสตร์ และพิษวิทยา ร่วมหาสาเหตุการป่วยผู้ต้องขังที่เรือนจํากันทรลักษ์ กระทรวงสาธารณสุข ส่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา อาชีวเวชศาสตร์และพิษวิทยาจากส่วนกลาง ร่วมหาสาเหตุการเจ็บป่วยของผู้ต้องขังในเรือนจํากันทรลักษ์ กระทรวงสาธารณสุข ส่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา อาชีวเวชศาสตร์และพิษวิทยาจากส่วนกลาง ร่วมหาสาเหตุการเจ็บป่วยของผู้ต้องขังในเรือนจํากันทรลักษ์ โดยในวันนี้ได้ส่งทีมแพทย์เข้าคัดกรองผู้ป่วยและให้การรักษาตามอาการ ขณะนี้นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล2ราย วันนี้ (14 ธันวาคม 2560) นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์กรณีผู้ต้องขังในเรือนจํากันทรลักษ์จ.ศรีสะเกษ ป่วยด้วยอาการแขนขาอ่อนแรง ปวดศีรษะ ปวดท้ายทอย ใจสั่น มือสั่นและมีผู้เสียชีวิต ว่า ในวันนี้ได้ส่งผู้ตรวจราชการกระทรวงเขตสุขภาพที่10ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานด้านการรักษาพยาบาลและสอบสวนควบคุมโรคโดยมีทีมแพทย์จากโรงพยาบาลกันทรลักษ์ โรงพยาบาลศรีษะเกษ ทีมสอบสวนโรคจากสํานักงานควบคุมป้องกันโรคที่10และสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษร่วมกันตรวจคัดกรองผู้ต้องขังในเรือนจําที่มีอาการเจ็บป่วย เก็บตัวอย่างน้ําดื่มน้ําใช้ ตรวจหาโลหะหนักในเลือดและปัสสาวะ ตรวจหาสารหนูในตัวอย่างอาหารสด/ อาหารปรุง / อาเจียน/ อุจจาระ รวมทั้งตรวจหาระดับวิตามินบี1ในเลือด โดยส่งตัวอย่างที่เก็บทั้งหมดไปตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จะเร่งรัดให้ได้ผลโดยเร็ว นอกจากนี้ ได้ส่งทีมสุขภาพจิต จากกรมสุขภาพจิตเข้าไปดูแลควบคู่ไปด้วย โดยอาการเจ็บป่วยที่พบคือ แขนขาอ่อนแรง ปวดศีรษะ ปวดท้ายทอย ใจสั่น มือสั่น เบื้องต้นได้ให้การรักษาตามอาการ และฉีดวิตามินบีให้ผู้ต้องขังจํานวน800ราย พร้อมแนะนําให้ผู้ดูแลเรือนจําเข้มงวดเรื่องความสะอาดของน้ําดื่มน้ําใช้ และให้เติมปริมาณคลอรีนในน้ําดื่มน้ําใช้ตามมาตรฐาน ขณะนี้มีผู้ป่วยต้องนอนรักษาในโรงพยาบาล2รายที่โรงพยาบาลกันทรลักษ์และโรงพยาบาลศรีสะเกษ ในส่วนผู้เสียชีวิต 2 ราย อยู่ระหว่างการชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิต “เนื่องจากการเจ็บป่วยของผู้ต้องขังในครั้งนี้ มีจํานวนผู้ป่วยค่อนข้างมาก และการอยู่รวมกันในที่จํากัด หากป่วยด้วยโรคติดต่อเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดได้ง่าย หรือหากเป็นโรคที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมก็จะพบการเจ็บป่วยด้วยโรคเดียวกันได้ ดังนั้นเพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ซ้ําได้ส่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา อาชีวเวชศาสตร์ จากกรมควบคุมโรคและโรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี รวมทั้งเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านพิษวิทยาจากโรงพยาบาลรามาธิบดี เข้าร่วมสอบสวนหาสาเหตุการป่วยและเสียชีวิตต่อไป”นายแพทย์เจษฎา กล่าว ****************************** 14ธันวาคม 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8767
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบทุนการศึกษาให้กับเยาวชนในกิจกรรม “ทางด่วนเพื่อเยาวชน” ประจำปี 2560
วันพุธที่ 17 พฤษภาคม 2560 การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบทุนการศึกษาให้กับเยาวชนในกิจกรรม “ทางด่วนเพื่อเยาวชน” ประจําปี 2560 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม จัดกิจกรรม “ทางด่วนเพื่อเยาวชน” ประจําปี 2560 มอบทุนการศึกษาให้กับเยาวชนในชุมชนและโรงเรียนบริเวณแนวเขตทางพิเศษ จํานวน 40 ทุน เป็นเงินทั้งสิ้น 400,000 บาท เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของเยาวชนที่ขาดแคลน ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง และสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อโรงเรียนและชุมชนในบริเวณแนวเขตทางพิเศษ นายณรงค์ เขียดเดช ผู้ว่าการ กทพ. เป็นประธานในพิธีมอบทุนการศึกษาตามกิจกรรม “ทางด่วนเพื่อเยาวชน” ประจําปี 2560 ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2560 ณ ห้องประชุม กทพ. สํานักงานจตุจักร โดยมีผู้บริหาร และพนักงาน กทพ. ร่วมในพิธี นายณรงค์ เขียดเดช กล่าวว่า กทพ. ได้จัดกิจกรรม “ทางด่วนเพื่อเยาวชน” โดยมอบทุนการศึกษาให้กับเยาวชนในชุมชนหรือโรงเรียนบริเวณแนวเขตทางพิเศษตั้งแต่ปี 2545 ด้วยตระหนักถึงความสําคัญของการศึกษาที่จะช่วยพัฒนาให้เยาวชนเติบโตอย่างมีคุณภาพ และเป็นกําลังสําคัญของชาติในอนาคต สําหรับปี 2560 ได้มอบทุนการศึกษา จํานวน 40 ทุน ทุนละ 10,000 บาท เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 400,000 บาท ประกอบด้วย ชุมชนเกาะกลาง ชุมชนคลองเตยใน 1 ชุมชนสวนอ้อย ชุมชนล็อค 4 - 5 - 6 ชุมชนกรุงเทพพัฒนา ชุมชนวัดไผ่เงิน ชุมชนเมืองอยู่ดี ชุมชนวัดมหาพฤฒาราม ชุมชนพัฒนาบ่อนไก่ ชุมชนตรอกสลักหิน ชุมชนวัดดวงแข ชุมชนวัดมะกอกส่วนหน้า ชุมชนบ้านครัวใต้ ชุมชนวัดมะกอกกลางสวน ชุมชนมิตรไมตรี 1 - 2 ชุมชนหลังวัดมักกะสัน ชุมชนสระแก้ว ชุมชนโค้งรถไฟยมราช ชุมชนบ้านแบบ ชุมชนมั่นสิน ชุมชนริมทางรถไฟหลังกรมทางหลวง ชุมชนร่วมพัฒนาวรพจน์ 1 ชุมชนบ้านครัวตะวันตก ชุมชนโรงน้ําแข็ง ชุมชนวัดบัวขวัญ ชุมชนดอนกุศลร่วมใจ ชุมชนบึงพระราม 9 ชุมชนบึงพระราม 9 พัฒนา ชุมชนบ้านเอื้ออาทร โซน 1, 2 โรงเรียนวัดบัวขวัญ โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม โรงเรียนวัดพระยายัง โรงเรียนพระแม่มารี โรงเรียนประถมนนทรี โรงเรียนวัดชัยมงคล โรงเรียนอมันนฤมิต โรงเรียนคลองเกลือ โรงเรียนสมาคมสตรีไทย และศูนย์พัฒนาเด็กอ่อนก่อนวัยเรียนริมทางรถไฟมักกะสัน ทั้งนี้ กทพ. จะมอบทุนการศึกษาตามกิจกรรม “ทางด่วนเพื่อเยาวชน” อย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อแบ่งเบาภาระให้กับผู้ปกครอง ตลอดจนช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่าง กทพ. กับชุมชนและโรงเรียนในบริเวณแนวเขตทางพิเศษ อันจะนําไปสู่การให้ความร่วมมือในการเฝ้าระวังการบุกรุก การระวังเหตุร้าย อัคคีภัย รวมถึงการรักษาสภาพแวดล้อมและความสะอาดในพื้นที่เขตทางพิเศษ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบทุนการศึกษาให้กับเยาวชนในกิจกรรม “ทางด่วนเพื่อเยาวชน” ประจำปี 2560 วันพุธที่ 17 พฤษภาคม 2560 การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมอบทุนการศึกษาให้กับเยาวชนในกิจกรรม “ทางด่วนเพื่อเยาวชน” ประจําปี 2560 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม จัดกิจกรรม “ทางด่วนเพื่อเยาวชน” ประจําปี 2560 มอบทุนการศึกษาให้กับเยาวชนในชุมชนและโรงเรียนบริเวณแนวเขตทางพิเศษ จํานวน 40 ทุน เป็นเงินทั้งสิ้น 400,000 บาท เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของเยาวชนที่ขาดแคลน ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง และสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อโรงเรียนและชุมชนในบริเวณแนวเขตทางพิเศษ นายณรงค์ เขียดเดช ผู้ว่าการ กทพ. เป็นประธานในพิธีมอบทุนการศึกษาตามกิจกรรม “ทางด่วนเพื่อเยาวชน” ประจําปี 2560 ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2560 ณ ห้องประชุม กทพ. สํานักงานจตุจักร โดยมีผู้บริหาร และพนักงาน กทพ. ร่วมในพิธี นายณรงค์ เขียดเดช กล่าวว่า กทพ. ได้จัดกิจกรรม “ทางด่วนเพื่อเยาวชน” โดยมอบทุนการศึกษาให้กับเยาวชนในชุมชนหรือโรงเรียนบริเวณแนวเขตทางพิเศษตั้งแต่ปี 2545 ด้วยตระหนักถึงความสําคัญของการศึกษาที่จะช่วยพัฒนาให้เยาวชนเติบโตอย่างมีคุณภาพ และเป็นกําลังสําคัญของชาติในอนาคต สําหรับปี 2560 ได้มอบทุนการศึกษา จํานวน 40 ทุน ทุนละ 10,000 บาท เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 400,000 บาท ประกอบด้วย ชุมชนเกาะกลาง ชุมชนคลองเตยใน 1 ชุมชนสวนอ้อย ชุมชนล็อค 4 - 5 - 6 ชุมชนกรุงเทพพัฒนา ชุมชนวัดไผ่เงิน ชุมชนเมืองอยู่ดี ชุมชนวัดมหาพฤฒาราม ชุมชนพัฒนาบ่อนไก่ ชุมชนตรอกสลักหิน ชุมชนวัดดวงแข ชุมชนวัดมะกอกส่วนหน้า ชุมชนบ้านครัวใต้ ชุมชนวัดมะกอกกลางสวน ชุมชนมิตรไมตรี 1 - 2 ชุมชนหลังวัดมักกะสัน ชุมชนสระแก้ว ชุมชนโค้งรถไฟยมราช ชุมชนบ้านแบบ ชุมชนมั่นสิน ชุมชนริมทางรถไฟหลังกรมทางหลวง ชุมชนร่วมพัฒนาวรพจน์ 1 ชุมชนบ้านครัวตะวันตก ชุมชนโรงน้ําแข็ง ชุมชนวัดบัวขวัญ ชุมชนดอนกุศลร่วมใจ ชุมชนบึงพระราม 9 ชุมชนบึงพระราม 9 พัฒนา ชุมชนบ้านเอื้ออาทร โซน 1, 2 โรงเรียนวัดบัวขวัญ โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม โรงเรียนวัดพระยายัง โรงเรียนพระแม่มารี โรงเรียนประถมนนทรี โรงเรียนวัดชัยมงคล โรงเรียนอมันนฤมิต โรงเรียนคลองเกลือ โรงเรียนสมาคมสตรีไทย และศูนย์พัฒนาเด็กอ่อนก่อนวัยเรียนริมทางรถไฟมักกะสัน ทั้งนี้ กทพ. จะมอบทุนการศึกษาตามกิจกรรม “ทางด่วนเพื่อเยาวชน” อย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อแบ่งเบาภาระให้กับผู้ปกครอง ตลอดจนช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่าง กทพ. กับชุมชนและโรงเรียนในบริเวณแนวเขตทางพิเศษ อันจะนําไปสู่การให้ความร่วมมือในการเฝ้าระวังการบุกรุก การระวังเหตุร้าย อัคคีภัย รวมถึงการรักษาสภาพแวดล้อมและความสะอาดในพื้นที่เขตทางพิเศษ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3788
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. กำหนดนโยบายปี 2563 เน้น 6 เรื่องสำคัญ ช่วยลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ประชาชนแข็งแรง ทำให้เศรษฐกิจของประเทศแข็งแรง
วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน 2562 สธ. กําหนดนโยบายปี 2563 เน้น 6 เรื่องสําคัญ ช่วยลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ประชาชนแข็งแรง ทําให้เศรษฐกิจของประเทศแข็งแรง กระทรวงสาธารณสุข กําหนดนโยบายปี 2563 เน้น 6 เรื่องสําคัญ การป้องกันควบคุมวัณโรค การใช้ยาอย่างสมเหตุผล พัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ ลดแออัด ลดรอคอยในโรงพยาบาล การเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ และพัฒนางานวิจัย นวัตกรรมด้านสุขภาพ ช่วยลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ประชาชนแข็ง กระทรวงสาธารณสุข กําหนดนโยบายปี 2563 เน้น 6 เรื่องสําคัญ การป้องกันควบคุมวัณโรค การใช้ยาอย่างสมเหตุผล พัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ ลดแออัด ลดรอคอยในโรงพยาบาล การเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ และพัฒนางานวิจัย นวัตกรรมด้านสุขภาพ ช่วยลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ประชาชนแข็งแรง ทําให้เศรษฐกิจของประเทศแข็งแรง วันนี้ (6 พฤศจิกายน 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีลงนามคํารับรองการปฏิบัติงาน (Performance Agreement : PA) ประจําปี 2563 ระหว่างปลัดกระทรวงสาธารณสุข รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดี กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทําคํารับรองการปฏิบัติงาน รวม 10 ประเด็น 31 ตัวชี้วัด ให้หน่วยงานในสังกัดนําไปเป็นแนวทางการดําเนินงาน เน้นหนักใน 6 เรื่องสําคัญดังนี้ 1.การควบคุมป้องกันวัณโรค ให้มีอัตราความสําเร็จในการรักษาผู้ป่วยวัณโรคปอดรายใหม่มากกว่าร้อยละ 85 2.มีการจัดการภัยคุกคามความมั่นคงทางสุขภาพ โดยให้มีการดําเนินการใช้ยาอย่างสมเหตุผล(RDU)ขั้นที่ 2 ร้อยละ 60 ขั้นที่ 3 ร้อยละ 20 ตลอดจนมีการจัดระบบการใช้ยาอย่างสมเหตุอย่างน้อยจังหวัดละ 1 อําเภอ และให้มีระบบการจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพอย่างบูรณาการ ลดการติดเชื้อดื้อยาในกระแสเลือดลงร้อยละ 7.50 3.พัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิ โดยร้อยละ 70 ของอําเภอผ่านเกณฑ์การประเมินการพัฒนาคุณภาพชีวิตทีมีคุณภาพ พัฒนา อสม.80,000 คน เป็น อสม.หมอประจําบ้าน และร้อยละ 75 ของ รพ.สต.ผ่านเกณฑ์พัฒนาคุณภาพรพ.สต.ติดดาว 4.ลดแออัด ลดรอคอยในโรงพยาบาล โดยร้อยละ 80 ของโรงพยาบาลจะต้องมีระบบนัดคิวออนไลน์ ร้อยละ 80 ของโรงพยาบาลศูนย์ 34 แห่งผ่านเกณฑ์ห้องฉุกเฉิน (ER) คุณภาพ 5.มีคลินิกให้บริการกัญชาทางการแพทย์นําร่องอย่างน้อยเขตสุขภาพละ 1 แห่ง เพื่อการเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ และ6.ทุกเขตสุขภาพต้องมีการพัฒนาระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ นายอนุทินกล่าวต่อว่า การจัดทําคํารับรองการปฏิบัติงาน หรือ PA เป็นหัวใจของการบริหารงาน ช่วยให้รู้เป้าหมายในการทํางานร่วมกัน เป็นข้อตกลงของทั้ง 2 ฝ่ายที่จะทํางานร่วมกันให้บรรลุเป้าหมายที่กําหนดไว้ เน้นการบริหารจัดการเชิงรุก การสร้างสุขภาพ ลดการรอคอยในโรงพยาบาล นําไปสู่ความสําเร็จของคุณภาพการให้บริการช่วยให้ประชาชน ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ประชาชนแข็งแรง ทําให้เศรษฐกิจของประเทศแข็งแรง โดยมีการติดตามความคืบหน้าทุก 3, 6, 9 และ 12 เดือน ************************** 6 พฤศจิกายน 2562 *******************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. กำหนดนโยบายปี 2563 เน้น 6 เรื่องสำคัญ ช่วยลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ประชาชนแข็งแรง ทำให้เศรษฐกิจของประเทศแข็งแรง วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน 2562 สธ. กําหนดนโยบายปี 2563 เน้น 6 เรื่องสําคัญ ช่วยลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ประชาชนแข็งแรง ทําให้เศรษฐกิจของประเทศแข็งแรง กระทรวงสาธารณสุข กําหนดนโยบายปี 2563 เน้น 6 เรื่องสําคัญ การป้องกันควบคุมวัณโรค การใช้ยาอย่างสมเหตุผล พัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ ลดแออัด ลดรอคอยในโรงพยาบาล การเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ และพัฒนางานวิจัย นวัตกรรมด้านสุขภาพ ช่วยลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ประชาชนแข็ง กระทรวงสาธารณสุข กําหนดนโยบายปี 2563 เน้น 6 เรื่องสําคัญ การป้องกันควบคุมวัณโรค การใช้ยาอย่างสมเหตุผล พัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ ลดแออัด ลดรอคอยในโรงพยาบาล การเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ และพัฒนางานวิจัย นวัตกรรมด้านสุขภาพ ช่วยลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ประชาชนแข็งแรง ทําให้เศรษฐกิจของประเทศแข็งแรง วันนี้ (6 พฤศจิกายน 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีลงนามคํารับรองการปฏิบัติงาน (Performance Agreement : PA) ประจําปี 2563 ระหว่างปลัดกระทรวงสาธารณสุข รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดี กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทําคํารับรองการปฏิบัติงาน รวม 10 ประเด็น 31 ตัวชี้วัด ให้หน่วยงานในสังกัดนําไปเป็นแนวทางการดําเนินงาน เน้นหนักใน 6 เรื่องสําคัญดังนี้ 1.การควบคุมป้องกันวัณโรค ให้มีอัตราความสําเร็จในการรักษาผู้ป่วยวัณโรคปอดรายใหม่มากกว่าร้อยละ 85 2.มีการจัดการภัยคุกคามความมั่นคงทางสุขภาพ โดยให้มีการดําเนินการใช้ยาอย่างสมเหตุผล(RDU)ขั้นที่ 2 ร้อยละ 60 ขั้นที่ 3 ร้อยละ 20 ตลอดจนมีการจัดระบบการใช้ยาอย่างสมเหตุอย่างน้อยจังหวัดละ 1 อําเภอ และให้มีระบบการจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพอย่างบูรณาการ ลดการติดเชื้อดื้อยาในกระแสเลือดลงร้อยละ 7.50 3.พัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิ โดยร้อยละ 70 ของอําเภอผ่านเกณฑ์การประเมินการพัฒนาคุณภาพชีวิตทีมีคุณภาพ พัฒนา อสม.80,000 คน เป็น อสม.หมอประจําบ้าน และร้อยละ 75 ของ รพ.สต.ผ่านเกณฑ์พัฒนาคุณภาพรพ.สต.ติดดาว 4.ลดแออัด ลดรอคอยในโรงพยาบาล โดยร้อยละ 80 ของโรงพยาบาลจะต้องมีระบบนัดคิวออนไลน์ ร้อยละ 80 ของโรงพยาบาลศูนย์ 34 แห่งผ่านเกณฑ์ห้องฉุกเฉิน (ER) คุณภาพ 5.มีคลินิกให้บริการกัญชาทางการแพทย์นําร่องอย่างน้อยเขตสุขภาพละ 1 แห่ง เพื่อการเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ และ6.ทุกเขตสุขภาพต้องมีการพัฒนาระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ นายอนุทินกล่าวต่อว่า การจัดทําคํารับรองการปฏิบัติงาน หรือ PA เป็นหัวใจของการบริหารงาน ช่วยให้รู้เป้าหมายในการทํางานร่วมกัน เป็นข้อตกลงของทั้ง 2 ฝ่ายที่จะทํางานร่วมกันให้บรรลุเป้าหมายที่กําหนดไว้ เน้นการบริหารจัดการเชิงรุก การสร้างสุขภาพ ลดการรอคอยในโรงพยาบาล นําไปสู่ความสําเร็จของคุณภาพการให้บริการช่วยให้ประชาชน ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ประชาชนแข็งแรง ทําให้เศรษฐกิจของประเทศแข็งแรง โดยมีการติดตามความคืบหน้าทุก 3, 6, 9 และ 12 เดือน ************************** 6 พฤศจิกายน 2562 *******************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24374
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ชี้แจงการเก็บข้อมูลผู้เข้าใช้บริการแพลตฟอร์ม "ไทยชนะ" 60 วันเพื่อประโยชน์ในการติดตามผู้ติดเชื้อ ขอความร่วมมือผู้ประกอบการที่ไม่ได้อยู่ในระยะ 2 ปฏิบัติตามมาตรการหลัก 5 ข้อ
วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2563 โฆษก ศบค. ชี้แจงการเก็บข้อมูลผู้เข้าใช้บริการแพลตฟอร์ม "ไทยชนะ" 60 วันเพื่อประโยชน์ในการติดตามผู้ติดเชื้อ ขอความร่วมมือผู้ประกอบการที่ไม่ได้อยู่ในระยะ 2 ปฏิบัติตามมาตรการหลัก 5 ข้อ โฆษก ศบค. ชี้แจงการเก็บข้อมูลผู้เข้าใช้บริการแพลตฟอร์ม "ไทยชนะ" 60 วัน เพื่อประโยชน์ในการติดตามผู้ติดเชื้อ พร้อมขอความร่วมมือผู้ประกอบการที่ไม่ได้อยู่ในระยะ 2 ปฏิบัติตามมาตรการหลัก 5 ข้อ เตรียมความพร้อมเพื่อให้บริการในระยะต่อไป วันนี้ (20 พ.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนผ่านโซเชียลมีเดียช่วงการแถลงข่าวของศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ โฆษก ศบค. ชี้แจงข้อสงสัยการใช้แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ที่ต้องสแกน QR Code หลายรอบ เช่น เมื่อสแกน QR Code เช็คอินเข้าห้างสรรพสินค้าแล้ว ยังต้องสแกน QR Code เช็คอินเมื่อเข้าในร้านย่อย ๆ ภายในห้างสรรพสินค้าอีกด้วย ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกในการตรวจสอบติดตามค้นหาผู้ป่วย เนื่องจากห้างสรรพสินค้าสามารถจุคนได้จํานวนหลักหมื่น หากพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพียง 1 คน จะต้องทําการติดตามตรวจหาผู้ป่วยเพิ่มเติมเป็นจํานวนมาก หากทุกคนร่วมมือสแกน QR Code เมื่อเข้าร้านค้าขนาดย่อยภายในห้างสรรพสินค้า ก็จะสะดวกต่อการระบุพื้นที่เพื่อติดตามสืบสวนผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และสามารถระบุผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้นอีกด้วย ดังนั้น เมื่อจํากัดวงพื้นที่แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ จึงไม่ต้องทําการตรวจหาเชื้อในวงกว้าง ไม่กระทบต่อการดําเนินชีวิต โฆษก ศบค. ยังขอความร่วมมือสถานประกอบกิจการ/กิจกรรมลงทะเบียนแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เพื่อประโยชน์ในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เพราะจะทําให้ผู้ประกอบกิจการจะสามารถทราบได้ หากพบผู้ที่เข้ามาใช้บริการเป็นผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากข้อมูลการสแกน QR Code รวมทั้งดูแลความสะอาดภายในพื้นที่และป้องกันตนเองด้วย สําหรับการเก็บข้อมูลผู้เข้าใช้บริการแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ที่มีระยะเวลาในการเก็บข้อมูลถึง 60 วันนั้น เป็นการปฏิบัติตามประสบการณ์ที่พบในช่วงต้นของสถานการณ์ คือ ผู้ที่ติดเชื้อจากสนามมวย พบว่ามีการติดเชื้อจากรุ่นที่ 1 ไปยังรุ่น 2 - 4 จะใช้เวลาในการติดตามแต่ละรุ่นถึง 14 วัน รวมอยู่ที่ประมาณ 60 วัน ดังนั้น จึงมีความจําเป็นที่จะต้องมีการติดตามผู้เข้าใช้บริการแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เป็นระยะเวลา 60 วัน โฆษก ศบค. ยังตอบคําถามกรณีมีข้อมูลระบุผู้ได้รับเชื้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ชี้แจงการเก็บข้อมูลผู้เข้าใช้บริการแพลตฟอร์ม "ไทยชนะ" 60 วันเพื่อประโยชน์ในการติดตามผู้ติดเชื้อ ขอความร่วมมือผู้ประกอบการที่ไม่ได้อยู่ในระยะ 2 ปฏิบัติตามมาตรการหลัก 5 ข้อ วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2563 โฆษก ศบค. ชี้แจงการเก็บข้อมูลผู้เข้าใช้บริการแพลตฟอร์ม "ไทยชนะ" 60 วันเพื่อประโยชน์ในการติดตามผู้ติดเชื้อ ขอความร่วมมือผู้ประกอบการที่ไม่ได้อยู่ในระยะ 2 ปฏิบัติตามมาตรการหลัก 5 ข้อ โฆษก ศบค. ชี้แจงการเก็บข้อมูลผู้เข้าใช้บริการแพลตฟอร์ม "ไทยชนะ" 60 วัน เพื่อประโยชน์ในการติดตามผู้ติดเชื้อ พร้อมขอความร่วมมือผู้ประกอบการที่ไม่ได้อยู่ในระยะ 2 ปฏิบัติตามมาตรการหลัก 5 ข้อ เตรียมความพร้อมเพื่อให้บริการในระยะต่อไป วันนี้ (20 พ.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนผ่านโซเชียลมีเดียช่วงการแถลงข่าวของศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ โฆษก ศบค. ชี้แจงข้อสงสัยการใช้แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ที่ต้องสแกน QR Code หลายรอบ เช่น เมื่อสแกน QR Code เช็คอินเข้าห้างสรรพสินค้าแล้ว ยังต้องสแกน QR Code เช็คอินเมื่อเข้าในร้านย่อย ๆ ภายในห้างสรรพสินค้าอีกด้วย ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกในการตรวจสอบติดตามค้นหาผู้ป่วย เนื่องจากห้างสรรพสินค้าสามารถจุคนได้จํานวนหลักหมื่น หากพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพียง 1 คน จะต้องทําการติดตามตรวจหาผู้ป่วยเพิ่มเติมเป็นจํานวนมาก หากทุกคนร่วมมือสแกน QR Code เมื่อเข้าร้านค้าขนาดย่อยภายในห้างสรรพสินค้า ก็จะสะดวกต่อการระบุพื้นที่เพื่อติดตามสืบสวนผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และสามารถระบุผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้นอีกด้วย ดังนั้น เมื่อจํากัดวงพื้นที่แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ จึงไม่ต้องทําการตรวจหาเชื้อในวงกว้าง ไม่กระทบต่อการดําเนินชีวิต โฆษก ศบค. ยังขอความร่วมมือสถานประกอบกิจการ/กิจกรรมลงทะเบียนแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เพื่อประโยชน์ในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เพราะจะทําให้ผู้ประกอบกิจการจะสามารถทราบได้ หากพบผู้ที่เข้ามาใช้บริการเป็นผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากข้อมูลการสแกน QR Code รวมทั้งดูแลความสะอาดภายในพื้นที่และป้องกันตนเองด้วย สําหรับการเก็บข้อมูลผู้เข้าใช้บริการแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ที่มีระยะเวลาในการเก็บข้อมูลถึง 60 วันนั้น เป็นการปฏิบัติตามประสบการณ์ที่พบในช่วงต้นของสถานการณ์ คือ ผู้ที่ติดเชื้อจากสนามมวย พบว่ามีการติดเชื้อจากรุ่นที่ 1 ไปยังรุ่น 2 - 4 จะใช้เวลาในการติดตามแต่ละรุ่นถึง 14 วัน รวมอยู่ที่ประมาณ 60 วัน ดังนั้น จึงมีความจําเป็นที่จะต้องมีการติดตามผู้เข้าใช้บริการแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เป็นระยะเวลา 60 วัน โฆษก ศบค. ยังตอบคําถามกรณีมีข้อมูลระบุผู้ได้รับเชื้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31149
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. เผยทั่วประเทศพร้อมใจปิดร้านค้าและสถานประกอบการขายสุรา ลดเสี่ยงโควิด-19 [กระทรวงมหาดไทย]
วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2563 ศบค.มท. เผยทั่วประเทศพร้อมใจปิดร้านค้าและสถานประกอบการขายสุรา ลดเสี่ยงโควิด-19 [กระทรวงมหาดไทย] ศบค.มท. เผยทั่วประเทศพร้อมใจปิดร้านค้าและสถานประกอบการขายสุรา ลดเสี่ยงโควิด-19 วันนี้ (12 เม.ย.63) เวลา 14:00 น. ศูนย์อํานวยการบริหารสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในหลายจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดในฐานะผู้กํากับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินจังหวัด ได้พิจารณาใช้มาตรการต่าง ๆ ในการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อความปลอดภัยกับพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ โดยในวันนี้ (12 เม.ย.63) ศบค. มท. ได้รับรายงานว่า ผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ ในฐานะผู้กํากับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินจังหวัด ได้พิจารณาออกคําสั่งปิดร้านค้าและสถานประกอบการจําหน่ายสุราเป็นการชั่วคราว เพื่อลดความเสี่ยงของประชาชนในการสัมผัสเชื้อโรคในช่วงการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ซึ่งมีรายละเอียดวันและจังหวัด ดังนี้ 1) ปิดถึงวันที่ 15 เมษายน 2563 จํานวน 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดระยอง ระนอง บึงกาฬ กระบี่ 2) ปิดถึงวันที่ 16 เมษายน 2563 จํานวน 7 จังหวัดได้แก่ จังหวัดสกลนคร ยะลา พิจิตร ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา เชียงราย และแม่ฮ่องสอน 3) ปิดถึงวันที่ 17 เมษายน 2563 จํานวน 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอํานาจเจริญ อุตรดิตถ์ กาฬสินธุ์ ยโสธร สุราษฎร์ธานี ขอนแก่น 4) ปิดถึงวันที่ 18 เมษายน 2563 จํานวน 2 จังหวัดได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ และนครราชสีมา 5) ปิดถึงวันที่ 19 เมษายน 2563 จํานวน 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดน่าน ฉะเชิงเทรา นครนายก ปทุมธานี ตราด ราชบุรี สงขลา สตูล 6) ปิดถึงวันที่ 20 เมษายน 2563 จํานวน 19 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร กําแพงเพชร เชียงใหม่ หนองบัวลําภู แพร่ ชัยภูมิ สมุทรปราการ อ่างทอง ลําปาง สุโขทัย อุทัยธานี นนทบุรี ตาก พะเยา นราธิวาส หนองคาย นครสวรรค์ สิงห์บุรี และมหาสารคาม 7) ปิดถึงวันที่ 22 เมษายน 2563 จํานวน 1 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดปัตตานี (ตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน 2563) 8) ปิดถึงวันที่ 30 เมษายน 2563 จํานวน 27 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดลําพูน บุรีรัมย์ สุรินทร์ นครปฐม สมุทรสงคราม ร้อยเอ็ด ชัยนาท สุพรรณบุรี มุกดาหาร ประจวบคีรีขันธ์ อุบลราชธานี กาญจนบุรี ปราจีนบุรี ตรัง จันทบุรี ชลบุรี ศรีสะเกษ อุดรธานี ชุมพร สระบุรี สระแก้ว เพชรบุรี นครพนม พังงา พัทลุง เลย และนครศรีธรรมราช (นครศรีธรรมราช ตั้งแต่ 13 เมษายน 2563) 9) ปิดจนกว่าจะมีคําสั่งเปลี่ยนแปลง จํานวน 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก และภูเก็ต
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. เผยทั่วประเทศพร้อมใจปิดร้านค้าและสถานประกอบการขายสุรา ลดเสี่ยงโควิด-19 [กระทรวงมหาดไทย] วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2563 ศบค.มท. เผยทั่วประเทศพร้อมใจปิดร้านค้าและสถานประกอบการขายสุรา ลดเสี่ยงโควิด-19 [กระทรวงมหาดไทย] ศบค.มท. เผยทั่วประเทศพร้อมใจปิดร้านค้าและสถานประกอบการขายสุรา ลดเสี่ยงโควิด-19 วันนี้ (12 เม.ย.63) เวลา 14:00 น. ศูนย์อํานวยการบริหารสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในหลายจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดในฐานะผู้กํากับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินจังหวัด ได้พิจารณาใช้มาตรการต่าง ๆ ในการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อความปลอดภัยกับพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ โดยในวันนี้ (12 เม.ย.63) ศบค. มท. ได้รับรายงานว่า ผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ ในฐานะผู้กํากับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินจังหวัด ได้พิจารณาออกคําสั่งปิดร้านค้าและสถานประกอบการจําหน่ายสุราเป็นการชั่วคราว เพื่อลดความเสี่ยงของประชาชนในการสัมผัสเชื้อโรคในช่วงการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ซึ่งมีรายละเอียดวันและจังหวัด ดังนี้ 1) ปิดถึงวันที่ 15 เมษายน 2563 จํานวน 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดระยอง ระนอง บึงกาฬ กระบี่ 2) ปิดถึงวันที่ 16 เมษายน 2563 จํานวน 7 จังหวัดได้แก่ จังหวัดสกลนคร ยะลา พิจิตร ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา เชียงราย และแม่ฮ่องสอน 3) ปิดถึงวันที่ 17 เมษายน 2563 จํานวน 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอํานาจเจริญ อุตรดิตถ์ กาฬสินธุ์ ยโสธร สุราษฎร์ธานี ขอนแก่น 4) ปิดถึงวันที่ 18 เมษายน 2563 จํานวน 2 จังหวัดได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ และนครราชสีมา 5) ปิดถึงวันที่ 19 เมษายน 2563 จํานวน 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดน่าน ฉะเชิงเทรา นครนายก ปทุมธานี ตราด ราชบุรี สงขลา สตูล 6) ปิดถึงวันที่ 20 เมษายน 2563 จํานวน 19 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร กําแพงเพชร เชียงใหม่ หนองบัวลําภู แพร่ ชัยภูมิ สมุทรปราการ อ่างทอง ลําปาง สุโขทัย อุทัยธานี นนทบุรี ตาก พะเยา นราธิวาส หนองคาย นครสวรรค์ สิงห์บุรี และมหาสารคาม 7) ปิดถึงวันที่ 22 เมษายน 2563 จํานวน 1 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดปัตตานี (ตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน 2563) 8) ปิดถึงวันที่ 30 เมษายน 2563 จํานวน 27 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดลําพูน บุรีรัมย์ สุรินทร์ นครปฐม สมุทรสงคราม ร้อยเอ็ด ชัยนาท สุพรรณบุรี มุกดาหาร ประจวบคีรีขันธ์ อุบลราชธานี กาญจนบุรี ปราจีนบุรี ตรัง จันทบุรี ชลบุรี ศรีสะเกษ อุดรธานี ชุมพร สระบุรี สระแก้ว เพชรบุรี นครพนม พังงา พัทลุง เลย และนครศรีธรรมราช (นครศรีธรรมราช ตั้งแต่ 13 เมษายน 2563) 9) ปิดจนกว่าจะมีคําสั่งเปลี่ยนแปลง จํานวน 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก และภูเก็ต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28899
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมเต็มคณะ (Plenary) หัวข้อ “ค่านิยมร่วมและเป้าหมายเดียวกันของอินเดีย-อาเซียน”
วันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2561 นายกรัฐมนตรีกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมเต็มคณะ (Plenary) หัวข้อ “ค่านิยมร่วมและเป้าหมายเดียวกันของอินเดีย-อาเซียน” นายกรัฐมนตรีกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมเต็มคณะ (Plenary) หัวข้อ “ค่านิยมร่วมและเป้าหมายเดียวกันของอินเดีย-อาเซียน” วันนี้ 25 มกราคม 2561 เวลา 18.00 น. ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลง ในการประชุมเต็มคณะ (Plenary) หัวข้อ : “ค่านิยมร่วมและเป้าหมายเดียวกันของอินเดีย-อาเซียน” (India-ASEAN Shared Values, Common Destiny) ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน - อินเดีย ในโอกาสครบรอบ 25 ปีความสัมพันธ์อาเซียน - อินเดีย โดยพลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า หัวข้อ “ค่านิยมร่วมกัน เป้าหมายเดียวกัน” ในครั้งนี้ สามารถสะท้อนผ่านค่านิยมร่วมกันใน 3 เรื่องได้เด่นชัดสุด ได้แก่ (1) ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจร่วมกัน (2) การแบ่งปันวัฒนธรรมและนวัตกรรมกันและกัน และ (3 ) การส่งเสริมระบบภูมิภาคนิยม (regionalism) และพหุภาคีนิยม (multilateralism) เพื่อนําไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกัน ซึ่งอธิบายได้ ดังนี้ ประการที่หนึ่ง อาเซียนและอินเดียต้องมุ่งสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจร่วมกัน พวกเราเคยตั้งเป้าขยายปริมาณการค้าอาเซียน-อินเดียให้ได้ 200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ค.ศ. 2022 ขณะนี้ ได้เพียงประมาณ 56 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงควรเร่งใช้ประโยชน์ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย และลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน เช่น อินเดียอาจพิจารณาลดภาษีให้กับยางพาราและน้ํามันปาล์มซึ่งเป็นสินค้าที่อาเซียนหลายประเทศส่งออก และอาจลดกฎระเบียบและขั้นตอนในการทําการค้าและธุรกิจ ซึ่งยังเป็นอุปสรรคสําคัญ นอกจากนี้ เร่งหาข้อสรุปความตกลงการค้าเสรี Regional Comprehensive Economic Partnership (RCEP หรือ อาร์เซป) เพื่อให้อาร์เซปเป็นความตกลงทันสมัย มีมาตรฐานสูง มีความสมดุลซึ่งเหล่านี้จะทําให้พวกเรามั่งคั่งร่วมกัน ประการที่สอง การแบ่งปันวัฒนธรรมและนวัตกรรมกันและกัน อาเซียนและอินเดียมีความเชื่อมโยงทางศิลปวัฒนธรรมมาอย่างยาวนานผ่านทางอักษรศาสตร์ ศาสนา และศิลปวิทยาการต่าง ๆ ไทยจึงยินดีอย่างยิ่งที่ส่งคณะทางวัฒนธรรมเข้าร่วมการแสดงในงานเทศกาลรามายณะในช่วงนี้ นอกจากนี้ อินเดียยังเป็นต้นกําเนิดของ นวัตกรรมต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้หลายประการ อาทิ ระบบการปกครอง กฎหมาย ดาราศาสตร์ การค้าระหว่างประเทศ การเดินเรือ สถาปัตยกรรม และอายุรเวช ปัจจุบัน อินเดียยังเป็นแหล่งนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสารสนเทศที่สําคัญของโลก โดยมีชุมชนอินเดียในอาเซียนเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนความเชื่อมโยงภาคประชาชนในมิติต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการช่วยส่งเสริมความร่วมมือทางวัฒนธรรมและนวัตกรรมผ่านประชาชนสู่ประชาชนอีกด้วย ดังนั้น อาเซียน-อินเดียใช้ประโยชน์จากความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม เทคโนโลยี และประชาชนระหว่างกันผ่านการพัฒนาชุมชนเมืองที่มีความเป็นอัจฉริยะ (smart cities) โดยขอเสนอให้อาเซียนและอินเดียพิจารณาจัดตั้งเครือข่ายของ SMART Cities-Cultural Centres ประกอบด้วยเมืองขนาดเล็ก และกลาง ที่ร่วมกันพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ควบคู่ไปกับเชื่อมโยงระดับประชาชนผ่านวัฒนธรรมและ อารยธรรม ในอนาคตประชาคมอาเซียนจะเน้นเรื่องการเป็นภูมิภาคที่มีความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมมากยิ่งขึ้น และโดยที่ไทยกําลังเร่งการพัฒนาขีดความสามารถด้านนวัตกรรมผ่านนโยบายประเทศไทย 4.0 ประการสุดท้าย อาเซียนและอินเดียมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ใกล้ชิด ตั้งอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน และต่างมีความเชื่อมั่นในระบบภูมิภาคนิยม และพหุภาคีนิยม ต้องใช้ประโยชน์จาก กรอบความร่วมมือต่าง ๆ ในภูมิภาคที่เกื้อกูลซึ่งกันและกันในประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน เช่น อาเซียน-ซาร์ค (SAARC) / แม่โขง-คงคา / บิมส์เทก (BIMSTEC) รวมไปถึงความร่วมมือในภูมิภาค อินโด-แปซิฟิก โดยเน้นการส่งเสริมให้เชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) เพื่อรองรับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (Fourth Industrial Revolution) ซึ่งไทยพร้อมที่จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ในอนุภูมิภาค โดยใช้ประโยชน์จากระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) และนโยบายไทยบวกหนึ่ง เป็นต้น นอกจากนี้ ควรร่วมมือกันเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านกองทุนอาเซียน-อินเดีย สีเขียว (ASEAN-India Green Fund) ที่มีรองรับแล้ว ไทยในฐานะผู้ประสานงานอาเซียนเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนพร้อมรับแนวคิดจากอินเดียไปขับเคลื่อนต่อไป นอกจากนี้ ในการประชุมระหว่างอาเซียนและสหประชาชาติเมื่อปลายปีที่แล้วก็ได้มีการเสนอแนวคิดการจัดตั้งศูนย์อาเซียนสําหรับให้การศึกษาและแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืน (ASEAN Center for Sustainable Development Studies and Dialogue) จึงหวังว่า อินเดียซึ่งมีประสบการณ์ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนจะสามารถแบ่งปันกับอาเซียนในบริบทของความร่วมมือใต้-ใต้ด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมเต็มคณะ (Plenary) หัวข้อ “ค่านิยมร่วมและเป้าหมายเดียวกันของอินเดีย-อาเซียน” วันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2561 นายกรัฐมนตรีกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมเต็มคณะ (Plenary) หัวข้อ “ค่านิยมร่วมและเป้าหมายเดียวกันของอินเดีย-อาเซียน” นายกรัฐมนตรีกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมเต็มคณะ (Plenary) หัวข้อ “ค่านิยมร่วมและเป้าหมายเดียวกันของอินเดีย-อาเซียน” วันนี้ 25 มกราคม 2561 เวลา 18.00 น. ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลง ในการประชุมเต็มคณะ (Plenary) หัวข้อ : “ค่านิยมร่วมและเป้าหมายเดียวกันของอินเดีย-อาเซียน” (India-ASEAN Shared Values, Common Destiny) ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน - อินเดีย ในโอกาสครบรอบ 25 ปีความสัมพันธ์อาเซียน - อินเดีย โดยพลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า หัวข้อ “ค่านิยมร่วมกัน เป้าหมายเดียวกัน” ในครั้งนี้ สามารถสะท้อนผ่านค่านิยมร่วมกันใน 3 เรื่องได้เด่นชัดสุด ได้แก่ (1) ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจร่วมกัน (2) การแบ่งปันวัฒนธรรมและนวัตกรรมกันและกัน และ (3 ) การส่งเสริมระบบภูมิภาคนิยม (regionalism) และพหุภาคีนิยม (multilateralism) เพื่อนําไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกัน ซึ่งอธิบายได้ ดังนี้ ประการที่หนึ่ง อาเซียนและอินเดียต้องมุ่งสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจร่วมกัน พวกเราเคยตั้งเป้าขยายปริมาณการค้าอาเซียน-อินเดียให้ได้ 200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ค.ศ. 2022 ขณะนี้ ได้เพียงประมาณ 56 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงควรเร่งใช้ประโยชน์ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย และลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน เช่น อินเดียอาจพิจารณาลดภาษีให้กับยางพาราและน้ํามันปาล์มซึ่งเป็นสินค้าที่อาเซียนหลายประเทศส่งออก และอาจลดกฎระเบียบและขั้นตอนในการทําการค้าและธุรกิจ ซึ่งยังเป็นอุปสรรคสําคัญ นอกจากนี้ เร่งหาข้อสรุปความตกลงการค้าเสรี Regional Comprehensive Economic Partnership (RCEP หรือ อาร์เซป) เพื่อให้อาร์เซปเป็นความตกลงทันสมัย มีมาตรฐานสูง มีความสมดุลซึ่งเหล่านี้จะทําให้พวกเรามั่งคั่งร่วมกัน ประการที่สอง การแบ่งปันวัฒนธรรมและนวัตกรรมกันและกัน อาเซียนและอินเดียมีความเชื่อมโยงทางศิลปวัฒนธรรมมาอย่างยาวนานผ่านทางอักษรศาสตร์ ศาสนา และศิลปวิทยาการต่าง ๆ ไทยจึงยินดีอย่างยิ่งที่ส่งคณะทางวัฒนธรรมเข้าร่วมการแสดงในงานเทศกาลรามายณะในช่วงนี้ นอกจากนี้ อินเดียยังเป็นต้นกําเนิดของ นวัตกรรมต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้หลายประการ อาทิ ระบบการปกครอง กฎหมาย ดาราศาสตร์ การค้าระหว่างประเทศ การเดินเรือ สถาปัตยกรรม และอายุรเวช ปัจจุบัน อินเดียยังเป็นแหล่งนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสารสนเทศที่สําคัญของโลก โดยมีชุมชนอินเดียในอาเซียนเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนความเชื่อมโยงภาคประชาชนในมิติต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการช่วยส่งเสริมความร่วมมือทางวัฒนธรรมและนวัตกรรมผ่านประชาชนสู่ประชาชนอีกด้วย ดังนั้น อาเซียน-อินเดียใช้ประโยชน์จากความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม เทคโนโลยี และประชาชนระหว่างกันผ่านการพัฒนาชุมชนเมืองที่มีความเป็นอัจฉริยะ (smart cities) โดยขอเสนอให้อาเซียนและอินเดียพิจารณาจัดตั้งเครือข่ายของ SMART Cities-Cultural Centres ประกอบด้วยเมืองขนาดเล็ก และกลาง ที่ร่วมกันพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ควบคู่ไปกับเชื่อมโยงระดับประชาชนผ่านวัฒนธรรมและ อารยธรรม ในอนาคตประชาคมอาเซียนจะเน้นเรื่องการเป็นภูมิภาคที่มีความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมมากยิ่งขึ้น และโดยที่ไทยกําลังเร่งการพัฒนาขีดความสามารถด้านนวัตกรรมผ่านนโยบายประเทศไทย 4.0 ประการสุดท้าย อาเซียนและอินเดียมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ใกล้ชิด ตั้งอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน และต่างมีความเชื่อมั่นในระบบภูมิภาคนิยม และพหุภาคีนิยม ต้องใช้ประโยชน์จาก กรอบความร่วมมือต่าง ๆ ในภูมิภาคที่เกื้อกูลซึ่งกันและกันในประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน เช่น อาเซียน-ซาร์ค (SAARC) / แม่โขง-คงคา / บิมส์เทก (BIMSTEC) รวมไปถึงความร่วมมือในภูมิภาค อินโด-แปซิฟิก โดยเน้นการส่งเสริมให้เชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) เพื่อรองรับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (Fourth Industrial Revolution) ซึ่งไทยพร้อมที่จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ในอนุภูมิภาค โดยใช้ประโยชน์จากระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) และนโยบายไทยบวกหนึ่ง เป็นต้น นอกจากนี้ ควรร่วมมือกันเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านกองทุนอาเซียน-อินเดีย สีเขียว (ASEAN-India Green Fund) ที่มีรองรับแล้ว ไทยในฐานะผู้ประสานงานอาเซียนเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนพร้อมรับแนวคิดจากอินเดียไปขับเคลื่อนต่อไป นอกจากนี้ ในการประชุมระหว่างอาเซียนและสหประชาชาติเมื่อปลายปีที่แล้วก็ได้มีการเสนอแนวคิดการจัดตั้งศูนย์อาเซียนสําหรับให้การศึกษาและแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืน (ASEAN Center for Sustainable Development Studies and Dialogue) จึงหวังว่า อินเดียซึ่งมีประสบการณ์ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนจะสามารถแบ่งปันกับอาเซียนในบริบทของความร่วมมือใต้-ใต้ด้วย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9636
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋” ย้ำ แรงงานนอกระบบสำคัญ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิตต้องดีขึ้น
วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม 2561 “บิ๊กอู๋” ย้ํา แรงงานนอกระบบสําคัญ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิตต้องดีขึ้น รมว.แรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสัมมนา “งานที่มีคุณค่า กับการพัฒนาแรงงานนอกระบบ” ย้ํา รัฐบาลให้ความสําคัญและดูแลแก้ไขปัญหาแรงงานนอกระบบอย่างจริงจัง เนื่องจากแรงงานนอกระบบเป็นส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ วันที่ 8 ตุลาคม 2561 เวลา 09.30 น. พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสัมมนา "งานที่มีคุณค่า กับการพัฒนาแรงงานนอกระบบ" ร่วมกับ นายปีร์กะ ตาปีโอละ (Mr.Pirkka Tapiola) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งสหภาพยุโรปประจําประเทศไทย โดยมีผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ประธานมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ ผู้แทนองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ผู้แทนองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน ประธานสมาพันธ์แรงงานนอกระบบ นักวิชาการ ภาคประชาสังคม และผู้แทนแรงงานนอกระบบ จํานวนกว่า 165 คน เข้าร่วมงาน ณ ศูนย์การประชุม รัชนีแจ่มจรัส สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย ถนนพิชัย เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ฯ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนําของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสําคัญกับแรงงานนอกระบบเป็นอย่างมาก เห็นได้จากนโยบายที่ให้ความสําคัญกับการดูแลและแก้ไขปัญหาให้กับแรงงานนอกระบบ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งกองคุ้มครองแรงงานนอกระบบขึ้นใหม่ในกระทรวงแรงงาน เพื่อดูแลแรงงานนอกระบบโดยตรง และการจัดทําแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ในการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ เนื่องจากรัฐบาลตระหนักดีว่าแรงงานนอกระบบทุกกลุ่มอาชีพ อาทิ ผู้รับงานไปทําที่บ้าน หาบเร่/แผงลอย ผู้ขับแท็กซี่ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ลูกจ้างทํางานบ้าน รวมทั้งแรงงานในภาคเกษตร ล้วนมีส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตามเนื่องจากแรงงานนอกระบบมีความหลากหลายและมีจํานวนมากกว่า 24 ล้านคน ย่อมต้องมีปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนางานอาชีพอย่างแน่นอน ซึ่งกระทรวงแรงงานได้พยายามอย่างเต็มที่ที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น และจะทําต่อไปจนกว่าพี่น้องแรงงานจะมีความเป็นอยู่ที่ดี มีรายได้พอเพียงสําหรับการดํารงชีวิต และได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานที่จําเป็นอย่างทั่วถึง สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้จําเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย “การสัมมนาในวันนี้ จึงมีความสําคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นโอกาสที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จะได้ปรึกษาหารือในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทํางานของแรงงานนอกระบบ เพื่อรณรงค์ให้แรงงานนอกระบบทุกสาขาอาชีพ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันพัฒนากฎหมาย นโยบาย มาตรการ รวมถึงแนวปฏิบัติ อันจะนําไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานนอกระบบให้ดียิ่งขึ้นต่อไป” รมว.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด +++++++++++++++++++++++
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋” ย้ำ แรงงานนอกระบบสำคัญ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิตต้องดีขึ้น วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม 2561 “บิ๊กอู๋” ย้ํา แรงงานนอกระบบสําคัญ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิตต้องดีขึ้น รมว.แรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสัมมนา “งานที่มีคุณค่า กับการพัฒนาแรงงานนอกระบบ” ย้ํา รัฐบาลให้ความสําคัญและดูแลแก้ไขปัญหาแรงงานนอกระบบอย่างจริงจัง เนื่องจากแรงงานนอกระบบเป็นส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ วันที่ 8 ตุลาคม 2561 เวลา 09.30 น. พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสัมมนา "งานที่มีคุณค่า กับการพัฒนาแรงงานนอกระบบ" ร่วมกับ นายปีร์กะ ตาปีโอละ (Mr.Pirkka Tapiola) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งสหภาพยุโรปประจําประเทศไทย โดยมีผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ประธานมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ ผู้แทนองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ผู้แทนองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน ประธานสมาพันธ์แรงงานนอกระบบ นักวิชาการ ภาคประชาสังคม และผู้แทนแรงงานนอกระบบ จํานวนกว่า 165 คน เข้าร่วมงาน ณ ศูนย์การประชุม รัชนีแจ่มจรัส สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย ถนนพิชัย เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ฯ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนําของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสําคัญกับแรงงานนอกระบบเป็นอย่างมาก เห็นได้จากนโยบายที่ให้ความสําคัญกับการดูแลและแก้ไขปัญหาให้กับแรงงานนอกระบบ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งกองคุ้มครองแรงงานนอกระบบขึ้นใหม่ในกระทรวงแรงงาน เพื่อดูแลแรงงานนอกระบบโดยตรง และการจัดทําแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ในการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ เนื่องจากรัฐบาลตระหนักดีว่าแรงงานนอกระบบทุกกลุ่มอาชีพ อาทิ ผู้รับงานไปทําที่บ้าน หาบเร่/แผงลอย ผู้ขับแท็กซี่ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ลูกจ้างทํางานบ้าน รวมทั้งแรงงานในภาคเกษตร ล้วนมีส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตามเนื่องจากแรงงานนอกระบบมีความหลากหลายและมีจํานวนมากกว่า 24 ล้านคน ย่อมต้องมีปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนางานอาชีพอย่างแน่นอน ซึ่งกระทรวงแรงงานได้พยายามอย่างเต็มที่ที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น และจะทําต่อไปจนกว่าพี่น้องแรงงานจะมีความเป็นอยู่ที่ดี มีรายได้พอเพียงสําหรับการดํารงชีวิต และได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานที่จําเป็นอย่างทั่วถึง สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้จําเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย “การสัมมนาในวันนี้ จึงมีความสําคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นโอกาสที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จะได้ปรึกษาหารือในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทํางานของแรงงานนอกระบบ เพื่อรณรงค์ให้แรงงานนอกระบบทุกสาขาอาชีพ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันพัฒนากฎหมาย นโยบาย มาตรการ รวมถึงแนวปฏิบัติ อันจะนําไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานนอกระบบให้ดียิ่งขึ้นต่อไป” รมว.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด +++++++++++++++++++++++
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15941
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เพิ่มค่าตอบแทนให้แก่ครูผู้สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนเอกชน
วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2560 เพิ่มค่าตอบแทนให้แก่ครูผู้สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนเอกชน นักเรียนพิการ ต้องการการดูแลและเอาใจใส่ในการเรียนการสอนมากกว่าปกติ ครูจึงต้องให้ความทุ่มเทและเสียสละด้วยใจเมตตาเป็นอย่างมาก ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลอนุมัติปรับค่าตอบแทนพิเศษให้แก่ครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนเอกชน จากอัตราคนละ 2,000 บาทต่อเดือน เป็นคนละ 2,500 บาทต่อเดือน เช่นเดียวกับครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนของรัฐซึ่งได้รับการปรับค่าตอบแทนไปล่วงหน้าแล้ว เนื่องจากครูที่สอนนักเรียนพิการต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจในการสอนมากกว่าปกติ ต้องศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การให้ความช่วยเหลือ ให้คําปรึกษา และการชี้แนะแนวทางการพัฒนาศักยภาพของนักเรียนพิการได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังให้ครูมีขวัญกําลังใจที่จะพัฒนาความรู้และประสิทธิภาพการสอนของตนเองอยู่เสมอ ซึ่งจะส่งผลให้นักเรียนพิการได้รับการพัฒนาทักษะความสามารถ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เพิ่มค่าตอบแทนให้แก่ครูผู้สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนเอกชน วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2560 เพิ่มค่าตอบแทนให้แก่ครูผู้สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนเอกชน นักเรียนพิการ ต้องการการดูแลและเอาใจใส่ในการเรียนการสอนมากกว่าปกติ ครูจึงต้องให้ความทุ่มเทและเสียสละด้วยใจเมตตาเป็นอย่างมาก ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลอนุมัติปรับค่าตอบแทนพิเศษให้แก่ครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนเอกชน จากอัตราคนละ 2,000 บาทต่อเดือน เป็นคนละ 2,500 บาทต่อเดือน เช่นเดียวกับครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนของรัฐซึ่งได้รับการปรับค่าตอบแทนไปล่วงหน้าแล้ว เนื่องจากครูที่สอนนักเรียนพิการต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจในการสอนมากกว่าปกติ ต้องศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การให้ความช่วยเหลือ ให้คําปรึกษา และการชี้แนะแนวทางการพัฒนาศักยภาพของนักเรียนพิการได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังให้ครูมีขวัญกําลังใจที่จะพัฒนาความรู้และประสิทธิภาพการสอนของตนเองอยู่เสมอ ซึ่งจะส่งผลให้นักเรียนพิการได้รับการพัฒนาทักษะความสามารถ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7969
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน สานสัมพันธ์ประชาคมอาเซียน ส่งเสริมความร่วมมือด้านแรงงานอย่างครบวงจร
วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน 2561 ก.แรงงาน สานสัมพันธ์ประชาคมอาเซียน ส่งเสริมความร่วมมือด้านแรงงานอย่างครบวงจร ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน นําทีมประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 25 และการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 10 ส่งเสริมความร่วมมือและร่วมขับเคลื่อนภารกิจด้านแรงงานของประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างครบวงจร โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พลตํารวจเอก สุวัฒน์ จันทร์อิทธิกุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน หัวหน้าคณะผู้แทนไทย พร้อมด้วย นายสุรเดช วลีอิทธิกุล รองปลัดกระทรวงแรงงาน และคณะ เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 25 ( 25th ASEAN Labour Minister Meeting : 25th ALMM) และการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 10 (10th ASEAN Plus Three Labour Ministers Meeting : 10th ALMM + 3) ระหว่างวันที่ 28 – 29 พฤศจิกายน 2561 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย การประชุมดังกล่าวเป็นเวทีการประชุมระดับผู้นํา เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านแรงงานของประเทศสมาชิกอาเซียน และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการดําเนินงานตามกรอบแผนงานรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน อาทิ ประเด็นการคุ้มครองสิทธิแรงงานต่างด้าว การส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านจากการจ้างงานนอกระบบสู่การจ้างงานในระบบ การส่งเสริมงานสีเขียว เป็นต้น โดยหัวข้อหลักของการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 25 ได้แก่ การส่งเสริมงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อการเจริญเติบโตอย่างเท่าเทียมและมีส่วนร่วมในประชาคมอาเซียน หรือ Promoting Green Jobs for Equity and Inclusive Growth of ASEAN Community โดยมี ดร. มหาเธร์ บิน โมฮามัด นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย ให้เกียรติกล่าวเปิดการประชุมฯ พลตํารวจเอก สุวัฒน์ฯ กล่าวว่า ประเทศไทยได้ร่วมสนับสนุนการขับเคลื่อนปฏิญญา แผนปฏิบัติการ ตลอดจนแนวคิดริเริ่มในการขับเคลื่อนการส่งเสริมการเข้าถึงงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อันสอดคล้องกับการครบรอบ 100 ปี องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ซึ่งประเทศไทยจะมีการจัดงานขึ้นเพื่อเฉลิมฉลอง โดยมุ่งเน้นการเข้าถึงงานที่มีคุณค่าผ่านการส่งเสริมงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การคุ้มครองสิทธิแรงงานต่างด้าว และการส่งเสริมเรื่องความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในสถานประกอบการอย่างสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อให้เกิดการคุ้มครองแรงงานท้องถิ่นและแรงงานต่างด้าวอย่างครบวงจร โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับรองขอบเขตอํานาจหน้าที่ (TOR) รัฐมนตรีแรงงานอาเซียน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของกรอบความร่วมมือของรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน และเปิดตัวสาส์นรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนครบรอบ 25 ปี ซึ่งถือเป็นการรวบรวมผลงานสําคัญของกรอบความร่วมมือรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน รวมถึงร่วมกันหารือเพื่อขยายความร่วมมือกับประเทศอาเซียนบวกสาม และแสวงหาแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการและความร่วมมือทางเทคนิคต่างๆ เพื่อยกระดับการขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านแรงงานในภูมิภาคอาเซียนบวกสามให้มีประสิทธิภาพต่อไป +++++++++++++++++++++++
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน สานสัมพันธ์ประชาคมอาเซียน ส่งเสริมความร่วมมือด้านแรงงานอย่างครบวงจร วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน 2561 ก.แรงงาน สานสัมพันธ์ประชาคมอาเซียน ส่งเสริมความร่วมมือด้านแรงงานอย่างครบวงจร ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน นําทีมประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 25 และการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 10 ส่งเสริมความร่วมมือและร่วมขับเคลื่อนภารกิจด้านแรงงานของประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างครบวงจร โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พลตํารวจเอก สุวัฒน์ จันทร์อิทธิกุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน หัวหน้าคณะผู้แทนไทย พร้อมด้วย นายสุรเดช วลีอิทธิกุล รองปลัดกระทรวงแรงงาน และคณะ เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 25 ( 25th ASEAN Labour Minister Meeting : 25th ALMM) และการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 10 (10th ASEAN Plus Three Labour Ministers Meeting : 10th ALMM + 3) ระหว่างวันที่ 28 – 29 พฤศจิกายน 2561 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย การประชุมดังกล่าวเป็นเวทีการประชุมระดับผู้นํา เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านแรงงานของประเทศสมาชิกอาเซียน และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการดําเนินงานตามกรอบแผนงานรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน อาทิ ประเด็นการคุ้มครองสิทธิแรงงานต่างด้าว การส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านจากการจ้างงานนอกระบบสู่การจ้างงานในระบบ การส่งเสริมงานสีเขียว เป็นต้น โดยหัวข้อหลักของการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 25 ได้แก่ การส่งเสริมงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อการเจริญเติบโตอย่างเท่าเทียมและมีส่วนร่วมในประชาคมอาเซียน หรือ Promoting Green Jobs for Equity and Inclusive Growth of ASEAN Community โดยมี ดร. มหาเธร์ บิน โมฮามัด นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย ให้เกียรติกล่าวเปิดการประชุมฯ พลตํารวจเอก สุวัฒน์ฯ กล่าวว่า ประเทศไทยได้ร่วมสนับสนุนการขับเคลื่อนปฏิญญา แผนปฏิบัติการ ตลอดจนแนวคิดริเริ่มในการขับเคลื่อนการส่งเสริมการเข้าถึงงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อันสอดคล้องกับการครบรอบ 100 ปี องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ซึ่งประเทศไทยจะมีการจัดงานขึ้นเพื่อเฉลิมฉลอง โดยมุ่งเน้นการเข้าถึงงานที่มีคุณค่าผ่านการส่งเสริมงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การคุ้มครองสิทธิแรงงานต่างด้าว และการส่งเสริมเรื่องความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในสถานประกอบการอย่างสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อให้เกิดการคุ้มครองแรงงานท้องถิ่นและแรงงานต่างด้าวอย่างครบวงจร โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับรองขอบเขตอํานาจหน้าที่ (TOR) รัฐมนตรีแรงงานอาเซียน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของกรอบความร่วมมือของรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน และเปิดตัวสาส์นรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนครบรอบ 25 ปี ซึ่งถือเป็นการรวบรวมผลงานสําคัญของกรอบความร่วมมือรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน รวมถึงร่วมกันหารือเพื่อขยายความร่วมมือกับประเทศอาเซียนบวกสาม และแสวงหาแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการและความร่วมมือทางเทคนิคต่างๆ เพื่อยกระดับการขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านแรงงานในภูมิภาคอาเซียนบวกสามให้มีประสิทธิภาพต่อไป +++++++++++++++++++++++
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17160
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ ลงใต้ ลุยรณรงค์ "Everyday Say No to Plastic Bags" ลดการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว
วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2563 วราวุธ ลงใต้ ลุยรณรงค์ "Everyday Say No to Plastic Bags" ลดการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว วราวุธ ลงใต้ ลุยรณรงค์ "Everyday Say No to Plastic Bags" ลดการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว วราวุธ ลงใต้ ลุยรณรงค์ "Everyday Say No to Plastic Bags" ลดการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว เย็นวันนี้ (20 ม.ค. 63) ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดกิจกรรม "Everyday Say No to Plastic Bags" และนําทีมเดินรณรงค์ เชิญชวน ลดการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว และบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง พร้อมขอบคุณประชาชนชาวไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ช่วยกันลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว และบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง โดยมี นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมเป็นเกียรติในพิธี พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวง นายนฤทธิ์ มงคลศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ผู้บริหารบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จํากัด (มหาชน) ผู้บริหารบริษัท เซ็นทรัลฟู้ด รีเทล กรุ๊ป ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ ภาคประชาชน ผู้แทนสื่อมวลชน เข้าร่วมกิจกรรมเป็นจํานวนมาก นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า การจัดกิจกรรม “Everyday Say No to Plastic Bags” รณรงค์ลดการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว และบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง กับบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จํากัด (มหาชน) และบริษัท เซ็นทรัลฟู้ด รีเทล กรุ๊ป ซึ่งเป็นภาคีเครือข่ายภาคเอกชนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ที่ได้ดําเนินการจัดกิจกรรม และแคมเปญเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อน เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา ประชาชนคนไทยได้มอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้แก่ประเทศไทย รวมถึงโลกของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกหลานของเราทุกคนที่จะเติบโตมาบนสิ่งแวดล้อมที่ดี ซึ่งห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้าซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ ในภาคีเครือข่ายภาคเอกชนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมใจกันงดให้บริการถุงพลาสติกหูหิ้วแก่ลูกค้า เกิดเป็นปรากฎการ “Say No to Plastic Bags” ทั่วประเทศไทย แม้ว่าอาจทําให้เกิดความไม่สะดวกสบายแก่ลูกค้า หรือเกิดปัญหาอุปสรรคมากมาย แต่ทุกบริษัทก็ยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับภาครัฐ พร้อมทั้งร่วมกันหาทางออกที่ดีให้กับลูกค้า สิ่งสําคัญที่สุด คือ การได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากพ่อแม่ พี่น้องประชาชนชาวไทย รวมถึงชาวต่างชาติ ขอขอบพระคุณทุก ๆ คน ที่มีการปรับตัวกันอย่างต่อเนื่อง มีการนําถุงผ้า ตะกร้า ปิ่นโต หรือรถเข็น เพื่อไปซื้อของที่ตลาด ห้างร้านต่าง ๆ จนเกิดความเคยชิน และติดเป็นนิสัย พร้อมบอกต่อกับคนใกล้ตัวให้ปฏิบัติตามด้วย ถึงแม้ว่าบางคนจะยังไม่คุ้นเคยกับการพกถุงผ้า ก็มีความพยายามที่จะปฏิบัติตาม เพราะเข้าใจถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม และต้องการช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่ถึงคนรุ่นหลังต่อไป ขอบคุณภาพ:
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ ลงใต้ ลุยรณรงค์ "Everyday Say No to Plastic Bags" ลดการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2563 วราวุธ ลงใต้ ลุยรณรงค์ "Everyday Say No to Plastic Bags" ลดการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว วราวุธ ลงใต้ ลุยรณรงค์ "Everyday Say No to Plastic Bags" ลดการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว วราวุธ ลงใต้ ลุยรณรงค์ "Everyday Say No to Plastic Bags" ลดการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว เย็นวันนี้ (20 ม.ค. 63) ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดกิจกรรม "Everyday Say No to Plastic Bags" และนําทีมเดินรณรงค์ เชิญชวน ลดการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว และบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง พร้อมขอบคุณประชาชนชาวไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ช่วยกันลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว และบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง โดยมี นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมเป็นเกียรติในพิธี พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวง นายนฤทธิ์ มงคลศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ผู้บริหารบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จํากัด (มหาชน) ผู้บริหารบริษัท เซ็นทรัลฟู้ด รีเทล กรุ๊ป ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ ภาคประชาชน ผู้แทนสื่อมวลชน เข้าร่วมกิจกรรมเป็นจํานวนมาก นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า การจัดกิจกรรม “Everyday Say No to Plastic Bags” รณรงค์ลดการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว และบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง กับบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จํากัด (มหาชน) และบริษัท เซ็นทรัลฟู้ด รีเทล กรุ๊ป ซึ่งเป็นภาคีเครือข่ายภาคเอกชนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ที่ได้ดําเนินการจัดกิจกรรม และแคมเปญเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อน เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา ประชาชนคนไทยได้มอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้แก่ประเทศไทย รวมถึงโลกของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกหลานของเราทุกคนที่จะเติบโตมาบนสิ่งแวดล้อมที่ดี ซึ่งห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้าซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ ในภาคีเครือข่ายภาคเอกชนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมใจกันงดให้บริการถุงพลาสติกหูหิ้วแก่ลูกค้า เกิดเป็นปรากฎการ “Say No to Plastic Bags” ทั่วประเทศไทย แม้ว่าอาจทําให้เกิดความไม่สะดวกสบายแก่ลูกค้า หรือเกิดปัญหาอุปสรรคมากมาย แต่ทุกบริษัทก็ยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับภาครัฐ พร้อมทั้งร่วมกันหาทางออกที่ดีให้กับลูกค้า สิ่งสําคัญที่สุด คือ การได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากพ่อแม่ พี่น้องประชาชนชาวไทย รวมถึงชาวต่างชาติ ขอขอบพระคุณทุก ๆ คน ที่มีการปรับตัวกันอย่างต่อเนื่อง มีการนําถุงผ้า ตะกร้า ปิ่นโต หรือรถเข็น เพื่อไปซื้อของที่ตลาด ห้างร้านต่าง ๆ จนเกิดความเคยชิน และติดเป็นนิสัย พร้อมบอกต่อกับคนใกล้ตัวให้ปฏิบัติตามด้วย ถึงแม้ว่าบางคนจะยังไม่คุ้นเคยกับการพกถุงผ้า ก็มีความพยายามที่จะปฏิบัติตาม เพราะเข้าใจถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม และต้องการช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่ถึงคนรุ่นหลังต่อไป ขอบคุณภาพ:
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25934
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. โดย กคช. จัดแถลงข่าวมหกรรมบ้านเคหะประชารัฐ ครั้งที่ 2 นำโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้จองจำนวน 148 โครงการ 20,817 หน่วย ตั้งแต่ 30 มิ.ย. ถึง 9 ก.ค. นี้
วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2560 พม. โดย กคช. จัดแถลงข่าวมหกรรมบ้านเคหะประชารัฐ ครั้งที่ 2 นําโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้จองจํานวน 148 โครงการ 20,817 หน่วย ตั้งแต่ 30 มิ.ย. ถึง 9 ก.ค. นี้ พม. โดย กคช. จัดแถลงข่าวเปิดมหกรรมบ้านเคหะประชารัฐ ครั้งที่ 2 นําโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้จองจํานวน 148 โครงการ 20,817 หน่วย ตั้งแต่ 30 มิ.ย. ถึง 9 ก.ค. นี้ วันนี้ (30 มิ.ย. 60) เวลา 11.30 น. ณ บริเวณโถงชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วย ดร.ธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ร่วมกันแถลงข่าวเปิดมหกรรมบ้านเคหะประชารัฐ ครั้งที่ 2 ซึ่งกําหนดเปิดจองระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน ถึงวันที่ 9 กรกฎาคม 2560 ณ สํานักงานใหญ่ การเคหะแห่งชาติ สํานักงานขายที่มีโครงการตั้งอยู่ และศูนย์ขาย 12 แห่งทั่วประเทศ พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า การเปิดจองโครงการบ้านเคหะประชารัฐ ครั้งที่ 2 นับเป็นการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในระดับราคาที่สามารถผ่อนชําระได้ อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตามเจตนารมณ์ของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ได้คัดสรรโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อให้ประชาชนได้จองจํานวน 148 โครงการ 20,817 หน่วย มีรูปแบบโครงการ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 4,865 หน่วยบ้านแฝด 1,462 หน่วย ทาวน์เฮ้าส์ 522 หน่วย ทาวน์โฮม 1,051 หน่วย อาคารพาณิชย์ 48 หน่วย และอาคารชุด 12,869 หน่วย ซึ่งเปิดจองโครงการ ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน ถึงวันที่ 9 กรกฎาคม 2560 ณ สํานักงานใหญ่การเคหะแห่งชาติ สํานักงานขายที่มีโครงการตั้งอยู่ และศูนย์ขาย 12 แห่งทั่วประเทศ พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า สําหรับรูปแบบโครงการดังกล่าว แบ่งเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วย 1) โครงการบ้านสร้างแล้วเสร็จ จํานวน 90 โครงการ 10,614 หน่วย ราคาขายอยู่ระหว่าง 242,000 - 2,600,000 บาท บนทําเลที่ตั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ เช่น รามอินทรา (ซอยคู้บอน) ปัญญารามอินทรา ลาดกระบัง 2 และร่มเกล้า ส่วนทําเลที่ตั้งในพื้นที่ปริมณฑล เช่น จ.นนทบุรี (บางบัวทอง วัดกู้ ซอยกันตนา) จ.ปทุมธานี (รังสิต สี่แยกปทุมวิไล ลาดหลุมแก้ว) จ.นครปฐม (ท่าตําหนัก บ่อพลับ ศาลายา พุทธมณฑล) จ.สมุทรปราการ (บางนา ขจรวิทย์ แพรกษา) จ.สมุทรสาคร (บางกระเจ้า เศรษฐกิจ กระทุ่มแบน) และในพื้นที่ภูมิภาค เช่น ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ปราจีนบุรี ระยอง นครราชสีมา บุรีรัมย์ ยโสธร หนองคาย หนองบัวลําภู อํานาจเจริญ อุบลราชธานี แพร่ ลําปาง อุตรดิตถ์ และภูเก็ต 2) โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง จํานวน 38 โครงการ จํานวน 4,600 หน่วย ราคาขายอยู่ระหว่าง 480,000 - 4,450,000 บาท บนทําเลที่ตั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ เช่น ร่มเกล้า ลาดกระบัง หนองจอก บางขุนเทียน ส่วนทําเลที่ตั้งใน พื้นที่ปริมณฑล ได้แก่ จ.นนทบุรี (บางบัวทอง วัดกู้ ซอยกันตนา) จ.ปทุมธานี (ตลาดไท) จ.นครปฐม (สระสี่มุม) จ.สมุทรปราการ (บางบ่อ บางปู เทพารักษ์) จ.สมุทรสาคร (เศรษฐกิจ) และในพื้นที่ภูมิภาค เช่น พระนครศรีอยุธยา สระบุรี ลพบุรี กาญจนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง ลําปาง พิษณุโลก เชียงใหม่ ตาก กําแพงเพชร บุรีรัมย์ อุดรธานี ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี ตรัง นครศรีธรรมราช ภูเก็ต และกระบี่ และ 3) โครงการที่เปิดขายใหม่ จํานวน 20 โครงการ 5,603 หน่วย บนทําเลที่ตั้งในพื้นที่ปริมณฑล ได้แก่ จ.ปทุมธานี (รังสิต) และ จ.สมุทรปราการ (เทพารักษ์ บางปู) ส่วนทําเลที่ตั้งในพื้นที่ภูมิภาค เช่น สระบุรี พระนครศรีอยุธยา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี นครราชสีมา ศรีสะเกษ กาฬสินธุ์ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ขอนแก่น, นครสวรรค์ สุราษฎร์ธานี ตรัง และภูเก็ต พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่ออีกว่า สําหรับสิทธิพิเศษสําหรับลูกค้าที่จองโครงการบ้านเคหะประชารัฐครั้งนี้ประกอบด้วย ฟรีค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ทุกโครงการ ลูกค้าสามารถเช่าซื้อกับการเคหะแห่งชาติเฉพาะโครงการที่เข้าร่วม 30 โครงการ โดยรับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.49 % หรือ สําหรับผู้มีรายได้น้อยที่ยังไม่พร้อมซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบจากการซื้อเป็นการเช่าในลักษณะโครงการเช่าเพื่อซื้อ หรือ Rent to buy เฉพาะโครงการที่เข้าร่วม 24 โครงการ หรือเลือกรับอัตราดอกเบี้ยโครงการบ้านประชารัฐจากธนาคารอาคารสงเคราะห์และธนาคารออมสิน เฉพาะโครงการที่มีราคาขายไม่เกิน 1.5 ล้านบาท โดยมีอัตราการผ่อนชําระเป็นไปตามเงื่อนไขของสถาบันการเงินที่กําหนด หรือจะเลือกรับอัตราดอกเบี้ยตามโครงการบ้านกตัญญูของธนาคารอาคารสงเคราะห์และธนาคารออมสิน (ตามเงื่อนไขของธนาคาร) หากจองโครงการที่เปิดขายใหม่ จํานวน 20 โครงการ 5,603 หน่วย ทั้งนี้ การเคหะแห่งชาติได้กันที่พักอาศัยสําหรับผู้สูงอายุไว้ร้อยละ 10 ของจํานวนหน่วยก่อสร้าง โดยอาคารแนวราบจะอยู่ใกล้สวนสาธารณะ ส่วนอาคารแนวสูงจะมีห้องพักอาศัยสําหรับครอบครัวที่มีผู้สูงอายุ บริเวณชั้น 1 พร้อมอุปกรณ์อํานวยความสะดวกสําหรับผู้สูงอายุ ทั้งนี้ การจองโครงการต้องเตรียมเอกสารหลักฐาน ได้แก่ สําเนาบัตรประชาชน สําเนาทะเบียนบ้าน สําเนาทะเบียนสมรส (ถ้ามี) หนังสือรับรองรายได้ หรือสลิปเงินเดือน หรือหนังสือรับรองรายได้ตนเอง และเงินจองตั้งแต่ 1,000 บาท สําหรับคุณสมบัติของผู้จอง ประกอบด้วย มีสัญชาติไทยและบรรลุนิติภาวะแล้ว มีรายได้ไม่เกิน 40,000 บาทต่อเดือน สําหรับการจองโครงการที่ราคาไม่เกิน 740,000 บาท และ ไม่จํากัดรายได้สําหรับการจองโครงการที่ราคาเกิน 740,000 บาทขึ้นไป พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ เพื่อตอบสนองนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” ของรัฐบาล กคช.ได้พัฒนานวัตกรรมระบบการให้บริการค้นหาบ้านว่างพร้อมขายและจองผ่านระบบจองบ้านออนไลน์ขึ้น เพื่อเพิ่มช่องทางการขายและบริการข้อมูลให้กับประชาชนที่สนใจจะจองโครงการ ซึ่งสามารถจองได้ง่ายๆ ผ่าน http://house.nha.co.th บนเครื่องคอมพิวเตอร์ PC หรือ โทรศัพท์มือถือประเภทสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ซึ่ง กคช. ได้นําโครงการที่เปิดจองในครั้งนี้ จํานวน 48 โครงการ 4,044 หน่วย มาออกขายในระบบจองบ้านออนไลน์ด้วย ซึ่งลูกค้าสามารถนําใบจองหรือบาร์โค้ดไปชําระเงินที่สํานักงานใหญ่การเคหะแห่งชาติ สํานักงานเคหะชุมชน และเคาน์เตอร์เซอร์วิส นอกจากการจองที่อยู่อาศัยในงานมหกรรมบ้านเคหะประชารัฐฯ แล้ว ทางธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) และ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี จํากัด (มหาชน) ได้มาให้บริการสินเชื่อกับลูกค้าภายในงาน อีกทั้งธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้ออกบูธนิทรรศการแอพพลิเคชั่น “Home for All คนไทยมีบ้าน” เพื่อสํารวจความต้องการด้านที่อยู่อาศัยของประชาชน รวมถึงกรมการค้าภายใน ได้นําสินค้าอุปโภค - บริโภคธงฟ้ามาจําหน่ายในราคาประหยัด และยังมีผลิตภัณฑ์ชุมชนให้ประชาชนได้เลือกซื้อตามอัธยาศัยอีกด้วย “สําหรับประชาชนที่สนใจจองโครงการ สามารถจองได้ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายนถึงวันที่ 9 กรกฎาคม 2560 เวลา 08.30 - 18.00 น. ณ สํานักงานใหญ่การเคหะแห่งชาติ (เฉพาะสํานักงานใหญ่เปิดจองถึงวันที่ 4 กรกฎาคม 2560) สํานักงานขายที่มีโครงการตั้งอยู่ และศูนย์ขาย 12 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ ศูนย์ชุมชนบ้านเอื้ออาทรสมุทรปราการ 4 (บางปู) สํานักงานเคหะชุมชนสุขสวัสดิ์ ศูนย์ชุมชนบ้านเอื้ออาทรเทพารักษ์ 3 ศาลาประชาคมแหลมฉบัง ศูนย์ชุมชนบ้านเอื้ออาทรระยอง (ตะพง) ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี กาฬสินธุ์ สํานักงานเคหะชุมชนสุรินทร์ ศูนย์ชุมชนบ้านเอื้ออาทรอยุธยา (โรจนะ) ห้างสรรพสินค้าทวีกิจ สระบุรี ที่ว่าการอําเภอตาคลี จ.นครสวรรค์ สํานักงานเคหะชุมชนสุราษฎร์ธานี และสํานักงานเคหะชุมชนตรัง และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1615 www.nha.co.th” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. โดย กคช. จัดแถลงข่าวมหกรรมบ้านเคหะประชารัฐ ครั้งที่ 2 นำโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้จองจำนวน 148 โครงการ 20,817 หน่วย ตั้งแต่ 30 มิ.ย. ถึง 9 ก.ค. นี้ วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2560 พม. โดย กคช. จัดแถลงข่าวมหกรรมบ้านเคหะประชารัฐ ครั้งที่ 2 นําโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้จองจํานวน 148 โครงการ 20,817 หน่วย ตั้งแต่ 30 มิ.ย. ถึง 9 ก.ค. นี้ พม. โดย กคช. จัดแถลงข่าวเปิดมหกรรมบ้านเคหะประชารัฐ ครั้งที่ 2 นําโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้จองจํานวน 148 โครงการ 20,817 หน่วย ตั้งแต่ 30 มิ.ย. ถึง 9 ก.ค. นี้ วันนี้ (30 มิ.ย. 60) เวลา 11.30 น. ณ บริเวณโถงชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วย ดร.ธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ร่วมกันแถลงข่าวเปิดมหกรรมบ้านเคหะประชารัฐ ครั้งที่ 2 ซึ่งกําหนดเปิดจองระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน ถึงวันที่ 9 กรกฎาคม 2560 ณ สํานักงานใหญ่ การเคหะแห่งชาติ สํานักงานขายที่มีโครงการตั้งอยู่ และศูนย์ขาย 12 แห่งทั่วประเทศ พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า การเปิดจองโครงการบ้านเคหะประชารัฐ ครั้งที่ 2 นับเป็นการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในระดับราคาที่สามารถผ่อนชําระได้ อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตามเจตนารมณ์ของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ได้คัดสรรโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อให้ประชาชนได้จองจํานวน 148 โครงการ 20,817 หน่วย มีรูปแบบโครงการ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 4,865 หน่วยบ้านแฝด 1,462 หน่วย ทาวน์เฮ้าส์ 522 หน่วย ทาวน์โฮม 1,051 หน่วย อาคารพาณิชย์ 48 หน่วย และอาคารชุด 12,869 หน่วย ซึ่งเปิดจองโครงการ ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน ถึงวันที่ 9 กรกฎาคม 2560 ณ สํานักงานใหญ่การเคหะแห่งชาติ สํานักงานขายที่มีโครงการตั้งอยู่ และศูนย์ขาย 12 แห่งทั่วประเทศ พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า สําหรับรูปแบบโครงการดังกล่าว แบ่งเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วย 1) โครงการบ้านสร้างแล้วเสร็จ จํานวน 90 โครงการ 10,614 หน่วย ราคาขายอยู่ระหว่าง 242,000 - 2,600,000 บาท บนทําเลที่ตั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ เช่น รามอินทรา (ซอยคู้บอน) ปัญญารามอินทรา ลาดกระบัง 2 และร่มเกล้า ส่วนทําเลที่ตั้งในพื้นที่ปริมณฑล เช่น จ.นนทบุรี (บางบัวทอง วัดกู้ ซอยกันตนา) จ.ปทุมธานี (รังสิต สี่แยกปทุมวิไล ลาดหลุมแก้ว) จ.นครปฐม (ท่าตําหนัก บ่อพลับ ศาลายา พุทธมณฑล) จ.สมุทรปราการ (บางนา ขจรวิทย์ แพรกษา) จ.สมุทรสาคร (บางกระเจ้า เศรษฐกิจ กระทุ่มแบน) และในพื้นที่ภูมิภาค เช่น ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ปราจีนบุรี ระยอง นครราชสีมา บุรีรัมย์ ยโสธร หนองคาย หนองบัวลําภู อํานาจเจริญ อุบลราชธานี แพร่ ลําปาง อุตรดิตถ์ และภูเก็ต 2) โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง จํานวน 38 โครงการ จํานวน 4,600 หน่วย ราคาขายอยู่ระหว่าง 480,000 - 4,450,000 บาท บนทําเลที่ตั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ เช่น ร่มเกล้า ลาดกระบัง หนองจอก บางขุนเทียน ส่วนทําเลที่ตั้งใน พื้นที่ปริมณฑล ได้แก่ จ.นนทบุรี (บางบัวทอง วัดกู้ ซอยกันตนา) จ.ปทุมธานี (ตลาดไท) จ.นครปฐม (สระสี่มุม) จ.สมุทรปราการ (บางบ่อ บางปู เทพารักษ์) จ.สมุทรสาคร (เศรษฐกิจ) และในพื้นที่ภูมิภาค เช่น พระนครศรีอยุธยา สระบุรี ลพบุรี กาญจนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง ลําปาง พิษณุโลก เชียงใหม่ ตาก กําแพงเพชร บุรีรัมย์ อุดรธานี ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี ตรัง นครศรีธรรมราช ภูเก็ต และกระบี่ และ 3) โครงการที่เปิดขายใหม่ จํานวน 20 โครงการ 5,603 หน่วย บนทําเลที่ตั้งในพื้นที่ปริมณฑล ได้แก่ จ.ปทุมธานี (รังสิต) และ จ.สมุทรปราการ (เทพารักษ์ บางปู) ส่วนทําเลที่ตั้งในพื้นที่ภูมิภาค เช่น สระบุรี พระนครศรีอยุธยา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี นครราชสีมา ศรีสะเกษ กาฬสินธุ์ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ขอนแก่น, นครสวรรค์ สุราษฎร์ธานี ตรัง และภูเก็ต พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่ออีกว่า สําหรับสิทธิพิเศษสําหรับลูกค้าที่จองโครงการบ้านเคหะประชารัฐครั้งนี้ประกอบด้วย ฟรีค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ทุกโครงการ ลูกค้าสามารถเช่าซื้อกับการเคหะแห่งชาติเฉพาะโครงการที่เข้าร่วม 30 โครงการ โดยรับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.49 % หรือ สําหรับผู้มีรายได้น้อยที่ยังไม่พร้อมซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบจากการซื้อเป็นการเช่าในลักษณะโครงการเช่าเพื่อซื้อ หรือ Rent to buy เฉพาะโครงการที่เข้าร่วม 24 โครงการ หรือเลือกรับอัตราดอกเบี้ยโครงการบ้านประชารัฐจากธนาคารอาคารสงเคราะห์และธนาคารออมสิน เฉพาะโครงการที่มีราคาขายไม่เกิน 1.5 ล้านบาท โดยมีอัตราการผ่อนชําระเป็นไปตามเงื่อนไขของสถาบันการเงินที่กําหนด หรือจะเลือกรับอัตราดอกเบี้ยตามโครงการบ้านกตัญญูของธนาคารอาคารสงเคราะห์และธนาคารออมสิน (ตามเงื่อนไขของธนาคาร) หากจองโครงการที่เปิดขายใหม่ จํานวน 20 โครงการ 5,603 หน่วย ทั้งนี้ การเคหะแห่งชาติได้กันที่พักอาศัยสําหรับผู้สูงอายุไว้ร้อยละ 10 ของจํานวนหน่วยก่อสร้าง โดยอาคารแนวราบจะอยู่ใกล้สวนสาธารณะ ส่วนอาคารแนวสูงจะมีห้องพักอาศัยสําหรับครอบครัวที่มีผู้สูงอายุ บริเวณชั้น 1 พร้อมอุปกรณ์อํานวยความสะดวกสําหรับผู้สูงอายุ ทั้งนี้ การจองโครงการต้องเตรียมเอกสารหลักฐาน ได้แก่ สําเนาบัตรประชาชน สําเนาทะเบียนบ้าน สําเนาทะเบียนสมรส (ถ้ามี) หนังสือรับรองรายได้ หรือสลิปเงินเดือน หรือหนังสือรับรองรายได้ตนเอง และเงินจองตั้งแต่ 1,000 บาท สําหรับคุณสมบัติของผู้จอง ประกอบด้วย มีสัญชาติไทยและบรรลุนิติภาวะแล้ว มีรายได้ไม่เกิน 40,000 บาทต่อเดือน สําหรับการจองโครงการที่ราคาไม่เกิน 740,000 บาท และ ไม่จํากัดรายได้สําหรับการจองโครงการที่ราคาเกิน 740,000 บาทขึ้นไป พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ เพื่อตอบสนองนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” ของรัฐบาล กคช.ได้พัฒนานวัตกรรมระบบการให้บริการค้นหาบ้านว่างพร้อมขายและจองผ่านระบบจองบ้านออนไลน์ขึ้น เพื่อเพิ่มช่องทางการขายและบริการข้อมูลให้กับประชาชนที่สนใจจะจองโครงการ ซึ่งสามารถจองได้ง่ายๆ ผ่าน http://house.nha.co.th บนเครื่องคอมพิวเตอร์ PC หรือ โทรศัพท์มือถือประเภทสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ซึ่ง กคช. ได้นําโครงการที่เปิดจองในครั้งนี้ จํานวน 48 โครงการ 4,044 หน่วย มาออกขายในระบบจองบ้านออนไลน์ด้วย ซึ่งลูกค้าสามารถนําใบจองหรือบาร์โค้ดไปชําระเงินที่สํานักงานใหญ่การเคหะแห่งชาติ สํานักงานเคหะชุมชน และเคาน์เตอร์เซอร์วิส นอกจากการจองที่อยู่อาศัยในงานมหกรรมบ้านเคหะประชารัฐฯ แล้ว ทางธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) และ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี จํากัด (มหาชน) ได้มาให้บริการสินเชื่อกับลูกค้าภายในงาน อีกทั้งธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้ออกบูธนิทรรศการแอพพลิเคชั่น “Home for All คนไทยมีบ้าน” เพื่อสํารวจความต้องการด้านที่อยู่อาศัยของประชาชน รวมถึงกรมการค้าภายใน ได้นําสินค้าอุปโภค - บริโภคธงฟ้ามาจําหน่ายในราคาประหยัด และยังมีผลิตภัณฑ์ชุมชนให้ประชาชนได้เลือกซื้อตามอัธยาศัยอีกด้วย “สําหรับประชาชนที่สนใจจองโครงการ สามารถจองได้ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายนถึงวันที่ 9 กรกฎาคม 2560 เวลา 08.30 - 18.00 น. ณ สํานักงานใหญ่การเคหะแห่งชาติ (เฉพาะสํานักงานใหญ่เปิดจองถึงวันที่ 4 กรกฎาคม 2560) สํานักงานขายที่มีโครงการตั้งอยู่ และศูนย์ขาย 12 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ ศูนย์ชุมชนบ้านเอื้ออาทรสมุทรปราการ 4 (บางปู) สํานักงานเคหะชุมชนสุขสวัสดิ์ ศูนย์ชุมชนบ้านเอื้ออาทรเทพารักษ์ 3 ศาลาประชาคมแหลมฉบัง ศูนย์ชุมชนบ้านเอื้ออาทรระยอง (ตะพง) ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี กาฬสินธุ์ สํานักงานเคหะชุมชนสุรินทร์ ศูนย์ชุมชนบ้านเอื้ออาทรอยุธยา (โรจนะ) ห้างสรรพสินค้าทวีกิจ สระบุรี ที่ว่าการอําเภอตาคลี จ.นครสวรรค์ สํานักงานเคหะชุมชนสุราษฎร์ธานี และสํานักงานเคหะชุมชนตรัง และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1615 www.nha.co.th” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4910