title
stringlengths
0
33.4k
context
stringlengths
0
133k
raw
stringlengths
39
133k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐ ครั้งที่ 7/2561 ที่ปัตตานี
วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561 ผลการประชุมเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐ ครั้งที่ 7/2561 ที่ปัตตานี พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐ ครั้งที่ 7/2561 พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐ ครั้งที่7/2561จัดโดยสํานักงาน คปต.ส่วนหน้าเมื่อวันพฤหัสบดีที่18ตุลาคม2561ณ ห้องประชุมสํานักงาน กศน. จังหวัดปัตตานี โดยมีผลการประชุมที่สําคัญสรุปดังนี้ ● หน.ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ย้ําการทํางานร่วมกันเพื่อพัฒนา จชต. ด้วยกลไกประชารัฐ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลฯกล่าวว่า ที่ผ่านมาได้รายงานให้คณะรัฐมนตรีรับทราบทุกครั้งเกี่ยวกับความก้าวหน้าการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของแต่ละภาคส่วนตามกลไกประชารัฐในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ที่ทุกหน่วยงานได้ร่วมทํางานเชิงบูรณาการเพื่อพัฒนาพื้นที่ จชต. ให้ประชาชนซึ่งเป็นศูนย์กลางมีความสุข และเมื่อมีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้น เราก็ร่วมกันคิดหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยการน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หลักการทรงงานและศาสตร์พระราชา ของในหลวงรัชกาลที่9มาเป็นแนวทางปฏิบัติ รวมทั้งขับเคลื่อนการทํางานที่จะต้องสอดคล้องเชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ และที่สําคัญสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ.2561-2580) ของรัฐบาล ● กองทัพภาค4เร่งแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ จชต. พล.อ.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาค4กล่าวว่า กองทัพภาคที่4ได้ร่วมกับทุกภาคส่วนเร่งแก้ไขปัญหาที่สําคัญเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหายาเสพติดในพื้นที่3จชต. โดยเริ่มต้นสแกนอย่างละเอียดทุกหน่วยงาน แม้แต่ในกองทัพภาค4เอง อีกทั้งผู้นําศาสนาก็มีส่วนร่วมที่สําคัญต่อการแก้ไขปัญหานี้ โดยใช้ศูนย์ปฏิบัติการอําเภอ ทั้งนี้ เพื่อลดปัญหาดังกล่าว อันจะนําไปสู่ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และเกิดความสันติสุขในพื้นที่ จชต. อย่างยั่งยืนต่อไป ● ศปบ.จชต.รายงานความก้าวหน้าการจัดการศึกษาแบบบูรณาการใน จชต. นายศักดิ์จิต มาศจิตต์ รองผู้อํานวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.)ได้นําเสนอความก้าวหน้าการทํางานของ ศปบ.จชต. หรือกระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนหน้า) ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี2547สังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ขึ้นที่ จ.ยะลา และต่อมาได้ย้ายที่ทําการมา จ.ปัตตานี โดยมุ่งเน้นขับเคลื่อนนโยบายด้านการศึกษาตามวิสัยทัศน์ "ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รับการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดํารงชีวิตอย่างเป็นสุขในสังคมพหุวัฒนธรรม สอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21" โดยดําเนินงานแบบบูรณาการตาม 6 ยุทธศาสตร์ในการดําเนินงานขับเคลื่อนคือ1) ยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง2) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน3) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์4) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม5) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม6) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ มีโครงการสําคัญเพื่อพัฒนาการศึกษาและสถานศึกษาของรัฐและเอกชนหลายรูปแบบตามอัตลักษณ์และสภาพแวดล้อม ทั้ง5,085แห่ง ครู59,625คน นักเรียนนักศึกษากว่า1ล้านคนใน จชต.เช่น กําหนดให้ปี2561เป็นปีแห่งการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่มุ่งเน้นให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม, การจัดสรรทุนการศึกษา1หมื่นกว่าทุน/ปี, จัดบัญชีผู้รับสวัสดิการของรัฐรายได้ไม่เกิน3หมื่นบาทต่อปี, จัดโครงการโรงเรียนและอาชีวศึกษาประชารัฐ, แก้ไขปัญหาประชากรวัยเรียนนอกระบบการศึกษา ร่วมรณรงค์เชิญชวนให้มาเรียนหนังสือ, พัฒนาหลักสูตรอิสลามศึกษาใช้ในศูนย์การศึกษาอิสลามประจํามัสยิด (ตาดีกา) หลักสูตรแกนกลางสําหรับสถาบันศึกษาปอเนาะ, ส่งเสริมพัฒนาการใช้ภาษาไทย, การผลิตและพัฒนาคนให้มีสมรรถนะตามความต้องการของตลาดงานเพื่อรองรับนโยบายประเทศไทย4.0,โครงการพัฒนาเมืองต้นแบบสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน, การจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง ผ่านโครงการกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อให้เกิดความก้าวหน้า ก่อให้เกิดความยั่งยืน และสร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นในพื้นที่ต่อไป ● ผู้แทน สธ.เขต12รายงานสถานการณ์โรคหัด ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะผู้แทนสํานักงานเขตสุขภาพที่12ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบสถานการณ์การป้องกันแก้ไขปัญหา "โรคหัด" ซึ่งมีการระบาดอย่างมากในช่วงปีนี้ พบผู้ป่วยซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุต่ํากว่า5ขวบจํานวนกว่า600ราย เสียชีวิตไปแล้ว6ราย โดย จ.ยะลา มีอัตราส่วนผู้ป่วยสูงสุดคือ55คนต่อประชากร1แสนคน จึงวางเป้าหมายเร่งดําเนินการฉีดวัคซีนเข็มแรกMMR1รวมทั้งMMR2ให้ครอบคลุมอย่างน้อยร้อยละ95ภายในปีนี้ จึงจะควบคุมการระบาดของโรคหัดได้ผล โดยอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) เป็นผู้ให้ความรู้การดูแลเด็ก นายชลํา อรรถธรรม เลขาธิการ กช.กล่าวเพิ่มเติมในส่วนของสถานศึกษาใน จชต. ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสถานศึกษาเอกชนว่า สช.กําลังเร่งดําเนินงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยตั้งวอร์รูมในพื้นที่ระดับอําเภอ ให้ฉีดวัคซีนแก่เด็ก0-5ปี ● ผู้แทน คปต.กลุ่มภารกิจงานต่าง ๆรายงานความคืบหน้า พล.อ.ปราการ ชลยุทธ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล กลุ่มภารกิจงานที่1ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบ การขับเคลื่อนด้านความมั่นคง งานรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ที่ร่วมแก้ไขปัญหายาเสพติด เน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชารัฐ พล.อ.มณี จันทร์ทิพย์ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล กลุ่มภารกิจงานที่3ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบ งานสร้างความเข้าใจทั้งในและต่างประเทศและสิทธิมนุษยชน ที่เน้นการทํางานการสร้างความเข้าใจ การยกระดับความเข้มแข็ง ความปลอดภัย การแก้ปัญหายาเสพติด การพบปะพูดคุยกับผู้นําศาสนา ผู้บริหารสถาบันศึกษาปอเนาะ ตาดีกา เพื่อหารือแนวทางพัฒนาร่วมกัน โดยมีคณะทํางานและแผนสร้างการรับรู้ให้ครอบคลุมภารกิจงานทั้ง7กลุ่มงาน ที่ตรงกับความต้องการของประชาชน ขับเคลื่อนบูรณาการอย่างต่อเนื่อง สร้างความเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ รวมทั้งIGOsและองค์กรพัฒนาเอกชนNGOsรวมทั้งแนวทางสนับสนุนนักศึกษามุสลิมที่เดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ และสร้างองค์ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนในด้านสิทธิมนุษยชน นายภาณุ อุทัยรัตน์ผู้แทนพิเศษของรัฐบาลกลุ่มภารกิจงานที่5ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบโครงการที่สําคัญที่ดําเนินการงานพัฒนาตามศักยภาพของพื้นที่และคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น โครงการจัดการโรคเหี่ยวของกล้วยอย่างยั่งยืน เพื่อไม่ให้กล้วยยืนต้นตาย แก้ปัญหาที่ดินและพัฒนาชุมชนอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี ที่ครอบคลุม3จังหวัด9อําเภอ25ตําบล89หมู่บ้านใน จ.นราธิวาส ปัตตานี และยะลา ซึ่งเกิดปัญหาทับซ้อนกับที่ดินทํากินของประชาชน20,926ราย เนื้อที่1แสนกว่าไร่ พล.อ.จําลอง คุณสงค์ผู้แทนพิเศษของรัฐบาลกลุ่มภารกิจงานที่6ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบงานเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐและการขับเคลื่อนนโยบายการแก้ไขปัญหา จชต. เพื่อให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง มีการดําเนินงานที่สําคัญคือการสร้างสนามกีฬา โดยใช้เม็ดยางพาราเคลือบด้วยวัสดุสังเคราะห์ทําพื้นสนาม เพื่อส่งเสริมการปลูกยางพาราของประชาชนใน จชต. ● ความคิดเห็นหลากหลายของผู้เข้าร่วมประชุม นายกสมาคมสถาบันศึกษาปอเนาะกล่าวชมเชยการทํางานของผู้นําของรัฐบาลส่วนหน้าว่า เมื่อผู้นํามีจิตใจดี เป็นตัวอย่างที่ดี ย่อมจะเป็นตัวอย่างให้ประชาชนมีจิตใจดีตามไปด้วย พร้อมทั้งชื่นชมแม่ทัพภาค4และหลายหน่วยงานที่ได้ร่วมกันทํางานได้ดีในหลายเรื่อง เช่น สุขภาวะอนามัยของประชาชน อดีตผู้ฝึกสอนกีฬากล่าวถึงการส่งเสริมกีฬาใน จชต.ที่ผ่านมาว่ามีความเข้มแข็ง แต่ต้องการให้รัฐสร้างบรรยากาศจัดการแข่งขันวอลเล่ย์บอลชายหาดในพื้นที่ จชต.อีก หลังจากที่ จ.ยะลา มีนักกีฬาชั้นนําในประเภทนี้จํานวนมากและเคยจัดการแข่งขันระดับประเทศและนานาชาติมาก่อน ซึ่งประเด็นนี้พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์เห็นว่า มีความเห็นที่สอดคล้องกันในการส่งเสริมและนํากีฬาเข้าสู่ระบบการศึกษา รวมทั้งการป้องกันภัยที่อาจเกิดขึ้นกับเด็ก และในปลายปีนี้จะมีการจัดการแข่งขันMOE Cupครั้งที่2ชิงถ้วยนายกรัฐมนตรีใน2ประเภทกีฬา คือ ฟุตบอลและวอลเล่ย์บอล หลังจากครั้งแรกประสบความสําเร็จเป็นอย่างมาก โดยมีทีมฟุตบอลชายส่งทีมเข้าร่วมแข่งขันกว่า200ทีม ตัวแทนกํานันผู้ใหญ่บ้านใน จชต.กล่าวว่า ชื่นชมผู้แทนพิเศษของรัฐบาลที่ทํางานเกิดประสิทธิภาพ เกิดผลตอบรับจากประชาชน มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในช่วงปีที่ผ่านมา รวมทั้งนโยบายการปราบปรามปัญหายาเสพติดในพื้นที่ โดยขอให้เข้มในพื้นที่จุดตรวจและด่านบริเวณอําเภอตะเข็บชายแดนอย่างละเอียด ประธานหอการค้าจังหวัดปัตตานีกล่าวขอบคุณ คปต.ที่ให้ความสําคัญจัดการประชุมครั้งนี้ในจังหวัดปัตตานี และขอให้ติดตามการขยายสนามบินบ่อทอง จ.ปัตตานี และช่วยเหลือด้านการประมงในจังหวัด เช่น ชดเชยค่าแรงงานชาวประมง รับคนงานที่มีฝีมือเข้ามาทํางาน ตัวแทนวิทยากรในสถานศึกษาของรัฐกล่าวว่า เป็นความก้าวหน้าของรัฐบาลในการส่งเสริมพัฒนาหลักสูตรอิสลามศึกษาในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ต้องการให้ช่วยอนุเคราะห์เกี่ยวกับสัญญาจ้างของวิทยากรอิสลามศึกษา ไม่จํากัดสิทธิ์ในการไปศึกษาต่อในหลักสูตรครู ขอความอนุเคราะห์ให้ลูกจ้างชั่วคราวได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่น มีโอกาสเป็นพนักงานราชการ นายกสมาคม อบต.ในจังหวัดปัตตานีกล่าวให้ที่ประชุมรับทราบถึงการจัดตั้งสมาคม อบต.ว่า เพื่อเป็นตัวเชื่อมสร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างท้องถิ่นกับท้องที่ และฝากเรื่องการให้ความสําคัญกับการขาดแคลนแรงงานประมง และการให้ความรู้แก่เด็กในเรื่องประมง เพราะเป็นอาชีพที่สําคัญในพื้นที่ ● ขอให้เร่งสร้างการรับรู้ และการใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวด้วยว่า ขอบคุณทุกความเห็นจากการประชุม ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะติดตามดําเนินการต่อไป และจะนําเสนอความก้าวหน้าให้ที่ประชุมรับทราบในการประชุมครั้งต่อไป อย่างไรก็ตาม เรื่องใดที่เร่งดําเนินการได้เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาหรือแก้ปัญหา ขอให้เร่งดําเนินการโดยมองความสุขของประชาชนเป็นศูนย์กลาง และขอให้ทุกหน่วยงานให้ความสําคัญต่อการสร้างการรับรู้ความเข้าใจ โดยเฉพาะSocial Mediaที่เป็นช่องทางการรับรู้ข้อมูลข่าวสารด้วยความรวดเร็ว ขณะเดียวกันควรรณรงค์ในเรื่องการรับรู้ การรู้เท่าทันสื่อ การใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์ ให้ระมัดระวังการแชร์ข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จหรือบิดเบือนจากข้อเท็จจริง และฝากให้ทุกหน่วยงานเน้นการทํางานบูรณาการร่วมกันให้เกิดความเข้มแข็งในมิติการพัฒนาด้านต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ จชต. อันจะส่งผลให้พื้นที่เกิดความสงบสันติสุข ประเทศชาติมีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ภายหลังประชุมพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ และผู้เข้าร่วมประชุม ได้เยี่ยมชมนิทรรศการความก้าวหน้าการจัดการศึกษาของสํานักงาน กศน. ในพื้นที่ จชต. เช่น ฐานการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ศาสตร์พระราชา และหลักการทรงงาน และสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ที่ได้นําความรู้การส่งเสริมอาชีพ และสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมอาชีวศึกษา มาจัดแสดงภายในบริเวณสํานักงาน กศน.จังหวัดปัตตานี ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจร่วมกันของหน่วยงานและสถานศึกษา อนึ่ง ในการประชุมครั้งนี้ มีผู้เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน/กระทรวงในพื้นที่5จังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าร่วมประชุมจํานวนมาก อาทิ พล.ต.ต.ธัมมศักดิ์ วาสะศิริ ที่ปรึกษาหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล, นายวีรนันทน์ เพ็งจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี, พล.อ.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ ผอ.รมน.ภาค4, พล.ต.พงษ์ศักดิ์ มาอินทร์ หัวหน้าสํานักงาน คปต.ส่วนหน้า, ผู้แทน ศอ.บต., นายศรีชัย พรประชาธรรม เลขาธิการสํานักงาน กศน., นายชลํา อรรถธรรม เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน, นายสุทิน แก้วพนา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายสนิท แย้มเกษร ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายเรวัฒน์ เพ็ชรสงฆ์ รักษาการในตําแหน่งผู้อํานวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งผู้นําศาสนา ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรภาคประชาสังคม ประธานชมรมครูผู้ปกครองโครงการสานฝันฯ เป็นต้น Written byบัลลังก์ โรหิตเสถียร Photo Creditปกรณ์ เรืองยิ่ง, ศปบ.จชต. Rewriterบัลลังก์ โรหิตเสถียร Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐ ครั้งที่ 7/2561 ที่ปัตตานี วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561 ผลการประชุมเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐ ครั้งที่ 7/2561 ที่ปัตตานี พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐ ครั้งที่ 7/2561 พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐ ครั้งที่7/2561จัดโดยสํานักงาน คปต.ส่วนหน้าเมื่อวันพฤหัสบดีที่18ตุลาคม2561ณ ห้องประชุมสํานักงาน กศน. จังหวัดปัตตานี โดยมีผลการประชุมที่สําคัญสรุปดังนี้ ● หน.ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ย้ําการทํางานร่วมกันเพื่อพัฒนา จชต. ด้วยกลไกประชารัฐ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลฯกล่าวว่า ที่ผ่านมาได้รายงานให้คณะรัฐมนตรีรับทราบทุกครั้งเกี่ยวกับความก้าวหน้าการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของแต่ละภาคส่วนตามกลไกประชารัฐในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ที่ทุกหน่วยงานได้ร่วมทํางานเชิงบูรณาการเพื่อพัฒนาพื้นที่ จชต. ให้ประชาชนซึ่งเป็นศูนย์กลางมีความสุข และเมื่อมีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้น เราก็ร่วมกันคิดหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยการน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หลักการทรงงานและศาสตร์พระราชา ของในหลวงรัชกาลที่9มาเป็นแนวทางปฏิบัติ รวมทั้งขับเคลื่อนการทํางานที่จะต้องสอดคล้องเชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ และที่สําคัญสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ.2561-2580) ของรัฐบาล ● กองทัพภาค4เร่งแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ จชต. พล.อ.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาค4กล่าวว่า กองทัพภาคที่4ได้ร่วมกับทุกภาคส่วนเร่งแก้ไขปัญหาที่สําคัญเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหายาเสพติดในพื้นที่3จชต. โดยเริ่มต้นสแกนอย่างละเอียดทุกหน่วยงาน แม้แต่ในกองทัพภาค4เอง อีกทั้งผู้นําศาสนาก็มีส่วนร่วมที่สําคัญต่อการแก้ไขปัญหานี้ โดยใช้ศูนย์ปฏิบัติการอําเภอ ทั้งนี้ เพื่อลดปัญหาดังกล่าว อันจะนําไปสู่ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และเกิดความสันติสุขในพื้นที่ จชต. อย่างยั่งยืนต่อไป ● ศปบ.จชต.รายงานความก้าวหน้าการจัดการศึกษาแบบบูรณาการใน จชต. นายศักดิ์จิต มาศจิตต์ รองผู้อํานวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.)ได้นําเสนอความก้าวหน้าการทํางานของ ศปบ.จชต. หรือกระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนหน้า) ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี2547สังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ขึ้นที่ จ.ยะลา และต่อมาได้ย้ายที่ทําการมา จ.ปัตตานี โดยมุ่งเน้นขับเคลื่อนนโยบายด้านการศึกษาตามวิสัยทัศน์ "ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รับการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดํารงชีวิตอย่างเป็นสุขในสังคมพหุวัฒนธรรม สอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21" โดยดําเนินงานแบบบูรณาการตาม 6 ยุทธศาสตร์ในการดําเนินงานขับเคลื่อนคือ1) ยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง2) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน3) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์4) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม5) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม6) ยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ มีโครงการสําคัญเพื่อพัฒนาการศึกษาและสถานศึกษาของรัฐและเอกชนหลายรูปแบบตามอัตลักษณ์และสภาพแวดล้อม ทั้ง5,085แห่ง ครู59,625คน นักเรียนนักศึกษากว่า1ล้านคนใน จชต.เช่น กําหนดให้ปี2561เป็นปีแห่งการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่มุ่งเน้นให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม, การจัดสรรทุนการศึกษา1หมื่นกว่าทุน/ปี, จัดบัญชีผู้รับสวัสดิการของรัฐรายได้ไม่เกิน3หมื่นบาทต่อปี, จัดโครงการโรงเรียนและอาชีวศึกษาประชารัฐ, แก้ไขปัญหาประชากรวัยเรียนนอกระบบการศึกษา ร่วมรณรงค์เชิญชวนให้มาเรียนหนังสือ, พัฒนาหลักสูตรอิสลามศึกษาใช้ในศูนย์การศึกษาอิสลามประจํามัสยิด (ตาดีกา) หลักสูตรแกนกลางสําหรับสถาบันศึกษาปอเนาะ, ส่งเสริมพัฒนาการใช้ภาษาไทย, การผลิตและพัฒนาคนให้มีสมรรถนะตามความต้องการของตลาดงานเพื่อรองรับนโยบายประเทศไทย4.0,โครงการพัฒนาเมืองต้นแบบสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน, การจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง ผ่านโครงการกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อให้เกิดความก้าวหน้า ก่อให้เกิดความยั่งยืน และสร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นในพื้นที่ต่อไป ● ผู้แทน สธ.เขต12รายงานสถานการณ์โรคหัด ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะผู้แทนสํานักงานเขตสุขภาพที่12ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบสถานการณ์การป้องกันแก้ไขปัญหา "โรคหัด" ซึ่งมีการระบาดอย่างมากในช่วงปีนี้ พบผู้ป่วยซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุต่ํากว่า5ขวบจํานวนกว่า600ราย เสียชีวิตไปแล้ว6ราย โดย จ.ยะลา มีอัตราส่วนผู้ป่วยสูงสุดคือ55คนต่อประชากร1แสนคน จึงวางเป้าหมายเร่งดําเนินการฉีดวัคซีนเข็มแรกMMR1รวมทั้งMMR2ให้ครอบคลุมอย่างน้อยร้อยละ95ภายในปีนี้ จึงจะควบคุมการระบาดของโรคหัดได้ผล โดยอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) เป็นผู้ให้ความรู้การดูแลเด็ก นายชลํา อรรถธรรม เลขาธิการ กช.กล่าวเพิ่มเติมในส่วนของสถานศึกษาใน จชต. ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสถานศึกษาเอกชนว่า สช.กําลังเร่งดําเนินงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยตั้งวอร์รูมในพื้นที่ระดับอําเภอ ให้ฉีดวัคซีนแก่เด็ก0-5ปี ● ผู้แทน คปต.กลุ่มภารกิจงานต่าง ๆรายงานความคืบหน้า พล.อ.ปราการ ชลยุทธ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล กลุ่มภารกิจงานที่1ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบ การขับเคลื่อนด้านความมั่นคง งานรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ที่ร่วมแก้ไขปัญหายาเสพติด เน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชารัฐ พล.อ.มณี จันทร์ทิพย์ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล กลุ่มภารกิจงานที่3ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบ งานสร้างความเข้าใจทั้งในและต่างประเทศและสิทธิมนุษยชน ที่เน้นการทํางานการสร้างความเข้าใจ การยกระดับความเข้มแข็ง ความปลอดภัย การแก้ปัญหายาเสพติด การพบปะพูดคุยกับผู้นําศาสนา ผู้บริหารสถาบันศึกษาปอเนาะ ตาดีกา เพื่อหารือแนวทางพัฒนาร่วมกัน โดยมีคณะทํางานและแผนสร้างการรับรู้ให้ครอบคลุมภารกิจงานทั้ง7กลุ่มงาน ที่ตรงกับความต้องการของประชาชน ขับเคลื่อนบูรณาการอย่างต่อเนื่อง สร้างความเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ รวมทั้งIGOsและองค์กรพัฒนาเอกชนNGOsรวมทั้งแนวทางสนับสนุนนักศึกษามุสลิมที่เดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ และสร้างองค์ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนในด้านสิทธิมนุษยชน นายภาณุ อุทัยรัตน์ผู้แทนพิเศษของรัฐบาลกลุ่มภารกิจงานที่5ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบโครงการที่สําคัญที่ดําเนินการงานพัฒนาตามศักยภาพของพื้นที่และคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น โครงการจัดการโรคเหี่ยวของกล้วยอย่างยั่งยืน เพื่อไม่ให้กล้วยยืนต้นตาย แก้ปัญหาที่ดินและพัฒนาชุมชนอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี ที่ครอบคลุม3จังหวัด9อําเภอ25ตําบล89หมู่บ้านใน จ.นราธิวาส ปัตตานี และยะลา ซึ่งเกิดปัญหาทับซ้อนกับที่ดินทํากินของประชาชน20,926ราย เนื้อที่1แสนกว่าไร่ พล.อ.จําลอง คุณสงค์ผู้แทนพิเศษของรัฐบาลกลุ่มภารกิจงานที่6ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบงานเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐและการขับเคลื่อนนโยบายการแก้ไขปัญหา จชต. เพื่อให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง มีการดําเนินงานที่สําคัญคือการสร้างสนามกีฬา โดยใช้เม็ดยางพาราเคลือบด้วยวัสดุสังเคราะห์ทําพื้นสนาม เพื่อส่งเสริมการปลูกยางพาราของประชาชนใน จชต. ● ความคิดเห็นหลากหลายของผู้เข้าร่วมประชุม นายกสมาคมสถาบันศึกษาปอเนาะกล่าวชมเชยการทํางานของผู้นําของรัฐบาลส่วนหน้าว่า เมื่อผู้นํามีจิตใจดี เป็นตัวอย่างที่ดี ย่อมจะเป็นตัวอย่างให้ประชาชนมีจิตใจดีตามไปด้วย พร้อมทั้งชื่นชมแม่ทัพภาค4และหลายหน่วยงานที่ได้ร่วมกันทํางานได้ดีในหลายเรื่อง เช่น สุขภาวะอนามัยของประชาชน อดีตผู้ฝึกสอนกีฬากล่าวถึงการส่งเสริมกีฬาใน จชต.ที่ผ่านมาว่ามีความเข้มแข็ง แต่ต้องการให้รัฐสร้างบรรยากาศจัดการแข่งขันวอลเล่ย์บอลชายหาดในพื้นที่ จชต.อีก หลังจากที่ จ.ยะลา มีนักกีฬาชั้นนําในประเภทนี้จํานวนมากและเคยจัดการแข่งขันระดับประเทศและนานาชาติมาก่อน ซึ่งประเด็นนี้พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์เห็นว่า มีความเห็นที่สอดคล้องกันในการส่งเสริมและนํากีฬาเข้าสู่ระบบการศึกษา รวมทั้งการป้องกันภัยที่อาจเกิดขึ้นกับเด็ก และในปลายปีนี้จะมีการจัดการแข่งขันMOE Cupครั้งที่2ชิงถ้วยนายกรัฐมนตรีใน2ประเภทกีฬา คือ ฟุตบอลและวอลเล่ย์บอล หลังจากครั้งแรกประสบความสําเร็จเป็นอย่างมาก โดยมีทีมฟุตบอลชายส่งทีมเข้าร่วมแข่งขันกว่า200ทีม ตัวแทนกํานันผู้ใหญ่บ้านใน จชต.กล่าวว่า ชื่นชมผู้แทนพิเศษของรัฐบาลที่ทํางานเกิดประสิทธิภาพ เกิดผลตอบรับจากประชาชน มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในช่วงปีที่ผ่านมา รวมทั้งนโยบายการปราบปรามปัญหายาเสพติดในพื้นที่ โดยขอให้เข้มในพื้นที่จุดตรวจและด่านบริเวณอําเภอตะเข็บชายแดนอย่างละเอียด ประธานหอการค้าจังหวัดปัตตานีกล่าวขอบคุณ คปต.ที่ให้ความสําคัญจัดการประชุมครั้งนี้ในจังหวัดปัตตานี และขอให้ติดตามการขยายสนามบินบ่อทอง จ.ปัตตานี และช่วยเหลือด้านการประมงในจังหวัด เช่น ชดเชยค่าแรงงานชาวประมง รับคนงานที่มีฝีมือเข้ามาทํางาน ตัวแทนวิทยากรในสถานศึกษาของรัฐกล่าวว่า เป็นความก้าวหน้าของรัฐบาลในการส่งเสริมพัฒนาหลักสูตรอิสลามศึกษาในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ต้องการให้ช่วยอนุเคราะห์เกี่ยวกับสัญญาจ้างของวิทยากรอิสลามศึกษา ไม่จํากัดสิทธิ์ในการไปศึกษาต่อในหลักสูตรครู ขอความอนุเคราะห์ให้ลูกจ้างชั่วคราวได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่น มีโอกาสเป็นพนักงานราชการ นายกสมาคม อบต.ในจังหวัดปัตตานีกล่าวให้ที่ประชุมรับทราบถึงการจัดตั้งสมาคม อบต.ว่า เพื่อเป็นตัวเชื่อมสร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างท้องถิ่นกับท้องที่ และฝากเรื่องการให้ความสําคัญกับการขาดแคลนแรงงานประมง และการให้ความรู้แก่เด็กในเรื่องประมง เพราะเป็นอาชีพที่สําคัญในพื้นที่ ● ขอให้เร่งสร้างการรับรู้ และการใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวด้วยว่า ขอบคุณทุกความเห็นจากการประชุม ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะติดตามดําเนินการต่อไป และจะนําเสนอความก้าวหน้าให้ที่ประชุมรับทราบในการประชุมครั้งต่อไป อย่างไรก็ตาม เรื่องใดที่เร่งดําเนินการได้เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาหรือแก้ปัญหา ขอให้เร่งดําเนินการโดยมองความสุขของประชาชนเป็นศูนย์กลาง และขอให้ทุกหน่วยงานให้ความสําคัญต่อการสร้างการรับรู้ความเข้าใจ โดยเฉพาะSocial Mediaที่เป็นช่องทางการรับรู้ข้อมูลข่าวสารด้วยความรวดเร็ว ขณะเดียวกันควรรณรงค์ในเรื่องการรับรู้ การรู้เท่าทันสื่อ การใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์ ให้ระมัดระวังการแชร์ข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จหรือบิดเบือนจากข้อเท็จจริง และฝากให้ทุกหน่วยงานเน้นการทํางานบูรณาการร่วมกันให้เกิดความเข้มแข็งในมิติการพัฒนาด้านต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ จชต. อันจะส่งผลให้พื้นที่เกิดความสงบสันติสุข ประเทศชาติมีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ภายหลังประชุมพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ และผู้เข้าร่วมประชุม ได้เยี่ยมชมนิทรรศการความก้าวหน้าการจัดการศึกษาของสํานักงาน กศน. ในพื้นที่ จชต. เช่น ฐานการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ศาสตร์พระราชา และหลักการทรงงาน และสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ที่ได้นําความรู้การส่งเสริมอาชีพ และสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมอาชีวศึกษา มาจัดแสดงภายในบริเวณสํานักงาน กศน.จังหวัดปัตตานี ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจร่วมกันของหน่วยงานและสถานศึกษา อนึ่ง ในการประชุมครั้งนี้ มีผู้เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน/กระทรวงในพื้นที่5จังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าร่วมประชุมจํานวนมาก อาทิ พล.ต.ต.ธัมมศักดิ์ วาสะศิริ ที่ปรึกษาหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล, นายวีรนันทน์ เพ็งจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี, พล.อ.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ ผอ.รมน.ภาค4, พล.ต.พงษ์ศักดิ์ มาอินทร์ หัวหน้าสํานักงาน คปต.ส่วนหน้า, ผู้แทน ศอ.บต., นายศรีชัย พรประชาธรรม เลขาธิการสํานักงาน กศน., นายชลํา อรรถธรรม เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน, นายสุทิน แก้วพนา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายสนิท แย้มเกษร ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายเรวัฒน์ เพ็ชรสงฆ์ รักษาการในตําแหน่งผู้อํานวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งผู้นําศาสนา ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรภาคประชาสังคม ประธานชมรมครูผู้ปกครองโครงการสานฝันฯ เป็นต้น Written byบัลลังก์ โรหิตเสถียร Photo Creditปกรณ์ เรืองยิ่ง, ศปบ.จชต. Rewriterบัลลังก์ โรหิตเสถียร Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16177
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. มท. พณ. ทร. ร่วมแถลงความคืบหน้ารับมือการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และประเด็นที่เกี่ยวข้อง
วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2563 สธ. มท. พณ. ทร. ร่วมแถลงความคืบหน้ารับมือการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และประเด็นที่เกี่ยวข้อง สธ. มท. พณ. ทร. ร่วมแถลงความคืบหน้ารับมือการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และประเด็นที่เกี่ยวข้อง วันนี้ (9 มีนาคม 2563) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข พลเรือโท วิชัย มนัสศิริวิทยา เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ โฆษกกระทรวงสาธารณสุขแถลงสรุปสถานการณ์ COVID-19 พบผู้ป่วยยืนยันทั่วโลกวันนี้ รวม 102 ประเทศ ผู้ป่วยติดเชื้อประมาณ 107,000 ราย ผู้ป่วยอาการหนัก 6,000 คน ทั่วไปจะมีอาการเล็กน้อยคล้ายไข้หวัด ผู้เสียชีวิตนั้นอาจเพราะสูงอายุหรือมีโรคประจําตัวอื่นๆ สําหรับประเทศไทยวันนี้ ยังคงมีผู้ป่วยยืนยันอยู่ 50 ราย ซึ่งไทยเป็นประเทศแรกของทั่วโลกในการตรวจค้นหา คัดกรอง ส่วนใหญ่รักษาหายแล้ว ยังคงมีผู้ป่วยอาการวิกฤติเพียง 1 ราย ทุกๆรายแพทย์พยาบาลให้การดูแลอย่างเต็มที่ ต้องเน้นให้ทุกคนเปลี่ยน “ความกลัว” เป็น “ความรู้ที่ถูกต้อง” มีพฤติกรรมที่ดี เพื่อช่วยกันรับมือกับสถานการณ์ ขอย้ําว่า การติดเชื้อไวรัส COVID-19 ป้องกันและรักษาได้ ทุกคนต้องร่วมกันรับมือ หากเทียบกับอีก 102 ประเทศ จะสังเกตได้ว่าอัตราผู้ป่วยในประเทศไทยขึ้นอย่างช้า ๆ ซึ่งเป็นการชะลอตัวที่เหมาะสม ขอยืนยันว่าเราทําอย่างเต็มที่ ครบทุกมิติ ทั้งมิติด้านสุขภาพ คุณภาพชีวิต และมิติเศรษฐกิจ ทั้งระบบการคัดกรองและการประกาศเขตติดโรคที่มีความเสี่ยงสูง เพราะไทยมีระบบโครงสร้างสาธารณสุขที่ดีมากรวมถึงพลังความร่วมมือทุกภาคส่วน ยืนยันว่ารัฐบาลรวมถึงกระทรวงสาธารณสุขไม่มีนโยบายปิดบังข้อมูลและได้เปิดเผยข้อเท็จจริงมาโดยตลอด เมื่อพบผู้ป่วย 1 ราย จะมีการติดตามเพิ่ม 40 ราย อยากให้คนไทยร่วมเป็นกําลังใจให้แพทย์ พยาบาล และทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันทํางานอย่างเต็มที่ โฆษกกระทรวงสาธารณสุขยังกล่าวถึงกรณีแรงงานไทยนอกระบบจากประเทศเกาหลีใต้ที่หลบหนีทั้ง 80 รายนั้นได้ติดตามครบทุกคนมีการสร้างความเข้าใจและทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ซึ่งกระบวนเดินทางกลับไทยนั้น พี่น้องแรงงานไทยเหล่านี้จะต้องไปรายงานตัว หากพบว่ามีไข้เจ็บป่วยให้รักษาที่ประเทศต้นทาง มีการจัดกลุ่มผู้เดินทางกลับ เมื่อเดินทางถึงไทย จะมีการจัดหลุมจอดเครื่องบินโดยเฉพาะ มีทีมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองเข้าไปคัดกรองดูแลสุขภาพ หากพบว่ามีไข้จะนําส่งโรงพยาบาลตามขั้นตอนที่กําหนดไว้ สําหรับกลุ่มที่มาจากพื้นที่เสี่ยงจะถูกคัดแยกไปฐานทัพเรือสัตหีบ ซึ่งทีมแพทย์จะให้การดูแลอย่างดีตลอดทั้ง 14 วัน กลุ่มความเสี่ยงน้อยที่ไม่ได้มาจากเมืองแทกูและคยองซัง คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อระดับจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดและทีมแพทย์จะเข้าไปติดตามดูแลในระดับพื้นที่ด้วย โฆษกกระทรวงสาธารณสุขยังย้ําว่า ไทยมีระบบคัดกรองการเดินทางของชาวต่างชาติจากประเทศกลุ่มเสี่ยงไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด มีระบบติดตามโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง หากพบว่ามีพฤติกรรมท้าทาย ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ปฏิบัติตามมาตรการจะมีการดําเนินคดี ซึ่งโทษจะมีทั้งจําและปรับถึงหลักแสน พล.ร.ท. วิชัย มนัสศิริวิทยา เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ได้แถลงต่อสื่อมวลชนถึงกระบวนการ ดูแล และกักตัวแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากเกาหลีใต้ จํานวน 188 คน ที่ฐานทัพเรือ สัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยเป็นผู้หญิง 99 คน ผู้ชาย 89 คน ระยะเวลา 14 วัน ว่า มีวิธีการคัดกรองโรคอย่างรัดกุม ภายใต้กรอบแนวคิดการทํางานยึดหลักการใช้บุคลากร ใช้เวลาและใช้พื้นที่ให้สัมผัสกับผู้ที่มีความเสี่ยงให้น้อยที่สุด เน้นความปลอดภัยของชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงกับผู้ปฏิบัติงาน ภายใต้กระบวนการ Incident Command System ตั้งแต่การเตรียมการเปิดศูนย์ จนถึงการรับตัวผู้มีความเสี่ยง โดยให้ความสําคัญต่อการชี้แจงข้อมูลแก่ชุมชนเพื่อสร้างความเข้าใจและความสบายใจ ซึ่งกองทัพเรือจัดแบ่งพื้นที่ทํางานตั้งแต่การเดินทางของผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะไม่ใช้เส้นทางผ่านชุมชน ตรวจคัดกรองอย่างเคร่งครัดตั้งแต่ลงรถถึงเข้าอาคารที่พัก โดยกองทัพเรือได้ดูแลความสะดวกสบายทั้งทางกายและสุขภาพจิตเพื่อคลายความกังวลของผู้ที่มีความเสี่ยงด้วย นอกจากนี้ กองทัพเรือยังเน้นการกําจัดขยะที่มีความเสี่ยงจะติดเชื้ออย่างถูกต้องตามหลักการแพทย์ พร้อมทั้งยังจะได้นํานวัตกรรมหุ่นยนต์บริการทางแพทย์ผ่านเครือข่าย 5G เพื่อยกระดับการทํางานของแพทย์อีกด้วย นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงการติดตามดูแลผู้ที่เดินทางกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงว่า ทุกจังหวัดได้เตรียมสถานที่รองรับไว้พร้อมแล้วทั่วประเทศจํานวน 232 แห่ง ตามมาตรฐานที่กรมควบคุมโรคกําหนด กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ํา ซึ่งเป็นผู้ที่มีสุขภาพเป็นปกติ โดยประสานกระทรวงคมนาคมจัดรถโดยสารมารับจากสนามบินโดยเฉพาะ เพื่อนําส่งตามภูมิลําเนา ระหว่างการนําส่งจะไม่มีการแวะพัก เมื่อถึงพื้นที่ก็จะเข้าสู่กระบวนการดูแล โดยมีคณะกรรมการโรคติดต่อระดับจังหวัดเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสม โดยมีกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม.ช่วยกันสอดส่องดูแลในแต่ละพื้นที่ด้วย นายสมคิด ได้กล่าวถึงงบประมาณ 225 ล้านบาท สําหรับการผลิตหน้ากากอนามัยแบบผ้า ได้จัดสรรงบประมาณให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว และได้มีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้สามารถผลิตหน้ากากผ้าใช้เองตามมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด เป้าหมายต้องการแจกจ่ายแก่ประชาชนในท้องถิ่นให้ทั่วถึงมากที่สุด นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน โฆษกกระทรวงพาณิชย์ยืนยันว่า จัดสรรหน้ากากอนามัยจํานวน 1,200,000 ชิ้น โดยใช้หลักเกณฑ์ให้ความสําคัญกับกลุ่มโรงพยาบาล สถาบันทางการแพทย์ รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยงสูงและผู้ป่วยเป็นหลัก กระทรวงสาธารณสุขจะได้รับ 700,000 ชิ้นต่อวัน โดยองค์การอาหารและยา องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้ดูแลการกระจายหน้ากากอนามัยให้สถาบันทางการแพทย์ทุกหน่วย ลําดับรอง คือสายการบิน หน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตามสนามบินต่างๆ เพราะมีการสัมผัสกับผู้เดินทาง จากนั้นคือผู้บริโภคทั่วไป กลุ่มชุมชนเมือง โดยจัดสรรผ่านร้านสะดวกซื้อ 200,000 ชิ้นต่อวัน ในต่างจังหวัดก็จะจําหน่ายผ่านร้านธงฟ้า จํานวน 150,000 – 200,000 ชิ้นต่อวัน สมาคมร้านขายยา จํานวน 25,000 ชิ้น โดยให้จําหน่าย 1 แพ็คมี 4 ชิ้นในราคา 10 บาท จํากัด 1 คน 1 แพ็ค ผู้ฝ่าฝืนจําหน่ายเกินราคาจะมีโทษจําคุก 5 ปี ปรับ 1 แสนบาท คณะกรรมการฯ จะประชุมเพื่อปรับตัวเลขการจัดสรรหน้ากากอนามัยในแต่ละวัน ให้เหมาะสมต่อความต้องการของแต่ละกลุ่ม ซึ่งกรมการค้าภายในใช้วิธีการบริหารตัวเลขตามความจําเป็น โดยออกคําสั่งไปยังโรงงานผู้ผลิตหน้ากากอนามัย เฉพาะประเภท surgical mask เท่านั้น เพื่อให้โรงงานผู้ผลิตจัดส่งไปยังกลุ่มเป้าหมายโดยตรงต่อไป ..................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. มท. พณ. ทร. ร่วมแถลงความคืบหน้ารับมือการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และประเด็นที่เกี่ยวข้อง วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2563 สธ. มท. พณ. ทร. ร่วมแถลงความคืบหน้ารับมือการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และประเด็นที่เกี่ยวข้อง สธ. มท. พณ. ทร. ร่วมแถลงความคืบหน้ารับมือการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และประเด็นที่เกี่ยวข้อง วันนี้ (9 มีนาคม 2563) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข พลเรือโท วิชัย มนัสศิริวิทยา เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ โฆษกกระทรวงสาธารณสุขแถลงสรุปสถานการณ์ COVID-19 พบผู้ป่วยยืนยันทั่วโลกวันนี้ รวม 102 ประเทศ ผู้ป่วยติดเชื้อประมาณ 107,000 ราย ผู้ป่วยอาการหนัก 6,000 คน ทั่วไปจะมีอาการเล็กน้อยคล้ายไข้หวัด ผู้เสียชีวิตนั้นอาจเพราะสูงอายุหรือมีโรคประจําตัวอื่นๆ สําหรับประเทศไทยวันนี้ ยังคงมีผู้ป่วยยืนยันอยู่ 50 ราย ซึ่งไทยเป็นประเทศแรกของทั่วโลกในการตรวจค้นหา คัดกรอง ส่วนใหญ่รักษาหายแล้ว ยังคงมีผู้ป่วยอาการวิกฤติเพียง 1 ราย ทุกๆรายแพทย์พยาบาลให้การดูแลอย่างเต็มที่ ต้องเน้นให้ทุกคนเปลี่ยน “ความกลัว” เป็น “ความรู้ที่ถูกต้อง” มีพฤติกรรมที่ดี เพื่อช่วยกันรับมือกับสถานการณ์ ขอย้ําว่า การติดเชื้อไวรัส COVID-19 ป้องกันและรักษาได้ ทุกคนต้องร่วมกันรับมือ หากเทียบกับอีก 102 ประเทศ จะสังเกตได้ว่าอัตราผู้ป่วยในประเทศไทยขึ้นอย่างช้า ๆ ซึ่งเป็นการชะลอตัวที่เหมาะสม ขอยืนยันว่าเราทําอย่างเต็มที่ ครบทุกมิติ ทั้งมิติด้านสุขภาพ คุณภาพชีวิต และมิติเศรษฐกิจ ทั้งระบบการคัดกรองและการประกาศเขตติดโรคที่มีความเสี่ยงสูง เพราะไทยมีระบบโครงสร้างสาธารณสุขที่ดีมากรวมถึงพลังความร่วมมือทุกภาคส่วน ยืนยันว่ารัฐบาลรวมถึงกระทรวงสาธารณสุขไม่มีนโยบายปิดบังข้อมูลและได้เปิดเผยข้อเท็จจริงมาโดยตลอด เมื่อพบผู้ป่วย 1 ราย จะมีการติดตามเพิ่ม 40 ราย อยากให้คนไทยร่วมเป็นกําลังใจให้แพทย์ พยาบาล และทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันทํางานอย่างเต็มที่ โฆษกกระทรวงสาธารณสุขยังกล่าวถึงกรณีแรงงานไทยนอกระบบจากประเทศเกาหลีใต้ที่หลบหนีทั้ง 80 รายนั้นได้ติดตามครบทุกคนมีการสร้างความเข้าใจและทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ซึ่งกระบวนเดินทางกลับไทยนั้น พี่น้องแรงงานไทยเหล่านี้จะต้องไปรายงานตัว หากพบว่ามีไข้เจ็บป่วยให้รักษาที่ประเทศต้นทาง มีการจัดกลุ่มผู้เดินทางกลับ เมื่อเดินทางถึงไทย จะมีการจัดหลุมจอดเครื่องบินโดยเฉพาะ มีทีมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองเข้าไปคัดกรองดูแลสุขภาพ หากพบว่ามีไข้จะนําส่งโรงพยาบาลตามขั้นตอนที่กําหนดไว้ สําหรับกลุ่มที่มาจากพื้นที่เสี่ยงจะถูกคัดแยกไปฐานทัพเรือสัตหีบ ซึ่งทีมแพทย์จะให้การดูแลอย่างดีตลอดทั้ง 14 วัน กลุ่มความเสี่ยงน้อยที่ไม่ได้มาจากเมืองแทกูและคยองซัง คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อระดับจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดและทีมแพทย์จะเข้าไปติดตามดูแลในระดับพื้นที่ด้วย โฆษกกระทรวงสาธารณสุขยังย้ําว่า ไทยมีระบบคัดกรองการเดินทางของชาวต่างชาติจากประเทศกลุ่มเสี่ยงไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด มีระบบติดตามโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง หากพบว่ามีพฤติกรรมท้าทาย ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ปฏิบัติตามมาตรการจะมีการดําเนินคดี ซึ่งโทษจะมีทั้งจําและปรับถึงหลักแสน พล.ร.ท. วิชัย มนัสศิริวิทยา เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ได้แถลงต่อสื่อมวลชนถึงกระบวนการ ดูแล และกักตัวแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากเกาหลีใต้ จํานวน 188 คน ที่ฐานทัพเรือ สัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยเป็นผู้หญิง 99 คน ผู้ชาย 89 คน ระยะเวลา 14 วัน ว่า มีวิธีการคัดกรองโรคอย่างรัดกุม ภายใต้กรอบแนวคิดการทํางานยึดหลักการใช้บุคลากร ใช้เวลาและใช้พื้นที่ให้สัมผัสกับผู้ที่มีความเสี่ยงให้น้อยที่สุด เน้นความปลอดภัยของชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงกับผู้ปฏิบัติงาน ภายใต้กระบวนการ Incident Command System ตั้งแต่การเตรียมการเปิดศูนย์ จนถึงการรับตัวผู้มีความเสี่ยง โดยให้ความสําคัญต่อการชี้แจงข้อมูลแก่ชุมชนเพื่อสร้างความเข้าใจและความสบายใจ ซึ่งกองทัพเรือจัดแบ่งพื้นที่ทํางานตั้งแต่การเดินทางของผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะไม่ใช้เส้นทางผ่านชุมชน ตรวจคัดกรองอย่างเคร่งครัดตั้งแต่ลงรถถึงเข้าอาคารที่พัก โดยกองทัพเรือได้ดูแลความสะดวกสบายทั้งทางกายและสุขภาพจิตเพื่อคลายความกังวลของผู้ที่มีความเสี่ยงด้วย นอกจากนี้ กองทัพเรือยังเน้นการกําจัดขยะที่มีความเสี่ยงจะติดเชื้ออย่างถูกต้องตามหลักการแพทย์ พร้อมทั้งยังจะได้นํานวัตกรรมหุ่นยนต์บริการทางแพทย์ผ่านเครือข่าย 5G เพื่อยกระดับการทํางานของแพทย์อีกด้วย นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงการติดตามดูแลผู้ที่เดินทางกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงว่า ทุกจังหวัดได้เตรียมสถานที่รองรับไว้พร้อมแล้วทั่วประเทศจํานวน 232 แห่ง ตามมาตรฐานที่กรมควบคุมโรคกําหนด กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ํา ซึ่งเป็นผู้ที่มีสุขภาพเป็นปกติ โดยประสานกระทรวงคมนาคมจัดรถโดยสารมารับจากสนามบินโดยเฉพาะ เพื่อนําส่งตามภูมิลําเนา ระหว่างการนําส่งจะไม่มีการแวะพัก เมื่อถึงพื้นที่ก็จะเข้าสู่กระบวนการดูแล โดยมีคณะกรรมการโรคติดต่อระดับจังหวัดเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสม โดยมีกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม.ช่วยกันสอดส่องดูแลในแต่ละพื้นที่ด้วย นายสมคิด ได้กล่าวถึงงบประมาณ 225 ล้านบาท สําหรับการผลิตหน้ากากอนามัยแบบผ้า ได้จัดสรรงบประมาณให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว และได้มีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้สามารถผลิตหน้ากากผ้าใช้เองตามมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด เป้าหมายต้องการแจกจ่ายแก่ประชาชนในท้องถิ่นให้ทั่วถึงมากที่สุด นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน โฆษกกระทรวงพาณิชย์ยืนยันว่า จัดสรรหน้ากากอนามัยจํานวน 1,200,000 ชิ้น โดยใช้หลักเกณฑ์ให้ความสําคัญกับกลุ่มโรงพยาบาล สถาบันทางการแพทย์ รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยงสูงและผู้ป่วยเป็นหลัก กระทรวงสาธารณสุขจะได้รับ 700,000 ชิ้นต่อวัน โดยองค์การอาหารและยา องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้ดูแลการกระจายหน้ากากอนามัยให้สถาบันทางการแพทย์ทุกหน่วย ลําดับรอง คือสายการบิน หน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตามสนามบินต่างๆ เพราะมีการสัมผัสกับผู้เดินทาง จากนั้นคือผู้บริโภคทั่วไป กลุ่มชุมชนเมือง โดยจัดสรรผ่านร้านสะดวกซื้อ 200,000 ชิ้นต่อวัน ในต่างจังหวัดก็จะจําหน่ายผ่านร้านธงฟ้า จํานวน 150,000 – 200,000 ชิ้นต่อวัน สมาคมร้านขายยา จํานวน 25,000 ชิ้น โดยให้จําหน่าย 1 แพ็คมี 4 ชิ้นในราคา 10 บาท จํากัด 1 คน 1 แพ็ค ผู้ฝ่าฝืนจําหน่ายเกินราคาจะมีโทษจําคุก 5 ปี ปรับ 1 แสนบาท คณะกรรมการฯ จะประชุมเพื่อปรับตัวเลขการจัดสรรหน้ากากอนามัยในแต่ละวัน ให้เหมาะสมต่อความต้องการของแต่ละกลุ่ม ซึ่งกรมการค้าภายในใช้วิธีการบริหารตัวเลขตามความจําเป็น โดยออกคําสั่งไปยังโรงงานผู้ผลิตหน้ากากอนามัย เฉพาะประเภท surgical mask เท่านั้น เพื่อให้โรงงานผู้ผลิตจัดส่งไปยังกลุ่มเป้าหมายโดยตรงต่อไป ..................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27021
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีจัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สินในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดชัยภูมิ นัดที่ 1 ขายทรัพย์สินได้กว่า 390 ล้านบาท
วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2561 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีจัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สินในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดชัยภูมิ นัดที่ 1 ขายทรัพย์สินได้กว่า 390 ล้านบาท กรมบังคับคดีจัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สินในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดชัยภูมิ นัดที่ 1 ขายทรัพย์สินได้กว่า 390 ล้านบาท เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2561 เวลา 10.00 น. กรมบังคับคดีจัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สินในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดชัยภูมิ นัดที่ 1 ณ ศูนย์การค้า เทอร์มินอล 21 โคราช จังหวัดนครราชสีมา โดยได้รับเกียรติจากนายมุรธาธีร์ รักชาติเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ร่วมสังเกตการณ์การประมูลขายทอดตลาดทรัพย์สิน และกิจกรรมต่างๆภายในงาน ซึ่งมีนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี พร้อมด้วยนางศศิวิมล ธนศานติ รองอธิบดีกรมบังคับคดี และคณะผู้บริหารกรมบังคับคดี ให้การต้อนรับ และร่วมดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ภายในมหกรรมขายทอดตลาด สําหรับทรัพย์ที่นํามาประกาศขายเป็นที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และห้องชุด ที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดจังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดชัยภูมิ โดยมีทรัพย์ที่พร้อมขายทอดตลาดจํานวน 331 คดี 353 รายการ ราคาประเมินรวม 757,835,758.77 บาท ซึ่งมีผู้สนใจเข้าฟังการขายทอดตลาดประมาณ 400 คน โดยผลการขายทอดตลาดในวันนี้ ขายได้ 158 คดี 170 รายการ ราคาประเมิน 317,236,196.75 บาท ขายได้เป็นเงินทั้งสิ้น 390,961,000 บาท ซึ่งราคาขายได้สูงกว่าราคาประเมินคิดเป็นร้อยละ 23.24 นอกจากนี้ มีจัดนิทรรศการเพื่อสร้างความรับรู้ทางกฎหมายและการให้คําปรึกษาทางกฎหมายโดยมีผู้สนใจขอรับคําปรึกษาทางกฎหมาย และสนใจดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นของกรมบังคับคดีเป็นจํานวนมาก และกิจกรรมบูรณาการร่วมกับวิสาหกิจสุขภาพชุมชนโดยจัดให้มีนวัตกรรมนวดเพื่อสุขภาพ โดยมีนายแพทย์พูลชัย จิตอนันตวิทยา ประธานฝ่ายการแพทย์ วิสาหกิจชุมชน (SHE) "สตรีที่เคยก้าวพลาด" อันเป็นการส่งเสริมคนดี สู่สังคม ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งมีผู้สนใจเข้ารับการนวดเพื่อสุขภาพจํานวน 115 คน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีจัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สินในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดชัยภูมิ นัดที่ 1 ขายทรัพย์สินได้กว่า 390 ล้านบาท วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2561 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีจัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สินในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดชัยภูมิ นัดที่ 1 ขายทรัพย์สินได้กว่า 390 ล้านบาท กรมบังคับคดีจัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สินในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดชัยภูมิ นัดที่ 1 ขายทรัพย์สินได้กว่า 390 ล้านบาท เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2561 เวลา 10.00 น. กรมบังคับคดีจัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สินในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดชัยภูมิ นัดที่ 1 ณ ศูนย์การค้า เทอร์มินอล 21 โคราช จังหวัดนครราชสีมา โดยได้รับเกียรติจากนายมุรธาธีร์ รักชาติเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ร่วมสังเกตการณ์การประมูลขายทอดตลาดทรัพย์สิน และกิจกรรมต่างๆภายในงาน ซึ่งมีนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี พร้อมด้วยนางศศิวิมล ธนศานติ รองอธิบดีกรมบังคับคดี และคณะผู้บริหารกรมบังคับคดี ให้การต้อนรับ และร่วมดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ภายในมหกรรมขายทอดตลาด สําหรับทรัพย์ที่นํามาประกาศขายเป็นที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และห้องชุด ที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดจังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดชัยภูมิ โดยมีทรัพย์ที่พร้อมขายทอดตลาดจํานวน 331 คดี 353 รายการ ราคาประเมินรวม 757,835,758.77 บาท ซึ่งมีผู้สนใจเข้าฟังการขายทอดตลาดประมาณ 400 คน โดยผลการขายทอดตลาดในวันนี้ ขายได้ 158 คดี 170 รายการ ราคาประเมิน 317,236,196.75 บาท ขายได้เป็นเงินทั้งสิ้น 390,961,000 บาท ซึ่งราคาขายได้สูงกว่าราคาประเมินคิดเป็นร้อยละ 23.24 นอกจากนี้ มีจัดนิทรรศการเพื่อสร้างความรับรู้ทางกฎหมายและการให้คําปรึกษาทางกฎหมายโดยมีผู้สนใจขอรับคําปรึกษาทางกฎหมาย และสนใจดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นของกรมบังคับคดีเป็นจํานวนมาก และกิจกรรมบูรณาการร่วมกับวิสาหกิจสุขภาพชุมชนโดยจัดให้มีนวัตกรรมนวดเพื่อสุขภาพ โดยมีนายแพทย์พูลชัย จิตอนันตวิทยา ประธานฝ่ายการแพทย์ วิสาหกิจชุมชน (SHE) "สตรีที่เคยก้าวพลาด" อันเป็นการส่งเสริมคนดี สู่สังคม ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งมีผู้สนใจเข้ารับการนวดเพื่อสุขภาพจํานวน 115 คน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14025
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.ช่วยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่าน 10 มาตรการ รวม 443,220 ล้านบาท
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563 ธอส.ช่วยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่าน 10 มาตรการ รวม 443,220 ล้านบาท ธอส.ช่วยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่าน 10 มาตรการ รวม 443,220 ล้านบาท เตรียมสินเชื่ออีก 20,000 ล้านบาท สําหรับคนในครอบครัวผู้ที่ได้รับผลกระทบ ดอกเบี้ย 1.99% ต่อปี คงที่ 2 ปีแรก กับโครงการบ้าน ธอส. เราไม่ทิ้งกัน ธอส.ช่วยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่าน 10 มาตรการ รวม 443,220 ล้านบาท เตรียมสินเชื่ออีก 20,000 ล้านบาท สําหรับคนในครอบครัวผู้ที่ได้รับผลกระทบ ดอกเบี้ย 1.99% ต่อปี คงที่ 2 ปีแรก กับโครงการบ้าน ธอส. เราไม่ทิ้งกัน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผยหลังจัดทํามาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาโควิด-19 รวม 10 มาตรการ ทั้งการลดดอกเบี้ย พักชําระเงินต้น พักชําระเงินต้นและดอกเบี้ย ขยายระยะเวลา และยกดอกเบี้ย มีลูกค้ารับความช่วยเหลือรวม 446,747 บัญชี วงเงินสินเชื่อ 443,220 ล้านบาท และเตรียมประกาศขยายระยะเวลาคความช่วยเหลือเพิ่มเติมไปถึง 31 ตุลาคม 2563 ล่าสุดประกาศจัดทํา “โครงการ ธอส. ปันน้ําใจ เราไม่ทิ้งกัน” ผ่าน 2 มาตรการทั้งด้านการเงิน และ CSR ประกอบด้วย สินเชื่อ“โครงการบ้าน ธอส. เราไม่ทิ้งกัน” วงเงิน 20,000 ล้านบาท ให้กู้สําหรับบุคคลในครอบครัวของผู้ได้รับสิทธิ์ตามมาตรการเงินเยียวยา 5,000 บาท หรือบุคคลในครอบครัวของลูกค้า ธอส. ที่ลงทะเบียนเข้าร่วม 10 มาตการช่วยเหลือของ ธอส. อัตราดอกเบี้ย 1.99% ต่อปี นาน 2 ปีแรก ให้กู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท ยื่นคําขอกู้และทํานิติกรรมได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน – 30 ธันวาคม 2563 ส่วนกิจกรรม CSR จัดทํา“โครงการบ้าน ธอส. ของกินของใช้ ปันน้ําใจเราไม่ทิ้งกัน” เพื่อยกระดับชุมชน เสริมสร้างวัฒนธรรมแบ่งปันสุข ด้วยการจัดทํา “บ้าน ธอส.” บริเวณหน้าที่ทําการสาขา ธอส. กว่า 200 แห่งทั่วประเทศ สําหรับใส่ของกินของใช้เพื่อให้ผู้ที่เดือดร้อนและได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แบ่งปันไปใช้-บริโภค นายกมลภพ วีระพละ รองกรรมการผู้จัดการ และรักษาการในตําแหน่งกรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ประเทศไทยเกิดปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยขยายวงกว้างมากขึ้นต่อเนื่อง ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ของรัฐที่มีพันธกิจ “ทําให้คนไทยมีบ้าน” ได้เข้ามามีส่วนสนับสนุนนโยบายของ ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ต้องการให้ ธอส. บรรเทาผลกระทบให้กับลูกค้าและฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจ และนายปริญญา พัฒนภักดี ประธานกรรมการ ธอส. ได้มีนโยบายให้ ธอส. ตอบสนองนโยบายดังกล่าวอย่างเร่งด่วน โดยคณะกรรมการธนาคารได้มีมติเห็นชอบมาตรการต่าง ๆ ที่ทยอยเริ่มดําเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 เป็นต้นมา ทั้งการลดดอกเบี้ย พักชําระเงินต้น พักชําระเงินต้นและดอกเบี้ย ขยายระยะเวลาชําระหนี้ และยกดอกเบี้ย ตาม“มาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19)” และ “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” รวมทั้งสิ้น 10 มาตรการ ซึ่งให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างแท้จริงสามารถเลือกลงทะเบียนเข้ามาตรการที่เหมาะสมกับผลกระทบของตนเอง เพื่อลดภาระรายจ่ายและรักษาที่อยู่อาศัยให้ยังคงเป็นของตนเอง โดย ณ วันที่ 23 พฤษภาคม 2563 เวลา 18.00 น. มีจํานวนลูกค้าได้รับความช่วยเหลือรวมทั้งสิ้น 446,747 บัญชี วงเงินสินเชื่อรวมกว่า 443,220 ล้านบาท ประกอบด้วย มาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) มาตรการที่ 1 : ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินงวดผ่อนชําระไม่เกิน 6 เดือน โดยคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เท่ากับ 0.01% ต่อปี สําหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวจีน มีลูกค้าเข้ามาตรการ 861 บัญชี วงเงินสินเชื่อ 997 ล้านบาท มาตรการที่ 2 : ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินงวดผ่อนชําระไม่เกิน 4 เดือน คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลงเหลือ 1.00% ต่อปี สําหรับลูกค้าที่รายได้ต่อเดือนได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวในประเทศกลุ่มเสี่ยง มีลูกค้าเข้ามาตรการ 14,022 บัญชี วงเงินสินเชื่อ 14,607 ล้านบาท โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ มาตรการที่ 1 : พักชําระเงินต้น 3 เดือน และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ย สําหรับลูกค้าที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท มีลูกค้าเข้ามาตรการ 61,578 บัญชี วงเงินสินเชื่อ 58,754 ล้านบาท มาตรการที่ 2 : พักชําระเงินต้น 1 ปี และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน เมื่อครบ 1 ปี สามารถแจ้งความประสงค์ขยายระยะเวลาการผ่อนชําระเพิ่มได้นานสูงสุดอีก 10 ปี มีลูกค้าเข้ามาตรการ 60,134 บัญชี วงเงินสินเชื่อ 74,124 ล้านบาท มาตรการที่ 3 : พักชําระเงินต้น 6 เดือน พร้อมลดดอกเบี้ยเหลือ 3.90% ต่อปี และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน มีลูกค้าเข้ามาตรการ 28,998 บัญชี วงเงินสินเชื่อ 27,913 ล้านบาท มาตรการที่ 4 : ลดดอกเบี้ยลงเหลือ 3.90% ต่อปี และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน 6 เดือน สําหรับลูกค้าที่อยู่ระหว่างใช้อัตราดอกเบี้ยผิดนัดชําระหรืออยู่ในสถานะกฎหมาย มีลูกค้าเข้ามาตรการ 16,928 บัญชี วงเงินสินเชื่อ 15,719 ล้านบาท มาตรการที่ 5 : พักชําระเงินต้นและดอกเบี้ย 4 เดือน สําหรับสําหรับลูกค้าที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท และรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 35,000 บาท ธนาคารจะยกดอกเบี้ยที่พักชําระให้ลูกค้าที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของมาตรการเมื่อสิ้นสุดระยะเวลากู้ตามสัญญา มีลูกค้าเข้ามาตรการ 217,589 บัญชี วงเงินสินเชื่อ 193,735 ล้านบาท มาตรการที่ 6 : พักชําระเงินต้น 4 เดือน ลดดอกเบี้ยเหลือ 1.00% ต่อปี สําหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงผู้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานด้านสาธารณสุขและสถานพยาบาล มีลูกค้าเข้ามาตรการ 7,588 บัญชี วงเงินสินเชื่อ 10,600 ล้านบาท มาตรการที่ 7 : พักชําระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือน สําหรับลูกค้าสินเชื่อประเภทแฟลตและสินเชื่อพัฒนาโคงการที่อยู่อาศัย(Pre Finance) มีลูกค้าเข้ามาตรการ 494 บัญชี วงเงินสินเชื่อ 2,979 ล้านบาท มาตรการที่ 8 : พักชําระเงินต้นและดอกเบี้ย 3 เดือน สําหรับลูกค้าที่เคยลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการที่ 1, 2, 3, 4 และ 6 มีลูกค้าเข้ามาตรการ 38,555 วงเงินสินเชื่อ 43,792 ล้านบาท “ปัจจุบันธนาคารยังคงเปิดให้ลูกค้าที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท และได้รับผลกระทบจากโควิด-19 สามารถลงทะเบียนเข้ามาตรการที่ 1 พักชําระเงินต้น 3 เดือน และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือนได้ ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ส่วนลูกค้าที่เคยลงทะเบียนเข้ามาตรการที่ 1, 2, 3, 4 และ 6 ไปแล้วก็ยังสามารถเปลี่ยนมาพักชําระเงินต้นและดอกเบี้ย 3 เดือนได้เช่นกันโดยการลงทะเบียนเข้ามาตรการที่ 8 ภายในวันที่ 28 มิถุนายน 2563 ซึ่งสามารถดําเนินการได้ผ่าน Application : GHB ALL ทั้งนี้ ธอส. ยังเตรียมขยายระยะเวลาความช่วยเหลือ ตามมาตรการต่าง ๆ ให้กับลูกค้าที่ยังคงได้รับผลกระทบโดยอัตโนมัติไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ซึ่งจะมีการประกาศรายละเอียดเพิ่มเติมอีกครั้ง" นายกมลภพ กล่าว รักษาการในตําแหน่งกรรมการผู้จัดการ ยังกล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการร่วมเดินหน้าฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจภายหลังปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น คณะกรรมการธนาคารจึงมีมติเห็นชอบให้จัดทํา “โครงการ ธอส. ปันน้ําใจ เราไม่ทิ้งกัน” ผ่าน 2 มาตรการทั้งทางด้านการเงิน และด้าน CSR ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์สินเชื่อ “โครงการบ้าน ธอส. เราไม่ทิ้งกัน” (วงเงิน 20,000 ล้านบาท) ให้กู้สําหรับบุคคลในครอบครัวของประชาชนที่ได้รับสิทธิ์ตามโครงการเราไม่ทิ้งกันของรัฐบาล(มาตรการเงินเยียวยา 5,000 บาท จํานวน 3 เดือน) หรือบุคคลในครอบครัวของลูกค้า ธอส. ที่ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วม “มาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) รวมถึงมาตรการบรรเทาผลกระทบให้กับลูกค้าทั้ง 8 มาตรการตาม “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” ผู้กู้จะได้รับอัตราดอกเบี้ยคงที่ 1.99% ต่อปี นานถึง 2 ปีแรก ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ต่อปี ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย MRR-2% ต่อปี และปีที่ 5 จนถึงตลอดอายุสัญญาเงินกู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR–1.00% ต่อปี และกรณีรายย่อยทั่วไป อัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.75% ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส.เท่ากับ 6.150% ต่อปี) วัตถุประสงค์ให้กู้เพื่อซื้อ(ครอบคลุมทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสอง) ปลูกสร้าง ต่อเติม ขยาย ซ่อมแซม และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัยพร้อมกับการขอกู้ตามวัตถุประสงค์หลัก(ซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ขยาย และซ่อมแซม) วงเงินให้กู้ไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหลักประกัน รวมถึงได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ คิดค่าประเมินราคาหลักประกันในอัตราพิเศษ และให้ผ่อนชําระได้นานสูงสุด 40 ปี ยื่นคําขอกู้และทํานิติกรรมได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน - 30 ธันวาคม 2563 “อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ําในปัจจุบัน ถือเป็นโอกาสดีสําหรับคนที่ต้องการมีบ้านเป็นอย่างมาก ธอส. จึงได้กําหนดอัตราดอกเบี้ยเพียง 1.99% ต่อปี ถือเป็นการแบ่งเบาภาระในการผ่อนชําระของลูกค้าโดยตรง อาทิ กรณีกู้ 1 ล้านบาท จะผ่อนชําระ 2 ปีแรกเพียง 3,300 บาทต่อเดือนเท่านั้น นอกจากนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับวงเงินกู้สูงขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสในการได้มีบ้าน ธอส. จึงกําหนดสัดส่วนความสามารถชําระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio หรือ DSR) ในกรณีลูกค้ารายย่อยเพิ่มเป็นสูงสุดไม่เกิน 50% ของรายได้สุทธิต่อเดือน โดยถือเป็นโครงการที่ครอบคลุมทั้งคนในครอบครัวของผู้ที่ได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาท ที่ปัจจุบันมีผู้ผ่านเกณฑ์จํานวนกว่า 15 ล้านราย และครอบครัวของลูกค้า ธอส. ที่ลงทะเบียนเข้ามาตรการช่วยเหลือจากปัญหาโควิด-19 มากกว่า 4 แสนราย จึงเชื่อว่าโครงการบ้าน ธอส. คนไทยไม่ทิ้งกัน จะสนับสนุนให้ภาคอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น” นายกมลภพ กล่าว ขณะที่มาตรการด้านการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของ ธอส. จะดําเนินการภายใต้แนวคิด“ไม่ใช่แค่หน้าที่ แต่คือความห่วงใย” ด้วยการจัดทํา “โครงการบ้าน ธอส. ของกินของใช้ ปันน้ําใจเราไม่ทิ้งกัน” โดยมีเป้าประสงค์เพื่อยกระดับชุมชน เสริมสร้างวัฒนธรรมแบ่งปันสุข คลายทุกข์ ให้คนไทยช่วยเหลือดูแลกันและกัน ด้วยการจัดทํา “บ้าน ธอส.” สําหรับใส่ของกินของใช้เพื่อให้ผู้ที่เดือดร้อนและได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แบ่งปันไปใช้-บริโภค โดยจะตั้งไว้บริเวณหน้าที่ทําการสาขา ธอส. กว่า 200 แห่งทั่วประเทศภายในเดือนมิถุนายน 2563 และจะจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ชุมชนและเด็กนักเรียนใกล้เคียงสาขาได้มีส่วนร่วมกับโครงการต่อไป ภายหลังจากที่ก่อนหน้านี้ธนาคารได้จัดทํา โครงการ “ร้อยพลังเล็ก สู่ล้านพลังยิ่งใหญ่ โดย ธอส.” ด้วยการประดิษฐ์สายคล้องหน้ากากอนามัย 1,000,000 ชิ้น โดยมีผู้บริหารธนาคาร ผู้ปฏิบัติงานของ ธอส.และหน่วยงานพันธมิตร ผู้สูงอายุหรือผู้พิการในความดูแลของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกลุ่มผู้สูงอายุในชุมชนที่ธนาคารให้การสนับสนุนร่วมกันประดิษฐ์ ระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม - 15 มิถุนายน 2563 เพื่อส่งมอบให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงผู้ปฏิบัติหน้าที่ให้บริการประชาชน เพื่อบรรเทาปัญหาการบาดเจ็บจากการถูกสายหน้ากากอนามัยกดทับเป็นเวลานานระหว่างใส่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.ช่วยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่าน 10 มาตรการ รวม 443,220 ล้านบาท วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563 ธอส.ช่วยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่าน 10 มาตรการ รวม 443,220 ล้านบาท ธอส.ช่วยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่าน 10 มาตรการ รวม 443,220 ล้านบาท เตรียมสินเชื่ออีก 20,000 ล้านบาท สําหรับคนในครอบครัวผู้ที่ได้รับผลกระทบ ดอกเบี้ย 1.99% ต่อปี คงที่ 2 ปีแรก กับโครงการบ้าน ธอส. เราไม่ทิ้งกัน ธอส.ช่วยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่าน 10 มาตรการ รวม 443,220 ล้านบาท เตรียมสินเชื่ออีก 20,000 ล้านบาท สําหรับคนในครอบครัวผู้ที่ได้รับผลกระทบ ดอกเบี้ย 1.99% ต่อปี คงที่ 2 ปีแรก กับโครงการบ้าน ธอส. เราไม่ทิ้งกัน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผยหลังจัดทํามาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาโควิด-19 รวม 10 มาตรการ ทั้งการลดดอกเบี้ย พักชําระเงินต้น พักชําระเงินต้นและดอกเบี้ย ขยายระยะเวลา และยกดอกเบี้ย มีลูกค้ารับความช่วยเหลือรวม 446,747 บัญชี วงเงินสินเชื่อ 443,220 ล้านบาท และเตรียมประกาศขยายระยะเวลาคความช่วยเหลือเพิ่มเติมไปถึง 31 ตุลาคม 2563 ล่าสุดประกาศจัดทํา “โครงการ ธอส. ปันน้ําใจ เราไม่ทิ้งกัน” ผ่าน 2 มาตรการทั้งด้านการเงิน และ CSR ประกอบด้วย สินเชื่อ“โครงการบ้าน ธอส. เราไม่ทิ้งกัน” วงเงิน 20,000 ล้านบาท ให้กู้สําหรับบุคคลในครอบครัวของผู้ได้รับสิทธิ์ตามมาตรการเงินเยียวยา 5,000 บาท หรือบุคคลในครอบครัวของลูกค้า ธอส. ที่ลงทะเบียนเข้าร่วม 10 มาตการช่วยเหลือของ ธอส. อัตราดอกเบี้ย 1.99% ต่อปี นาน 2 ปีแรก ให้กู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท ยื่นคําขอกู้และทํานิติกรรมได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน – 30 ธันวาคม 2563 ส่วนกิจกรรม CSR จัดทํา“โครงการบ้าน ธอส. ของกินของใช้ ปันน้ําใจเราไม่ทิ้งกัน” เพื่อยกระดับชุมชน เสริมสร้างวัฒนธรรมแบ่งปันสุข ด้วยการจัดทํา “บ้าน ธอส.” บริเวณหน้าที่ทําการสาขา ธอส. กว่า 200 แห่งทั่วประเทศ สําหรับใส่ของกินของใช้เพื่อให้ผู้ที่เดือดร้อนและได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แบ่งปันไปใช้-บริโภค นายกมลภพ วีระพละ รองกรรมการผู้จัดการ และรักษาการในตําแหน่งกรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ประเทศไทยเกิดปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยขยายวงกว้างมากขึ้นต่อเนื่อง ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ของรัฐที่มีพันธกิจ “ทําให้คนไทยมีบ้าน” ได้เข้ามามีส่วนสนับสนุนนโยบายของ ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ต้องการให้ ธอส. บรรเทาผลกระทบให้กับลูกค้าและฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจ และนายปริญญา พัฒนภักดี ประธานกรรมการ ธอส. ได้มีนโยบายให้ ธอส. ตอบสนองนโยบายดังกล่าวอย่างเร่งด่วน โดยคณะกรรมการธนาคารได้มีมติเห็นชอบมาตรการต่าง ๆ ที่ทยอยเริ่มดําเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 เป็นต้นมา ทั้งการลดดอกเบี้ย พักชําระเงินต้น พักชําระเงินต้นและดอกเบี้ย ขยายระยะเวลาชําระหนี้ และยกดอกเบี้ย ตาม“มาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19)” และ “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” รวมทั้งสิ้น 10 มาตรการ ซึ่งให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างแท้จริงสามารถเลือกลงทะเบียนเข้ามาตรการที่เหมาะสมกับผลกระทบของตนเอง เพื่อลดภาระรายจ่ายและรักษาที่อยู่อาศัยให้ยังคงเป็นของตนเอง โดย ณ วันที่ 23 พฤษภาคม 2563 เวลา 18.00 น. มีจํานวนลูกค้าได้รับความช่วยเหลือรวมทั้งสิ้น 446,747 บัญชี วงเงินสินเชื่อรวมกว่า 443,220 ล้านบาท ประกอบด้วย มาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) มาตรการที่ 1 : ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินงวดผ่อนชําระไม่เกิน 6 เดือน โดยคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เท่ากับ 0.01% ต่อปี สําหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวจีน มีลูกค้าเข้ามาตรการ 861 บัญชี วงเงินสินเชื่อ 997 ล้านบาท มาตรการที่ 2 : ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินงวดผ่อนชําระไม่เกิน 4 เดือน คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลงเหลือ 1.00% ต่อปี สําหรับลูกค้าที่รายได้ต่อเดือนได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวในประเทศกลุ่มเสี่ยง มีลูกค้าเข้ามาตรการ 14,022 บัญชี วงเงินสินเชื่อ 14,607 ล้านบาท โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ มาตรการที่ 1 : พักชําระเงินต้น 3 เดือน และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ย สําหรับลูกค้าที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท มีลูกค้าเข้ามาตรการ 61,578 บัญชี วงเงินสินเชื่อ 58,754 ล้านบาท มาตรการที่ 2 : พักชําระเงินต้น 1 ปี และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน เมื่อครบ 1 ปี สามารถแจ้งความประสงค์ขยายระยะเวลาการผ่อนชําระเพิ่มได้นานสูงสุดอีก 10 ปี มีลูกค้าเข้ามาตรการ 60,134 บัญชี วงเงินสินเชื่อ 74,124 ล้านบาท มาตรการที่ 3 : พักชําระเงินต้น 6 เดือน พร้อมลดดอกเบี้ยเหลือ 3.90% ต่อปี และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน มีลูกค้าเข้ามาตรการ 28,998 บัญชี วงเงินสินเชื่อ 27,913 ล้านบาท มาตรการที่ 4 : ลดดอกเบี้ยลงเหลือ 3.90% ต่อปี และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน 6 เดือน สําหรับลูกค้าที่อยู่ระหว่างใช้อัตราดอกเบี้ยผิดนัดชําระหรืออยู่ในสถานะกฎหมาย มีลูกค้าเข้ามาตรการ 16,928 บัญชี วงเงินสินเชื่อ 15,719 ล้านบาท มาตรการที่ 5 : พักชําระเงินต้นและดอกเบี้ย 4 เดือน สําหรับสําหรับลูกค้าที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท และรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 35,000 บาท ธนาคารจะยกดอกเบี้ยที่พักชําระให้ลูกค้าที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของมาตรการเมื่อสิ้นสุดระยะเวลากู้ตามสัญญา มีลูกค้าเข้ามาตรการ 217,589 บัญชี วงเงินสินเชื่อ 193,735 ล้านบาท มาตรการที่ 6 : พักชําระเงินต้น 4 เดือน ลดดอกเบี้ยเหลือ 1.00% ต่อปี สําหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงผู้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานด้านสาธารณสุขและสถานพยาบาล มีลูกค้าเข้ามาตรการ 7,588 บัญชี วงเงินสินเชื่อ 10,600 ล้านบาท มาตรการที่ 7 : พักชําระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือน สําหรับลูกค้าสินเชื่อประเภทแฟลตและสินเชื่อพัฒนาโคงการที่อยู่อาศัย(Pre Finance) มีลูกค้าเข้ามาตรการ 494 บัญชี วงเงินสินเชื่อ 2,979 ล้านบาท มาตรการที่ 8 : พักชําระเงินต้นและดอกเบี้ย 3 เดือน สําหรับลูกค้าที่เคยลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการที่ 1, 2, 3, 4 และ 6 มีลูกค้าเข้ามาตรการ 38,555 วงเงินสินเชื่อ 43,792 ล้านบาท “ปัจจุบันธนาคารยังคงเปิดให้ลูกค้าที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท และได้รับผลกระทบจากโควิด-19 สามารถลงทะเบียนเข้ามาตรการที่ 1 พักชําระเงินต้น 3 เดือน และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือนได้ ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ส่วนลูกค้าที่เคยลงทะเบียนเข้ามาตรการที่ 1, 2, 3, 4 และ 6 ไปแล้วก็ยังสามารถเปลี่ยนมาพักชําระเงินต้นและดอกเบี้ย 3 เดือนได้เช่นกันโดยการลงทะเบียนเข้ามาตรการที่ 8 ภายในวันที่ 28 มิถุนายน 2563 ซึ่งสามารถดําเนินการได้ผ่าน Application : GHB ALL ทั้งนี้ ธอส. ยังเตรียมขยายระยะเวลาความช่วยเหลือ ตามมาตรการต่าง ๆ ให้กับลูกค้าที่ยังคงได้รับผลกระทบโดยอัตโนมัติไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ซึ่งจะมีการประกาศรายละเอียดเพิ่มเติมอีกครั้ง" นายกมลภพ กล่าว รักษาการในตําแหน่งกรรมการผู้จัดการ ยังกล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการร่วมเดินหน้าฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจภายหลังปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น คณะกรรมการธนาคารจึงมีมติเห็นชอบให้จัดทํา “โครงการ ธอส. ปันน้ําใจ เราไม่ทิ้งกัน” ผ่าน 2 มาตรการทั้งทางด้านการเงิน และด้าน CSR ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์สินเชื่อ “โครงการบ้าน ธอส. เราไม่ทิ้งกัน” (วงเงิน 20,000 ล้านบาท) ให้กู้สําหรับบุคคลในครอบครัวของประชาชนที่ได้รับสิทธิ์ตามโครงการเราไม่ทิ้งกันของรัฐบาล(มาตรการเงินเยียวยา 5,000 บาท จํานวน 3 เดือน) หรือบุคคลในครอบครัวของลูกค้า ธอส. ที่ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วม “มาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) รวมถึงมาตรการบรรเทาผลกระทบให้กับลูกค้าทั้ง 8 มาตรการตาม “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” ผู้กู้จะได้รับอัตราดอกเบี้ยคงที่ 1.99% ต่อปี นานถึง 2 ปีแรก ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ต่อปี ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย MRR-2% ต่อปี และปีที่ 5 จนถึงตลอดอายุสัญญาเงินกู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR–1.00% ต่อปี และกรณีรายย่อยทั่วไป อัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.75% ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส.เท่ากับ 6.150% ต่อปี) วัตถุประสงค์ให้กู้เพื่อซื้อ(ครอบคลุมทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสอง) ปลูกสร้าง ต่อเติม ขยาย ซ่อมแซม และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัยพร้อมกับการขอกู้ตามวัตถุประสงค์หลัก(ซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ขยาย และซ่อมแซม) วงเงินให้กู้ไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหลักประกัน รวมถึงได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ คิดค่าประเมินราคาหลักประกันในอัตราพิเศษ และให้ผ่อนชําระได้นานสูงสุด 40 ปี ยื่นคําขอกู้และทํานิติกรรมได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน - 30 ธันวาคม 2563 “อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ําในปัจจุบัน ถือเป็นโอกาสดีสําหรับคนที่ต้องการมีบ้านเป็นอย่างมาก ธอส. จึงได้กําหนดอัตราดอกเบี้ยเพียง 1.99% ต่อปี ถือเป็นการแบ่งเบาภาระในการผ่อนชําระของลูกค้าโดยตรง อาทิ กรณีกู้ 1 ล้านบาท จะผ่อนชําระ 2 ปีแรกเพียง 3,300 บาทต่อเดือนเท่านั้น นอกจากนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับวงเงินกู้สูงขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสในการได้มีบ้าน ธอส. จึงกําหนดสัดส่วนความสามารถชําระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio หรือ DSR) ในกรณีลูกค้ารายย่อยเพิ่มเป็นสูงสุดไม่เกิน 50% ของรายได้สุทธิต่อเดือน โดยถือเป็นโครงการที่ครอบคลุมทั้งคนในครอบครัวของผู้ที่ได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาท ที่ปัจจุบันมีผู้ผ่านเกณฑ์จํานวนกว่า 15 ล้านราย และครอบครัวของลูกค้า ธอส. ที่ลงทะเบียนเข้ามาตรการช่วยเหลือจากปัญหาโควิด-19 มากกว่า 4 แสนราย จึงเชื่อว่าโครงการบ้าน ธอส. คนไทยไม่ทิ้งกัน จะสนับสนุนให้ภาคอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น” นายกมลภพ กล่าว ขณะที่มาตรการด้านการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของ ธอส. จะดําเนินการภายใต้แนวคิด“ไม่ใช่แค่หน้าที่ แต่คือความห่วงใย” ด้วยการจัดทํา “โครงการบ้าน ธอส. ของกินของใช้ ปันน้ําใจเราไม่ทิ้งกัน” โดยมีเป้าประสงค์เพื่อยกระดับชุมชน เสริมสร้างวัฒนธรรมแบ่งปันสุข คลายทุกข์ ให้คนไทยช่วยเหลือดูแลกันและกัน ด้วยการจัดทํา “บ้าน ธอส.” สําหรับใส่ของกินของใช้เพื่อให้ผู้ที่เดือดร้อนและได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แบ่งปันไปใช้-บริโภค โดยจะตั้งไว้บริเวณหน้าที่ทําการสาขา ธอส. กว่า 200 แห่งทั่วประเทศภายในเดือนมิถุนายน 2563 และจะจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ชุมชนและเด็กนักเรียนใกล้เคียงสาขาได้มีส่วนร่วมกับโครงการต่อไป ภายหลังจากที่ก่อนหน้านี้ธนาคารได้จัดทํา โครงการ “ร้อยพลังเล็ก สู่ล้านพลังยิ่งใหญ่ โดย ธอส.” ด้วยการประดิษฐ์สายคล้องหน้ากากอนามัย 1,000,000 ชิ้น โดยมีผู้บริหารธนาคาร ผู้ปฏิบัติงานของ ธอส.และหน่วยงานพันธมิตร ผู้สูงอายุหรือผู้พิการในความดูแลของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกลุ่มผู้สูงอายุในชุมชนที่ธนาคารให้การสนับสนุนร่วมกันประดิษฐ์ ระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม - 15 มิถุนายน 2563 เพื่อส่งมอบให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงผู้ปฏิบัติหน้าที่ให้บริการประชาชน เพื่อบรรเทาปัญหาการบาดเจ็บจากการถูกสายหน้ากากอนามัยกดทับเป็นเวลานานระหว่างใส่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31423
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ ลงพื้นที่ จ.สงขลา ประชุมหัวหน้าส่วนราชการของกระทรวงอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคใต้
วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2562 ปลัดกอบชัยฯ ลงพื้นที่ จ.สงขลา ประชุมหัวหน้าส่วนราชการของกระทรวงอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคใต้ นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดสงขลา ประชุมหัวหน้าส่วนราชการของกระทรวงอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคใต้ จังหวัดสงขลา : 10 ตุลาคม 2562 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดสงขลา ประชุมหัวหน้าส่วนราชการของกระทรวงอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อมอบแนวนโยบายการดําเนินงานและติดตามประเด็นข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการประกอบการในพื้นที่พร้อมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกัน เน้นให้ทุกหน่วยงานนําระบบธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมมาปรับใช้ในการส่งเสริมพัฒนาสถานประกอบการเพื่อให้อุตสาหกรรมอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน โดยมีนายณัฐพล ณัฐฏสมบูรณ์ นายเอกภัทร วังสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายประกอบ วิวิธจินดา ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และหัวหน้าส่วนราชการของกระทรวงอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคใต้ ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมท่าอากาศยานหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ ลงพื้นที่ จ.สงขลา ประชุมหัวหน้าส่วนราชการของกระทรวงอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคใต้ วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2562 ปลัดกอบชัยฯ ลงพื้นที่ จ.สงขลา ประชุมหัวหน้าส่วนราชการของกระทรวงอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคใต้ นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดสงขลา ประชุมหัวหน้าส่วนราชการของกระทรวงอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคใต้ จังหวัดสงขลา : 10 ตุลาคม 2562 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดสงขลา ประชุมหัวหน้าส่วนราชการของกระทรวงอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อมอบแนวนโยบายการดําเนินงานและติดตามประเด็นข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการประกอบการในพื้นที่พร้อมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกัน เน้นให้ทุกหน่วยงานนําระบบธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมมาปรับใช้ในการส่งเสริมพัฒนาสถานประกอบการเพื่อให้อุตสาหกรรมอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน โดยมีนายณัฐพล ณัฐฏสมบูรณ์ นายเอกภัทร วังสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายประกอบ วิวิธจินดา ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และหัวหน้าส่วนราชการของกระทรวงอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคใต้ ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมท่าอากาศยานหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23745
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สาธิต กล่าวถ้อยแถลงร่วมกำจัดโรคติดต่อและโรค NCDs ในการประชุมองค์การอนามัยโลก ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมัยที่ 72
วันอังคารที่ 3 กันยายน 2562 ดร.สาธิต กล่าวถ้อยแถลงร่วมกําจัดโรคติดต่อและโรค NCDs ในการประชุมองค์การอนามัยโลก ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมัยที่ 72 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมคณะกรรมการองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมัยที่ 72 ณ สาธารณรัฐอินเดีย ร่วมกําจัดโรคหัดและหัดเยอรมันให้หมดสิ้นภายในปี 2573 การต่อสู้กับโรคไม่ติดต่อ (NCDs) แ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมคณะกรรมการองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมัยที่ 72 ณ สาธารณรัฐอินเดีย ร่วมกําจัดโรคหัดและหัดเยอรมันให้หมดสิ้นภายในปี 2573 การต่อสู้กับโรคไม่ติดต่อ (NCDs) และการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสมัยที่ 73 ในปี 2563 ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหมายให้นําคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมัยที่ 72 (Seventy – Second Session of the WHO Regional Committee for South-East Asia : RC72) ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2–6 กันยายน 2562 ซึ่งเป็นการประชุมประจําปีของประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลก ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อผลักดันนโยบายความร่วมมือสาธารณสุข การบริหารจัดการด้านงบประมาณและแผนงานของประเทศสมาชิก รวมทั้งกําหนดแนวทางและกลไกการดําเนินงานให้สอดคล้องกับข้อมติสมัชชาอนามัยโลก สมัยที่ 72 ที่ผ่านมา ดร.สาธิตได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุม แสดงความชื่นชมผลสําเร็จในปี 2561 ซึ่งเกิดจากการทุ่มเทอย่างต่อเนื่องของประเทศสมาชิก และเห็นด้วยกับการตั้งเป้าหมายในการกําจัดโรคหัดและหัดเยอรมันให้หมดจากภูมิภาคภายในปี 2573 รวมถึงต่อสู้กับโรคไม่ติดต่อ (NCDs) และจัดการกับปัจจัยเสี่ยงเช่น การสูบบุหรี่ด้วยการใช้ภาพคําเตือนบนซองบุหรี่ซึ่งเป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย ซึ่งเป็นแบบอย่างให้กับประเทศสมาชิกอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายอีกหลายอย่าง เช่น ผลกระทบต่อสุขภาพของภาวะโลกร้อน สังคมผู้สูงวัย เชื้อดื้อยา การลดการดื่มแอลกอฮอล์ การหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เชื้อโรคอุบัติใหม่ต่างๆ ที่ต้องการการจัดการแบบองค์รวมและความทุ่มเทจากภาคการเมืองอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมัยหน้า (สมัยที่ 73) ในปี 2563 สําหรับผลการดําเนินงานในรอบปีที่ผ่านมา (ม.ค.-ธ.ค. 2561) องค์การอนามัยโลกสํานักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความก้าวหน้าหลายด้าน เช่น การสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การจัดการโรคติดต่อ และโรคไม่ติดต่อ ซึ่งทั้งภูมิภาคต้องมีความมุ่งมั่นต่อไปในสามด้าน คือ สร้างความยั่งยืน เร่งรัดความก้าวหน้า และการใช้นวัตกรรม ************************** 3 กันยายน 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สาธิต กล่าวถ้อยแถลงร่วมกำจัดโรคติดต่อและโรค NCDs ในการประชุมองค์การอนามัยโลก ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมัยที่ 72 วันอังคารที่ 3 กันยายน 2562 ดร.สาธิต กล่าวถ้อยแถลงร่วมกําจัดโรคติดต่อและโรค NCDs ในการประชุมองค์การอนามัยโลก ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมัยที่ 72 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมคณะกรรมการองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมัยที่ 72 ณ สาธารณรัฐอินเดีย ร่วมกําจัดโรคหัดและหัดเยอรมันให้หมดสิ้นภายในปี 2573 การต่อสู้กับโรคไม่ติดต่อ (NCDs) แ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมคณะกรรมการองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมัยที่ 72 ณ สาธารณรัฐอินเดีย ร่วมกําจัดโรคหัดและหัดเยอรมันให้หมดสิ้นภายในปี 2573 การต่อสู้กับโรคไม่ติดต่อ (NCDs) และการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสมัยที่ 73 ในปี 2563 ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหมายให้นําคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมัยที่ 72 (Seventy – Second Session of the WHO Regional Committee for South-East Asia : RC72) ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2–6 กันยายน 2562 ซึ่งเป็นการประชุมประจําปีของประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลก ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อผลักดันนโยบายความร่วมมือสาธารณสุข การบริหารจัดการด้านงบประมาณและแผนงานของประเทศสมาชิก รวมทั้งกําหนดแนวทางและกลไกการดําเนินงานให้สอดคล้องกับข้อมติสมัชชาอนามัยโลก สมัยที่ 72 ที่ผ่านมา ดร.สาธิตได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุม แสดงความชื่นชมผลสําเร็จในปี 2561 ซึ่งเกิดจากการทุ่มเทอย่างต่อเนื่องของประเทศสมาชิก และเห็นด้วยกับการตั้งเป้าหมายในการกําจัดโรคหัดและหัดเยอรมันให้หมดจากภูมิภาคภายในปี 2573 รวมถึงต่อสู้กับโรคไม่ติดต่อ (NCDs) และจัดการกับปัจจัยเสี่ยงเช่น การสูบบุหรี่ด้วยการใช้ภาพคําเตือนบนซองบุหรี่ซึ่งเป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย ซึ่งเป็นแบบอย่างให้กับประเทศสมาชิกอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายอีกหลายอย่าง เช่น ผลกระทบต่อสุขภาพของภาวะโลกร้อน สังคมผู้สูงวัย เชื้อดื้อยา การลดการดื่มแอลกอฮอล์ การหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เชื้อโรคอุบัติใหม่ต่างๆ ที่ต้องการการจัดการแบบองค์รวมและความทุ่มเทจากภาคการเมืองอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมัยหน้า (สมัยที่ 73) ในปี 2563 สําหรับผลการดําเนินงานในรอบปีที่ผ่านมา (ม.ค.-ธ.ค. 2561) องค์การอนามัยโลกสํานักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความก้าวหน้าหลายด้าน เช่น การสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การจัดการโรคติดต่อ และโรคไม่ติดต่อ ซึ่งทั้งภูมิภาคต้องมีความมุ่งมั่นต่อไปในสามด้าน คือ สร้างความยั่งยืน เร่งรัดความก้าวหน้า และการใช้นวัตกรรม ************************** 3 กันยายน 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22749
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์”จับขายหน้ากากอนามัยแพงอีก 8 ราย รอบนี้บุกรวบโรงงานแอบผลิตได้ด้วย [กระทรวงพาณิชย์]
วันพุธที่ 15 เมษายน 2563 “พาณิชย์”จับขายหน้ากากอนามัยแพงอีก 8 ราย รอบนี้บุกรวบโรงงานแอบผลิตได้ด้วย [กระทรวงพาณิชย์] ​“พาณิชย์”ตามจับกุมผู้จําหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินสมควรอีก 8 ราย มีทั้งร้านค้าทั่วไป ขายผ่านเฟซบุ๊ก และจับโรงงานลักลอบผลิตหน้ากากอนามัยได้ด้วย เจอของกลาง 1.38 แสนชิ้น ร นางลลิดา จิวะนันทประวัติ รองโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการปฏิบัติการกรณีสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์ของกระทรวงพาณิชย์ ว่า วันที่14เม.ย.2563ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินการจับกุมผู้กระทําความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542สามารถจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัย เจลล้างมือและแอลกอฮอล์เพิ่มอีก8ราย แบ่งเป็นกรุงเทพฯ1ราย เป็นร้านค้าทั่วไป พบจําหน่ายหน้ากากอนามัยแบบธรรมดา ในราคาชิ้นละ 20บาท แจ้งข้อหากระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยราคาสูงเกินสมควร ตามมาตรา29 ส่วนในต่างจังหวัดสามารถจับกุมได้เพิ่ม7รายแบ่งเป็นร้านจําหน่ายหน้ากากอนามัยผ่านทางเฟซบุ๊ก2ราย ได้แก่จังหวัดนครสวรรค์1รายโดยเจ้าหน้าที่ทําการล่อซื้อและจับกุม พบจําหน่ายหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ในราคากล่องละ690บาท เฉลี่ยชิ้นละ 13.80 บาท จังหวัดประจวบคีรีขันธ์1รายจําหน่ายหน้ากากอนามัยบรรจุ10ชิ้นต่อแพค ราคา130บาทเฉลี่ยชิ้นละ13บาท ร้านค้าทั่วไปในจังหวัดพิษณุโลก3รายโดยทําการล่อซื้อและจับกุม พบจําหน่าย หน้ากากอนามัยบรรจุกล่อง50ชิ้น ในราคากล่องละ760–790บาท เฉลี่ยชิ้นละ 15.20–15.80บาท โดยทั้ง 5 รายกระทําความผิดข้อหาจําหน่ายหน้ากากอนามัยราคาสูงเกินสมควร ตามมาตรา29 นอกจากนี้ พบผู้กระทําความผิดในจังหวัดกาฬสินธุ์1รายเป็นร้านค้าทั่วไปจําหน่ายเจลแอลกอฮอล์โดยไม่ปิดป้ายแสดงราคา จึงแจ้งข้อหากระทําความผิด ตามมาตรา28และเจ้าหน้าที่ยังได้เข้าตรวจค้นโรงงานในจังหวัดปทุมธานีอีก1รายหลังจากที่ตามสืบจากการนําไปขายทางออนไลน์พบลักลอบผลิตหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ชนิด3ชั้น มีหน้ากากอนามัย จํานวน138,000ชิ้น จึงยึดเป็นของกลาง และแจ้งข้อหากระทําความผิด เป็นผู้ผลิตไม่แจ้งต้นทุน ราคาซื้อ ราคาจําหน่าย ปริมาณการผลิตต่อ กกร. ตามมาตรา25 (5) ทั้งนี้ ทําให้สถิติการจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัย เจลล้างมือและแอลกอฮอล์ มีจํานวนเพิ่มขึ้นเป็น319 ราย แยกเป็นกรุงเทพฯ156ราย และต่างจังหวัด163 ราย สําหรับโทษที่ผู้กระทําความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542ข้อหาขายเกินราคาควบคุม มาตรา25 (1)มีโทษจําคุกไม่เกิน5ปี ปรับไม่เกิน1แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ข้อหาไม่แจ้งต้นทุนราคาซื้อ ราคาจําหน่าย ปริมาณการผลิต ปริมาณคงเหลือ ตามมาตรา25 (5)มีโทษจําคุกไม่เกิน1ปี หรือปรับ ไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และปรับไม่เกินวันละ 2,000 บาท ตลอดเวลาที่ฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะแจ้ง มาตรา 26ข้อหาเป็นผู้ผลิตไม่แจ้งชื่อ ราคาซื้อ ราคาจําหน่าย มาตรา 28ข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคาขาย มีอัตราโทษปรับไม่เกิน1หมื่นบาท และมาตรา29ข้อหาขายแพงเกินสมควรมีอัตราโทษจําคุกไม่เกิน7ปี ปรับไม่เกิน1.4แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์จะส่งเจ้าหน้าลงพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อติดตามตรวจสอบ จับกุมผู้กระทําความผิดตามข้อร้องเรียนทุกวัน และมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และขอย้ําเตือนให้ผู้ที่มีพฤติกรรมกักตุนสินค้า และค้ากําไรเกินควร ซึ่งถือเป็นการเอารัดเอาเปรียบประชาชน ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และแอลกอฮอล์ รวมถึงสินค้าจําเป็นอื่นๆ หากพบมีการกระทําผิดกฎหมาย จะดําเนินคดีขั้นเด็ดขาด โดยผู้บริโภค หากพบเห็นการกักตุนหรือค้ากําไรเกินควร สามารถร้องเรียนได้ทันทีที่สายด่วนกรมการค้าภายใน1569และในต่างจังหวัดร้องเรียนได้ที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัดหรือศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด >>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์แบบฉับไว ส่งตรงถึงมือถือได้ที่http://line.me/ti/p/%40uld0329i >>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์ ผ่านทวิตเตอร์https://twitter.com/CNAOnlineTwit
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์”จับขายหน้ากากอนามัยแพงอีก 8 ราย รอบนี้บุกรวบโรงงานแอบผลิตได้ด้วย [กระทรวงพาณิชย์] วันพุธที่ 15 เมษายน 2563 “พาณิชย์”จับขายหน้ากากอนามัยแพงอีก 8 ราย รอบนี้บุกรวบโรงงานแอบผลิตได้ด้วย [กระทรวงพาณิชย์] ​“พาณิชย์”ตามจับกุมผู้จําหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินสมควรอีก 8 ราย มีทั้งร้านค้าทั่วไป ขายผ่านเฟซบุ๊ก และจับโรงงานลักลอบผลิตหน้ากากอนามัยได้ด้วย เจอของกลาง 1.38 แสนชิ้น ร นางลลิดา จิวะนันทประวัติ รองโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการปฏิบัติการกรณีสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์ของกระทรวงพาณิชย์ ว่า วันที่14เม.ย.2563ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินการจับกุมผู้กระทําความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542สามารถจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัย เจลล้างมือและแอลกอฮอล์เพิ่มอีก8ราย แบ่งเป็นกรุงเทพฯ1ราย เป็นร้านค้าทั่วไป พบจําหน่ายหน้ากากอนามัยแบบธรรมดา ในราคาชิ้นละ 20บาท แจ้งข้อหากระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยราคาสูงเกินสมควร ตามมาตรา29 ส่วนในต่างจังหวัดสามารถจับกุมได้เพิ่ม7รายแบ่งเป็นร้านจําหน่ายหน้ากากอนามัยผ่านทางเฟซบุ๊ก2ราย ได้แก่จังหวัดนครสวรรค์1รายโดยเจ้าหน้าที่ทําการล่อซื้อและจับกุม พบจําหน่ายหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ในราคากล่องละ690บาท เฉลี่ยชิ้นละ 13.80 บาท จังหวัดประจวบคีรีขันธ์1รายจําหน่ายหน้ากากอนามัยบรรจุ10ชิ้นต่อแพค ราคา130บาทเฉลี่ยชิ้นละ13บาท ร้านค้าทั่วไปในจังหวัดพิษณุโลก3รายโดยทําการล่อซื้อและจับกุม พบจําหน่าย หน้ากากอนามัยบรรจุกล่อง50ชิ้น ในราคากล่องละ760–790บาท เฉลี่ยชิ้นละ 15.20–15.80บาท โดยทั้ง 5 รายกระทําความผิดข้อหาจําหน่ายหน้ากากอนามัยราคาสูงเกินสมควร ตามมาตรา29 นอกจากนี้ พบผู้กระทําความผิดในจังหวัดกาฬสินธุ์1รายเป็นร้านค้าทั่วไปจําหน่ายเจลแอลกอฮอล์โดยไม่ปิดป้ายแสดงราคา จึงแจ้งข้อหากระทําความผิด ตามมาตรา28และเจ้าหน้าที่ยังได้เข้าตรวจค้นโรงงานในจังหวัดปทุมธานีอีก1รายหลังจากที่ตามสืบจากการนําไปขายทางออนไลน์พบลักลอบผลิตหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ชนิด3ชั้น มีหน้ากากอนามัย จํานวน138,000ชิ้น จึงยึดเป็นของกลาง และแจ้งข้อหากระทําความผิด เป็นผู้ผลิตไม่แจ้งต้นทุน ราคาซื้อ ราคาจําหน่าย ปริมาณการผลิตต่อ กกร. ตามมาตรา25 (5) ทั้งนี้ ทําให้สถิติการจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัย เจลล้างมือและแอลกอฮอล์ มีจํานวนเพิ่มขึ้นเป็น319 ราย แยกเป็นกรุงเทพฯ156ราย และต่างจังหวัด163 ราย สําหรับโทษที่ผู้กระทําความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542ข้อหาขายเกินราคาควบคุม มาตรา25 (1)มีโทษจําคุกไม่เกิน5ปี ปรับไม่เกิน1แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ข้อหาไม่แจ้งต้นทุนราคาซื้อ ราคาจําหน่าย ปริมาณการผลิต ปริมาณคงเหลือ ตามมาตรา25 (5)มีโทษจําคุกไม่เกิน1ปี หรือปรับ ไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และปรับไม่เกินวันละ 2,000 บาท ตลอดเวลาที่ฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะแจ้ง มาตรา 26ข้อหาเป็นผู้ผลิตไม่แจ้งชื่อ ราคาซื้อ ราคาจําหน่าย มาตรา 28ข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคาขาย มีอัตราโทษปรับไม่เกิน1หมื่นบาท และมาตรา29ข้อหาขายแพงเกินสมควรมีอัตราโทษจําคุกไม่เกิน7ปี ปรับไม่เกิน1.4แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์จะส่งเจ้าหน้าลงพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อติดตามตรวจสอบ จับกุมผู้กระทําความผิดตามข้อร้องเรียนทุกวัน และมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และขอย้ําเตือนให้ผู้ที่มีพฤติกรรมกักตุนสินค้า และค้ากําไรเกินควร ซึ่งถือเป็นการเอารัดเอาเปรียบประชาชน ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และแอลกอฮอล์ รวมถึงสินค้าจําเป็นอื่นๆ หากพบมีการกระทําผิดกฎหมาย จะดําเนินคดีขั้นเด็ดขาด โดยผู้บริโภค หากพบเห็นการกักตุนหรือค้ากําไรเกินควร สามารถร้องเรียนได้ทันทีที่สายด่วนกรมการค้าภายใน1569และในต่างจังหวัดร้องเรียนได้ที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัดหรือศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด >>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์แบบฉับไว ส่งตรงถึงมือถือได้ที่http://line.me/ti/p/%40uld0329i >>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์ ผ่านทวิตเตอร์https://twitter.com/CNAOnlineTwit
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29154
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เข้าพบ
วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทย เข้าพบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทย เข้าพบ วันนี้ (23 กุมภาพันธ์ 2560) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้นายหนิง ฟุ่ขุ่ย (H.E. Mr. Ning Fukui) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทย และคณะ เข้าพบ เพื่อเยี่ยมคารวะและหารือเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมระหว่างไทย - จีน ความร่วมมือด้านนิคมอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมยางพารา ณ ห้องรับรอง 1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เข้าพบ วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทย เข้าพบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทย เข้าพบ วันนี้ (23 กุมภาพันธ์ 2560) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้นายหนิง ฟุ่ขุ่ย (H.E. Mr. Ning Fukui) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทย และคณะ เข้าพบ เพื่อเยี่ยมคารวะและหารือเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมระหว่างไทย - จีน ความร่วมมือด้านนิคมอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมยางพารา ณ ห้องรับรอง 1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2028
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วย รมต.สุปราณีฯ เป็นตัวแทน รมต.นร.หม่อมหลวง ปนัดดาฯ รับเรื่องร้องเรียนกรณี “ย้ายชุมชนป้อมมหากาฬ” เพื่อประโยชน์ในการจัดทำสวนสาธารณะและโบราณสถานของชาติ
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2559 ผู้ช่วย รมต.สุปราณีฯ เป็นตัวแทน รมต.นร.หม่อมหลวง ปนัดดาฯ รับเรื่องร้องเรียนกรณี “ย้ายชุมชนป้อมมหากาฬ” เพื่อประโยชน์ในการจัดทําสวนสาธารณะและโบราณสถานของชาติ ผู้ช่วย รมต.สุปราณีฯ เป็นตัวแทน รมต.นร.หม่อมหลวง ปนัดดาฯ รับเรื่องร้องเรียนกรณี “ย้ายชุมชนป้อมมหากาฬ” เพื่อประโยชน์ในการจัดทําสวนสาธารณะและโบราณสถานของชาติ วันนี้ (8 ก.ย.59) เวลา 10.00 น. ณ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ภายในบริเวณสํานักงาน ก.พ.(เดิม) กรุงเทพฯ หม่อมหลวง ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายนางสุปราณี จันทรัตนวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล) เป็นตัวแทนรับหนังสือร้องเรียนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กรณี “ย้ายชุมชนป้อมมหากาฬ” เพื่อประโยชน์ในการจัดทําสวนสาธารณะและอนุรักษ์โบราณสถานของชาติ ทั้งนี้ เดิมชุมชนป้อมมหากาฬมีผู้อาศัยอยู่จํานวน 102 หลังคาเรือน ต่อมากรุงเทพมหานครได้ดําเนินการตามพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตที่ดินในบริเวณที่จะเวนคืนในท้องที่แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพฯ พ.ศ.2535 เพื่อประโยชน์ในการจัดทําสวนสาธารณะและอนุรักษ์โบราณสถานของชาติ ซึ่งกรุงเทพมหานครได้จ่ายเงินค่าทดแทนไปแล้วรวมทั้งได้จัดหาที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ให้แล้วที่การเคหะแห่งชาติมีนบุรี ปัจจุบันยังมีผู้อาศัยอยู่ในชุมชนป้อมมหากาฬคงเหลืออยู่จํานวน 56 หลังคาเรือนซึ่งได้ย้ายออกไปแล้วจํานวน 49 หลังคาเรือนและขณะนี้จึงยังคงเหลืออีกเพียง 7 หลังคาเรือน ที่ยังไม่ยินยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากพื้นที่แต่อย่างใด นอกจากนี้ คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า ซึ่งมีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้ดําเนินการประชุมเรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2559 และมีมติสั่งการให้กรุงเทพมหานครเร่งสร้างความเข้าใจและขอความร่วมมือชาวชุมชนป้อมมหากาฬเพื่อดําเนินการตามแผนปรับปรุงภูมิทัศน์ป้อมมหากาฬให้เป็นพื้นที่สาธารณะตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า พ.ศ.2546 โอกาสนี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล) ได้รับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวจาก นางภารณี สวัสดิรักษ์ ผู้แทนเครือข่ายภาคประชาสังคมฯพร้อมกล่า ******************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก สิริภัทร/อภิวัฒน์ รายงาน ดวงใจ ตรวจ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วย รมต.สุปราณีฯ เป็นตัวแทน รมต.นร.หม่อมหลวง ปนัดดาฯ รับเรื่องร้องเรียนกรณี “ย้ายชุมชนป้อมมหากาฬ” เพื่อประโยชน์ในการจัดทำสวนสาธารณะและโบราณสถานของชาติ วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2559 ผู้ช่วย รมต.สุปราณีฯ เป็นตัวแทน รมต.นร.หม่อมหลวง ปนัดดาฯ รับเรื่องร้องเรียนกรณี “ย้ายชุมชนป้อมมหากาฬ” เพื่อประโยชน์ในการจัดทําสวนสาธารณะและโบราณสถานของชาติ ผู้ช่วย รมต.สุปราณีฯ เป็นตัวแทน รมต.นร.หม่อมหลวง ปนัดดาฯ รับเรื่องร้องเรียนกรณี “ย้ายชุมชนป้อมมหากาฬ” เพื่อประโยชน์ในการจัดทําสวนสาธารณะและโบราณสถานของชาติ วันนี้ (8 ก.ย.59) เวลา 10.00 น. ณ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ภายในบริเวณสํานักงาน ก.พ.(เดิม) กรุงเทพฯ หม่อมหลวง ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายนางสุปราณี จันทรัตนวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล) เป็นตัวแทนรับหนังสือร้องเรียนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กรณี “ย้ายชุมชนป้อมมหากาฬ” เพื่อประโยชน์ในการจัดทําสวนสาธารณะและอนุรักษ์โบราณสถานของชาติ ทั้งนี้ เดิมชุมชนป้อมมหากาฬมีผู้อาศัยอยู่จํานวน 102 หลังคาเรือน ต่อมากรุงเทพมหานครได้ดําเนินการตามพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตที่ดินในบริเวณที่จะเวนคืนในท้องที่แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพฯ พ.ศ.2535 เพื่อประโยชน์ในการจัดทําสวนสาธารณะและอนุรักษ์โบราณสถานของชาติ ซึ่งกรุงเทพมหานครได้จ่ายเงินค่าทดแทนไปแล้วรวมทั้งได้จัดหาที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ให้แล้วที่การเคหะแห่งชาติมีนบุรี ปัจจุบันยังมีผู้อาศัยอยู่ในชุมชนป้อมมหากาฬคงเหลืออยู่จํานวน 56 หลังคาเรือนซึ่งได้ย้ายออกไปแล้วจํานวน 49 หลังคาเรือนและขณะนี้จึงยังคงเหลืออีกเพียง 7 หลังคาเรือน ที่ยังไม่ยินยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากพื้นที่แต่อย่างใด นอกจากนี้ คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า ซึ่งมีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้ดําเนินการประชุมเรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2559 และมีมติสั่งการให้กรุงเทพมหานครเร่งสร้างความเข้าใจและขอความร่วมมือชาวชุมชนป้อมมหากาฬเพื่อดําเนินการตามแผนปรับปรุงภูมิทัศน์ป้อมมหากาฬให้เป็นพื้นที่สาธารณะตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า พ.ศ.2546 โอกาสนี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล) ได้รับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวจาก นางภารณี สวัสดิรักษ์ ผู้แทนเครือข่ายภาคประชาสังคมฯพร้อมกล่า ******************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก สิริภัทร/อภิวัฒน์ รายงาน ดวงใจ ตรวจ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/337
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุมหารือคณะทำงานสานพลังประชารัฐ ด้านการยกระดับคุณภาพวิชาชีพ
วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 ผลประชุมหารือคณะทํางานสานพลังประชารัฐ ด้านการยกระดับคุณภาพวิชาชีพ ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าทีมภาครัฐ คณะทํางานสานพลังประชารัฐ ด้านการยกระดับคุณภาพวิชาชีพ (Competitive Workforce) : E2 ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการในฐานะหัวหน้าทีมภาครัฐ คณะทํางานสานพลังประชารัฐ ด้านการยกระดับคุณภาพวิชาชีพ (Competitive Workforce): E2ประชุมหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับนายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG ในฐานะหัวหน้าทีมภาคเอกชน รวมทั้งคณะทํางานกลุ่มย่อยจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมE2เมื่อวันศุกร์ที่9 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ห้องราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ ศ.(คลินิก)นพ.อุดม คชินทรกล่าวว่ากระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้ความสําคัญในการทํางาน "สานพลังประชารัฐ" รวมทั้งE2ซึ่งเป็นความร่วมมือในการยกระดับคุณภาพวิชาชีพจึงได้เชิญภาคเอกชนและภาคประชาสังคมมาร่วมประชุมในครั้งนี้ โดยนพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการได้มอบหมายให้เป็นประธานคณะทํางานภาครัฐและเข้าร่วมประชุม เพื่อรับฟังแนวทางการทํางานที่ผ่านมา รวมทั้งข้อเสนอแนะ และแนวทางการขับเคลื่อนจากภาคเอกชน การประชุมครั้งนี้ ได้หารือถึงผลการดําเนินงานของปี พ.ศ.2559–2560 ในด้านต่าง ๆเช่นการRe-Branding“อาชีวะ ฝีมือชน คนสร้างชาติ”ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการใช้ทั้งสื่อหลัก(Mass Media) และสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ซึ่งภาคเอกชนได้ขอให้สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ให้ความสําคัญกับการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในเรื่องนี้ให้เกิดความต่อเนื่อง นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบการสร้างการรับรู้ Excellent Model School ผ่านสื่อต่าง ๆเช่น สื่อออนไลน์ สื่อวิทยุ เป็นต้น รวมถึงรับทราบการจัดพิธีลงนาม MOU Excellent Model School ร่วมกับ 68 วิทยาลัย และ 14 สถานประกอบการ รวมทั้งการจัด Roadshow ผ่านตัวแทน 6 พื้นที่ ที่กรุงเทพฯ, สระบุรี, ชลบุรี, ลําปาง, ขอนแก่น และสงขลา ที่สําคัญอีกเรื่องคือ จากการเก็บข้อมูลนักศึกษาที่สําเร็จการศึกษาทั่วประเทศกว่า120,000คน พบว่าสาขาวิชา"ช่างอุตสาหกรรม"ยังไม่เพียงพอต่อตลาดงาน ในขณะที่สาขาวิชา"พาณิชยกรรม"ผลิตออกมาเกินความต้องการ ที่ประชุมยังได้หารือเรื่องที่อยู่ระหว่างดําเนินงาน 2 เรื่องที่สําคัญคือ 1) การพัฒนาและยกระดับสถานศึกษาด้านอาชีวศึกษา (Excellent Model School)ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ต่อยอดจากโครงการเดิมที่กําลังดําเนินการอยู่ โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 10%ของจํานวนสถานศึกษาอาชีวศึกษาทั้งหมด 908 แห่ง หรือเพิ่มจากเดิม 68 วิทยาลัย เป็น 90 วิทยาลัย 2) การจัดตั้งคณะกรรมการสภาส่งเสริมการศึกษาระบบทวิภาคีเพื่อต้องการให้ 3 สภาของภาคอุตสาหกรรม คือ สภาหอการค้าฯ สภาอุตสาหกรรมฯ และสภาท่องเที่ยวฯ เข้าไปมีบทบาทหลัก และทํางานร่วมกับภาครัฐในการยกระดับคุณภาพวิชาชีพอาชีวศึกษา ให้ได้มาตรฐานสากลเหมือนในกลุ่มประเทศในยุโรป และสอดคล้องกับความต้องการของประเทศ นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาสกล่าวว่า ภาคเอกชนได้เสนอประเด็นปัญหาที่ต้องการให้ภาครัฐสนับสนุน 5 ข้อ คือ 1) การติดตามการดําเนินงานจากหัวหน้าทีมภาครัฐและหัวหน้าทีมภาคเอกชนให้เกิดความต่อเนื่อง 2) การมอบหมายผู้รับผิดชอบที่มีอํานาจในการตัดสินใจ (Authority) ที่ชัดเจน เพื่อสามารถผลักดันโครงการต่าง ๆ ให้สามารถเดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่อง 3) งบประมาณในการดําเนินโครงการเช่น จัดให้มีเงินทุนตั้งต้นสําหรับสภาส่งเสริมการศึกษาระบบทวิภาคี งบประมาณพัฒนาครูอาชีวะ เป็นต้น 4) การลงนามต่อระยะเวลา MOUที่สิ้นสุดวันที่ 21 มกราคม 2561 เพื่อดําเนินการให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืน 5) ขอให้ภาครัฐสนับสนุนการจัดตั้ง“สภาส่งเสริมการศึกษาระบบทวิภาคี”ซึ่งอาจผลักดันผ่านประกาศหรือคําสั่ง คสช. (ม.44) เพื่อผลักดันการพัฒนาอาชีวศึกษาไปสู่ Thailand 4.0 โดยผ่านสภาส่งเสริมการศึกษาระบบทวิภาคี ทั้งนี้ นพ.อุดม คชินทร กล่าวว่า ศธ.รับความเห็นและประเด็นความต้องการ 5 ข้อ ไปพิจารณากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ สอศ. ที่จะต้องเข้ามามีบทบาทขับเคลื่อนให้เกิดความต่อเนื่อง และในวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้ เวลา 16.00-18.00น.ที่ห้องประชุม ศ.วิจิตร ศรีสอ้าน ชั้น5สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจะจัดให้มีการประชุมหารือคณะทํางานE2เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อรอนงค์ พุ่มศรีเพ็ชร์:สรุป ธเนศ งานสถิร:ถ่ายภาพ บัลลังก์ โรหิตเสถียร:เรียบเรียง/กราฟิก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุมหารือคณะทำงานสานพลังประชารัฐ ด้านการยกระดับคุณภาพวิชาชีพ วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 ผลประชุมหารือคณะทํางานสานพลังประชารัฐ ด้านการยกระดับคุณภาพวิชาชีพ ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าทีมภาครัฐ คณะทํางานสานพลังประชารัฐ ด้านการยกระดับคุณภาพวิชาชีพ (Competitive Workforce) : E2 ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการในฐานะหัวหน้าทีมภาครัฐ คณะทํางานสานพลังประชารัฐ ด้านการยกระดับคุณภาพวิชาชีพ (Competitive Workforce): E2ประชุมหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับนายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG ในฐานะหัวหน้าทีมภาคเอกชน รวมทั้งคณะทํางานกลุ่มย่อยจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมE2เมื่อวันศุกร์ที่9 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ห้องราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ ศ.(คลินิก)นพ.อุดม คชินทรกล่าวว่ากระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้ความสําคัญในการทํางาน "สานพลังประชารัฐ" รวมทั้งE2ซึ่งเป็นความร่วมมือในการยกระดับคุณภาพวิชาชีพจึงได้เชิญภาคเอกชนและภาคประชาสังคมมาร่วมประชุมในครั้งนี้ โดยนพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการได้มอบหมายให้เป็นประธานคณะทํางานภาครัฐและเข้าร่วมประชุม เพื่อรับฟังแนวทางการทํางานที่ผ่านมา รวมทั้งข้อเสนอแนะ และแนวทางการขับเคลื่อนจากภาคเอกชน การประชุมครั้งนี้ ได้หารือถึงผลการดําเนินงานของปี พ.ศ.2559–2560 ในด้านต่าง ๆเช่นการRe-Branding“อาชีวะ ฝีมือชน คนสร้างชาติ”ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการใช้ทั้งสื่อหลัก(Mass Media) และสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ซึ่งภาคเอกชนได้ขอให้สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ให้ความสําคัญกับการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในเรื่องนี้ให้เกิดความต่อเนื่อง นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบการสร้างการรับรู้ Excellent Model School ผ่านสื่อต่าง ๆเช่น สื่อออนไลน์ สื่อวิทยุ เป็นต้น รวมถึงรับทราบการจัดพิธีลงนาม MOU Excellent Model School ร่วมกับ 68 วิทยาลัย และ 14 สถานประกอบการ รวมทั้งการจัด Roadshow ผ่านตัวแทน 6 พื้นที่ ที่กรุงเทพฯ, สระบุรี, ชลบุรี, ลําปาง, ขอนแก่น และสงขลา ที่สําคัญอีกเรื่องคือ จากการเก็บข้อมูลนักศึกษาที่สําเร็จการศึกษาทั่วประเทศกว่า120,000คน พบว่าสาขาวิชา"ช่างอุตสาหกรรม"ยังไม่เพียงพอต่อตลาดงาน ในขณะที่สาขาวิชา"พาณิชยกรรม"ผลิตออกมาเกินความต้องการ ที่ประชุมยังได้หารือเรื่องที่อยู่ระหว่างดําเนินงาน 2 เรื่องที่สําคัญคือ 1) การพัฒนาและยกระดับสถานศึกษาด้านอาชีวศึกษา (Excellent Model School)ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ต่อยอดจากโครงการเดิมที่กําลังดําเนินการอยู่ โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 10%ของจํานวนสถานศึกษาอาชีวศึกษาทั้งหมด 908 แห่ง หรือเพิ่มจากเดิม 68 วิทยาลัย เป็น 90 วิทยาลัย 2) การจัดตั้งคณะกรรมการสภาส่งเสริมการศึกษาระบบทวิภาคีเพื่อต้องการให้ 3 สภาของภาคอุตสาหกรรม คือ สภาหอการค้าฯ สภาอุตสาหกรรมฯ และสภาท่องเที่ยวฯ เข้าไปมีบทบาทหลัก และทํางานร่วมกับภาครัฐในการยกระดับคุณภาพวิชาชีพอาชีวศึกษา ให้ได้มาตรฐานสากลเหมือนในกลุ่มประเทศในยุโรป และสอดคล้องกับความต้องการของประเทศ นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาสกล่าวว่า ภาคเอกชนได้เสนอประเด็นปัญหาที่ต้องการให้ภาครัฐสนับสนุน 5 ข้อ คือ 1) การติดตามการดําเนินงานจากหัวหน้าทีมภาครัฐและหัวหน้าทีมภาคเอกชนให้เกิดความต่อเนื่อง 2) การมอบหมายผู้รับผิดชอบที่มีอํานาจในการตัดสินใจ (Authority) ที่ชัดเจน เพื่อสามารถผลักดันโครงการต่าง ๆ ให้สามารถเดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่อง 3) งบประมาณในการดําเนินโครงการเช่น จัดให้มีเงินทุนตั้งต้นสําหรับสภาส่งเสริมการศึกษาระบบทวิภาคี งบประมาณพัฒนาครูอาชีวะ เป็นต้น 4) การลงนามต่อระยะเวลา MOUที่สิ้นสุดวันที่ 21 มกราคม 2561 เพื่อดําเนินการให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืน 5) ขอให้ภาครัฐสนับสนุนการจัดตั้ง“สภาส่งเสริมการศึกษาระบบทวิภาคี”ซึ่งอาจผลักดันผ่านประกาศหรือคําสั่ง คสช. (ม.44) เพื่อผลักดันการพัฒนาอาชีวศึกษาไปสู่ Thailand 4.0 โดยผ่านสภาส่งเสริมการศึกษาระบบทวิภาคี ทั้งนี้ นพ.อุดม คชินทร กล่าวว่า ศธ.รับความเห็นและประเด็นความต้องการ 5 ข้อ ไปพิจารณากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ สอศ. ที่จะต้องเข้ามามีบทบาทขับเคลื่อนให้เกิดความต่อเนื่อง และในวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้ เวลา 16.00-18.00น.ที่ห้องประชุม ศ.วิจิตร ศรีสอ้าน ชั้น5สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจะจัดให้มีการประชุมหารือคณะทํางานE2เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อรอนงค์ พุ่มศรีเพ็ชร์:สรุป ธเนศ งานสถิร:ถ่ายภาพ บัลลังก์ โรหิตเสถียร:เรียบเรียง/กราฟิก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10031
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME Development Bank จัดสินเชื่อดอกเบี้ยถูก 1 % ผนึก 5 หน่วยงานผลักดันเถ้าแก่ 4.0 เชื่อม Big Data พลิกโฉมเอสเอ็มอีสู่ยุคดิจิทัล
วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561 SME Development Bank จัดสินเชื่อดอกเบี้ยถูก 1 % ผนึก 5 หน่วยงานผลักดันเถ้าแก่ 4.0 เชื่อม Big Data พลิกโฉมเอสเอ็มอีสู่ยุคดิจิทัล SME Development Bank เดินหน้าบทบาทสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อยกระดับเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการไทยก้าวทันโลกธุรกิจยุคใหม่ ร่วมมหกรรม “SME TRANSFORM” จัดสินเชื่อดอกเบี้ยถูก 1% พร้อมผนึก 5 หน่วยงาน ผลักดันเถ้าแก่ 4.0 เชื่อม Big Data ติดปีกเอสเอ็มอี SME Development Bank ประกาศเดินหน้าบทบาทสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อยกระดับเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการไทยก้าวทันโลกธุรกิจยุคใหม่ ร่วมมหกรรม “SME TRANSFORM” จัดสินเชื่อดอกเบี้ยถูก 1 % พร้อมผนึก 5 หน่วยงาน ผลักดันเถ้าแก่ 4.0 เชื่อม Big Data ติดปีกเอสเอ็มอีสู่ยุคดิจิทัล นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank หรือ ธพว.) กล่าวว่า ธนาคารพร้อมทําหน้าที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อการพัฒนาและยกระดับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยอย่างครบวงจรให้ก้าวสู่การเป็น “เอสเอ็มอียุคดิจิทัล” มีขีดความสามารถสูงพร้อมปรับตัวเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจยุค 4.0 โดยนําเทคโนโลยียุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักร หุ่นยนต์ ดีไซน์ ระบบไอที และออนไลน์ มาช่วยสนับสนุนเพิ่มศักยภาพให้ธุรกิจ ทั้งนี้ มาตรการสนับสนุนของ ธพว. จะถูกนํามาให้บริการภายในงาน 'SME TRANSFORM #พร้อมแล้วเปลี่ยน ประชารัฐร่วมใจ เชื่อม SME ไทยสู่สากล' ณ Financial Zone ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 18-20 พฤษภาคม 2561 ได้แก่ สินเชื่อเถ้าแก่ 4.0 เพื่อให้เอสเอ็มอีใช้เป็นเงินทุนยกระดับปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล วงเงินรวม 8,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยต่ําเพียง 1% ต่อปี ซึ่งถือเป็นอัตราดอกเบี้ยถูกที่สุดในประวัติศาสตร์การให้บริการสินเชื่อธุรกิจของสถาบันการเงินไทย สามารถกู้ได้สูงสุด 1 ล้านบาทต่อราย สําหรับนิติบุคคล (บริษัทจํากัด ห้างหุ้นส่วนจํากัด หรือห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล) ไม่ต้องมีหลักประกัน ผ่อนนาน 7 ปี ปลอดชําระเงินต้น 3 ปีแรก แม้จะมีประวัติการชําระเงินไม่สม่ําเสมอก็สามารถกู้ได้ ใช้เอกสารประกอบการพิจารณาสินเชื่อเป็นไปตามสภาพข้อเท็จจริงของกิจการ อีกทั้ง ได้นําหน่วย “รถม้าเติมทุน ส่งเสริม SMEs ไทย ฉับไว ไปถึงถิ่น” มาจอดให้บริการภายในบูธ พร้อมสาธิตการทํางาน ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่เข้าไปพบผู้ประกอบการถึงสถานที่ประกอบกิจการจริงทั่วประเทศ เพื่อให้ผู้ประกอบการยืนยันตัวตนและตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้นเพียงใช้บัตรประชาชน โดยทํางานควบคู่แอพพลิเคชั่น “SME D Bank” ที่ผู้ประกอบการสามารถยื่นคําขอสินเชื่อผ่านสมาร์ทโฟน และติดตามสถานะในการพิจารณาสินเชื่อ ภายใน 7 วันถัดไป ผ่านบริการ Call Center 1357 นอกจากนั้น เพื่อจะช่วยสนับสนุนเอสเอ็มอีไทยสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ธพว. ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ผลักดัน “เถ้าแก่ 4.0 สู่แหล่งทุน” กับ 5 หน่วยงานนําร่อง ประกอบด้วย สมาคมการพิมพ์ไทย นายพงศ์ธีระ พัฒนพีระเดช นายกสมาคม , มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (คลัสเตอร์ยางพารา) รองศาสตราจารย์ ดร.ชูศักดิ์ ลิ่มสกุล อธิการบดี , ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ , ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ และธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ โดย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เกียรติเป็นสักขีพยานในการลงนามครั้งนี้ เพื่อบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลเป็น “บิ๊กดาต้า” (Big Data) เพื่อการสร้างโอกาสสนับสนุนยกระดับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้แข็งแกร่ง “อุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ ยางพารา รวมถึง ภาคเกษตรล้วนมีความสําคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างยิ่ง ทว่า ปัจจุบัน ยังประสบปัญหาปรับตัวไม่ทันต่อการแข่งขัน การลงนามครั้งนี้ จึงนับเป็นมิติใหม่ของร่วมมือระหว่างภาครัฐ สถาบันการเงิน สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน ที่จะผนึกพลังร่วมกันพัฒนาโดยยกระดับอุตสาหกรรมดังกล่าวอย่างครบวงจร ผ่านนวัตกรรม เทคโนโลยี เครื่องจักร และสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา” นายมงคล กล่าว นอกจากนั้น เพื่อให้เห็นตัวอย่างจริงแห่งความสําเร็จ ภายในงานนี้ ธนาคารได้นําต้นแบบของเอสเอ็มอียุคดิจิทัลมาแสดงในมุม “SME Show Case” เช่น แบรนด์ ‘Tonnam’ จ.เชียงราย ธุรกิจคลัสเตอร์สมุนไพรไทยที่ประสบความสําเร็จจากการทําตลาดผ่านเว็บไซต์ "Alibaba" หรือ แบรนด์ "หม่ําอินเตอร์" จ.ขอนแก่น ที่สร้างมาตรฐานอาหารพื้นบ้านอย่าง “หม่ํา” จนก้าวไปไกลระดับสากล เป็นต้น ซึ่งจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ และจุดประกายให้เอสเอ็มอีรายอื่นๆ เห็นว่า หากมุ่งมั่นปรับเปลี่ยนธุรกิจด้วยเทคโนโลยียุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรม มาตรฐาน ดีไซน์ และออนไลน์ จะสามารถก้าวถึงความสําเร็จได้เช่นกัน รวมถึง ยังก่อให้เกิดการต่อยอด เชื่อมโยงระหว่างผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้วยกันเอง เพื่อช่วยเหลือและแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน นําไปสู่การสร้างสังคมผู้ประกอบการไทยอันจะเป็นฐานรากที่แข็งแกร่งของระบบเศรษฐกิจไทยต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME Development Bank จัดสินเชื่อดอกเบี้ยถูก 1 % ผนึก 5 หน่วยงานผลักดันเถ้าแก่ 4.0 เชื่อม Big Data พลิกโฉมเอสเอ็มอีสู่ยุคดิจิทัล วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561 SME Development Bank จัดสินเชื่อดอกเบี้ยถูก 1 % ผนึก 5 หน่วยงานผลักดันเถ้าแก่ 4.0 เชื่อม Big Data พลิกโฉมเอสเอ็มอีสู่ยุคดิจิทัล SME Development Bank เดินหน้าบทบาทสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อยกระดับเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการไทยก้าวทันโลกธุรกิจยุคใหม่ ร่วมมหกรรม “SME TRANSFORM” จัดสินเชื่อดอกเบี้ยถูก 1% พร้อมผนึก 5 หน่วยงาน ผลักดันเถ้าแก่ 4.0 เชื่อม Big Data ติดปีกเอสเอ็มอี SME Development Bank ประกาศเดินหน้าบทบาทสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อยกระดับเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการไทยก้าวทันโลกธุรกิจยุคใหม่ ร่วมมหกรรม “SME TRANSFORM” จัดสินเชื่อดอกเบี้ยถูก 1 % พร้อมผนึก 5 หน่วยงาน ผลักดันเถ้าแก่ 4.0 เชื่อม Big Data ติดปีกเอสเอ็มอีสู่ยุคดิจิทัล นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank หรือ ธพว.) กล่าวว่า ธนาคารพร้อมทําหน้าที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อการพัฒนาและยกระดับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยอย่างครบวงจรให้ก้าวสู่การเป็น “เอสเอ็มอียุคดิจิทัล” มีขีดความสามารถสูงพร้อมปรับตัวเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจยุค 4.0 โดยนําเทคโนโลยียุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักร หุ่นยนต์ ดีไซน์ ระบบไอที และออนไลน์ มาช่วยสนับสนุนเพิ่มศักยภาพให้ธุรกิจ ทั้งนี้ มาตรการสนับสนุนของ ธพว. จะถูกนํามาให้บริการภายในงาน 'SME TRANSFORM #พร้อมแล้วเปลี่ยน ประชารัฐร่วมใจ เชื่อม SME ไทยสู่สากล' ณ Financial Zone ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 18-20 พฤษภาคม 2561 ได้แก่ สินเชื่อเถ้าแก่ 4.0 เพื่อให้เอสเอ็มอีใช้เป็นเงินทุนยกระดับปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล วงเงินรวม 8,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยต่ําเพียง 1% ต่อปี ซึ่งถือเป็นอัตราดอกเบี้ยถูกที่สุดในประวัติศาสตร์การให้บริการสินเชื่อธุรกิจของสถาบันการเงินไทย สามารถกู้ได้สูงสุด 1 ล้านบาทต่อราย สําหรับนิติบุคคล (บริษัทจํากัด ห้างหุ้นส่วนจํากัด หรือห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล) ไม่ต้องมีหลักประกัน ผ่อนนาน 7 ปี ปลอดชําระเงินต้น 3 ปีแรก แม้จะมีประวัติการชําระเงินไม่สม่ําเสมอก็สามารถกู้ได้ ใช้เอกสารประกอบการพิจารณาสินเชื่อเป็นไปตามสภาพข้อเท็จจริงของกิจการ อีกทั้ง ได้นําหน่วย “รถม้าเติมทุน ส่งเสริม SMEs ไทย ฉับไว ไปถึงถิ่น” มาจอดให้บริการภายในบูธ พร้อมสาธิตการทํางาน ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่เข้าไปพบผู้ประกอบการถึงสถานที่ประกอบกิจการจริงทั่วประเทศ เพื่อให้ผู้ประกอบการยืนยันตัวตนและตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้นเพียงใช้บัตรประชาชน โดยทํางานควบคู่แอพพลิเคชั่น “SME D Bank” ที่ผู้ประกอบการสามารถยื่นคําขอสินเชื่อผ่านสมาร์ทโฟน และติดตามสถานะในการพิจารณาสินเชื่อ ภายใน 7 วันถัดไป ผ่านบริการ Call Center 1357 นอกจากนั้น เพื่อจะช่วยสนับสนุนเอสเอ็มอีไทยสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ธพว. ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ผลักดัน “เถ้าแก่ 4.0 สู่แหล่งทุน” กับ 5 หน่วยงานนําร่อง ประกอบด้วย สมาคมการพิมพ์ไทย นายพงศ์ธีระ พัฒนพีระเดช นายกสมาคม , มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (คลัสเตอร์ยางพารา) รองศาสตราจารย์ ดร.ชูศักดิ์ ลิ่มสกุล อธิการบดี , ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ , ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ และธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ โดย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เกียรติเป็นสักขีพยานในการลงนามครั้งนี้ เพื่อบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลเป็น “บิ๊กดาต้า” (Big Data) เพื่อการสร้างโอกาสสนับสนุนยกระดับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้แข็งแกร่ง “อุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ ยางพารา รวมถึง ภาคเกษตรล้วนมีความสําคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างยิ่ง ทว่า ปัจจุบัน ยังประสบปัญหาปรับตัวไม่ทันต่อการแข่งขัน การลงนามครั้งนี้ จึงนับเป็นมิติใหม่ของร่วมมือระหว่างภาครัฐ สถาบันการเงิน สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน ที่จะผนึกพลังร่วมกันพัฒนาโดยยกระดับอุตสาหกรรมดังกล่าวอย่างครบวงจร ผ่านนวัตกรรม เทคโนโลยี เครื่องจักร และสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา” นายมงคล กล่าว นอกจากนั้น เพื่อให้เห็นตัวอย่างจริงแห่งความสําเร็จ ภายในงานนี้ ธนาคารได้นําต้นแบบของเอสเอ็มอียุคดิจิทัลมาแสดงในมุม “SME Show Case” เช่น แบรนด์ ‘Tonnam’ จ.เชียงราย ธุรกิจคลัสเตอร์สมุนไพรไทยที่ประสบความสําเร็จจากการทําตลาดผ่านเว็บไซต์ "Alibaba" หรือ แบรนด์ "หม่ําอินเตอร์" จ.ขอนแก่น ที่สร้างมาตรฐานอาหารพื้นบ้านอย่าง “หม่ํา” จนก้าวไปไกลระดับสากล เป็นต้น ซึ่งจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ และจุดประกายให้เอสเอ็มอีรายอื่นๆ เห็นว่า หากมุ่งมั่นปรับเปลี่ยนธุรกิจด้วยเทคโนโลยียุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรม มาตรฐาน ดีไซน์ และออนไลน์ จะสามารถก้าวถึงความสําเร็จได้เช่นกัน รวมถึง ยังก่อให้เกิดการต่อยอด เชื่อมโยงระหว่างผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้วยกันเอง เพื่อช่วยเหลือและแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน นําไปสู่การสร้างสังคมผู้ประกอบการไทยอันจะเป็นฐานรากที่แข็งแกร่งของระบบเศรษฐกิจไทยต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12367
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-WHO หารือ สธ. แผนยุทธศาสตร์ความร่วมมือรัฐบาลไทย-องค์การอนามัยโลก ค.ศ.2017 – 2021
วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน 2561 WHO หารือ สธ. แผนยุทธศาสตร์ความร่วมมือรัฐบาลไทย-องค์การอนามัยโลก ค.ศ.2017 – 2021 ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะปลัดกระทรวงสาธารณสุข หารือการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลก ค.ศ. 2017 – 2021 ใน 6 แผนงาน ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะปลัดกระทรวงสาธารณสุข หารือการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลก ค.ศ. 2017 – 2021 ใน 6 แผนงาน คือ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ความปลอดภัยบนท้องถนน การติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ สุขภาพของผู้ย้ายถิ่น การสร้างความเข้มแข็งงานสุขภาพโลก การพัฒนาศักยภาพด้านการค้าระหว่างประเทศและสุขภาพ โดยกระทรวงสาธารณสุข จะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนให้ประสบความสําเร็จ บ่ายวันนี้ (8 พฤศจิกายน 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้การต้อนรับนายแพทย์แดเนียล เคอร์เทสซ์ (Dr. Daniel Kertesz) ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจําประเทศไทย และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะและหารือเกี่ยวกับการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลก ค.ศ. 2017 – 2021 นายแพทย์สุขุมให้สัมภาษณ์ว่า ประเทศไทย มีความร่วมมือกับองค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ในการพัฒนาบริการ การส่งเสริม และการวิจัยเพื่อพัฒนาด้านการแพทย์และการสาธารณสุข โดยขณะนี้ ได้ดําเนินการภายใต้แผนยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลก (WHO Country Cooperation Strategy : CCS) ค.ศ.2017 – 2021 ประกอบด้วย 6 แผนงาน ได้แก่ โรคไม่ติดต่อ (Non-communicable Diseases) ความปลอดภัยบนท้องถนน (Road Safety) การติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ (Antimicrobial Resistance) สุขภาพของผู้ย้ายถิ่น (Migrant Health) การสร้างความเข้มแข็งของงานสุขภาพโลกเพื่อการพัฒนาสุขภาพในประเทศ (Global Health Diplomacy) การพัฒนาศักยภาพด้านการค้าระหว่างประเทศและสุขภาพ (International Trade and Health) โดยมีการระดมงบประมาณจากองค์การอนามัยโลก กระทรวงสาธารณสุข สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ทั้งนี้ ประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่ดําเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ความร่วมมือดังกล่าว จากเดิมที่เป็นโครงการขนาดเล็ก 200 - 300 โครงการ ใช้งบประมาณขององค์การอนามัยโลก เปลี่ยนมาเป็นการมุ่งเน้นแผนงานหลักที่มีความสําคัญและมีผลกระทบสูงต่อการแก้ไขปัญหาสุขภาพของประเทศ 5-6 แผนงาน มีการระดมทุนทางสังคม ปฏิญญา และงบประมาณ จากองค์การอนามัยโลก กระทรวงสาธารณสุข สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) โดยเห็นชอบร่วมกันในการดําเนินการตามหลักการของปฏิญญาปารีส (Paris Declaration on Aid Effectiveness) ซึ่งมีหลักการสําคัญคือ การมีแผนงานเดียวในแต่ละประเด็น ใช้ระบบบริหารและตรวจสอบเป็นระบบเดียว และระบบรายงานและประเมินผลเป็นระบบเดียว โดยกระทรวงสาธารณสุข จะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนให้ประสบความสําเร็จต่อไป ******************************** 8 พฤศจิกายน 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-WHO หารือ สธ. แผนยุทธศาสตร์ความร่วมมือรัฐบาลไทย-องค์การอนามัยโลก ค.ศ.2017 – 2021 วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน 2561 WHO หารือ สธ. แผนยุทธศาสตร์ความร่วมมือรัฐบาลไทย-องค์การอนามัยโลก ค.ศ.2017 – 2021 ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะปลัดกระทรวงสาธารณสุข หารือการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลก ค.ศ. 2017 – 2021 ใน 6 แผนงาน ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะปลัดกระทรวงสาธารณสุข หารือการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลก ค.ศ. 2017 – 2021 ใน 6 แผนงาน คือ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ความปลอดภัยบนท้องถนน การติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ สุขภาพของผู้ย้ายถิ่น การสร้างความเข้มแข็งงานสุขภาพโลก การพัฒนาศักยภาพด้านการค้าระหว่างประเทศและสุขภาพ โดยกระทรวงสาธารณสุข จะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนให้ประสบความสําเร็จ บ่ายวันนี้ (8 พฤศจิกายน 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้การต้อนรับนายแพทย์แดเนียล เคอร์เทสซ์ (Dr. Daniel Kertesz) ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจําประเทศไทย และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะและหารือเกี่ยวกับการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลก ค.ศ. 2017 – 2021 นายแพทย์สุขุมให้สัมภาษณ์ว่า ประเทศไทย มีความร่วมมือกับองค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ในการพัฒนาบริการ การส่งเสริม และการวิจัยเพื่อพัฒนาด้านการแพทย์และการสาธารณสุข โดยขณะนี้ ได้ดําเนินการภายใต้แผนยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลก (WHO Country Cooperation Strategy : CCS) ค.ศ.2017 – 2021 ประกอบด้วย 6 แผนงาน ได้แก่ โรคไม่ติดต่อ (Non-communicable Diseases) ความปลอดภัยบนท้องถนน (Road Safety) การติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ (Antimicrobial Resistance) สุขภาพของผู้ย้ายถิ่น (Migrant Health) การสร้างความเข้มแข็งของงานสุขภาพโลกเพื่อการพัฒนาสุขภาพในประเทศ (Global Health Diplomacy) การพัฒนาศักยภาพด้านการค้าระหว่างประเทศและสุขภาพ (International Trade and Health) โดยมีการระดมงบประมาณจากองค์การอนามัยโลก กระทรวงสาธารณสุข สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ทั้งนี้ ประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่ดําเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ความร่วมมือดังกล่าว จากเดิมที่เป็นโครงการขนาดเล็ก 200 - 300 โครงการ ใช้งบประมาณขององค์การอนามัยโลก เปลี่ยนมาเป็นการมุ่งเน้นแผนงานหลักที่มีความสําคัญและมีผลกระทบสูงต่อการแก้ไขปัญหาสุขภาพของประเทศ 5-6 แผนงาน มีการระดมทุนทางสังคม ปฏิญญา และงบประมาณ จากองค์การอนามัยโลก กระทรวงสาธารณสุข สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) โดยเห็นชอบร่วมกันในการดําเนินการตามหลักการของปฏิญญาปารีส (Paris Declaration on Aid Effectiveness) ซึ่งมีหลักการสําคัญคือ การมีแผนงานเดียวในแต่ละประเด็น ใช้ระบบบริหารและตรวจสอบเป็นระบบเดียว และระบบรายงานและประเมินผลเป็นระบบเดียว โดยกระทรวงสาธารณสุข จะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนให้ประสบความสําเร็จต่อไป ******************************** 8 พฤศจิกายน 2561
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16662
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้อำนวยการองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) สำนักงานประเทศไทย เข้าเยี่ยมคาราวะ รมว.ทส.
วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม 2561 ผู้อํานวยการองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) สํานักงานประเทศไทย เข้าเยี่ยมคาราวะ รมว.ทส. ผู้อํานวยการองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) สํานักงานประเทศไทย เข้าเยี่ยมคาราวะ รมว.ทส. วันที่ 30 เมษายน 2561นางสาวเยาวลักษณ์ เธียรเชาว์ ผู้อํานวยการองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (World Wildlife Fund : WWF) สํานักงานประเทศไทย พร้อมด้วย Mr.Gordon Hall Congdon JR ผู้จัดการฝ่ายงานอนุรักษ์ และ Mr.James Compton ผู้อํานวยการอาวุโส ภูมิภาคเอเชีย องค์กร Traffic ได้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อเวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 20 อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารือถึงแนวทางการเตรียมความพร้อมสําหรับการประชุม Illegal Wildlife Trade Conference : London 2018 ซึ่งกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 – 11 ตุลาคม 2561 ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร โดยมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมประชุม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้อำนวยการองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) สำนักงานประเทศไทย เข้าเยี่ยมคาราวะ รมว.ทส. วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม 2561 ผู้อํานวยการองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) สํานักงานประเทศไทย เข้าเยี่ยมคาราวะ รมว.ทส. ผู้อํานวยการองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) สํานักงานประเทศไทย เข้าเยี่ยมคาราวะ รมว.ทส. วันที่ 30 เมษายน 2561นางสาวเยาวลักษณ์ เธียรเชาว์ ผู้อํานวยการองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (World Wildlife Fund : WWF) สํานักงานประเทศไทย พร้อมด้วย Mr.Gordon Hall Congdon JR ผู้จัดการฝ่ายงานอนุรักษ์ และ Mr.James Compton ผู้อํานวยการอาวุโส ภูมิภาคเอเชีย องค์กร Traffic ได้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อเวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 20 อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารือถึงแนวทางการเตรียมความพร้อมสําหรับการประชุม Illegal Wildlife Trade Conference : London 2018 ซึ่งกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 – 11 ตุลาคม 2561 ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร โดยมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมประชุม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12041
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมชี้แจงแนวทางปฎิบัติในการรับจ่ายเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ผ่าน Video Conference 76 จังหวัด
วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 การประชุมชี้แจงแนวทางปฎิบัติในการรับจ่ายเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ผ่าน Video Conference 76 จังหวัด รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงแนวทางปฎิบัติในการรับจ่ายเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ณ ห้องประชุม อก.2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (28 กุมภาพันธ์ 2561) นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงแนวทางปฎิบัติในการรับจ่ายเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ผ่าน Video Conference ไปยังอุตสาหกรรมจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมส่วนราชการที่จะต้องดําเนินการรับจ่ายเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2561 เป็นต้นไป โดยมีนางสาวทัศนียา ลัธธนันท์ ผู้อํานวยการกองกลาง สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่กลุ่มการเงินและบัญชี ร่วมรับฟัง ณ ห้องประชุม อก.2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมชี้แจงแนวทางปฎิบัติในการรับจ่ายเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ผ่าน Video Conference 76 จังหวัด วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 การประชุมชี้แจงแนวทางปฎิบัติในการรับจ่ายเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ผ่าน Video Conference 76 จังหวัด รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงแนวทางปฎิบัติในการรับจ่ายเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ณ ห้องประชุม อก.2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (28 กุมภาพันธ์ 2561) นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงแนวทางปฎิบัติในการรับจ่ายเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ผ่าน Video Conference ไปยังอุตสาหกรรมจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมส่วนราชการที่จะต้องดําเนินการรับจ่ายเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2561 เป็นต้นไป โดยมีนางสาวทัศนียา ลัธธนันท์ ผู้อํานวยการกองกลาง สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่กลุ่มการเงินและบัญชี ร่วมรับฟัง ณ ห้องประชุม อก.2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10418
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดวรวรรณฯ มอบหน้ากากอนามัยชนิดผ้าและอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2563 รองปลัดวรวรรณฯ มอบหน้ากากอนามัยชนิดผ้าและอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม มอบหน้ากากอนามัยชนิดผ้า จํานวน 5,000 ชิ้น และชุดอุปกรณ์ทางการแพทย์ (ชุด PPE) จํานวน 100 ชุด ให้กับโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ วันนี้ (22 พฤษภาคม 2563) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม มอบหน้ากากอนามัยชนิดผ้า จํานวน 5,000 ชิ้น และชุดอุปกรณ์ทางการแพทย์ (ชุด PPE) จํานวน 100 ชุด ให้กับโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ เพื่อแจกจ่ายให้กับบุคลากรทางการแพทย์หรือประชาชนผู้มาติดต่อ โดยมี นายแพทย์เกรียงไกร ตั้งจิตรมณีศักดา ผู้อํานวยการโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ เป็นผู้รับมอบ ณ โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดวรวรรณฯ มอบหน้ากากอนามัยชนิดผ้าและอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2563 รองปลัดวรวรรณฯ มอบหน้ากากอนามัยชนิดผ้าและอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม มอบหน้ากากอนามัยชนิดผ้า จํานวน 5,000 ชิ้น และชุดอุปกรณ์ทางการแพทย์ (ชุด PPE) จํานวน 100 ชุด ให้กับโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ วันนี้ (22 พฤษภาคม 2563) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม มอบหน้ากากอนามัยชนิดผ้า จํานวน 5,000 ชิ้น และชุดอุปกรณ์ทางการแพทย์ (ชุด PPE) จํานวน 100 ชุด ให้กับโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ เพื่อแจกจ่ายให้กับบุคลากรทางการแพทย์หรือประชาชนผู้มาติดต่อ โดยมี นายแพทย์เกรียงไกร ตั้งจิตรมณีศักดา ผู้อํานวยการโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ เป็นผู้รับมอบ ณ โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หลักสูตรการอบรมเพื่อพัฒนาครูประจำการ รูปแบบ "PLC หรือชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ"
วันอังคารที่ 14 มีนาคม 2560 หลักสูตรการอบรมเพื่อพัฒนาครูประจําการ รูปแบบ "PLC หรือชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ" นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุม และแถลงข่าว "การเสนอโครงการหรือหลักสูตรการอบรมเพื่อพัฒนาครูประจําการ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน" โดยมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการจํานวนมากเข้าร่วมประชุมและแถลงข่าวครั้งนี้ อาทิ ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายการุณ สกุลประดิษฐ์ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายชัยยศ อิ่มสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายบุญรักษ์ ยอดเพชร และนางสุจิตรา พัฒนะภูมิ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (กคศ.), นายอํานาจ วิชยานุวัติ และนายณรงค์ แผ้วพลสง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นางเกศทิพย์ ศุภวานิช ผู้อํานวยการสํานักพัฒนาครูและบุคลากรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตลอดจนศึกษานิเทศก์ ผู้บริหาร และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม กว่า 400 คน นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า การที่สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้จัดทําโครงการดังกล่าว ถือเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญของการพัฒนาครูในประเทศไทย เพราะมุ่งหวังให้ครูสามารถพัฒนาตนเองได้ตรงตามศักยภาพ สามารถนําความรู้จากการอบรมไปใช้ประโยชน์ได้จริงในการประกอบอาชีพครู อีกทั้งเป็นการพัฒนาครูเพื่อเชื่อมโยงกับวิทยฐานะซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ ครูทุกคนจะมี Logbook และมี e-Portfolio ในการสะสมชั่วโมง ว่าไปเข้ารับการอบรมหลักสูตรใดไปแล้วบ้าง และใช้เงินคูปองการอบรมที่จะได้รับคนละ10,000บาทต่อปีไปแล้วเท่าไรเงินดังกล่าวไม่สามารถโอนไปเป็นเงินค่าใช้จ่ายอื่นได้ และกระทรวงศึกษาธิการจะมีการประเมินผลหลักสูตรต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจของครูรายอื่น ๆ ในการเลือกเข้ารับการอบรมต่อไปในอนาคตด้วย โดยสรุป การประเมินวิทยฐานะข้าราชการครู จะเน้นไปที่2ส่วน คือ ด้านปริมาณโดยมุ่งหวังให้ครูสะสมชั่วโมงการสอน เพราะครูยิ่งสอนมาก ยิ่งเก่ง เหมือนนักบินที่มีการสะสมชั่วโมงบิน ด้านคุณภาพที่จะให้ครูได้พัฒนาตนเองอย่างสม่ําเสมอ และสามารถนําไปใช้ในการเลื่อนวิทยฐานะได้ในทุกระดับ ตั้งแต่ครูชํานาญการ ชํานาญการพิเศษ เชี่ยวชาญ จนถึงเชี่ยวชาญพิเศษ โดยจะให้ครูไปเข้ารับการอบรมในหลักสูตรที่ได้รับรองมาตรฐานตามวิทยฐานะจาก"สถาบันคุรุพัฒนา"สังกัดสํานักงานเลขาธิการคุรุสภา ที่กําลังจะจัดตั้งขึ้นในเร็ว ๆ นี้ โดยสถาบันคุรุพัฒนาจะทําหน้าที่เสมือนฝ่ายวิชาการในการพัฒนาหลักสูตรการอบรมให้กับข้าราชการครู ซึ่งจะมีหน่วยงานจากทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการเสนอหลักสูตรการอบรมให้สถาบันคุรุพัฒนาพิจารณา อีกทั้งครูสามารถเลือกหลักสูตรที่จะเข้าอบรมได้เองด้วย ถือเป็นการยกเลิกระบบการสั่งการจากส่วนกลาง พร้อมทั้งทําลายระบบคอร์รัปชันของการจัดฝึกอบรม และตัดวงจรในการดึงครูออกจากห้องเรียนเพื่อไปเข้าอบรมหลักสูตรต่าง ๆ และการเข้ารับการอบรมจะนําไปรวมกับชั่วโมงการสอนของครูด้วยแต่หากครูคนใดแจ้งจํานวนชั่วโมงการเข้าอบรมเป็นเท็จก็จะมีความผิดทางกฎหมาย พร้อมทั้งถูกเรียกคืนวิทยฐานะ และจะไปเริ่มต้นการขอวิทยฐานะใหม่ตั้งแต่แรก ขณะนี้สํานักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กําลังพิจารณากําหนดวิธีการนับชั่วโมงการอบรมพัฒนาว่าต้องอบรมหลักสูตรอะไรบ้าง และแต่ละหลักสูตรคิดเป็นจํานวนชั่วโมงเท่าใด จึงจะขอมีและเลื่อนวิทยฐานะได้ สําหรับหลักสูตรการพัฒนาครูประจําการ จะทําในรูปแบบ PLC (Professional Learning Community) หรือ "ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ"ด้วยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกัน เช่น การเอาปัญหาของนักเรียนมาหารือหรือหาวิธีแก้ปัญหาร่วมกัน โดยไม่ใช่การ Lecture หรือการนําผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ มาบรรยายโดยมีขั้นตอนกระบวนการพิจารณาหลักสูตรเพื่อพัฒนาครู ดังนี้ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเลื่อนวิทยฐานะของครูแบบใหม่ จะสอดคล้องกับรายละเอียดในพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2555ความว่า “ปัญหาปัจจุบันคือ ครูมุ่งเขียนงานวิทยานิพนธ์ เขียนตําราส่งผู้บริหารเพื่อให้ได้ตําแหน่งและเงินเดือนสูงขึ้น แล้วบางทีก็ย้ายไปที่ใหม่ ส่วนครูที่มุ่งการสอนหนังสือกลับไม่ได้อะไรตอบแทน ระบบไม่ยุติธรรม เราต้องเปลี่ยนระเบียบตรงจุดนี้ การสอนหนังสือต้องถือว่าเป็นความดีความชอบ หากคนใดสอนดี ซึ่งส่วนมากคือมีคุณภาพและปริมาณ ต้องมี reward” ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการจะยกเลิกการเลื่อนวิทยฐานะแบบอิงผลงานวิชาการหรือการประเมินจากกระดาษ โดยจะเปิดให้มีการขอวิทยฐานะแบบใหม่อย่างเป็นทางการในวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 เพื่อเป็นการน้อมรําลึกถึงพระราชดํารัสข้างต้นของในหลวงรัชกาลที่ 9 นพ.ธีระเกียรติ กล่าวด้วยว่า ภายหลังการประชุมครั้งนี้จะนําเรื่องการจัดตั้งสถาบันคุรุพัฒนาเข้าประชุมในบอร์ดบริหารของสํานักงานเลขาธิการคุรุสภา เพื่อทําการจัดตั้งสถาบันคุรุพัฒนาต่อไป ส่วนหน่วยงานหรือผู้ที่สนใจเสนอหลักสูตรอบรมดังกล่าวข้างต้น สามารถศึกษารายละเอียดได้จากเว็บไซต์ "สํานักพัฒนาครูและบุคลากรการศึกษาขั้นพื้นฐาน"hrd.obec.go.thโทร 022885635 หรือe-mail: [email protected]
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หลักสูตรการอบรมเพื่อพัฒนาครูประจำการ รูปแบบ "PLC หรือชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ" วันอังคารที่ 14 มีนาคม 2560 หลักสูตรการอบรมเพื่อพัฒนาครูประจําการ รูปแบบ "PLC หรือชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ" นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุม และแถลงข่าว "การเสนอโครงการหรือหลักสูตรการอบรมเพื่อพัฒนาครูประจําการ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน" โดยมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการจํานวนมากเข้าร่วมประชุมและแถลงข่าวครั้งนี้ อาทิ ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายการุณ สกุลประดิษฐ์ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายชัยยศ อิ่มสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายบุญรักษ์ ยอดเพชร และนางสุจิตรา พัฒนะภูมิ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (กคศ.), นายอํานาจ วิชยานุวัติ และนายณรงค์ แผ้วพลสง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นางเกศทิพย์ ศุภวานิช ผู้อํานวยการสํานักพัฒนาครูและบุคลากรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตลอดจนศึกษานิเทศก์ ผู้บริหาร และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม กว่า 400 คน นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า การที่สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้จัดทําโครงการดังกล่าว ถือเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญของการพัฒนาครูในประเทศไทย เพราะมุ่งหวังให้ครูสามารถพัฒนาตนเองได้ตรงตามศักยภาพ สามารถนําความรู้จากการอบรมไปใช้ประโยชน์ได้จริงในการประกอบอาชีพครู อีกทั้งเป็นการพัฒนาครูเพื่อเชื่อมโยงกับวิทยฐานะซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ ครูทุกคนจะมี Logbook และมี e-Portfolio ในการสะสมชั่วโมง ว่าไปเข้ารับการอบรมหลักสูตรใดไปแล้วบ้าง และใช้เงินคูปองการอบรมที่จะได้รับคนละ10,000บาทต่อปีไปแล้วเท่าไรเงินดังกล่าวไม่สามารถโอนไปเป็นเงินค่าใช้จ่ายอื่นได้ และกระทรวงศึกษาธิการจะมีการประเมินผลหลักสูตรต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจของครูรายอื่น ๆ ในการเลือกเข้ารับการอบรมต่อไปในอนาคตด้วย โดยสรุป การประเมินวิทยฐานะข้าราชการครู จะเน้นไปที่2ส่วน คือ ด้านปริมาณโดยมุ่งหวังให้ครูสะสมชั่วโมงการสอน เพราะครูยิ่งสอนมาก ยิ่งเก่ง เหมือนนักบินที่มีการสะสมชั่วโมงบิน ด้านคุณภาพที่จะให้ครูได้พัฒนาตนเองอย่างสม่ําเสมอ และสามารถนําไปใช้ในการเลื่อนวิทยฐานะได้ในทุกระดับ ตั้งแต่ครูชํานาญการ ชํานาญการพิเศษ เชี่ยวชาญ จนถึงเชี่ยวชาญพิเศษ โดยจะให้ครูไปเข้ารับการอบรมในหลักสูตรที่ได้รับรองมาตรฐานตามวิทยฐานะจาก"สถาบันคุรุพัฒนา"สังกัดสํานักงานเลขาธิการคุรุสภา ที่กําลังจะจัดตั้งขึ้นในเร็ว ๆ นี้ โดยสถาบันคุรุพัฒนาจะทําหน้าที่เสมือนฝ่ายวิชาการในการพัฒนาหลักสูตรการอบรมให้กับข้าราชการครู ซึ่งจะมีหน่วยงานจากทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการเสนอหลักสูตรการอบรมให้สถาบันคุรุพัฒนาพิจารณา อีกทั้งครูสามารถเลือกหลักสูตรที่จะเข้าอบรมได้เองด้วย ถือเป็นการยกเลิกระบบการสั่งการจากส่วนกลาง พร้อมทั้งทําลายระบบคอร์รัปชันของการจัดฝึกอบรม และตัดวงจรในการดึงครูออกจากห้องเรียนเพื่อไปเข้าอบรมหลักสูตรต่าง ๆ และการเข้ารับการอบรมจะนําไปรวมกับชั่วโมงการสอนของครูด้วยแต่หากครูคนใดแจ้งจํานวนชั่วโมงการเข้าอบรมเป็นเท็จก็จะมีความผิดทางกฎหมาย พร้อมทั้งถูกเรียกคืนวิทยฐานะ และจะไปเริ่มต้นการขอวิทยฐานะใหม่ตั้งแต่แรก ขณะนี้สํานักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กําลังพิจารณากําหนดวิธีการนับชั่วโมงการอบรมพัฒนาว่าต้องอบรมหลักสูตรอะไรบ้าง และแต่ละหลักสูตรคิดเป็นจํานวนชั่วโมงเท่าใด จึงจะขอมีและเลื่อนวิทยฐานะได้ สําหรับหลักสูตรการพัฒนาครูประจําการ จะทําในรูปแบบ PLC (Professional Learning Community) หรือ "ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ"ด้วยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกัน เช่น การเอาปัญหาของนักเรียนมาหารือหรือหาวิธีแก้ปัญหาร่วมกัน โดยไม่ใช่การ Lecture หรือการนําผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ มาบรรยายโดยมีขั้นตอนกระบวนการพิจารณาหลักสูตรเพื่อพัฒนาครู ดังนี้ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเลื่อนวิทยฐานะของครูแบบใหม่ จะสอดคล้องกับรายละเอียดในพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2555ความว่า “ปัญหาปัจจุบันคือ ครูมุ่งเขียนงานวิทยานิพนธ์ เขียนตําราส่งผู้บริหารเพื่อให้ได้ตําแหน่งและเงินเดือนสูงขึ้น แล้วบางทีก็ย้ายไปที่ใหม่ ส่วนครูที่มุ่งการสอนหนังสือกลับไม่ได้อะไรตอบแทน ระบบไม่ยุติธรรม เราต้องเปลี่ยนระเบียบตรงจุดนี้ การสอนหนังสือต้องถือว่าเป็นความดีความชอบ หากคนใดสอนดี ซึ่งส่วนมากคือมีคุณภาพและปริมาณ ต้องมี reward” ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการจะยกเลิกการเลื่อนวิทยฐานะแบบอิงผลงานวิชาการหรือการประเมินจากกระดาษ โดยจะเปิดให้มีการขอวิทยฐานะแบบใหม่อย่างเป็นทางการในวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 เพื่อเป็นการน้อมรําลึกถึงพระราชดํารัสข้างต้นของในหลวงรัชกาลที่ 9 นพ.ธีระเกียรติ กล่าวด้วยว่า ภายหลังการประชุมครั้งนี้จะนําเรื่องการจัดตั้งสถาบันคุรุพัฒนาเข้าประชุมในบอร์ดบริหารของสํานักงานเลขาธิการคุรุสภา เพื่อทําการจัดตั้งสถาบันคุรุพัฒนาต่อไป ส่วนหน่วยงานหรือผู้ที่สนใจเสนอหลักสูตรอบรมดังกล่าวข้างต้น สามารถศึกษารายละเอียดได้จากเว็บไซต์ "สํานักพัฒนาครูและบุคลากรการศึกษาขั้นพื้นฐาน"hrd.obec.go.thโทร 022885635 หรือe-mail: [email protected]
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2365
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- กระทรวงเกษตรฯ เร่งดำเนินการพัฒนาการบริหารจัดการนมโรงเรียนทั้งระบบ ก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1/2560
วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2560 กระทรวงเกษตรฯ เร่งดําเนินการพัฒนาการบริหารจัดการนมโรงเรียนทั้งระบบ ก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1/2560 กระทรวงเกษตรฯ เร่งดําเนินการพัฒนาการบริหารจัดการนมโรงเรียนทั้งระบบ ก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1/2560 พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายให้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมเร่งดําเนินการพัฒนาการบริหารจัดการนมโรงเรียนทั้งระบบ ก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1/2560 โดยเกษตรกรโคนมได้รับการดูแล นักเรียนได้ดื่มนมมีคุณภาพ โปร่งใส เป็นธรรมกับผู้ประการ มีการพัฒนาหลักเกณฑ์แนวทางปฏิบัติ โดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์ฯ และมาตรการในการขับเคลื่อน เพื่อเพิ่มคุณภาพและมาตรฐานนมโรงเรียนให้สูงขึ้นตลอดห่วงโซ่ ด้าน นายณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ผู้อํานวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การดําเนินงานตามแผนการพัฒนาโครงการอาหารเสริม (นมโรงเรียน) ในภาคเรียนที่ 1/2560 ดําเนินการครอบคลุม 4 ด้าน ประกอบด้วย 1. การกําหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสําหรับฟาร์มโคนม (Good Agricultural Practice : GAP) โดยกําหนดเกณฑ์ขั้นพื้นฐานสําหรับการขึ้นทะเบียนรับรองเป็นฟาร์มที่ได้มาตรฐานเกณฑ์การประเมิน อาทิเช่น โรงเรือนได้มาตรฐาน คุณภาพนมเบื้องต้นมีคุณภาพดี มีสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์ม เพื่อผลิตน้ํานมดิบที่มีคุณภาพดียกระดับมาตรฐานฟาร์มโคนมของประเทศไทย ซึ่งขณะนี้มีฟาร์มทั้งหมด จํานวน 13,903 ฟาร์ม ที่ผ่านเกณฑ์ GAP แล้ว จํานวน 4,065 ฟาร์ม คิดเป็น 29.24% และมีเป้าหมายการดําเนินงานครบถ้วน 100% ภายในภาคเรียนที่ 2/2560 โดยมอบกรมปศุสัตว์ตรวจติดตามและให้คําแนะนําการดําเนินการอย่างต่อเนื่อง 2. คุณภาพน้ํานมดิบ ได้พิจารณาปรับปรุงองค์ประกอบที่สําคัญ 2 ประการ คือ ปริมาณของแข็งรวม (Total Solid : TS) ซึ่งยกระดับมาตรฐาน จากเดิม 12.20% ให้เป็น 12.25% ในภาคเรียน 1/2560 จะดําเนินการโดยการตรวจติดตามคุณภาพและมาตรฐานน้ํานมดิบ โดยเก็บตัวอย่างจากศูนย์รวมรวบน้ํานมทุกศูนย์ฯ เดือนละ 1 ครั้ง พร้อมทั้งมีการให้ความรู้ความเข้าใจกับเกษตรกร และเพิ่มประสิทธิภาพทั้งระบบ เช่น ปรับปรุงอาหารโดยนําอาหารสําเร็จ (Total Mixed Ration : TMR) มาใช้ ส่วนการยกระดับมาตรฐานปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาว (Somatic Cell Count : SCC) จากเกณฑ์เดิม 600,000 เป็น 550,000 เซลล์/ซีซี ในภาคเรียนที่ 1/2560 และมีเป้าหมายลดจํานวนปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาว เหลือ 500,000 เซลล์/ซีซี ภายในภาคเรียนที่ 2/2560 โดยให้ความรู้กับเกษตรกรโดยหน่วยพัฒนาสุขภาพและผลผลิตโคนมของกรมปศุสัตว์ และตรวจติดตามคุณภาพโดยเก็บตัวอย่างจากศูนย์รวบรวมน้ํานมทุกศูนย์ฯ เดือนละ 1 ครั้ง อย่างต่อเนื่อง 3. การขนส่งนมโรงเรียน จากการสํารวจเบื้องต้น พบว่า - รถขนส่งนมโรงเรียน รวม 922 คัน แยกเป็นรถห้องเย็นขนส่งนมพาสเจอร์ไรส์ จํานวน 675 คัน และรถบรรทุกนม UHT จํานวน 247 คัน และ 4. การจัดเก็บผลิตภัณฑ์นมที่โรงเรียน ได้มีการกําหนดหลักเกณฑ์การจัดเก็บนมที่โรงเรียน ทั้งนมพาสเจอร์ไรส์ และ UHT โดยให้โรงเรียนถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในการตรวจรับนมโรงเรียน โดยสุ่มตรวจคุณภาพ พร้อมตัดชิมก่อนที่จะให้เด็กนักเรียนดื่ม ทั้งนี้ ผู้ประกอบการจะเป็นผู้สนับสนุนอุปกรณ์ในการรักษาคุณภาพนมพาสเจอร์ไรส์ เช่น ถังแช่/ตู้เย็น เทอร์โมมิเตอร์ ฯลฯ สําหรับการติดตามทั้งการขนส่งและการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์นมโรงเรียนในแต่ละจังหวัด จะใช้กลไกของรัฐ โดยในระดับจังหวัดและระดับอําเภอ คณะกรรมการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนระดับจังหวัดและระดับอําเภอ มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานคณะกรรมการฯ ระดับจังหวัด และมีนายอําเภอเป็นคณะกรรมการฯ ระดับอําเภอ เป็นการบูรณาการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ โดยมีปศุสัตว์จังหวัด และปศุสัตว์อําเภอ ทําหน้าที่เลขานุการคณะกรรมการตามลําดับ และในระดับกระทรวง ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับ Single Command ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์บูรณาการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการเพื่อตรวจติดตามกํากับดูแลอย่างต่อเนื่องทุกเดือน กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th. www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- กระทรวงเกษตรฯ เร่งดำเนินการพัฒนาการบริหารจัดการนมโรงเรียนทั้งระบบ ก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1/2560 วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2560 กระทรวงเกษตรฯ เร่งดําเนินการพัฒนาการบริหารจัดการนมโรงเรียนทั้งระบบ ก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1/2560 กระทรวงเกษตรฯ เร่งดําเนินการพัฒนาการบริหารจัดการนมโรงเรียนทั้งระบบ ก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1/2560 พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายให้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมเร่งดําเนินการพัฒนาการบริหารจัดการนมโรงเรียนทั้งระบบ ก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1/2560 โดยเกษตรกรโคนมได้รับการดูแล นักเรียนได้ดื่มนมมีคุณภาพ โปร่งใส เป็นธรรมกับผู้ประการ มีการพัฒนาหลักเกณฑ์แนวทางปฏิบัติ โดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์ฯ และมาตรการในการขับเคลื่อน เพื่อเพิ่มคุณภาพและมาตรฐานนมโรงเรียนให้สูงขึ้นตลอดห่วงโซ่ ด้าน นายณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ผู้อํานวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การดําเนินงานตามแผนการพัฒนาโครงการอาหารเสริม (นมโรงเรียน) ในภาคเรียนที่ 1/2560 ดําเนินการครอบคลุม 4 ด้าน ประกอบด้วย 1. การกําหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสําหรับฟาร์มโคนม (Good Agricultural Practice : GAP) โดยกําหนดเกณฑ์ขั้นพื้นฐานสําหรับการขึ้นทะเบียนรับรองเป็นฟาร์มที่ได้มาตรฐานเกณฑ์การประเมิน อาทิเช่น โรงเรือนได้มาตรฐาน คุณภาพนมเบื้องต้นมีคุณภาพดี มีสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์ม เพื่อผลิตน้ํานมดิบที่มีคุณภาพดียกระดับมาตรฐานฟาร์มโคนมของประเทศไทย ซึ่งขณะนี้มีฟาร์มทั้งหมด จํานวน 13,903 ฟาร์ม ที่ผ่านเกณฑ์ GAP แล้ว จํานวน 4,065 ฟาร์ม คิดเป็น 29.24% และมีเป้าหมายการดําเนินงานครบถ้วน 100% ภายในภาคเรียนที่ 2/2560 โดยมอบกรมปศุสัตว์ตรวจติดตามและให้คําแนะนําการดําเนินการอย่างต่อเนื่อง 2. คุณภาพน้ํานมดิบ ได้พิจารณาปรับปรุงองค์ประกอบที่สําคัญ 2 ประการ คือ ปริมาณของแข็งรวม (Total Solid : TS) ซึ่งยกระดับมาตรฐาน จากเดิม 12.20% ให้เป็น 12.25% ในภาคเรียน 1/2560 จะดําเนินการโดยการตรวจติดตามคุณภาพและมาตรฐานน้ํานมดิบ โดยเก็บตัวอย่างจากศูนย์รวมรวบน้ํานมทุกศูนย์ฯ เดือนละ 1 ครั้ง พร้อมทั้งมีการให้ความรู้ความเข้าใจกับเกษตรกร และเพิ่มประสิทธิภาพทั้งระบบ เช่น ปรับปรุงอาหารโดยนําอาหารสําเร็จ (Total Mixed Ration : TMR) มาใช้ ส่วนการยกระดับมาตรฐานปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาว (Somatic Cell Count : SCC) จากเกณฑ์เดิม 600,000 เป็น 550,000 เซลล์/ซีซี ในภาคเรียนที่ 1/2560 และมีเป้าหมายลดจํานวนปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาว เหลือ 500,000 เซลล์/ซีซี ภายในภาคเรียนที่ 2/2560 โดยให้ความรู้กับเกษตรกรโดยหน่วยพัฒนาสุขภาพและผลผลิตโคนมของกรมปศุสัตว์ และตรวจติดตามคุณภาพโดยเก็บตัวอย่างจากศูนย์รวบรวมน้ํานมทุกศูนย์ฯ เดือนละ 1 ครั้ง อย่างต่อเนื่อง 3. การขนส่งนมโรงเรียน จากการสํารวจเบื้องต้น พบว่า - รถขนส่งนมโรงเรียน รวม 922 คัน แยกเป็นรถห้องเย็นขนส่งนมพาสเจอร์ไรส์ จํานวน 675 คัน และรถบรรทุกนม UHT จํานวน 247 คัน และ 4. การจัดเก็บผลิตภัณฑ์นมที่โรงเรียน ได้มีการกําหนดหลักเกณฑ์การจัดเก็บนมที่โรงเรียน ทั้งนมพาสเจอร์ไรส์ และ UHT โดยให้โรงเรียนถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในการตรวจรับนมโรงเรียน โดยสุ่มตรวจคุณภาพ พร้อมตัดชิมก่อนที่จะให้เด็กนักเรียนดื่ม ทั้งนี้ ผู้ประกอบการจะเป็นผู้สนับสนุนอุปกรณ์ในการรักษาคุณภาพนมพาสเจอร์ไรส์ เช่น ถังแช่/ตู้เย็น เทอร์โมมิเตอร์ ฯลฯ สําหรับการติดตามทั้งการขนส่งและการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์นมโรงเรียนในแต่ละจังหวัด จะใช้กลไกของรัฐ โดยในระดับจังหวัดและระดับอําเภอ คณะกรรมการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนระดับจังหวัดและระดับอําเภอ มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานคณะกรรมการฯ ระดับจังหวัด และมีนายอําเภอเป็นคณะกรรมการฯ ระดับอําเภอ เป็นการบูรณาการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ โดยมีปศุสัตว์จังหวัด และปศุสัตว์อําเภอ ทําหน้าที่เลขานุการคณะกรรมการตามลําดับ และในระดับกระทรวง ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับ Single Command ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์บูรณาการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการเพื่อตรวจติดตามกํากับดูแลอย่างต่อเนื่องทุกเดือน กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th. www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3867
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปมท.แถลงผลรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2560 ย้ำทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันพร้อมถอดบทเรียนเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
วันอังคารที่ 18 เมษายน 2560 ปมท.แถลงผลรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2560 ย้ําทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันพร้อมถอดบทเรียนเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ปมท. ประธานแถลงผลการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2560 ย้ําทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน พร้อมถอดบทเรียนเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง วันนี้ (18 เม.ย. 60) เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุม 1 อาคาร 3 ชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานแถลงผลการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2560 ในช่วงระหว่างวันที่ 11 - 17 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิด“ขับรถมีน้ําใจ รักษาวินัยจราจร” เพื่อดูแลความปลอดภัยและอํานวยความสะดวกในการเดินทางให้กับพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองประธานกรรมการศูนย์อํานวยความปลอดภัยทางถนน คนที่ 1 แถลงข่าวสรุปผลการดําเนินงานของศูนย์ฯ เปิดเผยว่า วันนี้เป็นวันครบการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2560 โดย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบหมายให้ตนมาเป็นประธานการประชุมและแถลงผลการดําเนินงาน พร้อมทั้งติดตามผลการดําเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ที่ได้ร่วมดําเนินการในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสําคัญกับการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง โดยมีเจตนารมณ์มุ่งหวังที่จะลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน และสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน โดยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน ได้มีการบูรณาการการทํางานร่วมหน่วยงานภาคีเครือข่าย ทั้งระดับจังหวัด อําเภอ และกรุงเทพมหานคร ตลอดจนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทั้งของภาครัฐ เอกชน ท้องถิ่น กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นําชุมชน ภาคีเครือข่าย มูลนิธิ อาสาสมัครต่างๆ และภาคประชาสังคม ตามแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างเข้มข้นและจริงจัง โดยได้รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนน จากผลการดําเนินงานในช่วง 7 วัน ระหว่างวันที่ 11 - 17 เมษายน 2560 เกิดอุบัติเหตุรวม 3,690 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตรวม 390 ราย มีผู้บาดเจ็บรวม 3,808 ราย จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต มี 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกระบี่ นราธิวาส แม่ฮ่องสอน และ สมุทรสงคราม จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี จํานวน 161 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา 17 ราย จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี จํานวน 168 ราย สาเหตุที่ทําให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เมาแล้วขับ ร้อยละ 43.06 ขับรถเร็ว ร้อยละ 27.86 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 84.91 รองลงมา รถยนต์กระบะ (รถปิคอัพ) ร้อยละ 6.83 ส่วนใหญ่เกิดในเส้นทางตรง ร้อยละ 63.71 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 36.07 ถนนในอบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 36.02 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 16.01-20.00 ร้อยละ 31 โดยผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตอยู่ในกลุ่มช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป ร้อยละ 22.34 ทั้งนี้ ได้มีการเรียกตรวจยานพาหนะรวม 5,380,482 คัน มีผู้ถูกดําเนินคดี รวม 914,172 ราย มีความผิดฐานไม่สวมหมวกนิรภัยมากที่สุด 261,675 ราย รองลงมา ไม่มีใบขับขี่ 244,157 ราย มีการจัดตั้งด่านตรวจชุมชน 21,526 ด่าน มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 173,556 ราย ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับภาพรวมสถิติในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2560 พบว่าจํานวนครั้งในการเกิดอุบัติเหตุทางถนนจะเพิ่มขึ้น แต่จํานวนผู้เสียชีวิต ลดลงกว่าปีที่ผ่านมาร้อยละ 11.76 โดยจํานวนครั้งอุบัติเหตุที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการใช้รถใช้ถนนเพิ่มมากขึ้น ขณะที่จํานวนผู้เสียชีวิตลดลง โดยเฉพาะอัตราการเสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุ ลดลงเหลือร้อยละ 50 จากปีที่ผ่านมาร้อยละ 53 แสดงให้เห็นว่าดัชนีความรุนแรงของอุบัติเหตุลดลง รวมทั้งอุบัติเหตุจากรถกระบะยังลดลงเหลือร้อยละ 6.83 จากปีที่ผ่านมา ร้อยละ 8.85 โดยมีปัจจัยสําคัญจากความร่วมมือของผู้ใช้รถใช้ถนนในการปฏิบัติตามกฎจราจร รวมถึงการกวดขันวินัยจราจรอย่างจริงจังของเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ทําให้อัตราการเสียชีวิตลดลง ทั้งนี้แม้ว่าการดําเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนมีความมุ่งมั่นที่จะลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน โดยจะมุ่งเน้นแก้ปัญหาและลดความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุให้ครอบคลุมในทุกมิตอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งสร้างจิตสํานึกและวินัยจราจรในกลุ่มผู้ใช้รถใช้ถนน เพื่อให้เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ศปถ.ยังได้กําชับให้จังหวัดนําข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ถอดเป็นบทเรียน วิเคราะห์สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง รวมถึงสภาพปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนภารกิจการสร้างความปลอดภัยทางถนนในระดับพื้นที่ ตลอดจนใช้มาตรการด้านสังคมและชุมชนในการร่วมกันสร้างจิตสํานึกที่ดีในการสร้างความปลอดภัยทางถนนให้เกิดขึ้น ท้ายนี้ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมขับเคลื่อนการดําเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทั้งเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานประจําศูนย์ฯ ส่วนกลาง ระดับพื้นที่ ประจําจุดตรวจ ด่านตรวจ จุดบริการ ซึ่งมีการบูรณาการทํางานร่วมกันเป็นอย่างดี รวมถึงประชาชนที่ได้ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามวินัยจราจร เพื่อร่วมกันสร้างความสุข และดูแลความปลอดภัย เพื่อให้สังคมไทยมีวัฒนธรรมปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน และมีการสัญจรปลอดภัยตามมาตรฐานสากล. ครั้งที่ 56/2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปมท.แถลงผลรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2560 ย้ำทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันพร้อมถอดบทเรียนเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง วันอังคารที่ 18 เมษายน 2560 ปมท.แถลงผลรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2560 ย้ําทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันพร้อมถอดบทเรียนเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ปมท. ประธานแถลงผลการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2560 ย้ําทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน พร้อมถอดบทเรียนเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง วันนี้ (18 เม.ย. 60) เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุม 1 อาคาร 3 ชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานแถลงผลการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2560 ในช่วงระหว่างวันที่ 11 - 17 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิด“ขับรถมีน้ําใจ รักษาวินัยจราจร” เพื่อดูแลความปลอดภัยและอํานวยความสะดวกในการเดินทางให้กับพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองประธานกรรมการศูนย์อํานวยความปลอดภัยทางถนน คนที่ 1 แถลงข่าวสรุปผลการดําเนินงานของศูนย์ฯ เปิดเผยว่า วันนี้เป็นวันครบการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2560 โดย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบหมายให้ตนมาเป็นประธานการประชุมและแถลงผลการดําเนินงาน พร้อมทั้งติดตามผลการดําเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ที่ได้ร่วมดําเนินการในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสําคัญกับการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง โดยมีเจตนารมณ์มุ่งหวังที่จะลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน และสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน โดยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน ได้มีการบูรณาการการทํางานร่วมหน่วยงานภาคีเครือข่าย ทั้งระดับจังหวัด อําเภอ และกรุงเทพมหานคร ตลอดจนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทั้งของภาครัฐ เอกชน ท้องถิ่น กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นําชุมชน ภาคีเครือข่าย มูลนิธิ อาสาสมัครต่างๆ และภาคประชาสังคม ตามแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างเข้มข้นและจริงจัง โดยได้รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนน จากผลการดําเนินงานในช่วง 7 วัน ระหว่างวันที่ 11 - 17 เมษายน 2560 เกิดอุบัติเหตุรวม 3,690 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตรวม 390 ราย มีผู้บาดเจ็บรวม 3,808 ราย จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต มี 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกระบี่ นราธิวาส แม่ฮ่องสอน และ สมุทรสงคราม จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี จํานวน 161 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา 17 ราย จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี จํานวน 168 ราย สาเหตุที่ทําให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เมาแล้วขับ ร้อยละ 43.06 ขับรถเร็ว ร้อยละ 27.86 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 84.91 รองลงมา รถยนต์กระบะ (รถปิคอัพ) ร้อยละ 6.83 ส่วนใหญ่เกิดในเส้นทางตรง ร้อยละ 63.71 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 36.07 ถนนในอบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 36.02 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 16.01-20.00 ร้อยละ 31 โดยผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตอยู่ในกลุ่มช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป ร้อยละ 22.34 ทั้งนี้ ได้มีการเรียกตรวจยานพาหนะรวม 5,380,482 คัน มีผู้ถูกดําเนินคดี รวม 914,172 ราย มีความผิดฐานไม่สวมหมวกนิรภัยมากที่สุด 261,675 ราย รองลงมา ไม่มีใบขับขี่ 244,157 ราย มีการจัดตั้งด่านตรวจชุมชน 21,526 ด่าน มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 173,556 ราย ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับภาพรวมสถิติในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2560 พบว่าจํานวนครั้งในการเกิดอุบัติเหตุทางถนนจะเพิ่มขึ้น แต่จํานวนผู้เสียชีวิต ลดลงกว่าปีที่ผ่านมาร้อยละ 11.76 โดยจํานวนครั้งอุบัติเหตุที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการใช้รถใช้ถนนเพิ่มมากขึ้น ขณะที่จํานวนผู้เสียชีวิตลดลง โดยเฉพาะอัตราการเสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุ ลดลงเหลือร้อยละ 50 จากปีที่ผ่านมาร้อยละ 53 แสดงให้เห็นว่าดัชนีความรุนแรงของอุบัติเหตุลดลง รวมทั้งอุบัติเหตุจากรถกระบะยังลดลงเหลือร้อยละ 6.83 จากปีที่ผ่านมา ร้อยละ 8.85 โดยมีปัจจัยสําคัญจากความร่วมมือของผู้ใช้รถใช้ถนนในการปฏิบัติตามกฎจราจร รวมถึงการกวดขันวินัยจราจรอย่างจริงจังของเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ทําให้อัตราการเสียชีวิตลดลง ทั้งนี้แม้ว่าการดําเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนมีความมุ่งมั่นที่จะลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน โดยจะมุ่งเน้นแก้ปัญหาและลดความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุให้ครอบคลุมในทุกมิตอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งสร้างจิตสํานึกและวินัยจราจรในกลุ่มผู้ใช้รถใช้ถนน เพื่อให้เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ศปถ.ยังได้กําชับให้จังหวัดนําข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ถอดเป็นบทเรียน วิเคราะห์สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง รวมถึงสภาพปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนภารกิจการสร้างความปลอดภัยทางถนนในระดับพื้นที่ ตลอดจนใช้มาตรการด้านสังคมและชุมชนในการร่วมกันสร้างจิตสํานึกที่ดีในการสร้างความปลอดภัยทางถนนให้เกิดขึ้น ท้ายนี้ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมขับเคลื่อนการดําเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทั้งเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานประจําศูนย์ฯ ส่วนกลาง ระดับพื้นที่ ประจําจุดตรวจ ด่านตรวจ จุดบริการ ซึ่งมีการบูรณาการทํางานร่วมกันเป็นอย่างดี รวมถึงประชาชนที่ได้ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามวินัยจราจร เพื่อร่วมกันสร้างความสุข และดูแลความปลอดภัย เพื่อให้สังคมไทยมีวัฒนธรรมปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน และมีการสัญจรปลอดภัยตามมาตรฐานสากล. ครั้งที่ 56/2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3117
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ย้ำ 1 พ.ค.นี้ นายจ้างต้องให้ลูกจ้างหยุดงานวันแรงงานแห่งชาติ
วันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2561 กสร. ย้ํา 1 พ.ค.นี้ นายจ้างต้องให้ลูกจ้างหยุดงานวันแรงงานแห่งชาติ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ย้ํานายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ให้ลูกจ้างหยุดปฎิบัติงาน เนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ 1 พฤษภาคมนี้ พร้อมจ่ายค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทํางาน ฝ่าฝืนมีความผิด นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า วันที่ 1 พฤษภาคม ของทุกปีเป็นวันแรงงานแห่งชาติ ทั้งนี้ เพื่อให้สังคมได้ตระหนักถึงความสําคัญของผู้ใช้แรงงานและให้ผู้ใช้แรงงานได้ร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสวันแรงงานแห่งชาติ นอกจากนี้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ได้กําหนดให้นายจ้างประกาศกําหนดวันหยุดตามประเพณีให้ลูกจ้างทราบเป็นการล่วงหน้าปีหนึ่งไม่น้อยกว่า 13 วัน โดยรวมวันแรงงานแห่งชาติด้วย และให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างในวันหยุดตามประเพณีดังกล่าวเท่ากับค่าจ้างในวันทํางานปกติ กสร.จึงขอให้นายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายโดยจัดให้ลูกจ้างได้หยุดงานในวันแรงงานแห่งชาติและจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง สําหรับนายจ้างที่ไม่อาจให้ลูกจ้างหยุดงานได้ เนื่องจากลูกจ้างทํางานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานตามที่กฎหมายกําหนด ได้แก่ งานในกิจการโรงแรม สถานมหรสพ ร้านขายอาหาร ร้านขายเครื่องเดิม สโมสร สมาคม สถานพยาบาล สถานบริการท่องเที่ยว งานในป่า งานในที่ทุรกันดาร งานขนส่ง และงานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานต้องทําติอต่อกันไปถ้าหยุดจะเสียหายกับงาน ให้นายจ้างตกลงกับลูกจ้างว่าจะให้หยุดชดเชยในวันอื่นแทนหรือจะจ่ายค่าทํางาน ในวันหยุดให้กับลูกจ้าง กรณีที่ตกลงกันว่าจะจ่าย ค่าทํางานในวันหยุดนั้น นายจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 1 เท่าของค่าจ้างในวันทํางานปกติ สําหรับลูกจ้างที่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุด และจ่ายเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 2 เท่าของค่าจ้างในวันทํางานปกติ สําหรับลูกจ้างที่ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุด และหากมีการทํางานล่วงเวลานายจ้างจะต้องจ่ายค่าล่วงเวลาในอัตราไม่น้อยกว่า 3 เท่าของอัตราค่ําจ้างต่อชั่วโมงในวันทํางานตามชั่วโมงที่ให้ลูกจ้างทํา อธิบดีกสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับนายจ้างที่ไม่ปฏิบัติให้ถูกต้อง จะมีความผิดตามกฎหมายโดยมีอัตราโทษสูงสุดคือจําคุก ไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ หากลูกจ้าง นายจ้างมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 ถึง 10 สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือที่โทรศัพท์สายด่วน 1506 กด 3
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ย้ำ 1 พ.ค.นี้ นายจ้างต้องให้ลูกจ้างหยุดงานวันแรงงานแห่งชาติ วันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2561 กสร. ย้ํา 1 พ.ค.นี้ นายจ้างต้องให้ลูกจ้างหยุดงานวันแรงงานแห่งชาติ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ย้ํานายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ให้ลูกจ้างหยุดปฎิบัติงาน เนื่องในวันแรงงานแห่งชาติ 1 พฤษภาคมนี้ พร้อมจ่ายค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทํางาน ฝ่าฝืนมีความผิด นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า วันที่ 1 พฤษภาคม ของทุกปีเป็นวันแรงงานแห่งชาติ ทั้งนี้ เพื่อให้สังคมได้ตระหนักถึงความสําคัญของผู้ใช้แรงงานและให้ผู้ใช้แรงงานได้ร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสวันแรงงานแห่งชาติ นอกจากนี้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ได้กําหนดให้นายจ้างประกาศกําหนดวันหยุดตามประเพณีให้ลูกจ้างทราบเป็นการล่วงหน้าปีหนึ่งไม่น้อยกว่า 13 วัน โดยรวมวันแรงงานแห่งชาติด้วย และให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างในวันหยุดตามประเพณีดังกล่าวเท่ากับค่าจ้างในวันทํางานปกติ กสร.จึงขอให้นายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายโดยจัดให้ลูกจ้างได้หยุดงานในวันแรงงานแห่งชาติและจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง สําหรับนายจ้างที่ไม่อาจให้ลูกจ้างหยุดงานได้ เนื่องจากลูกจ้างทํางานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานตามที่กฎหมายกําหนด ได้แก่ งานในกิจการโรงแรม สถานมหรสพ ร้านขายอาหาร ร้านขายเครื่องเดิม สโมสร สมาคม สถานพยาบาล สถานบริการท่องเที่ยว งานในป่า งานในที่ทุรกันดาร งานขนส่ง และงานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานต้องทําติอต่อกันไปถ้าหยุดจะเสียหายกับงาน ให้นายจ้างตกลงกับลูกจ้างว่าจะให้หยุดชดเชยในวันอื่นแทนหรือจะจ่ายค่าทํางาน ในวันหยุดให้กับลูกจ้าง กรณีที่ตกลงกันว่าจะจ่าย ค่าทํางานในวันหยุดนั้น นายจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 1 เท่าของค่าจ้างในวันทํางานปกติ สําหรับลูกจ้างที่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุด และจ่ายเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 2 เท่าของค่าจ้างในวันทํางานปกติ สําหรับลูกจ้างที่ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุด และหากมีการทํางานล่วงเวลานายจ้างจะต้องจ่ายค่าล่วงเวลาในอัตราไม่น้อยกว่า 3 เท่าของอัตราค่ําจ้างต่อชั่วโมงในวันทํางานตามชั่วโมงที่ให้ลูกจ้างทํา อธิบดีกสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับนายจ้างที่ไม่ปฏิบัติให้ถูกต้อง จะมีความผิดตามกฎหมายโดยมีอัตราโทษสูงสุดคือจําคุก ไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ หากลูกจ้าง นายจ้างมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 ถึง 10 สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือที่โทรศัพท์สายด่วน 1506 กด 3
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11840
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เข้าเยี่ยมคารวะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี
วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม 2560 รองประธานธนาคารโลกประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เข้าเยี่ยมคารวะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี รองประธานธนาคารโลกประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เข้าเยี่ยมคารวะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี วันนี้(30 มี.ค. 2560) เวลา 15.00 น. นาง Victoria Kwakwa รองประธานธนาคารโลกประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เข้าเยี่ยมคารวะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนไทย ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรองประธานธนาคารโลกฯหารือถึงเศรษฐกิจของประเทศไทยและโครงการที่รัฐบาลจะพัฒนาประเทศไทยในระยะยาว โดยรองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงภูมิหลังทางเศรษฐกิจของไทยที่ต้องเผชิญกับวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2540 ซึ่งประเทศไทยต้องใช้เวลา 6-7 ปี ในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ สิ่งนี้ทําให้ประเทศไทยได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่ประเทศต้องการไม่ใช่แค่ตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ประเทศไทยจําเป็นต้องปฏิรูป ซึ่งการปฏิรูปจะต้องมุ่งสร้างดุลยภาพการเติบโต โดยการสร้างความเข้มแข็งจากภายในเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก รองนายกรัฐมนตรีระบุเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยให้ความสําคัญกับ CLMVT ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่กําลังเจริญเติบโตและเป็นกลไกขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สําคัญของอาเซียน ประเทศไทยจึงยินดีร่วมมือกับธนาคารโลกจัดทําแผนแม่บทสําหรับการพัฒนา CLMVT และนําเสนอแผนดังกล่าวให้กลุ่มประเทศ CLMVT เพื่อการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจร่วมกัน ซึ่งทางรองประธานธนาคารโลกฯได้แสดงความเข้าใจและยินดีร่วมมือกับไทยในเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ รองประธานธนาคารโลกฯยังกล่าวชื่นชมนโยบายของรัฐบาลในการผลักดันประเทศไทยไปสู่ประเทศไทย 4.0 รวมถึงการเตรียมความพร้อมทางด้านการศึกษาและแรงงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เข้าเยี่ยมคารวะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม 2560 รองประธานธนาคารโลกประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เข้าเยี่ยมคารวะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี รองประธานธนาคารโลกประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เข้าเยี่ยมคารวะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี วันนี้(30 มี.ค. 2560) เวลา 15.00 น. นาง Victoria Kwakwa รองประธานธนาคารโลกประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เข้าเยี่ยมคารวะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนไทย ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรองประธานธนาคารโลกฯหารือถึงเศรษฐกิจของประเทศไทยและโครงการที่รัฐบาลจะพัฒนาประเทศไทยในระยะยาว โดยรองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงภูมิหลังทางเศรษฐกิจของไทยที่ต้องเผชิญกับวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2540 ซึ่งประเทศไทยต้องใช้เวลา 6-7 ปี ในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ สิ่งนี้ทําให้ประเทศไทยได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่ประเทศต้องการไม่ใช่แค่ตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ประเทศไทยจําเป็นต้องปฏิรูป ซึ่งการปฏิรูปจะต้องมุ่งสร้างดุลยภาพการเติบโต โดยการสร้างความเข้มแข็งจากภายในเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก รองนายกรัฐมนตรีระบุเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยให้ความสําคัญกับ CLMVT ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่กําลังเจริญเติบโตและเป็นกลไกขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สําคัญของอาเซียน ประเทศไทยจึงยินดีร่วมมือกับธนาคารโลกจัดทําแผนแม่บทสําหรับการพัฒนา CLMVT และนําเสนอแผนดังกล่าวให้กลุ่มประเทศ CLMVT เพื่อการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจร่วมกัน ซึ่งทางรองประธานธนาคารโลกฯได้แสดงความเข้าใจและยินดีร่วมมือกับไทยในเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ รองประธานธนาคารโลกฯยังกล่าวชื่นชมนโยบายของรัฐบาลในการผลักดันประเทศไทยไปสู่ประเทศไทย 4.0 รวมถึงการเตรียมความพร้อมทางด้านการศึกษาและแรงงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2777
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดโครงการสัมมนาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563
วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2563 สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดโครงการสัมมนาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563 สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดโครงการสัมมนาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563 สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดโครงการสัมมนาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563 1 มิ.ย. 63 สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดโครงการสัมมนาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563 ณ ห้องพินิตประชานาถ ในศาลาว่าการกลาโหม โดยมี พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติและเผยแพร่พระเกียรติคุณของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ให้ได้ตระหนักรู้ถึงความสําคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อประเทศชาติ และประชาชนชาวไทยโดยได้กําหนดให้มีกิจกรรมที่สําคัญ ดังนี้ การบรรยายพิเศษจากผู้แทนสํานักพระราชวัง นางสาวภริดา ภู่ศิริ ในหัวข้อ “น้ําพระทัยที่ทรงเมตตา เหล่าประชาอยู่ร่มเย็น” และจากวิทยากรจิตอาสา 904 และพันเอก วันชนะ สวัสดี ผู้บรรยายจิตอาสา 904 ผู้แทนจากสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม บรรยายในหัวข้อ “พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาพัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ด้านการทหาร และโครงการจิตอาสาพระราชทาน” นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ ณ บริเวณโถงหน้าห้องยุทธนาธิการ ระหว่างวันที่ 1-5 มิ.ย. 63 โดยมีพิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (องค์การมหาชน) ร่วมจัดนิทรรศการในหัวข้อ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรทฤษฎีใหม่ และพระอัจฉริยภาพทางด้านการเกษตร” การศึกษาดูงาน ณ พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (องค์การมหาชน) จังหวัดปทุมธานี และศูนย์ฝึกโรงเรียนจิตอาสา 904 กรมทหารมหาดเล็กที่ 11 มหาดเล็กรักษาพระองค์ กรุงเทพฯ อีกด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดโครงการสัมมนาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563 วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2563 สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดโครงการสัมมนาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563 สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดโครงการสัมมนาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563 สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดโครงการสัมมนาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563 1 มิ.ย. 63 สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดโครงการสัมมนาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563 ณ ห้องพินิตประชานาถ ในศาลาว่าการกลาโหม โดยมี พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติและเผยแพร่พระเกียรติคุณของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ให้ได้ตระหนักรู้ถึงความสําคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อประเทศชาติ และประชาชนชาวไทยโดยได้กําหนดให้มีกิจกรรมที่สําคัญ ดังนี้ การบรรยายพิเศษจากผู้แทนสํานักพระราชวัง นางสาวภริดา ภู่ศิริ ในหัวข้อ “น้ําพระทัยที่ทรงเมตตา เหล่าประชาอยู่ร่มเย็น” และจากวิทยากรจิตอาสา 904 และพันเอก วันชนะ สวัสดี ผู้บรรยายจิตอาสา 904 ผู้แทนจากสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม บรรยายในหัวข้อ “พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาพัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ด้านการทหาร และโครงการจิตอาสาพระราชทาน” นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ ณ บริเวณโถงหน้าห้องยุทธนาธิการ ระหว่างวันที่ 1-5 มิ.ย. 63 โดยมีพิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (องค์การมหาชน) ร่วมจัดนิทรรศการในหัวข้อ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรทฤษฎีใหม่ และพระอัจฉริยภาพทางด้านการเกษตร” การศึกษาดูงาน ณ พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (องค์การมหาชน) จังหวัดปทุมธานี และศูนย์ฝึกโรงเรียนจิตอาสา 904 กรมทหารมหาดเล็กที่ 11 มหาดเล็กรักษาพระองค์ กรุงเทพฯ อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31758
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความก้าวหน้าของวัคซีนโควิด-19 ในไทย
วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม 2563 ความก้าวหน้าของวัคซีนโควิด-19 ในไทย มีอะไรบ้างนะ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความก้าวหน้าของวัคซีนโควิด-19 ในไทย วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม 2563 ความก้าวหน้าของวัคซีนโควิด-19 ในไทย มีอะไรบ้างนะ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33694
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัด เดินหน้าแผนปฏิบัติการ “ประเทศไทยไร้ขยะ” ตามแนวทาง “ประชารัฐ” ระยะ 1 ปี เร่งลดปริมาณขยะให้ได้ร้อยละ 5 ในปี 2560
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2560 มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัด เดินหน้าแผนปฏิบัติการ “ประเทศไทยไร้ขยะ” ตามแนวทาง “ประชารัฐ” ระยะ 1 ปี เร่งลดปริมาณขยะให้ได้ร้อยละ 5 ในปี 2560 มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัด เดินหน้าแผนปฏิบัติการ “ประเทศไทยไร้ขยะ” ตามแนวทาง “ประชารัฐ” ระยะ 1 ปี เร่งลดปริมาณขยะให้ได้ร้อยละ 5 ในปี 2560 วันนี้ (8ก.พ.60)นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้แจ้งให้ทุกจังหวัดดําเนินการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยภายใต้โครงการ“จังหวัดสะอาด”โดยอาศัยกลไก“ประชารัฐ”สร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการจัดการขยะมูลฝอยตั้งแต่ต้นทาง คือ บ้านเรือนของประชาชนมีเป้าลดปริมาณขยะที่เข้าสู่ระบบกําจัดที่ปลายทางให้ลดลงร้อยละ5และกําหนดให้มีการจัดทําระบบฐานข้อมูลขยะมูลฝอยของประเทศ เพื่อให้การบริหารจัดการขยะมูลฝอยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการ“ประเทศไทยไร้ขยะ”ตามแนวทาง “ประชารัฐ” ระยะ1ปี (2559 – 2560)เป็นไปด้วยความเรียบร้อย กระทรวงมหาดไทยจึงได้จัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการประเทศไทยไร้ขยะ” และแต่งตั้ง “คณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการประเทศไทยไร้ขยะ” ขึ้น เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและแผนปฏิบัติการฯ ประสานและบูรณาการการทํางานร่วมกันทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ โดยมีปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน สําหรับการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการฯ ในระดับพื้นที่ ล่าสุดกระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้ทุกจังหวัด แจ้งไปยังองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เร่งดําเนินการตามกิจกรรมภายใต้แผนปฏิบัติการประเทศไทยไร้ขยะระยะ1ปี อย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่การรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และสร้างวินัยให้แก่ประชาชน ในการมีส่วนร่วมลดและคัดแยกขยะมูลฝอยที่ต้นทางตามหลักการ3ช:คือ ใช้น้อยลง ใช้ซ้ํา และนํากลับมาใช้ใหม่ (3Rs : Reduce Reuse Recycle)ตลอดจนการพิจารณานําหมู่บ้าน/ชุมชน ที่ประสบความสําเร็จมาเป็นแนวทางในการขยายผลสู่หมู่บ้าน/ชุมชนอื่นต่อไป และให้ครัวเรือน สถานที่ราชการ สถานศึกษา สถานประกอบการภาคเอกชน และศาสนสถาน ดําเนินการคัดแยกขยะมูลฝอย ตามหลัก3ช อย่างต่อเนื่อง แต่งตั้งแกนนําหรือผู้นําหมู่บ้าน/ชุมชน ตลอดจนกลุ่มต่างๆ ในหมู่บ้าน/ชุมชน เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มสตรี กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มเยาวชนในการขับเคลื่อนและติดตามความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของหมู่บ้าน/ชุมชนในพื้นที่ กําหนดให้มีกฎกติกาหรือมาตรการทางสังคมเป็นข้อปฏิบัติร่วมกันของหมู่บ้าน/ชุมชน ในส่วนของการดูแลความสะอาดในพื้นที่สาธารณะได้เน้นในเรื่องของการปรับปรุงถนน ทางเดินที่สาธารณะ หรือสถานที่สาธารณะในเขตหมู่บ้าน/ชุมชน ให้มีความสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย รวมทั้งการส่งเสริมและสนับสนุนให้ตลาดทั้งของภาครัฐและเอกชนดําเนินการลดและคัดแยกขยะมูลฝอยตามหลัก3ช และมีการรักษาความสะอาดตามหลักสุขาภิบาล ปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ทุกจังหวัดจะได้มีการจัดประกวด“หมู่บ้าน/ชุมชนสะอาด”ตําบลละ3หมู่บ้าน และ“อําเภอสะอาด”จังหวัดละ3อําเภอ ตามหลักเกณฑ์การพิจารณาและตัวชี้วัดที่กระทรวงมหาดไทยได้กําหนดซึ่งจะดําเนินการในช่วงเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม2560และในอนาคตจะมีการประกวดจังหวัดสะอาดในระดับกลุ่มจังหวัดและระดับประเทศในช่วงสิงหาคม – กันยายน2560ในส่วนของการติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานจังหวัดจะมีการติดตามและรายงานผลการปฏิบัติงานมายังศูนย์ปฏิบัติการประเทศไทยไร้ขยะเป็นประจําทุกเดือนเพื่อสรุปผลการดําเนินงานเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป. ครั้งที่20/2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัด เดินหน้าแผนปฏิบัติการ “ประเทศไทยไร้ขยะ” ตามแนวทาง “ประชารัฐ” ระยะ 1 ปี เร่งลดปริมาณขยะให้ได้ร้อยละ 5 ในปี 2560 วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2560 มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัด เดินหน้าแผนปฏิบัติการ “ประเทศไทยไร้ขยะ” ตามแนวทาง “ประชารัฐ” ระยะ 1 ปี เร่งลดปริมาณขยะให้ได้ร้อยละ 5 ในปี 2560 มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัด เดินหน้าแผนปฏิบัติการ “ประเทศไทยไร้ขยะ” ตามแนวทาง “ประชารัฐ” ระยะ 1 ปี เร่งลดปริมาณขยะให้ได้ร้อยละ 5 ในปี 2560 วันนี้ (8ก.พ.60)นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้แจ้งให้ทุกจังหวัดดําเนินการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยภายใต้โครงการ“จังหวัดสะอาด”โดยอาศัยกลไก“ประชารัฐ”สร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการจัดการขยะมูลฝอยตั้งแต่ต้นทาง คือ บ้านเรือนของประชาชนมีเป้าลดปริมาณขยะที่เข้าสู่ระบบกําจัดที่ปลายทางให้ลดลงร้อยละ5และกําหนดให้มีการจัดทําระบบฐานข้อมูลขยะมูลฝอยของประเทศ เพื่อให้การบริหารจัดการขยะมูลฝอยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการ“ประเทศไทยไร้ขยะ”ตามแนวทาง “ประชารัฐ” ระยะ1ปี (2559 – 2560)เป็นไปด้วยความเรียบร้อย กระทรวงมหาดไทยจึงได้จัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการประเทศไทยไร้ขยะ” และแต่งตั้ง “คณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการประเทศไทยไร้ขยะ” ขึ้น เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและแผนปฏิบัติการฯ ประสานและบูรณาการการทํางานร่วมกันทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ โดยมีปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน สําหรับการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการฯ ในระดับพื้นที่ ล่าสุดกระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้ทุกจังหวัด แจ้งไปยังองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เร่งดําเนินการตามกิจกรรมภายใต้แผนปฏิบัติการประเทศไทยไร้ขยะระยะ1ปี อย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่การรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และสร้างวินัยให้แก่ประชาชน ในการมีส่วนร่วมลดและคัดแยกขยะมูลฝอยที่ต้นทางตามหลักการ3ช:คือ ใช้น้อยลง ใช้ซ้ํา และนํากลับมาใช้ใหม่ (3Rs : Reduce Reuse Recycle)ตลอดจนการพิจารณานําหมู่บ้าน/ชุมชน ที่ประสบความสําเร็จมาเป็นแนวทางในการขยายผลสู่หมู่บ้าน/ชุมชนอื่นต่อไป และให้ครัวเรือน สถานที่ราชการ สถานศึกษา สถานประกอบการภาคเอกชน และศาสนสถาน ดําเนินการคัดแยกขยะมูลฝอย ตามหลัก3ช อย่างต่อเนื่อง แต่งตั้งแกนนําหรือผู้นําหมู่บ้าน/ชุมชน ตลอดจนกลุ่มต่างๆ ในหมู่บ้าน/ชุมชน เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มสตรี กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มเยาวชนในการขับเคลื่อนและติดตามความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของหมู่บ้าน/ชุมชนในพื้นที่ กําหนดให้มีกฎกติกาหรือมาตรการทางสังคมเป็นข้อปฏิบัติร่วมกันของหมู่บ้าน/ชุมชน ในส่วนของการดูแลความสะอาดในพื้นที่สาธารณะได้เน้นในเรื่องของการปรับปรุงถนน ทางเดินที่สาธารณะ หรือสถานที่สาธารณะในเขตหมู่บ้าน/ชุมชน ให้มีความสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย รวมทั้งการส่งเสริมและสนับสนุนให้ตลาดทั้งของภาครัฐและเอกชนดําเนินการลดและคัดแยกขยะมูลฝอยตามหลัก3ช และมีการรักษาความสะอาดตามหลักสุขาภิบาล ปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ทุกจังหวัดจะได้มีการจัดประกวด“หมู่บ้าน/ชุมชนสะอาด”ตําบลละ3หมู่บ้าน และ“อําเภอสะอาด”จังหวัดละ3อําเภอ ตามหลักเกณฑ์การพิจารณาและตัวชี้วัดที่กระทรวงมหาดไทยได้กําหนดซึ่งจะดําเนินการในช่วงเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม2560และในอนาคตจะมีการประกวดจังหวัดสะอาดในระดับกลุ่มจังหวัดและระดับประเทศในช่วงสิงหาคม – กันยายน2560ในส่วนของการติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานจังหวัดจะมีการติดตามและรายงานผลการปฏิบัติงานมายังศูนย์ปฏิบัติการประเทศไทยไร้ขยะเป็นประจําทุกเดือนเพื่อสรุปผลการดําเนินงานเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป. ครั้งที่20/2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1779
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ. ชื่นชม “No walk-in OPD” รพ.กำแพงเพชร จัดคลินิกหมอครอบครัวเต็มพื้นที่อำเภอเมือง ใน รพ.สต. 16 แห่ง
วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม 2562 รมว.สธ. ชื่นชม “No walk-in OPD” รพ.กําแพงเพชร จัดคลินิกหมอครอบครัวเต็มพื้นที่อําเภอเมือง ใน รพ.สต. 16 แห่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมโครงการ “No walk-in OPD” รพ.กําแพงเพชร จัดคลินิกหมอครอบครัวเต็มพื้นที่อําเภอเมือง ใน รพ.สต. 16 แห่ง ลดเหลื่อมล้ํา ลดค่าใช้จ่าย ลดเวลารอคอย และลดแออัดในโรงพยาบาลกําแพงเพชร ประชาชนพึงพอใจและมั่นใจเข้าถึงบริการ สามารถ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมโครงการ “No walk-in OPD” รพ.กําแพงเพชร จัดคลินิกหมอครอบครัวเต็มพื้นที่อําเภอเมือง ใน รพ.สต. 16 แห่ง ลดเหลื่อมล้ํา ลดค่าใช้จ่าย ลดเวลารอคอย และลดแออัดในโรงพยาบาลกําแพงเพชร ประชาชนพึงพอใจและมั่นใจเข้าถึงบริการ สามารถลดจํานวนผู้ป่วยนอกจากเขตอําเภอเมืองได้วันละ 300 คน วันนี้ (11 มีนาคม 2562) ที่ อาคารคลินิกหมอครอบครัวชากังราว โรงพยาบาลกําแพงเพชร อําเภอเมืองจังหวัดกําแพงเพชร ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์บุญชัย ธีระกาญจน์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เปิดอาคารคลินิกหมอครอบครัวชากังราวและให้สัมภาษณ์ว่า โรงพยาบาลกําแพงเพชร เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกที่เปิด“คลินิกหมอครอบครัว” เต็มพื้นที่ทุก โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล ในอําเภอเมือง ทั้ง 16 แห่ง เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 ที่ผ่านมา ในโครงการ “No walk-in OPD” เพื่อให้ประชาชนในเขตอําเภอเมือง เข้ารับการรักษาเบื้องต้นที่คลินิกหมอครอบครัว ให้การดูแลแบบองค์รวมโดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและทีมสหวิชาชีพ ได้รับการรักษาใกล้บ้าน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เจ็บป่วยด้วยโรคทั่วไป เช่น ท้องเสีย ปวดหัว ไข้หวัด เป็นต้น และหากพบว่าเป็นโรคที่มีอาการซับซ้อน ก็จะส่งต่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลกําแพงเพชรได้ทันทีโดยมีช่องทางด่วนพิเศษให้ผู้ป่วยเพื่อความสะดวก ทําให้ลดจํานวนการใช้บริการผู้ป่วยนอกที่ รพ.กําแพงเพชร จาก 1,400 คนต่อวัน เหลือเพียง 1,100 คนต่อวันและลดเวลารอคอยจากเดิมต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมง แต่เมื่อเข้ารับบริการที่คลินิกหมอครอบครัวใช้เวลาเพียง 40 นาที นอกจากนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยและโรงพยาบาลได้อีกด้วย ซึ่งพบว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยผู้ป่วยนอกที่มาใช้บริการที่โรงพยาบาลอยู่ที่ 943.85 บาทต่อรายแต่ถ้าไปใช้บริการที่คลินิกหมอครอบครัวจะอยู่ที่ 221 บาทต่อรายซึ่งจะช่วยประหยัดงบประมาณได้ถึงปีละ 60 ล้านบาท ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล กล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ขับเคลื่อนนโยบายคลินิกหมอครอบครัว ที่มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ดูแลประชากร 1:10,000 คน เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุและโรคเรื้อรังที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งทําให้เกิดความแออัดในโรงพยาบาล และผู้ป่วยต้องใช้เวลานานรอพบแพทย์ คลินิกหมอครอบครัวจะช่วยให้ประชาชนได้รับการดูแลสุขภาพตนเองและครอบครัว ใกล้บ้าน เหมือนญาติสนิทจากแพทย์และทีมสหวิชาชีพ ลดค่าใช้จ่าย ลดเวลารอคอยการรักษา โดยในปี 2562 ตั้งเป้าหมายให้มีคลินิกหมอครอบครัว 1,170 ทีม ขณะนี้ ผ่านเกณฑ์การขึ้นทะเบียนทั้งหมด 995 ทีม ครอบคลุมประชากร รวม 10,234,076 คน ******************** 11 มีนาคม 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ. ชื่นชม “No walk-in OPD” รพ.กำแพงเพชร จัดคลินิกหมอครอบครัวเต็มพื้นที่อำเภอเมือง ใน รพ.สต. 16 แห่ง วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม 2562 รมว.สธ. ชื่นชม “No walk-in OPD” รพ.กําแพงเพชร จัดคลินิกหมอครอบครัวเต็มพื้นที่อําเภอเมือง ใน รพ.สต. 16 แห่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมโครงการ “No walk-in OPD” รพ.กําแพงเพชร จัดคลินิกหมอครอบครัวเต็มพื้นที่อําเภอเมือง ใน รพ.สต. 16 แห่ง ลดเหลื่อมล้ํา ลดค่าใช้จ่าย ลดเวลารอคอย และลดแออัดในโรงพยาบาลกําแพงเพชร ประชาชนพึงพอใจและมั่นใจเข้าถึงบริการ สามารถ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมโครงการ “No walk-in OPD” รพ.กําแพงเพชร จัดคลินิกหมอครอบครัวเต็มพื้นที่อําเภอเมือง ใน รพ.สต. 16 แห่ง ลดเหลื่อมล้ํา ลดค่าใช้จ่าย ลดเวลารอคอย และลดแออัดในโรงพยาบาลกําแพงเพชร ประชาชนพึงพอใจและมั่นใจเข้าถึงบริการ สามารถลดจํานวนผู้ป่วยนอกจากเขตอําเภอเมืองได้วันละ 300 คน วันนี้ (11 มีนาคม 2562) ที่ อาคารคลินิกหมอครอบครัวชากังราว โรงพยาบาลกําแพงเพชร อําเภอเมืองจังหวัดกําแพงเพชร ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์บุญชัย ธีระกาญจน์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เปิดอาคารคลินิกหมอครอบครัวชากังราวและให้สัมภาษณ์ว่า โรงพยาบาลกําแพงเพชร เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกที่เปิด“คลินิกหมอครอบครัว” เต็มพื้นที่ทุก โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล ในอําเภอเมือง ทั้ง 16 แห่ง เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 ที่ผ่านมา ในโครงการ “No walk-in OPD” เพื่อให้ประชาชนในเขตอําเภอเมือง เข้ารับการรักษาเบื้องต้นที่คลินิกหมอครอบครัว ให้การดูแลแบบองค์รวมโดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและทีมสหวิชาชีพ ได้รับการรักษาใกล้บ้าน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เจ็บป่วยด้วยโรคทั่วไป เช่น ท้องเสีย ปวดหัว ไข้หวัด เป็นต้น และหากพบว่าเป็นโรคที่มีอาการซับซ้อน ก็จะส่งต่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลกําแพงเพชรได้ทันทีโดยมีช่องทางด่วนพิเศษให้ผู้ป่วยเพื่อความสะดวก ทําให้ลดจํานวนการใช้บริการผู้ป่วยนอกที่ รพ.กําแพงเพชร จาก 1,400 คนต่อวัน เหลือเพียง 1,100 คนต่อวันและลดเวลารอคอยจากเดิมต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมง แต่เมื่อเข้ารับบริการที่คลินิกหมอครอบครัวใช้เวลาเพียง 40 นาที นอกจากนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยและโรงพยาบาลได้อีกด้วย ซึ่งพบว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยผู้ป่วยนอกที่มาใช้บริการที่โรงพยาบาลอยู่ที่ 943.85 บาทต่อรายแต่ถ้าไปใช้บริการที่คลินิกหมอครอบครัวจะอยู่ที่ 221 บาทต่อรายซึ่งจะช่วยประหยัดงบประมาณได้ถึงปีละ 60 ล้านบาท ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล กล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ขับเคลื่อนนโยบายคลินิกหมอครอบครัว ที่มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ดูแลประชากร 1:10,000 คน เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุและโรคเรื้อรังที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งทําให้เกิดความแออัดในโรงพยาบาล และผู้ป่วยต้องใช้เวลานานรอพบแพทย์ คลินิกหมอครอบครัวจะช่วยให้ประชาชนได้รับการดูแลสุขภาพตนเองและครอบครัว ใกล้บ้าน เหมือนญาติสนิทจากแพทย์และทีมสหวิชาชีพ ลดค่าใช้จ่าย ลดเวลารอคอยการรักษา โดยในปี 2562 ตั้งเป้าหมายให้มีคลินิกหมอครอบครัว 1,170 ทีม ขณะนี้ ผ่านเกณฑ์การขึ้นทะเบียนทั้งหมด 995 ทีม ครอบคลุมประชากร รวม 10,234,076 คน ******************** 11 มีนาคม 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19241
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ ติดตามการบริหารจัดการน้ำ
วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม 2562 รัฐมนตรีเกษตรฯ ติดตามการบริหารจัดการน้ํา รัฐมนตรีเกษตรฯ ติดตามการบริหารจัดการน้ําและตรวจเยี่ยมความคืบหน้าการดําเนินงานเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังติดตามการบริหารจัดการน้ํา และตรวจเยี่ยมความคืบหน้าการดําเนินงานเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําคลองระบายน้ํา ร.1 ณ สํานักงานก่อสร้างชลประทานขนาดใหญ่ที่ 11 อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ว่า จากการที่ อ.หาดใหญ่ ได้เคยเกิดปัญหาอุทกภัยและสร้างความเสียหายเป็นจํานวนมากนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานจึงได้มีการดําเนินโครงการบรรเทาอุทกภัยอําเภอหาดใหญ่ (ระยะที่ 2) จังหวัดสงขลา มีการกําหนดแนวทางในการแก้ปัญหาเป็น 3 แนวทาง คือ 1) การเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําคลองระบายน้ํา ร.1 จากเดิมระบายน้ําได้ 465 ลบ.ม./วินาที เป็น 1,200 ลบ.ม./วินาที 2) การสกัดน้ําไม่ให้เข้าเมือง โดยการขุดคลองสายใหม่เพื่อตัดยอดน้ําก่อนไหลเข้าเมือง มีอัตราการระบาย 2,000 ลบ.ม./วินาที และ 3) การตัดยอดน้ํา โดยการก่อสร้างอ่างเก็บน้ําจํานวน 5 แห่ง ความจุรวม 120 ล้าน ลบ.ม. ทั้งนี้ ในระยะเร่งด่วน กรมชลประทานได้ดําเนินการตามแนวทางที่ 1 ซึ่งเมื่อรวมกับการระบายน้ําของคลองอู่ตะเภา ทําให้สามารถระบายน้ําได้รวม 1,665 ลบ.ม./วินาที อย่างไรก็ตาม เมื่อโครงการแล้วเสร็จจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําคลองระบายน้ํา ร.1 และเป็นแหล่งน้ําสํารองในช่วงฤดูแล้งประมาณ 5 ล้าน ลบ.ม. ทั้งนี้ ในช่วงมรสุมที่ใกล้จะถึงนี้ ทางกรมชลประทานคาดว่าคลองระบายน้ํา ร.1 จะสามารถระบายน้ําได้ประมาณล 1,000 ลบ.ม./วินาที ถ้าฝนตกไม่เกิน 200 มิลลิเมตร ก็จะสามารถรับมือต่อสถานการณ์ได้ อย่างไรก็ตาม ได้เร่งรัดโครงการที่ยังไม่เรียบร้อย ให้ดําเนินการให้เสร็จโดยเร็วที่สุด สําหรับการบริหารจัดการน้ําในภาพรวมของจังหวัดสงขลา ได้มีการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์การณ์อุทกภัย โดยการตรวจสอบความพร้อมใช้งานอาคารชลประทานขนาดกลางในเขตพื้นที่ลุ่มน้ําทะเลสาบสงขลา การขุดลอกสิ่งกีดขวางทางน้ํา และกําจัดวัชพืชในคลองชลประทาน คลองธรรมชาติและในอ่างเก็บน้ําต่าง ๆ ตามแผนงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ํา นายเฉลิมชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมชลประทานยังได้มีแผนเตรียมความพร้อมเผชิญเหตุและป้องกันอุทกภัยใน 4 จังหวัด คือ 1) จ.ตรัง มีพื้นที่เฝ้าระวัง 3 จุด มีการเตรียมเครื่องสูบน้ํา 16 เครื่อง และเครื่องผลักดันน้ํา 10 เครื่อง 2) จ.พัทลุง มีพื้นที่เฝ้าระวัง 4 จุด มีการเตรียมเครื่องสูบน้ํา 14 เครื่อง และเครื่องผลักดันน้ํา 28 เครื่อง 3) จ.สตูล มีพื้นที่เฝ้าระวัง 6 จุด มีการเตรียมเครื่องสูบน้ํา 4 เครื่อง และ 4) จ.สงขลา มีพื้นที่เฝ้าระวัง 3 จุด มีการเตรียมเครื่องสูบน้ํา 64 เครื่อง และเครื่องผลักดันน้ํา 77 เครื่อง ทั้งนี้ สํานักงานชลประทานที่ 16 ได้มีการจัดเตรียมเครื่องจักร-เครื่องมือ ไว้ที่ศูนย์กลางที่จังหวัดขลา ได้แก่ เครื่องสูบน้ํา 186 เครื่อง เครื่องผลักดันน้ํา 100 เครื่อง เครื่องกําเนิดไฟฟ้า 50 เครื่อง รถขุด 35 คัน รถแทรกเตอร์ 1 คัน รถบรรทุกและยานพาหนะ 32 คัน สะพานเหล็กชนิดถอดประกอบได้ยาว 44 เมตร 1 ชุด โดยสามารถลงพื้นที่ช่วยเหลือในพื้นที่วิกฤตได้ภายใน 2 ชั่วโมง สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ ติดตามการบริหารจัดการน้ำ วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม 2562 รัฐมนตรีเกษตรฯ ติดตามการบริหารจัดการน้ํา รัฐมนตรีเกษตรฯ ติดตามการบริหารจัดการน้ําและตรวจเยี่ยมความคืบหน้าการดําเนินงานเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังติดตามการบริหารจัดการน้ํา และตรวจเยี่ยมความคืบหน้าการดําเนินงานเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําคลองระบายน้ํา ร.1 ณ สํานักงานก่อสร้างชลประทานขนาดใหญ่ที่ 11 อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ว่า จากการที่ อ.หาดใหญ่ ได้เคยเกิดปัญหาอุทกภัยและสร้างความเสียหายเป็นจํานวนมากนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานจึงได้มีการดําเนินโครงการบรรเทาอุทกภัยอําเภอหาดใหญ่ (ระยะที่ 2) จังหวัดสงขลา มีการกําหนดแนวทางในการแก้ปัญหาเป็น 3 แนวทาง คือ 1) การเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําคลองระบายน้ํา ร.1 จากเดิมระบายน้ําได้ 465 ลบ.ม./วินาที เป็น 1,200 ลบ.ม./วินาที 2) การสกัดน้ําไม่ให้เข้าเมือง โดยการขุดคลองสายใหม่เพื่อตัดยอดน้ําก่อนไหลเข้าเมือง มีอัตราการระบาย 2,000 ลบ.ม./วินาที และ 3) การตัดยอดน้ํา โดยการก่อสร้างอ่างเก็บน้ําจํานวน 5 แห่ง ความจุรวม 120 ล้าน ลบ.ม. ทั้งนี้ ในระยะเร่งด่วน กรมชลประทานได้ดําเนินการตามแนวทางที่ 1 ซึ่งเมื่อรวมกับการระบายน้ําของคลองอู่ตะเภา ทําให้สามารถระบายน้ําได้รวม 1,665 ลบ.ม./วินาที อย่างไรก็ตาม เมื่อโครงการแล้วเสร็จจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําคลองระบายน้ํา ร.1 และเป็นแหล่งน้ําสํารองในช่วงฤดูแล้งประมาณ 5 ล้าน ลบ.ม. ทั้งนี้ ในช่วงมรสุมที่ใกล้จะถึงนี้ ทางกรมชลประทานคาดว่าคลองระบายน้ํา ร.1 จะสามารถระบายน้ําได้ประมาณล 1,000 ลบ.ม./วินาที ถ้าฝนตกไม่เกิน 200 มิลลิเมตร ก็จะสามารถรับมือต่อสถานการณ์ได้ อย่างไรก็ตาม ได้เร่งรัดโครงการที่ยังไม่เรียบร้อย ให้ดําเนินการให้เสร็จโดยเร็วที่สุด สําหรับการบริหารจัดการน้ําในภาพรวมของจังหวัดสงขลา ได้มีการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์การณ์อุทกภัย โดยการตรวจสอบความพร้อมใช้งานอาคารชลประทานขนาดกลางในเขตพื้นที่ลุ่มน้ําทะเลสาบสงขลา การขุดลอกสิ่งกีดขวางทางน้ํา และกําจัดวัชพืชในคลองชลประทาน คลองธรรมชาติและในอ่างเก็บน้ําต่าง ๆ ตามแผนงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ํา นายเฉลิมชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมชลประทานยังได้มีแผนเตรียมความพร้อมเผชิญเหตุและป้องกันอุทกภัยใน 4 จังหวัด คือ 1) จ.ตรัง มีพื้นที่เฝ้าระวัง 3 จุด มีการเตรียมเครื่องสูบน้ํา 16 เครื่อง และเครื่องผลักดันน้ํา 10 เครื่อง 2) จ.พัทลุง มีพื้นที่เฝ้าระวัง 4 จุด มีการเตรียมเครื่องสูบน้ํา 14 เครื่อง และเครื่องผลักดันน้ํา 28 เครื่อง 3) จ.สตูล มีพื้นที่เฝ้าระวัง 6 จุด มีการเตรียมเครื่องสูบน้ํา 4 เครื่อง และ 4) จ.สงขลา มีพื้นที่เฝ้าระวัง 3 จุด มีการเตรียมเครื่องสูบน้ํา 64 เครื่อง และเครื่องผลักดันน้ํา 77 เครื่อง ทั้งนี้ สํานักงานชลประทานที่ 16 ได้มีการจัดเตรียมเครื่องจักร-เครื่องมือ ไว้ที่ศูนย์กลางที่จังหวัดขลา ได้แก่ เครื่องสูบน้ํา 186 เครื่อง เครื่องผลักดันน้ํา 100 เครื่อง เครื่องกําเนิดไฟฟ้า 50 เครื่อง รถขุด 35 คัน รถแทรกเตอร์ 1 คัน รถบรรทุกและยานพาหนะ 32 คัน สะพานเหล็กชนิดถอดประกอบได้ยาว 44 เมตร 1 ชุด โดยสามารถลงพื้นที่ช่วยเหลือในพื้นที่วิกฤตได้ภายใน 2 ชั่วโมง สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22255
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีปาฐกถาพิเศษ “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับการขับเคลื่อนประเทศในระยะเปลี่ยนผ่าน”
วันอังคารที่ 10 เมษายน 2561 นายกรัฐมนตรีปาฐกถาพิเศษ “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับการขับเคลื่อนประเทศในระยะเปลี่ยนผ่าน” รัฐบาลพร้อมผลักดันการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ํา อยากเรียนต้องได้เรียน เด็กด้อยโอกาสต้องมีโอกาสเข้าถึงครูเก่ง ชื่นชมจุฬาฯ เป็นสถานบันการศึกษาผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพที่จะนําพาประเทศสู่ความเจริญ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน วันนี้ (9 เม.ย. 2561) เวลา 08.30 น. ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับการขับเคลื่อนประเทศในระยะเปลี่ยนผ่าน” ภายใต้หัวข้อ “บทบาทสถานศึกษากับการขับเคลื่อน Thailand 4.0” ให้แก่ผู้บริหารและบุคลากรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อส่งเสริมบทบาทของสถานศึกษาให้มีส่วนร่วมในการนําทิศทางการปรับเปลี่ยนประเทศเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยตามนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล และบทบาทมหาวิทยาลัยไทยในยุคสังคมนวัตกรรม เพื่อให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยดําเนินงานตามนโยบายของประเทศได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงสุด โดยมี รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ศาสตราจารย์ ดร. บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะอาจารย์ นิสิติ และบุคลากรจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จํานวน 1,000 คน เข้าร่วมงาน เมื่อเดินทางถึงจุฬาฯ นายกรัฐมนตรี ได้วางพวงมาลัยถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราชและสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า เพื่อความเป็นสิริมงคล โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ได้มาเยี่ยมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในวันนี้ ได้มาสัมผัสบรรยากาศที่คุ้นเคยอีกครั้ง เพราะส่วนหนึ่งของชีวิตครอบครัว ลูกสาวทั้งสองคนอยู่สาธิตจุฬาฯ และได้เข้าศึกษาต่อที่คณะนิเทศศาสตร์ ส่วนภรรยาก็เคยเป็นอาจารย์อยู่ที่จุฬาฯ เช่นกัน จึงรู้สึกมีความใกล้ชิดกับจุฬาฯ และมีความยินดีเป็นอย่างมากที่มีโอกาสมาพูดเรื่อง“จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับการขับเคลื่อนประเทศในระยะเปลี่ยนผ่าน” เพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีต่อกัน โดยระยะเปลี่ยนผ่านถือเป็นช่วงเวลาที่มีความสําคัญที่จะเปลี่ยนไปสู่ทั้งสิ่งที่ดีขึ้นและไม่ดี เพราะฉะนั้นในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านต้องทําทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อให้ปัญหาที่เกิดขึ้นคลี่คลายไปในทางที่ดี พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยถือเป็นสถาบันการศึกษาอันทรงเกียรติและเป็นสถานบันอุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งอยู่คู่สังคมไทยมายาวนานกว่า 101 ปี และผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพให้แก่ประเทศเป็นจํานวนมาก สถาบันแห่งนี้ จึงเป็นหนึ่งในเรือธงที่จะนําพาประเทศสู่ความเจริญ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนตามเป้าหมายของแผนการปฏิรูปประเทศที่รัฐบาลได้วางไว้แน่นอนว่าการปฏิรูปประเทศจําเป็นต้องคิด ในกรอบใหม่และพัฒนามูลค่าและคุณค่าให้ได้ทั้งในระดับผลิตภัณฑ์ทั้งทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างมีคุณภาพ รวมทั้งต้องเตรียมพร้อมและพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีและทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงของโลก ตลอดจนตรงกับการพัฒนาประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อให้จบการศึกษาออกมามีงานทําและมีรายได้สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ อันจะนําไปสู่การพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศไปสู่วิสัยทัศน์ 4.0 มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน รัฐบาลพร้อมผลักดันเรื่องการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ํา อยากเรียนต้องได้เรียน เด็กด้อยโอกาสต้องมีโอกาสเข้าถึงครูเก่ง Contents ดีผ่าน Digital platform โดยคณะรัฐมนตรีเตรียมเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลสวนเบญจกิติฯ (รพ.ยาสูบ) เป็นศูนย์กลาง (hub) เร่งแก้ไขโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและรักษาผู้สูงอายุที่ค่าใช้จ่ายน้อย เพื่อให้คนไทยสุขภาพดีได้ไม่ขึ้นอยู่กับฐานะ อีกทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการมอบนโยบายให้กับหน่วยงานต่างๆ เพื่อนําไปสู่การปฏิรูปประเทศว่า การดําเนินการในเรื่องต่าง ๆ รวมถึงการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ได้เน้นย้ําให้พิจารณาดําเนินการในเรื่องที่มีความจําเป็นเร่งด่วนก่อนอันดับแรกเพื่อให้เกิดการปฏิรูปประเทศตามนโยบายรัฐบาล ขณะที่เรื่องของการศึกษาก็เป็นเรื่องสําคัญ ที่จะต้องเร่งแก้ไขปัญหา โดยเฉพาระยะแรกจะต้องพิจารณาแก้ไขปัญหาให้ตรงกับความต้องการของนักเรียน ครู และผู้ปกครองโดยคํานึงถึงประโยชน์ที่บุคคลดังกล่าวจะได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง รวมถึงการสร้างคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในศตวรรษที่ 21 คือเป็นผู้ที่มีความรู้ ทักษะ ความสามารถ มีจิตสาธารณะ และเป็นคนไทยที่รับผิดชอบต่อสังคม เป็น Digital Thai และเป็นคนไทยสากล (Global-Thai) ด้วย เพราะฉะนั้น หน้าที่ของมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษา คือการผลิตบัณฑิต ให้ก้าวทันต่อความเปลี่ยนแปลงของสังคม และเป็นไปตามแนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การจัดการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ จึงเป็นช่องทางสําคัญที่จะทําให้มหาวิทยาลัย เข้าสู่มหาวิทยาลัย 4.0 เพื่อตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติและขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ Thailand 4.0 ขณะเดียวกันการพัฒนาคนต้องพัฒนาคนทุกช่วงวัย และใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และประชาชนทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยกันแก้ปัญหาเพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายที่กําหนดไว้ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมการดําเนินงานของจุฬาฯ ซึ่งมีโครงการและกิจกรรมทั้งทางวิชาการ และกิจกรรมเพื่อบริการสังคมในภาคส่วนต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีโครงการด้านนวัตกรรม เพื่อพัฒนาสินค้า รวมถึงกระบวนการผลิต และทรัพยากรมนุษย์ในฐานะนวัตกรรมอย่างเป็นระบบ ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความรู้ในส่วนนี้จะนํามาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง สมกับบทบาทเชิงรุกในฐานะ “เรือธง” ที่จะร่วมมือกับสถาบันการศึกษาต่าง ๆ และทุกภาคส่วนในสังคมทั้งภาครัฐ ธุรกิจเอกชน และประชาสังคม เป็นขบวนเรือที่จะนําพาประเทศไทยไปสู่ Thailand 4.0 คือความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน สําหรับการสร้างหลักสูตรนานาชาติเพื่อผลิตบัณฑิตในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเพื่อให้เป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมสําคัญตามความต้องการของประเทศในด้านต่างๆ เช่น ด้าน Data Sciences และ Artificial Intelligence รวมถึงด้าน Bio-Medical และด้าน Medical Robotics นั้น การดําเนินการดังกล่าว ปริญญาทุกใบต้องมีความหมายมีเกียรติยศและศักดิ์ศรี ให้สังคมยอมรับ เป็นบุคคลที่มีคุณค่า ทําประโยชน์ให้กับตนเอง ครอบครัวและประเทศชาติให้สมกับปริญญาที่ได้รับ ขณะเดียวกันต้องรู้จักนํา Big Data มาวิเคราะห์ไปสู่การปฏิบัติในการบริหาราชการและพัฒนาประเทศชาติ พร้อมย้ําให้คิดแบบตะวันตกคือคิดเร็วและทําแบบตะวันออก คือทําด้วยความละเอียดรอบคอบ ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําว่า จุฬาฯ ต้องเป็นหลักของการสร้างระบบเศรษฐกิจ ขับเคลื่อนนวัตกรรม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การสร้างสังคมบนฐานรากของคุณธรรม จริยธรรม การสร้างนิติธรรม เคารพกฎหมายและสิทธิของผู้อื่น โดยทุกฝ่ายร่วมมือกันเพื่อพัฒนาประเทศไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมกล่าวขอบคุณจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณาอาจารย์ นิสิต ที่ช่วยเหลือประเทศตลอด มานับเป็น 101 ปีแห่งความภูมิใจใน “เกียรติภูมิจุฬา” และหวังว่าทุกคนจะเป็นส่วนหนึ่งที่สําคัญของการพัฒนาประเทศไปสู่ Thailand 4.0 ต่อไป ด้าน อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวว่า การเข้าสู่ประเทศไทย 4.0 ตามนโยบายรัฐบาล มีปัจจัยสู่ความสําเร็จที่สําคัญคือ การพัฒนาคนและสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออํานวยต่อการพัฒนา นอกจากนี้ประเทศไทยต้องมีการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างเทคโนโลยีของตนเองเท่านั้น จึงจะนําไปสู่การสร้างมูลค่าเพื่ออย่างยั่งยืนได้ โดย จุฬาฯ ในฐานะที่เป็นสถานศึกษาหลักของไทยที่อยู่คู่สังคมมากว่า 101 ปีจนถึงปัจจุบัน พร้อมเป็นต้นแบบของการปรับเปลี่ยนสู่มหาวิทยาลัย 4.0 ที่เน้นการเรียนรู้เชิงลึกและกว้างเพื่อตอบโจทย์สังคมที่พรั่งพร้อมด้วยผู้นําที่ประกอบด้วย ความคิดอย่างมีวิสัยทัศน์ มีใจรักในสิ่งที่ทํา และลงมือปฏิบัติจริง ขณะเดียวกันจุฬาฯ มีความพยายามและพร้อมที่จะร่วมพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และเป็นมิตรกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมบ่มเพาะนักเรียน นิสิต ซึ่งจะเป็นอนาคตสําคัญของประเทศไทยให้พร้อมเป็นพลเมืองคุณภาพอยู่ในสังคมที่ตั้งอยู่บนฐานรากของคุณธรรมและจริยธรรม และเมื่อใดที่สังคมมีปัญหาประเทศชาติต้องการความช่วยเหลือ จุฬาฯ มุ่งมั่นที่จะมีบทบาทเชิงรุกในฐานะ “เรือธง” ทางวิชาการของบ้านเมืองพร้อมทําหน้าที่ชี้นําและเตือนสติสังคมให้เกิดความถูกต้องเป็นธรรม ธํารงภาพลักษณ์และเกียรติภูมิของจุฬาฯ ในการรับใช้สังคมให้สมกับเป็น “มหาวิทยาลัยของแผ่นดิน” ตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระผู้สถาปนาจุฬาฯ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี รับชมวีดิทัศน์ “CU Calibre Shaping the nation’s future” โดยเป็นการแสดงถึงภาพอดีตและปัจจุบันของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้รับการยอมรับให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ จากสถาบันจัดอันดับการศึกษาระดับโลก ถึง 3 แห่ง และมีสาขาวิชาที่ติดอันดับโลกรวมถึง 22 สาขาวิชา และปัจจุบันได้เริ่มกระบวนการปรับเปลี่ยน (Transformation) ในมิติต่าง ๆ เพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงองค์ความรู้จากนิสิตไปสู่บุคคลบุคคลทั่วไป ปรับเปลี่ยนการบริหารองค์กรให้มีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสร้างองค์ความรู้ผ่านการวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม เพื่อการใช้ประโยชน์จริงทั้งในภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ รวมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้รับข้อเสนอสําคัญของจุฬาฯ จากอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่จะช่วยผลักดันให้จุฬาฯ สร้างคนให้ EEC และสร้างเทคโนโลยีให้ประเทศ ประกอบด้วย 1) จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม (University Technology Center) เพื่อเป็นกลไกในการร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมในการสร้างคนและสร้างเทคโนโลยีในยุตต่อไป 2) จุฬาฯ จะขยายความร่วมมือกับภาคเอกชน นักลงทุนอิสระ และองค์กรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเชื่อมโยงและขยายผลการดําเนินการของเมืองนวัตกรรมแห่งสยาม(Siam Innovation District) เพื่อสร้างนวัตกรรมและผลผลิตนํามาสู่การสร้างเสริมสังคมไทยสู่วิถีไทยในการใช้ชีวิตการเรียนรู้และความคิดที่สร้างสรรค์ และ 3) จุฬาฯ ร่วมกับโรงพยาบาลสวนเบญจกิติฯ ผลักดันพันธกิจใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อระบบสาธารณสุขและคนไทย เป็นต้น โดยนายกรัฐมนตรี ยินดีรับข้อเสนอดังกล่าวไปพิจารณาดําเนินการตามความเหมาะสมและให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปเยี่ยมชมผลงานวิจัยและนวัตกรรมของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ณ ห้องประชุมชั้น 12 รวมทั้งเยี่ยมชมและทดลองใช้งานระบบ Telemedicine ณ ศูนย์โรคหลอดเลือดสมองแบบครบวงจร ชั้น 18 โซน A อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬา พร้อมเยี่ยมชมการจัดแสดงผลงานและนิทรรศการเมืองนวัตกรรมแห่งสยาม (Siam Innovation District) ณ อาคารสยามสแควร์วัน ก่อนเดินทางกลับทําเนียบรัฐบาล ----------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีปาฐกถาพิเศษ “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับการขับเคลื่อนประเทศในระยะเปลี่ยนผ่าน” วันอังคารที่ 10 เมษายน 2561 นายกรัฐมนตรีปาฐกถาพิเศษ “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับการขับเคลื่อนประเทศในระยะเปลี่ยนผ่าน” รัฐบาลพร้อมผลักดันการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ํา อยากเรียนต้องได้เรียน เด็กด้อยโอกาสต้องมีโอกาสเข้าถึงครูเก่ง ชื่นชมจุฬาฯ เป็นสถานบันการศึกษาผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพที่จะนําพาประเทศสู่ความเจริญ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน วันนี้ (9 เม.ย. 2561) เวลา 08.30 น. ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับการขับเคลื่อนประเทศในระยะเปลี่ยนผ่าน” ภายใต้หัวข้อ “บทบาทสถานศึกษากับการขับเคลื่อน Thailand 4.0” ให้แก่ผู้บริหารและบุคลากรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อส่งเสริมบทบาทของสถานศึกษาให้มีส่วนร่วมในการนําทิศทางการปรับเปลี่ยนประเทศเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยตามนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล และบทบาทมหาวิทยาลัยไทยในยุคสังคมนวัตกรรม เพื่อให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยดําเนินงานตามนโยบายของประเทศได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงสุด โดยมี รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ศาสตราจารย์ ดร. บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะอาจารย์ นิสิติ และบุคลากรจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จํานวน 1,000 คน เข้าร่วมงาน เมื่อเดินทางถึงจุฬาฯ นายกรัฐมนตรี ได้วางพวงมาลัยถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราชและสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า เพื่อความเป็นสิริมงคล โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ได้มาเยี่ยมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในวันนี้ ได้มาสัมผัสบรรยากาศที่คุ้นเคยอีกครั้ง เพราะส่วนหนึ่งของชีวิตครอบครัว ลูกสาวทั้งสองคนอยู่สาธิตจุฬาฯ และได้เข้าศึกษาต่อที่คณะนิเทศศาสตร์ ส่วนภรรยาก็เคยเป็นอาจารย์อยู่ที่จุฬาฯ เช่นกัน จึงรู้สึกมีความใกล้ชิดกับจุฬาฯ และมีความยินดีเป็นอย่างมากที่มีโอกาสมาพูดเรื่อง“จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับการขับเคลื่อนประเทศในระยะเปลี่ยนผ่าน” เพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีต่อกัน โดยระยะเปลี่ยนผ่านถือเป็นช่วงเวลาที่มีความสําคัญที่จะเปลี่ยนไปสู่ทั้งสิ่งที่ดีขึ้นและไม่ดี เพราะฉะนั้นในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านต้องทําทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อให้ปัญหาที่เกิดขึ้นคลี่คลายไปในทางที่ดี พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยถือเป็นสถาบันการศึกษาอันทรงเกียรติและเป็นสถานบันอุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งอยู่คู่สังคมไทยมายาวนานกว่า 101 ปี และผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพให้แก่ประเทศเป็นจํานวนมาก สถาบันแห่งนี้ จึงเป็นหนึ่งในเรือธงที่จะนําพาประเทศสู่ความเจริญ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนตามเป้าหมายของแผนการปฏิรูปประเทศที่รัฐบาลได้วางไว้แน่นอนว่าการปฏิรูปประเทศจําเป็นต้องคิด ในกรอบใหม่และพัฒนามูลค่าและคุณค่าให้ได้ทั้งในระดับผลิตภัณฑ์ทั้งทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างมีคุณภาพ รวมทั้งต้องเตรียมพร้อมและพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีและทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงของโลก ตลอดจนตรงกับการพัฒนาประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อให้จบการศึกษาออกมามีงานทําและมีรายได้สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ อันจะนําไปสู่การพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศไปสู่วิสัยทัศน์ 4.0 มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน รัฐบาลพร้อมผลักดันเรื่องการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ํา อยากเรียนต้องได้เรียน เด็กด้อยโอกาสต้องมีโอกาสเข้าถึงครูเก่ง Contents ดีผ่าน Digital platform โดยคณะรัฐมนตรีเตรียมเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลสวนเบญจกิติฯ (รพ.ยาสูบ) เป็นศูนย์กลาง (hub) เร่งแก้ไขโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและรักษาผู้สูงอายุที่ค่าใช้จ่ายน้อย เพื่อให้คนไทยสุขภาพดีได้ไม่ขึ้นอยู่กับฐานะ อีกทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการมอบนโยบายให้กับหน่วยงานต่างๆ เพื่อนําไปสู่การปฏิรูปประเทศว่า การดําเนินการในเรื่องต่าง ๆ รวมถึงการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ได้เน้นย้ําให้พิจารณาดําเนินการในเรื่องที่มีความจําเป็นเร่งด่วนก่อนอันดับแรกเพื่อให้เกิดการปฏิรูปประเทศตามนโยบายรัฐบาล ขณะที่เรื่องของการศึกษาก็เป็นเรื่องสําคัญ ที่จะต้องเร่งแก้ไขปัญหา โดยเฉพาระยะแรกจะต้องพิจารณาแก้ไขปัญหาให้ตรงกับความต้องการของนักเรียน ครู และผู้ปกครองโดยคํานึงถึงประโยชน์ที่บุคคลดังกล่าวจะได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง รวมถึงการสร้างคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในศตวรรษที่ 21 คือเป็นผู้ที่มีความรู้ ทักษะ ความสามารถ มีจิตสาธารณะ และเป็นคนไทยที่รับผิดชอบต่อสังคม เป็น Digital Thai และเป็นคนไทยสากล (Global-Thai) ด้วย เพราะฉะนั้น หน้าที่ของมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษา คือการผลิตบัณฑิต ให้ก้าวทันต่อความเปลี่ยนแปลงของสังคม และเป็นไปตามแนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การจัดการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ จึงเป็นช่องทางสําคัญที่จะทําให้มหาวิทยาลัย เข้าสู่มหาวิทยาลัย 4.0 เพื่อตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติและขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ Thailand 4.0 ขณะเดียวกันการพัฒนาคนต้องพัฒนาคนทุกช่วงวัย และใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และประชาชนทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยกันแก้ปัญหาเพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายที่กําหนดไว้ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมการดําเนินงานของจุฬาฯ ซึ่งมีโครงการและกิจกรรมทั้งทางวิชาการ และกิจกรรมเพื่อบริการสังคมในภาคส่วนต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีโครงการด้านนวัตกรรม เพื่อพัฒนาสินค้า รวมถึงกระบวนการผลิต และทรัพยากรมนุษย์ในฐานะนวัตกรรมอย่างเป็นระบบ ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความรู้ในส่วนนี้จะนํามาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง สมกับบทบาทเชิงรุกในฐานะ “เรือธง” ที่จะร่วมมือกับสถาบันการศึกษาต่าง ๆ และทุกภาคส่วนในสังคมทั้งภาครัฐ ธุรกิจเอกชน และประชาสังคม เป็นขบวนเรือที่จะนําพาประเทศไทยไปสู่ Thailand 4.0 คือความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน สําหรับการสร้างหลักสูตรนานาชาติเพื่อผลิตบัณฑิตในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเพื่อให้เป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมสําคัญตามความต้องการของประเทศในด้านต่างๆ เช่น ด้าน Data Sciences และ Artificial Intelligence รวมถึงด้าน Bio-Medical และด้าน Medical Robotics นั้น การดําเนินการดังกล่าว ปริญญาทุกใบต้องมีความหมายมีเกียรติยศและศักดิ์ศรี ให้สังคมยอมรับ เป็นบุคคลที่มีคุณค่า ทําประโยชน์ให้กับตนเอง ครอบครัวและประเทศชาติให้สมกับปริญญาที่ได้รับ ขณะเดียวกันต้องรู้จักนํา Big Data มาวิเคราะห์ไปสู่การปฏิบัติในการบริหาราชการและพัฒนาประเทศชาติ พร้อมย้ําให้คิดแบบตะวันตกคือคิดเร็วและทําแบบตะวันออก คือทําด้วยความละเอียดรอบคอบ ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําว่า จุฬาฯ ต้องเป็นหลักของการสร้างระบบเศรษฐกิจ ขับเคลื่อนนวัตกรรม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การสร้างสังคมบนฐานรากของคุณธรรม จริยธรรม การสร้างนิติธรรม เคารพกฎหมายและสิทธิของผู้อื่น โดยทุกฝ่ายร่วมมือกันเพื่อพัฒนาประเทศไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมกล่าวขอบคุณจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณาอาจารย์ นิสิต ที่ช่วยเหลือประเทศตลอด มานับเป็น 101 ปีแห่งความภูมิใจใน “เกียรติภูมิจุฬา” และหวังว่าทุกคนจะเป็นส่วนหนึ่งที่สําคัญของการพัฒนาประเทศไปสู่ Thailand 4.0 ต่อไป ด้าน อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวว่า การเข้าสู่ประเทศไทย 4.0 ตามนโยบายรัฐบาล มีปัจจัยสู่ความสําเร็จที่สําคัญคือ การพัฒนาคนและสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออํานวยต่อการพัฒนา นอกจากนี้ประเทศไทยต้องมีการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างเทคโนโลยีของตนเองเท่านั้น จึงจะนําไปสู่การสร้างมูลค่าเพื่ออย่างยั่งยืนได้ โดย จุฬาฯ ในฐานะที่เป็นสถานศึกษาหลักของไทยที่อยู่คู่สังคมมากว่า 101 ปีจนถึงปัจจุบัน พร้อมเป็นต้นแบบของการปรับเปลี่ยนสู่มหาวิทยาลัย 4.0 ที่เน้นการเรียนรู้เชิงลึกและกว้างเพื่อตอบโจทย์สังคมที่พรั่งพร้อมด้วยผู้นําที่ประกอบด้วย ความคิดอย่างมีวิสัยทัศน์ มีใจรักในสิ่งที่ทํา และลงมือปฏิบัติจริง ขณะเดียวกันจุฬาฯ มีความพยายามและพร้อมที่จะร่วมพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และเป็นมิตรกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมบ่มเพาะนักเรียน นิสิต ซึ่งจะเป็นอนาคตสําคัญของประเทศไทยให้พร้อมเป็นพลเมืองคุณภาพอยู่ในสังคมที่ตั้งอยู่บนฐานรากของคุณธรรมและจริยธรรม และเมื่อใดที่สังคมมีปัญหาประเทศชาติต้องการความช่วยเหลือ จุฬาฯ มุ่งมั่นที่จะมีบทบาทเชิงรุกในฐานะ “เรือธง” ทางวิชาการของบ้านเมืองพร้อมทําหน้าที่ชี้นําและเตือนสติสังคมให้เกิดความถูกต้องเป็นธรรม ธํารงภาพลักษณ์และเกียรติภูมิของจุฬาฯ ในการรับใช้สังคมให้สมกับเป็น “มหาวิทยาลัยของแผ่นดิน” ตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระผู้สถาปนาจุฬาฯ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี รับชมวีดิทัศน์ “CU Calibre Shaping the nation’s future” โดยเป็นการแสดงถึงภาพอดีตและปัจจุบันของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้รับการยอมรับให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ จากสถาบันจัดอันดับการศึกษาระดับโลก ถึง 3 แห่ง และมีสาขาวิชาที่ติดอันดับโลกรวมถึง 22 สาขาวิชา และปัจจุบันได้เริ่มกระบวนการปรับเปลี่ยน (Transformation) ในมิติต่าง ๆ เพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงองค์ความรู้จากนิสิตไปสู่บุคคลบุคคลทั่วไป ปรับเปลี่ยนการบริหารองค์กรให้มีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสร้างองค์ความรู้ผ่านการวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม เพื่อการใช้ประโยชน์จริงทั้งในภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ รวมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้รับข้อเสนอสําคัญของจุฬาฯ จากอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่จะช่วยผลักดันให้จุฬาฯ สร้างคนให้ EEC และสร้างเทคโนโลยีให้ประเทศ ประกอบด้วย 1) จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม (University Technology Center) เพื่อเป็นกลไกในการร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมในการสร้างคนและสร้างเทคโนโลยีในยุตต่อไป 2) จุฬาฯ จะขยายความร่วมมือกับภาคเอกชน นักลงทุนอิสระ และองค์กรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเชื่อมโยงและขยายผลการดําเนินการของเมืองนวัตกรรมแห่งสยาม(Siam Innovation District) เพื่อสร้างนวัตกรรมและผลผลิตนํามาสู่การสร้างเสริมสังคมไทยสู่วิถีไทยในการใช้ชีวิตการเรียนรู้และความคิดที่สร้างสรรค์ และ 3) จุฬาฯ ร่วมกับโรงพยาบาลสวนเบญจกิติฯ ผลักดันพันธกิจใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อระบบสาธารณสุขและคนไทย เป็นต้น โดยนายกรัฐมนตรี ยินดีรับข้อเสนอดังกล่าวไปพิจารณาดําเนินการตามความเหมาะสมและให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปเยี่ยมชมผลงานวิจัยและนวัตกรรมของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ณ ห้องประชุมชั้น 12 รวมทั้งเยี่ยมชมและทดลองใช้งานระบบ Telemedicine ณ ศูนย์โรคหลอดเลือดสมองแบบครบวงจร ชั้น 18 โซน A อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬา พร้อมเยี่ยมชมการจัดแสดงผลงานและนิทรรศการเมืองนวัตกรรมแห่งสยาม (Siam Innovation District) ณ อาคารสยามสแควร์วัน ก่อนเดินทางกลับทําเนียบรัฐบาล ----------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11416
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-4 – 6 ธ.ค. นี้ พม. เชิญร่วมอุดหนุนผลิตภัณฑ์งานฝีมือจากผู้ด้อยโอกาส พร้อมรับบริจาคของขวัญปีใหม่ส่งต่อให้น้องๆ ในสถานสงเคราะห์กว่า 9,000 คนทั่วประเทศ
วันพุธที่ 4 ธันวาคม 2562 4 – 6 ธ.ค. นี้ พม. เชิญร่วมอุดหนุนผลิตภัณฑ์งานฝีมือจากผู้ด้อยโอกาส พร้อมรับบริจาคของขวัญปีใหม่ส่งต่อให้น้องๆ ในสถานสงเคราะห์กว่า 9,000 คนทั่วประเทศ 4 – 6 ธ.ค. นี้ พม. เชิญร่วมอุดหนุนผลิตภัณฑ์งานฝีมือจากผู้ด้อยโอกาส พร้อมรับบริจาคของขวัญปีใหม่ส่งต่อให้น้องๆ ในสถานสงเคราะห์กว่า 9,000 คนทั่วประเทศ วันนี้ (4 ธ.ค. 62) เวลา 13.00 น. ที่ลาน Avenue Zone A ศูนย์การค้า MBK Center กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “Gift for Give มหกรรมของขวัญถูกใจ..ได้บุญ” ภายใต้แนวคิด “ให้....ความสุข เพื่อคนที่คุณรัก ให้....โอกาส เพื่อผู้ด้อยโอกาสในสังคม ให้....ความรัก เพื่อโลกของเรา” ด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ (MBK) เพื่อร่วมส่งความสุข ด้วยการมอบของขวัญปีใหม่ให้กับผู้ด้อยโอกาสในสังคม ผ่านการสนับสนุนผลิตภัณฑ์งานฝีมือ เป็นการส่งเสริมอาชีพและรายได้ เพื่อให้สามารถดูแลตนเองและดํารงชีวิตได้อย่างมีความสุข นายจุติ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีภารกิจหลักในการรับผิดชอบประชาชนกลุ่มเป้าหมายทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้ที่พึ่ง ราษฎรบนพื้นที่สูง และผู้ด้อยโอกาสในสังคม โดยมุ่งเน้นการช่วยเหลือ ดูแล คุ้มครอง และพัฒนา เพื่อให้ได้รับสวัสดิการของรัฐอย่างทั่วถึง สู่การยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดี โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยการบูรณาการกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคธุรกิจเอกชนที่มีศักยภาพในการเข้ามามีส่วนร่ว่มในการรับผิดชอบสังคม เพื่อให้ประช่าชนกลุ่มเป้าหมายได้รับการพัฒนาอย่างทั่วถึง รวมทั้งการส่งเสริมอาชีพและรายได้อย่างมั่นคง นายจุติ กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. ร่วมกับบริษัท เอ็ม บี เค จํากัด (มหาชน) จัดโครงการ “Gift for Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ” ระหว่างวันที่ 4 - 6 ธันวาคม 2562 ณ ลาน Avenue Zone A ศูนย์การค้า MBK Center กรุงเทพฯ เป็นการเปิดพื้นที่ด้วยการนําผลิตภัณฑ์งานฝีมือจากกลุ่มเป้าหมายภายใต้การดูแลของหน่วยงานสังกัดของกระทรวง พม. ประกอบด้วย กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) และกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) รวมทั้งหน่วยงานภาคีเครือข่าย มาออกร้านจําหน่าย โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย อาทิ ผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือ กระเป๋า และสินค้าจากภูมิปัญญาท้องถิ่นในเครือข่ายของ สค. สินค้าแฮนด์เมด งานไม้ ของตกแต่งบ้านจากสถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่งทั่วประเทศ และผลิตภัณฑ์ผ้าทอและสินค้าพื้นเมืองสะท้อนเอกลักษณ์ชนเผ่าจากศูนย์เรียนรู้วิถีราษฎรบนพื้นที่สูง เป็นต้น นายจุติ กล่าวต่ออีกว่า อีกทั้งเป็นการเปิดเวทีให้กลุ่มเป้าหมายได้แสดงความสามารถและสาธิตผลิตภัณฑ์งานฝีมือ อาทิ การแสดงดนตรีจากผู้พิการทางการมองเห็น “วง S2S” การแสดงวิถีชนเผ่าพื้นที่สูง การแสดงระบําดอกบัว การแสดงดนตรีไทย การแสดงคัพ ซอง (Cup Song) การแสดงเต้นบาสโลบ การแสดงนักมายากลเปลี่ยนหน้า การแสดงกลองยาว และการแสดงร้องเพลงประสานเสียงจากบ้านพระพร เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม “จากใจให้น้อง” โดยนําของขวัญที่ซื้อในบริเวณงานหรือของขวัญอื่น ๆ มามอบให้ที่บูธจิตอาสา และเขียนคําอวยพรบนการ์ดปีใหม่ เพื่อรวบรวมนําไปส่งต่อความสุขให้กับเด็กจํานวนกว่า 9,000 คน ในสถานสงเคราะห์ทั่วประเทศสังกัดกระทรวง พม. อีกทั้งกิจกรรม “ส่งมอบไออุ่น” โดยการเป็นจิตอาสาร่วมตกแต่งผ้าห่ม จํานวน 100 ผืน ก่อนนําส่งมอบความอบอุ่นให้กับกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในช่วงหน้าหนาว นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ กระทรวง พม. ขอขอบคุณบริษัท เอ็ม บี เค จํากัด (มหาชน) ที่พร้อมให้การสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐและเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคม ภายใต้การดูแลของกระทรวง พม. ให้ได้มีอาชีพและรายได้ เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จึงขอเชิญชวนให้ทุกคนมาร่วมมอบกําลังใจและส่งต่อความสุขใน โครงการ “Gift for Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ” ระหว่างวันที่ 4 - 6 ธันวาคม 2562 ณ ลาน Avenue Zone A ศูนย์การค้า MBK Center กรุงเทพฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-4 – 6 ธ.ค. นี้ พม. เชิญร่วมอุดหนุนผลิตภัณฑ์งานฝีมือจากผู้ด้อยโอกาส พร้อมรับบริจาคของขวัญปีใหม่ส่งต่อให้น้องๆ ในสถานสงเคราะห์กว่า 9,000 คนทั่วประเทศ วันพุธที่ 4 ธันวาคม 2562 4 – 6 ธ.ค. นี้ พม. เชิญร่วมอุดหนุนผลิตภัณฑ์งานฝีมือจากผู้ด้อยโอกาส พร้อมรับบริจาคของขวัญปีใหม่ส่งต่อให้น้องๆ ในสถานสงเคราะห์กว่า 9,000 คนทั่วประเทศ 4 – 6 ธ.ค. นี้ พม. เชิญร่วมอุดหนุนผลิตภัณฑ์งานฝีมือจากผู้ด้อยโอกาส พร้อมรับบริจาคของขวัญปีใหม่ส่งต่อให้น้องๆ ในสถานสงเคราะห์กว่า 9,000 คนทั่วประเทศ วันนี้ (4 ธ.ค. 62) เวลา 13.00 น. ที่ลาน Avenue Zone A ศูนย์การค้า MBK Center กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “Gift for Give มหกรรมของขวัญถูกใจ..ได้บุญ” ภายใต้แนวคิด “ให้....ความสุข เพื่อคนที่คุณรัก ให้....โอกาส เพื่อผู้ด้อยโอกาสในสังคม ให้....ความรัก เพื่อโลกของเรา” ด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ (MBK) เพื่อร่วมส่งความสุข ด้วยการมอบของขวัญปีใหม่ให้กับผู้ด้อยโอกาสในสังคม ผ่านการสนับสนุนผลิตภัณฑ์งานฝีมือ เป็นการส่งเสริมอาชีพและรายได้ เพื่อให้สามารถดูแลตนเองและดํารงชีวิตได้อย่างมีความสุข นายจุติ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีภารกิจหลักในการรับผิดชอบประชาชนกลุ่มเป้าหมายทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้ที่พึ่ง ราษฎรบนพื้นที่สูง และผู้ด้อยโอกาสในสังคม โดยมุ่งเน้นการช่วยเหลือ ดูแล คุ้มครอง และพัฒนา เพื่อให้ได้รับสวัสดิการของรัฐอย่างทั่วถึง สู่การยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดี โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยการบูรณาการกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคธุรกิจเอกชนที่มีศักยภาพในการเข้ามามีส่วนร่ว่มในการรับผิดชอบสังคม เพื่อให้ประช่าชนกลุ่มเป้าหมายได้รับการพัฒนาอย่างทั่วถึง รวมทั้งการส่งเสริมอาชีพและรายได้อย่างมั่นคง นายจุติ กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. ร่วมกับบริษัท เอ็ม บี เค จํากัด (มหาชน) จัดโครงการ “Gift for Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ” ระหว่างวันที่ 4 - 6 ธันวาคม 2562 ณ ลาน Avenue Zone A ศูนย์การค้า MBK Center กรุงเทพฯ เป็นการเปิดพื้นที่ด้วยการนําผลิตภัณฑ์งานฝีมือจากกลุ่มเป้าหมายภายใต้การดูแลของหน่วยงานสังกัดของกระทรวง พม. ประกอบด้วย กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) และกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) รวมทั้งหน่วยงานภาคีเครือข่าย มาออกร้านจําหน่าย โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย อาทิ ผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือ กระเป๋า และสินค้าจากภูมิปัญญาท้องถิ่นในเครือข่ายของ สค. สินค้าแฮนด์เมด งานไม้ ของตกแต่งบ้านจากสถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่งทั่วประเทศ และผลิตภัณฑ์ผ้าทอและสินค้าพื้นเมืองสะท้อนเอกลักษณ์ชนเผ่าจากศูนย์เรียนรู้วิถีราษฎรบนพื้นที่สูง เป็นต้น นายจุติ กล่าวต่ออีกว่า อีกทั้งเป็นการเปิดเวทีให้กลุ่มเป้าหมายได้แสดงความสามารถและสาธิตผลิตภัณฑ์งานฝีมือ อาทิ การแสดงดนตรีจากผู้พิการทางการมองเห็น “วง S2S” การแสดงวิถีชนเผ่าพื้นที่สูง การแสดงระบําดอกบัว การแสดงดนตรีไทย การแสดงคัพ ซอง (Cup Song) การแสดงเต้นบาสโลบ การแสดงนักมายากลเปลี่ยนหน้า การแสดงกลองยาว และการแสดงร้องเพลงประสานเสียงจากบ้านพระพร เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม “จากใจให้น้อง” โดยนําของขวัญที่ซื้อในบริเวณงานหรือของขวัญอื่น ๆ มามอบให้ที่บูธจิตอาสา และเขียนคําอวยพรบนการ์ดปีใหม่ เพื่อรวบรวมนําไปส่งต่อความสุขให้กับเด็กจํานวนกว่า 9,000 คน ในสถานสงเคราะห์ทั่วประเทศสังกัดกระทรวง พม. อีกทั้งกิจกรรม “ส่งมอบไออุ่น” โดยการเป็นจิตอาสาร่วมตกแต่งผ้าห่ม จํานวน 100 ผืน ก่อนนําส่งมอบความอบอุ่นให้กับกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในช่วงหน้าหนาว นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ กระทรวง พม. ขอขอบคุณบริษัท เอ็ม บี เค จํากัด (มหาชน) ที่พร้อมให้การสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐและเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคม ภายใต้การดูแลของกระทรวง พม. ให้ได้มีอาชีพและรายได้ เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จึงขอเชิญชวนให้ทุกคนมาร่วมมอบกําลังใจและส่งต่อความสุขใน โครงการ “Gift for Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ” ระหว่างวันที่ 4 - 6 ธันวาคม 2562 ณ ลาน Avenue Zone A ศูนย์การค้า MBK Center กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25024
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส.พร้อมเยียวยาชาวบ้านผู้รับน้ำจากถ้ำหลวง จ.เชียงราย
วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม 2561 ธ.ก.ส.พร้อมเยียวยาชาวบ้านผู้รับน้ําจากถ้ําหลวง จ.เชียงราย ธ.ก.ส.พร้อมจ่ายเงินเยียวยาให้ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการระบายน้ําจาก ถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน เพื่อช่วยเหลือ 13 ชีวิตทีมหมูป่า ครัวเรือนละ 3,000 บาท พร้อมประสานสมาคมประกันวินาศภัยไทย เร่งชดเชยความเสียหายกรณีเกษตรกรทําประกันภัยข้าวนาปี นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. พร้อมให้ความช่วยเหลือเกษตรกรรวมถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกรณีการเร่งระบายน้ําจากวนอุทยานถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อช่วยเหลือเยาวชนและโค้ชทีมหมูป่าจํานวน 13 ชีวิต โดยได้มอบหมายให้พนักงาน ธ.ก.ส.ในพื้นที่เร่งสํารวจความเสียหาย เบื้องต้นพบว่ามีพื้นที่ทํานาที่เป็นจุดรับน้ําจํานวน 3 ตําบล คือ ต.ศรีเมืองชุม ต.โป่งผา และ ต.บ้านด้าย จํานวนพื้นที่ 1,397 ไร่ เกษตรกรได้รับผลกระทบจํานวน 101 ราย การเสียสละของชาวบ้านครั้งนี้ ถือเป็นน้ําใจอันยิ่งใหญ่ที่คนไทยได้แสดงออกมาเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันในยามวิกฤติ ธ.ก.ส. จึงขอเป็นกําลังใจโดยมอบเงินจากกองทุนบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบภัย ให้กับชาวบ้านครัวเรือนละ 3,000 บาท โดยโอนเงินเข้าบัญชีโดยตรงให้กับผู้ได้รับผลกระทบทุกราย ส่วนการเยียวยาจากภาครัฐกรณีนาข้าวเสียหาย จะได้รับเงินช่วยเหลือในอัตราไร่ละ 1,113 บาท และในกรณีที่เกษตรกรในกลุ่มดังกล่าวได้ทําประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2561 ซึ่งกําหนดอัตราการชดเชยค่าเสียหายไร่ละ 1,260 บาท ธ.ก.ส. จะเร่งประสานสมาคมประกันวินาศภัยไทย ให้ดําเนินการจ่ายเงินชดเชยความเสียหายให้กับเกษตรกรโดยเร็ว ซึ่งการช่วยเหลือดังกล่าว จะทําให้เกษตรกรเฉพาะผู้ที่ทําประกันภัย ได้รับการเงินช่วยเหลือและเงินชดเชยรวมไร่ละ 2,373 บาท สําหรับการดําเนินงานในระยะต่อไป ธ.ก.ส. และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะเข้าไปดูแลและฟื้นฟูตามสภาพความเป็นจริง เพื่อให้เกษตรกรสามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ ทั้งนี้ ในส่วนของการปรับแผนการระบายน้ํา ที่อาจส่งผลกระทบไปยังชาวบ้านในตําบลอื่น ๆ เช่น มีรายงานเพิ่มเติมเข้ามาว่า ต. โป่งงาม เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่รับน้ําตามแผนปฏิบัติการในการเข้าไปช่วยเหลือครั้งนี้ ซึ่ง ธ.ก.ส.ก็จะเร่งสํารวจและให้ความช่วยเหลือเช่นเดียวกัน นายอภิรมย์กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส.พร้อมเยียวยาชาวบ้านผู้รับน้ำจากถ้ำหลวง จ.เชียงราย วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม 2561 ธ.ก.ส.พร้อมเยียวยาชาวบ้านผู้รับน้ําจากถ้ําหลวง จ.เชียงราย ธ.ก.ส.พร้อมจ่ายเงินเยียวยาให้ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการระบายน้ําจาก ถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน เพื่อช่วยเหลือ 13 ชีวิตทีมหมูป่า ครัวเรือนละ 3,000 บาท พร้อมประสานสมาคมประกันวินาศภัยไทย เร่งชดเชยความเสียหายกรณีเกษตรกรทําประกันภัยข้าวนาปี นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. พร้อมให้ความช่วยเหลือเกษตรกรรวมถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกรณีการเร่งระบายน้ําจากวนอุทยานถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อช่วยเหลือเยาวชนและโค้ชทีมหมูป่าจํานวน 13 ชีวิต โดยได้มอบหมายให้พนักงาน ธ.ก.ส.ในพื้นที่เร่งสํารวจความเสียหาย เบื้องต้นพบว่ามีพื้นที่ทํานาที่เป็นจุดรับน้ําจํานวน 3 ตําบล คือ ต.ศรีเมืองชุม ต.โป่งผา และ ต.บ้านด้าย จํานวนพื้นที่ 1,397 ไร่ เกษตรกรได้รับผลกระทบจํานวน 101 ราย การเสียสละของชาวบ้านครั้งนี้ ถือเป็นน้ําใจอันยิ่งใหญ่ที่คนไทยได้แสดงออกมาเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันในยามวิกฤติ ธ.ก.ส. จึงขอเป็นกําลังใจโดยมอบเงินจากกองทุนบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบภัย ให้กับชาวบ้านครัวเรือนละ 3,000 บาท โดยโอนเงินเข้าบัญชีโดยตรงให้กับผู้ได้รับผลกระทบทุกราย ส่วนการเยียวยาจากภาครัฐกรณีนาข้าวเสียหาย จะได้รับเงินช่วยเหลือในอัตราไร่ละ 1,113 บาท และในกรณีที่เกษตรกรในกลุ่มดังกล่าวได้ทําประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2561 ซึ่งกําหนดอัตราการชดเชยค่าเสียหายไร่ละ 1,260 บาท ธ.ก.ส. จะเร่งประสานสมาคมประกันวินาศภัยไทย ให้ดําเนินการจ่ายเงินชดเชยความเสียหายให้กับเกษตรกรโดยเร็ว ซึ่งการช่วยเหลือดังกล่าว จะทําให้เกษตรกรเฉพาะผู้ที่ทําประกันภัย ได้รับการเงินช่วยเหลือและเงินชดเชยรวมไร่ละ 2,373 บาท สําหรับการดําเนินงานในระยะต่อไป ธ.ก.ส. และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะเข้าไปดูแลและฟื้นฟูตามสภาพความเป็นจริง เพื่อให้เกษตรกรสามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ ทั้งนี้ ในส่วนของการปรับแผนการระบายน้ํา ที่อาจส่งผลกระทบไปยังชาวบ้านในตําบลอื่น ๆ เช่น มีรายงานเพิ่มเติมเข้ามาว่า ต. โป่งงาม เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่รับน้ําตามแผนปฏิบัติการในการเข้าไปช่วยเหลือครั้งนี้ ซึ่ง ธ.ก.ส.ก็จะเร่งสํารวจและให้ความช่วยเหลือเช่นเดียวกัน นายอภิรมย์กล่าว
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13619
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ประชุมยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนาภาคเหนือร่วมกับผู้แทนภาคเอกชน ผู้ว่าฯ 17 จังหวัดภาคเหนือ
วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม 2560 นายกรัฐมนตรี ประชุมยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนาภาคเหนือร่วมกับผู้แทนภาคเอกชน ผู้ว่าฯ 17 จังหวัดภาคเหนือ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนาภาคเหนือร่วมกับผู้แทนภาคเอกชน ผู้ว่าฯ 17 จังหวัดภาคเหนือ ยืนยันรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนยกระดับขีดความสามารถกลุ่มภาคเหนือ วันนี้ (25 ธันวาคม 2560) เวลา 13.20 น. ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม ตําบลพลายชุมพล อําเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนาภาคเหนือร่วมกับผู้แทนภาคเอกชน ผู้แทนสภาเกษตรกร ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้ว่าราชการจังหวัดจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ เพื่อผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของพื้นที่ในด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางอากาศ ทางบก และทางราง ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําและสิ่งแวดล้อม 9 ลุ่มแม่น้ําในภาคเหนือ ด้านการเกษตรและเกษตรแปรรูป ด้านการค้า การลงทุน และการค้าชายแดน ด้านการแพทย์ การบริการผู้สูงอายุและสังคมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน และด้านการท่องเที่ยวเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวมอบนโยบายก่อนการประชุมว่า ภาคเหนือเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีศักยภาพสูง อีกทั้งต้องเชื่อมโยงเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน จึงต้องพัฒนาเพื่อยกระดับขีดความสามารถให้กับกลุ่มภูมิภาคได้เดินหน้าต่อไปในอนาคต สําหรับการประชุมร่วมในวันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงว่าเพื่อต้องการรับฟังความคิดเห็น รวมถึงปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น หากมีสิ่งใดที่ต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนขอให้แจ้งมาได้ ซึ่งรัฐบาลพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน และยินดีให้การส่งเสริม สนับสนุนสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อไป ---------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ประชุมยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนาภาคเหนือร่วมกับผู้แทนภาคเอกชน ผู้ว่าฯ 17 จังหวัดภาคเหนือ วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม 2560 นายกรัฐมนตรี ประชุมยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนาภาคเหนือร่วมกับผู้แทนภาคเอกชน ผู้ว่าฯ 17 จังหวัดภาคเหนือ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนาภาคเหนือร่วมกับผู้แทนภาคเอกชน ผู้ว่าฯ 17 จังหวัดภาคเหนือ ยืนยันรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนยกระดับขีดความสามารถกลุ่มภาคเหนือ วันนี้ (25 ธันวาคม 2560) เวลา 13.20 น. ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม ตําบลพลายชุมพล อําเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนาภาคเหนือร่วมกับผู้แทนภาคเอกชน ผู้แทนสภาเกษตรกร ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้ว่าราชการจังหวัดจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ เพื่อผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของพื้นที่ในด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางอากาศ ทางบก และทางราง ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําและสิ่งแวดล้อม 9 ลุ่มแม่น้ําในภาคเหนือ ด้านการเกษตรและเกษตรแปรรูป ด้านการค้า การลงทุน และการค้าชายแดน ด้านการแพทย์ การบริการผู้สูงอายุและสังคมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน และด้านการท่องเที่ยวเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวมอบนโยบายก่อนการประชุมว่า ภาคเหนือเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีศักยภาพสูง อีกทั้งต้องเชื่อมโยงเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน จึงต้องพัฒนาเพื่อยกระดับขีดความสามารถให้กับกลุ่มภูมิภาคได้เดินหน้าต่อไปในอนาคต สําหรับการประชุมร่วมในวันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงว่าเพื่อต้องการรับฟังความคิดเห็น รวมถึงปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น หากมีสิ่งใดที่ต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนขอให้แจ้งมาได้ ซึ่งรัฐบาลพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน และยินดีให้การส่งเสริม สนับสนุนสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อไป ---------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8988
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Q : จริงหรือไม่ ถ้าใช้แอลกอฮอล์เจลเวลามือเปียก จะสามารถทำลายไวรัสโควิด-19 ได้น้อยลง ??
วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 2563 Q : จริงหรือไม่ ถ้าใช้แอลกอฮอล์เจลเวลามือเปียก จะสามารถทําลายไวรัสโควิด-19 ได้น้อยลง ?? ถ้าใช้แอลกอฮอล์เจลเวลามือเปียก จะสามารถทําลายไวรัสโควิด-19 ได้น้อยลง ?? Q : จริงหรือไม่ ถ้าใช้แอลกอฮอล์เจลเวลามือเปียก จะสามารถทําลายไวรัสโควิด-19 ได้น้อยลง A : จริง เพราะความชื้นจากน้ํา จะส่งผลทําให้ประสิทธิภาพของแอลกอฮอล์ลดลง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Q : จริงหรือไม่ ถ้าใช้แอลกอฮอล์เจลเวลามือเปียก จะสามารถทำลายไวรัสโควิด-19 ได้น้อยลง ?? วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 2563 Q : จริงหรือไม่ ถ้าใช้แอลกอฮอล์เจลเวลามือเปียก จะสามารถทําลายไวรัสโควิด-19 ได้น้อยลง ?? ถ้าใช้แอลกอฮอล์เจลเวลามือเปียก จะสามารถทําลายไวรัสโควิด-19 ได้น้อยลง ?? Q : จริงหรือไม่ ถ้าใช้แอลกอฮอล์เจลเวลามือเปียก จะสามารถทําลายไวรัสโควิด-19 ได้น้อยลง A : จริง เพราะความชื้นจากน้ํา จะส่งผลทําให้ประสิทธิภาพของแอลกอฮอล์ลดลง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30210
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2560
วันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2560 ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2560 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2560 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ตามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนได้เข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2559 และบัดนี้ สํานักพระราชวังได้มีประกาศขอเปิดให้ประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ ในวันที่ 30 กันยายน 2560 นี้ เป็นวันสุดท้าย ทั้งนี้ เพื่อจะได้ดําเนินการจัดเตรียมการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ให้สมพระเกียรติต่อไป นั้น ผมขอแสดงความชื่นชมพี่น้องประชาชนจากทุกภาคส่วน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกศาสนา ทั่วฟ้าเมืองไทย ใต้ร่มพระบารมี โดยเฉพาะ “จิตอาสา”ที่ได้ร่วมกัน “ทําดีเพื่อพ่อ” ถวายแด่ “พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย”ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ก็มีผู้เข้าถวายสักการะพระบรมศพ จํานวนกว่า 10 ล้านคน สําหรับห้วงเวลาที่เหลืออยู่ อีกประมาณ 1 เดือน นับจากนี้ เราทุกคน ยังคงมีงาน “ขั้นสุดท้าย” สําหรับภารกิจร่วมกันในครั้งนี้ ทั้งในส่วนตนและในส่วนรวม อาทิ การปลูกดอกดาวเรือง หรือดอกไม้ที่มีสีเหลือง ณ ที่พักอาศัย อาคารสถานที่ต่างๆ เพื่อให้ออกดอก เบ่งบานทั่วแผ่นดิน ในช่วงงานพระราชพิธีสําคัญนี้ ไปจนถึง การซักซ้อมการปฏิบัติ ในทุกรายละเอียด โดยเฉพาะในขบวนพระราชอิสริยยศ ซึ่งเรียกว่า“ริ้วขบวน” ตามโบราณราชประเพณี เพื่อให้มีความพร้อมและงดงาม“ประหนึ่งราชรถเคลื่อนบนหมู่เมฆส่งเสด็จสู่สวรรค์” อันจะเป็นภาพความทรงจํา ที่จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติไทย และของโลกต่อไป ในการเดียวกันนี้ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชวินิจฉัยให้รัฐบาลดําเนินการก่อสร้างพระเมรุมาศจําลองทั่วประเทศ ด้วยทรงห่วงใยว่า ประชาชนจํานวนมาก จะไม่สามารถเดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ ได้ จึงมีพระราชประสงค์ให้ทุกคนได้มีโอกาสถวายความจงรักภักดีแด่ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” เป็นครั้งสุดท้ายอย่างทั่วถึง โดยควรจะได้สัมผัสบรรยากาศและความรู้สึกเช่นเดียวกัน อย่างพร้อมเพรียงทั่วทั้งประเทศ คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา ในการจัดสร้างพระเมรุมาศจําลอง รวมจํานวน 85 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จํานวน 9 แห่ง ในส่วนภูมิภาค จํานวน 76 จังหวัดๆ ละ 1 แห่ง โดยผลการดําเนินงานในปัจจุบัน เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เป็นไปตามแผนงาน และมีความก้าวหน้าไปมาก รวมทั้งได้จัดให้มีพิธีบวงสรวง “นพปฎลสุวรรณฉัตร” (ฉัตรทอง 9 ชั้น) เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนยอดพระเมรุมาศจําลอง ทั้ง 85 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้กําหนดแล้วเสร็จในวันที่ 15 ตุลาคม ศกนี้ โดยพี่น้องประชาชนในต่างจังหวัดจะสามารถร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ ณ พื้นที่ซึ่งทางจังหวัดของตนกําหนดไว้เช่นกัน ตามความสมัครใจ ซึ่งทุกจังหวัดและอําเภอ ได้จัดทําแผนอํานวยความสะดวก ให้แก่ประชาชนที่มาร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ อาทิ อาหาร น้ําดื่ม ห้องน้ํา แพทย์ พยาบาลการรักษาความปลอดภัย รวมทั้งการจราจรและอื่น ๆ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้การแสดงความอาลัยและความจงรักภักดีในวันที่ 26 ตุลาคม 2560 เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สําหรับรายละเอียดอื่น ๆ เพิ่มเติม เกี่ยวกับพระราชพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพ สามารถสืบค้นข้อมูลและติดตามข่าวสาร ได้จากเว็บไซต์และสายด่วน สําหรับโครงการ“จิตอาสาเฉพาะกิจในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ”ตามพระราชดําริของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบันนั้น ยังคงเปิดรับสมัครต่อไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายนนี้ อย่างไรก็ตาม ผมเห็นว่า การทําดีเพื่อพ่อทําได้ทุกวันทุกกิจกรรม ไม่ว่าจะเล็กจะใหญ่ โดยเฉพาะการทําเพื่อส่วนรวม สังคม ประเทศชาติ ยกตัวอย่าง พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ ได้มีพระดําริบูรณะวิหารปฏิบัติธรรม วัดธาราทิพย์ประดิษฐ์ ตําบลแม่แตง อําเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ “ในหลวง รัชกาลที่ 9” โดยทรงตั้งพระทัย จะเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง ตามศิลปะล้านนาไทย แบบร่วมสมัย ให้มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธประวัติและไตรภูมิจักรวาล รวมทั้งบทพระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 โดยเฉพาะเรื่อง “บุคคลเปรียบด้วยน้ํา 7 จําพวก” ซึ่งเป็นปริศนาธรรม เปรียบเสมือน “คนตกน้ํา” กับ “การเอาชนะอุปสรรค การถอนตัวออกจากกองทุกข์กองกิเลส” เป็นต้น นอกจากนี้ ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ได้ลองติดตามศึกษา “ศาสตร์พระราชา” ในรูปแบบหนังสือเสียง ชื่อ“The Visionaryถอดรหัสกษัตริย์ผู้มองเห็นอนาคต”สําหรับการ “สานต่อที่พ่อทํา” คือ การสืบสานพระราชปณิธาน ผ่านวิธีคิดในการทํางานและการดําเนินชีวิต ที่ได้ทรงทําไว้เป็นแบบอย่าง ให้ประชาชนของพระองค์ท่านได้นําไปปรับใช้เป็นธรรมะประจําใจในการดําเนินชีวิตด้วย พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ การบริหารราชการแผ่นดินนั้น เรามีความจําเป็นที่จะต้องสร้างความเชื่อมโยง และสอดคล้องกัน จากระดับท้องถิ่น จังหวัด ภาค และประเทศ แม้ว่าจะมีหลายกลไกที่ทําหน้าที่ดังกล่าวอยู่แล้ว อาทิ ระบบราชการกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งมีรัฐมนตรีรับผิดชอบ สายการปกครองบังคับบัญชา ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้านรับผิดชอบ รวมทั้งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังมีความจําเป็น และเห็นความสําคัญอย่างมากในการลงพื้นที่ทุกภูมิภาค เพื่อพบปะกับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรับทราบปัญหา ซึ่งทุกครั้งที่ไปก็คงไม่ใช่เฉพาะว่าผมไปพบพี่น้อง แล้วก็ได้พูดคุยกับทุกท่านที่มาตรงนั้น ผมก็ได้ให้มีการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียน หรือปัญหาต่าง ๆ หลายท่านที่อาจจะไม่ได้มีโอกาสได้พบกับผมโดยตรง ซึ่งผมก็ได้ให้ศูนย์ดํารงธรรมให้สามารถรับเรื่องร้องเรียนได้ทุกเรื่อง ครั้งที่แล้วผมก็รับมาหลายปัญหาเช่นเดียวกัน ก็ได้สั่งการให้หน่วยงานในพื้นที่แก้ปัญหาไปแล้ว อย่ามองว่าไปเพื่อทํางานการเมือง ไปทําประชานิยม ไปทําคะแนนเสียง ผมไม่ได้ต้องการอย่างนั้น ผมต้องการทราบความต้องการที่แท้จริง และก็หาวิธีการทํางานในการตอบโจทย์ของประชาชนตามแนวทางศาสตร์พระราชาด้วย การลงพื้นที่ภาคกลางครั้งนี้ ผมและคณะรัฐมนตรี ได้สร้างการรับรู้ ทําความเข้าใจมีโอกาสพูดคุยและขอความร่วมมือกับกลไกประชารัฐในพื้นที่เกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาภาคกลาง เรามี 6 ภาค อย่าลืมปัจจุบัน ซึ่งเป้าหมายของภาคกลางคือ การพัฒนาภาคกลางสู่มหานครทันสมัยและเป็นฐานการเชื่อมโยงประเทศไทยสู่เส้นทางขนส่งสองฝั่งทะเลดังนี้ (1) การเสริมสร้างกรุงเทพมหานครเป็นมหานครทันสมัยระดับโลก ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมเมือง โดยเร่งพัฒนาระบบขนส่งมวลชน การก่อสร้างถนนวงแหวน การจัดระเบียบการใช้พื้นที่ การคุ้มครองแหล่งอนุรักษ์และทัศนียภาพของเมือง การพัฒนาระบบดูแลผู้สูงอายุ การออกแบบโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นอารยสถาปัตย์การแก้ไขปัญหาขยะ น้ําเสีย น้ําท่วม รวมทั้ง การสร้างระบบป้องกันภัยอาชญากรรมและภัยก่อการร้าย เป็นต้น (2) การพัฒนาคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติและสร้างความเชื่อมโยงให้กระจายไปทั่วทั้งภาค ได้แก่ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวมรดกโลกพระนครศรีอยุธยาอย่างยั่งยืน การรักษาคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวระดับนานาชาติ อาทิ วัดพระแก้ว ชายทะเลชะอํา หัวหิน และสนามกีฬา สนามกอล์ฟระดับโลกทางด้านตะวันตกของภาค การเพิ่มมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวท้องถิ่น เช่น ตลาดย้อนยุค ตลาดน้ํา และแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ กลุ่มประวัติศาสตร์และศาสนา กลุ่มดูแลสุขภาพและแพทย์แผนไทย ตลอดไปจนถึง การเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวชุมชน แหล่งผลิตสินค้าOTOPและแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร เป็นต้น (3) การยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม โดยใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ เพื่อที่เราจะสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ประกอบด้วย การเสริมศักยภาพศูนย์วิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าวการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีการเกษตรเพื่อยกระดับไปสู่Smart Farming,การพัฒนามาตรฐานฟาร์มและมาตรฐานการผลิตอาหารปลอดภัยที่จะต้องสอดคล้องกับมาตรฐานสากล รวมทั้ง การเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมประมง อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้นและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการส่งเสริมธุรกิจSMEsและStartupเป็นต้น (4) การบริหารจัดการน้ําและทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อแก้ไขปัญหาน้ําท่วม ภัยแล้ง และคงความสมดุลของระบบนิเวศอย่างยั่งยืน โดยการพัฒนาแหล่งน้ําและระบบกระจายน้ํา ในพื้นที่แล้งซ้ําซาก การป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ําท่วมพื้นที่เศรษฐกิจ ชุมชน โบราณสถาน และน้ําท่วมซ้ําซาก ในพื้นที่ลุ่มน้ําเจ้าพระยาตอนล่าง ลุ่มน้ําเจ้าพระยาตอนกลาง การขุดลอกลําน้ําเพื่อเพิ่มปริมาณการกักเก็บน้ําและเพิ่มความสะดวกการขนส่งทางน้ําการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในกลุ่มจังหวัดตอนล่างของภาค รวมทั้งการป้องกันการบุกรุกทําลายป่าและฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมทางตะวันตกของภาค เป็นต้น (5) การเปิดประตูการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว เพื่อจะเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายในเมียนมากับระเบียงเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในประเทศไทย โดยการพัฒนาถนนมอเตอร์เวย์ และรถไฟ ที่จะเชื่อม กรุงเทพ-กาญจนบุรี การพัฒนาเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจของภาคบนแนวเส้นทางเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายกับEEC การเร่งพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน รวมทั้งการพัฒนามาตรฐานด่านชายแดน (6) การพัฒนาความเชื่อมโยงเศรษฐกิจและสังคมกับทุกภาค เพื่อจะเสริมสร้างเสถียรภาพและลดความเหลื่อมล้ําภายในประเทศ ด้วยการเร่งดําเนินการตามแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมขนส่งทั้งรถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่และมอเตอร์เวย์ ทั้งนี้ จากการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด, ผู้แทนภาคเอกชน, ผู้บริหารองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น “พื้นที่ภาคกลาง” และผู้แทนเกษตรกรในพื้นที่ นั้นก็เป็นการรับฟังแนวความคิดในการพัฒนาตนเองของจังหวัดต่าง ๆ ที่กลไก “ประชารัฐ” ในท้องถิ่น ได้ทําการบ้านมาล่วงหน้า เพื่อจะนําเสนอคณะรัฐมนตรีให้พิจารณา ซึ่งมีหลายโครงการที่ตรงกับสิ่งที่ผมได้กล่าวไปแล้วคือเกิดความเชื่อมโยงเสริมสร้างการเติมเต็มแผนงานของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี ซึ่งบางส่วนเป็นสิ่งที่เกินขีดความสามารถของพื้นที่ จําเป็นที่รัฐบาลต้องยื่นมือมาช่วยเหลือ ตัวอย่างโครงการสําคัญ ๆ เหล่านั้น ได้แก่ (1) ด้านการพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่ง อาทิ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขอให้กําหนดรูปแบบการก่อสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูงของการรถไฟแห่งประเทศไทย และสถานีขนส่งทางบกของกรมการขนส่งทางบกในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้มีภูมิสถาปัตย์ ที่เหมาะสมและกลมกลืนกับความเป็นเมืองมรดกโลก (2) ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําจังหวัดอ่างทองขอให้จัดทําเขื่อนป้องกันตลิ่งเพื่อบรรเทาผลกระทบจากน้ําท่วมที่เกิดจากน้ําที่ระบายจากเขื่อนเจ้าพระยา บริเวณชุมชนริมคลองโผงเผง และจังหวัดเพชรบุรีขอให้มีการก่อสร้างระบบท่อผันน้ําจากเขื่อนแก่งกระจาน ลงอ่างเก็บน้ําทุ่งขาม ระยะทางประมาณ 36 กิโลเมตร เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ําในพื้นที่ (3) ด้านการเกษตรจังหวัดสมุทรสงครามขอรับการสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์แปรรูปอาหารทะเลครบวงจร และจําหน่ายอาหารทะเล เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้เช่า เพื่อทําการค้าขาย (4) ด้านการท่องเที่ยว จังหวัดชัยนาท ขอเป็นส่วนหนึ่งในเขตพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชีวิตลุ่มแม่น้ําเจ้าพระยาตอนกลาง และจังหวัดพระนครศรีอยุธยาขอให้พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ โดยดําเนินการเป็นโครงการประชารัฐ “เนรมิตอยุธยา”ด้วยการบูรณะโบราณสถาน ต้นไม้ ส่งเสริมการเดินทางโดยจักรยาน เรือรถราง โดยสร้างจุดแวะพัก และดูแลความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว เป็นต้น ผมเห็นว่าทุกโครงการมีประโยชน์ในภาพรวมของภูมิภาค และประเทศทั้งสิ้น จึงได้สั่งการให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องรับไปศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมโดยให้มีการทํางานอย่างบูรณาการกัน ทั้งในส่วนแผนงาน งบประมาณ ระยะเวลาที่ต้องเร่งดําเนินการ หากงานในงานใดก็ตามสามารถจะปรับพิจารณาแผนเดิมที่มีอยู่แล้วได้ โดยให้ความสําคัญ ความเร่งด่วนให้สอดคล้องกับข้อเสนอดังกล่าวด้วย ในพื้นที่นั้นด้วย โดยผนวกด้วยยุทธศาสตร์ชาติที่เกื้อกูลกัน เช่น การเชื่อมโยงเมืองท่องเที่ยว โดยลงทุนโครงข่ายการคมนาคมขนส่ง ระหว่างแหล่งท่องเที่ยว ในเมืองหลัก เมืองรอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศของรัฐบาล ได้แก่ (1) ท่าเรือFerryเชื่อมพัทยา-หัวหิน (2) โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองมอเตอร์ เวย์ สายบางปะอิน-นครราชสีมา นครปฐม-ชะอํา และบางใหญ่-กาญจนบุรี (3) โครงการรถไฟทางคู่ นครปฐม-หัวหิน หัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ และลพบุรี-ปากน้ําโพ และ (4) โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ - นครราชสีมา และกรุงเทพฯ-พิษณุโลก เป็นต้น นี่คือประโยชน์ของการลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรี ที่ต้องการทํางานร่วมกับภาคและจังหวัด ซึ่งก็เปรียบเสมือน “วงมโหรีปีพาทย์” ถึงแม้ว่ามีเครื่องดนตรีดีด สี ตี เป่า มีความหลากหลาย และต่างก็เล่นตามโน้ตของตัวเองในเพลงเดียวกันคือสรุปว่าทั้งวง ต้องบรรเลงเพลงทํานองและจังหวะของเพลงนั้น จึงจะเป็น “เสียงดนตรี” ที่ไพเราะ ผสมผสานกัน ทั้งนี้ รัฐบาลและ คสช. ไม่ได้มุ่งหวังเพียงทํางานให้แล้วเสร็จเราจะต้องมีผลงานตามกําหนดเวลาเท่านั้น แต่ต้องปฏิบัติทุกภารกิจให้เกิดผลสัมฤทธิ์ คือสําเร็จอย่างสัมฤทธิ์ จับต้องได้เป็นรูปธรรมไม่ใช่ทําให้แล้ว ๆ ไป นั่นก็ถือว่า การบรรลุวัตถุประสงค์ของการทํางานร่วมกัน ทั้งในเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ บางอย่างนั้นรัฐบาลไม่อาจดําเนินการได้ ครบถ้วนสมบูรณ์ ด้วยระบบราชการเพียงอย่างเดียว ที่ยังคงมีข้อจํากัด หลาย ๆ อย่าง ดังนั้น เราก็ริเริ่มให้มีกลไกประชารัฐที่จะช่วยเติมเต็ม และลดจุดอ่อนเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม การทํางานร่วมกัน ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาควิชาการ และสื่อมวลชน อันจะเป็นความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ ยังคงต้องการให้ปรับตัวเข้าหากัน ทั้งนี้ กุญแจสู่ความสําเร็จ คืออุดมการณ์ในการทํางานเพื่อประเทศชาติและประชาชน ที่เป็นเป้าหมายเดียวกัน สิ่งหนึ่งที่ทุกคนเห็นคือ ผมได้มีโอกาสได้พบกับบรรดานักการเมืองจากพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่มีความยินดีมีการพบปะพูดคุยกัน เรียกว่าการปรองดองในขั้นต้น คือไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นพวกกัน สนับสนุนซึ่งกันและกัน เรายังไม่พูดถึงตรงนั้นเลยเราเพียงแต่ว่าจะร่วมมือกันอย่างไรในวันหน้า เพราะว่าท่านเหล่านั้นเป็นนักการเมืองอาชีพ คือทุกคนอยู่ในกระบวนการบริหารราชการแผ่นดินมา ทุกพรรค เราก็ยินดีที่พบปะพูดคุยแต่บางท่าน บางพรรคไม่อยากพูดคุยด้วย ผมไม่ทราบจะทําอย่างไรเหมือนกัน เพราะฉะนั้น วันนี้ผมต้องกันที่พยายามลดความขัดแย้งที่หลาย ๆ คน เรียกร้องว่า รัฐบาลไม่พูดคุยไม่ฟังใคร ไม่ฟังนักการเมืองผมก็ฟัง พอฟังเสร็จก็หาว่าผมจะพยายามที่จะไปดึงมาเป็นพวกอีก ดึงมาพูดคุยกันเพื่อให้เข้าใจว่า รัฐบาลกําลังจะทําอะไรอยู่แล้ว เมื่อท่านเป็นนักการเมืองเข้าบริหารประเทศท่านจะเห็นว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่รัฐบาลนี้ทําไว้อยู่แล้ว ท่านก็รับไปสานต่อให้สําเร็จผมก็เป็นรัฐบาล คสช. ก็ไม่สามารถทําให้สําเร็จได้ด้วยระยะเวลาอันสั้น ถึงแม้ว่าจะ 3 ปี ก็ตาม บางอย่างมีปัญหามาหลาย 10 ปี ผมยกตัวอย่างเช่น ปัญหาน้ําท่วม ฝนแล้งเราก็เน้นในเรื่องแรก ปีแรก ๆ คือการจัดหาแหล่งน้ําซึ่งต้องทํามากมายในหลายพื้นที่ ทั้งแหล่งน้ําที่เพื่อการเกษตร หรือแหล่งน้ําที่จะเก็บกักน้ําหรือบรรเทาน้ําท่วมที่จะเป็นเรื่องของการขุดที่กักเก็บน้ํา ขุดร่องระบายน้ําและซ่อมซ่อมแซมต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นจํานวนมาก คงรับทราบกันมาบ้างแล้วว่ามีสถิติมากมาย เพิ่มพื้นที่การเกษตรมามากมายคราวนี้ปัญหาของการแก้ปัญหาของน้ําท่วม ต้องแก้อย่างเป็นระบบ ซึ่งต้องใช้งบประมาณสูงมาก เราก็ทยอยดําเนินการ วันนี้เรามีแผนในการระบายน้ําภาคกลาง โดยเฉพาะยิ่งในพื้นที่แม่น้ําเจ้าพระยา เพื่อให้ลงสู่ทะเลได้เร็วในบริเวณพื้นที่ อําเภอบางบาล และบางไทร ถึงแม้ว่าจะเป็นแผนของใครก็ตาม เราก็ต้องมาปรับเหมือนกันไม่ใช่ว่าผมจะไปตัดของทุกคนทิ้งหมด เพียงแต่ว่าเอามาดูว่าเหมาะสมอย่างไร จะทําได้หรือไม่ จะผ่านความเห็นชอบของประชาชนหรือเปล่าไม่ใช่หมายความว่า พอจะทําแล้วก็ประกาศทําเลย ทําไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้น ที่ผ่านมา อาจจะติดปัญหาเหล่านี้ ผมก็ต้องใช้เวลาในการทําความเข้าใจในการทําแผนให้ละเอียดทําและนําสู่การปฏิบัติให้ได้ ก็ขอความร่วมมือประชาชนด้วย หลายอย่างที่กําหนดไว้แล้วเดิมทําไม่ได้ เพราะไม่ได้มีรายละเอียดไว้ก็สร้างความรับรู้ไม่ได้ ประชาชนไม่เข้าใจเราถึงใช้เวลาเกือบ 3 ปี ที่ผ่านมาทําความเข้าใจกับเรื่องนี้มาโดยตลอดไม่ว่าจะเรื่องของการจัดหาที่เก็บน้ํา การทําแก้มลิง การขุดรอบคูคลอง ทุกอย่าง พันกันไปหมดในเรื่องของกฎหมาย ในเรื่องของการทําEIAการทําในเรื่องของการรักษาระบบนิเวศน์ต่าง ๆ เหล่านี้ พันกันไปมาด้วยความไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องมาคลี่ออกต้องใช้เวลาพอสมควร หลายท่านก็บอกทําไมไม่ทํา แต่ทีแรกผมขออนุญาตชี้แจงทําความเข้าใจตรงนี้คงไม่ใช่แค่ระบายน้ําให้เร็วขึ้นอย่างเดียว เพราะจะเป็นคลองที่เก็บกักน้ําไว้ด้วยมีทั้งประตูน้ําตลอดเส้นทางและประตูน้ําปลายทางก่อนจะออกทะเลด้วย ถ้าน้ําน้อยเราก็ปิด ถ้าน้ํามากก็เปิดระบายออกไป เพื่อจะมีการป้องกันน้ําทะเลที่จะรุกเข้ามาในประเทศด้วย อันไหนที่ทําก่อน อันไหนที่ได้ทั่วถึงมาก เราต้องเร่งทําก่อน เพราะประชาชนเดือดร้อนหลายพื้นที่ ตรงนี้ก็อีกกรณีหนึ่ง ซึ่งต้องใช้งบประมาณเป็นหมื่นล้านบาท เหมือนกัน ก็ดําเนินการได้โดยเร็วก็จะเป็นการดี ก็ขอข้อมูลในช่วงปีนี้ด้วย จะเริ่มดําเนินการทําความเข้าใจ สํารวจออกแบบต่าง ๆ ให้รวดเร็ว จะได้เร็วขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้แล้วเดิม อันนี้ก็ขอให้ฝากทําความเข้าใจด้วยว่าไม่ใช่แค่ระบายน้ําให้เร็วขึ้นอย่างเดียว เพราะจะเป็นคลองสําหรับเก็บกักน้ําไว้ด้วย มีทั้งประตูน้ําตลอดเส้นทาง แล้วประตูน้ําทางปลายทาง ก่อนจะออกทะเลด้วย ถ้าน้ําน้อยก็ปิดซะ ถ้าน้ํามากก็เปิดระบายออกไป ก็เท่านั้นเองนะครับ เพื่อจะมีการป้องกันน้ําทะเลที่จะรุกเข้ามาในประเทศด้วย เพราะฉะนั้น ขอให้มองในทุกมิติ ถ้าเสนอกันมาแบบนี้ผมก็สามารถจะทําให้ได้ แต่ถ้าบอกว่าไม่ควรทําเลยไม่ต้องทํา มันยุติทั้งหมดและทําอะไรไม่ได้อีกแล้ว ทุกคนก็มีผลกระทบกับน้ําท่วมฝนแล้งมาโดยตลอดก็อยากให้พิจารณาว่า อันนี้เป็นแบบอย่าง ถ้าเราทําได้ตรงนี้แล้วเห็นผลสัมฤทธิ์ออกมาในภาคอื่น ๆ ก็น่าจะทําได้ โดยเฉพาะภาคเหนือตอนบนซึ่งต้องมีการระบายน้ําออกข้าง ๆ โดยการเก็บกักน้ําไว้ในแหล่งเก็บกักน้ําขนาดใหญ่เพื่อจะเก็บกักน้ําในช่วงสุโขทัยที่เวลามาก ก็จะลงมาภาคกลางลงมาเขื่อนเจ้าพระยา เป็นน้ําต้นทางลงมายังไงก็ทะลุกันหมดแล้วก็สะสมไปร่วมกับน้ําทุ่ง น้ําฝน ที่ตกมากเกินไปหรือที่พายุเข้าก็ท่วมกันทุกพื้นที่ต้องมองภาพรวมของประเทศด้วยไม่ใช่เฉพาะจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งหรือภาคใดภาคหนึ่ง เพราะมีผลกระทบทั้ง 25 ลุ่มน้ํา พี่น้องประชาชน ครับ การลงพื้นที่ 2 จังหวัด ในภาคกลางครั้งนี้ ผมก็ได้เห็นศักยภาพของจังหวัดมากมายแล้วมีโอกาสที่จะเชื่อมโยงกับจังหวัดอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงด้วย ผมถึงบอกว่าจะต้องเป็นภาค สร้างผลประโยชน์กันให้ได้ เพิ่มมูลค่าให้ได้ตามศักยภาพที่จังหวัดมีอยู่ ผมได้รับทราบตามโครงการสําคัญของจังหวัด ทั้ง 2 จังหวัด ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เราไปในครั้งนี้เป็นหลัก แต่ต้องเชื่อมโยงจังหวัดอื่นมาด้วยในจังหวัดกลุ่มภาคกลาง ผู้ว่าก็ได้มาประชุมทั้งจังหวัด เราก็สามารถนํามาขยายผลระดับประเทศได้ ทั้งนี้ การปกครองในจังหวัด ก็ไม่ต่างจากการปกครองประเทศมากนั้น เพียงเป็นการย่อส่วนทั้งในมิติพื้นที่ ความรับผิดชอบ และปัญหา เท่านั้น ซึ่งในครั้งนี้ ผมได้รับทราบโครงการสําคัญในจังหวัด ที่สามารถนํามาขยายผลในระดับประเทศ หรือสร้างความเชื่อมโยงกันได้ในอนาคต อาทิ (1) โรงเรียนเกษตรกรชาวนา จังหวัดสุพรรณบุรี ที่นําความรู้เชิงวิชาการมาสอนชาวนา ข้าราชการ และผู้ที่สนใจ ในเรื่องกระบวนการผลิตข้าวให้มีคุณภาพ เรียนรู้การใช้ศัตรูธรรมชาติควบคุมศัตรูพืช เพื่อลดและงดการใช้สารเคมี ที่เป็นอันตรายต่อชาวนา ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาชาวนาพยายามเร่งผลผลิตด้วยสารเคมี เพื่อให้มีรายได้สูงแต่ต้องมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล ที่เกิดจากโรคภัยในการใช้สารพิษที่มีการใช้ค่าใช้จ่ายสูงกว่า ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกต้องไม่ตรงประเด็น บั่นทอน และไม่ยั่งยืน ต้นทุนผลิตสูง นอกจากนี้ ยังเน้นการปฏิบัติจริงด้วยตนเอง ให้รู้ว่าจากเดิม การหว่านพันธุ์เมล็ดข้าว 25 กิโลกรัมต่อไร่นั้น ถือว่ามากเกินความจําเป็น ทําให้เกิดการกระจุกตัวของต้นข้าว ทั้ง ๆ ที่ 1 เมล็ดสามารถเติบโต เป็นต้นข้าว ได้กว่า 10 กว่ากอ ถ้าทําแบบเดิมต้นข้าวก็จะแย่งอาหารกัน ไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมแล้ว ปลูกห่างกันมากขึ้น ก็จะใช้ปุ๋ยน้อยลง ลดต้นทุนลง ศัตรูพืชก็ลดลง ต้นข้าวก็เจริญงดงามขึ้น ผลผลิตก็มากขึ้นก็เป็นการลดต้นทุนไปด้วยในตัว ที่สําคัญ มีการเสริมวิชาการองค์ความรู้ต่าง ๆ จนได้ผลผลิตที่มีความปลอดภัย และครบวงจร “ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง” ทั้งการผลิต การแปรรูป และการตลาด อย่างเป็นระบบและยั่งยืน ที่สามารถเชื่อมโยงกลุ่มการผลิตเข้าสู่ตลาดได้ ตลอดจนสอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาล บรรดาเกษตรกรก็อยากให้มีทุกจังหวัด ผมได้สั่งการกับกระทรวงเกษตรไปแล้วถ้าเราจะใช้ สวก. นั้นขยายงานตรงนี้ไปก่อนได้ไหมหรือการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วเดิม จะได้ไม่ซ้ําซ้อนกันมากนัก เพราะมีอยู่แล้วทุกจังหวัดทุกหลายพื้นที่ (2) โครงการเปิดน้ําเข้านาปล่อยปลาเข้าทุ่ง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นความร่วมมือกันของชาวนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และกรมชลประทานในการจัดสรรและส่งน้ําให้เกษตรกรในพื้นที่เป้าหมาย ให้เพียงพอสําหรับการปลูกข้าวตามระบบ “การปลูกข้าวเหลื่อมเวลา” และทันกําหนดระยะเวลาที่นัดหมายล่วงหน้า ทั้งนี้ ภายหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตแต่ละครั้งก็จะมีการผันน้ําเข้าทุ่งนา ประมาณ 3 เดือน ซึ่งนอกจากจะมีการปล่อยปลา ให้เกษตรกรได้ทําการประมง เป็นอาชีพเสริมแล้ว น้ําที่ท่วมทุ่งก็จะช่วยนําเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์จากธรรมชาติเข้ามาสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับทุ่งนาอีกด้วย หลักการที่สําคัญ คือ การใช้ทุ่งนาเป็นพื้นที่ “แก้มลิง” รองรับน้ําหลากทั้งนี้พื้นที่เหล่านั้นก็เก็บเกี่ยวไว้ทันเวลาไปเรียบร้อยแล้ว ขอบคุณเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา ในพื้นที่ดังกล่าวด้วย เราถือว่าเป็นแก้มลิงขนาดใหญ่มากมีอยู่หลายแบบด้วยกันมีพื้นที่หลายแสนไร่สามารถเก็บกักน้ําไว้ได้เป็นจํานวนล้านลูกบาศก์เมตร ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาผลกระทบน้ําท่วมซ้ําซากได้อีกด้วยถ้าหากเรามีการระบายน้ําได้เร็วขึ้นมากขึ้นมันก็จะได้ไม่ต้องเก็บไว้นานก็สามารถไปเก็ยในคลองระบายน้ํานั้นได้ด้วยตามประตูน้ําต่าง ๆ นอกจากนี้ การลงพื้นที่ “ภาคกลาง” เพื่อติดตามผลการดําเนินงาน การแก้ไขปัญหาระดับนโยบาย และการมอบแนวทางการทํางานของรัฐมนตรีต่างๆ ก็เป็นประโยชน์อย่างมาก เชื่อมโยงการทํางาน “แนวดิ่ง” ลงไปประสานกันในแนวระดับ ซึ่งผมก็ได้รับรายงานอย่างต่อเนื่องจากกระทรวงต่าง ๆ อาทิ 1. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้มีการติดตามการยกระดับสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม โดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์OTOP“มะขามป้อมแช่อิ่ม”เครื่องสําอางสมุนไพรในกลุ่มจังหวัดภาคกลางการแปรรูปผลิตภัณฑ์แห้ว, การคัดเลือกสายพันธุ์ใบบัวบก ปุ๋ยไส้เดือนดิน วิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ รวมทั้ง การพัฒนาแอปพลิเคชั่น “Museums Pool”(มิวเซียมส์ พลู) ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยว ในเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เป็นตัวช่วยในการชมพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย ผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ส่วนตัว เช่น มือถือ แท็ปเล็ต เป็นต้น ทั้งนี้ ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน นักเรียน นักศึกษา นักวิจัย ข้าราชการ และผู้ที่สนใจ ร่วมในงาน“THAI TECH EXPO2017”ระหว่างวันที่ 20 - 24 กันยายนนี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา ซึ่งมีการจัดแสดงผลงาน ศักยภาพด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมฝีมือคนไทย กว่า 700 ผลงาน ที่พร้อมขับเคลื่อนสู่ภาคการผลิต รองรับการพัฒนาประเทศสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” อีกทั้ง มีกิจกรรมการซื้อขาย - เจรจาธุรกิจ ทั้งระดับชุมชน -SMEs– ธุรกิจขนาดใหญ่ ด้วยนะครับ ขอเชิญชวนทุกท่านที่สนใจไปร่วมชื่นชม ร่วมมือก็จะเกิดขึ้นได้ผลงานวิจัยต่าง ๆ ที่เราทํามากมาย 2. กระทรวงยุติธรรม ติดตามกองทุนยุติธรรม ในการช่วยเหลือประชาชน ราว 3,000 ครั้ง เป็นเงินเกือบ 150 ล้านบาท เพื่อเป็นการช่วยเหลือทางการเงิน แก่ผู้เสียหายและจําเลย ในคดีอาญา เป็นเงินรวม 600 กว่าล้านบาท การไกล่เกลี่ยหนี้ในชั้นบังคับคดีในพื้นที่จังหวัดภาคกลาง เพื่อเป็นการลดปริมาณคดีที่เข้าสู่กระบวนการบังคับคดี และทําให้เกิดความสมานฉันท์สามัคคีในสังคม รวมจํานวน 5,500 กว่าเรื่อง เป็นผลสําเร็จร้อยละ 87 รวมทั้ง การป้องกันและสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเฝ้าระวังปัญหายาเสพติด ในหมู่บ้าน ชุมชนกว่า 13,000 แห่ง เป็นต้น เรื่องปัญหายาเสพติดมีทุกพื้นที่เลยนะครับ ต้องลดลงให้ได้ ต้องขจัดให้หมดสิ้นไป วันนี้ก็เร่งรัดให้ฝ่ายความมั่นคง พลเรือนตํารวจ ทหาร ให้แก้ปัญหาเหล่านี้นะครับ เรื่องยาเสพติดให้ได้โดยเร็ว เป็นบ่อนทําลายประเทศชาติทั้งทางตรงและทางอ้อม 3. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ติดตามความคืบหน้า “โครงการเน็ตประชารัฐ” ซึ่งมีเป้าหมายส่งมอบ 24,700 หมู่บ้าน ภายในสิ้นปีนี้ โดยสิ้นเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมาสามารถส่งมอบได้กว่า 15,000 หมู่บ้าน เร็วกว่ากําหนดราว 4,000 หมู่บ้าน ซึ่งในพื้นที่ภาคกลาง มีเป้าหมาย 1,514 หมู่บ้าน ดําเนินการแล้วเสร็จเฉลี่ย ร้อยละ 60 นับว่าเป็นไปตามแผน ในการพัฒนาระดับหมู่บ้าน ตําบล ที่รัฐบาลถือว่าเป็น “จุดยุทธศาสตร์” ของการพัฒนาในทุกเรื่อง คือ เริ่มตั้งแต่ระดับฐานราก นะครับ อันนี้ก็ขอให้ส่วนราชการในพื้นที่ได้ทําความเข้าใจกับประชาชนด้วย เมื่อเสร็จแล้วใช้ประโยชน์อย่างไร กลุ่มใดบ้าง ช่องทางเป็นอย่างไร เขาไม่เข้าใจทําไปก็ไม่เกิดประโยชน์ อย่าไปรอว่าทําให้เสร็จทําเสร็จแล้วค่อยไปสอนก็ไม่ใช่ ต้องสอนตั้งแต่วันนี้ไม่ว่าเสร็จหรือไม่เสร็จ เพราะเป็นการเตรียมความพร้อมของประชาชนก่อนครับ สําคัญที่สุด พี่น้องประชาชนที่เคารพ ครับ การพัฒนาในอดีตในศตวรรษที่ผ่านมา เรามุ่งเน้นพัฒนาให้เกิดการเติบโตแต่เพียงทางเศรษฐกิจเป็นสําคัญ สิ่งที่เกิดขึ้นคือความไม่สมดุล ขาดการบูรณาการ จนเราต้องสูญเสียความสมดุล ในหลายมิติ (1) ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ก่อให้เกิดการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน ทําลายทรัพยากรธรรมชาติ โดยไม่จําเป็น ไม่คุ้มค่า ไม่มีประสิทธิภาพในการใช้ (2) ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ําในเรื่องของรายได้ การเคารพกฎหมาย การบังคับกฎหมาย เลยเกิดความขัดแย้งไม่ว่าจะประชาชนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่เราเห็น อย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้ ก็พยายามแก้มาโดยตลอดให้ดีขึ้นมา มีนัยยะสําคัญ (3) ระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยี ซึ่งเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดความแปลกแยก ล้าหลัง บางพวกน้อยอกน้อยใจ ว่าตัวเองไม่ได้รับความสนใจไม่ได้รับการพัฒนา ผมเห็นว่าเราต้องปรับทัศนะคติ มุมมองใหม่ โดยรัฐบาลนี้ น้อมนําศาสตร์พระราชา ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาทําให้เกิดเป็นรูปธรรม ซึ่งผมเน้นย้ําว่า ผมให้ความสําคัญอย่างมากกับการพัฒนาระดับฐานราก ตําบล หมู่บ้าน เหมือนการสร้างบ้าน สร้างเจดีย์ ที่ต้องใส่ใจกับความแข็งแรงของฐานราก ดังนั้น สิ่งที่เราต้องร่วมมือกัน เร่งดําเนินการ ดังนี้. (1) การให้ความสําคัญกับสถาบันศึกษา นักเรียน นักศึกษา สําหรับการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของพวกเขา ในมิติสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดผู้นําการเปลี่ยนแปลงในท้องถิ่น มีแผนการพัฒนาชุมชน ด้วยการกําหนดอนาคตของตนเอง หรือระเบิดจากข้างใน และให้ทุกคนในสังคมเล็ก ๆ นั้น ได้รับการดูแล อย่างมีระบบและทั่วถึง ทั้งผู้สูงอายุ คนพิการ เด็กกําพร้า และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม หากทําได้เช่นนี้ ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด หรือแม้กระทั่งปัญหาขยะ หรือปัญหาความไม่เรียบร้อยก็จะไม่ถูกละเลย ทุกคนมีการเคารพกฎหมายที่เคร่งครัด ก็ไม่มีผลกระทบซึ่งกันและกัน อันนี้ฝากมหาวิทยาลัยราชภัฏด้วย ขอให้ดูแลท้องถิ่นให้มากที่สุดในพื้นที่ ทั้งเด็กทั้งครู ต่าง ๆ ต้องไปศึกษาทําความเข้าใจ พื้นที่ของตัวเอง รักในพื้นที่ รักภูมิลําเนาของตัวเอง ทุกคนก็มาเรียนรู้ได้แล้วก็กลับไปพัฒนาบ้านเมืองของตัวเอง (2) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้ง 3 ลักษณะทางกายภาพ คือ ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน น้ํา ไฟ คมนาคมขนส่ง เทคโนโลยีสารสนเทศทางสังคม คือ การศึกษา สาธารณสุข วัฒนธรรม จิตวิญญาณ และประชาธิปไตยที่เป็นสากล และทางข้อมูลข่าวสาร คือ ฐานข้อมูลกลางภาครัฐ การเข้าถึงข้อมูล และการวิเคราะห์Big Dataสําหรับกําหนดยุทธศาสตร์ และนโยบายสาธารณะต่าง ๆ ได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย (3) การเชื่อมโยงและใช้ประโยชน์กองทุนต่าง ๆ ในระดับตําบล หมู่บ้าน อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ทั่วถึงเป็นธรรม ไม่ทุจริตให้โปร่งใสให้ตรวจสอบได้ ทั้งนี้ เพื่อสร้างสังคมแห่งโอกาส ให้ทุกคนอ่านออกเขียนได้ มีอาชีพ มีรายได้ ที่เพียงพอเข้าถึงระบบสาธารณสุข ที่มีคุณภาพ เข้าถึงนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาตนเอง ทั้งนี้ ต้องอาศัยการรวมกลุ่มทางสังคม เพื่อสร้างความเข้มแข็งและสามัคคี นอกจากนี้ เราต้องสร้างสังคมแห่งปัญญา ควบคู่ไปด้วย ใน4เรื่องสําคัญ ได้แก่ ด้านกฎหมาย ด้านการเงินและการออม ด้านดิจิทัล เพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่ม และด้านการประชาสัมพันธ์ เพื่อการรับรู้และสื่อสารกัน อย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ เป็นต้น ทั้งนี้ สถานการณ์ในภาพรวมของประเทศ ในปัจจุบันนั้น “ด้านเศรษฐกิจ” ล่าสุดตามหลักการ วิชาการ หรือตามหลักเศรษฐศาสตร์ หลายอย่าง ปรับดีขึ้นนะครับช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาสินค้าเกษตรในหลายหมวดปรับเพิ่มขึ้น เช่น ข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลินาปี หัวมันสําปะหลังสด ปาล์มทะลาย และยางแผ่นดิบก็มีราคาที่เพิ่มขึ้นมาสมควร ส่วนด้านธุรกิจ ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จํานวนผู้ยื่นจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 แสดงว่าทุกคนมีความมั่นใจมากขึ้น นับเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 4 ปี จากมาตรการของภาครัฐด้านภาษี เพื่อส่งเสริมและอํานวยความสะดวกในการประกอบกิจการ และสนับสนุนให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชน สอดคล้องกับที่U.S. Newsได้จัดให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 1 ของประเทศที่เหมาะสําหรับการเริ่มต้นธุรกิจมากที่สุดในโลกด้วย ติดต่อกันเป็นปีที่ 2 นี่แหละ คือความเป็นจริง ฉะนั้นที่พูด ๆกันอยู่ก็ขอให้ฟังทางผมบ้าง หลายประเทศก็ให้ความมั่นใจกับประเทศไทยในเวลานี้ ทั้งนี้ รัฐบาลก็จะเดินหน้าส่งเสริมในเรื่องของการลงทุนภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถกลับมาเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อีกครั้ง อันนี้ผมก็เป็นกังวลกับประชาชนระดับล่าง ระดับฐานล่างซึ่งยังอาจไม่เชื่อมโยงตรงนี้ เราก็พยายามอย่างเต็มที่ ทั้งมาตรการในการช่วยเหลือ มาตรการในการกําหนดราคาข้าวเปลือก หรือสินค้าการเกษตรบางอย่างได้ ตามพันธสัญญาที่เราสามารถทําได้เอง ที่ไม่ไปละเมิด WTO อะไรต่าง ๆ เราก็ทําตามมาตรการเหล่านี้ นี่คือความแตกต่าง อย่ามาบอกว่าประชานิยมเหมือนกัน คนละเรื่องกัน ถ้าอะไรก็ตามที่ทําได้แล้วไม่ขัดหลักการของ WTO หรือหลักการพันธสัญญากับนานาประเทศ ทําได้ทั้งหมด แต่ปัญหาคือเราจะหาเงินได้อย่างไร ผมก็พูดอีกข้างหนึ่งว่า ถ้าเราสนับสนุนส่งเสริมเรื่องสาธารณสุข เรื่องการศึกษา เรื่องเกษตรมาก ๆ เป็นสิ่งที่เราจะต้องทํา แต่จะทําอย่างไรให้เขาเข้มแข็งได้ ไม่ใช่ให้อย่างเดียวไปเรื่อย ๆ จนเขาเหมือนกับเขาเคยชินมาก ๆ แล้วถึงเวลาพอไม่ได้แบบนั้นก็มีปัญหากับการบริหารราชการแผ่นดิน อย่างนี้ไม่ได้ โทษเขาไม่ได้เพราะรัฐบาลที่ผ่านมาหลาย ๆ รัฐบาลก็ไม่ได้คิดตรงนี้ อาจจะไปคิดในแง่ในเรื่องของการให้ความช่วยเหลือมาก ๆ อาจจะไม่ได้คํานึงถึงว่าเราจะหารายได้ที่ไหน ที่ผมพูดหมายความว่า ผมบอกว่าช่วงนี้เรายังไม่มีเงินมากพอที่จะทําให้มันดีมากกว่านี้อีกหลายเท่า แต่เราก็ทําให้มันดีขึ้น นโยบายรักษาพยาบาล การศึกษา แต่มันไม่ดีขึ้นทั้งหมด ความต้องการความขาดแคลนมากเกินไป เพราะว่าไม่ได้แก้อย่างเต็มระบบอย่างครบวงจรในช่วงที่ผ่านมา วันนี้เราต้องแก้ไขวงจรเหล่านี้ คราวนี้เงินต้องเพิ่มขึ้น เมื่อเพิ่มขึ้น ผมก็บอกว่าวันนี้ทุกคนเรียกร้องทั้งหมดก็บอกว่าไม่มีเงินให้ จะมาบอกว่าให้ไปตัดตรงโน้นมาใส่ตรงนี้ ตรงนี้มาใส่ตรงโน้น แล้วตรงอื่นก็ไม่ต้องทําก็ไม่ได้อีก ผมจึงอธิบายต่อไปว่าเราต้องไปปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ของเรา หารายได้เข้าประเทศ เก็บภาษีจากรายได้ใหม่เหล่านั้นให้มากยิ่งขึ้น การลงทุนใหม่ที่มีราคาสูงมากยิ่งขึ้น เพื่อจะนําเอาเม็ดเงินเหล่านั้นมาเติมตรงนี้ เพราะฉะนั้นหลายคนก็มาบิดเบือนเอาว่ารัฐบาลไม่ให้ความสําคัญกับคนรายได้น้อย ให้ความสําคัญกับการซื้อ กับการลงทุนขนาดใหญ่ เอื้อประโยชน์กับคนที่มีรายได้มาก ทํานองนี้ ก็ตีกันอยู่แบบนี้ ไม่มีประเทศไหนหรอกครับ เอาเงินไปทุ่มด้านไหนด้านหนึ่งอย่างเดียว ก็มีมากน้อยตามความสําคัญไป แต่ต้องทําทุกอัน ขอให้เข้าใจด้วย วันหน้าจะได้ไม่วุ่นวายอีก ในส่วนของการส่งเสริมการลงทุน ได้อนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจํานวน 3 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม กว่า 28,000 ล้านบาท เมื่อสัปดาห์ก่อนนี้ ประกอบไปด้วย (1) โครงการส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตรถยนต์ทั่วไป เพื่อส่งออกต่างประเทศ (2) โครงการส่งเสริมการลงทุนในกิจการเขตอุตสาหกรรม ซึ่งก็เป็นพื้นที่เป้าหมายในการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก EEC และ (3) โครงการส่งเสริมการขยายกิจการผลิตเส้นใยไฟเบอร์กลาส เพื่อตอบสนองความต้องการในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นทุกปีเหล่านี้เป็นต้น สําหรับโรงงานในปัจจุบัน รัฐบาลนี้เข้ามาก็ได้มีการกําหนดชัดเจนว่าเข้ามาต้องลงทุนอย่างไร สร้างโรงงานภายในกี่ปี สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ ถ้าไม่ทําตามห้วงเวลาดังกล่าวนี้ ก็สามารถเรียกคืนได้ หรือทําอะไรที่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ก็หยุดการปฏิบัติได้ หยุดหรือเรียกว่าปิดโรงงาน ทั้งชั่วคราว ปิดถาวรก็ได้ นี่ต้องชัดเจน ไม่ใช่ไม่ได้มีมาตรการควบคุมอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ก็จะทําให้เหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างที่ผ่านมา แล้วก็ให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้วย แล้วมีการตั้งสถาบันวิจัยและการพัฒนาได้ มีคนเข้ามาทํางานได้เหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องเปลี่ยนแปลง สําหรับธุรกิจขนาดเล็ก ภาครัฐก็ได้พยายามเร่งดูแลไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน หลาย ๆ ท่านก็เข้าใจว่าให้แต่บริษัทใหญ่ ๆ เพราะบริษัทเล็กเราก็แยกกลุ่มออกมาเป็นเรื่องของ SMEs ต้องเชื่อมโยงกับบริษัทใหญ่ได้อย่างไร ในเรื่องของการให้ทุน ในเรื่องของการวิจัยและพัฒนา เหล่านี้ต้องดูทุก Sector และก็ทุกเป้าหมาย ทั้ง ใหญ่ กลาง เล็ก ทั้งหมด เราก็ได้มีการสนับสนุนในเรื่องของการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs ให้สะดวก ปัญหาที่มีที่ผ่านมาไม่ได้จัดระบบไว้ชัดเจน การขึ้นทะเบียนต่าง ๆ ก็ไม่ค่อยพร้อม หลักฐานการทําบัญชีก็ไม่ค่อยเรียบร้อย การใช้เทคโนโลยีก็จํากัด วันนี้เราก็พยายามที่จะให้เขาได้มีการพัฒนาในเรื่องเหล่านี้ ทีนี้ก็ติดปัญหาว่าหนี้สินเยอะ ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เหล่านี้ก็พยายามไปสู่จุดที่ถูกต้องตามกฎหมายก่อนให้ได้ เพื่อจะสามารถขอกองทุนได้ นํามาใช้ประโยชน์ได้ในการลงทุนและปรับปรุงกิจการฟื้นฟูกิจการได้อย่างรวดเร็วขึ้นทั้งนี้ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ก็ได้ปรับขั้นตอนและกระบวนการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อในกองทุนพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ตามแนวทางประชารัฐให้เร็วขึ้น ภายในเดือนกันยายน 2560 นี้ คาดว่าจะสามารถพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้กว่า 9,900 ล้านบาท ที่ยังไม่ได้ ก็ต้องไปดูว่าไม่ได้เพราะอะไร ด้วยกฎหมาย ด้วยความไม่พร้อม หรือด้วยศักยภาพ ด้วยสินค้าไม่น่าจะผลิตออกมา พอผลิตออกมาแล้วไม่ได้ผล ไม่มีนวัตกรรมเหล่านี้ ก็ต้องปรับปรุงเหล่านี้ด้วย ไม่ใช่มาขอแล้วทุกคนจะต้องได้ทั้งหมด ก็มีกติกา อย่าทําอะไรที่ดูไร้กติกา พอวันหน้าก็พังไปอีกเหมือนเดิม ใช้เงินไปสิ้นเปลืองสูญเปล่าอีก ก็กู้ไปแล้วก็หาทางชําระหนี้อะไรด้วย เราก็พยายามลดดอกเบี้ยอะไรต่าง ๆ พอสมควรแล้ว นอกจากนี้ มีเรื่องที่น่ายินดี คือ กระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศผลการจัดอันดับประเทศไทย ในเรื่องการใช้แรงงานเด็ก เมื่อวันที่ 20 กันยายน ที่ผ่านมา สรุปว่าไทยจัดอยู่ในระดับที่ “มีความสําเร็จมาก” จากปีก่อนหน้า ที่ไทยเคยถูกระบุว่า มีปัญหาการบังคับใช้แรงงานเด็กในกิจการแปรรูปกุ้งและอาหารทะเล รวมถึงมีข้อจํากัดในการบังคับใช้กฎหมาย เพราะมีพนักงานตรวจแรงงานไม่เพียงพอ และยังไม่สามารถสื่อสารในภาษาของชนกลุ่มน้อยได้เท่าที่ควร ปัญหาเหล่านี้ถ้าเราทําจริง ๆ ก็แก้ได้ แล้วทําไมไม่ทํามาตั้งแต่ต้น ต้องเสียเวลามาถึงวันนี้ กว่าจะฟื้นฟูขึ้นมาได้ ในปีนี้ สหรัฐฯ มองว่า เรามีความคืบหน้าในการดําเนินการเรื่องนี้อย่างมาก ด้วยการปรับปรุงกฎหมาย ที่กําหนดอายุขั้นต่ําของการทํางานในภาคเกษตรและภาคประมงทะเล การเพิ่มโทษสําหรับผู้กระทําความผิด รวมถึงได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติ และคณะทํางานต่าง ๆ เพื่อดําเนินการเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวและปัญหาค้ามนุษย์อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้ง ยังได้มีการจัดสรรงบประมาณ เพื่อขจัดและป้องกันการใช้แรงงานเด็กอย่างเต็มที่ และได้ร่วมกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ในการจัดทําสถิติจํานวนแรงงานเด็กภายในประเทศด้วย ซึ่งการประเมินในครั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมให้กับฝ่ายไทยหลายข้อแต่เราก็ได้เริ่มดําเนินการอยู่ก่อนแล้ว และก็จะเร่งดําเนินการให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น เพื่อจะแก้ปัญหาที่ยังหลงเหลืออยู่ให้หมดไปโดยเร็ว และช่วยให้ไทยได้รับการยอมรับในระดับสากลมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่น ไม่กีดกันทางการค้าขาย ระหว่างประเทศกับไทยในอนาคตด้วย สุดท้ายนี้ เนื่องด้วยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้วันที่ 28 กันยายนของทุกปี เป็น “วันพระราชทานธงชาติไทย” (Thai National Flag Day) เพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทย โดยให้เริ่มปีนี้เป็นปีแรก และครบรอบ 100 ปีของการประกาศใช้ “ธงไตรรงค์” นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจของคนในชาติ และความเป็นชาติเอกราช อีกด้วย ทั้งนี้ ผมขอให้พี่น้องประชาชนชาวไทย ได้ร่วมภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย ที่มีลักษณะเฉพาะของเรา นอกจากยิ้มสยามซึ่งแสดงถึงน้ําใสใจจริงแล้วก็ยังมีความซื่อสัตย์สุจริต ประกอบไปด้วย เหมือนนายยิ่งยศ ศรีเกตุ และนายไพโรจน์ แย้มกลีบ เจ้าหน้าที่ประจํารถขยะ จังหวัดนนทบุรี ที่เก็บเงินสดไว้ 2 แสนบาท แล้วก็พยายามตามหาเจ้าของ และการไม่ละความเพียร – ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เหมือนคุณทองใบ ชัยสวัสดิ์ นักกีฬาว่ายน้ําสาวทีมชาติไทย ที่สามารถคว้าเหรียญทองแรกของไทย และน้องเดฟ อภิสิทธิ์ ทาพรม ที่สามารถคว้าเหรียญทองและทําลายสถิติอาเซียนในกีฬากรีฑาระยะ 1,500 เมตรชาย ความพิการทางสมองของนักกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ในมาเลเซียในปีนี้ได้สําเร็จ มีอีกหลายท่าน ถ้าติดตามข่าวการแข่งขันจะเห็นว่าเราได้เหรียญทองขึ้นมาอยู่ในระดับ 3 ก็พยายามต่อไป คนได้แล้วก็แสดงความยินดีด้วย ที่เหลือก็ต้องพยายามต่อไป ขอบคุณทุกคนที่เป็นนักกีฬาตัวแทนประเทศไทยผู้สนับสนุนสมาคม ผู้คุมทีม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เจ้าหน้าที่ทุกคน ก็ขอให้คนไทยทุกคนเป็นกําลังใจ ไปช่วยกันชื่นชมรักษาสิ่งเหล่านี้ให้คงอยู่คู่บ้านคู่เมืองของเราตลอดไป อีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องที่เราต้องขับเคลื่อนประเทศให้ไปสู่วิสัยทัศน์ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน เราก็จําเป็นต้องมีการส่งเสริมสนับสนุน โดยการใช้ระบบดิจิทัลมาทําให้ทุกอย่างดีขึ้น วันนี้รัฐบาลโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมก็ได้จัดงาน Digital Thailand Big Bang 2017 อาคารเมืองทอง อิมแพคอารีน่า ขอเชิญชวนทุกคนช่วยไปดูด้วย ความทันสมัย โลกแห่งอนาคต และปัจจุบันก็ต้องมีการใช้อยู่แล้ว เราจะใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ ระบบไอที ระบบดิจิทัล รัฐบาลได้ทําโครงสร้างอะไรต่าง ๆ ไว้แล้ว ท่านต้องเรียนรู้ตรงนี้ เมื่อรัฐบาลทําตรงนี้เสร็จก็ใช้ได้ทันที เพื่อจะเพิ่มรายได้ขอตัวเองได้อีกทางหนึ่ง ในการใช้สติปัญญาในการที่จะใช้ประโยชน์จากการขายสินค้าออนไลน์ การตั้งบริษัทสตาร์ทอัพเหล่านี้ เพื่อจะไปสู่ SMEs แล้วก็โตไปสู่ธุรกิจขนาดใหญ่ต่อไป ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ปลอดภัยทุกคน สวัสดีครับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2560 วันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2560 ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2560 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2560 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ตามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนได้เข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2559 และบัดนี้ สํานักพระราชวังได้มีประกาศขอเปิดให้ประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ ในวันที่ 30 กันยายน 2560 นี้ เป็นวันสุดท้าย ทั้งนี้ เพื่อจะได้ดําเนินการจัดเตรียมการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ให้สมพระเกียรติต่อไป นั้น ผมขอแสดงความชื่นชมพี่น้องประชาชนจากทุกภาคส่วน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกศาสนา ทั่วฟ้าเมืองไทย ใต้ร่มพระบารมี โดยเฉพาะ “จิตอาสา”ที่ได้ร่วมกัน “ทําดีเพื่อพ่อ” ถวายแด่ “พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย”ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ก็มีผู้เข้าถวายสักการะพระบรมศพ จํานวนกว่า 10 ล้านคน สําหรับห้วงเวลาที่เหลืออยู่ อีกประมาณ 1 เดือน นับจากนี้ เราทุกคน ยังคงมีงาน “ขั้นสุดท้าย” สําหรับภารกิจร่วมกันในครั้งนี้ ทั้งในส่วนตนและในส่วนรวม อาทิ การปลูกดอกดาวเรือง หรือดอกไม้ที่มีสีเหลือง ณ ที่พักอาศัย อาคารสถานที่ต่างๆ เพื่อให้ออกดอก เบ่งบานทั่วแผ่นดิน ในช่วงงานพระราชพิธีสําคัญนี้ ไปจนถึง การซักซ้อมการปฏิบัติ ในทุกรายละเอียด โดยเฉพาะในขบวนพระราชอิสริยยศ ซึ่งเรียกว่า“ริ้วขบวน” ตามโบราณราชประเพณี เพื่อให้มีความพร้อมและงดงาม“ประหนึ่งราชรถเคลื่อนบนหมู่เมฆส่งเสด็จสู่สวรรค์” อันจะเป็นภาพความทรงจํา ที่จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติไทย และของโลกต่อไป ในการเดียวกันนี้ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชวินิจฉัยให้รัฐบาลดําเนินการก่อสร้างพระเมรุมาศจําลองทั่วประเทศ ด้วยทรงห่วงใยว่า ประชาชนจํานวนมาก จะไม่สามารถเดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ ได้ จึงมีพระราชประสงค์ให้ทุกคนได้มีโอกาสถวายความจงรักภักดีแด่ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” เป็นครั้งสุดท้ายอย่างทั่วถึง โดยควรจะได้สัมผัสบรรยากาศและความรู้สึกเช่นเดียวกัน อย่างพร้อมเพรียงทั่วทั้งประเทศ คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา ในการจัดสร้างพระเมรุมาศจําลอง รวมจํานวน 85 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จํานวน 9 แห่ง ในส่วนภูมิภาค จํานวน 76 จังหวัดๆ ละ 1 แห่ง โดยผลการดําเนินงานในปัจจุบัน เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เป็นไปตามแผนงาน และมีความก้าวหน้าไปมาก รวมทั้งได้จัดให้มีพิธีบวงสรวง “นพปฎลสุวรรณฉัตร” (ฉัตรทอง 9 ชั้น) เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนยอดพระเมรุมาศจําลอง ทั้ง 85 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้กําหนดแล้วเสร็จในวันที่ 15 ตุลาคม ศกนี้ โดยพี่น้องประชาชนในต่างจังหวัดจะสามารถร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ ณ พื้นที่ซึ่งทางจังหวัดของตนกําหนดไว้เช่นกัน ตามความสมัครใจ ซึ่งทุกจังหวัดและอําเภอ ได้จัดทําแผนอํานวยความสะดวก ให้แก่ประชาชนที่มาร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ อาทิ อาหาร น้ําดื่ม ห้องน้ํา แพทย์ พยาบาลการรักษาความปลอดภัย รวมทั้งการจราจรและอื่น ๆ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้การแสดงความอาลัยและความจงรักภักดีในวันที่ 26 ตุลาคม 2560 เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สําหรับรายละเอียดอื่น ๆ เพิ่มเติม เกี่ยวกับพระราชพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพ สามารถสืบค้นข้อมูลและติดตามข่าวสาร ได้จากเว็บไซต์และสายด่วน สําหรับโครงการ“จิตอาสาเฉพาะกิจในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ”ตามพระราชดําริของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบันนั้น ยังคงเปิดรับสมัครต่อไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายนนี้ อย่างไรก็ตาม ผมเห็นว่า การทําดีเพื่อพ่อทําได้ทุกวันทุกกิจกรรม ไม่ว่าจะเล็กจะใหญ่ โดยเฉพาะการทําเพื่อส่วนรวม สังคม ประเทศชาติ ยกตัวอย่าง พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ ได้มีพระดําริบูรณะวิหารปฏิบัติธรรม วัดธาราทิพย์ประดิษฐ์ ตําบลแม่แตง อําเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ “ในหลวง รัชกาลที่ 9” โดยทรงตั้งพระทัย จะเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง ตามศิลปะล้านนาไทย แบบร่วมสมัย ให้มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธประวัติและไตรภูมิจักรวาล รวมทั้งบทพระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 โดยเฉพาะเรื่อง “บุคคลเปรียบด้วยน้ํา 7 จําพวก” ซึ่งเป็นปริศนาธรรม เปรียบเสมือน “คนตกน้ํา” กับ “การเอาชนะอุปสรรค การถอนตัวออกจากกองทุกข์กองกิเลส” เป็นต้น นอกจากนี้ ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ได้ลองติดตามศึกษา “ศาสตร์พระราชา” ในรูปแบบหนังสือเสียง ชื่อ“The Visionaryถอดรหัสกษัตริย์ผู้มองเห็นอนาคต”สําหรับการ “สานต่อที่พ่อทํา” คือ การสืบสานพระราชปณิธาน ผ่านวิธีคิดในการทํางานและการดําเนินชีวิต ที่ได้ทรงทําไว้เป็นแบบอย่าง ให้ประชาชนของพระองค์ท่านได้นําไปปรับใช้เป็นธรรมะประจําใจในการดําเนินชีวิตด้วย พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ การบริหารราชการแผ่นดินนั้น เรามีความจําเป็นที่จะต้องสร้างความเชื่อมโยง และสอดคล้องกัน จากระดับท้องถิ่น จังหวัด ภาค และประเทศ แม้ว่าจะมีหลายกลไกที่ทําหน้าที่ดังกล่าวอยู่แล้ว อาทิ ระบบราชการกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งมีรัฐมนตรีรับผิดชอบ สายการปกครองบังคับบัญชา ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้านรับผิดชอบ รวมทั้งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังมีความจําเป็น และเห็นความสําคัญอย่างมากในการลงพื้นที่ทุกภูมิภาค เพื่อพบปะกับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรับทราบปัญหา ซึ่งทุกครั้งที่ไปก็คงไม่ใช่เฉพาะว่าผมไปพบพี่น้อง แล้วก็ได้พูดคุยกับทุกท่านที่มาตรงนั้น ผมก็ได้ให้มีการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียน หรือปัญหาต่าง ๆ หลายท่านที่อาจจะไม่ได้มีโอกาสได้พบกับผมโดยตรง ซึ่งผมก็ได้ให้ศูนย์ดํารงธรรมให้สามารถรับเรื่องร้องเรียนได้ทุกเรื่อง ครั้งที่แล้วผมก็รับมาหลายปัญหาเช่นเดียวกัน ก็ได้สั่งการให้หน่วยงานในพื้นที่แก้ปัญหาไปแล้ว อย่ามองว่าไปเพื่อทํางานการเมือง ไปทําประชานิยม ไปทําคะแนนเสียง ผมไม่ได้ต้องการอย่างนั้น ผมต้องการทราบความต้องการที่แท้จริง และก็หาวิธีการทํางานในการตอบโจทย์ของประชาชนตามแนวทางศาสตร์พระราชาด้วย การลงพื้นที่ภาคกลางครั้งนี้ ผมและคณะรัฐมนตรี ได้สร้างการรับรู้ ทําความเข้าใจมีโอกาสพูดคุยและขอความร่วมมือกับกลไกประชารัฐในพื้นที่เกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาภาคกลาง เรามี 6 ภาค อย่าลืมปัจจุบัน ซึ่งเป้าหมายของภาคกลางคือ การพัฒนาภาคกลางสู่มหานครทันสมัยและเป็นฐานการเชื่อมโยงประเทศไทยสู่เส้นทางขนส่งสองฝั่งทะเลดังนี้ (1) การเสริมสร้างกรุงเทพมหานครเป็นมหานครทันสมัยระดับโลก ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมเมือง โดยเร่งพัฒนาระบบขนส่งมวลชน การก่อสร้างถนนวงแหวน การจัดระเบียบการใช้พื้นที่ การคุ้มครองแหล่งอนุรักษ์และทัศนียภาพของเมือง การพัฒนาระบบดูแลผู้สูงอายุ การออกแบบโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นอารยสถาปัตย์การแก้ไขปัญหาขยะ น้ําเสีย น้ําท่วม รวมทั้ง การสร้างระบบป้องกันภัยอาชญากรรมและภัยก่อการร้าย เป็นต้น (2) การพัฒนาคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติและสร้างความเชื่อมโยงให้กระจายไปทั่วทั้งภาค ได้แก่ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวมรดกโลกพระนครศรีอยุธยาอย่างยั่งยืน การรักษาคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวระดับนานาชาติ อาทิ วัดพระแก้ว ชายทะเลชะอํา หัวหิน และสนามกีฬา สนามกอล์ฟระดับโลกทางด้านตะวันตกของภาค การเพิ่มมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวท้องถิ่น เช่น ตลาดย้อนยุค ตลาดน้ํา และแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ กลุ่มประวัติศาสตร์และศาสนา กลุ่มดูแลสุขภาพและแพทย์แผนไทย ตลอดไปจนถึง การเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวชุมชน แหล่งผลิตสินค้าOTOPและแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร เป็นต้น (3) การยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม โดยใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ เพื่อที่เราจะสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ประกอบด้วย การเสริมศักยภาพศูนย์วิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าวการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีการเกษตรเพื่อยกระดับไปสู่Smart Farming,การพัฒนามาตรฐานฟาร์มและมาตรฐานการผลิตอาหารปลอดภัยที่จะต้องสอดคล้องกับมาตรฐานสากล รวมทั้ง การเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมประมง อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้นและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการส่งเสริมธุรกิจSMEsและStartupเป็นต้น (4) การบริหารจัดการน้ําและทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อแก้ไขปัญหาน้ําท่วม ภัยแล้ง และคงความสมดุลของระบบนิเวศอย่างยั่งยืน โดยการพัฒนาแหล่งน้ําและระบบกระจายน้ํา ในพื้นที่แล้งซ้ําซาก การป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ําท่วมพื้นที่เศรษฐกิจ ชุมชน โบราณสถาน และน้ําท่วมซ้ําซาก ในพื้นที่ลุ่มน้ําเจ้าพระยาตอนล่าง ลุ่มน้ําเจ้าพระยาตอนกลาง การขุดลอกลําน้ําเพื่อเพิ่มปริมาณการกักเก็บน้ําและเพิ่มความสะดวกการขนส่งทางน้ําการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในกลุ่มจังหวัดตอนล่างของภาค รวมทั้งการป้องกันการบุกรุกทําลายป่าและฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมทางตะวันตกของภาค เป็นต้น (5) การเปิดประตูการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว เพื่อจะเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายในเมียนมากับระเบียงเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในประเทศไทย โดยการพัฒนาถนนมอเตอร์เวย์ และรถไฟ ที่จะเชื่อม กรุงเทพ-กาญจนบุรี การพัฒนาเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจของภาคบนแนวเส้นทางเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายกับEEC การเร่งพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน รวมทั้งการพัฒนามาตรฐานด่านชายแดน (6) การพัฒนาความเชื่อมโยงเศรษฐกิจและสังคมกับทุกภาค เพื่อจะเสริมสร้างเสถียรภาพและลดความเหลื่อมล้ําภายในประเทศ ด้วยการเร่งดําเนินการตามแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมขนส่งทั้งรถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่และมอเตอร์เวย์ ทั้งนี้ จากการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด, ผู้แทนภาคเอกชน, ผู้บริหารองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น “พื้นที่ภาคกลาง” และผู้แทนเกษตรกรในพื้นที่ นั้นก็เป็นการรับฟังแนวความคิดในการพัฒนาตนเองของจังหวัดต่าง ๆ ที่กลไก “ประชารัฐ” ในท้องถิ่น ได้ทําการบ้านมาล่วงหน้า เพื่อจะนําเสนอคณะรัฐมนตรีให้พิจารณา ซึ่งมีหลายโครงการที่ตรงกับสิ่งที่ผมได้กล่าวไปแล้วคือเกิดความเชื่อมโยงเสริมสร้างการเติมเต็มแผนงานของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี ซึ่งบางส่วนเป็นสิ่งที่เกินขีดความสามารถของพื้นที่ จําเป็นที่รัฐบาลต้องยื่นมือมาช่วยเหลือ ตัวอย่างโครงการสําคัญ ๆ เหล่านั้น ได้แก่ (1) ด้านการพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่ง อาทิ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขอให้กําหนดรูปแบบการก่อสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูงของการรถไฟแห่งประเทศไทย และสถานีขนส่งทางบกของกรมการขนส่งทางบกในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้มีภูมิสถาปัตย์ ที่เหมาะสมและกลมกลืนกับความเป็นเมืองมรดกโลก (2) ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําจังหวัดอ่างทองขอให้จัดทําเขื่อนป้องกันตลิ่งเพื่อบรรเทาผลกระทบจากน้ําท่วมที่เกิดจากน้ําที่ระบายจากเขื่อนเจ้าพระยา บริเวณชุมชนริมคลองโผงเผง และจังหวัดเพชรบุรีขอให้มีการก่อสร้างระบบท่อผันน้ําจากเขื่อนแก่งกระจาน ลงอ่างเก็บน้ําทุ่งขาม ระยะทางประมาณ 36 กิโลเมตร เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ําในพื้นที่ (3) ด้านการเกษตรจังหวัดสมุทรสงครามขอรับการสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์แปรรูปอาหารทะเลครบวงจร และจําหน่ายอาหารทะเล เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้เช่า เพื่อทําการค้าขาย (4) ด้านการท่องเที่ยว จังหวัดชัยนาท ขอเป็นส่วนหนึ่งในเขตพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชีวิตลุ่มแม่น้ําเจ้าพระยาตอนกลาง และจังหวัดพระนครศรีอยุธยาขอให้พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ โดยดําเนินการเป็นโครงการประชารัฐ “เนรมิตอยุธยา”ด้วยการบูรณะโบราณสถาน ต้นไม้ ส่งเสริมการเดินทางโดยจักรยาน เรือรถราง โดยสร้างจุดแวะพัก และดูแลความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว เป็นต้น ผมเห็นว่าทุกโครงการมีประโยชน์ในภาพรวมของภูมิภาค และประเทศทั้งสิ้น จึงได้สั่งการให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องรับไปศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมโดยให้มีการทํางานอย่างบูรณาการกัน ทั้งในส่วนแผนงาน งบประมาณ ระยะเวลาที่ต้องเร่งดําเนินการ หากงานในงานใดก็ตามสามารถจะปรับพิจารณาแผนเดิมที่มีอยู่แล้วได้ โดยให้ความสําคัญ ความเร่งด่วนให้สอดคล้องกับข้อเสนอดังกล่าวด้วย ในพื้นที่นั้นด้วย โดยผนวกด้วยยุทธศาสตร์ชาติที่เกื้อกูลกัน เช่น การเชื่อมโยงเมืองท่องเที่ยว โดยลงทุนโครงข่ายการคมนาคมขนส่ง ระหว่างแหล่งท่องเที่ยว ในเมืองหลัก เมืองรอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศของรัฐบาล ได้แก่ (1) ท่าเรือFerryเชื่อมพัทยา-หัวหิน (2) โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองมอเตอร์ เวย์ สายบางปะอิน-นครราชสีมา นครปฐม-ชะอํา และบางใหญ่-กาญจนบุรี (3) โครงการรถไฟทางคู่ นครปฐม-หัวหิน หัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ และลพบุรี-ปากน้ําโพ และ (4) โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ - นครราชสีมา และกรุงเทพฯ-พิษณุโลก เป็นต้น นี่คือประโยชน์ของการลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรี ที่ต้องการทํางานร่วมกับภาคและจังหวัด ซึ่งก็เปรียบเสมือน “วงมโหรีปีพาทย์” ถึงแม้ว่ามีเครื่องดนตรีดีด สี ตี เป่า มีความหลากหลาย และต่างก็เล่นตามโน้ตของตัวเองในเพลงเดียวกันคือสรุปว่าทั้งวง ต้องบรรเลงเพลงทํานองและจังหวะของเพลงนั้น จึงจะเป็น “เสียงดนตรี” ที่ไพเราะ ผสมผสานกัน ทั้งนี้ รัฐบาลและ คสช. ไม่ได้มุ่งหวังเพียงทํางานให้แล้วเสร็จเราจะต้องมีผลงานตามกําหนดเวลาเท่านั้น แต่ต้องปฏิบัติทุกภารกิจให้เกิดผลสัมฤทธิ์ คือสําเร็จอย่างสัมฤทธิ์ จับต้องได้เป็นรูปธรรมไม่ใช่ทําให้แล้ว ๆ ไป นั่นก็ถือว่า การบรรลุวัตถุประสงค์ของการทํางานร่วมกัน ทั้งในเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ บางอย่างนั้นรัฐบาลไม่อาจดําเนินการได้ ครบถ้วนสมบูรณ์ ด้วยระบบราชการเพียงอย่างเดียว ที่ยังคงมีข้อจํากัด หลาย ๆ อย่าง ดังนั้น เราก็ริเริ่มให้มีกลไกประชารัฐที่จะช่วยเติมเต็ม และลดจุดอ่อนเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม การทํางานร่วมกัน ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาควิชาการ และสื่อมวลชน อันจะเป็นความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ ยังคงต้องการให้ปรับตัวเข้าหากัน ทั้งนี้ กุญแจสู่ความสําเร็จ คืออุดมการณ์ในการทํางานเพื่อประเทศชาติและประชาชน ที่เป็นเป้าหมายเดียวกัน สิ่งหนึ่งที่ทุกคนเห็นคือ ผมได้มีโอกาสได้พบกับบรรดานักการเมืองจากพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่มีความยินดีมีการพบปะพูดคุยกัน เรียกว่าการปรองดองในขั้นต้น คือไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นพวกกัน สนับสนุนซึ่งกันและกัน เรายังไม่พูดถึงตรงนั้นเลยเราเพียงแต่ว่าจะร่วมมือกันอย่างไรในวันหน้า เพราะว่าท่านเหล่านั้นเป็นนักการเมืองอาชีพ คือทุกคนอยู่ในกระบวนการบริหารราชการแผ่นดินมา ทุกพรรค เราก็ยินดีที่พบปะพูดคุยแต่บางท่าน บางพรรคไม่อยากพูดคุยด้วย ผมไม่ทราบจะทําอย่างไรเหมือนกัน เพราะฉะนั้น วันนี้ผมต้องกันที่พยายามลดความขัดแย้งที่หลาย ๆ คน เรียกร้องว่า รัฐบาลไม่พูดคุยไม่ฟังใคร ไม่ฟังนักการเมืองผมก็ฟัง พอฟังเสร็จก็หาว่าผมจะพยายามที่จะไปดึงมาเป็นพวกอีก ดึงมาพูดคุยกันเพื่อให้เข้าใจว่า รัฐบาลกําลังจะทําอะไรอยู่แล้ว เมื่อท่านเป็นนักการเมืองเข้าบริหารประเทศท่านจะเห็นว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่รัฐบาลนี้ทําไว้อยู่แล้ว ท่านก็รับไปสานต่อให้สําเร็จผมก็เป็นรัฐบาล คสช. ก็ไม่สามารถทําให้สําเร็จได้ด้วยระยะเวลาอันสั้น ถึงแม้ว่าจะ 3 ปี ก็ตาม บางอย่างมีปัญหามาหลาย 10 ปี ผมยกตัวอย่างเช่น ปัญหาน้ําท่วม ฝนแล้งเราก็เน้นในเรื่องแรก ปีแรก ๆ คือการจัดหาแหล่งน้ําซึ่งต้องทํามากมายในหลายพื้นที่ ทั้งแหล่งน้ําที่เพื่อการเกษตร หรือแหล่งน้ําที่จะเก็บกักน้ําหรือบรรเทาน้ําท่วมที่จะเป็นเรื่องของการขุดที่กักเก็บน้ํา ขุดร่องระบายน้ําและซ่อมซ่อมแซมต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นจํานวนมาก คงรับทราบกันมาบ้างแล้วว่ามีสถิติมากมาย เพิ่มพื้นที่การเกษตรมามากมายคราวนี้ปัญหาของการแก้ปัญหาของน้ําท่วม ต้องแก้อย่างเป็นระบบ ซึ่งต้องใช้งบประมาณสูงมาก เราก็ทยอยดําเนินการ วันนี้เรามีแผนในการระบายน้ําภาคกลาง โดยเฉพาะยิ่งในพื้นที่แม่น้ําเจ้าพระยา เพื่อให้ลงสู่ทะเลได้เร็วในบริเวณพื้นที่ อําเภอบางบาล และบางไทร ถึงแม้ว่าจะเป็นแผนของใครก็ตาม เราก็ต้องมาปรับเหมือนกันไม่ใช่ว่าผมจะไปตัดของทุกคนทิ้งหมด เพียงแต่ว่าเอามาดูว่าเหมาะสมอย่างไร จะทําได้หรือไม่ จะผ่านความเห็นชอบของประชาชนหรือเปล่าไม่ใช่หมายความว่า พอจะทําแล้วก็ประกาศทําเลย ทําไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้น ที่ผ่านมา อาจจะติดปัญหาเหล่านี้ ผมก็ต้องใช้เวลาในการทําความเข้าใจในการทําแผนให้ละเอียดทําและนําสู่การปฏิบัติให้ได้ ก็ขอความร่วมมือประชาชนด้วย หลายอย่างที่กําหนดไว้แล้วเดิมทําไม่ได้ เพราะไม่ได้มีรายละเอียดไว้ก็สร้างความรับรู้ไม่ได้ ประชาชนไม่เข้าใจเราถึงใช้เวลาเกือบ 3 ปี ที่ผ่านมาทําความเข้าใจกับเรื่องนี้มาโดยตลอดไม่ว่าจะเรื่องของการจัดหาที่เก็บน้ํา การทําแก้มลิง การขุดรอบคูคลอง ทุกอย่าง พันกันไปหมดในเรื่องของกฎหมาย ในเรื่องของการทําEIAการทําในเรื่องของการรักษาระบบนิเวศน์ต่าง ๆ เหล่านี้ พันกันไปมาด้วยความไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องมาคลี่ออกต้องใช้เวลาพอสมควร หลายท่านก็บอกทําไมไม่ทํา แต่ทีแรกผมขออนุญาตชี้แจงทําความเข้าใจตรงนี้คงไม่ใช่แค่ระบายน้ําให้เร็วขึ้นอย่างเดียว เพราะจะเป็นคลองที่เก็บกักน้ําไว้ด้วยมีทั้งประตูน้ําตลอดเส้นทางและประตูน้ําปลายทางก่อนจะออกทะเลด้วย ถ้าน้ําน้อยเราก็ปิด ถ้าน้ํามากก็เปิดระบายออกไป เพื่อจะมีการป้องกันน้ําทะเลที่จะรุกเข้ามาในประเทศด้วย อันไหนที่ทําก่อน อันไหนที่ได้ทั่วถึงมาก เราต้องเร่งทําก่อน เพราะประชาชนเดือดร้อนหลายพื้นที่ ตรงนี้ก็อีกกรณีหนึ่ง ซึ่งต้องใช้งบประมาณเป็นหมื่นล้านบาท เหมือนกัน ก็ดําเนินการได้โดยเร็วก็จะเป็นการดี ก็ขอข้อมูลในช่วงปีนี้ด้วย จะเริ่มดําเนินการทําความเข้าใจ สํารวจออกแบบต่าง ๆ ให้รวดเร็ว จะได้เร็วขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้แล้วเดิม อันนี้ก็ขอให้ฝากทําความเข้าใจด้วยว่าไม่ใช่แค่ระบายน้ําให้เร็วขึ้นอย่างเดียว เพราะจะเป็นคลองสําหรับเก็บกักน้ําไว้ด้วย มีทั้งประตูน้ําตลอดเส้นทาง แล้วประตูน้ําทางปลายทาง ก่อนจะออกทะเลด้วย ถ้าน้ําน้อยก็ปิดซะ ถ้าน้ํามากก็เปิดระบายออกไป ก็เท่านั้นเองนะครับ เพื่อจะมีการป้องกันน้ําทะเลที่จะรุกเข้ามาในประเทศด้วย เพราะฉะนั้น ขอให้มองในทุกมิติ ถ้าเสนอกันมาแบบนี้ผมก็สามารถจะทําให้ได้ แต่ถ้าบอกว่าไม่ควรทําเลยไม่ต้องทํา มันยุติทั้งหมดและทําอะไรไม่ได้อีกแล้ว ทุกคนก็มีผลกระทบกับน้ําท่วมฝนแล้งมาโดยตลอดก็อยากให้พิจารณาว่า อันนี้เป็นแบบอย่าง ถ้าเราทําได้ตรงนี้แล้วเห็นผลสัมฤทธิ์ออกมาในภาคอื่น ๆ ก็น่าจะทําได้ โดยเฉพาะภาคเหนือตอนบนซึ่งต้องมีการระบายน้ําออกข้าง ๆ โดยการเก็บกักน้ําไว้ในแหล่งเก็บกักน้ําขนาดใหญ่เพื่อจะเก็บกักน้ําในช่วงสุโขทัยที่เวลามาก ก็จะลงมาภาคกลางลงมาเขื่อนเจ้าพระยา เป็นน้ําต้นทางลงมายังไงก็ทะลุกันหมดแล้วก็สะสมไปร่วมกับน้ําทุ่ง น้ําฝน ที่ตกมากเกินไปหรือที่พายุเข้าก็ท่วมกันทุกพื้นที่ต้องมองภาพรวมของประเทศด้วยไม่ใช่เฉพาะจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งหรือภาคใดภาคหนึ่ง เพราะมีผลกระทบทั้ง 25 ลุ่มน้ํา พี่น้องประชาชน ครับ การลงพื้นที่ 2 จังหวัด ในภาคกลางครั้งนี้ ผมก็ได้เห็นศักยภาพของจังหวัดมากมายแล้วมีโอกาสที่จะเชื่อมโยงกับจังหวัดอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงด้วย ผมถึงบอกว่าจะต้องเป็นภาค สร้างผลประโยชน์กันให้ได้ เพิ่มมูลค่าให้ได้ตามศักยภาพที่จังหวัดมีอยู่ ผมได้รับทราบตามโครงการสําคัญของจังหวัด ทั้ง 2 จังหวัด ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เราไปในครั้งนี้เป็นหลัก แต่ต้องเชื่อมโยงจังหวัดอื่นมาด้วยในจังหวัดกลุ่มภาคกลาง ผู้ว่าก็ได้มาประชุมทั้งจังหวัด เราก็สามารถนํามาขยายผลระดับประเทศได้ ทั้งนี้ การปกครองในจังหวัด ก็ไม่ต่างจากการปกครองประเทศมากนั้น เพียงเป็นการย่อส่วนทั้งในมิติพื้นที่ ความรับผิดชอบ และปัญหา เท่านั้น ซึ่งในครั้งนี้ ผมได้รับทราบโครงการสําคัญในจังหวัด ที่สามารถนํามาขยายผลในระดับประเทศ หรือสร้างความเชื่อมโยงกันได้ในอนาคต อาทิ (1) โรงเรียนเกษตรกรชาวนา จังหวัดสุพรรณบุรี ที่นําความรู้เชิงวิชาการมาสอนชาวนา ข้าราชการ และผู้ที่สนใจ ในเรื่องกระบวนการผลิตข้าวให้มีคุณภาพ เรียนรู้การใช้ศัตรูธรรมชาติควบคุมศัตรูพืช เพื่อลดและงดการใช้สารเคมี ที่เป็นอันตรายต่อชาวนา ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาชาวนาพยายามเร่งผลผลิตด้วยสารเคมี เพื่อให้มีรายได้สูงแต่ต้องมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล ที่เกิดจากโรคภัยในการใช้สารพิษที่มีการใช้ค่าใช้จ่ายสูงกว่า ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกต้องไม่ตรงประเด็น บั่นทอน และไม่ยั่งยืน ต้นทุนผลิตสูง นอกจากนี้ ยังเน้นการปฏิบัติจริงด้วยตนเอง ให้รู้ว่าจากเดิม การหว่านพันธุ์เมล็ดข้าว 25 กิโลกรัมต่อไร่นั้น ถือว่ามากเกินความจําเป็น ทําให้เกิดการกระจุกตัวของต้นข้าว ทั้ง ๆ ที่ 1 เมล็ดสามารถเติบโต เป็นต้นข้าว ได้กว่า 10 กว่ากอ ถ้าทําแบบเดิมต้นข้าวก็จะแย่งอาหารกัน ไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมแล้ว ปลูกห่างกันมากขึ้น ก็จะใช้ปุ๋ยน้อยลง ลดต้นทุนลง ศัตรูพืชก็ลดลง ต้นข้าวก็เจริญงดงามขึ้น ผลผลิตก็มากขึ้นก็เป็นการลดต้นทุนไปด้วยในตัว ที่สําคัญ มีการเสริมวิชาการองค์ความรู้ต่าง ๆ จนได้ผลผลิตที่มีความปลอดภัย และครบวงจร “ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง” ทั้งการผลิต การแปรรูป และการตลาด อย่างเป็นระบบและยั่งยืน ที่สามารถเชื่อมโยงกลุ่มการผลิตเข้าสู่ตลาดได้ ตลอดจนสอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาล บรรดาเกษตรกรก็อยากให้มีทุกจังหวัด ผมได้สั่งการกับกระทรวงเกษตรไปแล้วถ้าเราจะใช้ สวก. นั้นขยายงานตรงนี้ไปก่อนได้ไหมหรือการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วเดิม จะได้ไม่ซ้ําซ้อนกันมากนัก เพราะมีอยู่แล้วทุกจังหวัดทุกหลายพื้นที่ (2) โครงการเปิดน้ําเข้านาปล่อยปลาเข้าทุ่ง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นความร่วมมือกันของชาวนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และกรมชลประทานในการจัดสรรและส่งน้ําให้เกษตรกรในพื้นที่เป้าหมาย ให้เพียงพอสําหรับการปลูกข้าวตามระบบ “การปลูกข้าวเหลื่อมเวลา” และทันกําหนดระยะเวลาที่นัดหมายล่วงหน้า ทั้งนี้ ภายหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตแต่ละครั้งก็จะมีการผันน้ําเข้าทุ่งนา ประมาณ 3 เดือน ซึ่งนอกจากจะมีการปล่อยปลา ให้เกษตรกรได้ทําการประมง เป็นอาชีพเสริมแล้ว น้ําที่ท่วมทุ่งก็จะช่วยนําเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์จากธรรมชาติเข้ามาสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับทุ่งนาอีกด้วย หลักการที่สําคัญ คือ การใช้ทุ่งนาเป็นพื้นที่ “แก้มลิง” รองรับน้ําหลากทั้งนี้พื้นที่เหล่านั้นก็เก็บเกี่ยวไว้ทันเวลาไปเรียบร้อยแล้ว ขอบคุณเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา ในพื้นที่ดังกล่าวด้วย เราถือว่าเป็นแก้มลิงขนาดใหญ่มากมีอยู่หลายแบบด้วยกันมีพื้นที่หลายแสนไร่สามารถเก็บกักน้ําไว้ได้เป็นจํานวนล้านลูกบาศก์เมตร ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาผลกระทบน้ําท่วมซ้ําซากได้อีกด้วยถ้าหากเรามีการระบายน้ําได้เร็วขึ้นมากขึ้นมันก็จะได้ไม่ต้องเก็บไว้นานก็สามารถไปเก็ยในคลองระบายน้ํานั้นได้ด้วยตามประตูน้ําต่าง ๆ นอกจากนี้ การลงพื้นที่ “ภาคกลาง” เพื่อติดตามผลการดําเนินงาน การแก้ไขปัญหาระดับนโยบาย และการมอบแนวทางการทํางานของรัฐมนตรีต่างๆ ก็เป็นประโยชน์อย่างมาก เชื่อมโยงการทํางาน “แนวดิ่ง” ลงไปประสานกันในแนวระดับ ซึ่งผมก็ได้รับรายงานอย่างต่อเนื่องจากกระทรวงต่าง ๆ อาทิ 1. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้มีการติดตามการยกระดับสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม โดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์OTOP“มะขามป้อมแช่อิ่ม”เครื่องสําอางสมุนไพรในกลุ่มจังหวัดภาคกลางการแปรรูปผลิตภัณฑ์แห้ว, การคัดเลือกสายพันธุ์ใบบัวบก ปุ๋ยไส้เดือนดิน วิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ รวมทั้ง การพัฒนาแอปพลิเคชั่น “Museums Pool”(มิวเซียมส์ พลู) ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยว ในเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เป็นตัวช่วยในการชมพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย ผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ส่วนตัว เช่น มือถือ แท็ปเล็ต เป็นต้น ทั้งนี้ ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน นักเรียน นักศึกษา นักวิจัย ข้าราชการ และผู้ที่สนใจ ร่วมในงาน“THAI TECH EXPO2017”ระหว่างวันที่ 20 - 24 กันยายนนี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา ซึ่งมีการจัดแสดงผลงาน ศักยภาพด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมฝีมือคนไทย กว่า 700 ผลงาน ที่พร้อมขับเคลื่อนสู่ภาคการผลิต รองรับการพัฒนาประเทศสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” อีกทั้ง มีกิจกรรมการซื้อขาย - เจรจาธุรกิจ ทั้งระดับชุมชน -SMEs– ธุรกิจขนาดใหญ่ ด้วยนะครับ ขอเชิญชวนทุกท่านที่สนใจไปร่วมชื่นชม ร่วมมือก็จะเกิดขึ้นได้ผลงานวิจัยต่าง ๆ ที่เราทํามากมาย 2. กระทรวงยุติธรรม ติดตามกองทุนยุติธรรม ในการช่วยเหลือประชาชน ราว 3,000 ครั้ง เป็นเงินเกือบ 150 ล้านบาท เพื่อเป็นการช่วยเหลือทางการเงิน แก่ผู้เสียหายและจําเลย ในคดีอาญา เป็นเงินรวม 600 กว่าล้านบาท การไกล่เกลี่ยหนี้ในชั้นบังคับคดีในพื้นที่จังหวัดภาคกลาง เพื่อเป็นการลดปริมาณคดีที่เข้าสู่กระบวนการบังคับคดี และทําให้เกิดความสมานฉันท์สามัคคีในสังคม รวมจํานวน 5,500 กว่าเรื่อง เป็นผลสําเร็จร้อยละ 87 รวมทั้ง การป้องกันและสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเฝ้าระวังปัญหายาเสพติด ในหมู่บ้าน ชุมชนกว่า 13,000 แห่ง เป็นต้น เรื่องปัญหายาเสพติดมีทุกพื้นที่เลยนะครับ ต้องลดลงให้ได้ ต้องขจัดให้หมดสิ้นไป วันนี้ก็เร่งรัดให้ฝ่ายความมั่นคง พลเรือนตํารวจ ทหาร ให้แก้ปัญหาเหล่านี้นะครับ เรื่องยาเสพติดให้ได้โดยเร็ว เป็นบ่อนทําลายประเทศชาติทั้งทางตรงและทางอ้อม 3. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ติดตามความคืบหน้า “โครงการเน็ตประชารัฐ” ซึ่งมีเป้าหมายส่งมอบ 24,700 หมู่บ้าน ภายในสิ้นปีนี้ โดยสิ้นเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมาสามารถส่งมอบได้กว่า 15,000 หมู่บ้าน เร็วกว่ากําหนดราว 4,000 หมู่บ้าน ซึ่งในพื้นที่ภาคกลาง มีเป้าหมาย 1,514 หมู่บ้าน ดําเนินการแล้วเสร็จเฉลี่ย ร้อยละ 60 นับว่าเป็นไปตามแผน ในการพัฒนาระดับหมู่บ้าน ตําบล ที่รัฐบาลถือว่าเป็น “จุดยุทธศาสตร์” ของการพัฒนาในทุกเรื่อง คือ เริ่มตั้งแต่ระดับฐานราก นะครับ อันนี้ก็ขอให้ส่วนราชการในพื้นที่ได้ทําความเข้าใจกับประชาชนด้วย เมื่อเสร็จแล้วใช้ประโยชน์อย่างไร กลุ่มใดบ้าง ช่องทางเป็นอย่างไร เขาไม่เข้าใจทําไปก็ไม่เกิดประโยชน์ อย่าไปรอว่าทําให้เสร็จทําเสร็จแล้วค่อยไปสอนก็ไม่ใช่ ต้องสอนตั้งแต่วันนี้ไม่ว่าเสร็จหรือไม่เสร็จ เพราะเป็นการเตรียมความพร้อมของประชาชนก่อนครับ สําคัญที่สุด พี่น้องประชาชนที่เคารพ ครับ การพัฒนาในอดีตในศตวรรษที่ผ่านมา เรามุ่งเน้นพัฒนาให้เกิดการเติบโตแต่เพียงทางเศรษฐกิจเป็นสําคัญ สิ่งที่เกิดขึ้นคือความไม่สมดุล ขาดการบูรณาการ จนเราต้องสูญเสียความสมดุล ในหลายมิติ (1) ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ก่อให้เกิดการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน ทําลายทรัพยากรธรรมชาติ โดยไม่จําเป็น ไม่คุ้มค่า ไม่มีประสิทธิภาพในการใช้ (2) ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ําในเรื่องของรายได้ การเคารพกฎหมาย การบังคับกฎหมาย เลยเกิดความขัดแย้งไม่ว่าจะประชาชนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่เราเห็น อย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้ ก็พยายามแก้มาโดยตลอดให้ดีขึ้นมา มีนัยยะสําคัญ (3) ระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยี ซึ่งเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดความแปลกแยก ล้าหลัง บางพวกน้อยอกน้อยใจ ว่าตัวเองไม่ได้รับความสนใจไม่ได้รับการพัฒนา ผมเห็นว่าเราต้องปรับทัศนะคติ มุมมองใหม่ โดยรัฐบาลนี้ น้อมนําศาสตร์พระราชา ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาทําให้เกิดเป็นรูปธรรม ซึ่งผมเน้นย้ําว่า ผมให้ความสําคัญอย่างมากกับการพัฒนาระดับฐานราก ตําบล หมู่บ้าน เหมือนการสร้างบ้าน สร้างเจดีย์ ที่ต้องใส่ใจกับความแข็งแรงของฐานราก ดังนั้น สิ่งที่เราต้องร่วมมือกัน เร่งดําเนินการ ดังนี้. (1) การให้ความสําคัญกับสถาบันศึกษา นักเรียน นักศึกษา สําหรับการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของพวกเขา ในมิติสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดผู้นําการเปลี่ยนแปลงในท้องถิ่น มีแผนการพัฒนาชุมชน ด้วยการกําหนดอนาคตของตนเอง หรือระเบิดจากข้างใน และให้ทุกคนในสังคมเล็ก ๆ นั้น ได้รับการดูแล อย่างมีระบบและทั่วถึง ทั้งผู้สูงอายุ คนพิการ เด็กกําพร้า และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม หากทําได้เช่นนี้ ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด หรือแม้กระทั่งปัญหาขยะ หรือปัญหาความไม่เรียบร้อยก็จะไม่ถูกละเลย ทุกคนมีการเคารพกฎหมายที่เคร่งครัด ก็ไม่มีผลกระทบซึ่งกันและกัน อันนี้ฝากมหาวิทยาลัยราชภัฏด้วย ขอให้ดูแลท้องถิ่นให้มากที่สุดในพื้นที่ ทั้งเด็กทั้งครู ต่าง ๆ ต้องไปศึกษาทําความเข้าใจ พื้นที่ของตัวเอง รักในพื้นที่ รักภูมิลําเนาของตัวเอง ทุกคนก็มาเรียนรู้ได้แล้วก็กลับไปพัฒนาบ้านเมืองของตัวเอง (2) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้ง 3 ลักษณะทางกายภาพ คือ ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน น้ํา ไฟ คมนาคมขนส่ง เทคโนโลยีสารสนเทศทางสังคม คือ การศึกษา สาธารณสุข วัฒนธรรม จิตวิญญาณ และประชาธิปไตยที่เป็นสากล และทางข้อมูลข่าวสาร คือ ฐานข้อมูลกลางภาครัฐ การเข้าถึงข้อมูล และการวิเคราะห์Big Dataสําหรับกําหนดยุทธศาสตร์ และนโยบายสาธารณะต่าง ๆ ได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย (3) การเชื่อมโยงและใช้ประโยชน์กองทุนต่าง ๆ ในระดับตําบล หมู่บ้าน อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ทั่วถึงเป็นธรรม ไม่ทุจริตให้โปร่งใสให้ตรวจสอบได้ ทั้งนี้ เพื่อสร้างสังคมแห่งโอกาส ให้ทุกคนอ่านออกเขียนได้ มีอาชีพ มีรายได้ ที่เพียงพอเข้าถึงระบบสาธารณสุข ที่มีคุณภาพ เข้าถึงนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาตนเอง ทั้งนี้ ต้องอาศัยการรวมกลุ่มทางสังคม เพื่อสร้างความเข้มแข็งและสามัคคี นอกจากนี้ เราต้องสร้างสังคมแห่งปัญญา ควบคู่ไปด้วย ใน4เรื่องสําคัญ ได้แก่ ด้านกฎหมาย ด้านการเงินและการออม ด้านดิจิทัล เพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่ม และด้านการประชาสัมพันธ์ เพื่อการรับรู้และสื่อสารกัน อย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ เป็นต้น ทั้งนี้ สถานการณ์ในภาพรวมของประเทศ ในปัจจุบันนั้น “ด้านเศรษฐกิจ” ล่าสุดตามหลักการ วิชาการ หรือตามหลักเศรษฐศาสตร์ หลายอย่าง ปรับดีขึ้นนะครับช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาสินค้าเกษตรในหลายหมวดปรับเพิ่มขึ้น เช่น ข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลินาปี หัวมันสําปะหลังสด ปาล์มทะลาย และยางแผ่นดิบก็มีราคาที่เพิ่มขึ้นมาสมควร ส่วนด้านธุรกิจ ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จํานวนผู้ยื่นจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 แสดงว่าทุกคนมีความมั่นใจมากขึ้น นับเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 4 ปี จากมาตรการของภาครัฐด้านภาษี เพื่อส่งเสริมและอํานวยความสะดวกในการประกอบกิจการ และสนับสนุนให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชน สอดคล้องกับที่U.S. Newsได้จัดให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 1 ของประเทศที่เหมาะสําหรับการเริ่มต้นธุรกิจมากที่สุดในโลกด้วย ติดต่อกันเป็นปีที่ 2 นี่แหละ คือความเป็นจริง ฉะนั้นที่พูด ๆกันอยู่ก็ขอให้ฟังทางผมบ้าง หลายประเทศก็ให้ความมั่นใจกับประเทศไทยในเวลานี้ ทั้งนี้ รัฐบาลก็จะเดินหน้าส่งเสริมในเรื่องของการลงทุนภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถกลับมาเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อีกครั้ง อันนี้ผมก็เป็นกังวลกับประชาชนระดับล่าง ระดับฐานล่างซึ่งยังอาจไม่เชื่อมโยงตรงนี้ เราก็พยายามอย่างเต็มที่ ทั้งมาตรการในการช่วยเหลือ มาตรการในการกําหนดราคาข้าวเปลือก หรือสินค้าการเกษตรบางอย่างได้ ตามพันธสัญญาที่เราสามารถทําได้เอง ที่ไม่ไปละเมิด WTO อะไรต่าง ๆ เราก็ทําตามมาตรการเหล่านี้ นี่คือความแตกต่าง อย่ามาบอกว่าประชานิยมเหมือนกัน คนละเรื่องกัน ถ้าอะไรก็ตามที่ทําได้แล้วไม่ขัดหลักการของ WTO หรือหลักการพันธสัญญากับนานาประเทศ ทําได้ทั้งหมด แต่ปัญหาคือเราจะหาเงินได้อย่างไร ผมก็พูดอีกข้างหนึ่งว่า ถ้าเราสนับสนุนส่งเสริมเรื่องสาธารณสุข เรื่องการศึกษา เรื่องเกษตรมาก ๆ เป็นสิ่งที่เราจะต้องทํา แต่จะทําอย่างไรให้เขาเข้มแข็งได้ ไม่ใช่ให้อย่างเดียวไปเรื่อย ๆ จนเขาเหมือนกับเขาเคยชินมาก ๆ แล้วถึงเวลาพอไม่ได้แบบนั้นก็มีปัญหากับการบริหารราชการแผ่นดิน อย่างนี้ไม่ได้ โทษเขาไม่ได้เพราะรัฐบาลที่ผ่านมาหลาย ๆ รัฐบาลก็ไม่ได้คิดตรงนี้ อาจจะไปคิดในแง่ในเรื่องของการให้ความช่วยเหลือมาก ๆ อาจจะไม่ได้คํานึงถึงว่าเราจะหารายได้ที่ไหน ที่ผมพูดหมายความว่า ผมบอกว่าช่วงนี้เรายังไม่มีเงินมากพอที่จะทําให้มันดีมากกว่านี้อีกหลายเท่า แต่เราก็ทําให้มันดีขึ้น นโยบายรักษาพยาบาล การศึกษา แต่มันไม่ดีขึ้นทั้งหมด ความต้องการความขาดแคลนมากเกินไป เพราะว่าไม่ได้แก้อย่างเต็มระบบอย่างครบวงจรในช่วงที่ผ่านมา วันนี้เราต้องแก้ไขวงจรเหล่านี้ คราวนี้เงินต้องเพิ่มขึ้น เมื่อเพิ่มขึ้น ผมก็บอกว่าวันนี้ทุกคนเรียกร้องทั้งหมดก็บอกว่าไม่มีเงินให้ จะมาบอกว่าให้ไปตัดตรงโน้นมาใส่ตรงนี้ ตรงนี้มาใส่ตรงโน้น แล้วตรงอื่นก็ไม่ต้องทําก็ไม่ได้อีก ผมจึงอธิบายต่อไปว่าเราต้องไปปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ของเรา หารายได้เข้าประเทศ เก็บภาษีจากรายได้ใหม่เหล่านั้นให้มากยิ่งขึ้น การลงทุนใหม่ที่มีราคาสูงมากยิ่งขึ้น เพื่อจะนําเอาเม็ดเงินเหล่านั้นมาเติมตรงนี้ เพราะฉะนั้นหลายคนก็มาบิดเบือนเอาว่ารัฐบาลไม่ให้ความสําคัญกับคนรายได้น้อย ให้ความสําคัญกับการซื้อ กับการลงทุนขนาดใหญ่ เอื้อประโยชน์กับคนที่มีรายได้มาก ทํานองนี้ ก็ตีกันอยู่แบบนี้ ไม่มีประเทศไหนหรอกครับ เอาเงินไปทุ่มด้านไหนด้านหนึ่งอย่างเดียว ก็มีมากน้อยตามความสําคัญไป แต่ต้องทําทุกอัน ขอให้เข้าใจด้วย วันหน้าจะได้ไม่วุ่นวายอีก ในส่วนของการส่งเสริมการลงทุน ได้อนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจํานวน 3 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม กว่า 28,000 ล้านบาท เมื่อสัปดาห์ก่อนนี้ ประกอบไปด้วย (1) โครงการส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตรถยนต์ทั่วไป เพื่อส่งออกต่างประเทศ (2) โครงการส่งเสริมการลงทุนในกิจการเขตอุตสาหกรรม ซึ่งก็เป็นพื้นที่เป้าหมายในการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก EEC และ (3) โครงการส่งเสริมการขยายกิจการผลิตเส้นใยไฟเบอร์กลาส เพื่อตอบสนองความต้องการในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นทุกปีเหล่านี้เป็นต้น สําหรับโรงงานในปัจจุบัน รัฐบาลนี้เข้ามาก็ได้มีการกําหนดชัดเจนว่าเข้ามาต้องลงทุนอย่างไร สร้างโรงงานภายในกี่ปี สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ ถ้าไม่ทําตามห้วงเวลาดังกล่าวนี้ ก็สามารถเรียกคืนได้ หรือทําอะไรที่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ก็หยุดการปฏิบัติได้ หยุดหรือเรียกว่าปิดโรงงาน ทั้งชั่วคราว ปิดถาวรก็ได้ นี่ต้องชัดเจน ไม่ใช่ไม่ได้มีมาตรการควบคุมอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ก็จะทําให้เหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างที่ผ่านมา แล้วก็ให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้วย แล้วมีการตั้งสถาบันวิจัยและการพัฒนาได้ มีคนเข้ามาทํางานได้เหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องเปลี่ยนแปลง สําหรับธุรกิจขนาดเล็ก ภาครัฐก็ได้พยายามเร่งดูแลไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน หลาย ๆ ท่านก็เข้าใจว่าให้แต่บริษัทใหญ่ ๆ เพราะบริษัทเล็กเราก็แยกกลุ่มออกมาเป็นเรื่องของ SMEs ต้องเชื่อมโยงกับบริษัทใหญ่ได้อย่างไร ในเรื่องของการให้ทุน ในเรื่องของการวิจัยและพัฒนา เหล่านี้ต้องดูทุก Sector และก็ทุกเป้าหมาย ทั้ง ใหญ่ กลาง เล็ก ทั้งหมด เราก็ได้มีการสนับสนุนในเรื่องของการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs ให้สะดวก ปัญหาที่มีที่ผ่านมาไม่ได้จัดระบบไว้ชัดเจน การขึ้นทะเบียนต่าง ๆ ก็ไม่ค่อยพร้อม หลักฐานการทําบัญชีก็ไม่ค่อยเรียบร้อย การใช้เทคโนโลยีก็จํากัด วันนี้เราก็พยายามที่จะให้เขาได้มีการพัฒนาในเรื่องเหล่านี้ ทีนี้ก็ติดปัญหาว่าหนี้สินเยอะ ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เหล่านี้ก็พยายามไปสู่จุดที่ถูกต้องตามกฎหมายก่อนให้ได้ เพื่อจะสามารถขอกองทุนได้ นํามาใช้ประโยชน์ได้ในการลงทุนและปรับปรุงกิจการฟื้นฟูกิจการได้อย่างรวดเร็วขึ้นทั้งนี้ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ก็ได้ปรับขั้นตอนและกระบวนการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อในกองทุนพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ตามแนวทางประชารัฐให้เร็วขึ้น ภายในเดือนกันยายน 2560 นี้ คาดว่าจะสามารถพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้กว่า 9,900 ล้านบาท ที่ยังไม่ได้ ก็ต้องไปดูว่าไม่ได้เพราะอะไร ด้วยกฎหมาย ด้วยความไม่พร้อม หรือด้วยศักยภาพ ด้วยสินค้าไม่น่าจะผลิตออกมา พอผลิตออกมาแล้วไม่ได้ผล ไม่มีนวัตกรรมเหล่านี้ ก็ต้องปรับปรุงเหล่านี้ด้วย ไม่ใช่มาขอแล้วทุกคนจะต้องได้ทั้งหมด ก็มีกติกา อย่าทําอะไรที่ดูไร้กติกา พอวันหน้าก็พังไปอีกเหมือนเดิม ใช้เงินไปสิ้นเปลืองสูญเปล่าอีก ก็กู้ไปแล้วก็หาทางชําระหนี้อะไรด้วย เราก็พยายามลดดอกเบี้ยอะไรต่าง ๆ พอสมควรแล้ว นอกจากนี้ มีเรื่องที่น่ายินดี คือ กระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศผลการจัดอันดับประเทศไทย ในเรื่องการใช้แรงงานเด็ก เมื่อวันที่ 20 กันยายน ที่ผ่านมา สรุปว่าไทยจัดอยู่ในระดับที่ “มีความสําเร็จมาก” จากปีก่อนหน้า ที่ไทยเคยถูกระบุว่า มีปัญหาการบังคับใช้แรงงานเด็กในกิจการแปรรูปกุ้งและอาหารทะเล รวมถึงมีข้อจํากัดในการบังคับใช้กฎหมาย เพราะมีพนักงานตรวจแรงงานไม่เพียงพอ และยังไม่สามารถสื่อสารในภาษาของชนกลุ่มน้อยได้เท่าที่ควร ปัญหาเหล่านี้ถ้าเราทําจริง ๆ ก็แก้ได้ แล้วทําไมไม่ทํามาตั้งแต่ต้น ต้องเสียเวลามาถึงวันนี้ กว่าจะฟื้นฟูขึ้นมาได้ ในปีนี้ สหรัฐฯ มองว่า เรามีความคืบหน้าในการดําเนินการเรื่องนี้อย่างมาก ด้วยการปรับปรุงกฎหมาย ที่กําหนดอายุขั้นต่ําของการทํางานในภาคเกษตรและภาคประมงทะเล การเพิ่มโทษสําหรับผู้กระทําความผิด รวมถึงได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติ และคณะทํางานต่าง ๆ เพื่อดําเนินการเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวและปัญหาค้ามนุษย์อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้ง ยังได้มีการจัดสรรงบประมาณ เพื่อขจัดและป้องกันการใช้แรงงานเด็กอย่างเต็มที่ และได้ร่วมกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ในการจัดทําสถิติจํานวนแรงงานเด็กภายในประเทศด้วย ซึ่งการประเมินในครั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมให้กับฝ่ายไทยหลายข้อแต่เราก็ได้เริ่มดําเนินการอยู่ก่อนแล้ว และก็จะเร่งดําเนินการให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น เพื่อจะแก้ปัญหาที่ยังหลงเหลืออยู่ให้หมดไปโดยเร็ว และช่วยให้ไทยได้รับการยอมรับในระดับสากลมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่น ไม่กีดกันทางการค้าขาย ระหว่างประเทศกับไทยในอนาคตด้วย สุดท้ายนี้ เนื่องด้วยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้วันที่ 28 กันยายนของทุกปี เป็น “วันพระราชทานธงชาติไทย” (Thai National Flag Day) เพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทย โดยให้เริ่มปีนี้เป็นปีแรก และครบรอบ 100 ปีของการประกาศใช้ “ธงไตรรงค์” นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจของคนในชาติ และความเป็นชาติเอกราช อีกด้วย ทั้งนี้ ผมขอให้พี่น้องประชาชนชาวไทย ได้ร่วมภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย ที่มีลักษณะเฉพาะของเรา นอกจากยิ้มสยามซึ่งแสดงถึงน้ําใสใจจริงแล้วก็ยังมีความซื่อสัตย์สุจริต ประกอบไปด้วย เหมือนนายยิ่งยศ ศรีเกตุ และนายไพโรจน์ แย้มกลีบ เจ้าหน้าที่ประจํารถขยะ จังหวัดนนทบุรี ที่เก็บเงินสดไว้ 2 แสนบาท แล้วก็พยายามตามหาเจ้าของ และการไม่ละความเพียร – ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เหมือนคุณทองใบ ชัยสวัสดิ์ นักกีฬาว่ายน้ําสาวทีมชาติไทย ที่สามารถคว้าเหรียญทองแรกของไทย และน้องเดฟ อภิสิทธิ์ ทาพรม ที่สามารถคว้าเหรียญทองและทําลายสถิติอาเซียนในกีฬากรีฑาระยะ 1,500 เมตรชาย ความพิการทางสมองของนักกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ในมาเลเซียในปีนี้ได้สําเร็จ มีอีกหลายท่าน ถ้าติดตามข่าวการแข่งขันจะเห็นว่าเราได้เหรียญทองขึ้นมาอยู่ในระดับ 3 ก็พยายามต่อไป คนได้แล้วก็แสดงความยินดีด้วย ที่เหลือก็ต้องพยายามต่อไป ขอบคุณทุกคนที่เป็นนักกีฬาตัวแทนประเทศไทยผู้สนับสนุนสมาคม ผู้คุมทีม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เจ้าหน้าที่ทุกคน ก็ขอให้คนไทยทุกคนเป็นกําลังใจ ไปช่วยกันชื่นชมรักษาสิ่งเหล่านี้ให้คงอยู่คู่บ้านคู่เมืองของเราตลอดไป อีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องที่เราต้องขับเคลื่อนประเทศให้ไปสู่วิสัยทัศน์ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน เราก็จําเป็นต้องมีการส่งเสริมสนับสนุน โดยการใช้ระบบดิจิทัลมาทําให้ทุกอย่างดีขึ้น วันนี้รัฐบาลโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมก็ได้จัดงาน Digital Thailand Big Bang 2017 อาคารเมืองทอง อิมแพคอารีน่า ขอเชิญชวนทุกคนช่วยไปดูด้วย ความทันสมัย โลกแห่งอนาคต และปัจจุบันก็ต้องมีการใช้อยู่แล้ว เราจะใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ ระบบไอที ระบบดิจิทัล รัฐบาลได้ทําโครงสร้างอะไรต่าง ๆ ไว้แล้ว ท่านต้องเรียนรู้ตรงนี้ เมื่อรัฐบาลทําตรงนี้เสร็จก็ใช้ได้ทันที เพื่อจะเพิ่มรายได้ขอตัวเองได้อีกทางหนึ่ง ในการใช้สติปัญญาในการที่จะใช้ประโยชน์จากการขายสินค้าออนไลน์ การตั้งบริษัทสตาร์ทอัพเหล่านี้ เพื่อจะไปสู่ SMEs แล้วก็โตไปสู่ธุรกิจขนาดใหญ่ต่อไป ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ปลอดภัยทุกคน สวัสดีครับ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6893
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. จัดทำ 4 แพ็คเกจสินเชื่อเพื่อสังคม สร้างโอกาสทำให้คนไทยมีบ้าน ดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.99% ต่อปี
วันพุธที่ 1 มีนาคม 2560 ธอส. จัดทํา 4 แพ็คเกจสินเชื่อเพื่อสังคม สร้างโอกาสทําให้คนไทยมีบ้าน ดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.99% ต่อปี ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เดินหน้าทําให้คนไทยมีบ้าน เตรียมวงเงินรวม 36,000 ล้านบาท จัดทําแพ็คเกจสินเชื่อเพื่อสังคม ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เดินหน้าทําให้คนไทยมีบ้าน เตรียมวงเงินรวม 36,000 ล้านบาท จัดทําแพ็คเกจสินเชื่อเพื่อสังคม ตอบโจทย์กลุ่ม Social Solution ดูแลกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐบุคลากรทางการศึกษา และผู้สูงอายุ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยได้ง่ายยิ่งขึ้น ประกอบด้วย โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อข้าราชการครู โครงการบ้าน ธอส.เพื่อข้าราชการ อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก 3% ต่อปี โครงการบ้าน ธอส. เพื่อสานรัก อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี และโครงการบ้าน ธอส. เพื่อผู้สูงอายุ อัตราดอกเบี้ยปีแรก 3.25% ต่อปี นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า จากนโยบายธนาคารที่มุ่งเน้นช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มสาขาอาชีพให้สามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ง่ายยิ่งขึ้นตามพันธกิจทําให้คนไทยมีบ้าน ล่าสุดได้จัดทํา “แพ็คเกจสินเชื่อบ้านสําหรับลูกค้ากลุ่ม Social Solution ไตรมาส 1-2 ปี 2560” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่รองรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ บุคลากรทางการศึกษา และผู้สูงอายุ ภายใต้กรอบวงเงินรวม 36,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อข้าราชการครู ปี 2560 สําหรับข้าราชการครูในโรงเรียนของรัฐ สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ ที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย เป็นของตนเองและ/หรือคู่สมรสจดทะเบียน อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-2 เท่ากับ MRR-3.75% ต่อปี หรือเท่ากับ 3% ต่อปี ปีที่ 3-4 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.75% ต่อปี ปีที่ 5 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.75% ต่อปี ปีที่ 6 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ อัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% ต่อปี กรณีกู้ชําระเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย อัตราดอกเบี้ย MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส.เท่ากับ 6.75% ต่อปี) ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจํานองจากสถาบันการเงินอื่น ชําระหนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย และซื้อที่ดินเปล่าที่เป็นทรัพย์ NPA ของ ธอส. พร้อมปลูกสร้างอาคาร และได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ 2.โครงการบ้าน ธอส. เพื่อข้าราชการ ปี 2560 สําหรับข้าราชการ ทหาร ตํารวจ บุคลากรทางการศึกษาในสังกัดส่วนราชการที่มีฐานะเป็นกระทรวง ทบวง กรมหรือเทียบเท่า และพนักงานรัฐวิสาหกิจ อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-2 เท่ากับ MRR-3.75% ต่อปี หรือเท่ากับ 3% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ MRR-2.75% ต่อปี ปีที่ 4 เท่ากับ MRR-1.75% ต่อปี ปีที่ 5 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ เท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีกู้ชําระหนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย/ซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกอัตราดอกเบี้ย MRR ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจํานองจากสถาบันการเงินอื่น ชําระหนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย/ซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกฯ และซื้อที่ดินเปล่าที่เป็นทรัพย์ NPA ของ ธอส.พร้อมปลูกสร้างอาคาร และได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ 3.โครงการบ้าน ธอส. เพื่อผู้สูงอายุ ปี 2560 ให้กู้สําหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป โดยสามารถกู้ร่วมกับ คู่สมรสจดทะเบียน บุตร หรือหลานได้ ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกฯ โดยอัตราดอกเบี้ยแบ่งเป็น 2 กรณี คือ 3.1 กรณีที่อยู่อาศัยมีคุณสมบัติเหมาะสมกับการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุตามเงื่อนไขที่ธนาคารกําหนด อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 - 2 เท่ากับ MRR – 3.50% ต่อปี หรือเท่ากับ 3.25% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ MRR-2.50% ต่อปี ปีที่ 4 เท่ากับ MRR-1.75% ต่อปี ปีที่ 5 อัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี ที่ 6 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้เท่ากับ MRR-1.25% ต่อปี และได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ 3.2 กรณีหลักประกันแบบบ้านทั่วไป อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ MRR – 3.00% ต่อปี หรือเท่ากับ 3.75% ต่อปี ปีที่ 2 เท่ากับ MRR-2.50% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ MRR-2.00% ต่อปี ปีที่ 4 เท่ากับ MRR-1.50% ต่อปี ปีที่ 5 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ เท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี และได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ 4.โครงการบ้าน ธอส. เพื่อสานรัก ปี 2560 สําหรับประชาชนทั่วไปและผู้ประกอบอาชีพอิสระที่มีรายได้รวมไม่เกินจํานวนที่ธนาคารกําหนด วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 - 2 เท่ากับ 2.99% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ 4.00% ต่อปี ปีที่ 4 เท่ากับ 4.75% ต่อปี ปีที่ 5 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการ เท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อย เท่ากับ MRR-0.75% ต่อปี วัตถุประสงค์ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ขยาย หรือซ่อมแซม ลูกค้าที่สนใจสามารถยื่นคําขอกู้และทํานิติกรรมได้แล้วตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2560 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกําหนด ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. จัดทำ 4 แพ็คเกจสินเชื่อเพื่อสังคม สร้างโอกาสทำให้คนไทยมีบ้าน ดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.99% ต่อปี วันพุธที่ 1 มีนาคม 2560 ธอส. จัดทํา 4 แพ็คเกจสินเชื่อเพื่อสังคม สร้างโอกาสทําให้คนไทยมีบ้าน ดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.99% ต่อปี ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เดินหน้าทําให้คนไทยมีบ้าน เตรียมวงเงินรวม 36,000 ล้านบาท จัดทําแพ็คเกจสินเชื่อเพื่อสังคม ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เดินหน้าทําให้คนไทยมีบ้าน เตรียมวงเงินรวม 36,000 ล้านบาท จัดทําแพ็คเกจสินเชื่อเพื่อสังคม ตอบโจทย์กลุ่ม Social Solution ดูแลกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐบุคลากรทางการศึกษา และผู้สูงอายุ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยได้ง่ายยิ่งขึ้น ประกอบด้วย โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อข้าราชการครู โครงการบ้าน ธอส.เพื่อข้าราชการ อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก 3% ต่อปี โครงการบ้าน ธอส. เพื่อสานรัก อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี และโครงการบ้าน ธอส. เพื่อผู้สูงอายุ อัตราดอกเบี้ยปีแรก 3.25% ต่อปี นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า จากนโยบายธนาคารที่มุ่งเน้นช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มสาขาอาชีพให้สามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ง่ายยิ่งขึ้นตามพันธกิจทําให้คนไทยมีบ้าน ล่าสุดได้จัดทํา “แพ็คเกจสินเชื่อบ้านสําหรับลูกค้ากลุ่ม Social Solution ไตรมาส 1-2 ปี 2560” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่รองรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ บุคลากรทางการศึกษา และผู้สูงอายุ ภายใต้กรอบวงเงินรวม 36,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อข้าราชการครู ปี 2560 สําหรับข้าราชการครูในโรงเรียนของรัฐ สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ ที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย เป็นของตนเองและ/หรือคู่สมรสจดทะเบียน อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-2 เท่ากับ MRR-3.75% ต่อปี หรือเท่ากับ 3% ต่อปี ปีที่ 3-4 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.75% ต่อปี ปีที่ 5 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.75% ต่อปี ปีที่ 6 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ อัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% ต่อปี กรณีกู้ชําระเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย อัตราดอกเบี้ย MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส.เท่ากับ 6.75% ต่อปี) ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจํานองจากสถาบันการเงินอื่น ชําระหนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย และซื้อที่ดินเปล่าที่เป็นทรัพย์ NPA ของ ธอส. พร้อมปลูกสร้างอาคาร และได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ 2.โครงการบ้าน ธอส. เพื่อข้าราชการ ปี 2560 สําหรับข้าราชการ ทหาร ตํารวจ บุคลากรทางการศึกษาในสังกัดส่วนราชการที่มีฐานะเป็นกระทรวง ทบวง กรมหรือเทียบเท่า และพนักงานรัฐวิสาหกิจ อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-2 เท่ากับ MRR-3.75% ต่อปี หรือเท่ากับ 3% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ MRR-2.75% ต่อปี ปีที่ 4 เท่ากับ MRR-1.75% ต่อปี ปีที่ 5 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ เท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีกู้ชําระหนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย/ซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกอัตราดอกเบี้ย MRR ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจํานองจากสถาบันการเงินอื่น ชําระหนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย/ซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกฯ และซื้อที่ดินเปล่าที่เป็นทรัพย์ NPA ของ ธอส.พร้อมปลูกสร้างอาคาร และได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ 3.โครงการบ้าน ธอส. เพื่อผู้สูงอายุ ปี 2560 ให้กู้สําหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป โดยสามารถกู้ร่วมกับ คู่สมรสจดทะเบียน บุตร หรือหลานได้ ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกฯ โดยอัตราดอกเบี้ยแบ่งเป็น 2 กรณี คือ 3.1 กรณีที่อยู่อาศัยมีคุณสมบัติเหมาะสมกับการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุตามเงื่อนไขที่ธนาคารกําหนด อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 - 2 เท่ากับ MRR – 3.50% ต่อปี หรือเท่ากับ 3.25% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ MRR-2.50% ต่อปี ปีที่ 4 เท่ากับ MRR-1.75% ต่อปี ปีที่ 5 อัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี ที่ 6 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้เท่ากับ MRR-1.25% ต่อปี และได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ 3.2 กรณีหลักประกันแบบบ้านทั่วไป อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ MRR – 3.00% ต่อปี หรือเท่ากับ 3.75% ต่อปี ปีที่ 2 เท่ากับ MRR-2.50% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ MRR-2.00% ต่อปี ปีที่ 4 เท่ากับ MRR-1.50% ต่อปี ปีที่ 5 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ เท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี และได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ 4.โครงการบ้าน ธอส. เพื่อสานรัก ปี 2560 สําหรับประชาชนทั่วไปและผู้ประกอบอาชีพอิสระที่มีรายได้รวมไม่เกินจํานวนที่ธนาคารกําหนด วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 - 2 เท่ากับ 2.99% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ 4.00% ต่อปี ปีที่ 4 เท่ากับ 4.75% ต่อปี ปีที่ 5 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการ เท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อย เท่ากับ MRR-0.75% ต่อปี วัตถุประสงค์ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ขยาย หรือซ่อมแซม ลูกค้าที่สนใจสามารถยื่นคําขอกู้และทํานิติกรรมได้แล้วตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2560 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกําหนด ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2138
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีนเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน 2561 รองประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีนเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี รองประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีนเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี วันนี้ (6 พ.ย. 2561) เวลา 15.00 น. นายจาง ชุนเสียน (Zhang Chunxian) รองประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีน เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ณ ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับรองประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีนในนามรัฐบาลไทย และยินดีที่ได้พบปะหารือกันในวันนี้ โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรองประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีนต่างยินดีที่ไทยและจีนมีความสัมพันธ์กันมานาน มีความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ใกล้ชิดรอบด้าน ผู้นําไทยและจีนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด มีการแลกเปลี่ยนการเยือนและการพบหารือระดับสูงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ไทยและจีนยังมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดทางด้านวัฒนธรรมและเปรียบเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติและสภาประชาชนแห่งชาติจีนต่างมีความสัมพันธ์และความร่วมมืออย่างสม่ําเสมอ ขณะนี้ไทยอยู่ในช่วงการปฏิรูปในหลาย ๆ ด้าน และไทยได้นําประสบการณ์จากจีนมาปรับใช้ในหลายประการ ไทยจึงประสงค์เรียนรู้ประสบการณ์เรื่องการปฏิรูปจากจีนต่อไป รวมถึงหวังว่า ไทยและจีนจะยังคงรักษาความสัมพันธ์ในทุกระดับทั้งระดับรัฐบาลและประชาชน เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีทราบว่าในระหว่างการเยือนไทยครั้งนี้ รองประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีนได้เยือนจังหวัดเชียงใหม่ระหว่างวันที่ 4 - 5พฤศจิกายน 2561 และได้พบหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ด้วย ซึ่งรองประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีนกล่าวว่า ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากจังหวัดเชียงใหม่ และได้มีโอกาสพบปะนักท่องเที่ยวและนักศึกษาชาวจีนในไทยอีกด้วย รองประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีนชื่นชมรองนายกรัฐมนตรีที่ช่วยเพิ่มพูนความร่วมมือและความสัมพันธ์ไทยและจีนให้ใกล้ชิดมาโดยตลอด และการมาเยือนไทยครั้งนี้จะมาเพียงเวลาสั้น ๆ แต่รู้สึกประทับใจในสังคมไทยและเศรษฐกิจไทยที่พัฒนาได้อย่างรวดเร็ว รองประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีนกล่าวว่า ไทยและจีนยังมีศักยภาพที่จะขยายความร่วมมือได้อีกมาก ทั้งด้านการท่องเที่ยว การศึกษา การแลกเปลี่ยนบุคลากรในภาครัฐ รวมถึงการเชื่อมโยงไทยกับจีนภายใต้นโยบาย 1 แถบ 1 เส้นทาง ให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีนเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน 2561 รองประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีนเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี รองประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีนเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี วันนี้ (6 พ.ย. 2561) เวลา 15.00 น. นายจาง ชุนเสียน (Zhang Chunxian) รองประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีน เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ณ ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับรองประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีนในนามรัฐบาลไทย และยินดีที่ได้พบปะหารือกันในวันนี้ โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรองประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีนต่างยินดีที่ไทยและจีนมีความสัมพันธ์กันมานาน มีความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ใกล้ชิดรอบด้าน ผู้นําไทยและจีนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด มีการแลกเปลี่ยนการเยือนและการพบหารือระดับสูงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ไทยและจีนยังมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดทางด้านวัฒนธรรมและเปรียบเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติและสภาประชาชนแห่งชาติจีนต่างมีความสัมพันธ์และความร่วมมืออย่างสม่ําเสมอ ขณะนี้ไทยอยู่ในช่วงการปฏิรูปในหลาย ๆ ด้าน และไทยได้นําประสบการณ์จากจีนมาปรับใช้ในหลายประการ ไทยจึงประสงค์เรียนรู้ประสบการณ์เรื่องการปฏิรูปจากจีนต่อไป รวมถึงหวังว่า ไทยและจีนจะยังคงรักษาความสัมพันธ์ในทุกระดับทั้งระดับรัฐบาลและประชาชน เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีทราบว่าในระหว่างการเยือนไทยครั้งนี้ รองประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีนได้เยือนจังหวัดเชียงใหม่ระหว่างวันที่ 4 - 5พฤศจิกายน 2561 และได้พบหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ด้วย ซึ่งรองประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีนกล่าวว่า ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากจังหวัดเชียงใหม่ และได้มีโอกาสพบปะนักท่องเที่ยวและนักศึกษาชาวจีนในไทยอีกด้วย รองประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีนชื่นชมรองนายกรัฐมนตรีที่ช่วยเพิ่มพูนความร่วมมือและความสัมพันธ์ไทยและจีนให้ใกล้ชิดมาโดยตลอด และการมาเยือนไทยครั้งนี้จะมาเพียงเวลาสั้น ๆ แต่รู้สึกประทับใจในสังคมไทยและเศรษฐกิจไทยที่พัฒนาได้อย่างรวดเร็ว รองประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีนกล่าวว่า ไทยและจีนยังมีศักยภาพที่จะขยายความร่วมมือได้อีกมาก ทั้งด้านการท่องเที่ยว การศึกษา การแลกเปลี่ยนบุคลากรในภาครัฐ รวมถึงการเชื่อมโยงไทยกับจีนภายใต้นโยบาย 1 แถบ 1 เส้นทาง ให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16599
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. จับมือเมืองพัทยา รณรงค์ ลดใช้ถุงพลาสติก ตามโครงการทำความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก
วันจันทร์ที่ 17 กันยายน 2561 ทส. จับมือเมืองพัทยา รณรงค์ ลดใช้ถุงพลาสติก ตามโครงการทําความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก ทส. จับมือเมืองพัทยา รณรงค์ ลดใช้ถุงพลาสติก ตามโครงการทําความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก ทส. จับมือเมืองพัทยา รณรงค์ ลดใช้ถุงพลาสติก ตามโครงการทําความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก วันนี้ (14 ก.ย. 61) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี จัดกิจกรรม “รณรงค์ ลดใช้ถุงพลาสติก ตามโครงการทําความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก” เพื่อเป็นการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาพลาสติกให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม โดยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์) เป็นประธานเปิดกิจกรรม ณ สวนสาธารณะลานโพธิ์นาเกลือ ตลาดสดลานโพธิ์นาเกลือ เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และประชาชนในพื้นที่ ร่วมเดินตลาด แจกถุงผ้าแก่พ่อค้าแม่ค้าและประชาชนที่มาใช้บริการในตลาดสดลานโพธิ์นาเกลือ เพื่อประชาสัมพันธ์รณรงค์ ลดใช้ถุงพลาสติกและโฟม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. จับมือเมืองพัทยา รณรงค์ ลดใช้ถุงพลาสติก ตามโครงการทำความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก วันจันทร์ที่ 17 กันยายน 2561 ทส. จับมือเมืองพัทยา รณรงค์ ลดใช้ถุงพลาสติก ตามโครงการทําความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก ทส. จับมือเมืองพัทยา รณรงค์ ลดใช้ถุงพลาสติก ตามโครงการทําความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก ทส. จับมือเมืองพัทยา รณรงค์ ลดใช้ถุงพลาสติก ตามโครงการทําความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก วันนี้ (14 ก.ย. 61) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ร่วมกับ เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี จัดกิจกรรม “รณรงค์ ลดใช้ถุงพลาสติก ตามโครงการทําความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก” เพื่อเป็นการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาพลาสติกให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม โดยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์) เป็นประธานเปิดกิจกรรม ณ สวนสาธารณะลานโพธิ์นาเกลือ ตลาดสดลานโพธิ์นาเกลือ เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และประชาชนในพื้นที่ ร่วมเดินตลาด แจกถุงผ้าแก่พ่อค้าแม่ค้าและประชาชนที่มาใช้บริการในตลาดสดลานโพธิ์นาเกลือ เพื่อประชาสัมพันธ์รณรงค์ ลดใช้ถุงพลาสติกและโฟม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15423
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2561 (Public Debt Outstanding Report as of February 28, 2018)
วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561 รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2561 (Public Debt Outstanding Report as of February 28, 2018) รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 มีจํานวน 6,463,676.84 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 41.34 ของ GDP นายธีรัชย์ อัตนวานิช ที่ปรึกษาด้านตลาดตราสารหนี้ ได้รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 มีจํานวน 6,463,676.84 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 41.34 ของ GDP โดยแบ่งเป็นหนี้รัฐบาล 5,135,083.68 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ 935,776.80 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ําประกัน) 383,570.59 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานของรัฐ 9,245.77 ล้านบาท ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าหนี้สาธารณะคงค้างเพิ่มขึ้นสุทธิ 22,318.98 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้ * หนี้รัฐบาล จํานวน 5,135,083.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสุทธิ 13,699.51 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญของหนี้รัฐบาล ดังนี้ • เงินกู้ภายใต้แผนที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2561 และการบริหารหนี้สาธารณะ เพิ่มขึ้นสุทธิ 20,899.53 ล้านบาท เนื่องจากการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณเพื่อนําไปลงทุนในการพัฒนาประเทศ สร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจ จํานวน 23,548.53 ล้านบาท และการลดลงของตั๋วเงินคลัง 2,649 ล้านบาท • เงินกู้เพื่อการลงทุนจากแหล่งเงินกู้ในประเทศเพิ่มขึ้นสุทธิ 4,566.78 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น การกู้ให้กู้ต่อแก่ (1) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเบิกจ่ายเงินกู้จํานวน 640.19 ล้านบาท เพื่อจัดทําโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มจํานวน 411.47 ล้านบาท สายสีน้ําเงินจํานวน 194.28 ล้านบาท สายสีเขียวจํานวน 33.76 ล้านบาท และโครงการรถไฟสายสีม่วงและพัฒนาสิ่งอํานวยความสะดวกเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางบริเวณสะพานพระนั่งเกล้าฯ จํานวน 0.68 ล้านบาท (2) การรถไฟแห่งประเทศไทยเบิกจ่ายเงินกู้จํานวน 5,010.38 ล้านบาท เพื่อจัดทําโครงการการก่อสร้างทางคู่ ช่วงนครปฐม – ชุมพร จํานวน 2,751.70 ล้านบาท โครงการก่อสร้างทางคู่ ช่วงมาบกะเบา – ชุมทางถนนจิระ จํานวน 1,685 ล้านบาท โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ – ขอนแก่น จํานวน 494.68 ล้านบาท โครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - รังสิต จํานวน 70.87 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา – คลองสิบเก้า - แก่งคอย จํานวน 8.13 ล้านบาท และ (3) การชําระคืนต้นเงินกู้ที่ให้กู้ต่อแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยจํานวน 1,083.79 ล้านบาท • การกู้เงินบาททดแทนการกู้เงินตราต่างประเทศ เพิ่มขึ้น 400 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ําและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน • การชําระหนี้ที่รัฐบาลกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จํานวน 11,710.86 ล้านบาท โดยใช้เงินจากบัญชีสะสมเพื่อการชําระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ • หนี้ต่างประเทศลดลงสุทธิ 455.94 ล้านบาท เนื่องจากการเบิกจ่ายและชําระคืนเงินกู้สกุลเงินต่างๆ และการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน * หนี้รัฐวิสาหกิจ จํานวน 935,776.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสุทธิ 12,091.05 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญเกิดจาก • หนี้ที่รัฐบาลค้ําประกัน เพิ่มขึ้นสุทธิ 2,415.26 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากหนี้ ที่เพิ่มขึ้นของการรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ • หนี้ที่รัฐบาลไม่ค้ําประกัน เพิ่มขึ้นสุทธิ 9,675.79 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากหนี้ที่เพิ่มขึ้นของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) * หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ําประกัน) จํานวน 383,570.59 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 3,085.66 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากการชําระคืนต้นเงินกู้ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร * หนี้หน่วยงานของรัฐ จํานวน 9,245.77 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 385.92 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญ เนื่องจากการชําระคืนต้นเงินกู้ของสํานักงานกองทุนอ้อยและน้ําตาลทราย หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2561 จํานวน 6,463,676.84 ล้านบาท แบ่งออกเป็น หนี้ในประเทศ 6,188,010.60 ล้านบาท หรือร้อยละ 95.74 และหนี้ต่างประเทศ 275,666.24 ล้านบาท (ประมาณ 8,557.16 ล้านเหรียญสหรัฐ) หรือร้อยละ 4.26 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด และหนี้สาธารณะคงค้างแบ่งตามอายุคงเหลือ สามารถแบ่งออกเป็นหนี้ระยะยาว 5,763,983.17 ล้านบาท หรือร้อยละ 89.17 และหนี้ระยะสั้น 699,693.67 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.83 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด คณะโฆษกสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 02 265 8050 ต่อ 5520 Mr. Theeraj Athanavanich, Bond Market Advisor, reported that Thailand’s public debt outstanding as of February 28, 2018 was at 6,463,676.84 million Baht (41.34% of GDP). The total public debt outstanding comprised 5,135,083.68 million Baht of Government debt, 935,776.80 million Baht of State-Owned Enterprises (SOEs) debt, 383,570.59 million Baht of Government Guaranteed Financial SOEs debt* and 9,245.77 million Baht of Other Government Agencies debt. Compared with last month, public debt outstanding increased by 22,318.98 million Baht with details as follows: * Government debt outstanding was at 5,135,083.68 million Baht, increasing by 13,699.51 million Baht. The detail of change in government debt as the followings: • Financing under the Annual Budget Expenditure Act B.E. 2561 (A.D. 2018) and debt management increased by 20,899.53 million Baht. This increase was mainly for the country development. • Domestic debt to finance infrastructure investment increased by 4,566.78 million Baht which resulted from (1) an increase in On-lending debt by 640.19 million Baht to Mass Rapid Transit Authority of Thailand for the Orange Line, Blue Line, Green Line, Purple Line Projects and the Intermodal Transfer Facility for the Purple Line project (2) an increase in On-lending debt by 5,010.38 million Baht to State Railway of Thailand for Double-track Nakornpathom – Chumphon Project, Double-track Map Kabao – Jira Road Project, Double-track Jira Road - Khonkaen Project, Red Line Mass Transit System Project and Double-track Chachoengsao - Klong 19 - Kaeng Koi Project and (3) the principal repayment of On-lending debt to Mass Rapid Transit Authority of Thailand by 1,083.79 million Baht. • Debt to Finance Economic Stimulus Package through Water Management and Road System Improvement increased by 400 million Baht. • Debt repayments under the Emergency Decree authorizing the MOF to Secure Loans for Financial Institutions Development Fund were made in the amount of 11,710.86 million Baht. • External debt decreased by 455.94 million Baht mainly due to the disbursement and principal repayment and changes in foreign exchange rates. * State-Owned Enterprise debt was at 935,776.80 million Baht, increasing by 12,091.05 million Baht. This change was mainly contributed from the followings: • Government Guaranteed debt increased by 2,415.26 million Baht. This was mainly from the State Railway of Thailand and the Bangkok Mass Transit Authority. • Non-Government Guaranteed debt increased by 9,675.79 million Baht. This was mainly from the Electricity Generating Authority of Thailand and the Thai Airways International Public Co., Ltd. * Financial State-Owned Enterprise debt (Government Guaranteed) was at 383,570.59 million Baht, decreasing by 3,085.66 million Baht. This change was mainly resulted from the debt repayment by the Government Housing Bank and the Bank for Agriculture and Agricultural Co-operatives. * Other Government Agencies debt was at 9,245.77 million Baht, decreasing by 385.92 million Baht mainly due to the debt repayment of the Office of the Cane and Sugar Fund. Public debt outstanding as of February 28, 2018 was at 6,463,676.84 million Baht, of which, 6,188,010.60 million Baht was domestic debt (95.74% of total public debt), and 275,666.24 million Baht (8,557.16 million USD) was external debt (4.26% of total public debt). Classified by remaining maturity, long-term debt outstanding was 5,763,983.17 million Baht (89.17% of total public debt) and short-term debt outstanding was 699,693.67 million Baht (10.83% of total public debt). Public Debt Management Office Tel. +66 2 265 8050 Ext. 5520
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2561 (Public Debt Outstanding Report as of February 28, 2018) วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561 รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2561 (Public Debt Outstanding Report as of February 28, 2018) รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 มีจํานวน 6,463,676.84 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 41.34 ของ GDP นายธีรัชย์ อัตนวานิช ที่ปรึกษาด้านตลาดตราสารหนี้ ได้รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 มีจํานวน 6,463,676.84 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 41.34 ของ GDP โดยแบ่งเป็นหนี้รัฐบาล 5,135,083.68 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ 935,776.80 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ําประกัน) 383,570.59 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานของรัฐ 9,245.77 ล้านบาท ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าหนี้สาธารณะคงค้างเพิ่มขึ้นสุทธิ 22,318.98 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้ * หนี้รัฐบาล จํานวน 5,135,083.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสุทธิ 13,699.51 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญของหนี้รัฐบาล ดังนี้ • เงินกู้ภายใต้แผนที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2561 และการบริหารหนี้สาธารณะ เพิ่มขึ้นสุทธิ 20,899.53 ล้านบาท เนื่องจากการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณเพื่อนําไปลงทุนในการพัฒนาประเทศ สร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจ จํานวน 23,548.53 ล้านบาท และการลดลงของตั๋วเงินคลัง 2,649 ล้านบาท • เงินกู้เพื่อการลงทุนจากแหล่งเงินกู้ในประเทศเพิ่มขึ้นสุทธิ 4,566.78 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น การกู้ให้กู้ต่อแก่ (1) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเบิกจ่ายเงินกู้จํานวน 640.19 ล้านบาท เพื่อจัดทําโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มจํานวน 411.47 ล้านบาท สายสีน้ําเงินจํานวน 194.28 ล้านบาท สายสีเขียวจํานวน 33.76 ล้านบาท และโครงการรถไฟสายสีม่วงและพัฒนาสิ่งอํานวยความสะดวกเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางบริเวณสะพานพระนั่งเกล้าฯ จํานวน 0.68 ล้านบาท (2) การรถไฟแห่งประเทศไทยเบิกจ่ายเงินกู้จํานวน 5,010.38 ล้านบาท เพื่อจัดทําโครงการการก่อสร้างทางคู่ ช่วงนครปฐม – ชุมพร จํานวน 2,751.70 ล้านบาท โครงการก่อสร้างทางคู่ ช่วงมาบกะเบา – ชุมทางถนนจิระ จํานวน 1,685 ล้านบาท โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ – ขอนแก่น จํานวน 494.68 ล้านบาท โครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - รังสิต จํานวน 70.87 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา – คลองสิบเก้า - แก่งคอย จํานวน 8.13 ล้านบาท และ (3) การชําระคืนต้นเงินกู้ที่ให้กู้ต่อแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยจํานวน 1,083.79 ล้านบาท • การกู้เงินบาททดแทนการกู้เงินตราต่างประเทศ เพิ่มขึ้น 400 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ําและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน • การชําระหนี้ที่รัฐบาลกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จํานวน 11,710.86 ล้านบาท โดยใช้เงินจากบัญชีสะสมเพื่อการชําระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ • หนี้ต่างประเทศลดลงสุทธิ 455.94 ล้านบาท เนื่องจากการเบิกจ่ายและชําระคืนเงินกู้สกุลเงินต่างๆ และการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน * หนี้รัฐวิสาหกิจ จํานวน 935,776.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสุทธิ 12,091.05 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญเกิดจาก • หนี้ที่รัฐบาลค้ําประกัน เพิ่มขึ้นสุทธิ 2,415.26 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากหนี้ ที่เพิ่มขึ้นของการรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ • หนี้ที่รัฐบาลไม่ค้ําประกัน เพิ่มขึ้นสุทธิ 9,675.79 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากหนี้ที่เพิ่มขึ้นของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) * หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ําประกัน) จํานวน 383,570.59 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 3,085.66 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากการชําระคืนต้นเงินกู้ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร * หนี้หน่วยงานของรัฐ จํานวน 9,245.77 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 385.92 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญ เนื่องจากการชําระคืนต้นเงินกู้ของสํานักงานกองทุนอ้อยและน้ําตาลทราย หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2561 จํานวน 6,463,676.84 ล้านบาท แบ่งออกเป็น หนี้ในประเทศ 6,188,010.60 ล้านบาท หรือร้อยละ 95.74 และหนี้ต่างประเทศ 275,666.24 ล้านบาท (ประมาณ 8,557.16 ล้านเหรียญสหรัฐ) หรือร้อยละ 4.26 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด และหนี้สาธารณะคงค้างแบ่งตามอายุคงเหลือ สามารถแบ่งออกเป็นหนี้ระยะยาว 5,763,983.17 ล้านบาท หรือร้อยละ 89.17 และหนี้ระยะสั้น 699,693.67 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.83 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด คณะโฆษกสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 02 265 8050 ต่อ 5520 Mr. Theeraj Athanavanich, Bond Market Advisor, reported that Thailand’s public debt outstanding as of February 28, 2018 was at 6,463,676.84 million Baht (41.34% of GDP). The total public debt outstanding comprised 5,135,083.68 million Baht of Government debt, 935,776.80 million Baht of State-Owned Enterprises (SOEs) debt, 383,570.59 million Baht of Government Guaranteed Financial SOEs debt* and 9,245.77 million Baht of Other Government Agencies debt. Compared with last month, public debt outstanding increased by 22,318.98 million Baht with details as follows: * Government debt outstanding was at 5,135,083.68 million Baht, increasing by 13,699.51 million Baht. The detail of change in government debt as the followings: • Financing under the Annual Budget Expenditure Act B.E. 2561 (A.D. 2018) and debt management increased by 20,899.53 million Baht. This increase was mainly for the country development. • Domestic debt to finance infrastructure investment increased by 4,566.78 million Baht which resulted from (1) an increase in On-lending debt by 640.19 million Baht to Mass Rapid Transit Authority of Thailand for the Orange Line, Blue Line, Green Line, Purple Line Projects and the Intermodal Transfer Facility for the Purple Line project (2) an increase in On-lending debt by 5,010.38 million Baht to State Railway of Thailand for Double-track Nakornpathom – Chumphon Project, Double-track Map Kabao – Jira Road Project, Double-track Jira Road - Khonkaen Project, Red Line Mass Transit System Project and Double-track Chachoengsao - Klong 19 - Kaeng Koi Project and (3) the principal repayment of On-lending debt to Mass Rapid Transit Authority of Thailand by 1,083.79 million Baht. • Debt to Finance Economic Stimulus Package through Water Management and Road System Improvement increased by 400 million Baht. • Debt repayments under the Emergency Decree authorizing the MOF to Secure Loans for Financial Institutions Development Fund were made in the amount of 11,710.86 million Baht. • External debt decreased by 455.94 million Baht mainly due to the disbursement and principal repayment and changes in foreign exchange rates. * State-Owned Enterprise debt was at 935,776.80 million Baht, increasing by 12,091.05 million Baht. This change was mainly contributed from the followings: • Government Guaranteed debt increased by 2,415.26 million Baht. This was mainly from the State Railway of Thailand and the Bangkok Mass Transit Authority. • Non-Government Guaranteed debt increased by 9,675.79 million Baht. This was mainly from the Electricity Generating Authority of Thailand and the Thai Airways International Public Co., Ltd. * Financial State-Owned Enterprise debt (Government Guaranteed) was at 383,570.59 million Baht, decreasing by 3,085.66 million Baht. This change was mainly resulted from the debt repayment by the Government Housing Bank and the Bank for Agriculture and Agricultural Co-operatives. * Other Government Agencies debt was at 9,245.77 million Baht, decreasing by 385.92 million Baht mainly due to the debt repayment of the Office of the Cane and Sugar Fund. Public debt outstanding as of February 28, 2018 was at 6,463,676.84 million Baht, of which, 6,188,010.60 million Baht was domestic debt (95.74% of total public debt), and 275,666.24 million Baht (8,557.16 million USD) was external debt (4.26% of total public debt). Classified by remaining maturity, long-term debt outstanding was 5,763,983.17 million Baht (89.17% of total public debt) and short-term debt outstanding was 699,693.67 million Baht (10.83% of total public debt). Public Debt Management Office Tel. +66 2 265 8050 Ext. 5520
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11315
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พล.อ.อ.ประจินฯ และ ดร.พิเชฐฯ ร่วมสัมมนาแผนแม่บทการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ
วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560 พล.อ.อ.ประจินฯ และ ดร.พิเชฐฯ ร่วมสัมมนาแผนแม่บทการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ พล.อ.อ.ประจินฯ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานสัมมนาการจัดทําแผนแม่บทการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Thailand Smart City Master Plan Conference) โดยมี ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การสัมมนาฯว่า กระทรวงดิจิทัลฯ มีส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล โดยองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน กําลังเร่งปรับเปลี่ยนกระบวนการภายในด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และเพื่อให้ความรู้กับประชาชนทั่วไป ได้เข้าใจการพัฒนาประเทศไปสู่ความเป็นดิจิทัลมากขึ้น การประกาศนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล (Digital Economy) ที่จะเน้นการผลักดันเมืองอัจฉริยะ (Smart City) เพื่อเป็นกลไกสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และในขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสในการขยายตัวของเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ให้ดีขึ้น ซึ่งรัฐบาลได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยให้เกิดการเชื่อมต่อ รวมทั้งปรับเปลี่ยน แก้ไข ระเบียบ ข้อบังคับให้เอื้อต่อการลงทุน ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรม การเรียนรู้เทคโนโลยี ด้านการพัฒนาเมืองในอนาคต โดยงานสัมมนาดังกล่าวสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) กระทรวงดิจิทัลฯ และสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกันจัดขึ้นเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2560 ณ เวทีกลาง ฮอลล์ 104 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ ********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พล.อ.อ.ประจินฯ และ ดร.พิเชฐฯ ร่วมสัมมนาแผนแม่บทการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560 พล.อ.อ.ประจินฯ และ ดร.พิเชฐฯ ร่วมสัมมนาแผนแม่บทการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ พล.อ.อ.ประจินฯ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานสัมมนาการจัดทําแผนแม่บทการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Thailand Smart City Master Plan Conference) โดยมี ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การสัมมนาฯว่า กระทรวงดิจิทัลฯ มีส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล โดยองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน กําลังเร่งปรับเปลี่ยนกระบวนการภายในด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และเพื่อให้ความรู้กับประชาชนทั่วไป ได้เข้าใจการพัฒนาประเทศไปสู่ความเป็นดิจิทัลมากขึ้น การประกาศนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล (Digital Economy) ที่จะเน้นการผลักดันเมืองอัจฉริยะ (Smart City) เพื่อเป็นกลไกสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และในขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสในการขยายตัวของเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ให้ดีขึ้น ซึ่งรัฐบาลได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยให้เกิดการเชื่อมต่อ รวมทั้งปรับเปลี่ยน แก้ไข ระเบียบ ข้อบังคับให้เอื้อต่อการลงทุน ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรม การเรียนรู้เทคโนโลยี ด้านการพัฒนาเมืองในอนาคต โดยงานสัมมนาดังกล่าวสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) กระทรวงดิจิทัลฯ และสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกันจัดขึ้นเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2560 ณ เวทีกลาง ฮอลล์ 104 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ ********************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8153
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. และ รมว.กห. ให้การต้อนรับ ผู้บัญชาการ กองกำลังสหรัฐอเมริกา ภาคพื้นแปซิฟิก
วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ 2561 รอง นรม. และ รมว.กห. ให้การต้อนรับ ผู้บัญชาการ กองกําลังสหรัฐอเมริกา ภาคพื้นแปซิฟิก รอง นรม. และ รมว.กห. ให้การต้อนรับ ผู้บัญชาการ กองกําลังสหรัฐอเมริกา ภาคพื้นแปซิฟิก เมื่อ 22 ก.พ.61 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้ให้การต้อนรับการเข้าเยี่ยมคํานับของ พล.ร.อ. Harry B. Harris, Jr. (แฮรี่ บี แฮร์ริส) ผบ.กกล.สหรัฐอเมริกา ภาคพื้นแปซิฟิก ณ ศาลาว่าการกลาโหม พล.ร.อ.แฮรี่ บี แฮร์ริส ได้กล่าวถึง ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐ ที่มีความมั่นคงแน่นแฟ้นมายาวนาน โดยไทย ถือเป็นมิตรประเทศที่สําคัญในภูมิภาค โดยเฉพาะปัจจุบัน ที่มีผู้นําระดับสูงของสหรัฐอเมริกาเดินทางมาเยือนไทย อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ รมว.กห. , ประธานคณะเสนาธิการร่วม กองทัพสหรัฐอเมริกา และ ผบ.กกล.สหรัฐอเมริกา ภาคพื้นแปซิฟิก ซึ่งแสดงถึงการที่สหรัฐอเมริกาให้ความสําคัญกับไทยในฐานะพันธมิตรที่แนบแน่น รวมทั้งการเพิ่มพูนความสัมพันธ์และความร่วมมือทางทหารระหว่างกองทัพทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะการเพิ่มขอบเขตการฝึก Cobra Gold ซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐอเมริกาที่ต่อเนื่องและแน่นแฟ้นมาตลอด พร้อมทั้งยืนยันว่า สหรัฐอเมริกาและไทย จะคงความร่วมมือด้านความมั่นคงร่วมกัน เพื่อความสงบของภูมิภาค พล.อ.ประวิตรฯ ได้กล่าวขอบคุณ พล.ร.อ.แฮรี่ ที่ให้เกียรติเดินทางมาร่วมปิดการฝึก Cobra Gold 2018 ซึ่งปีนี้สหรัฐอเมริกาได้เพิ่มกําลังทหารเข้าร่วมฝึกกว่า 2,000 นาย พร้อมทั้ง ขอขอบคุณสหรัฐอเมริกา ที่ให้การต้อนรับ นรม.ในโอกาสเดินทางไปเยือนสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมา โดยขอยืนยันว่า กองทัพไทยพร้อมให้ความร่วมมือกับกองทัพสหรัฐอเมริกา เพื่อคงความสงบของภูมิภาคร่วมกัน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. และ รมว.กห. ให้การต้อนรับ ผู้บัญชาการ กองกำลังสหรัฐอเมริกา ภาคพื้นแปซิฟิก วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ 2561 รอง นรม. และ รมว.กห. ให้การต้อนรับ ผู้บัญชาการ กองกําลังสหรัฐอเมริกา ภาคพื้นแปซิฟิก รอง นรม. และ รมว.กห. ให้การต้อนรับ ผู้บัญชาการ กองกําลังสหรัฐอเมริกา ภาคพื้นแปซิฟิก เมื่อ 22 ก.พ.61 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้ให้การต้อนรับการเข้าเยี่ยมคํานับของ พล.ร.อ. Harry B. Harris, Jr. (แฮรี่ บี แฮร์ริส) ผบ.กกล.สหรัฐอเมริกา ภาคพื้นแปซิฟิก ณ ศาลาว่าการกลาโหม พล.ร.อ.แฮรี่ บี แฮร์ริส ได้กล่าวถึง ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐ ที่มีความมั่นคงแน่นแฟ้นมายาวนาน โดยไทย ถือเป็นมิตรประเทศที่สําคัญในภูมิภาค โดยเฉพาะปัจจุบัน ที่มีผู้นําระดับสูงของสหรัฐอเมริกาเดินทางมาเยือนไทย อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ รมว.กห. , ประธานคณะเสนาธิการร่วม กองทัพสหรัฐอเมริกา และ ผบ.กกล.สหรัฐอเมริกา ภาคพื้นแปซิฟิก ซึ่งแสดงถึงการที่สหรัฐอเมริกาให้ความสําคัญกับไทยในฐานะพันธมิตรที่แนบแน่น รวมทั้งการเพิ่มพูนความสัมพันธ์และความร่วมมือทางทหารระหว่างกองทัพทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะการเพิ่มขอบเขตการฝึก Cobra Gold ซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐอเมริกาที่ต่อเนื่องและแน่นแฟ้นมาตลอด พร้อมทั้งยืนยันว่า สหรัฐอเมริกาและไทย จะคงความร่วมมือด้านความมั่นคงร่วมกัน เพื่อความสงบของภูมิภาค พล.อ.ประวิตรฯ ได้กล่าวขอบคุณ พล.ร.อ.แฮรี่ ที่ให้เกียรติเดินทางมาร่วมปิดการฝึก Cobra Gold 2018 ซึ่งปีนี้สหรัฐอเมริกาได้เพิ่มกําลังทหารเข้าร่วมฝึกกว่า 2,000 นาย พร้อมทั้ง ขอขอบคุณสหรัฐอเมริกา ที่ให้การต้อนรับ นรม.ในโอกาสเดินทางไปเยือนสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมา โดยขอยืนยันว่า กองทัพไทยพร้อมให้ความร่วมมือกับกองทัพสหรัฐอเมริกา เพื่อคงความสงบของภูมิภาคร่วมกัน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10295
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเผยสิ้นเดือน ก.ค. 60 เบิกจ่ายพุ่งกว่า 82.24%
วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม 2560 กรมบัญชีกลางเผยสิ้นเดือน ก.ค. 60 เบิกจ่ายพุ่งกว่า 82.24% กรมบัญชีกลางเผยผลการเบิกจ่ายสิ้นเดือน ก.ค. 60 ภาพรวมเบิกจ่ายได้ 82.24% สูงกว่าเป้าหมาย 2.02% พร้อมติดตามและเร่งรัดอย่างเต็มความสามารถ นางสาวอรนุช ไวนุสิทธิ์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยถึงผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2560 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2559 – 31 กรกฎาคม 2560 ว่า งบประมาณภาพรวมเบิกจ่ายได้ 2,247,601 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 2,733,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 82.24 แบ่งเป็น รายจ่ายประจําเบิกจ่ายแล้ว 1,954,339 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 2,184,128 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 89.48 ขณะที่รายจ่ายลงทุน (ไม่รวมงบกลาง) เบิกจ่ายแล้ว 292,261 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 464,226 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 62.96 โดยมีการก่อหนี้แล้ว 386,610 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 83.28 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายร้อยละ 2.02 (เป้าหมายร้อยละ 80.22) เบิกจ่ายต่ํากว่าเป้าหมายร้อยละ 7.42 (เป้าหมายร้อยละ 70.38) ในส่วนของผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ภาพรวมเบิกจ่ายแล้ว81,655 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณเพิ่มเติม 190,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 42.98 แบ่งเป็น รายจ่ายประจํา เบิกจ่ายแล้ว 75,693 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณเพิ่มเติม 104,790 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 72.23 และรายจ่ายลงทุนเบิกจ่ายแล้ว 5,962 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณเพิ่มเติม 85,210 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 7 สําหรับเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี เบิกจ่ายแล้ว 184,973 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 276,529 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 66.89 ก่อหนี้แล้ว 239,929 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 86.76 ขณะที่ผลการเบิกจ่ายมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กทั่วประเทศ เบิกจ่ายแล้ว จํานวน 48,217 ล้านบาท ของวงเงิน 52,807 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 91.31 แบ่งเป็น มาตรการกระตุ้นจากงบกลางปี 2559 วงเงิน 23,000 ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 20,282 ล้านบาท ของวงเงินที่ได้รับจัดสรร 21,711 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 93.42 ซึ่งก่อหนี้แล้ว 20,670 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 95.21 ส่วนผลการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนที่มีวงเงินไม่เกิน 2 ล้านบาท ของงบประมาณ พ.ศ. 2560 เบิกจ่ายแล้ว 27,935 ล้านบาท ของวงเงินที่ได้รับจัดสรร 31,096 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 89.83 ซึ่งก่อหนี้แล้ว 29,178 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 93.83 โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้ายว่า ผลการเบิกจ่ายภาพรวมในแต่ละเดือนดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารายจ่ายลงทุนจะยังคงต่ํากว่าเป้าหมาย กรมบัญชีกลางจะพยายามติดตามและเร่งรัดการเบิกจ่ายอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้ผลการเบิกจ่ายใกล้เคียงกับเป้าหมายให้มากที่สุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเผยสิ้นเดือน ก.ค. 60 เบิกจ่ายพุ่งกว่า 82.24% วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม 2560 กรมบัญชีกลางเผยสิ้นเดือน ก.ค. 60 เบิกจ่ายพุ่งกว่า 82.24% กรมบัญชีกลางเผยผลการเบิกจ่ายสิ้นเดือน ก.ค. 60 ภาพรวมเบิกจ่ายได้ 82.24% สูงกว่าเป้าหมาย 2.02% พร้อมติดตามและเร่งรัดอย่างเต็มความสามารถ นางสาวอรนุช ไวนุสิทธิ์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยถึงผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2560 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2559 – 31 กรกฎาคม 2560 ว่า งบประมาณภาพรวมเบิกจ่ายได้ 2,247,601 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 2,733,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 82.24 แบ่งเป็น รายจ่ายประจําเบิกจ่ายแล้ว 1,954,339 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 2,184,128 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 89.48 ขณะที่รายจ่ายลงทุน (ไม่รวมงบกลาง) เบิกจ่ายแล้ว 292,261 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 464,226 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 62.96 โดยมีการก่อหนี้แล้ว 386,610 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 83.28 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายร้อยละ 2.02 (เป้าหมายร้อยละ 80.22) เบิกจ่ายต่ํากว่าเป้าหมายร้อยละ 7.42 (เป้าหมายร้อยละ 70.38) ในส่วนของผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ภาพรวมเบิกจ่ายแล้ว81,655 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณเพิ่มเติม 190,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 42.98 แบ่งเป็น รายจ่ายประจํา เบิกจ่ายแล้ว 75,693 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณเพิ่มเติม 104,790 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 72.23 และรายจ่ายลงทุนเบิกจ่ายแล้ว 5,962 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณเพิ่มเติม 85,210 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 7 สําหรับเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี เบิกจ่ายแล้ว 184,973 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 276,529 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 66.89 ก่อหนี้แล้ว 239,929 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 86.76 ขณะที่ผลการเบิกจ่ายมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กทั่วประเทศ เบิกจ่ายแล้ว จํานวน 48,217 ล้านบาท ของวงเงิน 52,807 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 91.31 แบ่งเป็น มาตรการกระตุ้นจากงบกลางปี 2559 วงเงิน 23,000 ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 20,282 ล้านบาท ของวงเงินที่ได้รับจัดสรร 21,711 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 93.42 ซึ่งก่อหนี้แล้ว 20,670 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 95.21 ส่วนผลการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนที่มีวงเงินไม่เกิน 2 ล้านบาท ของงบประมาณ พ.ศ. 2560 เบิกจ่ายแล้ว 27,935 ล้านบาท ของวงเงินที่ได้รับจัดสรร 31,096 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 89.83 ซึ่งก่อหนี้แล้ว 29,178 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 93.83 โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้ายว่า ผลการเบิกจ่ายภาพรวมในแต่ละเดือนดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารายจ่ายลงทุนจะยังคงต่ํากว่าเป้าหมาย กรมบัญชีกลางจะพยายามติดตามและเร่งรัดการเบิกจ่ายอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้ผลการเบิกจ่ายใกล้เคียงกับเป้าหมายให้มากที่สุด
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5839
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เริ่มแล้ว! มาตรการหักเงินเดือนใช้หนี้ กยศ. แก้ไขปัญหาคนเบี้ยวหนี้
วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม 2561 เริ่มแล้ว! มาตรการหักเงินเดือนใช้หนี้ กยศ. แก้ไขปัญหาคนเบี้ยวหนี้ -- นโยบายแก้ไขปัญหากองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. ทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพ ให้มีการกู้และนําเงินส่งคืนอย่างรัดกุม เหมาะสม เป็นอีกหนึ่งการดําเนินงานของรัฐบาลที่ต้องการสร้างวินัยและความรับผิดชอบให้เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยการผลักดันให้มีกฎหมายใหม่ ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว สําหรับ พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 ที่ได้กําหนดให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน มีหน้าที่หักเงินได้ของผู้กู้ยืมเงิน กยศ. ซึ่งเป็นพนักงานหรือลูกจ้างในสังกัดเพื่อชําระเงินกู้ยืม แม้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กยศ. จะมีความจริงจังในการติดตามทวงหนี้ ทั้งการฟ้องร้อง ไกล่เกลี่ย จัดโครงการรณรงค์ชําระหนี้ จูงใจผู้กู้ยืมมาชําระหนี้ให้เป็นปกติ หรือมาชําระหนี้เพื่อปิดบัญชี โดยมีสิ่งจูงใจหลายอย่าง เช่นการลดเบี้ยปรับกรณีค้างชําระ และให้ส่วนลดเงินต้นแก่ผู้ที่มีประวัติชําระหนี้ดี อย่างไรก็ตาม กองทุน กยศ. ที่ปัจจุบันมีผู้กู้ซึ่งอยู่ระหว่างชําระหนี้จํานวน 3,500,000 ราย กลับมีผู้ผิดนัดชําระหนี้ถึง 2,100,000 ราย หรือราวร้อยละ 60 คิดเป็นเงินค้างชําระ 68,000 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มผิดนัดชําระหนี้ที่ยังไม่ถูกดําเนินคดี 1,200,000 ราย และกลุ่มที่ถูกดําเนินคดีแล้ว 1,000,000 ราย แล้วจะทําอย่างไรให้การผิดนัดชําระหนี้หมดไป? เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 61 ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศ เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการหักเงินได้พึงประเมิน เพื่อชําระเงินกู้ยืมคืนกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา โดยให้หน่วยงานซึ่งเป็นกระทรวง ทบวง กรม สํานักงาน หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐ หักเงินได้ของข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างประจําในสังกัด ซึ่งเป็นผู้กู้ยืมเงินตามจํานวนที่กองทุนฯ แจ้งให้ทราบ แล้วนําส่งผ่านระบบของกรมบัญชีกลาง และกรมบัญชีกลางจะโอนเงินดังกล่าวให้กับกรมสรรพากร เพื่อชําระหนี้คืนให้กับ กยศ.ต่อไป โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 61 เป็นต้นมา ทําให้เมื่อเดือน ก.ค. 61 เป็นเดือนแรกที่กรมบัญชีกลางได้นําร่องหักเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้างประจําของรัฐเพื่อนําส่งให้แก่กรมสรรพากร และหลังจากนี้ กยศ. จะแจ้งข้อมูลผู้กู้ยืมเงินเพื่อให้ทุกหน่วยราชการที่มีการใช้ระบบจ่ายตรงเงินเดือน (Direct Payment) จํานวน 224 แห่ง หักเงินเดือนเพื่อนําเงินไปชําระคืนแก่ กยศ. จนครบทุกราย โดยจะแจ้งให้ลูกหนี้ทราบเพื่อเตรียมตัวก่อนไม่น้อยกว่า 60 วัน สําหรับภาคเอกชน หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ทาง กยศ. เอง ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เตรียมออกกฎหมายในลักษณะเดียวกัน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มแจ้งหักเงินเดือนได้ตั้งแต่ต้นปี 2562 เป็นต้นไป โดยจะเริ่มจากบริษัทที่มีขนาดใหญ่ก่อน และค่อย ๆ ทยอยไปยังกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กตามลําดับ รวมถึงหน่วยงานอื่น ๆ ที่เหลือ โดยจะต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้เช่นกัน ส่วนผู้กู้ยืมที่ประกอบธุรกิจ ไม่ได้รับเงินเดือนผ่านนายจ้าง กยศ. จะยังคงดําเนินการติดตามหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยใช้ข้อมูลที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ รวมถึงวิธีการอื่น ๆ เช่นเดียวกับสถาบันการเงินทั่วไป เพื่อให้ได้เงินกลับคืนสู่กองทุนและนําไปใช้หมุนเวียนในการให้โอกาสทางการศึกษาแก่นักเรียนนักศึกษาในรุ่นถัดไป นับเป็นการสนับสนุนการขยายโอกาส และพัฒนาการศึกษาของประเทศ ตามแนวทางของรัฐบาลเพื่อให้เยาวชนไทยได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพได้มาตรฐานอย่างเท่าเทียม อันนําไปสู่การช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้นและเป็นการพัฒนาสังคมไทยให้ยั่งยืนต่อไป หากมีข้อสงสัย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายบริหารหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา โทร. ‭02 016 4888‬ ต่อ 590-593 หรืออีเมล ‭[email protected]‬ ---------------------------------------- ภาพ/ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เริ่มแล้ว! มาตรการหักเงินเดือนใช้หนี้ กยศ. แก้ไขปัญหาคนเบี้ยวหนี้ วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม 2561 เริ่มแล้ว! มาตรการหักเงินเดือนใช้หนี้ กยศ. แก้ไขปัญหาคนเบี้ยวหนี้ -- นโยบายแก้ไขปัญหากองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. ทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพ ให้มีการกู้และนําเงินส่งคืนอย่างรัดกุม เหมาะสม เป็นอีกหนึ่งการดําเนินงานของรัฐบาลที่ต้องการสร้างวินัยและความรับผิดชอบให้เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยการผลักดันให้มีกฎหมายใหม่ ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว สําหรับ พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 ที่ได้กําหนดให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน มีหน้าที่หักเงินได้ของผู้กู้ยืมเงิน กยศ. ซึ่งเป็นพนักงานหรือลูกจ้างในสังกัดเพื่อชําระเงินกู้ยืม แม้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กยศ. จะมีความจริงจังในการติดตามทวงหนี้ ทั้งการฟ้องร้อง ไกล่เกลี่ย จัดโครงการรณรงค์ชําระหนี้ จูงใจผู้กู้ยืมมาชําระหนี้ให้เป็นปกติ หรือมาชําระหนี้เพื่อปิดบัญชี โดยมีสิ่งจูงใจหลายอย่าง เช่นการลดเบี้ยปรับกรณีค้างชําระ และให้ส่วนลดเงินต้นแก่ผู้ที่มีประวัติชําระหนี้ดี อย่างไรก็ตาม กองทุน กยศ. ที่ปัจจุบันมีผู้กู้ซึ่งอยู่ระหว่างชําระหนี้จํานวน 3,500,000 ราย กลับมีผู้ผิดนัดชําระหนี้ถึง 2,100,000 ราย หรือราวร้อยละ 60 คิดเป็นเงินค้างชําระ 68,000 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มผิดนัดชําระหนี้ที่ยังไม่ถูกดําเนินคดี 1,200,000 ราย และกลุ่มที่ถูกดําเนินคดีแล้ว 1,000,000 ราย แล้วจะทําอย่างไรให้การผิดนัดชําระหนี้หมดไป? เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 61 ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศ เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการหักเงินได้พึงประเมิน เพื่อชําระเงินกู้ยืมคืนกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา โดยให้หน่วยงานซึ่งเป็นกระทรวง ทบวง กรม สํานักงาน หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐ หักเงินได้ของข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างประจําในสังกัด ซึ่งเป็นผู้กู้ยืมเงินตามจํานวนที่กองทุนฯ แจ้งให้ทราบ แล้วนําส่งผ่านระบบของกรมบัญชีกลาง และกรมบัญชีกลางจะโอนเงินดังกล่าวให้กับกรมสรรพากร เพื่อชําระหนี้คืนให้กับ กยศ.ต่อไป โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 61 เป็นต้นมา ทําให้เมื่อเดือน ก.ค. 61 เป็นเดือนแรกที่กรมบัญชีกลางได้นําร่องหักเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้างประจําของรัฐเพื่อนําส่งให้แก่กรมสรรพากร และหลังจากนี้ กยศ. จะแจ้งข้อมูลผู้กู้ยืมเงินเพื่อให้ทุกหน่วยราชการที่มีการใช้ระบบจ่ายตรงเงินเดือน (Direct Payment) จํานวน 224 แห่ง หักเงินเดือนเพื่อนําเงินไปชําระคืนแก่ กยศ. จนครบทุกราย โดยจะแจ้งให้ลูกหนี้ทราบเพื่อเตรียมตัวก่อนไม่น้อยกว่า 60 วัน สําหรับภาคเอกชน หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ทาง กยศ. เอง ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เตรียมออกกฎหมายในลักษณะเดียวกัน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มแจ้งหักเงินเดือนได้ตั้งแต่ต้นปี 2562 เป็นต้นไป โดยจะเริ่มจากบริษัทที่มีขนาดใหญ่ก่อน และค่อย ๆ ทยอยไปยังกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กตามลําดับ รวมถึงหน่วยงานอื่น ๆ ที่เหลือ โดยจะต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้เช่นกัน ส่วนผู้กู้ยืมที่ประกอบธุรกิจ ไม่ได้รับเงินเดือนผ่านนายจ้าง กยศ. จะยังคงดําเนินการติดตามหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยใช้ข้อมูลที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ รวมถึงวิธีการอื่น ๆ เช่นเดียวกับสถาบันการเงินทั่วไป เพื่อให้ได้เงินกลับคืนสู่กองทุนและนําไปใช้หมุนเวียนในการให้โอกาสทางการศึกษาแก่นักเรียนนักศึกษาในรุ่นถัดไป นับเป็นการสนับสนุนการขยายโอกาส และพัฒนาการศึกษาของประเทศ ตามแนวทางของรัฐบาลเพื่อให้เยาวชนไทยได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพได้มาตรฐานอย่างเท่าเทียม อันนําไปสู่การช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้นและเป็นการพัฒนาสังคมไทยให้ยั่งยืนต่อไป หากมีข้อสงสัย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายบริหารหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา โทร. ‭02 016 4888‬ ต่อ 590-593 หรืออีเมล ‭[email protected]‬ ---------------------------------------- ภาพ/ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14503
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดสธ.สั่งการสสจ.ประจวบฯ เร่งสำรวจความเสียหาย รพ.ที่ถูกน้ำท่วม
วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม 2561 ปลัดสธ.สั่งการสสจ.ประจวบฯ เร่งสํารวจความเสียหาย รพ.ที่ถูกน้ําท่วม ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งการนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เร่งสํารวจ ประเมินความเสียหาย รพ.กุยบุรี รพ.สามร้อยยอด สํานักงานสาธารณสุขอําเภอกุยบุรี และรพ.สต. 3 แห่งที่ถูกน้ําท่วมจากฝนตกหนัก ทุกแห่งเปิดให้บริการได้ปกติ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งการนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เร่งสํารวจ ประเมินความเสียหาย รพ.กุยบุรี รพ.สามร้อยยอด สํานักงานสาธารณสุขอําเภอกุยบุรี และรพ.สต. 3 แห่งที่ถูกน้ําท่วมจากฝนตกหนัก ทุกแห่งเปิดให้บริการได้ปกติ พร้อมกําชับให้จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้การดูแลประชาชนที่ประสบภัยน้ําท่วม วันนี้ (6 ตุลาคม 2561) นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับรายงานจากนายแพทย์สามารถ ถิระศักดิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ว่า ฝนที่ตกหนักทําให้เกิดน้ําท่วมในหลายพื้นที่ โดยมีสถานบริการสาธารณสุข ได้รับผลกระทบ 6 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลกุยบุรี รั้วด้านข้างโรงพยาบาลเสียหายตลอดแนว โรงพยาบาลสามร้อยยอด บ้านพักได้รับน้ําท่วมเสียหาย 3 หลัง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) บ้านดอนกลาง อ.กุยบุรี น้ําท่วมบ้านพักเจ้าหน้าที่ รพ.สต.บ้านดอนซอ อ.เมือง หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด และสํานักงานสาธารณสุขอําเภอกุยบุรี รั้วเสียหาย สถานบริการทุกแห่งสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า ได้สั่งการให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดประจวบคีรีขันธ์และกองแบบแผน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เร่งสํารวจประเมินความเสียหาย และให้กองบริหารการสาธารณสุข สนับสนุนงบประมาณในการซ่อมแซมให้กลับสู่สภาพปกติอย่างเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่มีความปลอดภัย พร้อมที่จะให้บริการประชาชนโดยไม่ต้องกังวล รวมทั้งให้จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการประชาชนในพื้นที่น้ําท่วม ดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง อย่างใกล้ชิด จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ ในวันนี้ได้ส่งทีมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตําบลห้วยสัตว์ใหญ่ อําเภอหัวหิน ตําบลศิลาลอย อําเภอสามร้อยยอด และตําบลสามกระทาย อําเภอกุยบุรี ให้การดูแลสุขภาพประชาชนและแจกจ่ายยาชุดน้ําท่วมแล้ว “อย่างไรก็ดี ขอให้สถานบริการสาธารณสุขที่อยู่ในภาคใต้ ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์น้ําท่วมฉับพลัน น้ําป่าไหลหลาก และน้ําล้นตลิ่งจากฝนตกหนักในช่วง 6 – 8 ตุลาคมนี้ และดําเนินการตามแผนรับน้ําท่วม เพื่อไม่ให้กระทบการจัดบริการประชาชน หากต้องการการสนับสนุนให้ติดต่อที่กองสาธารณสุขฉุกเฉินได้ตลอด 24 ชั่วโมง” นายแพทย์สุขุมกล่าว ******************************** 6 ตุลาคม 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดสธ.สั่งการสสจ.ประจวบฯ เร่งสำรวจความเสียหาย รพ.ที่ถูกน้ำท่วม วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม 2561 ปลัดสธ.สั่งการสสจ.ประจวบฯ เร่งสํารวจความเสียหาย รพ.ที่ถูกน้ําท่วม ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งการนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เร่งสํารวจ ประเมินความเสียหาย รพ.กุยบุรี รพ.สามร้อยยอด สํานักงานสาธารณสุขอําเภอกุยบุรี และรพ.สต. 3 แห่งที่ถูกน้ําท่วมจากฝนตกหนัก ทุกแห่งเปิดให้บริการได้ปกติ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งการนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เร่งสํารวจ ประเมินความเสียหาย รพ.กุยบุรี รพ.สามร้อยยอด สํานักงานสาธารณสุขอําเภอกุยบุรี และรพ.สต. 3 แห่งที่ถูกน้ําท่วมจากฝนตกหนัก ทุกแห่งเปิดให้บริการได้ปกติ พร้อมกําชับให้จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้การดูแลประชาชนที่ประสบภัยน้ําท่วม วันนี้ (6 ตุลาคม 2561) นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับรายงานจากนายแพทย์สามารถ ถิระศักดิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ว่า ฝนที่ตกหนักทําให้เกิดน้ําท่วมในหลายพื้นที่ โดยมีสถานบริการสาธารณสุข ได้รับผลกระทบ 6 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลกุยบุรี รั้วด้านข้างโรงพยาบาลเสียหายตลอดแนว โรงพยาบาลสามร้อยยอด บ้านพักได้รับน้ําท่วมเสียหาย 3 หลัง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) บ้านดอนกลาง อ.กุยบุรี น้ําท่วมบ้านพักเจ้าหน้าที่ รพ.สต.บ้านดอนซอ อ.เมือง หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด และสํานักงานสาธารณสุขอําเภอกุยบุรี รั้วเสียหาย สถานบริการทุกแห่งสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า ได้สั่งการให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดประจวบคีรีขันธ์และกองแบบแผน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เร่งสํารวจประเมินความเสียหาย และให้กองบริหารการสาธารณสุข สนับสนุนงบประมาณในการซ่อมแซมให้กลับสู่สภาพปกติอย่างเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่มีความปลอดภัย พร้อมที่จะให้บริการประชาชนโดยไม่ต้องกังวล รวมทั้งให้จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการประชาชนในพื้นที่น้ําท่วม ดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง อย่างใกล้ชิด จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ ในวันนี้ได้ส่งทีมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตําบลห้วยสัตว์ใหญ่ อําเภอหัวหิน ตําบลศิลาลอย อําเภอสามร้อยยอด และตําบลสามกระทาย อําเภอกุยบุรี ให้การดูแลสุขภาพประชาชนและแจกจ่ายยาชุดน้ําท่วมแล้ว “อย่างไรก็ดี ขอให้สถานบริการสาธารณสุขที่อยู่ในภาคใต้ ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์น้ําท่วมฉับพลัน น้ําป่าไหลหลาก และน้ําล้นตลิ่งจากฝนตกหนักในช่วง 6 – 8 ตุลาคมนี้ และดําเนินการตามแผนรับน้ําท่วม เพื่อไม่ให้กระทบการจัดบริการประชาชน หากต้องการการสนับสนุนให้ติดต่อที่กองสาธารณสุขฉุกเฉินได้ตลอด 24 ชั่วโมง” นายแพทย์สุขุมกล่าว ******************************** 6 ตุลาคม 2561
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15920
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ. พิจารณาร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เอกชน)
วันอังคารที่ 9 ตุลาคม 2561 ยธ. พิจารณาร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เอกชน) ยธ. พิจารณาร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เอกชน) ในวันอังคารที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ โดยที่ประชุมได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เอกชน) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับคดีล้มละลายให้สามารถรวบรวมทรัพย์สินมาแบ่งชําระหนี้ได้รวดเร็วขึ้น เสริมสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนให้กับประเทศตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ อันจะเป็นการยกระดับการบังคับคดีล้มละลายให้เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพและจริยธรรมขั้นสูง และก่อให้เกิดกระบวนการในการบังคับคดีที่มีประสิทธิภาพและเป็นมาตรฐานสากล โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ และขอให้กรมบังคับคดีรับข้อสังเกตของที่ประชุม ไว้เป็นข้อมูลประกอบการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการจะสรุปรายงานการประชุมและเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามลําดับชั้นต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ. พิจารณาร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เอกชน) วันอังคารที่ 9 ตุลาคม 2561 ยธ. พิจารณาร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เอกชน) ยธ. พิจารณาร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เอกชน) ในวันอังคารที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ โดยที่ประชุมได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เอกชน) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับคดีล้มละลายให้สามารถรวบรวมทรัพย์สินมาแบ่งชําระหนี้ได้รวดเร็วขึ้น เสริมสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนให้กับประเทศตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ อันจะเป็นการยกระดับการบังคับคดีล้มละลายให้เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพและจริยธรรมขั้นสูง และก่อให้เกิดกระบวนการในการบังคับคดีที่มีประสิทธิภาพและเป็นมาตรฐานสากล โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ และขอให้กรมบังคับคดีรับข้อสังเกตของที่ประชุม ไว้เป็นข้อมูลประกอบการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการจะสรุปรายงานการประชุมและเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามลําดับชั้นต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15970
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ส่งทีมแพทย์ไทย ชุดที่ 2 สมทบดูแลสุขภาพผู้แสวงบุญฮัจย์ที่ซาอุดิอาระเบีย
วันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2561 สธ.ส่งทีมแพทย์ไทย ชุดที่ 2 สมทบดูแลสุขภาพผู้แสวงบุญฮัจย์ที่ซาอุดิอาระเบีย กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขชุดที่ 2 จํานวน 10 คน ไปสมทบภารกิจดูแลสุขภาพผู้แสวงบุญชาวไทยมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ประจําปี 2561 ประเทศซาอุดิอาระเบีย ขณะนี้ หน่วยพยาบาลประจําเมืองเมกกะและเมืองมาดีนะห์ทั้ง 2 แห่ง พร กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขชุดที่ 2 จํานวน 10 คน ไปสมทบภารกิจดูแลสุขภาพผู้แสวงบุญชาวไทยมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ประจําปี 2561 ประเทศซาอุดิอาระเบีย ขณะนี้ หน่วยพยาบาลประจําเมืองเมกกะและเมืองมาดีนะห์ทั้ง 2 แห่ง พร้อมเปิดให้บริการแล้ว นายแพทย์มรุต จิระเศรษฐสิริ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อค่ําวานนี้ (24 กรกฎาคม 2561) กระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งทีมแพทย์ชุดที่ 2 จํานวน 10 คน มีนายแพทย์สุรสิทธิ์ ปานมณี โรงพยาบาลหาดใหญ่ เป็นหัวหน้าชุด เดินทางไปสมทบการปฏิบัติภารกิจด้านการแพทย์ การพยาบาลและสาธารณสุข ในการจัดบริการดูแลสุขภาพชาวไทยมุสลิม จํานวน 7,851 คน ที่เดินทางประกอบพิธีฮัจย์ ณ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ประจําปี 2561 ทีมแพทย์ชุดที่ 2 นี้ จะไปปฏิบัติหน้าที่ ณ หน่วยพยาบาลเมืองเมกกะ และสับเปลี่ยนการทํางานกับทีมแพทย์ชุดแรกที่เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ ณ หน่วยพยาบาลเมืองมาดีนะห์ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา นายแพทย์มรุตกล่าวต่อว่า ในปีนี้ ได้จัดทีมแพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขไทย ทั้งสิ้น 32 คน แบ่งการทํางานเป็น 3 ชุด เพื่อปฏิบัติหมุนเวียนกัน คือ ชุดที่ 1 ตั้งเป็นศูนย์กลางบริการทางการแพทย์ที่นครเมกกะ คล้ายโรงพยาบาลสนาม ขนาด 20 เตียง มีบริการตรวจรักษา ดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน มีระบบการประสานงานกับโรงพยาบาลประเทศซาอุดีอาระเบีย ชุดที่ 2 หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ที่นครมาดีนะห์ และชุดที่ 3 หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ทุ่งมีนา ซึ่งเป็นพื้นที่สําหรับให้ผู้แสวงบุญจากทั่วโลกรวมตัวและพักแรมอยู่ในเต็นท์เป็นเวลา 3 วัน ในการปฏิบัติงานจะประสานกับกระทรวงสาธารณสุขของซาอุดิอาระเบียอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการเฝ้าระวังและมาตรการป้องกันเชื้อ เมอร์ส (MERS-Cov) ในกลุ่มผู้แสวงบุญ ทั้งนี้ หน่วยรักษาพยาบาลเมืองมาดีนะห์และเมืองเมกกะ ทั้ง 2 แห่ง เปิดให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้แสวงบุญชาวไทยมุสลิมทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2561 ถึงวันที่ 21 กรกฎาคม 2561 เวลา 08.00 – 22.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น (หยุดให้บริการในช่วงเวลาละหมาด) พร้อมให้บริการฉุกเฉินแก่ผู้แสวงบุญตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะแพทย์และพยาบาลไทย ได้ที่ www.thaihajjmed.com ****************************** 25 กรกฎาคม 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ส่งทีมแพทย์ไทย ชุดที่ 2 สมทบดูแลสุขภาพผู้แสวงบุญฮัจย์ที่ซาอุดิอาระเบีย วันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2561 สธ.ส่งทีมแพทย์ไทย ชุดที่ 2 สมทบดูแลสุขภาพผู้แสวงบุญฮัจย์ที่ซาอุดิอาระเบีย กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขชุดที่ 2 จํานวน 10 คน ไปสมทบภารกิจดูแลสุขภาพผู้แสวงบุญชาวไทยมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ประจําปี 2561 ประเทศซาอุดิอาระเบีย ขณะนี้ หน่วยพยาบาลประจําเมืองเมกกะและเมืองมาดีนะห์ทั้ง 2 แห่ง พร กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขชุดที่ 2 จํานวน 10 คน ไปสมทบภารกิจดูแลสุขภาพผู้แสวงบุญชาวไทยมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ประจําปี 2561 ประเทศซาอุดิอาระเบีย ขณะนี้ หน่วยพยาบาลประจําเมืองเมกกะและเมืองมาดีนะห์ทั้ง 2 แห่ง พร้อมเปิดให้บริการแล้ว นายแพทย์มรุต จิระเศรษฐสิริ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อค่ําวานนี้ (24 กรกฎาคม 2561) กระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งทีมแพทย์ชุดที่ 2 จํานวน 10 คน มีนายแพทย์สุรสิทธิ์ ปานมณี โรงพยาบาลหาดใหญ่ เป็นหัวหน้าชุด เดินทางไปสมทบการปฏิบัติภารกิจด้านการแพทย์ การพยาบาลและสาธารณสุข ในการจัดบริการดูแลสุขภาพชาวไทยมุสลิม จํานวน 7,851 คน ที่เดินทางประกอบพิธีฮัจย์ ณ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ประจําปี 2561 ทีมแพทย์ชุดที่ 2 นี้ จะไปปฏิบัติหน้าที่ ณ หน่วยพยาบาลเมืองเมกกะ และสับเปลี่ยนการทํางานกับทีมแพทย์ชุดแรกที่เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ ณ หน่วยพยาบาลเมืองมาดีนะห์ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา นายแพทย์มรุตกล่าวต่อว่า ในปีนี้ ได้จัดทีมแพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขไทย ทั้งสิ้น 32 คน แบ่งการทํางานเป็น 3 ชุด เพื่อปฏิบัติหมุนเวียนกัน คือ ชุดที่ 1 ตั้งเป็นศูนย์กลางบริการทางการแพทย์ที่นครเมกกะ คล้ายโรงพยาบาลสนาม ขนาด 20 เตียง มีบริการตรวจรักษา ดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน มีระบบการประสานงานกับโรงพยาบาลประเทศซาอุดีอาระเบีย ชุดที่ 2 หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ที่นครมาดีนะห์ และชุดที่ 3 หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ทุ่งมีนา ซึ่งเป็นพื้นที่สําหรับให้ผู้แสวงบุญจากทั่วโลกรวมตัวและพักแรมอยู่ในเต็นท์เป็นเวลา 3 วัน ในการปฏิบัติงานจะประสานกับกระทรวงสาธารณสุขของซาอุดิอาระเบียอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการเฝ้าระวังและมาตรการป้องกันเชื้อ เมอร์ส (MERS-Cov) ในกลุ่มผู้แสวงบุญ ทั้งนี้ หน่วยรักษาพยาบาลเมืองมาดีนะห์และเมืองเมกกะ ทั้ง 2 แห่ง เปิดให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้แสวงบุญชาวไทยมุสลิมทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2561 ถึงวันที่ 21 กรกฎาคม 2561 เวลา 08.00 – 22.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น (หยุดให้บริการในช่วงเวลาละหมาด) พร้อมให้บริการฉุกเฉินแก่ผู้แสวงบุญตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะแพทย์และพยาบาลไทย ได้ที่ www.thaihajjmed.com ****************************** 25 กรกฎาคม 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14127
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกฯรัฐบาล ยืนยันการใช้งบประมาณ 64 จัดซื้ออาวุธ ยุทโธปกรณ์คุ้มค่า คำนึงถึงประโยชน์ต่อประเทศชาติสูงสุด
วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม 2563 โฆษกฯรัฐบาล ยืนยันการใช้งบประมาณ 64 จัดซื้ออาวุธ ยุทโธปกรณ์คุ้มค่า คํานึงถึงประโยชน์ต่อประเทศชาติสูงสุด โฆษกฯรัฐบาล ยืนยันการใช้งบประมาณ 64 จัดซื้ออาวุธ ยุทโธปกรณ์คุ้มค่า คํานึงถึงประโยชน์ต่อประเทศชาติสูงสุด ศาสตราจารย์นฤมลภิญโญสินวัฒน์โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีสมาชิกพรรคเพื่อไทยออกมาระบุให้นายกรัฐมนตรีนํางบประมาณปี64ของกระทรวงกลาโหมสําหรับซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ไปกู้วิกฤติเศรษฐกิจว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ชี้แจงชัดเจนถึงเหตุผลความจําเป็นไปแล้วและมีการตรวจสอบกับสํานักงบประมาณทุกอย่างยังคงเป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ทุกประการโดยเป็นงบฯผูกพันข้ามปีสําหรับการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาในการผลิตและการแบ่งชําระ ขณะนี้ประเทศมีความจําเป็นในการปรับเปลี่ยนอาวุธยุทธโธปกรณ์ให้มีความเพียงพอเหมาะสมเพราะที่ผ่านมาไม่ได้มีการสนับสนุนงบให้มีการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่ๆทําให้ปัจจุบันมีอาวุธยุทโธปกรณ์เก่าประมาณร้อยละ80และเพื่อทดแทนไม่ให้ต้องเสียงบประมาณในการซ่อมบํารุงขณะเดียวกันที่ผ่านมาภารกิจป้องกันตามชายแดนต้องใช้กําลังพลจํานวนหลายหมื่นคนในการดูแลพื้นที่ทําให้การแก้ปัญหาชายแดนสามารถยุติได้ระดับหนึ่งจากภัยคุกคามในรูปแบบต่างๆ โฆษกรัฐบาลระบุด้วยว่าต้องขอขอบคุณฝ่ายค้านที่แสดงความเป็นห่วงถึงการใช้งบประมาณของปี64ในครั้งนี้แต่ขอให้มีความเข้าใจและห่วงใยถึงลูกหลานที่เป็นทหารจําเป็นจะต้องมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยเพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียด้วย ทั้งนี้ขอให้มั่นใจได้ว่านายกรัฐมนตรีจะดูแลการดําเนินการทุกอย่างอย่างดีที่สุดและใช้งบประมาณให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชนมากที่สุดสําหรับในส่วนของงบประมาณที่นํามาให้ความช่วยเหลือประชาชนและฟื้นฟูประเทศนั้นอยู่ในงบประมาณพ.ร.ก.กู้เงิน1ล้านล้านบาทที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ............................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกฯรัฐบาล ยืนยันการใช้งบประมาณ 64 จัดซื้ออาวุธ ยุทโธปกรณ์คุ้มค่า คำนึงถึงประโยชน์ต่อประเทศชาติสูงสุด วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม 2563 โฆษกฯรัฐบาล ยืนยันการใช้งบประมาณ 64 จัดซื้ออาวุธ ยุทโธปกรณ์คุ้มค่า คํานึงถึงประโยชน์ต่อประเทศชาติสูงสุด โฆษกฯรัฐบาล ยืนยันการใช้งบประมาณ 64 จัดซื้ออาวุธ ยุทโธปกรณ์คุ้มค่า คํานึงถึงประโยชน์ต่อประเทศชาติสูงสุด ศาสตราจารย์นฤมลภิญโญสินวัฒน์โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีสมาชิกพรรคเพื่อไทยออกมาระบุให้นายกรัฐมนตรีนํางบประมาณปี64ของกระทรวงกลาโหมสําหรับซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ไปกู้วิกฤติเศรษฐกิจว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ชี้แจงชัดเจนถึงเหตุผลความจําเป็นไปแล้วและมีการตรวจสอบกับสํานักงบประมาณทุกอย่างยังคงเป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ทุกประการโดยเป็นงบฯผูกพันข้ามปีสําหรับการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาในการผลิตและการแบ่งชําระ ขณะนี้ประเทศมีความจําเป็นในการปรับเปลี่ยนอาวุธยุทธโธปกรณ์ให้มีความเพียงพอเหมาะสมเพราะที่ผ่านมาไม่ได้มีการสนับสนุนงบให้มีการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่ๆทําให้ปัจจุบันมีอาวุธยุทโธปกรณ์เก่าประมาณร้อยละ80และเพื่อทดแทนไม่ให้ต้องเสียงบประมาณในการซ่อมบํารุงขณะเดียวกันที่ผ่านมาภารกิจป้องกันตามชายแดนต้องใช้กําลังพลจํานวนหลายหมื่นคนในการดูแลพื้นที่ทําให้การแก้ปัญหาชายแดนสามารถยุติได้ระดับหนึ่งจากภัยคุกคามในรูปแบบต่างๆ โฆษกรัฐบาลระบุด้วยว่าต้องขอขอบคุณฝ่ายค้านที่แสดงความเป็นห่วงถึงการใช้งบประมาณของปี64ในครั้งนี้แต่ขอให้มีความเข้าใจและห่วงใยถึงลูกหลานที่เป็นทหารจําเป็นจะต้องมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยเพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียด้วย ทั้งนี้ขอให้มั่นใจได้ว่านายกรัฐมนตรีจะดูแลการดําเนินการทุกอย่างอย่างดีที่สุดและใช้งบประมาณให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชนมากที่สุดสําหรับในส่วนของงบประมาณที่นํามาให้ความช่วยเหลือประชาชนและฟื้นฟูประเทศนั้นอยู่ในงบประมาณพ.ร.ก.กู้เงิน1ล้านล้านบาทที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ............................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33173
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-4 หน่วยงาน ร่วมเฉลิมพระเกียรติ พัฒนาสิ่งแวดล้อมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทั่วประเทศ
วันอังคารที่ 3 ธันวาคม 2562 4 หน่วยงาน ร่วมเฉลิมพระเกียรติ พัฒนาสิ่งแวดล้อมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทั่วประเทศ กระทรวงสาธารณสุข มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ลงนามบันทึกข้อตกลงพัฒนาสิ่งแวดล้อมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่ง เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว กระทรวงสาธารณสุข มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ลงนามบันทึกข้อตกลงพัฒนาสิ่งแวดล้อมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่ง เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก วันนี้ (3 ธันวาคม 2562) ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช พร้อมด้วย นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้ช่วยศาสตราจารย์รัชด ชมภูนิช รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ลงนามบันทึกข้อตกลงการพัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสปีมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า กว่า 40 ปี โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทั้ง 21 แห่งได้ประกอบภารกิจสนองต่อแนวพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว องค์นายกกิตติมศักดิ์มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ให้โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเป็นที่พึ่งของประชาชนยามเจ็บป่วย มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และให้เป็นโรงพยาบาลเพื่อประชาชน โดยมีเป้าหมายพัฒนาโรงพยาบาลไปสู่ความเป็นเลิศในทุกด้าน ในโอกาสที่ก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 5 ทรงมีพระราโชบาย ที่จะ “นําพาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ผนวกเข้ากับการพัฒนาท้องถิ่นและชุมชน” จึงได้จัดทําแผนยุทธศาสตร์พัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชให้เป็น “โรงพยาบาลต้นแบบแห่งความสุข” มีสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างสุขภาวะในชุมชนรอบโรงพยาบาล ผู้รับบริการ บุคลากรมีความสุข และเป็นโรงพยาบาลแห่งความสุข โดยร่วมกับมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พัฒนาสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชให้มีภูมิทัศน์ที่สร้างความสุข พัฒนาเชิงกายภาพที่สอดคล้องกับผังแม่บทต้นแบบพื้นที่อยู่ดีมีสุขในโรงพยาบาล โดยมอบให้กลุ่มวิจัยสิ่งแวดล้อม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดทําผังแม่บทและแผนพัฒนาเชิงกายภาพที่เอื้อต่อการสร้างสุขภาวะของผู้ป่วย ชุมชน และบุคลากร เพื่อตอบรับกับความต้องการใช้พื้นที่ของโรงพยาบาล ซึ่งสํารวจพบว่าปัจจุบันมีผู้ใช้พื้นที่ทั้งผู้ป่วย ญาติ และเจ้าหน้าที่สูงสุด 5,900 คนต่อวัน สําหรับการจัดทําแผนพัฒนากายภาพเพื่อใช้ประโยชน์พื้นที่ทั้งภายในและภายนอกอาคาร (Zoning) เชื่อมโยงกับการให้บริการ (Service Flow) ที่เป็นปัจจุบันและรองรับทิศทางขยายตัวในอนาคต ทั้งระบบสัญจร การเคลื่อนที่ของคน รถ กับระบบบริการต่างๆ (Circulation) ภายใต้การทํางานอย่างมีส่วนร่วม (Participatory) กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการใช้พื้นที่ของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทั้ง 21 แห่ง รองรับกิจกรรมตามประเพณีของพื้นที่ รวมถึงการใช้ชีวิตของบุคลากรที่จะต้องมีพื้นที่เพื่อส่งเสริมสุขภาวะ มีความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งจะส่งผลถึงประสิทธิภาพการทํางาน การบริการประชาชนและภาพลักษณ์ของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ****************************** 3 ธันวาคม 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-4 หน่วยงาน ร่วมเฉลิมพระเกียรติ พัฒนาสิ่งแวดล้อมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทั่วประเทศ วันอังคารที่ 3 ธันวาคม 2562 4 หน่วยงาน ร่วมเฉลิมพระเกียรติ พัฒนาสิ่งแวดล้อมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทั่วประเทศ กระทรวงสาธารณสุข มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ลงนามบันทึกข้อตกลงพัฒนาสิ่งแวดล้อมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่ง เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว กระทรวงสาธารณสุข มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ลงนามบันทึกข้อตกลงพัฒนาสิ่งแวดล้อมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่ง เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก วันนี้ (3 ธันวาคม 2562) ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช พร้อมด้วย นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้ช่วยศาสตราจารย์รัชด ชมภูนิช รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ลงนามบันทึกข้อตกลงการพัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสปีมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า กว่า 40 ปี โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทั้ง 21 แห่งได้ประกอบภารกิจสนองต่อแนวพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว องค์นายกกิตติมศักดิ์มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ให้โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเป็นที่พึ่งของประชาชนยามเจ็บป่วย มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และให้เป็นโรงพยาบาลเพื่อประชาชน โดยมีเป้าหมายพัฒนาโรงพยาบาลไปสู่ความเป็นเลิศในทุกด้าน ในโอกาสที่ก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 5 ทรงมีพระราโชบาย ที่จะ “นําพาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ผนวกเข้ากับการพัฒนาท้องถิ่นและชุมชน” จึงได้จัดทําแผนยุทธศาสตร์พัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชให้เป็น “โรงพยาบาลต้นแบบแห่งความสุข” มีสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างสุขภาวะในชุมชนรอบโรงพยาบาล ผู้รับบริการ บุคลากรมีความสุข และเป็นโรงพยาบาลแห่งความสุข โดยร่วมกับมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พัฒนาสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชให้มีภูมิทัศน์ที่สร้างความสุข พัฒนาเชิงกายภาพที่สอดคล้องกับผังแม่บทต้นแบบพื้นที่อยู่ดีมีสุขในโรงพยาบาล โดยมอบให้กลุ่มวิจัยสิ่งแวดล้อม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดทําผังแม่บทและแผนพัฒนาเชิงกายภาพที่เอื้อต่อการสร้างสุขภาวะของผู้ป่วย ชุมชน และบุคลากร เพื่อตอบรับกับความต้องการใช้พื้นที่ของโรงพยาบาล ซึ่งสํารวจพบว่าปัจจุบันมีผู้ใช้พื้นที่ทั้งผู้ป่วย ญาติ และเจ้าหน้าที่สูงสุด 5,900 คนต่อวัน สําหรับการจัดทําแผนพัฒนากายภาพเพื่อใช้ประโยชน์พื้นที่ทั้งภายในและภายนอกอาคาร (Zoning) เชื่อมโยงกับการให้บริการ (Service Flow) ที่เป็นปัจจุบันและรองรับทิศทางขยายตัวในอนาคต ทั้งระบบสัญจร การเคลื่อนที่ของคน รถ กับระบบบริการต่างๆ (Circulation) ภายใต้การทํางานอย่างมีส่วนร่วม (Participatory) กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการใช้พื้นที่ของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทั้ง 21 แห่ง รองรับกิจกรรมตามประเพณีของพื้นที่ รวมถึงการใช้ชีวิตของบุคลากรที่จะต้องมีพื้นที่เพื่อส่งเสริมสุขภาวะ มีความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งจะส่งผลถึงประสิทธิภาพการทํางาน การบริการประชาชนและภาพลักษณ์ของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ****************************** 3 ธันวาคม 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24991
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการทำมาค้าขาย ของโรงเรียนโครงการสานพลังประชารัฐ และโรงเรียนร่วมพัฒนา ภาคใต้
วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2562 โครงการทํามาค้าขาย ของโรงเรียนโครงการสานพลังประชารัฐ และโรงเรียนร่วมพัฒนา ภาคใต้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมโครงการสรุปแนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนและทักษะชีวิต ภายใต้ “โครงการทํามาค้าขาย” ของโรงเรียนโครงการสานพลังประชารัฐ และโรงเรียนร่วมพัฒนาในพื้นที่ภาคใต้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมโครงการสรุปแนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนและทักษะชีวิต ภายใต้ “โครงการทํามาค้าขาย” ของโรงเรียนโครงการสานพลังประชารัฐและโรงเรียนร่วมพัฒนาในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) โดยมีนายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน), นายสนิท แย้มเกษร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รองเลขาธิการ กพฐ.) ตลอดจนผู้บริหาร ผู้อํานวยการโรงเรียน คณะครูและนักเรียน เข้าร่วมกว่า 300 คนเมื่อวันพุธที่ 13 มีนาคม 2562 ณ โรงแรมหาดแก้วรีสอร์ท จังหวัดสงขลา พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า การพัฒนาการเรียนการสอนและทักษะชีวิต ภายใต้โครงการทํามาค้าขาย ด้วยการสนับสนุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่มีความสําคัญต่อการนําการศึกษาเรียนรู้ไปช่วยสร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน ซึ่งเกิดจากพลังความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม ตลอดจนถึงภาควิชาการ ช่วยขับเคลื่อนประเทศด้วยการศึกษา ซึ่ง “การศึกษา” เปรียบเสมือนต้นทางของการพัฒนาคน ให้มีทักษะ มีความรู้ อยู่ในสังคมอย่างมีคุณค่า สร้างความเป็นอยู่ที่ดีและความเจริญให้กับครอบครัวและชุมชน ที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการตั้งมั่นในการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชน ตลอดจนประชาชนตอบโจทย์ความต้องการในแต่ละพื้นที่ และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้และภาคใต้ชายแดน กระทรวงศึกษาธิการได้น้อมนํายุทธศาสตร์พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" รวมทั้งพระบรมราโชวาทในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (รัชกาลที่ 10) ซึ่งทรงพระราชทานเกี่ยวกับการศึกษาที่ต้องมุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน 4 ด้าน คือ 1) มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง ที่ยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 2) มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรมจริยธรรม 3) มีงานทํา มีอาชีพสุจริต 4) เป็นพลเมืองดี นํามาเป็นหลักคิดในการดําเนินงาน จนเกิดเป็นความสําเร็จในการสร้างโอกาสด้านการศึกษา ที่ส่งผลต่อการลดความเหลื่อมล้ําทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว ในหลายโครงการ อาทิ การกําหนดการบริหารงานในระดับภาค, พื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลาและนราธิวาส, โครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี อําเภอเบตง จังหวัดยะลา และอําเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เป็นต้น โครงการสรุปแนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนและทักษะชีวิตภายใต้โครงการทํามาค้าขาย ถือเป็นการทํางานร่วมกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาคประชาสังคม อย่างมีนัยสําคัญ ภายใต้การสนับสนุนของภาคเอกชนตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา จึงนํามาสรุปเป็นแนวทางดําเนินงานเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเด็กและเยาวชนอย่างรอบด้าน ไม่เฉพาะการทําให้เด็กมีความรู้ เป็นคนดีและคนเก่งเท่านั้น แต่ยังเน้นให้มีทักษะชีวิตและทักษะอาชีพที่ดี จบแล้วมีอาชีพมีงานทํา และเป็นพลเมืองที่ดีของชุมชนและสังคมสอดคล้องตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติข้อที่ 3 การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ เพื่อการพัฒนาคนในทุกมิติและในทุกช่วงวัย ให้เป็นคนดี เก่ง และมีคุณภาพ เพื่อให้คนไทยมีความพร้อมทั้งกาย ใจ สติปัญญา ขอขอบคุณบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) ที่มุ่งมั่นให้การสนับสนุนการพัฒนาเด็กและเยาวชน ตลอดจนยกระดับเศรษฐกิจในระดับชุมชนอย่างดียิ่งเสมอมา นายสนิท แย้มเกษร รองเลขาธิการ กพฐ.กล่าวเพิ่มเติมถึงการประชุมโครงการสรุปแนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนและทักษะชีวิต ภายใต้โครงการทํามาค้าขาย ของโรงเรียนโครงการสานพลังประชารัฐและโรงเรียนร่วมพัฒนาในพื้นที่ภาคใต้ในครั้งนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-13 มีนาคม 2562 เพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการพัฒนาการเรียนการสอนและทักษะชีวิต กรณีศึกษาของโรงเรียนที่ได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน ที่จะเป็นการพัฒนาต่อยอดกระบวนการและทักษะอาชีพสู่การมีงานทํา สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 350 คน ประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงของ สพฐ. ผู้บริหารภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุน ผู้อํานวยการโรงเรียนโครงการสานพลังประชารัฐ ผู้อํานวยการโรงเรียนร่วมพัฒนาในพื้นที่ภาคใต้ จํานวน 35 โรงเรียน ครู และนักเรียน นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน)กล่าวว่า รู้สึกยินดีและภาคภูมิใจที่ได้มีโอกาสทํางานร่วมกับรัฐบาลในโครงการสานพลังประชารัฐ ซึ่งเน้นหลักการทํางานเชื่อมโยงกับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยได้ร่วมเป็นคณะทํางานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ (E3) เพื่อพัฒนาด้านการเกษตร การแปรรูป และการท่องเที่ยวโดยชุมชน ประสานเชื่อมโยงกับคณะทํางานการศึกษาพื้นฐานและการพัฒนาผู้นํา (E5) เพื่อให้การศึกษาเรียนรู้พร้อมทักษะอาชีพแก่เด็กเยาวชนในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) มีความมุ่งมั่นในการทํางานในโครงการต่าง ๆโดยน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ประกอบด้วย3 ห่วง(ความพอประมาณ ความมีเหตุผล ระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี) และ2 เงื่อนไข(คุณธรรม ความรู้) รวมทั้งพระราชปณิธาน ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (ในหลวงรัชกาลที่ 10) ที่จะสืบสาน รักษา ต่อยอด นํามาเป็นหลักในการทํางานพัฒนาคุณภาพคนและยกระดับเศรษฐกิจของชุมชนทั่วประเทศ ขับเคลื่อนโดยความร่วมมืออย่างบูรณาการของ “บวร” ได้แก่ บริษัท วิสาหกิจชุมชน รัฐโดยให้เด็กเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ นํากลไกพี่ช่วยน้องมาช่วยสนับสนุน พร้อม ๆ กับเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือในโครงการกว่า 300 โครงการ ร่วมกับโรงเรียน 293 แห่ง และมหาวิทยาลัย 27 แห่งใน 47 จังหวัดทั่วประเทศ โดยเน้นสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มีวินัยทางการเงิน ความเข้าใจตลาด และมีความคิดสร้างสรรค์ ทั้งด้านการทํามาค้าขาย การทําบัญชีครัวเรือน ตลอดจนแผนพัฒนาโรงเรียน นําไปสู่การทําแผนชุมชน เพื่อช่วยยกระดับการศึกษาและรายได้ของคนในชุมชน ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ขอฝากถึงเด็ก ๆ ทุกคนให้ตั้งใจศึกษาเรียนรู้และนําทักษะที่เรียนในห้องเรียนมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงอย่างยั่งยืน รวมทั้งพยายามศึกษาแนวโน้มการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะตัวชี้วัดการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ จํานวน 17 ข้อ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับการพัฒนาประเทศทั้งในวันนี้และในอนาคต อาทิ รับรองแผนการบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน, สร้างหลักประกันว่าทุกคนมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม และสนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต, สร้างพลังแห่งการเป็นหุ้นส่วน ความร่วมมือระดับสากล ต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน, ดําเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบ เป็นต้น ทั้งนี้ คาดหวังจะเห็นเด็กและเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการ ได้เรียนรู้อย่างมีความสุขเติบโตเป็นกําลังสําคัญที่มีทักษะและพึ่งพาตนเองได้ มีสัมมนาชีพที่สามารถตอบแทนครอบครัว ชุมชน และอยู่ในสังคมที่มีความอบอุ่นในทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย ที่สําคัญคือต้องการเห็นทายาทของผู้ประกอบการในท้องถิ่นและชุมชนต่าง ๆ กลับบ้านเกิดเพื่อสืบสานกิจการ พร้อมนําอัตลักษณ์และความภาคภูมิใจมาสร้างเป็นมูลค่าเพิ่มและต่อยอดการพัฒนา เพื่อสร้างประโยชน์และยกระดับเศรษฐกิจในท้องถิ่นอย่างยั่งยืนต่อไป โอกาสนี้ รมช.ศึกษาธิการ และคณะ ได้เยี่ยมชมนิทรรศการและผลงานนักเรียนจากการประกวด OTOP Junior ในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งมีความน่าสนใจและโดดเด่นสอดคล้องกับอัตลักษณ์ของพื้นที่ อาทิ การแปรรูปปลาดุกร้าไร้สารพิษ โรงเรียนบ้านปูโป๊ะ จ.นราธิวาส, การเพ้นท์กระเป๋ากระจูด เบเกอรี่และเครื่องดื่มจากสับปะรด โรงเรียนวัดเทพนิมิตร จ.ภูเก็ต, เครื่องแกงเผ็ด โรงเรียนบ้านตลาดลําใหม่ จ.ยะลา, ลูกตาลลอยแก้ว โรงเรียนสามบ่อวิทยา จ.สงขลา, ลูกปัดศรีวิชัย โรงเรียนวัดเขาศรีวิชัย จ.สุราษฎร์ธานี, ข้าวสังข์หยด โรงเรียนวัดทุ่งแย้ จ.นครศรีธรรมราช เป็นต้น Written byนวรัตน์ รามสูต Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการทำมาค้าขาย ของโรงเรียนโครงการสานพลังประชารัฐ และโรงเรียนร่วมพัฒนา ภาคใต้ วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2562 โครงการทํามาค้าขาย ของโรงเรียนโครงการสานพลังประชารัฐ และโรงเรียนร่วมพัฒนา ภาคใต้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมโครงการสรุปแนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนและทักษะชีวิต ภายใต้ “โครงการทํามาค้าขาย” ของโรงเรียนโครงการสานพลังประชารัฐ และโรงเรียนร่วมพัฒนาในพื้นที่ภาคใต้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมโครงการสรุปแนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนและทักษะชีวิต ภายใต้ “โครงการทํามาค้าขาย” ของโรงเรียนโครงการสานพลังประชารัฐและโรงเรียนร่วมพัฒนาในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) โดยมีนายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน), นายสนิท แย้มเกษร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รองเลขาธิการ กพฐ.) ตลอดจนผู้บริหาร ผู้อํานวยการโรงเรียน คณะครูและนักเรียน เข้าร่วมกว่า 300 คนเมื่อวันพุธที่ 13 มีนาคม 2562 ณ โรงแรมหาดแก้วรีสอร์ท จังหวัดสงขลา พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า การพัฒนาการเรียนการสอนและทักษะชีวิต ภายใต้โครงการทํามาค้าขาย ด้วยการสนับสนุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่มีความสําคัญต่อการนําการศึกษาเรียนรู้ไปช่วยสร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน ซึ่งเกิดจากพลังความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม ตลอดจนถึงภาควิชาการ ช่วยขับเคลื่อนประเทศด้วยการศึกษา ซึ่ง “การศึกษา” เปรียบเสมือนต้นทางของการพัฒนาคน ให้มีทักษะ มีความรู้ อยู่ในสังคมอย่างมีคุณค่า สร้างความเป็นอยู่ที่ดีและความเจริญให้กับครอบครัวและชุมชน ที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการตั้งมั่นในการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชน ตลอดจนประชาชนตอบโจทย์ความต้องการในแต่ละพื้นที่ และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้และภาคใต้ชายแดน กระทรวงศึกษาธิการได้น้อมนํายุทธศาสตร์พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" รวมทั้งพระบรมราโชวาทในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (รัชกาลที่ 10) ซึ่งทรงพระราชทานเกี่ยวกับการศึกษาที่ต้องมุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน 4 ด้าน คือ 1) มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง ที่ยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 2) มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรมจริยธรรม 3) มีงานทํา มีอาชีพสุจริต 4) เป็นพลเมืองดี นํามาเป็นหลักคิดในการดําเนินงาน จนเกิดเป็นความสําเร็จในการสร้างโอกาสด้านการศึกษา ที่ส่งผลต่อการลดความเหลื่อมล้ําทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว ในหลายโครงการ อาทิ การกําหนดการบริหารงานในระดับภาค, พื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลาและนราธิวาส, โครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี อําเภอเบตง จังหวัดยะลา และอําเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เป็นต้น โครงการสรุปแนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนและทักษะชีวิตภายใต้โครงการทํามาค้าขาย ถือเป็นการทํางานร่วมกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาคประชาสังคม อย่างมีนัยสําคัญ ภายใต้การสนับสนุนของภาคเอกชนตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา จึงนํามาสรุปเป็นแนวทางดําเนินงานเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเด็กและเยาวชนอย่างรอบด้าน ไม่เฉพาะการทําให้เด็กมีความรู้ เป็นคนดีและคนเก่งเท่านั้น แต่ยังเน้นให้มีทักษะชีวิตและทักษะอาชีพที่ดี จบแล้วมีอาชีพมีงานทํา และเป็นพลเมืองที่ดีของชุมชนและสังคมสอดคล้องตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติข้อที่ 3 การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ เพื่อการพัฒนาคนในทุกมิติและในทุกช่วงวัย ให้เป็นคนดี เก่ง และมีคุณภาพ เพื่อให้คนไทยมีความพร้อมทั้งกาย ใจ สติปัญญา ขอขอบคุณบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) ที่มุ่งมั่นให้การสนับสนุนการพัฒนาเด็กและเยาวชน ตลอดจนยกระดับเศรษฐกิจในระดับชุมชนอย่างดียิ่งเสมอมา นายสนิท แย้มเกษร รองเลขาธิการ กพฐ.กล่าวเพิ่มเติมถึงการประชุมโครงการสรุปแนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนและทักษะชีวิต ภายใต้โครงการทํามาค้าขาย ของโรงเรียนโครงการสานพลังประชารัฐและโรงเรียนร่วมพัฒนาในพื้นที่ภาคใต้ในครั้งนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-13 มีนาคม 2562 เพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการพัฒนาการเรียนการสอนและทักษะชีวิต กรณีศึกษาของโรงเรียนที่ได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน ที่จะเป็นการพัฒนาต่อยอดกระบวนการและทักษะอาชีพสู่การมีงานทํา สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 350 คน ประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงของ สพฐ. ผู้บริหารภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุน ผู้อํานวยการโรงเรียนโครงการสานพลังประชารัฐ ผู้อํานวยการโรงเรียนร่วมพัฒนาในพื้นที่ภาคใต้ จํานวน 35 โรงเรียน ครู และนักเรียน นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน)กล่าวว่า รู้สึกยินดีและภาคภูมิใจที่ได้มีโอกาสทํางานร่วมกับรัฐบาลในโครงการสานพลังประชารัฐ ซึ่งเน้นหลักการทํางานเชื่อมโยงกับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยได้ร่วมเป็นคณะทํางานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ (E3) เพื่อพัฒนาด้านการเกษตร การแปรรูป และการท่องเที่ยวโดยชุมชน ประสานเชื่อมโยงกับคณะทํางานการศึกษาพื้นฐานและการพัฒนาผู้นํา (E5) เพื่อให้การศึกษาเรียนรู้พร้อมทักษะอาชีพแก่เด็กเยาวชนในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) มีความมุ่งมั่นในการทํางานในโครงการต่าง ๆโดยน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ประกอบด้วย3 ห่วง(ความพอประมาณ ความมีเหตุผล ระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี) และ2 เงื่อนไข(คุณธรรม ความรู้) รวมทั้งพระราชปณิธาน ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (ในหลวงรัชกาลที่ 10) ที่จะสืบสาน รักษา ต่อยอด นํามาเป็นหลักในการทํางานพัฒนาคุณภาพคนและยกระดับเศรษฐกิจของชุมชนทั่วประเทศ ขับเคลื่อนโดยความร่วมมืออย่างบูรณาการของ “บวร” ได้แก่ บริษัท วิสาหกิจชุมชน รัฐโดยให้เด็กเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ นํากลไกพี่ช่วยน้องมาช่วยสนับสนุน พร้อม ๆ กับเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือในโครงการกว่า 300 โครงการ ร่วมกับโรงเรียน 293 แห่ง และมหาวิทยาลัย 27 แห่งใน 47 จังหวัดทั่วประเทศ โดยเน้นสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มีวินัยทางการเงิน ความเข้าใจตลาด และมีความคิดสร้างสรรค์ ทั้งด้านการทํามาค้าขาย การทําบัญชีครัวเรือน ตลอดจนแผนพัฒนาโรงเรียน นําไปสู่การทําแผนชุมชน เพื่อช่วยยกระดับการศึกษาและรายได้ของคนในชุมชน ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ขอฝากถึงเด็ก ๆ ทุกคนให้ตั้งใจศึกษาเรียนรู้และนําทักษะที่เรียนในห้องเรียนมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงอย่างยั่งยืน รวมทั้งพยายามศึกษาแนวโน้มการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะตัวชี้วัดการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ จํานวน 17 ข้อ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับการพัฒนาประเทศทั้งในวันนี้และในอนาคต อาทิ รับรองแผนการบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน, สร้างหลักประกันว่าทุกคนมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม และสนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต, สร้างพลังแห่งการเป็นหุ้นส่วน ความร่วมมือระดับสากล ต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน, ดําเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบ เป็นต้น ทั้งนี้ คาดหวังจะเห็นเด็กและเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการ ได้เรียนรู้อย่างมีความสุขเติบโตเป็นกําลังสําคัญที่มีทักษะและพึ่งพาตนเองได้ มีสัมมนาชีพที่สามารถตอบแทนครอบครัว ชุมชน และอยู่ในสังคมที่มีความอบอุ่นในทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย ที่สําคัญคือต้องการเห็นทายาทของผู้ประกอบการในท้องถิ่นและชุมชนต่าง ๆ กลับบ้านเกิดเพื่อสืบสานกิจการ พร้อมนําอัตลักษณ์และความภาคภูมิใจมาสร้างเป็นมูลค่าเพิ่มและต่อยอดการพัฒนา เพื่อสร้างประโยชน์และยกระดับเศรษฐกิจในท้องถิ่นอย่างยั่งยืนต่อไป โอกาสนี้ รมช.ศึกษาธิการ และคณะ ได้เยี่ยมชมนิทรรศการและผลงานนักเรียนจากการประกวด OTOP Junior ในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งมีความน่าสนใจและโดดเด่นสอดคล้องกับอัตลักษณ์ของพื้นที่ อาทิ การแปรรูปปลาดุกร้าไร้สารพิษ โรงเรียนบ้านปูโป๊ะ จ.นราธิวาส, การเพ้นท์กระเป๋ากระจูด เบเกอรี่และเครื่องดื่มจากสับปะรด โรงเรียนวัดเทพนิมิตร จ.ภูเก็ต, เครื่องแกงเผ็ด โรงเรียนบ้านตลาดลําใหม่ จ.ยะลา, ลูกตาลลอยแก้ว โรงเรียนสามบ่อวิทยา จ.สงขลา, ลูกปัดศรีวิชัย โรงเรียนวัดเขาศรีวิชัย จ.สุราษฎร์ธานี, ข้าวสังข์หยด โรงเรียนวัดทุ่งแย้ จ.นครศรีธรรมราช เป็นต้น Written byนวรัตน์ รามสูต Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19341
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบปะพ่อค้า แม่ค้า และประชาชนตลาดเกรียงไกร ซอยเคหะร่มเกล้า 35 ขอให้ค้าขายดี ปรับเปลี่ยนรูปแบบการค้าขาย เพิ่มแรงจูงใจให้ผู้ซื้อ
วันพุธที่ 9 มกราคม 2562 นายกรัฐมนตรีพบปะพ่อค้า แม่ค้า และประชาชนตลาดเกรียงไกร ซอยเคหะร่มเกล้า 35 ขอให้ค้าขายดี ปรับเปลี่ยนรูปแบบการค้าขาย เพิ่มแรงจูงใจให้ผู้ซื้อ นายกรัฐมนตรีพบปะพ่อค้า แม่ค้า และประชาชนตลาดเกรียงไกร ซอยเคหะร่มเกล้า 35 ขอให้ค้าขายดี ปรับเปลี่ยนรูปแบบการค้าขาย เพิ่มแรงจูงใจให้ผู้ซื้อ วันนี้ (9 มกราคม 2562) เวลา 13.30 น. ณ ตลาดเกรียงไกร ซอยเคหะร่มเกล้า 35 เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะประกอบด้วย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปลัดกรุงเทพมหานคร ผู้อํานวยการเขตลาดกระบัง ผู้บริหารเขตลาดกระบัง และประธานกลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออกเยี่ยมพบปะผู้ค้าและผู้ซื้อบริเวณตลาดเกรียงไกร ซอยเคหะร่มเกล้า 35 เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึงได้เดินเยี่ยมชมกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน ได้แก่ 1) ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มอาชีพ สํานักงานเขตลาดกระบัง ตามโครงการไทยนิยมยั่งยืน เพื่อสร้างชุมชนเข้มแข็งยกระดับการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ชุมชน การสร้างตลาดใหม่ และการเชื่อมโยง OTOP เข้ากับการท่องเที่ยวชุมชนซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่เน้นสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและสร้างเศรษฐกิจชุมชน 2) ตรวจเยี่ยมศูนย์ดํารงธรรมเคลื่อนที่ ซึ่งเป็นโครงการตามนโยบายของรัฐบาล ที่ดําเนินการร่วมกันระหว่างสํานักงานเขตลาดกระบัง ทหาร ตํารวจในพื้นที่ และหน่วยงานภาครัฐอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ ในลักษณะของชุดรับเรื่องราวร้องทุกข์เคลื่อนที่ไปยังชุมชนต่าง ๆ ของเขตลาดกระบัง 3) เยี่ยมชมจุดบริการรถเคลื่อนที่ประชารัฐ เป็นรถจําหน่ายสินค้าเคลื่อนที่ซึ่งได้รับงบประมาณจากโครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง สํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ สํานักนายกรัฐมนตรี เพื่อกระจายสินค้าที่ผลิตโดยชุมชน ทําให้สมาชิกมีรายได้จากการขายสินค้าเพิ่มขึ้น นํารายได้เข้ากองทุนประชารัฐ โดยกองทุนประชารัฐเป็นผู้ดูแลด้านการพัฒนา การขาย และจัดกระจายสินค้า 4) เยี่ยมชมจุดบริการทําบัตรประจําตัวประชาชนเคลื่อนที่ เป็นรถให้บริการเคลื่อนที่ของกรุงเทพมหานคร (สํานักงานปกครองและทะเบียน) ร่วมกับฝ่ายทะเบียน สํานักงานเขตลาดกระบัง โดยปกติรถจะจอดให้บริการประชาชนในชุมชนเคหะร่มเกล้า บริเวณหน้าสวน 60 พรรษา ถนนเคหะร่มเกล้า เดือนละ 5 วัน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้สอบถามพ่อค้า แม่ค้า เกี่ยวกับปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ขอให้ค้าขายดีเหมือนเทน้ําเทท่า พร้อมกล่าวอวยพรให้ทุกคนมีความสุข และขอให้พ่อค้า แม่ค้าปรับเปลี่ยนรูปแบบการขายสินค้า โดยให้ปรับปรุงคุณภาพ และการให้บริการมีบริการส่งสินค้าให้ถึงบ้าน เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้กับลูกค้า ซึ่งราคาสินค้าต้องเป็นธรรม ทั้งนี้ ราคาต้องเป็นไปตามกลไกของตลาด พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวทักทายกับประชาชนอย่างเป็นกันเอง พร้อมกล่าวว่า ดีใจที่ได้มาพบปะพูดคุยกับทุกคน ขอบคุณประชาชนที่มารอต้อนรับ การลงพื้นที่ในวันนี้ไม่ได้มาหาเสียง แต่มาเยี่ยมเยียนรับฟังปัญหาจากประชาชน เพราะนายกรัฐมนตรีต้องลงพื้นที่พบปะกับประชาชนได้ทุกที่ และรู้ว่าทุกคนเดือดร้อน ขอให้อดทน ทุกอย่างจะดีขึ้น รัฐบาลกําลังดําเนินการแก้ไขวางพื้นฐานของประเทศให้มีความมั่นคง ในระหว่างการเดินเยี่ยมชมตลาด ประชาชนต่างเข้ามาขอถ่ายรูป และมอบดอกไม้ บอกให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป พร้อมเปล่งเสียงบอก “นายกฯ สู้ ๆ” โดยนายกฯ บอกว่าสู้กับใคร สู้กับคนไม่ดีหรือ พร้อมกล่าว เรื่องความขัดแย้งต้องไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย ขอให้ทุกคนมีความรักสามัคคีกัน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการไปยังผู้ว่ากรุงเทพมหานครหามาตรการจัดระเบียบหาบเร่แผงลอยบนทางเท้า โดยขอให้ดูเรื่องข้อกฏหมายที่จะมีผลบังคับใช้ เพื่อจัดหาพื้นที่ค้าขายให้แก่พ่อค้าแม่ค้าให้สามารถดํารงชีพอยู่ได้ อีกทั้ง การขับขี่รถจักรยานยนต์บนทางเท้า โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้มงวดเรื่องการจราจร เพื่อให้เกิดความปลอดภัย โดยเฉพาะการขับขี่รถจักรยานยนต์บนทางเท้า ควรมีบทลงโทษทางกฎหมายทั้งจําคุกและปรับอย่างจริงจังต่อไป จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ซื้อสินค้าในตลาด และทําการหมักไข่เค็มของศูนย์เรียนรู้ชุมชนบึงบัว เขตลาดกระบัง ก่อนเดินทางไปตลาดสดหนองจอกต่อไป ......................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบปะพ่อค้า แม่ค้า และประชาชนตลาดเกรียงไกร ซอยเคหะร่มเกล้า 35 ขอให้ค้าขายดี ปรับเปลี่ยนรูปแบบการค้าขาย เพิ่มแรงจูงใจให้ผู้ซื้อ วันพุธที่ 9 มกราคม 2562 นายกรัฐมนตรีพบปะพ่อค้า แม่ค้า และประชาชนตลาดเกรียงไกร ซอยเคหะร่มเกล้า 35 ขอให้ค้าขายดี ปรับเปลี่ยนรูปแบบการค้าขาย เพิ่มแรงจูงใจให้ผู้ซื้อ นายกรัฐมนตรีพบปะพ่อค้า แม่ค้า และประชาชนตลาดเกรียงไกร ซอยเคหะร่มเกล้า 35 ขอให้ค้าขายดี ปรับเปลี่ยนรูปแบบการค้าขาย เพิ่มแรงจูงใจให้ผู้ซื้อ วันนี้ (9 มกราคม 2562) เวลา 13.30 น. ณ ตลาดเกรียงไกร ซอยเคหะร่มเกล้า 35 เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะประกอบด้วย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปลัดกรุงเทพมหานคร ผู้อํานวยการเขตลาดกระบัง ผู้บริหารเขตลาดกระบัง และประธานกลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออกเยี่ยมพบปะผู้ค้าและผู้ซื้อบริเวณตลาดเกรียงไกร ซอยเคหะร่มเกล้า 35 เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึงได้เดินเยี่ยมชมกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน ได้แก่ 1) ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มอาชีพ สํานักงานเขตลาดกระบัง ตามโครงการไทยนิยมยั่งยืน เพื่อสร้างชุมชนเข้มแข็งยกระดับการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ชุมชน การสร้างตลาดใหม่ และการเชื่อมโยง OTOP เข้ากับการท่องเที่ยวชุมชนซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่เน้นสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและสร้างเศรษฐกิจชุมชน 2) ตรวจเยี่ยมศูนย์ดํารงธรรมเคลื่อนที่ ซึ่งเป็นโครงการตามนโยบายของรัฐบาล ที่ดําเนินการร่วมกันระหว่างสํานักงานเขตลาดกระบัง ทหาร ตํารวจในพื้นที่ และหน่วยงานภาครัฐอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ ในลักษณะของชุดรับเรื่องราวร้องทุกข์เคลื่อนที่ไปยังชุมชนต่าง ๆ ของเขตลาดกระบัง 3) เยี่ยมชมจุดบริการรถเคลื่อนที่ประชารัฐ เป็นรถจําหน่ายสินค้าเคลื่อนที่ซึ่งได้รับงบประมาณจากโครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง สํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ สํานักนายกรัฐมนตรี เพื่อกระจายสินค้าที่ผลิตโดยชุมชน ทําให้สมาชิกมีรายได้จากการขายสินค้าเพิ่มขึ้น นํารายได้เข้ากองทุนประชารัฐ โดยกองทุนประชารัฐเป็นผู้ดูแลด้านการพัฒนา การขาย และจัดกระจายสินค้า 4) เยี่ยมชมจุดบริการทําบัตรประจําตัวประชาชนเคลื่อนที่ เป็นรถให้บริการเคลื่อนที่ของกรุงเทพมหานคร (สํานักงานปกครองและทะเบียน) ร่วมกับฝ่ายทะเบียน สํานักงานเขตลาดกระบัง โดยปกติรถจะจอดให้บริการประชาชนในชุมชนเคหะร่มเกล้า บริเวณหน้าสวน 60 พรรษา ถนนเคหะร่มเกล้า เดือนละ 5 วัน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้สอบถามพ่อค้า แม่ค้า เกี่ยวกับปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ขอให้ค้าขายดีเหมือนเทน้ําเทท่า พร้อมกล่าวอวยพรให้ทุกคนมีความสุข และขอให้พ่อค้า แม่ค้าปรับเปลี่ยนรูปแบบการขายสินค้า โดยให้ปรับปรุงคุณภาพ และการให้บริการมีบริการส่งสินค้าให้ถึงบ้าน เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้กับลูกค้า ซึ่งราคาสินค้าต้องเป็นธรรม ทั้งนี้ ราคาต้องเป็นไปตามกลไกของตลาด พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวทักทายกับประชาชนอย่างเป็นกันเอง พร้อมกล่าวว่า ดีใจที่ได้มาพบปะพูดคุยกับทุกคน ขอบคุณประชาชนที่มารอต้อนรับ การลงพื้นที่ในวันนี้ไม่ได้มาหาเสียง แต่มาเยี่ยมเยียนรับฟังปัญหาจากประชาชน เพราะนายกรัฐมนตรีต้องลงพื้นที่พบปะกับประชาชนได้ทุกที่ และรู้ว่าทุกคนเดือดร้อน ขอให้อดทน ทุกอย่างจะดีขึ้น รัฐบาลกําลังดําเนินการแก้ไขวางพื้นฐานของประเทศให้มีความมั่นคง ในระหว่างการเดินเยี่ยมชมตลาด ประชาชนต่างเข้ามาขอถ่ายรูป และมอบดอกไม้ บอกให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป พร้อมเปล่งเสียงบอก “นายกฯ สู้ ๆ” โดยนายกฯ บอกว่าสู้กับใคร สู้กับคนไม่ดีหรือ พร้อมกล่าว เรื่องความขัดแย้งต้องไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย ขอให้ทุกคนมีความรักสามัคคีกัน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการไปยังผู้ว่ากรุงเทพมหานครหามาตรการจัดระเบียบหาบเร่แผงลอยบนทางเท้า โดยขอให้ดูเรื่องข้อกฏหมายที่จะมีผลบังคับใช้ เพื่อจัดหาพื้นที่ค้าขายให้แก่พ่อค้าแม่ค้าให้สามารถดํารงชีพอยู่ได้ อีกทั้ง การขับขี่รถจักรยานยนต์บนทางเท้า โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้มงวดเรื่องการจราจร เพื่อให้เกิดความปลอดภัย โดยเฉพาะการขับขี่รถจักรยานยนต์บนทางเท้า ควรมีบทลงโทษทางกฎหมายทั้งจําคุกและปรับอย่างจริงจังต่อไป จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ซื้อสินค้าในตลาด และทําการหมักไข่เค็มของศูนย์เรียนรู้ชุมชนบึงบัว เขตลาดกระบัง ก่อนเดินทางไปตลาดสดหนองจอกต่อไป ......................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18017
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.มีมติเห็นชอบเพิ่มทุนให้ ธ.ก.ส. เพื่อเพิ่มศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก
วันพุธที่ 22 มกราคม 2563 ครม.มีมติเห็นชอบเพิ่มทุนให้ ธ.ก.ส. เพื่อเพิ่มศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ครม.มีมติเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 เห็นชอบการเพิ่มทุนเรือนหุ้นของ ธ.ก.ส. จากเดิม 60,000 ล้านบาท เป็น 80,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดําเนินภารกิจเป็นธนาคารพัฒนาชนบท ให้สอดคล้องกับทิศทางและนโยบายของภาครัฐตามกรอบแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 เห็นชอบการเพิ่มทุนเรือนหุ้นของ ธ.ก.ส. จากเดิม 60,000 ล้านบาท เป็น 80,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดําเนินภารกิจเป็นธนาคารพัฒนาชนบท ให้สอดคล้องกับทิศทางและนโยบายของภาครัฐตามกรอบแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ด้านการสร้างรายได้และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และขยายงานด้านการพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ทั้งด้านการอํานวยสินเชื่อ และการทํางานในท้องถิ่นร่วมกับเครือข่าย ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแนวนโยบายของกระทรวงการคลัง ซึ่งให้ความสําคัญต่อการดูแลเศรษฐกิจฐานราก เพื่อสร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ํา และขับเคลื่อนประเทศในระยะต่อไป ความมั่นคงทางการเงินของ ธ.ก.ส. ที่แข็งแกร่งขึ้นนี้ เป็นปัจจัยสําคัญที่จะทําให้ ธ.ก.ส. สามารถผลักดันภารกิจได้อย่างเต็มศักยภาพตามภารกิจหลักในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันภาคเกษตรของไทย รวมถึงการเพิ่มรายได้และสร้างอาชีพให้แก่ผู้มีรายได้น้อยและขยายบทบาทของ ธ.ก.ส. ให้ครอบคลุมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างครบวงจรมากขึ้น ทั้งด้านการอํานวยสินเชื่อและการทํางานร่วมกับเครือข่าย เช่น การส่งเสริมให้เกิดเกษตรกรรุ่นใหม่หรือ Smart Farmerการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร (Small and Medium Agriculture Enterprises : SMAEs) วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม กองทุนหมู่บ้าน สถาบันการเงินประชาชน และสหกรณ์การเกษตร การนําเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มผลิตผล แปรรูปสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่า พัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนและร้านค้าชุมชน ตลอดจนสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจแนวใหม่โดยเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวชุมชน รวมถึงการดูแลให้ความช่วยเหลือเกษตรกรซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางเมื่อเกิดเหตุภัยธรรมชาติหรือภัยพิบัติ การเพิ่มทุนในครั้งนี้ นอกจากจะทําให้ ธ.ก.ส. สามารถขยายบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากแล้ว ยังก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเงิน และสังคม โดยจะทําให้ ธ.ก.ส. สามารถปล่อยสินเชื่อได้ 12 เท่าของทุนที่เพิ่มขึ้น คิดเป็นมูลค่าสินเชื่อที่สามารถเพิ่มขึ้น 2.4 แสนล้านบาท ส่งผลให้มีเกษตรกรมีเงินทุนเพิ่มขึ้น ระบบเศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็งขึ้น และกระตุ้นผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศภาคเกษตรให้ขยายตัวสูงขึ้น สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กองพัฒนารัฐวิสาหกิจ 3 โทร 0 2298 5880 ต่อ 2130
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.มีมติเห็นชอบเพิ่มทุนให้ ธ.ก.ส. เพื่อเพิ่มศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก วันพุธที่ 22 มกราคม 2563 ครม.มีมติเห็นชอบเพิ่มทุนให้ ธ.ก.ส. เพื่อเพิ่มศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ครม.มีมติเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 เห็นชอบการเพิ่มทุนเรือนหุ้นของ ธ.ก.ส. จากเดิม 60,000 ล้านบาท เป็น 80,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดําเนินภารกิจเป็นธนาคารพัฒนาชนบท ให้สอดคล้องกับทิศทางและนโยบายของภาครัฐตามกรอบแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 เห็นชอบการเพิ่มทุนเรือนหุ้นของ ธ.ก.ส. จากเดิม 60,000 ล้านบาท เป็น 80,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดําเนินภารกิจเป็นธนาคารพัฒนาชนบท ให้สอดคล้องกับทิศทางและนโยบายของภาครัฐตามกรอบแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ด้านการสร้างรายได้และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และขยายงานด้านการพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ทั้งด้านการอํานวยสินเชื่อ และการทํางานในท้องถิ่นร่วมกับเครือข่าย ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแนวนโยบายของกระทรวงการคลัง ซึ่งให้ความสําคัญต่อการดูแลเศรษฐกิจฐานราก เพื่อสร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ํา และขับเคลื่อนประเทศในระยะต่อไป ความมั่นคงทางการเงินของ ธ.ก.ส. ที่แข็งแกร่งขึ้นนี้ เป็นปัจจัยสําคัญที่จะทําให้ ธ.ก.ส. สามารถผลักดันภารกิจได้อย่างเต็มศักยภาพตามภารกิจหลักในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันภาคเกษตรของไทย รวมถึงการเพิ่มรายได้และสร้างอาชีพให้แก่ผู้มีรายได้น้อยและขยายบทบาทของ ธ.ก.ส. ให้ครอบคลุมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างครบวงจรมากขึ้น ทั้งด้านการอํานวยสินเชื่อและการทํางานร่วมกับเครือข่าย เช่น การส่งเสริมให้เกิดเกษตรกรรุ่นใหม่หรือ Smart Farmerการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร (Small and Medium Agriculture Enterprises : SMAEs) วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม กองทุนหมู่บ้าน สถาบันการเงินประชาชน และสหกรณ์การเกษตร การนําเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มผลิตผล แปรรูปสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่า พัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนและร้านค้าชุมชน ตลอดจนสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจแนวใหม่โดยเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวชุมชน รวมถึงการดูแลให้ความช่วยเหลือเกษตรกรซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางเมื่อเกิดเหตุภัยธรรมชาติหรือภัยพิบัติ การเพิ่มทุนในครั้งนี้ นอกจากจะทําให้ ธ.ก.ส. สามารถขยายบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากแล้ว ยังก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเงิน และสังคม โดยจะทําให้ ธ.ก.ส. สามารถปล่อยสินเชื่อได้ 12 เท่าของทุนที่เพิ่มขึ้น คิดเป็นมูลค่าสินเชื่อที่สามารถเพิ่มขึ้น 2.4 แสนล้านบาท ส่งผลให้มีเกษตรกรมีเงินทุนเพิ่มขึ้น ระบบเศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็งขึ้น และกระตุ้นผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศภาคเกษตรให้ขยายตัวสูงขึ้น สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กองพัฒนารัฐวิสาหกิจ 3 โทร 0 2298 5880 ต่อ 2130
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25987
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.มอบของขวัญปีใหม่เพื่อคนไทย ปี 2562
วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม 2561 สธ.มอบของขวัญปีใหม่เพื่อคนไทย ปี 2562 กระทรวงสาธารณสุข เตรียมของขวัญปีใหม่มอบการดูแลสุขภาพเพื่อคนไทยสุขภาพดี ด้วยโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 กระทรวงสาธารณสุข เตรียมของขวัญปีใหม่มอบการดูแลสุขภาพเพื่อคนไทยสุขภาพดี ด้วยโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพิ่มสิทธิประโยชน์ ตรวจยีนแพ้ยาในผู้ป่วยโรคลมชัก มอบบัตร Smart Card อสม. เพิ่มความรอบรู้ด้านสุขภาพให้คนไทย วันนี้ (20 ธันวาคม 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นายแพทย์ณัฐวุฒิ ประเสริฐสิริพงศ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และนายแพทย์ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร่วมกันแถลงข่าว “สธ.มอบของขวัญปีใหม่เพื่อคนไทย ปี 2562” ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับการดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคน ในปี 2562 นี้ กระทรวงสาธารณสุขได้มอบของขวัญที่เน้นการสร้างสุขภาพ ลดความเหลื่อมล้ํา เพิ่มการเข้าถึงบริการ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร โดยร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน จัดโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ประชาชนในถิ่นทุรกันดาร 878 อําเภอทั่วประเทศ และกรุงเทพมหานคร ได้เข้าถึงบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต การแนะนําฝึกอาชีพ และบริการอื่น ๆ ตามบริบทของพื้นที่ เริ่มดําเนินการวันที่ 11 ธันวาคม 2561 ดําเนินการอําเภอละ 2 ครั้ง การเพิ่มสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สําหรับผู้ป่วยโรคลมชักก่อนเริ่มให้ยารักษา โดยการตรวจยีนที่เป็นปัจจัยเสี่ยงสําคัญต่อการแพ้ยากันชัก “คาร์บามาซีปีน” (Carbamazepine) ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับยาอย่างปลอดภัย ลดโอกาสความพิการและเสียชีวิตจากการเกิดผื่นแพ้ยารุนแรงชนิดกลุ่มสตีเวนส์ จอห์นสัน ซินโดรม (Steven-Johnson Syndrome : SJS) และท็อกซิก อีพิเดอร์มัล เนโครไลซิส (Toxic Epidermal Necrolysis : TEN) ที่มีการหลุดลอกของผิวหนังและเยื่อเมือกบุอวัยวะภายในต่าง ๆ ซึ่งพบมากในประเทศมาเลเซียและไทย โดยในช่วง 10 ปี (พ.ศ. 2545-2554) สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้รับรายงานผู้ป่วยที่มีผื่นแพ้ยารุนแรงราว 5,000 ราย เกิดจากยาคาร์บามาซีปีนปีละประมาณ 160-180 ราย และคาดว่าในปี 2562 มีผู้ป่วยโรคลมชักที่ต้องได้รับการตรวจยีน 29,534 ราย ใช้งบประมาณในการตรวจ 29.53 ล้านบาท โดยจะลดจํานวนผู้ป่วยที่เกิดผื่นแพ้ยารุนแรงจากยาคาร์บามาซีปีน และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาได้ถึง 256.18 ล้านบาท โครงการจัดทําบัตร “Smart Card อสม.” กระทรวงสาธารณสุข ได้พัฒนาระบบการเบิกจ่ายเงินค่าป่วยการของอสม.ผ่านระบบ e-Payment เพื่อโอนเงินค่าป่วยการเข้าบัญชีธนาคารของ อสม.ที่มีทั้งหมด 1,039,729 คนใน 76 จังหวัดรวมทั้งเชื่อมโยงเข้าสู่ระบบ Official line @Smart อสม. เป็นช่องทางในการสื่อสาร ข้อมูล และองค์ความรู้ด้านสุขภาพ ให้กับ อสม. นําไปถ่ายทอดความรู้ที่ถูกต้อง สร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ให้กับประชาชนโดยตรง ตามนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสําคัญในการพัฒนาศักยภาพ อสม. เป็น อสม. 4.0 ซึ่งเป็นกําลังสําคัญในการดูแลสุขภาพประชาชนและแก้ไขปัญหาสุขภาพในพื้นที่ร่วมกับเครือข่ายสุขภาพ นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายให้กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อดูแลประชาชนในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกล ขาดโอกาสเข้าถึงบริการสุขภาพด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะสุขภาพช่องปาก ปัญหาทางสายตา ภาวะเครียดและซึมเศร้า ดําเนินการ 2 เป็น 2 ช่วงคือ ระหว่างวันที่ 11-24 ธันวาคม 2561 และวันที่ 7-20 มกราคม 2562ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก ได้แก่ บริการการแพทย์ขั้นพื้นฐาน ทันตกรรม ตรวจตา สุขภาพจิต การแนะนําและฝึกอาชีพ และกิจกรรมอื่น ๆ ตามบริบทพื้นที่ ผลการดําเนินงานวันที่ 11 - 19 ธันวาคม 2561 ทั้งหมด 584 อําเภอ และกทม. รายงานเบื้องต้นจาก 139 หน่วย มีผู้มาใช้บริการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ตรวจสุขภาพทั่วไป จํานวน 17,724 ราย ส่งต่อเพื่อเข้ารับการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญ 884 ราย บริการทันตกรรม 10,050 ราย ส่งต่อ 273 ราย บริการตรวจสายตา 8,037 ราย ส่งต่อ 298 ราย บริการสุขภาพจิต 10,945 ราย ส่งต่อ 581 ราย ฝึกอาชีพ 6,334 ราย และกิจกรรมอื่นๆ ได้แก่ นวดแผนไทย ฉีดวัคซีนสัตว์เลี้ยง ทําหมันสัตว์เลี้ยง แจกพันธุ์ไม้ บริการตัดผม ส่งเสริมการอ่าน ซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า ทําไอศกรีม จํานวน 14,749 ราย ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้มอบหมายให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พัฒนาและเปิดให้บริการเภสัชพันธุศาสตร์ ซึ่งเป็นส่วนสําคัญหนึ่งในการแพทย์แม่นยํา (Precision Medicine) ที่ใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมของผู้ป่วยมาเลือกใช้ยาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยพบว่าคนไทยประมาณ 1 ใน 6 รายมียีน HLA-B*1502 ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดผื่นแพ้ยารุนแรงชนิด กลุ่มสตีเวนส์ จอห์นสัน ซินโดรม และท็อกซิก อีพิเดอร์มัล เนโครไลซิส มีการหลุดลอกของผิวหนังและเยื่อเมือกบุอวัยวะภายในต่าง ๆ อย่างรุนแรง อาจถึงขั้นตาบอดหรือเสียชีวิตได้ จึงได้พัฒนาเทคนิคการตรวจสารพันธุกรรมเสี่ยง HLA-B*1502 ที่มีราคาถูกและมีความถูกต้องเหมาะสําหรับคนไทย เพื่อนํามาใช้ตรวจคัดกรองผู้ป่วยก่อนได้รับยากันชัก “คาร์บามาซีปีน” โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาส่งผู้ป่วยโรคลมชักรายใหม่ตรวจหายีนการแพ้ยาดังกล่าวก่อนให้ยาคาร์บามาซีปีนทุกราย และส่งตรวจได้ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 14 แห่ง นายแพทย์ณัฐวุฒิ ประเสริฐสิริพงศ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จัดทําบัตร Smart Card ให้กับ อสม. ดําเนินการระยะแรกภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ในพื้นที่ 12 เขต เขตละ 1 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก อุทัยธานี นนทบุรี เพชรบุรี สระแก้ว ขอนแก่น บึงกาฬ ชัยภูมิ อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี และสงขลา และระยะที่ 2 ครอบคลุม 64 จังหวัดที่เหลือ จะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 20 มีนาคม 2562 สําหรับคุณสมบัติของบัตร Smart Card อสม. ใช้เป็นบัตรประจําตัว อสม.เป็นบัตรเดบิตกดเงินสดผ่านตู้ATM ทุกธนาคารโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม ใช้ชําระค่าสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ตามที่กําหนด โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการทําบัตรหรือค่าบริการใช้บัตร โดยการส่งมอบบัตร อสม.ทุกคนจะสมัคร Offical Line อสม.เพื่อรับข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพไปเผยแพร่แก่ประชาชนต่อไป กระทรวงสาธารณสุข เตรียมของขวัญปีใหม่มอบการดูแลสุขภาพเพื่อคนไทยสุขภาพดี ด้วยโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพิ่มสิทธิประโยชน์ ตรวจยีนแพ้ยาในผู้ป่วยโรคลมชัก มอบบัตร Smart Card อสม. เพิ่มความรอบรู้ด้านสุขภาพให้คนไทย วันนี้ (20 ธันวาคม 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นายแพทย์ณัฐวุฒิ ประเสริฐสิริพงศ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และนายแพทย์ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร่วมกันแถลงข่าว “สธ.มอบของขวัญปีใหม่เพื่อคนไทย ปี 2562” ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับการดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคน ในปี 2562 นี้ กระทรวงสาธารณสุขได้มอบของขวัญที่เน้นการสร้างสุขภาพ ลดความเหลื่อมล้ํา เพิ่มการเข้าถึงบริการ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร โดยร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน จัดโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ประชาชนในถิ่นทุรกันดาร 878 อําเภอทั่วประเทศ และกรุงเทพมหานคร ได้เข้าถึงบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต การแนะนําฝึกอาชีพ และบริการอื่น ๆ ตามบริบทของพื้นที่ เริ่มดําเนินการวันที่ 11 ธันวาคม 2561 ดําเนินการอําเภอละ 2 ครั้ง การเพิ่มสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สําหรับผู้ป่วยโรคลมชักก่อนเริ่มให้ยารักษา โดยการตรวจยีนที่เป็นปัจจัยเสี่ยงสําคัญต่อการแพ้ยากันชัก “คาร์บามาซีปีน” (Carbamazepine) ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับยาอย่างปลอดภัย ลดโอกาสความพิการและเสียชีวิตจากการเกิดผื่นแพ้ยารุนแรงชนิดกลุ่มสตีเวนส์ จอห์นสัน ซินโดรม (Steven-Johnson Syndrome : SJS) และท็อกซิก อีพิเดอร์มัล เนโครไลซิส (Toxic Epidermal Necrolysis : TEN) ที่มีการหลุดลอกของผิวหนังและเยื่อเมือกบุอวัยวะภายในต่าง ๆ ซึ่งพบมากในประเทศมาเลเซียและไทย โดยในช่วง 10 ปี (พ.ศ. 2545-2554) สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้รับรายงานผู้ป่วยที่มีผื่นแพ้ยารุนแรงราว 5,000 ราย เกิดจากยาคาร์บามาซีปีนปีละประมาณ 160-180 ราย และคาดว่าในปี 2562 มีผู้ป่วยโรคลมชักที่ต้องได้รับการตรวจยีน 29,534 ราย ใช้งบประมาณในการตรวจ 29.53 ล้านบาท โดยจะลดจํานวนผู้ป่วยที่เกิดผื่นแพ้ยารุนแรงจากยาคาร์บามาซีปีน และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาได้ถึง 256.18 ล้านบาท โครงการจัดทําบัตร “Smart Card อสม.” กระทรวงสาธารณสุข ได้พัฒนาระบบการเบิกจ่ายเงินค่าป่วยการของอสม.ผ่านระบบ e-Payment เพื่อโอนเงินค่าป่วยการเข้าบัญชีธนาคารของ อสม.ที่มีทั้งหมด 1,039,729 คนใน 76 จังหวัดรวมทั้งเชื่อมโยงเข้าสู่ระบบ Official line @Smart อสม. เป็นช่องทางในการสื่อสาร ข้อมูล และองค์ความรู้ด้านสุขภาพ ให้กับ อสม. นําไปถ่ายทอดความรู้ที่ถูกต้อง สร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ให้กับประชาชนโดยตรง ตามนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสําคัญในการพัฒนาศักยภาพ อสม. เป็น อสม. 4.0 ซึ่งเป็นกําลังสําคัญในการดูแลสุขภาพประชาชนและแก้ไขปัญหาสุขภาพในพื้นที่ร่วมกับเครือข่ายสุขภาพ นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายให้กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อดูแลประชาชนในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกล ขาดโอกาสเข้าถึงบริการสุขภาพด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะสุขภาพช่องปาก ปัญหาทางสายตา ภาวะเครียดและซึมเศร้า ดําเนินการ 2 เป็น 2 ช่วงคือ ระหว่างวันที่ 11-24 ธันวาคม 2561 และวันที่ 7-20 มกราคม 2562ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก ได้แก่ บริการการแพทย์ขั้นพื้นฐาน ทันตกรรม ตรวจตา สุขภาพจิต การแนะนําและฝึกอาชีพ และกิจกรรมอื่น ๆ ตามบริบทพื้นที่ ผลการดําเนินงานวันที่ 11 - 19 ธันวาคม 2561 ทั้งหมด 584 อําเภอ และกทม. รายงานเบื้องต้นจาก 139 หน่วย มีผู้มาใช้บริการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ตรวจสุขภาพทั่วไป จํานวน 17,724 ราย ส่งต่อเพื่อเข้ารับการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญ 884 ราย บริการทันตกรรม 10,050 ราย ส่งต่อ 273 ราย บริการตรวจสายตา 8,037 ราย ส่งต่อ 298 ราย บริการสุขภาพจิต 10,945 ราย ส่งต่อ 581 ราย ฝึกอาชีพ 6,334 ราย และกิจกรรมอื่นๆ ได้แก่ นวดแผนไทย ฉีดวัคซีนสัตว์เลี้ยง ทําหมันสัตว์เลี้ยง แจกพันธุ์ไม้ บริการตัดผม ส่งเสริมการอ่าน ซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า ทําไอศกรีม จํานวน 14,749 ราย ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้มอบหมายให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พัฒนาและเปิดให้บริการเภสัชพันธุศาสตร์ ซึ่งเป็นส่วนสําคัญหนึ่งในการแพทย์แม่นยํา (Precision Medicine) ที่ใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมของผู้ป่วยมาเลือกใช้ยาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยพบว่าคนไทยประมาณ 1 ใน 6 รายมียีน HLA-B*1502 ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดผื่นแพ้ยารุนแรงชนิด กลุ่มสตีเวนส์ จอห์นสัน ซินโดรม และท็อกซิก อีพิเดอร์มัล เนโครไลซิส มีการหลุดลอกของผิวหนังและเยื่อเมือกบุอวัยวะภายในต่าง ๆ อย่างรุนแรง อาจถึงขั้นตาบอดหรือเสียชีวิตได้ จึงได้พัฒนาเทคนิคการตรวจสารพันธุกรรมเสี่ยง HLA-B*1502 ที่มีราคาถูกและมีความถูกต้องเหมาะสําหรับคนไทย เพื่อนํามาใช้ตรวจคัดกรองผู้ป่วยก่อนได้รับยากันชัก “คาร์บามาซีปีน” โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาส่งผู้ป่วยโรคลมชักรายใหม่ตรวจหายีนการแพ้ยาดังกล่าวก่อนให้ยาคาร์บามาซีปีนทุกราย และส่งตรวจได้ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 14 แห่ง นายแพทย์ณัฐวุฒิ ประเสริฐสิริพงศ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จัดทําบัตร Smart Card ให้กับ อสม. ดําเนินการระยะแรกภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ในพื้นที่ 12 เขต เขตละ 1 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก อุทัยธานี นนทบุรี เพชรบุรี สระแก้ว ขอนแก่น บึงกาฬ ชัยภูมิ อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี และสงขลา และระยะที่ 2 ครอบคลุม 64 จังหวัดที่เหลือ จะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 20 มีนาคม 2562 สําหรับคุณสมบัติของบัตร Smart Card อสม. ใช้เป็นบัตรประจําตัว อสม.เป็นบัตรเดบิตกดเงินสดผ่านตู้ATM ทุกธนาคารโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม ใช้ชําระค่าสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ตามที่กําหนด โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการทําบัตรหรือค่าบริการใช้บัตร โดยการส่งมอบบัตร อสม.ทุกคนจะสมัคร Offical Line อสม.เพื่อรับข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพไปเผยแพร่แก่ประชาชนต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.มอบของขวัญปีใหม่เพื่อคนไทย ปี 2562 วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม 2561 สธ.มอบของขวัญปีใหม่เพื่อคนไทย ปี 2562 กระทรวงสาธารณสุข เตรียมของขวัญปีใหม่มอบการดูแลสุขภาพเพื่อคนไทยสุขภาพดี ด้วยโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 กระทรวงสาธารณสุข เตรียมของขวัญปีใหม่มอบการดูแลสุขภาพเพื่อคนไทยสุขภาพดี ด้วยโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพิ่มสิทธิประโยชน์ ตรวจยีนแพ้ยาในผู้ป่วยโรคลมชัก มอบบัตร Smart Card อสม. เพิ่มความรอบรู้ด้านสุขภาพให้คนไทย วันนี้ (20 ธันวาคม 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นายแพทย์ณัฐวุฒิ ประเสริฐสิริพงศ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และนายแพทย์ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร่วมกันแถลงข่าว “สธ.มอบของขวัญปีใหม่เพื่อคนไทย ปี 2562” ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับการดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคน ในปี 2562 นี้ กระทรวงสาธารณสุขได้มอบของขวัญที่เน้นการสร้างสุขภาพ ลดความเหลื่อมล้ํา เพิ่มการเข้าถึงบริการ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร โดยร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน จัดโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ประชาชนในถิ่นทุรกันดาร 878 อําเภอทั่วประเทศ และกรุงเทพมหานคร ได้เข้าถึงบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต การแนะนําฝึกอาชีพ และบริการอื่น ๆ ตามบริบทของพื้นที่ เริ่มดําเนินการวันที่ 11 ธันวาคม 2561 ดําเนินการอําเภอละ 2 ครั้ง การเพิ่มสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สําหรับผู้ป่วยโรคลมชักก่อนเริ่มให้ยารักษา โดยการตรวจยีนที่เป็นปัจจัยเสี่ยงสําคัญต่อการแพ้ยากันชัก “คาร์บามาซีปีน” (Carbamazepine) ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับยาอย่างปลอดภัย ลดโอกาสความพิการและเสียชีวิตจากการเกิดผื่นแพ้ยารุนแรงชนิดกลุ่มสตีเวนส์ จอห์นสัน ซินโดรม (Steven-Johnson Syndrome : SJS) และท็อกซิก อีพิเดอร์มัล เนโครไลซิส (Toxic Epidermal Necrolysis : TEN) ที่มีการหลุดลอกของผิวหนังและเยื่อเมือกบุอวัยวะภายในต่าง ๆ ซึ่งพบมากในประเทศมาเลเซียและไทย โดยในช่วง 10 ปี (พ.ศ. 2545-2554) สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้รับรายงานผู้ป่วยที่มีผื่นแพ้ยารุนแรงราว 5,000 ราย เกิดจากยาคาร์บามาซีปีนปีละประมาณ 160-180 ราย และคาดว่าในปี 2562 มีผู้ป่วยโรคลมชักที่ต้องได้รับการตรวจยีน 29,534 ราย ใช้งบประมาณในการตรวจ 29.53 ล้านบาท โดยจะลดจํานวนผู้ป่วยที่เกิดผื่นแพ้ยารุนแรงจากยาคาร์บามาซีปีน และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาได้ถึง 256.18 ล้านบาท โครงการจัดทําบัตร “Smart Card อสม.” กระทรวงสาธารณสุข ได้พัฒนาระบบการเบิกจ่ายเงินค่าป่วยการของอสม.ผ่านระบบ e-Payment เพื่อโอนเงินค่าป่วยการเข้าบัญชีธนาคารของ อสม.ที่มีทั้งหมด 1,039,729 คนใน 76 จังหวัดรวมทั้งเชื่อมโยงเข้าสู่ระบบ Official line @Smart อสม. เป็นช่องทางในการสื่อสาร ข้อมูล และองค์ความรู้ด้านสุขภาพ ให้กับ อสม. นําไปถ่ายทอดความรู้ที่ถูกต้อง สร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ให้กับประชาชนโดยตรง ตามนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสําคัญในการพัฒนาศักยภาพ อสม. เป็น อสม. 4.0 ซึ่งเป็นกําลังสําคัญในการดูแลสุขภาพประชาชนและแก้ไขปัญหาสุขภาพในพื้นที่ร่วมกับเครือข่ายสุขภาพ นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายให้กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อดูแลประชาชนในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกล ขาดโอกาสเข้าถึงบริการสุขภาพด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะสุขภาพช่องปาก ปัญหาทางสายตา ภาวะเครียดและซึมเศร้า ดําเนินการ 2 เป็น 2 ช่วงคือ ระหว่างวันที่ 11-24 ธันวาคม 2561 และวันที่ 7-20 มกราคม 2562ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก ได้แก่ บริการการแพทย์ขั้นพื้นฐาน ทันตกรรม ตรวจตา สุขภาพจิต การแนะนําและฝึกอาชีพ และกิจกรรมอื่น ๆ ตามบริบทพื้นที่ ผลการดําเนินงานวันที่ 11 - 19 ธันวาคม 2561 ทั้งหมด 584 อําเภอ และกทม. รายงานเบื้องต้นจาก 139 หน่วย มีผู้มาใช้บริการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ตรวจสุขภาพทั่วไป จํานวน 17,724 ราย ส่งต่อเพื่อเข้ารับการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญ 884 ราย บริการทันตกรรม 10,050 ราย ส่งต่อ 273 ราย บริการตรวจสายตา 8,037 ราย ส่งต่อ 298 ราย บริการสุขภาพจิต 10,945 ราย ส่งต่อ 581 ราย ฝึกอาชีพ 6,334 ราย และกิจกรรมอื่นๆ ได้แก่ นวดแผนไทย ฉีดวัคซีนสัตว์เลี้ยง ทําหมันสัตว์เลี้ยง แจกพันธุ์ไม้ บริการตัดผม ส่งเสริมการอ่าน ซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า ทําไอศกรีม จํานวน 14,749 ราย ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้มอบหมายให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พัฒนาและเปิดให้บริการเภสัชพันธุศาสตร์ ซึ่งเป็นส่วนสําคัญหนึ่งในการแพทย์แม่นยํา (Precision Medicine) ที่ใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมของผู้ป่วยมาเลือกใช้ยาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยพบว่าคนไทยประมาณ 1 ใน 6 รายมียีน HLA-B*1502 ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดผื่นแพ้ยารุนแรงชนิด กลุ่มสตีเวนส์ จอห์นสัน ซินโดรม และท็อกซิก อีพิเดอร์มัล เนโครไลซิส มีการหลุดลอกของผิวหนังและเยื่อเมือกบุอวัยวะภายในต่าง ๆ อย่างรุนแรง อาจถึงขั้นตาบอดหรือเสียชีวิตได้ จึงได้พัฒนาเทคนิคการตรวจสารพันธุกรรมเสี่ยง HLA-B*1502 ที่มีราคาถูกและมีความถูกต้องเหมาะสําหรับคนไทย เพื่อนํามาใช้ตรวจคัดกรองผู้ป่วยก่อนได้รับยากันชัก “คาร์บามาซีปีน” โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาส่งผู้ป่วยโรคลมชักรายใหม่ตรวจหายีนการแพ้ยาดังกล่าวก่อนให้ยาคาร์บามาซีปีนทุกราย และส่งตรวจได้ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 14 แห่ง นายแพทย์ณัฐวุฒิ ประเสริฐสิริพงศ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จัดทําบัตร Smart Card ให้กับ อสม. ดําเนินการระยะแรกภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ในพื้นที่ 12 เขต เขตละ 1 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก อุทัยธานี นนทบุรี เพชรบุรี สระแก้ว ขอนแก่น บึงกาฬ ชัยภูมิ อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี และสงขลา และระยะที่ 2 ครอบคลุม 64 จังหวัดที่เหลือ จะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 20 มีนาคม 2562 สําหรับคุณสมบัติของบัตร Smart Card อสม. ใช้เป็นบัตรประจําตัว อสม.เป็นบัตรเดบิตกดเงินสดผ่านตู้ATM ทุกธนาคารโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม ใช้ชําระค่าสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ตามที่กําหนด โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการทําบัตรหรือค่าบริการใช้บัตร โดยการส่งมอบบัตร อสม.ทุกคนจะสมัคร Offical Line อสม.เพื่อรับข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพไปเผยแพร่แก่ประชาชนต่อไป กระทรวงสาธารณสุข เตรียมของขวัญปีใหม่มอบการดูแลสุขภาพเพื่อคนไทยสุขภาพดี ด้วยโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพิ่มสิทธิประโยชน์ ตรวจยีนแพ้ยาในผู้ป่วยโรคลมชัก มอบบัตร Smart Card อสม. เพิ่มความรอบรู้ด้านสุขภาพให้คนไทย วันนี้ (20 ธันวาคม 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นายแพทย์ณัฐวุฒิ ประเสริฐสิริพงศ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และนายแพทย์ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร่วมกันแถลงข่าว “สธ.มอบของขวัญปีใหม่เพื่อคนไทย ปี 2562” ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับการดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคน ในปี 2562 นี้ กระทรวงสาธารณสุขได้มอบของขวัญที่เน้นการสร้างสุขภาพ ลดความเหลื่อมล้ํา เพิ่มการเข้าถึงบริการ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร โดยร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน จัดโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ประชาชนในถิ่นทุรกันดาร 878 อําเภอทั่วประเทศ และกรุงเทพมหานคร ได้เข้าถึงบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต การแนะนําฝึกอาชีพ และบริการอื่น ๆ ตามบริบทของพื้นที่ เริ่มดําเนินการวันที่ 11 ธันวาคม 2561 ดําเนินการอําเภอละ 2 ครั้ง การเพิ่มสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สําหรับผู้ป่วยโรคลมชักก่อนเริ่มให้ยารักษา โดยการตรวจยีนที่เป็นปัจจัยเสี่ยงสําคัญต่อการแพ้ยากันชัก “คาร์บามาซีปีน” (Carbamazepine) ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับยาอย่างปลอดภัย ลดโอกาสความพิการและเสียชีวิตจากการเกิดผื่นแพ้ยารุนแรงชนิดกลุ่มสตีเวนส์ จอห์นสัน ซินโดรม (Steven-Johnson Syndrome : SJS) และท็อกซิก อีพิเดอร์มัล เนโครไลซิส (Toxic Epidermal Necrolysis : TEN) ที่มีการหลุดลอกของผิวหนังและเยื่อเมือกบุอวัยวะภายในต่าง ๆ ซึ่งพบมากในประเทศมาเลเซียและไทย โดยในช่วง 10 ปี (พ.ศ. 2545-2554) สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้รับรายงานผู้ป่วยที่มีผื่นแพ้ยารุนแรงราว 5,000 ราย เกิดจากยาคาร์บามาซีปีนปีละประมาณ 160-180 ราย และคาดว่าในปี 2562 มีผู้ป่วยโรคลมชักที่ต้องได้รับการตรวจยีน 29,534 ราย ใช้งบประมาณในการตรวจ 29.53 ล้านบาท โดยจะลดจํานวนผู้ป่วยที่เกิดผื่นแพ้ยารุนแรงจากยาคาร์บามาซีปีน และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาได้ถึง 256.18 ล้านบาท โครงการจัดทําบัตร “Smart Card อสม.” กระทรวงสาธารณสุข ได้พัฒนาระบบการเบิกจ่ายเงินค่าป่วยการของอสม.ผ่านระบบ e-Payment เพื่อโอนเงินค่าป่วยการเข้าบัญชีธนาคารของ อสม.ที่มีทั้งหมด 1,039,729 คนใน 76 จังหวัดรวมทั้งเชื่อมโยงเข้าสู่ระบบ Official line @Smart อสม. เป็นช่องทางในการสื่อสาร ข้อมูล และองค์ความรู้ด้านสุขภาพ ให้กับ อสม. นําไปถ่ายทอดความรู้ที่ถูกต้อง สร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ให้กับประชาชนโดยตรง ตามนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสําคัญในการพัฒนาศักยภาพ อสม. เป็น อสม. 4.0 ซึ่งเป็นกําลังสําคัญในการดูแลสุขภาพประชาชนและแก้ไขปัญหาสุขภาพในพื้นที่ร่วมกับเครือข่ายสุขภาพ นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายให้กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อดูแลประชาชนในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกล ขาดโอกาสเข้าถึงบริการสุขภาพด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะสุขภาพช่องปาก ปัญหาทางสายตา ภาวะเครียดและซึมเศร้า ดําเนินการ 2 เป็น 2 ช่วงคือ ระหว่างวันที่ 11-24 ธันวาคม 2561 และวันที่ 7-20 มกราคม 2562ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก ได้แก่ บริการการแพทย์ขั้นพื้นฐาน ทันตกรรม ตรวจตา สุขภาพจิต การแนะนําและฝึกอาชีพ และกิจกรรมอื่น ๆ ตามบริบทพื้นที่ ผลการดําเนินงานวันที่ 11 - 19 ธันวาคม 2561 ทั้งหมด 584 อําเภอ และกทม. รายงานเบื้องต้นจาก 139 หน่วย มีผู้มาใช้บริการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ตรวจสุขภาพทั่วไป จํานวน 17,724 ราย ส่งต่อเพื่อเข้ารับการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญ 884 ราย บริการทันตกรรม 10,050 ราย ส่งต่อ 273 ราย บริการตรวจสายตา 8,037 ราย ส่งต่อ 298 ราย บริการสุขภาพจิต 10,945 ราย ส่งต่อ 581 ราย ฝึกอาชีพ 6,334 ราย และกิจกรรมอื่นๆ ได้แก่ นวดแผนไทย ฉีดวัคซีนสัตว์เลี้ยง ทําหมันสัตว์เลี้ยง แจกพันธุ์ไม้ บริการตัดผม ส่งเสริมการอ่าน ซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า ทําไอศกรีม จํานวน 14,749 ราย ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้มอบหมายให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พัฒนาและเปิดให้บริการเภสัชพันธุศาสตร์ ซึ่งเป็นส่วนสําคัญหนึ่งในการแพทย์แม่นยํา (Precision Medicine) ที่ใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมของผู้ป่วยมาเลือกใช้ยาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยพบว่าคนไทยประมาณ 1 ใน 6 รายมียีน HLA-B*1502 ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดผื่นแพ้ยารุนแรงชนิด กลุ่มสตีเวนส์ จอห์นสัน ซินโดรม และท็อกซิก อีพิเดอร์มัล เนโครไลซิส มีการหลุดลอกของผิวหนังและเยื่อเมือกบุอวัยวะภายในต่าง ๆ อย่างรุนแรง อาจถึงขั้นตาบอดหรือเสียชีวิตได้ จึงได้พัฒนาเทคนิคการตรวจสารพันธุกรรมเสี่ยง HLA-B*1502 ที่มีราคาถูกและมีความถูกต้องเหมาะสําหรับคนไทย เพื่อนํามาใช้ตรวจคัดกรองผู้ป่วยก่อนได้รับยากันชัก “คาร์บามาซีปีน” โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาส่งผู้ป่วยโรคลมชักรายใหม่ตรวจหายีนการแพ้ยาดังกล่าวก่อนให้ยาคาร์บามาซีปีนทุกราย และส่งตรวจได้ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 14 แห่ง นายแพทย์ณัฐวุฒิ ประเสริฐสิริพงศ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จัดทําบัตร Smart Card ให้กับ อสม. ดําเนินการระยะแรกภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ในพื้นที่ 12 เขต เขตละ 1 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก อุทัยธานี นนทบุรี เพชรบุรี สระแก้ว ขอนแก่น บึงกาฬ ชัยภูมิ อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี และสงขลา และระยะที่ 2 ครอบคลุม 64 จังหวัดที่เหลือ จะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 20 มีนาคม 2562 สําหรับคุณสมบัติของบัตร Smart Card อสม. ใช้เป็นบัตรประจําตัว อสม.เป็นบัตรเดบิตกดเงินสดผ่านตู้ATM ทุกธนาคารโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม ใช้ชําระค่าสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ตามที่กําหนด โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการทําบัตรหรือค่าบริการใช้บัตร โดยการส่งมอบบัตร อสม.ทุกคนจะสมัคร Offical Line อสม.เพื่อรับข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพไปเผยแพร่แก่ประชาชนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17635
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงพลังงาน มอบรางวัลประกวดภาพวาด“รักษ์น้ำ รักษ์ป่า รักษ์พลังงาน”
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2559 กระทรวงพลังงาน มอบรางวัลประกวดภาพวาด“รักษ์น้ํา รักษ์ป่า รักษ์พลังงาน” พลเอก สุรศักดิ์ ศรีศักดิ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย ดร.อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงานมอบโล่ เงินรางวัล และศิลปินผู้ทรงคุณวุฒิ ดร. เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ เป็นคณะกรรมการในการตัดสิน ณ บริเวณลานอ วันนี้ (2 ธันวาคม 2559) กระทรวงพลังงาน จัดพิธีมอบรางวัลประกวดวาดภาพเฉลิมพระเกียรติด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ปีที่ 4 ในหัวข้อ “รักษ์น้ํา รักษ์ป่า รักษ์พลังงาน”เงินรางวัลกว่า 8 แสนบาทโดยมี พลเอก สุรศักดิ์ ศรีศักดิ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย ดร.อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงานมอบโล่ เงินรางวัล และศิลปินผู้ทรงคุณวุฒิ ดร. เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ เป็นคณะกรรมการในการตัดสิน ณ บริเวณลานอเนกประสงค์ ชั้น M ศูนย์การค้าเกตเวย์ เอกมัย พลเอก สุรศักดิ์ ศรีศักดิ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า โครงการประกวดวาดภาพเฉลิมพระเกียรติด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน กระทรวงพลังงานจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ประชาชนชาวไทยด้านการอนุรักษ์พลังงาน และสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ด้านพลังงานผ่านศิลปะภาพวาด โดยในปีนี้จัดประกวดในหัวข้อ “รักษ์น้ํา รักษ์ป่า รักษ์พลังงาน”ซึ่งได้รับความสนใจจากเยาวชนและประชาชนทั่วประเทศเป็นจํานวนมาก ส่งผลงานเข้าร่วมกว่า 498 ผลงาน โดยรูปภาพที่ส่งเข้าประกวดล้วนถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ด้านพลังงานผ่านทางศิลปะภาพวาด เพื่อรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และน้อมนําแนวพระราชดําริ รวมทั้งพระราชกรณียกิจต่างๆ ด้านการอนุรักษ์พลังงานและการพัฒนาพลังงานทดแทนมาถ่ายทอด ผสมผสานกับจินตนาการออกมาเป็นงานศิลปะที่ทรงคุณค่า และสามารถเล่าเรื่องราวได้อย่างครบถ้วน สําหรับผลการประกวดกิจกรรมประกวดวาดภาพเฉลิมพระเกียรติด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ปีที่ 4 ในหัวข้อ “รักษ์น้ํา รักษ์ป่า รักษ์พลังงาน”แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้ ประเภทมัธยมศึกษาตอนต้น รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ด.ญ.จันทกานต์ จันทรโกมล รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ด.ญ.ลักษ์คณา มีพารา รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ด.ญ.ไอริณ เหลืองอ่อน และรางวัลชมเชยอีก 13 รางวัล 1.ด.ญ.ศิริญากร นิลลออ 2.ด.ช.ศักรินทร์ ดาราสม 3.นายโสภณัฐ สังพาลี 4.ด.ญ.ธัญลักษณ์ โอษธีศ 5.นางสาวปาณิสรา สุวรรณธาดา 6.ด.ญ.วลัยลักษณ์ ปิ่นทอง 7.ด.ช.อนันท์ วงษ์ศิลป์ 8.ด.ช.พิเชษฐ์ เชื้อสายดวง 9.นางสาวปิยาภรณ์ จันทร์ไทรรอด 10.ด.ญ.สุดารัตน์ ปานพูล 11.นางสาวภัทรวรรณ พลซา 12.นางสาวพรนภา หารโงน 13.นายพุฒิพงศ์ คําภาพล ประเภทมัธยมศึกษาตอนปลาย / ปวช. รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ นายวรุฒม์ ผ่องภักต์ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ นางสาวพิสชา พ่วงลาภ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ นางสาวรุจิรา อุบลชัย และรางวัลชมเชยอีก 13 รางวัล 1.นางสาวจุฑามาศ รัตนะพิบูลย์กุล 2.นายเกริกเกียรติ ตรีเนตร์ 3.นายภาณุพงศ์ อินทะชาติ 4.นายพรดนัย วัฒนาประดิษฐชัย 5.นางสาวศศิธร เข็มศิริ 6.นางสาวปิยาภรณ์ ปานแป้น 7.นางสาวภัทรวรรณ เหลืองสะอาด 8.นายทรัพย์สถิตย์ อภิบาลศรี 9.นายพลวัฒน์ สามิดี 10.นายศิริโรจน์ โคตรรวงษา 11.นายภาณุวัฒน์ ไชยรถ 12.นายธนโชติ พิลา 13.นายธนากร ขวัญปาก ประเภทอุดมศึกษา รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ นางสาวจันทร์ทิมา สุทธิประภา รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ นายปรัชญา พลซา รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ นายเกรียงไกร แก้วสุวรรณ และรางวัลชมเชยอีก 13 รางวัล 1.นายธันยธรณ์ อมราลักษณ์ 2.นายวชิร รุจิพงษ์ 3.นายภัทร บุญล้อม 4.นายสารัช ศรีบุรินทร์ 5.นายสมบูรณ์ อุ่นประชา 6.นายอภิวัฒน์ มัชฌิมา 7.นายธาวินวิชญ์ เชาวน์ธนกิจ 8.นายชาญณรงค์ แดงประคํา 9.นางสาวอลิสา ผลาพล 10.นายชลวิทย์ อินทะวงษ์ 11.นายไชยอนันต์ จันต๊ะนัน 12.นายอาณัติ สามัคคี 13.นายชัยชนะ ลือตระกูล ประเภทประชาชนทั่วไป รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ นายธีรวัฒน์ จันทร์แสตมป์ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ นายธวัชชัย สาริสุทธิ์ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ นายสุกิจ เชื้อสายดวง และรางวัลชมเชยอีก 13 รางวัล 1.นายรังษี เลาหสูต 2.นายอภิเดช ศิริบุรี 3.นายจักรกฤษณ์ ศรีสงคราม 4.นายณัฐวุฒิ ชุ่มพรมราช 5.นางสาวนุตศุภางค์ ภู่ทัยกุล 6.นายเอกภาพ วรชินา 7.นายสมบัติ น้อยโนนทอง 8.นายกฤษตฌาพนธ์ วัชระไชยสกุล 9.นายอรรณพ รัตตมณี 10.นายรัตน ไวยะราบุตร 11.นายจรัญ บุญประเดิม 12.นายสรพงษ์ สีชมพู 13.นายศุภณัฐ ลาดศิลป์ ทั้งนี้ กิจกรรมจัดประกวดวาดภาพเฉลิมพระเกียรติด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ปีที่ 4 หัวข้อ “รักษ์น้ํา รักษ์ป่า รักษ์พลังงาน” แบ่งการประกวดเป็น 4 ประเภท คือ ประเภทมัธยมศึกษาตอนต้น ประเภทมัธยมศึกษาตอนปลาย และ ปวช. ประเภทอุดมศึกษา และ ปวส. และประเภทประชาชนทั่วไป รวม 64 รางวัล โดยมีเงินรางวัลสําหรับผู้ชนะทั้งหมด จํานวนกว่า 8 แสนบาท พร้อมการจัดนิทรรศการวาดภาพที่ได้รับรางวัล และภาพวาดที่ได้รับการคัดเลือกรวม 100 ผลงาน ระหว่างวันที่ 2-5 ธันวาคม 2559 ณ ศูนย์การค้าเกตเวย์ เอกมัย โดยผลงานทั้งหมดผ่านการพิจารณาคัดเลือกแบ่งเป็นสองรอบ รอบแรกคณะกรรมการจะพิจารณาจากผลงานที่ส่งเข้าร่วมประกวดทั้งหมด 498 ผลงาน ซึ่งจะต้องตรงตามหัวข้อที่กําหนดไว้ และต้องเป็นภาพที่มีความคิดสร้างสรรค์ที่สื่อถึงพระราชกรณียกิจในกิจการด้านการอนุรักษ์พลังงานหรือการส่งเสริมพลังงาน ทดแทน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โดยคัดเลือกผลงานจํานวน 100 ผลงาน แบ่งเป็นผลงานที่เข้ารอบเพื่อร่วมกิจกรรมต่างๆของการประกวด อาทิ การศึกษาดูงานศิลปะ ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย (โมกา) การอบรมและสร้างสรรค์ผลงานวาดภาพ โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิให้คําแนะนําอย่างใกล้ชิด ส่วนการตัดสินในรอบที่สองจะเป็นการตัดสินผลงานรอบสุดท้ายในแต่ละประเภทเพื่อคัดเลือกผู้ชนะเลิศ รองชนะเลิศอันดับ1 รองชนะเลิศอันดับ 2 และรางวัลชมเชยประเภทละ 13 รางวัล ..........................................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงพลังงาน มอบรางวัลประกวดภาพวาด“รักษ์น้ำ รักษ์ป่า รักษ์พลังงาน” วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2559 กระทรวงพลังงาน มอบรางวัลประกวดภาพวาด“รักษ์น้ํา รักษ์ป่า รักษ์พลังงาน” พลเอก สุรศักดิ์ ศรีศักดิ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย ดร.อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงานมอบโล่ เงินรางวัล และศิลปินผู้ทรงคุณวุฒิ ดร. เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ เป็นคณะกรรมการในการตัดสิน ณ บริเวณลานอ วันนี้ (2 ธันวาคม 2559) กระทรวงพลังงาน จัดพิธีมอบรางวัลประกวดวาดภาพเฉลิมพระเกียรติด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ปีที่ 4 ในหัวข้อ “รักษ์น้ํา รักษ์ป่า รักษ์พลังงาน”เงินรางวัลกว่า 8 แสนบาทโดยมี พลเอก สุรศักดิ์ ศรีศักดิ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย ดร.อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงานมอบโล่ เงินรางวัล และศิลปินผู้ทรงคุณวุฒิ ดร. เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ เป็นคณะกรรมการในการตัดสิน ณ บริเวณลานอเนกประสงค์ ชั้น M ศูนย์การค้าเกตเวย์ เอกมัย พลเอก สุรศักดิ์ ศรีศักดิ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า โครงการประกวดวาดภาพเฉลิมพระเกียรติด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน กระทรวงพลังงานจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ประชาชนชาวไทยด้านการอนุรักษ์พลังงาน และสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ด้านพลังงานผ่านศิลปะภาพวาด โดยในปีนี้จัดประกวดในหัวข้อ “รักษ์น้ํา รักษ์ป่า รักษ์พลังงาน”ซึ่งได้รับความสนใจจากเยาวชนและประชาชนทั่วประเทศเป็นจํานวนมาก ส่งผลงานเข้าร่วมกว่า 498 ผลงาน โดยรูปภาพที่ส่งเข้าประกวดล้วนถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ด้านพลังงานผ่านทางศิลปะภาพวาด เพื่อรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และน้อมนําแนวพระราชดําริ รวมทั้งพระราชกรณียกิจต่างๆ ด้านการอนุรักษ์พลังงานและการพัฒนาพลังงานทดแทนมาถ่ายทอด ผสมผสานกับจินตนาการออกมาเป็นงานศิลปะที่ทรงคุณค่า และสามารถเล่าเรื่องราวได้อย่างครบถ้วน สําหรับผลการประกวดกิจกรรมประกวดวาดภาพเฉลิมพระเกียรติด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ปีที่ 4 ในหัวข้อ “รักษ์น้ํา รักษ์ป่า รักษ์พลังงาน”แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้ ประเภทมัธยมศึกษาตอนต้น รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ด.ญ.จันทกานต์ จันทรโกมล รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ด.ญ.ลักษ์คณา มีพารา รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ด.ญ.ไอริณ เหลืองอ่อน และรางวัลชมเชยอีก 13 รางวัล 1.ด.ญ.ศิริญากร นิลลออ 2.ด.ช.ศักรินทร์ ดาราสม 3.นายโสภณัฐ สังพาลี 4.ด.ญ.ธัญลักษณ์ โอษธีศ 5.นางสาวปาณิสรา สุวรรณธาดา 6.ด.ญ.วลัยลักษณ์ ปิ่นทอง 7.ด.ช.อนันท์ วงษ์ศิลป์ 8.ด.ช.พิเชษฐ์ เชื้อสายดวง 9.นางสาวปิยาภรณ์ จันทร์ไทรรอด 10.ด.ญ.สุดารัตน์ ปานพูล 11.นางสาวภัทรวรรณ พลซา 12.นางสาวพรนภา หารโงน 13.นายพุฒิพงศ์ คําภาพล ประเภทมัธยมศึกษาตอนปลาย / ปวช. รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ นายวรุฒม์ ผ่องภักต์ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ นางสาวพิสชา พ่วงลาภ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ นางสาวรุจิรา อุบลชัย และรางวัลชมเชยอีก 13 รางวัล 1.นางสาวจุฑามาศ รัตนะพิบูลย์กุล 2.นายเกริกเกียรติ ตรีเนตร์ 3.นายภาณุพงศ์ อินทะชาติ 4.นายพรดนัย วัฒนาประดิษฐชัย 5.นางสาวศศิธร เข็มศิริ 6.นางสาวปิยาภรณ์ ปานแป้น 7.นางสาวภัทรวรรณ เหลืองสะอาด 8.นายทรัพย์สถิตย์ อภิบาลศรี 9.นายพลวัฒน์ สามิดี 10.นายศิริโรจน์ โคตรรวงษา 11.นายภาณุวัฒน์ ไชยรถ 12.นายธนโชติ พิลา 13.นายธนากร ขวัญปาก ประเภทอุดมศึกษา รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ นางสาวจันทร์ทิมา สุทธิประภา รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ นายปรัชญา พลซา รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ นายเกรียงไกร แก้วสุวรรณ และรางวัลชมเชยอีก 13 รางวัล 1.นายธันยธรณ์ อมราลักษณ์ 2.นายวชิร รุจิพงษ์ 3.นายภัทร บุญล้อม 4.นายสารัช ศรีบุรินทร์ 5.นายสมบูรณ์ อุ่นประชา 6.นายอภิวัฒน์ มัชฌิมา 7.นายธาวินวิชญ์ เชาวน์ธนกิจ 8.นายชาญณรงค์ แดงประคํา 9.นางสาวอลิสา ผลาพล 10.นายชลวิทย์ อินทะวงษ์ 11.นายไชยอนันต์ จันต๊ะนัน 12.นายอาณัติ สามัคคี 13.นายชัยชนะ ลือตระกูล ประเภทประชาชนทั่วไป รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ นายธีรวัฒน์ จันทร์แสตมป์ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ นายธวัชชัย สาริสุทธิ์ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ นายสุกิจ เชื้อสายดวง และรางวัลชมเชยอีก 13 รางวัล 1.นายรังษี เลาหสูต 2.นายอภิเดช ศิริบุรี 3.นายจักรกฤษณ์ ศรีสงคราม 4.นายณัฐวุฒิ ชุ่มพรมราช 5.นางสาวนุตศุภางค์ ภู่ทัยกุล 6.นายเอกภาพ วรชินา 7.นายสมบัติ น้อยโนนทอง 8.นายกฤษตฌาพนธ์ วัชระไชยสกุล 9.นายอรรณพ รัตตมณี 10.นายรัตน ไวยะราบุตร 11.นายจรัญ บุญประเดิม 12.นายสรพงษ์ สีชมพู 13.นายศุภณัฐ ลาดศิลป์ ทั้งนี้ กิจกรรมจัดประกวดวาดภาพเฉลิมพระเกียรติด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ปีที่ 4 หัวข้อ “รักษ์น้ํา รักษ์ป่า รักษ์พลังงาน” แบ่งการประกวดเป็น 4 ประเภท คือ ประเภทมัธยมศึกษาตอนต้น ประเภทมัธยมศึกษาตอนปลาย และ ปวช. ประเภทอุดมศึกษา และ ปวส. และประเภทประชาชนทั่วไป รวม 64 รางวัล โดยมีเงินรางวัลสําหรับผู้ชนะทั้งหมด จํานวนกว่า 8 แสนบาท พร้อมการจัดนิทรรศการวาดภาพที่ได้รับรางวัล และภาพวาดที่ได้รับการคัดเลือกรวม 100 ผลงาน ระหว่างวันที่ 2-5 ธันวาคม 2559 ณ ศูนย์การค้าเกตเวย์ เอกมัย โดยผลงานทั้งหมดผ่านการพิจารณาคัดเลือกแบ่งเป็นสองรอบ รอบแรกคณะกรรมการจะพิจารณาจากผลงานที่ส่งเข้าร่วมประกวดทั้งหมด 498 ผลงาน ซึ่งจะต้องตรงตามหัวข้อที่กําหนดไว้ และต้องเป็นภาพที่มีความคิดสร้างสรรค์ที่สื่อถึงพระราชกรณียกิจในกิจการด้านการอนุรักษ์พลังงานหรือการส่งเสริมพลังงาน ทดแทน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โดยคัดเลือกผลงานจํานวน 100 ผลงาน แบ่งเป็นผลงานที่เข้ารอบเพื่อร่วมกิจกรรมต่างๆของการประกวด อาทิ การศึกษาดูงานศิลปะ ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย (โมกา) การอบรมและสร้างสรรค์ผลงานวาดภาพ โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิให้คําแนะนําอย่างใกล้ชิด ส่วนการตัดสินในรอบที่สองจะเป็นการตัดสินผลงานรอบสุดท้ายในแต่ละประเภทเพื่อคัดเลือกผู้ชนะเลิศ รองชนะเลิศอันดับ1 รองชนะเลิศอันดับ 2 และรางวัลชมเชยประเภทละ 13 รางวัล ..........................................
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/956
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ย้ำ "ลูกเสือต้องเป็นต้นแบบคุณธรรมจริยธรรมให้กับทุกภาคส่วน"
วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560 ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ย้ํา "ลูกเสือต้องเป็นต้นแบบคุณธรรมจริยธรรมให้กับทุกภาคส่วน" ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2560 ณ ห้องประชุมชั้น 6 สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย วันนี้ (16 พฤศจิกายน 2560) ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2560 ณ ห้องประชุมชั้น 6 สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.)ได้เน้นย้ําให้ลูกเสือเป็นต้นแบบด้านคุณธรรมจริยธรรมให้กับทุกภาคส่วนในประเทศ พร้อมร่วมกันสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้พระราชทานกําเนิดลูกเสือไทย ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวต้อนรับคณะกรรมการชุดใหม่ โดยขอให้ร่วมแรงร่วมใจทุ่มเทแรงกายแรงใจในการทํางานกิจการลูกเสือ แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ขอให้อย่าได้ท้อถอยถือเป็นหนึ่งในการปฏิบัติงานถวายสถาบันพระมหากษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้พระราชทานกําเนิดลูกเสือไทย ร่วมกันทํางานด้วยความสุจริต มีธรรมาภิบาล โปร่งใสเนื่องจากลูกเสือต้องเป็นต้นแบบคุณธรรมจริยธรรมให้ทุกภาคส่วน สําหรับผลการประชุมครั้งนี้ มีเรื่องที่น่าสนใจโดยสรุป ดังนี้ ที่ประชุมมอบหมายให้สํานักงานลูกเสือแห่งชาติดําเนินการจัดทําร่างแผนปฏิบัติราชการประจําปีงบประมาณ 2562โดยขอให้ประสานกับคณะอนุกรรมการฝ่ายต่าง ๆ ร่วมกันพิจารณาความเหมาะสม ด้วยความรอบคอบตามระเบียบราชการยึดหลักการใช้งบประมาณแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดก่อนนําเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติพิจารณาต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมมอบหมายให้คณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ พิจารณาดําเนินการ ดังนี้ คณะอนุกรรมการฝ่ายทรัพย์สินได้พิจารณาปรับปรุงระเบียบข้อบังคับเรื่องเงินเดือน ดูแลบํารุงขวัญและกําลังใจ สวัสดิการ ของเจ้าหน้าที่ตามความเหมาะสม โดยยึดหลักตาม พ.ร.บ.หรือข้อกําหนดที่เกี่ยวข้อง คณะอนุกรรมการฝ่ายทรัพย์สินให้ร่วมกับสํานักงานลูกเสือแห่งชาติ พิจารณาปรับปรุงค่ายลูกเสือให้เหมาะสม ตามความจําเป็นและสอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คณะอนุกรรมการฝ่ายสื่อสร้างสรรค์ได้มอบหมายให้มุ่งเน้นพัฒนางานประชาสัมพันธ์ทาง Social Media ให้เยาวชนได้สามารถเข้าถึงองค์ความรู้เป็นวงกว้าง และมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น คณะอนุกรรมการฝ่ายต่างประเทศถือเป็นหัวใจสําคัญในการร่วมมือกับสํานักงานลูกเสือแห่งชาติ ในการติดต่อประสานงานด้านต่างประเทศ จึงกําชับให้ดูแลเรื่องการจ่ายค่าบํารุงลูกเสือโลก รวมทั้งการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่ประเทศไทย ที่ประชุมได้รับทราบรายงานผลการดําเนินงานลูกเสือจิตอาสาในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ระหว่างวันที่ 25-27 ตุลาคม 2560 โดยคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติได้จัดโครงการ “จิตอาสา ลูกเสือทําความดีด้วยหัวใจ” เพื่อเป็นต้นแบบจิตอาสาตามแนวพระราชดําริ ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร โดยจัดคณะลูกเสือจํานวน 250 คน จากสโมสรลูกเสือและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ปฏิบัติหน้าที่เป็นลูกเสือ-เนตรนารีจิตอาสา ให้การรับรองแนะนํา และช่วยเหลือนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ รวมถึงประชาชนทั่วไปที่มาร่วมงานในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในช่วงเวลาดังกล่าว โดยทําหน้าที่เป็นล่ามภาษาอังกฤษ จีน และญี่ปุ่น ให้บริการสอบถามเส้นทางการประสานงานกับหน่วยต่าง ๆ ตลอดจนการปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยได้รับความร่วมมือด้วยดีจากสถาบันการศึกษาจํานวน 9 สถาบันฯ ส่งผู้บังคับบัญชาลูกเสือและลูกเสือเข้าร่วมกิจกรรมทั้งสิ้น 172 คน และคณะกรรมการผู้เกี่ยวข้องจํานวน 80 คน ผู้ร่วมปฏิบัติหน้าที่ตามโครงการทั้งสิ้น จํานวน 250 คน ผู้บังคับบัญชาและลูกเสือ-เนตรนารีเป็น 5 ส่วนปฏิบัติการ ได้แก่ ศูนย์ปฏิบัติการพระลานพระราชวังดุสิต ศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงศึกษาธิการศูนย์ปฏิบัติการหน้ากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ศูนย์ปฏิบัติการบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ และศูนย์ปฏิบัติการอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สรุปผลการประเมินกิจกรรมได้ ดังนี้ 1. ถือเป็นครั้งแรกที่ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากโรงเรียนทั้งภาครัฐและเอกชนในการส่งลูกเสือ-เนตรนารีและผู้บังคับบัญชาที่มีคุณภาพอย่างยิ่ง มีจิตอาสามีความสามารถและทักษะที่ดีเยี่ยมในการสื่อสารภาษาอังกฤษ มีความกระตือรือร้นในการทํางานทุกชนิด 2. ทีมงานและผู้บังคับบัญชาลูกเสือสามารถปรับสภาพและยอมรับในการทํางานจิตอาสาได้ทุกรูปแบบด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง 3. คณะผู้บังคับบัญชาที่ควบคุมนักศึกษามีประสิทธิภาพดีเยี่ยมในการปรับพื้นที่ทํากิจกรรมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละวันของพระราชพิธีฯ 4. ปรากฏการณ์ลูกเสือ 4.0เห็นได้จากคณะลูกเสือเนตรนารี ผู้บังคับบัญชาลูกเสือทุกคนสามารถใช้โทรศัพท์มือถือและ Social Media ได้อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพที่สุดทั้งในการสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ การแก้ปัญหา ตลอดจนการบริการให้ข้อมูลต่างๆอย่างกว้างขวาง ทําให้การทํางานคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมาก ขณะที่สํานักงานลูกเสือแห่งชาติ ร่วมกับกรุงเทพมหานคร จัดกําลังลูกเสือเข้าร่วมอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนที่เข้าร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ ณ สถานที่จัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานคร และซุ้มถวายดอกไม้จันทน์อําเภอละ 1 แห่งในส่วนภูมิภาค โดยมีลูกเสือเนตร-นารีที่เข้าร่วมโครงการทั่วประเทศทั้งสิ้น 182,226 คน ทั้งนี้การร่วมบริการประชาชนในพระราชพิธีฯ เป็นการปฏิบัติตามกฎของลูกเสือ 3 ข้ออย่างครบถ้วน ทั้งการจงรักภักดีต่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ การช่วยเหลือบริการผู้อื่น และการปฏิบัติตนตามกฎลูกเสือ โดยยึดถือระเบียบวินัย อย่างเคร่งครัด ที่ประชุมได้รับทราบการส่งผู้เข้าร่วมประชุมสภาการศึกษาลูกเสือภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก ณ ประเทศบังคลาเทศระหว่างวันที่ 9-12 ธันวาคม 2561 เพื่อให้ผู้แทนลูกเสือจากประเทศสมาชิกที่เข้าร่วมการประชุม ได้รับความรู้เกี่ยวกับวิชาการในด้านการศึกษาให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน และเกิดประโยชน์ต่อลูกเสือและบุคลากรทางการลูกเสือ นอกจากนี้สํานักงานลูกเสือแห่งชาติ จะเสนอของบประมาณในปี 2562 เพื่อสนับสนุนลูกเสือ-เนตรนารีประมาณ 30 คน เข้าร่วมงานชุมนุมลูกเสือโลกครั้งที่ 24 ระหว่างวันที่ 22 กรกฎาคม - 2 สิงหาคม 2563 ณ West Virginia สหรัฐอเมริกา ซึ่งทางประเทศเจ้าภาพได้กําหนดให้มีการเตรียมการส่งคณะผู้แทนลูกเสือจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกเข้าร่วมงานชุมนุมลูกเสือโลก โดยกําหนดให้แต่ละประเทศส่งรายชื่อผู้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศนั้น ๆ ไปยังเจ้าภาพจัดงานภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 เพื่อจะได้ประสานงานโดยตรงกับเจ้าภาพ ทั้งนี้หลังจากได้รับการอนุมัติงบประมาณแล้ว สํานักงานลูกเสือแห่งชาติจะดําเนินการประชาสัมพันธ์เชิญชวนลูกเสือ-เนตรนารีที่สนใจเข้าร่วมงานชุมนุมต่อไป อีกเรื่องที่สําคัญคือ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้นายปานศักดิ์ รังสิพราหมณกุลผู้ตรวจการลูกเสือฝ่ายต่างประเทศ,นายดิศกุล เกษมสวัสดิ์รองเลขาธิการสํานักงานลูกเสือแห่งชาติ และนายบดินทร์ คล้ายมณีอนุกรรมการลูกเสือฝ่ายต่างประเทศ เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมสมาคมลูกเสืออาเซียนเพื่อความร่วมมือในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ณ ประเทศฟิลิปปินส์ระหว่างวันที่ 25-26 พฤศจิกายน 2560 และยังได้เห็นชอบอนุมัติรายชื่อลูกเสือ-เนตรนารี และผู้กํากับลูกเสือ รวมจํานวน 20 คน เข้าร่วมงานชุมนุมลูกเสืออาเซียน ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน - 2 ธันวาคม 2560 ณ ประเทศฟิลิปปินส์ โดยสํานักงานลูกเสือแห่งชาติได้ดําเนินการประกาศรับสมัครและสอบคัดเลือกผู้แทนลูกเสือเนตรนารีเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างดําเนินการประกาศรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือก นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มอบสํานักงานลูกเสือแห่งชาติประชาสัมพันธ์การเสนอชื่อผู้สมควรได้รับรางวัลลูกเสือภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ประจําปี 2017-2018 จํานวน 4 ประเภทรางวัล ได้แก่ APR Award for Distinguished Service, APR Medal for Meritorious Contribution to Scouting, APR Chairman’s Award และ APR Certificate of Good Service ให้กับบุคลากรทางการลูกเสือและอาสาสมัครลูกเสือได้รับทราบ ปารัชญ์ ไชยเวช:สรุป บัลลังก์ โรหิตเสถียร:เรียบเรียง ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี, ธนภัทร จันทร์ห้างหว้า:ถ่ายภาพ กลุ่มสารนิเทศ สอ.สป.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ย้ำ "ลูกเสือต้องเป็นต้นแบบคุณธรรมจริยธรรมให้กับทุกภาคส่วน" วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560 ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ย้ํา "ลูกเสือต้องเป็นต้นแบบคุณธรรมจริยธรรมให้กับทุกภาคส่วน" ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2560 ณ ห้องประชุมชั้น 6 สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย วันนี้ (16 พฤศจิกายน 2560) ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2560 ณ ห้องประชุมชั้น 6 สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.)ได้เน้นย้ําให้ลูกเสือเป็นต้นแบบด้านคุณธรรมจริยธรรมให้กับทุกภาคส่วนในประเทศ พร้อมร่วมกันสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้พระราชทานกําเนิดลูกเสือไทย ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวต้อนรับคณะกรรมการชุดใหม่ โดยขอให้ร่วมแรงร่วมใจทุ่มเทแรงกายแรงใจในการทํางานกิจการลูกเสือ แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ขอให้อย่าได้ท้อถอยถือเป็นหนึ่งในการปฏิบัติงานถวายสถาบันพระมหากษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้พระราชทานกําเนิดลูกเสือไทย ร่วมกันทํางานด้วยความสุจริต มีธรรมาภิบาล โปร่งใสเนื่องจากลูกเสือต้องเป็นต้นแบบคุณธรรมจริยธรรมให้ทุกภาคส่วน สําหรับผลการประชุมครั้งนี้ มีเรื่องที่น่าสนใจโดยสรุป ดังนี้ ที่ประชุมมอบหมายให้สํานักงานลูกเสือแห่งชาติดําเนินการจัดทําร่างแผนปฏิบัติราชการประจําปีงบประมาณ 2562โดยขอให้ประสานกับคณะอนุกรรมการฝ่ายต่าง ๆ ร่วมกันพิจารณาความเหมาะสม ด้วยความรอบคอบตามระเบียบราชการยึดหลักการใช้งบประมาณแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดก่อนนําเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติพิจารณาต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมมอบหมายให้คณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ พิจารณาดําเนินการ ดังนี้ คณะอนุกรรมการฝ่ายทรัพย์สินได้พิจารณาปรับปรุงระเบียบข้อบังคับเรื่องเงินเดือน ดูแลบํารุงขวัญและกําลังใจ สวัสดิการ ของเจ้าหน้าที่ตามความเหมาะสม โดยยึดหลักตาม พ.ร.บ.หรือข้อกําหนดที่เกี่ยวข้อง คณะอนุกรรมการฝ่ายทรัพย์สินให้ร่วมกับสํานักงานลูกเสือแห่งชาติ พิจารณาปรับปรุงค่ายลูกเสือให้เหมาะสม ตามความจําเป็นและสอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คณะอนุกรรมการฝ่ายสื่อสร้างสรรค์ได้มอบหมายให้มุ่งเน้นพัฒนางานประชาสัมพันธ์ทาง Social Media ให้เยาวชนได้สามารถเข้าถึงองค์ความรู้เป็นวงกว้าง และมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น คณะอนุกรรมการฝ่ายต่างประเทศถือเป็นหัวใจสําคัญในการร่วมมือกับสํานักงานลูกเสือแห่งชาติ ในการติดต่อประสานงานด้านต่างประเทศ จึงกําชับให้ดูแลเรื่องการจ่ายค่าบํารุงลูกเสือโลก รวมทั้งการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่ประเทศไทย ที่ประชุมได้รับทราบรายงานผลการดําเนินงานลูกเสือจิตอาสาในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ระหว่างวันที่ 25-27 ตุลาคม 2560 โดยคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติได้จัดโครงการ “จิตอาสา ลูกเสือทําความดีด้วยหัวใจ” เพื่อเป็นต้นแบบจิตอาสาตามแนวพระราชดําริ ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร โดยจัดคณะลูกเสือจํานวน 250 คน จากสโมสรลูกเสือและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ปฏิบัติหน้าที่เป็นลูกเสือ-เนตรนารีจิตอาสา ให้การรับรองแนะนํา และช่วยเหลือนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ รวมถึงประชาชนทั่วไปที่มาร่วมงานในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในช่วงเวลาดังกล่าว โดยทําหน้าที่เป็นล่ามภาษาอังกฤษ จีน และญี่ปุ่น ให้บริการสอบถามเส้นทางการประสานงานกับหน่วยต่าง ๆ ตลอดจนการปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยได้รับความร่วมมือด้วยดีจากสถาบันการศึกษาจํานวน 9 สถาบันฯ ส่งผู้บังคับบัญชาลูกเสือและลูกเสือเข้าร่วมกิจกรรมทั้งสิ้น 172 คน และคณะกรรมการผู้เกี่ยวข้องจํานวน 80 คน ผู้ร่วมปฏิบัติหน้าที่ตามโครงการทั้งสิ้น จํานวน 250 คน ผู้บังคับบัญชาและลูกเสือ-เนตรนารีเป็น 5 ส่วนปฏิบัติการ ได้แก่ ศูนย์ปฏิบัติการพระลานพระราชวังดุสิต ศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงศึกษาธิการศูนย์ปฏิบัติการหน้ากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ศูนย์ปฏิบัติการบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ และศูนย์ปฏิบัติการอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สรุปผลการประเมินกิจกรรมได้ ดังนี้ 1. ถือเป็นครั้งแรกที่ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากโรงเรียนทั้งภาครัฐและเอกชนในการส่งลูกเสือ-เนตรนารีและผู้บังคับบัญชาที่มีคุณภาพอย่างยิ่ง มีจิตอาสามีความสามารถและทักษะที่ดีเยี่ยมในการสื่อสารภาษาอังกฤษ มีความกระตือรือร้นในการทํางานทุกชนิด 2. ทีมงานและผู้บังคับบัญชาลูกเสือสามารถปรับสภาพและยอมรับในการทํางานจิตอาสาได้ทุกรูปแบบด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง 3. คณะผู้บังคับบัญชาที่ควบคุมนักศึกษามีประสิทธิภาพดีเยี่ยมในการปรับพื้นที่ทํากิจกรรมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละวันของพระราชพิธีฯ 4. ปรากฏการณ์ลูกเสือ 4.0เห็นได้จากคณะลูกเสือเนตรนารี ผู้บังคับบัญชาลูกเสือทุกคนสามารถใช้โทรศัพท์มือถือและ Social Media ได้อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพที่สุดทั้งในการสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ การแก้ปัญหา ตลอดจนการบริการให้ข้อมูลต่างๆอย่างกว้างขวาง ทําให้การทํางานคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมาก ขณะที่สํานักงานลูกเสือแห่งชาติ ร่วมกับกรุงเทพมหานคร จัดกําลังลูกเสือเข้าร่วมอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนที่เข้าร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ ณ สถานที่จัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานคร และซุ้มถวายดอกไม้จันทน์อําเภอละ 1 แห่งในส่วนภูมิภาค โดยมีลูกเสือเนตร-นารีที่เข้าร่วมโครงการทั่วประเทศทั้งสิ้น 182,226 คน ทั้งนี้การร่วมบริการประชาชนในพระราชพิธีฯ เป็นการปฏิบัติตามกฎของลูกเสือ 3 ข้ออย่างครบถ้วน ทั้งการจงรักภักดีต่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ การช่วยเหลือบริการผู้อื่น และการปฏิบัติตนตามกฎลูกเสือ โดยยึดถือระเบียบวินัย อย่างเคร่งครัด ที่ประชุมได้รับทราบการส่งผู้เข้าร่วมประชุมสภาการศึกษาลูกเสือภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก ณ ประเทศบังคลาเทศระหว่างวันที่ 9-12 ธันวาคม 2561 เพื่อให้ผู้แทนลูกเสือจากประเทศสมาชิกที่เข้าร่วมการประชุม ได้รับความรู้เกี่ยวกับวิชาการในด้านการศึกษาให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน และเกิดประโยชน์ต่อลูกเสือและบุคลากรทางการลูกเสือ นอกจากนี้สํานักงานลูกเสือแห่งชาติ จะเสนอของบประมาณในปี 2562 เพื่อสนับสนุนลูกเสือ-เนตรนารีประมาณ 30 คน เข้าร่วมงานชุมนุมลูกเสือโลกครั้งที่ 24 ระหว่างวันที่ 22 กรกฎาคม - 2 สิงหาคม 2563 ณ West Virginia สหรัฐอเมริกา ซึ่งทางประเทศเจ้าภาพได้กําหนดให้มีการเตรียมการส่งคณะผู้แทนลูกเสือจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกเข้าร่วมงานชุมนุมลูกเสือโลก โดยกําหนดให้แต่ละประเทศส่งรายชื่อผู้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศนั้น ๆ ไปยังเจ้าภาพจัดงานภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 เพื่อจะได้ประสานงานโดยตรงกับเจ้าภาพ ทั้งนี้หลังจากได้รับการอนุมัติงบประมาณแล้ว สํานักงานลูกเสือแห่งชาติจะดําเนินการประชาสัมพันธ์เชิญชวนลูกเสือ-เนตรนารีที่สนใจเข้าร่วมงานชุมนุมต่อไป อีกเรื่องที่สําคัญคือ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้นายปานศักดิ์ รังสิพราหมณกุลผู้ตรวจการลูกเสือฝ่ายต่างประเทศ,นายดิศกุล เกษมสวัสดิ์รองเลขาธิการสํานักงานลูกเสือแห่งชาติ และนายบดินทร์ คล้ายมณีอนุกรรมการลูกเสือฝ่ายต่างประเทศ เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมสมาคมลูกเสืออาเซียนเพื่อความร่วมมือในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ณ ประเทศฟิลิปปินส์ระหว่างวันที่ 25-26 พฤศจิกายน 2560 และยังได้เห็นชอบอนุมัติรายชื่อลูกเสือ-เนตรนารี และผู้กํากับลูกเสือ รวมจํานวน 20 คน เข้าร่วมงานชุมนุมลูกเสืออาเซียน ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน - 2 ธันวาคม 2560 ณ ประเทศฟิลิปปินส์ โดยสํานักงานลูกเสือแห่งชาติได้ดําเนินการประกาศรับสมัครและสอบคัดเลือกผู้แทนลูกเสือเนตรนารีเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างดําเนินการประกาศรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือก นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มอบสํานักงานลูกเสือแห่งชาติประชาสัมพันธ์การเสนอชื่อผู้สมควรได้รับรางวัลลูกเสือภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ประจําปี 2017-2018 จํานวน 4 ประเภทรางวัล ได้แก่ APR Award for Distinguished Service, APR Medal for Meritorious Contribution to Scouting, APR Chairman’s Award และ APR Certificate of Good Service ให้กับบุคลากรทางการลูกเสือและอาสาสมัครลูกเสือได้รับทราบ ปารัชญ์ ไชยเวช:สรุป บัลลังก์ โรหิตเสถียร:เรียบเรียง ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี, ธนภัทร จันทร์ห้างหว้า:ถ่ายภาพ กลุ่มสารนิเทศ สอ.สป.
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8144
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุมองค์กรหลัก 6/2560
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2560 ผลประชุมองค์กรหลัก 6/2560 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ และ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนผู้บริหารฝ่ายการเมือง ร่วมประชุมองค์กรหลัก ครั้งที่ 6/2560 •เรื่องที่นายกรัฐมนตรีสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (7กุมภาพันธ์2560) นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความชื่นชมนักเรียนกลุ่มที่มีความสามารถเป็นเลิศทางวิชาคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ด้านการกีฬา และกลุ่มที่ได้รับรางวัลระดับนานาชาติ (ผู้ได้รับเหรียญโอลิมปิกทางวิชาการ) จากจังหวัดต่าง ๆ อาทิ โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย ยุพราชวิทยาลัย หาดใหญ่วิทยาลัย ราชสีมาวิทยาลัย สวนกุหลาบวิทยาลัย ฯลฯ ซึ่งได้มาเข้าเยี่ยมคารวะ และรับโอวาทจากนายกรัฐมนตรี ที่ทําเนียบรัฐบาล โดยขอให้สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อยอดให้มีเด็กเก่งด้านต่าง ๆ ในทุกโรงเรียน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี โดยแสดงความขอบคุณนักเรียนนักศึกษา คณะครู และผู้บริหารสถานศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และสํานักงาน กศน. รวมทั้งกองทัพบก ที่ลงไปช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งซ่อมแซมบ้านเรือนให้กับผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดภาคใต้ •การเตรียมจัดงานรําลึกถึงในหลวง รัชกาลที่ 9 ""เสมาร่วมใจ รําลึกถึงพ่อ" นายประเสริฐ บุญเรือง รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้รายงานเกี่ยวกับการเตรียมจัดงานรําลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตามนโยบายรัฐบาล โดยกิจกรรมครั้งแรกของกระทรวงศึกษาธิการ กําหนดจัดงานรําลึก"เสมาร่วมใจ รําลึกถึงพ่อ"ในวันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560 ตั้งแต่เวลา 8.30 น. เป็นต้นไป ที่บริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษม โดยมี รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน • สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงห่วงใยการศึกษา พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการรายงานในที่ประชุมว่า ในการเฝ้ารับเสด็จฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเสด็จพระราชดําเนินทรงเป็นองค์ประธานเปิดการประชุมวิชาการระดับชาติ องค์การเกษตรกรในอนาคตแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ฯ (อกท.) ครั้งที่ 38 เมื่อวันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2560 ณ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุทัยธานี นั้นพระองค์ทรงชื่นชมการจัดศูนย์ FixIt Centerของสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ที่ได้ออกช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ มาโดยตลอดโดยมีพระราชกระแสเพิ่มเติมให้มีการส่งเสริมสนับสนุนให้เด็กมาเรียนสายอาชีวศึกษาให้มากขึ้นเพราะจบแล้วมีงานทํา ส่วนปัญหาการทะเลาะวิวาทลดน้อยลง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี นอกจากนี้ การออกใบประกอบวิชาชีพของคนเก่ง ๆ ที่ต้องการเข้ามาเป็นครู ก็เป็นเรื่องที่กระทรวงศึกษาธิการควรเร่งดําเนินการต่อไป • การพัฒนาการศึกษาในพื้นที่ชายแดน พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการกล่าวด้วยว่า ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการพัฒนายกระดับคุณภาพการศึกษาในพื้นที่ชายแดน ซึ่งจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการ และจัดทําแผนการดําเนินงานให้แล้วเสร็จ ก่อนเปิดภาคเรียนปีการศึกษา 2560 • การประชาสัมพันธ์เชิงรุก รมว.ศึกษาธิการ มอบม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมช.ศึกษาธิการจัดระบบงานประชาสัมพันธ์ของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อสื่อสารและสร้างการรับรู้ต่อสาธารณชนในวงกว้าง เกี่ยวกับความก้าวหน้าการดําเนินงานด้านการศึกษา ตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุมองค์กรหลัก 6/2560 วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2560 ผลประชุมองค์กรหลัก 6/2560 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ และ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนผู้บริหารฝ่ายการเมือง ร่วมประชุมองค์กรหลัก ครั้งที่ 6/2560 •เรื่องที่นายกรัฐมนตรีสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (7กุมภาพันธ์2560) นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความชื่นชมนักเรียนกลุ่มที่มีความสามารถเป็นเลิศทางวิชาคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ด้านการกีฬา และกลุ่มที่ได้รับรางวัลระดับนานาชาติ (ผู้ได้รับเหรียญโอลิมปิกทางวิชาการ) จากจังหวัดต่าง ๆ อาทิ โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย ยุพราชวิทยาลัย หาดใหญ่วิทยาลัย ราชสีมาวิทยาลัย สวนกุหลาบวิทยาลัย ฯลฯ ซึ่งได้มาเข้าเยี่ยมคารวะ และรับโอวาทจากนายกรัฐมนตรี ที่ทําเนียบรัฐบาล โดยขอให้สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อยอดให้มีเด็กเก่งด้านต่าง ๆ ในทุกโรงเรียน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี โดยแสดงความขอบคุณนักเรียนนักศึกษา คณะครู และผู้บริหารสถานศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และสํานักงาน กศน. รวมทั้งกองทัพบก ที่ลงไปช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งซ่อมแซมบ้านเรือนให้กับผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดภาคใต้ •การเตรียมจัดงานรําลึกถึงในหลวง รัชกาลที่ 9 ""เสมาร่วมใจ รําลึกถึงพ่อ" นายประเสริฐ บุญเรือง รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้รายงานเกี่ยวกับการเตรียมจัดงานรําลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตามนโยบายรัฐบาล โดยกิจกรรมครั้งแรกของกระทรวงศึกษาธิการ กําหนดจัดงานรําลึก"เสมาร่วมใจ รําลึกถึงพ่อ"ในวันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560 ตั้งแต่เวลา 8.30 น. เป็นต้นไป ที่บริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษม โดยมี รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน • สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงห่วงใยการศึกษา พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการรายงานในที่ประชุมว่า ในการเฝ้ารับเสด็จฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเสด็จพระราชดําเนินทรงเป็นองค์ประธานเปิดการประชุมวิชาการระดับชาติ องค์การเกษตรกรในอนาคตแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ฯ (อกท.) ครั้งที่ 38 เมื่อวันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2560 ณ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุทัยธานี นั้นพระองค์ทรงชื่นชมการจัดศูนย์ FixIt Centerของสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ที่ได้ออกช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ มาโดยตลอดโดยมีพระราชกระแสเพิ่มเติมให้มีการส่งเสริมสนับสนุนให้เด็กมาเรียนสายอาชีวศึกษาให้มากขึ้นเพราะจบแล้วมีงานทํา ส่วนปัญหาการทะเลาะวิวาทลดน้อยลง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี นอกจากนี้ การออกใบประกอบวิชาชีพของคนเก่ง ๆ ที่ต้องการเข้ามาเป็นครู ก็เป็นเรื่องที่กระทรวงศึกษาธิการควรเร่งดําเนินการต่อไป • การพัฒนาการศึกษาในพื้นที่ชายแดน พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการกล่าวด้วยว่า ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการพัฒนายกระดับคุณภาพการศึกษาในพื้นที่ชายแดน ซึ่งจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการ และจัดทําแผนการดําเนินงานให้แล้วเสร็จ ก่อนเปิดภาคเรียนปีการศึกษา 2560 • การประชาสัมพันธ์เชิงรุก รมว.ศึกษาธิการ มอบม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมช.ศึกษาธิการจัดระบบงานประชาสัมพันธ์ของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อสื่อสารและสร้างการรับรู้ต่อสาธารณชนในวงกว้าง เกี่ยวกับความก้าวหน้าการดําเนินงานด้านการศึกษา ตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1762
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มทร.รัตนโกสินทร์ เปิดเรือนเยือนราชมงคลรัตนโกสินทร์ (RMUTR Open House)
วันพุธที่ 29 มีนาคม 2560 มทร.รัตนโกสินทร์ เปิดเรือนเยือนราชมงคลรัตนโกสินทร์ (RMUTR Open House) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ (มทร.รัตนโกสินทร์) จัดโครงการอบรมพัฒนาทักษะของนักเรียนนักศึกษาเพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการเรียนรู้ ครั้งที่ 2 ภายใต้แนวคิด “เปิดเรือนเยือนราชมงคลรัตนโกสินทร์” (RMUTR Open House) เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนในพื้นที่จังหวัดนครปฐมได้รับข้อมูลของมหาวิทยาลัย พร้อมกับการแนะแนวแนะนําการเข้าศึกษาต่อในคณะหรือสาขาที่สนใจ โดยมี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดโครงการ นายสุพจน์ ยศสิงห์คํา รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมกล่าวต้อนรับในนามผู้แทนส่วนราชการและประชาชนชาวจังหวัดนครปฐมว่า จังหวัดนครปฐมได้เล็งเห็นถึงบทบาทและความสําคัญของนักเรียนนักศึกษาที่จะเติบโตขึ้นเป็นกําลังหลักในการพัฒนาประเทศ จึงจําเป็นต้องมีการพัฒนาและเสริมสร้างทักษะ ความรู้ ความสามารถ ทั้งทางด้านวิชาการ คุณธรรมจริยธรรม ให้กับนักเรียนนักศึกษาในทุกระดับตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงอุดมศึกษา เพื่อให้นักเรียนนักศึกษาได้สําเร็จการศึกษาเป็นบัณฑิตที่มีความรู้คู่คุณธรรม พร้อมที่จะนําความรู้ไปพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าสืบไป จึงขอขอบคุณ มทร.รัตนโกสินทร์ ที่ได้จัดโครงการที่ดีและมีประโยชน์ในการส่งเสริมความรู้ด้านทักษะวิชาการควบคู่กับการแนะแนวทางการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา เพื่อให้นักเรียนได้รับข้อมูลในการเรียนการสอนของวิทยาลัยและคณะต่าง ๆ ที่สนใจ ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่ช่วยให้นักเรียนได้ค้นพบความถนัดและความชอบของตัวเองด้วย นางวัชรี จิวาลักษณ์ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการสภามหาวิทยาลัยกล่าวรายงานว่า มทร.รัตนโกสินทร์ เป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมุ่งเน้นการผลิตบัณฑิตนักปฏิบัติ มีพันธกิจหลัก 4 ประการ คือ การจัดการเรียนการสอน การวิจัย การบริการวิชาการ และการทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรม ดังนั้น ผู้ที่จะเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยจึงควรได้รับข้อมูลพื้นฐานของมหาวิทยาลัย เพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ มหาวิทยาลัยได้เล็งเห็นความสําคัญในเรื่องดังกล่าว จึงได้จัดโครงการพัฒนาทักษะของนักเรียน นักศึกษา เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพการเรียนรู้ ครั้งที่ 2ภายใต้แนวคิด “เปิดเรือนเยือนราชมงคลรัตนโกสินทร์” (RMUTR Open House) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการได้รับความรู้และได้พบปะแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน จนสามารถนําไปพัฒนาทักษะในการเรียนรู้ของตนเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และตัดสินใจเลือกศึกษาต่อในสาขาวิชาที่ตนเองถนัด และประสบผลสําเร็จในการศึกษาในอนาคต กําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-28 มีนาคม 2560 มีนักเรียนนักศึกษาในเขตจังหวัดนครปฐมเข้าร่วมโครงการ 400 คน ได้แก่ วิทยาลัยนาฏศิลป์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาลัยเทคโนโลยีพัฒนบริหารธุรกิจ โรงเรียนบ้านคลองโยง โรงเรียนดอนหวาย โรงเรียนวัดไร่ขิง และวิทยาลัยเทคนิคนครปฐม ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวแสดงความยินดีที่ได้เดินทางมาเยือนจังหวัดนครปฐมอีกครั้ง ทําให้ได้ระลึกถึงเมื่อครั้งมารับราชการเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เมื่อปี 2552 ซึ่งถือได้ว่าจังหวัดนครปฐมเป็นพื้นที่พิเศษ โดยเฉพาะอําเภอพุทธมณฑลที่มีพื้นที่ติดกับเมืองหลวงของประเทศไทย เป็นที่ตั้งของสถานที่สําคัญทางพุทธศาสนา เป็นแหล่งศึกษาที่มีทั้ง มทร.รัตนโกสินทร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาลัยนาฏศิลป์ โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย นครปฐม (พระตําหนักสวนกุหลาบมัธยม) โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ เป็นต้น และสิ่งสําคัญคือชาวนครปฐม สามารถรักษาอัตลักษณ์เฉพาะของพื้นที่ไว้ได้เป็นอย่างดี สําหรับการจัดโครงการนี้ ถือเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์ที่จะทําให้ลูกหลานของเราได้รับรู้ข้อมูลการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยโดยมี 6 คณะ 3 วิทยาลัย ประกอบด้วย คณะวิศวกรรมศาสตร์, คณะบริหารธุรกิจ, คณะศิลปศาสตร์, คณะสถาปัตยกรรมและการออกแบบ, คณะอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี, คณะอุตสาหกรรมการโรงแรมและการท่องเที่ยว, วิทยาลัยเพาะช่าง, วิทยาลัยนวัตกรรมการจัดการ, วิทยาลัยพลังงานและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนรัตนโกสินทร์ ร่วมเปิดOpen Houseในครั้งนี้ซึ่งนอกจากจะทําให้นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการได้รับรู้ที่มาที่ไป ข้อมูลพื้นฐาน และวิธีการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะความรู้ความเชี่ยวชาญในสายวิชาชีพ อันจะนําไปสู่การเป็นบัณฑิตนักปฏิบัติแล้ว ยังส่งเสริมและปลูกฝังให้ผู้เรียนมีคุณธรรมจริยธรรม ตลอดจนมีความภาคภูมิใจในความเป็นไทยด้วย จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้เข้าร่วมโครงการในครั้งนี้จะได้นําความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับ ไปใช้ประโยชน์ ในการช่วยตัดสินใจเลือกศึกษาในสาขาที่ตรงกับความถนัดได้มากที่สุด และสามารถสําเร็จการศึกษาได้ตามความประสงค์ ซึ่งจะส่งผลให้ประสบความสําเร็จในการประกอบอาชีพในอนาคต อันจะนําไปสู่การพัฒนาสังคมและประเทศชาติได้อย่างยั่งยืนต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มทร.รัตนโกสินทร์ เปิดเรือนเยือนราชมงคลรัตนโกสินทร์ (RMUTR Open House) วันพุธที่ 29 มีนาคม 2560 มทร.รัตนโกสินทร์ เปิดเรือนเยือนราชมงคลรัตนโกสินทร์ (RMUTR Open House) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ (มทร.รัตนโกสินทร์) จัดโครงการอบรมพัฒนาทักษะของนักเรียนนักศึกษาเพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการเรียนรู้ ครั้งที่ 2 ภายใต้แนวคิด “เปิดเรือนเยือนราชมงคลรัตนโกสินทร์” (RMUTR Open House) เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนในพื้นที่จังหวัดนครปฐมได้รับข้อมูลของมหาวิทยาลัย พร้อมกับการแนะแนวแนะนําการเข้าศึกษาต่อในคณะหรือสาขาที่สนใจ โดยมี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดโครงการ นายสุพจน์ ยศสิงห์คํา รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมกล่าวต้อนรับในนามผู้แทนส่วนราชการและประชาชนชาวจังหวัดนครปฐมว่า จังหวัดนครปฐมได้เล็งเห็นถึงบทบาทและความสําคัญของนักเรียนนักศึกษาที่จะเติบโตขึ้นเป็นกําลังหลักในการพัฒนาประเทศ จึงจําเป็นต้องมีการพัฒนาและเสริมสร้างทักษะ ความรู้ ความสามารถ ทั้งทางด้านวิชาการ คุณธรรมจริยธรรม ให้กับนักเรียนนักศึกษาในทุกระดับตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงอุดมศึกษา เพื่อให้นักเรียนนักศึกษาได้สําเร็จการศึกษาเป็นบัณฑิตที่มีความรู้คู่คุณธรรม พร้อมที่จะนําความรู้ไปพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าสืบไป จึงขอขอบคุณ มทร.รัตนโกสินทร์ ที่ได้จัดโครงการที่ดีและมีประโยชน์ในการส่งเสริมความรู้ด้านทักษะวิชาการควบคู่กับการแนะแนวทางการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา เพื่อให้นักเรียนได้รับข้อมูลในการเรียนการสอนของวิทยาลัยและคณะต่าง ๆ ที่สนใจ ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่ช่วยให้นักเรียนได้ค้นพบความถนัดและความชอบของตัวเองด้วย นางวัชรี จิวาลักษณ์ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการสภามหาวิทยาลัยกล่าวรายงานว่า มทร.รัตนโกสินทร์ เป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมุ่งเน้นการผลิตบัณฑิตนักปฏิบัติ มีพันธกิจหลัก 4 ประการ คือ การจัดการเรียนการสอน การวิจัย การบริการวิชาการ และการทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรม ดังนั้น ผู้ที่จะเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยจึงควรได้รับข้อมูลพื้นฐานของมหาวิทยาลัย เพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ มหาวิทยาลัยได้เล็งเห็นความสําคัญในเรื่องดังกล่าว จึงได้จัดโครงการพัฒนาทักษะของนักเรียน นักศึกษา เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพการเรียนรู้ ครั้งที่ 2ภายใต้แนวคิด “เปิดเรือนเยือนราชมงคลรัตนโกสินทร์” (RMUTR Open House) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการได้รับความรู้และได้พบปะแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน จนสามารถนําไปพัฒนาทักษะในการเรียนรู้ของตนเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และตัดสินใจเลือกศึกษาต่อในสาขาวิชาที่ตนเองถนัด และประสบผลสําเร็จในการศึกษาในอนาคต กําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-28 มีนาคม 2560 มีนักเรียนนักศึกษาในเขตจังหวัดนครปฐมเข้าร่วมโครงการ 400 คน ได้แก่ วิทยาลัยนาฏศิลป์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาลัยเทคโนโลยีพัฒนบริหารธุรกิจ โรงเรียนบ้านคลองโยง โรงเรียนดอนหวาย โรงเรียนวัดไร่ขิง และวิทยาลัยเทคนิคนครปฐม ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวแสดงความยินดีที่ได้เดินทางมาเยือนจังหวัดนครปฐมอีกครั้ง ทําให้ได้ระลึกถึงเมื่อครั้งมารับราชการเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เมื่อปี 2552 ซึ่งถือได้ว่าจังหวัดนครปฐมเป็นพื้นที่พิเศษ โดยเฉพาะอําเภอพุทธมณฑลที่มีพื้นที่ติดกับเมืองหลวงของประเทศไทย เป็นที่ตั้งของสถานที่สําคัญทางพุทธศาสนา เป็นแหล่งศึกษาที่มีทั้ง มทร.รัตนโกสินทร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาลัยนาฏศิลป์ โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย นครปฐม (พระตําหนักสวนกุหลาบมัธยม) โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ เป็นต้น และสิ่งสําคัญคือชาวนครปฐม สามารถรักษาอัตลักษณ์เฉพาะของพื้นที่ไว้ได้เป็นอย่างดี สําหรับการจัดโครงการนี้ ถือเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์ที่จะทําให้ลูกหลานของเราได้รับรู้ข้อมูลการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยโดยมี 6 คณะ 3 วิทยาลัย ประกอบด้วย คณะวิศวกรรมศาสตร์, คณะบริหารธุรกิจ, คณะศิลปศาสตร์, คณะสถาปัตยกรรมและการออกแบบ, คณะอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี, คณะอุตสาหกรรมการโรงแรมและการท่องเที่ยว, วิทยาลัยเพาะช่าง, วิทยาลัยนวัตกรรมการจัดการ, วิทยาลัยพลังงานและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนรัตนโกสินทร์ ร่วมเปิดOpen Houseในครั้งนี้ซึ่งนอกจากจะทําให้นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการได้รับรู้ที่มาที่ไป ข้อมูลพื้นฐาน และวิธีการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะความรู้ความเชี่ยวชาญในสายวิชาชีพ อันจะนําไปสู่การเป็นบัณฑิตนักปฏิบัติแล้ว ยังส่งเสริมและปลูกฝังให้ผู้เรียนมีคุณธรรมจริยธรรม ตลอดจนมีความภาคภูมิใจในความเป็นไทยด้วย จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้เข้าร่วมโครงการในครั้งนี้จะได้นําความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับ ไปใช้ประโยชน์ ในการช่วยตัดสินใจเลือกศึกษาในสาขาที่ตรงกับความถนัดได้มากที่สุด และสามารถสําเร็จการศึกษาได้ตามความประสงค์ ซึ่งจะส่งผลให้ประสบความสําเร็จในการประกอบอาชีพในอนาคต อันจะนําไปสู่การพัฒนาสังคมและประเทศชาติได้อย่างยั่งยืนต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2704
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกคนให้ความสำคัญกับยุทธศาสตร์ชาติถึงสาระสำคัญ อย่าให้ใครมาบิดเบือนข้อมูล
วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561 นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกคนให้ความสําคัญกับยุทธศาสตร์ชาติถึงสาระสําคัญ อย่าให้ใครมาบิดเบือนข้อมูล นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกคนให้ความสําคัญกับยุทธศาสตร์ชาติถึงสาระสําคัญ อย่าให้ใครมาบิดเบือนข้อมูล วันนี้ (19 มิถุนายน 2561) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงยุทธศาสตร์ชาติว่า ขอให้ทุกคนให้ความสําคัญกับยุทธศาสตร์ชาติถึงสาระสําคัญ อย่าให้ใครมาบิดเบือนข้อมูล แต่มีความเห็นต่างได้ -------------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกคนให้ความสำคัญกับยุทธศาสตร์ชาติถึงสาระสำคัญ อย่าให้ใครมาบิดเบือนข้อมูล วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561 นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกคนให้ความสําคัญกับยุทธศาสตร์ชาติถึงสาระสําคัญ อย่าให้ใครมาบิดเบือนข้อมูล นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกคนให้ความสําคัญกับยุทธศาสตร์ชาติถึงสาระสําคัญ อย่าให้ใครมาบิดเบือนข้อมูล วันนี้ (19 มิถุนายน 2561) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงยุทธศาสตร์ชาติว่า ขอให้ทุกคนให้ความสําคัญกับยุทธศาสตร์ชาติถึงสาระสําคัญ อย่าให้ใครมาบิดเบือนข้อมูล แต่มีความเห็นต่างได้ -------------------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13173
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีพบปะหารือกับกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจสหรัฐอเมริกา– เอเปค
วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2559 พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีพบปะหารือกับกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจสหรัฐอเมริกา– เอเปค พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีพบปะหารือกับกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจสหรัฐอเมริกา– เอเปค วันนี้ (19 พ.ย. 59) เวลา 10.00 น. พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี หารือกับกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจสหรัฐอเมริกา – เอเปค (U.S. – APEC Business Coalition) สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีมีความยินดีที่ได้พบกับกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจสหรัฐ อเมริกา–เอเปคในวันนี้ ซึ่งมีคณะนักธุรกิจสหรัฐฯ จากกว่า 20 บริษัทชั้นนําจากหลายสาขาธุรกิจ อาทิ เหมืองแร่ พลังงาน การเงิน การตลาด และสุขภาพ เป็นต้น รองนายกรัฐมนตรียินดีที่ได้เป็นตัว แทนนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการหารือในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าไทยจะประสบการสูญเสียอันยิ่งใหญ่แต่ก็ทําให้เห็นและตระหนักได้ว่า ไทยยังมีเพื่อนอยู่ทั่วทุกมุมโลกที่ได้เดินทางมาวางพวงมาลาถวายราชสักการะ พระบรมศพและลงนามแสดงความอาลัย โดยไทยพร้อมร่วมมือกับทุกประเทศ เพื่อเดินหน้าไปสู่ความรุ่งเรืองและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ดังที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงให้แนวทางไว้ โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวแบ่งปันความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับนโยบายด้าน เศรษฐกิจของรัฐบาลกับภาคเอกชน และการเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจโลกของไทย จากการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะมีเสถียรภาพมากขึ้นในปี พ.ศ. 2560 นั้น ประเทศไทยยังคงเดินหน้าสู่ประชาธิปไตยและการปฎิรูปประเทศอย่างรอบด้าน รองนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า การปฏิรูปประเทศอย่างต่อเนื่อง และกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจใหม่ไทยหรือที่เรียกว่า ประเทศไทย 4.0 จะช่วยให้ไทยพร้อมรับกับความท้าทายใหม่ๆ รวมทั้งใช้ประโยชน์จากโอกาสใหม่ที่จะเกิดขึ้น เพื่อผลประโยชน์ของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ประเทศไทย 4.0 นโยบายประเทศไทย 4.0 คือ ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของชาติ ที่มุ่งเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ ให้หลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง โดยการปฏิรูปด้านการเมือง โดยกําหนด 10 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต หรือ S-Curve เพื่อกําหนดแนวทางที่ชัดเจนสําหรับการพัฒนาและความร่วมมืออื่น ๆ โครงสร้างพื้นฐาน รัฐบาลได้ลงทุนเป็นจํานวนมาก เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านกายภาพ (Physical Infrastructure) และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิตอล (Digital Infrastructure) ของประเทศ โดยมีแผนที่จะลงทุนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการยกระดับและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในอีก 5 ปีข้างหน้า ทั้งทางด่วนยกระดับ ถนน รถไฟฟ้าความเร็วสูง และรางคู่ เป็นต้น รวมทั้งขยายระบบการเดินทางขนส่ง ทั้งทางเรือ และอากาศ เพื่ออํานวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและบริการ เศรษฐกิจดิจิทัล รัฐบาลมีแผนในการพัฒนา Internet Gateway โดยได้ลงทุนในสายเคเบิลใต้น้ําใยแก้ว ที่จะเชื่อมโยงประเทศไทยกับอินเทอร์เน็ตโดยตรง ซึ่งนี้จะช่วยให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางด้านดิจิตอลของอาเซียน นอกจากนี้รัฐบาลพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ไปยังหมู่บ้านในพื้นที่ชนบท ซึ่งจะทําให้ประชาชนสามารถทําการค้าขายได้แบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-commerce) และยังได้พัฒนาระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-payment platform) ซึ่งจะช่วยให้การทําธุรกรรมมีความปลอดภัย และลดค่าใช้จ่ายการทําธุรกรรมระหว่างหน่วยงาน ธุรกิจ และบุคคล โมเดล Thailand 4.0 และ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย การต่อยอด 5 อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (First S-curve) ประกอบด้วย 1) อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ 2) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 3) อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ4)การ เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ 5) อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร และการเติม 5 อุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve)ประกอบด้วย 1) อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ 2) อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ 3)อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ 4) อุตสาหกรรมดิจิตอล 5) อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร ทั้ง 10 อุตสาหกรรมดังกล่าวเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและเป็นที่สนใจของนักลงทุน ทั่วโลก ซึ่งจะมีบทบาทสําคัญในการผลักดันเศรษฐกิจของไทยในอนาคต การอํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ รัฐบาลได้ดําเนินการเพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความสะดวกในการ ประกอบธุรกิจ มีการปฏิรูปภาษีและศุลกากร รวมถึงการขจัดปัญหาคอรัปชัน ทั้งนี้รายงานผลการศึกษาเพื่อจัดอันดับความยาก–ง่ายในการเข้าไปประกอบธุรกิจ ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก หรือ Ease of Doing Business จัดทําโดยธนาคารโลกนั้น ในปีนี้ประเทศไทยได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 46 จากเดิมอยู่อันดับที่ 49 การพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs SMEs และธุรกิจใหม่ (Startups) เป็นหัวใจหลักของระบบเศรษฐกิจไทย รัฐบาลดําเนินนโยบายการส่งเสริมธุรกิจ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน และโอกาส รวมถึงเพิ่มความสามารถในการเข้าสู่ตลาด โดยใช้ระบบ E-Commerce การพัฒนาแรงงานที่มีความสามารถ การพัฒนาทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากขาดแรงงานที่ มีความสามารถ ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงแรงงานได้ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อพัฒนาทักษะ ความรู้และความสามารถของแรงงานไทย โอกาสนี้ US-APEC แสดงความขอบคุณที่รองนายกรัฐมนตรีเปิดโอกาสให้เข้าพบ และได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจไทย และกล่าวแสดงความเสียใจต่อความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของประชาชนชาวไทย US-APEC แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของไทย และยินดีที่จะลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นว่าไทยเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนที่สําคัญ และมีศักยภาพทางเศรษฐกิจอีกมาก พร้อมแสดงความชื่นชมนโยบายประเทศไทย 4.0 และเศรษฐกิจดิจิทัล ที่เป็นนโยบายสําคัญซึ่งจะช่วยพัฒนาประเทศไทยในอนาคต ***************** กลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจสหรัฐอเมริกา – เอเปค เป็นความร่วมมือระหว่างองค์กรธุรกิจชั้นนําแห่งสหรัฐอเมริกา ในการติดต่อด้านการค้าและเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจของสหรัฐฯ ในภูมิภาคดังกล่าว อีกทั้งยังขยายโอกาสในการเจรจาเรื่องเกี่ยวกับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกับเจ้า หน้าที่ระดับสูงในการประชุม APEC
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีพบปะหารือกับกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจสหรัฐอเมริกา– เอเปค วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2559 พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีพบปะหารือกับกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจสหรัฐอเมริกา– เอเปค พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีพบปะหารือกับกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจสหรัฐอเมริกา– เอเปค วันนี้ (19 พ.ย. 59) เวลา 10.00 น. พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี หารือกับกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจสหรัฐอเมริกา – เอเปค (U.S. – APEC Business Coalition) สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีมีความยินดีที่ได้พบกับกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจสหรัฐ อเมริกา–เอเปคในวันนี้ ซึ่งมีคณะนักธุรกิจสหรัฐฯ จากกว่า 20 บริษัทชั้นนําจากหลายสาขาธุรกิจ อาทิ เหมืองแร่ พลังงาน การเงิน การตลาด และสุขภาพ เป็นต้น รองนายกรัฐมนตรียินดีที่ได้เป็นตัว แทนนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการหารือในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าไทยจะประสบการสูญเสียอันยิ่งใหญ่แต่ก็ทําให้เห็นและตระหนักได้ว่า ไทยยังมีเพื่อนอยู่ทั่วทุกมุมโลกที่ได้เดินทางมาวางพวงมาลาถวายราชสักการะ พระบรมศพและลงนามแสดงความอาลัย โดยไทยพร้อมร่วมมือกับทุกประเทศ เพื่อเดินหน้าไปสู่ความรุ่งเรืองและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ดังที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงให้แนวทางไว้ โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวแบ่งปันความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับนโยบายด้าน เศรษฐกิจของรัฐบาลกับภาคเอกชน และการเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจโลกของไทย จากการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะมีเสถียรภาพมากขึ้นในปี พ.ศ. 2560 นั้น ประเทศไทยยังคงเดินหน้าสู่ประชาธิปไตยและการปฎิรูปประเทศอย่างรอบด้าน รองนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า การปฏิรูปประเทศอย่างต่อเนื่อง และกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจใหม่ไทยหรือที่เรียกว่า ประเทศไทย 4.0 จะช่วยให้ไทยพร้อมรับกับความท้าทายใหม่ๆ รวมทั้งใช้ประโยชน์จากโอกาสใหม่ที่จะเกิดขึ้น เพื่อผลประโยชน์ของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ประเทศไทย 4.0 นโยบายประเทศไทย 4.0 คือ ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของชาติ ที่มุ่งเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ ให้หลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง โดยการปฏิรูปด้านการเมือง โดยกําหนด 10 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต หรือ S-Curve เพื่อกําหนดแนวทางที่ชัดเจนสําหรับการพัฒนาและความร่วมมืออื่น ๆ โครงสร้างพื้นฐาน รัฐบาลได้ลงทุนเป็นจํานวนมาก เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านกายภาพ (Physical Infrastructure) และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิตอล (Digital Infrastructure) ของประเทศ โดยมีแผนที่จะลงทุนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการยกระดับและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในอีก 5 ปีข้างหน้า ทั้งทางด่วนยกระดับ ถนน รถไฟฟ้าความเร็วสูง และรางคู่ เป็นต้น รวมทั้งขยายระบบการเดินทางขนส่ง ทั้งทางเรือ และอากาศ เพื่ออํานวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและบริการ เศรษฐกิจดิจิทัล รัฐบาลมีแผนในการพัฒนา Internet Gateway โดยได้ลงทุนในสายเคเบิลใต้น้ําใยแก้ว ที่จะเชื่อมโยงประเทศไทยกับอินเทอร์เน็ตโดยตรง ซึ่งนี้จะช่วยให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางด้านดิจิตอลของอาเซียน นอกจากนี้รัฐบาลพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ไปยังหมู่บ้านในพื้นที่ชนบท ซึ่งจะทําให้ประชาชนสามารถทําการค้าขายได้แบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-commerce) และยังได้พัฒนาระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-payment platform) ซึ่งจะช่วยให้การทําธุรกรรมมีความปลอดภัย และลดค่าใช้จ่ายการทําธุรกรรมระหว่างหน่วยงาน ธุรกิจ และบุคคล โมเดล Thailand 4.0 และ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย การต่อยอด 5 อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (First S-curve) ประกอบด้วย 1) อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ 2) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 3) อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ4)การ เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ 5) อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร และการเติม 5 อุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve)ประกอบด้วย 1) อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ 2) อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ 3)อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ 4) อุตสาหกรรมดิจิตอล 5) อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร ทั้ง 10 อุตสาหกรรมดังกล่าวเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและเป็นที่สนใจของนักลงทุน ทั่วโลก ซึ่งจะมีบทบาทสําคัญในการผลักดันเศรษฐกิจของไทยในอนาคต การอํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ รัฐบาลได้ดําเนินการเพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความสะดวกในการ ประกอบธุรกิจ มีการปฏิรูปภาษีและศุลกากร รวมถึงการขจัดปัญหาคอรัปชัน ทั้งนี้รายงานผลการศึกษาเพื่อจัดอันดับความยาก–ง่ายในการเข้าไปประกอบธุรกิจ ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก หรือ Ease of Doing Business จัดทําโดยธนาคารโลกนั้น ในปีนี้ประเทศไทยได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 46 จากเดิมอยู่อันดับที่ 49 การพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs SMEs และธุรกิจใหม่ (Startups) เป็นหัวใจหลักของระบบเศรษฐกิจไทย รัฐบาลดําเนินนโยบายการส่งเสริมธุรกิจ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน และโอกาส รวมถึงเพิ่มความสามารถในการเข้าสู่ตลาด โดยใช้ระบบ E-Commerce การพัฒนาแรงงานที่มีความสามารถ การพัฒนาทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากขาดแรงงานที่ มีความสามารถ ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงแรงงานได้ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อพัฒนาทักษะ ความรู้และความสามารถของแรงงานไทย โอกาสนี้ US-APEC แสดงความขอบคุณที่รองนายกรัฐมนตรีเปิดโอกาสให้เข้าพบ และได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจไทย และกล่าวแสดงความเสียใจต่อความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของประชาชนชาวไทย US-APEC แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของไทย และยินดีที่จะลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นว่าไทยเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนที่สําคัญ และมีศักยภาพทางเศรษฐกิจอีกมาก พร้อมแสดงความชื่นชมนโยบายประเทศไทย 4.0 และเศรษฐกิจดิจิทัล ที่เป็นนโยบายสําคัญซึ่งจะช่วยพัฒนาประเทศไทยในอนาคต ***************** กลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจสหรัฐอเมริกา – เอเปค เป็นความร่วมมือระหว่างองค์กรธุรกิจชั้นนําแห่งสหรัฐอเมริกา ในการติดต่อด้านการค้าและเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจของสหรัฐฯ ในภูมิภาคดังกล่าว อีกทั้งยังขยายโอกาสในการเจรจาเรื่องเกี่ยวกับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกับเจ้า หน้าที่ระดับสูงในการประชุม APEC
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/835
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 8 กรกฎาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพุธที่ 8 กรกฎาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 8 กรกฎาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 8 กรกฎาคม 2563 วันนี้ (8 กรกฎาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (อินเดีย 1 ราย, อินโดนีเซีย 1 ราย) มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย ทําให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,074 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 96.15 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 65 ราย หรือร้อยละ 2.03 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,197 ราย สําหรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อในประเทศไทยขณะนี้ไม่พบผู้ติดเชื้อภายในประเทศต่อเนื่องเป็นวันที่ 44 โดยผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังคงเป็นคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ สําหรับวันนี้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2 ราย ได้แก่ จากประเทศอินเดีย 1 ราย เป็นเพศชาย อายุ 31 ปี เดินทางถึงไทยวันที่ 23 มิถุนายน 2563 เข้าพัก State Quarantine ที่ กรุงเทพมหานคร พบจากการตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2563 ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ จากประเทศอินโดนีเซีย 1 ราย เป็นเพศชาย อายุ 39 ปี เดินทางถึงไทยวันที่ 24 มิถุนายน 2563 เข้าพัก State Quarantine ที่ จังหวัดชลบุรี พบจากการตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 วันที่ 5 กรกฎาคม 2563 ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ แม้ว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่ของประเทศไทยขณะนี้จะเป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลได้จัดระบบกักตัวเฝ้าระวังอาการเป็นเวลา 14 วัน นับเป็นมาตรการสําคัญและถูกต้องที่ไม่ให้มีการแพร่เชื้อให้กับคนในประเทศ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร การป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากโรคโควิด 19 ยังมีความจําเป็น ขอให้ยังคงสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า เมื่ออกนอกบ้าน ล้างมือบ่อยๆ งดการเอามือสัมผัสใบหน้า จมูก ปาก เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น หลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในสถานที่แออัดมีคนรวมกันจํานวนมาก หรือพูดคุยกันในระยะประชิด และลงทะเบียนเข้า-ออกผ่านแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ทุกครั้ง เพื่อประโยชน์ในการควบคุมโรคที่สําคัญคือต้องหมั่นสังเกตอาการป่วยของตนเองอยู่เสมอ หากป่วยต้องหยุดงาน/หยุดเรียน อยู่บ้านรักษาตัวให้หายเพื่อป้องกันการนําเชื้อไปแพร่ให้กับผู้อื่น ****************************** 8 กรกฎาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 8 กรกฎาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] วันพุธที่ 8 กรกฎาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 8 กรกฎาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 8 กรกฎาคม 2563 วันนี้ (8 กรกฎาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (อินเดีย 1 ราย, อินโดนีเซีย 1 ราย) มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย ทําให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,074 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 96.15 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 65 ราย หรือร้อยละ 2.03 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,197 ราย สําหรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อในประเทศไทยขณะนี้ไม่พบผู้ติดเชื้อภายในประเทศต่อเนื่องเป็นวันที่ 44 โดยผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังคงเป็นคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ สําหรับวันนี้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2 ราย ได้แก่ จากประเทศอินเดีย 1 ราย เป็นเพศชาย อายุ 31 ปี เดินทางถึงไทยวันที่ 23 มิถุนายน 2563 เข้าพัก State Quarantine ที่ กรุงเทพมหานคร พบจากการตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2563 ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ จากประเทศอินโดนีเซีย 1 ราย เป็นเพศชาย อายุ 39 ปี เดินทางถึงไทยวันที่ 24 มิถุนายน 2563 เข้าพัก State Quarantine ที่ จังหวัดชลบุรี พบจากการตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 วันที่ 5 กรกฎาคม 2563 ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ แม้ว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่ของประเทศไทยขณะนี้จะเป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลได้จัดระบบกักตัวเฝ้าระวังอาการเป็นเวลา 14 วัน นับเป็นมาตรการสําคัญและถูกต้องที่ไม่ให้มีการแพร่เชื้อให้กับคนในประเทศ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร การป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากโรคโควิด 19 ยังมีความจําเป็น ขอให้ยังคงสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า เมื่ออกนอกบ้าน ล้างมือบ่อยๆ งดการเอามือสัมผัสใบหน้า จมูก ปาก เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น หลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในสถานที่แออัดมีคนรวมกันจํานวนมาก หรือพูดคุยกันในระยะประชิด และลงทะเบียนเข้า-ออกผ่านแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ทุกครั้ง เพื่อประโยชน์ในการควบคุมโรคที่สําคัญคือต้องหมั่นสังเกตอาการป่วยของตนเองอยู่เสมอ หากป่วยต้องหยุดงาน/หยุดเรียน อยู่บ้านรักษาตัวให้หายเพื่อป้องกันการนําเชื้อไปแพร่ให้กับผู้อื่น ****************************** 8 กรกฎาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33204
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ นำคณะผู้บริหารลงพื้นที่เยี่ยมชม ศูนย์การเรียนรู้เทพเสด็จ และบริษัท พานาคอฟฟี่ จำกัด จังหวัดเชียงใหม่
วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม 2562 ก.อุตฯ นําคณะผู้บริหารลงพื้นที่เยี่ยมชม ศูนย์การเรียนรู้เทพเสด็จ และบริษัท พานาคอฟฟี่ จํากัด จังหวัดเชียงใหม่ ก.อุตฯ นําคณะผู้บริหารลงพื้นที่เยี่ยมชม ศูนย์การเรียนรู้เทพเสด็จ และบริษัท พานาคอฟฟี่ จํากัด จังหวัดเชียงใหม่ วันนี้ (13 มกราคม 2562) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่พบปะกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกาแฟสดแม่ตอน ศูนย์การเรียนรู้เทพเสด็จ ตําบลเทพเสด็จ อําเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีนางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม นางสาวสิริรัตน์ ไกรวณิช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายจารุพันธ์ จารโยภาส รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมลงพื้นที่ โดยมีนายสุวรรณ เทโวขัติ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกาแฟสดแม่ตอน ให้การต้อนรับ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกาแฟสดแม่ตอน ตําบลเทพเสด็จ เป็นการรวมกลุ่มของเกษตรผู้ปลูกกาแฟ จดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชน ทําการผลิตและแปรรูปผลผลิตกาแฟอราบิก้า จนได้ผลผลิตเป็นกาแฟสารและกาแฟคั่วที่มีคุณภาพสูง และมีเอกลักษณ์เฉพาะคือ มีความหอมจากดอกไม้ป่า จึงทําให้มีรสชาติและกลิ่นกาแฟแตกต่างจากแหล่งปลูกอื่น ๆ นอกจากนี้ยังได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practices) มาตรฐานจากองค์กรอาหารและยา (อย.) มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ GI (Geographical Indication) การันตีคุณภาพผลิตภัณฑ์ แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของชุมชนได้เป็นอย่างดี จากนั้นรัฐมนตรีช่วยฯ สมชาย และคณะ ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้กาแฟครบวงจร บริษัท พานาคอฟฟี่ จํากัด โดยมีนางสาวศิริวรรณ ขจรเดชคุณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท พานาคอฟฟี่ จํากัด ให้การต้อนรับ ศูนย์เรียนรู้กาแฟครบวงจร The Coffeenery ถือเป็นศูนย์เรียนรู้ที่มีทั้งความสวยงามและเครื่องมือที่ทันสมัยมากประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ 1.โรงงานผลิตและแปรรูปกาแฟ (รับ OEM ด้วย) บริหารโดย บริษัท พานาคอฟฟี่ จํากัด 2.Coffee Training Courses สถาบันอบรมกาแฟ บริหารโดย บริษัท เดอะคอฟฟี่เนอรี่ จํากัด และ 3.บริษัท เมาน์เท่น อราบิก้า คอฟฟี่ (แม็ค) จํากัด เป็นผู้จัดจําหน่าย กาแฟสําเร็จรูป #prindustry #กาแฟครบวงจร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ นำคณะผู้บริหารลงพื้นที่เยี่ยมชม ศูนย์การเรียนรู้เทพเสด็จ และบริษัท พานาคอฟฟี่ จำกัด จังหวัดเชียงใหม่ วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม 2562 ก.อุตฯ นําคณะผู้บริหารลงพื้นที่เยี่ยมชม ศูนย์การเรียนรู้เทพเสด็จ และบริษัท พานาคอฟฟี่ จํากัด จังหวัดเชียงใหม่ ก.อุตฯ นําคณะผู้บริหารลงพื้นที่เยี่ยมชม ศูนย์การเรียนรู้เทพเสด็จ และบริษัท พานาคอฟฟี่ จํากัด จังหวัดเชียงใหม่ วันนี้ (13 มกราคม 2562) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่พบปะกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกาแฟสดแม่ตอน ศูนย์การเรียนรู้เทพเสด็จ ตําบลเทพเสด็จ อําเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีนางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม นางสาวสิริรัตน์ ไกรวณิช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายจารุพันธ์ จารโยภาส รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมลงพื้นที่ โดยมีนายสุวรรณ เทโวขัติ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกาแฟสดแม่ตอน ให้การต้อนรับ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกาแฟสดแม่ตอน ตําบลเทพเสด็จ เป็นการรวมกลุ่มของเกษตรผู้ปลูกกาแฟ จดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชน ทําการผลิตและแปรรูปผลผลิตกาแฟอราบิก้า จนได้ผลผลิตเป็นกาแฟสารและกาแฟคั่วที่มีคุณภาพสูง และมีเอกลักษณ์เฉพาะคือ มีความหอมจากดอกไม้ป่า จึงทําให้มีรสชาติและกลิ่นกาแฟแตกต่างจากแหล่งปลูกอื่น ๆ นอกจากนี้ยังได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practices) มาตรฐานจากองค์กรอาหารและยา (อย.) มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ GI (Geographical Indication) การันตีคุณภาพผลิตภัณฑ์ แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของชุมชนได้เป็นอย่างดี จากนั้นรัฐมนตรีช่วยฯ สมชาย และคณะ ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้กาแฟครบวงจร บริษัท พานาคอฟฟี่ จํากัด โดยมีนางสาวศิริวรรณ ขจรเดชคุณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท พานาคอฟฟี่ จํากัด ให้การต้อนรับ ศูนย์เรียนรู้กาแฟครบวงจร The Coffeenery ถือเป็นศูนย์เรียนรู้ที่มีทั้งความสวยงามและเครื่องมือที่ทันสมัยมากประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ 1.โรงงานผลิตและแปรรูปกาแฟ (รับ OEM ด้วย) บริหารโดย บริษัท พานาคอฟฟี่ จํากัด 2.Coffee Training Courses สถาบันอบรมกาแฟ บริหารโดย บริษัท เดอะคอฟฟี่เนอรี่ จํากัด และ 3.บริษัท เมาน์เท่น อราบิก้า คอฟฟี่ (แม็ค) จํากัด เป็นผู้จัดจําหน่าย กาแฟสําเร็จรูป #prindustry #กาแฟครบวงจร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18101
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. ลงนามความร่วมมือการส่งเสริมความรู้ทางการเงินกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย”
วันพุธที่ 17 ตุลาคม 2561 “กอช. ลงนามความร่วมมือการส่งเสริมความรู้ทางการเงินกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ลงนามความร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในโครงการความร่วมมือด้านการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ลงนามความร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในโครงการความร่วมมือด้านการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน เพื่อเกิดความร่วมมือกันผลักดันความรู้ ความเข้าใจในการวางแผนทางการเงินไปสู่กลุ่มผู้นําชุมชน ชาวบ้าน ประชาชนทั่วไป ให้เกิดความเข้มแข็งและมีสุขภาพการเงินที่ดี นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เปิดเผยว่า กอช. เป็นหน่วยงานของรัฐ อยู่ภายใต้การกํากับดูแลของกระทรวงการคลัง เพื่อเสริมสร้างระบบบํานาญให้แก่ผู้ที่เป็นแรงงานนอกระบบ แรงงานอิสระ นักเรียน นิสิตและนักศึกษา ที่ไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33, มาตรา 39, มาตรา 40 ทางเลือก 2, มาตรา 40 ทางเลือก 3 ไม่เป็นสมาชิกกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ และไม่เป็นสมาชิกกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ ได้เติมเต็มเงินออมสมทบ หลังเกษียณรายเดือน เพื่อมุ่งเน้นการให้ความรู้ในการวางแผนทางการเงินให้กับภาคประชาชน เพื่อตอบโจทย์ความมั่นคงทางการเงิน และลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย สําหรับโครงการความร่วมมือด้านการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน ระหว่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และกอช. เพื่อเกิดความร่วมมือกันผลักดันความรู้ ความเข้าใจในการวางแผนทางการเงินไปสู่กลุ่มผู้นําชุมชน ชาวบ้าน ชุมชนเมืองและประชาชนทั่วไป ให้เกิดความเข้มแข็งและมีสุขภาพการเงินที่ดี เพื่อการเกษียณอายุได้อย่างมีคุณภาพผ่านการออมของ กอช. ในการวางแผนทางการเงินระยะยาว ไม่สนใจฐานะของผู้ออม สนใจแค่ว่ารัฐยังไม่ได้ให้สวัสดิการบํานาญ เมื่ออายุ ครบ 60 ปี จะได้มีเงินรายเดือนไว้ใช้จ่าย รวมทั้งสร้างสังคมไทยให้มีวินัยในการออมอย่างมั่นคงและยั่งยืน คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บํานาญ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. ลงนามความร่วมมือการส่งเสริมความรู้ทางการเงินกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” วันพุธที่ 17 ตุลาคม 2561 “กอช. ลงนามความร่วมมือการส่งเสริมความรู้ทางการเงินกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ลงนามความร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในโครงการความร่วมมือด้านการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ลงนามความร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในโครงการความร่วมมือด้านการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน เพื่อเกิดความร่วมมือกันผลักดันความรู้ ความเข้าใจในการวางแผนทางการเงินไปสู่กลุ่มผู้นําชุมชน ชาวบ้าน ประชาชนทั่วไป ให้เกิดความเข้มแข็งและมีสุขภาพการเงินที่ดี นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เปิดเผยว่า กอช. เป็นหน่วยงานของรัฐ อยู่ภายใต้การกํากับดูแลของกระทรวงการคลัง เพื่อเสริมสร้างระบบบํานาญให้แก่ผู้ที่เป็นแรงงานนอกระบบ แรงงานอิสระ นักเรียน นิสิตและนักศึกษา ที่ไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33, มาตรา 39, มาตรา 40 ทางเลือก 2, มาตรา 40 ทางเลือก 3 ไม่เป็นสมาชิกกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ และไม่เป็นสมาชิกกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ ได้เติมเต็มเงินออมสมทบ หลังเกษียณรายเดือน เพื่อมุ่งเน้นการให้ความรู้ในการวางแผนทางการเงินให้กับภาคประชาชน เพื่อตอบโจทย์ความมั่นคงทางการเงิน และลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย สําหรับโครงการความร่วมมือด้านการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน ระหว่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และกอช. เพื่อเกิดความร่วมมือกันผลักดันความรู้ ความเข้าใจในการวางแผนทางการเงินไปสู่กลุ่มผู้นําชุมชน ชาวบ้าน ชุมชนเมืองและประชาชนทั่วไป ให้เกิดความเข้มแข็งและมีสุขภาพการเงินที่ดี เพื่อการเกษียณอายุได้อย่างมีคุณภาพผ่านการออมของ กอช. ในการวางแผนทางการเงินระยะยาว ไม่สนใจฐานะของผู้ออม สนใจแค่ว่ารัฐยังไม่ได้ให้สวัสดิการบํานาญ เมื่ออายุ ครบ 60 ปี จะได้มีเงินรายเดือนไว้ใช้จ่าย รวมทั้งสร้างสังคมไทยให้มีวินัยในการออมอย่างมั่นคงและยั่งยืน คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บํานาญ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16125
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ ร่วมหารือ 6 บริษัทเอกชนผู้ผลิตยาง
วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม 2561 รัฐมนตรีเกษตรฯ ร่วมหารือ 6 บริษัทเอกชนผู้ผลิตยาง รัฐมนตรีเกษตรฯ ร่วมหารือ 6 บริษัทเอกชนผู้ผลิตยางล้อรถยนต์รายใหญ่ของไทย เน้นเพิ่มปริมาณรับซื้อและขยายกําลังการผลิต เล็งปลดล็อกกระบวนการรับซื้อยางพาราเบ็ดเสร็จภายในประเทศ รัฐมนตรีเกษตรฯ ร่วมหารือ 6 บริษัทเอกชนผู้ผลิตยางล้อรถยนต์รายใหญ่ของไทย เน้นเพิ่มปริมาณรับซื้อและขยายกําลังการผลิต เล็งปลดล็อกกระบวนการรับซื้อยางพาราเบ็ดเสร็จภายในประเทศ นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาราคายางพาราร่วมกับ 6 บริษัทเอกชนผู้ประกอบการผลิตยางล้อรถยนต์รายใหญ่สําหรับส่งออกไปต่างประเทศ ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า การหารือในวันนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และการยางแห่งประเทศไทย ได้เชิญบริษัทเอกชนผู้ประกอบการผลิตยางล้อรถยนต์รายใหญ่ในประเทศไทย 6 บริษัท ร่วมหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาราคายางพาราใน 2 ประเด็น คือ 1. ขอความร่วมมือผู้ประกอบการฯ ในการเพิ่มปริมาณการรับซื้อวัตถุดิบยางพารา เพื่อนําไปผลิตยางล้อรถยนต์ให้มากขึ้น โดยซื้อขายตรงผ่านสถาบันเกษตรกร และ 2. ขอรับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ตลอดจนข้อจํากัดของผู้ประกอบการ และสิ่งที่ต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐ หากรัฐต้องการให้ขยายกําลังและฐานการผลิตภายในประเทศ ข้อเท็จจริงในการซื้อขายยางพาราของผู้ประกอบการดังกล่าว ปัจจุบันเป็นการซื้อขายล่วงหน้าในตลาดยางพาราต่างประเทศ คือ โตเกียว และสิงคโปร์ โดยให้เหตุผลว่าบริษัทคู่สัญญามีความสามารถส่งยางพาราที่มีคุณภาพและตรงตามเวลาที่กําหนดได้ แม้ว่ายางพาราที่ซื้อขายในตลาดล่วงหน้าจะเป็นยางพาราที่ส่งออกจากประเทศไทยก็ตาม ซึ่งผู้ประกอบการให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในอดีตเคยดําเนินการซื้อขายกับสถานบันเกษตรกรโดยตรงแล้ว แต่ประสบปัญหาเรื่องวัตถุดิบยางพาราไม่ได้คุณภาพ และไม่สามารถส่งได้ทันตามกําหนด ทําให้เกิดความเสียหาย จึงหันไปซื้อขายยางพาราในตลาดต่างประเทศแทน ทั้งนี้ ทางกระทรวงเกษตรฯ ได้เสนอแนวทางให้ผู้ประกอบการรับซื้อยางจากสถาบันเกษตรกรโดยตรง เพื่อเป็นการลดขั้นตอน ลดระยะเวลาในการดําเนินการให้เบ็ดเสร็จภายในประเทศไทย นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแนวทางสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ ขยายกําลังการผลิตยางในประเทศไทย ซึ่งผู้ประกอบการได้ขอให้ภาครัฐช่วยลดขั้นตอนและกระบวนการขึ้นทะเบียนต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้น อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ได้สั่งการด่วนให้การยางแห่งประเทศไทยไปศึกษาแนวทางปฏิบัติและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อคลี่คลายข้อจํากัดของระบบการซื้อ-ขายยางพาราต่าง ๆ ให้หมดไป รวมทั้งขอให้การยางแห่งประเทศไทยสนับสนุนสถาบันเกษตรที่มีความเข็มแข็ง ให้สามารถดําเนินการซื้อ-ขายยางพาราที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการต่อไป สําหรับมาตรการนํายางพารามาเป็นส่วนผสมในการทําถนนพาราซอยด์ซีเมนต์ นั้น ได้เตรียมหารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กรมทางหลวง และกรมบัญชีกลางในการจัดทําคู่มือและสูตรของส่วนผสมกลาง สําหรับเป็นมาตรฐานและแนวทางในการปฏิบัติงาน โดยเตรียมส่งมอบให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีหน้าที่ในการทําถนนโดยตรง นําไปบริหารจัดการต่อได้ ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มนําร่องสร้างถนนในหลายจังหวัดแล้ว อาทิ จังหวัดสงขลา ตรัง บึงกาฬ และหนองบัวลําพู เป็นต้น. กลุ่มงานโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ ร่วมหารือ 6 บริษัทเอกชนผู้ผลิตยาง วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม 2561 รัฐมนตรีเกษตรฯ ร่วมหารือ 6 บริษัทเอกชนผู้ผลิตยาง รัฐมนตรีเกษตรฯ ร่วมหารือ 6 บริษัทเอกชนผู้ผลิตยางล้อรถยนต์รายใหญ่ของไทย เน้นเพิ่มปริมาณรับซื้อและขยายกําลังการผลิต เล็งปลดล็อกกระบวนการรับซื้อยางพาราเบ็ดเสร็จภายในประเทศ รัฐมนตรีเกษตรฯ ร่วมหารือ 6 บริษัทเอกชนผู้ผลิตยางล้อรถยนต์รายใหญ่ของไทย เน้นเพิ่มปริมาณรับซื้อและขยายกําลังการผลิต เล็งปลดล็อกกระบวนการรับซื้อยางพาราเบ็ดเสร็จภายในประเทศ นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาราคายางพาราร่วมกับ 6 บริษัทเอกชนผู้ประกอบการผลิตยางล้อรถยนต์รายใหญ่สําหรับส่งออกไปต่างประเทศ ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า การหารือในวันนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และการยางแห่งประเทศไทย ได้เชิญบริษัทเอกชนผู้ประกอบการผลิตยางล้อรถยนต์รายใหญ่ในประเทศไทย 6 บริษัท ร่วมหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาราคายางพาราใน 2 ประเด็น คือ 1. ขอความร่วมมือผู้ประกอบการฯ ในการเพิ่มปริมาณการรับซื้อวัตถุดิบยางพารา เพื่อนําไปผลิตยางล้อรถยนต์ให้มากขึ้น โดยซื้อขายตรงผ่านสถาบันเกษตรกร และ 2. ขอรับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ตลอดจนข้อจํากัดของผู้ประกอบการ และสิ่งที่ต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐ หากรัฐต้องการให้ขยายกําลังและฐานการผลิตภายในประเทศ ข้อเท็จจริงในการซื้อขายยางพาราของผู้ประกอบการดังกล่าว ปัจจุบันเป็นการซื้อขายล่วงหน้าในตลาดยางพาราต่างประเทศ คือ โตเกียว และสิงคโปร์ โดยให้เหตุผลว่าบริษัทคู่สัญญามีความสามารถส่งยางพาราที่มีคุณภาพและตรงตามเวลาที่กําหนดได้ แม้ว่ายางพาราที่ซื้อขายในตลาดล่วงหน้าจะเป็นยางพาราที่ส่งออกจากประเทศไทยก็ตาม ซึ่งผู้ประกอบการให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในอดีตเคยดําเนินการซื้อขายกับสถานบันเกษตรกรโดยตรงแล้ว แต่ประสบปัญหาเรื่องวัตถุดิบยางพาราไม่ได้คุณภาพ และไม่สามารถส่งได้ทันตามกําหนด ทําให้เกิดความเสียหาย จึงหันไปซื้อขายยางพาราในตลาดต่างประเทศแทน ทั้งนี้ ทางกระทรวงเกษตรฯ ได้เสนอแนวทางให้ผู้ประกอบการรับซื้อยางจากสถาบันเกษตรกรโดยตรง เพื่อเป็นการลดขั้นตอน ลดระยะเวลาในการดําเนินการให้เบ็ดเสร็จภายในประเทศไทย นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแนวทางสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ ขยายกําลังการผลิตยางในประเทศไทย ซึ่งผู้ประกอบการได้ขอให้ภาครัฐช่วยลดขั้นตอนและกระบวนการขึ้นทะเบียนต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้น อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ได้สั่งการด่วนให้การยางแห่งประเทศไทยไปศึกษาแนวทางปฏิบัติและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อคลี่คลายข้อจํากัดของระบบการซื้อ-ขายยางพาราต่าง ๆ ให้หมดไป รวมทั้งขอให้การยางแห่งประเทศไทยสนับสนุนสถาบันเกษตรที่มีความเข็มแข็ง ให้สามารถดําเนินการซื้อ-ขายยางพาราที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการต่อไป สําหรับมาตรการนํายางพารามาเป็นส่วนผสมในการทําถนนพาราซอยด์ซีเมนต์ นั้น ได้เตรียมหารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กรมทางหลวง และกรมบัญชีกลางในการจัดทําคู่มือและสูตรของส่วนผสมกลาง สําหรับเป็นมาตรฐานและแนวทางในการปฏิบัติงาน โดยเตรียมส่งมอบให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีหน้าที่ในการทําถนนโดยตรง นําไปบริหารจัดการต่อได้ ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มนําร่องสร้างถนนในหลายจังหวัดแล้ว อาทิ จังหวัดสงขลา ตรัง บึงกาฬ และหนองบัวลําพู เป็นต้น. กลุ่มงานโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17364
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สวทช. จัดเต็มงานประชุมประจำปีครั้งใหญ่ “NAC2019” โชว์ผลงานวิจัยตอบโจทย์เศรษฐกิจแนวใหม่ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม
วันอังคารที่ 5 มีนาคม 2562 สวทช. จัดเต็มงานประชุมประจําปีครั้งใหญ่ “NAC2019” โชว์ผลงานวิจัยตอบโจทย์เศรษฐกิจแนวใหม่ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สวทช. แถลงข่าวการจัดงานประชุมวิชาการ สวทช. ประจําปี 2562 หรือ NAC2019 (NSTDA Annual Conference) ภายใต้แนวคิด “ตอบโจทย์เศรษฐกิจแห่งอนาคตไทย ก้าวไกลด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม” ชูผลงานวิจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม วันนี้ (4 มีนาคม 2562) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แถลงข่าวการจัดงานประชุมวิชาการ สวทช.ประจําปี 2562 หรือNAC2019 (NSTDA Annual Conference) ภายใต้แนวคิด “ตอบโจทย์เศรษฐกิจแห่งอนาคตไทย ก้าวไกลด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม”ชูผลงานวิจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ/ โดยมี ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ พร้อมด้วย ดร.สมวงษ์ ตระกูลรุ่ง ผู้อํานวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ในฐานะประธานจัดงานฯ ร่วมแถลงข่าว ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุลกล่าวว่า สวทช. หน่วยงานวิจัยและพัฒนาของประเทศ ผ่านการทํางานของ 4 ศูนย์เทคโนโลยีแห่งชาติ และสนับสนุนให้มีการนําผลงานวิจัยไปใช้ภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs สตาร์ทอัพ เกษตรกร และอุตสาหกรรม เพื่อสร้างขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางสู่ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งการงานประชุมวิชาการ NAC2019 ในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “เศรษฐกิจแห่งอนาคตไทย ก้าวไกลด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม” ตอบโจทย์ประเทศในการนํา วทน. มาใช้ในทุกภาคส่วนโดยมุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจแนวใหม่ ได้แก่1) เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy)ใช้ความรู้และต้นทุนความหลากหลายทางชีวภาพที่เป็นจุดแข็งของประเทศเป็นตัวขับเคลื่อน/2) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)ใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือทิ้งมาเป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง/3) เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy)ประหยัดพลังงาน ลดความเสี่ยงที่จะทําให้สิ่งแวดล้อมเสียหาย ตอบสนองการพัฒนาที่ยั่งยืน/4) เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Intelligent Economy)การขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มผลผลิต เพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าและบริการ โดยใช้เวลาน้อยลง/5) เศรษฐกิจร่วมใช้ประโยชน์ (Sharing Economy)รูปแบบเศรษฐกิจที่ใช้พื้นฐานแนวคิดความร่วมมือและแบ่งปัน ทําให้เกิดรูปแบบสินค้าและบริการใหม่ สร้างรายได้แบบพึ่งพากัน และ/6) เศรษฐกิจผู้สูงวัย (Silver Economy)นําความรู้เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาสร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่รองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุพึ่งพาตนเองได้ “สวทช. ได้ปรับกลยุทธ์ตามนโยบายประเทศมุ่งเน้นงานวิจัยใน 10 กลุ่มเทคโนโลยีเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจแบบจับต้องได้และเพื่อตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ ประกอบด้วย 1) สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ/ 2) สารสกัดในกลุ่มสมุนไพรที่จะนํามาใช้ทําเครื่องสําอาง/ 3) ยาแบบใหม่ที่ใช้กระบวนการสังเคราะห์ทางชีวภาพ/ 4) การทําวิจัยการแพทย์แบบแม่นยํา นําไปสู่การตั้งคลังข้อมูลพันธุกรรม การใช้เทคโนโลยีนาโนในการตรวจรักษา รวมถึงการรักษาโรคแบบจําเพาะบุคคล/ 5) งานวิจัยที่เกี่ยวกับระบบดิจิทัลใช้กับอุปกรณ์ช่วยการผ่าตัด หรือชิ้นส่วนทดแทนอวัยวะต่างๆ/ 6) Food & feed ศึกษา Functional ingredients ในอาหารคน อาหารสัตว์ และอาหารเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย/ 7) เกษตรแม่นยํา/ 8) ศึกษาระบบโครงสร้าง การขับเคลื่อนมอเตอร์ การชาร์จไฟ ระบบควบคุมและให้สัญญาณ รวมถึงต้นแบบชิ้นส่วนรถไฟฟ้ารางเบา/ 9) พลังงานทั้งการพัฒนาแบตเตอรี่แบบแพ็กที่ใช้กับรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงวัสดุกับระบบพลังงานทางเลือกแบบต่างๆ และ/ 10) Dual-use defense เช่น การพัฒนาเครื่องแจมมอร์สําหรับโดรน และเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิดหรือสารเสพติดต่างๆ” ดร.สมวงษ์ ตระกูลรุ่งในฐานะประธานจัดงาน NAC2019 กล่าวว่า การจัดงานดังกล่าว สวทช. ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินมาทรงเปิดการประชุมฯ และนิทรรศการในวันที่ 25 มีนาคม 2562 เวลา 09.00-12.00 น. ซึ่งภายในงานจะมีการสัมมนาที่น่าสนใจจากผู้ทรงคุณวุฒิและอบรมเชิงปฏิบัติการมากกว่า 50 เรื่อง ทั้งเรื่องราวความรู้ของเศรษฐกิจแนวใหม่ที่ สวทช. ดําเนินการเพื่อตอบโจทย์ของประเทศ อาทิแนวโน้มโอกาสและความท้าทายของการวิจัยพัฒนาชั้นแนวหน้า (Frontier Research)ผสานการวิจัยพื้นฐานร่วมกับการวิจัยประยุกต์ สร้างแนวคิดและองค์ความรู้ที่มีศักยภาพไปสู่การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน/Smart Farmเรียนรู้ประสบการณ์จากเกษตรกรตัวจริงเสียงจริงที่ได้ใช้งาน/สูตรตํารับอาหารสัตว์เพื่อนวัตกรรมด้วยเทคโนโลยีนาโนการปรับปรุงคุณภาพอาหารสัตว์โดยใช้กระบวนการผลิตในระดับนาโนเมตร เพิ่มสารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ/นวัตกรรมจากไข่เพื่อการมีสุขภาพที่ดีใช้เพิ่มมูลค่าการใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ไข่/“ระบบไซเบอร์กายภาพ กุญแจสู่ Smart Factory”เทคโนโลยีที่จะสื่อสารและทํางานร่วมกันทําให้สามารถตัดสินใจแก้ปัญหาอัตโนมัติ/สานพลังเทคโนโลยียางพาราสร้างอุตสาหกรรม ชุมชน พร้อมเครือข่ายระดับชุมชน สหกรณ์ และอุตสาหกรรม/การขอรับรองมาตรฐาน สมอ.ส่งเสริมและผลักดันผลิตภัณฑ์จากผลงานนวัตกรรม/สะเต็มศึกษาและวิทยาการคํานวณองค์ความรู้และการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์เชิงรุก เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการแสดงผลงานวิจัยจาก สวทช. และเครือข่ายพันธมิตร ซึ่งในวันนี้มีตัวอย่างผลงานวิจัยที่นํามาแสดง ได้แก่นวัตกรรมน้ํายาง ParaFIT สําหรับการผลิตหมอนและที่นอนยางพาราลดต้นทุนให้กับผู้ผลิต เป็นมิตรกับคนทํางาน สิ่งแวดล้อม และชุมชน/อาหารปั่นผสมสําเร็จรูปสําหรับผู้ที่ต้องได้รับอาหารทางสายยางควบคุมปริมาณสารอาหาร สะอาด เก็บที่อุณหภูมิห้องได้อย่างน้อย 6 เดือน ผู้ป่วยได้รับพลังงานและสารอาหารที่เพียงพอ ลดขั้นตอนและระยะเวลาในการเตรียมอาหารปั่นผสม/ เวย์โปรตีนพร้อมดื่ม เก็บได้นาน มีโปรตีนสูงทนความร้อนไม่จับตัวเป็นก้อน เก็บรักษาได้นาน 6 เดือน โดยไม่จําต้องแช่เย็น มีต้นทุนการผลิต มีโปรตีนสูง มีคุณสมบัติเฉพาะและมีรสชาติที่อร่อย/ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพ มาพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งด้านอุตสาหกรรม ด้านการเกษตรและอาหาร ด้านชุมชนและสิ่งแวดล้อม และด้านส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิต/Kidbright chem kid เครื่องอ่านสีสารละลายเพื่อการศึกษาทางด้านเคมีอ่านสีตามความเข้มข้นของสารเคมีในบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําเศรษฐกิจ ช่วยแก้ปัญหาความผิดพลาดจากการอ่านค่าสีของสารเคมีในน้ําด้วยตาเปล่า/ไฮโดรเจลกักเก็บโปรตีนสําหรับอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์พัฒนาสูตรอาหารเลี้ยงลูกกุ้งแบบไร้ปลาป่น โดยใช้เทคโนโลยีการกักเก็บสารสําคัญในโครงสร้างแบบเจล มาช่วยเพิ่มความสามารถในการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและยืดอายุให้ไม่เน่าเสียเร็ว ลดปัญหาของการให้อาหารในสัตว์น้ํา/นาโนวัคซีนดูดซึมทางเหงือกต้านโรคในปลามีคุณสมบัติเกาะติดเยื่อเมือกแบบแช่เพื่อใช้ทดแทนการฉีด สําหรับการควบคุมโรคติดเชื้อในปลานิล แก้ปัญหาในภาคอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงปลานิลที่ประสบปัญหาโรคระบาดจากเชื้อดังกล่าว/สารเคลือบนาโนป้องกันตะกรันบนแผงรังผึ้งลดการเกาะของตระกรันแคลเซียมบนแผงรังผึ้งที่ไม่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม ดูดซับความชื้นในระบบปรับอากาศแบบประหยัดพลังงานไฟฟ้าด้วยพัดลมไอเย็น/ และเพอร์ริคอล นวัตกรรมทดแทนยาปฏิชีวนะที่ใช้ผสมในอาหารสัตว์ (หมู/ไก่)ลดการใช้ยาปฏิชีวนะในอาหารสัตว์ที่นํามาสู่ปัญหาเชื้อแบคทีเรียดื้อยาที่เป็นปัญหาทั้งในคนและสัตว์ มีส่วนประกอบจากธรรมชาติที่ช่วยรักษาและลดความเสียหายจากปัญหาท้องเสียที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียในสุกร นอกจากนี้ยังช่วยฟื้นฟูเซลล์ลําไส้ และการอักเสบของทางเดินอาหาร ทําให้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของสุกรและไก่ อีกกิจกรรมหนึ่งที่น่าสนใจ คือเปิดบ้าน สวทช.(NSTDAOpenhouse)การเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการวิจัยและหน่วยงานทดสอบมาตรฐานต่างๆ ของ สวทช. จะได้พบกับอุปกรณ์และเครื่องมือในการวิจัยที่ทันสมัยระดับโลก โดย สวทช. และประชาคมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ร่วมเปิดบ้านต้อนรับนักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม และนักลงทุนที่สนใจ ได้เยี่ยมชมเทคโนโลยีจากศักยภาพของบุคลากรวิจัยและห้องปฏิบัติการ สวทช. ตลอดจนนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ธุรกิจจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนํา พร้อมคําแนะนําบริการและมาตรการสนับสนุนภาคเอกชนของ สวทช. ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพและสร้างกําไรให้กับธุรกิจได้โดยไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนร่วมงานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ที่www.nstda.or.th/nacหรือ โทร. 0 2564 8000 ซึ่งงานจะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่25 - 28มีนาคม2562ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สวทช. จัดเต็มงานประชุมประจำปีครั้งใหญ่ “NAC2019” โชว์ผลงานวิจัยตอบโจทย์เศรษฐกิจแนวใหม่ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม วันอังคารที่ 5 มีนาคม 2562 สวทช. จัดเต็มงานประชุมประจําปีครั้งใหญ่ “NAC2019” โชว์ผลงานวิจัยตอบโจทย์เศรษฐกิจแนวใหม่ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สวทช. แถลงข่าวการจัดงานประชุมวิชาการ สวทช. ประจําปี 2562 หรือ NAC2019 (NSTDA Annual Conference) ภายใต้แนวคิด “ตอบโจทย์เศรษฐกิจแห่งอนาคตไทย ก้าวไกลด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม” ชูผลงานวิจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม วันนี้ (4 มีนาคม 2562) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แถลงข่าวการจัดงานประชุมวิชาการ สวทช.ประจําปี 2562 หรือNAC2019 (NSTDA Annual Conference) ภายใต้แนวคิด “ตอบโจทย์เศรษฐกิจแห่งอนาคตไทย ก้าวไกลด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม”ชูผลงานวิจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ/ โดยมี ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ พร้อมด้วย ดร.สมวงษ์ ตระกูลรุ่ง ผู้อํานวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ในฐานะประธานจัดงานฯ ร่วมแถลงข่าว ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุลกล่าวว่า สวทช. หน่วยงานวิจัยและพัฒนาของประเทศ ผ่านการทํางานของ 4 ศูนย์เทคโนโลยีแห่งชาติ และสนับสนุนให้มีการนําผลงานวิจัยไปใช้ภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs สตาร์ทอัพ เกษตรกร และอุตสาหกรรม เพื่อสร้างขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางสู่ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งการงานประชุมวิชาการ NAC2019 ในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “เศรษฐกิจแห่งอนาคตไทย ก้าวไกลด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม” ตอบโจทย์ประเทศในการนํา วทน. มาใช้ในทุกภาคส่วนโดยมุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจแนวใหม่ ได้แก่1) เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy)ใช้ความรู้และต้นทุนความหลากหลายทางชีวภาพที่เป็นจุดแข็งของประเทศเป็นตัวขับเคลื่อน/2) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)ใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือทิ้งมาเป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง/3) เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy)ประหยัดพลังงาน ลดความเสี่ยงที่จะทําให้สิ่งแวดล้อมเสียหาย ตอบสนองการพัฒนาที่ยั่งยืน/4) เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Intelligent Economy)การขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มผลผลิต เพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าและบริการ โดยใช้เวลาน้อยลง/5) เศรษฐกิจร่วมใช้ประโยชน์ (Sharing Economy)รูปแบบเศรษฐกิจที่ใช้พื้นฐานแนวคิดความร่วมมือและแบ่งปัน ทําให้เกิดรูปแบบสินค้าและบริการใหม่ สร้างรายได้แบบพึ่งพากัน และ/6) เศรษฐกิจผู้สูงวัย (Silver Economy)นําความรู้เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาสร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่รองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุพึ่งพาตนเองได้ “สวทช. ได้ปรับกลยุทธ์ตามนโยบายประเทศมุ่งเน้นงานวิจัยใน 10 กลุ่มเทคโนโลยีเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจแบบจับต้องได้และเพื่อตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ ประกอบด้วย 1) สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ/ 2) สารสกัดในกลุ่มสมุนไพรที่จะนํามาใช้ทําเครื่องสําอาง/ 3) ยาแบบใหม่ที่ใช้กระบวนการสังเคราะห์ทางชีวภาพ/ 4) การทําวิจัยการแพทย์แบบแม่นยํา นําไปสู่การตั้งคลังข้อมูลพันธุกรรม การใช้เทคโนโลยีนาโนในการตรวจรักษา รวมถึงการรักษาโรคแบบจําเพาะบุคคล/ 5) งานวิจัยที่เกี่ยวกับระบบดิจิทัลใช้กับอุปกรณ์ช่วยการผ่าตัด หรือชิ้นส่วนทดแทนอวัยวะต่างๆ/ 6) Food & feed ศึกษา Functional ingredients ในอาหารคน อาหารสัตว์ และอาหารเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย/ 7) เกษตรแม่นยํา/ 8) ศึกษาระบบโครงสร้าง การขับเคลื่อนมอเตอร์ การชาร์จไฟ ระบบควบคุมและให้สัญญาณ รวมถึงต้นแบบชิ้นส่วนรถไฟฟ้ารางเบา/ 9) พลังงานทั้งการพัฒนาแบตเตอรี่แบบแพ็กที่ใช้กับรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงวัสดุกับระบบพลังงานทางเลือกแบบต่างๆ และ/ 10) Dual-use defense เช่น การพัฒนาเครื่องแจมมอร์สําหรับโดรน และเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิดหรือสารเสพติดต่างๆ” ดร.สมวงษ์ ตระกูลรุ่งในฐานะประธานจัดงาน NAC2019 กล่าวว่า การจัดงานดังกล่าว สวทช. ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินมาทรงเปิดการประชุมฯ และนิทรรศการในวันที่ 25 มีนาคม 2562 เวลา 09.00-12.00 น. ซึ่งภายในงานจะมีการสัมมนาที่น่าสนใจจากผู้ทรงคุณวุฒิและอบรมเชิงปฏิบัติการมากกว่า 50 เรื่อง ทั้งเรื่องราวความรู้ของเศรษฐกิจแนวใหม่ที่ สวทช. ดําเนินการเพื่อตอบโจทย์ของประเทศ อาทิแนวโน้มโอกาสและความท้าทายของการวิจัยพัฒนาชั้นแนวหน้า (Frontier Research)ผสานการวิจัยพื้นฐานร่วมกับการวิจัยประยุกต์ สร้างแนวคิดและองค์ความรู้ที่มีศักยภาพไปสู่การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน/Smart Farmเรียนรู้ประสบการณ์จากเกษตรกรตัวจริงเสียงจริงที่ได้ใช้งาน/สูตรตํารับอาหารสัตว์เพื่อนวัตกรรมด้วยเทคโนโลยีนาโนการปรับปรุงคุณภาพอาหารสัตว์โดยใช้กระบวนการผลิตในระดับนาโนเมตร เพิ่มสารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ/นวัตกรรมจากไข่เพื่อการมีสุขภาพที่ดีใช้เพิ่มมูลค่าการใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ไข่/“ระบบไซเบอร์กายภาพ กุญแจสู่ Smart Factory”เทคโนโลยีที่จะสื่อสารและทํางานร่วมกันทําให้สามารถตัดสินใจแก้ปัญหาอัตโนมัติ/สานพลังเทคโนโลยียางพาราสร้างอุตสาหกรรม ชุมชน พร้อมเครือข่ายระดับชุมชน สหกรณ์ และอุตสาหกรรม/การขอรับรองมาตรฐาน สมอ.ส่งเสริมและผลักดันผลิตภัณฑ์จากผลงานนวัตกรรม/สะเต็มศึกษาและวิทยาการคํานวณองค์ความรู้และการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์เชิงรุก เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการแสดงผลงานวิจัยจาก สวทช. และเครือข่ายพันธมิตร ซึ่งในวันนี้มีตัวอย่างผลงานวิจัยที่นํามาแสดง ได้แก่นวัตกรรมน้ํายาง ParaFIT สําหรับการผลิตหมอนและที่นอนยางพาราลดต้นทุนให้กับผู้ผลิต เป็นมิตรกับคนทํางาน สิ่งแวดล้อม และชุมชน/อาหารปั่นผสมสําเร็จรูปสําหรับผู้ที่ต้องได้รับอาหารทางสายยางควบคุมปริมาณสารอาหาร สะอาด เก็บที่อุณหภูมิห้องได้อย่างน้อย 6 เดือน ผู้ป่วยได้รับพลังงานและสารอาหารที่เพียงพอ ลดขั้นตอนและระยะเวลาในการเตรียมอาหารปั่นผสม/ เวย์โปรตีนพร้อมดื่ม เก็บได้นาน มีโปรตีนสูงทนความร้อนไม่จับตัวเป็นก้อน เก็บรักษาได้นาน 6 เดือน โดยไม่จําต้องแช่เย็น มีต้นทุนการผลิต มีโปรตีนสูง มีคุณสมบัติเฉพาะและมีรสชาติที่อร่อย/ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพ มาพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งด้านอุตสาหกรรม ด้านการเกษตรและอาหาร ด้านชุมชนและสิ่งแวดล้อม และด้านส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิต/Kidbright chem kid เครื่องอ่านสีสารละลายเพื่อการศึกษาทางด้านเคมีอ่านสีตามความเข้มข้นของสารเคมีในบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําเศรษฐกิจ ช่วยแก้ปัญหาความผิดพลาดจากการอ่านค่าสีของสารเคมีในน้ําด้วยตาเปล่า/ไฮโดรเจลกักเก็บโปรตีนสําหรับอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์พัฒนาสูตรอาหารเลี้ยงลูกกุ้งแบบไร้ปลาป่น โดยใช้เทคโนโลยีการกักเก็บสารสําคัญในโครงสร้างแบบเจล มาช่วยเพิ่มความสามารถในการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและยืดอายุให้ไม่เน่าเสียเร็ว ลดปัญหาของการให้อาหารในสัตว์น้ํา/นาโนวัคซีนดูดซึมทางเหงือกต้านโรคในปลามีคุณสมบัติเกาะติดเยื่อเมือกแบบแช่เพื่อใช้ทดแทนการฉีด สําหรับการควบคุมโรคติดเชื้อในปลานิล แก้ปัญหาในภาคอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงปลานิลที่ประสบปัญหาโรคระบาดจากเชื้อดังกล่าว/สารเคลือบนาโนป้องกันตะกรันบนแผงรังผึ้งลดการเกาะของตระกรันแคลเซียมบนแผงรังผึ้งที่ไม่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม ดูดซับความชื้นในระบบปรับอากาศแบบประหยัดพลังงานไฟฟ้าด้วยพัดลมไอเย็น/ และเพอร์ริคอล นวัตกรรมทดแทนยาปฏิชีวนะที่ใช้ผสมในอาหารสัตว์ (หมู/ไก่)ลดการใช้ยาปฏิชีวนะในอาหารสัตว์ที่นํามาสู่ปัญหาเชื้อแบคทีเรียดื้อยาที่เป็นปัญหาทั้งในคนและสัตว์ มีส่วนประกอบจากธรรมชาติที่ช่วยรักษาและลดความเสียหายจากปัญหาท้องเสียที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียในสุกร นอกจากนี้ยังช่วยฟื้นฟูเซลล์ลําไส้ และการอักเสบของทางเดินอาหาร ทําให้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของสุกรและไก่ อีกกิจกรรมหนึ่งที่น่าสนใจ คือเปิดบ้าน สวทช.(NSTDAOpenhouse)การเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการวิจัยและหน่วยงานทดสอบมาตรฐานต่างๆ ของ สวทช. จะได้พบกับอุปกรณ์และเครื่องมือในการวิจัยที่ทันสมัยระดับโลก โดย สวทช. และประชาคมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ร่วมเปิดบ้านต้อนรับนักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม และนักลงทุนที่สนใจ ได้เยี่ยมชมเทคโนโลยีจากศักยภาพของบุคลากรวิจัยและห้องปฏิบัติการ สวทช. ตลอดจนนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ธุรกิจจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนํา พร้อมคําแนะนําบริการและมาตรการสนับสนุนภาคเอกชนของ สวทช. ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพและสร้างกําไรให้กับธุรกิจได้โดยไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนร่วมงานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ที่www.nstda.or.th/nacหรือ โทร. 0 2564 8000 ซึ่งงานจะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่25 - 28มีนาคม2562ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19134
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ จ.ชลบุรี พร้อมมอบแนวทางการขับเคลื่อนงานให้กับทีม พม. (One Home)
วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561 รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ จ.ชลบุรี พร้อมมอบแนวทางการขับเคลื่อนงานให้กับทีม พม. (One Home) รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ จ.ชลบุรี พร้อมมอบแนวทางการขับเคลื่อนงานให้กับทีม พม. (One Home) วันนี้ (15 มิ.ย.61) เวลา 08.45 น. พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ได้แก่ ศูนย์การเรียนรู้และฝึกอบรมด้านผู้สูงอายุ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางละมุง สถานคุ้มครองและพัฒนาการุณยเวศม์ สถานพัฒนาและฟื้นฟูเด็กจังหวัดชลบุรี และศูนย์การเรียนรู้ การพัฒนาสตรีและครอบครัวเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพฯ 36 พรรษา เพื่อติดตามและรับฟังรายงานสถานการณ์ทางสังคม และรายงานการดําเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ พร้อมมอบ แนวทางการขับเคลื่อนงานให้กับทีม พม. (One Home) จังหวัดชลบุรี รวมถึงให้กําลังใจข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ ณ ศูนย์การเรียนรู้และฝึกอบรมด้านผู้สูงอายุ อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี การลงพื้นที่ในวันนี้ เป็นการติดตามการดําเนินงานพร้อมทั้งมอบแนวทางการปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ รวมทั้งเป็นการสร้างขวัญกําลังใจให้กับข้าราชการ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่จังหวัดจังหวัดชลบุรี ทั้งนี้ ได้รับทราบถึงสถานการณ์ทางสังคมจังหวัดชลบุรี ประจําปี 2560 พบว่า จังหวัดชลบุรี มีประชากรทั้งสิ้น จํานวน 1,470,964 คน มีผู้ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ จํานวน 114,151 คน จํานวนคนพิการที่ประสบปัญหาทางสังคม จํานวน 1,294 ราย ที่พบมากที่สุด คือ ไม่ได้รับเบี้ย จํานวน 143 ราย จํานวนผู้ประสบปัญหาทางสังคม รายครัวเรือน จํานวน 18,447 ครัวเรือน 26,921 ราย สําหรับประเภทและรูปแบบของครอบครัว แบ่งเป็น ครอบครัวเดี่ยว จํานวน 87,597 ครอบครัว และครอบครัวขยาย จํานวน 74,541 ครอบครัว ด้านพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม วัยเด็กและเยาวชน คือ ติดเกมส์ มั่วสุม และติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ วัยแรงงาน คือ ติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ติดการพนัน และมั่วสุม และวัยผู้สูงอายุ คือ ติดการพนัน และติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่วนด้านปัญหาสังคมตามกลุ่มเป้าหมาย คือ ตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร จํานวน 68 ราย เยาวชนเลี้ยงดูบุตรตามลําพัง จํานวน 33 ราย ผู้สูงอายุติดเตียงเจ็บป่วยเรื้อรัง จํานวน 1,686 ราย และความรุนแรงในครอบครัว จํานวน 25 ครอบครัว และสถิติการลงทะเบียนเด็กแรกเกิด มีดังนี้ ลงทะเบียน จํานวน 3,229 ราย ได้รับสิทธิ์ จํานวน 2,883 ราย อยู่ระหว่างการพิจารณา จํานวน 53 ราย และไม่ได้รับสิทธิ์ จํานวน 28 ราย สําหรับการมอบแนวทางการขับเคลื่อนงานให้กับทีม พม. (One Home) จังหวัดชลบุรี นั้น ได้เน้นย้ําการบูรณาการในพื้นที่ เพื่อช่วยเหลือประสานส่งต่อกลุ่มเป้าหมาย โดยต้องมีความเข้มแข็งในการเป็นศูนย์กลางกําหนดนโยบาย One Home หรือ Model การทํางานในพื้นที่อย่างเชื่อมโยงกับภาคส่วนต่างๆ พร้อมทั้งจัดทําแผนพัฒนาภาคในการเชื่อมโยงประสานหน่วยงานในพื้นที่ เน้นการประสานงานอย่างรวดเร็ว ลดขั้นตอนโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการสื่อสาร และให้ศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 เป็นช่องทางให้ประชาชนผู้ประสบปัญหาสังคม เข้าถึงการให้บริการสวัสดิการของภาครัฐ โดยเน้นการทํางานทั้งเชิงรุกและเชิงรับ สามารถเข้าถึงผู้ประสบปัญหาในภาวะวิกฤตได้ อย่างรวดเร็ว ไม่ซ้ําซ้อน พัฒนาและยกระดับการประสานส่งต่อหน่วยงานภายในกระทรวงอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการและสภาพปัญหาของกลุ่มเป้าหมาย มีการบูรณาการการทํางานกับทุกภาคส่วน ตามนโยบายประชารัฐ รวมทั้งมีการใช้ข้อมูล Social map และฐานข้อมูลอื่นๆ ให้เกิดประโยชน์ ด้วยการใช้เทคโนโลยี ในการจะพัฒนา และยกระดับการดําเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ขอเป็นกําลังใจให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคน และให้ดําเนินงานร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างเต็มความสามารถ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยคํานึงถึงประโยชน์ ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสําคัญ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ จ.ชลบุรี พร้อมมอบแนวทางการขับเคลื่อนงานให้กับทีม พม. (One Home) วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561 รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ จ.ชลบุรี พร้อมมอบแนวทางการขับเคลื่อนงานให้กับทีม พม. (One Home) รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ จ.ชลบุรี พร้อมมอบแนวทางการขับเคลื่อนงานให้กับทีม พม. (One Home) วันนี้ (15 มิ.ย.61) เวลา 08.45 น. พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ได้แก่ ศูนย์การเรียนรู้และฝึกอบรมด้านผู้สูงอายุ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางละมุง สถานคุ้มครองและพัฒนาการุณยเวศม์ สถานพัฒนาและฟื้นฟูเด็กจังหวัดชลบุรี และศูนย์การเรียนรู้ การพัฒนาสตรีและครอบครัวเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพฯ 36 พรรษา เพื่อติดตามและรับฟังรายงานสถานการณ์ทางสังคม และรายงานการดําเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ พร้อมมอบ แนวทางการขับเคลื่อนงานให้กับทีม พม. (One Home) จังหวัดชลบุรี รวมถึงให้กําลังใจข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ ณ ศูนย์การเรียนรู้และฝึกอบรมด้านผู้สูงอายุ อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี การลงพื้นที่ในวันนี้ เป็นการติดตามการดําเนินงานพร้อมทั้งมอบแนวทางการปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ รวมทั้งเป็นการสร้างขวัญกําลังใจให้กับข้าราชการ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่จังหวัดจังหวัดชลบุรี ทั้งนี้ ได้รับทราบถึงสถานการณ์ทางสังคมจังหวัดชลบุรี ประจําปี 2560 พบว่า จังหวัดชลบุรี มีประชากรทั้งสิ้น จํานวน 1,470,964 คน มีผู้ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ จํานวน 114,151 คน จํานวนคนพิการที่ประสบปัญหาทางสังคม จํานวน 1,294 ราย ที่พบมากที่สุด คือ ไม่ได้รับเบี้ย จํานวน 143 ราย จํานวนผู้ประสบปัญหาทางสังคม รายครัวเรือน จํานวน 18,447 ครัวเรือน 26,921 ราย สําหรับประเภทและรูปแบบของครอบครัว แบ่งเป็น ครอบครัวเดี่ยว จํานวน 87,597 ครอบครัว และครอบครัวขยาย จํานวน 74,541 ครอบครัว ด้านพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม วัยเด็กและเยาวชน คือ ติดเกมส์ มั่วสุม และติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ วัยแรงงาน คือ ติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ติดการพนัน และมั่วสุม และวัยผู้สูงอายุ คือ ติดการพนัน และติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่วนด้านปัญหาสังคมตามกลุ่มเป้าหมาย คือ ตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร จํานวน 68 ราย เยาวชนเลี้ยงดูบุตรตามลําพัง จํานวน 33 ราย ผู้สูงอายุติดเตียงเจ็บป่วยเรื้อรัง จํานวน 1,686 ราย และความรุนแรงในครอบครัว จํานวน 25 ครอบครัว และสถิติการลงทะเบียนเด็กแรกเกิด มีดังนี้ ลงทะเบียน จํานวน 3,229 ราย ได้รับสิทธิ์ จํานวน 2,883 ราย อยู่ระหว่างการพิจารณา จํานวน 53 ราย และไม่ได้รับสิทธิ์ จํานวน 28 ราย สําหรับการมอบแนวทางการขับเคลื่อนงานให้กับทีม พม. (One Home) จังหวัดชลบุรี นั้น ได้เน้นย้ําการบูรณาการในพื้นที่ เพื่อช่วยเหลือประสานส่งต่อกลุ่มเป้าหมาย โดยต้องมีความเข้มแข็งในการเป็นศูนย์กลางกําหนดนโยบาย One Home หรือ Model การทํางานในพื้นที่อย่างเชื่อมโยงกับภาคส่วนต่างๆ พร้อมทั้งจัดทําแผนพัฒนาภาคในการเชื่อมโยงประสานหน่วยงานในพื้นที่ เน้นการประสานงานอย่างรวดเร็ว ลดขั้นตอนโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการสื่อสาร และให้ศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 เป็นช่องทางให้ประชาชนผู้ประสบปัญหาสังคม เข้าถึงการให้บริการสวัสดิการของภาครัฐ โดยเน้นการทํางานทั้งเชิงรุกและเชิงรับ สามารถเข้าถึงผู้ประสบปัญหาในภาวะวิกฤตได้ อย่างรวดเร็ว ไม่ซ้ําซ้อน พัฒนาและยกระดับการประสานส่งต่อหน่วยงานภายในกระทรวงอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการและสภาพปัญหาของกลุ่มเป้าหมาย มีการบูรณาการการทํางานกับทุกภาคส่วน ตามนโยบายประชารัฐ รวมทั้งมีการใช้ข้อมูล Social map และฐานข้อมูลอื่นๆ ให้เกิดประโยชน์ ด้วยการใช้เทคโนโลยี ในการจะพัฒนา และยกระดับการดําเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ขอเป็นกําลังใจให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคน และให้ดําเนินงานร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างเต็มความสามารถ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยคํานึงถึงประโยชน์ ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสําคัญ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13078
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 13 สิงหาคม 2563
วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 13 สิงหาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย เป็นผู้ที่เดินทางต่างประเทศ (สิงคโปร์ 1 ราย,อินเดีย 2 ราย) และเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้านเพิ่ม จึงมีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,169 ราย รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 13 สิงหาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย เป็นผู้ที่เดินทางต่างประเทศ (สิงคโปร์ 1 ราย,อินเดีย 2 ราย) และเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้านเพิ่ม จึงมีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,169 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 94.34 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 132 ราย หรือร้อยละ 3.93 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,359 ราย สําหรับข้อมูลผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เดินทางมาจาก สิงคโปร์ 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 53 ปี อาชีพรับจ้างงานก่อสร้าง เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 7 สิงหาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่จังหวัดชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจในครั้งแรก วันที่ 11 สิงหาคม 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ อินเดีย 2 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 30 ปี อาชีพพนักงานนวด เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 8 สิงหาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) กรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจในครั้งแรก วันที่ 11 สิงหาคม 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) โดยรายแรกเริ่มมี น้ํามูก จมูกไม่ได้กลิ่น ในวันที่ 9 สิงหาคม 2563 และอีกรายเริ่มมีอาการไอ ปวดกล้ามเนื้อ ในวันที่ 11 สิงหาคม 2563 นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ว่า จากรายงานผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน – 12 สิงหาคม 2563 มีผู้ที่เดินทางเข้าประเทศสะสม 75,684 ราย ในจํานวนนี้มีผู้ติดเชื้อ 422 ราย (ร้อยละ 0.56 ของผู้เดินทางทั้งหมด) โดยภาครัฐได้จัดระบบการคัดกรอง กักตัว และตรวจหาเชื้อ ในผู้เดินทางเข้าประเทศทุกคนเพื่อป้องกันการนําเชื้อจากต่างประเทศมาแพร่ให้กับคนในประเทศ แม้ว่าขณะนี้จะยังไม่พบผู้ติดเชื้อภายในประเทศเพิ่ม แต่ขอให้ทุกคนอย่าประมาท เนื่องจากอาจกลับมาพบผู้ติดเชื้อได้อีก ดังเช่นบทเรียนจากต่างประเทศที่กลับมาพบจํานวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอีกครั้ง ซึ่งสาเหตุหลักมาจากพฤติกรรม มีการรวมกลุ่ม ไม่สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ ถือว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่ทําเกิดการแพร่เชื้อได้ ดังนั้นขอให้ทุกคนตระหนักในการป้องกันตัวเอง ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกจากบ้านและตลอดเวลาขณะอยู่ในที่สาธารณะ ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจลบ่อยๆ ให้เป็นนิสัย พยายามเว้นระยะห่างลดการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด และลงทะเบียนเข้าออกสถานที่ที่ใช้บริการในแพลตฟอร์มไทยชนะ เพราะเมื่อพบผู้ติดเชื้อจะสามารถติดตามผู้สัมผัสเข้าสู่ระบบการเฝ้าระวังอาการได้อย่างรวดเร็ว ******************************13 สิงหาคม 2563 ********************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 13 สิงหาคม 2563 วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 13 สิงหาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย เป็นผู้ที่เดินทางต่างประเทศ (สิงคโปร์ 1 ราย,อินเดีย 2 ราย) และเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้านเพิ่ม จึงมีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,169 ราย รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 13 สิงหาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย เป็นผู้ที่เดินทางต่างประเทศ (สิงคโปร์ 1 ราย,อินเดีย 2 ราย) และเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้านเพิ่ม จึงมีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,169 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 94.34 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 132 ราย หรือร้อยละ 3.93 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,359 ราย สําหรับข้อมูลผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เดินทางมาจาก สิงคโปร์ 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 53 ปี อาชีพรับจ้างงานก่อสร้าง เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 7 สิงหาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่จังหวัดชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจในครั้งแรก วันที่ 11 สิงหาคม 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ อินเดีย 2 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 30 ปี อาชีพพนักงานนวด เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 8 สิงหาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) กรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจในครั้งแรก วันที่ 11 สิงหาคม 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) โดยรายแรกเริ่มมี น้ํามูก จมูกไม่ได้กลิ่น ในวันที่ 9 สิงหาคม 2563 และอีกรายเริ่มมีอาการไอ ปวดกล้ามเนื้อ ในวันที่ 11 สิงหาคม 2563 นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ว่า จากรายงานผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน – 12 สิงหาคม 2563 มีผู้ที่เดินทางเข้าประเทศสะสม 75,684 ราย ในจํานวนนี้มีผู้ติดเชื้อ 422 ราย (ร้อยละ 0.56 ของผู้เดินทางทั้งหมด) โดยภาครัฐได้จัดระบบการคัดกรอง กักตัว และตรวจหาเชื้อ ในผู้เดินทางเข้าประเทศทุกคนเพื่อป้องกันการนําเชื้อจากต่างประเทศมาแพร่ให้กับคนในประเทศ แม้ว่าขณะนี้จะยังไม่พบผู้ติดเชื้อภายในประเทศเพิ่ม แต่ขอให้ทุกคนอย่าประมาท เนื่องจากอาจกลับมาพบผู้ติดเชื้อได้อีก ดังเช่นบทเรียนจากต่างประเทศที่กลับมาพบจํานวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอีกครั้ง ซึ่งสาเหตุหลักมาจากพฤติกรรม มีการรวมกลุ่ม ไม่สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ ถือว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่ทําเกิดการแพร่เชื้อได้ ดังนั้นขอให้ทุกคนตระหนักในการป้องกันตัวเอง ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกจากบ้านและตลอดเวลาขณะอยู่ในที่สาธารณะ ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจลบ่อยๆ ให้เป็นนิสัย พยายามเว้นระยะห่างลดการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด และลงทะเบียนเข้าออกสถานที่ที่ใช้บริการในแพลตฟอร์มไทยชนะ เพราะเมื่อพบผู้ติดเชื้อจะสามารถติดตามผู้สัมผัสเข้าสู่ระบบการเฝ้าระวังอาการได้อย่างรวดเร็ว ******************************13 สิงหาคม 2563 ********************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34177
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.เปิดการประชุมผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ เรื่อง "การพัฒนาชนบทเพื่อขจัดความยากจนในเอเชีย" (Revitalizing Rural Development for Poverty Eradication in Asia)
วันพฤหัสบดีที่ 3 สิงหาคม 2560 รมว.ศธ.เปิดการประชุมผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ เรื่อง "การพัฒนาชนบทเพื่อขจัดความยากจนในเอเชีย" (Revitalizing Rural Development for Poverty Eradication in Asia) นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ เรื่อง "การพัฒนาชนบทเพื่อขจัดความยากจนในเอเชีย : Revitalizing Rural Development for Poverty Eradication in Asia" จัดโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วม อาทิ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายสมหวัง พ่วงบางโพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี, ผศ.นิธินันท์ วิศเวศวร รักษาการรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ และคณบดีวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์, ผศ.จิตติ มงคลชัยอรัญญา คณบดีวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมทั้งนักวิชาการจากนานาประเทศในทวีปเอเชียเข้าร่วมประชุมกว่า300คน เมื่อวันพุธที่2สิงหาคม2560ณ โรงแรมเซ็นทาราฯ จังหวัดอุดรธานี นพ.ธีระเกียรติเจริญเศรษฐศิลป์กล่าวตอนหนึ่งว่า การประชุมครั้งนี้เป็นเวทีที่สําคัญในการทําความเข้าใจในการพัฒนาชนบทของประเทศต่าง ๆ ในทวีปเอเชีย ซึ่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดขึ้นในโอกาสรําลึก100ปีชาตกาล "ป๋วย อึ๊งภากรณ์" ที่ยูเนสโกได้ประกาศให้เป็นบุคคลสําคัญของโลกเมื่อปี2558โดยดร.ป๋วย เป็นอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยและอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีผลงานสําคัญในด้านการริเริ่มพัฒนาชนบท พัฒนาระบบการศึกษาของชาติ ผลักดันแนวความคิดในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ําทางเศรษฐกิจในสังคมไทยอย่างมากมาย เป็นต้น ดร.ป๋วย ถือเป็นตัวอย่างของบุคคลในอุดมคติมีอิทธิพลต่อตนเองเป็นอย่างมาก เคยอ่านหนังสือต่าง ๆ รวมทั้งได้ศึกษาประวัติชีวิตของท่าน เมื่อครั้งท่านดํารงตําแหน่งที่สําคัญ ๆ พร้อมกันหลายตําแหน่ง เป็นตัวอย่างที่ดีที่ไม่ขอรับเงินเดือนซ้อนกันในหลายตําแหน่ง จึงถือเป็นส่วนหนึ่งที่ขอยกย่องและภูมิใจที่การจัดงานครั้งนี้เป็นอีกส่วนหนึ่งในโอกาสรําลึก100ปีชาตกาลที่คนรุ่นหลังได้มีโอกาสยกย่องท่าน อีกส่วนหนึ่งที่จะกล่าวคือนโยบายการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการซึ่งแม้ว่ารัฐส่งเสริมจัดการศึกษาให้ผู้เรียนจบออกมาได้รับปริญญาและมีงานทํา แต่สิ่งสําคัญอีกประการคือควรเป็นคนที่ใช้ชีวิตที่คุ้มค่าต่อสังคม ดังเช่น อ.ป๋วย ดังนั้นกระทรวงศึกษาธิการจึงได้ให้ความสําคัญในแนวทางจัดการศึกษา3ประการที่สําคัญ คือ การให้โอกาสที่ดีที่สุดแก่เด็กและเยาวชนของไทย ลดความเหลื่อมล้ําในระบบการศึกษา และพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเริ่มต้นการปฏิรูปการศึกษามักจะมีคําถามเสมอว่า ทําไมไทยไม่ทําตามประเทศที่ประสบความสําเร็จในการปฏิรูปการศึกษา เช่น สิงคโปร์ ฟินแลนด์ ฯลฯ ซึ่งจะเห็นว่าประเทศเหล่านี้หน่วยงานต่าง ๆ ทางการศึกษามีความเป็นอิสระสูงมาก อาจจะยังไม่เหมาะสมกับบริบทของไทย แต่สิ่งสําคัญที่ไทยนําแนวคิดของทั้ง2ประเทศมาเป็นบทเรียนสําคัญในการปฏิรูปการศึกษา คือ พยายาม "ลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา" ก่อนเป็นลําดับแรก ก่อนที่จะไปพูดถึงเรื่องคุณภาพ โอกาสนี้ นพ.ธีระเกียรติ ได้นําเสนอข้อมูลพื้นฐานระบบการศึกษาของประเทศ (Education in THAILAND) ในที่ประชุมโดยกล่าวว่าหากพิจารณาจากข้อมูลสนับสนุนเชิงประจักษ์ (Evidence-based Policy) ที่ได้อ้างอิงจากผลประเมินจากการทดสอบ PISA (Programme for International Student Assessment) จัดโดยองค์กรความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือที่เรียกว่า OECD (Organization for Economic Cooperation and Development) ในวิชาที่เป็นหัวใจของการพัฒนา 3 วิชา คือ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน ซึ่งปี พ.ศ.2543 (ค.ศ.2000) เป็นปีที่ประเทศไทยเริ่มมีการปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่ของประเทศ และเป็นปีที่ไทยเข้าร่วมPISAซึ่งผลคะแนนของการทดสอบPISAทุก ๆ 30 คะแนนที่ห่างจากค่าเฉลี่ยPISAจะเท่ากับ 1 ปีการศึกษา นั่นก็คือผลสอบปีล่าสุด พบว่าเด็กไทยอายุ 15 ปีที่เข้ารับการทดสอบPISAมีความรู้ใน 3 วิชาดังกล่าว ห่างจากประเทศที่พัฒนาแล้วโดยเฉลี่ยเกือบ 3 ปีการศึกษา หรือยังคงอยู่ห่างจากคุณภาพของเด็กสิงคโปร์ 5 ปีการศึกษา นอกจากนี้ ข้อมูลการสอบPISAในช่วงเวลา 16 ปีที่ผ่านมาก็พบด้วยว่า เด็กที่ติดอันดับสูงสุดของไทย 10%ได้คะแนนเฉลี่ยเกือบ 550 คะแนน แต่เด็กที่อ่อนที่สุดได้คะแนนเฉลี่ยต่ํากว่า 350 คะแนน เท่ากับว่าเด็กไทยที่ได้คะแนนในกลุ่มสูงสุดกับกลุ่มต่ําสุดมีความเหลื่อมล้ํากันเองภายในประเทศถึง7ปี ซึ่งมีความเหลื่อมล้ํามากกว่าที่เราห่างจากสิงคโปร์เสียอีก และสะท้อนให้เห็นว่าทิศทางปฏิรูปการศึกษาในช่วง 16 ปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ วิธีการและการลงทุนในการปฏิรูปการศึกษาด้านต่าง ๆ ของไทยล้มเหลว เพราะช่องว่างทางการศึกษาไม่ได้ลดลงเลย ทั้งนี้ เมื่อวิเคราะห์กลุ่มโรงเรียนที่เข้ารับการทดสอบPISAของไทยพบว่าโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร (กทม.)ได้คะแนนต่ําที่สุด ถัดมาตามลําดับคือโรงเรียนในสังกัด อบต./อบจ., โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา, โรงเรียนเอกชน, โรงเรียนมัธยมศึกษาทั่วไป, โรงเรียนสาธิต จนถึงกลุ่มที่ได้คะแนนสูงที่สุดซึ่งเป็นกลุ่มโรงเรียนชั้นนํา เช่น เตรียมอุดมศึกษา สวนกุหลาบวิทยาลัย และกลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์ คือ จุฬาภรณราชวิทยาลัย และมหิดลวิทยานุสรณ์ตามลําดับ กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ให้ความสําคัญกับการพัฒนา และการจัดสรรทรัพยากรให้แก่โรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลและอยู่ในระดับล่างสุดเพื่อยกระดับกลุ่มเด็กที่ได้คะแนนต่ําที่สุดขึ้นมาให้ได้แต่ในขณะเดียวผลการวิเคราะห์ยังพบว่าหลายประเทศ เช่น มาเก๊า ฮ่องกง เวียดนาม และเอสโตเนีย ได้อันดับPISAติดอันดับต้นของโลก โดยเฉพาะเด็กยากจนที่สุดของเวียดนามสามารถเอาชนะเด็กที่มีความพร้อมหรือเด็กรวยที่สุดของOECDที่อยู่ในกลุ่มประเทศยุโรปได้ ทําให้เห็นบทเรียนสําคัญของเวียดนามที่ทําให้ประสบความสําเร็จ คือ การส่งเสริมให้เด็กกระตือรือร้นหรืออยากที่จะเรียนหนังสือ (Mindset) เพราะสถิติพบว่าเด็กเวียดนามตื่นเต้นกับการเรียนหนังสืออยู่ตลอดเวลา โดยในจํานวนเด็ก 100 คนจะพบเด็กยากจนของเวียดนามอยากเรียนหนังสือมากถึง 77 คน ส่วนเด็กไทยที่อยากเรียนหนังสือใน 100 คนจะพบเพียง 18คนเท่านั้น ดังนั้น จึงฝากประเด็นนี้ให้ที่ประชุมร่วมกันขบคิดพิจารณาว่าจะทําอย่างไรให้ช่วยกันลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา และเราสามารถดึงสิ่งที่ดีที่สุด หรือศักยภาพให้ออกมาจากตัวเด็กให้ได้มากที่สุด เหมือนกับที่ปรัชญาการศึกษาของเกาหลีใต้ คือ “ปลุกมังกรออกมาจากตัว” และที่สําคัญจะต้องไม่ลืมแนวคิดของ อ.ป๋วย คือ "การจัดการศึกษาเพื่อชีวิตและสังคม" บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน อรพรรณ ฤทธิ์มั่น: ถ่ายภาพ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.เปิดการประชุมผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ เรื่อง "การพัฒนาชนบทเพื่อขจัดความยากจนในเอเชีย" (Revitalizing Rural Development for Poverty Eradication in Asia) วันพฤหัสบดีที่ 3 สิงหาคม 2560 รมว.ศธ.เปิดการประชุมผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ เรื่อง "การพัฒนาชนบทเพื่อขจัดความยากจนในเอเชีย" (Revitalizing Rural Development for Poverty Eradication in Asia) นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ เรื่อง "การพัฒนาชนบทเพื่อขจัดความยากจนในเอเชีย : Revitalizing Rural Development for Poverty Eradication in Asia" จัดโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วม อาทิ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายสมหวัง พ่วงบางโพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี, ผศ.นิธินันท์ วิศเวศวร รักษาการรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ และคณบดีวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์, ผศ.จิตติ มงคลชัยอรัญญา คณบดีวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมทั้งนักวิชาการจากนานาประเทศในทวีปเอเชียเข้าร่วมประชุมกว่า300คน เมื่อวันพุธที่2สิงหาคม2560ณ โรงแรมเซ็นทาราฯ จังหวัดอุดรธานี นพ.ธีระเกียรติเจริญเศรษฐศิลป์กล่าวตอนหนึ่งว่า การประชุมครั้งนี้เป็นเวทีที่สําคัญในการทําความเข้าใจในการพัฒนาชนบทของประเทศต่าง ๆ ในทวีปเอเชีย ซึ่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดขึ้นในโอกาสรําลึก100ปีชาตกาล "ป๋วย อึ๊งภากรณ์" ที่ยูเนสโกได้ประกาศให้เป็นบุคคลสําคัญของโลกเมื่อปี2558โดยดร.ป๋วย เป็นอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยและอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีผลงานสําคัญในด้านการริเริ่มพัฒนาชนบท พัฒนาระบบการศึกษาของชาติ ผลักดันแนวความคิดในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ําทางเศรษฐกิจในสังคมไทยอย่างมากมาย เป็นต้น ดร.ป๋วย ถือเป็นตัวอย่างของบุคคลในอุดมคติมีอิทธิพลต่อตนเองเป็นอย่างมาก เคยอ่านหนังสือต่าง ๆ รวมทั้งได้ศึกษาประวัติชีวิตของท่าน เมื่อครั้งท่านดํารงตําแหน่งที่สําคัญ ๆ พร้อมกันหลายตําแหน่ง เป็นตัวอย่างที่ดีที่ไม่ขอรับเงินเดือนซ้อนกันในหลายตําแหน่ง จึงถือเป็นส่วนหนึ่งที่ขอยกย่องและภูมิใจที่การจัดงานครั้งนี้เป็นอีกส่วนหนึ่งในโอกาสรําลึก100ปีชาตกาลที่คนรุ่นหลังได้มีโอกาสยกย่องท่าน อีกส่วนหนึ่งที่จะกล่าวคือนโยบายการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการซึ่งแม้ว่ารัฐส่งเสริมจัดการศึกษาให้ผู้เรียนจบออกมาได้รับปริญญาและมีงานทํา แต่สิ่งสําคัญอีกประการคือควรเป็นคนที่ใช้ชีวิตที่คุ้มค่าต่อสังคม ดังเช่น อ.ป๋วย ดังนั้นกระทรวงศึกษาธิการจึงได้ให้ความสําคัญในแนวทางจัดการศึกษา3ประการที่สําคัญ คือ การให้โอกาสที่ดีที่สุดแก่เด็กและเยาวชนของไทย ลดความเหลื่อมล้ําในระบบการศึกษา และพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเริ่มต้นการปฏิรูปการศึกษามักจะมีคําถามเสมอว่า ทําไมไทยไม่ทําตามประเทศที่ประสบความสําเร็จในการปฏิรูปการศึกษา เช่น สิงคโปร์ ฟินแลนด์ ฯลฯ ซึ่งจะเห็นว่าประเทศเหล่านี้หน่วยงานต่าง ๆ ทางการศึกษามีความเป็นอิสระสูงมาก อาจจะยังไม่เหมาะสมกับบริบทของไทย แต่สิ่งสําคัญที่ไทยนําแนวคิดของทั้ง2ประเทศมาเป็นบทเรียนสําคัญในการปฏิรูปการศึกษา คือ พยายาม "ลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา" ก่อนเป็นลําดับแรก ก่อนที่จะไปพูดถึงเรื่องคุณภาพ โอกาสนี้ นพ.ธีระเกียรติ ได้นําเสนอข้อมูลพื้นฐานระบบการศึกษาของประเทศ (Education in THAILAND) ในที่ประชุมโดยกล่าวว่าหากพิจารณาจากข้อมูลสนับสนุนเชิงประจักษ์ (Evidence-based Policy) ที่ได้อ้างอิงจากผลประเมินจากการทดสอบ PISA (Programme for International Student Assessment) จัดโดยองค์กรความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือที่เรียกว่า OECD (Organization for Economic Cooperation and Development) ในวิชาที่เป็นหัวใจของการพัฒนา 3 วิชา คือ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน ซึ่งปี พ.ศ.2543 (ค.ศ.2000) เป็นปีที่ประเทศไทยเริ่มมีการปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่ของประเทศ และเป็นปีที่ไทยเข้าร่วมPISAซึ่งผลคะแนนของการทดสอบPISAทุก ๆ 30 คะแนนที่ห่างจากค่าเฉลี่ยPISAจะเท่ากับ 1 ปีการศึกษา นั่นก็คือผลสอบปีล่าสุด พบว่าเด็กไทยอายุ 15 ปีที่เข้ารับการทดสอบPISAมีความรู้ใน 3 วิชาดังกล่าว ห่างจากประเทศที่พัฒนาแล้วโดยเฉลี่ยเกือบ 3 ปีการศึกษา หรือยังคงอยู่ห่างจากคุณภาพของเด็กสิงคโปร์ 5 ปีการศึกษา นอกจากนี้ ข้อมูลการสอบPISAในช่วงเวลา 16 ปีที่ผ่านมาก็พบด้วยว่า เด็กที่ติดอันดับสูงสุดของไทย 10%ได้คะแนนเฉลี่ยเกือบ 550 คะแนน แต่เด็กที่อ่อนที่สุดได้คะแนนเฉลี่ยต่ํากว่า 350 คะแนน เท่ากับว่าเด็กไทยที่ได้คะแนนในกลุ่มสูงสุดกับกลุ่มต่ําสุดมีความเหลื่อมล้ํากันเองภายในประเทศถึง7ปี ซึ่งมีความเหลื่อมล้ํามากกว่าที่เราห่างจากสิงคโปร์เสียอีก และสะท้อนให้เห็นว่าทิศทางปฏิรูปการศึกษาในช่วง 16 ปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ วิธีการและการลงทุนในการปฏิรูปการศึกษาด้านต่าง ๆ ของไทยล้มเหลว เพราะช่องว่างทางการศึกษาไม่ได้ลดลงเลย ทั้งนี้ เมื่อวิเคราะห์กลุ่มโรงเรียนที่เข้ารับการทดสอบPISAของไทยพบว่าโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร (กทม.)ได้คะแนนต่ําที่สุด ถัดมาตามลําดับคือโรงเรียนในสังกัด อบต./อบจ., โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา, โรงเรียนเอกชน, โรงเรียนมัธยมศึกษาทั่วไป, โรงเรียนสาธิต จนถึงกลุ่มที่ได้คะแนนสูงที่สุดซึ่งเป็นกลุ่มโรงเรียนชั้นนํา เช่น เตรียมอุดมศึกษา สวนกุหลาบวิทยาลัย และกลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์ คือ จุฬาภรณราชวิทยาลัย และมหิดลวิทยานุสรณ์ตามลําดับ กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ให้ความสําคัญกับการพัฒนา และการจัดสรรทรัพยากรให้แก่โรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลและอยู่ในระดับล่างสุดเพื่อยกระดับกลุ่มเด็กที่ได้คะแนนต่ําที่สุดขึ้นมาให้ได้แต่ในขณะเดียวผลการวิเคราะห์ยังพบว่าหลายประเทศ เช่น มาเก๊า ฮ่องกง เวียดนาม และเอสโตเนีย ได้อันดับPISAติดอันดับต้นของโลก โดยเฉพาะเด็กยากจนที่สุดของเวียดนามสามารถเอาชนะเด็กที่มีความพร้อมหรือเด็กรวยที่สุดของOECDที่อยู่ในกลุ่มประเทศยุโรปได้ ทําให้เห็นบทเรียนสําคัญของเวียดนามที่ทําให้ประสบความสําเร็จ คือ การส่งเสริมให้เด็กกระตือรือร้นหรืออยากที่จะเรียนหนังสือ (Mindset) เพราะสถิติพบว่าเด็กเวียดนามตื่นเต้นกับการเรียนหนังสืออยู่ตลอดเวลา โดยในจํานวนเด็ก 100 คนจะพบเด็กยากจนของเวียดนามอยากเรียนหนังสือมากถึง 77 คน ส่วนเด็กไทยที่อยากเรียนหนังสือใน 100 คนจะพบเพียง 18คนเท่านั้น ดังนั้น จึงฝากประเด็นนี้ให้ที่ประชุมร่วมกันขบคิดพิจารณาว่าจะทําอย่างไรให้ช่วยกันลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา และเราสามารถดึงสิ่งที่ดีที่สุด หรือศักยภาพให้ออกมาจากตัวเด็กให้ได้มากที่สุด เหมือนกับที่ปรัชญาการศึกษาของเกาหลีใต้ คือ “ปลุกมังกรออกมาจากตัว” และที่สําคัญจะต้องไม่ลืมแนวคิดของ อ.ป๋วย คือ "การจัดการศึกษาเพื่อชีวิตและสังคม" บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน อรพรรณ ฤทธิ์มั่น: ถ่ายภาพ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5674
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้ารับมือสถานการณ์ภัยแล้ง ปล่อยคาราวานเครื่องจักร เครื่องมือเตรียมช่วยเหลือในพื้นที่ พร้อมบูรณาการด้านข้อมูลน้ำอย่างเป็นระบบ
วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม 2562 กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้ารับมือสถานการณ์ภัยแล้ง ปล่อยคาราวานเครื่องจักร เครื่องมือเตรียมช่วยเหลือในพื้นที่ พร้อมบูรณาการด้านข้อมูลน้ําอย่างเป็นระบบ กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้ารับมือสถานการณ์ภัยแล้ง ปล่อยคาราวานเครื่องจักร เครื่องมือเตรียมช่วยเหลือในพื้นที่ พร้อมบูรณาการด้านข้อมูลน้ําอย่างเป็นระบบ หวังบริหารจัดการน้ําให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกรและประชาชน นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมเตรียมการรับมือภัยแล้ง และพิธีปล่อยขบวนคาราวานเครื่องจักรกล เครื่องสูบน้ํา รถบรรทุกน้ํา เพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่คาดว่าจะประสบภัยแล้ง ณ บริเวณสนามฟุตบอล (น้ําแก้จน) กรมชลประทาน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ว่า ตามที่นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีนโยบายให้หน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯ ที่เกี่ยวข้องมีความตื่นตัว ตระหนัก และเตรียมพร้อมในการรับมือสถานการณ์ภัยแล้งที่กําลังจะมาถึง โดยมอบหมายให้กรมชลประทานเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทําฐานข้อมูลปริมาณน้ําทั้งประเทศ ความต้องการใช้น้ํา ทั้งในเขตและนอกเขตชลประทานอย่างเป็นระบบ เพื่อนํามาวิเคราะห์เป็นรายพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวัง และกําหนดมาตรการที่เหมาะสมในการบริหารจัดการน้ําให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ ทั้งในการเตรียมความพร้อมด้านเครื่องมือ เครื่องจักรในการช่วยเหลือหากประสบภาวะขาดแคลนน้ํา รวมทั้งการบูรณาการการทํางานร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการประชุมในวันนี้ได้มีการรายงานผลการบริหารจัดการน้ําฤดูแล้ง ปี 2561/62 (1 พ.ย. 61-7 มี.ค. 62) มีปริมาณน้ําเก็บกักทั้งประเทศ แบ่งเป็น 1) อ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่ 35 แห่ง มีปริมาณน้ํากักเก็บ 47,141 ล้าน ลบ.ม. นํามาใช้ได้ 23,599 ล้าน ลบ.ม. 2) อ่างเก็บน้ําขนาดกลาง 412 แห่ง มีปริมาณน้ํากักเก็บ 2,696 ล้าน ลบ.ม. นํามาใช้ได้ 2,310 ล้าน ลบ.ม. และ 3) ปริมาณน้ําจากแหล่งน้ําอื่น ๆ นํามาใช้ได้ 1,138 ล้าน ลบ.ม. รวมปริมาณน้ําใช้การทั้งประเทศ 27,047 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งเป็นไปตามแผนที่วางไว้ "วันนี้กระทรวงเกษตรฯ ได้ปล่อยคาราวานเครื่องจักรกล เครื่องสูบน้ํา รถบรรทุกน้ํา ลงไปในพื้นที่เสี่ยงที่จะประสบภัยแล้ง ตามนโยบายของรัฐบาลที่มอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯ เข้ามาดูแลและแก้ไขปัญหาภัยแล้งของเกษตรกรและประชาชน อีกทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เน้นย้ําและกําชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการการทํางานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการน้ําให้ตลอดรอดฝั่งในช่วงแล้งนี้ ซึ่งได้มีการดําเนินงานมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2561 และจากการวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงภัยแล้งจึงได้มีการเตรียมเครื่องมือ เครื่องจักร ลงไปในพื้นที่เพื่อบรรเทาภัยแล้งในเบื้องต้น รวมทั้งมีแผนการติดตามสถานการณ์และรายงานผลให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ รับทราบในทุกวันจันทร์อีกด้วย" ปลัดกระทรวงเกษตรฯ กล่าว ด้านนายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรมครั้งนี้เป็นการปล่อยขบวนคาราวานเครื่องมือ เครื่องจักร อาทิเช่น รถบรรทุกน้ําและเครื่องสูบน้ํา เครื่องจักรกลอื่น ๆ จากสํานักเครื่องจักรกลส่วนกลาง เข้าสนับสนุนพื้นที่เพิ่มเติม โดยจัดส่งเครื่องสูบน้ําจํานวน 1,935 เครื่อง รถสูบน้ําจํานวน 258 คัน เครื่องผลักดันน้ําจํานวน 527 เครื่อง รถขุดจํานวน 499 คัน เรือขุดจํานวน 69 ลํา รถบรรทุกจํานวน 511 คัน รถบรรทุกน้ําจํานวน 106 คัน รถแทรกเตอร์จํานวน 565 คัน เครื่องจักรกลสนับสนุนอื่นๆ อีก 373 เครื่อง และสะพานเหล็กแบบถอดประกอบได้ยาว 44 เมตร จํานวน 7 อัน พร้อมเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการตามพื้นที่ที่ประสบภัยแล้ง เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น. กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้ารับมือสถานการณ์ภัยแล้ง ปล่อยคาราวานเครื่องจักร เครื่องมือเตรียมช่วยเหลือในพื้นที่ พร้อมบูรณาการด้านข้อมูลน้ำอย่างเป็นระบบ วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม 2562 กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้ารับมือสถานการณ์ภัยแล้ง ปล่อยคาราวานเครื่องจักร เครื่องมือเตรียมช่วยเหลือในพื้นที่ พร้อมบูรณาการด้านข้อมูลน้ําอย่างเป็นระบบ กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้ารับมือสถานการณ์ภัยแล้ง ปล่อยคาราวานเครื่องจักร เครื่องมือเตรียมช่วยเหลือในพื้นที่ พร้อมบูรณาการด้านข้อมูลน้ําอย่างเป็นระบบ หวังบริหารจัดการน้ําให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกรและประชาชน นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมเตรียมการรับมือภัยแล้ง และพิธีปล่อยขบวนคาราวานเครื่องจักรกล เครื่องสูบน้ํา รถบรรทุกน้ํา เพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่คาดว่าจะประสบภัยแล้ง ณ บริเวณสนามฟุตบอล (น้ําแก้จน) กรมชลประทาน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ว่า ตามที่นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีนโยบายให้หน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯ ที่เกี่ยวข้องมีความตื่นตัว ตระหนัก และเตรียมพร้อมในการรับมือสถานการณ์ภัยแล้งที่กําลังจะมาถึง โดยมอบหมายให้กรมชลประทานเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทําฐานข้อมูลปริมาณน้ําทั้งประเทศ ความต้องการใช้น้ํา ทั้งในเขตและนอกเขตชลประทานอย่างเป็นระบบ เพื่อนํามาวิเคราะห์เป็นรายพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวัง และกําหนดมาตรการที่เหมาะสมในการบริหารจัดการน้ําให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ ทั้งในการเตรียมความพร้อมด้านเครื่องมือ เครื่องจักรในการช่วยเหลือหากประสบภาวะขาดแคลนน้ํา รวมทั้งการบูรณาการการทํางานร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการประชุมในวันนี้ได้มีการรายงานผลการบริหารจัดการน้ําฤดูแล้ง ปี 2561/62 (1 พ.ย. 61-7 มี.ค. 62) มีปริมาณน้ําเก็บกักทั้งประเทศ แบ่งเป็น 1) อ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่ 35 แห่ง มีปริมาณน้ํากักเก็บ 47,141 ล้าน ลบ.ม. นํามาใช้ได้ 23,599 ล้าน ลบ.ม. 2) อ่างเก็บน้ําขนาดกลาง 412 แห่ง มีปริมาณน้ํากักเก็บ 2,696 ล้าน ลบ.ม. นํามาใช้ได้ 2,310 ล้าน ลบ.ม. และ 3) ปริมาณน้ําจากแหล่งน้ําอื่น ๆ นํามาใช้ได้ 1,138 ล้าน ลบ.ม. รวมปริมาณน้ําใช้การทั้งประเทศ 27,047 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งเป็นไปตามแผนที่วางไว้ "วันนี้กระทรวงเกษตรฯ ได้ปล่อยคาราวานเครื่องจักรกล เครื่องสูบน้ํา รถบรรทุกน้ํา ลงไปในพื้นที่เสี่ยงที่จะประสบภัยแล้ง ตามนโยบายของรัฐบาลที่มอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯ เข้ามาดูแลและแก้ไขปัญหาภัยแล้งของเกษตรกรและประชาชน อีกทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เน้นย้ําและกําชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการการทํางานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการน้ําให้ตลอดรอดฝั่งในช่วงแล้งนี้ ซึ่งได้มีการดําเนินงานมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2561 และจากการวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงภัยแล้งจึงได้มีการเตรียมเครื่องมือ เครื่องจักร ลงไปในพื้นที่เพื่อบรรเทาภัยแล้งในเบื้องต้น รวมทั้งมีแผนการติดตามสถานการณ์และรายงานผลให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ รับทราบในทุกวันจันทร์อีกด้วย" ปลัดกระทรวงเกษตรฯ กล่าว ด้านนายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรมครั้งนี้เป็นการปล่อยขบวนคาราวานเครื่องมือ เครื่องจักร อาทิเช่น รถบรรทุกน้ําและเครื่องสูบน้ํา เครื่องจักรกลอื่น ๆ จากสํานักเครื่องจักรกลส่วนกลาง เข้าสนับสนุนพื้นที่เพิ่มเติม โดยจัดส่งเครื่องสูบน้ําจํานวน 1,935 เครื่อง รถสูบน้ําจํานวน 258 คัน เครื่องผลักดันน้ําจํานวน 527 เครื่อง รถขุดจํานวน 499 คัน เรือขุดจํานวน 69 ลํา รถบรรทุกจํานวน 511 คัน รถบรรทุกน้ําจํานวน 106 คัน รถแทรกเตอร์จํานวน 565 คัน เครื่องจักรกลสนับสนุนอื่นๆ อีก 373 เครื่อง และสะพานเหล็กแบบถอดประกอบได้ยาว 44 เมตร จํานวน 7 อัน พร้อมเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการตามพื้นที่ที่ประสบภัยแล้ง เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น. กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19205
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการค่ายองค์รวม “ตามรอยพ่อ”
วันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคม 2560 โครงการค่ายองค์รวม “ตามรอยพ่อ” เมื่อวันพุธที่ 4 ตุลาคม 2560 กลุ่มโรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จัดกิจกรรมโครงการค่ายองค์รวม “ตามรอยพ่อ” ประจําปี 2560 ที่ห้องประชุมโรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (ทวีวัฒนา) ในพระราชูปถัมภ์ฯ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร โดยได้รับเกียรติจาก ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีปิดโครงการ พร้อมมอบเกียรติบัตรแก่ผู้บริหาร คณะครู และนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวมีใจความตอนหนึ่งว่า "การให้ความรู้มีค่ามากกว่าทรัพย์สินเงินทอง" ซึ่งเป็นพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ถือเป็นหนึ่งในศาสตร์ของพระราชา ที่ชาวกระทรวงศึกษาธิการน้อมใส่เกล้าฯ เพื่อเดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท โดยนํามาประยุกต์ใช้เป็นแนวทางการจัดการศึกษาแก่เด็กเยาวชนในทุกระดับทุกประเภท รวมทั้งการเรียนรู้ของประชาชนด้วย การดําเนินโครงการค่ายองค์รวม “ตามรอยพ่อ”ก็ถือว่ามีความสอดคล้องกับการน้อมนําศาสตร์พระราชาสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง โดยมุ่งหวังให้นักเรียนได้รับความรู้และมีความเข้าใจเกี่ยวกับศาสตร์พระราชา ได้ศึกษาแหล่งเรียนรู้ และนําองค์ความรู้สู่การแลกเปลี่ยนระหว่างกลุ่มโรงเรียน จนสามารถประยุกต์ใช้ในชีวิตประจําวันได้อย่างกลมกลืน ซึ่งศาสตร์พระราชา ถือเป็นความรู้ที่มีคุณค่ายิ่งและไม่มีวันล้าสมัย โดยเฉพาะหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) เป็นศาสตร์ในการดําเนินชีวิตอย่างยั่งยืน เป็นศาสตร์ที่ผู้คนทุกเพศทุกวัยทุกอาชีพสามารถนําไปใช้ได้ สิ่งสําคัญคือเป็นศาสตร์เป็นองค์ความรู้ที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ ดังนั้น ยิ่งเราสร้างความตระหนักรู้ให้ลูกหลานเยาวชนตลอดจนครูอาจารย์ ให้สามารถนําไปใช้ได้มากเพียงใด เท่ากับได้สนองพระราชปณิธานและนําแนวคิดของพระองค์มาเป็นแนวทางใช้ชีวิตมากเท่านั้น เมื่อนั้นก็เท่ากับว่าพระองค์ไม่ได้เสด็จจากเราไปไหน แต่ยังคงสถิตเสถียรอยู่ในใจของเราตลอดไป และในฐานะกระทรวงศึกษาธิการและข้าราชการทุกคน ต้องขอแสดงความชื่นชมต่อความสําเร็จของโครงการตามเป้าหมายที่วางไว้ และหวังให้มีการขยายผลโครงการดี ๆ เช่นนี้ไปสู่โรงเรียนและสถาบันการศึกษาอื่นต่อไป โครงการค่ายองค์รวม "ตามรอยพ่อ" ประจําปี 2560 ของกลุ่มโรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร กําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-4 ตุลาคม 2560 ที่โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (ทวีวัฒนา) ในพระราชูปถัมภ์ฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนได้รับความรู้ ความเข้าใจในเรื่องศาสตร์พระราชา หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ให้ได้รับประสบการณ์จริงจากการศึกษาแหล่งเรียนรู้ ตลอดจนมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถึงแนวความคิด ประสบการณ์ และวัฒนธรรมต่างภูมิภาค ระหว่างครูและนักเรียนในกลุ่มโรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ฯ เพื่อให้บรรลุตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรการศึกษาแห่งชาติที่ว่า นักเรียนเป็นผู้ที่ดี มีความเก่ง และดํารงชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของประเทศชาติต่อไป กลุ่มโรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ฯ ประกอบด้วยโรงเรียน 15 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนมกุฎเมืองราชวิทยาลัย, โรงเรียนอนุราชประสิทธิ์, โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา 1 นครพนม, โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา 2 กําแพงเพชร, โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา 3 สุราษฎร์ธานี, โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี 1 อุดรธานี, โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี 2 สงขลา, โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี 3 ฉะเชิงเทรา, โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดโบสถ์) ในพระราชูปถัมภ์ฯ, โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดน้อยใน) ในพระราชูปถัมภ์ฯ, โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (ทวีวัฒนา) ในพระราชูปถัมภ์ฯ, โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดประดู่) ในพระราชูปถัมภ์ฯ, โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (มัธยมวัดหัตถสารเกษตร) ในพระราชูปถัมภ์ฯ, โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดสุนทรสถิต) ในพระราชูปถัมภ์ฯ และโรงเรียนราชปิโยรสา ยุพราชานุสรณ์ นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการค่ายองค์รวม “ตามรอยพ่อ” วันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคม 2560 โครงการค่ายองค์รวม “ตามรอยพ่อ” เมื่อวันพุธที่ 4 ตุลาคม 2560 กลุ่มโรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จัดกิจกรรมโครงการค่ายองค์รวม “ตามรอยพ่อ” ประจําปี 2560 ที่ห้องประชุมโรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (ทวีวัฒนา) ในพระราชูปถัมภ์ฯ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร โดยได้รับเกียรติจาก ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีปิดโครงการ พร้อมมอบเกียรติบัตรแก่ผู้บริหาร คณะครู และนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวมีใจความตอนหนึ่งว่า "การให้ความรู้มีค่ามากกว่าทรัพย์สินเงินทอง" ซึ่งเป็นพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ถือเป็นหนึ่งในศาสตร์ของพระราชา ที่ชาวกระทรวงศึกษาธิการน้อมใส่เกล้าฯ เพื่อเดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท โดยนํามาประยุกต์ใช้เป็นแนวทางการจัดการศึกษาแก่เด็กเยาวชนในทุกระดับทุกประเภท รวมทั้งการเรียนรู้ของประชาชนด้วย การดําเนินโครงการค่ายองค์รวม “ตามรอยพ่อ”ก็ถือว่ามีความสอดคล้องกับการน้อมนําศาสตร์พระราชาสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง โดยมุ่งหวังให้นักเรียนได้รับความรู้และมีความเข้าใจเกี่ยวกับศาสตร์พระราชา ได้ศึกษาแหล่งเรียนรู้ และนําองค์ความรู้สู่การแลกเปลี่ยนระหว่างกลุ่มโรงเรียน จนสามารถประยุกต์ใช้ในชีวิตประจําวันได้อย่างกลมกลืน ซึ่งศาสตร์พระราชา ถือเป็นความรู้ที่มีคุณค่ายิ่งและไม่มีวันล้าสมัย โดยเฉพาะหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) เป็นศาสตร์ในการดําเนินชีวิตอย่างยั่งยืน เป็นศาสตร์ที่ผู้คนทุกเพศทุกวัยทุกอาชีพสามารถนําไปใช้ได้ สิ่งสําคัญคือเป็นศาสตร์เป็นองค์ความรู้ที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ ดังนั้น ยิ่งเราสร้างความตระหนักรู้ให้ลูกหลานเยาวชนตลอดจนครูอาจารย์ ให้สามารถนําไปใช้ได้มากเพียงใด เท่ากับได้สนองพระราชปณิธานและนําแนวคิดของพระองค์มาเป็นแนวทางใช้ชีวิตมากเท่านั้น เมื่อนั้นก็เท่ากับว่าพระองค์ไม่ได้เสด็จจากเราไปไหน แต่ยังคงสถิตเสถียรอยู่ในใจของเราตลอดไป และในฐานะกระทรวงศึกษาธิการและข้าราชการทุกคน ต้องขอแสดงความชื่นชมต่อความสําเร็จของโครงการตามเป้าหมายที่วางไว้ และหวังให้มีการขยายผลโครงการดี ๆ เช่นนี้ไปสู่โรงเรียนและสถาบันการศึกษาอื่นต่อไป โครงการค่ายองค์รวม "ตามรอยพ่อ" ประจําปี 2560 ของกลุ่มโรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร กําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-4 ตุลาคม 2560 ที่โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (ทวีวัฒนา) ในพระราชูปถัมภ์ฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนได้รับความรู้ ความเข้าใจในเรื่องศาสตร์พระราชา หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ให้ได้รับประสบการณ์จริงจากการศึกษาแหล่งเรียนรู้ ตลอดจนมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถึงแนวความคิด ประสบการณ์ และวัฒนธรรมต่างภูมิภาค ระหว่างครูและนักเรียนในกลุ่มโรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ฯ เพื่อให้บรรลุตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรการศึกษาแห่งชาติที่ว่า นักเรียนเป็นผู้ที่ดี มีความเก่ง และดํารงชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของประเทศชาติต่อไป กลุ่มโรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ฯ ประกอบด้วยโรงเรียน 15 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนมกุฎเมืองราชวิทยาลัย, โรงเรียนอนุราชประสิทธิ์, โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา 1 นครพนม, โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา 2 กําแพงเพชร, โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา 3 สุราษฎร์ธานี, โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี 1 อุดรธานี, โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี 2 สงขลา, โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี 3 ฉะเชิงเทรา, โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดโบสถ์) ในพระราชูปถัมภ์ฯ, โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดน้อยใน) ในพระราชูปถัมภ์ฯ, โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (ทวีวัฒนา) ในพระราชูปถัมภ์ฯ, โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดประดู่) ในพระราชูปถัมภ์ฯ, โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (มัธยมวัดหัตถสารเกษตร) ในพระราชูปถัมภ์ฯ, โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดสุนทรสถิต) ในพระราชูปถัมภ์ฯ และโรงเรียนราชปิโยรสา ยุพราชานุสรณ์ นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7179
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุม ก.ค.ศ. 3/2561
วันจันทร์ที่ 2 เมษายน 2561 ผลประชุม ก.ค.ศ. 3/2561 นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 3/2561 นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่3/2561 เมื่อวันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2561 ณ ห้องประชุมจันทรเกษม อาคารราชวัลลภ โดยมี นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธาน ก.ค.ศ. เป็นประธานการประชุมและศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการเข้าร่วมประชุม ● กําหนดแนวทางการดําเนินการเกี่ยวกับการพิจารณาย้ายผู้บริหารสถานศึกษา นายพินิจศักดิ์กล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือแนวทางการดําเนินการเกี่ยวกับการพิจารณาย้ายผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ภายหลังศาลปกครองอุบลราชธานีมีคําสั่งทุเลาการบังคับ ตามข้อ 10 และข้อ 11 ของหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว 24/2560 ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายฯ เป็นการเฉพาะ เพื่อใช้ย้ายผู้อํานวยการสถานศึกษาครั้งใหม่ให้รัดกุม โดยไม่ให้กระทบกับคําสั่งศาลและให้ยึดหลักการตามคําสั่งศาลปกครองที่ให้สามารถพิจารณาการย้ายผู้บริหารสถานศึกษาเพื่อการบริหารงานของรัฐได้ รมว.ศึกษาธิการกล่าวเพิ่มเติมในประเด็นนี้ด้วยว่า ที่ประชุมได้มีการหารือกับฝ่ายกฎหมายอย่างกว้างขวาง และพิจารณาเห็นว่าหากรออุทธรณ์เพียงอย่างเดียว การบริหารงานอาจเดินหน้าต่อไปไม่ได้ ตลอดจนเพื่อเป็นการปฏิบัติตามคําสั่งศาล จึงมีมติให้ออกหลักเกณฑ์การย้ายใหม่ด้วยความรัดกุม เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาสําหรับผู้ที่ผ่านเกณฑ์ ว9 และไม่ส่งผลกระทบกับข้อ 10 หรือข้อ 11 ของ ว24/2560 ซึ่งมีตําแหน่งรอการบรรจุอยู่จํานวนมาก โดยคาดว่าจะดําเนินการแก้ไขปัญหาแล้วเสร็จภายในช่วงปิดเทอมนี้ ส่วนผู้ที่มีสิทธิ์ตาม ว24/2560 หลังศาลมีคําสั่งก็ต้องพักไว้ก่อน แต่เมื่อหลักเกณฑ์ใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้วและมีคุณสมบัติครบ ก็สามารถยื่นขอย้ายตามหลักเกณฑ์ใหม่ได้ ●เห็นชอบหลักเกณฑ์ฯ การขอใช้บัญชีสอบตําแหน่งศึกษานิเทศก์ ที่ประชุมเห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการนํารายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกในบัญชีหนึ่งไปขึ้นเป็นบัญชีผู้ได้รับการคัดเลือกในบัญชีอื่นตําแหน่งศึกษานิเทศก์สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) เป็นผู้ดําเนินการโดยการตกลงยินยอมของ กศจ. เจ้าของบัญชี และ กศจ. ที่ขอรายชื่อผู้ได้การคัดเลือก การขอรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกให้ดําเนินการตามลําดับและขั้นตอน ดังนี้ 1) ให้ขอรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกจากบัญชี ของ กศจ. ที่มีพื้นที่ติดต่อกันในสังกัดสํานักงานศึกษาธิการภาคเดียวกัน 2) หากไม่มี ให้ขอจาก กศจ. ที่มีพื้นที่ติดต่อกันในสํานักงานศึกษาธิการภาคอื่น 3) หากไม่มี ให้ขอจาก กศจ. ใดก็ได้ ในสังกัดสํานักงานศึกษาธิการภาคเดียวกัน 4) หากไม่มี ให้ขอจาก กศจ. ในสังกัดสํานักงานศึกษาธิการภาคใดก็ได้ ให้ กศจ. เจ้าของบัญชี และ กศจ. ที่ขอรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกดําเนินการให้แล้วเสร็จก่อนที่บัญชีเดิมจะครบอายุการขึ้นบัญชี ●เห็นชอบให้เสนอขออัตราว่างจากการเกษียณคืน ที่ประชุมเห็นชอบให้เสนอคณะกรรมการกําหนดเป้าหมายและนโยบายกําลังคนภาครัฐ (คปร.) เพื่อขอยกเว้นเงื่อนไขการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุราชการของข้าราชการครู สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เฉพาะเมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2560คืนให้กับโรงเรียนประถมศึกษา โรงเรียนประถมศึกษาขยายโอกาส และโรงเรียนมัธยมศึกษาที่มีจํานวนนักเรียนน้อยกว่า 250 คนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ปกติแต่ประสบปัญหาการขาดแคลนอัตรากําลังครู จํานวนรวมทั้งสิ้น 2,965 แห่ง จํานวน 3,621 อัตรา ●เห็นชอบกรอบแนวคิดการให้ข้าราชการครูบางตําแหน่ง เป็นสัญญาจ้างปฏิบัติงานรายปี ที่ประชุมเห็นชอบกรอบแนวคิดในการกําหนดระเบียบ ก.ค.ศ. ตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 (ซึ่งมาตรา 52 กําหนดว่า นอกจากการบรรจุและแต่งตั้งเพื่อให้บุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาแล้วก.ค.ศ. อาจกําหนดให้ตําแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาบางตําแหน่ง เป็นสัญญาจ้างปฏิบัติงานรายปีหรือโดยมีกําหนดเวลาตามระเบียบที่ ก.ค.ศ. กําหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลังหรือเป็นพนักงานราชการ โดยไม่ต้องเป็นข้าราชการก็ได้)เพื่อรองรับนโยบายPublic Schoolของรัฐบาลโดยมีกรอบแนวคิด ดังนี้ ในระยะเริ่มแรกควรกําหนดเฉพาะระเบียบ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการจ้างบุคคลให้ดํารงตําแหน่งตามสัญญาจ้าง เนื่องจากการจ้างพนักงานราชการมีระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีกําหนดไว้ให้ปฏิบัติแล้ว การกําหนดตําแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาบางตําแหน่งเป็นสัญญาจ้างในเบื้องต้นเห็นควรกําหนดเพียง 2 ตําแหน่ง คือ ตําแหน่งผู้อํานวยการสถานศึกษา และตําแหน่งครู การสรรหาบุคคลเพื่อจ้างใช้กระบวนการคัดเลือก โดยผู้มีสิทธิ์เข้ารับการคัดเลือกต้องมีคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่งตรงตามที่ ก.ค.ศ.กําหนด เน้นประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญมากเป็นพิเศษ กําหนดระยะเวลาการจ้าง 4 ปีต้องปฏิบัติงานตามเวลาราชการเต็มเวลา และต้องได้รับการประเมินผลการปฏิบัติงานทุกปี เพื่อประเมินผลการจ้าง ค่าตอบแทนและประโยชน์เกื้อกูลอื่น ๆให้เทียบเคียงกับบัญชีอัตราเงินเดือนตามพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจําตําแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2558 และจะกําหนดเพิ่มขึ้นตามคุณวุฒิ ประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญและผลงานที่ปรากฎ กําหนดให้มีการกํากับ ติดตาม และประเมินผลการดําเนินงานสําหรับสถานศึกษาที่มีการจ้างบุคคลให้ดํารงตําแหน่งตามสัญญาจ้าง ใช้งบประมาณของส่วนราชการเป็นค่าจ้าง ●เห็นชอบใช้หลักการเดิมในการสอบครูผู้ช่วย สพฐ. ปี 2561 ที่ประชุมเห็นชอบให้กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขัน เพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี พ.ศ. 2561โดยใช้หลักการเดิมไปก่อน โดยให้มีการสอบทั้ง ภาค ก., ภาค ข. และภาค ค.และให้สอดคล้องกับคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยให้มีการขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ 2 ปี ทั้งนี้ มอบสํานักงาน ก.ค.ศ. ไปดําเนินการจัดประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกร่างหลักเกณฑ์และวิธีการใหม่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้นําเสนอ ก.ค.ศ. ในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนเมษายน 2561 ทั้งนี้ นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้แจ้งต่อที่ประชุมด้วยว่า สพฐ. ได้จัดทํากําหนดการจัดสอบต่าง ๆ เตรียมไว้แล้ว โดยต้องการให้กระบวนการจัดสอบทุกอย่างเสร็จสิ้นภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2561 เพื่อบรรจุครูผู้ช่วยได้ภายในต้นเดือนกรกฎาคม 2561 ●แต่งตั้งอนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน อ.ก.ค.ศ. วิสามัญฯ ที่ประชุมเห็นชอบแต่งตั้งนายวสันต์ นาวเหนียวเป็นอนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการพัฒนานโยบายและระบบบริหารงานบุคคล แทน นายอํารุง จันทวานิช ซึ่งพ้นจากการเป็นอนุกรรมการฯ เนื่องจากอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ Written byดรุวรรณ บุญมาก, นวรัตน์ รามสูต Photoสํานักงาน ก.ค.ศ. Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุม ก.ค.ศ. 3/2561 วันจันทร์ที่ 2 เมษายน 2561 ผลประชุม ก.ค.ศ. 3/2561 นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 3/2561 นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่3/2561 เมื่อวันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2561 ณ ห้องประชุมจันทรเกษม อาคารราชวัลลภ โดยมี นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธาน ก.ค.ศ. เป็นประธานการประชุมและศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการเข้าร่วมประชุม ● กําหนดแนวทางการดําเนินการเกี่ยวกับการพิจารณาย้ายผู้บริหารสถานศึกษา นายพินิจศักดิ์กล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือแนวทางการดําเนินการเกี่ยวกับการพิจารณาย้ายผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ภายหลังศาลปกครองอุบลราชธานีมีคําสั่งทุเลาการบังคับ ตามข้อ 10 และข้อ 11 ของหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว 24/2560 ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายฯ เป็นการเฉพาะ เพื่อใช้ย้ายผู้อํานวยการสถานศึกษาครั้งใหม่ให้รัดกุม โดยไม่ให้กระทบกับคําสั่งศาลและให้ยึดหลักการตามคําสั่งศาลปกครองที่ให้สามารถพิจารณาการย้ายผู้บริหารสถานศึกษาเพื่อการบริหารงานของรัฐได้ รมว.ศึกษาธิการกล่าวเพิ่มเติมในประเด็นนี้ด้วยว่า ที่ประชุมได้มีการหารือกับฝ่ายกฎหมายอย่างกว้างขวาง และพิจารณาเห็นว่าหากรออุทธรณ์เพียงอย่างเดียว การบริหารงานอาจเดินหน้าต่อไปไม่ได้ ตลอดจนเพื่อเป็นการปฏิบัติตามคําสั่งศาล จึงมีมติให้ออกหลักเกณฑ์การย้ายใหม่ด้วยความรัดกุม เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาสําหรับผู้ที่ผ่านเกณฑ์ ว9 และไม่ส่งผลกระทบกับข้อ 10 หรือข้อ 11 ของ ว24/2560 ซึ่งมีตําแหน่งรอการบรรจุอยู่จํานวนมาก โดยคาดว่าจะดําเนินการแก้ไขปัญหาแล้วเสร็จภายในช่วงปิดเทอมนี้ ส่วนผู้ที่มีสิทธิ์ตาม ว24/2560 หลังศาลมีคําสั่งก็ต้องพักไว้ก่อน แต่เมื่อหลักเกณฑ์ใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้วและมีคุณสมบัติครบ ก็สามารถยื่นขอย้ายตามหลักเกณฑ์ใหม่ได้ ●เห็นชอบหลักเกณฑ์ฯ การขอใช้บัญชีสอบตําแหน่งศึกษานิเทศก์ ที่ประชุมเห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการนํารายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกในบัญชีหนึ่งไปขึ้นเป็นบัญชีผู้ได้รับการคัดเลือกในบัญชีอื่นตําแหน่งศึกษานิเทศก์สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) เป็นผู้ดําเนินการโดยการตกลงยินยอมของ กศจ. เจ้าของบัญชี และ กศจ. ที่ขอรายชื่อผู้ได้การคัดเลือก การขอรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกให้ดําเนินการตามลําดับและขั้นตอน ดังนี้ 1) ให้ขอรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกจากบัญชี ของ กศจ. ที่มีพื้นที่ติดต่อกันในสังกัดสํานักงานศึกษาธิการภาคเดียวกัน 2) หากไม่มี ให้ขอจาก กศจ. ที่มีพื้นที่ติดต่อกันในสํานักงานศึกษาธิการภาคอื่น 3) หากไม่มี ให้ขอจาก กศจ. ใดก็ได้ ในสังกัดสํานักงานศึกษาธิการภาคเดียวกัน 4) หากไม่มี ให้ขอจาก กศจ. ในสังกัดสํานักงานศึกษาธิการภาคใดก็ได้ ให้ กศจ. เจ้าของบัญชี และ กศจ. ที่ขอรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกดําเนินการให้แล้วเสร็จก่อนที่บัญชีเดิมจะครบอายุการขึ้นบัญชี ●เห็นชอบให้เสนอขออัตราว่างจากการเกษียณคืน ที่ประชุมเห็นชอบให้เสนอคณะกรรมการกําหนดเป้าหมายและนโยบายกําลังคนภาครัฐ (คปร.) เพื่อขอยกเว้นเงื่อนไขการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุราชการของข้าราชการครู สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เฉพาะเมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2560คืนให้กับโรงเรียนประถมศึกษา โรงเรียนประถมศึกษาขยายโอกาส และโรงเรียนมัธยมศึกษาที่มีจํานวนนักเรียนน้อยกว่า 250 คนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ปกติแต่ประสบปัญหาการขาดแคลนอัตรากําลังครู จํานวนรวมทั้งสิ้น 2,965 แห่ง จํานวน 3,621 อัตรา ●เห็นชอบกรอบแนวคิดการให้ข้าราชการครูบางตําแหน่ง เป็นสัญญาจ้างปฏิบัติงานรายปี ที่ประชุมเห็นชอบกรอบแนวคิดในการกําหนดระเบียบ ก.ค.ศ. ตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 (ซึ่งมาตรา 52 กําหนดว่า นอกจากการบรรจุและแต่งตั้งเพื่อให้บุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาแล้วก.ค.ศ. อาจกําหนดให้ตําแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาบางตําแหน่ง เป็นสัญญาจ้างปฏิบัติงานรายปีหรือโดยมีกําหนดเวลาตามระเบียบที่ ก.ค.ศ. กําหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลังหรือเป็นพนักงานราชการ โดยไม่ต้องเป็นข้าราชการก็ได้)เพื่อรองรับนโยบายPublic Schoolของรัฐบาลโดยมีกรอบแนวคิด ดังนี้ ในระยะเริ่มแรกควรกําหนดเฉพาะระเบียบ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการจ้างบุคคลให้ดํารงตําแหน่งตามสัญญาจ้าง เนื่องจากการจ้างพนักงานราชการมีระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีกําหนดไว้ให้ปฏิบัติแล้ว การกําหนดตําแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาบางตําแหน่งเป็นสัญญาจ้างในเบื้องต้นเห็นควรกําหนดเพียง 2 ตําแหน่ง คือ ตําแหน่งผู้อํานวยการสถานศึกษา และตําแหน่งครู การสรรหาบุคคลเพื่อจ้างใช้กระบวนการคัดเลือก โดยผู้มีสิทธิ์เข้ารับการคัดเลือกต้องมีคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่งตรงตามที่ ก.ค.ศ.กําหนด เน้นประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญมากเป็นพิเศษ กําหนดระยะเวลาการจ้าง 4 ปีต้องปฏิบัติงานตามเวลาราชการเต็มเวลา และต้องได้รับการประเมินผลการปฏิบัติงานทุกปี เพื่อประเมินผลการจ้าง ค่าตอบแทนและประโยชน์เกื้อกูลอื่น ๆให้เทียบเคียงกับบัญชีอัตราเงินเดือนตามพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจําตําแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2558 และจะกําหนดเพิ่มขึ้นตามคุณวุฒิ ประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญและผลงานที่ปรากฎ กําหนดให้มีการกํากับ ติดตาม และประเมินผลการดําเนินงานสําหรับสถานศึกษาที่มีการจ้างบุคคลให้ดํารงตําแหน่งตามสัญญาจ้าง ใช้งบประมาณของส่วนราชการเป็นค่าจ้าง ●เห็นชอบใช้หลักการเดิมในการสอบครูผู้ช่วย สพฐ. ปี 2561 ที่ประชุมเห็นชอบให้กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขัน เพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี พ.ศ. 2561โดยใช้หลักการเดิมไปก่อน โดยให้มีการสอบทั้ง ภาค ก., ภาค ข. และภาค ค.และให้สอดคล้องกับคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยให้มีการขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ 2 ปี ทั้งนี้ มอบสํานักงาน ก.ค.ศ. ไปดําเนินการจัดประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกร่างหลักเกณฑ์และวิธีการใหม่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้นําเสนอ ก.ค.ศ. ในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนเมษายน 2561 ทั้งนี้ นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้แจ้งต่อที่ประชุมด้วยว่า สพฐ. ได้จัดทํากําหนดการจัดสอบต่าง ๆ เตรียมไว้แล้ว โดยต้องการให้กระบวนการจัดสอบทุกอย่างเสร็จสิ้นภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2561 เพื่อบรรจุครูผู้ช่วยได้ภายในต้นเดือนกรกฎาคม 2561 ●แต่งตั้งอนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน อ.ก.ค.ศ. วิสามัญฯ ที่ประชุมเห็นชอบแต่งตั้งนายวสันต์ นาวเหนียวเป็นอนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการพัฒนานโยบายและระบบบริหารงานบุคคล แทน นายอํารุง จันทวานิช ซึ่งพ้นจากการเป็นอนุกรรมการฯ เนื่องจากอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ Written byดรุวรรณ บุญมาก, นวรัตน์ รามสูต Photoสํานักงาน ก.ค.ศ. Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11245
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โรงงานยาสูบ จ่ายเงินรางวัลจับกุม-ปราบปรามบุหรี่ผิดกฎหมาย ประจำปีงบประมาณ 2560
วันอังคารที่ 19 กันยายน 2560 โรงงานยาสูบ จ่ายเงินรางวัลจับกุม-ปราบปรามบุหรี่ผิดกฎหมาย ประจําปีงบประมาณ 2560 โรงงานยาสูบแถลงผลสําเร็จของการดําเนินโครงการปราบปรามบุหรี่ต่างประเทศผิดกฎหมาย และมอบเงินรางวัลสนับสนุนให้แก่หน่วยงานภาครัฐ 3 หน่วยงานที่ดําเนินการจับกุมผู้กระทําผิดลักลอบค้าบุหรี่ผิดกฎหมาย ในปีงบประมาณ 2560 ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 3 ตึกอํานวยการโรงงานยาสูบ นางสาวดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ ผู้อํานวยการยาสูบ กล่าวว่า โรงงานยาสูบดําเนินโครงการปราบปรามบุหรี่ผิดกฎหมาย เพื่อสร้างแรงจูงใจ สร้างขวัญกําลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ภาครัฐในการปราบปราม จับกุมบุหรี่ผิดกฎหมายในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยได้จัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นเงินรางวัลให้แก่เจ้าหน้าที่ภาครัฐ ในวงเงินทั้งสิ้น 10,000,000 บาท ผลดําเนินโครงการดังกล่าวได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานด้านปราบปรามเป็นอย่างดี มีการจับกุมผู้กระทําผิดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตั้งแต่ปีงบประมาณ 2556 -2560 มีผู้กระทําความผิดและจับกุมบุหรี่ต่างประเทศผิดกฎหมายโดยหน่วยงานกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร จํานวน 85,130 ราย จํานวน 9,520,767 ซอง มูลค่ารวมทั้งสิ้น 817,117,075 บาท และในปีงบประมาณ 2560 มีคดีใหญ่ จํานวน 3 คดี ที่สามารถจับกุมและปราบปรามบุหรี่ผิดกฎหมาย ได้บุหรี่ของกลางเป็นจํานวนมาก ในวันนี้โรงงานยาสูบจึงได้จัดพิธีมอบเงินรางวัลให้กับหน่วยงานภาครัฐ 3 หน่วยงาน ได้แก่ (1) ฝ่ายสืบสวนและปราบปราม สํานักงานศุลกากรภาคที่ 4 จํานวน 2,669,750 บาท (2) ส่วนปฏิบัติการพิเศษภัยแทรกซ้อน สํานักอํานวยการข่าวกรอง กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี จํานวน 1,883,989 บาท (3) หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 5 ค่ายเสนาณรงค์ จังหวัดสงขลา จํานวน 918,900 บาท ผู้อํานวยการยาสูบ กล่าวว่า โครงการมอบเงินรางวัลสนับสนุนโครงการปราบปรามบุหรี่ผิดกฎหมาย ได้เริ่มดําเนินการภายหลังจากรัฐบาลประกาศขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากบุหรี่ต่างประเทศผิดกฎหมายทะลักเข้ามาตามแนวชายแดนและขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของชาติ โรงงานยาสูบในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ผลิตและจําหน่ายบุหรี่เพื่อนําส่งรายได้ให้แก่รัฐ เล็งเห็นว่าบุหรี่ต่างประเทศผิดกฎหมายทําให้รัฐสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีในแต่ละปีเป็นจํานวนมาก เกณฑ์ในการจ่ายเงินรางวัลในการปราบปรามบุหรี่ต่างประเทศผิดกฎหมาย โรงงานยาสูบจะจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่สรรพสามิต ศุลกากร ตํารวจ ทหาร ทั่วประเทศ ที่สามารถจับกุมบุหรี่ต่างประเทศผิดกฎหมาย จํานวนซองละ 3 บาท หรือหีบละ 1,500 บาท โดยหากจับกุมได้ครบทั้งหีบ (500 ซอง) จะจ่ายเงินรางวัลพิเศษเพิ่มอีก 1,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,500 บาท และกรณีที่จับกุมได้ครั้งละ 50 หีบ (25,000 ซอง) โรงงานยาสูบจะจ่ายเงินรางวัลพิเศษเพิ่มอีก 50,000 บาท/ 50 หีบ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 175,000 บาท ทั้งนี้ ต้องสามารถจับกุมได้ตั้งแต่ 3 หีบ/1,500 ซอง/30,000 มวนขึ้นไป จึงจะเข้าเกณฑ์การจ่ายเงินรางวัลตามโครงการนี้ อนึ่ง รายละเอียดการจับกุมบุหรี่ต่างประเทศผิดกฎหมาย ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2556 -2560 ดังนี้ ผลการปราบปรามผู้กระทําความผิดของหน่วยงานกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร ปีงบประมาณ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร ราย จํานวนซอง มูลค่า (บาท) ราย จํานวนซอง มูลค่า (บาท) 2556 16,577 595,017 32,725,935.00 652 264,666 18,480,890.00 2557 17,909 798,194 43,900,670.00 779 2,264,663 101,759,608.00 2558 16,559 625,434 34,398,870.00 713 344,374 66,809,351.00 2559 14,703 830,827 38,721,980.00 825 1,538,000 303,081,549.00 (ต.ค. 59 – ปัจจุบัน) 15,818 704,036 45,695,460.00 595 1,555,556 131,542,762.00
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โรงงานยาสูบ จ่ายเงินรางวัลจับกุม-ปราบปรามบุหรี่ผิดกฎหมาย ประจำปีงบประมาณ 2560 วันอังคารที่ 19 กันยายน 2560 โรงงานยาสูบ จ่ายเงินรางวัลจับกุม-ปราบปรามบุหรี่ผิดกฎหมาย ประจําปีงบประมาณ 2560 โรงงานยาสูบแถลงผลสําเร็จของการดําเนินโครงการปราบปรามบุหรี่ต่างประเทศผิดกฎหมาย และมอบเงินรางวัลสนับสนุนให้แก่หน่วยงานภาครัฐ 3 หน่วยงานที่ดําเนินการจับกุมผู้กระทําผิดลักลอบค้าบุหรี่ผิดกฎหมาย ในปีงบประมาณ 2560 ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 3 ตึกอํานวยการโรงงานยาสูบ นางสาวดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ ผู้อํานวยการยาสูบ กล่าวว่า โรงงานยาสูบดําเนินโครงการปราบปรามบุหรี่ผิดกฎหมาย เพื่อสร้างแรงจูงใจ สร้างขวัญกําลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ภาครัฐในการปราบปราม จับกุมบุหรี่ผิดกฎหมายในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยได้จัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นเงินรางวัลให้แก่เจ้าหน้าที่ภาครัฐ ในวงเงินทั้งสิ้น 10,000,000 บาท ผลดําเนินโครงการดังกล่าวได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานด้านปราบปรามเป็นอย่างดี มีการจับกุมผู้กระทําผิดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตั้งแต่ปีงบประมาณ 2556 -2560 มีผู้กระทําความผิดและจับกุมบุหรี่ต่างประเทศผิดกฎหมายโดยหน่วยงานกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร จํานวน 85,130 ราย จํานวน 9,520,767 ซอง มูลค่ารวมทั้งสิ้น 817,117,075 บาท และในปีงบประมาณ 2560 มีคดีใหญ่ จํานวน 3 คดี ที่สามารถจับกุมและปราบปรามบุหรี่ผิดกฎหมาย ได้บุหรี่ของกลางเป็นจํานวนมาก ในวันนี้โรงงานยาสูบจึงได้จัดพิธีมอบเงินรางวัลให้กับหน่วยงานภาครัฐ 3 หน่วยงาน ได้แก่ (1) ฝ่ายสืบสวนและปราบปราม สํานักงานศุลกากรภาคที่ 4 จํานวน 2,669,750 บาท (2) ส่วนปฏิบัติการพิเศษภัยแทรกซ้อน สํานักอํานวยการข่าวกรอง กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี จํานวน 1,883,989 บาท (3) หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 5 ค่ายเสนาณรงค์ จังหวัดสงขลา จํานวน 918,900 บาท ผู้อํานวยการยาสูบ กล่าวว่า โครงการมอบเงินรางวัลสนับสนุนโครงการปราบปรามบุหรี่ผิดกฎหมาย ได้เริ่มดําเนินการภายหลังจากรัฐบาลประกาศขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากบุหรี่ต่างประเทศผิดกฎหมายทะลักเข้ามาตามแนวชายแดนและขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของชาติ โรงงานยาสูบในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ผลิตและจําหน่ายบุหรี่เพื่อนําส่งรายได้ให้แก่รัฐ เล็งเห็นว่าบุหรี่ต่างประเทศผิดกฎหมายทําให้รัฐสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีในแต่ละปีเป็นจํานวนมาก เกณฑ์ในการจ่ายเงินรางวัลในการปราบปรามบุหรี่ต่างประเทศผิดกฎหมาย โรงงานยาสูบจะจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่สรรพสามิต ศุลกากร ตํารวจ ทหาร ทั่วประเทศ ที่สามารถจับกุมบุหรี่ต่างประเทศผิดกฎหมาย จํานวนซองละ 3 บาท หรือหีบละ 1,500 บาท โดยหากจับกุมได้ครบทั้งหีบ (500 ซอง) จะจ่ายเงินรางวัลพิเศษเพิ่มอีก 1,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,500 บาท และกรณีที่จับกุมได้ครั้งละ 50 หีบ (25,000 ซอง) โรงงานยาสูบจะจ่ายเงินรางวัลพิเศษเพิ่มอีก 50,000 บาท/ 50 หีบ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 175,000 บาท ทั้งนี้ ต้องสามารถจับกุมได้ตั้งแต่ 3 หีบ/1,500 ซอง/30,000 มวนขึ้นไป จึงจะเข้าเกณฑ์การจ่ายเงินรางวัลตามโครงการนี้ อนึ่ง รายละเอียดการจับกุมบุหรี่ต่างประเทศผิดกฎหมาย ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2556 -2560 ดังนี้ ผลการปราบปรามผู้กระทําความผิดของหน่วยงานกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร ปีงบประมาณ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร ราย จํานวนซอง มูลค่า (บาท) ราย จํานวนซอง มูลค่า (บาท) 2556 16,577 595,017 32,725,935.00 652 264,666 18,480,890.00 2557 17,909 798,194 43,900,670.00 779 2,264,663 101,759,608.00 2558 16,559 625,434 34,398,870.00 713 344,374 66,809,351.00 2559 14,703 830,827 38,721,980.00 825 1,538,000 303,081,549.00 (ต.ค. 59 – ปัจจุบัน) 15,818 704,036 45,695,460.00 595 1,555,556 131,542,762.00
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6804
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ เตรียมฟันผิด “ศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี”
วันพุธที่ 11 มีนาคม 2563 พาณิชย์ เตรียมฟันผิด “ศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี” “พาณิชย์”เตรียมฟันผิด “ศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี” ที่กักตุนสต๊อกและจําหน่ายหน้ากากอนามัยราคาแพงเกินจริงใน 3 ข้อหา หลังได้ร่วมมือกับตํารวจในการติดตามจนเจอตัว ล่าสุดพบปิดเฟซบุ๊กไปแล้ว เผยยังได้มีการติดตามเส้นทางการเงินย้อนหลัง และยังติดตามว่ามีการประกาศขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ อีกหรือไม่เพื่อเอาผิดทางกฎหมายต่อไปด้วย นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบและติดตามกรณีเฟซบุ๊กชื่อ ศรสุรีว์ ภู่รวีรัศวัชรี จําหน่ายหน้ากากอนามัยในราคาสูงเกินสมควร ว่าเช้าวันนี้ (9 มี.ค.63) หลังจากได้รับทราบการประกาศขายหน้ากากอนามัยล้อตใหญ่ในหน้า Facebook ดังกล่าว กระทรวงพาณิชย์โดยนายสุชาติ สินรัตน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมหารือกับ พ.ต.ต.ประทีป จันทร์เพชรบุรี สว.กก.บก.ปอท. (กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมการกระทําความผิดทางเทคโนโลยี) เพื่อดําเนินการทางกฎหมาย ซึ่งพบว่าเฟซบุ๊กดังกล่าวได้ปิดตัวลงไปแล้ว และจากการติดต่อผ่านหมายเลขโทรศัพท์ 09-5995-9892 ที่เคยปรากฎในการซื้อขายผ่านเฟซบุ๊ก พบว่า หมายเลขดังกล่าวยังไม่ลงทะเบียนในระบบ คาดว่าจะมีการยกเลิกหมายเลขดังกล่าวก่อนหน้าไม่นาน ทั้งนี้ จากการสืบสวนเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ตํารวจ บก.ปอท. พบว่า เฟซบุ๊กดังกล่าวมีการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารกสิกรไทย จึงได้ทําการตรวจสอบประวัติการโอนเงินเข้ามาในบัญชีและการโอนย้อนหลัง เพื่อขยายผลการสืบสวนแล้ว รวมทั้งได้มีการตรวจสอบเส้นทางการเงินว่าเกี่ยวข้องกับการจําหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นซึ่งได้มีการโพสต์จําหน่ายหน้ากากอนามัยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบความผิดที่เกิดขึ้น กระทรวงพาณิชย์สามารถดําเนินการเอาผิดได้ใน 3 ข้อหา คือ 1.ความผิดฐานไม่แจ้งสต๊อก ต้นทุน ราคาจําหน่าย สถานที่เก็บและปริมาณคงเหลือ ตาม มาตรา 25 (5) มีโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และปรับอีกวันละ 2,000 บาทจนกว่าจะแจ้ง 2.ความผิดตามมาตรา 29 จําหน่ายในราคาสูงเกินสมควรมีโทษหนักจําคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และ 3.ขายเกินราคาควบคุม มีความผิดตามมาตรา 25 (1) มีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ล่าสุดจากข่าวทราบว่าเจ้าหน้าที่ตํารวจ สภ. หนองปรือ จ.ชลบุรี ได้ควบคุมตัว นายศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรีแล้ว ทั้งนี้ หากกระบวนการสอบสวนพบการกระทําความผิดต่อข้อกฎหมาย กระทรวงพาณิชย์จะดําเนินการกล่าวโทษเพื่อดําเนินคดีต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ เตรียมฟันผิด “ศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี” วันพุธที่ 11 มีนาคม 2563 พาณิชย์ เตรียมฟันผิด “ศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี” “พาณิชย์”เตรียมฟันผิด “ศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี” ที่กักตุนสต๊อกและจําหน่ายหน้ากากอนามัยราคาแพงเกินจริงใน 3 ข้อหา หลังได้ร่วมมือกับตํารวจในการติดตามจนเจอตัว ล่าสุดพบปิดเฟซบุ๊กไปแล้ว เผยยังได้มีการติดตามเส้นทางการเงินย้อนหลัง และยังติดตามว่ามีการประกาศขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ อีกหรือไม่เพื่อเอาผิดทางกฎหมายต่อไปด้วย นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบและติดตามกรณีเฟซบุ๊กชื่อ ศรสุรีว์ ภู่รวีรัศวัชรี จําหน่ายหน้ากากอนามัยในราคาสูงเกินสมควร ว่าเช้าวันนี้ (9 มี.ค.63) หลังจากได้รับทราบการประกาศขายหน้ากากอนามัยล้อตใหญ่ในหน้า Facebook ดังกล่าว กระทรวงพาณิชย์โดยนายสุชาติ สินรัตน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมหารือกับ พ.ต.ต.ประทีป จันทร์เพชรบุรี สว.กก.บก.ปอท. (กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมการกระทําความผิดทางเทคโนโลยี) เพื่อดําเนินการทางกฎหมาย ซึ่งพบว่าเฟซบุ๊กดังกล่าวได้ปิดตัวลงไปแล้ว และจากการติดต่อผ่านหมายเลขโทรศัพท์ 09-5995-9892 ที่เคยปรากฎในการซื้อขายผ่านเฟซบุ๊ก พบว่า หมายเลขดังกล่าวยังไม่ลงทะเบียนในระบบ คาดว่าจะมีการยกเลิกหมายเลขดังกล่าวก่อนหน้าไม่นาน ทั้งนี้ จากการสืบสวนเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ตํารวจ บก.ปอท. พบว่า เฟซบุ๊กดังกล่าวมีการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารกสิกรไทย จึงได้ทําการตรวจสอบประวัติการโอนเงินเข้ามาในบัญชีและการโอนย้อนหลัง เพื่อขยายผลการสืบสวนแล้ว รวมทั้งได้มีการตรวจสอบเส้นทางการเงินว่าเกี่ยวข้องกับการจําหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นซึ่งได้มีการโพสต์จําหน่ายหน้ากากอนามัยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบความผิดที่เกิดขึ้น กระทรวงพาณิชย์สามารถดําเนินการเอาผิดได้ใน 3 ข้อหา คือ 1.ความผิดฐานไม่แจ้งสต๊อก ต้นทุน ราคาจําหน่าย สถานที่เก็บและปริมาณคงเหลือ ตาม มาตรา 25 (5) มีโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และปรับอีกวันละ 2,000 บาทจนกว่าจะแจ้ง 2.ความผิดตามมาตรา 29 จําหน่ายในราคาสูงเกินสมควรมีโทษหนักจําคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และ 3.ขายเกินราคาควบคุม มีความผิดตามมาตรา 25 (1) มีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ล่าสุดจากข่าวทราบว่าเจ้าหน้าที่ตํารวจ สภ. หนองปรือ จ.ชลบุรี ได้ควบคุมตัว นายศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรีแล้ว ทั้งนี้ หากกระบวนการสอบสวนพบการกระทําความผิดต่อข้อกฎหมาย กระทรวงพาณิชย์จะดําเนินการกล่าวโทษเพื่อดําเนินคดีต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27023
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบหมายรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีอาเซียน AMRDPE ผ่านระบบ VCS
วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบหมายรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีอาเซียน AMRDPE ผ่านระบบ VCS รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบหมายรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีอาเซียน AMRDPE ผ่านระบบ VCS ภายใต้แนวคิด “การลดความยากจนและการสร้างความเข้มแข็ง การฟื้นฟูในสถานการณ์โควิด-19” วันนี้ (19 ส.ค. 63) เวลา 13.15 น. ที่ห้องประชุมดํารงธรรม อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมการประชุมสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน (ASEAN Ministerial Meeting on Rural Development and Poverty Eradication : AMRDPE) ภายใต้แนวคิดหลัก “การลดความยากจนและการสร้างความเข้มแข็ง การฟื้นฟูในสถานการณ์โควิด-19” ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดย H.E. Dr. Aung Thu รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ปศุสัตว์ และการชลประทาน (Minister of Agriculture, Livestock and Irrigation) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เป็นประธานการประชุม H.E. Dato’ Lim Jock Hoi เลขาธิการอาเซียน รัฐมนตรีประเทศสมาชิก และคณะผู้แทนประเทศสมาชิกอาเซียน ร่วมประชุม โดยมี นายชยชัย แสงอินทร์ ผู้อํานวยการกองการต่างประเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยคณะผู้แทนฝ่ายไทย ร่วมการประชุม โอกาสนี้ นายทรงศักดิ์ ทองศรี ได้กล่าวถ้อยแถลงภายใต้แนวคิดหลัก “การลดความยากจนและการสร้างความเข้มแข็ง การฟื้นฟูในสถานการณ์โควิด-19” ความว่า ในนามของตัวแทนประเทศไทยและประชาชนชาวไทย ผมรู้สึกเป็นเกียรติและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ในวันนี้ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การแก้ไขปัญหาความยากจน และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด–19) ที่ทุกประเทศกําลังเผชิญร่วมกัน ประเทศไทยได้ให้ความสําคัญกับการดําเนินการในหลายมิติเพื่อลดผลกระทบให้กับประชาชน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มผู้มีรายได้น้อยและมีฐานะยากจนให้สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง โดยมีมาตรการหลัก 3 มาตรการ คือ มาตรการที่ 1 มาตรการทางการเงินโดยการจ่ายเงินเยียวยาให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ได้แก่ 1) แรงงานในระบบที่ได้รับผลกระทบจากการที่ผู้ประกอบการปิดกิจการ 2) แรงงานอิสระภายใต้โครงการเราไม่ทิ้งกัน 3) เกษตรกร และ 4) กลุ่มเปราะบาง รวมจํานวนทั้งสิ้นกว่า 30 ล้านคน คิดเป็นเงินกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาตรการที่ 2 มาตรการส่งเสริมการจ้างงานภายในประเทศเพื่อส่งเสริมการจ้างงานให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ว่างงานและเดินทางกลับภูมิลําเนา รัฐบาลมีการจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานภาครัฐจ้างงานทั่วประเทศภายใต้กรอบวงเงินกว่า 86,750,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยมุ่งเน้นการจ้างงานในท้องถิ่น เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมภายในประเทศ มาตรการที่ 3 มาตรการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง ประเทศไทยสามารถปรับปรับได้อย่างรวดเร็วต่อสถานการณ์อันเนื่องมาจากการ การขับเคลื่อนการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศวางรากฐานตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ทําให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ อาทิ โครงการ โคก-หนอง-นา โมเดล ซึ่งเป็นการจัดการพื้นที่โดยการผสมผสานเกษตรทฤษฎีใหม่ให้เข้ากับภูมิปัญญาพื้นบ้านเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้ตลอดทั้งปี และโครงการ Quick Win 90 วัน ปลูกผักสวนครัว เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประชาชน นอกจากนี้ ในช่วงสถานการณ์โควิด–19 ทําให้เกิดความร่วมมือในการแบ่งปันให้กับผู้มีรายได้น้อยของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาสังคม และชุมชน ผ่านโครงการ “ตู้ปันสุข” (Pantry of Sharing) โดยกระทรวงมหาดไทยมอบหมายให้ทุกจังหวัดจัดตู้ปันสุขให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั้งในระดับจังหวัด อําเภอและวางระบบการดูแลให้เป็นไปตามมาตรฐานสาธารณสุข นายทรงศักดิ์ ทองศรี กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการขับเคลื่อนมาตรการทั้ง 3 มาตรการหลักทําให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการแก้ไขปัญหาความยากจน และเสริมสร้างศักยภาพให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยให้สามารถปรับตัว ได้ต่อการเปลี่ยนแปลง และเชื่อมั่นว่าความพยายามของทุกประเทศสมาชิกอาเซียนที่ได้กําหนดนโยบายเพื่อรองรับสถานการณ์และลดผลกระทบที่เกิดกับประชาชนจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สําคัญในเสริมสร้างความเข้มแข็งของภูมิภาคอาเซียนให้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ และมุ่งสู่การเป็นภูมิภาคของการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป จากนั้น นายทรงศักดิ์ ทองศรี ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่สําคัญด้านการลดความยากจนและการพัฒนาชนบทที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูในสถานการณ์โควิด-19 ร่วมกับที่ประชุมสมัยพิเศษฯ และที่ประชุมได้พิจารณาถ้อยแถลงร่วมการประชุมสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและการจัดความยากจน (AMRDPE) ภายใต้แนวคิดหลัก “การลดความยากจนและการสร้างความเข็มแข็ง การฟื้นฟูในสถานการณ์โควิด-19”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบหมายรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีอาเซียน AMRDPE ผ่านระบบ VCS วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบหมายรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีอาเซียน AMRDPE ผ่านระบบ VCS รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบหมายรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีอาเซียน AMRDPE ผ่านระบบ VCS ภายใต้แนวคิด “การลดความยากจนและการสร้างความเข้มแข็ง การฟื้นฟูในสถานการณ์โควิด-19” วันนี้ (19 ส.ค. 63) เวลา 13.15 น. ที่ห้องประชุมดํารงธรรม อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมการประชุมสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน (ASEAN Ministerial Meeting on Rural Development and Poverty Eradication : AMRDPE) ภายใต้แนวคิดหลัก “การลดความยากจนและการสร้างความเข้มแข็ง การฟื้นฟูในสถานการณ์โควิด-19” ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดย H.E. Dr. Aung Thu รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ปศุสัตว์ และการชลประทาน (Minister of Agriculture, Livestock and Irrigation) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เป็นประธานการประชุม H.E. Dato’ Lim Jock Hoi เลขาธิการอาเซียน รัฐมนตรีประเทศสมาชิก และคณะผู้แทนประเทศสมาชิกอาเซียน ร่วมประชุม โดยมี นายชยชัย แสงอินทร์ ผู้อํานวยการกองการต่างประเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยคณะผู้แทนฝ่ายไทย ร่วมการประชุม โอกาสนี้ นายทรงศักดิ์ ทองศรี ได้กล่าวถ้อยแถลงภายใต้แนวคิดหลัก “การลดความยากจนและการสร้างความเข้มแข็ง การฟื้นฟูในสถานการณ์โควิด-19” ความว่า ในนามของตัวแทนประเทศไทยและประชาชนชาวไทย ผมรู้สึกเป็นเกียรติและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ในวันนี้ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การแก้ไขปัญหาความยากจน และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด–19) ที่ทุกประเทศกําลังเผชิญร่วมกัน ประเทศไทยได้ให้ความสําคัญกับการดําเนินการในหลายมิติเพื่อลดผลกระทบให้กับประชาชน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มผู้มีรายได้น้อยและมีฐานะยากจนให้สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง โดยมีมาตรการหลัก 3 มาตรการ คือ มาตรการที่ 1 มาตรการทางการเงินโดยการจ่ายเงินเยียวยาให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ได้แก่ 1) แรงงานในระบบที่ได้รับผลกระทบจากการที่ผู้ประกอบการปิดกิจการ 2) แรงงานอิสระภายใต้โครงการเราไม่ทิ้งกัน 3) เกษตรกร และ 4) กลุ่มเปราะบาง รวมจํานวนทั้งสิ้นกว่า 30 ล้านคน คิดเป็นเงินกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาตรการที่ 2 มาตรการส่งเสริมการจ้างงานภายในประเทศเพื่อส่งเสริมการจ้างงานให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ว่างงานและเดินทางกลับภูมิลําเนา รัฐบาลมีการจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานภาครัฐจ้างงานทั่วประเทศภายใต้กรอบวงเงินกว่า 86,750,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยมุ่งเน้นการจ้างงานในท้องถิ่น เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมภายในประเทศ มาตรการที่ 3 มาตรการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง ประเทศไทยสามารถปรับปรับได้อย่างรวดเร็วต่อสถานการณ์อันเนื่องมาจากการ การขับเคลื่อนการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศวางรากฐานตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ทําให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ อาทิ โครงการ โคก-หนอง-นา โมเดล ซึ่งเป็นการจัดการพื้นที่โดยการผสมผสานเกษตรทฤษฎีใหม่ให้เข้ากับภูมิปัญญาพื้นบ้านเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้ตลอดทั้งปี และโครงการ Quick Win 90 วัน ปลูกผักสวนครัว เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประชาชน นอกจากนี้ ในช่วงสถานการณ์โควิด–19 ทําให้เกิดความร่วมมือในการแบ่งปันให้กับผู้มีรายได้น้อยของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาสังคม และชุมชน ผ่านโครงการ “ตู้ปันสุข” (Pantry of Sharing) โดยกระทรวงมหาดไทยมอบหมายให้ทุกจังหวัดจัดตู้ปันสุขให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั้งในระดับจังหวัด อําเภอและวางระบบการดูแลให้เป็นไปตามมาตรฐานสาธารณสุข นายทรงศักดิ์ ทองศรี กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการขับเคลื่อนมาตรการทั้ง 3 มาตรการหลักทําให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการแก้ไขปัญหาความยากจน และเสริมสร้างศักยภาพให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยให้สามารถปรับตัว ได้ต่อการเปลี่ยนแปลง และเชื่อมั่นว่าความพยายามของทุกประเทศสมาชิกอาเซียนที่ได้กําหนดนโยบายเพื่อรองรับสถานการณ์และลดผลกระทบที่เกิดกับประชาชนจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สําคัญในเสริมสร้างความเข้มแข็งของภูมิภาคอาเซียนให้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ และมุ่งสู่การเป็นภูมิภาคของการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป จากนั้น นายทรงศักดิ์ ทองศรี ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่สําคัญด้านการลดความยากจนและการพัฒนาชนบทที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูในสถานการณ์โควิด-19 ร่วมกับที่ประชุมสมัยพิเศษฯ และที่ประชุมได้พิจารณาถ้อยแถลงร่วมการประชุมสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและการจัดความยากจน (AMRDPE) ภายใต้แนวคิดหลัก “การลดความยากจนและการสร้างความเข็มแข็ง การฟื้นฟูในสถานการณ์โควิด-19”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34350
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. ยืนยันห้องฉุกเฉินทุกโรงพยาบาล เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง
วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม 2561 ปลัด สธ. ยืนยันห้องฉุกเฉินทุกโรงพยาบาล เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันห้องฉุกเฉินทุกโรงพยาบาลเปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง ขอความร่วมมือประชาชนใช้บริการเมื่อเจ็บป่วยฉุกเฉินจริง ๆ นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์กรณีเด็กเสียชีวิตที่จังหวัดสระแก้วว่า เป็นการเข้าใจผิดเรื่องการสื่อสาร ในความเป็นจริงคือห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลทุกแห่งเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีปิดบริการ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโรงพยาบาลได้แสดงความเสียใจกับครอบครัว พร้อมดูแลช่วยเหลือครอบครัวอย่างเต็มที่ รวมทั้งเป็นบทเรียนที่อื่นนําไปปรับปรุงคุณภาพบริการให้ดีขึ้น และเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย ได้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง ว่าเหตุเกิดขึ้นอย่างไร คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 2 สัปดาห์ นอกจากนี้ ได้สั่งการให้พัฒนาระบบการให้บริการ เพิ่มป้ายประชาสัมพันธ์ สื่อสารขั้นตอนการรับบริการ นายแพทย์เจษฎา กล่าวต่อว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายเร่งรัดการพัฒนาคุณภาพห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลทุกระดับ ให้มีมาตรฐานรองรับผู้ป่วยฉุกเฉิน ทั้งด้านสถานที่ บุคลากร เครื่องมือแพทย์ เพื่อให้การดูแลต่อเนื่องจากการดูแลที่จุดเกิดเหตุ จากทีมกู้ชีพฉุกเฉิน ผ่านระบบสายด่วน 1669 ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่มารับบริการในห้องฉุกเฉินจะมีระบบคัดกรองแยกเป็น 3 ระดับ วิกฤตฉุกเฉินถึงแก่ชีวิตสีแดง ฉุกเฉินรองลงมาสีเหลือง และสีเขียวผู้ป่วยไม่ฉุกเฉิน เพื่อความสะดวกในการดูแล รวมทั้งหากจําเป็นต้องส่งต่อโรงพยาบาลก็มีระบบรองรับแบบไร้รอยต่อ “ยืนยันห้องฉุกเฉินทุกที่ เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีเวลาปิด ผู้ป่วยฉุกเฉินเข้าไปรับบริการได้ทันที และเพื่อลดความแออัดในห้องฉุกเฉินให้หมอมีเวลาดูแลผู้ป่วยวิกฤตฉุกเฉินอย่างเต็มที่ จึงขอความร่วมมือประชาชนที่ไม่ได้เจ็บป่วยฉุกเฉินให้มารับบริการในเวลาราชการ” นายแพทย์เจษฎา กล่าว *********************** 7 พฤษภาคม 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. ยืนยันห้องฉุกเฉินทุกโรงพยาบาล เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม 2561 ปลัด สธ. ยืนยันห้องฉุกเฉินทุกโรงพยาบาล เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันห้องฉุกเฉินทุกโรงพยาบาลเปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง ขอความร่วมมือประชาชนใช้บริการเมื่อเจ็บป่วยฉุกเฉินจริง ๆ นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์กรณีเด็กเสียชีวิตที่จังหวัดสระแก้วว่า เป็นการเข้าใจผิดเรื่องการสื่อสาร ในความเป็นจริงคือห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลทุกแห่งเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีปิดบริการ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโรงพยาบาลได้แสดงความเสียใจกับครอบครัว พร้อมดูแลช่วยเหลือครอบครัวอย่างเต็มที่ รวมทั้งเป็นบทเรียนที่อื่นนําไปปรับปรุงคุณภาพบริการให้ดีขึ้น และเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย ได้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง ว่าเหตุเกิดขึ้นอย่างไร คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 2 สัปดาห์ นอกจากนี้ ได้สั่งการให้พัฒนาระบบการให้บริการ เพิ่มป้ายประชาสัมพันธ์ สื่อสารขั้นตอนการรับบริการ นายแพทย์เจษฎา กล่าวต่อว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายเร่งรัดการพัฒนาคุณภาพห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลทุกระดับ ให้มีมาตรฐานรองรับผู้ป่วยฉุกเฉิน ทั้งด้านสถานที่ บุคลากร เครื่องมือแพทย์ เพื่อให้การดูแลต่อเนื่องจากการดูแลที่จุดเกิดเหตุ จากทีมกู้ชีพฉุกเฉิน ผ่านระบบสายด่วน 1669 ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่มารับบริการในห้องฉุกเฉินจะมีระบบคัดกรองแยกเป็น 3 ระดับ วิกฤตฉุกเฉินถึงแก่ชีวิตสีแดง ฉุกเฉินรองลงมาสีเหลือง และสีเขียวผู้ป่วยไม่ฉุกเฉิน เพื่อความสะดวกในการดูแล รวมทั้งหากจําเป็นต้องส่งต่อโรงพยาบาลก็มีระบบรองรับแบบไร้รอยต่อ “ยืนยันห้องฉุกเฉินทุกที่ เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีเวลาปิด ผู้ป่วยฉุกเฉินเข้าไปรับบริการได้ทันที และเพื่อลดความแออัดในห้องฉุกเฉินให้หมอมีเวลาดูแลผู้ป่วยวิกฤตฉุกเฉินอย่างเต็มที่ จึงขอความร่วมมือประชาชนที่ไม่ได้เจ็บป่วยฉุกเฉินให้มารับบริการในเวลาราชการ” นายแพทย์เจษฎา กล่าว *********************** 7 พฤษภาคม 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12050
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เปิดตัว QR ทำ D ระบบอิสลาม
วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2562 ธ.ก.ส. เปิดตัว QR ทํา D ระบบอิสลาม ธ.ก.ส. เปิดตัว QR ทํา D (e-Donation) ระบบอิสลาม เพื่อเพิ่มช่องทางการบริจาคให้แก่มัสยิด องค์กรสาธารณกุศลในศาสนาอิสลาม และเป็นการอํานวยความสะดวกให้แก่ผู้บริจาคด้วยการสแกน QR Payment แทนเงินสด ธ.ก.ส. เปิดตัว QR ทํา D (e-Donation) ระบบอิสลาม เพื่อเพิ่มช่องทางการบริจาคให้แก่มัสยิด องค์กรสาธารณกุศลในศาสนาอิสลาม และเป็นการอํานวยความสะดวกให้แก่ผู้บริจาคด้วยการสแกน QR Payment แทนเงินสด โดยระบบจะเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกรมสรรพากร ธนาคาร หน่วยงานรับบริจาค และผู้บริจาค ซึ่งเป็นการอํานวยความสะดวกให้แก่ผู้บริจาคใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ขณะที่หน่วยรับบริจาคลดขั้นตอนการออกหลักฐานการบริจาค และยังมีสิทธิได้รับทุนเพื่อไปประกอบพิธีฮัจญ์หรืออุมเราะห์ ณ นครเมกกะห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย วันนี้ (19 ธันวาคม 2562) ณ มัสยิดบางอ้อ แขวงบางอ้อ เขตบางพลัด กรุงเทพฯ นายนิพัฒน์ เกื้อสกุล รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นประธานในกิจกรรมเปิดตัว “QR ทํา D (e-Donation) ระบบอิสลาม” และแนะนํากองทุนธนาคารอิสลาม ธ.ก.ส. โดยมีผู้แทนคณะกรรมการมัสยิดจากจังหวัดภาคใต้ ได้แก่ สงขลา สตูล ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ตรัง และจากพื้นที่กรุงเทพ ปริมณฑล ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกิจกรรม นายนิพัฒน์ เกื้อสกุล รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. มุ่งเน้นการนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทางการเงิน รวมถึงการพัฒนาช่องทางการบริจาคให้สอดคล้องกับการเข้าสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society)จากเดิมที่ใช้เงินสดบริจาคเพื่อทําบุญให้กับสถานศึกษา โรงพยาบาล ศาสนสถาน และองค์กรการกุศลต่าง ๆ มาเป็นการบริจาคผ่านการสแกน QR Payment ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ภายใต้ชื่อ “QR ธรรม D" ซึ่งได้เปิดตัวไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีการเข้าร่วมใช้งานอย่างต่อเนื่องธ.ก.ส. จึงได้ต่อยอดช่องทางดังกล่าวเพื่อรองรับการบริการทางการเงินในระบบอิสลาม เพื่อให้ลูกค้า ประชาชน ที่นับถือศาสนาอิสลามได้มีทางเลือกในการใช้บริการตามหลักศาสนา ภายใต้ชื่อ “QR ทํา D (e-Donation) ระบบอิสลาม” QR ทํา D (e-Donation) ระบบอิสลาม นับเป็นช่องทางในการโอนเงินที่มีความสะดวก เนื่องจากมีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกรมสรรพากร ธนาคาร หน่วยรับบริจาค และผู้บริจาค ทําให้ผู้บริจาคได้รับประโยชน์ทางภาษี โดยไม่ต้องเก็บหลักฐานการบริจาคมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ สามารถลดหย่อนภาษีและได้รับคืนภาษีรวดเร็วมากขึ้น อีกทั้งสามารถตรวจสอบข้อมูลการบริจาคผ่าน www.rd.go.th ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ด้านหน่วยรับบริจาคลดขั้นตอนในการออกหลักฐานการบริจาค การเก็บรักษาหลักฐาน ที่สําคัญคือ สร้างความโปร่งใสในการบริหารจัดการการเงิน ส่งผลให้ผู้บริจาคมีความเชื่อมั่นในการบริจาค นอกจากนี้ หน่วยงานรับบริจาคที่สมัครใช้บริการ QR ทํา D (e-Donation) ระบบอิสลาม กับ ธ.ก.ส. ยังได้รับสิทธิประโยชน์จากการเปิดบัญชีเงินฝากรักษาทรัพย์ (วะดีอะห์) อีกด้วย เพียงฝากเงินทุก 2,000 บาท และฝาก ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 เดือนในรอบปีบัญชีของธนาคาร (เดือนเมษายนของปีนั้น ๆ ถึงเดือนมีนาคมของปีถัดไป)ได้รับ 1 สิทธิ์ในการได้รับทุนเพื่อเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์หรือพิธีอุมเราะห์ ณ นครเมกกะห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย โดยทุนที่ได้รับสามารถส่งมอบให้แก่กันได้และไม่ถูกตัดสิทธิ์หากผู้ได้รับรางวัลไม่สะดวกที่จะเดินทางในช่วงเวลาที่กําหนดโดยธนาคารมีการมอบทุนดังกล่าวต่อเนื่องเป็นประจําทุกปี ในส่วนของมัสยิดบางอ้อ เป็นมัสยิดที่มีการบริหารจัดการที่ดี มีความพร้อมในทุก ๆ ด้าน อีกทั้งเป็นมัสยิดที่รู้จักกันเป็นอย่างดีของมุสลิมทั่วประเทศ ถือเป็นหน่วยงานความร่วมมือสําคัญในการเป็นต้นแบบ QR ทํา D (e-Donation) ระบบอิสลาม ให้กับ ธ.ก.ส. โดยมัสยิดบางอ้อได้จัดทํา QR Payment รองรับการบริจาค 2 QR คือ “กองทุนซะกาต” และ “การบริจาคอื่น ๆ” ทั้งนี้ ธ.ก.ส.จะมีการขยายผลการบริการ QR ทํา D (e-Donation) ระบบอิสลาม ไปยังมัสยิด องค์กรสาธารณกุศลทั่วประเทศต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เปิดตัว QR ทำ D ระบบอิสลาม วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2562 ธ.ก.ส. เปิดตัว QR ทํา D ระบบอิสลาม ธ.ก.ส. เปิดตัว QR ทํา D (e-Donation) ระบบอิสลาม เพื่อเพิ่มช่องทางการบริจาคให้แก่มัสยิด องค์กรสาธารณกุศลในศาสนาอิสลาม และเป็นการอํานวยความสะดวกให้แก่ผู้บริจาคด้วยการสแกน QR Payment แทนเงินสด ธ.ก.ส. เปิดตัว QR ทํา D (e-Donation) ระบบอิสลาม เพื่อเพิ่มช่องทางการบริจาคให้แก่มัสยิด องค์กรสาธารณกุศลในศาสนาอิสลาม และเป็นการอํานวยความสะดวกให้แก่ผู้บริจาคด้วยการสแกน QR Payment แทนเงินสด โดยระบบจะเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกรมสรรพากร ธนาคาร หน่วยงานรับบริจาค และผู้บริจาค ซึ่งเป็นการอํานวยความสะดวกให้แก่ผู้บริจาคใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ขณะที่หน่วยรับบริจาคลดขั้นตอนการออกหลักฐานการบริจาค และยังมีสิทธิได้รับทุนเพื่อไปประกอบพิธีฮัจญ์หรืออุมเราะห์ ณ นครเมกกะห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย วันนี้ (19 ธันวาคม 2562) ณ มัสยิดบางอ้อ แขวงบางอ้อ เขตบางพลัด กรุงเทพฯ นายนิพัฒน์ เกื้อสกุล รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นประธานในกิจกรรมเปิดตัว “QR ทํา D (e-Donation) ระบบอิสลาม” และแนะนํากองทุนธนาคารอิสลาม ธ.ก.ส. โดยมีผู้แทนคณะกรรมการมัสยิดจากจังหวัดภาคใต้ ได้แก่ สงขลา สตูล ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ตรัง และจากพื้นที่กรุงเทพ ปริมณฑล ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกิจกรรม นายนิพัฒน์ เกื้อสกุล รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. มุ่งเน้นการนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทางการเงิน รวมถึงการพัฒนาช่องทางการบริจาคให้สอดคล้องกับการเข้าสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society)จากเดิมที่ใช้เงินสดบริจาคเพื่อทําบุญให้กับสถานศึกษา โรงพยาบาล ศาสนสถาน และองค์กรการกุศลต่าง ๆ มาเป็นการบริจาคผ่านการสแกน QR Payment ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ภายใต้ชื่อ “QR ธรรม D" ซึ่งได้เปิดตัวไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีการเข้าร่วมใช้งานอย่างต่อเนื่องธ.ก.ส. จึงได้ต่อยอดช่องทางดังกล่าวเพื่อรองรับการบริการทางการเงินในระบบอิสลาม เพื่อให้ลูกค้า ประชาชน ที่นับถือศาสนาอิสลามได้มีทางเลือกในการใช้บริการตามหลักศาสนา ภายใต้ชื่อ “QR ทํา D (e-Donation) ระบบอิสลาม” QR ทํา D (e-Donation) ระบบอิสลาม นับเป็นช่องทางในการโอนเงินที่มีความสะดวก เนื่องจากมีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกรมสรรพากร ธนาคาร หน่วยรับบริจาค และผู้บริจาค ทําให้ผู้บริจาคได้รับประโยชน์ทางภาษี โดยไม่ต้องเก็บหลักฐานการบริจาคมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ สามารถลดหย่อนภาษีและได้รับคืนภาษีรวดเร็วมากขึ้น อีกทั้งสามารถตรวจสอบข้อมูลการบริจาคผ่าน www.rd.go.th ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ด้านหน่วยรับบริจาคลดขั้นตอนในการออกหลักฐานการบริจาค การเก็บรักษาหลักฐาน ที่สําคัญคือ สร้างความโปร่งใสในการบริหารจัดการการเงิน ส่งผลให้ผู้บริจาคมีความเชื่อมั่นในการบริจาค นอกจากนี้ หน่วยงานรับบริจาคที่สมัครใช้บริการ QR ทํา D (e-Donation) ระบบอิสลาม กับ ธ.ก.ส. ยังได้รับสิทธิประโยชน์จากการเปิดบัญชีเงินฝากรักษาทรัพย์ (วะดีอะห์) อีกด้วย เพียงฝากเงินทุก 2,000 บาท และฝาก ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 เดือนในรอบปีบัญชีของธนาคาร (เดือนเมษายนของปีนั้น ๆ ถึงเดือนมีนาคมของปีถัดไป)ได้รับ 1 สิทธิ์ในการได้รับทุนเพื่อเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์หรือพิธีอุมเราะห์ ณ นครเมกกะห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย โดยทุนที่ได้รับสามารถส่งมอบให้แก่กันได้และไม่ถูกตัดสิทธิ์หากผู้ได้รับรางวัลไม่สะดวกที่จะเดินทางในช่วงเวลาที่กําหนดโดยธนาคารมีการมอบทุนดังกล่าวต่อเนื่องเป็นประจําทุกปี ในส่วนของมัสยิดบางอ้อ เป็นมัสยิดที่มีการบริหารจัดการที่ดี มีความพร้อมในทุก ๆ ด้าน อีกทั้งเป็นมัสยิดที่รู้จักกันเป็นอย่างดีของมุสลิมทั่วประเทศ ถือเป็นหน่วยงานความร่วมมือสําคัญในการเป็นต้นแบบ QR ทํา D (e-Donation) ระบบอิสลาม ให้กับ ธ.ก.ส. โดยมัสยิดบางอ้อได้จัดทํา QR Payment รองรับการบริจาค 2 QR คือ “กองทุนซะกาต” และ “การบริจาคอื่น ๆ” ทั้งนี้ ธ.ก.ส.จะมีการขยายผลการบริการ QR ทํา D (e-Donation) ระบบอิสลาม ไปยังมัสยิด องค์กรสาธารณกุศลทั่วประเทศต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25343
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทำความสะอาดศาสนสถาน ถวายพระราชกุศลและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หั
วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2562 รมว.ทส. ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทําความสะอาดศาสนสถาน ถวายพระราชกุศลและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หั รมว.ทส. ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทําความสะอาดศาสนสถาน ถวายพระราชกุศลและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รมว.ทส. ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทําความสะอาดศาสนสถาน ถวายพระราชกุศลและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วันนี้ (18 ตุลาคม 2562) เวลา 09.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมทํากิจกรรมจิตอาสาทาสีรั้ว กําแพงวัด ปลูกหญ้า และเยี่ยมให้กําลังใจกําลังพลจิตอาสาปรับภูมิทัศน์ ทําความสะอาดศาสนสถาน ถวายพระราชกุศลและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานฯ นําคณะผู้เข้าร่วมกิจกรรม ประกอบด้วย ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ประธานวุฒิสภา ประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ คณะรัฐมนตรี ผู้บัญชาการ ทหารและตํารวจ ผู้บริหารศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. หัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงและเทียบเท่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาและคู่สมรส ร่วมทํากิจกรรมดังกล่าว ณ วัดโสมนัสวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทำความสะอาดศาสนสถาน ถวายพระราชกุศลและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หั วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2562 รมว.ทส. ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทําความสะอาดศาสนสถาน ถวายพระราชกุศลและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หั รมว.ทส. ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทําความสะอาดศาสนสถาน ถวายพระราชกุศลและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รมว.ทส. ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทําความสะอาดศาสนสถาน ถวายพระราชกุศลและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วันนี้ (18 ตุลาคม 2562) เวลา 09.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมทํากิจกรรมจิตอาสาทาสีรั้ว กําแพงวัด ปลูกหญ้า และเยี่ยมให้กําลังใจกําลังพลจิตอาสาปรับภูมิทัศน์ ทําความสะอาดศาสนสถาน ถวายพระราชกุศลและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานฯ นําคณะผู้เข้าร่วมกิจกรรม ประกอบด้วย ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ประธานวุฒิสภา ประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ คณะรัฐมนตรี ผู้บัญชาการ ทหารและตํารวจ ผู้บริหารศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. หัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงและเทียบเท่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาและคู่สมรส ร่วมทํากิจกรรมดังกล่าว ณ วัดโสมนัสวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23909
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-DSI ดำเนินคดีฉ้อโกงประชาชนแอบอ้าง สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลล๊อกเลขสลาก ซ้ำเติมประชาชนช่วง COVID-19 [กระทรวงยุติธรรม]
วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม 2563 DSI ดําเนินคดีฉ้อโกงประชาชนแอบอ้าง สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลล๊อกเลขสลาก ซ้ําเติมประชาชนช่วง COVID-19 [กระทรวงยุติธรรม] DSI ดําเนินคดีฉ้อโกงประชาชนแอบอ้าง สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลล๊อกเลขสลาก ซ้ําเติมประชาชนช่วง COVID-19 วันนี้ (วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม 2563) กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดย พันตํารวจโท ปกรณ์ สุชีวกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมกับ พันตํารวจเอก บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลแถลงผลการตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ในคดีพิเศษที่ 62/2562 กรณีสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ร้องขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสืบสวนสอบสวนเพื่อดําเนินคดีกับกลุ่มขบวนการที่แอบอ้างสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลหลอกลวงประชาชน กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้เคยมีหนังสือร้องขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสืบสวนสอบสวนเพื่อดําเนินคดีกับกลุ่มขบวนการที่แอบอ้างสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ไปหลอกลวงประชาชนว่ามีเลขที่จะออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลล่วงหน้า โดยมีการสร้างเอกสาร ให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และระบุเลขที่อ้างว่าจะออกรางวัลประกอบการหลอกลวง จนประชาชนหลงเชื่อจ่ายเงินค่าซื้อเลขดังกล่าวให้กลุ่มคนร้าย และมีผู้ได้รับความเสียหายจํานวนมาก กระจายตัวทั่วประเทศซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษมีการดําเนินคดีกับผู้กระทําผิดในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2555 - 2557 และสามารถทลายเครือข่ายผู้กระทําความผิดมาแล้ว 3 เครือข่าย รวมผู้ต้องหาจํานวน 7 ราย แต่ก็ยังมีกลุ่มเครือข่ายอื่น ๆ ลักลอบกระทําผิดอยู่ จนภายหลังกรมสอบสวนคดีพิเศษได้บูรณาการข้อมูลกับสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พบกลุ่มเครือข่ายใหม่ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มเดิมที่ดําเนินคดีไปแล้วจึงขยายผลและรับเป็นคดีพิเศษที่ 62/2562 พบพฤติการณ์ว่าผู้ต้องหาจะจัดทําเอกสารที่เป็นรูปแบบหนังสือของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ระบุชื่อ พันตํารวจเอก บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นผู้ออกหนังสือ มีเนื้อหาว่าสามารถล็อกเลขรางวัลการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ จากนั้นจะส่งจดหมายหลอกลวงไปยังประชาชนทั่วประเทศ พร้อมทั้งระบุหมายเลขเบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับ เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อคํากล่าวอ้าง จะติดต่อมายังผู้ต้องหา และผู้ต้องหาจะแสดงตนเป็นพันตํารวจเอก บุญส่ง ฯ และให้ผู้เสียหายโอนเงินไปเข้าบัญชีที่ผู้ต้องหาแจ้งไว้ และแจ้งหมายเลขรางวัลที่หลอกลวงว่าล็อกได้ให้กับผู้เสียหายทราบเพื่อไปซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่ไม่ถูกรางวัลตามที่กล่าวอ้าง พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจึงเสนอขอออกหมายจับ และศาลอาญาได้อนุมัติให้ออกหมายจับในข้อหาฉ้อโกงประชาชน ต่อมา เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2563 พันตํารวจโท ปกรณ์ สุชีวกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พันตํารวจโท เชน กาญจนาปัจจ์ ผู้อํานวยการกองปฏิบัติการพิเศษ พันตํารวจตรี สุทศธวรรศ อารีย์รัตนะนคร ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ พร้อมคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้สนธิกําลังร่วมกับเจ้าหน้าที่กองบังคับการปราบปราม ภายใต้การอํานวยการของ พลตํารวจตรี จิรภพ ภูริเดช ผู้บังคับการกองปราบปราม เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.ภาค 2 และเจ้าหน้าที่จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้มีการจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาซึ่งพบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ สังกัดองค์การบริหารส่วนตําบลกองดิน จังหวัดระยอง รวมทั้งตรวจค้นบ้านพักผู้ต้องหาและเครือข่ายพร้อมกันจํานวน 4 จุด พบหลักฐานสําคัญหนังสือคือ รูปแบบหนังสือของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ระบุชื่อ พันตํารวจเอก บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นผู้ออกหนังสือ และหลักฐานอื่น ๆ อีกจํานวนมาก ซึ่งทําให้ประชาชนทั่วประเทศได้รับความเสียหายรวมมูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท โดยนําตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวนคดีพิเศษดําเนินคดี กรณีดังกล่าว เป็นความสําเร็จที่เกิดการปฏิบัติหน้าที่ร่วมกันระหว่างหน่วยงานของรัฐจนสามารถจับกุมกลุ่มเครือข่ายที่หลอกลวงประชาชนมาดําเนินคดีได้ กรมสอบสวนคดีพิเศษขอแจ้งเตือนไปยังประชาชนว่าอย่าได้หลงเชื่อกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์ในลักษณะเดียวกัน ซึ่งขณะนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษกําลังสืบสวนขยายผลเพื่อปราบปรามจับกุมเครือข่ายกระทําความผิดในเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้ซ้ําเติมพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะห้วงเวลานี้ที่ได้รับความเดือดร้อนและได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19ทั้งนี้ หากมีเบาะแสเรื่องดังกล่าว สามารถแจ้งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษทราบ ทางสายด่วน โทร.1202โทร.ฟรีทั่วประเทศ หรือส่งจดหมายมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษ เลขที่ 128 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร 10210 กรมสอบสวนคดีพิเศษจะดําเนินการสืบสวนและเก็บรักษาข้อมูลเกี่ยวกับผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-DSI ดำเนินคดีฉ้อโกงประชาชนแอบอ้าง สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลล๊อกเลขสลาก ซ้ำเติมประชาชนช่วง COVID-19 [กระทรวงยุติธรรม] วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม 2563 DSI ดําเนินคดีฉ้อโกงประชาชนแอบอ้าง สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลล๊อกเลขสลาก ซ้ําเติมประชาชนช่วง COVID-19 [กระทรวงยุติธรรม] DSI ดําเนินคดีฉ้อโกงประชาชนแอบอ้าง สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลล๊อกเลขสลาก ซ้ําเติมประชาชนช่วง COVID-19 วันนี้ (วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม 2563) กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดย พันตํารวจโท ปกรณ์ สุชีวกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมกับ พันตํารวจเอก บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลแถลงผลการตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ในคดีพิเศษที่ 62/2562 กรณีสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ร้องขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสืบสวนสอบสวนเพื่อดําเนินคดีกับกลุ่มขบวนการที่แอบอ้างสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลหลอกลวงประชาชน กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้เคยมีหนังสือร้องขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสืบสวนสอบสวนเพื่อดําเนินคดีกับกลุ่มขบวนการที่แอบอ้างสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ไปหลอกลวงประชาชนว่ามีเลขที่จะออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลล่วงหน้า โดยมีการสร้างเอกสาร ให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และระบุเลขที่อ้างว่าจะออกรางวัลประกอบการหลอกลวง จนประชาชนหลงเชื่อจ่ายเงินค่าซื้อเลขดังกล่าวให้กลุ่มคนร้าย และมีผู้ได้รับความเสียหายจํานวนมาก กระจายตัวทั่วประเทศซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษมีการดําเนินคดีกับผู้กระทําผิดในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2555 - 2557 และสามารถทลายเครือข่ายผู้กระทําความผิดมาแล้ว 3 เครือข่าย รวมผู้ต้องหาจํานวน 7 ราย แต่ก็ยังมีกลุ่มเครือข่ายอื่น ๆ ลักลอบกระทําผิดอยู่ จนภายหลังกรมสอบสวนคดีพิเศษได้บูรณาการข้อมูลกับสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พบกลุ่มเครือข่ายใหม่ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มเดิมที่ดําเนินคดีไปแล้วจึงขยายผลและรับเป็นคดีพิเศษที่ 62/2562 พบพฤติการณ์ว่าผู้ต้องหาจะจัดทําเอกสารที่เป็นรูปแบบหนังสือของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ระบุชื่อ พันตํารวจเอก บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นผู้ออกหนังสือ มีเนื้อหาว่าสามารถล็อกเลขรางวัลการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ จากนั้นจะส่งจดหมายหลอกลวงไปยังประชาชนทั่วประเทศ พร้อมทั้งระบุหมายเลขเบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับ เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อคํากล่าวอ้าง จะติดต่อมายังผู้ต้องหา และผู้ต้องหาจะแสดงตนเป็นพันตํารวจเอก บุญส่ง ฯ และให้ผู้เสียหายโอนเงินไปเข้าบัญชีที่ผู้ต้องหาแจ้งไว้ และแจ้งหมายเลขรางวัลที่หลอกลวงว่าล็อกได้ให้กับผู้เสียหายทราบเพื่อไปซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่ไม่ถูกรางวัลตามที่กล่าวอ้าง พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจึงเสนอขอออกหมายจับ และศาลอาญาได้อนุมัติให้ออกหมายจับในข้อหาฉ้อโกงประชาชน ต่อมา เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2563 พันตํารวจโท ปกรณ์ สุชีวกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พันตํารวจโท เชน กาญจนาปัจจ์ ผู้อํานวยการกองปฏิบัติการพิเศษ พันตํารวจตรี สุทศธวรรศ อารีย์รัตนะนคร ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ พร้อมคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้สนธิกําลังร่วมกับเจ้าหน้าที่กองบังคับการปราบปราม ภายใต้การอํานวยการของ พลตํารวจตรี จิรภพ ภูริเดช ผู้บังคับการกองปราบปราม เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.ภาค 2 และเจ้าหน้าที่จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้มีการจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาซึ่งพบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ สังกัดองค์การบริหารส่วนตําบลกองดิน จังหวัดระยอง รวมทั้งตรวจค้นบ้านพักผู้ต้องหาและเครือข่ายพร้อมกันจํานวน 4 จุด พบหลักฐานสําคัญหนังสือคือ รูปแบบหนังสือของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ระบุชื่อ พันตํารวจเอก บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นผู้ออกหนังสือ และหลักฐานอื่น ๆ อีกจํานวนมาก ซึ่งทําให้ประชาชนทั่วประเทศได้รับความเสียหายรวมมูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท โดยนําตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวนคดีพิเศษดําเนินคดี กรณีดังกล่าว เป็นความสําเร็จที่เกิดการปฏิบัติหน้าที่ร่วมกันระหว่างหน่วยงานของรัฐจนสามารถจับกุมกลุ่มเครือข่ายที่หลอกลวงประชาชนมาดําเนินคดีได้ กรมสอบสวนคดีพิเศษขอแจ้งเตือนไปยังประชาชนว่าอย่าได้หลงเชื่อกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์ในลักษณะเดียวกัน ซึ่งขณะนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษกําลังสืบสวนขยายผลเพื่อปราบปรามจับกุมเครือข่ายกระทําความผิดในเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้ซ้ําเติมพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะห้วงเวลานี้ที่ได้รับความเดือดร้อนและได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19ทั้งนี้ หากมีเบาะแสเรื่องดังกล่าว สามารถแจ้งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษทราบ ทางสายด่วน โทร.1202โทร.ฟรีทั่วประเทศ หรือส่งจดหมายมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษ เลขที่ 128 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร 10210 กรมสอบสวนคดีพิเศษจะดําเนินการสืบสวนและเก็บรักษาข้อมูลเกี่ยวกับผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30967
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-มาเลเซีย พร้อมร่วมมือพัฒนาความเชื่อมโยงตามแนวชายแดน เพื่อความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างกันต่อไป
วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2562 ไทย-มาเลเซีย พร้อมร่วมมือพัฒนาความเชื่อมโยงตามแนวชายแดน เพื่อความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างกันต่อไป ไทย-มาเลเซีย พร้อมร่วมมือพัฒนาความเชื่อมโยงตามแนวชายแดน เพื่อความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างกันต่อไป วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2562) เวลา 13.30 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายดาโตะ โจจี แซมูเอล (H.E. Dato’ Jojie Samuel) เอกอัครราชทูตมาเลเซียประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้ รองนายกรัฐมนตรียินดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-มาเลเซียมีพลวัตมากขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ โดยเฉพาะในโอกาส ครบรอบ 40 ปี การลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อจัดตั้งองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย (Malaysia-Thailand Joint Authority: MTJA) สะท้อนให้เห็นถึงความใกล้ชิดและความพยายามในการแก้ปัญหาข้อพิพาทร่วมกัน โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยสถานการณ์ฝุ่นละอองในมาเลเซีย โดยหวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้นในไม่ช้า เอกอัครราชทูตมาเลเซียฯ ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าพบ ยินดีที่ไทยให้ความสําคัญกับความสัมพันธ์ทวิภาคี และความร่วมมือระหว่างกันมาโดยตลอด ยืนยันพร้อมทํางานร่วมกับรัฐบาลไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาความร่วมมือระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นมากขึ้น พร้อมหวังว่าจะมีโอกาสให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีในการเยือนมาเลเซีย เพื่อเข้าร่วมการประชุมประจําปี (Annual Consultation) ซึ่งนายกรัฐมนตรีทั้งสองฝ่ายจะเป็นประธานร่วม ในช่วงปี 2563 ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมกันพัฒนาความเชื่อมโยงตามแนวชายแดน เพื่ออํานวยความสะดวกในด้านการค้าและการสัญจรข้ามแดนระหว่างทั้งสองประเทศ โดยจุดผ่านแดนระหว่างไทยและมาเลเซียมีความสําคัญทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และการคมนาคม และถือเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนทั้งสองประเทศ โอกาสนี้ ทั้งสองได้หารือในประเด็นความร่วมมือด้านการศึกษา ปัจจุบันมีนักศึกษาไทยจํานวนมากที่ไปเรียนในมหาวิทยาลัยมาเลเซีย โดยรัฐบาลได้รับรองคุณวุฒิการศึกษาของสถาบันการศึกษาในมาเลเซีย เพื่อให้นักศึกษาไทยที่สําเร็จการศึกษาจากมาเลเซียสามารถกลับมาทํางานที่ประเทศไทยได้ ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีขอบคุณมาเลเซียที่สนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนของไทยในปีนี้ และมาเลเซียหวังว่าภายใต้บทบาทการเป็นเจ้าภาพของไทยจะผลักดันให้การเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) สําเร็จได้ภายในปีนี้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-มาเลเซีย พร้อมร่วมมือพัฒนาความเชื่อมโยงตามแนวชายแดน เพื่อความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างกันต่อไป วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2562 ไทย-มาเลเซีย พร้อมร่วมมือพัฒนาความเชื่อมโยงตามแนวชายแดน เพื่อความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างกันต่อไป ไทย-มาเลเซีย พร้อมร่วมมือพัฒนาความเชื่อมโยงตามแนวชายแดน เพื่อความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างกันต่อไป วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2562) เวลา 13.30 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายดาโตะ โจจี แซมูเอล (H.E. Dato’ Jojie Samuel) เอกอัครราชทูตมาเลเซียประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้ รองนายกรัฐมนตรียินดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-มาเลเซียมีพลวัตมากขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ โดยเฉพาะในโอกาส ครบรอบ 40 ปี การลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อจัดตั้งองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย (Malaysia-Thailand Joint Authority: MTJA) สะท้อนให้เห็นถึงความใกล้ชิดและความพยายามในการแก้ปัญหาข้อพิพาทร่วมกัน โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยสถานการณ์ฝุ่นละอองในมาเลเซีย โดยหวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้นในไม่ช้า เอกอัครราชทูตมาเลเซียฯ ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าพบ ยินดีที่ไทยให้ความสําคัญกับความสัมพันธ์ทวิภาคี และความร่วมมือระหว่างกันมาโดยตลอด ยืนยันพร้อมทํางานร่วมกับรัฐบาลไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาความร่วมมือระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นมากขึ้น พร้อมหวังว่าจะมีโอกาสให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีในการเยือนมาเลเซีย เพื่อเข้าร่วมการประชุมประจําปี (Annual Consultation) ซึ่งนายกรัฐมนตรีทั้งสองฝ่ายจะเป็นประธานร่วม ในช่วงปี 2563 ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมกันพัฒนาความเชื่อมโยงตามแนวชายแดน เพื่ออํานวยความสะดวกในด้านการค้าและการสัญจรข้ามแดนระหว่างทั้งสองประเทศ โดยจุดผ่านแดนระหว่างไทยและมาเลเซียมีความสําคัญทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และการคมนาคม และถือเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนทั้งสองประเทศ โอกาสนี้ ทั้งสองได้หารือในประเด็นความร่วมมือด้านการศึกษา ปัจจุบันมีนักศึกษาไทยจํานวนมากที่ไปเรียนในมหาวิทยาลัยมาเลเซีย โดยรัฐบาลได้รับรองคุณวุฒิการศึกษาของสถาบันการศึกษาในมาเลเซีย เพื่อให้นักศึกษาไทยที่สําเร็จการศึกษาจากมาเลเซียสามารถกลับมาทํางานที่ประเทศไทยได้ ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีขอบคุณมาเลเซียที่สนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนของไทยในปีนี้ และมาเลเซียหวังว่าภายใต้บทบาทการเป็นเจ้าภาพของไทยจะผลักดันให้การเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) สําเร็จได้ภายในปีนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23601
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK จัดทำโครงการ CSR “EXIM ร่วมใจสู้ภัยโควิด” เยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในสังคม
วันอังคารที่ 28 เมษายน 2563 EXIM BANK จัดทําโครงการ CSR “EXIM ร่วมใจสู้ภัยโควิด” เยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในสังคม จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนในสังคม EXIM BANK จึงได้จัดทําโครงการ EXIM ร่วมใจสู้ภัยโควิด โดยบริหารจัดการองค์กรเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโควิด-19 เข้าสู่สังคม ควบคู่กับการเยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 EXIM BANK จัดทําโครงการ CSR “EXIM ร่วมใจสู้ภัยโควิด” เยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในสังคม นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนในสังคม EXIM BANK จึงได้จัดทําโครงการ EXIM ร่วมใจสู้ภัยโควิด โดยบริหารจัดการองค์กรเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโควิด-19 เข้าสู่สังคม ควบคู่กับการเยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยจัดให้มีมาตรการสําหรับลูกค้าและผู้ประกอบธุรกิจและลงทุน คลินิกให้คําปรึกษาแนะนําทางการเงินแก่ผู้ประกอบการทั่วไป โครงการสนับสนุนธุรกิจเกษตรผ่านเครือข่ายพันธมิตร และกิจกรรมเพื่อสังคม กิจกรรมเพื่อสังคมของ EXIM BANK เพื่อเยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รวมมูลค่า 1,600,000 บาท ประกอบด้วย • การยกเว้นค่าเช่าพื้นที่ให้แก่ร้านค้าและร้านอาหารที่อาคารเอ็กซิม เป็นเวลา 3 เดือน • การจัดกิจกรรมระดมทุนผู้บริหารและพนักงานและเงินบริจาคสมทบในนามธนาคารเพื่อซื้อเครื่องมือแพทย์สําหรับรักษาและช่วยชีวิตผู้ป่วยโควิด-19 ผ่านคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จํานวน 437,500 บาท • การจัดทําและส่งมอบหน้ากาก Face Shield 5,000 ชิ้น และน้ําดื่มบรรจุขวด 10,000 ขวดให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลและศูนย์บริการสาธารณสุข และพนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อในสังกัดกรุงเทพมหานคร • การสนับสนุนซื้อหน้ากาก Face Shield 2,000 ชิ้น จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อสมทบรายได้ในการจัดซื้อเครื่องมื
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK จัดทำโครงการ CSR “EXIM ร่วมใจสู้ภัยโควิด” เยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในสังคม วันอังคารที่ 28 เมษายน 2563 EXIM BANK จัดทําโครงการ CSR “EXIM ร่วมใจสู้ภัยโควิด” เยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในสังคม จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนในสังคม EXIM BANK จึงได้จัดทําโครงการ EXIM ร่วมใจสู้ภัยโควิด โดยบริหารจัดการองค์กรเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโควิด-19 เข้าสู่สังคม ควบคู่กับการเยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 EXIM BANK จัดทําโครงการ CSR “EXIM ร่วมใจสู้ภัยโควิด” เยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในสังคม นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนในสังคม EXIM BANK จึงได้จัดทําโครงการ EXIM ร่วมใจสู้ภัยโควิด โดยบริหารจัดการองค์กรเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโควิด-19 เข้าสู่สังคม ควบคู่กับการเยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยจัดให้มีมาตรการสําหรับลูกค้าและผู้ประกอบธุรกิจและลงทุน คลินิกให้คําปรึกษาแนะนําทางการเงินแก่ผู้ประกอบการทั่วไป โครงการสนับสนุนธุรกิจเกษตรผ่านเครือข่ายพันธมิตร และกิจกรรมเพื่อสังคม กิจกรรมเพื่อสังคมของ EXIM BANK เพื่อเยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รวมมูลค่า 1,600,000 บาท ประกอบด้วย • การยกเว้นค่าเช่าพื้นที่ให้แก่ร้านค้าและร้านอาหารที่อาคารเอ็กซิม เป็นเวลา 3 เดือน • การจัดกิจกรรมระดมทุนผู้บริหารและพนักงานและเงินบริจาคสมทบในนามธนาคารเพื่อซื้อเครื่องมือแพทย์สําหรับรักษาและช่วยชีวิตผู้ป่วยโควิด-19 ผ่านคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จํานวน 437,500 บาท • การจัดทําและส่งมอบหน้ากาก Face Shield 5,000 ชิ้น และน้ําดื่มบรรจุขวด 10,000 ขวดให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลและศูนย์บริการสาธารณสุข และพนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อในสังกัดกรุงเทพมหานคร • การสนับสนุนซื้อหน้ากาก Face Shield 2,000 ชิ้น จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อสมทบรายได้ในการจัดซื้อเครื่องมื
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29922
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีระบุการลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดบุรีรัมย์ 7 – 8 พฤษภาคมนี้ เป็นการลงพื้นที่พบประชาชนตามปกติ ไม่มีการพบใครแบบส่วนตัว
วันอังคารที่ 24 เมษายน 2561 นายกรัฐมนตรีระบุการลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดบุรีรัมย์ 7 – 8 พฤษภาคมนี้ เป็นการลงพื้นที่พบประชาชนตามปกติ ไม่มีการพบใครแบบส่วนตัว นายกรัฐมนตรีระบุการลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดบุรีรัมย์ 7 – 8 พฤษภาคมนี้ เป็นการลงพื้นที่พบประชาชนตามปกติ ไม่มีการพบใครแบบส่วนตัว วันนี้ (24 เมษายน 2561) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการลงพื้นที่ไปตรวจราชการจังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดบุรีรัมย์ และประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3 ณ จังหวัดบุรีรัมย์ ในระหว่างวันที่ 7 - 8 พฤษภาคมนี้ว่า เป็นการลงพื้นที่ปกติ เหมือนการลงจังหวัดอื่น ๆ ไม่มีการพบใครแบบส่วนตัวหรือพบใครในที่รโหฐาน แต่พบกันในที่ใหญ่ ๆ กว้าง ๆ รวมกับประชาชนทั่วไป ส่วนใครจะมารับตนเองก็ไม่ปฏิเสธ ถือเป็นเรื่องเจ้าบ้านที่ดี ที่มาให้การต้อนรับรับ เป็นธรรมดา “ผมไม่ไปตกลงการเมืองอะไรกับใครทั้งสิ้น ผมไม่สามารถตกลงอะไรกับใคร เพราะผมยังไม่ไปสู่ตรงนั้น เป็นเรื่องของกระบวนการทางการเมือง ใครจะทําอะไรก็ทําไป แต่อย่ามาเอาผมไปเกี่ยวข้องตรงนี้” นายกรัฐมนตรี กล่าว -------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีระบุการลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดบุรีรัมย์ 7 – 8 พฤษภาคมนี้ เป็นการลงพื้นที่พบประชาชนตามปกติ ไม่มีการพบใครแบบส่วนตัว วันอังคารที่ 24 เมษายน 2561 นายกรัฐมนตรีระบุการลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดบุรีรัมย์ 7 – 8 พฤษภาคมนี้ เป็นการลงพื้นที่พบประชาชนตามปกติ ไม่มีการพบใครแบบส่วนตัว นายกรัฐมนตรีระบุการลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดบุรีรัมย์ 7 – 8 พฤษภาคมนี้ เป็นการลงพื้นที่พบประชาชนตามปกติ ไม่มีการพบใครแบบส่วนตัว วันนี้ (24 เมษายน 2561) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการลงพื้นที่ไปตรวจราชการจังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดบุรีรัมย์ และประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3 ณ จังหวัดบุรีรัมย์ ในระหว่างวันที่ 7 - 8 พฤษภาคมนี้ว่า เป็นการลงพื้นที่ปกติ เหมือนการลงจังหวัดอื่น ๆ ไม่มีการพบใครแบบส่วนตัวหรือพบใครในที่รโหฐาน แต่พบกันในที่ใหญ่ ๆ กว้าง ๆ รวมกับประชาชนทั่วไป ส่วนใครจะมารับตนเองก็ไม่ปฏิเสธ ถือเป็นเรื่องเจ้าบ้านที่ดี ที่มาให้การต้อนรับรับ เป็นธรรมดา “ผมไม่ไปตกลงการเมืองอะไรกับใครทั้งสิ้น ผมไม่สามารถตกลงอะไรกับใคร เพราะผมยังไม่ไปสู่ตรงนั้น เป็นเรื่องของกระบวนการทางการเมือง ใครจะทําอะไรก็ทําไป แต่อย่ามาเอาผมไปเกี่ยวข้องตรงนี้” นายกรัฐมนตรี กล่าว -------------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11740
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” แจงแอปไทยชนะ ปลอดภัยไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวข้อความสแปมในมือถือระบบ iOS และ Android
วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563 “ดีอีเอส” แจงแอปไทยชนะ ปลอดภัยไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวข้อความสแปมในมือถือระบบ iOS และ Android “ดีอีเอส” แจงแอปไทยชนะ ปลอดภัยไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวข้อความสแปมในมือถือระบบ iOS และ Android นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีผู้ใช้มือถือระบบแอนดรอยด์ (Android) และระบบ IOS เพื่อโหลด อ้างว่าโหลด แอปพลิเคชั่นไทยชนะ แล้วเกิดปัญหาสแปมก่อกวนหรือมีการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้นั้น ทาง ศบค.ยืนยันว่าการลงทะเบียนเพื่อใช้งานผ่านระบบดังกล่าวจะไม่เกิดปัญหา “ประชาชนมั่นใจได้ว่า แอปพลิเคชั่นไทยชนะ มีความปลอดภัย เนื่องจากเป็นระบบที่พัฒนาโดยรัฐบาลไทยจะใช้ชื่อว่า "Thaichana - ไทยชนะ" ผู้พัฒนา คือ "Krungthai Bank PCL. ซึ่งแอปพลิเคชั่นไทยชนะ ไม่ได้เข้าถึงที่เก็บข้อมูล หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคล รวมไปถึงไม่มีการส่งข้อมูลพิกัด Location ของผู้ใช้งานออกไปแต่อย่างใด ไม่มีข้อมูลส่วนบุคคลใดๆ ที่ถูกส่งไปยัง server นอกเหนือจากที่ขอ เราขอเพียงเปิดกล้องเพื่อสแกนคิวอาร์โค้ด และโลเคชั่นเพื่อเช็คอิน” นายพุทธิพงษ์ กล่าว ผศ.(พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และสื่อสังคมออนไลน์ ศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) กล่าวเสริมว่า ในส่วนของความปลอดภัยในเรื่องป้องกันข้อมูลรั่วไหลของแอป และมาตรฐานความปลอดภัยที่แอปมือถือต้องทํา (Certification Pinning) ซึ่งเป็นวิธีการทางเทคนิคที่ป้องกันการดักจับหรือดักเอาข้อมูล ย้ําว่าไม่มีการนําข้อมูลส่วนบุคคลส่งไปที่อื่น นอกเหนือจากที่ขออนุญาต ข้อมูลเหล่านี้จะถูกเก็บอยู่ในแพลตฟอร์มไทยชนะ จะถูกนําไปใช้กับกรมควบคุมโรคและรัฐบาล แต่ไม่ถูกใช้ในการอื่น นอกเหนือจากเพื่อวัตถุประสงค์ในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 สําหรับปัญหาข้อความ SMS สแปมที่ส่งเข้ามาทาง iMessage บนไอโฟนและไอแพด ล่าสุดในเพจเฟซบุ๊ก iPhone Thailand ได้ให้คําแนะนําวิธีการจัดการกับเอสเอ็มเอสโฆษณารบกวนทาง iMessage ระบุว่า จากกรณีดังกล่าวทาง Apple ให้แจ้งไปยังผู้ให้บริการมือถือ ทําการบล็อกไม่ให้ส่งโฆษณา เนื่องจากเอสเอ็มเอสแปมเหล่านี้ ส่งผ่านมาทาง iMessage ซึ่งเป็นแอปที่อยู่บนอุปกรณ์พกพาที่ใช้ระบบ iOS ของ Apple โดยเบื้องต้นแนะนําปิดรับข้อความ iMessage วิธีการเข้าไปตั้งค่า และ Report มีวิธีดําเนินการ 3 แบบ ได้แก่ แบบที่ 1 คลิกที่ด้านบนที่โชว์ว่า “3 คน” จากนั้นเลือก “ข้อมูล” และคลิก “กดออกจากการสนทนา” 2 รอบ จากนั้นกดเสร็จสิ้น ก็กด “ แจ้งว่าเป็นขยะ” แบบที่ 2 เข้าไปที่ “การตั้งค่า” เลือก “ข้อความ” จากนั้นคลิกที่ “ฟิลเตอร์ผู้ส่งที่ไม่รู้จัก” และแบบที่ 3 สําหรับคนที่ไม่ค่อยได้ใช้ iMessage ให้เข้าไปที่ “การตั้งค่า” เลือก “ข้อความ ” จากนั้นคลิกปิด “iMessage” ซึ่งในข้อนี้หากต้องการใช้งานแอป iMessage ก็สามารถกลับมาเปิดใหม่ได้ สําหรับผู้ใช้มือถือระบบแอนดรอยด์ (Android) สามารถเข้าไปแก้ไข การตั้งค่าเพื่อป้องกันการก่อกวน ตามระบบปฎิบัติการของผู้ให้บริการได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น เน้นย้ําว่า ขอทุกท่านอย่าตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพเพราะความประมาท อย่าหลงเชื่อตัวล่อ ที่มีในรูปแบบต่างๆ เช่นเงินรางวัล ของฟรี และไม่แนะนําให้ทดลองเปิดเว็บไซต์ เพราะข้อความนั้นอาจเป็นพาหะนําพาไวรัสคอมพิวเตอร์เข้าสู่โทรศัพท์ของท่านได้ ข้อสังเกต แอปพลิเคชั่นดังกล่าว มักไม่ใช่แอปพลิเคชั่นทางการ ของศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) ดังนั้น ผู้ใช้ควรพิจารณาก่อนดาวน์โหลด ซึ่งจากการตรวจสอบ แอปพลิเคชั่นนี้มีจุดประสงค์หลักเพื่อแสดงโฆษณา โดยมีการขอสิทธิที่อาจส่งผลต่อความเป็นส่วนตัวหรือการใช้งาน ได้ เช่น โทรออก เข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์ และแก้ไขการตั้งค่า launcher ในเครื่อง ****************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” แจงแอปไทยชนะ ปลอดภัยไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวข้อความสแปมในมือถือระบบ iOS และ Android วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563 “ดีอีเอส” แจงแอปไทยชนะ ปลอดภัยไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวข้อความสแปมในมือถือระบบ iOS และ Android “ดีอีเอส” แจงแอปไทยชนะ ปลอดภัยไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวข้อความสแปมในมือถือระบบ iOS และ Android นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีผู้ใช้มือถือระบบแอนดรอยด์ (Android) และระบบ IOS เพื่อโหลด อ้างว่าโหลด แอปพลิเคชั่นไทยชนะ แล้วเกิดปัญหาสแปมก่อกวนหรือมีการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้นั้น ทาง ศบค.ยืนยันว่าการลงทะเบียนเพื่อใช้งานผ่านระบบดังกล่าวจะไม่เกิดปัญหา “ประชาชนมั่นใจได้ว่า แอปพลิเคชั่นไทยชนะ มีความปลอดภัย เนื่องจากเป็นระบบที่พัฒนาโดยรัฐบาลไทยจะใช้ชื่อว่า "Thaichana - ไทยชนะ" ผู้พัฒนา คือ "Krungthai Bank PCL. ซึ่งแอปพลิเคชั่นไทยชนะ ไม่ได้เข้าถึงที่เก็บข้อมูล หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคล รวมไปถึงไม่มีการส่งข้อมูลพิกัด Location ของผู้ใช้งานออกไปแต่อย่างใด ไม่มีข้อมูลส่วนบุคคลใดๆ ที่ถูกส่งไปยัง server นอกเหนือจากที่ขอ เราขอเพียงเปิดกล้องเพื่อสแกนคิวอาร์โค้ด และโลเคชั่นเพื่อเช็คอิน” นายพุทธิพงษ์ กล่าว ผศ.(พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และสื่อสังคมออนไลน์ ศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) กล่าวเสริมว่า ในส่วนของความปลอดภัยในเรื่องป้องกันข้อมูลรั่วไหลของแอป และมาตรฐานความปลอดภัยที่แอปมือถือต้องทํา (Certification Pinning) ซึ่งเป็นวิธีการทางเทคนิคที่ป้องกันการดักจับหรือดักเอาข้อมูล ย้ําว่าไม่มีการนําข้อมูลส่วนบุคคลส่งไปที่อื่น นอกเหนือจากที่ขออนุญาต ข้อมูลเหล่านี้จะถูกเก็บอยู่ในแพลตฟอร์มไทยชนะ จะถูกนําไปใช้กับกรมควบคุมโรคและรัฐบาล แต่ไม่ถูกใช้ในการอื่น นอกเหนือจากเพื่อวัตถุประสงค์ในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 สําหรับปัญหาข้อความ SMS สแปมที่ส่งเข้ามาทาง iMessage บนไอโฟนและไอแพด ล่าสุดในเพจเฟซบุ๊ก iPhone Thailand ได้ให้คําแนะนําวิธีการจัดการกับเอสเอ็มเอสโฆษณารบกวนทาง iMessage ระบุว่า จากกรณีดังกล่าวทาง Apple ให้แจ้งไปยังผู้ให้บริการมือถือ ทําการบล็อกไม่ให้ส่งโฆษณา เนื่องจากเอสเอ็มเอสแปมเหล่านี้ ส่งผ่านมาทาง iMessage ซึ่งเป็นแอปที่อยู่บนอุปกรณ์พกพาที่ใช้ระบบ iOS ของ Apple โดยเบื้องต้นแนะนําปิดรับข้อความ iMessage วิธีการเข้าไปตั้งค่า และ Report มีวิธีดําเนินการ 3 แบบ ได้แก่ แบบที่ 1 คลิกที่ด้านบนที่โชว์ว่า “3 คน” จากนั้นเลือก “ข้อมูล” และคลิก “กดออกจากการสนทนา” 2 รอบ จากนั้นกดเสร็จสิ้น ก็กด “ แจ้งว่าเป็นขยะ” แบบที่ 2 เข้าไปที่ “การตั้งค่า” เลือก “ข้อความ” จากนั้นคลิกที่ “ฟิลเตอร์ผู้ส่งที่ไม่รู้จัก” และแบบที่ 3 สําหรับคนที่ไม่ค่อยได้ใช้ iMessage ให้เข้าไปที่ “การตั้งค่า” เลือก “ข้อความ ” จากนั้นคลิกปิด “iMessage” ซึ่งในข้อนี้หากต้องการใช้งานแอป iMessage ก็สามารถกลับมาเปิดใหม่ได้ สําหรับผู้ใช้มือถือระบบแอนดรอยด์ (Android) สามารถเข้าไปแก้ไข การตั้งค่าเพื่อป้องกันการก่อกวน ตามระบบปฎิบัติการของผู้ให้บริการได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น เน้นย้ําว่า ขอทุกท่านอย่าตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพเพราะความประมาท อย่าหลงเชื่อตัวล่อ ที่มีในรูปแบบต่างๆ เช่นเงินรางวัล ของฟรี และไม่แนะนําให้ทดลองเปิดเว็บไซต์ เพราะข้อความนั้นอาจเป็นพาหะนําพาไวรัสคอมพิวเตอร์เข้าสู่โทรศัพท์ของท่านได้ ข้อสังเกต แอปพลิเคชั่นดังกล่าว มักไม่ใช่แอปพลิเคชั่นทางการ ของศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) ดังนั้น ผู้ใช้ควรพิจารณาก่อนดาวน์โหลด ซึ่งจากการตรวจสอบ แอปพลิเคชั่นนี้มีจุดประสงค์หลักเพื่อแสดงโฆษณา โดยมีการขอสิทธิที่อาจส่งผลต่อความเป็นส่วนตัวหรือการใช้งาน ได้ เช่น โทรออก เข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์ และแก้ไขการตั้งค่า launcher ในเครื่อง ****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31955
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ หารือกับสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ พัฒนางานวิจัยด้านสังคมศาสตร์ และธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา
วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม 2563 ดร.สุวิทย์ หารือกับสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ พัฒนางานวิจัยด้านสังคมศาสตร์ และธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา ดร.สุวิทย์ หารือกับสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ พัฒนางานวิจัยด้านสังคมศาสตร์ และธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา (30 มิถุนายน 2563) ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) พร้อมด้วย นางสุวรรณี คํามั่น เลขานุการ รมว.อว., ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวง อว., ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ผู้อํานวยการสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และคณะทํางาน รมว.อว. ร่วมประชุมหารือกับสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) และคณะผู้บริหาร เข้าร่วมประชุม เพื่อการพัฒนางานวิจัยด้านสังคมศาสตร์ และธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา ณ ห้องประชุมจีระ บุญมาก ชั้น 3 อาคารสยามบรมราชกุมารี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ศ.ดร.กําพล ปัญญาโกเมศ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) กล่าวต้อนรับและแนะนํากรรมการสภาสถาบันฯ พร้อมทั้งกล่าวสรุปผลการดําเนินงานโดยรวมของสถาบันฯ ว่า ทางสถาบันฯ กําลังมุ่งดําเนินงานด้านนวัตกรรมบริหารเมืองสู่ความยั่งยืน (Msc of Smart City and Urban Analytic) โปรแกรมการพัฒนานักวางแผนยุทธศาสตร์เมืองและเศรษฐกิจ สร้างสมรรถนะระดับสูงด้านการวางแผนและการออกแบบนโยบายสาธารณะด้านกายภาพ โครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการการออกแบบแผนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง สู่ความเป็นเลิศด้านการแข่งขัน โครงสร้างพื้นฐานและนโยบายสาธารณะทุกระดับ ผู้นําระดับผู้ประกอบการและผู้บริหารองค์กรธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ นักวิจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชํานาญการและผู้เชี่ยวชาญการวางแผนเมือง ผังเมือง และสภาพแวดล้อม สําหรับ Strategic Partners ของหลักสูตร ได้แก่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, บริษัทพัฒนาเมือง, หน่วยงานภาครัฐและเอกชน นอกจากนั้น ยังศึกษาการพัฒนาเมืองในย่านบางกะปิ โครงการ Bangkapi Smart District "บางกะปิ ย่านทันสมัยน่าอยู่ คู่ความรู้ สู่สังคม ธุรกิจ และสิ่งแวดล้อมที่ดี" ซึ่งสถาบันฯ ได้ร่วมกับกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาถึงความเป็นไปได้ของการพัฒนาย่านบางกะปิให้พร้อมรองรับการเจริญเติบโตของเมืองที่กําลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ดังนั้นเพื่อให้ชุมชนได้พัฒนาและเติบโตไปพร้อมกับความเจริญของเมือง ความร่วมมือจากชาวชุมชนจึงถือเป็นแรงขับเคลื่อนสําคัญที่จะช่วยให้ชุมชนสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงต่อไป ด้าน ดร.สุวิทย์ ได้เสนอข้อคิดเห็นว่า NIDA ไม่จําเป็นจะต้องเป็นมหาวิทยาลัยที่มีครบถ้วนทุกด้าน เพราะ NIDA เหมาะสมที่จะมุ่งเน้นในส่วนของ “SEP for SDG หัวใจขับเคลื่อน Thailand 4.0” ผ่านรูปแบบการดําเนินงานในเรื่องของ BCG ซึ่งเป็นฐานรากของประเทศ ต่อยอดการบริหารการจัดการนวัตกรรม โดยน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวง รัชกาลที่ 9 เข้ามาประยุกต์ใช้กับศาสตร์ต่าง ๆ นอกจากนั้น NIDA น่าจะเป็นตักศิลาในด้านของเศรษฐกิจพอเพียงและหลังจาก Post Covid ควรมุ่งไปสู่ SDG ให้ไวที่สุด ถอดรหัสให้ชัดเจน และอีกหนึ่งสิ่งที่สําคัญ คือ เรื่องของ AI ซึ่งมองว่า NIDA จะสามารถช่วยดําเนินงานในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ทั้งด้าน National Strategy และ BCG โดยมุ่งเน้นแค่ 2 เรื่อง ได้แก่ Healthcare และ Food ส่วนในเรื่องของการพัฒนาเชิงพื้นที่ด้านต่าง ๆ ควรให้มหาวิทยาลัยที่มีบทบาทและภารกิจโดยตรงอย่างมหาวิทยาลัยราชภัฏดําเนินงานด้านนี้ไป สําหรับโครงการ Bangkapi Smart District ก็มีความน่าสนใจและเห็นด้วยที่จะให้ NIDA ดําเนินงานต่อ แต่จะต้องพัฒนาโดยรอบ ขยายวงกว้างให้มากขึ้น ไม่ใช่โฟกัสที่ย่านบางกะปิเพียงอย่างเดียว เมื่อพัฒนาตรงนี้ให้เป็นต้นแบบได้แล้วค่อยขยายผลไปเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตามสิ่งที่อยากมอบหมายให้ทาง NIDA มุ่งดําเนินการและสร้างให้เกิดเป็นรูปธรรมมากที่สุด คือเรื่องของ social science สาขาวิชาที่ใช้ระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์เพื่อศึกษาโลกในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ หน่วยสังคมต่าง ๆ ของมนุษย์ รวมทั้งพฤติกรรมของมนุษย์ในแง่มุมต่าง ๆ ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตามอยากเห็นเรื่องนี้เกิดเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ หารือกับสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ พัฒนางานวิจัยด้านสังคมศาสตร์ และธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม 2563 ดร.สุวิทย์ หารือกับสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ พัฒนางานวิจัยด้านสังคมศาสตร์ และธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา ดร.สุวิทย์ หารือกับสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ พัฒนางานวิจัยด้านสังคมศาสตร์ และธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา (30 มิถุนายน 2563) ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) พร้อมด้วย นางสุวรรณี คํามั่น เลขานุการ รมว.อว., ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวง อว., ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ผู้อํานวยการสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และคณะทํางาน รมว.อว. ร่วมประชุมหารือกับสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) และคณะผู้บริหาร เข้าร่วมประชุม เพื่อการพัฒนางานวิจัยด้านสังคมศาสตร์ และธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา ณ ห้องประชุมจีระ บุญมาก ชั้น 3 อาคารสยามบรมราชกุมารี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ศ.ดร.กําพล ปัญญาโกเมศ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) กล่าวต้อนรับและแนะนํากรรมการสภาสถาบันฯ พร้อมทั้งกล่าวสรุปผลการดําเนินงานโดยรวมของสถาบันฯ ว่า ทางสถาบันฯ กําลังมุ่งดําเนินงานด้านนวัตกรรมบริหารเมืองสู่ความยั่งยืน (Msc of Smart City and Urban Analytic) โปรแกรมการพัฒนานักวางแผนยุทธศาสตร์เมืองและเศรษฐกิจ สร้างสมรรถนะระดับสูงด้านการวางแผนและการออกแบบนโยบายสาธารณะด้านกายภาพ โครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการการออกแบบแผนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง สู่ความเป็นเลิศด้านการแข่งขัน โครงสร้างพื้นฐานและนโยบายสาธารณะทุกระดับ ผู้นําระดับผู้ประกอบการและผู้บริหารองค์กรธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ นักวิจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชํานาญการและผู้เชี่ยวชาญการวางแผนเมือง ผังเมือง และสภาพแวดล้อม สําหรับ Strategic Partners ของหลักสูตร ได้แก่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, บริษัทพัฒนาเมือง, หน่วยงานภาครัฐและเอกชน นอกจากนั้น ยังศึกษาการพัฒนาเมืองในย่านบางกะปิ โครงการ Bangkapi Smart District "บางกะปิ ย่านทันสมัยน่าอยู่ คู่ความรู้ สู่สังคม ธุรกิจ และสิ่งแวดล้อมที่ดี" ซึ่งสถาบันฯ ได้ร่วมกับกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาถึงความเป็นไปได้ของการพัฒนาย่านบางกะปิให้พร้อมรองรับการเจริญเติบโตของเมืองที่กําลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ดังนั้นเพื่อให้ชุมชนได้พัฒนาและเติบโตไปพร้อมกับความเจริญของเมือง ความร่วมมือจากชาวชุมชนจึงถือเป็นแรงขับเคลื่อนสําคัญที่จะช่วยให้ชุมชนสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงต่อไป ด้าน ดร.สุวิทย์ ได้เสนอข้อคิดเห็นว่า NIDA ไม่จําเป็นจะต้องเป็นมหาวิทยาลัยที่มีครบถ้วนทุกด้าน เพราะ NIDA เหมาะสมที่จะมุ่งเน้นในส่วนของ “SEP for SDG หัวใจขับเคลื่อน Thailand 4.0” ผ่านรูปแบบการดําเนินงานในเรื่องของ BCG ซึ่งเป็นฐานรากของประเทศ ต่อยอดการบริหารการจัดการนวัตกรรม โดยน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวง รัชกาลที่ 9 เข้ามาประยุกต์ใช้กับศาสตร์ต่าง ๆ นอกจากนั้น NIDA น่าจะเป็นตักศิลาในด้านของเศรษฐกิจพอเพียงและหลังจาก Post Covid ควรมุ่งไปสู่ SDG ให้ไวที่สุด ถอดรหัสให้ชัดเจน และอีกหนึ่งสิ่งที่สําคัญ คือ เรื่องของ AI ซึ่งมองว่า NIDA จะสามารถช่วยดําเนินงานในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ทั้งด้าน National Strategy และ BCG โดยมุ่งเน้นแค่ 2 เรื่อง ได้แก่ Healthcare และ Food ส่วนในเรื่องของการพัฒนาเชิงพื้นที่ด้านต่าง ๆ ควรให้มหาวิทยาลัยที่มีบทบาทและภารกิจโดยตรงอย่างมหาวิทยาลัยราชภัฏดําเนินงานด้านนี้ไป สําหรับโครงการ Bangkapi Smart District ก็มีความน่าสนใจและเห็นด้วยที่จะให้ NIDA ดําเนินงานต่อ แต่จะต้องพัฒนาโดยรอบ ขยายวงกว้างให้มากขึ้น ไม่ใช่โฟกัสที่ย่านบางกะปิเพียงอย่างเดียว เมื่อพัฒนาตรงนี้ให้เป็นต้นแบบได้แล้วค่อยขยายผลไปเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตามสิ่งที่อยากมอบหมายให้ทาง NIDA มุ่งดําเนินการและสร้างให้เกิดเป็นรูปธรรมมากที่สุด คือเรื่องของ social science สาขาวิชาที่ใช้ระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์เพื่อศึกษาโลกในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ หน่วยสังคมต่าง ๆ ของมนุษย์ รวมทั้งพฤติกรรมของมนุษย์ในแง่มุมต่าง ๆ ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตามอยากเห็นเรื่องนี้เกิดเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33607
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สุรเชษฐ์" ตรวจเยี่ยมความพร้อมศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดฉะเชิงเทรา
วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม 2560 "สุรเชษฐ์" ตรวจเยี่ยมความพร้อมศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดฉะเชิงเทรา พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตรวจเยี่ยมศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดฉะเชิงเทรา (EEC TVET Career Center: Chachoengsao) โดยมี พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายอนุกูล ตังคณานุกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา, นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา, ผศ.ดร.บรรพต วิรุณราช คณบดีวิทยาลัยพาณิชยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา, คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดระยอง, นายสุริยะ จิตรพิไลเลิศ ผู้อํานวยการศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดฉะเชิงเทรา, ผู้อํานวยการศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง ตลอดจนผู้บริหารสถาบันอาชีวศึกษา ผู้แทนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เข้าร่วมประชุม พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลได้กําหนดให้มีการพัฒนาพื้นที่ EEC ซึ่งเป็นการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกของประเทศ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยดําเนินการใน 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง รวมถึงเขตจังหวัดอื่นที่ติดต่อหรือเกี่ยวข้องนั้น กระทรวงศึกษาธิการก็ได้คิดล่วงหน้าถึงการทํางานตามบทบาทหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ นั่นคือการผลิตและพัฒนากําลังคนให้มีคุณภาพจึงได้จัดทําแผนยุทธศาสตร์พัฒนากําลังคนสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ศ.2560-2564) ใน3จังหวัด โดยมีคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานและทําหน้าที่หลักในการวางแผนการผลิตและพัฒนากําลังคนตามศักยภาพ บริบท จุดแข็ง และโอกาสในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งดําเนินการให้สอดคล้องกับการประกาศยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนการศึกษาแห่งชาติ ระยะ 20 ปี ด้วย สําหรับลําดับความเป็นมาในการวางแผนการจัดการศึกษาในพื้นที่EECนั้นกระทรวงศึกษาธิการได้เริ่มดําเนินการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาในจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ทั้งภาพรวมและรายจังหวัด ซึ่งได้มีการประชุมสัมมนาจัดทําแผนจัดการศึกษาแบบบูรณาการเพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เมื่อวันที่ 24-25 มีนาคมที่ผ่านมา โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นประธานเปิด และรองนายกรัฐมนตรี(พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง) ร่วมรับฟังแผนการจัดการศึกษาในพิธีปิดการประชุมสัมมนา เพื่อให้เกิดการเรียนนําแผนไปสู่การปฏิบัติจริง จากนั้นในวันที่ 11 เมษายน 2560 นายกรัฐมนตรีได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงแรงงาน สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สํารวจการผลิตกําลังคนอาชีวศึกษาให้สอดคล้องกับแผนงานของรัฐบาล เพื่อเตรียมกําลังคนให้รองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ EEC ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ได้ดําเนินการประชุมหารือมาโดยตลอดเนื่องจากต้องรายงานให้นายกรัฐมนตรีรับทราบความก้าวหน้าในการดําเนินงานภายใน 3 เดือน นับตั้งแต่ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งในวันที่ 18 กรกฎาคม 2560 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์พัฒนากําลังคนสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ศ.2560-2564)ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และได้แถลงยุทธศาสตร์พัฒนากําลังคนสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ศ.2560-2564) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม 2560 ณ วิทยาลัยสารพัดช่างชลบุรี ซึ่งจะเห็นได้ว่าทุกหน่วยงานมีการทํางานที่เป็นขั้นเป็นตอนมาโดยลําดับ สําหรับการจัดตั้งศูนย์ประสานงานฯ นี้ ได้มอบหมายให้สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) พิจารณาจัดตั้งศูนย์ประสานฯ โดยไม่มีนโยบายให้สร้างตึกใหม่ ซึ่งขณะนี้มีศูนย์ระดับภาค 1 ศูนย์ ที่จังหวัดชลบุรี และศูนย์ระดับจังหวัดในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทราอีกทั้งได้จัดตั้งศูนย์ย่อยใน 3 จังหวัดดังกล่าวอีก 10 ศูนย์ ซึ่งผลการดําเนินงานที่ผ่านมาถือว่าดําเนินไปด้วยดี และได้รับคําชมจากนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง) ว่าเป็นการดําเนินงานที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน มีแผน มีกําลังคน มีหน่วยงาน และมีงบประมาณรองรับ นอกจากนี้ จากการที่ได้ลงพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม.สัญจร) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้ตรวจเยี่ยมวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครราชสีมา อ.สีคิ้ว ซึ่งเป็นวิทยาลัยที่มีจุดเด่นด้าน Smart Farmer & Modern Farm และวิทยาลัยเทคนิคสุรนารี อ.โชคชัย ผลการตรวจเยี่ยมพบว่าสถาบันอาชีวศึกษาทั้งสองแห่งมีมาตรฐานสูงจึงมอบหมายให้ สอศ. ทบทวนและพิจารณาการลดช่องว่างระหว่างสถาบันอาชีวศึกษาที่มีมาตรฐานสูงและสถาบันอาชีวศึกษาที่มาตรฐานยังไม่ถึงเกณฑ์โดยเน้นย้ําว่าสิ่งที่มีมาตรฐานสูงอยู่แล้วให้รักษาไว้และพัฒนาต่อ ส่วนที่มาตรฐานยังไม่เพียงพอก็ต้องพัฒนาและยกระดับ เพื่อให้มีสถานศึกษาอาชีวศึกษาที่มีมาตรฐานดีทั่วประเทศ และถือเป็นการกระจายการบริการทางการศึกษาให้ประชาชนอย่างทั่วถึงด้วยรวมทั้งให้พิจารณาการจัดตั้งศูนย์ในรูปแบบเดียวกับศูนย์ประสานงานฯ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกในภูมิภาคอื่นด้วยการบูรณาการและปรับใช้ของเดิม และขอให้ยึดกระบวนการทํางานที่เข้มแข็งของศูนย์ประสานงานฯ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ทั้งนี้ ได้นําเสนอผลการดําเนินงานในพื้นที่ EEC ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้รับทราบแล้วโดยคาดว่าในอนาคตพื้นที่ EEC จะได้รับการตรวจเยี่ยมเช่นกัน เนื่องจากเป็นพื้นที่สําคัญและเป็นความมุ่งหวังของรัฐบาลในการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้เรามีแผนที่ดีแล้ว ก็ต้องปฏิบัติให้ดีด้วย รวมทั้งต้องมีการทบทวนแผนหลังการทํางานเป็นห้วง ๆ ว่ามีอะไรที่ต้องปรับปรุงและพัฒนาอีกบ้าง ตลอดจนติดตามสถานการณ์ของโลกและก้าวทันความเปลี่ยนแปลงในมิติต่าง ๆ ทั้งในประเทศเพื่อนบ้าน ระดับภูมิภาค และระดับโลก หลังจากนี้จะจัดมีการประชุมหารือเพื่อทบทวนผลการดําเนินงานใน 3 ขั้น ขั้นที่ 1 จะเริ่มระหว่างวันที่ 4-5 กันยายน 2560โดยจะเชิญผู้แทนหรือฝ่ายเลขาของ กศจ. ของแต่ละจังหวัดมาหารือเพื่อทบทวนผลการดําเนินงานประจําปี และคิดล่วงหน้าว่าในปีต่อไปจะทําอะไรบ้าง ซึ่งจะเป็นการประชุมร่วมกันของจังหวัดในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก, เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 10 จังหวัด และการศึกษาในพื้นที่ชายแดน รวมทั้งจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเน้นการคิดให้ครบทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ รวมทั้งโครงการต่าง ๆ ของแต่ละจังหวัด ว่าจะดําเนินโครงการอะไรบ้าง ซึ่งจะทําให้ทุกภาคส่วนได้รู้ว่าแผนการศึกษาของตนยังขาดอะไรและต้องเติมเต็มอะไร จากนั้นให้นําผลการหารือรายงานต่อผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นประธาน กศจ. เพื่อแจ้งให้หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐภาคเอกชนและภาคประชาสังคมรับทราบและร่วมกันปรับปรุงพัฒนาแผนการศึกษาให้เกิดความสมบูรณ์ต่อไป ขั้นที่ 2 จะจัดการประชุมขึ้นระหว่างวันที่ 14-15 กันยายน 2560โดยจะเรียนเชิญ กศจ. ทั้งคณะของแต่ละจังหวัดมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน โดยเชื่อมโยงกับส่วนกลางและองค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจะเป็นการนําแผนการศึกษาที่ได้รับการปรับปรุงพัฒนาและทบทวนแล้วมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอีกครั้ง ขั้นที่ 3 ผู้เข้าร่วมประชุมจะเป็นกลุ่มเดียวกับการประชุมในขั้นที่ 2 แต่จะเพิ่มจํานวนผู้เข้าร่วมประชุมโดยให้แต่ละพื้นที่กําหนดและพิจารณาเองว่าต้องการเพิ่มจํานวนผู้เข้าร่วมประชุมจากภาคส่วนใดบ้าง อาทิ หอการค้า สภาอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อเติมเต็มแผนการศึกษาให้มากที่สุด รวมทั้งจะมีการบรรยายพิเศษในวันที่ 24 กันยายน โดยได้รับความร่วมมือจากนายคณิต แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (ครศ.), รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ด้วย ส่วนในวันที่ 25 กันยายน ได้เรียนเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาเยี่ยมชมศูนย์ประสานงานผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี เนื่องจากเป็นที่ตั้งของศูนย์ฯ ในระดับภาค จากนั้นในช่วงบ่ายจะเรียนเชิญนายกรัฐมนตรี รับทราบการรายงานของศูนย์ฯ และมอบนโยบายเพื่อให้ทราบแนวทางว่าเราจะเดินไปข้างหน้าอย่างไรบนพื้นฐานของความเข้มแข็งและมั่นคง นอกจากนี้ เพื่อให้การดําเนินงานสําเร็จลุล่วงไปด้วยดี นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ ได้ลงนามในคําสั่งกระทรวงศึกษาธิการ ที่ สป 1226/2560 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ของกระทรวงศึกษาธิการ สั่ง ณ วันที่ 2 สิงหาคม 2560โดยมีองค์ประกอบของคณะกรรมการ 2 คณะ คือ1) คณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ของกระทรวงศึกษาธิการจํานวน 12 คน โดย รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน, รมช.ศึกษาธิการ เป็นรองประธาน, ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นกรรมการและเลขานุการ2) คณะกรรมการดําเนินงานขับเคลื่อนการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ของกระทรวงศึกษาธิการจํานวน 23 คน โดย รมช.ศึกษาธิการ (พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์) เป็นประธาน โดยได้มีการประชุมไปเมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา และจะมีการประชุมอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 28 สิงหาคมนี้ เพื่อติดตามความก้าวหน้าของการดําเนินงาน พล.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า การดําเนินงานต่าง ๆ หากพบปัญหาในการทํางานก็สามารถนําเสนอได้เพื่อให้เกิดการทํางานอย่างรวดเร็ว โดยขอให้สํารวจปัญหาตามหลักการ ความเร่งด่วน และลําดับความสําคัญ เพื่อเตรียมนําเสนอในโอกาสต่อไป รวมทั้งขอขอบคุณและชมเชยสําหรับการทํางานของทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันทํางานอย่างเข้มแข็งและมุ่งมั่นตั้งใจมาตลอด นายอนุกูล ตังคณานุกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรากล่าวว่า จังหวัดฉะเชิงเทราเป็นจังหวัดหนึ่งในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC)มีนิคมอุตสาหกรรมจํานวน 3 แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์, นิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี และนิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้มีโรงงานรวมกว่า 300 โรงงาน อีกทั้งมีโรงงานอุตสาหกรรมนอกเขตนิคมอุตสาหกรรมทั้ง3แห่งดังกล่าวอีก 1,749 แห่ง รวมทั้งจังหวัด 2,049 แห่ง ซึ่งมุ่งเน้นการลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายหลักเพื่อสนองตอบความต้องการกําลังคนในสาขาวิชา First S-Curve และ New S-Curve และเพื่อยกระดับให้เป็นเขตเศรษฐกิจชั้นนําในเอเชีย พร้อมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างทั่วถึง นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษากล่าวว่า สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้ดําเนินงานตามนโยบายในทุก ๆ ด้าน ทั้งในเรื่องของการจัดทําแผนการดําเนินงานที่คํานึงถึงจุดแข็งและโอกาสของแต่ละจังหวัด สําหรับศูนย์ประสานงานฯ จังหวัดฉะเชิงเทราแห่งนี้มีความก้าวหน้าในการดําเนินงานมาโดยลําดับ โดยสถานศึกษา สถานประกอบการ และองค์กรต่าง ๆ ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ซึ่งทุกภาคส่วนมีแนวทางการดําเนินงานที่ชัดเจน อีกทั้งผลการดําเนินงานมีประโยชน์และเข้าถึงประชาชน นายสุริยะ จิตรพิไลเลิศ ผู้อํานวยการศูนย์ประสานงานฯ จังหวัดฉะเชิงเทรากล่าวว่า ในระยะแรกศูนย์ประสานงานฯ จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้ดําเนินงานตามแผนระยะเร่งด่วนคือ การจัดทําศูนย์ข้อมูลกลาง ประกอบด้วยข้อมูลพื้นฐานสถานศึกษา ข้อมูลครูและบุคลากรทางการศึกษา ข้อมูลนักเรียน ข้อมูลความต้องการกําลังคน และข้อมูลความต้องการการผลิตกําลังคน โดยประสานงานกับนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ทั้งสามแห่ง ในส่วนของการส่งเสริมสมรรถนะผู้เรียนเข้าสู่มาตรฐานอาชีพนั้น ได้ทําการสํารวจข้อมูลเพื่อจัดทําหลักสูตรที่มุ่งเน้นต่อนโยบายด้านภาษาต่างประเทศ และหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น จํานวน 28 หลักสูตร อีกทั้งมีการจัดเตรียมโปรแกรมวัดแววความถนัดด้านอาชีพ เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้เรียนอาชีวศึกษาได้ศึกษาตามความถนัดและความสนใจของตนเอง และได้ทําการระดมทรัพยากรภาครัฐและภาคเอกชนด้วยการกําหนดทิศทางความต้องการของแรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย และมีการลงนามบันทึกข้อตกลง (MoU) กับสถานประกอบการกว่า 20 แห่ง เพื่อร่วมกันพัฒนาศักยภาพครูและผู้เรียนอาชีวศึกษา ตลอดจนส่งเสริมการเรียนในระบบทวิภาคี โดยในปีการศึกษา 2560 มีนักเรียนที่อยู่ในระบบการศึกษาแบบทวิภาคีทั้งสถานศึกษาภาครัฐและภาคเอกชน จํานวน 7,985 คน นอกเหนือจากการดําเนินงานในระยะเร่งด่วนแล้ว ศูนย์ประสานงานฯ จังหวัดฉะเชิงเทราได้ดําเนินงานควบคู่กันไปกับแผนการดําเนินงานระยะกลางและระยะยาวด้วย อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สุรเชษฐ์" ตรวจเยี่ยมความพร้อมศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดฉะเชิงเทรา วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม 2560 "สุรเชษฐ์" ตรวจเยี่ยมความพร้อมศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดฉะเชิงเทรา พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตรวจเยี่ยมศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดฉะเชิงเทรา (EEC TVET Career Center: Chachoengsao) โดยมี พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายอนุกูล ตังคณานุกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา, นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา, ผศ.ดร.บรรพต วิรุณราช คณบดีวิทยาลัยพาณิชยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา, คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดระยอง, นายสุริยะ จิตรพิไลเลิศ ผู้อํานวยการศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดฉะเชิงเทรา, ผู้อํานวยการศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง ตลอดจนผู้บริหารสถาบันอาชีวศึกษา ผู้แทนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เข้าร่วมประชุม พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลได้กําหนดให้มีการพัฒนาพื้นที่ EEC ซึ่งเป็นการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกของประเทศ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยดําเนินการใน 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง รวมถึงเขตจังหวัดอื่นที่ติดต่อหรือเกี่ยวข้องนั้น กระทรวงศึกษาธิการก็ได้คิดล่วงหน้าถึงการทํางานตามบทบาทหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ นั่นคือการผลิตและพัฒนากําลังคนให้มีคุณภาพจึงได้จัดทําแผนยุทธศาสตร์พัฒนากําลังคนสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ศ.2560-2564) ใน3จังหวัด โดยมีคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานและทําหน้าที่หลักในการวางแผนการผลิตและพัฒนากําลังคนตามศักยภาพ บริบท จุดแข็ง และโอกาสในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งดําเนินการให้สอดคล้องกับการประกาศยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนการศึกษาแห่งชาติ ระยะ 20 ปี ด้วย สําหรับลําดับความเป็นมาในการวางแผนการจัดการศึกษาในพื้นที่EECนั้นกระทรวงศึกษาธิการได้เริ่มดําเนินการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาในจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ทั้งภาพรวมและรายจังหวัด ซึ่งได้มีการประชุมสัมมนาจัดทําแผนจัดการศึกษาแบบบูรณาการเพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เมื่อวันที่ 24-25 มีนาคมที่ผ่านมา โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นประธานเปิด และรองนายกรัฐมนตรี(พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง) ร่วมรับฟังแผนการจัดการศึกษาในพิธีปิดการประชุมสัมมนา เพื่อให้เกิดการเรียนนําแผนไปสู่การปฏิบัติจริง จากนั้นในวันที่ 11 เมษายน 2560 นายกรัฐมนตรีได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงแรงงาน สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สํารวจการผลิตกําลังคนอาชีวศึกษาให้สอดคล้องกับแผนงานของรัฐบาล เพื่อเตรียมกําลังคนให้รองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ EEC ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ได้ดําเนินการประชุมหารือมาโดยตลอดเนื่องจากต้องรายงานให้นายกรัฐมนตรีรับทราบความก้าวหน้าในการดําเนินงานภายใน 3 เดือน นับตั้งแต่ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งในวันที่ 18 กรกฎาคม 2560 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์พัฒนากําลังคนสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ศ.2560-2564)ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และได้แถลงยุทธศาสตร์พัฒนากําลังคนสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ศ.2560-2564) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม 2560 ณ วิทยาลัยสารพัดช่างชลบุรี ซึ่งจะเห็นได้ว่าทุกหน่วยงานมีการทํางานที่เป็นขั้นเป็นตอนมาโดยลําดับ สําหรับการจัดตั้งศูนย์ประสานงานฯ นี้ ได้มอบหมายให้สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) พิจารณาจัดตั้งศูนย์ประสานฯ โดยไม่มีนโยบายให้สร้างตึกใหม่ ซึ่งขณะนี้มีศูนย์ระดับภาค 1 ศูนย์ ที่จังหวัดชลบุรี และศูนย์ระดับจังหวัดในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทราอีกทั้งได้จัดตั้งศูนย์ย่อยใน 3 จังหวัดดังกล่าวอีก 10 ศูนย์ ซึ่งผลการดําเนินงานที่ผ่านมาถือว่าดําเนินไปด้วยดี และได้รับคําชมจากนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง) ว่าเป็นการดําเนินงานที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน มีแผน มีกําลังคน มีหน่วยงาน และมีงบประมาณรองรับ นอกจากนี้ จากการที่ได้ลงพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม.สัญจร) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้ตรวจเยี่ยมวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครราชสีมา อ.สีคิ้ว ซึ่งเป็นวิทยาลัยที่มีจุดเด่นด้าน Smart Farmer & Modern Farm และวิทยาลัยเทคนิคสุรนารี อ.โชคชัย ผลการตรวจเยี่ยมพบว่าสถาบันอาชีวศึกษาทั้งสองแห่งมีมาตรฐานสูงจึงมอบหมายให้ สอศ. ทบทวนและพิจารณาการลดช่องว่างระหว่างสถาบันอาชีวศึกษาที่มีมาตรฐานสูงและสถาบันอาชีวศึกษาที่มาตรฐานยังไม่ถึงเกณฑ์โดยเน้นย้ําว่าสิ่งที่มีมาตรฐานสูงอยู่แล้วให้รักษาไว้และพัฒนาต่อ ส่วนที่มาตรฐานยังไม่เพียงพอก็ต้องพัฒนาและยกระดับ เพื่อให้มีสถานศึกษาอาชีวศึกษาที่มีมาตรฐานดีทั่วประเทศ และถือเป็นการกระจายการบริการทางการศึกษาให้ประชาชนอย่างทั่วถึงด้วยรวมทั้งให้พิจารณาการจัดตั้งศูนย์ในรูปแบบเดียวกับศูนย์ประสานงานฯ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกในภูมิภาคอื่นด้วยการบูรณาการและปรับใช้ของเดิม และขอให้ยึดกระบวนการทํางานที่เข้มแข็งของศูนย์ประสานงานฯ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ทั้งนี้ ได้นําเสนอผลการดําเนินงานในพื้นที่ EEC ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้รับทราบแล้วโดยคาดว่าในอนาคตพื้นที่ EEC จะได้รับการตรวจเยี่ยมเช่นกัน เนื่องจากเป็นพื้นที่สําคัญและเป็นความมุ่งหวังของรัฐบาลในการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้เรามีแผนที่ดีแล้ว ก็ต้องปฏิบัติให้ดีด้วย รวมทั้งต้องมีการทบทวนแผนหลังการทํางานเป็นห้วง ๆ ว่ามีอะไรที่ต้องปรับปรุงและพัฒนาอีกบ้าง ตลอดจนติดตามสถานการณ์ของโลกและก้าวทันความเปลี่ยนแปลงในมิติต่าง ๆ ทั้งในประเทศเพื่อนบ้าน ระดับภูมิภาค และระดับโลก หลังจากนี้จะจัดมีการประชุมหารือเพื่อทบทวนผลการดําเนินงานใน 3 ขั้น ขั้นที่ 1 จะเริ่มระหว่างวันที่ 4-5 กันยายน 2560โดยจะเชิญผู้แทนหรือฝ่ายเลขาของ กศจ. ของแต่ละจังหวัดมาหารือเพื่อทบทวนผลการดําเนินงานประจําปี และคิดล่วงหน้าว่าในปีต่อไปจะทําอะไรบ้าง ซึ่งจะเป็นการประชุมร่วมกันของจังหวัดในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก, เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 10 จังหวัด และการศึกษาในพื้นที่ชายแดน รวมทั้งจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเน้นการคิดให้ครบทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ รวมทั้งโครงการต่าง ๆ ของแต่ละจังหวัด ว่าจะดําเนินโครงการอะไรบ้าง ซึ่งจะทําให้ทุกภาคส่วนได้รู้ว่าแผนการศึกษาของตนยังขาดอะไรและต้องเติมเต็มอะไร จากนั้นให้นําผลการหารือรายงานต่อผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นประธาน กศจ. เพื่อแจ้งให้หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐภาคเอกชนและภาคประชาสังคมรับทราบและร่วมกันปรับปรุงพัฒนาแผนการศึกษาให้เกิดความสมบูรณ์ต่อไป ขั้นที่ 2 จะจัดการประชุมขึ้นระหว่างวันที่ 14-15 กันยายน 2560โดยจะเรียนเชิญ กศจ. ทั้งคณะของแต่ละจังหวัดมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน โดยเชื่อมโยงกับส่วนกลางและองค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจะเป็นการนําแผนการศึกษาที่ได้รับการปรับปรุงพัฒนาและทบทวนแล้วมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอีกครั้ง ขั้นที่ 3 ผู้เข้าร่วมประชุมจะเป็นกลุ่มเดียวกับการประชุมในขั้นที่ 2 แต่จะเพิ่มจํานวนผู้เข้าร่วมประชุมโดยให้แต่ละพื้นที่กําหนดและพิจารณาเองว่าต้องการเพิ่มจํานวนผู้เข้าร่วมประชุมจากภาคส่วนใดบ้าง อาทิ หอการค้า สภาอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อเติมเต็มแผนการศึกษาให้มากที่สุด รวมทั้งจะมีการบรรยายพิเศษในวันที่ 24 กันยายน โดยได้รับความร่วมมือจากนายคณิต แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (ครศ.), รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ด้วย ส่วนในวันที่ 25 กันยายน ได้เรียนเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาเยี่ยมชมศูนย์ประสานงานผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี เนื่องจากเป็นที่ตั้งของศูนย์ฯ ในระดับภาค จากนั้นในช่วงบ่ายจะเรียนเชิญนายกรัฐมนตรี รับทราบการรายงานของศูนย์ฯ และมอบนโยบายเพื่อให้ทราบแนวทางว่าเราจะเดินไปข้างหน้าอย่างไรบนพื้นฐานของความเข้มแข็งและมั่นคง นอกจากนี้ เพื่อให้การดําเนินงานสําเร็จลุล่วงไปด้วยดี นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ ได้ลงนามในคําสั่งกระทรวงศึกษาธิการ ที่ สป 1226/2560 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ของกระทรวงศึกษาธิการ สั่ง ณ วันที่ 2 สิงหาคม 2560โดยมีองค์ประกอบของคณะกรรมการ 2 คณะ คือ1) คณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ของกระทรวงศึกษาธิการจํานวน 12 คน โดย รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน, รมช.ศึกษาธิการ เป็นรองประธาน, ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นกรรมการและเลขานุการ2) คณะกรรมการดําเนินงานขับเคลื่อนการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ของกระทรวงศึกษาธิการจํานวน 23 คน โดย รมช.ศึกษาธิการ (พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์) เป็นประธาน โดยได้มีการประชุมไปเมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา และจะมีการประชุมอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 28 สิงหาคมนี้ เพื่อติดตามความก้าวหน้าของการดําเนินงาน พล.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า การดําเนินงานต่าง ๆ หากพบปัญหาในการทํางานก็สามารถนําเสนอได้เพื่อให้เกิดการทํางานอย่างรวดเร็ว โดยขอให้สํารวจปัญหาตามหลักการ ความเร่งด่วน และลําดับความสําคัญ เพื่อเตรียมนําเสนอในโอกาสต่อไป รวมทั้งขอขอบคุณและชมเชยสําหรับการทํางานของทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันทํางานอย่างเข้มแข็งและมุ่งมั่นตั้งใจมาตลอด นายอนุกูล ตังคณานุกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรากล่าวว่า จังหวัดฉะเชิงเทราเป็นจังหวัดหนึ่งในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC)มีนิคมอุตสาหกรรมจํานวน 3 แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์, นิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี และนิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้มีโรงงานรวมกว่า 300 โรงงาน อีกทั้งมีโรงงานอุตสาหกรรมนอกเขตนิคมอุตสาหกรรมทั้ง3แห่งดังกล่าวอีก 1,749 แห่ง รวมทั้งจังหวัด 2,049 แห่ง ซึ่งมุ่งเน้นการลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายหลักเพื่อสนองตอบความต้องการกําลังคนในสาขาวิชา First S-Curve และ New S-Curve และเพื่อยกระดับให้เป็นเขตเศรษฐกิจชั้นนําในเอเชีย พร้อมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างทั่วถึง นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษากล่าวว่า สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้ดําเนินงานตามนโยบายในทุก ๆ ด้าน ทั้งในเรื่องของการจัดทําแผนการดําเนินงานที่คํานึงถึงจุดแข็งและโอกาสของแต่ละจังหวัด สําหรับศูนย์ประสานงานฯ จังหวัดฉะเชิงเทราแห่งนี้มีความก้าวหน้าในการดําเนินงานมาโดยลําดับ โดยสถานศึกษา สถานประกอบการ และองค์กรต่าง ๆ ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ซึ่งทุกภาคส่วนมีแนวทางการดําเนินงานที่ชัดเจน อีกทั้งผลการดําเนินงานมีประโยชน์และเข้าถึงประชาชน นายสุริยะ จิตรพิไลเลิศ ผู้อํานวยการศูนย์ประสานงานฯ จังหวัดฉะเชิงเทรากล่าวว่า ในระยะแรกศูนย์ประสานงานฯ จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้ดําเนินงานตามแผนระยะเร่งด่วนคือ การจัดทําศูนย์ข้อมูลกลาง ประกอบด้วยข้อมูลพื้นฐานสถานศึกษา ข้อมูลครูและบุคลากรทางการศึกษา ข้อมูลนักเรียน ข้อมูลความต้องการกําลังคน และข้อมูลความต้องการการผลิตกําลังคน โดยประสานงานกับนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ทั้งสามแห่ง ในส่วนของการส่งเสริมสมรรถนะผู้เรียนเข้าสู่มาตรฐานอาชีพนั้น ได้ทําการสํารวจข้อมูลเพื่อจัดทําหลักสูตรที่มุ่งเน้นต่อนโยบายด้านภาษาต่างประเทศ และหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น จํานวน 28 หลักสูตร อีกทั้งมีการจัดเตรียมโปรแกรมวัดแววความถนัดด้านอาชีพ เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้เรียนอาชีวศึกษาได้ศึกษาตามความถนัดและความสนใจของตนเอง และได้ทําการระดมทรัพยากรภาครัฐและภาคเอกชนด้วยการกําหนดทิศทางความต้องการของแรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย และมีการลงนามบันทึกข้อตกลง (MoU) กับสถานประกอบการกว่า 20 แห่ง เพื่อร่วมกันพัฒนาศักยภาพครูและผู้เรียนอาชีวศึกษา ตลอดจนส่งเสริมการเรียนในระบบทวิภาคี โดยในปีการศึกษา 2560 มีนักเรียนที่อยู่ในระบบการศึกษาแบบทวิภาคีทั้งสถานศึกษาภาครัฐและภาคเอกชน จํานวน 7,985 คน นอกเหนือจากการดําเนินงานในระยะเร่งด่วนแล้ว ศูนย์ประสานงานฯ จังหวัดฉะเชิงเทราได้ดําเนินงานควบคู่กันไปกับแผนการดําเนินงานระยะกลางและระยะยาวด้วย อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6221
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทีมปฏิรูปอุดมศึกษา เครื่องร้อน เดินหน้าปลดล็อคมหาวิทยาลัย
วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2562 ทีมปฏิรูปอุดมศึกษา เครื่องร้อน เดินหน้าปลดล็อคมหาวิทยาลัย ทีมปฏิรูปอุดมศึกษา เครื่องร้อน เดินหน้าปลดล็อคมหาวิทยาลัย ทันทีที่ได้รับตําแหน่งรัฐมนตรีคนแรกในกระทรวงใหม่ถอดด้าม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ภารกิจสําคัญที่ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง เร่งรัดให้เกิดขึ้นได้โดยเร็วที่สุด คือ การปรับลดข้อจํากัดที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปอุดมศึกษาและการพัฒนามหาวิทยาลัยตามกลุ่มยุทธศาสตร์ นโยบายด้านการพัฒนาระบบการศึกษาไทย โดยในเดือนกันยายนที่ผ่านมา แผนงานนี้ได้เริ่มโดยการแบ่งคณะทํางานออกเป็น 3 ชุด 4 กลุ่มทํางาน ได้แก่ การแก้ปัญหาธรรมาธิบาล ด้านตําแหน่งทางวิชาการ ด้านกรอบมาตรฐานคุณวุฒิ หรือมคอ. และด้านคุณภาพมหาวิทยาลัย พร้อมตั้งคณะทํางานขับเคลื่อนและติดตามฯ โดยมี รศ.ดร.พีระพงศ์ ทีฆสกุล อาจารย์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นประธานคณะทํางานขับเคลื่อนและติดตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและเทคโนโลยี พร้อมดูแลด้านธรรมาธิบาล และดูแลอีก 3 กลุ่มทํางาน เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางที่แต่ละมหาวิทยาลัยมีความเชี่ยวชาญ และภารกิจสําคัญคือการผลักดันมหาวิทยาลัยเข้าสู่ 100 อันดับแรกของโลกให้ได้ และวันนี้แผนงานก็ถูกขับเคลื่อนเดินหน้าอย่างแข็งขัน รศ.ดร.พีระพงศ์ ทีฆสกุล กล่าวว่า ภาพรวมภารกิจที่คณะทํางานต้องมีบทบาทในการดูแล 2 ส่วนหลัก ๆ ส่วนแรก คือการปลดล็อคข้อจํากัดหรือกฎเกณฑ์ที่ครอบงํามหาวิทยาลัยอยู่มาก ทําให้อาจารย์และมหาวิทยาลัยทํางานไม่สะดวก ประกอบไปด้วย 1. ปลดล็อคระเบียบการตําแหน่งทางวิชาการเพื่อให้อาจารย์สามารถทํางานตอบโจทย์ประเทศ และนํามาใช้ขอตําแหน่งวิชาการ 2. การปรับแก้มาตรฐานการสอนหลักสูตร เน้นเรื่องการสอน ทําให้การประเมินคุณภาพของหลักสูตร สั้นกระชับและเน้นคุณภาพที่แท้จริงมากกว่ากระบวนการ 3. การแก้ไขปัญหาธรรมาธิบาล โดยวางแนวทางการได้มาของสภามหาวิทยาลัยที่ไม่เกิดการขัดผลประโยชน์ มีการดําเนินการไปแล้ว เช่น การหารือกับหน่วยงานเอกชนที่ใช้หลักธรรมาธิบาลมาให้คําปรึกษา การนําวิธีการบริหารของมหาวิทยาลัยที่ทําดีแล้ว มาเป็นตัวอย่างและปรับใช้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน และอาจมีข้อกําหนดจากกระทรวงการอุดมศึกษาฯ “แผนนโยบายใหม่นี้หากทําสําเร็จจะแก้ไขการเอื้อผลประโยชน์ หรือป้องกันให้มีผู้มาหาผลประโยชน์ภายในมหาวิทยาลัยอย่างไม่ชอบ เรื่องธรรมาภิบาลเป็นเรื่องที่ท้าทายและทํายากที่สุด แต่จะทําให้สําเร็จ” รศ.ดร.พีระพงศ์ กล่าว ส่วนที่สอง คือการพลิกโฉมมหาวิทยาลัย โดยเน้นให้มหาวิทยาลัยสามารถเปล่งศักยภาพตามความถนัดที่มีได้อย่างเต็มที่ จะมีการแบ่งกลุ่มมหาวิทยาลัยออกเป็น 3 กลุ่ม มีจุดเน้นที่แตกต่างกัน ด้าน ศ.ดร.ศันสนีย์ ไชยโรจน์ อาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล ประธานทําหน้าที่แก้ไขปัญหาอุปสรรคของอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ได้กล่าวถึงแผนงานที่ดําเนินการไปแล้ว โดยเฉพาะเรื่องตําแหน่งวิชาการที่ระเบียบยังไม่ตอบโจทย์และไม่ทันสมัยว่า มีการแต่งตั้งกรรมการให้ครบตามสาขาวิชาให้มากที่สุด และคณะทํางานต้องมีตําแหน่งทางวิชาการคือศาสตราจารย์ มีการแบ่งงานให้แต่ละสาขาไปดูว่า ควรมีการปรับปรุงอย่างไร ทั้งมหาวิทยาลัยภาครัฐและเอกชนที่ต้องแก้ไขกันทั้งระบบ มีการทําประชาพิจารณ์ โดยเชิญคณะกรรมการ กพว. หรือคณะกรรมการพิจารณาตําแหน่งทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเป็นผู้ทรงวุฒิซึ่งไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย มาเข้าร่วมประชุมหารือราว 500 คน และได้แสดงความคิดเห็นเต็มที่ “เราพบปัญหาอยู่ที่กระบวนการมากกว่าเกณฑ์ คือวิธีการขอ วิธีการตัดสิน เป็นหน้าที่ของสภามหาวิทยาลัย อาจารย์ต้องกรอกแบบฟอร์มและข้อมูลผลงาน คณะกรรมการ กพว.จะแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ การพิจารณาซึ่งอาจใช้เวลานาน หรือการหาผู้ทรงคุณวุฒิไม่ตรงสาขา อีกทั้งการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิบางครั้ง ใช้ความรู้สึกค่อนข้างมาก ซึ่งสิ่งที่เรากําลังทําอยู่จะเปลี่ยนให้เป็นการตัดสินใจในหลักที่มีวิชาการจริง พิจารณาคุณภาพของผลงานทางวิชาการ รวมทั้งระยะเวลาพิจารณาที่รวดเร็วขึ้น” ศ.ดร.ศันสนีย์ กล่าว ศ.ดร.สุรศักดิ์ วงศ์รัตนชีวิน อาจารย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ประธานคณะทํางานย่อยด้านกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ (มคอ.) กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของ มคอ.ว่า เป็นการประเมินการตรวจสอบหลักสูตรว่าได้มาตรฐานหรือไม่ อย่างไร เป็นหลักสูตรที่สามารถผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพจริงหรือไม่ ซึ่งหลักสูตรทั่วประเทศมีมากกว่า 6 พันหลักสูตร จึงจําเป็นต้องกรอกข้อมูลลงระบบอิเลคทรอนิกส์ทั้งหมด เพื่อการตรวจสอบง่ายขึ้น การประเมินหลักสูตรในปัจจุบันมีความยุ่งยาก ซับซ้อน ไม่สามารถตรวจทีละหลักสูตรได้ สิ่งที่ รมต.อว.จะทําให้เกิดขึ้นคือ การปลดล็อค ยกเลิกแบบประเมิน มคอ. บางข้อที่เป็นข้อมูลไม่จําเป็นหรือ ที่มีขั้นตอนมากมาย ซ้ําซ้อน ให้เหลือเพียง มคอ. 2 ซึ่งเป็นภาพของหลักสูตร โดยมีเป้าหมายให้ได้ข้อมูลที่ใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง ตลอดจนเห็นภาพอัตรากําลังการผลิดบุคลากรด้านอุดมศึกษาของประเทศที่ชัดเจน คุณภาพของหลักสูตรต้องสามารถสะท้อนออกมาในรูปของผลการเรียนรู้ ของผู้เรียน เช่น ตลอดหลักสูตรมีนักศึกษาบรรลุผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรเท่าไร นักศึกษาที่สําเร็จการศึกษาเป็น แพทย์ หรือ วิศวกรมีศักยภาพและความสามารถเพียงใด ผลการเรียนรู้นั้นจะออกมาในรูปของ Outcome Based Learning มากกว่าจํานวนนักศึกษาที่สําเร็จการศึกษา นอกจากนี้ แบบ มคอ นั้นต้องไม่ทําให้หลักสูตรที่มีคุณภาพเป็นภาระ แต่ในทางตรงข้ามหลักสูตรที่ไม่มีคุณภาพต้องสามารถถูกตรวจสอบได้ง่ายขึ้น “สิ่งที่เราอยากปรับคือเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตร ปรับให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมกับหลักสูตรได้ เช่น คนที่เก่งในภาคอุตสาหกรรม เข้ามาเป็นผู้สอนในมหาวิทยาลัย ด้วยการนําความรู้จากภาคอุตสาหกรรมมาบูรณาการ ก็จะทําให้เด็กมีความรู้ที่กว้างขึ้น เราต้องปลดล็อคตรงนี้ ซึ่งการทํางานกลุ่มนี้ก้าวหน้าไปมากแล้ว คาดว่าพฤศจิกายน หรือธันวาคมปีนี้ การแก้ไขต่าง ๆ น่าจะแล้วเสร็จ อีกทั้งมีการปรับระบบการส่งข้อมูลของมหาวิทยาลัยในระบบ CHECO Online ให้ง่ายและสะดวกมากขึ้นด้วย ศ.ดร.สุรศักดิ์ กล่าว ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รัฐชาติ มงคลนาวิน อาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประธานคณะทํางานด้านคุณภาพของมหาวิทยาลัย เผยความคืบหน้าว่า คณะทํางานได้มีการเสนอจัดตั้งคณะที่ปรึกษา เพื่อพลิกโฉมมหาวิทยาลัย หรือ University Transformation Advisory Committee (UTAC) เพื่อสนับสนุน ส่งเสริมและติดตามการพลิกโฉมของมหาวิทยาลัยโดยผ่านการเห็นชอบของ กกอ.แล้ว การทํางานขั้นตอนต่อไป จะจัดทําคู่มือเพื่อช่วยมหาวิทยาลัยให้เริ่มต้นการประเมินศักยภาพและผลการดําเนินงานตามกลุ่มยุทธศาสตร์ของตนเองได้ โดย 3 กลุ่มตามยุทธศาสตร์ได้แก่ กลุ่มเน้นความเป็นเลิศระดับแนวหน้าของโลก กลุ่มเน้นตอบโจทย์การพัฒนาท้องถิ่นเชิงพื้นที่ และกลุ่มที่เน้นการสร้างเทคโนโลยี นวัตกรรมและผู้ประกอบการ เพื่อให้เกิดการพัฒนาไปในทิศทางเดียวกันในหลักการของการจัดกลุ่มยุทธศาสตร์ UTAC จะส่งเสริมให้แต่ละมหาวิทยาลัยจัดทําแผนการพลิกโฉม (repositioning plan) ของตัวเองเพื่อให้มหาวิทยาลัยได้มีพัฒนาการเชิงคุณภาพ สามารถแข่งขันได้และทันสมัยในยุคของการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ในระยะสั้นคณะทํางานเสนอให้มหาวิทยาลัยเข้าร่วมระบบประเมินตนเองที่เป็นที่ยอมรับระดับนานาชาติ เช่น U-Multirank , THE Impact ranking หรือ QS Star Rating แต่ละมหาวิทยาลัยสามารถประเมินได้ว่าตนเองอยู่ในระดับใด และมีความโดดเด่นด้านใด อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์มหาวิทยาลัยไทยในเวทีระดับโลกอีกด้วย “คาดว่าปีหน้าจะได้เห็นผลว่ามีมหาวิทยาลัยไทยเก่งด้านไหน หรือต้องปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างไร โดยเรากําลังตั้งหน่วยงานสนับสนุนและส่งเสริมการพลิกโฉมมหาวิทยาลัยในกระทรวงขึ้นมา เป็นหน่วยงานที่ช่วยแนะนําและทํางานร่วมกับมหาวิทยาลัยให้พัฒนาตนเองต่อไปได้อย่างมีคุณภาพ ” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รัฐชาติ กล่าว แผนงานทั้งหมดนี้ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ต้องใช้เวลาในการบูรณาการเพื่อวางพื้นฐานให้แข็งแรง เพื่อการศึกษาไทยจะได้ทะยานไปข้างหน้า แต่เชื่อว่า ทีมอเวนเจอร์ปลดล็อคมหาวิทยาลัยนี้ จะสามารถพลิกโฉมมหาวิทยาลัยไทยให้ก้าวขึ้นสู่แถวหน้าของเวทีโลกได้ได้ภายในปีงบประมาณ 2563 เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทีมปฏิรูปอุดมศึกษา เครื่องร้อน เดินหน้าปลดล็อคมหาวิทยาลัย วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2562 ทีมปฏิรูปอุดมศึกษา เครื่องร้อน เดินหน้าปลดล็อคมหาวิทยาลัย ทีมปฏิรูปอุดมศึกษา เครื่องร้อน เดินหน้าปลดล็อคมหาวิทยาลัย ทันทีที่ได้รับตําแหน่งรัฐมนตรีคนแรกในกระทรวงใหม่ถอดด้าม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ภารกิจสําคัญที่ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง เร่งรัดให้เกิดขึ้นได้โดยเร็วที่สุด คือ การปรับลดข้อจํากัดที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปอุดมศึกษาและการพัฒนามหาวิทยาลัยตามกลุ่มยุทธศาสตร์ นโยบายด้านการพัฒนาระบบการศึกษาไทย โดยในเดือนกันยายนที่ผ่านมา แผนงานนี้ได้เริ่มโดยการแบ่งคณะทํางานออกเป็น 3 ชุด 4 กลุ่มทํางาน ได้แก่ การแก้ปัญหาธรรมาธิบาล ด้านตําแหน่งทางวิชาการ ด้านกรอบมาตรฐานคุณวุฒิ หรือมคอ. และด้านคุณภาพมหาวิทยาลัย พร้อมตั้งคณะทํางานขับเคลื่อนและติดตามฯ โดยมี รศ.ดร.พีระพงศ์ ทีฆสกุล อาจารย์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นประธานคณะทํางานขับเคลื่อนและติดตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและเทคโนโลยี พร้อมดูแลด้านธรรมาธิบาล และดูแลอีก 3 กลุ่มทํางาน เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางที่แต่ละมหาวิทยาลัยมีความเชี่ยวชาญ และภารกิจสําคัญคือการผลักดันมหาวิทยาลัยเข้าสู่ 100 อันดับแรกของโลกให้ได้ และวันนี้แผนงานก็ถูกขับเคลื่อนเดินหน้าอย่างแข็งขัน รศ.ดร.พีระพงศ์ ทีฆสกุล กล่าวว่า ภาพรวมภารกิจที่คณะทํางานต้องมีบทบาทในการดูแล 2 ส่วนหลัก ๆ ส่วนแรก คือการปลดล็อคข้อจํากัดหรือกฎเกณฑ์ที่ครอบงํามหาวิทยาลัยอยู่มาก ทําให้อาจารย์และมหาวิทยาลัยทํางานไม่สะดวก ประกอบไปด้วย 1. ปลดล็อคระเบียบการตําแหน่งทางวิชาการเพื่อให้อาจารย์สามารถทํางานตอบโจทย์ประเทศ และนํามาใช้ขอตําแหน่งวิชาการ 2. การปรับแก้มาตรฐานการสอนหลักสูตร เน้นเรื่องการสอน ทําให้การประเมินคุณภาพของหลักสูตร สั้นกระชับและเน้นคุณภาพที่แท้จริงมากกว่ากระบวนการ 3. การแก้ไขปัญหาธรรมาธิบาล โดยวางแนวทางการได้มาของสภามหาวิทยาลัยที่ไม่เกิดการขัดผลประโยชน์ มีการดําเนินการไปแล้ว เช่น การหารือกับหน่วยงานเอกชนที่ใช้หลักธรรมาธิบาลมาให้คําปรึกษา การนําวิธีการบริหารของมหาวิทยาลัยที่ทําดีแล้ว มาเป็นตัวอย่างและปรับใช้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน และอาจมีข้อกําหนดจากกระทรวงการอุดมศึกษาฯ “แผนนโยบายใหม่นี้หากทําสําเร็จจะแก้ไขการเอื้อผลประโยชน์ หรือป้องกันให้มีผู้มาหาผลประโยชน์ภายในมหาวิทยาลัยอย่างไม่ชอบ เรื่องธรรมาภิบาลเป็นเรื่องที่ท้าทายและทํายากที่สุด แต่จะทําให้สําเร็จ” รศ.ดร.พีระพงศ์ กล่าว ส่วนที่สอง คือการพลิกโฉมมหาวิทยาลัย โดยเน้นให้มหาวิทยาลัยสามารถเปล่งศักยภาพตามความถนัดที่มีได้อย่างเต็มที่ จะมีการแบ่งกลุ่มมหาวิทยาลัยออกเป็น 3 กลุ่ม มีจุดเน้นที่แตกต่างกัน ด้าน ศ.ดร.ศันสนีย์ ไชยโรจน์ อาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล ประธานทําหน้าที่แก้ไขปัญหาอุปสรรคของอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ได้กล่าวถึงแผนงานที่ดําเนินการไปแล้ว โดยเฉพาะเรื่องตําแหน่งวิชาการที่ระเบียบยังไม่ตอบโจทย์และไม่ทันสมัยว่า มีการแต่งตั้งกรรมการให้ครบตามสาขาวิชาให้มากที่สุด และคณะทํางานต้องมีตําแหน่งทางวิชาการคือศาสตราจารย์ มีการแบ่งงานให้แต่ละสาขาไปดูว่า ควรมีการปรับปรุงอย่างไร ทั้งมหาวิทยาลัยภาครัฐและเอกชนที่ต้องแก้ไขกันทั้งระบบ มีการทําประชาพิจารณ์ โดยเชิญคณะกรรมการ กพว. หรือคณะกรรมการพิจารณาตําแหน่งทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเป็นผู้ทรงวุฒิซึ่งไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย มาเข้าร่วมประชุมหารือราว 500 คน และได้แสดงความคิดเห็นเต็มที่ “เราพบปัญหาอยู่ที่กระบวนการมากกว่าเกณฑ์ คือวิธีการขอ วิธีการตัดสิน เป็นหน้าที่ของสภามหาวิทยาลัย อาจารย์ต้องกรอกแบบฟอร์มและข้อมูลผลงาน คณะกรรมการ กพว.จะแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ การพิจารณาซึ่งอาจใช้เวลานาน หรือการหาผู้ทรงคุณวุฒิไม่ตรงสาขา อีกทั้งการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิบางครั้ง ใช้ความรู้สึกค่อนข้างมาก ซึ่งสิ่งที่เรากําลังทําอยู่จะเปลี่ยนให้เป็นการตัดสินใจในหลักที่มีวิชาการจริง พิจารณาคุณภาพของผลงานทางวิชาการ รวมทั้งระยะเวลาพิจารณาที่รวดเร็วขึ้น” ศ.ดร.ศันสนีย์ กล่าว ศ.ดร.สุรศักดิ์ วงศ์รัตนชีวิน อาจารย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ประธานคณะทํางานย่อยด้านกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ (มคอ.) กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของ มคอ.ว่า เป็นการประเมินการตรวจสอบหลักสูตรว่าได้มาตรฐานหรือไม่ อย่างไร เป็นหลักสูตรที่สามารถผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพจริงหรือไม่ ซึ่งหลักสูตรทั่วประเทศมีมากกว่า 6 พันหลักสูตร จึงจําเป็นต้องกรอกข้อมูลลงระบบอิเลคทรอนิกส์ทั้งหมด เพื่อการตรวจสอบง่ายขึ้น การประเมินหลักสูตรในปัจจุบันมีความยุ่งยาก ซับซ้อน ไม่สามารถตรวจทีละหลักสูตรได้ สิ่งที่ รมต.อว.จะทําให้เกิดขึ้นคือ การปลดล็อค ยกเลิกแบบประเมิน มคอ. บางข้อที่เป็นข้อมูลไม่จําเป็นหรือ ที่มีขั้นตอนมากมาย ซ้ําซ้อน ให้เหลือเพียง มคอ. 2 ซึ่งเป็นภาพของหลักสูตร โดยมีเป้าหมายให้ได้ข้อมูลที่ใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง ตลอดจนเห็นภาพอัตรากําลังการผลิดบุคลากรด้านอุดมศึกษาของประเทศที่ชัดเจน คุณภาพของหลักสูตรต้องสามารถสะท้อนออกมาในรูปของผลการเรียนรู้ ของผู้เรียน เช่น ตลอดหลักสูตรมีนักศึกษาบรรลุผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรเท่าไร นักศึกษาที่สําเร็จการศึกษาเป็น แพทย์ หรือ วิศวกรมีศักยภาพและความสามารถเพียงใด ผลการเรียนรู้นั้นจะออกมาในรูปของ Outcome Based Learning มากกว่าจํานวนนักศึกษาที่สําเร็จการศึกษา นอกจากนี้ แบบ มคอ นั้นต้องไม่ทําให้หลักสูตรที่มีคุณภาพเป็นภาระ แต่ในทางตรงข้ามหลักสูตรที่ไม่มีคุณภาพต้องสามารถถูกตรวจสอบได้ง่ายขึ้น “สิ่งที่เราอยากปรับคือเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตร ปรับให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมกับหลักสูตรได้ เช่น คนที่เก่งในภาคอุตสาหกรรม เข้ามาเป็นผู้สอนในมหาวิทยาลัย ด้วยการนําความรู้จากภาคอุตสาหกรรมมาบูรณาการ ก็จะทําให้เด็กมีความรู้ที่กว้างขึ้น เราต้องปลดล็อคตรงนี้ ซึ่งการทํางานกลุ่มนี้ก้าวหน้าไปมากแล้ว คาดว่าพฤศจิกายน หรือธันวาคมปีนี้ การแก้ไขต่าง ๆ น่าจะแล้วเสร็จ อีกทั้งมีการปรับระบบการส่งข้อมูลของมหาวิทยาลัยในระบบ CHECO Online ให้ง่ายและสะดวกมากขึ้นด้วย ศ.ดร.สุรศักดิ์ กล่าว ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รัฐชาติ มงคลนาวิน อาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประธานคณะทํางานด้านคุณภาพของมหาวิทยาลัย เผยความคืบหน้าว่า คณะทํางานได้มีการเสนอจัดตั้งคณะที่ปรึกษา เพื่อพลิกโฉมมหาวิทยาลัย หรือ University Transformation Advisory Committee (UTAC) เพื่อสนับสนุน ส่งเสริมและติดตามการพลิกโฉมของมหาวิทยาลัยโดยผ่านการเห็นชอบของ กกอ.แล้ว การทํางานขั้นตอนต่อไป จะจัดทําคู่มือเพื่อช่วยมหาวิทยาลัยให้เริ่มต้นการประเมินศักยภาพและผลการดําเนินงานตามกลุ่มยุทธศาสตร์ของตนเองได้ โดย 3 กลุ่มตามยุทธศาสตร์ได้แก่ กลุ่มเน้นความเป็นเลิศระดับแนวหน้าของโลก กลุ่มเน้นตอบโจทย์การพัฒนาท้องถิ่นเชิงพื้นที่ และกลุ่มที่เน้นการสร้างเทคโนโลยี นวัตกรรมและผู้ประกอบการ เพื่อให้เกิดการพัฒนาไปในทิศทางเดียวกันในหลักการของการจัดกลุ่มยุทธศาสตร์ UTAC จะส่งเสริมให้แต่ละมหาวิทยาลัยจัดทําแผนการพลิกโฉม (repositioning plan) ของตัวเองเพื่อให้มหาวิทยาลัยได้มีพัฒนาการเชิงคุณภาพ สามารถแข่งขันได้และทันสมัยในยุคของการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ในระยะสั้นคณะทํางานเสนอให้มหาวิทยาลัยเข้าร่วมระบบประเมินตนเองที่เป็นที่ยอมรับระดับนานาชาติ เช่น U-Multirank , THE Impact ranking หรือ QS Star Rating แต่ละมหาวิทยาลัยสามารถประเมินได้ว่าตนเองอยู่ในระดับใด และมีความโดดเด่นด้านใด อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์มหาวิทยาลัยไทยในเวทีระดับโลกอีกด้วย “คาดว่าปีหน้าจะได้เห็นผลว่ามีมหาวิทยาลัยไทยเก่งด้านไหน หรือต้องปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างไร โดยเรากําลังตั้งหน่วยงานสนับสนุนและส่งเสริมการพลิกโฉมมหาวิทยาลัยในกระทรวงขึ้นมา เป็นหน่วยงานที่ช่วยแนะนําและทํางานร่วมกับมหาวิทยาลัยให้พัฒนาตนเองต่อไปได้อย่างมีคุณภาพ ” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รัฐชาติ กล่าว แผนงานทั้งหมดนี้ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ต้องใช้เวลาในการบูรณาการเพื่อวางพื้นฐานให้แข็งแรง เพื่อการศึกษาไทยจะได้ทะยานไปข้างหน้า แต่เชื่อว่า ทีมอเวนเจอร์ปลดล็อคมหาวิทยาลัยนี้ จะสามารถพลิกโฉมมหาวิทยาลัยไทยให้ก้าวขึ้นสู่แถวหน้าของเวทีโลกได้ได้ภายในปีงบประมาณ 2563 เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23899
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมแผนการผลิตและการตลาดสุกร ปี 2562
วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 เตรียมแผนการผลิตและการตลาดสุกร ปี 2562 พิกบอร์ด (Pig board) เตรียมแผนการผลิตและการตลาดสุกร ปี 2562 คาดว่าจะมีการขยายตัวการนําเข้าและส่งออกเพิ่มมากขึ้น นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์ (Pig board) ณ กรมปศุสัตว์ พญาไท ว่า ที่ประชุมเห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดสุกร ปี 2562 โดยพิจารณาจากปริมาณแม่พันธุ์สุกรที่ใช้งานในระบบ ปี 2562 ประเมินจากฝูงแม่พันธุ์ ปี 2561 (คิดจากร้อยละ 80) และฝูงแม่สุกรสาวที่ได้จากการสํารวจปี 2561 นอกจากนี้ ยังพิจารณาจากประสิทธิภาพการผลิต โดยแม่สุกร 1 ตัว สามารถผลิตสุกรขุนได้ 19.63 ตัว อีกทั้งยังได้คาดการณ์การขยายตัวการนําเข้าและส่งออก ปี 2562 จากปี 2561 คือ ปริมาณการส่งออกสุกรมีชีวิตจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ปริมาณการนําเข้าเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ปริมาณการส่งออกเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 โดยได้รับปัจจัยบวกจากปัญหาโรค African Swine Fever ในจีน ไต้หวัน เวียดนาม และญี่ปุ่น ประกอบกับข้อมูลของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ที่คาดว่าประเทศเวียดนามจะส่งออกเนื้อสุกรลดลงจาก 35,000 ตัน ในปี 2561 เป็น 30,000 ตัน ในปี 2562 จึงเป็นปัจจัยบวกให้กัมพูชานําเข้าสุกรมีชีวิตจากไทยเพิ่มมากขึ้น นายลักษณ์ กล่าวต่อไปว่า ในปี 2562 นี้ จึงคาดว่าจะมีแม่พันธุ์สุกร จํานวน 1.047 ล้านตัว ผลิตสุกรขุน (น้ําหนัก 100 กิโลกรัม/ตัว) วันละ 56,388 ตัว รวมทั้งปีจะสามารถผลิตสุกรขุนได้ จํานวน 20.557 ล้านตัว นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะมีปริมาณการส่งออกสุกรมีชีวิต จํานวน 1,000,000 ตัว (เพิ่มขึ้นร้อยละ 10) การนําเข้าเนื้อสุกร จํานวน 112 ตัน (เพิ่มขึ้น ร้อยละ 5) และส่งออกเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์ จํานวน 20,906 ตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 4) อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีปริมาณเนื้อสุกรเหลือบริโภคภายในประเทศ จํานวน 1.45 ล้านตัน หรือคิดเป็นอัตราบริโภค 22 กิโลกรัม/คน/ปี ทั้งนี้ ในปี 2561 มีปริมาณการผลิตสุกรขุน จํานวน 22.90 ล้านตัว ปริมาณการผลิตไตรมาส 4/2561 (ต.ค. - ธ.ค.) จํานวน 6.03 ล้านตัว คิดเป็นเนื้อสุกร 452.12 พันตัน มีต้นทุนการผลิตสุกร ไตรมาส 4/2561 (กรณีซื้อลูกสุกรมาเลี้ยง) เฉลี่ยกิโลกรัมละ 63.24 บาท ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ ไตรมาส 4/2561 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 65.89 บาท ราคาขายปลีกเนื้อสุกรชําแหละ ไตรมาส 4/2561 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 134.55 บาท การส่งออกสุกรมีชีวิต ปี 2561 (ม.ค. - ธ.ค.) จํานวน 885,372 ตัว เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ร้อยละ 127 และการนําเข้าผลิตภัณฑ์สุกร ปี 2561 (ม.ค. - ธ.ค.) มีจํานวน 97,534 ตัน ลดลงจากปี 2560 ร้อยละ 9 กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมแผนการผลิตและการตลาดสุกร ปี 2562 วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 เตรียมแผนการผลิตและการตลาดสุกร ปี 2562 พิกบอร์ด (Pig board) เตรียมแผนการผลิตและการตลาดสุกร ปี 2562 คาดว่าจะมีการขยายตัวการนําเข้าและส่งออกเพิ่มมากขึ้น นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์ (Pig board) ณ กรมปศุสัตว์ พญาไท ว่า ที่ประชุมเห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดสุกร ปี 2562 โดยพิจารณาจากปริมาณแม่พันธุ์สุกรที่ใช้งานในระบบ ปี 2562 ประเมินจากฝูงแม่พันธุ์ ปี 2561 (คิดจากร้อยละ 80) และฝูงแม่สุกรสาวที่ได้จากการสํารวจปี 2561 นอกจากนี้ ยังพิจารณาจากประสิทธิภาพการผลิต โดยแม่สุกร 1 ตัว สามารถผลิตสุกรขุนได้ 19.63 ตัว อีกทั้งยังได้คาดการณ์การขยายตัวการนําเข้าและส่งออก ปี 2562 จากปี 2561 คือ ปริมาณการส่งออกสุกรมีชีวิตจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ปริมาณการนําเข้าเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ปริมาณการส่งออกเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 โดยได้รับปัจจัยบวกจากปัญหาโรค African Swine Fever ในจีน ไต้หวัน เวียดนาม และญี่ปุ่น ประกอบกับข้อมูลของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ที่คาดว่าประเทศเวียดนามจะส่งออกเนื้อสุกรลดลงจาก 35,000 ตัน ในปี 2561 เป็น 30,000 ตัน ในปี 2562 จึงเป็นปัจจัยบวกให้กัมพูชานําเข้าสุกรมีชีวิตจากไทยเพิ่มมากขึ้น นายลักษณ์ กล่าวต่อไปว่า ในปี 2562 นี้ จึงคาดว่าจะมีแม่พันธุ์สุกร จํานวน 1.047 ล้านตัว ผลิตสุกรขุน (น้ําหนัก 100 กิโลกรัม/ตัว) วันละ 56,388 ตัว รวมทั้งปีจะสามารถผลิตสุกรขุนได้ จํานวน 20.557 ล้านตัว นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะมีปริมาณการส่งออกสุกรมีชีวิต จํานวน 1,000,000 ตัว (เพิ่มขึ้นร้อยละ 10) การนําเข้าเนื้อสุกร จํานวน 112 ตัน (เพิ่มขึ้น ร้อยละ 5) และส่งออกเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์ จํานวน 20,906 ตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 4) อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีปริมาณเนื้อสุกรเหลือบริโภคภายในประเทศ จํานวน 1.45 ล้านตัน หรือคิดเป็นอัตราบริโภค 22 กิโลกรัม/คน/ปี ทั้งนี้ ในปี 2561 มีปริมาณการผลิตสุกรขุน จํานวน 22.90 ล้านตัว ปริมาณการผลิตไตรมาส 4/2561 (ต.ค. - ธ.ค.) จํานวน 6.03 ล้านตัว คิดเป็นเนื้อสุกร 452.12 พันตัน มีต้นทุนการผลิตสุกร ไตรมาส 4/2561 (กรณีซื้อลูกสุกรมาเลี้ยง) เฉลี่ยกิโลกรัมละ 63.24 บาท ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ ไตรมาส 4/2561 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 65.89 บาท ราคาขายปลีกเนื้อสุกรชําแหละ ไตรมาส 4/2561 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 134.55 บาท การส่งออกสุกรมีชีวิต ปี 2561 (ม.ค. - ธ.ค.) จํานวน 885,372 ตัว เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ร้อยละ 127 และการนําเข้าผลิตภัณฑ์สุกร ปี 2561 (ม.ค. - ธ.ค.) มีจํานวน 97,534 ตัน ลดลงจากปี 2560 ร้อยละ 9 กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19047
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง แนวปฏิบัติในการให้บริการผู้โดยสารในเส้นทางการบินภายในประเทศในระหว่างสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563 ประกาศสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง แนวปฏิบัติในการให้บริการผู้โดยสารในเส้นทางการบินภายในประเทศในระหว่างสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามที่ปัจจุบันปรากฏการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และรัฐบาลได้มีการกําหนดมาตรการทางสาธารณสุขเพื่อยกระดับการดําเนินมาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรค ซึ่งจะเป็นส่วนสําคัญในการแก้ไขสถานการณ์ข้างต้นให้ยุติลงโดยเร็ว นั้น เพื่อให้ผู้ดําเนินการเดินอากาศและผู้ดําเนินการสนามบินมีแนวทางสําหรับการให้บริการแก่ผู้โดยสารในเส้นทางการบินภายในประเทศที่สอดคล้องกับมาตรการทางสาธารณสุข สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยจึงออกประกาศกําหนดแนวปฏิบัติในการให้บริการผู้โดยสารในเส้นทางการบินภายในประเทศ ในระหว่างสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ดังต่อไปนี้ 1. แนวปฏิบัตินี้ให้ใช้บังคับแก่การให้บริการในเส้นทางการบินภายในประเทศ (Domestic Flights) 2. ให้ผู้ดําเนินการเดินอากาศดําเนินมาตรการ ดังนี้ (1) จํากัดจํานวนที่นั่งที่จะให้บริการบนอากาศยาน โดยการจําหน่ายบัตรโดยสารจะต้องคํานึงถึงการจัดที่นั่งโดยเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 ที่นั่งโดยสารระหว่างผู้โดยสารแต่ละคน เว้นแต่ (ก) สภาพทางกายภาพของที่นั่งส่วนใดส่วนหนี่งของอากาศยานมีระยะห่างที่เพียงพอที่จะสามารถป้องกันการติดต่อสัมผัสและการแพร่เชื้อโรคทางฝอยละอองน้ําลายได้ (ข) เป็นอากาศยานขนาดเล็กที่มีจํานวนที่นั่งทั้งหมด (Total number of seat) ไม่เกิน 19 ที่นั่ง และปฏิบัติการบินแบบเช่าเหมาลํา (ค) เป็นอากาศยานที่มีจํานวนที่นั่งทั้งหมด (Total number of seat) ไม่เกิน 90 ที่นั่ง ทั้งนี้ ให้จําหน่ายบัตรโดยสารได้ไม่เกินร้อยละ 70 ของจํานวนที่นั่งทั้งหมดของอากาศยาน (2) ในกรณีที่ปรากฏว่าท่าอากาศยานต้นทางไม่มีการทําการตรวจคัดกรองบุคคลที่เข้ามาใช้บริการในท่าอากาศยาน ให้ทําการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย (Body Temperature Screening) ของผู้โดยสาร โดยใช้เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดที่ไม่ต้องสัมผัสกับร่างกายของผู้ถูกตรวจวัด (Non-contact infrared thermometer) ก่อนขึ้นเครื่อง และสังเกตอาการโดยทั่วไป หากวัดอุณหภูมิได้สูงกว่า 37.3 องศาเซลเซียส หรือมีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ํามูก หายใจเหนื่อยหอบ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ทันที หากการวินิจฉัยเห็นว่ามีความเสี่ยง ให้งดการออกบัตรขึ้นเครื่อง (Boarding Pass) แก่ผู้โดยสารนั้น (3) กําหนดให้มีมาตรการและวิธีปฏิบัติเพื่อรักษาระยะห่างของผู้โดยสารตลอดระยะเวลาเดินทาง โดยรวมถึงขั้นตอนการลําเลียงผู้โดยสารขึ้นและลงจากอากาศยาน ไม่ว่าจะดําเนินการด้วยการเดินเท้า การใช้รถบัสหรือสะพานเทียบอากาศยาน การรวมกลุ่มในขณะจัดเก็บสัมภาระในที่เก็บของเหนือศีรษะและการเข้าแถวรอใช้ห้องน้ําในห้องโดยสาร โดยมาตรการและวิธีการปฏิบัตินั้นต้องมั่นใจได้ว่ามีการรักษาระยะห่างที่เหมาะสมสําหรับผู้โดยสารที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษด้วย (4) กําหนดให้ผู้โดยสารสวมหน้ากากอนามัย (Surgical Mask) ตลอดเวลาตั้งแต่ขึ้นเครื่องจนกว่าจะออกจากเครื่อง ทั้งนี้ ในระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบเพื่อออกบัตรขึ้นเครื่อง (Boarding Pass) ให้ตรวจสอบด้วยว่าผู้โดยสารมีหน้ากากอนามัย ถ้าพบว่าผู้โดยสารไม่มีหน้ากากอนามัยและไม่สามารถจัดหามาแสดงได้ ให้งดการออกบัตรขึ้นเครื่องให้แก่ผู้โดยสารนั้น (5) งดการให้บริการอาหารและเครื่องดื่มในระหว่างการปฏิบัติการบิน รวมทั้งห้ามผู้โดยสารรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่นําติดตัวมา ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินหรือจําเป็น ลูกเรืออาจพิจารณาจัดน้ําดื่มให้บริการแก่ผู้โดยสารได้ ทั้งนี้ ให้กระทําในพื้นที่ที่ห่างจากผู้โดยสารคนอื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ (6) จัดเตรียมแอลกอฮอล์เจลไว้ให้บริการแก่ผู้โดยสารตามความเหมาะสม (7) กําหนดให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในอากาศยานใช้อุปกรณ์ช่วยป้องกันส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment (PPE)) ดังนี้ (ก) นักบินให้สวมหน้ากากอนามัย (Surgical Mask) (ข) ลูกเรือให้สวมหน้ากากอนามัยและถุงมือยาง (Disposable Medical Rubber Gloves) ตลอดระยะเวลาปฏิบัติการบิน โดยผู้ดําเนินการเดินอากาศสามารถพิจารณาจัดหาอุปกรณ์อื่นที่สามารถป้องกันการติดเชื้อเพิ่มเติมได้ เช่น แว่นตา (Goggles) อุปกรณ์ป้องกันใบหน้าจากของเหลวติดเชื้อ (Face Shield) หรือชุดป้องกันเชื้อโรค เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้ดําเนินการเดินอากาศอาจจัดหาอุปกรณ์ทําความสะอาดชีวภาพ (Universal Precautions Kits (UPK)) ให้มีจํานวนเพียงพอและเหมาะสมในแต่ละเที่ยวบิน เพื่อให้ลูกเรือใช้ทําความสะอาดและกําจัดของเหลวที่มีอันตรายทางชีวภาพเพื่อลดการแพร่เชื้อโรคในห้องโดยสาร (8) ในการปฏิบัติการบินที่ใช้ระยะเวลามากกว่า 90 นาที ให้สํารองที่นั่ง 2 แถวหลังสุดด้านใดด้านหนึ่งของอากาศยานไว้สําหรับแยกกักผู้โดยสารที่ป่วยหรือสงสัยว่าจะป่วยเพื่อเฝ้าสังเกตอาการและป้องกันการแพร่กระจายของโรค (9) ในกรณีที่พบผู้โดยสารหรือลูกเรือที่มีอาการป่วยหรือสงสัยว่าจะป่วยเป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ขณะอยู่บนอากาศยาน ให้ผู้ดําเนินการเดินอากาศดําเนินมาตรการ On-board Emergency Quarantine ดังนี้ (ก) ให้แยกกักผู้ป่วยหรือผู้ที่สงสัยว่าจะป่วยนั่งที่ที่นั่งริมหน้าต่างด้านขวาแถวหลังสุด ให้ห่างไกลจากผู้โดยสารคนอื่นมากที่สุด (ข) ให้กันห้องน้ําห้องหลังสุดไว้ใช้สําหรับกรณีการกักกันโรคโดยเฉพาะ (ค) ให้มอบหมายหน้าที่ให้ลูกเรือคนหนึ่งทําหน้าที่ในพื้นที่แยกกัก และให้ลูกเรือที่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับลูกเรือคนอื่นในระยะใกล้กว่า 2 เมตร (ง) ให้นักบินผู้ควบคุมอากาศยานแจ้งข้อมูลการตรวจพบผู้โดยสารหรือลูกเรือที่มีอาการป่วยหรือสงสัยว่าจะป่วยดังกล่าวให้เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ เพื่อรายงานให้แก่ผู้ดําเนินการสนามบิน ณ ท่าอากาศยานปลายทาง (10) ดําเนินการแจ้งเตือนผู้โดยสารเพื่อให้รับทราบและปฏิบัติตามข้อปฏิบัติที่เกี่ยวกับมาตรการทางสาธารณสุขก่อนการเดินทาง และให้ประกาศแจ้งผู้โดยสารอีกครั้งในระหว่างการเดินทางเพื่อให้ทราบว่าการไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของผู้ควบคุมอากาศยานหรือเจ้าหน้าที่ประจําอากาศยาน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการสวมหน้ากากอนามัยและมาตรการทางสาธารณสุขอย่างอื่นบนอากาศยานเป็นความผิดและอาจได้รับโทษตามกฎหมายว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ (11) ทุกครั้งหลังจากเสร็จสิ้นการปฏิบัติการบิน ให้ทําการฆ่าเชื้อโรค (Disinfection) ในส่วนของห้องโดยสาร (Passenger Compartment) ตามมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด 3. ให้ผู้ดําเนินการสนามบินดําเนินมาตรการ ดังนี้ (1) ทําการตรวจคัดกรองบุคคลที่เข้ามาใช้บริการในท่าอากาศยาน โดยต้องมีตรวจสอบการสวมหน้ากากอนามัยและการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย (Body Temperature Screening) ด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดที่ไม่ต้องสัมผัสกับร่างกายของผู้ถูกตรวจวัด (Non-contact infrared thermometer) หากบุคคลนั้นไม่สวมหน้ากากอนามัยหรือวัดอุณหภูมิได้สูงกว่า 37.3 องศาเซลเซียส ให้ปฏิเสธการให้เข้าพื้นที่ท่าอากาศยาน (2) จัดการเกี่ยวกับการเว้นระยะนั่งหรือยืนห่างกันอย่างน้อยหนึ่งเมตรในพื้นที่ต่าง ๆ ที่มีจัดไว้ให้ดําเนินกิจกรรม เช่น พื้นที่ที่ผู้ดําเนินการเดินอากาศใช้เพื่อดําเนินการออกบัตรขึ้นเครื่อง (Check- in counter) พื้นที่ที่ผู้โดยสารรอขึ้นเครื่อง 4. ให้ผู้ดําเนินการเดินอากาศแจ้งแนวทางปฏิบัติตาม 2. ให้เจ้าหน้าที่ประจําสถานีต้นทางและผู้ปฏิบัติหน้าที่ในอากาศยานทราบและถือปฏิบัติ และให้ผู้ดําเนินการสนามบินแจ้งแนวทางปฏิบัติตาม 3. ให้เจ้าหน้าที่ประจําท่าอากาศยานของตนทราบและถือปฏิบัติ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง แนวปฏิบัติในการให้บริการผู้โดยสารในเส้นทางการบินภายในประเทศในระหว่างสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) วันพุธที่ 29 เมษายน 2563 ประกาศสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง แนวปฏิบัติในการให้บริการผู้โดยสารในเส้นทางการบินภายในประเทศในระหว่างสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามที่ปัจจุบันปรากฏการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และรัฐบาลได้มีการกําหนดมาตรการทางสาธารณสุขเพื่อยกระดับการดําเนินมาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรค ซึ่งจะเป็นส่วนสําคัญในการแก้ไขสถานการณ์ข้างต้นให้ยุติลงโดยเร็ว นั้น เพื่อให้ผู้ดําเนินการเดินอากาศและผู้ดําเนินการสนามบินมีแนวทางสําหรับการให้บริการแก่ผู้โดยสารในเส้นทางการบินภายในประเทศที่สอดคล้องกับมาตรการทางสาธารณสุข สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยจึงออกประกาศกําหนดแนวปฏิบัติในการให้บริการผู้โดยสารในเส้นทางการบินภายในประเทศ ในระหว่างสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ดังต่อไปนี้ 1. แนวปฏิบัตินี้ให้ใช้บังคับแก่การให้บริการในเส้นทางการบินภายในประเทศ (Domestic Flights) 2. ให้ผู้ดําเนินการเดินอากาศดําเนินมาตรการ ดังนี้ (1) จํากัดจํานวนที่นั่งที่จะให้บริการบนอากาศยาน โดยการจําหน่ายบัตรโดยสารจะต้องคํานึงถึงการจัดที่นั่งโดยเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 ที่นั่งโดยสารระหว่างผู้โดยสารแต่ละคน เว้นแต่ (ก) สภาพทางกายภาพของที่นั่งส่วนใดส่วนหนี่งของอากาศยานมีระยะห่างที่เพียงพอที่จะสามารถป้องกันการติดต่อสัมผัสและการแพร่เชื้อโรคทางฝอยละอองน้ําลายได้ (ข) เป็นอากาศยานขนาดเล็กที่มีจํานวนที่นั่งทั้งหมด (Total number of seat) ไม่เกิน 19 ที่นั่ง และปฏิบัติการบินแบบเช่าเหมาลํา (ค) เป็นอากาศยานที่มีจํานวนที่นั่งทั้งหมด (Total number of seat) ไม่เกิน 90 ที่นั่ง ทั้งนี้ ให้จําหน่ายบัตรโดยสารได้ไม่เกินร้อยละ 70 ของจํานวนที่นั่งทั้งหมดของอากาศยาน (2) ในกรณีที่ปรากฏว่าท่าอากาศยานต้นทางไม่มีการทําการตรวจคัดกรองบุคคลที่เข้ามาใช้บริการในท่าอากาศยาน ให้ทําการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย (Body Temperature Screening) ของผู้โดยสาร โดยใช้เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดที่ไม่ต้องสัมผัสกับร่างกายของผู้ถูกตรวจวัด (Non-contact infrared thermometer) ก่อนขึ้นเครื่อง และสังเกตอาการโดยทั่วไป หากวัดอุณหภูมิได้สูงกว่า 37.3 องศาเซลเซียส หรือมีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ํามูก หายใจเหนื่อยหอบ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ทันที หากการวินิจฉัยเห็นว่ามีความเสี่ยง ให้งดการออกบัตรขึ้นเครื่อง (Boarding Pass) แก่ผู้โดยสารนั้น (3) กําหนดให้มีมาตรการและวิธีปฏิบัติเพื่อรักษาระยะห่างของผู้โดยสารตลอดระยะเวลาเดินทาง โดยรวมถึงขั้นตอนการลําเลียงผู้โดยสารขึ้นและลงจากอากาศยาน ไม่ว่าจะดําเนินการด้วยการเดินเท้า การใช้รถบัสหรือสะพานเทียบอากาศยาน การรวมกลุ่มในขณะจัดเก็บสัมภาระในที่เก็บของเหนือศีรษะและการเข้าแถวรอใช้ห้องน้ําในห้องโดยสาร โดยมาตรการและวิธีการปฏิบัตินั้นต้องมั่นใจได้ว่ามีการรักษาระยะห่างที่เหมาะสมสําหรับผู้โดยสารที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษด้วย (4) กําหนดให้ผู้โดยสารสวมหน้ากากอนามัย (Surgical Mask) ตลอดเวลาตั้งแต่ขึ้นเครื่องจนกว่าจะออกจากเครื่อง ทั้งนี้ ในระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบเพื่อออกบัตรขึ้นเครื่อง (Boarding Pass) ให้ตรวจสอบด้วยว่าผู้โดยสารมีหน้ากากอนามัย ถ้าพบว่าผู้โดยสารไม่มีหน้ากากอนามัยและไม่สามารถจัดหามาแสดงได้ ให้งดการออกบัตรขึ้นเครื่องให้แก่ผู้โดยสารนั้น (5) งดการให้บริการอาหารและเครื่องดื่มในระหว่างการปฏิบัติการบิน รวมทั้งห้ามผู้โดยสารรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่นําติดตัวมา ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินหรือจําเป็น ลูกเรืออาจพิจารณาจัดน้ําดื่มให้บริการแก่ผู้โดยสารได้ ทั้งนี้ ให้กระทําในพื้นที่ที่ห่างจากผู้โดยสารคนอื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ (6) จัดเตรียมแอลกอฮอล์เจลไว้ให้บริการแก่ผู้โดยสารตามความเหมาะสม (7) กําหนดให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในอากาศยานใช้อุปกรณ์ช่วยป้องกันส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment (PPE)) ดังนี้ (ก) นักบินให้สวมหน้ากากอนามัย (Surgical Mask) (ข) ลูกเรือให้สวมหน้ากากอนามัยและถุงมือยาง (Disposable Medical Rubber Gloves) ตลอดระยะเวลาปฏิบัติการบิน โดยผู้ดําเนินการเดินอากาศสามารถพิจารณาจัดหาอุปกรณ์อื่นที่สามารถป้องกันการติดเชื้อเพิ่มเติมได้ เช่น แว่นตา (Goggles) อุปกรณ์ป้องกันใบหน้าจากของเหลวติดเชื้อ (Face Shield) หรือชุดป้องกันเชื้อโรค เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้ดําเนินการเดินอากาศอาจจัดหาอุปกรณ์ทําความสะอาดชีวภาพ (Universal Precautions Kits (UPK)) ให้มีจํานวนเพียงพอและเหมาะสมในแต่ละเที่ยวบิน เพื่อให้ลูกเรือใช้ทําความสะอาดและกําจัดของเหลวที่มีอันตรายทางชีวภาพเพื่อลดการแพร่เชื้อโรคในห้องโดยสาร (8) ในการปฏิบัติการบินที่ใช้ระยะเวลามากกว่า 90 นาที ให้สํารองที่นั่ง 2 แถวหลังสุดด้านใดด้านหนึ่งของอากาศยานไว้สําหรับแยกกักผู้โดยสารที่ป่วยหรือสงสัยว่าจะป่วยเพื่อเฝ้าสังเกตอาการและป้องกันการแพร่กระจายของโรค (9) ในกรณีที่พบผู้โดยสารหรือลูกเรือที่มีอาการป่วยหรือสงสัยว่าจะป่วยเป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ขณะอยู่บนอากาศยาน ให้ผู้ดําเนินการเดินอากาศดําเนินมาตรการ On-board Emergency Quarantine ดังนี้ (ก) ให้แยกกักผู้ป่วยหรือผู้ที่สงสัยว่าจะป่วยนั่งที่ที่นั่งริมหน้าต่างด้านขวาแถวหลังสุด ให้ห่างไกลจากผู้โดยสารคนอื่นมากที่สุด (ข) ให้กันห้องน้ําห้องหลังสุดไว้ใช้สําหรับกรณีการกักกันโรคโดยเฉพาะ (ค) ให้มอบหมายหน้าที่ให้ลูกเรือคนหนึ่งทําหน้าที่ในพื้นที่แยกกัก และให้ลูกเรือที่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับลูกเรือคนอื่นในระยะใกล้กว่า 2 เมตร (ง) ให้นักบินผู้ควบคุมอากาศยานแจ้งข้อมูลการตรวจพบผู้โดยสารหรือลูกเรือที่มีอาการป่วยหรือสงสัยว่าจะป่วยดังกล่าวให้เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ เพื่อรายงานให้แก่ผู้ดําเนินการสนามบิน ณ ท่าอากาศยานปลายทาง (10) ดําเนินการแจ้งเตือนผู้โดยสารเพื่อให้รับทราบและปฏิบัติตามข้อปฏิบัติที่เกี่ยวกับมาตรการทางสาธารณสุขก่อนการเดินทาง และให้ประกาศแจ้งผู้โดยสารอีกครั้งในระหว่างการเดินทางเพื่อให้ทราบว่าการไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของผู้ควบคุมอากาศยานหรือเจ้าหน้าที่ประจําอากาศยาน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการสวมหน้ากากอนามัยและมาตรการทางสาธารณสุขอย่างอื่นบนอากาศยานเป็นความผิดและอาจได้รับโทษตามกฎหมายว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ (11) ทุกครั้งหลังจากเสร็จสิ้นการปฏิบัติการบิน ให้ทําการฆ่าเชื้อโรค (Disinfection) ในส่วนของห้องโดยสาร (Passenger Compartment) ตามมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด 3. ให้ผู้ดําเนินการสนามบินดําเนินมาตรการ ดังนี้ (1) ทําการตรวจคัดกรองบุคคลที่เข้ามาใช้บริการในท่าอากาศยาน โดยต้องมีตรวจสอบการสวมหน้ากากอนามัยและการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย (Body Temperature Screening) ด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดที่ไม่ต้องสัมผัสกับร่างกายของผู้ถูกตรวจวัด (Non-contact infrared thermometer) หากบุคคลนั้นไม่สวมหน้ากากอนามัยหรือวัดอุณหภูมิได้สูงกว่า 37.3 องศาเซลเซียส ให้ปฏิเสธการให้เข้าพื้นที่ท่าอากาศยาน (2) จัดการเกี่ยวกับการเว้นระยะนั่งหรือยืนห่างกันอย่างน้อยหนึ่งเมตรในพื้นที่ต่าง ๆ ที่มีจัดไว้ให้ดําเนินกิจกรรม เช่น พื้นที่ที่ผู้ดําเนินการเดินอากาศใช้เพื่อดําเนินการออกบัตรขึ้นเครื่อง (Check- in counter) พื้นที่ที่ผู้โดยสารรอขึ้นเครื่อง 4. ให้ผู้ดําเนินการเดินอากาศแจ้งแนวทางปฏิบัติตาม 2. ให้เจ้าหน้าที่ประจําสถานีต้นทางและผู้ปฏิบัติหน้าที่ในอากาศยานทราบและถือปฏิบัติ และให้ผู้ดําเนินการสนามบินแจ้งแนวทางปฏิบัติตาม 3. ให้เจ้าหน้าที่ประจําท่าอากาศยานของตนทราบและถือปฏิบัติ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29941
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรมเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
วันพุธที่ 2 ตุลาคม 2562 กระทรวงยุติธรรมเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา กระทรวงยุติธรรมเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา เมื่อวันพุธที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๒ เวลา ๐๙.๐๐ น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธี การจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา ถวายพระราชกุศลเนื่องในโอกาส วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร กับเนื่องในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรมเข้าร่วมกิจกรรม ณ สวนสันติชัยปราการ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรมเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา วันพุธที่ 2 ตุลาคม 2562 กระทรวงยุติธรรมเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา กระทรวงยุติธรรมเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา เมื่อวันพุธที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๒ เวลา ๐๙.๐๐ น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธี การจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา ถวายพระราชกุศลเนื่องในโอกาส วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร กับเนื่องในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรมเข้าร่วมกิจกรรม ณ สวนสันติชัยปราการ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23570
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'กฤษฎา' หนุนมหกรรมยางพาราฯ ช่วยเพิ่มช่องทางและเปิดตลาดการค้า
วันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2561 'กฤษฎา' หนุนมหกรรมยางพาราฯ ช่วยเพิ่มช่องทางและเปิดตลาดการค้า กฤษฎา' หนุนมหกรรมยางพาราฯ ช่วยเพิ่มช่องทางและเปิดตลาดการค้า เชื่อมโยงทั้งในและต่างประเทศ นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงาน "นวัตกรรมยางพาราไทย” Thailand Rubber Innovation Expo 2018 ครั้งที่ 1 ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ว่า งาน "นวัตกรรมยางพาราไทย” Thailand Rubber Innovation Expo 2018 ครั้งที่ 1 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 - 16 กันยายน 2561 ภายใต้แนวคิด “Rubber is Life ยางคือชีวิต” มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโอกาสทางด้านการตลาดให้ผู้ประกอบการ เป็นการส่งเสริมสนับสนุน และเปิดช่องทางด้านการตลาดของยางพาราในจังหวัดสงขลา สามารถเชื่อมโยงตลาดกลางยางพาราทั้งใน และต่างประเทศ รวมทั้งยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าร่วมงาน อาทิ การเสวนา การบรรยายให้ความรู้แก่เกษตรกรโดยวิทยาการผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกับยางพาราตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง จนถึงปลายทาง การแสดงนวัตกรรม เทคโนโลยีเกี่ยวกับยางพารา การออกบูธจําหน่ายสินค้า ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้เจรจาธุรกิจเพื่อขยายช่องทางการตลาดและผู้บริโภคได้ซื้อสินค้าจากผู้ผลิตโดยตรง เป็นต้น "การจัดงานในวันนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้พบปะผู้ประกอบการ ทั้งรายใหญ่และรายย่อย โดยรับฟังความต้องการที่จะให้รัฐบาลเข้าไปสนับสนุนด้านใดบ้าง ทําอย่างไรจะเพิ่มกําลังการซื้อยางพาราให้มากขึ้น รวมถึงการสนับสนุนให้ซื้อยางพาราจากหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อเพิ่มตัวเลือกผู้ค้าในตลาดยางพาราให้หลากหลาย เช่น สหกรณ์การเกษตร การยางแห่งประเทศไทย และจากการแสดงนวัตกรรมต่าง ๆ ในวันนี้ พบว่ามีผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากยางพาราหลายชนิดที่น่าสนใจและควรส่งเสริม ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าและเพิ่มปริมาณการใช้ยางให้มากขึ้นอีกทางหนึ่ง ขณะที่ความก้าวหน้าการดําเนินโครงการรับเบอร์ ซิตี้ ก้าวหน้าไปกว่า 70% มีหลายโครงการที่น่าสนใจ เช่น การนํายางพาราเก่าไปแปรรูปเป็นพลังงาน เป็นต้น โดยขณะนี้กําลังก่อสร้างโรงงาน คาดว่าอีก 1 ปีจะก่อสร้างแล้วเสร็จ ซึ่งจะมีความต้องการยางพาราส่งเข้าโรงงานถึงปีละ 500,000 ตัน" นายกฤษฎา กล่าว ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ร่วมเป็นสักขีพยานพิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง บริษัท เซี่ยงไฮ้-ไทย รับเบอร์ โปรดักส์ จํากัด และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อสร้างโรงงานบนพื้นที่ 500 ไร่ ของโครงการรับเบอร์ ซิตี้ นิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ โดยการประสานความร่วมมือเพื่อผลิตนวัตกรรมจากงานผลวิจัยของสถาบันวิจัยและพัฒนานวัตกรรมยางพารา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) ด้วย กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'กฤษฎา' หนุนมหกรรมยางพาราฯ ช่วยเพิ่มช่องทางและเปิดตลาดการค้า วันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2561 'กฤษฎา' หนุนมหกรรมยางพาราฯ ช่วยเพิ่มช่องทางและเปิดตลาดการค้า กฤษฎา' หนุนมหกรรมยางพาราฯ ช่วยเพิ่มช่องทางและเปิดตลาดการค้า เชื่อมโยงทั้งในและต่างประเทศ นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงาน "นวัตกรรมยางพาราไทย” Thailand Rubber Innovation Expo 2018 ครั้งที่ 1 ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ว่า งาน "นวัตกรรมยางพาราไทย” Thailand Rubber Innovation Expo 2018 ครั้งที่ 1 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 - 16 กันยายน 2561 ภายใต้แนวคิด “Rubber is Life ยางคือชีวิต” มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโอกาสทางด้านการตลาดให้ผู้ประกอบการ เป็นการส่งเสริมสนับสนุน และเปิดช่องทางด้านการตลาดของยางพาราในจังหวัดสงขลา สามารถเชื่อมโยงตลาดกลางยางพาราทั้งใน และต่างประเทศ รวมทั้งยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าร่วมงาน อาทิ การเสวนา การบรรยายให้ความรู้แก่เกษตรกรโดยวิทยาการผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกับยางพาราตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง จนถึงปลายทาง การแสดงนวัตกรรม เทคโนโลยีเกี่ยวกับยางพารา การออกบูธจําหน่ายสินค้า ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้เจรจาธุรกิจเพื่อขยายช่องทางการตลาดและผู้บริโภคได้ซื้อสินค้าจากผู้ผลิตโดยตรง เป็นต้น "การจัดงานในวันนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้พบปะผู้ประกอบการ ทั้งรายใหญ่และรายย่อย โดยรับฟังความต้องการที่จะให้รัฐบาลเข้าไปสนับสนุนด้านใดบ้าง ทําอย่างไรจะเพิ่มกําลังการซื้อยางพาราให้มากขึ้น รวมถึงการสนับสนุนให้ซื้อยางพาราจากหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อเพิ่มตัวเลือกผู้ค้าในตลาดยางพาราให้หลากหลาย เช่น สหกรณ์การเกษตร การยางแห่งประเทศไทย และจากการแสดงนวัตกรรมต่าง ๆ ในวันนี้ พบว่ามีผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากยางพาราหลายชนิดที่น่าสนใจและควรส่งเสริม ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าและเพิ่มปริมาณการใช้ยางให้มากขึ้นอีกทางหนึ่ง ขณะที่ความก้าวหน้าการดําเนินโครงการรับเบอร์ ซิตี้ ก้าวหน้าไปกว่า 70% มีหลายโครงการที่น่าสนใจ เช่น การนํายางพาราเก่าไปแปรรูปเป็นพลังงาน เป็นต้น โดยขณะนี้กําลังก่อสร้างโรงงาน คาดว่าอีก 1 ปีจะก่อสร้างแล้วเสร็จ ซึ่งจะมีความต้องการยางพาราส่งเข้าโรงงานถึงปีละ 500,000 ตัน" นายกฤษฎา กล่าว ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ร่วมเป็นสักขีพยานพิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง บริษัท เซี่ยงไฮ้-ไทย รับเบอร์ โปรดักส์ จํากัด และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อสร้างโรงงานบนพื้นที่ 500 ไร่ ของโครงการรับเบอร์ ซิตี้ นิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ โดยการประสานความร่วมมือเพื่อผลิตนวัตกรรมจากงานผลวิจัยของสถาบันวิจัยและพัฒนานวัตกรรมยางพารา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) ด้วย กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15388
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.จัดแคมเปญพิเศษครึ่งปีหลัง เอาใจลูกค้าซื้อทรัพย์ NPA ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน สร้างโอกาสทำให้คนไทยมีบ้าน
วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2560 ธอส.จัดแคมเปญพิเศษครึ่งปีหลัง เอาใจลูกค้าซื้อทรัพย์ NPA ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน สร้างโอกาสทําให้คนไทยมีบ้าน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) สร้างโอกาสทําให้คนไทยมีบ้าน จัดทําแคมเปญผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน สําหรับลูกค้าที่ซื้อบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA ธอส. ซึ่งมีทรัพย์ตามเงื่อนไขที่กําหนดกว่า 5,000 รายการ ทั่วประเทศ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) สร้างโอกาสทําให้คนไทยมีบ้าน จัดทําแคมเปญผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน สําหรับลูกค้าที่ซื้อบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA ธอส. ซึ่งมีทรัพย์ตามเงื่อนไขที่กําหนดกว่า 5,000 รายการ ทั่วประเทศ พิเศษ!!! ลูกค้าสามารถเลือกเข้าอยู่อาศัยระหว่างผ่อนดาวน์ เพียงชําระเงินประกันไม่ต่ํากว่า 1.5% ของราคาซื้อทรัพย์ เชื่อดันยอดขายทรัพย์ NPA ปี 2560 เป็นไปตามเป้าหมาย 3,000 ล้านบาท โดย 6 เดือนแรก สามารถขายทรัพย์ได้ 1,947 รายการ มูลค่า 1,077 ล้านบาท นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการสร้างโอกาสทําให้คนไทยมีบ้านได้ง่ายยิ่งขึ้น ธนาคารจึงได้จัดทําแคมเปญ “ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน” สําหรับลูกค้าที่ซื้อทรัพย์ NPA ธอส.ซึ่งมีทรัพย์ตามเงื่อนไข จํานวนกว่า 5,000 รายการทั่วประเทศ เป็นที่ดินเปล่าและห้องชุด ที่ธนาคารถือครองตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป จํานวน 4,501 รายการ และทรัพย์ทุกประเภท (ยกเว้นประเภทที่ดินเปล่าและห้องชุด) ที่ธนาคารถือครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป จํานวน 424 รายการ กําหนดเงื่อนไขผ่อนดาวน์ไม่ต่ํากว่า 40% แต่ไม่เกิน 50% ของราคาขายทรัพย์ กรณีลูกค้าผ่อนชําระดี ส่วนที่เหลือสามารถขอสินเชื่อกับธนาคารได้ด้วยเงื่อนไขพิเศษ โดยลูกค้าสามารถเข้าอยู่อาศัยในช่วงผ่อนดาวน์ได้ทันทีเพียงชําระเงินประกันไม่ต่ํากว่า 1.5% ของราคาซื้อ ลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อซื้อทรัพย์ NPA ของ ธอส.ที่เข้าเงื่อนไขได้ ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ทั้งนี้ในวันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม 2560 ธนาคารได้จัด “ประมูลขายบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA ครั้งที่ 2/2560” โดยมีทรัพย์ NPA ทั่วประเทศที่เข้าเงื่อนไขปลอดดอกเบี้ย 4 ปี ออกประมูลจํานวน 917 รายการ จากทรัพย์จํานวนทรัพย์ที่นํามาออกประมูลทั้งหมด 3,910 รายการ แบ่งเป็นทรัพย์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จํานวน 1,050 รายการ มอบส่วนลดสูงสุด 50% จากราคาปกติ จํานวน 51 รายการ ส่วนทรัพย์ที่ราคาต่ําสุดเริ่มต้นเพียง 40,000 บาทเท่านั้น จํานวน 3 รายการ โดยเป็นห้องชุดในโครงการแฟลตปลาทอง จังหวัดปทุมธานี ขณะที่ทรัพย์ในภูมิภาคที่นําออกประมูลมีจํานวน 2,860 รายการ ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ให้ส่วนลดสูงสุด 50% จากราคาปกติมากกว่า 700 รายการ และทรัพย์ที่มีราคาต่ําสุดเริ่มต้นแค่ 30,000 บาทเท่านั้น โดยเป็นทรัพย์ประเภทที่ดินเปล่าขนาด 50 ตารางวาขึ้นไป อาทิ ที่ดินในโครงการหัวหินริมธาร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โครงการจอมทองฮิลล์ จังหวัดเชียงใหม่ และโครงการคันทรีมารีน่า จังหวัดกาญจนบุรี สําหรับทรัพย์ที่ไม่เข้าเงื่อนไขปลอดดอกเบี้ย 4 ปี ผู้ชนะการประมูลสามารถใช้แคมเปญผ่อนชําระเงินดาวน์ 20% ของราคาประมูลซื้อขาย ดอกเบี้ย 0% นานถึง 24 เดือน หรือหากเทเงินดาวน์ 20% ของราคาประมูลซื้อขาย ส่วนที่เหลืออีก 80% รับสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือนเช่นกัน การประมูลทรัพย์ NPA ในเขตกรุงเทพ และปริมณฑลจัดขึ้น ณ ห้องประชุมพิมานมาศ อาคารจอดรถ ชั้น 11 ธอส. สํานักงานใหญ่ พระราม 9 ส่วนทรัพย์ในภูมิภาคจัดประมูล ณ ที่ทําการสาขาของธนาคารทั่วประเทศ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.จัดแคมเปญพิเศษครึ่งปีหลัง เอาใจลูกค้าซื้อทรัพย์ NPA ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน สร้างโอกาสทำให้คนไทยมีบ้าน วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2560 ธอส.จัดแคมเปญพิเศษครึ่งปีหลัง เอาใจลูกค้าซื้อทรัพย์ NPA ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน สร้างโอกาสทําให้คนไทยมีบ้าน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) สร้างโอกาสทําให้คนไทยมีบ้าน จัดทําแคมเปญผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน สําหรับลูกค้าที่ซื้อบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA ธอส. ซึ่งมีทรัพย์ตามเงื่อนไขที่กําหนดกว่า 5,000 รายการ ทั่วประเทศ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) สร้างโอกาสทําให้คนไทยมีบ้าน จัดทําแคมเปญผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน สําหรับลูกค้าที่ซื้อบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA ธอส. ซึ่งมีทรัพย์ตามเงื่อนไขที่กําหนดกว่า 5,000 รายการ ทั่วประเทศ พิเศษ!!! ลูกค้าสามารถเลือกเข้าอยู่อาศัยระหว่างผ่อนดาวน์ เพียงชําระเงินประกันไม่ต่ํากว่า 1.5% ของราคาซื้อทรัพย์ เชื่อดันยอดขายทรัพย์ NPA ปี 2560 เป็นไปตามเป้าหมาย 3,000 ล้านบาท โดย 6 เดือนแรก สามารถขายทรัพย์ได้ 1,947 รายการ มูลค่า 1,077 ล้านบาท นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการสร้างโอกาสทําให้คนไทยมีบ้านได้ง่ายยิ่งขึ้น ธนาคารจึงได้จัดทําแคมเปญ “ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน” สําหรับลูกค้าที่ซื้อทรัพย์ NPA ธอส.ซึ่งมีทรัพย์ตามเงื่อนไข จํานวนกว่า 5,000 รายการทั่วประเทศ เป็นที่ดินเปล่าและห้องชุด ที่ธนาคารถือครองตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป จํานวน 4,501 รายการ และทรัพย์ทุกประเภท (ยกเว้นประเภทที่ดินเปล่าและห้องชุด) ที่ธนาคารถือครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป จํานวน 424 รายการ กําหนดเงื่อนไขผ่อนดาวน์ไม่ต่ํากว่า 40% แต่ไม่เกิน 50% ของราคาขายทรัพย์ กรณีลูกค้าผ่อนชําระดี ส่วนที่เหลือสามารถขอสินเชื่อกับธนาคารได้ด้วยเงื่อนไขพิเศษ โดยลูกค้าสามารถเข้าอยู่อาศัยในช่วงผ่อนดาวน์ได้ทันทีเพียงชําระเงินประกันไม่ต่ํากว่า 1.5% ของราคาซื้อ ลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อซื้อทรัพย์ NPA ของ ธอส.ที่เข้าเงื่อนไขได้ ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ทั้งนี้ในวันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม 2560 ธนาคารได้จัด “ประมูลขายบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA ครั้งที่ 2/2560” โดยมีทรัพย์ NPA ทั่วประเทศที่เข้าเงื่อนไขปลอดดอกเบี้ย 4 ปี ออกประมูลจํานวน 917 รายการ จากทรัพย์จํานวนทรัพย์ที่นํามาออกประมูลทั้งหมด 3,910 รายการ แบ่งเป็นทรัพย์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จํานวน 1,050 รายการ มอบส่วนลดสูงสุด 50% จากราคาปกติ จํานวน 51 รายการ ส่วนทรัพย์ที่ราคาต่ําสุดเริ่มต้นเพียง 40,000 บาทเท่านั้น จํานวน 3 รายการ โดยเป็นห้องชุดในโครงการแฟลตปลาทอง จังหวัดปทุมธานี ขณะที่ทรัพย์ในภูมิภาคที่นําออกประมูลมีจํานวน 2,860 รายการ ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ให้ส่วนลดสูงสุด 50% จากราคาปกติมากกว่า 700 รายการ และทรัพย์ที่มีราคาต่ําสุดเริ่มต้นแค่ 30,000 บาทเท่านั้น โดยเป็นทรัพย์ประเภทที่ดินเปล่าขนาด 50 ตารางวาขึ้นไป อาทิ ที่ดินในโครงการหัวหินริมธาร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โครงการจอมทองฮิลล์ จังหวัดเชียงใหม่ และโครงการคันทรีมารีน่า จังหวัดกาญจนบุรี สําหรับทรัพย์ที่ไม่เข้าเงื่อนไขปลอดดอกเบี้ย 4 ปี ผู้ชนะการประมูลสามารถใช้แคมเปญผ่อนชําระเงินดาวน์ 20% ของราคาประมูลซื้อขาย ดอกเบี้ย 0% นานถึง 24 เดือน หรือหากเทเงินดาวน์ 20% ของราคาประมูลซื้อขาย ส่วนที่เหลืออีก 80% รับสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือนเช่นกัน การประมูลทรัพย์ NPA ในเขตกรุงเทพ และปริมณฑลจัดขึ้น ณ ห้องประชุมพิมานมาศ อาคารจอดรถ ชั้น 11 ธอส. สํานักงานใหญ่ พระราม 9 ส่วนทรัพย์ในภูมิภาคจัดประมูล ณ ที่ทําการสาขาของธนาคารทั่วประเทศ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5383
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี ร่วมปาฐกถาพิเศษและเป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการ เรื่อง “ฟิล์มกระจก: เรื่องราวเหนือกาลเวลา”
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563 รองนายกรัฐมนตรี ร่วมปาฐกถาพิเศษและเป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการ เรื่อง “ฟิล์มกระจก: เรื่องราวเหนือกาลเวลา” นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ร่วมปาฐกถาพิเศษและเป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการเรื่อง “ฟิล์มกระจก: เรื่องราวเหนือกาลเวลา” นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ร่วมปาฐกถาพิเศษและเป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการ เรื่อง “ฟิล์มกระจก: เรื่องราวเหนือกาลเวลา” วันนี้ (วันพฤหัสบดี ที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๓) เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ ห้องออดิทอเรียม (ชั้น ๕) หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ร่วมปาฐกถาพิเศษและเป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการ เรื่อง “ฟิล์มกระจก: เรื่องราวเหนือกาลเวลา” โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกรมศิลปากร และผู้บริหารบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) ให้การต้อนรับ จากนั้น นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวรายงานการจัดนิทรรศการ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ฟิล์มกระจก: เรื่องราวเหนือกาลเวลา” แล้วไปยัง ห้องนิทรรศการ ชั้น ๘ เพื่อเปิดนิทรรศการเรื่อง “ฟิล์มกระจก: เรื่องราวเหนือกาลเวลา” ชมนิทรรศการและลงนาม ในสมุดเยี่ยมชม โดยมีนายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากรและท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน เป็นผู้นําชม ภาพถ่ายจากฟิล์มกระจกที่นํามาจัดแสดงในนิทรรศการครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งจากภาพถ่ายชุด หอพระสมุดวชิรญาณ ที่องค์การยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกความทรงจําแห่งโลกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๖๐ กล่องที่ ๑ – ๒๔ และ ๕๐ – ๕๒ ซึ่งมีจํานวนทั้งสิ้น ๑,๐๐๐ ภาพ บอกเล่าเรื่องราวของประเทศไทยในอดีต รวมทั้งวิถีชีวิตของชาวสยามในสมัยรัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลที่ ๗ ทั้งนี้ สํานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิพร้อมผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับภาพถ่ายโบราณร่วมจัดทําคําบรรยายและคัดเลือกภาพถ่าย จํานวน ๒๐๕ ภาพ นํามาจัดพิมพ์หนังสือในชื่อ “ฟิล์มกระจกจดหมายเหตุ หนึ่งพันภาพประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์” เล่ม ๒ ซึ่งมีเนื้อหาแบ่งเป็น ๒ หมวด ประกอบด้วย หมวดที่ ๑ พระนคร แบ่งเป็น ๑๒ หมวดรอง ได้แก่ พระราชวังและวัง พระราชพิธี ศาสนสถาน แม่น้ําลําคลองถนน ยานพาหนะ โรงเรียน โรงพยาบาล โรงมหรสพ อาคารพักอาศัย อาคารสํานักงาน ห้างร้าน และอาคารเบ็ดเตล็ด และหมวดที่ ๒ หัวเมือง แบ่งเป็น ๔ หมวดรอง ได้แก่ พระราชวัง เสด็จประพาส เสด็จตรวจราชการ และโบราณสถาน ต่อมา ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน ได้นําภาพถ่ายจากหนังสือ ร่วมกับภาพถ่ายชุดอื่น ไปออกแบบเนื้อหาและนําเสนอในรูปแบบนิทรรศการภายใต้ชื่อ “ฟิล์มกระจก: เรื่องราวเหนือกาลเวลา” รวมทั้งสิ้น ๑๐๒ ภาพ แบ่งเป็น ๔ ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ ๑: ปฐมบรรพ การเสด็จประพาสหัวเมืองของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นภาพการเสด็จประพาสหัวเมืองต่าง ๆ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ และการเสด็จประพาสต้น คือ การเสด็จพระราชดําเนินส่วนพระองค์ เพื่อได้ทรงใกล้ชิดและทราบทุกข์สุขของประชาชน ทําให้ราษฎรได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระองค์อย่างใกล้ชิด ส่วนที่ ๒: ทุติยบรรพ สยามอันสุขสงบในรอยต่อของกาลเวลา เป็นภาพวิถีชีวิตที่ธรรมดาเป็นกิจวัตรของผู้คนในกรุงเทพฯ ให้บรรยากาศของความสุขสงบ เรียบง่ายของผู้คนและบ้านเมือง ส่วนที่ ๓: ตติยบรรพ ตะวันออกบรรจบตะวันตก เป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นบทบาทของชาวตะวันตกที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวสยามในสมัยรัชกาลที่ ๕ ถึงรัชกาลที่ ๗ ส่วนที่ ๔: จตุตถบรรพ เร่งรุดไปข้างหน้า เป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงการรับอิทธิพลของชาติตะวันตกที่ทําให้สยามประเทศขณะนั้นเกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการสร้างและเชื่อมโยงระบบเส้นทางรถไฟ ซึ่งนําไปสู่การเติบโตทางการปกครอง เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว นิทรรศการ “ฟิล์มกระจก: เรื่องราวเหนือกาลเวลา” กําหนดเปิดให้ประชาชนเข้าชมตั้งแต่วันที่ ๑๐ กรกฎาคม – ๒๐ กันยายน ๒๕๖๓ ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ – ๑๙.๐๐ น. ทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) ณ หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร ผู้สนใจสามารถเข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด นอกจากนี้ ยังได้ จัดให้มีการเสวนาวิชาการ จํานวน ๒ ครั้ง ณ สํานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ในวันเสาร์ ที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๓ หัวข้อ เบื้องหลังการอ่านภาพฟิล์มกระจก และในวันเสาร์ ที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๓ หัวข้อ เล่าเรื่องการเก็บรักษาฟิล์มกระจกและภาพเก่า สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมผ่านทางเว็บไซต์สํานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ www.nat.go.th หรือ facebook ของกรมศิลปากร และสํานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ หรือโทรศัพท์ หมายเลข ๐ ๒๒๘๒ ๘๔๒๓ ต่อ ๒๒๘ -------------------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี ร่วมปาฐกถาพิเศษและเป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการ เรื่อง “ฟิล์มกระจก: เรื่องราวเหนือกาลเวลา” วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563 รองนายกรัฐมนตรี ร่วมปาฐกถาพิเศษและเป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการ เรื่อง “ฟิล์มกระจก: เรื่องราวเหนือกาลเวลา” นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ร่วมปาฐกถาพิเศษและเป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการเรื่อง “ฟิล์มกระจก: เรื่องราวเหนือกาลเวลา” นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ร่วมปาฐกถาพิเศษและเป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการ เรื่อง “ฟิล์มกระจก: เรื่องราวเหนือกาลเวลา” วันนี้ (วันพฤหัสบดี ที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๓) เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ ห้องออดิทอเรียม (ชั้น ๕) หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ร่วมปาฐกถาพิเศษและเป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการ เรื่อง “ฟิล์มกระจก: เรื่องราวเหนือกาลเวลา” โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกรมศิลปากร และผู้บริหารบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) ให้การต้อนรับ จากนั้น นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวรายงานการจัดนิทรรศการ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ฟิล์มกระจก: เรื่องราวเหนือกาลเวลา” แล้วไปยัง ห้องนิทรรศการ ชั้น ๘ เพื่อเปิดนิทรรศการเรื่อง “ฟิล์มกระจก: เรื่องราวเหนือกาลเวลา” ชมนิทรรศการและลงนาม ในสมุดเยี่ยมชม โดยมีนายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากรและท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน เป็นผู้นําชม ภาพถ่ายจากฟิล์มกระจกที่นํามาจัดแสดงในนิทรรศการครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งจากภาพถ่ายชุด หอพระสมุดวชิรญาณ ที่องค์การยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกความทรงจําแห่งโลกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๖๐ กล่องที่ ๑ – ๒๔ และ ๕๐ – ๕๒ ซึ่งมีจํานวนทั้งสิ้น ๑,๐๐๐ ภาพ บอกเล่าเรื่องราวของประเทศไทยในอดีต รวมทั้งวิถีชีวิตของชาวสยามในสมัยรัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลที่ ๗ ทั้งนี้ สํานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิพร้อมผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับภาพถ่ายโบราณร่วมจัดทําคําบรรยายและคัดเลือกภาพถ่าย จํานวน ๒๐๕ ภาพ นํามาจัดพิมพ์หนังสือในชื่อ “ฟิล์มกระจกจดหมายเหตุ หนึ่งพันภาพประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์” เล่ม ๒ ซึ่งมีเนื้อหาแบ่งเป็น ๒ หมวด ประกอบด้วย หมวดที่ ๑ พระนคร แบ่งเป็น ๑๒ หมวดรอง ได้แก่ พระราชวังและวัง พระราชพิธี ศาสนสถาน แม่น้ําลําคลองถนน ยานพาหนะ โรงเรียน โรงพยาบาล โรงมหรสพ อาคารพักอาศัย อาคารสํานักงาน ห้างร้าน และอาคารเบ็ดเตล็ด และหมวดที่ ๒ หัวเมือง แบ่งเป็น ๔ หมวดรอง ได้แก่ พระราชวัง เสด็จประพาส เสด็จตรวจราชการ และโบราณสถาน ต่อมา ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน ได้นําภาพถ่ายจากหนังสือ ร่วมกับภาพถ่ายชุดอื่น ไปออกแบบเนื้อหาและนําเสนอในรูปแบบนิทรรศการภายใต้ชื่อ “ฟิล์มกระจก: เรื่องราวเหนือกาลเวลา” รวมทั้งสิ้น ๑๐๒ ภาพ แบ่งเป็น ๔ ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ ๑: ปฐมบรรพ การเสด็จประพาสหัวเมืองของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นภาพการเสด็จประพาสหัวเมืองต่าง ๆ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ และการเสด็จประพาสต้น คือ การเสด็จพระราชดําเนินส่วนพระองค์ เพื่อได้ทรงใกล้ชิดและทราบทุกข์สุขของประชาชน ทําให้ราษฎรได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระองค์อย่างใกล้ชิด ส่วนที่ ๒: ทุติยบรรพ สยามอันสุขสงบในรอยต่อของกาลเวลา เป็นภาพวิถีชีวิตที่ธรรมดาเป็นกิจวัตรของผู้คนในกรุงเทพฯ ให้บรรยากาศของความสุขสงบ เรียบง่ายของผู้คนและบ้านเมือง ส่วนที่ ๓: ตติยบรรพ ตะวันออกบรรจบตะวันตก เป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นบทบาทของชาวตะวันตกที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวสยามในสมัยรัชกาลที่ ๕ ถึงรัชกาลที่ ๗ ส่วนที่ ๔: จตุตถบรรพ เร่งรุดไปข้างหน้า เป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงการรับอิทธิพลของชาติตะวันตกที่ทําให้สยามประเทศขณะนั้นเกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการสร้างและเชื่อมโยงระบบเส้นทางรถไฟ ซึ่งนําไปสู่การเติบโตทางการปกครอง เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว นิทรรศการ “ฟิล์มกระจก: เรื่องราวเหนือกาลเวลา” กําหนดเปิดให้ประชาชนเข้าชมตั้งแต่วันที่ ๑๐ กรกฎาคม – ๒๐ กันยายน ๒๕๖๓ ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ – ๑๙.๐๐ น. ทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) ณ หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร ผู้สนใจสามารถเข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด นอกจากนี้ ยังได้ จัดให้มีการเสวนาวิชาการ จํานวน ๒ ครั้ง ณ สํานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ในวันเสาร์ ที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๓ หัวข้อ เบื้องหลังการอ่านภาพฟิล์มกระจก และในวันเสาร์ ที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๓ หัวข้อ เล่าเรื่องการเก็บรักษาฟิล์มกระจกและภาพเก่า สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมผ่านทางเว็บไซต์สํานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ www.nat.go.th หรือ facebook ของกรมศิลปากร และสํานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ หรือโทรศัพท์ หมายเลข ๐ ๒๒๘๒ ๘๔๒๓ ต่อ ๒๒๘ -------------------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33281
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนธันวาคม 2562
วันพุธที่ 29 มกราคม 2563 รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนธันวาคม 2562 เศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2562 ได้รับแรงสนับสนุนจากการใช้จ่ายภายในประเทศเป็นสําคัญ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนที่สะท้อนจากยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ที่เก็บบนฐานการใช้จ่ายภายในประเทศขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนธันวาคม 2562 “เศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2562 ได้รับแรงสนับสนุนจากการใช้จ่ายภายในประเทศเป็นสําคัญ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนที่สะท้อนจากยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ที่เก็บบนฐานการใช้จ่ายภายในประเทศขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ประกอบกับรายได้เกษตรกรที่แท้จริงที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง ในขณะที่การส่งออกสินค้าแม้ว่าจะยังชะลอตัวแต่มีการปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า สําหรับเศรษฐกิจด้านการผลิตสะท้อนจากจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรชะลอตัวแต่ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า” นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง พร้อมด้วยนายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล รองผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง และนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อํานวยการสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนธันวาคม 2562 พบว่า “เศรษฐกิจไทยได้รับแรงสนับสนุนจากการใช้จ่ายภายในประเทศเป็นสําคัญ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนที่สะท้อนจากยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ที่เก็บบนฐานการใช้จ่ายภายในประเทศขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ประกอบกับรายได้เกษตรกรที่แท้จริงที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง ในขณะที่การส่งออกสินค้าแม้ว่าจะยังชะลอตัวแต่มีการปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า สําหรับเศรษฐกิจด้านการผลิตสะท้อนจากจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรชะลอตัวแต่ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า” โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนในภาพรวมยังคงขยายตัว โดยสะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ที่จัดเก็บบนฐานการใช้จ่ายในประเทศขยายตัวร้อยละ 4.9 ต่อปี เช่นเดียวกับปริมาณนําเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวร้อยละ 12.6 ต่อปี นอกจากนี้ รายได้เกษตรกรที่แท้จริงขยายตัวร้อยละ 1.5 ต่อปี อย่างไรก็ตาม ยอดจําหน่ายรถยนต์นั่งชะลอตัวร้อยละ -18.7 ต่อปี เช่นเดียวกับปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ชะลอตัวร้อยละ -17.3 ต่อปี สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 56.0 เป็นผลมาจากการชะลอตัวของการส่งออกสินค้าของไทยตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนส่งสัญญาณชะลอตัว โดยการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรสะท้อนจากปริมาณนําเข้าสินค้าทุนปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าโดยชะลอตัวที่ร้อยละ -1.8 ต่อปี ขณะที่ปริมาณจําหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ชะลอตัวร้อยละ -22.9 ต่อปี ส่วนการลงทุนในหมวดก่อสร้างสะท้อนจากยอดการจัดเก็บภาษีการทําธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวร้อยละ -4.6 ต่อปี เช่นเดียวกับปริมาณจําหน่ายปูนซีเมนต์ชะลอตัวร้อยละ -3.1 ต่อปี สําหรับดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างชะลอตัวที่ร้อยละ -2.1 ต่อปี โดยมีสาเหตุมาจากราคาเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กปรับตัวลดลง เศรษฐกิจภาคการค้าระหว่างประเทศชะลอตัวแต่ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ชะลอตัวที่ร้อยละ -1.3 ต่อปี เป็นผลจากการชะลอตัวของการส่งออกในหมวดสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ํามัน รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก ทองคํา เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ อย่างไรก็ตาม สินค้าในกลุ่ม เครื่องคอมพิวเตอร์ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ น้ําตาลทราย เครื่องดื่ม ผัก ผลไม้สดแช่แข็งและแปรรูป รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เฟอร์นิเจอร์ ยังคงขยายตัวได้ และตลาดส่งออกสําคัญที่ยังขยายตัวได้ ได้แก่ ไต้หวัน สหรัฐฯ เกาหลีใต้ และจีน ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยกับประเทศคู่ค้าสําคัญของไทย พบว่า หลายประเทศมีการส่งออกชะลอตัวเช่นเดียวกัน เช่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย และญี่ปุ่น ในขณะที่มูลค่าการนําเข้าสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี ทั้งนี้ ดุลการค้าในเดือนธันวาคม 2562 ยังคงเกินดุล 596 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน พบว่า ภาคการท่องเที่ยวยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง ขณะที่ภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมยังส่งสัญญาณชะลอตัว โดยภาคการท่องเที่ยวสะท้อนจากจํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยมีจํานวน 3.93 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 2.5 ต่อปี โดยนักท่องเที่ยวชาวอินเดียขยายตัวถึงร้อยละ 12.4 ต่อปี นอกจากนี้ ยังมีนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นที่ขยายตัวได้ดี อาทิ นักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย และจีน ขณะที่ภาคการเกษตรสะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรชะลอตัวร้อยละ -2.5 ต่อปี เช่นเดียวกับภาคอุตสาหกรรมสะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมชะลอตัวร้อยละ -4.3 ต่อปี สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 91.7 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าเนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลต่อกําลังซื้อในประเทศ รวมถึงภาคการส่งออกที่ยังชะลอตัวจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 0.9 ต่อปี และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.5 ต่อปี สัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 41.3 ต่อ GDP ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสํารองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562 อยู่ในระดับสูงที่ 224.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนธันวาคม 2562 วันพุธที่ 29 มกราคม 2563 รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนธันวาคม 2562 เศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2562 ได้รับแรงสนับสนุนจากการใช้จ่ายภายในประเทศเป็นสําคัญ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนที่สะท้อนจากยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ที่เก็บบนฐานการใช้จ่ายภายในประเทศขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนธันวาคม 2562 “เศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2562 ได้รับแรงสนับสนุนจากการใช้จ่ายภายในประเทศเป็นสําคัญ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนที่สะท้อนจากยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ที่เก็บบนฐานการใช้จ่ายภายในประเทศขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ประกอบกับรายได้เกษตรกรที่แท้จริงที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง ในขณะที่การส่งออกสินค้าแม้ว่าจะยังชะลอตัวแต่มีการปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า สําหรับเศรษฐกิจด้านการผลิตสะท้อนจากจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรชะลอตัวแต่ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า” นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง พร้อมด้วยนายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล รองผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง และนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อํานวยการสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนธันวาคม 2562 พบว่า “เศรษฐกิจไทยได้รับแรงสนับสนุนจากการใช้จ่ายภายในประเทศเป็นสําคัญ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนที่สะท้อนจากยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ที่เก็บบนฐานการใช้จ่ายภายในประเทศขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ประกอบกับรายได้เกษตรกรที่แท้จริงที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง ในขณะที่การส่งออกสินค้าแม้ว่าจะยังชะลอตัวแต่มีการปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า สําหรับเศรษฐกิจด้านการผลิตสะท้อนจากจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรชะลอตัวแต่ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า” โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนในภาพรวมยังคงขยายตัว โดยสะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ที่จัดเก็บบนฐานการใช้จ่ายในประเทศขยายตัวร้อยละ 4.9 ต่อปี เช่นเดียวกับปริมาณนําเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวร้อยละ 12.6 ต่อปี นอกจากนี้ รายได้เกษตรกรที่แท้จริงขยายตัวร้อยละ 1.5 ต่อปี อย่างไรก็ตาม ยอดจําหน่ายรถยนต์นั่งชะลอตัวร้อยละ -18.7 ต่อปี เช่นเดียวกับปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ชะลอตัวร้อยละ -17.3 ต่อปี สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 56.0 เป็นผลมาจากการชะลอตัวของการส่งออกสินค้าของไทยตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนส่งสัญญาณชะลอตัว โดยการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรสะท้อนจากปริมาณนําเข้าสินค้าทุนปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าโดยชะลอตัวที่ร้อยละ -1.8 ต่อปี ขณะที่ปริมาณจําหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ชะลอตัวร้อยละ -22.9 ต่อปี ส่วนการลงทุนในหมวดก่อสร้างสะท้อนจากยอดการจัดเก็บภาษีการทําธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวร้อยละ -4.6 ต่อปี เช่นเดียวกับปริมาณจําหน่ายปูนซีเมนต์ชะลอตัวร้อยละ -3.1 ต่อปี สําหรับดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างชะลอตัวที่ร้อยละ -2.1 ต่อปี โดยมีสาเหตุมาจากราคาเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กปรับตัวลดลง เศรษฐกิจภาคการค้าระหว่างประเทศชะลอตัวแต่ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ชะลอตัวที่ร้อยละ -1.3 ต่อปี เป็นผลจากการชะลอตัวของการส่งออกในหมวดสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ํามัน รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก ทองคํา เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ อย่างไรก็ตาม สินค้าในกลุ่ม เครื่องคอมพิวเตอร์ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ น้ําตาลทราย เครื่องดื่ม ผัก ผลไม้สดแช่แข็งและแปรรูป รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เฟอร์นิเจอร์ ยังคงขยายตัวได้ และตลาดส่งออกสําคัญที่ยังขยายตัวได้ ได้แก่ ไต้หวัน สหรัฐฯ เกาหลีใต้ และจีน ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยกับประเทศคู่ค้าสําคัญของไทย พบว่า หลายประเทศมีการส่งออกชะลอตัวเช่นเดียวกัน เช่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย และญี่ปุ่น ในขณะที่มูลค่าการนําเข้าสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี ทั้งนี้ ดุลการค้าในเดือนธันวาคม 2562 ยังคงเกินดุล 596 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน พบว่า ภาคการท่องเที่ยวยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง ขณะที่ภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมยังส่งสัญญาณชะลอตัว โดยภาคการท่องเที่ยวสะท้อนจากจํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยมีจํานวน 3.93 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 2.5 ต่อปี โดยนักท่องเที่ยวชาวอินเดียขยายตัวถึงร้อยละ 12.4 ต่อปี นอกจากนี้ ยังมีนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นที่ขยายตัวได้ดี อาทิ นักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย และจีน ขณะที่ภาคการเกษตรสะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรชะลอตัวร้อยละ -2.5 ต่อปี เช่นเดียวกับภาคอุตสาหกรรมสะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมชะลอตัวร้อยละ -4.3 ต่อปี สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 91.7 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าเนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลต่อกําลังซื้อในประเทศ รวมถึงภาคการส่งออกที่ยังชะลอตัวจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 0.9 ต่อปี และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.5 ต่อปี สัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 41.3 ต่อ GDP ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสํารองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562 อยู่ในระดับสูงที่ 224.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26144
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน งดจัดกิจกรรมวันคล้ายวันสถาปนาธนาคารออมสิน 1 เม.ย.63
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563 ออมสิน งดจัดกิจกรรมวันคล้ายวันสถาปนาธนาคารออมสิน 1 เม.ย.63 ธนาคารออมสินขอแจ้งงดกิจกรรมการรับฝากเงินเพื่อรับของที่ระลึกเนื่องในวาระธนาคารออมสิน ครบ 107 ปี ในวันที่ 1 เมษายน 2563 นี้ ณ ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ เนื่องจากภาวะวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคไวรัส COVID-19 ทั่วประเทศ ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชกําหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เนื่องจากภาวะวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคไวรัส COVID-19 ทั่วประเทศ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 ไปถึงสิ้นเดือนเมษายน 2563 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 นั้น ด้วยความห่วงใยลูกค้า ประชาชน และเพื่อให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันดังกล่าว ธนาคารออมสิน จึงขอแจ้งงดกิจกรรมการรับฝากเงินเพื่อรับของที่ระลึกเนื่องในวาระธนาคารออมสิน ครบ 107 ปี ในวันที่ 1 เมษายน 2563 นี้ ณ ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ และขออภัยในความไม่สะดวก มา ณ ที่นี้ ทั้งนี้ หากสถานการณ์คลี่คลาย ธนาคารฯ จะพิจารณาจัดกิจกรรมส่งเสริมการออม เพื่อมอบสิ่งดีๆ ให้กับลูกค้า ประชาชน ตลอดจนผู้มีอุปการคุณทุกท่านในวาระอื่น ซึ่งจะแจ้งให้ทราบในโอกาสต่อไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกิจกรรมธนาคารออมสินมอบเงินขวัญถุงให้เด็กที่เกิดในวันออมสินปี 2563 จํานวน 500 บาทต่อราย และเด็กที่เกิดในวันออมสินปี 2563 และตั้งชื่อเด็กให้ปรากฏในสูติบัตรว่า "ออมสิน" จะได้รับเงินออม 5,000 บาทต่อรายนั้น ยังคงได้รับสิทธิ์การรับเงินตามปกติ แต่ธนาคารฯ ขอแนะนําว่าไม่ต้องรีบมาติดต่อในช่วงนี้ที่ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เนื่องจากภาวะวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคไวรัส COVID-19 ทั่วประเทศ ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ โดยสามารถติดต่อธนาคารออมสินทุกสาขาได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน งดจัดกิจกรรมวันคล้ายวันสถาปนาธนาคารออมสิน 1 เม.ย.63 วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563 ออมสิน งดจัดกิจกรรมวันคล้ายวันสถาปนาธนาคารออมสิน 1 เม.ย.63 ธนาคารออมสินขอแจ้งงดกิจกรรมการรับฝากเงินเพื่อรับของที่ระลึกเนื่องในวาระธนาคารออมสิน ครบ 107 ปี ในวันที่ 1 เมษายน 2563 นี้ ณ ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ เนื่องจากภาวะวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคไวรัส COVID-19 ทั่วประเทศ ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชกําหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เนื่องจากภาวะวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคไวรัส COVID-19 ทั่วประเทศ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 ไปถึงสิ้นเดือนเมษายน 2563 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 นั้น ด้วยความห่วงใยลูกค้า ประชาชน และเพื่อให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันดังกล่าว ธนาคารออมสิน จึงขอแจ้งงดกิจกรรมการรับฝากเงินเพื่อรับของที่ระลึกเนื่องในวาระธนาคารออมสิน ครบ 107 ปี ในวันที่ 1 เมษายน 2563 นี้ ณ ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ และขออภัยในความไม่สะดวก มา ณ ที่นี้ ทั้งนี้ หากสถานการณ์คลี่คลาย ธนาคารฯ จะพิจารณาจัดกิจกรรมส่งเสริมการออม เพื่อมอบสิ่งดีๆ ให้กับลูกค้า ประชาชน ตลอดจนผู้มีอุปการคุณทุกท่านในวาระอื่น ซึ่งจะแจ้งให้ทราบในโอกาสต่อไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกิจกรรมธนาคารออมสินมอบเงินขวัญถุงให้เด็กที่เกิดในวันออมสินปี 2563 จํานวน 500 บาทต่อราย และเด็กที่เกิดในวันออมสินปี 2563 และตั้งชื่อเด็กให้ปรากฏในสูติบัตรว่า "ออมสิน" จะได้รับเงินออม 5,000 บาทต่อรายนั้น ยังคงได้รับสิทธิ์การรับเงินตามปกติ แต่ธนาคารฯ ขอแนะนําว่าไม่ต้องรีบมาติดต่อในช่วงนี้ที่ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เนื่องจากภาวะวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคไวรัส COVID-19 ทั่วประเทศ ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ โดยสามารถติดต่อธนาคารออมสินทุกสาขาได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28177
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความก้าวหน้าการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือนร้อนแก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัย
วันพุธที่ 11 กันยายน 2562 รายงานความก้าวหน้าการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือนร้อนแก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ตามที่ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีความห่วงใยต่อความเดือนร้อนของพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัย จึงได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เตรียมความพร้อมทั้งกําลังพลและอุปกรณ์ใน รายงานความก้าวหน้าการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือนร้อนแก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ตามที่ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีความห่วงใยต่อความเดือนร้อนของพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัย จึงได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เตรียมความพร้อมทั้งกําลังพลและอุปกรณ์ในการให้ความช่วยเหลือโดยให้บูรณาการการทํางานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพเพื่อช่วยเหลือ หรือแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้อย่างทันท่วงที นั้น เมื่อวันที่ 6 - 9 กันยายน 2562 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ดังนี้ 1.ดําเนินการสูบน้ํา/ระบายน้ําท่วมขัง ในพื้นที่ดังนี้ 1.1. จังหวัดศรีสะเกษ ดําเนินการในพื้นที่ อ.ยางชุมน้อย ปริมาณ 14,400 ลบ.ม. - สูบระบายน้ําท่วมขังในพื้นที่ อ.ยางชุมน้อย จํานวน 2จุด ปริมาณการสูบรวม 28,800ลบ.ม. - ติดตั้งเครื่องสูบน้ําเพื่อเตรียมระบายน้ําท่วมในพื้นที่ อ.ราษีไศล 1.2. จังหวัดอุดรธานี ดําเนินการในเขตเกาะคําชะโนด อ.เมือง อ.บ้านดุง จํานวน 9 จุด ปริมาณ 56,400 ลบ.ม. - ดําเนินการในเขตเกาะคําชะโนด อ.เมือง อ.บ้านดุง จํานวน 3 จุด ปริมาณสูบรวม 25,200 ลบ.ม.ปริมาณสูบสะสม 301,200 ลบ.ม. - ดําเนินการในเขตเกาะคําชะโนด อ.เมือง อ.บ้านดุง จํานวน 3 จุด ปริมาณสูบรวม 15,600 ลบ.ม. - ดําเนินการสูบระบายน้ําท่วมขังในเขตเกาะคําชะโนด อ.บ้านดุง จํานวน 2จุด ปริมาณสูบรวม 12,000ลบ.ม. ปริมาณสูบน้ําสะสม 312,000ลบ.ม. 1.3. จังหวัดร้อยเอ็ด ดําเนินการในพื้นที่เขตชุมชนเมือง บริเวณสี่แยกธวัชบุรี ต.เหนือเมือง อเมือง - ติดตั้งเครื่องสูบน้ําเพื่อระบายน้ําท่วมขังในเขตชุมชนเมือง บริเวณจุดสูบน้ํา สี่แยกธวัชบุรีต.เหนือเมือง อ.เมือง 1.4. จังหวัดกาฬสินธุ์ ติดตั้งเครื่องสูบน้ําเพื่อระบายน้ําบริเวณโรงเรียนและบริเวณน้ําท่วมขังในพื้นที่ อําเภอฆ้องชัย 2.ดําเนินการมอบสิ่งของ/ถุงยางชีพ/น้ําดื่มสะอาด/อื่นๆ 2.1.จังหวัดพิษณุโลก - ขนย้ายสิ่งของในพื้นที่ อ.พรหมพิราม ร่วมสร้างพนังกั้นน้ําที่ อ.บางกระทุ่ม - ซ่อมแซมอาคารบ้านพัก/ลําเลียงถุงยังชีพ/ลอกคลองเก็บเศษขยะกิ่งไม้และแจกอาหารแห้งและน้ําดื่ม ที่ อ.ชาติตระการ - ขนถุงยังชีพเพื่อแจกจ่ายผู้ประสบภัย 2.2.จังหวัดสุโขทัย - มอบน้ําดื่มขนาด 600 มิลลิลิตร จํานวน 300 ขวด ให้ อ.เมือง - นํากระสอบทรายวางเสริมแนวกั้นนํ้า ในพื้นที่ อ.เมือง - สนับสนุนกําลังพลช่วยรื้อถอนบ้ํานและซ่อมแซมแนวกระสอบทรายที่รั่วในพื้นที่ อ.เมือง - ขนถุงยังชีพเพื่อแจกจ่ายผู้ประสบภัย 2.3.จังหวัดอุบลราชธานี - สนับสนุนเรือ รถบรรทุก รถบรรทุกพร้อมเครน พร้อมเจ้าหน้าที่ช่วยเหลืออพยพประชาชน สัตว์เลี้ยง และสิ่งของ รวมทั้งแจกนํ้าดื่ม 720ขวด ในพื้นที่ อ.ม่วงสามสิบ อ.ดอนมดแดง - แจกน้ําดื่ม 5ลิตร จํานวน 800แกลลอน ในพื้นที่ อ.ดอนมดแดง อ.ม่วงสามสิบ - สนับสนุนรถยนต์และกําลังพลช่วยเหลือประชาชนขนย้ายสิ่งของ นําถุงยังชีพและน้ําดื่มไปแจกจ่าย ในพื้นที่ อ.เขื่องใน อ.นาจะหลวย - ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ําท่วม และแจกของบริโภค เครื่องใช้ และน้ําดื่มที่ อ.ม่วงสามสิบ อ.ดอนมดแดง - สนับสนุนเรือ รถบรรทุก รถบรรทุกพร้อมเครน พร้อมเจ้าหน้าที่ช่วยเหลืออพยพประชาชน สัตว์เลี้ยง และสิ่งของ เครื่องใช้ ในพื้นที่ อ.ม่วงสามสิบ อ.ดอนมดแดง - สนับสนุนเรือเพื่อแจกถุงยังชีพ และช่วยขนย้ายสิ่งของที่วัดป่าดงโขง อ.ม่วงสามสิบ - สนับสนุนเรือ พร้อมเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลืออพยพประชาชน สัตว์เลี้ยง และสิ่งของเครื่องใช้ในพื้นที่อ.ม่วงสามสิบ - มอบน้ําดื่มบรรจุขนาด 5 ลิตร จํานวน 400 แกลลอน ในพื้นที่ อ.เขื่องใน - สนับสนุนรถ พร้อมเครน เรือท้องแบน แจกถุงยังชีพและน้ําดื่มในพื้นที่ อ.ม่วงสามสิบ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยในการอพยพคน สัตว์เลี้ยง สิ่งของ ในพื้นที่ อ.ดอนมดแดง อ.ม่วงสามสิบ - สนับสนุนรถบรรทุกน้ําเพื่อแจกน้ําสะอาดให้ผู้ประสบภัยจํานวน 13,000ลิตร ในพื้นที่ 5ชุมชนที่ อ.เมือง อ.วารินชําราบ โดยมีผู้รับประโยชน์ 1,030ครัวเรือน 3,510คน - สนับสนุนกําลังพลช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ อ.โขงเจียม อ.วารินชําราบ - สนับสนุนเรือ พร้อมเจ้าหน้าที่ 20นาย ช่วยเหลือผู้ประสบภัยในการแจกถุงยังชีพและน้ําดื่มที่ อ.ม่วงสามสิบ 2.4.จังหวัดขอนแก่น - สนับสนุนรถยนต์พร้อมกําลังพล ช่วยเก็บขยะและขนย้ายสิ่งของในพื้นที่ อ.เมือง - สนับสนุนกําลังพลทําสะพานเหล็กชั่วคราวเนื่องจากถนนขาดและช่วยฟื้นฟูพื้นที่โดยยกสิ่งของ ทําความสะอาด พร้อมมอบถุงยังชีพ 100ชุด ในพื้นที่ อ.บ้านไผ่ - จัดเตรียมถุงยังชีพเพื่อแจกจ่ายผู้ประสบภัยและช่วยทําความสะอาดถนน บ้านเรือน ขนย้ายสิ่งของเข้าบ้าน ในพื้นที่ อ.บ้านไผ - สนับสนุนรถยนต์ กําลังพลรวม ๗๔ นาย ปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ สนับสนุนการปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และช่วยกรอกกระสอบทราย 2.5.จังหวัดร้อยเอ็ด - สนับสนุนรถยนต์พร้อมกําลังพล ช่วยเก็บขยะและขนย้ายสิ่งของในพื้นที่ อ.เสลภูมิ - สนับสนุนรถยนต์พร้อมกําลังพล ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ และมอบน้ําดื่ม ข้าวห่อให้ผู้ประสบภัย - จัดทีมลงพื้นที่ใน อ.อาจสามารถ อ.เสลภมิ อ.เชียงขวัญและโพธิ์ชัย อ.เมืองและจังหาร ในการช่วยเหลือประชาชน แจกน้ําดื่ม - สนับสนุนกําลังพร้อมรถยนต์ ร่วมแจกถุงยังชีพในพื้นที่ อ.เสลภูมิ - ขนย้ายสิ่งของ และบรรจุกระสอบทรายเพื่อทําแนวกั้นน้ํา ในพื้นที่ อ.เสลภูมิ - มอบน้ําดื่ม 270ขวด ในพื้นที่ อ.ทุ่งเขาหลวง มอบของช่วยเหลือและน้ําดื่มใน อ.เสลภูมิ อ.โพธิ์ชัย - มอบน้ําดื่มบรรจุขวด 1,260ขวด เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัย - สนับสนุนกําลังพลและรถยนต์ ลําเลียงถุงยังชีพแจกจ่ายผู้ประสบภัยในพื้นที่ อ.เสลภูมิ และช่วยเหลือบริเวณน้ําท่วมในพื้นที่ อ.ทุ่งเขาหลวง - สนับสนุนรถยนต์ กําลังพลรวม 74นาย ปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ สนับสนุนการปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และช่วยกรอกกระสอบทราย - สนับสนุนกําลังพลและรถบรรทุกช่วยขนย้ายสิ่งของและขนกระสอบทรายไปทําแนวกั้นน้ําในพื้นที่ อ.เสลภูมิ 2.6.จังหวัดกาฬสินธุ์ - สนับสนุนรถยนต์พร้อมกําลังพล ช่วยเก็บขยะและขนย้ายสิ่งของในพื้นที่ - สนับสนุนกําลังพลช่วยเหลือประชาชน มอบถุงยังชีพในพื้นที่ อ.เมือง สํารวจแม่น้ําลําปาวและบริเวณใกล้เคียงเพื่อวางแผนปฏิบัติงาน - จัดตั้งโรงครัวพระราชทาน โรงครัวในนามมูลนิธิมิราเคิลออฟไลฟ์ เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ - สนับสนุนรถยนต์ กําลังพลรวม 74นาย ปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ สนับสนุนการปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และช่วยกรอกกระสอบทราย 2.7.จังหวัดมหาสารคาม - สนับสนุนกําลังพลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นําถุงยังชีพมอบให้ผู้ประสบภัยในพื้นที่ อ.โกสุมพิสัย - สนับสนุนกําลังร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ ขนย้ายเครื่องอุปโภคบริโภคทําถุงยังชีพ จํานวน 850ชุด แจกจ่ายในพื้นที่ อ.โกสุมพิสัย อ.เชียงยืน อ.กันทรวิชัย - แจกน้ําดื่มสะอาด จํานวน 70แกลลอน ในพื้นที่ อ.บรบือ และจํานวน 200แกลลอน ในพื้นที่ อ.กันทรวิชัย - สนับสนุนรถยนต์ กําลังพลรวม ๗๔ นาย ปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ สนับสนุนการปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และช่วยกรอกกระสอบทราย 2.8.จังหวัดอํานาจเจริญ - สนับสนุนรถยนต์และกําลังพลช่วยเหลือประชาชนขนย้ายสิ่งของ นําถุงยังชีพและน้ําดื่มไปแจกจ่าย ในพื้นที่ อํานวยความสะดวกในการจราจร พื้นที่ อ.เมือง อ.ชานุมาน - แจกน้ําดื่มจํานวน 250แกลลอน ช่วยเหลือประชาชนที่ อ.หัวตะพาน - ตั้งรถโมบายผลิตน้ําดื่ม ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม ที่ อ.หัวตะพาน 2.9.จังหวัดเพชรบูรณ์ - ซ่อมแซมอาคารบ้านพัก/ลําเลียงถุงยังชีพ/ลอกคลองเก็บเศษขยะกิ่งไม้และแจกอาหารแห้งและน้ําดื่ม ที่ อ.หล่มสัก 2.10.จังหวัดยโสธร - สนับสนุนรถยนต์และกําลังพลช่วยเหลือประชาชนขนย้ายสิ่งของ นําถุงยังชีพและน้ําดื่มไปแจกจ่าย ในพื้นที่ อ.เมือง 2.11.จังหวัดนครพนม - ตรวจสอบเฝ้าระวังระดับน้ําแม่น้ําโขง และประสานงานหน่วยงานในการให้ความช่วยเหลือ - ตรวจเฝ้าระวังระดับน้ําและประเมินสถานการณ์เพื่อเตรียมรับมือกับภาวะฉุกเฉิน 2.12.จังหวัดเลย - สนับสนุนกําลังพลพร้อมรถยนต์ เพื่อปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานอื่นในพื้นที่ - สนับสนุนรถยนต์ กําลังพลรวม 74นาย ปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ สนับสนุนการปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และช่วยกรอกกระสอบทราย 2.13.จังหวัดลําปาง - สนับสนุนกําลังพลและรถน้ํา ร่วมบูรณาการหน่วยงานในการเปิดเส้นทางจราจรใน อ.เมือง 2.14.จังหวัดพิจิตร - ขนถุงยังชีพเพื่อแจกจ่ายผู้ประสบภัย - มอบสิ่งของและสมทบทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ อ.วังทรายพูน อ.สากเหล็ก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความก้าวหน้าการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือนร้อนแก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัย วันพุธที่ 11 กันยายน 2562 รายงานความก้าวหน้าการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือนร้อนแก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ตามที่ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีความห่วงใยต่อความเดือนร้อนของพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัย จึงได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เตรียมความพร้อมทั้งกําลังพลและอุปกรณ์ใน รายงานความก้าวหน้าการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือนร้อนแก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ตามที่ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีความห่วงใยต่อความเดือนร้อนของพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัย จึงได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เตรียมความพร้อมทั้งกําลังพลและอุปกรณ์ในการให้ความช่วยเหลือโดยให้บูรณาการการทํางานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพเพื่อช่วยเหลือ หรือแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้อย่างทันท่วงที นั้น เมื่อวันที่ 6 - 9 กันยายน 2562 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ดังนี้ 1.ดําเนินการสูบน้ํา/ระบายน้ําท่วมขัง ในพื้นที่ดังนี้ 1.1. จังหวัดศรีสะเกษ ดําเนินการในพื้นที่ อ.ยางชุมน้อย ปริมาณ 14,400 ลบ.ม. - สูบระบายน้ําท่วมขังในพื้นที่ อ.ยางชุมน้อย จํานวน 2จุด ปริมาณการสูบรวม 28,800ลบ.ม. - ติดตั้งเครื่องสูบน้ําเพื่อเตรียมระบายน้ําท่วมในพื้นที่ อ.ราษีไศล 1.2. จังหวัดอุดรธานี ดําเนินการในเขตเกาะคําชะโนด อ.เมือง อ.บ้านดุง จํานวน 9 จุด ปริมาณ 56,400 ลบ.ม. - ดําเนินการในเขตเกาะคําชะโนด อ.เมือง อ.บ้านดุง จํานวน 3 จุด ปริมาณสูบรวม 25,200 ลบ.ม.ปริมาณสูบสะสม 301,200 ลบ.ม. - ดําเนินการในเขตเกาะคําชะโนด อ.เมือง อ.บ้านดุง จํานวน 3 จุด ปริมาณสูบรวม 15,600 ลบ.ม. - ดําเนินการสูบระบายน้ําท่วมขังในเขตเกาะคําชะโนด อ.บ้านดุง จํานวน 2จุด ปริมาณสูบรวม 12,000ลบ.ม. ปริมาณสูบน้ําสะสม 312,000ลบ.ม. 1.3. จังหวัดร้อยเอ็ด ดําเนินการในพื้นที่เขตชุมชนเมือง บริเวณสี่แยกธวัชบุรี ต.เหนือเมือง อเมือง - ติดตั้งเครื่องสูบน้ําเพื่อระบายน้ําท่วมขังในเขตชุมชนเมือง บริเวณจุดสูบน้ํา สี่แยกธวัชบุรีต.เหนือเมือง อ.เมือง 1.4. จังหวัดกาฬสินธุ์ ติดตั้งเครื่องสูบน้ําเพื่อระบายน้ําบริเวณโรงเรียนและบริเวณน้ําท่วมขังในพื้นที่ อําเภอฆ้องชัย 2.ดําเนินการมอบสิ่งของ/ถุงยางชีพ/น้ําดื่มสะอาด/อื่นๆ 2.1.จังหวัดพิษณุโลก - ขนย้ายสิ่งของในพื้นที่ อ.พรหมพิราม ร่วมสร้างพนังกั้นน้ําที่ อ.บางกระทุ่ม - ซ่อมแซมอาคารบ้านพัก/ลําเลียงถุงยังชีพ/ลอกคลองเก็บเศษขยะกิ่งไม้และแจกอาหารแห้งและน้ําดื่ม ที่ อ.ชาติตระการ - ขนถุงยังชีพเพื่อแจกจ่ายผู้ประสบภัย 2.2.จังหวัดสุโขทัย - มอบน้ําดื่มขนาด 600 มิลลิลิตร จํานวน 300 ขวด ให้ อ.เมือง - นํากระสอบทรายวางเสริมแนวกั้นนํ้า ในพื้นที่ อ.เมือง - สนับสนุนกําลังพลช่วยรื้อถอนบ้ํานและซ่อมแซมแนวกระสอบทรายที่รั่วในพื้นที่ อ.เมือง - ขนถุงยังชีพเพื่อแจกจ่ายผู้ประสบภัย 2.3.จังหวัดอุบลราชธานี - สนับสนุนเรือ รถบรรทุก รถบรรทุกพร้อมเครน พร้อมเจ้าหน้าที่ช่วยเหลืออพยพประชาชน สัตว์เลี้ยง และสิ่งของ รวมทั้งแจกนํ้าดื่ม 720ขวด ในพื้นที่ อ.ม่วงสามสิบ อ.ดอนมดแดง - แจกน้ําดื่ม 5ลิตร จํานวน 800แกลลอน ในพื้นที่ อ.ดอนมดแดง อ.ม่วงสามสิบ - สนับสนุนรถยนต์และกําลังพลช่วยเหลือประชาชนขนย้ายสิ่งของ นําถุงยังชีพและน้ําดื่มไปแจกจ่าย ในพื้นที่ อ.เขื่องใน อ.นาจะหลวย - ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ําท่วม และแจกของบริโภค เครื่องใช้ และน้ําดื่มที่ อ.ม่วงสามสิบ อ.ดอนมดแดง - สนับสนุนเรือ รถบรรทุก รถบรรทุกพร้อมเครน พร้อมเจ้าหน้าที่ช่วยเหลืออพยพประชาชน สัตว์เลี้ยง และสิ่งของ เครื่องใช้ ในพื้นที่ อ.ม่วงสามสิบ อ.ดอนมดแดง - สนับสนุนเรือเพื่อแจกถุงยังชีพ และช่วยขนย้ายสิ่งของที่วัดป่าดงโขง อ.ม่วงสามสิบ - สนับสนุนเรือ พร้อมเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลืออพยพประชาชน สัตว์เลี้ยง และสิ่งของเครื่องใช้ในพื้นที่อ.ม่วงสามสิบ - มอบน้ําดื่มบรรจุขนาด 5 ลิตร จํานวน 400 แกลลอน ในพื้นที่ อ.เขื่องใน - สนับสนุนรถ พร้อมเครน เรือท้องแบน แจกถุงยังชีพและน้ําดื่มในพื้นที่ อ.ม่วงสามสิบ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยในการอพยพคน สัตว์เลี้ยง สิ่งของ ในพื้นที่ อ.ดอนมดแดง อ.ม่วงสามสิบ - สนับสนุนรถบรรทุกน้ําเพื่อแจกน้ําสะอาดให้ผู้ประสบภัยจํานวน 13,000ลิตร ในพื้นที่ 5ชุมชนที่ อ.เมือง อ.วารินชําราบ โดยมีผู้รับประโยชน์ 1,030ครัวเรือน 3,510คน - สนับสนุนกําลังพลช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ อ.โขงเจียม อ.วารินชําราบ - สนับสนุนเรือ พร้อมเจ้าหน้าที่ 20นาย ช่วยเหลือผู้ประสบภัยในการแจกถุงยังชีพและน้ําดื่มที่ อ.ม่วงสามสิบ 2.4.จังหวัดขอนแก่น - สนับสนุนรถยนต์พร้อมกําลังพล ช่วยเก็บขยะและขนย้ายสิ่งของในพื้นที่ อ.เมือง - สนับสนุนกําลังพลทําสะพานเหล็กชั่วคราวเนื่องจากถนนขาดและช่วยฟื้นฟูพื้นที่โดยยกสิ่งของ ทําความสะอาด พร้อมมอบถุงยังชีพ 100ชุด ในพื้นที่ อ.บ้านไผ่ - จัดเตรียมถุงยังชีพเพื่อแจกจ่ายผู้ประสบภัยและช่วยทําความสะอาดถนน บ้านเรือน ขนย้ายสิ่งของเข้าบ้าน ในพื้นที่ อ.บ้านไผ - สนับสนุนรถยนต์ กําลังพลรวม ๗๔ นาย ปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ สนับสนุนการปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และช่วยกรอกกระสอบทราย 2.5.จังหวัดร้อยเอ็ด - สนับสนุนรถยนต์พร้อมกําลังพล ช่วยเก็บขยะและขนย้ายสิ่งของในพื้นที่ อ.เสลภูมิ - สนับสนุนรถยนต์พร้อมกําลังพล ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ และมอบน้ําดื่ม ข้าวห่อให้ผู้ประสบภัย - จัดทีมลงพื้นที่ใน อ.อาจสามารถ อ.เสลภมิ อ.เชียงขวัญและโพธิ์ชัย อ.เมืองและจังหาร ในการช่วยเหลือประชาชน แจกน้ําดื่ม - สนับสนุนกําลังพร้อมรถยนต์ ร่วมแจกถุงยังชีพในพื้นที่ อ.เสลภูมิ - ขนย้ายสิ่งของ และบรรจุกระสอบทรายเพื่อทําแนวกั้นน้ํา ในพื้นที่ อ.เสลภูมิ - มอบน้ําดื่ม 270ขวด ในพื้นที่ อ.ทุ่งเขาหลวง มอบของช่วยเหลือและน้ําดื่มใน อ.เสลภูมิ อ.โพธิ์ชัย - มอบน้ําดื่มบรรจุขวด 1,260ขวด เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัย - สนับสนุนกําลังพลและรถยนต์ ลําเลียงถุงยังชีพแจกจ่ายผู้ประสบภัยในพื้นที่ อ.เสลภูมิ และช่วยเหลือบริเวณน้ําท่วมในพื้นที่ อ.ทุ่งเขาหลวง - สนับสนุนรถยนต์ กําลังพลรวม 74นาย ปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ สนับสนุนการปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และช่วยกรอกกระสอบทราย - สนับสนุนกําลังพลและรถบรรทุกช่วยขนย้ายสิ่งของและขนกระสอบทรายไปทําแนวกั้นน้ําในพื้นที่ อ.เสลภูมิ 2.6.จังหวัดกาฬสินธุ์ - สนับสนุนรถยนต์พร้อมกําลังพล ช่วยเก็บขยะและขนย้ายสิ่งของในพื้นที่ - สนับสนุนกําลังพลช่วยเหลือประชาชน มอบถุงยังชีพในพื้นที่ อ.เมือง สํารวจแม่น้ําลําปาวและบริเวณใกล้เคียงเพื่อวางแผนปฏิบัติงาน - จัดตั้งโรงครัวพระราชทาน โรงครัวในนามมูลนิธิมิราเคิลออฟไลฟ์ เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ - สนับสนุนรถยนต์ กําลังพลรวม 74นาย ปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ สนับสนุนการปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และช่วยกรอกกระสอบทราย 2.7.จังหวัดมหาสารคาม - สนับสนุนกําลังพลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นําถุงยังชีพมอบให้ผู้ประสบภัยในพื้นที่ อ.โกสุมพิสัย - สนับสนุนกําลังร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ ขนย้ายเครื่องอุปโภคบริโภคทําถุงยังชีพ จํานวน 850ชุด แจกจ่ายในพื้นที่ อ.โกสุมพิสัย อ.เชียงยืน อ.กันทรวิชัย - แจกน้ําดื่มสะอาด จํานวน 70แกลลอน ในพื้นที่ อ.บรบือ และจํานวน 200แกลลอน ในพื้นที่ อ.กันทรวิชัย - สนับสนุนรถยนต์ กําลังพลรวม ๗๔ นาย ปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ สนับสนุนการปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และช่วยกรอกกระสอบทราย 2.8.จังหวัดอํานาจเจริญ - สนับสนุนรถยนต์และกําลังพลช่วยเหลือประชาชนขนย้ายสิ่งของ นําถุงยังชีพและน้ําดื่มไปแจกจ่าย ในพื้นที่ อํานวยความสะดวกในการจราจร พื้นที่ อ.เมือง อ.ชานุมาน - แจกน้ําดื่มจํานวน 250แกลลอน ช่วยเหลือประชาชนที่ อ.หัวตะพาน - ตั้งรถโมบายผลิตน้ําดื่ม ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม ที่ อ.หัวตะพาน 2.9.จังหวัดเพชรบูรณ์ - ซ่อมแซมอาคารบ้านพัก/ลําเลียงถุงยังชีพ/ลอกคลองเก็บเศษขยะกิ่งไม้และแจกอาหารแห้งและน้ําดื่ม ที่ อ.หล่มสัก 2.10.จังหวัดยโสธร - สนับสนุนรถยนต์และกําลังพลช่วยเหลือประชาชนขนย้ายสิ่งของ นําถุงยังชีพและน้ําดื่มไปแจกจ่าย ในพื้นที่ อ.เมือง 2.11.จังหวัดนครพนม - ตรวจสอบเฝ้าระวังระดับน้ําแม่น้ําโขง และประสานงานหน่วยงานในการให้ความช่วยเหลือ - ตรวจเฝ้าระวังระดับน้ําและประเมินสถานการณ์เพื่อเตรียมรับมือกับภาวะฉุกเฉิน 2.12.จังหวัดเลย - สนับสนุนกําลังพลพร้อมรถยนต์ เพื่อปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานอื่นในพื้นที่ - สนับสนุนรถยนต์ กําลังพลรวม 74นาย ปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ สนับสนุนการปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และช่วยกรอกกระสอบทราย 2.13.จังหวัดลําปาง - สนับสนุนกําลังพลและรถน้ํา ร่วมบูรณาการหน่วยงานในการเปิดเส้นทางจราจรใน อ.เมือง 2.14.จังหวัดพิจิตร - ขนถุงยังชีพเพื่อแจกจ่ายผู้ประสบภัย - มอบสิ่งของและสมทบทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ อ.วังทรายพูน อ.สากเหล็ก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23001
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-7 มาตรการเร่งด่วน เพื่อแก้ไขปัญหาค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5
วันพุธที่ 9 ตุลาคม 2562 7 มาตรการเร่งด่วน เพื่อแก้ไขปัญหาค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 .. #ไทยคู่ฟ้ากรมการขนส่งทางบกออก 7 มาตรการเร่งด่วน เพื่อแก้ไขปัญหาค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 โดยเน้นการป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทางอย่าง “เร่งด่วน เข้มข้น จริงจัง” พร้อมบูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการตรวจค่าควันดําให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ย้ํา! ดําเนินการเข้มงวดโดยเฉพาะรถบรรทุกและรถโดยสารที่มีค่าควันดําเกินมาตรฐาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-7 มาตรการเร่งด่วน เพื่อแก้ไขปัญหาค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 วันพุธที่ 9 ตุลาคม 2562 7 มาตรการเร่งด่วน เพื่อแก้ไขปัญหาค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 .. #ไทยคู่ฟ้ากรมการขนส่งทางบกออก 7 มาตรการเร่งด่วน เพื่อแก้ไขปัญหาค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 โดยเน้นการป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทางอย่าง “เร่งด่วน เข้มข้น จริงจัง” พร้อมบูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการตรวจค่าควันดําให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ย้ํา! ดําเนินการเข้มงวดโดยเฉพาะรถบรรทุกและรถโดยสารที่มีค่าควันดําเกินมาตรฐาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23703
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล เชิญชวนเด็กเยาวชนและคนไทยทุกคน มาดื่มนมเพื่อสุขภาพร่างกายแข็งแรงในโอกาส วันดื่มนมโลก (World Milk Day) ตรงกับวันที่ 1 มิถุนายน ของทุกปี
วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม 2561 รัฐบาล เชิญชวนเด็กเยาวชนและคนไทยทุกคน มาดื่มนมเพื่อสุขภาพร่างกายแข็งแรงในโอกาส วันดื่มนมโลก (World Milk Day) ตรงกับวันที่ 1 มิถุนายน ของทุกปี รัฐบาล โดย กระทรวงเกษตรฯ เชิญชวนเด็กเยาวชนและคนไทยทุกคน มาดื่มนมเพื่อสุขภาพร่างกายแข็งแรง และเตรียมจัดงานวันดื่มนมโลก ประจําปี 2561 ภายใต้แนวคิด “นมยิ่งดื่มยิ่งดี” ณ สวนสัตว์ดุสิต รณรงค์ให้ความรู้ที่ถูกต้อง เพื่อให้ผู้บริโภคดื่มนมที่สดและคุณภาพดี วันนี้ (28 พฤษภาคม 2561) เวลา 08.30 น. ณ โถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเยี่ยมชมบูธการจัดแสดงงานวันดื่มนมโลก ประจําปี 2561 ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยมี นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงฯ ให้การต้อนรับและนําชมนิทรรศการฯ ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กล่าวรายงานว่า วันดื่มนมโลก ได้กําหนดโดย FAO ให้เป็นวันที่ 1 มิถุนายนของทุกปี เพื่อให้ทั่วโลกได้ตระหนักถึงความสําคัญของการดื่มนม ซึ่งรวมทั้งทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ ต้นน้ํา ได้แก่ เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม กลางน้ํา ได้แก่ ผู้แปรรูปนมและผลิตภัณฑ์นม จนถึงปลายน้ํา คือ ผู้บริโภค ได้เห็นคุณค่าของนม ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ กรมปศุสัตว์ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย หรือ อสค. ร่วมกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO และสมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารนมไทยหรือ สอนท. รวมทั้ง องค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้กําหนดจัดงานวันดื่มนมโลก ประจําปี 2561 ขึ้น ซึ่งในปี 2561 นี้ จะมีการจัดงานวันดื่มนมโลก ในวันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน 2561 ณ สวนสัตว์ดุสิต กรุงเทพฯ โดยพิธีเปิดงานจะเริ่มตั้งแต่เวลา 09.30 น. บริเวณประตู 1 สวนสัตว์ดุสิต ซึ่งในงานจะมีการออกบูธแสดงผลิตภัณฑ์นมใหม่ ๆ บทความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับคุณประโยชน์ โดยเฉพาะคุณประโยชน์ในด้านการเสริมสร้างสุขภาพที่เหมาะสมกับทุกวัย ตามคําขวัญที่ว่า “นมยิ่งดื่มยิ่งดี” และในงานดังกล่าวก็จะมีดารายอดนิยมที่ชื่นชอบการดื่มนมได้มาสนทนา แลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับประโยชน์ต่าง ๆ ของการดื่มนมกับนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ การดื่มนมของคนไทยในรูปของนมพาสเจอร์ไรส์และนมยูเอชที ปัจจุบันเฉลี่ย 18 ลิตรต่อคนต่อปี ซึ่งค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับประเทศญี่ปุ่น หรือในประเทศยุโรปและอเมริกา ซึ่งอาจเนื่องจากประเทศไทยค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม นมถือว่าเป็นอาหารที่คุณค่าทางอาหารสูงและจําเป็นต่อสุขภาพ หากคนไทยดื่มนมเพียงวันละ 1 แก้ว จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพของร่างกาย รวมทั้งยังช่วยสร้างความยั่งยืนในอาชีพการเลี้ยงโคนมของเกษตรกรไทยด้วย ดังนั้น จึงขอฝากสื่อมวลชนและผู้เกี่ยวข้องช่วยเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ในงานวันดื่มนมโลกครั้งนี้ รวมทั้งช่วยกันรณรงค์ให้คนไทยได้ดื่มนมมาก ๆ และรับรู้ข่าวสารที่เป็นจริงเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของการดื่มนมด้วย ตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าขอให้คนทุกคนช่วยกันรณรงค์ดื่มนมให้มากยิ่งขึ้น เพื่อสุขภาพที่ดี หรือดื่มนมจากข้าว เพราะเป็นการช่วยเหลือและสนับสนุนเกษตรกร พร้อมเชิญชวนลดการดื่มสุรา มาดื่มนมเพื่อสุขภาพและรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ อนึ่ง ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลที่ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กองเกษตรสารนิเทศ โทร 02-228-1085-9 โทรสาร 02-282-2871 www.moac.go.th .................................................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล เชิญชวนเด็กเยาวชนและคนไทยทุกคน มาดื่มนมเพื่อสุขภาพร่างกายแข็งแรงในโอกาส วันดื่มนมโลก (World Milk Day) ตรงกับวันที่ 1 มิถุนายน ของทุกปี วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม 2561 รัฐบาล เชิญชวนเด็กเยาวชนและคนไทยทุกคน มาดื่มนมเพื่อสุขภาพร่างกายแข็งแรงในโอกาส วันดื่มนมโลก (World Milk Day) ตรงกับวันที่ 1 มิถุนายน ของทุกปี รัฐบาล โดย กระทรวงเกษตรฯ เชิญชวนเด็กเยาวชนและคนไทยทุกคน มาดื่มนมเพื่อสุขภาพร่างกายแข็งแรง และเตรียมจัดงานวันดื่มนมโลก ประจําปี 2561 ภายใต้แนวคิด “นมยิ่งดื่มยิ่งดี” ณ สวนสัตว์ดุสิต รณรงค์ให้ความรู้ที่ถูกต้อง เพื่อให้ผู้บริโภคดื่มนมที่สดและคุณภาพดี วันนี้ (28 พฤษภาคม 2561) เวลา 08.30 น. ณ โถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเยี่ยมชมบูธการจัดแสดงงานวันดื่มนมโลก ประจําปี 2561 ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยมี นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงฯ ให้การต้อนรับและนําชมนิทรรศการฯ ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กล่าวรายงานว่า วันดื่มนมโลก ได้กําหนดโดย FAO ให้เป็นวันที่ 1 มิถุนายนของทุกปี เพื่อให้ทั่วโลกได้ตระหนักถึงความสําคัญของการดื่มนม ซึ่งรวมทั้งทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ ต้นน้ํา ได้แก่ เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม กลางน้ํา ได้แก่ ผู้แปรรูปนมและผลิตภัณฑ์นม จนถึงปลายน้ํา คือ ผู้บริโภค ได้เห็นคุณค่าของนม ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ กรมปศุสัตว์ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย หรือ อสค. ร่วมกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO และสมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารนมไทยหรือ สอนท. รวมทั้ง องค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้กําหนดจัดงานวันดื่มนมโลก ประจําปี 2561 ขึ้น ซึ่งในปี 2561 นี้ จะมีการจัดงานวันดื่มนมโลก ในวันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน 2561 ณ สวนสัตว์ดุสิต กรุงเทพฯ โดยพิธีเปิดงานจะเริ่มตั้งแต่เวลา 09.30 น. บริเวณประตู 1 สวนสัตว์ดุสิต ซึ่งในงานจะมีการออกบูธแสดงผลิตภัณฑ์นมใหม่ ๆ บทความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับคุณประโยชน์ โดยเฉพาะคุณประโยชน์ในด้านการเสริมสร้างสุขภาพที่เหมาะสมกับทุกวัย ตามคําขวัญที่ว่า “นมยิ่งดื่มยิ่งดี” และในงานดังกล่าวก็จะมีดารายอดนิยมที่ชื่นชอบการดื่มนมได้มาสนทนา แลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับประโยชน์ต่าง ๆ ของการดื่มนมกับนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ การดื่มนมของคนไทยในรูปของนมพาสเจอร์ไรส์และนมยูเอชที ปัจจุบันเฉลี่ย 18 ลิตรต่อคนต่อปี ซึ่งค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับประเทศญี่ปุ่น หรือในประเทศยุโรปและอเมริกา ซึ่งอาจเนื่องจากประเทศไทยค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม นมถือว่าเป็นอาหารที่คุณค่าทางอาหารสูงและจําเป็นต่อสุขภาพ หากคนไทยดื่มนมเพียงวันละ 1 แก้ว จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพของร่างกาย รวมทั้งยังช่วยสร้างความยั่งยืนในอาชีพการเลี้ยงโคนมของเกษตรกรไทยด้วย ดังนั้น จึงขอฝากสื่อมวลชนและผู้เกี่ยวข้องช่วยเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ในงานวันดื่มนมโลกครั้งนี้ รวมทั้งช่วยกันรณรงค์ให้คนไทยได้ดื่มนมมาก ๆ และรับรู้ข่าวสารที่เป็นจริงเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของการดื่มนมด้วย ตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าขอให้คนทุกคนช่วยกันรณรงค์ดื่มนมให้มากยิ่งขึ้น เพื่อสุขภาพที่ดี หรือดื่มนมจากข้าว เพราะเป็นการช่วยเหลือและสนับสนุนเกษตรกร พร้อมเชิญชวนลดการดื่มสุรา มาดื่มนมเพื่อสุขภาพและรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ อนึ่ง ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลที่ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กองเกษตรสารนิเทศ โทร 02-228-1085-9 โทรสาร 02-282-2871 www.moac.go.th .................................................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12588
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถาบันการบินพลเรือนมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้สำเร็จการฝึกอบรมหลักสูตร Flight Line Marshaller รุ่นที่ 6
วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560 สถาบันการบินพลเรือนมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้สําเร็จการฝึกอบรมหลักสูตร Flight Line Marshaller รุ่นที่ 6 สถาบันการบินพลเรือน (สบพ.) กระทรวงคมนาคม จัดพิธีมอบประกาศนียบัตรหลักสูตร Flight Line Marshaller รุ่นที่ 6 โดยมี ดร.กนก สารสิทธิธรรม รองผู้ว่าการฝ่ายวิชาการ สบพ. เป็นประธานมอบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้สําเร็จการฝึกอบรม เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2560 สบพ. ได้จัดการฝึกอบรมหลักสูตร Flight Line Marshaller รุ่นที่ 6 ระหว่างวันที่ 1 - 4 สิงหาคม 2560 เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ กฎระเบียบ ข้อบังคับ และหน้าที่ความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ผู้ให้สัญญาณในการนําอากาศยานเข้าสู่หลุมจอด รวมถึงขั้นตอนการส่งแปรสัญญาณการสื่อสารในการให้ทัศนะสัญญาณกับอากาศยาน ซึ่งเป็นการให้สัญญาณกับนักบิน ในขณะที่เครื่องบินกําลังเคลื่อนตัวเพื่อเข้าหลุมจอด และให้หยุดในตําแหน่งที่ถูกต้องตามแต่ละประเภทของเครื่องบินนั้น โดยมีบุคลากรจากท่าอากาศยานภายใต้การกํากับดูแลของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) ทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ จํานวน 20 คน เข้ารับการฝึกอบรม ซึ่งเมื่อสําเร็จหลักสูตรผู้ผ่านการฝึกอบรมจะสามารถกํากับดูแลการปฏิบัติงานภายในพื้นที่ Airside เกิดความปลอดภัยสูงสุดตามมาตรฐานที่ ICAO กําหนด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถาบันการบินพลเรือนมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้สำเร็จการฝึกอบรมหลักสูตร Flight Line Marshaller รุ่นที่ 6 วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560 สถาบันการบินพลเรือนมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้สําเร็จการฝึกอบรมหลักสูตร Flight Line Marshaller รุ่นที่ 6 สถาบันการบินพลเรือน (สบพ.) กระทรวงคมนาคม จัดพิธีมอบประกาศนียบัตรหลักสูตร Flight Line Marshaller รุ่นที่ 6 โดยมี ดร.กนก สารสิทธิธรรม รองผู้ว่าการฝ่ายวิชาการ สบพ. เป็นประธานมอบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้สําเร็จการฝึกอบรม เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2560 สบพ. ได้จัดการฝึกอบรมหลักสูตร Flight Line Marshaller รุ่นที่ 6 ระหว่างวันที่ 1 - 4 สิงหาคม 2560 เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ กฎระเบียบ ข้อบังคับ และหน้าที่ความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ผู้ให้สัญญาณในการนําอากาศยานเข้าสู่หลุมจอด รวมถึงขั้นตอนการส่งแปรสัญญาณการสื่อสารในการให้ทัศนะสัญญาณกับอากาศยาน ซึ่งเป็นการให้สัญญาณกับนักบิน ในขณะที่เครื่องบินกําลังเคลื่อนตัวเพื่อเข้าหลุมจอด และให้หยุดในตําแหน่งที่ถูกต้องตามแต่ละประเภทของเครื่องบินนั้น โดยมีบุคลากรจากท่าอากาศยานภายใต้การกํากับดูแลของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) ทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ จํานวน 20 คน เข้ารับการฝึกอบรม ซึ่งเมื่อสําเร็จหลักสูตรผู้ผ่านการฝึกอบรมจะสามารถกํากับดูแลการปฏิบัติงานภายในพื้นที่ Airside เกิดความปลอดภัยสูงสุดตามมาตรฐานที่ ICAO กําหนด
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5873
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตจีนเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2560 เอกอัครราชทูตจีนเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี เอกอัครราชทูตจีนเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี วันนี้ (7 ก.พ. 60) เวลา 14.30 น. นายหนิง ฟู่ ขุย เอกอัครราชทูตจีนประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือถึงการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าไทย-จีน ณ ห้องทํางานรองนายกรัฐมนตรี ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้ ออท. จีนแสดงความขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าพบ ทราบดีว่ารองนายกรัฐมนตรีมีภารกิจมาก การพบปะในวันนี้เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากรองนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้า การลงทุนระหว่างไทยและจีน พร้อมแสดงความยินดีที่การเดินทางเยือนจีนของรองนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาประสบความสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม มีการลงนามความร่วมมือเพื่อกําหนดทิศทางการส่งเสริมการค้า การลงทุนระหว่างกัน รองนายกรัฐมนตรียืนยันความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและจีน ไทยยังมียุทธศาสตร์ความเชื่อมโยงที่สอดรับกับนโยบาย One Belt One Road ของจีน กล่าวคือยุทธศาสตร์ระบบราง EEC ควบคู่กับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจดิจิทัล ทั้งนี้รัฐบาลไทยกําลังเร่งรัดผลักดันโครงการรถไฟไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา โดยจะดําเนินการตอกเสาเข็มเริ่มโครงการภายในเดือนมีนาคมนี้ อย่างไรก็ตามรองนายกรัฐมนตรีฝากให้จีนพิจารณาการให้เงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ําด้วย โอกาสนี้ ออท. จีนได้สอบถามความคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจโลก หลังจากที่สหรัฐอเมริกามีประธานาธิบดีคนใหม่ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศต่างๆ ในเอเชียจะหันมาร่วมมือกันผนึกกําลังเพื่อพัฒนาภูมิภาคเอเชียไปด้วยกัน นอกจากนี้รองนายกรัฐมนตรียังหวังให้จีนสนับสนุนบทบาทการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจในภูมิภาค (RCEP) ซึ่งจะทวีความสําคัญ และเชื่อว่าประเทศในกลุ่มเอเชียจะหันมาสนับสนุนในกลุ่ม RCEP มากขึ้น ก่อนจบการสนทนา ออท. จีน กล่าวว่าจีนจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับสูงเรื่อง One Belt One Road ในช่วงเดือนพฤษภาคม จึงหวังเชิญรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การกํากับดูแลของรองนายกรัฐมนตรี อาทิ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตจีนเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2560 เอกอัครราชทูตจีนเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี เอกอัครราชทูตจีนเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี วันนี้ (7 ก.พ. 60) เวลา 14.30 น. นายหนิง ฟู่ ขุย เอกอัครราชทูตจีนประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือถึงการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าไทย-จีน ณ ห้องทํางานรองนายกรัฐมนตรี ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้ ออท. จีนแสดงความขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าพบ ทราบดีว่ารองนายกรัฐมนตรีมีภารกิจมาก การพบปะในวันนี้เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากรองนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้า การลงทุนระหว่างไทยและจีน พร้อมแสดงความยินดีที่การเดินทางเยือนจีนของรองนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาประสบความสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม มีการลงนามความร่วมมือเพื่อกําหนดทิศทางการส่งเสริมการค้า การลงทุนระหว่างกัน รองนายกรัฐมนตรียืนยันความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและจีน ไทยยังมียุทธศาสตร์ความเชื่อมโยงที่สอดรับกับนโยบาย One Belt One Road ของจีน กล่าวคือยุทธศาสตร์ระบบราง EEC ควบคู่กับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจดิจิทัล ทั้งนี้รัฐบาลไทยกําลังเร่งรัดผลักดันโครงการรถไฟไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา โดยจะดําเนินการตอกเสาเข็มเริ่มโครงการภายในเดือนมีนาคมนี้ อย่างไรก็ตามรองนายกรัฐมนตรีฝากให้จีนพิจารณาการให้เงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ําด้วย โอกาสนี้ ออท. จีนได้สอบถามความคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจโลก หลังจากที่สหรัฐอเมริกามีประธานาธิบดีคนใหม่ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศต่างๆ ในเอเชียจะหันมาร่วมมือกันผนึกกําลังเพื่อพัฒนาภูมิภาคเอเชียไปด้วยกัน นอกจากนี้รองนายกรัฐมนตรียังหวังให้จีนสนับสนุนบทบาทการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจในภูมิภาค (RCEP) ซึ่งจะทวีความสําคัญ และเชื่อว่าประเทศในกลุ่มเอเชียจะหันมาสนับสนุนในกลุ่ม RCEP มากขึ้น ก่อนจบการสนทนา ออท. จีน กล่าวว่าจีนจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับสูงเรื่อง One Belt One Road ในช่วงเดือนพฤษภาคม จึงหวังเชิญรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การกํากับดูแลของรองนายกรัฐมนตรี อาทิ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวด้วย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1759
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผยไทยมีอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) และพนักงานสาธารณสุขต่างด้าว (พสต.) เน้นให้คำแนะนำแรงงานต่างด้าว ป้องกันการเกิดการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 วงกว้าง
วันอังคารที่ 21 เมษายน 2563 โฆษก ศบค. เผยไทยมีอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) และพนักงานสาธารณสุขต่างด้าว (พสต.) เน้นให้คําแนะนําแรงงานต่างด้าว ป้องกันการเกิดการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 วงกว้าง โฆษก ศบค. เผยไทยมีอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) และพนักงานสาธารณสุขต่างด้าว (พสต.) เน้นให้คําแนะนําแรงงานต่างด้าว ป้องกันการเกิดการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 วงกว้าง วันนี้ (21 เม.ย.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวันและมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ 1. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในประเทศไทย พบผู้ป่วยติดเชื้อสะสม 2,811 ราย หายป่วยและกลับบ้านเพิ่มขึ้น 109 ราย รวมหายป่วยไปแล้ว 2,108 ราย ผู้ป่วยรายใหม่ 19 ราย ซึ่งรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 655 รายและเสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย รวมผู้ป่วยเสียชีวิตทั้งหมด 48 ราย ผู้ที่เสียชีวิตรายที่ 48 เป็นชายไทยอายุ 50 ปี อาชีพขับรถแท็กซี่ มีโรคประจําตัวเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 และสูบบุหรี่ ประวัติเสี่ยงคือการรับส่งผู้โดยสารไปดูมวยที่สนามมวยลุมพินี มีอาการหายใจลําบาก มีไข้ต่ํา ๆ มีอาการไอ อาการไม่ดีขึ้น วันที่ 23 มีนาคม 2563 มีการไข้สูง 39.5 องศาเซลเซียส ปวดเมื่อยตามตัว หายใจลําบาก ผลตรวจยืนยันเป็นผู้ป่วยโควิด-19 อาการแย่ลงและเสียชีวิตในวันที่ 20 เมษายน 2563 ขอแสดงความเสียใจกับทางญาติของผู้ป่วยด้วย โฆษก ศบค. รายงานถึงแผนภูมิผู้ป่วยรายใหม่ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 32 ราย และวันนี้ 19 รายเป็นผลมาจากการดําเนินการเมื่อ 14 วันที่ผ่านมา โดยประชาชนร่วมมืออย่างดีภายหลังประกาศมาตรการเคอร์ฟิว “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ส่วนผู้ป่วยที่รักษาอยู่ขณะนี้ก็ลดลงเหลือ 655 คน ทําโรงพยาบาลทั้งของโรงพยาบาลภาครัฐและโรงพยาบาลเอกชน มีจํานวนเตียงผู้ป่วยเพียงพอ และเนื่องจากประชาชนทุกคนหันมาสนใจที่จะดูแลสุขภาพตนเองมากขึ้นทําให้โรคไข้หวัดใหญ่ซึ่งเป็นโรคตามฤดูกาลก็ลดน้อยลงด้วย ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 19 รายจําแนกเป็นกลุ่มที่สัมผัสกับผู้ป่วยก่อนหน้านี้ จํานวน 10 ราย อยู่กรุงเทพฯ 7 ราย กลุ่มผู้ป่วยกลุ่มอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มใดเลยที่เป็นก่อนหน้านี้ จํานวน 8 ราย และเป็นการค้นหาเชิงรุกในจังหวัดยะลา 2 ราย ตรวจก่อนทําหัตถการ และกลุ่มผู้ป่วยที่เดินทางจากต่างประเทศและเข้า State Quarantine อีกจํานวน 1 ราย กรุงเทพฯ ยังคงมีผู้ป่วยยืนยันสะสมเป็นอันดับที่ 1 คือ 1,447 ราย ตามมาด้วยภูเก็ต จํานวนผู้ป่วย 193 ราย นนทบุรี จํานวน 152 ราย สมุทรปราการ จํานวน 108 รายและยะลา จํานวน 95 ราย และการกระจายของกลุ่มประชากร พบว่า ภูเก็ตยังคงเป็นอันดับที่ 1 ตามด้วยกรุงเทพฯ ยะลา ตามลําดับ โฆษก ศบค. ยังได้ ปรับให้จังหวัดสตูลเข้าไปอยู่ในกลุ่มจังหวัดที่ไม่มีรายงานการรักษาผู้ป่วยเลย รวมทั้งหมดขณะนี้ 10 จังหวัด ได้แก่ กําแพงเพชร ชัยนาท ตราด น่าน บึงกาฬ พิจิตร ระนอง สิงห์บุรี อ่างทอง และสตูล เนื่องจากผู้ติดเชื้อของจังหวัดสตูลทั้ง 19 รายมาจาก State Quarantineเป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ขณะที่ยังไม่มีรายงานการติดเชื้อของประชาชนในจังหวัดสตูลเลย สําหรับสถานการณ์จังหวัดต่าง ๆ ในรอบ 7 วัน 14 วัน 28 วัน และมากกว่า 28 วันที่ผ่านมาว่า ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา มีรายงานการติดเชื้ออยู่ มี 11 จังหวัด ได้แก่กรุงเทพฯ นนทบุรี ภูเก็ต ชลบุรี ยะลา ปัตตานี สงขลา กระบี่ นราธิวาส ขอนแก่น ชุมพร และจังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยในรอบ 14 วันที่ผ่านมา ขยายเพิ่มเป็น 36 จังหวัด เพิ่มขึ้นอีก 1 จังหวัด คือสุพรรณบุรี ปัจจัยเสี่ยงในสัปดาห์ที่ 17 คือ ปัจจุบันนี้ พบว่าคนที่อยู่ในกลุ่มสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ค่อย ๆ ลดลงมาจาก 129 รายเหลือ 44 รายในสัปดาห์นี้ รวมถึงอาชีพเสี่ยงที่ทํางานอยู่ในสถานที่แออัดและกลุ่มอื่น ๆ ทั้งหมดก็ลดลงเช่นกัน แต่กลุ่มใหม่ที่เกิดขึ้น ในช่วงสัปดาห์ที่ 15 - 16 คือกลุ่มที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ รวมทั้งการไปในสถานที่ชุมชน เช่น ตลาดนัด และกลุ่มที่จะไปรอรับบริจาค จึงต้องรณรงค์ใส่หน้ากากผ้าและหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันตัวเองด้วย ในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 71 ราย อาชีพเสี่ยงไปทํางานในสถานที่แออัด 39 รายไปสถานที่ชุมชน ตลาดนัด 24 รายขณะเดียวกันกลุ่มคนเก่าคือสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายยืนยันก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่จะไปอยู่อยู่ในบ้านและเป็นคนหนุ่มสาว ที่ออกนอกบ้านไปแล้วเป็นพาหะนําโรคกลับมาแพร่เชื้อให้กับคนในบ้าน โฆษก ศบค. กล่าวถึงการวิเคราะห์ข้อมูลจากกองระบาดวิทยาระบุอาชีพ 20 อันดับแรกพบว่า อาชีพรับจ้างทั่วไป ฟรีแลนซ์ มีรายงาน 395 ราย อันดับ 2 คือค้าขาย ธุรกิจส่วนตัว308 ราย พนักงานบริษัท/โรงงาน มี 235 ราย พนักงานในสถานบันเทิงมี 176 ราย และนักเรียนนักศึกษา 164 ราย ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มอายุของวัยทํางาน คืออายุ 20-39 ปี เพราะฉะนั้นต้องให้ความสําคัญคนกลุ่มนี้เพราะเป็นผู้ติดเชื้อกลุ่มใหญ่และยังเป็นพาหะนําโรคด้วย 2. สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 โลก สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยูที่ 2,480,000 กว่ารายแล้ว เสียชีวิต 170,000 กว่าราย อาการหนัก 56,766 ราย หายแล้ว 646,000 กว่าราย โดยสหรัฐอเมริกามีผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมเป็นอันดับที่ 1 จํานวน 790, 000 กว่าราย และคาดว่าผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 800,000 รายเนื่องจากมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องและมีการเสียชีวิตสูงมากด้วยถึง 1,949 รายส่วนอันดับของประเทศไทยขณะนี้ลงมาอยู่ที่อันดับ 55 สําหรับประเทศในกลุ่มทางเอเชีย ญี่ปุ่นในรอบ 24 ชั่วโมง มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 338 ราย สิงคโปร์ 1,426 ราย อินโดนีเซีย 185 ราย ฟิลิปปินส์ 200 ราย และมาเลเซีย 36 ราย โฆษก ศบค. ยังได้วิเคราะห์ กรณีสิงคโปร์พบว่าผู้ติเชื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่เข้าไปทํางาน ซึ่งมีมากถึง 323,000 กว่าราย โดยพักอาศัยอยู่ตามหอพักต่างๆ ซึ่งมีจํานวนทั้งหมด 43 แห่ง เป็นหอพักขนาดใหญ่ที่เรียกว่า Mega Dorm ซึ่งมีคนอยู่รวมกันเป็นพันคน ซึ่งภายในห้องหนึ่งอาจมีคนอยู่อัดกันถึง 12 ถึง 20 คน โดยมีรายงานแรงงานต่างด้าวที่ติดเชื้อรายแรก คือ ชาวบังคลาเทศ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 และเกิดการติดเชื้อในกลุ่มใหญ่เกิดขึ้นในหอพัก S11 วันที่ 30มีนาคม 2563 ซึ่งเริ่มจากการติดเชื้อครั้งแรก 4 รายขยายเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ และเป็น 1,000 กว่าราย ภายในเวลาอันรวดเร็วนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นที่ใช้คําว่า super spreader การติดเชื้อดังกล่าวรวดเร็วมากเพียงใช้เวลาไม่นาน ขณะนี้ สิงคโปร์ก็ได้ดําเนินการจัดการอย่างเต็มที่ เช่น มาตรการล็อคดาวน์หอพักที่อยู่ ทั้งหมด 43 แห่ง ตั้งหน่วยงานดูแลแรงงาน เพื่อหยุดการแพร่ระบาด ไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวในระหว่างหอพักด้วยกัน ลดการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในวงกว้าง โดยแรงงานต่างด้าวจะได้รับค่าจ้าง ขณะที่อยู่ในช่วง Quarantine ด้วย นอกจากนี้ ยังจัดทีมดูแลรวมถึงมีสถานพยาบาลในบริเวณดังกล่าว นอกจากนี้ ยังเคลื่อนย้ายแรงงานที่หายดีแล้วและแรงงานที่มีผลเลือดเป็นลบให้ไปอยู่บนเรือที่จัดเตรียมไว้ สามารถรองรับคนได้ประมาณ2,000 คนเพื่อควบคุมการระบาดให้ได้ก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่สําคัญ โฆษก ศบค. ยังกล่าวถึงการดําเนินการของไทยในการดูแลแรงงานต่างด้าวในประเทศ โดยกระทรวงสาธารณสุข กรมอนามัย รวมถึงหน่วยงานท้องถิ่น มีการสแกนพื้นที่ เพื่อดูความเป็นอยู่แรงงานต่างด้าว รักษาความสะอาดในพื้นที่ และเน้นย้ําให้มี Social Distancing หรือการมีระยะห่างทางสังคม และระยะห่างทางร่างกายระหว่างบุคคลด้วย พร้อมทั้งได้มีการส่งเสริมให้มีพนักงานสาธารณสุขต่างด้าว หรือ พสต. หรืออาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าวหรือ อสต. ทําหน้าที่คล้ายกับ อสม. ให้ พสต.และอสต. ไปอยู่กับแรงงานต่างด้าวเพราะพูดภาษาเดียวกันในการให้ความรู้กับคนดังกล่าว เพื่อนําความรู้กลับเข้าไปในระบบของกลุ่มแรงงานต่างด้าวให้ไปดูแลซึ่งกันและกันต่อไป ซึ่งระบบนี้เกิดขึ้นอยู่ในหลายๆจังหวัดของประเทศไทยแล้ว โฆษก ศบค. กล่าวถึงการเรียนรู้จากสิงคโปร์จะสามารถนํามาเป็นมาตรการควบคุมและป้องกันในประเทศไทยได้ เพราะการป้องกันก่อนการควบคุมสิ่งสําคัญ เพราะป้องกันคือยังไม่เกิดโรค แต่ถ้าเกิดโรคแล้วก็ต้องควบคุม เช่นที่สิงคโปร์กําลังทําอย่างนั้นอยู่ไทยยังป้องกันได้ คือ ให้การดูแลแรงงานต่างด้าวที่ยังอยู่ในประเทศไทยให้อยู่อย่างดีและไม่เป็นโรค ก็จะทําให้คนในประเทศไทยปลอดภัยด้วย 3. รายงานผลการปฏิบัติการตามมาตรการ การปฏิบัติงานตามมาตรการเคอร์ฟิว รายงานผลการปฏิบัติจากการประกาศเคอร์ฟิวประจําวันที่ 21 เมษายน 63 พบว่า มีผู้กระทําผิดออกนอกเคหสถาน เพิ่มขึ้น 33 ราย รวมสะสมเป็น 693 ราย ชุมนุมมั่วสุม ถูกดําเนินคดีลดลง 11 คดี มีเพียง 65 คดี จึงขอความร่วมมือประชาชนให้คงปฏิบัติตามมาตรการ ไม่ดื่มสุรา ไม่เล่นการพนัน และไม่เสพยาเสพติด รวมถึงไม่ออกจากบ้านในช่วงเวลาเคอร์ฟิวโดยไม่มีเหตุจําเป็น เพื่อช่วยกันลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สําหรับการกระทําความผิด กรณีฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ พบว่าในภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่มีผู้ออกนอกเคหสถาน 12 ราย ภาคใต้ จังหวัดภูเก็ต มีผู้ออกนอกเคหสถาน 27 ราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดนครราชสีมา มีผู้ออกนอกเคหสถาน 18 ราย ภาคกลาง จังหวัดที่มีพบผู้กระทําผิดสูงสุด คือ จังหวัดปทุมธานี โดยมีผู้ออกนอกเคหสถาน 42 ราย มั่วสุม 7 ราย และกรุงเทพมหานครที่พบผู้ออกนอกเคหสถาน 56 ราย ทั้งนี้ ในที่ประชุม ศบค. ได้หารือกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ โดยให้จําแนก อายุ สาเหตุการกระทําผิดของกลุ่มผู้ที่กระทําความผิด หากผู้กระทําผิดเป็นเยาวชนจะตักเตือนก่อนส่งดําเนินคดี สําหรับ 10 อันดับจังหวัดที่พบผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ มากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 56 ราย ปทุมธานี 42 ราย สมุทรปราการ 28 ราย ภูเก็ต 27 ราย พระนครศรีอยุธยา 19 ราย ระยอง นครราชสีมา ราชบุรี นนทบุรี และ บุรีรัมย์ ตามลําดับ สําหรับจังหวัดที่พบผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุนเฉินฯ น้อยที่สุดหรือ ไม่พบเลย ได้แก่ สิงห์บุรี ศรีสะเกษ กาฬสินธุ์ นครพนม อุทัยธานี หนองคาย สมุทรสงคราม มหาสารคาม พิษณุโลก และพิจิตร มาตรการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศ วันนี้จะมีผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ 2 ประเทศด้วยกัน ได้แก่ ไต้หวัน และ ญี่ปุ่น โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ใช้แรงงาน โดยเที่ยวบินที่จะนําคนไทยกลับมาจากไต้หวันจะถึงประเทศไทยเวลา 17.45 น. มีผู้เดินทางกลับมา 120 คน รวมถึงเที่ยวบินที่นําคนไทยกลับมาจากญี่ปุ่นมี 2 เที่ยวบินด้วยกัน เที่ยวบินแรกจะถึงประเทศไทยเวลา 15.30 น. มีผู้เดินทางกลับ 80 คน และอีกเที่ยวบินจะถึงประเทศไทยเวลา 16.30 น. มีผู้เดินทางกลับมา 20 คน โดยผู้ที่เดินทางกลับมาทั้งหมดนี้จะต้องผ่านการคัดกรองโรค และเข้าสู่สถานที่กักกันตัวเพื่อสังเกตอาการที่รัฐจัดหาให้ หรือ State Quarantine มาตรการหน้ากากอนามัย มีการจัดส่งหน้ากากอนามัย จํานวนสะสมทั้งหมด 39,464,350 ชิ้น โดยเป็นส่วนของกระทรวงสาธารณสุข 24,321,050 ชิ้น ส่วนของกระทรวงมหาดไทย 14,965,300 ชิ้น ทั้งนี้ได้จัดสรรหน้ากากอนามัยให้กับกองทัพไทย ซึ่งจะต้องปฏิบัติงานใกล้ชิดกับผู้ที่มีความเสี่ยงด้วย ประมาณ 60,000 ชิ้น ต่อวัน สําหรับหน้ากากอนามัยชนิด N95 ได้มีการจัดส่งแล้ว 138,940 ชิ้น ชุดป้องกัน PPE SET ได้มีการจัดส่งแล้ว 39,719 ชุด เพื่อเป็นกระจายให้สู่บุคลากรทางแพทย์ทุกพื้นที่ในประเทศไทย ********************* กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผยไทยมีอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) และพนักงานสาธารณสุขต่างด้าว (พสต.) เน้นให้คำแนะนำแรงงานต่างด้าว ป้องกันการเกิดการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 วงกว้าง วันอังคารที่ 21 เมษายน 2563 โฆษก ศบค. เผยไทยมีอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) และพนักงานสาธารณสุขต่างด้าว (พสต.) เน้นให้คําแนะนําแรงงานต่างด้าว ป้องกันการเกิดการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 วงกว้าง โฆษก ศบค. เผยไทยมีอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) และพนักงานสาธารณสุขต่างด้าว (พสต.) เน้นให้คําแนะนําแรงงานต่างด้าว ป้องกันการเกิดการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 วงกว้าง วันนี้ (21 เม.ย.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวันและมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ 1. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในประเทศไทย พบผู้ป่วยติดเชื้อสะสม 2,811 ราย หายป่วยและกลับบ้านเพิ่มขึ้น 109 ราย รวมหายป่วยไปแล้ว 2,108 ราย ผู้ป่วยรายใหม่ 19 ราย ซึ่งรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 655 รายและเสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย รวมผู้ป่วยเสียชีวิตทั้งหมด 48 ราย ผู้ที่เสียชีวิตรายที่ 48 เป็นชายไทยอายุ 50 ปี อาชีพขับรถแท็กซี่ มีโรคประจําตัวเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 และสูบบุหรี่ ประวัติเสี่ยงคือการรับส่งผู้โดยสารไปดูมวยที่สนามมวยลุมพินี มีอาการหายใจลําบาก มีไข้ต่ํา ๆ มีอาการไอ อาการไม่ดีขึ้น วันที่ 23 มีนาคม 2563 มีการไข้สูง 39.5 องศาเซลเซียส ปวดเมื่อยตามตัว หายใจลําบาก ผลตรวจยืนยันเป็นผู้ป่วยโควิด-19 อาการแย่ลงและเสียชีวิตในวันที่ 20 เมษายน 2563 ขอแสดงความเสียใจกับทางญาติของผู้ป่วยด้วย โฆษก ศบค. รายงานถึงแผนภูมิผู้ป่วยรายใหม่ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 32 ราย และวันนี้ 19 รายเป็นผลมาจากการดําเนินการเมื่อ 14 วันที่ผ่านมา โดยประชาชนร่วมมืออย่างดีภายหลังประกาศมาตรการเคอร์ฟิว “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ส่วนผู้ป่วยที่รักษาอยู่ขณะนี้ก็ลดลงเหลือ 655 คน ทําโรงพยาบาลทั้งของโรงพยาบาลภาครัฐและโรงพยาบาลเอกชน มีจํานวนเตียงผู้ป่วยเพียงพอ และเนื่องจากประชาชนทุกคนหันมาสนใจที่จะดูแลสุขภาพตนเองมากขึ้นทําให้โรคไข้หวัดใหญ่ซึ่งเป็นโรคตามฤดูกาลก็ลดน้อยลงด้วย ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 19 รายจําแนกเป็นกลุ่มที่สัมผัสกับผู้ป่วยก่อนหน้านี้ จํานวน 10 ราย อยู่กรุงเทพฯ 7 ราย กลุ่มผู้ป่วยกลุ่มอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มใดเลยที่เป็นก่อนหน้านี้ จํานวน 8 ราย และเป็นการค้นหาเชิงรุกในจังหวัดยะลา 2 ราย ตรวจก่อนทําหัตถการ และกลุ่มผู้ป่วยที่เดินทางจากต่างประเทศและเข้า State Quarantine อีกจํานวน 1 ราย กรุงเทพฯ ยังคงมีผู้ป่วยยืนยันสะสมเป็นอันดับที่ 1 คือ 1,447 ราย ตามมาด้วยภูเก็ต จํานวนผู้ป่วย 193 ราย นนทบุรี จํานวน 152 ราย สมุทรปราการ จํานวน 108 รายและยะลา จํานวน 95 ราย และการกระจายของกลุ่มประชากร พบว่า ภูเก็ตยังคงเป็นอันดับที่ 1 ตามด้วยกรุงเทพฯ ยะลา ตามลําดับ โฆษก ศบค. ยังได้ ปรับให้จังหวัดสตูลเข้าไปอยู่ในกลุ่มจังหวัดที่ไม่มีรายงานการรักษาผู้ป่วยเลย รวมทั้งหมดขณะนี้ 10 จังหวัด ได้แก่ กําแพงเพชร ชัยนาท ตราด น่าน บึงกาฬ พิจิตร ระนอง สิงห์บุรี อ่างทอง และสตูล เนื่องจากผู้ติดเชื้อของจังหวัดสตูลทั้ง 19 รายมาจาก State Quarantineเป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ขณะที่ยังไม่มีรายงานการติดเชื้อของประชาชนในจังหวัดสตูลเลย สําหรับสถานการณ์จังหวัดต่าง ๆ ในรอบ 7 วัน 14 วัน 28 วัน และมากกว่า 28 วันที่ผ่านมาว่า ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา มีรายงานการติดเชื้ออยู่ มี 11 จังหวัด ได้แก่กรุงเทพฯ นนทบุรี ภูเก็ต ชลบุรี ยะลา ปัตตานี สงขลา กระบี่ นราธิวาส ขอนแก่น ชุมพร และจังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยในรอบ 14 วันที่ผ่านมา ขยายเพิ่มเป็น 36 จังหวัด เพิ่มขึ้นอีก 1 จังหวัด คือสุพรรณบุรี ปัจจัยเสี่ยงในสัปดาห์ที่ 17 คือ ปัจจุบันนี้ พบว่าคนที่อยู่ในกลุ่มสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ค่อย ๆ ลดลงมาจาก 129 รายเหลือ 44 รายในสัปดาห์นี้ รวมถึงอาชีพเสี่ยงที่ทํางานอยู่ในสถานที่แออัดและกลุ่มอื่น ๆ ทั้งหมดก็ลดลงเช่นกัน แต่กลุ่มใหม่ที่เกิดขึ้น ในช่วงสัปดาห์ที่ 15 - 16 คือกลุ่มที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ รวมทั้งการไปในสถานที่ชุมชน เช่น ตลาดนัด และกลุ่มที่จะไปรอรับบริจาค จึงต้องรณรงค์ใส่หน้ากากผ้าและหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันตัวเองด้วย ในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 71 ราย อาชีพเสี่ยงไปทํางานในสถานที่แออัด 39 รายไปสถานที่ชุมชน ตลาดนัด 24 รายขณะเดียวกันกลุ่มคนเก่าคือสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายยืนยันก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่จะไปอยู่อยู่ในบ้านและเป็นคนหนุ่มสาว ที่ออกนอกบ้านไปแล้วเป็นพาหะนําโรคกลับมาแพร่เชื้อให้กับคนในบ้าน โฆษก ศบค. กล่าวถึงการวิเคราะห์ข้อมูลจากกองระบาดวิทยาระบุอาชีพ 20 อันดับแรกพบว่า อาชีพรับจ้างทั่วไป ฟรีแลนซ์ มีรายงาน 395 ราย อันดับ 2 คือค้าขาย ธุรกิจส่วนตัว308 ราย พนักงานบริษัท/โรงงาน มี 235 ราย พนักงานในสถานบันเทิงมี 176 ราย และนักเรียนนักศึกษา 164 ราย ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มอายุของวัยทํางาน คืออายุ 20-39 ปี เพราะฉะนั้นต้องให้ความสําคัญคนกลุ่มนี้เพราะเป็นผู้ติดเชื้อกลุ่มใหญ่และยังเป็นพาหะนําโรคด้วย 2. สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 โลก สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยูที่ 2,480,000 กว่ารายแล้ว เสียชีวิต 170,000 กว่าราย อาการหนัก 56,766 ราย หายแล้ว 646,000 กว่าราย โดยสหรัฐอเมริกามีผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมเป็นอันดับที่ 1 จํานวน 790, 000 กว่าราย และคาดว่าผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 800,000 รายเนื่องจากมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องและมีการเสียชีวิตสูงมากด้วยถึง 1,949 รายส่วนอันดับของประเทศไทยขณะนี้ลงมาอยู่ที่อันดับ 55 สําหรับประเทศในกลุ่มทางเอเชีย ญี่ปุ่นในรอบ 24 ชั่วโมง มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 338 ราย สิงคโปร์ 1,426 ราย อินโดนีเซีย 185 ราย ฟิลิปปินส์ 200 ราย และมาเลเซีย 36 ราย โฆษก ศบค. ยังได้วิเคราะห์ กรณีสิงคโปร์พบว่าผู้ติเชื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่เข้าไปทํางาน ซึ่งมีมากถึง 323,000 กว่าราย โดยพักอาศัยอยู่ตามหอพักต่างๆ ซึ่งมีจํานวนทั้งหมด 43 แห่ง เป็นหอพักขนาดใหญ่ที่เรียกว่า Mega Dorm ซึ่งมีคนอยู่รวมกันเป็นพันคน ซึ่งภายในห้องหนึ่งอาจมีคนอยู่อัดกันถึง 12 ถึง 20 คน โดยมีรายงานแรงงานต่างด้าวที่ติดเชื้อรายแรก คือ ชาวบังคลาเทศ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 และเกิดการติดเชื้อในกลุ่มใหญ่เกิดขึ้นในหอพัก S11 วันที่ 30มีนาคม 2563 ซึ่งเริ่มจากการติดเชื้อครั้งแรก 4 รายขยายเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ และเป็น 1,000 กว่าราย ภายในเวลาอันรวดเร็วนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นที่ใช้คําว่า super spreader การติดเชื้อดังกล่าวรวดเร็วมากเพียงใช้เวลาไม่นาน ขณะนี้ สิงคโปร์ก็ได้ดําเนินการจัดการอย่างเต็มที่ เช่น มาตรการล็อคดาวน์หอพักที่อยู่ ทั้งหมด 43 แห่ง ตั้งหน่วยงานดูแลแรงงาน เพื่อหยุดการแพร่ระบาด ไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวในระหว่างหอพักด้วยกัน ลดการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในวงกว้าง โดยแรงงานต่างด้าวจะได้รับค่าจ้าง ขณะที่อยู่ในช่วง Quarantine ด้วย นอกจากนี้ ยังจัดทีมดูแลรวมถึงมีสถานพยาบาลในบริเวณดังกล่าว นอกจากนี้ ยังเคลื่อนย้ายแรงงานที่หายดีแล้วและแรงงานที่มีผลเลือดเป็นลบให้ไปอยู่บนเรือที่จัดเตรียมไว้ สามารถรองรับคนได้ประมาณ2,000 คนเพื่อควบคุมการระบาดให้ได้ก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่สําคัญ โฆษก ศบค. ยังกล่าวถึงการดําเนินการของไทยในการดูแลแรงงานต่างด้าวในประเทศ โดยกระทรวงสาธารณสุข กรมอนามัย รวมถึงหน่วยงานท้องถิ่น มีการสแกนพื้นที่ เพื่อดูความเป็นอยู่แรงงานต่างด้าว รักษาความสะอาดในพื้นที่ และเน้นย้ําให้มี Social Distancing หรือการมีระยะห่างทางสังคม และระยะห่างทางร่างกายระหว่างบุคคลด้วย พร้อมทั้งได้มีการส่งเสริมให้มีพนักงานสาธารณสุขต่างด้าว หรือ พสต. หรืออาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าวหรือ อสต. ทําหน้าที่คล้ายกับ อสม. ให้ พสต.และอสต. ไปอยู่กับแรงงานต่างด้าวเพราะพูดภาษาเดียวกันในการให้ความรู้กับคนดังกล่าว เพื่อนําความรู้กลับเข้าไปในระบบของกลุ่มแรงงานต่างด้าวให้ไปดูแลซึ่งกันและกันต่อไป ซึ่งระบบนี้เกิดขึ้นอยู่ในหลายๆจังหวัดของประเทศไทยแล้ว โฆษก ศบค. กล่าวถึงการเรียนรู้จากสิงคโปร์จะสามารถนํามาเป็นมาตรการควบคุมและป้องกันในประเทศไทยได้ เพราะการป้องกันก่อนการควบคุมสิ่งสําคัญ เพราะป้องกันคือยังไม่เกิดโรค แต่ถ้าเกิดโรคแล้วก็ต้องควบคุม เช่นที่สิงคโปร์กําลังทําอย่างนั้นอยู่ไทยยังป้องกันได้ คือ ให้การดูแลแรงงานต่างด้าวที่ยังอยู่ในประเทศไทยให้อยู่อย่างดีและไม่เป็นโรค ก็จะทําให้คนในประเทศไทยปลอดภัยด้วย 3. รายงานผลการปฏิบัติการตามมาตรการ การปฏิบัติงานตามมาตรการเคอร์ฟิว รายงานผลการปฏิบัติจากการประกาศเคอร์ฟิวประจําวันที่ 21 เมษายน 63 พบว่า มีผู้กระทําผิดออกนอกเคหสถาน เพิ่มขึ้น 33 ราย รวมสะสมเป็น 693 ราย ชุมนุมมั่วสุม ถูกดําเนินคดีลดลง 11 คดี มีเพียง 65 คดี จึงขอความร่วมมือประชาชนให้คงปฏิบัติตามมาตรการ ไม่ดื่มสุรา ไม่เล่นการพนัน และไม่เสพยาเสพติด รวมถึงไม่ออกจากบ้านในช่วงเวลาเคอร์ฟิวโดยไม่มีเหตุจําเป็น เพื่อช่วยกันลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สําหรับการกระทําความผิด กรณีฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ พบว่าในภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่มีผู้ออกนอกเคหสถาน 12 ราย ภาคใต้ จังหวัดภูเก็ต มีผู้ออกนอกเคหสถาน 27 ราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดนครราชสีมา มีผู้ออกนอกเคหสถาน 18 ราย ภาคกลาง จังหวัดที่มีพบผู้กระทําผิดสูงสุด คือ จังหวัดปทุมธานี โดยมีผู้ออกนอกเคหสถาน 42 ราย มั่วสุม 7 ราย และกรุงเทพมหานครที่พบผู้ออกนอกเคหสถาน 56 ราย ทั้งนี้ ในที่ประชุม ศบค. ได้หารือกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ โดยให้จําแนก อายุ สาเหตุการกระทําผิดของกลุ่มผู้ที่กระทําความผิด หากผู้กระทําผิดเป็นเยาวชนจะตักเตือนก่อนส่งดําเนินคดี สําหรับ 10 อันดับจังหวัดที่พบผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ มากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 56 ราย ปทุมธานี 42 ราย สมุทรปราการ 28 ราย ภูเก็ต 27 ราย พระนครศรีอยุธยา 19 ราย ระยอง นครราชสีมา ราชบุรี นนทบุรี และ บุรีรัมย์ ตามลําดับ สําหรับจังหวัดที่พบผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุนเฉินฯ น้อยที่สุดหรือ ไม่พบเลย ได้แก่ สิงห์บุรี ศรีสะเกษ กาฬสินธุ์ นครพนม อุทัยธานี หนองคาย สมุทรสงคราม มหาสารคาม พิษณุโลก และพิจิตร มาตรการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศ วันนี้จะมีผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ 2 ประเทศด้วยกัน ได้แก่ ไต้หวัน และ ญี่ปุ่น โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ใช้แรงงาน โดยเที่ยวบินที่จะนําคนไทยกลับมาจากไต้หวันจะถึงประเทศไทยเวลา 17.45 น. มีผู้เดินทางกลับมา 120 คน รวมถึงเที่ยวบินที่นําคนไทยกลับมาจากญี่ปุ่นมี 2 เที่ยวบินด้วยกัน เที่ยวบินแรกจะถึงประเทศไทยเวลา 15.30 น. มีผู้เดินทางกลับ 80 คน และอีกเที่ยวบินจะถึงประเทศไทยเวลา 16.30 น. มีผู้เดินทางกลับมา 20 คน โดยผู้ที่เดินทางกลับมาทั้งหมดนี้จะต้องผ่านการคัดกรองโรค และเข้าสู่สถานที่กักกันตัวเพื่อสังเกตอาการที่รัฐจัดหาให้ หรือ State Quarantine มาตรการหน้ากากอนามัย มีการจัดส่งหน้ากากอนามัย จํานวนสะสมทั้งหมด 39,464,350 ชิ้น โดยเป็นส่วนของกระทรวงสาธารณสุข 24,321,050 ชิ้น ส่วนของกระทรวงมหาดไทย 14,965,300 ชิ้น ทั้งนี้ได้จัดสรรหน้ากากอนามัยให้กับกองทัพไทย ซึ่งจะต้องปฏิบัติงานใกล้ชิดกับผู้ที่มีความเสี่ยงด้วย ประมาณ 60,000 ชิ้น ต่อวัน สําหรับหน้ากากอนามัยชนิด N95 ได้มีการจัดส่งแล้ว 138,940 ชิ้น ชุดป้องกัน PPE SET ได้มีการจัดส่งแล้ว 39,719 ชุด เพื่อเป็นกระจายให้สู่บุคลากรทางแพทย์ทุกพื้นที่ในประเทศไทย ********************* กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29450
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีอากรให้แก่ผู้เสียภาษีหรือนำส่งภาษีในท้องที่ที่เกิดอุทกภัย
วันศุกร์ที่ 20 กันยายน 2562 กรมสรรพากรขยายกําหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีอากรให้แก่ผู้เสียภาษีหรือนําส่งภาษีในท้องที่ที่เกิดอุทกภัย ตามที่ได้เกิดภัยพิบัติจากพายุโซนร้อนโพดุลและพายุโซนร้อนคาจิกิในหลายจังหวัดของประเทศไทย ส่งผลทําให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือนําส่งภาษีในหลายท้องที่ไม่สามารถประกอบกิจการ และยื่นรายการและชําระภาษีอากรหรือนําส่งภาษีภายในเวลาที่กําหนด ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเห ตามที่ได้เกิดภัยพิบัติจากพายุโซนร้อนโพดุลและพายุโซนร้อนคาจิกิในหลายจังหวัดของประเทศไทย ส่งผลทําให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือนําส่งภาษีในหลายท้องที่ไม่สามารถประกอบกิจการ และยื่นรายการและชําระภาษีอากรหรือนําส่งภาษีภายในเวลาที่กําหนด ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือให้ผู้ที่ประสบภัยพิบัติดังกล่าว ไม่ต้องเสียเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และค่าปรับอาญา กรมสรรพากรจึงได้ขยายกําหนดเวลาการยื่นแบบฯ และชําระภาษี หรือนําส่งภาษีให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือนําส่งภาษีในท้องที่จังหวัดสระแก้ว อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก พิจิตร สุโขทัย แม่ฮ่องสอน ลําปาง น่าน เชียงใหม่ แพร่ อุบลราชธานี อํานาจเจริญ ยโสธร ชัยภูมิ ศรีสะเกษ สุรินทร์ ขอนแก่น นครพนม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มุกดาหาร สกลนคร มหาสารคาม อุดรธานี ระนอง โดยขยายกําหนดเวลา ดังนี้ 1. ขยายกําหนดเวลาการยื่นรายการและนําส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามแบบ ภ.ง.ด.1 ภ.ง.ด.2 ภ.ง.ด.3 ภ.ง.ด.53 และ ภ.ง.ด.54 กรณีที่จะต้องยื่นรายการและนําส่งภาษีสําหรับเดือนภาษีสิงหาคม 2562 ที่ต้องยื่นรายการและนําส่งภาษีภายในวันที่ 7 กันยายน 2562 ออกไปเป็นภายในวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ.2562 2. ขยายกําหนดเวลาการยื่นรายการและชําระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามแบบ ภ.ง.ด.94 กรณีที่ต้องยื่นรายการและชําระภาษีภายในเดือนกันยายน 2562 ออกไปเป็นภายในวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ.2562 3. ขยายกําหนดเวลาการยื่นรายการและชําระภาษีสําหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามแบบ ภ.ง.ด.50 ภ.ง.ด.51 ภ.ง.ด.52 และ ภ.ง.ด.53 กรณีที่ต้องยื่นรายการและชําระภาษีตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ.2562 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2562 ออกไปเป็นภายในวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ.2562 4. ขยายกําหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามแบบ ภ.พ.30 และ ภ.พ.36 และภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามแบบ ภธ.40 ไม่รวมถึงการยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีธุรกิจเฉพาะ สําหรับการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากําไร ไม่ว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นจะได้มาโดยวิธีใดก็ตาม สําหรับเดือนสิงหาคม 2562 ที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภายในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2562 ออกไปเป็นภายในวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ.2562 5. ขยายกําหนดเวลาการขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน ตามแบบ อ.ส.4 อ.ส.4ก และ อ.ส.4ข กรณีที่ต้องเสียอากรตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ.2562 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2562 ออกไปเป็นภายในวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ.2562 หากมีข้อสงสัยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องขยายกําหนดเวลาการยื่นรายการและชําระภาษีอากรฯ ในท้องที่ที่เกิดภัยพิบัติ (ฉบับที่2) ประกาศ ณ วันที่ 13 กันยายน พ.ศ.2562 หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ และศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร. 1161
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีอากรให้แก่ผู้เสียภาษีหรือนำส่งภาษีในท้องที่ที่เกิดอุทกภัย วันศุกร์ที่ 20 กันยายน 2562 กรมสรรพากรขยายกําหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีอากรให้แก่ผู้เสียภาษีหรือนําส่งภาษีในท้องที่ที่เกิดอุทกภัย ตามที่ได้เกิดภัยพิบัติจากพายุโซนร้อนโพดุลและพายุโซนร้อนคาจิกิในหลายจังหวัดของประเทศไทย ส่งผลทําให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือนําส่งภาษีในหลายท้องที่ไม่สามารถประกอบกิจการ และยื่นรายการและชําระภาษีอากรหรือนําส่งภาษีภายในเวลาที่กําหนด ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเห ตามที่ได้เกิดภัยพิบัติจากพายุโซนร้อนโพดุลและพายุโซนร้อนคาจิกิในหลายจังหวัดของประเทศไทย ส่งผลทําให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือนําส่งภาษีในหลายท้องที่ไม่สามารถประกอบกิจการ และยื่นรายการและชําระภาษีอากรหรือนําส่งภาษีภายในเวลาที่กําหนด ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือให้ผู้ที่ประสบภัยพิบัติดังกล่าว ไม่ต้องเสียเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และค่าปรับอาญา กรมสรรพากรจึงได้ขยายกําหนดเวลาการยื่นแบบฯ และชําระภาษี หรือนําส่งภาษีให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือนําส่งภาษีในท้องที่จังหวัดสระแก้ว อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก พิจิตร สุโขทัย แม่ฮ่องสอน ลําปาง น่าน เชียงใหม่ แพร่ อุบลราชธานี อํานาจเจริญ ยโสธร ชัยภูมิ ศรีสะเกษ สุรินทร์ ขอนแก่น นครพนม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มุกดาหาร สกลนคร มหาสารคาม อุดรธานี ระนอง โดยขยายกําหนดเวลา ดังนี้ 1. ขยายกําหนดเวลาการยื่นรายการและนําส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามแบบ ภ.ง.ด.1 ภ.ง.ด.2 ภ.ง.ด.3 ภ.ง.ด.53 และ ภ.ง.ด.54 กรณีที่จะต้องยื่นรายการและนําส่งภาษีสําหรับเดือนภาษีสิงหาคม 2562 ที่ต้องยื่นรายการและนําส่งภาษีภายในวันที่ 7 กันยายน 2562 ออกไปเป็นภายในวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ.2562 2. ขยายกําหนดเวลาการยื่นรายการและชําระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามแบบ ภ.ง.ด.94 กรณีที่ต้องยื่นรายการและชําระภาษีภายในเดือนกันยายน 2562 ออกไปเป็นภายในวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ.2562 3. ขยายกําหนดเวลาการยื่นรายการและชําระภาษีสําหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามแบบ ภ.ง.ด.50 ภ.ง.ด.51 ภ.ง.ด.52 และ ภ.ง.ด.53 กรณีที่ต้องยื่นรายการและชําระภาษีตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ.2562 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2562 ออกไปเป็นภายในวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ.2562 4. ขยายกําหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามแบบ ภ.พ.30 และ ภ.พ.36 และภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามแบบ ภธ.40 ไม่รวมถึงการยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีธุรกิจเฉพาะ สําหรับการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากําไร ไม่ว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นจะได้มาโดยวิธีใดก็ตาม สําหรับเดือนสิงหาคม 2562 ที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภายในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2562 ออกไปเป็นภายในวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ.2562 5. ขยายกําหนดเวลาการขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน ตามแบบ อ.ส.4 อ.ส.4ก และ อ.ส.4ข กรณีที่ต้องเสียอากรตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ.2562 ถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2562 ออกไปเป็นภายในวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ.2562 หากมีข้อสงสัยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องขยายกําหนดเวลาการยื่นรายการและชําระภาษีอากรฯ ในท้องที่ที่เกิดภัยพิบัติ (ฉบับที่2) ประกาศ ณ วันที่ 13 กันยายน พ.ศ.2562 หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ และศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร. 1161
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23261
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดยิ่งใหญ่ “Bangkok RHVAC 2017 และ Bangkok E&E 2017 โชว์ศักยภาพฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศ-เครื่องใช้ไฟฟ้าระดับเวิลด์คลาส
วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน 2560 เปิดยิ่งใหญ่ “Bangkok RHVAC 2017 และ Bangkok E&E 2017 โชว์ศักยภาพฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศ-เครื่องใช้ไฟฟ้าระดับเวิลด์คลาส ผู้ประกอบการไทย-เทศ จัดเต็มโชว์นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม ในงานแสดงสินค้าเครื่องปรับอากาศ และเครื่องทําความเย็น (Bangkok RHVAC 2017) และงานแสดงสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (Bangkok E&E 2017) วันนี้ถึง 10 กันยายนนี้ ณ ฮอลล์ 98-100 ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ และเครื่องทําความเย็น และกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และโทรคมนาคม สภาอุตสาหกรรมแห่ง ประเทศไทย และหน่วยงานพันธมิตร จัดพิธีเปิดงานสุดยอดมหกรรมแสดงสินค้า “Bangkok RHVAC 2017 และ Bangkok E&E 2017” เพื่อแสดงศักยภาพ มาตรฐานของสินค้าไทย พร้อมส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ เครื่องทําความเย็นและเครื่องใช้ไฟฟ้าของภูมิภาคและของโลก โดยพิธีเปิดงาน จัดขึ้นวันนี้ (7 กันยายน 2560) โดยได้รับเกียรติจากปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ เป็นประธาน พร้อมด้วยนางมาลี โชคล้ําเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และผู้บริหารจากหน่วยงานผู้ร่วมจัดงาน อาทิ นายอรุณ เอี่ยมสุรีย์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทําความเย็น นายวิษณุ ลิ่มวิบูลย์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม และนายมงคล พฤกษ์วัฒนา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยระหว่างพิธีเปิดงานว่า “อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ เครื่องทําความเย็นและอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสําคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการส่งออกของประเทศ นอกจากนี้ยังสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่แรงงานในภาคส่วนอีกด้วยประเทศไทยได้รับการยอมรับในฐานะฐานการผลิตระดับโลกของทั้งสองอุตสาหกรรม ปัจจุบัน ไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออก Hard Disk Drive อันดับ 1 ของโลก เป็นฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศเพื่อการส่งออก อันดับ 2 ของโลก และรั้งอันดับ 4 ของโลกในฐานะผู้ผลิตและส่งออกตู้เย็น และด้วยความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมรวมถึงแรงงานที่มีฝีมือ ทําให้สินค้าเครื่องปรับอากาศ เครื่องทําความเย็น รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ได้รับการยอมรับจากผู้ซื้อและนักลงทุนต่างชาติ” ในปี 2559 ไทยส่งออกสินค้าเครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วนสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สร้างรายได้จากการส่งออก สูงเป็นมูลค่าถึง 5.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2 ล้านล้านบาท คิดเป็นประมาณหนึ่งในสี่ของมูลค่าการส่งออกรวมของทั้งประเทศ ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกในช่วง 6.เดือนแรกของปีนี้เติบโตกว่า.11.3%.สอดรับกับศักยภาพและการพัฒนาของอุตสาหกรรม “Bangkok RHVAC และ Bangkok E&E จัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหน่วยงานพันธมิตรต่างๆ ซึ่งจะช่วยตอกย้ําศักยภาพความเป็นผู้นําของไทยในการเป็นศูนย์กลางการผลิตระดับโลก และพัฒนาประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางงานแสดงสินค้าเครื่องปรับอากาศทําความเย็น เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบที่ครบวงจรที่สุดของเอเชีย นอกจากนี้ ยังเป็นเวทีการค้านานาชาติที่เปิดโอกาสให้ผู้ซื้อและผู้นําเข้า ได้พบปะและเจรจาการค้าโดยตรงกับผู้ส่งออกและผู้ผลิตชั้นนําจากไทยและนานาชาติรวมทั้งสิ้น 332 บริษัท รวม 953 คูหา และเลือกซื้อสินค้าที่ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ ทุกประเภทสินค้าตลอดซัพพลายเชน ตามเป้าหมายที่กรมฯ ตั้งเป้าให้งานแสดงสินค้าทั้ง 2 งานเป็น ‘One Stop Solution’ ที่สมบูรณ์แบบ ให้แก่ผู้ซื้อจากทั่วโลก ที่คาดว่าจะหลั่งไหลเข้าชมงาน กว่า 10,000 ราย โดยคาดว่า จะสร้างมูลค่าซื้อขายทันทีภายในงาน กว่า 2.4 พันล้านบาท” ปลัดกระทรวงพาณิชย์กล่าว Bangkok RHVAC 2017 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด Eco Innovation for a Sustainable Future นําเสนอสินค้าที่โดดเด่นด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีประหยัดพลังงานแบบครบวงจร อาทิ เครื่องปรับอากาศ เครื่องทําความเย็น เครื่องระบายอากาศและเครื่องทําความร้อน เครื่องมือและอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องในอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังมีการสัมมนาและการบรรยายเพื่อให้ความรู้แก่ผู้อยู่ในอุตสาหกรรมมากมาย อาทิ หัวข้อ“การออกแบบระบบปรับอากาศเพื่อคุณภาพอากาศและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ สําหรับโบราณสถานศาลาเครื่องราชอิสริยยศฯ พระบรมมหาราชวัง”, “การใช้งานพัดลมหมุนเวียนเพื่อความสุขสบายเชิงความร้อนและประสิทธิภาพพลังงานภายในอาคาร”, “แนวโน้มสารทําความเย็นสําหรับเครื่องทําความเย็นในอนาคต”, “การลดและเลิกใช้สาร HFCs และเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน”, “หยุดการบาดเจ็บและตายของช่างแอร์ O2 นักบุญหรือซาตาน” และหัวข้อ“ความปลอดภัยในการใช้ก๊าซอุตสาหกรรมความดันสูง” ขณะที่งาน Bangkok E&E 2017 จัดขึ้นในแนวคิด “Smart Innovation for an Ultimate Lifestyle” โดยให้ความสําคัญกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ในยุคดิจิทัล 4.0 ตั้งแต่อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนไปจนถึงเครื่องมือและอุปกรณ์สําหรับภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ พร้อมกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ที่น่าสนใจ ได้แก่ การเสวนาในหัวข้อ “พลิกแนวคิดสู่ธุรกิจ 4.0”การสัมมนา ในหัวข้อ “Low Cost Automation” และหัวข้อ “Skill Matrix เพื่อพัฒนาศักยภาพการทํางาน” นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมไฮไลท์อาทิ กิจกรรมวันโอโซนสากล 2560 เพื่อฉลองโอกาสครบรอบ 30 ปี พิธีสารมอนทรีออล จัดโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์อันดีของไทยในฐานะผู้ผลิตรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยการลด-เลิกใช้สารทําลายชั้นบรรยากาศโอโซนในกระบวนการผลิต นิทรรศการ Thailand Innovation 4.0 จัดแสดงสินค้านวัตกรรมของไทย เป็นต้น Bangkok RHVAC 2017 และ Bangkok E&E 2017 จะจัดถึงวันที่ 10 กันยายนนี้ ณ อาคาร 98-100 (ฮอลล์ใหม่) ไบเทค บางนา โดยเปิดเจรจาธุรกิจ ระหว่างวันที่ 7-9 กันยายน 2560 เวลา 10.00-18.00 น. และเปิดจําหน่ายปลีก ในวันที่ 10 กันยายน 2560 เวลา 10.00-18.00 น. ซึ่งจะมีการจําหน่ายสินค้าราคาพิเศษ รวมทั้งการจับรางวัลชิงโชครับเครื่องปรับอากาศฟรีจํานวน 24 เครื่องอีกด้วย ชมข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ www.bangkok-rhvac.com และ www.bangkok-electricfair.com หรือโทรสายตรงการค้าระหว่างประเทศ 1169 **********
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดยิ่งใหญ่ “Bangkok RHVAC 2017 และ Bangkok E&E 2017 โชว์ศักยภาพฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศ-เครื่องใช้ไฟฟ้าระดับเวิลด์คลาส วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน 2560 เปิดยิ่งใหญ่ “Bangkok RHVAC 2017 และ Bangkok E&E 2017 โชว์ศักยภาพฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศ-เครื่องใช้ไฟฟ้าระดับเวิลด์คลาส ผู้ประกอบการไทย-เทศ จัดเต็มโชว์นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม ในงานแสดงสินค้าเครื่องปรับอากาศ และเครื่องทําความเย็น (Bangkok RHVAC 2017) และงานแสดงสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (Bangkok E&E 2017) วันนี้ถึง 10 กันยายนนี้ ณ ฮอลล์ 98-100 ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ และเครื่องทําความเย็น และกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และโทรคมนาคม สภาอุตสาหกรรมแห่ง ประเทศไทย และหน่วยงานพันธมิตร จัดพิธีเปิดงานสุดยอดมหกรรมแสดงสินค้า “Bangkok RHVAC 2017 และ Bangkok E&E 2017” เพื่อแสดงศักยภาพ มาตรฐานของสินค้าไทย พร้อมส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ เครื่องทําความเย็นและเครื่องใช้ไฟฟ้าของภูมิภาคและของโลก โดยพิธีเปิดงาน จัดขึ้นวันนี้ (7 กันยายน 2560) โดยได้รับเกียรติจากปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ เป็นประธาน พร้อมด้วยนางมาลี โชคล้ําเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และผู้บริหารจากหน่วยงานผู้ร่วมจัดงาน อาทิ นายอรุณ เอี่ยมสุรีย์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทําความเย็น นายวิษณุ ลิ่มวิบูลย์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม และนายมงคล พฤกษ์วัฒนา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยระหว่างพิธีเปิดงานว่า “อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ เครื่องทําความเย็นและอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสําคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการส่งออกของประเทศ นอกจากนี้ยังสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่แรงงานในภาคส่วนอีกด้วยประเทศไทยได้รับการยอมรับในฐานะฐานการผลิตระดับโลกของทั้งสองอุตสาหกรรม ปัจจุบัน ไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออก Hard Disk Drive อันดับ 1 ของโลก เป็นฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศเพื่อการส่งออก อันดับ 2 ของโลก และรั้งอันดับ 4 ของโลกในฐานะผู้ผลิตและส่งออกตู้เย็น และด้วยความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมรวมถึงแรงงานที่มีฝีมือ ทําให้สินค้าเครื่องปรับอากาศ เครื่องทําความเย็น รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ได้รับการยอมรับจากผู้ซื้อและนักลงทุนต่างชาติ” ในปี 2559 ไทยส่งออกสินค้าเครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วนสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สร้างรายได้จากการส่งออก สูงเป็นมูลค่าถึง 5.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2 ล้านล้านบาท คิดเป็นประมาณหนึ่งในสี่ของมูลค่าการส่งออกรวมของทั้งประเทศ ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกในช่วง 6.เดือนแรกของปีนี้เติบโตกว่า.11.3%.สอดรับกับศักยภาพและการพัฒนาของอุตสาหกรรม “Bangkok RHVAC และ Bangkok E&E จัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหน่วยงานพันธมิตรต่างๆ ซึ่งจะช่วยตอกย้ําศักยภาพความเป็นผู้นําของไทยในการเป็นศูนย์กลางการผลิตระดับโลก และพัฒนาประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางงานแสดงสินค้าเครื่องปรับอากาศทําความเย็น เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบที่ครบวงจรที่สุดของเอเชีย นอกจากนี้ ยังเป็นเวทีการค้านานาชาติที่เปิดโอกาสให้ผู้ซื้อและผู้นําเข้า ได้พบปะและเจรจาการค้าโดยตรงกับผู้ส่งออกและผู้ผลิตชั้นนําจากไทยและนานาชาติรวมทั้งสิ้น 332 บริษัท รวม 953 คูหา และเลือกซื้อสินค้าที่ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ ทุกประเภทสินค้าตลอดซัพพลายเชน ตามเป้าหมายที่กรมฯ ตั้งเป้าให้งานแสดงสินค้าทั้ง 2 งานเป็น ‘One Stop Solution’ ที่สมบูรณ์แบบ ให้แก่ผู้ซื้อจากทั่วโลก ที่คาดว่าจะหลั่งไหลเข้าชมงาน กว่า 10,000 ราย โดยคาดว่า จะสร้างมูลค่าซื้อขายทันทีภายในงาน กว่า 2.4 พันล้านบาท” ปลัดกระทรวงพาณิชย์กล่าว Bangkok RHVAC 2017 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด Eco Innovation for a Sustainable Future นําเสนอสินค้าที่โดดเด่นด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีประหยัดพลังงานแบบครบวงจร อาทิ เครื่องปรับอากาศ เครื่องทําความเย็น เครื่องระบายอากาศและเครื่องทําความร้อน เครื่องมือและอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องในอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังมีการสัมมนาและการบรรยายเพื่อให้ความรู้แก่ผู้อยู่ในอุตสาหกรรมมากมาย อาทิ หัวข้อ“การออกแบบระบบปรับอากาศเพื่อคุณภาพอากาศและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ สําหรับโบราณสถานศาลาเครื่องราชอิสริยยศฯ พระบรมมหาราชวัง”, “การใช้งานพัดลมหมุนเวียนเพื่อความสุขสบายเชิงความร้อนและประสิทธิภาพพลังงานภายในอาคาร”, “แนวโน้มสารทําความเย็นสําหรับเครื่องทําความเย็นในอนาคต”, “การลดและเลิกใช้สาร HFCs และเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน”, “หยุดการบาดเจ็บและตายของช่างแอร์ O2 นักบุญหรือซาตาน” และหัวข้อ“ความปลอดภัยในการใช้ก๊าซอุตสาหกรรมความดันสูง” ขณะที่งาน Bangkok E&E 2017 จัดขึ้นในแนวคิด “Smart Innovation for an Ultimate Lifestyle” โดยให้ความสําคัญกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ในยุคดิจิทัล 4.0 ตั้งแต่อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนไปจนถึงเครื่องมือและอุปกรณ์สําหรับภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ พร้อมกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ที่น่าสนใจ ได้แก่ การเสวนาในหัวข้อ “พลิกแนวคิดสู่ธุรกิจ 4.0”การสัมมนา ในหัวข้อ “Low Cost Automation” และหัวข้อ “Skill Matrix เพื่อพัฒนาศักยภาพการทํางาน” นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมไฮไลท์อาทิ กิจกรรมวันโอโซนสากล 2560 เพื่อฉลองโอกาสครบรอบ 30 ปี พิธีสารมอนทรีออล จัดโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์อันดีของไทยในฐานะผู้ผลิตรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยการลด-เลิกใช้สารทําลายชั้นบรรยากาศโอโซนในกระบวนการผลิต นิทรรศการ Thailand Innovation 4.0 จัดแสดงสินค้านวัตกรรมของไทย เป็นต้น Bangkok RHVAC 2017 และ Bangkok E&E 2017 จะจัดถึงวันที่ 10 กันยายนนี้ ณ อาคาร 98-100 (ฮอลล์ใหม่) ไบเทค บางนา โดยเปิดเจรจาธุรกิจ ระหว่างวันที่ 7-9 กันยายน 2560 เวลา 10.00-18.00 น. และเปิดจําหน่ายปลีก ในวันที่ 10 กันยายน 2560 เวลา 10.00-18.00 น. ซึ่งจะมีการจําหน่ายสินค้าราคาพิเศษ รวมทั้งการจับรางวัลชิงโชครับเครื่องปรับอากาศฟรีจํานวน 24 เครื่องอีกด้วย ชมข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ www.bangkok-rhvac.com และ www.bangkok-electricfair.com หรือโทรสายตรงการค้าระหว่างประเทศ 1169 **********
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6518
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. คุมเข้มมาตรการรักษาความปลอดภัยหลังพบวัตถุระเบิดไปป์บอมบ์ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560 รฟม. คุมเข้มมาตรการรักษาความปลอดภัยหลังพบวัตถุระเบิดไปป์บอมบ์ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม เพิ่มความเข้มงวดมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในสถานีและขบวนรถไฟฟ้า รวมถึงอาคารและลานจอดรถทุกแห่ง พร้อมทั้งจัดเตรียมกําลังหน่วยทําลายวัตถุระเบิด (EOD) และสุนัข K-9 ตรวจตราและเตรียมพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง หลังเกิดเหตุพบวัตถุระเบิดไปป์บอมบ์ใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย นายธีรพันธ์ เตชะศิรินุกูล รองผู้ว่าการ (กลยุทธ์และแผน) รักษาการแทน ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า รฟม. ได้ตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า MRT สายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ําเงิน) และสายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2560 มีผู้พบวัตถุระเบิดไปป์บอมบ์ บริเวณใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก เขตห้วยขวาง นั้น รฟม. มิได้นิ่งนอนใจ พร้อมกําชับให้ส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จํากัด (มหาชน) ผู้ให้บริการเดินรถไฟฟ้า MRT สายเฉลิมรัชมงคล และสายฉลองรัชธรรม และหน่วยงานด้านความปลอดภัยของ รฟม. ดําเนินการเฝ้าระวังสถานการณ์และเพิ่มความเข้มงวดของมาตรการรักษาความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ทั้งภายในสถานีรถไฟฟ้า ขบวนรถไฟฟ้า บริเวณพื้นที่รอบสถานีรถไฟฟ้า อาคารและลานจอดรถ รวมถึงศูนย์ซ่อมบํารุงรถไฟฟ้าทั้ง 2 แห่ง ดังนี้ 1. จัดวางกําลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. เพื่อป้องกันเหตุ โดยร่วมกับเจ้าหน้าที่ตํารวจท้องที่ 2. เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสัมภาระผู้โดยสาร ทั้งผู้โดยสารที่เข้าใช้บริการภายในสถานีรถไฟฟ้า และรถยนต์ที่เข้าใช้อาคารและลานจอดรถทุกแห่ง รวมถึงการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจภายในท้ายกระโปรงรถยนต์ที่เข้าใช้บริการอาคารและลานจอดรถทุกแห่ง 3. เสริมกําลังเจ้าหน้าที่รักษาเขตทางเพื่อการรุกล้ําพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง 4. จัดกําลังหน่วยทําลายวัตถุระเบิด (EOD) และสุนัข K-9 ของ รฟม. ตรวจตราและเตรียมความพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง 5. เตรียมกําลังหน่วยกู้ภัยพร้อมอุปกรณ์ในที่ตั้งตลอด 24 ชั่วโมง 6. ตรวจตราและเฝ้าระวังสถานการณ์ด้วยระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ภายในสถานีรถไฟฟ้าและบริเวณโดยรอบสถานีรถไฟฟ้าทั้ง 2 แห่ง ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ รฟม. ได้เน้นย้ําให้มีการตรวจตรารอบสถานีด้านนอก รวมทั้งอาคารและลานจอดรถทุกแห่งเพิ่มเติม โดยขอความร่วมมือไปยังผู้ขับขี่มอเตอร์ไซด์รับจ้างและร้านค้าใกล้เคียงกับสถานีรถไฟฟ้า ช่วยสอดส่องดูแล และสังเกตบุคคล รวมทั้งสิ่งของต้องสงสัย หากพบเห็นเหตุการณ์ผิดปกติ สิ่งของต้องสงสัย หรือบุคคลที่มีพฤติกรรมผิดปกติ ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหรือเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานที่อยู่ในบริเวณนั้นทันที หรือโทรแจ้งศูนย์รับแจ้งเหตุ รฟม. โทร. 0 2938 3666 ตลอด 24 ชั่วโมง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. คุมเข้มมาตรการรักษาความปลอดภัยหลังพบวัตถุระเบิดไปป์บอมบ์ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560 รฟม. คุมเข้มมาตรการรักษาความปลอดภัยหลังพบวัตถุระเบิดไปป์บอมบ์ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม เพิ่มความเข้มงวดมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในสถานีและขบวนรถไฟฟ้า รวมถึงอาคารและลานจอดรถทุกแห่ง พร้อมทั้งจัดเตรียมกําลังหน่วยทําลายวัตถุระเบิด (EOD) และสุนัข K-9 ตรวจตราและเตรียมพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง หลังเกิดเหตุพบวัตถุระเบิดไปป์บอมบ์ใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย นายธีรพันธ์ เตชะศิรินุกูล รองผู้ว่าการ (กลยุทธ์และแผน) รักษาการแทน ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า รฟม. ได้ตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า MRT สายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ําเงิน) และสายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2560 มีผู้พบวัตถุระเบิดไปป์บอมบ์ บริเวณใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก เขตห้วยขวาง นั้น รฟม. มิได้นิ่งนอนใจ พร้อมกําชับให้ส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จํากัด (มหาชน) ผู้ให้บริการเดินรถไฟฟ้า MRT สายเฉลิมรัชมงคล และสายฉลองรัชธรรม และหน่วยงานด้านความปลอดภัยของ รฟม. ดําเนินการเฝ้าระวังสถานการณ์และเพิ่มความเข้มงวดของมาตรการรักษาความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ทั้งภายในสถานีรถไฟฟ้า ขบวนรถไฟฟ้า บริเวณพื้นที่รอบสถานีรถไฟฟ้า อาคารและลานจอดรถ รวมถึงศูนย์ซ่อมบํารุงรถไฟฟ้าทั้ง 2 แห่ง ดังนี้ 1. จัดวางกําลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. เพื่อป้องกันเหตุ โดยร่วมกับเจ้าหน้าที่ตํารวจท้องที่ 2. เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสัมภาระผู้โดยสาร ทั้งผู้โดยสารที่เข้าใช้บริการภายในสถานีรถไฟฟ้า และรถยนต์ที่เข้าใช้อาคารและลานจอดรถทุกแห่ง รวมถึงการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจภายในท้ายกระโปรงรถยนต์ที่เข้าใช้บริการอาคารและลานจอดรถทุกแห่ง 3. เสริมกําลังเจ้าหน้าที่รักษาเขตทางเพื่อการรุกล้ําพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง 4. จัดกําลังหน่วยทําลายวัตถุระเบิด (EOD) และสุนัข K-9 ของ รฟม. ตรวจตราและเตรียมความพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง 5. เตรียมกําลังหน่วยกู้ภัยพร้อมอุปกรณ์ในที่ตั้งตลอด 24 ชั่วโมง 6. ตรวจตราและเฝ้าระวังสถานการณ์ด้วยระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ภายในสถานีรถไฟฟ้าและบริเวณโดยรอบสถานีรถไฟฟ้าทั้ง 2 แห่ง ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ รฟม. ได้เน้นย้ําให้มีการตรวจตรารอบสถานีด้านนอก รวมทั้งอาคารและลานจอดรถทุกแห่งเพิ่มเติม โดยขอความร่วมมือไปยังผู้ขับขี่มอเตอร์ไซด์รับจ้างและร้านค้าใกล้เคียงกับสถานีรถไฟฟ้า ช่วยสอดส่องดูแล และสังเกตบุคคล รวมทั้งสิ่งของต้องสงสัย หากพบเห็นเหตุการณ์ผิดปกติ สิ่งของต้องสงสัย หรือบุคคลที่มีพฤติกรรมผิดปกติ ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหรือเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานที่อยู่ในบริเวณนั้นทันที หรือโทรแจ้งศูนย์รับแจ้งเหตุ รฟม. โทร. 0 2938 3666 ตลอด 24 ชั่วโมง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4336
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋”กำชับ สนร.จัดคอร์สอบรมคุ้มครองแรงงานไทยในต่างแดน
วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561 “บิ๊กอู๋”กําชับ สนร.จัดคอร์สอบรมคุ้มครองแรงงานไทยในต่างแดน รมว.แรงงาน กําชับ สํานักงานแรงงานในต่างประเทศทุกแห่ง อบรมให้ความรู้กฎระเบียบและกฎหมายการจ้างแรงงานต่างชาติแก่ล่าม อาสาสมัครแรงงาน และบริษัทจัดหางาน ช่วยเหลือแรงงานไทยให้ได้รับข้อมูลข่าวสาร มีช่องทางร้องทุกข์ร้องเรียนกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน พร้อมย้ํา รมว.แรงงาน กําชับ สํานักงานแรงงานในต่างประเทศทุกแห่ง อบรมให้ความรู้กฎระเบียบและกฎหมายการจ้างแรงงานต่างชาติแก่ล่าม อาสาสมัครแรงงาน และบริษัทจัดหางาน ช่วยเหลือแรงงานไทยให้ได้รับข้อมูลข่าวสาร มีช่องทางร้องทุกข์ร้องเรียนกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน พร้อมย้ํา แรงงานไทยที่จะไปทํางานต่างประเทศให้ศึกษาขั้นตอนการเดินทางที่ถูกต้องเพื่อได้รับความคุ้มครองสิทธิจากทางการ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มีข้อสั่งการให้สํานักงานแรงงาน ในต่างประเทศทุกแห่งจัดอบรมหลักสูตรให้ความรู้เรื่องกฎระเบียบและกฎหมายการจ้างแรงงานต่างชาติแก่ล่ามและอาสาสมัครแรงงาน รวมทั้งบริษัทจัดหางาน เพื่อสามารถให้คําปรึกษาแนะนําที่เป็นประโยชน์แก่แรงงานไทยที่ไปทํางานในต่างประเทศให้ได้รับข้อมูลข่าวสาร มีช่องทางการติดต่อร้องทุกข์ร้องเรียน ได้รับความช่วยเหลือและคุ้มครองจากทางการกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งยังเป็นการส่งเสริมและขยายตลาดแรงงานไทยในต่างประเทศ โดยสํานักงานแรงงาน ณ กรุงมะนิลา (ส่วนที่ 2) ไทเป ได้จัดโครงการอบรมล่ามและอาสาสมัครแรงงานประจําปี 2561 เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2561 มีล่ามที่เข้ารับการอบรมจํานวน 34 คน และจัดโครงการประชุมบริษัทจัดหางานเพื่อขยายตลาดและคุ้มครองแรงงานไทยประจําปี 2561 (เขตภาคกลาง ณ ไทจง)มีผู้แทนบริษัทจัดหางานเข้าร่วม 39 คน เป็นบริษัทจัดหางานไต้หวัน 30 คน และบริษัทจัดหางานไทย 9 คน พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวต่อว่า จากข้อมูลของสํานักงานแรงงาน ณ กรุงมะนิลา (ส่วนที่ 2) ไทเป พบว่าปัจจุบันมีแรงงานไทยในไต้หวันจํานวน 61,301 คน จําแนกตามประเภทกิจการ อุตสาหกรรมการผลิต 58,411 คน ก่อสร้าง 2,363 คน ผู้อนุบาล/ผู้ช่วยงานบ้าน 501 คน การเกษตร/การประมง ซึ่งมิใช่ลูกเรือประมง 26 คนโดยเป็นแรงงานไทยที่ สนร.ไทเปได้รับรองเอกสารการจ้างงาน จํานวน 18,142 คน ประกอบด้วย ผ่านบริษัทจัดหางาน 17,911 คน จัดส่งโดยรัฐ จํานวน 161 คน แรงงานเดินเรื่องเอง/นายจ้างยื่นโดยตรง จํานวน 37 คน เปลี่ยนนายจ้างใหม่ในไต้หวัน 43 คน ซึ่งสาขาอุตสาหกรรมที่ขอนําเข้ามากที่สุด คือภาคอุตสาหกรรมการผลิต จํานวน 17,468 คน รองลงมาคือ ภาคก่อสร้าง จํานวน 603 คน ภาคครัวเรือน (ผู้ช่วยงานบ้าน/ผู้อนุบาล) จํานวน 59 คน และภาคเกษตร/ประมงที่มิใช่ลูกเรือประมง ล่าม จํานวน 3 คน และอื่น ๆ 9 คน ตามลําดับทั้งนี้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 จนถึงเดือนกรกฎาคม 2561 มีแรงงานไทยในไต้หวันส่งเงินเป็นรายได้กลับประเทศเป็นเงินกว่า 5,600 ล้านบาท พล.ต.อ.อดุลย์ฯ ยังได้เน้นย้ําถึงแรงงานไทยที่จะไปทํางานในต่างประเทศ ขอให้ศึกษาขั้นตอนการเดินทางไปทํางานต่างประเทศที่ถูกต้อง เพื่อป้องการถูกหลอกลวง และให้ได้รับค่าจ้างและสวัสดิการตามกฎหมาย โดยผู้ที่สนใจจะไปทํางานต่างประเทศสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานจัดหางานทุกจังหวัด หรือโทร 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ---------------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/ สนร.ไทเป ข้อมูล -ภาพ/ 28 สิงหาคม 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋”กำชับ สนร.จัดคอร์สอบรมคุ้มครองแรงงานไทยในต่างแดน วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561 “บิ๊กอู๋”กําชับ สนร.จัดคอร์สอบรมคุ้มครองแรงงานไทยในต่างแดน รมว.แรงงาน กําชับ สํานักงานแรงงานในต่างประเทศทุกแห่ง อบรมให้ความรู้กฎระเบียบและกฎหมายการจ้างแรงงานต่างชาติแก่ล่าม อาสาสมัครแรงงาน และบริษัทจัดหางาน ช่วยเหลือแรงงานไทยให้ได้รับข้อมูลข่าวสาร มีช่องทางร้องทุกข์ร้องเรียนกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน พร้อมย้ํา รมว.แรงงาน กําชับ สํานักงานแรงงานในต่างประเทศทุกแห่ง อบรมให้ความรู้กฎระเบียบและกฎหมายการจ้างแรงงานต่างชาติแก่ล่าม อาสาสมัครแรงงาน และบริษัทจัดหางาน ช่วยเหลือแรงงานไทยให้ได้รับข้อมูลข่าวสาร มีช่องทางร้องทุกข์ร้องเรียนกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน พร้อมย้ํา แรงงานไทยที่จะไปทํางานต่างประเทศให้ศึกษาขั้นตอนการเดินทางที่ถูกต้องเพื่อได้รับความคุ้มครองสิทธิจากทางการ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มีข้อสั่งการให้สํานักงานแรงงาน ในต่างประเทศทุกแห่งจัดอบรมหลักสูตรให้ความรู้เรื่องกฎระเบียบและกฎหมายการจ้างแรงงานต่างชาติแก่ล่ามและอาสาสมัครแรงงาน รวมทั้งบริษัทจัดหางาน เพื่อสามารถให้คําปรึกษาแนะนําที่เป็นประโยชน์แก่แรงงานไทยที่ไปทํางานในต่างประเทศให้ได้รับข้อมูลข่าวสาร มีช่องทางการติดต่อร้องทุกข์ร้องเรียน ได้รับความช่วยเหลือและคุ้มครองจากทางการกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งยังเป็นการส่งเสริมและขยายตลาดแรงงานไทยในต่างประเทศ โดยสํานักงานแรงงาน ณ กรุงมะนิลา (ส่วนที่ 2) ไทเป ได้จัดโครงการอบรมล่ามและอาสาสมัครแรงงานประจําปี 2561 เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2561 มีล่ามที่เข้ารับการอบรมจํานวน 34 คน และจัดโครงการประชุมบริษัทจัดหางานเพื่อขยายตลาดและคุ้มครองแรงงานไทยประจําปี 2561 (เขตภาคกลาง ณ ไทจง)มีผู้แทนบริษัทจัดหางานเข้าร่วม 39 คน เป็นบริษัทจัดหางานไต้หวัน 30 คน และบริษัทจัดหางานไทย 9 คน พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวต่อว่า จากข้อมูลของสํานักงานแรงงาน ณ กรุงมะนิลา (ส่วนที่ 2) ไทเป พบว่าปัจจุบันมีแรงงานไทยในไต้หวันจํานวน 61,301 คน จําแนกตามประเภทกิจการ อุตสาหกรรมการผลิต 58,411 คน ก่อสร้าง 2,363 คน ผู้อนุบาล/ผู้ช่วยงานบ้าน 501 คน การเกษตร/การประมง ซึ่งมิใช่ลูกเรือประมง 26 คนโดยเป็นแรงงานไทยที่ สนร.ไทเปได้รับรองเอกสารการจ้างงาน จํานวน 18,142 คน ประกอบด้วย ผ่านบริษัทจัดหางาน 17,911 คน จัดส่งโดยรัฐ จํานวน 161 คน แรงงานเดินเรื่องเอง/นายจ้างยื่นโดยตรง จํานวน 37 คน เปลี่ยนนายจ้างใหม่ในไต้หวัน 43 คน ซึ่งสาขาอุตสาหกรรมที่ขอนําเข้ามากที่สุด คือภาคอุตสาหกรรมการผลิต จํานวน 17,468 คน รองลงมาคือ ภาคก่อสร้าง จํานวน 603 คน ภาคครัวเรือน (ผู้ช่วยงานบ้าน/ผู้อนุบาล) จํานวน 59 คน และภาคเกษตร/ประมงที่มิใช่ลูกเรือประมง ล่าม จํานวน 3 คน และอื่น ๆ 9 คน ตามลําดับทั้งนี้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 จนถึงเดือนกรกฎาคม 2561 มีแรงงานไทยในไต้หวันส่งเงินเป็นรายได้กลับประเทศเป็นเงินกว่า 5,600 ล้านบาท พล.ต.อ.อดุลย์ฯ ยังได้เน้นย้ําถึงแรงงานไทยที่จะไปทํางานในต่างประเทศ ขอให้ศึกษาขั้นตอนการเดินทางไปทํางานต่างประเทศที่ถูกต้อง เพื่อป้องการถูกหลอกลวง และให้ได้รับค่าจ้างและสวัสดิการตามกฎหมาย โดยผู้ที่สนใจจะไปทํางานต่างประเทศสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานจัดหางานทุกจังหวัด หรือโทร 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ---------------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/ สนร.ไทเป ข้อมูล -ภาพ/ 28 สิงหาคม 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14967
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ ปลัดกระทรวงกลาโหม ห่วงใยกำลังลังพล จัดชุดปฏิบัติการเข้าฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อนอกเวลาปฏิบัติงาน
วันจันทร์ที่ 20 เมษายน 2563 ​ ปลัดกระทรวงกลาโหม ห่วงใยกําลังลังพล จัดชุดปฏิบัติการเข้าฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อนอกเวลาปฏิบัติงาน แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จะมีแนวโน้มลดลงเป็นลําดับ แต่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหมก็ยังคงให้ความสําคัญและตระหนักถึงความปลอดภัยของกําลังพลอย่างสม่ําเสมอ โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (17 เม.ย.63) สํานักงานสนับสนุนสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และสํานักโยธาธิการกลาโหม ได้จัดเจ้าหน้าที่เข้าปฏิบัติการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อโรค บริเวณห้องผู้บังคับบัญชาระดับสูง ห้องประชุม ห้องอาหาร ห้องฟิตเนส และภายในสํานักงานของหน่วยขึ้นตรงสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดยผลการเข้าปฏิบัติการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่กระทบกับการปฏิบัติงานของกําลังพลเนื่องจากดําเนินการนอกเวลาปฏิบัติงาน สําหรับกําลังพล ก็ยังคงให้ใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โดยใกล้ชิด เพื่อให้ได้รับทราบข้อมูลและสถานการณ์การแพร่ระบาด งดหรือหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่ชุมชน พื้นที่ที่มีคนพลุกพล่าน แออัดและอากาศถ่ายเทไม่สะดวก หากมีความจําเป็นต้องเดินทางไปยังสถานที่ดังกล่าว ควรสวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมืออย่างถูกวิธีอยู่เสมอ ทําความสะอาดเครื่องใช้ พื้นผิววัสดุที่ต้องสัมผัสบ่อย ๆ รวมทั้งหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของเครื่องใช้ร่วมกับผู้อื่น หมั่นออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ ปลัดกระทรวงกลาโหม ห่วงใยกำลังลังพล จัดชุดปฏิบัติการเข้าฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อนอกเวลาปฏิบัติงาน วันจันทร์ที่ 20 เมษายน 2563 ​ ปลัดกระทรวงกลาโหม ห่วงใยกําลังลังพล จัดชุดปฏิบัติการเข้าฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อนอกเวลาปฏิบัติงาน แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จะมีแนวโน้มลดลงเป็นลําดับ แต่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหมก็ยังคงให้ความสําคัญและตระหนักถึงความปลอดภัยของกําลังพลอย่างสม่ําเสมอ โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (17 เม.ย.63) สํานักงานสนับสนุนสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และสํานักโยธาธิการกลาโหม ได้จัดเจ้าหน้าที่เข้าปฏิบัติการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อโรค บริเวณห้องผู้บังคับบัญชาระดับสูง ห้องประชุม ห้องอาหาร ห้องฟิตเนส และภายในสํานักงานของหน่วยขึ้นตรงสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดยผลการเข้าปฏิบัติการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่กระทบกับการปฏิบัติงานของกําลังพลเนื่องจากดําเนินการนอกเวลาปฏิบัติงาน สําหรับกําลังพล ก็ยังคงให้ใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โดยใกล้ชิด เพื่อให้ได้รับทราบข้อมูลและสถานการณ์การแพร่ระบาด งดหรือหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่ชุมชน พื้นที่ที่มีคนพลุกพล่าน แออัดและอากาศถ่ายเทไม่สะดวก หากมีความจําเป็นต้องเดินทางไปยังสถานที่ดังกล่าว ควรสวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมืออย่างถูกวิธีอยู่เสมอ ทําความสะอาดเครื่องใช้ พื้นผิววัสดุที่ต้องสัมผัสบ่อย ๆ รวมทั้งหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของเครื่องใช้ร่วมกับผู้อื่น หมั่นออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29365
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยผนึก ขสมก. รับชำระค่าโดยสารรถเมล์ทุกคันแบบไร้เงินสด
วันพุธที่ 2 ตุลาคม 2562 กรุงไทยผนึก ขสมก. รับชําระค่าโดยสารรถเมล์ทุกคันแบบไร้เงินสด ธนาคารกรุงไทยร่วมกับ ขสมก.เปิดให้บริการรับชําระค่าโดยสารประจําทาง แบบไร้เงินสด (ส่วนต่อขยาย) ในทุกเส้นทางเดินรถทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ด้วยบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ร่วม ขสมก. สแกน QR Code เพื่อชําระเงินผ่าน กรุงไทย NEXT หรือ Mobile Banking วันนี้ (1 ตุลาคม 2562) ธนาคารกรุงไทยร่วมกับ ขสมก.เปิดให้บริการรับชําระค่าโดยสารประจําทาง แบบไร้เงินสด (ส่วนต่อขยาย) ในทุกเส้นทางเดินรถทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ด้วยบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ร่วม ขสมก. สแกน QR Code เพื่อชําระเงินผ่าน กรุงไทย NEXT หรือ Mobile Banking รวมทั้งบัตรเดบิตหรือบัตรเครดิตของทุกธนาคาร ที่มีสัญลักษณ์ Contactless และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านเครื่อง EDC โดยมี นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน พร้อมด้วย นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) นายกิตติพัฒน์ เพียรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานธุรกิจภาครัฐ ธนาคารกรุงไทย ร่วมงาน ที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ถนนวัฒนธรรม ห้วยขวาง นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล เปิดเผยว่า ขสมก.ได้ขยายผลการดําเนินโครงการรับชําระค่าโดยสารแบบไร้เงินสดบนรถโดยสารของ ขสมก.ทุกคัน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป ผู้ใช้บริการสามารถชําระค่าโดยสาร ผ่านเครื่อง EDC ด้วยบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ (ชําระค่าโดยสารเป็นรายเที่ยว) บัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ (ไม่จํากัดจํานวนเที่ยว) บัตรนักเรียน นักศึกษาอิเล็กทรอนิกส์ บัตรเดบิต-เครดิตที่มีสัญลักษณ์ Contactless ของทุกธนาคาร และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมทั้งสแกน QR CODE เพื่อชําระค่าโดยสารผ่านกรุงไทย NEXT หรือ Mobile Banking ของทุกธนาคาร โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชนในการชําระค่าโดยสาร ผู้ใช้บริการสามารถเติมเงินในบัตรผ่าน Mobile Banking และตู้ ATM ของทุกธนาคาร เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา และตู้บุญเติม (ยกเว้นตู้บุญเติมหน้าร้านสะดวกซื้อ 7 – 11) นายกิตติพัฒน์ เพียรธรรม เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทยได้รับความไว้วางใจจาก ขสมก. ให้ดําเนินการนําระบบรับชําระเงินด้วย QR Code มาติดตั้งบนรถโดยสาร ขสมก. สาย Airport Bus ที่ให้บริการในสนามบินดอนเมือง 4 เส้นทาง สาย A1 ดอนเมือง-หมอชิต 2 และ A2 ดอนเมือง-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สาย A3 ดอนเมือง-สวนลุมพินี และสาย A4 ดอนเมือง-สนามหลวง รวมทั้งติดตั้งเครื่อง EDC เพื่อรับชําระเงินในรถบัส สาย 510 ม. ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต – อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี มีผู้สนใจใช้บริการจํานวนมาก และล่าสุด ได้ขยายการให้บริการไปยังรถโดยสาร ขสมก. ทุกเส้นทาง เดินรถ ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชน และส่งเสริมสังคมไร้เงินสด “ธนาคารได้ติดตั้งเครื่อง EDC เพื่อรับชําระเงินในรถ ขสมก. ทุกคัน เรียบร้อยแล้ว ซึ่งพนักงานเก็บค่าโดยสารสามารถตรวจสอบและยืนยันการทํารายการชําระเงินของผู้โดยสารในเครื่อง EDC ประจําตัวพนักงาน และ ขสมก. สามารถตรวจสอบการทํารายการชําระเงินของรถโดยสารแต่ละคันผ่านเว็บไซต์ ช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการบริหารจัดการเงินสด และลดต้นทุนการจัดการระบบโลจิสติกส์”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยผนึก ขสมก. รับชำระค่าโดยสารรถเมล์ทุกคันแบบไร้เงินสด วันพุธที่ 2 ตุลาคม 2562 กรุงไทยผนึก ขสมก. รับชําระค่าโดยสารรถเมล์ทุกคันแบบไร้เงินสด ธนาคารกรุงไทยร่วมกับ ขสมก.เปิดให้บริการรับชําระค่าโดยสารประจําทาง แบบไร้เงินสด (ส่วนต่อขยาย) ในทุกเส้นทางเดินรถทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ด้วยบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ร่วม ขสมก. สแกน QR Code เพื่อชําระเงินผ่าน กรุงไทย NEXT หรือ Mobile Banking วันนี้ (1 ตุลาคม 2562) ธนาคารกรุงไทยร่วมกับ ขสมก.เปิดให้บริการรับชําระค่าโดยสารประจําทาง แบบไร้เงินสด (ส่วนต่อขยาย) ในทุกเส้นทางเดินรถทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ด้วยบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ร่วม ขสมก. สแกน QR Code เพื่อชําระเงินผ่าน กรุงไทย NEXT หรือ Mobile Banking รวมทั้งบัตรเดบิตหรือบัตรเครดิตของทุกธนาคาร ที่มีสัญลักษณ์ Contactless และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านเครื่อง EDC โดยมี นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน พร้อมด้วย นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) นายกิตติพัฒน์ เพียรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานธุรกิจภาครัฐ ธนาคารกรุงไทย ร่วมงาน ที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ถนนวัฒนธรรม ห้วยขวาง นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล เปิดเผยว่า ขสมก.ได้ขยายผลการดําเนินโครงการรับชําระค่าโดยสารแบบไร้เงินสดบนรถโดยสารของ ขสมก.ทุกคัน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป ผู้ใช้บริการสามารถชําระค่าโดยสาร ผ่านเครื่อง EDC ด้วยบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ (ชําระค่าโดยสารเป็นรายเที่ยว) บัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ (ไม่จํากัดจํานวนเที่ยว) บัตรนักเรียน นักศึกษาอิเล็กทรอนิกส์ บัตรเดบิต-เครดิตที่มีสัญลักษณ์ Contactless ของทุกธนาคาร และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมทั้งสแกน QR CODE เพื่อชําระค่าโดยสารผ่านกรุงไทย NEXT หรือ Mobile Banking ของทุกธนาคาร โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชนในการชําระค่าโดยสาร ผู้ใช้บริการสามารถเติมเงินในบัตรผ่าน Mobile Banking และตู้ ATM ของทุกธนาคาร เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา และตู้บุญเติม (ยกเว้นตู้บุญเติมหน้าร้านสะดวกซื้อ 7 – 11) นายกิตติพัฒน์ เพียรธรรม เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทยได้รับความไว้วางใจจาก ขสมก. ให้ดําเนินการนําระบบรับชําระเงินด้วย QR Code มาติดตั้งบนรถโดยสาร ขสมก. สาย Airport Bus ที่ให้บริการในสนามบินดอนเมือง 4 เส้นทาง สาย A1 ดอนเมือง-หมอชิต 2 และ A2 ดอนเมือง-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สาย A3 ดอนเมือง-สวนลุมพินี และสาย A4 ดอนเมือง-สนามหลวง รวมทั้งติดตั้งเครื่อง EDC เพื่อรับชําระเงินในรถบัส สาย 510 ม. ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต – อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี มีผู้สนใจใช้บริการจํานวนมาก และล่าสุด ได้ขยายการให้บริการไปยังรถโดยสาร ขสมก. ทุกเส้นทาง เดินรถ ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชน และส่งเสริมสังคมไร้เงินสด “ธนาคารได้ติดตั้งเครื่อง EDC เพื่อรับชําระเงินในรถ ขสมก. ทุกคัน เรียบร้อยแล้ว ซึ่งพนักงานเก็บค่าโดยสารสามารถตรวจสอบและยืนยันการทํารายการชําระเงินของผู้โดยสารในเครื่อง EDC ประจําตัวพนักงาน และ ขสมก. สามารถตรวจสอบการทํารายการชําระเงินของรถโดยสารแต่ละคันผ่านเว็บไซต์ ช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการบริหารจัดการเงินสด และลดต้นทุนการจัดการระบบโลจิสติกส์”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23554
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางแจง เร่งออกกฎหมายลูก พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ ตามมาตรา 7 (1)
วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2560 กรมบัญชีกลางแจง เร่งออกกฎหมายลูก พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ ตามมาตรา 7 (1) กรมบัญชีกลางแจง เร่งร่างกฎหมายลูก พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐวิสาหกิจที่เป็นการพาณิชย์โดยตรง ตามมาตรา 7 (1) ที่ยกเว้นให้รัฐวิสาหกิจออกระเบียบเองได้ นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่าหลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ได้เห็นชอบร่างประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับการพาณิชย์โดยตรง โดยกําหนดให้รัฐวิสาหกิจเร่งดําเนินการออกกฎหรือระเบียบของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับการพาณิชย์โดยตรง ทั้งนี้ ได้เสนอร่างกฎหรือระเบียบของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับการพาณิชย์โดยตรง จํานวน 10 แห่ง 1) บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) และบริษัทในเครือที่เป็นรัฐวิสาหกิจ 2) บริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด ๓) บริษัท อสมท. จํากัด (มหาชน) ๔) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด และบริษัทในเครือที่เป็นรัฐวิสาหกิจ ๕) บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) ๖) บริษัท บริหารสินทรัพย์ สุขุมวิท จํากัด ๗) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ๘) บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ๙) องค์การเภสัชกรรม ๑๐) โรงงานยาสูบ ให้คณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างฯพิจารณาซึ่งที่ประชุมมอบหมายให้กรมบัญชีกลางจัดทํากรอบแนวทางการพิจารณาร่างกฎหรือระเบียบดังกล่าว ว่ามีความแตกต่างกับระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 หรือไม่ มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับธุรกิจของรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งมีมาตรการหรือกลไกรองรับว่าสามารถที่จะทําธุรกิจได้ เมื่อจัดทําเสร็จเรียบร้อยให้เสนอคณะอนุกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐพิจารณาให้ความเห็นชอบ รวมทั้งแจ้งให้รัฐวิสาหกิจเสนอกฎหรือระเบียบของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ให้ผู้มีอํานาจพิจารณาประกาศใช้บังคับต่อไป ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2560 ได้ประกาศหลักเกณฑ์การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับการพาณิชย์โดยตรงในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2560 เป็นต้นไป โดยรัฐวิสาหกิจที่มีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่เกี่ยวกับการพาณิชย์โดยตรงต้องออกกฎหรือระเบียบให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่วันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ คือภายในวันที่ 11 มิถุนายน 2561 อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้ายว่า กรมบัญชีกลางยังคงมุ่งมั่นดําเนินงานตามเจตนารมณ์ของหลักการการจัดซื้อจัดจ้างในเรื่องความคุ้มค่า โปร่งใส มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และตรวจสอบได้ และที่สําคัญคือจะต้องทําให้การปฏิบัติงานด้านการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐทุกแห่งมีความคล่องตัว ไร้ปัญหาและอุปสรรคในการดําเนินงาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางแจง เร่งออกกฎหมายลูก พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ ตามมาตรา 7 (1) วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2560 กรมบัญชีกลางแจง เร่งออกกฎหมายลูก พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ ตามมาตรา 7 (1) กรมบัญชีกลางแจง เร่งร่างกฎหมายลูก พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐวิสาหกิจที่เป็นการพาณิชย์โดยตรง ตามมาตรา 7 (1) ที่ยกเว้นให้รัฐวิสาหกิจออกระเบียบเองได้ นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่าหลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ได้เห็นชอบร่างประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับการพาณิชย์โดยตรง โดยกําหนดให้รัฐวิสาหกิจเร่งดําเนินการออกกฎหรือระเบียบของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับการพาณิชย์โดยตรง ทั้งนี้ ได้เสนอร่างกฎหรือระเบียบของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับการพาณิชย์โดยตรง จํานวน 10 แห่ง 1) บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) และบริษัทในเครือที่เป็นรัฐวิสาหกิจ 2) บริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด ๓) บริษัท อสมท. จํากัด (มหาชน) ๔) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด และบริษัทในเครือที่เป็นรัฐวิสาหกิจ ๕) บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) ๖) บริษัท บริหารสินทรัพย์ สุขุมวิท จํากัด ๗) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ๘) บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ๙) องค์การเภสัชกรรม ๑๐) โรงงานยาสูบ ให้คณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างฯพิจารณาซึ่งที่ประชุมมอบหมายให้กรมบัญชีกลางจัดทํากรอบแนวทางการพิจารณาร่างกฎหรือระเบียบดังกล่าว ว่ามีความแตกต่างกับระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 หรือไม่ มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับธุรกิจของรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งมีมาตรการหรือกลไกรองรับว่าสามารถที่จะทําธุรกิจได้ เมื่อจัดทําเสร็จเรียบร้อยให้เสนอคณะอนุกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐพิจารณาให้ความเห็นชอบ รวมทั้งแจ้งให้รัฐวิสาหกิจเสนอกฎหรือระเบียบของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ให้ผู้มีอํานาจพิจารณาประกาศใช้บังคับต่อไป ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2560 ได้ประกาศหลักเกณฑ์การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับการพาณิชย์โดยตรงในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2560 เป็นต้นไป โดยรัฐวิสาหกิจที่มีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่เกี่ยวกับการพาณิชย์โดยตรงต้องออกกฎหรือระเบียบให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่วันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ คือภายในวันที่ 11 มิถุนายน 2561 อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้ายว่า กรมบัญชีกลางยังคงมุ่งมั่นดําเนินงานตามเจตนารมณ์ของหลักการการจัดซื้อจัดจ้างในเรื่องความคุ้มค่า โปร่งใส มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และตรวจสอบได้ และที่สําคัญคือจะต้องทําให้การปฏิบัติงานด้านการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐทุกแห่งมีความคล่องตัว ไร้ปัญหาและอุปสรรคในการดําเนินงาน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8950