title
stringlengths
0
33.4k
context
stringlengths
0
133k
raw
stringlengths
39
133k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยนำทีมชนะเลิศ "กรุงไทย ต้นกล้าสีขาว" เข้าเฝ้ารับถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระเทพฯ
วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561 กรุงไทยนําทีมชนะเลิศ "กรุงไทย ต้นกล้าสีขาว" เข้าเฝ้ารับถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระเทพฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานถ้วยรางวัลชนะเลิศโครงการ "กรุงไทย ต้นกล้าสีขาว" ประจําปี พ.ศ. 2559 และประจําปี พ.ศ. 2560 ให้แก่คณาจารย์ นักเรียน และชุมชน ทีมจิกกะลาโมเดล โรงเรียนกันทรารมณ์ และทีมปอดบําบัด โรงเรียนรัฐราษฎร์อุปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานถ้วยรางวัลชนะเลิศโครงการ "กรุงไทย ต้นกล้าสีขาว" ประจําปี พ.ศ. 2559 และประจําปี พ.ศ. 2560 ให้แก่คณาจารย์ นักเรียน และชุมชน ทีมจิกกะลาโมเดล โรงเรียนกันทรารมณ์ และทีมปอดบําบัด โรงเรียนรัฐราษฎร์อุปถัมภ์ โดยมีนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย พร้อมด้วยผู้บริหาร คณาจารย์ จากโรงเรียนกันทรารมณ์ และโรงเรียนรัฐราษฎร์อุปถัมภ์ ร่วมเข้าเฝ้าฯ ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2561 ทีม “จิกกะลาโมเดล” จากโรงเรียนกันทรารมณ์ จัดทําโครงงาน “จิกกะลาไม่มีหนี้ ชีวีพอเพียง” โดยจัดตั้งธนาคารเมล็ดพันธุ์ทําให้ชุมชนบ้านจิกกะลา อําเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นต้นแบบการใช้สารจุลินทรีย์กําจัดศัตรูพืช ขยายความรู้สู่ชุมชนอื่น เพื่อเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ให้ยั่งยืน ทีม “ปอดบําบัด” จากโรงเรียนรัฐราษฎร์อุปถัมภ์ จัดทําโครงงาน “ผักตบชวาบําบัด สร้างอาชีพเสริม เพิ่มรายได้สู่ชุมชนอย่างยั่งยืน” โดยร่วมมือกับคนในชุมชนสร้างบล็อกที่ใช้ในการจัดระบบผักตบชวาในแหล่งน้ํา รากของผักตบชวาจะช่วยกรองสารเคมีและโลหะหนักที่ลอยมากับน้ําทําให้น้ําสะอาดขึ้น และให้ความรู้กับคนในชุมชนเกี่ยวกับเรื่องการแปรรูปผักตบชวาเป็นผลิตภัณฑ์จักสาน ถ่าน และปุ๋ย และร่วมกับคนในชุมชน ตั้งกลุ่มผักตบชวาขึ้นเพื่อขับเคลื่อนโครงงานและเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ นอกจากการส่งเสริมให้นักเรียนเข้าใจหลักเศรษฐกิจพอเพียง โดยร่วมทํากิจกรรมกับชุมชน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและยั่งยืนแล้ว ธนาคารยังได้สนับสนุนโครงการ National e-Payment ในการก้าวสู่สังคมไร้เงินสด โดยได้ดําเนินการส่งมอบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจํานวน 11.6 ล้านใบ เพื่อส่งเสริมประชาชนให้สามารถเข้าถึงการชําระเงินในระบบอิเล็กทรอนิกส์ ติดตั้งเครื่อง EDC ให้แก่ร้านธงฟ้ามากกว่า 20,000 แห่ง เพื่อรับชําระเงินจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อํานวยความสะดวกให้กับประชาชนในพื้นที่ต่างๆ พร้อมทั้งได้ให้ความรู้ด้านการเงินแก่ประชาชนทุกภูมิภาคมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างทักษะทางด้านการเงิน ส่งเสริมการมีวินัยทางการเงินและการออม ผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ตลอดจนจัดทํา Application เพื่อให้ทุกภาคส่วนของสังคม มีโอกาสเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างเท่าเทียมกัน ทําให้ชุมชนมีความเข้มแข็งทางการเงิน อันจะส่งผลที่ดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร.0-2208-4174-8
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยนำทีมชนะเลิศ "กรุงไทย ต้นกล้าสีขาว" เข้าเฝ้ารับถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระเทพฯ วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561 กรุงไทยนําทีมชนะเลิศ "กรุงไทย ต้นกล้าสีขาว" เข้าเฝ้ารับถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระเทพฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานถ้วยรางวัลชนะเลิศโครงการ "กรุงไทย ต้นกล้าสีขาว" ประจําปี พ.ศ. 2559 และประจําปี พ.ศ. 2560 ให้แก่คณาจารย์ นักเรียน และชุมชน ทีมจิกกะลาโมเดล โรงเรียนกันทรารมณ์ และทีมปอดบําบัด โรงเรียนรัฐราษฎร์อุปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานถ้วยรางวัลชนะเลิศโครงการ "กรุงไทย ต้นกล้าสีขาว" ประจําปี พ.ศ. 2559 และประจําปี พ.ศ. 2560 ให้แก่คณาจารย์ นักเรียน และชุมชน ทีมจิกกะลาโมเดล โรงเรียนกันทรารมณ์ และทีมปอดบําบัด โรงเรียนรัฐราษฎร์อุปถัมภ์ โดยมีนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย พร้อมด้วยผู้บริหาร คณาจารย์ จากโรงเรียนกันทรารมณ์ และโรงเรียนรัฐราษฎร์อุปถัมภ์ ร่วมเข้าเฝ้าฯ ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2561 ทีม “จิกกะลาโมเดล” จากโรงเรียนกันทรารมณ์ จัดทําโครงงาน “จิกกะลาไม่มีหนี้ ชีวีพอเพียง” โดยจัดตั้งธนาคารเมล็ดพันธุ์ทําให้ชุมชนบ้านจิกกะลา อําเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นต้นแบบการใช้สารจุลินทรีย์กําจัดศัตรูพืช ขยายความรู้สู่ชุมชนอื่น เพื่อเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ให้ยั่งยืน ทีม “ปอดบําบัด” จากโรงเรียนรัฐราษฎร์อุปถัมภ์ จัดทําโครงงาน “ผักตบชวาบําบัด สร้างอาชีพเสริม เพิ่มรายได้สู่ชุมชนอย่างยั่งยืน” โดยร่วมมือกับคนในชุมชนสร้างบล็อกที่ใช้ในการจัดระบบผักตบชวาในแหล่งน้ํา รากของผักตบชวาจะช่วยกรองสารเคมีและโลหะหนักที่ลอยมากับน้ําทําให้น้ําสะอาดขึ้น และให้ความรู้กับคนในชุมชนเกี่ยวกับเรื่องการแปรรูปผักตบชวาเป็นผลิตภัณฑ์จักสาน ถ่าน และปุ๋ย และร่วมกับคนในชุมชน ตั้งกลุ่มผักตบชวาขึ้นเพื่อขับเคลื่อนโครงงานและเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ นอกจากการส่งเสริมให้นักเรียนเข้าใจหลักเศรษฐกิจพอเพียง โดยร่วมทํากิจกรรมกับชุมชน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและยั่งยืนแล้ว ธนาคารยังได้สนับสนุนโครงการ National e-Payment ในการก้าวสู่สังคมไร้เงินสด โดยได้ดําเนินการส่งมอบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจํานวน 11.6 ล้านใบ เพื่อส่งเสริมประชาชนให้สามารถเข้าถึงการชําระเงินในระบบอิเล็กทรอนิกส์ ติดตั้งเครื่อง EDC ให้แก่ร้านธงฟ้ามากกว่า 20,000 แห่ง เพื่อรับชําระเงินจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อํานวยความสะดวกให้กับประชาชนในพื้นที่ต่างๆ พร้อมทั้งได้ให้ความรู้ด้านการเงินแก่ประชาชนทุกภูมิภาคมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างทักษะทางด้านการเงิน ส่งเสริมการมีวินัยทางการเงินและการออม ผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ตลอดจนจัดทํา Application เพื่อให้ทุกภาคส่วนของสังคม มีโอกาสเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างเท่าเทียมกัน ทําให้ชุมชนมีความเข้มแข็งทางการเงิน อันจะส่งผลที่ดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร.0-2208-4174-8
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10547
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. 4.0 เดินหน้าอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการในการขอรับใบอนุญาต มอก.
วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม 2561 สมอ. 4.0 เดินหน้าอํานวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการในการขอรับใบอนุญาต มอก. สมอ. พร้อมรับคําขอรับใบอนุญาตผ่านระบบ Digital-License แล้ว 98 มาตรฐาน คาดภายในปี 61 ครอบคลุม 173 มาตรฐาน พร้อมแต่งตั้งหน่วยตรวจ (IB) เพิ่มเป็น 15 หน่วยงาน ดําเนินการตรวจโรงงานแทน สมอ. สมอ. พร้อมรับคําขอรับใบอนุญาตผ่านระบบ Digital-License แล้ว 98 มาตรฐาน คาดภายในปี 61 ครอบคลุม 173 มาตรฐาน พร้อมแต่งตั้งหน่วยตรวจ (IB) เพิ่มเป็น 15 หน่วยงาน ดําเนินการตรวจโรงงานแทน สมอ. ควบคู่กับการถ่ายโอนการตรวจติดตามภายหลังการอนุญาต เพื่อให้การรับรองมาตรฐานรวดเร็วขึ้น นายอภิจิณ โชติกเสถียร เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยความคืบหน้าการ Transform การมาตรฐานสู่ สมอ. 4.0 โดยนําระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในกระบวนการออกใบอนุญาต (Digital-License) เพื่ออํานวยความสะดวก และลดระยะเวลาในการออกใบอนุญาตให้กับผู้ประกอบการให้รวดเร็วยิ่งขึ้นภายใน 10 วันทําการ โดยตั้งแต่เปิดตัวโครงการระบบ Digital-License เมื่อวันที่19 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ได้ดําเนินการออกใบอนุญาตไปแล้ว 46 ฉบับ ครอบคลุม 12 มาตรฐาน ขณะนี้ยังพร้อมให้ผู้ประกอบการยื่นขอ มอก. ผ่านระบบเพิ่มอีก จํานวน 98 มาตรฐาน และจะดําเนินการให้ครอบคลุม 173 มาตรฐาน ภายในปี 2561 โดยมีเป้าหมายให้สามารถออกใบอนุญาตได้ครบทุกมาตรฐาน ภายในปี 2562 ด้านการถ่ายโอนงานการตรวจประเมินโรงงานให้หน่วยตรวจที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจสอบการทําผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ Inspection Body (IB) ขณะนี้ สมอ. ได้แต่งตั้งศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) เป็นหน่วยตรวจประเมินโรงงานเรียบร้อยแล้ว ทําให้ขณะนี้ สมอ. มีหน่วยตรวจประเมินโรงงาน จํานวน 15 หน่วยงาน ครอบคลุม 1,700 มาตรฐาน ซึ่งในจํานวนนี้ สมอ. ได้ถ่ายโอนงาน เต็มรูปแบบ จํานวน 173 มาตรฐาน แบ่งเป็น มาตรฐานทั่วไป 130 มาตรฐาน และมาตรฐานบังคับ 43 มาตรฐาน เช่น หลอดไฟฟ้า ถังก๊าซปิโตรเลียมเหลว ผ้าเบรกสําหรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ถังน้ํามันรถยนต์นั่ง เครื่องอบผ้าเฉพาะด้านความปลอดภัย เป็นต้น ซึ่งหน่วยตรวจดังกล่าวจะทําหน้าที่ประเมินระบบควบคุมคุณภาพของโรงงานที่ทําผลิตภัณฑ์ของผู้ขอรับใบอนุญาต ตั้งแต่การตรวจประเมินระบบของโรงงาน เก็บตัวอย่างและนํามาทําการทดสอบในห้องปฏิบัติการที่ได้รับการแต่งตั้ง รวมทั้งจัดทํารายงานเพื่อเสนอ สมอ. พิจารณา ออกใบอนุญาต ส่งผลให้การขอรับใบอนุญาตของผู้ประกอบการสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อหน่วยตรวจประเมินโรงงานได้ที่ www.tisi.go.th. ท้ายนี้ เลขาธิการ สมอ. กล่าวว่า สมอ. เตรียมให้หน่วยตรวจ หรือ IB ทําหน้าที่ตรวจติดตามภายหลังการอนุญาต เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑและวิธีการการตรวจสอบ เพื่อการอนุญาตและติดตามผล ฉบับแกไขครั้งที่ 1 ป พ.ศ.2560 อีกด้วย 11 พฤษภาคม 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. 4.0 เดินหน้าอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการในการขอรับใบอนุญาต มอก. วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม 2561 สมอ. 4.0 เดินหน้าอํานวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการในการขอรับใบอนุญาต มอก. สมอ. พร้อมรับคําขอรับใบอนุญาตผ่านระบบ Digital-License แล้ว 98 มาตรฐาน คาดภายในปี 61 ครอบคลุม 173 มาตรฐาน พร้อมแต่งตั้งหน่วยตรวจ (IB) เพิ่มเป็น 15 หน่วยงาน ดําเนินการตรวจโรงงานแทน สมอ. สมอ. พร้อมรับคําขอรับใบอนุญาตผ่านระบบ Digital-License แล้ว 98 มาตรฐาน คาดภายในปี 61 ครอบคลุม 173 มาตรฐาน พร้อมแต่งตั้งหน่วยตรวจ (IB) เพิ่มเป็น 15 หน่วยงาน ดําเนินการตรวจโรงงานแทน สมอ. ควบคู่กับการถ่ายโอนการตรวจติดตามภายหลังการอนุญาต เพื่อให้การรับรองมาตรฐานรวดเร็วขึ้น นายอภิจิณ โชติกเสถียร เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยความคืบหน้าการ Transform การมาตรฐานสู่ สมอ. 4.0 โดยนําระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในกระบวนการออกใบอนุญาต (Digital-License) เพื่ออํานวยความสะดวก และลดระยะเวลาในการออกใบอนุญาตให้กับผู้ประกอบการให้รวดเร็วยิ่งขึ้นภายใน 10 วันทําการ โดยตั้งแต่เปิดตัวโครงการระบบ Digital-License เมื่อวันที่19 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ได้ดําเนินการออกใบอนุญาตไปแล้ว 46 ฉบับ ครอบคลุม 12 มาตรฐาน ขณะนี้ยังพร้อมให้ผู้ประกอบการยื่นขอ มอก. ผ่านระบบเพิ่มอีก จํานวน 98 มาตรฐาน และจะดําเนินการให้ครอบคลุม 173 มาตรฐาน ภายในปี 2561 โดยมีเป้าหมายให้สามารถออกใบอนุญาตได้ครบทุกมาตรฐาน ภายในปี 2562 ด้านการถ่ายโอนงานการตรวจประเมินโรงงานให้หน่วยตรวจที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจสอบการทําผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ Inspection Body (IB) ขณะนี้ สมอ. ได้แต่งตั้งศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) เป็นหน่วยตรวจประเมินโรงงานเรียบร้อยแล้ว ทําให้ขณะนี้ สมอ. มีหน่วยตรวจประเมินโรงงาน จํานวน 15 หน่วยงาน ครอบคลุม 1,700 มาตรฐาน ซึ่งในจํานวนนี้ สมอ. ได้ถ่ายโอนงาน เต็มรูปแบบ จํานวน 173 มาตรฐาน แบ่งเป็น มาตรฐานทั่วไป 130 มาตรฐาน และมาตรฐานบังคับ 43 มาตรฐาน เช่น หลอดไฟฟ้า ถังก๊าซปิโตรเลียมเหลว ผ้าเบรกสําหรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ถังน้ํามันรถยนต์นั่ง เครื่องอบผ้าเฉพาะด้านความปลอดภัย เป็นต้น ซึ่งหน่วยตรวจดังกล่าวจะทําหน้าที่ประเมินระบบควบคุมคุณภาพของโรงงานที่ทําผลิตภัณฑ์ของผู้ขอรับใบอนุญาต ตั้งแต่การตรวจประเมินระบบของโรงงาน เก็บตัวอย่างและนํามาทําการทดสอบในห้องปฏิบัติการที่ได้รับการแต่งตั้ง รวมทั้งจัดทํารายงานเพื่อเสนอ สมอ. พิจารณา ออกใบอนุญาต ส่งผลให้การขอรับใบอนุญาตของผู้ประกอบการสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อหน่วยตรวจประเมินโรงงานได้ที่ www.tisi.go.th. ท้ายนี้ เลขาธิการ สมอ. กล่าวว่า สมอ. เตรียมให้หน่วยตรวจ หรือ IB ทําหน้าที่ตรวจติดตามภายหลังการอนุญาต เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑและวิธีการการตรวจสอบ เพื่อการอนุญาตและติดตามผล ฉบับแกไขครั้งที่ 1 ป พ.ศ.2560 อีกด้วย 11 พฤษภาคม 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12303
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​กระทรวงกลาโหม มอบของขวัญปีใหม่ “ เติมความสุขให้คนไทย จากใจทหาร” ให้กับประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 28 ธันวาคม 2560 ​กระทรวงกลาโหม มอบของขวัญปีใหม่ “ เติมความสุขให้คนไทย จากใจทหาร” ให้กับประชาชน ​กระทรวงกลาโหม มอบของขวัญปีใหม่ “ เติมความสุขให้คนไทย จากใจทหาร” ให้กับประชาชน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผย หลังการประชุมสภากลาโหม เมื่อ 27 ธ.ค.60 ณ ศาลาว่าการกลาโหม ว่า กระทรวงกลาโหม ขอมอบความปรารถนาดีให้กับประชาชน โดยได้จัดเตรียมของขวัญปีใหม่ ด้วยการ “เติมความสุขให้คนไทย จากใจทหาร” มอบให้พี่น้องประชาชน ใน 3 เรื่องหลัก คือ 1. งานสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน : โดยกําลังพลของกองทัพจะทําหน้าที่เสมือนเป็น รั้ว กล้องวงจรปิดหรือแม้กระทั่งยาม ที่คอยดูแลพื้นที่ตามแนวชายแดนและพื้นที่มีความสําคัญด้านความมั่นคง เพื่อรักษาเสถียรภาพความมั่นคงของประเทศและดูแลความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ในระหว่างห้วงเวลาเทศกาลแห่งความสุข ในปีใหม่ ที่พี่น้องประชาชนร่วมเฉลิมฉลองกัน 2. งานการช่วยเหลือประชาชน : ได้จัดเตรียมกําลังพลเตรียมพร้อม ร่วมเฝ้าระวังและให้การช่วยเหลือประชาชนเร่งด่วน กรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขณะเดียวกัน ได้ร่วมรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยจัดจุดพักรถ จุดบริการ ชุดแพทย์พยาบาล ชุดตรวจและซ่อมรถยนต์ ตามถนนสายหลักบริเวณหน้าที่ตั้งหน่วยทหาร รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยวทางทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน 3. งานบริการประชาชน : โดยเปิดแหล่งท่องเที่ยวและพิพิธภัณฑ์ในเขตทหารทั่วประเทศ ให้บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ขณะเดียวกันได้อํานวยความสะดวก จัดจําหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภคราคาถูกร่วมกับการจัดแสดงดนตรีโดยวงดุริยางค์ทหารภายในพื้นที่ของหน่วยทหารทั่วประเทศ เพื่อลดภาระค่าครองชีพครัวเรือนและเติมเต็มความสุขของพี่น้องประชาชนไปด้วยกัน ทั้งนี้ กห. โดย กําลังพลทุกเหล่าทัพ ขอให้ความเชื่อมั่นกับพี่น้องประชาชนว่า เราจะร่วมกันทําหน้าที่อย่างเต็มกําลังในการเป็นหลักประกันความมั่นคงของชาติเคียงข้างกับประชาชน เพื่อร่วมเสริมสร้างเสถียรภาพความมั่นคงของประเทศและดูแลความปลอดภัยของประชาชน บนผลประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติร่วมกัน พร้อมกันนี้ กห. ขอถือโอกาสนี้ ส่งความสุข สวัสดีปีใหม่ 2561 และเป็นกําลังใจให้กับพี่น้องประชาชนทุกคนในการใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ประมาท บนพื้นฐานของความพอเพียง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​กระทรวงกลาโหม มอบของขวัญปีใหม่ “ เติมความสุขให้คนไทย จากใจทหาร” ให้กับประชาชน วันพฤหัสบดีที่ 28 ธันวาคม 2560 ​กระทรวงกลาโหม มอบของขวัญปีใหม่ “ เติมความสุขให้คนไทย จากใจทหาร” ให้กับประชาชน ​กระทรวงกลาโหม มอบของขวัญปีใหม่ “ เติมความสุขให้คนไทย จากใจทหาร” ให้กับประชาชน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผย หลังการประชุมสภากลาโหม เมื่อ 27 ธ.ค.60 ณ ศาลาว่าการกลาโหม ว่า กระทรวงกลาโหม ขอมอบความปรารถนาดีให้กับประชาชน โดยได้จัดเตรียมของขวัญปีใหม่ ด้วยการ “เติมความสุขให้คนไทย จากใจทหาร” มอบให้พี่น้องประชาชน ใน 3 เรื่องหลัก คือ 1. งานสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน : โดยกําลังพลของกองทัพจะทําหน้าที่เสมือนเป็น รั้ว กล้องวงจรปิดหรือแม้กระทั่งยาม ที่คอยดูแลพื้นที่ตามแนวชายแดนและพื้นที่มีความสําคัญด้านความมั่นคง เพื่อรักษาเสถียรภาพความมั่นคงของประเทศและดูแลความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ในระหว่างห้วงเวลาเทศกาลแห่งความสุข ในปีใหม่ ที่พี่น้องประชาชนร่วมเฉลิมฉลองกัน 2. งานการช่วยเหลือประชาชน : ได้จัดเตรียมกําลังพลเตรียมพร้อม ร่วมเฝ้าระวังและให้การช่วยเหลือประชาชนเร่งด่วน กรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขณะเดียวกัน ได้ร่วมรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยจัดจุดพักรถ จุดบริการ ชุดแพทย์พยาบาล ชุดตรวจและซ่อมรถยนต์ ตามถนนสายหลักบริเวณหน้าที่ตั้งหน่วยทหาร รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยวทางทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน 3. งานบริการประชาชน : โดยเปิดแหล่งท่องเที่ยวและพิพิธภัณฑ์ในเขตทหารทั่วประเทศ ให้บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ขณะเดียวกันได้อํานวยความสะดวก จัดจําหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภคราคาถูกร่วมกับการจัดแสดงดนตรีโดยวงดุริยางค์ทหารภายในพื้นที่ของหน่วยทหารทั่วประเทศ เพื่อลดภาระค่าครองชีพครัวเรือนและเติมเต็มความสุขของพี่น้องประชาชนไปด้วยกัน ทั้งนี้ กห. โดย กําลังพลทุกเหล่าทัพ ขอให้ความเชื่อมั่นกับพี่น้องประชาชนว่า เราจะร่วมกันทําหน้าที่อย่างเต็มกําลังในการเป็นหลักประกันความมั่นคงของชาติเคียงข้างกับประชาชน เพื่อร่วมเสริมสร้างเสถียรภาพความมั่นคงของประเทศและดูแลความปลอดภัยของประชาชน บนผลประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติร่วมกัน พร้อมกันนี้ กห. ขอถือโอกาสนี้ ส่งความสุข สวัสดีปีใหม่ 2561 และเป็นกําลังใจให้กับพี่น้องประชาชนทุกคนในการใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ประมาท บนพื้นฐานของความพอเพียง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9088
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“โฆษก รง.”ยัน ตัวเลขว่างงานเปลี่ยนตามฤดูกาล ชี้ นายจ้างยังต้องการแรงงานพุ่งกว่า 2.19 แสนอัตรา
วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม 2560 “โฆษก รง.”ยัน ตัวเลขว่างงานเปลี่ยนตามฤดูกาล ชี้ นายจ้างยังต้องการแรงงานพุ่งกว่า 2.19 แสนอัตรา "โฆษกแรงงาน" เผย ตัวเลขว่างงานเปลี่ยนตามฤดูกาล ชี้ นายจ้างยังต้องการแรงงานพุ่งกว่า 2.19 แสนอัตรา ระดับ ปวช. – ปวส./มากที่สุด รองลงมามัธยมศึกษา และประถมศึกษา นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงานกล่าวถึงกรณี ตัวเลขจากการสํารวจของสํานักงานสถิติแห่งชาติที่พบว่า อัตราการว่างงานเดือนเมษายน 2560มีผู้ว่างงาน 4.6 แสนคน หรือคิดเป็น 1.2% สูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2559 อยู่ที่ 0.97% และเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2557 ซึ่งทําให้เกิดการแสดงความเห็นเชื่อมโยงไปสู่ประเด็นการบริหารงานของรัฐบาลในช่วงระยะเวลา 3 ปี โดยชี้แจงว่า ในความเป็นจริง ตลาดแรงงานมีความต้องแรงงานอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระทรวงแรงงานมีข้อมูลการสํารวจความต้องการแรงงาน ตั้งแต่ตุลาคม 2559 - เมษายน 2560 ที่พบว่า นายจ้าง/สถานประกอบการแจ้งความต้องการแรงงานมายังกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน จํานวนทั้งสิ้น 219,896 อัตรา เฉลี่ย 31,414 อัตรา/เดือน โดยมีความต้องการแรงงานมากที่สุดในเดือนมีนาคม 2560 จํานวน 37,491 อัตรา ซึ่งกลุ่มอาชีพที่มีความต้องการแรงงานมากที่สุด คือกลุ่มอาชีพงานพื้นฐาน จํานวน 74,981 อัตรา รองลงมาได้แก่ กลุ่มอาชีพพนักงานบริการ พนักงานขายในร้านค้าและตลาด จํานวน 40,540 อัตรา กลุ่มอาชีพเสมียน เจ้าหน้าที่ จํานวน 38,101 อัตรา กลุ่มงานช่างเทคนิคและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง จํานวน 24,638 อัตรา และกลุ่มงานผู้ปฏิบัติงานในโรงงาน ผู้ควบคุมเครื่องจักรและผู้ปฏิบัติงานด้านการประกอบ จํานวน 13,718 อัตรา และเมื่อจําแนกตามระดับการศึกษา พบว่า สถานประกอบการมีความต้องการแรงงานที่มีการศึกษาระดับ ปวช. – ปวส./อนุปริญญา มากที่สุด 82,022 อัตรา รองลงมาได้แก่ ระดับมัธยมศึกษา 71,759 อัตรา ระดับประถมศึกษาและต่ํากว่า 36,476 อัตรา และระดับปริญญาตรีและสูงกว่าจํานวน 29,639 อัตรา ซึ่งจะเห็นได้ว่า ยังมีตําแหน่งงานว่างรองรับผู้ที่ต้องการทํางาน พร้อมกันนี้กระทรวงแรงงานยังจัดให้มีบริการฝึกทักษะอาชีพให้แก่กําลังแรงงานในสาขาที่ตลาดแรงงานต้องการอีกเป็นจํานวนมาก โดยจัดบริการให้ทุกกลุ่มทั้งทหารปลดประจําการ คนพิการ ผู้สูงอายุ รวมถึงได้ร่วมกับสถานประกอบการจัดการศึกษาระบบทวิภาคีและสหกิจศึกษา โดยการฝึกอบรมเพิ่มทักษะให้กับนักเรียน/นักศึกษาในสถานประกอบการก่อนที่จะจบการศึกษาเพื่อให้มีประสบการณ์และความถนัดในงานนอกจากนี้ ยังได้ดําเนินโครงการจ้างงานเร่งด่วนในช่วงหน้าแล้งเพื่อรองรับแรงงานในพื้นที่ เช่น การจ้างขุดลอกคูคลองในพื้นที่การปรับภูมิทัศน์ในชุมชน เพื่อสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรช่วงรอฤดูเก็บเกี่ยวอีกด้วย นายอนันต์ชัย กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาจํานวนผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานและอัตราการว่างงาน รายเดือนตั้งแต่ ปี 2555 – 2560 (เม.ย.) พบว่า จํานวนผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานและอัตราการขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ขึ้นอยู่กับฤดูกาล โดยในช่วงต้นปี (ปลายไตรมาส 1) เป็นช่วงนอกฤดูการเกษตร และปลายฤดูการท่องเที่ยว อาจเป็นเหตุทําให้จํานวนผู้ประกันตนขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยจะเพิ่มสูงสุดช่วงไตรมาสที่ 2 และจะค่อยๆ ลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง สําหรับภาวการณ์จ้างงานในตลาดแรงงาน เดือนเมษายน 2560 ตัวเลขในระบบประกันสังคมมีผู้ประกันตน (มาตรา 33) จํานวน 10,523,934 คน มีอัตราการขยายตัว 1.80% (YOY) เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2559 ซึ่งมีผู้ประกันตน จํานวน 10,338,067 คน แสดงให้เห็นว่ามีผู้ใช้แรงงานเข้าสู่การทํางานเพิ่มขึ้นถึง 185,867 คน “ทั้งนี้ พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์ด้านแรงงานอย่างใกล้ชิด เพื่อนําข้อมูลมาวิเคราะห์ดําเนินการวางแผนรับมือ ตลอดจนปรับบทบาทของกระทรวงให้สามารถพัฒนาแรงงานตามความต้องการของตลาดได้ในทุกมิติต่อไป ”นายอนันต์ชัย กล่าว --------------------------------------------------- กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/ 29 พฤษภาคม 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“โฆษก รง.”ยัน ตัวเลขว่างงานเปลี่ยนตามฤดูกาล ชี้ นายจ้างยังต้องการแรงงานพุ่งกว่า 2.19 แสนอัตรา วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม 2560 “โฆษก รง.”ยัน ตัวเลขว่างงานเปลี่ยนตามฤดูกาล ชี้ นายจ้างยังต้องการแรงงานพุ่งกว่า 2.19 แสนอัตรา "โฆษกแรงงาน" เผย ตัวเลขว่างงานเปลี่ยนตามฤดูกาล ชี้ นายจ้างยังต้องการแรงงานพุ่งกว่า 2.19 แสนอัตรา ระดับ ปวช. – ปวส./มากที่สุด รองลงมามัธยมศึกษา และประถมศึกษา นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงานกล่าวถึงกรณี ตัวเลขจากการสํารวจของสํานักงานสถิติแห่งชาติที่พบว่า อัตราการว่างงานเดือนเมษายน 2560มีผู้ว่างงาน 4.6 แสนคน หรือคิดเป็น 1.2% สูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2559 อยู่ที่ 0.97% และเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2557 ซึ่งทําให้เกิดการแสดงความเห็นเชื่อมโยงไปสู่ประเด็นการบริหารงานของรัฐบาลในช่วงระยะเวลา 3 ปี โดยชี้แจงว่า ในความเป็นจริง ตลาดแรงงานมีความต้องแรงงานอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระทรวงแรงงานมีข้อมูลการสํารวจความต้องการแรงงาน ตั้งแต่ตุลาคม 2559 - เมษายน 2560 ที่พบว่า นายจ้าง/สถานประกอบการแจ้งความต้องการแรงงานมายังกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน จํานวนทั้งสิ้น 219,896 อัตรา เฉลี่ย 31,414 อัตรา/เดือน โดยมีความต้องการแรงงานมากที่สุดในเดือนมีนาคม 2560 จํานวน 37,491 อัตรา ซึ่งกลุ่มอาชีพที่มีความต้องการแรงงานมากที่สุด คือกลุ่มอาชีพงานพื้นฐาน จํานวน 74,981 อัตรา รองลงมาได้แก่ กลุ่มอาชีพพนักงานบริการ พนักงานขายในร้านค้าและตลาด จํานวน 40,540 อัตรา กลุ่มอาชีพเสมียน เจ้าหน้าที่ จํานวน 38,101 อัตรา กลุ่มงานช่างเทคนิคและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง จํานวน 24,638 อัตรา และกลุ่มงานผู้ปฏิบัติงานในโรงงาน ผู้ควบคุมเครื่องจักรและผู้ปฏิบัติงานด้านการประกอบ จํานวน 13,718 อัตรา และเมื่อจําแนกตามระดับการศึกษา พบว่า สถานประกอบการมีความต้องการแรงงานที่มีการศึกษาระดับ ปวช. – ปวส./อนุปริญญา มากที่สุด 82,022 อัตรา รองลงมาได้แก่ ระดับมัธยมศึกษา 71,759 อัตรา ระดับประถมศึกษาและต่ํากว่า 36,476 อัตรา และระดับปริญญาตรีและสูงกว่าจํานวน 29,639 อัตรา ซึ่งจะเห็นได้ว่า ยังมีตําแหน่งงานว่างรองรับผู้ที่ต้องการทํางาน พร้อมกันนี้กระทรวงแรงงานยังจัดให้มีบริการฝึกทักษะอาชีพให้แก่กําลังแรงงานในสาขาที่ตลาดแรงงานต้องการอีกเป็นจํานวนมาก โดยจัดบริการให้ทุกกลุ่มทั้งทหารปลดประจําการ คนพิการ ผู้สูงอายุ รวมถึงได้ร่วมกับสถานประกอบการจัดการศึกษาระบบทวิภาคีและสหกิจศึกษา โดยการฝึกอบรมเพิ่มทักษะให้กับนักเรียน/นักศึกษาในสถานประกอบการก่อนที่จะจบการศึกษาเพื่อให้มีประสบการณ์และความถนัดในงานนอกจากนี้ ยังได้ดําเนินโครงการจ้างงานเร่งด่วนในช่วงหน้าแล้งเพื่อรองรับแรงงานในพื้นที่ เช่น การจ้างขุดลอกคูคลองในพื้นที่การปรับภูมิทัศน์ในชุมชน เพื่อสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรช่วงรอฤดูเก็บเกี่ยวอีกด้วย นายอนันต์ชัย กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาจํานวนผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานและอัตราการว่างงาน รายเดือนตั้งแต่ ปี 2555 – 2560 (เม.ย.) พบว่า จํานวนผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานและอัตราการขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ขึ้นอยู่กับฤดูกาล โดยในช่วงต้นปี (ปลายไตรมาส 1) เป็นช่วงนอกฤดูการเกษตร และปลายฤดูการท่องเที่ยว อาจเป็นเหตุทําให้จํานวนผู้ประกันตนขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยจะเพิ่มสูงสุดช่วงไตรมาสที่ 2 และจะค่อยๆ ลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง สําหรับภาวการณ์จ้างงานในตลาดแรงงาน เดือนเมษายน 2560 ตัวเลขในระบบประกันสังคมมีผู้ประกันตน (มาตรา 33) จํานวน 10,523,934 คน มีอัตราการขยายตัว 1.80% (YOY) เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2559 ซึ่งมีผู้ประกันตน จํานวน 10,338,067 คน แสดงให้เห็นว่ามีผู้ใช้แรงงานเข้าสู่การทํางานเพิ่มขึ้นถึง 185,867 คน “ทั้งนี้ พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์ด้านแรงงานอย่างใกล้ชิด เพื่อนําข้อมูลมาวิเคราะห์ดําเนินการวางแผนรับมือ ตลอดจนปรับบทบาทของกระทรวงให้สามารถพัฒนาแรงงานตามความต้องการของตลาดได้ในทุกมิติต่อไป ”นายอนันต์ชัย กล่าว --------------------------------------------------- กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/ 29 พฤษภาคม 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4133
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำฝึกฝน พัฒนาทักษะ ขับเคลื่อนการกีฬาของประเทศไทยให้ก้าวหน้า เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม
วันพุธที่ 25 ธันวาคม 2562 รองนายกรัฐมนตรี เน้นย้ําฝึกฝน พัฒนาทักษะ ขับเคลื่อนการกีฬาของประเทศไทยให้ก้าวหน้า เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 11/2562 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วันนี้ (25 ธันวาคม 2562) เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 11/2562 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผลการประชุมสรุปได้ดังนี้ ที่ประชุมรับทราบการบริหารจัดการองค์กร ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ตามที่คณะอนุกรรมการบริหารความเสี่ยงและควบคุมภายในของการกีฬาแห่งประเทศไทย เสนอ ซึ่งที่ประชุมคณะอนุกรรมการบริหารความเสี่ยงฯ มีมติเห็นชอบผลการดําเนินงานการบริหารความเสี่ยงและควบคุมภายใน ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 โดยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1) มอบหมายผู้รับผิดชอบระดับรองผู้ว่า เพื่อกํากับ ดูแล และติดตาม การบริหารความเสี่ยงของฝ่ายและสํานักในสายบังคับบัญชาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 2) จัดทําแผนสํารองเพิ่มเติม เพื่อรองรับการดําเนินงานในแต่ละปัจจัยเสี่ยงที่อาจไม่สามารถดําเนินการได้ตามเป้าหมาย 3) การเบิกจ่ายงบลงทุน ควรพิจารณาความเสี่ยงในรายการที่ไม่สามารถดําเนินการได้ตามเป้าหมายจากปีที่ผ่านมา 4) สนับสนุนวิทยาศาสตร์การกีฬา กําหนดเกณฑ์ คุณสมบัติของผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขาให้เหมาะสม และ 5) ติดตามผลการดําเนินงาน ได้แก่ แนวทางการพัฒนานักกีฬาในการแข่งขันระดับนานาชาติ การปรับปรุงความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ และการเก็บมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมในรายการแข่งขันของสมาคมกีฬาฯ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบสรุปผลการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 30 ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน - 11 ธันวาคม 2562 ณ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยประเทศไทยทําผลงานได้ 92 เหรียญทอง 103 เหรียญเงิน 123 เหรียญทองแดง เป็นอันดับที่ 3 จากจํานวนประเทศที่เข้าร่วมแข่งขัน ทั้งหมด 11 ประเทศ ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี ย้ําให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการพัฒนาทักษะและฝีมือนักกีฬา รวมถึงการหานักกีฬาที่มีความสามารถ เหมาะสมกับกีฬาแต่ละประเภท เพื่อพัฒนาการกีฬาของประเทศไทยให้ก้าวหน้าและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยนําวิทยาศาสตร์การกีฬามาช่วยในการขับเคลื่อน ให้เกิดประโยชน์ พัฒนาให้เกิดความเป็นเลิศ มีประสิทธิภาพ และเกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม .......................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำฝึกฝน พัฒนาทักษะ ขับเคลื่อนการกีฬาของประเทศไทยให้ก้าวหน้า เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม วันพุธที่ 25 ธันวาคม 2562 รองนายกรัฐมนตรี เน้นย้ําฝึกฝน พัฒนาทักษะ ขับเคลื่อนการกีฬาของประเทศไทยให้ก้าวหน้า เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 11/2562 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วันนี้ (25 ธันวาคม 2562) เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 11/2562 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผลการประชุมสรุปได้ดังนี้ ที่ประชุมรับทราบการบริหารจัดการองค์กร ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ตามที่คณะอนุกรรมการบริหารความเสี่ยงและควบคุมภายในของการกีฬาแห่งประเทศไทย เสนอ ซึ่งที่ประชุมคณะอนุกรรมการบริหารความเสี่ยงฯ มีมติเห็นชอบผลการดําเนินงานการบริหารความเสี่ยงและควบคุมภายใน ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 โดยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1) มอบหมายผู้รับผิดชอบระดับรองผู้ว่า เพื่อกํากับ ดูแล และติดตาม การบริหารความเสี่ยงของฝ่ายและสํานักในสายบังคับบัญชาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 2) จัดทําแผนสํารองเพิ่มเติม เพื่อรองรับการดําเนินงานในแต่ละปัจจัยเสี่ยงที่อาจไม่สามารถดําเนินการได้ตามเป้าหมาย 3) การเบิกจ่ายงบลงทุน ควรพิจารณาความเสี่ยงในรายการที่ไม่สามารถดําเนินการได้ตามเป้าหมายจากปีที่ผ่านมา 4) สนับสนุนวิทยาศาสตร์การกีฬา กําหนดเกณฑ์ คุณสมบัติของผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขาให้เหมาะสม และ 5) ติดตามผลการดําเนินงาน ได้แก่ แนวทางการพัฒนานักกีฬาในการแข่งขันระดับนานาชาติ การปรับปรุงความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ และการเก็บมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมในรายการแข่งขันของสมาคมกีฬาฯ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบสรุปผลการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 30 ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน - 11 ธันวาคม 2562 ณ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยประเทศไทยทําผลงานได้ 92 เหรียญทอง 103 เหรียญเงิน 123 เหรียญทองแดง เป็นอันดับที่ 3 จากจํานวนประเทศที่เข้าร่วมแข่งขัน ทั้งหมด 11 ประเทศ ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี ย้ําให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการพัฒนาทักษะและฝีมือนักกีฬา รวมถึงการหานักกีฬาที่มีความสามารถ เหมาะสมกับกีฬาแต่ละประเภท เพื่อพัฒนาการกีฬาของประเทศไทยให้ก้าวหน้าและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยนําวิทยาศาสตร์การกีฬามาช่วยในการขับเคลื่อน ให้เกิดประโยชน์ พัฒนาให้เกิดความเป็นเลิศ มีประสิทธิภาพ และเกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม .......................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25472
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK สนับสนุนบางกอกแอร์เวย์สซื้อเครื่องบินโดยสาร รองรับการขยายเครือข่ายเส้นทางการบินและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในเอเชีย
วันพุธที่ 26 กันยายน 2561 EXIM BANK สนับสนุนบางกอกแอร์เวย์สซื้อเครื่องบินโดยสาร รองรับการขยายเครือข่ายเส้นทางการบินและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในเอเชีย EXIM BANK ร่วมลงนามกับ บริษัท การบินกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) ในสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK จํานวน 92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท เพื่อให้บริษัทนําไปจัดซื้อเครื่องบินโดยสารแบบเอทีอาร์ (ATR) 72-600 จํานวน 4 ลํา EXIM BANK สนับสนุนบางกอกแอร์เวย์สซื้อเครื่องบินโดยสาร รองรับการขยายเครือข่ายเส้นทางการบินและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในเอเชีย นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ร่วมลงนามกับนายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) หรือสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ในสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK จํานวน 92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท เพื่อให้บริษัทนําไปจัดซื้อเครื่องบินโดยสารแบบเอทีอาร์ (ATR) 72-600 จํานวน 4 ลํา สําหรับการขยายเครือข่ายเส้นทางการบินของบางกอกแอร์เวย์สทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ณ สํานักงานใหญ่ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2561 การสนับสนุนของ EXIM BANK ในครั้งนี้เพื่อให้สายการบินบางกอกแอร์เวย์สมีศักยภาพเพิ่มมากขึ้นที่จะพัฒนาและขยายเครือข่ายเส้นทางบินในอนาคต เชื่อมโยงการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกับการขยายตัวของการค้า การลงทุน และการบริการ นําไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทยและภูมิภาคเอเชียโดยรวม โดยสอดคล้องกับภารกิจของ EXIM BANK และนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้ การท่องเที่ยวเป็นรายได้สําคัญของประเทศไทย เห็นได้จากข้อมูลปี 2560 ไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 2.76 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายเลขานุการและสื่อสารองค์กร โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141, 1144 EXIM Thailand Finances Bangkok Airways’ Acquisition of Aircraft to Serve Route Expansion and Economic Growth in Asia Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), and Mr. Puttipong Prasarttong-Osoth, President of Bangkok Airways Public Company Limited, signed a financial facility agreement at Bangkok Airways’ Head Office on Vibhavadirangsit Road on September 26, 2018 to provide a credit facility worth 92 million US dollars or approximately 3,000 million baht to finance Bangkok Airways’ acquisition of four ATR72-600s to accommodate the airline’s expansion of domestic and international routes. This financial support aims to enhance Bangkok Airways’ potential for its forward-looking development and expansion of network linking tourism development with expansion of trade, investment and services, which would lead to economic and social development of Thailand and Asia as a whole. This is in line with EXIM Thailand’s mission and the government policy. Tourism is Thailand’s major source of revenues. In 2017, tourism revenue totaled 2.76 trillion baht, representing around 20% of the country’s GDP. For further information, please contact Corporate Communication Division, Secretary and Corporate Communication Department Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 1141, 1144
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK สนับสนุนบางกอกแอร์เวย์สซื้อเครื่องบินโดยสาร รองรับการขยายเครือข่ายเส้นทางการบินและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในเอเชีย วันพุธที่ 26 กันยายน 2561 EXIM BANK สนับสนุนบางกอกแอร์เวย์สซื้อเครื่องบินโดยสาร รองรับการขยายเครือข่ายเส้นทางการบินและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในเอเชีย EXIM BANK ร่วมลงนามกับ บริษัท การบินกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) ในสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK จํานวน 92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท เพื่อให้บริษัทนําไปจัดซื้อเครื่องบินโดยสารแบบเอทีอาร์ (ATR) 72-600 จํานวน 4 ลํา EXIM BANK สนับสนุนบางกอกแอร์เวย์สซื้อเครื่องบินโดยสาร รองรับการขยายเครือข่ายเส้นทางการบินและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในเอเชีย นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ร่วมลงนามกับนายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) หรือสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ในสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK จํานวน 92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท เพื่อให้บริษัทนําไปจัดซื้อเครื่องบินโดยสารแบบเอทีอาร์ (ATR) 72-600 จํานวน 4 ลํา สําหรับการขยายเครือข่ายเส้นทางการบินของบางกอกแอร์เวย์สทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ณ สํานักงานใหญ่ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2561 การสนับสนุนของ EXIM BANK ในครั้งนี้เพื่อให้สายการบินบางกอกแอร์เวย์สมีศักยภาพเพิ่มมากขึ้นที่จะพัฒนาและขยายเครือข่ายเส้นทางบินในอนาคต เชื่อมโยงการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกับการขยายตัวของการค้า การลงทุน และการบริการ นําไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทยและภูมิภาคเอเชียโดยรวม โดยสอดคล้องกับภารกิจของ EXIM BANK และนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้ การท่องเที่ยวเป็นรายได้สําคัญของประเทศไทย เห็นได้จากข้อมูลปี 2560 ไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 2.76 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายเลขานุการและสื่อสารองค์กร โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141, 1144 EXIM Thailand Finances Bangkok Airways’ Acquisition of Aircraft to Serve Route Expansion and Economic Growth in Asia Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), and Mr. Puttipong Prasarttong-Osoth, President of Bangkok Airways Public Company Limited, signed a financial facility agreement at Bangkok Airways’ Head Office on Vibhavadirangsit Road on September 26, 2018 to provide a credit facility worth 92 million US dollars or approximately 3,000 million baht to finance Bangkok Airways’ acquisition of four ATR72-600s to accommodate the airline’s expansion of domestic and international routes. This financial support aims to enhance Bangkok Airways’ potential for its forward-looking development and expansion of network linking tourism development with expansion of trade, investment and services, which would lead to economic and social development of Thailand and Asia as a whole. This is in line with EXIM Thailand’s mission and the government policy. Tourism is Thailand’s major source of revenues. In 2017, tourism revenue totaled 2.76 trillion baht, representing around 20% of the country’s GDP. For further information, please contact Corporate Communication Division, Secretary and Corporate Communication Department Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 1141, 1144
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15680
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ก.แรงงาน’ เสริมสร้างศักยภาพเครือข่าย อสร. บูรณาการภารกิจ ก.แรงงาน ป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน
วันอังคารที่ 7 มกราคม 2563 ‘ก.แรงงาน’ เสริมสร้างศักยภาพเครือข่าย อสร. บูรณาการภารกิจ ก.แรงงาน ป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายอาสาสมัครแรงงานเพื่อบูรณาการภารกิจของกระทรวงแรงงาน และโครงการขับเคลื่อนกลไกเชิงนโยบายในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงานไปสู่การปฏิบัติ ปี 63 วันนี้ (7 ม.ค. 63) รศ.ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายอาสาสมัครแรงงานเพื่อบูรณาการภารกิจของกระทรวงแรงงาน และโครงการขับเคลื่อนกลไกเชิงนโยบายในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงานไปสู่การปฏิบัติ จังหวัดลําปาง ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ณ ห้องประชุมล้อมรัก โรงแรม ณ บ้านแม่ รีสอร์ท อําเภอเมือง จังหวัดลําปาง โดย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า “กระทรวงแรงงาน ได้เล็งเห็นความสําคัญของเครือข่ายอาสาสมัครแรงงาน (อสร.) ซึ่งเป็นกลไกในการขับเคลื่อนภารกิจหน้าที่ในการบริการด้านแรงงานไปสู่ประชาชนในพื้นที่ ชุมชน ทั้งระดับจังหวัด อําเภอ ตําบล และหมู่บ้าน เพื่อแก้ไขและตอบสนองความต้องการของประชาชน โดยบูรณาการจัดกิจกรรมบริการของหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานในจังหวัดไปให้บริการประชาชนในพื้นที่ เพื่อขยายโอกาสในการมีงานทํา เพิ่มทักษะฝีมือ เพื่อเป็นทางเลือกในการประกอบอาชีพ ให้คําปรึกษาแนะนํากฎหมายแรงงาน ประกันสังคม รวมทั้งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เอกสารด้านแรงงานให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ชุมชน ได้รับบริการด้านแรงงานของหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานอย่างทั่วถึง ซึ่ง อสร. เป็นพลังขับเคลื่อนภารกิจกระทรวงแรงงาน ที่สําคัญ” การประชุมในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เครือข่ายอาสาสมัครแรงงาน และเจ้าหน้าที่หน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน ได้รับทราบนโยบายแนวทางการขับเคลื่อนภารกิจกระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นการเพิ่มองค์ความรู้อันเป็นประโยชน์ให้กับเครือข่ายอาสาสมัครแรงงาน และเจ้าหน้าที่หน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน เกี่ยวกับภารกิจและข้อมูลข่าวสารด้านแรงงาน รวมถึงการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาการบังคับใช้แรงงาน ปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน และปัญหาการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย เพื่อให้การบริการด้านแรงงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และก่อให้เกิดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานและเครือข่ายอาสาสมัครแรงงาน โดยมีกลุ่มเป้าหมายดําเนินการ ได้แก่ เครือข่ายอาสาสมัครแรงงาน จํานวน 100 คน พี่เลี้ยงอาสาสมัครแรงงานจากหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดลําปาง จํานวน 14 คน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน จํานวน 14 คน +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ข่าว 7 มกราคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ก.แรงงาน’ เสริมสร้างศักยภาพเครือข่าย อสร. บูรณาการภารกิจ ก.แรงงาน ป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน วันอังคารที่ 7 มกราคม 2563 ‘ก.แรงงาน’ เสริมสร้างศักยภาพเครือข่าย อสร. บูรณาการภารกิจ ก.แรงงาน ป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายอาสาสมัครแรงงานเพื่อบูรณาการภารกิจของกระทรวงแรงงาน และโครงการขับเคลื่อนกลไกเชิงนโยบายในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงานไปสู่การปฏิบัติ ปี 63 วันนี้ (7 ม.ค. 63) รศ.ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายอาสาสมัครแรงงานเพื่อบูรณาการภารกิจของกระทรวงแรงงาน และโครงการขับเคลื่อนกลไกเชิงนโยบายในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงานไปสู่การปฏิบัติ จังหวัดลําปาง ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ณ ห้องประชุมล้อมรัก โรงแรม ณ บ้านแม่ รีสอร์ท อําเภอเมือง จังหวัดลําปาง โดย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า “กระทรวงแรงงาน ได้เล็งเห็นความสําคัญของเครือข่ายอาสาสมัครแรงงาน (อสร.) ซึ่งเป็นกลไกในการขับเคลื่อนภารกิจหน้าที่ในการบริการด้านแรงงานไปสู่ประชาชนในพื้นที่ ชุมชน ทั้งระดับจังหวัด อําเภอ ตําบล และหมู่บ้าน เพื่อแก้ไขและตอบสนองความต้องการของประชาชน โดยบูรณาการจัดกิจกรรมบริการของหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานในจังหวัดไปให้บริการประชาชนในพื้นที่ เพื่อขยายโอกาสในการมีงานทํา เพิ่มทักษะฝีมือ เพื่อเป็นทางเลือกในการประกอบอาชีพ ให้คําปรึกษาแนะนํากฎหมายแรงงาน ประกันสังคม รวมทั้งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เอกสารด้านแรงงานให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ชุมชน ได้รับบริการด้านแรงงานของหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานอย่างทั่วถึง ซึ่ง อสร. เป็นพลังขับเคลื่อนภารกิจกระทรวงแรงงาน ที่สําคัญ” การประชุมในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เครือข่ายอาสาสมัครแรงงาน และเจ้าหน้าที่หน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน ได้รับทราบนโยบายแนวทางการขับเคลื่อนภารกิจกระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นการเพิ่มองค์ความรู้อันเป็นประโยชน์ให้กับเครือข่ายอาสาสมัครแรงงาน และเจ้าหน้าที่หน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน เกี่ยวกับภารกิจและข้อมูลข่าวสารด้านแรงงาน รวมถึงการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาการบังคับใช้แรงงาน ปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน และปัญหาการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย เพื่อให้การบริการด้านแรงงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และก่อให้เกิดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานและเครือข่ายอาสาสมัครแรงงาน โดยมีกลุ่มเป้าหมายดําเนินการ ได้แก่ เครือข่ายอาสาสมัครแรงงาน จํานวน 100 คน พี่เลี้ยงอาสาสมัครแรงงานจากหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดลําปาง จํานวน 14 คน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน จํานวน 14 คน +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ข่าว 7 มกราคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25650
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ. ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชนฯ
วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2560 ยธ. ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชนฯ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมสามัญประจําปี คณะกรรมการมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชนในความดูแลของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมสามัญประจําปี คณะกรรมการมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชน ในความดูแลของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน โดยที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางการดําเนินงานของมูลนิธิ ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่อยู่ในความดูแลของกรมพินิจ และคุ้มครองเด็กและเยาวชนในด้านต่างๆ โดยมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ ณ ห้องประชุมกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ชั้น ๕ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพมหานคร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ. ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชนฯ วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2560 ยธ. ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชนฯ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมสามัญประจําปี คณะกรรมการมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชนในความดูแลของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมสามัญประจําปี คณะกรรมการมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชน ในความดูแลของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน โดยที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางการดําเนินงานของมูลนิธิ ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่อยู่ในความดูแลของกรมพินิจ และคุ้มครองเด็กและเยาวชนในด้านต่างๆ โดยมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ ณ ห้องประชุมกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ชั้น ๕ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพมหานคร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2674
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พร้อมตัดสินใจใช้มาตรการเข้มข้นสูงสุด อาจกระทบประชาชนบ้าง แต่ขอให้อดทนร่วมมือก้าวผ่านวิกฤต
วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563 นายกฯ พร้อมตัดสินใจใช้มาตรการเข้มข้นสูงสุด อาจกระทบประชาชนบ้าง แต่ขอให้อดทนร่วมมือก้าวผ่านวิกฤต นายกรัฐมนตรี พร้อมตัดสินใจใช้มาตรการเข้มข้นสูงสุด อาจกระทบประชาชนบ้าง แต่ขอให้อดทนร่วมมือก้าวผ่านวิกฤต ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ขอใช้เวลาช่วงนี้พิจารณาวางแผนทบทวนแนวทางรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด19 หลังจากได้รับฟังความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิทางการแพทย์อย่างรอบด้าน และได้ออกมาตรการควบคุมการระบาดในระดับหนึ่งแล้ว เช่น ปิดสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ รวมทั้งจะรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกฝ่ายจนเห็นชอบร่วมกัน และพร้อมประกาศใช้มาตรการเข้มข้นสูงสุดหากถึงเวลาที่เหมาะสม เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคอย่างเด็ดขาดและดูแลทุกชีวิตของพี่น้องประชาชนคนไทยให้ปลอดภัย ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญเหนือสิ่งอื่นใด อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีย้ําว่า ทุกอย่างจะดําเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้กระทบต่อประชาชนน้อยที่สุดและทําให้ทุกคนรู้สึกคุ้นเคยและสามารถปรับตัวได้ ขอเพียงมีความอดทนต่อความยากลําบาก พอเพียง เสียสละคํานึงถึงส่วนรวม และแบ่งปันความสุขความทุกข์ไปด้วยกัน เพราะภัยโรคระบาดครั้งนี้เป็น "ภัยของชาติ" ไม่ใช่ "ภัยของคนใดคนหนึ่ง" และเวลานี้ไม่ใช่เวลาของการ "เอาชนะทางการเมือง" แต่เป็นเวลา "เอาชนะภัยของชาติ" จึงขอเรียกร้องให้ทุกคนเข้าใจและจับมือกัน ส่วนเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานจะต้องทําหน้าที่อย่างเข้มแข็งเต็มกําลังตามอํานาจหน้าที่ที่มีอยู่ พร้อมขอบคุณทุกกําลังใจที่มีให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาล เราจะสู้ไปด้วยกัน .................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พร้อมตัดสินใจใช้มาตรการเข้มข้นสูงสุด อาจกระทบประชาชนบ้าง แต่ขอให้อดทนร่วมมือก้าวผ่านวิกฤต วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563 นายกฯ พร้อมตัดสินใจใช้มาตรการเข้มข้นสูงสุด อาจกระทบประชาชนบ้าง แต่ขอให้อดทนร่วมมือก้าวผ่านวิกฤต นายกรัฐมนตรี พร้อมตัดสินใจใช้มาตรการเข้มข้นสูงสุด อาจกระทบประชาชนบ้าง แต่ขอให้อดทนร่วมมือก้าวผ่านวิกฤต ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ขอใช้เวลาช่วงนี้พิจารณาวางแผนทบทวนแนวทางรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด19 หลังจากได้รับฟังความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิทางการแพทย์อย่างรอบด้าน และได้ออกมาตรการควบคุมการระบาดในระดับหนึ่งแล้ว เช่น ปิดสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ รวมทั้งจะรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกฝ่ายจนเห็นชอบร่วมกัน และพร้อมประกาศใช้มาตรการเข้มข้นสูงสุดหากถึงเวลาที่เหมาะสม เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคอย่างเด็ดขาดและดูแลทุกชีวิตของพี่น้องประชาชนคนไทยให้ปลอดภัย ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญเหนือสิ่งอื่นใด อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีย้ําว่า ทุกอย่างจะดําเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้กระทบต่อประชาชนน้อยที่สุดและทําให้ทุกคนรู้สึกคุ้นเคยและสามารถปรับตัวได้ ขอเพียงมีความอดทนต่อความยากลําบาก พอเพียง เสียสละคํานึงถึงส่วนรวม และแบ่งปันความสุขความทุกข์ไปด้วยกัน เพราะภัยโรคระบาดครั้งนี้เป็น "ภัยของชาติ" ไม่ใช่ "ภัยของคนใดคนหนึ่ง" และเวลานี้ไม่ใช่เวลาของการ "เอาชนะทางการเมือง" แต่เป็นเวลา "เอาชนะภัยของชาติ" จึงขอเรียกร้องให้ทุกคนเข้าใจและจับมือกัน ส่วนเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานจะต้องทําหน้าที่อย่างเข้มแข็งเต็มกําลังตามอํานาจหน้าที่ที่มีอยู่ พร้อมขอบคุณทุกกําลังใจที่มีให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาล เราจะสู้ไปด้วยกัน .................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27612
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. เดินหน้าเรื่อง Big Data จับมือ GBDi วิเคราะห์ข้อมูลสร้างโมเดลให้บริการสมาชิก
วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน 2562 กบข. เดินหน้าเรื่อง Big Data จับมือ GBDi วิเคราะห์ข้อมูลสร้างโมเดลให้บริการสมาชิก กบข. และ GBDi ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงาน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ให้คําปรึกษาแนะนํา รวมถึงพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ด้าน Data Engineering, Data Science และ Business Intelligence นายวิทัย รัตนากร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) และ รศ.ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อํานวยการสถาบันการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (GBDi) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงาน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ให้คําปรึกษาแนะนํา รวมถึงพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ด้าน Data Engineering, Data Science และ Business Intelligence โดยเฉพาะการร่วมกันสํารวจและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจัดทําโมเดลสําหรับการนําเสนอบริการ สวัสดิการ การให้ความรู้ที่สอดคล้องกับความต้องการและเป็นประโยชน์แก่สมาชิก กบข. นายวิทัย กล่าวว่า กบข. ได้นําเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเปลี่ยนแปลงองค์กรครั้งใหญ่ ครอบคลุมเรื่องการสื่อสาร การให้บริการ และ การบริหารองค์กร ที่ทําให้เกิดการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ ซึ่ง กบข. เชื่อมั่นว่าการวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าว โดยพิจารณาประกอบกับปัจจัยการเปลี่ยนแปลงของโลกในมิติต่าง ๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง จะทําให้ กบข. เข้าใจความต้องการและข้อจํากัดของสมาชิกในเชิงลึก ทําให้สามารถนําเสนอข้อมูลและบริการที่ตอบโจทย์สมาชิกแบบรายบุคคลได้อย่างแม่นยํา ในขณะเดียวกัน ข้อมูลดังกล่าวจะมีส่วนช่วยในการตัดสินใจลงทุน ทําให้ กบข. สามารถปรับนโยบายและกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างรวดเร็วสอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงสภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ อนึ่ง การสนับสนุนจาก GBDi ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐที่จัดตั้งขึ้นภายใต้สังกัดของสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อสนับสนุนให้เกิดการใช้ประโยชน์ข้อมูลสําหรับภาครัฐ ภาคธุรกิจ รวมถึงภาคการศึกษาและประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเน้นการส่งเสริมความเป็นเลิศด้านการกํากับดูแลข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ในครั้งนี้ จะมีส่วนสําคัญในการสนับสนุนการทํางานของ กบข.ให้สามารถจัดเก็บและนําข้อมูลทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ มาวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็ว เป็นไปตามมาตรฐาน ซึ่งจะช่วยให้ กบข. ประหยัดต้นทุนในการดําเนินงาน และสามารถบรรลุเป้าหมายในการเสริมสร้างความผูกพันและความพึงพอใจให้กับสมาชิก ผ่านกิจกรรมและบริการต่างๆ ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบําเหน็จบํานาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กําหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1.1 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 9.35 แสนล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 ต.ค. 2562)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. เดินหน้าเรื่อง Big Data จับมือ GBDi วิเคราะห์ข้อมูลสร้างโมเดลให้บริการสมาชิก วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน 2562 กบข. เดินหน้าเรื่อง Big Data จับมือ GBDi วิเคราะห์ข้อมูลสร้างโมเดลให้บริการสมาชิก กบข. และ GBDi ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงาน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ให้คําปรึกษาแนะนํา รวมถึงพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ด้าน Data Engineering, Data Science และ Business Intelligence นายวิทัย รัตนากร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) และ รศ.ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อํานวยการสถาบันการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (GBDi) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงาน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ให้คําปรึกษาแนะนํา รวมถึงพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ด้าน Data Engineering, Data Science และ Business Intelligence โดยเฉพาะการร่วมกันสํารวจและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจัดทําโมเดลสําหรับการนําเสนอบริการ สวัสดิการ การให้ความรู้ที่สอดคล้องกับความต้องการและเป็นประโยชน์แก่สมาชิก กบข. นายวิทัย กล่าวว่า กบข. ได้นําเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเปลี่ยนแปลงองค์กรครั้งใหญ่ ครอบคลุมเรื่องการสื่อสาร การให้บริการ และ การบริหารองค์กร ที่ทําให้เกิดการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ ซึ่ง กบข. เชื่อมั่นว่าการวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าว โดยพิจารณาประกอบกับปัจจัยการเปลี่ยนแปลงของโลกในมิติต่าง ๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง จะทําให้ กบข. เข้าใจความต้องการและข้อจํากัดของสมาชิกในเชิงลึก ทําให้สามารถนําเสนอข้อมูลและบริการที่ตอบโจทย์สมาชิกแบบรายบุคคลได้อย่างแม่นยํา ในขณะเดียวกัน ข้อมูลดังกล่าวจะมีส่วนช่วยในการตัดสินใจลงทุน ทําให้ กบข. สามารถปรับนโยบายและกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างรวดเร็วสอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงสภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ อนึ่ง การสนับสนุนจาก GBDi ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐที่จัดตั้งขึ้นภายใต้สังกัดของสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อสนับสนุนให้เกิดการใช้ประโยชน์ข้อมูลสําหรับภาครัฐ ภาคธุรกิจ รวมถึงภาคการศึกษาและประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเน้นการส่งเสริมความเป็นเลิศด้านการกํากับดูแลข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ในครั้งนี้ จะมีส่วนสําคัญในการสนับสนุนการทํางานของ กบข.ให้สามารถจัดเก็บและนําข้อมูลทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ มาวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็ว เป็นไปตามมาตรฐาน ซึ่งจะช่วยให้ กบข. ประหยัดต้นทุนในการดําเนินงาน และสามารถบรรลุเป้าหมายในการเสริมสร้างความผูกพันและความพึงพอใจให้กับสมาชิก ผ่านกิจกรรมและบริการต่างๆ ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบําเหน็จบํานาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กําหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1.1 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 9.35 แสนล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 ต.ค. 2562)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24695
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการล้มละลายข้ามชาติ (International Conference on Cross-border Insolvency) ณ นครซูโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน
วันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2562 ปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการล้มละลายข้ามชาติ (International Conference on Cross-border Insolvency) ณ นครซูโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการล้มละลายข้ามชาติ (International Conference on Cross-border Insolvency) ณ นครซูโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ในวันเสาร์ที่ ๗ กันยายน ๒๕๖๒ เวลา ๐๘.๓๐ น. ณ โรงแรม​ Le​ Méridien​ นครซูโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธาน UNCITRAL สมัยที่ ๕๒ และประธานคณะทํางานที่ ๕ ว่าด้วยกฎหมายล้มละลายของ UNCITRAL เข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการล้มละลายข้ามชาติ (International Conference on Cross-border Insolvency) ตามคําเชิญของสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (China council for the promotion of international trade) และสมาคมกฎหมายล้มละลายแห่งปักกิ่ง (Beijing bankruptcy law society) เพื่อส่งเสริมการพัฒนากฎหมายล้มละลายของสาธารณรัฐประชาชนจีน​ ให้รองรับและสอดคล้องกับรูปแบบของการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศตามมาตรฐานสากลและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โอกาสนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้แสดงปาฐกถาพิเศษเกี่ยวกับกฎหมายต้นแบบว่าด้วยการล้มละลายข้ามชาติและประเด็นที่เกี่ยวข้อง​ (UNCITRAL Model Law on Cross-Border Insolvency and Related Issues)​ อาทิ​ ภารกิจของ​ UNCITRAL​ ภารกิจและผลงานของคณะทํางาน​ ๕​ ว่าด้วยกฎหมายล้มละลายของ​ UNCITRAL​ โดยได้อธิบายถึงทฤษฎีและหลักการสําคัญของกฎหมายต้นแบบว่าด้วยการล้มละลายข้ามชาติ​ รวมถึงข้อสังเกตในการพัฒนากฎหมายภายในของแต่ละประเทศ​ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย ผู้พิพากษา​ ทนายความ​ ผู้ประกอบวิชาชีพด้านกฎหมาย​ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ​ นักศึกษา​ นักวิชาการ​ รวมถึงผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับการค้าและการลงทุนจากสาธารณรัฐประชาชนจีน​ เข้าร่วมฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการล้มละลายข้ามชาติ (International Conference on Cross-border Insolvency) ณ นครซูโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน วันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2562 ปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการล้มละลายข้ามชาติ (International Conference on Cross-border Insolvency) ณ นครซูโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการล้มละลายข้ามชาติ (International Conference on Cross-border Insolvency) ณ นครซูโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ในวันเสาร์ที่ ๗ กันยายน ๒๕๖๒ เวลา ๐๘.๓๐ น. ณ โรงแรม​ Le​ Méridien​ นครซูโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธาน UNCITRAL สมัยที่ ๕๒ และประธานคณะทํางานที่ ๕ ว่าด้วยกฎหมายล้มละลายของ UNCITRAL เข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการล้มละลายข้ามชาติ (International Conference on Cross-border Insolvency) ตามคําเชิญของสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (China council for the promotion of international trade) และสมาคมกฎหมายล้มละลายแห่งปักกิ่ง (Beijing bankruptcy law society) เพื่อส่งเสริมการพัฒนากฎหมายล้มละลายของสาธารณรัฐประชาชนจีน​ ให้รองรับและสอดคล้องกับรูปแบบของการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศตามมาตรฐานสากลและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โอกาสนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้แสดงปาฐกถาพิเศษเกี่ยวกับกฎหมายต้นแบบว่าด้วยการล้มละลายข้ามชาติและประเด็นที่เกี่ยวข้อง​ (UNCITRAL Model Law on Cross-Border Insolvency and Related Issues)​ อาทิ​ ภารกิจของ​ UNCITRAL​ ภารกิจและผลงานของคณะทํางาน​ ๕​ ว่าด้วยกฎหมายล้มละลายของ​ UNCITRAL​ โดยได้อธิบายถึงทฤษฎีและหลักการสําคัญของกฎหมายต้นแบบว่าด้วยการล้มละลายข้ามชาติ​ รวมถึงข้อสังเกตในการพัฒนากฎหมายภายในของแต่ละประเทศ​ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย ผู้พิพากษา​ ทนายความ​ ผู้ประกอบวิชาชีพด้านกฎหมาย​ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ​ นักศึกษา​ นักวิชาการ​ รวมถึงผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับการค้าและการลงทุนจากสาธารณรัฐประชาชนจีน​ เข้าร่วมฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22939
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพร้อมภริยา และคณะรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบำเพ็ญพระราชกุศล และร่วมเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล
วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 นายกรัฐมนตรีพร้อมภริยา และคณะรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศล และร่วมเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล นายกรัฐมนตรีพร้อมภริยา และคณะรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศล และร่วมเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2562) เวลา 18.00 น. ณ พระลานราชวังดุสิต พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รศ. นราพร จันทร์โอชา ภริยา และคณะรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆ ปริณายก เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และพระสงฆ์จํานวน 145 รูป ร่วมบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพร้อมภริยา และคณะรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบำเพ็ญพระราชกุศล และร่วมเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 นายกรัฐมนตรีพร้อมภริยา และคณะรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศล และร่วมเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล นายกรัฐมนตรีพร้อมภริยา และคณะรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศล และร่วมเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2562) เวลา 18.00 น. ณ พระลานราชวังดุสิต พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รศ. นราพร จันทร์โอชา ภริยา และคณะรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆ ปริณายก เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และพระสงฆ์จํานวน 145 รูป ร่วมบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18902
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกสมคิดตรวจเยี่ยม กษ.
วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561 รองนายกสมคิดตรวจเยี่ยม กษ. “กฤษฎา” คิกออฟงานตามนโยบายรองนายกฯ สมคิด ภายใน 1 ส.ค. นี้ ดันปฏิรูปภาคเกษตรสู่รูปธรรม พร้อมบูรณาการภาครัฐและเอกชน แก้ปัญหาด้านเกษตรอย่างยั่งยืน นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมและติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า การหารือประเด็นสําคัญและติดตามความก้าวหน้างานตามนโยบายในวันนี้ ได้แก่ การปฏิรูปภาคเกษตร โดยการสนับสนุนให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนไปปลูกข้าวโพดและมันสําปะหลังในพื้นที่ที่เหมาะสม แทนการปลูกข้าวนาปรัง รอบ 2 – 3 มีพื้นที่ราว 2 ล้านไร่เศษ ทางกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมหารือภาคเอกชน ในการรับซื้อผลผลิตทางการเกษตร ทั้งข้าวโพด มันสําปะหลัง รวมถึงพืชอื่น ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้เกษตรกรที่จะปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นว่ามีตลาดรองรับแน่นอน ส่วนราคารับซื้อจะต้องไม่ต่ํากว่าราคาต้นทุนการผลิตและมากกว่าราคาข้าวที่เคยขายได้ นอกจากนี้ยังเตรียมมาตรการสนับสนุนด้านอื่น ๆ เพิ่มเติม อาทิ สนับสนุนปัจจัยการผลิต และเงินทุน เป็นต้น ขณะที่สถานการณ์ผลไม้ที่กําลังทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง กระทรวงเกษตรฯ มอบหมายให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ทําหน้าที่เป็นเสมือนล้ง ในการรวบรวมผลไม้จากเกษตรกรนํามาบรรจุหีบห่อ จากนั้นส่งขายให้ผู้บริโภคโดยตรงผ่านไปรษณีย์ไทย ซึ่งถือเป็นการกระจายสินค้าและช่วยแก้ปัญหาสินค้าล้นตลาดด้วย สําหรับการดําเนินงานด้านสหกรณ์ ได้เตรียมหารือธนาคารทั้งภาครัฐและเอกชน ในการสนับสนุนด้านเงินทุนเพื่อต่อยอดกิจการของสหกรณ์การเกษตรที่มีความเข้มแข็ง 800 แห่งทั่วประเทศ และในส่วนสหกรณ์ออมทรัพย์ ได้เตรียมตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ ซึ่งประกอบไปด้วย กรมส่งเสริมสหกรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เพื่อเข้าไปกํากับดูแลกิจการให้มีประสิทธิภาพ มีการบริหารงานที่เป็นมืออาชีพ และมีความเข้มแข็งต่อไป ขณะที่สถานการณ์ด้านราคายางพารายังทรงตัว ภายหลังการดําเนินงานมาตรการเสริมสร้างศักยภาพเพื่อขยายตลาดคู่ค้ายางพาราไทย ประสบผลสําเร็จเป็นอย่างดี มียอดการสั่งซื้อยางพาราเข้ามาเดือนละ 50,000 ตัน หรือประมาณปีละ 600,000 ตัน ส่วนมาตรการปรับเปลี่ยนการปลูกยางไปปลูกพืชอื่นตามความเหมาะสมของพื้นที่ ได้เพิ่มเป้าจาก 400,000 ไร่ เป็น 600,000 ไร่ โดยตั้งเป้าราคายางเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 60 บาท/กิโลกรัม อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ได้เตรียมแผนการดําเนินงานและสามารถดําเนินการได้ทันทีในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ และคาดว่าจะเห็นผลความก้าวหน้าภายในวันที่ 15 สิงหาคม ซึ่งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะเข้ามาตรวจเยี่ยมอีกรอบหนึ่งด้วย นายกฤษฎา กล่าว กลุ่มงานโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกสมคิดตรวจเยี่ยม กษ. วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561 รองนายกสมคิดตรวจเยี่ยม กษ. “กฤษฎา” คิกออฟงานตามนโยบายรองนายกฯ สมคิด ภายใน 1 ส.ค. นี้ ดันปฏิรูปภาคเกษตรสู่รูปธรรม พร้อมบูรณาการภาครัฐและเอกชน แก้ปัญหาด้านเกษตรอย่างยั่งยืน นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมและติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า การหารือประเด็นสําคัญและติดตามความก้าวหน้างานตามนโยบายในวันนี้ ได้แก่ การปฏิรูปภาคเกษตร โดยการสนับสนุนให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนไปปลูกข้าวโพดและมันสําปะหลังในพื้นที่ที่เหมาะสม แทนการปลูกข้าวนาปรัง รอบ 2 – 3 มีพื้นที่ราว 2 ล้านไร่เศษ ทางกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมหารือภาคเอกชน ในการรับซื้อผลผลิตทางการเกษตร ทั้งข้าวโพด มันสําปะหลัง รวมถึงพืชอื่น ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้เกษตรกรที่จะปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นว่ามีตลาดรองรับแน่นอน ส่วนราคารับซื้อจะต้องไม่ต่ํากว่าราคาต้นทุนการผลิตและมากกว่าราคาข้าวที่เคยขายได้ นอกจากนี้ยังเตรียมมาตรการสนับสนุนด้านอื่น ๆ เพิ่มเติม อาทิ สนับสนุนปัจจัยการผลิต และเงินทุน เป็นต้น ขณะที่สถานการณ์ผลไม้ที่กําลังทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง กระทรวงเกษตรฯ มอบหมายให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ทําหน้าที่เป็นเสมือนล้ง ในการรวบรวมผลไม้จากเกษตรกรนํามาบรรจุหีบห่อ จากนั้นส่งขายให้ผู้บริโภคโดยตรงผ่านไปรษณีย์ไทย ซึ่งถือเป็นการกระจายสินค้าและช่วยแก้ปัญหาสินค้าล้นตลาดด้วย สําหรับการดําเนินงานด้านสหกรณ์ ได้เตรียมหารือธนาคารทั้งภาครัฐและเอกชน ในการสนับสนุนด้านเงินทุนเพื่อต่อยอดกิจการของสหกรณ์การเกษตรที่มีความเข้มแข็ง 800 แห่งทั่วประเทศ และในส่วนสหกรณ์ออมทรัพย์ ได้เตรียมตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ ซึ่งประกอบไปด้วย กรมส่งเสริมสหกรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เพื่อเข้าไปกํากับดูแลกิจการให้มีประสิทธิภาพ มีการบริหารงานที่เป็นมืออาชีพ และมีความเข้มแข็งต่อไป ขณะที่สถานการณ์ด้านราคายางพารายังทรงตัว ภายหลังการดําเนินงานมาตรการเสริมสร้างศักยภาพเพื่อขยายตลาดคู่ค้ายางพาราไทย ประสบผลสําเร็จเป็นอย่างดี มียอดการสั่งซื้อยางพาราเข้ามาเดือนละ 50,000 ตัน หรือประมาณปีละ 600,000 ตัน ส่วนมาตรการปรับเปลี่ยนการปลูกยางไปปลูกพืชอื่นตามความเหมาะสมของพื้นที่ ได้เพิ่มเป้าจาก 400,000 ไร่ เป็น 600,000 ไร่ โดยตั้งเป้าราคายางเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 60 บาท/กิโลกรัม อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ได้เตรียมแผนการดําเนินงานและสามารถดําเนินการได้ทันทีในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ และคาดว่าจะเห็นผลความก้าวหน้าภายในวันที่ 15 สิงหาคม ซึ่งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะเข้ามาตรวจเยี่ยมอีกรอบหนึ่งด้วย นายกฤษฎา กล่าว กลุ่มงานโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13885
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กองทุนเงินทดแทน เพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ลูกจ้าง 9 ธ.ค.61
วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561 กองทุนเงินทดแทน เพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ลูกจ้าง 9 ธ.ค.61 รัฐบาลเตรียมบังคับใช้ พ.ร.บ.กองทุนเงินทดแทน ฉบับที่ 2 ปี 2561 ในวันที่ 9 ธ.ค.61 นี้ อังคารที่ 20 พ.ย.61 กองทุนเงินทดแทน เพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ลูกจ้าง 9 ธ.ค.61 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเตรียมบังคับใช้ พ.ร.บ.กองทุนเงินทดแทน ฉบับที่ 2 ปี 2561 ในวันที่ 9 ธ.ค.61 นี้ โดยขยายการทดแทนและคุ้มครองให้แก่ลูกจ้างที่บาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ครอบคลุมไปถึงลูกจ้างในส่วนราชการและองค์กรไม่แสวงหากําไรจํานวนกว่า 1 ล้านคนด้วย โดยสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น เช่น ค่าทดแทนที่เพิ่มเป็นร้อยละ 70 ของค่าจ้าง และจ่ายให้ตั้งแต่วันแรกที่เจ็บป่วย เพิ่มค่าฟื้นฟูร่างกายเป็น 40,000 บาท ส่วนกรณีทุพพลภาพจากเดิมจ่ายทดแทนให้เป็นเวลา 15 ปี ขยายเป็นจ่ายให้ตลอดชีวิต และกรณีที่ลูกจ้างเสียชีวิตขยายเวลาจ่ายเงินทดแทนให้แก่ทายาทเป็น 10 ปี โดยรัฐบาลมุ่งหวังให้สิทธิประโยชน์นี้ช่วยลดความเหลื่อมล้ําและสร้างหลักประกันในชีวิตให้แก่แรงงานทุกคน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กองทุนเงินทดแทน เพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ลูกจ้าง 9 ธ.ค.61 วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561 กองทุนเงินทดแทน เพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ลูกจ้าง 9 ธ.ค.61 รัฐบาลเตรียมบังคับใช้ พ.ร.บ.กองทุนเงินทดแทน ฉบับที่ 2 ปี 2561 ในวันที่ 9 ธ.ค.61 นี้ อังคารที่ 20 พ.ย.61 กองทุนเงินทดแทน เพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ลูกจ้าง 9 ธ.ค.61 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเตรียมบังคับใช้ พ.ร.บ.กองทุนเงินทดแทน ฉบับที่ 2 ปี 2561 ในวันที่ 9 ธ.ค.61 นี้ โดยขยายการทดแทนและคุ้มครองให้แก่ลูกจ้างที่บาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ครอบคลุมไปถึงลูกจ้างในส่วนราชการและองค์กรไม่แสวงหากําไรจํานวนกว่า 1 ล้านคนด้วย โดยสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น เช่น ค่าทดแทนที่เพิ่มเป็นร้อยละ 70 ของค่าจ้าง และจ่ายให้ตั้งแต่วันแรกที่เจ็บป่วย เพิ่มค่าฟื้นฟูร่างกายเป็น 40,000 บาท ส่วนกรณีทุพพลภาพจากเดิมจ่ายทดแทนให้เป็นเวลา 15 ปี ขยายเป็นจ่ายให้ตลอดชีวิต และกรณีที่ลูกจ้างเสียชีวิตขยายเวลาจ่ายเงินทดแทนให้แก่ทายาทเป็น 10 ปี โดยรัฐบาลมุ่งหวังให้สิทธิประโยชน์นี้ช่วยลดความเหลื่อมล้ําและสร้างหลักประกันในชีวิตให้แก่แรงงานทุกคน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17033
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เตรียมจัดงานวันสตรีไทย ประจำปี 2560 ภายใต้แนวคิด “พลังสตรีไทย สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ อย่างหาที่สุดมิได้”
วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม 2560 พม. เตรียมจัดงานวันสตรีไทย ประจําปี 2560 ภายใต้แนวคิด “พลังสตรีไทย สํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ อย่างหาที่สุดมิได้” พม. เตรียมจัดงานวันสตรีไทย ประจําปี 2560 ภายใต้แนวคิด “พลังสตรีไทย สํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ อย่างหาที่สุดมิได้” ในวันที่ 1 ส.ค. 60 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี วันนี้ (24 ก.ค. 60) เวลา 10.30 น. ที่บริเวณชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานร่วมแถลงข่าวการจัดงานวันสตรีไทย ประจําปี 2560 ภายใต้แนวคิด "พลังสตรีไทย สํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ อย่างหาที่สุดมิได้” ซึ่งจัดขึ้นโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ร่วมกับ สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า เนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ได้ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานให้วันที่ 1 สิงหาคมของทุกปี เป็น "วันสตรีไทย” นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 และพระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้ดอกคัทลียา ควีนสิริกิติ์ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจําวันสตรีไทย และเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546 ซึ่งเป็นครั้งแรกของการจัดงานวันสตรีไทย ทั้งนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินแทนพระองค์ ทรงเปิดงาน วันสตรีไทย พร้อมทั้งอัญเชิญพระราชดํารัส สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เรื่องหน้าที่สําคัญเบื้องต้นของสตรี 4 ประการ ประกอบด้วย ประการที่ 1 พึงทําหน้าที่ของ "แม่” ให้สมบูรณ์ ประการที่ 2 พึงทําหน้าที่ "แม่บ้าน” ให้ดี ประการที่ 3 พึง "รักษาเอกลักษณ์ของความเป็นสตรีไทย” และ ประการที่ 4 พึง "ฝึกฝนตัวเอง” ให้มีความรู้ความสามารถยิ่งขึ้น พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. ได้น้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ ซึ่งตลอดระยะเวลา 70 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชย์ พระองค์ทรงประกอบ พระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ เพื่อพสกนิกรของพระองค์ รวมทั้งทรงเป็นต้นแบบของปวงชนชาวไทยด้วยพระราชจริยวัตร ที่งดงาม และเป็นปีแรกในโอกาสมหามงคลที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ขึ้นทรงราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 และเฉลิมพระชนมพรรษา 65 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2560 รวมทั้งเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในวันสตรีไทย ซึ่งตรงกับวันที่ 1 สิงหาคม และวโรกาส มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา วันที่ 12 สิงหาคม 2560 ทางกระทรวง พม. ขอน้อมนํากระแสพระราชดํารัสของทุกพระองค์ เพื่อยึดถือเป็นหลักปฏิบัติทั้งในการทํางานและการดํารงชีวิต การส่งเสริมสตรีไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ให้อยู่อย่างมีศักดิ์ศรี มีความมั่นคง ปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงการสร้างสังคมแห่งความเสมอภาค เป็นธรรม และยุติธรรม เพื่อให้สตรีไทยเป็นอีกหนึ่งพลังสําคัญในการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ กระทรวง พม. ร่วมกับสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ ตลอดจนภาคีเครือข่ายภาครัฐ และภาคเอกชน จึงได้ร่วมกันจัดกิจกรรมส่งเสริมศักยภาพสตรีไทยเนื่องใน วันสตรีไทย ประจําปี 2560 ภายใต้แนวคิด "พลังสตรีไทย สํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ อย่างหาที่สุดมิได้” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่ออีกว่า สําหรับปี 2560 มีการกําหนดจัดงานวันสตรีไทยประจําปี 2560 ในวันอังคารที่ 1 สิงหาคม 2560 ณ ห้องรอยัลจูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี โดยงานดังกล่าวสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จแทนพระองค์ฯ เป็นองค์ประธานในพิธีงานวันสตรีไทย และพระราชทานโล่เชิดชูเกียรติสตรีไทยดีเด่น 150 คน และเยาวสตรีไทยดีเด่น 25 คน "กิจกรรมสําคัญภายในงานประกอบด้วย การแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และเฉลิมพระชนมพรรษา 65 พรรษา นิทรรศการถวายความอาลัยและน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในวันสตรีไทย และเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เฉลิมพระชนมพรรษา 62 พรรษา นิทรรศการสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ ประวัติพร้อมผลงานของสตรีไทยดีเด่นและเยาวสตรีไทยดีเด่น ประจําปี 2560 นิทรรศการผลิตภัณฑ์ ทอฝัน by พม. การออกบูธและแสดงนิทรรศการผลงานจากองค์กรภาคีเครือข่าย อาทิ มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ มูลนิธิสายใจไทย ศูนย์การเรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัว 8 แห่ง และภาคีเครือข่าย เพื่อสะท้อนถึงพลังแห่งความสามัคคีจากทุกภาคส่วนในการร่วมกันพัฒนาศักยภาพสตรีไทยให้เป็นพลังสําคัญในการพัฒนาครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติต่อไป” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เตรียมจัดงานวันสตรีไทย ประจำปี 2560 ภายใต้แนวคิด “พลังสตรีไทย สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ อย่างหาที่สุดมิได้” วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม 2560 พม. เตรียมจัดงานวันสตรีไทย ประจําปี 2560 ภายใต้แนวคิด “พลังสตรีไทย สํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ อย่างหาที่สุดมิได้” พม. เตรียมจัดงานวันสตรีไทย ประจําปี 2560 ภายใต้แนวคิด “พลังสตรีไทย สํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ อย่างหาที่สุดมิได้” ในวันที่ 1 ส.ค. 60 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี วันนี้ (24 ก.ค. 60) เวลา 10.30 น. ที่บริเวณชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานร่วมแถลงข่าวการจัดงานวันสตรีไทย ประจําปี 2560 ภายใต้แนวคิด "พลังสตรีไทย สํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ อย่างหาที่สุดมิได้” ซึ่งจัดขึ้นโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ร่วมกับ สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า เนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ได้ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานให้วันที่ 1 สิงหาคมของทุกปี เป็น "วันสตรีไทย” นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 และพระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้ดอกคัทลียา ควีนสิริกิติ์ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจําวันสตรีไทย และเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546 ซึ่งเป็นครั้งแรกของการจัดงานวันสตรีไทย ทั้งนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินแทนพระองค์ ทรงเปิดงาน วันสตรีไทย พร้อมทั้งอัญเชิญพระราชดํารัส สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เรื่องหน้าที่สําคัญเบื้องต้นของสตรี 4 ประการ ประกอบด้วย ประการที่ 1 พึงทําหน้าที่ของ "แม่” ให้สมบูรณ์ ประการที่ 2 พึงทําหน้าที่ "แม่บ้าน” ให้ดี ประการที่ 3 พึง "รักษาเอกลักษณ์ของความเป็นสตรีไทย” และ ประการที่ 4 พึง "ฝึกฝนตัวเอง” ให้มีความรู้ความสามารถยิ่งขึ้น พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. ได้น้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ ซึ่งตลอดระยะเวลา 70 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชย์ พระองค์ทรงประกอบ พระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ เพื่อพสกนิกรของพระองค์ รวมทั้งทรงเป็นต้นแบบของปวงชนชาวไทยด้วยพระราชจริยวัตร ที่งดงาม และเป็นปีแรกในโอกาสมหามงคลที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ขึ้นทรงราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 และเฉลิมพระชนมพรรษา 65 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2560 รวมทั้งเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในวันสตรีไทย ซึ่งตรงกับวันที่ 1 สิงหาคม และวโรกาส มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา วันที่ 12 สิงหาคม 2560 ทางกระทรวง พม. ขอน้อมนํากระแสพระราชดํารัสของทุกพระองค์ เพื่อยึดถือเป็นหลักปฏิบัติทั้งในการทํางานและการดํารงชีวิต การส่งเสริมสตรีไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ให้อยู่อย่างมีศักดิ์ศรี มีความมั่นคง ปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงการสร้างสังคมแห่งความเสมอภาค เป็นธรรม และยุติธรรม เพื่อให้สตรีไทยเป็นอีกหนึ่งพลังสําคัญในการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ กระทรวง พม. ร่วมกับสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ ตลอดจนภาคีเครือข่ายภาครัฐ และภาคเอกชน จึงได้ร่วมกันจัดกิจกรรมส่งเสริมศักยภาพสตรีไทยเนื่องใน วันสตรีไทย ประจําปี 2560 ภายใต้แนวคิด "พลังสตรีไทย สํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ อย่างหาที่สุดมิได้” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่ออีกว่า สําหรับปี 2560 มีการกําหนดจัดงานวันสตรีไทยประจําปี 2560 ในวันอังคารที่ 1 สิงหาคม 2560 ณ ห้องรอยัลจูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี โดยงานดังกล่าวสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จแทนพระองค์ฯ เป็นองค์ประธานในพิธีงานวันสตรีไทย และพระราชทานโล่เชิดชูเกียรติสตรีไทยดีเด่น 150 คน และเยาวสตรีไทยดีเด่น 25 คน "กิจกรรมสําคัญภายในงานประกอบด้วย การแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และเฉลิมพระชนมพรรษา 65 พรรษา นิทรรศการถวายความอาลัยและน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในวันสตรีไทย และเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เฉลิมพระชนมพรรษา 62 พรรษา นิทรรศการสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ ประวัติพร้อมผลงานของสตรีไทยดีเด่นและเยาวสตรีไทยดีเด่น ประจําปี 2560 นิทรรศการผลิตภัณฑ์ ทอฝัน by พม. การออกบูธและแสดงนิทรรศการผลงานจากองค์กรภาคีเครือข่าย อาทิ มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ มูลนิธิสายใจไทย ศูนย์การเรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัว 8 แห่ง และภาคีเครือข่าย เพื่อสะท้อนถึงพลังแห่งความสามัคคีจากทุกภาคส่วนในการร่วมกันพัฒนาศักยภาพสตรีไทยให้เป็นพลังสําคัญในการพัฒนาครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติต่อไป” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5431
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วว. ผนึกกำลังพันธมิตร นำ วทน. สร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตการเกษตร พืชอัตลักษณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์
วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม 2563 วว. ผนึกกําลังพันธมิตร นํา วทน. สร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตการเกษตร พืชอัตลักษณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ วว. ผนึกกําลังพันธมิตร นํา วทน. สร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตการเกษตร พืชอัตลักษณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ดําเนินโครงการพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากด้วยอัตลักษณ์จังหวัดเพชรบูรณ์ ผ่านการดําเนินงานโดยโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสังคมไทย ด้วยการสร้างสรรค์คุณค่าเครื่องสําอางตามเอกลักษณ์ท้องถิ่น หรือ Thai Cosmetopoeia ผนึกกําลัง 4 หน่วยงานภาครัฐ/เอกชน ได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเพชรบูรณ์ อุทยานธรณีเพชรบูรณ์ มุ่งบูรณาการความร่วมมือพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม สร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตการเกษตร พืชอัตลักษณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ 2 กรกฎาคม 2563 ณ พุทธอุทยานเพชบุระ อําเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์) ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า วว. ดําเนินโครงการพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากด้วยอัตลักษณ์จังหวัดเพชรบูรณ์ ผ่านการดําเนินงานโดย โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสังคมไทยด้วยการสร้างสรรค์คุณค่าเครื่องสําอางตามเอกลักษณ์ท้องถิ่น หรือ Thai Cosmetopoeia ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อนําองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ “นวัตอัตลักษณ์เครื่องสําอางและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของไทย” ซึ่งถือเป็นการเพิ่มมูลค่าวัตถุดิบท้องถิ่นให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ เพื่อให้เป็นที่รู้จักในระดับชาติและช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เกิดความยั่งยืน รวมทั้งส่งเสริมนโยบาย BCG ให้เกิดการขยายตัวอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน ทั้งนี้เพื่อให้การดําเนินโครงการฯ ประสบผลสําเร็จเป็นรูปธรรม วว. จึงได้ลงนามความร่วมมือว่าด้วย “การใช้เทคโนโลยี ผลงานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตการเกษตรและพืชอัตลักษณ์ของจังหวัดเพชรบูรณ์” กับพันธมิตร 4 หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเพชรบูรณ์ และอุทยานธรณีเพชรบูรณ์ โดยมีระยะเวลาดําเนินงาน 2 ปี มีวัตถุประสงค์ความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างความร่วมมืออย่างบูรณาการระหว่างกันตามยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม จังหวัดเพชรบูรณ์ รวมทั้งภาครัฐและเอกชน ในการสนับสนุน ส่งเสริม และเสริมสร้างความเข้มแข็ง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ชุมชน และสังคมสู่ความยั่งยืน โดยมุ่งเน้นในการวิจัยและพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม และทรัพยากรธรรมชาติ ของจังหวัดเพชรบูรณ์ พัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อใช้เป็นพื้นฐานที่สําคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เกษตรและชีวภาพ อาหาร เวชสําอางไทย ผลิตภัณฑ์อื่นๆที่เพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดในประเทศ และต่างประเทศ รวมทั้งพัฒนาวิธีบริหารจัดการทรัพยากรในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ให้มีการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า สร้างและรักษาเอกลักษณ์หรืออัตลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ตามธรรมชาติของจังหวัดเพชรบูรณ์ไว้ เพื่อร่วมกันเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ และบูรณาการส่งเสริมการตลาด จากผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาจากทรัพยากรท้องถิ่นของจังหวัดเพชรบูรณ์ให้เป็นที่รู้จักทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดการนํารายได้คืนสู่การพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้ง ชุมชน ท้องถิ่น ที่เป็นฐานรากของทรัพยากรนั้นไว้ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึง (Inclusive growth) ต่อไป นอกจากนี้ จะพัฒนาความร่วมมือด้านการวิจัย การบริหารจัดการองค์ความรู้ และพัฒนากําลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านอุตสาหกรรมชีวภาพและการพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน รวมทั้งเสริมสร้างด้านศักยภาพ องค์ความรู้ และทักษะ ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งหน่วยงานในจังหวัดเพชรบูรณ์ที่เกี่ยวข้อง และส่งเสริมนิสิต/นักศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี การใช้ห้องปฏิบัติการเพื่อการเรียนรู้ และทํางานวิจัยในด้านวิทยาศาสตร์เครื่องสําอาง อาหารเสริม หรือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอื่นๆ รวมทั้งการฝึกงานระดับบัณฑิตและมหาบัณฑิตศึกษา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งผลักดันผลงานวิจัย และงานบริการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในการเสริมสร้างการเติบโตของธุรกิจด้านอุตสาหกรรมชีวภาพ การประชาสัมพันธ์ผลงานด้านการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งงานบริการวิเคราะห์ทดสอบด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและเป็นที่ยอมรับในผลงานวิจัยของนักวิจัยไทยเพื่อก้าวสู่สากล “...ขอบเขตความร่วมมือในครั้งนี้ของ วว. และพันธมิตรจังหวัดเพชรบูรณ์ จะร่วมกันศึกษาและพัฒนางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรที่มีความเป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่นจังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและให้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างองค์กรในการกําหนดแนวทางการพัฒนางานวิจัยให้ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการและตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ร่วมกันสนับสนุน ผลักดันให้เกิดการนําผลงานวิจัยหรือผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยที่เกิดจากความร่วมมือนี้ไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และร่วมผลักดันผู้ประกอบการของจังหวัดเพชรบูรณ์ ผู้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่ของจังหวัดให้มีความสามารถด้านพัฒนาตนเอง ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้ตอบสนองและก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และ นวัตกรรม รวมทั้งตลาดในอนาคต และร่วมกันส่งเสริม เผยแพร่ และประชาสัมพันธ์ตราสัญลักษณ์ Thai Cosmetopoeia, Phetchabun Geopark และผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการในโครงการ กิจกรรม ที่ดําเนินการร่วมวิจัย...” ผู้ว่าการ วว. กล่าว โอกาสนี้ วว. ได้จัดนิทรรศการโชว์ผลิตภัณฑ์ 3 กลุ่มผู้ประกอบการในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้แก่ กาแฟน้ําหนาว ชาหญ้านางแดง และผลิตภัณฑ์แปรรูปอาหารจากจุลไหมไทย รวมทั้งนิทรรศการผลงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ความสําเร็จจากโครงการ Thai Cosmetopoeia อาทิ ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มฟังก์ชั่นจากมะขามหวาน “Nature Bright” ซึ่งมีฤทธิ์ทางชีวภาพ ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ กระตุ้นการทํางานของไมโทคอนเดรีย ต้านการอักเสบ ต้านการเกิดเม็ดสีผิว วว. ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่ ห้างหุ้นส่วน ดร. เซอร์วิส จํากัด และได้รับทุนจากโครงการ Research Gap Fund จาก กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในการผลิตระดับอุตสาหกรรม ณ โรงงานนวัตกรรมอาหาร หรือ FISP ของ วว. เครื่องสําอางจากสารสกัดเมล็ดมะขาม มีสรรพคุณเพื่อความกระจ่างใสและบํารุงผิวหน้า ซึ่งในท้องตลาดยังไม่มีผลิตภัณฑ์เครื่องสําอางที่พัฒนาจากสารสกัดเมล็ดมะขาม ขณะนี้ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ จํากัด (Research X Co.Ltd.) ผลิตภัณฑ์บํารุงผิวหน้าจากสารสกัดอะโวคาโด ซึ่ง วว. ร่วมดําเนินงานกับบริษัท เอสแอนด์เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็นเตอร์ไพรส์ จํากัด (มหาชน) มีประสิทธิภาพต้านอนุมูลอิสระ ชะลอริ้วรอย ต้านการเกิดเม็ดสีผิว โดยใช้วัตถุดิบจากอําเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือขอรับการปรึกษาเพื่อพัฒนาพืชอัตลักษณ์ท้องถิ่นในรูปแบบเครื่องสําอาง ได้ที่ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) โทร. 0 2577 9300 (ในวันและเวลาราชการ) www.tistr.or.th E-mail :[email protected]@TISTR ข้อมูลข่าวโดย : สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วว. ผนึกกำลังพันธมิตร นำ วทน. สร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตการเกษตร พืชอัตลักษณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม 2563 วว. ผนึกกําลังพันธมิตร นํา วทน. สร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตการเกษตร พืชอัตลักษณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ วว. ผนึกกําลังพันธมิตร นํา วทน. สร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตการเกษตร พืชอัตลักษณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ดําเนินโครงการพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากด้วยอัตลักษณ์จังหวัดเพชรบูรณ์ ผ่านการดําเนินงานโดยโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสังคมไทย ด้วยการสร้างสรรค์คุณค่าเครื่องสําอางตามเอกลักษณ์ท้องถิ่น หรือ Thai Cosmetopoeia ผนึกกําลัง 4 หน่วยงานภาครัฐ/เอกชน ได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเพชรบูรณ์ อุทยานธรณีเพชรบูรณ์ มุ่งบูรณาการความร่วมมือพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม สร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตการเกษตร พืชอัตลักษณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ 2 กรกฎาคม 2563 ณ พุทธอุทยานเพชบุระ อําเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์) ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า วว. ดําเนินโครงการพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากด้วยอัตลักษณ์จังหวัดเพชรบูรณ์ ผ่านการดําเนินงานโดย โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสังคมไทยด้วยการสร้างสรรค์คุณค่าเครื่องสําอางตามเอกลักษณ์ท้องถิ่น หรือ Thai Cosmetopoeia ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อนําองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ “นวัตอัตลักษณ์เครื่องสําอางและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของไทย” ซึ่งถือเป็นการเพิ่มมูลค่าวัตถุดิบท้องถิ่นให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ เพื่อให้เป็นที่รู้จักในระดับชาติและช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เกิดความยั่งยืน รวมทั้งส่งเสริมนโยบาย BCG ให้เกิดการขยายตัวอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน ทั้งนี้เพื่อให้การดําเนินโครงการฯ ประสบผลสําเร็จเป็นรูปธรรม วว. จึงได้ลงนามความร่วมมือว่าด้วย “การใช้เทคโนโลยี ผลงานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตการเกษตรและพืชอัตลักษณ์ของจังหวัดเพชรบูรณ์” กับพันธมิตร 4 หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเพชรบูรณ์ และอุทยานธรณีเพชรบูรณ์ โดยมีระยะเวลาดําเนินงาน 2 ปี มีวัตถุประสงค์ความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างความร่วมมืออย่างบูรณาการระหว่างกันตามยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม จังหวัดเพชรบูรณ์ รวมทั้งภาครัฐและเอกชน ในการสนับสนุน ส่งเสริม และเสริมสร้างความเข้มแข็ง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ชุมชน และสังคมสู่ความยั่งยืน โดยมุ่งเน้นในการวิจัยและพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม และทรัพยากรธรรมชาติ ของจังหวัดเพชรบูรณ์ พัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อใช้เป็นพื้นฐานที่สําคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เกษตรและชีวภาพ อาหาร เวชสําอางไทย ผลิตภัณฑ์อื่นๆที่เพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดในประเทศ และต่างประเทศ รวมทั้งพัฒนาวิธีบริหารจัดการทรัพยากรในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ให้มีการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า สร้างและรักษาเอกลักษณ์หรืออัตลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ตามธรรมชาติของจังหวัดเพชรบูรณ์ไว้ เพื่อร่วมกันเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ และบูรณาการส่งเสริมการตลาด จากผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาจากทรัพยากรท้องถิ่นของจังหวัดเพชรบูรณ์ให้เป็นที่รู้จักทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดการนํารายได้คืนสู่การพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้ง ชุมชน ท้องถิ่น ที่เป็นฐานรากของทรัพยากรนั้นไว้ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึง (Inclusive growth) ต่อไป นอกจากนี้ จะพัฒนาความร่วมมือด้านการวิจัย การบริหารจัดการองค์ความรู้ และพัฒนากําลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านอุตสาหกรรมชีวภาพและการพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน รวมทั้งเสริมสร้างด้านศักยภาพ องค์ความรู้ และทักษะ ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งหน่วยงานในจังหวัดเพชรบูรณ์ที่เกี่ยวข้อง และส่งเสริมนิสิต/นักศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี การใช้ห้องปฏิบัติการเพื่อการเรียนรู้ และทํางานวิจัยในด้านวิทยาศาสตร์เครื่องสําอาง อาหารเสริม หรือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอื่นๆ รวมทั้งการฝึกงานระดับบัณฑิตและมหาบัณฑิตศึกษา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งผลักดันผลงานวิจัย และงานบริการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในการเสริมสร้างการเติบโตของธุรกิจด้านอุตสาหกรรมชีวภาพ การประชาสัมพันธ์ผลงานด้านการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งงานบริการวิเคราะห์ทดสอบด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและเป็นที่ยอมรับในผลงานวิจัยของนักวิจัยไทยเพื่อก้าวสู่สากล “...ขอบเขตความร่วมมือในครั้งนี้ของ วว. และพันธมิตรจังหวัดเพชรบูรณ์ จะร่วมกันศึกษาและพัฒนางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรที่มีความเป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่นจังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและให้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างองค์กรในการกําหนดแนวทางการพัฒนางานวิจัยให้ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการและตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ร่วมกันสนับสนุน ผลักดันให้เกิดการนําผลงานวิจัยหรือผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยที่เกิดจากความร่วมมือนี้ไปสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และร่วมผลักดันผู้ประกอบการของจังหวัดเพชรบูรณ์ ผู้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่ของจังหวัดให้มีความสามารถด้านพัฒนาตนเอง ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้ตอบสนองและก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และ นวัตกรรม รวมทั้งตลาดในอนาคต และร่วมกันส่งเสริม เผยแพร่ และประชาสัมพันธ์ตราสัญลักษณ์ Thai Cosmetopoeia, Phetchabun Geopark และผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการในโครงการ กิจกรรม ที่ดําเนินการร่วมวิจัย...” ผู้ว่าการ วว. กล่าว โอกาสนี้ วว. ได้จัดนิทรรศการโชว์ผลิตภัณฑ์ 3 กลุ่มผู้ประกอบการในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้แก่ กาแฟน้ําหนาว ชาหญ้านางแดง และผลิตภัณฑ์แปรรูปอาหารจากจุลไหมไทย รวมทั้งนิทรรศการผลงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ความสําเร็จจากโครงการ Thai Cosmetopoeia อาทิ ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มฟังก์ชั่นจากมะขามหวาน “Nature Bright” ซึ่งมีฤทธิ์ทางชีวภาพ ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ กระตุ้นการทํางานของไมโทคอนเดรีย ต้านการอักเสบ ต้านการเกิดเม็ดสีผิว วว. ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่ ห้างหุ้นส่วน ดร. เซอร์วิส จํากัด และได้รับทุนจากโครงการ Research Gap Fund จาก กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในการผลิตระดับอุตสาหกรรม ณ โรงงานนวัตกรรมอาหาร หรือ FISP ของ วว. เครื่องสําอางจากสารสกัดเมล็ดมะขาม มีสรรพคุณเพื่อความกระจ่างใสและบํารุงผิวหน้า ซึ่งในท้องตลาดยังไม่มีผลิตภัณฑ์เครื่องสําอางที่พัฒนาจากสารสกัดเมล็ดมะขาม ขณะนี้ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ จํากัด (Research X Co.Ltd.) ผลิตภัณฑ์บํารุงผิวหน้าจากสารสกัดอะโวคาโด ซึ่ง วว. ร่วมดําเนินงานกับบริษัท เอสแอนด์เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็นเตอร์ไพรส์ จํากัด (มหาชน) มีประสิทธิภาพต้านอนุมูลอิสระ ชะลอริ้วรอย ต้านการเกิดเม็ดสีผิว โดยใช้วัตถุดิบจากอําเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือขอรับการปรึกษาเพื่อพัฒนาพืชอัตลักษณ์ท้องถิ่นในรูปแบบเครื่องสําอาง ได้ที่ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) โทร. 0 2577 9300 (ในวันและเวลาราชการ) www.tistr.or.th E-mail :[email protected]@TISTR ข้อมูลข่าวโดย : สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33796
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยปี 2560 พัฒนา รพ.สต. ผ่านมาตรฐาน 5 ดาวได้ 1,668 แห่ง ตั้งเป้าครบ 9,826 แห่ง ภายใน 5 ปี
วันอังคารที่ 12 กันยายน 2560 สธ. เผยปี 2560 พัฒนา รพ.สต. ผ่านมาตรฐาน 5 ดาวได้ 1,668 แห่ง ตั้งเป้าครบ 9,826 แห่ง ภายใน 5 ปี กระทรวงสาธารณสุข พัฒนา รพ.สต. 5 ดาว ได้ 1,668 แห่งในปี 2560 ตั้งเป้าพัฒนาให้ครบ ทั้ง 9,826 แห่งภายใน 5 ปี ให้มีดี 5 ด้าน คือบริหารดี ประสานงานดี บุคลากรดี บริการดี และประชาชนสุขภาพดี กระทรวงสาธารณสุข พัฒนา รพ.สต. 5 ดาว ได้ 1,668 แห่งในปี 2560 ตั้งเป้าพัฒนาให้ครบ ทั้ง 9,826 แห่งภายใน 5 ปี ให้มีดี 5 ด้าน คือบริหารดี ประสานงานดี บุคลากรดี บริการดี และประชาชนสุขภาพดี วันนี้ (12 กันยายน 2560) ที่ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการฯ กทม. นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุมสรุปผลการดําเนินงานการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล ประจําปี 2560 พร้อมมอบรางวัล รพ.สต.ต้นแบบ ระดับเขตสุขภาพ และรางวัลการประกวดคลิปวิดีโอในหัวข้อ“คลินิกหมอครอบครัวหมอประจําตัวของประชาชน” โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 2,000 คน ประกอบด้วย ผู้บริหาร ทีมประเมิน เจ้าหน้าที่ รพ.สต. และคลินิกหมอครอบครัว จากทั่วประเทศ นายแพทย์โสภณ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้พัฒนาสถานีอนามัยซึ่งเป็นหน่วยบริการระดับปฐมภูมิอยู่ใกล้ชิดประชาชนจํานวน 9,826 แห่งทั่วประเทศ ให้เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) เน้นพัฒนาคุณภาพระบบบริการสุขภาพและกระบวนการบริการ ตั้งเป้าให้ รพ.สต.ผ่านเกณฑ์คุณภาพ รพ.สต.ติดดาวทุกแห่งภายใน 5 ปี ซึ่งหน่วยบริการปฐมภูมิจะเป็นกลไกสําคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายประชาชนสุขภาพดี เนื่องจากเน้นการส่งเสริมป้องกันมากกว่ารักษา ช่วยให้เกิดสังคมสุขภาพดีอย่างยั่งยืน โดย รพ.สต.ที่ผ่านมาตรฐาน รพ.สต. ติดดาว 5 ดาว ต้องประกอบด้วย 5 ดี คือ1.บริหารดีเป็นการนําองค์กรและการจัดการดี ประกอบด้วย ภาวะผู้นํา การนําธรรมาภิบาล มีแผนกลยุทธ์ด้านสุขภาพ มีระบบรายงานกระบวนการที่สําคัญ2.ประสานงานดีภาคีมีส่วนร่วม ให้ความสําคัญกับประชากรกลุ่มเป้าหมาย ชุมชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทําให้ได้มาถึงปัญหาของชุมชน ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ฐานข้อมูลการบริการ ความร่วมมือ ความพึงพอใจ3.บุคลากรดีมีการจัดอัตรากําลังด้านสุขภาพ สร้างความผาสุก ความพึงพอใจ มีระบบพัฒนาการเรียนรู้ มีการเสริมพลังประชาชนและครอบครัวในการดูแลตนเอง4.บริการดีมีการจัดบริการครอบคลุมประเภทและประชาชนทุกกลุ่มวัย จัดบริการตามปัญหาชุมชน ในและนอกสถานบริการ และ5.ประชาชนสุขภาพดีเป็นการประเมินผลลัพธ์การทํางาน ทั้งในบทบาทของบุคคลและครอบครัวในการดูแลตนเอง ด้วยพฤติกรรม 5 อ. 2 ส. และผลลัพธ์ตามตัวชี้วัด รวมทั้งการมีนวตกรรม งานวิจัย การจัดการองค์ความรู้ นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า ในปีงบประมาณ 2560 ได้เริ่มดําเนินการเป็นปีแรก ตั้งเป้าให้มีรพ.สต. ที่ผ่านเกณฑ์การพัฒนาคุณภาพ รพ.สต.ติดดาว ร้อยละ 10 ผลการดําเนินงาน พบว่า รพ.สต.มีการประเมินตนเอง จํานวน 9,826 แห่ง ผ่านเกณฑ์การพัฒนาคุณภาพ รพ.สต.ติดดาว ระดับ 5 ดาว จํานวน 1,685 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 17 สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งเป้า นับเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติและสร้างขวัญกําลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงาน รพ.สต. และคลินิกหมอครอบครัว นําไปสู่การพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงสาธารณสุขได้มอบรางวัลการพัฒนาคุณภาพ รพ.สต.ติดดาวมอบให้กับ รพ.สต.ต้นแบบ ระดับเขตสุขภาพจํานวน 12 แห่ง และสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด 12 จังหวัดที่ รพ.สต. ในสังกัด และรางวัลการประกวดคลิปวิดีโอในหัวข้อ “คลินิกหมอครอบครัวหมอประจําตัวของประชาชน” ชนะเลิศระดับประเทศ รางวัลดีเด่นประเภทต่างๆ และรางวัลคลิปวีดีโอยอดเยี่ยม ระดับเขตสุขภาพ รวม 22 รางวัล
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยปี 2560 พัฒนา รพ.สต. ผ่านมาตรฐาน 5 ดาวได้ 1,668 แห่ง ตั้งเป้าครบ 9,826 แห่ง ภายใน 5 ปี วันอังคารที่ 12 กันยายน 2560 สธ. เผยปี 2560 พัฒนา รพ.สต. ผ่านมาตรฐาน 5 ดาวได้ 1,668 แห่ง ตั้งเป้าครบ 9,826 แห่ง ภายใน 5 ปี กระทรวงสาธารณสุข พัฒนา รพ.สต. 5 ดาว ได้ 1,668 แห่งในปี 2560 ตั้งเป้าพัฒนาให้ครบ ทั้ง 9,826 แห่งภายใน 5 ปี ให้มีดี 5 ด้าน คือบริหารดี ประสานงานดี บุคลากรดี บริการดี และประชาชนสุขภาพดี กระทรวงสาธารณสุข พัฒนา รพ.สต. 5 ดาว ได้ 1,668 แห่งในปี 2560 ตั้งเป้าพัฒนาให้ครบ ทั้ง 9,826 แห่งภายใน 5 ปี ให้มีดี 5 ด้าน คือบริหารดี ประสานงานดี บุคลากรดี บริการดี และประชาชนสุขภาพดี วันนี้ (12 กันยายน 2560) ที่ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการฯ กทม. นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุมสรุปผลการดําเนินงานการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล ประจําปี 2560 พร้อมมอบรางวัล รพ.สต.ต้นแบบ ระดับเขตสุขภาพ และรางวัลการประกวดคลิปวิดีโอในหัวข้อ“คลินิกหมอครอบครัวหมอประจําตัวของประชาชน” โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 2,000 คน ประกอบด้วย ผู้บริหาร ทีมประเมิน เจ้าหน้าที่ รพ.สต. และคลินิกหมอครอบครัว จากทั่วประเทศ นายแพทย์โสภณ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้พัฒนาสถานีอนามัยซึ่งเป็นหน่วยบริการระดับปฐมภูมิอยู่ใกล้ชิดประชาชนจํานวน 9,826 แห่งทั่วประเทศ ให้เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) เน้นพัฒนาคุณภาพระบบบริการสุขภาพและกระบวนการบริการ ตั้งเป้าให้ รพ.สต.ผ่านเกณฑ์คุณภาพ รพ.สต.ติดดาวทุกแห่งภายใน 5 ปี ซึ่งหน่วยบริการปฐมภูมิจะเป็นกลไกสําคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายประชาชนสุขภาพดี เนื่องจากเน้นการส่งเสริมป้องกันมากกว่ารักษา ช่วยให้เกิดสังคมสุขภาพดีอย่างยั่งยืน โดย รพ.สต.ที่ผ่านมาตรฐาน รพ.สต. ติดดาว 5 ดาว ต้องประกอบด้วย 5 ดี คือ1.บริหารดีเป็นการนําองค์กรและการจัดการดี ประกอบด้วย ภาวะผู้นํา การนําธรรมาภิบาล มีแผนกลยุทธ์ด้านสุขภาพ มีระบบรายงานกระบวนการที่สําคัญ2.ประสานงานดีภาคีมีส่วนร่วม ให้ความสําคัญกับประชากรกลุ่มเป้าหมาย ชุมชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทําให้ได้มาถึงปัญหาของชุมชน ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ฐานข้อมูลการบริการ ความร่วมมือ ความพึงพอใจ3.บุคลากรดีมีการจัดอัตรากําลังด้านสุขภาพ สร้างความผาสุก ความพึงพอใจ มีระบบพัฒนาการเรียนรู้ มีการเสริมพลังประชาชนและครอบครัวในการดูแลตนเอง4.บริการดีมีการจัดบริการครอบคลุมประเภทและประชาชนทุกกลุ่มวัย จัดบริการตามปัญหาชุมชน ในและนอกสถานบริการ และ5.ประชาชนสุขภาพดีเป็นการประเมินผลลัพธ์การทํางาน ทั้งในบทบาทของบุคคลและครอบครัวในการดูแลตนเอง ด้วยพฤติกรรม 5 อ. 2 ส. และผลลัพธ์ตามตัวชี้วัด รวมทั้งการมีนวตกรรม งานวิจัย การจัดการองค์ความรู้ นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า ในปีงบประมาณ 2560 ได้เริ่มดําเนินการเป็นปีแรก ตั้งเป้าให้มีรพ.สต. ที่ผ่านเกณฑ์การพัฒนาคุณภาพ รพ.สต.ติดดาว ร้อยละ 10 ผลการดําเนินงาน พบว่า รพ.สต.มีการประเมินตนเอง จํานวน 9,826 แห่ง ผ่านเกณฑ์การพัฒนาคุณภาพ รพ.สต.ติดดาว ระดับ 5 ดาว จํานวน 1,685 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 17 สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งเป้า นับเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติและสร้างขวัญกําลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงาน รพ.สต. และคลินิกหมอครอบครัว นําไปสู่การพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงสาธารณสุขได้มอบรางวัลการพัฒนาคุณภาพ รพ.สต.ติดดาวมอบให้กับ รพ.สต.ต้นแบบ ระดับเขตสุขภาพจํานวน 12 แห่ง และสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด 12 จังหวัดที่ รพ.สต. ในสังกัด และรางวัลการประกวดคลิปวิดีโอในหัวข้อ “คลินิกหมอครอบครัวหมอประจําตัวของประชาชน” ชนะเลิศระดับประเทศ รางวัลดีเด่นประเภทต่างๆ และรางวัลคลิปวีดีโอยอดเยี่ยม ระดับเขตสุขภาพ รวม 22 รางวัล
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6620
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำต่อรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและประเทศคู่เจรจา ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืน
วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562 นายกรัฐมนตรีย้ําต่อรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและประเทศคู่เจรจา ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืน นายกรัฐมนตรีย้ําต่อรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและประเทศคู่เจรจา ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืน วันนี้ (18 พฤศจิกายน 2562) เวลา 13.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล รัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน รัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา และเลขาธิการอาเซียน เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเยือนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 6 สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณประเทศสมาชิกอาเซียน ประเทศคู่เจรจาและสํานักเลขาธิการอาเซียนที่สนับสนุนให้การจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้องเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิดหลักในการเป็นประธานอาเซียนของไทย คือ “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” ประสบความสําเร็จด้วยดี เพื่อสร้างความเป็นหุ้นส่วนของความร่วมมือทั้งภายในและภายนอกอาเซียนให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ให้อาเซียนเป็นประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง นายกรัฐมนตรีเห็นว่าความมั่นคงเป็นรากฐานสําคัญของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ทุกฝ่ายต้องส่งเสริมความมั่นคงให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน เพื่อร่วมกันเสริมสร้างประชาคมอาเซียน ให้สามารถจัดการกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่สําคัญของภูมิภาค เช่น การก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ปัญหาสิ่งแวดล้อมทางทะเล และภัยคุกคามทางไซเบอร์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอให้นําหลักการภายใต้สนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (TAC) มาใช้ให้เกิดประโยชน์ นอกจากนี้ไทยยินดีที่อาเซียนได้จัดทําเอกสารมุมมองของอาเซียนต่ออินโด-แปซิฟิก บนพื้นฐานของหลักการ 3M คือ ความไว้เนื้อเชื่อใจ การเคารพซึ่งกันและกัน เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน นายกรัฐมนตรีชื่นชมบทบาทเวที ADMM และ ADMM-Plus ที่เป็นกลไกสําคัญในการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในระดับยุทธศาสตร์ และขับเคลื่อนความร่วมมือด้านความมั่นคงในภูมิภาค ซึ่งหนึ่งในผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในปีนี้คือการบรรจุศูนย์แพทย์ทหารอาเซียนในกฎบัตรอาเซียนนั้นจะเป็นการยกบทบาทและขีดความสามารถของศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน ในการสนับสนุนการบริหารจัดการภัยพิบัติของอาเซียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีอวยพรให้การจัดการประชุม ADMM-Plus ครั้งที่ 6 ในวันนี้ประสบความสําเร็จตามวัตถุประสงค์ เพื่อดํารงไว้ซึ่งสันติภาพ เสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาคต่อไปในอนาคต
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำต่อรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและประเทศคู่เจรจา ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืน วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562 นายกรัฐมนตรีย้ําต่อรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและประเทศคู่เจรจา ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืน นายกรัฐมนตรีย้ําต่อรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและประเทศคู่เจรจา ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืน วันนี้ (18 พฤศจิกายน 2562) เวลา 13.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล รัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน รัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา และเลขาธิการอาเซียน เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเยือนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 6 สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณประเทศสมาชิกอาเซียน ประเทศคู่เจรจาและสํานักเลขาธิการอาเซียนที่สนับสนุนให้การจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้องเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิดหลักในการเป็นประธานอาเซียนของไทย คือ “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” ประสบความสําเร็จด้วยดี เพื่อสร้างความเป็นหุ้นส่วนของความร่วมมือทั้งภายในและภายนอกอาเซียนให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ให้อาเซียนเป็นประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง นายกรัฐมนตรีเห็นว่าความมั่นคงเป็นรากฐานสําคัญของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ทุกฝ่ายต้องส่งเสริมความมั่นคงให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน เพื่อร่วมกันเสริมสร้างประชาคมอาเซียน ให้สามารถจัดการกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่สําคัญของภูมิภาค เช่น การก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ปัญหาสิ่งแวดล้อมทางทะเล และภัยคุกคามทางไซเบอร์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอให้นําหลักการภายใต้สนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (TAC) มาใช้ให้เกิดประโยชน์ นอกจากนี้ไทยยินดีที่อาเซียนได้จัดทําเอกสารมุมมองของอาเซียนต่ออินโด-แปซิฟิก บนพื้นฐานของหลักการ 3M คือ ความไว้เนื้อเชื่อใจ การเคารพซึ่งกันและกัน เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน นายกรัฐมนตรีชื่นชมบทบาทเวที ADMM และ ADMM-Plus ที่เป็นกลไกสําคัญในการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในระดับยุทธศาสตร์ และขับเคลื่อนความร่วมมือด้านความมั่นคงในภูมิภาค ซึ่งหนึ่งในผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในปีนี้คือการบรรจุศูนย์แพทย์ทหารอาเซียนในกฎบัตรอาเซียนนั้นจะเป็นการยกบทบาทและขีดความสามารถของศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน ในการสนับสนุนการบริหารจัดการภัยพิบัติของอาเซียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีอวยพรให้การจัดการประชุม ADMM-Plus ครั้งที่ 6 ในวันนี้ประสบความสําเร็จตามวัตถุประสงค์ เพื่อดํารงไว้ซึ่งสันติภาพ เสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาคต่อไปในอนาคต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24647
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ เปิดรับจองเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก และเหรียญที่ระลึก ในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 4 พฤษภาคม 2562
วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ เปิดรับจองเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก และเหรียญที่ระลึก ในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 4 พฤษภาคม 2562 กรมธนารักษ์ได้จัดทําเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก เหรียญที่ระลึก และเหรียญเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 4 พฤษภาคม 2562 ได้จัดทําขึ้น จํานวน 3 ประเภท กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์จัดทําเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก เหรียญที่ระลึก และเหรียญเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 4 พฤษภาคม 2562 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และเผยแพร่พระเกียรติคุณของพระองค์ท่านให้แผ่ไพศาลทั้งภายในประเทศและนานาอารยประเทศ ตลอดจนน้อมนําจิตใจของปวงชนชาวไทยให้แสดงความรักภักดี และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อประชาชนทุกหมู่เหล่า รวมทั้งเพื่อความเป็นสวัสดิมงคลของประเทศชาติและราชอาณาจักร วันนี้ (28 กุมภาพันธ์ 2562) ณ กระทรวงการคลัง นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กรมธนารักษ์ได้จัดทําเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก เหรียญที่ระลึก และเหรียญเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 4 พฤษภาคม 2562 ได้จัดทําขึ้น จํานวน 3 ประเภท ประกอบด้วย - เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 3 ชนิดราคา ได้แก่ • เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกทองคํา ชนิดราคา 19,000 บาท ประเภทขัดเงา ราคาจําหน่ายเหรียญละ 40,000 บาท • เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเงิน ชนิดราคา 1,000 บาท ประเภทขัดเงา ราคาจําหน่ายเหรียญละ 3,000 บาท • เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกโลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคา 20 บาท ประเภทธรรมดา จ่ายแลกเหรียญละ 20 บาท - เหรียญที่ระลึก 3 ประเภท ได้แก่ • เหรียญที่ระลึกแพลทินัม (Platinum) จําหน่ายราคาเหรียญละ 1,000,000 บาท • เหรียญที่ระลึกเงินรมดําพ่นทรายพิเศษ จําหน่ายราคาเหรียญละ 5,000 บาท • เหรียญระลึกทองแดงรมดําพ่นทรายพิเศษ จําหน่ายราคาเหรียญละ 3,000 บาท - เหรียญที่ระลึกประดับแพรแถบ ชนิดบุรุษ และสตรี จําหน่ายราคาเหรียญละ 1,600 บาท นายอํานวย ปรีมนวงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ได้ร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด และ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จํากัด ทุกแห่งทั่วประเทศ เปิดเป็นหน่วยรับจองเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก และเหรียญที่ระลึกดังกล่าว โดยกําหนดเปิดรับจองตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม – 4 เมษายน 2562 ณ สถานที่ดังต่อไปนี้ - หน่วยงานของกรมธนารักษ์ • สํานักการคลัง กรมธนารักษ์ ซอยอารีย์สัมพันธ์ ถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพฯ • พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์ ถนนจักรพงษ์ กรุงเทพฯ • สํานักบริหารเงินตรา ถนนพลโยธิน จังหวัดปทุมธานี • สํานักงานธนารักษ์พื้นที่ 76 พื้นที่ • ศาลาธนารักษ์ 1 ถนนราชดําเนิน จังหวัดเชียงใหม่ • ศาลาธนารักษ์ 2 ศาลากลางจังหวัด จังหวัดสงขลา - ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) - บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด - บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จํากัด โดย 1 คน สามารถจองได้ 1 สิทธิ์ 1 หมายเลขบัตรประชาชนที่แสดงความเป็นบุคคลสัญชาติไทยที่ทางราชการออกให้ ดังนี้ เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก • เหรียญทองคําขัดเงา จํานวน 1 เหรียญ • เหรียญเงินขัดเงา จํานวน 1 เหรียญ • เหรียญโลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) จํานวนไม่เกิน 20 เหรียญ เหรียญที่ระลึก • เหรียญแพลทินัม ไม่จํากัดจํานวน แต่ไม่เกินตามจํานวนผลิต • เหรียญเงินรมดําพ่นทราย จํานวน 1 เหรียญ • เหรียญทองแดงรมดําพ่นทรายพิเศษ จํานวน 1 เหรียญ กําหนดรับเหรียญ ณ สถานที่สั่งจอง หรือ ส่งทางไปรษณีย์ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2562 เป็นต้นไป สําหรับเหรียญเฉลิมพระเกียรติ หรือเหรียญประดับแพรแถบ สั่งซื้อที่กรมธนารักษ์ โดยจะแจ้งกําหนดการจําหน่าย ให้ทราบต่อไป และรายได้จากการจําหน่ายเหรียญที่ระลึกดังหลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว จะทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อทรงใช้สอยตามพระราชอัธยาศัย ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ • กรมธนารักษ์ ซอยอารีย์สัมพันธ์ ถนนพระรามที่ 6 โทร.0 2273 0899 – 903 • พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์ ถนนจักรพงษ์ กรุงเทพฯ โทร.0 2281 0345 – 51 • สํานักบริหารเงินตรา ถนนพหลโยธิน จังหวัดปทุมธานี โทร.0 2565 7900 • ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) โทร.0 2111 1111 • บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด โทร.1545 • บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จํากัด โทร.0 2826 7788 อธิบดีกรมธนารักษ์กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ เปิดรับจองเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก และเหรียญที่ระลึก ในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 4 พฤษภาคม 2562 วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ เปิดรับจองเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก และเหรียญที่ระลึก ในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 4 พฤษภาคม 2562 กรมธนารักษ์ได้จัดทําเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก เหรียญที่ระลึก และเหรียญเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 4 พฤษภาคม 2562 ได้จัดทําขึ้น จํานวน 3 ประเภท กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์จัดทําเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก เหรียญที่ระลึก และเหรียญเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 4 พฤษภาคม 2562 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และเผยแพร่พระเกียรติคุณของพระองค์ท่านให้แผ่ไพศาลทั้งภายในประเทศและนานาอารยประเทศ ตลอดจนน้อมนําจิตใจของปวงชนชาวไทยให้แสดงความรักภักดี และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อประชาชนทุกหมู่เหล่า รวมทั้งเพื่อความเป็นสวัสดิมงคลของประเทศชาติและราชอาณาจักร วันนี้ (28 กุมภาพันธ์ 2562) ณ กระทรวงการคลัง นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กรมธนารักษ์ได้จัดทําเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก เหรียญที่ระลึก และเหรียญเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 4 พฤษภาคม 2562 ได้จัดทําขึ้น จํานวน 3 ประเภท ประกอบด้วย - เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 3 ชนิดราคา ได้แก่ • เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกทองคํา ชนิดราคา 19,000 บาท ประเภทขัดเงา ราคาจําหน่ายเหรียญละ 40,000 บาท • เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเงิน ชนิดราคา 1,000 บาท ประเภทขัดเงา ราคาจําหน่ายเหรียญละ 3,000 บาท • เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกโลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคา 20 บาท ประเภทธรรมดา จ่ายแลกเหรียญละ 20 บาท - เหรียญที่ระลึก 3 ประเภท ได้แก่ • เหรียญที่ระลึกแพลทินัม (Platinum) จําหน่ายราคาเหรียญละ 1,000,000 บาท • เหรียญที่ระลึกเงินรมดําพ่นทรายพิเศษ จําหน่ายราคาเหรียญละ 5,000 บาท • เหรียญระลึกทองแดงรมดําพ่นทรายพิเศษ จําหน่ายราคาเหรียญละ 3,000 บาท - เหรียญที่ระลึกประดับแพรแถบ ชนิดบุรุษ และสตรี จําหน่ายราคาเหรียญละ 1,600 บาท นายอํานวย ปรีมนวงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ได้ร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด และ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จํากัด ทุกแห่งทั่วประเทศ เปิดเป็นหน่วยรับจองเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก และเหรียญที่ระลึกดังกล่าว โดยกําหนดเปิดรับจองตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม – 4 เมษายน 2562 ณ สถานที่ดังต่อไปนี้ - หน่วยงานของกรมธนารักษ์ • สํานักการคลัง กรมธนารักษ์ ซอยอารีย์สัมพันธ์ ถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพฯ • พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์ ถนนจักรพงษ์ กรุงเทพฯ • สํานักบริหารเงินตรา ถนนพลโยธิน จังหวัดปทุมธานี • สํานักงานธนารักษ์พื้นที่ 76 พื้นที่ • ศาลาธนารักษ์ 1 ถนนราชดําเนิน จังหวัดเชียงใหม่ • ศาลาธนารักษ์ 2 ศาลากลางจังหวัด จังหวัดสงขลา - ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) - บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด - บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จํากัด โดย 1 คน สามารถจองได้ 1 สิทธิ์ 1 หมายเลขบัตรประชาชนที่แสดงความเป็นบุคคลสัญชาติไทยที่ทางราชการออกให้ ดังนี้ เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก • เหรียญทองคําขัดเงา จํานวน 1 เหรียญ • เหรียญเงินขัดเงา จํานวน 1 เหรียญ • เหรียญโลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) จํานวนไม่เกิน 20 เหรียญ เหรียญที่ระลึก • เหรียญแพลทินัม ไม่จํากัดจํานวน แต่ไม่เกินตามจํานวนผลิต • เหรียญเงินรมดําพ่นทราย จํานวน 1 เหรียญ • เหรียญทองแดงรมดําพ่นทรายพิเศษ จํานวน 1 เหรียญ กําหนดรับเหรียญ ณ สถานที่สั่งจอง หรือ ส่งทางไปรษณีย์ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2562 เป็นต้นไป สําหรับเหรียญเฉลิมพระเกียรติ หรือเหรียญประดับแพรแถบ สั่งซื้อที่กรมธนารักษ์ โดยจะแจ้งกําหนดการจําหน่าย ให้ทราบต่อไป และรายได้จากการจําหน่ายเหรียญที่ระลึกดังหลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว จะทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อทรงใช้สอยตามพระราชอัธยาศัย ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ • กรมธนารักษ์ ซอยอารีย์สัมพันธ์ ถนนพระรามที่ 6 โทร.0 2273 0899 – 903 • พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์ ถนนจักรพงษ์ กรุงเทพฯ โทร.0 2281 0345 – 51 • สํานักบริหารเงินตรา ถนนพหลโยธิน จังหวัดปทุมธานี โทร.0 2565 7900 • ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) โทร.0 2111 1111 • บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด โทร.1545 • บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จํากัด โทร.0 2826 7788 อธิบดีกรมธนารักษ์กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19028
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีเข้าร่วมในพิธีเปิดการประชุมประจำปีสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ (Permanent Council of UIHJ) ณ สาธารณรัฐฝรั่งเศส
วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน 2561 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีเข้าร่วมในพิธีเปิดการประชุมประจําปีสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ (Permanent Council of UIHJ) ณ สาธารณรัฐฝรั่งเศส กรมบังคับคดีเข้าร่วมในพิธีเปิดการประชุมประจําปีสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ (Permanent Council of UIHJ) ณ สาธารณรัฐฝรั่งเศส ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี และกรรมการสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ (UIHJ) และนางสาวอทิตยา ทองบุญ นิติกรชํานาญการพิเศษ กองบังคับคดีล้มละลาย ๔ เข้าร่วมในพิธีเปิดการประชุมประจําปีสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ (Permanent Council of UIHJ) ณ Espace Niemeyer สาธารณรัฐฝรั่งเศส โดย Mr.Marc Schmitz ประธานสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ กล่าวว่า บทบาทของเจ้าพนักงานบังคับคดี (Judicial Officer) มีความสําคัญต่อกระบวนการยุติธรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก และถือว่าการทําหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นวิชาชีพที่มีความสําคัญอย่างยิ่งในการทําหน้าที่บังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล นอกจากนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดียังต้องมีความรับผิดชอบต่อเจ้าหนี้ ลูกหนี้ และสังคม Mr.Marc Schmitz ยังกล่าวถึงความสําคัญของเทคโนโลยีและดิจิทัลต่อการทําหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดี ด้วยถือเป็นเครื่องมือหรือกลไกสําคัญที่จะทําให้การบังคับคดีมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และการนําปัญญาประดิษฐ์ AI มาใช้ในการทําหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดีด้วย การเสริมสร้างศักยภาพของเจ้าพนักงานบังคับคดีอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นประเด็นที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทั่วโลกต้องให้ความสําคัญและดําเนินการ และ Mr.Marc Schmitz กล่าวว่าสมาชิกสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศต้องให้ความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งนี้เพื่อพัฒนาวิชาชีพบังคับคดีให้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ และสามารถรองรับความท้าทายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ในพิธีเปิดเช้านี้ นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี ในฐานะกรรมการสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ ได้รับเชิญให้ขึ้นเวทีร่วมกับประธานและกรรมการในฐานะคณะกรรมการสภาเจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อต้อนรับผู้แทน จํานวนประมาณ ๑๖๐ คน จาก ๕๕ ประเทศที่เป็นสมาชิกสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศที่เข้าร่วมประชุมประจําปีครั้งนี้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีเข้าร่วมในพิธีเปิดการประชุมประจำปีสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ (Permanent Council of UIHJ) ณ สาธารณรัฐฝรั่งเศส วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน 2561 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีเข้าร่วมในพิธีเปิดการประชุมประจําปีสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ (Permanent Council of UIHJ) ณ สาธารณรัฐฝรั่งเศส กรมบังคับคดีเข้าร่วมในพิธีเปิดการประชุมประจําปีสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ (Permanent Council of UIHJ) ณ สาธารณรัฐฝรั่งเศส ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี และกรรมการสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ (UIHJ) และนางสาวอทิตยา ทองบุญ นิติกรชํานาญการพิเศษ กองบังคับคดีล้มละลาย ๔ เข้าร่วมในพิธีเปิดการประชุมประจําปีสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ (Permanent Council of UIHJ) ณ Espace Niemeyer สาธารณรัฐฝรั่งเศส โดย Mr.Marc Schmitz ประธานสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ กล่าวว่า บทบาทของเจ้าพนักงานบังคับคดี (Judicial Officer) มีความสําคัญต่อกระบวนการยุติธรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก และถือว่าการทําหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นวิชาชีพที่มีความสําคัญอย่างยิ่งในการทําหน้าที่บังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล นอกจากนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดียังต้องมีความรับผิดชอบต่อเจ้าหนี้ ลูกหนี้ และสังคม Mr.Marc Schmitz ยังกล่าวถึงความสําคัญของเทคโนโลยีและดิจิทัลต่อการทําหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดี ด้วยถือเป็นเครื่องมือหรือกลไกสําคัญที่จะทําให้การบังคับคดีมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และการนําปัญญาประดิษฐ์ AI มาใช้ในการทําหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดีด้วย การเสริมสร้างศักยภาพของเจ้าพนักงานบังคับคดีอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นประเด็นที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทั่วโลกต้องให้ความสําคัญและดําเนินการ และ Mr.Marc Schmitz กล่าวว่าสมาชิกสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศต้องให้ความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งนี้เพื่อพัฒนาวิชาชีพบังคับคดีให้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ และสามารถรองรับความท้าทายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ในพิธีเปิดเช้านี้ นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี ในฐานะกรรมการสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ ได้รับเชิญให้ขึ้นเวทีร่วมกับประธานและกรรมการในฐานะคณะกรรมการสภาเจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อต้อนรับผู้แทน จํานวนประมาณ ๑๖๐ คน จาก ๕๕ ประเทศที่เป็นสมาชิกสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศที่เข้าร่วมประชุมประจําปีครั้งนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17200
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ระบบลงทะเบียนออนไลน์เงินกู้ฉุกเฉินออมสิน ประชาชนยื่นกู้ได้ต่อเนื่อง อนุมัติแล้วกว่า 140,000 ราย คาดวันนี้ยื่นกว่า 200,000 ราย ต้องใช้เวลารอคิว คนเข้าลงทะเบียนหนาแน่นตลอดทั้งวัน
วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563 ระบบลงทะเบียนออนไลน์เงินกู้ฉุกเฉินออมสิน ประชาชนยื่นกู้ได้ต่อเนื่อง อนุมัติแล้วกว่า 140,000 ราย คาดวันนี้ยื่นกว่า 200,000 ราย ต้องใช้เวลารอคิว คนเข้าลงทะเบียนหนาแน่นตลอดทั้งวัน สําหรับการลงทะเบียนในวันนี้ (16 เมษายน 2563) ได้เปิดให้ยื่นกู้ออนไลน์ตั้งแต่เวลา 8.00 น. ปรากฏว่ายังมีผู้เข้าลงทะเบียนพร้อมกันเป็นจํานวนมาก ซี่งมากกว่าวันที่ 15 เมษายน 2563 กว่า 1 เท่าตัว แต่ระบบสามารถรองรับการเข้ามาลงทะเบียนได้ ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารออมสินได้เปิดให้บริการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสําหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) 2 ประเภท คือ สินเชื่อผู้มีอาชีพอิสระ วงเงินกู้สูงสุด 10,000 บาท และ สินเชื่อผู้มีรายได้ประจํา วงเงินกู้สูงสุด 50,000 บาท โดยให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th นั้น ปรากฏว่ามีลูกค้าและประชาชนให้ความสนใจลงทะเบียนเป็นจํานวนมากอย่างพร้อมเพรียงกันมากกว่าที่ธนาคารฯ ประเมินไว้ ส่งผลให้ระบบเครือข่ายการสื่อสารของเว็บไซต์ธนาคารฯ ซึ่งเป็นช่องทางการเข้าระบบลงทะเบียนเกิดความขัดข้อง ทั้งนี้ แม้ว่าสํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ สพร. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ธนาคารออมสินใช้บริการจัดเก็บข้อมูลเว็บไซต์ของธนาคารฯ จะได้ให้การสนับสนุนและบริหารจัดการอย่างใกล้ชิดแล้วก็ตาม สําหรับการลงทะเบียนในวันนี้ (16 เมษายน 2563) ได้เปิดให้ยื่นกู้ออนไลน์ตั้งแต่เวลา 8.00 น. ปรากฏว่ายังมีผู้เข้าลงทะเบียนพร้อมกันเป็นจํานวนมาก ซี่งมากกว่าวันที่ 15 เมษายน 2563 กว่า 1 เท่าตัว แต่ระบบสามารถรองรับการเข้ามาลงทะเบียนได้ โดยเมื่อผ่านไปถึงเวลา 14.30 น. ระบบได้อนุมัติการยื่นกู้ไปแล้ว 148,076 ราย แบ่งเป็นสินเชื่อผู้มีอาชีพอิสระ 73,624 ราย สินเชื่อผู้มีรายได้ประจํา 74,452 ราย คาดว่าภายในเย็นนี้จะมีผู้ลงทะเบียนเกินกว่า 200,000 ราย “เมื่อเช้าได้เห็นรายงานจํานวนผู้สนใจเข้าเว็บไซต์ธนาคารออมสินเพื่อลงทะเบียนนี้มีมากถึงกว่า 6 ล้านคน ซึ่งระบบก็พร้อมรองรับ และยังไม่รวมช่องทางที่เปิดเพิ่มขึ้นผ่านลิงค์เข้าสู่ระบบการลงทะเบียนยื่นกู้ออนไลน์อีกช่องทางหนึ่งโดยไม่ผ่านเว็บไซต์ธนาคารฯ ซึ่งมีคนเข้าลงทะเบียนอีกหลายแสนรายที่ระบบสามารถทยอยรับเรื่องได้ด้วยการจัดเป็นคิว แม้อาจจะช้าเล็กน้อย โดยระบบการลงทะเบียนนี้เปรียบเสมือนเดินเข้าสาขายื่นกู้สินเชื่อ แล้วมีคนเข้ามายื่นกู้จํานวนมาก เมื่อระบบรับเรื่องแล้วจะมีการตรวจสอบคุณสมบัติและข้อมูลต่างๆ เบื้องต้นของผู้กู้ทันทีซึ่งใช้เวลาก่อนจะอนุมัติ ซึ่งขั้นตอนนี้อํานวยความสะดวกให้โดยไม่ต้องไปสาขา ถ้าผู้ยื่นกู้ทํารายการเสร็จสิ้นแล้ว หลังจากนั้นก็ให้รอรับข้อความ SMS เพื่อให้ไปที่สาขาตามนัดหมายต่อไป ขณะเดียวกัน ธนาคารฯ จะเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเพื่อการรองรับการลงทะเบียนจํานวนอย่างต่อเนื่องให้สามารถรองรับการยื่นเรื่องได้รวดเร็วขึ้นอีก” ดร.ชาติชาย กล่าว ทั้งนี้ ขอฝากถึงผู้ลงทะเบียนว่าไม่ต้องเร่งรีบยื่นกู้ เนื่องจากสินเชื่อ 2 ประเภทนี้เปิดให้บริการถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563 ธนาคารฯ เข้าใจถึงปัจจัยการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนในวงกว้าง ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความช่วยเหลือด้วยมาตรการเร่งด่วนอย่างเต็มกําลังความสามารถ เช่น เงินเยียวยาเดือนละ 5,000 บาท ขณะที่ธนาคารออมสินเข้ามาช่วยเหลือเพิ่มเติมด้วยเงินกู้ที่ผ่อนปรนเงื่อนไขกว่าสถานการณ์ปกติ จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการช่วยบรรเทาผลกระทบให้ประชาชนและลูกค้าของธนาคารฯ เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องนี้จะช่วยได้อีกทางหนึ่ง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ระบบลงทะเบียนออนไลน์เงินกู้ฉุกเฉินออมสิน ประชาชนยื่นกู้ได้ต่อเนื่อง อนุมัติแล้วกว่า 140,000 ราย คาดวันนี้ยื่นกว่า 200,000 ราย ต้องใช้เวลารอคิว คนเข้าลงทะเบียนหนาแน่นตลอดทั้งวัน วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563 ระบบลงทะเบียนออนไลน์เงินกู้ฉุกเฉินออมสิน ประชาชนยื่นกู้ได้ต่อเนื่อง อนุมัติแล้วกว่า 140,000 ราย คาดวันนี้ยื่นกว่า 200,000 ราย ต้องใช้เวลารอคิว คนเข้าลงทะเบียนหนาแน่นตลอดทั้งวัน สําหรับการลงทะเบียนในวันนี้ (16 เมษายน 2563) ได้เปิดให้ยื่นกู้ออนไลน์ตั้งแต่เวลา 8.00 น. ปรากฏว่ายังมีผู้เข้าลงทะเบียนพร้อมกันเป็นจํานวนมาก ซี่งมากกว่าวันที่ 15 เมษายน 2563 กว่า 1 เท่าตัว แต่ระบบสามารถรองรับการเข้ามาลงทะเบียนได้ ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารออมสินได้เปิดให้บริการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสําหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) 2 ประเภท คือ สินเชื่อผู้มีอาชีพอิสระ วงเงินกู้สูงสุด 10,000 บาท และ สินเชื่อผู้มีรายได้ประจํา วงเงินกู้สูงสุด 50,000 บาท โดยให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th นั้น ปรากฏว่ามีลูกค้าและประชาชนให้ความสนใจลงทะเบียนเป็นจํานวนมากอย่างพร้อมเพรียงกันมากกว่าที่ธนาคารฯ ประเมินไว้ ส่งผลให้ระบบเครือข่ายการสื่อสารของเว็บไซต์ธนาคารฯ ซึ่งเป็นช่องทางการเข้าระบบลงทะเบียนเกิดความขัดข้อง ทั้งนี้ แม้ว่าสํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ สพร. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ธนาคารออมสินใช้บริการจัดเก็บข้อมูลเว็บไซต์ของธนาคารฯ จะได้ให้การสนับสนุนและบริหารจัดการอย่างใกล้ชิดแล้วก็ตาม สําหรับการลงทะเบียนในวันนี้ (16 เมษายน 2563) ได้เปิดให้ยื่นกู้ออนไลน์ตั้งแต่เวลา 8.00 น. ปรากฏว่ายังมีผู้เข้าลงทะเบียนพร้อมกันเป็นจํานวนมาก ซี่งมากกว่าวันที่ 15 เมษายน 2563 กว่า 1 เท่าตัว แต่ระบบสามารถรองรับการเข้ามาลงทะเบียนได้ โดยเมื่อผ่านไปถึงเวลา 14.30 น. ระบบได้อนุมัติการยื่นกู้ไปแล้ว 148,076 ราย แบ่งเป็นสินเชื่อผู้มีอาชีพอิสระ 73,624 ราย สินเชื่อผู้มีรายได้ประจํา 74,452 ราย คาดว่าภายในเย็นนี้จะมีผู้ลงทะเบียนเกินกว่า 200,000 ราย “เมื่อเช้าได้เห็นรายงานจํานวนผู้สนใจเข้าเว็บไซต์ธนาคารออมสินเพื่อลงทะเบียนนี้มีมากถึงกว่า 6 ล้านคน ซึ่งระบบก็พร้อมรองรับ และยังไม่รวมช่องทางที่เปิดเพิ่มขึ้นผ่านลิงค์เข้าสู่ระบบการลงทะเบียนยื่นกู้ออนไลน์อีกช่องทางหนึ่งโดยไม่ผ่านเว็บไซต์ธนาคารฯ ซึ่งมีคนเข้าลงทะเบียนอีกหลายแสนรายที่ระบบสามารถทยอยรับเรื่องได้ด้วยการจัดเป็นคิว แม้อาจจะช้าเล็กน้อย โดยระบบการลงทะเบียนนี้เปรียบเสมือนเดินเข้าสาขายื่นกู้สินเชื่อ แล้วมีคนเข้ามายื่นกู้จํานวนมาก เมื่อระบบรับเรื่องแล้วจะมีการตรวจสอบคุณสมบัติและข้อมูลต่างๆ เบื้องต้นของผู้กู้ทันทีซึ่งใช้เวลาก่อนจะอนุมัติ ซึ่งขั้นตอนนี้อํานวยความสะดวกให้โดยไม่ต้องไปสาขา ถ้าผู้ยื่นกู้ทํารายการเสร็จสิ้นแล้ว หลังจากนั้นก็ให้รอรับข้อความ SMS เพื่อให้ไปที่สาขาตามนัดหมายต่อไป ขณะเดียวกัน ธนาคารฯ จะเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเพื่อการรองรับการลงทะเบียนจํานวนอย่างต่อเนื่องให้สามารถรองรับการยื่นเรื่องได้รวดเร็วขึ้นอีก” ดร.ชาติชาย กล่าว ทั้งนี้ ขอฝากถึงผู้ลงทะเบียนว่าไม่ต้องเร่งรีบยื่นกู้ เนื่องจากสินเชื่อ 2 ประเภทนี้เปิดให้บริการถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563 ธนาคารฯ เข้าใจถึงปัจจัยการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนในวงกว้าง ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความช่วยเหลือด้วยมาตรการเร่งด่วนอย่างเต็มกําลังความสามารถ เช่น เงินเยียวยาเดือนละ 5,000 บาท ขณะที่ธนาคารออมสินเข้ามาช่วยเหลือเพิ่มเติมด้วยเงินกู้ที่ผ่อนปรนเงื่อนไขกว่าสถานการณ์ปกติ จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการช่วยบรรเทาผลกระทบให้ประชาชนและลูกค้าของธนาคารฯ เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องนี้จะช่วยได้อีกทางหนึ่ง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29205
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. มท. สั่งการทุกจังหวัดปฏิบัติตามข้อกำหนด พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน และคำสั่ง ศบค. โดยเคร่งครัด เป็นมาตรฐานเดียวกัน พร้อมสร้างการรับรู้มาตรการป้องกันโรคกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง [กระทรวงมหาดไทย]
วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 2563 ศบค. มท. สั่งการทุกจังหวัดปฏิบัติตามข้อกําหนด พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน และคําสั่ง ศบค. โดยเคร่งครัด เป็นมาตรฐานเดียวกัน พร้อมสร้างการรับรู้มาตรการป้องกันโรคกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง [กระทรวงมหาดไทย] ศบค. มท. สั่งการทุกจังหวัดปฏิบัติตามข้อกําหนด พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน และคําสั่ง ศบค. โดยเคร่งครัด เป็นมาตรฐานเดียวกัน พร้อมสร้างการรับรู้มาตรการป้องกันโรคกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง วันนี้ (2 พ.ค.63) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ตามที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีได้มีข้อกําหนดและคําสั่ง เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2563 จํานวน 3 ฉบับ ได้แก่ 1) ข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 5) เพื่อให้การบังคับใช้มาตรการต่าง ๆ ยังคงดํารงอยู่ต่อไป เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไปสู่พื้นที่อื่นและป้องกันมิให้โรคกลับมาแพร่ระบาดใหม่ในพื้นที่ซึ่งเคยควบคุมได้ 2) ข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 6) โดยผ่อนคลายการบังคับใช้บางมาตรการในการป้องกันและการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตามลําดับขั้นตอนการควบคุมโอกาสเสี่ยงของบุคคล สถานที่ และประเภทกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงตามหลักเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกและตามผลการประเมินสถานการณ์ของฝ่ายสาธารณสุข และ 3) คําสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ 2/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ. ศ. 2548 ให้หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินและพนักงานเจ้าหน้าที่ดําเนินการให้เป็นไปตามมาตรการควบคุมหลัก และมาตรการเสริมในการป้องกันโรคโดยเคร่งครัด นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด และประสานกับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รับทราบ ถือปฏิบัติ และออกคําสั่งต่าง ๆ ตามข้อกําหนดฯ และคําสั่งฯ ทั้ง 3 ฉบับ โดยเคร่งครัด และให้สร้างการรับรู้มาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกําหนดแก่ผู้ประกอบการ พนักงาน ผู้ให้บริการ ผู้รับบริการ ประชาชน และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องทุกระดับ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตามคําสั่ง ศบค. ที่ 2/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ทั้งนี้ ในกรณีหากผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาและมีความเห็นจะดําเนินการอื่นใด ตามข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 5) ข้อ 2 (7) ให้รายงาน ศบค.มท. ก่อนดําเนินการ เพื่อรายงาน ศบค. พิจารณา ตลอดจนเป็นการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนและเป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน และให้จังหวัดประมวลผลการปฏิบัติงานในพื้นที่ พร้อมทั้งปัญหาอุปสรรค ข้อจํากัด และความต้องการรับการสนับสนุน และรายงานให้ ศบค.มท. ทราบด้วย กองสารนิเทศ สป.มท. ครั้งที่ 58/2563 วันที่ 2 พ.ค. 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. มท. สั่งการทุกจังหวัดปฏิบัติตามข้อกำหนด พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน และคำสั่ง ศบค. โดยเคร่งครัด เป็นมาตรฐานเดียวกัน พร้อมสร้างการรับรู้มาตรการป้องกันโรคกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง [กระทรวงมหาดไทย] วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 2563 ศบค. มท. สั่งการทุกจังหวัดปฏิบัติตามข้อกําหนด พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน และคําสั่ง ศบค. โดยเคร่งครัด เป็นมาตรฐานเดียวกัน พร้อมสร้างการรับรู้มาตรการป้องกันโรคกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง [กระทรวงมหาดไทย] ศบค. มท. สั่งการทุกจังหวัดปฏิบัติตามข้อกําหนด พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน และคําสั่ง ศบค. โดยเคร่งครัด เป็นมาตรฐานเดียวกัน พร้อมสร้างการรับรู้มาตรการป้องกันโรคกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง วันนี้ (2 พ.ค.63) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ตามที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีได้มีข้อกําหนดและคําสั่ง เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2563 จํานวน 3 ฉบับ ได้แก่ 1) ข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 5) เพื่อให้การบังคับใช้มาตรการต่าง ๆ ยังคงดํารงอยู่ต่อไป เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไปสู่พื้นที่อื่นและป้องกันมิให้โรคกลับมาแพร่ระบาดใหม่ในพื้นที่ซึ่งเคยควบคุมได้ 2) ข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 6) โดยผ่อนคลายการบังคับใช้บางมาตรการในการป้องกันและการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตามลําดับขั้นตอนการควบคุมโอกาสเสี่ยงของบุคคล สถานที่ และประเภทกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงตามหลักเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกและตามผลการประเมินสถานการณ์ของฝ่ายสาธารณสุข และ 3) คําสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ 2/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ. ศ. 2548 ให้หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินและพนักงานเจ้าหน้าที่ดําเนินการให้เป็นไปตามมาตรการควบคุมหลัก และมาตรการเสริมในการป้องกันโรคโดยเคร่งครัด นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด และประสานกับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รับทราบ ถือปฏิบัติ และออกคําสั่งต่าง ๆ ตามข้อกําหนดฯ และคําสั่งฯ ทั้ง 3 ฉบับ โดยเคร่งครัด และให้สร้างการรับรู้มาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกําหนดแก่ผู้ประกอบการ พนักงาน ผู้ให้บริการ ผู้รับบริการ ประชาชน และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องทุกระดับ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตามคําสั่ง ศบค. ที่ 2/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ทั้งนี้ ในกรณีหากผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาและมีความเห็นจะดําเนินการอื่นใด ตามข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 5) ข้อ 2 (7) ให้รายงาน ศบค.มท. ก่อนดําเนินการ เพื่อรายงาน ศบค. พิจารณา ตลอดจนเป็นการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนและเป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน และให้จังหวัดประมวลผลการปฏิบัติงานในพื้นที่ พร้อมทั้งปัญหาอุปสรรค ข้อจํากัด และความต้องการรับการสนับสนุน และรายงานให้ ศบค.มท. ทราบด้วย กองสารนิเทศ สป.มท. ครั้งที่ 58/2563 วันที่ 2 พ.ค. 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30204
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- "TARR" คลิกเดียวรู้ทุกเรื่อง ทั้งองค์ความรู้และงานวิจัยด้านเกษตร
วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 "TARR" คลิกเดียวรู้ทุกเรื่อง ทั้งองค์ความรู้และงานวิจัยด้านเกษตร วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 256. ​ Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลส่งเสริมการนําเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือพัฒนาภาคเกษตรไทย โดยเปิดให้บริการระบบศูนย์กลางข้อมูลการเกษตรของประเทศไทย หรือ “TARR” เพื่อให้เกษตรกร นักวิชาการ และผู้ที่สนใจสามารถสืบค้นข้อมูลผลงานวิจัยทางด้านการเกษตรและองค์ความรู้เกษตรไทยที่รวบรวมจากหน่วยงานต่าง ๆ ของกระทรวงเกษตรฯ และสถาบันอุดมศึกษา ที่ศึกษาวิจัยด้านการเกษตร ประกอบด้วยข้อมูลงานวิจัยและองค์ความรู้ด้านการเกษตรมากกว่า 40,000 รายการ สําหรับผู้สนใจสามารถเข้าใช้บริการ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ที่ สํานักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร www.tarr.arda.or.th ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- "TARR" คลิกเดียวรู้ทุกเรื่อง ทั้งองค์ความรู้และงานวิจัยด้านเกษตร วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 "TARR" คลิกเดียวรู้ทุกเรื่อง ทั้งองค์ความรู้และงานวิจัยด้านเกษตร วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 256. ​ Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลส่งเสริมการนําเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือพัฒนาภาคเกษตรไทย โดยเปิดให้บริการระบบศูนย์กลางข้อมูลการเกษตรของประเทศไทย หรือ “TARR” เพื่อให้เกษตรกร นักวิชาการ และผู้ที่สนใจสามารถสืบค้นข้อมูลผลงานวิจัยทางด้านการเกษตรและองค์ความรู้เกษตรไทยที่รวบรวมจากหน่วยงานต่าง ๆ ของกระทรวงเกษตรฯ และสถาบันอุดมศึกษา ที่ศึกษาวิจัยด้านการเกษตร ประกอบด้วยข้อมูลงานวิจัยและองค์ความรู้ด้านการเกษตรมากกว่า 40,000 รายการ สําหรับผู้สนใจสามารถเข้าใช้บริการ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ที่ สํานักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร www.tarr.arda.or.th ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26686
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่ประชุม คกก. นโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ รับทราบการเข้าร่วม NDC Partnership ของไทย พร้อมพิจารณา (ร่าง) NDC ฉบับปรับปรุง
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม 2563 ที่ประชุม คกก. นโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ รับทราบการเข้าร่วม NDC Partnership ของไทย พร้อมพิจารณา (ร่าง) NDC ฉบับปรับปรุง ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ รับทราบการเข้าร่วม NDC Partnership ของไทย พร้อมพิจารณา (ร่าง) NDC ฉบับปรับปรุง วันนี้ (7 พ.ค. 63) ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 ผ่านระบบ Video Conference ณ ห้องประชุม 401 อาคารสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรแห่งชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) สรุปประเด็นดังนี้ ที่ประชุมมีมติรับทราบความก้าวหน้าการเข้าร่วม Nationally Determined Contribution Partnership (NDC Partnership) ของประเทศไทย หลังคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 62 โดยประเทศไทยได้ยื่นหนังสือแสดงความจํานงต่อ NDC Partnership’s Co-Chairs และได้รับการตอบรับอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 22 ม.ค. 63 ทั้งนี้ สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะบูรณาการร่วมกับสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทําหน้าที่เป็นหน่วยประสานงานหลัก (Focal Point) ในการขับเคลื่อนการดําเนินงานของ NDC ต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบต่อ (ร่าง) NDC ฉบับปรับปรุง (Updated NDC) ของประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย การลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) การปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Adaption) ความต้องการการได้รับการสนับสนุน (Support needs) โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ ด้านการดําเนินการ (Policy Implementation) ด้านการพัฒนาและเทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัว (Technology Development and Transfer) ด้านเครื่องมือและกลไกสนับสนุนการดําเนินการ (Mechanisms and Instruments) และด้านระบบการติดตามประเมินและข้อมูลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Information and M&E Systems) โดยประธานมอบหมายให้ฝ่ายเลขาฯ รวบรวมประเด็นข้อเสนอจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ปรับปรุง แก้ไข เพิ่มเติมสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2010 (โควิด-19) เพื่อนําเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเห็นชอบ ก่อนจัดส่งไปยังสํานักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ต่อไป ............... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่ประชุม คกก. นโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ รับทราบการเข้าร่วม NDC Partnership ของไทย พร้อมพิจารณา (ร่าง) NDC ฉบับปรับปรุง วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม 2563 ที่ประชุม คกก. นโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ รับทราบการเข้าร่วม NDC Partnership ของไทย พร้อมพิจารณา (ร่าง) NDC ฉบับปรับปรุง ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ รับทราบการเข้าร่วม NDC Partnership ของไทย พร้อมพิจารณา (ร่าง) NDC ฉบับปรับปรุง วันนี้ (7 พ.ค. 63) ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 ผ่านระบบ Video Conference ณ ห้องประชุม 401 อาคารสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรแห่งชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) สรุปประเด็นดังนี้ ที่ประชุมมีมติรับทราบความก้าวหน้าการเข้าร่วม Nationally Determined Contribution Partnership (NDC Partnership) ของประเทศไทย หลังคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 62 โดยประเทศไทยได้ยื่นหนังสือแสดงความจํานงต่อ NDC Partnership’s Co-Chairs และได้รับการตอบรับอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 22 ม.ค. 63 ทั้งนี้ สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะบูรณาการร่วมกับสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทําหน้าที่เป็นหน่วยประสานงานหลัก (Focal Point) ในการขับเคลื่อนการดําเนินงานของ NDC ต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบต่อ (ร่าง) NDC ฉบับปรับปรุง (Updated NDC) ของประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย การลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) การปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Adaption) ความต้องการการได้รับการสนับสนุน (Support needs) โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ ด้านการดําเนินการ (Policy Implementation) ด้านการพัฒนาและเทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัว (Technology Development and Transfer) ด้านเครื่องมือและกลไกสนับสนุนการดําเนินการ (Mechanisms and Instruments) และด้านระบบการติดตามประเมินและข้อมูลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Information and M&E Systems) โดยประธานมอบหมายให้ฝ่ายเลขาฯ รวบรวมประเด็นข้อเสนอจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ปรับปรุง แก้ไข เพิ่มเติมสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2010 (โควิด-19) เพื่อนําเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเห็นชอบ ก่อนจัดส่งไปยังสํานักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ต่อไป ............... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30440
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีระบุแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. เน้นประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ สั่งการให้ปรับปรุงระบบจ่ายเงินเยียวยาให้มีความถูกต้องและรวดเร็วมากขึ้น
วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563 นายกรัฐมนตรีระบุแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. เน้นประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ สั่งการให้ปรับปรุงระบบจ่ายเงินเยียวยาให้มีความถูกต้องและรวดเร็วมากขึ้น นายกรัฐมนตรีระบุแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. เน้นประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ สั่งการให้ปรับปรุงระบบจ่ายเงินเยียวยาให้มีความถูกต้องและรวดเร็วมากขึ้น วันนี้ (9 มิถุนายน 2563) ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) เรื่อง แผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ว่า ต้องเน้นประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ และการเชื่อมต่อระบบคมนาคมซึ่งทุกระบบต้องเชื่อมต่อกันแบบโครงข่าย รวมถึงการดูแลลูกจ้างของ ขสมก. ทั้งนี้ ต้องพิจารณาแผนการเงินอย่างละเอียดก่อนนําเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา เพื่อให้ ขสมก. เดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน ในส่วนเรื่องของการบริหารจัดการน้ํา นายกรัฐมนตรี ขอให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการดําเนินการ ไม่ว่าจะเป็นประชาชน เจ้าของที่ดิน และเกษตรกร ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาวางระบบท่อแบบปิด เพื่อความยั่งยืนของการใช้น้ําในระยะยาว สําหรับกรุงเทพมหานครขอให้เตรียมการรับสถานการณ์น้ําท่วมขัง รวมถึงกําหนดแผนป้องกันเพื่อจะดําเนินการแก้ไขให้ได้ตรงจุด และขอให้สํานักทรัพยากรน้ําแห่งชาติ (สทนช.) จัดทําฐานข้อมูลรวบรวมแหล่งเก็บน้ําที่ดําเนินการไปแล้วว่ามีศักยภาพแค่ไหน สามารถกับเก็บน้ําได้จํานวนเท่าไหร่ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการจ่ายเงินเยียวยาช่วยเหลือเกษตรกรที่ล่าช้านั้น เพราะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ควรจะมีปรับปรุงรูปแบบการดําเนินการให้รัดกุมและเป็นระบบ เพื่อที่จะสามารถทําให้จ่ายเงินฯ ได้รวดเร็วขึ้น และขอให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการทํางาน กํากับการปฎิบัติหน้าที่ตามสายการบังคับบัญชา เพื่อให้การดําเนินงานช่วยเหลือประชาชนมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น รวมทั้งต้องรับฟังปัญหาจากประชาชนด้วย ทั้งนี้ ข้าราชการและนักการเมืองต้องทํางานร่วมกันเพื่อประชาชน และเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติ ส่วนการจัดที่ทํากินให้ประชาชนเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เพื่อต้องการให้ประชาชนมีที่ดินทํากิน แต่ปัญหาคือที่ดินที่มีการจัดสรรไปนั้น ไม่เหมาะต่อการเกษตร ขอให้พิจารณาว่าในทางกฎหมาย สามารถให้ประชาชนสามารถทํากิจการอื่นได้หรือไม่ โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษขอให้เน้นการจ้างแรงงานไทย ส่วนเรื่องเกษตร BCG ขอให้กําหนดแผนปฎิบัติการให้ชัดเจน เน้นการจ้างคนจบใหม่ สร้าง start up ให้กับคนรุ่นใหม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปถึง งบฟื้นฟู 4 แสนล้านบาทว่า ทุกคนต่างให้ความสนใจ ขอให้พิจารณาอย่างรอบคอบในการใช้งบฟื้นฟูดังกล่าว เน้นย้ําให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ เน้นการกระตุ้นการบริโภค ทําให้เกิดการจ้างงาน รวมถึงกระตุ้นการท่องเที่ยว และส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากช่วย SMEs ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้สะดวกยิ่งขึ้น พร้อมกับให้เร่งการใช้จ่ายงบประมาณ เบิกจ่ายให้ทันเวลาที่กําหนด ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีระบุแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. เน้นประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ สั่งการให้ปรับปรุงระบบจ่ายเงินเยียวยาให้มีความถูกต้องและรวดเร็วมากขึ้น วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563 นายกรัฐมนตรีระบุแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. เน้นประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ สั่งการให้ปรับปรุงระบบจ่ายเงินเยียวยาให้มีความถูกต้องและรวดเร็วมากขึ้น นายกรัฐมนตรีระบุแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. เน้นประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ สั่งการให้ปรับปรุงระบบจ่ายเงินเยียวยาให้มีความถูกต้องและรวดเร็วมากขึ้น วันนี้ (9 มิถุนายน 2563) ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) เรื่อง แผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ว่า ต้องเน้นประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ และการเชื่อมต่อระบบคมนาคมซึ่งทุกระบบต้องเชื่อมต่อกันแบบโครงข่าย รวมถึงการดูแลลูกจ้างของ ขสมก. ทั้งนี้ ต้องพิจารณาแผนการเงินอย่างละเอียดก่อนนําเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา เพื่อให้ ขสมก. เดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน ในส่วนเรื่องของการบริหารจัดการน้ํา นายกรัฐมนตรี ขอให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการดําเนินการ ไม่ว่าจะเป็นประชาชน เจ้าของที่ดิน และเกษตรกร ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาวางระบบท่อแบบปิด เพื่อความยั่งยืนของการใช้น้ําในระยะยาว สําหรับกรุงเทพมหานครขอให้เตรียมการรับสถานการณ์น้ําท่วมขัง รวมถึงกําหนดแผนป้องกันเพื่อจะดําเนินการแก้ไขให้ได้ตรงจุด และขอให้สํานักทรัพยากรน้ําแห่งชาติ (สทนช.) จัดทําฐานข้อมูลรวบรวมแหล่งเก็บน้ําที่ดําเนินการไปแล้วว่ามีศักยภาพแค่ไหน สามารถกับเก็บน้ําได้จํานวนเท่าไหร่ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการจ่ายเงินเยียวยาช่วยเหลือเกษตรกรที่ล่าช้านั้น เพราะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ควรจะมีปรับปรุงรูปแบบการดําเนินการให้รัดกุมและเป็นระบบ เพื่อที่จะสามารถทําให้จ่ายเงินฯ ได้รวดเร็วขึ้น และขอให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการทํางาน กํากับการปฎิบัติหน้าที่ตามสายการบังคับบัญชา เพื่อให้การดําเนินงานช่วยเหลือประชาชนมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น รวมทั้งต้องรับฟังปัญหาจากประชาชนด้วย ทั้งนี้ ข้าราชการและนักการเมืองต้องทํางานร่วมกันเพื่อประชาชน และเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติ ส่วนการจัดที่ทํากินให้ประชาชนเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เพื่อต้องการให้ประชาชนมีที่ดินทํากิน แต่ปัญหาคือที่ดินที่มีการจัดสรรไปนั้น ไม่เหมาะต่อการเกษตร ขอให้พิจารณาว่าในทางกฎหมาย สามารถให้ประชาชนสามารถทํากิจการอื่นได้หรือไม่ โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษขอให้เน้นการจ้างแรงงานไทย ส่วนเรื่องเกษตร BCG ขอให้กําหนดแผนปฎิบัติการให้ชัดเจน เน้นการจ้างคนจบใหม่ สร้าง start up ให้กับคนรุ่นใหม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปถึง งบฟื้นฟู 4 แสนล้านบาทว่า ทุกคนต่างให้ความสนใจ ขอให้พิจารณาอย่างรอบคอบในการใช้งบฟื้นฟูดังกล่าว เน้นย้ําให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ เน้นการกระตุ้นการบริโภค ทําให้เกิดการจ้างงาน รวมถึงกระตุ้นการท่องเที่ยว และส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากช่วย SMEs ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้สะดวกยิ่งขึ้น พร้อมกับให้เร่งการใช้จ่ายงบประมาณ เบิกจ่ายให้ทันเวลาที่กําหนด ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32115
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. ส่งสารแสดงความเสียใจกรณีเกิดเหตุการณ์คนร้ายยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ณ กรุงปารีส
วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2560 นรม. ส่งสารแสดงความเสียใจกรณีเกิดเหตุการณ์คนร้ายยิงเจ้าหน้าที่ตํารวจ ณ กรุงปารีส นายกรัฐมนตรี มีข้อความสารแสดงความเสียใจกรณีเหตุการณ์คนร้ายยิงเจ้าหน้าที่ตํารวจ ณ กรุงปารีส ตามที่เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2560 เวลาประมาณ 21.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ได้เกิดเหตุการณ์คนร้ายยิงเจ้าหน้าที่ตํารวจบนถนน Champs-Elysées ใจกลางกรุงปารีส ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 2 ราย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อความสารแสดงความเสียใจถึงนาย Bernard Cazeneuve นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยมีรายละเอียดดังนี้ Excellency, I am profoundly saddened to learn of the shooting incident at the Champ-Elysées Avenue in Paris on 20 April 2017, which resulted in the loss of life of one policeman and innocent people injured. Thailand, as a friend of France, joins France and the international community in condemning this despicable act of violence and remains firmly committed to working with the international community in the fight against terrorism in all its forms. In this moment of mourning, I wish to express my deepest sympathy and condolences to Your Excellency and, through you, to the bereaved families affected by this horrific event. Accept, Excellency, the renewed assurances of my highest consideration. General Prayut Chan-o-cha (Ret.) Prime Minister of the Kingdom of Thailand
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. ส่งสารแสดงความเสียใจกรณีเกิดเหตุการณ์คนร้ายยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ณ กรุงปารีส วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2560 นรม. ส่งสารแสดงความเสียใจกรณีเกิดเหตุการณ์คนร้ายยิงเจ้าหน้าที่ตํารวจ ณ กรุงปารีส นายกรัฐมนตรี มีข้อความสารแสดงความเสียใจกรณีเหตุการณ์คนร้ายยิงเจ้าหน้าที่ตํารวจ ณ กรุงปารีส ตามที่เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2560 เวลาประมาณ 21.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ได้เกิดเหตุการณ์คนร้ายยิงเจ้าหน้าที่ตํารวจบนถนน Champs-Elysées ใจกลางกรุงปารีส ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 2 ราย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อความสารแสดงความเสียใจถึงนาย Bernard Cazeneuve นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยมีรายละเอียดดังนี้ Excellency, I am profoundly saddened to learn of the shooting incident at the Champ-Elysées Avenue in Paris on 20 April 2017, which resulted in the loss of life of one policeman and innocent people injured. Thailand, as a friend of France, joins France and the international community in condemning this despicable act of violence and remains firmly committed to working with the international community in the fight against terrorism in all its forms. In this moment of mourning, I wish to express my deepest sympathy and condolences to Your Excellency and, through you, to the bereaved families affected by this horrific event. Accept, Excellency, the renewed assurances of my highest consideration. General Prayut Chan-o-cha (Ret.) Prime Minister of the Kingdom of Thailand
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3223
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง พร้อมเสนอปลูกพืชพลังงานเป็นทางเลือกแก่เกษตรกร
วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม 2563 นายกรัฐมนตรีสั่งติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง พร้อมเสนอปลูกพืชพลังงานเป็นทางเลือกแก่เกษตรกร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง พร้อมเสนอปลูกพืชพลังงานเป็นทางเลือกแก่เกษตรกร วันนี้ (2ม.ค.63) เวลา 13.00 น.ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ1ทําเนียบรัฐบาลภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวถึงสถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้ว่า มีการประเมินว่าในปีนี้ภัยแล้งจะมีความรุนแรงมากกว่าปีที่ผ่านมา จากสถิติที่ผ่านมาแม่น้ําหลายสายมีปริมาณน้ําน้อยลงและแม่น้ําบางสายมีปริมาณน้ําทะเลหนุนลึกเข้ามา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ธรรมชาติเนื่องจากปริมาณฝนที่ตกน้อยลงซึ่งได้เร่งแก้ไขพร้อมให้ข้อมูลเกษตรกรเพื่อระวังการเพาะปลูกอย่างต่อเนื่องพร้อมทั้งพิจารณาแนวทางช่วยเหลือ ทั้งการขุดบ่อน้ําบาดาล การจัดหาแหล่งน้ําสํารองการตั้งจุดแจกจ่ายน้ําประปา จ้างงานและหาอาชีพเสริมให้แก่เกษตรกรทั้งนี้ การบริหารจัดการน้ําต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนโดยรัฐบาลได้เสนอแนวทางการจัดตั้งโรงไฟฟ้าชุมชน ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมีกําลังการผลิตไม่มากนัก โดยหวังให้ประชาชนในพื้นที่ที่มีการตั้งโรงไฟฟ้าเข้ามามีส่วนร่วม เกษตรกรสามารถปรับเปลี่ยนมาปลูกพืชพลังงาน เพื่อป้อนให้กับโรงไฟฟ้าเหล่านี้ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับเกษตรกรด้วย --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง พร้อมเสนอปลูกพืชพลังงานเป็นทางเลือกแก่เกษตรกร วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม 2563 นายกรัฐมนตรีสั่งติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง พร้อมเสนอปลูกพืชพลังงานเป็นทางเลือกแก่เกษตรกร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง พร้อมเสนอปลูกพืชพลังงานเป็นทางเลือกแก่เกษตรกร วันนี้ (2ม.ค.63) เวลา 13.00 น.ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ1ทําเนียบรัฐบาลภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวถึงสถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้ว่า มีการประเมินว่าในปีนี้ภัยแล้งจะมีความรุนแรงมากกว่าปีที่ผ่านมา จากสถิติที่ผ่านมาแม่น้ําหลายสายมีปริมาณน้ําน้อยลงและแม่น้ําบางสายมีปริมาณน้ําทะเลหนุนลึกเข้ามา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ธรรมชาติเนื่องจากปริมาณฝนที่ตกน้อยลงซึ่งได้เร่งแก้ไขพร้อมให้ข้อมูลเกษตรกรเพื่อระวังการเพาะปลูกอย่างต่อเนื่องพร้อมทั้งพิจารณาแนวทางช่วยเหลือ ทั้งการขุดบ่อน้ําบาดาล การจัดหาแหล่งน้ําสํารองการตั้งจุดแจกจ่ายน้ําประปา จ้างงานและหาอาชีพเสริมให้แก่เกษตรกรทั้งนี้ การบริหารจัดการน้ําต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนโดยรัฐบาลได้เสนอแนวทางการจัดตั้งโรงไฟฟ้าชุมชน ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมีกําลังการผลิตไม่มากนัก โดยหวังให้ประชาชนในพื้นที่ที่มีการตั้งโรงไฟฟ้าเข้ามามีส่วนร่วม เกษตรกรสามารถปรับเปลี่ยนมาปลูกพืชพลังงาน เพื่อป้อนให้กับโรงไฟฟ้าเหล่านี้ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับเกษตรกรด้วย --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25583
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางแจงแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการลาของลูกจ้างประจำและลูกจ้างชั่วคราว.นการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) [กระทรวงการคลัง]
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563 กรมบัญชีกลางแจงแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการลาของลูกจ้างประจําและลูกจ้างชั่วคราว.นการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) [กระทรวงการคลัง] กรมบัญชีกลางซักซ้อมความเข้าใจแนวทางปฏิบัติการลาของลูกจ้างประจําและลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ กรณีปฏิบัติตามการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพื่อให้การเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กรมบัญชีกลางซักซ้อมความเข้าใจแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการลาของลูกจ้างประจําและลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ กรณีปฏิบัติตามการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพื่อให้การเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในประเทศไทยมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกระทรวงสาธารณสุขได้กําหนดมาตรการคัดกรองผู้เดินทางกลับจากประเทศที่มีความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด เพื่อเฝ้าระวังผู้ป่วยรายใหม่ไม่ให้เชื้อโรคแพร่ระบาด โดยสํานักนายกรัฐมนตรีได้มีหนังสือซักซ้อมทําความเข้าใจแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการลาของข้าราชการในกรณีที่ต้องเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และเพื่อให้การเฝ้าระวังและป้องกันครอบคลุมในกลุ่มของลูกจ้างส่วนราชการสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการลาของข้าราชการ กรมบัญชีกลางจึงได้กําหนดแนวทาง ดังนี้ 1) ให้ลูกจ้างประจําและลูกจ้างชั่วคราวที่เดินทางกลับจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือสัมผัสโรคหรือใกล้ชิดผู้ป่วยดังกล่าว ไม่ว่าจะได้เข้ารับการตรวจคัดกรองและเฝ้าระวังเชื้อโรคดังกล่าวที่โรงพยาบาลหรือไม่ก็ตาม หากปรากฏผลการคัดกรองยืนยันว่า มีภาวะเสี่ยงหรือติดเชื้อโรคหรือถูกแยกกักหรือกักกันตัว หรือปฏิบัติตามมาตรการที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกําหนด จนเป็นเหตุให้ไม่สามารถมาปฏิบัติราชการ ณ สถานที่ตั้งตามปกติ ให้รีบรายงานพฤติการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งอุปสรรคที่ทําให้ไม่สามารถปฏิบัติราชการได้ต่อผู้บังคับบัญชาตามลําดับจนถึงหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงหรือหัวหน้าส่วนราชการโดยทันที โดยให้ถือว่าลูกจ้างประจําและลูกจ้างชั่วคราวดังกล่าวไม่สามารถมาปฏิบัติราชการอันเนื่องมาจากพฤติการณ์พิเศษ และให้ผู้บังคับบัญชาสั่งให้การหยุดราชการโดยไม่นับเป็นวันลาตามจํานวนวันที่ไม่มาปฏิบัติราชการได้ 2) หากพฤติการณ์ของลูกจ้างประจําและลูกจ้างชั่วคราวซึ่งเป็นเหตุให้ไม่สามารถมาปฏิบัติราชการดังกล่าวได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อหรือความผิดของลูกจ้างประจําและลูกจ้างชั่วคราวผู้นั้นเอง ให้ถือว่าวันที่ไม่ได้มาปฏิบัติราชการนั้นเป็นวันลากิจส่วนตัว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางแจงแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการลาของลูกจ้างประจำและลูกจ้างชั่วคราว.นการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) [กระทรวงการคลัง] วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563 กรมบัญชีกลางแจงแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการลาของลูกจ้างประจําและลูกจ้างชั่วคราว.นการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) [กระทรวงการคลัง] กรมบัญชีกลางซักซ้อมความเข้าใจแนวทางปฏิบัติการลาของลูกจ้างประจําและลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ กรณีปฏิบัติตามการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพื่อให้การเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กรมบัญชีกลางซักซ้อมความเข้าใจแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการลาของลูกจ้างประจําและลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ กรณีปฏิบัติตามการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพื่อให้การเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในประเทศไทยมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกระทรวงสาธารณสุขได้กําหนดมาตรการคัดกรองผู้เดินทางกลับจากประเทศที่มีความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด เพื่อเฝ้าระวังผู้ป่วยรายใหม่ไม่ให้เชื้อโรคแพร่ระบาด โดยสํานักนายกรัฐมนตรีได้มีหนังสือซักซ้อมทําความเข้าใจแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการลาของข้าราชการในกรณีที่ต้องเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และเพื่อให้การเฝ้าระวังและป้องกันครอบคลุมในกลุ่มของลูกจ้างส่วนราชการสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการลาของข้าราชการ กรมบัญชีกลางจึงได้กําหนดแนวทาง ดังนี้ 1) ให้ลูกจ้างประจําและลูกจ้างชั่วคราวที่เดินทางกลับจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือสัมผัสโรคหรือใกล้ชิดผู้ป่วยดังกล่าว ไม่ว่าจะได้เข้ารับการตรวจคัดกรองและเฝ้าระวังเชื้อโรคดังกล่าวที่โรงพยาบาลหรือไม่ก็ตาม หากปรากฏผลการคัดกรองยืนยันว่า มีภาวะเสี่ยงหรือติดเชื้อโรคหรือถูกแยกกักหรือกักกันตัว หรือปฏิบัติตามมาตรการที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกําหนด จนเป็นเหตุให้ไม่สามารถมาปฏิบัติราชการ ณ สถานที่ตั้งตามปกติ ให้รีบรายงานพฤติการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งอุปสรรคที่ทําให้ไม่สามารถปฏิบัติราชการได้ต่อผู้บังคับบัญชาตามลําดับจนถึงหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงหรือหัวหน้าส่วนราชการโดยทันที โดยให้ถือว่าลูกจ้างประจําและลูกจ้างชั่วคราวดังกล่าวไม่สามารถมาปฏิบัติราชการอันเนื่องมาจากพฤติการณ์พิเศษ และให้ผู้บังคับบัญชาสั่งให้การหยุดราชการโดยไม่นับเป็นวันลาตามจํานวนวันที่ไม่มาปฏิบัติราชการได้ 2) หากพฤติการณ์ของลูกจ้างประจําและลูกจ้างชั่วคราวซึ่งเป็นเหตุให้ไม่สามารถมาปฏิบัติราชการดังกล่าวได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อหรือความผิดของลูกจ้างประจําและลูกจ้างชั่วคราวผู้นั้นเอง ให้ถือว่าวันที่ไม่ได้มาปฏิบัติราชการนั้นเป็นวันลากิจส่วนตัว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27248
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยลดดอกเบี้ยเงินกู้ MOR และ MRR ลดภาระต้นทุนทางการเงินของลูกค้าและผู้ประกอบการทุกประเภท รวมทั้งเอสเอ็มอีและรายย่อย เริ่ม 25 มีนาคม 2563 [กระทรวงการคลัง]
วันอังคารที่ 24 มีนาคม 2563 กรุงไทยลดดอกเบี้ยเงินกู้ MOR และ MRR ลดภาระต้นทุนทางการเงินของลูกค้าและผู้ประกอบการทุกประเภท รวมทั้งเอสเอ็มอีและรายย่อย เริ่ม 25 มีนาคม 2563 [กระทรวงการคลัง] ธนาคารกรุงไทย ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MOR ลง 0.25%ต่อปี และดอกเบี้ยเงินกู้ MRR ลง 0.125% ต่อปี เพื่อช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงินของลูกค้าและผู้ประกอบการทุกประเภท รวมทั้งเอสเอ็มอีและรายย่อย เริ่ม 25 มีนาคม 2563 นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ธนาคารตระหนักถึงการมีส่วนช่วยพยุงเศรษฐกิจ และตอบสนองทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในช่วงที่เศรษฐกิจมีความเปราะบางจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทย รวมทั้งแบ่งเบาภาระลูกค้าและผู้ประกอบการทุกประเภท ทั้งลูกค้าเอสเอ็มอีและลูกค้ารายย่อย ธนาคารจึงได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MOR ลง 0.25%เหลืออัตรา 6.62% ต่อปี และดอกเบี้ยเงินกู้ MRR ลง 0.125% เหลืออัตรา 6.745% ต่อปี ซึ่งธนาคารหวังว่า การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม สําหรับดอกเบี้ยเงินฝาก ธนาคารปรับลดเฉพาะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจํา ซึ่งเป็นไปตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยตลาด ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยลดดอกเบี้ยเงินกู้ MOR และ MRR ลดภาระต้นทุนทางการเงินของลูกค้าและผู้ประกอบการทุกประเภท รวมทั้งเอสเอ็มอีและรายย่อย เริ่ม 25 มีนาคม 2563 [กระทรวงการคลัง] วันอังคารที่ 24 มีนาคม 2563 กรุงไทยลดดอกเบี้ยเงินกู้ MOR และ MRR ลดภาระต้นทุนทางการเงินของลูกค้าและผู้ประกอบการทุกประเภท รวมทั้งเอสเอ็มอีและรายย่อย เริ่ม 25 มีนาคม 2563 [กระทรวงการคลัง] ธนาคารกรุงไทย ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MOR ลง 0.25%ต่อปี และดอกเบี้ยเงินกู้ MRR ลง 0.125% ต่อปี เพื่อช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงินของลูกค้าและผู้ประกอบการทุกประเภท รวมทั้งเอสเอ็มอีและรายย่อย เริ่ม 25 มีนาคม 2563 นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ธนาคารตระหนักถึงการมีส่วนช่วยพยุงเศรษฐกิจ และตอบสนองทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในช่วงที่เศรษฐกิจมีความเปราะบางจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทย รวมทั้งแบ่งเบาภาระลูกค้าและผู้ประกอบการทุกประเภท ทั้งลูกค้าเอสเอ็มอีและลูกค้ารายย่อย ธนาคารจึงได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MOR ลง 0.25%เหลืออัตรา 6.62% ต่อปี และดอกเบี้ยเงินกู้ MRR ลง 0.125% เหลืออัตรา 6.745% ต่อปี ซึ่งธนาคารหวังว่า การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม สําหรับดอกเบี้ยเงินฝาก ธนาคารปรับลดเฉพาะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจํา ซึ่งเป็นไปตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยตลาด ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27754
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. เดินหน้าทำงานเชิงรุกลุยมาตรการ “พัก-ขยาย-เติม” อุ้มลูกค้าได้รับผลกระทบ “ไวรัสโควิด-19” ทั้งทางตรงและอ้อม
วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563 ธพว. เดินหน้าทํางานเชิงรุกลุยมาตรการ “พัก-ขยาย-เติม” อุ้มลูกค้าได้รับผลกระทบ “ไวรัสโควิด-19” ทั้งทางตรงและอ้อม ธพว. เดินหน้าช่วยลูกค้าได้รับผลกระทบจาก “ไวรัสโควิด-19” ทั้งทางตรงและทางอ้อม ส่งทีมงานลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกิจการแนะนําเข้าถึงมาตรการ “พัก-ขยาย-เติม” ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ป้องกันตกชั้น แจงเปิดโอกาสพักชําระหนี้เงินต้นนานสูงสุด 12 เดือน ธพว. เดินหน้าช่วยลูกค้าได้รับผลกระทบจาก “ไวรัสโควิด-19” ทั้งทางตรงและทางอ้อม ส่งทีมงานลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกิจการแนะนําเข้าถึงมาตรการ “พัก-ขยาย-เติม” ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ป้องกันตกชั้น แจงเปิดโอกาสพักชําระหนี้เงินต้นนานสูงสุด 12 เดือน ขยายเวลาชําระหนี้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ธุรกิจ พร้อมเติมทุนเสริมสภาพคล่อง ประคองธุรกิจผ่านภาวะฉุกเฉินไปได้ด้วยดี นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า จากที่ ธพว. ออกชุดมาตรการช่วยเหลือลูกค้าได้รับผลกระทบจากแพร่ระบาดของ “ไวรัสโควิด-19” ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม 2563 ที่ผ่านมา ขณะนี้ นอกเหนือจากที่ลูกค้าจะติดต่อสมัครเข้าร่วมมาตรการด้วยตัวเองแล้ว ธนาคารทํางานเชิงรุกโดยให้พนักงานสาขาทั่วประเทศ เข้าเยี่ยมกิจการหรือโทร.สอบถามลูกค้า เพื่อจะแนะนําลูกค้าที่กําลังได้ผลกระทบเข้าร่วมมาตรการดังกล่าวได้สะดวกสบาย ช่วยให้ลูกค้ามีภูมิคุ้มกันทางธุรกิจทันท่วงที สามารถจะดําเนินธุรกิจต่อไปได้จนกว่าสถานการณ์จะกลับคืนสู่ภาวะปกติ รวมถึง ป้องกันการตกชั้นของลูกค้า ทั้งนี้ ชุดมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจาก “ไวรัสโควิด-19” ของ ธพว. นั้น ครอบคลุมทุกธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ ทั้งทางตรง และทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร ภัตตาคาร ธุรกิจนําเที่ยว ร้านขายของฝากของที่ระลึก ธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ฯลฯ และธุรกิจที่เป็น Supply Chain หรือเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจที่ได้รับผลกระทบทางตรง ประกอบด้วย 1. มาตรการ “พัก” ชําระหนี้เงินต้น สําหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางตรง นานสูงสุด 12 เดือน และลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม นานสูงสุด 6 เดือน เพื่อช่วยลดภาระการชําระหนี้ และมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น สามารถดําเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยเริ่มพักชําระนับจากเดือนถัดไปที่ได้รับการอนุมัติพักชําระหนี้เงินต้น 2. มาตรการ “ขยาย” เวลาชําระหนี้ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ธุรกิจ และสําหรับลูกค้าที่ใช้ บสย.ค้ําประกันเดิม (โครงการค้ําประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ 5-7 ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ทําหน้าที่เป็นหลักทรัพย์ช่วยค้ําประกันให้ผู้ประกอบการ SMEs ทุกกลุ่มเข้าถึงสินเชื่อได้คล่องตัวขึ้น) สามารถขยายระยะเวลาค้ําประกันออกไปได้อีก 5 ปี โดยลูกค้าไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใดๆ และ 3.มาตรการ “เติม” ทุนดอกเบี้ยถูกเสริมสภาพคล่อง เพื่อให้ลูกค้ามีเงินทุนไปใช้หมุนเวียนในธุรกิจ คิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นิติบุคคล 3%ต่อปี ใน 3 ปีแรก วงเงิน 1 ล้านบาทต่อราย และบุคคลธรรมดา 5% ต่อปี ใน 3 ปีแรก วงเงิน 5 แสนบาทต่อราย ระยะเวลาผ่อนนานสูงสุด 7 ปี นางสาวนารถนารี กล่าวต่อว่า จากชุดมาตรการดังกล่าว จะช่วยลูกค้าลดภาระค่าใช้จ่ายในการประกอบธุรกิจ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น ประคองธุรกิจ รักษาสภาพการจ้างงานในกิจการ และช่วยป้องกันการตกชั้นได้อีกทางหนึ่ง โดยลูกค้า ธพว. ที่ต้องการร่วมมาตรการ สามารถติดต่อได้ตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ณ สาขา ธพว. ทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357 ทั้งนี้ ธพว. ยังมีมาตรการดูแลสุขภาพให้แก่พนักงาน และลูกค้าธนาคาร โดยทุกท่านที่จะเข้าสู่อาคารสํานักใหญ่ SME D Bank ต้องผ่านการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ด้วยเครื่องเทอร์โมมิเตอร์ หากท่านใดมีอุณหภูมิร่างกายเกิน 37.5 องศาเซลเซียส จะขออนุญาตไม่ให้เข้าอาคารพร้อมแนะนําให้ไปพบแพทย์ทันที อีกทั้ง จัดหาปรอทแก้ววัดไข้ และหน้ากากอนามัย ให้แก่พนักงานทุกคน จัดวางเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ทุกจุดเข้าออกของอาคารสํานักงานใหญ่ และสาขาต่างๆ ทั่วประเทศ รวมถึง หมั่นทําความสะอาดสถานที่ทําการ เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรค นอกจากนั้น ออกประกาศคําสั่งภายใน ขอให้พนักงานทุกคน ระงับการเดินทางไปยังประเทศและพื้นที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 กรณีพนักงานหรือบุคคลในครอบครัว เดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง กําหนดให้ต้องไปตรวจคัดกรอง ณ สถานพยาบาลที่มีมาตรฐาน และส่งใบรายงานผลการตรวจให้แก่ผู้บังคับบัญชาทันที พร้อมกับให้ทํางานที่บ้าน (Work from home) 14 วัน นับตั้งแต่วันเดินทางถึงประเทศไทย โดยไม่ถือเป็นวันลา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. เดินหน้าทำงานเชิงรุกลุยมาตรการ “พัก-ขยาย-เติม” อุ้มลูกค้าได้รับผลกระทบ “ไวรัสโควิด-19” ทั้งทางตรงและอ้อม วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563 ธพว. เดินหน้าทํางานเชิงรุกลุยมาตรการ “พัก-ขยาย-เติม” อุ้มลูกค้าได้รับผลกระทบ “ไวรัสโควิด-19” ทั้งทางตรงและอ้อม ธพว. เดินหน้าช่วยลูกค้าได้รับผลกระทบจาก “ไวรัสโควิด-19” ทั้งทางตรงและทางอ้อม ส่งทีมงานลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกิจการแนะนําเข้าถึงมาตรการ “พัก-ขยาย-เติม” ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ป้องกันตกชั้น แจงเปิดโอกาสพักชําระหนี้เงินต้นนานสูงสุด 12 เดือน ธพว. เดินหน้าช่วยลูกค้าได้รับผลกระทบจาก “ไวรัสโควิด-19” ทั้งทางตรงและทางอ้อม ส่งทีมงานลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกิจการแนะนําเข้าถึงมาตรการ “พัก-ขยาย-เติม” ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ป้องกันตกชั้น แจงเปิดโอกาสพักชําระหนี้เงินต้นนานสูงสุด 12 เดือน ขยายเวลาชําระหนี้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ธุรกิจ พร้อมเติมทุนเสริมสภาพคล่อง ประคองธุรกิจผ่านภาวะฉุกเฉินไปได้ด้วยดี นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า จากที่ ธพว. ออกชุดมาตรการช่วยเหลือลูกค้าได้รับผลกระทบจากแพร่ระบาดของ “ไวรัสโควิด-19” ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม 2563 ที่ผ่านมา ขณะนี้ นอกเหนือจากที่ลูกค้าจะติดต่อสมัครเข้าร่วมมาตรการด้วยตัวเองแล้ว ธนาคารทํางานเชิงรุกโดยให้พนักงานสาขาทั่วประเทศ เข้าเยี่ยมกิจการหรือโทร.สอบถามลูกค้า เพื่อจะแนะนําลูกค้าที่กําลังได้ผลกระทบเข้าร่วมมาตรการดังกล่าวได้สะดวกสบาย ช่วยให้ลูกค้ามีภูมิคุ้มกันทางธุรกิจทันท่วงที สามารถจะดําเนินธุรกิจต่อไปได้จนกว่าสถานการณ์จะกลับคืนสู่ภาวะปกติ รวมถึง ป้องกันการตกชั้นของลูกค้า ทั้งนี้ ชุดมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจาก “ไวรัสโควิด-19” ของ ธพว. นั้น ครอบคลุมทุกธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ ทั้งทางตรง และทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร ภัตตาคาร ธุรกิจนําเที่ยว ร้านขายของฝากของที่ระลึก ธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ฯลฯ และธุรกิจที่เป็น Supply Chain หรือเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจที่ได้รับผลกระทบทางตรง ประกอบด้วย 1. มาตรการ “พัก” ชําระหนี้เงินต้น สําหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางตรง นานสูงสุด 12 เดือน และลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม นานสูงสุด 6 เดือน เพื่อช่วยลดภาระการชําระหนี้ และมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น สามารถดําเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยเริ่มพักชําระนับจากเดือนถัดไปที่ได้รับการอนุมัติพักชําระหนี้เงินต้น 2. มาตรการ “ขยาย” เวลาชําระหนี้ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ธุรกิจ และสําหรับลูกค้าที่ใช้ บสย.ค้ําประกันเดิม (โครงการค้ําประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ 5-7 ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ทําหน้าที่เป็นหลักทรัพย์ช่วยค้ําประกันให้ผู้ประกอบการ SMEs ทุกกลุ่มเข้าถึงสินเชื่อได้คล่องตัวขึ้น) สามารถขยายระยะเวลาค้ําประกันออกไปได้อีก 5 ปี โดยลูกค้าไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใดๆ และ 3.มาตรการ “เติม” ทุนดอกเบี้ยถูกเสริมสภาพคล่อง เพื่อให้ลูกค้ามีเงินทุนไปใช้หมุนเวียนในธุรกิจ คิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นิติบุคคล 3%ต่อปี ใน 3 ปีแรก วงเงิน 1 ล้านบาทต่อราย และบุคคลธรรมดา 5% ต่อปี ใน 3 ปีแรก วงเงิน 5 แสนบาทต่อราย ระยะเวลาผ่อนนานสูงสุด 7 ปี นางสาวนารถนารี กล่าวต่อว่า จากชุดมาตรการดังกล่าว จะช่วยลูกค้าลดภาระค่าใช้จ่ายในการประกอบธุรกิจ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น ประคองธุรกิจ รักษาสภาพการจ้างงานในกิจการ และช่วยป้องกันการตกชั้นได้อีกทางหนึ่ง โดยลูกค้า ธพว. ที่ต้องการร่วมมาตรการ สามารถติดต่อได้ตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ณ สาขา ธพว. ทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357 ทั้งนี้ ธพว. ยังมีมาตรการดูแลสุขภาพให้แก่พนักงาน และลูกค้าธนาคาร โดยทุกท่านที่จะเข้าสู่อาคารสํานักใหญ่ SME D Bank ต้องผ่านการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ด้วยเครื่องเทอร์โมมิเตอร์ หากท่านใดมีอุณหภูมิร่างกายเกิน 37.5 องศาเซลเซียส จะขออนุญาตไม่ให้เข้าอาคารพร้อมแนะนําให้ไปพบแพทย์ทันที อีกทั้ง จัดหาปรอทแก้ววัดไข้ และหน้ากากอนามัย ให้แก่พนักงานทุกคน จัดวางเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ทุกจุดเข้าออกของอาคารสํานักงานใหญ่ และสาขาต่างๆ ทั่วประเทศ รวมถึง หมั่นทําความสะอาดสถานที่ทําการ เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรค นอกจากนั้น ออกประกาศคําสั่งภายใน ขอให้พนักงานทุกคน ระงับการเดินทางไปยังประเทศและพื้นที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 กรณีพนักงานหรือบุคคลในครอบครัว เดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง กําหนดให้ต้องไปตรวจคัดกรอง ณ สถานพยาบาลที่มีมาตรฐาน และส่งใบรายงานผลการตรวจให้แก่ผู้บังคับบัญชาทันที พร้อมกับให้ทํางานที่บ้าน (Work from home) 14 วัน นับตั้งแต่วันเดินทางถึงประเทศไทย โดยไม่ถือเป็นวันลา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26851
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร.ห่วงนายจ้าง แนะตรวจสอบคุณสมบัติพยาบาลก่อนจ้าง
วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน 2561 กสร.ห่วงนายจ้าง แนะตรวจสอบคุณสมบัติพยาบาลก่อนจ้าง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ห่วงนายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน กรณีจ้างพยาบาลประจําสถานประกอบกิจการ แนะตรวจสอบคุณสมบัติพยาบาลก่อนจ้าง หากไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ถือว่ายังปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมาย นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กฎกระทรวงว่าด้วยการจัดสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ พ.ศ. 2548 กําหนดให้นายจ้างที่มีลูกจ้างทํางานในเวลาเดียวกันตั้งแต่ 200 คนขึ้นไป ต้องจัดให้มีห้องพยาบาลและพยาบาลไว้ประจําอย่างน้อยหนึ่งคนตลอดเวลาทํางาน สําหรับสถานที่ทํางานที่มีลูกจ้างทํางานในเวลาเดียวกันตั้งแต่ 1,000 คนขึ้นไป จะต้องมีพยาบาลอย่างน้อย 2 คนประจําตลอดเวลาทํางาน รวมทั้งได้กําหนดคุณสมบัติของพยาบาลที่ปฏิบัติงานว่าต้องเป็นพยาบาลตั้งแต่ระดับเทคนิคขึ้นไป อย่างไรก็ตามยังพบว่ามีสถานประกอบกิจการหลายแห่งที่ไม่ได้ตรวจสอบคุณสมบัติของพยาบาลที่มาปฏิบัติงานว่าเป็นไปตามที่กฎหมายกําหนดหรือไม่ กสร.จึงขอให้นายจ้างได้ตรวจสอบคุณสมบัติของพยาบาลที่มาปฏิบัติงานให้เป็นไปตามที่กฎหมายกําหนด หากมีคุณสมบัติไม่ตรงตามที่กฎหมายกําหนดถือว่านายจ้างยังปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมาย อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานประกอบกิจการที่ไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎกระทรวงดังกล่าว จะมีโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 ถึง 10 หรือสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือโทรศัพท์สายด่วน 1506 กด 3
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร.ห่วงนายจ้าง แนะตรวจสอบคุณสมบัติพยาบาลก่อนจ้าง วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน 2561 กสร.ห่วงนายจ้าง แนะตรวจสอบคุณสมบัติพยาบาลก่อนจ้าง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ห่วงนายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน กรณีจ้างพยาบาลประจําสถานประกอบกิจการ แนะตรวจสอบคุณสมบัติพยาบาลก่อนจ้าง หากไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ถือว่ายังปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมาย นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กฎกระทรวงว่าด้วยการจัดสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ พ.ศ. 2548 กําหนดให้นายจ้างที่มีลูกจ้างทํางานในเวลาเดียวกันตั้งแต่ 200 คนขึ้นไป ต้องจัดให้มีห้องพยาบาลและพยาบาลไว้ประจําอย่างน้อยหนึ่งคนตลอดเวลาทํางาน สําหรับสถานที่ทํางานที่มีลูกจ้างทํางานในเวลาเดียวกันตั้งแต่ 1,000 คนขึ้นไป จะต้องมีพยาบาลอย่างน้อย 2 คนประจําตลอดเวลาทํางาน รวมทั้งได้กําหนดคุณสมบัติของพยาบาลที่ปฏิบัติงานว่าต้องเป็นพยาบาลตั้งแต่ระดับเทคนิคขึ้นไป อย่างไรก็ตามยังพบว่ามีสถานประกอบกิจการหลายแห่งที่ไม่ได้ตรวจสอบคุณสมบัติของพยาบาลที่มาปฏิบัติงานว่าเป็นไปตามที่กฎหมายกําหนดหรือไม่ กสร.จึงขอให้นายจ้างได้ตรวจสอบคุณสมบัติของพยาบาลที่มาปฏิบัติงานให้เป็นไปตามที่กฎหมายกําหนด หากมีคุณสมบัติไม่ตรงตามที่กฎหมายกําหนดถือว่านายจ้างยังปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมาย อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานประกอบกิจการที่ไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎกระทรวงดังกล่าว จะมีโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 ถึง 10 หรือสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือโทรศัพท์สายด่วน 1506 กด 3
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12717
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม จัดกิจกรรมทำบุญตักบาตรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2560
วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม 2560 กระทรวงอุตสาหกรรม จัดกิจกรรมทําบุญตักบาตรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2560 กระทรวงอุตสาหกรรม จัดกิจกรรมทําบุญตักบาตรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2560 วันนี้ (5 มกราคม 2560) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายพรชัย ตระกูลวรานนท์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม คณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมทําบุญตักบาตรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2560 แด่พระภิกษุสงฆ์ จํานวน 65 รูป ณ อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม จัดกิจกรรมทำบุญตักบาตรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2560 วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม 2560 กระทรวงอุตสาหกรรม จัดกิจกรรมทําบุญตักบาตรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2560 กระทรวงอุตสาหกรรม จัดกิจกรรมทําบุญตักบาตรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2560 วันนี้ (5 มกราคม 2560) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายพรชัย ตระกูลวรานนท์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม คณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมทําบุญตักบาตรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2560 แด่พระภิกษุสงฆ์ จํานวน 65 รูป ณ อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1199
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวิทย์ฯ บุกสยามสแควร์! จัดงานสุดยิ่งใหญ่อลังการ “ขับเคลื่อน THAILAND 4.0 ด้วย วทน.” ขนทัพนิทรรศการ โชว์ผลงานนำไทยสู่อนาคต
วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน 2561 กระทรวงวิทย์ฯ บุกสยามสแควร์! จัดงานสุดยิ่งใหญ่อลังการ “ขับเคลื่อน THAILAND 4.0 ด้วย วทน.” ขนทัพนิทรรศการ โชว์ผลงานนําไทยสู่อนาคต งานสุดอลังการ “ขับเคลื่อน THAILAND 4.0 ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม : THAILAND 4.0 IN THE MAKING” ระหว่างวันที่ 23-25 พฤศจิกายน 2561 เพื่อแสดงผลงานในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 อย่างเป็นรูปธรรม (วันที่ 23 พฤศจิกายน 2561) สยามสแควร์ กรุงเทพฯ / เริ่มแล้ว!! งานสุดอลังการ “ขับเคลื่อน THAILAND 4.0 ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม : THAILAND 4.0 IN THE MAKING” ระหว่างวันที่ 23-25 พฤศจิกายน 2561 เพื่อแสดงผลงานในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 อย่างเป็นรูปธรรมด้วยวิทยาศาสตร์ฯ ใน 4 ด้าน “สร้างคน แก้จน เสริมแกร่ง สู่ภูมิภาค” หวังกระตุ้นและสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจระยะสั้นและระยะยาว พร้อมเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 อย่างเต็มภาคภูมิ ตอกย้ําจุดยืนรัฐบาลใช้นวัตกรรมพลิกโฉมประเทศ ตอบโจทย์ไทยแลนด์ 4.0 ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานพร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ ได้กล่าวว่ารัฐบาลได้ให้ความสําคัญอย่างยิ่งในการนําเอาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มาใช้เพื่อพัฒนาประเทศ พาชาติก้าวข้ามกับดักกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางสู่ประเทศรายได้สูง โดยใช้ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันเป็นยุทธศาสตร์สําคัญ เพื่อนําไทยสู่ประเทศพัฒนาแล้ว หากสังเกตจะพบว่าในประเทศที่มีรายได้สูงนั้น ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่มีการพัฒนาในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก เช่น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ญี่ปุ่น อิสราเอล หรือแม้กระทั่งเกาหลีใต้ ที่เมื่อก่อนเคยอยู่ในระดับเดียวกับประเทศของเรา ก็พัฒนาประเทศด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และล่าสุด ประเทศจีน ที่เคยถูกมองว่าเป็นประเทศที่ผลิตสินค้าราคาถูก ไม่มีคุณภาพ ปัจจุบันกลายเป็นประเทศผู้นําทางเทคโนโลยีไปแล้ว ประเทศไทยก็จะต้องก้าวไปในทิศทางเดียวกันกับประเทศเหล่านี้ ซึ่งเรากําลังเดินก้าวไปข้างหน้า เห็นได้จากตัวชี้วัดสําคัญ คือสัดส่วนการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาของไทยที่เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง เปรียบเทียบให้เห็นภาพ คือช่วงระยะเวลา 10 ปี ตั้งแต่ปี 2544-2554 เพิ่มขึ้น เพียง 0.1% จาก 0.26% เป็น 0.37% แต่ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา คือ ปี 2556-2559 มีการเติบโต เพิ่มขึ้น 0.4% จาก 0.47% ในปี 2556 เป็น 0.78% ในปี 2559 คิดเป็นเม็ดเงินลงทุน 113,527 ล้านบาท และตั้งเป้าไว้ว่าจะทะลุ 1% ในปี 2561 รองนายกฯ กล่าวย้ําว่ารัฐบาลให้ความสําคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และได้มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นผู้ขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าว โดยต้องทําให้คนไทยทุกคนเข้าใจและเห็นความสําคัญของวิทยาศาสตร์ว่าจะเป็นเครื่องมือสําคัญในการพัฒนาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเด็กไทยจะต้องรู้ว่าวิทยาศาสตร์สําคัญกับชีวิตพวกเค้า เห็นความจําเป็นในการเรียน STEM เพราะ STEM จะเป็นพื้นฐานของอาชีพในอนาคต คนรุ่นใหม่จะต้องเข้าใจว่าวิทยาศาสตร์เป็นหัวใจสําคัญในการทําธุรกิจ รวมทั้งจะต้องมีทักษะฝีมือในการลงมือทํา เพราะการทําธุรกิจในปัจจุบันนั้น แข่งขันกันที่ความคิดและการใช้ทักษะและเทคโนโลยีในการทําธุรกิจ เป็นต้น นอกจากการสร้างความสามารถในการแข่งขันแล้ว วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้นจะต้องช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของคนในสังคมทุกระดับและทุกพื้นที่ในประเทศ ให้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งกลุ่มพี่น้องเกษตรกรและคนทั่วไปในสังคม โดยจะต้องนําวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีลงไปช่วยเหลือคนในทุกระดับ และทําให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอยู่ในชีวิตประจําวันของพวกเค้า และจะสร้างประโยชน์กับชีวิตพวกเค้าได้ เช่น เกษตรกรจะต้องนําเทคโนโลยีไปใช้ เพื่อเพิ่มผลผลิต คาดการณ์ราคาผลผลิตทางการเกษตรและลดต้นทุนการผลิตได้ จากโจทย์ทั้ง 2 เรื่องที่ผมได้กล่าวมานี้ รัฐบาลจึงได้ดําเนินการขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าวผ่านกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ใน 13 ภารกิจสําคัญ ด้วยการ 1)สร้างกลุ่มนักรับเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า Startup และนักประดิษฐ์ (Maker) ซึ่งเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วยนโยบายสร้างประเทศสู่การเป็น Startup Nation และ Makers Nation 2)เตรียมคนไทยให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ด้วยการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนเพื่อให้เห็นภาพของอาชีพในอนาคต (Career for the Future) 3)การพัฒนาเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) เพื่อเป็นโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่ประเทศไทยมีศักยภาพและคนทั้งประเทศได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง 4)การพัฒนาเทคโนโลยีรองรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย การสร้างระบบ Big Data และ AI การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ขนาดใหญ่ เช่น ดาวเทียม THEOS เครื่องกําเนิดแสงซินโครตรอนชุดใหม่ เป็นต้น และการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียบเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เพื่อเป็นรากฐานสําคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งจะช่วยยกระดับการพัฒนาของประเทศไทยในที่สุด 5)การยกระดับความเป็นอยู่ของคนในประเทศ ลดความเหลื่อมล้ํา และการกระจาย ความเจริญสู่พื้นที่ต่างๆ ด้วยการนําวิทยาศาสตร์มาสร้างอาชีพ เพิ่มรายได้และลดรายจ่ายให้กับชุมชนในพื้นที่ทั่วประเทศ การพัฒนา Smart Farmer ด้วยระบบ IoT การพัฒนาย่านนวัตกรรม (Innovation Districts) 16 แห่งทั่วประเทศไทย เช่น ย่าน CyberTech ที่ปุณณวิถี ย่านนวัตกรรมการแพทย์ที่โยธี เป็นต้น การพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค (Regional Science Park) และการพัฒนาเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) ในวันนี้ ทางกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้นําผลงานมาแสดงให้ทุกคนเห็นว่าประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้อย่างแน่นอน ผมเชื่อว่าการจัดงานในครั้งนี้จะเป็นเวทีเผยแพร่นวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ในวงกว้าง เกิดการพัฒนาภูมิปัญญาโดยใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก่อให้เกิดนวัตกรรมที่สามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างแท้จริง และเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมตรงกับความต้องการของผู้บริโภค สามารถสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง สร้างเงิน สร้างงาน สร้างคุณภาพชีวิตของประชาชน ลดความเหลื่อมล้ําในสังคม และส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่สูงขึ้น ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวเพิ่มเติมว่าการจัดงานในครั้งนี้เพื่อแสดงผลงานในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 อย่างเป็นรูปธรรม โดยนําเสนอนิทรรศการเทิดพระเกียรติพระอัจฉริยภาพด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย” พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย” และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร โดยการจัดแสดงผลงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประกอบด้วย 4 โซนนิทรรศการหลัก ได้แก่ โซนวิทย์สร้างคน โซนวิทย์แก้จน โซนวิทย์เสริมแกร่ง และโซนวิทย์สู่ภูมิภาค ซึ่งพื้นที่ 4 โซนนี้ ได้นําเสนอผลงานของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 13 ด้านสําคัญ และไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด! ได้แก่ TREE of WISDOM ต้นไม้ interactive แห่งอนาคต ครั้งแรกกับการเชื่อมต่อความคิดและอารมณ์ให้กลายเป็นภาพและสีที่จับต้องได้ ซึ่งเชื่อม Neuro Sensing คลื่นสมองออกมาแสดงผลเป็นการเปลี่ยนสีสันของต้นไม้ LED ขนาดใหญ่ สุดตระการตา ทําให้บริเวณลาน slope SQ1, FreakLab ผลงาน interactive ที่ผสาน Science & Arts และ digital technology ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ซึ่งจะกระจายอยู่ทั่วทั้งงาน, INSECT WORLD โลกแห่งแมลง อยู่บริเวณสวน Park @Siam, Thai Space Consortium: โครงการความร่วมมือ “ดาวเทียมไทย” สู่ห้วงอวกาศ บริเวณลาน Hard Rock Café และ Robot Contest โดยสมาคม TRS บริเวณสวน Park @Siam ซึ่งนอกจากผลงานของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ทั้ง 13 กลุ่มแล้วนั้น ยังมีการนําเสนอผลงานของหน่วยงานพันธมิตร สถาบันการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษาในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และบริษัทชั้นนําของประเทศอีกมากมายที่นําผลงานที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาแสดงในงานครั้งนี้ รวมทั้งมีกิจกรรมบันเทิงอีกมากมายตลอดการจัดงาน อาทิ การประชันแร็พของสองแร็พเปอร์ชื่อดัง SIRPOPPA และ NANA, มินิคอนเสิร์ตจากเก้า จิรายุและวงแม่ยายยิ้ม, การพูดคุยถึงไลฟ์สไตล์ในยุค 4.0 กับสองนักแสดงดัง สน-ยุกต์ ส่งไพศาลและ เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา, การแสดง Science Show, การแสดงดนตรีจากนักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นนํา, Street Show เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวิทย์ฯ บุกสยามสแควร์! จัดงานสุดยิ่งใหญ่อลังการ “ขับเคลื่อน THAILAND 4.0 ด้วย วทน.” ขนทัพนิทรรศการ โชว์ผลงานนำไทยสู่อนาคต วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน 2561 กระทรวงวิทย์ฯ บุกสยามสแควร์! จัดงานสุดยิ่งใหญ่อลังการ “ขับเคลื่อน THAILAND 4.0 ด้วย วทน.” ขนทัพนิทรรศการ โชว์ผลงานนําไทยสู่อนาคต งานสุดอลังการ “ขับเคลื่อน THAILAND 4.0 ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม : THAILAND 4.0 IN THE MAKING” ระหว่างวันที่ 23-25 พฤศจิกายน 2561 เพื่อแสดงผลงานในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 อย่างเป็นรูปธรรม (วันที่ 23 พฤศจิกายน 2561) สยามสแควร์ กรุงเทพฯ / เริ่มแล้ว!! งานสุดอลังการ “ขับเคลื่อน THAILAND 4.0 ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม : THAILAND 4.0 IN THE MAKING” ระหว่างวันที่ 23-25 พฤศจิกายน 2561 เพื่อแสดงผลงานในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 อย่างเป็นรูปธรรมด้วยวิทยาศาสตร์ฯ ใน 4 ด้าน “สร้างคน แก้จน เสริมแกร่ง สู่ภูมิภาค” หวังกระตุ้นและสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจระยะสั้นและระยะยาว พร้อมเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 อย่างเต็มภาคภูมิ ตอกย้ําจุดยืนรัฐบาลใช้นวัตกรรมพลิกโฉมประเทศ ตอบโจทย์ไทยแลนด์ 4.0 ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานพร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ ได้กล่าวว่ารัฐบาลได้ให้ความสําคัญอย่างยิ่งในการนําเอาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มาใช้เพื่อพัฒนาประเทศ พาชาติก้าวข้ามกับดักกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางสู่ประเทศรายได้สูง โดยใช้ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันเป็นยุทธศาสตร์สําคัญ เพื่อนําไทยสู่ประเทศพัฒนาแล้ว หากสังเกตจะพบว่าในประเทศที่มีรายได้สูงนั้น ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่มีการพัฒนาในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก เช่น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ญี่ปุ่น อิสราเอล หรือแม้กระทั่งเกาหลีใต้ ที่เมื่อก่อนเคยอยู่ในระดับเดียวกับประเทศของเรา ก็พัฒนาประเทศด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และล่าสุด ประเทศจีน ที่เคยถูกมองว่าเป็นประเทศที่ผลิตสินค้าราคาถูก ไม่มีคุณภาพ ปัจจุบันกลายเป็นประเทศผู้นําทางเทคโนโลยีไปแล้ว ประเทศไทยก็จะต้องก้าวไปในทิศทางเดียวกันกับประเทศเหล่านี้ ซึ่งเรากําลังเดินก้าวไปข้างหน้า เห็นได้จากตัวชี้วัดสําคัญ คือสัดส่วนการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาของไทยที่เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง เปรียบเทียบให้เห็นภาพ คือช่วงระยะเวลา 10 ปี ตั้งแต่ปี 2544-2554 เพิ่มขึ้น เพียง 0.1% จาก 0.26% เป็น 0.37% แต่ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา คือ ปี 2556-2559 มีการเติบโต เพิ่มขึ้น 0.4% จาก 0.47% ในปี 2556 เป็น 0.78% ในปี 2559 คิดเป็นเม็ดเงินลงทุน 113,527 ล้านบาท และตั้งเป้าไว้ว่าจะทะลุ 1% ในปี 2561 รองนายกฯ กล่าวย้ําว่ารัฐบาลให้ความสําคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และได้มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นผู้ขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าว โดยต้องทําให้คนไทยทุกคนเข้าใจและเห็นความสําคัญของวิทยาศาสตร์ว่าจะเป็นเครื่องมือสําคัญในการพัฒนาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเด็กไทยจะต้องรู้ว่าวิทยาศาสตร์สําคัญกับชีวิตพวกเค้า เห็นความจําเป็นในการเรียน STEM เพราะ STEM จะเป็นพื้นฐานของอาชีพในอนาคต คนรุ่นใหม่จะต้องเข้าใจว่าวิทยาศาสตร์เป็นหัวใจสําคัญในการทําธุรกิจ รวมทั้งจะต้องมีทักษะฝีมือในการลงมือทํา เพราะการทําธุรกิจในปัจจุบันนั้น แข่งขันกันที่ความคิดและการใช้ทักษะและเทคโนโลยีในการทําธุรกิจ เป็นต้น นอกจากการสร้างความสามารถในการแข่งขันแล้ว วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้นจะต้องช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของคนในสังคมทุกระดับและทุกพื้นที่ในประเทศ ให้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งกลุ่มพี่น้องเกษตรกรและคนทั่วไปในสังคม โดยจะต้องนําวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีลงไปช่วยเหลือคนในทุกระดับ และทําให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอยู่ในชีวิตประจําวันของพวกเค้า และจะสร้างประโยชน์กับชีวิตพวกเค้าได้ เช่น เกษตรกรจะต้องนําเทคโนโลยีไปใช้ เพื่อเพิ่มผลผลิต คาดการณ์ราคาผลผลิตทางการเกษตรและลดต้นทุนการผลิตได้ จากโจทย์ทั้ง 2 เรื่องที่ผมได้กล่าวมานี้ รัฐบาลจึงได้ดําเนินการขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าวผ่านกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ใน 13 ภารกิจสําคัญ ด้วยการ 1)สร้างกลุ่มนักรับเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า Startup และนักประดิษฐ์ (Maker) ซึ่งเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วยนโยบายสร้างประเทศสู่การเป็น Startup Nation และ Makers Nation 2)เตรียมคนไทยให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ด้วยการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนเพื่อให้เห็นภาพของอาชีพในอนาคต (Career for the Future) 3)การพัฒนาเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) เพื่อเป็นโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่ประเทศไทยมีศักยภาพและคนทั้งประเทศได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง 4)การพัฒนาเทคโนโลยีรองรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย การสร้างระบบ Big Data และ AI การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ขนาดใหญ่ เช่น ดาวเทียม THEOS เครื่องกําเนิดแสงซินโครตรอนชุดใหม่ เป็นต้น และการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียบเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เพื่อเป็นรากฐานสําคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งจะช่วยยกระดับการพัฒนาของประเทศไทยในที่สุด 5)การยกระดับความเป็นอยู่ของคนในประเทศ ลดความเหลื่อมล้ํา และการกระจาย ความเจริญสู่พื้นที่ต่างๆ ด้วยการนําวิทยาศาสตร์มาสร้างอาชีพ เพิ่มรายได้และลดรายจ่ายให้กับชุมชนในพื้นที่ทั่วประเทศ การพัฒนา Smart Farmer ด้วยระบบ IoT การพัฒนาย่านนวัตกรรม (Innovation Districts) 16 แห่งทั่วประเทศไทย เช่น ย่าน CyberTech ที่ปุณณวิถี ย่านนวัตกรรมการแพทย์ที่โยธี เป็นต้น การพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค (Regional Science Park) และการพัฒนาเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) ในวันนี้ ทางกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้นําผลงานมาแสดงให้ทุกคนเห็นว่าประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้อย่างแน่นอน ผมเชื่อว่าการจัดงานในครั้งนี้จะเป็นเวทีเผยแพร่นวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ในวงกว้าง เกิดการพัฒนาภูมิปัญญาโดยใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก่อให้เกิดนวัตกรรมที่สามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างแท้จริง และเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมตรงกับความต้องการของผู้บริโภค สามารถสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง สร้างเงิน สร้างงาน สร้างคุณภาพชีวิตของประชาชน ลดความเหลื่อมล้ําในสังคม และส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่สูงขึ้น ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวเพิ่มเติมว่าการจัดงานในครั้งนี้เพื่อแสดงผลงานในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 อย่างเป็นรูปธรรม โดยนําเสนอนิทรรศการเทิดพระเกียรติพระอัจฉริยภาพด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย” พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย” และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร โดยการจัดแสดงผลงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประกอบด้วย 4 โซนนิทรรศการหลัก ได้แก่ โซนวิทย์สร้างคน โซนวิทย์แก้จน โซนวิทย์เสริมแกร่ง และโซนวิทย์สู่ภูมิภาค ซึ่งพื้นที่ 4 โซนนี้ ได้นําเสนอผลงานของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 13 ด้านสําคัญ และไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด! ได้แก่ TREE of WISDOM ต้นไม้ interactive แห่งอนาคต ครั้งแรกกับการเชื่อมต่อความคิดและอารมณ์ให้กลายเป็นภาพและสีที่จับต้องได้ ซึ่งเชื่อม Neuro Sensing คลื่นสมองออกมาแสดงผลเป็นการเปลี่ยนสีสันของต้นไม้ LED ขนาดใหญ่ สุดตระการตา ทําให้บริเวณลาน slope SQ1, FreakLab ผลงาน interactive ที่ผสาน Science & Arts และ digital technology ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ซึ่งจะกระจายอยู่ทั่วทั้งงาน, INSECT WORLD โลกแห่งแมลง อยู่บริเวณสวน Park @Siam, Thai Space Consortium: โครงการความร่วมมือ “ดาวเทียมไทย” สู่ห้วงอวกาศ บริเวณลาน Hard Rock Café และ Robot Contest โดยสมาคม TRS บริเวณสวน Park @Siam ซึ่งนอกจากผลงานของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ทั้ง 13 กลุ่มแล้วนั้น ยังมีการนําเสนอผลงานของหน่วยงานพันธมิตร สถาบันการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษาในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และบริษัทชั้นนําของประเทศอีกมากมายที่นําผลงานที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาแสดงในงานครั้งนี้ รวมทั้งมีกิจกรรมบันเทิงอีกมากมายตลอดการจัดงาน อาทิ การประชันแร็พของสองแร็พเปอร์ชื่อดัง SIRPOPPA และ NANA, มินิคอนเสิร์ตจากเก้า จิรายุและวงแม่ยายยิ้ม, การพูดคุยถึงไลฟ์สไตล์ในยุค 4.0 กับสองนักแสดงดัง สน-ยุกต์ ส่งไพศาลและ เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา, การแสดง Science Show, การแสดงดนตรีจากนักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นนํา, Street Show เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17125
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธานสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียนเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
วันพุธที่ 21 มิถุนายน 2560 ประธานสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียนเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี ประธานสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียนเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี วันนี้ (21 มิถุนายน 2560) เวลา 14.30 น. ณ ทําเนียบรัฐบาล นายอเล็กซานเดอร์ ซี เฟล์แมน ประธานสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน (United States - ASEAN Business Council : USABC) เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) สรุปสาระสําคัญดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีและประธานสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียนกล่าวยินดีที่ได้พบ โดยรองนายกรัฐมนตรียินดีที่ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยและสหรัฐมีพลวัตอย่างต่อเนื่อง โดยนักธุรกิจทั้งไทยและสหรัฐมีความใกล้ชิด ซึ่ง USABC มีส่วนสําคัญอย่างมากที่ช่วยผลักดันนักธุรกิจสหรัฐฯให้มาลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ประธานสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน กล่าวย้ําถึงความพร้อมให้การสนับสนุนรัฐบาลไทยในการเดินหน้าประเทศอย่างเต็มที่ และขอบคุณสําหรับการสนับสนุนอย่างดีที่ผ่านมาจากรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลชุดปัจจุบันของสหรัฐฯให้ความสนใจกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างมาก ซึ่งจะยิ่งมีส่วนทําให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศแน่นแฟ้นและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยในตอนท้าย ทั้งสองฝ่ายกล่าวย้ําความพร้อมที่จะสานต่อความร่วมมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว *****************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธานสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียนเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี วันพุธที่ 21 มิถุนายน 2560 ประธานสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียนเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี ประธานสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียนเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี วันนี้ (21 มิถุนายน 2560) เวลา 14.30 น. ณ ทําเนียบรัฐบาล นายอเล็กซานเดอร์ ซี เฟล์แมน ประธานสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน (United States - ASEAN Business Council : USABC) เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) สรุปสาระสําคัญดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีและประธานสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียนกล่าวยินดีที่ได้พบ โดยรองนายกรัฐมนตรียินดีที่ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยและสหรัฐมีพลวัตอย่างต่อเนื่อง โดยนักธุรกิจทั้งไทยและสหรัฐมีความใกล้ชิด ซึ่ง USABC มีส่วนสําคัญอย่างมากที่ช่วยผลักดันนักธุรกิจสหรัฐฯให้มาลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ประธานสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน กล่าวย้ําถึงความพร้อมให้การสนับสนุนรัฐบาลไทยในการเดินหน้าประเทศอย่างเต็มที่ และขอบคุณสําหรับการสนับสนุนอย่างดีที่ผ่านมาจากรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลชุดปัจจุบันของสหรัฐฯให้ความสนใจกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างมาก ซึ่งจะยิ่งมีส่วนทําให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศแน่นแฟ้นและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยในตอนท้าย ทั้งสองฝ่ายกล่าวย้ําความพร้อมที่จะสานต่อความร่วมมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว *****************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4691
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมควบคุมโรคยืนยันบุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายต่อสุขภาพ เป็นการเสพติดนิโคตินเช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ทั่วไป
วันอังคารที่ 19 ธันวาคม 2560 กรมควบคุมโรคยืนยันบุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายต่อสุขภาพ เป็นการเสพติดนิโคตินเช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ทั่วไป กรมควบคุมโรคชี้แจงประเด็นข่าว สธ. บิดเบือนข้อมูลเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ยืนยันบุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายต่อสุขภาพ และยังคงเป็นการเสพติดนิโคตินเช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ทั่วไป วันที่ 18 ธันวาคม. 2560 นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ชี้แจงประเด็น ข่าว สธ. บิดเบือนข้อมูลเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ดังนี้ กรณีที่มีการรายงานข่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข บิดเบือนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับอันตราย รวมถึงการพบสารพิษและโลหะหนักในบุหรี่ไฟฟ้านั้น กรมควบคุมโรค ขอให้ข้อมูลยืนยันว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายต่อสุขภาพ และยังคงเป็นการเสพติดนิโคตินเช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ทั่วไป ซึ่งนิโคตินเป็นสารเสพติดที่ทําให้คนที่ติดแล้วเลิกยากมาก คนที่ติดบุหรี่ไฟฟ้าจึงมีโอกาสติดไปตลอดชีวิตเช่นเดียวกับบุหรี่ทั่วไป ส่วนกรณีที่มีรายงานในต่างประเทศว่า บุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่ทั่วไปกว่าร้อยละ 95 นั้น เป็นเพียงการประเมินจากผู้ทําการศึกษาวิจัยบางกลุ่มเท่านั้น โดยรายงานดังกล่าวองค์การอนามัยโลกก็ยังมิได้ออกมายืนยันเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งในปัจจุบันยังขาดหลักฐานทางวิชาการที่น่าเชื่อถือและเพียงพอที่จะนําไปสู่ข้อสรุปเกี่ยวกับความปลอดภัยของบุหรี่ไฟฟ้า ถึงแม้ว่าจะมีบางรายงานพบว่ามีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ทั่วไป แต่บุหรี่ไฟฟ้าก็ยังคงมีอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคและการเสียชีวิตจากโรคปอด โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด นอกจากนี้ ผลจากการรวบรวมข้อมูลรายงานวิจัยต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่า เยาวชนที่เริ่มแรกด้วยการสูบบุหรี่ไฟฟ้า มีแนวโน้มที่จะหันไปสูบบุหรี่ทั่วไปมากกว่าเยาวชนที่ไม่ได้สูบบุหรี่ไฟฟ้า และบุหรี่ไฟฟ้ายังทําให้มีการเพิ่มขึ้นของนักสูบหน้าใหม่อีกด้วย กรมควบคุมโรค ขอสนับสนุนให้ผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ใช้วิธีการที่เป็นมาตรฐานทางการแพทย์ในการเลิกสูบบุหรี่ และไม่สนับสนุนให้ใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกรูปแบบที่อ้างสรรพคุณในการช่วยเลิกบุหรี่ได้ ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่จะใช้เพื่อการเลิกสูบบุหรี่ ควรได้รับการขึ้นทะเบียนจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาเพื่อให้มั่นใจว่ามีการรับรองมาตรฐานและมีความปลอดภัยในการใช้งาน ในโอกาสนี้ ขอให้เด็กและเยาวชนตระหนักถึงอันตรายต่อสุขภาพเมื่อสูบบุหรี่และผลกระทบต่อสุขภาพของคนรอบข้าง หากประชาชน ต้องการเลิกบุหรี่ สามารถโทรศัพท์ปรึกษาได้ที่ศูนย์บริการเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์แห่งชาติ หมายเลข 1600 และมีคลินิกที่ให้บริการเลิกบุหรี่ในโรงพยาบาล สังกัดกระทรวงสาธารณสุข โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สํานักควบคุมการบริโภคยาสูบ 02 580 9237 หรือสายด่วน กรมควบคุมโรค 1422 ----------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมควบคุมโรคยืนยันบุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายต่อสุขภาพ เป็นการเสพติดนิโคตินเช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ทั่วไป วันอังคารที่ 19 ธันวาคม 2560 กรมควบคุมโรคยืนยันบุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายต่อสุขภาพ เป็นการเสพติดนิโคตินเช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ทั่วไป กรมควบคุมโรคชี้แจงประเด็นข่าว สธ. บิดเบือนข้อมูลเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ยืนยันบุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายต่อสุขภาพ และยังคงเป็นการเสพติดนิโคตินเช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ทั่วไป วันที่ 18 ธันวาคม. 2560 นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ชี้แจงประเด็น ข่าว สธ. บิดเบือนข้อมูลเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ดังนี้ กรณีที่มีการรายงานข่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข บิดเบือนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับอันตราย รวมถึงการพบสารพิษและโลหะหนักในบุหรี่ไฟฟ้านั้น กรมควบคุมโรค ขอให้ข้อมูลยืนยันว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายต่อสุขภาพ และยังคงเป็นการเสพติดนิโคตินเช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ทั่วไป ซึ่งนิโคตินเป็นสารเสพติดที่ทําให้คนที่ติดแล้วเลิกยากมาก คนที่ติดบุหรี่ไฟฟ้าจึงมีโอกาสติดไปตลอดชีวิตเช่นเดียวกับบุหรี่ทั่วไป ส่วนกรณีที่มีรายงานในต่างประเทศว่า บุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่ทั่วไปกว่าร้อยละ 95 นั้น เป็นเพียงการประเมินจากผู้ทําการศึกษาวิจัยบางกลุ่มเท่านั้น โดยรายงานดังกล่าวองค์การอนามัยโลกก็ยังมิได้ออกมายืนยันเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งในปัจจุบันยังขาดหลักฐานทางวิชาการที่น่าเชื่อถือและเพียงพอที่จะนําไปสู่ข้อสรุปเกี่ยวกับความปลอดภัยของบุหรี่ไฟฟ้า ถึงแม้ว่าจะมีบางรายงานพบว่ามีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ทั่วไป แต่บุหรี่ไฟฟ้าก็ยังคงมีอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคและการเสียชีวิตจากโรคปอด โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด นอกจากนี้ ผลจากการรวบรวมข้อมูลรายงานวิจัยต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่า เยาวชนที่เริ่มแรกด้วยการสูบบุหรี่ไฟฟ้า มีแนวโน้มที่จะหันไปสูบบุหรี่ทั่วไปมากกว่าเยาวชนที่ไม่ได้สูบบุหรี่ไฟฟ้า และบุหรี่ไฟฟ้ายังทําให้มีการเพิ่มขึ้นของนักสูบหน้าใหม่อีกด้วย กรมควบคุมโรค ขอสนับสนุนให้ผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ใช้วิธีการที่เป็นมาตรฐานทางการแพทย์ในการเลิกสูบบุหรี่ และไม่สนับสนุนให้ใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกรูปแบบที่อ้างสรรพคุณในการช่วยเลิกบุหรี่ได้ ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่จะใช้เพื่อการเลิกสูบบุหรี่ ควรได้รับการขึ้นทะเบียนจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาเพื่อให้มั่นใจว่ามีการรับรองมาตรฐานและมีความปลอดภัยในการใช้งาน ในโอกาสนี้ ขอให้เด็กและเยาวชนตระหนักถึงอันตรายต่อสุขภาพเมื่อสูบบุหรี่และผลกระทบต่อสุขภาพของคนรอบข้าง หากประชาชน ต้องการเลิกบุหรี่ สามารถโทรศัพท์ปรึกษาได้ที่ศูนย์บริการเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์แห่งชาติ หมายเลข 1600 และมีคลินิกที่ให้บริการเลิกบุหรี่ในโรงพยาบาล สังกัดกระทรวงสาธารณสุข โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สํานักควบคุมการบริโภคยาสูบ 02 580 9237 หรือสายด่วน กรมควบคุมโรค 1422 ----------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8832
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีหวังให้นักเรียนเตรียมทหาร ตระหนักถึงหน้าที่สำคัญของตนเอง มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ราชการให้สมเกียรติ เพื่อให้เป็นที่เชื่อถือ ศรัทธาของประชาชนตลอดไป
วันศุกร์ที่ 25 มกราคม 2562 นายกรัฐมนตรีหวังให้นักเรียนเตรียมทหาร ตระหนักถึงหน้าที่สําคัญของตนเอง มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ราชการให้สมเกียรติ เพื่อให้เป็นที่เชื่อถือ ศรัทธาของประชาชนตลอดไป นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในงานวันสถาปนาโรงเรียนเตรียมทหาร ครบรอบปีที่ 61 และงานเกียรติยศจักรดาว ประจําปี 2562 หวังให้นักเรียนเตรียมทหาร ตระหนักถึงหน้าที่สําคัญของตนเอง มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ราชการให้สมเกียรติ เพื่อให้เป็นที่เชื่อถือ ศรัทธาของประชาชนตลอดไป วันนี้ (25 มกราคม 2562) เวลา 08.00 น. ณ โรงเรียนเตรียมทหาร อําเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในงานวันสถาปนาโรงเรียนเตรียมทหาร ครบรอบปีที่ 61 และงานเกียรติยศจักรดาว ประจําปี 2562 เพื่อเป็นเกียรติแก่ศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร และนักเรียนเตรียมทหารทุกนาย โดยมี พลเอก พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ประธานกรรมการมูลนิธิศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร หัวหน้าส่วนราชการของกระทรวงกลาโหม นักเรียนเตรียมทหารให้การต้อนรับและเข้าร่วมงาน สําหรับปีนี้มีผู้ได้รับการคัดเลือกจํานวน 17 คน ได้แก่ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ผู้บัญชาการทหารอากาศ ส่วนศิษย์เก่าที่ได้รับรางวัลเกียรติยศจักรดาวโดยการคัดสรร ได้แก่ พล.อ.อักษรา เกิดผล เตรียมทหารรุ่นที่ 14 สาขาบริหารการปกครองและเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติ พล.ร.ต.อาภากร อยู่คงแก้ว เตรียมทหารรุ่นที่ 24 สาขาบริหารการปกครองและเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติ พล.อ.สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล เตรียมทหารรุ่นที่ 16 สาขาการทหาร พล.ท.สุพจน์ มาลานิยม เตรียมทหารรุ่นที่ 22 สาขาการทหาร พ.อ.พสิษฐ์ ชาญเลขา เตรียมทหารรุ่นที่ 25 สาขาการทหาร ว่าที่ ร.ต.ชาญวิทย์ อนัคกุล เตรียมทหารรุ่นที่ 18 สาขาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม พล.อ.ธงชัย สาระสุข เตรียมทหารรุ่นที่ 19 สาขาพัฒนาสังคม พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร เตรียมทหารรุ่นที่ 12 สาขาการเมืองและการบริหารรัฐกิจ น.อ.ศาสตราจารย์ ประสงค์ ปราณีตพลกรัง เตรียมทหารรุ่นที่ 23 สาขาการศึกษา ส่วนรายชื่อศิษย์เก่าเตรียมทหารที่ได้เสียสละชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการได้รับรางวัลจักรดาวสดุดี ได้แก่ พล.อ.ท.เกริกเกียรติ สุวรรณโณ เตรียมทหารรุ่นที่ 43 ซึ่งประสบอุบัติเหตุเครื่องบินขับไล่ฝึกบิน แอล - 39 สังกัดฝูงบิน 411 กองบิน 41 จังหวัดเชียงใหม่ ตกภายในสนามกอล์ฟของเขื่อนภูมิพล หมู่ที่ 6 ต.สามเงา อ.สามเงา จ.ตาก ขณะฝึกบินโจมตีทางยุทธวิธีของกองทัพอากาศ พล.ต.เขมราช ดวงแก้ว เตรียมทหารรุ่นที่ 51 และ พล.ต.วโรฒม์ แปรงกระโทก เตรียมทหารรุ่นที่ 51 ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินใบพัดรุ่น CESSNA 182 หรือเครื่องบินลาดตระเวน แบบ 17 ของกองทัพบกตก ต.ห้วยผา อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวสดุดียกย่องผู้ที่ได้รับรางวัล “จักรดาวสดุดี” ประจําปี 2562 ทั้ง 3 ท่านที่ปฏิบัติหน้าที่เสียสละเพื่อส่วนรวม ถือเป็นการอุทิศชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ราชการทหารอย่างสมเกียรติภูมิชายชาติทหาร เพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงของชาติตลอดไป พร้อมกล่าวแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัลว่า ข้าราชการทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความอุตสาหะ ทุ่มเท เสียสละ มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีผลงานดีเด่นที่เป็นประโยชน์ต่อราชการของกองทัพ และประชาชน รวมทั้งสร้างสรรค์คุณประโยชน์ให้กับส่วนรวม ก่อให้เกิดผลดีต่อประเทศชาติตลอดระยะเวลาการรับราชการที่ผ่านมา จนเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนนับเป็นแบบอย่างที่ดี และนําชื่อเสียงความภาคภูมิใจมาสู่ศิษย์ของโรงเรียนเตรียมทหารทุกคน ซึ่งทุกรางวัลถือเป็นเกียรติยศอย่างสูงแก่วงศ์ตระกูล พร้อมกล่าวเชื่อมั่นว่าผู้ที่ได้รับรางวัล และกําลังพลของกองทัพทุกคน จะดํารงไว้ซึ่งเกียรติ ศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของข้าราชการ เพื่อให้สมกับการที่เป็นกําลังพลของกองทัพไทย และขอให้ทุกท่านปฏิบัติหน้าที่นี้อย่างเข้มแข็ง มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์เพื่อดํารงรักษาอธิปไตยและความมั่นคงปลอดภัยของบ้านเมือง ขอให้น้อมนําแนวทางจิตอาสาพระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาบูรณาการการปฏิบัติหน้าที่ราชการทหาร เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่องานราชการ โดยคํานึงถึงประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสําคัญ และหวังว่านักเรียนเตรียมทหารทุกท่านจะตระหนักถึงหน้าที่สําคัญของตนเอง และมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ราชการให้สมเกียรติภูมิของอาชีพ และการดํารงตนเป็นผู้ที่มีคุณธรรม จริยธรรม เพื่อให้เป็นที่เชื่อถือ ศรัทธาของประชาชนตลอดไป ---------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีหวังให้นักเรียนเตรียมทหาร ตระหนักถึงหน้าที่สำคัญของตนเอง มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ราชการให้สมเกียรติ เพื่อให้เป็นที่เชื่อถือ ศรัทธาของประชาชนตลอดไป วันศุกร์ที่ 25 มกราคม 2562 นายกรัฐมนตรีหวังให้นักเรียนเตรียมทหาร ตระหนักถึงหน้าที่สําคัญของตนเอง มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ราชการให้สมเกียรติ เพื่อให้เป็นที่เชื่อถือ ศรัทธาของประชาชนตลอดไป นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในงานวันสถาปนาโรงเรียนเตรียมทหาร ครบรอบปีที่ 61 และงานเกียรติยศจักรดาว ประจําปี 2562 หวังให้นักเรียนเตรียมทหาร ตระหนักถึงหน้าที่สําคัญของตนเอง มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ราชการให้สมเกียรติ เพื่อให้เป็นที่เชื่อถือ ศรัทธาของประชาชนตลอดไป วันนี้ (25 มกราคม 2562) เวลา 08.00 น. ณ โรงเรียนเตรียมทหาร อําเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในงานวันสถาปนาโรงเรียนเตรียมทหาร ครบรอบปีที่ 61 และงานเกียรติยศจักรดาว ประจําปี 2562 เพื่อเป็นเกียรติแก่ศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร และนักเรียนเตรียมทหารทุกนาย โดยมี พลเอก พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ประธานกรรมการมูลนิธิศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร หัวหน้าส่วนราชการของกระทรวงกลาโหม นักเรียนเตรียมทหารให้การต้อนรับและเข้าร่วมงาน สําหรับปีนี้มีผู้ได้รับการคัดเลือกจํานวน 17 คน ได้แก่ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ผู้บัญชาการทหารอากาศ ส่วนศิษย์เก่าที่ได้รับรางวัลเกียรติยศจักรดาวโดยการคัดสรร ได้แก่ พล.อ.อักษรา เกิดผล เตรียมทหารรุ่นที่ 14 สาขาบริหารการปกครองและเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติ พล.ร.ต.อาภากร อยู่คงแก้ว เตรียมทหารรุ่นที่ 24 สาขาบริหารการปกครองและเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติ พล.อ.สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล เตรียมทหารรุ่นที่ 16 สาขาการทหาร พล.ท.สุพจน์ มาลานิยม เตรียมทหารรุ่นที่ 22 สาขาการทหาร พ.อ.พสิษฐ์ ชาญเลขา เตรียมทหารรุ่นที่ 25 สาขาการทหาร ว่าที่ ร.ต.ชาญวิทย์ อนัคกุล เตรียมทหารรุ่นที่ 18 สาขาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม พล.อ.ธงชัย สาระสุข เตรียมทหารรุ่นที่ 19 สาขาพัฒนาสังคม พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร เตรียมทหารรุ่นที่ 12 สาขาการเมืองและการบริหารรัฐกิจ น.อ.ศาสตราจารย์ ประสงค์ ปราณีตพลกรัง เตรียมทหารรุ่นที่ 23 สาขาการศึกษา ส่วนรายชื่อศิษย์เก่าเตรียมทหารที่ได้เสียสละชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการได้รับรางวัลจักรดาวสดุดี ได้แก่ พล.อ.ท.เกริกเกียรติ สุวรรณโณ เตรียมทหารรุ่นที่ 43 ซึ่งประสบอุบัติเหตุเครื่องบินขับไล่ฝึกบิน แอล - 39 สังกัดฝูงบิน 411 กองบิน 41 จังหวัดเชียงใหม่ ตกภายในสนามกอล์ฟของเขื่อนภูมิพล หมู่ที่ 6 ต.สามเงา อ.สามเงา จ.ตาก ขณะฝึกบินโจมตีทางยุทธวิธีของกองทัพอากาศ พล.ต.เขมราช ดวงแก้ว เตรียมทหารรุ่นที่ 51 และ พล.ต.วโรฒม์ แปรงกระโทก เตรียมทหารรุ่นที่ 51 ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินใบพัดรุ่น CESSNA 182 หรือเครื่องบินลาดตระเวน แบบ 17 ของกองทัพบกตก ต.ห้วยผา อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวสดุดียกย่องผู้ที่ได้รับรางวัล “จักรดาวสดุดี” ประจําปี 2562 ทั้ง 3 ท่านที่ปฏิบัติหน้าที่เสียสละเพื่อส่วนรวม ถือเป็นการอุทิศชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ราชการทหารอย่างสมเกียรติภูมิชายชาติทหาร เพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงของชาติตลอดไป พร้อมกล่าวแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัลว่า ข้าราชการทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความอุตสาหะ ทุ่มเท เสียสละ มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีผลงานดีเด่นที่เป็นประโยชน์ต่อราชการของกองทัพ และประชาชน รวมทั้งสร้างสรรค์คุณประโยชน์ให้กับส่วนรวม ก่อให้เกิดผลดีต่อประเทศชาติตลอดระยะเวลาการรับราชการที่ผ่านมา จนเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนนับเป็นแบบอย่างที่ดี และนําชื่อเสียงความภาคภูมิใจมาสู่ศิษย์ของโรงเรียนเตรียมทหารทุกคน ซึ่งทุกรางวัลถือเป็นเกียรติยศอย่างสูงแก่วงศ์ตระกูล พร้อมกล่าวเชื่อมั่นว่าผู้ที่ได้รับรางวัล และกําลังพลของกองทัพทุกคน จะดํารงไว้ซึ่งเกียรติ ศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของข้าราชการ เพื่อให้สมกับการที่เป็นกําลังพลของกองทัพไทย และขอให้ทุกท่านปฏิบัติหน้าที่นี้อย่างเข้มแข็ง มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์เพื่อดํารงรักษาอธิปไตยและความมั่นคงปลอดภัยของบ้านเมือง ขอให้น้อมนําแนวทางจิตอาสาพระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาบูรณาการการปฏิบัติหน้าที่ราชการทหาร เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่องานราชการ โดยคํานึงถึงประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสําคัญ และหวังว่านักเรียนเตรียมทหารทุกท่านจะตระหนักถึงหน้าที่สําคัญของตนเอง และมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ราชการให้สมเกียรติภูมิของอาชีพ และการดํารงตนเป็นผู้ที่มีคุณธรรม จริยธรรม เพื่อให้เป็นที่เชื่อถือ ศรัทธาของประชาชนตลอดไป ---------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18349
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ชื่นชมหญิงสาวพิการ ถูกพ่อแม่ทิ้งตั้งแต่เด็ก แต่สู้ชีวิตสามารถจบการศึกษาปริญญาตรี ที่ จ.ปทุมธานี
วันพุธที่ 4 ตุลาคม 2560 รมว.พม. ชื่นชมหญิงสาวพิการ ถูกพ่อแม่ทิ้งตั้งแต่เด็ก แต่สู้ชีวิตสามารถจบการศึกษาปริญญาตรี ที่ จ.ปทุมธานี รมว.พม. ชื่นชมหญิงสาวพิการ ถูกพ่อแม่ทิ้งตั้งแต่เด็ก แต่สู้ชีวิตสามารถจบการศึกษาปริญญาตรี ที่ จ.ปทุมธานี และเด็กชายพิการวัย 9 ขวบ สู้ชีวิต มีความสามารถใช้เท้าวาดรูปได้อย่างสวยงาม ที่ จ.นครราชสีมา วันนี้ (4 ต.ค. 60) เวลา 07.45 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 727/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า จากกรณีหญิงสาวพิการวัย 23 ปี ที่ป่วยเป็นโรคกระดูกกระดูกเปราะ ซึ่งถูกแม่แท้ๆ พยายามทําแท้งแต่ไม่ประสบความสําเร็จ โดยพ่อและแม่ได้ทอดทิ้งไปตั้งแต่แรกเกิด แต่สู้ชีวิต ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจนจบปริญญาตรี ที่จังหวัดปทุมธานี และกรณีเด็กชายวัย 9 ขวบ ที่พิการแขน ขาลีบ อาศัยอยู่กับญาติแก่ชราเพียงลําพัง แต่สู้ชีวิต ได้ไปฝึกเรียนวิชาศิลปะจากครูจิตอาสา จนสามารถใช้เท้าวาดรูปและระบายสีได้อย่างสวยงาม โดยหวังจะใช้ความสามารถที่มีมาเป็นวิชาเลี้ยงชีพหารายได้ในอนาคต ที่อําเภอวังน้ําเขียว จังหวัดนครราชสีมา นั้น ตนขอชื่นชมผู้พิการทั้ง 2 คน ที่มีความขยันหมั่นเพียร กตัญญู มีความตั้งใจช่วยเหลือครอบครัว โดยไม่ย่อท้อต่อความยากลําบาก และประสบความสําเร็จในชีวิต นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็ก เยาวชน และคนพิการ ทั้งนี้ ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) ทั้ง 2 จังหวัด ได้แก่ พมจ.ปทุมธานี และ พมจ.นครราชสีมา พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก และคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการการศึกษาของเด็กชายดังกล่าวในระยะยาว รวมทั้ง ให้ความช่วยเหลือและคําแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคมตามความเหมาะสม อาทิ การให้คําแนะนําปรึกษาแก่ครอบครัวของเด็กชาย และหญิงสาวในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกรณีหญิงที่ร่างกายไม่แข็งแรง มีโรคประจําตัวหลายโรครุมเร้า ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูลูกชายวัย 28 ปี ที่มีความพิการทางสมองตั้งแต่กําเนิด อีกทั้งมีหลายโรครุมเร้า อาทิ โรคลมชัก ภาวะหัวใจล้มเหลว นิ่วในถุงน้ําดี และกระเพาะอาหารเป็นแผล จนร่างกายผอมซูบ ซึ่งมีน้ําหนักตัวเพียง 15 กิโลกรัม และจําเป็นต้องใช้ออกซิเจนช่วยในการหายใจตลอดเวลา ครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่มีเงินเพียงพอค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ที่อําเภอป่าซาง จังหวัดลําพูน นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดลําพูน (พมจ.ลําพูน) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยทั้งหมดอย่างใกล้ชิด รวมถึงการให้คําปรึกษาแก่ครอบครัวในเรื่องสวัสดิการทางสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม และการส่งเสริมการประกอบอาชีพให้แก่หญิงดังกล่าว เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงสําหรับครอบครัวในระยะยาวต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ชื่นชมหญิงสาวพิการ ถูกพ่อแม่ทิ้งตั้งแต่เด็ก แต่สู้ชีวิตสามารถจบการศึกษาปริญญาตรี ที่ จ.ปทุมธานี วันพุธที่ 4 ตุลาคม 2560 รมว.พม. ชื่นชมหญิงสาวพิการ ถูกพ่อแม่ทิ้งตั้งแต่เด็ก แต่สู้ชีวิตสามารถจบการศึกษาปริญญาตรี ที่ จ.ปทุมธานี รมว.พม. ชื่นชมหญิงสาวพิการ ถูกพ่อแม่ทิ้งตั้งแต่เด็ก แต่สู้ชีวิตสามารถจบการศึกษาปริญญาตรี ที่ จ.ปทุมธานี และเด็กชายพิการวัย 9 ขวบ สู้ชีวิต มีความสามารถใช้เท้าวาดรูปได้อย่างสวยงาม ที่ จ.นครราชสีมา วันนี้ (4 ต.ค. 60) เวลา 07.45 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 727/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า จากกรณีหญิงสาวพิการวัย 23 ปี ที่ป่วยเป็นโรคกระดูกกระดูกเปราะ ซึ่งถูกแม่แท้ๆ พยายามทําแท้งแต่ไม่ประสบความสําเร็จ โดยพ่อและแม่ได้ทอดทิ้งไปตั้งแต่แรกเกิด แต่สู้ชีวิต ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจนจบปริญญาตรี ที่จังหวัดปทุมธานี และกรณีเด็กชายวัย 9 ขวบ ที่พิการแขน ขาลีบ อาศัยอยู่กับญาติแก่ชราเพียงลําพัง แต่สู้ชีวิต ได้ไปฝึกเรียนวิชาศิลปะจากครูจิตอาสา จนสามารถใช้เท้าวาดรูปและระบายสีได้อย่างสวยงาม โดยหวังจะใช้ความสามารถที่มีมาเป็นวิชาเลี้ยงชีพหารายได้ในอนาคต ที่อําเภอวังน้ําเขียว จังหวัดนครราชสีมา นั้น ตนขอชื่นชมผู้พิการทั้ง 2 คน ที่มีความขยันหมั่นเพียร กตัญญู มีความตั้งใจช่วยเหลือครอบครัว โดยไม่ย่อท้อต่อความยากลําบาก และประสบความสําเร็จในชีวิต นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็ก เยาวชน และคนพิการ ทั้งนี้ ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) ทั้ง 2 จังหวัด ได้แก่ พมจ.ปทุมธานี และ พมจ.นครราชสีมา พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก และคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการการศึกษาของเด็กชายดังกล่าวในระยะยาว รวมทั้ง ให้ความช่วยเหลือและคําแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคมตามความเหมาะสม อาทิ การให้คําแนะนําปรึกษาแก่ครอบครัวของเด็กชาย และหญิงสาวในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกรณีหญิงที่ร่างกายไม่แข็งแรง มีโรคประจําตัวหลายโรครุมเร้า ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูลูกชายวัย 28 ปี ที่มีความพิการทางสมองตั้งแต่กําเนิด อีกทั้งมีหลายโรครุมเร้า อาทิ โรคลมชัก ภาวะหัวใจล้มเหลว นิ่วในถุงน้ําดี และกระเพาะอาหารเป็นแผล จนร่างกายผอมซูบ ซึ่งมีน้ําหนักตัวเพียง 15 กิโลกรัม และจําเป็นต้องใช้ออกซิเจนช่วยในการหายใจตลอดเวลา ครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่มีเงินเพียงพอค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ที่อําเภอป่าซาง จังหวัดลําพูน นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดลําพูน (พมจ.ลําพูน) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยทั้งหมดอย่างใกล้ชิด รวมถึงการให้คําปรึกษาแก่ครอบครัวในเรื่องสวัสดิการทางสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม และการส่งเสริมการประกอบอาชีพให้แก่หญิงดังกล่าว เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงสําหรับครอบครัวในระยะยาวต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7175
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชน นักท่องเที่ยวเข้าชมงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 3-5 สิงหาคม นี้
วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม 2561 นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชน นักท่องเที่ยวเข้าชมงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 3-5 สิงหาคม นี้ นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชน นักท่องเที่ยวเข้าชมงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 3-5 สิงหาคม 2561 ณ เพลนารี ฮอลล์ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ วันนี้ (31 กรกฎาคม 2561) เวลา 08.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ บริเวณโถงกลางตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นําคณะเข้าพบ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงาน “มหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติประจําปี 2561” เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 อัคราภิรักษศิลปิน โดย นายกรัฐมนตรีชมตัวอย่างกิจกรรมการสาธิตแต่งการชุดไทยพระราชนิยม การปักผ้าโขน การเขียนหัวโขน ผลิตภัณฑ์ของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ซึ่งกําหนดจัดระหว่างวันที่ 3 - 5 สิงหาคม 2561 ณ เพลนารี ฮอลล์ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวรายงานว่าภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อเจริญรอยตามเบื้องยุคคลบาทของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงทํานุบํารุงงานศิลปวัฒนธรรมของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยการเสนออัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่มีความโดดเด่นที่ได้สร้างความภาคภูมิใจให้แต่ละท้องถิ่น การจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์และการออกร้านจําหน่ายผลิตภัณฑ์ของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นอกจากนี้ งานมหกรรมวัฒนธรรมมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ นิทรรศการและการสาธิตมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอาทิ การทําเครื่องรัก เครื่องเงิน เครื่องถม การทําเครื่องสด การร้อยมาลัย และใบตอง การสาธิตการทํายาสมุนไพรไทยจากตํารายาหลวงปู่ศุข การสาธิตการทําเรือนโคราชจําลอง การสาธิตช่างสิบหมู่ การสาธิตการแสดงผลงานของศิลปินแห่งชาติ และผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมและทายาท เช่น การทอผ้าจกเมืองลอง โดยแม่ประนอม ทาแปง ศิลปินแห่งชาติ งานปูนปั้นเมืองเพชร การทอผ้ากาบบัว โดยทายาทแม่คําปุน สีใส เล่าเรื่องศาสตร์ โชว์เรื่องศิลป์ ถิ่น กทม. จําลองตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรม ถนนสายวัฒนธรรม 10 สาย ชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม แหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมจากเครือข่ายวัมนธรรมทั่วประเทศ การแสดงทางวัฒนธรรมนาฏศิลป์พื้นบ้าน อาทิ เพลงพื้นบ้าน หมอลํา ลิเก โนรา ขับซอ งิ้ว ละครชาตรี การแสดงละครหุ่นละครเล็ก ที่หาชมได้ยาก การสาธิตและจําหน่ายสินค้าภูมิปัญญาวัฒนธรรมจากทั่วประเทศ การเดินแฟชั่นโชว์ผ้าไทย การสาธิตแต่งกายผ้าไทย การถ่ายภาพย้อนยุค นอกจากนี้ ยังมีการประชุมวิชาการทางวัฒนธรรมแห่งชาติ การวิจัยวัฒนธรรมครั้งที่ 8 ภายในงานด้วย โดยการจัดงานในครั้งนี้ เป็นการผสานความร่วมมือจากไหลายภาคส่วน ทั้งมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กระทรวงวัฒนธรรม สภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร สมาคมศิลปินพื้นบ้านและภาคเอกชน ผู้ประกอบการร้านค้า และในงานยังมีการเปิดพื้นที่ให้ชุมชนมีรายได้จากการนําทุนทางวัฒนธรรมมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้สู่เด็กและเยาวชน รวมถึงส่งเสริมรายได้ให้แก่ศิลปินพื้นบ้าน ตามนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนประชาชน นักท่องเที่ยวเข้าชมงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 3-5 สิงหาคม 2561 ณ เพลนารี ฮอลล์ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ..................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชน นักท่องเที่ยวเข้าชมงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 3-5 สิงหาคม นี้ วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม 2561 นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชน นักท่องเที่ยวเข้าชมงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 3-5 สิงหาคม นี้ นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชน นักท่องเที่ยวเข้าชมงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 3-5 สิงหาคม 2561 ณ เพลนารี ฮอลล์ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ วันนี้ (31 กรกฎาคม 2561) เวลา 08.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ บริเวณโถงกลางตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นําคณะเข้าพบ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงาน “มหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติประจําปี 2561” เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 อัคราภิรักษศิลปิน โดย นายกรัฐมนตรีชมตัวอย่างกิจกรรมการสาธิตแต่งการชุดไทยพระราชนิยม การปักผ้าโขน การเขียนหัวโขน ผลิตภัณฑ์ของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ซึ่งกําหนดจัดระหว่างวันที่ 3 - 5 สิงหาคม 2561 ณ เพลนารี ฮอลล์ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวรายงานว่าภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อเจริญรอยตามเบื้องยุคคลบาทของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงทํานุบํารุงงานศิลปวัฒนธรรมของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยการเสนออัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่มีความโดดเด่นที่ได้สร้างความภาคภูมิใจให้แต่ละท้องถิ่น การจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์และการออกร้านจําหน่ายผลิตภัณฑ์ของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นอกจากนี้ งานมหกรรมวัฒนธรรมมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ นิทรรศการและการสาธิตมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอาทิ การทําเครื่องรัก เครื่องเงิน เครื่องถม การทําเครื่องสด การร้อยมาลัย และใบตอง การสาธิตการทํายาสมุนไพรไทยจากตํารายาหลวงปู่ศุข การสาธิตการทําเรือนโคราชจําลอง การสาธิตช่างสิบหมู่ การสาธิตการแสดงผลงานของศิลปินแห่งชาติ และผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมและทายาท เช่น การทอผ้าจกเมืองลอง โดยแม่ประนอม ทาแปง ศิลปินแห่งชาติ งานปูนปั้นเมืองเพชร การทอผ้ากาบบัว โดยทายาทแม่คําปุน สีใส เล่าเรื่องศาสตร์ โชว์เรื่องศิลป์ ถิ่น กทม. จําลองตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรม ถนนสายวัฒนธรรม 10 สาย ชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม แหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมจากเครือข่ายวัมนธรรมทั่วประเทศ การแสดงทางวัฒนธรรมนาฏศิลป์พื้นบ้าน อาทิ เพลงพื้นบ้าน หมอลํา ลิเก โนรา ขับซอ งิ้ว ละครชาตรี การแสดงละครหุ่นละครเล็ก ที่หาชมได้ยาก การสาธิตและจําหน่ายสินค้าภูมิปัญญาวัฒนธรรมจากทั่วประเทศ การเดินแฟชั่นโชว์ผ้าไทย การสาธิตแต่งกายผ้าไทย การถ่ายภาพย้อนยุค นอกจากนี้ ยังมีการประชุมวิชาการทางวัฒนธรรมแห่งชาติ การวิจัยวัฒนธรรมครั้งที่ 8 ภายในงานด้วย โดยการจัดงานในครั้งนี้ เป็นการผสานความร่วมมือจากไหลายภาคส่วน ทั้งมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กระทรวงวัฒนธรรม สภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร สมาคมศิลปินพื้นบ้านและภาคเอกชน ผู้ประกอบการร้านค้า และในงานยังมีการเปิดพื้นที่ให้ชุมชนมีรายได้จากการนําทุนทางวัฒนธรรมมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้สู่เด็กและเยาวชน รวมถึงส่งเสริมรายได้ให้แก่ศิลปินพื้นบ้าน ตามนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนประชาชน นักท่องเที่ยวเข้าชมงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 3-5 สิงหาคม 2561 ณ เพลนารี ฮอลล์ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ..................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14238
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรรมการบริหารและประธานกลุ่มระบบอิเล็กทรอนิกส์ บริษัท Mitsubishi Electric เข้าพบหารือกับรองนายกรัฐมนตรี
วันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคม 2560 กรรมการบริหารและประธานกลุ่มระบบอิเล็กทรอนิกส์ บริษัท Mitsubishi Electric เข้าพบหารือกับรองนายกรัฐมนตรี กรรมการบริหารและประธานกลุ่มระบบอิเล็กทรอนิกส์ บริษัท Mitsubishi Electric เข้าพบหารือกับรองนายกรัฐมนตรี วันนี้ (5 ต.ค. 2560) เวลา 10.30 น. นาย Masamitsu Okamura กรรมการบริหารและประธานกลุ่มระบบอิเล็กทรอนิกส์ บริษัท Mitsubishi Electric เข้าพบหารือกับรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญของการสนทนา ดังนี้ ทั้งสองฝ่ายกล่าวยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง หลังจากที่ได้พบกันในการศึกษาดูงานของรองนายกรัฐมนตรีที่บริษัท Mitsubishi Electric เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยรองนายกรัฐมนตรีได้มีโอกาสเยี่ยมชมและศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีดาวเทียมของบริษัทฯ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมความสามารถทางเทคโนโลยีของญี่ปุ่นที่มีความก้าวหน้าอย่างมาก โดยรองนายกรัฐมนตรีหวังว่า Mitsubishi Electric จะพิจารณาเข้ามาลงทุนในพื้นที่ EEC ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รัฐบาลไทยกําลังเร่งผลักดัน เพื่อยกขีดความสามารถของอุตสาหกรรมดิจิทัลในไทย ซึ่งอุตสาหกรรมดาวเทียมและส่วนประกอบเป็นอุตสาหกรรมกลุ่มเป้าหมายของเขตส่งเสริมดังกล่าว ด้านบริษัท Mitsubishi Electric กล่าวว่าเมื่อเดือนที่ผ่านมา ได้เดินทางร่วมไปกับคณะนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เพื่อไปศึกษาและดูงานที่พื้นที่ EEC โดยบริษัทฯยินดีที่ได้เห็นและทราบถึงพัฒนาการด้านเทคโนโลยีของไทย โดยจะนําข้อมูลที่ได้รับทราบกลับไปพิจารณา และหวังว่าจะได้ร่วมมือกับไทยในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะในด้าน IoT ที่ได้ทราบว่า ไทยให้ความสําคัญและพัฒนาสาขานี้เป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นสาขาที่ Mitsubishi Electric มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ ในตอนท้าย ทั้งสองฝ่ายยังได้กล่าวย้ําถึงความพร้อมที่จะกระชับความร่วมมือ และรองนายกรัฐมนตรีหวังว่าการเดินทางมาเยือนไทยของคณะกรรมการบริหารและประธานกลุ่มระบบอิเล็กทรอนิกส์ บริษัท Mitsubishi Electric ในครั้งนี้จะประสบความสําเร็จและบรรลุผลตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ *************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรรมการบริหารและประธานกลุ่มระบบอิเล็กทรอนิกส์ บริษัท Mitsubishi Electric เข้าพบหารือกับรองนายกรัฐมนตรี วันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคม 2560 กรรมการบริหารและประธานกลุ่มระบบอิเล็กทรอนิกส์ บริษัท Mitsubishi Electric เข้าพบหารือกับรองนายกรัฐมนตรี กรรมการบริหารและประธานกลุ่มระบบอิเล็กทรอนิกส์ บริษัท Mitsubishi Electric เข้าพบหารือกับรองนายกรัฐมนตรี วันนี้ (5 ต.ค. 2560) เวลา 10.30 น. นาย Masamitsu Okamura กรรมการบริหารและประธานกลุ่มระบบอิเล็กทรอนิกส์ บริษัท Mitsubishi Electric เข้าพบหารือกับรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญของการสนทนา ดังนี้ ทั้งสองฝ่ายกล่าวยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง หลังจากที่ได้พบกันในการศึกษาดูงานของรองนายกรัฐมนตรีที่บริษัท Mitsubishi Electric เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยรองนายกรัฐมนตรีได้มีโอกาสเยี่ยมชมและศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีดาวเทียมของบริษัทฯ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมความสามารถทางเทคโนโลยีของญี่ปุ่นที่มีความก้าวหน้าอย่างมาก โดยรองนายกรัฐมนตรีหวังว่า Mitsubishi Electric จะพิจารณาเข้ามาลงทุนในพื้นที่ EEC ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รัฐบาลไทยกําลังเร่งผลักดัน เพื่อยกขีดความสามารถของอุตสาหกรรมดิจิทัลในไทย ซึ่งอุตสาหกรรมดาวเทียมและส่วนประกอบเป็นอุตสาหกรรมกลุ่มเป้าหมายของเขตส่งเสริมดังกล่าว ด้านบริษัท Mitsubishi Electric กล่าวว่าเมื่อเดือนที่ผ่านมา ได้เดินทางร่วมไปกับคณะนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เพื่อไปศึกษาและดูงานที่พื้นที่ EEC โดยบริษัทฯยินดีที่ได้เห็นและทราบถึงพัฒนาการด้านเทคโนโลยีของไทย โดยจะนําข้อมูลที่ได้รับทราบกลับไปพิจารณา และหวังว่าจะได้ร่วมมือกับไทยในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะในด้าน IoT ที่ได้ทราบว่า ไทยให้ความสําคัญและพัฒนาสาขานี้เป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นสาขาที่ Mitsubishi Electric มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ ในตอนท้าย ทั้งสองฝ่ายยังได้กล่าวย้ําถึงความพร้อมที่จะกระชับความร่วมมือ และรองนายกรัฐมนตรีหวังว่าการเดินทางมาเยือนไทยของคณะกรรมการบริหารและประธานกลุ่มระบบอิเล็กทรอนิกส์ บริษัท Mitsubishi Electric ในครั้งนี้จะประสบความสําเร็จและบรรลุผลตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ *************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7188
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ย้ำมุ่งปลูกฝังเด็ก รู้หน้าที่ มีวินัย เสียสละ อดทนต่อสู้กับอุปสรรคให้พร้อมดำเนินชีวิตในโลกศตวรรษที่ 21
วันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2563 นายกรัฐมนตรี ย้ํามุ่งปลูกฝังเด็ก รู้หน้าที่ มีวินัย เสียสละ อดทนต่อสู้กับอุปสรรคให้พร้อมดําเนินชีวิตในโลกศตวรรษที่ 21 นายกรัฐมนตรี ให้โอวาทแก่เยาวชนสัมพันธ์ เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563 ย้ําเด็ก เยาวชน รู้หน้าที่ มีระเบียบวินัย มีความเสียสละ ซื่อสัตย์สุจริต ประหยัดอดออม และอดทนต่อสู้กับอุปสรรคให้พร้อมดําเนินชีวิตในโลกศตวรรษที่ 21 วันนี้ (11 ม.ค.63) เวลา 09.30 น.ณบริเวณคุรุสภา ถนนลูกหลวง กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เยี่ยมเยียนและให้โอวาทแก่เยาวชนสัมพันธ์ที่ผ่านการอบรมในปี 2562 จํานวน 1,550 คน เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563 จัดโดยกองบัญชาการตํารวจนครบาล ซึ่งโครงการดังกล่าวดําเนินการตั้งแต่ปี 2519 จนถึงปัจจุบัน เพื่อฝึกอบรมเด็กและเยาวชนตามแหล่งชุมชนต่าง ๆ ในเขตกรุงเทพฯ ที่มีอายุระหว่าง 8 -14 ปี เพื่อพัฒนาและปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนเป็นผู้มีระเบียบวินัย มีความสามัคคี รักหมู่คณะ รู้จักบําเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม มีความซื่อสัตย์ ฝึกนิสัยให้รู้จักประหยัด อดออม และอดทนต่อสู้กับอุปสรรค์ในการเนินชีวิตประจําวัน ตลอดจนละเว้นจากอบายมุข ทั้งนี้ ได้ทําการฝึกอบรมเยาวชนไปแล้ว 384 รุ่น และมีสมาชิกเยาวชนสัมพันธ์รวมทั้งสิ้น 133,603 คน โดยมี พลตํารวจโท ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตํารวจนครบาล คณะกรรมการอํานวยการเยาวชนสัมพันธ์ คณะชมรมแม่บ้านตํารวจนครบาล คณะเยาวชนสัมพันธ์ เข้าร่วมงาน ตัวแทนเยาวชนฯ ได้มอบช่อดอกไม้และกล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่เสียสละเวลามาให้โอวาทเยาวชนสัมพันธ์แม้นายกรัฐมนตรีจะมีภารกิจต่าง ๆ มากมายในการบริหารประเทศก็ตาม ซึ่งเยาวชนสัมพันธ์สัญญาจะทําหน้าที่ของตนเองโดยตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้ประสบผลสําเร็จ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ จะไม่เกี่ยวข้องกับอบายมุขและสิ่งเสพติด เคารพกฎหมาย สิทธิของผู้อื่น เห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน และจะปฏิบัติตามคําขวัญที่นายกรัฐมนตรีได้มอบให้แก่เด็กและเยาวชน “เด็กไทยยุคใหม่ รู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย” เพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่มีคุณค่าในอนาคต โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่ารู้สึกดีใจที่ได้มาพบกับเด็กและเยาวชนสัมพันธ์อีกครั้งหนึ่ง และขอบคุณสํานักงานตํารวจแห่งชาติ กองบัญชาการตํารวจนครบาล คณะกรรมการอํานวยการเยาวชนสัมพันธ์ และชมรมแม่บ้านตํารวจนครบาล ที่ได้ร่วมมือร่วมใจกันดําเนินโครงการเยาวชนสัมพันธ์ ซึ่งเป็นโครงการที่ก่อประโยชน์โดยตรงต่อเด็กและเยาวชนของชาติ ที่ถือเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่จะเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาสังคมและประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้าในอนาคตสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุขรวมถึงสอดคล้องความเจริญก้าวหน้า ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําว่าต้องการมุ่งปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนเป็นผู้มีระเบียบวินัย มีความเสียสละ ตลอดจนมีความซื่อสัตย์สุจริต มีความประหยัดอดออม มีความอดทนต่อสู้กับอุปสรรค และสิ่งเร้าต่าง ๆ สามารถนําความรู้และความอดทนต่ออุปสรรคไปแก้ปัญหาในครอบครอบ เชื่อฟังพ่อแม่ รู้จักใช้จ่ายเงินตามศักยภาพของตนเองและครอบครัวโดยไม่ทําให้พ่อแม่เดือดร้อน ขณะเดียวกันต้องศึกษาและเรียนรู้เตรียมความพร้อมให้ทันกับการเปลี่ยนแปลของโลกเพื่อให้มีความพร้อมในการดําเนินชีวิตในโลกศตวรรษที่ 21 รวมทั้งส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนทุกคนได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมกับช่วงวัยเพื่อให้ทุกคนเป็นคนดี คนเก่ง มีคุณภาพและคุณธรรม รวมถึงให้ความสําคัญกับสถาบันครอบครัวที่เข้มแข็ง ที่จะเป็นกลไกปลูกฝังความคิดดี ทําดี การมีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีคุณธรรม จริยธรรมเพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคตที่พร้อมไปด้วยคุณภาพและคุณธรรม เป็นพลังสําคัญสร้างสรรค์สิ่งที่ดีแก่สังคมและประเทศชาติ ให้สามารถพัฒนาประเทศมีความเจริญก้าวหน้าตลอดไป จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เดินทักทายเยาวชนสัมพันธ์ และถ่ายภาพเซลฟี่ร่วมกับเยาวชนสัมพันธ์อย่างเป็นกันเอง ก่อนเดินทางกลับมายังทําเนียบรัฐบาล เพื่อร่วมงานวันเด็กแห่งชาติที่ทําเนียบรัฐบาลต่อไป ------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ย้ำมุ่งปลูกฝังเด็ก รู้หน้าที่ มีวินัย เสียสละ อดทนต่อสู้กับอุปสรรคให้พร้อมดำเนินชีวิตในโลกศตวรรษที่ 21 วันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2563 นายกรัฐมนตรี ย้ํามุ่งปลูกฝังเด็ก รู้หน้าที่ มีวินัย เสียสละ อดทนต่อสู้กับอุปสรรคให้พร้อมดําเนินชีวิตในโลกศตวรรษที่ 21 นายกรัฐมนตรี ให้โอวาทแก่เยาวชนสัมพันธ์ เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563 ย้ําเด็ก เยาวชน รู้หน้าที่ มีระเบียบวินัย มีความเสียสละ ซื่อสัตย์สุจริต ประหยัดอดออม และอดทนต่อสู้กับอุปสรรคให้พร้อมดําเนินชีวิตในโลกศตวรรษที่ 21 วันนี้ (11 ม.ค.63) เวลา 09.30 น.ณบริเวณคุรุสภา ถนนลูกหลวง กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เยี่ยมเยียนและให้โอวาทแก่เยาวชนสัมพันธ์ที่ผ่านการอบรมในปี 2562 จํานวน 1,550 คน เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563 จัดโดยกองบัญชาการตํารวจนครบาล ซึ่งโครงการดังกล่าวดําเนินการตั้งแต่ปี 2519 จนถึงปัจจุบัน เพื่อฝึกอบรมเด็กและเยาวชนตามแหล่งชุมชนต่าง ๆ ในเขตกรุงเทพฯ ที่มีอายุระหว่าง 8 -14 ปี เพื่อพัฒนาและปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนเป็นผู้มีระเบียบวินัย มีความสามัคคี รักหมู่คณะ รู้จักบําเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม มีความซื่อสัตย์ ฝึกนิสัยให้รู้จักประหยัด อดออม และอดทนต่อสู้กับอุปสรรค์ในการเนินชีวิตประจําวัน ตลอดจนละเว้นจากอบายมุข ทั้งนี้ ได้ทําการฝึกอบรมเยาวชนไปแล้ว 384 รุ่น และมีสมาชิกเยาวชนสัมพันธ์รวมทั้งสิ้น 133,603 คน โดยมี พลตํารวจโท ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตํารวจนครบาล คณะกรรมการอํานวยการเยาวชนสัมพันธ์ คณะชมรมแม่บ้านตํารวจนครบาล คณะเยาวชนสัมพันธ์ เข้าร่วมงาน ตัวแทนเยาวชนฯ ได้มอบช่อดอกไม้และกล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่เสียสละเวลามาให้โอวาทเยาวชนสัมพันธ์แม้นายกรัฐมนตรีจะมีภารกิจต่าง ๆ มากมายในการบริหารประเทศก็ตาม ซึ่งเยาวชนสัมพันธ์สัญญาจะทําหน้าที่ของตนเองโดยตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้ประสบผลสําเร็จ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ จะไม่เกี่ยวข้องกับอบายมุขและสิ่งเสพติด เคารพกฎหมาย สิทธิของผู้อื่น เห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน และจะปฏิบัติตามคําขวัญที่นายกรัฐมนตรีได้มอบให้แก่เด็กและเยาวชน “เด็กไทยยุคใหม่ รู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย” เพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่มีคุณค่าในอนาคต โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่ารู้สึกดีใจที่ได้มาพบกับเด็กและเยาวชนสัมพันธ์อีกครั้งหนึ่ง และขอบคุณสํานักงานตํารวจแห่งชาติ กองบัญชาการตํารวจนครบาล คณะกรรมการอํานวยการเยาวชนสัมพันธ์ และชมรมแม่บ้านตํารวจนครบาล ที่ได้ร่วมมือร่วมใจกันดําเนินโครงการเยาวชนสัมพันธ์ ซึ่งเป็นโครงการที่ก่อประโยชน์โดยตรงต่อเด็กและเยาวชนของชาติ ที่ถือเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่จะเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาสังคมและประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้าในอนาคตสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุขรวมถึงสอดคล้องความเจริญก้าวหน้า ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําว่าต้องการมุ่งปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนเป็นผู้มีระเบียบวินัย มีความเสียสละ ตลอดจนมีความซื่อสัตย์สุจริต มีความประหยัดอดออม มีความอดทนต่อสู้กับอุปสรรค และสิ่งเร้าต่าง ๆ สามารถนําความรู้และความอดทนต่ออุปสรรคไปแก้ปัญหาในครอบครอบ เชื่อฟังพ่อแม่ รู้จักใช้จ่ายเงินตามศักยภาพของตนเองและครอบครัวโดยไม่ทําให้พ่อแม่เดือดร้อน ขณะเดียวกันต้องศึกษาและเรียนรู้เตรียมความพร้อมให้ทันกับการเปลี่ยนแปลของโลกเพื่อให้มีความพร้อมในการดําเนินชีวิตในโลกศตวรรษที่ 21 รวมทั้งส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนทุกคนได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมกับช่วงวัยเพื่อให้ทุกคนเป็นคนดี คนเก่ง มีคุณภาพและคุณธรรม รวมถึงให้ความสําคัญกับสถาบันครอบครัวที่เข้มแข็ง ที่จะเป็นกลไกปลูกฝังความคิดดี ทําดี การมีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีคุณธรรม จริยธรรมเพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคตที่พร้อมไปด้วยคุณภาพและคุณธรรม เป็นพลังสําคัญสร้างสรรค์สิ่งที่ดีแก่สังคมและประเทศชาติ ให้สามารถพัฒนาประเทศมีความเจริญก้าวหน้าตลอดไป จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เดินทักทายเยาวชนสัมพันธ์ และถ่ายภาพเซลฟี่ร่วมกับเยาวชนสัมพันธ์อย่างเป็นกันเอง ก่อนเดินทางกลับมายังทําเนียบรัฐบาล เพื่อร่วมงานวันเด็กแห่งชาติที่ทําเนียบรัฐบาลต่อไป ------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25718
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข้อแนะนำการใช้หน้ากากอนามัยของเด็ก
วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2563 ข้อแนะนําการใช้หน้ากากอนามัยของเด็ก เด็กเล็กควรสวมหน้ากากอนามัยหรือไม่ -เด็กอายุต่ํากว่า 2 ไม่ควรสวมหน้ากากอนามัย -เด็กอายุ 2 ปีขึ้นไปควสวมหน้ากากอนามัย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข้อแนะนำการใช้หน้ากากอนามัยของเด็ก วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2563 ข้อแนะนําการใช้หน้ากากอนามัยของเด็ก เด็กเล็กควรสวมหน้ากากอนามัยหรือไม่ -เด็กอายุต่ํากว่า 2 ไม่ควรสวมหน้ากากอนามัย -เด็กอายุ 2 ปีขึ้นไปควสวมหน้ากากอนามัย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31762
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุมองค์กรหลัก 20 มิถุนายน 2560
วันพุธที่ 21 มิถุนายน 2560 ผลประชุมองค์กรหลัก 20 มิถุนายน 2560 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมองค์กรหลัก ครั้งที่ 23/2560 ดร.กมล รอดคล้าย เลขาธิการสภาการศึกษาในฐานะโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมว่า ที่ประชุมได้รับทราบประเด็นข้อสั่งการจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งประเด็นที่ได้หารือในที่ประชุม ดังนี้ ● การปรับเปลี่ยนให้กระทรวงศึกษาธิการดูแล สมศ. ส่วนITDโยกให้กระทรวงพาณิชย์ดูแล จากการที่นายกรัฐมนตรีได้มีดําริให้ทบทวนและพิจารณาความจําเป็นของหน่วยงานในกํากับของกระทรวงต่าง ๆ ที่มีอยู่ถึง 38 หน่วยงาน ซึ่งพบว่ามีหน่วยงานที่ต้องคงไว้ 32 แห่ง โดยไม่มีการเพิ่มบุคลากร และคณะรัฐมนตรีมีมติที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ คือเห็นชอบการปรับเปลี่ยนให้สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) หรือ สมศ. มาอยู่ในกํากับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ และปรับเปลี่ยนให้สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ ITD ไปอยู่ในกํากับของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่ง รมว.ศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง สมศ. ต่อไป ●การกําหนดตัวชี้วัดการปฏิรูปการศึกษาที่ชัดเจน นายกรัฐมนตรีตระหนักว่ากระทรวงศึกษาธิการมีภารกิจที่ต้องเร่งดําเนินการมากมายในการขับเคลื่อนแผนปฏิรูปการศึกษา จึงควรที่จะกําหนดตัวชี้วัดการทํางานของทุกหน่วยงานให้ชัดเจนโดยเฉพาะศึกษาธิการภาค และศึกษาธิการจังหวัด ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่พร้อมทั้งขอให้ช่วยกันลดความขัดแย้ง เพื่อขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการตามแผนที่กําหนด และมุ่งทํางานที่ถึงตัวเด็กจริง ๆ เช่น การประสานเชื่อมโยงกับสถานประกอบการในพื้นที่ เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนชั้น ม.3 ได้ฝึกงานฝึกประสบการณ์จากการปฏิบัติจริง, การดูแลเด็กพิการให้ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึงในทุกระดับทุกสังกัด เป็นต้น ●ให้ ศธจ.เป็นหลักในการขับเคลื่อนศาสตร์พระราชาเข้าสู่ระบบการศึกษาและเรียนรู้อย่างจริงจัง นายกรัฐมนตรีได้รับมอบเอกสาร “การขับเคลื่อนศาสตร์พระราชาสู่การปฏิรูปประเทศ” จากสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ซึ่งได้วิเคราะห์ศาสตร์พระราชาในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่รัฐบาลและคนไทยควรถือเป็นกรอบทิศทางในการพัฒนาองค์ความรู้ของประเทศนําไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน มีเนื้อหาประกอบด้วยหลักการ 4 เรื่อง ได้แก่ แนวคิด “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา”, แนวคิดภูมิสังคม, หลักการทรงงาน 23 ข้อ, การสร้างคนด้วยการศึกษาและการเรียนรู้ พร้อมทั้งค้นพบว่าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจะกลายเป็นปรัชญาหลักของโลกในอนาคต ทั้งนี้ รมว.ศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้ศึกษาธิการจังหวัดทั่วประเทศประสานกับทุกหน่วยงานในพื้นที่ทั้งระดับจังหวัดและอําเภอนําศาสตร์พระราชาเข้าสู่ระบบการศึกษาและเรียนรู้ เพื่อเป็นการให้ความรู้ที่จะติดตัวเด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ไปจนเติบโต และเพื่อให้ศาสตร์พระราชาเป็นแกนในการขับเคลื่อนประเทศได้อย่างยั่งยืน ●การแต่งตั้งบุคคลในคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ที่ประชุมได้รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2560 ซึ่งมีมติแต่งตั้งบุคคลในตําแหน่งสําคัญ ดังนี้ รองประธานคณะกรรมการได้แก่ นางดารณี อุทัยรัตนกิจ และนายวิวัฒน์ ศัลยกําธร คณะอนุกรรมการ 6 ด้านได้แก่ -คณะอนุกรรมการเด็กเล็ก: นายวิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ เป็นประธาน -คณะอนุกรรมการกองทุน: นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล เป็นประธาน -คณะอนุกรรมการครู มีนายวิวัฒน์ เป็นประธาน -คณะอนุกรรมการการจัดการเรียนการสอน: นางยุวดี นาคะผดุงรัตน์ เป็นประธาน -คณะอนุกรรมการโครงสร้าง: นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร เป็นประธาน -คณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นและสื่อสารสังคม: นายตวง อันทะไชย เป็นประธาน โฆษกคณะกรรมการได้แก่ ผศ.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ และนางภัทรียา สุมะโน ทั้งนี้ ได้มีการเปิดเฟซบุ๊คและไลน์ ใช้ชื่อว่า"ร่วมปฏิรูปการศึกษาไทย”เพื่อเป็นช่องทางในการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอต่อการปฏิรูปการศึกษาจากภาคส่วนต่าง ๆ ●ศธ.เตรียมปรับปรุงฐานข้อมูลและเทคโนโลยีสารสนเทศครั้งใหญ่ รมว.ศึกษาธิการ มอบหมายให้รศ.นพ.โศภณ นภาธร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงศึกษาธิการรับผิดชอบดูแลการปรับปรุงระบบฐานข้อมูลและเทคโนโลยีสารสนเทศของกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง เช่น สป. สพฐ. สอศ. สกอ. เพื่อให้มีฐานข้อมูลกลางด้านการศึกษาที่อยู่ในระบบเดียวกัน เชื่อมโยงถึงกัน มีความทันสมัย และสามารถนําไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนการทํางาน ขับเคลื่อนนโยบาย ตลอดจนจัดสรรงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการจัดการศึกษาโดยฐานข้อมูลต้องประกอบด้วยข้อมูล 4 ด้าน คือ ข้อมูลผู้เรียน, ข้อมูลครู, ข้อมูลสถานศึกษาทุกระดับ, ข้อมูลบุคลากร ในเรื่องนี้กระทรวงศึกษาธิการมีความพยายามที่จะดําเนินการมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่สําเร็จ เพราะฐานข้อมูลของแต่ละหน่วยงานอยู่คนละระบบกัน จึงเชื่อมโยงกันได้ยากครั้งนี้ถือเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ที่หวังผลให้นําข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และหากมีความจําเป็นจริงอาจจะต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาช่วยวางระบบโดยในส่วนของค่าใช้จ่ายจะรับการสนับสนุนงบประมาณจากหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อโรงเรียนและเด็ก ●เตรียมความร่วมมืออาชีวะทวิภาคีครั้งใหญ่ สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า ได้เตรียมจัดพิธีลงนามความร่วมมือการจัดการศึกษาทวิภาคีร่วมกับบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จํากัด ในวันที่ 23 มิถุนายน 2560 เวลา 13.39 น. เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนนักศึกษาของ สอศ.กว่า 6 แสนคนได้รับประสบการณ์การทํางานจริงในทุกสายงานในร้านไฮเปอร์มาร์ทขนาดใหญ่ (BigC)กว่า 800 สาขาทั่วประเทศ จึงถือเป็นความร่วมมือในระบบทวิภาคีครั้งสําคัญ และตอบสนองแนวคิดของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้ผู้เรียนอาชีวศึกษาได้รับประสบการณ์การทํางาน (WorkExperience) จากสถานประกอบการจริง ●ประเด็นเรียกรับเงินเข้าเรียน ดร.กมล รอดคล้าย กล่าวด้วยว่า รมว.ศึกษาธิการได้ขอให้ดําเนินการเรื่องนี้ไปตามระเบียบและขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม และเมื่อมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงแล้ว หากพบประเด็นใดก็ต้องตั้งกรรมการสอบสวนต่อไปตามลําดับ ในส่วนของผู้ถูกกล่าวหา หากไม่ได้กระทําความผิดจริง ก็ขอให้ต่อสู้และพยายามพิสูจน์ตัวเองให้ได้แต่หากพบว่าเรียกรับเงินจริง ก็ถือว่ามีความผิดในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีและกํากับดูแลควบคุมระบบการรับนักเรียน จะไม่ปกป้องใครทั้งนั้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุมองค์กรหลัก 20 มิถุนายน 2560 วันพุธที่ 21 มิถุนายน 2560 ผลประชุมองค์กรหลัก 20 มิถุนายน 2560 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมองค์กรหลัก ครั้งที่ 23/2560 ดร.กมล รอดคล้าย เลขาธิการสภาการศึกษาในฐานะโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมว่า ที่ประชุมได้รับทราบประเด็นข้อสั่งการจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งประเด็นที่ได้หารือในที่ประชุม ดังนี้ ● การปรับเปลี่ยนให้กระทรวงศึกษาธิการดูแล สมศ. ส่วนITDโยกให้กระทรวงพาณิชย์ดูแล จากการที่นายกรัฐมนตรีได้มีดําริให้ทบทวนและพิจารณาความจําเป็นของหน่วยงานในกํากับของกระทรวงต่าง ๆ ที่มีอยู่ถึง 38 หน่วยงาน ซึ่งพบว่ามีหน่วยงานที่ต้องคงไว้ 32 แห่ง โดยไม่มีการเพิ่มบุคลากร และคณะรัฐมนตรีมีมติที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ คือเห็นชอบการปรับเปลี่ยนให้สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) หรือ สมศ. มาอยู่ในกํากับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ และปรับเปลี่ยนให้สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ ITD ไปอยู่ในกํากับของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่ง รมว.ศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง สมศ. ต่อไป ●การกําหนดตัวชี้วัดการปฏิรูปการศึกษาที่ชัดเจน นายกรัฐมนตรีตระหนักว่ากระทรวงศึกษาธิการมีภารกิจที่ต้องเร่งดําเนินการมากมายในการขับเคลื่อนแผนปฏิรูปการศึกษา จึงควรที่จะกําหนดตัวชี้วัดการทํางานของทุกหน่วยงานให้ชัดเจนโดยเฉพาะศึกษาธิการภาค และศึกษาธิการจังหวัด ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่พร้อมทั้งขอให้ช่วยกันลดความขัดแย้ง เพื่อขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการตามแผนที่กําหนด และมุ่งทํางานที่ถึงตัวเด็กจริง ๆ เช่น การประสานเชื่อมโยงกับสถานประกอบการในพื้นที่ เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนชั้น ม.3 ได้ฝึกงานฝึกประสบการณ์จากการปฏิบัติจริง, การดูแลเด็กพิการให้ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึงในทุกระดับทุกสังกัด เป็นต้น ●ให้ ศธจ.เป็นหลักในการขับเคลื่อนศาสตร์พระราชาเข้าสู่ระบบการศึกษาและเรียนรู้อย่างจริงจัง นายกรัฐมนตรีได้รับมอบเอกสาร “การขับเคลื่อนศาสตร์พระราชาสู่การปฏิรูปประเทศ” จากสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ซึ่งได้วิเคราะห์ศาสตร์พระราชาในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่รัฐบาลและคนไทยควรถือเป็นกรอบทิศทางในการพัฒนาองค์ความรู้ของประเทศนําไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน มีเนื้อหาประกอบด้วยหลักการ 4 เรื่อง ได้แก่ แนวคิด “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา”, แนวคิดภูมิสังคม, หลักการทรงงาน 23 ข้อ, การสร้างคนด้วยการศึกษาและการเรียนรู้ พร้อมทั้งค้นพบว่าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจะกลายเป็นปรัชญาหลักของโลกในอนาคต ทั้งนี้ รมว.ศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้ศึกษาธิการจังหวัดทั่วประเทศประสานกับทุกหน่วยงานในพื้นที่ทั้งระดับจังหวัดและอําเภอนําศาสตร์พระราชาเข้าสู่ระบบการศึกษาและเรียนรู้ เพื่อเป็นการให้ความรู้ที่จะติดตัวเด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ไปจนเติบโต และเพื่อให้ศาสตร์พระราชาเป็นแกนในการขับเคลื่อนประเทศได้อย่างยั่งยืน ●การแต่งตั้งบุคคลในคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ที่ประชุมได้รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2560 ซึ่งมีมติแต่งตั้งบุคคลในตําแหน่งสําคัญ ดังนี้ รองประธานคณะกรรมการได้แก่ นางดารณี อุทัยรัตนกิจ และนายวิวัฒน์ ศัลยกําธร คณะอนุกรรมการ 6 ด้านได้แก่ -คณะอนุกรรมการเด็กเล็ก: นายวิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ เป็นประธาน -คณะอนุกรรมการกองทุน: นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล เป็นประธาน -คณะอนุกรรมการครู มีนายวิวัฒน์ เป็นประธาน -คณะอนุกรรมการการจัดการเรียนการสอน: นางยุวดี นาคะผดุงรัตน์ เป็นประธาน -คณะอนุกรรมการโครงสร้าง: นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร เป็นประธาน -คณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นและสื่อสารสังคม: นายตวง อันทะไชย เป็นประธาน โฆษกคณะกรรมการได้แก่ ผศ.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ และนางภัทรียา สุมะโน ทั้งนี้ ได้มีการเปิดเฟซบุ๊คและไลน์ ใช้ชื่อว่า"ร่วมปฏิรูปการศึกษาไทย”เพื่อเป็นช่องทางในการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอต่อการปฏิรูปการศึกษาจากภาคส่วนต่าง ๆ ●ศธ.เตรียมปรับปรุงฐานข้อมูลและเทคโนโลยีสารสนเทศครั้งใหญ่ รมว.ศึกษาธิการ มอบหมายให้รศ.นพ.โศภณ นภาธร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงศึกษาธิการรับผิดชอบดูแลการปรับปรุงระบบฐานข้อมูลและเทคโนโลยีสารสนเทศของกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง เช่น สป. สพฐ. สอศ. สกอ. เพื่อให้มีฐานข้อมูลกลางด้านการศึกษาที่อยู่ในระบบเดียวกัน เชื่อมโยงถึงกัน มีความทันสมัย และสามารถนําไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนการทํางาน ขับเคลื่อนนโยบาย ตลอดจนจัดสรรงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการจัดการศึกษาโดยฐานข้อมูลต้องประกอบด้วยข้อมูล 4 ด้าน คือ ข้อมูลผู้เรียน, ข้อมูลครู, ข้อมูลสถานศึกษาทุกระดับ, ข้อมูลบุคลากร ในเรื่องนี้กระทรวงศึกษาธิการมีความพยายามที่จะดําเนินการมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่สําเร็จ เพราะฐานข้อมูลของแต่ละหน่วยงานอยู่คนละระบบกัน จึงเชื่อมโยงกันได้ยากครั้งนี้ถือเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ที่หวังผลให้นําข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และหากมีความจําเป็นจริงอาจจะต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาช่วยวางระบบโดยในส่วนของค่าใช้จ่ายจะรับการสนับสนุนงบประมาณจากหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อโรงเรียนและเด็ก ●เตรียมความร่วมมืออาชีวะทวิภาคีครั้งใหญ่ สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า ได้เตรียมจัดพิธีลงนามความร่วมมือการจัดการศึกษาทวิภาคีร่วมกับบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จํากัด ในวันที่ 23 มิถุนายน 2560 เวลา 13.39 น. เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนนักศึกษาของ สอศ.กว่า 6 แสนคนได้รับประสบการณ์การทํางานจริงในทุกสายงานในร้านไฮเปอร์มาร์ทขนาดใหญ่ (BigC)กว่า 800 สาขาทั่วประเทศ จึงถือเป็นความร่วมมือในระบบทวิภาคีครั้งสําคัญ และตอบสนองแนวคิดของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้ผู้เรียนอาชีวศึกษาได้รับประสบการณ์การทํางาน (WorkExperience) จากสถานประกอบการจริง ●ประเด็นเรียกรับเงินเข้าเรียน ดร.กมล รอดคล้าย กล่าวด้วยว่า รมว.ศึกษาธิการได้ขอให้ดําเนินการเรื่องนี้ไปตามระเบียบและขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม และเมื่อมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงแล้ว หากพบประเด็นใดก็ต้องตั้งกรรมการสอบสวนต่อไปตามลําดับ ในส่วนของผู้ถูกกล่าวหา หากไม่ได้กระทําความผิดจริง ก็ขอให้ต่อสู้และพยายามพิสูจน์ตัวเองให้ได้แต่หากพบว่าเรียกรับเงินจริง ก็ถือว่ามีความผิดในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีและกํากับดูแลควบคุมระบบการรับนักเรียน จะไม่ปกป้องใครทั้งนั้น
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4675
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่ธนาคารปูม้าแหลมผักเบี้ย พร้อมกับนายกรัฐมนตรี
วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม 2561 รมว.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่ธนาคารปูม้าแหลมผักเบี้ย พร้อมกับนายกรัฐมนตรี รมว.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่ธนาคารปูม้าแหลมผักเบี้ย พร้อมกับนายกรัฐมนตรี วันนี้ (5 มีนาคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ธนาคารปูม้าแหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรี พร้อมกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่2/2561 ณ จังหวัดเพชรบุรี โดยนายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมบูธหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ชุมชนแหลมผักเบี้ย อําเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์และออกแบบโลโก้ “โอ้โห้ปูอร่อย” ให้กับวิสาหกิจชุมชน และยังได้เยี่ยมชมบูธของบริษัทประชารัฐ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “หม้อแกงกรอบ” ซึ่งได้รับความร่วมมือจากกระทรวงอุตสาหกรรม สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และสถาบันอาหาร ในการร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่ธนาคารปูม้าแหลมผักเบี้ย พร้อมกับนายกรัฐมนตรี วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม 2561 รมว.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่ธนาคารปูม้าแหลมผักเบี้ย พร้อมกับนายกรัฐมนตรี รมว.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่ธนาคารปูม้าแหลมผักเบี้ย พร้อมกับนายกรัฐมนตรี วันนี้ (5 มีนาคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ธนาคารปูม้าแหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรี พร้อมกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่2/2561 ณ จังหวัดเพชรบุรี โดยนายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมบูธหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ชุมชนแหลมผักเบี้ย อําเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์และออกแบบโลโก้ “โอ้โห้ปูอร่อย” ให้กับวิสาหกิจชุมชน และยังได้เยี่ยมชมบูธของบริษัทประชารัฐ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “หม้อแกงกรอบ” ซึ่งได้รับความร่วมมือจากกระทรวงอุตสาหกรรม สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และสถาบันอาหาร ในการร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10523
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อาการตาแดงอาจมีสิทธิ์เกิดจากการติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ ??
วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2563 อาการตาแดงอาจมีสิทธิ์เกิดจากการติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ ?? ตาแดงเกิดจากเชื้อโควิดหรือไม่ Q : อาการตาแดงอาจมีสิทธิ์เกิดจากการติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ ?? A : มีสิทธิ์ โดยถ้าตาแดงเพราะเชื้อแบคทีเรียที่ตาจะมีขี้ตาเป็นสีเหลืองหรือเขียว แต่ถ้าเกิดจากไวรัสโควิด-19 จะเป็นน้ําตาหรือน้ําใสๆ ยกเว้นกรณีที่ตอนแรกอาจจะเป็นไวรัสฯ แล้วมีเชื้อแบคทีเรียมาติดซ้ํา ก็สามารถเปลี่ยนน้ําตาเป็นขี้ตาสีเขียวหรือเหลืองได้เช่นกัน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อาการตาแดงอาจมีสิทธิ์เกิดจากการติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ ?? วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2563 อาการตาแดงอาจมีสิทธิ์เกิดจากการติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ ?? ตาแดงเกิดจากเชื้อโควิดหรือไม่ Q : อาการตาแดงอาจมีสิทธิ์เกิดจากการติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ ?? A : มีสิทธิ์ โดยถ้าตาแดงเพราะเชื้อแบคทีเรียที่ตาจะมีขี้ตาเป็นสีเหลืองหรือเขียว แต่ถ้าเกิดจากไวรัสโควิด-19 จะเป็นน้ําตาหรือน้ําใสๆ ยกเว้นกรณีที่ตอนแรกอาจจะเป็นไวรัสฯ แล้วมีเชื้อแบคทีเรียมาติดซ้ํา ก็สามารถเปลี่ยนน้ําตาเป็นขี้ตาสีเขียวหรือเหลืองได้เช่นกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30238
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด นิสากรฯ เป็นประธานเปิดงานแสดงสินค้า Thailand Industrial Fair & Food Pack Asia 2019
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 รองปลัด นิสากรฯ เป็นประธานเปิดงานแสดงสินค้า Thailand Industrial Fair & Food Pack Asia 2019 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานแสดงสินค้า Thailand Industrial Fair & Food Pack Asia 2019 2 ณ เวทีกลาง ฮอลล์ 103 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานแสดงสินค้า Thailand Industrial Fair & Food Pack Asia 2019 ซึ่งมีการจัดบูทแสดงสินค้ากว่า 1,000 บูท จากหลากหลายประเทศ กิจกรรมเจรจาธุรกิจ รวมทั้งการจัดสัมมนาโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 - 14 กุมภาพันธ์ 2562 ณ เวทีกลาง ฮอลล์ 103 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค โดยมีคุณพรอนงค์ วงษ์นิพนธ์ ผู้อํานวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ที.บี.พี. พับลิซเคชั่น จํากัด ให้การต้อนรับ งาน Thailand Industrial Fair 2019 หรือ “สมาร์ทโซลูชั่นสร้างสรรค์การผลิตอัจฉริยะ” ทําหน้าที่ช่วยให้ธุรกิจของผู้ประกอบการ รวมทั้งผู้ผลิตได้ก้าวสู่ความสําเร็จในการทําธุรกิจ ตอบโจทย์กับความต้องการในตัวเทคโนโลยีและโซลูชั่นให้กับผู้ประกอบการ อาทิ เครื่องจักรอุตสาหกรรม อุปกรณ์เครื่องใช้ในอุตสาหกรรม อุปกรณ์ขนส่งและลําเลียง ระบบโลจิสติกส์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล เป็นต้น สําหรับ Food Pack Asia 2019 เป็นงานแสดงเทคโนโลยีและเครื่องจักรแปรรูปอาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องจักรบรรจุภัณฑ์สําหรับอุตสาหกรรมอาหารอย่างครบวงจร สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการได้มาแสดงสินค้าและแสดงถึงศักยภาพ โดยนําสินค้าอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพมาจัดจําหน่ายในราคาพิเศษ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสนับสนุนให้นักธุรกิจอุตสาหกรรมไทยสามารถลดต้นทุนในการซื้อสินค้า เพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจในยุคเศรษฐกิจปัจจุบัน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด นิสากรฯ เป็นประธานเปิดงานแสดงสินค้า Thailand Industrial Fair & Food Pack Asia 2019 วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 รองปลัด นิสากรฯ เป็นประธานเปิดงานแสดงสินค้า Thailand Industrial Fair & Food Pack Asia 2019 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานแสดงสินค้า Thailand Industrial Fair & Food Pack Asia 2019 2 ณ เวทีกลาง ฮอลล์ 103 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานแสดงสินค้า Thailand Industrial Fair & Food Pack Asia 2019 ซึ่งมีการจัดบูทแสดงสินค้ากว่า 1,000 บูท จากหลากหลายประเทศ กิจกรรมเจรจาธุรกิจ รวมทั้งการจัดสัมมนาโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 - 14 กุมภาพันธ์ 2562 ณ เวทีกลาง ฮอลล์ 103 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค โดยมีคุณพรอนงค์ วงษ์นิพนธ์ ผู้อํานวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ที.บี.พี. พับลิซเคชั่น จํากัด ให้การต้อนรับ งาน Thailand Industrial Fair 2019 หรือ “สมาร์ทโซลูชั่นสร้างสรรค์การผลิตอัจฉริยะ” ทําหน้าที่ช่วยให้ธุรกิจของผู้ประกอบการ รวมทั้งผู้ผลิตได้ก้าวสู่ความสําเร็จในการทําธุรกิจ ตอบโจทย์กับความต้องการในตัวเทคโนโลยีและโซลูชั่นให้กับผู้ประกอบการ อาทิ เครื่องจักรอุตสาหกรรม อุปกรณ์เครื่องใช้ในอุตสาหกรรม อุปกรณ์ขนส่งและลําเลียง ระบบโลจิสติกส์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล เป็นต้น สําหรับ Food Pack Asia 2019 เป็นงานแสดงเทคโนโลยีและเครื่องจักรแปรรูปอาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องจักรบรรจุภัณฑ์สําหรับอุตสาหกรรมอาหารอย่างครบวงจร สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการได้มาแสดงสินค้าและแสดงถึงศักยภาพ โดยนําสินค้าอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพมาจัดจําหน่ายในราคาพิเศษ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสนับสนุนให้นักธุรกิจอุตสาหกรรมไทยสามารถลดต้นทุนในการซื้อสินค้า เพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจในยุคเศรษฐกิจปัจจุบัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18777
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ เยี่ยมชมให้กำลังใจผู้ประกอบการ จ.เชียงใหม่
วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2561 รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ เยี่ยมชมให้กําลังใจผู้ประกอบการ จ.เชียงใหม่ รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ เยี่ยมชมให้กําลังใจผู้ประกอบการ จ.เชียงใหม่ วันนี้ (24 กุมภาพันธ์ 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมให้กําลังใจผู้ประกอบการ จ.เชียงใหม่ โดยมีนายพรเทพ การศัพท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางจันทรรัตน์ ปิยพัทธไชย์ อุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อํานวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 ร่วมเยี่ยมชม จุดที่ 1 บริษัท ทีแกลเลอรี่ ประเทศไทย จํากัด ผู้ผลิตและส่งออกใบชาและผลิตภัณฑ์จากใบชา ด้วยการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ที่มีความต้องการทางตลาดสูง คือ เครื่องดื่มชาหมักเพื่อสุขภาพ มีชื่อเรียกในวงการว่า Kombucha เป็นภูมิปัญญาพื้นฐานที่มีต้นกําเนิดในจีนกว่า 2,000 ปี ซึ่งมีคุณสมบัติบํารุงรักษาสุขภาพ เป็นเครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่นและช่วยฟื้นฟูร่างกาย ผลิตจากชาดําหรือชาเขียวที่มีน้ําตาล มีรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย โดยมีคุณสุวลี เกียรติกรัณย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีแกลเลอรี่ ประเทศไทย จํากัด ให้การต้อนรับ จุดที่ 2 ร้านกาแฟ OMNIA เป็นร้านที่ใช้วัตถุดิบกาแฟหรือใช้เมล็ดกาแฟสัญชาติไทยแห่งเดียวในการชงกาแฟ โดยเจ้าของร้านเป็นผู้ที่ได้รับใบอนุญาตจากสมาคมกาแฟพิเศษของสหรัฐอเมริกา (Speciality Coffee Association of Europe หรือ SCAE รวมถึงมี Q grader ระดับโลกในสายเมล็ดกาแฟโรบัสต้าและเมล็ดกาแฟอาราบริก้า ซึ่งเป็นคนแรกของประเทศไทยที่ก้าวเข้าไปอยู่ในวงการกาแฟระดับโลก นอกจากนี้ยังเป็นผู้สอนของ Torch Coffee Thailand สาขาเชียงใหม่ และสามารถออกใบรับรองให้กับบุคคลที่สนใจจะเรียนรู้ในศาสตร์ของกาแฟตามมาตรฐานโลกได้ #prmoi #กระทรวงอุตสาหกรรม #prindustry #อุตสาหกรรมสร้างสรรค์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ เยี่ยมชมให้กำลังใจผู้ประกอบการ จ.เชียงใหม่ วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2561 รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ เยี่ยมชมให้กําลังใจผู้ประกอบการ จ.เชียงใหม่ รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ เยี่ยมชมให้กําลังใจผู้ประกอบการ จ.เชียงใหม่ วันนี้ (24 กุมภาพันธ์ 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมให้กําลังใจผู้ประกอบการ จ.เชียงใหม่ โดยมีนายพรเทพ การศัพท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางจันทรรัตน์ ปิยพัทธไชย์ อุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อํานวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 ร่วมเยี่ยมชม จุดที่ 1 บริษัท ทีแกลเลอรี่ ประเทศไทย จํากัด ผู้ผลิตและส่งออกใบชาและผลิตภัณฑ์จากใบชา ด้วยการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ที่มีความต้องการทางตลาดสูง คือ เครื่องดื่มชาหมักเพื่อสุขภาพ มีชื่อเรียกในวงการว่า Kombucha เป็นภูมิปัญญาพื้นฐานที่มีต้นกําเนิดในจีนกว่า 2,000 ปี ซึ่งมีคุณสมบัติบํารุงรักษาสุขภาพ เป็นเครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่นและช่วยฟื้นฟูร่างกาย ผลิตจากชาดําหรือชาเขียวที่มีน้ําตาล มีรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย โดยมีคุณสุวลี เกียรติกรัณย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีแกลเลอรี่ ประเทศไทย จํากัด ให้การต้อนรับ จุดที่ 2 ร้านกาแฟ OMNIA เป็นร้านที่ใช้วัตถุดิบกาแฟหรือใช้เมล็ดกาแฟสัญชาติไทยแห่งเดียวในการชงกาแฟ โดยเจ้าของร้านเป็นผู้ที่ได้รับใบอนุญาตจากสมาคมกาแฟพิเศษของสหรัฐอเมริกา (Speciality Coffee Association of Europe หรือ SCAE รวมถึงมี Q grader ระดับโลกในสายเมล็ดกาแฟโรบัสต้าและเมล็ดกาแฟอาราบริก้า ซึ่งเป็นคนแรกของประเทศไทยที่ก้าวเข้าไปอยู่ในวงการกาแฟระดับโลก นอกจากนี้ยังเป็นผู้สอนของ Torch Coffee Thailand สาขาเชียงใหม่ และสามารถออกใบรับรองให้กับบุคคลที่สนใจจะเรียนรู้ในศาสตร์ของกาแฟตามมาตรฐานโลกได้ #prmoi #กระทรวงอุตสาหกรรม #prindustry #อุตสาหกรรมสร้างสรรค์
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10343
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย ติวเข้มบุคลากรในสังกัด สร้างความตระหนักรู้เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เน้นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน มุ่งลดความเสี่ยงทุจริตคอร์รัปชัน
วันพุธที่ 21 มีนาคม 2561 มหาดไทย ติวเข้มบุคลากรในสังกัด สร้างความตระหนักรู้เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เน้นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน มุ่งลดความเสี่ยงทุจริตคอร์รัปชัน มหาดไทยติวเข้มบุคลากรในสังกัด สร้างความตระหนักรู้เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เน้นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน มุ่งลดความเสี่ยงทุจริตคอร์รัปชัน วันนี้ (21 มี.ค. 61) เวลา 09.00 น. ที่ห้องอมรินทร์ โรงแรม เอส ดี อเวนิว เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิด “โครงการอบรมรณรงค์ให้ข้าราชการตระหนักรู้เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนหรือความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม (Conflict of interest)” ซึ่งจัดโดย กองการเจ้าหน้าที่ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อส่งเสริมให้ข้าราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทยมีความรู้ความเข้าใจเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน และมีการปรับเปลี่ยนทัศนคติโดยเห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน เพื่อสร้างจิตสํานึกและค่านิยมที่ดี ตระหนักรู้ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และลดความเสี่ยงในการกระทําทุจริตคอร์รัปชัน โดยมีผู้เข้ารับการอบรม จํานวน 200 คน ประกอบด้วย ข้าราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทยในส่วนภูมิภาค (สํานักงานจังหวัด) ส่วนกลาง (ระดับกรม) และหน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนหรือความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม (Conflict of interest) ถือเป็นปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันอย่างหนึ่ง ซึ่งรัฐบาลได้ตระหนักและให้ความสําคัญในเรื่องดังกล่าว ประกอบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ได้กําหนดให้รัฐต้องส่งเสริมสนับสนุนและให้ความรู้ถึงอันตรายที่เกิดจากการทุจริตและประพฤติมิชอบทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน และจัดให้มีมาตรการและกลไกที่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว รัฐบาลได้ใช้มาตรการต่างๆ ทั้งทางกฎหมายและสังคม เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง กระทรวงมหาดไทยในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจที่หลากหลาย และมีความเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมทั้งมีภารกิจที่ให้บริการประชาชน ดังนั้น ในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย จึงต้องคํานึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม และเพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสําคัญ โดยต้องไม่คํานึงถึงประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง ซึ่งถือเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน และเพื่อให้ข้าราชการของกระทรวงมหาดไทยได้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยจึงได้จัดทําโครงการอบรมรณรงค์ให้ข้าราชการตระหนักรู้เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนหรือความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม (Conflict of interest) ขึ้น ในระหว่างวันที่ 21-22 มีนาคม 2561 เพื่อสร้างความตระหนักรู้เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน อาทิ การเบิกจ่ายเงินและการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการทํางานของบุคลากรให้มีองค์ความรู้ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเพิ่มสมรรถนะในการทํางานร่วมกันเพื่อป้องกันการทุจริตในระบบราชการ ทั้งที่เจตนาและไม่เจตนา ตลอดจนเป็นกลไกขับเคลื่อนพวกเราชาวมหาดไทยให้ใสสะอาด สร้างภาพลักษณ์ที่ดี สมกับเป็นองค์กรที่ “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข”ของพี่น้องประชาชนได้อย่างแท้จริง รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การอบรมในครั้งนี้นับว่ามีความสําคัญยิ่ง และเป็นโอกาสดีที่ผู้เข้ารับการอบรมจะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ร่วมกัน รวมทั้งได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้จากท่านวิทยากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญจากสํานักงาน ป.ป.ช. และอดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน โดยกระทรวงมหาดไทยมุ่งหวังว่า ผู้เข้ารับการอบรมจะได้นําความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน และนําไปขยายผลเผยแพร่ให้กับเพื่อนร่วมงาน เพื่อเป็นแบบอย่าง และเป็นข้าราชการที่ดีมีคุณธรรมจริยธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และยึดปฏิบัติตามหลักกฎหมาย การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี โดยถือประโยชน์ของส่วนรวมและประเทศชาติเป็นสิ่งสําคัญ. ครั้งที่ 64/2561 กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โทร 0-22224131-2
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย ติวเข้มบุคลากรในสังกัด สร้างความตระหนักรู้เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เน้นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน มุ่งลดความเสี่ยงทุจริตคอร์รัปชัน วันพุธที่ 21 มีนาคม 2561 มหาดไทย ติวเข้มบุคลากรในสังกัด สร้างความตระหนักรู้เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เน้นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน มุ่งลดความเสี่ยงทุจริตคอร์รัปชัน มหาดไทยติวเข้มบุคลากรในสังกัด สร้างความตระหนักรู้เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เน้นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน มุ่งลดความเสี่ยงทุจริตคอร์รัปชัน วันนี้ (21 มี.ค. 61) เวลา 09.00 น. ที่ห้องอมรินทร์ โรงแรม เอส ดี อเวนิว เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิด “โครงการอบรมรณรงค์ให้ข้าราชการตระหนักรู้เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนหรือความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม (Conflict of interest)” ซึ่งจัดโดย กองการเจ้าหน้าที่ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อส่งเสริมให้ข้าราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทยมีความรู้ความเข้าใจเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน และมีการปรับเปลี่ยนทัศนคติโดยเห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน เพื่อสร้างจิตสํานึกและค่านิยมที่ดี ตระหนักรู้ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และลดความเสี่ยงในการกระทําทุจริตคอร์รัปชัน โดยมีผู้เข้ารับการอบรม จํานวน 200 คน ประกอบด้วย ข้าราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทยในส่วนภูมิภาค (สํานักงานจังหวัด) ส่วนกลาง (ระดับกรม) และหน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนหรือความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม (Conflict of interest) ถือเป็นปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันอย่างหนึ่ง ซึ่งรัฐบาลได้ตระหนักและให้ความสําคัญในเรื่องดังกล่าว ประกอบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ได้กําหนดให้รัฐต้องส่งเสริมสนับสนุนและให้ความรู้ถึงอันตรายที่เกิดจากการทุจริตและประพฤติมิชอบทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน และจัดให้มีมาตรการและกลไกที่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว รัฐบาลได้ใช้มาตรการต่างๆ ทั้งทางกฎหมายและสังคม เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง กระทรวงมหาดไทยในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจที่หลากหลาย และมีความเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมทั้งมีภารกิจที่ให้บริการประชาชน ดังนั้น ในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย จึงต้องคํานึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม และเพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสําคัญ โดยต้องไม่คํานึงถึงประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง ซึ่งถือเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน และเพื่อให้ข้าราชการของกระทรวงมหาดไทยได้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยจึงได้จัดทําโครงการอบรมรณรงค์ให้ข้าราชการตระหนักรู้เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนหรือความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม (Conflict of interest) ขึ้น ในระหว่างวันที่ 21-22 มีนาคม 2561 เพื่อสร้างความตระหนักรู้เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน อาทิ การเบิกจ่ายเงินและการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการทํางานของบุคลากรให้มีองค์ความรู้ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเพิ่มสมรรถนะในการทํางานร่วมกันเพื่อป้องกันการทุจริตในระบบราชการ ทั้งที่เจตนาและไม่เจตนา ตลอดจนเป็นกลไกขับเคลื่อนพวกเราชาวมหาดไทยให้ใสสะอาด สร้างภาพลักษณ์ที่ดี สมกับเป็นองค์กรที่ “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข”ของพี่น้องประชาชนได้อย่างแท้จริง รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การอบรมในครั้งนี้นับว่ามีความสําคัญยิ่ง และเป็นโอกาสดีที่ผู้เข้ารับการอบรมจะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ร่วมกัน รวมทั้งได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้จากท่านวิทยากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญจากสํานักงาน ป.ป.ช. และอดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน โดยกระทรวงมหาดไทยมุ่งหวังว่า ผู้เข้ารับการอบรมจะได้นําความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน และนําไปขยายผลเผยแพร่ให้กับเพื่อนร่วมงาน เพื่อเป็นแบบอย่าง และเป็นข้าราชการที่ดีมีคุณธรรมจริยธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และยึดปฏิบัติตามหลักกฎหมาย การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี โดยถือประโยชน์ของส่วนรวมและประเทศชาติเป็นสิ่งสําคัญ. ครั้งที่ 64/2561 กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โทร 0-22224131-2
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10925
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“พาณิชย์” ส่งรถเร่ธงฟ้านำสินค้าถูกขายอีก 7 จังหวัด เน้นมีชุมชน โรงงาน นิคมอุตสาหกรรม [กระทรวงพาณิชย์]
วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2563 ​“พาณิชย์” ส่งรถเร่ธงฟ้านําสินค้าถูกขายอีก 7 จังหวัด เน้นมีชุมชน โรงงาน นิคมอุตสาหกรรม [กระทรวงพาณิชย์] ​“พาณิชย์” ส่งรถเร่ธงฟ้านําสินค้าถูกขายอีก 7 จังหวัด เน้นมีชุมชน โรงงาน นิคมอุตสาหกรรม “พาณิชย์”เตรียมส่ง “รถเร่ธงฟ้า” นําสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็นต่อการยังชีพอีก 300 คัน วิ่งจําหน่ายให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อยในต่างจังหวัด นําร่อง 7 จังหวัด ที่เป็นแหล่งชุมชน มีโรงงาน และนิคมอุตสาหกรรมตั้งอยู่มาก ดีเดย์สัปดาห์นี้ นายบุญยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สัปดาห์นี้ กระทรวงพาณิชย์จะเปิดตัวรถเร่ธงฟ้า นําสินค้าสินค้าที่จําเป็นต่อการครองชีพ ได้แก่ ข้าวสาร ไข่ไก่ น้ํามันพืช น้ําตาลทราย บะหมี่กึ่งสําเร็จรูป ปลากระป๋อง เจลล้างมือ ไปจําหน่ายให้กับประชาชนที่อยู่ในต่างจังหวัด และจะเพิ่มสินค้าเนื้อไก่ เป็นสินค้าพิเศษเข้ามา เพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตเนื้อไก่ให้มีช่องทางการระบายสินค้าเพิ่มขึ้น หลังจากที่ตลาดซบเซา โดยจะเริ่มก่อนประมาณ 7 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ และนครปฐม “ที่เลือก 7 จังหวัดนี้เป็นจังหวัดนําร่อง เพราะเป็นจังหวัดที่มีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจํานวนมาก มีหมู่บ้าน มีชุมชนมาก และยังเป็นจังหวัดที่มีผู้มีรายได้น้อยอาศัยอยู่มากด้วย เพราะเป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรม จึงเลือกมาดําเนินการก่อน ถ้าได้เสียงตอบรับที่ดี ก็จะทําต่อ เบื้องต้น จะมีรถเร่ธงฟ้าออกวิ่งประมาณ 300 คัน” ส่วนจังหวัดอื่นๆ ได้มีการมอบหมายให้พาณิชย์จังหวัดลงสํารวจในทุกพื้นที่ เพื่อประเมินความต้องการของประชาชน เพราะบางจังหวัดสามารถหาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็นต่อการครองชีพได้ง่าย มีทั้งตลาดสด ตลาดนัด ร้านโชวห่วย ห้างสรรพสินค้า ซึ่งสินค้ามีเพียงพอต่อความต้องการ หากจะส่งรถเร่ธงฟ้าเข้าไป ก็อาจจะไม่ประสบความสําเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ สําหรับการจัดรถเร่ธงฟ้าออกไปจําหน่ายสินค้าให้กับประชาชน เนื่องจากปัจจุบันยังมีการล็อกดาวน์ การเปิดให้บริการของร้านค้า ตลาด ห้างสรรพสินค้า แม้จะมีการคลายล็อกดาวน์ลงแล้ว แต่ก็ยังไม่เปิดเต็มรูปแบบ ทําให้ประชาชนยังคงหาซื้อสินค้าจําเป็นต่อการครองชีพได้ยาก การส่งรถเร่ธงฟ้า จึงเป็นการเพิ่มทางการในการซื้อสินค้าให้กับประชาชน ที่ต้องอยู่บ้านเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก่อนหน้านี้ กระทรวงพาณิชย์ได้จัดส่งรถเร่ธงฟ้าจํานวน 350 คัน ออกวิ่งจําหน่ายสินค้าจําเป็นให้กับประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จํานวน 350 คัน และยังมีเรือเร่ธงฟ้า นําสินค้าออกไปจําหน่ายให้กับประชาชนที่มีบ้านอยู่ริมน้ํา ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี >>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์แบบฉับไว ส่งตรงถึงมือถือได้ที่http://line.me/ti/p/%40uld0329i >>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์ ผ่านทวิตเตอร์https://twitter.com/CNAOnlineTwit
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“พาณิชย์” ส่งรถเร่ธงฟ้านำสินค้าถูกขายอีก 7 จังหวัด เน้นมีชุมชน โรงงาน นิคมอุตสาหกรรม [กระทรวงพาณิชย์] วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2563 ​“พาณิชย์” ส่งรถเร่ธงฟ้านําสินค้าถูกขายอีก 7 จังหวัด เน้นมีชุมชน โรงงาน นิคมอุตสาหกรรม [กระทรวงพาณิชย์] ​“พาณิชย์” ส่งรถเร่ธงฟ้านําสินค้าถูกขายอีก 7 จังหวัด เน้นมีชุมชน โรงงาน นิคมอุตสาหกรรม “พาณิชย์”เตรียมส่ง “รถเร่ธงฟ้า” นําสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็นต่อการยังชีพอีก 300 คัน วิ่งจําหน่ายให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อยในต่างจังหวัด นําร่อง 7 จังหวัด ที่เป็นแหล่งชุมชน มีโรงงาน และนิคมอุตสาหกรรมตั้งอยู่มาก ดีเดย์สัปดาห์นี้ นายบุญยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สัปดาห์นี้ กระทรวงพาณิชย์จะเปิดตัวรถเร่ธงฟ้า นําสินค้าสินค้าที่จําเป็นต่อการครองชีพ ได้แก่ ข้าวสาร ไข่ไก่ น้ํามันพืช น้ําตาลทราย บะหมี่กึ่งสําเร็จรูป ปลากระป๋อง เจลล้างมือ ไปจําหน่ายให้กับประชาชนที่อยู่ในต่างจังหวัด และจะเพิ่มสินค้าเนื้อไก่ เป็นสินค้าพิเศษเข้ามา เพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตเนื้อไก่ให้มีช่องทางการระบายสินค้าเพิ่มขึ้น หลังจากที่ตลาดซบเซา โดยจะเริ่มก่อนประมาณ 7 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ และนครปฐม “ที่เลือก 7 จังหวัดนี้เป็นจังหวัดนําร่อง เพราะเป็นจังหวัดที่มีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจํานวนมาก มีหมู่บ้าน มีชุมชนมาก และยังเป็นจังหวัดที่มีผู้มีรายได้น้อยอาศัยอยู่มากด้วย เพราะเป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรม จึงเลือกมาดําเนินการก่อน ถ้าได้เสียงตอบรับที่ดี ก็จะทําต่อ เบื้องต้น จะมีรถเร่ธงฟ้าออกวิ่งประมาณ 300 คัน” ส่วนจังหวัดอื่นๆ ได้มีการมอบหมายให้พาณิชย์จังหวัดลงสํารวจในทุกพื้นที่ เพื่อประเมินความต้องการของประชาชน เพราะบางจังหวัดสามารถหาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็นต่อการครองชีพได้ง่าย มีทั้งตลาดสด ตลาดนัด ร้านโชวห่วย ห้างสรรพสินค้า ซึ่งสินค้ามีเพียงพอต่อความต้องการ หากจะส่งรถเร่ธงฟ้าเข้าไป ก็อาจจะไม่ประสบความสําเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ สําหรับการจัดรถเร่ธงฟ้าออกไปจําหน่ายสินค้าให้กับประชาชน เนื่องจากปัจจุบันยังมีการล็อกดาวน์ การเปิดให้บริการของร้านค้า ตลาด ห้างสรรพสินค้า แม้จะมีการคลายล็อกดาวน์ลงแล้ว แต่ก็ยังไม่เปิดเต็มรูปแบบ ทําให้ประชาชนยังคงหาซื้อสินค้าจําเป็นต่อการครองชีพได้ยาก การส่งรถเร่ธงฟ้า จึงเป็นการเพิ่มทางการในการซื้อสินค้าให้กับประชาชน ที่ต้องอยู่บ้านเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก่อนหน้านี้ กระทรวงพาณิชย์ได้จัดส่งรถเร่ธงฟ้าจํานวน 350 คัน ออกวิ่งจําหน่ายสินค้าจําเป็นให้กับประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จํานวน 350 คัน และยังมีเรือเร่ธงฟ้า นําสินค้าออกไปจําหน่ายให้กับประชาชนที่มีบ้านอยู่ริมน้ํา ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี >>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์แบบฉับไว ส่งตรงถึงมือถือได้ที่http://line.me/ti/p/%40uld0329i >>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์ ผ่านทวิตเตอร์https://twitter.com/CNAOnlineTwit
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30288
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินเยียวยา 5,000 บาท แก่เกษตรกรกลุ่มแรกกว่า 6.7 ล้านราย เริ่มวันนี้ [กระทรวงการคลัง]
วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม 2563 ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินเยียวยา 5,000 บาท แก่เกษตรกรกลุ่มแรกกว่า 6.7 ล้านราย เริ่มวันนี้ [กระทรวงการคลัง] ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินเยียวยาให้เกษตรกรกลุ่มแรก หลังได้รับข้อมูลจากกระทรวงเกษตรฯ และตรวจสอบความซ้ําซ้อนจากการให้ความช่วยเหลืออื่น ๆ ของรัฐ เช่น มาตรการเราไม่ทิ้งกัน ข้าราชการบํานาญ ประกันสังคม เป็นต้น พบผู้มีสิทธิ์ตามเงื่อนไขจํานวน 6.77 ล้านราย ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินเยียวยาให้เกษตรกรกลุ่มแรก หลังได้รับข้อมูลจากกระทรวงเกษตรฯ และตรวจสอบความซ้ําซ้อนจากการให้ความช่วยเหลืออื่น ๆ ของรัฐ เช่น มาตรการเราไม่ทิ้งกัน ข้าราชการบํานาญ ประกันสังคม เป็นต้น พบผู้มีสิทธิ์ตามเงื่อนไขจํานวน 6.77 ล้านราย โดยเริ่มโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงวันนี้ (15 พ.ค.63) เป็นต้นไป พร้อมตรวจสอบสถานะการได้รับสิทธิ์และผลการโอนเงินผ่านเว็บไซต์ www.เยียวยาเกษตรกร.com นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส.พร้อมจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ตามมติคณะรัฐมนตรี รายละ 15,000 บาท โดยจ่ายเดือนละ 5,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน (พ.ค. – ก.ค. 63) จํานวน 10 ล้านราย วงเงินงบประมาณจํานวน 150,000 ล้านบาท ให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) กลุ่มเป้าหมายแรกจํานวน 8.46 ล้านราย โดย กษ. ได้ตรวจความซ้ําซ้อนกับการให้ความช่วยเหลืออื่น ๆ ของรัฐ เช่น การเยียวยาผู้ประกอบอาชีพอิสระตามมาตรการเราไม่ทิ้งกัน ของกระทรวงการคลัง ข้าราชการบํานาญ ผู้รับสิทธิประกันสังคม หรือโครงการอื่น ๆและสถานะผู้เสียชีวิต ซึ่งเบื้องต้นมีผู้ได้รับสิทธิ์ช่วยเหลือในกลุ่มแรก จํานวน 6.77 ล้านราย โดยเริ่มทยอยโอนเงินผ่าน ธ.ก.ส. ทุกสาขากว่า 1,200 สาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป วันละประมาณ 1 ล้านราย คาดจะดําเนินการกลุ่มแรกแล้วเสร็จภายในวันที่ 26 พฤษภาคม 2563 ส่วนเกษตรกรกลุ่มที่ 2 ที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงข้อมูลทะเบียนเกษตรกรและการขึ้นทะเบียนใหม่เพิ่มเติม เมื่อได้รับรายชื่อจาก กษ. และผ่านการตรวจสอบความซ้ําซ้อนแล้ว ธ.ก.ส. จะเร่งดําเนินการโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถตรวจสอบสถานะการได้รับสิทธิ์และผลการโอนเงินผ่านเว็บไซต์ www.เยียวยาเกษตรกร.com ได้ด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม ยังมีเกษตรกรที่มีสิทธิ์รับเงินเยียวยาและมีบัญชีเงินฝากของธนาคารอื่น ยังไม่ได้แจ้งข้อมูลธนาคาร เลขบัญชี ที่จะโอนเงิน ดังนั้น ขอให้รีบแจ้งข้อมูลบัญชีเงินฝากธนาคารใดก็ได้ ผ่านเว็บไซต์ข้างต้น โดยไม่จําเป็นต้องเปิดบัญชีเงินฝากของ ธ.ก.ส. สําหรับเกษตรกรที่ได้รับโอนเงินเยียวยาแล้ว สามารถใช้บัตร ATM ของ ธ.ก.ส. และของธนาคารอื่น ๆ ถอนเงินจาก ตู้ ATM ได้ทุกธนาคาร หรือใช้โทรศัพท์มือถือที่มีแอปพลิเคชั่น ธ.ก.ส. A-Mobile ถอนเงินโดยไม่ใช้บัตร ATM ที่ตู้ ATM ของ ธ.ก.ส. ทั้งนี้ ในช่วงเดือนพฤษภาคม ธ.ก.ส. มีโครงการตามนโยบายรัฐบาลที่เข้าไปช่วยเหลือประชาชนในกลุ่มต่าง ๆ อีกจํานวนมาก เช่น การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เงินเยียวยาตามมาตรการเราไม่ทิ้งกัน เงินประกันรายได้ปาล์มน้ํามัน เงินเดือน อสม. เป็นต้น ซึ่งจะมีผู้มาใช้บริการที่สาขาเป็นจํานวนมาก ดังนั้น เพื่อลดความแออัดและป้องกันการ แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ตามหลักการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ควบคู่กับการให้บริการเบิกถอนที่สะดวก รวดเร็ว เพื่อให้เงินถึงมือเกษตรกรโดยเร็วที่สุด ธ.ก.ส. สาขาจะแจ้งนัดหมายการเบิกจ่ายเงินสําหรับผู้ใช้สมุดบัญชี เพื่อลดปริมาณผู้มาใช้บริการที่สาขา การเปิดเคาน์เตอร์ช่องทางพิเศษเพื่อตรวจสอบสถานะบัญชี การประสานกับฝ่ายปกครองในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ว่าฯ นายอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. และส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยนัดหมายเป็นการเฉพาะกิจ เช่น การให้หัวหน้ากลุ่มลูกค้ารวมรวบบัญชีเงินฝากของสมาชิกมาเบิกถอน และกําหนดจุดออกไปบริการในพื้นที่เพื่ออํานวยความสะดวกต่อไป ธ.ก.ส. ห่วงใยในสุขภาพและความปลอดภัยของลูกค้าทุกท่าน และขอเป็นกําลังใจให้ทุกท่านผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน อนึ่ง โปรดระมัดระวังมิจฉาชีพที่แอบอ้างขอรหัสผ่าน ATM หรือเลขที่บัตรประชาชน รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคล อื่น ๆ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ Call Center02 555 0555
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินเยียวยา 5,000 บาท แก่เกษตรกรกลุ่มแรกกว่า 6.7 ล้านราย เริ่มวันนี้ [กระทรวงการคลัง] วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม 2563 ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินเยียวยา 5,000 บาท แก่เกษตรกรกลุ่มแรกกว่า 6.7 ล้านราย เริ่มวันนี้ [กระทรวงการคลัง] ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินเยียวยาให้เกษตรกรกลุ่มแรก หลังได้รับข้อมูลจากกระทรวงเกษตรฯ และตรวจสอบความซ้ําซ้อนจากการให้ความช่วยเหลืออื่น ๆ ของรัฐ เช่น มาตรการเราไม่ทิ้งกัน ข้าราชการบํานาญ ประกันสังคม เป็นต้น พบผู้มีสิทธิ์ตามเงื่อนไขจํานวน 6.77 ล้านราย ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินเยียวยาให้เกษตรกรกลุ่มแรก หลังได้รับข้อมูลจากกระทรวงเกษตรฯ และตรวจสอบความซ้ําซ้อนจากการให้ความช่วยเหลืออื่น ๆ ของรัฐ เช่น มาตรการเราไม่ทิ้งกัน ข้าราชการบํานาญ ประกันสังคม เป็นต้น พบผู้มีสิทธิ์ตามเงื่อนไขจํานวน 6.77 ล้านราย โดยเริ่มโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงวันนี้ (15 พ.ค.63) เป็นต้นไป พร้อมตรวจสอบสถานะการได้รับสิทธิ์และผลการโอนเงินผ่านเว็บไซต์ www.เยียวยาเกษตรกร.com นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส.พร้อมจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ตามมติคณะรัฐมนตรี รายละ 15,000 บาท โดยจ่ายเดือนละ 5,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน (พ.ค. – ก.ค. 63) จํานวน 10 ล้านราย วงเงินงบประมาณจํานวน 150,000 ล้านบาท ให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) กลุ่มเป้าหมายแรกจํานวน 8.46 ล้านราย โดย กษ. ได้ตรวจความซ้ําซ้อนกับการให้ความช่วยเหลืออื่น ๆ ของรัฐ เช่น การเยียวยาผู้ประกอบอาชีพอิสระตามมาตรการเราไม่ทิ้งกัน ของกระทรวงการคลัง ข้าราชการบํานาญ ผู้รับสิทธิประกันสังคม หรือโครงการอื่น ๆและสถานะผู้เสียชีวิต ซึ่งเบื้องต้นมีผู้ได้รับสิทธิ์ช่วยเหลือในกลุ่มแรก จํานวน 6.77 ล้านราย โดยเริ่มทยอยโอนเงินผ่าน ธ.ก.ส. ทุกสาขากว่า 1,200 สาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป วันละประมาณ 1 ล้านราย คาดจะดําเนินการกลุ่มแรกแล้วเสร็จภายในวันที่ 26 พฤษภาคม 2563 ส่วนเกษตรกรกลุ่มที่ 2 ที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงข้อมูลทะเบียนเกษตรกรและการขึ้นทะเบียนใหม่เพิ่มเติม เมื่อได้รับรายชื่อจาก กษ. และผ่านการตรวจสอบความซ้ําซ้อนแล้ว ธ.ก.ส. จะเร่งดําเนินการโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถตรวจสอบสถานะการได้รับสิทธิ์และผลการโอนเงินผ่านเว็บไซต์ www.เยียวยาเกษตรกร.com ได้ด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม ยังมีเกษตรกรที่มีสิทธิ์รับเงินเยียวยาและมีบัญชีเงินฝากของธนาคารอื่น ยังไม่ได้แจ้งข้อมูลธนาคาร เลขบัญชี ที่จะโอนเงิน ดังนั้น ขอให้รีบแจ้งข้อมูลบัญชีเงินฝากธนาคารใดก็ได้ ผ่านเว็บไซต์ข้างต้น โดยไม่จําเป็นต้องเปิดบัญชีเงินฝากของ ธ.ก.ส. สําหรับเกษตรกรที่ได้รับโอนเงินเยียวยาแล้ว สามารถใช้บัตร ATM ของ ธ.ก.ส. และของธนาคารอื่น ๆ ถอนเงินจาก ตู้ ATM ได้ทุกธนาคาร หรือใช้โทรศัพท์มือถือที่มีแอปพลิเคชั่น ธ.ก.ส. A-Mobile ถอนเงินโดยไม่ใช้บัตร ATM ที่ตู้ ATM ของ ธ.ก.ส. ทั้งนี้ ในช่วงเดือนพฤษภาคม ธ.ก.ส. มีโครงการตามนโยบายรัฐบาลที่เข้าไปช่วยเหลือประชาชนในกลุ่มต่าง ๆ อีกจํานวนมาก เช่น การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เงินเยียวยาตามมาตรการเราไม่ทิ้งกัน เงินประกันรายได้ปาล์มน้ํามัน เงินเดือน อสม. เป็นต้น ซึ่งจะมีผู้มาใช้บริการที่สาขาเป็นจํานวนมาก ดังนั้น เพื่อลดความแออัดและป้องกันการ แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ตามหลักการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ควบคู่กับการให้บริการเบิกถอนที่สะดวก รวดเร็ว เพื่อให้เงินถึงมือเกษตรกรโดยเร็วที่สุด ธ.ก.ส. สาขาจะแจ้งนัดหมายการเบิกจ่ายเงินสําหรับผู้ใช้สมุดบัญชี เพื่อลดปริมาณผู้มาใช้บริการที่สาขา การเปิดเคาน์เตอร์ช่องทางพิเศษเพื่อตรวจสอบสถานะบัญชี การประสานกับฝ่ายปกครองในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ว่าฯ นายอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. และส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยนัดหมายเป็นการเฉพาะกิจ เช่น การให้หัวหน้ากลุ่มลูกค้ารวมรวบบัญชีเงินฝากของสมาชิกมาเบิกถอน และกําหนดจุดออกไปบริการในพื้นที่เพื่ออํานวยความสะดวกต่อไป ธ.ก.ส. ห่วงใยในสุขภาพและความปลอดภัยของลูกค้าทุกท่าน และขอเป็นกําลังใจให้ทุกท่านผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน อนึ่ง โปรดระมัดระวังมิจฉาชีพที่แอบอ้างขอรหัสผ่าน ATM หรือเลขที่บัตรประชาชน รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคล อื่น ๆ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ Call Center02 555 0555
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30918
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ เร่งสร้างโอกาสขยายฐานแรงงานสู่ผู้สูงอายุในพื้นที่ภาคเหนืออย่างต่อเนื่อง
วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม 2562 ก.อุตฯ เร่งสร้างโอกาสขยายฐานแรงงานสู่ผู้สูงอายุในพื้นที่ภาคเหนืออย่างต่อเนื่อง นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ เชียงใหม่ : เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2562 นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ พบปะผู้สูงอายุใน อ.แม่แจ่ม ที่เข้าร่วมโครงการสร้างโอกาสขยายฐานแรงงานสู่ผู้สูงอายุของกระทรวงอุตสาหกรรม กว่า 150 คน พร้อมเยี่ยมชมการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ การส่งเสริมการผลิตสินค้าหัตถกรรมชุมชนเพื่อเพิ่มทักษะและรายได้ โดยมีนายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายจารุพันธ์ จารโยภาส นายภาสกร ชัยรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงพื้นที่ มีนางสาวพัทธนันท์ พิทาคํา ปลัดอําเภอแม่แจ่ม ให้การต้อนรับและพาเยี่ยมชมการฝึกอาชีพ โครงการสร้างโอกาสขยายฐานแรงงานสู่ผู้สูงอายุของกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปฝึกอาชีพและเพิ่มทักษะการผลิตสินค้าหัตถกรรมให้แก่ผู้สูงอายุใน อ.แม่แจ่ม ทั้งหมด 3 สาขา ได้แก่ การทําไม้กวาดทางมะพร้าว การทําไม้กวาดดอกหญ้า และการประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ นอกจากเพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้แก่ผู้สูงอายุที่เข้าร่วมโครงการฯ แล้ว ผู้สูงอายุในพื้นที่ยังได้มีกิจกรรมทําร่วมกัน สามารถพึ่งพาตนเองได้ ไม่เป็นภาระแก่ลูกหลาน รวมถึงเป็นการส่งเสริมฟื้นฟูสุขภาพกายและสุขภาพจิตของผู้สูงอายุให้สามารถอยู่ได้อย่างมีคุณค่า เพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการส่งเสริมการมีงานทําของประชากรกลุ่มต่าง ๆ อีกด้วย #ขยายฐานแรงงานสู่ผู้สูงอายุ #prindustry
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ เร่งสร้างโอกาสขยายฐานแรงงานสู่ผู้สูงอายุในพื้นที่ภาคเหนืออย่างต่อเนื่อง วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม 2562 ก.อุตฯ เร่งสร้างโอกาสขยายฐานแรงงานสู่ผู้สูงอายุในพื้นที่ภาคเหนืออย่างต่อเนื่อง นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ เชียงใหม่ : เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2562 นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ พบปะผู้สูงอายุใน อ.แม่แจ่ม ที่เข้าร่วมโครงการสร้างโอกาสขยายฐานแรงงานสู่ผู้สูงอายุของกระทรวงอุตสาหกรรม กว่า 150 คน พร้อมเยี่ยมชมการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ การส่งเสริมการผลิตสินค้าหัตถกรรมชุมชนเพื่อเพิ่มทักษะและรายได้ โดยมีนายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายจารุพันธ์ จารโยภาส นายภาสกร ชัยรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงพื้นที่ มีนางสาวพัทธนันท์ พิทาคํา ปลัดอําเภอแม่แจ่ม ให้การต้อนรับและพาเยี่ยมชมการฝึกอาชีพ โครงการสร้างโอกาสขยายฐานแรงงานสู่ผู้สูงอายุของกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปฝึกอาชีพและเพิ่มทักษะการผลิตสินค้าหัตถกรรมให้แก่ผู้สูงอายุใน อ.แม่แจ่ม ทั้งหมด 3 สาขา ได้แก่ การทําไม้กวาดทางมะพร้าว การทําไม้กวาดดอกหญ้า และการประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ นอกจากเพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้แก่ผู้สูงอายุที่เข้าร่วมโครงการฯ แล้ว ผู้สูงอายุในพื้นที่ยังได้มีกิจกรรมทําร่วมกัน สามารถพึ่งพาตนเองได้ ไม่เป็นภาระแก่ลูกหลาน รวมถึงเป็นการส่งเสริมฟื้นฟูสุขภาพกายและสุขภาพจิตของผู้สูงอายุให้สามารถอยู่ได้อย่างมีคุณค่า เพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการส่งเสริมการมีงานทําของประชากรกลุ่มต่าง ๆ อีกด้วย #ขยายฐานแรงงานสู่ผู้สูงอายุ #prindustry
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19169
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขาธิการอาเซียนพร้อมสนับสนุนแนวคิดหลัก “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” (Advancing Partnership for Sustainability) ในการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของไทยในปีหน้า
วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2561 เลขาธิการอาเซียนพร้อมสนับสนุนแนวคิดหลัก “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” (Advancing Partnership for Sustainability) ในการดํารงตําแหน่งประธานอาเซียนของไทยในปีหน้า เลขาธิการอาเซียนพร้อมสนับสนุนแนวคิดหลัก “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” (Advancing Partnership for Sustainability) ในการดํารงตําแหน่งประธานอาเซียนของไทยในปีหน้า วันนี้ (21 ธ.ค. 61) เวลา 14.00 น. ดาโต๊ะ ปาดูกา ลิม จ็อก ฮอย (Dato Paduka Lim Jock Hoi) เลขาธิการอาเซียน เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความชื่นชมบทบาทของเลขาธิการอาเซียน โดยเฉพาะด้านมนุษยธรรมที่ได้ลงไปให้ความช่วยเหลือในสปป.ลาว อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พร้อมกล่าวย้ําว่าไทยเป็นเกียรติและมีความพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ประธานอาเซียนในปีหน้า เลขาธิการอาเซียนยินดีสนับสนุนไทยในการขับเคลื่อนแนวคิดหลักสําหรับการดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน คือ “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” (Advancing Partnership for Sustainability) โดยนายกรัฐมนตรีย้ําว่าจะเสริมสร้างความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนภายในอาเซียนและระหว่างอาเซียนกับภาคีภายนอกให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น โดยคํานึงถึงการรักษาความเป็นแกนกลางของอาเซียนเพื่อนําไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและสร้างความยั่งยืนให้อาเซียนในทุกมิติ ในการนี้เลขาธิการอาเซียนได้แสดงความชื่นชมบทบาทของไทยในการแก้ไขปัญหาการทําประมงที่ผิดกฎหมาย (Illegal Unreported and Unregulated Fishing: IUU) แบบบูรณาการ และสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าอาเซียนต้องเตรียมความพร้อมและวางแผนสําหรับอนาคตเพื่อให้อาเซียนเป็นประชาคมซึ่งมองไปสู่อนาคต โดยเห็นว่าสํานักเลขาธิการอาเซียนควรเพิ่มบทบาทด้านการประสานงานและขับเคลื่อนกับองค์กรเฉพาะสาขา เพื่อสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์อาเซียนต่างๆ ในประเทศไทย โดยเฉพาะศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ศูนย์แพทย์ทหารอาเซียนและศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงวัยอย่างมีศักยภาพและนวัตกรรม นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังเห็นว่าอาเซียนควรมีมาตรการเพื่อป้องกันภัยทางไซเบอร์ที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้วย ทั้งนี้ไทยต้องการให้การดํารงตําแหน่งประธานอาเซียนของไทยเน้นเรื่องการแก้ปัญหาอุปสรรคในการดําเนินงานภายใต้สามเสาหลัก โดยให้ความสําคัญใน 3 ประเด็น คือ 1. ไทยพร้อมสนับสนุนการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ให้ได้ภายในปี 2562 2. ไทยต้องการร่วมมือกับสํานักเลขาธิการอาเซียนในการผลักดันให้เกิดความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อในอาเซียน 3. ไทยต้องการผลักดันพันธะสัญญาและประเด็นต่างๆ ที่ยังคั่งค้าง โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในภูมิภาค ได้แก่ สถานการณ์ในรัฐยะไข่ ซึ่งเลขาธิการอาเซียนได้เดินทางเยือนเมียนมาเมื่อวันที่ 17-18 ธันวาคมที่ผ่านมาเพื่อหารือเรื่องบทบาทของศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในการจัดการภัยพิบัติ (AHA Centre) โดยไทยเห็นว่ากระบวนการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเป็นเรื่องเร่งด่วน อาเซียนสามารถมีบทบาทในการเป็นสะพานเชื่อมโยงการทํางานกับเมียนมาได้ สําหรับสถานการณ์ทะเลจีนใต้นั้น ไทยให้ความสําคัญกับเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองในทะเลจีนใต้ นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเกี่ยวกับสงครามการค้า และสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีให้คํามั่นว่าไทยพร้อมเป็นเจ้าบ้านที่ดีและจะปฏิบัติหน้าที่ในการเป็นประธานอาเซียนอย่างเต็มศักยภาพ ***********
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขาธิการอาเซียนพร้อมสนับสนุนแนวคิดหลัก “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” (Advancing Partnership for Sustainability) ในการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของไทยในปีหน้า วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2561 เลขาธิการอาเซียนพร้อมสนับสนุนแนวคิดหลัก “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” (Advancing Partnership for Sustainability) ในการดํารงตําแหน่งประธานอาเซียนของไทยในปีหน้า เลขาธิการอาเซียนพร้อมสนับสนุนแนวคิดหลัก “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” (Advancing Partnership for Sustainability) ในการดํารงตําแหน่งประธานอาเซียนของไทยในปีหน้า วันนี้ (21 ธ.ค. 61) เวลา 14.00 น. ดาโต๊ะ ปาดูกา ลิม จ็อก ฮอย (Dato Paduka Lim Jock Hoi) เลขาธิการอาเซียน เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความชื่นชมบทบาทของเลขาธิการอาเซียน โดยเฉพาะด้านมนุษยธรรมที่ได้ลงไปให้ความช่วยเหลือในสปป.ลาว อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พร้อมกล่าวย้ําว่าไทยเป็นเกียรติและมีความพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ประธานอาเซียนในปีหน้า เลขาธิการอาเซียนยินดีสนับสนุนไทยในการขับเคลื่อนแนวคิดหลักสําหรับการดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน คือ “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” (Advancing Partnership for Sustainability) โดยนายกรัฐมนตรีย้ําว่าจะเสริมสร้างความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนภายในอาเซียนและระหว่างอาเซียนกับภาคีภายนอกให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น โดยคํานึงถึงการรักษาความเป็นแกนกลางของอาเซียนเพื่อนําไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและสร้างความยั่งยืนให้อาเซียนในทุกมิติ ในการนี้เลขาธิการอาเซียนได้แสดงความชื่นชมบทบาทของไทยในการแก้ไขปัญหาการทําประมงที่ผิดกฎหมาย (Illegal Unreported and Unregulated Fishing: IUU) แบบบูรณาการ และสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าอาเซียนต้องเตรียมความพร้อมและวางแผนสําหรับอนาคตเพื่อให้อาเซียนเป็นประชาคมซึ่งมองไปสู่อนาคต โดยเห็นว่าสํานักเลขาธิการอาเซียนควรเพิ่มบทบาทด้านการประสานงานและขับเคลื่อนกับองค์กรเฉพาะสาขา เพื่อสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์อาเซียนต่างๆ ในประเทศไทย โดยเฉพาะศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ศูนย์แพทย์ทหารอาเซียนและศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงวัยอย่างมีศักยภาพและนวัตกรรม นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังเห็นว่าอาเซียนควรมีมาตรการเพื่อป้องกันภัยทางไซเบอร์ที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้วย ทั้งนี้ไทยต้องการให้การดํารงตําแหน่งประธานอาเซียนของไทยเน้นเรื่องการแก้ปัญหาอุปสรรคในการดําเนินงานภายใต้สามเสาหลัก โดยให้ความสําคัญใน 3 ประเด็น คือ 1. ไทยพร้อมสนับสนุนการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ให้ได้ภายในปี 2562 2. ไทยต้องการร่วมมือกับสํานักเลขาธิการอาเซียนในการผลักดันให้เกิดความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อในอาเซียน 3. ไทยต้องการผลักดันพันธะสัญญาและประเด็นต่างๆ ที่ยังคั่งค้าง โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในภูมิภาค ได้แก่ สถานการณ์ในรัฐยะไข่ ซึ่งเลขาธิการอาเซียนได้เดินทางเยือนเมียนมาเมื่อวันที่ 17-18 ธันวาคมที่ผ่านมาเพื่อหารือเรื่องบทบาทของศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในการจัดการภัยพิบัติ (AHA Centre) โดยไทยเห็นว่ากระบวนการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเป็นเรื่องเร่งด่วน อาเซียนสามารถมีบทบาทในการเป็นสะพานเชื่อมโยงการทํางานกับเมียนมาได้ สําหรับสถานการณ์ทะเลจีนใต้นั้น ไทยให้ความสําคัญกับเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองในทะเลจีนใต้ นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเกี่ยวกับสงครามการค้า และสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีให้คํามั่นว่าไทยพร้อมเป็นเจ้าบ้านที่ดีและจะปฏิบัติหน้าที่ในการเป็นประธานอาเซียนอย่างเต็มศักยภาพ ***********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17675
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุม กห.อาเซียน ครั้งที่ ๑๒ : เห็นชอบข้อเสนอของไทย ในการผลักดันความร่วมมือแก้ปัญหา IUU ระดับภูมิภาค และลงนามร่วมกัน ในปฏิญญาร่วมว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือ และเสริมสร้างความเข
วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม 2561 ประชุม กห.อาเซียน ครั้งที่ ๑๒ : เห็นชอบข้อเสนอของไทย ในการผลักดันความร่วมมือแก้ปัญหา IUU ระดับภูมิภาค และลงนามร่วมกัน ในปฏิญญาร่วมว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือ และเสริมสร้างความเข ผลการประชุม รมว.กห.อาเซียน ครั้งที่ ๑๒ ( ADMM ) เมื่อ ๑๙ ต.ค.๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห.พร้อม ปล.กห. เข้าร่วมประชุม กับ รมว.กห.ประเทศสมาชิก ที่ประชุมได้รับทราบ ผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน ( ADSOM ) และ ผลการประชุม ผบ.ทสส.อาเซียน อย่างไม่เป็นทางการ จากนั้นได้หารือร่วมกันถึงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของอาเซียน การตอบสนองและการฟื้นฟู สําหรับการต่อต้านการก่อการร้าย โดยแสดงความกังวลร่วมกันถึงภัยจากการก่อการร้าย ที่ต้องการ บูรณการความร่วมมือในการรับมือกันมากขึ้น ในการเสริมสร้างความเข้มแข็ง การตอบสนองและการฟื้นฟูสําหรับการต่อต้านการก่อการร้าย พล.อ.ประวิตร ได้แสดงความเสียใจกับลาว และอินโดนีเซีย ต่อเหตุการณ์ภัยพิบัติที่ผ่านมา โดยรัฐบาลไทยพร้อมให้การสนับสนุนและช่วยเหลือ พร้อมทั้งเชื่อมั่นว่า ลาวและอินโดนีเซีย จะสามารถผ่านความยากลําบาก ไปได้โดยเร็ว พร้อมทั้งย้ําถึงความตระหนักร่วมกันถึงภัยคุกคามรูปแบบใหม่ และความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาค ที่ถูกแสวงประโยชน์จากกลุ่มผู้ไม่หวังดี ขยายผลเป็นภัยคุกคามข้ามชาติ ซึ่งทุกประเทศจําเป็นต้องให้ความร่วมมือกันใกล้ชิดมากขึ้น ผ่านการเสริมสร้างกลไกความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ การก่อการร้าย อาชญากรรม ข้ามชาติ และความมั่นคงทางทะเล ซึ่งรวมถึงการทําประมงผิดกฎหมาย ( IUU Fishing ) ซึ่งเป็นปัญหาสําคัญ ของหลายประเทศ ที่ควรได้รับการริเริ่มแสวงหาแนวทางและสร้างกลไกความร่วมมือที่สร้างสรรค์ระดับภูมิภาค ที่เป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืนร่วมกัน พร้อมทั้งได้ใช้โอกาสนี้ ยืนยันถึงความพร้อมของ กห.ไทย ในการดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน ที่มุ่งมั่นจะสานต่อและขับเคลื่อนความร่วมมือ รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งของความเป็นหุ้นส่วนระหว่างประเทศ ให้เกิดความต่อเนื่องยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้ ที่ประชุมอาเซียน ได้เห็นชอบกับข้อเสนอของ กห.ไทย ในการร่วมกันผลักดัน การแก้ปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ( IUU Fishing ) โดยจะนําไปหารือเพื่อแสวงความร่วมมือกันในการประชุม ADMM ปี ๖๒ ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพ ต่อจากนั้นได้ลงนามร่วมกัน ในปฏิญญาร่วม ว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือและเสริมสร้างความเข้มแข็งของอาเซียน โดยมีสาระสําคัญ เกี่ยวกับแนวความคิดด้านต่างๆ ๕ ฉบับ ประกอบด้วย การจัดตั้งเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญของอาเซียน ด้านเคมี ชีวภาพและรังสี เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ร่วมกัน , กรอบแนวทางปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุการณ์อากาศยานทหารบินเผชิญหน้ากัน เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด , ขอบเขตการปฏิบัติงานของผู้แทนฝ่ายทหารประจําศูนย์ประสานงานอาเซียน สําหรับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และ การบรรเทาภัยพิบัติ โดยกองกําลังเตรียมพร้อมอาเซียน , แนวความคิดว่าด้วยบรรทัดฐาน การคัดเลือกประเทศผู้สังเกตการณ์ของคณะผู้เชี่ยวชาญในกรอบการประชุม รมว.กห.อาเซียนกับ รมว.กห.ประเทศคู่เจรจา รวมทั้ง แนวความคิดโครงการ “Our Eyes Initiative” ในการแลกเปลี่ยนข่าวสารทางยุทธศาสตร์ด้านการต่อต้านการก่อการร้ายร่วมกัน พร้อมทั้ง ได้ลงนามร่วมกัน ในปฏิญญาร่วม ว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือและเสริมสร้างความเข้มแข็งของอาเซียน เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงของภูมิภาคร่วมกัน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุม กห.อาเซียน ครั้งที่ ๑๒ : เห็นชอบข้อเสนอของไทย ในการผลักดันความร่วมมือแก้ปัญหา IUU ระดับภูมิภาค และลงนามร่วมกัน ในปฏิญญาร่วมว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือ และเสริมสร้างความเข วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม 2561 ประชุม กห.อาเซียน ครั้งที่ ๑๒ : เห็นชอบข้อเสนอของไทย ในการผลักดันความร่วมมือแก้ปัญหา IUU ระดับภูมิภาค และลงนามร่วมกัน ในปฏิญญาร่วมว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือ และเสริมสร้างความเข ผลการประชุม รมว.กห.อาเซียน ครั้งที่ ๑๒ ( ADMM ) เมื่อ ๑๙ ต.ค.๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห.พร้อม ปล.กห. เข้าร่วมประชุม กับ รมว.กห.ประเทศสมาชิก ที่ประชุมได้รับทราบ ผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน ( ADSOM ) และ ผลการประชุม ผบ.ทสส.อาเซียน อย่างไม่เป็นทางการ จากนั้นได้หารือร่วมกันถึงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของอาเซียน การตอบสนองและการฟื้นฟู สําหรับการต่อต้านการก่อการร้าย โดยแสดงความกังวลร่วมกันถึงภัยจากการก่อการร้าย ที่ต้องการ บูรณการความร่วมมือในการรับมือกันมากขึ้น ในการเสริมสร้างความเข้มแข็ง การตอบสนองและการฟื้นฟูสําหรับการต่อต้านการก่อการร้าย พล.อ.ประวิตร ได้แสดงความเสียใจกับลาว และอินโดนีเซีย ต่อเหตุการณ์ภัยพิบัติที่ผ่านมา โดยรัฐบาลไทยพร้อมให้การสนับสนุนและช่วยเหลือ พร้อมทั้งเชื่อมั่นว่า ลาวและอินโดนีเซีย จะสามารถผ่านความยากลําบาก ไปได้โดยเร็ว พร้อมทั้งย้ําถึงความตระหนักร่วมกันถึงภัยคุกคามรูปแบบใหม่ และความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาค ที่ถูกแสวงประโยชน์จากกลุ่มผู้ไม่หวังดี ขยายผลเป็นภัยคุกคามข้ามชาติ ซึ่งทุกประเทศจําเป็นต้องให้ความร่วมมือกันใกล้ชิดมากขึ้น ผ่านการเสริมสร้างกลไกความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ การก่อการร้าย อาชญากรรม ข้ามชาติ และความมั่นคงทางทะเล ซึ่งรวมถึงการทําประมงผิดกฎหมาย ( IUU Fishing ) ซึ่งเป็นปัญหาสําคัญ ของหลายประเทศ ที่ควรได้รับการริเริ่มแสวงหาแนวทางและสร้างกลไกความร่วมมือที่สร้างสรรค์ระดับภูมิภาค ที่เป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืนร่วมกัน พร้อมทั้งได้ใช้โอกาสนี้ ยืนยันถึงความพร้อมของ กห.ไทย ในการดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน ที่มุ่งมั่นจะสานต่อและขับเคลื่อนความร่วมมือ รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งของความเป็นหุ้นส่วนระหว่างประเทศ ให้เกิดความต่อเนื่องยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้ ที่ประชุมอาเซียน ได้เห็นชอบกับข้อเสนอของ กห.ไทย ในการร่วมกันผลักดัน การแก้ปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ( IUU Fishing ) โดยจะนําไปหารือเพื่อแสวงความร่วมมือกันในการประชุม ADMM ปี ๖๒ ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพ ต่อจากนั้นได้ลงนามร่วมกัน ในปฏิญญาร่วม ว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือและเสริมสร้างความเข้มแข็งของอาเซียน โดยมีสาระสําคัญ เกี่ยวกับแนวความคิดด้านต่างๆ ๕ ฉบับ ประกอบด้วย การจัดตั้งเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญของอาเซียน ด้านเคมี ชีวภาพและรังสี เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ร่วมกัน , กรอบแนวทางปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุการณ์อากาศยานทหารบินเผชิญหน้ากัน เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด , ขอบเขตการปฏิบัติงานของผู้แทนฝ่ายทหารประจําศูนย์ประสานงานอาเซียน สําหรับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และ การบรรเทาภัยพิบัติ โดยกองกําลังเตรียมพร้อมอาเซียน , แนวความคิดว่าด้วยบรรทัดฐาน การคัดเลือกประเทศผู้สังเกตการณ์ของคณะผู้เชี่ยวชาญในกรอบการประชุม รมว.กห.อาเซียนกับ รมว.กห.ประเทศคู่เจรจา รวมทั้ง แนวความคิดโครงการ “Our Eyes Initiative” ในการแลกเปลี่ยนข่าวสารทางยุทธศาสตร์ด้านการต่อต้านการก่อการร้ายร่วมกัน พร้อมทั้ง ได้ลงนามร่วมกัน ในปฏิญญาร่วม ว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือและเสริมสร้างความเข้มแข็งของอาเซียน เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงของภูมิภาคร่วมกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16244
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง สรุปรายงานการโจรกรรมอุปกรณ์งานทางประจำเดือนกรกฎาคม 2560 ลดลงร้อยละ 94 พร้อมขอความร่วมมือประชาชนช่วยกันสอดส่องดูแลทรัพย์สินของทางราชการ
วันพุธที่ 13 กันยายน 2560 กรมทางหลวง สรุปรายงานการโจรกรรมอุปกรณ์งานทางประจําเดือนกรกฎาคม 2560 ลดลงร้อยละ 94 พร้อมขอความร่วมมือประชาชนช่วยกันสอดส่องดูแลทรัพย์สินของทางราชการ กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม รายงานข้อมูลการโจรกรรมอุปกรณ์งานทางของกรมทางหลวง (78 แขวงทางหลวง) ประจําเดือนกรกฎาคม 2560 ซึ่งอุปกรณ์งานทางได้ถูกโจรกรรมมูลค่าทั้งสิ้น 42,184 บาท สําหรับทรัพย์สินที่ถูกโจรกรรม ได้แก่ สายไฟฟ้า 1 แห่ง มูลค่า 27,324 บาท ราวสะพานลอย 1 แห่ง มูลค่า 9,360 บาท และอุปกรณ์สัญญาณไฟ 1 แห่ง มูลค่า 5,500 บาท เมื่อเปรียบเทียบสถิติกับเดือนกรกฎาคม 2559 พบว่า อุปกรณ์งานทางถูกโจรกรรมลดลงร้อยละ 94 โดยเฉพาะป้ายจราจร สายไฟฟ้า อุปกรณ์ป้ายจราจร อุปกรณ์ไฟฟ้า และอื่นๆ นอกจากนี้ หากจําแนกตามแขวงทางหลวงพบว่า แขวงทางหลวงกรุงเทพถูกโจรกรรมอุปกรณ์งานทางมูลค่าสูงสุดในเดือนดังกล่าว รองลงมาคือ แขวงทางหลวงอยุธยา แขวงทางหลวงนครราชสีมาที่ 3 ตามลําดับ ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนมกราคม – เดือนกรกฎาคม 2560 อุปกรณ์งานทางได้ถูกโจรกรรมรวมมูลค่าทั้งสิ้น 5,192,712.15 บาท ซึ่งกรมทางหลวงได้มีมาตรการในการป้องกันการโจรกรรมและมาตรการเพิ่มเครือข่ายประชาสังคมในการร่วมดูแลรักษาอุปกรณ์งานทาง ซึ่งเป็นการช่วยกันสอดส่องดูแลในแต่ละพื้นที่อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือและขอบคุณผู้ใช้ทางและประชาชนผู้อาศัยบริเวณสองข้างทางหลวงที่ได้ช่วยกันดูแลทรัพย์สินของทางราชการ เพื่อให้ปัญหาการโจรกรรมทรัพย์สินงานทางและทรัพย์สินทางราชการลดลง รวมทั้งเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินและนําไปพัฒนาทางหลวงได้ต่อไป หากประชาชนพบเห็นผู้กระทําผิดหรือสงสัยจะกระทําผิดสามารถแจ้งได้สํานักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงในพื้นที่ทั่วประเทศ สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) และตํารวจทางหลวง 1193 ตลอด 24 ชั่วโมง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง สรุปรายงานการโจรกรรมอุปกรณ์งานทางประจำเดือนกรกฎาคม 2560 ลดลงร้อยละ 94 พร้อมขอความร่วมมือประชาชนช่วยกันสอดส่องดูแลทรัพย์สินของทางราชการ วันพุธที่ 13 กันยายน 2560 กรมทางหลวง สรุปรายงานการโจรกรรมอุปกรณ์งานทางประจําเดือนกรกฎาคม 2560 ลดลงร้อยละ 94 พร้อมขอความร่วมมือประชาชนช่วยกันสอดส่องดูแลทรัพย์สินของทางราชการ กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม รายงานข้อมูลการโจรกรรมอุปกรณ์งานทางของกรมทางหลวง (78 แขวงทางหลวง) ประจําเดือนกรกฎาคม 2560 ซึ่งอุปกรณ์งานทางได้ถูกโจรกรรมมูลค่าทั้งสิ้น 42,184 บาท สําหรับทรัพย์สินที่ถูกโจรกรรม ได้แก่ สายไฟฟ้า 1 แห่ง มูลค่า 27,324 บาท ราวสะพานลอย 1 แห่ง มูลค่า 9,360 บาท และอุปกรณ์สัญญาณไฟ 1 แห่ง มูลค่า 5,500 บาท เมื่อเปรียบเทียบสถิติกับเดือนกรกฎาคม 2559 พบว่า อุปกรณ์งานทางถูกโจรกรรมลดลงร้อยละ 94 โดยเฉพาะป้ายจราจร สายไฟฟ้า อุปกรณ์ป้ายจราจร อุปกรณ์ไฟฟ้า และอื่นๆ นอกจากนี้ หากจําแนกตามแขวงทางหลวงพบว่า แขวงทางหลวงกรุงเทพถูกโจรกรรมอุปกรณ์งานทางมูลค่าสูงสุดในเดือนดังกล่าว รองลงมาคือ แขวงทางหลวงอยุธยา แขวงทางหลวงนครราชสีมาที่ 3 ตามลําดับ ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนมกราคม – เดือนกรกฎาคม 2560 อุปกรณ์งานทางได้ถูกโจรกรรมรวมมูลค่าทั้งสิ้น 5,192,712.15 บาท ซึ่งกรมทางหลวงได้มีมาตรการในการป้องกันการโจรกรรมและมาตรการเพิ่มเครือข่ายประชาสังคมในการร่วมดูแลรักษาอุปกรณ์งานทาง ซึ่งเป็นการช่วยกันสอดส่องดูแลในแต่ละพื้นที่อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือและขอบคุณผู้ใช้ทางและประชาชนผู้อาศัยบริเวณสองข้างทางหลวงที่ได้ช่วยกันดูแลทรัพย์สินของทางราชการ เพื่อให้ปัญหาการโจรกรรมทรัพย์สินงานทางและทรัพย์สินทางราชการลดลง รวมทั้งเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินและนําไปพัฒนาทางหลวงได้ต่อไป หากประชาชนพบเห็นผู้กระทําผิดหรือสงสัยจะกระทําผิดสามารถแจ้งได้สํานักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงในพื้นที่ทั่วประเทศ สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) และตํารวจทางหลวง 1193 ตลอด 24 ชั่วโมง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6658
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ชุมชนคลองเตยล็อค 1-2-3 เร่งช่วยประชาชนผู้ประสบเหตุเพลิงไหม้
วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม 2563 รมว.พม. ลงพื้นที่ชุมชนคลองเตยล็อค 1-2-3 เร่งช่วยประชาชนผู้ประสบเหตุเพลิงไหม้ รมว.พม. ลงพื้นที่ชุมชนคลองเตยล็อค 1-2-3 เร่งช่วยประชาชนผู้ประสบเหตุเพลิงไหม้ เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 63เวลา 20.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วย ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวง พม. และศูนย์ช่วยเหลือสังคม ลงพื้นที่เยี่ยมให้กําลังใจและให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นด้วยการมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนที่ประสบเหตุเพลิงไหม้ ณ ชุมชนคลองเตยล็อค 1-2-3 ถนนอาจณรงค์ เขตคลองเตย กรุงเทพฯ นายจุติ กล่าวว่า เมื่อเวลา 18.45 น. ที่ผ่านมา เกิดเหตุเพลิงไหม้ชุมชนคลองเตยล็อค 1-2-3 พบว่ามีผู้ประสบภัยจากเหตุดังกล่าวจํานวน 6 หลังคาเรือน 9 ครอบครัว ทั้งนี้ ตนมีความห่วงใยผู้ประสบภัยทุกคนจึงได้เร่งลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด ด้วยการมอบถุงยังชีพ พร้อมทั้งมอบหมายให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) จัดหาที่พักชั่วคราวให้กับประชาชนที่ไม่มีที่พักอาศัย และในวันพรุ่งนี้ (22 ก.ค. 63) ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวง พม. ลงพื้นที่สํารวจผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุดังกล่าว เพื่อให้ความช่วยเหลือตามภารกิจของกระทรวง พม. ต่อไป นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากประชาชนประสบปัญหาทางสังคม หรือพบเห็นผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ สามารถโทรแจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้คําปรึกษาและความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ชุมชนคลองเตยล็อค 1-2-3 เร่งช่วยประชาชนผู้ประสบเหตุเพลิงไหม้ วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม 2563 รมว.พม. ลงพื้นที่ชุมชนคลองเตยล็อค 1-2-3 เร่งช่วยประชาชนผู้ประสบเหตุเพลิงไหม้ รมว.พม. ลงพื้นที่ชุมชนคลองเตยล็อค 1-2-3 เร่งช่วยประชาชนผู้ประสบเหตุเพลิงไหม้ เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 63เวลา 20.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วย ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวง พม. และศูนย์ช่วยเหลือสังคม ลงพื้นที่เยี่ยมให้กําลังใจและให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นด้วยการมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนที่ประสบเหตุเพลิงไหม้ ณ ชุมชนคลองเตยล็อค 1-2-3 ถนนอาจณรงค์ เขตคลองเตย กรุงเทพฯ นายจุติ กล่าวว่า เมื่อเวลา 18.45 น. ที่ผ่านมา เกิดเหตุเพลิงไหม้ชุมชนคลองเตยล็อค 1-2-3 พบว่ามีผู้ประสบภัยจากเหตุดังกล่าวจํานวน 6 หลังคาเรือน 9 ครอบครัว ทั้งนี้ ตนมีความห่วงใยผู้ประสบภัยทุกคนจึงได้เร่งลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด ด้วยการมอบถุงยังชีพ พร้อมทั้งมอบหมายให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) จัดหาที่พักชั่วคราวให้กับประชาชนที่ไม่มีที่พักอาศัย และในวันพรุ่งนี้ (22 ก.ค. 63) ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวง พม. ลงพื้นที่สํารวจผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุดังกล่าว เพื่อให้ความช่วยเหลือตามภารกิจของกระทรวง พม. ต่อไป นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากประชาชนประสบปัญหาทางสังคม หรือพบเห็นผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ สามารถโทรแจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้คําปรึกษาและความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33630
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ช่วงไวรัสโควิด-19 ระบาด การซื้ออาหารตามร้านอาหารทั่วไป ยังมีความปลอดภัยอยู่หรือไม่ ??
วันอังคารที่ 14 เมษายน 2563 ช่วงไวรัสโควิด-19 ระบาด การซื้ออาหารตามร้านอาหารทั่วไป ยังมีความปลอดภัยอยู่หรือไม่ ?? ซื้ออาหารตามร้านอาหารปลอดภัยหรือไม่ ? Q : ช่วงไวรัสโควิด-19 ระบาด การซื้ออาหารตามร้านอาหารทั่วไป ยังมีความปลอดภัยอยู่หรือไม่ ?? A : การทําอาหารทานเองที่บ้านจะมีความปลอดภัยมากกว่า แต่ถ้าต้องเลือกซื้ออาหารจากร้านทั่วไป สามารถลดโอกาสเสี่ยงได้โดยเลือกเมนูอาหารที่ปรุงสุก ด้วยความร้อนอุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียสขึ้นไป ที่สําคัญคือต้องล้างมือก่อนทานอาหารทุกครั้ง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ช่วงไวรัสโควิด-19 ระบาด การซื้ออาหารตามร้านอาหารทั่วไป ยังมีความปลอดภัยอยู่หรือไม่ ?? วันอังคารที่ 14 เมษายน 2563 ช่วงไวรัสโควิด-19 ระบาด การซื้ออาหารตามร้านอาหารทั่วไป ยังมีความปลอดภัยอยู่หรือไม่ ?? ซื้ออาหารตามร้านอาหารปลอดภัยหรือไม่ ? Q : ช่วงไวรัสโควิด-19 ระบาด การซื้ออาหารตามร้านอาหารทั่วไป ยังมีความปลอดภัยอยู่หรือไม่ ?? A : การทําอาหารทานเองที่บ้านจะมีความปลอดภัยมากกว่า แต่ถ้าต้องเลือกซื้ออาหารจากร้านทั่วไป สามารถลดโอกาสเสี่ยงได้โดยเลือกเมนูอาหารที่ปรุงสุก ด้วยความร้อนอุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียสขึ้นไป ที่สําคัญคือต้องล้างมือก่อนทานอาหารทุกครั้ง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29019
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท.เน้นย้ำผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดกำกับดูแลการรับลงทะเบียนตลาดประชารัฐให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เผยยอดรับลงทะเบียนตลาดประชารัฐ 20 วัน ยอดสะสมกว่า 9.8 หมื่นคน
วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน 2560 ปลัด มท.เน้นย้ําผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดกํากับดูแลการรับลงทะเบียนตลาดประชารัฐให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เผยยอดรับลงทะเบียนตลาดประชารัฐ 20 วัน ยอดสะสมกว่า 9.8 หมื่นคน ปลัด มท.เน้นย้ําผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดกํากับดูแลการรับลงทะเบียนตลาดประชารัฐให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เผยยอดรับลงทะเบียนตลาดประชารัฐ 20 วัน ยอดสะสมกว่า 9.8 หมื่นคน วันนี้ (30พ.ย.60) ที่กระทรวงมหาดไทยนายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่านายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยมีความห่วงใยการดําเนินการรับลงทะเบียนผู้ประกอบการตลาดประชารัฐในวันนี้ (30 พ.ย.60) ซึ่งเป็นวันสุดท้าย โดยได้เน้นย้ําให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดกํากับดูแลให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเร่งดําเนินการด้านการบริหารจัดการและการดําเนินโครงการ ได้แก่ 1. การบริหารจัดการพื้นที่ตลาด เพื่อให้ผู้ประกอบการรายใหม่ค้าขาย 2. การจัดทําป้ายชื่อตลาดประชารัฐในแต่ละประเภท 3. การบริหารจัดการผู้ประกอบการรายใหม่ให้ลงค้าขายในพื้นที่ตลาดแต่ละประเภท 4. การแจ้งให้หน่วยงานเจ้าของตลาดทําความเข้าใจในกติกาของตลาดแต่ละประเภทกับผู้ประกอบการรายใหม่เพื่อมิให้เกิดการเข้าใจคลาดเคลื่อน 5. ประสานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในพื้นที่อบรมให้ความรู้กับผู้ประกอบการรายใหม่ในเรื่องเทคนิคการค้าขาย 6. เร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เพื่อให้ผู้ซื้อและผู้บริโภคได้รับทราบโครงการตลาดประชารัฐ ตลอดจนการจัดการโปรโมท และทําการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายให้แก่ผู้ประกอบการ 7. การแต่งตั้งChief Marketing Officer(CMO)ตลาดแต่ละแห่งเพื่อดูแลผู้ประกอบการรายใหม่ โดยมีกําหนดให้ทุกจังหวัดต้องรายงานสรุปผลการลงทะเบียนให้กระทรวงมหาดไทยทราบภายในวันนี้ เพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบความคืบหน้าต่อไป สําหรับผลการลงทะเบียนผู้ประกอบการตลาดประชารัฐตลอด 20 วัน(10-29 พ.ย.60) พบว่าเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และยังคงมีพี่น้องประชาชนให้ความสนใจและเดินทางมาลงทะเบียนกันอย่างต่อเนื่องเป็นจํานวนมาก โดยมียอดสะสมของผู้ลงทะเบียนทั้งสิ้น98,384 รายและในส่วนตลาดที่ได้รับความนิยมสูงสุด 3 ลําดับแรก คือ 1. ตลาดประชารัฐคนไทยยิ้มได้ 61,486 ราย 2. ตลาดประชารัฐท้องถิ่นสุขใจ 52,485 ราย และ 3. ตลาดประชารัฐของดีจังหวัด 23,575 ราย ด้านประเภทสินค้าที่ประชาชนประสงค์จะนํามาจําหน่าย 3 ลําดับแรก ได้แก่ 1. สินค้าทั่วไป เช่น เสื้อผ้า ฯลฯ 26,048 ราย 2. สินค้าเกษตร 24,664 ราย และ 3. อาหารพร้อมรับประทาน ข้าวแกง 23,274 ราย ในด้านประเภทของผู้ประกอบการ ได้แก่ 1. พ่อค้า/แม่ค้า 48,764 ราย 2. เกษตรกร 24,788 ราย และ 3. ผู้มีรายได้น้อย 10,706 ราย สําหรับพื้นที่/จังหวัดที่มีผู้มาลงทะเบียนสูงสุด คือ 1. กรุงเทพมหานคร 6,941 ราย 2. จังหวัดศรีสะเกษ 4,841 ราย 3. จังหวัดนครราชสีมา 4,767 ราย 4. จังหวัดสกลนคร 3,170 ราย และ 5. จังหวัดบุรีรัมย์ 3,114 ราย ในโอกาสนี้ กระทรวงมหาดไทย ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน เกษตรกร พ่อค้า แม่ค้า ผู้มีรายได้น้อย และผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการไม่มีสถานที่ค้าขาย ลงทะเบียนเป็นผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ ได้ที่ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด ศูนย์ดํารงธรรมอําเภอ และสํานักงานเขตทั้ง 50 เขตในกรุงเทพมหานคร ในวันนี้ (30 พ.ย.60) เป็นวันสุดท้าย. ครั้งที่ 184/2560 กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โทร 0-22224131-2
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท.เน้นย้ำผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดกำกับดูแลการรับลงทะเบียนตลาดประชารัฐให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เผยยอดรับลงทะเบียนตลาดประชารัฐ 20 วัน ยอดสะสมกว่า 9.8 หมื่นคน วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน 2560 ปลัด มท.เน้นย้ําผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดกํากับดูแลการรับลงทะเบียนตลาดประชารัฐให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เผยยอดรับลงทะเบียนตลาดประชารัฐ 20 วัน ยอดสะสมกว่า 9.8 หมื่นคน ปลัด มท.เน้นย้ําผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดกํากับดูแลการรับลงทะเบียนตลาดประชารัฐให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เผยยอดรับลงทะเบียนตลาดประชารัฐ 20 วัน ยอดสะสมกว่า 9.8 หมื่นคน วันนี้ (30พ.ย.60) ที่กระทรวงมหาดไทยนายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่านายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยมีความห่วงใยการดําเนินการรับลงทะเบียนผู้ประกอบการตลาดประชารัฐในวันนี้ (30 พ.ย.60) ซึ่งเป็นวันสุดท้าย โดยได้เน้นย้ําให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดกํากับดูแลให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเร่งดําเนินการด้านการบริหารจัดการและการดําเนินโครงการ ได้แก่ 1. การบริหารจัดการพื้นที่ตลาด เพื่อให้ผู้ประกอบการรายใหม่ค้าขาย 2. การจัดทําป้ายชื่อตลาดประชารัฐในแต่ละประเภท 3. การบริหารจัดการผู้ประกอบการรายใหม่ให้ลงค้าขายในพื้นที่ตลาดแต่ละประเภท 4. การแจ้งให้หน่วยงานเจ้าของตลาดทําความเข้าใจในกติกาของตลาดแต่ละประเภทกับผู้ประกอบการรายใหม่เพื่อมิให้เกิดการเข้าใจคลาดเคลื่อน 5. ประสานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในพื้นที่อบรมให้ความรู้กับผู้ประกอบการรายใหม่ในเรื่องเทคนิคการค้าขาย 6. เร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เพื่อให้ผู้ซื้อและผู้บริโภคได้รับทราบโครงการตลาดประชารัฐ ตลอดจนการจัดการโปรโมท และทําการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายให้แก่ผู้ประกอบการ 7. การแต่งตั้งChief Marketing Officer(CMO)ตลาดแต่ละแห่งเพื่อดูแลผู้ประกอบการรายใหม่ โดยมีกําหนดให้ทุกจังหวัดต้องรายงานสรุปผลการลงทะเบียนให้กระทรวงมหาดไทยทราบภายในวันนี้ เพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบความคืบหน้าต่อไป สําหรับผลการลงทะเบียนผู้ประกอบการตลาดประชารัฐตลอด 20 วัน(10-29 พ.ย.60) พบว่าเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และยังคงมีพี่น้องประชาชนให้ความสนใจและเดินทางมาลงทะเบียนกันอย่างต่อเนื่องเป็นจํานวนมาก โดยมียอดสะสมของผู้ลงทะเบียนทั้งสิ้น98,384 รายและในส่วนตลาดที่ได้รับความนิยมสูงสุด 3 ลําดับแรก คือ 1. ตลาดประชารัฐคนไทยยิ้มได้ 61,486 ราย 2. ตลาดประชารัฐท้องถิ่นสุขใจ 52,485 ราย และ 3. ตลาดประชารัฐของดีจังหวัด 23,575 ราย ด้านประเภทสินค้าที่ประชาชนประสงค์จะนํามาจําหน่าย 3 ลําดับแรก ได้แก่ 1. สินค้าทั่วไป เช่น เสื้อผ้า ฯลฯ 26,048 ราย 2. สินค้าเกษตร 24,664 ราย และ 3. อาหารพร้อมรับประทาน ข้าวแกง 23,274 ราย ในด้านประเภทของผู้ประกอบการ ได้แก่ 1. พ่อค้า/แม่ค้า 48,764 ราย 2. เกษตรกร 24,788 ราย และ 3. ผู้มีรายได้น้อย 10,706 ราย สําหรับพื้นที่/จังหวัดที่มีผู้มาลงทะเบียนสูงสุด คือ 1. กรุงเทพมหานคร 6,941 ราย 2. จังหวัดศรีสะเกษ 4,841 ราย 3. จังหวัดนครราชสีมา 4,767 ราย 4. จังหวัดสกลนคร 3,170 ราย และ 5. จังหวัดบุรีรัมย์ 3,114 ราย ในโอกาสนี้ กระทรวงมหาดไทย ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน เกษตรกร พ่อค้า แม่ค้า ผู้มีรายได้น้อย และผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการไม่มีสถานที่ค้าขาย ลงทะเบียนเป็นผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ ได้ที่ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด ศูนย์ดํารงธรรมอําเภอ และสํานักงานเขตทั้ง 50 เขตในกรุงเทพมหานคร ในวันนี้ (30 พ.ย.60) เป็นวันสุดท้าย. ครั้งที่ 184/2560 กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โทร 0-22224131-2
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8470
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Egg Board พิจารณาจัดสรรโควตาการเลี้ยงไก่ไข่พันธุ์ ปี 2563
วันพุธที่ 29 มกราคม 2563 Egg Board พิจารณาจัดสรรโควตาการเลี้ยงไก่ไข่พันธุ์ ปี 2563 Egg Board พิจารณาจัดสรรโควตาการเลี้ยงไก่ไข่พันธุ์ ปี 2563 เห็นชอบให้โควต้าผู้ประกอบการเลี้ยงปู่ย่าพันธุ์ไก่ไข่ (GP) 3,800 ตัว แม่พันธุ์ไก่ไข่ (PS) 460,000 ตัว เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2563 นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ (Egg Board) ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรฯ โดยช่วงปี 2562ที่ผ่านมา กรมปศุสัตว์ในฐานะเลขานุการ Egg Board ได้มีการประชุมหารือเพื่อพิจารณาจัดสรรโควตาการเลี้ยงไก่ไข่พันธุ์ ปี 2563 โดยมีการหารือร่วมกับผู้ประกอบการไก่ไข่พันธุ์ คณะกรรมการที่ปรึกษาของคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ และคณะอนุกรรมการกลั่นกรอง ได้นําผลสรุปจากการหารือ มานําเสนอเพื่อพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการฯ ในครั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการฯ จึงมีมติเห็นชอบแผนการนําเข้าเลี้ยงไก่ไข่พันธุ์ ปี 2563 โดยเห็นชอบให้เลี้ยงปู่ย่าพันธุ์ไก่ไข่ (GP) จํานวน 3,800 ตัว และพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ (PS) จํานวน 460,000 ตัว โดยจัดสรรโควตาให้ผู้ประกอบการก่อน 440,000 ตัว ส่วนอีก 20,000 ตัว ให้กันไว้ที่กรมปศุสัตว์ แล้วค่อยนํามาพิจารณาอีกครั้ง หากมีแนวโน้มขาดแคลนพันธุ์สัตว์ สําหรับสถานการณ์ไก่ไข่ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 24 มกราคม 2563) ราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มฟองละ 2.70 ลูกไก่ไข่ตัวละ 28 บาท ไก่ไข่รุ่นตัวละ 150 บาท สําหรับปี 2562 มีปริมาณผลผลิตไข่ไก่ จํานวน 14,742 ล้านฟอง อัตราการบริโภค 220 ฟอง/คน/ปี มีการส่งออกไข่ไก่สด ปริมาณ 271.368 ล้านฟอง มูลค่า 765.512 ล้านบาท ตลาดหลักคือฮ่องกง คิดเป็นร้อยละ 90 ราคาขายส่งไข่ไก่คละหน้าฟาร์ม เฉลี่ย 2.74 บาท/ฟอง เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ราคาเฉลี่ย 2.56 บาท/ฟอง ราคาลูกไก่ไข่ เฉลี่ย 21.63 บาท/ตัว ราคาไก่รุ่น ปี 2562 เฉลี่ย 141.02 บาท/ตัว ต้นทุนการผลิตไข่ไก่ เฉลี่ยฟองละ 2.61 บาท นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาร่างยุทธศาสตร์ไก่ไข่ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2563 - 2567) เพื่อพัฒนาและบริหารจัดการไก่ไข่ให้เกิดความเป็นธรรมทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค รวมทั้งเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งจะทําให้เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่มีความมั่นคงในอาชีพและมีความเข้มแข็งจากการรวมกลุ่มเป็นสถาบันเกษตรกร สร้างความสมดุลการผลิตไข่ไก่กับความต้องการบริโภคป้องกันการเกิดราคาไข่ไก่ผันผวน เพิ่มอัตราการบริโภคและส่งเสริมการแปรรูปไข่ไก่เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และยกระดับมาตรฐานการผลิตไข่ไก่ให้ได้คุณภาพ อย่างไรก็ตาม จะให้มีการแจ้งเวียนร่างยุทธศาสตร์ให้คณะกรรมการฯ พิจารณาและให้ข้อเสนอแนะ ภายในระยะเวลา 1 เดือน หากไม่มีข้อแก้ไขจะนําเสนอ ครม. พิจารณาต่อไป อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการปรับมาตรฐานฟาร์มไก่ไข่เป็นมาตรฐานบังคับ โดยมอบหมายให้กรมปศุสัตว์และสํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) สร้างการรับรู้เกี่ยวกับการปรับมาตรฐานฟาร์มไก่ไข่เป็นมาตรฐานบังคับ พร้อมทั้งหามาตรการดูแลให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการออกมาตรฐานฟาร์มไก่ไข่ โดยปรับการเลี้ยงไก่ไข่ให้ได้รับมาตรฐานอื่น ๆ ของกรมปศุสัตว์ด้วย โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Egg Board พิจารณาจัดสรรโควตาการเลี้ยงไก่ไข่พันธุ์ ปี 2563 วันพุธที่ 29 มกราคม 2563 Egg Board พิจารณาจัดสรรโควตาการเลี้ยงไก่ไข่พันธุ์ ปี 2563 Egg Board พิจารณาจัดสรรโควตาการเลี้ยงไก่ไข่พันธุ์ ปี 2563 เห็นชอบให้โควต้าผู้ประกอบการเลี้ยงปู่ย่าพันธุ์ไก่ไข่ (GP) 3,800 ตัว แม่พันธุ์ไก่ไข่ (PS) 460,000 ตัว เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2563 นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ (Egg Board) ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรฯ โดยช่วงปี 2562ที่ผ่านมา กรมปศุสัตว์ในฐานะเลขานุการ Egg Board ได้มีการประชุมหารือเพื่อพิจารณาจัดสรรโควตาการเลี้ยงไก่ไข่พันธุ์ ปี 2563 โดยมีการหารือร่วมกับผู้ประกอบการไก่ไข่พันธุ์ คณะกรรมการที่ปรึกษาของคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ และคณะอนุกรรมการกลั่นกรอง ได้นําผลสรุปจากการหารือ มานําเสนอเพื่อพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการฯ ในครั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการฯ จึงมีมติเห็นชอบแผนการนําเข้าเลี้ยงไก่ไข่พันธุ์ ปี 2563 โดยเห็นชอบให้เลี้ยงปู่ย่าพันธุ์ไก่ไข่ (GP) จํานวน 3,800 ตัว และพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ (PS) จํานวน 460,000 ตัว โดยจัดสรรโควตาให้ผู้ประกอบการก่อน 440,000 ตัว ส่วนอีก 20,000 ตัว ให้กันไว้ที่กรมปศุสัตว์ แล้วค่อยนํามาพิจารณาอีกครั้ง หากมีแนวโน้มขาดแคลนพันธุ์สัตว์ สําหรับสถานการณ์ไก่ไข่ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 24 มกราคม 2563) ราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มฟองละ 2.70 ลูกไก่ไข่ตัวละ 28 บาท ไก่ไข่รุ่นตัวละ 150 บาท สําหรับปี 2562 มีปริมาณผลผลิตไข่ไก่ จํานวน 14,742 ล้านฟอง อัตราการบริโภค 220 ฟอง/คน/ปี มีการส่งออกไข่ไก่สด ปริมาณ 271.368 ล้านฟอง มูลค่า 765.512 ล้านบาท ตลาดหลักคือฮ่องกง คิดเป็นร้อยละ 90 ราคาขายส่งไข่ไก่คละหน้าฟาร์ม เฉลี่ย 2.74 บาท/ฟอง เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ราคาเฉลี่ย 2.56 บาท/ฟอง ราคาลูกไก่ไข่ เฉลี่ย 21.63 บาท/ตัว ราคาไก่รุ่น ปี 2562 เฉลี่ย 141.02 บาท/ตัว ต้นทุนการผลิตไข่ไก่ เฉลี่ยฟองละ 2.61 บาท นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาร่างยุทธศาสตร์ไก่ไข่ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2563 - 2567) เพื่อพัฒนาและบริหารจัดการไก่ไข่ให้เกิดความเป็นธรรมทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค รวมทั้งเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งจะทําให้เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่มีความมั่นคงในอาชีพและมีความเข้มแข็งจากการรวมกลุ่มเป็นสถาบันเกษตรกร สร้างความสมดุลการผลิตไข่ไก่กับความต้องการบริโภคป้องกันการเกิดราคาไข่ไก่ผันผวน เพิ่มอัตราการบริโภคและส่งเสริมการแปรรูปไข่ไก่เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และยกระดับมาตรฐานการผลิตไข่ไก่ให้ได้คุณภาพ อย่างไรก็ตาม จะให้มีการแจ้งเวียนร่างยุทธศาสตร์ให้คณะกรรมการฯ พิจารณาและให้ข้อเสนอแนะ ภายในระยะเวลา 1 เดือน หากไม่มีข้อแก้ไขจะนําเสนอ ครม. พิจารณาต่อไป อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการปรับมาตรฐานฟาร์มไก่ไข่เป็นมาตรฐานบังคับ โดยมอบหมายให้กรมปศุสัตว์และสํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) สร้างการรับรู้เกี่ยวกับการปรับมาตรฐานฟาร์มไก่ไข่เป็นมาตรฐานบังคับ พร้อมทั้งหามาตรการดูแลให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการออกมาตรฐานฟาร์มไก่ไข่ โดยปรับการเลี้ยงไก่ไข่ให้ได้รับมาตรฐานอื่น ๆ ของกรมปศุสัตว์ด้วย โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26135
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. และ กสศ. ร่วมผนึกกำลังสร้างโอกาสทางการศึกษา
วันพุธที่ 29 มกราคม 2563 กยศ. และ กสศ. ร่วมผนึกกําลังสร้างโอกาสทางการศึกษา กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เตรียมแลกเปลี่ยนข้อมูลนักเรียน นักศึกษา เพื่อประโยชน์ในการสร้างโอกาสทางการศึกษาอย่างทั่วถึง กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เตรียมแลกเปลี่ยนข้อมูลนักเรียน นักศึกษา เพื่อประโยชน์ในการสร้างโอกาสทางการศึกษาอย่างทั่วถึง โดยมีนายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา และ นายสุภกร บัวสาย ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการและการดําเนินการร่วมกัน เมื่อวันพุธที่ 29 มกราคม 2563 ณ ห้องแถลงข่าวกระทรวงการคลัง นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เปิดเผยว่า “ขณะนี้ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้ร่วมมือกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการ งานวิจัย และแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้กู้ยืม กยศ. กับผู้รับทุน กสศ. เพื่อให้ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ได้รับโอกาสทางการศึกษา เนื่องจากการดําเนินงานของกองทุน กยศ. มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาด้วยการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาในลักษณะต่างๆ สําหรับนักเรียน นักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจนถึงระดับอุดมศึกษา โดยต้องชําระเงินคืนตามเงื่อนไขที่กําหนด ในขณะที่กองทุน กสศ. มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา โดยให้ความช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลดความเหลื่อมล้ําในการศึกษา รวมทั้งเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู ซึ่งการแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้กู้ยืม กยศ. กับผู้รับทุน กสศ. ดังกล่าว จะทําให้เยาวชนไทยมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง ไม่เกิดความซ้ําซ้อนในการได้รับ โอกาสทางการศึกษา และเป็นการใช้งบประมาณของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุดในด้านการศึกษาต่อไป” นายสุภกร บัวสาย ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า “กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เป็นองค์กรที่ให้โอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนเพื่อลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา แต่มีลักษณะและแนวทางการดําเนินงานแตกต่างกัน กยศ. มีลักษณะเป็นกองทุนหมุนเวียนขนาดใหญ่ มีภารกิจมุ่งเน้นให้กู้ยืมเงินแก่นักศึกษารายคนเพื่อเป็นค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา และค่าใช้จ่ายที่จําเป็นในการครองชีพระหว่างศึกษา ซึ่งผู้กู้ยืมจําเป็นต้องชําระหนี้คืนตามกฎหมาย ทั้ง กยศ. มุ่งให้การช่วยเหลือเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์อายุ 15-25 ปี ที่ต้องการศึกษาต่อในระดับการศึกษาที่สูงกว่ามัธยมศึกษาจนถึงระดับปริญญาตรี จํานวนปีละประมาณ 476,830 คน (ข้อมูล ณ กรกฎาคม 2562) ในขณะที่ กสศ. มีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลดความเหลื่อมล้ําในการศึกษาและเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 54 วรรคท้าย โดยอาจจําแนกภารกิจได้ 2 ลักษณะ ได้แก่ 1) การช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ กสศ. มุ่งบรรเทาอุปสรรคต่อการเข้าถึงการศึกษาให้แก่ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาสตั้งแต่ระดับปฐมจนถึงจบการศึกษาภาคบังคับ (มัธยม 3) โดยวิธีการสนับสนุนเงินอุดหนุนอย่างมีเงื่อนไข (Conditional Cash Transfer: CCT) 2) กสศ.มีภารกิจ “แล็ปปฏิรูป” จัดการค้นคว้าศึกษาวิจัย ทดลอง แนวทางการปฏิรูปการศึกษาเพื่อลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา พัฒนาตัวแบบนําไปสู่การขยายผล และเสนอเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง กสศ. จะใช้วิธีการสนับสนุนงบประมาณในรูปแบบโครงการให้แก่หน่วยงาน (Project-based Program) โดยส่วนนี้ กสศ.จะมีการทดลองกับกลุ่มประชากรยากจนด้อยโอกาสจํานวนไม่มากนัก เช่น ทุนการศึกษาต่อสายอาชีพปีละ 2,500 คน ทุนเรียนครูที่ผูกมัดต้องไปปฏิบัติงานในโรงเรียนชนบทห่างไกลปีละ 300 คน เป็นต้น นอกจากนี้ กสศ. ยังช่วยเหลือสนับสนุนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสในกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่ระดับปฐมวัยถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน และกลุ่มผู้ขาดแคลนหรือด้อยโอกาสที่ยังไม่มีหน่วยงานใดดูแล เช่น แรงงานนอกระบบ เด็กเยาวชนนอกระบบการศึกษา ให้สามารถเข้าถึงการศึกษาตามความจําเป็นของชีวิต สําหรับกลุ่มเป้าหมายสําคัญที่กสศ.จัดช่วยเหลือมาตั้งแต่ปี 2562 แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 1) กลุ่มการศึกษาภาคบังคับระดับปฐมวัยถึงมัธยมศึกษาตอนต้น กสศ. สนับสนุนให้เงินอุดหนุนเพื่อป้องกันกลุ่มเสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษา ได้แก่ กลุ่มนักเรียนยากจนพิเศษคิดเป็น 1/3 ของนักเรียนยากจนทั้งหมด ผ่านโครงการเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษแบบมีเงื่อนไข หรือนักเรียนทุนเสมอภาค จํานวน 949,941 คน 2) กลุ่มมัธยมศึกษาตอนปลาย กลุ่มประชากรวัยแรงงาน กลุ่มเด็กนอกระบบ กลุ่มครู กสศ. ให้การสนับสนุนช่วยเหลือจํานวนน้อย ซึ่งในส่วนของทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง หรือการศึกษาสายอาชีพ จํานวนปีละ 2,500 คน คิดเป็นประมาณ 1% ของประชากรยากจนด้อยโอกาส เพื่อศึกษาทดลองระบบลดความเหลื่อมล้ําและสร้างโอกาส สําหรับเสนอนโยบายปฏิรูปการศึกษา กสศ. มีทุนการศึกษาที่สร้างโอกาสทางการศึกษาให้เยาวชนที่ยากจน 20 เปอร์เซ็นต์ล่างสุดของประเทศมีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 3,000 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน หรือไม่เกิน 36,000 บาทต่อปี จํานวนปีละ 2,700 ทุน ซึ่งเป็นจํานวนน้อยได้ศึกษาต่อระดับสายอาชีพและเป็นครู โดยผู้รับทุนหากเรียนจบไม่ต้องชดใช้ทุน โดยทุนนี้ไม่ได้ให้ไปที่เยาวชนเพียงอย่างเดียว แต่มีทุนที่ให้ไปยังสถาบันการศึกษาเพื่อเน้นการศึกษาวิจัย พัฒนาและทดลองเพื่อนําไปสู่การปฏิรูประบบการศึกษา และกสศ. เน้นการช่วยเหลือกลุ่มเด็กและเยาวชนยากจนที่สุดเพื่อสนับสนุนโอกาสทางการศึกษา โดยกยศ. ไม่มีภารกิจในการให้ทุนการศึกษา แต่ดําเนินงานโดยการกําหนดแนวทางการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาในลักษณะต่างๆ แม้ กยศ. และ กสศ. จะเป็นหน่วยงานที่ให้โอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนเพื่อลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา แต่เยาวชนคนใดคนหนึ่งจะไม่สามารถรับการสนับสนุนทุนการศึกษาจาก กสศ. ไปพร้อมๆ กับการกู้ยืมเงินจาก กยศ. เพื่อใช้ในระหว่างการศึกษาในช่วงเวลาเดียวกันได้ สิ่งเหล่านี้ช่วยเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชนได้มากขึ้นและลดปัญหาการให้ทุนการศึกษาซ้ําซ้อนกัน อย่างไรก็ตาม กยศ. และ กสศ. ต่างดําเนินงานเพื่อผลักดันยุทธศาสตร์สําคัญของประเทศด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมและด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ความร่วมมือ และการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์กันจะช่วยทําให้การดําเนินงานในภาพรวมเกิดความเชื่อมโยงและเป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นรูปธรรมในหลายด้าน ได้แก่ 1)เกิดความร่วมมือทางวิชาการ การเผยแพร่ แลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการ งานวิจัย การพัฒนาองค์ความรู้ การศึกษาอบรม การฝึกอบรม การประชุม การสัมมนา และงานวิชาการอื่น ๆ ระหว่างหน่วยงาน และ 2) เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน โดยอาจมีการส่งต่อการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายต่อไป” ผู้จัดการ กสศ.กล่าวในที่สุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. และ กสศ. ร่วมผนึกกำลังสร้างโอกาสทางการศึกษา วันพุธที่ 29 มกราคม 2563 กยศ. และ กสศ. ร่วมผนึกกําลังสร้างโอกาสทางการศึกษา กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เตรียมแลกเปลี่ยนข้อมูลนักเรียน นักศึกษา เพื่อประโยชน์ในการสร้างโอกาสทางการศึกษาอย่างทั่วถึง กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เตรียมแลกเปลี่ยนข้อมูลนักเรียน นักศึกษา เพื่อประโยชน์ในการสร้างโอกาสทางการศึกษาอย่างทั่วถึง โดยมีนายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา และ นายสุภกร บัวสาย ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการและการดําเนินการร่วมกัน เมื่อวันพุธที่ 29 มกราคม 2563 ณ ห้องแถลงข่าวกระทรวงการคลัง นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เปิดเผยว่า “ขณะนี้ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้ร่วมมือกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการ งานวิจัย และแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้กู้ยืม กยศ. กับผู้รับทุน กสศ. เพื่อให้ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ได้รับโอกาสทางการศึกษา เนื่องจากการดําเนินงานของกองทุน กยศ. มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาด้วยการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาในลักษณะต่างๆ สําหรับนักเรียน นักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจนถึงระดับอุดมศึกษา โดยต้องชําระเงินคืนตามเงื่อนไขที่กําหนด ในขณะที่กองทุน กสศ. มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา โดยให้ความช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลดความเหลื่อมล้ําในการศึกษา รวมทั้งเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู ซึ่งการแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้กู้ยืม กยศ. กับผู้รับทุน กสศ. ดังกล่าว จะทําให้เยาวชนไทยมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง ไม่เกิดความซ้ําซ้อนในการได้รับ โอกาสทางการศึกษา และเป็นการใช้งบประมาณของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุดในด้านการศึกษาต่อไป” นายสุภกร บัวสาย ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า “กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เป็นองค์กรที่ให้โอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนเพื่อลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา แต่มีลักษณะและแนวทางการดําเนินงานแตกต่างกัน กยศ. มีลักษณะเป็นกองทุนหมุนเวียนขนาดใหญ่ มีภารกิจมุ่งเน้นให้กู้ยืมเงินแก่นักศึกษารายคนเพื่อเป็นค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา และค่าใช้จ่ายที่จําเป็นในการครองชีพระหว่างศึกษา ซึ่งผู้กู้ยืมจําเป็นต้องชําระหนี้คืนตามกฎหมาย ทั้ง กยศ. มุ่งให้การช่วยเหลือเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์อายุ 15-25 ปี ที่ต้องการศึกษาต่อในระดับการศึกษาที่สูงกว่ามัธยมศึกษาจนถึงระดับปริญญาตรี จํานวนปีละประมาณ 476,830 คน (ข้อมูล ณ กรกฎาคม 2562) ในขณะที่ กสศ. มีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลดความเหลื่อมล้ําในการศึกษาและเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 54 วรรคท้าย โดยอาจจําแนกภารกิจได้ 2 ลักษณะ ได้แก่ 1) การช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ กสศ. มุ่งบรรเทาอุปสรรคต่อการเข้าถึงการศึกษาให้แก่ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาสตั้งแต่ระดับปฐมจนถึงจบการศึกษาภาคบังคับ (มัธยม 3) โดยวิธีการสนับสนุนเงินอุดหนุนอย่างมีเงื่อนไข (Conditional Cash Transfer: CCT) 2) กสศ.มีภารกิจ “แล็ปปฏิรูป” จัดการค้นคว้าศึกษาวิจัย ทดลอง แนวทางการปฏิรูปการศึกษาเพื่อลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา พัฒนาตัวแบบนําไปสู่การขยายผล และเสนอเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง กสศ. จะใช้วิธีการสนับสนุนงบประมาณในรูปแบบโครงการให้แก่หน่วยงาน (Project-based Program) โดยส่วนนี้ กสศ.จะมีการทดลองกับกลุ่มประชากรยากจนด้อยโอกาสจํานวนไม่มากนัก เช่น ทุนการศึกษาต่อสายอาชีพปีละ 2,500 คน ทุนเรียนครูที่ผูกมัดต้องไปปฏิบัติงานในโรงเรียนชนบทห่างไกลปีละ 300 คน เป็นต้น นอกจากนี้ กสศ. ยังช่วยเหลือสนับสนุนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสในกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่ระดับปฐมวัยถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน และกลุ่มผู้ขาดแคลนหรือด้อยโอกาสที่ยังไม่มีหน่วยงานใดดูแล เช่น แรงงานนอกระบบ เด็กเยาวชนนอกระบบการศึกษา ให้สามารถเข้าถึงการศึกษาตามความจําเป็นของชีวิต สําหรับกลุ่มเป้าหมายสําคัญที่กสศ.จัดช่วยเหลือมาตั้งแต่ปี 2562 แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 1) กลุ่มการศึกษาภาคบังคับระดับปฐมวัยถึงมัธยมศึกษาตอนต้น กสศ. สนับสนุนให้เงินอุดหนุนเพื่อป้องกันกลุ่มเสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษา ได้แก่ กลุ่มนักเรียนยากจนพิเศษคิดเป็น 1/3 ของนักเรียนยากจนทั้งหมด ผ่านโครงการเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษแบบมีเงื่อนไข หรือนักเรียนทุนเสมอภาค จํานวน 949,941 คน 2) กลุ่มมัธยมศึกษาตอนปลาย กลุ่มประชากรวัยแรงงาน กลุ่มเด็กนอกระบบ กลุ่มครู กสศ. ให้การสนับสนุนช่วยเหลือจํานวนน้อย ซึ่งในส่วนของทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง หรือการศึกษาสายอาชีพ จํานวนปีละ 2,500 คน คิดเป็นประมาณ 1% ของประชากรยากจนด้อยโอกาส เพื่อศึกษาทดลองระบบลดความเหลื่อมล้ําและสร้างโอกาส สําหรับเสนอนโยบายปฏิรูปการศึกษา กสศ. มีทุนการศึกษาที่สร้างโอกาสทางการศึกษาให้เยาวชนที่ยากจน 20 เปอร์เซ็นต์ล่างสุดของประเทศมีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 3,000 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน หรือไม่เกิน 36,000 บาทต่อปี จํานวนปีละ 2,700 ทุน ซึ่งเป็นจํานวนน้อยได้ศึกษาต่อระดับสายอาชีพและเป็นครู โดยผู้รับทุนหากเรียนจบไม่ต้องชดใช้ทุน โดยทุนนี้ไม่ได้ให้ไปที่เยาวชนเพียงอย่างเดียว แต่มีทุนที่ให้ไปยังสถาบันการศึกษาเพื่อเน้นการศึกษาวิจัย พัฒนาและทดลองเพื่อนําไปสู่การปฏิรูประบบการศึกษา และกสศ. เน้นการช่วยเหลือกลุ่มเด็กและเยาวชนยากจนที่สุดเพื่อสนับสนุนโอกาสทางการศึกษา โดยกยศ. ไม่มีภารกิจในการให้ทุนการศึกษา แต่ดําเนินงานโดยการกําหนดแนวทางการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาในลักษณะต่างๆ แม้ กยศ. และ กสศ. จะเป็นหน่วยงานที่ให้โอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนเพื่อลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา แต่เยาวชนคนใดคนหนึ่งจะไม่สามารถรับการสนับสนุนทุนการศึกษาจาก กสศ. ไปพร้อมๆ กับการกู้ยืมเงินจาก กยศ. เพื่อใช้ในระหว่างการศึกษาในช่วงเวลาเดียวกันได้ สิ่งเหล่านี้ช่วยเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชนได้มากขึ้นและลดปัญหาการให้ทุนการศึกษาซ้ําซ้อนกัน อย่างไรก็ตาม กยศ. และ กสศ. ต่างดําเนินงานเพื่อผลักดันยุทธศาสตร์สําคัญของประเทศด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมและด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ความร่วมมือ และการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์กันจะช่วยทําให้การดําเนินงานในภาพรวมเกิดความเชื่อมโยงและเป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นรูปธรรมในหลายด้าน ได้แก่ 1)เกิดความร่วมมือทางวิชาการ การเผยแพร่ แลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการ งานวิจัย การพัฒนาองค์ความรู้ การศึกษาอบรม การฝึกอบรม การประชุม การสัมมนา และงานวิชาการอื่น ๆ ระหว่างหน่วยงาน และ 2) เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน โดยอาจมีการส่งต่อการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายต่อไป” ผู้จัดการ กสศ.กล่าวในที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26149
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร.อบรมพนักงานตรวจความปลอดภัย เพิ่มประสิทธิภาพบังคับใช้กฎหมาย
วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม 2561 กสร.อบรมพนักงานตรวจความปลอดภัย เพิ่มประสิทธิภาพบังคับใช้กฎหมาย กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดฝึกอบรมพนักงานตรวจความปลอดภัย เตรียมพร้อมปฏิบัติหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ตั้งเป้าเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานด้านความปลอดภัย ลดอัตราจากการทํางาน นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า การคุ้มครองคนทํางานให้มีความปลอดภัยในการทํางานเป็นภารกิจสําคัญของกสร. โดยมีพนักงานตรวจความปลอดภัยที่เป็นกลไกสําคัญในการทําหน้าที่กํากับ ดูแลให้นายจ้าง ลูกจ้างปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของกฎหมายความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตและสุขภาพอนามัยที่ดีให้แก่แรงงาน ทั้งนี้ พ.ร.บ.ความปลอดภัยฯ พ.ศ. 2554 กําหนดให้ผู้ที่จะเป็นพนักงานตรวจความปลอดภัยได้ต้องจบการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาที่กําหนด เช่น สาขาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย สาขาวิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น ในกรณีจบปริญญาตรีสาขาอื่นต้องผ่านการอบรมหลักสูตรพนักงานตรวจความปลอดภัยตามที่กสร.กําหนด ซึ่งปัจจุบันกสร.ได้มีการบรรจุข้าราชการ และพนักงานราชการไปปฏิบัติงานในพื้นที่ส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเพื่อทําหน้าที่เป็นพนักงานตรวจความปลอดภัย กสร. จึงได้จัดฝึกอบรมพนักงานตรวจความปลอดภัยขึ้น ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม – 14 กันยายน 2561 รวม 15 วัน ซึ่งมีทั้งการให้ความรู้ภาคทฤษฎี การฝึกภาคปฏิบัติและการฝึกตรวจจริงในสถานประกอบกิจการ นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไปว่า กสร. มุ่งหวังให้ผู้เข้ารับการอบรมมีคุณสมบัติที่สามารถแต่งตั้งเป็นพนักงานตรวจความปลอดภัย มีความรู้ มีทักษะสามารถให้คําปรึกษา แนะนําเกี่ยวกับการดําเนินการเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการทํางานแก่ลูกจ้างกับสถานประกอบกิจการในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับนโยบายการบริหารของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ในด้านการพัฒนาบุคลากรให้มีขีดสมรรถนะ มีความเชี่ยวชาญ และความชํานาญเฉพาะด้าน ในลักษณะมืออาชีพเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนทําหน้าที่ของตนเองเพื่อประโยชน์ของประชาชนได้อย่างสมบูรณ์ต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร.อบรมพนักงานตรวจความปลอดภัย เพิ่มประสิทธิภาพบังคับใช้กฎหมาย วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม 2561 กสร.อบรมพนักงานตรวจความปลอดภัย เพิ่มประสิทธิภาพบังคับใช้กฎหมาย กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดฝึกอบรมพนักงานตรวจความปลอดภัย เตรียมพร้อมปฏิบัติหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ตั้งเป้าเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานด้านความปลอดภัย ลดอัตราจากการทํางาน นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า การคุ้มครองคนทํางานให้มีความปลอดภัยในการทํางานเป็นภารกิจสําคัญของกสร. โดยมีพนักงานตรวจความปลอดภัยที่เป็นกลไกสําคัญในการทําหน้าที่กํากับ ดูแลให้นายจ้าง ลูกจ้างปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของกฎหมายความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตและสุขภาพอนามัยที่ดีให้แก่แรงงาน ทั้งนี้ พ.ร.บ.ความปลอดภัยฯ พ.ศ. 2554 กําหนดให้ผู้ที่จะเป็นพนักงานตรวจความปลอดภัยได้ต้องจบการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาที่กําหนด เช่น สาขาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย สาขาวิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น ในกรณีจบปริญญาตรีสาขาอื่นต้องผ่านการอบรมหลักสูตรพนักงานตรวจความปลอดภัยตามที่กสร.กําหนด ซึ่งปัจจุบันกสร.ได้มีการบรรจุข้าราชการ และพนักงานราชการไปปฏิบัติงานในพื้นที่ส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเพื่อทําหน้าที่เป็นพนักงานตรวจความปลอดภัย กสร. จึงได้จัดฝึกอบรมพนักงานตรวจความปลอดภัยขึ้น ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม – 14 กันยายน 2561 รวม 15 วัน ซึ่งมีทั้งการให้ความรู้ภาคทฤษฎี การฝึกภาคปฏิบัติและการฝึกตรวจจริงในสถานประกอบกิจการ นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไปว่า กสร. มุ่งหวังให้ผู้เข้ารับการอบรมมีคุณสมบัติที่สามารถแต่งตั้งเป็นพนักงานตรวจความปลอดภัย มีความรู้ มีทักษะสามารถให้คําปรึกษา แนะนําเกี่ยวกับการดําเนินการเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการทํางานแก่ลูกจ้างกับสถานประกอบกิจการในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับนโยบายการบริหารของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ในด้านการพัฒนาบุคลากรให้มีขีดสมรรถนะ มีความเชี่ยวชาญ และความชํานาญเฉพาะด้าน ในลักษณะมืออาชีพเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนทําหน้าที่ของตนเองเพื่อประโยชน์ของประชาชนได้อย่างสมบูรณ์ต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14935
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน แจง นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ไม่ทำให้คนตกงาน ยัน มีมาตรการรองรับ
วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน 2561 ก.แรงงาน แจง นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ไม่ทําให้คนตกงาน ยัน มีมาตรการรองรับ โฆษกแรงงาน เผย กระทรวงแรงงาน มีมาตรการรองรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ยืนยัน ไม่ทําให้คนตกงาน มั่นใจ การเข้ามาของเทคโนโลยีไม่กระทบต่อกลุ่มแรงงาน พร้อมเดินหน้าบริหารจัดการแรงงานในพื้นที่อีอีซี เตรียม 30,000 ตําแหน่งงานว่างทั่วประเทศ โฆษกแรงงาน เผย กระทรวงแรงงาน มีมาตรการรองรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ยืนยัน ไม่ทําให้คนตกงาน มั่นใจ การเข้ามาของเทคโนโลยีไม่กระทบต่อกลุ่มแรงงาน พร้อมเดินหน้าบริหารจัดการแรงงานในพื้นที่อีอีซี เตรียม 30,000 ตําแหน่งงานว่างทั่วประเทศ ส่งเสริมการมีงานทําตามความต้องการของนายจ้าง ฝึกทักษะแรงงานเพิ่มให้มีทักษะหลายด้าน บูรณาการหน่วยเกี่ยวข้อง ปรับหลักสูตรให้สอดคล้องตลาดแรงงานในอนาคต เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2561 นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่ผู้นํากลุ่มแรงงานแสดงความคิดเห็นต่อนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ว่าทําให้ผู้ใช้แรงงานจํานวนมากตกงาน เนื่องจากปรับตัวไม่ทันนั้น ในเรื่องดังกล่าวกระทรวงแรงงาน ขอยืนยันว่า นโยบายประเทศไทย 4.0 ไม่ส่งผลทําให้ผู้ใช้แรงงานจํานวนมากต้องตกงานตามที่ปรากฎเป็นข่าวแต่อย่างใด และปัจจุบันรัฐบาล โดยกระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมมาตรการรองรับนโยบายดังกล่าวไว้แล้ว ส่วนกรณีที่นักวิชาการเกรงว่าการนําเทคโนโลยีเข้ามาทดแทนจะทําให้มีผลกระทบต่อกลุ่มแรงงานนั้น ในเรื่องนี้กระทรวงแรงงานยืนยันว่า การนําเทคโนโลยีเข้ามาใช้จะไม่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มแรงงาน ขณะเดียวกันหากมีผลกระทบเกิดขึ้นจริงกระทรวงแรงงานก็มีแนวทางรองรับไว้อยู่แล้ว นางเพชรรัตน์ฯ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันรัฐบาล ได้กําหนดวิสัยทัศน์เชิงนโยบายที่จะพัฒนาประเทศไปสู่ประเทศไทย 4.0 เพื่อที่จะเปลี่ยนเศรษฐกิจแบบเดิมไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ในส่วนของภาคแรงงานก็จะปรับเปลี่ยนจากแรงงานที่มีทักษะต่ําไปสู่แรงงานที่มีความรู้และทักษะสูง ในการเตรียมความพร้อมของกําลังแรงงานในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ กระทรวงแรงงานจะเปิดศูนย์บริหารจัดการแรงงานในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อพัฒนาแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการในพื้นที่ EEC ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานในพื้นที่ EEC และบรรเทาปัญหาแรงงานส่วนเกินในพื้นที่อื่นได้ ในด้านการส่งเสริมการมีงานทํา กระทรวงแรงงานได้ตั้งศูนย์ที่นี่มีงานทํา Job Ready Center เพื่อบริหารจัดการแรงงานให้มีงานทําตามความรู้ ความสามารถ ทักษะของแรงงาน และสอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการโดยเฉพาะใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต ประกอบด้วย 5 อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (First S-curve) ได้แก่ ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การแปรรูปอาหาร เป็นต้น และ 5 อุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve) ได้แก่ หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม การบินและโลจิสติกส์ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ดิจิทัล และการแพทย์ครบวงจร เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลได้ส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC ที่ต้องการแรงงานจํานวนมาก นอกจากนี้ ยังได้เตรียมตําแหน่งงานว่างทั่วประเทศรองรับกว่า 30,000 อัตรา สําหรับผู้ที่ตกงานหรือเปลี่ยนงานใหม่ การส่งเสริมการรับงานไปทําที่บ้านการส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระ กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานยังมีโครงการฝึกอบรมทักษะเพิ่มเติม (Re -skill) เพื่อให้สอดคล้องกับตําแหน่งงานใหม่และเปลี่ยนทักษะแรงงานไปทํางานในประเภทกิจการอื่นที่ยังต้องการแรงงานจํานวนมากรวมทั้งการฝึกทักษะแรงงานให้มีทักษะหลายด้าน (Multi-Skill) เพื่อให้สามารถทํางานได้หลายตําแหน่งการส่งเสริมให้นายจ้างพัฒนาทักษะฝีมือของลูกจ้างในสถานประกอบการเพื่อให้สามารถเปลี่ยนตําแหน่งภายในสถานประกอบการของตนเองได้ โดยนายจ้างจะได้สิทธิประโยชน์ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ.2557 นอกจากนี้ กระทรวงแรงงาน ยังได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามแนวทางประชารัฐ อาทิ กระทรวงศึกษาธิการ นายจ้าง สถานประกอบการ ตลาดแรงงาน ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน สนับสนุนสถานประกอบการ รองรับการขยายตัวของสายงานที่มีความต้องการในอนาคต อาทิ งานด้านวิศวกรรม ไอที บัญชีและการเงิน การแพทย์ ธุรกิจอิสระ การออกแบบ และอาชีพทางเลือก เป็นต้น -------------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/ 2 กันยายน 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน แจง นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ไม่ทำให้คนตกงาน ยัน มีมาตรการรองรับ วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน 2561 ก.แรงงาน แจง นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ไม่ทําให้คนตกงาน ยัน มีมาตรการรองรับ โฆษกแรงงาน เผย กระทรวงแรงงาน มีมาตรการรองรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ยืนยัน ไม่ทําให้คนตกงาน มั่นใจ การเข้ามาของเทคโนโลยีไม่กระทบต่อกลุ่มแรงงาน พร้อมเดินหน้าบริหารจัดการแรงงานในพื้นที่อีอีซี เตรียม 30,000 ตําแหน่งงานว่างทั่วประเทศ โฆษกแรงงาน เผย กระทรวงแรงงาน มีมาตรการรองรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ยืนยัน ไม่ทําให้คนตกงาน มั่นใจ การเข้ามาของเทคโนโลยีไม่กระทบต่อกลุ่มแรงงาน พร้อมเดินหน้าบริหารจัดการแรงงานในพื้นที่อีอีซี เตรียม 30,000 ตําแหน่งงานว่างทั่วประเทศ ส่งเสริมการมีงานทําตามความต้องการของนายจ้าง ฝึกทักษะแรงงานเพิ่มให้มีทักษะหลายด้าน บูรณาการหน่วยเกี่ยวข้อง ปรับหลักสูตรให้สอดคล้องตลาดแรงงานในอนาคต เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2561 นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่ผู้นํากลุ่มแรงงานแสดงความคิดเห็นต่อนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ว่าทําให้ผู้ใช้แรงงานจํานวนมากตกงาน เนื่องจากปรับตัวไม่ทันนั้น ในเรื่องดังกล่าวกระทรวงแรงงาน ขอยืนยันว่า นโยบายประเทศไทย 4.0 ไม่ส่งผลทําให้ผู้ใช้แรงงานจํานวนมากต้องตกงานตามที่ปรากฎเป็นข่าวแต่อย่างใด และปัจจุบันรัฐบาล โดยกระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมมาตรการรองรับนโยบายดังกล่าวไว้แล้ว ส่วนกรณีที่นักวิชาการเกรงว่าการนําเทคโนโลยีเข้ามาทดแทนจะทําให้มีผลกระทบต่อกลุ่มแรงงานนั้น ในเรื่องนี้กระทรวงแรงงานยืนยันว่า การนําเทคโนโลยีเข้ามาใช้จะไม่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มแรงงาน ขณะเดียวกันหากมีผลกระทบเกิดขึ้นจริงกระทรวงแรงงานก็มีแนวทางรองรับไว้อยู่แล้ว นางเพชรรัตน์ฯ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันรัฐบาล ได้กําหนดวิสัยทัศน์เชิงนโยบายที่จะพัฒนาประเทศไปสู่ประเทศไทย 4.0 เพื่อที่จะเปลี่ยนเศรษฐกิจแบบเดิมไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ในส่วนของภาคแรงงานก็จะปรับเปลี่ยนจากแรงงานที่มีทักษะต่ําไปสู่แรงงานที่มีความรู้และทักษะสูง ในการเตรียมความพร้อมของกําลังแรงงานในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ กระทรวงแรงงานจะเปิดศูนย์บริหารจัดการแรงงานในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อพัฒนาแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการในพื้นที่ EEC ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานในพื้นที่ EEC และบรรเทาปัญหาแรงงานส่วนเกินในพื้นที่อื่นได้ ในด้านการส่งเสริมการมีงานทํา กระทรวงแรงงานได้ตั้งศูนย์ที่นี่มีงานทํา Job Ready Center เพื่อบริหารจัดการแรงงานให้มีงานทําตามความรู้ ความสามารถ ทักษะของแรงงาน และสอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการโดยเฉพาะใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต ประกอบด้วย 5 อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (First S-curve) ได้แก่ ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การแปรรูปอาหาร เป็นต้น และ 5 อุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve) ได้แก่ หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม การบินและโลจิสติกส์ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ดิจิทัล และการแพทย์ครบวงจร เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลได้ส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC ที่ต้องการแรงงานจํานวนมาก นอกจากนี้ ยังได้เตรียมตําแหน่งงานว่างทั่วประเทศรองรับกว่า 30,000 อัตรา สําหรับผู้ที่ตกงานหรือเปลี่ยนงานใหม่ การส่งเสริมการรับงานไปทําที่บ้านการส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระ กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานยังมีโครงการฝึกอบรมทักษะเพิ่มเติม (Re -skill) เพื่อให้สอดคล้องกับตําแหน่งงานใหม่และเปลี่ยนทักษะแรงงานไปทํางานในประเภทกิจการอื่นที่ยังต้องการแรงงานจํานวนมากรวมทั้งการฝึกทักษะแรงงานให้มีทักษะหลายด้าน (Multi-Skill) เพื่อให้สามารถทํางานได้หลายตําแหน่งการส่งเสริมให้นายจ้างพัฒนาทักษะฝีมือของลูกจ้างในสถานประกอบการเพื่อให้สามารถเปลี่ยนตําแหน่งภายในสถานประกอบการของตนเองได้ โดยนายจ้างจะได้สิทธิประโยชน์ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ.2557 นอกจากนี้ กระทรวงแรงงาน ยังได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามแนวทางประชารัฐ อาทิ กระทรวงศึกษาธิการ นายจ้าง สถานประกอบการ ตลาดแรงงาน ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน สนับสนุนสถานประกอบการ รองรับการขยายตัวของสายงานที่มีความต้องการในอนาคต อาทิ งานด้านวิศวกรรม ไอที บัญชีและการเงิน การแพทย์ ธุรกิจอิสระ การออกแบบ และอาชีพทางเลือก เป็นต้น -------------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/ 2 กันยายน 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15099
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บริหารภาคเอกชนชั้นนำของสหราชอาณาจักร พบนายกรัฐมนตรี แสดงแผนการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะใน EEC
วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2561 ผู้บริหารภาคเอกชนชั้นนําของสหราชอาณาจักร พบนายกรัฐมนตรี แสดงแผนการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะใน EEC ผู้บริหารภาคเอกชนชั้นนําของสหราชอาณาจักร พบนายกรัฐมนตรี แสดงแผนการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะใน EEC วันนี้ เวลา 8.15 น. ( ตามเวลาท้องถิ่น ) ณ โรงแรม Royal Lancaster กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ผู้บริหารภาคเอกชนชั้นนําของสหราชอาณาจักร ได้แก่ บริษัท Arup บริษัท HSBC และบริษัท Prudential เข้าพบนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับแผนการลงทุนในประเทศไทย ตามลําดับ ดังนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงถึงนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาลว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับการเข้ามาลงทุนของบริษัทต่างชาติอย่างเท่าเทียม โปร่งใส ตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน และเร่งขับเคลื่อนการลงทุนให้เกิดผลรูปธรรม รวมทั้ง เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างเสมอภาคและขอให้มั่นใจว่าการลงทุนจะเกิดความต่อเนื่อง เพราะมีแผนยุทธศาสตร์ชาติรองรับ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ย้ําถึงความสําคัญของการลงทุนในพื้นที่ EEC ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สําคัญของประเทศในอนาคตอันใกล้ โดยมีโครงการการลงทุนสําคัญทั้งด้าน โครงสร้างพื้นฐาน น้ํา บก อากาศ อุตสาหกรรมเป้าหมายทางด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงขอให้บริษัทเอกชนสหราชอาณาจักรได้เร่งตัดสินใจแผนการลงทุนในพื้นที่ EEC เพื่อเดินหน้าโครงการให้บรรลุเป้าหมายต่อไป บริษัท ARUP เป็นบริษัทที่เข้ามาลงทุนในไทยเกือบ 20 ปี โดยเฉพาะการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งผู้บริหารฯได้แสดงความประสงค์ที่จะลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างใน EEC และเห็นว่ารัฐบาลได้ดําเนินนโยบายมาถูกทาง และถูกเวลาที่จะขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจในทิศทางนี้ โดยบริษัทจะได้ประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อเดินหน้าโครงการการลงทุนต่อไป บริษัท HSBC เป็นบริษัทด้านการเงินและการธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของโลก โดยผู้บริหารฯได้มีความประสงค์จะร่วมมือ PPP ในโครงการในเขต EEC ด้านการเงิน รวมทั้ง โครงการอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับด้านเงินทุน และการเงินในประเทศไทยด้วย โดยจะพิจารณาเชื่อมโยงเครือข่ายของบริษัทที่มีอยู่ทั่วโลก ในการเชื่อมต่อการลงทุน ตามที่ไทยเสนอ บริษัท Prudential มีความสนใจที่จะพัฒนาภาคธุรกิจประกันภัย การพัฒนาดิจิทัลเทคโนโลยี ซึ่งรัฐบาลเห็นว่าจะช่วยสนับสนุนการปฏิรูปประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัล โดยผู้บริหารบริษัทฯแจ้งว่าได้ร่วมมือกับกระทรวงการคลังของไทยในโครงการดังกล่าว รวมทั้ง สนใจในโครงการด้านการศึกษาด้วย ****************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บริหารภาคเอกชนชั้นนำของสหราชอาณาจักร พบนายกรัฐมนตรี แสดงแผนการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะใน EEC วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2561 ผู้บริหารภาคเอกชนชั้นนําของสหราชอาณาจักร พบนายกรัฐมนตรี แสดงแผนการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะใน EEC ผู้บริหารภาคเอกชนชั้นนําของสหราชอาณาจักร พบนายกรัฐมนตรี แสดงแผนการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะใน EEC วันนี้ เวลา 8.15 น. ( ตามเวลาท้องถิ่น ) ณ โรงแรม Royal Lancaster กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ผู้บริหารภาคเอกชนชั้นนําของสหราชอาณาจักร ได้แก่ บริษัท Arup บริษัท HSBC และบริษัท Prudential เข้าพบนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับแผนการลงทุนในประเทศไทย ตามลําดับ ดังนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงถึงนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาลว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับการเข้ามาลงทุนของบริษัทต่างชาติอย่างเท่าเทียม โปร่งใส ตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน และเร่งขับเคลื่อนการลงทุนให้เกิดผลรูปธรรม รวมทั้ง เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างเสมอภาคและขอให้มั่นใจว่าการลงทุนจะเกิดความต่อเนื่อง เพราะมีแผนยุทธศาสตร์ชาติรองรับ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ย้ําถึงความสําคัญของการลงทุนในพื้นที่ EEC ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สําคัญของประเทศในอนาคตอันใกล้ โดยมีโครงการการลงทุนสําคัญทั้งด้าน โครงสร้างพื้นฐาน น้ํา บก อากาศ อุตสาหกรรมเป้าหมายทางด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงขอให้บริษัทเอกชนสหราชอาณาจักรได้เร่งตัดสินใจแผนการลงทุนในพื้นที่ EEC เพื่อเดินหน้าโครงการให้บรรลุเป้าหมายต่อไป บริษัท ARUP เป็นบริษัทที่เข้ามาลงทุนในไทยเกือบ 20 ปี โดยเฉพาะการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งผู้บริหารฯได้แสดงความประสงค์ที่จะลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างใน EEC และเห็นว่ารัฐบาลได้ดําเนินนโยบายมาถูกทาง และถูกเวลาที่จะขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจในทิศทางนี้ โดยบริษัทจะได้ประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อเดินหน้าโครงการการลงทุนต่อไป บริษัท HSBC เป็นบริษัทด้านการเงินและการธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของโลก โดยผู้บริหารฯได้มีความประสงค์จะร่วมมือ PPP ในโครงการในเขต EEC ด้านการเงิน รวมทั้ง โครงการอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับด้านเงินทุน และการเงินในประเทศไทยด้วย โดยจะพิจารณาเชื่อมโยงเครือข่ายของบริษัทที่มีอยู่ทั่วโลก ในการเชื่อมต่อการลงทุน ตามที่ไทยเสนอ บริษัท Prudential มีความสนใจที่จะพัฒนาภาคธุรกิจประกันภัย การพัฒนาดิจิทัลเทคโนโลยี ซึ่งรัฐบาลเห็นว่าจะช่วยสนับสนุนการปฏิรูปประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัล โดยผู้บริหารบริษัทฯแจ้งว่าได้ร่วมมือกับกระทรวงการคลังของไทยในโครงการดังกล่าว รวมทั้ง สนใจในโครงการด้านการศึกษาด้วย ****************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13244
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.บูรณาการหน่วยงานภาครัฐรณรงค์ทุกภาคส่วนเน้นจัดกิจกรรมภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีไทย ใช้น้ำคุ้มค่า ทุกชีวาปลอดภัย” ร่วมสืบสานวิถีไทย ๔ ภูมิภาค
วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2562 วธ.บูรณาการหน่วยงานภาครัฐรณรงค์ทุกภาคส่วนเน้นจัดกิจกรรมภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีไทย ใช้น้ําคุ้มค่า ทุกชีวาปลอดภัย” ร่วมสืบสานวิถีไทย ๔ ภูมิภาค วธ.บูรณาการหน่วยงานภาครัฐรณรงค์ทุกภาคส่วนเน้นจัดกิจกรรมภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีไทย ใช้น้ําคุ้มค่า ทุกชีวาปลอดภัย” ร่วมสืบสานวิถีไทย ๔ ภูมิภาค เรียนรู้สงกรานต์เพื่อนบ้านอาเซียน พร้อมเชิญชวนประชาชนแต่งชุดไทยร่วมงาน วธ.บูรณาการหน่วยงานภาครัฐรณรงค์ทุกภาคส่วนเน้นจัดกิจกรรมภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีไทย ใช้น้ําคุ้มค่า ทุกชีวาปลอดภัย” ร่วมสืบสานวิถีไทย ๔ ภูมิภาค เรียนรู้สงกรานต์เพื่อนบ้านอาเซียน พร้อมเชิญชวนประชาชนแต่งชุดไทยร่วมงาน (๑๘ มีนาคม ๖๒) นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม หน่วยงานภาครัฐ และภาคีเครือข่ายภาคเอกชน ๑๙ หน่วยงาน บูรณาการการดําเนินงานกําหนดแนวทางการจัดงานประเพณีสงกรานต์ ประจําปี ๒๕๖๒ “สงกรานต์วิถีไทย ใช้นําคุ้มค่า ทุกชีวาปลอดภัย” เพื่อส่งเสริมประเพณีสงกรานต์ซึ่งถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย ที่ทรงคุณค่า สะท้อนวิถีปฏิบัติอันงดงามของไทย ด้วยการทําบุญ ตักบาตร เข้าวัด ฟังเทศน์ การสรงน้ําพระ การรดน้ําขอพรผู้ใหญ่ แสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ อุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษ การเล่นเพื่อความสนุกสนานรื่นเริง โดยใช้น้ําอย่างคุ้มค่า และเคารพกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยหน่วยงานต่างๆ ได้ร่วมกันกําหนดแนวทางและมาตรการในการจัดงานประเพณีสงกรานต์ประจําปี ๒๕๖๒ ที่จัดขึ้นทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทั่วประเทศ ร่วมถึงจังหวัดที่มีพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนที่มีการจัดงานประเพณีสงกรานต์ ได้แก่ ประเทศกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และเมียนมาร์ เป็นต้น นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ กล่าวต่อว่า แนวทางและมาตรการส่งเสริมประเพณีสงกรานต์จากการประชุมบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาคีเครือข่าย ประกอบด้วย กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ํา กรมอุตุนิยมวิทยา กรมการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กองบังคับการตํารวจจราจร กรมประชาสัมพันธ์ กรมการขนส่งทางบก สํานักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กทม. สภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร สํานักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงศึกษาธิการ สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิเมาไม่ขับ และสํานักงานเขตปทุมวัน ซึ่งได้ข้อสรุปแนวทางในการจัดกิจกรรมภาพรวมของประเทศ ๓ แนวทาง ๑๔ ด้าน ดังนี้ ๑.การรณรงค์จัด “สงกรานต์แบบไทย” ได้แก่ ๑.๑ ส่งเสริมให้จังหวัดต่างๆ ใช้พื้นที่จัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมและร่วมกันสืบสานประเพณี ต่างๆ เน้นวิถีวัฒนธรรมชูเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น ๑.๒ ขอความร่วมมือจากประชาชนในการสืบสานคุณค่าสาระและสิ่งที่ควรทําของประเพณี สงกรานต์แบบไทย เช่น ทําความสะอาดบ้านเรือน วัด สถานที่สาธารณะ ทําบุญตักบาตร ปฏิบัติธรรม ฟังเทศน์ สรงน้ําพระ รดน้ําขอพรผู้สูงอายุ ทําบุญอุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษ เล่นน้ําอย่างพองาม ๑.๓ รณรงค์ให้แต่งกายด้วยชุดสุภาพ ใช้ผ้าไทย ผ้าท้องถิ่น หรือชุดไทยย้อนยุคเข้าร่วมงาน ๑.๔ ขอความร่วมมือผู้ประกอบการและประชาชน ในการจัดกิจกรรมโดยคํานึงถึงวัฒนธรรมที่ดีงาม โดยจัดให้มีการเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม สายด่วนวัฒนธรรม ๑๗๖๕ ๒.การรณรงค์ “ใช้น้ําคุ้มค่า” ได้แก่ ๒.๑ ขอความร่วมมือสืบสานประเพณีอย่างมีวัฒนธรรม เพื่อใช้น้ําอย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่าสูงสุด ขอความร่วมมืองดใช้รถบรรทุกตระเวนสาดน้ําในพื้นที่ต่างๆ กําหนดระยะเวลาการเล่นน้ํา ให้เลิกเล่นน้ําในเวลาที่กําหนด ห้ามใช้แป้งและสีต่างๆ มาเล่น ๒.๒ ขอความร่วมมือจากประชาชนให้ใช้อุปกรณ์ที่ปลอดภัยและประหยัดน้ํา เช่น ขันขนาดเล็ก ไม่ใช้ปืนฉีดน้ําแรงดันสูง เล่นน้ําอย่างสุภาพ ๒.๓ ขอความร่วมมือประชาชนให้ใช้น้ําอย่างประหยัดและน้ําสะอาดเพื่อสุขอนามัย และสํารองน้ําไว้ใช้ในช่วงขาดแคลนน้ํา ๓.การรณรงค์ “ทุกชีวาปลอดภัย” ได้แก่ ๓.๑ ขอความร่วมมือภาคเอกชน ผู้ประกอบการ สถานบันเทิง ผู้จัดกิจกรรม กําหนดเวลาเปิด-ปิด จัดกิจกรรมและงดจําหน่ายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ตามเวลาที่กฎหมายกําหนด ๓.๒ ควบคุมและรณรงค์ผู้ใช้รถโดยใช้มาตรการเมาไม่ขับ ปลอดแอลกอฮอล์ และมีน้ําใจให้แก่กันในการใช้รถใช้ถนน และพบเห็นการกระทําที่ไม่เหมาะสมให้แจ้งหน่วยงานหรือศูนย์รับแจ้งเหตุของหน่วยงานต่างๆ ๓.๓ มาตรการเข้ม ลดปัจจัยเสี่ยงด้านคน ถนน และยานพาหนะ และมาตรการด้านความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว ความปลอดภัยทางน้ํา-ทางเรือ และหลังเกิดอุบัติเหตุ ควบคุมความเร็วการใช้รถให้ใช้รถใช้ถนนอย่างเคร่งครัด ๓.๔ กิจกรรมส่งคนกลับบ้าน อํานวยความสะดวกในการเดินทาง การตรวจความพร้อมของผู้ขับรถสาธารณะ ควบคุมและตรวจจับความเร็วของรถบริการสาธารณะด้วยระบบ GPS และเฝ้าระวังยานพาหนะต่างๆ ศูนย์บริการตรวจสภาพรถฟรี รวมถึงมีศูนย์รับแจ้งเหตุร้องเรียนการใช้รถใช้ถนนโดยกรมการขนส่งทางบก และจุดบริการพักรถระหว่างการเดินทางเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาล ๓.๕ สถานที่ที่จัดงานต่างๆ ต้องมีมาตรการเพื่อรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้เข้าร่วมงาน ๓.๖ การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง เช่น พ.ร.บ.การจราจรทางบก ๓.๗ มีศูนย์แจ้งเตือนภัยสภาพอากาศตลอดช่วงเทศกาล รมว.วธ. กล่าวอีกว่า กิจกรรมต่างๆ ของกระทรวงวัฒนธรรม กําหนดจัดขึ้นเพื่อสืบสานประเพณีสงกรานต์ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีไทย ใช้น้ําคุ้มค่า ทุกชีวาปลอดภัย” ประกอบด้วย ๑)งานรดน้ําขอพรศิลปินแห่งชาติและผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ในวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ๒)การจัดงานสืบสานประเพณีสงกรานต์ ในส่วนกลางพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้แก่ นิทรรศการส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทยในเทศกาลสงกรานต์ ระหว่าง ๑๒-๑๖ เมษายน ๒๕๖๒ ณ ฮอลล์ ออฟ เฟม ชั้นเอ็ม ศูนย์การค้าสยามพารากอน และศูนย์การค้าไอคอนสยาม งานประเพณีสงกรานต์งานวัดกลางกรุง สรงน้ําพระ ถวายเครื่องสักการะและจตุปัจจัยไทยธรรม ในวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๒ ณ วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร งาน “สงกรานต์ เมษา ผ้าขาวม้าสนั่นโลก” ระหว่าง ๑๓-๑๕ เมษายน ๒๕๖๒ ณ บริเวณสยามสแควร์ โดยกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การสรงน้ําพระพุทธรูปสําคัญ นิทรรศการประเพณีสงกรานต์ไทยและ สงกรานต์อาเซียน การสาธิตชุดรําน้ําขอพร การแสดงทางวัฒนธรรมจาก ๔ ประเทศอาเซียน การแสดงโขนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ตลาดวัฒนธรรมและลานวัฒนธรรมอาเซียน ฯลฯ นอกจากนี้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ยังจัดทําสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบสื่อสิ่งพิมพ์และออนไลน์ คือ หนังสือประเพณีสงกรานต์ ๒ ภาษา ไทย-อังกฤษ เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจถึงวันปีใหม่ไทย สิ่งที่ควรและไม่ควรปฏิบัติในประเพณีสงกรานต์ และยังมีบัตรอวยพรส่งความสุข จํานวน ๓ แบบ เนื่องในเทศกาลอีกด้วย กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอเชิญชวนประชาชน นักท่องเที่ยวเข้าร่วมงานเทศกาลสงกรานต์ ตามสถานที่ต่างๆ ด้วยความสนุกสนานและใช้น้ําอย่างคุ้มค่า โดยตรวจสอบรายละเอียดกิจกรรมต่างๆ เพิ่มเติมได้ทาง www.culture.go.th หรือ www.facebook.com/DCP.culture และสายด่วนวัฒนธรรม ๑๗๖๕ -------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.บูรณาการหน่วยงานภาครัฐรณรงค์ทุกภาคส่วนเน้นจัดกิจกรรมภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีไทย ใช้น้ำคุ้มค่า ทุกชีวาปลอดภัย” ร่วมสืบสานวิถีไทย ๔ ภูมิภาค วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2562 วธ.บูรณาการหน่วยงานภาครัฐรณรงค์ทุกภาคส่วนเน้นจัดกิจกรรมภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีไทย ใช้น้ําคุ้มค่า ทุกชีวาปลอดภัย” ร่วมสืบสานวิถีไทย ๔ ภูมิภาค วธ.บูรณาการหน่วยงานภาครัฐรณรงค์ทุกภาคส่วนเน้นจัดกิจกรรมภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีไทย ใช้น้ําคุ้มค่า ทุกชีวาปลอดภัย” ร่วมสืบสานวิถีไทย ๔ ภูมิภาค เรียนรู้สงกรานต์เพื่อนบ้านอาเซียน พร้อมเชิญชวนประชาชนแต่งชุดไทยร่วมงาน วธ.บูรณาการหน่วยงานภาครัฐรณรงค์ทุกภาคส่วนเน้นจัดกิจกรรมภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีไทย ใช้น้ําคุ้มค่า ทุกชีวาปลอดภัย” ร่วมสืบสานวิถีไทย ๔ ภูมิภาค เรียนรู้สงกรานต์เพื่อนบ้านอาเซียน พร้อมเชิญชวนประชาชนแต่งชุดไทยร่วมงาน (๑๘ มีนาคม ๖๒) นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม หน่วยงานภาครัฐ และภาคีเครือข่ายภาคเอกชน ๑๙ หน่วยงาน บูรณาการการดําเนินงานกําหนดแนวทางการจัดงานประเพณีสงกรานต์ ประจําปี ๒๕๖๒ “สงกรานต์วิถีไทย ใช้นําคุ้มค่า ทุกชีวาปลอดภัย” เพื่อส่งเสริมประเพณีสงกรานต์ซึ่งถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย ที่ทรงคุณค่า สะท้อนวิถีปฏิบัติอันงดงามของไทย ด้วยการทําบุญ ตักบาตร เข้าวัด ฟังเทศน์ การสรงน้ําพระ การรดน้ําขอพรผู้ใหญ่ แสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ อุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษ การเล่นเพื่อความสนุกสนานรื่นเริง โดยใช้น้ําอย่างคุ้มค่า และเคารพกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยหน่วยงานต่างๆ ได้ร่วมกันกําหนดแนวทางและมาตรการในการจัดงานประเพณีสงกรานต์ประจําปี ๒๕๖๒ ที่จัดขึ้นทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทั่วประเทศ ร่วมถึงจังหวัดที่มีพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนที่มีการจัดงานประเพณีสงกรานต์ ได้แก่ ประเทศกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และเมียนมาร์ เป็นต้น นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ กล่าวต่อว่า แนวทางและมาตรการส่งเสริมประเพณีสงกรานต์จากการประชุมบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาคีเครือข่าย ประกอบด้วย กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ํา กรมอุตุนิยมวิทยา กรมการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กองบังคับการตํารวจจราจร กรมประชาสัมพันธ์ กรมการขนส่งทางบก สํานักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กทม. สภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร สํานักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงศึกษาธิการ สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิเมาไม่ขับ และสํานักงานเขตปทุมวัน ซึ่งได้ข้อสรุปแนวทางในการจัดกิจกรรมภาพรวมของประเทศ ๓ แนวทาง ๑๔ ด้าน ดังนี้ ๑.การรณรงค์จัด “สงกรานต์แบบไทย” ได้แก่ ๑.๑ ส่งเสริมให้จังหวัดต่างๆ ใช้พื้นที่จัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมและร่วมกันสืบสานประเพณี ต่างๆ เน้นวิถีวัฒนธรรมชูเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น ๑.๒ ขอความร่วมมือจากประชาชนในการสืบสานคุณค่าสาระและสิ่งที่ควรทําของประเพณี สงกรานต์แบบไทย เช่น ทําความสะอาดบ้านเรือน วัด สถานที่สาธารณะ ทําบุญตักบาตร ปฏิบัติธรรม ฟังเทศน์ สรงน้ําพระ รดน้ําขอพรผู้สูงอายุ ทําบุญอุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษ เล่นน้ําอย่างพองาม ๑.๓ รณรงค์ให้แต่งกายด้วยชุดสุภาพ ใช้ผ้าไทย ผ้าท้องถิ่น หรือชุดไทยย้อนยุคเข้าร่วมงาน ๑.๔ ขอความร่วมมือผู้ประกอบการและประชาชน ในการจัดกิจกรรมโดยคํานึงถึงวัฒนธรรมที่ดีงาม โดยจัดให้มีการเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม สายด่วนวัฒนธรรม ๑๗๖๕ ๒.การรณรงค์ “ใช้น้ําคุ้มค่า” ได้แก่ ๒.๑ ขอความร่วมมือสืบสานประเพณีอย่างมีวัฒนธรรม เพื่อใช้น้ําอย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่าสูงสุด ขอความร่วมมืองดใช้รถบรรทุกตระเวนสาดน้ําในพื้นที่ต่างๆ กําหนดระยะเวลาการเล่นน้ํา ให้เลิกเล่นน้ําในเวลาที่กําหนด ห้ามใช้แป้งและสีต่างๆ มาเล่น ๒.๒ ขอความร่วมมือจากประชาชนให้ใช้อุปกรณ์ที่ปลอดภัยและประหยัดน้ํา เช่น ขันขนาดเล็ก ไม่ใช้ปืนฉีดน้ําแรงดันสูง เล่นน้ําอย่างสุภาพ ๒.๓ ขอความร่วมมือประชาชนให้ใช้น้ําอย่างประหยัดและน้ําสะอาดเพื่อสุขอนามัย และสํารองน้ําไว้ใช้ในช่วงขาดแคลนน้ํา ๓.การรณรงค์ “ทุกชีวาปลอดภัย” ได้แก่ ๓.๑ ขอความร่วมมือภาคเอกชน ผู้ประกอบการ สถานบันเทิง ผู้จัดกิจกรรม กําหนดเวลาเปิด-ปิด จัดกิจกรรมและงดจําหน่ายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ตามเวลาที่กฎหมายกําหนด ๓.๒ ควบคุมและรณรงค์ผู้ใช้รถโดยใช้มาตรการเมาไม่ขับ ปลอดแอลกอฮอล์ และมีน้ําใจให้แก่กันในการใช้รถใช้ถนน และพบเห็นการกระทําที่ไม่เหมาะสมให้แจ้งหน่วยงานหรือศูนย์รับแจ้งเหตุของหน่วยงานต่างๆ ๓.๓ มาตรการเข้ม ลดปัจจัยเสี่ยงด้านคน ถนน และยานพาหนะ และมาตรการด้านความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว ความปลอดภัยทางน้ํา-ทางเรือ และหลังเกิดอุบัติเหตุ ควบคุมความเร็วการใช้รถให้ใช้รถใช้ถนนอย่างเคร่งครัด ๓.๔ กิจกรรมส่งคนกลับบ้าน อํานวยความสะดวกในการเดินทาง การตรวจความพร้อมของผู้ขับรถสาธารณะ ควบคุมและตรวจจับความเร็วของรถบริการสาธารณะด้วยระบบ GPS และเฝ้าระวังยานพาหนะต่างๆ ศูนย์บริการตรวจสภาพรถฟรี รวมถึงมีศูนย์รับแจ้งเหตุร้องเรียนการใช้รถใช้ถนนโดยกรมการขนส่งทางบก และจุดบริการพักรถระหว่างการเดินทางเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาล ๓.๕ สถานที่ที่จัดงานต่างๆ ต้องมีมาตรการเพื่อรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้เข้าร่วมงาน ๓.๖ การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง เช่น พ.ร.บ.การจราจรทางบก ๓.๗ มีศูนย์แจ้งเตือนภัยสภาพอากาศตลอดช่วงเทศกาล รมว.วธ. กล่าวอีกว่า กิจกรรมต่างๆ ของกระทรวงวัฒนธรรม กําหนดจัดขึ้นเพื่อสืบสานประเพณีสงกรานต์ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีไทย ใช้น้ําคุ้มค่า ทุกชีวาปลอดภัย” ประกอบด้วย ๑)งานรดน้ําขอพรศิลปินแห่งชาติและผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ในวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ๒)การจัดงานสืบสานประเพณีสงกรานต์ ในส่วนกลางพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้แก่ นิทรรศการส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทยในเทศกาลสงกรานต์ ระหว่าง ๑๒-๑๖ เมษายน ๒๕๖๒ ณ ฮอลล์ ออฟ เฟม ชั้นเอ็ม ศูนย์การค้าสยามพารากอน และศูนย์การค้าไอคอนสยาม งานประเพณีสงกรานต์งานวัดกลางกรุง สรงน้ําพระ ถวายเครื่องสักการะและจตุปัจจัยไทยธรรม ในวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๒ ณ วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร งาน “สงกรานต์ เมษา ผ้าขาวม้าสนั่นโลก” ระหว่าง ๑๓-๑๕ เมษายน ๒๕๖๒ ณ บริเวณสยามสแควร์ โดยกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การสรงน้ําพระพุทธรูปสําคัญ นิทรรศการประเพณีสงกรานต์ไทยและ สงกรานต์อาเซียน การสาธิตชุดรําน้ําขอพร การแสดงทางวัฒนธรรมจาก ๔ ประเทศอาเซียน การแสดงโขนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ตลาดวัฒนธรรมและลานวัฒนธรรมอาเซียน ฯลฯ นอกจากนี้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ยังจัดทําสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบสื่อสิ่งพิมพ์และออนไลน์ คือ หนังสือประเพณีสงกรานต์ ๒ ภาษา ไทย-อังกฤษ เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจถึงวันปีใหม่ไทย สิ่งที่ควรและไม่ควรปฏิบัติในประเพณีสงกรานต์ และยังมีบัตรอวยพรส่งความสุข จํานวน ๓ แบบ เนื่องในเทศกาลอีกด้วย กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอเชิญชวนประชาชน นักท่องเที่ยวเข้าร่วมงานเทศกาลสงกรานต์ ตามสถานที่ต่างๆ ด้วยความสนุกสนานและใช้น้ําอย่างคุ้มค่า โดยตรวจสอบรายละเอียดกิจกรรมต่างๆ เพิ่มเติมได้ทาง www.culture.go.th หรือ www.facebook.com/DCP.culture และสายด่วนวัฒนธรรม ๑๗๖๕ -------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19417
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้าสู่ระบบเศรษฐกิจสีเขียว ใช้นวัตกรรมไทย เปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน
วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560 รัฐบาลเดินหน้าสู่ระบบเศรษฐกิจสีเขียว ใช้นวัตกรรมไทย เปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน รัฐบาลเร่งกําจัดขยะมูลฝอย โดยใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาจากนักวิจัยไทย เปลี่ยนขยะให้เป็นพลังงาน ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยที่หมักหมมมานานอย่างเป็นรูปธรรมด้วยนโยบาย 4 ข้อ ได้แก่ 1) เปลี่ยนขยะเป็นพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้วนําไปใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมและการผลิตไฟฟ้า 2) ส่งเสริมการนําเทคโนโลยีผลิตเชื้อเพลิงจากขยะของสถาบันการศึกษามาต่อยอดเพื่อใช้งานจริง 3) ใช้กลไกประชารัฐในการดําเนินงานโดยชุมชนท้องถิ่นเป็นผู้ใช้งานภายใต้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีจากภาควิชาการ งบประมาณจากภาครัฐ และภาคเอกชนเป็นผู้รับซื้อผลผลิต 4) ขับเคลื่อนตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ให้นวัตกรรมไทยขายได้ ปลุกพลังนักวิจัยไทยให้มีกําลังใจค้นคว้าเพื่อพัฒนาประเทศต่อไป ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังให้ประเทศไทยมีการบริหารจัดการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้าสู่ระบบเศรษฐกิจสีเขียว ใช้นวัตกรรมไทย เปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560 รัฐบาลเดินหน้าสู่ระบบเศรษฐกิจสีเขียว ใช้นวัตกรรมไทย เปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน รัฐบาลเร่งกําจัดขยะมูลฝอย โดยใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาจากนักวิจัยไทย เปลี่ยนขยะให้เป็นพลังงาน ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยที่หมักหมมมานานอย่างเป็นรูปธรรมด้วยนโยบาย 4 ข้อ ได้แก่ 1) เปลี่ยนขยะเป็นพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้วนําไปใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมและการผลิตไฟฟ้า 2) ส่งเสริมการนําเทคโนโลยีผลิตเชื้อเพลิงจากขยะของสถาบันการศึกษามาต่อยอดเพื่อใช้งานจริง 3) ใช้กลไกประชารัฐในการดําเนินงานโดยชุมชนท้องถิ่นเป็นผู้ใช้งานภายใต้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีจากภาควิชาการ งบประมาณจากภาครัฐ และภาคเอกชนเป็นผู้รับซื้อผลผลิต 4) ขับเคลื่อนตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ให้นวัตกรรมไทยขายได้ ปลุกพลังนักวิจัยไทยให้มีกําลังใจค้นคว้าเพื่อพัฒนาประเทศต่อไป ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังให้ประเทศไทยมีการบริหารจัดการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2957
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อพท. จับมือภาคีผุดข้อปฏิบัติด้านสุขอนามัย มอบชุมชนท่องเที่ยวใช้เพื่อเข้ายุควิถีปกติใหม่ [กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา]
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563 อพท. จับมือภาคีผุดข้อปฏิบัติด้านสุขอนามัย มอบชุมชนท่องเที่ยวใช้เพื่อเข้ายุควิถีปกติใหม่ [กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา] อพท. จับมือภาคีผุดข้อปฏิบัติด้านสุขอนามัย มอบชุมชนท่องเที่ยวใช้เพื่อเข้ายุควิถีปกติใหม่ อพท. จับมือภาคีเครือข่าย จัดทําข้อปฏิบัติของแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชน เพื่อสุขอนามัยและความปลอดภัย หวังให้ชุมชนใช้เป็นแนวทางในการดําเนินกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชน ตามแนวทางมาตรฐาน SHA เพิ่มความมั่นใจให้กับชุมชนท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวตามวิถีปกติใหม่ หรือ New Normal นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้อํานวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. กล่าวว่า อพท. ได้ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดทํา “ข้อปฏิบัติของแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชนเพื่อสุขอนามัยปลอดภัยใส่ใจในสุขภาพ” เพื่อเป็นแนวปฏิบัติให้กับชุมชนท่องเที่ยวและผู้มาเยือน โดยข้อปฏิบัติดังกล่าวอ้างอิงจาก โครงการแนวทางความปลอดภัยด้านสุขอนามัย Amazing Thailand Safety & Health Administration (SHA) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกําหนดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด – 19 สําหรับหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่ร่วมพัฒนาข้อปฏิบัตินี้ ได้แก่ กรมอนามัย กรมควบคุมโรค คณะทํางานขับเคลื่อนการพัฒนาการตลาดการท่องเที่ยวโดยชุมชน ภายใต้คณะอนุกรรมการการท่องเที่ยวโดยชุมชนในคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ สถาบันการท่องเที่ยวโดยชุมชน เครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชนระดับภูมิภาค 5 เครือข่าย และชมรมเครือข่ายส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนในพื้นที่พิเศษ ที่ได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาร่างข้อปฏิบัติเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของชุมชนอย่างปท้จริง ในรายละเอียดข้อปฏิบัติจะประกอบด้วย มาตรฐานเบื้องต้นด้านสุขลักษณะอาคารและอุปกรณ์เครื่องใช้ การจัดอุปกรณ์ทําความสะอาดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค ข้อควรปฏิบัติของผู้ให้บริการในชุมชน ได้แก่ คัดกรองและสอบถามประวัติผู้มาเยือย มีการจัดการขยะ แยกขยะติดเชื้อ รับนักท่องเที่ยวโดยคํานวนเว้นระยะห่างไม่ให้แอดอัด จัดเตรียมสถานที่และทําความสะอาดทุกครั้งก่อนและหลังรับนักท่องเที่ยว แยกอาหารส่วนบุคคล จัดเตรียมแอลกอฮอล์และอุปกรณ์ล้างมือ เป็นต้น และข้อปฏิบัติของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไปในชุมชนท่องเที่ยว ได้แก่ เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงการสัมผัสทางกาย กินอาหารปรุงสุก ล้างมือหรือทําความสะอาดด้วยเจแอลกอฮอล์อยู่เสมอ หลีกเลี่ยงสัมผัสกับสัตว์ และหลีกเลี่ยงอยู่ในสถานที่แออัด เป็นต้น รวมถึงข้อปฏิบัติในแต่ละจุดบริการท่องเที่ยวของชุมชน เป็นต้น ซึ่งชุมชนท่องเที่ยวสามารถนําข้อปฏิบัตินี้ไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ หากชุมชนท่องเที่ยวต้องการรับรองจากมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย Amazing Thailand Safety & Health Administration หรือ SHA ก็สามารถสมัครเพื่อรับการประเมินและรับตราสัญลักษณ์ SHA ในประเภท นันทนาการและสถานที่ท่องเที่ยว “การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในประเทศเป็นอย่างมาก และยังรวมไปถึงชุมชนท่องเที่ยวที่มีรายได้เสริมจากการบริหารจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน อพท. ในฐานะหน่วยงานประสานความร่วมมือในการขับเคลื่อนการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ตระหนักในปัญหาดังกล่าว และยังเห็นถึงความสําคัญของความปลอดภัยในการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชน ดังนั้นเมื่อสถานการณ์กลับมาสู่ปกติ ชุมชนและนักท่องเที่ยวจึงต้องมีการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่วิถีปกติใหม่ หรือ New Normal ชุมชนที่ทําท่องเที่ยวจึง ต้องปรับตัวเพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยด้านสุขอนามัย ข้อปฏิบัติที่จัดทําขึ้นครั้งนี้จึงถือเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ตัวชุมชนเองและนักท่องเที่ยวผู้มาเยือน” ผู้อํานวยการ อพท. กล่าว อย่างไรก็ตาม อพท. ยังร่วมฟื้นฟูและเยียวยาภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและยกระดับชุมชนท่องเที่ยวสู่ตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพหลังวิกฤตการณ์โควิด โดยร่วมกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและสมาคมท่องเที่ยว นําผู้เชี่ยวชาญของบริษัทนําเที่ยวภายใต้สมาคมท่องเที่ยวไปให้ความรู้ชุมชนท่องเที่ยวในการออกแบบโปรแกรมท่องเที่ยวให้ตอบโจทย์ตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ พร้อมร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณะสุขในพื้นที่ โดยจะนําข้อปฏิบัติฯ นี้ ไปร่วมยกระดับชุมชนท่องเที่ยวเพื่อให้พร้อมในการบริการอย่างมีคุณภาพ และมีสุขอนามัย ปลอดภัย ใส่ใจในสุขภาพ เพื่อรองรับตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพหลังวิกฤตโควิดคลี่คลายต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อพท. จับมือภาคีผุดข้อปฏิบัติด้านสุขอนามัย มอบชุมชนท่องเที่ยวใช้เพื่อเข้ายุควิถีปกติใหม่ [กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา] วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563 อพท. จับมือภาคีผุดข้อปฏิบัติด้านสุขอนามัย มอบชุมชนท่องเที่ยวใช้เพื่อเข้ายุควิถีปกติใหม่ [กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา] อพท. จับมือภาคีผุดข้อปฏิบัติด้านสุขอนามัย มอบชุมชนท่องเที่ยวใช้เพื่อเข้ายุควิถีปกติใหม่ อพท. จับมือภาคีเครือข่าย จัดทําข้อปฏิบัติของแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชน เพื่อสุขอนามัยและความปลอดภัย หวังให้ชุมชนใช้เป็นแนวทางในการดําเนินกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชน ตามแนวทางมาตรฐาน SHA เพิ่มความมั่นใจให้กับชุมชนท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวตามวิถีปกติใหม่ หรือ New Normal นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้อํานวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. กล่าวว่า อพท. ได้ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดทํา “ข้อปฏิบัติของแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชนเพื่อสุขอนามัยปลอดภัยใส่ใจในสุขภาพ” เพื่อเป็นแนวปฏิบัติให้กับชุมชนท่องเที่ยวและผู้มาเยือน โดยข้อปฏิบัติดังกล่าวอ้างอิงจาก โครงการแนวทางความปลอดภัยด้านสุขอนามัย Amazing Thailand Safety & Health Administration (SHA) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกําหนดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด – 19 สําหรับหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่ร่วมพัฒนาข้อปฏิบัตินี้ ได้แก่ กรมอนามัย กรมควบคุมโรค คณะทํางานขับเคลื่อนการพัฒนาการตลาดการท่องเที่ยวโดยชุมชน ภายใต้คณะอนุกรรมการการท่องเที่ยวโดยชุมชนในคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ สถาบันการท่องเที่ยวโดยชุมชน เครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชนระดับภูมิภาค 5 เครือข่าย และชมรมเครือข่ายส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนในพื้นที่พิเศษ ที่ได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาร่างข้อปฏิบัติเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของชุมชนอย่างปท้จริง ในรายละเอียดข้อปฏิบัติจะประกอบด้วย มาตรฐานเบื้องต้นด้านสุขลักษณะอาคารและอุปกรณ์เครื่องใช้ การจัดอุปกรณ์ทําความสะอาดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค ข้อควรปฏิบัติของผู้ให้บริการในชุมชน ได้แก่ คัดกรองและสอบถามประวัติผู้มาเยือย มีการจัดการขยะ แยกขยะติดเชื้อ รับนักท่องเที่ยวโดยคํานวนเว้นระยะห่างไม่ให้แอดอัด จัดเตรียมสถานที่และทําความสะอาดทุกครั้งก่อนและหลังรับนักท่องเที่ยว แยกอาหารส่วนบุคคล จัดเตรียมแอลกอฮอล์และอุปกรณ์ล้างมือ เป็นต้น และข้อปฏิบัติของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไปในชุมชนท่องเที่ยว ได้แก่ เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงการสัมผัสทางกาย กินอาหารปรุงสุก ล้างมือหรือทําความสะอาดด้วยเจแอลกอฮอล์อยู่เสมอ หลีกเลี่ยงสัมผัสกับสัตว์ และหลีกเลี่ยงอยู่ในสถานที่แออัด เป็นต้น รวมถึงข้อปฏิบัติในแต่ละจุดบริการท่องเที่ยวของชุมชน เป็นต้น ซึ่งชุมชนท่องเที่ยวสามารถนําข้อปฏิบัตินี้ไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ หากชุมชนท่องเที่ยวต้องการรับรองจากมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย Amazing Thailand Safety & Health Administration หรือ SHA ก็สามารถสมัครเพื่อรับการประเมินและรับตราสัญลักษณ์ SHA ในประเภท นันทนาการและสถานที่ท่องเที่ยว “การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในประเทศเป็นอย่างมาก และยังรวมไปถึงชุมชนท่องเที่ยวที่มีรายได้เสริมจากการบริหารจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน อพท. ในฐานะหน่วยงานประสานความร่วมมือในการขับเคลื่อนการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ตระหนักในปัญหาดังกล่าว และยังเห็นถึงความสําคัญของความปลอดภัยในการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชน ดังนั้นเมื่อสถานการณ์กลับมาสู่ปกติ ชุมชนและนักท่องเที่ยวจึงต้องมีการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่วิถีปกติใหม่ หรือ New Normal ชุมชนที่ทําท่องเที่ยวจึง ต้องปรับตัวเพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยด้านสุขอนามัย ข้อปฏิบัติที่จัดทําขึ้นครั้งนี้จึงถือเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ตัวชุมชนเองและนักท่องเที่ยวผู้มาเยือน” ผู้อํานวยการ อพท. กล่าว อย่างไรก็ตาม อพท. ยังร่วมฟื้นฟูและเยียวยาภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและยกระดับชุมชนท่องเที่ยวสู่ตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพหลังวิกฤตการณ์โควิด โดยร่วมกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและสมาคมท่องเที่ยว นําผู้เชี่ยวชาญของบริษัทนําเที่ยวภายใต้สมาคมท่องเที่ยวไปให้ความรู้ชุมชนท่องเที่ยวในการออกแบบโปรแกรมท่องเที่ยวให้ตอบโจทย์ตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ พร้อมร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณะสุขในพื้นที่ โดยจะนําข้อปฏิบัติฯ นี้ ไปร่วมยกระดับชุมชนท่องเที่ยวเพื่อให้พร้อมในการบริการอย่างมีคุณภาพ และมีสุขอนามัย ปลอดภัย ใส่ใจในสุขภาพ เพื่อรองรับตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพหลังวิกฤตโควิดคลี่คลายต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32252
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอลงนามร่วม 8 เครือข่ายมหาวิทยาลัย
วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม 2562 บีโอไอลงนามร่วม 8 เครือข่ายมหาวิทยาลัย บีโอไอลงนามร่วม 8 เครือข่ายมหาวิทยาลัย นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (คนกลาง) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยชั้นนํา 8 แห่ง ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้ชื่อเครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย (Research University Network) หรือ RUN การลงนามนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันให้เกิดการนําข้อมูลวิจัยจากสถาบันการศึกษามาพัฒนาในเชิงพาณิชย์มากขึ้น ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่าลาดพร้าว กรุงเทพฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอลงนามร่วม 8 เครือข่ายมหาวิทยาลัย วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม 2562 บีโอไอลงนามร่วม 8 เครือข่ายมหาวิทยาลัย บีโอไอลงนามร่วม 8 เครือข่ายมหาวิทยาลัย นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (คนกลาง) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยชั้นนํา 8 แห่ง ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้ชื่อเครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย (Research University Network) หรือ RUN การลงนามนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันให้เกิดการนําข้อมูลวิจัยจากสถาบันการศึกษามาพัฒนาในเชิงพาณิชย์มากขึ้น ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่าลาดพร้าว กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21965
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 14 – 20 สิงหาคม 2563
วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563 ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 14 – 20 สิงหาคม 2563 ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 14 – 20 สิงหาคม 2563 พบการกระทําผิด จํานวน 694 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.26 ล้านบาท นายวรวรรธน์ ภิญโญ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิด กฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน สําหรับผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2563 (ระหว่างวันที่ 14 - 20 สิงหาคม 2563) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 694 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.26 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 409 คดี ค่าปรับ 3.61 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 209 คดี ค่าปรับ 3.88 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 16 คดี ค่าปรับ 0.36 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 16 คดี ค่าปรับ 0.12 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 2 คดี ค่าปรับ 0.04 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 30 คดี ค่าปรับ 0.96 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 12 คดี ค่าปรับ 1.29 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 4,992.100 ลิตร ยาสูบ จํานวน 12,836 ซอง ไพ่ จํานวน 3,578 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 1,326.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 204 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 42 คัน สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 – 20 สิงหาคม 2563 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 25,485 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 437.59 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 14,574 คดี ค่าปรับ 146.88 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 7,520 คดี ค่าปรับ 173.80 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 551 คดี ค่าปรับ 7.82 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 1,123 คดี ค่าปรับ 46.76 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 61 คดี ค่าปรับ 1.59 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 1,130 คดี ค่าปรับ จํานวน 28.36 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 526 คดี ค่าปรับ 32.38 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 1,791,906.074 ลิตร ยาสูบ จํานวน 468,871 ซอง ไพ่ จํานวน 66,538 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 2,699,397.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 43,805 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 1,270 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 14 – 20 สิงหาคม 2563 วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563 ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 14 – 20 สิงหาคม 2563 ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 14 – 20 สิงหาคม 2563 พบการกระทําผิด จํานวน 694 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.26 ล้านบาท นายวรวรรธน์ ภิญโญ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิด กฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน สําหรับผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2563 (ระหว่างวันที่ 14 - 20 สิงหาคม 2563) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 694 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.26 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 409 คดี ค่าปรับ 3.61 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 209 คดี ค่าปรับ 3.88 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 16 คดี ค่าปรับ 0.36 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 16 คดี ค่าปรับ 0.12 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 2 คดี ค่าปรับ 0.04 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 30 คดี ค่าปรับ 0.96 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 12 คดี ค่าปรับ 1.29 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 4,992.100 ลิตร ยาสูบ จํานวน 12,836 ซอง ไพ่ จํานวน 3,578 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 1,326.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 204 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 42 คัน สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 – 20 สิงหาคม 2563 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 25,485 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 437.59 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 14,574 คดี ค่าปรับ 146.88 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 7,520 คดี ค่าปรับ 173.80 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 551 คดี ค่าปรับ 7.82 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 1,123 คดี ค่าปรับ 46.76 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 61 คดี ค่าปรับ 1.59 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 1,130 คดี ค่าปรับ จํานวน 28.36 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 526 คดี ค่าปรับ 32.38 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 1,791,906.074 ลิตร ยาสูบ จํานวน 468,871 ซอง ไพ่ จํานวน 66,538 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 2,699,397.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 43,805 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 1,270 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34413
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สั่งกองทัพ เตรียมพร้อมรับมือพายุโซนร้อน “ปาบึก” หวั่นความเสียหายรุนแรงกระทบประชาชนวงกว้าง
วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม 2562 ​สั่งกองทัพ เตรียมพร้อมรับมือพายุโซนร้อน “ปาบึก” หวั่นความเสียหายรุนแรงกระทบประชาชนวงกว้าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้สั่งการให้ทุกเหล่าทัพ เฝ้าติดตามสภาพอากาศ และเตรียมพร้อมรับมือกับ พายุโซนร้อน “ปาบึก” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้สั่งการให้ทุกเหล่าทัพ เฝ้าติดตามสภาพอากาศ และเตรียมพร้อมรับมือกับ พายุโซนร้อน “ปาบึก” ที่พัดผ่านพื้นที่ภาคใต้ ระหว่าง 3-5 ม.ค.62 ซึ่งคาดว่าจะเกิดคลื่นลมรุนแรง ฝนตกหนักมากและน้ําท่วมฉับพลัน เกิดความเสียหายกระทบประชาชนเป็นวงกว้างในหลายพื้นที่ พล.อ.ประวิตร’ ได้กําชับให้ ทุกเหล่าทัพเตรียมกําลังพล ยุทโธปกรณ์และเครื่องมือช่าง รวมทั้งชุดแพทย์สนามและสถาปนาระบบสื่อสารสํารองในพื้นที่ให้พร้อม โดยให้ประสานกับฝ่ายปกครองให้การช่วยเหลือเร่งด่วนอพยพประชาชนจากพื้นที่อันตรายที่อาจได้รับผลกระทบรุนแรงไปยังพื้นที่ปลอดภัย และวางแผนกระจายกําลังจากหน่วยทหารในพื้นที่ เร่งให้การช่วยเหลือเร่งด่วนขั้นต้นแก่ประชาชนในทุกพื้นที่ให้ทั่วถึง โดยเฉพาะพื้นที่ชายฝั่งอันดามันและอ่าวไทย ให้กองเรือเตรียมการเป็นฐานช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยวริมชายฝั่งทะเล พร้อมทั้งให้เตรียมพร้อมอากาศยาน สําหรับการลําเลียงสิ่งของยังชีพจากส่วนกลาง สนับสนุนการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สั่งกองทัพ เตรียมพร้อมรับมือพายุโซนร้อน “ปาบึก” หวั่นความเสียหายรุนแรงกระทบประชาชนวงกว้าง วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม 2562 ​สั่งกองทัพ เตรียมพร้อมรับมือพายุโซนร้อน “ปาบึก” หวั่นความเสียหายรุนแรงกระทบประชาชนวงกว้าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้สั่งการให้ทุกเหล่าทัพ เฝ้าติดตามสภาพอากาศ และเตรียมพร้อมรับมือกับ พายุโซนร้อน “ปาบึก” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้สั่งการให้ทุกเหล่าทัพ เฝ้าติดตามสภาพอากาศ และเตรียมพร้อมรับมือกับ พายุโซนร้อน “ปาบึก” ที่พัดผ่านพื้นที่ภาคใต้ ระหว่าง 3-5 ม.ค.62 ซึ่งคาดว่าจะเกิดคลื่นลมรุนแรง ฝนตกหนักมากและน้ําท่วมฉับพลัน เกิดความเสียหายกระทบประชาชนเป็นวงกว้างในหลายพื้นที่ พล.อ.ประวิตร’ ได้กําชับให้ ทุกเหล่าทัพเตรียมกําลังพล ยุทโธปกรณ์และเครื่องมือช่าง รวมทั้งชุดแพทย์สนามและสถาปนาระบบสื่อสารสํารองในพื้นที่ให้พร้อม โดยให้ประสานกับฝ่ายปกครองให้การช่วยเหลือเร่งด่วนอพยพประชาชนจากพื้นที่อันตรายที่อาจได้รับผลกระทบรุนแรงไปยังพื้นที่ปลอดภัย และวางแผนกระจายกําลังจากหน่วยทหารในพื้นที่ เร่งให้การช่วยเหลือเร่งด่วนขั้นต้นแก่ประชาชนในทุกพื้นที่ให้ทั่วถึง โดยเฉพาะพื้นที่ชายฝั่งอันดามันและอ่าวไทย ให้กองเรือเตรียมการเป็นฐานช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยวริมชายฝั่งทะเล พร้อมทั้งให้เตรียมพร้อมอากาศยาน สําหรับการลําเลียงสิ่งของยังชีพจากส่วนกลาง สนับสนุนการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17886
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อว. ปรับบทบาท กลไก วิสัยทัศน์ สป.อว.
วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562 รมว.อว. ปรับบทบาท กลไก วิสัยทัศน์ สป.อว. รมว.อว. ปรับบทบาท กลไก วิสัยทัศน์ สป.อว. 25 ตุลาคม 2562 : ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานและมอบนโยบายในการประชุมผู้บริหาร สป.อว. (กลุ่มภารกิจด้านการอุดมศึกษา) ร่วมกับ รมว.อว. ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์วิจิตร ศรีสอ้าน อาคารอุดมศึกษา 1 สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ถนนศรีอยุธยา) ศาสตราจารย์สัมพันธ์ ฤทธิเดช เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา นําเสนอข้อมูลในภาพรวมของ สป.อว. (กลุ่มภารกิจด้านการอุดมศึกษา) ในที่ประชุมว่า โครงสร้างเดิมแบ่งเป็น 9 สํานัก 4 หน่วยงานในกํากับ มีภารกิจหลักตามโครงสร้างรวมทั้งหมด 13 ภารกิจหลัก ได้แค่ ยุทธศาสตร์อุดมศึกษา การขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรม การส่งเสริมการผลิตและพัฒนากําลังคน ยุทธศาสตร์ต่างประเทศ การพัฒนาและติดตามมาตรฐานและคุณภาพการอุดมศึกษา ฐานข้อมูลอุดมศึกษา การบริหารงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษา การพัฒนาสมรรถนะนักศึกษา กฎหมาย/การเสนอขอโปรดเกล้าฯ การส่งเสริมดําเนินงานของมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชน และการพัฒนาเครือข่าย Cooperative and Work Integrated Education เลขานุการของ กกอ. กพอ. และ Back office โดยมีโครงการและงานสําคัญที่ดําเนินการอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการบัณฑิตพันธุ์ใหม่ โครงการครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น โครงการ Thai MOOC การพัฒนาคุณภาพการศึกษาสู่ความเป็นเลิศด้วยเกณฑ์ EdPEx Credit Bank การปรับปรุงเกณฑ์การเข้าสู่ตําแหน่งทางวิชาการ โครงการอาสาประชารัฐ การปลดล็อก มอ. และตําแหน่งทางวิชาการ เป็นต้น จากนั้น ผู้อํานวยการและผู้แทนสํานัก/หน่วยงาน ได้ชี้แจงบทบาท ภารกิจ หน้าที่การดําเนินงานและข้อมูลที่เกี่ยวข้องของแต่ละสํานักให้ที่ประชุมรับทราบ จากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ได้มอบนโยบายให้แก่ที่ประชุม โดยกล่าวในตอนหนึ่งว่า มหาวิทยาลัยในปัจจุบันไม่ใช่แบบเดิมอีกต่อไป เรากําลังดูแลในสิ่งที่กําลังเป็น แต่ยังไม่ได้ดูแลในสิ่งที่ควรจะเป็นในอนาคต เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีวิสัยทัศน์ที่ไกลกว่ามหาวิทยาลัย ในอนาคตการอุดมศึกษาหน้าตาจะเป็นอย่างไร ใช้ภาพในอนาคตเป็นตัวตั้ง ในอนาคตมหาวิทยาลัยจะต้องเป็น Market Base โดยใช้ความต้องการของตลาดหรือประชาชนเป็นตัวตั้ง โจทย์ที่สําคัญคือเราจะทันโลกในศตวรรษที่ 21 มองเห็นภาพของโลกในอนาคตอย่างไร โครงสร้างของมหาวิทยาลัยในปัจจุบันไม่ตอบโจทย์ประเทศ ในอนาคตเราจะใช้กลไกของงบประมาณ นโยบายในการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัย เพื่อกําหนดทิศทางของการอุดมศึกษา “มหาวิทยาลัยจําเป็นต้องมีอิสรภาพแต่ต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ หน้าที่ของเราในอนาคตคือการเพิ่มขีดความสามารถให้มหาวิทยาลัยไม่ใช่การไปควบคุม แต่จะต้องเข้มงวดในเรื่องมาตรฐานมากขึ้น บทบาทของมหาวิทยาลัย บทบาทของเราต้องเปลี่ยน การควบคุมของเราจะควบคุมในเชิงที่ไม่ให้มหาวิทยาลัยเป็นภัยต่อสังคม มาตรฐานจะต้องเป็นมาตรฐานระดับโลกที่ไปส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน เป็นมาตรฐานที่ต้องตอบโจทย์คนส่วนใหญ่ กลุ่มเป้าหมายของมหาวิทยาลัยไม่ใช่นิสิต นักศึกษาเพื่อผลิตออกมาเป็นบัณฑิตเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีกลุ่มของแรงงานที่อยู่ในระบบอีก 40 ล้านคน ที่จะต้องถูก reskill upskill รวมถึงคนสูงวัยที่จะต้องมีการเรียนรู้และการศึกษาสําหรับคนสูงวัย นี่คือสิ่งที่อยากให้เตรียมพร้อมรับกลุ่มเป้าหมายที่เปลี่ยนแปลงไป เรากําลังเปลี่ยนแปลงประเทศภายใต้กระทรวงใหม่ ผ่านภารกิจสําคัญคือการสร้างคน สร้างองค์ความรู้ เพื่อนําไปสู่สร้างนวัตกรรม”รมว.อว. กล่าวในตอนท้าย เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า ส่วนสื่อสารองค์กร สํานักบริหารกลาง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อว. ปรับบทบาท กลไก วิสัยทัศน์ สป.อว. วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562 รมว.อว. ปรับบทบาท กลไก วิสัยทัศน์ สป.อว. รมว.อว. ปรับบทบาท กลไก วิสัยทัศน์ สป.อว. 25 ตุลาคม 2562 : ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานและมอบนโยบายในการประชุมผู้บริหาร สป.อว. (กลุ่มภารกิจด้านการอุดมศึกษา) ร่วมกับ รมว.อว. ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์วิจิตร ศรีสอ้าน อาคารอุดมศึกษา 1 สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ถนนศรีอยุธยา) ศาสตราจารย์สัมพันธ์ ฤทธิเดช เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา นําเสนอข้อมูลในภาพรวมของ สป.อว. (กลุ่มภารกิจด้านการอุดมศึกษา) ในที่ประชุมว่า โครงสร้างเดิมแบ่งเป็น 9 สํานัก 4 หน่วยงานในกํากับ มีภารกิจหลักตามโครงสร้างรวมทั้งหมด 13 ภารกิจหลัก ได้แค่ ยุทธศาสตร์อุดมศึกษา การขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรม การส่งเสริมการผลิตและพัฒนากําลังคน ยุทธศาสตร์ต่างประเทศ การพัฒนาและติดตามมาตรฐานและคุณภาพการอุดมศึกษา ฐานข้อมูลอุดมศึกษา การบริหารงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษา การพัฒนาสมรรถนะนักศึกษา กฎหมาย/การเสนอขอโปรดเกล้าฯ การส่งเสริมดําเนินงานของมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชน และการพัฒนาเครือข่าย Cooperative and Work Integrated Education เลขานุการของ กกอ. กพอ. และ Back office โดยมีโครงการและงานสําคัญที่ดําเนินการอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการบัณฑิตพันธุ์ใหม่ โครงการครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น โครงการ Thai MOOC การพัฒนาคุณภาพการศึกษาสู่ความเป็นเลิศด้วยเกณฑ์ EdPEx Credit Bank การปรับปรุงเกณฑ์การเข้าสู่ตําแหน่งทางวิชาการ โครงการอาสาประชารัฐ การปลดล็อก มอ. และตําแหน่งทางวิชาการ เป็นต้น จากนั้น ผู้อํานวยการและผู้แทนสํานัก/หน่วยงาน ได้ชี้แจงบทบาท ภารกิจ หน้าที่การดําเนินงานและข้อมูลที่เกี่ยวข้องของแต่ละสํานักให้ที่ประชุมรับทราบ จากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ได้มอบนโยบายให้แก่ที่ประชุม โดยกล่าวในตอนหนึ่งว่า มหาวิทยาลัยในปัจจุบันไม่ใช่แบบเดิมอีกต่อไป เรากําลังดูแลในสิ่งที่กําลังเป็น แต่ยังไม่ได้ดูแลในสิ่งที่ควรจะเป็นในอนาคต เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีวิสัยทัศน์ที่ไกลกว่ามหาวิทยาลัย ในอนาคตการอุดมศึกษาหน้าตาจะเป็นอย่างไร ใช้ภาพในอนาคตเป็นตัวตั้ง ในอนาคตมหาวิทยาลัยจะต้องเป็น Market Base โดยใช้ความต้องการของตลาดหรือประชาชนเป็นตัวตั้ง โจทย์ที่สําคัญคือเราจะทันโลกในศตวรรษที่ 21 มองเห็นภาพของโลกในอนาคตอย่างไร โครงสร้างของมหาวิทยาลัยในปัจจุบันไม่ตอบโจทย์ประเทศ ในอนาคตเราจะใช้กลไกของงบประมาณ นโยบายในการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัย เพื่อกําหนดทิศทางของการอุดมศึกษา “มหาวิทยาลัยจําเป็นต้องมีอิสรภาพแต่ต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ หน้าที่ของเราในอนาคตคือการเพิ่มขีดความสามารถให้มหาวิทยาลัยไม่ใช่การไปควบคุม แต่จะต้องเข้มงวดในเรื่องมาตรฐานมากขึ้น บทบาทของมหาวิทยาลัย บทบาทของเราต้องเปลี่ยน การควบคุมของเราจะควบคุมในเชิงที่ไม่ให้มหาวิทยาลัยเป็นภัยต่อสังคม มาตรฐานจะต้องเป็นมาตรฐานระดับโลกที่ไปส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน เป็นมาตรฐานที่ต้องตอบโจทย์คนส่วนใหญ่ กลุ่มเป้าหมายของมหาวิทยาลัยไม่ใช่นิสิต นักศึกษาเพื่อผลิตออกมาเป็นบัณฑิตเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีกลุ่มของแรงงานที่อยู่ในระบบอีก 40 ล้านคน ที่จะต้องถูก reskill upskill รวมถึงคนสูงวัยที่จะต้องมีการเรียนรู้และการศึกษาสําหรับคนสูงวัย นี่คือสิ่งที่อยากให้เตรียมพร้อมรับกลุ่มเป้าหมายที่เปลี่ยนแปลงไป เรากําลังเปลี่ยนแปลงประเทศภายใต้กระทรวงใหม่ ผ่านภารกิจสําคัญคือการสร้างคน สร้างองค์ความรู้ เพื่อนําไปสู่สร้างนวัตกรรม”รมว.อว. กล่าวในตอนท้าย เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า ส่วนสื่อสารองค์กร สํานักบริหารกลาง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24092
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. พล.อ. ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจำปี 2561 – 2563
วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561 รองนรม. พล.อ. ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2561 – 2563 โดยที่ประชุมฯ มีมติเห็นชอบโครงสร้างของคณะกรรมการจัดการแข่งขันฯ เพื่อให้การดําเนินงานบรรลุผลตามเป้าหมาย และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศไทย พร้อมกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างทั่วถึง วันนี้ (15 มิถุนายน 2561) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2561 – 2563 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรีที่ 106/2561 เรื่องแต่งตั้ง คณะกรรมการอํานวยการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2561 – 2563 โดยเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2560 ซึ่งเห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2561 – 2563 (3 ปี) และมอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการกีฬาแห่งประเทศไทย เป็นหน่วยงานพิจารณาดําเนินการดังกล่าว เพื่อเป็นการส่งเสริมศักยภาพของประเทศไทย ให้เป็นศูนย์กลางด้านกีฬาในภูมิภาคอาเซียน พร้อมทั้งส่งเสริมอุตสาหกรรมต่อเนื่องและการท่องเที่ยวเชิงกีฬา รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์ ที่ดีให้แก่ประเทศไทย และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนสร้างเครือข่ายและความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีอํานาจหน้าที่ในการกําหนดนโยบายและอํานวยการเกี่ยวกับการแข่งขันฯ พร้อมให้คําปรึกษาและข้อเสนอแนะในการดําเนินงานให้บรรลุผลตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ จากนั้น ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบโครงสร้างของคณะกรรมการจัดการแข่งขันฯ ซึ่งมีกําหนดการจัดในระหว่างวันที่ 5 – 7 ตุลาคม 2561 ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ประกอบด้วยคณะอนุกรรมการฝ่ายการแข่งขันและสิทธิประโยชน์ คณะอนุกรรมการฝ่ายรักษาความปลอดภัยและการจราจร คณะอนุกรรมการฝ่ายคมนาคมและการขนส่ง คณะอนุกรรมการฝ่ายขับเคลื่อนการกระจายรายได้สู่พื้นที่ คณะอนุกรรมการฝ่ายประสานกิจกรรมและการท่องเที่ยว รวมทั้งคณะอนุกรรมการฝ่ายเลขานุการฯ ทั้งนี้ ที่ประชุมมอบหมายให้คณะกรรมการเตรียมการจัดการแข่งขันฯ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานหลักในการกํากับดูแลการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการต่าง ๆ เหล่านั้น เพื่อให้การจัดการแข่งขันฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยด้วยดี ตอนท้ายของการประชุมฯ ประธานได้กล่าวขอบคุณคณะกรรมการซึ่งเป็นตัวแทนหัวหน้าส่วนราชการ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องที่ได้ให้ข้อเสนอและความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ พร้อมข้อสังเกตต่าง ๆ เพื่อให้การจัดการแข่งขันระดับนานาชาติครั้งนี้ ได้เสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทยในสายตานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาร่วมงาน ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมกระจายสู่ชุมชนอย่างทั่วถึง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป .......................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. พล.อ. ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจำปี 2561 – 2563 วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561 รองนรม. พล.อ. ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2561 – 2563 โดยที่ประชุมฯ มีมติเห็นชอบโครงสร้างของคณะกรรมการจัดการแข่งขันฯ เพื่อให้การดําเนินงานบรรลุผลตามเป้าหมาย และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศไทย พร้อมกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างทั่วถึง วันนี้ (15 มิถุนายน 2561) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2561 – 2563 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรีที่ 106/2561 เรื่องแต่งตั้ง คณะกรรมการอํานวยการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2561 – 2563 โดยเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2560 ซึ่งเห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2561 – 2563 (3 ปี) และมอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการกีฬาแห่งประเทศไทย เป็นหน่วยงานพิจารณาดําเนินการดังกล่าว เพื่อเป็นการส่งเสริมศักยภาพของประเทศไทย ให้เป็นศูนย์กลางด้านกีฬาในภูมิภาคอาเซียน พร้อมทั้งส่งเสริมอุตสาหกรรมต่อเนื่องและการท่องเที่ยวเชิงกีฬา รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์ ที่ดีให้แก่ประเทศไทย และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนสร้างเครือข่ายและความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีอํานาจหน้าที่ในการกําหนดนโยบายและอํานวยการเกี่ยวกับการแข่งขันฯ พร้อมให้คําปรึกษาและข้อเสนอแนะในการดําเนินงานให้บรรลุผลตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ จากนั้น ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบโครงสร้างของคณะกรรมการจัดการแข่งขันฯ ซึ่งมีกําหนดการจัดในระหว่างวันที่ 5 – 7 ตุลาคม 2561 ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ประกอบด้วยคณะอนุกรรมการฝ่ายการแข่งขันและสิทธิประโยชน์ คณะอนุกรรมการฝ่ายรักษาความปลอดภัยและการจราจร คณะอนุกรรมการฝ่ายคมนาคมและการขนส่ง คณะอนุกรรมการฝ่ายขับเคลื่อนการกระจายรายได้สู่พื้นที่ คณะอนุกรรมการฝ่ายประสานกิจกรรมและการท่องเที่ยว รวมทั้งคณะอนุกรรมการฝ่ายเลขานุการฯ ทั้งนี้ ที่ประชุมมอบหมายให้คณะกรรมการเตรียมการจัดการแข่งขันฯ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานหลักในการกํากับดูแลการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการต่าง ๆ เหล่านั้น เพื่อให้การจัดการแข่งขันฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยด้วยดี ตอนท้ายของการประชุมฯ ประธานได้กล่าวขอบคุณคณะกรรมการซึ่งเป็นตัวแทนหัวหน้าส่วนราชการ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องที่ได้ให้ข้อเสนอและความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ พร้อมข้อสังเกตต่าง ๆ เพื่อให้การจัดการแข่งขันระดับนานาชาติครั้งนี้ ได้เสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทยในสายตานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาร่วมงาน ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมกระจายสู่ชุมชนอย่างทั่วถึง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป .......................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13074
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน หารือมาตรการเร่งด่วน 3 ด้าน ป้องกันวิกฤติการณ์จาก COVID-19
วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563 ก.แรงงาน หารือมาตรการเร่งด่วน 3 ด้าน ป้องกันวิกฤติการณ์จาก COVID-19 ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงาน หารือมาตรการเร่งด่วนของกระทรวงแรงงานทั้ง 3 ด้าน ในการป้องกันวิกฤติการจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 วันที่ 23 มีนาคม 2563 เวลา 09.00 น. ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันวิกฤติการจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ของกระทรวงแรงงาน ณ ห้องแสงสิงแก้ว ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดย ดร. ดวงฤทธิ์ฯ กล่าวถึงมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันวิกฤติการจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ของกระทรวงแรงงาน ดังนี้ 1. มาตรการป้องกันและสกัดกั้นการนําเชื้อเข้าสู่ประเทศไทย (ด้านต่างประเทศ) สืบเนื่องจากการประกาศยกระดับเตือนภัยการเดินทางหลายประเทศและภูมิภาคที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระดับ 3 ของประเทศไต้หวัน ซึ่งเป็นการเตือนระดับสูงสุด กระทรวงแรงงานได้ดําเนินการแจ้งไปยังบริษัทจัดหางานที่จัดส่งคนงานไปยังประเทศไต้หวันทราบถึงมาตรการที่กระทรวงแรงงานไต้หวันได้ดําเนินการแล้ว และให้สํานักงานแรงงานไทยในไต้หวันทั้งเมืองเกาสงและไทเป ให้แจ้งแรงงานไทยที่ยังคงทํางานอยู่ในไต้หวัน รวมทั้งสิ้น 58,572 คน ได้รับทราบและถือปฏิบัติตามมาตรการนั้น ส่วนกรณีของเกาหลีใต้ ตั้งแต่มีมาตรการผ่อนปรนในวันที่ 11 ธันวาคม 2562 มีคนไทยเดินทางกลับประเทศรวมทั้งสิ้น 6,814 คน โดยหลังมีประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย กรณีติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ตั้งแต่วันที่ 3 – 15 มีนาคม 2563 มีแรงงานไทยเดินทางกลับมาแล้วจํานวน 2,087 คน ขณะนี้เดินทางเข้ามาเฉลี่ยวันละ 150 คน โดยจะต้องมีใบรับผลการตรวจโควิด-19 ทุกคน 2. มาตรการยับยั้งการระบาดภายในประเทศ (ด้านป้องกัน) ได้จํากัดการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเร่งรัด โดยให้นายจ้างและสถานประกอบการยื่นความประสงค์ที่จะต่อทะเบียนแรงงานต่างด้าวให้ครบก่อน 31 มีนาคม 2563 รวมถึงการดําเนินงานในส่วนอื่นสามารถทําได้จนถึง 30 มิถุนายน 2563 นอกจากนี้การเดินทางกลับประเทศของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติในช่วงสงกรานต์ กระทรวงแรงงานจะแจ้งไปยังนายจ้างที่มีการจ้างแรงงานต่างด้าวให้ประกาศให้ลูกจ้างต่างด้าวทราบต่อไป และในปีนี้จะไม่มีการยกเว้นค่าธรรมเนียมการเดินทางเข้า - ออก ประเทศให้แก่แรงงานกลุ่มนี้ นอกจากนี้กระทรวงแรงงานมีการประกาศมาตรการทํางานที่บ้าน Work from Home เพื่อให้บุคลากรสามารถปฏิบัติงานได้ โดยพร้อมที่จะเดินทางมาปฏิบัติงาน ณ สํานักงานได้ตลอดเวลาหากมีเรื่องเร่งด่วน และให้มีการจัดผลัดการมาปฏิบัติงาน โดยเริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563 นอกจากนี้ยังได้ส่งเสริมการผลิตและการใช้หน้ากากผ้าแก่ประชาชน สร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์มาตรการป้องกันโรคโควิด - 19 ในสถานประกอบการด้วยการให้ความรู้ลูกจ้าง ผู้ประกันตนในสถานประกอบการ รวมถึงประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับโรคโควิด - 19 ผ่านสื่อทุกช่องทางอย่างต่อเนื่อง 3. มาตรการเยียวยา กรณีผู้ประกันตนที่ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าโรคโควิด-19 ไม่ต้องจ่ายค่าตรวจหรือค่ายาใดๆ รวมถึงสามารถเข้ารักษาโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้หรือโรงพยาบาลของรัฐตามระบบประกันสังคม และเบิกจ่ายกรณีฉุกเฉิน ภายใน 72 ชั่วโมง หากผู้ประกันตนลาป่วยโดยได้รับค่าจ้างจากนายจ้างครบ 30 วัน แต่ต้องหยุดงานตามคําสั่งแพทย์ต่อไปอีก สํานักงานประกันสังคมจะจ่ายเงินทดแทนการขาดรายได้ ครั้งละไม่เกิน 90 วัน และไม่เกิน 180 วันต่อปี ด้านการปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานนั้น หากลาออกจะได้รับเงินทดแทนทั้ง กรณีการขาดรายได้ กรณีเลิกจ้าง และกรณีเหตุสุดวิสัย ซึ่งครอบคลุมทั้งประกันตนที่ไม่ได้ทํางาน และนายจ้างที่ถูกสั่งให้หยุดประกอบกิจการ ผู้ช่วย รมว.ประจํากระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ยังมีมาตรการให้ความช่วยเหลือสถานประกอบกิจการที่อยู่ในข่ายบังคับตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 โครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน การลดอัตราเงินสมทบนายจ้าง และผู้ประกันตน การย้ายกําหนดเวลายื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนําส่งเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตน ซึ่งอยู่ในระหว่างการหารือ อีกทั้งมาตรการเพื่อเยียวยาลูกจ้าง กรณีเลิกจ้างและไม่ได้รับเงินตามกฎหมาย มาตรการชะลอการเลิกจ้าง การจัดตั้งศูนย์บริการจัดหางาน Part - time การจ้างงานเร่งด่วนและพัฒนาทักษะฝีมือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาชีพ การจ้างบัณฑิตที่ว่างงานมาเป็นผู้ประสานงานโครงการของกระทรวงแรงงานในระดับพื้นที่ การปรับแผนการฝึกอบรมทักษะฝีมือให้แก่แรงงานรองรับสถานการณ์ว่างงานและวิกฤตเศรษฐกิจ ระยะ 3 เดือน และการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการรองรับสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 (Hot Line COVID – 19) เพื่อให้บริการ Hotline หมายเลข 02-9562513-4 ในวันและเวลาราชการ หรือ ติดต่อสายด่วน 1506 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน หารือมาตรการเร่งด่วน 3 ด้าน ป้องกันวิกฤติการณ์จาก COVID-19 วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563 ก.แรงงาน หารือมาตรการเร่งด่วน 3 ด้าน ป้องกันวิกฤติการณ์จาก COVID-19 ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงาน หารือมาตรการเร่งด่วนของกระทรวงแรงงานทั้ง 3 ด้าน ในการป้องกันวิกฤติการจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 วันที่ 23 มีนาคม 2563 เวลา 09.00 น. ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันวิกฤติการจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ของกระทรวงแรงงาน ณ ห้องแสงสิงแก้ว ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดย ดร. ดวงฤทธิ์ฯ กล่าวถึงมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันวิกฤติการจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ของกระทรวงแรงงาน ดังนี้ 1. มาตรการป้องกันและสกัดกั้นการนําเชื้อเข้าสู่ประเทศไทย (ด้านต่างประเทศ) สืบเนื่องจากการประกาศยกระดับเตือนภัยการเดินทางหลายประเทศและภูมิภาคที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระดับ 3 ของประเทศไต้หวัน ซึ่งเป็นการเตือนระดับสูงสุด กระทรวงแรงงานได้ดําเนินการแจ้งไปยังบริษัทจัดหางานที่จัดส่งคนงานไปยังประเทศไต้หวันทราบถึงมาตรการที่กระทรวงแรงงานไต้หวันได้ดําเนินการแล้ว และให้สํานักงานแรงงานไทยในไต้หวันทั้งเมืองเกาสงและไทเป ให้แจ้งแรงงานไทยที่ยังคงทํางานอยู่ในไต้หวัน รวมทั้งสิ้น 58,572 คน ได้รับทราบและถือปฏิบัติตามมาตรการนั้น ส่วนกรณีของเกาหลีใต้ ตั้งแต่มีมาตรการผ่อนปรนในวันที่ 11 ธันวาคม 2562 มีคนไทยเดินทางกลับประเทศรวมทั้งสิ้น 6,814 คน โดยหลังมีประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย กรณีติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ตั้งแต่วันที่ 3 – 15 มีนาคม 2563 มีแรงงานไทยเดินทางกลับมาแล้วจํานวน 2,087 คน ขณะนี้เดินทางเข้ามาเฉลี่ยวันละ 150 คน โดยจะต้องมีใบรับผลการตรวจโควิด-19 ทุกคน 2. มาตรการยับยั้งการระบาดภายในประเทศ (ด้านป้องกัน) ได้จํากัดการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเร่งรัด โดยให้นายจ้างและสถานประกอบการยื่นความประสงค์ที่จะต่อทะเบียนแรงงานต่างด้าวให้ครบก่อน 31 มีนาคม 2563 รวมถึงการดําเนินงานในส่วนอื่นสามารถทําได้จนถึง 30 มิถุนายน 2563 นอกจากนี้การเดินทางกลับประเทศของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติในช่วงสงกรานต์ กระทรวงแรงงานจะแจ้งไปยังนายจ้างที่มีการจ้างแรงงานต่างด้าวให้ประกาศให้ลูกจ้างต่างด้าวทราบต่อไป และในปีนี้จะไม่มีการยกเว้นค่าธรรมเนียมการเดินทางเข้า - ออก ประเทศให้แก่แรงงานกลุ่มนี้ นอกจากนี้กระทรวงแรงงานมีการประกาศมาตรการทํางานที่บ้าน Work from Home เพื่อให้บุคลากรสามารถปฏิบัติงานได้ โดยพร้อมที่จะเดินทางมาปฏิบัติงาน ณ สํานักงานได้ตลอดเวลาหากมีเรื่องเร่งด่วน และให้มีการจัดผลัดการมาปฏิบัติงาน โดยเริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563 นอกจากนี้ยังได้ส่งเสริมการผลิตและการใช้หน้ากากผ้าแก่ประชาชน สร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์มาตรการป้องกันโรคโควิด - 19 ในสถานประกอบการด้วยการให้ความรู้ลูกจ้าง ผู้ประกันตนในสถานประกอบการ รวมถึงประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับโรคโควิด - 19 ผ่านสื่อทุกช่องทางอย่างต่อเนื่อง 3. มาตรการเยียวยา กรณีผู้ประกันตนที่ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าโรคโควิด-19 ไม่ต้องจ่ายค่าตรวจหรือค่ายาใดๆ รวมถึงสามารถเข้ารักษาโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้หรือโรงพยาบาลของรัฐตามระบบประกันสังคม และเบิกจ่ายกรณีฉุกเฉิน ภายใน 72 ชั่วโมง หากผู้ประกันตนลาป่วยโดยได้รับค่าจ้างจากนายจ้างครบ 30 วัน แต่ต้องหยุดงานตามคําสั่งแพทย์ต่อไปอีก สํานักงานประกันสังคมจะจ่ายเงินทดแทนการขาดรายได้ ครั้งละไม่เกิน 90 วัน และไม่เกิน 180 วันต่อปี ด้านการปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานนั้น หากลาออกจะได้รับเงินทดแทนทั้ง กรณีการขาดรายได้ กรณีเลิกจ้าง และกรณีเหตุสุดวิสัย ซึ่งครอบคลุมทั้งประกันตนที่ไม่ได้ทํางาน และนายจ้างที่ถูกสั่งให้หยุดประกอบกิจการ ผู้ช่วย รมว.ประจํากระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ยังมีมาตรการให้ความช่วยเหลือสถานประกอบกิจการที่อยู่ในข่ายบังคับตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 โครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน การลดอัตราเงินสมทบนายจ้าง และผู้ประกันตน การย้ายกําหนดเวลายื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนําส่งเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตน ซึ่งอยู่ในระหว่างการหารือ อีกทั้งมาตรการเพื่อเยียวยาลูกจ้าง กรณีเลิกจ้างและไม่ได้รับเงินตามกฎหมาย มาตรการชะลอการเลิกจ้าง การจัดตั้งศูนย์บริการจัดหางาน Part - time การจ้างงานเร่งด่วนและพัฒนาทักษะฝีมือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาชีพ การจ้างบัณฑิตที่ว่างงานมาเป็นผู้ประสานงานโครงการของกระทรวงแรงงานในระดับพื้นที่ การปรับแผนการฝึกอบรมทักษะฝีมือให้แก่แรงงานรองรับสถานการณ์ว่างงานและวิกฤตเศรษฐกิจ ระยะ 3 เดือน และการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการรองรับสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 (Hot Line COVID – 19) เพื่อให้บริการ Hotline หมายเลข 02-9562513-4 ในวันและเวลาราชการ หรือ ติดต่อสายด่วน 1506 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27678
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-๔ กรกฎาคม วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี
วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม 2563 ๔ กรกฎาคม วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี #ทรงพระเจริญ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-๔ กรกฎาคม วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม 2563 ๔ กรกฎาคม วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี #ทรงพระเจริญ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33105
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ก.อุตฯ มอบหน้ากากอนามัยชนิดผ้า 42,000 ชิ้นให้ ศอญ.จอส.พระราชทาน [กระทรวงอุตสาหกรรม]
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563 ก.อุตฯ มอบหน้ากากอนามัยชนิดผ้า 42,000 ชิ้นให้ ศอญ.จอส.พระราชทาน [กระทรวงอุตสาหกรรม] ก.อุตฯ มอบหน้ากากอนามัยชนิดผ้า 42,000 ชิ้นให้ ศอญ.จอส.พระราชทาน วันนี้ (10 เมษายน 2563) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการจิตอาสากระทรวงอุตสาหกรรม มอบหน้ากากอนามัยชนิดผ้า (ใช้ซ้ําได้) จํานวน 42,000 ชิ้น ให้กับศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน (ศอญ.จอส.พระราชทาน) ผู้รับมอบคือ พลโท ธรรมนูญ วิถี แม่ทัพภาคที่ 1 โดยมีคณะผู้บริหารนําโดย พลตรี สุวิทย์ เกตุศรี รองแม่ทัพภาคที่ 1 ร่วมด้วย ณ โถงอาคารกองบัญชาการกองทัพภาคที่ 1 เขตดุสิต กรุงเทพฯ ทั้งนี้ หน้ากากอนามัยชนิดผ้าดังกล่าวควบคุมการผลิตและผ่านการรับรองคุณภาพจากสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งจะนําไปแจกจ่ายให้กับประชาชนในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครภายในเดือนเมษายน 2563 ต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ก.อุตฯ มอบหน้ากากอนามัยชนิดผ้า 42,000 ชิ้นให้ ศอญ.จอส.พระราชทาน [กระทรวงอุตสาหกรรม] วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563 ก.อุตฯ มอบหน้ากากอนามัยชนิดผ้า 42,000 ชิ้นให้ ศอญ.จอส.พระราชทาน [กระทรวงอุตสาหกรรม] ก.อุตฯ มอบหน้ากากอนามัยชนิดผ้า 42,000 ชิ้นให้ ศอญ.จอส.พระราชทาน วันนี้ (10 เมษายน 2563) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการจิตอาสากระทรวงอุตสาหกรรม มอบหน้ากากอนามัยชนิดผ้า (ใช้ซ้ําได้) จํานวน 42,000 ชิ้น ให้กับศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน (ศอญ.จอส.พระราชทาน) ผู้รับมอบคือ พลโท ธรรมนูญ วิถี แม่ทัพภาคที่ 1 โดยมีคณะผู้บริหารนําโดย พลตรี สุวิทย์ เกตุศรี รองแม่ทัพภาคที่ 1 ร่วมด้วย ณ โถงอาคารกองบัญชาการกองทัพภาคที่ 1 เขตดุสิต กรุงเทพฯ ทั้งนี้ หน้ากากอนามัยชนิดผ้าดังกล่าวควบคุมการผลิตและผ่านการรับรองคุณภาพจากสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งจะนําไปแจกจ่ายให้กับประชาชนในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครภายในเดือนเมษายน 2563 ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28830
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ พร้อมสานต่อความร่วมมือ และสนับสนุนต่อยอดนโยบายสำคัญของรัฐบาลไทย
วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม 2562 ​หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ พร้อมสานต่อความร่วมมือ และสนับสนุนต่อยอดนโยบายสําคัญของรัฐบาลไทย ​หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ พร้อมสานต่อความร่วมมือ และสนับสนุนต่อยอดนโยบายสําคัญของรัฐบาลไทย วันนี้ (5 สิงหาคม 2562) เวลา 08.30 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายชินจิ นาคาโนะ (Mr. Shinji Nakano) ประธานหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (Japanese Chamber of Commerce, Bangkok: JCC) เข้าเยี่ยมคารวะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่ได้พบประธานหอการค้าญี่ปุ่นฯ ในวันนี้ และขอขอบคุณที่หอการค้าญี่ปุ่นฯ ให้ความร่วมมืออย่างดีกับรัฐบาลไทยมาโดยตลอด พร้อมย้ําถึงโอกาสการลงทุนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง CLMVT (กัมพูชา, ลาว, เมียนมา, เวียดนาม และไทย) ที่นักลงทุนประเทศต่าง ๆ ให้ความสนใจอย่างมาก ประธานหอการค้าญี่ปุ่นฯ กล่าวยืนยันถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ที่ช่วยส่งเสริมการค้าการลงทุนของทั้งสองประเทศให้เป็นไปอย่างราบรื่นเสมอมา โดยภาคเอกชนญี่ปุ่นเล็งเห็นว่า ไทยสามารถเป็นข้อต่อสําคัญที่จะเชื่อมโยงญี่ปุ่นกับอนุภูมิภาคดังกล่าว เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของภูมิภาคอย่างยั่งยืน พร้อมย้ําถึงการสนับสนุนจากภาคเอกชนญี่ปุ่นต่อนโยบายสําคัญของรัฐบาล ทั้งนโยบายประเทศไทย 4.0 โครงการ EEC และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้ดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงประเด็นการค้าการลงทุนร่วมกัน ประธานหอการค้าญี่ปุ่นฯ กล่าวชื่นชมนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลที่เอื้อต่อการลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงการทําหน้าที่เป็นตัวกลางในการส่งสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยรองนายกรัฐมนตรีกล่าวให้ความมั่นใจถึงความต่อเนื่องในการดําเนินนโยบายรัฐบาล ภายใต้การควบคุมดูแลของ ครม.เศรษฐกิจ ที่จะเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจของไทยให้มีเสถียรภาพ ท่ามกลางความท้าทายของสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน **********************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ พร้อมสานต่อความร่วมมือ และสนับสนุนต่อยอดนโยบายสำคัญของรัฐบาลไทย วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม 2562 ​หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ พร้อมสานต่อความร่วมมือ และสนับสนุนต่อยอดนโยบายสําคัญของรัฐบาลไทย ​หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ พร้อมสานต่อความร่วมมือ และสนับสนุนต่อยอดนโยบายสําคัญของรัฐบาลไทย วันนี้ (5 สิงหาคม 2562) เวลา 08.30 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายชินจิ นาคาโนะ (Mr. Shinji Nakano) ประธานหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (Japanese Chamber of Commerce, Bangkok: JCC) เข้าเยี่ยมคารวะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่ได้พบประธานหอการค้าญี่ปุ่นฯ ในวันนี้ และขอขอบคุณที่หอการค้าญี่ปุ่นฯ ให้ความร่วมมืออย่างดีกับรัฐบาลไทยมาโดยตลอด พร้อมย้ําถึงโอกาสการลงทุนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง CLMVT (กัมพูชา, ลาว, เมียนมา, เวียดนาม และไทย) ที่นักลงทุนประเทศต่าง ๆ ให้ความสนใจอย่างมาก ประธานหอการค้าญี่ปุ่นฯ กล่าวยืนยันถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ที่ช่วยส่งเสริมการค้าการลงทุนของทั้งสองประเทศให้เป็นไปอย่างราบรื่นเสมอมา โดยภาคเอกชนญี่ปุ่นเล็งเห็นว่า ไทยสามารถเป็นข้อต่อสําคัญที่จะเชื่อมโยงญี่ปุ่นกับอนุภูมิภาคดังกล่าว เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของภูมิภาคอย่างยั่งยืน พร้อมย้ําถึงการสนับสนุนจากภาคเอกชนญี่ปุ่นต่อนโยบายสําคัญของรัฐบาล ทั้งนโยบายประเทศไทย 4.0 โครงการ EEC และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้ดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงประเด็นการค้าการลงทุนร่วมกัน ประธานหอการค้าญี่ปุ่นฯ กล่าวชื่นชมนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลที่เอื้อต่อการลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงการทําหน้าที่เป็นตัวกลางในการส่งสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยรองนายกรัฐมนตรีกล่าวให้ความมั่นใจถึงความต่อเนื่องในการดําเนินนโยบายรัฐบาล ภายใต้การควบคุมดูแลของ ครม.เศรษฐกิจ ที่จะเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจของไทยให้มีเสถียรภาพ ท่ามกลางความท้าทายของสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน **********************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21995
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธนาคารออมสิน มุ่งมั่น ปี 2560 มั่นใจขยายตัวตามคาด เผย 6 กุญแจสำคัญไขสู่เป้าหมาย “บริหารแบบเศรษฐกิจพอเพียง – ส่งเสริมการออมและสร้างวินัยทางการเงิน – ธนาคารผู้สูงวัย -แก้หนี้นอกระบบ
วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2560 ธนาคารออมสิน มุ่งมั่น ปี 2560 มั่นใจขยายตัวตามคาด เผย 6 กุญแจสําคัญไขสู่เป้าหมาย “บริหารแบบเศรษฐกิจพอเพียง – ส่งเสริมการออมและสร้างวินัยทางการเงิน – ธนาคารผู้สูงวัย -แก้หนี้นอกระบบ ธนาคารออมสิน เผยเป้าหมายปี 2560 เดินหน้าตามยุทธศาสตร์สู่ GSB New Century ด้วย 6 กุญแจไขสู่เป้าหมาย คือ บริหารแบบเศรษฐกิจพอเพียง – ส่งเสริมการออมและสร้างวินัยทางการเงิน – ธนาคารผู้สูงวัย – แก้หนี้นอกระบบ – SMEs Start up และ Digi-Thai Banking ธนาคารออมสิน เผยเป้าหมายปี 2560 เดินหน้าตามยุทธศาสตร์สู่ GSB New Century ด้วย 6 กุญแจไขสู่เป้าหมาย คือ บริหารแบบเศรษฐกิจพอเพียง – ส่งเสริมการออมและสร้างวินัยทางการเงิน – ธนาคารผู้สูงวัย – แก้หนี้นอกระบบ – SMEs Start up และ Digi-Thai Banking คาดปีนี้สินเชื่อโต 3% เงินฝากขยาย 3% ด้านผลการดําเนินงาน 4 เดือนแรก ปี 2560 มีกําไรสุทธิ 8,656 ล้านบาท นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยถึงทิศทางการดําเนินงานในปี 2560 ว่า ธนาคารออมสินดําเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์สู่ GSB New Century เดินหน้าด้วยภารกิจหลัก 6 ด้านสําคัญ คือ บริหารแบบเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้แก่ รู้ตัวตน พอประมาณ เหลือเก็บ แบ่งปัน และยั่งยืน มาใช้เป็นแนวทาง ในการบริหารจัดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยได้ดําเนินการไปแล้ว คือ บัตรเครดิต ที่กําหนดวงเงินที่เหมาะสมกับวิธีการใช้ด้วยแนวคิด “สุขแบบไทย ใช้แบบพอเพียง” และกําลังจะดําเนินการต่อในประเภทสินเชื่อเคหะ ภายใต้แนวคิด “รู้จักประมาณตน กู้ตามฐานะ” โดยไม่สนับสนุนการกู้เงินมากถึงแม้จะมีความสามารถที่จะกู้ได้มากก็ตาม สําหรับด้านที่เป็นภารกิจของธนาคารออมสิน คือ ส่งเสริมการออมและสร้างวินัยทางการเงิน จากรูปแบบเดิมที่ใช้สัญลักษณ์กระปุกออมสินเป็นหลัก ส่งเสริมให้ออมเงินในวัยเด็ก เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนจะต้องมีมุมมองที่กว้างขึ้น จึงกลายเป็น การออมเศรษฐกิจ ออมสังคม และออมสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้วิธีการสร้างวินัยทางการเงินในยุคดิจิตอล เช่น การทําบัญชีครัวเรือนผ่านแอพพลิเคชั่น ส่งเสริมให้ลูกค้าในระดับฐานรากทั้ง Micro SMEs และ SMEs ทําบัญชีระบบบัญชีเดียว ด้านที่ 3 ธนาคารผู้สูงวัย รองรับการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย โดยธนาคารออมสินเปิดตัวพร้อมที่จะดูแลทางด้านการเงินของผู้สูงวัยให้มีความมั่นคง ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ทั้งด้านเงินฝากและสินเชื่อ ได้แก่ เงินฝากเผื่อเรียกประชารัฐผู้สูงวัย, เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษผู้สูงวัย, สินเชื่อประชารัฐเพื่อผู้สูงวัย, สินเชื่อที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุ (Reverse Mortgage) และ สินเชื่อเคหะลูกกตัญญูดูแลบุพการี ซึ่งจะรองรับผู้สูงวัยได้ทุกกลุ่ม รวมถึงมีกิจกรรมต่อเนื่องจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีภารกิจที่สําคัญ แก้ไขหนี้นอกระบบ มีวงเงินดําเนินการ 5,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลได้มีนโยบายให้ดําเนินการเร่งด่วน ภายใต้โครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ให้วงเงินกู้รายละไม่เกินครอบครัวละ 200,000 บาท ซึ่งธนาคารออมสินได้เปิดให้มีการลงทะเบียนตั้งแต่เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2560 และจะสิ้นสุด วันที่ 31 พฤษภาคมนี้ ปัจจุบันมีจํานวนผู้มาลงทะเบียนรวมแล้วกว่า 140,000 ราย วงเงินรวม 6,600 ล้านบาท ยื่นเอกสารพร้อม แล้วเกือบ 100,000 ราย ธนาคารฯ อนุมัติสินเชื่อไปแล้วกว่า 15,000 ราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อกว่า 600 ล้านบาท อีกทั้งยังมีช่องทางให้ยื่นกู้ได้ในรูปแบบอื่นทั้ง พิโกไฟแนนซ์ และสถาบันการเงินชุมชน อีกด้วย ด้านที่ 5 SMEs Start up เมื่อต้นปี 2559 ธนาคารออมสินได้นําเสนอโครงการ SMEs Start up Thailand เพื่อเป็นแนวทางจุดประกายให้ SMEs และ Start up ให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุน ดําเนินธุรกิจบนความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ ใช้นวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งได้เปิดโอกาสให้ธุรกิจรายเล็ก รายย่อยได้เข้าถึงแหล่งทุน พัฒนาศักยภาพและมีตลาดค้าขาย ซึ่งในปีนี้ธนาคารฯ ได้ปล่อยสินเชื่อไปแล้ว 508 ราย คิดเป็นวงเงิน 1,821 ล้านบาท อีกทั้ง ยังสนับสนุนเงินลงทุนผ่านกองทุนร่วมลงทุน Venture Capital จัดตั้งเป็น SMEs Private Equity Trust Fund วงเงิน 2,000 ล้านบาท มีการร่วมลงทุนไปแล้ว 6 ราย คิดเป็นวงเงิน 165 ล้านบาท ภารกิจสุดท้าย Digi-Thai Banking ธนาคารฯ ได้พัฒนารูปแบบการให้บริการไม่ว่าจะเป็นสาขา จะเป็นสาขาดิจิตอล ที่ให้บริการ 24 ชั่วโมง บริการธนาคารชุมชน ในแนวคิดออมสินเพื่อชุมชน รวมถึง Mobile Banking ในชื่อ MyMo ที่ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยล่าสุดใช้ QR Code ถอนเงินสดได้ที่ตู้เอทีเอ็ม โดยไม่ต้องใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งต่อไปจะมีบริการชําระเงินที่ร้านค้าด้วย QR Code รวมถึง “Chill Chill Finance” ยื่นขอสินเชื่อธนาคารประชาชนผ่าน MyMo และเงินฝาก No Book สามารถเลือกระยะเวลาฝากได้ นายชาติชาย กล่าวอีกว่า การสนับสนุนนโยบายรัฐที่สําคัญในปี 2560 ที่ต้องทําอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ สินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน สินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชน มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ในระดับหมู่บ้าน โครงการเพิ่มศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง สินเชื่อซอฟท์โลนสําหรับ SME บ้านประชารัฐ โครงการสวัสดิการแห่งรัฐ และ National e-Payment “ธนาคารฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง และยังคงดําเนินภารกิจยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในระดับฐานรากและชุมชนให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน ด้วยการสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและบริการทางการเงิน การแก้ไขปัญหาหนี้สิน รวมถึงการส่งเสริมการออม การสร้างวินัยทางการเงินให้แก่เยาวชนและประชาชน การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ ตลอดจนสนับสนุนการดําเนินโครงการตามนโยบายรัฐที่เกี่ยวข้อง”นายชาติชาย กล่าว ทั้งนี้ ในปี 2560 ธนาคารฯ ตั้งเป้าหมายการขยายตัวของสินเชื่อที่ 3% หรือเพิ่มขึ้นสุทธิ 58,000 ล้านบาท เงินฝากขยายตัว 3% หรือเพิ่มขึ้นสุทธิ 64,000 ล้านบาท และคาดว่าจะมีกําไรสุทธิประมาณ 21,000 ล้านบาท ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าวต่อไปว่า สําหรับผลการดําเนินงานธนาคารออมสินช่วง 4 เดือนแรก ของปี 2560 (1 มกราคม ถึง 30 เมษายน 2560) ธนาคารฯ มีกําไรสุทธิจํานวน 8,656 ล้านบาท ส่วนสําคัญมาจากรายได้ดอกเบี้ย โดยสินเชื่อคงเหลือ ณ วันที่ 30 เมษายน 2560 อยู่ที่ 1,975,518 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.9% จากสิ้นปี 2559 ซึ่งอยู่ที่ 1,901,851 ล้านบาท โดยมาตรการของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจมีส่วนสําคัญที่ช่วยให้สินเชื่อขยายตัวได้ โดยเป็นการให้สินเชื่อที่ครอบคลุมทุกกลุ่มประเภท ได้แก่ สินเชื่อภาครัฐ รัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงิน (โครงการเงินกู้ซอฟท์โลน) สินเชื่อธุรกิจ SMEs สินเชื่อเคหะ สินเชื่อกลุ่มเศรษฐกิจฐานราก สินเชื่อเพื่อสังคมและชุมชน (กองทุนหมู่บ้าน) สินเชื่อโครงการบ้านประชารัฐ และธนาคารผู้สูงวัย เป็นต้น ขณะที่ เงินฝากลดลง 2.8% อยู่ที่ 2,098,321 ล้านบาท จากสิ้นปี 2559 อยู่ที่ 2,159,136 ล้านบาท ส่งผลให้สินทรัพย์รวมลดลงเล็กน้อย 0.6% จาก 2,509,588 ล้านบาท เมื่อสิ้นปี 2559 มาอยู่ที่ 2,494,045 ล้านบาท
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธนาคารออมสิน มุ่งมั่น ปี 2560 มั่นใจขยายตัวตามคาด เผย 6 กุญแจสำคัญไขสู่เป้าหมาย “บริหารแบบเศรษฐกิจพอเพียง – ส่งเสริมการออมและสร้างวินัยทางการเงิน – ธนาคารผู้สูงวัย -แก้หนี้นอกระบบ วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2560 ธนาคารออมสิน มุ่งมั่น ปี 2560 มั่นใจขยายตัวตามคาด เผย 6 กุญแจสําคัญไขสู่เป้าหมาย “บริหารแบบเศรษฐกิจพอเพียง – ส่งเสริมการออมและสร้างวินัยทางการเงิน – ธนาคารผู้สูงวัย -แก้หนี้นอกระบบ ธนาคารออมสิน เผยเป้าหมายปี 2560 เดินหน้าตามยุทธศาสตร์สู่ GSB New Century ด้วย 6 กุญแจไขสู่เป้าหมาย คือ บริหารแบบเศรษฐกิจพอเพียง – ส่งเสริมการออมและสร้างวินัยทางการเงิน – ธนาคารผู้สูงวัย – แก้หนี้นอกระบบ – SMEs Start up และ Digi-Thai Banking ธนาคารออมสิน เผยเป้าหมายปี 2560 เดินหน้าตามยุทธศาสตร์สู่ GSB New Century ด้วย 6 กุญแจไขสู่เป้าหมาย คือ บริหารแบบเศรษฐกิจพอเพียง – ส่งเสริมการออมและสร้างวินัยทางการเงิน – ธนาคารผู้สูงวัย – แก้หนี้นอกระบบ – SMEs Start up และ Digi-Thai Banking คาดปีนี้สินเชื่อโต 3% เงินฝากขยาย 3% ด้านผลการดําเนินงาน 4 เดือนแรก ปี 2560 มีกําไรสุทธิ 8,656 ล้านบาท นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยถึงทิศทางการดําเนินงานในปี 2560 ว่า ธนาคารออมสินดําเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์สู่ GSB New Century เดินหน้าด้วยภารกิจหลัก 6 ด้านสําคัญ คือ บริหารแบบเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้แก่ รู้ตัวตน พอประมาณ เหลือเก็บ แบ่งปัน และยั่งยืน มาใช้เป็นแนวทาง ในการบริหารจัดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยได้ดําเนินการไปแล้ว คือ บัตรเครดิต ที่กําหนดวงเงินที่เหมาะสมกับวิธีการใช้ด้วยแนวคิด “สุขแบบไทย ใช้แบบพอเพียง” และกําลังจะดําเนินการต่อในประเภทสินเชื่อเคหะ ภายใต้แนวคิด “รู้จักประมาณตน กู้ตามฐานะ” โดยไม่สนับสนุนการกู้เงินมากถึงแม้จะมีความสามารถที่จะกู้ได้มากก็ตาม สําหรับด้านที่เป็นภารกิจของธนาคารออมสิน คือ ส่งเสริมการออมและสร้างวินัยทางการเงิน จากรูปแบบเดิมที่ใช้สัญลักษณ์กระปุกออมสินเป็นหลัก ส่งเสริมให้ออมเงินในวัยเด็ก เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนจะต้องมีมุมมองที่กว้างขึ้น จึงกลายเป็น การออมเศรษฐกิจ ออมสังคม และออมสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้วิธีการสร้างวินัยทางการเงินในยุคดิจิตอล เช่น การทําบัญชีครัวเรือนผ่านแอพพลิเคชั่น ส่งเสริมให้ลูกค้าในระดับฐานรากทั้ง Micro SMEs และ SMEs ทําบัญชีระบบบัญชีเดียว ด้านที่ 3 ธนาคารผู้สูงวัย รองรับการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย โดยธนาคารออมสินเปิดตัวพร้อมที่จะดูแลทางด้านการเงินของผู้สูงวัยให้มีความมั่นคง ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ทั้งด้านเงินฝากและสินเชื่อ ได้แก่ เงินฝากเผื่อเรียกประชารัฐผู้สูงวัย, เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษผู้สูงวัย, สินเชื่อประชารัฐเพื่อผู้สูงวัย, สินเชื่อที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุ (Reverse Mortgage) และ สินเชื่อเคหะลูกกตัญญูดูแลบุพการี ซึ่งจะรองรับผู้สูงวัยได้ทุกกลุ่ม รวมถึงมีกิจกรรมต่อเนื่องจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีภารกิจที่สําคัญ แก้ไขหนี้นอกระบบ มีวงเงินดําเนินการ 5,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลได้มีนโยบายให้ดําเนินการเร่งด่วน ภายใต้โครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ให้วงเงินกู้รายละไม่เกินครอบครัวละ 200,000 บาท ซึ่งธนาคารออมสินได้เปิดให้มีการลงทะเบียนตั้งแต่เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2560 และจะสิ้นสุด วันที่ 31 พฤษภาคมนี้ ปัจจุบันมีจํานวนผู้มาลงทะเบียนรวมแล้วกว่า 140,000 ราย วงเงินรวม 6,600 ล้านบาท ยื่นเอกสารพร้อม แล้วเกือบ 100,000 ราย ธนาคารฯ อนุมัติสินเชื่อไปแล้วกว่า 15,000 ราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อกว่า 600 ล้านบาท อีกทั้งยังมีช่องทางให้ยื่นกู้ได้ในรูปแบบอื่นทั้ง พิโกไฟแนนซ์ และสถาบันการเงินชุมชน อีกด้วย ด้านที่ 5 SMEs Start up เมื่อต้นปี 2559 ธนาคารออมสินได้นําเสนอโครงการ SMEs Start up Thailand เพื่อเป็นแนวทางจุดประกายให้ SMEs และ Start up ให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุน ดําเนินธุรกิจบนความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ ใช้นวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งได้เปิดโอกาสให้ธุรกิจรายเล็ก รายย่อยได้เข้าถึงแหล่งทุน พัฒนาศักยภาพและมีตลาดค้าขาย ซึ่งในปีนี้ธนาคารฯ ได้ปล่อยสินเชื่อไปแล้ว 508 ราย คิดเป็นวงเงิน 1,821 ล้านบาท อีกทั้ง ยังสนับสนุนเงินลงทุนผ่านกองทุนร่วมลงทุน Venture Capital จัดตั้งเป็น SMEs Private Equity Trust Fund วงเงิน 2,000 ล้านบาท มีการร่วมลงทุนไปแล้ว 6 ราย คิดเป็นวงเงิน 165 ล้านบาท ภารกิจสุดท้าย Digi-Thai Banking ธนาคารฯ ได้พัฒนารูปแบบการให้บริการไม่ว่าจะเป็นสาขา จะเป็นสาขาดิจิตอล ที่ให้บริการ 24 ชั่วโมง บริการธนาคารชุมชน ในแนวคิดออมสินเพื่อชุมชน รวมถึง Mobile Banking ในชื่อ MyMo ที่ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยล่าสุดใช้ QR Code ถอนเงินสดได้ที่ตู้เอทีเอ็ม โดยไม่ต้องใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งต่อไปจะมีบริการชําระเงินที่ร้านค้าด้วย QR Code รวมถึง “Chill Chill Finance” ยื่นขอสินเชื่อธนาคารประชาชนผ่าน MyMo และเงินฝาก No Book สามารถเลือกระยะเวลาฝากได้ นายชาติชาย กล่าวอีกว่า การสนับสนุนนโยบายรัฐที่สําคัญในปี 2560 ที่ต้องทําอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ สินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน สินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชน มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ในระดับหมู่บ้าน โครงการเพิ่มศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง สินเชื่อซอฟท์โลนสําหรับ SME บ้านประชารัฐ โครงการสวัสดิการแห่งรัฐ และ National e-Payment “ธนาคารฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง และยังคงดําเนินภารกิจยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในระดับฐานรากและชุมชนให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน ด้วยการสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและบริการทางการเงิน การแก้ไขปัญหาหนี้สิน รวมถึงการส่งเสริมการออม การสร้างวินัยทางการเงินให้แก่เยาวชนและประชาชน การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ ตลอดจนสนับสนุนการดําเนินโครงการตามนโยบายรัฐที่เกี่ยวข้อง”นายชาติชาย กล่าว ทั้งนี้ ในปี 2560 ธนาคารฯ ตั้งเป้าหมายการขยายตัวของสินเชื่อที่ 3% หรือเพิ่มขึ้นสุทธิ 58,000 ล้านบาท เงินฝากขยายตัว 3% หรือเพิ่มขึ้นสุทธิ 64,000 ล้านบาท และคาดว่าจะมีกําไรสุทธิประมาณ 21,000 ล้านบาท ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าวต่อไปว่า สําหรับผลการดําเนินงานธนาคารออมสินช่วง 4 เดือนแรก ของปี 2560 (1 มกราคม ถึง 30 เมษายน 2560) ธนาคารฯ มีกําไรสุทธิจํานวน 8,656 ล้านบาท ส่วนสําคัญมาจากรายได้ดอกเบี้ย โดยสินเชื่อคงเหลือ ณ วันที่ 30 เมษายน 2560 อยู่ที่ 1,975,518 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.9% จากสิ้นปี 2559 ซึ่งอยู่ที่ 1,901,851 ล้านบาท โดยมาตรการของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจมีส่วนสําคัญที่ช่วยให้สินเชื่อขยายตัวได้ โดยเป็นการให้สินเชื่อที่ครอบคลุมทุกกลุ่มประเภท ได้แก่ สินเชื่อภาครัฐ รัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงิน (โครงการเงินกู้ซอฟท์โลน) สินเชื่อธุรกิจ SMEs สินเชื่อเคหะ สินเชื่อกลุ่มเศรษฐกิจฐานราก สินเชื่อเพื่อสังคมและชุมชน (กองทุนหมู่บ้าน) สินเชื่อโครงการบ้านประชารัฐ และธนาคารผู้สูงวัย เป็นต้น ขณะที่ เงินฝากลดลง 2.8% อยู่ที่ 2,098,321 ล้านบาท จากสิ้นปี 2559 อยู่ที่ 2,159,136 ล้านบาท ส่งผลให้สินทรัพย์รวมลดลงเล็กน้อย 0.6% จาก 2,509,588 ล้านบาท เมื่อสิ้นปี 2559 มาอยู่ที่ 2,494,045 ล้านบาท
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4050
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงเทพมหานครเป็นเมืองท่องเที่ยวคุ้มค่ามากที่สุดอันดับ 1 ของโลก
วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560 กรุงเทพมหานครเป็นเมืองท่องเที่ยวคุ้มค่ามากที่สุดอันดับ 1 ของโลก ทรัพยากรธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรมที่สวยงาม อาหารที่รสชาติดี ในอัตราค่าครองชีพที่ย่อมเยา ประกอบกับความพยายามของรัฐบาลที่จะอํานวยความสะดวก รักษาความปลอดภัย พร้อมทั้งส่งเสริมสิ่งดึงดูดให้โดดเด่น ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ กรุงเทพมหานครได้รับการจัดอันดับจาก Post Office Travel Money ให้เป็นเมืองที่สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้โดยใช้ระยะเวลานานแต่คุ้มค่ามากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก ประจําปี 2017 สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวใช้เวลาพํานักในประเทศไทยนานขึ้นและจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เช่น การออกมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า การขยายระยะเวลาพํานักในราชอาณาจักรไทยสําหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มพํานักระยะยาว การเพิ่มกิจกรรมหลากหลายเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น การแข่งขันกีฬานานาชาติ ควบคู่ไปกับมาตรการดูแลอํานวยความสะดวกและขจัดการเอารัดเอาเปรียบ โดยเฉพาะการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ เพื่อคัดกรองนักท่องเที่ยวและสร้างการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงเทพมหานครเป็นเมืองท่องเที่ยวคุ้มค่ามากที่สุดอันดับ 1 ของโลก วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560 กรุงเทพมหานครเป็นเมืองท่องเที่ยวคุ้มค่ามากที่สุดอันดับ 1 ของโลก ทรัพยากรธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรมที่สวยงาม อาหารที่รสชาติดี ในอัตราค่าครองชีพที่ย่อมเยา ประกอบกับความพยายามของรัฐบาลที่จะอํานวยความสะดวก รักษาความปลอดภัย พร้อมทั้งส่งเสริมสิ่งดึงดูดให้โดดเด่น ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ กรุงเทพมหานครได้รับการจัดอันดับจาก Post Office Travel Money ให้เป็นเมืองที่สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้โดยใช้ระยะเวลานานแต่คุ้มค่ามากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก ประจําปี 2017 สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวใช้เวลาพํานักในประเทศไทยนานขึ้นและจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เช่น การออกมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า การขยายระยะเวลาพํานักในราชอาณาจักรไทยสําหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มพํานักระยะยาว การเพิ่มกิจกรรมหลากหลายเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น การแข่งขันกีฬานานาชาติ ควบคู่ไปกับมาตรการดูแลอํานวยความสะดวกและขจัดการเอารัดเอาเปรียบ โดยเฉพาะการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ เพื่อคัดกรองนักท่องเที่ยวและสร้างการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7347
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน อ้าแขนช่วยเพิ่มทักษะฝีมือนวดแผนไทยมัคคุเทศก์ เร่งฟื้นตัวธุรกิจหลังโควิดคลี่คลาย [กระทรวงเเรงงาน]
วันพุธที่ 10 มิถุนายน 2563 ก.แรงงาน อ้าแขนช่วยเพิ่มทักษะฝีมือนวดแผนไทยมัคคุเทศก์ เร่งฟื้นตัวธุรกิจหลังโควิดคลี่คลาย [กระทรวงเเรงงาน] ก.แรงงาน อ้าแขนช่วยเพิ่มทักษะฝีมือนวดแผนไทยมัคคุเทศก์ เร่งฟื้นตัวธุรกิจหลังโควิดคลี่คลาย ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงานร่วมหารือกับสมาคมนวดแผนไทยและสมาคมมัคคุเทศก์ รับฟังสภาพปัญหาพัฒนาทักษะฝีมือ Up Skill/Re Skill ทักษะด้านภาษา การทําอุปกรณ์สําหรับการนวดแผนไทย ให้ตรงความต้องการของตลาดแรงงาน ให้กิจการกลับมาฟื้นตัวโดยเร็ว ภายหลังโควิดเริ่มคลี่คลาย เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2563 ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับสมาคมนวดแผนไทยและสมาคมมัคคุเทศก์ในโอกาสขอเข้าพบเพื่อหารือในประเด็นเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 โดยมี นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน และเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย ณ ห้องประชุมมิตรไมตรี 2 ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ในวันนี้สมาคมนวดแผนไทยและสมาคมมัคคุเทศก์ได้มาหารือกระทรวงแรงงาน เพื่อที่จะทํางานร่วมกันโดยเฉพาะในเรื่องการพัฒนาฝีมือแรงงานโดยจะ Up Skill/Re Skill ให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานในปัจจุบัน เบื้องต้นจะเป็นความร่วมมือในการฝึกอบรมเพิ่มศักยภาพด้านการนวด อาทิ นวดตอกเส้น นวดประคบสมุนไพรและวิธีการทําลูกประคบ นวดแก้อาการ กดจุดฝ่าเท้า และนวดหินร้อน เป็นต้น นอกจากนี้ ได้หารือถึงการพัฒนาทักษะด้านภาษา เช่น ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเกาหลี เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในการร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการในปัจจุบัน เช่น การสร้างแบรนด์ทางธุรกิจ การสร้างsmart farmer การสร้าง Smart SMEs ซึ่งเป็นหลักสูตรที่สามารถขายได้จริงตามที่ตลาดต้องการ ดร.ดวงฤทธิ์ ยังกล่าวถึงความต้องการของสมาคมในการจัดตั้งศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานด้านการนวดแผนไทย ซึ่งสามารถดําเนินการได้หากผ่านการรับรองจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ———————————————— กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว ชาญชัย ชาวหนองเพียร – ภาพ 10 มิถุนายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน อ้าแขนช่วยเพิ่มทักษะฝีมือนวดแผนไทยมัคคุเทศก์ เร่งฟื้นตัวธุรกิจหลังโควิดคลี่คลาย [กระทรวงเเรงงาน] วันพุธที่ 10 มิถุนายน 2563 ก.แรงงาน อ้าแขนช่วยเพิ่มทักษะฝีมือนวดแผนไทยมัคคุเทศก์ เร่งฟื้นตัวธุรกิจหลังโควิดคลี่คลาย [กระทรวงเเรงงาน] ก.แรงงาน อ้าแขนช่วยเพิ่มทักษะฝีมือนวดแผนไทยมัคคุเทศก์ เร่งฟื้นตัวธุรกิจหลังโควิดคลี่คลาย ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงานร่วมหารือกับสมาคมนวดแผนไทยและสมาคมมัคคุเทศก์ รับฟังสภาพปัญหาพัฒนาทักษะฝีมือ Up Skill/Re Skill ทักษะด้านภาษา การทําอุปกรณ์สําหรับการนวดแผนไทย ให้ตรงความต้องการของตลาดแรงงาน ให้กิจการกลับมาฟื้นตัวโดยเร็ว ภายหลังโควิดเริ่มคลี่คลาย เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2563 ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับสมาคมนวดแผนไทยและสมาคมมัคคุเทศก์ในโอกาสขอเข้าพบเพื่อหารือในประเด็นเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 โดยมี นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน และเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย ณ ห้องประชุมมิตรไมตรี 2 ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ในวันนี้สมาคมนวดแผนไทยและสมาคมมัคคุเทศก์ได้มาหารือกระทรวงแรงงาน เพื่อที่จะทํางานร่วมกันโดยเฉพาะในเรื่องการพัฒนาฝีมือแรงงานโดยจะ Up Skill/Re Skill ให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานในปัจจุบัน เบื้องต้นจะเป็นความร่วมมือในการฝึกอบรมเพิ่มศักยภาพด้านการนวด อาทิ นวดตอกเส้น นวดประคบสมุนไพรและวิธีการทําลูกประคบ นวดแก้อาการ กดจุดฝ่าเท้า และนวดหินร้อน เป็นต้น นอกจากนี้ ได้หารือถึงการพัฒนาทักษะด้านภาษา เช่น ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเกาหลี เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในการร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการในปัจจุบัน เช่น การสร้างแบรนด์ทางธุรกิจ การสร้างsmart farmer การสร้าง Smart SMEs ซึ่งเป็นหลักสูตรที่สามารถขายได้จริงตามที่ตลาดต้องการ ดร.ดวงฤทธิ์ ยังกล่าวถึงความต้องการของสมาคมในการจัดตั้งศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานด้านการนวดแผนไทย ซึ่งสามารถดําเนินการได้หากผ่านการรับรองจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ———————————————— กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว ชาญชัย ชาวหนองเพียร – ภาพ 10 มิถุนายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32181
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ประชุมหารือแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓
วันพุธที่ 7 สิงหาคม 2562 รมว.ยุติธรรม ประชุมหารือแนวทางการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมร่วมระหว่างกระทรวงยุติธรรมกับสํานักงบประมาณเพื่อหารือแนวทางการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ กระทรวงยุติธรรม ในวันพุธที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมร่วมระหว่างกระทรวงยุติธรรมกับสํานักงบประมาณ เพื่อหารือแนวทางการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ กระทรวงยุติธรรม โดยมีศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นางวิยดา โชติรัตนะศิริ รองผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ พร้อมด้วยคณะทํางานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฯ เพื่อหารือนโยบายและจุดเน้นที่สําคัญเกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ กระทรวงยุติธรรม โดยพิจารณาตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงคําขอตั้งงบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยนํายุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนความมั่นคงแห่งชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ นโยบายรัฐบาล (โดยให้ความสําคัญกับนโยบายเร่งด่วน) รวมทั้งยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ เป็นกรอบแนวคิดในการจัดทําคําของบประมาณ ซึ่งแผนงานบูรณาการเป็นการดําเนินการรองรับนโยบายที่มีความจําเป็นเร่งด่วน จะต้องมีการวางแผนและบริหารจัดการในภาพรวมของทั้งประเทศร่วมกัน โดยอาศัยโครงสร้างแผนงานบูรณาการ เพื่อเชื่อมโยงการทํางานอย่างเป็นระบบ มีเป้าหมายและตัวชี้วัดของแผนงานที่สอดคล้องเชื่อมโยงกันและตอบสนองต่อเป้าหมายของแผนงาน ทั้งนี้ ทุกหน่วยงานจะต้องดําเนินการให้ครบถ้วนก่อนการยื่นคําขอตั้งงบประมาณรายจ่าย รวมทั้งนําผลการใช้จ่ายงบประมาณปีที่ผ่านมา และความสามารถใช้จ่ายและก่อหนี้ผูกพัน ภายในปีงบประมาณมาใช้ประกอบการพิจารณาคําขอตั้งงบประมาณรายจ่ายด้วย สําหรับรายการที่ขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม ที่จะก่อหนี้ผูกพันงบประมาณมากกว่าหนึ่งปีงบประมาณ ซึ่งมีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป ให้หน่วยรับงบประมาณเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติก่อนที่จะมีการยื่นคําขอตั้งงบประมาณรายจ่ายต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ประชุมหารือแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ วันพุธที่ 7 สิงหาคม 2562 รมว.ยุติธรรม ประชุมหารือแนวทางการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมร่วมระหว่างกระทรวงยุติธรรมกับสํานักงบประมาณเพื่อหารือแนวทางการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ กระทรวงยุติธรรม ในวันพุธที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมร่วมระหว่างกระทรวงยุติธรรมกับสํานักงบประมาณ เพื่อหารือแนวทางการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ กระทรวงยุติธรรม โดยมีศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นางวิยดา โชติรัตนะศิริ รองผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ พร้อมด้วยคณะทํางานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฯ เพื่อหารือนโยบายและจุดเน้นที่สําคัญเกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ กระทรวงยุติธรรม โดยพิจารณาตามหลักเกณฑ์การปรับปรุงคําขอตั้งงบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยนํายุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนความมั่นคงแห่งชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ นโยบายรัฐบาล (โดยให้ความสําคัญกับนโยบายเร่งด่วน) รวมทั้งยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ เป็นกรอบแนวคิดในการจัดทําคําของบประมาณ ซึ่งแผนงานบูรณาการเป็นการดําเนินการรองรับนโยบายที่มีความจําเป็นเร่งด่วน จะต้องมีการวางแผนและบริหารจัดการในภาพรวมของทั้งประเทศร่วมกัน โดยอาศัยโครงสร้างแผนงานบูรณาการ เพื่อเชื่อมโยงการทํางานอย่างเป็นระบบ มีเป้าหมายและตัวชี้วัดของแผนงานที่สอดคล้องเชื่อมโยงกันและตอบสนองต่อเป้าหมายของแผนงาน ทั้งนี้ ทุกหน่วยงานจะต้องดําเนินการให้ครบถ้วนก่อนการยื่นคําขอตั้งงบประมาณรายจ่าย รวมทั้งนําผลการใช้จ่ายงบประมาณปีที่ผ่านมา และความสามารถใช้จ่ายและก่อหนี้ผูกพัน ภายในปีงบประมาณมาใช้ประกอบการพิจารณาคําขอตั้งงบประมาณรายจ่ายด้วย สําหรับรายการที่ขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม ที่จะก่อหนี้ผูกพันงบประมาณมากกว่าหนึ่งปีงบประมาณ ซึ่งมีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป ให้หน่วยรับงบประมาณเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติก่อนที่จะมีการยื่นคําขอตั้งงบประมาณรายจ่ายต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22056
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมโครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาพื้นที่ชายแดน ที่เชียงใหม่
วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560 ประชุมโครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาพื้นที่ชายแดน ที่เชียงใหม่ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมโครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาพื้นที่ชายแดน โดยมีกลุ่มเป้าหมาย รวม 24 อําเภอใน 4 จังหวัดคือ จังหวัดเชียงราย แม่ฮ่องสอน ตาก และเชียงใหม่ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวบางตอนในการเปิดประชุมครั้งนี้ว่า การพัฒนาคุณภาพการศึกษาในพื้นที่ชายแดน เริ่มวันนี้ก็ไม่สาย ตั้งหลักกันอีกครั้ง โดยใช้ระบบการศึกษามาเป็นการขับเคลื่อนให้เกิดรูปธรรมอย่างจริงจัง อนึ่ง ในการประชุมครั้งนี้ ดร.รตนภูมิ โนสุ ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 2 เป็นผู้กล่าวต้อนรับ โดยนายเชิดศักดิ์ ศรีศักดิ์วิชัย ผู้อํานวยการสํานักนโยบายและยุทธศาสตร์ สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นฝ่ายเลขานุการที่ประชุม ซึ่งได้ให้ผู้แทนหน่วยงานการศึกษาที่เข้าร่วมประชุมได้นําเสนอสภาพปัจจุบันปัญหา บริบท และความต้องการในการพัฒนา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมโครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาพื้นที่ชายแดน ที่เชียงใหม่ วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560 ประชุมโครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาพื้นที่ชายแดน ที่เชียงใหม่ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมโครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาพื้นที่ชายแดน โดยมีกลุ่มเป้าหมาย รวม 24 อําเภอใน 4 จังหวัดคือ จังหวัดเชียงราย แม่ฮ่องสอน ตาก และเชียงใหม่ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวบางตอนในการเปิดประชุมครั้งนี้ว่า การพัฒนาคุณภาพการศึกษาในพื้นที่ชายแดน เริ่มวันนี้ก็ไม่สาย ตั้งหลักกันอีกครั้ง โดยใช้ระบบการศึกษามาเป็นการขับเคลื่อนให้เกิดรูปธรรมอย่างจริงจัง อนึ่ง ในการประชุมครั้งนี้ ดร.รตนภูมิ โนสุ ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 2 เป็นผู้กล่าวต้อนรับ โดยนายเชิดศักดิ์ ศรีศักดิ์วิชัย ผู้อํานวยการสํานักนโยบายและยุทธศาสตร์ สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นฝ่ายเลขานุการที่ประชุม ซึ่งได้ให้ผู้แทนหน่วยงานการศึกษาที่เข้าร่วมประชุมได้นําเสนอสภาพปัจจุบันปัญหา บริบท และความต้องการในการพัฒนา
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2082
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“อุตตม” เคาะมาตรการเร่งด่วนช่วยภาคใต้ ออกแพ็กเก็จ “ทำทันที” ซ่อมสร้างฟื้นฟูผู้ประกอบการทุกพื้นที่
วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม 2562 ​“อุตตม” เคาะมาตรการเร่งด่วนช่วยภาคใต้ ออกแพ็กเก็จ “ทําทันที” ซ่อมสร้างฟื้นฟูผู้ประกอบการทุกพื้นที่ รัฐมนตรี อุตตม สั่งประชุมฉุกเฉินเรียกทุกหน่วยงานในสังกัดและหน่วยงานในกํากับ ระดมมาตรการช่วยเหลือเยียวยาแก่พี่น้องภาคใต้ รวมถึงผู้ประกอบการโรงงาน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และวิสาหกิจชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากพายุ “ปาบึก” นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า วันนี้ (6 มค.62) เป็นวันหยุดราชการซึ่งเดิมมีภารกิจงานด้านการเมืองที่กําหนดไว้แล้วล่วงหน้า แต่ตนได้สั่งยกเลิกทั้งหมดเพราะเห็นว่าเรื่องการช่วยเหลือพี่น้องภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากพายุ “ปาบึก” จําเป็นเร่งด่วนมากกว่า ดังนั้นจึงได้เรียกประชุมฉุกเฉินกับท่านปลัดกระทรวงและผู้บริหารทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงและหน่วยงานในกํากับทั้งหมดเพื่อระดมจัดทําแพ็กเก็จเยียวยาช่วยเหลือพี่น้องชาวใต้ที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้ให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 4 มค.ก่อนพายุ “ปาบึก” จะขึ้นฝั่งที่นครศรีธรรมราช ตนได้มอบหมายสั่งการให้ท่านปลัดกระทรวงกําชับไปยังทุกหน่วยงานในพื้นที่ภาคใต้ที่อยู่ในข่ายได้รับผลกระทบจากพายุดังกล่าวเข้าให้ความช่วยเหลือกับพี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการอย่างเต็มที่ตลอด 24 ชม. ซึ่งทุกหน่วยได้ทุ่มเททํางานอย่างหนักและหลังจากสถานการณ์เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทางกระทรวงจะต้องรีบเร่งออกมาตรการให้ความช่วยเหลือต่อเนื่องทันกาล และต้อง “ทําทันที” เพื่อซ่อมสร้างฟื้นฟูพลิกฟื้นความเป็นอยู่ของพี่น้องและผู้ประกอบการภาคใต้ทุกกลุ่มโดยเร็วที่สุด โดยเบื้องต้นพบว่ามีสถานประกอบการที่ได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติดังกล่าว จํานวน 150 ราย มูลค่าความเสียหายประมาณ 200 ล้านบาท “วันนี้ผู้บริหารทุกหน่วยงานมาโดยพร้อมเพรียงและร่วมกันระดมจัดทําแพ็กเก็จชุดความช่วยเหลือแบบครบวงจร ซึ่งมีทั้งเรื่องมาตรการทางการเงิน การพักหนี้ เติมทุนหมุนเวียน และการปรับปรุงซ่อมแซมเครื่องจักรเครื่องมือการผลิตของผู้ประกอบการโรงงานต่าง ๆ ให้กลับมาพร้อมใช้งานโดยเร็ว การปรับปรุงสถานประกอบการแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชนที่ได้รับความเสียหาย และมาตรการช่วยเหลือด้านอื่นที่จะบรรเทาความเดือดร้อนและเยียวยาให้พี่น้องประชาชน ผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนภาคใต้ทุกราย โดยสรุปแพ็กเก็จประกอบด้วย มาตรการเริ่มทําทันที ได้แก่ ยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี 5 ปีให้กับโรงงานที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.)จะออกประกาศได้ทันทีในสัปดาห์หน้า การร่วมกับ Big Brother นําเครื่องจักรขนาดใหญ่ลงพื้นที่ช่วยทําความสะอาดสถานประกอบการซี่งได้ประสานงานไว้เรียบร้อยแล้ว การร่วมมือกับผู้ประกอบการค่ายรถยนต์/รถจักรยานยนต์ทุกค่ายเปิดศูนย์บริการซ่อมแซมตรวจเช็คเครื่องยนต์ให้กับเจ้าของรถยนต์/รถจักรยานยนต์ของพี่น้องประชาชน ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปทุกพื้นที่ เป็นต้น มาตรการทางการเงิน ได้แก่ ธพว.ประกาศพักชําระหนี้ให้กับลูกค้าที่ได้รับความเสียหายวงเงินประมาณ 3,200 ล้านบาทซึ่งจะทําการสํารวจอย่างละเอียดและมีวงเงินเพิ่มให้เป็นเงินทุนหมุนเวียนอีก รายละ 1-5 ล้านบาทอัตราดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 0.415 ต่อเดือน ส่วนของเงินกู้ยืมของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมีเงินกู้ฉุกเฉิน 50,000 ถึง 200,000 บาทปรับลดดอกเบี้ยจาก 4% เหลือ 1% ต่อปี เตรียมวงเงินไว้ 30 ล้านบาท ในส่วนของกองทุนฟื้นฟูเอสเอ็มอีจากสสว. มีมาตรการยืดชําระหนี้ออกไปนาน 6 เดือน เป็นต้น มาตรการต่อเนื่อง ได้แก่ การช่วยเหลือด้านการตลาดให้ผู้ประกอบการกลับมาจําหน่ายสินค้าและบริการให้มีรายได้เพิ่มขึ้นโดยสสว.มีช่องทางการตลาดสนับสนุนทั้งปกติและตลาดออนไลน์หลายเครือข่าย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจะส่งผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ลงพื้นที่ทําหน้าที่ให้คําปรึกษาแนะนําผู้ประกอบการทั้งวิสาหกิจชุมชนและเอสเอ็มอี นอกจากนี้จะมีการพิจารณานําเงินทุนจากกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐที่เหลืออยู่จํานวนหนึ่งมาปรับใช้ปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการที่จําเป็นต้องลงทุนปรับปรุงสถานประกอบการโดยจะกําหนดเงื่อนไขผ่อนปรนพิเศษ “ทุกมาตรการจะลงมือ “ทําทันที” โดยมุ่งซ่อมสร้างฟื้นฟูคืนความเป็นอยู่ปกติให้เร็วที่สุดแก่พี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการทุกระดับตั้งแต่โรงงานไปจนถึงเอสเอ็มอีคนตัวเล็กและวิสาหกิจชุมชน ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเดินเครื่องนํามาตรการเหล่านี้ลงไปช่วยเหลือให้ถึงมือแก่ผู้ประสบภัยในทุกพื้นที่โดยเร็วและรายงานผลให้ผมทราบเป็นระยะ โดยงานนี้ผมได้มอบหมายให้ท่านปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นแม่งานใหญ่นําพาความปรารถนาดีและความห่วงใยจากกระทรวงอุตสาหกรรมไปช่วยเหลือแก่พี่น้องและผู้ประกอบการชาวใต้ทุกคน” นายอุตตมกล่าวในที่สุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“อุตตม” เคาะมาตรการเร่งด่วนช่วยภาคใต้ ออกแพ็กเก็จ “ทำทันที” ซ่อมสร้างฟื้นฟูผู้ประกอบการทุกพื้นที่ วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม 2562 ​“อุตตม” เคาะมาตรการเร่งด่วนช่วยภาคใต้ ออกแพ็กเก็จ “ทําทันที” ซ่อมสร้างฟื้นฟูผู้ประกอบการทุกพื้นที่ รัฐมนตรี อุตตม สั่งประชุมฉุกเฉินเรียกทุกหน่วยงานในสังกัดและหน่วยงานในกํากับ ระดมมาตรการช่วยเหลือเยียวยาแก่พี่น้องภาคใต้ รวมถึงผู้ประกอบการโรงงาน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และวิสาหกิจชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากพายุ “ปาบึก” นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า วันนี้ (6 มค.62) เป็นวันหยุดราชการซึ่งเดิมมีภารกิจงานด้านการเมืองที่กําหนดไว้แล้วล่วงหน้า แต่ตนได้สั่งยกเลิกทั้งหมดเพราะเห็นว่าเรื่องการช่วยเหลือพี่น้องภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากพายุ “ปาบึก” จําเป็นเร่งด่วนมากกว่า ดังนั้นจึงได้เรียกประชุมฉุกเฉินกับท่านปลัดกระทรวงและผู้บริหารทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงและหน่วยงานในกํากับทั้งหมดเพื่อระดมจัดทําแพ็กเก็จเยียวยาช่วยเหลือพี่น้องชาวใต้ที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้ให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 4 มค.ก่อนพายุ “ปาบึก” จะขึ้นฝั่งที่นครศรีธรรมราช ตนได้มอบหมายสั่งการให้ท่านปลัดกระทรวงกําชับไปยังทุกหน่วยงานในพื้นที่ภาคใต้ที่อยู่ในข่ายได้รับผลกระทบจากพายุดังกล่าวเข้าให้ความช่วยเหลือกับพี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการอย่างเต็มที่ตลอด 24 ชม. ซึ่งทุกหน่วยได้ทุ่มเททํางานอย่างหนักและหลังจากสถานการณ์เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทางกระทรวงจะต้องรีบเร่งออกมาตรการให้ความช่วยเหลือต่อเนื่องทันกาล และต้อง “ทําทันที” เพื่อซ่อมสร้างฟื้นฟูพลิกฟื้นความเป็นอยู่ของพี่น้องและผู้ประกอบการภาคใต้ทุกกลุ่มโดยเร็วที่สุด โดยเบื้องต้นพบว่ามีสถานประกอบการที่ได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติดังกล่าว จํานวน 150 ราย มูลค่าความเสียหายประมาณ 200 ล้านบาท “วันนี้ผู้บริหารทุกหน่วยงานมาโดยพร้อมเพรียงและร่วมกันระดมจัดทําแพ็กเก็จชุดความช่วยเหลือแบบครบวงจร ซึ่งมีทั้งเรื่องมาตรการทางการเงิน การพักหนี้ เติมทุนหมุนเวียน และการปรับปรุงซ่อมแซมเครื่องจักรเครื่องมือการผลิตของผู้ประกอบการโรงงานต่าง ๆ ให้กลับมาพร้อมใช้งานโดยเร็ว การปรับปรุงสถานประกอบการแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชนที่ได้รับความเสียหาย และมาตรการช่วยเหลือด้านอื่นที่จะบรรเทาความเดือดร้อนและเยียวยาให้พี่น้องประชาชน ผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนภาคใต้ทุกราย โดยสรุปแพ็กเก็จประกอบด้วย มาตรการเริ่มทําทันที ได้แก่ ยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี 5 ปีให้กับโรงงานที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.)จะออกประกาศได้ทันทีในสัปดาห์หน้า การร่วมกับ Big Brother นําเครื่องจักรขนาดใหญ่ลงพื้นที่ช่วยทําความสะอาดสถานประกอบการซี่งได้ประสานงานไว้เรียบร้อยแล้ว การร่วมมือกับผู้ประกอบการค่ายรถยนต์/รถจักรยานยนต์ทุกค่ายเปิดศูนย์บริการซ่อมแซมตรวจเช็คเครื่องยนต์ให้กับเจ้าของรถยนต์/รถจักรยานยนต์ของพี่น้องประชาชน ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปทุกพื้นที่ เป็นต้น มาตรการทางการเงิน ได้แก่ ธพว.ประกาศพักชําระหนี้ให้กับลูกค้าที่ได้รับความเสียหายวงเงินประมาณ 3,200 ล้านบาทซึ่งจะทําการสํารวจอย่างละเอียดและมีวงเงินเพิ่มให้เป็นเงินทุนหมุนเวียนอีก รายละ 1-5 ล้านบาทอัตราดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 0.415 ต่อเดือน ส่วนของเงินกู้ยืมของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมีเงินกู้ฉุกเฉิน 50,000 ถึง 200,000 บาทปรับลดดอกเบี้ยจาก 4% เหลือ 1% ต่อปี เตรียมวงเงินไว้ 30 ล้านบาท ในส่วนของกองทุนฟื้นฟูเอสเอ็มอีจากสสว. มีมาตรการยืดชําระหนี้ออกไปนาน 6 เดือน เป็นต้น มาตรการต่อเนื่อง ได้แก่ การช่วยเหลือด้านการตลาดให้ผู้ประกอบการกลับมาจําหน่ายสินค้าและบริการให้มีรายได้เพิ่มขึ้นโดยสสว.มีช่องทางการตลาดสนับสนุนทั้งปกติและตลาดออนไลน์หลายเครือข่าย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจะส่งผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ลงพื้นที่ทําหน้าที่ให้คําปรึกษาแนะนําผู้ประกอบการทั้งวิสาหกิจชุมชนและเอสเอ็มอี นอกจากนี้จะมีการพิจารณานําเงินทุนจากกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐที่เหลืออยู่จํานวนหนึ่งมาปรับใช้ปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการที่จําเป็นต้องลงทุนปรับปรุงสถานประกอบการโดยจะกําหนดเงื่อนไขผ่อนปรนพิเศษ “ทุกมาตรการจะลงมือ “ทําทันที” โดยมุ่งซ่อมสร้างฟื้นฟูคืนความเป็นอยู่ปกติให้เร็วที่สุดแก่พี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการทุกระดับตั้งแต่โรงงานไปจนถึงเอสเอ็มอีคนตัวเล็กและวิสาหกิจชุมชน ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเดินเครื่องนํามาตรการเหล่านี้ลงไปช่วยเหลือให้ถึงมือแก่ผู้ประสบภัยในทุกพื้นที่โดยเร็วและรายงานผลให้ผมทราบเป็นระยะ โดยงานนี้ผมได้มอบหมายให้ท่านปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นแม่งานใหญ่นําพาความปรารถนาดีและความห่วงใยจากกระทรวงอุตสาหกรรมไปช่วยเหลือแก่พี่น้องและผู้ประกอบการชาวใต้ทุกคน” นายอุตตมกล่าวในที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17947
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงกลาโหม ร่วมกับ เขตพระนคร ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อป้องกัน “ไวรัส COVID -19”
วันอังคารที่ 24 มีนาคม 2563 กระทรวงกลาโหม ร่วมกับ เขตพระนคร ฉีดพ่นน้ํายาฆ่าเชื้อป้องกัน “ไวรัส COVID -19” เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ตามคําสั่งของภาครัฐ สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมมือกับเขตพระนคร นําเจ้าหน้าที่มาฉีดพ่นน้ํายาฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในพื้นที่โดยรอบศาลาว่าการกลาโหม โดยก่อนหน้านี้ทางเจ้าหน้าที่ได้บริการประชาชนฉีดพ่นน้ํายาฆ่าเชื้อทั้งในเขตพระนคร และพระตําหนักอรุณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ของสมเด็ตพระสังฆราช เพื่อสร้างความมั่นใจว่าสะอาดปลอดเชื้อ โดยคํานึงถึงการทําความสะอาดอย่างตรงจุดตามมาตรฐานสากล และสร้างความมั่นใจให้เหล่ากําลังพล
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงกลาโหม ร่วมกับ เขตพระนคร ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อป้องกัน “ไวรัส COVID -19” วันอังคารที่ 24 มีนาคม 2563 กระทรวงกลาโหม ร่วมกับ เขตพระนคร ฉีดพ่นน้ํายาฆ่าเชื้อป้องกัน “ไวรัส COVID -19” เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ตามคําสั่งของภาครัฐ สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมมือกับเขตพระนคร นําเจ้าหน้าที่มาฉีดพ่นน้ํายาฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในพื้นที่โดยรอบศาลาว่าการกลาโหม โดยก่อนหน้านี้ทางเจ้าหน้าที่ได้บริการประชาชนฉีดพ่นน้ํายาฆ่าเชื้อทั้งในเขตพระนคร และพระตําหนักอรุณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ของสมเด็ตพระสังฆราช เพื่อสร้างความมั่นใจว่าสะอาดปลอดเชื้อ โดยคํานึงถึงการทําความสะอาดอย่างตรงจุดตามมาตรฐานสากล และสร้างความมั่นใจให้เหล่ากําลังพล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27738
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บรรยายพิเศษ "ยุทธศาสตร์การศึกษางานวิจัยกับความสามารถในการบูรณาการของประเทศ"
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2559 บรรยายพิเศษ "ยุทธศาสตร์การศึกษางานวิจัยกับความสามารถในการบูรณาการของประเทศ" นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ บรรยายพิเศษเรื่อง “ยุทธศาสตร์การศึกษางานวิจัยกับความสามารถในการบูรณาการของประเทศ” การบรรยายพิเศษเรื่อง “ยุทธศาสตร์การศึกษางานวิจัยกับความสามารถในการบูรณาการของประเทศ” ในการสัมมนาวิชาการและสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ประจําปีการศึกษา 2559จัดโดยฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยรังสิตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน 2559 ที่ห้องประชุม 801 อาคารอาทิตย์ อุไรรัตน์มหาวิทยาลัยรังสิตโดยมี ศ.นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานกรรมการบริหารสภาวิจัยแห่งชาติ, ดร.สุทธศรี วงษ์สมาน อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายชาญ ตันติธรรมถาวร ผู้ช่วยเลขาธิการสภาการศึกษา, ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ และคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต, ดร.อรรถวิท อุไรรัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายแผนพัฒนาและแผนการเงิน มหาวิทยาลัยรังสิต ตลอดจนคณาจารย์และนักศึกษากว่า 50 คนเข้าร่วมการสัมมนาในครั้งนี้ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ กล่าวตอนหนึ่งว่า ในเรื่องของยุทธศาสตร์ด้านการศึกษานั้น ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการได้วางแผนงานด้านต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) ภายใต้วิสัยทัศน์ “ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งได้กําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฯ โดยมียุทธศาสตร์ที่ต้องดําเนินการ 6 ด้าน คือ 1) ความมั่นคง 2) การสร้างความสามารถในการแข่งขัน 3) การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ 4) การสร้างโอกาสความเสมอภาคและการลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม 5) การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 6) การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุทธศาสตร์ด้านที่ 4 การลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม เป็นปัญหาที่สําคัญที่สุดที่เราจะต้องหลุดพ้นให้ได้ซึ่งขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการได้เตรียมแผนงานที่จะดําเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือในส่วนที่ขาดและสนับสนุนส่วนที่อ่อนแอ เช่น การพัฒนาการศึกษาปฐมวัย โรงเรียนขนาดเล็ก เป็นต้น เพื่อเป็นการลดช่องว่าง (Gap) ด้านการเข้าถึงการศึกษาอย่างมีคุณภาพให้ได้มากที่สุด ในส่วนการวิจัยของประเทศไทยสิ่งแรกคือเราต้องรู้ก่อนว่าประเทศมีปัญหาและมีความต้องการอะไร โดยบทบาทสําคัญอยู่ที่ผู้นําในการที่จะกําหนดยุทธศาสตร์และเป้าหมายที่ชัดเจน พร้อมกับลําดับความสําคัญ ก่อนถ่ายทอดลงสู่แผนงานและนําไปสู่การปฏิบัติ ในขณะเดียวกันก็ต้องศึกษางานด้านการวิจัยอย่างละเอียดด้วยว่าเรื่องใดทําแล้ว เรื่องใดยังไม่ได้ทํา เพื่อไม่ให้เกิดการทําวิจัยช้ําซ้อน ที่จะเป็นการเสียงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์ เช่นเดียวกับการวิจัยด้านการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ทุกมหาวิทยาลัยจะต้องหารือร่วมกัน เพื่อกําหนดจุดเริ่มต้นที่ตรงกันและมีทิศทางเดียวกันเสียก่อน เพื่อจะได้รู้สถานะว่าเราอยู่ตรงไหน มีปัญหาอะไร จากนั้นจึงรวบรวมข้อมูลพื้นฐานและตั้งคําถามที่ชัดเจน เมื่อนั้นรัฐบาลจึงจะทุ่มทรัพยากรลงไปได้อย่างเต็มที่ พร้อมประสานความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทํางานวิจัย เพราะงานวิจัยด้านการศึกษาเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน และมีผลต่ออนาคตของประเทศเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ในส่วนของงานวิจัยในยุค Thailand 4.0ประเทศไทยก็มีนักวิจัยที่มีศักยภาพในการวิจัยพื้นฐานและวิจัยประยุกต์เป็นจํานวนมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร ด้านการแพทย์ ฯลฯแต่หากจะพูดถึงขีดความสามารถการวิจัยที่จะตอบโจทย์การเข้าสู่ Thailand 4.0 เห็นว่ายังไม่เพียงพอ และขาดการพัฒนาต่อยอดงานวิจัยสู่การเป็นนวัตกรรม (เกิดจากการเรียนรู้ขั้นสูงที่สุดของมนุษย์) ซึ่งนวัตกรรมนี่เองที่จะนําไปสู่เรื่องเชิงพาณิชย์ (Commercialisation) สิ่งสําคัญคือ ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังเช่นประเทศต่าง ๆ ที่สามารถผลิตนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมา ส่วนใหญ่จะเกิดในที่ที่มีคนเก่งอยู่จํานวนมาก และมีการทํางานร่วมกับภาคเอกชนตั้งแต่เริ่มต้นวิจัย เพราะภาคเอกชนมีความรู้เชิงพาณิชย์ และรู้ว่าควรผลิตแบบใดจึงจะตรงความต้องการของตลาด หากทําได้เช่นนี้ การดําเนินงานวิจัยของประเทศไทยก็จะเกิดประโยชน์สูงสุดและตรงกับความต้องการของประเทศได้อย่างแท้จริง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บรรยายพิเศษ "ยุทธศาสตร์การศึกษางานวิจัยกับความสามารถในการบูรณาการของประเทศ" วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2559 บรรยายพิเศษ "ยุทธศาสตร์การศึกษางานวิจัยกับความสามารถในการบูรณาการของประเทศ" นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ บรรยายพิเศษเรื่อง “ยุทธศาสตร์การศึกษางานวิจัยกับความสามารถในการบูรณาการของประเทศ” การบรรยายพิเศษเรื่อง “ยุทธศาสตร์การศึกษางานวิจัยกับความสามารถในการบูรณาการของประเทศ” ในการสัมมนาวิชาการและสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ประจําปีการศึกษา 2559จัดโดยฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยรังสิตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน 2559 ที่ห้องประชุม 801 อาคารอาทิตย์ อุไรรัตน์มหาวิทยาลัยรังสิตโดยมี ศ.นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานกรรมการบริหารสภาวิจัยแห่งชาติ, ดร.สุทธศรี วงษ์สมาน อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายชาญ ตันติธรรมถาวร ผู้ช่วยเลขาธิการสภาการศึกษา, ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ และคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต, ดร.อรรถวิท อุไรรัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายแผนพัฒนาและแผนการเงิน มหาวิทยาลัยรังสิต ตลอดจนคณาจารย์และนักศึกษากว่า 50 คนเข้าร่วมการสัมมนาในครั้งนี้ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ กล่าวตอนหนึ่งว่า ในเรื่องของยุทธศาสตร์ด้านการศึกษานั้น ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการได้วางแผนงานด้านต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) ภายใต้วิสัยทัศน์ “ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งได้กําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฯ โดยมียุทธศาสตร์ที่ต้องดําเนินการ 6 ด้าน คือ 1) ความมั่นคง 2) การสร้างความสามารถในการแข่งขัน 3) การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ 4) การสร้างโอกาสความเสมอภาคและการลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม 5) การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 6) การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุทธศาสตร์ด้านที่ 4 การลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม เป็นปัญหาที่สําคัญที่สุดที่เราจะต้องหลุดพ้นให้ได้ซึ่งขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการได้เตรียมแผนงานที่จะดําเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือในส่วนที่ขาดและสนับสนุนส่วนที่อ่อนแอ เช่น การพัฒนาการศึกษาปฐมวัย โรงเรียนขนาดเล็ก เป็นต้น เพื่อเป็นการลดช่องว่าง (Gap) ด้านการเข้าถึงการศึกษาอย่างมีคุณภาพให้ได้มากที่สุด ในส่วนการวิจัยของประเทศไทยสิ่งแรกคือเราต้องรู้ก่อนว่าประเทศมีปัญหาและมีความต้องการอะไร โดยบทบาทสําคัญอยู่ที่ผู้นําในการที่จะกําหนดยุทธศาสตร์และเป้าหมายที่ชัดเจน พร้อมกับลําดับความสําคัญ ก่อนถ่ายทอดลงสู่แผนงานและนําไปสู่การปฏิบัติ ในขณะเดียวกันก็ต้องศึกษางานด้านการวิจัยอย่างละเอียดด้วยว่าเรื่องใดทําแล้ว เรื่องใดยังไม่ได้ทํา เพื่อไม่ให้เกิดการทําวิจัยช้ําซ้อน ที่จะเป็นการเสียงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์ เช่นเดียวกับการวิจัยด้านการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ทุกมหาวิทยาลัยจะต้องหารือร่วมกัน เพื่อกําหนดจุดเริ่มต้นที่ตรงกันและมีทิศทางเดียวกันเสียก่อน เพื่อจะได้รู้สถานะว่าเราอยู่ตรงไหน มีปัญหาอะไร จากนั้นจึงรวบรวมข้อมูลพื้นฐานและตั้งคําถามที่ชัดเจน เมื่อนั้นรัฐบาลจึงจะทุ่มทรัพยากรลงไปได้อย่างเต็มที่ พร้อมประสานความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทํางานวิจัย เพราะงานวิจัยด้านการศึกษาเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน และมีผลต่ออนาคตของประเทศเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ในส่วนของงานวิจัยในยุค Thailand 4.0ประเทศไทยก็มีนักวิจัยที่มีศักยภาพในการวิจัยพื้นฐานและวิจัยประยุกต์เป็นจํานวนมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร ด้านการแพทย์ ฯลฯแต่หากจะพูดถึงขีดความสามารถการวิจัยที่จะตอบโจทย์การเข้าสู่ Thailand 4.0 เห็นว่ายังไม่เพียงพอ และขาดการพัฒนาต่อยอดงานวิจัยสู่การเป็นนวัตกรรม (เกิดจากการเรียนรู้ขั้นสูงที่สุดของมนุษย์) ซึ่งนวัตกรรมนี่เองที่จะนําไปสู่เรื่องเชิงพาณิชย์ (Commercialisation) สิ่งสําคัญคือ ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังเช่นประเทศต่าง ๆ ที่สามารถผลิตนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมา ส่วนใหญ่จะเกิดในที่ที่มีคนเก่งอยู่จํานวนมาก และมีการทํางานร่วมกับภาคเอกชนตั้งแต่เริ่มต้นวิจัย เพราะภาคเอกชนมีความรู้เชิงพาณิชย์ และรู้ว่าควรผลิตแบบใดจึงจะตรงความต้องการของตลาด หากทําได้เช่นนี้ การดําเนินงานวิจัยของประเทศไทยก็จะเกิดประโยชน์สูงสุดและตรงกับความต้องการของประเทศได้อย่างแท้จริง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1042
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.จัดประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทำแผนพัฒนาการศึกษาพื้นที่ชายแดน (พ.ศ.2560-2564) ของ 4 จังหวัดชายแดนภาคเหนือที่มีพื้นที่ติดกับลาว
วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2560 ศธ.จัดประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาพื้นที่ชายแดน (พ.ศ.2560-2564) ของ 4 จังหวัดชายแดนภาคเหนือที่มีพื้นที่ติดกับลาว พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รับฟังผลการประชุมและเป็นประธานปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาพื้นที่ชายแดน (พ.ศ.2560-2564) ของ 4 จังหวัดชายแดนภาคเหนือที่มีพื้นที่ติดกับ สปป.ลาว ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก อุตรดิตถ์ พะเยา และน่าน เมื่อวันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม 2560 ณ โรงแรมอมรินทร์ลากูน อําเภอเมืองพิษณุโลก พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการทําหน้าที่ผลิตและพัฒนากําลังคนให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ สร้างศักยภาพให้กับคนในทุกช่วงวัยตั้งแต่ปฐมวัยจนถึงผู้สูงอายุ และเพิ่มความสามารถด้านทักษะการแข่งขันให้กับประเทศ กระทรวงศึกษาธิการได้ดําเนินโครงการตามนโยบายต่าง ๆ ที่มีความสอดคล้องและตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาล รวมทั้ง"การวางแผนพัฒนาการศึกษาในสถานศึกษาพื้นที่ชายแดน" ให้มีคุณภาพสูงขึ้น อย่างไรก็ตามพื้นที่ชายแดนของประเทศไทยมีปัญหาที่แตกต่างกันเช่น ในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือที่มีพื้นที่ติดกับลาว พบปัญหาการเดินทางด้วยความยากลําบาก การใช้ภาษา สภาพพื้นที่ยังคงมีความยากจนอยู่บางส่วน ซึ่งจําเป็นต้องได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องมอง"จุดแข็งและโอกาส"ที่แตกต่างกันในพื้นที่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้มอบให้สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.) เป็นผู้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทําพัฒนาแผนการศึกษาในพื้นที่ชายแดนทั่วประเทศซึ่งมีจํานวนทั้งสิ้น27 จังหวัด 105 อําเภอโดยไม่นับรวมจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะในพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตพื้นที่พิเศษเฉพาะกิจ ซึ่งได้มีการจัดทําแผนยุทธศาสตร์ในการจัดการศึกษาอย่างต่อเนื่องแล้ว สําหรับจังหวัดชายแดนภาคเหนือ ด้านที่ติดกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมีพื้นที่ชายแดนครอบคลุม4จังหวัดประกอบด้วยจังหวัดพิษณุโลก อุตรดิตถ์ พะเยา และน่านโดยได้กําหนดกรอบเวลาแผนการศึกษาในพื้นที่ชายแดนตั้งแต่ปี พ.ศ.2560-2564 ซึ่งเน้นวิธีคิดให้เกิดผลในทางปฏิบัติภายในปี พ.ศ.2560 โดยยึดหลัก "ทําก้าวแรก" ให้เข้มแข็งมั่นคง เพื่อขยายสู่ "ก้าวต่อไป" ได้อย่างสมบูรณ์ จากนั้นจึงจะขยายผลการดําเนินงานจากอําเภอชายแดนไปยังอําเภอใกล้เคียง จนกระทั่งในท้ายที่สุดก็จะขยายผลไปทั้งจังหวัด ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการได้กําหนดกลไกการปฏิบัติตามระบบการบริหารราชการ ซึ่งจะดูแลกันเป็นชั้น ๆ โดยกระทรวงศึกษาธิการทําหน้าที่ในระดับอํานวยการ, ปลัดกระทรวงและรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการทําหน้าที่ระดับดําเนินงานในส่วนกลาง, ศึกษาธิการภาคดําเนินงานในระดับภาค และคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดดําเนินงานในระดับจังหวัด พล.อ.สุรเชษฐ์ ได้เน้นย้ําขอให้นําแผนไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลมากที่สุดอีกทั้งให้น้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ศาสตร์พระราชา หลักการทรงงาน และหลักธรรมาภิบาลไปประยุกต์ใช้ในการจัดทําแผนการศึกษา เพราะสิ่งเหล่านี้จะนําไปสู่การจัดทําแผนการศึกษาที่มีประสิทธิภาพและส่งผลดีต่อนักเรียน ผู้ปกครอง และประชาชนต่อไป ผศ.ดร.บรรพต วิรุณราช คณบดีวิทยาลัยพาณิชยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพากล่าวว่า ในการจัดการศึกษา จําเป็นต้องคํานึงถึงจุดแข็งและโอกาสในพื้นที่ทั้ง4จังหวัด ดังนี้ จังหวัดพิษณุโลกแม้จะมีพรมแดนติดต่อกับ สปป. ลาว แต่ยังไม่มีมูลค่าการค้าชายแดน เพราะไม่มีด่านหรือจุดผ่อนปรนทางการค้า จังหวัดอุตรดิตถ์มีพรมแดนติดต่อกับ สปป.ลาว โดยมีด่านถาวร 1 แห่ง คือ ด่านภูดู่ ตรงข้ามด่านผาแก้ว เมืองปากลาย แขวงไชยบุรี และมีจุดผ่อนปรนทางการค้า 1 แห่ง คือ ด่านบ้านห้วยต่าง อําเภอบ้านโคก ตรงข้ามเมืองบ่อแตน แขวงไชยบุรี โดยปี 2559 มูลค่าการค้าชายแดนด้านจังหวัดอุตรดิตถ์-สปป.ลาว มีจํานวนทั้งสิ้น 718.64 ล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่าการส่งออก 664.20 ล้านบาท และมูลค่าการนําเข้า 54.47 ล้านบาทโดยไทยได้ดุลการค้า 664.20 ล้านบาทซึ่งสินค้าส่งออกของด่านในจังหวัดอุตรดิตถ์ได้แก่ น้ํามันเชื้อเพลิง น้ํามันหล่อลื่น สินค้าอุปโภคบริโภค อุปกรณ์การเกษตร เมล็ดพันธุ์ข้าวโพด ปุ๋ย สารเคมี อาหารสดและอาหารแห้ง เสื้อผ้าสําเร็จรูปส่วนสินค้านําเข้าที่สําคัญคือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เศษเหล็ก ของเก่า เหล็ก บุหรี่ ไวน์ เบียร์ สมุนไพร สินค้าอุปโภคบริโภค โทรศัพท์มือถือ ถ่านไม้ เครื่องจักรสาน ทั้งนี้ ด่านภูดู่เป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่สําคัญในการเข้าสู่เมืองหลวงพระบาง เมืองมรดกโลกของ สปป.ลาว ด้วยระยะทางเพียง 309 กิโลเมตร จังหวัดพะเยามีพรมแดนติดต่อกับ สปป.ลาว โดยมีด่านชายแดนสําคัญ 1 ด่าน คือ ด่านบ้านฮวก อําเภอภูซาง ตรงข้ามเมืองเชียงฮอน แขวงไชยะบุรี ซึ่งเป็นจุดผ่อนปรนทางการค้าที่มีมูลค่าการค้าไม่มากนัก โดยไทยได้ดําเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดําเนินโครงการปรับปรุงและก่อสร้างถนนช่วงบ้านฮวก (จังหวัดพะเยา)-เมืองคอบ-เมืองเชียงฮ่อน และเมืองคอบ-เมืองปากคอบ-บ้านก้อนตื้น-สปป.ลาว ระยะทางประมาณ 110 กิโลเมตร ในวงเงินรวม 1,390 ล้านบาท เพื่อยกระดับเป็นด่านถาวรต่อไป จังหวัดน่านมีพรมแดนติดต่อกับ สปป.ลาว โดยมีด่านถาวร 1 แห่ง คือ ด่านห้วยโก๋น อําเภอเฉลิมพระเกียรติ ตรงข้ามด่านน้ําเงิน เมืองเงิน แขวงไชยะบุรี และมีจุดผ่อนปรนทางการค้า 2 แห่ง คือ 1) บ้านห้วยสะแตง อําเภอทุ่งช้าง ตรงข้ามเมืองเชียงฮ่อน แขวงไชยะบุรี 2) ด่านบ้านใหม่ชายแดน อําเภอสองแคว ตรงข้ามเมืองเชียงฮ่อน แขวงไชยะบุรี โดยปี 2559 มูลค่าการค้าชายแดนด่านจังหวัดน่าน-สปป.ลาว มีจํานวนทั้งสิ้น 20,893.59 ล้านบาท แบ่งออกเป็นมูลค่าการส่งออก 4,071.58 ล้านบาท และมูลค่าการนําเข้า 16,882.01 ล้านบาท โดยไทยขาดดุลการค้า 12,750.43 ล้านบาทส่วนสินค้าส่งออกของจังหวัดน่านได้แก่ น้ํามันเชื้อเพลิง ปูนซีเมนต์ พลังงานไฟฟ้า รถแทร็กเตอร์ สะพานไฟฟ้า ยางมะตอย เครื่องดื่มชูกําลัง น้ําผลไม้ ยางรถยนต์ กระเบื้องมุงหลังคาส่วนสินค้านําเข้าที่สําคัญคือ รถขุดดินเก่าใช้แล้ว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ลูกต้าว ลูกเดือย ดอกหญ้าทําไม้กวาด ไม้แปรรูป ผ้าทอด้วยฝ้าย สําหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ มีผู้บริหารจากส่วนกลางและภูมิภาคเข้าร่วมจํานวน200คน อาทิ นายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นผู้กล่าวต้อนรับและร่วมในพิธีเปิด, นายบุญรักษ์ ยอดเพชร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายอํานาจ วิชยานุวัติ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายสุรศักดิ์ อินศรีไกร ผู้อํานวยการสํานักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ.,ศึกษาธิการภาค16,ศึกษาธิการภาค17,คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด, ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา/มัธยมศึกษา,ประธานกรรมการอาชีวศึกษาจังหวัด, ผู้แทนจากสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา, ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย, ประธานคณะกรรมการประสานและส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัด และภาคีเครือข่ายการจัดการศึกษาใน4จังหวัดโดยพล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิดส่วนวิทยากรบรรยายพิเศษตลอดการประชุมครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากผศ.ดร.บรรพต วิรุณราช คณบดีวิทยาลัยพาณิชยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และ พ.อ.ดร.ขจรศักดิ์ ไทยประยูร จากโรงเรียนเสนาธิการทหารบก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.จัดประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทำแผนพัฒนาการศึกษาพื้นที่ชายแดน (พ.ศ.2560-2564) ของ 4 จังหวัดชายแดนภาคเหนือที่มีพื้นที่ติดกับลาว วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2560 ศธ.จัดประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาพื้นที่ชายแดน (พ.ศ.2560-2564) ของ 4 จังหวัดชายแดนภาคเหนือที่มีพื้นที่ติดกับลาว พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รับฟังผลการประชุมและเป็นประธานปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาพื้นที่ชายแดน (พ.ศ.2560-2564) ของ 4 จังหวัดชายแดนภาคเหนือที่มีพื้นที่ติดกับ สปป.ลาว ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก อุตรดิตถ์ พะเยา และน่าน เมื่อวันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม 2560 ณ โรงแรมอมรินทร์ลากูน อําเภอเมืองพิษณุโลก พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการทําหน้าที่ผลิตและพัฒนากําลังคนให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ สร้างศักยภาพให้กับคนในทุกช่วงวัยตั้งแต่ปฐมวัยจนถึงผู้สูงอายุ และเพิ่มความสามารถด้านทักษะการแข่งขันให้กับประเทศ กระทรวงศึกษาธิการได้ดําเนินโครงการตามนโยบายต่าง ๆ ที่มีความสอดคล้องและตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาล รวมทั้ง"การวางแผนพัฒนาการศึกษาในสถานศึกษาพื้นที่ชายแดน" ให้มีคุณภาพสูงขึ้น อย่างไรก็ตามพื้นที่ชายแดนของประเทศไทยมีปัญหาที่แตกต่างกันเช่น ในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือที่มีพื้นที่ติดกับลาว พบปัญหาการเดินทางด้วยความยากลําบาก การใช้ภาษา สภาพพื้นที่ยังคงมีความยากจนอยู่บางส่วน ซึ่งจําเป็นต้องได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องมอง"จุดแข็งและโอกาส"ที่แตกต่างกันในพื้นที่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้มอบให้สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.) เป็นผู้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทําพัฒนาแผนการศึกษาในพื้นที่ชายแดนทั่วประเทศซึ่งมีจํานวนทั้งสิ้น27 จังหวัด 105 อําเภอโดยไม่นับรวมจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะในพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตพื้นที่พิเศษเฉพาะกิจ ซึ่งได้มีการจัดทําแผนยุทธศาสตร์ในการจัดการศึกษาอย่างต่อเนื่องแล้ว สําหรับจังหวัดชายแดนภาคเหนือ ด้านที่ติดกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมีพื้นที่ชายแดนครอบคลุม4จังหวัดประกอบด้วยจังหวัดพิษณุโลก อุตรดิตถ์ พะเยา และน่านโดยได้กําหนดกรอบเวลาแผนการศึกษาในพื้นที่ชายแดนตั้งแต่ปี พ.ศ.2560-2564 ซึ่งเน้นวิธีคิดให้เกิดผลในทางปฏิบัติภายในปี พ.ศ.2560 โดยยึดหลัก "ทําก้าวแรก" ให้เข้มแข็งมั่นคง เพื่อขยายสู่ "ก้าวต่อไป" ได้อย่างสมบูรณ์ จากนั้นจึงจะขยายผลการดําเนินงานจากอําเภอชายแดนไปยังอําเภอใกล้เคียง จนกระทั่งในท้ายที่สุดก็จะขยายผลไปทั้งจังหวัด ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการได้กําหนดกลไกการปฏิบัติตามระบบการบริหารราชการ ซึ่งจะดูแลกันเป็นชั้น ๆ โดยกระทรวงศึกษาธิการทําหน้าที่ในระดับอํานวยการ, ปลัดกระทรวงและรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการทําหน้าที่ระดับดําเนินงานในส่วนกลาง, ศึกษาธิการภาคดําเนินงานในระดับภาค และคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดดําเนินงานในระดับจังหวัด พล.อ.สุรเชษฐ์ ได้เน้นย้ําขอให้นําแผนไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลมากที่สุดอีกทั้งให้น้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ศาสตร์พระราชา หลักการทรงงาน และหลักธรรมาภิบาลไปประยุกต์ใช้ในการจัดทําแผนการศึกษา เพราะสิ่งเหล่านี้จะนําไปสู่การจัดทําแผนการศึกษาที่มีประสิทธิภาพและส่งผลดีต่อนักเรียน ผู้ปกครอง และประชาชนต่อไป ผศ.ดร.บรรพต วิรุณราช คณบดีวิทยาลัยพาณิชยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพากล่าวว่า ในการจัดการศึกษา จําเป็นต้องคํานึงถึงจุดแข็งและโอกาสในพื้นที่ทั้ง4จังหวัด ดังนี้ จังหวัดพิษณุโลกแม้จะมีพรมแดนติดต่อกับ สปป. ลาว แต่ยังไม่มีมูลค่าการค้าชายแดน เพราะไม่มีด่านหรือจุดผ่อนปรนทางการค้า จังหวัดอุตรดิตถ์มีพรมแดนติดต่อกับ สปป.ลาว โดยมีด่านถาวร 1 แห่ง คือ ด่านภูดู่ ตรงข้ามด่านผาแก้ว เมืองปากลาย แขวงไชยบุรี และมีจุดผ่อนปรนทางการค้า 1 แห่ง คือ ด่านบ้านห้วยต่าง อําเภอบ้านโคก ตรงข้ามเมืองบ่อแตน แขวงไชยบุรี โดยปี 2559 มูลค่าการค้าชายแดนด้านจังหวัดอุตรดิตถ์-สปป.ลาว มีจํานวนทั้งสิ้น 718.64 ล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่าการส่งออก 664.20 ล้านบาท และมูลค่าการนําเข้า 54.47 ล้านบาทโดยไทยได้ดุลการค้า 664.20 ล้านบาทซึ่งสินค้าส่งออกของด่านในจังหวัดอุตรดิตถ์ได้แก่ น้ํามันเชื้อเพลิง น้ํามันหล่อลื่น สินค้าอุปโภคบริโภค อุปกรณ์การเกษตร เมล็ดพันธุ์ข้าวโพด ปุ๋ย สารเคมี อาหารสดและอาหารแห้ง เสื้อผ้าสําเร็จรูปส่วนสินค้านําเข้าที่สําคัญคือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เศษเหล็ก ของเก่า เหล็ก บุหรี่ ไวน์ เบียร์ สมุนไพร สินค้าอุปโภคบริโภค โทรศัพท์มือถือ ถ่านไม้ เครื่องจักรสาน ทั้งนี้ ด่านภูดู่เป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่สําคัญในการเข้าสู่เมืองหลวงพระบาง เมืองมรดกโลกของ สปป.ลาว ด้วยระยะทางเพียง 309 กิโลเมตร จังหวัดพะเยามีพรมแดนติดต่อกับ สปป.ลาว โดยมีด่านชายแดนสําคัญ 1 ด่าน คือ ด่านบ้านฮวก อําเภอภูซาง ตรงข้ามเมืองเชียงฮอน แขวงไชยะบุรี ซึ่งเป็นจุดผ่อนปรนทางการค้าที่มีมูลค่าการค้าไม่มากนัก โดยไทยได้ดําเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดําเนินโครงการปรับปรุงและก่อสร้างถนนช่วงบ้านฮวก (จังหวัดพะเยา)-เมืองคอบ-เมืองเชียงฮ่อน และเมืองคอบ-เมืองปากคอบ-บ้านก้อนตื้น-สปป.ลาว ระยะทางประมาณ 110 กิโลเมตร ในวงเงินรวม 1,390 ล้านบาท เพื่อยกระดับเป็นด่านถาวรต่อไป จังหวัดน่านมีพรมแดนติดต่อกับ สปป.ลาว โดยมีด่านถาวร 1 แห่ง คือ ด่านห้วยโก๋น อําเภอเฉลิมพระเกียรติ ตรงข้ามด่านน้ําเงิน เมืองเงิน แขวงไชยะบุรี และมีจุดผ่อนปรนทางการค้า 2 แห่ง คือ 1) บ้านห้วยสะแตง อําเภอทุ่งช้าง ตรงข้ามเมืองเชียงฮ่อน แขวงไชยะบุรี 2) ด่านบ้านใหม่ชายแดน อําเภอสองแคว ตรงข้ามเมืองเชียงฮ่อน แขวงไชยะบุรี โดยปี 2559 มูลค่าการค้าชายแดนด่านจังหวัดน่าน-สปป.ลาว มีจํานวนทั้งสิ้น 20,893.59 ล้านบาท แบ่งออกเป็นมูลค่าการส่งออก 4,071.58 ล้านบาท และมูลค่าการนําเข้า 16,882.01 ล้านบาท โดยไทยขาดดุลการค้า 12,750.43 ล้านบาทส่วนสินค้าส่งออกของจังหวัดน่านได้แก่ น้ํามันเชื้อเพลิง ปูนซีเมนต์ พลังงานไฟฟ้า รถแทร็กเตอร์ สะพานไฟฟ้า ยางมะตอย เครื่องดื่มชูกําลัง น้ําผลไม้ ยางรถยนต์ กระเบื้องมุงหลังคาส่วนสินค้านําเข้าที่สําคัญคือ รถขุดดินเก่าใช้แล้ว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ลูกต้าว ลูกเดือย ดอกหญ้าทําไม้กวาด ไม้แปรรูป ผ้าทอด้วยฝ้าย สําหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ มีผู้บริหารจากส่วนกลางและภูมิภาคเข้าร่วมจํานวน200คน อาทิ นายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นผู้กล่าวต้อนรับและร่วมในพิธีเปิด, นายบุญรักษ์ ยอดเพชร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายอํานาจ วิชยานุวัติ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายสุรศักดิ์ อินศรีไกร ผู้อํานวยการสํานักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ.,ศึกษาธิการภาค16,ศึกษาธิการภาค17,คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด, ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา/มัธยมศึกษา,ประธานกรรมการอาชีวศึกษาจังหวัด, ผู้แทนจากสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา, ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย, ประธานคณะกรรมการประสานและส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัด และภาคีเครือข่ายการจัดการศึกษาใน4จังหวัดโดยพล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิดส่วนวิทยากรบรรยายพิเศษตลอดการประชุมครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากผศ.ดร.บรรพต วิรุณราช คณบดีวิทยาลัยพาณิชยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และ พ.อ.ดร.ขจรศักดิ์ ไทยประยูร จากโรงเรียนเสนาธิการทหารบก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4080
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. แจงเหตุชะลอเปิดท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต เพราะอยู่ในพื้นที่มีผู้ป่วยติดเชื้อ 14 วัน ยืนยันผ่อนคลายระยะ 4 ขึ้นกับความพร้อมของผู้ประกอบการ และผู้ใช้บริการ
วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563 โฆษก ศบค. แจงเหตุชะลอเปิดท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต เพราะอยู่ในพื้นที่มีผู้ป่วยติดเชื้อ 14 วัน ยืนยันผ่อนคลายระยะ 4 ขึ้นกับความพร้อมของผู้ประกอบการ และผู้ใช้บริการ โฆษก ศบค. แจงเหตุชะลอเปิดท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต เพราะอยู่ในพื้นที่มีผู้ป่วยติดเชื้อ 14 วัน ยืนยันผ่อนคลายระยะ 4 ขึ้นกับความพร้อมของผู้ประกอบการ และผู้ใช้บริการ วันนี้ (5 มิ.ย. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนผ่านโซเชียลมีเดียช่วงการแถลงข่าวของศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ โฆษก ศบค. ชี้แจงกรณีท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตยังไม่เปิดให้บริการในขณะนี้ว่า มีการพิจารณาจากหลักการประเมินโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มท่าอากาศยานที่อยู่นอกสังกัดบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) ซึ่งไม่พบประวัติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในระยะเวลา 14 วันที่ผ่านมา มีระบบควบคุมโรคที่ได้มาตรฐาน กลุ่มท่าอากาศยานที่อยู่ในสังกัดบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) ซึ่งอยู่ในพื้นที่มีประวัติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มีข้อมูลผู้ป่วยติดเชื้อในระยะเวลา 14 วันที่ผ่านมา มีระบบควบคุมโรคที่ได้มาตรฐาน และกลุ่มท่าอากาศยานที่อยู่ในสังกัดบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) อยู่ในพื้นที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในระดับความเสี่ยงสูง พบประวัติผู้ป่วยติดเชื้อจํานวนมาก ระบบควบคุมยังต้องประเมินอยู่ ซึ่งท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตอยู่ในพื้นที่ที่มีผู้ป่วยติดเชื้อในระยะเวลา 14 วันที่ผ่านมา ดังนั้น ต้องชะลอการเปิดให้บริการไปก่อนจนกว่าจะไม่มีจํานวนผู้ป่วยติดเชื้อเป็นเวลา 14 วัน โฆษก ศบค. ยังเผยหลังการผ่อนคลายมาตรการในระยะที่ 3 ที่มีการอนุญาตให้เดินทางข้ามจังหวัด แต่หลายจังหวัดยังมีมาตรการกักกันที่เข้มงวดเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จากการเดินทางข้ามพื้นที่ทั้งจากต่างประเทศและต่างจังหวัด ประกอบกับ ทุกจังหวัดยังได้รับการกระจายอํานาจในการบริหารภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงทําให้แต่ละจังหวัดมีมาตรการป้องกันที่แตกต่างกันเพื่อความเหมาะสมตามความเห็นของคณะกรรมการโรคติดต่อของจังหวัด ซึ่งสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมผ่านศูนย์ดํารงธรรมของแต่ละจังหวัด โอกาสนี้ โฆษก ศบค. ยังเผยถึงมาตรการควบคุมดูแลของพื้นที่ State Quarantine ที่มีแนวทางในการปฏิบัติอย่างเข้มงวดตั้งแต่ก่อนเข้า ระหว่างกักตัว รวมทั้งการติดตามอย่างต่อเนื่องหลังออกจากสถานที่กักกันว่า สถานที่ State Quarantine ดําเนินงานอย่างเป็นระบบด้วยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เป็นผลให้จํานวนตัวเลขของผู้ป่วยลดน้อยลง ดังนั้น จึงขอยืนยันว่าพื้นที่ State Quarantine มีความปลอดภัย ประชาชนสามารถมั่นใจได้ สําหรับการผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 4 นั้น นายกรัฐมนตรีในฐานะผอ.ศบค. ได้มอบหลักการสําคัญ คือความพร้อมของกิจกรรม/กิจการ การกําหนดมาตรการและแนวทางปฏิบัติทั้งผู้ประกอบการ ผู้ใช้บริการ รวมทั้งแนวทางปฏิบัติดังกล่าวจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในตอนท้าย โฆษก ศบค. ยังได้แนะนําหนังสือ “โลกเปลี่ยน คนปรับ หลุดจากกับดัก ขยับสู่ความยั่งยืน” โดยนาย สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมย้ําว่า ขณะนี้ ยังไม่สามารถหายามารักษาหรือฆ่าโรคได้ทันที ดังนั้น สิ่งสําคัญที่สุดคือการทําให้ร่างกายและสถานที่มีความปลอดภัย .............................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. แจงเหตุชะลอเปิดท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต เพราะอยู่ในพื้นที่มีผู้ป่วยติดเชื้อ 14 วัน ยืนยันผ่อนคลายระยะ 4 ขึ้นกับความพร้อมของผู้ประกอบการ และผู้ใช้บริการ วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563 โฆษก ศบค. แจงเหตุชะลอเปิดท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต เพราะอยู่ในพื้นที่มีผู้ป่วยติดเชื้อ 14 วัน ยืนยันผ่อนคลายระยะ 4 ขึ้นกับความพร้อมของผู้ประกอบการ และผู้ใช้บริการ โฆษก ศบค. แจงเหตุชะลอเปิดท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต เพราะอยู่ในพื้นที่มีผู้ป่วยติดเชื้อ 14 วัน ยืนยันผ่อนคลายระยะ 4 ขึ้นกับความพร้อมของผู้ประกอบการ และผู้ใช้บริการ วันนี้ (5 มิ.ย. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนผ่านโซเชียลมีเดียช่วงการแถลงข่าวของศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ โฆษก ศบค. ชี้แจงกรณีท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตยังไม่เปิดให้บริการในขณะนี้ว่า มีการพิจารณาจากหลักการประเมินโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มท่าอากาศยานที่อยู่นอกสังกัดบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) ซึ่งไม่พบประวัติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในระยะเวลา 14 วันที่ผ่านมา มีระบบควบคุมโรคที่ได้มาตรฐาน กลุ่มท่าอากาศยานที่อยู่ในสังกัดบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) ซึ่งอยู่ในพื้นที่มีประวัติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มีข้อมูลผู้ป่วยติดเชื้อในระยะเวลา 14 วันที่ผ่านมา มีระบบควบคุมโรคที่ได้มาตรฐาน และกลุ่มท่าอากาศยานที่อยู่ในสังกัดบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) อยู่ในพื้นที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในระดับความเสี่ยงสูง พบประวัติผู้ป่วยติดเชื้อจํานวนมาก ระบบควบคุมยังต้องประเมินอยู่ ซึ่งท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตอยู่ในพื้นที่ที่มีผู้ป่วยติดเชื้อในระยะเวลา 14 วันที่ผ่านมา ดังนั้น ต้องชะลอการเปิดให้บริการไปก่อนจนกว่าจะไม่มีจํานวนผู้ป่วยติดเชื้อเป็นเวลา 14 วัน โฆษก ศบค. ยังเผยหลังการผ่อนคลายมาตรการในระยะที่ 3 ที่มีการอนุญาตให้เดินทางข้ามจังหวัด แต่หลายจังหวัดยังมีมาตรการกักกันที่เข้มงวดเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จากการเดินทางข้ามพื้นที่ทั้งจากต่างประเทศและต่างจังหวัด ประกอบกับ ทุกจังหวัดยังได้รับการกระจายอํานาจในการบริหารภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงทําให้แต่ละจังหวัดมีมาตรการป้องกันที่แตกต่างกันเพื่อความเหมาะสมตามความเห็นของคณะกรรมการโรคติดต่อของจังหวัด ซึ่งสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมผ่านศูนย์ดํารงธรรมของแต่ละจังหวัด โอกาสนี้ โฆษก ศบค. ยังเผยถึงมาตรการควบคุมดูแลของพื้นที่ State Quarantine ที่มีแนวทางในการปฏิบัติอย่างเข้มงวดตั้งแต่ก่อนเข้า ระหว่างกักตัว รวมทั้งการติดตามอย่างต่อเนื่องหลังออกจากสถานที่กักกันว่า สถานที่ State Quarantine ดําเนินงานอย่างเป็นระบบด้วยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เป็นผลให้จํานวนตัวเลขของผู้ป่วยลดน้อยลง ดังนั้น จึงขอยืนยันว่าพื้นที่ State Quarantine มีความปลอดภัย ประชาชนสามารถมั่นใจได้ สําหรับการผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 4 นั้น นายกรัฐมนตรีในฐานะผอ.ศบค. ได้มอบหลักการสําคัญ คือความพร้อมของกิจกรรม/กิจการ การกําหนดมาตรการและแนวทางปฏิบัติทั้งผู้ประกอบการ ผู้ใช้บริการ รวมทั้งแนวทางปฏิบัติดังกล่าวจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในตอนท้าย โฆษก ศบค. ยังได้แนะนําหนังสือ “โลกเปลี่ยน คนปรับ หลุดจากกับดัก ขยับสู่ความยั่งยืน” โดยนาย สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมย้ําว่า ขณะนี้ ยังไม่สามารถหายามารักษาหรือฆ่าโรคได้ทันที ดังนั้น สิ่งสําคัญที่สุดคือการทําให้ร่างกายและสถานที่มีความปลอดภัย .............................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31976
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินเยียวยาเดือนที่ 2 แก่เกษตรกรกว่า 7.14 ล้านราย เริ่ม 15 มิ.ย.นี้ [กระทรวงการคลัง]
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563 ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินเยียวยาเดือนที่ 2 แก่เกษตรกรกว่า 7.14 ล้านราย เริ่ม 15 มิ.ย.นี้ [กระทรวงการคลัง] ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินเยียวยาเดือนที่ 2 แก่เกษตรกรกว่า 7.14 ล้านราย เริ่ม 15 มิ.ย.นี้ ธ.ก.ส. เตรียมจ่ายเงินเยียวยาเดือนที่ 2 ให้กับเกษตรกรที่ได้รับโอนเงินในเดือนแรกไปแล้วจํานวนกว่า 7.14 ล้านราย วงเงินกว่า 35,000 ล้านบาท โดยเริ่มโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงตั้งแต่วันที่ 15-21 มิ.ย. 63 นี้ วันละ 1 ล้านราย ส่วนเกษตรกรที่อยู่ระหว่างการอุทธรณ์ การตรวจสอบข้อมูลสถานะและเลขที่บัญชี ธ.ก.ส. พร้อมโอนเงินต่อเนื่องทันทีเมื่อได้รับข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบแล้วจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ตามมติคณะรัฐมนตรี ในเดือนที่ 2 (มิถุนายน 2563) จํานวน 5,000 บาท แก่เกษตรกรที่ได้รับโอนเงินในเดือนแรกไปแล้ว โดยจะทําการตรวจสอบสถานะการมีชีวิตอีกครั้ง จากนั้นจะทยอยโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงตั้งแต่วันที่ 15 -21 มิถุนายน 2563 ต่อเนื่องทุกวันไม่เว้นวันหยุด วันละประมาณ 1 ล้านราย สําหรับเกษตรกรที่อยู่ระหว่างการยื่นอุทธรณ์กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ผู้ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมทั้งเรื่องสถานะและเลขที่บัญชี เมื่อได้รับข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบจาก กษ. แล้ว ธ.ก.ส. จะดําเนินการ โอนเงินต่อเนื่องทันที สําหรับผลการดําเนินงานการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรในเดือนแรก (พฤษภาคม 2563) ธ.ก.ส. ได้โอนเงินให้เกษตรกรไปแล้ว 7,145,330 ราย เป็นเงิน 35,726.65 ล้านบาท จากจํานวนเกษตรกรที่ กษ. ส่งมาให้จํานวน 7,684,132 ราย ทั้งนี้ สาเหตุที่โอนไม่ได้เนื่องจากไม่พบบัญชีเงินฝากหรือบัญชีไม่ถูกต้องจํานวน 165,769 ราย อยู่ระหว่างตรวจสอบบัญชี 148,702 ราย และอยู่ระหว่างการส่งคืนข้อมูลให้ กษ. ตรวจสอบจํานวน 224,331 ราย (ตรวจสอบสถานะจํานวน 132,905 ราย และเป็นข้าราชการจํานวน 91,426 ราย) กรณีผู้ที่มีสิทธิ์รับเงินเยียวยาแต่ไม่ประสงค์รับเงิน สามารถติดต่อหน่วยงานที่ท่านขึ้นทะเบียนเกษตรกรเพื่อแจ้งความประสงค์ไม่รับเงินดังกล่าว ซึ่ง กษ. จะรวบรวมข้อมูลเพื่อแจ้งมายัง ธ.ก.ส. เพื่อดําเนินการต่อไป ในส่วนของเกษตรกรที่ได้รับสิทธิ์ภายหลังการอุทธรณ์กับ กษ. ท่านสามารถแจ้งเลขที่บัญชีเงินฝาก เพื่อรอรับการโอนเงินผ่านทางเว็บไซต์ www.เยียวยาเกษตรกร.comทั้งนี้ จะเป็นบัญชีของธนาคารใดก็ได้ โดยไม่จําเป็นต้องมาเปิดบัญชีใหม่กับ ธ.ก.ส. ซึ่งวิธีที่สะดวกรวดเร็วที่สุดคือควรเป็นบัญชีที่ ผูกพร้อมเพย์กับบัตรประชาชน และท่านสามารถตรวจสอบสถานะการโอนเงินผ่านทางเว็บไซต์ www.เยียวยาเกษตรกร.comได้ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินเยียวยาเดือนที่ 2 แก่เกษตรกรกว่า 7.14 ล้านราย เริ่ม 15 มิ.ย.นี้ [กระทรวงการคลัง] วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563 ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินเยียวยาเดือนที่ 2 แก่เกษตรกรกว่า 7.14 ล้านราย เริ่ม 15 มิ.ย.นี้ [กระทรวงการคลัง] ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินเยียวยาเดือนที่ 2 แก่เกษตรกรกว่า 7.14 ล้านราย เริ่ม 15 มิ.ย.นี้ ธ.ก.ส. เตรียมจ่ายเงินเยียวยาเดือนที่ 2 ให้กับเกษตรกรที่ได้รับโอนเงินในเดือนแรกไปแล้วจํานวนกว่า 7.14 ล้านราย วงเงินกว่า 35,000 ล้านบาท โดยเริ่มโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงตั้งแต่วันที่ 15-21 มิ.ย. 63 นี้ วันละ 1 ล้านราย ส่วนเกษตรกรที่อยู่ระหว่างการอุทธรณ์ การตรวจสอบข้อมูลสถานะและเลขที่บัญชี ธ.ก.ส. พร้อมโอนเงินต่อเนื่องทันทีเมื่อได้รับข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบแล้วจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ตามมติคณะรัฐมนตรี ในเดือนที่ 2 (มิถุนายน 2563) จํานวน 5,000 บาท แก่เกษตรกรที่ได้รับโอนเงินในเดือนแรกไปแล้ว โดยจะทําการตรวจสอบสถานะการมีชีวิตอีกครั้ง จากนั้นจะทยอยโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงตั้งแต่วันที่ 15 -21 มิถุนายน 2563 ต่อเนื่องทุกวันไม่เว้นวันหยุด วันละประมาณ 1 ล้านราย สําหรับเกษตรกรที่อยู่ระหว่างการยื่นอุทธรณ์กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ผู้ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมทั้งเรื่องสถานะและเลขที่บัญชี เมื่อได้รับข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบจาก กษ. แล้ว ธ.ก.ส. จะดําเนินการ โอนเงินต่อเนื่องทันที สําหรับผลการดําเนินงานการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรในเดือนแรก (พฤษภาคม 2563) ธ.ก.ส. ได้โอนเงินให้เกษตรกรไปแล้ว 7,145,330 ราย เป็นเงิน 35,726.65 ล้านบาท จากจํานวนเกษตรกรที่ กษ. ส่งมาให้จํานวน 7,684,132 ราย ทั้งนี้ สาเหตุที่โอนไม่ได้เนื่องจากไม่พบบัญชีเงินฝากหรือบัญชีไม่ถูกต้องจํานวน 165,769 ราย อยู่ระหว่างตรวจสอบบัญชี 148,702 ราย และอยู่ระหว่างการส่งคืนข้อมูลให้ กษ. ตรวจสอบจํานวน 224,331 ราย (ตรวจสอบสถานะจํานวน 132,905 ราย และเป็นข้าราชการจํานวน 91,426 ราย) กรณีผู้ที่มีสิทธิ์รับเงินเยียวยาแต่ไม่ประสงค์รับเงิน สามารถติดต่อหน่วยงานที่ท่านขึ้นทะเบียนเกษตรกรเพื่อแจ้งความประสงค์ไม่รับเงินดังกล่าว ซึ่ง กษ. จะรวบรวมข้อมูลเพื่อแจ้งมายัง ธ.ก.ส. เพื่อดําเนินการต่อไป ในส่วนของเกษตรกรที่ได้รับสิทธิ์ภายหลังการอุทธรณ์กับ กษ. ท่านสามารถแจ้งเลขที่บัญชีเงินฝาก เพื่อรอรับการโอนเงินผ่านทางเว็บไซต์ www.เยียวยาเกษตรกร.comทั้งนี้ จะเป็นบัญชีของธนาคารใดก็ได้ โดยไม่จําเป็นต้องมาเปิดบัญชีใหม่กับ ธ.ก.ส. ซึ่งวิธีที่สะดวกรวดเร็วที่สุดคือควรเป็นบัญชีที่ ผูกพร้อมเพย์กับบัตรประชาชน และท่านสามารถตรวจสอบสถานะการโอนเงินผ่านทางเว็บไซต์ www.เยียวยาเกษตรกร.comได้ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32248
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘บิ๊กอู๋’ จ่อ ขยาย 6 เดือน ตรวจสัญชาติแรงงาน 3 สัญชาติ
วันพุธที่ 20 ธันวาคม 2560 ‘บิ๊กอู๋’ จ่อ ขยาย 6 เดือน ตรวจสัญชาติแรงงาน 3 สัญชาติ รมว.แรงงาน ลงพื้นที่สมุทรปราการ ตรวจตรวจติดตามความคืบหน้ากระบวนการทํางานของศูนย์ออกเอกสารรับรองบุคคลแรงงานเมียนมา กําชับเจ้าหน้าที่บริหารจัดการอํานวยความสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพการทํางาน พร้อมเสนอ ครม. ขยายระยะเวลาการดําเนินการตรวจพิสูจน์สัญชาติเมียนมา กัมพ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน และคณะผู้บริหารกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ศูนย์ออกเอกสารรับรองบุคคลสัญชาติเมียนมาจังหวัดสมุทรปราการ ณ ศูนย์การค้าอิมพีเรียล เวิลด์ สําโรง จ.สมุทรปราการ วันนี้ (20 ธ.ค. 60) เพื่อตรวจติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานตามข้อสั่งการคราวตรวจเยี่ยมศูนย์ออกเอกสารรับรองบุคคลสัญชาติเมียนมา ณ อ.เทพารักษ์ จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 60 ที่มอบหมายให้ นายเชิดศักดิ์ วิสุทธิกุล จัดหางานจังหวัดสมุทรปราการ เป็นผู้รับผิดชอบ ร่วมบูรณาการการทํางานกับทุกหน่วยงานในศูนย์ออกเอกสารรับรองบุคคลสัญชาติ เมียนมาจังหวัดสมุทรปราการ ในการวางระบบการทํางานทั้งหมดและเปลี่ยนสถานที่มาตั้ง ณ ศูนย์ฯ แห่งใหม่ โดย รมว.แรงงาน ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังการตรวจว่า “ศูนย์ออกเอกสารรับรองบุคคลสัญชาติเมียนมาจังหวัดสมุทรปราการ ศูนย์การค้าอิมพีเรียล เวิลด์ สําโรง เป็นศูนย์ฯ ที่ปรับใหม่จากศูนย์ฯ เทพารักษ์ โดยการนําเอาชุดเคลื่อนที่เข้ามาเพิ่ม แล้วจะย้ายเครื่องมือทั้งหมดจากศูนย์ฯ เทพารักษ์ มาที่นี่ทั้งหมด ภายในเดือนมกราคม เพื่อเพิ่มเพิ่มประสิทธิภาพการทํางาน อํานวยความสะดวกแก่นายจ้าง - ลูกจ้าง และสร้างความคล่องตัวแก่ผู้มาใช้บริการให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ซึ่งศูนย์ฯ นี้ สามารถเดินทางมาสะดวกทั้งทางรถยนต์และรถไฟฟ้า จากการตรวจติดตามในวันนี้ พบว่าการจัดระบบดีขึ้น แต่จะปรับให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้ โดยจะต้องมีการใช้บัตรคิวเดียวกันในทุกขั้นตอน จากเดิมใช้เวลาในการดําเนินการ 13-14 ชั่วโมง จะเหลือเพียงไม่เกิน 6 ชั่วโมง นอกจากนี้ กระทรวงแรงงาน จะนําเสนอคณะรัฐมนตรี ให้ขยายระยะเวลาการดําเนินการตรวจพิสูจน์สัญชาติเมียนมา กัมพูชาและลาว ไปอีก 6 เดือน เพื่อยืดหยุ่นให้นายจ้างนําลูกจ้างต่างด้าวที่ยังไม่ได้มาดําเนินการตรวจพิสูจน์สัญชาติ เร่งรีบมาดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กําหนด” ประเสริฐ เอี่ยมดีงามเลิศ และ จิราวรรณ คุณมงคล นายจ้างที่นําลูกจ้างสัญชาติเมียนมา มาตรวจพิสูจน์สัญชาติที่ศูนย์ออกเอกสารรับรองบุคคลสัญชาติเมียนมาจังหวัดสมุทรปราการ ศูนย์การค้าอิมพีเรียล เวิลด์ สําโรง ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “ศูนย์ฯ แห่งนี้ มีความสะดวก สบาย สะอาด ปลอดโปร่ง รวดเร็วกว่าศูนย์เดิมที่เทพารักษ์เป็นอย่างมาก จากที่เดิมใช้เวลาครึ่งวัน ที่นี่ใช้เวลาเพียงเพียง 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น” ทั้งนี้ จากข้อมูลของสํานักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรปราการ ณ วันที่ 18 ธ.ค. 60 พบว่า ผลการดําเนินงานของศูนย์ออกเอกสารรับรองบุคคลสัญชาติเมียนมาจังหวัดสมุทรปราการ สามารถออกหนังสือรับรองบุคคล หรือ CI ให้แก่แรงงานเมียนมา จํานวน 104,270 คน และรวมทุกศูนย์ฯ ทั่วประเทศ จํานวน 861,180 คน คิดเป็น ร้อยละ 70.38 จากแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาทั้งหมด +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ข่าว สมภพ ศีลบุตร ภาพ 20 ธันวาคม 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘บิ๊กอู๋’ จ่อ ขยาย 6 เดือน ตรวจสัญชาติแรงงาน 3 สัญชาติ วันพุธที่ 20 ธันวาคม 2560 ‘บิ๊กอู๋’ จ่อ ขยาย 6 เดือน ตรวจสัญชาติแรงงาน 3 สัญชาติ รมว.แรงงาน ลงพื้นที่สมุทรปราการ ตรวจตรวจติดตามความคืบหน้ากระบวนการทํางานของศูนย์ออกเอกสารรับรองบุคคลแรงงานเมียนมา กําชับเจ้าหน้าที่บริหารจัดการอํานวยความสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพการทํางาน พร้อมเสนอ ครม. ขยายระยะเวลาการดําเนินการตรวจพิสูจน์สัญชาติเมียนมา กัมพ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน และคณะผู้บริหารกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ศูนย์ออกเอกสารรับรองบุคคลสัญชาติเมียนมาจังหวัดสมุทรปราการ ณ ศูนย์การค้าอิมพีเรียล เวิลด์ สําโรง จ.สมุทรปราการ วันนี้ (20 ธ.ค. 60) เพื่อตรวจติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานตามข้อสั่งการคราวตรวจเยี่ยมศูนย์ออกเอกสารรับรองบุคคลสัญชาติเมียนมา ณ อ.เทพารักษ์ จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 60 ที่มอบหมายให้ นายเชิดศักดิ์ วิสุทธิกุล จัดหางานจังหวัดสมุทรปราการ เป็นผู้รับผิดชอบ ร่วมบูรณาการการทํางานกับทุกหน่วยงานในศูนย์ออกเอกสารรับรองบุคคลสัญชาติ เมียนมาจังหวัดสมุทรปราการ ในการวางระบบการทํางานทั้งหมดและเปลี่ยนสถานที่มาตั้ง ณ ศูนย์ฯ แห่งใหม่ โดย รมว.แรงงาน ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังการตรวจว่า “ศูนย์ออกเอกสารรับรองบุคคลสัญชาติเมียนมาจังหวัดสมุทรปราการ ศูนย์การค้าอิมพีเรียล เวิลด์ สําโรง เป็นศูนย์ฯ ที่ปรับใหม่จากศูนย์ฯ เทพารักษ์ โดยการนําเอาชุดเคลื่อนที่เข้ามาเพิ่ม แล้วจะย้ายเครื่องมือทั้งหมดจากศูนย์ฯ เทพารักษ์ มาที่นี่ทั้งหมด ภายในเดือนมกราคม เพื่อเพิ่มเพิ่มประสิทธิภาพการทํางาน อํานวยความสะดวกแก่นายจ้าง - ลูกจ้าง และสร้างความคล่องตัวแก่ผู้มาใช้บริการให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ซึ่งศูนย์ฯ นี้ สามารถเดินทางมาสะดวกทั้งทางรถยนต์และรถไฟฟ้า จากการตรวจติดตามในวันนี้ พบว่าการจัดระบบดีขึ้น แต่จะปรับให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้ โดยจะต้องมีการใช้บัตรคิวเดียวกันในทุกขั้นตอน จากเดิมใช้เวลาในการดําเนินการ 13-14 ชั่วโมง จะเหลือเพียงไม่เกิน 6 ชั่วโมง นอกจากนี้ กระทรวงแรงงาน จะนําเสนอคณะรัฐมนตรี ให้ขยายระยะเวลาการดําเนินการตรวจพิสูจน์สัญชาติเมียนมา กัมพูชาและลาว ไปอีก 6 เดือน เพื่อยืดหยุ่นให้นายจ้างนําลูกจ้างต่างด้าวที่ยังไม่ได้มาดําเนินการตรวจพิสูจน์สัญชาติ เร่งรีบมาดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กําหนด” ประเสริฐ เอี่ยมดีงามเลิศ และ จิราวรรณ คุณมงคล นายจ้างที่นําลูกจ้างสัญชาติเมียนมา มาตรวจพิสูจน์สัญชาติที่ศูนย์ออกเอกสารรับรองบุคคลสัญชาติเมียนมาจังหวัดสมุทรปราการ ศูนย์การค้าอิมพีเรียล เวิลด์ สําโรง ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “ศูนย์ฯ แห่งนี้ มีความสะดวก สบาย สะอาด ปลอดโปร่ง รวดเร็วกว่าศูนย์เดิมที่เทพารักษ์เป็นอย่างมาก จากที่เดิมใช้เวลาครึ่งวัน ที่นี่ใช้เวลาเพียงเพียง 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น” ทั้งนี้ จากข้อมูลของสํานักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรปราการ ณ วันที่ 18 ธ.ค. 60 พบว่า ผลการดําเนินงานของศูนย์ออกเอกสารรับรองบุคคลสัญชาติเมียนมาจังหวัดสมุทรปราการ สามารถออกหนังสือรับรองบุคคล หรือ CI ให้แก่แรงงานเมียนมา จํานวน 104,270 คน และรวมทุกศูนย์ฯ ทั่วประเทศ จํานวน 861,180 คน คิดเป็น ร้อยละ 70.38 จากแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาทั้งหมด +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ข่าว สมภพ ศีลบุตร ภาพ 20 ธันวาคม 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8893
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กบี้”สั่ง กกจ.เร่งเก็บ IRIS SCAN แรงงานต่างด้าวกิจการประมงและแปรรูปสัตว์น้ำ
วันพุธที่ 4 ตุลาคม 2560 “บิ๊กบี้”สั่ง กกจ.เร่งเก็บ IRIS SCAN แรงงานต่างด้าวกิจการประมงและแปรรูปสัตว์น้ํา ‘พล.อ.ศิริชัย’รมว.แรงงาน กําชับ กรมการจัดหางานเร่งรัดสแกนใบหน้าและม่านตาแรงงาน ต่างด้าวในกิจการประมงและแปรรูปสัตว์น้ํา พร้อมเก็บข้อมูลต่างด้าวกว่า 2 แสนคน ให้แล้วเสร็จก่อน 1 พ.ย.60 หวังคลี่คลายปมการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน นายวิวัฒน์ จิระพันธุ์วานิช ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากการที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กําชับให้ทุกกระทรวงสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (ไอยูยู) และปัญหาการค้ามนุษย์ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันเพราะถือเป็นวาระแห่งชาติ และได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงานทําการเก็บข้อมูลด้านอัตลักษณ์ โดยการสแกนใบหน้าและม่านตา (Face and Iris Scan) แรงงานต่างด้าวในกิจการประมงและแปรรูปสัตว์น้ําต่อจากกรมเจ้าท่าโดยกระทรวงแรงงานได้รับเครื่องมือสแกนใบหน้าและม่านตา (Face and Iris Scan) จากกรมเจ้าท่าซึ่งมีการดําเนินการมาก่อนหน้านี้ ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม - 28 กันยายน 2560 ได้จัดเก็บข้อมูลแรงงานต่างด้าวในกิจการประมงไปแล้ว 9,500 คนเพื่อมาดําเนินการต่อด้วยแล้วพร้อมกันนี้พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการให้กรมการจัดหางาน เร่งรัดทําการเก็บข้อมูลด้วยการสแกนใบหน้าและม่านตาแรงงานต่างด้าวในกิจการประมงและแปรรูปสัตว์น้ําที่คงเหลืออยู่ในระบบอีกกว่า 200,000 คนให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 ตามที่กําหนดและในระยะต่อไปจะดําเนินการกับแรงงานต่างด้าวทั้งหมดที่มีอยู่ในประเทศไทยกว่า 3.5 ล้านคน นายวิวัฒน์ กล่าวต่อว่า ในการดําเนินงานให้สําเร็จตามเป้าหมายนั้น จะต้องขอความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นโดยเฉพาะกรมการปกครองที่มีความชํานาญและถือว่าเป็นหน่วยงานหลักในการเก็บข้อมูลบุคคลอยู่แล้ว รวมทั้งสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองที่มีระบบเก็บข้อมูลบุคคลชาวต่างชาติทุกประเทศที่เข้ามาในประเทศไทย ทั้งนี้ การที่จะดําเนินงานให้แล้วเสร็จโดยเร็วได้นั้นจะต้องอาศัยความพร้อมทั้งบุคลากรและเครื่องมือที่เพียงพออีกด้วย ซึ่งกระทรวงแรงงานจะได้ดําเนินการให้บรรลุเป้าหมายให้จงได้ต่อไป ------------------------------------ กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ - ข่าว/ 4 ตุลาคม 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กบี้”สั่ง กกจ.เร่งเก็บ IRIS SCAN แรงงานต่างด้าวกิจการประมงและแปรรูปสัตว์น้ำ วันพุธที่ 4 ตุลาคม 2560 “บิ๊กบี้”สั่ง กกจ.เร่งเก็บ IRIS SCAN แรงงานต่างด้าวกิจการประมงและแปรรูปสัตว์น้ํา ‘พล.อ.ศิริชัย’รมว.แรงงาน กําชับ กรมการจัดหางานเร่งรัดสแกนใบหน้าและม่านตาแรงงาน ต่างด้าวในกิจการประมงและแปรรูปสัตว์น้ํา พร้อมเก็บข้อมูลต่างด้าวกว่า 2 แสนคน ให้แล้วเสร็จก่อน 1 พ.ย.60 หวังคลี่คลายปมการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน นายวิวัฒน์ จิระพันธุ์วานิช ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากการที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กําชับให้ทุกกระทรวงสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (ไอยูยู) และปัญหาการค้ามนุษย์ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันเพราะถือเป็นวาระแห่งชาติ และได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงานทําการเก็บข้อมูลด้านอัตลักษณ์ โดยการสแกนใบหน้าและม่านตา (Face and Iris Scan) แรงงานต่างด้าวในกิจการประมงและแปรรูปสัตว์น้ําต่อจากกรมเจ้าท่าโดยกระทรวงแรงงานได้รับเครื่องมือสแกนใบหน้าและม่านตา (Face and Iris Scan) จากกรมเจ้าท่าซึ่งมีการดําเนินการมาก่อนหน้านี้ ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม - 28 กันยายน 2560 ได้จัดเก็บข้อมูลแรงงานต่างด้าวในกิจการประมงไปแล้ว 9,500 คนเพื่อมาดําเนินการต่อด้วยแล้วพร้อมกันนี้พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการให้กรมการจัดหางาน เร่งรัดทําการเก็บข้อมูลด้วยการสแกนใบหน้าและม่านตาแรงงานต่างด้าวในกิจการประมงและแปรรูปสัตว์น้ําที่คงเหลืออยู่ในระบบอีกกว่า 200,000 คนให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 ตามที่กําหนดและในระยะต่อไปจะดําเนินการกับแรงงานต่างด้าวทั้งหมดที่มีอยู่ในประเทศไทยกว่า 3.5 ล้านคน นายวิวัฒน์ กล่าวต่อว่า ในการดําเนินงานให้สําเร็จตามเป้าหมายนั้น จะต้องขอความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นโดยเฉพาะกรมการปกครองที่มีความชํานาญและถือว่าเป็นหน่วยงานหลักในการเก็บข้อมูลบุคคลอยู่แล้ว รวมทั้งสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองที่มีระบบเก็บข้อมูลบุคคลชาวต่างชาติทุกประเทศที่เข้ามาในประเทศไทย ทั้งนี้ การที่จะดําเนินงานให้แล้วเสร็จโดยเร็วได้นั้นจะต้องอาศัยความพร้อมทั้งบุคลากรและเครื่องมือที่เพียงพออีกด้วย ซึ่งกระทรวงแรงงานจะได้ดําเนินการให้บรรลุเป้าหมายให้จงได้ต่อไป ------------------------------------ กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ - ข่าว/ 4 ตุลาคม 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7174
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันไม่ได้ปกป้อง พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ กรณีเรื่องนาฬิกา ระบุทุกอย่างให้เป็นไปตามกระบวนการตรวจสอบ หากผิกก็ต้องรับผิดชอบ
วันอังคารที่ 23 มกราคม 2561 นายกรัฐมนตรียืนยันไม่ได้ปกป้อง พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ กรณีเรื่องนาฬิกา ระบุทุกอย่างให้เป็นไปตามกระบวนการตรวจสอบ หากผิกก็ต้องรับผิดชอบ นายกรัฐมนตรียืนยันไม่ได้ปกป้อง พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ กรณีเรื่องนาฬิกา ระบุทุกอย่างให้เป็นไปตามกระบวนการตรวจสอบ หากผิกก็ต้องรับผิดชอบ วันนี้ (23 มกราคม 2560) เวลา 13.40 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงความคืบหน้าปัญหาเรื่องนาฬิกาของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่า ขอให้ฟังจากทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งวันนี้จะมีการชี้แจงเพิ่มเติมว่าการดําเนินการไปถึงไหน อย่างไร ทั้งนี้ ขอแยกให้ออกว่ากรณีดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัวของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ โดยเรื่องดังกล่าวมีขั้นตอนและกระบวนการตรวจสอบอยู่แล้วว่าได้มาอย่างไร ได้มาจากไหน เพราะฉะนั้นขอให้รอข้อสรุปจากการสอบสวนก่อน จึงค่อยสรุปแหล่งที่มาของนาฬิกา นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “อยากทําความเข้าใจว่าหลายท่านอยากให้ผมใช้คําสั่งมาตรา 44 ก็ต้องอธิบายว่าที่ผ่านมาผมใช้ในเรื่องของการลงโทษ และที่ทําก็เพราะมีหน่วยงานเสนอขึ้นมา เช่น ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแจ้งขึ้นมาว่ามีการสอบสวนแล้วและมีผลออกมาเช่นนี้เห็นควรให้เอาออกก่อนผมจึงใช้มาตรา 44 ไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ จะไปใช้กับใครก็ได้ ผมก็ต้องระวังตัวเองเช่นกัน กรณีนี้ก็เช่นกันก็ต้องรอฟัง ป.ป.ช.จะเสนอเรื่องขึ้นมา อย่าเอามาพันกันว่าทําไมผมไม่ใช้คําสั่งมาตรา 44 ตรงนี้ แล้วไปใช้กับตรงนั้น อีกประการทุกคนอาจจะลืมไปแล้วว่าเรื่องนี้อะไรเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นความบกพร่องส่วนตัว ก็ว่ากันไปตามกฎหมายซึ่งมีอยู่แล้ว เรื่องไหนเป็นเรื่องการใช้งบประมาณแผ่นดินก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่านําสองเรื่องมาปนกัน ถ้าใช้งบประมาณแผ่นดินแล้วทําให้เกิดความเสียหาย มีหลักฐานชัดเจนก็ว่าไปอีกแบบ ขอให้แยกแยะให้ออก ผมคิดว่าเรื่งนี้ควรจะยุติได้แล้ว ปล่อยให้เป็นเรื่องของ ป.ป.ช.ตรวจสอบตามกระบวนการยุติธรรม” ส่วนกรณีที่สื่อต่างประเทศให้ความสนใจและนําไปเปรียบเทียบในเรื่องมาตรฐานความรับผิดชอบของผู้นําหรือนักการเมืองในต่างประเทศ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “เรื่องนี้ขอชี้แจงกับคนไทยก็แล้วกัน คงไม่ต้องชี้แจงกับต่างประเทศ เพราะทุกอย่างก็มาจากคนไทยที่ขับเคลื่อนออกไป แต่ที่ผ่านมา พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ได้ชี้แจงด้วยตัวเองไปแล้ว” พร้อมกล่าวยืนยันว่าเรื่องนี้ผมไม่ได้ปกป้อง ปิดบังอะไรเลย เป็นเรื่องของกระบวนการตรวจสอบ ขอให้ฟังจากทาง ป.ป.ช.ก็แล้วกัน ผมก็ได้แต่ทําความเข้าใจเท่านั้น ถ้าผิดก็คือผิด ท่านก็รับอยู่แล้วว่าถ้าผิดก็ต้องออกอยู่ดีก็ไปว่ากันตามกฎหมาย แต่ขอให้แยกแยะให้ออกว่าอันไหนใช้งบประมาณของรัฐ อันไหนเป็นเรื่องส่วนตัว ท่านก็ต้องไปแก้ไขในเรื่องส่วนตัวของท่านในกระบวนการยุติธรรมและองค์กรอิสระให้ได้ ----------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันไม่ได้ปกป้อง พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ กรณีเรื่องนาฬิกา ระบุทุกอย่างให้เป็นไปตามกระบวนการตรวจสอบ หากผิกก็ต้องรับผิดชอบ วันอังคารที่ 23 มกราคม 2561 นายกรัฐมนตรียืนยันไม่ได้ปกป้อง พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ กรณีเรื่องนาฬิกา ระบุทุกอย่างให้เป็นไปตามกระบวนการตรวจสอบ หากผิกก็ต้องรับผิดชอบ นายกรัฐมนตรียืนยันไม่ได้ปกป้อง พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ กรณีเรื่องนาฬิกา ระบุทุกอย่างให้เป็นไปตามกระบวนการตรวจสอบ หากผิกก็ต้องรับผิดชอบ วันนี้ (23 มกราคม 2560) เวลา 13.40 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงความคืบหน้าปัญหาเรื่องนาฬิกาของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่า ขอให้ฟังจากทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งวันนี้จะมีการชี้แจงเพิ่มเติมว่าการดําเนินการไปถึงไหน อย่างไร ทั้งนี้ ขอแยกให้ออกว่ากรณีดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัวของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ โดยเรื่องดังกล่าวมีขั้นตอนและกระบวนการตรวจสอบอยู่แล้วว่าได้มาอย่างไร ได้มาจากไหน เพราะฉะนั้นขอให้รอข้อสรุปจากการสอบสวนก่อน จึงค่อยสรุปแหล่งที่มาของนาฬิกา นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “อยากทําความเข้าใจว่าหลายท่านอยากให้ผมใช้คําสั่งมาตรา 44 ก็ต้องอธิบายว่าที่ผ่านมาผมใช้ในเรื่องของการลงโทษ และที่ทําก็เพราะมีหน่วยงานเสนอขึ้นมา เช่น ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแจ้งขึ้นมาว่ามีการสอบสวนแล้วและมีผลออกมาเช่นนี้เห็นควรให้เอาออกก่อนผมจึงใช้มาตรา 44 ไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ จะไปใช้กับใครก็ได้ ผมก็ต้องระวังตัวเองเช่นกัน กรณีนี้ก็เช่นกันก็ต้องรอฟัง ป.ป.ช.จะเสนอเรื่องขึ้นมา อย่าเอามาพันกันว่าทําไมผมไม่ใช้คําสั่งมาตรา 44 ตรงนี้ แล้วไปใช้กับตรงนั้น อีกประการทุกคนอาจจะลืมไปแล้วว่าเรื่องนี้อะไรเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นความบกพร่องส่วนตัว ก็ว่ากันไปตามกฎหมายซึ่งมีอยู่แล้ว เรื่องไหนเป็นเรื่องการใช้งบประมาณแผ่นดินก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่านําสองเรื่องมาปนกัน ถ้าใช้งบประมาณแผ่นดินแล้วทําให้เกิดความเสียหาย มีหลักฐานชัดเจนก็ว่าไปอีกแบบ ขอให้แยกแยะให้ออก ผมคิดว่าเรื่งนี้ควรจะยุติได้แล้ว ปล่อยให้เป็นเรื่องของ ป.ป.ช.ตรวจสอบตามกระบวนการยุติธรรม” ส่วนกรณีที่สื่อต่างประเทศให้ความสนใจและนําไปเปรียบเทียบในเรื่องมาตรฐานความรับผิดชอบของผู้นําหรือนักการเมืองในต่างประเทศ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “เรื่องนี้ขอชี้แจงกับคนไทยก็แล้วกัน คงไม่ต้องชี้แจงกับต่างประเทศ เพราะทุกอย่างก็มาจากคนไทยที่ขับเคลื่อนออกไป แต่ที่ผ่านมา พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ได้ชี้แจงด้วยตัวเองไปแล้ว” พร้อมกล่าวยืนยันว่าเรื่องนี้ผมไม่ได้ปกป้อง ปิดบังอะไรเลย เป็นเรื่องของกระบวนการตรวจสอบ ขอให้ฟังจากทาง ป.ป.ช.ก็แล้วกัน ผมก็ได้แต่ทําความเข้าใจเท่านั้น ถ้าผิดก็คือผิด ท่านก็รับอยู่แล้วว่าถ้าผิดก็ต้องออกอยู่ดีก็ไปว่ากันตามกฎหมาย แต่ขอให้แยกแยะให้ออกว่าอันไหนใช้งบประมาณของรัฐ อันไหนเป็นเรื่องส่วนตัว ท่านก็ต้องไปแก้ไขในเรื่องส่วนตัวของท่านในกระบวนการยุติธรรมและองค์กรอิสระให้ได้ ----------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9568
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. ประกาศหลักเกณฑ์รับคืนตั๋ว - เลื่อนการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ สำหรับประชาชนที่จองตั๋วโดยสารล่วงหน้า เริ่มวันที่ 25 มีนาคมที่จะถึงนี้ [กระทรวงคมนาคม]
วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม 2563 บขส. ประกาศหลักเกณฑ์รับคืนตั๋ว - เลื่อนการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ สําหรับประชาชนที่จองตั๋วโดยสารล่วงหน้า เริ่มวันที่ 25 มีนาคมที่จะถึงนี้ [กระทรวงคมนาคม] บขส. ประกาศหลักเกณฑ์รับคืนตั๋ว - เลื่อนการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ สําหรับประชาชนที่จองตั๋วโดยสารล่วงหน้า เริ่มวันที่ 25 มีนาคมที่จะถึงนี้ นายจิรศักดิ์ เยาว์วัชสกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.) เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทฯ ได้เปิดให้ประชาชนที่จองตั๋วรถโดยสารของ บขส. ล่วงหน้า เดินทางในระหว่างวันที่ 1 – 30 เมษายน 2563 สามารถขอคืนตั๋ว และเลื่อนตั๋วเดินทางได้ 90 วัน จากช่วงเดือนเมษายน 2563 เป็นเดือนกรกฎาคม 2563 โดยไม่หักค่าธรรมเนียม ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร บริษัทฯ ได้กําหนดหลักเกณฑ์ ดังนี้ ผู้โดยสารที่ประสงค์เลื่อนการเดินทาง สามารถขอเลื่อนตั๋วได้ 90 วัน โดยต้องนําตั๋วหรือสลิปชําระเงิน ไปขอเลื่อนการเดินทางต่อพนักงานขายตั๋วก่อนเวลารถออกล่วงหน้า 1 วัน มิฉะนั้นจะถือว่าสละสิทธิ์ และเมื่อเลื่อนการเดินทางแล้วไม่สามารถคืนตั๋วได้ การคืนตั๋วโดยสาร ผู้โดยสารต้องนําตั๋วหรือสลิปชําระเงิน ไปขอคืนต่อพนักงานขายตั๋ว ก่อนเวลารถออกล่วงหน้า 1 วัน มิฉะนั้นจะถือว่าสละสิทธิ์ ผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วเดินทางโดยใช้สิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และชําระเงินส่วนต่างเกินจากสิทธิที่ได้รับจํานวน 500 บาท ให้ยื่นคําร้องขอคืนเงินค่าโดยสาร ณ ช่องจําหน่ายตั๋ว ของ บขส. โดยบริษัทฯ จะใช้เวลาตรวจสอบข้อมูล 15 วัน จากนั้นจะโอนเงินส่วนที่ชําระเกินเข้าบัญชีของผู้ยื่นคําร้องต่อไป ทั้งนี้ผู้โดยสารสามารถติดต่อขอคืนตั๋วและเลื่อนการเดินทาง ได้ที่ช่องจําหน่ายตั๋ว บขส.ทุกแห่งทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมโทรCall Center 1490เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง ............................... งานกิจกรรมพิเศษและสื่อมวลชน กองสื่อสารองคฺกรและการตลาด สํานักอํานวยการ บริษัท ขนส่ง จํากัด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. ประกาศหลักเกณฑ์รับคืนตั๋ว - เลื่อนการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ สำหรับประชาชนที่จองตั๋วโดยสารล่วงหน้า เริ่มวันที่ 25 มีนาคมที่จะถึงนี้ [กระทรวงคมนาคม] วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม 2563 บขส. ประกาศหลักเกณฑ์รับคืนตั๋ว - เลื่อนการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ สําหรับประชาชนที่จองตั๋วโดยสารล่วงหน้า เริ่มวันที่ 25 มีนาคมที่จะถึงนี้ [กระทรวงคมนาคม] บขส. ประกาศหลักเกณฑ์รับคืนตั๋ว - เลื่อนการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ สําหรับประชาชนที่จองตั๋วโดยสารล่วงหน้า เริ่มวันที่ 25 มีนาคมที่จะถึงนี้ นายจิรศักดิ์ เยาว์วัชสกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.) เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทฯ ได้เปิดให้ประชาชนที่จองตั๋วรถโดยสารของ บขส. ล่วงหน้า เดินทางในระหว่างวันที่ 1 – 30 เมษายน 2563 สามารถขอคืนตั๋ว และเลื่อนตั๋วเดินทางได้ 90 วัน จากช่วงเดือนเมษายน 2563 เป็นเดือนกรกฎาคม 2563 โดยไม่หักค่าธรรมเนียม ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร บริษัทฯ ได้กําหนดหลักเกณฑ์ ดังนี้ ผู้โดยสารที่ประสงค์เลื่อนการเดินทาง สามารถขอเลื่อนตั๋วได้ 90 วัน โดยต้องนําตั๋วหรือสลิปชําระเงิน ไปขอเลื่อนการเดินทางต่อพนักงานขายตั๋วก่อนเวลารถออกล่วงหน้า 1 วัน มิฉะนั้นจะถือว่าสละสิทธิ์ และเมื่อเลื่อนการเดินทางแล้วไม่สามารถคืนตั๋วได้ การคืนตั๋วโดยสาร ผู้โดยสารต้องนําตั๋วหรือสลิปชําระเงิน ไปขอคืนต่อพนักงานขายตั๋ว ก่อนเวลารถออกล่วงหน้า 1 วัน มิฉะนั้นจะถือว่าสละสิทธิ์ ผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วเดินทางโดยใช้สิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และชําระเงินส่วนต่างเกินจากสิทธิที่ได้รับจํานวน 500 บาท ให้ยื่นคําร้องขอคืนเงินค่าโดยสาร ณ ช่องจําหน่ายตั๋ว ของ บขส. โดยบริษัทฯ จะใช้เวลาตรวจสอบข้อมูล 15 วัน จากนั้นจะโอนเงินส่วนที่ชําระเกินเข้าบัญชีของผู้ยื่นคําร้องต่อไป ทั้งนี้ผู้โดยสารสามารถติดต่อขอคืนตั๋วและเลื่อนการเดินทาง ได้ที่ช่องจําหน่ายตั๋ว บขส.ทุกแห่งทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมโทรCall Center 1490เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง ............................... งานกิจกรรมพิเศษและสื่อมวลชน กองสื่อสารองคฺกรและการตลาด สํานักอํานวยการ บริษัท ขนส่ง จํากัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27632
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกประกาศข้อแนะนำคุณลักษณะผ้าที่ใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัยสำหรับประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพื่อประโยชน์ในการสน
วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563 กระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกประกาศข้อแนะนําคุณลักษณะผ้าที่ใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัยสําหรับประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพื่อประโยชน์ในการสน กระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกประกาศข้อแนะนําคุณลักษณะผ้าที่ใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัยสําหรับประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพื่อประโยชน์ในการสน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกประกาศข้อแนะนำคุณลักษณะผ้าที่ใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัยสำหรับประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพื่อประโยชน์ในการสน วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563 กระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกประกาศข้อแนะนําคุณลักษณะผ้าที่ใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัยสําหรับประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพื่อประโยชน์ในการสน กระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกประกาศข้อแนะนําคุณลักษณะผ้าที่ใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัยสําหรับประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพื่อประโยชน์ในการสน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ยุติธรรม รับเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากประชาชน
วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม 2560 ก.ยุติธรรม รับเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากประชาชน พันตํารวจเอกดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้รับเรื่องราวขอความเป็นธรรมจากประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อน เมื่อวันอังคารที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๑.๒๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ พันตํารวจเอกดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้รับเรื่องราวขอความเป็นธรรมจากประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อน จาก นายวิทยา มีดี พร้อมด้วยตัวแทนชาวบ้านจากจังหวัดนครพนม สกลนคร ร้อยเอ็ด ชัยภูมิ และสระบุรี ร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม กรณีได้รับความเดือดร้อนจากนายทุนเงินกู้นอกระบบ และการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกําหนด โดยมี พันตํารวจโทวิชัย สุวรรณประเสริฐ เลขานุการศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม นายอินทราวุธ สมมาตร หัวหน้าศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรม จะพิจารณาแนวทางในการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนดังกล่าวต่อไป ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ยุติธรรม รับเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากประชาชน วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม 2560 ก.ยุติธรรม รับเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากประชาชน พันตํารวจเอกดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้รับเรื่องราวขอความเป็นธรรมจากประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อน เมื่อวันอังคารที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๑.๒๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ พันตํารวจเอกดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้รับเรื่องราวขอความเป็นธรรมจากประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อน จาก นายวิทยา มีดี พร้อมด้วยตัวแทนชาวบ้านจากจังหวัดนครพนม สกลนคร ร้อยเอ็ด ชัยภูมิ และสระบุรี ร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม กรณีได้รับความเดือดร้อนจากนายทุนเงินกู้นอกระบบ และการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกําหนด โดยมี พันตํารวจโทวิชัย สุวรรณประเสริฐ เลขานุการศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม นายอินทราวุธ สมมาตร หัวหน้าศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรม จะพิจารณาแนวทางในการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนดังกล่าวต่อไป ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3649
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. ออมสินฯ เป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้จากคณะบุคคลขององค์กรภาครัฐและเอกชน
วันพุธที่ 18 มกราคม 2560 รมต.นร. ออมสินฯ เป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้จากคณะบุคคลขององค์กรภาครัฐและเอกชน นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้จากคณะบุคคลขององค์กรภาครัฐและเอกชนจํานวน 4 คณะ วันนี้ (18 มกราคม 2560) เวลา 10.00 น. ณ บริเวณด้านหน้าอาคารสํานักงานปลัดสํานันายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้จากคณะบุคคลขององค์กรภาครัฐและเอกชนจํานวน 4 คณะ โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้แทนรัฐบาลได้รับมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้จากคณะต่าง ๆ ดังกล่าว พร้อมได้กล่าวขอบคุณคณะบุคคลของภาครัฐและเอกชนที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันมาบริจาคเงินในครั้งนี้ ซึ่งทางรัฐบาลจะได้นําเงินไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมในภาคใต้ตามเจตนารมณ์ของผู้บริจาคโดยเร่งด่วนต่อไป โดยในวันที่ 26 มกราคม 2560 นี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะจะเดินทางไปตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจพี่น้องประชาชนและมอบเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ ในส่วนพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ นายกรัฐมนตรีจะมอบเงินช่วยเหลือผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อนําไปมอบต่อให้ตัวแทนผู้เสียชีวิตต่อไป อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ทั้ง 3 เหล่าทัพและตํารวจตลอดจนทุกกระทรวงได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วยเหลือประชาชนตั้งแต่ประสบภัยน้ําท่วมแล้ว ซึ่งประชาชนในทุกจังหวัดได้รับความช่วยเหลือทันต่อสถานการณ์โดยรัฐบาลกระจายงบประมาณผ่านกระทรวงมหาดไทยไปจังหวัดละ 100 ล้านบาท หากงบประมาณมีการขาดเหลือมากน้อยเพียงใด ทุกจังหวัดสามารถยื่นหนังสือขอเงินช่วยเหลือมายังกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรีได้ตามระเบียบที่กําหนดไว้ได้ ในส่วนสิ่งของบริจาคจากพี่น้องประชาชนนั้น ได้แจ้งถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบอยู่เช่น อสมท. หรือหน่วยงานต่าง ๆ นั้น ให้ดําเนินการจัดส่งสิ่งของบริจาคต่าง ๆ ผ่านบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) โดยดําเนินการจัดส่งให้ไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ รัฐบาลได้จัดตั้ง “ศูนย์ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้” ขึ้น ณ สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล เพื่อเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมเงินบริจาคของพี่น้องประชาชนทั่วประเทศจัดส่งให้จังหวัดหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนําไปบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ โดยประชาชนในทุกภาคส่วนที่ประสงค์จะช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนในครั้งนี้สามารถบริจาคเงินเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีได้ โดยโอนเงินเข้าที่บัญชีธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) สาขาทําเนียบรัฐบาล เลขที่บัญชี 067-0-06895-0 โดยผู้ที่ร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยดังกล่าว สามารถนําใบเสร็จรับเงินการบริจาคฯ มาลดหย่อนภาษีได้ด้วย อนึ่ง รายนามตัวแทนคณะบุคคลจากองค์กรภาครัฐและและภาคเอกชนที่มาบริจาคฯ จํานวน 4 คณะ มีดังนี้ 1. กลุ่มสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จํานวนเงิน 1,000,000 บาท 2. กลุ่มสถาบันยุทธศาสตร์เชิงบวกและกลุ่มพากเพียร จํานวนเงิน 200,000 บาท 3. กลุ่มบริษัท เชอรา ซี – เคียว จํากัด จํานวนเงิน 100,000 บาท 4. กลุ่มศิษย์เก่าวิทยาลัยเทคนิคนราธิวาส ปี 2527 จํานวนเงิน 20,000 บาท สรุปยอดเงินที่คณะบุคคลขององค์กรภาครัฐและเอกชนที่บริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้จํานวน 4 คณะ ยอดเงินรวม 1,330,000 บาท ************************************* กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. ออมสินฯ เป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้จากคณะบุคคลขององค์กรภาครัฐและเอกชน วันพุธที่ 18 มกราคม 2560 รมต.นร. ออมสินฯ เป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้จากคณะบุคคลขององค์กรภาครัฐและเอกชน นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้จากคณะบุคคลขององค์กรภาครัฐและเอกชนจํานวน 4 คณะ วันนี้ (18 มกราคม 2560) เวลา 10.00 น. ณ บริเวณด้านหน้าอาคารสํานักงานปลัดสํานันายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้จากคณะบุคคลขององค์กรภาครัฐและเอกชนจํานวน 4 คณะ โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้แทนรัฐบาลได้รับมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้จากคณะต่าง ๆ ดังกล่าว พร้อมได้กล่าวขอบคุณคณะบุคคลของภาครัฐและเอกชนที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันมาบริจาคเงินในครั้งนี้ ซึ่งทางรัฐบาลจะได้นําเงินไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมในภาคใต้ตามเจตนารมณ์ของผู้บริจาคโดยเร่งด่วนต่อไป โดยในวันที่ 26 มกราคม 2560 นี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะจะเดินทางไปตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจพี่น้องประชาชนและมอบเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ ในส่วนพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ นายกรัฐมนตรีจะมอบเงินช่วยเหลือผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อนําไปมอบต่อให้ตัวแทนผู้เสียชีวิตต่อไป อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ทั้ง 3 เหล่าทัพและตํารวจตลอดจนทุกกระทรวงได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วยเหลือประชาชนตั้งแต่ประสบภัยน้ําท่วมแล้ว ซึ่งประชาชนในทุกจังหวัดได้รับความช่วยเหลือทันต่อสถานการณ์โดยรัฐบาลกระจายงบประมาณผ่านกระทรวงมหาดไทยไปจังหวัดละ 100 ล้านบาท หากงบประมาณมีการขาดเหลือมากน้อยเพียงใด ทุกจังหวัดสามารถยื่นหนังสือขอเงินช่วยเหลือมายังกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรีได้ตามระเบียบที่กําหนดไว้ได้ ในส่วนสิ่งของบริจาคจากพี่น้องประชาชนนั้น ได้แจ้งถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบอยู่เช่น อสมท. หรือหน่วยงานต่าง ๆ นั้น ให้ดําเนินการจัดส่งสิ่งของบริจาคต่าง ๆ ผ่านบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) โดยดําเนินการจัดส่งให้ไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ รัฐบาลได้จัดตั้ง “ศูนย์ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้” ขึ้น ณ สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล เพื่อเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมเงินบริจาคของพี่น้องประชาชนทั่วประเทศจัดส่งให้จังหวัดหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนําไปบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ โดยประชาชนในทุกภาคส่วนที่ประสงค์จะช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนในครั้งนี้สามารถบริจาคเงินเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีได้ โดยโอนเงินเข้าที่บัญชีธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) สาขาทําเนียบรัฐบาล เลขที่บัญชี 067-0-06895-0 โดยผู้ที่ร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยดังกล่าว สามารถนําใบเสร็จรับเงินการบริจาคฯ มาลดหย่อนภาษีได้ด้วย อนึ่ง รายนามตัวแทนคณะบุคคลจากองค์กรภาครัฐและและภาคเอกชนที่มาบริจาคฯ จํานวน 4 คณะ มีดังนี้ 1. กลุ่มสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จํานวนเงิน 1,000,000 บาท 2. กลุ่มสถาบันยุทธศาสตร์เชิงบวกและกลุ่มพากเพียร จํานวนเงิน 200,000 บาท 3. กลุ่มบริษัท เชอรา ซี – เคียว จํากัด จํานวนเงิน 100,000 บาท 4. กลุ่มศิษย์เก่าวิทยาลัยเทคนิคนราธิวาส ปี 2527 จํานวนเงิน 20,000 บาท สรุปยอดเงินที่คณะบุคคลขององค์กรภาครัฐและเอกชนที่บริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้จํานวน 4 คณะ ยอดเงินรวม 1,330,000 บาท ************************************* กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1395
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดสุราษฎร์ธานี
วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน 2562 นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดสุราษฎร์ธานี นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดสุราษฎร์ธานี ศาสตราจารย์นฤมลภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะจะเดินทางไปตรวจราชการและพบปะประชาชน จังหวัดนครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี ในวันศุกร์ที่ 13 กันยายน 2562 โดยช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีและคณะจะเดินทางไปยังจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อตรวจติดตามพื้นที่ก่อสร้าง ปตร.กม. 9+200 คลองท่าเรือ – หัวตรุดในโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชอันเนื่องมาจากพระราชดําริ ซึ่งเป็นหนึ่งโครงการที่รัฐบาลให้ความสําคัญในการแก้ปัญหาบรรเทาอุทกภัยในเขตเมืองนครศรีธรรมราชและพื้นที่ใกล้เคียง จากนั้น นายกรัฐมนตรีจะเดินทางต่อไปยังโรงเรียนสาธิตองค์การบริหารส่วนจังหวัด1 เพื่อพบปะประชาชนและนักเรียน พร้อมกับมอบอุปกรณ์ส่งเสริมอาชีพให้แก่ผู้สูงอายุและมอบอุปกรณ์การเรียนแก่นักเรียน ก่อนจะออกเดินทางไปยังวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เพื่อสักการะพระบรมธาตุเจดีย์ ซึ่งเป็นศาสนสถานสําคัญคู่บ้านคู่เมืองของชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีและคณะ เดินทางต่อไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อเยี่ยมชมการดําเนินงานของวิทยาลัยอาชีวศึกษาภาวนาโพธิคุณ ซึ่งเป็นวิทยาลัยอาชีวศึกษาเพื่อการกุศลจัดการศึกษาระดับอาชีวศึกษาเพื่อตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการ ซึ่งนักศึกษาไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย โดยนายกรัฐมนตรีจะเยี่ยมชมแปลงเกษตร ฟาร์มไก่ และเข้ากราบนมัสการพระภาวนาโพธิคุณ เจ้าอาวาสวัดธารน้ําไหล จากนั้นจะเดินทางต่อไปยังสถานีสูบน้ําปลายคลองเฉวง (CP1) เพื่อดูการทํางานของระบบน้ําของสถานีสูบน้ําปลายคลอง (CP1) ต่อด้วยการเป็นประธานเปิดงาน “เทศกาลท่องเที่ยวเกาะสมุย ครั้งที่ 4 : Samui Festival 2019” ณ บริเวณลานพลุเฉวง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาะสมุย ............................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดสุราษฎร์ธานี วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน 2562 นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดสุราษฎร์ธานี นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดสุราษฎร์ธานี ศาสตราจารย์นฤมลภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะจะเดินทางไปตรวจราชการและพบปะประชาชน จังหวัดนครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี ในวันศุกร์ที่ 13 กันยายน 2562 โดยช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีและคณะจะเดินทางไปยังจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อตรวจติดตามพื้นที่ก่อสร้าง ปตร.กม. 9+200 คลองท่าเรือ – หัวตรุดในโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชอันเนื่องมาจากพระราชดําริ ซึ่งเป็นหนึ่งโครงการที่รัฐบาลให้ความสําคัญในการแก้ปัญหาบรรเทาอุทกภัยในเขตเมืองนครศรีธรรมราชและพื้นที่ใกล้เคียง จากนั้น นายกรัฐมนตรีจะเดินทางต่อไปยังโรงเรียนสาธิตองค์การบริหารส่วนจังหวัด1 เพื่อพบปะประชาชนและนักเรียน พร้อมกับมอบอุปกรณ์ส่งเสริมอาชีพให้แก่ผู้สูงอายุและมอบอุปกรณ์การเรียนแก่นักเรียน ก่อนจะออกเดินทางไปยังวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เพื่อสักการะพระบรมธาตุเจดีย์ ซึ่งเป็นศาสนสถานสําคัญคู่บ้านคู่เมืองของชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีและคณะ เดินทางต่อไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อเยี่ยมชมการดําเนินงานของวิทยาลัยอาชีวศึกษาภาวนาโพธิคุณ ซึ่งเป็นวิทยาลัยอาชีวศึกษาเพื่อการกุศลจัดการศึกษาระดับอาชีวศึกษาเพื่อตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการ ซึ่งนักศึกษาไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย โดยนายกรัฐมนตรีจะเยี่ยมชมแปลงเกษตร ฟาร์มไก่ และเข้ากราบนมัสการพระภาวนาโพธิคุณ เจ้าอาวาสวัดธารน้ําไหล จากนั้นจะเดินทางต่อไปยังสถานีสูบน้ําปลายคลองเฉวง (CP1) เพื่อดูการทํางานของระบบน้ําของสถานีสูบน้ําปลายคลอง (CP1) ต่อด้วยการเป็นประธานเปิดงาน “เทศกาลท่องเที่ยวเกาะสมุย ครั้งที่ 4 : Samui Festival 2019” ณ บริเวณลานพลุเฉวง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาะสมุย ............................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23021
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยนายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนดูแลและให้ข้อมูลประชาชนในช่วงหน้าฝนนี้
วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2560 ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยนายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนดูแลและให้ข้อมูลประชาชนในช่วงหน้าฝนนี้ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผยนายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนดูแลและให้ข้อมูลประชาชนในช่วงหน้าฝน เพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูลที่ถูกต้องและเตรียมพร้อมรับกับสถานการณ์ วันนี้ ( 10 ต.ค. 60 ) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พันเอกหญิงทักษดา สังขจันทร์ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยต่อประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์ฝนตกในช่วงนี้ว่า ขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนการในการดูแลประชาชนให้พร้อมรับกับที่สถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น รวมทั้ง ชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ําและฝนที่จะตกผ่านตัววิ่งทางสถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องทุกวัน เพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูลที่ถูกต้องและเตรียมการในการเดินทางสัญจรเป็นไปด้วยความสะดวกและทันกับสถานการณ์ ป้องกันการเกิดปัญหาความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น ---------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยนายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนดูแลและให้ข้อมูลประชาชนในช่วงหน้าฝนนี้ วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2560 ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยนายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนดูแลและให้ข้อมูลประชาชนในช่วงหน้าฝนนี้ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผยนายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนดูแลและให้ข้อมูลประชาชนในช่วงหน้าฝน เพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูลที่ถูกต้องและเตรียมพร้อมรับกับสถานการณ์ วันนี้ ( 10 ต.ค. 60 ) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พันเอกหญิงทักษดา สังขจันทร์ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยต่อประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์ฝนตกในช่วงนี้ว่า ขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนการในการดูแลประชาชนให้พร้อมรับกับที่สถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น รวมทั้ง ชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ําและฝนที่จะตกผ่านตัววิ่งทางสถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องทุกวัน เพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูลที่ถูกต้องและเตรียมการในการเดินทางสัญจรเป็นไปด้วยความสะดวกและทันกับสถานการณ์ ป้องกันการเกิดปัญหาความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น ---------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7309
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม..พล.อ.อ.ประจินฯ ลงพื้นที่ติดตามงานวิสาหกิจชุมชนและเน็ตประชารัฐ
วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม 2560 รอง นรม..พล.อ.อ.ประจินฯ ลงพื้นที่ติดตามงานวิสาหกิจชุมชนและเน็ตประชารัฐ รอง นรม..พล.อ.อ.ประจินฯ ลงพื้นที่ติดตามงานวิสาหกิจชุมชนและเน็ตประชารัฐ เพื่อลงพื้นที่ตรวจติดตามงานในกํากับดูแลเรื่องวิสาหกิจชุมชนและเน็ตประชารัฐ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2560 เวลา 14.30 น. พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะ ได้เดินทางไปยังจังหวัดพิจิตร เพื่อลงพื้นที่ตรวจติดตามงานในกํากับดูแลเรื่องวิสาหกิจชุมชนและเน็ตประชารัฐ รองนายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางไปถึงที่ทําการวิสาหกิจชุมชนส้มโอแก้วสี่รส หมู่ที่ 9 ตําบลโพธิ์ประทับช้าง อําเภอโพธิ์ประทับช้าง นายวีระศักดิ์ วิจิตรแสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ได้กล่าวต้อนรับ จากนั้น นางพิชชาญา พลสว่าง กรรมการผู้แทนวิสาหกิจชุมชนระดับประเทศได้บรรยายสรุปการดําเนินงานและความสําเร็จของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนจังหวัดพิจิตร พร้อมทั้งนําคณะรองนายกรัฐมนตรีเข้าชมกระบวนการผลิตส้มโอแก้วสี่รส ซึ่งเป็นเจ้าแรกของประเทศไทย เสร็จแล้วคณะได้เดินทางต่อไปยังวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกล้วยกวนแม่จํานง ซึ่งอยู่ที่หมู่ที่ 3 ตําบลโพธิ์ประทับช้าง อําเภอโพธิ์ประทับช้าง ทั้งนี้ โดยวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกล้วยกวนแม่จํานงได้ดําเนินการตามโครงการเพิ่มสมรรถนะด้านการบริหารและจัดการพลังงานครบวงจรในชุมชนระดับตําบลและวิสาหกิจชุมชน (SMEs) ภายใต้ชื่อ โครงการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุนทางด้านพลังงาน โดยมีสํานักงานพลังงานจังหวัดพิจิตร วิสาหกิจชุมชนกลุ่มกล้วยกวนแม่จํานง อาสาสมัครพลังงานและคณะทํางานโครงการฯ ได้ร่วมกันศึกษาและวิเคราะห์ถึงแนวทางการดําเนินการคัดเลือกเทคโนโลยีที่มีความเหมาะสม ที่จะนํามาส่งเสริมการใช้งานกับกระบวนการผลิตกล้วยกวนและส้มโอกวน โดยมีความเห็นร่วมกันที่จะนํา ”เตาเศรษฐกิจประยุกต์”และ”เตาแก๊สชีวมวล” มาใช้งานแทนเตาฟืนแบบชุมชนสร้างเองและเตาแก๊ส LPG เพื่อช่วยลดต้นทุนทางด้านพลังงาน โดยไม่เกิดความยุ่งยากต่อการใช้งานและมีความสอดคล้องกับศักยภาพวัตถุดิบที่นํามาใช้ ให้เกิดประโยชน์ทางด้านพลังงานซึ่งมีอยู่ในพื้นที่เป็นจํานวนมาก คือ เศษกิ่งส้มโอและเศษกิ่งไม้ยูคาลิปตัส ซึ่งจะทําให้การใช้เทคโนโลยีเกิดความยั่งยืนและสามารถขยายผลให้กับกลุ่มวิสาหกิจที่มีการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตที่ใกล้เคียงกันได้ต่อไปในอนาคตอีกด้วย โดยวิสาหกิจกลุ่มกล้วยกวนแม่จํานงเคยได้รับรางวัล “สุดยอดคนพลังงาน ปี 60” สาขาวิสาหกิจลดการใช้พลังงานยอดเยี่ยมในระดับประเทศ ในการนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความชื่นชมในวิสาหกิจชุมชนของจังหวัดพิจิตรและกล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย โดยการสนับสนุนงบประมาณเพื่อจัดตั้งกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน 3,500 ล้านบาท พร้อมทั้งเตรียมการจัดงานส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนให้เป็นที่รู้จักในปี 2561 โดยจะเป็นการจัดงานใหญ่ ในส่วนกลางที่กรุงเทพมหานคร โดยรัฐบาลจะได้ผลักดันวิสาหกิจชุมชนให้เป็นที่รับรู้ ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศต่อไป ต่อมาในเวลา 16.00 น. คณะของรองนายกรัฐมนตรีได้เดินทางต่อไปยังหมู่ที่ 2 บ้านโนนป่าแดง ตําบลหนองหลุม อําเภอวชิรบารมี เพื่อติดตามโครงการเน็ตประชารัฐ ซึ่งเป็นโครงการสําคัญของรัฐบาล เพื่อสร้างโอกาส สร้างรายได้ ให้กับพี่น้องประชาชนในท้องถิ่น โดยในส่วนของบ้านโนนป่าแดงได้มี การดําเนินการทางด้านเน็ตประชารัฐเรียบร้อยแล้ว ทําให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้รับการขยายโอกาส ในเรื่องต่างๆ ได้แก่ การพัฒนาเปิดโลกกว้าง การพัฒนาการเรียนการสอนให้กับชุมชน การพัฒนา ด้านสาธารณสุขเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับชุมชน ตลอดจนจะเป็นการใช้ประโยชน์ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและการใช้ประโยชน์จากข้อมูลตั้งแต่การประกอบอาชีพการเรียนรู้ การค้าขาย เพื่อลดต้นทุนเพิ่มผลผลิตไปจนถึงการเพิ่มช่องทางการขายให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายและเร็วขึ้น พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานในพิธีส่งมอบเน็ตประชารัฐให้กับนายปิยะ วงศ์ลือชา รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรในฐานะผู้แทนการรับมอบเน็ตประชารัฐ เพื่อส่งต่อให้กับพี่น้องชาวจังหวัดพิจิตรต่อไป พร้อมได้กล่าวขอบคุณกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) ที่เป็นหน่วยงานหลักในการดําเนินการเน็ตประชารัฐ ตามนโยบายของรัฐบาล และได้แสดงความคาดหวังกับชาวบ้านที่มาร่วมงานในวันนี้ขอให้ใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐที่รัฐบาลมอบให้อย่างเต็มที่และให้คุ้มค่า เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนทุกคนต่อไป ................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูลจาก พล.อ.อ. มณฑล สัชฌุกร โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม..พล.อ.อ.ประจินฯ ลงพื้นที่ติดตามงานวิสาหกิจชุมชนและเน็ตประชารัฐ วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม 2560 รอง นรม..พล.อ.อ.ประจินฯ ลงพื้นที่ติดตามงานวิสาหกิจชุมชนและเน็ตประชารัฐ รอง นรม..พล.อ.อ.ประจินฯ ลงพื้นที่ติดตามงานวิสาหกิจชุมชนและเน็ตประชารัฐ เพื่อลงพื้นที่ตรวจติดตามงานในกํากับดูแลเรื่องวิสาหกิจชุมชนและเน็ตประชารัฐ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2560 เวลา 14.30 น. พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะ ได้เดินทางไปยังจังหวัดพิจิตร เพื่อลงพื้นที่ตรวจติดตามงานในกํากับดูแลเรื่องวิสาหกิจชุมชนและเน็ตประชารัฐ รองนายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางไปถึงที่ทําการวิสาหกิจชุมชนส้มโอแก้วสี่รส หมู่ที่ 9 ตําบลโพธิ์ประทับช้าง อําเภอโพธิ์ประทับช้าง นายวีระศักดิ์ วิจิตรแสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ได้กล่าวต้อนรับ จากนั้น นางพิชชาญา พลสว่าง กรรมการผู้แทนวิสาหกิจชุมชนระดับประเทศได้บรรยายสรุปการดําเนินงานและความสําเร็จของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนจังหวัดพิจิตร พร้อมทั้งนําคณะรองนายกรัฐมนตรีเข้าชมกระบวนการผลิตส้มโอแก้วสี่รส ซึ่งเป็นเจ้าแรกของประเทศไทย เสร็จแล้วคณะได้เดินทางต่อไปยังวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกล้วยกวนแม่จํานง ซึ่งอยู่ที่หมู่ที่ 3 ตําบลโพธิ์ประทับช้าง อําเภอโพธิ์ประทับช้าง ทั้งนี้ โดยวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกล้วยกวนแม่จํานงได้ดําเนินการตามโครงการเพิ่มสมรรถนะด้านการบริหารและจัดการพลังงานครบวงจรในชุมชนระดับตําบลและวิสาหกิจชุมชน (SMEs) ภายใต้ชื่อ โครงการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุนทางด้านพลังงาน โดยมีสํานักงานพลังงานจังหวัดพิจิตร วิสาหกิจชุมชนกลุ่มกล้วยกวนแม่จํานง อาสาสมัครพลังงานและคณะทํางานโครงการฯ ได้ร่วมกันศึกษาและวิเคราะห์ถึงแนวทางการดําเนินการคัดเลือกเทคโนโลยีที่มีความเหมาะสม ที่จะนํามาส่งเสริมการใช้งานกับกระบวนการผลิตกล้วยกวนและส้มโอกวน โดยมีความเห็นร่วมกันที่จะนํา ”เตาเศรษฐกิจประยุกต์”และ”เตาแก๊สชีวมวล” มาใช้งานแทนเตาฟืนแบบชุมชนสร้างเองและเตาแก๊ส LPG เพื่อช่วยลดต้นทุนทางด้านพลังงาน โดยไม่เกิดความยุ่งยากต่อการใช้งานและมีความสอดคล้องกับศักยภาพวัตถุดิบที่นํามาใช้ ให้เกิดประโยชน์ทางด้านพลังงานซึ่งมีอยู่ในพื้นที่เป็นจํานวนมาก คือ เศษกิ่งส้มโอและเศษกิ่งไม้ยูคาลิปตัส ซึ่งจะทําให้การใช้เทคโนโลยีเกิดความยั่งยืนและสามารถขยายผลให้กับกลุ่มวิสาหกิจที่มีการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตที่ใกล้เคียงกันได้ต่อไปในอนาคตอีกด้วย โดยวิสาหกิจกลุ่มกล้วยกวนแม่จํานงเคยได้รับรางวัล “สุดยอดคนพลังงาน ปี 60” สาขาวิสาหกิจลดการใช้พลังงานยอดเยี่ยมในระดับประเทศ ในการนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความชื่นชมในวิสาหกิจชุมชนของจังหวัดพิจิตรและกล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย โดยการสนับสนุนงบประมาณเพื่อจัดตั้งกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน 3,500 ล้านบาท พร้อมทั้งเตรียมการจัดงานส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนให้เป็นที่รู้จักในปี 2561 โดยจะเป็นการจัดงานใหญ่ ในส่วนกลางที่กรุงเทพมหานคร โดยรัฐบาลจะได้ผลักดันวิสาหกิจชุมชนให้เป็นที่รับรู้ ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศต่อไป ต่อมาในเวลา 16.00 น. คณะของรองนายกรัฐมนตรีได้เดินทางต่อไปยังหมู่ที่ 2 บ้านโนนป่าแดง ตําบลหนองหลุม อําเภอวชิรบารมี เพื่อติดตามโครงการเน็ตประชารัฐ ซึ่งเป็นโครงการสําคัญของรัฐบาล เพื่อสร้างโอกาส สร้างรายได้ ให้กับพี่น้องประชาชนในท้องถิ่น โดยในส่วนของบ้านโนนป่าแดงได้มี การดําเนินการทางด้านเน็ตประชารัฐเรียบร้อยแล้ว ทําให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้รับการขยายโอกาส ในเรื่องต่างๆ ได้แก่ การพัฒนาเปิดโลกกว้าง การพัฒนาการเรียนการสอนให้กับชุมชน การพัฒนา ด้านสาธารณสุขเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับชุมชน ตลอดจนจะเป็นการใช้ประโยชน์ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและการใช้ประโยชน์จากข้อมูลตั้งแต่การประกอบอาชีพการเรียนรู้ การค้าขาย เพื่อลดต้นทุนเพิ่มผลผลิตไปจนถึงการเพิ่มช่องทางการขายให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายและเร็วขึ้น พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานในพิธีส่งมอบเน็ตประชารัฐให้กับนายปิยะ วงศ์ลือชา รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรในฐานะผู้แทนการรับมอบเน็ตประชารัฐ เพื่อส่งต่อให้กับพี่น้องชาวจังหวัดพิจิตรต่อไป พร้อมได้กล่าวขอบคุณกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) ที่เป็นหน่วยงานหลักในการดําเนินการเน็ตประชารัฐ ตามนโยบายของรัฐบาล และได้แสดงความคาดหวังกับชาวบ้านที่มาร่วมงานในวันนี้ขอให้ใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐที่รัฐบาลมอบให้อย่างเต็มที่และให้คุ้มค่า เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนทุกคนต่อไป ................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูลจาก พล.อ.อ. มณฑล สัชฌุกร โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7426
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ VDO Conference ร่วมกับผู้บริหารทุกหน่วยงานในสังกัด เน้นย้ำการดำเนินงานภายใต้สถานการณ์โควิด-19
วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563 รัฐมนตรีเกษตรฯ VDO Conference ร่วมกับผู้บริหารทุกหน่วยงานในสังกัด เน้นย้ําการดําเนินงานภายใต้สถานการณ์โควิด-19 รัฐมนตรีเกษตรฯ VDO Conference ร่วมกับผู้บริหารทุกหน่วยงานในสังกัด เน้นย้ําการดําเนินงานภายใต้สถานการณ์โควิด-19 มั่นใจหนึ่งในทางรอดของประเทศคือภาคการเกษตร สั่งการให้ปฏิบัติงานในภารกิจหลักของกระทรวงเกษตรฯ อย่างเต็มกําลัง เชื่อมั่นว่าสินค้าอุปโภคบริโภคจะไม นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลัง VDO Conference ร่วมกับปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารทุกหน่วยงานในสังกัด เพื่อติดตามสถานการณ์และรับทราบมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และการเตรียมความพร้อมในการรองรับสถานการณ์การระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ว่า ได้รับฟังการรายงานสถานการณ์และรับทราบการดําเนินงานจากทุกหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรฯ และได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานมีการรายงานสถานการณ์เข้ามายังศูนย์ประสานการปฏิบัติภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัวโคโรนา 2019 (COVID-19) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อย่างใกล้ชิด อีกทั้งได้มอบหมายปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สั่งการผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดตามสถานการณ์โควิด-19 รวมถึงพืชผลทางการเกษตรและสถานการณ์ภัยแล้ง และให้รายงานการดําเนินการมาทุกสัปดาห์ นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ําให้กรมชลประทาน จัดสรรงบประมาณในการจ้างแรงงาน เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้พี่น้องเกษตรกรหรือพี่น้องประชาชนที่เดินทางกลับท้องถิ่น ได้มาปฏิบัติงานด้านการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือนร้อน มอบกรมวิชาการเกษตรให้ดูแลในการให้บริการ การลดขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้สะดวกยิ่งมากขึ้น มอบกรมส่งเสริมการเกษตรดูสถานการณ์ปัจจุบันของแต่ละพื้นที่ และขอให้มีการรายงานสถานการณ์ด้านการเกษตร เพื่อดําเนินการประสานงานแก้ไขต่อไป มอบสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร ให้เพิ่มช่องทางการนําสินค้าเกษตรเข้าสู่ออนไลน์เพิ่มมากขึ้น และติดตามสถานการณ์ผลผลิตร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ อย่างใกล้ชิด และมอบกรมปศุสัตว์ การเฝ้าระวังโรคระบาดสัตว์อย่างเข้มงวดด้วย “ตามที่รัฐบาลได้กําหนดมาตรการในการที่ให้หน่วยราชการปฏิบัติ ได้ขอให้ทุกคนปฏิบัติตามมติ ครม. ที่กําหนดออกมาอย่างเคร่งครัด โดยได้เน้นย้ําเพิ่มเติมหากมีการออกปฏิบัติงานนอกพื้นที่ ขอให้มีการป้องกันตัวเอง โดยสามารถใช้หน้ากากทางเลือก เช่น หน้ากากผ้า โดยได้เตรียมไว้ให้ผู้ปฏิบัติงานในส่วนกลางก่อน คนละ 1 – 2 ชิ้น เพื่อเป็นตัวอย่างให้พี่น้องประชาชนอีกทางหนึ่ง อีกทั้งการปฏิบัติงานในสถานการณ์ปัจจุบันต้องไม่ทําให้เสียงานในภารกิจหลักของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งหนึ่งในทางรอดของประเทศคือภาคการเกษตร ทั้งด้านพืช ประมง ปศุสัตว์ และผลิตผลแปรรูป จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทําให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตไปได้และฟื้นตัวโดยเร็ว และหลังจากนี้จึงต้องปฏิบัติงานในภารกิจหลักของกระทรวงเกษตรฯ อย่างเต็มกําลัง อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าสินค้าอุปโภคบริโภคจะไม่ขาดแคลน จึงไม่อยากให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ พร้อมดําเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อพี่น้องประชาชน” นายเฉลิมชัย กล่าว ด้าน นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตามที่รัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 และแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดตั้งศูนย์ประสานการปฏิบัติภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัวโคโรนา 2019 (COVID-19) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นที่ปรึกษา และมีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัด ตั้งศูนย์ประสานการปฏิบัติงานฯ ดังกล่าวขึ้น เพื่อประสานข้อมูลระหว่างหน่วยงานร่วมกัน อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรได้มีการประเมินความเสี่ยงสถานการณ์ในช่วงระหว่างเผชิญและหลังเผชิญเหตุในทุกมิติ เพื่อจัดการความเสี่ยงได้ทันการณ์ ทั้งในเรื่องของระบบอาหารตลอด Supply Chain ในเรื่องการขนส่ง คุณภาพอาหาร การกระจายสินค้า และราคาที่เหมาะสม ระบบปัจจัยการผลิตสินค้าเกษตร งานบริการ ระบบสื่อสารประสานงาน เช่น สถานการณ์ตรวจด่านตรวจสอบมาตรฐานตามชายแดน และการระดมทรัพยากร งบประมาณ เพื่อรองรับการระบาดระดับ 3 และหลังการระบาด รวมถึงแนวทางในการฟื้นฟูภาคการเกษตรด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ VDO Conference ร่วมกับผู้บริหารทุกหน่วยงานในสังกัด เน้นย้ำการดำเนินงานภายใต้สถานการณ์โควิด-19 วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563 รัฐมนตรีเกษตรฯ VDO Conference ร่วมกับผู้บริหารทุกหน่วยงานในสังกัด เน้นย้ําการดําเนินงานภายใต้สถานการณ์โควิด-19 รัฐมนตรีเกษตรฯ VDO Conference ร่วมกับผู้บริหารทุกหน่วยงานในสังกัด เน้นย้ําการดําเนินงานภายใต้สถานการณ์โควิด-19 มั่นใจหนึ่งในทางรอดของประเทศคือภาคการเกษตร สั่งการให้ปฏิบัติงานในภารกิจหลักของกระทรวงเกษตรฯ อย่างเต็มกําลัง เชื่อมั่นว่าสินค้าอุปโภคบริโภคจะไม นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลัง VDO Conference ร่วมกับปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารทุกหน่วยงานในสังกัด เพื่อติดตามสถานการณ์และรับทราบมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และการเตรียมความพร้อมในการรองรับสถานการณ์การระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ว่า ได้รับฟังการรายงานสถานการณ์และรับทราบการดําเนินงานจากทุกหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรฯ และได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานมีการรายงานสถานการณ์เข้ามายังศูนย์ประสานการปฏิบัติภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัวโคโรนา 2019 (COVID-19) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อย่างใกล้ชิด อีกทั้งได้มอบหมายปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สั่งการผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดตามสถานการณ์โควิด-19 รวมถึงพืชผลทางการเกษตรและสถานการณ์ภัยแล้ง และให้รายงานการดําเนินการมาทุกสัปดาห์ นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ําให้กรมชลประทาน จัดสรรงบประมาณในการจ้างแรงงาน เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้พี่น้องเกษตรกรหรือพี่น้องประชาชนที่เดินทางกลับท้องถิ่น ได้มาปฏิบัติงานด้านการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือนร้อน มอบกรมวิชาการเกษตรให้ดูแลในการให้บริการ การลดขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้สะดวกยิ่งมากขึ้น มอบกรมส่งเสริมการเกษตรดูสถานการณ์ปัจจุบันของแต่ละพื้นที่ และขอให้มีการรายงานสถานการณ์ด้านการเกษตร เพื่อดําเนินการประสานงานแก้ไขต่อไป มอบสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร ให้เพิ่มช่องทางการนําสินค้าเกษตรเข้าสู่ออนไลน์เพิ่มมากขึ้น และติดตามสถานการณ์ผลผลิตร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ อย่างใกล้ชิด และมอบกรมปศุสัตว์ การเฝ้าระวังโรคระบาดสัตว์อย่างเข้มงวดด้วย “ตามที่รัฐบาลได้กําหนดมาตรการในการที่ให้หน่วยราชการปฏิบัติ ได้ขอให้ทุกคนปฏิบัติตามมติ ครม. ที่กําหนดออกมาอย่างเคร่งครัด โดยได้เน้นย้ําเพิ่มเติมหากมีการออกปฏิบัติงานนอกพื้นที่ ขอให้มีการป้องกันตัวเอง โดยสามารถใช้หน้ากากทางเลือก เช่น หน้ากากผ้า โดยได้เตรียมไว้ให้ผู้ปฏิบัติงานในส่วนกลางก่อน คนละ 1 – 2 ชิ้น เพื่อเป็นตัวอย่างให้พี่น้องประชาชนอีกทางหนึ่ง อีกทั้งการปฏิบัติงานในสถานการณ์ปัจจุบันต้องไม่ทําให้เสียงานในภารกิจหลักของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งหนึ่งในทางรอดของประเทศคือภาคการเกษตร ทั้งด้านพืช ประมง ปศุสัตว์ และผลิตผลแปรรูป จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทําให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตไปได้และฟื้นตัวโดยเร็ว และหลังจากนี้จึงต้องปฏิบัติงานในภารกิจหลักของกระทรวงเกษตรฯ อย่างเต็มกําลัง อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าสินค้าอุปโภคบริโภคจะไม่ขาดแคลน จึงไม่อยากให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ พร้อมดําเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อพี่น้องประชาชน” นายเฉลิมชัย กล่าว ด้าน นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตามที่รัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 และแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดตั้งศูนย์ประสานการปฏิบัติภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัวโคโรนา 2019 (COVID-19) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นที่ปรึกษา และมีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัด ตั้งศูนย์ประสานการปฏิบัติงานฯ ดังกล่าวขึ้น เพื่อประสานข้อมูลระหว่างหน่วยงานร่วมกัน อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรได้มีการประเมินความเสี่ยงสถานการณ์ในช่วงระหว่างเผชิญและหลังเผชิญเหตุในทุกมิติ เพื่อจัดการความเสี่ยงได้ทันการณ์ ทั้งในเรื่องของระบบอาหารตลอด Supply Chain ในเรื่องการขนส่ง คุณภาพอาหาร การกระจายสินค้า และราคาที่เหมาะสม ระบบปัจจัยการผลิตสินค้าเกษตร งานบริการ ระบบสื่อสารประสานงาน เช่น สถานการณ์ตรวจด่านตรวจสอบมาตรฐานตามชายแดน และการระดมทรัพยากร งบประมาณ เพื่อรองรับการระบาดระดับ 3 และหลังการระบาด รวมถึงแนวทางในการฟื้นฟูภาคการเกษตรด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27695
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี ร่วมกับ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) จัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สิน ขายทรัพย์สินได้กว่า 290 ล้านบาท
วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี ร่วมกับ ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) จัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สิน ขายทรัพย์สินได้กว่า 290 ล้านบาท กรมบังคับคดี ร่วมกับ ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) จัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สิน ขายทรัพย์สินได้กว่า 290 ล้านบาท เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม 2561) เวลา 10.00 น. กรมบังคับคดีร่วมกับธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) จัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สินในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยมีนางศศิวิมล ธนศานติ รองอธิบดีกรมบังคับคดี พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกรมบังคับคดี ร่วมดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ภายในมหกรรมขายทอดตลาด สําหรับทรัพย์ที่นํามาประกาศขายเป็นที่ดิน ที่ดินพร้อม สิ่งปลูกสร้าง และห้องชุดของสํานักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 1-6 โดยมีทรัพย์ที่พร้อมขายทอดตลาดจํานวน 111 รายการราคาประเมิน 336,739,314.08 บาท มีผู้สนใจเข้าฟังการขายทอดตลาด ประมาณ 300 คน โดยผลการขายทอดตลาดในวันนี้ ขายได้ 68 คดี 74 รายการ ราคาประเมินรวม 204,087,361.62 บาท ขายได้เป็นเงินทั้งสิ้น 290,280,000 บาท ซึ่งราคาขายได้สูงกว่าราคาประเมิน คิดเป็นร้อยละ 42.23 โดยมีผู้วางหลักประกันทั้งสิ้น 225 ราย เป็นเงิน 43,475,000 บาท แยกเป็น edc จํานวน 70 ราย เป็นจํานวนเงิน 10,805,000 บาท เช็ดและเงินสด จํานวน 155 ราย รวมเป็นจํานวนเงิน 32,670,000 บาท
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี ร่วมกับ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) จัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สิน ขายทรัพย์สินได้กว่า 290 ล้านบาท วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี ร่วมกับ ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) จัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สิน ขายทรัพย์สินได้กว่า 290 ล้านบาท กรมบังคับคดี ร่วมกับ ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) จัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สิน ขายทรัพย์สินได้กว่า 290 ล้านบาท เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม 2561) เวลา 10.00 น. กรมบังคับคดีร่วมกับธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) จัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สินในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยมีนางศศิวิมล ธนศานติ รองอธิบดีกรมบังคับคดี พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกรมบังคับคดี ร่วมดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ภายในมหกรรมขายทอดตลาด สําหรับทรัพย์ที่นํามาประกาศขายเป็นที่ดิน ที่ดินพร้อม สิ่งปลูกสร้าง และห้องชุดของสํานักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 1-6 โดยมีทรัพย์ที่พร้อมขายทอดตลาดจํานวน 111 รายการราคาประเมิน 336,739,314.08 บาท มีผู้สนใจเข้าฟังการขายทอดตลาด ประมาณ 300 คน โดยผลการขายทอดตลาดในวันนี้ ขายได้ 68 คดี 74 รายการ ราคาประเมินรวม 204,087,361.62 บาท ขายได้เป็นเงินทั้งสิ้น 290,280,000 บาท ซึ่งราคาขายได้สูงกว่าราคาประเมิน คิดเป็นร้อยละ 42.23 โดยมีผู้วางหลักประกันทั้งสิ้น 225 ราย เป็นเงิน 43,475,000 บาท แยกเป็น edc จํานวน 70 ราย เป็นจํานวนเงิน 10,805,000 บาท เช็ดและเงินสด จํานวน 155 ราย รวมเป็นจํานวนเงิน 32,670,000 บาท
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13867
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรถวาย ณ พระลานพระราชวังดุสิต
วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม 2560 คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีทําบุญตักบาตรถวาย ณ พระลานพระราชวังดุสิต คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและถวายพระพรชัยมงคลกับถวายพระราชกุศล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรถวาย ณ พระลานพระราชวังดุสิต วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม 2560 คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีทําบุญตักบาตรถวาย ณ พระลานพระราชวังดุสิต คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและถวายพระพรชัยมงคลกับถวายพระราชกุศล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5905
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. รับมอบสิ่งของบริจาคจากภาคเอกชนและประชาชน เร่งช่วยกลุ่มเป้าหมายที่เดือดร้อนจากโรคโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม 2563 ปลัด พม. รับมอบสิ่งของบริจาคจากภาคเอกชนและประชาชน เร่งช่วยกลุ่มเป้าหมายที่เดือดร้อนจากโรคโควิด-19 ปลัด พม. รับมอบสิ่งของบริจาคจากภาคเอกชนและประชาชน เร่งช่วยกลุ่มเป้าหมายที่เดือดร้อนจากโรคโควิด-19 วันนี้ (7 พ.ค. 63) เวลา 14.00 น. ที่บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) รับมอบของบริจาคจากภาคเอกชนและประชาชน ได้แก่ 1) คณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 61 (วปอ.61) บริจาคข้าวสาร จํานวน 920 ถุง นมกล่อง UHT จํานวน 107 ลัง บะหมี่กึ่งสําเร็จรูป จํานวน 120 ลัง นมผงสําหรับเด็ก จํานวน 75 ลัง น้ําพริก 33 ลัง แอลกอฮอล์ ขนาด 20 ลิตร จํานวน 22 แกลลอน และเจลแอลกอฮอล์ ล้างมือ จํานวน 20 ลัง และ 2) บริษัท แอคท์ นาว ชิลเดรนส์ คอนซัลติ้ง จํากัด บริจาค แผ่นรองซับ จํานวน 360 ห่อ ปลากระป๋อง จํานวน 5,000 กระป๋อง และ นมผงสําหรับเด็ก จํานวน 72 กล่อง เพื่อจัดทําถุงยังชีพสําหรับส่งมอบให้กับกลุ่มเป้าหมายและประชาชนที่เดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ภายใต้โครงการ พม. ห่วงใย สู้ภัยโควิด ของศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) นายปรเมธี กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ตั้งแต่เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้บ้าน และผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งผู้มีรายได้น้อย ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงได้จัดตั้งศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. เพื่อจัดสรรสิ่งของที่จําเป็นและเงินที่ได้รับบริจาคจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมทั้งภาคประชาชน เพื่อนําไปมอบให้กับกลุ่มเป้าหมายและประชาชนที่เดือดร้อนตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค เป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าอย่างเร่งด่วน นายปรเมธี กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอขอบคุณทุกภาคส่วนสําหรับสิ่งของที่นํามาบริจาคในวันนี้ โดยกระทรวง พม. จะเร่งนําไปมอบให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหา และต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดก่อน เพื่อให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค ทั้งนี้ ขอเชิญชวนทุกคนมาช่วยกันร่วมบริจาค เพื่อช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่เดือดร้อนโดยเฉพาะกลุ่มคนเปราะบางในสังคม โดยสามารถร่วมบริจาคเงินและสิ่งของ ได้ที่ศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. บริเวณชั้น 2 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ สะพานขาว กรุงเทพฯ และโทรศัพท์ 02-659-6476 หรือติดต่อศูนย์ช่วยเหลือสังคม ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. รับมอบสิ่งของบริจาคจากภาคเอกชนและประชาชน เร่งช่วยกลุ่มเป้าหมายที่เดือดร้อนจากโรคโควิด-19 วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม 2563 ปลัด พม. รับมอบสิ่งของบริจาคจากภาคเอกชนและประชาชน เร่งช่วยกลุ่มเป้าหมายที่เดือดร้อนจากโรคโควิด-19 ปลัด พม. รับมอบสิ่งของบริจาคจากภาคเอกชนและประชาชน เร่งช่วยกลุ่มเป้าหมายที่เดือดร้อนจากโรคโควิด-19 วันนี้ (7 พ.ค. 63) เวลา 14.00 น. ที่บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) รับมอบของบริจาคจากภาคเอกชนและประชาชน ได้แก่ 1) คณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 61 (วปอ.61) บริจาคข้าวสาร จํานวน 920 ถุง นมกล่อง UHT จํานวน 107 ลัง บะหมี่กึ่งสําเร็จรูป จํานวน 120 ลัง นมผงสําหรับเด็ก จํานวน 75 ลัง น้ําพริก 33 ลัง แอลกอฮอล์ ขนาด 20 ลิตร จํานวน 22 แกลลอน และเจลแอลกอฮอล์ ล้างมือ จํานวน 20 ลัง และ 2) บริษัท แอคท์ นาว ชิลเดรนส์ คอนซัลติ้ง จํากัด บริจาค แผ่นรองซับ จํานวน 360 ห่อ ปลากระป๋อง จํานวน 5,000 กระป๋อง และ นมผงสําหรับเด็ก จํานวน 72 กล่อง เพื่อจัดทําถุงยังชีพสําหรับส่งมอบให้กับกลุ่มเป้าหมายและประชาชนที่เดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ภายใต้โครงการ พม. ห่วงใย สู้ภัยโควิด ของศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) นายปรเมธี กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ตั้งแต่เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้บ้าน และผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งผู้มีรายได้น้อย ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงได้จัดตั้งศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. เพื่อจัดสรรสิ่งของที่จําเป็นและเงินที่ได้รับบริจาคจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมทั้งภาคประชาชน เพื่อนําไปมอบให้กับกลุ่มเป้าหมายและประชาชนที่เดือดร้อนตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค เป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าอย่างเร่งด่วน นายปรเมธี กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอขอบคุณทุกภาคส่วนสําหรับสิ่งของที่นํามาบริจาคในวันนี้ โดยกระทรวง พม. จะเร่งนําไปมอบให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหา และต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดก่อน เพื่อให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค ทั้งนี้ ขอเชิญชวนทุกคนมาช่วยกันร่วมบริจาค เพื่อช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่เดือดร้อนโดยเฉพาะกลุ่มคนเปราะบางในสังคม โดยสามารถร่วมบริจาคเงินและสิ่งของ ได้ที่ศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. บริเวณชั้น 2 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ สะพานขาว กรุงเทพฯ และโทรศัพท์ 02-659-6476 หรือติดต่อศูนย์ช่วยเหลือสังคม ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30448
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.เปิดโครงการ “ฝึกอบรมระยะสั้นฐานสมรรถนะ ภาคฤดูร้อน” รุ่นที่ 2
วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560 ศธ.เปิดโครงการ “ฝึกอบรมระยะสั้นฐานสมรรถนะ ภาคฤดูร้อน” รุ่นที่ 2 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดโครงการ "ฝึกอบรมหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ ภาคฤดูร้อน" รุ่นที่ 2 (Education to Employment : Vocational Boot Camp) จัดโดยสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี524/2560 ศธ.เปิดโครงการ “ฝึกอบรมระยะสั้นฐานสมรรถนะภาคฤดูร้อน” รุ่นที่ 2 วิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี - เมื่อวันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม 2560 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดโครงการ "ฝึกอบรมหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ ภาคฤดูร้อน" รุ่นที่ 2 (Education to Employment : Vocational Boot Camp) จัดโดยสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ร่วมกับภาคเอกชน/สถานประกอบการชั้นนํากว่า 1,700 แห่ง และสถานศึกษาอาชีวศึกษา 465 แห่งทั่วประเทศ เพื่อเสริมศักยภาพกําลังคนอาชีวะด้วยหลักสูตรเข้มข้นต่อยอดการสร้างงานใน 7 กลุ่มอาชีพ กว่า 2,000 หลักสูตร โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า500 คน รวมทั้งพล.ท.โกศล ประทุมชาติที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดร.สุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผู้บริหาร สอศ. ตลอดจนผู้บริหารสถานศึกษาภาครัฐและภาคเอกชน เข้าร่วม นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวมีใจความตอนหนึ่งว่า ด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (ในหลวงรัชกาลที่ 10) ที่ทรงมีพระบรมราโชบายด้านการศึกษาเพื่อมุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน 4 ด้าน คือ 1) มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง 2) มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรมจริยธรรม 3) มีงานทํา มีอาชีพสุจริต 4) เป็นพลเมืองดี ซึ่งไม่ว่าจะมองในมุมใด ก็สอดคล้องกับเป้าหมายสําคัญในการจัดการศึกษาเรียนรู้ทุกระดับของกระทรวงศึกษาธิการทั้งสิ้น ในส่วนของโครงการ "ฝึกอบรมหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ ภาคฤดูร้อน"มีความสอดคล้องโดยตรงกับพื้นฐานด้านการมีงานทํา มีอาชีพสุจริต ด้วยแนวทางของหลักสูตรที่เน้นการพัฒนา "สมรรถนะหลัก" ควบคู่กับ "คุณธรรม" เรียกโดยย่อว่า “SEE” ทั้งในหลักสูตรที่สอดคล้องกับ Growth Engine (First S-Curve, New S-Curve, Thailand 4.0 Super Cluster) และหลักสูตรตามความต้องการของท้องถิ่นใน 7 กลุ่มอาชีพ กว่า 2,000 หลักสูตร โดยร่วมกับภาคเอกชนและผู้ประกอบการกว่า 1,700 บริษัท มาร่วมจัดหลักสูตรระยะสั้นเข้มข้น ที่สามารถประกอบอาชีพได้จริง ให้กับนักเรียนนักศึกษาอาชีวะทั้งภาครัฐและเอกชน 465 แห่งทั่วประเทศ ตลอดจนประชาชนที่สนใจ S E E Skills :ทักษะการทํางาน เกิดจากการที่ผู้เข้าฝึกอบรมได้รับการพัฒนาและลงมือปฏิบัติจริงด้วยอุปกรณ์เครื่องมือที่ทันสมัยในสถานประกอบการหรือสถานการณ์จริง ภายใต้การดูแลของคณะครูและวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญจากสถานประกอบการ ที่จะช่วยผลิตคนให้มีสมรรถนะตรงกับความต้องการของเอกชนอย่างแท้จริง English :ภาษาอังกฤษ จะเน้นฝึกภาษาอังกฤษสําหรับอาชีพต่าง ๆ เช่น ภาษาอังกฤษสําหรับอากาศยาน ภาษาอังกฤษสําหรับการเดินเรือ ภาษาอังกฤษในเรื่องของหุ่นยนต์ รวมทั้งจะมีการพัฒนาแอพพลิเคชัน Echo Vocational สําหรับเด็กอาชีวะได้ฝึกภาษาอังกฤษด้วยตนเองด้วย Ethics :คุณธรรม จะเน้นให้มีการปลูกฝังทางด้านคุณธรรมตลอดช่วงเวลาของการฝึกอบรม ตามแนวคิด "Work Hard be Nice” เพื่อให้ได้กําลังคนที่มีความขยัน ใฝ่เรียนรู้ และตรงเวลา นพ.ธีระเกียรติกล่าวด้วยว่า ในที่สุดการศึกษา โดยเฉพาะอาชีวศึกษา ต้องสร้างให้คนมีงานทํา แต่ต้องยอมรับว่า การศึกษาในสถานศึกษาเพียงอย่างเดียว อาจจะตามโลกและตามภาคอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่ก้าวล้ําไปจนถึงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 ไม่ทัน เราจึงต้องการภาคเอกชนและผู้ประกอบการที่อยู่แนวหน้า มาช่วยทําให้รู้ว่าโลกต้องการอะไร และช่วยในเรื่องของการฝึกฝนเฉพาะทาง ให้เด็กอาชีวะได้ปฏิบัติงานจริง จากของจริง ทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรม First S-Curve และอุตสาหกรรม New S-Curve ซึ่งมีต้นทุนสูง และอาชีวะเองก็ไม่มีกําลังเพียงพอ ในขณะเดียวกัน เด็กที่ผ่านกระบวนการฝึกฝนก็จะมีงานทําและมีรายได้ที่สูงขึ้นกว่าการเรียนเพียงอย่างเดียว ส่วนอาชีวศึกษา ก็ต้องจัดการศึกษาที่มีหลักสูตรยืดหยุ่นรองรับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปพร้อมสร้างทักษะพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน ให้สามารถต่อยอดขยายผลในอุตสาหกรรม ที่จะขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า และสําหรับกระทรวงศึกษาธิการก็จะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังเช่นกัน ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะอยู่ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมใดก็ตาม หากอยู่ในยุค 1.0 ก็จะต้องพัฒนาให้เป็น 1.0 ที่มีคุณค่าให้ได้ ทั้งนี้ ได้ฝากข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดําเนินงาน โดย สอศ. ต้องพยายามเรียนรู้จากโครงการในรุ่นแรก ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรที่มีผู้สนใจน้อย ไม่ควรนํามาจัดฝึกฝนอีก ตัดหลักสูตรที่ไม่มีงานรองรับ จัดระบบติดตามการมีงานทําของผู้เข้าร่วมโครงการ เป็นต้น ทั้งนี้ ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่เข้ามาร่วมดําเนินงาน ซึ่งถือเป็นอีกโครงการหนึ่งภายใต้ความร่วมมือสานพลังประชารัฐที่มีความก้าวหน้าเป็นรูปธรรม และได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะภาคเอกชน มีความพึงพอใจมาก เพราะได้กําลังคนที่มีทักษะที่ต้องการและทํางานได้ทันที ส่วนเด็กอาชีวะ ก็หางานทําได้ มีรายได้ดี โดยเฉพาะช่างอากาศยาน ได้ฝึกฝนกับของจริง มีงานทํา และรองรับการคมนาคมของประเทศ เช่นเดียวกับงานบํารุงรักษา Big Bike ที่มีผู้สนใจจํานวนมาก เพราะหางานทําได้ทุกคน ส่วนประชานก็สามารถต่อยอดอาชีพได้ เช่น การปลูกอ้อยแนวใหม่ ให้ผลผลิตที่ดี ลดต้นทุน เป็นต้น สําหรับภาครัฐเอง ก็ได้ประสานและร่วมงานกับภาคเอกชนด้วยทัศนคติเชิงบวก ตลอดจนสื่อมวลชนที่ได้นําเสนอข้อมูลโครงการดี ๆ ต่อสาธารณชน ซึ่งเชื่อแน่ว่าจะมีการขยายโครงการ และจะพัฒนาให้นับชั่วโมงการฝึกฝนเป็นหน่วยกิตสะสมต่อไป ดร.สุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษากล่าวว่า สอศ.มีความมุ่งหวังที่จะพัฒนากําลังคนตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ และตอบโจทย์ประเทศให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยจัดโครงการเพื่อขยายการเพิ่มศักยภาพกําลังคนอาชีวะเป็นรุ่นที่ 2 แล้ว เน้นพัฒนากําลังคนด้วย 2,000 หลักสูตรในสถานศึกษาทั้ง 465 แห่ง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แบ่งออกเป็นกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ดังนี้ 1) โลจิสติกส์และการบินอาทิ การตรวจซ่อมใหญ่วงล้อและระบบเบรกอากาศยาน (60 ชม.) การเรียกเครื่องลานจอด (40 ชม.) ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในงานโลจิสติกส์ (30 ชม.) การจัดทําเอกสารการส่งออกด้วยระบบ e-Customer Paperless (18 ชม.) เป็นต้น 2) หุ่นยนต์เพื่อการอุตสาหกรรมอาทิ หุ่นยนต์เพื่อการผลิต (75 ชม.) เป็นต้น 3) ยานยนต์สมัยใหม่อาทิ เทคโนโลยีงานซ่อมสีรถยนต์ (75 ชม.) งานบํารุงรักษารถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ Big Bike (45 ชม.) เทคโนโลยีปรับฉีดพลาสติก เป็นต้น 4) อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะอาทิ เทคโนโลยีระบบลิฟต์และการซ่อมบํารุง (75 ชม.) Hight Voltage Control by Switchgears (ควบคุมแรงดันไฟ) (30 ชม.) ควบคุมกระบวนการผลิตด้วยระบบ DCS (30 ชม.) เป็นต้น 5) ท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวสุขภาพอาทิ ภาษาต่างประเทศสําหรับงานบริการ (30 ชม.) การดําน้ํา (30 ชม.) อาหารนานาชาติเพื่อการท่องเที่ยว (30 ชม.) MICE English Course (40 ชม.) การประชาสัมพันธ์ในอุตสาหกรรม MICE (40 ชม.) เป็นต้น 6) เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพอาทิ เทคโนโลยีผลิตปาล์มน้ํามันสมัยใหม่ (75 ชม.) เป็นต้น 7) แปรรูปอาหารอาทิ อาหารไทยแห่งอนาคต (30 ชม.) อาหารหวานไทยแห่งอนาคต (30 ชม.) เป็นต้น ทั้งนี้ ขอเชิญชวนนักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่สนใจ สมัครเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2560 สอบถามรายละเอียดได้ที่ "สํานักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและอาชีพ" โทร 02-2815555 ต่อ 1409 หรือhttp://bsq.vec.go.th นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.เปิดโครงการ “ฝึกอบรมระยะสั้นฐานสมรรถนะ ภาคฤดูร้อน” รุ่นที่ 2 วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560 ศธ.เปิดโครงการ “ฝึกอบรมระยะสั้นฐานสมรรถนะ ภาคฤดูร้อน” รุ่นที่ 2 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดโครงการ "ฝึกอบรมหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ ภาคฤดูร้อน" รุ่นที่ 2 (Education to Employment : Vocational Boot Camp) จัดโดยสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี524/2560 ศธ.เปิดโครงการ “ฝึกอบรมระยะสั้นฐานสมรรถนะภาคฤดูร้อน” รุ่นที่ 2 วิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี - เมื่อวันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม 2560 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดโครงการ "ฝึกอบรมหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ ภาคฤดูร้อน" รุ่นที่ 2 (Education to Employment : Vocational Boot Camp) จัดโดยสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ร่วมกับภาคเอกชน/สถานประกอบการชั้นนํากว่า 1,700 แห่ง และสถานศึกษาอาชีวศึกษา 465 แห่งทั่วประเทศ เพื่อเสริมศักยภาพกําลังคนอาชีวะด้วยหลักสูตรเข้มข้นต่อยอดการสร้างงานใน 7 กลุ่มอาชีพ กว่า 2,000 หลักสูตร โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า500 คน รวมทั้งพล.ท.โกศล ประทุมชาติที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดร.สุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผู้บริหาร สอศ. ตลอดจนผู้บริหารสถานศึกษาภาครัฐและภาคเอกชน เข้าร่วม นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวมีใจความตอนหนึ่งว่า ด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (ในหลวงรัชกาลที่ 10) ที่ทรงมีพระบรมราโชบายด้านการศึกษาเพื่อมุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน 4 ด้าน คือ 1) มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง 2) มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรมจริยธรรม 3) มีงานทํา มีอาชีพสุจริต 4) เป็นพลเมืองดี ซึ่งไม่ว่าจะมองในมุมใด ก็สอดคล้องกับเป้าหมายสําคัญในการจัดการศึกษาเรียนรู้ทุกระดับของกระทรวงศึกษาธิการทั้งสิ้น ในส่วนของโครงการ "ฝึกอบรมหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ ภาคฤดูร้อน"มีความสอดคล้องโดยตรงกับพื้นฐานด้านการมีงานทํา มีอาชีพสุจริต ด้วยแนวทางของหลักสูตรที่เน้นการพัฒนา "สมรรถนะหลัก" ควบคู่กับ "คุณธรรม" เรียกโดยย่อว่า “SEE” ทั้งในหลักสูตรที่สอดคล้องกับ Growth Engine (First S-Curve, New S-Curve, Thailand 4.0 Super Cluster) และหลักสูตรตามความต้องการของท้องถิ่นใน 7 กลุ่มอาชีพ กว่า 2,000 หลักสูตร โดยร่วมกับภาคเอกชนและผู้ประกอบการกว่า 1,700 บริษัท มาร่วมจัดหลักสูตรระยะสั้นเข้มข้น ที่สามารถประกอบอาชีพได้จริง ให้กับนักเรียนนักศึกษาอาชีวะทั้งภาครัฐและเอกชน 465 แห่งทั่วประเทศ ตลอดจนประชาชนที่สนใจ S E E Skills :ทักษะการทํางาน เกิดจากการที่ผู้เข้าฝึกอบรมได้รับการพัฒนาและลงมือปฏิบัติจริงด้วยอุปกรณ์เครื่องมือที่ทันสมัยในสถานประกอบการหรือสถานการณ์จริง ภายใต้การดูแลของคณะครูและวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญจากสถานประกอบการ ที่จะช่วยผลิตคนให้มีสมรรถนะตรงกับความต้องการของเอกชนอย่างแท้จริง English :ภาษาอังกฤษ จะเน้นฝึกภาษาอังกฤษสําหรับอาชีพต่าง ๆ เช่น ภาษาอังกฤษสําหรับอากาศยาน ภาษาอังกฤษสําหรับการเดินเรือ ภาษาอังกฤษในเรื่องของหุ่นยนต์ รวมทั้งจะมีการพัฒนาแอพพลิเคชัน Echo Vocational สําหรับเด็กอาชีวะได้ฝึกภาษาอังกฤษด้วยตนเองด้วย Ethics :คุณธรรม จะเน้นให้มีการปลูกฝังทางด้านคุณธรรมตลอดช่วงเวลาของการฝึกอบรม ตามแนวคิด "Work Hard be Nice” เพื่อให้ได้กําลังคนที่มีความขยัน ใฝ่เรียนรู้ และตรงเวลา นพ.ธีระเกียรติกล่าวด้วยว่า ในที่สุดการศึกษา โดยเฉพาะอาชีวศึกษา ต้องสร้างให้คนมีงานทํา แต่ต้องยอมรับว่า การศึกษาในสถานศึกษาเพียงอย่างเดียว อาจจะตามโลกและตามภาคอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่ก้าวล้ําไปจนถึงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 ไม่ทัน เราจึงต้องการภาคเอกชนและผู้ประกอบการที่อยู่แนวหน้า มาช่วยทําให้รู้ว่าโลกต้องการอะไร และช่วยในเรื่องของการฝึกฝนเฉพาะทาง ให้เด็กอาชีวะได้ปฏิบัติงานจริง จากของจริง ทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรม First S-Curve และอุตสาหกรรม New S-Curve ซึ่งมีต้นทุนสูง และอาชีวะเองก็ไม่มีกําลังเพียงพอ ในขณะเดียวกัน เด็กที่ผ่านกระบวนการฝึกฝนก็จะมีงานทําและมีรายได้ที่สูงขึ้นกว่าการเรียนเพียงอย่างเดียว ส่วนอาชีวศึกษา ก็ต้องจัดการศึกษาที่มีหลักสูตรยืดหยุ่นรองรับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปพร้อมสร้างทักษะพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน ให้สามารถต่อยอดขยายผลในอุตสาหกรรม ที่จะขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า และสําหรับกระทรวงศึกษาธิการก็จะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังเช่นกัน ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะอยู่ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมใดก็ตาม หากอยู่ในยุค 1.0 ก็จะต้องพัฒนาให้เป็น 1.0 ที่มีคุณค่าให้ได้ ทั้งนี้ ได้ฝากข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดําเนินงาน โดย สอศ. ต้องพยายามเรียนรู้จากโครงการในรุ่นแรก ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรที่มีผู้สนใจน้อย ไม่ควรนํามาจัดฝึกฝนอีก ตัดหลักสูตรที่ไม่มีงานรองรับ จัดระบบติดตามการมีงานทําของผู้เข้าร่วมโครงการ เป็นต้น ทั้งนี้ ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่เข้ามาร่วมดําเนินงาน ซึ่งถือเป็นอีกโครงการหนึ่งภายใต้ความร่วมมือสานพลังประชารัฐที่มีความก้าวหน้าเป็นรูปธรรม และได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะภาคเอกชน มีความพึงพอใจมาก เพราะได้กําลังคนที่มีทักษะที่ต้องการและทํางานได้ทันที ส่วนเด็กอาชีวะ ก็หางานทําได้ มีรายได้ดี โดยเฉพาะช่างอากาศยาน ได้ฝึกฝนกับของจริง มีงานทํา และรองรับการคมนาคมของประเทศ เช่นเดียวกับงานบํารุงรักษา Big Bike ที่มีผู้สนใจจํานวนมาก เพราะหางานทําได้ทุกคน ส่วนประชานก็สามารถต่อยอดอาชีพได้ เช่น การปลูกอ้อยแนวใหม่ ให้ผลผลิตที่ดี ลดต้นทุน เป็นต้น สําหรับภาครัฐเอง ก็ได้ประสานและร่วมงานกับภาคเอกชนด้วยทัศนคติเชิงบวก ตลอดจนสื่อมวลชนที่ได้นําเสนอข้อมูลโครงการดี ๆ ต่อสาธารณชน ซึ่งเชื่อแน่ว่าจะมีการขยายโครงการ และจะพัฒนาให้นับชั่วโมงการฝึกฝนเป็นหน่วยกิตสะสมต่อไป ดร.สุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษากล่าวว่า สอศ.มีความมุ่งหวังที่จะพัฒนากําลังคนตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ และตอบโจทย์ประเทศให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยจัดโครงการเพื่อขยายการเพิ่มศักยภาพกําลังคนอาชีวะเป็นรุ่นที่ 2 แล้ว เน้นพัฒนากําลังคนด้วย 2,000 หลักสูตรในสถานศึกษาทั้ง 465 แห่ง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แบ่งออกเป็นกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ดังนี้ 1) โลจิสติกส์และการบินอาทิ การตรวจซ่อมใหญ่วงล้อและระบบเบรกอากาศยาน (60 ชม.) การเรียกเครื่องลานจอด (40 ชม.) ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในงานโลจิสติกส์ (30 ชม.) การจัดทําเอกสารการส่งออกด้วยระบบ e-Customer Paperless (18 ชม.) เป็นต้น 2) หุ่นยนต์เพื่อการอุตสาหกรรมอาทิ หุ่นยนต์เพื่อการผลิต (75 ชม.) เป็นต้น 3) ยานยนต์สมัยใหม่อาทิ เทคโนโลยีงานซ่อมสีรถยนต์ (75 ชม.) งานบํารุงรักษารถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ Big Bike (45 ชม.) เทคโนโลยีปรับฉีดพลาสติก เป็นต้น 4) อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะอาทิ เทคโนโลยีระบบลิฟต์และการซ่อมบํารุง (75 ชม.) Hight Voltage Control by Switchgears (ควบคุมแรงดันไฟ) (30 ชม.) ควบคุมกระบวนการผลิตด้วยระบบ DCS (30 ชม.) เป็นต้น 5) ท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวสุขภาพอาทิ ภาษาต่างประเทศสําหรับงานบริการ (30 ชม.) การดําน้ํา (30 ชม.) อาหารนานาชาติเพื่อการท่องเที่ยว (30 ชม.) MICE English Course (40 ชม.) การประชาสัมพันธ์ในอุตสาหกรรม MICE (40 ชม.) เป็นต้น 6) เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพอาทิ เทคโนโลยีผลิตปาล์มน้ํามันสมัยใหม่ (75 ชม.) เป็นต้น 7) แปรรูปอาหารอาทิ อาหารไทยแห่งอนาคต (30 ชม.) อาหารหวานไทยแห่งอนาคต (30 ชม.) เป็นต้น ทั้งนี้ ขอเชิญชวนนักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่สนใจ สมัครเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2560 สอบถามรายละเอียดได้ที่ "สํานักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและอาชีพ" โทร 02-2815555 ต่อ 1409 หรือhttp://bsq.vec.go.th นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7269
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ในคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความปรองดอง หรือ ป.ย.ป.
วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม 2560 การประชุมคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ในคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความปรองดอง หรือ ป.ย.ป. การประชุมคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ในคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความปรองดอง หรือ ป.ย.ป. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ในคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความปรองดอง หรือ ป.ย.ป. ณ ห้องยุทธนาธิการ ในศาลาว่าการกลาโหมซึ่งการประชุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย การทํางานมีความก้าวหน้า ขณะที่คณะอนุกรรมการต่างๆก็เตรียมพร้อม ขณะที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิก็เห็นด้วยแนวทางการทํางานว่าเดินหน้ามาอย่างถูกทางแล้ว ยืนยันว่า ต้องดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อเป็นตัวตั้งในการทํางาน ซึ่งเวลานี้ กําลังรับฟังความเห็นประชาชนไปแล้วตามจังหวัดต่างๆ ประมาณ 2 หมื่นคน ทั้งนี้ ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิแนะนําให้พยายามเข้าถึงประชาชนให้มากที่สุด โดยประชาชนทุกคนต้องรับรู้ถึงข้อตกลง และสัญญาประชาคม ส่วนที่กลุ่ม กปปส.เสนอว่า ให้ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งนั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า เรื่องปฏิรูปก็ดําเนินการตามกระบวนการปฏิรูป แต่รัฐบาลจําเป็นต้องยึดตามโรดแมปที่ได้วางไว้ ใครจะมาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ส่วนลักษณะสัญญาประชาชนจะเป็นอย่างไร ขอให้สื่อรอการทํางานก่อน ขณะนี้ยังอยู่ต้นทาง ยังไม่ปลายทาง ส่วนจะรับฟังความเห็นเสร็จสิ้นทันเดือนเมษายนหรือไม่นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า กําหนดไว้ว่าภายในเดือนมิถุนายนต้องเสร็จสิ้น พร้อมเดินหน้าประชาสัมพันธ์ ต่อไป เพราะถือมีความสําคัญ เมื่อ 20 มี.ค.60
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ในคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความปรองดอง หรือ ป.ย.ป. วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม 2560 การประชุมคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ในคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความปรองดอง หรือ ป.ย.ป. การประชุมคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ในคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความปรองดอง หรือ ป.ย.ป. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ในคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความปรองดอง หรือ ป.ย.ป. ณ ห้องยุทธนาธิการ ในศาลาว่าการกลาโหมซึ่งการประชุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย การทํางานมีความก้าวหน้า ขณะที่คณะอนุกรรมการต่างๆก็เตรียมพร้อม ขณะที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิก็เห็นด้วยแนวทางการทํางานว่าเดินหน้ามาอย่างถูกทางแล้ว ยืนยันว่า ต้องดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อเป็นตัวตั้งในการทํางาน ซึ่งเวลานี้ กําลังรับฟังความเห็นประชาชนไปแล้วตามจังหวัดต่างๆ ประมาณ 2 หมื่นคน ทั้งนี้ ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิแนะนําให้พยายามเข้าถึงประชาชนให้มากที่สุด โดยประชาชนทุกคนต้องรับรู้ถึงข้อตกลง และสัญญาประชาคม ส่วนที่กลุ่ม กปปส.เสนอว่า ให้ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งนั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า เรื่องปฏิรูปก็ดําเนินการตามกระบวนการปฏิรูป แต่รัฐบาลจําเป็นต้องยึดตามโรดแมปที่ได้วางไว้ ใครจะมาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ส่วนลักษณะสัญญาประชาชนจะเป็นอย่างไร ขอให้สื่อรอการทํางานก่อน ขณะนี้ยังอยู่ต้นทาง ยังไม่ปลายทาง ส่วนจะรับฟังความเห็นเสร็จสิ้นทันเดือนเมษายนหรือไม่นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า กําหนดไว้ว่าภายในเดือนมิถุนายนต้องเสร็จสิ้น พร้อมเดินหน้าประชาสัมพันธ์ ต่อไป เพราะถือมีความสําคัญ เมื่อ 20 มี.ค.60
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2511