title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ติดตามการแก้ไขปัญหาสารเคมีตกค้าง และติดตามการดำเนินงานด้านการอำนวยความยุติธรรม ในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู
|
วันจันทร์ที่ 3 กันยายน 2561
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ติดตามการแก้ไขปัญหาสารเคมีตกค้าง และติดตามการดําเนินงานด้านการอํานวยความยุติธรรม ในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลําภู
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ติดตามการแก้ไขปัญหาสารเคมีตกค้างและติดตามการดําเนินงานด้านการอํานวยความยุติธรรม ในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลําภู
เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2561 เวลา 09.30 น. พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูง ลงพื้นที่จังหวัดหนองบัวลําภู เพื่อตรวจเยี่ยมพร้อมประชุมรับฟังปัญหาและหาแนวทางแก้ไขปัญหาสารเคมีตกค้างในพื้นที่ตําบลบุญทัน โดยมีนายธนากร อึ้งจิตรไพศาล ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลําภู หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ให้การต้อนรับ และนําเสนอข้อมูล ปัญหารวมถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ณ วัดคลองเจริญธรรมมาวาส บ้านคลองเจริญ อําเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลําภู
โอกาสนี้ พล.อ.อ.ประจินฯ เน้นย้ําให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ และหน่วยงานต่างๆ รับฟังปัญหาและนําเอาสภาพปัญหาผลกระทบรายงานไปยังปลัดกระทรวงและรัฐมนตรีในสังกัดให้รับทราบ เพราะเรื่องดังกล่าวรัฐบาลให้ความสําคัญเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ในส่วนของประชาชนที่เจ็บป่วยต้องเร่งดําเนินการร่วมกับ โรงพยาบาลในพื้นที่ โรงพยาบาลในจังหวัดให้เข้ามาดูแล พร้อมกันนี้ได้มอบเครื่องกรองน้ําดื่มให้กับตําบลบุญทัน 2 ชุด และมอบเงินช่วยเหลือผู้ได้รับกระทบจากการใช้สารเคมีจนทําให้ต้องกลายเป็นผู้พิการ จํานวน 6 ราย คนละ 2,000 บาท และมอบเงินช่วยเหลือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพอีกด้วย
จากนั้น พลอ.อ.ประจินฯ พร้อมคณะ เดินทางไปยังแปลงเกษตรผสมผสานเพื่อติดตามการดําเนินงานการแก้ไขปัญหาสารเคมีตกค้างของนายอ่อนสา อาสาธง และแปลงปลูกไผ่ของนายกุมาร บานเย็น บ้านแสงอรุณ ตําบลบุญทัน (บุญทัน model) พร้อมทั้งเข้าตรวจเยี่ยมโครงการคืนคนดีสู่สังคมของเรือนจําจังหวัดหนองบัวลําภู พร้อมติดตามการดําเนินงานศูนย์ยุติธรรมชุมชนตําบลโนนทัน ในการอํานวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน ณ องค์การบริหารส่วนตําบลโนนทัน อําเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลําภู อีกด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ติดตามการแก้ไขปัญหาสารเคมีตกค้าง และติดตามการดำเนินงานด้านการอำนวยความยุติธรรม ในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู
วันจันทร์ที่ 3 กันยายน 2561
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ติดตามการแก้ไขปัญหาสารเคมีตกค้าง และติดตามการดําเนินงานด้านการอํานวยความยุติธรรม ในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลําภู
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ติดตามการแก้ไขปัญหาสารเคมีตกค้างและติดตามการดําเนินงานด้านการอํานวยความยุติธรรม ในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลําภู
เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2561 เวลา 09.30 น. พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูง ลงพื้นที่จังหวัดหนองบัวลําภู เพื่อตรวจเยี่ยมพร้อมประชุมรับฟังปัญหาและหาแนวทางแก้ไขปัญหาสารเคมีตกค้างในพื้นที่ตําบลบุญทัน โดยมีนายธนากร อึ้งจิตรไพศาล ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลําภู หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ให้การต้อนรับ และนําเสนอข้อมูล ปัญหารวมถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ณ วัดคลองเจริญธรรมมาวาส บ้านคลองเจริญ อําเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลําภู
โอกาสนี้ พล.อ.อ.ประจินฯ เน้นย้ําให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ และหน่วยงานต่างๆ รับฟังปัญหาและนําเอาสภาพปัญหาผลกระทบรายงานไปยังปลัดกระทรวงและรัฐมนตรีในสังกัดให้รับทราบ เพราะเรื่องดังกล่าวรัฐบาลให้ความสําคัญเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ในส่วนของประชาชนที่เจ็บป่วยต้องเร่งดําเนินการร่วมกับ โรงพยาบาลในพื้นที่ โรงพยาบาลในจังหวัดให้เข้ามาดูแล พร้อมกันนี้ได้มอบเครื่องกรองน้ําดื่มให้กับตําบลบุญทัน 2 ชุด และมอบเงินช่วยเหลือผู้ได้รับกระทบจากการใช้สารเคมีจนทําให้ต้องกลายเป็นผู้พิการ จํานวน 6 ราย คนละ 2,000 บาท และมอบเงินช่วยเหลือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพอีกด้วย
จากนั้น พลอ.อ.ประจินฯ พร้อมคณะ เดินทางไปยังแปลงเกษตรผสมผสานเพื่อติดตามการดําเนินงานการแก้ไขปัญหาสารเคมีตกค้างของนายอ่อนสา อาสาธง และแปลงปลูกไผ่ของนายกุมาร บานเย็น บ้านแสงอรุณ ตําบลบุญทัน (บุญทัน model) พร้อมทั้งเข้าตรวจเยี่ยมโครงการคืนคนดีสู่สังคมของเรือนจําจังหวัดหนองบัวลําภู พร้อมติดตามการดําเนินงานศูนย์ยุติธรรมชุมชนตําบลโนนทัน ในการอํานวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน ณ องค์การบริหารส่วนตําบลโนนทัน อําเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลําภู อีกด้วย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15123
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนเมษายน 2563 จากผลกระทบแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
|
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563
ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนเมษายน 2563 จากผลกระทบแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
ศูนย์วิจัยฯ ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือน เม.ย.2563 โดยผลกระทบแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทําให้ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิ มันสําปะหลัง และสุกร มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ของตลาด
ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตร เดือนเมษายน 2563 โดยผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทําให้ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิ มันสําปะหลัง และสุกร มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ของตลาด ด้านข้าวเปลือกเหนียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ น้ําตาลทรายดิบ ยางพาราแผ่นดิบ ปาล์มน้ํามัน และกุ้งขาวแวนนาไม มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลงจากความต้องการของตลาดที่ลดลง
นายสมเกียรติ กิมาวหา ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือนเมษายน 2563 ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคาอยู่ที่ 8,637-8,690 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจาก เดือนก่อน ร้อยละ 3.14-3.77 ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาอยู่ที่ 14,023-14,589 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.37-4.42 เนื่องจากความต้องการข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทําให้มีคําสั่งซื้อข้าวจากประเทศที่มีการระบาดฯ เพื่อสํารองไว้บริโภคและเพิ่มความมั่นคงด้านอาหารในประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และสหภาพยุโรป ประกอบกับภาวะภัยแล้งที่ ทําให้ผลผลิตข้าวนาปรังออกสู่ตลาดลดลง ส่วนมันสําปะหลัง ราคาอยู่ที่ 1.94-1.99 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.52 – 3.11 เนื่องจากภาวะภัยแล้งส่งผลให้ปริมาณมันสําปะหลังที่ออกสู่ตลาดไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศและการแปรรูปเพื่อส่งออก และสุกร ราคาอยู่ที่ 69.00 – 73.00 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.47 – 7.35 เนื่องจากประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน ทําให้ผลผลิตสุกรมีชีวิตออกสู่ตลาดน้อยลง อย่างไรก็ตาม การท่องเที่ยวที่ซบเซา ส่งผลต่อการบริโภคเนื้อสุกรลดลง อาจทําให้ราคาสุกรขุนปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย
ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทําให้สินค้าเกษตรบางชนิดมีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง เนื่องจากความต้องการของตลาดที่ลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาอยู่ที่ราคา 14,621-14,639 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.21-0.33 เป็นผลจากความต้องการใช้ข้าวเหนียวในช่วงเทศกาล เช็งเม้งลดลง เนื่องจากความกังวลทําให้คนไทยเชื้อสายจีนบางส่วนงดการเดินทางไปประกอบพิธีกรรมไหว้บรรพบุรุษ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% ราคาอยู่ที่ 7.26-7.35 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.50-1.50 เป็นผลจากการบริโภคในประเทศและการส่งออกสินค้าปศุสัตว์ชะลอตัว ส่งผลให้ความต้องการใช้เพื่อผลิตอาหารสัตว์ลดลง ประกอบกับมีการนําเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเมียนมา และเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตฤดูแล้งทําให้ผลผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น น้ําตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์ก ราคาอยู่ที่ราคา 13.59-14.52 เซนต์/ปอนด์ (9.82-10.49 บาท/กก.) ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 6.00-12.00 เนื่องจากราคาน้ํามันดิบตลาดโลกมีแนวโน้มปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ทําให้ประเทศบราซิลปรับลดสัดส่วนการนําอ้อยไปผลิตเอทานอล และเพิ่มปริมาณการผลิตน้ําตาล ขณะที่ความต้องการใช้น้ําตาลในภาคอุตสาหกรรมลดลงค่อนข้างมาก จากปัญหาการหยุดชะงักผลิตสินค้า
ยางพาราแผ่นดิบ ราคาอยู่ที่ 36.72-37.62 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 1.84-4.21 เนื่องจากความต้องการใช้ยางธรรมชาติปรับตัวลดลงตามราคาน้ํามันดิบ จากการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ํามัน (โอเปก) และกลุ่มพันธมิตรยังไม่มีข้อตกลงในการปรับลดกําลังการผลิต ขณะที่ความต้องการใช้น้ํามันทั่วโลกลดลง ปาล์มน้ํามัน ราคาอยู่ที่ 4.80-5.00 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 1.38 – 5.33 เนื่องจากราคาน้ํามันดิบ ในตลาดโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง ทําให้ปริมาณความต้องการใช้น้ํามันทางเลือกในประเทศและความต้องการใช้ปาล์มน้ํามันดิบเพื่อผลิตไบโอดีเซลลดลง และกุ้งขาวแวนนาไม ขนาด 70 ตัว/กก. ราคาอยู่ที่ 135.00 – 141.00 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.00- 4.25 เนื่องจากความต้องการในประเทศยังชะลอตัว จากภาคการท่องเที่ยวซบเซา ขณะที่ปริมาณผลผลิตกุ้งเพิ่มขึ้นจากผลผลิตของภาคใต้ที่เริ่มออกสู่ตลาด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนเมษายน 2563 จากผลกระทบแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563
ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนเมษายน 2563 จากผลกระทบแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
ศูนย์วิจัยฯ ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือน เม.ย.2563 โดยผลกระทบแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทําให้ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิ มันสําปะหลัง และสุกร มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ของตลาด
ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตร เดือนเมษายน 2563 โดยผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทําให้ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิ มันสําปะหลัง และสุกร มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ของตลาด ด้านข้าวเปลือกเหนียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ น้ําตาลทรายดิบ ยางพาราแผ่นดิบ ปาล์มน้ํามัน และกุ้งขาวแวนนาไม มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลงจากความต้องการของตลาดที่ลดลง
นายสมเกียรติ กิมาวหา ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือนเมษายน 2563 ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคาอยู่ที่ 8,637-8,690 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจาก เดือนก่อน ร้อยละ 3.14-3.77 ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาอยู่ที่ 14,023-14,589 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.37-4.42 เนื่องจากความต้องการข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทําให้มีคําสั่งซื้อข้าวจากประเทศที่มีการระบาดฯ เพื่อสํารองไว้บริโภคและเพิ่มความมั่นคงด้านอาหารในประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และสหภาพยุโรป ประกอบกับภาวะภัยแล้งที่ ทําให้ผลผลิตข้าวนาปรังออกสู่ตลาดลดลง ส่วนมันสําปะหลัง ราคาอยู่ที่ 1.94-1.99 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.52 – 3.11 เนื่องจากภาวะภัยแล้งส่งผลให้ปริมาณมันสําปะหลังที่ออกสู่ตลาดไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศและการแปรรูปเพื่อส่งออก และสุกร ราคาอยู่ที่ 69.00 – 73.00 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.47 – 7.35 เนื่องจากประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน ทําให้ผลผลิตสุกรมีชีวิตออกสู่ตลาดน้อยลง อย่างไรก็ตาม การท่องเที่ยวที่ซบเซา ส่งผลต่อการบริโภคเนื้อสุกรลดลง อาจทําให้ราคาสุกรขุนปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย
ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทําให้สินค้าเกษตรบางชนิดมีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง เนื่องจากความต้องการของตลาดที่ลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาอยู่ที่ราคา 14,621-14,639 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.21-0.33 เป็นผลจากความต้องการใช้ข้าวเหนียวในช่วงเทศกาล เช็งเม้งลดลง เนื่องจากความกังวลทําให้คนไทยเชื้อสายจีนบางส่วนงดการเดินทางไปประกอบพิธีกรรมไหว้บรรพบุรุษ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% ราคาอยู่ที่ 7.26-7.35 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.50-1.50 เป็นผลจากการบริโภคในประเทศและการส่งออกสินค้าปศุสัตว์ชะลอตัว ส่งผลให้ความต้องการใช้เพื่อผลิตอาหารสัตว์ลดลง ประกอบกับมีการนําเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเมียนมา และเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตฤดูแล้งทําให้ผลผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น น้ําตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์ก ราคาอยู่ที่ราคา 13.59-14.52 เซนต์/ปอนด์ (9.82-10.49 บาท/กก.) ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 6.00-12.00 เนื่องจากราคาน้ํามันดิบตลาดโลกมีแนวโน้มปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ทําให้ประเทศบราซิลปรับลดสัดส่วนการนําอ้อยไปผลิตเอทานอล และเพิ่มปริมาณการผลิตน้ําตาล ขณะที่ความต้องการใช้น้ําตาลในภาคอุตสาหกรรมลดลงค่อนข้างมาก จากปัญหาการหยุดชะงักผลิตสินค้า
ยางพาราแผ่นดิบ ราคาอยู่ที่ 36.72-37.62 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 1.84-4.21 เนื่องจากความต้องการใช้ยางธรรมชาติปรับตัวลดลงตามราคาน้ํามันดิบ จากการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ํามัน (โอเปก) และกลุ่มพันธมิตรยังไม่มีข้อตกลงในการปรับลดกําลังการผลิต ขณะที่ความต้องการใช้น้ํามันทั่วโลกลดลง ปาล์มน้ํามัน ราคาอยู่ที่ 4.80-5.00 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 1.38 – 5.33 เนื่องจากราคาน้ํามันดิบ ในตลาดโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง ทําให้ปริมาณความต้องการใช้น้ํามันทางเลือกในประเทศและความต้องการใช้ปาล์มน้ํามันดิบเพื่อผลิตไบโอดีเซลลดลง และกุ้งขาวแวนนาไม ขนาด 70 ตัว/กก. ราคาอยู่ที่ 135.00 – 141.00 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.00- 4.25 เนื่องจากความต้องการในประเทศยังชะลอตัว จากภาคการท่องเที่ยวซบเซา ขณะที่ปริมาณผลผลิตกุ้งเพิ่มขึ้นจากผลผลิตของภาคใต้ที่เริ่มออกสู่ตลาด
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28001
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลูกบอลดับเพลิง ELIDE FIRE EXTINGUISHING BALL
|
วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม 2563
ลูกบอลดับเพลิง ELIDE FIRE EXTINGUISHING BALL
วันที่ 28 มกราคม 2563
ลูกบอลดับเพลิงเป็นอุปกรณ์ที่สามารถดับเพลิงเบื้องต้นได้ทุกขนาดและรวดเร็วภายใน 3 -5 วินาที สําหรับ โยน ทอย ปา หรือกลิ้ง เข้ากองเพลิงเมื่อลูกบอลดับเพลิงสัมผัสกับเปลวไฟสามารถดับเพลิงโดยแตกกระจายและผลักดันสารเคมีออกมาดับไฟอัตโนมัติ
28 ม.ค. 63 เวลา 8.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ บริเวณด้านหลังตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมนิทรรศการประชาสัมพันธ์ ได้แก่ ผลงานประดิษฐ์และนวัตกรรม จากงานวันนักประดิษฐ์ ประจําปี 2563 วิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (Digital Startup) ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการบริหารภาครัฐ (GovTech)
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมผลงานตัวอย่าง ที่จะถูกนําไปแสดงในวันนักประดิษฐ์ ประจําปี 2563 จัดขึ้นโดย สํานักงานการวิจัยแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และองค์กรด้านการวิจัยและการประดิษฐ์คิดค้นนานาชาติ ได้แก่ ระบบผสมปุ๋ยและจ่ายน้ําอัจฉริยะ ระบบควบคุมสภาวะแวดล้อมในโรงเรียน ระบบควบคุมเครื่องเติมอากาศสําหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา ระบบพลาสมาเย็น ลูกบอลดับเพลิง และ ระบบควบคุมอุณหภูมิการเผาไหม้ของเครื่องกังหันก๊าซแบบอัตโนมัติ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมทุกผลงานที่นํามาจัดแสดง โดยแนะให้นําผลงานเหล่านี้ไปต่อยอดและพัฒนาเพื่อที่จะนําไปสร้างประโยชน์ต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลูกบอลดับเพลิง ELIDE FIRE EXTINGUISHING BALL
วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม 2563
ลูกบอลดับเพลิง ELIDE FIRE EXTINGUISHING BALL
วันที่ 28 มกราคม 2563
ลูกบอลดับเพลิงเป็นอุปกรณ์ที่สามารถดับเพลิงเบื้องต้นได้ทุกขนาดและรวดเร็วภายใน 3 -5 วินาที สําหรับ โยน ทอย ปา หรือกลิ้ง เข้ากองเพลิงเมื่อลูกบอลดับเพลิงสัมผัสกับเปลวไฟสามารถดับเพลิงโดยแตกกระจายและผลักดันสารเคมีออกมาดับไฟอัตโนมัติ
28 ม.ค. 63 เวลา 8.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ บริเวณด้านหลังตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมนิทรรศการประชาสัมพันธ์ ได้แก่ ผลงานประดิษฐ์และนวัตกรรม จากงานวันนักประดิษฐ์ ประจําปี 2563 วิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (Digital Startup) ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการบริหารภาครัฐ (GovTech)
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมผลงานตัวอย่าง ที่จะถูกนําไปแสดงในวันนักประดิษฐ์ ประจําปี 2563 จัดขึ้นโดย สํานักงานการวิจัยแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และองค์กรด้านการวิจัยและการประดิษฐ์คิดค้นนานาชาติ ได้แก่ ระบบผสมปุ๋ยและจ่ายน้ําอัจฉริยะ ระบบควบคุมสภาวะแวดล้อมในโรงเรียน ระบบควบคุมเครื่องเติมอากาศสําหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา ระบบพลาสมาเย็น ลูกบอลดับเพลิง และ ระบบควบคุมอุณหภูมิการเผาไหม้ของเครื่องกังหันก๊าซแบบอัตโนมัติ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมทุกผลงานที่นํามาจัดแสดง โดยแนะให้นําผลงานเหล่านี้ไปต่อยอดและพัฒนาเพื่อที่จะนําไปสร้างประโยชน์ต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33776
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลโดย ศธ. ร่วมกับภาคเอกชนพร้อมขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา เพื่อสร้างความ เท่าเทียม ทางการศึกษา
|
วันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2561
รัฐบาลโดย ศธ. ร่วมกับภาคเอกชนพร้อมขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา เพื่อสร้างความ เท่าเทียม ทางการศึกษา
รองนรม. พล.อ.อ. ประจินฯ เป็นประธานสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือโครงการ “โรงเรียนร่วมพัฒนา”
ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกับองค์กรที่สนับสนุนด้านการศึกษา จํานวน 12 หน่วยงาน
วันนี้ (5 มิถุนายน 2561) เวลา 14.45 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือโครงการ โรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School Project) ระหว่างนายแพทย์ ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกับตัวแทนผู้บริหารองค์กรที่สนับสนุนด้านการศึกษา จํานวน 12 หน่วยงาน ทั้งนี้ โดยมีโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วมโครงการนําร่อง จํานวน 50 โรงเรียน จากทั่วประเทศ
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้กล่าวรายงานถึงวัตุประสงค์ของโครงการ “โรงเรียนร่วมพัฒนา” ว่า เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ในด้านการบริหารจัดการ ร่วมพัฒนาและสนับสนุนสถานศึกษา ภายใต้การดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมพัฒนาคุณภาพ และรังสรรค์นวัตกรรมการบริหารจัดการของสถานศึกษา ให้สามารถยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และเตรียมความพร้อมสําหรับอนาคตให้แก่ผู้เรียน ตลอดจนให้สถานศึกษาเป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตของทุกคนในชุมชน รวมทั้งเป็นศูนย์กลางการพัฒนาทักษะของคุณภาพชีวิต และให้สถานศึกษาภูมิภาคทั่วประเทศได้รับโอกาส ในการพัฒนาอย่างทั่วถึง นําไปสู่การลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา
จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความยินดีในโอกาสเป็นประธานสักขีพยานของพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ความตอนหนึ่งว่า รัฐบาลภายใต้การนําของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มุ่งให้ความสําคัญกับการปฏิรูปการศึกษาเป็นวาระสําคัญ โดยมุ่งหวังให้ประสบความสําเร็จเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ด้านการศึกษาให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย Thailand 4.0 ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความเห็นชอบโครงการ “โรงเรียนร่วมพัฒนา” ซึ่งเป็นหนึ่งใน “การพัฒนาและการรังสรรค์นวัตกรรมในรูปแบบใหม่” หรือ Sandbox ทั้งนี้ รัฐบาลขอขอบคุณผู้สนับสนุนจากภาคเอกชน ทั้ง 12 หน่วยงาน รวมถึงภาคส่วนต่าง ๆ ที่เห็นความสําคัญ และแสดงเจตนารมณ์ในการเข้าร่วมโครงการครั้งนี้ ซึ่งรัฐบาลคาดหวังให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกันพัฒนา และรังสรรค์นวัตกรรมของการบริหารจัดการสถานศึกษา เพื่อเป็นต้นแบบ และขยายผลอย่างต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ําและสร้างความเท่าเทียมกันทางด้านการศึกษาของประเทศให้ดียิ่งขึ้นตลอดไป
หลังจากนั้น รองนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ และตัวแทนผู้บริหารโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ ผู้นําชุมชนจากทุกภาคส่วนได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความเข้าใจโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School Project) ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและตัวแทนผู้บริหารองค์กรที่สนับสนุนด้านการศึกษาของภาครัฐ จํานวน 12 หน่วยงาน พร้อมถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึกเป็นเสร็จพิธี
อนึ่ง องค์กรที่สนับสนุน โครงการนี้ ได้แก่ 1. ธนาคารกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) 2. บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน) 3. บริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) 4. เครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมกับ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) 5. บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง จํากัด 6. บริษัท บ้านปู จํากัด (มหาชน) 7. กลุ่ม ปตท. 8. กลุมมิตรผล 9. มูลนิธิมีชัย วีระไวทยะ 10. IKEA Southeast Asia 11. กลุ่มสยามพรีเสิร์ฟฟู้ดส์ และ12. บริษัท อุตสาหกรรมน้ําตาลอีสาน จํากัด
..........................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลโดย ศธ. ร่วมกับภาคเอกชนพร้อมขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา เพื่อสร้างความ เท่าเทียม ทางการศึกษา
วันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2561
รัฐบาลโดย ศธ. ร่วมกับภาคเอกชนพร้อมขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา เพื่อสร้างความ เท่าเทียม ทางการศึกษา
รองนรม. พล.อ.อ. ประจินฯ เป็นประธานสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือโครงการ “โรงเรียนร่วมพัฒนา”
ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกับองค์กรที่สนับสนุนด้านการศึกษา จํานวน 12 หน่วยงาน
วันนี้ (5 มิถุนายน 2561) เวลา 14.45 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือโครงการ โรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School Project) ระหว่างนายแพทย์ ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกับตัวแทนผู้บริหารองค์กรที่สนับสนุนด้านการศึกษา จํานวน 12 หน่วยงาน ทั้งนี้ โดยมีโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วมโครงการนําร่อง จํานวน 50 โรงเรียน จากทั่วประเทศ
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้กล่าวรายงานถึงวัตุประสงค์ของโครงการ “โรงเรียนร่วมพัฒนา” ว่า เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ในด้านการบริหารจัดการ ร่วมพัฒนาและสนับสนุนสถานศึกษา ภายใต้การดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมพัฒนาคุณภาพ และรังสรรค์นวัตกรรมการบริหารจัดการของสถานศึกษา ให้สามารถยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และเตรียมความพร้อมสําหรับอนาคตให้แก่ผู้เรียน ตลอดจนให้สถานศึกษาเป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตของทุกคนในชุมชน รวมทั้งเป็นศูนย์กลางการพัฒนาทักษะของคุณภาพชีวิต และให้สถานศึกษาภูมิภาคทั่วประเทศได้รับโอกาส ในการพัฒนาอย่างทั่วถึง นําไปสู่การลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา
จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความยินดีในโอกาสเป็นประธานสักขีพยานของพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ความตอนหนึ่งว่า รัฐบาลภายใต้การนําของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มุ่งให้ความสําคัญกับการปฏิรูปการศึกษาเป็นวาระสําคัญ โดยมุ่งหวังให้ประสบความสําเร็จเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ด้านการศึกษาให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย Thailand 4.0 ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความเห็นชอบโครงการ “โรงเรียนร่วมพัฒนา” ซึ่งเป็นหนึ่งใน “การพัฒนาและการรังสรรค์นวัตกรรมในรูปแบบใหม่” หรือ Sandbox ทั้งนี้ รัฐบาลขอขอบคุณผู้สนับสนุนจากภาคเอกชน ทั้ง 12 หน่วยงาน รวมถึงภาคส่วนต่าง ๆ ที่เห็นความสําคัญ และแสดงเจตนารมณ์ในการเข้าร่วมโครงการครั้งนี้ ซึ่งรัฐบาลคาดหวังให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกันพัฒนา และรังสรรค์นวัตกรรมของการบริหารจัดการสถานศึกษา เพื่อเป็นต้นแบบ และขยายผลอย่างต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ําและสร้างความเท่าเทียมกันทางด้านการศึกษาของประเทศให้ดียิ่งขึ้นตลอดไป
หลังจากนั้น รองนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ และตัวแทนผู้บริหารโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ ผู้นําชุมชนจากทุกภาคส่วนได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความเข้าใจโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School Project) ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและตัวแทนผู้บริหารองค์กรที่สนับสนุนด้านการศึกษาของภาครัฐ จํานวน 12 หน่วยงาน พร้อมถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึกเป็นเสร็จพิธี
อนึ่ง องค์กรที่สนับสนุน โครงการนี้ ได้แก่ 1. ธนาคารกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) 2. บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน) 3. บริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) 4. เครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมกับ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) 5. บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง จํากัด 6. บริษัท บ้านปู จํากัด (มหาชน) 7. กลุ่ม ปตท. 8. กลุมมิตรผล 9. มูลนิธิมีชัย วีระไวทยะ 10. IKEA Southeast Asia 11. กลุ่มสยามพรีเสิร์ฟฟู้ดส์ และ12. บริษัท อุตสาหกรรมน้ําตาลอีสาน จํากัด
..........................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12782
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะรัฐมนตรีรับทราบกรอบนโยบายการบริหารจัดการแร่ทองคำ ครอบคลุม 7 ด้าน ทั้งการบริหารจัดการ การกำกับดูแล การมีส่วนร่วมของประชาชน และการแบ่งปันผลประโยชน์
|
วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม 2560
คณะรัฐมนตรีรับทราบกรอบนโยบายการบริหารจัดการแร่ทองคํา ครอบคลุม 7 ด้าน ทั้งการบริหารจัดการ การกํากับดูแล การมีส่วนร่วมของประชาชน และการแบ่งปันผลประโยชน์
คณะรัฐมนตรีรับทราบกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคําตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยกรอบนโยบายดังกล่าวจะเป็นแนวทางการบริหารจัดการแร่ทองคําให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ
คณะรัฐมนตรีรับทราบกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคําตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยกรอบนโยบายดังกล่าวจะเป็นแนวทางการบริหารจัดการแร่ทองคําให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ ทั้งการบริหารจัดการแหล่งแร่ ผลประโยชน์ตอบแทนแก่รัฐและท้องถิ่น ความปลอดภัยและการป้องกันรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและการฟื้นฟูพื้นที่ การกํากับดูแลการประกอบการ การมีส่วนร่วมของประชาชน รวมถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชน กระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมออกประกาศและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ต่อไป
นายสมบูรณ์ ยินดียั่งยืน อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่เปิดเผยความคืบหน้าการดําเนินการตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 72/2559 เรื่อง การแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคํา ในส่วนของการเสนอกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคําว่า ขณะนี้ คณะรัฐมนตรีรับทราบกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคําตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอแล้ว ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2560 ซึ่งกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคําดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ นโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ (คนร.) ในการประชุม คนร. ครั้งที่ 1/2560 ที่มี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ กรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคําดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคําให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ โดยคํานึงถึงดุลยภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยแบ่งออกเป็น 7 ด้าน ได้แก่
1. ด้านการบริหารจัดการแหล่งแร่ทองคํากําหนดให้มีการประมูลสิทธิสํารวจและทําเหมืองแร่ทองคําในพื้นที่ที่ภาครัฐสํารวจและมีข้อมูลเพียงพอ ห้ามมิให้ส่งออกโลหะผสมทองคําไปต่างประเทศ กําหนดเงื่อนไขการ จ้างงานชาวไทย ยกเลิกการให้สิทธิประโยชน์ด้านการส่งเสริมการลงทุน ยกระดับการมีส่วนร่วมในเชิงนโยบายระหว่างผู้มีส่วนได้เสียตลอดห่วงโซ่การผลิต
2. ด้านผลประโยชน์ตอบแทนแก่รัฐและท้องถิ่น ปรับปรุงผลตอบแทนแก่รัฐให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และกระจายผลประโยชน์ให้แก่ท้องถิ่นและท้องถิ่นอื่นที่อยู่ติดกันด้วย จัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาหมู่บ้านรอบพื้นที่เหมืองแร่
3. ด้านความปลอดภัย การป้องกันรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและการฟื้นฟูพื้นที่กําหนดให้มีการตั้งกองทุน วางหลักประกัน และการทําประกันภัยต่าง ๆ เพื่อเป็นหลักประกันในการเยียวยาแก้ปัญหาในกรณีที่เกิดผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม การจัดทําแนวพื้นที่กันชนการทําเหมือง และการจัดทําข้อมูลพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน
4. ด้านการกํากับดูแลการประกอบการ มีการกํากับดูแลอย่างเคร่งครัดจากภาครัฐ โดยมีคณะกรรมการควบคุมเฝ้าระวังผลกระทบจากการทําเหมืองแร่ทองคํา ซึ่งมีตัวแทนผู้มีส่วนได้เสียร่วมเป็นกรรมการ เพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบกํากับดูแลการประกอบกิจการ
5. ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน เพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนทั้งในขั้นตอนการขออนุญาต โดยการรับฟังความคิดเห็นของชุมชน ทั้งในขั้นตอนการขอประทานบัตรและการจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมถึงเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในขั้นตอนการประกอบกิจการ ซึ่งจะกําหนดให้มีตัวแทนผู้มีส่วนได้เสียของประชาชนในพื้นที่ร่วมเป็นคณะกรรมการควบคุมเฝ้าระวังผลกระทบจากการทําเหมืองแร่ทองคําด้วย
6. ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนกําหนดให้ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามและผ่านการทวนสอบมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมอุตสาหกรรมแร่ (CSR-DPIM)ยกระดับการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคําให้มีความรับผิดชอบตามมาตรฐานสากล (Responsible gold mining practice)
7. ด้านอื่น ๆกําหนดให้การขอต่ออายุประทานบัตรแร่ทองคําและการเพิ่มชนิดแร่ทองคํา ใช้นโยบายนี้โดยอนุโลม แต่ไม่ครอบคลุมถึงการร่อนแร่ทองคํา
“หลังจากนี้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ จะออกประกาศและจัดทํารายละเอียดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ตามกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคําดังกล่าว เพื่อให้ภาครัฐและท้องถิ่นได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคําที่เหมาะสม ประชาชนในชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคําเพิ่มขึ้น ปัญหาผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคําลดลง ผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคํามีการประกอบกิจการที่มีมาตรฐานสากล มีความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชน และสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืนต่อไป”นายสมบูรณ์กล่าวทิ้งท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะรัฐมนตรีรับทราบกรอบนโยบายการบริหารจัดการแร่ทองคำ ครอบคลุม 7 ด้าน ทั้งการบริหารจัดการ การกำกับดูแล การมีส่วนร่วมของประชาชน และการแบ่งปันผลประโยชน์
วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม 2560
คณะรัฐมนตรีรับทราบกรอบนโยบายการบริหารจัดการแร่ทองคํา ครอบคลุม 7 ด้าน ทั้งการบริหารจัดการ การกํากับดูแล การมีส่วนร่วมของประชาชน และการแบ่งปันผลประโยชน์
คณะรัฐมนตรีรับทราบกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคําตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยกรอบนโยบายดังกล่าวจะเป็นแนวทางการบริหารจัดการแร่ทองคําให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ
คณะรัฐมนตรีรับทราบกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคําตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยกรอบนโยบายดังกล่าวจะเป็นแนวทางการบริหารจัดการแร่ทองคําให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ ทั้งการบริหารจัดการแหล่งแร่ ผลประโยชน์ตอบแทนแก่รัฐและท้องถิ่น ความปลอดภัยและการป้องกันรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและการฟื้นฟูพื้นที่ การกํากับดูแลการประกอบการ การมีส่วนร่วมของประชาชน รวมถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชน กระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมออกประกาศและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ต่อไป
นายสมบูรณ์ ยินดียั่งยืน อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่เปิดเผยความคืบหน้าการดําเนินการตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 72/2559 เรื่อง การแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคํา ในส่วนของการเสนอกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคําว่า ขณะนี้ คณะรัฐมนตรีรับทราบกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคําตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอแล้ว ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2560 ซึ่งกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคําดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ นโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ (คนร.) ในการประชุม คนร. ครั้งที่ 1/2560 ที่มี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ กรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคําดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคําให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ โดยคํานึงถึงดุลยภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยแบ่งออกเป็น 7 ด้าน ได้แก่
1. ด้านการบริหารจัดการแหล่งแร่ทองคํากําหนดให้มีการประมูลสิทธิสํารวจและทําเหมืองแร่ทองคําในพื้นที่ที่ภาครัฐสํารวจและมีข้อมูลเพียงพอ ห้ามมิให้ส่งออกโลหะผสมทองคําไปต่างประเทศ กําหนดเงื่อนไขการ จ้างงานชาวไทย ยกเลิกการให้สิทธิประโยชน์ด้านการส่งเสริมการลงทุน ยกระดับการมีส่วนร่วมในเชิงนโยบายระหว่างผู้มีส่วนได้เสียตลอดห่วงโซ่การผลิต
2. ด้านผลประโยชน์ตอบแทนแก่รัฐและท้องถิ่น ปรับปรุงผลตอบแทนแก่รัฐให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และกระจายผลประโยชน์ให้แก่ท้องถิ่นและท้องถิ่นอื่นที่อยู่ติดกันด้วย จัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาหมู่บ้านรอบพื้นที่เหมืองแร่
3. ด้านความปลอดภัย การป้องกันรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและการฟื้นฟูพื้นที่กําหนดให้มีการตั้งกองทุน วางหลักประกัน และการทําประกันภัยต่าง ๆ เพื่อเป็นหลักประกันในการเยียวยาแก้ปัญหาในกรณีที่เกิดผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม การจัดทําแนวพื้นที่กันชนการทําเหมือง และการจัดทําข้อมูลพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน
4. ด้านการกํากับดูแลการประกอบการ มีการกํากับดูแลอย่างเคร่งครัดจากภาครัฐ โดยมีคณะกรรมการควบคุมเฝ้าระวังผลกระทบจากการทําเหมืองแร่ทองคํา ซึ่งมีตัวแทนผู้มีส่วนได้เสียร่วมเป็นกรรมการ เพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบกํากับดูแลการประกอบกิจการ
5. ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน เพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนทั้งในขั้นตอนการขออนุญาต โดยการรับฟังความคิดเห็นของชุมชน ทั้งในขั้นตอนการขอประทานบัตรและการจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมถึงเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในขั้นตอนการประกอบกิจการ ซึ่งจะกําหนดให้มีตัวแทนผู้มีส่วนได้เสียของประชาชนในพื้นที่ร่วมเป็นคณะกรรมการควบคุมเฝ้าระวังผลกระทบจากการทําเหมืองแร่ทองคําด้วย
6. ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนกําหนดให้ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามและผ่านการทวนสอบมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมอุตสาหกรรมแร่ (CSR-DPIM)ยกระดับการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคําให้มีความรับผิดชอบตามมาตรฐานสากล (Responsible gold mining practice)
7. ด้านอื่น ๆกําหนดให้การขอต่ออายุประทานบัตรแร่ทองคําและการเพิ่มชนิดแร่ทองคํา ใช้นโยบายนี้โดยอนุโลม แต่ไม่ครอบคลุมถึงการร่อนแร่ทองคํา
“หลังจากนี้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ จะออกประกาศและจัดทํารายละเอียดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ตามกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคําดังกล่าว เพื่อให้ภาครัฐและท้องถิ่นได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคําที่เหมาะสม ประชาชนในชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคําเพิ่มขึ้น ปัญหาผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคําลดลง ผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคํามีการประกอบกิจการที่มีมาตรฐานสากล มีความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชน และสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืนต่อไป”นายสมบูรณ์กล่าวทิ้งท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5836
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.วิทย์ จับมือ ก.มหาดไทย ประชุมร่วมบูรณาการงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
|
วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม 2560
ก.วิทย์ จับมือ ก.มหาดไทย ประชุมร่วมบูรณาการงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
ก.วิทย์ จับมือ ก.มหาดไทย ประชุมร่วมบูรณาการงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
28 ธันวาคม 2559 ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารพระจอมเกล้า สํานักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี/ รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานร่วมกับ นายณัฐพงศ์ ศิริชนะ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในการประชุม คณะกรรมการพัฒนาจังหวัดด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
ภายหลังพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือขับเคลื่อน วทน.ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กับกระทรวงมหาดไทยที่ผ่านมา ทั้ง 2 กระทรวงได้ผลักดันและขับเคลื่อนโครงการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งภายหลังได้มีการมอบหมายผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการ ข้อเสนอความต้องการด้านต่างๆ อันนําไปสู่การลงพื้นที่ตามชุมชน ชนบทและจังหวัดต่างๆ ในการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าของผู้ประกอบการ ซึ่งในปัจจุบันสถานการณ์ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากและมีบทบาทต่อการดํารงชีวิต รวมทั้งผลตอบรับที่ดีด้านการพัฒนาประเทศจากคนรุ่นใหม่ที่หันมาสนใจและอยากทําเกษตรกรรม เนื่องจากเทคโนโลยีใหม่ๆ มีความสะดวกรวดเร็ว และสามารถสร้างผลกําไร รายได้ จากการทําตลาดผ่านช่องทางต่างๆ และเนื่องจาก กระทรวงมหาดไทย มีบทบาทและภารกิจช่วยเหลือประชาชนและดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น ในด้านการอํานวยความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การพัฒนาอาชีพและฐานะความเป็นอยู่และเป็นเจ้าภาพหลักในการบูรณาการบริหารจัดการในส่วนภูมิภาค ซึ่งปัจจุบันผู้ทําอาชีพเกษตรกรส่วนใหญ่มีรายได้น้อย ชาวเกษตรกรสามรถสร้างวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ แต่ยังขาดการทําตลาด ยังขาดความรู้ที่จะสร้างคุณภาพของผลิตภัณฑ์เพื่อให้มีมูลค่าที่สูงขึ้นทั้งสองกระทรวงจึงร่วมกันพัฒนาโครงการต่างๆ ไปได้ด้วยดีตลอดมา เพื่อเป็นผลประโยชน์ต่อจังหวัด/กลุ่มจังหวัด
ในส่วนของกระทรวงวิทยาศาสตร์นั้นได้พัฒนาผลัดดันแผนงาน/โครงการต่างๆจํานวน 40 โครงการ อาทิ โครงการศูนย์ส่งเสริมนวัตกรรมอาหารเพื่อส่งเสริมสุขภาพชุมชนจังหวัดร้อยเอ็ด แปลงสาธิตการใช้ปุ๋ยอินทรีย์เคมีเพื่อลดต้นทุนการปลูกมะม่วง โครงการระบบชุดดินอุดมคาร์บอนแบบต่อเนื่อง เพื่อแปรรูปผักตบชวาในแม่น้ํากวง โครงการพัฒนาการผลิตสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพปลอดภัยสูง โครงการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและขยะพลาสติกในชุมชนเพื่อการบูรณาการอย่างยั่งยืน เป็นต้น
รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม กล่าวว่า หน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะนําแนวทางและแผนดําเนินงานต่างๆ มาเป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนโครงการให้เหมาะสมกับพื้นที่ และนํางานวิจัย เทคโนโลยี งานค้นคว้าต่างๆ เผยแพร่ไปสู่ชุมชน ชนบทและจังหวัดอย่างทั่วถึงเพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้าและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนให้มากที่สุด
นายณัฐพงศ์ ศิริชนะ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การดําเนินงานในปีถัดๆไป จะนําอัตลักษณ์ของแต่ละจังหวัด ชุมชน ออกมาและให้ทางกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เนื่องจากกระทรวงวิทย์จะนําเทคโนโลยี งานวิจัยมาเพิ่มผลผลิต เพิ่มคุณภาพ เพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบที่กระทรวงมหาดไทยมีในพื้นที่ชุมชนทุกจังหวัดทั่วประเทศซึ่งนับเป็นประโยชน์อย่างมาก ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทย ยินดีให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยคาดหวังว่าผลจากการร่วมมือกันจะช่วยต่อยอดให้ผู้ประกอบการ สร้างคุณภาพ สร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างรายได้เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.วิทย์ จับมือ ก.มหาดไทย ประชุมร่วมบูรณาการงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม 2560
ก.วิทย์ จับมือ ก.มหาดไทย ประชุมร่วมบูรณาการงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
ก.วิทย์ จับมือ ก.มหาดไทย ประชุมร่วมบูรณาการงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
28 ธันวาคม 2559 ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารพระจอมเกล้า สํานักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี/ รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานร่วมกับ นายณัฐพงศ์ ศิริชนะ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในการประชุม คณะกรรมการพัฒนาจังหวัดด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
ภายหลังพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือขับเคลื่อน วทน.ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กับกระทรวงมหาดไทยที่ผ่านมา ทั้ง 2 กระทรวงได้ผลักดันและขับเคลื่อนโครงการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งภายหลังได้มีการมอบหมายผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการ ข้อเสนอความต้องการด้านต่างๆ อันนําไปสู่การลงพื้นที่ตามชุมชน ชนบทและจังหวัดต่างๆ ในการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าของผู้ประกอบการ ซึ่งในปัจจุบันสถานการณ์ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากและมีบทบาทต่อการดํารงชีวิต รวมทั้งผลตอบรับที่ดีด้านการพัฒนาประเทศจากคนรุ่นใหม่ที่หันมาสนใจและอยากทําเกษตรกรรม เนื่องจากเทคโนโลยีใหม่ๆ มีความสะดวกรวดเร็ว และสามารถสร้างผลกําไร รายได้ จากการทําตลาดผ่านช่องทางต่างๆ และเนื่องจาก กระทรวงมหาดไทย มีบทบาทและภารกิจช่วยเหลือประชาชนและดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น ในด้านการอํานวยความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การพัฒนาอาชีพและฐานะความเป็นอยู่และเป็นเจ้าภาพหลักในการบูรณาการบริหารจัดการในส่วนภูมิภาค ซึ่งปัจจุบันผู้ทําอาชีพเกษตรกรส่วนใหญ่มีรายได้น้อย ชาวเกษตรกรสามรถสร้างวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ แต่ยังขาดการทําตลาด ยังขาดความรู้ที่จะสร้างคุณภาพของผลิตภัณฑ์เพื่อให้มีมูลค่าที่สูงขึ้นทั้งสองกระทรวงจึงร่วมกันพัฒนาโครงการต่างๆ ไปได้ด้วยดีตลอดมา เพื่อเป็นผลประโยชน์ต่อจังหวัด/กลุ่มจังหวัด
ในส่วนของกระทรวงวิทยาศาสตร์นั้นได้พัฒนาผลัดดันแผนงาน/โครงการต่างๆจํานวน 40 โครงการ อาทิ โครงการศูนย์ส่งเสริมนวัตกรรมอาหารเพื่อส่งเสริมสุขภาพชุมชนจังหวัดร้อยเอ็ด แปลงสาธิตการใช้ปุ๋ยอินทรีย์เคมีเพื่อลดต้นทุนการปลูกมะม่วง โครงการระบบชุดดินอุดมคาร์บอนแบบต่อเนื่อง เพื่อแปรรูปผักตบชวาในแม่น้ํากวง โครงการพัฒนาการผลิตสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพปลอดภัยสูง โครงการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและขยะพลาสติกในชุมชนเพื่อการบูรณาการอย่างยั่งยืน เป็นต้น
รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม กล่าวว่า หน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะนําแนวทางและแผนดําเนินงานต่างๆ มาเป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนโครงการให้เหมาะสมกับพื้นที่ และนํางานวิจัย เทคโนโลยี งานค้นคว้าต่างๆ เผยแพร่ไปสู่ชุมชน ชนบทและจังหวัดอย่างทั่วถึงเพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้าและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนให้มากที่สุด
นายณัฐพงศ์ ศิริชนะ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การดําเนินงานในปีถัดๆไป จะนําอัตลักษณ์ของแต่ละจังหวัด ชุมชน ออกมาและให้ทางกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เนื่องจากกระทรวงวิทย์จะนําเทคโนโลยี งานวิจัยมาเพิ่มผลผลิต เพิ่มคุณภาพ เพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบที่กระทรวงมหาดไทยมีในพื้นที่ชุมชนทุกจังหวัดทั่วประเทศซึ่งนับเป็นประโยชน์อย่างมาก ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทย ยินดีให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยคาดหวังว่าผลจากการร่วมมือกันจะช่วยต่อยอดให้ผู้ประกอบการ สร้างคุณภาพ สร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างรายได้เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1196
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ แถลงข่าวการดำเนินงานอุทยานวิทย์ฯ ภาคอีสาน พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “mMilk” ชนิด A2 ดื่มแล้วไม่แพ้
|
วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม 2561
ดร.สุวิทย์ แถลงข่าวการดําเนินงานอุทยานวิทย์ฯ ภาคอีสาน พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “mMilk” ชนิด A2 ดื่มแล้วไม่แพ้
เปิดตัวนมทางเลือกใหม่ “A2” ดื่มแล้วไม่แพ้ ดูดซึมได้เร็ว สบายท้อง ผลงานเด่นวิจัยร่วมกับภาคเอกชน
ดร.สุวิทย์ฯ ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พร้อมเปิดตัวนมทางเลือกใหม่ “A2” ดื่มแล้วไม่แพ้ ดูดซึมได้เร็ว สบายท้องผลงานเด่นวิจัยร่วมกับภาคเอกชน นอกจากนั้นยังมีของดีอีกเพียบทั้งซุปหน่อไม้กึ่งสําเร็จรูปพร้อมทานผลิตภัณฑ์อุปกรณ์รักษาระดับแรงดันไฟฟ้ารถยนต์ผลิตภัณฑ์เครื่องดนตรีจากไม้ไผ่ขดแคปซูลสมุนไพรดิลิเนีย
21กันยายน ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น / ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เดินทางลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภายใต้การสนับสนุนของสํานักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ (สอว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกลไกเชื่อมกับผู้ประกอบการที่สามารถสร้างนวัตกรรมใหม่และมุ่งเน้นการสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร, อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพ, อุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ดิจิทัล และอิเล็กทรอนิคส์ ในโอกาสนี้ ดร.สุวิทย์ฯ ได้หารือในประเด็นเรื่อง "การเชื่อมโยงอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคกับการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" ร่วมกับภาคเอกชนในพื้นที่ ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมขอนแก่น, หอการค้าจังหวัดขอนแก่น, สภาอุตสาหกรรมอุดรธานี, สภาอุตสาหกรรมมหาสารคาม, กลุ่มสภาอุตสาหกรรมด้าน Bio Economy, กลุ่มขอนแก่นพัฒนาเมือง (KKTT), กลุ่มสมาคมซอฟต์แวร์และธุรกิจนวัตกรรมภาตตะวันอกเฉียงเหนือ-กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (สมาชิก Sciene Park), กลุ่ม Smart famer ขอนแก่น, กลุ่ม Startup ขอนแก่น และกลุ่มนักศึกษา Startup เพื่อนําเสนอภารกิจของอุทยานวิทยาศาสตร์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ช่วยตอบโจทย์นโนบายรัฐบาลได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังได้รับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะของภาคเอกชน
จากนั้น ดร.สุวิทย์ฯ ได้แถลงข่าวภาพรวมของอุทยานวิทยาศาสตร์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ “mMilk” นมน้ําตาลแลคโตส 0% มีโปรตีนเบต้าเคซีนชนิดเอทู (A2)ผลงานวิจัยร่วมระหว่าง บริษัท แมรี่แอน แดรี่ โปรดักส์ จํากัด และทีมนักวิจัยคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น นมทางเลือกใหม่ ที่ดื่มแล้วไม่แพ้ ดูดซึมได้เร็ว สบายท้องผลงานเด่นวิจัยร่วมกับภาคเอกชน ภายใต้การสนับสนุนของอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่สามารถนํามายกระดับการพัฒนาคุณภาพและเพิ่มมูลค่าน้ํานมดิบ เหมาะที่จะนํามาผลิตนมฟังก์ชันให้กับผู้บริโภคกลุ่มห่วงใยสุขภาพและกลุ่มที่แพ้นมโค เพื่อผลิตให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มคนไทยที่ห่วงใยสุขภาพ (Niche market)
ดร.สุวิทย์ฯ กล่าวว่า อุทยานวิทยาศาสตร์ฯ เป็นกลไกสําคัญของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯในการเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการ ที่ผ่านมา ผลงานเด่นของอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ได้มีความร่วมมือ3ฝ่าย ได้แก่ภาครัฐ สถาบันการศึกษา และเอกชน ซึ่งร่วมมือดําเนินการวิจัยและพัฒนาเพื่อส่งเสริมผลงานวิจัยให้กับเอกชนสามารถต่อยอดเชิงพาณิชย์ ผ่านกลไลการดําเนินการของอุทยานวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ภายใต้แผนงานวิจัยร่วมกับภาคเอกชน หรือที่เรียกว่าCollaborative Researchซึ่งดําเนินการร่วมกับบริษัท แมรี่แอน แดรี่ โปรดักส์ จํากัด ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปจากนมโคสดแท้100 %ที่มีคุณภาพสูงประกอบด้วยโปรตีนเบต้าเคซีนชนิดเอทู (A2)ภายใต้ชื่อสินค้า “mMilk”โดยนมA2นี้จะเป็นทางเลือกใหม่สําหรับคนดื่มนม โดยนมA2นี้ที่ดูดซึมได้เร็ว สบายท้อง ที่สําคัญคือปราศจากโปรตีนชนิดที่ก่อให้เกิดการแพ้ซึ่งจะทําให้คนไทยจะได้รับประทานผลิตภัณฑ์แปรรูปจากโคนมที่มีคุณภาพและราคาไม่แพง
นมA2เกิดจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งมี รศ.ดร.มนต์ชัย ดวงจินดา คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นหัวหน้าโครงการได้ทําการศึกษาเพื่อค้นหาเครื่องหมายพันธุกรรมของเบต้าเคซีนชนิดเอสอง (A2β-casein type)ซึ่งผลการวิจัยทําให้เอกชนมีความสามารถในการคัดเลือกแม่โคด้วยGenetic markerที่ระบุจีโนไทป์A2เพื่อสร้างและขยายฝูงโคนมที่ผลิตนมชนิดA2เพิ่มขึ้นท้ายสุดผลวิจัยนี้ทําให้เพิ่มศักยภาพของเอกชนด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์นมน้ําตาลแลคโตส0 %เป็นนมที่ดื่มได้อย่างสบายท้อง เพราะย่อยง่าย และสามารถดูดซึมคุณค่าสารอาหารธรรมชาติ จากนมโคแท้100 %ได้มากกว่านมปกติทั่วไป เหมาะสําหรับทุกคนในครอบครัวและผู้ที่แพ้น้ําตาลแลคโตส จึงทําให้ผู้ที่บริโภคน้ํานมดังกล่าวมีสุขภาพดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับผู้สูงวัย กับผู้ที่ห่วงใยในสุขภาพของตนเอง
“mMilk”ชนิดเอทู (A2)ที่ได้รับการสนับสนุนจากอุทยานวิทยาศาสตร์ ม.ขอนแก่น นี้ ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในปี2561ที่นอกจากจะสร้างศักยภาพการแข่งขันให้เอกชนเข้มแข็งแล้ว ถือว่าเป็นนวัตกรรมที่สามารถนํามายกระดับการพัฒนาคุณภาพและเพิ่มมูลค่าน้ํานมดิบ เหมาะที่จะนํามาผลิตนมฟังก์ชันให้กับผู้บริโภคกลุ่มห่วงใยสุขภาพและกลุ่มที่แพ้นมโค เพื่อผลิตให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มคนไทยที่ห่วงใยสุขภาพ (Niche market)และเป็นหนทางในการเพิ่มมูลค่าน้ํานมเพื่อเกษตรกรไทย (Value added)รวมถึงเป็นแนวทางในการรับมือผลกระทบของประชาคมเศรษฐกิจอาเชียน ที่สําคัญ ผลงานดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อชุมชนคือรายได้ที่สูงขึ้นของกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในพื้นที่ได้แก่ร้อยเอ็ด อุดรธานี นครราชสีมา รวมถึงในภาคกลางและใต้ทั้งราชบุรีและนครศรีธรรมราชรวมกว่า1,200ครอบครัว รับซื้อน้ํานมดิบได้วันละ300ตันที่ได้ราคาสูงขึ้นและต่อเนื่อง รวมถึงเกิดการจ้างงานชุมชน ทั้งนี้ทางเอกชนยังมีแผนลงทุนเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยขยายขนาดพื้นที่โรงงาน จํานวน60ไร่ ที่สามารถรับรองโรงงานผลิตขนาด2,500ตารางเมตร ซึ่งจะมีคลังสินค้ากว่า8,000ตารางเมตร อีกทั้งยังจะส่งเสริมให้มีศูนย์รับน้ํานมดิบจากเกษตรกรเป็นของตัวเองด้วย”
ทั้งนี้เอกชนและมหาวิทยาลัย ยังวางแผนเรื่องความยั่งยืนร่วมกัน โดยได้มีการลงนามความร่วมมือระหว่างคณะเกษตรศาสตร์ ม.ขอนแก่น กับ บริษัท แมรี่ แอนด์ แดรี่ โปรดักส์ จํากัด ในการร่วมมือทางวิชาการและการวิจัย ได้ใช้สถานีทดลองที่มีชื่อว่าสถานีทดลองและฝึกอบรมเกษตรกรรมร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด เพื่อใช้เป็นสถานที่บริการฝึกอบรมนักศึกษาและเกษตรกรสร้างคนในอุตสาหกรรมแปรรูปน้ํานม นอกจากนี้ได้จัดตั้งเป็นศูนย์สาธิตและฝึกอบรมการเลี้ยงโคนมขึ้น และมีการพัฒนาให้เป็นสถานีฝึกอบรมและวิจัยด้านโคนมและการแปรรูปน้ํานมในรูปแบบพึ่งตนเอง โดยเฉพาะการสร้างองค์ความรู้ในการผลิตโคนมกับเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการผลิตนมที่เป็นผลิตภัณฑ์นมตัวใหม่ เพื่อสุขภาพ โดยใช้นวัตกรรมจากผลงานวิจัยของ ม.ขอนแก่น และก้าวสู้การเป็นผู้นําด้านการตลาดที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคคนไทยอย่างแท้จริง
นอกจากนั้น ยังมีผลงานอื่นๆ ที่ดําเนินการร่วมกับภาคเอกชน อาทิผลิตภัณฑ์อุปกรณ์รักษาระดับแรงดันไฟฟ้ารถยนต์ (Car Voltage Stabilizer)ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันความเสียหายที่สามารถเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ต่าง ๆ ของรถยนต์,ผลิตภัณฑ์เครื่องดนตรีจากไม้ไผ่ขดเครื่องดนตรีจากไม้ไผ่ขด ที่เกิดการนําเอาภูมิปัญญาไม้ไผ่ขดซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่ได้จากกระบวนการทําเครื่องเขิน ผลงานวิจัย ภูมิปัญญาไม้ไผ่ขดเพื่อประยุกต์ใช้ในการออกแบบเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย,ผลิตภัณฑ์แคปซูลสมุนไพรดิลิเนียสมุนไพรใหม่ ช่วยนอนหลับ งานวิจัยรางวัลระดับโลก พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยขอนแก่น ผลิตภัณฑ์แคปซูลดิลิเนียByเฮิร์บเวล ช่วยฟื้นฟูความจํา ต้านอัลไซเมอร์ และช่วยในการนอนหลับ ชักนําให้หลับลึกตามวิธีการทางธรรมชาติ,ผลิตภัณฑ์ซุปหน่อไม้กึ่งสําเร็จรูปพร้อมทานเพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคคัดสรรวัตถุดิบจากหน่อไม้ภูเขาเท่านั้น ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษคือ มีความสด กรอบ รสหวานแบบธรรมชาติ ปลอดสารเคมี100%และระบบSocio wifiเป็นเครื่องมือการตลาดที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้เครือข่ายวายฟาย (WiFi)โดยเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ร้านค้า ธุรกิจ หรือองค์กรให้บริการวายฟาย (WiFi)กับลูกค้าได้อย่างปลอดภัย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ แถลงข่าวการดำเนินงานอุทยานวิทย์ฯ ภาคอีสาน พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “mMilk” ชนิด A2 ดื่มแล้วไม่แพ้
วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม 2561
ดร.สุวิทย์ แถลงข่าวการดําเนินงานอุทยานวิทย์ฯ ภาคอีสาน พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “mMilk” ชนิด A2 ดื่มแล้วไม่แพ้
เปิดตัวนมทางเลือกใหม่ “A2” ดื่มแล้วไม่แพ้ ดูดซึมได้เร็ว สบายท้อง ผลงานเด่นวิจัยร่วมกับภาคเอกชน
ดร.สุวิทย์ฯ ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พร้อมเปิดตัวนมทางเลือกใหม่ “A2” ดื่มแล้วไม่แพ้ ดูดซึมได้เร็ว สบายท้องผลงานเด่นวิจัยร่วมกับภาคเอกชน นอกจากนั้นยังมีของดีอีกเพียบทั้งซุปหน่อไม้กึ่งสําเร็จรูปพร้อมทานผลิตภัณฑ์อุปกรณ์รักษาระดับแรงดันไฟฟ้ารถยนต์ผลิตภัณฑ์เครื่องดนตรีจากไม้ไผ่ขดแคปซูลสมุนไพรดิลิเนีย
21กันยายน ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น / ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เดินทางลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภายใต้การสนับสนุนของสํานักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ (สอว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกลไกเชื่อมกับผู้ประกอบการที่สามารถสร้างนวัตกรรมใหม่และมุ่งเน้นการสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร, อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพ, อุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ดิจิทัล และอิเล็กทรอนิคส์ ในโอกาสนี้ ดร.สุวิทย์ฯ ได้หารือในประเด็นเรื่อง "การเชื่อมโยงอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคกับการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" ร่วมกับภาคเอกชนในพื้นที่ ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมขอนแก่น, หอการค้าจังหวัดขอนแก่น, สภาอุตสาหกรรมอุดรธานี, สภาอุตสาหกรรมมหาสารคาม, กลุ่มสภาอุตสาหกรรมด้าน Bio Economy, กลุ่มขอนแก่นพัฒนาเมือง (KKTT), กลุ่มสมาคมซอฟต์แวร์และธุรกิจนวัตกรรมภาตตะวันอกเฉียงเหนือ-กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (สมาชิก Sciene Park), กลุ่ม Smart famer ขอนแก่น, กลุ่ม Startup ขอนแก่น และกลุ่มนักศึกษา Startup เพื่อนําเสนอภารกิจของอุทยานวิทยาศาสตร์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ช่วยตอบโจทย์นโนบายรัฐบาลได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังได้รับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะของภาคเอกชน
จากนั้น ดร.สุวิทย์ฯ ได้แถลงข่าวภาพรวมของอุทยานวิทยาศาสตร์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ “mMilk” นมน้ําตาลแลคโตส 0% มีโปรตีนเบต้าเคซีนชนิดเอทู (A2)ผลงานวิจัยร่วมระหว่าง บริษัท แมรี่แอน แดรี่ โปรดักส์ จํากัด และทีมนักวิจัยคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น นมทางเลือกใหม่ ที่ดื่มแล้วไม่แพ้ ดูดซึมได้เร็ว สบายท้องผลงานเด่นวิจัยร่วมกับภาคเอกชน ภายใต้การสนับสนุนของอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่สามารถนํามายกระดับการพัฒนาคุณภาพและเพิ่มมูลค่าน้ํานมดิบ เหมาะที่จะนํามาผลิตนมฟังก์ชันให้กับผู้บริโภคกลุ่มห่วงใยสุขภาพและกลุ่มที่แพ้นมโค เพื่อผลิตให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มคนไทยที่ห่วงใยสุขภาพ (Niche market)
ดร.สุวิทย์ฯ กล่าวว่า อุทยานวิทยาศาสตร์ฯ เป็นกลไกสําคัญของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯในการเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการ ที่ผ่านมา ผลงานเด่นของอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ได้มีความร่วมมือ3ฝ่าย ได้แก่ภาครัฐ สถาบันการศึกษา และเอกชน ซึ่งร่วมมือดําเนินการวิจัยและพัฒนาเพื่อส่งเสริมผลงานวิจัยให้กับเอกชนสามารถต่อยอดเชิงพาณิชย์ ผ่านกลไลการดําเนินการของอุทยานวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ภายใต้แผนงานวิจัยร่วมกับภาคเอกชน หรือที่เรียกว่าCollaborative Researchซึ่งดําเนินการร่วมกับบริษัท แมรี่แอน แดรี่ โปรดักส์ จํากัด ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปจากนมโคสดแท้100 %ที่มีคุณภาพสูงประกอบด้วยโปรตีนเบต้าเคซีนชนิดเอทู (A2)ภายใต้ชื่อสินค้า “mMilk”โดยนมA2นี้จะเป็นทางเลือกใหม่สําหรับคนดื่มนม โดยนมA2นี้ที่ดูดซึมได้เร็ว สบายท้อง ที่สําคัญคือปราศจากโปรตีนชนิดที่ก่อให้เกิดการแพ้ซึ่งจะทําให้คนไทยจะได้รับประทานผลิตภัณฑ์แปรรูปจากโคนมที่มีคุณภาพและราคาไม่แพง
นมA2เกิดจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งมี รศ.ดร.มนต์ชัย ดวงจินดา คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นหัวหน้าโครงการได้ทําการศึกษาเพื่อค้นหาเครื่องหมายพันธุกรรมของเบต้าเคซีนชนิดเอสอง (A2β-casein type)ซึ่งผลการวิจัยทําให้เอกชนมีความสามารถในการคัดเลือกแม่โคด้วยGenetic markerที่ระบุจีโนไทป์A2เพื่อสร้างและขยายฝูงโคนมที่ผลิตนมชนิดA2เพิ่มขึ้นท้ายสุดผลวิจัยนี้ทําให้เพิ่มศักยภาพของเอกชนด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์นมน้ําตาลแลคโตส0 %เป็นนมที่ดื่มได้อย่างสบายท้อง เพราะย่อยง่าย และสามารถดูดซึมคุณค่าสารอาหารธรรมชาติ จากนมโคแท้100 %ได้มากกว่านมปกติทั่วไป เหมาะสําหรับทุกคนในครอบครัวและผู้ที่แพ้น้ําตาลแลคโตส จึงทําให้ผู้ที่บริโภคน้ํานมดังกล่าวมีสุขภาพดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับผู้สูงวัย กับผู้ที่ห่วงใยในสุขภาพของตนเอง
“mMilk”ชนิดเอทู (A2)ที่ได้รับการสนับสนุนจากอุทยานวิทยาศาสตร์ ม.ขอนแก่น นี้ ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในปี2561ที่นอกจากจะสร้างศักยภาพการแข่งขันให้เอกชนเข้มแข็งแล้ว ถือว่าเป็นนวัตกรรมที่สามารถนํามายกระดับการพัฒนาคุณภาพและเพิ่มมูลค่าน้ํานมดิบ เหมาะที่จะนํามาผลิตนมฟังก์ชันให้กับผู้บริโภคกลุ่มห่วงใยสุขภาพและกลุ่มที่แพ้นมโค เพื่อผลิตให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มคนไทยที่ห่วงใยสุขภาพ (Niche market)และเป็นหนทางในการเพิ่มมูลค่าน้ํานมเพื่อเกษตรกรไทย (Value added)รวมถึงเป็นแนวทางในการรับมือผลกระทบของประชาคมเศรษฐกิจอาเชียน ที่สําคัญ ผลงานดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อชุมชนคือรายได้ที่สูงขึ้นของกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในพื้นที่ได้แก่ร้อยเอ็ด อุดรธานี นครราชสีมา รวมถึงในภาคกลางและใต้ทั้งราชบุรีและนครศรีธรรมราชรวมกว่า1,200ครอบครัว รับซื้อน้ํานมดิบได้วันละ300ตันที่ได้ราคาสูงขึ้นและต่อเนื่อง รวมถึงเกิดการจ้างงานชุมชน ทั้งนี้ทางเอกชนยังมีแผนลงทุนเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยขยายขนาดพื้นที่โรงงาน จํานวน60ไร่ ที่สามารถรับรองโรงงานผลิตขนาด2,500ตารางเมตร ซึ่งจะมีคลังสินค้ากว่า8,000ตารางเมตร อีกทั้งยังจะส่งเสริมให้มีศูนย์รับน้ํานมดิบจากเกษตรกรเป็นของตัวเองด้วย”
ทั้งนี้เอกชนและมหาวิทยาลัย ยังวางแผนเรื่องความยั่งยืนร่วมกัน โดยได้มีการลงนามความร่วมมือระหว่างคณะเกษตรศาสตร์ ม.ขอนแก่น กับ บริษัท แมรี่ แอนด์ แดรี่ โปรดักส์ จํากัด ในการร่วมมือทางวิชาการและการวิจัย ได้ใช้สถานีทดลองที่มีชื่อว่าสถานีทดลองและฝึกอบรมเกษตรกรรมร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด เพื่อใช้เป็นสถานที่บริการฝึกอบรมนักศึกษาและเกษตรกรสร้างคนในอุตสาหกรรมแปรรูปน้ํานม นอกจากนี้ได้จัดตั้งเป็นศูนย์สาธิตและฝึกอบรมการเลี้ยงโคนมขึ้น และมีการพัฒนาให้เป็นสถานีฝึกอบรมและวิจัยด้านโคนมและการแปรรูปน้ํานมในรูปแบบพึ่งตนเอง โดยเฉพาะการสร้างองค์ความรู้ในการผลิตโคนมกับเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการผลิตนมที่เป็นผลิตภัณฑ์นมตัวใหม่ เพื่อสุขภาพ โดยใช้นวัตกรรมจากผลงานวิจัยของ ม.ขอนแก่น และก้าวสู้การเป็นผู้นําด้านการตลาดที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคคนไทยอย่างแท้จริง
นอกจากนั้น ยังมีผลงานอื่นๆ ที่ดําเนินการร่วมกับภาคเอกชน อาทิผลิตภัณฑ์อุปกรณ์รักษาระดับแรงดันไฟฟ้ารถยนต์ (Car Voltage Stabilizer)ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันความเสียหายที่สามารถเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ต่าง ๆ ของรถยนต์,ผลิตภัณฑ์เครื่องดนตรีจากไม้ไผ่ขดเครื่องดนตรีจากไม้ไผ่ขด ที่เกิดการนําเอาภูมิปัญญาไม้ไผ่ขดซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่ได้จากกระบวนการทําเครื่องเขิน ผลงานวิจัย ภูมิปัญญาไม้ไผ่ขดเพื่อประยุกต์ใช้ในการออกแบบเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย,ผลิตภัณฑ์แคปซูลสมุนไพรดิลิเนียสมุนไพรใหม่ ช่วยนอนหลับ งานวิจัยรางวัลระดับโลก พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยขอนแก่น ผลิตภัณฑ์แคปซูลดิลิเนียByเฮิร์บเวล ช่วยฟื้นฟูความจํา ต้านอัลไซเมอร์ และช่วยในการนอนหลับ ชักนําให้หลับลึกตามวิธีการทางธรรมชาติ,ผลิตภัณฑ์ซุปหน่อไม้กึ่งสําเร็จรูปพร้อมทานเพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคคัดสรรวัตถุดิบจากหน่อไม้ภูเขาเท่านั้น ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษคือ มีความสด กรอบ รสหวานแบบธรรมชาติ ปลอดสารเคมี100%และระบบSocio wifiเป็นเครื่องมือการตลาดที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้เครือข่ายวายฟาย (WiFi)โดยเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ร้านค้า ธุรกิจ หรือองค์กรให้บริการวายฟาย (WiFi)กับลูกค้าได้อย่างปลอดภัย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15879
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จัดทีมช่างบริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าช่วยผู้ประสบอุทกภัยพื้นที่ภาคเหนือ
|
วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2559
ก.แรงงาน จัดทีมช่างบริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าช่วยผู้ประสบอุทกภัยพื้นที่ภาคเหนือ
ก.แรงงาน กําชับหน่วยงานในสังกัดเร่งช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือทั้งระยะเร่งด่วน และภายหลังน้ําลด พร้อมรายงานสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ด้านกรมพัฒนาฝีมือแรงงานจัดทีมช่างซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดและสถาบันพัฒนาฝี
หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่าพลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ จึงได้กําชับให้ทุกหน่วยงานในสังกัดเร่งช่วยเหลือประชาชนทั้งระยะเร่งด่วน และภายหลังน้ําลด โดยให้ดําเนินการตามแนวปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือแรงงานที่ประสบภัยธรรมชาติและเดือดร้อนด้านอาชีพ ในกรณีที่มีเหตุด่วนเหตุฉุกเฉินจะเข้าไปดูแลประชาชนร่วมกัน พร้อมทั้งเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และรายงานให้ผู้บริหารทราบเป็นระยะ เบื้องต้นกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ประสานหน่วยงานสังกัดในพื้นที่พร้อมจัดทีมช่างเข้าไปซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายหลังน้ําลดเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชนแล้ว
ปลัดกระทรวงแรงงานกล่าวต่อว่า สําหรับขั้นตอนแนวปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือแรงงานที่ประสบภัยธรรมชาติและเดือดร้อนด้านอาชีพ โดยศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติกระทรวงแรงงานและจังหวัดนั้นมีแนวทางปฏิบัติใน 5 ขั้นตอน คือ ระยะก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย ภายหลังเกิดภัย การรายงานสถานการณ์ และการติดตามผล กล่าวคือ ในขณะเกิดภัยให้ทุกหน่วยงานบูรณาการออกให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยเร่งด่วนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และภายหลังเกิดภัยให้บูรณาการออกตรวจเยี่ยมสถานประกอบการเพื่อดูแลสิทธิประโยชน์ด้านแรงงานให้ลูกจ้าง ดําเนินโครงการจ้างงานเร่งด่วนและพัฒนาทักษะฝีมือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาชีพเพื่อเป็นการเยียวยาหลังประสบภัยให้ประชาชนมีรายได้ยังชีพต่อไป
ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน
ทั่วประเทศ หรือโทรสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506
----------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จัดทีมช่างบริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าช่วยผู้ประสบอุทกภัยพื้นที่ภาคเหนือ
วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2559
ก.แรงงาน จัดทีมช่างบริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าช่วยผู้ประสบอุทกภัยพื้นที่ภาคเหนือ
ก.แรงงาน กําชับหน่วยงานในสังกัดเร่งช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือทั้งระยะเร่งด่วน และภายหลังน้ําลด พร้อมรายงานสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ด้านกรมพัฒนาฝีมือแรงงานจัดทีมช่างซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดและสถาบันพัฒนาฝี
หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่าพลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ จึงได้กําชับให้ทุกหน่วยงานในสังกัดเร่งช่วยเหลือประชาชนทั้งระยะเร่งด่วน และภายหลังน้ําลด โดยให้ดําเนินการตามแนวปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือแรงงานที่ประสบภัยธรรมชาติและเดือดร้อนด้านอาชีพ ในกรณีที่มีเหตุด่วนเหตุฉุกเฉินจะเข้าไปดูแลประชาชนร่วมกัน พร้อมทั้งเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และรายงานให้ผู้บริหารทราบเป็นระยะ เบื้องต้นกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ประสานหน่วยงานสังกัดในพื้นที่พร้อมจัดทีมช่างเข้าไปซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายหลังน้ําลดเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชนแล้ว
ปลัดกระทรวงแรงงานกล่าวต่อว่า สําหรับขั้นตอนแนวปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือแรงงานที่ประสบภัยธรรมชาติและเดือดร้อนด้านอาชีพ โดยศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติกระทรวงแรงงานและจังหวัดนั้นมีแนวทางปฏิบัติใน 5 ขั้นตอน คือ ระยะก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย ภายหลังเกิดภัย การรายงานสถานการณ์ และการติดตามผล กล่าวคือ ในขณะเกิดภัยให้ทุกหน่วยงานบูรณาการออกให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยเร่งด่วนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และภายหลังเกิดภัยให้บูรณาการออกตรวจเยี่ยมสถานประกอบการเพื่อดูแลสิทธิประโยชน์ด้านแรงงานให้ลูกจ้าง ดําเนินโครงการจ้างงานเร่งด่วนและพัฒนาทักษะฝีมือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาชีพเพื่อเป็นการเยียวยาหลังประสบภัยให้ประชาชนมีรายได้ยังชีพต่อไป
ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน
ทั่วประเทศ หรือโทรสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506
----------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/155
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงการคลังร่วมมือขจัดหนี้นอกระบบให้เป็นศูนย์
|
วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2560
สํานักงานตํารวจแห่งชาติ และกระทรวงการคลังร่วมมือขจัดหนี้นอกระบบให้เป็นศูนย์
ผอ.สศค. ร่วมแถลงข่าวกับรองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ในการเดินหน้าปราบปรามเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นการดําเนินงานสืบเนื่องจากนโยบายการขจัดหนี้นอกระบบให้เป็นศูนย์ของรัฐบาล
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ร่วมแถลงข่าวกับ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2560 ณ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ในการเดินหน้าปราบปรามเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นการดําเนินงานสืบเนื่องจากนโยบายการขจัดหนี้นอกระบบให้เป็นศูนย์ของรัฐบาล
สํานักงานตํารวจแห่งชาติได้สั่งการผู้ปฏิบัติงานทุกระดับให้ดําเนินการปราบปรามเจ้าหนี้นอกระบบที่มีพฤติการณ์ผิดกฎหมาย เช่น เรียกดอกเบี้ยเงินกู้เกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งมีความผิดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 ทวงถามหนี้โดยมีการข่มขู่ใช้ความรุนแรงและฝ่าฝืนข้อปฏิบัติต่างๆ ตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 หรือประกอบธุรกิจสินเชื่อในลักษณะเดียวกับสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกํากับ สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ และสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลัง
อันเป็นความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ลงวันที่ 26 มกราคม 2515 และจะพิจารณาใช้กฎหมายอาญาอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมถึงพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ด้วย
ในขณะเดียวกัน กระทรวงการคลังขอเชิญชวนให้ผู้สนใจ ทั้งผู้ที่เป็นเจ้าหนี้นอกระบบและประชาชนทั่วไปที่เล็งเห็นถึงโอกาสการลงทุนในธุรกิจสินเชื่อรายย่อย ได้เข้ามาขออนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยในระบบให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ โดยสามารถจะปล่อยกู้ให้กับประชาชนภายในเขตจังหวัดของตน ไม่เกินรายละ 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย รวมค่าปรับ ค่าธรรมเนียม และค่าบริการ ได้ไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (แบบลดต้นลดดอก) ทั้งนี้ สามารถยื่นคําขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์กับกระทรวงการคลัง ผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ สาขาของธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และที่สํานักงานเศรษฐกิจการคลังโดยสามารถสอบถามเพิ่มเติมติดต่อ โทรศัพท์สายด่วน 1359 หรือทางเว็บไซต์ www.1359.in.th
สํานักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทรศัพท์สายด่วน 1359
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงการคลังร่วมมือขจัดหนี้นอกระบบให้เป็นศูนย์
วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2560
สํานักงานตํารวจแห่งชาติ และกระทรวงการคลังร่วมมือขจัดหนี้นอกระบบให้เป็นศูนย์
ผอ.สศค. ร่วมแถลงข่าวกับรองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ในการเดินหน้าปราบปรามเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นการดําเนินงานสืบเนื่องจากนโยบายการขจัดหนี้นอกระบบให้เป็นศูนย์ของรัฐบาล
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ร่วมแถลงข่าวกับ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2560 ณ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ในการเดินหน้าปราบปรามเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นการดําเนินงานสืบเนื่องจากนโยบายการขจัดหนี้นอกระบบให้เป็นศูนย์ของรัฐบาล
สํานักงานตํารวจแห่งชาติได้สั่งการผู้ปฏิบัติงานทุกระดับให้ดําเนินการปราบปรามเจ้าหนี้นอกระบบที่มีพฤติการณ์ผิดกฎหมาย เช่น เรียกดอกเบี้ยเงินกู้เกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งมีความผิดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 ทวงถามหนี้โดยมีการข่มขู่ใช้ความรุนแรงและฝ่าฝืนข้อปฏิบัติต่างๆ ตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 หรือประกอบธุรกิจสินเชื่อในลักษณะเดียวกับสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกํากับ สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ และสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลัง
อันเป็นความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ลงวันที่ 26 มกราคม 2515 และจะพิจารณาใช้กฎหมายอาญาอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมถึงพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ด้วย
ในขณะเดียวกัน กระทรวงการคลังขอเชิญชวนให้ผู้สนใจ ทั้งผู้ที่เป็นเจ้าหนี้นอกระบบและประชาชนทั่วไปที่เล็งเห็นถึงโอกาสการลงทุนในธุรกิจสินเชื่อรายย่อย ได้เข้ามาขออนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยในระบบให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ โดยสามารถจะปล่อยกู้ให้กับประชาชนภายในเขตจังหวัดของตน ไม่เกินรายละ 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย รวมค่าปรับ ค่าธรรมเนียม และค่าบริการ ได้ไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (แบบลดต้นลดดอก) ทั้งนี้ สามารถยื่นคําขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์กับกระทรวงการคลัง ผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ สาขาของธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และที่สํานักงานเศรษฐกิจการคลังโดยสามารถสอบถามเพิ่มเติมติดต่อ โทรศัพท์สายด่วน 1359 หรือทางเว็บไซต์ www.1359.in.th
สํานักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทรศัพท์สายด่วน 1359
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2805
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ครั้งที่ 2
|
วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2560
ผลการจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ครั้งที่ 2
ผลการจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ครั้งที่ 2
ตามที่กระทรวงการคลังโดยสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะได้ดําเนินการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 โดยการออกพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ครั้งที่ 2 จํานวนรวม 18,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ แบ่งเป็น 2 รุ่น คือ รุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ร้อยละ 2.35 ต่อปี และรุ่นอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ร้อยละ 3.00 ต่อปี จําหน่ายระหว่างวันที่ 8 พฤษภาคม 2560 – 31 สิงหาคม 2560 เพื่อเป็นการส่งเสริมการออมของประชาชนทั่วไป และเป็นทางเลือกในการลงทุนที่มั่นคง ไม่มีความเสี่ยง ได้รับดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทนที่แน่นอนในอัตราที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก นั้น
ขณะนี้พันธบัตรออมทรัพย์ดังกล่าว จําหน่ายครบวงเงินแล้ว เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2560 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะจึงขอขอบคุณประชาชนและนักลงทุนรายย่อยทุกท่านที่ให้ความสนใจลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง โดยผลการจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์มียอดสะสมตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2560 - 25 พฤษภาคม 2560 จํานวน 18,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 100 ของวงเงินจําหน่าย ดังนี้
สําหรับประชาชนที่มีความประสงค์จะลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์ในครั้งต่อไปนั้น กระทรวงการคลังจะประกาศแผนการจําหน่ายให้ทราบล่วงหน้าต่อไป
สํานักจัดการหนี้ 1 ส่วนจัดการเงินกู้รัฐบาล 1 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2265 8050 ต่อ 5308
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ครั้งที่ 2
วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2560
ผลการจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ครั้งที่ 2
ผลการจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ครั้งที่ 2
ตามที่กระทรวงการคลังโดยสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะได้ดําเนินการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 โดยการออกพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ครั้งที่ 2 จํานวนรวม 18,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ แบ่งเป็น 2 รุ่น คือ รุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ร้อยละ 2.35 ต่อปี และรุ่นอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ร้อยละ 3.00 ต่อปี จําหน่ายระหว่างวันที่ 8 พฤษภาคม 2560 – 31 สิงหาคม 2560 เพื่อเป็นการส่งเสริมการออมของประชาชนทั่วไป และเป็นทางเลือกในการลงทุนที่มั่นคง ไม่มีความเสี่ยง ได้รับดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทนที่แน่นอนในอัตราที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก นั้น
ขณะนี้พันธบัตรออมทรัพย์ดังกล่าว จําหน่ายครบวงเงินแล้ว เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2560 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะจึงขอขอบคุณประชาชนและนักลงทุนรายย่อยทุกท่านที่ให้ความสนใจลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง โดยผลการจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์มียอดสะสมตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2560 - 25 พฤษภาคม 2560 จํานวน 18,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 100 ของวงเงินจําหน่าย ดังนี้
สําหรับประชาชนที่มีความประสงค์จะลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์ในครั้งต่อไปนั้น กระทรวงการคลังจะประกาศแผนการจําหน่ายให้ทราบล่วงหน้าต่อไป
สํานักจัดการหนี้ 1 ส่วนจัดการเงินกู้รัฐบาล 1 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2265 8050 ต่อ 5308
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4362
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส.จับมือกรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ บูรณาการเชื่อมโยงข้อมูล พัฒนาความเข้มแข็งให้กับกระบวนการสหกรณ์
|
วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม 2560
ธ.ก.ส.จับมือกรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ บูรณาการเชื่อมโยงข้อมูล พัฒนาความเข้มแข็งให้กับกระบวนการสหกรณ์
ธ.ก.ส. ร่วมลงนามกับ กรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ เชื่อมโยงข้อมูลสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรหนุนนโยบายภาครัฐ มุ่งเน้นให้สหกรณ์เป็นกลไกแก้ปัญหาภาคเกษตรและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เล็งปล่อยสินเชื่อ 100,000 ล้านบาท สร้างความเข้มแข็งให้ระบบสหกรณ์
วันนี้ (26 มกราคม 2560) ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สํานักงานใหญ่ บางเขน ได้มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจการเชื่อมโยงการจัดการฐานข้อมูลสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรระหว่างกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และ ธ.ก.ส. เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรในการพัฒนาความเข้มแข็งและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน พัฒนาอาชีพและคุณภาพชีวิตของสมาชิก การทําธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นางบริสุทธิ์ เปรมประพันธ์ อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และนายอภิรมย์ สุขประเสริฐ รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. เป็นผู้ลงนาม
ดร.วิณะโรจน์ กล่าวว่า กรมส่งเสริมสหกรณ์จะช่วยสนับสนุนและให้ความร่วมมือทางด้านข้อมูลสารสนเทศประกอบด้วย สถานะของสหกรณ์ การบริหารจัดการ การดําเนินธุรกิจการจัดชั้นมาตรฐาน พัฒนาความเข้มแข็งของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร รวมถึงสนับสนุนทางด้านวิชาการต่าง ๆ เพื่อให้องค์กรของเกษตรกรมีความมั่นคงก้าวหน้าอย่างยั่งยืน
นางบริสุทธิ์ กล่าวว่า กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ จะช่วยสนับสนุนข้อมูลสารสนเทศทางการเงินของกลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์ ทั้งงบแสดงฐานะการเงิน งบกําไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด รวมทั้งข้อมูลการจัดชั้นคุณภาพการควบคุมภายในและอัตราส่วนทางการเงินเฉลี่ย ไปจนถึงสนับสนุนทางด้านวิชาการ
การให้คําปรึกษาการพัฒนาและเชื่อมโยงข้อมูลที่กรมตรวจบัญชีสหกรณ์มีอยู่ ซึ่งจะทําให้ประสิทธิภาพการทํางานของส่วนงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มสูงขึ้น
“ธ.ก.ส.พร้อมสนับสนุนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เทคโนโลยีและพัฒนาฐานข้อมูล โดยร่วมมือกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ในการพัฒนาสร้างความเข้มแข็งให้กับกระบวนการสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรทั้งระบบ มุ่งเน้นการพัฒนาองค์กร บุคลากร ระบบงาน สมาชิกของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร เน้นกลยุทธ์พัฒนานํา อํานวยสินเชื่อตาม สร้างความเข้มแข็ง ตรวจสอบได้ พร้อมออกแบบผลิตภัณฑ์รองรับให้ตรงกับความต้องการ เพื่อสร้างโอกาสให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนต้นทุนต่ํา เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยตั้งเป้าหมายในการสนับสนุนสินเชื่อผ่านสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่มีศักยภาพในปีบัญชี 2560 จํานวน 100,000 ล้านบาท” นายอภิรมย์กล่าว
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส.จับมือกรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ บูรณาการเชื่อมโยงข้อมูล พัฒนาความเข้มแข็งให้กับกระบวนการสหกรณ์
วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม 2560
ธ.ก.ส.จับมือกรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ บูรณาการเชื่อมโยงข้อมูล พัฒนาความเข้มแข็งให้กับกระบวนการสหกรณ์
ธ.ก.ส. ร่วมลงนามกับ กรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ เชื่อมโยงข้อมูลสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรหนุนนโยบายภาครัฐ มุ่งเน้นให้สหกรณ์เป็นกลไกแก้ปัญหาภาคเกษตรและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เล็งปล่อยสินเชื่อ 100,000 ล้านบาท สร้างความเข้มแข็งให้ระบบสหกรณ์
วันนี้ (26 มกราคม 2560) ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สํานักงานใหญ่ บางเขน ได้มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจการเชื่อมโยงการจัดการฐานข้อมูลสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรระหว่างกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และ ธ.ก.ส. เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรในการพัฒนาความเข้มแข็งและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน พัฒนาอาชีพและคุณภาพชีวิตของสมาชิก การทําธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นางบริสุทธิ์ เปรมประพันธ์ อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และนายอภิรมย์ สุขประเสริฐ รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. เป็นผู้ลงนาม
ดร.วิณะโรจน์ กล่าวว่า กรมส่งเสริมสหกรณ์จะช่วยสนับสนุนและให้ความร่วมมือทางด้านข้อมูลสารสนเทศประกอบด้วย สถานะของสหกรณ์ การบริหารจัดการ การดําเนินธุรกิจการจัดชั้นมาตรฐาน พัฒนาความเข้มแข็งของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร รวมถึงสนับสนุนทางด้านวิชาการต่าง ๆ เพื่อให้องค์กรของเกษตรกรมีความมั่นคงก้าวหน้าอย่างยั่งยืน
นางบริสุทธิ์ กล่าวว่า กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ จะช่วยสนับสนุนข้อมูลสารสนเทศทางการเงินของกลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์ ทั้งงบแสดงฐานะการเงิน งบกําไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด รวมทั้งข้อมูลการจัดชั้นคุณภาพการควบคุมภายในและอัตราส่วนทางการเงินเฉลี่ย ไปจนถึงสนับสนุนทางด้านวิชาการ
การให้คําปรึกษาการพัฒนาและเชื่อมโยงข้อมูลที่กรมตรวจบัญชีสหกรณ์มีอยู่ ซึ่งจะทําให้ประสิทธิภาพการทํางานของส่วนงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มสูงขึ้น
“ธ.ก.ส.พร้อมสนับสนุนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เทคโนโลยีและพัฒนาฐานข้อมูล โดยร่วมมือกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ในการพัฒนาสร้างความเข้มแข็งให้กับกระบวนการสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรทั้งระบบ มุ่งเน้นการพัฒนาองค์กร บุคลากร ระบบงาน สมาชิกของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร เน้นกลยุทธ์พัฒนานํา อํานวยสินเชื่อตาม สร้างความเข้มแข็ง ตรวจสอบได้ พร้อมออกแบบผลิตภัณฑ์รองรับให้ตรงกับความต้องการ เพื่อสร้างโอกาสให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนต้นทุนต่ํา เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยตั้งเป้าหมายในการสนับสนุนสินเชื่อผ่านสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่มีศักยภาพในปีบัญชี 2560 จํานวน 100,000 ล้านบาท” นายอภิรมย์กล่าว
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1481
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. นายเทวัญ ฯ รับข้อเสนอเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิตและเหยื่อผู้ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ขอให้มีมาตรการจัดการผู้กระทำผิดอย่างเข้มงวด ช่วยเหลือเยียวยาเหยื่ออย่างจริงจัง
|
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน 2562
รมต.นร. นายเทวัญ ฯ รับข้อเสนอเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิตและเหยื่อผู้ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ขอให้มีมาตรการจัดการผู้กระทําผิดอย่างเข้มงวด ช่วยเหลือเยียวยาเหยื่ออย่างจริงจัง
รมต.นร. นายเทวัญ ฯ รับข้อเสนอเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต และเหยื่อผู้ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ขอให้มีมาตรการจัดการผู้กระทําผิดอย่างเข้มงวด และช่วยเหลือเยียวยาเหยื่ออย่างจริงจัง
วันนี้ (10.00 น.) ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ (ตึก ก.พ.เดิม) ทําเนียบรัฐบาล นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เดินทางไปพบปะผู้แทนเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต และเหยื่อผู้ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุบนท้องถนน กว่า 30 คน นําโดยนางสาวเครือมาศ ศรีจันทร์ ผู้ประสานงานเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต และนายเจษฎา แย้มสบาย ประธานเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ กทม. ที่เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในเดือนรณรงค์ “วันเหยื่อโลก” เพื่อขอให้รัฐบาลยกระดับความเข้มข้นในการป้องกันและแก้ปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนอย่างจริงจัง โดยเครือข่ายฯ ได้นํารองเท้า 60 คู่ มาจัดวางเป็นอักษรภาษาอังกฤษ “STOP VICTIM” เพื่อระลึกถึงผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่มีมากถึง 60 คนต่อวันในประเทศไทย
โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบหนังสือจากเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต และเหยื่อผู้ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุบนท้องถนน นางสาวเครือมาศฯ กล่าวว่า โอกาสที่สหประชาชาติได้กําหนดให้วันอาทิตย์ที่สวามของเดือนพฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันเหยื่อโลก “World Victims Day” ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 17 พฤศจิกายน และยังเป็นปีที่ครบรอบทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน เครือข่ายฯ จึงเสนอแนวทางการแก้ปัญหาแก่รัฐบาล 4 ข้อ ดังนี้
1. ขอให้รัฐบาลนํานโยบายไปปฏิบัติเป็นรูปธรรม เข้มงวดกวดขันการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างวินัยการจราจรและลดอุบัติเหตุ
2. กรณีอุบัติเหตุที่เกิดจากการดื่มแล้วขับ ขอให้มีการปรับปรุงบทลงโทษให้ถึงขั้นมีโทษจําคุก 15-20 ปี รวมถึงมีนโยบายเอาผิดไปถึงผู้ขายแอลกอฮอร์ให้เด็กอายุต่ํากว่า 20 ปี และขายแก่คนเมาที่ครองสติไม่ได้
3. ขอให้มีการเพิ่มประสิทธิภาพในการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหาย ทั้งในด้านงบประมาณตลอดจนการฟิ้นฟูสภาพจิตใจผู้เสียหายและครอบครัว
4. ขอให้เร่งศึกษาปัญหาความล่าช้าและความยากลําบากของผู้เสียหายจากอุบัติเหตุในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม เพื่อกําหนดมาตรการแก้ไขที่เป็นรูปธรรม นําไปสู่ความเท่าเทียมกันในสังคม
“รัฐบาลมีความใส่ใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะการเกิดอุบัติเหตุทุกครั้งเท่ากับเป็นการสูญเสียบุคลากรของประเทศ สูญเสียทรัพยากร สูญเสียความสามารถในการดํารงชีพ และยังสูญเสียทางเศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเฉลี่ย 60 รายต่อวัน หรือกว่า 20,000 รายต่อปี ผู้พิการประมาณ 40,000 รายต่อปี อีกทั้งสถิติระบุว่าประเทศไทยอยู่ลําดับที่ 9 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของอาเซียนที่มีการเกิดอุบัติเหตุมากที่สุด ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วง ผมเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องที่เสนอมาทั้งเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย และการฟื้นฟูเยียวยา และขอรณรงค์ให้ทุกท่านร่วมกัน “เมาไม่ขับ” โดยเฉพาะช่วงเทศกาลที่ใกล้เข้ามา” รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. นายเทวัญ ฯ รับข้อเสนอเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิตและเหยื่อผู้ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ขอให้มีมาตรการจัดการผู้กระทำผิดอย่างเข้มงวด ช่วยเหลือเยียวยาเหยื่ออย่างจริงจัง
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน 2562
รมต.นร. นายเทวัญ ฯ รับข้อเสนอเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิตและเหยื่อผู้ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ขอให้มีมาตรการจัดการผู้กระทําผิดอย่างเข้มงวด ช่วยเหลือเยียวยาเหยื่ออย่างจริงจัง
รมต.นร. นายเทวัญ ฯ รับข้อเสนอเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต และเหยื่อผู้ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ขอให้มีมาตรการจัดการผู้กระทําผิดอย่างเข้มงวด และช่วยเหลือเยียวยาเหยื่ออย่างจริงจัง
วันนี้ (10.00 น.) ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ (ตึก ก.พ.เดิม) ทําเนียบรัฐบาล นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เดินทางไปพบปะผู้แทนเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต และเหยื่อผู้ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุบนท้องถนน กว่า 30 คน นําโดยนางสาวเครือมาศ ศรีจันทร์ ผู้ประสานงานเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต และนายเจษฎา แย้มสบาย ประธานเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ กทม. ที่เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในเดือนรณรงค์ “วันเหยื่อโลก” เพื่อขอให้รัฐบาลยกระดับความเข้มข้นในการป้องกันและแก้ปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนอย่างจริงจัง โดยเครือข่ายฯ ได้นํารองเท้า 60 คู่ มาจัดวางเป็นอักษรภาษาอังกฤษ “STOP VICTIM” เพื่อระลึกถึงผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่มีมากถึง 60 คนต่อวันในประเทศไทย
โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบหนังสือจากเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต และเหยื่อผู้ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุบนท้องถนน นางสาวเครือมาศฯ กล่าวว่า โอกาสที่สหประชาชาติได้กําหนดให้วันอาทิตย์ที่สวามของเดือนพฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันเหยื่อโลก “World Victims Day” ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 17 พฤศจิกายน และยังเป็นปีที่ครบรอบทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน เครือข่ายฯ จึงเสนอแนวทางการแก้ปัญหาแก่รัฐบาล 4 ข้อ ดังนี้
1. ขอให้รัฐบาลนํานโยบายไปปฏิบัติเป็นรูปธรรม เข้มงวดกวดขันการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างวินัยการจราจรและลดอุบัติเหตุ
2. กรณีอุบัติเหตุที่เกิดจากการดื่มแล้วขับ ขอให้มีการปรับปรุงบทลงโทษให้ถึงขั้นมีโทษจําคุก 15-20 ปี รวมถึงมีนโยบายเอาผิดไปถึงผู้ขายแอลกอฮอร์ให้เด็กอายุต่ํากว่า 20 ปี และขายแก่คนเมาที่ครองสติไม่ได้
3. ขอให้มีการเพิ่มประสิทธิภาพในการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหาย ทั้งในด้านงบประมาณตลอดจนการฟิ้นฟูสภาพจิตใจผู้เสียหายและครอบครัว
4. ขอให้เร่งศึกษาปัญหาความล่าช้าและความยากลําบากของผู้เสียหายจากอุบัติเหตุในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม เพื่อกําหนดมาตรการแก้ไขที่เป็นรูปธรรม นําไปสู่ความเท่าเทียมกันในสังคม
“รัฐบาลมีความใส่ใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะการเกิดอุบัติเหตุทุกครั้งเท่ากับเป็นการสูญเสียบุคลากรของประเทศ สูญเสียทรัพยากร สูญเสียความสามารถในการดํารงชีพ และยังสูญเสียทางเศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเฉลี่ย 60 รายต่อวัน หรือกว่า 20,000 รายต่อปี ผู้พิการประมาณ 40,000 รายต่อปี อีกทั้งสถิติระบุว่าประเทศไทยอยู่ลําดับที่ 9 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของอาเซียนที่มีการเกิดอุบัติเหตุมากที่สุด ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วง ผมเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องที่เสนอมาทั้งเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย และการฟื้นฟูเยียวยา และขอรณรงค์ให้ทุกท่านร่วมกัน “เมาไม่ขับ” โดยเฉพาะช่วงเทศกาลที่ใกล้เข้ามา” รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24568
|
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2559 เวลา 20.15 น.
|
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
วันที่ 13 มีนาคม ของทุกปีเป็น “วันช้างไทย” โดยช้างนั้นเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยเรา และช้างเผือกเป็นสัตว์คู่พระบารมีของพระมหากษัตริย์ไทย สําหรับช้างนั้น มีคุณูปการกับชาติไทยมาแต่อดีต เช่น ในการสู้รบนั้นที่ลูกหลานไทยควรรู้ ได้แก่ “เจ้าพระยาไชยานุภาพ” ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในการทํายุทธหัตถี เพื่อกอบกู้เอกราชของชาติได้สําเร็จในที่สุด เป็นที่มาของ “พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์” จังหวัดสุพรรณบุรี นอกจากนี้ คนไทยก็มีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับช้างมายาวนาน ปัจจุบันทีมฟุตบอลชาติไทย ก็เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในนาม “ทีมช้างศึกไทย” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ที่สื่อถึงความรัก ความหวงแหนช้างของคนไทย
โดยที่ผ่านมาประเทศไทยประสบปัญหาการปฏิบัติตาม อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (หรือ CITES) แต่เมื่อ คสช. และรัฐบาลนี้ เข้ามาบริหารประเทศ ได้ดําเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และกําหนดมาตรการควบคุมการค้างาช้างบ้าน ปราบปรามการลักลอบการค้างาช้างแอฟริกา รวมถึงควบคุมการลักลอบนําเข้าและส่งออกงาช้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนเป็นที่ยอมรับจากคณะกรรมการ CITES เป็นผลให้เรารอดพ้นจากการคว่ําบาตรทางการค้าได้สําเร็จในที่สุด ไม่สูญเสียตลาดส่งออกพืชและสัตว์ที่มีมูลค่านับพันล้านบาทต่อปี
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีพระราชเสาวนีย์ โปรดให้มีการดูแลและอนุรักษ์ช้างไทยซึ่งรัฐบาล โดยองค์การสวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ตั้ง “คชอาณาจักร” เข้ามาดูแลปัญหา เพื่อให้ควาญช้างนําช้างเร่ร่อนกลับมาอยู่บ้านเกิด จัดสรรที่ดินป่าสงวนแห่งชาติดงภูดิน จังหวัดสุรินทร์ ให้ช้างและควาญช้างอยู่อย่างมีความสุข ควบคู่ไปกับความพยายามพัฒนาให้เป็นหมู่บ้านช้าง ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ สร้างงาน กระจายรายได้ไปสู่ชุมชน ด้วยใช้ตํานานช้างไทยและวิถีชีวิตคนกับช้าง เช่น การอาบน้ําช้าง พิธีกรรมหมอช้างแต่โบราณกาล ซึ่งเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เป็นจุดขาย หรือการทํากระดาษมูลช้าง วัตถุดิบมีอยู่แล้ว มีคนสอนให้ทํา ก็เข้าไปทําเอง ทําไม่ยาก ในอนาคตอาจใช้กลไก “ประชารัฐ” สร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น ทําเป็นโลกของช้าง คล้าย ๆ ในภาพยนต์ใน Jurassic World ดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ จากยุโรปและญี่ปุ่น ที่นิยมเรื่องช้างไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถ้าเราทําได้ก็เป็นการดี
มาตรการดังกล่าวเห็นว่า จะช่วยแก้ไขปัญหาช้างเร่ร่อนได้อย่างยั่งยืน ดีกว่าการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมช้างมาเร่ร่อน ที่มีอยู่มากมาย หลายฉบับ ซึ่ง คสช. ก็ได้ดูแลและคลี่คลายปัญหาในเบื้องต้น แต่รัฐบาลก็ต้องดูแลต่อ ตั้งแต่ต้นทาง – กลางทาง – ปลายทาง ทุกคนช่วยกัน สงสารช้าง สงสารเขาเถอะ ช้างมีบุญคุณกับประเทศไทยมายาวนาน วันนี้ ทําให้เขามีความสุข อย่าทรมานเขาเลย
วันนี้มีเรื่องที่อยากจะพูดคุย และเน้นย้ํากับพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน ดังต่อไปนี้ ผลสัมฤทธิ์ความก้าวหน้าการทํางานของ คสช. และรัฐบาล ตามห้วงระยะเวลา อาทิ เช่น ในการ “พลิกฟื้นผืนป่า สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” ให้เป็นที่อยู่ของสัตว์ป่า ช้างไทย ระบบนิเวศน์ แหล่งต้นน้ําลําธาร และที่ทํากินของพี่น้องประชาชน จําเป็นต้องมีการบริหารจัดการที่สมดุล ข้อมูลล่าสุดเรามีผืนป่า เหลือเพียง 102 ล้านไร่ หรือร้อยละ 31 ของประเทศ ลดลงอย่างรวดเร็ว 5 ล้านไร่ จากเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ การทําลายป่าไม้เพื่อขยายพื้นที่เกษตรกรรม ตามที่รัฐบาลบางรัฐบาลในอดีตส่งเสริม แต่ไร้การควบคุม เป็นการดีแต่ต้องควบคุมให้ได้ จะทํายังไงไม่บุกรุกป่า เรากําลังแก้อยู่ทั้งหมด เพราะฉะนั้นเป็นปัจจัยสําคัญอย่างหนึ่ง ของการลักลอบตัดไม้ทําลายป่า เผาป่า การขายพื้นที่ ที่บุกรุกไปแล้วนี่ให้กับนายทุนอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นความเชื่อมโยงกันทั้งหมด เราต้องแก้ไขให้ได้โดยเร็ว
นโยบายแก้ไขเร่งด่วนของรัฐบาลในช่วงทีผ่านมา ของ คสช. และรัฐบาลก็คือ มาตรการ “ทวงคืนผืนป่า” จะมีการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด ใช้ทั้งนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ควบคู่กันไป มุ่งเน้นดําเนินการโดยเฉพาะกลุ่มนายทุน ผู้มีอิทธิพล โดยในปี 2558 สามารถทวงคืนผืนป่า กลับมาเป็นของเราทุกคน ได้กว่า 3 แสนไร่ และดําเนินคดีผู้บุกรุก 13,000 คดี ส่วนมาตรการสร้างความยั่งยืนนั้น จําเป็นต้องอาศัยการบูรณาการหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีคนเดือดร้อน เราจะทําอย่างไร จะแก้ปัญหาคนจนอย่างไร เพราะฉะนั้นเราจะมีการพิจารณาในเรื่องสิทธิทํากิน ในเรื่องของการจัดการพื้นที่ป่า และการจัดการพื้นที่เพาะปลูกให้เหมาะสม โดยใช้แนวทาง “ประชารัฐ” มาขับ เคลื่อนด้วย อาทิเช่น
(1) เรื่องของการแก้ไขปัญหาแนวเขตพื้นที่ทับซ้อน โดยให้ทุกภาคส่วน ผู้มีส่วนได้เสีย ได้มีส่วนร่วม ในการหารือ ในการจะจัดทําแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ ที่เราเริ่มต้นจาก One map เพราะว่าทุกหน่วยงานแผนที่คนละฉบับ ถ้าทาบทับกันได้ ก็ตรงกัน ถ้าไม่ได้ก็ต้องพิจารณากันอีกที เพราะฉะนั้นมาลงในพื้นที่ One Map ให้ได้ก่อน
(2) เรื่องการกําหนดมาตรการให้ชุมชนและประชาชนผู้ยากไร้ ด้วยการจัดสรรที่ดินทํากิน ให้แก่ชุมชนในพื้นที่ป่า ที่บุกรุกไปแล้ว รวม 340,413 ไร่ แบ่งเป็น 82 พื้นที่ ใน 47 จังหวัด ควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง จะบุกรุกไม่ได้อีกแล้ว เพื่อทวงคืนผืนป่าจากผู้มีอิทธิพล หรือนายทุน หรือนอมินีด้วย และที่สําคัญ คือ
(3) การเพิ่มพื้นที่ป่า – พื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ เพื่อลูกหลานในอนาคต และเพื่อเป็นแหล่งต้นน้ําให้กับประเทศ เป็นเส้นเลือดให้กับเกษตรกรรมของไทย โดยใช้กลไกสถาบันประชารัฐพิทักษ์ป่า ประกอบด้วยฝ่ายปกครอง ทหาร ตํารวจ และประชาชน รวมทั้งปราชญ์ชาวบ้าน องค์กรพัฒนาเอกชน ร่วมมือกันฝึกสอน ถ่ายทอดประสบการณ์ การดับไฟป่า การทําแนวกันไฟ เพื่อปกป้องและอนุรักษ์ป่าในรูปแบบต่าง ๆ ด้วย และนําพระราชเสาวนีย์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เรื่อง “คนอยู่ร่วมกับป่าอย่างยั่งยืน” และ“การปลูกป่า 3 อย่าง ได้ประโยชน์ 4 อย่าง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาสู่การปฏิบัติ สร้างป่าเศรษฐกิจ – ป่าชุมชน – ป่ากินได้เป็นแหล่งอาหารของชุมชน – เราต้องอย่าลืมว่าป่าต้นน้ําเป็นแหล่งกําเนิดชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยทั้งประเทศ
เรื่องการการลดความเหลื่อมล้ําของสังคม มีหลายอย่าง ที่จะต้องแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในเรื่องของที่ดินทํากิน เป็นขั้นเป็นตอน เราจะได้มีการจัดตั้ง คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) เพื่อจะมาดูแลพี่น้องที่ได้รับความเดือดร้อน จากนโยบายดังกล่าว เราได้มีการเห็นชอบร่วมกันในการจัดสรรที่ดินทํากินให้ชุมชน ในพื้นที่เป้าหมาย ปีงบประมาณ 2559 กว่า 3 แสนไร่ กระจายทุกภูมิภาค ทั่วประเทศ ให้ทําในลักษณะ “แปลงรวม” โดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ แต่ให้ประชาชนเข้าใช้ประโยชน์จากที่ดินของรัฐได้ พื้นดินที่บุกรุกหรือพื้นที่ราชพัสดุ ที่เหมาะสม รัฐบาลได้จัดทําคู่มือการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ใช้เป็นแนวทางในการดําเนินการ ให้เป็นไปตามหลักการ ตามกฎหมาย เริ่มต้นก่อน แต่ต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ เป็นธรรมแก่ทุกคน สงสารคนจน สงสารผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร นึกถึงเขาบ้าง เราต้อดูแลตั้งแต่ “ต้นทาง” ให้ได้ สําหรับ “กลางทาง” คือเรื่องของการแปรรูป การผลิตอะไรก็แล้วแต่อาชีพต่าง ๆ รัฐบาลจัดให้มีการส่งเสริมพัฒนาอาชีพอย่างเป็นระบบ เพราะทั้ง 76 จังหวัดของเรามีลักษณะพื้นที่แตกต่างกัน ต้องส่งเสริมให้สอดคล้องกับสภาพแต่ละพื้นที่ ทั้งปลูกพืช - เลี้ยงสัตว์ โดยออกแบบโมเดลต่าง ๆ ให้เหมาะสม เพื่อเป็นทางเลือก - ตัวอย่าง ตั้งแต่ระดับภูมิภาค กลุ่มจังหวัด และจังหวัด รวมทั้งสร้างกลไกการสนับสนุนเงินทุนให้กับชุมชน และติดตาม ดูแล “ปลายทาง” หาตลาดให้ ในระยะต่อไป อย่างครบวรจร เราสร้างทั้งในส่วนของภาคเอกชน ธุรกิจ กับภาคประชาชนให้แข็งแรงไปด้วยกัน แล้วที่ขาดไม่ได้คือการประเมินผลจากมาตรการดังกล่าว เราอาจจะต้องกําหนดเพิ่มเติมว่า ไม่เพียงแต่กําหนดตัวชี้วัด ด้วยตัวเลขทางเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ต้องดูตัวชี้วัดด้านความสุขและความพอเพียงของชุมชนด้วย
เรื่องการลดความเหลื่อมล้ําและสร้างความเท่าเทียมในสังคม ในด้านการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ที่ทุกคนคนไทยทุกคนสามารถต่อสู้เพื่อเรียกร้องหรือปกป้องสิทธิ์ของตนเองได้อย่างเป็นธรรม รัฐบาลต้องการลบวาทกรรมที่ว่า “คุกมีไว้ขังคนจน” และคําว่า 2 มาตรฐาน เราจะต้องเข้าไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนจากการเข้าไปสู่กระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง เช่น ทํายังไงคนจะไม่ไปทําผิดกฎหมาย เราต้องให้ความรู้ทางกฎหมาย และมีการจัดตั้งกองทุนยุติธรรม สําหรับช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี หรือการขอประกันตัวเพื่อสู้คดี ตลอดจนเยียวยาผู้ถูกละเมิดหรือได้รับผลกระทบจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน หากเขาไม่ผิด เป็นต้น ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ไม่ว่ายาก ดี มี จน จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ผมขอย้ํา
ที่ผ่านมา มีผู้ขอความช่วยเหลือจากกองทุน เกือบ 6 พันราย รัฐได้ใช้เงินช่วยเหลือไปแล้ว 2,552 ราย ปัจจุบันอยู่ระหว่างการ (1) เร่งพัฒนากลไกกองทุนทั้ง 76 จังหวัด โดยกระจายอํานาจของกองทุนให้มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกันทุกจังหวัด มีความเท่าเทียมกัน รวมทั้งพัฒนาบุคลากรให้เป็นมืออาชีพ (2) ทบทวนปรับปรุงหลักเกณฑ์การพิจารณา เช่น ผู้ขอรับเงินต้องเป็นบุคคลธรรมดา มีฐานะยากจน มีความประพฤติดี ไม่มีพฤติการณ์จะหลบหนี และการให้ความช่วยเหลือจากกองทุนฯ ต้องไม่ซ้ําซ้อนกับการช่วยเหลือตามกฎหมายอื่น ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ประหยัดงบประมาณ และสอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบมากขึ้น
เรื่องต่อไปที่เป็นประเด็นสําคัญในเวลานี้คือ มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภัยแล้ง รัฐบาลเน้นการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ไม่เพียงพัฒนาความรู้ เปลี่ยนมุมมอง ให้รู้จักการทําอาชีพทางการเกษตรที่หลากหลาย เป็น Smart farmer เพราะการทําสิ่งเดิม ๆ อาจจะเกิดปัญหาขึ้นในปัจจุบันเพราะว่าภัยธรรมชาติมากขึ้นทุกปี ๆ พี่น้องเกษตรกรจะประสบความเดือด ร้อน ซ้ําแล้วซ้ําเล่า เป็นหนี้เป็นสินอยู่ทุกปี ๆ เราไม่มีภูมิคุ้มกันที่ดี ซึ่งไม่ถูกต้องถ้ารัฐบาลไม่เข้าไปดูแล เราต้องใช้หลักการ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “หลักการของเกษตรทฤษฎีใหม่” ซึ่งเรามีแนวทางการจัดสรรที่ดินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่แล้ว แบ่งเป็น 4 ส่วน ในที่ของตัวเอง เพื่อทําการเกษตรและใช้ประโยชน์ มีอัตราส่วน 3:3:3:1 หมายความถึง30/30/30/แล้วก็10 หมายถึงว่า 3 แรก หรือ 30% แรก เป็นการขุดสระเก็บกักน้ําในฤดูฝน ให้มีน้ําใช้ตลอดปี รวมทั้งการปลูกพืชน้ํากินได้ หรือเลี้ยงปลาอะไรก็แล้วแต่ ผักบุ้ง ผักกระเฉด อีก 30% 3 ที่สองปลูกข้าวเพื่อ เป็นอาหารสําหรับครอบครัวเรือน เพียงพอตลอดปี ไม่ต้องซื้อหา แต่ถ้าน้ํามากก็ปลูกขายได้ น้ําน้อยก็ปลูกขายไม่ได้ ปลูกกินอย่างเดียว ลดค่าใช้จ่าย และสามารถพึ่งตนเองได้ 30%
3. การปลูกผลไม้ ไม้ยืนต้น พืชไร่ พืชผัก พืชสมุนไพร พูดง่ายคือเหมือนไร่นาสวนผสม ผสมผสานกัน และหลากหลายในพื้นที่เดียวกันของแต่ละครอบครัว กินเอง เหลือนําไปขาย เป็นอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ครัวเรือน และอีก 10% เป็นที่อยู่อาศัย ปลูกบ้านอะไรต่าง ๆ กับครอบครัว รวมทั้งอาจจะจัดทําคอกเลี้ยงสัตว์ เรือนเพาะชํา ฉางเก็บผลิตผลทางการเกษตรของครัวเรือนที่จะช่วยให้เราเลี้ยงดูตัวเองได้ ไม่เดือดร้อนจากภัยแล้งมากนัก หรือสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน
แต่วันนี้เราอาจจะต้องนํามาประยุกต์ใช้ เพราะน้ําเราน้อยลง พื้นที่เราก็แย่ลง เสื่อมโทรม เพราะเราไม่มีการบริหารจัดการที่เหมาะสม ถ้าเราทําในครัวเรือนได้ก็ทําไป ตามหลักการเดิมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่ แล้วเราต้องนําที่พระองค์ท่านทรงสอนไว้ ทรงพระราชทานไว้นี่ มาประยุกต์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น 3/3/3/1 เดิมในแต่ละบ้านอาจจะเป็นของชุมชนก็ได้ เป็นของหมู่บ้านก็ได้ เป็นของกลุ่มเกษตรกรก็ได้ ตรงไหนที่ทําเกี่ยวกับเรื่องใช้น้ํามากได้ก็เป็น 3 แรก อันที่ 2 ก็ไม่ได้ น้ําน้อย ก็ไปใช้พืชที่ใช้น้ําน้อย อันที่สามก็เป็นเรื่องอาชีพอื่น ๆ อาจจะมีการแปรรูป รวมกลุ่มอะไรต่าง ๆ เพื่อจะเพิ่มรายได้ให้ อันที่ สี่ก็คือเรื่อง 1 นั่น ก็อาจจะเป็น 1 ที่ไม่ใช่เฉพาะบ้านเดียว เป็นของชุมชนทั้งกลุ่ม ทั้งหมู่บ้าน เอาพื้นที่มาเป็นตัวกําหนด ให้เป็น 3:3:3:1 อาจจะเป็นตําบล อําเภอ จังหวัด กลุ่มจังหวัดก็ได้ ถ้าเราบริหารจัดการกันให้ถูกต้อง ก็จะมีทั้งต้นน้ํา กลางน้ํา ปลายน้ําในทุกพื้นที่ เริ่มจากในบ้านมาก่อน 3:3:3:1 ในบ้าน แล้วก็ 3:3:3:1 ในพื้นที่ ตามความแตกต่างของดิน ของน้ํา ของอากาศ ความสูงที่กล่าวไปแล้ว เพราะว่าน้ํามากน้อยต่างกัน ความอุดมสมบูรณ์ต่างกัน ระดับความสูงต่างกัน ถ้าเราสามารถจัดทําเรียกว่าโซนนิ่งพื้นที่ได้ ให้สอดคล้องกับแหล่งน้ํา ปริมาณน้ํา โดยการประยุกต์ ให้เหมาะสม“ทฤษฎีใหม่” ที่เราทํามาในอดีต 40 ปีที่ผ่านมา “การเกษตรแบบแปลงใหญ่” เคยเรียนไปแล้วว่าทําได้ทั้งนาข้าวแปลงใหญ่ ทําได้ทั้งไร่นาสวนผสมแปลงใหญ่ อันนี้ก็หลักการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระราชทานมา มาประยุกต์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะจัดอะไรก็แล้วแต่ รัฐบาลและ คสช. ก็ยังถือเป็นความรับผิดชอบในการดํารงชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนโดยรวมอยู่แล้ว ได้กําหนดมาตรการต่าง ๆ ที่จะเสริมสร้างแรงจูงใจ แล้วเข้าไปสนับสนุนอย่างใกล้ชิด บางครั้งไปไม่ถึง ท่านก็ต้องมาหาบ้าง บางทีไปไม่ทั่ว แล้วบางคนที่ไม่ได้ก็จะพูดว่าเราไม่ช่วยเขา ช่วยไม่ถึง ท่านต้องฟัง ให้ อบท. ผู้ใหญ่บ้านช่วยทําความเข้าใจด้วย เช่น เรามีการให้ความรู้ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกพืชในหน้าแล้งได้อย่างไร การปรับเปลี่ยนจากข้าวนาปรังไปสู่พืชใช้น้ําน้อยได้อย่างไร หรือจะมีการการเลี้ยงปศุสัตว์เพื่อไว้กิน ไว้ขายก็แล้วแต่ เรื่องที่ 2 ที่เราทําอยู่คือ เราจะส่งเสริมการลงทุน การเข้าถึงแหล่งเงินทุน การพักชําระหนี้ แล้วก็การชดเชยการสูญเสียรายได้ รัฐบาลได้ใช้เงินลงไปมากพอสมควร
เรื่องที่ 3 คือการยกระดับสินค้าเกษตรให้เป็นสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม คือเพิ่มมูลค่า เพิ่มราคาให้สูงขึ้น โดยพยายามจะลดต้นทุนให้ต่ําลง ถ้าเราแปรรูปในขั้นที่ 1 ได้ ในพื้นที่แล้วส่งต่อ เป็นขั้นที่ 2 ที่อื่น หรือขั้นที่ 3 ก็แล้วแต่ เราอาจจะทํา 1-2 แล้วส่ง 3 หรือทํา 1 ส่ง 2 ก็แล้วแต่ เพราะว่าแล้วแต่ความเหมาะสมของพื้นที่ ของขีดความสามารถของประชาชนด้วย ของเกษตรกรด้วย เราทําอย่างไรจะสร้างนวัตกรรมขึ้นมาได้ วันนี้อยากกราบเรียนเรื่องนวัตกรรม เรื่องสินค้า OTOP เรามี “1 ตําบล 1 SME เกษตร” อยู่แล้ว วันนี้ โครงการรัฐบาลนี้ เอาให้จริงจัง มีอยู่หลายพันรายการ แต่ทําจริง ๆ ทําไม่ได้มากนักเพราะว่า ในช่วยที่โครมคราม ก็ทํากันออกมา แล้วก็บอกว่าถึงเวลาก็ทําไม่ได้ บางอย่างก็ขายไปหมดแล้ว ทําชิ้นเดียว ตอนนี้เราต้องเอาอะไรที่มีศักยภาพมาทํา ทําจริง ๆ จัง ๆ ให้เหมือนกับโครงการ “ศิลปาชีพพิเศษ” ของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ท่านได้ทรงทําเพื่อเป็นสมบัติแห่งแผ่นดินไว้มากมาย ได้สร้างอนาคตให้ทุกคนกลับไปที่บ้านได้ อะไรได้มีอาชีพเพิ่มเติม เหล่านี้ ท่านทรงทํามานานหลายปีแล้ว หลายสิบปีแล้วด้วย เราต้องทําให้ “โอทอป” เราเข้มแข็ง ตามแนวทางนั้นเราต้องมีมาตรการสร้างความเข้มแข็งโดยเริ่มจากฐานราก โดยใช้คําว่า “ประชารัฐ” ที่ทํากันมาอย่างต่อเนื่อง และครบวงจร ดูแลตั้งแต่ต้นทาง – กลางทาง – ปลายทาง
ผลการดําเนินการ ถือว่าประสบความสําเร็จเป็นอย่างดีในระดับที่น่าพอใจ ก็ขอเป็นกําลังใจ ในการทํางานแก่รัฐบาล ร่วมมือกับรัฐบาลของประชาชนและข้าราชการในพื้นที่ ต้องเหน็ดเหนื่อยกว่าเดิมแน่นอนเพราะต้องเดินลงพื้นที่เข้าถึงประชาชน เพราะว่าพระบาทสามเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งไว้แล้วว่า ยุทธศาสตร์การพัฒนา จะต้องเริ่มจากการเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา ทั้งหมดก็คือเข้าใจ เข้าถึง พื้นที่ เข้าใจถึงประชาชน รู้ปัญหา ถึงจะไปจัดระเบียบการพัฒนาได้ว่าควรจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าตัดเสื้อตัวเดียวให้ทุกคนใส่ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว พูดเสมอว่า ปีนี้เราสามารถจะลดพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง ใน 22 จังหวัดภาคกลาง ได้ประมาณ 1 ล้านไร่ จากเดิม 2.91 ล้านไร่ เหลือ 1.92 ล้านไร่ ก็ยังคงมากอยู่ แต่ไม่รู้จะทํายังไงเหมือนกัน น้ําก็น้อยลง บางทีปลูกไปก็ตาย สงสารชาวบ้าน ประชาชน ชาวนา แต่ก็ต้องหาวิธรการอื่นช่วยกันปรับเปลี่ยนกันบ้าง
ช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. 59 ที่ผ่านมา มีปัญหาเรื่องน้ํา เพราะฉะนั้นการทํานาปรังก็ขอร้องกันว่าขอให้ลดลง ประชาชนส่วนใหญ่ก็ร่วมมือ ขอชื่นชมพี่น้องเกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ อย่างยิ่ง ที่เข้าใจสถานการณ์น้ําของประเทศ และให้ความร่วมมือกับภาครัฐ ด้วยความสมัครใจ ไม่อยากต้องบังคับ การเข้าร่วมโครงการต่าง ๆ ของรัฐ ก็มากขึ้น เช่น ล่าสุดคณะกรรมการ BOI ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง มูลค่ากว่า 17,000 ล้านบาท เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมกับเกษตรกร ในการปลูกพืชอื่นแทนข้าว ต้องเข้าไปสู่วงจร ห่วงโซ่ ในห่วงโซ่คุณค่าให้ได้ รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันของสินค้าเกษตรในตลาดโลก เราต้องทําไปคู่กัน ทางรัฐ แล้วเอกชน ประชาชน ต้องเดินไปด้วยกัน แล้วแบ่งกัน ส่วนแบ่งในการตลาดไป ส่วนแบ่งในการผลิตต่าง ๆ ไป จะได้มีรายได้ให้กับประชาชนในแต่ละวัน เขาอยู่ได้
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราเร่งเพิ่มเติมคือ การผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง จากมันสําปะหลัง รําข้าว ข้าวโพด ปลาป่น ที่จังหวัดลพบุรีมีความก้าวหน้า ต่อไปก็คือเรื่องการผลิตเครื่องดื่มจากถั่วเหลือง จ. สระบุรี มีการผลิตสารให้ความหวาน จ.ปราจีนบุรี (4)คือ การผลิตเอทานอลจากมันสําปะหลัง จ.กําแพงเพชร และ (5) การผลิตเยื่อกระดาษฟอกขาว จ.บุรีรัมย์ เป็นต้น อันนี้คือจะรับในส่วนของวัตถุดิบ วัตถุต้นทุนนี้ไปเข้าโรงงานเหล่านี้ ต้องส่งเสริมโรงงานตรงกลางนี้ด้วยไง ใช้มาตรการของ BOI
สําหรับมาตรการอื่น ๆ นั้นวันนี้ก็เป็นที่น่ายินดี ทุกภาคส่วนก็เข้ามาร่วมมือไม่อยากให้พูดว่าได้ว่าทางภาคอุตสาหกรรมไม่ช่วยเลย ใช้น้ํามาก อุตสาหกรรมก็จําเป็นต้องใช้น้ํา มีการผลิต ผลิตก็มีราย ได้ออกมา ชาวไร่ชาวนา หรือชาวบ้านแรงงานก็มีเงินใช้จ่ายทุกวันในฐานะเป็นแรงงาน ถ้าเราหยุดอุตสาหกรรมไปทั้งหมด ก็ไปกันทั้งหมด ทั้งอุตสาหกรรมก็ไป ข้าว การเกษตรทั้งหมด ไปหมด แล้วจะอยู่กันยังไง เพราะฉะนั้นวันนี้ทางกระทรวงอุตสาหกรรมก็เอานโยบายของรัฐบาลไปปฏิบัติ ในช่วงภัยแล้งปีนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้ผ่อนปรนเงื่อนไขในเรื่องของ “การห้ามระบายน้ําทิ้งออกนอกบริเวณโรงงาน” เป็นการชั่วคราว แต่ทั้งนี้ไม่เกินวันที่ 30 มิถุนายน 2559 เพื่อจะรับฤดูฝนหน้า เราจะสนับสนุนให้มีการนําน้ําทิ้งของโรงงาน แต่ต้องผ่านการบําบัด ย้ําต้องผ่านการบําบัดได้ตามมาตรฐานน้ําทิ้ง เดี๋ยวหาว่าทิ้งน้ําอะไรออกมาข้างนอกเสียหายอีก ตาม พ.ร.บ.โรงงาน ถ้าปล่อยน้ําพวกนี้ออกมา ไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ.2535 ก็ปิดโรงงานอีก ก็ต้องร่วมมืออย่าถือโอกาส ฉวยโอกาสอะไรทั้งสิ้น คนเราต้องซื่อสัตย์ต่อกัน เราจะได้ไปช่วยเหลือภาคเกษตรกรรมได้ โดยเฉพาะโรงงานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งไม่มีสารโลหะหนักหรือสารเคมีที่เป็นอันตราย กว่า 2 พันโรงงานคาดว่าจะมีน้ําเข้าสู่ระบบถึง 5 แสน ลบ.ม./วัน ครอบคลุมพื้นที่ทางการเกษตรราว 5 หมื่นไร่ ทั่วประเทศ เพราะโรงงานกระจัดกระจายอยู่ นี่ก็เป็นประโยชน์อย่างหนึ่งเหมือนกัน ถ้าเราจัดระเบียบดี ๆ ทุกอย่างก็เสริมกันได้หมด ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นหลักอย่างเดียว เป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เรียนไว้แล้วว่าต้องรายงานผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ําทิ้งตลอดเวลา ให้เกิดความมั่นใจกับทุกฝ่าย อย่าให้มีปัญหาภายหลังโดยเด็ดขาด ทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจ ทดสอบอะไรก็แล้วแต่ โรงงานด้วย อย่าให้มีผลกระทบกับรัฐบาลโดยเด็ดขาด เราจะต้องร่วมมือกัน
เรื่องที่ 2 ภาคเกษตรกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เร่งส่งเสริมการสร้าง “ฝายชาวบ้าน ฝายประชารัฐ” เพื่อเตรียมรองรับน้ําฝนในช่วงฤดูฝนที่จะมาถึง ไม่ว่าจะน้ํา สายน้ําใหญ่น้อยอะไรก็แล้วแต่ มาจากภูเขาบ้างอะไรบ้างต้องมีการทําฝายเพื่อจะลด ชะลอความแรงของน้ําที่มาทีเดียวแล้วไปหมด แล้วก็หมดไปเรื่อย ๆ หมดไปที่ละพื้นที่ ๆ พอเหนือหมด ต่อไปก็กลางหมด ใต้หมด มันก็เป็นอย่างนี้มาตลอด ถ้าเราชะลอไว้บ้างก็จะเก็บกักน้ําไว้ แล้วค่อยๆ ทยอยปล่อยออกมาตามลักษณะของฝาย กรุณาช่วยกันทํา เงินทองก็พอมีอยู่บ้าง อยากให้ส่วนราชการรวบรวมชาวบ้านมา อย่างน้อยก็ได้มาพบปะหารือกันทํากิจกรรมเพื่อส่วนรวม ทําฝายเล็ก ๆ ก็ไม่ต้องไปเสียเงินเสียทองมากมาย อุปกรณ์ในการทําฝาย ให้กระทรวงมหาดไทย ดูว่าเราจะขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในประเทศได้หรือไม่ว่าอยากได้อุปกรณ์เพื่อจะไปทําฝาย โดยทั้งมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็ได้ เป็นจุดรวบรวมสิ่งของที่เราต้องการไปทําฝาย
จะได้ไม่ต้องเสียเงินมาก ๆ ที่ผ่านมาก็ทุจริตอีก จะทํายังไงได้ถ้าทุกคนไม่ร่วมมือกัน จะแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการแก้ปัญหาภัยแล้งด้วยกันคนไทยก็จะรักกันมากขึ้น เราต้องรองรับน้ําฝนในช่วงฤดูฝนที่มาถึงด้วย เพราะน้ําเรามาจากทางเหนือ มาจากป่าต้นน้ําทั้งสิ้น จากภูเขาบ้าง ต้องชะลอให้ได้นานที่สุด แล้ววันนี้เราก็ได้มีการจัดทําที่เก็บกักน้ําไว้มากมายในปีนี้ เผอิญฝนมาน้อยเกินไป เพราะฉะนั้นปีหน้าคิดว่า ฝนหน้านี้ไม่ใช่ปีหน้า เดือนพฤษภาคน เราก็จะมีแหล่งเก็บน้ําที่น่าจะเพียงพอถ้าหากฝนตก ข้อสําคัญอย่าไปตัดป่าเพิ่มอีกแล้วกัน ยิ่งตัดป่าก็ยิ่งแล้งลง ๆ ไปเรื่อย ๆ แล้วจะทําอย่างไร เพราะน้ํามาจากป่า น้ํามาจากเขา
พื้นที่แห้งแล้งอยู่แล้ว จะทํายังไงชาวไร่ชาวนาก็เดือดร้อน วันหน้าทํานาไม่ได้จะทํายังไงอีก ไม่มีข้าวกินอีก ต้องไปซื้อข้าวเขากิน วันนี้เราส่งออกข้าวเป็นอันดับ 1 เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังต้องรักษาสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมของเรามายาวนาน เรื่องการทําเกษตร วันหน้ามีปัญหาเรื่องอากาศเปลี่ยนแปลง ปัญหาต่อไปก็คือเรื่องขาดแคลนแหล่งอาหารของโลก เราน่าจะสํารองเหล่านี้ไว้ เตรียมการเอาไว้ เพื่อเราจะเป็นประเทศหนึ่งที่เป็นแหล่งเก็บอาหารของโลกใบนี้ ผลิตอาหารของโลก วันหน้าเราก็ลืมตาอ้าปากได้ทั้งหมด เราเก็บกัก รู้จักวิธีการ ทั้งน้ําทั้งปลูกพืชให้เหมาะสม วันนี้เราต้องร่วมมือกัน เสริมสร้างความสามัคคีระหว่างประชาชนในพื้นที่ วันนี้เราได้ใช้เงินลงไปในระดับตําบล-หมู่บ้านแล้ว จํานวนมากพอสมควร อยากให้พี่น้องประชาชนช่วยกันรักษาสิทธิ์ของตน แต่อย่าขัดแย้ง
ต้องฟังราชการ เพราะราชการต้องมีกฎมีระเบียบเป็นของเขา ท่านก็ต้องรักษาสิทธิของท่าน เพราะเป็นเงินของท่าน ที่ท่านจะต้องไปใช้ทําประโยชน์ แต่ราชการเขาจําเป็นต้องมาจัดระเบียบให้ท่าน ท่านอยากได้อะไร ก็พิจารณาเสนอเขาไป แต่การเสนอบางทีไม่ได้ทั้งหมด กลายเป็นว่ารัฐบาลไป หรือข้าราชการไปคิดให้ ไม่ใช่ บางทีตรวจสอบแล้ว บางพื้นที่นี่ มีหลายกลุ่ม ก็ขอโน่นขอนี่ วงเงินก็มีเท่านี้ เพราะฉะนั้นเมื่อทุกคน ได้บ้างไม่ได้บ้าง คนไม่ได้ก็บอกว่านี่เขาไม่เห็นได้อะไรเลย เขาต้องดูว่าส่วนใหญ่เขาว่ายังไง นี่ไง ประชาธิปไตยขั้นต้น ท่านไม่เคารพสิทธิ์คนอื่น เอาแต่ตัวเองอย่างเดียวไปไม่ได้ทั้งหมด นี่เราต้องเข้าใจคําว่าประชาธิปไตยขั้นต้น เบื้องต้นในชุมชนของท่านด้วย เราต้องมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน การกําหนดความต้องการที่เหมาะสม เสนอโครงการโดยจัดตามความเร่งด่วน ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนของตนในอนาคต เพื่อไปเพิ่มมูลค่าเพิ่มรายได้ ให้มีการตรวจสอบทั้งของรัฐ ของประชาชนเองด้วย ให้เกิดความโปร่งใส ไว้วางใจซึ่งกันและกัน
เรื่องต่อไปคือเรื่อง แผนแม่บทการบริหารจัดการน้ําที่เราทํามาแล้วนี่ เห็นหรือไม่ว่าที่เรามาทําใหม่นี่เราปรับแก้ตลอดเวลา ไม่ใช่เราทําทีเดียวแล้วไปกู้เขามาที่เดียว แล้วไปทําทีเดียว ประมูลไปทั้งหมด ไม่ได้ ต้องทําไปทีละขั้นตอน เพราะหลายอ่างต้องมีการเปลี่ยนแปลงนะ ระยะยาว ถ้ามีการจัดทําแผนนะ ถ้าเรียกว่าแผน เดี๋ยจะมาตีกันอีก คนละเรื่องยุทธศาสตร์ ชาติก็ยุทธศาสตร์ ชาติ วิธีการคนละอย่างจะมาคิดเหมือนกันไม่ได้ สร้างเป็นกรอบกว้าง ๆ เท่านั้นเอง แต่อันนี้ลงรายละเอียดแล้ว ทําที่ไหน ยังไง ทําประเภทไหน ยังไง ใช้งบประมาณเท่าไร มีเงินให้ยังไง แต่ทุกอย่างเปลี่ยนได้ ทําเป็นปี ๆ ไป อันไหนจะทําระยะยาวก็วางแผนล่วงหน้า ต้องทํา EIA HEA เสียเวลา อันไหนทําได้ทําเลย อันไหนติดตรงไหนก็หยุดส่วนนั้นไป ทําตรงนี้ที่ทําได้ ถึงขอร้องยังไง ประชาชนมาดูว่า ถ้าเราทําได้ทั้งระบบจะเกิดประโยชน์กับส่วนรวมเท่าไร เกิดกับตัวเองเท่าไร ถ้าเราคิดแต่ตัวเอง ทั้งระบบอื่นก็ไม่ได้ เชื่อมต่อกันไม่ได้ทั้งหมด สิ่งสําคัญก็คือความเชื่อมโยง แหล่งน้ําทั้งหลายที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างไว้แล้ว เดิมก็คือระบบอ่างพวง อ่างนี้เติมอ่างโน้น อ่างโน้นเติมอ่างนี้ ตามลําดับไล่เรียงลงไป ไม่หมดทีเดียว นี่ของเราทุกคนก็พยายามจะเอาในพื้นที่ของตัวเอง แต่ไม่แบ่งปันคนอื่น ความชุ่มชื้นก็ไม่เกิด ป่าก็ไม่เกิด มันเป็นจุด ๆ จุด ๆ ไป อย่างนี้ฝนไม่ตก เพราะความชื้นไม่ได้ยังไง ทั้งพื้นที่ เราต้องทําให้มีอ่างทั่ว ๆ ไป อ่างใหญ่ อ่างกลาง อ่างเล็ก รองรับน้ํามาจากเขื่อนบ้าง เพราะฉะนั้นจะต้องทําแบบนี้ แล้วก็คิดต่อไป ปรับให้ตรงกับสถานการณ์ เปลี่ยนแปลงทุกปี ปีหน้าอาจจะน้ํามาก หรือน้อยก็ไม่ทราบ แต่เราต้องมีทั้งระบบการจัดเก็บน้ํา การส่งน้ํา การพร่องน้ํา การระบายน้ํา แล้วการระบายก็ต้องเก็บไว้ใช้เผื่อคราวหน้าด้วย เผื่ออนาคตด้วย
เรื่องที่ 4 เรื่องของการใช้น้ําเพื่อการอุปโภค-บริโภค มีความจําเป็น เป็นสิ่งทีต้องเหลือไว้ ขาดไม่ได้เพราะทุกคนต้องกิน ต้องใช้อุปโภค-บริโภค อันนี้สําคัญที่สุด อันดับ 1 เลย เพราะฉะนั้นเราจะรื่นเริงในเทศกาลสงกรานต์ ไม่ได้ขัดข้อง แต่ขอให้ทุกคนช่วยกันว่า เราจะร่วมกันรับผิดชอบได้อย่างไร เกษตรกรก็ได้แสดงน้ําใจไปแล้วการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการเพาะปลูก เขาก็ลําบาก ไม่มีรายได้ รายได้น้อยลง หรือมากขึ้นก็แล้วแต่ที่เขาจะเลือกทํา เพราะฉะนั้นทุกคนต้องช่วยกัน “ประหยัด” ไม่ว่าจะวาระใดก็ตามนี่ สนุกสนานได้ รื่นเริงได้แต่ต้องพอเพียง ใช้เท่าที่จําเป็นได้หรือไม่ คุ้มค่าหรือไม่ ไม่ได้ไปห้ามเล่นน้ําสงกรานต์ หลายคนพูดมาว่ารัฐบาลนี้ห้ามเล่นสงกรานต์ ผมห้ามได้ที่ไหน เป็นประเพณีไทย ต่างชาติก็มาเที่ยว มารู้จักประเทศไทยเพราะสงกรานต์ แต่เราจะทํายังไง ปีนี้น้ําเราน้อย เราจะเล่นสงกรานต์กันอย่างไง ไม่ใช่เล่นกันจนเขาเรียกว่าเติมน้ํา ไม่รู้กี่ครั้งหมดแล้ว หมดอีก ๆ มันไม่ต้องเติม ถ้าจะเล่นกันขนาดนั้น ก็เหมือนทุกปี สนุกสนานรื่นเริง แต่หลังจากสนุกสนานแล้วเราจะต้องมาเสียใจ ว่าเราไม่มีน้ํากิน จะทํายังไง ไปคิดเอาเอง โบราณกาลก็ไม่ใช่แบบนี้ด้วยซ้ําไป ในเรื่อง “การรดน้ําดําหัว” ผู้ใหญ่ ปะพรมน้ํา ให้พรกัน แล้วก็ครึกครื้นพอสมควร จัดกิจกรรม จัดความรื่นเริงต่าง ๆ ได้ไม่ใช่ต้องเอาน้ําสาดกันอย่างเดียว ไม่ใช่ ก็ลองไปคิดดูแล้วกัน เพราะว่าทํามาหลายปีแล้ว ไม่อยากจะมาขัดแย้ง ขอความร่วมมือกัน ใช้น้ําให้น้อย แล้วก็สนุกสนานรื่นเริงได้ รักษาประเพณี วัฒนธรรมของไทยไว้ได้ด้วย เพื่อให้เป็นแบบอย่างให้ต่างชาติเขาชื่นชม ชื่นชมในประเพณีไทย แล้วสนุกสนานไปด้วย เวลาเขามาเที่ยวกับเรา แต่ทํายังไงเราจะประหยัดน้ําได้ ช่วยกันคิดหน่อย
เรื่องพลังงานทดแทน เราอยากจะยกตัวอย่างการสร้างความเข้มแข็งด้วยตนเอง เป็นหนึ่งในหลาย ๆ พื้นที่เป็นร้อยแห่งแล้ว วันนี้ที่เราพยายามขับเคลื่อนอยู่ ประชาชนร่วมมือกันเองอันนี้เป็นตามแนวทางที่เราเรียกว่า “การระเบิดจากภายใน” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เคยกล่าวมาแล้ว วันนี้ที่โรงเรียนศรีแสงธรรม จ.อุบลราชธานี ที่พระครูวิมลปัญญาคุณ เจ้าอาวาสวัดป่าศรีแสงธรรม ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียน และนําแนวคิดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ เพื่อพึ่งพาตนเอง ในเรื่อง “พลังงานทดแทน – จากแสงอาทิตย์” ได้มีการนํานําโซล่าเซลล์มาใช้ สามารถช่วยลดค่าไฟฟ้าลงได้ จาก 6,000 บาท/เดือน เหลือเพียง 40 บาท/เดือน ลดไปมาก แต่ต้องทําจริงจัง แล้วได้มีการขยายผลเป็น “โครงการสู้ภัยแล้ง” จัดทําระบบสูบน้ํา ด้วยพลังแสงอาทิตย์ ตอนนี้เราทําได้แล้ว แต่สําคัญจะมีน้ําให้สูบหรือเปล่า ย้อนกลับไปดูว่าน้ําต้นทุนยังไง รักษาป่ายังไง คิดให้เป็นระบบแบบนี้ ถ้าทําทุกอย่างอันนี้ทําดี ทําดี บางอันทําไม่ดีตรงกลาง ตรงปลายก็ไปไม่ถึง ยกตัวอย่างให้ดู หลายเรื่องที่ท่านทําไว้คือจัดทําระบบสูบน้ํา ระบบประปาหมู่บ้าน และข้อสําคัญคือเยาวชน มีการฝึกฝนเด็ก ม.ปลาย ให้มีทักษะในการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ได้เองด้วย ภาครัฐก็ต้องคิดทําต่อไปช่วยเหลือเขา ขออนุโมทนาบุญด้วย
เรื่องต่อไปคือเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากภาคครัวเรือน (Net Metering) ซึ่งจะทําให้สามารถสร้างรายได้จากหลังคาของตัวเอง ที่ดินของตัวเองได้ จะได้มีรายได้และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ต้องคํานึงถึงในเรื่องของการรับซื้อด้วย ปริมาณรับซื้อมากไปหรือเปล่า ตามสัดส่วนของแผน PDP พลังงาน
พลังงานจากแก๊ส จากน้ํามัน พลังงานจากพลังงานทดแทนแล้วก็คํานึงถึงสายส่งด้วย วันนี้เรามีเพียงพอแล้วหรือยังทุกพื้นที่หรือยังถ้ายังไม่มีก็ขายไม่ได้ ก็เอาใช้ในพื้นที่ก่อนไง อย่างที่วัดป่าศรีแสงธรรมทําอยู่ อย่ามุ่งหวังแต่ขายเพียงอย่างเดียว ถ้าใช้ทุกที่ก็เลี้ยงตัวเองได้ ประหยัดไม่ต้องไปใช้ไฟหลวง หลวงก็ไม่ต้องไปสร้างโรงงานมาก ๆ ถ้าทุกคนมีแหล่งพลังงานเล็ก ๆ อยู่ตามหมู่บ้าน วันนี้มองเป็นธุรกิจไปทั้งหมดเลย อยากขาย ขายเอาเงินอย่าส่งเดียวไม่ได้ ลงทุนมาก ลงทุนสูงพอสมควร เรื่องแผงโซล่าเซล เรื่องอะไรก็แล้วแต่ ค่อนข้างแพง แล้วผลตอบแทนระยะยาว ท่านก็มุ่งหวังแต่เพียงทํา แล้วจะขายไฟ ทําไมท่านไม่คิดว่าจะทําเองใช้ในบ้าน ใช้ในชุมชน รัฐบาลจะได้ส่งเสริมการทําโซล่าเซล แผงโซล่าเซลเอง ในประเทศให้มากขึ้น ราคาถูกลงนี่ต้องไปแบบนี่ ถ้าทุกคนมุ่งแต่ขาย ๆ ไม่เฉพาะไปอย่างเดียว หลายอ่างก็จะขาย ๆ อีก มันไปไม่ไหวหรอก รัฐบาลก็ลําบาก
เรื่องการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ ก็ขอให้เป็นพลังงานสะอาดพลังงานลมก็เหมือนกัน หลายคนบอกใช้พลังงานน้ํา ใช้อยู่แล้ว ตอนนี้น้ําน้อย พลังงานสะอาดก็มี พลังงานลม ตอนนี้สร้างหลายที่ กังหันหมุนบ้างไม่หมุนบ้าง นี่คืออันตราย ลงทุนไปแล้วถ้าไม่หมุนจะทํายังไง ต้องดูให้ดี รับว่าตรงไหนช่องทางลมหรือเปล่า มีลมสม่ําเสมอไหม ความแรงเพียงพอที่จะหมุนกังหันหรือเปล่า เราเอาตัวอย่างต่างประเทศมาทั้งหมดไม่ได้ บ้านเมืองต่างกัน แต่สิ่งที่น่าเป็นไปได้คือแสงอาทิตย์ แม้กระทั่งแสงอาทิตย์บ้านเราจะมองว่า เรามีแสงอาทิตย์ดี จริง ๆ ก็ยังไม่ค่อยเสถียร บางปีก็มีแสงมาก แสงน้อย หน้าร้อน หน้าแล้ว หน้าฝน ไม่สม่ําเสมอ แต่ก็ต้องดีกว่าอย่างอื่น เพราะฉะนั้นเราก็ต้องส่งเสริมเรื่องพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ให้มากขึ้น แล้วใช้เองในพื้นที่ให้ได้ก่อน ขายก็ว่ากันไป ทําได้ก็ทํา
เรื่องสําคัญอีกเรื่องคือ เรื่องการตั้งสมเด็จพระสังฆราช จริง ๆ แล้ว ไม่อยากพูดเรื่องนี้ แต่เห็นว่ามีการเคลื่อนไหวหลายด้านด้วยกัน ระยะหลัง หยุดเสียที ไม่ว่าจะเป็นพระ เป็นฆราวาสอะไรก็แล้วแต่ คนไทยอย่าลืมว่าคนไทยกว่า 90 % นับถือศาสนาพุทธ เราต้องทําให้คนไทยทั้ง 90% นั้นมีความเชื่อมั่น มีความศรัทธาอย่างแท้จริงในคําสอนของพระพุทธเจ้า ที่จะต้องนํามาสู่การปฏิบัติ ที่จะทําให้เกิดความสงบสุขในสังคม พระพุทธเจ้าคงไม่ต้องการสอนให้เอาพระธรรมมาทําให้เกิดความขัดแย้ง วินัยสงฆ์เป็นระเบียบปฏิบัติ เพื่อจะให้สงฆ์นั้นอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข กฎหมายของฆราวาส กฎหมายของประชาชนทั่ว ๆ ไป ทั้งพระทั้งฆราวาสทั้งประชาชนทุกกลุ่ม ก็คือประชาชนทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นต้องเคารพกฎหมายโดยรวมของชาติด้วย เพราะฉะนั้นแยกกันให้ออก อะไรทางโลก อะไรทางธรรมโยงกันไป โยงกันมาขัดแย้งกันไปตลอด แล้วจะอยู่กันยังไง สิ่งนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องกลับไปทบทวนว่าโลกใบนี้ บางพื้นที่พุทธศาสนา เกิดขึ้นก่อนไป ๆ มา ๆ หายไปหมดเลย วันนี้เหลือประเทศไทย ค่อนข้างจะเป็นประเทศที่มีนับถือพุทธมาก 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ทําไมเราไม่รักษาตรงนี้ให้ได้ 90 ทําไมจะต้องแบ่ง 90 เป็น 60 – 40 หรืออย่างไร ในภายใต้ของศาสนาพุทธอย่างเดียว ไม่ใช่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งแล้วว่า ไม่ว่าคนจะนับถือศาสนาใด ถ้าอยู่ในประเทศไทย เชื้อชาติไทย สัญชาติไทยนั้น พระองค์ก็ต้องทรงสนับสนุน ทุกอย่างจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอันเดียวกัน จะเลือกปฏิบัติไม่ได้ ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายก็เอากฎหมายนี้มาเล่นงานพวกข้างนี้ ข้างนี้เอากฎหมายอีกอันมาข้างนี้ กฎหมายเดียวกันทั้งหมด จะทํายังไง กฎหมายสงฆ์ก็กฎหมายสงฆ์ กฎหมายฆราวาสก็กฎหมายฆราวาส แต่ทั้งพระ ฆราวาส อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐ ถ้าพร้อมเรียบร้อยก็ตั้งได้ทั้งหมด ถ้าไม่พร้อมขัดแย้งอยู่อย่างนี้ อย่าแยกคน 90% ของเราออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์เล็ก เปอร์เซ็นต์น้อยเลย อย่าไปเกี่ยวกับเรื่องการเมือง น่าจะมีเบื้องหลังอยู่ ก็เป็นเรื่องของกลไกทางกระบวนการยุติธรรมเขาตรวจสอบ ทําไมจะต้องใจร้อนอะไรกันขนาดนั้น บ้านเมืองกําลังจะปฏิรูป กําลังจะเลือกตั้ง มาตีกันเรื่องพระ วุ่นวายไปหมด แต่ไม่เป็นไร ก็ยังสู้อยู่ ทําให้ท่าน แต่อย่าขัดแย้งก็แล้วกัน อย่าให้เขาใช้ประโยชน์ไปในเรื่องการเมืองด้วย จะเข้าทางกับคนที่ไม่หวังดีที่เขากําลังทําอยู่ในวันนี้
เรื่องตํารวจ เรื่องสําคัญอีกเช่นเดียวกัน เรื่องสําคัญทุกเรื่องดู ประเทศไทยนี่ ความขัดแย้งสูงมากเลย ไม่ว่าจะเรื่องอะไรขัดแย้งกันทุกอย่าง แปลกดีเหมือนกัน เราอาจจะสบายมากเกินไปก็ได้ ว่าง ๆ เลยขัดแย้งกัน แล้วเดี๋ยวก็ดีกัน ขัดแย้งกัน แต่ 10 ปีที่ผ่านมามีอยู่เรื่องเดียวที่ไม่ยอมดีกัน รู้อยู่เรื่องอะไร แต่ต้องกฎหมายก่อนถึงจะดีกันได้ ทุกอย่างต้องกฎหมายก่อน ในเรื่องของการซื้อขายตําแหน่งตํารวจเหมือนกัน ก็พูดกันไป พูดกันมา แต่การพูดทําให้เสื่อมเสีย เสียหาย ทั้งที่คนพูดก็เจตนาดี ไม่อยากให้เกิดขึ้น เราต้องเอามาเจอกัน ได้คุยกับท่านรองนายกฯ แล้วว่าต้องคุยกันแล้ว คุยกันให้รู้เรื่องซะทีว่ายังไงกันแน่ ไม่อยากให้มีความขัดแย้งกันต่อไป จะมีซื้อหรือไม่ จะขายตําแหน่งกันหรือไม่ก็ไปว่ามา ขอให้มีการแจ้งหรือการร้องเรียนมา จะปฏิรูปอะไรก็แล้วแต่ ตํารวจ หารือกัน ถ้าทุกคนจะเอาอย่างนี้ เอาอย่างโน้น แล้วเอาของตัวเองทั้งหมด เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว คนไทยชอบอย่างนี้ด้วย ถูกคนเดียว คนอื่นผิดหมด ไม่ได้ ต้องเอาส่วนที่ถูกของทุกคนมาหารือแล้วทําก่อน
ถ้าจะปฏิรูปตํารวจ อะไรที่ตํารวจเขาเห็นด้วย ต้องให้เกียรติเขาด้วย เพราะเขาต้องปกครอง บังคับบัญชาคนของเขา เราทํายังไงให้คนของเขาทําหน้าที่ตามกฎหมาย ถ้าไม่ทําก็ลงโทษ เพราะฉะนั้นเราต้องร่วมมือ เดี๋ยวจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ได้โดยเร็ว แล้วถ้าหากว่ามีปัญหาอะไรเรื่องนี้ ก็ร้องทุกข์มา แจ้งความ กล่าวโทษ อะไรก็แล้วแต่ สอบสวนให้ทุกอัน อย่าพูดกันลอยไป ลอยมา มีปัญหาหมด เดี๋ยวก็ฟ้องศาล ฟ้องอะไรกันมากมายไปหมด รกศาล อะไรพูดได้พูดกัน อย่าเอากฎหมายอะไรมาสู้กันเลย เรื่องการรับผลประโยชน์ ก็ยังคงมีอยู่ ไม่ว่าจะเรียกผลประโยชน์ เก็บส่วยอะไร ก็มีข่าวอยู่ ท่าน ผอ. ตํารวจท่านก็บอกแล้วเดี๋ยวท่านจะสอบสวนให้ได้ ลงโทษทั้งหมด ในส่วนของที่เป็นรัฐบาล เป็นนายกฯ ก็สั่งการไปแล้ว เรื่องของผลประโยชน์นี่จะเก็บส่วยบ้าง เรียกสินบน อะไรต่าง ๆ เหล่านี้บ้าง ต้องมีการพิจารณาทั้งผู้รับและผู้ให้ ถ้าผู้ให้ไม่ทําความผิด ก็ไม่ต้องไปให้เขา ถ้าเขาเรียกร้องมาก็ฟ้องขึ้นมา ร้องทุกข์ กล่าวโทษขึ้นมา แต่ถ้าเราทําความผิดแล้วไปยอมให้เขา ต่อไปถูกทําโทษทั้งคู่ คนรับก็โดน คนให้ก็โดน มีโทษ ไม่อย่างนั้นก็เคยตัวกันอยู่แบบนี้ ถ้าไม่ทําผิดกฎหมายเขาดําเนินการไม่สุจริต ฟ้องมา แต่ถ้าเขาทําตามกฎหมายแล้วเราทําผิดกฎหมาย อันนี้ท่านต้องพิจารณาตัวเอง ว่าท่านจะทํายังไง อย่าละเมิดกฎหมาย อย่าขับรถคร่อมเลน อย่าขับรถเร็วเกินกําหนด ประมาท ต้องรับผิดชอบ ประชาชนคนอื่นเขาใช้ด้วย ไม่ใช่วิ่งอยู่คนเดียว ใช้อยู่คนเดียว วันนี้ตีกันหมดทุกเรื่องไป แล้วจะปฏิรูปกันได้ยังไง ไม่รู้เหมือนกัน เรื่องของการสอบสวน พนักงานสอบสวน การทําคดี ต้องทําให้เกิดความชัดเจน จะทํายังไง ต้องมาคุยกัน คนอยากจะปฏิรูปก็คุยกับคนถูกปฏิรูป ว่าไปได้ จะต้องได้รับความไว้วางใจจากประชาชนด้วย ไว้เนื้อเชื่อใจ วันนี้เราไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ แล้วมาคุยก็ไปไม่ได้ เอาที่พูดแล้วกัน ท่านไว้เนื้อเชื่อใจกันก่อน ของเก่า ของใหม่ แยกกันมาก่อน ของเก่าค่อยว่ากัน ของใหม่ท่านจะทํายังไงให้เกิดความไว้วางใจระหว่างกันแล้วปฏิรูปให้ได้ แล้วเสร็จแล้วพอเริ่มต้นกันได้ เอาของเก่ามาดูว่า เรื่องที่ผ่านมาทํายังไง แล้วอนาคตจะทํายังไง ต้องคิดอย่างนี้ คิดวันนี้ แก้ปัญหาในอดีต แล้วก็เดินหน้าอนาคต ไปพร้อม ๆ กัน ทํา 3 อย่าง ไม่ใช่ทําอันหนึ่งแล้วจะจบ จบทีไหนเล่า ปฏิรูปโครมเดียว ทํางานกันไม่ได้หมด เข้าใจตรงนี้ด้วย
วันนี้ รัฐบาลพยายามให้ทุกหน่วยงานเขาทํางาน ให้เขามีการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมในการทํางาน วัฒนธรรมองค์กรของเขาผิดเพี้ยนมาตลอด ที่ผ่านมาจากอะไรก็ไม่รู้ไปหาเอา เพราะฉะนั้นตํารวจวันนี้สําคัญ เพราะเป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรม กระบวนการสอบสวน เช่นกัน อัยการ ศาล มีความเชื่อมโยงกันทั้งสิ้น เชื่อมโยงด้วยกฎหมาย ไม่ใช่เชื่อมโยงด้วยเส้นสาย ด้วยพวก ไม่ใช่ ทุกคนอยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน เพราะฉะนั้นต้องมีการจัดการบริหารให้ชัดเจน ไม่ว่าจะการปฏิบัติงาน การเพิ่มประสิทธิภาพ การทําโครงสร้าง การปฏิรูประยะยาว บอกแล้วยังไง ทุกเรื่องต้องมี 1-2-3 แล้วต้องทํายังไงว่าประชาชนจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย คําว่าเห็นด้วยประชาชนยังไงประชาชนก็ไม่เห็นด้วยมากนัก เพราะว่าเป็นเรื่องของตํารวจ ประชาชนกลัวตํารวจ ตํารวจเดินมาเฉย ๆ ก็กลัวแล้ว กลัวตํารวจจับ จะกลัวทําไม ในเมื่อตัวเองไม่ได้ทําความผิด ท่านก็ทําเหมือนเวลาทหารเดินมา ท่านก็ไม่เห็นกลัวทหาร แต่ท่านกลัวตํารวจ ตํารวจเขาบังคับใช้กฎหมายอย่างไร แสดงว่าเราไม่ชอบกฎหมายหรือเปล่า เราไม่ชอบปฏิบัติตามกฎหมายหรือเปล่า ถ้าทําตามกฎหมายได้ สังคมก็เป็นสุข ไม่ขัดแย้ง ตํารวจก็ไม่ต้องมาจับท่าน ตํารวจก็สบาย ตํารวจก็อยู่ของตํารวจไป ท่านก็ดูแลคนของท่าน เอากฎหมายมาเป็นพื้นฐาน ปรับเข้าหากัน
การปรับโครงสร้างไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ การปรับโครงสร้างนี่จําได้ว่าเราปรับระบบโครงสร้าง หรือการจัดทําระบบราชการตั้งแต่รัชกาลที่ 5 วันนี้ยังไม่เสร็จ เพราะมีความก้าวหน้ามาตามลําดับบ้าง สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปบ้างภายในภายนอก ก็ต้องปรับไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่ปฏิรูปทีเดียว โครงเดียวถอดเครื่องแบบออก ถอดยศ แล้วจะจบ ไม่จบ หลายประเทศเขาก็มีทั้ง 2 อย่าง ทํายังไงจะทําให้ไปสู่ตรงนั้นให้ได้ ถ้าเริ่มเอาทั้งหมดทํานี่ทั้งหมด ไม่มีทําได้ คนไทยอย่าใจร้อนซินะ ทําแบบที่ผมทํานี่ แล้วก็ทุกคนเล่นงานว่าช้า ไม่ปฏิรูป ปฏิรูปมาตลอด ไว้วางใจกันบ้าง ในเรื่องสายการบังคับบัญชาของเขา การบริหารกิจการภายใน การดูแลสวัสดิการตํารวจเขา เขาจะได้มีการดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาก็ไม่ต้องไปขอคนอื่นเป็นบุญคุณอีก วันนี้พันกันไปหมด การแต่งตั้ง การให้ความดีความชอบ ทุกอย่างกลายเป็นว่าเหมือนการเมืองเข้าไปหมดเลย ทุกที่ อันนี้ต้องระมัดระวัง ทํายังไงสํานักงานตํารวจแห่งชาติ เขาจะทํางานด้วยความมีเอกภาพ เข้มแข็งจากภายในของเขา ไม่มีการแทรกแซงจากภายนอก ของเก่าว่ามา ถ้าเป็นคดีก็ฟ้องมา ถ้าไม่ฟ้องก็จบ ก็ทําใหม่ไม่เช่นนั้นไปไม่ได้หมด เราต้องทําให้ตํารวจเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ พอตํารวจมาแล้วคนรัก คนยิ้ม คนเรียกหาพี่ตํารวจ เพื่อมาปรบทุกข์ ผูกมิตร ซึ่งกันและกัน ไม่ใช่เดินมาแล้วกลัว ว่าเราทําอะไรผิดหรือเปล่า ถ้าไม่มีความผิดไม่ต้องกลัวใครทั้งสิ้นในโลกใบนี่
เพราะฉะนั้น เราทําอย่างไรให้องค์กรตํารวจเข้มแข็งตํารวจมีความสําคัญ เขาดูแลภายในยังไง ความสงบเรียบร้อยภายใน ทหารนี่ดูชายแดนบ้างอะไรบ้าง วันนี้ก็ใช้ทั้งตํารวจทหารเลย ทั้งข้างในข้างนอก แล้วจะไปยังไงเล่าวันหน้า เราต้องเป็นประชาธิปไตยไม่ใช่หรือ วันนี้ก็ขอเวลาเปลี่ยนผ่านให้บ้าง ยังไม่ได้เลย ขอความร่วมมือทํายังไงให้มีประสิทธิภาพ แล้วก็ทุกองค์กร ประชาชนด้วย มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ทําอย่างไรจะใช้วิธีการเรื่อง “น้ําดี ไล่น้ําเสีย” คนดีเอาเข้ามาอยู่ในสังคมของเรา คนไม่ดีเอาออกไป ออกไปด้วยกฎหมาย ออกไปด้วยวิธีการถูกต้อง ไม่ใช่ไปใช้วิธีการนอกกฎหมาย เราต้องให้กําลังใจคนดี ขจัดคนไม่ดีออกไป ต้องร่วมมือกัน เราอย่าไปมุ่งหวังว่าจะสลายอํานาจเขาอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่ได้ เช่นเดียวกัน รัฐบาลนี้ไม่เคยมุ่งหวังจะสลายอํานาจทางการเมืองของใคร ๆ ถ้าเขาทําดี ไม่ไปยุ่งกับเขาอยู่แล้ว ถ้าไม่ดีก็ยุติธรรมเข้าไปจัดการ ดําเนินการ แค่นั้น ถ้าไม่เข้ามาผมไม่รู้จะทํายังไง กลายเป็นว่าไปมุ่งหวังสลาย ถ้าไม่เข้ากระบวนการยุติธรรมแล้วจะทําอย่างไร เขาสู้กันแบบนั้นไม่ใช่หรือ ต่อสู้กันทางกฎหมาย เราไม่อยากให้มีการแทรกแซงจากภายนอก เข้าไปภายใน ไม่ว่าจะตํารวจที่อยู่ต้นทางกระบวนการยุติธรรม อัยการ ศาล ทุกคนว่ากันไป ว่ากันมา วันนี้ต้องเป็นหนึ่งเดียว ในเรื่องของการใช้กฎหมาย ให้เกิดความเป็นธรรม ชัดเจนมากที่สุด
เรื่องที่ 3 คือเรื่องการบริหารราชการแบบบูรณาการ วันนี้คือสิ่งที่เรากําลังปฏิรูปยังไง เราต้องปฏิรูป ระยะที่ 1 คือการบริหารราชการแบบบูรณาการ ที่ผ่านมาหน่วยงานเขาจะบริหารงบประมาณของตัวเขาเอง ทํางานด้วยตัวเขาเอง ค่าใช้จ่ายงบประมาแต่ละปีมีแต่จะหมดไป บางทีไม่ต่อเนื่องไม่สอดคล้อง ไม่เป็นเวลาเดียวกัน พื้นที่เดียวกัน ความต่อเนื่องไม่ได้ กระจัดกระจายไปหมดเลย เพราะฉะนั้นรัฐบาลก็มุ่งเน้นการบูรณาการ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ก็รับว่ายาก เพราะไม่เคยทํา ไม่เคยทําด้วยระบบการบริหารราชการของรัฐบาลผ่าน ๆ มาก็เป็นแบบเดิม ไม่ได้โทษ ไม่โทษท่าน เราต้องแก้ไง เราต้องมาดูเรื่องการบูรณาการในกิจกรรมที่ต้องใช้ความร่วมมือระหว่างกัน หลายกระทรวง หลายหน่วยงาน ไม่ใช่แต่ละกระทรวงทําไปเลย ใช้เงินหมดไป แล้วต่อของกระทรวงอื่นหรือไม่ บางอันรับผิดชอบหลายกระทรวง เช่นน้ํา ทําหลายกระทรวงน้ํา คนละน้ําหมด แล้วจะไปอย่างไร
วันนี้ต้องเอาน้ํามา เอาหัวชนกันหลายหน่วยงานเกี่ยวกับน้ํา ต้องมาจัดกลุ่มกิจกรรมให้ตรงกัน แล้วจัดทํางบประมาณของแต่ละกระทรวงให้สอดคล้องกับแผนงานหลักตรงนี้ เพราะฉะนั้นคือการบริหารจัดการน้ําทั้งระบบ แล้วแต่ละกระทรวงมามาอยู่ในส่วนนี้ ส่วนนี้ ส่วนนี้ ก็อะไร 1 เร็วก็ทําก่อน อันไหนรอได้ก็ 2 อันไหนต้องทําช้าก็ 3 ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเล็กไปกลาง กลางไปใหญ่ เพราะฉะนั้นสอดคล้องให้หมด แผนงานโครงการ การใช้คนอะไรต่าง ๆ แล้วแต่ อย่างบูรณาการภายใต้ยุทธศาสตร์เดียวกัน ซึ่งได้มอบให้รองนายกแต่ละฝ่ายกํากับดูแลไปแล้ว ในทุกกลุ่มงานนี่ให้คล่องตัวในการบริหารงาน มีคณะกรรมการขับเคลื่อน ทั้งหมดเลย นี่คือสิ่งที่เราทําใหม่ อย่าหาว่ารัฐบาล คสช. ไม่มีการปฏิรูปเลย ปฏิรูปแบบนี้ยากกว่า ที่ท่านพูด บางคนพูดออกมา ท่านบอกว่ามองไม่เห็น จะมาเห็นได้อย่างไร เพราะว่าบริหารภายใน นี่คือสิ่งที่จะเกิดผลสัมฤทธิ์ในวันหน้า ไม่ใช้เอาเงินโครม ๆ สั่งนี่สั่งโน่นแล้วก็ไม่ต่อกันทํายังไง ควรจะเป็นคนตําหนิท่านมากกว่า
เรื่องการบริหารจัดการภายใน เพิ่มประสิทธิภาพให้ได้ ข้าราชการต้องเตรียมข้าราชการรุ่นใหม่ ใน 5 ปี 10 ปี ข้างหน้าจะทํายังไง กพร. ก็ต้องไปคิด หลักสูตร หาคนเข้ามาทํางานให้ตรงความต้องการของแต่ละกระทรวง ให้รู้ทันต่อความต้องการของประเทศ ถ้าเอกชนเขาพัฒนาแล้ว แต่ข้าราชการไม่พัฒนาตัวเอง ไปกันไม่ได้ เพราะคิดคนละอย่างกัน ต้องทําให้มีการศึกษาเรียนรู้ระหว่างกัน มีการทํางานร่วมกัน มาช่วยกันรัฐ ข้าราชการ ประชาชน ภาคเอกชน ต้องช่วยกัน ที่เรียกว่า “ประชารัฐ” ระดับบน ระดับรัฐ
เพราะฉะนั้น กิจกรรมที่ต้องการบูรณาการกัน ได้แก่ การบริหารจัดการน้ํา สาธารณูปโภคพื้นฐาน รถไฟ รถไฟฟ้า ที่ต้องเกี่ยวพันหลายกระทรวง ทําราง สมมุติว่า ทําราง ทําถนนก็คมนาคม แต่ข้างทางใคร แล้วเรื่องที่ดีใคร เรามีทั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกระทรวงมหาดไทย แล้วก็ไปตามเรื่องไฟฟ้า พลังงาน ตามไปหมด งานเดียว ไปตั้งหลายกระทรวง เพราะฉะนั้นจึงได้จัดกลุ่มเหล่านี้ไว้ มีคณะกรรมการขับเคลื่อน ต้องทําให้ได้ แล้วเราทํา 1-2-3 ไว้ เราทําได้แค่ไหนก็แค่นั้นก่อน ตามความต้องการของประชาชนที่เรียกร้อง เรียกว่า การเสนอความต้องการที่ถูกช่องทาง เข้าใจถึงความเร่งด่วน ความจําเป็น นึกถึงคนอื่นเขาบ้าง ถ้าเกิดในลักษณะที่เป็น จุด ๆ จุด ๆ หมดก็ไม่ดีมากนัก จุด ๆ จุด ๆ จะบรรเทาความเดือดร้อน เป็นพื้นที่เล็ก ๆ แต่ถ้าทําใหญ่ ๆ ไว้บ้าง ก็จะเสริมเติมเล็ก ๆ นี่ได้ในวันหน้า ไม่เช่นนั้นเล็กๆ ก็จะอ่อนแอไปเรื่อย ๆ ถ้ามีใหญ่ กลาง เล็ก ก็จะเสริมกันไป เป็นพื้นที่ให้ได้ แล้วแต่ละภูมิภาคก็จะเข้มแข็ง ให้นโยบายไปแล้วว่าทํายังไงทุกภูมิภาคจะเข้มแข็งได้ ก็ต้องไปดูในกลุ่มจังหวัด แล้วก็ท้องถิ่นให้ได้ให้สอดคล้องกัน
ยกตัวอย่างง่าย ๆ ที่เราเห็นอยู่วันนี้ คือเรื่องการขุดถนน ซ่อมถนน ขุดถนนที่ขุดไปขุดมา ขุดถนนทําอะไร ทําท่อระบายน้ํา ทําโทรศัพท์ เดินสายไฟฟ้า ขุดกันอยู่เรื่อย ขุดถนนเดิมจนไม่รู้จะขุดยังไงแล้ว แล้วก็ซ่อมไม่ได้เหมือนเดิม ต่อไปนี้ทําเวลาเดียวกันหมด ถ้าเส้นนี้ต้องทําพร้อมกัน ไปหาวิธีการมา ทั้ง กทม. ทั้งในส่วนของกระทรวง ต่าง ๆ ด้วย ไม่อนุมัติ ถ้าไม่เสนอมาเป็นแผน เป็นพื้นที่มาก็ลําบาก ตรงไหนที่ทําสั้น ๆ ตอน ๆ ทําไป แต่ตรงไหนที่ต้องทําให้เสร็จเป็นพื้นที่ต้องทําก่อน ทําไปด้วยสําคัญ ไม่เช่นนั้นไม่จบที่หนึ่งก็ต่อไปเรื่อย ๆ วันหน้าการเมืองเข้ามาครอบอีก ถนนเส้นนี้ เป็นฐานคะแนนเข้าไปอีก ถ้าเลือกเข้ามาแล้วจะทําต่อให้เสร็จอะไรแบบนี้ ผมว่าไม่ใช่ ต้องทําตามแผนพัฒนาขั้นพื้นฐานที่มีอยู่ ท่านก็ไปดูทั้งประเทศว่า ตรงไหนจะเชื่อมโยงเศรษฐกิจ ตรงไหนเชื่อมโยงการสัญจรไปมา ค้าขาย ขนส่งสินค้า ไปวาดภาพใหญ่ จากนั้นก็ลงมาเป็นพื้นที่ เป็นถนนสายเล็กสายน้อย ไมใช่ทุกคนจะไปลงพื้นที่ตัวเองหมด แล้วจะไปได้หรือไม่ นี่คือสิ่งที่แตกต่าง รัฐบาลนี้ พูดถึงการปฏิรูป ถามว่ามีใครพูดบ้าง ปฏิรูปแบบนี้ มีหรือไม่ เห็นเถียงกันอยู่เรื่องรัฐธรรมนูญ เรื่องประชามติ ประเทศชาติจะไปอย่างไรไม่สนใจ เพราะฉะนั้นต้องเอาปัญหา กิจกรรมต่าง ๆ เป็นตัวตั้ง แล้วกําหนดวัตถุประสงค์ที่ต้องการตรงปลาย เอาประชาชนเข้ามาเป็นตัวประกอบ เป็นศูนย์กลาง ประกอบในการพิจารณา แล้วหาวิธีการบริหารจัดการที่เหมาะสม ย้ําอีกที่ตัดเสื้อตัวเดียว ใส่กันหมดไม่ได้ สูงต่ําดําขาวไม่เท่ากันอยู่แล้ว ใส่สวยไม่สวยก็อีก เพราะฉะนั้นขอให้ความร่วมมือ
รัฐบาลกําลังจัดทํา แล้วบังคับใช้กฎหมายที่ทันสมัยเป็นสากล หลายอย่าง 4-500 กฎหมาย ครึ่งหนึ่งเป็นกฎหมายที่เราต้องแก้ให้เป็นสากล ทันสมัยต่อการค้า การลงทุนในสมัยนี้ เราต้องเดินตามวิสัยทัศน์ของเราตามยุทธศาสตร์ของเรา 20 ปี แล้วจะต้องใช้แนวทางของยุทธศาสตร์การพัฒนา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” เป็นจุดเริ่มต้น แล้วใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาขับเคลื่อน แล้วประเมินผล ติดตามความก้าวหน้า รายปี ราย 5 ปี ด้วยแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฯ วันนี้เรามีแผนปฏิรูปเข้ามาอีก
เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าเราพยายามที่จะสร้างความเชื่อมโยงเหล่านี้ให้ได้ ให้เกิดความมั่นใจว่า อนาคตเราจะเห็นอะไรขึ้นมาได้บ้างใน 5 ปี 10 ปี 20 ปีข้างหน้า เราต้องมีอนาคต ที่ผ่านมาท่านเห็นอนาคตหรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นวันหน้า ไม่มี ท่านก็เอาแต่ใกล้ ๆ ตัว ได้ประโยชน์มากที่สุด แข่งขันกันอยู่แบบนี้ วันนี้เราต้องเฉลี่ยแบ่งปันความสุขด้วย เราต้องทําให้ประเทศไทยเป็นประเทศ ดินแดนแห่งความสุข เราได้คะแนนที่ 1 เป็นประเทศที่มีความสุขในโลก อันนี้น่าภูมิใจ แต่รู้ว่าจริง ๆ แล้วก็ทุกข์อยู่ รายได้น้อย หนี้สินมาก แต่ยังยิ้มอยู่ได้ ที่เขาเรียก ดินแดนยิ้มสยาม ยิ้มต่อไป เดี๋ยวเราจะต้องทํายิ้มของท่านให้กว้างขึ้น แต่ต้องใช้การปฏิรูป ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ร่วมมือ อย่าขัดแย้งอีกเลย ต่อต้านกันไปทุกเรื่องไป ไปไม่ได้หมดกลับไปที่เดิม ไม่ได้ ไม่ยอมอยู่แล้ว ไม่ยอมให้กลับที่เดิมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการเข้มแข็งจากภายใน การสร้างความเข้มแข็งให้ภูมิภาค ใช้แนวทาง “ประชารัฐ” เป็นตัวขับเคลื่อน
เรื่องสุดท้าย คงเป็นเรื่องของนโยบายรัฐบาลในการดําเนินการด้านต่างประเทศและเวทีโลกในปัจจุบัน เราจะต้องรักษาพันธะสัญญาต่าง ๆ ที่เราสัญญากับเขาไว้แล้ว แล้วเราไม่ได้ทํา วันนี้ต้องเอามาทําหมด อันไหนควรทําใหม่ก็ว่าไปโดยไม่เสียเปรียบ มันยาก ยากเพราะบางทีลงนามกันไว้แล้วมากมาย ไฟหมดนะ พอเราไม่ลงนาม ลงนามไม่ได้ ทําไม่ได้ท่านบอกช้าเกินไป ท่านจะเอาเร็วหรือไม่ เอาเร็วก็เดือดร้อนเหมือนเดิม วันนี้ช้าเพราะต้องไว้เนื้อเชื่อใจ ลดความหวาดระแวง แล้วส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่เป็นธรรมกับประเทศ กับประชาชนของเราด้วยนั่นยาก พูดง่าย ๆ ทําง่ายหมด ขออะไรมาก็โครม ๆ ไป แล้วทับซ้อนผลประโยชน์ ทุจริต คอรัปชั่น พยายามไม่ให้เกิดอยู่แล้ว กวดขันทุกวัน แต่ยากเหมือนกัน ในการที่จะคบค้าสมาคมกับคนอื่น ต้องรู้จักพูดคุย ลําบากใจเหมือนกันเวลาไปต่างประเทศ บางทีสัญญามากมายที่เราเคยสัญญากับเขาไว้ แล้วเขาถามกลับมา ก็ไม่รู้จะทําอย่างไรเพราะผิด ไม่ถูก เริ่มต้นไม่ถูกแล้วทําได้ แต่เราก็จะเสียมิตรหรือเปล่าไม่รู้ ค่อย ๆ ทําไป เราทําอย่างไรจะร่วมมือกับประเทศที่กําลังพัฒนาด้วยกันได้ โดยเรียกว่า ไตรภาคี คําว่า “ไตรภาคี” คือ ประเทศพัฒนา ต้องมาส่งเสริมประเทศที่กําลังพัฒนา อีกอันคือส่วนของประเทศกําลังพัฒนา กับ ประเทศที่กําลังพัฒนา ต้องเริ่มกันเป็น แล้วส่งเสริมกันไปกันมา ถ้าเรารวมกลุ่มกันได้ ประเทศเล็ก ๆ ประเทศกําลังพัฒนา แล้วไปสร้างห่วงโซ่วงจร ให้เกิดขึ้นจากประเทศที่พัฒนาแล้วมาก ๆ มาช่วยเราให้ตรงความต้องการก็จะดีขึ้น เป็นหน้าที่ของทุกคนในโลกใบนี้ แผ่นดินนี้ ผืนฟ้า ผืนน้ํา ไม่ใช่ของไทยคนเดียว ถึงแม้จะเป็นประเทศไทยก็ตาม แต่ทั้งหมดมีผลกระทบกับคนทั้งโลกใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นเราต้องนึกถึงประเทศชาติในอนาคตด้วย ทั้งโลกใบนี้ มากขึ้นเรื่อย ๆ จํานวนประชากรก็จะมากขึ้นอีกหลายพันล้านคนในไม่กี่ปีข้างหน้านี้แล้ว
วันนี้ไทยกําลังวางอนาคตให้คนไทยข้างหน้าว่าทํายังไง เขาเกิดมาแล้วจะทําอย่างไร ทะเลาะกัน คนเกิดแล้วทะเลาะกันอยู่ได้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องร่วมมือกัน พึ่งพาอาศัยกันในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เน้นเรื่องการวิจัยพัฒนา ที่เป็นระบบ สู่การปฏิบัติให้ได้ อันไหนวิจัยไม่เกิดประโยชน์ ไม่ต้องวิจัย เสียเวลา ที่ผ่านมาก็วิจัยกันไป กันมาแล้วก็เก็บเข้าโต๊ะ ไม่ยอมแล้ว ดึง-ควักออกมาหมด อันไหนไม่ดีก็รื้อใหม่ ทําใหม่ นํามาผลิตให้ได้
เรื่องยางก็กําลังเร่งอยู่ ในการที่เอายางมาสู่การผลิต บริษัทต่าง ๆ หรือ SMEs ก็กําลังปรับตัวเองอยู่เพื่อจะนํายางที่เราซื้อมา เพื่อจะดึงเอาไปใช้ในส่วนราชการ เห็นใจไม่เคยเริ่มมาก่อนเลย ไม่ใช่ทําวันนี้ แล้วโรงงานจะสร้างพรุ่งนี้ แล้วทําเสร็จเมื่อไร ไม่เคยคิดกันแบบนี้ ทั้งระบบ เพราะมีเอกชนทําอยู่บ้าง ต้องไปสร้างวงจรเพื่อจะแข่งขันในในภาคธุรกิจเอกชน อันนั้นเขาเพื่อกําไรยังไง กําไรมาก ๆ เราต้องทําของเราเองส่งเสริมจากธุรกิจสตาร์ทอัพใหม่ เกี่ยวกับเรื่องยางให้เกิด จะได้เกิดการแข่งขัน จะได้ชักนําราคายางให้สูงขึ้นเพราะว่ามีการแข่งขันกันในประเทศ ผลิตใช้ในประเทศ แล้ววันหน้าก็ขายต่างประเทศ เราก็ตั้งสถานีทดสอบยางอะไรมากมายไปหมดตอนนี้ ทั้งภาพเอกชนด้วย ของรัฐบาลก็ตั้งอยู่ กําลังหาทางตั้งยังไง ตั้งไม่ได้สักที เพราะฉะนั้นเราต้องร่วมมือกัน ทั้งเข้มแข็งภายในประเทศ เข้มแข็งจากภายนอก ก็คือการส่งไปค้าขาย แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ก็เข้มแข็งทั้งภายใน ภายนอกประเทศ และอีกอันคือเข้มแข็งภายในประเทศเราคือเรื่องของชุมชน จังหวัด กลุ่มจังหวัด ภูมิภาค ต่อเนื่องกันทั้งหมด คิดแบบนี้ ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมทั้งหมดเลย ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน ผู้มีรายได้น้อย ทั้งหมดคืออยู่ในวงจรนี้ทั้งสิ้น ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ร่วมมือกัน ขัดแย้งกันมันไปไม่ได้หมดแล้วจะทํายังไง เล็กเกิดไม่ได้ กลางเกิดไม่ได้ ใหญ่ก็เกิดไม่ได้ แล้วประเทศจะอยู่ตรงไหน วันหน้าพวกเรา ไม่อยู่กับท่านแล้ว เพราะฉะนั้นวันหน้าแล้วจะทํายังไง
เรื่องสําคัญที่สุดวันนี้คือ เรื่องการประชาสัมพันธ์ ก็เป็นเรื่องยาก เพราะเรามีความแตกต่างกันในเรื่องการรับรู้ ในเรื่องพื้นที่ ในเรื่องความยากลําบาก หลายคนต้องทํางานทั้งวันในเวลาที่คนเขานอน ท่านต้องทํางาน เพราะฉะนั้นการสื่อสารอาจจะไปไม่ถึง ทํายังไงเราจะสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนทุกภาคส่วน ใครฟังก็บอกกันปากต่อปากได้ ใครไม่ได้ฟังก็เปิดในโทรศัพท์ วันนี้เราก็ทําช่องทางทางโทรศัพท์ได้ในระยะแรกไปแล้ว
ในส่วนของอะไรที่ว่าจะเกิดในแต่ละพื้นที่ จะเกิดยังไง มีผลยังไง รายได้อย่างไร ลูกหลานจะเป็นอย่างไร คิดแบบนี้ อย่าคิดแต่ตัวเอง คิดถึงลูกหลานท่าน ถ้าตีกันวันนี้ ลูกหลานก็ตายหมด คือลําบากหมด มีหนี้มีสินเหมือนท่าน ท่านก็แย่ วันหน้าลูกหลานก็ว่าเรา ทําไม่สร้างหนี้สร้างสินให้ลูกหลานต้องชดใช้กันมากมาย รัฐบาลทําทุกอย่าง เข้าใจกันบ้าง อย่าเชื่อฟังคนที่ไม่ทําแล้งบิดเบือนทุกวัน ๆ ทุกคนอยู่ในห่วงโซ่ประเทศห่วงโซ่เดียวกันทั้งหมด ต้องส่งเสริมร่วมมือเกื้อกูลแล้วก็ต้องให้น้ําหนักกับประเทศ มากกว่าตัวเอง มากกว่าพื้นที่ตัวเอง ร่วมกันสร้างความเข้มแข็งจากภายใน เราต้องมีข้อมูลที่ทันสมัย Area Base เป็นที่ตั้ง ของการแก้ปัญหาทั้งหมด เพื่อจะสร้างความเจริญเติบโต ขยายผล หมู่บ้าน – ตําบล – อําเภอ – จังหวัด – กลุ่มจังหวัด– ภูมิภาค – ประเทศ – การค้าชายแดน – การค้าขาย CLMV – ภายในอาเซียน – อาเซียนกับประชาคมอื่น ๆ ด้วย นี่มันโยงกันทั้งหมด มีกิจกรรมทุกภาคส่วน
วันนี้เราทําหลายช่องทาง ฟังบ้าง ใครไม่ได้ฟังก็ถามเพื่อนเขาบ้าง คนฟังแล้วเข้าใจก็อธิบายคนอื่นเขาบ้าง ปากต่อปากดีกว่าอย่างอื่น ไม่เช่นนั้นรู้บ้างไม่รู้บ้าง แล้วคนรู้ กับไม่รู้ก็ตีกันอยู่อย่างนั้น ไม่เกิดอะไรทั้งสิ้นเลย คํานึงถึงงบประมาณของรัฐ การบริหาราชการที่ยุ่งยากคนตั้ง 60 กว่าล้านคน มองกลุ่มเล็ก ๆ ไม่จบ มีคนตรงนี้อยากดี อยากได้แล้วไม่ร่วมมือ บางคนก็อยากดี อยากได้ ร่วมมือต่างกันหมดเลย ใช้งบประมาณทั้งสิ้น จะต้องดูแลประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่าย ทั้งประเทศ ทุกภาค ทุกภูมิภาคในการพัฒนาให้มันเกิดความเท่าเทียม มีมาตรการแข่งขันในแต่ละภูมิภาคจะต้องไปด้วยกัน
เรื่องสุดท้าย ของสุดท้าย คือเรื่องการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตัวเอง ภาษาอังกฤษเปรียบ เสมือนภาษาที่จะเป็นประตูสู่ความรู้สาขาวิชาต่าง ๆ ของโลก เพราะเป็นภาษาราชการด้วย ภาษากลาง เราต้องเปิดโอกาสสู่ความก้าวหน้าในอาชีพการงาน พัฒนาตัวเอง พูดภาษาเดียววันหน้าลําบากเหมือนกัน ต้องมีไทยด้วย ภาษาอื่นด้วย มากบ้างน้อยบ้างรู้มากรู้น้อยก็แล้วแต่ท่าน แต่ต้องมีภาษาที่สองของท่านทุกคน ไม่ใช่ภาษาที่ 2 มีเฉพาะเพลง รู้แต่เพลง แปลจากเพลง ใช้ประโยชน์ไม่ได้หรอก เป็นความรัก ความสนุกสนาน รื่นเริงบันเทิงของท่านไปมากกว่า ท่านต้องเรียนรู้เรื่องที่เป็นประโยชน์บ้าง
วันนี้รัฐบาลได้เปิดตัว แอปพลิเคชั่น เพื่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ สําหรับคนไทย ด้วยความร่วมมือในรูปแบบประชารัฐ กระทรวง ศึกษาธิการ มูลนิธียุวสถิรคุณ และ Enconcept ซึ่งจะเป็นครั้งแรก ที่คนไทยทุกคน สามารถเรียนภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษาได้ฟรี ๆ ทุกที่ ทุกเวลา ทางโทรศัพท์ ทั้ง 4 ทักษะ คือฝึก ฟัง พูด อ่าน เขียน ผ่านมือถือ แท็บเล็ต โดยไม่จําเป็นต้องมีพื้นฐานมาก่อน มีทั้งหมด 200 บทเรียน เป็นสถานการณ์จําลองที่จําเป็นต้องใช้ในชีวิตจริง ทั้งบทสนทนาทั่วไป แล้วเป็นภาษาอังกฤษเพื่อธุรกิจการค้าและการบริการ ภาษาอังกฤษสําหรับวิชาชีพต่าง ๆ ก็อยากให้พี่น้อง ที่สนใจ ทดลองดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นนี้ มาใช้ตามรายละเอียดด้านล่างนี้ (ชื่อ “echoenglish” ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) ใช้ได้แล้ววันนี้ ส่วนระบบปฏิบัติการ iOS คาดว่าจะพร้อมให้บริหารในสิ้นเดือนมีนาคม 2559 นี้)
หัวใจสําคัญของการประสบความสําเร็จในการเรียนภาษาอังกฤษ มี 3 ปัจจัย คือ (1) เรียนรู้จากต้นแบบภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง (2) มีระบบFeedback ที่ช่วยแก้ไขให้ถูกต้องในทันที ซึ่งทั้งสองปัจจัยนี้รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมให้กับประชาชนเรียบร้อยแล้ว ในขั้นที่ 1 เราจะมีสเตท 1-2-3-4 อะไรก็แล้วแต่ ยากขึ้นเรื่อย ๆ วันนี้สเตทแรก ออกมาแล้ว
ประการสุดท้าย เรื่องภาษาอังกฤษ อยากให้พี่น้องประชาชน นักเรียน นักศึกษา แรงงาน ข้าราชการด้วย หมั่นฝึกฝน ขวนขวายเรียนรู้เพิ่มเติมสม่ําเสมอ อย่าคิดว่าจะทําอาชีพเดิมไปจนแก่จนตาย แล้วส่งต่อลูกหลานไปทําต่ออีก ว่าไม่ใช่แล้ว ต้องพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าพ่อ เขาเรียกอะไร ลูกต้องดีกว่าพ่อ ร่ํารวย มีเงินมีทอง ไม่ใช่มีหนี้สินมากกว่าพ่อเข้าไปอีก เพราะหนี้สินพ่อบวกด้วยไง ตัวเองมีหนี้สินเพิ่มเขาเรียกดับเบิ้ลหนี้ ไม่ได้ ต้องพัฒนาตนเอง อาจจะต้องมีแรงบันดาลใจบ้าง ที่จะพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ถือว่าเป็นหน้าที่สําคัญทุกคน เป็นก้าวแรกของการร่วมพัฒนาชาติ หลายประเทศเขาพัฒนาอย่างนี้ มีการเรียนรู้ 2 ภาษา ง่าย ๆ ดูภาพยนตร์ ดูรายการทีวี ฟังทั้งอังกฤษ อ่านซับก็ได้ ค่อย ๆ ซึมซับไป รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้บ้าง เดี๋ยวก็รู้เอง อ่านไวแล้วกัน เวลาเขาเขียน ซับไตเติ้ล อ่านไปเรื่อย แล้วฟังปากเขาพูด ตรงกันนั่นแหละ ง่าย ๆ บางทีก็ใช้แบบนี้ บางทีก็ลืม ง่าย ๆ ลืม เพราะยุ่งมากไง สมองปวดหัวไปหมด เรียนรู้ก็ต้องเรียนเอง แล้วในส่วนของแก้ปัญหาก็ต้องแก้ ระงับความขัดแย้งก็ต้องทํา ไม่บ่นพูดให้ฟังเฉยๆ เดี๋ยวจะลืมว่าทําอะไรอยู่
เรื่องการใช้น้ํา ก็ห่วงอีก ห่วงแล้ว ห่วงอีก ก็ไม่ใช่เพื่อวันนี้เพื่ออนาคตด้วย จะทํายังไงให้ทุกคนช่วยกันประหยัด ประหยัดที่ว่า คือประหยัดทุกคน ประหยัดทุกส่วน อย่าให้ถึงขนาดต้องมากินน้ําวันละเท่านี้ อาบน้ําวันละครั้งอะไรอย่างนี้ ว่าไม่ใช่ อาบให้น้อยลงเท่านั้น อย่าขัดสีฉวีวรรณ นานนัก มากเกินไปก็แล้วกัน อันนี้ก็เราจะได้แก้ปัญหาภัยแล้งให้ได้อย่างยั่งยืน แล้วเราถือว่าเป็น “วาระแห่งชาติ” ด้วย วาระแห่งชาติคือชาตินี้ แก้ให้ได้ชาตินี้ ไม่งั้นก็ลําบากอีก ชาตินี้คือเดี๋ยวนี้ด้วย ทุกหน่วยงานต้องรณรงค์จัดกิจกรรม สร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจ จัดเวทีคอนเสิร์ต จัดดนตรีลูกทุ่ง แล้วช่วยกันประหยัดน้ําอย่างไร รณรงค์อย่างนี้ ให้พูดอยู่คนเดียว พอไม่ทํากันก็บอกให้ใช้กฎหมายบังคับ ทําไมต้องบังคับกันด้วย ประเทศไทย คนไทย เราเคยอยู่อย่างสงบสุขมา ทําไม่เป็นอย่างนั้นไป หรือมีบางคนไม่เคารพกฎหมาย ทําให้เกิดแบบนี้ เพราะอย่างนั้นอย่าให้เกิดอีก อย่าให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงในอนาคตด้วย
ใครที่มีหนี้สิน ไม่ว่าจะนโยบายในรัฐบาลใด ถ้าหนี้สินยังอยู่ ก็อย่าน้อยใจว่ารัฐบาลไม่ช่วย กําลังช่วยอยู่ การช่วยไม่ใช่เอาเงินไปให้ ตรงนี้แล้วจบ ไม่จบ แล้วหนี้สินใหม่ก็เกิดขึ้น วันนี้ก็มีทั้งประนอมหนี้ มีทั้งชะลอ มีทั้งมาตรการทางดอกเบี้ย ถ้าใครไปไม่ถึง ใครเข้าไม่ถึง ไปหาเจ้าหน้าที่เขา เจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย มีทุกจังหวัด ทุกอําเภอ อยู่แล้ว ไปให้เขาคิดดู ศูนย์ดํารงธรรมนะ ศูนย์ดํารงธรรมก็ต้องรับเรื่อง แล้วก็ส่งต่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นหัวหน้า CEO ในแต่ละกลุ่มจังหวัด ช่วยกันแก้ ถ้าไม่แก้ก็เอาเรื่องเหมือนกัน แก้ให้ได้ แต่ต้องเข้าใจถึงปัญหาของเขาด้วย บางทีก็ติดขัด เงินจากงบประมาณก็มีแค่นี้ จํากัด ต้องเร่งใช้ว่าอันไหนสําคัญ ไม่สําคัญ สําคัญมาก สําคัญน้อยทุกคนเอาเงินหมด หลายวันมานี้ก็มีคนของบประมาณ กองทุนนี่โน่น อยากให้หมด ถ้ามีสตางค์ ถ้าประเทศมีสตางค์ ก็ต้องไปสู่การสร้างรายได้ประเทศให้มากขึ้นกว่าเดิม ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ปรับโครงสร้างส่งออก การนําเข้า การพัฒนาเทคโนโลยี การตั้งโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ ทั้ง 5 ประเภท 5 ประเภทเดิม 5 ประเภทใหม่ ทั้งหมด 10 อุตสาหกรรมที่ต้องเข้มแข็ง เพื่อรองรับวันนี้ และวันหน้าด้วย อย่าให้ใครมาทําลายความสงบสุขประเทศเราอีกเลยนะครับเสถียรภาพของคนในประเทศสําคัญที่สุด คนเดือดร้อนคือพวกเรา คนที่ไปสร้างความเดือดร้อนอยู่ข้างนอก ใครก็ไม่รู้ ก็อย่าไปฟังเขามากนัก ไม่ฟัง ขี้เกียจฟัง ก็พูดซ้ําแล้วซ้ําอีกอยู่เหมือนเดิม ว่าไม่เกิดประโยชน์ แล้วท่านก็ไม่เคยทํากันทั้งสิ้นสิ่งที่ท่านว่าทุกวันนี่ เคยทํากันที่ไหน คณะทํางาน รัฐมนตรีเงา เคยทําหรือเปล่า ถ้าทําบอกมาว่าจะทํายังไง สิ่งที่จะทํา ใช้งบประมาณแล้วแก้ปัญหาไม่ได้ แล้วทํายังไง ตอบมาบ้าง ถามท่านทางนี้ ตอบมาแล้วกัน เพราะท่านพูดให้ผมฟังทางสื่อทุกวันๆ ก็อดทนอยู่ อย่ามาพูด ถ้าพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทํา อย่าพูด จําไว้
ขอขอบคุณในความร่วมมือของทุกคน รู้ทุกคนรักประเทศทั้งนั้น มีคนบางคนไม่ค่อยรัก รักตัวเองมากกว่า ขอให้มีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
|
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2559 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
วันที่ 13 มีนาคม ของทุกปีเป็น “วันช้างไทย” โดยช้างนั้นเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยเรา และช้างเผือกเป็นสัตว์คู่พระบารมีของพระมหากษัตริย์ไทย สําหรับช้างนั้น มีคุณูปการกับชาติไทยมาแต่อดีต เช่น ในการสู้รบนั้นที่ลูกหลานไทยควรรู้ ได้แก่ “เจ้าพระยาไชยานุภาพ” ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในการทํายุทธหัตถี เพื่อกอบกู้เอกราชของชาติได้สําเร็จในที่สุด เป็นที่มาของ “พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์” จังหวัดสุพรรณบุรี นอกจากนี้ คนไทยก็มีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับช้างมายาวนาน ปัจจุบันทีมฟุตบอลชาติไทย ก็เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในนาม “ทีมช้างศึกไทย” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ที่สื่อถึงความรัก ความหวงแหนช้างของคนไทย
โดยที่ผ่านมาประเทศไทยประสบปัญหาการปฏิบัติตาม อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (หรือ CITES) แต่เมื่อ คสช. และรัฐบาลนี้ เข้ามาบริหารประเทศ ได้ดําเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และกําหนดมาตรการควบคุมการค้างาช้างบ้าน ปราบปรามการลักลอบการค้างาช้างแอฟริกา รวมถึงควบคุมการลักลอบนําเข้าและส่งออกงาช้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนเป็นที่ยอมรับจากคณะกรรมการ CITES เป็นผลให้เรารอดพ้นจากการคว่ําบาตรทางการค้าได้สําเร็จในที่สุด ไม่สูญเสียตลาดส่งออกพืชและสัตว์ที่มีมูลค่านับพันล้านบาทต่อปี
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีพระราชเสาวนีย์ โปรดให้มีการดูแลและอนุรักษ์ช้างไทยซึ่งรัฐบาล โดยองค์การสวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ตั้ง “คชอาณาจักร” เข้ามาดูแลปัญหา เพื่อให้ควาญช้างนําช้างเร่ร่อนกลับมาอยู่บ้านเกิด จัดสรรที่ดินป่าสงวนแห่งชาติดงภูดิน จังหวัดสุรินทร์ ให้ช้างและควาญช้างอยู่อย่างมีความสุข ควบคู่ไปกับความพยายามพัฒนาให้เป็นหมู่บ้านช้าง ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ สร้างงาน กระจายรายได้ไปสู่ชุมชน ด้วยใช้ตํานานช้างไทยและวิถีชีวิตคนกับช้าง เช่น การอาบน้ําช้าง พิธีกรรมหมอช้างแต่โบราณกาล ซึ่งเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เป็นจุดขาย หรือการทํากระดาษมูลช้าง วัตถุดิบมีอยู่แล้ว มีคนสอนให้ทํา ก็เข้าไปทําเอง ทําไม่ยาก ในอนาคตอาจใช้กลไก “ประชารัฐ” สร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น ทําเป็นโลกของช้าง คล้าย ๆ ในภาพยนต์ใน Jurassic World ดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ จากยุโรปและญี่ปุ่น ที่นิยมเรื่องช้างไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถ้าเราทําได้ก็เป็นการดี
มาตรการดังกล่าวเห็นว่า จะช่วยแก้ไขปัญหาช้างเร่ร่อนได้อย่างยั่งยืน ดีกว่าการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมช้างมาเร่ร่อน ที่มีอยู่มากมาย หลายฉบับ ซึ่ง คสช. ก็ได้ดูแลและคลี่คลายปัญหาในเบื้องต้น แต่รัฐบาลก็ต้องดูแลต่อ ตั้งแต่ต้นทาง – กลางทาง – ปลายทาง ทุกคนช่วยกัน สงสารช้าง สงสารเขาเถอะ ช้างมีบุญคุณกับประเทศไทยมายาวนาน วันนี้ ทําให้เขามีความสุข อย่าทรมานเขาเลย
วันนี้มีเรื่องที่อยากจะพูดคุย และเน้นย้ํากับพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน ดังต่อไปนี้ ผลสัมฤทธิ์ความก้าวหน้าการทํางานของ คสช. และรัฐบาล ตามห้วงระยะเวลา อาทิ เช่น ในการ “พลิกฟื้นผืนป่า สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” ให้เป็นที่อยู่ของสัตว์ป่า ช้างไทย ระบบนิเวศน์ แหล่งต้นน้ําลําธาร และที่ทํากินของพี่น้องประชาชน จําเป็นต้องมีการบริหารจัดการที่สมดุล ข้อมูลล่าสุดเรามีผืนป่า เหลือเพียง 102 ล้านไร่ หรือร้อยละ 31 ของประเทศ ลดลงอย่างรวดเร็ว 5 ล้านไร่ จากเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ การทําลายป่าไม้เพื่อขยายพื้นที่เกษตรกรรม ตามที่รัฐบาลบางรัฐบาลในอดีตส่งเสริม แต่ไร้การควบคุม เป็นการดีแต่ต้องควบคุมให้ได้ จะทํายังไงไม่บุกรุกป่า เรากําลังแก้อยู่ทั้งหมด เพราะฉะนั้นเป็นปัจจัยสําคัญอย่างหนึ่ง ของการลักลอบตัดไม้ทําลายป่า เผาป่า การขายพื้นที่ ที่บุกรุกไปแล้วนี่ให้กับนายทุนอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นความเชื่อมโยงกันทั้งหมด เราต้องแก้ไขให้ได้โดยเร็ว
นโยบายแก้ไขเร่งด่วนของรัฐบาลในช่วงทีผ่านมา ของ คสช. และรัฐบาลก็คือ มาตรการ “ทวงคืนผืนป่า” จะมีการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด ใช้ทั้งนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ควบคู่กันไป มุ่งเน้นดําเนินการโดยเฉพาะกลุ่มนายทุน ผู้มีอิทธิพล โดยในปี 2558 สามารถทวงคืนผืนป่า กลับมาเป็นของเราทุกคน ได้กว่า 3 แสนไร่ และดําเนินคดีผู้บุกรุก 13,000 คดี ส่วนมาตรการสร้างความยั่งยืนนั้น จําเป็นต้องอาศัยการบูรณาการหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีคนเดือดร้อน เราจะทําอย่างไร จะแก้ปัญหาคนจนอย่างไร เพราะฉะนั้นเราจะมีการพิจารณาในเรื่องสิทธิทํากิน ในเรื่องของการจัดการพื้นที่ป่า และการจัดการพื้นที่เพาะปลูกให้เหมาะสม โดยใช้แนวทาง “ประชารัฐ” มาขับ เคลื่อนด้วย อาทิเช่น
(1) เรื่องของการแก้ไขปัญหาแนวเขตพื้นที่ทับซ้อน โดยให้ทุกภาคส่วน ผู้มีส่วนได้เสีย ได้มีส่วนร่วม ในการหารือ ในการจะจัดทําแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ ที่เราเริ่มต้นจาก One map เพราะว่าทุกหน่วยงานแผนที่คนละฉบับ ถ้าทาบทับกันได้ ก็ตรงกัน ถ้าไม่ได้ก็ต้องพิจารณากันอีกที เพราะฉะนั้นมาลงในพื้นที่ One Map ให้ได้ก่อน
(2) เรื่องการกําหนดมาตรการให้ชุมชนและประชาชนผู้ยากไร้ ด้วยการจัดสรรที่ดินทํากิน ให้แก่ชุมชนในพื้นที่ป่า ที่บุกรุกไปแล้ว รวม 340,413 ไร่ แบ่งเป็น 82 พื้นที่ ใน 47 จังหวัด ควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง จะบุกรุกไม่ได้อีกแล้ว เพื่อทวงคืนผืนป่าจากผู้มีอิทธิพล หรือนายทุน หรือนอมินีด้วย และที่สําคัญ คือ
(3) การเพิ่มพื้นที่ป่า – พื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ เพื่อลูกหลานในอนาคต และเพื่อเป็นแหล่งต้นน้ําให้กับประเทศ เป็นเส้นเลือดให้กับเกษตรกรรมของไทย โดยใช้กลไกสถาบันประชารัฐพิทักษ์ป่า ประกอบด้วยฝ่ายปกครอง ทหาร ตํารวจ และประชาชน รวมทั้งปราชญ์ชาวบ้าน องค์กรพัฒนาเอกชน ร่วมมือกันฝึกสอน ถ่ายทอดประสบการณ์ การดับไฟป่า การทําแนวกันไฟ เพื่อปกป้องและอนุรักษ์ป่าในรูปแบบต่าง ๆ ด้วย และนําพระราชเสาวนีย์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เรื่อง “คนอยู่ร่วมกับป่าอย่างยั่งยืน” และ“การปลูกป่า 3 อย่าง ได้ประโยชน์ 4 อย่าง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาสู่การปฏิบัติ สร้างป่าเศรษฐกิจ – ป่าชุมชน – ป่ากินได้เป็นแหล่งอาหารของชุมชน – เราต้องอย่าลืมว่าป่าต้นน้ําเป็นแหล่งกําเนิดชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยทั้งประเทศ
เรื่องการการลดความเหลื่อมล้ําของสังคม มีหลายอย่าง ที่จะต้องแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในเรื่องของที่ดินทํากิน เป็นขั้นเป็นตอน เราจะได้มีการจัดตั้ง คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) เพื่อจะมาดูแลพี่น้องที่ได้รับความเดือดร้อน จากนโยบายดังกล่าว เราได้มีการเห็นชอบร่วมกันในการจัดสรรที่ดินทํากินให้ชุมชน ในพื้นที่เป้าหมาย ปีงบประมาณ 2559 กว่า 3 แสนไร่ กระจายทุกภูมิภาค ทั่วประเทศ ให้ทําในลักษณะ “แปลงรวม” โดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ แต่ให้ประชาชนเข้าใช้ประโยชน์จากที่ดินของรัฐได้ พื้นดินที่บุกรุกหรือพื้นที่ราชพัสดุ ที่เหมาะสม รัฐบาลได้จัดทําคู่มือการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ใช้เป็นแนวทางในการดําเนินการ ให้เป็นไปตามหลักการ ตามกฎหมาย เริ่มต้นก่อน แต่ต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ เป็นธรรมแก่ทุกคน สงสารคนจน สงสารผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร นึกถึงเขาบ้าง เราต้อดูแลตั้งแต่ “ต้นทาง” ให้ได้ สําหรับ “กลางทาง” คือเรื่องของการแปรรูป การผลิตอะไรก็แล้วแต่อาชีพต่าง ๆ รัฐบาลจัดให้มีการส่งเสริมพัฒนาอาชีพอย่างเป็นระบบ เพราะทั้ง 76 จังหวัดของเรามีลักษณะพื้นที่แตกต่างกัน ต้องส่งเสริมให้สอดคล้องกับสภาพแต่ละพื้นที่ ทั้งปลูกพืช - เลี้ยงสัตว์ โดยออกแบบโมเดลต่าง ๆ ให้เหมาะสม เพื่อเป็นทางเลือก - ตัวอย่าง ตั้งแต่ระดับภูมิภาค กลุ่มจังหวัด และจังหวัด รวมทั้งสร้างกลไกการสนับสนุนเงินทุนให้กับชุมชน และติดตาม ดูแล “ปลายทาง” หาตลาดให้ ในระยะต่อไป อย่างครบวรจร เราสร้างทั้งในส่วนของภาคเอกชน ธุรกิจ กับภาคประชาชนให้แข็งแรงไปด้วยกัน แล้วที่ขาดไม่ได้คือการประเมินผลจากมาตรการดังกล่าว เราอาจจะต้องกําหนดเพิ่มเติมว่า ไม่เพียงแต่กําหนดตัวชี้วัด ด้วยตัวเลขทางเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ต้องดูตัวชี้วัดด้านความสุขและความพอเพียงของชุมชนด้วย
เรื่องการลดความเหลื่อมล้ําและสร้างความเท่าเทียมในสังคม ในด้านการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ที่ทุกคนคนไทยทุกคนสามารถต่อสู้เพื่อเรียกร้องหรือปกป้องสิทธิ์ของตนเองได้อย่างเป็นธรรม รัฐบาลต้องการลบวาทกรรมที่ว่า “คุกมีไว้ขังคนจน” และคําว่า 2 มาตรฐาน เราจะต้องเข้าไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนจากการเข้าไปสู่กระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง เช่น ทํายังไงคนจะไม่ไปทําผิดกฎหมาย เราต้องให้ความรู้ทางกฎหมาย และมีการจัดตั้งกองทุนยุติธรรม สําหรับช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี หรือการขอประกันตัวเพื่อสู้คดี ตลอดจนเยียวยาผู้ถูกละเมิดหรือได้รับผลกระทบจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน หากเขาไม่ผิด เป็นต้น ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ไม่ว่ายาก ดี มี จน จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ผมขอย้ํา
ที่ผ่านมา มีผู้ขอความช่วยเหลือจากกองทุน เกือบ 6 พันราย รัฐได้ใช้เงินช่วยเหลือไปแล้ว 2,552 ราย ปัจจุบันอยู่ระหว่างการ (1) เร่งพัฒนากลไกกองทุนทั้ง 76 จังหวัด โดยกระจายอํานาจของกองทุนให้มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกันทุกจังหวัด มีความเท่าเทียมกัน รวมทั้งพัฒนาบุคลากรให้เป็นมืออาชีพ (2) ทบทวนปรับปรุงหลักเกณฑ์การพิจารณา เช่น ผู้ขอรับเงินต้องเป็นบุคคลธรรมดา มีฐานะยากจน มีความประพฤติดี ไม่มีพฤติการณ์จะหลบหนี และการให้ความช่วยเหลือจากกองทุนฯ ต้องไม่ซ้ําซ้อนกับการช่วยเหลือตามกฎหมายอื่น ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ประหยัดงบประมาณ และสอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบมากขึ้น
เรื่องต่อไปที่เป็นประเด็นสําคัญในเวลานี้คือ มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภัยแล้ง รัฐบาลเน้นการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ไม่เพียงพัฒนาความรู้ เปลี่ยนมุมมอง ให้รู้จักการทําอาชีพทางการเกษตรที่หลากหลาย เป็น Smart farmer เพราะการทําสิ่งเดิม ๆ อาจจะเกิดปัญหาขึ้นในปัจจุบันเพราะว่าภัยธรรมชาติมากขึ้นทุกปี ๆ พี่น้องเกษตรกรจะประสบความเดือด ร้อน ซ้ําแล้วซ้ําเล่า เป็นหนี้เป็นสินอยู่ทุกปี ๆ เราไม่มีภูมิคุ้มกันที่ดี ซึ่งไม่ถูกต้องถ้ารัฐบาลไม่เข้าไปดูแล เราต้องใช้หลักการ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “หลักการของเกษตรทฤษฎีใหม่” ซึ่งเรามีแนวทางการจัดสรรที่ดินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่แล้ว แบ่งเป็น 4 ส่วน ในที่ของตัวเอง เพื่อทําการเกษตรและใช้ประโยชน์ มีอัตราส่วน 3:3:3:1 หมายความถึง30/30/30/แล้วก็10 หมายถึงว่า 3 แรก หรือ 30% แรก เป็นการขุดสระเก็บกักน้ําในฤดูฝน ให้มีน้ําใช้ตลอดปี รวมทั้งการปลูกพืชน้ํากินได้ หรือเลี้ยงปลาอะไรก็แล้วแต่ ผักบุ้ง ผักกระเฉด อีก 30% 3 ที่สองปลูกข้าวเพื่อ เป็นอาหารสําหรับครอบครัวเรือน เพียงพอตลอดปี ไม่ต้องซื้อหา แต่ถ้าน้ํามากก็ปลูกขายได้ น้ําน้อยก็ปลูกขายไม่ได้ ปลูกกินอย่างเดียว ลดค่าใช้จ่าย และสามารถพึ่งตนเองได้ 30%
3. การปลูกผลไม้ ไม้ยืนต้น พืชไร่ พืชผัก พืชสมุนไพร พูดง่ายคือเหมือนไร่นาสวนผสม ผสมผสานกัน และหลากหลายในพื้นที่เดียวกันของแต่ละครอบครัว กินเอง เหลือนําไปขาย เป็นอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ครัวเรือน และอีก 10% เป็นที่อยู่อาศัย ปลูกบ้านอะไรต่าง ๆ กับครอบครัว รวมทั้งอาจจะจัดทําคอกเลี้ยงสัตว์ เรือนเพาะชํา ฉางเก็บผลิตผลทางการเกษตรของครัวเรือนที่จะช่วยให้เราเลี้ยงดูตัวเองได้ ไม่เดือดร้อนจากภัยแล้งมากนัก หรือสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน
แต่วันนี้เราอาจจะต้องนํามาประยุกต์ใช้ เพราะน้ําเราน้อยลง พื้นที่เราก็แย่ลง เสื่อมโทรม เพราะเราไม่มีการบริหารจัดการที่เหมาะสม ถ้าเราทําในครัวเรือนได้ก็ทําไป ตามหลักการเดิมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่ แล้วเราต้องนําที่พระองค์ท่านทรงสอนไว้ ทรงพระราชทานไว้นี่ มาประยุกต์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น 3/3/3/1 เดิมในแต่ละบ้านอาจจะเป็นของชุมชนก็ได้ เป็นของหมู่บ้านก็ได้ เป็นของกลุ่มเกษตรกรก็ได้ ตรงไหนที่ทําเกี่ยวกับเรื่องใช้น้ํามากได้ก็เป็น 3 แรก อันที่ 2 ก็ไม่ได้ น้ําน้อย ก็ไปใช้พืชที่ใช้น้ําน้อย อันที่สามก็เป็นเรื่องอาชีพอื่น ๆ อาจจะมีการแปรรูป รวมกลุ่มอะไรต่าง ๆ เพื่อจะเพิ่มรายได้ให้ อันที่ สี่ก็คือเรื่อง 1 นั่น ก็อาจจะเป็น 1 ที่ไม่ใช่เฉพาะบ้านเดียว เป็นของชุมชนทั้งกลุ่ม ทั้งหมู่บ้าน เอาพื้นที่มาเป็นตัวกําหนด ให้เป็น 3:3:3:1 อาจจะเป็นตําบล อําเภอ จังหวัด กลุ่มจังหวัดก็ได้ ถ้าเราบริหารจัดการกันให้ถูกต้อง ก็จะมีทั้งต้นน้ํา กลางน้ํา ปลายน้ําในทุกพื้นที่ เริ่มจากในบ้านมาก่อน 3:3:3:1 ในบ้าน แล้วก็ 3:3:3:1 ในพื้นที่ ตามความแตกต่างของดิน ของน้ํา ของอากาศ ความสูงที่กล่าวไปแล้ว เพราะว่าน้ํามากน้อยต่างกัน ความอุดมสมบูรณ์ต่างกัน ระดับความสูงต่างกัน ถ้าเราสามารถจัดทําเรียกว่าโซนนิ่งพื้นที่ได้ ให้สอดคล้องกับแหล่งน้ํา ปริมาณน้ํา โดยการประยุกต์ ให้เหมาะสม“ทฤษฎีใหม่” ที่เราทํามาในอดีต 40 ปีที่ผ่านมา “การเกษตรแบบแปลงใหญ่” เคยเรียนไปแล้วว่าทําได้ทั้งนาข้าวแปลงใหญ่ ทําได้ทั้งไร่นาสวนผสมแปลงใหญ่ อันนี้ก็หลักการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระราชทานมา มาประยุกต์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะจัดอะไรก็แล้วแต่ รัฐบาลและ คสช. ก็ยังถือเป็นความรับผิดชอบในการดํารงชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนโดยรวมอยู่แล้ว ได้กําหนดมาตรการต่าง ๆ ที่จะเสริมสร้างแรงจูงใจ แล้วเข้าไปสนับสนุนอย่างใกล้ชิด บางครั้งไปไม่ถึง ท่านก็ต้องมาหาบ้าง บางทีไปไม่ทั่ว แล้วบางคนที่ไม่ได้ก็จะพูดว่าเราไม่ช่วยเขา ช่วยไม่ถึง ท่านต้องฟัง ให้ อบท. ผู้ใหญ่บ้านช่วยทําความเข้าใจด้วย เช่น เรามีการให้ความรู้ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกพืชในหน้าแล้งได้อย่างไร การปรับเปลี่ยนจากข้าวนาปรังไปสู่พืชใช้น้ําน้อยได้อย่างไร หรือจะมีการการเลี้ยงปศุสัตว์เพื่อไว้กิน ไว้ขายก็แล้วแต่ เรื่องที่ 2 ที่เราทําอยู่คือ เราจะส่งเสริมการลงทุน การเข้าถึงแหล่งเงินทุน การพักชําระหนี้ แล้วก็การชดเชยการสูญเสียรายได้ รัฐบาลได้ใช้เงินลงไปมากพอสมควร
เรื่องที่ 3 คือการยกระดับสินค้าเกษตรให้เป็นสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม คือเพิ่มมูลค่า เพิ่มราคาให้สูงขึ้น โดยพยายามจะลดต้นทุนให้ต่ําลง ถ้าเราแปรรูปในขั้นที่ 1 ได้ ในพื้นที่แล้วส่งต่อ เป็นขั้นที่ 2 ที่อื่น หรือขั้นที่ 3 ก็แล้วแต่ เราอาจจะทํา 1-2 แล้วส่ง 3 หรือทํา 1 ส่ง 2 ก็แล้วแต่ เพราะว่าแล้วแต่ความเหมาะสมของพื้นที่ ของขีดความสามารถของประชาชนด้วย ของเกษตรกรด้วย เราทําอย่างไรจะสร้างนวัตกรรมขึ้นมาได้ วันนี้อยากกราบเรียนเรื่องนวัตกรรม เรื่องสินค้า OTOP เรามี “1 ตําบล 1 SME เกษตร” อยู่แล้ว วันนี้ โครงการรัฐบาลนี้ เอาให้จริงจัง มีอยู่หลายพันรายการ แต่ทําจริง ๆ ทําไม่ได้มากนักเพราะว่า ในช่วยที่โครมคราม ก็ทํากันออกมา แล้วก็บอกว่าถึงเวลาก็ทําไม่ได้ บางอย่างก็ขายไปหมดแล้ว ทําชิ้นเดียว ตอนนี้เราต้องเอาอะไรที่มีศักยภาพมาทํา ทําจริง ๆ จัง ๆ ให้เหมือนกับโครงการ “ศิลปาชีพพิเศษ” ของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ท่านได้ทรงทําเพื่อเป็นสมบัติแห่งแผ่นดินไว้มากมาย ได้สร้างอนาคตให้ทุกคนกลับไปที่บ้านได้ อะไรได้มีอาชีพเพิ่มเติม เหล่านี้ ท่านทรงทํามานานหลายปีแล้ว หลายสิบปีแล้วด้วย เราต้องทําให้ “โอทอป” เราเข้มแข็ง ตามแนวทางนั้นเราต้องมีมาตรการสร้างความเข้มแข็งโดยเริ่มจากฐานราก โดยใช้คําว่า “ประชารัฐ” ที่ทํากันมาอย่างต่อเนื่อง และครบวงจร ดูแลตั้งแต่ต้นทาง – กลางทาง – ปลายทาง
ผลการดําเนินการ ถือว่าประสบความสําเร็จเป็นอย่างดีในระดับที่น่าพอใจ ก็ขอเป็นกําลังใจ ในการทํางานแก่รัฐบาล ร่วมมือกับรัฐบาลของประชาชนและข้าราชการในพื้นที่ ต้องเหน็ดเหนื่อยกว่าเดิมแน่นอนเพราะต้องเดินลงพื้นที่เข้าถึงประชาชน เพราะว่าพระบาทสามเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งไว้แล้วว่า ยุทธศาสตร์การพัฒนา จะต้องเริ่มจากการเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา ทั้งหมดก็คือเข้าใจ เข้าถึง พื้นที่ เข้าใจถึงประชาชน รู้ปัญหา ถึงจะไปจัดระเบียบการพัฒนาได้ว่าควรจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าตัดเสื้อตัวเดียวให้ทุกคนใส่ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว พูดเสมอว่า ปีนี้เราสามารถจะลดพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง ใน 22 จังหวัดภาคกลาง ได้ประมาณ 1 ล้านไร่ จากเดิม 2.91 ล้านไร่ เหลือ 1.92 ล้านไร่ ก็ยังคงมากอยู่ แต่ไม่รู้จะทํายังไงเหมือนกัน น้ําก็น้อยลง บางทีปลูกไปก็ตาย สงสารชาวบ้าน ประชาชน ชาวนา แต่ก็ต้องหาวิธรการอื่นช่วยกันปรับเปลี่ยนกันบ้าง
ช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. 59 ที่ผ่านมา มีปัญหาเรื่องน้ํา เพราะฉะนั้นการทํานาปรังก็ขอร้องกันว่าขอให้ลดลง ประชาชนส่วนใหญ่ก็ร่วมมือ ขอชื่นชมพี่น้องเกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ อย่างยิ่ง ที่เข้าใจสถานการณ์น้ําของประเทศ และให้ความร่วมมือกับภาครัฐ ด้วยความสมัครใจ ไม่อยากต้องบังคับ การเข้าร่วมโครงการต่าง ๆ ของรัฐ ก็มากขึ้น เช่น ล่าสุดคณะกรรมการ BOI ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง มูลค่ากว่า 17,000 ล้านบาท เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมกับเกษตรกร ในการปลูกพืชอื่นแทนข้าว ต้องเข้าไปสู่วงจร ห่วงโซ่ ในห่วงโซ่คุณค่าให้ได้ รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันของสินค้าเกษตรในตลาดโลก เราต้องทําไปคู่กัน ทางรัฐ แล้วเอกชน ประชาชน ต้องเดินไปด้วยกัน แล้วแบ่งกัน ส่วนแบ่งในการตลาดไป ส่วนแบ่งในการผลิตต่าง ๆ ไป จะได้มีรายได้ให้กับประชาชนในแต่ละวัน เขาอยู่ได้
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราเร่งเพิ่มเติมคือ การผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง จากมันสําปะหลัง รําข้าว ข้าวโพด ปลาป่น ที่จังหวัดลพบุรีมีความก้าวหน้า ต่อไปก็คือเรื่องการผลิตเครื่องดื่มจากถั่วเหลือง จ. สระบุรี มีการผลิตสารให้ความหวาน จ.ปราจีนบุรี (4)คือ การผลิตเอทานอลจากมันสําปะหลัง จ.กําแพงเพชร และ (5) การผลิตเยื่อกระดาษฟอกขาว จ.บุรีรัมย์ เป็นต้น อันนี้คือจะรับในส่วนของวัตถุดิบ วัตถุต้นทุนนี้ไปเข้าโรงงานเหล่านี้ ต้องส่งเสริมโรงงานตรงกลางนี้ด้วยไง ใช้มาตรการของ BOI
สําหรับมาตรการอื่น ๆ นั้นวันนี้ก็เป็นที่น่ายินดี ทุกภาคส่วนก็เข้ามาร่วมมือไม่อยากให้พูดว่าได้ว่าทางภาคอุตสาหกรรมไม่ช่วยเลย ใช้น้ํามาก อุตสาหกรรมก็จําเป็นต้องใช้น้ํา มีการผลิต ผลิตก็มีราย ได้ออกมา ชาวไร่ชาวนา หรือชาวบ้านแรงงานก็มีเงินใช้จ่ายทุกวันในฐานะเป็นแรงงาน ถ้าเราหยุดอุตสาหกรรมไปทั้งหมด ก็ไปกันทั้งหมด ทั้งอุตสาหกรรมก็ไป ข้าว การเกษตรทั้งหมด ไปหมด แล้วจะอยู่กันยังไง เพราะฉะนั้นวันนี้ทางกระทรวงอุตสาหกรรมก็เอานโยบายของรัฐบาลไปปฏิบัติ ในช่วงภัยแล้งปีนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้ผ่อนปรนเงื่อนไขในเรื่องของ “การห้ามระบายน้ําทิ้งออกนอกบริเวณโรงงาน” เป็นการชั่วคราว แต่ทั้งนี้ไม่เกินวันที่ 30 มิถุนายน 2559 เพื่อจะรับฤดูฝนหน้า เราจะสนับสนุนให้มีการนําน้ําทิ้งของโรงงาน แต่ต้องผ่านการบําบัด ย้ําต้องผ่านการบําบัดได้ตามมาตรฐานน้ําทิ้ง เดี๋ยวหาว่าทิ้งน้ําอะไรออกมาข้างนอกเสียหายอีก ตาม พ.ร.บ.โรงงาน ถ้าปล่อยน้ําพวกนี้ออกมา ไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ.2535 ก็ปิดโรงงานอีก ก็ต้องร่วมมืออย่าถือโอกาส ฉวยโอกาสอะไรทั้งสิ้น คนเราต้องซื่อสัตย์ต่อกัน เราจะได้ไปช่วยเหลือภาคเกษตรกรรมได้ โดยเฉพาะโรงงานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งไม่มีสารโลหะหนักหรือสารเคมีที่เป็นอันตราย กว่า 2 พันโรงงานคาดว่าจะมีน้ําเข้าสู่ระบบถึง 5 แสน ลบ.ม./วัน ครอบคลุมพื้นที่ทางการเกษตรราว 5 หมื่นไร่ ทั่วประเทศ เพราะโรงงานกระจัดกระจายอยู่ นี่ก็เป็นประโยชน์อย่างหนึ่งเหมือนกัน ถ้าเราจัดระเบียบดี ๆ ทุกอย่างก็เสริมกันได้หมด ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นหลักอย่างเดียว เป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เรียนไว้แล้วว่าต้องรายงานผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ําทิ้งตลอดเวลา ให้เกิดความมั่นใจกับทุกฝ่าย อย่าให้มีปัญหาภายหลังโดยเด็ดขาด ทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจ ทดสอบอะไรก็แล้วแต่ โรงงานด้วย อย่าให้มีผลกระทบกับรัฐบาลโดยเด็ดขาด เราจะต้องร่วมมือกัน
เรื่องที่ 2 ภาคเกษตรกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เร่งส่งเสริมการสร้าง “ฝายชาวบ้าน ฝายประชารัฐ” เพื่อเตรียมรองรับน้ําฝนในช่วงฤดูฝนที่จะมาถึง ไม่ว่าจะน้ํา สายน้ําใหญ่น้อยอะไรก็แล้วแต่ มาจากภูเขาบ้างอะไรบ้างต้องมีการทําฝายเพื่อจะลด ชะลอความแรงของน้ําที่มาทีเดียวแล้วไปหมด แล้วก็หมดไปเรื่อย ๆ หมดไปที่ละพื้นที่ ๆ พอเหนือหมด ต่อไปก็กลางหมด ใต้หมด มันก็เป็นอย่างนี้มาตลอด ถ้าเราชะลอไว้บ้างก็จะเก็บกักน้ําไว้ แล้วค่อยๆ ทยอยปล่อยออกมาตามลักษณะของฝาย กรุณาช่วยกันทํา เงินทองก็พอมีอยู่บ้าง อยากให้ส่วนราชการรวบรวมชาวบ้านมา อย่างน้อยก็ได้มาพบปะหารือกันทํากิจกรรมเพื่อส่วนรวม ทําฝายเล็ก ๆ ก็ไม่ต้องไปเสียเงินเสียทองมากมาย อุปกรณ์ในการทําฝาย ให้กระทรวงมหาดไทย ดูว่าเราจะขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในประเทศได้หรือไม่ว่าอยากได้อุปกรณ์เพื่อจะไปทําฝาย โดยทั้งมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็ได้ เป็นจุดรวบรวมสิ่งของที่เราต้องการไปทําฝาย
จะได้ไม่ต้องเสียเงินมาก ๆ ที่ผ่านมาก็ทุจริตอีก จะทํายังไงได้ถ้าทุกคนไม่ร่วมมือกัน จะแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการแก้ปัญหาภัยแล้งด้วยกันคนไทยก็จะรักกันมากขึ้น เราต้องรองรับน้ําฝนในช่วงฤดูฝนที่มาถึงด้วย เพราะน้ําเรามาจากทางเหนือ มาจากป่าต้นน้ําทั้งสิ้น จากภูเขาบ้าง ต้องชะลอให้ได้นานที่สุด แล้ววันนี้เราก็ได้มีการจัดทําที่เก็บกักน้ําไว้มากมายในปีนี้ เผอิญฝนมาน้อยเกินไป เพราะฉะนั้นปีหน้าคิดว่า ฝนหน้านี้ไม่ใช่ปีหน้า เดือนพฤษภาคน เราก็จะมีแหล่งเก็บน้ําที่น่าจะเพียงพอถ้าหากฝนตก ข้อสําคัญอย่าไปตัดป่าเพิ่มอีกแล้วกัน ยิ่งตัดป่าก็ยิ่งแล้งลง ๆ ไปเรื่อย ๆ แล้วจะทําอย่างไร เพราะน้ํามาจากป่า น้ํามาจากเขา
พื้นที่แห้งแล้งอยู่แล้ว จะทํายังไงชาวไร่ชาวนาก็เดือดร้อน วันหน้าทํานาไม่ได้จะทํายังไงอีก ไม่มีข้าวกินอีก ต้องไปซื้อข้าวเขากิน วันนี้เราส่งออกข้าวเป็นอันดับ 1 เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังต้องรักษาสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมของเรามายาวนาน เรื่องการทําเกษตร วันหน้ามีปัญหาเรื่องอากาศเปลี่ยนแปลง ปัญหาต่อไปก็คือเรื่องขาดแคลนแหล่งอาหารของโลก เราน่าจะสํารองเหล่านี้ไว้ เตรียมการเอาไว้ เพื่อเราจะเป็นประเทศหนึ่งที่เป็นแหล่งเก็บอาหารของโลกใบนี้ ผลิตอาหารของโลก วันหน้าเราก็ลืมตาอ้าปากได้ทั้งหมด เราเก็บกัก รู้จักวิธีการ ทั้งน้ําทั้งปลูกพืชให้เหมาะสม วันนี้เราต้องร่วมมือกัน เสริมสร้างความสามัคคีระหว่างประชาชนในพื้นที่ วันนี้เราได้ใช้เงินลงไปในระดับตําบล-หมู่บ้านแล้ว จํานวนมากพอสมควร อยากให้พี่น้องประชาชนช่วยกันรักษาสิทธิ์ของตน แต่อย่าขัดแย้ง
ต้องฟังราชการ เพราะราชการต้องมีกฎมีระเบียบเป็นของเขา ท่านก็ต้องรักษาสิทธิของท่าน เพราะเป็นเงินของท่าน ที่ท่านจะต้องไปใช้ทําประโยชน์ แต่ราชการเขาจําเป็นต้องมาจัดระเบียบให้ท่าน ท่านอยากได้อะไร ก็พิจารณาเสนอเขาไป แต่การเสนอบางทีไม่ได้ทั้งหมด กลายเป็นว่ารัฐบาลไป หรือข้าราชการไปคิดให้ ไม่ใช่ บางทีตรวจสอบแล้ว บางพื้นที่นี่ มีหลายกลุ่ม ก็ขอโน่นขอนี่ วงเงินก็มีเท่านี้ เพราะฉะนั้นเมื่อทุกคน ได้บ้างไม่ได้บ้าง คนไม่ได้ก็บอกว่านี่เขาไม่เห็นได้อะไรเลย เขาต้องดูว่าส่วนใหญ่เขาว่ายังไง นี่ไง ประชาธิปไตยขั้นต้น ท่านไม่เคารพสิทธิ์คนอื่น เอาแต่ตัวเองอย่างเดียวไปไม่ได้ทั้งหมด นี่เราต้องเข้าใจคําว่าประชาธิปไตยขั้นต้น เบื้องต้นในชุมชนของท่านด้วย เราต้องมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน การกําหนดความต้องการที่เหมาะสม เสนอโครงการโดยจัดตามความเร่งด่วน ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนของตนในอนาคต เพื่อไปเพิ่มมูลค่าเพิ่มรายได้ ให้มีการตรวจสอบทั้งของรัฐ ของประชาชนเองด้วย ให้เกิดความโปร่งใส ไว้วางใจซึ่งกันและกัน
เรื่องต่อไปคือเรื่อง แผนแม่บทการบริหารจัดการน้ําที่เราทํามาแล้วนี่ เห็นหรือไม่ว่าที่เรามาทําใหม่นี่เราปรับแก้ตลอดเวลา ไม่ใช่เราทําทีเดียวแล้วไปกู้เขามาที่เดียว แล้วไปทําทีเดียว ประมูลไปทั้งหมด ไม่ได้ ต้องทําไปทีละขั้นตอน เพราะหลายอ่างต้องมีการเปลี่ยนแปลงนะ ระยะยาว ถ้ามีการจัดทําแผนนะ ถ้าเรียกว่าแผน เดี๋ยจะมาตีกันอีก คนละเรื่องยุทธศาสตร์ ชาติก็ยุทธศาสตร์ ชาติ วิธีการคนละอย่างจะมาคิดเหมือนกันไม่ได้ สร้างเป็นกรอบกว้าง ๆ เท่านั้นเอง แต่อันนี้ลงรายละเอียดแล้ว ทําที่ไหน ยังไง ทําประเภทไหน ยังไง ใช้งบประมาณเท่าไร มีเงินให้ยังไง แต่ทุกอย่างเปลี่ยนได้ ทําเป็นปี ๆ ไป อันไหนจะทําระยะยาวก็วางแผนล่วงหน้า ต้องทํา EIA HEA เสียเวลา อันไหนทําได้ทําเลย อันไหนติดตรงไหนก็หยุดส่วนนั้นไป ทําตรงนี้ที่ทําได้ ถึงขอร้องยังไง ประชาชนมาดูว่า ถ้าเราทําได้ทั้งระบบจะเกิดประโยชน์กับส่วนรวมเท่าไร เกิดกับตัวเองเท่าไร ถ้าเราคิดแต่ตัวเอง ทั้งระบบอื่นก็ไม่ได้ เชื่อมต่อกันไม่ได้ทั้งหมด สิ่งสําคัญก็คือความเชื่อมโยง แหล่งน้ําทั้งหลายที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างไว้แล้ว เดิมก็คือระบบอ่างพวง อ่างนี้เติมอ่างโน้น อ่างโน้นเติมอ่างนี้ ตามลําดับไล่เรียงลงไป ไม่หมดทีเดียว นี่ของเราทุกคนก็พยายามจะเอาในพื้นที่ของตัวเอง แต่ไม่แบ่งปันคนอื่น ความชุ่มชื้นก็ไม่เกิด ป่าก็ไม่เกิด มันเป็นจุด ๆ จุด ๆ ไป อย่างนี้ฝนไม่ตก เพราะความชื้นไม่ได้ยังไง ทั้งพื้นที่ เราต้องทําให้มีอ่างทั่ว ๆ ไป อ่างใหญ่ อ่างกลาง อ่างเล็ก รองรับน้ํามาจากเขื่อนบ้าง เพราะฉะนั้นจะต้องทําแบบนี้ แล้วก็คิดต่อไป ปรับให้ตรงกับสถานการณ์ เปลี่ยนแปลงทุกปี ปีหน้าอาจจะน้ํามาก หรือน้อยก็ไม่ทราบ แต่เราต้องมีทั้งระบบการจัดเก็บน้ํา การส่งน้ํา การพร่องน้ํา การระบายน้ํา แล้วการระบายก็ต้องเก็บไว้ใช้เผื่อคราวหน้าด้วย เผื่ออนาคตด้วย
เรื่องที่ 4 เรื่องของการใช้น้ําเพื่อการอุปโภค-บริโภค มีความจําเป็น เป็นสิ่งทีต้องเหลือไว้ ขาดไม่ได้เพราะทุกคนต้องกิน ต้องใช้อุปโภค-บริโภค อันนี้สําคัญที่สุด อันดับ 1 เลย เพราะฉะนั้นเราจะรื่นเริงในเทศกาลสงกรานต์ ไม่ได้ขัดข้อง แต่ขอให้ทุกคนช่วยกันว่า เราจะร่วมกันรับผิดชอบได้อย่างไร เกษตรกรก็ได้แสดงน้ําใจไปแล้วการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการเพาะปลูก เขาก็ลําบาก ไม่มีรายได้ รายได้น้อยลง หรือมากขึ้นก็แล้วแต่ที่เขาจะเลือกทํา เพราะฉะนั้นทุกคนต้องช่วยกัน “ประหยัด” ไม่ว่าจะวาระใดก็ตามนี่ สนุกสนานได้ รื่นเริงได้แต่ต้องพอเพียง ใช้เท่าที่จําเป็นได้หรือไม่ คุ้มค่าหรือไม่ ไม่ได้ไปห้ามเล่นน้ําสงกรานต์ หลายคนพูดมาว่ารัฐบาลนี้ห้ามเล่นสงกรานต์ ผมห้ามได้ที่ไหน เป็นประเพณีไทย ต่างชาติก็มาเที่ยว มารู้จักประเทศไทยเพราะสงกรานต์ แต่เราจะทํายังไง ปีนี้น้ําเราน้อย เราจะเล่นสงกรานต์กันอย่างไง ไม่ใช่เล่นกันจนเขาเรียกว่าเติมน้ํา ไม่รู้กี่ครั้งหมดแล้ว หมดอีก ๆ มันไม่ต้องเติม ถ้าจะเล่นกันขนาดนั้น ก็เหมือนทุกปี สนุกสนานรื่นเริง แต่หลังจากสนุกสนานแล้วเราจะต้องมาเสียใจ ว่าเราไม่มีน้ํากิน จะทํายังไง ไปคิดเอาเอง โบราณกาลก็ไม่ใช่แบบนี้ด้วยซ้ําไป ในเรื่อง “การรดน้ําดําหัว” ผู้ใหญ่ ปะพรมน้ํา ให้พรกัน แล้วก็ครึกครื้นพอสมควร จัดกิจกรรม จัดความรื่นเริงต่าง ๆ ได้ไม่ใช่ต้องเอาน้ําสาดกันอย่างเดียว ไม่ใช่ ก็ลองไปคิดดูแล้วกัน เพราะว่าทํามาหลายปีแล้ว ไม่อยากจะมาขัดแย้ง ขอความร่วมมือกัน ใช้น้ําให้น้อย แล้วก็สนุกสนานรื่นเริงได้ รักษาประเพณี วัฒนธรรมของไทยไว้ได้ด้วย เพื่อให้เป็นแบบอย่างให้ต่างชาติเขาชื่นชม ชื่นชมในประเพณีไทย แล้วสนุกสนานไปด้วย เวลาเขามาเที่ยวกับเรา แต่ทํายังไงเราจะประหยัดน้ําได้ ช่วยกันคิดหน่อย
เรื่องพลังงานทดแทน เราอยากจะยกตัวอย่างการสร้างความเข้มแข็งด้วยตนเอง เป็นหนึ่งในหลาย ๆ พื้นที่เป็นร้อยแห่งแล้ว วันนี้ที่เราพยายามขับเคลื่อนอยู่ ประชาชนร่วมมือกันเองอันนี้เป็นตามแนวทางที่เราเรียกว่า “การระเบิดจากภายใน” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เคยกล่าวมาแล้ว วันนี้ที่โรงเรียนศรีแสงธรรม จ.อุบลราชธานี ที่พระครูวิมลปัญญาคุณ เจ้าอาวาสวัดป่าศรีแสงธรรม ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียน และนําแนวคิดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ เพื่อพึ่งพาตนเอง ในเรื่อง “พลังงานทดแทน – จากแสงอาทิตย์” ได้มีการนํานําโซล่าเซลล์มาใช้ สามารถช่วยลดค่าไฟฟ้าลงได้ จาก 6,000 บาท/เดือน เหลือเพียง 40 บาท/เดือน ลดไปมาก แต่ต้องทําจริงจัง แล้วได้มีการขยายผลเป็น “โครงการสู้ภัยแล้ง” จัดทําระบบสูบน้ํา ด้วยพลังแสงอาทิตย์ ตอนนี้เราทําได้แล้ว แต่สําคัญจะมีน้ําให้สูบหรือเปล่า ย้อนกลับไปดูว่าน้ําต้นทุนยังไง รักษาป่ายังไง คิดให้เป็นระบบแบบนี้ ถ้าทําทุกอย่างอันนี้ทําดี ทําดี บางอันทําไม่ดีตรงกลาง ตรงปลายก็ไปไม่ถึง ยกตัวอย่างให้ดู หลายเรื่องที่ท่านทําไว้คือจัดทําระบบสูบน้ํา ระบบประปาหมู่บ้าน และข้อสําคัญคือเยาวชน มีการฝึกฝนเด็ก ม.ปลาย ให้มีทักษะในการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ได้เองด้วย ภาครัฐก็ต้องคิดทําต่อไปช่วยเหลือเขา ขออนุโมทนาบุญด้วย
เรื่องต่อไปคือเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากภาคครัวเรือน (Net Metering) ซึ่งจะทําให้สามารถสร้างรายได้จากหลังคาของตัวเอง ที่ดินของตัวเองได้ จะได้มีรายได้และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ต้องคํานึงถึงในเรื่องของการรับซื้อด้วย ปริมาณรับซื้อมากไปหรือเปล่า ตามสัดส่วนของแผน PDP พลังงาน
พลังงานจากแก๊ส จากน้ํามัน พลังงานจากพลังงานทดแทนแล้วก็คํานึงถึงสายส่งด้วย วันนี้เรามีเพียงพอแล้วหรือยังทุกพื้นที่หรือยังถ้ายังไม่มีก็ขายไม่ได้ ก็เอาใช้ในพื้นที่ก่อนไง อย่างที่วัดป่าศรีแสงธรรมทําอยู่ อย่ามุ่งหวังแต่ขายเพียงอย่างเดียว ถ้าใช้ทุกที่ก็เลี้ยงตัวเองได้ ประหยัดไม่ต้องไปใช้ไฟหลวง หลวงก็ไม่ต้องไปสร้างโรงงานมาก ๆ ถ้าทุกคนมีแหล่งพลังงานเล็ก ๆ อยู่ตามหมู่บ้าน วันนี้มองเป็นธุรกิจไปทั้งหมดเลย อยากขาย ขายเอาเงินอย่าส่งเดียวไม่ได้ ลงทุนมาก ลงทุนสูงพอสมควร เรื่องแผงโซล่าเซล เรื่องอะไรก็แล้วแต่ ค่อนข้างแพง แล้วผลตอบแทนระยะยาว ท่านก็มุ่งหวังแต่เพียงทํา แล้วจะขายไฟ ทําไมท่านไม่คิดว่าจะทําเองใช้ในบ้าน ใช้ในชุมชน รัฐบาลจะได้ส่งเสริมการทําโซล่าเซล แผงโซล่าเซลเอง ในประเทศให้มากขึ้น ราคาถูกลงนี่ต้องไปแบบนี่ ถ้าทุกคนมุ่งแต่ขาย ๆ ไม่เฉพาะไปอย่างเดียว หลายอ่างก็จะขาย ๆ อีก มันไปไม่ไหวหรอก รัฐบาลก็ลําบาก
เรื่องการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ ก็ขอให้เป็นพลังงานสะอาดพลังงานลมก็เหมือนกัน หลายคนบอกใช้พลังงานน้ํา ใช้อยู่แล้ว ตอนนี้น้ําน้อย พลังงานสะอาดก็มี พลังงานลม ตอนนี้สร้างหลายที่ กังหันหมุนบ้างไม่หมุนบ้าง นี่คืออันตราย ลงทุนไปแล้วถ้าไม่หมุนจะทํายังไง ต้องดูให้ดี รับว่าตรงไหนช่องทางลมหรือเปล่า มีลมสม่ําเสมอไหม ความแรงเพียงพอที่จะหมุนกังหันหรือเปล่า เราเอาตัวอย่างต่างประเทศมาทั้งหมดไม่ได้ บ้านเมืองต่างกัน แต่สิ่งที่น่าเป็นไปได้คือแสงอาทิตย์ แม้กระทั่งแสงอาทิตย์บ้านเราจะมองว่า เรามีแสงอาทิตย์ดี จริง ๆ ก็ยังไม่ค่อยเสถียร บางปีก็มีแสงมาก แสงน้อย หน้าร้อน หน้าแล้ว หน้าฝน ไม่สม่ําเสมอ แต่ก็ต้องดีกว่าอย่างอื่น เพราะฉะนั้นเราก็ต้องส่งเสริมเรื่องพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ให้มากขึ้น แล้วใช้เองในพื้นที่ให้ได้ก่อน ขายก็ว่ากันไป ทําได้ก็ทํา
เรื่องสําคัญอีกเรื่องคือ เรื่องการตั้งสมเด็จพระสังฆราช จริง ๆ แล้ว ไม่อยากพูดเรื่องนี้ แต่เห็นว่ามีการเคลื่อนไหวหลายด้านด้วยกัน ระยะหลัง หยุดเสียที ไม่ว่าจะเป็นพระ เป็นฆราวาสอะไรก็แล้วแต่ คนไทยอย่าลืมว่าคนไทยกว่า 90 % นับถือศาสนาพุทธ เราต้องทําให้คนไทยทั้ง 90% นั้นมีความเชื่อมั่น มีความศรัทธาอย่างแท้จริงในคําสอนของพระพุทธเจ้า ที่จะต้องนํามาสู่การปฏิบัติ ที่จะทําให้เกิดความสงบสุขในสังคม พระพุทธเจ้าคงไม่ต้องการสอนให้เอาพระธรรมมาทําให้เกิดความขัดแย้ง วินัยสงฆ์เป็นระเบียบปฏิบัติ เพื่อจะให้สงฆ์นั้นอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข กฎหมายของฆราวาส กฎหมายของประชาชนทั่ว ๆ ไป ทั้งพระทั้งฆราวาสทั้งประชาชนทุกกลุ่ม ก็คือประชาชนทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นต้องเคารพกฎหมายโดยรวมของชาติด้วย เพราะฉะนั้นแยกกันให้ออก อะไรทางโลก อะไรทางธรรมโยงกันไป โยงกันมาขัดแย้งกันไปตลอด แล้วจะอยู่กันยังไง สิ่งนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องกลับไปทบทวนว่าโลกใบนี้ บางพื้นที่พุทธศาสนา เกิดขึ้นก่อนไป ๆ มา ๆ หายไปหมดเลย วันนี้เหลือประเทศไทย ค่อนข้างจะเป็นประเทศที่มีนับถือพุทธมาก 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ทําไมเราไม่รักษาตรงนี้ให้ได้ 90 ทําไมจะต้องแบ่ง 90 เป็น 60 – 40 หรืออย่างไร ในภายใต้ของศาสนาพุทธอย่างเดียว ไม่ใช่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งแล้วว่า ไม่ว่าคนจะนับถือศาสนาใด ถ้าอยู่ในประเทศไทย เชื้อชาติไทย สัญชาติไทยนั้น พระองค์ก็ต้องทรงสนับสนุน ทุกอย่างจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอันเดียวกัน จะเลือกปฏิบัติไม่ได้ ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายก็เอากฎหมายนี้มาเล่นงานพวกข้างนี้ ข้างนี้เอากฎหมายอีกอันมาข้างนี้ กฎหมายเดียวกันทั้งหมด จะทํายังไง กฎหมายสงฆ์ก็กฎหมายสงฆ์ กฎหมายฆราวาสก็กฎหมายฆราวาส แต่ทั้งพระ ฆราวาส อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐ ถ้าพร้อมเรียบร้อยก็ตั้งได้ทั้งหมด ถ้าไม่พร้อมขัดแย้งอยู่อย่างนี้ อย่าแยกคน 90% ของเราออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์เล็ก เปอร์เซ็นต์น้อยเลย อย่าไปเกี่ยวกับเรื่องการเมือง น่าจะมีเบื้องหลังอยู่ ก็เป็นเรื่องของกลไกทางกระบวนการยุติธรรมเขาตรวจสอบ ทําไมจะต้องใจร้อนอะไรกันขนาดนั้น บ้านเมืองกําลังจะปฏิรูป กําลังจะเลือกตั้ง มาตีกันเรื่องพระ วุ่นวายไปหมด แต่ไม่เป็นไร ก็ยังสู้อยู่ ทําให้ท่าน แต่อย่าขัดแย้งก็แล้วกัน อย่าให้เขาใช้ประโยชน์ไปในเรื่องการเมืองด้วย จะเข้าทางกับคนที่ไม่หวังดีที่เขากําลังทําอยู่ในวันนี้
เรื่องตํารวจ เรื่องสําคัญอีกเช่นเดียวกัน เรื่องสําคัญทุกเรื่องดู ประเทศไทยนี่ ความขัดแย้งสูงมากเลย ไม่ว่าจะเรื่องอะไรขัดแย้งกันทุกอย่าง แปลกดีเหมือนกัน เราอาจจะสบายมากเกินไปก็ได้ ว่าง ๆ เลยขัดแย้งกัน แล้วเดี๋ยวก็ดีกัน ขัดแย้งกัน แต่ 10 ปีที่ผ่านมามีอยู่เรื่องเดียวที่ไม่ยอมดีกัน รู้อยู่เรื่องอะไร แต่ต้องกฎหมายก่อนถึงจะดีกันได้ ทุกอย่างต้องกฎหมายก่อน ในเรื่องของการซื้อขายตําแหน่งตํารวจเหมือนกัน ก็พูดกันไป พูดกันมา แต่การพูดทําให้เสื่อมเสีย เสียหาย ทั้งที่คนพูดก็เจตนาดี ไม่อยากให้เกิดขึ้น เราต้องเอามาเจอกัน ได้คุยกับท่านรองนายกฯ แล้วว่าต้องคุยกันแล้ว คุยกันให้รู้เรื่องซะทีว่ายังไงกันแน่ ไม่อยากให้มีความขัดแย้งกันต่อไป จะมีซื้อหรือไม่ จะขายตําแหน่งกันหรือไม่ก็ไปว่ามา ขอให้มีการแจ้งหรือการร้องเรียนมา จะปฏิรูปอะไรก็แล้วแต่ ตํารวจ หารือกัน ถ้าทุกคนจะเอาอย่างนี้ เอาอย่างโน้น แล้วเอาของตัวเองทั้งหมด เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว คนไทยชอบอย่างนี้ด้วย ถูกคนเดียว คนอื่นผิดหมด ไม่ได้ ต้องเอาส่วนที่ถูกของทุกคนมาหารือแล้วทําก่อน
ถ้าจะปฏิรูปตํารวจ อะไรที่ตํารวจเขาเห็นด้วย ต้องให้เกียรติเขาด้วย เพราะเขาต้องปกครอง บังคับบัญชาคนของเขา เราทํายังไงให้คนของเขาทําหน้าที่ตามกฎหมาย ถ้าไม่ทําก็ลงโทษ เพราะฉะนั้นเราต้องร่วมมือ เดี๋ยวจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ได้โดยเร็ว แล้วถ้าหากว่ามีปัญหาอะไรเรื่องนี้ ก็ร้องทุกข์มา แจ้งความ กล่าวโทษ อะไรก็แล้วแต่ สอบสวนให้ทุกอัน อย่าพูดกันลอยไป ลอยมา มีปัญหาหมด เดี๋ยวก็ฟ้องศาล ฟ้องอะไรกันมากมายไปหมด รกศาล อะไรพูดได้พูดกัน อย่าเอากฎหมายอะไรมาสู้กันเลย เรื่องการรับผลประโยชน์ ก็ยังคงมีอยู่ ไม่ว่าจะเรียกผลประโยชน์ เก็บส่วยอะไร ก็มีข่าวอยู่ ท่าน ผอ. ตํารวจท่านก็บอกแล้วเดี๋ยวท่านจะสอบสวนให้ได้ ลงโทษทั้งหมด ในส่วนของที่เป็นรัฐบาล เป็นนายกฯ ก็สั่งการไปแล้ว เรื่องของผลประโยชน์นี่จะเก็บส่วยบ้าง เรียกสินบน อะไรต่าง ๆ เหล่านี้บ้าง ต้องมีการพิจารณาทั้งผู้รับและผู้ให้ ถ้าผู้ให้ไม่ทําความผิด ก็ไม่ต้องไปให้เขา ถ้าเขาเรียกร้องมาก็ฟ้องขึ้นมา ร้องทุกข์ กล่าวโทษขึ้นมา แต่ถ้าเราทําความผิดแล้วไปยอมให้เขา ต่อไปถูกทําโทษทั้งคู่ คนรับก็โดน คนให้ก็โดน มีโทษ ไม่อย่างนั้นก็เคยตัวกันอยู่แบบนี้ ถ้าไม่ทําผิดกฎหมายเขาดําเนินการไม่สุจริต ฟ้องมา แต่ถ้าเขาทําตามกฎหมายแล้วเราทําผิดกฎหมาย อันนี้ท่านต้องพิจารณาตัวเอง ว่าท่านจะทํายังไง อย่าละเมิดกฎหมาย อย่าขับรถคร่อมเลน อย่าขับรถเร็วเกินกําหนด ประมาท ต้องรับผิดชอบ ประชาชนคนอื่นเขาใช้ด้วย ไม่ใช่วิ่งอยู่คนเดียว ใช้อยู่คนเดียว วันนี้ตีกันหมดทุกเรื่องไป แล้วจะปฏิรูปกันได้ยังไง ไม่รู้เหมือนกัน เรื่องของการสอบสวน พนักงานสอบสวน การทําคดี ต้องทําให้เกิดความชัดเจน จะทํายังไง ต้องมาคุยกัน คนอยากจะปฏิรูปก็คุยกับคนถูกปฏิรูป ว่าไปได้ จะต้องได้รับความไว้วางใจจากประชาชนด้วย ไว้เนื้อเชื่อใจ วันนี้เราไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ แล้วมาคุยก็ไปไม่ได้ เอาที่พูดแล้วกัน ท่านไว้เนื้อเชื่อใจกันก่อน ของเก่า ของใหม่ แยกกันมาก่อน ของเก่าค่อยว่ากัน ของใหม่ท่านจะทํายังไงให้เกิดความไว้วางใจระหว่างกันแล้วปฏิรูปให้ได้ แล้วเสร็จแล้วพอเริ่มต้นกันได้ เอาของเก่ามาดูว่า เรื่องที่ผ่านมาทํายังไง แล้วอนาคตจะทํายังไง ต้องคิดอย่างนี้ คิดวันนี้ แก้ปัญหาในอดีต แล้วก็เดินหน้าอนาคต ไปพร้อม ๆ กัน ทํา 3 อย่าง ไม่ใช่ทําอันหนึ่งแล้วจะจบ จบทีไหนเล่า ปฏิรูปโครมเดียว ทํางานกันไม่ได้หมด เข้าใจตรงนี้ด้วย
วันนี้ รัฐบาลพยายามให้ทุกหน่วยงานเขาทํางาน ให้เขามีการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมในการทํางาน วัฒนธรรมองค์กรของเขาผิดเพี้ยนมาตลอด ที่ผ่านมาจากอะไรก็ไม่รู้ไปหาเอา เพราะฉะนั้นตํารวจวันนี้สําคัญ เพราะเป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรม กระบวนการสอบสวน เช่นกัน อัยการ ศาล มีความเชื่อมโยงกันทั้งสิ้น เชื่อมโยงด้วยกฎหมาย ไม่ใช่เชื่อมโยงด้วยเส้นสาย ด้วยพวก ไม่ใช่ ทุกคนอยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน เพราะฉะนั้นต้องมีการจัดการบริหารให้ชัดเจน ไม่ว่าจะการปฏิบัติงาน การเพิ่มประสิทธิภาพ การทําโครงสร้าง การปฏิรูประยะยาว บอกแล้วยังไง ทุกเรื่องต้องมี 1-2-3 แล้วต้องทํายังไงว่าประชาชนจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย คําว่าเห็นด้วยประชาชนยังไงประชาชนก็ไม่เห็นด้วยมากนัก เพราะว่าเป็นเรื่องของตํารวจ ประชาชนกลัวตํารวจ ตํารวจเดินมาเฉย ๆ ก็กลัวแล้ว กลัวตํารวจจับ จะกลัวทําไม ในเมื่อตัวเองไม่ได้ทําความผิด ท่านก็ทําเหมือนเวลาทหารเดินมา ท่านก็ไม่เห็นกลัวทหาร แต่ท่านกลัวตํารวจ ตํารวจเขาบังคับใช้กฎหมายอย่างไร แสดงว่าเราไม่ชอบกฎหมายหรือเปล่า เราไม่ชอบปฏิบัติตามกฎหมายหรือเปล่า ถ้าทําตามกฎหมายได้ สังคมก็เป็นสุข ไม่ขัดแย้ง ตํารวจก็ไม่ต้องมาจับท่าน ตํารวจก็สบาย ตํารวจก็อยู่ของตํารวจไป ท่านก็ดูแลคนของท่าน เอากฎหมายมาเป็นพื้นฐาน ปรับเข้าหากัน
การปรับโครงสร้างไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ การปรับโครงสร้างนี่จําได้ว่าเราปรับระบบโครงสร้าง หรือการจัดทําระบบราชการตั้งแต่รัชกาลที่ 5 วันนี้ยังไม่เสร็จ เพราะมีความก้าวหน้ามาตามลําดับบ้าง สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปบ้างภายในภายนอก ก็ต้องปรับไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่ปฏิรูปทีเดียว โครงเดียวถอดเครื่องแบบออก ถอดยศ แล้วจะจบ ไม่จบ หลายประเทศเขาก็มีทั้ง 2 อย่าง ทํายังไงจะทําให้ไปสู่ตรงนั้นให้ได้ ถ้าเริ่มเอาทั้งหมดทํานี่ทั้งหมด ไม่มีทําได้ คนไทยอย่าใจร้อนซินะ ทําแบบที่ผมทํานี่ แล้วก็ทุกคนเล่นงานว่าช้า ไม่ปฏิรูป ปฏิรูปมาตลอด ไว้วางใจกันบ้าง ในเรื่องสายการบังคับบัญชาของเขา การบริหารกิจการภายใน การดูแลสวัสดิการตํารวจเขา เขาจะได้มีการดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาก็ไม่ต้องไปขอคนอื่นเป็นบุญคุณอีก วันนี้พันกันไปหมด การแต่งตั้ง การให้ความดีความชอบ ทุกอย่างกลายเป็นว่าเหมือนการเมืองเข้าไปหมดเลย ทุกที่ อันนี้ต้องระมัดระวัง ทํายังไงสํานักงานตํารวจแห่งชาติ เขาจะทํางานด้วยความมีเอกภาพ เข้มแข็งจากภายในของเขา ไม่มีการแทรกแซงจากภายนอก ของเก่าว่ามา ถ้าเป็นคดีก็ฟ้องมา ถ้าไม่ฟ้องก็จบ ก็ทําใหม่ไม่เช่นนั้นไปไม่ได้หมด เราต้องทําให้ตํารวจเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ พอตํารวจมาแล้วคนรัก คนยิ้ม คนเรียกหาพี่ตํารวจ เพื่อมาปรบทุกข์ ผูกมิตร ซึ่งกันและกัน ไม่ใช่เดินมาแล้วกลัว ว่าเราทําอะไรผิดหรือเปล่า ถ้าไม่มีความผิดไม่ต้องกลัวใครทั้งสิ้นในโลกใบนี่
เพราะฉะนั้น เราทําอย่างไรให้องค์กรตํารวจเข้มแข็งตํารวจมีความสําคัญ เขาดูแลภายในยังไง ความสงบเรียบร้อยภายใน ทหารนี่ดูชายแดนบ้างอะไรบ้าง วันนี้ก็ใช้ทั้งตํารวจทหารเลย ทั้งข้างในข้างนอก แล้วจะไปยังไงเล่าวันหน้า เราต้องเป็นประชาธิปไตยไม่ใช่หรือ วันนี้ก็ขอเวลาเปลี่ยนผ่านให้บ้าง ยังไม่ได้เลย ขอความร่วมมือทํายังไงให้มีประสิทธิภาพ แล้วก็ทุกองค์กร ประชาชนด้วย มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ทําอย่างไรจะใช้วิธีการเรื่อง “น้ําดี ไล่น้ําเสีย” คนดีเอาเข้ามาอยู่ในสังคมของเรา คนไม่ดีเอาออกไป ออกไปด้วยกฎหมาย ออกไปด้วยวิธีการถูกต้อง ไม่ใช่ไปใช้วิธีการนอกกฎหมาย เราต้องให้กําลังใจคนดี ขจัดคนไม่ดีออกไป ต้องร่วมมือกัน เราอย่าไปมุ่งหวังว่าจะสลายอํานาจเขาอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่ได้ เช่นเดียวกัน รัฐบาลนี้ไม่เคยมุ่งหวังจะสลายอํานาจทางการเมืองของใคร ๆ ถ้าเขาทําดี ไม่ไปยุ่งกับเขาอยู่แล้ว ถ้าไม่ดีก็ยุติธรรมเข้าไปจัดการ ดําเนินการ แค่นั้น ถ้าไม่เข้ามาผมไม่รู้จะทํายังไง กลายเป็นว่าไปมุ่งหวังสลาย ถ้าไม่เข้ากระบวนการยุติธรรมแล้วจะทําอย่างไร เขาสู้กันแบบนั้นไม่ใช่หรือ ต่อสู้กันทางกฎหมาย เราไม่อยากให้มีการแทรกแซงจากภายนอก เข้าไปภายใน ไม่ว่าจะตํารวจที่อยู่ต้นทางกระบวนการยุติธรรม อัยการ ศาล ทุกคนว่ากันไป ว่ากันมา วันนี้ต้องเป็นหนึ่งเดียว ในเรื่องของการใช้กฎหมาย ให้เกิดความเป็นธรรม ชัดเจนมากที่สุด
เรื่องที่ 3 คือเรื่องการบริหารราชการแบบบูรณาการ วันนี้คือสิ่งที่เรากําลังปฏิรูปยังไง เราต้องปฏิรูป ระยะที่ 1 คือการบริหารราชการแบบบูรณาการ ที่ผ่านมาหน่วยงานเขาจะบริหารงบประมาณของตัวเขาเอง ทํางานด้วยตัวเขาเอง ค่าใช้จ่ายงบประมาแต่ละปีมีแต่จะหมดไป บางทีไม่ต่อเนื่องไม่สอดคล้อง ไม่เป็นเวลาเดียวกัน พื้นที่เดียวกัน ความต่อเนื่องไม่ได้ กระจัดกระจายไปหมดเลย เพราะฉะนั้นรัฐบาลก็มุ่งเน้นการบูรณาการ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ก็รับว่ายาก เพราะไม่เคยทํา ไม่เคยทําด้วยระบบการบริหารราชการของรัฐบาลผ่าน ๆ มาก็เป็นแบบเดิม ไม่ได้โทษ ไม่โทษท่าน เราต้องแก้ไง เราต้องมาดูเรื่องการบูรณาการในกิจกรรมที่ต้องใช้ความร่วมมือระหว่างกัน หลายกระทรวง หลายหน่วยงาน ไม่ใช่แต่ละกระทรวงทําไปเลย ใช้เงินหมดไป แล้วต่อของกระทรวงอื่นหรือไม่ บางอันรับผิดชอบหลายกระทรวง เช่นน้ํา ทําหลายกระทรวงน้ํา คนละน้ําหมด แล้วจะไปอย่างไร
วันนี้ต้องเอาน้ํามา เอาหัวชนกันหลายหน่วยงานเกี่ยวกับน้ํา ต้องมาจัดกลุ่มกิจกรรมให้ตรงกัน แล้วจัดทํางบประมาณของแต่ละกระทรวงให้สอดคล้องกับแผนงานหลักตรงนี้ เพราะฉะนั้นคือการบริหารจัดการน้ําทั้งระบบ แล้วแต่ละกระทรวงมามาอยู่ในส่วนนี้ ส่วนนี้ ส่วนนี้ ก็อะไร 1 เร็วก็ทําก่อน อันไหนรอได้ก็ 2 อันไหนต้องทําช้าก็ 3 ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเล็กไปกลาง กลางไปใหญ่ เพราะฉะนั้นสอดคล้องให้หมด แผนงานโครงการ การใช้คนอะไรต่าง ๆ แล้วแต่ อย่างบูรณาการภายใต้ยุทธศาสตร์เดียวกัน ซึ่งได้มอบให้รองนายกแต่ละฝ่ายกํากับดูแลไปแล้ว ในทุกกลุ่มงานนี่ให้คล่องตัวในการบริหารงาน มีคณะกรรมการขับเคลื่อน ทั้งหมดเลย นี่คือสิ่งที่เราทําใหม่ อย่าหาว่ารัฐบาล คสช. ไม่มีการปฏิรูปเลย ปฏิรูปแบบนี้ยากกว่า ที่ท่านพูด บางคนพูดออกมา ท่านบอกว่ามองไม่เห็น จะมาเห็นได้อย่างไร เพราะว่าบริหารภายใน นี่คือสิ่งที่จะเกิดผลสัมฤทธิ์ในวันหน้า ไม่ใช้เอาเงินโครม ๆ สั่งนี่สั่งโน่นแล้วก็ไม่ต่อกันทํายังไง ควรจะเป็นคนตําหนิท่านมากกว่า
เรื่องการบริหารจัดการภายใน เพิ่มประสิทธิภาพให้ได้ ข้าราชการต้องเตรียมข้าราชการรุ่นใหม่ ใน 5 ปี 10 ปี ข้างหน้าจะทํายังไง กพร. ก็ต้องไปคิด หลักสูตร หาคนเข้ามาทํางานให้ตรงความต้องการของแต่ละกระทรวง ให้รู้ทันต่อความต้องการของประเทศ ถ้าเอกชนเขาพัฒนาแล้ว แต่ข้าราชการไม่พัฒนาตัวเอง ไปกันไม่ได้ เพราะคิดคนละอย่างกัน ต้องทําให้มีการศึกษาเรียนรู้ระหว่างกัน มีการทํางานร่วมกัน มาช่วยกันรัฐ ข้าราชการ ประชาชน ภาคเอกชน ต้องช่วยกัน ที่เรียกว่า “ประชารัฐ” ระดับบน ระดับรัฐ
เพราะฉะนั้น กิจกรรมที่ต้องการบูรณาการกัน ได้แก่ การบริหารจัดการน้ํา สาธารณูปโภคพื้นฐาน รถไฟ รถไฟฟ้า ที่ต้องเกี่ยวพันหลายกระทรวง ทําราง สมมุติว่า ทําราง ทําถนนก็คมนาคม แต่ข้างทางใคร แล้วเรื่องที่ดีใคร เรามีทั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกระทรวงมหาดไทย แล้วก็ไปตามเรื่องไฟฟ้า พลังงาน ตามไปหมด งานเดียว ไปตั้งหลายกระทรวง เพราะฉะนั้นจึงได้จัดกลุ่มเหล่านี้ไว้ มีคณะกรรมการขับเคลื่อน ต้องทําให้ได้ แล้วเราทํา 1-2-3 ไว้ เราทําได้แค่ไหนก็แค่นั้นก่อน ตามความต้องการของประชาชนที่เรียกร้อง เรียกว่า การเสนอความต้องการที่ถูกช่องทาง เข้าใจถึงความเร่งด่วน ความจําเป็น นึกถึงคนอื่นเขาบ้าง ถ้าเกิดในลักษณะที่เป็น จุด ๆ จุด ๆ หมดก็ไม่ดีมากนัก จุด ๆ จุด ๆ จะบรรเทาความเดือดร้อน เป็นพื้นที่เล็ก ๆ แต่ถ้าทําใหญ่ ๆ ไว้บ้าง ก็จะเสริมเติมเล็ก ๆ นี่ได้ในวันหน้า ไม่เช่นนั้นเล็กๆ ก็จะอ่อนแอไปเรื่อย ๆ ถ้ามีใหญ่ กลาง เล็ก ก็จะเสริมกันไป เป็นพื้นที่ให้ได้ แล้วแต่ละภูมิภาคก็จะเข้มแข็ง ให้นโยบายไปแล้วว่าทํายังไงทุกภูมิภาคจะเข้มแข็งได้ ก็ต้องไปดูในกลุ่มจังหวัด แล้วก็ท้องถิ่นให้ได้ให้สอดคล้องกัน
ยกตัวอย่างง่าย ๆ ที่เราเห็นอยู่วันนี้ คือเรื่องการขุดถนน ซ่อมถนน ขุดถนนที่ขุดไปขุดมา ขุดถนนทําอะไร ทําท่อระบายน้ํา ทําโทรศัพท์ เดินสายไฟฟ้า ขุดกันอยู่เรื่อย ขุดถนนเดิมจนไม่รู้จะขุดยังไงแล้ว แล้วก็ซ่อมไม่ได้เหมือนเดิม ต่อไปนี้ทําเวลาเดียวกันหมด ถ้าเส้นนี้ต้องทําพร้อมกัน ไปหาวิธีการมา ทั้ง กทม. ทั้งในส่วนของกระทรวง ต่าง ๆ ด้วย ไม่อนุมัติ ถ้าไม่เสนอมาเป็นแผน เป็นพื้นที่มาก็ลําบาก ตรงไหนที่ทําสั้น ๆ ตอน ๆ ทําไป แต่ตรงไหนที่ต้องทําให้เสร็จเป็นพื้นที่ต้องทําก่อน ทําไปด้วยสําคัญ ไม่เช่นนั้นไม่จบที่หนึ่งก็ต่อไปเรื่อย ๆ วันหน้าการเมืองเข้ามาครอบอีก ถนนเส้นนี้ เป็นฐานคะแนนเข้าไปอีก ถ้าเลือกเข้ามาแล้วจะทําต่อให้เสร็จอะไรแบบนี้ ผมว่าไม่ใช่ ต้องทําตามแผนพัฒนาขั้นพื้นฐานที่มีอยู่ ท่านก็ไปดูทั้งประเทศว่า ตรงไหนจะเชื่อมโยงเศรษฐกิจ ตรงไหนเชื่อมโยงการสัญจรไปมา ค้าขาย ขนส่งสินค้า ไปวาดภาพใหญ่ จากนั้นก็ลงมาเป็นพื้นที่ เป็นถนนสายเล็กสายน้อย ไมใช่ทุกคนจะไปลงพื้นที่ตัวเองหมด แล้วจะไปได้หรือไม่ นี่คือสิ่งที่แตกต่าง รัฐบาลนี้ พูดถึงการปฏิรูป ถามว่ามีใครพูดบ้าง ปฏิรูปแบบนี้ มีหรือไม่ เห็นเถียงกันอยู่เรื่องรัฐธรรมนูญ เรื่องประชามติ ประเทศชาติจะไปอย่างไรไม่สนใจ เพราะฉะนั้นต้องเอาปัญหา กิจกรรมต่าง ๆ เป็นตัวตั้ง แล้วกําหนดวัตถุประสงค์ที่ต้องการตรงปลาย เอาประชาชนเข้ามาเป็นตัวประกอบ เป็นศูนย์กลาง ประกอบในการพิจารณา แล้วหาวิธีการบริหารจัดการที่เหมาะสม ย้ําอีกที่ตัดเสื้อตัวเดียว ใส่กันหมดไม่ได้ สูงต่ําดําขาวไม่เท่ากันอยู่แล้ว ใส่สวยไม่สวยก็อีก เพราะฉะนั้นขอให้ความร่วมมือ
รัฐบาลกําลังจัดทํา แล้วบังคับใช้กฎหมายที่ทันสมัยเป็นสากล หลายอย่าง 4-500 กฎหมาย ครึ่งหนึ่งเป็นกฎหมายที่เราต้องแก้ให้เป็นสากล ทันสมัยต่อการค้า การลงทุนในสมัยนี้ เราต้องเดินตามวิสัยทัศน์ของเราตามยุทธศาสตร์ของเรา 20 ปี แล้วจะต้องใช้แนวทางของยุทธศาสตร์การพัฒนา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” เป็นจุดเริ่มต้น แล้วใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาขับเคลื่อน แล้วประเมินผล ติดตามความก้าวหน้า รายปี ราย 5 ปี ด้วยแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฯ วันนี้เรามีแผนปฏิรูปเข้ามาอีก
เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าเราพยายามที่จะสร้างความเชื่อมโยงเหล่านี้ให้ได้ ให้เกิดความมั่นใจว่า อนาคตเราจะเห็นอะไรขึ้นมาได้บ้างใน 5 ปี 10 ปี 20 ปีข้างหน้า เราต้องมีอนาคต ที่ผ่านมาท่านเห็นอนาคตหรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นวันหน้า ไม่มี ท่านก็เอาแต่ใกล้ ๆ ตัว ได้ประโยชน์มากที่สุด แข่งขันกันอยู่แบบนี้ วันนี้เราต้องเฉลี่ยแบ่งปันความสุขด้วย เราต้องทําให้ประเทศไทยเป็นประเทศ ดินแดนแห่งความสุข เราได้คะแนนที่ 1 เป็นประเทศที่มีความสุขในโลก อันนี้น่าภูมิใจ แต่รู้ว่าจริง ๆ แล้วก็ทุกข์อยู่ รายได้น้อย หนี้สินมาก แต่ยังยิ้มอยู่ได้ ที่เขาเรียก ดินแดนยิ้มสยาม ยิ้มต่อไป เดี๋ยวเราจะต้องทํายิ้มของท่านให้กว้างขึ้น แต่ต้องใช้การปฏิรูป ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ร่วมมือ อย่าขัดแย้งอีกเลย ต่อต้านกันไปทุกเรื่องไป ไปไม่ได้หมดกลับไปที่เดิม ไม่ได้ ไม่ยอมอยู่แล้ว ไม่ยอมให้กลับที่เดิมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการเข้มแข็งจากภายใน การสร้างความเข้มแข็งให้ภูมิภาค ใช้แนวทาง “ประชารัฐ” เป็นตัวขับเคลื่อน
เรื่องสุดท้าย คงเป็นเรื่องของนโยบายรัฐบาลในการดําเนินการด้านต่างประเทศและเวทีโลกในปัจจุบัน เราจะต้องรักษาพันธะสัญญาต่าง ๆ ที่เราสัญญากับเขาไว้แล้ว แล้วเราไม่ได้ทํา วันนี้ต้องเอามาทําหมด อันไหนควรทําใหม่ก็ว่าไปโดยไม่เสียเปรียบ มันยาก ยากเพราะบางทีลงนามกันไว้แล้วมากมาย ไฟหมดนะ พอเราไม่ลงนาม ลงนามไม่ได้ ทําไม่ได้ท่านบอกช้าเกินไป ท่านจะเอาเร็วหรือไม่ เอาเร็วก็เดือดร้อนเหมือนเดิม วันนี้ช้าเพราะต้องไว้เนื้อเชื่อใจ ลดความหวาดระแวง แล้วส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่เป็นธรรมกับประเทศ กับประชาชนของเราด้วยนั่นยาก พูดง่าย ๆ ทําง่ายหมด ขออะไรมาก็โครม ๆ ไป แล้วทับซ้อนผลประโยชน์ ทุจริต คอรัปชั่น พยายามไม่ให้เกิดอยู่แล้ว กวดขันทุกวัน แต่ยากเหมือนกัน ในการที่จะคบค้าสมาคมกับคนอื่น ต้องรู้จักพูดคุย ลําบากใจเหมือนกันเวลาไปต่างประเทศ บางทีสัญญามากมายที่เราเคยสัญญากับเขาไว้ แล้วเขาถามกลับมา ก็ไม่รู้จะทําอย่างไรเพราะผิด ไม่ถูก เริ่มต้นไม่ถูกแล้วทําได้ แต่เราก็จะเสียมิตรหรือเปล่าไม่รู้ ค่อย ๆ ทําไป เราทําอย่างไรจะร่วมมือกับประเทศที่กําลังพัฒนาด้วยกันได้ โดยเรียกว่า ไตรภาคี คําว่า “ไตรภาคี” คือ ประเทศพัฒนา ต้องมาส่งเสริมประเทศที่กําลังพัฒนา อีกอันคือส่วนของประเทศกําลังพัฒนา กับ ประเทศที่กําลังพัฒนา ต้องเริ่มกันเป็น แล้วส่งเสริมกันไปกันมา ถ้าเรารวมกลุ่มกันได้ ประเทศเล็ก ๆ ประเทศกําลังพัฒนา แล้วไปสร้างห่วงโซ่วงจร ให้เกิดขึ้นจากประเทศที่พัฒนาแล้วมาก ๆ มาช่วยเราให้ตรงความต้องการก็จะดีขึ้น เป็นหน้าที่ของทุกคนในโลกใบนี้ แผ่นดินนี้ ผืนฟ้า ผืนน้ํา ไม่ใช่ของไทยคนเดียว ถึงแม้จะเป็นประเทศไทยก็ตาม แต่ทั้งหมดมีผลกระทบกับคนทั้งโลกใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นเราต้องนึกถึงประเทศชาติในอนาคตด้วย ทั้งโลกใบนี้ มากขึ้นเรื่อย ๆ จํานวนประชากรก็จะมากขึ้นอีกหลายพันล้านคนในไม่กี่ปีข้างหน้านี้แล้ว
วันนี้ไทยกําลังวางอนาคตให้คนไทยข้างหน้าว่าทํายังไง เขาเกิดมาแล้วจะทําอย่างไร ทะเลาะกัน คนเกิดแล้วทะเลาะกันอยู่ได้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องร่วมมือกัน พึ่งพาอาศัยกันในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เน้นเรื่องการวิจัยพัฒนา ที่เป็นระบบ สู่การปฏิบัติให้ได้ อันไหนวิจัยไม่เกิดประโยชน์ ไม่ต้องวิจัย เสียเวลา ที่ผ่านมาก็วิจัยกันไป กันมาแล้วก็เก็บเข้าโต๊ะ ไม่ยอมแล้ว ดึง-ควักออกมาหมด อันไหนไม่ดีก็รื้อใหม่ ทําใหม่ นํามาผลิตให้ได้
เรื่องยางก็กําลังเร่งอยู่ ในการที่เอายางมาสู่การผลิต บริษัทต่าง ๆ หรือ SMEs ก็กําลังปรับตัวเองอยู่เพื่อจะนํายางที่เราซื้อมา เพื่อจะดึงเอาไปใช้ในส่วนราชการ เห็นใจไม่เคยเริ่มมาก่อนเลย ไม่ใช่ทําวันนี้ แล้วโรงงานจะสร้างพรุ่งนี้ แล้วทําเสร็จเมื่อไร ไม่เคยคิดกันแบบนี้ ทั้งระบบ เพราะมีเอกชนทําอยู่บ้าง ต้องไปสร้างวงจรเพื่อจะแข่งขันในในภาคธุรกิจเอกชน อันนั้นเขาเพื่อกําไรยังไง กําไรมาก ๆ เราต้องทําของเราเองส่งเสริมจากธุรกิจสตาร์ทอัพใหม่ เกี่ยวกับเรื่องยางให้เกิด จะได้เกิดการแข่งขัน จะได้ชักนําราคายางให้สูงขึ้นเพราะว่ามีการแข่งขันกันในประเทศ ผลิตใช้ในประเทศ แล้ววันหน้าก็ขายต่างประเทศ เราก็ตั้งสถานีทดสอบยางอะไรมากมายไปหมดตอนนี้ ทั้งภาพเอกชนด้วย ของรัฐบาลก็ตั้งอยู่ กําลังหาทางตั้งยังไง ตั้งไม่ได้สักที เพราะฉะนั้นเราต้องร่วมมือกัน ทั้งเข้มแข็งภายในประเทศ เข้มแข็งจากภายนอก ก็คือการส่งไปค้าขาย แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ก็เข้มแข็งทั้งภายใน ภายนอกประเทศ และอีกอันคือเข้มแข็งภายในประเทศเราคือเรื่องของชุมชน จังหวัด กลุ่มจังหวัด ภูมิภาค ต่อเนื่องกันทั้งหมด คิดแบบนี้ ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมทั้งหมดเลย ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน ผู้มีรายได้น้อย ทั้งหมดคืออยู่ในวงจรนี้ทั้งสิ้น ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ร่วมมือกัน ขัดแย้งกันมันไปไม่ได้หมดแล้วจะทํายังไง เล็กเกิดไม่ได้ กลางเกิดไม่ได้ ใหญ่ก็เกิดไม่ได้ แล้วประเทศจะอยู่ตรงไหน วันหน้าพวกเรา ไม่อยู่กับท่านแล้ว เพราะฉะนั้นวันหน้าแล้วจะทํายังไง
เรื่องสําคัญที่สุดวันนี้คือ เรื่องการประชาสัมพันธ์ ก็เป็นเรื่องยาก เพราะเรามีความแตกต่างกันในเรื่องการรับรู้ ในเรื่องพื้นที่ ในเรื่องความยากลําบาก หลายคนต้องทํางานทั้งวันในเวลาที่คนเขานอน ท่านต้องทํางาน เพราะฉะนั้นการสื่อสารอาจจะไปไม่ถึง ทํายังไงเราจะสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนทุกภาคส่วน ใครฟังก็บอกกันปากต่อปากได้ ใครไม่ได้ฟังก็เปิดในโทรศัพท์ วันนี้เราก็ทําช่องทางทางโทรศัพท์ได้ในระยะแรกไปแล้ว
ในส่วนของอะไรที่ว่าจะเกิดในแต่ละพื้นที่ จะเกิดยังไง มีผลยังไง รายได้อย่างไร ลูกหลานจะเป็นอย่างไร คิดแบบนี้ อย่าคิดแต่ตัวเอง คิดถึงลูกหลานท่าน ถ้าตีกันวันนี้ ลูกหลานก็ตายหมด คือลําบากหมด มีหนี้มีสินเหมือนท่าน ท่านก็แย่ วันหน้าลูกหลานก็ว่าเรา ทําไม่สร้างหนี้สร้างสินให้ลูกหลานต้องชดใช้กันมากมาย รัฐบาลทําทุกอย่าง เข้าใจกันบ้าง อย่าเชื่อฟังคนที่ไม่ทําแล้งบิดเบือนทุกวัน ๆ ทุกคนอยู่ในห่วงโซ่ประเทศห่วงโซ่เดียวกันทั้งหมด ต้องส่งเสริมร่วมมือเกื้อกูลแล้วก็ต้องให้น้ําหนักกับประเทศ มากกว่าตัวเอง มากกว่าพื้นที่ตัวเอง ร่วมกันสร้างความเข้มแข็งจากภายใน เราต้องมีข้อมูลที่ทันสมัย Area Base เป็นที่ตั้ง ของการแก้ปัญหาทั้งหมด เพื่อจะสร้างความเจริญเติบโต ขยายผล หมู่บ้าน – ตําบล – อําเภอ – จังหวัด – กลุ่มจังหวัด– ภูมิภาค – ประเทศ – การค้าชายแดน – การค้าขาย CLMV – ภายในอาเซียน – อาเซียนกับประชาคมอื่น ๆ ด้วย นี่มันโยงกันทั้งหมด มีกิจกรรมทุกภาคส่วน
วันนี้เราทําหลายช่องทาง ฟังบ้าง ใครไม่ได้ฟังก็ถามเพื่อนเขาบ้าง คนฟังแล้วเข้าใจก็อธิบายคนอื่นเขาบ้าง ปากต่อปากดีกว่าอย่างอื่น ไม่เช่นนั้นรู้บ้างไม่รู้บ้าง แล้วคนรู้ กับไม่รู้ก็ตีกันอยู่อย่างนั้น ไม่เกิดอะไรทั้งสิ้นเลย คํานึงถึงงบประมาณของรัฐ การบริหาราชการที่ยุ่งยากคนตั้ง 60 กว่าล้านคน มองกลุ่มเล็ก ๆ ไม่จบ มีคนตรงนี้อยากดี อยากได้แล้วไม่ร่วมมือ บางคนก็อยากดี อยากได้ ร่วมมือต่างกันหมดเลย ใช้งบประมาณทั้งสิ้น จะต้องดูแลประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่าย ทั้งประเทศ ทุกภาค ทุกภูมิภาคในการพัฒนาให้มันเกิดความเท่าเทียม มีมาตรการแข่งขันในแต่ละภูมิภาคจะต้องไปด้วยกัน
เรื่องสุดท้าย ของสุดท้าย คือเรื่องการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตัวเอง ภาษาอังกฤษเปรียบ เสมือนภาษาที่จะเป็นประตูสู่ความรู้สาขาวิชาต่าง ๆ ของโลก เพราะเป็นภาษาราชการด้วย ภาษากลาง เราต้องเปิดโอกาสสู่ความก้าวหน้าในอาชีพการงาน พัฒนาตัวเอง พูดภาษาเดียววันหน้าลําบากเหมือนกัน ต้องมีไทยด้วย ภาษาอื่นด้วย มากบ้างน้อยบ้างรู้มากรู้น้อยก็แล้วแต่ท่าน แต่ต้องมีภาษาที่สองของท่านทุกคน ไม่ใช่ภาษาที่ 2 มีเฉพาะเพลง รู้แต่เพลง แปลจากเพลง ใช้ประโยชน์ไม่ได้หรอก เป็นความรัก ความสนุกสนาน รื่นเริงบันเทิงของท่านไปมากกว่า ท่านต้องเรียนรู้เรื่องที่เป็นประโยชน์บ้าง
วันนี้รัฐบาลได้เปิดตัว แอปพลิเคชั่น เพื่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ สําหรับคนไทย ด้วยความร่วมมือในรูปแบบประชารัฐ กระทรวง ศึกษาธิการ มูลนิธียุวสถิรคุณ และ Enconcept ซึ่งจะเป็นครั้งแรก ที่คนไทยทุกคน สามารถเรียนภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษาได้ฟรี ๆ ทุกที่ ทุกเวลา ทางโทรศัพท์ ทั้ง 4 ทักษะ คือฝึก ฟัง พูด อ่าน เขียน ผ่านมือถือ แท็บเล็ต โดยไม่จําเป็นต้องมีพื้นฐานมาก่อน มีทั้งหมด 200 บทเรียน เป็นสถานการณ์จําลองที่จําเป็นต้องใช้ในชีวิตจริง ทั้งบทสนทนาทั่วไป แล้วเป็นภาษาอังกฤษเพื่อธุรกิจการค้าและการบริการ ภาษาอังกฤษสําหรับวิชาชีพต่าง ๆ ก็อยากให้พี่น้อง ที่สนใจ ทดลองดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นนี้ มาใช้ตามรายละเอียดด้านล่างนี้ (ชื่อ “echoenglish” ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) ใช้ได้แล้ววันนี้ ส่วนระบบปฏิบัติการ iOS คาดว่าจะพร้อมให้บริหารในสิ้นเดือนมีนาคม 2559 นี้)
หัวใจสําคัญของการประสบความสําเร็จในการเรียนภาษาอังกฤษ มี 3 ปัจจัย คือ (1) เรียนรู้จากต้นแบบภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง (2) มีระบบFeedback ที่ช่วยแก้ไขให้ถูกต้องในทันที ซึ่งทั้งสองปัจจัยนี้รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมให้กับประชาชนเรียบร้อยแล้ว ในขั้นที่ 1 เราจะมีสเตท 1-2-3-4 อะไรก็แล้วแต่ ยากขึ้นเรื่อย ๆ วันนี้สเตทแรก ออกมาแล้ว
ประการสุดท้าย เรื่องภาษาอังกฤษ อยากให้พี่น้องประชาชน นักเรียน นักศึกษา แรงงาน ข้าราชการด้วย หมั่นฝึกฝน ขวนขวายเรียนรู้เพิ่มเติมสม่ําเสมอ อย่าคิดว่าจะทําอาชีพเดิมไปจนแก่จนตาย แล้วส่งต่อลูกหลานไปทําต่ออีก ว่าไม่ใช่แล้ว ต้องพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าพ่อ เขาเรียกอะไร ลูกต้องดีกว่าพ่อ ร่ํารวย มีเงินมีทอง ไม่ใช่มีหนี้สินมากกว่าพ่อเข้าไปอีก เพราะหนี้สินพ่อบวกด้วยไง ตัวเองมีหนี้สินเพิ่มเขาเรียกดับเบิ้ลหนี้ ไม่ได้ ต้องพัฒนาตนเอง อาจจะต้องมีแรงบันดาลใจบ้าง ที่จะพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ถือว่าเป็นหน้าที่สําคัญทุกคน เป็นก้าวแรกของการร่วมพัฒนาชาติ หลายประเทศเขาพัฒนาอย่างนี้ มีการเรียนรู้ 2 ภาษา ง่าย ๆ ดูภาพยนตร์ ดูรายการทีวี ฟังทั้งอังกฤษ อ่านซับก็ได้ ค่อย ๆ ซึมซับไป รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้บ้าง เดี๋ยวก็รู้เอง อ่านไวแล้วกัน เวลาเขาเขียน ซับไตเติ้ล อ่านไปเรื่อย แล้วฟังปากเขาพูด ตรงกันนั่นแหละ ง่าย ๆ บางทีก็ใช้แบบนี้ บางทีก็ลืม ง่าย ๆ ลืม เพราะยุ่งมากไง สมองปวดหัวไปหมด เรียนรู้ก็ต้องเรียนเอง แล้วในส่วนของแก้ปัญหาก็ต้องแก้ ระงับความขัดแย้งก็ต้องทํา ไม่บ่นพูดให้ฟังเฉยๆ เดี๋ยวจะลืมว่าทําอะไรอยู่
เรื่องการใช้น้ํา ก็ห่วงอีก ห่วงแล้ว ห่วงอีก ก็ไม่ใช่เพื่อวันนี้เพื่ออนาคตด้วย จะทํายังไงให้ทุกคนช่วยกันประหยัด ประหยัดที่ว่า คือประหยัดทุกคน ประหยัดทุกส่วน อย่าให้ถึงขนาดต้องมากินน้ําวันละเท่านี้ อาบน้ําวันละครั้งอะไรอย่างนี้ ว่าไม่ใช่ อาบให้น้อยลงเท่านั้น อย่าขัดสีฉวีวรรณ นานนัก มากเกินไปก็แล้วกัน อันนี้ก็เราจะได้แก้ปัญหาภัยแล้งให้ได้อย่างยั่งยืน แล้วเราถือว่าเป็น “วาระแห่งชาติ” ด้วย วาระแห่งชาติคือชาตินี้ แก้ให้ได้ชาตินี้ ไม่งั้นก็ลําบากอีก ชาตินี้คือเดี๋ยวนี้ด้วย ทุกหน่วยงานต้องรณรงค์จัดกิจกรรม สร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจ จัดเวทีคอนเสิร์ต จัดดนตรีลูกทุ่ง แล้วช่วยกันประหยัดน้ําอย่างไร รณรงค์อย่างนี้ ให้พูดอยู่คนเดียว พอไม่ทํากันก็บอกให้ใช้กฎหมายบังคับ ทําไมต้องบังคับกันด้วย ประเทศไทย คนไทย เราเคยอยู่อย่างสงบสุขมา ทําไม่เป็นอย่างนั้นไป หรือมีบางคนไม่เคารพกฎหมาย ทําให้เกิดแบบนี้ เพราะอย่างนั้นอย่าให้เกิดอีก อย่าให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงในอนาคตด้วย
ใครที่มีหนี้สิน ไม่ว่าจะนโยบายในรัฐบาลใด ถ้าหนี้สินยังอยู่ ก็อย่าน้อยใจว่ารัฐบาลไม่ช่วย กําลังช่วยอยู่ การช่วยไม่ใช่เอาเงินไปให้ ตรงนี้แล้วจบ ไม่จบ แล้วหนี้สินใหม่ก็เกิดขึ้น วันนี้ก็มีทั้งประนอมหนี้ มีทั้งชะลอ มีทั้งมาตรการทางดอกเบี้ย ถ้าใครไปไม่ถึง ใครเข้าไม่ถึง ไปหาเจ้าหน้าที่เขา เจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย มีทุกจังหวัด ทุกอําเภอ อยู่แล้ว ไปให้เขาคิดดู ศูนย์ดํารงธรรมนะ ศูนย์ดํารงธรรมก็ต้องรับเรื่อง แล้วก็ส่งต่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นหัวหน้า CEO ในแต่ละกลุ่มจังหวัด ช่วยกันแก้ ถ้าไม่แก้ก็เอาเรื่องเหมือนกัน แก้ให้ได้ แต่ต้องเข้าใจถึงปัญหาของเขาด้วย บางทีก็ติดขัด เงินจากงบประมาณก็มีแค่นี้ จํากัด ต้องเร่งใช้ว่าอันไหนสําคัญ ไม่สําคัญ สําคัญมาก สําคัญน้อยทุกคนเอาเงินหมด หลายวันมานี้ก็มีคนของบประมาณ กองทุนนี่โน่น อยากให้หมด ถ้ามีสตางค์ ถ้าประเทศมีสตางค์ ก็ต้องไปสู่การสร้างรายได้ประเทศให้มากขึ้นกว่าเดิม ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ปรับโครงสร้างส่งออก การนําเข้า การพัฒนาเทคโนโลยี การตั้งโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ ทั้ง 5 ประเภท 5 ประเภทเดิม 5 ประเภทใหม่ ทั้งหมด 10 อุตสาหกรรมที่ต้องเข้มแข็ง เพื่อรองรับวันนี้ และวันหน้าด้วย อย่าให้ใครมาทําลายความสงบสุขประเทศเราอีกเลยนะครับเสถียรภาพของคนในประเทศสําคัญที่สุด คนเดือดร้อนคือพวกเรา คนที่ไปสร้างความเดือดร้อนอยู่ข้างนอก ใครก็ไม่รู้ ก็อย่าไปฟังเขามากนัก ไม่ฟัง ขี้เกียจฟัง ก็พูดซ้ําแล้วซ้ําอีกอยู่เหมือนเดิม ว่าไม่เกิดประโยชน์ แล้วท่านก็ไม่เคยทํากันทั้งสิ้นสิ่งที่ท่านว่าทุกวันนี่ เคยทํากันที่ไหน คณะทํางาน รัฐมนตรีเงา เคยทําหรือเปล่า ถ้าทําบอกมาว่าจะทํายังไง สิ่งที่จะทํา ใช้งบประมาณแล้วแก้ปัญหาไม่ได้ แล้วทํายังไง ตอบมาบ้าง ถามท่านทางนี้ ตอบมาแล้วกัน เพราะท่านพูดให้ผมฟังทางสื่อทุกวันๆ ก็อดทนอยู่ อย่ามาพูด ถ้าพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทํา อย่าพูด จําไว้
ขอขอบคุณในความร่วมมือของทุกคน รู้ทุกคนรักประเทศทั้งนั้น มีคนบางคนไม่ค่อยรัก รักตัวเองมากกว่า ขอให้มีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี ก.อุตฯ ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่คณะกรรมการ และผู้บริหารระดับสูงการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
|
วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561
รัฐมนตรี ก.อุตฯ ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่คณะกรรมการ และผู้บริหารระดับสูงการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายการดําเนินงานแก่คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (บอร์ด กนอ.) และผู้บริหารระดับสูง กนอ.ณ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
วันนี้ (26 ตุลาคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายการดําเนินงานแก่คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (บอร์ด กนอ.) และผู้บริหารระดับสูง กนอ. โดยมีนายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้การต้อนรับ ณ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กนอ. มีบทบาทสําคัญที่จะขับเคลื่อนนโยบายของภาครัฐโดยเฉพาะภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาพื้นที่ และระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) เพื่อรองรับการลงทุนของไทยโดยเฉพาะในปี 2562 ในการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่อันจะนํามาซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย เพื่อตอบโจทย์นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ทั้งนี้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 รัฐบาลได้วางเป้าหมายระยะยาวที่จะยกระดับให้ไทยพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ด้วยการนําเทคโนโลยี และนวัตกรรมเข้ามาปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สามารถเชื่อมโยงแหล่งวัตถุดิบในแต่ละพื้นที่ร่วมกัน และยังเชื่อมโยงไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งไม่ได้มองแค่อุตสาหกรรม แต่ยังมองเรื่องของเกษตรกรรม การท่องเที่ยว เพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาผู้ประกอบการใหม่ (Start Up) และการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และวิสาหกิจชุมชน ที่ทุกฝ่ายจะได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง
“กนอ.จําเป็นต้องเร่งขับเคลื่อนโครงการต่างๆ เช่น การพัฒนานิคมอุตสาหกรรม สมาร์ท พาร์ค (Smart Park) ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดเฟส 3 การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมใน SEZ นิคมอุตสาหกรรมยางพาราฯลฯ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เพื่อที่จะรองรับการขยายตัวของการลงทุนในอนาคต ที่ขณะนี้นักลงทุนไทยและต่างชาติ ต่างก็โฟกัสมายังไทยด้วยศักยภาพพื้นที่ในการเชื่อมโยงกับประเทศสมาชิกความร่วมมือระหว่างประเทศลุ่มแม่น้ําอิระวะดี-เจ้าพระยา-แม่โขง หรือ ACMECS และการเชื่อมต่อของอาเซียนกับจีน”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี ก.อุตฯ ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่คณะกรรมการ และผู้บริหารระดับสูงการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561
รัฐมนตรี ก.อุตฯ ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่คณะกรรมการ และผู้บริหารระดับสูงการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายการดําเนินงานแก่คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (บอร์ด กนอ.) และผู้บริหารระดับสูง กนอ.ณ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
วันนี้ (26 ตุลาคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายการดําเนินงานแก่คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (บอร์ด กนอ.) และผู้บริหารระดับสูง กนอ. โดยมีนายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้การต้อนรับ ณ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กนอ. มีบทบาทสําคัญที่จะขับเคลื่อนนโยบายของภาครัฐโดยเฉพาะภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาพื้นที่ และระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) เพื่อรองรับการลงทุนของไทยโดยเฉพาะในปี 2562 ในการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่อันจะนํามาซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย เพื่อตอบโจทย์นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ทั้งนี้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 รัฐบาลได้วางเป้าหมายระยะยาวที่จะยกระดับให้ไทยพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ด้วยการนําเทคโนโลยี และนวัตกรรมเข้ามาปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สามารถเชื่อมโยงแหล่งวัตถุดิบในแต่ละพื้นที่ร่วมกัน และยังเชื่อมโยงไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งไม่ได้มองแค่อุตสาหกรรม แต่ยังมองเรื่องของเกษตรกรรม การท่องเที่ยว เพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาผู้ประกอบการใหม่ (Start Up) และการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และวิสาหกิจชุมชน ที่ทุกฝ่ายจะได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง
“กนอ.จําเป็นต้องเร่งขับเคลื่อนโครงการต่างๆ เช่น การพัฒนานิคมอุตสาหกรรม สมาร์ท พาร์ค (Smart Park) ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดเฟส 3 การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมใน SEZ นิคมอุตสาหกรรมยางพาราฯลฯ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เพื่อที่จะรองรับการขยายตัวของการลงทุนในอนาคต ที่ขณะนี้นักลงทุนไทยและต่างชาติ ต่างก็โฟกัสมายังไทยด้วยศักยภาพพื้นที่ในการเชื่อมโยงกับประเทศสมาชิกความร่วมมือระหว่างประเทศลุ่มแม่น้ําอิระวะดี-เจ้าพระยา-แม่โขง หรือ ACMECS และการเชื่อมต่อของอาเซียนกับจีน”
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16349
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงพลังงาน MOU ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 5 รายใหญ่ ต้นแบบอาคาร-บ้านอนุรักษ์พลังงานสอดรับกฎหมายใหม่ปี’60
|
วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560
กระทรวงพลังงาน MOU ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 5 รายใหญ่ ต้นแบบอาคาร-บ้านอนุรักษ์พลังงานสอดรับกฎหมายใหม่ปี’60
“กระทรวงพลังงาน” โดย กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ลงนาม MOU กลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 5 แห่ง เพื่อส่งเสริมการออกแบบอาคาร-บ้านประหยัดพลังงาน เล็งคลอดกฎหมายนําร่องอาคารขนาดใหญ่มีผลบังคับใช้ภายในปี 2560"
พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในวันนี้ (7เม.ย.60) ได้มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ “การส่งเสริมการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงานตามกฏหมายและการส่งเสริมบ้านที่อยู่อาศัยเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน” เป็นความร่วมมือของกระทรวงพลังงาน โดย กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) และภาคเอกชน ได้แก่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน) บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จํากัด (มหาชน) บริษัท เซ็นทรัล พัฒนา จํากัด (มหาชน) บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด (มหาชน) บริษัท นารายณ์พร็อพเพอร์ตี้ จํากัด เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการส่งเสริม ให้ภาคเอกชนมีการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงานตามกฎหมาย และส่งเสริมบ้านที่อยู่อาศัยเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ก่อให้เกิดการประหยัดพลังงานในอาคารและบ้านที่อยู่อาศัยอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับ แผนบูรณาการพลังงานของประเทศ (TIEB)
“ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นไปตามยุทธศาสตร์และถือเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงานของประเทศ ( EEP 2015 ) พ.ศ. 2558 -2579 ที่เห็นความสําคัญในการใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีการใช้พลังงานมาก ได้แก่ ภาคขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม ภาคอาคารธุรกิจ และภาคบ้านอยู่อาศัย” พลเอก อนันตพร กล่าว
ที่ผ่านมา กระทรวงพลังงาน โดย พพ. ได้ดําเนินการร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ปรับปรุงแก้ไขร่างกฎหมายให้มีผลบังคับใช้ภายในปี 2560 โดยนําร่องใช้กับอาคารขนาดใหญ่พื้นที่ตั้งแต่ 10,000 ตร.ม.ขึ้นไปก่อน และทยอยบังคับใช้กับอาคารพื้นที่ตั้งแต่ 2,000 ตร.ม. ภายในปี 2562
นายประพนธ์ วงษ์ท่าเรือ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.) กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นความก้าวหน้าของการดําเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งพพ. มีแผนปฎิบัติการเชิงรุกใน 2 รูปแบบ ทั้งการจัดทํามาตรการบังคับใช้ในทางกฎหมาย และแผนการรณรงค์ส่งเสริมโดยเชิญชวนภาคเอกชนขนาดใหญ่เข้าร่วม เป็นเครือข่ายความร่วมมือ และขยายเครือข่ายไปยังผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นต่อไป โดยแนวทางที่ พพ. จะร่วมมือกับผู้ประกอบการ จะครอบคลุมในเรื่องการจัดกิจกรรมให้ความรู้การประชาสัมพันธ์เรื่องอาคารและบ้านประหยัดพลังงานสู่ผู้บริโภค การส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรในการออกแบบอาคารและบ้านประหยัดพลังงาน การผลักดันและกระตุ้นตลาดการก่อสร้างอาคาร และบ้านประหยัดพลังงานให้แพร่หลาย ซึ่งทั้งสองแนวทางจะนําไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของประเทศ และสามารถเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้กําหนดไว้ตามแผน EEP 2015 ที่จะต้องลดสัดส่วนการใช้พลังงานให้ได้ 30% ภายในปี 2579
แผนการดําเนินงานที่ผ่านมา พพ. ได้มีการส่งเสริมและสนับสนุนการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงานให้กับหน่วยงานรัฐ สถาบันการศึกษา และหน่วยงานปกครองท้องถิ่น 9 แห่ง อาทิ กรุงเทพมหานคร เทศบาลนครราชสีมา และเมืองพัทยา เป็นต้น ส่วนความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา 6 แห่ง เป็นเรื่องของการบรรจุองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์พลังงานลงไปในหลักสูตรการศึกษา ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยรังสิต และมหาวิทยาลัยเทคโนดลยีราชมงคลธัญบุรี เป็นต้น และภาคเอกชน 1 แห่ง ได้แก่ บริษัท แอล.พี.เอ็น ดีเวลลอปเมนท์ จํากัด (มหาชน)
ที่ผ่านมา พพ. ได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว โดยอยู่ระหว่างการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และส่งเสริมในเรื่องการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน เตรียมความพร้อมบุคลากรผู้ออกแบบอาคาร สถาปนิก วิศวกร เจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่อนุญาตการก่อสร้าง รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ให้มีความรู้ความเข้าใจในนโยบายและทิศทางการดําเนินงานของภาครัฐ ซึ่งได้ดําเนินการอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2552
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงพลังงาน MOU ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 5 รายใหญ่ ต้นแบบอาคาร-บ้านอนุรักษ์พลังงานสอดรับกฎหมายใหม่ปี’60
วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560
กระทรวงพลังงาน MOU ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 5 รายใหญ่ ต้นแบบอาคาร-บ้านอนุรักษ์พลังงานสอดรับกฎหมายใหม่ปี’60
“กระทรวงพลังงาน” โดย กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ลงนาม MOU กลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 5 แห่ง เพื่อส่งเสริมการออกแบบอาคาร-บ้านประหยัดพลังงาน เล็งคลอดกฎหมายนําร่องอาคารขนาดใหญ่มีผลบังคับใช้ภายในปี 2560"
พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในวันนี้ (7เม.ย.60) ได้มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ “การส่งเสริมการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงานตามกฏหมายและการส่งเสริมบ้านที่อยู่อาศัยเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน” เป็นความร่วมมือของกระทรวงพลังงาน โดย กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) และภาคเอกชน ได้แก่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน) บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จํากัด (มหาชน) บริษัท เซ็นทรัล พัฒนา จํากัด (มหาชน) บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด (มหาชน) บริษัท นารายณ์พร็อพเพอร์ตี้ จํากัด เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการส่งเสริม ให้ภาคเอกชนมีการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงานตามกฎหมาย และส่งเสริมบ้านที่อยู่อาศัยเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ก่อให้เกิดการประหยัดพลังงานในอาคารและบ้านที่อยู่อาศัยอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับ แผนบูรณาการพลังงานของประเทศ (TIEB)
“ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นไปตามยุทธศาสตร์และถือเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงานของประเทศ ( EEP 2015 ) พ.ศ. 2558 -2579 ที่เห็นความสําคัญในการใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีการใช้พลังงานมาก ได้แก่ ภาคขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม ภาคอาคารธุรกิจ และภาคบ้านอยู่อาศัย” พลเอก อนันตพร กล่าว
ที่ผ่านมา กระทรวงพลังงาน โดย พพ. ได้ดําเนินการร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ปรับปรุงแก้ไขร่างกฎหมายให้มีผลบังคับใช้ภายในปี 2560 โดยนําร่องใช้กับอาคารขนาดใหญ่พื้นที่ตั้งแต่ 10,000 ตร.ม.ขึ้นไปก่อน และทยอยบังคับใช้กับอาคารพื้นที่ตั้งแต่ 2,000 ตร.ม. ภายในปี 2562
นายประพนธ์ วงษ์ท่าเรือ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.) กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นความก้าวหน้าของการดําเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งพพ. มีแผนปฎิบัติการเชิงรุกใน 2 รูปแบบ ทั้งการจัดทํามาตรการบังคับใช้ในทางกฎหมาย และแผนการรณรงค์ส่งเสริมโดยเชิญชวนภาคเอกชนขนาดใหญ่เข้าร่วม เป็นเครือข่ายความร่วมมือ และขยายเครือข่ายไปยังผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นต่อไป โดยแนวทางที่ พพ. จะร่วมมือกับผู้ประกอบการ จะครอบคลุมในเรื่องการจัดกิจกรรมให้ความรู้การประชาสัมพันธ์เรื่องอาคารและบ้านประหยัดพลังงานสู่ผู้บริโภค การส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรในการออกแบบอาคารและบ้านประหยัดพลังงาน การผลักดันและกระตุ้นตลาดการก่อสร้างอาคาร และบ้านประหยัดพลังงานให้แพร่หลาย ซึ่งทั้งสองแนวทางจะนําไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของประเทศ และสามารถเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้กําหนดไว้ตามแผน EEP 2015 ที่จะต้องลดสัดส่วนการใช้พลังงานให้ได้ 30% ภายในปี 2579
แผนการดําเนินงานที่ผ่านมา พพ. ได้มีการส่งเสริมและสนับสนุนการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงานให้กับหน่วยงานรัฐ สถาบันการศึกษา และหน่วยงานปกครองท้องถิ่น 9 แห่ง อาทิ กรุงเทพมหานคร เทศบาลนครราชสีมา และเมืองพัทยา เป็นต้น ส่วนความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา 6 แห่ง เป็นเรื่องของการบรรจุองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์พลังงานลงไปในหลักสูตรการศึกษา ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยรังสิต และมหาวิทยาลัยเทคโนดลยีราชมงคลธัญบุรี เป็นต้น และภาคเอกชน 1 แห่ง ได้แก่ บริษัท แอล.พี.เอ็น ดีเวลลอปเมนท์ จํากัด (มหาชน)
ที่ผ่านมา พพ. ได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว โดยอยู่ระหว่างการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และส่งเสริมในเรื่องการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน เตรียมความพร้อมบุคลากรผู้ออกแบบอาคาร สถาปนิก วิศวกร เจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่อนุญาตการก่อสร้าง รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ให้มีความรู้ความเข้าใจในนโยบายและทิศทางการดําเนินงานของภาครัฐ ซึ่งได้ดําเนินการอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2552
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2945
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นชี้แจง ข้อวิจารณ์การจัดตั้งสำนักงานท้องถิ่นอำเภอ
|
วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นชี้แจง ข้อวิจารณ์การจัดตั้งสํานักงานท้องถิ่นอําเภอ
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นชี้แจง ข้อวิจารณ์การจัดตั้งสํานักงานท้องถิ่นอําเภอ
วันที่ 24 สิงหาคม 2561 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ชี้แจงประเด็น ข้อวิจารณ์การจัดตั้งสํานักงานท้องถิ่นอําเภอ ดังนี้
1. กรณีกลไกการทํางานของสํานักงานท้องถิ่นอําเภอ อาจมีลักษณะงานที่ซ้ําซ้อนกับหน่วยงานเดิมทีมีอยู่แล้ว เช่น สาธารณสุขอําเภอ ป่าไม้อําเภอ หรือองค์กรอื่น ๆ ซึ่งอาจจะทําให้เกิดความขัดแย้งระหว่างองค์กรเดิมและองค์กรที่เกิดขึ้นใหม่ ขอเรียนว่า ไม่เป็นการซ้ําซ้อน เนื่องจากภารกิจหลักของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น คือ การส่งเสริม สนับสนุน พัฒนา และให้คําปรึกษาแนะนําแก่ อปท. นายอําเภอ และผู้ว่าราชการจังหวัดในการร่วมส่งเสริมและสนับสนุน อปท. ในการปฏิบัติงาน 4 ด้าน คือ ด้านการจัดทําแผนพัฒนาท้องถิ่น ด้านการบริหารงานบุคคล ด้านการเงินการคลัง และด้านการบริหารจัดการ ทั้งนี้ เพื่อให้ อปท. มีความเข้มแข็งและมีศักยภาพในการให้บริการสาธารณะ โดยมีสํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดและสํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นอําเภอ เป็นหน่วยงานราชการส่วนภูมิภาคที่รับผิดชอบภารกิจตามอํานาจหน้าที่ของกรมฯ ที่บัญญัติไว้ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในเขตพื้นที่จังหวัดและอําเภอในการอํานวยการ ประสาน ปฏิบัติงาน และสนับสนุนงานของผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอําเภอด้านการส่งเสริมสนับสนุนและกํากับดูแล อปท.
ทั้งนี้ ในการปฏิบัติงานร่วมกับส่วนราชการอื่นในพื้นที่ซึ่งแต่ละส่วนราชการมีภารกิจหน้าที่ที่ชัดเจนอยู่แล้ว และนอกจากจะเกิดความขัดแย้งแล้วยังกลับจะช่วยเหลือหน่วยงานอื่นในระดับอําเภอของกระทรวง กรม อื่น ๆ ให้สามารถทํางานร่วมกับ อปท. ในพื้นที่ได้สะดวกและมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย เพราะสํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นอําเภอ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทํางานใกล้ชิดกับ อปท. ในทุกมิติจะทําหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมสนับสนุนและประสานงานกับ อปท. ในการนํานโยบายของส่วนราชการต่าง ๆ ไปสู่การปฏิบัติในพื้นที่หมู่บ้าน ตําบล ให้ประสบความสําเร็จตามเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม จึงมิได้เป็นการปฏิบัติงานที่ซ้ําซ้อนกับส่วนราชการอื่นที่มีอยู่ แต่จะเป็นหน่วยงานที่ช่วยส่งเสริมสนับสนุนการทํางานของส่วนราชการอื่น
2. กรณีการจัดตั้งสํานักงานท้องถิ่นอําเภอ อาจกลายเป็นการรวมอํานาจให้มาอยู่ในการควบคุมของกระทรวงมหาดไทย หรือส่วนกลาง ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศ มีมติคัดค้าน เนื่องจากเห็นว่าวิธีการดังกล่าว อาจไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ที่มีเจตนารมณ์ต้องการให้เกิดการกระจายอํานาจและจัดการตนเอง รวมถึงต้องมีความอิสระในการทํางาน ไม่ใช่อยู่ภายใต้การควบคุมจากส่วนราชการ ขอเรียนว่า ไม่ใช่เป็นการรวมอํานาจ (Centralization) เนื่องจากการจัดตั้งสํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นอําเภอเป็นการดําเนินการตามหลักการแบ่งอํานาจ (Deconcentration) โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้มอบหมายให้สํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัด และสํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นอําเภอดําเนินการในภารกิจด้านต่าง ๆ เช่น งานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นในระดับอําเภอ ให้ดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ตามกฎหมาย นโยบายของรัฐบาลและระเบียบหลักเกณฑ์ที่กําหนด การอํานวยการแก่นายอําเภอในกรณีการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ อปท. การประสานงานและให้คําปรึกษาแนะนําเกี่ยวกับการพัฒนาท้องถิ่น แผนพัฒนาท้องถิ่น งบประมาณ ระเบียบกฎหมาย และการบริหารงานทั่วไป เป็นต้น ซึ่งสํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นอําเภอเป็นหน่วยงานที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดกับ อปท. ซึ่งจะช่วยเป็นข้อต่อเชื่อมโยงที่จะสะท้อนปัญหาหรือความต้องการของประชาชนในพื้นที่ที่ส่งผ่านมายัง อปท. ผ่านช่องทางของสํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดและสํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นอําเภอ เพื่อให้ได้รับการแก้ปัญหาหรือตอบสนองต่อความต้องการได้อย่างถูกต้องตรงประเด็นและดําเนินการได้อย่างทันท่วงที หรือหากเป็นปัญหาหรือความต้องการที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ในระดับอําเภอ ก็จะได้รับการส่งต่อไปยังจังหวัดเพื่อขอรับการสนับสนุนและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ทั้งนี้ ไม่ได้เป็นการขัดกับรัฐธรรมนูญฯ ที่บัญญัติให้กระจายอํานาจแต่อย่างใด เนื่องจาก ผลของนโยบายการกระจายอํานาจไปยัง อปท. แม้ว่าจะทําให้กระทรวงและกรมในระบบราชการบริหารส่วนกลางมีแนวโน้มที่จะมีภารกิจเนื้องานที่เริ่มลดน้อยลง แต่ภารกิจของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นซึ่งเป็นเพียงส่วนราชการเดียวของประเทศที่มีหน้าที่โดยตรงในการส่งเสริมและพัฒนา อปท. ทั่วประเทศ จะต้องวางระบบการให้คําปรึกษาแนะนํา อํานวยการ สนับสนุน และพัฒนาศักยภาพของ อปท. เพื่อให้ อปท. มีความเข้มแข็งพร้อมรองรับกับภารกิจที่จะเพิ่มขึ้นทั้งในเชิงปริมาณและความสลับซับซ้อนของเนื้องานในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ซึ่งจะส่งผลให้เกิดประโยชน์สุขต่อประชาชนในภาพรวม
นอกจากนี้ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้ร่วมกับสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ดําเนินการศึกษาวิจัยในการออกแบบวางระบบการทํางานของสํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นอําเภอร่วมกับกลุ่มนายอําเภอ กลุ่มผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กลุ่มตัวแทนภาคประชาชน ที่เป็นการทดลองการดําเนินการในพื้นที่ 4 ภาค 8 จังหวัด คือ จังหวัดเชียงราย จังหวัดอุทัยธานี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดตราด จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดภูเก็ต ที่มีระยะเวลาการศึกษาวิจัยถึง 6 เดือน ตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ.ร.กําหนดไว้ ซึ่งกลุ่มทดลองเห็นว่า การจัดตั้งสํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นอําเภอจะช่วยให้สามารถส่งเสริมสนับสนุนและประสานงานกับ อปท. ในพื้นที่ ในการปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาลและส่วนราชการต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลนั่นเอง
และทางด้านงบประมาณนั้น ในปัจจุบันสํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดแต่ละจังหวัด ได้มอบหมายให้ข้าราชการของสํานักงานฯ ไปปฏิบัติหน้าที่ ณ อําเภอ ตามภารกิจของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นในระดับอําเภออยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้รับการจัดตั้งเป็นราชการบริหารส่วนภูมิภาคตามกฎกระทรวง ดังนั้น การขอจัดตั้งสํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นอําเภอจึงไม่ได้กระทบต่อภาระทางด้านงบประมาณและการเพิ่มขึ้นของกรอบอัตรากําลังของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นเพียงแต่การรองรับสถานะและตําแหน่งของผู้ปฏิบัติงานท้องถิ่นอําเภอในปัจจุบันให้มีผลในทางกฎหมาย เพื่อให้มีอํานาจหน้าที่ในการเป็นผู้แทนในการดําเนินการด้านต่าง ๆ ในภารกิจของกรมได้อย่างถูกต้องชัดเจนยิ่งขึ้นและสามารถปฏิบัติงานในพื้นที่ได้อย่างเต็มที่
-----------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นชี้แจง ข้อวิจารณ์การจัดตั้งสำนักงานท้องถิ่นอำเภอ
วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นชี้แจง ข้อวิจารณ์การจัดตั้งสํานักงานท้องถิ่นอําเภอ
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นชี้แจง ข้อวิจารณ์การจัดตั้งสํานักงานท้องถิ่นอําเภอ
วันที่ 24 สิงหาคม 2561 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ชี้แจงประเด็น ข้อวิจารณ์การจัดตั้งสํานักงานท้องถิ่นอําเภอ ดังนี้
1. กรณีกลไกการทํางานของสํานักงานท้องถิ่นอําเภอ อาจมีลักษณะงานที่ซ้ําซ้อนกับหน่วยงานเดิมทีมีอยู่แล้ว เช่น สาธารณสุขอําเภอ ป่าไม้อําเภอ หรือองค์กรอื่น ๆ ซึ่งอาจจะทําให้เกิดความขัดแย้งระหว่างองค์กรเดิมและองค์กรที่เกิดขึ้นใหม่ ขอเรียนว่า ไม่เป็นการซ้ําซ้อน เนื่องจากภารกิจหลักของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น คือ การส่งเสริม สนับสนุน พัฒนา และให้คําปรึกษาแนะนําแก่ อปท. นายอําเภอ และผู้ว่าราชการจังหวัดในการร่วมส่งเสริมและสนับสนุน อปท. ในการปฏิบัติงาน 4 ด้าน คือ ด้านการจัดทําแผนพัฒนาท้องถิ่น ด้านการบริหารงานบุคคล ด้านการเงินการคลัง และด้านการบริหารจัดการ ทั้งนี้ เพื่อให้ อปท. มีความเข้มแข็งและมีศักยภาพในการให้บริการสาธารณะ โดยมีสํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดและสํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นอําเภอ เป็นหน่วยงานราชการส่วนภูมิภาคที่รับผิดชอบภารกิจตามอํานาจหน้าที่ของกรมฯ ที่บัญญัติไว้ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในเขตพื้นที่จังหวัดและอําเภอในการอํานวยการ ประสาน ปฏิบัติงาน และสนับสนุนงานของผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอําเภอด้านการส่งเสริมสนับสนุนและกํากับดูแล อปท.
ทั้งนี้ ในการปฏิบัติงานร่วมกับส่วนราชการอื่นในพื้นที่ซึ่งแต่ละส่วนราชการมีภารกิจหน้าที่ที่ชัดเจนอยู่แล้ว และนอกจากจะเกิดความขัดแย้งแล้วยังกลับจะช่วยเหลือหน่วยงานอื่นในระดับอําเภอของกระทรวง กรม อื่น ๆ ให้สามารถทํางานร่วมกับ อปท. ในพื้นที่ได้สะดวกและมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย เพราะสํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นอําเภอ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทํางานใกล้ชิดกับ อปท. ในทุกมิติจะทําหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมสนับสนุนและประสานงานกับ อปท. ในการนํานโยบายของส่วนราชการต่าง ๆ ไปสู่การปฏิบัติในพื้นที่หมู่บ้าน ตําบล ให้ประสบความสําเร็จตามเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม จึงมิได้เป็นการปฏิบัติงานที่ซ้ําซ้อนกับส่วนราชการอื่นที่มีอยู่ แต่จะเป็นหน่วยงานที่ช่วยส่งเสริมสนับสนุนการทํางานของส่วนราชการอื่น
2. กรณีการจัดตั้งสํานักงานท้องถิ่นอําเภอ อาจกลายเป็นการรวมอํานาจให้มาอยู่ในการควบคุมของกระทรวงมหาดไทย หรือส่วนกลาง ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศ มีมติคัดค้าน เนื่องจากเห็นว่าวิธีการดังกล่าว อาจไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ที่มีเจตนารมณ์ต้องการให้เกิดการกระจายอํานาจและจัดการตนเอง รวมถึงต้องมีความอิสระในการทํางาน ไม่ใช่อยู่ภายใต้การควบคุมจากส่วนราชการ ขอเรียนว่า ไม่ใช่เป็นการรวมอํานาจ (Centralization) เนื่องจากการจัดตั้งสํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นอําเภอเป็นการดําเนินการตามหลักการแบ่งอํานาจ (Deconcentration) โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้มอบหมายให้สํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัด และสํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นอําเภอดําเนินการในภารกิจด้านต่าง ๆ เช่น งานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นในระดับอําเภอ ให้ดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ตามกฎหมาย นโยบายของรัฐบาลและระเบียบหลักเกณฑ์ที่กําหนด การอํานวยการแก่นายอําเภอในกรณีการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ อปท. การประสานงานและให้คําปรึกษาแนะนําเกี่ยวกับการพัฒนาท้องถิ่น แผนพัฒนาท้องถิ่น งบประมาณ ระเบียบกฎหมาย และการบริหารงานทั่วไป เป็นต้น ซึ่งสํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นอําเภอเป็นหน่วยงานที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดกับ อปท. ซึ่งจะช่วยเป็นข้อต่อเชื่อมโยงที่จะสะท้อนปัญหาหรือความต้องการของประชาชนในพื้นที่ที่ส่งผ่านมายัง อปท. ผ่านช่องทางของสํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดและสํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นอําเภอ เพื่อให้ได้รับการแก้ปัญหาหรือตอบสนองต่อความต้องการได้อย่างถูกต้องตรงประเด็นและดําเนินการได้อย่างทันท่วงที หรือหากเป็นปัญหาหรือความต้องการที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ในระดับอําเภอ ก็จะได้รับการส่งต่อไปยังจังหวัดเพื่อขอรับการสนับสนุนและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ทั้งนี้ ไม่ได้เป็นการขัดกับรัฐธรรมนูญฯ ที่บัญญัติให้กระจายอํานาจแต่อย่างใด เนื่องจาก ผลของนโยบายการกระจายอํานาจไปยัง อปท. แม้ว่าจะทําให้กระทรวงและกรมในระบบราชการบริหารส่วนกลางมีแนวโน้มที่จะมีภารกิจเนื้องานที่เริ่มลดน้อยลง แต่ภารกิจของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นซึ่งเป็นเพียงส่วนราชการเดียวของประเทศที่มีหน้าที่โดยตรงในการส่งเสริมและพัฒนา อปท. ทั่วประเทศ จะต้องวางระบบการให้คําปรึกษาแนะนํา อํานวยการ สนับสนุน และพัฒนาศักยภาพของ อปท. เพื่อให้ อปท. มีความเข้มแข็งพร้อมรองรับกับภารกิจที่จะเพิ่มขึ้นทั้งในเชิงปริมาณและความสลับซับซ้อนของเนื้องานในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ซึ่งจะส่งผลให้เกิดประโยชน์สุขต่อประชาชนในภาพรวม
นอกจากนี้ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้ร่วมกับสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ดําเนินการศึกษาวิจัยในการออกแบบวางระบบการทํางานของสํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นอําเภอร่วมกับกลุ่มนายอําเภอ กลุ่มผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กลุ่มตัวแทนภาคประชาชน ที่เป็นการทดลองการดําเนินการในพื้นที่ 4 ภาค 8 จังหวัด คือ จังหวัดเชียงราย จังหวัดอุทัยธานี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดตราด จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดภูเก็ต ที่มีระยะเวลาการศึกษาวิจัยถึง 6 เดือน ตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ.ร.กําหนดไว้ ซึ่งกลุ่มทดลองเห็นว่า การจัดตั้งสํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นอําเภอจะช่วยให้สามารถส่งเสริมสนับสนุนและประสานงานกับ อปท. ในพื้นที่ ในการปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาลและส่วนราชการต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลนั่นเอง
และทางด้านงบประมาณนั้น ในปัจจุบันสํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดแต่ละจังหวัด ได้มอบหมายให้ข้าราชการของสํานักงานฯ ไปปฏิบัติหน้าที่ ณ อําเภอ ตามภารกิจของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นในระดับอําเภออยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้รับการจัดตั้งเป็นราชการบริหารส่วนภูมิภาคตามกฎกระทรวง ดังนั้น การขอจัดตั้งสํานักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นอําเภอจึงไม่ได้กระทบต่อภาระทางด้านงบประมาณและการเพิ่มขึ้นของกรอบอัตรากําลังของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นเพียงแต่การรองรับสถานะและตําแหน่งของผู้ปฏิบัติงานท้องถิ่นอําเภอในปัจจุบันให้มีผลในทางกฎหมาย เพื่อให้มีอํานาจหน้าที่ในการเป็นผู้แทนในการดําเนินการด้านต่าง ๆ ในภารกิจของกรมได้อย่างถูกต้องชัดเจนยิ่งขึ้นและสามารถปฏิบัติงานในพื้นที่ได้อย่างเต็มที่
-----------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14921
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” ติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปรับปรุง (ร่าง)แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓
|
วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2561
“ยุติธรรม” ติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปรับปรุง (ร่าง)แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการประสานและพัฒนาระบบงานยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการประสานและพัฒนาระบบงานยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑
เพื่อพิจารณาร่างแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓ (พ.ศ.๒๕๖๒ – ๒๕๖๕)
ที่ได้ดําเนินการปรับปรุงแก้ไข และสรุปร่างแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓
(พ.ศ.๒๕๖๒ – ๒๕๖๕) ตามคู่มือแนวทางการเสนอแผยสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
โดยได้มีการดําเนินการแก้ไข ดังนี้
๑) ผนวกแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม เข้าไว้ในยุทธศาสตร์ที่ ๕
ของร่างแผนแม่บทฯ
๒) ปรับปรุงรายละเอียดร่างแผนแม่บทฯ
๓) ปรับปรุงเนื้อหาสาระ ตามประเด็นข้อสังเกตของคณะกรรมการ
และ ๔) ยกร่างแบบการสรุปแผนตามที่สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
กําหนดตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๑
ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการมีมติเห็นชอบตามการดําเนินการแก้ไขดังกล่าว
จึงมอบหมายให้สํานักงานกิจการยุติธรรม ในฐานะฝ่ายเลขา ดําเนินการตามขั้นตอนต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” ติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปรับปรุง (ร่าง)แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓
วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2561
“ยุติธรรม” ติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปรับปรุง (ร่าง)แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการประสานและพัฒนาระบบงานยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการประสานและพัฒนาระบบงานยุติธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑
เพื่อพิจารณาร่างแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓ (พ.ศ.๒๕๖๒ – ๒๕๖๕)
ที่ได้ดําเนินการปรับปรุงแก้ไข และสรุปร่างแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓
(พ.ศ.๒๕๖๒ – ๒๕๖๕) ตามคู่มือแนวทางการเสนอแผยสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
โดยได้มีการดําเนินการแก้ไข ดังนี้
๑) ผนวกแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม เข้าไว้ในยุทธศาสตร์ที่ ๕
ของร่างแผนแม่บทฯ
๒) ปรับปรุงรายละเอียดร่างแผนแม่บทฯ
๓) ปรับปรุงเนื้อหาสาระ ตามประเด็นข้อสังเกตของคณะกรรมการ
และ ๔) ยกร่างแบบการสรุปแผนตามที่สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
กําหนดตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๑
ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการมีมติเห็นชอบตามการดําเนินการแก้ไขดังกล่าว
จึงมอบหมายให้สํานักงานกิจการยุติธรรม ในฐานะฝ่ายเลขา ดําเนินการตามขั้นตอนต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13465
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวิทย์ฯ จับมือ สสวทท. จัดเสวนา คุยกัน..ฉันวิทย์ ประเดิมหัวข้อ “วิทยาศาสตร์ในศาสตร์พระราชา ” ตอน ศาสตร์ด้านดิน-น้ำ
|
วันพุธที่ 7 ธันวาคม 2559
กระทรวงวิทย์ฯ จับมือ สสวทท. จัดเสวนา คุยกัน..ฉันวิทย์ ประเดิมหัวข้อ “วิทยาศาสตร์ในศาสตร์พระราชา ” ตอน ศาสตร์ด้านดิน-น้ํา
6 พฤศจิกายน 2559 / กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ร่วมกับ สภาสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (สสวทท.) จัดกิจกรรมเสวนา “คุยกัน..ฉันวิทย์” เพื่อสร้างความรู้ความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
ในหัวข้อ “วิทยาศาสตร์ในศาสตร์พระราชา” ตอน ศาสตร์ด้านดิน – น้ํา ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ ในพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้านวิทยาศาสตร์
ที่ทรงศึกษาค้นคว้าวิจัยและทรงนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้พ้นทุกข์ยาก มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสามารถพึ่งตนเองได้ โดยกิจกรรมเสวนาในครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก รศ. นพ. สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานเปิดงาน ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. สันทัด โรจนสุนทร ราชบัญฑิต และ ดร.รอยล จิตรดอน ผู้อํานวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร (องค์การมหาชน) (สสนก.) ร่วมเสวนา โดยมีนายกิตติ สิงหาปัด ผู้ประกาศข่าวในรายการ ข่าว 3 มิติ ทางไทยทีวีสีช่อง 3 เป็นพิธีกรดําเนินรายการ
รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม เปิดเผยว่า การจัดเสวนา “คุยกัน..ฉันท์วิทย์” จัดขึ้นเพื่อสร้างความรู้ความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม สร้างเครือข่ายความร่วมมือและเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างสื่อมวลชนผู้สร้างสรรค์ผลงานด้าน วทน. เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารไปสู่ประชาชนในวงกว้าง ซึ่งหัวข้อที่จัดในวันนี้ คือ วิทยาศาสตร์ในศาสตร์พระราชา ตอน ศาสตร์ด้านดิน – น้ํา เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และได้นําพระราชดําริมาพัฒนาประเทศชาติด้วยพื้นฐานเศรษฐกิจพอเพียง พร้อมเสริมสร้างขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สันทัด โรจนสุนทร ราชบัณฑิต เล่าถึงวิทยาศาสตร์ในศาสตร์พระราชาด้านดิน ทั้งดินในรูปแบบต่างๆ ปัญหาดินในทุกรูปแบบ พร้อมการแก้ไขตามแนวทางพระราชดําริโครงการต่างๆ อาทิ โครงการแกล้งดิน เป็นการทําให้ดินเปรี้ยว แล้วทําให้ดินหายเปรี้ยว ซึ่งเป็นกระบวนการวิศวกรรมย้อนรอยที่สําคัญ ทําให้ได้วิธีการจัดการกับดินดังกล่าวและสามารถเป็นคู่มือการจัดการดินเปรี้ยวอย่างสมบูรณ์ และการเสวนา คุยกัน..ฉันท์วิทย์ ได้รับเกียรติจาก ดร.รอยล จิตรดอน ผู้อํานวยการ สสนก. เล่าถึงวิทยาศาสตร์ในศาสตร์พระราชาด้านน้ํา ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลด้านน้ําของทั้งประเทศ ซึ่งเกิดขึ้นตามแนวพระราชดําริและที่ สสนก. เปรียบได้ว่าเป็น “คลังข้อมูลน้ําของพระราชา” เนื่องจากเกิดขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลน้ําจากเว็บไซต์ Weather 901 ของ สสนก. เพื่อทูลเกล้าถวายรายงานต่อ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. สันทัด โรจนสุนทร ราชบัญฑิต เปิดเผยว่า “นักวิทยาศาสตร์ดิน” ในประเทศไทยทุกคนทราบเป็นอย่างยิ่งว่าในเรื่องดินนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงงานหนักและมีพระราชดํารินานัปการมากว่า 40 ปีแล้ว เคยมีพระราชดํารัสซึ่งยืนยันเรื่องดังกล่าวได้อย่างดี นั่นคือ "ดินมีปัญหาไม่มีใครอยากทําเราจึงต้องทํา" ดังนั้น ปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับดินไม่ว่าจะเป็นดินเปรี้ยว ดินเค็ม ดินเลว ดินเสื่อมโทรม ดินตื้น ดินทราย ดินดาน ดินแข็ง ดินลูกรัง เกือบจะเรียกได้ว่าทุกรูปแบบ พระองค์จะทรงมีวิธีแก้ไขหรือมิฉะนั้นก็มีพระราชดําริในการแก้ไขไว้เสมอในแทบทุกแห่ง การแก้ไขนั้นจะมีรูปแบบที่เป็นบูรณาการอยู่มาก ทั้งนี้ โดยธรรมชาติ ดิน น้ํา ป่าไม้ (พืช) มีความสัมพันธ์กันอยู่แล้วตามธรรมชาติ ยกตัวอย่าง 2 โครงการ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งเดียวในโลก โครงการแรก โครงการแกล้งดิน ปัจจัยแรก คือ การทําดินให้เปรี้ยวแล้วทําให้หายเปรี้ยว ซึ่งเป็นกระบวนการวิศวกรรมย้อนรอยที่สําคัญ ทําให้ได้วิธีการจัดการกับดินดังกล่าว และสามารถเป็นคู่มือการจัดการดินเปรี้ยวอย่างสมบูรณ์ การปลูกพืชทดแทนฝิ่นของภาคเหนือ ไม่มีใครคิดเลยว่าจะมีพืชมาทดแทนฝิ่นได้ พระองค์มองว่าเป็นเรื่องมนุษยธรรมที่ชาวเขาควรจะอยู่บนเขา และปลูกพืชอื่นทดแทนที่ไม่ใช่ฝิ่น เริ่มด้วยท้อพันธุ์ดี ตามด้วยพืชอื่น ๆ ที่มีตลาด และเป็นอีกโครงการเดียวในโลกที่ทําสําเร็จ สิ่งที่ถือว่าเป็นมรดกให้แก่ลูกหลานที่สําคัญ ก็คือ ศูนย์ศึกษาการพัฒนา ซึ่งถือว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต มีอยู่ 6 แห่ง ทั่วประเทศ นักวิทยาศาสตร์ดินถือว่าเป็นวิธีการพัฒนาที่มีความเบ็ดเสร็จในตัวเอง และชาวบ้านสามารถไปดูและศึกษาเลียนแบบเพื่อนํามาปฏิบัติในที่ของตนเอง กระบวนการแก้ไขจะประกอบด้วยกิจกรรมที่บูรณาการอยู่ด้วยกัน ตัวอย่างของการดูแลดินเสื่อมโทรมที่เขาหินซ้อน จังหวัดฉะเชิงเทรา แก้ไขโดยวิธีธรรมชาติ คือ ให้โอกาสดินได้ฟื้นตัว มีน้ําและการจัดการที่เหมาะสมใน 15 ปี กลับมาเขียวชอุ่มเช่นเดิม ที่พิกุลทอง จังหวัดนราธิวาส เป็นแหล่งของการแก้ไขดินเปรี้ยวโดยกระบวนการแกล้งดิน ทําให้ดินเปรี้ยวแล้วล้างออก นอกนั้นยังรักษาระดับน้ําใต้ดินไว้ให้เหนือชั้นกํามะถันในดิน เพื่อป้องกันดินเปรี้ยวไม่ให้เกิดอีกต่อไป ที่คุ้งกระเบน จังหวัดจันทบุรี เป็นตัวแบบของแหล่งดินที่ให้กําเนิดชีวิตของสัตว์และพืชทะเล เป็นการบริหารจัดการของบริเวณป่าชายเลน ที่ภูพาน จังหวัดสกลนคร เป็นแหล่งที่มีการบริหารจัดการดินทรายที่ขาดน้ําในบางแห่งยังเป็นดินเค็มอีกต่างหาก ด้วยการบริหารจัดการแบบบูรณาการทําให้ดินแถบอีสานใช้ได้เป็นอย่างดี ที่ห้วยฮ่องไคร้ จังหวัดเชียงใหม่ ดินตื้นมาก เป็นตัวแบบของการบริหารจัดการโดยการรักษาความชื้นด้วยฝายแม้ว เพราะเป็นเขตลุ่มน้ํา ร่วมทั้งมีการปลูกหญ้าแฝกเพื่อหยุดดินจากการกร่อน เป็นตัวแบบของการบริหารจัดการลุ่มน้ําที่ดี ที่ห้วยทราย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นดินทรายจัดรวมทั้งมีดินดานอยู่ข้างล่าง มีการสร้างอ่างเก็บน้ําเพื่อช่วยเหลือและรักษาดินให้คงอยู่ด้วยการปลูกหญ้าแฝก ทั้ง 6 ศูนย์มีการบริหารจัดการที่เหมาะสมกับพื้นที่และเป็นธรรมชาติ โดยปรกติแล้ววิธีการของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจะทําให้เกิดความยั่งยืนในที่สุด
พระราชกรณียกิจด้านดินของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นที่ยอมรับของวงการดิน และคณะกรรมการสมาพันธ์ดินโลกได้มีมติยืนยันพระปรีชาสามารถด้านดินของพระองค์ โดยเห็นพ้องต้องกันว่าสมควรให้วันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพเป็น “วันดินโลก” และยังกําหนดให้ปี พ.ศ. 2558 เป็นปีดินสากลอีกด้วย (International Year of Soils) ต่อมาในการประชุมครั้งที่ 19 ณ กรุงบริสเบน ออสเตรเลีย คณะกรรมการฯ นอกจากจะยืนยันมติเดิมแล้ว ยังมีมติตามข้อเสนอของประเทศไทยให้มีการทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเหรียญเกียรติยศเป็นครั้งแรก และครั้งเดียว โดยให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็น “นักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม (Humanitarian Soil Scientist)”
ในส่วนของ ดร.รอยล จิตรดอน ผู้อํานวยการ สสนก. กล่าวว่า ตลอดเวลาที่ก่อตั้งสถาบันฯ มา สสนก. มีการรวบรวมข้อมูลน้ําของทั้งประเทศ ซึ่งเกิดขึ้นตามแนวพระราชดําริและที่นี่เรียกได้ว่า “คลังข้อมูลน้ําของพระราชา” เกิดขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลน้ําจากเว็บไซต์ Weather 901 ของ สสนก. เพื่อทูลเกล้าถวายรายงานต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และได้พัฒนาเป็นห้องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ชั้นสูงที่ สสนก. ใช้เพื่อประมวลผลข้อมูลพายุ ฝน และปริมาณน้ําในลุ่มน้ําต่าง ๆ
ผังน้ําที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงรับสั่งให้จัดทําขึ้น สามารถเห็นตั้งแต่ข้อมูลน้ํา ข้อมูลฝน ข้อมูลอ่างเก็บน้ํา ข้อมูลลําน้ําเจ้าพระยา ซึ่งนํามาสนับสนุนการทํางาน ข้อมูลเหล่านี้นํามาช่วยชาวบ้าน ในการที่จะกําหนดฤดูเพาะปลูก การเริ่มดํานา ปลูกข้าว การเกี่ยวข้าว ล้วนเป็นสิ่งสําคัญสําหรับเกษตรกร ซึ่งการพัฒนาระบบข้อมูลทรัพยากรน้ําของประเทศไทยเกิดขึ้นตามพระราชดําริที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงให้ความสําคัญให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ได้จริง ปัจจุบันกลายเป็นข้อมูลที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งหน่วยงานราชการ ประชาชน และสื่อมวลชน ผ่านเว็บไซต์ thaiwater.net ห้องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง ของ สสนก. จึงเปรียบเสมือนคลังข้อมูลน้ําของพระราชา ซึ่งความสําเร็จของการจัดทําฐานข้อมูลน้ํา ไม่ได้เกิดจากความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่มาจากความรู้ที่พระองค์ทรงสอนให้ลงพื้นที่ไปศึกษายังพื้นที่จริง จนสามารถนํามาคิดบริหารจัดการน้ําได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทรงรับสั่งว่าถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องเข้าใจเรื่องน้ํา ไม่ใช่แค่ข้อมูล วิธีที่จะให้เข้าใจเริ่มจากไปดูพื้นที่ที่ห้วยฮ่องไคร้ ห้วยทราย เขาหินซ้อน และกลับมาต้องเขียนรายงานสรุปถวายให้ท่านทรงประเมินความเข้าใจพื้นที่ ความรู้เหล่านี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นการจัดการน้ําตามแนวพระราชดําริที่หน่วยงานได้ลงไปให้ความรู้แก่ชุมชนต่าง ๆ เช่น การทําแผนที่น้ํา ร่วมกับการมีส่วนร่วมของชุมชน ทําให้เกิดแผนที่น้ําตําบลเพื่อใช้ในการบริหารจัดการน้ําเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งและน้ําท่วม
ข่าวโดย : นายปวีณ ควรแย้ม
ภาพและวีดีโอ :นายไววิทย์ ยอดประสิทธิ์,นายธนฉัตร มาลาเจริญ
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทร.02 333 3728 – 3732 โทรสาร 02 333 3834
E-mail :[email protected] Facebook : sciencethailand
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวิทย์ฯ จับมือ สสวทท. จัดเสวนา คุยกัน..ฉันวิทย์ ประเดิมหัวข้อ “วิทยาศาสตร์ในศาสตร์พระราชา ” ตอน ศาสตร์ด้านดิน-น้ำ
วันพุธที่ 7 ธันวาคม 2559
กระทรวงวิทย์ฯ จับมือ สสวทท. จัดเสวนา คุยกัน..ฉันวิทย์ ประเดิมหัวข้อ “วิทยาศาสตร์ในศาสตร์พระราชา ” ตอน ศาสตร์ด้านดิน-น้ํา
6 พฤศจิกายน 2559 / กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ร่วมกับ สภาสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (สสวทท.) จัดกิจกรรมเสวนา “คุยกัน..ฉันวิทย์” เพื่อสร้างความรู้ความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
ในหัวข้อ “วิทยาศาสตร์ในศาสตร์พระราชา” ตอน ศาสตร์ด้านดิน – น้ํา ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ ในพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้านวิทยาศาสตร์
ที่ทรงศึกษาค้นคว้าวิจัยและทรงนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้พ้นทุกข์ยาก มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสามารถพึ่งตนเองได้ โดยกิจกรรมเสวนาในครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก รศ. นพ. สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานเปิดงาน ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. สันทัด โรจนสุนทร ราชบัญฑิต และ ดร.รอยล จิตรดอน ผู้อํานวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร (องค์การมหาชน) (สสนก.) ร่วมเสวนา โดยมีนายกิตติ สิงหาปัด ผู้ประกาศข่าวในรายการ ข่าว 3 มิติ ทางไทยทีวีสีช่อง 3 เป็นพิธีกรดําเนินรายการ
รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม เปิดเผยว่า การจัดเสวนา “คุยกัน..ฉันท์วิทย์” จัดขึ้นเพื่อสร้างความรู้ความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม สร้างเครือข่ายความร่วมมือและเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างสื่อมวลชนผู้สร้างสรรค์ผลงานด้าน วทน. เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารไปสู่ประชาชนในวงกว้าง ซึ่งหัวข้อที่จัดในวันนี้ คือ วิทยาศาสตร์ในศาสตร์พระราชา ตอน ศาสตร์ด้านดิน – น้ํา เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และได้นําพระราชดําริมาพัฒนาประเทศชาติด้วยพื้นฐานเศรษฐกิจพอเพียง พร้อมเสริมสร้างขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สันทัด โรจนสุนทร ราชบัณฑิต เล่าถึงวิทยาศาสตร์ในศาสตร์พระราชาด้านดิน ทั้งดินในรูปแบบต่างๆ ปัญหาดินในทุกรูปแบบ พร้อมการแก้ไขตามแนวทางพระราชดําริโครงการต่างๆ อาทิ โครงการแกล้งดิน เป็นการทําให้ดินเปรี้ยว แล้วทําให้ดินหายเปรี้ยว ซึ่งเป็นกระบวนการวิศวกรรมย้อนรอยที่สําคัญ ทําให้ได้วิธีการจัดการกับดินดังกล่าวและสามารถเป็นคู่มือการจัดการดินเปรี้ยวอย่างสมบูรณ์ และการเสวนา คุยกัน..ฉันท์วิทย์ ได้รับเกียรติจาก ดร.รอยล จิตรดอน ผู้อํานวยการ สสนก. เล่าถึงวิทยาศาสตร์ในศาสตร์พระราชาด้านน้ํา ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลด้านน้ําของทั้งประเทศ ซึ่งเกิดขึ้นตามแนวพระราชดําริและที่ สสนก. เปรียบได้ว่าเป็น “คลังข้อมูลน้ําของพระราชา” เนื่องจากเกิดขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลน้ําจากเว็บไซต์ Weather 901 ของ สสนก. เพื่อทูลเกล้าถวายรายงานต่อ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. สันทัด โรจนสุนทร ราชบัญฑิต เปิดเผยว่า “นักวิทยาศาสตร์ดิน” ในประเทศไทยทุกคนทราบเป็นอย่างยิ่งว่าในเรื่องดินนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงงานหนักและมีพระราชดํารินานัปการมากว่า 40 ปีแล้ว เคยมีพระราชดํารัสซึ่งยืนยันเรื่องดังกล่าวได้อย่างดี นั่นคือ "ดินมีปัญหาไม่มีใครอยากทําเราจึงต้องทํา" ดังนั้น ปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับดินไม่ว่าจะเป็นดินเปรี้ยว ดินเค็ม ดินเลว ดินเสื่อมโทรม ดินตื้น ดินทราย ดินดาน ดินแข็ง ดินลูกรัง เกือบจะเรียกได้ว่าทุกรูปแบบ พระองค์จะทรงมีวิธีแก้ไขหรือมิฉะนั้นก็มีพระราชดําริในการแก้ไขไว้เสมอในแทบทุกแห่ง การแก้ไขนั้นจะมีรูปแบบที่เป็นบูรณาการอยู่มาก ทั้งนี้ โดยธรรมชาติ ดิน น้ํา ป่าไม้ (พืช) มีความสัมพันธ์กันอยู่แล้วตามธรรมชาติ ยกตัวอย่าง 2 โครงการ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งเดียวในโลก โครงการแรก โครงการแกล้งดิน ปัจจัยแรก คือ การทําดินให้เปรี้ยวแล้วทําให้หายเปรี้ยว ซึ่งเป็นกระบวนการวิศวกรรมย้อนรอยที่สําคัญ ทําให้ได้วิธีการจัดการกับดินดังกล่าว และสามารถเป็นคู่มือการจัดการดินเปรี้ยวอย่างสมบูรณ์ การปลูกพืชทดแทนฝิ่นของภาคเหนือ ไม่มีใครคิดเลยว่าจะมีพืชมาทดแทนฝิ่นได้ พระองค์มองว่าเป็นเรื่องมนุษยธรรมที่ชาวเขาควรจะอยู่บนเขา และปลูกพืชอื่นทดแทนที่ไม่ใช่ฝิ่น เริ่มด้วยท้อพันธุ์ดี ตามด้วยพืชอื่น ๆ ที่มีตลาด และเป็นอีกโครงการเดียวในโลกที่ทําสําเร็จ สิ่งที่ถือว่าเป็นมรดกให้แก่ลูกหลานที่สําคัญ ก็คือ ศูนย์ศึกษาการพัฒนา ซึ่งถือว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต มีอยู่ 6 แห่ง ทั่วประเทศ นักวิทยาศาสตร์ดินถือว่าเป็นวิธีการพัฒนาที่มีความเบ็ดเสร็จในตัวเอง และชาวบ้านสามารถไปดูและศึกษาเลียนแบบเพื่อนํามาปฏิบัติในที่ของตนเอง กระบวนการแก้ไขจะประกอบด้วยกิจกรรมที่บูรณาการอยู่ด้วยกัน ตัวอย่างของการดูแลดินเสื่อมโทรมที่เขาหินซ้อน จังหวัดฉะเชิงเทรา แก้ไขโดยวิธีธรรมชาติ คือ ให้โอกาสดินได้ฟื้นตัว มีน้ําและการจัดการที่เหมาะสมใน 15 ปี กลับมาเขียวชอุ่มเช่นเดิม ที่พิกุลทอง จังหวัดนราธิวาส เป็นแหล่งของการแก้ไขดินเปรี้ยวโดยกระบวนการแกล้งดิน ทําให้ดินเปรี้ยวแล้วล้างออก นอกนั้นยังรักษาระดับน้ําใต้ดินไว้ให้เหนือชั้นกํามะถันในดิน เพื่อป้องกันดินเปรี้ยวไม่ให้เกิดอีกต่อไป ที่คุ้งกระเบน จังหวัดจันทบุรี เป็นตัวแบบของแหล่งดินที่ให้กําเนิดชีวิตของสัตว์และพืชทะเล เป็นการบริหารจัดการของบริเวณป่าชายเลน ที่ภูพาน จังหวัดสกลนคร เป็นแหล่งที่มีการบริหารจัดการดินทรายที่ขาดน้ําในบางแห่งยังเป็นดินเค็มอีกต่างหาก ด้วยการบริหารจัดการแบบบูรณาการทําให้ดินแถบอีสานใช้ได้เป็นอย่างดี ที่ห้วยฮ่องไคร้ จังหวัดเชียงใหม่ ดินตื้นมาก เป็นตัวแบบของการบริหารจัดการโดยการรักษาความชื้นด้วยฝายแม้ว เพราะเป็นเขตลุ่มน้ํา ร่วมทั้งมีการปลูกหญ้าแฝกเพื่อหยุดดินจากการกร่อน เป็นตัวแบบของการบริหารจัดการลุ่มน้ําที่ดี ที่ห้วยทราย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นดินทรายจัดรวมทั้งมีดินดานอยู่ข้างล่าง มีการสร้างอ่างเก็บน้ําเพื่อช่วยเหลือและรักษาดินให้คงอยู่ด้วยการปลูกหญ้าแฝก ทั้ง 6 ศูนย์มีการบริหารจัดการที่เหมาะสมกับพื้นที่และเป็นธรรมชาติ โดยปรกติแล้ววิธีการของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจะทําให้เกิดความยั่งยืนในที่สุด
พระราชกรณียกิจด้านดินของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นที่ยอมรับของวงการดิน และคณะกรรมการสมาพันธ์ดินโลกได้มีมติยืนยันพระปรีชาสามารถด้านดินของพระองค์ โดยเห็นพ้องต้องกันว่าสมควรให้วันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพเป็น “วันดินโลก” และยังกําหนดให้ปี พ.ศ. 2558 เป็นปีดินสากลอีกด้วย (International Year of Soils) ต่อมาในการประชุมครั้งที่ 19 ณ กรุงบริสเบน ออสเตรเลีย คณะกรรมการฯ นอกจากจะยืนยันมติเดิมแล้ว ยังมีมติตามข้อเสนอของประเทศไทยให้มีการทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเหรียญเกียรติยศเป็นครั้งแรก และครั้งเดียว โดยให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็น “นักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม (Humanitarian Soil Scientist)”
ในส่วนของ ดร.รอยล จิตรดอน ผู้อํานวยการ สสนก. กล่าวว่า ตลอดเวลาที่ก่อตั้งสถาบันฯ มา สสนก. มีการรวบรวมข้อมูลน้ําของทั้งประเทศ ซึ่งเกิดขึ้นตามแนวพระราชดําริและที่นี่เรียกได้ว่า “คลังข้อมูลน้ําของพระราชา” เกิดขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลน้ําจากเว็บไซต์ Weather 901 ของ สสนก. เพื่อทูลเกล้าถวายรายงานต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และได้พัฒนาเป็นห้องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ชั้นสูงที่ สสนก. ใช้เพื่อประมวลผลข้อมูลพายุ ฝน และปริมาณน้ําในลุ่มน้ําต่าง ๆ
ผังน้ําที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงรับสั่งให้จัดทําขึ้น สามารถเห็นตั้งแต่ข้อมูลน้ํา ข้อมูลฝน ข้อมูลอ่างเก็บน้ํา ข้อมูลลําน้ําเจ้าพระยา ซึ่งนํามาสนับสนุนการทํางาน ข้อมูลเหล่านี้นํามาช่วยชาวบ้าน ในการที่จะกําหนดฤดูเพาะปลูก การเริ่มดํานา ปลูกข้าว การเกี่ยวข้าว ล้วนเป็นสิ่งสําคัญสําหรับเกษตรกร ซึ่งการพัฒนาระบบข้อมูลทรัพยากรน้ําของประเทศไทยเกิดขึ้นตามพระราชดําริที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงให้ความสําคัญให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ได้จริง ปัจจุบันกลายเป็นข้อมูลที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งหน่วยงานราชการ ประชาชน และสื่อมวลชน ผ่านเว็บไซต์ thaiwater.net ห้องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง ของ สสนก. จึงเปรียบเสมือนคลังข้อมูลน้ําของพระราชา ซึ่งความสําเร็จของการจัดทําฐานข้อมูลน้ํา ไม่ได้เกิดจากความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่มาจากความรู้ที่พระองค์ทรงสอนให้ลงพื้นที่ไปศึกษายังพื้นที่จริง จนสามารถนํามาคิดบริหารจัดการน้ําได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทรงรับสั่งว่าถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องเข้าใจเรื่องน้ํา ไม่ใช่แค่ข้อมูล วิธีที่จะให้เข้าใจเริ่มจากไปดูพื้นที่ที่ห้วยฮ่องไคร้ ห้วยทราย เขาหินซ้อน และกลับมาต้องเขียนรายงานสรุปถวายให้ท่านทรงประเมินความเข้าใจพื้นที่ ความรู้เหล่านี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นการจัดการน้ําตามแนวพระราชดําริที่หน่วยงานได้ลงไปให้ความรู้แก่ชุมชนต่าง ๆ เช่น การทําแผนที่น้ํา ร่วมกับการมีส่วนร่วมของชุมชน ทําให้เกิดแผนที่น้ําตําบลเพื่อใช้ในการบริหารจัดการน้ําเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งและน้ําท่วม
ข่าวโดย : นายปวีณ ควรแย้ม
ภาพและวีดีโอ :นายไววิทย์ ยอดประสิทธิ์,นายธนฉัตร มาลาเจริญ
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทร.02 333 3728 – 3732 โทรสาร 02 333 3834
E-mail :[email protected] Facebook : sciencethailand
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/983
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ประชุมเตรียมจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ในช่วงที่ไทยดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน ปี 2562
|
วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2561
ทส. ประชุมเตรียมจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ในช่วงที่ไทยดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน ปี 2562
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประชุมหารือเตรียมจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ไทยดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน ปี 2562
ทส. ประชุมเตรียมจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ในช่วงที่ไทยดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน ปี 2562
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประชุมหารือเตรียมจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ไทยดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน ปี 2562
วันนี้ (21 พฤศจิกายน 2561) เวลา 10.00 น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์) เป็นประธานการประชุมหารือเตรียมจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ไทยดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน ปี 2562 เพื่อเตรียมรองรับการดําเนินงานร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศในการที่หน่วยงานต่างๆ จัดการประชุมในโอกาสที่ประเทศไทยเป็นประธานอาเซียน ปี 2562 ในรูปแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Meeting) ได้อย่างเหมาะสม และสามารถเก็บข้อมูล รวมถึงสามารถประมวลผลการดําเนินงานที่ได้ในเชิงวิชาการเกี่ยวกับการลดการใช้ Single-use plastics รวมถุงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมีการจัดนิทรรศการแสดงผลในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 ในเดือนพฤศจิกายน 2562 โดยในที่ประชุม ได้รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ไทยดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน ปี 2562 ซึ่งมอบหมายให้กรมควบคุมมลพิษเป็นหน่วยงานหลักในการร่วมดําเนินงานกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ได้เดินทางไปรับตําแหน่งประธานอาเซียนที่สาธารณรัฐ สิงคโปร์ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา โดยประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในกรอบอาเซียน มากกว่า 170 ประชุม ซึ่งเป็นการประชุมในระดับต่างๆ ได้แก่ ผู้นํา ประธานรัฐสภา รัฐมนตรี เจ้าหน้าที่อาวุโส และระดับเจ้าหน้าที่
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ประชุมเตรียมจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ในช่วงที่ไทยดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน ปี 2562
วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2561
ทส. ประชุมเตรียมจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ในช่วงที่ไทยดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน ปี 2562
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประชุมหารือเตรียมจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ไทยดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน ปี 2562
ทส. ประชุมเตรียมจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ในช่วงที่ไทยดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน ปี 2562
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประชุมหารือเตรียมจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ไทยดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน ปี 2562
วันนี้ (21 พฤศจิกายน 2561) เวลา 10.00 น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์) เป็นประธานการประชุมหารือเตรียมจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ไทยดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน ปี 2562 เพื่อเตรียมรองรับการดําเนินงานร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศในการที่หน่วยงานต่างๆ จัดการประชุมในโอกาสที่ประเทศไทยเป็นประธานอาเซียน ปี 2562 ในรูปแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Meeting) ได้อย่างเหมาะสม และสามารถเก็บข้อมูล รวมถึงสามารถประมวลผลการดําเนินงานที่ได้ในเชิงวิชาการเกี่ยวกับการลดการใช้ Single-use plastics รวมถุงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมีการจัดนิทรรศการแสดงผลในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 ในเดือนพฤศจิกายน 2562 โดยในที่ประชุม ได้รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ไทยดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน ปี 2562 ซึ่งมอบหมายให้กรมควบคุมมลพิษเป็นหน่วยงานหลักในการร่วมดําเนินงานกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ได้เดินทางไปรับตําแหน่งประธานอาเซียนที่สาธารณรัฐ สิงคโปร์ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา โดยประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในกรอบอาเซียน มากกว่า 170 ประชุม ซึ่งเป็นการประชุมในระดับต่างๆ ได้แก่ ผู้นํา ประธานรัฐสภา รัฐมนตรี เจ้าหน้าที่อาวุโส และระดับเจ้าหน้าที่
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16975
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันไม่มีแนวคิดเสนอนิรโทษกรรมทางการเมือง
|
วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563
นายกรัฐมนตรียืนยันไม่มีแนวคิดเสนอนิรโทษกรรมทางการเมือง
นายกรัฐมนตรียืนยันไม่มีแนวคิดเสนอนิรโทษกรรมทางการเมือง
วันนี้ (17 มิ.ย. 63) ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมปฏิเสธกระแสข่าวแนวทางนิรโทษกรรมให้กับคดีที่มีแรงจูงใจทางการเมือง ว่าไม่มีมูลความจริงใดๆ และไม่ทราบเจตนาผู้ปล่อยข่าวว่ามีความประสงค์สิ่งใด ยืนยันรัฐบาลมุ่งหน้าแก้ปัญหาสถานการณ์โควิด 19 และการดูแลช่วยเหลือประชาชนทุกภาคส่วน พร้อมขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่แปรเปลี่ยนไปจากโควิด 19
ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมมีหน้าที่ รับผิดชอบ และดูแลการดําเนินการเกี่ยวกระบวนการยุติธรรมต่างๆ รวมทั้ง การขอพระราชทานอภัยโทษ ในกรณีต่างๆนั้น กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม มีการดําเนินการตามเกณฑ์ต่างๆที่กําหนดอยู่แล้ว และรัฐบาลไม่สามารถไปก้าวก่ายหรือเสนอแนวทางใดๆได้
.................
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันไม่มีแนวคิดเสนอนิรโทษกรรมทางการเมือง
วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563
นายกรัฐมนตรียืนยันไม่มีแนวคิดเสนอนิรโทษกรรมทางการเมือง
นายกรัฐมนตรียืนยันไม่มีแนวคิดเสนอนิรโทษกรรมทางการเมือง
วันนี้ (17 มิ.ย. 63) ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมปฏิเสธกระแสข่าวแนวทางนิรโทษกรรมให้กับคดีที่มีแรงจูงใจทางการเมือง ว่าไม่มีมูลความจริงใดๆ และไม่ทราบเจตนาผู้ปล่อยข่าวว่ามีความประสงค์สิ่งใด ยืนยันรัฐบาลมุ่งหน้าแก้ปัญหาสถานการณ์โควิด 19 และการดูแลช่วยเหลือประชาชนทุกภาคส่วน พร้อมขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่แปรเปลี่ยนไปจากโควิด 19
ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมมีหน้าที่ รับผิดชอบ และดูแลการดําเนินการเกี่ยวกระบวนการยุติธรรมต่างๆ รวมทั้ง การขอพระราชทานอภัยโทษ ในกรณีต่างๆนั้น กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม มีการดําเนินการตามเกณฑ์ต่างๆที่กําหนดอยู่แล้ว และรัฐบาลไม่สามารถไปก้าวก่ายหรือเสนอแนวทางใดๆได้
.................
สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32432
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.เปิดโครงการนักปั่นอาสาตรวจหาไฟป่า
|
วันจันทร์ที่ 30 มกราคม 2560
ทส.เปิดโครงการนักปั่นอาสาตรวจหาไฟป่า
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดโครงการนักปั่นอาสาตรวจหาไฟป่า ณ อ.แม่สาย จ.เชียงราย
พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดโครงการนักปั่นอาสาตรวจหาไฟป่า ณ อ.แม่สาย จ.เชียงราย โดยโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ผู้บริหาร ปั่นนําขบวนนักปั่นอาสาตรวจหาไฟป่า ถึงบริเวณบ้านห้วยน้ําขุน เพื่อเดินทางต่อไปยังฐานปฏิบัติการช้างมูบ เพื่อเปิดโครงการฝึกซ้อมระดมพลดับไฟป่า และจัดทําแนวกันไฟสองแผ่นดิน (ไทย-พม่า) ชุดปฏิบัติการทหารแห่งราชอาณาจักรไทย และชุดปฏิบัติการทหารแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียน-มา ประจําฐานปฏิบัติการช้างมูบ ราษฎรหมู่บ้านคู่ขนานตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ประชาชนในจังหวัดเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง เข้าร่วมกิจกรรม ณ ฐานปฏิบัติการช้างมูบ จ.เชียงราย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.เปิดโครงการนักปั่นอาสาตรวจหาไฟป่า
วันจันทร์ที่ 30 มกราคม 2560
ทส.เปิดโครงการนักปั่นอาสาตรวจหาไฟป่า
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดโครงการนักปั่นอาสาตรวจหาไฟป่า ณ อ.แม่สาย จ.เชียงราย
พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดโครงการนักปั่นอาสาตรวจหาไฟป่า ณ อ.แม่สาย จ.เชียงราย โดยโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ผู้บริหาร ปั่นนําขบวนนักปั่นอาสาตรวจหาไฟป่า ถึงบริเวณบ้านห้วยน้ําขุน เพื่อเดินทางต่อไปยังฐานปฏิบัติการช้างมูบ เพื่อเปิดโครงการฝึกซ้อมระดมพลดับไฟป่า และจัดทําแนวกันไฟสองแผ่นดิน (ไทย-พม่า) ชุดปฏิบัติการทหารแห่งราชอาณาจักรไทย และชุดปฏิบัติการทหารแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียน-มา ประจําฐานปฏิบัติการช้างมูบ ราษฎรหมู่บ้านคู่ขนานตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ประชาชนในจังหวัดเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง เข้าร่วมกิจกรรม ณ ฐานปฏิบัติการช้างมูบ จ.เชียงราย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1539
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายจิรุตม์ วิศาลจิตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม และโฆษกกระทรวงฯ ชี้แจงกรณีโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา
|
วันพุธที่ 13 กันยายน 2560
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม และโฆษกกระทรวงฯ ชี้แจงกรณีโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม และโฆษกกระทรวงฯ กล่าวว่า ตามที่สื่อมวลชนได้เสนอข้อมูล ชาวปากช่องบางส่วนมีความกังวลเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา
จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากแนวเส้นทางบางส่วนทับลําตะคอง ซึ่งเป็นแหล่งน้ําสําคัญของ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
กระทรวงคมนาคมได้มอบให้กรมทางหลวง (ทล.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรูปแบบการดําเนินโครงการฯ และขอชี้แจง ดังนี้
1.กระทรวงคมนาคม โดย ทล. ได้ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลรายละเอียดโครงการฯ เพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งรับฟังรายละเอียดปัญหาของผู้ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการดําเนินโครงการฯ และพิจารณาแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนต่าง ๆ จํานวน 3 ครั้ง ดังนี้
- ครั้งที่ 1 วันที่ 15 มีนาคม 2560 เพื่อชี้แจงทําความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่
- ครั้งที่ 2 วันที่ 24 มีนาคม 2560 เพื่อพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหา ตามประเด็นที่มีการร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน
- ครั้งที่ 3 วันที่ 29 พฤษภาคม 2560 เสนอและชี้แจงรูปแบบของโครงการฯ ที่ปรับ แก้ไขแล้ว เพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชน
2.กระทรวงคมนาคม โดย ทล. ได้จัดประชุมร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งหน่วยงานระดับจังหวัด กรมเจ้าท่า ผู้ตรวจการแผ่นดิน และประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยมีข้อสรุปร่วมกันในส่วนที่เกี่ยวข้องกับลําน้ําลําตะคองว่า ให้ ทล. ดําเนินการปรับแก้ไขรูปแบบการก่อสร้าง โดยก่อสร้างสะพานข้ามคลองทุกจุดที่ตัดผ่าน ซึ่ง ทล. ได้เพิ่มการก่อสร้างสะพานจากเดิมที่กําหนดไว้ 1 จุด เป็น 6 จุด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับแนวลําน้ําลําตะคอง พร้อมทั้งปรับลดเขตทางในบางช่วงและสร้างทางบริการเพิ่มขึ้นจากเดิม เพื่อลดผลกระทบในพื้นที่
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายจิรุตม์ วิศาลจิตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม และโฆษกกระทรวงฯ ชี้แจงกรณีโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา
วันพุธที่ 13 กันยายน 2560
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม และโฆษกกระทรวงฯ ชี้แจงกรณีโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม และโฆษกกระทรวงฯ กล่าวว่า ตามที่สื่อมวลชนได้เสนอข้อมูล ชาวปากช่องบางส่วนมีความกังวลเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา
จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากแนวเส้นทางบางส่วนทับลําตะคอง ซึ่งเป็นแหล่งน้ําสําคัญของ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
กระทรวงคมนาคมได้มอบให้กรมทางหลวง (ทล.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรูปแบบการดําเนินโครงการฯ และขอชี้แจง ดังนี้
1.กระทรวงคมนาคม โดย ทล. ได้ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลรายละเอียดโครงการฯ เพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งรับฟังรายละเอียดปัญหาของผู้ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการดําเนินโครงการฯ และพิจารณาแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนต่าง ๆ จํานวน 3 ครั้ง ดังนี้
- ครั้งที่ 1 วันที่ 15 มีนาคม 2560 เพื่อชี้แจงทําความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่
- ครั้งที่ 2 วันที่ 24 มีนาคม 2560 เพื่อพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหา ตามประเด็นที่มีการร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน
- ครั้งที่ 3 วันที่ 29 พฤษภาคม 2560 เสนอและชี้แจงรูปแบบของโครงการฯ ที่ปรับ แก้ไขแล้ว เพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชน
2.กระทรวงคมนาคม โดย ทล. ได้จัดประชุมร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งหน่วยงานระดับจังหวัด กรมเจ้าท่า ผู้ตรวจการแผ่นดิน และประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยมีข้อสรุปร่วมกันในส่วนที่เกี่ยวข้องกับลําน้ําลําตะคองว่า ให้ ทล. ดําเนินการปรับแก้ไขรูปแบบการก่อสร้าง โดยก่อสร้างสะพานข้ามคลองทุกจุดที่ตัดผ่าน ซึ่ง ทล. ได้เพิ่มการก่อสร้างสะพานจากเดิมที่กําหนดไว้ 1 จุด เป็น 6 จุด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับแนวลําน้ําลําตะคอง พร้อมทั้งปรับลดเขตทางในบางช่วงและสร้างทางบริการเพิ่มขึ้นจากเดิม เพื่อลดผลกระทบในพื้นที่
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6608
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือสำนักงบประมาณขับเคลื่อนการจัดทำงบประมาณ ปี 2562 เน้นบูรณาการ 3 มิติ Agenda Function และ Area ตามนโยบายรัฐบาล
|
วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน 2560
พม. จับมือสํานักงบประมาณขับเคลื่อนการจัดทํางบประมาณ ปี 2562 เน้นบูรณาการ 3 มิติ Agenda Function และ Area ตามนโยบายรัฐบาล
พม. จับมือสํานักงบประมาณขับเคลื่อนการจัดทํางบประมาณ ปี 2562 เน้นบูรณาการ 3 มิติ Agenda Function และ Area ตามนโยบายรัฐบาล
วันนี้ (1 พ.ย.60) เวลา 10.00 น. น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมเรื่องการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เพื่อสร้างความเข้าใจในการจัดทํางบประมาณให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล และยุทธศาสตร์ชาติ โดยมีนายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. และมีผู้แทนจากสํานักงบประมาณ นําโดยนายภูมิรักษ์ ชมแสง รองผู้อํานวยการสํานักงบประมาณเข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า การประชุมหารือในวันนี้ คณะผู้แทนจากสํานักงบประมาณ ได้ชี้แจงข้อมูลในการจัดทํางบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ซึ่งต้องสอดคล้องตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 -2579) และแผนแม่บทต่างๆ บูรณาการภารกิจและงบประมาณของหน่วยงานภายในกระทรวงเดียวกัน หรือระหว่างกระทรวงเพื่อลดความซ้ําซ้อน ประหยัด และคุ้มค่า รวมทั้งมีการทบทวนภารกิจและการจัดทําตัวชี้วัดต่างๆ โดยให้บูรณาการภารกิจและงบประมาณใน 3 มิติ ได้แก่ มิตินโยบาย (Agenda) และมิติหน่วยงาน (Function) จะต้องบูรณาการร่วมกับมิติพื้นที่ (Area) ให้ความสําคัญกับกระบวนการวางแผนและพัฒนาพื้นที่ระดับภาคให้สอดคล้องกัน เพื่อให้สามารถรายงานต่อรัฐบาลได้ชัดเจนถึงการขับเคลื่อนงาน โดยมีการกําหนดเป้าหมายการปฏิบัติงาน การประเมินผล รวมทั้งมีแผนปฏิบัติการที่เร่งด่วน
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับในปี 2562 นี้ กระทรวง พม. จะขับเคลื่อนงานต่างๆอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ด้านที่อยู่อาศัยซึ่งจะต้องตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนผู้มีรายได้น้อย การเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เตรียมการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมอาเซียนด้านประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน SOCA/ASCC รวมทั้งการจัดสวัสดิการสังคม การแก้ไขปัญหาคนไร้ที่พึ่งคนขอทานอย่างต่อเนื่องการพัฒนาบุคลากร ระบบฐานข้อมูล ซึ่งเป็นภารกิจที่กระทรวง พม. จะนํามาจัดทําคําของบประมาณในปี พ.ศ. 2562 เพื่อขับเคลื่อนงานไปในทิศทางและเป้าหมายเดียวกัน เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือสำนักงบประมาณขับเคลื่อนการจัดทำงบประมาณ ปี 2562 เน้นบูรณาการ 3 มิติ Agenda Function และ Area ตามนโยบายรัฐบาล
วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน 2560
พม. จับมือสํานักงบประมาณขับเคลื่อนการจัดทํางบประมาณ ปี 2562 เน้นบูรณาการ 3 มิติ Agenda Function และ Area ตามนโยบายรัฐบาล
พม. จับมือสํานักงบประมาณขับเคลื่อนการจัดทํางบประมาณ ปี 2562 เน้นบูรณาการ 3 มิติ Agenda Function และ Area ตามนโยบายรัฐบาล
วันนี้ (1 พ.ย.60) เวลา 10.00 น. น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมเรื่องการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เพื่อสร้างความเข้าใจในการจัดทํางบประมาณให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล และยุทธศาสตร์ชาติ โดยมีนายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. และมีผู้แทนจากสํานักงบประมาณ นําโดยนายภูมิรักษ์ ชมแสง รองผู้อํานวยการสํานักงบประมาณเข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า การประชุมหารือในวันนี้ คณะผู้แทนจากสํานักงบประมาณ ได้ชี้แจงข้อมูลในการจัดทํางบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ซึ่งต้องสอดคล้องตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 -2579) และแผนแม่บทต่างๆ บูรณาการภารกิจและงบประมาณของหน่วยงานภายในกระทรวงเดียวกัน หรือระหว่างกระทรวงเพื่อลดความซ้ําซ้อน ประหยัด และคุ้มค่า รวมทั้งมีการทบทวนภารกิจและการจัดทําตัวชี้วัดต่างๆ โดยให้บูรณาการภารกิจและงบประมาณใน 3 มิติ ได้แก่ มิตินโยบาย (Agenda) และมิติหน่วยงาน (Function) จะต้องบูรณาการร่วมกับมิติพื้นที่ (Area) ให้ความสําคัญกับกระบวนการวางแผนและพัฒนาพื้นที่ระดับภาคให้สอดคล้องกัน เพื่อให้สามารถรายงานต่อรัฐบาลได้ชัดเจนถึงการขับเคลื่อนงาน โดยมีการกําหนดเป้าหมายการปฏิบัติงาน การประเมินผล รวมทั้งมีแผนปฏิบัติการที่เร่งด่วน
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับในปี 2562 นี้ กระทรวง พม. จะขับเคลื่อนงานต่างๆอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ด้านที่อยู่อาศัยซึ่งจะต้องตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนผู้มีรายได้น้อย การเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เตรียมการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมอาเซียนด้านประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน SOCA/ASCC รวมทั้งการจัดสวัสดิการสังคม การแก้ไขปัญหาคนไร้ที่พึ่งคนขอทานอย่างต่อเนื่องการพัฒนาบุคลากร ระบบฐานข้อมูล ซึ่งเป็นภารกิจที่กระทรวง พม. จะนํามาจัดทําคําของบประมาณในปี พ.ศ. 2562 เพื่อขับเคลื่อนงานไปในทิศทางและเป้าหมายเดียวกัน เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7735
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ เตรียมเปิดข้าวเหนียวถุงราคาถูก พร้อมกระจายทั่วประเทศ 11 กันยายน นี้
|
วันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2562
จุรินทร์ เตรียมเปิดข้าวเหนียวถุงราคาถูก พร้อมกระจายทั่วประเทศ 11 กันยายน นี้
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยระหว่างพักการประชุมอาร์เซ็ป (การประชุมความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภูมิภาค16ประเทศ) ที่รร.แชงกรี-ลา กรุงเทพฯ
ว่าสําหรับการช่วยผู้บริโภคข้าวเหนียวที่ราคาสูงขึ้นเนื่องจากผลผลิตขาดแคลนเนื่องจากภาวะภัยแล้งและเป็นช่วงปลายฤดูเก็บเกี่ยวนั้น ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน จัดโครงการเร่งด่วนช่วยเหลือประชาชนผู้บริโภคข้าวเหนียวทั่วประเทศ ทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ซึ่งบริโภคข้าวเหนียวและได้รับความเดือดร้อนระหว่างนี้ นั้น
ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในได้ดําเนินการใกล้เสร็จแล้ว โดยข้าวเหนียวถุงล็อตแรกพร้อมออกสู่ตลาด วันที่ 11 กันยายน 2562 นี้ ซึ่งการช่วยบรรเทาทุกข์พี่น้องประชาชนที่บริโภคข้าวเหนียวระหว่างนี้จะเริ่มกระจายสินค้าไปถึงร้านธงฟ้าทั่วประเทศ โดยตนจะเป็นประธานเปิดโครงการนี้ ในวันที่ 11 กันยายน 2562 เวลา 10.30 น.ที่กระทรวงพาณิชย์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ เตรียมเปิดข้าวเหนียวถุงราคาถูก พร้อมกระจายทั่วประเทศ 11 กันยายน นี้
วันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2562
จุรินทร์ เตรียมเปิดข้าวเหนียวถุงราคาถูก พร้อมกระจายทั่วประเทศ 11 กันยายน นี้
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยระหว่างพักการประชุมอาร์เซ็ป (การประชุมความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภูมิภาค16ประเทศ) ที่รร.แชงกรี-ลา กรุงเทพฯ
ว่าสําหรับการช่วยผู้บริโภคข้าวเหนียวที่ราคาสูงขึ้นเนื่องจากผลผลิตขาดแคลนเนื่องจากภาวะภัยแล้งและเป็นช่วงปลายฤดูเก็บเกี่ยวนั้น ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน จัดโครงการเร่งด่วนช่วยเหลือประชาชนผู้บริโภคข้าวเหนียวทั่วประเทศ ทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ซึ่งบริโภคข้าวเหนียวและได้รับความเดือดร้อนระหว่างนี้ นั้น
ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในได้ดําเนินการใกล้เสร็จแล้ว โดยข้าวเหนียวถุงล็อตแรกพร้อมออกสู่ตลาด วันที่ 11 กันยายน 2562 นี้ ซึ่งการช่วยบรรเทาทุกข์พี่น้องประชาชนที่บริโภคข้าวเหนียวระหว่างนี้จะเริ่มกระจายสินค้าไปถึงร้านธงฟ้าทั่วประเทศ โดยตนจะเป็นประธานเปิดโครงการนี้ ในวันที่ 11 กันยายน 2562 เวลา 10.30 น.ที่กระทรวงพาณิชย์
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22913
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สาธิต ชื่นชม รพ.สวนสราญรมย์ บำบัดผู้ป่วยจิตเวชจากสารเสพติด แห่งเดียวของกรมสุขภาพจิต
|
วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2562
ดร.สาธิต ชื่นชม รพ.สวนสราญรมย์ บําบัดผู้ป่วยจิตเวชจากสารเสพติด แห่งเดียวของกรมสุขภาพจิต
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ บําบัดฟื้นฟูผู้ป่วยจิตเวชจากสารเสพติดของกรมคุมประพฤติด้วย แนวคิดชุมชนบําบัดแห่งเดียวของกรมสุขภาพจิต ได้ผลดีไม่กลับไปเสพซ้ําภายใน 1 ปี ถึงร้อยละ 64
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ บําบัดฟื้นฟูผู้ป่วยจิตเวชจากสารเสพติดของกรมคุมประพฤติด้วย แนวคิดชุมชนบําบัดแห่งเดียวของกรมสุขภาพจิต ได้ผลดีไม่กลับไปเสพซ้ําภายใน 1 ปี ถึงร้อยละ 64
วันนี้ (16 พฤศจิกายน 2562) ที่ จ.สุราษฏร์ธานี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยม “ศูนย์สาธิตจิตสังคมบําบัด” และให้กําลังใจการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ที่โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ จ.สุราษฏร์ธานี ว่า โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ เป็นโรงพยาบาลเดียวของกรมสุขภาพจิตที่มีสถานที่เฉพาะสําหรับบําบัดและฟื้นฟูผู้ป่วยจิตเวชจากการใช้สารเสพติดที่กรมคุมประพฤติส่งมาบังคับบําบัดแบบไม่เข้มงวด ไม่ปะปนกับผู้ป่วยจิตเวชอื่น ด้วยแนวคิดชุมชนบําบัด ใช้ชีวิตร่วมกันในชุมชนจําลองเสมือนบ้าน ช่วยเหลือกันเหมือนคนในครอบครัว มีบทบาทหน้าที่ รับผิดชอบตามความสามารถ ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม เน้นการจัดการ 4 ด้าน คือ พฤติกรรม อารมณ์ สติปัญญาและจิตวิญญาณ อาชีพและการอยู่รอด มีเป้าหมายกระตุ้นให้ผู้ป่วยมุ่งมั่นในการเลิกยา หยุดการใช้สารเสพติด ป้องกันการกลับไปเสพซ้ํา เพิ่มศักยภาพด้านพฤติกรรม จิตใจ อารมณ์ และสังคม มีแบบแผนการดําเนินชีวิตที่เหมาะสม
โดยผู้ป่วยจากการใช้สารเสพติดที่เข้ารับการบําบัดทุกคน จะต้องเข้ารับการบําบัดนานถึง 4 เดือน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรมได้ โดยผลการดําเนินงานพบว่าได้ผลดี มีผู้บําบัดครบระยะที่กําหนดถึงร้อยละ 87 ที่สําคัญคือผู้ป่วยไม่กลับไปเสพสารเสพติดซ้ําในระยะ 1 ปี คิดเป็นร้อยละ 64
นอกจากนี้ โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ยังเป็นศูนย์เชี่ยวชาญจิตเวชผู้สูงอายุของภาคใต้ เพื่อเตรียมการรองรับสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีปัญหาซับซ้อนกว่าผู้ป่วยกลุ่มอายุอื่น อาการเจ็บป่วยไม่ตรงไปตรงมาจากสภาพร่างกายเสื่อมถอย ต้องให้การบําบัดทั้งการใช้ยาและไม่ใช้ยา เช่น การนวดฝ่าเท้าด้วยลูกแก้ว ศิลปะบําบัด ดนตรีบําบัด สวนบําบัด การบําบัดด้วยแสงสว่าง ปรับสภาพแวดล้อมคล้ายอยู่ที่บ้าน ป้องกันการลื่นล้ม หกล้ม รวมทั้งได้สร้างเครื่องมือคัดกรองโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ รักษาผู้สูงอายุจากจิตเวชเรื้อรังและจิตเวชจากการใช้สารเสพติดอีกด้วย
สําหรับโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ เป็นโรงพยาบาล ขนาด 450 เตียง รับดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิต ในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน 7 จังหวัด ประกอบด้วย สุราษฎร์ธานี ชุมพร ระนอง กระบี่ พังงา ภูเก็ต นครศรีธรรมราช มีผู้รับบริการแผนกผู้ป่วยนอกเฉลี่ยวันละ 280 คน ผู้ป่วยใน 300 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยเก่าที่อาการซับซ้อนไม่สามารถรักษาที่โรงพยาบาลจังหวัดได้ โดยโรคที่มารับบริการมากที่สุดคือ จิตเภท ร้อยละ 30 รองลงมาโรควิตกกังวล ซึมเศร้า และที่น่าสนใจคือ มีผู้ป่วยที่เป็นผู้ใช้สารเสพติดมีแนวโน้มเข้ารับบริการมากขึ้นทุกปี
********************************16พฤศจิกายน 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สาธิต ชื่นชม รพ.สวนสราญรมย์ บำบัดผู้ป่วยจิตเวชจากสารเสพติด แห่งเดียวของกรมสุขภาพจิต
วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2562
ดร.สาธิต ชื่นชม รพ.สวนสราญรมย์ บําบัดผู้ป่วยจิตเวชจากสารเสพติด แห่งเดียวของกรมสุขภาพจิต
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ บําบัดฟื้นฟูผู้ป่วยจิตเวชจากสารเสพติดของกรมคุมประพฤติด้วย แนวคิดชุมชนบําบัดแห่งเดียวของกรมสุขภาพจิต ได้ผลดีไม่กลับไปเสพซ้ําภายใน 1 ปี ถึงร้อยละ 64
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ บําบัดฟื้นฟูผู้ป่วยจิตเวชจากสารเสพติดของกรมคุมประพฤติด้วย แนวคิดชุมชนบําบัดแห่งเดียวของกรมสุขภาพจิต ได้ผลดีไม่กลับไปเสพซ้ําภายใน 1 ปี ถึงร้อยละ 64
วันนี้ (16 พฤศจิกายน 2562) ที่ จ.สุราษฏร์ธานี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยม “ศูนย์สาธิตจิตสังคมบําบัด” และให้กําลังใจการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ที่โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ จ.สุราษฏร์ธานี ว่า โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ เป็นโรงพยาบาลเดียวของกรมสุขภาพจิตที่มีสถานที่เฉพาะสําหรับบําบัดและฟื้นฟูผู้ป่วยจิตเวชจากการใช้สารเสพติดที่กรมคุมประพฤติส่งมาบังคับบําบัดแบบไม่เข้มงวด ไม่ปะปนกับผู้ป่วยจิตเวชอื่น ด้วยแนวคิดชุมชนบําบัด ใช้ชีวิตร่วมกันในชุมชนจําลองเสมือนบ้าน ช่วยเหลือกันเหมือนคนในครอบครัว มีบทบาทหน้าที่ รับผิดชอบตามความสามารถ ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม เน้นการจัดการ 4 ด้าน คือ พฤติกรรม อารมณ์ สติปัญญาและจิตวิญญาณ อาชีพและการอยู่รอด มีเป้าหมายกระตุ้นให้ผู้ป่วยมุ่งมั่นในการเลิกยา หยุดการใช้สารเสพติด ป้องกันการกลับไปเสพซ้ํา เพิ่มศักยภาพด้านพฤติกรรม จิตใจ อารมณ์ และสังคม มีแบบแผนการดําเนินชีวิตที่เหมาะสม
โดยผู้ป่วยจากการใช้สารเสพติดที่เข้ารับการบําบัดทุกคน จะต้องเข้ารับการบําบัดนานถึง 4 เดือน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรมได้ โดยผลการดําเนินงานพบว่าได้ผลดี มีผู้บําบัดครบระยะที่กําหนดถึงร้อยละ 87 ที่สําคัญคือผู้ป่วยไม่กลับไปเสพสารเสพติดซ้ําในระยะ 1 ปี คิดเป็นร้อยละ 64
นอกจากนี้ โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ยังเป็นศูนย์เชี่ยวชาญจิตเวชผู้สูงอายุของภาคใต้ เพื่อเตรียมการรองรับสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีปัญหาซับซ้อนกว่าผู้ป่วยกลุ่มอายุอื่น อาการเจ็บป่วยไม่ตรงไปตรงมาจากสภาพร่างกายเสื่อมถอย ต้องให้การบําบัดทั้งการใช้ยาและไม่ใช้ยา เช่น การนวดฝ่าเท้าด้วยลูกแก้ว ศิลปะบําบัด ดนตรีบําบัด สวนบําบัด การบําบัดด้วยแสงสว่าง ปรับสภาพแวดล้อมคล้ายอยู่ที่บ้าน ป้องกันการลื่นล้ม หกล้ม รวมทั้งได้สร้างเครื่องมือคัดกรองโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ รักษาผู้สูงอายุจากจิตเวชเรื้อรังและจิตเวชจากการใช้สารเสพติดอีกด้วย
สําหรับโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ เป็นโรงพยาบาล ขนาด 450 เตียง รับดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิต ในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน 7 จังหวัด ประกอบด้วย สุราษฎร์ธานี ชุมพร ระนอง กระบี่ พังงา ภูเก็ต นครศรีธรรมราช มีผู้รับบริการแผนกผู้ป่วยนอกเฉลี่ยวันละ 280 คน ผู้ป่วยใน 300 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยเก่าที่อาการซับซ้อนไม่สามารถรักษาที่โรงพยาบาลจังหวัดได้ โดยโรคที่มารับบริการมากที่สุดคือ จิตเภท ร้อยละ 30 รองลงมาโรควิตกกังวล ซึมเศร้า และที่น่าสนใจคือ มีผู้ป่วยที่เป็นผู้ใช้สารเสพติดมีแนวโน้มเข้ารับบริการมากขึ้นทุกปี
********************************16พฤศจิกายน 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24618
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนมีนาคม และไตรมาสที 1 ปี 2561
|
วันศุกร์ที่ 27 เมษายน 2561
รายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนมีนาคม และไตรมาสที 1 ปี 2561
เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวอย่างทั่วถึงในทุกภูมิภาค นําโดย ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน สอดคล้องกับการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว
"เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวอย่างทั่วถึงในทุกภูมิภาค นําโดย ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน สอดคล้องกับการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี"
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง พร้อมด้วยนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะรองโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2561 "เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวอย่างทั่วถึงในทุกภูมิภาค นําโดย ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน สอดคล้องกับการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี" โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้
ภาคกลาง เศรษฐกิจส่งสัญญาณขยายตัว โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนมีนาคม 2561 ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 22.2 ต่อปี จากการขยายตัวในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และลพบุรี เป็นสําคัญ ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 9.9 ต่อปี เช่นเดียวกันกับการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัวร้อยละ 31.5 และ 0.2 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 32.0 และ 4.2 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากยอดรถปิคอัพและยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ขยายตัวร้อยละ 4.7 และ 12.1 ต่อปี ตามลําดับ ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 1.2 และ 24.1 ต่อปี ตามลําดับ นอกจากนี้เงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 อยู่ที่ 6,200 ล้านบาท ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 115.9 ต่อปี จากการลงทุนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นสําคัญ สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ขยายตัวร้อยละ 10.5 และ 13.4 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการผลิตภาคเกษตรที่ขยายตัวในเกณฑ์ดี จากการเพิ่มขึ้นของข้าวเปลือก ข้าวโพด และปศุสัตว์ เป็นต้น ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2561 อยู่ในระดับที่เอื้อต่อการบริโภคที่ร้อยละ 1.4 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.2 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ภาคตะวันออก เศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน จากยอดรถยนต์นั่งและจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ในเดือนมีนาคม 2561 ขยายตัวร้อยละ 23.4 และ 3.1 ต่อปี ตามลําดับ ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 23.2 และ 1.7 ต่อปี ตามลําดับ จากการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดฉะเชิงเทรา และชลบุรี สอดคล้องกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 12.9 ต่อปี เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการในเดือนมีนาคม 2561 อยู่ที่ 6,411 ล้านบาท ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 65.6 ต่อปี จากการลงทุนในจังหวัดระยอง และปราจีนบุรี เป็นสําคัญ ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวที่ร้อยละ 59.0 ต่อปี สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 11.5 และ 23.9 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการผลิตภาคเกษตรที่ขยายตัวในเกณฑ์ดี จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตในหมวดผลไม้ และยางพารา เป็นต้น ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2561 ปรับตัวลดลงมาที่ร้อยละ -1.2 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.0 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ภาคใต้ เศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการบริโภคภาคเอกชน รวมถึงภาคการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ใน เดือนมีนาคม 2561 ขยายตัวร้อยละ 8.8 ต่อปี ตามการเพิ่มขึ้นในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ต สุราษฎร์ธานี และสงขลา เป็นต้น ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 9.9 ต่อปี สอดคล้องกับการบริโภคสินค้าในหมวดสินค้าคงทนของผู้มีรายได้ปานกลางและสูง สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 21.1 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 26.1 ต่อปี ตามการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากยอดรถปิคอัพและยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 6.4 และ 34.6 ต่อปี ตามลําดับ จากการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี และระนอง สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากผู้เยี่ยมเยือน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ขยายตัวร้อยละ 9.0 และ 20.1 ต่อปี ตามลําดับ ตามการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต พังงา และตรัง เป็นสําคัญ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม ปี 2561 (เบื้องต้น) อยู่ในระดับเอื้อต่อการบริโภคที่ร้อยละ 0.4 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.7 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เศรษฐกิจส่งสัญญาณขยายตัว โดยมีการบริโภคภาคเอกชน รวมถึงภาคเกษตรเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน จากยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ในเดือนมีนาคม 2561 ขยายตัวร้อยละ 23.3 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 22.9 ต่อปี จากการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดขอนแก่น และมุกดาหาร เป็นต้น สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 8.4 ต่อปี ตามการขยายตัวในจังหวัดเศรษฐกิจหลัก อาทิ ขอนแก่น มุกดาหาร และอุบลราชธานี เป็นต้น เช่นเดียวกันกับเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ อยู่ที่ 1,789 ล้านบาท ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 36.2 ต่อปี จากการลงทุนในจังหวัดขอนแก่น และนครราชสีมา เป็นสําคัญ สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 6.8 และ 11.8 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการผลิตภาคเกษตรที่ขยายตัวในเกณฑ์ดี จากการขยายตัวในผลผลิตอ้อยโรงงาน มันสําปะหลัง และข้าวโพด เป็นต้น ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2561 ปรับตัวลดลงมาที่ร้อยละ -0.6 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.3 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ภาคเหนือ เศรษฐกิจฟื้นตัว โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนมีนาคม 2561 ขยายตัวที่ร้อยละ 1.7 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 3.4 ต่อปี จากการขยายตัวในจังหวัดเชียงใหม่ และตาก เป็นต้น สอดคล้องกับการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทนของผู้มีรายได้ปานกลางและสูง สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ขยายตัวร้อยละ 20.9 ต่อปี ตามการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ และนครสวรรค์ เป็นต้น เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่และเงินทุนของโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 8.6 และร้อยละ 145.4 ต่อปี ตามลําดับ ตามการลงทุนในจังหวัดเพชรบูรณ์และอุตรดิตถ์ เป็นต้น สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากผู้เยี่ยมเยือน ในเดือน กุมภาพันธ์ 2561 ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่ร้อยละ 5.3 และ 9.2 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2561 ยังคงอยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 0.2 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.1 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ภาคตะวันตก เศรษฐกิจฟื้นตัว โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงการท่องเที่ยว เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนมีนาคม 2561 ขยายตัวที่ร้อยละ 4.4 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 7.1 ต่อปี ตามการขยายตัวในจังหวัดกาญจนบุรี และสมุทรสงคราม เป็นต้น สอดคล้องกับการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทนของผู้มีรายได้ปานกลางและสูง สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวร้อยละ 18.4 ต่อปี ตามการขยายตัวในทุกจังหวัด เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวร้อยละ 16.1 ต่อปี นอกจากนี้ ยังมีเงินทุนของโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 อยู่ที่ 1,796 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 28.2 ต่อปี สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีทั้งจํานวนและรายได้จากผู้เยี่ยมเยือน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 8.4 และ 13.0 ต่อปี ตามลําดับ ตามการท่องเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น สําหรับด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2561 ที่ยังอยู่ในระดับที่เอื้อต่อการบริโภคที่ร้อยละ 1.1 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
กทม.และปริมณฑล เศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงการท่องเที่ยว เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 3.6 ต่อปี ตามการขยายตัวในทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดนนทบุรี และปทุมธานี เป็นต้น สอดคล้องกับการบริโภคสินค้าในหมวดสินค้าคงทนของผู้มีรายได้ปานกลางและสูง สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวที่ร้อยละ 14.8 ต่อปี ตามการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และนนทบุรี เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวร้อยละ 5.9 ต่อปี สอดคล้องกับเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 อยู่ที่ 6,645 ล้านบาท จากการลงทุนในจังหวัดสมุทรสาคร และสมุทรปราการ เป็นสําคัญ สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากผู้เยี่ยมเยือน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ขยายตัวร้อยละ 16.8 และ 32.1 ต่อปี ตามลําดับ จากการขยายตัวได้ดีทั้งจากผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยและชาวต่างประเทศ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2561 ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.3 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.1 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนมีนาคม และไตรมาสที 1 ปี 2561
วันศุกร์ที่ 27 เมษายน 2561
รายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนมีนาคม และไตรมาสที 1 ปี 2561
เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวอย่างทั่วถึงในทุกภูมิภาค นําโดย ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน สอดคล้องกับการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว
"เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวอย่างทั่วถึงในทุกภูมิภาค นําโดย ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน สอดคล้องกับการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี"
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง พร้อมด้วยนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะรองโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2561 "เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมีนาคม และไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวอย่างทั่วถึงในทุกภูมิภาค นําโดย ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน สอดคล้องกับการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี" โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้
ภาคกลาง เศรษฐกิจส่งสัญญาณขยายตัว โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนมีนาคม 2561 ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 22.2 ต่อปี จากการขยายตัวในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และลพบุรี เป็นสําคัญ ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 9.9 ต่อปี เช่นเดียวกันกับการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัวร้อยละ 31.5 และ 0.2 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 32.0 และ 4.2 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากยอดรถปิคอัพและยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ขยายตัวร้อยละ 4.7 และ 12.1 ต่อปี ตามลําดับ ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 1.2 และ 24.1 ต่อปี ตามลําดับ นอกจากนี้เงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 อยู่ที่ 6,200 ล้านบาท ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 115.9 ต่อปี จากการลงทุนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นสําคัญ สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ขยายตัวร้อยละ 10.5 และ 13.4 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการผลิตภาคเกษตรที่ขยายตัวในเกณฑ์ดี จากการเพิ่มขึ้นของข้าวเปลือก ข้าวโพด และปศุสัตว์ เป็นต้น ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2561 อยู่ในระดับที่เอื้อต่อการบริโภคที่ร้อยละ 1.4 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.2 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ภาคตะวันออก เศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน จากยอดรถยนต์นั่งและจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ในเดือนมีนาคม 2561 ขยายตัวร้อยละ 23.4 และ 3.1 ต่อปี ตามลําดับ ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 23.2 และ 1.7 ต่อปี ตามลําดับ จากการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดฉะเชิงเทรา และชลบุรี สอดคล้องกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 12.9 ต่อปี เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการในเดือนมีนาคม 2561 อยู่ที่ 6,411 ล้านบาท ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 65.6 ต่อปี จากการลงทุนในจังหวัดระยอง และปราจีนบุรี เป็นสําคัญ ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวที่ร้อยละ 59.0 ต่อปี สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 11.5 และ 23.9 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการผลิตภาคเกษตรที่ขยายตัวในเกณฑ์ดี จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตในหมวดผลไม้ และยางพารา เป็นต้น ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2561 ปรับตัวลดลงมาที่ร้อยละ -1.2 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.0 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ภาคใต้ เศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการบริโภคภาคเอกชน รวมถึงภาคการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ใน เดือนมีนาคม 2561 ขยายตัวร้อยละ 8.8 ต่อปี ตามการเพิ่มขึ้นในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ต สุราษฎร์ธานี และสงขลา เป็นต้น ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 9.9 ต่อปี สอดคล้องกับการบริโภคสินค้าในหมวดสินค้าคงทนของผู้มีรายได้ปานกลางและสูง สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 21.1 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 26.1 ต่อปี ตามการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากยอดรถปิคอัพและยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 6.4 และ 34.6 ต่อปี ตามลําดับ จากการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี และระนอง สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากผู้เยี่ยมเยือน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ขยายตัวร้อยละ 9.0 และ 20.1 ต่อปี ตามลําดับ ตามการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต พังงา และตรัง เป็นสําคัญ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม ปี 2561 (เบื้องต้น) อยู่ในระดับเอื้อต่อการบริโภคที่ร้อยละ 0.4 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.7 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เศรษฐกิจส่งสัญญาณขยายตัว โดยมีการบริโภคภาคเอกชน รวมถึงภาคเกษตรเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน จากยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ในเดือนมีนาคม 2561 ขยายตัวร้อยละ 23.3 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 22.9 ต่อปี จากการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดขอนแก่น และมุกดาหาร เป็นต้น สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 8.4 ต่อปี ตามการขยายตัวในจังหวัดเศรษฐกิจหลัก อาทิ ขอนแก่น มุกดาหาร และอุบลราชธานี เป็นต้น เช่นเดียวกันกับเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ อยู่ที่ 1,789 ล้านบาท ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 36.2 ต่อปี จากการลงทุนในจังหวัดขอนแก่น และนครราชสีมา เป็นสําคัญ สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 6.8 และ 11.8 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการผลิตภาคเกษตรที่ขยายตัวในเกณฑ์ดี จากการขยายตัวในผลผลิตอ้อยโรงงาน มันสําปะหลัง และข้าวโพด เป็นต้น ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2561 ปรับตัวลดลงมาที่ร้อยละ -0.6 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.3 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ภาคเหนือ เศรษฐกิจฟื้นตัว โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนมีนาคม 2561 ขยายตัวที่ร้อยละ 1.7 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 3.4 ต่อปี จากการขยายตัวในจังหวัดเชียงใหม่ และตาก เป็นต้น สอดคล้องกับการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทนของผู้มีรายได้ปานกลางและสูง สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ขยายตัวร้อยละ 20.9 ต่อปี ตามการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ และนครสวรรค์ เป็นต้น เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่และเงินทุนของโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 8.6 และร้อยละ 145.4 ต่อปี ตามลําดับ ตามการลงทุนในจังหวัดเพชรบูรณ์และอุตรดิตถ์ เป็นต้น สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากผู้เยี่ยมเยือน ในเดือน กุมภาพันธ์ 2561 ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่ร้อยละ 5.3 และ 9.2 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2561 ยังคงอยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 0.2 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.1 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
ภาคตะวันตก เศรษฐกิจฟื้นตัว โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงการท่องเที่ยว เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในเดือนมีนาคม 2561 ขยายตัวที่ร้อยละ 4.4 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 7.1 ต่อปี ตามการขยายตัวในจังหวัดกาญจนบุรี และสมุทรสงคราม เป็นต้น สอดคล้องกับการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทนของผู้มีรายได้ปานกลางและสูง สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวร้อยละ 18.4 ต่อปี ตามการขยายตัวในทุกจังหวัด เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวร้อยละ 16.1 ต่อปี นอกจากนี้ ยังมีเงินทุนของโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 อยู่ที่ 1,796 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 28.2 ต่อปี สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีทั้งจํานวนและรายได้จากผู้เยี่ยมเยือน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 8.4 และ 13.0 ต่อปี ตามลําดับ ตามการท่องเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น สําหรับด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2561 ที่ยังอยู่ในระดับที่เอื้อต่อการบริโภคที่ร้อยละ 1.1 ต่อปี และอัตราการว่างงาน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
กทม.และปริมณฑล เศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงการท่องเที่ยว เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 3.6 ต่อปี ตามการขยายตัวในทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดนนทบุรี และปทุมธานี เป็นต้น สอดคล้องกับการบริโภคสินค้าในหมวดสินค้าคงทนของผู้มีรายได้ปานกลางและสูง สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวที่ร้อยละ 14.8 ต่อปี ตามการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และนนทบุรี เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวร้อยละ 5.9 ต่อปี สอดคล้องกับเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 อยู่ที่ 6,645 ล้านบาท จากการลงทุนในจังหวัดสมุทรสาคร และสมุทรปราการ เป็นสําคัญ สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากผู้เยี่ยมเยือน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ขยายตัวร้อยละ 16.8 และ 32.1 ต่อปี ตามลําดับ จากการขยายตัวได้ดีทั้งจากผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยและชาวต่างประเทศ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม (เบื้องต้น) 2561 ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.3 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.1 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11812
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการ PPP เห็นชอบโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณสถานีกลางบางซื่อแปลง A และโครงการขนาดกลาง 3 โครงการ มูลค่ารวม 2.2 หมื่นล้านบาท
|
วันพุธที่ 7 มีนาคม 2561
คณะกรรมการ PPP เห็นชอบโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณสถานีกลางบางซื่อแปลง A และโครงการขนาดกลาง 3 โครงการ มูลค่ารวม 2.2 หมื่นล้านบาท
“คณะกรรมการ PPP เห็นชอบโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณสถานีกลางบางซื่อแปลง A และโครงการขนาดกลาง 3 โครงการ มูลค่ารวม 2.2 หมื่นล้านบาท พร้อมทั้งกําหนดให้โครงการรถไฟฟ้านครราชสีมาเข้ามาตรการ PPP Fast Track”
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการ PPP)เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการ PPP ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันพุธที่ 7 มีนาคม 2561 ณ กระทรวงการคลัง โดยมีนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานที่ประชุม สรุปได้ดังนี้
1. คณะกรรมการ PPP เห็นชอบในหลักการของโครงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์บริเวณสถานีกลางบางซื่อแปลง A ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) พื้นที่พัฒนาได้ประมาณ 32 ไร่ โดยให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนทั้งหมด ในรูปแบบสร้าง – บริหาร – โอน (BOT) ระยะเวลาดําเนินธุรกิจ 30 ปี และระยะเวลาก่อสร้างไม่เกิน 4 ปี โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 1.54 หมื่นล้านบาท ซี่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ศูนย์คมนาคมขนส่งพหลโยธิน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้พื้นที่บริเวณศูนย์คมนาคมขนส่งพหลโยธินเป็นศูนย์กลางการเดินทางและย่านธุรกิจแห่งใหม่ด้านทิศเหนือของกรุงเทพฯ และอํานวยความสะดวกด้านการเดินทางให้แก่ประชาชน นอกจากนี้ การพัฒนาพื้นที่แปลง A ยังช่วยเพิ่มรายได้ที่ไม่ใช่รายได้หลัก (Non Core) และช่วยแก้ไขปัญหาหนี้สินทางการเงินของ รฟท. ได้ด้วย
2. คณะกรรมการ PPP เห็นชอบให้โครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในโครงการขนาดกลาง (วงเงินมูลค่า 1,000 – 5,000 ล้านบาท) จํานวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 7,383 ล้านบาท โดยให้ไปดําเนินการดังนี้
2.1 ให้โครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย ของกรมการขนส่งทางบก มูลค่าโครงการ 2,700 ล้านบาท ดําเนินโครงการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 (พระราชบัญญัติร่วมลงทุนฯ)
2.2 ให้โครงการพัฒนาที่ดินคลังพัสดุคลองเตย ของบริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) มูลค่าโครงการ 3,147 ล้านบาท ดําเนินโครงการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนของประกาศคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการที่มีวงเงินมูลค่าต่ํากว่าที่กําหนดในมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 พ.ศ. 2559 (ประกาศคณะกรรมการ PPP สําหรับโครงการที่มีมูลค่าต่ํากว่า 5,000 ล้านบาท)
2.3 ให้โครงการจัดให้เช่าที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ชบ. 350 (บริเวณสนามกอล์ฟบางพระ) ของกรมธนารักษ์ มูลค่าโครงการ 1,536 ล้านบาท ดําเนินโครงการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนของประกาศคณะกรรมการ PPP สําหรับโครงการที่มีมูลค่าต่ํากว่า 5,000 ล้านบาท
3. คณะกรรมการ PPP เห็นชอบเพิ่มเติมโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดนครราชสีมาเข้ามาตรการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP Fast Track) มูลค่าการลงทุนเบื้องต้นประมาณ 32,600 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการกระจายการลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไปสู่ภูมิภาคและแก้ไขปัญหาการจราจรหนาแน่นของเมืองหลัก โดยขอให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดติดตามการดําเนินโครงการภายใต้มาตรการ PPP Fast Track ให้เป็นไปตามกําหนดเวลา ซึ่งทําให้โครงการภายใต้มาตรการ PPP Fast Track ทั้งหมด 12 โครงการ มูลค่าการลงทุนเบื้องต้นรวม 966,800 ล้านบาท โดยในปี 2561 คาดว่าจะมีโครงการภายใต้มาตรการ PPP Fast Track นําเสนอคณะกรรมการ PPP จํานวน 3 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 406,874 ล้านบาท ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงตะวันตกและตะวันออก 195,642 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน – วงแหวนกาญจนาภิเษก 131,172 ล้านบาท และโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายนครปฐม – ชะอํา 80,060 ล้านบาท
4. คณะกรรมการ PPP เห็นชอบในหลักการของหลักเกณฑ์การเปรียบเทียบต้นทุน ความเสี่ยง และความคุ้มค่าในการประเมินทางเลือกการลงทุน (Value For Money: VFM) ตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติร่วมลงทุนฯ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือให้หน่วยงานภาครัฐนําไปใช้ในการประเมิน ความคุ้มค่า และตัดสินใจระหว่างการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐกับภาครัฐดําเนินโครงการเองโดยการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินหรืองบประมาณของหน่วยงานของรัฐทั้งหมด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการ PPP เห็นชอบโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณสถานีกลางบางซื่อแปลง A และโครงการขนาดกลาง 3 โครงการ มูลค่ารวม 2.2 หมื่นล้านบาท
วันพุธที่ 7 มีนาคม 2561
คณะกรรมการ PPP เห็นชอบโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณสถานีกลางบางซื่อแปลง A และโครงการขนาดกลาง 3 โครงการ มูลค่ารวม 2.2 หมื่นล้านบาท
“คณะกรรมการ PPP เห็นชอบโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณสถานีกลางบางซื่อแปลง A และโครงการขนาดกลาง 3 โครงการ มูลค่ารวม 2.2 หมื่นล้านบาท พร้อมทั้งกําหนดให้โครงการรถไฟฟ้านครราชสีมาเข้ามาตรการ PPP Fast Track”
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการ PPP)เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการ PPP ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันพุธที่ 7 มีนาคม 2561 ณ กระทรวงการคลัง โดยมีนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานที่ประชุม สรุปได้ดังนี้
1. คณะกรรมการ PPP เห็นชอบในหลักการของโครงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์บริเวณสถานีกลางบางซื่อแปลง A ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) พื้นที่พัฒนาได้ประมาณ 32 ไร่ โดยให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนทั้งหมด ในรูปแบบสร้าง – บริหาร – โอน (BOT) ระยะเวลาดําเนินธุรกิจ 30 ปี และระยะเวลาก่อสร้างไม่เกิน 4 ปี โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 1.54 หมื่นล้านบาท ซี่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ศูนย์คมนาคมขนส่งพหลโยธิน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้พื้นที่บริเวณศูนย์คมนาคมขนส่งพหลโยธินเป็นศูนย์กลางการเดินทางและย่านธุรกิจแห่งใหม่ด้านทิศเหนือของกรุงเทพฯ และอํานวยความสะดวกด้านการเดินทางให้แก่ประชาชน นอกจากนี้ การพัฒนาพื้นที่แปลง A ยังช่วยเพิ่มรายได้ที่ไม่ใช่รายได้หลัก (Non Core) และช่วยแก้ไขปัญหาหนี้สินทางการเงินของ รฟท. ได้ด้วย
2. คณะกรรมการ PPP เห็นชอบให้โครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในโครงการขนาดกลาง (วงเงินมูลค่า 1,000 – 5,000 ล้านบาท) จํานวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 7,383 ล้านบาท โดยให้ไปดําเนินการดังนี้
2.1 ให้โครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย ของกรมการขนส่งทางบก มูลค่าโครงการ 2,700 ล้านบาท ดําเนินโครงการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 (พระราชบัญญัติร่วมลงทุนฯ)
2.2 ให้โครงการพัฒนาที่ดินคลังพัสดุคลองเตย ของบริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) มูลค่าโครงการ 3,147 ล้านบาท ดําเนินโครงการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนของประกาศคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการที่มีวงเงินมูลค่าต่ํากว่าที่กําหนดในมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 พ.ศ. 2559 (ประกาศคณะกรรมการ PPP สําหรับโครงการที่มีมูลค่าต่ํากว่า 5,000 ล้านบาท)
2.3 ให้โครงการจัดให้เช่าที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ชบ. 350 (บริเวณสนามกอล์ฟบางพระ) ของกรมธนารักษ์ มูลค่าโครงการ 1,536 ล้านบาท ดําเนินโครงการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนของประกาศคณะกรรมการ PPP สําหรับโครงการที่มีมูลค่าต่ํากว่า 5,000 ล้านบาท
3. คณะกรรมการ PPP เห็นชอบเพิ่มเติมโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดนครราชสีมาเข้ามาตรการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP Fast Track) มูลค่าการลงทุนเบื้องต้นประมาณ 32,600 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการกระจายการลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไปสู่ภูมิภาคและแก้ไขปัญหาการจราจรหนาแน่นของเมืองหลัก โดยขอให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดติดตามการดําเนินโครงการภายใต้มาตรการ PPP Fast Track ให้เป็นไปตามกําหนดเวลา ซึ่งทําให้โครงการภายใต้มาตรการ PPP Fast Track ทั้งหมด 12 โครงการ มูลค่าการลงทุนเบื้องต้นรวม 966,800 ล้านบาท โดยในปี 2561 คาดว่าจะมีโครงการภายใต้มาตรการ PPP Fast Track นําเสนอคณะกรรมการ PPP จํานวน 3 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 406,874 ล้านบาท ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงตะวันตกและตะวันออก 195,642 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน – วงแหวนกาญจนาภิเษก 131,172 ล้านบาท และโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายนครปฐม – ชะอํา 80,060 ล้านบาท
4. คณะกรรมการ PPP เห็นชอบในหลักการของหลักเกณฑ์การเปรียบเทียบต้นทุน ความเสี่ยง และความคุ้มค่าในการประเมินทางเลือกการลงทุน (Value For Money: VFM) ตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติร่วมลงทุนฯ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือให้หน่วยงานภาครัฐนําไปใช้ในการประเมิน ความคุ้มค่า และตัดสินใจระหว่างการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐกับภาครัฐดําเนินโครงการเองโดยการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินหรืองบประมาณของหน่วยงานของรัฐทั้งหมด
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10605
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนพฤศจิกายน 2561
|
วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2561
รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจําเดือนพฤศจิกายน 2561
ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจําเดือนพฤศจิกายน 2561
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจําเดือนพฤศจิกายน 2561 โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้
สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ที่กระทรวงการคลังเปิดให้ผู้สนใจยื่นคําขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์เป็นต้นมา จนถึง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2561 มีนิติบุคคลยื่นคําขออนุญาตทั้งสิ้น 805 ราย ใน 73 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้ยื่นคําขออนุญาตมากที่สุด 3 ลําดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา 71 ราย กรุงเทพมหานคร 63 ราย ร้อยเอ็ดและขอนแก่น 39 ราย ทั้งนี้ มีจํานวนที่คืนคําขออนุญาตทั้งสิ้น 101 ราย ใน 47 จังหวัด จึงมีนิติบุคคลที่ยื่นคําขออนุญาตสุทธิ 704 ราย ใน 73 จังหวัด และมีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจแล้ว 412 ราย ใน 65 จังหวัด ซึ่งในจํานวนนี้ ได้เปิดดําเนินการแล้ว 350 ราย ใน 64 จังหวัด และมีผู้ประกอบการที่ปล่อยสินเชื่อแล้ว 336 ราย ใน 63 จังหวัด โดยผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตสามารถปล่อยสินเชื่อได้ภายในเขตจังหวัดให้แก่ผู้มีภูมิลําเนาหรือถิ่นที่อยู่ภายในจังหวัดนั้น ๆ วงเงินรายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective Rate)
ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2561 มียอดสินเชื่ออนุมัติสะสม 46,201 บัญชี รวมเป็นเงิน 1,278.29 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่ออนุมัติเฉลี่ย 27,667.88 บาทต่อบัญชี ประกอบด้วย สินเชื่อแบบมีหลักประกัน 24,987 บัญชี เป็นเงิน 766.83 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 59.99 ของจํานวนสินเชื่อที่อนุมัติ และสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน 21,214 บัญชี เป็นเงิน 511.46 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 40.01 ของจํานวนสินเชื่อที่อนุมัติ ขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างรวมมีทั้งสิ้น 19,775 บัญชี คิดเป็นเงิน 570.39 ล้านบาท สําหรับสินเชื่อที่ค้างชําระไม่เกิน 3 เดือน มีจํานวน 1,793 บัญชี คิดเป็นเงิน 56.36 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.88 ของยอดสินเชื่อคงค้างรวม และมีสินเชื่อค้างชําระเกินกว่า 3 เดือน (NPL) จํานวน 477 บัญชี คิดเป็นเงิน 16.65 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.92 ของสินเชื่อคงค้างรวม
สินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560 ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้อนุมัติสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินให้เป็นทางเลือกของประชาชนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบแทนหนี้นอกระบบ รายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.85 ต่อเดือน โดยได้เร่งกระจายความช่วยเหลือด้านสินเชื่อดังกล่าวแก่ประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2561 มีการอนุมัติสินเชื่อรวม 409,761 ราย เป็นเงิน 18,376.62 ล้านบาท จําแนกเป็นสินเชื่อที่อนุมัติแก่ประชาชนทั่วไป 379,118 ราย เป็นเงิน 17,051.32 ล้านบาท และสินเชื่อที่อนุมัติแก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ที่มีหนี้นอกระบบ จํานวน 30,643 ราย เป็นเงิน 1,325.30 ล้านบาท
การดําเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่กระทําผิดกฎหมาย สํานักงานตํารวจแห่งชาติยังคงกวดขันจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบและผู้ติดตามทวงถามหนี้โดยวิธีการผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดําเนินการสะสมนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 เป็นต้นมา ถึง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2561 มีการจับกุมผู้กระทําผิดรวมทั้งสิ้น 4,501 คน
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ยึดแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาล เพื่อให้การแก้ปัญหมีความยั่งยืนใน 5 มิติ ได้แก่ (1) ดําเนินการจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย (2) เพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ (3) ลดภาระหนี้นอกระบบโดยการไกล่เกลี่ย (4) เพิ่มศักยภาพลูกหนี้นอกระบบ และ (5) การสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ พร้อมกันนี้ กระทรวงการคลังได้รับความร่วมมือจากสํานักงานตํารวจแห่งชาติและกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรร่วมผลักดันเจ้าหนี้นอกระบบรายใหญ่ที่มีลูกหนี้จํานวนมากเข้าสู่การไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ของคณะอนุกรรมการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้นอกระบบประจําจังหวัด ซึ่งมีอัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดเป็นประธาน ตลอดจนร่วมประชาสัมพันธ์เชิญชวนเจ้าหนี้นอกระบบให้หันมาดําเนินธุรกิจสินเชื่อในระบบให้เป็นไปตามกฎหมายด้วยการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นแหล่งเงินกู้ทางเลือกที่สําคัญของประชาชน ทั้งนี้ ประชาชนผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลและรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดําเนินการได้ทางเว็บไซต์ www.1359.go.th และสามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบที่ผิดกฎหมายได้โดยตรงที่
• สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สายด่วน 1599
• ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรมของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ สายด่วน 1155
• ศูนย์ดํารงธรรม สายด่วน 1567
• ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง สายด่วน 1359
สํานักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน
โทร. สายด่วน 1359
โดยมีรายละเอียดปรากฏตามเอกสารแนบ
สถิติสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์)
รายการ ส.ค. 61 ก.ย. 61 ต.ค. 61 พ.ย. 61
1. การพิจารณาอนุญาต (ยอดสะสม)
1.1 คําขออนุญาต (ราย) 579 651 721 805
1.2 คืนคําขออนุญาต (ราย) 92 93 93 101
1.3 คําขออนุญาตสุทธิ (ราย) 487 558 628 704
1.4 ผู้ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจ (ราย) 386 394 405 412
1.5 ผู้เปิดดําเนินการ (ราย) 310 329 337 350
2. การอนุมัติสินเชื่อ
2.1 สินเชื่ออนุมัติสะสม
จํานวนบัญชีรวมทั้งสิ้น 36,694 41,431 46,201 N/A
(% m-o-m) +13.42 +12.91 +11.51
จํานวนเงินรวมทั้งสิ้น (ล้านบาท) 984.42 1,125.04 1,278.29 N/A
(% m-o-m) +15.44 +14.29 +13.62
(1) สินเชื่อแบบมีหลักประกัน
จํานวนบัญชี 19,468 22,418 24,987 N/A
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 586.87 678.03 766.83 N/A
(2) สินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน
จํานวนบัญชี 17,226 19,013 21,214 N/A
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 397.55 447.01 511.46 N/A
2.2 ยอดคงค้างสินเชื่อ
จํานวนบัญชีรวมทั้งสิ้น 18,350 19,178 19,775 N/A
(% m-o-m) +13.64 +4.51 +3.11
จํานวนเงินรวมทั้งสิ้น (ล้านบาท) 488.57 513.64 570.39 N/A
(% m-o-m) +17.41 +5.13 +11.05
(1) หนี้สถานะปกติ
จํานวนบัญชี 16,526 17,144 17,505 N/A
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 429.08 448.79 497.38 N/A
(2) หนี้ค้างชําระ 1-3 เดือน (SM)
จํานวนบัญชี 1,456 1,633 1,793 N/A
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 47.28 51.48 56.36 N/A
หนี้ SM ต่อยอดคงค้างสินเชื่อ (SM Ratio - %) 9.68 10.02 9.88 N/A
(3) หนี้ค้างชําระเกินกว่า 3 เดือน (NPL)
จํานวนบัญชี 368 401 477 N/A
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 12.21 13.37 16.65 N/A
หนี้ NPL ต่อยอดคงค้างสินเชื่อ (NPL Ratio - %) 2.50 2.60 2.92 N/A
ที่มา : สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
หมายเหตุ : 1. มีการปรับปรุงข้อมูลเดือนสิงหาคม 2561 และกันยายน 2561 ให้เป็นปัจจุบัน
2. หนี้จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (Special Mention Loan : SM) หมายถึง หนี้ซึ่งค้างชําระระหว่าง 1 - 3 เดือน
และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan : NPL) หมายถึง หนี้ซึ่งค้างชําระเกินกว่า 3 เดือน
สถิติการอนุมัติสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน (ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2561)
ธนาคาร ประชาชนทั่วไป ผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้นอกระบบ รวมทั้งสิ้น
ราย ล้านบาท ราย ล้านบาท ราย ล้านบาท
ออมสิน 191,211 (+8.67%) 8,065.26 (+8.71%) 15,387
(+20.89%) 602.27
(+19.29%) 206,598
(+9.49%) 8,667.53
(+9.39%)
ธ.ก.ส. 187,907
(+3.29%) 8,986.06
(+3.99%) 15,256
(+7.93%) 723.03
(+8.08%) 203,163
(+3.63%) 9,709.09
(+4.28%)
รวม 379,118
(+5.93%) 17,051.32
(+6.17%) 30,643
(+14.07%) 1,325.30
(+12.90%) 409,761
(+6.50%) 18,376.62
(+6.63%)
ที่มา : ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส.
รวบรวมโดย : สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนพฤศจิกายน 2561
วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2561
รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจําเดือนพฤศจิกายน 2561
ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจําเดือนพฤศจิกายน 2561
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจําเดือนพฤศจิกายน 2561 โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้
สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ที่กระทรวงการคลังเปิดให้ผู้สนใจยื่นคําขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์เป็นต้นมา จนถึง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2561 มีนิติบุคคลยื่นคําขออนุญาตทั้งสิ้น 805 ราย ใน 73 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้ยื่นคําขออนุญาตมากที่สุด 3 ลําดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา 71 ราย กรุงเทพมหานคร 63 ราย ร้อยเอ็ดและขอนแก่น 39 ราย ทั้งนี้ มีจํานวนที่คืนคําขออนุญาตทั้งสิ้น 101 ราย ใน 47 จังหวัด จึงมีนิติบุคคลที่ยื่นคําขออนุญาตสุทธิ 704 ราย ใน 73 จังหวัด และมีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจแล้ว 412 ราย ใน 65 จังหวัด ซึ่งในจํานวนนี้ ได้เปิดดําเนินการแล้ว 350 ราย ใน 64 จังหวัด และมีผู้ประกอบการที่ปล่อยสินเชื่อแล้ว 336 ราย ใน 63 จังหวัด โดยผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตสามารถปล่อยสินเชื่อได้ภายในเขตจังหวัดให้แก่ผู้มีภูมิลําเนาหรือถิ่นที่อยู่ภายในจังหวัดนั้น ๆ วงเงินรายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective Rate)
ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2561 มียอดสินเชื่ออนุมัติสะสม 46,201 บัญชี รวมเป็นเงิน 1,278.29 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่ออนุมัติเฉลี่ย 27,667.88 บาทต่อบัญชี ประกอบด้วย สินเชื่อแบบมีหลักประกัน 24,987 บัญชี เป็นเงิน 766.83 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 59.99 ของจํานวนสินเชื่อที่อนุมัติ และสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน 21,214 บัญชี เป็นเงิน 511.46 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 40.01 ของจํานวนสินเชื่อที่อนุมัติ ขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างรวมมีทั้งสิ้น 19,775 บัญชี คิดเป็นเงิน 570.39 ล้านบาท สําหรับสินเชื่อที่ค้างชําระไม่เกิน 3 เดือน มีจํานวน 1,793 บัญชี คิดเป็นเงิน 56.36 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.88 ของยอดสินเชื่อคงค้างรวม และมีสินเชื่อค้างชําระเกินกว่า 3 เดือน (NPL) จํานวน 477 บัญชี คิดเป็นเงิน 16.65 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.92 ของสินเชื่อคงค้างรวม
สินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560 ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้อนุมัติสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินให้เป็นทางเลือกของประชาชนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบแทนหนี้นอกระบบ รายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.85 ต่อเดือน โดยได้เร่งกระจายความช่วยเหลือด้านสินเชื่อดังกล่าวแก่ประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2561 มีการอนุมัติสินเชื่อรวม 409,761 ราย เป็นเงิน 18,376.62 ล้านบาท จําแนกเป็นสินเชื่อที่อนุมัติแก่ประชาชนทั่วไป 379,118 ราย เป็นเงิน 17,051.32 ล้านบาท และสินเชื่อที่อนุมัติแก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ที่มีหนี้นอกระบบ จํานวน 30,643 ราย เป็นเงิน 1,325.30 ล้านบาท
การดําเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่กระทําผิดกฎหมาย สํานักงานตํารวจแห่งชาติยังคงกวดขันจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบและผู้ติดตามทวงถามหนี้โดยวิธีการผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดําเนินการสะสมนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 เป็นต้นมา ถึง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2561 มีการจับกุมผู้กระทําผิดรวมทั้งสิ้น 4,501 คน
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ยึดแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาล เพื่อให้การแก้ปัญหมีความยั่งยืนใน 5 มิติ ได้แก่ (1) ดําเนินการจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย (2) เพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ (3) ลดภาระหนี้นอกระบบโดยการไกล่เกลี่ย (4) เพิ่มศักยภาพลูกหนี้นอกระบบ และ (5) การสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ พร้อมกันนี้ กระทรวงการคลังได้รับความร่วมมือจากสํานักงานตํารวจแห่งชาติและกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรร่วมผลักดันเจ้าหนี้นอกระบบรายใหญ่ที่มีลูกหนี้จํานวนมากเข้าสู่การไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ของคณะอนุกรรมการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้นอกระบบประจําจังหวัด ซึ่งมีอัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดเป็นประธาน ตลอดจนร่วมประชาสัมพันธ์เชิญชวนเจ้าหนี้นอกระบบให้หันมาดําเนินธุรกิจสินเชื่อในระบบให้เป็นไปตามกฎหมายด้วยการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นแหล่งเงินกู้ทางเลือกที่สําคัญของประชาชน ทั้งนี้ ประชาชนผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลและรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดําเนินการได้ทางเว็บไซต์ www.1359.go.th และสามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบที่ผิดกฎหมายได้โดยตรงที่
• สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สายด่วน 1599
• ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรมของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ สายด่วน 1155
• ศูนย์ดํารงธรรม สายด่วน 1567
• ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง สายด่วน 1359
สํานักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน
โทร. สายด่วน 1359
โดยมีรายละเอียดปรากฏตามเอกสารแนบ
สถิติสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์)
รายการ ส.ค. 61 ก.ย. 61 ต.ค. 61 พ.ย. 61
1. การพิจารณาอนุญาต (ยอดสะสม)
1.1 คําขออนุญาต (ราย) 579 651 721 805
1.2 คืนคําขออนุญาต (ราย) 92 93 93 101
1.3 คําขออนุญาตสุทธิ (ราย) 487 558 628 704
1.4 ผู้ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจ (ราย) 386 394 405 412
1.5 ผู้เปิดดําเนินการ (ราย) 310 329 337 350
2. การอนุมัติสินเชื่อ
2.1 สินเชื่ออนุมัติสะสม
จํานวนบัญชีรวมทั้งสิ้น 36,694 41,431 46,201 N/A
(% m-o-m) +13.42 +12.91 +11.51
จํานวนเงินรวมทั้งสิ้น (ล้านบาท) 984.42 1,125.04 1,278.29 N/A
(% m-o-m) +15.44 +14.29 +13.62
(1) สินเชื่อแบบมีหลักประกัน
จํานวนบัญชี 19,468 22,418 24,987 N/A
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 586.87 678.03 766.83 N/A
(2) สินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน
จํานวนบัญชี 17,226 19,013 21,214 N/A
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 397.55 447.01 511.46 N/A
2.2 ยอดคงค้างสินเชื่อ
จํานวนบัญชีรวมทั้งสิ้น 18,350 19,178 19,775 N/A
(% m-o-m) +13.64 +4.51 +3.11
จํานวนเงินรวมทั้งสิ้น (ล้านบาท) 488.57 513.64 570.39 N/A
(% m-o-m) +17.41 +5.13 +11.05
(1) หนี้สถานะปกติ
จํานวนบัญชี 16,526 17,144 17,505 N/A
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 429.08 448.79 497.38 N/A
(2) หนี้ค้างชําระ 1-3 เดือน (SM)
จํานวนบัญชี 1,456 1,633 1,793 N/A
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 47.28 51.48 56.36 N/A
หนี้ SM ต่อยอดคงค้างสินเชื่อ (SM Ratio - %) 9.68 10.02 9.88 N/A
(3) หนี้ค้างชําระเกินกว่า 3 เดือน (NPL)
จํานวนบัญชี 368 401 477 N/A
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 12.21 13.37 16.65 N/A
หนี้ NPL ต่อยอดคงค้างสินเชื่อ (NPL Ratio - %) 2.50 2.60 2.92 N/A
ที่มา : สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
หมายเหตุ : 1. มีการปรับปรุงข้อมูลเดือนสิงหาคม 2561 และกันยายน 2561 ให้เป็นปัจจุบัน
2. หนี้จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (Special Mention Loan : SM) หมายถึง หนี้ซึ่งค้างชําระระหว่าง 1 - 3 เดือน
และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan : NPL) หมายถึง หนี้ซึ่งค้างชําระเกินกว่า 3 เดือน
สถิติการอนุมัติสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน (ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2561)
ธนาคาร ประชาชนทั่วไป ผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้นอกระบบ รวมทั้งสิ้น
ราย ล้านบาท ราย ล้านบาท ราย ล้านบาท
ออมสิน 191,211 (+8.67%) 8,065.26 (+8.71%) 15,387
(+20.89%) 602.27
(+19.29%) 206,598
(+9.49%) 8,667.53
(+9.39%)
ธ.ก.ส. 187,907
(+3.29%) 8,986.06
(+3.99%) 15,256
(+7.93%) 723.03
(+8.08%) 203,163
(+3.63%) 9,709.09
(+4.28%)
รวม 379,118
(+5.93%) 17,051.32
(+6.17%) 30,643
(+14.07%) 1,325.30
(+12.90%) 409,761
(+6.50%) 18,376.62
(+6.63%)
ที่มา : ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส.
รวบรวมโดย : สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17657
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. เหยียบคันเร่ง ‘รถม้าเติมทุนฯ’ ปูพรมตลาดท่องเที่ยวชุมชนทั่วไทย หนุนผู้ประกอบการคนตัวเล็กเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยถูกไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำ
|
วันจันทร์ที่ 17 กันยายน 2561
ธพว. เหยียบคันเร่ง ‘รถม้าเติมทุนฯ’ ปูพรมตลาดท่องเที่ยวชุมชนทั่วไทย หนุนผู้ประกอบการคนตัวเล็กเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยถูกไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ํา
ธพว. เดินหน้าส่งหน่วยบริการเคลื่อนที่รถม้าเติมทุนฯ ลงพื้นที่สนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยในตลาดท่องเที่ยวชุมชนทั่วไทย หนุนเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยถูก ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ําประกัน ยกตัวอย่างความสําเร็จ ดันผู้ค้า “ตลาดหลวงปู่ทวด” ถึงแหล่งทุนฉลุย
SME Development Bank เดินหน้าส่งหน่วยบริการเคลื่อนที่รถม้าเติมทุนฯ ลงพื้นที่สนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยในตลาดท่องเที่ยวชุมชนทั่วไทย หนุนเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยถูก ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ําประกัน ยกตัวอย่างความสําเร็จ ดันผู้ค้า “ตลาดหลวงปู่ทวด” ถึงแหล่งทุนฉลุย
นายมงคล ลีลาธรรม ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank หรือ ธพว.) กล่าวว่า จากที่ธนาคารร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สํารวจจํานวน เอสเอ็มอี พบว่า ยังมีผู้ประกอบการรายย่อย หรือที่เรียกว่า “คนตัวเล็ก” ไม่ได้จดทะเบียน ตกสํารวจอยู่นอกระบบ กระจายอยู่ทั่วประเทศอีกกว่า 2.7 ราย ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ของภาครัฐ และแหล่งทุนของสถาบันการเงินในระบบ ธนาคารจึงได้ใช้กระบวนการ “หน่วยรถม้าเติมทุน ส่งเสริม SMEsไทย ฉับไว ไปถึงถิ่น” บริการเคลื่อนที่วิ่งเข้าหาผู้ประกอบการเหล่านี้ถึงถิ่นตามชุมชนต่างๆ เพื่อเห็นข้อมูลเชิงประจักษ์ มีตัวตนจริง และยืนยันได้ถึงการดําเนินธุรกิจจริง เพื่อจะพาเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ําประกัน นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา หน่วยรถม้าฯ ออกให้บริการทั่วประเทศแล้วกว่า 600 คัน
หนึ่งในพื้นที่สําคัญที่มอบนโยบายให้หน่วยรถม้าฯ ลงพื้นที่บริการสินเชื่อแก่คนตัวเล็ก คือ ตลาดท่องเที่ยวชุมชน และ ตลาดแนวย้อนยุค ซึ่งเป็นแหล่งที่มีผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายรวมกันอยู่จํานวนมาก และกําลังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ รวมถึง มีความสําคัญเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง เพราะผู้ค้าส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนในพื้นที่ ซึ่งกระบวนการพาถึงแหล่งทุนนั้น เบื้องต้นหน่วยรถม้าฯ จะลงพื้นที่ตามตลาดท่องเที่ยวชุมชนต่างๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อแนะนําสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ เช่น สินเชื่อเศรษฐกิจติดดาว สําหรับบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล ดอกเบี้ย 3%ต่อปี และสินเชื่อเถ้าแก่ 4.0 ของกระทรวงอุตสาหกรรม สําหรับนิติบุคคล ดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี พร้อมให้บริการยื่นกู้ผ่านแพลตฟอร์ม SME D Bank ได้ทันที สามารถรู้ผลว่าคุณสมบัติเข้าเงื่อนไขได้รับการพิจารณาสินเชื่อหรือไม่ภายใน 7 วัน ซึ่งที่ผ่านมา เกิดผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรมหลายแห่ง ตัวอย่างเช่น “ตลาดหลวงปู่ทวด” จ.พระนครศรีอยุธยา สามารถอํานวยสินเชื่อให้แก่ผู้ค้ารายย่อย โดยดูจากข้อมูลเชิงประจักษ์ถึงการดําเนินธุรกิจจริง ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ําประกัน เช่น ร้านข้าวหลามสามแม่ลูก ร้านก๋วยเตี๋ยวกะโหลกกะลา และร้านตันหยง หมี่กรอบโบราณ เป็นต้น เบื้องต้นในตลาดแห่งนี้ มีผู้ประกอบการเข้าใช้บริการสินเชื่อของธนาคารแล้วกว่า 20 ราย เฉลี่ยวงเงิน 3 แสนบาทต่อราย
“ตลาดหลวงปู่ทวด เป็นตลาดท่องเที่ยวชุมชนที่มีความโดดเด่นด้านบริหารจัดการ คัดสรรเฉพาะสินค้าดีจากภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่น หลายธุรกิจมีความศักยภาพจะขยายกิจการ หรือเพิ่มมูลค่าได้ แต่เนื่องจากผู้ประกอบการรายย่อยมักไม่มีเวลาเข้ามาติดต่อธนาคาร และไม่มีเอกสารยืนยันใดๆ ทําให้พลาดโอกาสเข้าถึงแหล่งทุนอย่างน่าเสียดาย หน่วยรถม้าเติมทุนฯ จึงเข้ามาทําหน้าที่พาผู้ประกอบการเหล่านี้เข้าถึงบริการของภาครัฐ ทั้งด้านเงินทุนโดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ําประกัน ควบคู่เติมความรู้ เพื่อให้รายย่อยเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งความสําเร็จเช่นนี้จะกระจายไปยังตลาดท่องเที่ยวชุมชนอื่นๆทั่วประเทศ” นายมงคล กล่าว
ด้านนายวัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์ นายกองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านใหม่ อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา และผู้บริหาร ตลาดหลวงปู่ทวด กล่าวว่า ตลาดแห่งนี้ เปิดขึ้นมาเพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยในท้องถิ่นอย่างแท้จริง ซึ่งในอดีตค้าขายอยู่ตามข้างทาง ให้มาอยู่รวมกัน มีสถานที่ประกอบอาชีพถาวร เชื่อมโยงการท่องเที่ยวชุมชน ซึ่งจะสร้างอาชีพสร้างรายได้อย่างมั่นใจ โดยนับตั้งแต่เปิดตลาดมาประมาณ 5 ปี จํานวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ปัจจุบันเฉลี่ยประมาณ 3,000 คนต่อวัน หากเป็นวันเสาร์-อาทิตย์เฉลี่ย 10,000 คนต่อวัน ยิ่งเป็นช่วงเทศกาลหยุดยาว เพิ่มถึง 30,000 คนต่อวัน ยอดขายรวมจากผู้ประกอบการทั้งหมดในตลาด 135 ราย นับเพียง 4 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-เม.ย.2561) กว่า 60 ล้านบาท ซึ่งหลายรายขายดีจนผลิตไม่ทัน มีความต้องการสินเชื่อเพื่อจะขยายกําลังผลิตเพิ่ม แต่ที่ผ่านมา ไม่สามารถทําได้ เพราะขาดหลักทรัพย์ค้ําประกัน กระทั่ง มีบริการรูปแบบใหม่ของหน่วยรถม้าเติมทุนฯ จาก SME Development Bank ที่พิจารณาอนุมัติสินเชื่อจากการดูว่าทําธุรกิจจริง ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ําประกัน นับเป็นการช่วยผู้ค้ารายย่อยเข้าถึงแหล่งทุนได้อย่างถูกต้องและโดนใจอย่างยิ่ง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. เหยียบคันเร่ง ‘รถม้าเติมทุนฯ’ ปูพรมตลาดท่องเที่ยวชุมชนทั่วไทย หนุนผู้ประกอบการคนตัวเล็กเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยถูกไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำ
วันจันทร์ที่ 17 กันยายน 2561
ธพว. เหยียบคันเร่ง ‘รถม้าเติมทุนฯ’ ปูพรมตลาดท่องเที่ยวชุมชนทั่วไทย หนุนผู้ประกอบการคนตัวเล็กเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยถูกไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ํา
ธพว. เดินหน้าส่งหน่วยบริการเคลื่อนที่รถม้าเติมทุนฯ ลงพื้นที่สนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยในตลาดท่องเที่ยวชุมชนทั่วไทย หนุนเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยถูก ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ําประกัน ยกตัวอย่างความสําเร็จ ดันผู้ค้า “ตลาดหลวงปู่ทวด” ถึงแหล่งทุนฉลุย
SME Development Bank เดินหน้าส่งหน่วยบริการเคลื่อนที่รถม้าเติมทุนฯ ลงพื้นที่สนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยในตลาดท่องเที่ยวชุมชนทั่วไทย หนุนเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยถูก ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ําประกัน ยกตัวอย่างความสําเร็จ ดันผู้ค้า “ตลาดหลวงปู่ทวด” ถึงแหล่งทุนฉลุย
นายมงคล ลีลาธรรม ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank หรือ ธพว.) กล่าวว่า จากที่ธนาคารร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สํารวจจํานวน เอสเอ็มอี พบว่า ยังมีผู้ประกอบการรายย่อย หรือที่เรียกว่า “คนตัวเล็ก” ไม่ได้จดทะเบียน ตกสํารวจอยู่นอกระบบ กระจายอยู่ทั่วประเทศอีกกว่า 2.7 ราย ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ของภาครัฐ และแหล่งทุนของสถาบันการเงินในระบบ ธนาคารจึงได้ใช้กระบวนการ “หน่วยรถม้าเติมทุน ส่งเสริม SMEsไทย ฉับไว ไปถึงถิ่น” บริการเคลื่อนที่วิ่งเข้าหาผู้ประกอบการเหล่านี้ถึงถิ่นตามชุมชนต่างๆ เพื่อเห็นข้อมูลเชิงประจักษ์ มีตัวตนจริง และยืนยันได้ถึงการดําเนินธุรกิจจริง เพื่อจะพาเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ําประกัน นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา หน่วยรถม้าฯ ออกให้บริการทั่วประเทศแล้วกว่า 600 คัน
หนึ่งในพื้นที่สําคัญที่มอบนโยบายให้หน่วยรถม้าฯ ลงพื้นที่บริการสินเชื่อแก่คนตัวเล็ก คือ ตลาดท่องเที่ยวชุมชน และ ตลาดแนวย้อนยุค ซึ่งเป็นแหล่งที่มีผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายรวมกันอยู่จํานวนมาก และกําลังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ รวมถึง มีความสําคัญเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง เพราะผู้ค้าส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนในพื้นที่ ซึ่งกระบวนการพาถึงแหล่งทุนนั้น เบื้องต้นหน่วยรถม้าฯ จะลงพื้นที่ตามตลาดท่องเที่ยวชุมชนต่างๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อแนะนําสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ เช่น สินเชื่อเศรษฐกิจติดดาว สําหรับบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล ดอกเบี้ย 3%ต่อปี และสินเชื่อเถ้าแก่ 4.0 ของกระทรวงอุตสาหกรรม สําหรับนิติบุคคล ดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี พร้อมให้บริการยื่นกู้ผ่านแพลตฟอร์ม SME D Bank ได้ทันที สามารถรู้ผลว่าคุณสมบัติเข้าเงื่อนไขได้รับการพิจารณาสินเชื่อหรือไม่ภายใน 7 วัน ซึ่งที่ผ่านมา เกิดผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรมหลายแห่ง ตัวอย่างเช่น “ตลาดหลวงปู่ทวด” จ.พระนครศรีอยุธยา สามารถอํานวยสินเชื่อให้แก่ผู้ค้ารายย่อย โดยดูจากข้อมูลเชิงประจักษ์ถึงการดําเนินธุรกิจจริง ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ําประกัน เช่น ร้านข้าวหลามสามแม่ลูก ร้านก๋วยเตี๋ยวกะโหลกกะลา และร้านตันหยง หมี่กรอบโบราณ เป็นต้น เบื้องต้นในตลาดแห่งนี้ มีผู้ประกอบการเข้าใช้บริการสินเชื่อของธนาคารแล้วกว่า 20 ราย เฉลี่ยวงเงิน 3 แสนบาทต่อราย
“ตลาดหลวงปู่ทวด เป็นตลาดท่องเที่ยวชุมชนที่มีความโดดเด่นด้านบริหารจัดการ คัดสรรเฉพาะสินค้าดีจากภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่น หลายธุรกิจมีความศักยภาพจะขยายกิจการ หรือเพิ่มมูลค่าได้ แต่เนื่องจากผู้ประกอบการรายย่อยมักไม่มีเวลาเข้ามาติดต่อธนาคาร และไม่มีเอกสารยืนยันใดๆ ทําให้พลาดโอกาสเข้าถึงแหล่งทุนอย่างน่าเสียดาย หน่วยรถม้าเติมทุนฯ จึงเข้ามาทําหน้าที่พาผู้ประกอบการเหล่านี้เข้าถึงบริการของภาครัฐ ทั้งด้านเงินทุนโดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ําประกัน ควบคู่เติมความรู้ เพื่อให้รายย่อยเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งความสําเร็จเช่นนี้จะกระจายไปยังตลาดท่องเที่ยวชุมชนอื่นๆทั่วประเทศ” นายมงคล กล่าว
ด้านนายวัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์ นายกองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านใหม่ อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา และผู้บริหาร ตลาดหลวงปู่ทวด กล่าวว่า ตลาดแห่งนี้ เปิดขึ้นมาเพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยในท้องถิ่นอย่างแท้จริง ซึ่งในอดีตค้าขายอยู่ตามข้างทาง ให้มาอยู่รวมกัน มีสถานที่ประกอบอาชีพถาวร เชื่อมโยงการท่องเที่ยวชุมชน ซึ่งจะสร้างอาชีพสร้างรายได้อย่างมั่นใจ โดยนับตั้งแต่เปิดตลาดมาประมาณ 5 ปี จํานวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ปัจจุบันเฉลี่ยประมาณ 3,000 คนต่อวัน หากเป็นวันเสาร์-อาทิตย์เฉลี่ย 10,000 คนต่อวัน ยิ่งเป็นช่วงเทศกาลหยุดยาว เพิ่มถึง 30,000 คนต่อวัน ยอดขายรวมจากผู้ประกอบการทั้งหมดในตลาด 135 ราย นับเพียง 4 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-เม.ย.2561) กว่า 60 ล้านบาท ซึ่งหลายรายขายดีจนผลิตไม่ทัน มีความต้องการสินเชื่อเพื่อจะขยายกําลังผลิตเพิ่ม แต่ที่ผ่านมา ไม่สามารถทําได้ เพราะขาดหลักทรัพย์ค้ําประกัน กระทั่ง มีบริการรูปแบบใหม่ของหน่วยรถม้าเติมทุนฯ จาก SME Development Bank ที่พิจารณาอนุมัติสินเชื่อจากการดูว่าทําธุรกิจจริง ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ําประกัน นับเป็นการช่วยผู้ค้ารายย่อยเข้าถึงแหล่งทุนได้อย่างถูกต้องและโดนใจอย่างยิ่ง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15419
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพ.พุทธชินราชวิจัย “น้ำธรรมดาผสมน้ำย่านางสกัดเย็น” เช็ดตัวลดไข้ ได้ผลดี
|
วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม 2561
รพ.พุทธชินราชวิจัย “น้ําธรรมดาผสมน้ําย่านางสกัดเย็น” เช็ดตัวลดไข้ ได้ผลดี
โรงพยาบาลพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก ศึกษาวิจัยการดูแลผู้ป่วยหนักมีไข้สูง ใช้ผ้าชุบน้ําธรรมดาผสมน้ําย่านางสกัดเย็นเช็ดตัวลดไข้ได้ผลดี ช่วยลดระยะเวลาของการเกิดไข้ซ้ํานานกว่าน้ําธรรมดา
โรงพยาบาลพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก ศึกษาวิจัยการดูแลผู้ป่วยหนักมีไข้สูง ใช้ผ้าชุบน้ําธรรมดาผสมน้ําย่านางสกัดเย็นเช็ดตัวลดไข้ได้ผลดี ช่วยลดระยะเวลาของการเกิดไข้ซ้ํานานกว่าน้ําธรรมดา
ในงานประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุขประจําปี 2561มีการนําเสนอผลงานวิจัยของโรงพยาบาลพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก เรื่อง “ผลการเช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ําธรรมดาผสมน้ําย่านางสกัดเย็น” ของนางสุนีย์ วังซ้าย พยาบาลวิชาชีพชํานาญการ ประสบผลสําเร็จและสามารถลดไข้ได้ดี จากสถิติการเข้ารับการรักษาเดือนมีนาคม – พฤษภาคม 2560 พบว่ากลุ่มผู้ป่วยหนักที่มีภาวะติดเชื้อในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุของการตายอันดับ 1 มักมีภาวะไข้สูง อุณหภูมิ 38 - 40 องศาเซลเซียส ภายหลังจากการเช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ําธรรมดา เพื่อนําความร้อนออกทางรูขุมขนพบว่า ไข้ไม่ลด ผู้วิจัยจึงทําการศึกษาโดยการเช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ําธรรมดาผสมน้ําย่านางสกัดเย็น เปรียบเทียบผู้ป่วย 2 กลุ่ม (กลุ่มที่ 1 เช็ดตัวด้วยน้ําธรรมดา และกลุ่มที่ 2 เช็ดตัวด้วยน้ําธรรมดาผสมน้ําย่านางสกัดเย็น) จํานวนกลุ่มละ 20 คน เป็นคนไข้ที่มีการติดเชื้อในร่างกายคล้ายกัน อายุเฉลี่ยและอุณหภูมิก่อนเช็ดตัวไม่แตกต่างกัน และทําการศึกษาระหว่างเดือนกันยายน – ธันวาคม 2560 ใช้วิธีการเช็ดตัวและแปะบริเวณข้อพับ เป็นเวลา 15 นาที ตามแผนการแพทย์วิถีไทยและวัดไข้ซ้ําภายหลังเช็ดตัวแล้ว ทุก 30 นาที
ผลการศึกษาวิจัยพบว่า การเช็ดตัวน้ําธรรมดาผสมน้ําย่านางสกัดเย็นมีผลต่อการลดไข้ได้ อุณหภูมิร่างกายลดลงแตกต่างกับการเช็ดตัวด้วยน้ําธรรมดาเฉลี่ย 1 องศาเซลเซียส ชี้ให้เห็นว่าการใช้น้ําธรรมดาผสมน้ําย่านางสกัดเย็นให้ผลในการลดอุณหภูมิร่างกายได้ดีกว่าการใช้น้ําธรรมดาอย่างเดียว ซึ่งผู้ป่วยมีอาการพึงพอใจ สามารถนําไปเผยแพร่ให้แก่ญาติๆ และประชาชนทั่วไปเพื่อประยุกต์ใช้กับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยหนักที่ไม่สามารถรับประทานยาเองได้
ทั้งนี้ น้ําย่านางสกัดเย็นเป็นพืชสมุนไพรมีฤทธิ์เย็น สรรพคุณสามารถดับพิษและลดไข้ได้ หาได้แทบทุกภาคในประเทศไทย วิธีการผสมน้ําย่านางสกัดเย็น คือ ใช้ผ้าชุบน้ําธรรมดาในสัดส่วน 2 ลิตร ผสมน้ําย่านางสกัดเย็นผสมใบเตย 120 ซี.ซี. แปะไว้บริเวณข้อพับ เช่น ขาหนีบ คอ เป็นต้น ทําพร้อมกับการเช็ดตัวผู้ป่วย เป็นเวลา 15 นาที ผู้ป่วยจะรู้สึกผ่อนคลายและสบายตัว อย่างไรก็ตามเป้าหมายในอนาคตจะมีการนําไปเผยแพร่สู่การดูแลผู้ป่วยที่ไม่มีการติดเชื้อและผู้ป่วยรายอื่นๆ ต่อไป
************************************* 26 สิงหาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพ.พุทธชินราชวิจัย “น้ำธรรมดาผสมน้ำย่านางสกัดเย็น” เช็ดตัวลดไข้ ได้ผลดี
วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม 2561
รพ.พุทธชินราชวิจัย “น้ําธรรมดาผสมน้ําย่านางสกัดเย็น” เช็ดตัวลดไข้ ได้ผลดี
โรงพยาบาลพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก ศึกษาวิจัยการดูแลผู้ป่วยหนักมีไข้สูง ใช้ผ้าชุบน้ําธรรมดาผสมน้ําย่านางสกัดเย็นเช็ดตัวลดไข้ได้ผลดี ช่วยลดระยะเวลาของการเกิดไข้ซ้ํานานกว่าน้ําธรรมดา
โรงพยาบาลพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก ศึกษาวิจัยการดูแลผู้ป่วยหนักมีไข้สูง ใช้ผ้าชุบน้ําธรรมดาผสมน้ําย่านางสกัดเย็นเช็ดตัวลดไข้ได้ผลดี ช่วยลดระยะเวลาของการเกิดไข้ซ้ํานานกว่าน้ําธรรมดา
ในงานประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุขประจําปี 2561มีการนําเสนอผลงานวิจัยของโรงพยาบาลพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก เรื่อง “ผลการเช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ําธรรมดาผสมน้ําย่านางสกัดเย็น” ของนางสุนีย์ วังซ้าย พยาบาลวิชาชีพชํานาญการ ประสบผลสําเร็จและสามารถลดไข้ได้ดี จากสถิติการเข้ารับการรักษาเดือนมีนาคม – พฤษภาคม 2560 พบว่ากลุ่มผู้ป่วยหนักที่มีภาวะติดเชื้อในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุของการตายอันดับ 1 มักมีภาวะไข้สูง อุณหภูมิ 38 - 40 องศาเซลเซียส ภายหลังจากการเช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ําธรรมดา เพื่อนําความร้อนออกทางรูขุมขนพบว่า ไข้ไม่ลด ผู้วิจัยจึงทําการศึกษาโดยการเช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ําธรรมดาผสมน้ําย่านางสกัดเย็น เปรียบเทียบผู้ป่วย 2 กลุ่ม (กลุ่มที่ 1 เช็ดตัวด้วยน้ําธรรมดา และกลุ่มที่ 2 เช็ดตัวด้วยน้ําธรรมดาผสมน้ําย่านางสกัดเย็น) จํานวนกลุ่มละ 20 คน เป็นคนไข้ที่มีการติดเชื้อในร่างกายคล้ายกัน อายุเฉลี่ยและอุณหภูมิก่อนเช็ดตัวไม่แตกต่างกัน และทําการศึกษาระหว่างเดือนกันยายน – ธันวาคม 2560 ใช้วิธีการเช็ดตัวและแปะบริเวณข้อพับ เป็นเวลา 15 นาที ตามแผนการแพทย์วิถีไทยและวัดไข้ซ้ําภายหลังเช็ดตัวแล้ว ทุก 30 นาที
ผลการศึกษาวิจัยพบว่า การเช็ดตัวน้ําธรรมดาผสมน้ําย่านางสกัดเย็นมีผลต่อการลดไข้ได้ อุณหภูมิร่างกายลดลงแตกต่างกับการเช็ดตัวด้วยน้ําธรรมดาเฉลี่ย 1 องศาเซลเซียส ชี้ให้เห็นว่าการใช้น้ําธรรมดาผสมน้ําย่านางสกัดเย็นให้ผลในการลดอุณหภูมิร่างกายได้ดีกว่าการใช้น้ําธรรมดาอย่างเดียว ซึ่งผู้ป่วยมีอาการพึงพอใจ สามารถนําไปเผยแพร่ให้แก่ญาติๆ และประชาชนทั่วไปเพื่อประยุกต์ใช้กับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยหนักที่ไม่สามารถรับประทานยาเองได้
ทั้งนี้ น้ําย่านางสกัดเย็นเป็นพืชสมุนไพรมีฤทธิ์เย็น สรรพคุณสามารถดับพิษและลดไข้ได้ หาได้แทบทุกภาคในประเทศไทย วิธีการผสมน้ําย่านางสกัดเย็น คือ ใช้ผ้าชุบน้ําธรรมดาในสัดส่วน 2 ลิตร ผสมน้ําย่านางสกัดเย็นผสมใบเตย 120 ซี.ซี. แปะไว้บริเวณข้อพับ เช่น ขาหนีบ คอ เป็นต้น ทําพร้อมกับการเช็ดตัวผู้ป่วย เป็นเวลา 15 นาที ผู้ป่วยจะรู้สึกผ่อนคลายและสบายตัว อย่างไรก็ตามเป้าหมายในอนาคตจะมีการนําไปเผยแพร่สู่การดูแลผู้ป่วยที่ไม่มีการติดเชื้อและผู้ป่วยรายอื่นๆ ต่อไป
************************************* 26 สิงหาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14907
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ต้นแบบคลินิกหมอครอบครัวในพื้นที่พิเศษ
|
วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม 2560
ต้นแบบคลินิกหมอครอบครัวในพื้นที่พิเศษ
ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กดปุ่มเปิดแพรคลุมป้าย “คลินิกหมอครอบครัวพรุใน” อ.เกาะยาว จ.พังงา ซึ่งเป็นต้นแบบคลินิกหมอครอบครัวในพื้นที่พิเศษ มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบ
ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กดปุ่มเปิดแพรคลุมป้าย “คลินิกหมอครอบครัวพรุใน” อ.เกาะยาว จ.พังงา ซึ่งเป็นต้นแบบคลินิกหมอครอบครัวในพื้นที่พิเศษ มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและทีมสหวิชาชีพ ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง บริการครบวงจร พร้อมให้คําปรึกษาด้วยเทคโนโลยี ทั้ง Line, Facebook ถ่ายภาพส่งปรึกษา พร้อมบริการรับ–ส่งผู้ป่วยผ่านระบบ 1669 ************* มีนาคม 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ต้นแบบคลินิกหมอครอบครัวในพื้นที่พิเศษ
วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม 2560
ต้นแบบคลินิกหมอครอบครัวในพื้นที่พิเศษ
ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กดปุ่มเปิดแพรคลุมป้าย “คลินิกหมอครอบครัวพรุใน” อ.เกาะยาว จ.พังงา ซึ่งเป็นต้นแบบคลินิกหมอครอบครัวในพื้นที่พิเศษ มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบ
ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กดปุ่มเปิดแพรคลุมป้าย “คลินิกหมอครอบครัวพรุใน” อ.เกาะยาว จ.พังงา ซึ่งเป็นต้นแบบคลินิกหมอครอบครัวในพื้นที่พิเศษ มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและทีมสหวิชาชีพ ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง บริการครบวงจร พร้อมให้คําปรึกษาด้วยเทคโนโลยี ทั้ง Line, Facebook ถ่ายภาพส่งปรึกษา พร้อมบริการรับ–ส่งผู้ป่วยผ่านระบบ 1669 ************* มีนาคม 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2436
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรจับมือดีป้า ลงนามออนไลน์ สร้าง Big Data ด้านภาษีตอบโจทย์บริการประชาชน และร่วมพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะการวิเคราะห์ข้อมูลให้สอดคล้องกับทักษะในอนาคต
|
วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2563
สรรพากรจับมือดีป้า ลงนามออนไลน์ สร้าง Big Data ด้านภาษีตอบโจทย์บริการประชาชน และร่วมพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะการวิเคราะห์ข้อมูลให้สอดคล้องกับทักษะในอนาคต
วันที่ 22 พฤษภาคม 2563 กรมสรรพากร และ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เรื่อง การพัฒนาฐานข้อมูลขนาดใหญ่ และการวิเคราะห์ข้อมูลด้านภาษี
วันที่ 22 พฤษภาคม 2563 กรมสรรพากร และ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เรื่อง การพัฒนาฐานข้อมูลขนาดใหญ่ และการวิเคราะห์ข้อมูลด้านภาษี โดยการลงนามในบันทึกข้อตกลงครั้งนี้เป็นการลงนามบันทึกข้อตกลงแบบ Online ผ่านโปรแกรม Microsoft Teams ซึ่งเป็นครั้งแรกของหน่วยงานราชการไทย เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “ความร่วมมือกับดีป้าในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์สําคัญ เพื่อยกระดับการให้บริการกับผู้เสียภาษีและประชาชนให้ตรงกลุ่ม ตรงใจ และสร้างความเป็นธรรมในการเสียภาษี ซึ่งเป็นการดําเนินการตามกลยุทธ์ของกรมสรรพากร ที่มุ่งพัฒนาฐานข้อมูล ขนาดใหญ่และวิเคราะห์ข้อมูลด้านภาษี เพื่อขับเคลื่อนการเป็นองค์กรดิจิทัล ดังนี้
1. การนําข้อมูลความคิดเห็นต่าง ๆ ของผู้เสียภาษีและประชาชน จากที่รวบรวมได้หลากหลายช่องทางมาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้เสียภาษี (Customer Centric) และนําผลที่ได้มาออกแบบนโยบายภาษีให้ตรงกลุ่ม และบริการภาษีให้ตรงใจผู้เสียภาษี
2. การวิเคราะห์และประมวลข้อมูลทางภาษีต่าง ๆ เพื่อนํามาใช้ในเชิงวิชาการ เช่น การคํานวณแบบจําลอง การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษี หรือแบบจําลองการประมาณการเก็บภาษีต่าง ๆ เป็นต้น
นอกจากนี้ การลงนาม MOU ในครั้งนี้ ยังเป็นการร่วมมือพัฒนาบุคลากรของกรมสรรพากร ด้าน Data Science ซึ่งจะสนับสนุนให้บุคลากรของกรมสรรพากรมีทักษะความรู้ความสามารถสอดคล้องกับทักษะในอนาคต (Future Skill)
ทั้งนี้ กรมสรรพากรขอขอบคุณสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลที่เห็นถึงความสําคัญ และให้ความร่วมมือกับกรมสรรพากรในการดําเนินงานในครั้งนี้ และเพื่อสนับสนุนการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ลดความเสี่ยงจากสถานการณ์การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID–19) การลงนามครั้งนี้จึงเป็นการลงนามบันทึกข้อตกลง MOU แบบ Online ครั้งแรกของหน่วยงานราชการไทย”
ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อํานวยการใหญ่สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) กล่าวว่า “ตามภารกิจของสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ที่มุ่งส่งเสริมให้เกิดการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัลในทุกภาคส่วนให้สอดคล้องตามกันอย่างเป็นระบบ ทั้งในภาคเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนประชาชน ซึ่งในยุคดิจิทัลสิ่งที่สําคัญที่สุดและเป็นเครื่องมือที่ทําให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนก็คือข้อมูล สถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ หรือ GDBi ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดที่ดูแล ด้านการพัฒนาบุคลากรและการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Big Data จะเป็นผู้ดําเนินการหลักในการพัฒนาบุคลากรร่วมกับกรมสรรพากรในครั้งนี้ เพื่อรองรับการพัฒนาประเทศควบคู่กับการเตรียมพร้อมบุคลากรด้านการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ โดยการต่อยอดทักษะเดิม หรือ เสริมเป็นทักษะใหม่ เพื่อนําไปสู่การประยุกต์ใช้และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลได้โดยมีพัฒนาการที่ก้าวกระโดด อีกทั้งความร่วมมือในครั้งนี้ยังก่อให้เกิดบุคลากรภาครัฐด้าน Data Science และ Business intelligence การร่วมมือกับกรมสรรพากรก็ไม่ได้ถือว่าเป็นการเริ่มต้น แต่เป็นการต่อยอดความร่วมมือในการบูรณาการร่วมกันทํางานระหว่างหน่วยงานภาครัฐในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการส่งเสริมและถ่ายทอด องค์ความรู้ด้านดิจิทัล และเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ได้สนองนโยบายของรัฐ ในการผลักดันให้เกิดฐานข้อมูลภาครัฐที่สามารถนําข้อมูลที่มีอยู่มาบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ซึ่งดีป้าก็มีความยินดีเป็นอย่างมากที่จะได้ให้ความร่วมมือเพื่อที่จะพัฒนาบุคลากรด้าน Data Science และ Business Intelligence ตลอดจนการร่วมกันจัดทําโมเดลในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพยากรณ์สําหรับใช้ในการยกระดับบริการภาครัฐเพื่อประชาชนที่ดียิ่งขึ้นต่อไป”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรจับมือดีป้า ลงนามออนไลน์ สร้าง Big Data ด้านภาษีตอบโจทย์บริการประชาชน และร่วมพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะการวิเคราะห์ข้อมูลให้สอดคล้องกับทักษะในอนาคต
วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2563
สรรพากรจับมือดีป้า ลงนามออนไลน์ สร้าง Big Data ด้านภาษีตอบโจทย์บริการประชาชน และร่วมพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะการวิเคราะห์ข้อมูลให้สอดคล้องกับทักษะในอนาคต
วันที่ 22 พฤษภาคม 2563 กรมสรรพากร และ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เรื่อง การพัฒนาฐานข้อมูลขนาดใหญ่ และการวิเคราะห์ข้อมูลด้านภาษี
วันที่ 22 พฤษภาคม 2563 กรมสรรพากร และ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เรื่อง การพัฒนาฐานข้อมูลขนาดใหญ่ และการวิเคราะห์ข้อมูลด้านภาษี โดยการลงนามในบันทึกข้อตกลงครั้งนี้เป็นการลงนามบันทึกข้อตกลงแบบ Online ผ่านโปรแกรม Microsoft Teams ซึ่งเป็นครั้งแรกของหน่วยงานราชการไทย เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “ความร่วมมือกับดีป้าในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์สําคัญ เพื่อยกระดับการให้บริการกับผู้เสียภาษีและประชาชนให้ตรงกลุ่ม ตรงใจ และสร้างความเป็นธรรมในการเสียภาษี ซึ่งเป็นการดําเนินการตามกลยุทธ์ของกรมสรรพากร ที่มุ่งพัฒนาฐานข้อมูล ขนาดใหญ่และวิเคราะห์ข้อมูลด้านภาษี เพื่อขับเคลื่อนการเป็นองค์กรดิจิทัล ดังนี้
1. การนําข้อมูลความคิดเห็นต่าง ๆ ของผู้เสียภาษีและประชาชน จากที่รวบรวมได้หลากหลายช่องทางมาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้เสียภาษี (Customer Centric) และนําผลที่ได้มาออกแบบนโยบายภาษีให้ตรงกลุ่ม และบริการภาษีให้ตรงใจผู้เสียภาษี
2. การวิเคราะห์และประมวลข้อมูลทางภาษีต่าง ๆ เพื่อนํามาใช้ในเชิงวิชาการ เช่น การคํานวณแบบจําลอง การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษี หรือแบบจําลองการประมาณการเก็บภาษีต่าง ๆ เป็นต้น
นอกจากนี้ การลงนาม MOU ในครั้งนี้ ยังเป็นการร่วมมือพัฒนาบุคลากรของกรมสรรพากร ด้าน Data Science ซึ่งจะสนับสนุนให้บุคลากรของกรมสรรพากรมีทักษะความรู้ความสามารถสอดคล้องกับทักษะในอนาคต (Future Skill)
ทั้งนี้ กรมสรรพากรขอขอบคุณสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลที่เห็นถึงความสําคัญ และให้ความร่วมมือกับกรมสรรพากรในการดําเนินงานในครั้งนี้ และเพื่อสนับสนุนการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ลดความเสี่ยงจากสถานการณ์การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID–19) การลงนามครั้งนี้จึงเป็นการลงนามบันทึกข้อตกลง MOU แบบ Online ครั้งแรกของหน่วยงานราชการไทย”
ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อํานวยการใหญ่สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) กล่าวว่า “ตามภารกิจของสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ที่มุ่งส่งเสริมให้เกิดการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัลในทุกภาคส่วนให้สอดคล้องตามกันอย่างเป็นระบบ ทั้งในภาคเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนประชาชน ซึ่งในยุคดิจิทัลสิ่งที่สําคัญที่สุดและเป็นเครื่องมือที่ทําให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนก็คือข้อมูล สถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ หรือ GDBi ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดที่ดูแล ด้านการพัฒนาบุคลากรและการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Big Data จะเป็นผู้ดําเนินการหลักในการพัฒนาบุคลากรร่วมกับกรมสรรพากรในครั้งนี้ เพื่อรองรับการพัฒนาประเทศควบคู่กับการเตรียมพร้อมบุคลากรด้านการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ โดยการต่อยอดทักษะเดิม หรือ เสริมเป็นทักษะใหม่ เพื่อนําไปสู่การประยุกต์ใช้และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลได้โดยมีพัฒนาการที่ก้าวกระโดด อีกทั้งความร่วมมือในครั้งนี้ยังก่อให้เกิดบุคลากรภาครัฐด้าน Data Science และ Business intelligence การร่วมมือกับกรมสรรพากรก็ไม่ได้ถือว่าเป็นการเริ่มต้น แต่เป็นการต่อยอดความร่วมมือในการบูรณาการร่วมกันทํางานระหว่างหน่วยงานภาครัฐในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการส่งเสริมและถ่ายทอด องค์ความรู้ด้านดิจิทัล และเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ได้สนองนโยบายของรัฐ ในการผลักดันให้เกิดฐานข้อมูลภาครัฐที่สามารถนําข้อมูลที่มีอยู่มาบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ซึ่งดีป้าก็มีความยินดีเป็นอย่างมากที่จะได้ให้ความร่วมมือเพื่อที่จะพัฒนาบุคลากรด้าน Data Science และ Business Intelligence ตลอดจนการร่วมกันจัดทําโมเดลในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพยากรณ์สําหรับใช้ในการยกระดับบริการภาครัฐเพื่อประชาชนที่ดียิ่งขึ้นต่อไป”
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31318
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีแรงงาน เป็นประธานเปิดงาน 25 ปี APSA
|
วันจันทร์ที่ 24 กันยายน 2561
รัฐมนตรีแรงงาน เป็นประธานเปิดงาน 25 ปี APSA
วันที่ 24 กันยายน 2561 พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานกล่าวเปิดการสัมมนางานรักษาความปลอดภัยนานาชาติ (APSA) ในโอกาสครบรอบ 25 ปี พร้อมชี่นชมเป็นหน่วยงานภาคเอกชนที่มีศักยภาพสูง สร้างอาชีพให้แรงงาน ส่งเสริมความมั่นคงขอ
พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดการสัมมนางานรักษาความปลอดภัยนานาชาติ ครั้งที่ 25 ประจําปี 2561 (25th APSA International Conferenceand Annual General Meeting) หรือ APSA โดยได้กล่าวแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ 25 ปีของ APSA ในประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรระดับนานาชาติแต่มีจุดกําเนิดขึ้นจากประเทศไทยด้วยการผนึกกําลังทําให้เกิดผลงานเป็นที่ประจักษ์ สร้างความน่าเชื่อถือ และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทั้งนี้ APSA เป็นองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกําไรที่ได้ดําเนินงานเพื่อส่งเสริมสนับสนุนกิจการงานรักษาความปลอดภัยไทย ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีสามารถสร้างมูลค่าและเพิ่ม GDP ของประเทศหลายพันล้านบาทต่อปีสร้างอาชีพให้แรงงานกว่าห้าแสนคนในตลาดแรงงาน รวมทั้งส่งเสริมความมั่นคงของประเทศในระดับจุลภาค อีกทั้งยังสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยีที่มีความทันสมัย ก้าวหน้ารวมถึงรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และมีส่วนสําคัญในการสร้างความมั่นคงให้กับ ภาคธุรกิจในการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และสอดคล้องกับนโยบาย Safety Thailand ของกระทรวงแรงงาน ที่มีจุดมุ่งหมายในการดําเนินการเชิงรุกด้วยมาตรการสร้างจิตสํานึก (Safety Mind) มาตรการความปลอดภัยของชีวิต (Safety of Life) มาตรการการสร้างเครือข่ายความปลอดภัย (Safety Network) เพื่อบรรลุเป้าหมาย “Safety work-Healthy-Safe Life: Safety Thailand” โดยการเข้าไปมีบทบาทในการเสริมสร้างความร่วมมือการดูแล เฝ้าระวังมิให้เกิดอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น
พล.ต.อ. อดุลย์ ยังได้กล่าวชื่นชมและให้กําลังใจการทํางานของ APSA ที่ถือเป็นตัวอย่างหน่วยงานภาคเอกชนที่มีศักยภาพสูง มีความสามารถ สร้างความมั่นคงให้กับประเทศ ผสานความร่วมมือกับนานาชาติ และส่งเสริมความเชื่อมั่นในการลงทุนที่จะช่วยสนับสนุนประเทศไปสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีแรงงาน เป็นประธานเปิดงาน 25 ปี APSA
วันจันทร์ที่ 24 กันยายน 2561
รัฐมนตรีแรงงาน เป็นประธานเปิดงาน 25 ปี APSA
วันที่ 24 กันยายน 2561 พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานกล่าวเปิดการสัมมนางานรักษาความปลอดภัยนานาชาติ (APSA) ในโอกาสครบรอบ 25 ปี พร้อมชี่นชมเป็นหน่วยงานภาคเอกชนที่มีศักยภาพสูง สร้างอาชีพให้แรงงาน ส่งเสริมความมั่นคงขอ
พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดการสัมมนางานรักษาความปลอดภัยนานาชาติ ครั้งที่ 25 ประจําปี 2561 (25th APSA International Conferenceand Annual General Meeting) หรือ APSA โดยได้กล่าวแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ 25 ปีของ APSA ในประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรระดับนานาชาติแต่มีจุดกําเนิดขึ้นจากประเทศไทยด้วยการผนึกกําลังทําให้เกิดผลงานเป็นที่ประจักษ์ สร้างความน่าเชื่อถือ และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทั้งนี้ APSA เป็นองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกําไรที่ได้ดําเนินงานเพื่อส่งเสริมสนับสนุนกิจการงานรักษาความปลอดภัยไทย ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีสามารถสร้างมูลค่าและเพิ่ม GDP ของประเทศหลายพันล้านบาทต่อปีสร้างอาชีพให้แรงงานกว่าห้าแสนคนในตลาดแรงงาน รวมทั้งส่งเสริมความมั่นคงของประเทศในระดับจุลภาค อีกทั้งยังสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยีที่มีความทันสมัย ก้าวหน้ารวมถึงรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และมีส่วนสําคัญในการสร้างความมั่นคงให้กับ ภาคธุรกิจในการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และสอดคล้องกับนโยบาย Safety Thailand ของกระทรวงแรงงาน ที่มีจุดมุ่งหมายในการดําเนินการเชิงรุกด้วยมาตรการสร้างจิตสํานึก (Safety Mind) มาตรการความปลอดภัยของชีวิต (Safety of Life) มาตรการการสร้างเครือข่ายความปลอดภัย (Safety Network) เพื่อบรรลุเป้าหมาย “Safety work-Healthy-Safe Life: Safety Thailand” โดยการเข้าไปมีบทบาทในการเสริมสร้างความร่วมมือการดูแล เฝ้าระวังมิให้เกิดอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น
พล.ต.อ. อดุลย์ ยังได้กล่าวชื่นชมและให้กําลังใจการทํางานของ APSA ที่ถือเป็นตัวอย่างหน่วยงานภาคเอกชนที่มีศักยภาพสูง มีความสามารถ สร้างความมั่นคงให้กับประเทศ ผสานความร่วมมือกับนานาชาติ และส่งเสริมความเชื่อมั่นในการลงทุนที่จะช่วยสนับสนุนประเทศไปสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15606
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผยประชาชนที่สงสัยอยู่ในไทม์ไลน์ ผู้ป่วยชายไทยอายุ 72 ปี สามารถเข้ารับการตรวจไวรัสโควิด-19 เตือน ระวังแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ปลอมทั้งสี-โลโก้ อาจถูกหลอกลวงขโมยข้อมูลส่วนบุคคล
|
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563
โฆษก ศบค. เผยประชาชนที่สงสัยอยู่ในไทม์ไลน์ ผู้ป่วยชายไทยอายุ 72 ปี สามารถเข้ารับการตรวจไวรัสโควิด-19 เตือน ระวังแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ปลอมทั้งสี-โลโก้ อาจถูกหลอกลวงขโมยข้อมูลส่วนบุคคล
โฆษก ศบค. เผยประชาชนที่สงสัยอยู่ในไทม์ไลน์ ผู้ป่วยชายไทยอายุ 72 ปี สามารถเข้ารับการตรวจไวรัสโควิด-19 เตือนให้ระวังแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ปลอมทั้งสีและโลโก้ อาจถูกหลอกลวงขโมยข้อมูลส่วนบุคคล
วันนี้ (25 พ.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในไทย
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทย มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 2 ราย ทําให้มีผู้ป่วยยืนยันสะสม 3,042 ราย ผู้ที่หายป่วยเพิ่มขึ้น 7 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,928 ราย ผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย รวมผู้เสียชีวิต 57 ราย และมีผู้ที่ยังรักษาตัวในโรงพยาบาล 57 ราย สําหรับรายละเอียดของผู้เสียชีวิตรายที่ 57 เป็นหญิงไทยอายุ 68 ปี มีโรคประจําตัวคือเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดชุมพรเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 63 ต่อมามีอาการไข้ หอบเหนื่อย เก็บตัวอย่างส่งตรวจเชื้อ พบเป็นผู้ป่วยยืนยันโควิด-19 วันที่ 14 เมษายน 63 แล้วอาการแย่ลง ใส่เครื่องช่วยหายใจอาการไม่ดีขึ้น เสียชีวิตวันที่ 24 พฤษภาคม 63 ด้วยภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดและกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
ผู้ป่วยรายใหม่ 2 ราย รายแรก เป็นผู้ป่วยหญิงสัญชาติจีน อายุ 46 ปี เป็นภรรยาของผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้า สัญชาติอิตาลี ตรวจพบเชื้อวันที่ 24 พฤษภาคม 63 ขณะนี้ไม่มีอาการ รายที่สอง เป็นเพศหญิง อายุ 55 ปี อาชีพเป็นพนักงานนวด เดินทางกลับมาจากประเทศรัสเซียเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 63 เข้าพักในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ที่จังหวัดชลบุรี ตรวจพบเชื้อเมื่อ 24 พฤษภาคม 63 ไม่มีอาการ
โฆษก ศบค. กล่าวถึงไทม์ไลน์การสืบสวนสอบสวนโรคผู้ป่วยชายไทยอายุ 72 ปี พบการติดเชื้อคือช่วง 17-18 พฤษภาคม 63 ผู้ป่วยมีอาการหนาวสั่น อ่อนเพลีย การสืบสวนโรคย้อนหลังจาก 18 พฤษภาคม - เมษายน 63 พบว่า รับยาเคมีบําบัดที่โรงพยาบาล ไปทํา bone scan ที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่งเป็นแห่งที่ 2 และไปฟังผล bone scan นําผลไปให้แพทย์ที่โรงพยาบาลรัฐอีกแห่งหนึ่งเป็นเวลา 5 นาที วันที่ 12 พฤษภาคม 63 ไปเจาะเลือดที่โรงพยาบาลรัฐอีกแห่งหนึ่งใช้เวลา 10 นาที 14 พฤษภาคม 63 ไปทํา CT scan ที่โรงพยาบาลรัฐแห่งที่ 1 ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ผู้ป่วยได้สวมหน้ากาก จากนั้นไปตลาดแห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรีและไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งหนึ่งในช่วงเช้า ผู้ป่วยรายนี้สวมหน้ากากอยู่ตลอดเวลา โดยหลังจากที่ผู้ป่วยมีอาการแล้วตรวจพบเชื้อ ตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 18 พฤษภาคม 63 ไปตรวจรับยาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งที่ 1 รับประทานอาหารร้านแห่งหนึ่ง ไปร้านตัดผม ช่วงบ่ายเข้าตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งที่ 1 เวลา 23.30 น. เริ่มมีอาการไข้ หนาวสั่น ไอ เรียกรถพยาบาลโรงพยาบาลเอกชนแห่งที่ 2 ไปรับที่บ้าน เมื่อเข้าโรงพยาบาลแล้วได้ย้ายไปรับการรักษาที่ศูนย์การแพทย์จักรีนฤบดินทร์ ทั้งนี้ การหาต้นทางของการป่วยพบว่ามีสถานที่น่าสงสัยหลายแห่ง โรงพยาบาลก็มีผู้ป่วยติดเชื้อโรคอื่น ๆ อยู่ และอาจจะมีเชื้อโควิดอยู่ด้วย ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นร้านตัดผม หรือร้านอาหาร โดยได้มีการสืบสวนต่อในร้านตัดผมกับร้านอาหาร ทั้งอาการของผู้ป่วยตอนที่ไปร้านตัดผมกับร้านอาหาร และการให้การบริการของร้าน ซึ่งพบว่า ร้านตัดผมที่ผู้ป่วยไปตัดผม ในวันที่ 18 พฤษภาคม 63 ปฏิบัติตามมาตรการที่รัฐกําหนด มีการตรวจ และกักกันตัวพนักงานที่เสี่ยงสูงอย่างน้อย 14 วัน ร้านเป็นห้องแอร์ มีพนักงานให้บริการ จํานวน 8 คน ซึ่งทีมสอบสวนโรคของกรมควบคุมโรคได้เข้าไปดูทั้งหมดเพื่อสร้างความมั่นใจ พบว่าทุกอย่างมีการปฏิบัติอย่างดี ลูกค้าเข้ารับบริการมากที่สุด 3 คน ไม่มีการให้ลูกค้านั่งรอรับบริการภายในร้าน อาจจะมั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าผู้ป่วยรายนี้คงไม่ได้ไปแพร่เชื้อให้กับคนอื่นระหว่างการตัดผมที่ใช้เวลาไม่นาน
ขณะที่ร้านอาหารที่ผู้ป่วยไปรับประทานในวันที่ 18 พฤษภาคม 63 พบว่า มีการจัดวางโต๊ะแต่ละโต๊ะมีระยะห่างมากกว่า 1 เมตร มีจุดให้บริการล้างมือสําหรับลูกค้า มีการทําความสะอาดพื้น โต๊ะ ก่อนและหลังการให้บริการแก่ลูกค้า พนักงานที่ให้บริการทุกคนสวมหน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลา และมีการกักตัวพนักงานที่มีความเสี่ยงสูงอย่างน้อย 14 วันแล้ว ซึ่งให้ความมั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าไม่น่าจะมีการติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม 17 พฤษภาคม 63 เป็นวันที่ให้มีการใช้แพลตฟอร์มไทยชนะ ซึ่งทั้ง 2 ร้านดังกล่าวยังไม่ได้เข้าระบบแพลตฟอร์มไทยชนะ และคนที่มาใช้บริการยังไม่มีการสแกนคิวอาร์โค้ด
โฆษก ศบค. ชี้แจงให้ประชาชนที่สงสัยว่าจะอยู่ในไทม์ไลน์ของผู้ป่วยรายนี้ คิดว่ามีการสัมผัสหรือเกี่ยวข้อง ให้มารับการตรวจหาสารคัดหลั่งในโพรงจมูกในโรงพยาบาลได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการตรวจ โดยจํานวนตัวอย่างที่ได้รับการตรวจ COVID-19 RT-PCR ตั้งแต่เริ่มเปิดบริการ – 22 พฤษภาคม 63 มีจํานวนการตรวจสะสมรวม 375,453 ตัวอย่าง หากประชาชนสงสัยว่าจะติดเชื้อ สามารถเข้ารับการตรวจได้ที่จุดตรวจทั่วประเทศ
2. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก
สําหรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 5,498,577 ราย เพิ่มขึ้นภายในวันเดียว 94,598 ราย และเสียชีวิตเพิ่ม 2,713 ราย ทําให้ตัวเลขรวมผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 346,688 ราย โดยสหรัฐอเมริกายังมีผู้ป่วยยืนยันสะสมเป็นอันดับที่ 1 ของโลก รองลงมาคือ บราซิลและรัสเซียตามลําดับ ซึ่งเป็น3 ประเทศใน 3 ทวีป จึงเรียกว่าโรคระบาดเป็นภัยหายนะของโลก ในส่วนกลุ่มอาเซียนและเอเชีย มีอินเดีย ปากีสถาน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีสิงคโปร์ อินโดนีเซีย สําหรับไทย ขณะนี้อยู่ในลําดับ 76 ซึ่งยังวางใจไม่ได้เนื่องจากกราฟแสดงผู้ติดเชื้อทั่วโลกยังเพิ่มขึ้นสูง
โฆษก ศบค. รายงานสถานการณ์ข่าวที่น่าสนใจในต่างประเทศว่า “อิแทวอน ยังระบาดไม่หยุด เกาหลีใต้เตรียมยกระดับการป้องกัน” ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของเกาหลีใต้ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อจากผับย่านอิแทวอนนั้น ล่าสุดพุ่งสูงขึ้นถึง 225 จากผู้ติดเชื้ออายุ 29 ปีรายเดียว โดยมีค่าระบาดที่ 1.3 คือผู้ป่วยหนึ่งคนสามารถติดเชื้อให้กับผู้อื่นได้มากกว่า 1 ราย โดยพบว่าการระบาดจากผู้ป่วยอิแทวอนในตอนนี้เป็นการระบาดในต่อที่สองและต่อที่สามแล้ว ทําให้ทางการเตรียมออกมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในการบังคับใส่หน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะ นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าพบเด็กอนุบาลติดโรคโควิด 1 รายจากโรงเรียนศิลปะ ก่อนวันที่เกาหลีใต้จะเริ่มเปิดโรงเรียนของรัฐ ในกรุงโซล หลังจากที่หยุดเรียนไปเกือบสามเดือน ทําให้ทางการต้องสั่งปิดโรงเรียนเอกชนหลายแห่งย่านกังซอ ทางใต้ของกรุงโซล และกําลังพิจารณาว่าจะเลื่อนการเปิดโรงเรียนหรือไม่ โฆษก ศบค. ยังเผยว่า หลายประเทศก็มีข้อห่วงใยเกี่ยวกับการเปิดเทอมของนักเรียน เช่นกัน
3. ผลการดําเนินงานตามมาตรการ
มาตรการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศ
คนไทยเดินทางกลับมาวันนี้ ดังนี้ เวลา 15.15 น. จากศรีลังกา/มัลดีฟส์ 78 คน เวลา 15.30 จากประเทศญี่ปุ่น (โตเกียว) 50 คน เวลา 15.40 จากญี่ปุ่น (โตเกียว) 88 คน เวลา 16.30 น. จากญี่ปุ่น (โตเกียว) 29 คน และเวลา 21.45 น. จากเกาหลีใต้ (โซล) 150 คน ในวันพรุ่งนี้ (26 พฤษภาคม 63) เวลา 07.35 น. จะมีผู้เดินทางกลับจากอิตาลี (โรม) 50 คน เวลา 13.40 น. จากมาเลเซีย (กัวลาลัมเปอร์) 150 คน เวลา 15.40 น. จากญี่ปุ่น (โตเกียว) 35 คน และเวลา 17.05 น. จากไต้หวัน (ไทเป) 165 คน สําหรับแผนเที่ยวบินนําคนไทยที่ตกค้างกลับไทยในวันที่ 27 พฤษภาคม มี 4 เที่ยวบิน ได้แก่ แคนาดา (ผ่านญี่ปุ่น) เนเธอร์แลนด์ (อัมสเตอร์ดัม) อินโดนีเซีย (สุราบายา) และฮ่องกง วันที่ 28 พฤษภาคม 3 เที่ยวบิน ได้แก่ เวียดนาม (โฮจิมินห์) ออสเตรเลีย (เมลเบิร์น) และ สหรัฐอเมริกา (ผ่านเกาหลีใต้) วันที่ 29 พฤษภาคม 3 เที่ยวบิน ได้แก่ ตุรกี/จอร์เจีย (อิสตันบูล/ทบิลิซี) เมียนมาร์ (ย่างกุ้ง) และฝรั่งเศส (ปารีส) วันที่ 30 พฤษภาคม 4 เที่ยวบิน ได้แก่ เกาหลีใต้ (โซล) สหรัฐอเมริกา (ผ่านเกาหลีใต้) ญี่ปุ่น (โตเกียว) และฟิลิปปินส์ (มะนิลา) วันที่ 31 พฤษภาคม 2 เที่ยวบิน ได้แก่ สหราชอาณาจักร (ลอนดอน) และอินโดนีเซีย (จาการ์ตา) และวันที่ 1 มิถุนายน 3 เที่ยวบิน ได้แก่ มาเลเซีย (กัวลาลัมเปอร์) สหรัฐอเมริกา (ผ่านเกาหลีใต้) และสิงคโปร์
โฆษก ศบค. เผย ศักยภาพในการรองรับผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศในขณะนี้ได้ประมาณ 400 คน ต่อวัน จึงดําเนินการรองรับเต็มอัตราเพื่อให้คนไทยในต่างประเทศได้กลับมา ทั้งนี้ ต้องขอบพระคุณศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงสาธารณสุขและผู้ที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบพื้นที่ State Quarantine ที่ให้ผู้ที่กลับจากต่างประเทศเข้าพักได้
รายงานผู้เดินทางกลับเข้าประเทศผ่านจุดผ่านแดนทางบกมีผู้เดินทางจากเมียนมา 2 คน มาเลเซีย 229 คน สปป.ลาว 9 คน และ กัมพูชา 6 คน รวม 246 คนรายงานข้อมูลสถานการณ์ผู้เดินทางเข้าประเทศที่ต้องกักกันตัวในที่กักกันของรัฐจัดให้ (State Quarantine และ Local Quarantine)ตั้งแต่ 3 เมษายน – 24 พฤษภาคม 63 มีจํานวนผู้เข้ากักกันสะสม 25,385 ราย ผู้กลับบ้านสะสม 16,101 ราย และผู้เข้ากักกันปัจจุบัน 9,284 ราย โฆษก ศบค. ยังย้ําว่า รัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบ State Quarantine ดังนั้น หากพบการขู่กรรโชกให้จ่ายค่าบริการ สามารถแจ้งความดําเนินคดีได้
การดําเนินการตามมาตรการ รายงานข้อมูลสรุปการใช้งาน www.ไทยชนะ.com ยอดสะสมตั้งแต่เริ่มโครงการมีร้านค้าลงทะเบียน 106,235 ร้าน ผู้ใช้งาน 11,757,624 คน แบ่งจํานวนการเข้าใช้งานออกเป็น เช็คอิน 27,101,565 ครั้ง เช็คเอ้าท์ 19,204,736 ครั้ง จํานวนการประเมินร้านค้า 10,867,125 ครั้ง พบว่าสถานประกอบกิจการ/กิจกรรม มีการลงทะเบียนใช้งานแพลตฟอร์มไทยชนะมากขึ้นทุกวัน ขอความร่วมมือร้านค้าในประเทศไทยที่มีจํานวนหลายแสนร้านให้ลงทะเบียนมากขึ้น และให้ประชาชนเช็คเอ้าท์ด้วย
โฆษก ศบค. เตือนให้ระวังแพลตฟอร์มไทยชนะของปลอม ซึ่งมีลักษณะเหมือนกันกับแพลตฟอร์มไทยชนะทั้งการใช้สีและโลโก้ เป็นเว็บหลอกลวงให้โหลดแอปพลิเคชันเพื่อขโมยข้อมูลส่วนบุคคล โดยแพลตฟอร์มไทยชนะที่แท้จริง สามารถใช้งานผ่านเว็บไซต์ www.ไทยชนะ.com หรือ www.thaichana.com โดยไม่ต้องโหลดแอปพลิเคชันใด ๆ
โฆษก ศบค. รายงานผลจากการปฏิบัติการจากการประกาศมาตรการเคอร์ฟิวประจําวันที่ 25 พฤษภาคม 63 โดยศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงพบว่า มีผู้กระทําความผิดกรณีชุมนุมมั่วสุม 5 ราย ลดลง 22 ราย ผู้กระทําความผิดกรณีออกนอกเคหสถาน 254 ราย ลดลง 67 ราย โดยเหตุของการชุมนุมมั่วสุม คือลักลอบเล่นการพนัน ร้อยละ 80 และยาเสพติด ร้อยละ 20 ไม่มีคดีเกี่ยวกับการดื่มสุราเลย
จากประเด็นที่เป็นข่าวที่ชุดตรวจกิจการ/กิจกรรมได้เข้าตรวจร้านค้า ด้วยคนจํานวนมาก มีการใช้ภาษาติเตียนที่รุนแรงและเข้าตรวจซ้ํา ๆ ที่ประชุม ศบค. ชุดเล็กเช้านี้ ได้มีมติให้ปรับชุดตรวจให้เล็กลง ปรับท่าทีให้นุ่มนวล ให้ คําแนะนํา ให้กําลังใจ เน้นการตรวจตามเบาะแสต่อกิจการที่มีปัญหาจริง และให้ไปเยี่ยมเยียนเท่าที่จําเป็น ยกเว้นกรณีตั้งใจละเมิดจะใช้มาตรการที่เหมาะสม ทั้งนี้ ศบค. จะร่วมกันทําให้ดีที่สุด หากมีเรื่องร้องเรียน พบการมั่วสุม การทําผิด พ.ร.ก.ฯ การไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน หรือร้องเรียนการตรวจของเจ้าหน้าที่ สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่เบอร์ 191 แจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย 1599 สายด่วนร้องทุกข์ และ 1138 ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
**********************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผยประชาชนที่สงสัยอยู่ในไทม์ไลน์ ผู้ป่วยชายไทยอายุ 72 ปี สามารถเข้ารับการตรวจไวรัสโควิด-19 เตือน ระวังแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ปลอมทั้งสี-โลโก้ อาจถูกหลอกลวงขโมยข้อมูลส่วนบุคคล
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563
โฆษก ศบค. เผยประชาชนที่สงสัยอยู่ในไทม์ไลน์ ผู้ป่วยชายไทยอายุ 72 ปี สามารถเข้ารับการตรวจไวรัสโควิด-19 เตือน ระวังแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ปลอมทั้งสี-โลโก้ อาจถูกหลอกลวงขโมยข้อมูลส่วนบุคคล
โฆษก ศบค. เผยประชาชนที่สงสัยอยู่ในไทม์ไลน์ ผู้ป่วยชายไทยอายุ 72 ปี สามารถเข้ารับการตรวจไวรัสโควิด-19 เตือนให้ระวังแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ปลอมทั้งสีและโลโก้ อาจถูกหลอกลวงขโมยข้อมูลส่วนบุคคล
วันนี้ (25 พ.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในไทย
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทย มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 2 ราย ทําให้มีผู้ป่วยยืนยันสะสม 3,042 ราย ผู้ที่หายป่วยเพิ่มขึ้น 7 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,928 ราย ผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย รวมผู้เสียชีวิต 57 ราย และมีผู้ที่ยังรักษาตัวในโรงพยาบาล 57 ราย สําหรับรายละเอียดของผู้เสียชีวิตรายที่ 57 เป็นหญิงไทยอายุ 68 ปี มีโรคประจําตัวคือเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดชุมพรเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 63 ต่อมามีอาการไข้ หอบเหนื่อย เก็บตัวอย่างส่งตรวจเชื้อ พบเป็นผู้ป่วยยืนยันโควิด-19 วันที่ 14 เมษายน 63 แล้วอาการแย่ลง ใส่เครื่องช่วยหายใจอาการไม่ดีขึ้น เสียชีวิตวันที่ 24 พฤษภาคม 63 ด้วยภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดและกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
ผู้ป่วยรายใหม่ 2 ราย รายแรก เป็นผู้ป่วยหญิงสัญชาติจีน อายุ 46 ปี เป็นภรรยาของผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้า สัญชาติอิตาลี ตรวจพบเชื้อวันที่ 24 พฤษภาคม 63 ขณะนี้ไม่มีอาการ รายที่สอง เป็นเพศหญิง อายุ 55 ปี อาชีพเป็นพนักงานนวด เดินทางกลับมาจากประเทศรัสเซียเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 63 เข้าพักในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ที่จังหวัดชลบุรี ตรวจพบเชื้อเมื่อ 24 พฤษภาคม 63 ไม่มีอาการ
โฆษก ศบค. กล่าวถึงไทม์ไลน์การสืบสวนสอบสวนโรคผู้ป่วยชายไทยอายุ 72 ปี พบการติดเชื้อคือช่วง 17-18 พฤษภาคม 63 ผู้ป่วยมีอาการหนาวสั่น อ่อนเพลีย การสืบสวนโรคย้อนหลังจาก 18 พฤษภาคม - เมษายน 63 พบว่า รับยาเคมีบําบัดที่โรงพยาบาล ไปทํา bone scan ที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่งเป็นแห่งที่ 2 และไปฟังผล bone scan นําผลไปให้แพทย์ที่โรงพยาบาลรัฐอีกแห่งหนึ่งเป็นเวลา 5 นาที วันที่ 12 พฤษภาคม 63 ไปเจาะเลือดที่โรงพยาบาลรัฐอีกแห่งหนึ่งใช้เวลา 10 นาที 14 พฤษภาคม 63 ไปทํา CT scan ที่โรงพยาบาลรัฐแห่งที่ 1 ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ผู้ป่วยได้สวมหน้ากาก จากนั้นไปตลาดแห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรีและไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งหนึ่งในช่วงเช้า ผู้ป่วยรายนี้สวมหน้ากากอยู่ตลอดเวลา โดยหลังจากที่ผู้ป่วยมีอาการแล้วตรวจพบเชื้อ ตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 18 พฤษภาคม 63 ไปตรวจรับยาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งที่ 1 รับประทานอาหารร้านแห่งหนึ่ง ไปร้านตัดผม ช่วงบ่ายเข้าตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งที่ 1 เวลา 23.30 น. เริ่มมีอาการไข้ หนาวสั่น ไอ เรียกรถพยาบาลโรงพยาบาลเอกชนแห่งที่ 2 ไปรับที่บ้าน เมื่อเข้าโรงพยาบาลแล้วได้ย้ายไปรับการรักษาที่ศูนย์การแพทย์จักรีนฤบดินทร์ ทั้งนี้ การหาต้นทางของการป่วยพบว่ามีสถานที่น่าสงสัยหลายแห่ง โรงพยาบาลก็มีผู้ป่วยติดเชื้อโรคอื่น ๆ อยู่ และอาจจะมีเชื้อโควิดอยู่ด้วย ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นร้านตัดผม หรือร้านอาหาร โดยได้มีการสืบสวนต่อในร้านตัดผมกับร้านอาหาร ทั้งอาการของผู้ป่วยตอนที่ไปร้านตัดผมกับร้านอาหาร และการให้การบริการของร้าน ซึ่งพบว่า ร้านตัดผมที่ผู้ป่วยไปตัดผม ในวันที่ 18 พฤษภาคม 63 ปฏิบัติตามมาตรการที่รัฐกําหนด มีการตรวจ และกักกันตัวพนักงานที่เสี่ยงสูงอย่างน้อย 14 วัน ร้านเป็นห้องแอร์ มีพนักงานให้บริการ จํานวน 8 คน ซึ่งทีมสอบสวนโรคของกรมควบคุมโรคได้เข้าไปดูทั้งหมดเพื่อสร้างความมั่นใจ พบว่าทุกอย่างมีการปฏิบัติอย่างดี ลูกค้าเข้ารับบริการมากที่สุด 3 คน ไม่มีการให้ลูกค้านั่งรอรับบริการภายในร้าน อาจจะมั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าผู้ป่วยรายนี้คงไม่ได้ไปแพร่เชื้อให้กับคนอื่นระหว่างการตัดผมที่ใช้เวลาไม่นาน
ขณะที่ร้านอาหารที่ผู้ป่วยไปรับประทานในวันที่ 18 พฤษภาคม 63 พบว่า มีการจัดวางโต๊ะแต่ละโต๊ะมีระยะห่างมากกว่า 1 เมตร มีจุดให้บริการล้างมือสําหรับลูกค้า มีการทําความสะอาดพื้น โต๊ะ ก่อนและหลังการให้บริการแก่ลูกค้า พนักงานที่ให้บริการทุกคนสวมหน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลา และมีการกักตัวพนักงานที่มีความเสี่ยงสูงอย่างน้อย 14 วันแล้ว ซึ่งให้ความมั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าไม่น่าจะมีการติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม 17 พฤษภาคม 63 เป็นวันที่ให้มีการใช้แพลตฟอร์มไทยชนะ ซึ่งทั้ง 2 ร้านดังกล่าวยังไม่ได้เข้าระบบแพลตฟอร์มไทยชนะ และคนที่มาใช้บริการยังไม่มีการสแกนคิวอาร์โค้ด
โฆษก ศบค. ชี้แจงให้ประชาชนที่สงสัยว่าจะอยู่ในไทม์ไลน์ของผู้ป่วยรายนี้ คิดว่ามีการสัมผัสหรือเกี่ยวข้อง ให้มารับการตรวจหาสารคัดหลั่งในโพรงจมูกในโรงพยาบาลได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการตรวจ โดยจํานวนตัวอย่างที่ได้รับการตรวจ COVID-19 RT-PCR ตั้งแต่เริ่มเปิดบริการ – 22 พฤษภาคม 63 มีจํานวนการตรวจสะสมรวม 375,453 ตัวอย่าง หากประชาชนสงสัยว่าจะติดเชื้อ สามารถเข้ารับการตรวจได้ที่จุดตรวจทั่วประเทศ
2. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก
สําหรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 5,498,577 ราย เพิ่มขึ้นภายในวันเดียว 94,598 ราย และเสียชีวิตเพิ่ม 2,713 ราย ทําให้ตัวเลขรวมผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 346,688 ราย โดยสหรัฐอเมริกายังมีผู้ป่วยยืนยันสะสมเป็นอันดับที่ 1 ของโลก รองลงมาคือ บราซิลและรัสเซียตามลําดับ ซึ่งเป็น3 ประเทศใน 3 ทวีป จึงเรียกว่าโรคระบาดเป็นภัยหายนะของโลก ในส่วนกลุ่มอาเซียนและเอเชีย มีอินเดีย ปากีสถาน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีสิงคโปร์ อินโดนีเซีย สําหรับไทย ขณะนี้อยู่ในลําดับ 76 ซึ่งยังวางใจไม่ได้เนื่องจากกราฟแสดงผู้ติดเชื้อทั่วโลกยังเพิ่มขึ้นสูง
โฆษก ศบค. รายงานสถานการณ์ข่าวที่น่าสนใจในต่างประเทศว่า “อิแทวอน ยังระบาดไม่หยุด เกาหลีใต้เตรียมยกระดับการป้องกัน” ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของเกาหลีใต้ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อจากผับย่านอิแทวอนนั้น ล่าสุดพุ่งสูงขึ้นถึง 225 จากผู้ติดเชื้ออายุ 29 ปีรายเดียว โดยมีค่าระบาดที่ 1.3 คือผู้ป่วยหนึ่งคนสามารถติดเชื้อให้กับผู้อื่นได้มากกว่า 1 ราย โดยพบว่าการระบาดจากผู้ป่วยอิแทวอนในตอนนี้เป็นการระบาดในต่อที่สองและต่อที่สามแล้ว ทําให้ทางการเตรียมออกมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในการบังคับใส่หน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะ นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าพบเด็กอนุบาลติดโรคโควิด 1 รายจากโรงเรียนศิลปะ ก่อนวันที่เกาหลีใต้จะเริ่มเปิดโรงเรียนของรัฐ ในกรุงโซล หลังจากที่หยุดเรียนไปเกือบสามเดือน ทําให้ทางการต้องสั่งปิดโรงเรียนเอกชนหลายแห่งย่านกังซอ ทางใต้ของกรุงโซล และกําลังพิจารณาว่าจะเลื่อนการเปิดโรงเรียนหรือไม่ โฆษก ศบค. ยังเผยว่า หลายประเทศก็มีข้อห่วงใยเกี่ยวกับการเปิดเทอมของนักเรียน เช่นกัน
3. ผลการดําเนินงานตามมาตรการ
มาตรการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศ
คนไทยเดินทางกลับมาวันนี้ ดังนี้ เวลา 15.15 น. จากศรีลังกา/มัลดีฟส์ 78 คน เวลา 15.30 จากประเทศญี่ปุ่น (โตเกียว) 50 คน เวลา 15.40 จากญี่ปุ่น (โตเกียว) 88 คน เวลา 16.30 น. จากญี่ปุ่น (โตเกียว) 29 คน และเวลา 21.45 น. จากเกาหลีใต้ (โซล) 150 คน ในวันพรุ่งนี้ (26 พฤษภาคม 63) เวลา 07.35 น. จะมีผู้เดินทางกลับจากอิตาลี (โรม) 50 คน เวลา 13.40 น. จากมาเลเซีย (กัวลาลัมเปอร์) 150 คน เวลา 15.40 น. จากญี่ปุ่น (โตเกียว) 35 คน และเวลา 17.05 น. จากไต้หวัน (ไทเป) 165 คน สําหรับแผนเที่ยวบินนําคนไทยที่ตกค้างกลับไทยในวันที่ 27 พฤษภาคม มี 4 เที่ยวบิน ได้แก่ แคนาดา (ผ่านญี่ปุ่น) เนเธอร์แลนด์ (อัมสเตอร์ดัม) อินโดนีเซีย (สุราบายา) และฮ่องกง วันที่ 28 พฤษภาคม 3 เที่ยวบิน ได้แก่ เวียดนาม (โฮจิมินห์) ออสเตรเลีย (เมลเบิร์น) และ สหรัฐอเมริกา (ผ่านเกาหลีใต้) วันที่ 29 พฤษภาคม 3 เที่ยวบิน ได้แก่ ตุรกี/จอร์เจีย (อิสตันบูล/ทบิลิซี) เมียนมาร์ (ย่างกุ้ง) และฝรั่งเศส (ปารีส) วันที่ 30 พฤษภาคม 4 เที่ยวบิน ได้แก่ เกาหลีใต้ (โซล) สหรัฐอเมริกา (ผ่านเกาหลีใต้) ญี่ปุ่น (โตเกียว) และฟิลิปปินส์ (มะนิลา) วันที่ 31 พฤษภาคม 2 เที่ยวบิน ได้แก่ สหราชอาณาจักร (ลอนดอน) และอินโดนีเซีย (จาการ์ตา) และวันที่ 1 มิถุนายน 3 เที่ยวบิน ได้แก่ มาเลเซีย (กัวลาลัมเปอร์) สหรัฐอเมริกา (ผ่านเกาหลีใต้) และสิงคโปร์
โฆษก ศบค. เผย ศักยภาพในการรองรับผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศในขณะนี้ได้ประมาณ 400 คน ต่อวัน จึงดําเนินการรองรับเต็มอัตราเพื่อให้คนไทยในต่างประเทศได้กลับมา ทั้งนี้ ต้องขอบพระคุณศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงสาธารณสุขและผู้ที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบพื้นที่ State Quarantine ที่ให้ผู้ที่กลับจากต่างประเทศเข้าพักได้
รายงานผู้เดินทางกลับเข้าประเทศผ่านจุดผ่านแดนทางบกมีผู้เดินทางจากเมียนมา 2 คน มาเลเซีย 229 คน สปป.ลาว 9 คน และ กัมพูชา 6 คน รวม 246 คนรายงานข้อมูลสถานการณ์ผู้เดินทางเข้าประเทศที่ต้องกักกันตัวในที่กักกันของรัฐจัดให้ (State Quarantine และ Local Quarantine)ตั้งแต่ 3 เมษายน – 24 พฤษภาคม 63 มีจํานวนผู้เข้ากักกันสะสม 25,385 ราย ผู้กลับบ้านสะสม 16,101 ราย และผู้เข้ากักกันปัจจุบัน 9,284 ราย โฆษก ศบค. ยังย้ําว่า รัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบ State Quarantine ดังนั้น หากพบการขู่กรรโชกให้จ่ายค่าบริการ สามารถแจ้งความดําเนินคดีได้
การดําเนินการตามมาตรการ รายงานข้อมูลสรุปการใช้งาน www.ไทยชนะ.com ยอดสะสมตั้งแต่เริ่มโครงการมีร้านค้าลงทะเบียน 106,235 ร้าน ผู้ใช้งาน 11,757,624 คน แบ่งจํานวนการเข้าใช้งานออกเป็น เช็คอิน 27,101,565 ครั้ง เช็คเอ้าท์ 19,204,736 ครั้ง จํานวนการประเมินร้านค้า 10,867,125 ครั้ง พบว่าสถานประกอบกิจการ/กิจกรรม มีการลงทะเบียนใช้งานแพลตฟอร์มไทยชนะมากขึ้นทุกวัน ขอความร่วมมือร้านค้าในประเทศไทยที่มีจํานวนหลายแสนร้านให้ลงทะเบียนมากขึ้น และให้ประชาชนเช็คเอ้าท์ด้วย
โฆษก ศบค. เตือนให้ระวังแพลตฟอร์มไทยชนะของปลอม ซึ่งมีลักษณะเหมือนกันกับแพลตฟอร์มไทยชนะทั้งการใช้สีและโลโก้ เป็นเว็บหลอกลวงให้โหลดแอปพลิเคชันเพื่อขโมยข้อมูลส่วนบุคคล โดยแพลตฟอร์มไทยชนะที่แท้จริง สามารถใช้งานผ่านเว็บไซต์ www.ไทยชนะ.com หรือ www.thaichana.com โดยไม่ต้องโหลดแอปพลิเคชันใด ๆ
โฆษก ศบค. รายงานผลจากการปฏิบัติการจากการประกาศมาตรการเคอร์ฟิวประจําวันที่ 25 พฤษภาคม 63 โดยศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงพบว่า มีผู้กระทําความผิดกรณีชุมนุมมั่วสุม 5 ราย ลดลง 22 ราย ผู้กระทําความผิดกรณีออกนอกเคหสถาน 254 ราย ลดลง 67 ราย โดยเหตุของการชุมนุมมั่วสุม คือลักลอบเล่นการพนัน ร้อยละ 80 และยาเสพติด ร้อยละ 20 ไม่มีคดีเกี่ยวกับการดื่มสุราเลย
จากประเด็นที่เป็นข่าวที่ชุดตรวจกิจการ/กิจกรรมได้เข้าตรวจร้านค้า ด้วยคนจํานวนมาก มีการใช้ภาษาติเตียนที่รุนแรงและเข้าตรวจซ้ํา ๆ ที่ประชุม ศบค. ชุดเล็กเช้านี้ ได้มีมติให้ปรับชุดตรวจให้เล็กลง ปรับท่าทีให้นุ่มนวล ให้ คําแนะนํา ให้กําลังใจ เน้นการตรวจตามเบาะแสต่อกิจการที่มีปัญหาจริง และให้ไปเยี่ยมเยียนเท่าที่จําเป็น ยกเว้นกรณีตั้งใจละเมิดจะใช้มาตรการที่เหมาะสม ทั้งนี้ ศบค. จะร่วมกันทําให้ดีที่สุด หากมีเรื่องร้องเรียน พบการมั่วสุม การทําผิด พ.ร.ก.ฯ การไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน หรือร้องเรียนการตรวจของเจ้าหน้าที่ สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่เบอร์ 191 แจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย 1599 สายด่วนร้องทุกข์ และ 1138 ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
**********************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31425
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงพลังงานชี้แจง ข้อกังวลการแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน
|
วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2561
กระทรวงพลังงานชี้แจง ข้อกังวลการแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน
กระทรวงพลังงานชี้แจง ข้อกังวลการแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน
วันที่ 15 มกราคม 2561 นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อํานวยการสํานักงานนโยบายและแผนพลังงานและโฆษกกระทรวงพลังงาน ชี้แจงกรณีข้อกังวลการแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน ตามที่ น.ส.รสนา โตสิตระกูล และทีมข่าวเศรษฐกิจ นสพ.ไทยรัฐ ตั้งข้อสังเกตรวม 3 ข้อ ดังนี้
1. รัฐบาลจะแปรรูป กฟผ. ด้วยวิธีให้เอกชนเข้ามาประมูล เมื่อได้สัญญาขายไฟให้ กฟผ. เอกชนจะกลายเป็นเสือนอนกินตามสัญญาสัมปทาน 25 ปี ทั้งนี้ประเด็นคือ ถ้าช่วงเวลานั้นความต้องการไฟฟ้าลดลง หลัก Take or Pay คือเอกชนผลิต กฟผ.จะใช้หรือไม่ใช้ แต่ กฟผ.ต้องจ่ายเงินให้เอกชน ทําให้ กฟผ.ต้องลดกําลังการผลิตของตัวเองลงเพื่อซื้อเอกชน ใช่หรือไม่
กระทรวงพลังงาน ขอให้ข้อมูลและชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ที่ผ่านมา กระทรวงพลังงานได้มีนโยบายส่งเสริมให้ภาคเอกชนมามีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้าในรูปแบบ IPP (ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่) ซึ่งถือว่าเป็นการช่วยลดภาระการลงทุนภาครัฐโดยเอกชนจะมีสัญญา 22-25 ปี อย่างไรก็ตาม โรงไฟฟ้าเอกชนตามรูปแบบดังกล่าว อาจเปรียบเสมือนว่าเป็นโรงไฟฟ้าที่อยู่ภายใต้กํากับของ กฟผ. ก็ว่าได้ เพราะ กฟผ. สามารถสั่งการเดินเครื่องหรือหยุดเดินเครื่องโรงไฟฟ้า (Dispatch) ได้ตามการสั่งการของ กฟผ. ซึ่งจะแปรผันตามความต้องการใช้ไฟฟ้าในระบบ โดยการสั่งการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าของ กฟผ. นั้น จะเดินเครื่องตามความต้องการใช้ของประเทศ โดยเลือกสั่งเดินเครื่องตามต้นทุนที่ถูกที่สุดก่อน (Merit Order) แต่ในกรณีที่ไม่มีความต้องการใช้ไฟฟ้า กฟผ. จําเป็นต้องจ่ายเป็นค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้า (Available Payment) ตามสัญญา ให้แก่เอกชนที่ลงทุนรับความเสี่ยงไปแล้ว ทั้งนี้ การสั่งการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าจะถูกกํากับและสั่งการโดย กฟผ.และ กกพ. ตามลําดับ
2. เปิดเผยถึงกระแสข่าวลือว่ามีการขายใบอนุญาตขายไฟฟ้าให้ กฟผ. (เมกะวัตต์ละ 1 ล้านบาท) โดยต้องจ่ายเงินให้ผู้มีอํานาจ พร้อมกล่าวหาว่ารัฐบาล คสช.กําลังแปรรูปแบบซ่อนรูป กฟผ.และย่อยสลาย กฟผ.เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนด้านพลังงาน
กระทรวงพลังงาน ขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ข่าวลือดังกล่าวไม่เป็นความเป็นจริงแต่ประการใด
3. ทีมเศรษฐกิจ กังวลว่าการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน กฟผ.และ ปตท. ที่รัฐบาลกําลังดําเนินการ จะนําไปสู่การแปรรูป กฟผ.และ ปตท. เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนการเมืองและกลุ่มทุนธุรกิจพลังงาน
กระทรวงพลังงานขอชี้แจงว่า การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานนั้น ต้องดําเนินการตามแนวทางของสภาหรือคณะกรรมการปฏิรูปแห่งชาติ ตามขั้นตอนที่ระบุไว้ในข้อกฎหมายทุกประการ ทั้งนี้ เพื่อให้ระบบพลังงานของประเทศมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม สมบูรณ์และช่วยสร้างนวัตกรรมใหม่ด้านพลังงาน เพื่อให้มีพลังงานที่ให้สามารถบริการแก่คนไทยได้อย่างเพียงพอ ต่อเนื่องและราคาถูกลง
-------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงพลังงานชี้แจง ข้อกังวลการแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน
วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2561
กระทรวงพลังงานชี้แจง ข้อกังวลการแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน
กระทรวงพลังงานชี้แจง ข้อกังวลการแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน
วันที่ 15 มกราคม 2561 นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อํานวยการสํานักงานนโยบายและแผนพลังงานและโฆษกกระทรวงพลังงาน ชี้แจงกรณีข้อกังวลการแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน ตามที่ น.ส.รสนา โตสิตระกูล และทีมข่าวเศรษฐกิจ นสพ.ไทยรัฐ ตั้งข้อสังเกตรวม 3 ข้อ ดังนี้
1. รัฐบาลจะแปรรูป กฟผ. ด้วยวิธีให้เอกชนเข้ามาประมูล เมื่อได้สัญญาขายไฟให้ กฟผ. เอกชนจะกลายเป็นเสือนอนกินตามสัญญาสัมปทาน 25 ปี ทั้งนี้ประเด็นคือ ถ้าช่วงเวลานั้นความต้องการไฟฟ้าลดลง หลัก Take or Pay คือเอกชนผลิต กฟผ.จะใช้หรือไม่ใช้ แต่ กฟผ.ต้องจ่ายเงินให้เอกชน ทําให้ กฟผ.ต้องลดกําลังการผลิตของตัวเองลงเพื่อซื้อเอกชน ใช่หรือไม่
กระทรวงพลังงาน ขอให้ข้อมูลและชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ที่ผ่านมา กระทรวงพลังงานได้มีนโยบายส่งเสริมให้ภาคเอกชนมามีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้าในรูปแบบ IPP (ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่) ซึ่งถือว่าเป็นการช่วยลดภาระการลงทุนภาครัฐโดยเอกชนจะมีสัญญา 22-25 ปี อย่างไรก็ตาม โรงไฟฟ้าเอกชนตามรูปแบบดังกล่าว อาจเปรียบเสมือนว่าเป็นโรงไฟฟ้าที่อยู่ภายใต้กํากับของ กฟผ. ก็ว่าได้ เพราะ กฟผ. สามารถสั่งการเดินเครื่องหรือหยุดเดินเครื่องโรงไฟฟ้า (Dispatch) ได้ตามการสั่งการของ กฟผ. ซึ่งจะแปรผันตามความต้องการใช้ไฟฟ้าในระบบ โดยการสั่งการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าของ กฟผ. นั้น จะเดินเครื่องตามความต้องการใช้ของประเทศ โดยเลือกสั่งเดินเครื่องตามต้นทุนที่ถูกที่สุดก่อน (Merit Order) แต่ในกรณีที่ไม่มีความต้องการใช้ไฟฟ้า กฟผ. จําเป็นต้องจ่ายเป็นค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้า (Available Payment) ตามสัญญา ให้แก่เอกชนที่ลงทุนรับความเสี่ยงไปแล้ว ทั้งนี้ การสั่งการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าจะถูกกํากับและสั่งการโดย กฟผ.และ กกพ. ตามลําดับ
2. เปิดเผยถึงกระแสข่าวลือว่ามีการขายใบอนุญาตขายไฟฟ้าให้ กฟผ. (เมกะวัตต์ละ 1 ล้านบาท) โดยต้องจ่ายเงินให้ผู้มีอํานาจ พร้อมกล่าวหาว่ารัฐบาล คสช.กําลังแปรรูปแบบซ่อนรูป กฟผ.และย่อยสลาย กฟผ.เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนด้านพลังงาน
กระทรวงพลังงาน ขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ข่าวลือดังกล่าวไม่เป็นความเป็นจริงแต่ประการใด
3. ทีมเศรษฐกิจ กังวลว่าการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน กฟผ.และ ปตท. ที่รัฐบาลกําลังดําเนินการ จะนําไปสู่การแปรรูป กฟผ.และ ปตท. เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนการเมืองและกลุ่มทุนธุรกิจพลังงาน
กระทรวงพลังงานขอชี้แจงว่า การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานนั้น ต้องดําเนินการตามแนวทางของสภาหรือคณะกรรมการปฏิรูปแห่งชาติ ตามขั้นตอนที่ระบุไว้ในข้อกฎหมายทุกประการ ทั้งนี้ เพื่อให้ระบบพลังงานของประเทศมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม สมบูรณ์และช่วยสร้างนวัตกรรมใหม่ด้านพลังงาน เพื่อให้มีพลังงานที่ให้สามารถบริการแก่คนไทยได้อย่างเพียงพอ ต่อเนื่องและราคาถูกลง
-------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9431
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วท. ร่วมทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 89 รูป เนื่องในพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร ครบ 100 วัน ถวาย ในหลวงรัชกาลที่ 9
|
วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม 2560
รมว.วท. ร่วมทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ 89 รูป เนื่องในพระราชพิธีบําเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร ครบ 100 วัน ถวาย ในหลวงรัชกาลที่ 9
รมว.วท. ร่วมทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ 89 รูป เนื่องในพระราชพิธีบําเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร ครบ 100 วัน ถวาย ในหลวงรัชกาลที่ 9
วันที่ 20 มกราคม 2560 ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (รมว.วท.) เข้าร่วมในพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ 89 รูปเนื่องในพระราชพิธีบําเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ครบ 100 วัน โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนา ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล
ข่าวและภาพ : นางสาวพจนพร แสงสว่าง
วีดิโอ : นายไววิทย์ ยอดประสิทธิ์
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทร. 02 333 3728 – 3732 โทรสาร 02 333 3834
E-mail :[email protected] Facebook : sciencethailand
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วท. ร่วมทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 89 รูป เนื่องในพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร ครบ 100 วัน ถวาย ในหลวงรัชกาลที่ 9
วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม 2560
รมว.วท. ร่วมทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ 89 รูป เนื่องในพระราชพิธีบําเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร ครบ 100 วัน ถวาย ในหลวงรัชกาลที่ 9
รมว.วท. ร่วมทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ 89 รูป เนื่องในพระราชพิธีบําเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร ครบ 100 วัน ถวาย ในหลวงรัชกาลที่ 9
วันที่ 20 มกราคม 2560 ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (รมว.วท.) เข้าร่วมในพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ 89 รูปเนื่องในพระราชพิธีบําเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ครบ 100 วัน โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนา ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล
ข่าวและภาพ : นางสาวพจนพร แสงสว่าง
วีดิโอ : นายไววิทย์ ยอดประสิทธิ์
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทร. 02 333 3728 – 3732 โทรสาร 02 333 3834
E-mail :[email protected] Facebook : sciencethailand
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1490
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนตุลาคม 2561
|
วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2561
รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจําเดือนตุลาคม 2561
ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจําเดือนตุลาคม 2561
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจําเดือนตุลาคม 2561 โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้
สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ที่กระทรวงการคลังเปิดให้ผู้สนใจยื่นคําขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์เป็นต้นมา จนถึง ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2561 มีนิติบุคคลยื่นคําขออนุญาตทั้งสิ้น 721 ราย ใน 71 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้ยื่นคําขออนุญาตมากที่สุด 3 ลําดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา 68 ราย กรุงเทพมหานคร 59 ราย และร้อยเอ็ด 38 ราย ทั้งนี้ มีจํานวนที่คืนคําขออนุญาตทั้งสิ้น 93 ราย ใน 45 จังหวัด จึงมีนิติบุคคลที่ยื่นคําขออนุญาตสุทธิ 628 ราย ใน 70 จังหวัด และมีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจแล้ว 405 ราย ใน 64 จังหวัด ซึ่งในจํานวนนี้ ได้เปิดดําเนินการแล้ว 337 ราย ใน 63 จังหวัด และมีผู้ประกอบการที่ปล่อยสินเชื่อแล้ว 329 ราย ใน 63 จังหวัด โดยผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตสามารถ
ปล่อยสินเชื่อได้ภายในเขตจังหวัดให้แก่ผู้มีภูมิลําเนาหรือถิ่นที่อยู่ภายในจังหวัดนั้น ๆ วงเงินรายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective Rate)
ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 มียอดสินเชื่ออนุมัติสะสม 40,515 บัญชี รวมเป็นเงิน 1,093.00 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่ออนุมัติเฉลี่ย 26,977.53 บาทต่อบัญชี ประกอบด้วย สินเชื่อแบบมีหลักประกัน 22,017 บัญชี เป็นเงิน 662.54 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 60.62 ของจํานวนสินเชื่อที่อนุมัติ และสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน 18,498 บัญชี เป็นเงิน 430.46 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 39.38 ของจํานวนสินเชื่อที่อนุมัติ ขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างรวมมีทั้งสิ้น 17,231 บัญชี คิดเป็นเงิน 459.00 ล้านบาท สําหรับสินเชื่อที่ค้างชําระไม่เกิน 3 เดือน มีจํานวน 1,341 บัญชี คิดเป็นเงิน
44.57 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.71 ของยอดสินเชื่อคงค้างรวม และมีสินเชื่อค้างชําระเกินกว่า 3 เดือน (NPL) จํานวน 361 บัญชี คิดเป็นเงิน 12.27 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.67 ของสินเชื่อคงค้างรวม
สินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560 ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้อนุมัติสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินให้เป็นทางเลือกของประชาชนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบแทนหนี้นอกระบบ รายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.85 ต่อเดือน โดยได้เร่งกระจายความช่วยเหลือด้านสินเชื่อดังกล่าวแก่ประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2561 มีการอนุมัติสินเชื่อรวม 384,744 ราย เป็นเงิน 17,234.11 ล้านบาท จําแนกเป็นสินเชื่อที่อนุมัติแก่ประชาชนทั่วไป 357,881 ราย เป็นเงิน 16,060.26 ล้านบาท และสินเชื่อที่อนุมัติแก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ที่มีหนี้นอกระบบ จํานวน 26,863 ราย เป็นเงิน 1,173.85 ล้านบาท
การดําเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่กระทําผิดกฎหมาย สํานักงานตํารวจแห่งชาติยังคงกวดขันจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบและผู้ติดตามทวงถามหนี้โดยวิธีการผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดําเนินการสะสมนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 เป็นต้นมา ถึง ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2561 มีการจับกุมผู้กระทําผิดรวมทั้งสิ้น 4,322 คน
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ยึดแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาล เพื่อให้การแก้ปัญหามีความยั่งยืนใน 5 มิติ ได้แก่ (1) ดําเนินการจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย (2) เพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ (3) ลดภาระหนี้นอกระบบโดยการไกล่เกลี่ย (4) เพิ่มศักยภาพลูกหนี้นอกระบบ และ (5) การสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ พร้อมกันนี้ กระทรวงการคลังได้รับความร่วมมือจากสํานักงานตํารวจแห่งชาติและกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรร่วมผลักดันเจ้าหนี้นอกระบบรายใหญ่ที่มีลูกหนี้จํานวนมากเข้าสู่การไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ของคณะอนุกรรมการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้นอกระบบประจําจังหวัด ซึ่งมีอัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดเป็นประธาน ตลอดจนร่วมประชาสัมพันธ์เชิญชวนเจ้าหนี้
นอกระบบให้หันมาดําเนินธุรกิจสินเชื่อในระบบให้เป็นไปตามกฎหมายด้วยการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นแหล่งเงินกู้ทางเลือกที่สําคัญของประชาชน ทั้งนี้ ประชาชนผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลและรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดําเนินการได้ทางเว็บไซต์ www.1359.go.th และสามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบที่ผิดกฎหมายได้โดยตรงที่
• สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สายด่วน 1599
• ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรมของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ สายด่วน 1155
• ศูนย์ดํารงธรรม สายด่วน 1567
• ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง สายด่วน 1359
สํานักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน
โทร. สายด่วน 1359
โดยมีรายละเอียดปรากฏตามเอกสารแนบ
สถิติสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์)
รายการ ก.ค. 61 ส.ค. 61 ก.ย. 61 ต.ค. 61
1. การพิจารณาอนุญาต (ยอดสะสม)
1.1 คําขออนุญาต (ราย) 516 579 651 721
1.2 คืนคําขออนุญาต (ราย) 90 92 93 93
1.3 คําขออนุญาตสุทธิ (ราย) 426 487 558 628
1.4 ผู้ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจ (ราย) 380 386 394 405
1.5 ผู้เปิดดําเนินการ (ราย) 287 310 329 337
2. การอนุมัติสินเชื่อ
2.1 สินเชื่ออนุมัติสะสม
จํานวนบัญชีรวมทั้งสิ้น 32,040 36,167 40,515 N/A
(% m-o-m) +11.12 +12.88 +12.02
จํานวนเงินรวมทั้งสิ้น (ล้านบาท) 841.91 965.88 1,093.00 N/A
(% m-o-m) +11.71 14.72 13.16
(1) สินเชื่อแบบมีหลักประกัน
จํานวนบัญชี 16,725 19,258 22,017 N/A
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 496.78 578.86 662.54 N/A
(2) สินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน
จํานวนบัญชี 15,315 16,909 18,498 N/A
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 345.13 387.02 430.46 N/A
2.2 ยอดคงค้างสินเชื่อ
จํานวนบัญชีรวมทั้งสิ้น 15,532 16,950 17,231 N/A
(% m-o-m) +9.22 +9.13 +1.66
จํานวนเงินรวมทั้งสิ้น (ล้านบาท) 396.05 450.32 459.00 N/A
(% m-o-m) +9.10 +13.70 +1.93
(1) หนี้สถานะปกติ
จํานวนบัญชี 14,142 15,388 15,529 N/A
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 350.80 396.90 402.16 N/A
(2) หนี้ค้างชําระ 1-3 เดือน (SM)
จํานวนบัญชี 1,058 1,216 1,341 N/A
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 35.29 41.73 44.57 N/A
หนี้ SM ต่อยอดคงค้างสินเชื่อ (SM Ratio - %) 8.91 9.27 9.71 N/A
(3) หนี้ค้างชําระเกินกว่า 3 เดือน (NPL)
จํานวนบัญชี 332 346 361 N/A
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 9.96 11.69 12.27 N/A
หนี้ NPL ต่อยอดคงค้างสินเชื่อ (NPL Ratio - %) 2.52 2.60 2.67 N/A
ที่มา : สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
หมายเหตุ : 1. มีการปรับปรุงข้อมูลเดือนกรกฎาคม 2561 และสิงหาคม 2561 ให้เป็นปัจจุบัน
2. หนี้จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (Special Mention Loan : SM) หมายถึง หนี้ซึ่งค้างชําระระหว่าง 1 - 3 เดือน
และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan : NPL) หมายถึง หนี้ซึ่งค้างชําระเกินกว่า 3 เดือน
สถิติการอนุมัติสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน (ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2561)
ธนาคาร ประชาชนทั่วไป ผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้นอกระบบ รวมทั้งสิ้น
ราย ล้านบาท ราย ล้านบาท ราย ล้านบาท
ออมสิน 175,963
(+ 7.22%) 7,418.74
(+ 7.16%) 12,728
(+ 19.62%) 504.87
(+ 18.41%) 188,691
(+ 7.97%) 7,923.61
(+ 7.82%)
ธ.ก.ส. 181,918
(+ 7.14%) 8,641.52
(+7.23%) 14,135
(+ 1.45%) 668.98
(+ 2.00%) 196,053
(+ 6.71%) 9,310.50
(+ 6.83%)
รวม 357,881
(+ 7.18%) 16,060.26
(+7.20%) 26,863
(+ 9.32%) 1,173.85
(+ 8.47%) 384,744
(+ 7.33%) 17,234.11
(+ 7.28%)
ที่มา : ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส.
รวบรวมโดย : สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนตุลาคม 2561
วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2561
รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจําเดือนตุลาคม 2561
ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจําเดือนตุลาคม 2561
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจําเดือนตุลาคม 2561 โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้
สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ที่กระทรวงการคลังเปิดให้ผู้สนใจยื่นคําขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์เป็นต้นมา จนถึง ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2561 มีนิติบุคคลยื่นคําขออนุญาตทั้งสิ้น 721 ราย ใน 71 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้ยื่นคําขออนุญาตมากที่สุด 3 ลําดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา 68 ราย กรุงเทพมหานคร 59 ราย และร้อยเอ็ด 38 ราย ทั้งนี้ มีจํานวนที่คืนคําขออนุญาตทั้งสิ้น 93 ราย ใน 45 จังหวัด จึงมีนิติบุคคลที่ยื่นคําขออนุญาตสุทธิ 628 ราย ใน 70 จังหวัด และมีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจแล้ว 405 ราย ใน 64 จังหวัด ซึ่งในจํานวนนี้ ได้เปิดดําเนินการแล้ว 337 ราย ใน 63 จังหวัด และมีผู้ประกอบการที่ปล่อยสินเชื่อแล้ว 329 ราย ใน 63 จังหวัด โดยผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตสามารถ
ปล่อยสินเชื่อได้ภายในเขตจังหวัดให้แก่ผู้มีภูมิลําเนาหรือถิ่นที่อยู่ภายในจังหวัดนั้น ๆ วงเงินรายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective Rate)
ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 มียอดสินเชื่ออนุมัติสะสม 40,515 บัญชี รวมเป็นเงิน 1,093.00 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่ออนุมัติเฉลี่ย 26,977.53 บาทต่อบัญชี ประกอบด้วย สินเชื่อแบบมีหลักประกัน 22,017 บัญชี เป็นเงิน 662.54 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 60.62 ของจํานวนสินเชื่อที่อนุมัติ และสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน 18,498 บัญชี เป็นเงิน 430.46 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 39.38 ของจํานวนสินเชื่อที่อนุมัติ ขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างรวมมีทั้งสิ้น 17,231 บัญชี คิดเป็นเงิน 459.00 ล้านบาท สําหรับสินเชื่อที่ค้างชําระไม่เกิน 3 เดือน มีจํานวน 1,341 บัญชี คิดเป็นเงิน
44.57 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.71 ของยอดสินเชื่อคงค้างรวม และมีสินเชื่อค้างชําระเกินกว่า 3 เดือน (NPL) จํานวน 361 บัญชี คิดเป็นเงิน 12.27 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.67 ของสินเชื่อคงค้างรวม
สินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560 ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้อนุมัติสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินให้เป็นทางเลือกของประชาชนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบแทนหนี้นอกระบบ รายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.85 ต่อเดือน โดยได้เร่งกระจายความช่วยเหลือด้านสินเชื่อดังกล่าวแก่ประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2561 มีการอนุมัติสินเชื่อรวม 384,744 ราย เป็นเงิน 17,234.11 ล้านบาท จําแนกเป็นสินเชื่อที่อนุมัติแก่ประชาชนทั่วไป 357,881 ราย เป็นเงิน 16,060.26 ล้านบาท และสินเชื่อที่อนุมัติแก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ที่มีหนี้นอกระบบ จํานวน 26,863 ราย เป็นเงิน 1,173.85 ล้านบาท
การดําเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่กระทําผิดกฎหมาย สํานักงานตํารวจแห่งชาติยังคงกวดขันจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบและผู้ติดตามทวงถามหนี้โดยวิธีการผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดําเนินการสะสมนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 เป็นต้นมา ถึง ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2561 มีการจับกุมผู้กระทําผิดรวมทั้งสิ้น 4,322 คน
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ยึดแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาล เพื่อให้การแก้ปัญหามีความยั่งยืนใน 5 มิติ ได้แก่ (1) ดําเนินการจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย (2) เพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ (3) ลดภาระหนี้นอกระบบโดยการไกล่เกลี่ย (4) เพิ่มศักยภาพลูกหนี้นอกระบบ และ (5) การสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ พร้อมกันนี้ กระทรวงการคลังได้รับความร่วมมือจากสํานักงานตํารวจแห่งชาติและกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรร่วมผลักดันเจ้าหนี้นอกระบบรายใหญ่ที่มีลูกหนี้จํานวนมากเข้าสู่การไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ของคณะอนุกรรมการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้นอกระบบประจําจังหวัด ซึ่งมีอัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดเป็นประธาน ตลอดจนร่วมประชาสัมพันธ์เชิญชวนเจ้าหนี้
นอกระบบให้หันมาดําเนินธุรกิจสินเชื่อในระบบให้เป็นไปตามกฎหมายด้วยการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นแหล่งเงินกู้ทางเลือกที่สําคัญของประชาชน ทั้งนี้ ประชาชนผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลและรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดําเนินการได้ทางเว็บไซต์ www.1359.go.th และสามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบที่ผิดกฎหมายได้โดยตรงที่
• สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สายด่วน 1599
• ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรมของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ สายด่วน 1155
• ศูนย์ดํารงธรรม สายด่วน 1567
• ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง สายด่วน 1359
สํานักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน
โทร. สายด่วน 1359
โดยมีรายละเอียดปรากฏตามเอกสารแนบ
สถิติสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์)
รายการ ก.ค. 61 ส.ค. 61 ก.ย. 61 ต.ค. 61
1. การพิจารณาอนุญาต (ยอดสะสม)
1.1 คําขออนุญาต (ราย) 516 579 651 721
1.2 คืนคําขออนุญาต (ราย) 90 92 93 93
1.3 คําขออนุญาตสุทธิ (ราย) 426 487 558 628
1.4 ผู้ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจ (ราย) 380 386 394 405
1.5 ผู้เปิดดําเนินการ (ราย) 287 310 329 337
2. การอนุมัติสินเชื่อ
2.1 สินเชื่ออนุมัติสะสม
จํานวนบัญชีรวมทั้งสิ้น 32,040 36,167 40,515 N/A
(% m-o-m) +11.12 +12.88 +12.02
จํานวนเงินรวมทั้งสิ้น (ล้านบาท) 841.91 965.88 1,093.00 N/A
(% m-o-m) +11.71 14.72 13.16
(1) สินเชื่อแบบมีหลักประกัน
จํานวนบัญชี 16,725 19,258 22,017 N/A
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 496.78 578.86 662.54 N/A
(2) สินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน
จํานวนบัญชี 15,315 16,909 18,498 N/A
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 345.13 387.02 430.46 N/A
2.2 ยอดคงค้างสินเชื่อ
จํานวนบัญชีรวมทั้งสิ้น 15,532 16,950 17,231 N/A
(% m-o-m) +9.22 +9.13 +1.66
จํานวนเงินรวมทั้งสิ้น (ล้านบาท) 396.05 450.32 459.00 N/A
(% m-o-m) +9.10 +13.70 +1.93
(1) หนี้สถานะปกติ
จํานวนบัญชี 14,142 15,388 15,529 N/A
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 350.80 396.90 402.16 N/A
(2) หนี้ค้างชําระ 1-3 เดือน (SM)
จํานวนบัญชี 1,058 1,216 1,341 N/A
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 35.29 41.73 44.57 N/A
หนี้ SM ต่อยอดคงค้างสินเชื่อ (SM Ratio - %) 8.91 9.27 9.71 N/A
(3) หนี้ค้างชําระเกินกว่า 3 เดือน (NPL)
จํานวนบัญชี 332 346 361 N/A
จํานวนเงิน (ล้านบาท) 9.96 11.69 12.27 N/A
หนี้ NPL ต่อยอดคงค้างสินเชื่อ (NPL Ratio - %) 2.52 2.60 2.67 N/A
ที่มา : สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
หมายเหตุ : 1. มีการปรับปรุงข้อมูลเดือนกรกฎาคม 2561 และสิงหาคม 2561 ให้เป็นปัจจุบัน
2. หนี้จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (Special Mention Loan : SM) หมายถึง หนี้ซึ่งค้างชําระระหว่าง 1 - 3 เดือน
และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan : NPL) หมายถึง หนี้ซึ่งค้างชําระเกินกว่า 3 เดือน
สถิติการอนุมัติสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน (ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2561)
ธนาคาร ประชาชนทั่วไป ผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้นอกระบบ รวมทั้งสิ้น
ราย ล้านบาท ราย ล้านบาท ราย ล้านบาท
ออมสิน 175,963
(+ 7.22%) 7,418.74
(+ 7.16%) 12,728
(+ 19.62%) 504.87
(+ 18.41%) 188,691
(+ 7.97%) 7,923.61
(+ 7.82%)
ธ.ก.ส. 181,918
(+ 7.14%) 8,641.52
(+7.23%) 14,135
(+ 1.45%) 668.98
(+ 2.00%) 196,053
(+ 6.71%) 9,310.50
(+ 6.83%)
รวม 357,881
(+ 7.18%) 16,060.26
(+7.20%) 26,863
(+ 9.32%) 1,173.85
(+ 8.47%) 384,744
(+ 7.33%) 17,234.11
(+ 7.28%)
ที่มา : ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส.
รวบรวมโดย : สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16984
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศก.ผลิตสื่อสร้างการรับรู้-ศิลปินแห่งชาติ ร่วมส่งกำลังใจ ให้คนไทยพ้นภัยโควิด ๑๙
|
วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563
ศก.ผลิตสื่อสร้างการรับรู้-ศิลปินแห่งชาติ ร่วมส่งกําลังใจ ให้คนไทยพ้นภัยโควิด ๑๙
ศก.ผลิตสื่อสร้างการรับรู้-ศิลปินแห่งชาติ ร่วมส่งกําลังใจ ให้คนไทยพ้นภัยโควิด ๑๙
ศก.ผลิตสื่อสร้างการรับรู้-ศิลปินแห่งชาติ ร่วมส่งกําลังใจ ให้คนไทยพ้นภัยโควิด ๑๙
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) รัฐบาลได้ประกาศใช้มาตรการต่างๆ เพื่อคัดกรอง เฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคอย่างเข้มข้น รวมถึงสั่งการให้ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชนร่วมกันบูรณาการความร่วมมือในการทํางานตามบทบาทภารกิจหน้าที่ ซึ่งขณะนี้หน่วยงานของ วธ. ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้ร่วมมือกับเครือข่ายทางวัฒนธรรม ภาคประชาชน นําหลักการ “บวร” (บ้าน วัด โรงเรียน) ไปขับเคลื่อนและดําเนินกิจกรรมต่างๆ ตามแนวทางการสร้างความเข้มแข็งของพลัง “บวร” เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนของชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยได้จัดทําสื่อประชาสัมพันธ์ เช่น วีดิทัศน์ คลิปวิดีโอ อินโฟกราฟิก สร้างความรู้ ความเข้าใจ และแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องในการดูแลป้องกันตนเอง รวมถึงสร้างความตระหนักรับผิดชอบต่อสังคมให้กับประชาชนทั่วประเทศ ลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคแก่ผู้อื่น ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข
“ในส่วนของกรมศิลปากร ได้จัดทําวีดิทัศน์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) จํานวน 3 ตอน ได้แก่ ตอนที่ ๑ “เทวดารู้แจ้งแห่งเภทภัย” ตอนที่ ๒ “เทวดาช่วยกู้ สู้เภทภัย” และตอนที่ 3 “เทวดาบํารุงขวัญ กําลังใจ” ความยาวตอนละ 5 นาที แต่ละตอนจะนําเสนอความรู้เกี่ยวกับการระบาดของโรค วิธีการป้องกันการแพร่ระบาด ไม่ตระหนก แต่ตระหนัก และร่วมแรงร่วมใจกันทุกภาคส่วนเพื่อผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ มีศิลปินกรมศิลปากร และสํานักการสังคีต ได้แก่ ครูมืด ครูจรัญ และนายสุรเดช เป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวสอดแทรกมุขตลกสร้างความสนุกสนานเฮฮาชวนให้ติดตาม”
อย่างไรก็ตาม วธ. ยังได้บูรณาการการทํางานร่วมกับเครือข่ายศิลปินแห่งชาติ ศิลปินพื้นบ้าน ศิลปินนักร้อง นักแสดง จัดทําคลิปวิดีโอ “ศิลปินไทย ร่วมใจ สู้ภัยโควิด” ร่วมรณรงค์ สร้างความรู้ ความเข้าใจ ระวัง ป้องกัน และส่งกําลังใจไปให้พี่น้องคนไทยทั้งชาติก้าวข้ามปัญหาวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันให้ได้ เช่น วินัย พันธุรักษ์ สมบัติ เมทะนี รอง เค้ามูลคดี โฉมฉาย อรุณฉาน นิรุตติ์ ศิริจรรยาและวรรณิศา ศรีวิเชียร
มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID-19 : ตอนที่ ๑ เทวดารู้แจ้งแห่งเภทภัย https://youtu.be/QqZCMr_T1tw
มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID-19 ตอนที่ ๒ เทวดาช่วยกู้ สู้เภทภัย https://youtu.be/zdmAouyFg7E
มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID-19 ตอนที่ ๓ เทวดาบํารุงขวัญกําลังใจ https://youtu.be/FICkVRGNyCo
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศก.ผลิตสื่อสร้างการรับรู้-ศิลปินแห่งชาติ ร่วมส่งกำลังใจ ให้คนไทยพ้นภัยโควิด ๑๙
วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563
ศก.ผลิตสื่อสร้างการรับรู้-ศิลปินแห่งชาติ ร่วมส่งกําลังใจ ให้คนไทยพ้นภัยโควิด ๑๙
ศก.ผลิตสื่อสร้างการรับรู้-ศิลปินแห่งชาติ ร่วมส่งกําลังใจ ให้คนไทยพ้นภัยโควิด ๑๙
ศก.ผลิตสื่อสร้างการรับรู้-ศิลปินแห่งชาติ ร่วมส่งกําลังใจ ให้คนไทยพ้นภัยโควิด ๑๙
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) รัฐบาลได้ประกาศใช้มาตรการต่างๆ เพื่อคัดกรอง เฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคอย่างเข้มข้น รวมถึงสั่งการให้ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชนร่วมกันบูรณาการความร่วมมือในการทํางานตามบทบาทภารกิจหน้าที่ ซึ่งขณะนี้หน่วยงานของ วธ. ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้ร่วมมือกับเครือข่ายทางวัฒนธรรม ภาคประชาชน นําหลักการ “บวร” (บ้าน วัด โรงเรียน) ไปขับเคลื่อนและดําเนินกิจกรรมต่างๆ ตามแนวทางการสร้างความเข้มแข็งของพลัง “บวร” เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนของชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยได้จัดทําสื่อประชาสัมพันธ์ เช่น วีดิทัศน์ คลิปวิดีโอ อินโฟกราฟิก สร้างความรู้ ความเข้าใจ และแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องในการดูแลป้องกันตนเอง รวมถึงสร้างความตระหนักรับผิดชอบต่อสังคมให้กับประชาชนทั่วประเทศ ลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคแก่ผู้อื่น ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข
“ในส่วนของกรมศิลปากร ได้จัดทําวีดิทัศน์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) จํานวน 3 ตอน ได้แก่ ตอนที่ ๑ “เทวดารู้แจ้งแห่งเภทภัย” ตอนที่ ๒ “เทวดาช่วยกู้ สู้เภทภัย” และตอนที่ 3 “เทวดาบํารุงขวัญ กําลังใจ” ความยาวตอนละ 5 นาที แต่ละตอนจะนําเสนอความรู้เกี่ยวกับการระบาดของโรค วิธีการป้องกันการแพร่ระบาด ไม่ตระหนก แต่ตระหนัก และร่วมแรงร่วมใจกันทุกภาคส่วนเพื่อผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ มีศิลปินกรมศิลปากร และสํานักการสังคีต ได้แก่ ครูมืด ครูจรัญ และนายสุรเดช เป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวสอดแทรกมุขตลกสร้างความสนุกสนานเฮฮาชวนให้ติดตาม”
อย่างไรก็ตาม วธ. ยังได้บูรณาการการทํางานร่วมกับเครือข่ายศิลปินแห่งชาติ ศิลปินพื้นบ้าน ศิลปินนักร้อง นักแสดง จัดทําคลิปวิดีโอ “ศิลปินไทย ร่วมใจ สู้ภัยโควิด” ร่วมรณรงค์ สร้างความรู้ ความเข้าใจ ระวัง ป้องกัน และส่งกําลังใจไปให้พี่น้องคนไทยทั้งชาติก้าวข้ามปัญหาวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันให้ได้ เช่น วินัย พันธุรักษ์ สมบัติ เมทะนี รอง เค้ามูลคดี โฉมฉาย อรุณฉาน นิรุตติ์ ศิริจรรยาและวรรณิศา ศรีวิเชียร
มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID-19 : ตอนที่ ๑ เทวดารู้แจ้งแห่งเภทภัย https://youtu.be/QqZCMr_T1tw
มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID-19 ตอนที่ ๒ เทวดาช่วยกู้ สู้เภทภัย https://youtu.be/zdmAouyFg7E
มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID-19 ตอนที่ ๓ เทวดาบํารุงขวัญกําลังใจ https://youtu.be/FICkVRGNyCo
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27727
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชิญผู้ค้า Online และผู้เสียภาษีร่วมงานสัมมนาฟรี “วิถีใหม่...ให้ภาษีเป็นเรื่องง่าย”
|
วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563
เชิญผู้ค้า Online และผู้เสียภาษีร่วมงานสัมมนาฟรี “วิถีใหม่...ให้ภาษีเป็นเรื่องง่าย”
กรมสรรพากรเชิญชวนผู้ค้า Online ผู้เสียภาษีทั้งบุคคลและนิติบุคคลเข้าร่วมงานสัมมนา “Easy Tax Transforms Your Life วิถีใหม่...ให้ภาษีเป็นเรื่องง่าย” ในวันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563 ณ อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี
กรมสรรพากรเชิญชวนผู้ค้า Online ผู้เสียภาษีทั้งบุคคลและนิติบุคคลเข้าร่วมงานสัมมนา “Easy Tax Transforms Your Life วิถีใหม่...ให้ภาษีเป็นเรื่องง่าย” ในวันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563 ณ อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี ปรึกษาเรื่องภาษี กับ RD Tax Advisor พร้อมยื่นแบบภาษีช่วงโค้งสุดท้ายซึ่งขยายเวลาถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2563 และพบกับ Show Case บริการอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ของกรมสรรพากร โดยลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรีได้ที่ QR Code (ด้านล่าง)
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กรมสรรพากรได้ตระหนักถึงความสําคัญที่จะสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความสะดวกสบายแก่ผู้เสียภาษี จึงได้จัดงานสัมมนา “Easy Tax Transforms Your Life วิถีใหม่...ให้ภาษีเป็นเรื่องง่าย” ภายในงานท่านจะได้พบกับนิทรรศการระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ของกรมสรรพากร เช่น e-Tax Invoice & e-Receipt, e-Withholding Tax, e-Stamp Duty, e-Donation, My Tax Account, Tax From Home ระบบ Open API และ VRT on Blockchain ที่แรกของโลก
ช่วงเช้าตั้งแต่เวลา 10.00 – 11.30 น. พบกับการสัมมนาในหัวข้อ “ยอดขายออนไลน์ปัง มาฟังเรื่องภาษี” โดย คุณถนอม เกตุเอม เจ้าของเพจ TaxBugnoms และคุณพงษ์ปิติ ผาสุขยืด Founder – Ad Addict บล็อกเกอร์ชื่อดัง และช่วงบ่ายตั้งแต่เวลา 12.30 น. เชิญร่วมพิธีเปิดงาน โดย ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร โดยรับชมการเสวนาในหัวข้อ “วิถีใหม่...ให้ภาษีเป็นเรื่องง่าย” ซึ่งกรมสรรพากรได้รับเกียรติจาก ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จํากัด (มหาชน) นายเจษฎา วานิชสัมพันธ์ ผู้อํานวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจซอฟต์แวร์ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จํากัด (มหาชน) นายกิตติ สุทธิอรรถศิลป์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิจิทัล แอคเซสแพลตฟอร์ม จํากัด นายวิวัฒน์ พรไกรศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีโฟลว์ซิส จํากัด ผู้แทนจากสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย ดําเนินรายการโดย ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน ที่จะมาร่วมพูดคุยแชร์ประสบการณ์ในการใช้งานตลอดจนประโยชน์ที่ได้รับจากการเปลี่ยนจากระบบเดิมสู่ระบบใหม่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ สําหรับท่านใดที่ลงทะเบียนไม่ทันสามารถรับชมได้ทาง Facebook Live และทาง YouTube ของกรมสรรพากรได้อีกช่องทางหนึ่ง”
โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “ผู้ที่ต้องการปรึกษาปัญหาด้านภาษีท่านสามารถสอบถามกับ RD Tax Advisor ที่พร้อมให้คําปรึกษาและให้ความรู้ความเข้าใจด้านภาษีได้ภายในงาน ในช่วงโค้งสุดท้ายสําหรับผู้เสียภาษีท่านใดที่ยังไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีปี 2562 ทั้งแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90 ภ.ง.ด. 91 และ ภ.ง.ด. 95) และภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด. 50 และ ภ.ง.ด. 55) สามารถยื่นผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ภายในงานได้อีกด้วย หรือยื่นด้วยตัวเองได้ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2563”
กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพากร
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชิญผู้ค้า Online และผู้เสียภาษีร่วมงานสัมมนาฟรี “วิถีใหม่...ให้ภาษีเป็นเรื่องง่าย”
วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563
เชิญผู้ค้า Online และผู้เสียภาษีร่วมงานสัมมนาฟรี “วิถีใหม่...ให้ภาษีเป็นเรื่องง่าย”
กรมสรรพากรเชิญชวนผู้ค้า Online ผู้เสียภาษีทั้งบุคคลและนิติบุคคลเข้าร่วมงานสัมมนา “Easy Tax Transforms Your Life วิถีใหม่...ให้ภาษีเป็นเรื่องง่าย” ในวันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563 ณ อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี
กรมสรรพากรเชิญชวนผู้ค้า Online ผู้เสียภาษีทั้งบุคคลและนิติบุคคลเข้าร่วมงานสัมมนา “Easy Tax Transforms Your Life วิถีใหม่...ให้ภาษีเป็นเรื่องง่าย” ในวันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563 ณ อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี ปรึกษาเรื่องภาษี กับ RD Tax Advisor พร้อมยื่นแบบภาษีช่วงโค้งสุดท้ายซึ่งขยายเวลาถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2563 และพบกับ Show Case บริการอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ของกรมสรรพากร โดยลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรีได้ที่ QR Code (ด้านล่าง)
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กรมสรรพากรได้ตระหนักถึงความสําคัญที่จะสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความสะดวกสบายแก่ผู้เสียภาษี จึงได้จัดงานสัมมนา “Easy Tax Transforms Your Life วิถีใหม่...ให้ภาษีเป็นเรื่องง่าย” ภายในงานท่านจะได้พบกับนิทรรศการระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ของกรมสรรพากร เช่น e-Tax Invoice & e-Receipt, e-Withholding Tax, e-Stamp Duty, e-Donation, My Tax Account, Tax From Home ระบบ Open API และ VRT on Blockchain ที่แรกของโลก
ช่วงเช้าตั้งแต่เวลา 10.00 – 11.30 น. พบกับการสัมมนาในหัวข้อ “ยอดขายออนไลน์ปัง มาฟังเรื่องภาษี” โดย คุณถนอม เกตุเอม เจ้าของเพจ TaxBugnoms และคุณพงษ์ปิติ ผาสุขยืด Founder – Ad Addict บล็อกเกอร์ชื่อดัง และช่วงบ่ายตั้งแต่เวลา 12.30 น. เชิญร่วมพิธีเปิดงาน โดย ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร โดยรับชมการเสวนาในหัวข้อ “วิถีใหม่...ให้ภาษีเป็นเรื่องง่าย” ซึ่งกรมสรรพากรได้รับเกียรติจาก ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จํากัด (มหาชน) นายเจษฎา วานิชสัมพันธ์ ผู้อํานวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจซอฟต์แวร์ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จํากัด (มหาชน) นายกิตติ สุทธิอรรถศิลป์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิจิทัล แอคเซสแพลตฟอร์ม จํากัด นายวิวัฒน์ พรไกรศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีโฟลว์ซิส จํากัด ผู้แทนจากสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย ดําเนินรายการโดย ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน ที่จะมาร่วมพูดคุยแชร์ประสบการณ์ในการใช้งานตลอดจนประโยชน์ที่ได้รับจากการเปลี่ยนจากระบบเดิมสู่ระบบใหม่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ สําหรับท่านใดที่ลงทะเบียนไม่ทันสามารถรับชมได้ทาง Facebook Live และทาง YouTube ของกรมสรรพากรได้อีกช่องทางหนึ่ง”
โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “ผู้ที่ต้องการปรึกษาปัญหาด้านภาษีท่านสามารถสอบถามกับ RD Tax Advisor ที่พร้อมให้คําปรึกษาและให้ความรู้ความเข้าใจด้านภาษีได้ภายในงาน ในช่วงโค้งสุดท้ายสําหรับผู้เสียภาษีท่านใดที่ยังไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีปี 2562 ทั้งแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90 ภ.ง.ด. 91 และ ภ.ง.ด. 95) และภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด. 50 และ ภ.ง.ด. 55) สามารถยื่นผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ภายในงานได้อีกด้วย หรือยื่นด้วยตัวเองได้ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2563”
กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพากร
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34422
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เยี่ยมชมระบบดูแลผู้ป่วยโควิด -19 ม.ธรรมศาสตร์ มีนวัตกรรมเพียบ [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563
อนุทิน เยี่ยมชมระบบดูแลผู้ป่วยโควิด -19 ม.ธรรมศาสตร์ มีนวัตกรรมเพียบ [กระทรวงสาธารณสุข]
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมคณาจารย์แพทย์ ม.ธรรมศาสตร์คิดค้นนวัตกรรม เทคโนโลยีสนับสนุนการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 และให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และอย. เร่งรับรองคุณภาพการใช้งานของเวชภัณฑ์ที่คิดค้น
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมคณาจารย์แพทย์ ม.ธรรมศาสตร์คิดค้นนวัตกรรม เทคโนโลยีสนับสนุนการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 และให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และอย. เร่งรับรองคุณภาพการใช้งานของเวชภัณฑ์ที่คิดค้น
วันนี้ (10 เมษายน 2563) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมชมระบบการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และโรงพยาบาลสนาม ที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จ.ปทุมธานี และให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ ได้นําทีมกระทรวงสาธารณสุข มาหารือกับคณะแพทยศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เพื่อหาแนวทางสนับสนุนการทํางานซึ่งกันและกันในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ทางคณาจารย์ได้คิดค้นรูปแบบ เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เทเลเมดดิซีน หุ่นยนต์ แอปพลิเคชัน clicknic วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อสนับสนุนนวัตกรรมดังกล่าว จึงมีนโยบายให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และอย. เร่งรับรองคุณภาพให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ผู้ใช้มั่นใจ และเมื่อมีรายงานผลการศึกษาถึงประสิทธิผลในทางการแพทย์ จะนําไปขยายผลให้มีการใช้ในโรงพยาบาลทั่วประเทศต่อไป
นายอนุทินกล่าวต่อว่า สําหรับการดูแลรักษาผู้ป่วย โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ได้จัดระบบเป็น SMART COVID HOSPITAL มีระบบนัดหมายทางโทรศัพท์ 029269022 คิวอาร์โค้ด และผ่านแอปพลิเคชัน clicknic ซึ่งมีระบบล็อคด้วย GPS และระบบการติดตามอาการ (follow up) กับสหวิชาชีพ จะมีการคัดกรองด้วยแบบสอบถามเบื้องต้น แบ่งเป็นระดับเสี่ยงต่ํา เสี่ยงกลาง และเสี่ยงสูง หากประเมินว่าอยู่ในระดับที่มีความเสี่ยงสูงจะส่งต่อไปปรึกษากับอาจารย์แพทย์ด้วยระบบวีดีโอคอล ซึ่งมีทีมอาจารย์แพทย์ให้คําปรึกษา 107 ท่าน และหากต้องได้รับการตรวจหรือต้องเก็บสิ่งส่งตรวจจะมีระบบการนัด ช่วยลดแออัดผู้ป่วยที่ต้องมารับบริการที่โรงพยาบาล โดยโรงพยาบาลธรรมศาสตร์สํารองเตียงรองรับผู้ป่วยโควิด-19 จํานวน 57 เตียง และโรงพยาบาลสนาม 308 เตียง
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ในช่วงสัปดาห์นี้ พบว่าผู้ป่วยโรคโควิด-19 มีแนวโน้มลดลง จังหวัดที่พบผู้ป่วยมากคือ กทม. ภูเก็ต และ 3 จังหวัดชายแดนใต้ กระทรวงสาธารณสุขจะลงไปดูแลสถานการณ์ใกล้ชิดเข้มข้นมากขึ้น เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจํากัดวงการระบาดไม่ให้กระจายออกจากพื้นที่ สําหรับในกทม. มีการบูรณาการร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ศิริราช รามาธิบดี จุฬาลงกรณ์ ธรรมศาสตร์ กทม. โรงพยาบาลเอกชน โดยกรมการแพทย์ เป็นผู้ประสานงาน หลังจากที่รัฐบาลได้ใช้มาตรการเข้มข้น เช่น เคอร์ฟิว ไม่ให้เปิดผับบาร์ ห้ามการรวมกลุ่ม จํากัดการเดินทาง ประชาชนอาจไม่สะดวกบ้าง รัฐบาลทราบปัญหาทุกอย่างดีว่าประชาชนมีความเดือดร้อน แต่เราต้องทําทุกอย่างเพื่อหยุดการระบาดของโรค ขอให้ประชาชนเข้าใจ ให้ความร่วมมือระมัดระวังตัว ทํางานจากบ้าน เว้นระยะห่างทางสังคมเพิ่มขึ้น ก็จะกลับมาเป็นปกติในที่สุด
“ส่วนมาตรการงดจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่หลายจังหวัดได้ดําเนินการทําให้งดการสังสรรค์ มีส่วนช่วยในการเว้นระยะห่างทางสังคมถือว่าการเว้นระยะห่างทางสังคมเป็นวัคซีนที่ดีที่สุดในการสู้กับโรค เพราะโรคโควิด-19 ติดไปกับคนซึ่งมีผลการศึกษาชัดเจนว่าเมื่อประชาชนร่วมมือรักษาระยะห่าง ลดการสัมผัส กอด ทักทาย อัตราการติดเชื้อก็จะลดลง นอกจากนี้ขอให้ผู้ป่วยบอกประวัติกับแพทย์ให้ชัดเจน อย่าปิดบัง เพราะอาจทําให้บุคลกรทางการแพทย์ที่ดูแลติดเชื้อไปด้วย ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี ต้องขอขอบคุณ เราผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้” นายอนุทินกล่าว
************************************** 10 เมษายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เยี่ยมชมระบบดูแลผู้ป่วยโควิด -19 ม.ธรรมศาสตร์ มีนวัตกรรมเพียบ [กระทรวงสาธารณสุข]
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563
อนุทิน เยี่ยมชมระบบดูแลผู้ป่วยโควิด -19 ม.ธรรมศาสตร์ มีนวัตกรรมเพียบ [กระทรวงสาธารณสุข]
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมคณาจารย์แพทย์ ม.ธรรมศาสตร์คิดค้นนวัตกรรม เทคโนโลยีสนับสนุนการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 และให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และอย. เร่งรับรองคุณภาพการใช้งานของเวชภัณฑ์ที่คิดค้น
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมคณาจารย์แพทย์ ม.ธรรมศาสตร์คิดค้นนวัตกรรม เทคโนโลยีสนับสนุนการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 และให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และอย. เร่งรับรองคุณภาพการใช้งานของเวชภัณฑ์ที่คิดค้น
วันนี้ (10 เมษายน 2563) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมชมระบบการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และโรงพยาบาลสนาม ที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จ.ปทุมธานี และให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ ได้นําทีมกระทรวงสาธารณสุข มาหารือกับคณะแพทยศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เพื่อหาแนวทางสนับสนุนการทํางานซึ่งกันและกันในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ทางคณาจารย์ได้คิดค้นรูปแบบ เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เทเลเมดดิซีน หุ่นยนต์ แอปพลิเคชัน clicknic วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อสนับสนุนนวัตกรรมดังกล่าว จึงมีนโยบายให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และอย. เร่งรับรองคุณภาพให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ผู้ใช้มั่นใจ และเมื่อมีรายงานผลการศึกษาถึงประสิทธิผลในทางการแพทย์ จะนําไปขยายผลให้มีการใช้ในโรงพยาบาลทั่วประเทศต่อไป
นายอนุทินกล่าวต่อว่า สําหรับการดูแลรักษาผู้ป่วย โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ได้จัดระบบเป็น SMART COVID HOSPITAL มีระบบนัดหมายทางโทรศัพท์ 029269022 คิวอาร์โค้ด และผ่านแอปพลิเคชัน clicknic ซึ่งมีระบบล็อคด้วย GPS และระบบการติดตามอาการ (follow up) กับสหวิชาชีพ จะมีการคัดกรองด้วยแบบสอบถามเบื้องต้น แบ่งเป็นระดับเสี่ยงต่ํา เสี่ยงกลาง และเสี่ยงสูง หากประเมินว่าอยู่ในระดับที่มีความเสี่ยงสูงจะส่งต่อไปปรึกษากับอาจารย์แพทย์ด้วยระบบวีดีโอคอล ซึ่งมีทีมอาจารย์แพทย์ให้คําปรึกษา 107 ท่าน และหากต้องได้รับการตรวจหรือต้องเก็บสิ่งส่งตรวจจะมีระบบการนัด ช่วยลดแออัดผู้ป่วยที่ต้องมารับบริการที่โรงพยาบาล โดยโรงพยาบาลธรรมศาสตร์สํารองเตียงรองรับผู้ป่วยโควิด-19 จํานวน 57 เตียง และโรงพยาบาลสนาม 308 เตียง
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ในช่วงสัปดาห์นี้ พบว่าผู้ป่วยโรคโควิด-19 มีแนวโน้มลดลง จังหวัดที่พบผู้ป่วยมากคือ กทม. ภูเก็ต และ 3 จังหวัดชายแดนใต้ กระทรวงสาธารณสุขจะลงไปดูแลสถานการณ์ใกล้ชิดเข้มข้นมากขึ้น เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจํากัดวงการระบาดไม่ให้กระจายออกจากพื้นที่ สําหรับในกทม. มีการบูรณาการร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ศิริราช รามาธิบดี จุฬาลงกรณ์ ธรรมศาสตร์ กทม. โรงพยาบาลเอกชน โดยกรมการแพทย์ เป็นผู้ประสานงาน หลังจากที่รัฐบาลได้ใช้มาตรการเข้มข้น เช่น เคอร์ฟิว ไม่ให้เปิดผับบาร์ ห้ามการรวมกลุ่ม จํากัดการเดินทาง ประชาชนอาจไม่สะดวกบ้าง รัฐบาลทราบปัญหาทุกอย่างดีว่าประชาชนมีความเดือดร้อน แต่เราต้องทําทุกอย่างเพื่อหยุดการระบาดของโรค ขอให้ประชาชนเข้าใจ ให้ความร่วมมือระมัดระวังตัว ทํางานจากบ้าน เว้นระยะห่างทางสังคมเพิ่มขึ้น ก็จะกลับมาเป็นปกติในที่สุด
“ส่วนมาตรการงดจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่หลายจังหวัดได้ดําเนินการทําให้งดการสังสรรค์ มีส่วนช่วยในการเว้นระยะห่างทางสังคมถือว่าการเว้นระยะห่างทางสังคมเป็นวัคซีนที่ดีที่สุดในการสู้กับโรค เพราะโรคโควิด-19 ติดไปกับคนซึ่งมีผลการศึกษาชัดเจนว่าเมื่อประชาชนร่วมมือรักษาระยะห่าง ลดการสัมผัส กอด ทักทาย อัตราการติดเชื้อก็จะลดลง นอกจากนี้ขอให้ผู้ป่วยบอกประวัติกับแพทย์ให้ชัดเจน อย่าปิดบัง เพราะอาจทําให้บุคลกรทางการแพทย์ที่ดูแลติดเชื้อไปด้วย ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี ต้องขอขอบคุณ เราผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้” นายอนุทินกล่าว
************************************** 10 เมษายน 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28814
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เชิญชวนนักศึกษาร่วมประกวดออกแบบ LOGO ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300
|
วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน 2562
พม. เชิญชวนนักศึกษาร่วมประกวดออกแบบ LOGO ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300
พม. เชิญชวนนักศึกษาร่วมประกวดออกแบบ LOGO ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300
เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 62 เวลา 12.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กรุงเทพฯ นางสุภัชชา สุทธิพล รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า ด้วย ศูนย์ช่วยเหลือสังคม (SAC) สายด่วน 1300 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นศูนย์กลางการให้คําแนะนําปรึกษารับเรื่องราวร้องทุกข์แก่ประชาชนผู้ประสบปัญหาสังคมอย่างครอบคลุมทุกพื้นที่โดยไม่เลือกปฏิบัติ โดยมีเจ้าหน้าที่และนักสังคมสงเคราะห์วิชาชีพปฏิบัติงานทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยบริการฟรี สายด่วน 1300 ด้วยการให้คําแนะนําปรึกษาและการช่วยเหลือประสานส่งต่อ รวมทั้งการช่วยเหลือเชิงรุกด้วยหน่วยเคลื่อนที่เร็ว (Moblie Team) ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาสังคมในภาวะวิกฤต อีกทั้งการเชื่อมโยงความช่วยเหลือกับหน่วยปฏิบัติระดับกรมภายในกระทรวง พม. และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนผู้ประสบปัญหาสังคมในการเข้าถึงบริการของศูนย์ช่วยเหลือสังคม (SAC) สายด่วน 1300 กระทรวง พม. ด้วยการส่งเสริมด้านการประชาสัมพันธ์ให้ครอบคลุมทุกมิติ จึงได้ดําเนินโครงการประกวดออกแบบตราสัญลักษณ์ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ในหัวข้อ"มีทุกข์ พบปัญหาโทรมาที่ 1300 สายด่วน พม.” โดยเปิดโอกาสให้นักศึกษาระดับอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนที่ศึกษาในคณะที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและการประชาสัมพันธ์ ส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดออกแบบตราสัญลักษณ์ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ซึ่งสามารถดาวน์โหลดใบสมัครและดูรายละเอียดเพิ่มเติมทางเว็บไซต์ ศูนย์ช่วยเหลือสังคมสายด่วน 1300 ที่ www.1300thailand.m-society.go.th โดยกําหนดส่งผลงานตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 20 กันยายน 2562
"สําหรับผลงานที่ได้รับการคัดเลือกจะได้รับรางวัล ดังนี้ 1. รางวัลชนะเลิศจํานวน 1 รางวัล เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมโล่รางวัลและเกียรติบัตร และ 2. รางวัลชมเชย จํานวน 3 รางวัล เงินรางวัลละ 3,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร ทั้งนี้ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) จะเป็นประธานมอบรางวัลในงานวันสถาปนากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในวันที่ 3 ตุลาคม 2562” นางสุภัชชา กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เชิญชวนนักศึกษาร่วมประกวดออกแบบ LOGO ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300
วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน 2562
พม. เชิญชวนนักศึกษาร่วมประกวดออกแบบ LOGO ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300
พม. เชิญชวนนักศึกษาร่วมประกวดออกแบบ LOGO ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300
เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 62 เวลา 12.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กรุงเทพฯ นางสุภัชชา สุทธิพล รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า ด้วย ศูนย์ช่วยเหลือสังคม (SAC) สายด่วน 1300 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นศูนย์กลางการให้คําแนะนําปรึกษารับเรื่องราวร้องทุกข์แก่ประชาชนผู้ประสบปัญหาสังคมอย่างครอบคลุมทุกพื้นที่โดยไม่เลือกปฏิบัติ โดยมีเจ้าหน้าที่และนักสังคมสงเคราะห์วิชาชีพปฏิบัติงานทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยบริการฟรี สายด่วน 1300 ด้วยการให้คําแนะนําปรึกษาและการช่วยเหลือประสานส่งต่อ รวมทั้งการช่วยเหลือเชิงรุกด้วยหน่วยเคลื่อนที่เร็ว (Moblie Team) ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาสังคมในภาวะวิกฤต อีกทั้งการเชื่อมโยงความช่วยเหลือกับหน่วยปฏิบัติระดับกรมภายในกระทรวง พม. และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนผู้ประสบปัญหาสังคมในการเข้าถึงบริการของศูนย์ช่วยเหลือสังคม (SAC) สายด่วน 1300 กระทรวง พม. ด้วยการส่งเสริมด้านการประชาสัมพันธ์ให้ครอบคลุมทุกมิติ จึงได้ดําเนินโครงการประกวดออกแบบตราสัญลักษณ์ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ในหัวข้อ"มีทุกข์ พบปัญหาโทรมาที่ 1300 สายด่วน พม.” โดยเปิดโอกาสให้นักศึกษาระดับอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนที่ศึกษาในคณะที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและการประชาสัมพันธ์ ส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดออกแบบตราสัญลักษณ์ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ซึ่งสามารถดาวน์โหลดใบสมัครและดูรายละเอียดเพิ่มเติมทางเว็บไซต์ ศูนย์ช่วยเหลือสังคมสายด่วน 1300 ที่ www.1300thailand.m-society.go.th โดยกําหนดส่งผลงานตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 20 กันยายน 2562
"สําหรับผลงานที่ได้รับการคัดเลือกจะได้รับรางวัล ดังนี้ 1. รางวัลชนะเลิศจํานวน 1 รางวัล เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมโล่รางวัลและเกียรติบัตร และ 2. รางวัลชมเชย จํานวน 3 รางวัล เงินรางวัลละ 3,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร ทั้งนี้ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) จะเป็นประธานมอบรางวัลในงานวันสถาปนากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในวันที่ 3 ตุลาคม 2562” นางสุภัชชา กล่าวในตอนท้าย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22907
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมยินดีและแสดงวิสัยทัศน์ในงานเปิดตัวบริษัทร่วมทุนพัฒนาเกม “ทรู แอกซิออน เกมส์”
|
วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2560
รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมยินดีและแสดงวิสัยทัศน์ในงานเปิดตัวบริษัทร่วมทุนพัฒนาเกม “ทรู แอกซิออน เกมส์”
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวแสดงความยินดีในโอกาสที่กลุ่มทรู ร่วมกับ บริษัท แอกซิออน เวนเจอร์ส จากประเทศแคนาดา ได้เปิดตัวบริษัทร่วมทุนเพื่อพัฒนาเกม “ทรู แอกซิออน เกมส์” รวมถึงการขยายตลาดเกมทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ พร้อมเตรียมยกระดับภาคอุตสาหกรรมเกมของไทยสู่ตลาดโลก ซึ่งตั้งเป้าหมายเป็นบริษัทพัฒนาเกมที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ ดร.พิเชฐฯ ยังได้แสดงวิสัยทัศน์ในเรื่องอุตสาหกรรมเกมและนโยบายด้านดิจิทัลของรัฐบาล โดยเฉพาะแผนการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเกม หรือ Game Academy ของบริษัทร่วมทุนฯ ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางการเสริมสร้างบุคลากรและเพิ่มโอกาสการจ้างงาน เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมเกมของไทย ถือเป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นที่จะร่วมพัฒนาขีดความสามารถของประเทศด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ ตอบสนองนโยบายที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ก้าวสู่ไทยแลนด์ 4.0 ต่อไป ณ ทรูสเฟียร์ ชั้น 2 ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ สุขุมวิท กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560
*********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมยินดีและแสดงวิสัยทัศน์ในงานเปิดตัวบริษัทร่วมทุนพัฒนาเกม “ทรู แอกซิออน เกมส์”
วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2560
รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมยินดีและแสดงวิสัยทัศน์ในงานเปิดตัวบริษัทร่วมทุนพัฒนาเกม “ทรู แอกซิออน เกมส์”
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวแสดงความยินดีในโอกาสที่กลุ่มทรู ร่วมกับ บริษัท แอกซิออน เวนเจอร์ส จากประเทศแคนาดา ได้เปิดตัวบริษัทร่วมทุนเพื่อพัฒนาเกม “ทรู แอกซิออน เกมส์” รวมถึงการขยายตลาดเกมทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ พร้อมเตรียมยกระดับภาคอุตสาหกรรมเกมของไทยสู่ตลาดโลก ซึ่งตั้งเป้าหมายเป็นบริษัทพัฒนาเกมที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ ดร.พิเชฐฯ ยังได้แสดงวิสัยทัศน์ในเรื่องอุตสาหกรรมเกมและนโยบายด้านดิจิทัลของรัฐบาล โดยเฉพาะแผนการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเกม หรือ Game Academy ของบริษัทร่วมทุนฯ ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางการเสริมสร้างบุคลากรและเพิ่มโอกาสการจ้างงาน เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมเกมของไทย ถือเป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นที่จะร่วมพัฒนาขีดความสามารถของประเทศด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ ตอบสนองนโยบายที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ก้าวสู่ไทยแลนด์ 4.0 ต่อไป ณ ทรูสเฟียร์ ชั้น 2 ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ สุขุมวิท กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2560
*********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2636
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมเชิงปฏิบัติการกิจกรรมแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ และนำเสนอผลการดำเนินงานของโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. ระดับประเทศ
|
วันจันทร์ที่ 25 กันยายน 2560
การประชุมเชิงปฏิบัติการกิจกรรมแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ และนําเสนอผลการดําเนินงานของโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. ระดับประเทศ
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พบปะสนทนากับผู้เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการกิจกรรมแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ และการนําเสนอผลการดําเนินงานของโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. ระดับประเทศ และบรรยายพิเศษเรื่อง ‘ศาสตร์พระราชา
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมให้แก่เยาวชนไทย โดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในฐานะองค์กรหลักเกี่ยวกับการจัดการศึกษาให้เยาวชนส่วนใหญ่ของประเทศ จึงได้จัดทําโครงการโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผู้บริหาร ครู บุคลากรทางการศึกษา นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน
ทั้งนี้ สพฐ. ได้กําหนดกรอบแนวคิดในการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม 5 ประการได้แก่ ความพอเพียง ความกตัญญู ความซื่อสัตย์สุจริต ความรับผิดชอบ และอุดมการณ์คุณธรรม พร้อมทั้งได้กําหนดเป้าหมายความสําเร็จในปีการศึกษา 2560 ให้สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ 225 เขต และโรงเรียนอย่างน้อย 10,000 แห่ง เข้าร่วมโครงการ และขยายผลการดําเนินงานครอบคลุมโรงเรียนในสังกัด สพฐ.ทุกแห่ง ภายในปีงบประมาณ พ.ศ.2561ผ่านการขับเคลื่อนด้วยกิจกรรมหลัก 5 กิจกรรม ได้แก่ 1) การสร้างคนดีให้บ้านเมือง 2) การเสริมสร้างคุณธรรม ให้ผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษา 3) การสร้างความเข้มแข็งให้โรงเรียนคุณธรรม สพฐ. 4) การพัฒนาระบบฐานข้อมูลโครงการโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. 5) การพัฒนานวัตกรรมสร้างเครือข่ายกับหน่วยงานภายนอก
การดําเนินงานของโครงการมุ่งเน้นการขยายผลเชิงปริมาณและการขับเคลื่อนเชิงคุณภาพอย่างเป็นระบบ และต่อเนื่อง โดยมีการแต่งตั้งคณะทํางานส่วนกลาง และส่วนภูมิภาคได้แก่ ทีมขับเคลื่อนด่วนพิเศษระดับภูมิภาค (EMS: Express Moral Service) จํานวน 50 คน ทีมเคลื่อนที่เร็วระดับเขตตรวจราชการ (RT: Roving Team) 18 ทีม จํานวน 225 คน และผู้รับผิดชอบระดับสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา เขตละ 3 คน โดยมีบทบาทสําคัญในการถ่ายทอดองค์ความรู้ กํากับ นิเทศ ติดตามการดําเนินงานของโรงเรียนในแต่ละพื้นที่อย่างทั่วถึงโดยผลการดําเนินงาน
ในระยะที่ผ่านมา มีการขยายผลการอบรมครูวิทยากรในโรงเรียนสังกัดต่าง ๆได้แก่ครูวิทยากร จํานวน 135,529 คน จากโรงเรียนสังกัด สพฐ. จํานวน 19,082 แห่ง ครูวิทยากร จํานวน 208 คน จากโรงเรียนสังกัดกองกํากับการตํารวจตระเวนชายแดน จํานวน 208 แห่ง และครูวิทยากร จํานวน 174 คนจากโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ จํานวน 58 แห่ง ภายหลังจากการขยายผลการดําเนินงานดังกล่าว ผู้รับผิดชอบในระดับเขตตรวจราชการ (RT: Roving Team) จํานวน 18 ทีม ได้จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กระบวนการขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. ระหว่างศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารโรงเรียนครู และนักเรียน ในระดับเขตตรวจราชการ และพิจารณาคัดเลือกโรงเรียนที่มีกระบวนการในการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมที่เป็นเลิศ จํานวน 3 โรงเรียน จากแต่ละเขตตรวจราชการ รวมจํานวนทั้งสิ้น 57 โรงเรียน เพื่อเป็นตัวแทนเข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนําเสนอผลการดําเนินของโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. ประจําปีงบประมาณ 2560 โดยกําหนดให้แต่ละโรงเรียนส่งผู้บริหารโรงเรียน จํานวน 1 คน ครูจํานวน 1 คน และนักเรียนผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับโครงงานคุณธรรม จํานวน 3 คน รวมโรงเรียนละ 5 คน เข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ รวมจํานวนผู้เข้ารับการอบรมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ทั้งสิ้น 285 คน
ผลการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนําเสนอผลงานของโรงเรียน ที่เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนําเสนอผลการดําเนินงานของโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. ประจําปีงบประมาณ 2560สามารถสรุปได้ดังนี้
โรงเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมจํานวน 57 แห่งได้จัดทําโครงงานคุณธรรมภายในโรงเรียน จํานวนทั้งสิ้น 857 โครงงาน
เมื่อจําแนกตามคุณธรรมอัตลักษณ์ และกรอบแนวคิดโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. พบว่าเป็นโครงงานที่มุ่งพัฒนาคุณธรรมด้านวินัยมากที่สุด จํานวน 331 โครงงาน (คิดเป็นร้อยละ 28.2) รองลงมาคือ ความรับผิดชอบ จํานวน 292 โครงงาน (คิดเป็นร้อยละ 25.9)พอเพียง จํานวน 216 โครงงาน (คิดเป็นร้อยละ 18.4) จิตสาธารณะ จํานวน 176 โครงงาน (คิดเป็นร้อยละ 15) ซื่อสัตย์ สุจริต จํานวน 98 โครงงาน (คิดเป็นร้อยละ 8.3) กตัญญู จํานวน 25 โครงงาน (คิดเป็นร้อยละ 2.1) สุภาพอ่อนน้อม จํานวน 23 โครงงาน (คิดเป็นร้อยละ 2) และอุดมการณ์คุณธรรม จํานวน 14 โครงงาน (คิดเป็นร้อยละ 1.2)
ผลการดําเนินงานของผู้บริหาร ครู และนักเรียนโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. พบว่า มีโรงเรียนที่มีความเหมาะสมเป็นโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. “ระดับยอดเยี่ยม” จํานวน 27 แห่ง และโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. “ระดับดีเด่น” จํานวน 30 แห่ง
ได้ดําเนินการพัฒนาครู และนักเรียนในโครงการโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. ให้มีความรู้ ความสามารถในการผลิตสื่อภาพยนตร์สั้น ที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับคุณธรรมอัตลักษณ์ที่โรงเรียนกําหนดขึ้น หรือสอดคล้องกับกรอบแนวคิดคุณธรรม 5 ประการของโครงการโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. ซึ่งมีผลงานภาพยนตร์สั้นที่เข้าร่วมการพิจารณาจํานวน 225 เรื่อง จากแต่ละสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา และผ่านการพิจารณาเข้ารอบจํานวน 45 เรื่อง เพื่อเข้ารับการอบรมเชิงปฏิบัติการผลิตภาพยนตร์สั้นขั้นสูง จากนั้นคณะกรรมการได้พิจารณาผลงานภาพยนตร์สั้นเพื่อรับรางวัลในระดับประเทศจํานวนทั้งสิ้น 12 เรื่อง แบ่งออกเป็นระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ระดับละ 4 รางวัล ได้แก่ รางวัลขวัญใจมหาชนรางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่งรางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง และรางวัลชนะเลิศ โดยผลงานภาพยนตร์สั้นที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับการเผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ ในช่องทางที่หลากหลาย เพื่อส่งเสริม และพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมให้แก่นักเรียน และเยาวชนของชาติต่อไป
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สํานักงานรัฐมนตรี:รายงาน
ข้อมูล:สพฐ.
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี:ถ่ายภาพ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมเชิงปฏิบัติการกิจกรรมแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ และนำเสนอผลการดำเนินงานของโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. ระดับประเทศ
วันจันทร์ที่ 25 กันยายน 2560
การประชุมเชิงปฏิบัติการกิจกรรมแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ และนําเสนอผลการดําเนินงานของโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. ระดับประเทศ
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พบปะสนทนากับผู้เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการกิจกรรมแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ และการนําเสนอผลการดําเนินงานของโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. ระดับประเทศ และบรรยายพิเศษเรื่อง ‘ศาสตร์พระราชา
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมให้แก่เยาวชนไทย โดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในฐานะองค์กรหลักเกี่ยวกับการจัดการศึกษาให้เยาวชนส่วนใหญ่ของประเทศ จึงได้จัดทําโครงการโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผู้บริหาร ครู บุคลากรทางการศึกษา นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน
ทั้งนี้ สพฐ. ได้กําหนดกรอบแนวคิดในการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม 5 ประการได้แก่ ความพอเพียง ความกตัญญู ความซื่อสัตย์สุจริต ความรับผิดชอบ และอุดมการณ์คุณธรรม พร้อมทั้งได้กําหนดเป้าหมายความสําเร็จในปีการศึกษา 2560 ให้สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ 225 เขต และโรงเรียนอย่างน้อย 10,000 แห่ง เข้าร่วมโครงการ และขยายผลการดําเนินงานครอบคลุมโรงเรียนในสังกัด สพฐ.ทุกแห่ง ภายในปีงบประมาณ พ.ศ.2561ผ่านการขับเคลื่อนด้วยกิจกรรมหลัก 5 กิจกรรม ได้แก่ 1) การสร้างคนดีให้บ้านเมือง 2) การเสริมสร้างคุณธรรม ให้ผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษา 3) การสร้างความเข้มแข็งให้โรงเรียนคุณธรรม สพฐ. 4) การพัฒนาระบบฐานข้อมูลโครงการโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. 5) การพัฒนานวัตกรรมสร้างเครือข่ายกับหน่วยงานภายนอก
การดําเนินงานของโครงการมุ่งเน้นการขยายผลเชิงปริมาณและการขับเคลื่อนเชิงคุณภาพอย่างเป็นระบบ และต่อเนื่อง โดยมีการแต่งตั้งคณะทํางานส่วนกลาง และส่วนภูมิภาคได้แก่ ทีมขับเคลื่อนด่วนพิเศษระดับภูมิภาค (EMS: Express Moral Service) จํานวน 50 คน ทีมเคลื่อนที่เร็วระดับเขตตรวจราชการ (RT: Roving Team) 18 ทีม จํานวน 225 คน และผู้รับผิดชอบระดับสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา เขตละ 3 คน โดยมีบทบาทสําคัญในการถ่ายทอดองค์ความรู้ กํากับ นิเทศ ติดตามการดําเนินงานของโรงเรียนในแต่ละพื้นที่อย่างทั่วถึงโดยผลการดําเนินงาน
ในระยะที่ผ่านมา มีการขยายผลการอบรมครูวิทยากรในโรงเรียนสังกัดต่าง ๆได้แก่ครูวิทยากร จํานวน 135,529 คน จากโรงเรียนสังกัด สพฐ. จํานวน 19,082 แห่ง ครูวิทยากร จํานวน 208 คน จากโรงเรียนสังกัดกองกํากับการตํารวจตระเวนชายแดน จํานวน 208 แห่ง และครูวิทยากร จํานวน 174 คนจากโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ จํานวน 58 แห่ง ภายหลังจากการขยายผลการดําเนินงานดังกล่าว ผู้รับผิดชอบในระดับเขตตรวจราชการ (RT: Roving Team) จํานวน 18 ทีม ได้จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กระบวนการขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. ระหว่างศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารโรงเรียนครู และนักเรียน ในระดับเขตตรวจราชการ และพิจารณาคัดเลือกโรงเรียนที่มีกระบวนการในการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมที่เป็นเลิศ จํานวน 3 โรงเรียน จากแต่ละเขตตรวจราชการ รวมจํานวนทั้งสิ้น 57 โรงเรียน เพื่อเป็นตัวแทนเข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนําเสนอผลการดําเนินของโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. ประจําปีงบประมาณ 2560 โดยกําหนดให้แต่ละโรงเรียนส่งผู้บริหารโรงเรียน จํานวน 1 คน ครูจํานวน 1 คน และนักเรียนผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับโครงงานคุณธรรม จํานวน 3 คน รวมโรงเรียนละ 5 คน เข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ รวมจํานวนผู้เข้ารับการอบรมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ทั้งสิ้น 285 คน
ผลการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนําเสนอผลงานของโรงเรียน ที่เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนําเสนอผลการดําเนินงานของโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. ประจําปีงบประมาณ 2560สามารถสรุปได้ดังนี้
โรงเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมจํานวน 57 แห่งได้จัดทําโครงงานคุณธรรมภายในโรงเรียน จํานวนทั้งสิ้น 857 โครงงาน
เมื่อจําแนกตามคุณธรรมอัตลักษณ์ และกรอบแนวคิดโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. พบว่าเป็นโครงงานที่มุ่งพัฒนาคุณธรรมด้านวินัยมากที่สุด จํานวน 331 โครงงาน (คิดเป็นร้อยละ 28.2) รองลงมาคือ ความรับผิดชอบ จํานวน 292 โครงงาน (คิดเป็นร้อยละ 25.9)พอเพียง จํานวน 216 โครงงาน (คิดเป็นร้อยละ 18.4) จิตสาธารณะ จํานวน 176 โครงงาน (คิดเป็นร้อยละ 15) ซื่อสัตย์ สุจริต จํานวน 98 โครงงาน (คิดเป็นร้อยละ 8.3) กตัญญู จํานวน 25 โครงงาน (คิดเป็นร้อยละ 2.1) สุภาพอ่อนน้อม จํานวน 23 โครงงาน (คิดเป็นร้อยละ 2) และอุดมการณ์คุณธรรม จํานวน 14 โครงงาน (คิดเป็นร้อยละ 1.2)
ผลการดําเนินงานของผู้บริหาร ครู และนักเรียนโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. พบว่า มีโรงเรียนที่มีความเหมาะสมเป็นโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. “ระดับยอดเยี่ยม” จํานวน 27 แห่ง และโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. “ระดับดีเด่น” จํานวน 30 แห่ง
ได้ดําเนินการพัฒนาครู และนักเรียนในโครงการโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. ให้มีความรู้ ความสามารถในการผลิตสื่อภาพยนตร์สั้น ที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับคุณธรรมอัตลักษณ์ที่โรงเรียนกําหนดขึ้น หรือสอดคล้องกับกรอบแนวคิดคุณธรรม 5 ประการของโครงการโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. ซึ่งมีผลงานภาพยนตร์สั้นที่เข้าร่วมการพิจารณาจํานวน 225 เรื่อง จากแต่ละสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา และผ่านการพิจารณาเข้ารอบจํานวน 45 เรื่อง เพื่อเข้ารับการอบรมเชิงปฏิบัติการผลิตภาพยนตร์สั้นขั้นสูง จากนั้นคณะกรรมการได้พิจารณาผลงานภาพยนตร์สั้นเพื่อรับรางวัลในระดับประเทศจํานวนทั้งสิ้น 12 เรื่อง แบ่งออกเป็นระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ระดับละ 4 รางวัล ได้แก่ รางวัลขวัญใจมหาชนรางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่งรางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง และรางวัลชนะเลิศ โดยผลงานภาพยนตร์สั้นที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับการเผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ ในช่องทางที่หลากหลาย เพื่อส่งเสริม และพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมให้แก่นักเรียน และเยาวชนของชาติต่อไป
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สํานักงานรัฐมนตรี:รายงาน
ข้อมูล:สพฐ.
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี:ถ่ายภาพ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6917
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. แจ้งเบี่ยงจราจรบนถนนพหลโยธิน บริเวณจุดกลับรถ (ชั่วคราว) ช่องทาง ทอ.3 เพื่อก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (เหนือ) ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต
|
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560
รฟม. แจ้งเบี่ยงจราจรบนถนนพหลโยธิน บริเวณจุดกลับรถ (ชั่วคราว) ช่องทาง ทอ.3 เพื่อก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (เหนือ) ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม แจ้งว่า กิจการร่วมค้ายูเอ็น - เอสเอช - ซีเอช ผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธา โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (เหนือ) ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต สัญญาที่ 2 จะดําเนินงานก่อสร้างเสาเข็มเจาะและทางวิ่งรถไฟฟ้า
บริเวณช่องทาง ทอ.3 จึงมีความจําเป็นต้องปิดจุดกลับรถ (ชั่วคราว) บนถนนพหลโยธิน บริเวณช่องทาง ทอ.3 โดยให้ผู้ใช้รถทางฝั่งขาออก ไปใช้จุดกลับรถบริเวณกองบัญชาการกองทัพอากาศ และผู้ใช้รถทางฝั่งขาเข้า ไปใช้จุดกลับรถบริเวณหอประชุมกานตรัตน์แทน ตั้งแต่วันที่ 7 - 17 พฤษภาคม 2560 เวลา 22.00 น. เป็นต้นไป ตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้ การเบี่ยงการจราจรเพื่อการดําเนินงานก่อสร้าง อาจทําให้ผู้ใช้เส้นทางไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทางและอาจมีเสียงดังรบกวนในวันเวลาดังกล่าว หากไม่มีความจําเป็น โปรดหลีกเลี่ยงเส้นทาง รฟม. จึงขออภัยมา ณ โอกาสนี้ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2716 4044, 0 2115 6000 ตลอด 24 ชั่วโมง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. แจ้งเบี่ยงจราจรบนถนนพหลโยธิน บริเวณจุดกลับรถ (ชั่วคราว) ช่องทาง ทอ.3 เพื่อก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (เหนือ) ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560
รฟม. แจ้งเบี่ยงจราจรบนถนนพหลโยธิน บริเวณจุดกลับรถ (ชั่วคราว) ช่องทาง ทอ.3 เพื่อก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (เหนือ) ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม แจ้งว่า กิจการร่วมค้ายูเอ็น - เอสเอช - ซีเอช ผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธา โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (เหนือ) ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต สัญญาที่ 2 จะดําเนินงานก่อสร้างเสาเข็มเจาะและทางวิ่งรถไฟฟ้า
บริเวณช่องทาง ทอ.3 จึงมีความจําเป็นต้องปิดจุดกลับรถ (ชั่วคราว) บนถนนพหลโยธิน บริเวณช่องทาง ทอ.3 โดยให้ผู้ใช้รถทางฝั่งขาออก ไปใช้จุดกลับรถบริเวณกองบัญชาการกองทัพอากาศ และผู้ใช้รถทางฝั่งขาเข้า ไปใช้จุดกลับรถบริเวณหอประชุมกานตรัตน์แทน ตั้งแต่วันที่ 7 - 17 พฤษภาคม 2560 เวลา 22.00 น. เป็นต้นไป ตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้ การเบี่ยงการจราจรเพื่อการดําเนินงานก่อสร้าง อาจทําให้ผู้ใช้เส้นทางไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทางและอาจมีเสียงดังรบกวนในวันเวลาดังกล่าว หากไม่มีความจําเป็น โปรดหลีกเลี่ยงเส้นทาง รฟม. จึงขออภัยมา ณ โอกาสนี้ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2716 4044, 0 2115 6000 ตลอด 24 ชั่วโมง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3510
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การบริหารจัดการขยะมูลฝอยในพื้นที่ EEC
|
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563
การบริหารจัดการขยะมูลฝอยในพื้นที่ EEC
สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๓
เรื่อง การบริหารจัดการขยะมูลฝอยในพื้นที่ EEC
ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายเฉลิมชัย เฟื่องคอน สมาชิกวุฒิสภา
ถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ผู้ตอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ผู้ถาม : นายเฉลิมชัย เฟื่องคอน สมาชิกวุฒิสภา ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้
เนื่องจากการพัฒนาพื้นที่ในอนาคตจะทําให้เกิดการขยายของเมือง ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงาน จํานวนบุคลากรที่ติดตามผู้ใช้แรงงาน และนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยในปี ๒๕๘๐ เมื่อมีการพัฒนาโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) อย่างเต็มรูปแบบ คาดว่าจะมีจํานวนผู้อยู่อาศัยและทํากิจกรรมในพื้นที่อีอีซีมากขึ้น ทําให้เกิดการใช้ทั้งพลังงานและทรัพยากรจํานวนมาก และคาดว่าจะเกิดของเสียและขยะมูลฝอยจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพิ่มจาก ๙.๔๑ ล้านตันในปี ๒๕๖๐ เป็น ๒๐.๐๘ ล้านตัน ในปี ๒๕๘๐ ขณะที่การกําจัดขยะติดเชื้อก็ยังไม่มีการบริหารจัดการที่ชัดเจน อีกทั้งยังเกิดการลักลอบทิ้งขยะอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปริมาณขยะที่เกิดขึ้นกําลังเป็นปัญหาหนัก เพราะมีการกําจัดขยะไม่ถูกหลักวิชาการถึงร้อยละ ๔๐ นอกจากนี้ยังมีขยะตกค้างที่เกิดจากการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ หรือ "เซาท์เทิร์นซีบอร์ด" เกาะสีชัง เกาะล้าน และเกาะเสม็ด จึงขอถามว่า ในระยะเร่งด่วนรัฐบาลจะดําเนินการกับขยะที่ตกค้างเดิมและตกค้างอยู่บนเกาะอย่างไร และในระยะยาวเมื่ออีอีซีพัฒนาอย่างเต็มรูปแบบจะมีแนวทางการบริหารจัดการขยะที่เป็นระบบ เพื่อแก้ปัญหาขยะตกค้างสะสมให้เกิดความสมดุลในพื้นที่ได้อย่างไร รวมทั้งรัฐบาลมีนโยบายให้ประชาชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมกับการจัดการขยะอย่างไรบ้าง
ผู้ตอบ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้
การจัดการบริหารขยะตกค้างที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวปัจจุบันคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) หรือบอร์ดอีอีซี ได้รับทราบหลักการแผนสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อีอีซี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอโดย ได้มอบหมายสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) จัดการแผนสิ่งแวดล้อมดังกล่าว และมีโครงการเร่งด่วน (Flagship Project) รองรับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วย ส่วนขยะตกค้างเดิม ที่ผ่านมากรมควบคุมมลพิษ และกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมได้มีการสํารวจปริมาณขยะในเบื้องต้น
โดยมีการทํางานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เนื่องจากปัจจุบันได้มีการกระจายอํานาจการดูแลขยะในแต่ละพื้นที่ อย่างไรก็ตามจะได้มีการประสานไปยังกระทรวงมหาดไทย เพื่อหาแนวทางเร่งเก็บขยะตกค้างที่มีประสิทธิภาพต่อไป สําหรับแผนระยะยาวกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้วางแผนสิ่งแวดล้อมอีอีซีระหว่างปี ๒๕๖๑ – ๒๕๖๔ ไว้เรียบร้อยแล้ว ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ คือ ๑) การจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี ๒) การส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมเมืองและชุมชนอย่างน่าอยู่ ๓) การส่งเสริมการมีส่วนร่วมและสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และ ๔) บริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้ริเริ่มดําเนินโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการก่อสร้างศูนย์กําจัดขยะมูลฝอยแบบผสมผสาน จังหวัดฉะเชิงเทรา และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบกําจัดขยะมูลฝอยขยะติดเชื้อ จังหวัดระยอง ส่วนนโยบายการส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับการกําจัดขยะเห็นได้จากการนําร่องโครงการระยองโมเดล ที่เป็นความร่วมมือระหว่างท้องถิ่นกับเอกชนด้วยการเปลี่ยนขยะหรือของเสียกลับมาใช้เป็นวัตถุดิบทดแทน มีการใช้นวัตกรรมรีไซเคิลเพื่อลดการใช้ทรัพยากรใหม่ พร้อมเตรียมวางรากฐานการสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชน โดยเตรียมหารือกับกระทรวงศึกษาธิการให้มีการบรรจุหลักสูตรการเรียนการสอนเรื่องสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เด็กและเยาวชนตระหนักถึงความสําคัญด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติมากกว่านี้
(โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสํานักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การบริหารจัดการขยะมูลฝอยในพื้นที่ EEC
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563
การบริหารจัดการขยะมูลฝอยในพื้นที่ EEC
สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๓
เรื่อง การบริหารจัดการขยะมูลฝอยในพื้นที่ EEC
ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายเฉลิมชัย เฟื่องคอน สมาชิกวุฒิสภา
ถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ผู้ตอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ผู้ถาม : นายเฉลิมชัย เฟื่องคอน สมาชิกวุฒิสภา ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้
เนื่องจากการพัฒนาพื้นที่ในอนาคตจะทําให้เกิดการขยายของเมือง ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงาน จํานวนบุคลากรที่ติดตามผู้ใช้แรงงาน และนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยในปี ๒๕๘๐ เมื่อมีการพัฒนาโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) อย่างเต็มรูปแบบ คาดว่าจะมีจํานวนผู้อยู่อาศัยและทํากิจกรรมในพื้นที่อีอีซีมากขึ้น ทําให้เกิดการใช้ทั้งพลังงานและทรัพยากรจํานวนมาก และคาดว่าจะเกิดของเสียและขยะมูลฝอยจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพิ่มจาก ๙.๔๑ ล้านตันในปี ๒๕๖๐ เป็น ๒๐.๐๘ ล้านตัน ในปี ๒๕๘๐ ขณะที่การกําจัดขยะติดเชื้อก็ยังไม่มีการบริหารจัดการที่ชัดเจน อีกทั้งยังเกิดการลักลอบทิ้งขยะอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปริมาณขยะที่เกิดขึ้นกําลังเป็นปัญหาหนัก เพราะมีการกําจัดขยะไม่ถูกหลักวิชาการถึงร้อยละ ๔๐ นอกจากนี้ยังมีขยะตกค้างที่เกิดจากการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ หรือ "เซาท์เทิร์นซีบอร์ด" เกาะสีชัง เกาะล้าน และเกาะเสม็ด จึงขอถามว่า ในระยะเร่งด่วนรัฐบาลจะดําเนินการกับขยะที่ตกค้างเดิมและตกค้างอยู่บนเกาะอย่างไร และในระยะยาวเมื่ออีอีซีพัฒนาอย่างเต็มรูปแบบจะมีแนวทางการบริหารจัดการขยะที่เป็นระบบ เพื่อแก้ปัญหาขยะตกค้างสะสมให้เกิดความสมดุลในพื้นที่ได้อย่างไร รวมทั้งรัฐบาลมีนโยบายให้ประชาชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมกับการจัดการขยะอย่างไรบ้าง
ผู้ตอบ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้
การจัดการบริหารขยะตกค้างที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวปัจจุบันคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) หรือบอร์ดอีอีซี ได้รับทราบหลักการแผนสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อีอีซี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอโดย ได้มอบหมายสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) จัดการแผนสิ่งแวดล้อมดังกล่าว และมีโครงการเร่งด่วน (Flagship Project) รองรับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วย ส่วนขยะตกค้างเดิม ที่ผ่านมากรมควบคุมมลพิษ และกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมได้มีการสํารวจปริมาณขยะในเบื้องต้น
โดยมีการทํางานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เนื่องจากปัจจุบันได้มีการกระจายอํานาจการดูแลขยะในแต่ละพื้นที่ อย่างไรก็ตามจะได้มีการประสานไปยังกระทรวงมหาดไทย เพื่อหาแนวทางเร่งเก็บขยะตกค้างที่มีประสิทธิภาพต่อไป สําหรับแผนระยะยาวกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้วางแผนสิ่งแวดล้อมอีอีซีระหว่างปี ๒๕๖๑ – ๒๕๖๔ ไว้เรียบร้อยแล้ว ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ คือ ๑) การจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี ๒) การส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมเมืองและชุมชนอย่างน่าอยู่ ๓) การส่งเสริมการมีส่วนร่วมและสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และ ๔) บริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้ริเริ่มดําเนินโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการก่อสร้างศูนย์กําจัดขยะมูลฝอยแบบผสมผสาน จังหวัดฉะเชิงเทรา และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบกําจัดขยะมูลฝอยขยะติดเชื้อ จังหวัดระยอง ส่วนนโยบายการส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับการกําจัดขยะเห็นได้จากการนําร่องโครงการระยองโมเดล ที่เป็นความร่วมมือระหว่างท้องถิ่นกับเอกชนด้วยการเปลี่ยนขยะหรือของเสียกลับมาใช้เป็นวัตถุดิบทดแทน มีการใช้นวัตกรรมรีไซเคิลเพื่อลดการใช้ทรัพยากรใหม่ พร้อมเตรียมวางรากฐานการสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชน โดยเตรียมหารือกับกระทรวงศึกษาธิการให้มีการบรรจุหลักสูตรการเรียนการสอนเรื่องสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เด็กและเยาวชนตระหนักถึงความสําคัญด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติมากกว่านี้
(โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสํานักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32970
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. มอบบ้านมั่นคงให้ชาวบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น หลังน้ำท่วมเสียหายจากพายุโพดุล
|
วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563
พม. มอบบ้านมั่นคงให้ชาวบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น หลังน้ําท่วมเสียหายจากพายุโพดุล
พม. มอบบ้านมั่นคงให้ชาวบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น หลังน้ําท่วมเสียหายจากพายุโพดุล
เมื่อวันที่ 29 ก.พ. 63 เวลา 11.30 น. นาวาตรี สุธรรม ระหงส์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในพิธีมอบบ้านที่ซ่อมสร้างเสร็จแล้ว จํานวน 9 หลัง ให้กับครอบครัวที่ได้รับผลกระทบภัยน้ําท่วมจากพายุโพดุล โดยมี นายรุจน์ รังศี นายอําเภอบ้านไผ่ นายสุพัฒน์ จันทนา ผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นายปัญญา บัวแสน ประธานสภาเทศบาลเมืองบ้านไผ่ และประชาชนในเขตเทศบาลเมืองบ้านไผ่ จํานวน 150 คน เข้าร่วมงาน พร้อมทั้งพบปะชาวชุมชนที่กําลังก่อสร้างบ้าน จํานวน 130 หลัง ในเขตเทศบาลเมืองบ้านไผ่ ณ ชุมชนสุมนามัย ในเขตเทศบาลเมืองบ้านไผ่ อําเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น
นาวาตรี สุธรรม กล่าวว่า ตามที่เกิดพายุฝนโพดุลในหลายจังหวัดของพื้นที่ภาคอีสาน เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน 2562 ที่ผ่านมา ทําให้เกิดน้ําท่วมและบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียจํานวนมากในหลายพื้นที่ รวมทั้งเขตเทศบาลเมืองบ้านไผ่ อําเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น พบว่า มีบ้านเรือนของประชาชนได้รับความเสียและขอรับงบประมาณสนับสนุนการซ่อมสร้างบ้านเรือนจาก พอช. จํานวน 8 ชุมชน รวม 461 หลังคาเรือน คิดเป็นงบประมาณรวม 8,298,000 บาท โดยเริ่มซ่อมแซมตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 จนถึงขณะนี้ ได้ดําเนินการแล้วเสร็จ 61 หลัง ซึ่งในวันนี้ (29 ก.พ. 63) ตนได้ลงพื้นที่มอบบ้านที่ซ่อมสร้างเสร็จแล้ว 9 หลัง ให้กับครอบครัวที่ได้รับผลกระทบภัยน้ําท่วมจากพายุโพดุล ทั้งนี้ ชุมชนสุมนามัย เป็นหนึ่งชุมชนที่เข้าร่วมโครงการบ้านมั่นคงของ พอช. เพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินและที่อยู่อาศัยในเขตเทศบาลเมืองบ้านไผ่ ซึ่งมีบ้านเรือนที่เสียหาย 63 ครอบครัว และตามแผนงานของชุมชนจะมีการซ่อมแซม 59 หลัง โดย พอช. สนับสนุนงบประมาณรวมเป็นเงิน 1,062,000 บาท ขณะนี้ ได้ซ่อมแซมเสร็จแล้ว 6 หลัง และสร้างบ้านใหม่ 4 หลัง โดยใช้แรงงานและช่างอาสา ทั้งในและนอกชุมชนร่วมกัน สําหรับการซ่อมสร้างบ้านเรือนที่ได้รับผลกระทบจากพายุโพดุลในเขตเทศบาลเมืองขอนแก่นทั้งหมด 8 ชุมชน รวม 461 หลังคาเรือน นั้น ได้แบ่งเป็นการซ่อมแซม 424 หลัง ขณะนี้ ได้ซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว 43 หลัง และสร้างใหม่ 37 หลัง ขณะนี้ ได้สร้างเสร็จแล้ว 18 หลัง รวมซ่อมสร้างเสร็จแล้ว 61 หลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. มอบบ้านมั่นคงให้ชาวบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น หลังน้ำท่วมเสียหายจากพายุโพดุล
วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563
พม. มอบบ้านมั่นคงให้ชาวบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น หลังน้ําท่วมเสียหายจากพายุโพดุล
พม. มอบบ้านมั่นคงให้ชาวบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น หลังน้ําท่วมเสียหายจากพายุโพดุล
เมื่อวันที่ 29 ก.พ. 63 เวลา 11.30 น. นาวาตรี สุธรรม ระหงส์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในพิธีมอบบ้านที่ซ่อมสร้างเสร็จแล้ว จํานวน 9 หลัง ให้กับครอบครัวที่ได้รับผลกระทบภัยน้ําท่วมจากพายุโพดุล โดยมี นายรุจน์ รังศี นายอําเภอบ้านไผ่ นายสุพัฒน์ จันทนา ผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นายปัญญา บัวแสน ประธานสภาเทศบาลเมืองบ้านไผ่ และประชาชนในเขตเทศบาลเมืองบ้านไผ่ จํานวน 150 คน เข้าร่วมงาน พร้อมทั้งพบปะชาวชุมชนที่กําลังก่อสร้างบ้าน จํานวน 130 หลัง ในเขตเทศบาลเมืองบ้านไผ่ ณ ชุมชนสุมนามัย ในเขตเทศบาลเมืองบ้านไผ่ อําเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น
นาวาตรี สุธรรม กล่าวว่า ตามที่เกิดพายุฝนโพดุลในหลายจังหวัดของพื้นที่ภาคอีสาน เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน 2562 ที่ผ่านมา ทําให้เกิดน้ําท่วมและบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียจํานวนมากในหลายพื้นที่ รวมทั้งเขตเทศบาลเมืองบ้านไผ่ อําเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น พบว่า มีบ้านเรือนของประชาชนได้รับความเสียและขอรับงบประมาณสนับสนุนการซ่อมสร้างบ้านเรือนจาก พอช. จํานวน 8 ชุมชน รวม 461 หลังคาเรือน คิดเป็นงบประมาณรวม 8,298,000 บาท โดยเริ่มซ่อมแซมตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 จนถึงขณะนี้ ได้ดําเนินการแล้วเสร็จ 61 หลัง ซึ่งในวันนี้ (29 ก.พ. 63) ตนได้ลงพื้นที่มอบบ้านที่ซ่อมสร้างเสร็จแล้ว 9 หลัง ให้กับครอบครัวที่ได้รับผลกระทบภัยน้ําท่วมจากพายุโพดุล ทั้งนี้ ชุมชนสุมนามัย เป็นหนึ่งชุมชนที่เข้าร่วมโครงการบ้านมั่นคงของ พอช. เพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินและที่อยู่อาศัยในเขตเทศบาลเมืองบ้านไผ่ ซึ่งมีบ้านเรือนที่เสียหาย 63 ครอบครัว และตามแผนงานของชุมชนจะมีการซ่อมแซม 59 หลัง โดย พอช. สนับสนุนงบประมาณรวมเป็นเงิน 1,062,000 บาท ขณะนี้ ได้ซ่อมแซมเสร็จแล้ว 6 หลัง และสร้างบ้านใหม่ 4 หลัง โดยใช้แรงงานและช่างอาสา ทั้งในและนอกชุมชนร่วมกัน สําหรับการซ่อมสร้างบ้านเรือนที่ได้รับผลกระทบจากพายุโพดุลในเขตเทศบาลเมืองขอนแก่นทั้งหมด 8 ชุมชน รวม 461 หลังคาเรือน นั้น ได้แบ่งเป็นการซ่อมแซม 424 หลัง ขณะนี้ ได้ซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว 43 หลัง และสร้างใหม่ 37 หลัง ขณะนี้ ได้สร้างเสร็จแล้ว 18 หลัง รวมซ่อมสร้างเสร็จแล้ว 61 หลัง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26850
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานกิจกรรม “กระทรวงดิจิทัลฯ ใสสะอาด ปราศจากทุจริต”
|
วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม 2561
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานกิจกรรม “กระทรวงดิจิทัลฯ ใสสะอาด ปราศจากทุจริต”
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานกิจกรรมประกาศเจตจํานงสุจริตและความมุ่งมั่นในการบริหารงานให้สําเร็จ ตามพันธกิจของหน่วยงานอย่างมีธรรมาภิบาล ภายใต้ชื่อกิจกรรม “กระทรวงดิจิทัลฯ ใสสะอาด ปราศจากทุจริต” โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียงกัน จากการให้ความสําคัญของรัฐบาลในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต รวมถึงการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน โดยกําหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อแก้ไขปัญหาทุจริตให้หมดสิ้นไป ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ได้ร่วมกันสร้างเครื่องมือ กลไก และกําหนดเป้าหมายสําหรับการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงปี 2551 ถึงปัจจุบัน และกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มีการจัดทําแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พร้อมทั้งปฏิบัติตามแผนฯ ดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2561 ณ ลานอเนกประสงค์ ชั้น 6 กระทรวงดิจิทัลฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานกิจกรรม “กระทรวงดิจิทัลฯ ใสสะอาด ปราศจากทุจริต”
วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม 2561
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานกิจกรรม “กระทรวงดิจิทัลฯ ใสสะอาด ปราศจากทุจริต”
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานกิจกรรมประกาศเจตจํานงสุจริตและความมุ่งมั่นในการบริหารงานให้สําเร็จ ตามพันธกิจของหน่วยงานอย่างมีธรรมาภิบาล ภายใต้ชื่อกิจกรรม “กระทรวงดิจิทัลฯ ใสสะอาด ปราศจากทุจริต” โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียงกัน จากการให้ความสําคัญของรัฐบาลในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต รวมถึงการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน โดยกําหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อแก้ไขปัญหาทุจริตให้หมดสิ้นไป ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ได้ร่วมกันสร้างเครื่องมือ กลไก และกําหนดเป้าหมายสําหรับการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงปี 2551 ถึงปัจจุบัน และกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มีการจัดทําแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พร้อมทั้งปฏิบัติตามแผนฯ ดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2561 ณ ลานอเนกประสงค์ ชั้น 6 กระทรวงดิจิทัลฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12137
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. รุดเยี่ยม 2 เด็กหญิง ที่รอดจากเหตุการณ์พ่อจับมัดหวังให้ไฟช็อต ภายในบ้าน ที่จังหวัดระยอง
|
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563
รมว.พม. รุดเยี่ยม 2 เด็กหญิง ที่รอดจากเหตุการณ์พ่อจับมัดหวังให้ไฟช็อต ภายในบ้าน ที่จังหวัดระยอง
รมว.พม. รุดเยี่ยม 2 เด็กหญิง ที่รอดจากเหตุการณ์พ่อจับมัดหวังให้ไฟช็อต ภายในบ้าน ที่จังหวัดระยอง
วันที่ 2 ก.พ. 63 เวลา 16.30 น. ที่โรงพยาบาลระยอง จังหวัดระยอง นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดเหตุสลด พ่อวัย 35 ปี ต่อสายไฟจากเบรกเกอร์แล้วนอนกําเพื่อให้กระแสไฟช็อตโดยตั้งใจจะฆ่าตัวตายพร้อมลูกสาวอีก 2 คนแต่เคราะห์ดีที่ลูกทั้งสองรอดชีวิตมาได้ ส่วนพ่อเสียชีวิต ภายในบ้านพักที่ตําบลทับมา อําเภอเมือง จังหวัดระยอง นั้น ตนมีความห่วงใยเด็กทั้ง 2 คน วันนี้จึงได้ลงพื้นเยี่ยมเด็กที่ได้รับบาดเจ็บทั้ง 2 คน พบว่าเป็นเด็กหญิง อายุ 7 ขวบ และ 8 ขวบ ซึ่งพ่อกับแม่หย่าร้างกัน มีปัญหาการเลี้ยงดูลูก เพราะสามีใหม่ของอดีตภรรยาไม่ยอมรับ พ่อเด็กจึงเกิดความเครียดเรื่องการเลี้ยงดูลูก จึงก่อเหตุดังกล่าว ทั้งนี้ ตนได้มอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้น พร้อมประสานนักจิตวิทยาให้การช่วยเหลือเยียวยาจิตใจแก่เด็ก รวมทั้งให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. โดยมีพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) และเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัว ซึ่งมีอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ที่มีภารกิจโดยตรงลงตรวจเยี่ยมดูแลอย่างต่อเนื่อง ช่วยเหลือในด้านต่างๆในระยะยาวต่อไป
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ หากประชาชนประสบปัญหาทางสังคม สามารถโทรมาที่สายด่วน พม. 1300 โทรฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้การช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์ของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยมีเจ้าหน้าที่ พร้อมให้คําปรึกษาและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลืออย่างเต็มที่
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. รุดเยี่ยม 2 เด็กหญิง ที่รอดจากเหตุการณ์พ่อจับมัดหวังให้ไฟช็อต ภายในบ้าน ที่จังหวัดระยอง
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563
รมว.พม. รุดเยี่ยม 2 เด็กหญิง ที่รอดจากเหตุการณ์พ่อจับมัดหวังให้ไฟช็อต ภายในบ้าน ที่จังหวัดระยอง
รมว.พม. รุดเยี่ยม 2 เด็กหญิง ที่รอดจากเหตุการณ์พ่อจับมัดหวังให้ไฟช็อต ภายในบ้าน ที่จังหวัดระยอง
วันที่ 2 ก.พ. 63 เวลา 16.30 น. ที่โรงพยาบาลระยอง จังหวัดระยอง นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดเหตุสลด พ่อวัย 35 ปี ต่อสายไฟจากเบรกเกอร์แล้วนอนกําเพื่อให้กระแสไฟช็อตโดยตั้งใจจะฆ่าตัวตายพร้อมลูกสาวอีก 2 คนแต่เคราะห์ดีที่ลูกทั้งสองรอดชีวิตมาได้ ส่วนพ่อเสียชีวิต ภายในบ้านพักที่ตําบลทับมา อําเภอเมือง จังหวัดระยอง นั้น ตนมีความห่วงใยเด็กทั้ง 2 คน วันนี้จึงได้ลงพื้นเยี่ยมเด็กที่ได้รับบาดเจ็บทั้ง 2 คน พบว่าเป็นเด็กหญิง อายุ 7 ขวบ และ 8 ขวบ ซึ่งพ่อกับแม่หย่าร้างกัน มีปัญหาการเลี้ยงดูลูก เพราะสามีใหม่ของอดีตภรรยาไม่ยอมรับ พ่อเด็กจึงเกิดความเครียดเรื่องการเลี้ยงดูลูก จึงก่อเหตุดังกล่าว ทั้งนี้ ตนได้มอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้น พร้อมประสานนักจิตวิทยาให้การช่วยเหลือเยียวยาจิตใจแก่เด็ก รวมทั้งให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. โดยมีพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) และเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัว ซึ่งมีอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ที่มีภารกิจโดยตรงลงตรวจเยี่ยมดูแลอย่างต่อเนื่อง ช่วยเหลือในด้านต่างๆในระยะยาวต่อไป
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ หากประชาชนประสบปัญหาทางสังคม สามารถโทรมาที่สายด่วน พม. 1300 โทรฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้การช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์ของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยมีเจ้าหน้าที่ พร้อมให้คําปรึกษาและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลืออย่างเต็มที่
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26262
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมต้อนรับคณะผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง
|
วันอังคารที่ 5 มีนาคม 2562
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมต้อนรับคณะผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมต้อนรับคณะผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมคณะรัฐบาลให้การต้อนรับ นางแครี่ หล่า (Carrie Lam) ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง พร้อมด้วยคณะภาครัฐและเอกชน ที่เดินทางมาไทย ในระหว่างวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์ 2562 โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นําคณะรัฐบาลไทยให้การต้อนรับในครั้งนี้ พร้อมกันนี้ร่วมเปิดสานักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง หรือ Hong Kong Economic and Trade Office (HKETO) ที่กรุงเทพฯ ซึ่งสะท้อนได้ว่าฮ่องกง เล็งเห็นถึงศักยภาพของไทยในการเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคอาเซียน จึงได้ให้ความสาคัญในการเข้ามาเปิดสานักงาน HKETO ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทยในด้านการค้าและการลงทุนในสายตาของผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างประเทศ และจะส่งผลดีต่อการขยาย การค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจอื่นๆ ตามมา
********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมต้อนรับคณะผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง
วันอังคารที่ 5 มีนาคม 2562
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมต้อนรับคณะผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมต้อนรับคณะผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมคณะรัฐบาลให้การต้อนรับ นางแครี่ หล่า (Carrie Lam) ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง พร้อมด้วยคณะภาครัฐและเอกชน ที่เดินทางมาไทย ในระหว่างวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์ 2562 โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นําคณะรัฐบาลไทยให้การต้อนรับในครั้งนี้ พร้อมกันนี้ร่วมเปิดสานักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง หรือ Hong Kong Economic and Trade Office (HKETO) ที่กรุงเทพฯ ซึ่งสะท้อนได้ว่าฮ่องกง เล็งเห็นถึงศักยภาพของไทยในการเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคอาเซียน จึงได้ให้ความสาคัญในการเข้ามาเปิดสานักงาน HKETO ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทยในด้านการค้าและการลงทุนในสายตาของผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างประเทศ และจะส่งผลดีต่อการขยาย การค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจอื่นๆ ตามมา
********************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19132
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กขร. เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาศักยภาพผู้นำชุมชน และพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมชมุชน
|
วันพุธที่ 26 กันยายน 2561
กขร. เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาศักยภาพผู้นําชุมชน และพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมชมุชน
กขร. เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาศักยภาพผู้นําชุมชนและพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมชุมชน มอบหมาย พม. พอช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดเสนอ ครม. ภายใน 1-2 เดือน
หลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 รัฐบาลได้จัดทําโครงการการลงทุนทางสังคม สนับสนุนให้ชุมชนทั่วประเทศจัดทําโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชน โดยผู้ดําเนินการคือองค์กรชุมชน ซึ่งนอกจากจะก่อให้เกิดผลด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านต่าง ๆ จํานวนมากแล้ว ยังเกิดผลพลอยได้ที่สําคัญคือกระบวนการจัดทําโครงการโดยชุมชุนนั้น ทําให้เกิดผู้นํารุ่นใหม่ขึ้นมาจํานวนมาก และผู้นําเหล่านี้ยังคงทํางานต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แม้ระยะเวลาของโครงการจะสิ้นสุดไปแล้วเกือบ 20 ปี
ปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาความเหลื่อมล้ําเชิงพื้นที่ในระดับสูง การพัฒนาของชุมชนฐานรากไม่สอดคล้องกับการพัฒนาในเมืองใหญ่ ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ความเข้มแข็งของชุมชนหรือทุนทางสังคมได้ลดลงอย่างมาก จังหวัดที่ยากจนที่สุดของประเทศยังคงยากจนเรื้อรัง
โครงการพัฒนาผู้นําชุมชน (Social Investment Fund-SIF) เป็นการดําเนินการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติในการพัฒนาคน รวมทั้งแผนการปฏิรูประเทศด้านเศรษฐกิจและด้านสังคม จึงเห็นควรจัดตั้ง โครงการพัฒนาผู้นําชุมชนขึ้น ในลักษณะกองทุนสําหรับการพัฒนาเชิงพื้นที่ (Area-based) เป็นโครงการที่นําปัจจัยความสําเร็จจากโครงการ SIF Menu 5 ในอดีตมาใช้ในการดําเนินโครงการ เพื่อสร้างผู้นําชุมชนที่มีศักยภาพ สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนฐานรากในการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเน้นให้คนในชุมชนทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการเสนอขับเคลื่อน และคัดเลือกโครงการเพื่อพัฒนาชุมชน งบประมาณเบื้องต้นปีแรกประมาณ 200 ล้านบาท โดย พอช. จะพิจารณาโครงการที่เสนอเข้ามา สําหรับโครงการที่เข้าหลักเกณฑ์และผ่านการพิจารณา จะช่วยสนับสนุนประมาณ 1-2 แสนบาทต่อโครงการ
ทั้งนี้ การดําเนินโครงการดังกล่าวจะส่งผลลัพธ์ ดังนี้ 1) สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนฐานรากผ่านการเสนอโครงการที่มาชุมชนอย่างแท้จริง ซึ่งจะเป็นตาข่ายความปลอดภัยทางสังคม ที่จะช่วยประคับประคองคนในชุมชนทุกกลุ่มได้ 2) สร้างเครือข่ายผู้นําการเปลี่ยนแปลงชุมชนที่เป็นผู้ขับเคลื่อนโครงการในด้านต่าง ๆ อาทิ ป่าชุมชน สวัสดิการชุมชน วิสาหกิจชุมชน ธนาคารชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม ฯลฯ โดยมีดัชนีความเข้มแข็งของชุมชน และดัชนีความสุขของประชาชนในพื้นที่เป็นตัวชี้วัด
มติที่ประชุม เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาศักยภาพผู้นําชุมชนและพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ชุมชน และมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดเสนอ ครม. ได้ภายใน 1-2 เดือน
-----------------------
ที่มา : คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 02 288 4436
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กขร. เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาศักยภาพผู้นำชุมชน และพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมชมุชน
วันพุธที่ 26 กันยายน 2561
กขร. เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาศักยภาพผู้นําชุมชน และพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมชมุชน
กขร. เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาศักยภาพผู้นําชุมชนและพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมชุมชน มอบหมาย พม. พอช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดเสนอ ครม. ภายใน 1-2 เดือน
หลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 รัฐบาลได้จัดทําโครงการการลงทุนทางสังคม สนับสนุนให้ชุมชนทั่วประเทศจัดทําโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชน โดยผู้ดําเนินการคือองค์กรชุมชน ซึ่งนอกจากจะก่อให้เกิดผลด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านต่าง ๆ จํานวนมากแล้ว ยังเกิดผลพลอยได้ที่สําคัญคือกระบวนการจัดทําโครงการโดยชุมชุนนั้น ทําให้เกิดผู้นํารุ่นใหม่ขึ้นมาจํานวนมาก และผู้นําเหล่านี้ยังคงทํางานต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แม้ระยะเวลาของโครงการจะสิ้นสุดไปแล้วเกือบ 20 ปี
ปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาความเหลื่อมล้ําเชิงพื้นที่ในระดับสูง การพัฒนาของชุมชนฐานรากไม่สอดคล้องกับการพัฒนาในเมืองใหญ่ ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ความเข้มแข็งของชุมชนหรือทุนทางสังคมได้ลดลงอย่างมาก จังหวัดที่ยากจนที่สุดของประเทศยังคงยากจนเรื้อรัง
โครงการพัฒนาผู้นําชุมชน (Social Investment Fund-SIF) เป็นการดําเนินการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติในการพัฒนาคน รวมทั้งแผนการปฏิรูประเทศด้านเศรษฐกิจและด้านสังคม จึงเห็นควรจัดตั้ง โครงการพัฒนาผู้นําชุมชนขึ้น ในลักษณะกองทุนสําหรับการพัฒนาเชิงพื้นที่ (Area-based) เป็นโครงการที่นําปัจจัยความสําเร็จจากโครงการ SIF Menu 5 ในอดีตมาใช้ในการดําเนินโครงการ เพื่อสร้างผู้นําชุมชนที่มีศักยภาพ สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนฐานรากในการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเน้นให้คนในชุมชนทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการเสนอขับเคลื่อน และคัดเลือกโครงการเพื่อพัฒนาชุมชน งบประมาณเบื้องต้นปีแรกประมาณ 200 ล้านบาท โดย พอช. จะพิจารณาโครงการที่เสนอเข้ามา สําหรับโครงการที่เข้าหลักเกณฑ์และผ่านการพิจารณา จะช่วยสนับสนุนประมาณ 1-2 แสนบาทต่อโครงการ
ทั้งนี้ การดําเนินโครงการดังกล่าวจะส่งผลลัพธ์ ดังนี้ 1) สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนฐานรากผ่านการเสนอโครงการที่มาชุมชนอย่างแท้จริง ซึ่งจะเป็นตาข่ายความปลอดภัยทางสังคม ที่จะช่วยประคับประคองคนในชุมชนทุกกลุ่มได้ 2) สร้างเครือข่ายผู้นําการเปลี่ยนแปลงชุมชนที่เป็นผู้ขับเคลื่อนโครงการในด้านต่าง ๆ อาทิ ป่าชุมชน สวัสดิการชุมชน วิสาหกิจชุมชน ธนาคารชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม ฯลฯ โดยมีดัชนีความเข้มแข็งของชุมชน และดัชนีความสุขของประชาชนในพื้นที่เป็นตัวชี้วัด
มติที่ประชุม เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาศักยภาพผู้นําชุมชนและพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ชุมชน และมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดเสนอ ครม. ได้ภายใน 1-2 เดือน
-----------------------
ที่มา : คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 02 288 4436
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15685
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่พบปะผู้ประกอบการอาหารแปรรูป โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มในจังหวัดชุมพร
|
วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม 2561
รมช.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่พบปะผู้ประกอบการอาหารแปรรูป โรงงานสกัดน้ํามันปาล์มในจังหวัดชุมพร
รมช.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่พบปะผู้ประกอบการอาหารแปรรูป โรงงานสกัดน้ํามันปาล์มในจังหวัดชุมพร
วันนี้ (20 สิงหาคม 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายสันติ กีระนันทน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายณพพงศ์ ธีระวร คณะทํางานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมจังหวัดในเขตพื้นที่ภาคใต้ พบปะผู้ประกอบการอาหารแปรรูป โรงงานสกัดน้ํามันปาล์มในจังหวัดชุมพร
โดยจุดแรกได้ลงพื้นที่บริษัท ซีเฟรชอินดัชตรี จํากัด (มหาชน) อําเภอเมือง จังหวัดชุมพร ผู้ผลิตและจัดจําหน่ายอาหารทะเลแช่แข็ง ส่วนใหญ่เป็นกุ้งแช่แข็งในรูปแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น กุ้งสด กุ้งต้ม กุ้งชุบแป้ง กุ้งซูชิ ซึ่งผลิตภัณฑ์เกือบทั้งหมดส่งออกจําหน่ายต่างประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัท ได้แก่ Seafresh, Sea Angel, Go Go, Thai Chia และเครื่องหมายการค้าของลูกค้า โดยมีมูลค่าการส่งออกสินค้ากุ้ง 69,000 ล้านบาท/ปี สูงเป็นอันดับที่ 6 (ประมาณ 7%) ของกลุ่มสินค้าอาหาร ซึ่งบริษัทฯ มีกําลังการผลิต 30,000 ตัน/ปี พื้นที่การผลิต 20,000 ตารางเมตร
จุดที่สอง บริษัท สันติภาพ (ฮั้วเพ้ง 1985) จํากัด อําเภอเมือง จังหวัดชุมพร ผลิตปลากระป๋องและผลไม้กระป๋อง ภายใต้แบรนด์ “Pigeon Brand” บรษัทฯ มีมูลค่าการส่งออกอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป 1.015 ล้านล้านบาท/ปี มีการส่งออกในรูปวัตถุดิบมากกว่าอาหารแปรรูป สัดส่วน 53:47 บริษัทฯ รองรับวัตถุดิบในการแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องในหลายกลุ่ม
ได้แก่ ผัก ผลไม้ อาหารทะเล มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ นกพิราบ ที่ได้รับการยอมรับเรื่องคุณภาพ
ด้านสหกรณ์นิคมท่าแซะ จํากัด อําเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร เป็นโรงงานสกัดน้ํามันปาล์มสหกรณ์ โรงงานไบโอแก๊ส และศูนย์การเรียนรู้สหกรณ์ โดยมีพื้นที่เพาะปลูก 4 ล้านไร่ ผลผลิต 12 ล้านตัน/ปี ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 4,053 ราย กําลังการผลิต 45 ตันทะลายต่อชั่วโมง ปริมาณการผลิตน้ํามัน 194,162 ตัน มีการบริหารจัดการในรูปแบบ Biorefinery โดยผลิต Main Product คือ น้ํามันปาล์มดิบ Co Product การผลิต Bio Gas และ By Product การ
เพาะเห็ดจากทะลายปาล์ม และเป็นต้นแบบศูนย์การเรียนรู้ให้กับสหกรณ์การเกษตรอื่น
และบริษัท วิจิตรภัณฑ์ ปาล์มออยส์ จํากัด (มหาชน) ดําเนินธุรกิจผลิตและจําหน่ายน้ํามันปาล์มดิบในจังหวัดชุมพร โดยน้ํามันปาล์มดิบถือเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ หลายประเภทโดยทั่วไปการใช้ประโยชน์ของน้ํามันปาล์มดิบแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่ การใช้ประโยชน์เพื่อการอุปโภคบริโภค และใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลังงานทดแทน โดยบริษัทฯ มีศักยภาพในเรื่องระบบควบคุมการผลิตอัตโนมัติในทุกขั้นตอน ถือเป็นต้นแบบให้กับโรงงานปาล์มที่กําลังพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรม สู่ FACTORY 4.0
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่พบปะผู้ประกอบการอาหารแปรรูป โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มในจังหวัดชุมพร
วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม 2561
รมช.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่พบปะผู้ประกอบการอาหารแปรรูป โรงงานสกัดน้ํามันปาล์มในจังหวัดชุมพร
รมช.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่พบปะผู้ประกอบการอาหารแปรรูป โรงงานสกัดน้ํามันปาล์มในจังหวัดชุมพร
วันนี้ (20 สิงหาคม 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายสันติ กีระนันทน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายณพพงศ์ ธีระวร คณะทํางานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมจังหวัดในเขตพื้นที่ภาคใต้ พบปะผู้ประกอบการอาหารแปรรูป โรงงานสกัดน้ํามันปาล์มในจังหวัดชุมพร
โดยจุดแรกได้ลงพื้นที่บริษัท ซีเฟรชอินดัชตรี จํากัด (มหาชน) อําเภอเมือง จังหวัดชุมพร ผู้ผลิตและจัดจําหน่ายอาหารทะเลแช่แข็ง ส่วนใหญ่เป็นกุ้งแช่แข็งในรูปแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น กุ้งสด กุ้งต้ม กุ้งชุบแป้ง กุ้งซูชิ ซึ่งผลิตภัณฑ์เกือบทั้งหมดส่งออกจําหน่ายต่างประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัท ได้แก่ Seafresh, Sea Angel, Go Go, Thai Chia และเครื่องหมายการค้าของลูกค้า โดยมีมูลค่าการส่งออกสินค้ากุ้ง 69,000 ล้านบาท/ปี สูงเป็นอันดับที่ 6 (ประมาณ 7%) ของกลุ่มสินค้าอาหาร ซึ่งบริษัทฯ มีกําลังการผลิต 30,000 ตัน/ปี พื้นที่การผลิต 20,000 ตารางเมตร
จุดที่สอง บริษัท สันติภาพ (ฮั้วเพ้ง 1985) จํากัด อําเภอเมือง จังหวัดชุมพร ผลิตปลากระป๋องและผลไม้กระป๋อง ภายใต้แบรนด์ “Pigeon Brand” บรษัทฯ มีมูลค่าการส่งออกอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป 1.015 ล้านล้านบาท/ปี มีการส่งออกในรูปวัตถุดิบมากกว่าอาหารแปรรูป สัดส่วน 53:47 บริษัทฯ รองรับวัตถุดิบในการแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องในหลายกลุ่ม
ได้แก่ ผัก ผลไม้ อาหารทะเล มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ นกพิราบ ที่ได้รับการยอมรับเรื่องคุณภาพ
ด้านสหกรณ์นิคมท่าแซะ จํากัด อําเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร เป็นโรงงานสกัดน้ํามันปาล์มสหกรณ์ โรงงานไบโอแก๊ส และศูนย์การเรียนรู้สหกรณ์ โดยมีพื้นที่เพาะปลูก 4 ล้านไร่ ผลผลิต 12 ล้านตัน/ปี ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 4,053 ราย กําลังการผลิต 45 ตันทะลายต่อชั่วโมง ปริมาณการผลิตน้ํามัน 194,162 ตัน มีการบริหารจัดการในรูปแบบ Biorefinery โดยผลิต Main Product คือ น้ํามันปาล์มดิบ Co Product การผลิต Bio Gas และ By Product การ
เพาะเห็ดจากทะลายปาล์ม และเป็นต้นแบบศูนย์การเรียนรู้ให้กับสหกรณ์การเกษตรอื่น
และบริษัท วิจิตรภัณฑ์ ปาล์มออยส์ จํากัด (มหาชน) ดําเนินธุรกิจผลิตและจําหน่ายน้ํามันปาล์มดิบในจังหวัดชุมพร โดยน้ํามันปาล์มดิบถือเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ หลายประเภทโดยทั่วไปการใช้ประโยชน์ของน้ํามันปาล์มดิบแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่ การใช้ประโยชน์เพื่อการอุปโภคบริโภค และใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลังงานทดแทน โดยบริษัทฯ มีศักยภาพในเรื่องระบบควบคุมการผลิตอัตโนมัติในทุกขั้นตอน ถือเป็นต้นแบบให้กับโรงงานปาล์มที่กําลังพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรม สู่ FACTORY 4.0
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14760
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่พบปะประชาชนชาวจังหวัดร้อยเอ็ด
|
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2559
นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่พบปะประชาชนชาวจังหวัดร้อยเอ็ด
นายกรัฐมนตรีและคณะลงพื้นที่พบปะประชาชนชาวจังหวัดร้อยเอ็ด
วันนี้ (24 ส.ค.59) เวลา 11.30 น. ณ หอประชุม 60 พรรษา มหาวชิราลงกรณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นําคณะรัฐมนตรี อาทิ พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พลเอกวิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่พบปะประชาชนชาวจังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีนายอนุสรณ์ แก้วกังวาล ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนมารอให้การต้อนรับ
เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึงได้เยี่ยมชมนิทรรศการและกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ บริษัทประชารัฐรักสามัคคีร้อยเอ็ด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จํากัด งานวิจัยสู่อุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ของมหาวิทยาลัยร้อยเอ็ด และข้าวหอมมะลิทุ่งกลาร้องไห้ร้อยเอ็ด
ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวรายงานว่า ตามที่รัฐบาลได้ให้ความสําคัญในการดําเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ในโครงการจัดสรรที่ดินทํากินให้แก่ชุมชน การบริหารจัดการน้ําในสถานการณ์ภัยแล้ง โครงการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตําบล ตําบลละ 5 ล้านบาท และโครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้งตําบล ตําบลละ 1 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการตามมาตรการสําคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและคนยากจนในการเสริมสร้างความเข้มแข็ง อีกทั้งยังมีการพัฒนาทุ่งกุลาร้องไห้ให้เป็น “เขตพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกับอีก 4 จังหวัด เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาฯ” ซึ่งจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิชั้นดีที่มีคุณภาพสูงแห่งหนึ่งของประเทศไทยและได้รับการยอมรับระดับนานาชาติ โดยจะให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาเป็นองค์กรหลักในการนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้ามาช่วยแก้ปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกข้าว รวมถึงการแปรรูปผลผลิตข้าวให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มมูลค่า ตลอดจนการจัดจําหน่ายด้วยวิธีการทางการตลาดสมัยใหม่ ที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง และยังครอบคลุมไปยังจังหวัดมหาสารคาม ยโสธร ศรีสะเกษ และสุรินทร์ ที่ครอบคลุมในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้อีกด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การพัฒนาข้าวหอมมะลิทุ่งกุลา ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 5 จังหวัดในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ (จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดยโสธร) ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและพร้อมขยายไปสู่พื้นที่อื่นต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จังหวัดร้อยเอ็ดมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนาน ซึ่งในอดีตเป็นเมืองใหญ่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก เรียกว่า “เมืองสาเกตนคร” เป็นจังหวัดที่มีศักยภาพในการพัฒนามากที่สุดจังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งศักยภาพในการผลิตข้าวหอมมะลิจากทุ่งกุลาร้องไห้ที่เป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิชั้นดี ซึ่งข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้เป็นผลิตผลทางการเกษตรที่สําคัญของจังหวัดร้อยเอ็ด ดังนั้น จะต้องมีการปรับเปลี่ยนทําให้พื้นที่ทุ่งกลาร้องไห้เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มข้าวหอมมะลิทุ่งกุลา โดยการนําเอาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาใช้ในการปรับโครงสร้างการผลิตและการสร้างมูลค่าข้าวหอมมะลิ ซึ่งอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวแบบเกษตรอินทรีย์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสําคัญในการลดความเหลื่อมล้ําไม่เป็นธรรม และการสร้างโอกาสเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้ให้กับประชาชนอย่างเท่าเทียมกันในทุกพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี เศรษฐกิจมีความเจริญเติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยเฉพาะเกษตรกรรมของไทย ซึ่งถือว่ามีสัดส่วนมากที่สุดของประเทศ ให้เราสามารถยกระดับความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่นของกลุ่มเกษตรกรให้ดีขึ้น มีชีวิตใหม่ มีความหวัง ลดหนี้สิน โดยไม่ต้องเข้ามาทํางานในเมือง ครอบครัวได้มีโอกาสอยู่กันพร้อมหน้า ลูกหลานในอนาคตจะกลับไปพัฒนาถิ่นเกิดของตน ซึ่งรัฐบาลก็ทําให้สอดคล้องทั้งหมดตามกรอบยุทธศาสตร์ที่เป็นแนวทางการพัฒนาอย่างชัดเจนเป็นระบบ ซึ่งมีกลไกการบูรณาการประชารัฐทั้งในระดับอําเภอ กํานันผู้ใหญ่บ้าน อปท. ผู้ว่าราชการจังหวัด โดยทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน และในส่วนกลางมีหน้าที่คิดกําหนดนโยบาย และภาคท้องถิ่นต้องดําเนินการปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์ โดยรัฐบาลได้วางพื้นฐานตามโรดแม็ปของประชารัฐให้ตรงกับความต้องการและปัญหาของประชาชนในพื้นที่ สร้างความเชื่อมโยงทั้งห่วงโซ่เศรษฐกิจ ห่วงโซ่มูลค่าโดยให้เกิดความเข้มแข็งจากภายในชุมชนไปสู่จังหวัดและภูมิภาค
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า จังหวัดร้อยเอ็ดได้จัดทํายุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดด้วยโมเดล “ร้อยเอ็ด 4.101” ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่นําศักยภาพของจังหวัดร้อยเอ็ดที่มีอยู่ มาขับเคลื่อนการพัฒนาตามโมเดล “ประเทศไทย 4.0” คือ การนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้ามาเสริมในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพต่อการผลิตในสาขาต่าง ๆ อาทิ ภาคการเกษตร อุตสาหกรรม การค้า และบริการ การส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาตลอดจนบทบาทของมหาวิทยาลัยมาเป็นปัจจัยในการเร่งรัดการขับเคลื่อนในการผลิตสินค้าต่าง ๆ ให้มีคุณค่าและมูลค่าสูงขึ้น รวมทั้งสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ตลอดจนใช้บทบาทของภาคธุรกิจเอกชนที่มีความเข้มแข็ง ให้เข้ามาช่วยยกระดับการผลิตในระดับท้องถิ่นด้วยรูปแบบที่เราเรียกว่า “ประชารัฐ” เพื่อช่วยกันทําให้การผลิตในระดับท้องถิ่นมีความเข้มแข็ง สามารถเป็นรากฐานในการสร้างงาน สร้างอาชีพ และรายได้ให้กับประชาชนในท้องถิ่น รวมไปถึงสามารถต่อยอดเป็นการผลิตสินค้าที่นําไปขายได้ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ อีกทั้ง ทําให้การพัฒนาการท่องเที่ยวของจังหวัดร้อยเอ็ดมีความเชื่อมโยงการท่องเที่ยวภายในจังหวัด หรือนําของดีของจังหวัดออกมา หรือสร้าง Package การท่องเที่ยว ด้านสุขภาพ ประวัติศาสตร์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะนําไปสู่ความเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง และนําไปสู่ความเป็นพื้นที่ที่น่าสนใจทางด้านการลงทุนของภาคเอกชนในด้านอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตการเกษตร ด้านโลจิสติกส์ การสร้างโครงข่ายคมนาคม เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางกับประเทศเพื่อนบ้าน และเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายระบบชลประทานในลุ่มน้ําสําคัญเพื่อลดผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งที่เกิดขึ้น ด้วยการพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ําแบบบูรณาการในพื้นที่ลุ่มน้ําอีกด้วย
----------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่พบปะประชาชนชาวจังหวัดร้อยเอ็ด
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2559
นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่พบปะประชาชนชาวจังหวัดร้อยเอ็ด
นายกรัฐมนตรีและคณะลงพื้นที่พบปะประชาชนชาวจังหวัดร้อยเอ็ด
วันนี้ (24 ส.ค.59) เวลา 11.30 น. ณ หอประชุม 60 พรรษา มหาวชิราลงกรณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นําคณะรัฐมนตรี อาทิ พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พลเอกวิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่พบปะประชาชนชาวจังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีนายอนุสรณ์ แก้วกังวาล ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนมารอให้การต้อนรับ
เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึงได้เยี่ยมชมนิทรรศการและกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ บริษัทประชารัฐรักสามัคคีร้อยเอ็ด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จํากัด งานวิจัยสู่อุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ของมหาวิทยาลัยร้อยเอ็ด และข้าวหอมมะลิทุ่งกลาร้องไห้ร้อยเอ็ด
ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวรายงานว่า ตามที่รัฐบาลได้ให้ความสําคัญในการดําเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ในโครงการจัดสรรที่ดินทํากินให้แก่ชุมชน การบริหารจัดการน้ําในสถานการณ์ภัยแล้ง โครงการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตําบล ตําบลละ 5 ล้านบาท และโครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้งตําบล ตําบลละ 1 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการตามมาตรการสําคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและคนยากจนในการเสริมสร้างความเข้มแข็ง อีกทั้งยังมีการพัฒนาทุ่งกุลาร้องไห้ให้เป็น “เขตพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกับอีก 4 จังหวัด เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาฯ” ซึ่งจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิชั้นดีที่มีคุณภาพสูงแห่งหนึ่งของประเทศไทยและได้รับการยอมรับระดับนานาชาติ โดยจะให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาเป็นองค์กรหลักในการนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้ามาช่วยแก้ปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกข้าว รวมถึงการแปรรูปผลผลิตข้าวให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มมูลค่า ตลอดจนการจัดจําหน่ายด้วยวิธีการทางการตลาดสมัยใหม่ ที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง และยังครอบคลุมไปยังจังหวัดมหาสารคาม ยโสธร ศรีสะเกษ และสุรินทร์ ที่ครอบคลุมในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้อีกด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การพัฒนาข้าวหอมมะลิทุ่งกุลา ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 5 จังหวัดในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ (จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดยโสธร) ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและพร้อมขยายไปสู่พื้นที่อื่นต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จังหวัดร้อยเอ็ดมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนาน ซึ่งในอดีตเป็นเมืองใหญ่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก เรียกว่า “เมืองสาเกตนคร” เป็นจังหวัดที่มีศักยภาพในการพัฒนามากที่สุดจังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งศักยภาพในการผลิตข้าวหอมมะลิจากทุ่งกุลาร้องไห้ที่เป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิชั้นดี ซึ่งข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้เป็นผลิตผลทางการเกษตรที่สําคัญของจังหวัดร้อยเอ็ด ดังนั้น จะต้องมีการปรับเปลี่ยนทําให้พื้นที่ทุ่งกลาร้องไห้เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มข้าวหอมมะลิทุ่งกุลา โดยการนําเอาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาใช้ในการปรับโครงสร้างการผลิตและการสร้างมูลค่าข้าวหอมมะลิ ซึ่งอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวแบบเกษตรอินทรีย์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสําคัญในการลดความเหลื่อมล้ําไม่เป็นธรรม และการสร้างโอกาสเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้ให้กับประชาชนอย่างเท่าเทียมกันในทุกพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี เศรษฐกิจมีความเจริญเติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยเฉพาะเกษตรกรรมของไทย ซึ่งถือว่ามีสัดส่วนมากที่สุดของประเทศ ให้เราสามารถยกระดับความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่นของกลุ่มเกษตรกรให้ดีขึ้น มีชีวิตใหม่ มีความหวัง ลดหนี้สิน โดยไม่ต้องเข้ามาทํางานในเมือง ครอบครัวได้มีโอกาสอยู่กันพร้อมหน้า ลูกหลานในอนาคตจะกลับไปพัฒนาถิ่นเกิดของตน ซึ่งรัฐบาลก็ทําให้สอดคล้องทั้งหมดตามกรอบยุทธศาสตร์ที่เป็นแนวทางการพัฒนาอย่างชัดเจนเป็นระบบ ซึ่งมีกลไกการบูรณาการประชารัฐทั้งในระดับอําเภอ กํานันผู้ใหญ่บ้าน อปท. ผู้ว่าราชการจังหวัด โดยทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน และในส่วนกลางมีหน้าที่คิดกําหนดนโยบาย และภาคท้องถิ่นต้องดําเนินการปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์ โดยรัฐบาลได้วางพื้นฐานตามโรดแม็ปของประชารัฐให้ตรงกับความต้องการและปัญหาของประชาชนในพื้นที่ สร้างความเชื่อมโยงทั้งห่วงโซ่เศรษฐกิจ ห่วงโซ่มูลค่าโดยให้เกิดความเข้มแข็งจากภายในชุมชนไปสู่จังหวัดและภูมิภาค
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า จังหวัดร้อยเอ็ดได้จัดทํายุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดด้วยโมเดล “ร้อยเอ็ด 4.101” ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่นําศักยภาพของจังหวัดร้อยเอ็ดที่มีอยู่ มาขับเคลื่อนการพัฒนาตามโมเดล “ประเทศไทย 4.0” คือ การนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้ามาเสริมในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพต่อการผลิตในสาขาต่าง ๆ อาทิ ภาคการเกษตร อุตสาหกรรม การค้า และบริการ การส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาตลอดจนบทบาทของมหาวิทยาลัยมาเป็นปัจจัยในการเร่งรัดการขับเคลื่อนในการผลิตสินค้าต่าง ๆ ให้มีคุณค่าและมูลค่าสูงขึ้น รวมทั้งสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ตลอดจนใช้บทบาทของภาคธุรกิจเอกชนที่มีความเข้มแข็ง ให้เข้ามาช่วยยกระดับการผลิตในระดับท้องถิ่นด้วยรูปแบบที่เราเรียกว่า “ประชารัฐ” เพื่อช่วยกันทําให้การผลิตในระดับท้องถิ่นมีความเข้มแข็ง สามารถเป็นรากฐานในการสร้างงาน สร้างอาชีพ และรายได้ให้กับประชาชนในท้องถิ่น รวมไปถึงสามารถต่อยอดเป็นการผลิตสินค้าที่นําไปขายได้ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ อีกทั้ง ทําให้การพัฒนาการท่องเที่ยวของจังหวัดร้อยเอ็ดมีความเชื่อมโยงการท่องเที่ยวภายในจังหวัด หรือนําของดีของจังหวัดออกมา หรือสร้าง Package การท่องเที่ยว ด้านสุขภาพ ประวัติศาสตร์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะนําไปสู่ความเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง และนําไปสู่ความเป็นพื้นที่ที่น่าสนใจทางด้านการลงทุนของภาคเอกชนในด้านอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตการเกษตร ด้านโลจิสติกส์ การสร้างโครงข่ายคมนาคม เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางกับประเทศเพื่อนบ้าน และเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายระบบชลประทานในลุ่มน้ําสําคัญเพื่อลดผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งที่เกิดขึ้น ด้วยการพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ําแบบบูรณาการในพื้นที่ลุ่มน้ําอีกด้วย
----------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/256
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562
|
วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
เมื่อวันที่ 16 มกราคม ที่ผ่านมา เป็น “วันครูแห่งชาติ” ผมได้มอบคําขวัญว่า “ครูดี ศิษย์ดี มีพัฒนา ก้าวหน้า สู่เทคโนโลยี” ก็เพื่อจะสะท้อนให้เห็นบทบาท ความสําคัญ ของผู้ที่เป็นครู อาจารย์ ที่มีต่อศิษย์ ต่อประเทศชาติ โดยที่ก็ต้องมีการพัฒนาตนเองให้เข้ากับยุคสมัย และบริบทของสังคมโลกที่เปลี่ยนแปลงไป การปรับตัวของครูนั้น จะเปรียบเสมือนคลื่นลูกแรก ๆ ในทะเลที่จะสร้างคลื่นลูกต่อ ๆ มา ก็คือเราทุกคน ประชาชนทุกสาขาอาชีพ ที่จะเป็นกําลังสําคัญตามหน้าที่ ความรับผิดชอบของตน ที่มีต่อส่วนรวม สังคม และประเทศชาติ ดังนั้น การปฏิรูปในวงการครู และการปฏิรูปด้านการศึกษา จึงถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในระยะยาว
ทั้งนี้ การเป็นครูมิเพียงเป็นแต่กาย แต่นาม แต่ต้องเป็นครูด้วยจิตวิญญาณ ยกตัวอย่าง “ครูไอซ์” ดําเกิง มุ่งธัญญา ซึ่งเป็นผู้พิการทางสายตาทั้ง 2 ข้าง แต่สามารถเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ที่โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย กรุงเทพมหานคร ซึ่งผมเคยกล่าวถึงมาแล้ว ผมขอชื่นชมสื่อมวลชน ทั้งสื่อกระแสหลักและสื่อโซเชียล ที่ได้นําเรื่องราวดี ๆ ของครูไอซ์ มาเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครอีกหลายคน ในช่วงวันครูปีนี้ สําหรับวันนี้ ผมก็ได้รับข้อมูลดี ๆ จากผู้ที่อยู่ในวงการศึกษาของเรา ที่ไม่อยากจะเก็บไว้คนเดียว แต่ก็อยากจะนํามาเล่าให้พี่น้องประชาชนได้ฟังสัก 2 เรื่องนะครับ
เรื่องแรก สะท้อนให้เห็นถึงสภาพการทํางานของ “ครู กศน.” ที่ต้องเข้าไปฝังตัว ในพื้นที่ ณ ชุมชนห่างไกล โดยไม่ได้คํานึงถึงความสุข และครอบครัวของตนเอง ต้องปฏิบัติงานบนพื้นที่สูง มิเพียงแต่สอนหนังสือเท่านั้น แต่ครูอาสาฯ เหล่านั้น แทบจะเป็นหลักให้กับชุมชนในหลาย ๆ เรื่อง ช่วยสร้างวิถีชีวิต และมุมมองใหม่ ๆ ให้กับชุมชน ครูทั่วไปเข้าไม่ถึง แต่ครู กศน. เป็นหน่วยซีล หน่วยแนวหน้าที่อยู่เคียงข้างประชาชน ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งสมเด็จพระเทพฯ ทรงมีพระราชดําริและมอบให้ ครู กศน. ได้ช่วยกันดูแลประชาชน ที่ส่วนใหญ่เป็นคนพื้นถิ่น หรือชนกลุ่มน้อย แต่ครูเหล่านี้ กลับไม่มีความมั่นคงในอาชีพ หลายคนไม่ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการ ครั้นเมื่อมีโอกาสเติบโตในตําแหน่งแห่งหนใหม่ ก็ต้องก้าวออกไป ปล่อยให้ชาวบ้านเคว้งคว้าง นั่งรอครูคนใหม่ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัว กว่าจะลงตัวในพื้นที่ที่รับผิดชอบ ดังนั้น “ครู กศน.” ไม่ได้ทํางานในองค์กรที่มั่นคง แต่เขาเหล่านั้น ต้องเสี่ยงภัยตามแนวตะเข็บชายแดน ไม่แตกต่างจาก ตํารวจ ทหาร ที่อยู่ชายขอบพรมแดนประเทศ เพื่อให้ความรู้แก่เด็ก เยาวชน และพี่น้องประชาชน ให้สามารถนําความรู้ไปพัฒนาตนเอง ไม่ตกเป็นเครื่องมือหรือเป็นเหยื่อของผู้อื่น
ครู กศน. จึงเปรียบเสมือน “หน่วยอารักขาทางปัญญา” สําหรับประชาชนในถิ่นทุรกันดารเพื่อให้ทุกคนบนผืนแผ่นดินนี้ ได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน ได้รับการป้องกัน ไม่ให้ประชาชนต้องถูกรุกรานในชีวิต และไม่ทิ้งถิ่นฐานไปไหน อันจะช่วยให้ประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพื้นที่แนวตะเข็บชายแดนเกิดความเข้มแข็ง สิ่งที่รัฐบาลจะช่วยดูแล คือความมั่นคงในอาชีพ สวัสดิการที่จะเอื้อให้เขาสามารถดํารงชีพอยู่ได้ ในระหว่างที่พวกเรานอนหลับสบายในห้องแอร์ แต่พวกเขาต้องนอนในอาศรม หากมีโอกาส ผมก็อยากเชิญชวนพี่น้องประชาชน ได้เดินทางไปเยี่ยมอาศรมของครู กศน. บนพื้นที่สูงบ้าง เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจต่อครู กศน. ที่แบกภาระใหญ่หลวงนะครับ
เรื่องที่สอง “โครงการห้องสอบสีขาว” ของมหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น ที่มีคติพจน์ คือ คุณธรรมเท่านั้น ที่ทําให้มนุษย์มีเกียรติ โดยผู้ที่เข้ามารับการศึกษาในหลักสูตรชั้นสูงของสถาบัน ส่วนใหญ่เป็นผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งสมควรที่จะเป็นแบบอย่างของการยึดมั่นในจรรยาบรรณในวิชาชีพอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการแสดงออกถึงความซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นเครื่องหมายของผู้ที่ได้รับการปลูกฝังเป็นอย่างดี อันสมควรจะเป็นแบบอย่างที่ดีต่อนักเรียน และเยาวชนของชาติ ดังนั้น ทางสถาบันจึงได้เริ่ม “โครงการห้องสอบสีขาว” นี้ขึ้น กับนักศึกษาในหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพครู ตั้งแต่ปี 2558 โดยโครงการห้องสอบสีขาว หมายถึง ห้องสอบที่ปราศจากการทุจริตของผู้เข้ารับการสอบ แม้ไม่มีผู้คุมสอบก็ตาม เป็นการปลูกฝังจิตสํานึกของนักศึกษา ที่จะจบไปเป็น “ครู” ในอนาคต โครงการนี้เป็นการให้เกียรติกับนักศึกษา และเชื่อมั่นในตัวนักศึกษา ว่าจะไม่คิด หรือกระทําการทุจริตในการสอบ โดยคาดหวังว่า คนที่จะเป็นครูต้องเป็นทั้งกายและใจ โดยครูก็จะต้องเป็นสัญลักษณ์ และตัวอย่างของความถูกต้องอีกด้วย
และ เนื่องในโอกาสวันครูในปีนี้ ผมขอเป็นกําลังใจให้กับผู้ที่ทําหน้าที่ ครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ให้มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่สําคัญของท่าน ในการเป็นต้นแบบที่ดีให้กับเด็ก และเยาวชน รวมทั้ง ทุกคนในสังคม อบรมบ่มเพาะศิษย์ด้วยความรัก ความเข้าใจ เต็มเปี่ยมด้วยความเมตตาเพื่อให้ศิษย์ประสบความสําเร็จในชีวิต เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้ ควบคู่คุณธรรม หนุนนําในการดําเนินชีวิต และการประกอบอาชีพโดยสุจริต ซึ่งบรรดาศิษย์เหล่านั้น ก็คือทุกคน ทุกสาขาวิชาชีพ ที่ล้วนก็เป็นศิษย์มีครู จะได้ทําหน้าที่ของตน เป็นกําลังสําคัญของชาติบ้านเมือง ในการพัฒนาประเทศไทย ให้เจริญก้าวหน้าและมั่นคงต่อไปนะครับ
พี่น้องประชาชนที่รักเคารพครับ
เมื่อต้นสัปดาห์นี้ ผมได้มีโอกาสลงพื้นที่ และร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่และลําปาง ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 อันได้แก่ เชียงใหม่แม่ฮ่องสอน ลําปางและลําพูน โดยได้เห็นศักยภาพและโอกาสในการพัฒนาของกลุ่มจังหวัดที่จะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภาค สามารถเชื่อมโยงการพัฒนาเศรษฐกิจกับกลุ่มประเทศต่าง ๆ อาทิ GMS, BIMSTECS, ASEAN โดยได้มีการกําหนดเป้าหมายการพัฒนาพื้นที่ ผ่านการยกระดับการท่องเที่ยวการค้าการลงทุนและการเกษตร สู่ฐานเศรษฐกิจมูลค่าสูง เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจ กับห่วงโซ่อุปทานของโลก ซึ่งจะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน
จากการลงพื้นที่ พูดคุยกับพี่น้องประชาชน ผมได้เห็นความเข้มแข็งของชุมชน และก็พร้อมที่จะทํางานร่วมกับภาครัฐในการพัฒนาทุก ๆ ด้าน ผมจึงได้สอบถามถึงโครงการตัวอย่างที่ประสบผลสําเร็จ ด้วยความร่วมแรง ร่วมใจของประชาชน ภาครัฐ และในพื้นที่ ภายใต้ “แม่แจ่มโมเดล” และ “แม่แจ่มโมเดลพลัส” ที่เป็นการบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าอย่างยั่งยืนครบวงจร ตั้งแต่การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการที่ดิน การลดการปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยว การพัฒนาและส่งเสริมอาชีพ รวมไปถึงการป้องกันรักษาป่า เป็นต้น
“แม่แจ่มโมเดล” มีจุดเริ่มต้นจากวิกฤตปัญหาไฟป่า หมอกควันที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายประการ ทั้งการลดลงของพื้นที่ป่า แนวทางการจัดการป่า ลักษณะการใช้ที่ดินและรูปแบบของระบบการผลิตที่สัมพันธ์กับปากท้องของประชาชน จากวิกฤตปัญหาได้นําไปสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของภาคส่วนต่าง ๆ และการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุ และเชื่อมโยงกับปัญหาด้านอื่น ๆ ผ่านกระบวนการสํารวจและจัดทําข้อมูลพื้นที่ โดยใช้ภาพถ่ายทางอากาศสี และเครื่องสํารวจพิกัด (GPS) รวมทั้งมีการจําแนกขอบเขต การใช้ประโยชน์ที่ดินทํากินออกจากที่ป่า การจัดทําประชาคมหมู่บ้านเพื่อกําหนดกติกาการใช้ประโยชน์จากที่ดินร่วมกัน โดยใช้พื้นที่เป็นตัวตั้งแล้วกําหนดเป้าหมายร่วมกัน ใช้กลไกความร่วมมือและฐานข้อมูล ข้อเท็จจริง ที่มีระบบฐานข้อมูลการจําแนกแนวเขตการจัดการที่ดิน และการจัดการทรัพยากร ที่ได้มาจากการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย ทําให้ได้รับการยอมรับจนประสบความสําเร็จในแง่ของการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน สามารถลดการเผาป่า และลดค่าความร้อนของพื้นที่ลงได้อย่างชัดเจน ทําให้อําเภอแม่แจ่ม เปลี่ยนจากพื้นที่ที่มีค่าจุดความร้อนมากที่สุดลําดับต้น ๆ เกือบทุกปี มาเป็นพื้นที่ที่เกิดจุดความร้อนน้อยที่สุดในช่วง 60 วันอันตราย ของจังหวัดเชียงใหม่ ในปี 2559 รวมทั้ง สามารถขยายไปสู่การแก้ปัญหาในมิติอื่น ๆ ด้วย ผมขอชื่นชมทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วม และถือเป็นต้นแบบความสําเร็จของการขับเคลื่อนกลไกความร่วมมือเชิงพื้นที่ในรูปแบบ “ประชารัฐ” ที่จะตอบโจทย์ทั้งการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมด้วยนะครับ
ความสําเร็จดังกล่าว นําไปสู่การพัฒนายุทธศาสตร์แม่แจ่มโมเดล พลัส ที่ยกระดับจากการแก้ไขปัญหาวิกฤตเฉพาะหน้า ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากปัญหาไฟป่าหมอกควัน ไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ ที่ตอบโจทย์การพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุณภาพสิ่งแวดล้อมได้อย่างแท้จริง โดยใช้หลักการแก้ปัญหาความขัดแย้ง แบบบูรณาการ และการให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม โดยนอกจากการบริหารจัดการการใช้ที่ดินอย่างเหมาะสม ในกรณีของแม่แจ่มโมเดลแล้ว ก็ยังมุ่งแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ โดยใช้มาตรการด้านกฎหมาย แก้ไขปัญหาเรื่องสิทธิ ผ่านการสํารวจและข้อตกลงร่วมกัน นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาระบบจัดการร่วม เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ โดยใช้การอนุรักษ์ฟื้นฟู การป้องกันการบุกรุก ส่งเสริมการปลูกป่าเพิ่มรายได้ การจัดการน้ําแบบมีส่วนร่วม ทั้งการพัฒนาอาชีพ เศรษฐกิจชุมชน ควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ด้วยการพักชําระหนี้สูงสุดนานถึง 7 ปี ให้กับประชาชนที่หันมาปลูกพืชแนวทางใหม่ เพื่อช่วยเหลือในการประกอบอาชีพ และเสริมสร้างให้ชุมชนเข้มแข็งอีกด้วย
ปัจจุบันนั้น เราจะเห็นได้ว่าชาวบ้านนั้น มีการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตของตนเอง เลิกการปลูกพืชเชิงเดี่ยว โดยเฉพาะข้าวโพด หันมาปลูกพืชผสมผสาน เช่น ไผ่ กาแฟ และพืชเศรษฐกิจที่ผมอยากเล่าให้ฟังก็คือ กรณีอ้อยอินทรีย์วิถีไทย ที่ปลูกง่าย ได้ประโยชน์เร็ว พันธุ์ Earth Safe RK03 ที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์จากมูลนิธิรักษ์ดินรักษ์น้ํา เพื่อให้เกษตรกรมาแปรรูป เพื่อจําหน่ายได้เองในครัวเรือน อ้อยพันธุ์นี้สีสวย คั้นน้ําไม่เปลี่ยนสี เก็บรักษาได้นานกว่าพันธุ์อื่น นอกจากนี้ ยังให้ผลผลิตเร็วโดยใช้เวลาเพียง 4 - 6 เดือนเท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าเร็วกว่าอ้อยพันธุ์ปกติ 1 เท่าตัว ผลผลิตต่อไร่สูงที่ 6,400 ลําอ้อยต่อ 1 ไร่ โดย 1 ลําอ้อยจะได้น้ําอ้อยพร้อมดื่ม 10 แก้ว หรือ น้ําตาลไซรัป 200 มิลลิลิตร หรือน้ําตาลผงสีทอง 200 กรัม โดยผลผลิตเหล่านี้จะมีราคาสูงเมื่อออกสู่ท้องตลาด สามารถสร้างรายได้จริง ให้แก่พี่น้องเกษตรกร กระบวนการผลิต ก็เป็นแบบวิถีอินทรีย์ไทยที่พึ่งตนเองในทุกมิติ และจะช่วยลดการพึ่งพาระบบอุตสาหกรรมได้
นอกจากจะสนับสนุนการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชให้เป็นเชิงผสมผสานมากขึ้นแล้ว โครงการ แม่แจ่มโมเดล พลัสยังเป็นการจัดการพื้นที่ให้เหมาะสม ตามแนวทางของศาสตร์พระราชา เช่น พื้นที่ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง และพื้นที่ทําแนวซับน้ํา เป็นต้น ปัจจุบันมีชาวบ้านเข้าร่วมในแผนพัฒนานี้แล้วจํานวน 22 ครัวเรือน ในพื้นที่ 65 ไร่ เนื้อที่และจํานวนเกษตรที่ปลูกข้าวโพดลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันจํานวนพื้นที่ป่าก็เพิ่มขึ้น ราว 100 ไร่ จากเดิม 5,300 กว่าไร่ เป็น 5,400 กว่าไร่ ซึ่งความสําเร็จจากการใช้แม่แจ่มโมเดล พลัสนี้ ส่วนหนึ่งสะท้อนว่า ประชาชนต้องการหลุดพ้นจากหนี้สินให้ได้ โดยรายได้ที่จะเพิ่มขึ้นมานั้น ก็จะช่วยแก้ปัญหาหนี้สินได้อย่างยั่งยืน ในวันนี้ ความสําเร็จจากแผนแม่แจ่มโมเดล พลัส แม้จะยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ แต่สามารถจะเผยให้ชุมชนอื่น ๆ ได้เห็นโอกาสและทางเลือกใหม่ ที่จะทําให้ชุมชนกับป่าอยู่ด้วยกันได้ อย่างมั่นคงและยั่งยืน ผมขอให้กําลังใจผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ในการพัฒนาชุมชนอนุรักษ์ และเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ของประเทศ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องค่อย ๆ ดําเนินการ และเน้นการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของชุมชน โดยหวังว่าแม่แจ่มโมเดล พลัสนี้ จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ที่จะเป็นประโยชน์กับชุมชนอื่น ๆ ซึ่งจะขยาย ต่อยอดออกไปได้ทั่วประเทศ
เรื่องนี้ก็สัมพันธ์กับการจัดหาที่ดินให้ประชาชนนะครับ ก็ตามที่มีคณะทํางานที่เราตั้งมาแล้วคือ คทช. คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ แล้วก็มี 3 อนุกรรมการ อันนี้ก็ขอให้เอาหลักการเหล่านี้เข้าไปสู่ในการพิจารณาด้วยนะครับ เพราะต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน สัมพันธ์กัน ทุกอย่างต้องมีกฎหมาย ให้สอดคล้องไปด้วยกัน ข้อสําคัญคือรัฐและประชาชน เอกชน ประชาสังคม ต้องช่วยกัน ถ้ารัฐทําคนเดียวก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกคนต้องช่วยกันลักษณะนี้ และจะพยายามขยายไปทั่วประเทศ เราต้องเพิ่มพื้นที่ป่า แล้วก็มีป่าที่อยู่ร่วมกับประชาชนได้ด้วย ทั้งป่าอนุรักษ์ ป่าต้นน้ํา อะไรก็แล้วแต่ ป่าเศรษฐกิจ ป่าชุมชน เพราะฉะนั้นเราจะมีป่าเกิดขึ้นทั้งในพื้นที่ที่มีคนอยู่ด้วย ถ้าหากเราช่วยกันปลูก เราช่วยกันทําธนาคารป่าไม้ คือปลูกไม้มีค่า ก็จะเจริญไปด้วยกัน
พี่น้องประชาชนที่รักครับ
ผมอยากแนะนําพี่น้องประชาชนชาวไทยให้รู้จักกับบริการใหม่ ที่รัฐบาลตั้งใจนํามามอบให้ เป็นของขวัญปีใหม่สําหรับพี่น้องประชาชนทุกคน คือ แอปพลิเคชัน CITIZENinfo แอปเพื่อประชาชน ที่เพิ่งจะเปิดตัวในงานสัมมนา Digital Government Summit 2019 วันนี้ วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562 โดยการพัฒนาแอปฯ นี้ ขึ้นมานั้น เป็นโครงการที่ต่อยอดจากข่าวดีที่รัฐบาลได้ประกาศยกเลิกเรียกสําเนาเอกสาร ที่หน่วยงานราชการออกให้ จากประชาชน
ความสําเร็จนี้เป็นก้าวย่างครั้งสําคัญ สืบเนื่องมาจากมติการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ครั้งที่ 1 ปี พ.ศ. 2561 ที่ให้หน่วยงานภาครัฐ ยกเลิกการเรียกสําเนาเอกสาร จากพี่น้องประชาชน โดยเริ่มจากสําเนาบัตรประจําตัวประชาชน และสําเนาทะเบียนบ้าน ก่อน ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการอํานวยความสะดวก และลดภาระแก่พี่น้องประชาชน โดยไม่ให้หน่วยงานเรียกขอสําเนาเอกสารราชการ แต่ให้หน่วยงานใช้วิธีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน หรือถ้ายังไม่ได้เชื่อมโยงก็ให้ประสานเพื่อขอสําเนากันเอง โดยให้ทุกหน่วยงานดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบัน ก็มีหน่วยงานที่ยกเลิกการเรียกสําเนาแล้ว ครอบคลุม 20 กระทรวงหรือ 151 หน่วยงานทั่วประเทศ นั่นคือเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่ต้องการช่วยลดภาระ เวลา และค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมเอกสาร สําหรับติดต่อราชการ ซึ่งก็ถือเป็นจุดเริ่มต้น ของการปรับปรุงคุณภาพการให้บริการของรัฐอีกทางหนึ่งด้วย ในขณะที่ภาครัฐเองก็ได้ประโยชน์จากการลดการใช้กระดาษ ลดพื้นที่ในการจัดเก็บเอกสาร และประหยัดเวลาในกระบวนงานต่าง ๆ ลงด้วย
ปัจจุบันสํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล หรือ DGA ร่วมกับ สํานักงาน ก.พ.ร. และกรมการปกครอง ได้พัฒนาแอปพลิเคชัน CITIZENinfo ขึ้น เพื่อช่วยให้ทุกท่าน ค้นหาจุดให้บริการรัฐใกล้บ้าน พร้อมแสดงตําแหน่งพิกัดและเส้นทางการเดินทาง ไปยังจุดให้บริการได้สะดวก แสดงรายละเอียดขั้นตอน การให้บริการ และการใช้เป็นเครื่องมือแสดงสถานะการยกเลิกสําเนาเอกสาร รวมถึงยังสามารถประเมินความพึงพอใจต่อการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ ได้ด้วยในแอปฯ เดียว จะช่วยให้ภาครัฐนําข้อมูลมาปรับปรุง พัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชน ให้มีประสิทธิภาพ และมีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ มีประโยชน์อย่างมากต่อการพัฒนางานให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างตรงใจ สมกับเป็นมิติใหม่การติดต่อราชการไทย ในยุค 4.0 นี้ ก็ขอร้องทั้งสองฝ่าย ทั้งข้าราชการ ทั้งประชาชนต้องทําความเข้าใจร่วมกันให้ได้นะครับ
นอกจากนี้แล้ว ในอนาคตพี่น้องประชาชนจะสามารถใช้แอปพลิเคชันนี้ เช็คสิทธิ์สวัสดิการของตนเอง เช็คยอดเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และเข้าถึงข้อมูลเอกสารดิจิทัลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นเอกสารต่าง ๆ ที่ออกโดยราชการได้ด้วย ผมจึงอยากให้พี่น้องประชาชนทุกท่านดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน CITIZENinfo มาไว้ในมือถือให้พร้อมใช้งาน เพราะหน่วยงานของรัฐกับประชาชนนั้นเป็นสิ่งที่คู่กัน ต้องมีเรื่องให้ติดต่อกันตลอดอยู่แล้ว แอปพลิเคชัน CITIZENinfo นี้จะเหมือนเป็นผู้ช่วยอํานวยความสะดวก ให้พี่น้องประชาชนติดต่อราชการได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ ผมขอขอบคุณหน่วยงานต่าง ๆ ที่ให้ความร่วมมือ เร่งดําเนินการตามนโยบายโครงการยกเลิกสําเนาเอกสาร และก็คาดว่าจะสามารถดําเนินการให้แล้วเสร็จตามกรอบเวลาที่ได้ประกาศไว้ เพื่อให้ช่วยกันปลดล็อคข้อจํากัดประเทศ ไปสู่ Thailand 4.0 ได้อย่างทันสมัยและยั่งยืนนะครับ
สุดท้ายนี้ สถานการณ์ฝุ่นละอองในกรุงเทพฯ และปริมณฑล แม้จะดีขึ้นจากความสําเร็จในการทําฝนเทียมหรืออื่น ๆ นะครับ แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ยังไม่เป็นปกติ ในส่วนของรัฐบาลก็ได้บูรณาการกัน เร่งสํารวจและแก้ไขที่ต้นตอ ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งมาตรการระยะเร่งด่วนและระยะยั่งยืน สําหรับพี่น้องประชาชนก็ต้องขอความร่วมมือด้วยนะครับ ทุกคนใช้รถใช้ถนน ก่อสร้าง โรงงาน แม้กระทั่งการเผาพืชผลทางการเกษตร อันนี้ก็ขอให้ช่วยกันด้วย ช่วยกันลดทั้ง ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM.2.5 และก็ PM.10 ด้วยนะครับ เพราะทั้งสองอย่างเป็นผลกระทบกับประชาชนกับร่างกายด้วยทุกคน แต่ PM.2.5 อันตรายกว่า ผมได้สั่งการไปแล้วให้ทุกหน่วยได้ไปแก้ คือรัฐบาลไม่ได้มาแก้เล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่องใหญ่ ๆ ก็ต้องสั่งการไป ต้องมีระเบียบ มีกฎกติกามากขึ้น เช่น การใช้น้ํามันดีเซล ดีเซล B20 ในรถไฟ ในรถเมล์อะไรต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งขอร้องให้ประชาชนขอให้ร่วมกันใช้ดีเซล B20 ที่มีส่วนผสมน้ํามันปาล์ม ไม่มีอันตรายต่อเครื่องยนต์ ปรับแก้นิดหน่อยเอง อันนี้มีการทดสอบ ทดลองใช้มาแล้ว และราคาก็ถูกกว่าราคาของน้ํามันดีเซลปกติ ซึ่งขณะนี้กระทรวงพลังงานก็ได้มีการผลิตน้ํามัน B20 ออกมา เพื่อจะรองรับความต้องการของผู้บริโภคแล้ว ก็ขอให้ไปหาเติมได้ตามปั๊มน้ํามันต่าง ๆ โดยทั่วกันนะครับ อันนี้เราก็ต้องระมัดระวังคนกลุ่มคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ที่จะได้รับผลกระทบ ก็มีผู้ป่วย ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ ก็ขอให้ปฏิบัติตัวตามคําแนะนําของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง การแก้ปัญหาไม่ได้ง่ายนัก เพราะเกี่ยวข้องกับหลายส่วนด้วยกัน ฉะนั้นอะไรที่ช่วยกันได้ก็ช่วยนะครับ
ขอขอบคุณสื่อทุกแขนง รวมทั้งสื่อโซเชียล ผมเห็นว่ามีบทบาทสําคัญ สามารถทํางานบูรณาการกับภาครัฐได้ โดยเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการสร้างการรับรู้อย่างทั่วถึง ต้องสร้างข้อควรคํานึงด้วย ไม่ใช่สร้างความตื่นตระหนกแต่เพียงอย่างเดียว เราต้องรับรู้ว่า รัฐบาลหรือทางงานราชการมีอะไรที่แก้ปัญหาไปให้ ทุกคนจะต้องร่วมมือกันอย่างไร เราควรแสวงประโยชน์ จากปรากฏการณ์ฝุ่นละอองในครั้งนี้ ให้ความรู้กับทุก ๆ คน ได้รู้จัก ได้รู้วิธีการรับมืออย่างถูกต้องและเหมาะสม เหมือนเมื่อก่อนคนไทยรู้จัก “สึนามิ” เพียงในตํารา แต่ในวันนี้ เรารู้จัก รู้ว่าจะต้องสังเกตจากอะไร แล้วควรทําตัวเช่นไรนะครับ
ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพ ทุกครอบครัว มีความสุขทุก ๆ วัน นะครับ สวัสดีครับ
............................................................................
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562
วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
เมื่อวันที่ 16 มกราคม ที่ผ่านมา เป็น “วันครูแห่งชาติ” ผมได้มอบคําขวัญว่า “ครูดี ศิษย์ดี มีพัฒนา ก้าวหน้า สู่เทคโนโลยี” ก็เพื่อจะสะท้อนให้เห็นบทบาท ความสําคัญ ของผู้ที่เป็นครู อาจารย์ ที่มีต่อศิษย์ ต่อประเทศชาติ โดยที่ก็ต้องมีการพัฒนาตนเองให้เข้ากับยุคสมัย และบริบทของสังคมโลกที่เปลี่ยนแปลงไป การปรับตัวของครูนั้น จะเปรียบเสมือนคลื่นลูกแรก ๆ ในทะเลที่จะสร้างคลื่นลูกต่อ ๆ มา ก็คือเราทุกคน ประชาชนทุกสาขาอาชีพ ที่จะเป็นกําลังสําคัญตามหน้าที่ ความรับผิดชอบของตน ที่มีต่อส่วนรวม สังคม และประเทศชาติ ดังนั้น การปฏิรูปในวงการครู และการปฏิรูปด้านการศึกษา จึงถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในระยะยาว
ทั้งนี้ การเป็นครูมิเพียงเป็นแต่กาย แต่นาม แต่ต้องเป็นครูด้วยจิตวิญญาณ ยกตัวอย่าง “ครูไอซ์” ดําเกิง มุ่งธัญญา ซึ่งเป็นผู้พิการทางสายตาทั้ง 2 ข้าง แต่สามารถเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ที่โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย กรุงเทพมหานคร ซึ่งผมเคยกล่าวถึงมาแล้ว ผมขอชื่นชมสื่อมวลชน ทั้งสื่อกระแสหลักและสื่อโซเชียล ที่ได้นําเรื่องราวดี ๆ ของครูไอซ์ มาเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครอีกหลายคน ในช่วงวันครูปีนี้ สําหรับวันนี้ ผมก็ได้รับข้อมูลดี ๆ จากผู้ที่อยู่ในวงการศึกษาของเรา ที่ไม่อยากจะเก็บไว้คนเดียว แต่ก็อยากจะนํามาเล่าให้พี่น้องประชาชนได้ฟังสัก 2 เรื่องนะครับ
เรื่องแรก สะท้อนให้เห็นถึงสภาพการทํางานของ “ครู กศน.” ที่ต้องเข้าไปฝังตัว ในพื้นที่ ณ ชุมชนห่างไกล โดยไม่ได้คํานึงถึงความสุข และครอบครัวของตนเอง ต้องปฏิบัติงานบนพื้นที่สูง มิเพียงแต่สอนหนังสือเท่านั้น แต่ครูอาสาฯ เหล่านั้น แทบจะเป็นหลักให้กับชุมชนในหลาย ๆ เรื่อง ช่วยสร้างวิถีชีวิต และมุมมองใหม่ ๆ ให้กับชุมชน ครูทั่วไปเข้าไม่ถึง แต่ครู กศน. เป็นหน่วยซีล หน่วยแนวหน้าที่อยู่เคียงข้างประชาชน ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งสมเด็จพระเทพฯ ทรงมีพระราชดําริและมอบให้ ครู กศน. ได้ช่วยกันดูแลประชาชน ที่ส่วนใหญ่เป็นคนพื้นถิ่น หรือชนกลุ่มน้อย แต่ครูเหล่านี้ กลับไม่มีความมั่นคงในอาชีพ หลายคนไม่ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการ ครั้นเมื่อมีโอกาสเติบโตในตําแหน่งแห่งหนใหม่ ก็ต้องก้าวออกไป ปล่อยให้ชาวบ้านเคว้งคว้าง นั่งรอครูคนใหม่ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัว กว่าจะลงตัวในพื้นที่ที่รับผิดชอบ ดังนั้น “ครู กศน.” ไม่ได้ทํางานในองค์กรที่มั่นคง แต่เขาเหล่านั้น ต้องเสี่ยงภัยตามแนวตะเข็บชายแดน ไม่แตกต่างจาก ตํารวจ ทหาร ที่อยู่ชายขอบพรมแดนประเทศ เพื่อให้ความรู้แก่เด็ก เยาวชน และพี่น้องประชาชน ให้สามารถนําความรู้ไปพัฒนาตนเอง ไม่ตกเป็นเครื่องมือหรือเป็นเหยื่อของผู้อื่น
ครู กศน. จึงเปรียบเสมือน “หน่วยอารักขาทางปัญญา” สําหรับประชาชนในถิ่นทุรกันดารเพื่อให้ทุกคนบนผืนแผ่นดินนี้ ได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน ได้รับการป้องกัน ไม่ให้ประชาชนต้องถูกรุกรานในชีวิต และไม่ทิ้งถิ่นฐานไปไหน อันจะช่วยให้ประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพื้นที่แนวตะเข็บชายแดนเกิดความเข้มแข็ง สิ่งที่รัฐบาลจะช่วยดูแล คือความมั่นคงในอาชีพ สวัสดิการที่จะเอื้อให้เขาสามารถดํารงชีพอยู่ได้ ในระหว่างที่พวกเรานอนหลับสบายในห้องแอร์ แต่พวกเขาต้องนอนในอาศรม หากมีโอกาส ผมก็อยากเชิญชวนพี่น้องประชาชน ได้เดินทางไปเยี่ยมอาศรมของครู กศน. บนพื้นที่สูงบ้าง เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจต่อครู กศน. ที่แบกภาระใหญ่หลวงนะครับ
เรื่องที่สอง “โครงการห้องสอบสีขาว” ของมหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น ที่มีคติพจน์ คือ คุณธรรมเท่านั้น ที่ทําให้มนุษย์มีเกียรติ โดยผู้ที่เข้ามารับการศึกษาในหลักสูตรชั้นสูงของสถาบัน ส่วนใหญ่เป็นผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งสมควรที่จะเป็นแบบอย่างของการยึดมั่นในจรรยาบรรณในวิชาชีพอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการแสดงออกถึงความซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นเครื่องหมายของผู้ที่ได้รับการปลูกฝังเป็นอย่างดี อันสมควรจะเป็นแบบอย่างที่ดีต่อนักเรียน และเยาวชนของชาติ ดังนั้น ทางสถาบันจึงได้เริ่ม “โครงการห้องสอบสีขาว” นี้ขึ้น กับนักศึกษาในหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพครู ตั้งแต่ปี 2558 โดยโครงการห้องสอบสีขาว หมายถึง ห้องสอบที่ปราศจากการทุจริตของผู้เข้ารับการสอบ แม้ไม่มีผู้คุมสอบก็ตาม เป็นการปลูกฝังจิตสํานึกของนักศึกษา ที่จะจบไปเป็น “ครู” ในอนาคต โครงการนี้เป็นการให้เกียรติกับนักศึกษา และเชื่อมั่นในตัวนักศึกษา ว่าจะไม่คิด หรือกระทําการทุจริตในการสอบ โดยคาดหวังว่า คนที่จะเป็นครูต้องเป็นทั้งกายและใจ โดยครูก็จะต้องเป็นสัญลักษณ์ และตัวอย่างของความถูกต้องอีกด้วย
และ เนื่องในโอกาสวันครูในปีนี้ ผมขอเป็นกําลังใจให้กับผู้ที่ทําหน้าที่ ครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ให้มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่สําคัญของท่าน ในการเป็นต้นแบบที่ดีให้กับเด็ก และเยาวชน รวมทั้ง ทุกคนในสังคม อบรมบ่มเพาะศิษย์ด้วยความรัก ความเข้าใจ เต็มเปี่ยมด้วยความเมตตาเพื่อให้ศิษย์ประสบความสําเร็จในชีวิต เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้ ควบคู่คุณธรรม หนุนนําในการดําเนินชีวิต และการประกอบอาชีพโดยสุจริต ซึ่งบรรดาศิษย์เหล่านั้น ก็คือทุกคน ทุกสาขาวิชาชีพ ที่ล้วนก็เป็นศิษย์มีครู จะได้ทําหน้าที่ของตน เป็นกําลังสําคัญของชาติบ้านเมือง ในการพัฒนาประเทศไทย ให้เจริญก้าวหน้าและมั่นคงต่อไปนะครับ
พี่น้องประชาชนที่รักเคารพครับ
เมื่อต้นสัปดาห์นี้ ผมได้มีโอกาสลงพื้นที่ และร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่และลําปาง ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 อันได้แก่ เชียงใหม่แม่ฮ่องสอน ลําปางและลําพูน โดยได้เห็นศักยภาพและโอกาสในการพัฒนาของกลุ่มจังหวัดที่จะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภาค สามารถเชื่อมโยงการพัฒนาเศรษฐกิจกับกลุ่มประเทศต่าง ๆ อาทิ GMS, BIMSTECS, ASEAN โดยได้มีการกําหนดเป้าหมายการพัฒนาพื้นที่ ผ่านการยกระดับการท่องเที่ยวการค้าการลงทุนและการเกษตร สู่ฐานเศรษฐกิจมูลค่าสูง เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจ กับห่วงโซ่อุปทานของโลก ซึ่งจะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน
จากการลงพื้นที่ พูดคุยกับพี่น้องประชาชน ผมได้เห็นความเข้มแข็งของชุมชน และก็พร้อมที่จะทํางานร่วมกับภาครัฐในการพัฒนาทุก ๆ ด้าน ผมจึงได้สอบถามถึงโครงการตัวอย่างที่ประสบผลสําเร็จ ด้วยความร่วมแรง ร่วมใจของประชาชน ภาครัฐ และในพื้นที่ ภายใต้ “แม่แจ่มโมเดล” และ “แม่แจ่มโมเดลพลัส” ที่เป็นการบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าอย่างยั่งยืนครบวงจร ตั้งแต่การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการที่ดิน การลดการปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยว การพัฒนาและส่งเสริมอาชีพ รวมไปถึงการป้องกันรักษาป่า เป็นต้น
“แม่แจ่มโมเดล” มีจุดเริ่มต้นจากวิกฤตปัญหาไฟป่า หมอกควันที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายประการ ทั้งการลดลงของพื้นที่ป่า แนวทางการจัดการป่า ลักษณะการใช้ที่ดินและรูปแบบของระบบการผลิตที่สัมพันธ์กับปากท้องของประชาชน จากวิกฤตปัญหาได้นําไปสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของภาคส่วนต่าง ๆ และการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุ และเชื่อมโยงกับปัญหาด้านอื่น ๆ ผ่านกระบวนการสํารวจและจัดทําข้อมูลพื้นที่ โดยใช้ภาพถ่ายทางอากาศสี และเครื่องสํารวจพิกัด (GPS) รวมทั้งมีการจําแนกขอบเขต การใช้ประโยชน์ที่ดินทํากินออกจากที่ป่า การจัดทําประชาคมหมู่บ้านเพื่อกําหนดกติกาการใช้ประโยชน์จากที่ดินร่วมกัน โดยใช้พื้นที่เป็นตัวตั้งแล้วกําหนดเป้าหมายร่วมกัน ใช้กลไกความร่วมมือและฐานข้อมูล ข้อเท็จจริง ที่มีระบบฐานข้อมูลการจําแนกแนวเขตการจัดการที่ดิน และการจัดการทรัพยากร ที่ได้มาจากการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย ทําให้ได้รับการยอมรับจนประสบความสําเร็จในแง่ของการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน สามารถลดการเผาป่า และลดค่าความร้อนของพื้นที่ลงได้อย่างชัดเจน ทําให้อําเภอแม่แจ่ม เปลี่ยนจากพื้นที่ที่มีค่าจุดความร้อนมากที่สุดลําดับต้น ๆ เกือบทุกปี มาเป็นพื้นที่ที่เกิดจุดความร้อนน้อยที่สุดในช่วง 60 วันอันตราย ของจังหวัดเชียงใหม่ ในปี 2559 รวมทั้ง สามารถขยายไปสู่การแก้ปัญหาในมิติอื่น ๆ ด้วย ผมขอชื่นชมทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วม และถือเป็นต้นแบบความสําเร็จของการขับเคลื่อนกลไกความร่วมมือเชิงพื้นที่ในรูปแบบ “ประชารัฐ” ที่จะตอบโจทย์ทั้งการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมด้วยนะครับ
ความสําเร็จดังกล่าว นําไปสู่การพัฒนายุทธศาสตร์แม่แจ่มโมเดล พลัส ที่ยกระดับจากการแก้ไขปัญหาวิกฤตเฉพาะหน้า ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากปัญหาไฟป่าหมอกควัน ไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ ที่ตอบโจทย์การพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุณภาพสิ่งแวดล้อมได้อย่างแท้จริง โดยใช้หลักการแก้ปัญหาความขัดแย้ง แบบบูรณาการ และการให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม โดยนอกจากการบริหารจัดการการใช้ที่ดินอย่างเหมาะสม ในกรณีของแม่แจ่มโมเดลแล้ว ก็ยังมุ่งแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ โดยใช้มาตรการด้านกฎหมาย แก้ไขปัญหาเรื่องสิทธิ ผ่านการสํารวจและข้อตกลงร่วมกัน นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาระบบจัดการร่วม เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ โดยใช้การอนุรักษ์ฟื้นฟู การป้องกันการบุกรุก ส่งเสริมการปลูกป่าเพิ่มรายได้ การจัดการน้ําแบบมีส่วนร่วม ทั้งการพัฒนาอาชีพ เศรษฐกิจชุมชน ควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ด้วยการพักชําระหนี้สูงสุดนานถึง 7 ปี ให้กับประชาชนที่หันมาปลูกพืชแนวทางใหม่ เพื่อช่วยเหลือในการประกอบอาชีพ และเสริมสร้างให้ชุมชนเข้มแข็งอีกด้วย
ปัจจุบันนั้น เราจะเห็นได้ว่าชาวบ้านนั้น มีการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตของตนเอง เลิกการปลูกพืชเชิงเดี่ยว โดยเฉพาะข้าวโพด หันมาปลูกพืชผสมผสาน เช่น ไผ่ กาแฟ และพืชเศรษฐกิจที่ผมอยากเล่าให้ฟังก็คือ กรณีอ้อยอินทรีย์วิถีไทย ที่ปลูกง่าย ได้ประโยชน์เร็ว พันธุ์ Earth Safe RK03 ที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์จากมูลนิธิรักษ์ดินรักษ์น้ํา เพื่อให้เกษตรกรมาแปรรูป เพื่อจําหน่ายได้เองในครัวเรือน อ้อยพันธุ์นี้สีสวย คั้นน้ําไม่เปลี่ยนสี เก็บรักษาได้นานกว่าพันธุ์อื่น นอกจากนี้ ยังให้ผลผลิตเร็วโดยใช้เวลาเพียง 4 - 6 เดือนเท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าเร็วกว่าอ้อยพันธุ์ปกติ 1 เท่าตัว ผลผลิตต่อไร่สูงที่ 6,400 ลําอ้อยต่อ 1 ไร่ โดย 1 ลําอ้อยจะได้น้ําอ้อยพร้อมดื่ม 10 แก้ว หรือ น้ําตาลไซรัป 200 มิลลิลิตร หรือน้ําตาลผงสีทอง 200 กรัม โดยผลผลิตเหล่านี้จะมีราคาสูงเมื่อออกสู่ท้องตลาด สามารถสร้างรายได้จริง ให้แก่พี่น้องเกษตรกร กระบวนการผลิต ก็เป็นแบบวิถีอินทรีย์ไทยที่พึ่งตนเองในทุกมิติ และจะช่วยลดการพึ่งพาระบบอุตสาหกรรมได้
นอกจากจะสนับสนุนการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชให้เป็นเชิงผสมผสานมากขึ้นแล้ว โครงการ แม่แจ่มโมเดล พลัสยังเป็นการจัดการพื้นที่ให้เหมาะสม ตามแนวทางของศาสตร์พระราชา เช่น พื้นที่ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง และพื้นที่ทําแนวซับน้ํา เป็นต้น ปัจจุบันมีชาวบ้านเข้าร่วมในแผนพัฒนานี้แล้วจํานวน 22 ครัวเรือน ในพื้นที่ 65 ไร่ เนื้อที่และจํานวนเกษตรที่ปลูกข้าวโพดลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันจํานวนพื้นที่ป่าก็เพิ่มขึ้น ราว 100 ไร่ จากเดิม 5,300 กว่าไร่ เป็น 5,400 กว่าไร่ ซึ่งความสําเร็จจากการใช้แม่แจ่มโมเดล พลัสนี้ ส่วนหนึ่งสะท้อนว่า ประชาชนต้องการหลุดพ้นจากหนี้สินให้ได้ โดยรายได้ที่จะเพิ่มขึ้นมานั้น ก็จะช่วยแก้ปัญหาหนี้สินได้อย่างยั่งยืน ในวันนี้ ความสําเร็จจากแผนแม่แจ่มโมเดล พลัส แม้จะยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ แต่สามารถจะเผยให้ชุมชนอื่น ๆ ได้เห็นโอกาสและทางเลือกใหม่ ที่จะทําให้ชุมชนกับป่าอยู่ด้วยกันได้ อย่างมั่นคงและยั่งยืน ผมขอให้กําลังใจผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ในการพัฒนาชุมชนอนุรักษ์ และเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ของประเทศ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องค่อย ๆ ดําเนินการ และเน้นการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของชุมชน โดยหวังว่าแม่แจ่มโมเดล พลัสนี้ จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ที่จะเป็นประโยชน์กับชุมชนอื่น ๆ ซึ่งจะขยาย ต่อยอดออกไปได้ทั่วประเทศ
เรื่องนี้ก็สัมพันธ์กับการจัดหาที่ดินให้ประชาชนนะครับ ก็ตามที่มีคณะทํางานที่เราตั้งมาแล้วคือ คทช. คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ แล้วก็มี 3 อนุกรรมการ อันนี้ก็ขอให้เอาหลักการเหล่านี้เข้าไปสู่ในการพิจารณาด้วยนะครับ เพราะต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน สัมพันธ์กัน ทุกอย่างต้องมีกฎหมาย ให้สอดคล้องไปด้วยกัน ข้อสําคัญคือรัฐและประชาชน เอกชน ประชาสังคม ต้องช่วยกัน ถ้ารัฐทําคนเดียวก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกคนต้องช่วยกันลักษณะนี้ และจะพยายามขยายไปทั่วประเทศ เราต้องเพิ่มพื้นที่ป่า แล้วก็มีป่าที่อยู่ร่วมกับประชาชนได้ด้วย ทั้งป่าอนุรักษ์ ป่าต้นน้ํา อะไรก็แล้วแต่ ป่าเศรษฐกิจ ป่าชุมชน เพราะฉะนั้นเราจะมีป่าเกิดขึ้นทั้งในพื้นที่ที่มีคนอยู่ด้วย ถ้าหากเราช่วยกันปลูก เราช่วยกันทําธนาคารป่าไม้ คือปลูกไม้มีค่า ก็จะเจริญไปด้วยกัน
พี่น้องประชาชนที่รักครับ
ผมอยากแนะนําพี่น้องประชาชนชาวไทยให้รู้จักกับบริการใหม่ ที่รัฐบาลตั้งใจนํามามอบให้ เป็นของขวัญปีใหม่สําหรับพี่น้องประชาชนทุกคน คือ แอปพลิเคชัน CITIZENinfo แอปเพื่อประชาชน ที่เพิ่งจะเปิดตัวในงานสัมมนา Digital Government Summit 2019 วันนี้ วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562 โดยการพัฒนาแอปฯ นี้ ขึ้นมานั้น เป็นโครงการที่ต่อยอดจากข่าวดีที่รัฐบาลได้ประกาศยกเลิกเรียกสําเนาเอกสาร ที่หน่วยงานราชการออกให้ จากประชาชน
ความสําเร็จนี้เป็นก้าวย่างครั้งสําคัญ สืบเนื่องมาจากมติการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ครั้งที่ 1 ปี พ.ศ. 2561 ที่ให้หน่วยงานภาครัฐ ยกเลิกการเรียกสําเนาเอกสาร จากพี่น้องประชาชน โดยเริ่มจากสําเนาบัตรประจําตัวประชาชน และสําเนาทะเบียนบ้าน ก่อน ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการอํานวยความสะดวก และลดภาระแก่พี่น้องประชาชน โดยไม่ให้หน่วยงานเรียกขอสําเนาเอกสารราชการ แต่ให้หน่วยงานใช้วิธีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน หรือถ้ายังไม่ได้เชื่อมโยงก็ให้ประสานเพื่อขอสําเนากันเอง โดยให้ทุกหน่วยงานดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบัน ก็มีหน่วยงานที่ยกเลิกการเรียกสําเนาแล้ว ครอบคลุม 20 กระทรวงหรือ 151 หน่วยงานทั่วประเทศ นั่นคือเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่ต้องการช่วยลดภาระ เวลา และค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมเอกสาร สําหรับติดต่อราชการ ซึ่งก็ถือเป็นจุดเริ่มต้น ของการปรับปรุงคุณภาพการให้บริการของรัฐอีกทางหนึ่งด้วย ในขณะที่ภาครัฐเองก็ได้ประโยชน์จากการลดการใช้กระดาษ ลดพื้นที่ในการจัดเก็บเอกสาร และประหยัดเวลาในกระบวนงานต่าง ๆ ลงด้วย
ปัจจุบันสํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล หรือ DGA ร่วมกับ สํานักงาน ก.พ.ร. และกรมการปกครอง ได้พัฒนาแอปพลิเคชัน CITIZENinfo ขึ้น เพื่อช่วยให้ทุกท่าน ค้นหาจุดให้บริการรัฐใกล้บ้าน พร้อมแสดงตําแหน่งพิกัดและเส้นทางการเดินทาง ไปยังจุดให้บริการได้สะดวก แสดงรายละเอียดขั้นตอน การให้บริการ และการใช้เป็นเครื่องมือแสดงสถานะการยกเลิกสําเนาเอกสาร รวมถึงยังสามารถประเมินความพึงพอใจต่อการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ ได้ด้วยในแอปฯ เดียว จะช่วยให้ภาครัฐนําข้อมูลมาปรับปรุง พัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชน ให้มีประสิทธิภาพ และมีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ มีประโยชน์อย่างมากต่อการพัฒนางานให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างตรงใจ สมกับเป็นมิติใหม่การติดต่อราชการไทย ในยุค 4.0 นี้ ก็ขอร้องทั้งสองฝ่าย ทั้งข้าราชการ ทั้งประชาชนต้องทําความเข้าใจร่วมกันให้ได้นะครับ
นอกจากนี้แล้ว ในอนาคตพี่น้องประชาชนจะสามารถใช้แอปพลิเคชันนี้ เช็คสิทธิ์สวัสดิการของตนเอง เช็คยอดเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และเข้าถึงข้อมูลเอกสารดิจิทัลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นเอกสารต่าง ๆ ที่ออกโดยราชการได้ด้วย ผมจึงอยากให้พี่น้องประชาชนทุกท่านดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน CITIZENinfo มาไว้ในมือถือให้พร้อมใช้งาน เพราะหน่วยงานของรัฐกับประชาชนนั้นเป็นสิ่งที่คู่กัน ต้องมีเรื่องให้ติดต่อกันตลอดอยู่แล้ว แอปพลิเคชัน CITIZENinfo นี้จะเหมือนเป็นผู้ช่วยอํานวยความสะดวก ให้พี่น้องประชาชนติดต่อราชการได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ ผมขอขอบคุณหน่วยงานต่าง ๆ ที่ให้ความร่วมมือ เร่งดําเนินการตามนโยบายโครงการยกเลิกสําเนาเอกสาร และก็คาดว่าจะสามารถดําเนินการให้แล้วเสร็จตามกรอบเวลาที่ได้ประกาศไว้ เพื่อให้ช่วยกันปลดล็อคข้อจํากัดประเทศ ไปสู่ Thailand 4.0 ได้อย่างทันสมัยและยั่งยืนนะครับ
สุดท้ายนี้ สถานการณ์ฝุ่นละอองในกรุงเทพฯ และปริมณฑล แม้จะดีขึ้นจากความสําเร็จในการทําฝนเทียมหรืออื่น ๆ นะครับ แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ยังไม่เป็นปกติ ในส่วนของรัฐบาลก็ได้บูรณาการกัน เร่งสํารวจและแก้ไขที่ต้นตอ ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งมาตรการระยะเร่งด่วนและระยะยั่งยืน สําหรับพี่น้องประชาชนก็ต้องขอความร่วมมือด้วยนะครับ ทุกคนใช้รถใช้ถนน ก่อสร้าง โรงงาน แม้กระทั่งการเผาพืชผลทางการเกษตร อันนี้ก็ขอให้ช่วยกันด้วย ช่วยกันลดทั้ง ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM.2.5 และก็ PM.10 ด้วยนะครับ เพราะทั้งสองอย่างเป็นผลกระทบกับประชาชนกับร่างกายด้วยทุกคน แต่ PM.2.5 อันตรายกว่า ผมได้สั่งการไปแล้วให้ทุกหน่วยได้ไปแก้ คือรัฐบาลไม่ได้มาแก้เล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่องใหญ่ ๆ ก็ต้องสั่งการไป ต้องมีระเบียบ มีกฎกติกามากขึ้น เช่น การใช้น้ํามันดีเซล ดีเซล B20 ในรถไฟ ในรถเมล์อะไรต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งขอร้องให้ประชาชนขอให้ร่วมกันใช้ดีเซล B20 ที่มีส่วนผสมน้ํามันปาล์ม ไม่มีอันตรายต่อเครื่องยนต์ ปรับแก้นิดหน่อยเอง อันนี้มีการทดสอบ ทดลองใช้มาแล้ว และราคาก็ถูกกว่าราคาของน้ํามันดีเซลปกติ ซึ่งขณะนี้กระทรวงพลังงานก็ได้มีการผลิตน้ํามัน B20 ออกมา เพื่อจะรองรับความต้องการของผู้บริโภคแล้ว ก็ขอให้ไปหาเติมได้ตามปั๊มน้ํามันต่าง ๆ โดยทั่วกันนะครับ อันนี้เราก็ต้องระมัดระวังคนกลุ่มคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ที่จะได้รับผลกระทบ ก็มีผู้ป่วย ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ ก็ขอให้ปฏิบัติตัวตามคําแนะนําของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง การแก้ปัญหาไม่ได้ง่ายนัก เพราะเกี่ยวข้องกับหลายส่วนด้วยกัน ฉะนั้นอะไรที่ช่วยกันได้ก็ช่วยนะครับ
ขอขอบคุณสื่อทุกแขนง รวมทั้งสื่อโซเชียล ผมเห็นว่ามีบทบาทสําคัญ สามารถทํางานบูรณาการกับภาครัฐได้ โดยเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการสร้างการรับรู้อย่างทั่วถึง ต้องสร้างข้อควรคํานึงด้วย ไม่ใช่สร้างความตื่นตระหนกแต่เพียงอย่างเดียว เราต้องรับรู้ว่า รัฐบาลหรือทางงานราชการมีอะไรที่แก้ปัญหาไปให้ ทุกคนจะต้องร่วมมือกันอย่างไร เราควรแสวงประโยชน์ จากปรากฏการณ์ฝุ่นละอองในครั้งนี้ ให้ความรู้กับทุก ๆ คน ได้รู้จัก ได้รู้วิธีการรับมืออย่างถูกต้องและเหมาะสม เหมือนเมื่อก่อนคนไทยรู้จัก “สึนามิ” เพียงในตํารา แต่ในวันนี้ เรารู้จัก รู้ว่าจะต้องสังเกตจากอะไร แล้วควรทําตัวเช่นไรนะครับ
ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพ ทุกครอบครัว มีความสุขทุก ๆ วัน นะครับ สวัสดีครับ
............................................................................
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18220
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ปลัดแรงงาน’ เผย คืบหน้าช่วยแรงงานไทยดับในญี่ปุ่น นายจ้างจัดการศพและส่งอัฐิกลับบ้าน
|
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน 2562
‘ปลัดแรงงาน’ เผย คืบหน้าช่วยแรงงานไทยดับในญี่ปุ่น นายจ้างจัดการศพและส่งอัฐิกลับบ้าน
ปลัดกระทรวงแรงงาน เผยความคืบหน้าการช่วยเหลือแรงงานไทยที่เสียชีวิตในประเทศญี่ปุ่นเนื่องจากแพทย์ระบุมีอาการกรวยไตอักเสบ โดยนายจ้างได้จัดพิธีฌาปนกิจศพแล้ว รับผิดชอบค่าใช้จ่าย
ในการจัดการศพ ค่ารักษาพยาบาล คืนเงินค่าจ้างค้างจ่าย และจัดส่งอัฐิให้ญาติที่ไทย
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ได้รับรายงานความคืบหน้าการช่วยเหลือกรณี นายสมศักดิ์ กรมไธสง แรงงานไทยที่เสียชีวิตในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 เนื่องจากแพทย์ระบุว่ามีอาการกรวยไตอักเสบ จากสํานักงานแรงงานในประเทศญี่ปุ่นแจ้งว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายจ้างได้จัดให้มีพิธีฌาปนกิจศพนายสมศักดิ์ฯ แล้ว โดยมีญาติผู้เสียชีวิตและเพื่อนร่วมงานเข้าร่วมในพิธี และนายสายชล อกนิษฐวงศ์ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ได้เข้าร่วมในพิธีดังกล่าวด้วย โดยนายจ้างรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดการศพทั้งหมด และจะดําเนินการจัดส่งอัฐิให้ญาติที่ประเทศไทย
นอกจากนี้ นายจ้างแจ้งว่าจะช่วยเหลือโดยจ่ายเงินค่ารักษานายสมศักดิ์ฯ ที่ค้างจ่ายกับโรงพยาบาลจํานวนประมาณ 100,000 เยน และจะคืนเงินค่าจ้างค้างจ่ายให้กับทายาทผู้เสียชีวิตจํานวน 250,000 เยนเต็มจํานวน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างประสานบุตรสาวของผู้เสียชีวิต เพื่อให้จัดทําเอกสารผู้ที่จะเป็นผู้รับเงินดังกล่าวส่งให้นายจ้าง เพื่อจัดส่งเงินให้
สําหรับแรงงานไทยที่เสียชีวิตดังกล่าว ชื่อ นายสมศักดิ์ กรมไธสง อายุ 49 ปี มีภูมิลําเนาอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ เสียชีวิตด้วยอาการป่วยจากหัวใจล้มเหลว เนื่องจากแพทย์ระบุว่ามีอาการกรวยไตอักเสบ โดยนายสมศักดิ์ฯ ได้เดินทางมาทํางานโดยการแจ้งการเดินทางด้วยตนเอง ตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย.62 เป็นลูกจ้างของร้านอาหารไม่เป็นไร ตั้งอยู่ที่เมืองมาชิดะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มีนายจ้างชื่อ นายสาธิต คาซึมะ
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ กระทรวงแรงงาน โดยสํานักงานแรงงานในประเทศญี่ปุ่นได้ประสานกับนายจ้างเพื่อให้ญาติได้รับสิทธิประโยชน์อันพึงได้ตามกฎหมาย รวมทั้งหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน จ.บุรีรัมย์ ได้ลงพื้นที่ไปดูแลให้กําลังใจครอบครัว และประสานกับหน่วยที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือตามขั้นตอนดังกล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ปลัดแรงงาน’ เผย คืบหน้าช่วยแรงงานไทยดับในญี่ปุ่น นายจ้างจัดการศพและส่งอัฐิกลับบ้าน
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน 2562
‘ปลัดแรงงาน’ เผย คืบหน้าช่วยแรงงานไทยดับในญี่ปุ่น นายจ้างจัดการศพและส่งอัฐิกลับบ้าน
ปลัดกระทรวงแรงงาน เผยความคืบหน้าการช่วยเหลือแรงงานไทยที่เสียชีวิตในประเทศญี่ปุ่นเนื่องจากแพทย์ระบุมีอาการกรวยไตอักเสบ โดยนายจ้างได้จัดพิธีฌาปนกิจศพแล้ว รับผิดชอบค่าใช้จ่าย
ในการจัดการศพ ค่ารักษาพยาบาล คืนเงินค่าจ้างค้างจ่าย และจัดส่งอัฐิให้ญาติที่ไทย
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ได้รับรายงานความคืบหน้าการช่วยเหลือกรณี นายสมศักดิ์ กรมไธสง แรงงานไทยที่เสียชีวิตในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 เนื่องจากแพทย์ระบุว่ามีอาการกรวยไตอักเสบ จากสํานักงานแรงงานในประเทศญี่ปุ่นแจ้งว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายจ้างได้จัดให้มีพิธีฌาปนกิจศพนายสมศักดิ์ฯ แล้ว โดยมีญาติผู้เสียชีวิตและเพื่อนร่วมงานเข้าร่วมในพิธี และนายสายชล อกนิษฐวงศ์ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ได้เข้าร่วมในพิธีดังกล่าวด้วย โดยนายจ้างรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดการศพทั้งหมด และจะดําเนินการจัดส่งอัฐิให้ญาติที่ประเทศไทย
นอกจากนี้ นายจ้างแจ้งว่าจะช่วยเหลือโดยจ่ายเงินค่ารักษานายสมศักดิ์ฯ ที่ค้างจ่ายกับโรงพยาบาลจํานวนประมาณ 100,000 เยน และจะคืนเงินค่าจ้างค้างจ่ายให้กับทายาทผู้เสียชีวิตจํานวน 250,000 เยนเต็มจํานวน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างประสานบุตรสาวของผู้เสียชีวิต เพื่อให้จัดทําเอกสารผู้ที่จะเป็นผู้รับเงินดังกล่าวส่งให้นายจ้าง เพื่อจัดส่งเงินให้
สําหรับแรงงานไทยที่เสียชีวิตดังกล่าว ชื่อ นายสมศักดิ์ กรมไธสง อายุ 49 ปี มีภูมิลําเนาอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ เสียชีวิตด้วยอาการป่วยจากหัวใจล้มเหลว เนื่องจากแพทย์ระบุว่ามีอาการกรวยไตอักเสบ โดยนายสมศักดิ์ฯ ได้เดินทางมาทํางานโดยการแจ้งการเดินทางด้วยตนเอง ตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย.62 เป็นลูกจ้างของร้านอาหารไม่เป็นไร ตั้งอยู่ที่เมืองมาชิดะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มีนายจ้างชื่อ นายสาธิต คาซึมะ
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ กระทรวงแรงงาน โดยสํานักงานแรงงานในประเทศญี่ปุ่นได้ประสานกับนายจ้างเพื่อให้ญาติได้รับสิทธิประโยชน์อันพึงได้ตามกฎหมาย รวมทั้งหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน จ.บุรีรัมย์ ได้ลงพื้นที่ไปดูแลให้กําลังใจครอบครัว และประสานกับหน่วยที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือตามขั้นตอนดังกล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24567
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ยุติธรรม" พัฒนาประสิทธิภาพเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม
|
วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม 2560
"ยุติธรรม" พัฒนาประสิทธิภาพเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม
นายถาวร พรหมมีชัย เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ คณะอนุกรรมการกองทุนยุติธรรมประจําจังหวัด เรื่องกระบวนงานกองทุนยุติธรรม ตามพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๘
เมื่อวันพุธที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น.
นายถาวร พรหมมีชัย เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ
คณะอนุกรรมการกองทุนยุติธรรมประจําจังหวัด เรื่องกระบวนงานกองทุนยุติธรรม
ตามพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๘
เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมฯ มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับภารกิจและหน้าที่ของกองทุนยุติธรรม
รวมถึงสามารถปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการฯ ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว
ไปในแนวทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
พร้อมผู้แทนจากสํานักงานยุติธรรมจังหวัดทั่วประเทศ
ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการกองทุนยุติธรรม
ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานกองทุนยุติธรรม รวม ๓๐๐ คน เข้าร่วมฯ
ระหว่างวันที่ ๓๐ สิงหาคม ถึง ๑ กันยายน ๒๕๖๐
ณ โรงแรม รามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ
ในการนี้ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า
การฝึกอบรมครั้งนี้ มีความสําคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากกลไกดังกล่าว
เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม ที่จะทําให้ประชาชนสามารถเข้าถึงความยุติธรรม
โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ผ่านการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนได้อย่างเท่าเทียม
ทั้งนี้ การดําเนินงานดังกล่าว ไม่ควรใช้เพียงความเป็นมืออาชีพเท่านั้น
แต่ควรใช้ความมีคุณธรรมร่วมด้วย และไม่ควรคาดหวังเพียงผลสําเร็จของเนื้องานเท่านั้น
แต่ควรจะทําให้เกิดความพึงพอใจของประชาชน
ซึ่งจะทําให้การดําเนินงานเป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ยุติธรรม" พัฒนาประสิทธิภาพเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม
วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม 2560
"ยุติธรรม" พัฒนาประสิทธิภาพเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม
นายถาวร พรหมมีชัย เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ คณะอนุกรรมการกองทุนยุติธรรมประจําจังหวัด เรื่องกระบวนงานกองทุนยุติธรรม ตามพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๘
เมื่อวันพุธที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น.
นายถาวร พรหมมีชัย เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ
คณะอนุกรรมการกองทุนยุติธรรมประจําจังหวัด เรื่องกระบวนงานกองทุนยุติธรรม
ตามพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๘
เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมฯ มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับภารกิจและหน้าที่ของกองทุนยุติธรรม
รวมถึงสามารถปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการฯ ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว
ไปในแนวทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
พร้อมผู้แทนจากสํานักงานยุติธรรมจังหวัดทั่วประเทศ
ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการกองทุนยุติธรรม
ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานกองทุนยุติธรรม รวม ๓๐๐ คน เข้าร่วมฯ
ระหว่างวันที่ ๓๐ สิงหาคม ถึง ๑ กันยายน ๒๕๖๐
ณ โรงแรม รามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ
ในการนี้ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า
การฝึกอบรมครั้งนี้ มีความสําคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากกลไกดังกล่าว
เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม ที่จะทําให้ประชาชนสามารถเข้าถึงความยุติธรรม
โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ผ่านการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนได้อย่างเท่าเทียม
ทั้งนี้ การดําเนินงานดังกล่าว ไม่ควรใช้เพียงความเป็นมืออาชีพเท่านั้น
แต่ควรใช้ความมีคุณธรรมร่วมด้วย และไม่ควรคาดหวังเพียงผลสําเร็จของเนื้องานเท่านั้น
แต่ควรจะทําให้เกิดความพึงพอใจของประชาชน
ซึ่งจะทําให้การดําเนินงานเป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6334
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.กำชับทุกจังหวัดต้องบริหารการรับและจ่ายเงิน/สิ่งของบริจาคในช่วงเกิดอุทกภัยน้ำท่วมด้วยความโปร่งใส ถูกต้องตามระเบียบราชการอย่างเคร่งครัด
|
วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2560
มท.กําชับทุกจังหวัดต้องบริหารการรับและจ่ายเงิน/สิ่งของบริจาคในช่วงเกิดอุทกภัยน้ําท่วมด้วยความโปร่งใส ถูกต้องตามระเบียบราชการอย่างเคร่งครัด
มหาดไทยกําชับทุกจังหวัดต้องบริหารการรับและจ่ายเงิน/สิ่งของบริจาคในช่วงเกิดอุทกภัยน้ําท่วมด้วยความโปร่งใส ถูกต้องตามระเบียบราชการอย่างเคร่งครัด
วันนี้ (30 ก.ค.) ที่ศาลากลางจังหวัดสกลนคร นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดอุทกภัยน้ําท่วมในพื้นที่จังหวัดสกลนครและจังหวัดใกล้เคียง ขณะเดียวกันมีการเปิดรับบริจาคเงินและสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยจังหวัดและส่วนราชการต่างๆ รวมทั้งมูลนิธิ/องค์กรการกุศลต่างๆ เพื่อนําไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยหรือได้รับความเดือดร้อนนั้น
เนื่องจากมีการออกข่าวสื่อมวลชนและ/หรือเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ว่า การเปิดรับบริจาคดังกล่าวบางแห่ง มีความไม่โปร่งใส ไม่ถูกต้องตามระเบียบของทางราชการ อาจเป็นช่องทางให้เกิดการนําเงินและสิ่งของบริจาคไปใช้ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค
กระทรวงมหาดไทยจึงได้สั่งการให้จังหวัดต่าง ๆ กําชับหน่วยงานและภาคเอกชนในพื้นที่ที่จะดําเนินการเปิดรับบริจาคโดยอ้างเหตุการณ์ไปช่วยเหลือ/บรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบอุทกภัยน้ําท่วมว่าต้องดําเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบของทางราชการ มีหลักฐานให้สามารถตรวจสอบได้ เช่น การออกใบเสร็จรับเงินหรือหลักฐานการรับสิ่งของบริจาคหรือเงินบริจาคไว้ให้เรียบร้อยและต้องมีการประชาสัมพันธ์แจ้งสรุปยอดรับบริจาคในแต่ละวันหรือแต่ละห้วงเวลา รวมทั้งต้องแสดงรายการจ่าย/การนําเงินไปใช้หรือสิ่งของไปช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยไว้ด้วย โดยอาจแสดงรายการดังกล่าวทางสื่อออนไลน์และติดป้ายประกาศไว้ในที่สาธารณะให้ชัดเจนหรือมีการแถลงข่าวการรับบริจาคเป็นระยะ ๆ ด้วยก็ได้
สุดท้าย ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการรับบริจาคในส่วนของจังหวัดนั้น ขอให้จังหวัดกําหนดตัวบุคคล/เจ้าหน้าที่หรือแผนกการรับบริจาค และการแจกจ่ายไว้ให้ชัดเจนด้วยเพื่อให้มีผู้รับผิดชอบด้านการรับบริจาคและการแจกจ่ายไว้เป็นการเฉพาะและสามารถชี้แจงตรวจสอบได้ในภายหลัง.
ครั้งที่ 106/2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.กำชับทุกจังหวัดต้องบริหารการรับและจ่ายเงิน/สิ่งของบริจาคในช่วงเกิดอุทกภัยน้ำท่วมด้วยความโปร่งใส ถูกต้องตามระเบียบราชการอย่างเคร่งครัด
วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2560
มท.กําชับทุกจังหวัดต้องบริหารการรับและจ่ายเงิน/สิ่งของบริจาคในช่วงเกิดอุทกภัยน้ําท่วมด้วยความโปร่งใส ถูกต้องตามระเบียบราชการอย่างเคร่งครัด
มหาดไทยกําชับทุกจังหวัดต้องบริหารการรับและจ่ายเงิน/สิ่งของบริจาคในช่วงเกิดอุทกภัยน้ําท่วมด้วยความโปร่งใส ถูกต้องตามระเบียบราชการอย่างเคร่งครัด
วันนี้ (30 ก.ค.) ที่ศาลากลางจังหวัดสกลนคร นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดอุทกภัยน้ําท่วมในพื้นที่จังหวัดสกลนครและจังหวัดใกล้เคียง ขณะเดียวกันมีการเปิดรับบริจาคเงินและสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยจังหวัดและส่วนราชการต่างๆ รวมทั้งมูลนิธิ/องค์กรการกุศลต่างๆ เพื่อนําไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยหรือได้รับความเดือดร้อนนั้น
เนื่องจากมีการออกข่าวสื่อมวลชนและ/หรือเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ว่า การเปิดรับบริจาคดังกล่าวบางแห่ง มีความไม่โปร่งใส ไม่ถูกต้องตามระเบียบของทางราชการ อาจเป็นช่องทางให้เกิดการนําเงินและสิ่งของบริจาคไปใช้ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค
กระทรวงมหาดไทยจึงได้สั่งการให้จังหวัดต่าง ๆ กําชับหน่วยงานและภาคเอกชนในพื้นที่ที่จะดําเนินการเปิดรับบริจาคโดยอ้างเหตุการณ์ไปช่วยเหลือ/บรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบอุทกภัยน้ําท่วมว่าต้องดําเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบของทางราชการ มีหลักฐานให้สามารถตรวจสอบได้ เช่น การออกใบเสร็จรับเงินหรือหลักฐานการรับสิ่งของบริจาคหรือเงินบริจาคไว้ให้เรียบร้อยและต้องมีการประชาสัมพันธ์แจ้งสรุปยอดรับบริจาคในแต่ละวันหรือแต่ละห้วงเวลา รวมทั้งต้องแสดงรายการจ่าย/การนําเงินไปใช้หรือสิ่งของไปช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยไว้ด้วย โดยอาจแสดงรายการดังกล่าวทางสื่อออนไลน์และติดป้ายประกาศไว้ในที่สาธารณะให้ชัดเจนหรือมีการแถลงข่าวการรับบริจาคเป็นระยะ ๆ ด้วยก็ได้
สุดท้าย ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการรับบริจาคในส่วนของจังหวัดนั้น ขอให้จังหวัดกําหนดตัวบุคคล/เจ้าหน้าที่หรือแผนกการรับบริจาค และการแจกจ่ายไว้ให้ชัดเจนด้วยเพื่อให้มีผู้รับผิดชอบด้านการรับบริจาคและการแจกจ่ายไว้เป็นการเฉพาะและสามารถชี้แจงตรวจสอบได้ในภายหลัง.
ครั้งที่ 106/2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5568
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ ฉบับแรกของประเทศไทย”
|
วันพุธที่ 20 ธันวาคม 2560
“ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ ฉบับแรกของประเทศไทย”
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ สํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และภาคีความร่วมมือลงนามประกาศใช้ “ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ ฉบับแรกของประเทศไทย” หวังใช้เป็นกรอบดูแลสุขภาวะพระสงฆ์ให้มีสุขภาพดี อายุขัยยืนยาว สามารถนําสังคม ให้เป็นสุขได้อย่างยั่งยืน
วันที่20ธันวาคม2560ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมเป็นองค์ปาฐกถาพิเศษร่วมกับพลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ในงานประชุมสมัชชาสุขภาพ ครั้งที่10และร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามความร่วมมือในการประกาศใช้ ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ ฉบับแรกของประเทศไทย โดยมี นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมลงนามฯ ที่ อิมเพ็คฟอรั่ม ศูนย์ประชุมแห่งชาติเมืองทองธานี
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล ให้สัมภาษณ์ว่า การประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งนี้ ได้ทําในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย คือ “ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ” เป็นฉบับแรก โดยทางเถรสมาคมเห็นด้วย กับการประกาศใช้ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ฉบับนี้ เพราะปัจจุบันพระสงฆ์ป่วยเป็นโรคต่างๆมากมาย มีสาเหตุที่สําคัญคือ พุทธศาสนิกชนมักถวายอาหารเฉพาะที่ญาติผู้ล่วงรับชอบทาน ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่มีรสชาติหวาด มัน และเค็ม ซึ่งอาหารในกลุ่มนี้หากทานเป็นประจําต่อเนื่องจะเป็นสาเหตุของการเกิดโรคไต เบาหวาน ความดัน หลอดเลือด ตามมาได้
ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ ฉบับนี้ มีหลักปฏิบัติประกอบด้วย5หมวด37ข้อ คือ หมวดที่1ปรัชญาและแนวคิดหลักของธรรมนูญสุขภาพของพระสงฆ์แห่งชาติ หมวดที่2พระสงฆ์กับการดูแลสุขภาพของตนเองตามหลักพระธรรมวินัย หมวดที่3ชุมชนและสังคมกับการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ที่ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย หมวดที่4บทบาทพระสงฆ์ในการเป็นผู้นําด้านสุขภาวะของชุมชนและสังคม และหมวดที่5การขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติสู่การปฏิบัติ
อย่างไรก็ตาม การดูแลสุขภาพของพระสงฆ์ จําเป็นที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานทุกภาคส่วน รวมถึงประชาชนซึ่งเป็นชาวพุทธศาสนิกชนทุกคน ควรพึงละลึกถึงสุขภาพของพระสงฆ์เป็นหลัก ทั้งนี้ เพื่อให้พระสงฆ์มีสุขภาวะที่ดีทั้งทางด้านกาย ใจ สามารถปฏิบัติธรรม เผยแพร่หลักธรรมคําสอนของพุทธศาสนิกชน ให้กับพุทธศาสนิกชนได้อย่างยั่งยืน ต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ ฉบับแรกของประเทศไทย”
วันพุธที่ 20 ธันวาคม 2560
“ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ ฉบับแรกของประเทศไทย”
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ สํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และภาคีความร่วมมือลงนามประกาศใช้ “ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ ฉบับแรกของประเทศไทย” หวังใช้เป็นกรอบดูแลสุขภาวะพระสงฆ์ให้มีสุขภาพดี อายุขัยยืนยาว สามารถนําสังคม ให้เป็นสุขได้อย่างยั่งยืน
วันที่20ธันวาคม2560ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมเป็นองค์ปาฐกถาพิเศษร่วมกับพลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ในงานประชุมสมัชชาสุขภาพ ครั้งที่10และร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามความร่วมมือในการประกาศใช้ ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ ฉบับแรกของประเทศไทย โดยมี นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมลงนามฯ ที่ อิมเพ็คฟอรั่ม ศูนย์ประชุมแห่งชาติเมืองทองธานี
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล ให้สัมภาษณ์ว่า การประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งนี้ ได้ทําในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย คือ “ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ” เป็นฉบับแรก โดยทางเถรสมาคมเห็นด้วย กับการประกาศใช้ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ฉบับนี้ เพราะปัจจุบันพระสงฆ์ป่วยเป็นโรคต่างๆมากมาย มีสาเหตุที่สําคัญคือ พุทธศาสนิกชนมักถวายอาหารเฉพาะที่ญาติผู้ล่วงรับชอบทาน ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่มีรสชาติหวาด มัน และเค็ม ซึ่งอาหารในกลุ่มนี้หากทานเป็นประจําต่อเนื่องจะเป็นสาเหตุของการเกิดโรคไต เบาหวาน ความดัน หลอดเลือด ตามมาได้
ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ ฉบับนี้ มีหลักปฏิบัติประกอบด้วย5หมวด37ข้อ คือ หมวดที่1ปรัชญาและแนวคิดหลักของธรรมนูญสุขภาพของพระสงฆ์แห่งชาติ หมวดที่2พระสงฆ์กับการดูแลสุขภาพของตนเองตามหลักพระธรรมวินัย หมวดที่3ชุมชนและสังคมกับการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ที่ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย หมวดที่4บทบาทพระสงฆ์ในการเป็นผู้นําด้านสุขภาวะของชุมชนและสังคม และหมวดที่5การขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติสู่การปฏิบัติ
อย่างไรก็ตาม การดูแลสุขภาพของพระสงฆ์ จําเป็นที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานทุกภาคส่วน รวมถึงประชาชนซึ่งเป็นชาวพุทธศาสนิกชนทุกคน ควรพึงละลึกถึงสุขภาพของพระสงฆ์เป็นหลัก ทั้งนี้ เพื่อให้พระสงฆ์มีสุขภาวะที่ดีทั้งทางด้านกาย ใจ สามารถปฏิบัติธรรม เผยแพร่หลักธรรมคําสอนของพุทธศาสนิกชน ให้กับพุทธศาสนิกชนได้อย่างยั่งยืน ต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8900
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ลงพื้นที่บูรณาการความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อีสานที่ประสบภัยน้ำท่วม
|
วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2560
คปภ. ลงพื้นที่บูรณาการความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อีสานที่ประสบภัยน้ําท่วม
• เลขาธิการ คปภ. สั่งด่วนให้ สํานักงาน คปภ. ภาค 3 (ขอนแก่น) ภาค 4 (นครราชสีมา) และ ภาค 5 (อุบลราชธานี) เป็นศูนย์ดําเนินการบูรณาการช่วยเหลือด้านประกันภัยฯ
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ําท่วมในพื้นที่หลายจังหวัดในภาคอีสาน ยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง ปริมาณน้ําเกินความจุกักเก็บ ทําให้ระดับน้ําในแม่น้ําโขงหนุนสูง ลําน้ําสาขาสายหลัก ที่รองรับน้ําเกิดปัญหาเอ่อล้น เข้าท่วมหลายจังหวัดและขณะนี้ยังอยู่ในภาวะวิกฤต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดสกลนคร และจังหวัดนครพนม ที่น้ํายังเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มทั้งพื้นที่การเกษตร ส่งผลให้ประชาชนได้รับความเสียหายทั้งบ้านเรือนและทรัพย์สิน ตลอดจนพืชผลทางการเกษตรเป็นอย่างมาก
สํานักงาน คปภ. มีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ําท่วมในครั้งนี้เป็นอย่างมาก ขณะนี้ได้ส่งพนักงานลงไปในพื้นที่สํารวจความเสียหายของประชาชน และบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานของทางจังหวัด และร่วมมือกับสมาคมวินาศภัยไทยในพื้นที่อย่างใกล้ชิด
จากการสํารวจพื้นที่จังหวัดสกลนคร พบว่ามีผู้ประสบภัย 6,858 ครัวเรือน จํานวน 25,799 คน และมีพื้นที่การเกษตรเสียหาย 23,331 ไร่ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนครได้ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติฉุกเฉินแล้วเกษตรกรที่ทําประกันภัยข้าวนาปีซึ่งได้รับความเสียหาย สามารถเคลมความเสียหายได้ตามกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี โดยติดต่อที่ ธกส. ในพื้นที่ ซึ่งจะมีระบบเชื่อมโยงไปถึงสมาคมประกันวินาศภัยไทย ส่วนทรัพย์สินที่เสียหาย รวมทั้งรถยนต์ที่จมน้ํา ทางจังหวัดได้มีการบูรณาการความร่วมมือในทุกภาคส่วนจัดรถยกไปไว้ในที่ปลอดภัย โดยในส่วนของ สํานักงาน คปภ. ภาค และ สํานักงาน คปภ. จังหวัดในพื้นที่ได้ประสานงานกับทางสมาคมประกันวินาศภัยไทยและชมรมประกันวินาศภัยเร่งรัดเรื่องการจ่ายค่าสินไหมทดแทนกรณีทรัพย์สินที่เอาประกันภัยได้รับความเสียหายแล้ว
นอกจากนี้ เลขาธิการ คปภ. ได้สั่งการอย่างเร่งด่วนให้ สํานักงาน คปภ. ภาค 3 (ขอนแก่น) ภาค 4 (นครราชสีมา) และ ภาค 5 (อุบลราชธานี) บูรณาการในการทํางานร่วมกัน โดยเปิดเป็นศูนย์เพื่อดําเนินการช่วยเหลือประชาชนด้านประกันภัยที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ําท่วมครั้งนี้ รวมทั้ง สั่งการให้คณะทํางานช่วยเหลือผู้เอาประกันภัยและผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ําท่วม โดยประสานงานให้บริษัทประกันภัยสํารวจและสรุปรายงานความเสียหาย เพื่อจ่ายค่าสินไหมทดแทนจากสถานการณ์น้ําท่วมครั้งนี้โดยเร็วต่อไป พร้อมทั้งให้รายงานให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สํานักงาน คปภ. เพื่อประสานความร่วมมือด้านข้อมูลการจัดทําประกันภัยของผู้ประสบภัย ประสานงานการสํารวจภัย และการประเมินความเสียหาย รวมทั้งรวบรวมข้อมูลความเสียหาย เพื่อติดตาม เร่งรัด ให้มีการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน รวดเร็ว ถูกต้อง และเป็นธรรม
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่ากรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองกรณีน้ําท่วม ได้แก่ กรมธรรม์ประกันอัคคีภัย และซื้อความคุ้มครองภัยธรรมชาติเพิ่มเติม กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัยแบบประหยัดสําหรับรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ภาคสมัครใจ (ประเภท 1) หรือกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจประเภทอื่นที่ซื้อความคุ้มครองภัยน้ําท่วมหรือภัยธรรมชาติเพิ่มเติมกรมธรรม์ประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (IAR)รวมถึงกรมธรรม์ประกันชีวิต สําหรับกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2560 ที่เกษตรกรได้ซื้อไปแล้ว จะได้รับความคุ้มครองจากภัยน้ําท่วมหรือฝนตกหนักด้วย ซึ่งเกษตรกรจะได้รับวงเงินคุ้มครอง 1,260 บาท ต่อไร่ ขอให้ผู้เอาประกันภัยตรวจสอบกรมธรรม์ด้วยว่าเป็นแบบใดและคุ้มครองเพียงใด ซึ่งหากมีข้อสงสัยให้ประสานงานกับบริษัทที่รับประกันภัยหรือ สายด่วน คปภ. 1186 โดยอย่าหลงเชื่อคําแอบอ้างใดๆทั้งสิ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ลงพื้นที่บูรณาการความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อีสานที่ประสบภัยน้ำท่วม
วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2560
คปภ. ลงพื้นที่บูรณาการความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อีสานที่ประสบภัยน้ําท่วม
• เลขาธิการ คปภ. สั่งด่วนให้ สํานักงาน คปภ. ภาค 3 (ขอนแก่น) ภาค 4 (นครราชสีมา) และ ภาค 5 (อุบลราชธานี) เป็นศูนย์ดําเนินการบูรณาการช่วยเหลือด้านประกันภัยฯ
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ําท่วมในพื้นที่หลายจังหวัดในภาคอีสาน ยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง ปริมาณน้ําเกินความจุกักเก็บ ทําให้ระดับน้ําในแม่น้ําโขงหนุนสูง ลําน้ําสาขาสายหลัก ที่รองรับน้ําเกิดปัญหาเอ่อล้น เข้าท่วมหลายจังหวัดและขณะนี้ยังอยู่ในภาวะวิกฤต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดสกลนคร และจังหวัดนครพนม ที่น้ํายังเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มทั้งพื้นที่การเกษตร ส่งผลให้ประชาชนได้รับความเสียหายทั้งบ้านเรือนและทรัพย์สิน ตลอดจนพืชผลทางการเกษตรเป็นอย่างมาก
สํานักงาน คปภ. มีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ําท่วมในครั้งนี้เป็นอย่างมาก ขณะนี้ได้ส่งพนักงานลงไปในพื้นที่สํารวจความเสียหายของประชาชน และบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานของทางจังหวัด และร่วมมือกับสมาคมวินาศภัยไทยในพื้นที่อย่างใกล้ชิด
จากการสํารวจพื้นที่จังหวัดสกลนคร พบว่ามีผู้ประสบภัย 6,858 ครัวเรือน จํานวน 25,799 คน และมีพื้นที่การเกษตรเสียหาย 23,331 ไร่ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนครได้ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติฉุกเฉินแล้วเกษตรกรที่ทําประกันภัยข้าวนาปีซึ่งได้รับความเสียหาย สามารถเคลมความเสียหายได้ตามกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี โดยติดต่อที่ ธกส. ในพื้นที่ ซึ่งจะมีระบบเชื่อมโยงไปถึงสมาคมประกันวินาศภัยไทย ส่วนทรัพย์สินที่เสียหาย รวมทั้งรถยนต์ที่จมน้ํา ทางจังหวัดได้มีการบูรณาการความร่วมมือในทุกภาคส่วนจัดรถยกไปไว้ในที่ปลอดภัย โดยในส่วนของ สํานักงาน คปภ. ภาค และ สํานักงาน คปภ. จังหวัดในพื้นที่ได้ประสานงานกับทางสมาคมประกันวินาศภัยไทยและชมรมประกันวินาศภัยเร่งรัดเรื่องการจ่ายค่าสินไหมทดแทนกรณีทรัพย์สินที่เอาประกันภัยได้รับความเสียหายแล้ว
นอกจากนี้ เลขาธิการ คปภ. ได้สั่งการอย่างเร่งด่วนให้ สํานักงาน คปภ. ภาค 3 (ขอนแก่น) ภาค 4 (นครราชสีมา) และ ภาค 5 (อุบลราชธานี) บูรณาการในการทํางานร่วมกัน โดยเปิดเป็นศูนย์เพื่อดําเนินการช่วยเหลือประชาชนด้านประกันภัยที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ําท่วมครั้งนี้ รวมทั้ง สั่งการให้คณะทํางานช่วยเหลือผู้เอาประกันภัยและผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ําท่วม โดยประสานงานให้บริษัทประกันภัยสํารวจและสรุปรายงานความเสียหาย เพื่อจ่ายค่าสินไหมทดแทนจากสถานการณ์น้ําท่วมครั้งนี้โดยเร็วต่อไป พร้อมทั้งให้รายงานให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สํานักงาน คปภ. เพื่อประสานความร่วมมือด้านข้อมูลการจัดทําประกันภัยของผู้ประสบภัย ประสานงานการสํารวจภัย และการประเมินความเสียหาย รวมทั้งรวบรวมข้อมูลความเสียหาย เพื่อติดตาม เร่งรัด ให้มีการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน รวดเร็ว ถูกต้อง และเป็นธรรม
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่ากรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองกรณีน้ําท่วม ได้แก่ กรมธรรม์ประกันอัคคีภัย และซื้อความคุ้มครองภัยธรรมชาติเพิ่มเติม กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัยแบบประหยัดสําหรับรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ภาคสมัครใจ (ประเภท 1) หรือกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจประเภทอื่นที่ซื้อความคุ้มครองภัยน้ําท่วมหรือภัยธรรมชาติเพิ่มเติมกรมธรรม์ประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (IAR)รวมถึงกรมธรรม์ประกันชีวิต สําหรับกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2560 ที่เกษตรกรได้ซื้อไปแล้ว จะได้รับความคุ้มครองจากภัยน้ําท่วมหรือฝนตกหนักด้วย ซึ่งเกษตรกรจะได้รับวงเงินคุ้มครอง 1,260 บาท ต่อไร่ ขอให้ผู้เอาประกันภัยตรวจสอบกรมธรรม์ด้วยว่าเป็นแบบใดและคุ้มครองเพียงใด ซึ่งหากมีข้อสงสัยให้ประสานงานกับบริษัทที่รับประกันภัยหรือ สายด่วน คปภ. 1186 โดยอย่าหลงเชื่อคําแอบอ้างใดๆทั้งสิ้น
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5571
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"วราวุธ" นำทีมประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 1/2563
|
วันพุธที่ 29 มกราคม 2563
"วราวุธ" นําทีมประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 1/2563
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 1/2563
"วราวุธ" นําทีมประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 1/2563
วันนี้ (29 มกราคม 2563) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 1/2563 ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ อาคารกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยในการประชุมครั้งนี้ นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้พิจารณาหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน
เพื่อให้ไทยมีสิ่งแวดล้อมที่ดี ขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ลดลง รวมถึงไม่มีการนําเข้าขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกเข้ามาในประเทศไทยอีก นอกจากนี้ในที่ประชุมได้มีการพิจารณา (-ร่าง-) คําสั่งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่ .../2563 เรื่อง แต่งตั้งคณะทํางานเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ จํานวน 3 คณะ เพื่อสนับสนุนการทํางานของคณะอนุกรรมการฯ ประกอบด้วย คณะทํางานด้านการพัฒนากลไกการจัดการพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์, คณะทํางานด้านการส่งเสริมและรณรงค์ประชาสัมพันธ์การจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ , คณะทํางานด้านการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากขยะพลาสติก ตลอดจนได้มีการพิจารณามาตรการแก้ไขปัญหาการจัดการขยะพลาสติก และ มาตราการแก้ไขปัญหาการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ อีกด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"วราวุธ" นำทีมประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 1/2563
วันพุธที่ 29 มกราคม 2563
"วราวุธ" นําทีมประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 1/2563
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 1/2563
"วราวุธ" นําทีมประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 1/2563
วันนี้ (29 มกราคม 2563) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 1/2563 ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ อาคารกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยในการประชุมครั้งนี้ นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้พิจารณาหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน
เพื่อให้ไทยมีสิ่งแวดล้อมที่ดี ขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ลดลง รวมถึงไม่มีการนําเข้าขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกเข้ามาในประเทศไทยอีก นอกจากนี้ในที่ประชุมได้มีการพิจารณา (-ร่าง-) คําสั่งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่ .../2563 เรื่อง แต่งตั้งคณะทํางานเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ จํานวน 3 คณะ เพื่อสนับสนุนการทํางานของคณะอนุกรรมการฯ ประกอบด้วย คณะทํางานด้านการพัฒนากลไกการจัดการพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์, คณะทํางานด้านการส่งเสริมและรณรงค์ประชาสัมพันธ์การจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ , คณะทํางานด้านการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากขยะพลาสติก ตลอดจนได้มีการพิจารณามาตรการแก้ไขปัญหาการจัดการขยะพลาสติก และ มาตราการแก้ไขปัญหาการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ อีกด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26153
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีห่วงใย สั่งการให้ทำความเข้าใจทุกช่องทางเพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในทุกประเด็น เตรียมยกระดับข้อกำหนดตาม พรก ฉุกเฉิน
|
วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2563
นายกรัฐมนตรีห่วงใย สั่งการให้ทําความเข้าใจทุกช่องทางเพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในทุกประเด็น เตรียมยกระดับข้อกําหนดตาม พรก ฉุกเฉิน
นายกรัฐมนตรีห่วงใย สั่งการให้ทําความเข้าใจทุกช่องทางเพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในทุกประเด็น เตรียมยกระดับข้อกําหนดตาม พรก ฉุกเฉิน
วันนี้ (2 เมษายน 2563) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรีหลังนอก ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ย้ําการสั่งการให้ทุกหน่วยงานบูรณาการการทํางานร่วมกัน ทํางานด้วยความช่วยเหลือกัน ไม่ขัดแย้ง และเสนอคณะรัฐมนตรีในทุกมาตรการ
โดยนายกรัฐมนตรีได้หารือ และสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณามาตรการรองรับทางเศรษฐกิจโดยต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ครบถ้วน เช่น ตราสารหุ้น การบรรเทาหนี้ การดําเนินการระบบภาษี ลดภาษี เมื่อสถานการณ์ยุติ ต้องมีมาตรการเพื่อการฟื้นฟู ด้านการลงทุนต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน ทั้งนี้ การดําเนินการในส่วนของงบประมาณ ต้องเป็นการพิจารณาดําเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งค่อนข้างมีขั้นตอน ละเอียด และต้องใช้เวลา
ในส่วนของสินค้าทางการแพทย์ เตียง หน้ากาก N95 ชุด PPE นายกรัฐมนตรีสั่งการให้จัดหาให้เพียงพอต่อความต้องการ และส่วนการนําเข้าสินค้าทางการแพทย์ มีขั้นตอนในการดําเนินการ แต่เรื่องภาษีนําเข้าได้รับการแก้ไขแล้ว การจะซื้อสินค้าผ่านระบบ G to G เช่น กับประเทศจีน มีขั้นตอนที่ประเทศจีนจะต้องรับรองบริษัทจึงจะผ่านระบบได้ จึงเป็นส่วนที่ต้องทําความเข้าใจกับสังคม ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยแจ้งว่าได้ดําเนินการร่วมการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บริหารจัดการด้านการขนส่ง และกระจายหน้ากากอนามัยผ่านระบบการสื่อสาร เพื่อหน้ากากอนามัยถึงปลายทางโดยเรียบร้อย
นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกหน่วยงานทําความเข้าใจกับประชาชน ในการดําเนินการส่วนหนึ่งส่วนใด มีกฎระเบียบ ขั้นตอน รายละเอียดปลีกย่อย ที่ต้องร่วมพิจารณา เพราอาจเกิดผลกระทบต่อส่วนรวมได้ จึงขอให้ทุกหน่วยงานสร้างความเข้าใจกับประชาชน ผ่านทุกช่องทางการสื่อสารของรัฐ เช่น เพจไทยคู่ฟ้า ไม่ให้เกิดการบิดเบือน เป็นประเด็นทาง Social Media
ในส่วนของผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการของรัฐบาล ยังรวมกลุ่ม นั่งดื่ม ขอให้น่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายพิจารณาลงโทษอย่างจริงจัง เพื่อให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการที่รัฐบาลกําหนด
การเดินทางเข้าประเทศไทยนั้น นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ชะลอการเดินทางจากต่างประเทศจนถึง 15 เมษายน เพื่อเตรียมพื้นที่ State Quarantine และเพื่อให้ทุกคนผ่านการประเมินทางสุขภาพอย่างครบถ้วน ในการเดินทางผู้เดินทางต้องมีเอกสารกรอกข้อมูลการเข้าประเทศ ผ่านการประเมินสุขภาพ มีเอกสาร fit to fly และสั่งการให้ ศบค. นําข้อมูลมาวิเคราะห์ วางแผนให้ถี่ถ้วน เพราะเมื่อเดินทางเข้าประเทศมาแล้ว จะต้องหามาตรการมาควบคุมให้รัดกุม แก้ปัญหาบุคคลเสี่ยงที่หายไประหว่างเดินทางไปยังสถานที่ Quarantine หรือที่พัก ส่วนการ กลับประเทศไทยของกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ขอให้ชะลอตามที่แจ้งข้างต้น และพิจารณาพื้นที่รองรับการทํา State Quarantine สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศตรวจสอบไปยังต้นทางการเดินทางว่ามีนักเรียนจํานวนเท่าไหร่ จัดให้ทะยอยกลับ เพื่อให้พื้นที่รองรับสู่ State Quarantine เพียงพอ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเข้าใจดีถึงความกังวลของนักเรียน นักศึกษา และผู้ปกครองที่อยากเดินทางกลับประเทศ จึงขอให้กระทรวงการต่างประเทศ สาธารณสุข และมหาดไทยร่วมดูแล ให้มีแนวทางรองรับที่ชัดเจน
มาตรการป้องกัน และช่วยเหลือประชาชนภายในประเทศ นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยควบคุมด่านไม่ให้เกิดความแออัด ซึ่งขณะนี้ด่านทางบกปิดหมดแล้ว แต่ยังมีคนมารอเข้า-ออก และควบคุมพื้นที่ที่รับผิดชอบอย่างเข้มงวด กระทรวงมหาดไทยแจ้งด้วยว่าพร้อมดําเนินการสร้างความเข้าใจกับประชาชนผ่านหอกระจายข่าว
ในการประชุมครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีแจ้งเรื่องการยกระดับมาตรการในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพิ่มเติมโดยกําหนดเคอร์ฟิวทั่วประเทศระหว่างเวลา 22.00-04.00 น. ตั้งแต่วันศุกร์นี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ ยกเว้นผู้มีความจําเป็นที่จะต้องเดินทาง ได้แก่ บุคคลากรทางการแพทย์ การขนส่งเวชภัณฑ์ การขนส่งผู้ป่วย การขนส่งด้านพลังงาน และการขนย้ายประชาชนสู่พื้นที่ควบคุม เป็นต้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีห่วงใย สั่งการให้ทำความเข้าใจทุกช่องทางเพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในทุกประเด็น เตรียมยกระดับข้อกำหนดตาม พรก ฉุกเฉิน
วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2563
นายกรัฐมนตรีห่วงใย สั่งการให้ทําความเข้าใจทุกช่องทางเพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในทุกประเด็น เตรียมยกระดับข้อกําหนดตาม พรก ฉุกเฉิน
นายกรัฐมนตรีห่วงใย สั่งการให้ทําความเข้าใจทุกช่องทางเพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในทุกประเด็น เตรียมยกระดับข้อกําหนดตาม พรก ฉุกเฉิน
วันนี้ (2 เมษายน 2563) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรีหลังนอก ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ย้ําการสั่งการให้ทุกหน่วยงานบูรณาการการทํางานร่วมกัน ทํางานด้วยความช่วยเหลือกัน ไม่ขัดแย้ง และเสนอคณะรัฐมนตรีในทุกมาตรการ
โดยนายกรัฐมนตรีได้หารือ และสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณามาตรการรองรับทางเศรษฐกิจโดยต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ครบถ้วน เช่น ตราสารหุ้น การบรรเทาหนี้ การดําเนินการระบบภาษี ลดภาษี เมื่อสถานการณ์ยุติ ต้องมีมาตรการเพื่อการฟื้นฟู ด้านการลงทุนต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน ทั้งนี้ การดําเนินการในส่วนของงบประมาณ ต้องเป็นการพิจารณาดําเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งค่อนข้างมีขั้นตอน ละเอียด และต้องใช้เวลา
ในส่วนของสินค้าทางการแพทย์ เตียง หน้ากาก N95 ชุด PPE นายกรัฐมนตรีสั่งการให้จัดหาให้เพียงพอต่อความต้องการ และส่วนการนําเข้าสินค้าทางการแพทย์ มีขั้นตอนในการดําเนินการ แต่เรื่องภาษีนําเข้าได้รับการแก้ไขแล้ว การจะซื้อสินค้าผ่านระบบ G to G เช่น กับประเทศจีน มีขั้นตอนที่ประเทศจีนจะต้องรับรองบริษัทจึงจะผ่านระบบได้ จึงเป็นส่วนที่ต้องทําความเข้าใจกับสังคม ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยแจ้งว่าได้ดําเนินการร่วมการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บริหารจัดการด้านการขนส่ง และกระจายหน้ากากอนามัยผ่านระบบการสื่อสาร เพื่อหน้ากากอนามัยถึงปลายทางโดยเรียบร้อย
นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกหน่วยงานทําความเข้าใจกับประชาชน ในการดําเนินการส่วนหนึ่งส่วนใด มีกฎระเบียบ ขั้นตอน รายละเอียดปลีกย่อย ที่ต้องร่วมพิจารณา เพราอาจเกิดผลกระทบต่อส่วนรวมได้ จึงขอให้ทุกหน่วยงานสร้างความเข้าใจกับประชาชน ผ่านทุกช่องทางการสื่อสารของรัฐ เช่น เพจไทยคู่ฟ้า ไม่ให้เกิดการบิดเบือน เป็นประเด็นทาง Social Media
ในส่วนของผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการของรัฐบาล ยังรวมกลุ่ม นั่งดื่ม ขอให้น่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายพิจารณาลงโทษอย่างจริงจัง เพื่อให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการที่รัฐบาลกําหนด
การเดินทางเข้าประเทศไทยนั้น นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ชะลอการเดินทางจากต่างประเทศจนถึง 15 เมษายน เพื่อเตรียมพื้นที่ State Quarantine และเพื่อให้ทุกคนผ่านการประเมินทางสุขภาพอย่างครบถ้วน ในการเดินทางผู้เดินทางต้องมีเอกสารกรอกข้อมูลการเข้าประเทศ ผ่านการประเมินสุขภาพ มีเอกสาร fit to fly และสั่งการให้ ศบค. นําข้อมูลมาวิเคราะห์ วางแผนให้ถี่ถ้วน เพราะเมื่อเดินทางเข้าประเทศมาแล้ว จะต้องหามาตรการมาควบคุมให้รัดกุม แก้ปัญหาบุคคลเสี่ยงที่หายไประหว่างเดินทางไปยังสถานที่ Quarantine หรือที่พัก ส่วนการ กลับประเทศไทยของกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ขอให้ชะลอตามที่แจ้งข้างต้น และพิจารณาพื้นที่รองรับการทํา State Quarantine สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศตรวจสอบไปยังต้นทางการเดินทางว่ามีนักเรียนจํานวนเท่าไหร่ จัดให้ทะยอยกลับ เพื่อให้พื้นที่รองรับสู่ State Quarantine เพียงพอ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเข้าใจดีถึงความกังวลของนักเรียน นักศึกษา และผู้ปกครองที่อยากเดินทางกลับประเทศ จึงขอให้กระทรวงการต่างประเทศ สาธารณสุข และมหาดไทยร่วมดูแล ให้มีแนวทางรองรับที่ชัดเจน
มาตรการป้องกัน และช่วยเหลือประชาชนภายในประเทศ นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยควบคุมด่านไม่ให้เกิดความแออัด ซึ่งขณะนี้ด่านทางบกปิดหมดแล้ว แต่ยังมีคนมารอเข้า-ออก และควบคุมพื้นที่ที่รับผิดชอบอย่างเข้มงวด กระทรวงมหาดไทยแจ้งด้วยว่าพร้อมดําเนินการสร้างความเข้าใจกับประชาชนผ่านหอกระจายข่าว
ในการประชุมครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีแจ้งเรื่องการยกระดับมาตรการในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพิ่มเติมโดยกําหนดเคอร์ฟิวทั่วประเทศระหว่างเวลา 22.00-04.00 น. ตั้งแต่วันศุกร์นี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ ยกเว้นผู้มีความจําเป็นที่จะต้องเดินทาง ได้แก่ บุคคลากรทางการแพทย์ การขนส่งเวชภัณฑ์ การขนส่งผู้ป่วย การขนส่งด้านพลังงาน และการขนย้ายประชาชนสู่พื้นที่ควบคุม เป็นต้น
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28332
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. กำชับ จนท. ช่วยเหลือเด็กชายวัย 7 ขวบ ที่ต้องกำพร้า สูญเสียพ่อ-แม่ และพี่ชาย จากอุบัติเหตุ ที่ จ.ระยอง
|
วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน 2561
พม. กําชับ จนท. ช่วยเหลือเด็กชายวัย 7 ขวบ ที่ต้องกําพร้า สูญเสียพ่อ-แม่ และพี่ชาย จากอุบัติเหตุ ที่ จ.ระยอง
พม. กําชับ จนท. ช่วยเหลือเด็กชายวัย 7 ขวบ ที่ต้องกําพร้า สูญเสียพ่อ-แม่ และพี่ชาย จากอุบัติเหตุ ที่ จ.ระยอง พร้อมเร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 4 ขวบ ที่ถูกรุ่นพี่ในโรงเรียน 3 คน บังคับล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.ชลบุรี
วันนี้ (20 ก.ย. 61) เวลา 08.30 น.นางไพรวรรณ พลวัน รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 120/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยมีคณะผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานภายในกระทรวง เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
จากกรณีเด็กชายวัยประมาณ 7 ขวบ ต้องกลายเป็นเด็กกําพร้า เนื่องจากพ่อ-แม่ และพี่ชาย ที่อาศัยอยู่ด้วยกัน ประสบอุบัติเหตุรถชนเสียชีวิตทั้งหมด 3 คน ทําให้ครอบครัวเหลือเพียงเด็กชายคนเดียว ที่จังหวัดระยอง นั้น ได้กําชับ ให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.ระยอง) พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์ทางการศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการติดตามหาญาติเพื่อรับเด็กชายไปดูแลต่อ และประสานดูแลในเรื่องการศึกษาของเด็กชายอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ทั้งนี้ กระทรวง พม. มีบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดระยอง พร้อมดูแลคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ต่อไป
อีกกรณีเด็กหญิงวัย 4 ขวบ ถูกรุ่นพี่โรงเรียนเดียวกัน จํานวน 3 คน วัย 15-18 ปี ล่อลวงไปบังคับข่มขืนกระทําชําเราภายในห้องน้ําของโรงเรียน จนได้รับบาดเจ็บ ที่จังหวัดชลบุรี และกรณีชายวัย 45 ปี อาชีพ ขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง ได้ก่อเหตุล่อลวงเด็กหญิงวัย 9 ขวบ พยายามบังคับข่มขืนกระทําชําเราภายในห้องน้ําวัดแห่งหนึ่ง ที่ย่านสายไหม กรุงเทพมหานคร นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชลบุรี (พมจ.ชลบุรี) พร้อมทีม One Home ทั้ง 2 จังหวัด เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของทั้ง 2 ครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กหญิงทั้ง 2 คนอย่างใกล้ชิดโดยด่วน เพื่อให้เด็กมีสภาพจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น และสามารถใช้ชีวิต ในสังคมได้อย่างปกติสุขโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ กระทรวง พม. มีบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดชลบุรี และกรุงเทพมหานคร พร้อมดูแลคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ต่อไป
สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ 1) กรณีชายชราวัย 87 ปี ต้องออกตระเวนขออาหารเลี้ยงดูลูกสาวพิการ และภรรยาแก่ชรา ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน มอบเครื่องอุปโภคบริโภค พร้อมสงเคราะห์เงินผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น อีกทั้งแนะนําเรื่องการจดทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องสวัสดิการทางสังคมของผู้พิการ และ 2) กรณีเด็กชายกําพร้าวัย 8 ขวบ ที่ใช้ชีวิตลําพังภายหลังปู่เสียชีวิต ที่ จังหวัดนนทบุรี นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้น และตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า ผู้เป็นยายของเด็กได้มารับตัวเด็กชายไปดูแลต่อเรียบร้อยแล้ว ซึ่งขณะนี้เด็กมีสุขภาพจิตปกติดี
ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นผู้ที่ประสบปัญหาทางสังคม และต้องการขอความช่วยเหลือ สามารถโทรแจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งทางกระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ตามภารกิจ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. กำชับ จนท. ช่วยเหลือเด็กชายวัย 7 ขวบ ที่ต้องกำพร้า สูญเสียพ่อ-แม่ และพี่ชาย จากอุบัติเหตุ ที่ จ.ระยอง
วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน 2561
พม. กําชับ จนท. ช่วยเหลือเด็กชายวัย 7 ขวบ ที่ต้องกําพร้า สูญเสียพ่อ-แม่ และพี่ชาย จากอุบัติเหตุ ที่ จ.ระยอง
พม. กําชับ จนท. ช่วยเหลือเด็กชายวัย 7 ขวบ ที่ต้องกําพร้า สูญเสียพ่อ-แม่ และพี่ชาย จากอุบัติเหตุ ที่ จ.ระยอง พร้อมเร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 4 ขวบ ที่ถูกรุ่นพี่ในโรงเรียน 3 คน บังคับล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.ชลบุรี
วันนี้ (20 ก.ย. 61) เวลา 08.30 น.นางไพรวรรณ พลวัน รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 120/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยมีคณะผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานภายในกระทรวง เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
จากกรณีเด็กชายวัยประมาณ 7 ขวบ ต้องกลายเป็นเด็กกําพร้า เนื่องจากพ่อ-แม่ และพี่ชาย ที่อาศัยอยู่ด้วยกัน ประสบอุบัติเหตุรถชนเสียชีวิตทั้งหมด 3 คน ทําให้ครอบครัวเหลือเพียงเด็กชายคนเดียว ที่จังหวัดระยอง นั้น ได้กําชับ ให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.ระยอง) พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์ทางการศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการติดตามหาญาติเพื่อรับเด็กชายไปดูแลต่อ และประสานดูแลในเรื่องการศึกษาของเด็กชายอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ทั้งนี้ กระทรวง พม. มีบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดระยอง พร้อมดูแลคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ต่อไป
อีกกรณีเด็กหญิงวัย 4 ขวบ ถูกรุ่นพี่โรงเรียนเดียวกัน จํานวน 3 คน วัย 15-18 ปี ล่อลวงไปบังคับข่มขืนกระทําชําเราภายในห้องน้ําของโรงเรียน จนได้รับบาดเจ็บ ที่จังหวัดชลบุรี และกรณีชายวัย 45 ปี อาชีพ ขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง ได้ก่อเหตุล่อลวงเด็กหญิงวัย 9 ขวบ พยายามบังคับข่มขืนกระทําชําเราภายในห้องน้ําวัดแห่งหนึ่ง ที่ย่านสายไหม กรุงเทพมหานคร นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชลบุรี (พมจ.ชลบุรี) พร้อมทีม One Home ทั้ง 2 จังหวัด เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของทั้ง 2 ครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กหญิงทั้ง 2 คนอย่างใกล้ชิดโดยด่วน เพื่อให้เด็กมีสภาพจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น และสามารถใช้ชีวิต ในสังคมได้อย่างปกติสุขโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ กระทรวง พม. มีบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดชลบุรี และกรุงเทพมหานคร พร้อมดูแลคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ต่อไป
สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ 1) กรณีชายชราวัย 87 ปี ต้องออกตระเวนขออาหารเลี้ยงดูลูกสาวพิการ และภรรยาแก่ชรา ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน มอบเครื่องอุปโภคบริโภค พร้อมสงเคราะห์เงินผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น อีกทั้งแนะนําเรื่องการจดทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องสวัสดิการทางสังคมของผู้พิการ และ 2) กรณีเด็กชายกําพร้าวัย 8 ขวบ ที่ใช้ชีวิตลําพังภายหลังปู่เสียชีวิต ที่ จังหวัดนนทบุรี นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้น และตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า ผู้เป็นยายของเด็กได้มารับตัวเด็กชายไปดูแลต่อเรียบร้อยแล้ว ซึ่งขณะนี้เด็กมีสุขภาพจิตปกติดี
ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นผู้ที่ประสบปัญหาทางสังคม และต้องการขอความช่วยเหลือ สามารถโทรแจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งทางกระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ตามภารกิจ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15554
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.จัดงาน“บ้าน ธอส.เอ็กซ์โป @ หาดใหญ่”
|
วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2560
ธอส.จัดงาน“บ้าน ธอส.เอ็กซ์โป @ หาดใหญ่”
พบกับสินเชื่อบ้านดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี ในงานบ้าน ธอส. เอ็กซ์โป @ หาดใหญ่ พ่วง 3 ฟรี!! ค่าธรรมเนียม พร้อมจ่ายค่าจดทะเบียนจํานองให้ 0.50% ของวงเงินกู้ ทรัพย์ NPA คุณภาพดี ดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือน และโครงการที่อยู่อาศัยราคาสุดคุ้ม
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เดินหน้าพันธกิจ : ทําให้คนไทยมีบ้าน จับมือกับพันธมิตร และผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนําในภาคใต้ จัดงาน“บ้าน ธอส.เอ็กซ์โป @ หาดใหญ่” เตรียมโปรโมชั่นสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยสุดพิเศษ 0.25% ต่อปี นาน 11 เดือนแรก ยกเว้นค่าธรรมเนียม 3 ฟรี (1) ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกันทุกวงเงินกู้ (2) ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และ (3) ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ พิเศษ!! ธอส. ชําระค่าจดทะเบียนจํานองให้ 0.50% ของวงเงินกู้ตามสัญญากู้เงิน พร้อมนําทรัพย์ NPA คุณภาพดีทําเลเด่น พ่วงแคมเปญดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือน นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นโดนใจจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่นําที่อยู่อาศัยมาจําหน่ายในราคาพิเศษพร้อมของแถมอีกมากมาย ระหว่างวันที่ 23-25 มิถุนายน 2560 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการสร้างโอกาส “ทําให้คนไทยมีบ้าน” ตามพันธกิจของธนาคาร พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชนได้มีบ้านเป็นของตนเอง ธอส.จึงได้ร่วมกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนําใน ภาคใต้จัดงาน “บ้าน ธอส.เอ็กซ์โป @ หาดใหญ่” มหกรรมที่อยู่อาศัยแห่งปีที่รวมโปรโมชั่น สุดพิเศษไว้ใน งานเดียว นําโดย โปรโมชั่น สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยพิเศษ เดือนที่ 1-11 เท่ากับ MRR–6.50% ต่อปี (หรือเท่ากับ 0.25% ต่อปี คิดจากดอกเบี้ย MRR ธอส. ปัจจุบันเท่ากับ 6.75% ต่อปี) เดือนที่ 12 – 24 ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR–2.50% ต่อปี (หรือเท่ากับ 4.25% ต่อปี) ปีที่ 3 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีกู้ซื้ออุปกรณ์และสิ่งอํานวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจํานองจากสถาบันการเงินอื่น และซื้ออุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัยพร้อมกับกู้เพื่อซื้อ หรือไถ่ถอนจํานอง พิเศษ!! ยกเว้นค่าธรรมเนียม 3 ฟรี ได้แก่ (1)ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกันทุกวงเงินกู้ (วงเงินกู้ต่ํากว่า 500,000 บาท คิดค่าประเมิน 1,900 บาท และวงเงินกู้ตั้งแต่ 500,001 บาท คิดค่าประเมิน 2,300 บาท) (2) ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (1,000 บาท) และ (3)ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (0.1% ของวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติ) นอกจากนี้ ธอส.ชําระค่าจดทะเบียนจํานองให้ลูกค้า 0.50% ของวงเงินกู้ตามสัญญากู้เงินอีกด้วย ลูกค้าสามารถยื่นคําขอกู้กับเจ้าหน้าที่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านสินเชื่อบ้านของ ธอส. ได้ทันทีภายในงาน (หรือภายใต้ระยะเวลาและเงื่อนไขอื่นๆ ที่ธนาคารกําหนด)
ธอส. ยังได้คัดทรัพย์ NPA หรือ บ้านมือสอง คุณภาพดี ทําเลเด่น มาจําหน่ายในราคาสุดคุ้ม เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ที่กําลังมองหาที่อยู่อาศัย พิเศษ!!! แคมเปญสําหรับผู้ซื้อทรัพย์ NPA ของ ธอส. รับเงื่อนไขผ่อนชําระเงินดาวน์ 20% ของราคาซื้อขาย ดอกเบี้ย 0% นานถึง 24 เดือน หรือหากเทเงินดาวน์ 20% ของราคา
ซื้อขาย ส่วนที่เหลืออีก 80% รับสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือนเช่นกัน ภายในงานธนาคารได้เตรียมเจ้าหน้าที่ให้ความรู้ในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ หรือ Financial Literacy ตามโครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน อีกด้วย
ขณะเดียวกันภายในงานยังมีบูธจากบรรดาพันธมิตรของธนาคารที่จะมาร่วมอํานวยความสะดวกให้คนไทยได้มีบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ที่นําโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภท ทุกระดับราคา และหลากหลายทําเลที่ตั้ง ทั้งโครงการที่ก่อสร้างใหม่รวมถึงบ้านมือสองมาเปิดจําหน่ายพร้อมโปรโมชั่น และของแถมสุดพิเศษมากมายเฉพาะผู้ที่จองซื้อและยื่นกู้กับ ธอส. ในงาน “บ้าน ธอส.เอ็กซ์โป @ หาดใหญ่” เท่านั้น บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จํากัด (เครดิตบูโร) ให้บริการตรวจข้อมูลเครดิตส่วนตัว โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและรอรับได้ทันทีภายในงานเพียงใช้บัตรประชาชนใบเดียว ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ให้บริการข้อมูลและคําปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท รวมถึงสามารถค้นหาข้อมูลของทรัพย์ที่จําหน่ายภายในงาน พร้อมกับให้บริการแก่ประชาชนที่มีความประสงค์กรอกแบบสํารวจความต้องการที่อยู่อาศัยตาม “โครงการแอพพลิเคชั่น คนไทยมีบ้าน : Home for All” โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะนําผลสํารวจที่ได้ไปจัดทําเป็นฐานข้อมูลในการศึกษาวิเคราะห์ วางแผนในการพัฒนาปริมาณที่อยู่อาศัยใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในแต่ละกลุ่ม มีความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ขณะที่ ธอส. จะเตรียมแคมเปญสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยพิเศษมอบให้ผู้ที่ร่วมตอบแบบสํารวจเพื่อช่วยให้คนไทยได้มีบ้านอย่างทั่วถึงต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ งาน “บ้าน ธอส.เอ็กซ์โป @ หาดใหญ่” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-25 มิถุนายน 2560 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.จัดงาน“บ้าน ธอส.เอ็กซ์โป @ หาดใหญ่”
วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2560
ธอส.จัดงาน“บ้าน ธอส.เอ็กซ์โป @ หาดใหญ่”
พบกับสินเชื่อบ้านดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี ในงานบ้าน ธอส. เอ็กซ์โป @ หาดใหญ่ พ่วง 3 ฟรี!! ค่าธรรมเนียม พร้อมจ่ายค่าจดทะเบียนจํานองให้ 0.50% ของวงเงินกู้ ทรัพย์ NPA คุณภาพดี ดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือน และโครงการที่อยู่อาศัยราคาสุดคุ้ม
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เดินหน้าพันธกิจ : ทําให้คนไทยมีบ้าน จับมือกับพันธมิตร และผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนําในภาคใต้ จัดงาน“บ้าน ธอส.เอ็กซ์โป @ หาดใหญ่” เตรียมโปรโมชั่นสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยสุดพิเศษ 0.25% ต่อปี นาน 11 เดือนแรก ยกเว้นค่าธรรมเนียม 3 ฟรี (1) ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกันทุกวงเงินกู้ (2) ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และ (3) ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ พิเศษ!! ธอส. ชําระค่าจดทะเบียนจํานองให้ 0.50% ของวงเงินกู้ตามสัญญากู้เงิน พร้อมนําทรัพย์ NPA คุณภาพดีทําเลเด่น พ่วงแคมเปญดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือน นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นโดนใจจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่นําที่อยู่อาศัยมาจําหน่ายในราคาพิเศษพร้อมของแถมอีกมากมาย ระหว่างวันที่ 23-25 มิถุนายน 2560 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการสร้างโอกาส “ทําให้คนไทยมีบ้าน” ตามพันธกิจของธนาคาร พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชนได้มีบ้านเป็นของตนเอง ธอส.จึงได้ร่วมกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนําใน ภาคใต้จัดงาน “บ้าน ธอส.เอ็กซ์โป @ หาดใหญ่” มหกรรมที่อยู่อาศัยแห่งปีที่รวมโปรโมชั่น สุดพิเศษไว้ใน งานเดียว นําโดย โปรโมชั่น สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยพิเศษ เดือนที่ 1-11 เท่ากับ MRR–6.50% ต่อปี (หรือเท่ากับ 0.25% ต่อปี คิดจากดอกเบี้ย MRR ธอส. ปัจจุบันเท่ากับ 6.75% ต่อปี) เดือนที่ 12 – 24 ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR–2.50% ต่อปี (หรือเท่ากับ 4.25% ต่อปี) ปีที่ 3 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีกู้ซื้ออุปกรณ์และสิ่งอํานวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจํานองจากสถาบันการเงินอื่น และซื้ออุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัยพร้อมกับกู้เพื่อซื้อ หรือไถ่ถอนจํานอง พิเศษ!! ยกเว้นค่าธรรมเนียม 3 ฟรี ได้แก่ (1)ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกันทุกวงเงินกู้ (วงเงินกู้ต่ํากว่า 500,000 บาท คิดค่าประเมิน 1,900 บาท และวงเงินกู้ตั้งแต่ 500,001 บาท คิดค่าประเมิน 2,300 บาท) (2) ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (1,000 บาท) และ (3)ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (0.1% ของวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติ) นอกจากนี้ ธอส.ชําระค่าจดทะเบียนจํานองให้ลูกค้า 0.50% ของวงเงินกู้ตามสัญญากู้เงินอีกด้วย ลูกค้าสามารถยื่นคําขอกู้กับเจ้าหน้าที่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านสินเชื่อบ้านของ ธอส. ได้ทันทีภายในงาน (หรือภายใต้ระยะเวลาและเงื่อนไขอื่นๆ ที่ธนาคารกําหนด)
ธอส. ยังได้คัดทรัพย์ NPA หรือ บ้านมือสอง คุณภาพดี ทําเลเด่น มาจําหน่ายในราคาสุดคุ้ม เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ที่กําลังมองหาที่อยู่อาศัย พิเศษ!!! แคมเปญสําหรับผู้ซื้อทรัพย์ NPA ของ ธอส. รับเงื่อนไขผ่อนชําระเงินดาวน์ 20% ของราคาซื้อขาย ดอกเบี้ย 0% นานถึง 24 เดือน หรือหากเทเงินดาวน์ 20% ของราคา
ซื้อขาย ส่วนที่เหลืออีก 80% รับสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือนเช่นกัน ภายในงานธนาคารได้เตรียมเจ้าหน้าที่ให้ความรู้ในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ หรือ Financial Literacy ตามโครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน อีกด้วย
ขณะเดียวกันภายในงานยังมีบูธจากบรรดาพันธมิตรของธนาคารที่จะมาร่วมอํานวยความสะดวกให้คนไทยได้มีบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ที่นําโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภท ทุกระดับราคา และหลากหลายทําเลที่ตั้ง ทั้งโครงการที่ก่อสร้างใหม่รวมถึงบ้านมือสองมาเปิดจําหน่ายพร้อมโปรโมชั่น และของแถมสุดพิเศษมากมายเฉพาะผู้ที่จองซื้อและยื่นกู้กับ ธอส. ในงาน “บ้าน ธอส.เอ็กซ์โป @ หาดใหญ่” เท่านั้น บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จํากัด (เครดิตบูโร) ให้บริการตรวจข้อมูลเครดิตส่วนตัว โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและรอรับได้ทันทีภายในงานเพียงใช้บัตรประชาชนใบเดียว ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ให้บริการข้อมูลและคําปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท รวมถึงสามารถค้นหาข้อมูลของทรัพย์ที่จําหน่ายภายในงาน พร้อมกับให้บริการแก่ประชาชนที่มีความประสงค์กรอกแบบสํารวจความต้องการที่อยู่อาศัยตาม “โครงการแอพพลิเคชั่น คนไทยมีบ้าน : Home for All” โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะนําผลสํารวจที่ได้ไปจัดทําเป็นฐานข้อมูลในการศึกษาวิเคราะห์ วางแผนในการพัฒนาปริมาณที่อยู่อาศัยใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในแต่ละกลุ่ม มีความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ขณะที่ ธอส. จะเตรียมแคมเปญสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยพิเศษมอบให้ผู้ที่ร่วมตอบแบบสํารวจเพื่อช่วยให้คนไทยได้มีบ้านอย่างทั่วถึงต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ งาน “บ้าน ธอส.เอ็กซ์โป @ หาดใหญ่” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-25 มิถุนายน 2560 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4730
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2559
|
วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560
รายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2559
หนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 มีจํานวน 5,921,722.13 ล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 42.19 ของ GDP
นายธีรัชย์ อัตนวานิช ที่ปรึกษาด้านตลาดตราสารหนี้ ได้รายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ดังนี้
หนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 มีจํานวน 5,921,722.13 ล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 42.19 ของ GDP โดยแบ่งเป็น หนี้รัฐบาล 4,458,417.72 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 977,551.18 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ําประกัน) 466,247.32 ล้านบาท และ หนี้หน่วยงานของรัฐ 19,505.91ล้านบาท และเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า หนี้สาธารณะคงค้างลดลง 22,514.64 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- หนี้รัฐบาล จํานวน 4,458,417.72 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 15,140.77 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญเกิดจาก
• การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จํานวน 47,212.90 ล้านบาท โดยการออกพันธบัตรรัฐบาล จํานวน 41,467 ล้านบาท และพันธบัตรออมทรัพย์ จํานวน 5,745.90 ล้านบาท
• การลดลงของตั๋วเงินคลัง จํานวน 20,400 ล้านบาท
• การกู้เงินเพื่อการลงทุนจากแหล่งเงินกู้ในประเทศ จํานวน 1,969.73 ล้านบาท
โดยแบ่งเป็นการกู้ให้กู้ต่อแก่ (1) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเบิกจ่ายเงินกู้จํานวน 1,364.89 ล้านบาท เพื่อจัดทําโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว จํานวน 880.83 ล้านบาท สายสีน้ําเงิน จํานวน 472.78 ล้านบาท และสายสีม่วง จํานวน 11.28 ล้านบาท และ (2) การรถไฟแห่งประเทศไทยเบิกจ่ายเงินกู้จํานวน 604.84 ล้านบาท เพื่อจัดทํา โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ – ขอนแก่น จํานวน 504.95 ล้านบาท โครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต จํานวน 86.70 ล้านบาท และ โครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟ สายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา – คลองสิบเก้า – แก่งคอย จํานวน 13.19 ล้านบาท
• การชําระหนี้ที่ออกภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จํานวน 30,051.60 ล้านบาท
• การชําระหนี้ที่ออกภายใต้พระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ําและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ.2555 จํานวน 9,000 ล้านบาท
• การชําระหนี้ที่รัฐบาลกู้เพื่อชดเชยความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จํานวน 5,103.96 ล้านบาท โดยใช้เงินจากบัญชีสะสมเพื่อการชําระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ
• หนี้ต่างประเทศเพิ่มขึ้น 232.16 ล้านบาท เนื่องจากการเบิกจ่ายโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะที่ 3 จํานวน 2,123.80 ล้านบาท และการชําระคืนหนี้โครงการดังกล่าวระยะที่ 1 จํานวน 503.45 ล้านบาท รวมถึงผลจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนทําให้หนี้ลดลง 912.18 ล้านบาท เป็นสําคัญ
- หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จํานวน 977,551.18 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 1,944.07 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญเกิดจาก
• หนี้ในประเทศที่รัฐบาลค้ําประกันมีการเบิกจ่ายเพิ่มขึ้นสุทธิ จํานวน 850 ล้านบาท
• หนี้ต่างประเทศลดลง 2,532.29 ล้านบาท เนื่องจากการชําระคืนหนี้สุทธิของบริษัทท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) จํานวน 412.25 ล้านบาท และบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) จํานวน 1,035.99 ล้านบาท และผลการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนทําให้หนี้ลดลงสุทธิ จํานวน 929.37 ล้านบาท
- หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ําประกัน) จํานวน 466,247.32 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 4,472.30 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากการชําระคืนต้นเงินกู้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จํานวน 3,460 ล้านบาท และธนาคารอาคารสงเคราะห์ไถ่ถอนพันธบัตร จํานวน 1,000 ล้านบาท
- หนี้หน่วยงานของรัฐ จํานวน 19,505.91 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 957.50 ล้านบาท จากการชําระคืนต้นเงินกู้สุทธิของหน่วยงานของรัฐ
หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2559 จํานวน 5,921,722.13 ล้านบาท แบ่งออกเป็น หนี้ในประเทศ 5,592,496.68 ล้านบาท หรือร้อยละ 94.44 และหนี้ต่างประเทศ 329,225.45 ล้านบาท (ประมาณ 9,392 ล้านเหรียญสหรัฐ) หรือร้อยละ 5.56 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด และแบ่งออกเป็น หนี้ระยะยาว 5,237,264.04 ล้านบาท หรือร้อยละ 88.44 และหนี้ระยะสั้น 684,458.10 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.56 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด
คณะโฆษกสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 02 265 8050 ต่อ 5520 และ 5522
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2559
วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560
รายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2559
หนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 มีจํานวน 5,921,722.13 ล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 42.19 ของ GDP
นายธีรัชย์ อัตนวานิช ที่ปรึกษาด้านตลาดตราสารหนี้ ได้รายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ดังนี้
หนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 มีจํานวน 5,921,722.13 ล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 42.19 ของ GDP โดยแบ่งเป็น หนี้รัฐบาล 4,458,417.72 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 977,551.18 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ําประกัน) 466,247.32 ล้านบาท และ หนี้หน่วยงานของรัฐ 19,505.91ล้านบาท และเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า หนี้สาธารณะคงค้างลดลง 22,514.64 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- หนี้รัฐบาล จํานวน 4,458,417.72 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 15,140.77 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญเกิดจาก
• การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จํานวน 47,212.90 ล้านบาท โดยการออกพันธบัตรรัฐบาล จํานวน 41,467 ล้านบาท และพันธบัตรออมทรัพย์ จํานวน 5,745.90 ล้านบาท
• การลดลงของตั๋วเงินคลัง จํานวน 20,400 ล้านบาท
• การกู้เงินเพื่อการลงทุนจากแหล่งเงินกู้ในประเทศ จํานวน 1,969.73 ล้านบาท
โดยแบ่งเป็นการกู้ให้กู้ต่อแก่ (1) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเบิกจ่ายเงินกู้จํานวน 1,364.89 ล้านบาท เพื่อจัดทําโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว จํานวน 880.83 ล้านบาท สายสีน้ําเงิน จํานวน 472.78 ล้านบาท และสายสีม่วง จํานวน 11.28 ล้านบาท และ (2) การรถไฟแห่งประเทศไทยเบิกจ่ายเงินกู้จํานวน 604.84 ล้านบาท เพื่อจัดทํา โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ – ขอนแก่น จํานวน 504.95 ล้านบาท โครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต จํานวน 86.70 ล้านบาท และ โครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟ สายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา – คลองสิบเก้า – แก่งคอย จํานวน 13.19 ล้านบาท
• การชําระหนี้ที่ออกภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จํานวน 30,051.60 ล้านบาท
• การชําระหนี้ที่ออกภายใต้พระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ําและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ.2555 จํานวน 9,000 ล้านบาท
• การชําระหนี้ที่รัฐบาลกู้เพื่อชดเชยความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จํานวน 5,103.96 ล้านบาท โดยใช้เงินจากบัญชีสะสมเพื่อการชําระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ
• หนี้ต่างประเทศเพิ่มขึ้น 232.16 ล้านบาท เนื่องจากการเบิกจ่ายโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะที่ 3 จํานวน 2,123.80 ล้านบาท และการชําระคืนหนี้โครงการดังกล่าวระยะที่ 1 จํานวน 503.45 ล้านบาท รวมถึงผลจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนทําให้หนี้ลดลง 912.18 ล้านบาท เป็นสําคัญ
- หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จํานวน 977,551.18 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 1,944.07 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญเกิดจาก
• หนี้ในประเทศที่รัฐบาลค้ําประกันมีการเบิกจ่ายเพิ่มขึ้นสุทธิ จํานวน 850 ล้านบาท
• หนี้ต่างประเทศลดลง 2,532.29 ล้านบาท เนื่องจากการชําระคืนหนี้สุทธิของบริษัทท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) จํานวน 412.25 ล้านบาท และบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) จํานวน 1,035.99 ล้านบาท และผลการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนทําให้หนี้ลดลงสุทธิ จํานวน 929.37 ล้านบาท
- หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ําประกัน) จํานวน 466,247.32 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 4,472.30 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากการชําระคืนต้นเงินกู้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จํานวน 3,460 ล้านบาท และธนาคารอาคารสงเคราะห์ไถ่ถอนพันธบัตร จํานวน 1,000 ล้านบาท
- หนี้หน่วยงานของรัฐ จํานวน 19,505.91 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 957.50 ล้านบาท จากการชําระคืนต้นเงินกู้สุทธิของหน่วยงานของรัฐ
หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2559 จํานวน 5,921,722.13 ล้านบาท แบ่งออกเป็น หนี้ในประเทศ 5,592,496.68 ล้านบาท หรือร้อยละ 94.44 และหนี้ต่างประเทศ 329,225.45 ล้านบาท (ประมาณ 9,392 ล้านเหรียญสหรัฐ) หรือร้อยละ 5.56 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด และแบ่งออกเป็น หนี้ระยะยาว 5,237,264.04 ล้านบาท หรือร้อยละ 88.44 และหนี้ระยะสั้น 684,458.10 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.56 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด
คณะโฆษกสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 02 265 8050 ต่อ 5520 และ 5522
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2057
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รมว.ยธ. ประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม พร้อมติดตามผลการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
|
วันพุธที่ 4 กันยายน 2562
รมว.ยธ. ประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม พร้อมติดตามผลการดําเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๔/๒๕๖๒
ในวันพุธที่ ๔ กันยายน ๒๕๖๒ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๔/๒๕๖๒โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรมและคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฯ โดยในที่ประชุม นายสมศักดิ์ฯ ได้กล่าวถึงสาระสําคัญจากการประชุมคณะรัฐมนตรีประจําสัปดาห์ ทั้งนี้ ผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ได้รายงานความก้าวหน้าเกี่ยวกับผลการดําเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รมว.ยธ. ประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม พร้อมติดตามผลการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
วันพุธที่ 4 กันยายน 2562
รมว.ยธ. ประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม พร้อมติดตามผลการดําเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๔/๒๕๖๒
ในวันพุธที่ ๔ กันยายน ๒๕๖๒ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๔/๒๕๖๒โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรมและคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฯ โดยในที่ประชุม นายสมศักดิ์ฯ ได้กล่าวถึงสาระสําคัญจากการประชุมคณะรัฐมนตรีประจําสัปดาห์ ทั้งนี้ ผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ได้รายงานความก้าวหน้าเกี่ยวกับผลการดําเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22805
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สกพอ.ชี้แจงกรณี ขอให้ทบทวนโครงการรถไฟความเร็วสูงเฟส 1 ไม่มีสถานีระยองอยู่ในโครงการ
|
วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน 2561
สกพอ.ชี้แจงกรณี ขอให้ทบทวนโครงการรถไฟความเร็วสูงเฟส 1 ไม่มีสถานีระยองอยู่ในโครงการ
สกพอ.ชี้แจงกรณี ขอให้ทบทวนโครงการรถไฟความเร็วสูงเฟส 1 ไม่มีสถานีระยองอยู่ในโครงการ
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ชี้แจงประเด็นขอให้ทบทวนโครงการรถไฟความเร็วสูงเฟส 1 ไม่มีสถานีระยอง : หยิบยกการนําเสนอข่าวของไทยรัฐทีวี กรณีปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น หลังจากโครงการสร้างรถไฟความเร็วสูง เฟส 1 ไม่มีชื่อสถานีระยอง หรือสถานีที่ 10 อยู่ในโครงการ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1) ในอดีตโครงการรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพ - ระยอง เริ่มต้นจากลาดกระบังไปสิ้นสุดที่ระยอง ระยะทางประมาณ 195 กม. จํานวน 5 สถานี (ลาดกระบัง ศรีราชา ชลบุรี พัทยา ระยอง) ศึกษา ออกแบบรายละเอียด และทํารายงาน EIA โดยบริษัท AEC ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของ รฟท. แต่ติดปัญหารายงาน EIA ไม่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการผู้ชํานาญการด้านสิ่งแวดล้อม เพราะแนวเส้นทางรถไฟก่อนถึงสถานีระยอง ที่ปรึกษาเลือกแนวเส้นทางผ่านเข้าไปยังนิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมาบตาพุด ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมเข้มข้นด้านสิ่งแวดล้อม และไม่ได้รับการยอมรับจากผู้ประกอบการในนิคมฯ
2) ภายหลังจากคณะกรรมการนโยบายมีมติให้รวมโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และเพื่อแก้ไขปัญหาแนวเส้นทางที่ผ่านเข้าไปในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จึงมีมติให้ปรับแผนการดําเนินงานโครงการฯ ระยะที่ 1 ให้สิ้นสุดที่สนามบินอู่ตะเภา และมีมติอนุมัติในหลักการให้งบประมาณแก่ รฟท. เพื่อไปศึกษา ออกแบบ ปรับแนวเส้นทางทางสนามบินอู่ตะเภาไประยองใหม่ และต่อขยายแนวเส้นทางไปยังจันทบุรี และตราด
3) ปัจจุบันทาง รฟท. กําลังดําเนินการจ้างที่ปรึกษาเพื่อดําเนินงานดังกล่าว คาดว่าจะศึกษา และออกแบบแล้วเสร็จภายในปี 2562 และคาดว่าจะสามารถก่อสร้าง และเปิดให้บริการส่วนต่อขยายจากอู่ตะเภาไประยองได้ภายใน 2567 (ประมาณ 1 ปี หลังจากระยะที่ 1 เปิดให้บริการ)
อย่างไรก็ตาม ทางสํานักงานฯ ยินดีให้ข้อมูลตอบข้อซักถามเพิ่มเติม โดยให้ติดต่อได้ที่ 0-20338000
------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สกพอ.ชี้แจงกรณี ขอให้ทบทวนโครงการรถไฟความเร็วสูงเฟส 1 ไม่มีสถานีระยองอยู่ในโครงการ
วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน 2561
สกพอ.ชี้แจงกรณี ขอให้ทบทวนโครงการรถไฟความเร็วสูงเฟส 1 ไม่มีสถานีระยองอยู่ในโครงการ
สกพอ.ชี้แจงกรณี ขอให้ทบทวนโครงการรถไฟความเร็วสูงเฟส 1 ไม่มีสถานีระยองอยู่ในโครงการ
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ชี้แจงประเด็นขอให้ทบทวนโครงการรถไฟความเร็วสูงเฟส 1 ไม่มีสถานีระยอง : หยิบยกการนําเสนอข่าวของไทยรัฐทีวี กรณีปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น หลังจากโครงการสร้างรถไฟความเร็วสูง เฟส 1 ไม่มีชื่อสถานีระยอง หรือสถานีที่ 10 อยู่ในโครงการ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1) ในอดีตโครงการรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพ - ระยอง เริ่มต้นจากลาดกระบังไปสิ้นสุดที่ระยอง ระยะทางประมาณ 195 กม. จํานวน 5 สถานี (ลาดกระบัง ศรีราชา ชลบุรี พัทยา ระยอง) ศึกษา ออกแบบรายละเอียด และทํารายงาน EIA โดยบริษัท AEC ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของ รฟท. แต่ติดปัญหารายงาน EIA ไม่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการผู้ชํานาญการด้านสิ่งแวดล้อม เพราะแนวเส้นทางรถไฟก่อนถึงสถานีระยอง ที่ปรึกษาเลือกแนวเส้นทางผ่านเข้าไปยังนิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมาบตาพุด ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมเข้มข้นด้านสิ่งแวดล้อม และไม่ได้รับการยอมรับจากผู้ประกอบการในนิคมฯ
2) ภายหลังจากคณะกรรมการนโยบายมีมติให้รวมโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และเพื่อแก้ไขปัญหาแนวเส้นทางที่ผ่านเข้าไปในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จึงมีมติให้ปรับแผนการดําเนินงานโครงการฯ ระยะที่ 1 ให้สิ้นสุดที่สนามบินอู่ตะเภา และมีมติอนุมัติในหลักการให้งบประมาณแก่ รฟท. เพื่อไปศึกษา ออกแบบ ปรับแนวเส้นทางทางสนามบินอู่ตะเภาไประยองใหม่ และต่อขยายแนวเส้นทางไปยังจันทบุรี และตราด
3) ปัจจุบันทาง รฟท. กําลังดําเนินการจ้างที่ปรึกษาเพื่อดําเนินงานดังกล่าว คาดว่าจะศึกษา และออกแบบแล้วเสร็จภายในปี 2562 และคาดว่าจะสามารถก่อสร้าง และเปิดให้บริการส่วนต่อขยายจากอู่ตะเภาไประยองได้ภายใน 2567 (ประมาณ 1 ปี หลังจากระยะที่ 1 เปิดให้บริการ)
อย่างไรก็ตาม ทางสํานักงานฯ ยินดีให้ข้อมูลตอบข้อซักถามเพิ่มเติม โดยให้ติดต่อได้ที่ 0-20338000
------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12727
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.จัดพิธีบรรพชาอุปสมบทถวายเป็นพระราชกุศล และกิจกรรมสำคัญในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2560
|
วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2560
ศธ.จัดพิธีบรรพชาอุปสมบทถวายเป็นพระราชกุศล และกิจกรรมสําคัญในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2560
กระทรวงศึกษาธิการ จัดพิธีบรรพชาอุปสมบทข้าราชการ บุคลากร นักเรียน นิสิตนักศึกษา 89 รูป เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และกิจกรรมสําคัญในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2560
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีบรรพชาอุปสมบทข้าราชการ บุคลากร นักเรียน นิสิตนักศึกษา "ทําดีเพื่อพ่อ" จํานวน 89 รูป เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ สนามหญ้าหน้ากระทรวงศึกษาธิการ โดยมี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนนายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และผู้บริหารองค์กรหลักและหน่วยงานในสังกัดเข้าร่วมพิธี
ต่อมาเวลา 08.30 น. นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ เป็นประธานเปิดโครงการอาชีวะอาสา "เทศกาลสงกรานต์ 2560" ณ ริมคลองผดุงกรุงเกษม ด้านข้างกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีนายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ตลอดจนผู้บริหารองค์กรหลักและหน่วยงานสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ร่วมเปิดโครงการ
จากนั้น เวลา 13.30 น. นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ พร้อมด้วย พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ และ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากรในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมงาน "ประเพณีสงกรานต์ ศึกษาธิการสืบสานวัฒนธรรมไทย" ประจําปี 2560 ณ หอประชุมคุรุสภา
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.จัดพิธีบรรพชาอุปสมบทถวายเป็นพระราชกุศล และกิจกรรมสำคัญในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2560
วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2560
ศธ.จัดพิธีบรรพชาอุปสมบทถวายเป็นพระราชกุศล และกิจกรรมสําคัญในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2560
กระทรวงศึกษาธิการ จัดพิธีบรรพชาอุปสมบทข้าราชการ บุคลากร นักเรียน นิสิตนักศึกษา 89 รูป เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และกิจกรรมสําคัญในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2560
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีบรรพชาอุปสมบทข้าราชการ บุคลากร นักเรียน นิสิตนักศึกษา "ทําดีเพื่อพ่อ" จํานวน 89 รูป เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ สนามหญ้าหน้ากระทรวงศึกษาธิการ โดยมี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนนายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และผู้บริหารองค์กรหลักและหน่วยงานในสังกัดเข้าร่วมพิธี
ต่อมาเวลา 08.30 น. นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ เป็นประธานเปิดโครงการอาชีวะอาสา "เทศกาลสงกรานต์ 2560" ณ ริมคลองผดุงกรุงเกษม ด้านข้างกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีนายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ตลอดจนผู้บริหารองค์กรหลักและหน่วยงานสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ร่วมเปิดโครงการ
จากนั้น เวลา 13.30 น. นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ พร้อมด้วย พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ และ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากรในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมงาน "ประเพณีสงกรานต์ ศึกษาธิการสืบสานวัฒนธรรมไทย" ประจําปี 2560 ณ หอประชุมคุรุสภา
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3002
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ รวมสินค้าสหกรณ์จัดลงกระเช้า ภายใต้แนวคิด “กระเช้าสหกรณ์ แทนความห่วงใย ใส่ใจสุขภาพ”
|
วันพุธที่ 27 ธันวาคม 2560
เกษตรฯ รวมสินค้าสหกรณ์จัดลงกระเช้า ภายใต้แนวคิด “กระเช้าสหกรณ์ แทนความห่วงใย ใส่ใจสุขภาพ”
เกษตรฯ รวมสินค้าสหกรณ์จัดลงกระเช้า ภายใต้แนวคิด “กระเช้าสหกรณ์ แทนความห่วงใย ใส่ใจสุขภาพ” พร้อมเพิ่มช่องทางการจําหน่ายกระเช้าสินค้าสหกรณ์ ผ่านระบบ E-Commerce เป็นปีแรก
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า สําหรับช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 นี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ยังคงจัดกิจกรรมจําหน่ายกระเช้าสินค้าสหกรณ์เช่นเดียวกับทุกปีที่ผ่านมา ในชื่อ “โครงการส่งความสุขในเทศกาลปีใหม่ด้วยสินค้าสหกรณ์” ภายใต้แนวคิด “กระเช้าสหกรณ์ แทนความห่วงใย ใส่ใจสุขภาพ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุน และส่งเสริมกิจกรรมด้านการตลาด สําหรับสินค้าของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร รวมทั้งเพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายสินค้าของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค ผ่านศูนย์กระจายสินค้าสหกรณ์เพื่อส่งต่อสินค้าไปยังผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง โดยคาดหวังว่าผู้บริโภคได้รับสินค้าดีมีคุณภาพ มอบให้กันเป็นของขวัญของฝากในช่วงเทศกาลปีใหม่ สร้างความสุขใจทั้งผู้ให้และผู้รับ
สําหรับสินค้าที่จะนํามาจัดลงกระเช้าในปีนี้ ได้ที่คัดสรรมาจากหลายแหล่งทั่วทุกภาคของประเทศ โดยจะคัดสรรเฉพาะสินค้าคุณภาพทั้งอุปโภคบริโภค เน้นผลิตภัณฑ์ที่ดูแลสุขภาพเป็นหลัก อาทิ ผลิตภัณฑ์ประเภทข้าวเพื่อสุขภาพ เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมกะดังงา ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวกล้องงอด ข้าวสังข์หยด ข้าวทับทิมชุมแพ และข้าวกข 43 ซึ่งเป็นข้าวที่ได้รับการวิจัยว่ามีน้ําตาลน้อย เหมาะสําหรับผู้ต้องการลดน้ําหนักและป่วยเป็นเบาหวาน นอกจากนี้ยังมีสินค้าประเภทผลไม้และอาหารแปรรูป เช่น กล้วยตาก หมี่กรอบสามรส ลําไยอบแห้งเนื้อสีทอง หมูทุบหมูฝอย กุนเชียงมะขามแช่อิ่ม เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ทองม้วน คุกกี้ใส้สับปะรด คุกกี้ข้าวหอมะลิ 100 % ผลไม้อบแห้ง น้ําผึ้ง แยมมัลเบอรี่ ผัดหมี่โคราช น้ําพริกประเภทต่าง ๆ และสินค้าประเภทสมุนไพรและธัญพืช อาทิ ผงชงพร้อมดื่มที่ทําจากข้าวเหนียวพันธุ์ลืมผัวผสมใบเตยและต้นข้าวอ่อน ข้าวหอมมะลิผสมใบเตย สมุนไพรชงดื่ม จากใบย่านาง รางจืดและผักเชียงดา ขิงผง เก๊กฮวยผง ดอกคําฝอย เมล็ดธัญพืช ผลิตภัณฑ์ประเภทนมพร้อมดื่ม นม UHT นมถั่วเหลือง ผลิตภัณฑ์อาหารจากดอยคําโครงการหลวง ผลิตภัณฑ์จากผ้าไหมและผ้าฝ้าย เช่น ผ้าคลุมไหล่ ผ้าขาวม้า ผ้าห่ม ผ้าพันคอ สินค้าหัตถกรรม ทั้งแก้วเบญจรงค์ ถ้วยกาแฟ ผลิตภัณฑ์จักสานป่านศรนารายณ์จากสหกรณ์การเกษตรหุบกะพง จํากัด จังหวัดเพชรบุรี ทั้งกระเป๋า รองเท้า เข็มขัด และหมวก
ด้านนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากรมส่งเสริมสหกรณ์ มีภารกิจในการส่งเสริมกลุ่มอาชีพในสังกัดสหกรณ์การเกษตร ผลิตและแปรรูปสินค้าการเกษตรชนิดต่าง ๆ พร้อมพัฒนากระบวนการผลิตให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงการจัดหาช่องทางการจําหน่ายสินค้าให้กับสหกรณ์ ได้มีโอกาสนําเสนอผลิตภัณฑ์และสินค้าเด่นที่น่าสนใจสู่ประชาชน เพื่อสร้างรายได้กลับคืนสู่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกของสหกรณ์ และในช่วงเทศกาลปีใหม่ของทุกปี กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้รวบรวมสินค้าดีมีคุณภาพและเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนและจังหวัดต่าง ๆ มาจัดตกแต่งเป็นกระเช้าสินค้าสหกรณ์เพื่อจําหน่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยเริ่มดําเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน และประชาชนทั่วไป โทรมาสั่งจองและมาเลือกซื้อที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ ซึ่งในปีที่ผ่านมาสร้างยอดขายได้เกือบ 2 ล้านบาท
สําหรับรูปแบบของกระเช้าสินค้าสหกรณ์ จะนําสินค้าสินค้าของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร กลุ่มอาชีพต่าง ๆ มาจัดวางและตกแต่งให้สวยงามด้วยผ้าขาวม้าหรือกระดาษสาลามี่ หรือตามวัสดุที่ลูกค้าต้องการ โดยราคากระเช้ามีหลายราคาตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึง – 3,000 บาทขึ้นไป มีทั้งกระเช้าสําเร็จรูปที่จัดสินค้าและตกแต่งไว้เรียบร้อยแล้ว และยังเปิดโอกาสให้ลูกค้าเข้ามาเลือกสินค้าที่ต้องการจะให้จัดกระเช้าได้ด้วยตัวเองด้วย โดยทางกรมฯได้จัดเตรียมห้องจัดแสดงและจําหน่ายสินค้าที่ศูนย์จําหน่ายสินค้าสหกรณ์ อาคาร 3 ชั้น 1 ภายในกรมส่งเสริมสหกรณ์ ท่าน้ําเทเวศร์ เริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2560 – 12 มกราคม 2561 จําหน่ายทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ตั้งแต่เวลา 09.00 – 19.00 น. หรือติดต่อสอบถามได้ทางโทรศัพท์ 02 281 3095 ต่อ 157 หรือ 06 2610 7842 หรือดูรายละเอียดในเวปไซด์ www.cpd.go.th โดยทางกรมฯได้มีโปรโมชั่นพิเศษ! สําหรับลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้าตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป บริการจัดส่งกระเช้าสินค้าสหกรณ์ฟรีในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
นอกจากนี้ ในปีนี้ทางกรมฯได้เพิ่มช่องทางการจําหน่ายกระเช้าสินค้าสหกรณ์ ผ่านระบบ E-Commerce เป็นปีแรกโดยร่วมมือกับ 3 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์, บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด, กระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยเปิดจําหน่ายผ่านเวปไซด์ www.coop-mart.comซึ่งเป็นเวปไซด์ที่เปิดพื้นที่สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร เปิดร้านค้าออนไลน์โดยการนําสินค้าต่าง ๆ มาโพสขายผ่านเวปไซด์นี้ได้
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ รวมสินค้าสหกรณ์จัดลงกระเช้า ภายใต้แนวคิด “กระเช้าสหกรณ์ แทนความห่วงใย ใส่ใจสุขภาพ”
วันพุธที่ 27 ธันวาคม 2560
เกษตรฯ รวมสินค้าสหกรณ์จัดลงกระเช้า ภายใต้แนวคิด “กระเช้าสหกรณ์ แทนความห่วงใย ใส่ใจสุขภาพ”
เกษตรฯ รวมสินค้าสหกรณ์จัดลงกระเช้า ภายใต้แนวคิด “กระเช้าสหกรณ์ แทนความห่วงใย ใส่ใจสุขภาพ” พร้อมเพิ่มช่องทางการจําหน่ายกระเช้าสินค้าสหกรณ์ ผ่านระบบ E-Commerce เป็นปีแรก
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า สําหรับช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 นี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ยังคงจัดกิจกรรมจําหน่ายกระเช้าสินค้าสหกรณ์เช่นเดียวกับทุกปีที่ผ่านมา ในชื่อ “โครงการส่งความสุขในเทศกาลปีใหม่ด้วยสินค้าสหกรณ์” ภายใต้แนวคิด “กระเช้าสหกรณ์ แทนความห่วงใย ใส่ใจสุขภาพ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุน และส่งเสริมกิจกรรมด้านการตลาด สําหรับสินค้าของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร รวมทั้งเพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายสินค้าของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค ผ่านศูนย์กระจายสินค้าสหกรณ์เพื่อส่งต่อสินค้าไปยังผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง โดยคาดหวังว่าผู้บริโภคได้รับสินค้าดีมีคุณภาพ มอบให้กันเป็นของขวัญของฝากในช่วงเทศกาลปีใหม่ สร้างความสุขใจทั้งผู้ให้และผู้รับ
สําหรับสินค้าที่จะนํามาจัดลงกระเช้าในปีนี้ ได้ที่คัดสรรมาจากหลายแหล่งทั่วทุกภาคของประเทศ โดยจะคัดสรรเฉพาะสินค้าคุณภาพทั้งอุปโภคบริโภค เน้นผลิตภัณฑ์ที่ดูแลสุขภาพเป็นหลัก อาทิ ผลิตภัณฑ์ประเภทข้าวเพื่อสุขภาพ เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมกะดังงา ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวกล้องงอด ข้าวสังข์หยด ข้าวทับทิมชุมแพ และข้าวกข 43 ซึ่งเป็นข้าวที่ได้รับการวิจัยว่ามีน้ําตาลน้อย เหมาะสําหรับผู้ต้องการลดน้ําหนักและป่วยเป็นเบาหวาน นอกจากนี้ยังมีสินค้าประเภทผลไม้และอาหารแปรรูป เช่น กล้วยตาก หมี่กรอบสามรส ลําไยอบแห้งเนื้อสีทอง หมูทุบหมูฝอย กุนเชียงมะขามแช่อิ่ม เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ทองม้วน คุกกี้ใส้สับปะรด คุกกี้ข้าวหอมะลิ 100 % ผลไม้อบแห้ง น้ําผึ้ง แยมมัลเบอรี่ ผัดหมี่โคราช น้ําพริกประเภทต่าง ๆ และสินค้าประเภทสมุนไพรและธัญพืช อาทิ ผงชงพร้อมดื่มที่ทําจากข้าวเหนียวพันธุ์ลืมผัวผสมใบเตยและต้นข้าวอ่อน ข้าวหอมมะลิผสมใบเตย สมุนไพรชงดื่ม จากใบย่านาง รางจืดและผักเชียงดา ขิงผง เก๊กฮวยผง ดอกคําฝอย เมล็ดธัญพืช ผลิตภัณฑ์ประเภทนมพร้อมดื่ม นม UHT นมถั่วเหลือง ผลิตภัณฑ์อาหารจากดอยคําโครงการหลวง ผลิตภัณฑ์จากผ้าไหมและผ้าฝ้าย เช่น ผ้าคลุมไหล่ ผ้าขาวม้า ผ้าห่ม ผ้าพันคอ สินค้าหัตถกรรม ทั้งแก้วเบญจรงค์ ถ้วยกาแฟ ผลิตภัณฑ์จักสานป่านศรนารายณ์จากสหกรณ์การเกษตรหุบกะพง จํากัด จังหวัดเพชรบุรี ทั้งกระเป๋า รองเท้า เข็มขัด และหมวก
ด้านนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากรมส่งเสริมสหกรณ์ มีภารกิจในการส่งเสริมกลุ่มอาชีพในสังกัดสหกรณ์การเกษตร ผลิตและแปรรูปสินค้าการเกษตรชนิดต่าง ๆ พร้อมพัฒนากระบวนการผลิตให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงการจัดหาช่องทางการจําหน่ายสินค้าให้กับสหกรณ์ ได้มีโอกาสนําเสนอผลิตภัณฑ์และสินค้าเด่นที่น่าสนใจสู่ประชาชน เพื่อสร้างรายได้กลับคืนสู่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกของสหกรณ์ และในช่วงเทศกาลปีใหม่ของทุกปี กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้รวบรวมสินค้าดีมีคุณภาพและเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนและจังหวัดต่าง ๆ มาจัดตกแต่งเป็นกระเช้าสินค้าสหกรณ์เพื่อจําหน่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยเริ่มดําเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน และประชาชนทั่วไป โทรมาสั่งจองและมาเลือกซื้อที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ ซึ่งในปีที่ผ่านมาสร้างยอดขายได้เกือบ 2 ล้านบาท
สําหรับรูปแบบของกระเช้าสินค้าสหกรณ์ จะนําสินค้าสินค้าของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร กลุ่มอาชีพต่าง ๆ มาจัดวางและตกแต่งให้สวยงามด้วยผ้าขาวม้าหรือกระดาษสาลามี่ หรือตามวัสดุที่ลูกค้าต้องการ โดยราคากระเช้ามีหลายราคาตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึง – 3,000 บาทขึ้นไป มีทั้งกระเช้าสําเร็จรูปที่จัดสินค้าและตกแต่งไว้เรียบร้อยแล้ว และยังเปิดโอกาสให้ลูกค้าเข้ามาเลือกสินค้าที่ต้องการจะให้จัดกระเช้าได้ด้วยตัวเองด้วย โดยทางกรมฯได้จัดเตรียมห้องจัดแสดงและจําหน่ายสินค้าที่ศูนย์จําหน่ายสินค้าสหกรณ์ อาคาร 3 ชั้น 1 ภายในกรมส่งเสริมสหกรณ์ ท่าน้ําเทเวศร์ เริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2560 – 12 มกราคม 2561 จําหน่ายทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ตั้งแต่เวลา 09.00 – 19.00 น. หรือติดต่อสอบถามได้ทางโทรศัพท์ 02 281 3095 ต่อ 157 หรือ 06 2610 7842 หรือดูรายละเอียดในเวปไซด์ www.cpd.go.th โดยทางกรมฯได้มีโปรโมชั่นพิเศษ! สําหรับลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้าตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป บริการจัดส่งกระเช้าสินค้าสหกรณ์ฟรีในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
นอกจากนี้ ในปีนี้ทางกรมฯได้เพิ่มช่องทางการจําหน่ายกระเช้าสินค้าสหกรณ์ ผ่านระบบ E-Commerce เป็นปีแรกโดยร่วมมือกับ 3 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์, บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด, กระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยเปิดจําหน่ายผ่านเวปไซด์ www.coop-mart.comซึ่งเป็นเวปไซด์ที่เปิดพื้นที่สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร เปิดร้านค้าออนไลน์โดยการนําสินค้าต่าง ๆ มาโพสขายผ่านเวปไซด์นี้ได้
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9063
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดนิสากร ร่วมเป็นเกียรติในงานแสดงสินค้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP 6 จังหวัด ภาคเหนือ “OTOP ล้านนา สู่สากล “
|
วันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2562
รองปลัดนิสากร ร่วมเป็นเกียรติในงานแสดงสินค้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP 6 จังหวัด ภาคเหนือ “OTOP ล้านนา สู่สากล “
นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติในงานแสดงสินค้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP 6 จังหวัด ภาคเหนือ ณ ห้องสักทอง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ เชียงใหม่ อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
27 ก.ย. 62 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติในงานแสดงสินค้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP 6 จังหวัด ภาคเหนือ (เชียงราย ลําปาง ลําพูน น่าน แม่ฮ่องสอน พะเยา ) “OTOP ล้านนา สู่สากล “ ภายใต้โครงการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน เพื่อประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ OTOP และเพิ่มช่องทางการจัดจําหน่ายสินค้า รวมถึงนําเสนอผลิตภัณฑ์ที่สามารถแข่งขันในระดับสากลได้ ณ ห้องสักทอง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ เชียงใหม่ อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดนิสากร ร่วมเป็นเกียรติในงานแสดงสินค้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP 6 จังหวัด ภาคเหนือ “OTOP ล้านนา สู่สากล “
วันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2562
รองปลัดนิสากร ร่วมเป็นเกียรติในงานแสดงสินค้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP 6 จังหวัด ภาคเหนือ “OTOP ล้านนา สู่สากล “
นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติในงานแสดงสินค้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP 6 จังหวัด ภาคเหนือ ณ ห้องสักทอง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ เชียงใหม่ อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
27 ก.ย. 62 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติในงานแสดงสินค้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP 6 จังหวัด ภาคเหนือ (เชียงราย ลําปาง ลําพูน น่าน แม่ฮ่องสอน พะเยา ) “OTOP ล้านนา สู่สากล “ ภายใต้โครงการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน เพื่อประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ OTOP และเพิ่มช่องทางการจัดจําหน่ายสินค้า รวมถึงนําเสนอผลิตภัณฑ์ที่สามารถแข่งขันในระดับสากลได้ ณ ห้องสักทอง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ เชียงใหม่ อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23480
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘หม่อมเต่า’ แจง เลิกจ้างไม่น่าห่วง สอดรับภาคอุตฯ โรงงานเปิดใหม่สูงกว่าปิด 2 เท่าตัว
|
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน 2562
‘หม่อมเต่า’ แจง เลิกจ้างไม่น่าห่วง สอดรับภาคอุตฯ โรงงานเปิดใหม่สูงกว่าปิด 2 เท่าตัว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย สถานการณ์เลิกจ้างยังไม่น่าห่วง สอดคล้องกับข้อมูลภาคอุตสาหกรรมตั้งแต่ 1 ม.ค. – 12 พ.ย.62 พบมีโรงงานปิด 1,391 โรงงาน เปิดกิจการใหม่ 2,889 โรงงาน โดยมีโรงงานเปิดใหม่สูงขึ้นกว่าปิดกิจการถึง 2 เท่าตัว เลิกจ้างงาน 35,533 คน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย สถานการณ์เลิกจ้างยังไม่น่าห่วง สอดคล้องกับข้อมูลภาคอุตสาหกรรมตั้งแต่ 1 ม.ค. – 12 พ.ย.62 พบมีโรงงานปิด 1,391 โรงงาน เปิดกิจการใหม่ 2,889 โรงงาน โดยมีโรงงานเปิดใหม่สูงขึ้นกว่าปิดกิจการถึง 2 เท่าตัว เลิกจ้างงาน 35,533 คน จ้างงานในกิจการใหม่ 84,033 คน จ้างงานจากการขยายกิจการ 84,704 คน สะท้อนว่าเศรษฐกิจของประเทศกําลังเติบโต กําลังการผลิตอยู่ในภาวะปกติ เชื่อมั่นภายใน 1-2 ปี ผลจากการที่รัฐบาลพัฒนาประเทศด้วยโครงสร้างพื้นฐานจะทําให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวเรื่องสถานการณ์เลิกจ้างและการปิดกิจการโรงงานในปัจจุบันว่า ภาพรวมในปี 2562 ตั้งแต่เดือน 1 ม.ค. – 12 พ.ย. 62 จากข้อมูลของกระทรวงอุตสาหกรรม มีโรงงานปิดกิจการ 1,391 โรงงาน ขณะเดียวกันมีโรงงานเปิดกิจการใหม่ 2,889 โรงงาน โดยมีโรงงานเปิดใหม่สูงขึ้นกว่าปิดกิจการถึง 2 เท่าตัว นอกจากนี้ยังพบว่า มีการเลิกจ้างงาน 35,533 คน ขณะที่มีการจ้างงานในกิจการใหม่ 84,033 คน และจ้างงานจากการขยายกิจการ 84,704 คน โดยมีเงินลงทุนเพิ่มเติม 431,216 ล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้วถึง 36.6 % ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยกําลังเจริญเติบโต
ม.ร.ว.จัตุมงคลฯ กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงานมีตําแหน่งงานว่างกว่า 79,000 อัตรา ซึ่งสถานประกอบการยังมีความต้องการแรงงานอยู่เป็นจํานวนมาก กระทรวงแรงงานได้ฝึกทักษะแรงงานใหม่ให้สามารถมีทักษะที่จะทํางานได้ ส่วนเรื่องอัตราการใช้กําลังการผลิตในเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ 64.73% ซึ่งต่ําสุดนับแต่เดือนธันวาคม 2554 หรือในรอบ 94 เดือนนั้น รมว.แรงงาน กล่าวว่า อัตรากําลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 65% ยังถือว่าอยู่ในภาวะปกติ และเป็นอัตราที่กําลังพอดีพอเหมาะแล้ว ส่วนสถานการณ์ในอนาคต ยังต้องรอดูการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
“ขณะนี้รัฐบาลมีแนวทางในการพัฒนาประเทศโดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะระบบขนส่ง ซึ่งไม่ใช่การสร้างอุตสาหกรรม และในตอนนี้โครงการดังกล่าวได้เริ่มไปแล้ว ภายในสัก 1-2 ปีเงินจะเริ่มออกมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเป็น 1.7 เท่า ส่วนโครงการอื่นๆ ที่กระตุ้นการใช้จ่ายก็มีความจําเป็นในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ม.ร.ว.จัตุมงคลฯ กล่าวในท้ายสุด
--------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/
14 พฤศจิกายน 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘หม่อมเต่า’ แจง เลิกจ้างไม่น่าห่วง สอดรับภาคอุตฯ โรงงานเปิดใหม่สูงกว่าปิด 2 เท่าตัว
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน 2562
‘หม่อมเต่า’ แจง เลิกจ้างไม่น่าห่วง สอดรับภาคอุตฯ โรงงานเปิดใหม่สูงกว่าปิด 2 เท่าตัว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย สถานการณ์เลิกจ้างยังไม่น่าห่วง สอดคล้องกับข้อมูลภาคอุตสาหกรรมตั้งแต่ 1 ม.ค. – 12 พ.ย.62 พบมีโรงงานปิด 1,391 โรงงาน เปิดกิจการใหม่ 2,889 โรงงาน โดยมีโรงงานเปิดใหม่สูงขึ้นกว่าปิดกิจการถึง 2 เท่าตัว เลิกจ้างงาน 35,533 คน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย สถานการณ์เลิกจ้างยังไม่น่าห่วง สอดคล้องกับข้อมูลภาคอุตสาหกรรมตั้งแต่ 1 ม.ค. – 12 พ.ย.62 พบมีโรงงานปิด 1,391 โรงงาน เปิดกิจการใหม่ 2,889 โรงงาน โดยมีโรงงานเปิดใหม่สูงขึ้นกว่าปิดกิจการถึง 2 เท่าตัว เลิกจ้างงาน 35,533 คน จ้างงานในกิจการใหม่ 84,033 คน จ้างงานจากการขยายกิจการ 84,704 คน สะท้อนว่าเศรษฐกิจของประเทศกําลังเติบโต กําลังการผลิตอยู่ในภาวะปกติ เชื่อมั่นภายใน 1-2 ปี ผลจากการที่รัฐบาลพัฒนาประเทศด้วยโครงสร้างพื้นฐานจะทําให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวเรื่องสถานการณ์เลิกจ้างและการปิดกิจการโรงงานในปัจจุบันว่า ภาพรวมในปี 2562 ตั้งแต่เดือน 1 ม.ค. – 12 พ.ย. 62 จากข้อมูลของกระทรวงอุตสาหกรรม มีโรงงานปิดกิจการ 1,391 โรงงาน ขณะเดียวกันมีโรงงานเปิดกิจการใหม่ 2,889 โรงงาน โดยมีโรงงานเปิดใหม่สูงขึ้นกว่าปิดกิจการถึง 2 เท่าตัว นอกจากนี้ยังพบว่า มีการเลิกจ้างงาน 35,533 คน ขณะที่มีการจ้างงานในกิจการใหม่ 84,033 คน และจ้างงานจากการขยายกิจการ 84,704 คน โดยมีเงินลงทุนเพิ่มเติม 431,216 ล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้วถึง 36.6 % ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยกําลังเจริญเติบโต
ม.ร.ว.จัตุมงคลฯ กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงานมีตําแหน่งงานว่างกว่า 79,000 อัตรา ซึ่งสถานประกอบการยังมีความต้องการแรงงานอยู่เป็นจํานวนมาก กระทรวงแรงงานได้ฝึกทักษะแรงงานใหม่ให้สามารถมีทักษะที่จะทํางานได้ ส่วนเรื่องอัตราการใช้กําลังการผลิตในเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ 64.73% ซึ่งต่ําสุดนับแต่เดือนธันวาคม 2554 หรือในรอบ 94 เดือนนั้น รมว.แรงงาน กล่าวว่า อัตรากําลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 65% ยังถือว่าอยู่ในภาวะปกติ และเป็นอัตราที่กําลังพอดีพอเหมาะแล้ว ส่วนสถานการณ์ในอนาคต ยังต้องรอดูการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
“ขณะนี้รัฐบาลมีแนวทางในการพัฒนาประเทศโดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะระบบขนส่ง ซึ่งไม่ใช่การสร้างอุตสาหกรรม และในตอนนี้โครงการดังกล่าวได้เริ่มไปแล้ว ภายในสัก 1-2 ปีเงินจะเริ่มออกมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเป็น 1.7 เท่า ส่วนโครงการอื่นๆ ที่กระตุ้นการใช้จ่ายก็มีความจําเป็นในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ม.ร.ว.จัตุมงคลฯ กล่าวในท้ายสุด
--------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/
14 พฤศจิกายน 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24580
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ไอแบงก์ ประกาศควบรวมสาขาธนาคาร”
|
วันพุธที่ 18 มกราคม 2560
“ไอแบงก์ ประกาศควบรวมสาขาธนาคาร”
ไอแบงก์ประกาศการควบรวมสาขาแม่สายรวมกับสาขาเชียงราย
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ประกาศการควบรวมสาขาแม่สายรวมกับสาขาเชียงราย โดยสาขาแม่สายจะเปิดให้บริการตามปกติจนถึงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560 และจะทําการควบรวมกับสาขาเชียงราย ที่ตั้งเลขที่ 808/8 ถ.พหลโยธิน ต.เวียง อ.เมือง จ.เชียงราย 57000 โทรศัพท์ 053-748-883-5 โทรสาร 053-748-886 ซึ่งเปิดให้บริการทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30-16.00 น. เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560 เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Ibank Call Center 1302 และขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ไอแบงก์ ประกาศควบรวมสาขาธนาคาร”
วันพุธที่ 18 มกราคม 2560
“ไอแบงก์ ประกาศควบรวมสาขาธนาคาร”
ไอแบงก์ประกาศการควบรวมสาขาแม่สายรวมกับสาขาเชียงราย
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ประกาศการควบรวมสาขาแม่สายรวมกับสาขาเชียงราย โดยสาขาแม่สายจะเปิดให้บริการตามปกติจนถึงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560 และจะทําการควบรวมกับสาขาเชียงราย ที่ตั้งเลขที่ 808/8 ถ.พหลโยธิน ต.เวียง อ.เมือง จ.เชียงราย 57000 โทรศัพท์ 053-748-883-5 โทรสาร 053-748-886 ซึ่งเปิดให้บริการทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30-16.00 น. เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560 เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Ibank Call Center 1302 และขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1398
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุริยะ”เผยผล ก.อุตสาหกรรมพร้อมหน่วยงานพันธมิตรลงพื้นที่ซ่อม สร้าง ฟื้นฟู 4 จว. ภาคอีสาน พร้อมช่วยผู้ประสบอุทกภัยพักชำระหนี้ กว่า 122 ล้านบาท
|
วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562
“สุริยะ”เผยผล ก.อุตสาหกรรมพร้อมหน่วยงานพันธมิตรลงพื้นที่ซ่อม สร้าง ฟื้นฟู 4 จว. ภาคอีสาน พร้อมช่วยผู้ประสบอุทกภัยพักชําระหนี้ กว่า 122 ล้านบาท
“สุริยะ”เผยผล ก.อุตสาหกรรมพร้อมหน่วยงานพันธมิตรลงพื้นที่ซ่อม สร้าง ฟื้นฟู 4 จว. ภาคอีสาน พร้อมช่วยผู้ประสบอุทกภัยพักชําระหนี้ กว่า 122 ล้านบาท
กรุงเทพฯ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เผย ก.อุตสาหกรรม พร้อมหน่วยงานพันธมิตร อาทิ ธพว. ปตท. สถาบันอาชีวศึกษาในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ ยโสธร และร้อยเอ็ด จัดกิจกรรมคลินิกอุตสาหกรรมเคลื่อนที่เพื่อช่วยเหลือสถานประกอบการและประชาชนภายหลังน้ําลด กว่า 3,610 ราย พักชําระหนี้ให้กับลูกค้ารายเดิมที่ประสบอุทกภัยวงเงินกว่า 122 ล้านบาท พร้อมเปลี่ยนถ่ายน้ํามันเครื่องให้บริการตรวจเช็คและซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าฟรีให้แก่ประชาชน รวม 2,239 รายการ
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ภายใต้ 7 มาตรการ “ทําทันที”ซ่อม สร้าง ฟื้นฟู ช่วยผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่ 4 จังหวัด ประกอบด้วยจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ ยโสธร และร้อยเอ็ด ในระหว่างวันที่ 4 - 8 ตุลาคม 2562 โดยได้ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) พักชําระหนี้ให้กับลูกค้ารายเดิมที่ประสบอุทกภัย พร้อมจัดกิจกรรมคลินิกอุตสาหกรรมเคลื่อนที่ ให้บริการคําปรึกษาแนะนํา แก่ผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยอย่างครบวงจร และลงพื้นที่เยี่ยมเยือนผู้ประกอบการโรงงาน SMEs และวิสาหกิจชุมชนที่ประสบอุทกภัยเพื่อสร้างขวัญและกําลังใจ และร่วมทําความสะอาด (Big cleaning) ซ่อมแซม ฟื้นฟูอุปกรณ์ อาคาร และเครื่องจักรให้กับสถานประกอบการ
“จากสถานการณ์น้ําท่วมที่ผ่านมาส่งผลกระทบภาคอุตสาหกรรม ได้รับความเสียหาย 190 ราย มูลค่า ความเสียหาย 196,540,000 บาท กระทรวงฯ ได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรคือธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ในการพักชําระหนี้ให้กับลูกค้ารายเดิมที่ประสบอุทกภัย รวม 67 ราย วงเงินทั้งสิ้น 122,900,000 บาท พร้อมทั้งลดดอกเบี้ยเงินกู้ และขยายเวลาผ่อนชําระหนี้ รวมทั้งอยู่ระหว่างอนุมัติสินเชื่อ ของเงินทุนหมุนเวียนฯ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และสินเชื่อตามมาตรการต่างๆ ของ ธพว. เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและฟื้นฟูกิจการให้กับผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัย กว่า 190 ราย แบ่งเป็นโรงงานอุตสาหกรรม 71 ราย วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) 38 ราย วิสาหกิจชุมชน (OTOP) และบุคคลธรรมดา จํานวน 79 ราย และ เหมืองแร่ 2 รายและมีบริการให้คําปรึกษาแนะนําแก่ผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยอย่างครบวงจร ทั้งด้านการเงินและฟื้นฟูปรับปรุงสถานประกอบการ ให้กลับมาดําเนินกิจการได้โดยเร็ว เพื่อช่วยเหลือสถานประกอบการและประชาชนที่ประสบอุทกภัยภายหลังน้ําลด มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งสิ้น 2,625 คน และยังมีการสํารวจโรงงานที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เพื่อพิจารณายกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีและให้บริการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักรให้สามารถนําเครื่องจักรที่จดทะเบียนแล้วไปจํานองเป็นทุนในการดําเนินกิจการได้ จํานวน 53 โรง” นายสุริยะ กล่าว
นอกจากนี้ กระทรวงฯ ได้จัดตั้งศูนย์ให้คําปรึกษาแนะนํา (ศูนย์ SMEs Support & Rescue Center : SSRC) ให้แก่ผู้ประกอบการโรงงาน SMEs วิสาหกิจชุมชน และผู้ที่สนใจ ทั้งด้านการเงิน และด้านอื่นๆ เช่น การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตผลทางการเกษตร การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ และร่วมกับ ปตท. บริษัทรถยนต์ชั้นนํา และสถาบันการศึกษาในพื้นที่ ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิค วิทยาลัยการอาชีพ วิทยาลัยสารพัดช่าง รวมถึงงานพัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดให้ความร่วมมือจัดส่งบุคลากร ช่างยนต์ รวมกว่า 200 คน เพื่อให้บริการตรวจเช็คสภาพรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถสําหรับใช้ทางการเกษตร พร้อมเปลี่ยนถ่ายน้ํามันเครื่องให้บริการตรวจเช็คและซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าฟรีให้แก่ประชาชน รวม 2,239 รายการ โดยมีประชาชนนํารถยนต์และรถจักรยานยนต์ มารับบริการ แบ่งเป็น รถยนต์ 515 คัน รถจักรยานยนต์ 1,316 คัน รถสําหรับใช้ทางการเกษตร 126 คัน และเครื่องใช้ไฟฟ้า 282 เครื่อง และยังจัดให้มี “ครัวอุตสาหกรรม” สําหรับให้บริการอาหาร อาหารว่างและเครื่องดื่ม ให้กับ ผู้เข้าร่วมงาน และมอบถุงยังชีพ น้ําดื่ม ข้าวสาร สเปรย์กันน้ํากัดเท้า รวมทั้งให้บริการตัดผมชายฟรีตลอดการจัดงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปิดท้าย #กระทรวงอุตสาหกรรม #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม #รัฐมนตรีสุริยะ #ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย #ภายใต้7มาตรการทําทันทีซ่อมสร้างฟื้นฟูในพื้นที่4จังหวัด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุริยะ”เผยผล ก.อุตสาหกรรมพร้อมหน่วยงานพันธมิตรลงพื้นที่ซ่อม สร้าง ฟื้นฟู 4 จว. ภาคอีสาน พร้อมช่วยผู้ประสบอุทกภัยพักชำระหนี้ กว่า 122 ล้านบาท
วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562
“สุริยะ”เผยผล ก.อุตสาหกรรมพร้อมหน่วยงานพันธมิตรลงพื้นที่ซ่อม สร้าง ฟื้นฟู 4 จว. ภาคอีสาน พร้อมช่วยผู้ประสบอุทกภัยพักชําระหนี้ กว่า 122 ล้านบาท
“สุริยะ”เผยผล ก.อุตสาหกรรมพร้อมหน่วยงานพันธมิตรลงพื้นที่ซ่อม สร้าง ฟื้นฟู 4 จว. ภาคอีสาน พร้อมช่วยผู้ประสบอุทกภัยพักชําระหนี้ กว่า 122 ล้านบาท
กรุงเทพฯ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เผย ก.อุตสาหกรรม พร้อมหน่วยงานพันธมิตร อาทิ ธพว. ปตท. สถาบันอาชีวศึกษาในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ ยโสธร และร้อยเอ็ด จัดกิจกรรมคลินิกอุตสาหกรรมเคลื่อนที่เพื่อช่วยเหลือสถานประกอบการและประชาชนภายหลังน้ําลด กว่า 3,610 ราย พักชําระหนี้ให้กับลูกค้ารายเดิมที่ประสบอุทกภัยวงเงินกว่า 122 ล้านบาท พร้อมเปลี่ยนถ่ายน้ํามันเครื่องให้บริการตรวจเช็คและซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าฟรีให้แก่ประชาชน รวม 2,239 รายการ
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ภายใต้ 7 มาตรการ “ทําทันที”ซ่อม สร้าง ฟื้นฟู ช่วยผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่ 4 จังหวัด ประกอบด้วยจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ ยโสธร และร้อยเอ็ด ในระหว่างวันที่ 4 - 8 ตุลาคม 2562 โดยได้ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) พักชําระหนี้ให้กับลูกค้ารายเดิมที่ประสบอุทกภัย พร้อมจัดกิจกรรมคลินิกอุตสาหกรรมเคลื่อนที่ ให้บริการคําปรึกษาแนะนํา แก่ผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยอย่างครบวงจร และลงพื้นที่เยี่ยมเยือนผู้ประกอบการโรงงาน SMEs และวิสาหกิจชุมชนที่ประสบอุทกภัยเพื่อสร้างขวัญและกําลังใจ และร่วมทําความสะอาด (Big cleaning) ซ่อมแซม ฟื้นฟูอุปกรณ์ อาคาร และเครื่องจักรให้กับสถานประกอบการ
“จากสถานการณ์น้ําท่วมที่ผ่านมาส่งผลกระทบภาคอุตสาหกรรม ได้รับความเสียหาย 190 ราย มูลค่า ความเสียหาย 196,540,000 บาท กระทรวงฯ ได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรคือธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ในการพักชําระหนี้ให้กับลูกค้ารายเดิมที่ประสบอุทกภัย รวม 67 ราย วงเงินทั้งสิ้น 122,900,000 บาท พร้อมทั้งลดดอกเบี้ยเงินกู้ และขยายเวลาผ่อนชําระหนี้ รวมทั้งอยู่ระหว่างอนุมัติสินเชื่อ ของเงินทุนหมุนเวียนฯ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และสินเชื่อตามมาตรการต่างๆ ของ ธพว. เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและฟื้นฟูกิจการให้กับผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัย กว่า 190 ราย แบ่งเป็นโรงงานอุตสาหกรรม 71 ราย วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) 38 ราย วิสาหกิจชุมชน (OTOP) และบุคคลธรรมดา จํานวน 79 ราย และ เหมืองแร่ 2 รายและมีบริการให้คําปรึกษาแนะนําแก่ผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยอย่างครบวงจร ทั้งด้านการเงินและฟื้นฟูปรับปรุงสถานประกอบการ ให้กลับมาดําเนินกิจการได้โดยเร็ว เพื่อช่วยเหลือสถานประกอบการและประชาชนที่ประสบอุทกภัยภายหลังน้ําลด มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งสิ้น 2,625 คน และยังมีการสํารวจโรงงานที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เพื่อพิจารณายกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีและให้บริการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักรให้สามารถนําเครื่องจักรที่จดทะเบียนแล้วไปจํานองเป็นทุนในการดําเนินกิจการได้ จํานวน 53 โรง” นายสุริยะ กล่าว
นอกจากนี้ กระทรวงฯ ได้จัดตั้งศูนย์ให้คําปรึกษาแนะนํา (ศูนย์ SMEs Support & Rescue Center : SSRC) ให้แก่ผู้ประกอบการโรงงาน SMEs วิสาหกิจชุมชน และผู้ที่สนใจ ทั้งด้านการเงิน และด้านอื่นๆ เช่น การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตผลทางการเกษตร การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ และร่วมกับ ปตท. บริษัทรถยนต์ชั้นนํา และสถาบันการศึกษาในพื้นที่ ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิค วิทยาลัยการอาชีพ วิทยาลัยสารพัดช่าง รวมถึงงานพัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดให้ความร่วมมือจัดส่งบุคลากร ช่างยนต์ รวมกว่า 200 คน เพื่อให้บริการตรวจเช็คสภาพรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถสําหรับใช้ทางการเกษตร พร้อมเปลี่ยนถ่ายน้ํามันเครื่องให้บริการตรวจเช็คและซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าฟรีให้แก่ประชาชน รวม 2,239 รายการ โดยมีประชาชนนํารถยนต์และรถจักรยานยนต์ มารับบริการ แบ่งเป็น รถยนต์ 515 คัน รถจักรยานยนต์ 1,316 คัน รถสําหรับใช้ทางการเกษตร 126 คัน และเครื่องใช้ไฟฟ้า 282 เครื่อง และยังจัดให้มี “ครัวอุตสาหกรรม” สําหรับให้บริการอาหาร อาหารว่างและเครื่องดื่ม ให้กับ ผู้เข้าร่วมงาน และมอบถุงยังชีพ น้ําดื่ม ข้าวสาร สเปรย์กันน้ํากัดเท้า รวมทั้งให้บริการตัดผมชายฟรีตลอดการจัดงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปิดท้าย #กระทรวงอุตสาหกรรม #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม #รัฐมนตรีสุริยะ #ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย #ภายใต้7มาตรการทําทันทีซ่อมสร้างฟื้นฟูในพื้นที่4จังหวัด
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23940
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง ลธน.ม.เรณูฯ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจระหว่าง ธ.ก.ส. ร่วมมือกับบริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด ตรวจสอบวิเคราะห์สินค้าเกษตร
|
วันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม 2560
รอง ลธน.ม.เรณูฯ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจระหว่าง ธ.ก.ส. ร่วมมือกับบริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จํากัด ตรวจสอบวิเคราะห์สินค้าเกษตร
และปัจจัยการผลิตทางการเกษตร เพื่อมุ่งสร้างมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่ระดับสากล เน้นพัฒนาเรื่องการบริหารจัดการ การสร้างมูลค่าเพิ่มและมาตรฐานสินค้าเกษตรให้มีความเข้มแข็งมั่นคงอย่างยั่งยืนสู่ระดับสากล
วันนี้ (24 สิงหาคม 2560) เวลา 15.00 น. ณ เวทีกลาง ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจระหว่าง ธ.ก.ส. ร่วมมือกับบริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จํากัด หรือที่รู้จักกันดีในนาม Central Laboratory (Thailand) Co,Ltd หรือ CLT โดยมี นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. และ นายสุรชัย กําพลานนท์วัฒน์ กรรมการผู้อํานวยการบริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จํากัด ร่วมลงนาม ซึ่งได้รับเกียรติจาก นางสาลินี วังตาล ประธานกรรมการบริหาร (ClT) ร่วมเป็นสักขีพยานด้วย
ทั้งนี้ พิธีลงนามฯ ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนส่งเสริมเกษตรกร ชุมชน และสถาบันเกษตรกร ผลิตสินค้าเกษตรและปัจจัยการผลิตทางการเกษตรให้มีมาตรฐาน ก้าวสู่การแข่งขันในระดับสากล สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร พร้อมสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนแก่เศรษฐกิจฐานรากตามนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรม ไทยแลนด์ 4.0 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อเพื่อยกระดับเป็น SME เกษตร ด้วย “โครงการสินเชื่อ 1 ตําบล 1 SME เกษตร สร้างความยั่งยืนของภาคเกษตรไทย” ซึ่งผู้ประกอบการในกลุ่มนี้จะเป็นหัวขบวนเชื่อมโยงกลุ่มผู้ผลิตรายย่อยจากต้นน้ํา กลางน้ํา สู่ปลายน้ํา เมื่อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของกลุ่มลูกค้า SME เกษตรของ ธ.ก.ส.ดังกล่าวผ่านการตรวจสอบวิเคราะห์ โดย CLT ซึ่งเป็นแล็บประชารัฐได้รับมาตรฐานสากลจากแล็บกลางสหภาพยุโรป (European Union Reference Laboratory : EURL) ซึ่งจะสร้างความมั่นใจและความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น
ตอนท้ายของพิธีลงนามฯ กรรมการผู้อํานวยการ CLT กล่าวว่า โปรโมชั่นพิเศษที่ CLT มอบให้แก่เกษตรกร ชุมชน และสถาบันเกษตรกร ที่นําสินค้าไปตรวจทั้ง 6 สาขาทั่วประเทศ นั่นคือ ส่วนลด 30% สําหรับการตรวจสินค้าทุกรายการ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอาหารหรือไม่ใช่อาหาร พร้อมกันนี้ CLT ร่วมมือกับสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. ในการแจกคูปองตรวจวิเคราะห์มาตรฐานผลิตภัณฑ์ มูลค่า 5,000 บาทฟรีอีกด้วย โดยในเฟสที่ 2 จะแจกคูปองตรวจวิเคราะห์จํานวนมากถึง 6,000 ใบ เกษตรกร ชุมชน และสถาบันเกษตรกรใดสนใจ รีบจองสิทธิ์รับคูปองด่วน ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 098-249-6608 หรือ 098-249-0665
.................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง ลธน.ม.เรณูฯ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจระหว่าง ธ.ก.ส. ร่วมมือกับบริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด ตรวจสอบวิเคราะห์สินค้าเกษตร
วันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม 2560
รอง ลธน.ม.เรณูฯ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจระหว่าง ธ.ก.ส. ร่วมมือกับบริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จํากัด ตรวจสอบวิเคราะห์สินค้าเกษตร
และปัจจัยการผลิตทางการเกษตร เพื่อมุ่งสร้างมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่ระดับสากล เน้นพัฒนาเรื่องการบริหารจัดการ การสร้างมูลค่าเพิ่มและมาตรฐานสินค้าเกษตรให้มีความเข้มแข็งมั่นคงอย่างยั่งยืนสู่ระดับสากล
วันนี้ (24 สิงหาคม 2560) เวลา 15.00 น. ณ เวทีกลาง ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจระหว่าง ธ.ก.ส. ร่วมมือกับบริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จํากัด หรือที่รู้จักกันดีในนาม Central Laboratory (Thailand) Co,Ltd หรือ CLT โดยมี นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. และ นายสุรชัย กําพลานนท์วัฒน์ กรรมการผู้อํานวยการบริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จํากัด ร่วมลงนาม ซึ่งได้รับเกียรติจาก นางสาลินี วังตาล ประธานกรรมการบริหาร (ClT) ร่วมเป็นสักขีพยานด้วย
ทั้งนี้ พิธีลงนามฯ ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนส่งเสริมเกษตรกร ชุมชน และสถาบันเกษตรกร ผลิตสินค้าเกษตรและปัจจัยการผลิตทางการเกษตรให้มีมาตรฐาน ก้าวสู่การแข่งขันในระดับสากล สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร พร้อมสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนแก่เศรษฐกิจฐานรากตามนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรม ไทยแลนด์ 4.0 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อเพื่อยกระดับเป็น SME เกษตร ด้วย “โครงการสินเชื่อ 1 ตําบล 1 SME เกษตร สร้างความยั่งยืนของภาคเกษตรไทย” ซึ่งผู้ประกอบการในกลุ่มนี้จะเป็นหัวขบวนเชื่อมโยงกลุ่มผู้ผลิตรายย่อยจากต้นน้ํา กลางน้ํา สู่ปลายน้ํา เมื่อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของกลุ่มลูกค้า SME เกษตรของ ธ.ก.ส.ดังกล่าวผ่านการตรวจสอบวิเคราะห์ โดย CLT ซึ่งเป็นแล็บประชารัฐได้รับมาตรฐานสากลจากแล็บกลางสหภาพยุโรป (European Union Reference Laboratory : EURL) ซึ่งจะสร้างความมั่นใจและความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น
ตอนท้ายของพิธีลงนามฯ กรรมการผู้อํานวยการ CLT กล่าวว่า โปรโมชั่นพิเศษที่ CLT มอบให้แก่เกษตรกร ชุมชน และสถาบันเกษตรกร ที่นําสินค้าไปตรวจทั้ง 6 สาขาทั่วประเทศ นั่นคือ ส่วนลด 30% สําหรับการตรวจสินค้าทุกรายการ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอาหารหรือไม่ใช่อาหาร พร้อมกันนี้ CLT ร่วมมือกับสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. ในการแจกคูปองตรวจวิเคราะห์มาตรฐานผลิตภัณฑ์ มูลค่า 5,000 บาทฟรีอีกด้วย โดยในเฟสที่ 2 จะแจกคูปองตรวจวิเคราะห์จํานวนมากถึง 6,000 ใบ เกษตรกร ชุมชน และสถาบันเกษตรกรใดสนใจ รีบจองสิทธิ์รับคูปองด่วน ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 098-249-6608 หรือ 098-249-0665
.................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6180
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมลุยโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่
|
วันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2563
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมลุยโครงการ 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมลุยโครงการ 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ หลังครม. อนุมัติ เพื่อแก้ปัญหาความยากจนด้วยศาสตร์พระราชา-เกษตรทฤษฎีใหม่ พร้อมทั้งเปิดศูนย์เรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ทุกตําบล
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมลุยโครงการ 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ หลังครม. อนุมัติ เพื่อแก้ปัญหาความยากจนด้วยศาสตร์พระราชา-เกษตรทฤษฎีใหม่ พร้อมทั้งเปิดศูนย์เรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ทุกตําบล
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แถลงในวันที่ 22 กรกฎาคม 2563 ว่า ขอขอบคุณ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ที่มีมติเห็นชอบโครงการ 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ งบประมาณ 9,805.707 ล้านบาท เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งโครงการดังกล่าวได้ยกร่างและนําเสนอโดยคณะทํางานเกษตรทฤษฎีใหม่ของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน) เป็นประธาน โดยโครงการนี้ เป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ภายหลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น 400,000 ล้านบาท ภายใต้แผนงาน “การสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก” ใน พรบ.เงินกู้ และถือเป็นโครงการที่ได้รับการอนุมัติในชุดแรก มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่เพื่อการพึ่งตนเองลงไปถึงระดับหมู่บ้าน ซึ่งถือเป็นทางรอดและต้นแบบของเกษตรรายย่อย เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันต่อวิกฤติต่าง ๆ และสร้างความมั่นคงทางอาหารในที่สุด โดยใช้หลักของเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เกี่ยวกับการบริหารจัดการที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยและมีชีวิตอย่างยั่งยืน โดยมีการแบ่งพื้นที่เป็นส่วน ๆ ได้แก่ พื้นที่น้ํา พื้นที่ดินเพื่อเป็นที่นาปลูกข้าว พื้นที่ดินสําหรับปลูกไม้ผลไม้ยืนต้น พืชไร่นานาพันธุ์ และที่สําหรับอยู่อาศัยและเลี้ยงสัตว์ ในอัตราส่วน 30:30:30:10 เป็นหลักการในการบริหารจัดการที่ดินและน้ํา เพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
สําหรับโครงการ 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ จะดําเนินการโดยแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการฯ
กําหนดคุณสมบัติเกษตรกร จัดทําคู่มือการดําเนินการเกษตรทฤษฎีใหม่ รับสมัครและคัดเลือกเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการ โดยต้องมีพื้นที่เกษตรตั้งแต่ 3 ไร่ และพร้อมอุทิศตนเป็นต้นแบบศูนย์เรียนรู้ชุมชน โดยพื้นที่จะถูกนํามาออกแบบแปลงตามหลักทฤษฎีใหม่และสอดคล้องกับภูมิสังคม โดยจะได้รับสระเก็บน้ําความจุรวม 4,000 ลูกบาศก์เมตร การส่งเสริมและปัจจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําจากกรมประมง การปรับสภาพและบํารุงดินจากกรมพัฒนาที่ดิน การส่งเสริมด้านพืชและไม้ผลจากกรมส่งเสริมการเกษตร การส่งเสริมปัจจัยด้านปศุสัตว์และพืชเลี้ยงสัตว์จากกรมปศุสัตว์ และที่สําคัญเกษตรกรจะได้รับการอบรมบ่มเพาะให้มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่ และพร้อมที่จะเป็นวิทยากรถ่ายทอดในหมู่บ้านของตนต่อไป ทั้งนี้ วางเป้าหมายดําเนินการในกลุ่มเกษตรกร 4,009 ตําบล (เฉลี่ยตําบลละ 16 ราย) รวมทั้งสิ้น 64,144 ราย รวมทั้งมีการจ้างงาน ตําบลละ 8 คน รวม 32,072 ราย รายได้เดือนละ 9000 บาท/ราย เป็นระยะเวลา 12 เดือน ดังนั้น แต่ละตําบล จะมีทีมตําบลรวม 24 คน เป็นทีมงานที่จะร่วมกันทํางานตลอดเวลา 12 เดือน เพื่อจุดประกาย ขยายผลเกษตรทฤษฎีใหม่ในตําบลของตนต่อไป
“ความสําเร็จของโครงการ 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ คาดว่าในอนาคตจะมีพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืน เพิ่มขึ้นรวม 192,432 ไร่ พื้นที่เก็บกับน้ําจุได้ รวม256 ล้าน ลูกบาศก์เมตร และพื้นที่ปลูกป่าเพิ่มขึ้น 19,253 ไร่ รวมทั้งเกษตรกรได้รับการพัฒนาให้มีความมั่นคงในอาชีพอย่างยั่งยืน 64,144 ราย เกิดการจ้างงาน 32,072 คน ตลอดจนมีแปลงต้นแบบเพื่อการเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ รวม 64,144 แปลง ทั่วประเทศอีกด้วย” นายอลงกรณ์ กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมลุยโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่
วันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2563
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมลุยโครงการ 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมลุยโครงการ 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ หลังครม. อนุมัติ เพื่อแก้ปัญหาความยากจนด้วยศาสตร์พระราชา-เกษตรทฤษฎีใหม่ พร้อมทั้งเปิดศูนย์เรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ทุกตําบล
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมลุยโครงการ 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ หลังครม. อนุมัติ เพื่อแก้ปัญหาความยากจนด้วยศาสตร์พระราชา-เกษตรทฤษฎีใหม่ พร้อมทั้งเปิดศูนย์เรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ทุกตําบล
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แถลงในวันที่ 22 กรกฎาคม 2563 ว่า ขอขอบคุณ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ที่มีมติเห็นชอบโครงการ 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ งบประมาณ 9,805.707 ล้านบาท เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งโครงการดังกล่าวได้ยกร่างและนําเสนอโดยคณะทํางานเกษตรทฤษฎีใหม่ของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน) เป็นประธาน โดยโครงการนี้ เป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ภายหลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น 400,000 ล้านบาท ภายใต้แผนงาน “การสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก” ใน พรบ.เงินกู้ และถือเป็นโครงการที่ได้รับการอนุมัติในชุดแรก มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่เพื่อการพึ่งตนเองลงไปถึงระดับหมู่บ้าน ซึ่งถือเป็นทางรอดและต้นแบบของเกษตรรายย่อย เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันต่อวิกฤติต่าง ๆ และสร้างความมั่นคงทางอาหารในที่สุด โดยใช้หลักของเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เกี่ยวกับการบริหารจัดการที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยและมีชีวิตอย่างยั่งยืน โดยมีการแบ่งพื้นที่เป็นส่วน ๆ ได้แก่ พื้นที่น้ํา พื้นที่ดินเพื่อเป็นที่นาปลูกข้าว พื้นที่ดินสําหรับปลูกไม้ผลไม้ยืนต้น พืชไร่นานาพันธุ์ และที่สําหรับอยู่อาศัยและเลี้ยงสัตว์ ในอัตราส่วน 30:30:30:10 เป็นหลักการในการบริหารจัดการที่ดินและน้ํา เพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
สําหรับโครงการ 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ จะดําเนินการโดยแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการฯ
กําหนดคุณสมบัติเกษตรกร จัดทําคู่มือการดําเนินการเกษตรทฤษฎีใหม่ รับสมัครและคัดเลือกเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการ โดยต้องมีพื้นที่เกษตรตั้งแต่ 3 ไร่ และพร้อมอุทิศตนเป็นต้นแบบศูนย์เรียนรู้ชุมชน โดยพื้นที่จะถูกนํามาออกแบบแปลงตามหลักทฤษฎีใหม่และสอดคล้องกับภูมิสังคม โดยจะได้รับสระเก็บน้ําความจุรวม 4,000 ลูกบาศก์เมตร การส่งเสริมและปัจจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําจากกรมประมง การปรับสภาพและบํารุงดินจากกรมพัฒนาที่ดิน การส่งเสริมด้านพืชและไม้ผลจากกรมส่งเสริมการเกษตร การส่งเสริมปัจจัยด้านปศุสัตว์และพืชเลี้ยงสัตว์จากกรมปศุสัตว์ และที่สําคัญเกษตรกรจะได้รับการอบรมบ่มเพาะให้มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่ และพร้อมที่จะเป็นวิทยากรถ่ายทอดในหมู่บ้านของตนต่อไป ทั้งนี้ วางเป้าหมายดําเนินการในกลุ่มเกษตรกร 4,009 ตําบล (เฉลี่ยตําบลละ 16 ราย) รวมทั้งสิ้น 64,144 ราย รวมทั้งมีการจ้างงาน ตําบลละ 8 คน รวม 32,072 ราย รายได้เดือนละ 9000 บาท/ราย เป็นระยะเวลา 12 เดือน ดังนั้น แต่ละตําบล จะมีทีมตําบลรวม 24 คน เป็นทีมงานที่จะร่วมกันทํางานตลอดเวลา 12 เดือน เพื่อจุดประกาย ขยายผลเกษตรทฤษฎีใหม่ในตําบลของตนต่อไป
“ความสําเร็จของโครงการ 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ คาดว่าในอนาคตจะมีพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืน เพิ่มขึ้นรวม 192,432 ไร่ พื้นที่เก็บกับน้ําจุได้ รวม256 ล้าน ลูกบาศก์เมตร และพื้นที่ปลูกป่าเพิ่มขึ้น 19,253 ไร่ รวมทั้งเกษตรกรได้รับการพัฒนาให้มีความมั่นคงในอาชีพอย่างยั่งยืน 64,144 ราย เกิดการจ้างงาน 32,072 คน ตลอดจนมีแปลงต้นแบบเพื่อการเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ รวม 64,144 แปลง ทั่วประเทศอีกด้วย” นายอลงกรณ์ กล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33595
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ จังหวัดขอนแก่น เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 ด้วยการศึกษาวิจัย พร้อมตรวจเยี่ยมติดตามการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล
|
วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2560
นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ จังหวัดขอนแก่น เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 ด้วยการศึกษาวิจัย พร้อมตรวจเยี่ยมติดตามการดําเนินงานตามนโยบายสําคัญของรัฐบาล
นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ จังหวัดขอนแก่น เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 ด้วยการศึกษาวิจัย พร้อมตรวจเยี่ยมติดตามการดําเนินงานตามนโยบายสําคัญของรัฐบาล
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาตร์และเทคโนโลยี นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรีมีกําหนดการเดินทางไปราชการจังหวัดขอนแก่น ในวันพุธ ที่ 21 มิถุนายน 2560 เพื่อกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง การขับเคลื่อน Thailand 4.0 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการ “วิจัยและนวัตกรรม มข. เพื่อ Thailand 4.0” และเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนของสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วยการศึกษาวิจัย ตามนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” รวมทั้ง เพื่อตรวจเยี่ยมและติดตามการขับเคลื่อนนโยบายสําคัญเร่งด่วนของรัฐบาลในด้านการส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่ผ่านระบบสหกรณ์ของจังหวัดขอนแก่น และการพัฒนาการเกษตรด้านอื่น ๆ อันจะนําไปสู่การลดต้นทุนการผลิต การยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร รวมทั้งการสร้างความเข้มแข็งของสถาบันเกษตรกร โดยมีกําหนดการ ดังนี้
ช่วงเช้า ณ ศูนย์ประชุมกาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยขอนแก่น นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การขับเคลื่อน ไทยแลนด์ 4.0 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” จากนั้น จะเยี่ยมชมนิทรรศการ “วิจัยและนวัตกรรม มข. เพื่อ Thailand 4.0” ประกอบด้วย ด้านเกษตรและอาหาร ผลงานวิจัยด้านสุขภาพ ด้านวัสดุและพลังงานในอนาคต ผลการวิจัยด้านการศึกษา ผลงานวิจัยด้าน Bio economy ผลงานวิจัยด้านนวัตกรรม ICT การดําเนินโครงการ Smart City เป็นต้น
ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะจะเดินทางไปที่สหกรณ์โคนมขอนแก่นที่บ้านซําจาน ตําบลบ้านค้อ อําเภอเมืองขอนแก่น เพื่อติดตามผลงานของรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีจะมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4 – 01) จํานวน 5 แปลง และมอบโรงรวบรวมผลิตน้ํานมดิบและโรงผสมอาหารสัตว์ให้กับสหกรณ์โคนม ขอนแก่น จํากัด ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะมอบงบประมาณสนับสนุนโครงการธนาคารโคนมทดแทน พร้อมมอบเงินสนับสนุนโครงการยางพาราในหน่วยงานภาครัฐพื้นปูพื้นโรงเรือนโคนม จากนั้น นายกรัฐมนตรีจะกล่าวปราศรัยพบปะกับประชาชนที่มาให้การต้อนรับ พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการประกอบด้วย ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพสินค้าเกษตร ผลงาน Young Smart Farmer การบริหารจัดการน้ํา การ Zoning by Agri – map และการทําเกษตรแปลงใหญ่ ดูโครงการผักปลอดสารพิษ รวมทั้งชมการจัดตั้งบริษัทประชารัฐสามัคคีขอนแก่น
เวลาประมาณ 16.10 น. นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร
------------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ จังหวัดขอนแก่น เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 ด้วยการศึกษาวิจัย พร้อมตรวจเยี่ยมติดตามการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล
วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2560
นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ จังหวัดขอนแก่น เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 ด้วยการศึกษาวิจัย พร้อมตรวจเยี่ยมติดตามการดําเนินงานตามนโยบายสําคัญของรัฐบาล
นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ จังหวัดขอนแก่น เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 ด้วยการศึกษาวิจัย พร้อมตรวจเยี่ยมติดตามการดําเนินงานตามนโยบายสําคัญของรัฐบาล
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาตร์และเทคโนโลยี นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรีมีกําหนดการเดินทางไปราชการจังหวัดขอนแก่น ในวันพุธ ที่ 21 มิถุนายน 2560 เพื่อกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง การขับเคลื่อน Thailand 4.0 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการ “วิจัยและนวัตกรรม มข. เพื่อ Thailand 4.0” และเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนของสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วยการศึกษาวิจัย ตามนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” รวมทั้ง เพื่อตรวจเยี่ยมและติดตามการขับเคลื่อนนโยบายสําคัญเร่งด่วนของรัฐบาลในด้านการส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่ผ่านระบบสหกรณ์ของจังหวัดขอนแก่น และการพัฒนาการเกษตรด้านอื่น ๆ อันจะนําไปสู่การลดต้นทุนการผลิต การยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร รวมทั้งการสร้างความเข้มแข็งของสถาบันเกษตรกร โดยมีกําหนดการ ดังนี้
ช่วงเช้า ณ ศูนย์ประชุมกาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยขอนแก่น นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การขับเคลื่อน ไทยแลนด์ 4.0 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” จากนั้น จะเยี่ยมชมนิทรรศการ “วิจัยและนวัตกรรม มข. เพื่อ Thailand 4.0” ประกอบด้วย ด้านเกษตรและอาหาร ผลงานวิจัยด้านสุขภาพ ด้านวัสดุและพลังงานในอนาคต ผลการวิจัยด้านการศึกษา ผลงานวิจัยด้าน Bio economy ผลงานวิจัยด้านนวัตกรรม ICT การดําเนินโครงการ Smart City เป็นต้น
ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะจะเดินทางไปที่สหกรณ์โคนมขอนแก่นที่บ้านซําจาน ตําบลบ้านค้อ อําเภอเมืองขอนแก่น เพื่อติดตามผลงานของรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีจะมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4 – 01) จํานวน 5 แปลง และมอบโรงรวบรวมผลิตน้ํานมดิบและโรงผสมอาหารสัตว์ให้กับสหกรณ์โคนม ขอนแก่น จํากัด ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะมอบงบประมาณสนับสนุนโครงการธนาคารโคนมทดแทน พร้อมมอบเงินสนับสนุนโครงการยางพาราในหน่วยงานภาครัฐพื้นปูพื้นโรงเรือนโคนม จากนั้น นายกรัฐมนตรีจะกล่าวปราศรัยพบปะกับประชาชนที่มาให้การต้อนรับ พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการประกอบด้วย ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพสินค้าเกษตร ผลงาน Young Smart Farmer การบริหารจัดการน้ํา การ Zoning by Agri – map และการทําเกษตรแปลงใหญ่ ดูโครงการผักปลอดสารพิษ รวมทั้งชมการจัดตั้งบริษัทประชารัฐสามัคคีขอนแก่น
เวลาประมาณ 16.10 น. นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร
------------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4631
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-สหราชอาณาจักร พร้อมสานต่อความร่วมมืออย่างรอบด้าน
|
วันพุธที่ 11 มีนาคม 2563
ไทย-สหราชอาณาจักร พร้อมสานต่อความร่วมมืออย่างรอบด้าน
ไทย-สหราชอาณาจักร พร้อมสานต่อความร่วมมืออย่างรอบด้าน
วันนี้ (11 มีนาคม 2563) เวลา 10.00 น. ลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ (Lord Powell of Bayswater KCMG) สมาชิกสภาขุนนางสหราชอาณาจักร พบหารือกับพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ในโอกาสเดินทางเยือนไทย สรุปสาระสําคัญของการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์อีกครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ดีระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักรตลอดระยะเวลา 165 ปีที่ผ่านมา พร้อมชื่นชมในประสบการณ์การทํางานของลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ ที่มีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งในรัฐสภาสหราชอาณาจักร และเชื่อว่าการหารือกันวันนี้จะเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักร
ลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ ยินดีกับการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยชื่นชมประเทศไทยที่ได้มีพัฒนาการทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย มีกลไกตรวจสอบ และเชื่อมั่นในการบริหารงานของรัฐบาลไทยว่าจะสามารถแก้ไขปัญหา ความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่รัฐบาลทุกประเทศที่ได้รับผลกระทบต้องระมัดระวัง และดูแลประชาชน ตลอดจนยังมีมาตรการต่างๆที่รัฐบาลต้องดําเนินการและให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
ทั้งสองฝ่ายชื่นชมความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่ความสัมพันธ์ไทย-สหราชอาณาจักรมีความแนบแน่นมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงอย่างสม่ําเสมอ ซึ่งสหราชอาณาจักรมีความสนใจที่จะลงทุนในภูมิภาคอื่น ๆ เพิ่มขึ้น โดยนายกรัฐมนตรียืนยันว่า ไทยมีศักยภาพและความพร้อมในการสนับสนุนการค้าการลงทุนร่วมกับสหราชอาณาจักรภายหลังการออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยเฉพาะในประเด็นที่สหราชอาณาจักรมีศักยภาพและเชี่ยวชาญ ได้แก่ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการพัฒนาการศึกษา โดยเฉพาะด้านอาชีวศึกษา ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้มหาวิทยาลัยชั้นนําของสหราชอาณาจักรมาเปิดวิทยาเขตในไทย เพื่อรองรับนักศึกษาทั้งไทยและต่างชาติ นอกจากนี้ยังได้เชิญชวนนักลงทุนสหราชอาณาจักรที่สนใจร่วมพิจารณาการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ในท้ายนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกับการก่อตั้งและส่งเสริมความร่วมมือของภาคเอกชนภายใต้กลไกสภาผู้นําธุรกิจไทย-สหราชอาณาจักร (Thai-UK Business Leadership Council-TUBLC) ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นกลไกที่สําคัญยิ่งต่อการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสามารถต่อยอดไปสู่การลงทุนในภูมิภาคอาเซียนได้ในอนาคต
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-สหราชอาณาจักร พร้อมสานต่อความร่วมมืออย่างรอบด้าน
วันพุธที่ 11 มีนาคม 2563
ไทย-สหราชอาณาจักร พร้อมสานต่อความร่วมมืออย่างรอบด้าน
ไทย-สหราชอาณาจักร พร้อมสานต่อความร่วมมืออย่างรอบด้าน
วันนี้ (11 มีนาคม 2563) เวลา 10.00 น. ลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ (Lord Powell of Bayswater KCMG) สมาชิกสภาขุนนางสหราชอาณาจักร พบหารือกับพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ในโอกาสเดินทางเยือนไทย สรุปสาระสําคัญของการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์อีกครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ดีระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักรตลอดระยะเวลา 165 ปีที่ผ่านมา พร้อมชื่นชมในประสบการณ์การทํางานของลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ ที่มีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งในรัฐสภาสหราชอาณาจักร และเชื่อว่าการหารือกันวันนี้จะเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักร
ลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ ยินดีกับการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยชื่นชมประเทศไทยที่ได้มีพัฒนาการทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย มีกลไกตรวจสอบ และเชื่อมั่นในการบริหารงานของรัฐบาลไทยว่าจะสามารถแก้ไขปัญหา ความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่รัฐบาลทุกประเทศที่ได้รับผลกระทบต้องระมัดระวัง และดูแลประชาชน ตลอดจนยังมีมาตรการต่างๆที่รัฐบาลต้องดําเนินการและให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
ทั้งสองฝ่ายชื่นชมความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่ความสัมพันธ์ไทย-สหราชอาณาจักรมีความแนบแน่นมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงอย่างสม่ําเสมอ ซึ่งสหราชอาณาจักรมีความสนใจที่จะลงทุนในภูมิภาคอื่น ๆ เพิ่มขึ้น โดยนายกรัฐมนตรียืนยันว่า ไทยมีศักยภาพและความพร้อมในการสนับสนุนการค้าการลงทุนร่วมกับสหราชอาณาจักรภายหลังการออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยเฉพาะในประเด็นที่สหราชอาณาจักรมีศักยภาพและเชี่ยวชาญ ได้แก่ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการพัฒนาการศึกษา โดยเฉพาะด้านอาชีวศึกษา ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้มหาวิทยาลัยชั้นนําของสหราชอาณาจักรมาเปิดวิทยาเขตในไทย เพื่อรองรับนักศึกษาทั้งไทยและต่างชาติ นอกจากนี้ยังได้เชิญชวนนักลงทุนสหราชอาณาจักรที่สนใจร่วมพิจารณาการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ในท้ายนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกับการก่อตั้งและส่งเสริมความร่วมมือของภาคเอกชนภายใต้กลไกสภาผู้นําธุรกิจไทย-สหราชอาณาจักร (Thai-UK Business Leadership Council-TUBLC) ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นกลไกที่สําคัญยิ่งต่อการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสามารถต่อยอดไปสู่การลงทุนในภูมิภาคอาเซียนได้ในอนาคต
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27063
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่ประชุมโควิด – 19 มีมติให้บริษัทจดทะเบียน สามารถเลื่อนการประชุมกรรมการและผู้ถือหุ้น จากกำหนดเดิม 30 เมษายนนี้ออกไปได้ หากจำเป็นประชุมให้ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์แทน
|
วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563
ที่ประชุมโควิด – 19 มีมติให้บริษัทจดทะเบียน สามารถเลื่อนการประชุมกรรมการและผู้ถือหุ้น จากกําหนดเดิม 30 เมษายนนี้ออกไปได้ หากจําเป็นประชุมให้ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์แทน
ที่ประชุมโควิด – 19 มีมติให้บริษัทจดทะเบียน สามารถเลื่อนการประชุมกรรมการและผู้ถือหุ้น จากกําหนดเดิม 30 เมษายนนี้ออกไปได้ หากจําเป็นประชุมให้ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์แทน
วันนี้(23มีนาคม2563)เวลา17.20น.ณโถงกลางตึกสันติไมตรีทําเนียบรัฐบาลภายหลังหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID - 19)เสร็จสิ้น นายเทวัญลิปตพัลลภรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีนําผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแถลงผลการประชุมสรุปสาระสําคัญดังนี้
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าที่ประชุมเน้นย้ํา6มาตรการของรัฐบาลโดยเฉพาะมาตรการการคัดกรองบุคคลที่เดินทางเข้าประเทศไทยการปิดพรมแดนทั่วประเทศยกเว้นช่องทางขนส่งสินค้าเท่านั้นรวมถึงการกระจายหน้ากากอนามัยโดยที่ประชุมยังไม่มีการพูดคุยถึงการใช้ พรก.ฉุกเฉินเพื่อดูแลสถานการณ์ในขณะนี้ ทั้งนี้การประชุมครม.พรุ่งนี้จะมีการพิจารณามาตรการช่วยเหลือเยียวยาลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการปิดกิจการในช่วงเวลานี้
อย่างไรก็ตามที่ประชุมยังมีมติให้บริษัทจํากัดบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนทางการค้ากับกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ให้สามารถแจ้งเพื่อขอเลื่อนการประชุมกรรมการผู้ถือหุ้นประจําปีจากเดิมที่กฎหมายกําหนดไว้ต้องดําเนินการให้แล้วเสร็จภายใน30เมษายนนี้ของทุกปีโดยทางกระทรวงพาณิชย์จะยกเว้นค่าปรับหากบริษัทใดมีความจําเป็นก็สามารถใช้วิธีการประชุมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้หรือผู้ถือหุ้นใช้วิธีมอบอํานาจกรรมการอิสระได้ หากต้องจัดประชุมก็ต้องปฎิบัติตามมาตรการการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดทั้งจํากัดจํานวนคนตรวจวัดอุณภูมิร่างกาย จัดที่นั่งให้มีระยะห่างตามที่กําหนด จัดให้มีแอลกอฮอลล้างมือในจุดต่างๆ
โอกาสนี้ นางรื่นฤดีสุวรรณมงคลเลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต. )กล่าวว่าปัจจุบันมีบริษัทที่จดทะเบียนมากกว่า700บริษัทซึ่งก.ล.ต.จะแจ้งข้อมูลนี้ไปยังทุกบริษัทพร้อมย้ําว่าสามารถประชุมอิเล็กทรอนิกส์ได้ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมยืนยันว่าสามารถใช้ระบบการประชุมนี้ได้
จากนั้นนายปกรณ์นิลประพันธ์เลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามคําสั่งคสช.ที่ออกมาก่อนหน้านี้ บริษัทสามารถประชุมอิเล็กทรอนิกส์ได้เพราะเป็นการประชุมที่กฎหมายให้การรองรับโดยมีเพียงสองเงื่อนไขเท่านั้นที่ประชุมได้ถูกต้องตามกฎหมายคือ1.ผู้ร่วมการประชุมอย่างน้อย1ใน3ขององค์ประชุมจะต้องมาเข้าร่วมประชุมเช่นหากมีคณะกรรมการ14คนองค์ประชุมจะต้องมี7คนดังนั้น1ใน3ของคณะกรรมการ7คนนี้ก็เท่ากับ3คนต้องอยู่ในที่ประชุมร่วมกันก็ถือว่าประชุมร่วมกันได้ อีกหนึ่งเงื่อนไขคือผู้ร่วมประชุมต้องอยู่ในประเทศพร้อมยืนยันว่าการประชุมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ชอบด้วยกฎหมายและมีผลในทางคดีต่างๆ ด้วย
............................
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่ประชุมโควิด – 19 มีมติให้บริษัทจดทะเบียน สามารถเลื่อนการประชุมกรรมการและผู้ถือหุ้น จากกำหนดเดิม 30 เมษายนนี้ออกไปได้ หากจำเป็นประชุมให้ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์แทน
วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563
ที่ประชุมโควิด – 19 มีมติให้บริษัทจดทะเบียน สามารถเลื่อนการประชุมกรรมการและผู้ถือหุ้น จากกําหนดเดิม 30 เมษายนนี้ออกไปได้ หากจําเป็นประชุมให้ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์แทน
ที่ประชุมโควิด – 19 มีมติให้บริษัทจดทะเบียน สามารถเลื่อนการประชุมกรรมการและผู้ถือหุ้น จากกําหนดเดิม 30 เมษายนนี้ออกไปได้ หากจําเป็นประชุมให้ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์แทน
วันนี้(23มีนาคม2563)เวลา17.20น.ณโถงกลางตึกสันติไมตรีทําเนียบรัฐบาลภายหลังหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID - 19)เสร็จสิ้น นายเทวัญลิปตพัลลภรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีนําผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแถลงผลการประชุมสรุปสาระสําคัญดังนี้
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าที่ประชุมเน้นย้ํา6มาตรการของรัฐบาลโดยเฉพาะมาตรการการคัดกรองบุคคลที่เดินทางเข้าประเทศไทยการปิดพรมแดนทั่วประเทศยกเว้นช่องทางขนส่งสินค้าเท่านั้นรวมถึงการกระจายหน้ากากอนามัยโดยที่ประชุมยังไม่มีการพูดคุยถึงการใช้ พรก.ฉุกเฉินเพื่อดูแลสถานการณ์ในขณะนี้ ทั้งนี้การประชุมครม.พรุ่งนี้จะมีการพิจารณามาตรการช่วยเหลือเยียวยาลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการปิดกิจการในช่วงเวลานี้
อย่างไรก็ตามที่ประชุมยังมีมติให้บริษัทจํากัดบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนทางการค้ากับกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ให้สามารถแจ้งเพื่อขอเลื่อนการประชุมกรรมการผู้ถือหุ้นประจําปีจากเดิมที่กฎหมายกําหนดไว้ต้องดําเนินการให้แล้วเสร็จภายใน30เมษายนนี้ของทุกปีโดยทางกระทรวงพาณิชย์จะยกเว้นค่าปรับหากบริษัทใดมีความจําเป็นก็สามารถใช้วิธีการประชุมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้หรือผู้ถือหุ้นใช้วิธีมอบอํานาจกรรมการอิสระได้ หากต้องจัดประชุมก็ต้องปฎิบัติตามมาตรการการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดทั้งจํากัดจํานวนคนตรวจวัดอุณภูมิร่างกาย จัดที่นั่งให้มีระยะห่างตามที่กําหนด จัดให้มีแอลกอฮอลล้างมือในจุดต่างๆ
โอกาสนี้ นางรื่นฤดีสุวรรณมงคลเลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต. )กล่าวว่าปัจจุบันมีบริษัทที่จดทะเบียนมากกว่า700บริษัทซึ่งก.ล.ต.จะแจ้งข้อมูลนี้ไปยังทุกบริษัทพร้อมย้ําว่าสามารถประชุมอิเล็กทรอนิกส์ได้ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมยืนยันว่าสามารถใช้ระบบการประชุมนี้ได้
จากนั้นนายปกรณ์นิลประพันธ์เลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามคําสั่งคสช.ที่ออกมาก่อนหน้านี้ บริษัทสามารถประชุมอิเล็กทรอนิกส์ได้เพราะเป็นการประชุมที่กฎหมายให้การรองรับโดยมีเพียงสองเงื่อนไขเท่านั้นที่ประชุมได้ถูกต้องตามกฎหมายคือ1.ผู้ร่วมการประชุมอย่างน้อย1ใน3ขององค์ประชุมจะต้องมาเข้าร่วมประชุมเช่นหากมีคณะกรรมการ14คนองค์ประชุมจะต้องมี7คนดังนั้น1ใน3ของคณะกรรมการ7คนนี้ก็เท่ากับ3คนต้องอยู่ในที่ประชุมร่วมกันก็ถือว่าประชุมร่วมกันได้ อีกหนึ่งเงื่อนไขคือผู้ร่วมประชุมต้องอยู่ในประเทศพร้อมยืนยันว่าการประชุมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ชอบด้วยกฎหมายและมีผลในทางคดีต่างๆ ด้วย
............................
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27726
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถิติความสูญเสียในช่วงเทศกาลปีใหม่ลดลง
|
วันจันทร์ที่ 6 มกราคม 2563
สถิติความสูญเสียในช่วงเทศกาลปีใหม่ลดลง
วันเสาร์ที่ 4 มกราคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันจัดงานเทศกาลปีใหม่และจิตอาสาที่ช่วยอํานวยความสะดวกและดูแลการจราจรในเส้นทางต่าง ๆ อย่างเต็มที่ ทําให้ในปีนี้สถิติการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ลดน้อยลงกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลจะนําไปใช้วิเคราะห์แผนและมาตรการดูแลความปลอดภัยบนท้องถนนในเทศกาลอื่น ๆ ให้ดียิ่งขึ้นต่อไป สิ่งสําคัญคือความร่วมมือของทุกคนที่ต้องคํานึงถึงความปลอดภัยให้มากขึ้นด้วย เพื่อลดการสูญเสีย พร้อมทั้งได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาแนวทางการซ่อมแซม ขยายช่องทางถนน หรือสร้างเส้นทางใหม่ เพื่อการสัญจรที่ดีในอนาคต
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถิติความสูญเสียในช่วงเทศกาลปีใหม่ลดลง
วันจันทร์ที่ 6 มกราคม 2563
สถิติความสูญเสียในช่วงเทศกาลปีใหม่ลดลง
วันเสาร์ที่ 4 มกราคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันจัดงานเทศกาลปีใหม่และจิตอาสาที่ช่วยอํานวยความสะดวกและดูแลการจราจรในเส้นทางต่าง ๆ อย่างเต็มที่ ทําให้ในปีนี้สถิติการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ลดน้อยลงกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลจะนําไปใช้วิเคราะห์แผนและมาตรการดูแลความปลอดภัยบนท้องถนนในเทศกาลอื่น ๆ ให้ดียิ่งขึ้นต่อไป สิ่งสําคัญคือความร่วมมือของทุกคนที่ต้องคํานึงถึงความปลอดภัยให้มากขึ้นด้วย เพื่อลดการสูญเสีย พร้อมทั้งได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาแนวทางการซ่อมแซม ขยายช่องทางถนน หรือสร้างเส้นทางใหม่ เพื่อการสัญจรที่ดีในอนาคต
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25608
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มท. ตรวจเยี่ยมและชมการสาธิตฝึกการป้องกันภัยฯ แบบบูรณาการ (IDMEx 2017) เพื่อเสริมสร้างศักยภาพ และเตรียมความพร้อมในการเผชิญเหตุสาธารณภัย
|
วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2560
รมช.มท. ตรวจเยี่ยมและชมการสาธิตฝึกการป้องกันภัยฯ แบบบูรณาการ (IDMEx 2017) เพื่อเสริมสร้างศักยภาพ และเตรียมความพร้อมในการเผชิญเหตุสาธารณภัย
รมช.มท. ตรวจเยี่ยมและชมการสาธิตฝึกการป้องกันภัยฯ แบบบูรณาการ (IDMEx 2017) เพื่อเสริมสร้างศักยภาพ และเตรียมความพร้อมในการเผชิญเหตุสาธารณภัย
วันนี้ (7 ก.ค. 60) เวลา 13.30 น. ณ กองการสัตว์และเกษตรกรรมที่ 2 กรมการสัตว์ทหารบก อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานตรวจเยี่ยมและชมการฝึกการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการ (Integrated Disaster Management Exercise2017 :IDMEx2017) โดยมีคณะทูตานุทูต ผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศ คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ผู้แทนเหล่าทัพ หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง กรม ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารองค์กรสาธารณกุศล/มูลนิธิ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนสื่อมวลชนเข้าร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการฝึกครั้งนี้ จัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทหาร พลเรือน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรสาธารณกุศล/มูลนิธิ และภาคีเครือข่าย ในระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน – 7 กรกฎาคม 2560 เพื่อเสริมสร้างศักยภาพ และเตรียมความพร้อมในการเผชิญเหตุสาธารณภัย มีการวางแผนการบูรณาการเครื่องมือ กําลังพล และทรัพยากรร่วมกัน เพื่อให้การดําเนินงานมีมาตรฐานการปฏิบัติงานในแต่ละประเภทภัยที่ถูกต้อง สามารถดําเนินการได้อย่างทันต่อสถานการณ์และมีประสิทธิภาพ เพื่อลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน รวมทั้งเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชน โดยมีหน่วยงานที่เข้าร่วมกิจกรรมการฝึกฯ จํานวนทั้งสิ้น 123 หน่วยงาน
โอกาสนี้ นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เยี่ยมชมนิทรรศการ การจัดแสดงเครื่องมือ อุปกรณ์ และเครื่องจักรกลสาธารณภัย ณ บริเวณกองการสัตว์และเกษตรกรรมที่2 พร้อมทั้งรับชมVTRการฝึกการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการ โดยหน่วยงานภาคีเครือข่ายได้ร่วมดําเนินการฝึกฯในระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน – 6 กรกฎาคม 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งมีทั้งการฝึกบนโต๊ะ (Table Top Exercise: TTX)การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องมือ อุปกรณ์ และเครื่องจักรกลสาธารณภัย รวมทั้งการฝึกบูรณาการการเผชิญเหตุภัยพิบัติต่างๆ เช่น การค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง ได้แก่การกู้ภัยอาคารสูง การกู้ภัยอาคารถล่ม และการจัดการสารเคมีและวัตถุอันตราย เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้ตรวจเยี่ยมและร่วมรับชมการสาธิตการฝึกการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการ โดยมีการบรรยายประกอบการปฏิบัติการกู้ภัย ได้แก่ การสาธิตการเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยด้วยอากาศยาน การปฏิบัติการทางการแพทย์ และการจัดตั้งทีมประเทศไทย โดยหัวหน้าผู้ควบคุมการฝึกแต่ละด้าน เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย พร้อมรับฟังสรุปผลการฝึกการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการ พ.ศ. 2560 จากอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นประธานมอบสถานีฝึกให้แก่จังหวัดนครราชสีมา พร้อมกล่าวให้โอวาทว่า ตนรู้สึกเป็นเกียรติและมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาตรวจเยี่ยมการฝึกป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการในวันนี้ โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยในความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดสาธารณภัยขนาดใหญ่ โดยเฉพาะประชาชนในเขตเมืองและในภูมิภาคต่างๆ ที่อาจประสบกับสถานการณ์แผ่นดินไหวและอาคารถล่ม ซึ่งก่อให้เกิดสาธารณภัยขนาดใหญ่และมีผลกระทบเป็นวงกว้าง จึงมีบัญชาให้จัดการฝึกการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการ ระหว่างหน่วยงานทหาร พลเรือน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มูลนิธิ และเครือข่ายภาคประชาชนขึ้น ประกอบกับสถานการณ์ภัยพิบัติในประเทศไทยมีแนวโน้มเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และทวีความรุนแรงมากขึ้นสร้างความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างมหาศาล
ปัจจุบันประเทศไทยมีกรอบแนวทางการจัดการสาธารณภัยของประเทศ คือ แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ.2558 ซึ่งได้มุ่งเน้นพันธะสัญญาตามกรอบเซนได ในการจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัย 3 ประการ ได้แก่ การลดความเสี่ยงจากสาธารณภัย การจัดการในภาวะฉุกเฉิน การฟื้นฟู ซ่อม สร้าง ให้ดีกว่าเดิมตามแนวทาง“รู้รับ ปรับตัว ฟื้นเร็วทั่ว อย่างยั่งยืน”ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ใช้แผนนี้ โดยมอบหมายให้กระทรวง กรม องค์กร และหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ จังหวัด อําเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคส่วนอื่นๆ ปฏิบัติให้เป็นไปตามแผนฯ นี้ด้วย จากเหตุการณ์สาธารณภัยขนาดใหญ่ที่เกิดบ่อยครั้งขึ้น สะท้อนให้เห็นความท้าทายต่อการจัดการความเสี่ยงที่เกิดจากสาธารณภัยขนาดใหญ่ในเขตชุมชนเมืองที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นมากขึ้น การบูรณาการในการเผชิญเหตุสาธารณภัยขนาดใหญ่ของหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานทหาร พลเรือน ภาคเอกชน มูลนิธิ องค์กรสาธารณกุศล และภาคประชาสังคม จึงมีความจําเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ในด้านอุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องจักรกลสาธารณภัยเท่านั้น หากแต่ความเข้าใจในการปฏิบัติงานร่วมกันของเจ้าหน้าที่ผู้เผชิญเหตุอย่างเป็นระบบภายใต้กรอบของแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ แผนบรรเทาสาธารณภัยของหน่วยทหาร แผนปฏิบัติการและแผนเผชิญเหตุของหน่วยงานในระดับพื้นที่มีความสําคัญที่จะทําให้การเผชิญเหตุในภาวะฉุกเฉินของเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้น การเตรียมความพร้อมของบุคลากร เครื่องมืออุปกรณ์ และเครื่องจักรกลสาธารณภัยตั้งแต่ในภาวะปกติถือเป็นสิ่งสําคัญอย่างยิ่ง และความเป็นเอกภาพในการปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉิน จะทําให้สามารถลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และการฝึกในวันนี้ ถือเป็นโอกาสที่ดีอีกครั้งหนึ่ง ที่ทุกหน่วยงานโดยเฉพาะหน่วยงานจากส่วนกลาง และหน่วยงานส่วนภูมิภาคจะได้มาซักซ้อมความเข้าใจเรียนรู้การใช้เครื่องมืออุปกรณ์ของแต่ละหน่วย เพื่อให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ หากมีสิ่งใดที่ต้องทําความเข้าใจปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้เกิดเป็นมาตรฐานในการเผชิญเหตุสาธารณภัยขนาดใหญ่ก็ขอให้นําไปปรับปรุงแก้ไขในทันที สิ่งที่สําคัญในการฝึกฯ แต่ละครั้ง คือ การประเมินผล สรุปปัญหาอุปสรรค ข้อขัดข้อง เพื่อนําไปปรับปรุงแก้ไขให้การปฏิบัติงานด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น จึงขอให้มีการประเมินการฝึกฯ และจัดทําเป็นคู่มือในการเผชิญเหตุสาธารณภัย ให้ครอบคลุมทุกประเภทภัย เพื่อที่จะให้ทุกหน่วยงานนําไปใช้เป็นกรอบการปฏิบัติงานต่อไป
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่าสําหรับสถานีการฝึกในครั้งนี้ถือเป็นสถาปัตย์การฝึกที่ได้มาตรฐานสากล ออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์การฝึกจากต่างประเทศ ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน จึงขอให้จังหวัดนครราชสีมาได้ใช้ประโยชน์ในการฝึกทั้งหน่วยงานภายในและพื้นที่ใกล้เคียงอย่างสม่ําเสมอ และขอขอบคุณกําลังพลจากทุกหน่วยงานที่ได้สละเวลาและงบประมาณในการเข้าร่วมการฝึกในครั้งนี้ ขอให้นําแนวทางที่ได้จากการฝึกป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการในครั้งนี้ ไปใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติงานเมื่อต้องเผชิญเหตุสาธารณภัยให้แก่พี่น้องประชาชน ตามที่รัฐบาลมีเป้าหมายให้ไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่ น่าท่องเที่ยวมีความปลอดภัย และพร้อมรับมือกับภัยต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ ภายใต้วาระ“ประเทศไทยปลอดภัย”.
ครั้งที่ 97/2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มท. ตรวจเยี่ยมและชมการสาธิตฝึกการป้องกันภัยฯ แบบบูรณาการ (IDMEx 2017) เพื่อเสริมสร้างศักยภาพ และเตรียมความพร้อมในการเผชิญเหตุสาธารณภัย
วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2560
รมช.มท. ตรวจเยี่ยมและชมการสาธิตฝึกการป้องกันภัยฯ แบบบูรณาการ (IDMEx 2017) เพื่อเสริมสร้างศักยภาพ และเตรียมความพร้อมในการเผชิญเหตุสาธารณภัย
รมช.มท. ตรวจเยี่ยมและชมการสาธิตฝึกการป้องกันภัยฯ แบบบูรณาการ (IDMEx 2017) เพื่อเสริมสร้างศักยภาพ และเตรียมความพร้อมในการเผชิญเหตุสาธารณภัย
วันนี้ (7 ก.ค. 60) เวลา 13.30 น. ณ กองการสัตว์และเกษตรกรรมที่ 2 กรมการสัตว์ทหารบก อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานตรวจเยี่ยมและชมการฝึกการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการ (Integrated Disaster Management Exercise2017 :IDMEx2017) โดยมีคณะทูตานุทูต ผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศ คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ผู้แทนเหล่าทัพ หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง กรม ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารองค์กรสาธารณกุศล/มูลนิธิ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนสื่อมวลชนเข้าร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการฝึกครั้งนี้ จัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทหาร พลเรือน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรสาธารณกุศล/มูลนิธิ และภาคีเครือข่าย ในระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน – 7 กรกฎาคม 2560 เพื่อเสริมสร้างศักยภาพ และเตรียมความพร้อมในการเผชิญเหตุสาธารณภัย มีการวางแผนการบูรณาการเครื่องมือ กําลังพล และทรัพยากรร่วมกัน เพื่อให้การดําเนินงานมีมาตรฐานการปฏิบัติงานในแต่ละประเภทภัยที่ถูกต้อง สามารถดําเนินการได้อย่างทันต่อสถานการณ์และมีประสิทธิภาพ เพื่อลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน รวมทั้งเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชน โดยมีหน่วยงานที่เข้าร่วมกิจกรรมการฝึกฯ จํานวนทั้งสิ้น 123 หน่วยงาน
โอกาสนี้ นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เยี่ยมชมนิทรรศการ การจัดแสดงเครื่องมือ อุปกรณ์ และเครื่องจักรกลสาธารณภัย ณ บริเวณกองการสัตว์และเกษตรกรรมที่2 พร้อมทั้งรับชมVTRการฝึกการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการ โดยหน่วยงานภาคีเครือข่ายได้ร่วมดําเนินการฝึกฯในระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน – 6 กรกฎาคม 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งมีทั้งการฝึกบนโต๊ะ (Table Top Exercise: TTX)การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องมือ อุปกรณ์ และเครื่องจักรกลสาธารณภัย รวมทั้งการฝึกบูรณาการการเผชิญเหตุภัยพิบัติต่างๆ เช่น การค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง ได้แก่การกู้ภัยอาคารสูง การกู้ภัยอาคารถล่ม และการจัดการสารเคมีและวัตถุอันตราย เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้ตรวจเยี่ยมและร่วมรับชมการสาธิตการฝึกการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการ โดยมีการบรรยายประกอบการปฏิบัติการกู้ภัย ได้แก่ การสาธิตการเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยด้วยอากาศยาน การปฏิบัติการทางการแพทย์ และการจัดตั้งทีมประเทศไทย โดยหัวหน้าผู้ควบคุมการฝึกแต่ละด้าน เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย พร้อมรับฟังสรุปผลการฝึกการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการ พ.ศ. 2560 จากอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นประธานมอบสถานีฝึกให้แก่จังหวัดนครราชสีมา พร้อมกล่าวให้โอวาทว่า ตนรู้สึกเป็นเกียรติและมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาตรวจเยี่ยมการฝึกป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการในวันนี้ โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยในความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดสาธารณภัยขนาดใหญ่ โดยเฉพาะประชาชนในเขตเมืองและในภูมิภาคต่างๆ ที่อาจประสบกับสถานการณ์แผ่นดินไหวและอาคารถล่ม ซึ่งก่อให้เกิดสาธารณภัยขนาดใหญ่และมีผลกระทบเป็นวงกว้าง จึงมีบัญชาให้จัดการฝึกการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการ ระหว่างหน่วยงานทหาร พลเรือน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มูลนิธิ และเครือข่ายภาคประชาชนขึ้น ประกอบกับสถานการณ์ภัยพิบัติในประเทศไทยมีแนวโน้มเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และทวีความรุนแรงมากขึ้นสร้างความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างมหาศาล
ปัจจุบันประเทศไทยมีกรอบแนวทางการจัดการสาธารณภัยของประเทศ คือ แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ.2558 ซึ่งได้มุ่งเน้นพันธะสัญญาตามกรอบเซนได ในการจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัย 3 ประการ ได้แก่ การลดความเสี่ยงจากสาธารณภัย การจัดการในภาวะฉุกเฉิน การฟื้นฟู ซ่อม สร้าง ให้ดีกว่าเดิมตามแนวทาง“รู้รับ ปรับตัว ฟื้นเร็วทั่ว อย่างยั่งยืน”ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ใช้แผนนี้ โดยมอบหมายให้กระทรวง กรม องค์กร และหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ จังหวัด อําเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคส่วนอื่นๆ ปฏิบัติให้เป็นไปตามแผนฯ นี้ด้วย จากเหตุการณ์สาธารณภัยขนาดใหญ่ที่เกิดบ่อยครั้งขึ้น สะท้อนให้เห็นความท้าทายต่อการจัดการความเสี่ยงที่เกิดจากสาธารณภัยขนาดใหญ่ในเขตชุมชนเมืองที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นมากขึ้น การบูรณาการในการเผชิญเหตุสาธารณภัยขนาดใหญ่ของหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานทหาร พลเรือน ภาคเอกชน มูลนิธิ องค์กรสาธารณกุศล และภาคประชาสังคม จึงมีความจําเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ในด้านอุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องจักรกลสาธารณภัยเท่านั้น หากแต่ความเข้าใจในการปฏิบัติงานร่วมกันของเจ้าหน้าที่ผู้เผชิญเหตุอย่างเป็นระบบภายใต้กรอบของแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ แผนบรรเทาสาธารณภัยของหน่วยทหาร แผนปฏิบัติการและแผนเผชิญเหตุของหน่วยงานในระดับพื้นที่มีความสําคัญที่จะทําให้การเผชิญเหตุในภาวะฉุกเฉินของเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้น การเตรียมความพร้อมของบุคลากร เครื่องมืออุปกรณ์ และเครื่องจักรกลสาธารณภัยตั้งแต่ในภาวะปกติถือเป็นสิ่งสําคัญอย่างยิ่ง และความเป็นเอกภาพในการปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉิน จะทําให้สามารถลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และการฝึกในวันนี้ ถือเป็นโอกาสที่ดีอีกครั้งหนึ่ง ที่ทุกหน่วยงานโดยเฉพาะหน่วยงานจากส่วนกลาง และหน่วยงานส่วนภูมิภาคจะได้มาซักซ้อมความเข้าใจเรียนรู้การใช้เครื่องมืออุปกรณ์ของแต่ละหน่วย เพื่อให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ หากมีสิ่งใดที่ต้องทําความเข้าใจปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้เกิดเป็นมาตรฐานในการเผชิญเหตุสาธารณภัยขนาดใหญ่ก็ขอให้นําไปปรับปรุงแก้ไขในทันที สิ่งที่สําคัญในการฝึกฯ แต่ละครั้ง คือ การประเมินผล สรุปปัญหาอุปสรรค ข้อขัดข้อง เพื่อนําไปปรับปรุงแก้ไขให้การปฏิบัติงานด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น จึงขอให้มีการประเมินการฝึกฯ และจัดทําเป็นคู่มือในการเผชิญเหตุสาธารณภัย ให้ครอบคลุมทุกประเภทภัย เพื่อที่จะให้ทุกหน่วยงานนําไปใช้เป็นกรอบการปฏิบัติงานต่อไป
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่าสําหรับสถานีการฝึกในครั้งนี้ถือเป็นสถาปัตย์การฝึกที่ได้มาตรฐานสากล ออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์การฝึกจากต่างประเทศ ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน จึงขอให้จังหวัดนครราชสีมาได้ใช้ประโยชน์ในการฝึกทั้งหน่วยงานภายในและพื้นที่ใกล้เคียงอย่างสม่ําเสมอ และขอขอบคุณกําลังพลจากทุกหน่วยงานที่ได้สละเวลาและงบประมาณในการเข้าร่วมการฝึกในครั้งนี้ ขอให้นําแนวทางที่ได้จากการฝึกป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการในครั้งนี้ ไปใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติงานเมื่อต้องเผชิญเหตุสาธารณภัยให้แก่พี่น้องประชาชน ตามที่รัฐบาลมีเป้าหมายให้ไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่ น่าท่องเที่ยวมีความปลอดภัย และพร้อมรับมือกับภัยต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ ภายใต้วาระ“ประเทศไทยปลอดภัย”.
ครั้งที่ 97/2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5103
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยสรุปผลผู้มาแสดงความคิดเห็นประเด็นคำถาม 6 ข้อเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรี วันแรก มีประชาชนร่วมตอบคำถามแล้วกว่า 1.9 หมื่นคน
|
วันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน 2560
มหาดไทยสรุปผลผู้มาแสดงความคิดเห็นประเด็นคําถาม 6 ข้อเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรี วันแรก มีประชาชนร่วมตอบคําถามแล้วกว่า 1.9 หมื่นคน
มหาดไทยสรุปผลผู้มาแสดงความคิดเห็นประเด็นคําถาม 6 ข้อเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรี วันแรก มีประชาชนร่วมตอบคําถามแล้วกว่า 1.9 หมื่นคน
วันนี้ (14 พ.ย.60) ที่กระทรวงมหาดไทยนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ตามที่เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2560พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยดําเนินการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อข้อคําถามของนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติมจํานวน 6 ข้อ ซึ่งพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดมอบหมายศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด และศูนย์ดํารงธรรมอําเภอ รวมทั้งขอความร่วมมือกรุงเทพมหานคร และสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีแจ้งให้สํานักงานเขต ทุกเขต และศูนย์บริการประชาชน 1111 เปิดสถานที่รับฟังความคิดเห็นของประชาชนเป็นวันแรกเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 นั้น
สําหรับภาพรวมหลังเปิดให้ประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นและตอบคําถามของนายกรัฐมนตรีผ่านช่องทางต่าง ๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยวันแรก (13 พฤศจิกายน 2560) มีประชาชนมาแสดงความคิดเห็นและตอบคําถาม จํานวนทั้งสิ้น 19,580 คน จังหวัดที่มีผู้แสดงความคิดเห็นมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ จังหวัดนครราชสีมา 3,416 คน สกลนคร 2,311 คน และขอนแก่น 2,302 คน
ปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยได้เน้นย้ําให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องอํานวยความสะดวกให้แก่พี่น้องประชาชนที่มาตอบคําถาม ทั้งนี้ ต้องไม่มีการชี้นําใด ๆ ทั้งสิ้น โดยประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นโดยอิสระตามความสมัครใจ
ในโอกาสนี้ กระทรวงมหาดไทย จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นและตอบคําถามของนายกรัฐมนตรีได้ในวันและเวลาราชการ ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. ณ ศูนย์ดํารงธรรมกระทรวงมหาดไทย ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด ศูนย์ดํารงธรรมอําเภอ ทั่วประเทศ ศูนย์บริการประชาชน สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี (1111) สํานักงานเขตในกรุงเทพมหานคร ทั้ง 50 เขต และศูนย์บริการร่วมในจุดต่างๆ.
ครั้งที่ 167/2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยสรุปผลผู้มาแสดงความคิดเห็นประเด็นคำถาม 6 ข้อเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรี วันแรก มีประชาชนร่วมตอบคำถามแล้วกว่า 1.9 หมื่นคน
วันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน 2560
มหาดไทยสรุปผลผู้มาแสดงความคิดเห็นประเด็นคําถาม 6 ข้อเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรี วันแรก มีประชาชนร่วมตอบคําถามแล้วกว่า 1.9 หมื่นคน
มหาดไทยสรุปผลผู้มาแสดงความคิดเห็นประเด็นคําถาม 6 ข้อเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรี วันแรก มีประชาชนร่วมตอบคําถามแล้วกว่า 1.9 หมื่นคน
วันนี้ (14 พ.ย.60) ที่กระทรวงมหาดไทยนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ตามที่เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2560พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยดําเนินการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อข้อคําถามของนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติมจํานวน 6 ข้อ ซึ่งพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดมอบหมายศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด และศูนย์ดํารงธรรมอําเภอ รวมทั้งขอความร่วมมือกรุงเทพมหานคร และสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีแจ้งให้สํานักงานเขต ทุกเขต และศูนย์บริการประชาชน 1111 เปิดสถานที่รับฟังความคิดเห็นของประชาชนเป็นวันแรกเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 นั้น
สําหรับภาพรวมหลังเปิดให้ประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นและตอบคําถามของนายกรัฐมนตรีผ่านช่องทางต่าง ๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยวันแรก (13 พฤศจิกายน 2560) มีประชาชนมาแสดงความคิดเห็นและตอบคําถาม จํานวนทั้งสิ้น 19,580 คน จังหวัดที่มีผู้แสดงความคิดเห็นมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ จังหวัดนครราชสีมา 3,416 คน สกลนคร 2,311 คน และขอนแก่น 2,302 คน
ปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยได้เน้นย้ําให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องอํานวยความสะดวกให้แก่พี่น้องประชาชนที่มาตอบคําถาม ทั้งนี้ ต้องไม่มีการชี้นําใด ๆ ทั้งสิ้น โดยประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นโดยอิสระตามความสมัครใจ
ในโอกาสนี้ กระทรวงมหาดไทย จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นและตอบคําถามของนายกรัฐมนตรีได้ในวันและเวลาราชการ ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. ณ ศูนย์ดํารงธรรมกระทรวงมหาดไทย ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด ศูนย์ดํารงธรรมอําเภอ ทั่วประเทศ ศูนย์บริการประชาชน สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี (1111) สํานักงานเขตในกรุงเทพมหานคร ทั้ง 50 เขต และศูนย์บริการร่วมในจุดต่างๆ.
ครั้งที่ 167/2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8073
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.การท่องเที่ยวฯ ประชุมคณะกรรมการแก้ไข เยียวยา และฟื้นฟูผู้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมกีฬา [กระทรวงการท่องเที่ยวเเล้วกีฬา]
|
วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2563
ก.การท่องเที่ยวฯ ประชุมคณะกรรมการแก้ไข เยียวยา และฟื้นฟูผู้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมกีฬา [กระทรวงการท่องเที่ยวเเล้วกีฬา]
ประชุมคณะกรรมการแก้ไข เยียวยา และฟื้นฟูผู้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมกีฬา
วานนี้ (7 พ.ค.63) นายนภินทร ศรีสรรพางค์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแก้ไข เยียวยา และฟื้นฟูผู้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมกีฬา ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องในวงการท่องเที่ยวและกีฬาที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
นายนภินทร กล่าวในที่ประชุมว่า นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ลงนามในกฎกระทรวงกําหนดจํานวนเงินหลักประกันการประกอบธุรกิจนําเที่ยว พ.ศ.2563 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 63
ส่วนมาตรการหลังผ่อนปรน Lock Down ด้านท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างดําเนินการมาตรการ SHA ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นประมาณกลางเดือนพฤษภาคม ทั้งนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจะบูรณาการการทํางานร่วมกับกรมการท่องเที่ยวในเรื่องของมาตรฐานช้างชูงวง และมาตรฐาน SHA
มาตรการการเยียวยาด้านกีฬา คณะกรรมการศึกษาด้านกฎหมายในการวางหลักเกณฑ์การเยียวยา นักกีฬา สมาคมกีฬา บุคลากรกีฬาที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยได้พิจารณาการเยียวยาบุคลากรกีฬา 3 ช่องทาง ได้แก่ 1. งบจากการปรับแผนงบประมาณประจําปี เช่น เบี้ยเลี้ยงการฝึกซ้อมให้นักกีฬาขณะที่ยังไม่ได้มีการแข่งขัน 2. เงินเยียวยาตามมาตรการ 5,000 บาท ในกลุ่มนักกีฬาอาชีพที่ได้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com 3. เงินกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.การท่องเที่ยวฯ ประชุมคณะกรรมการแก้ไข เยียวยา และฟื้นฟูผู้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมกีฬา [กระทรวงการท่องเที่ยวเเล้วกีฬา]
วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2563
ก.การท่องเที่ยวฯ ประชุมคณะกรรมการแก้ไข เยียวยา และฟื้นฟูผู้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมกีฬา [กระทรวงการท่องเที่ยวเเล้วกีฬา]
ประชุมคณะกรรมการแก้ไข เยียวยา และฟื้นฟูผู้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมกีฬา
วานนี้ (7 พ.ค.63) นายนภินทร ศรีสรรพางค์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแก้ไข เยียวยา และฟื้นฟูผู้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมกีฬา ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องในวงการท่องเที่ยวและกีฬาที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
นายนภินทร กล่าวในที่ประชุมว่า นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ลงนามในกฎกระทรวงกําหนดจํานวนเงินหลักประกันการประกอบธุรกิจนําเที่ยว พ.ศ.2563 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 63
ส่วนมาตรการหลังผ่อนปรน Lock Down ด้านท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างดําเนินการมาตรการ SHA ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นประมาณกลางเดือนพฤษภาคม ทั้งนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจะบูรณาการการทํางานร่วมกับกรมการท่องเที่ยวในเรื่องของมาตรฐานช้างชูงวง และมาตรฐาน SHA
มาตรการการเยียวยาด้านกีฬา คณะกรรมการศึกษาด้านกฎหมายในการวางหลักเกณฑ์การเยียวยา นักกีฬา สมาคมกีฬา บุคลากรกีฬาที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยได้พิจารณาการเยียวยาบุคลากรกีฬา 3 ช่องทาง ได้แก่ 1. งบจากการปรับแผนงบประมาณประจําปี เช่น เบี้ยเลี้ยงการฝึกซ้อมให้นักกีฬาขณะที่ยังไม่ได้มีการแข่งขัน 2. เงินเยียวยาตามมาตรการ 5,000 บาท ในกลุ่มนักกีฬาอาชีพที่ได้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com 3. เงินกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30526
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การเป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนครั้งที่ 23 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียนครั้งที่ 5 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
|
วันจันทร์ที่ 28 มกราคม 2562
การเป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนครั้งที่ 23 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียนครั้งที่ 5 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ในปี 2562 ซึ่งประเทศไทยดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีในส่วนของความร่วมมือด้านการเงิน (Financial Cooperation)
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงว่า ในปี 2562 ซึ่งประเทศไทยดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีในส่วนของความร่วมมือด้านการเงิน (Financial Cooperation) โดยมีกําหนดการจัดประชุม 2 ช่วงเวลา คือ ช่วงแรก จะเป็นการจัดการประชุมคณะทํางานเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน และการประชุมคณะทํางานต่าง ๆ ภายใต้กรอบอาเซียน ในระหว่างวันที่ 11-16 กุมภาพันธ์ 2562 ณ กรุงเทพมหานคร และช่วงหลังจะเป็นการจัดการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน (ASEAN Finance Ministers’ Meeting: AFMM) ครั้งที่ 23 และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน (ASEAN Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting: AFMGM) ครั้งที่ 5 ในระหว่างวันที่ 3-5 เมษายน 2562 ณ จังหวัดเชียงราย (กําหนดการประชุมปรากฏตามเอกสารแนบ)
ประเทศไทยได้กําหนดแนวคิดหลัก (Theme) ของการดํารงตําแหน่งประธานอาเซียนของไทยในปี 2562 คือ “Advancing Partnership for Sustainability” หรือ “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” มาจากนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ว่า ประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ จะต้องก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน เพื่อสร้างประชาคมอาเซียนที่มีความยั่งยืน มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และก้าวไปสู่อนาคตอย่างมั่นคง โดยมีความสมดุลในทั้ง 3 เสาความร่วมมือ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง และความมั่นคง
เพื่อให้การดําเนินการด้านความร่วมมือทางการเงินสอดคล้องกับแนวคิดของการเป็นประธานอาเซียนของไทย กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ร่วมกันกําหนดประเด็นหลักที่เป็นกรอบการดําเนินการด้านสารัตถะของไทย (Chair’s Priorities) ไว้ใน 3 หมวดหลัก คือ (1) ความเชื่อมโยง (Connectivity) (2) ความยั่งยืน (Sustainability) และ (3) การสร้างภูมิคุ้มกัน (Resilience) โดยในแต่ละหมวด มีผลงานที่คาดว่าจะบรรลุ (Deliverables) สรุปได้ดังนี้
1. ความเชื่อมโยง (Connectivity) จะเน้นการพัฒนาความเชื่อมโยงระบบการชําระเงินและบริการ (Financing, Payment and Service Connectivity) และการสนับสนุนการค้าและการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน (Trade and Investment Facilitation) เพื่อการสร้างอาเซียนที่ไร้รอยต่อ (Seamless ASEAN) เช่น การส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการชําระค่าสินค้าและบริการและการลงทุน (Local Currency Settlement) การส่งเสริมการโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์ข้ามประเทศ การเร่งรัดการเชื่อมโยงข้อมูลใบรับรองถิ่นกําเนิดสินค้าอาเซียนแบบอิเล็กทรอนิกส์ (ATIGA e-Form D) ระหว่างกันอย่างสมบูรณ์ภายใต้ระบบ ASEAN Single Window (ASW) เป็นต้น
2. ความยั่งยืน (Sustainability) จะส่งเสริมให้ภาคการเงินมีแนวปฏิบัติเพื่อให้สามารถตอบสนองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Finance) และสนับสนุนเรื่องการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion) ซึ่งจะช่วยยกระดับให้ภูมิภาคอาเซียนมีการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน (Sustainable ASEAN) มีการจัดทําแนวทางการพัฒนาตลาดทุนอาเซียนที่ยั่งยืน และจัดทํากรอบการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยรายย่อย (Microinsurance) ของอาเซียน
3. การสร้างภูมิคุ้มกัน (Resilience) จะเป็นการสร้างกรอบความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity Framework) และความร่วมมือด้านการกํากับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Oversight) เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายยุทธศาสตร์สําคัญ คือ ดิจิทัลอาเซียน โดยสนับสนุนการพัฒนาความรู้ด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) แก่บุคลากรด้านการเงินของประเทศสมาชิก และผลักดันให้เกิดเครือข่ายกลไกการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานกํากับดูแลตลาดทุนพร้อมกับเผยแพร่ข้อมูลให้กับประชาชนในภูมิภาคเพื่อป้องกันการหลอกลวง (Scams) รวมทั้งการให้ความรู้ด้านพัฒนาการของสินทรัพย์ดิจิทัล
การดําเนินการเพื่อให้บรรลุตามผลงาน (Deliverables) ข้างต้น จะส่งผลให้เศรษฐกิจของอาเซียนมีความเชื่อมโยงกันในทุกมิติ มีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมต่อการพัฒนาในระยะยาว และมีกระบวนการด้านภาษีศุลกากรและสรรพากรระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นมาตรฐานและมีความคล่องตัวเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ การพัฒนาเศรษฐกิจของประชาคมอาเซียนจะเป็นไปอย่างยั่งยืนและทั่วถึง สามารถรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ และที่สําคัญ เศรษฐกิจของประชาคมอาเซียนจะมีความทันสมัย มีความพร้อมในการนําเทคโนโลยีมาใช้พัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มีมาตรการพร้อมรับมือภัยคุกคามของโลกไซเบอร์ และมีกฎเกณฑ์รองรับนวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่ เพื่อส่งเสริมให้ภูมิภาคอาเซียนก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลกต่อไป
สํานักนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3621
เอกสารแนบ
กําหนดการเบื้องต้นการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 23 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
วันที่ 3-5 เมษายน 2562 ณ โรงแรม เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี จังหวัดเชียงราย
วันที่ การประชุม
วันพุธที่ 3 เมษายน 2562 การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังอาเซียน (ASEAN Finance Deputies' Meeting: AFDM)
วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน 2562 การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน (ASEAN Finance and Central Bank Deputies' Meeting: AFCDM)
การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN Finance Ministers' Retreat)
วันศุกร์ที่ 5 เมษายน 2562 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 23 (23rd ASEAN Finance Ministers' Meeting: AFMM)
การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 5 (5th ASEAN Finance Ministers and Central Bank Governors' Meeting: AFMGM)
การแถลงข่าวร่วมผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การเป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนครั้งที่ 23 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียนครั้งที่ 5 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
วันจันทร์ที่ 28 มกราคม 2562
การเป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนครั้งที่ 23 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียนครั้งที่ 5 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ในปี 2562 ซึ่งประเทศไทยดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีในส่วนของความร่วมมือด้านการเงิน (Financial Cooperation)
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงว่า ในปี 2562 ซึ่งประเทศไทยดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีในส่วนของความร่วมมือด้านการเงิน (Financial Cooperation) โดยมีกําหนดการจัดประชุม 2 ช่วงเวลา คือ ช่วงแรก จะเป็นการจัดการประชุมคณะทํางานเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน และการประชุมคณะทํางานต่าง ๆ ภายใต้กรอบอาเซียน ในระหว่างวันที่ 11-16 กุมภาพันธ์ 2562 ณ กรุงเทพมหานคร และช่วงหลังจะเป็นการจัดการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน (ASEAN Finance Ministers’ Meeting: AFMM) ครั้งที่ 23 และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน (ASEAN Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting: AFMGM) ครั้งที่ 5 ในระหว่างวันที่ 3-5 เมษายน 2562 ณ จังหวัดเชียงราย (กําหนดการประชุมปรากฏตามเอกสารแนบ)
ประเทศไทยได้กําหนดแนวคิดหลัก (Theme) ของการดํารงตําแหน่งประธานอาเซียนของไทยในปี 2562 คือ “Advancing Partnership for Sustainability” หรือ “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” มาจากนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ว่า ประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ จะต้องก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน เพื่อสร้างประชาคมอาเซียนที่มีความยั่งยืน มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และก้าวไปสู่อนาคตอย่างมั่นคง โดยมีความสมดุลในทั้ง 3 เสาความร่วมมือ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง และความมั่นคง
เพื่อให้การดําเนินการด้านความร่วมมือทางการเงินสอดคล้องกับแนวคิดของการเป็นประธานอาเซียนของไทย กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ร่วมกันกําหนดประเด็นหลักที่เป็นกรอบการดําเนินการด้านสารัตถะของไทย (Chair’s Priorities) ไว้ใน 3 หมวดหลัก คือ (1) ความเชื่อมโยง (Connectivity) (2) ความยั่งยืน (Sustainability) และ (3) การสร้างภูมิคุ้มกัน (Resilience) โดยในแต่ละหมวด มีผลงานที่คาดว่าจะบรรลุ (Deliverables) สรุปได้ดังนี้
1. ความเชื่อมโยง (Connectivity) จะเน้นการพัฒนาความเชื่อมโยงระบบการชําระเงินและบริการ (Financing, Payment and Service Connectivity) และการสนับสนุนการค้าและการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน (Trade and Investment Facilitation) เพื่อการสร้างอาเซียนที่ไร้รอยต่อ (Seamless ASEAN) เช่น การส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการชําระค่าสินค้าและบริการและการลงทุน (Local Currency Settlement) การส่งเสริมการโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์ข้ามประเทศ การเร่งรัดการเชื่อมโยงข้อมูลใบรับรองถิ่นกําเนิดสินค้าอาเซียนแบบอิเล็กทรอนิกส์ (ATIGA e-Form D) ระหว่างกันอย่างสมบูรณ์ภายใต้ระบบ ASEAN Single Window (ASW) เป็นต้น
2. ความยั่งยืน (Sustainability) จะส่งเสริมให้ภาคการเงินมีแนวปฏิบัติเพื่อให้สามารถตอบสนองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Finance) และสนับสนุนเรื่องการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion) ซึ่งจะช่วยยกระดับให้ภูมิภาคอาเซียนมีการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน (Sustainable ASEAN) มีการจัดทําแนวทางการพัฒนาตลาดทุนอาเซียนที่ยั่งยืน และจัดทํากรอบการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยรายย่อย (Microinsurance) ของอาเซียน
3. การสร้างภูมิคุ้มกัน (Resilience) จะเป็นการสร้างกรอบความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity Framework) และความร่วมมือด้านการกํากับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Oversight) เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายยุทธศาสตร์สําคัญ คือ ดิจิทัลอาเซียน โดยสนับสนุนการพัฒนาความรู้ด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) แก่บุคลากรด้านการเงินของประเทศสมาชิก และผลักดันให้เกิดเครือข่ายกลไกการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานกํากับดูแลตลาดทุนพร้อมกับเผยแพร่ข้อมูลให้กับประชาชนในภูมิภาคเพื่อป้องกันการหลอกลวง (Scams) รวมทั้งการให้ความรู้ด้านพัฒนาการของสินทรัพย์ดิจิทัล
การดําเนินการเพื่อให้บรรลุตามผลงาน (Deliverables) ข้างต้น จะส่งผลให้เศรษฐกิจของอาเซียนมีความเชื่อมโยงกันในทุกมิติ มีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมต่อการพัฒนาในระยะยาว และมีกระบวนการด้านภาษีศุลกากรและสรรพากรระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นมาตรฐานและมีความคล่องตัวเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ การพัฒนาเศรษฐกิจของประชาคมอาเซียนจะเป็นไปอย่างยั่งยืนและทั่วถึง สามารถรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ และที่สําคัญ เศรษฐกิจของประชาคมอาเซียนจะมีความทันสมัย มีความพร้อมในการนําเทคโนโลยีมาใช้พัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มีมาตรการพร้อมรับมือภัยคุกคามของโลกไซเบอร์ และมีกฎเกณฑ์รองรับนวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่ เพื่อส่งเสริมให้ภูมิภาคอาเซียนก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลกต่อไป
สํานักนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3621
เอกสารแนบ
กําหนดการเบื้องต้นการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 23 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
วันที่ 3-5 เมษายน 2562 ณ โรงแรม เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี จังหวัดเชียงราย
วันที่ การประชุม
วันพุธที่ 3 เมษายน 2562 การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังอาเซียน (ASEAN Finance Deputies' Meeting: AFDM)
วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน 2562 การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน (ASEAN Finance and Central Bank Deputies' Meeting: AFCDM)
การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN Finance Ministers' Retreat)
วันศุกร์ที่ 5 เมษายน 2562 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 23 (23rd ASEAN Finance Ministers' Meeting: AFMM)
การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 5 (5th ASEAN Finance Ministers and Central Bank Governors' Meeting: AFMGM)
การแถลงข่าวร่วมผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18400
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมการประชุม The 2nd ASEAN TELSOM-ATRC Leaders’ Retreat ที่สิงคโปร์
|
วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม 2561
ผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมการประชุม The 2nd ASEAN TELSOM-ATRC Leaders’ Retreat ที่สิงคโปร์
ผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
span.s2 {font: 10.7px Helvetica; font-kerning: none}
นายขจิต สุขุม ผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้รับมอบหมายจาก ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมผู้นําเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ และผู้นําสภาหน่วยงานกํากับดูแลกิจการโทรคมนาคมแห่งอาเซียน อย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 2 (The 2nd ASEAN TELSOM-ATRC Leaders’ Retreat) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง โดย Infocom Media Development Authority แห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-17 สิงหาคม 2561 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ เพื่อพิจารณาประเด็นที่สําคัญ ได้แก่ การพิจารณาแนวทางการดําเนินการตามแผนแม่บทไอซีทีอาเซียน (ASEAN ICT Masterplan 2020) การพิจารณางบประมาณสนับสนุนจากกองทุน ASEAN ICT Fund หรือคู่เจรจา และประเด็นความร่วมมือระหว่างอาเซียนและคู่เจรจา เป็นต้น สําหรับการประชุมที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย (1) การประชุม The 2nd Working Group Meeting on Digital Data Governance ในวันที่ 13 สิงหาคม 2561 (2) การประชุมสภาปฏิบัติการอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยบนเครือข่าย (ASEAN Network Security Action Council - ANSAC) ครั้งที่ 8 ในวันที่ 15 สิงหาคม 2561 และ (3) การประชุมสภาหน่วยงานกํากับดูแลกิจการโทรคมนาคมแห่งอาเซียน ครั้งที่ 24 (The 2nd ASEAN Telecommunication Regulator’s Council Meeting - The 24th ATRC) ระหว่างวันที่ 14-15 สิงหาคม 2561
************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมการประชุม The 2nd ASEAN TELSOM-ATRC Leaders’ Retreat ที่สิงคโปร์
วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม 2561
ผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมการประชุม The 2nd ASEAN TELSOM-ATRC Leaders’ Retreat ที่สิงคโปร์
ผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
span.s2 {font: 10.7px Helvetica; font-kerning: none}
นายขจิต สุขุม ผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้รับมอบหมายจาก ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมผู้นําเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ และผู้นําสภาหน่วยงานกํากับดูแลกิจการโทรคมนาคมแห่งอาเซียน อย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 2 (The 2nd ASEAN TELSOM-ATRC Leaders’ Retreat) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง โดย Infocom Media Development Authority แห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-17 สิงหาคม 2561 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ เพื่อพิจารณาประเด็นที่สําคัญ ได้แก่ การพิจารณาแนวทางการดําเนินการตามแผนแม่บทไอซีทีอาเซียน (ASEAN ICT Masterplan 2020) การพิจารณางบประมาณสนับสนุนจากกองทุน ASEAN ICT Fund หรือคู่เจรจา และประเด็นความร่วมมือระหว่างอาเซียนและคู่เจรจา เป็นต้น สําหรับการประชุมที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย (1) การประชุม The 2nd Working Group Meeting on Digital Data Governance ในวันที่ 13 สิงหาคม 2561 (2) การประชุมสภาปฏิบัติการอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยบนเครือข่าย (ASEAN Network Security Action Council - ANSAC) ครั้งที่ 8 ในวันที่ 15 สิงหาคม 2561 และ (3) การประชุมสภาหน่วยงานกํากับดูแลกิจการโทรคมนาคมแห่งอาเซียน ครั้งที่ 24 (The 2nd ASEAN Telecommunication Regulator’s Council Meeting - The 24th ATRC) ระหว่างวันที่ 14-15 สิงหาคม 2561
************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14701
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ก.ยุติธรรม” สานพลัง “ซีพี ออลล์ฯ” ให้โอกาส สร้างอาชีพแก่ผู้กระทำผิดให้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ – ไม่หวนกลับไปกระทำผิดซ้ำ
|
วันพุธที่ 27 ธันวาคม 2560
“ก.ยุติธรรม” สานพลัง “ซีพี ออลล์ฯ” ให้โอกาส สร้างอาชีพแก่ผู้กระทําผิดให้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ – ไม่หวนกลับไปกระทําผิดซ้ํา
“ก.ยุติธรรม” สานพลัง “ซีพี ออลล์ฯ” ให้โอกาส สร้างอาชีพแก่ผู้กระทําผิดให้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ – ไม่หวนกลับไปกระทําผิดซ้ํา
ในวันพุธที่ 27 ธันวาคม 2560 เวลา 12.15 น.
ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น 2
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
และนายณรงค์ศักดิ์ ภูมิศรีสะอาด ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน)
ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ
ระหว่างกระทรวงยุติธรรม บริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) และวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์
เพื่อผนึกกําลังระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการร่วมกันให้โอกาส สร้างอาชีพให้แก่ผู้กระทําผิด
จากกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กรมราชทัณฑ์ และกรมคุมประพฤติ
ด้วยการให้ความรู้ สนับสนุนทุนการศึกษา เปิดโอกาสให้ฝึกงานด้านการขายปลีกในระยะเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย
เพื่อรองรับการจ้างงานให้กับผู้พ้นโทษ ตลอดจนพัฒนาศักยภาพให้แก่ผู้กระทําผิดให้เหมาะสม
สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและภาคอุตสาหกรรมผ่านกระบวนการประชารัฐ
เพื่อจะได้นําทักษะที่ได้รับไปประกอบอาชีพที่เหมาะสม สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้
และไม่หวนกลับไปกระทําผิดซ้ําตามเป้าหมายการคืนคนดีสู่สังคมให้ประสบผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากกระทรวงยุติธรรม คณะผู้บริหารจากบริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน)
พร้อมทั้งผู้แทนเด็กและเยาวชนจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านกรุณา
ที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับการศึกษาในวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ เข้าร่วมฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ก.ยุติธรรม” สานพลัง “ซีพี ออลล์ฯ” ให้โอกาส สร้างอาชีพแก่ผู้กระทำผิดให้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ – ไม่หวนกลับไปกระทำผิดซ้ำ
วันพุธที่ 27 ธันวาคม 2560
“ก.ยุติธรรม” สานพลัง “ซีพี ออลล์ฯ” ให้โอกาส สร้างอาชีพแก่ผู้กระทําผิดให้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ – ไม่หวนกลับไปกระทําผิดซ้ํา
“ก.ยุติธรรม” สานพลัง “ซีพี ออลล์ฯ” ให้โอกาส สร้างอาชีพแก่ผู้กระทําผิดให้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ – ไม่หวนกลับไปกระทําผิดซ้ํา
ในวันพุธที่ 27 ธันวาคม 2560 เวลา 12.15 น.
ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น 2
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
และนายณรงค์ศักดิ์ ภูมิศรีสะอาด ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน)
ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ
ระหว่างกระทรวงยุติธรรม บริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) และวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์
เพื่อผนึกกําลังระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการร่วมกันให้โอกาส สร้างอาชีพให้แก่ผู้กระทําผิด
จากกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กรมราชทัณฑ์ และกรมคุมประพฤติ
ด้วยการให้ความรู้ สนับสนุนทุนการศึกษา เปิดโอกาสให้ฝึกงานด้านการขายปลีกในระยะเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย
เพื่อรองรับการจ้างงานให้กับผู้พ้นโทษ ตลอดจนพัฒนาศักยภาพให้แก่ผู้กระทําผิดให้เหมาะสม
สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและภาคอุตสาหกรรมผ่านกระบวนการประชารัฐ
เพื่อจะได้นําทักษะที่ได้รับไปประกอบอาชีพที่เหมาะสม สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้
และไม่หวนกลับไปกระทําผิดซ้ําตามเป้าหมายการคืนคนดีสู่สังคมให้ประสบผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากกระทรวงยุติธรรม คณะผู้บริหารจากบริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน)
พร้อมทั้งผู้แทนเด็กและเยาวชนจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านกรุณา
ที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับการศึกษาในวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ เข้าร่วมฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9084
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชิมช้อปใช้” เริ่มคึกคัก กรมบัญชีกลางเร่งเครื่องกระตุ้นต่อเนื่อง เชิญร้านค้าฟังนโยบาย มีแต่ได้ประโยชน์ ลั่น! ต้องมีร้านค้าเพียงพอต่อการใช้จ่ายเงินท่องเที่ยว 1,000 บาท
|
วันอังคารที่ 3 กันยายน 2562
“ชิมช้อปใช้” เริ่มคึกคัก กรมบัญชีกลางเร่งเครื่องกระตุ้นต่อเนื่อง เชิญร้านค้าฟังนโยบาย มีแต่ได้ประโยชน์ ลั่น! ต้องมีร้านค้าเพียงพอต่อการใช้จ่ายเงินท่องเที่ยว 1,000 บาท
กรมบัญชีกลางเชิญผู้ประกอบการ ร้านค้า รับฟังบรรยายการเข้าร่วมมาตรการ ชิมช้อปใช้ มีแต่ได้ประโยชน์ และยืนยันเดินหน้าเร่งเครื่องส่งทีมหมอคลัง กทม. และสํานักงานคลังจังหวัดทั่วประเทศ 76 แห่ง ลงพื้นที่รับสมัครผู้ประกอบการ ร้านค้า เข้าร่วมมาตรการฯ
กรมบัญชีกลางเชิญผู้ประกอบการ ร้านค้า เข้ารับฟังบรรยาย การเข้าร่วมมาตรการ ชิมช้อปใช้ มีแต่ได้ประโยชน์ และยืนยันเดินหน้าเร่งเครื่องส่งทีมหมอคลัง กทม. และสํานักงานคลังจังหวัดทั่วประเทศ 76 แห่ง ลงพื้นที่รับสมัครผู้ประกอบการ ร้านค้า เข้าร่วมมาตรการฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีร้านค้าเพียงพอต่อการใช้จ่ายเงิน 1,000 บาท ของประชาชนจํานวน 10 ล้านคน ที่จะลงทะเบียนใช้สิทธิในวันที่ 23 ก.ย. 62
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยภายหลัง การเชิญผู้ประกอบการ ร้านค้า มาฟังบรรยาย ขั้นตอนวิธีการและประโยชน์ที่จะได้รับจากการเข้าร่วมมาตรการ ชิมช้อปใช้ ของรัฐบาล ในวันที่ 3 กันยายน 2562 ณ ห้องประชุมกรมบัญชีกลาง ซึ่งมีผู้สนใจมาฟังเป็นจํานวนมาก โดยเน้นย้ําให้ทราบว่า ผู้ประกอบการร้านค้าจะได้รับประโยชน์เพราะจะเป็นการเพิ่มรายได้จากประชาชนที่ลงทะเบียนในมาตรการนี้ 10 ล้านคน ที่จะได้เงินสนับสนุน 1,000 บาท และเงินที่จะเติมเองไว้ใช้จ่ายเพื่อจะได้เงินชดเชยคืนในการไปท่องเที่ยวทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งจะมีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจจํานวนมาก
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวเพิ่มเติมว่า ช่วงเวลาในการรับสมัครประกอบการ ร้านค้า เข้าร่วมมาตรการฯ ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2562 จนถึงวันที่ 20 กันยายน 2562 เท่านั้น ดังนั้น กรมบัญชีกลาง โดยทีมหมอคลัง กทม. และคลังจังหวัดทั่วประเทศ จึงต้องเร่งดําเนินการอย่างต่อเนื่อง ในทุกวิธีการที่จะอํานวยความสะดวกให้อย่างเต็มที่ ทั้งในที่ตั้งสํานักงาน และจุดบริการเคลื่อนที่ ก็เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการ ร้านค้า ต้องเสียโอกาสที่เข้าร่วมมาตรการนี้ ซึ่งการรับสมัคร ณ วันที่ 1 กันยายน 2562 มีผู้ประกอบการ ร้านค้า ทั่วประเทศเข้าร่วมมาตรการแล้วกว่า 2,300 ร้านค้า และร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ที่เคยติดตั้งเครื่อง EDC จํานวนกว่า 34,200 ร้านค้า สมัครง่าย ๆ เพราะมีฐานข้อมูลอยู่แล้ว รวมถึงร้านค้าที่ติดตั้ง Application ถุงเงินแล้ว จํานวนกว่า 51,200 ร้านค้า เพียงอัพเดท Application ถุงเงิน เวอร์ชั่นใหม่ ไม่ต้องกรอกใบสมัครและลงทะเบียนใหม่ก็สามารถเข้าร่วมมาตรการฯ ได้แล้ว รวมแล้วขณะนี้จะมีผู้ประกอบการ ร้านค้า ที่จะอยู่ในมาตรการฯ ประมาณ 87,700 ร้านค้า แต่ยังเห็นว่าอาจจะยังไม่เพียงพอเพื่อรองรับประชาชนจํานวน 10 ล้านคน จึงต้องเร่งดําเนินการประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ทราบอย่างทั่วถึงเป็นการเปิดโอกาสให้ร้านค้าได้รับประโยชน์โดยทั่วกันด้วย โดยเฉพาะผู้ประกอบการ ร้านค้า ที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เช่น ประเภทให้บริการที่พัก ร้านค้าชุมชนที่ขายของที่ระลึก และกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า ผู้ประกอบการ ร้านค้าที่สนใจสมัครเข้าร่วมมาตรการ “ชิมช้อปใช้” สามารถกรอกใบสมัครและยื่นเอกสารได้ที่สํานักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ ใน กทม. ยื่นใบสมัครได้ที่กรมบัญชีกลาง (ห้องกําปั่นเงิน) เวลา 8.30 - 16.30 น. ถึงวันที่ 20 ก.ย. 62 ไม่เว้นวันหยุดราชการ และในกรณีที่ติดขัดปัญหา เช่น ต้องมีบัญชีธนาคารกรุงไทยก็ได้จัดเตรียมรถโมบายของธนาคารกรุงไทยไว้ให้บริการ หรือตามจุดบริการนอกสถานที่ก็กําหนดไว้บริเวณสาขาธนาคารกรุงไทยให้แล้ว สามารถเปิดบัญชีได้เลย หรือในกรณีที่ต้องมีการรับรองการประกอบกิจการร้านค้าจากหน่วยงานราชการ ทางกรมบัญชีกลางและสํานักงานคลังจังหวัดได้ช่วยอํานวยความสะดวกให้แล้ว เช่น ไปเปิดรับสมัคร ณ ที่ว่าการอําเภอ หรือประสานเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมลงพื้นที่เพื่อรับรองในใบสมัครให้ด้วย โดยได้ประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยขอความอนุเคราะห์ แจ้งหน่วยงานในสังกัดทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ช่วยดําเนินการออกหนังสือรับรองการประกอบอาชีพให้แก่ประชาชนที่มีความประสงค์จะสมัครเข้าร่วมมาตรการดังกล่าว หรือร่วมลงพื้นที่กับสํานักงานคลังจังหวัดในการให้บริการรับสมัคร เพื่อเซ็นต์รับรองให้แก่ประชาชนในแบบฟอร์มใบสมัคร ซึ่งกรมบัญชีกลางได้กําหนดรูปแบบไว้ให้แล้ว รวมถึงให้การสนับสนุนกําหนดเป็นนโยบายสําคัญ เพื่อให้หน่วยงานอื่น ๆ ในพื้นที่ ประสานความร่วมมือและช่วยผลักดันให้การดําเนินการมาตรการดังกล่าว บรรลุวัตถุประสงค์ตามนโยบายรัฐบาลต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชิมช้อปใช้” เริ่มคึกคัก กรมบัญชีกลางเร่งเครื่องกระตุ้นต่อเนื่อง เชิญร้านค้าฟังนโยบาย มีแต่ได้ประโยชน์ ลั่น! ต้องมีร้านค้าเพียงพอต่อการใช้จ่ายเงินท่องเที่ยว 1,000 บาท
วันอังคารที่ 3 กันยายน 2562
“ชิมช้อปใช้” เริ่มคึกคัก กรมบัญชีกลางเร่งเครื่องกระตุ้นต่อเนื่อง เชิญร้านค้าฟังนโยบาย มีแต่ได้ประโยชน์ ลั่น! ต้องมีร้านค้าเพียงพอต่อการใช้จ่ายเงินท่องเที่ยว 1,000 บาท
กรมบัญชีกลางเชิญผู้ประกอบการ ร้านค้า รับฟังบรรยายการเข้าร่วมมาตรการ ชิมช้อปใช้ มีแต่ได้ประโยชน์ และยืนยันเดินหน้าเร่งเครื่องส่งทีมหมอคลัง กทม. และสํานักงานคลังจังหวัดทั่วประเทศ 76 แห่ง ลงพื้นที่รับสมัครผู้ประกอบการ ร้านค้า เข้าร่วมมาตรการฯ
กรมบัญชีกลางเชิญผู้ประกอบการ ร้านค้า เข้ารับฟังบรรยาย การเข้าร่วมมาตรการ ชิมช้อปใช้ มีแต่ได้ประโยชน์ และยืนยันเดินหน้าเร่งเครื่องส่งทีมหมอคลัง กทม. และสํานักงานคลังจังหวัดทั่วประเทศ 76 แห่ง ลงพื้นที่รับสมัครผู้ประกอบการ ร้านค้า เข้าร่วมมาตรการฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีร้านค้าเพียงพอต่อการใช้จ่ายเงิน 1,000 บาท ของประชาชนจํานวน 10 ล้านคน ที่จะลงทะเบียนใช้สิทธิในวันที่ 23 ก.ย. 62
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยภายหลัง การเชิญผู้ประกอบการ ร้านค้า มาฟังบรรยาย ขั้นตอนวิธีการและประโยชน์ที่จะได้รับจากการเข้าร่วมมาตรการ ชิมช้อปใช้ ของรัฐบาล ในวันที่ 3 กันยายน 2562 ณ ห้องประชุมกรมบัญชีกลาง ซึ่งมีผู้สนใจมาฟังเป็นจํานวนมาก โดยเน้นย้ําให้ทราบว่า ผู้ประกอบการร้านค้าจะได้รับประโยชน์เพราะจะเป็นการเพิ่มรายได้จากประชาชนที่ลงทะเบียนในมาตรการนี้ 10 ล้านคน ที่จะได้เงินสนับสนุน 1,000 บาท และเงินที่จะเติมเองไว้ใช้จ่ายเพื่อจะได้เงินชดเชยคืนในการไปท่องเที่ยวทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งจะมีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจจํานวนมาก
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวเพิ่มเติมว่า ช่วงเวลาในการรับสมัครประกอบการ ร้านค้า เข้าร่วมมาตรการฯ ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2562 จนถึงวันที่ 20 กันยายน 2562 เท่านั้น ดังนั้น กรมบัญชีกลาง โดยทีมหมอคลัง กทม. และคลังจังหวัดทั่วประเทศ จึงต้องเร่งดําเนินการอย่างต่อเนื่อง ในทุกวิธีการที่จะอํานวยความสะดวกให้อย่างเต็มที่ ทั้งในที่ตั้งสํานักงาน และจุดบริการเคลื่อนที่ ก็เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการ ร้านค้า ต้องเสียโอกาสที่เข้าร่วมมาตรการนี้ ซึ่งการรับสมัคร ณ วันที่ 1 กันยายน 2562 มีผู้ประกอบการ ร้านค้า ทั่วประเทศเข้าร่วมมาตรการแล้วกว่า 2,300 ร้านค้า และร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ที่เคยติดตั้งเครื่อง EDC จํานวนกว่า 34,200 ร้านค้า สมัครง่าย ๆ เพราะมีฐานข้อมูลอยู่แล้ว รวมถึงร้านค้าที่ติดตั้ง Application ถุงเงินแล้ว จํานวนกว่า 51,200 ร้านค้า เพียงอัพเดท Application ถุงเงิน เวอร์ชั่นใหม่ ไม่ต้องกรอกใบสมัครและลงทะเบียนใหม่ก็สามารถเข้าร่วมมาตรการฯ ได้แล้ว รวมแล้วขณะนี้จะมีผู้ประกอบการ ร้านค้า ที่จะอยู่ในมาตรการฯ ประมาณ 87,700 ร้านค้า แต่ยังเห็นว่าอาจจะยังไม่เพียงพอเพื่อรองรับประชาชนจํานวน 10 ล้านคน จึงต้องเร่งดําเนินการประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ทราบอย่างทั่วถึงเป็นการเปิดโอกาสให้ร้านค้าได้รับประโยชน์โดยทั่วกันด้วย โดยเฉพาะผู้ประกอบการ ร้านค้า ที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เช่น ประเภทให้บริการที่พัก ร้านค้าชุมชนที่ขายของที่ระลึก และกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า ผู้ประกอบการ ร้านค้าที่สนใจสมัครเข้าร่วมมาตรการ “ชิมช้อปใช้” สามารถกรอกใบสมัครและยื่นเอกสารได้ที่สํานักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ ใน กทม. ยื่นใบสมัครได้ที่กรมบัญชีกลาง (ห้องกําปั่นเงิน) เวลา 8.30 - 16.30 น. ถึงวันที่ 20 ก.ย. 62 ไม่เว้นวันหยุดราชการ และในกรณีที่ติดขัดปัญหา เช่น ต้องมีบัญชีธนาคารกรุงไทยก็ได้จัดเตรียมรถโมบายของธนาคารกรุงไทยไว้ให้บริการ หรือตามจุดบริการนอกสถานที่ก็กําหนดไว้บริเวณสาขาธนาคารกรุงไทยให้แล้ว สามารถเปิดบัญชีได้เลย หรือในกรณีที่ต้องมีการรับรองการประกอบกิจการร้านค้าจากหน่วยงานราชการ ทางกรมบัญชีกลางและสํานักงานคลังจังหวัดได้ช่วยอํานวยความสะดวกให้แล้ว เช่น ไปเปิดรับสมัคร ณ ที่ว่าการอําเภอ หรือประสานเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมลงพื้นที่เพื่อรับรองในใบสมัครให้ด้วย โดยได้ประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยขอความอนุเคราะห์ แจ้งหน่วยงานในสังกัดทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ช่วยดําเนินการออกหนังสือรับรองการประกอบอาชีพให้แก่ประชาชนที่มีความประสงค์จะสมัครเข้าร่วมมาตรการดังกล่าว หรือร่วมลงพื้นที่กับสํานักงานคลังจังหวัดในการให้บริการรับสมัคร เพื่อเซ็นต์รับรองให้แก่ประชาชนในแบบฟอร์มใบสมัคร ซึ่งกรมบัญชีกลางได้กําหนดรูปแบบไว้ให้แล้ว รวมถึงให้การสนับสนุนกําหนดเป็นนโยบายสําคัญ เพื่อให้หน่วยงานอื่น ๆ ในพื้นที่ ประสานความร่วมมือและช่วยผลักดันให้การดําเนินการมาตรการดังกล่าว บรรลุวัตถุประสงค์ตามนโยบายรัฐบาลต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22741
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ปลัดเกษตรฯ เน้นย้ำการพัฒนาการผลิตภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน
|
วันอังคารที่ 21 มกราคม 2563
ปลัดเกษตรฯ เน้นย้ําการพัฒนาการผลิตภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน
ปลัดเกษตรฯ เน้นย้ําการพัฒนาการผลิตภาคการเกษตรอย่างยั่งยืนเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของเกษตรกรไทย
เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2563 นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานกรรมการขับเคลื่อนโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทํานาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนหรือ Thai Rice NAMA ได้กล่าวถ้อยแถลงในพิธีเปิดการประชุมสัมมนา Readiness and Prospect of Sustainable Rice ซึ่งองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน หรือ GIZ ได้จัดขึ้นระหว่างงาน International Green Week ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ว่า การพัฒนาการผลิตภาคการเกษตรอย่างยั่งยืนนั้น จะเป็นอีกแนวนโยบายที่สําคัญที่จะช่วยส่งเสริมความกินดีอยู่ดีของเกษตรกรอย่างยั่งยืน เพราะในการดําเนินการนั้นมีความเกี่ยวข้องในทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม และยังสามารถประกันความมั่นคงทางอาหารอีกด้วย แต่การพัฒนาเหล่านี้ต้องร่วมกันทุกภาคส่วนตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาสังคม การผลิตอย่างยั่งยืนจึงจะสําเร็จได้ และคาดหวังว่าจะเกิดเป็นรูปแบบการผลิตที่เผยแพร่ไปทั่วโลก
ทั้งนี้ ประเทศไทยภายใต้การสนับสนุนของ GIZ ได้จัดทําโครงการ Thai Rice NAMA ที่ได้ร่วมกันพัฒนาพื้นที่ปลูกข้าวที่ลดการทําลายสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นําร่องใน 6 จังหวัดภาคกลาง ได้แก่ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และสุพรรณบุรี
นอกจากนี้ ภายในงาน International Green Week ยังมีหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ กรมการข้าว กรมส่งเสริมการเกษตร และสํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ร่วมจัดแสดงสินค้าอัตลักษณ์ไทย และประชาสัมพันธ์องค์ความรู้เรื่องอาหารปลอดภัยด้วย
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ปลัดเกษตรฯ เน้นย้ำการพัฒนาการผลิตภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน
วันอังคารที่ 21 มกราคม 2563
ปลัดเกษตรฯ เน้นย้ําการพัฒนาการผลิตภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน
ปลัดเกษตรฯ เน้นย้ําการพัฒนาการผลิตภาคการเกษตรอย่างยั่งยืนเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของเกษตรกรไทย
เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2563 นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานกรรมการขับเคลื่อนโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทํานาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนหรือ Thai Rice NAMA ได้กล่าวถ้อยแถลงในพิธีเปิดการประชุมสัมมนา Readiness and Prospect of Sustainable Rice ซึ่งองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน หรือ GIZ ได้จัดขึ้นระหว่างงาน International Green Week ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ว่า การพัฒนาการผลิตภาคการเกษตรอย่างยั่งยืนนั้น จะเป็นอีกแนวนโยบายที่สําคัญที่จะช่วยส่งเสริมความกินดีอยู่ดีของเกษตรกรอย่างยั่งยืน เพราะในการดําเนินการนั้นมีความเกี่ยวข้องในทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม และยังสามารถประกันความมั่นคงทางอาหารอีกด้วย แต่การพัฒนาเหล่านี้ต้องร่วมกันทุกภาคส่วนตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาสังคม การผลิตอย่างยั่งยืนจึงจะสําเร็จได้ และคาดหวังว่าจะเกิดเป็นรูปแบบการผลิตที่เผยแพร่ไปทั่วโลก
ทั้งนี้ ประเทศไทยภายใต้การสนับสนุนของ GIZ ได้จัดทําโครงการ Thai Rice NAMA ที่ได้ร่วมกันพัฒนาพื้นที่ปลูกข้าวที่ลดการทําลายสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นําร่องใน 6 จังหวัดภาคกลาง ได้แก่ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และสุพรรณบุรี
นอกจากนี้ ภายในงาน International Green Week ยังมีหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ กรมการข้าว กรมส่งเสริมการเกษตร และสํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ร่วมจัดแสดงสินค้าอัตลักษณ์ไทย และประชาสัมพันธ์องค์ความรู้เรื่องอาหารปลอดภัยด้วย
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25947
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์จับมือมหาดไทยพัฒนาผู้ประกอบการรายย่อยเสริมแกร่งเศรษฐกิจฐานราก
|
วันอังคารที่ 5 กันยายน 2560
พาณิชย์จับมือมหาดไทยพัฒนาผู้ประกอบการรายย่อยเสริมแกร่งเศรษฐกิจฐานราก
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงการร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงมหาดไทย และสถาบันการศึกษาเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการรายย่อยให้มีทักษะ มีความคิดสร้างสรรค์
สามารถผลิตภัณฑ์และบริการให้มีความแตกต่าง โดดเด่น ตรงกับความต้องการของตลาด โดยใช้ภูมิปัญญาเป็นเครื่องมือต่อยอดในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก
ทั้งนี้ สํานักงานพาณิชย์จังหวัดนครปฐม และสํานักงานพาณิชย์จังหวัดในกลุ่มภาคกลางด้านตะวันตกรวม 6 จังหวัด ประกอบด้วยจังหวัดนครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และสํานักงานพัฒนาชุมชนในกลุ่มจังหวัดดังกล่าวได้มีพิธีลงนามร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมไป เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2560 เพื่อดําเนินโครงการประกวดผลิตภัณฑ์ SMEs ผลิตภัณฑ์ OTOP เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดกําหนดจัดงานประกวดผลิตภัณฑ์ SMEs และ OTOP ตามโครงการฯ เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2560 ณ ห้องประชุมปิ่นเกลียว มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม โดยมี นายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เป็นประธานเปิดงาน ร่วมกับผู้บริหารของกระทรวงพาณิชย์และกรมพัฒนาชุมชน ในงานดังกล่าวมีการนําเสนอผลงานการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การประกวดผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารและเครื่องดื่ม ของใช้ของตกแต่ง เสื้อผ้า และเครื่องแต่งกาย สมุนไพรและเครื่องสําอาง และผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยม โดยผู้ชนะการประกวดผลิตภัณฑ์จะได้รับอนุญาตให้ใช้ตราของกระทรวงพาณิชย์ กรมพัฒนาชุมชน และจังหวัดนครปฐม บนหีบห่อของผลิตภัณฑ์ เพื่อตอกย้ําการเป็นสินค้าที่มีคุณภาพประจํากลุ่มจังหวัดภาคกลางด้านตะวันตก 6 จังหวัด เป็นการประชาสัมพันธ์สินค้าคุณภาพให้กับผู้บริโภคอีกทางหนึ่งด้วย
ผลการประกวดผลิตภัณฑ์ SMEs ผลิตภัณฑ์ OTOP เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในจังหวัดภูมิภาคตะวันตก ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประกวดผลิตภัณฑ์จํานวน 24 ราย จําแนกตามกลุ่มสินค้า 4 รางวัล และผลิตภัณฑ์ ยอดเยี่ยม 1 รางวัล ดังนี้
จําแนกตามกลุ่มสินค้าจํานวน 4 รางวัล
• รางวัลชนะเลิศประเภทอาหารและเครื่องดื่ม ได้แก่ ซีเรียลจมูกข้าวการ์บาเฟล็กซ์ กลุ่มพัฒนาสตรีเกษตรกร ต.ทุ่งสมอ จ.กาญจนบุรี
• รางวัลชนะเลิศประเภทเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ผ้าทอบ้านสระบัวก่ํา จ.สุพรรณบุรี
• รางวัลชนะเลิศประเภทเครื่องสําอาง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร มิสโคโค่ จ.สมุทรสาคร
• รางวัลชนะเลิศประเภทของใช้ของตกแต่ง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ Oriental Motifs จ.นครปฐม ประเภทผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมจํานวน 1 รางวัล
• รางวัลชนะเลิศผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยม ได้แก่ ซีเรียลจมูกข้าวการ์บาเฟล็กซ์ กลุ่มพัฒนาสตรีเกษตรกร ต.ทุ่งสมอ จ.กาญจนบุรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์จับมือมหาดไทยพัฒนาผู้ประกอบการรายย่อยเสริมแกร่งเศรษฐกิจฐานราก
วันอังคารที่ 5 กันยายน 2560
พาณิชย์จับมือมหาดไทยพัฒนาผู้ประกอบการรายย่อยเสริมแกร่งเศรษฐกิจฐานราก
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงการร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงมหาดไทย และสถาบันการศึกษาเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการรายย่อยให้มีทักษะ มีความคิดสร้างสรรค์
สามารถผลิตภัณฑ์และบริการให้มีความแตกต่าง โดดเด่น ตรงกับความต้องการของตลาด โดยใช้ภูมิปัญญาเป็นเครื่องมือต่อยอดในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก
ทั้งนี้ สํานักงานพาณิชย์จังหวัดนครปฐม และสํานักงานพาณิชย์จังหวัดในกลุ่มภาคกลางด้านตะวันตกรวม 6 จังหวัด ประกอบด้วยจังหวัดนครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และสํานักงานพัฒนาชุมชนในกลุ่มจังหวัดดังกล่าวได้มีพิธีลงนามร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมไป เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2560 เพื่อดําเนินโครงการประกวดผลิตภัณฑ์ SMEs ผลิตภัณฑ์ OTOP เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดกําหนดจัดงานประกวดผลิตภัณฑ์ SMEs และ OTOP ตามโครงการฯ เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2560 ณ ห้องประชุมปิ่นเกลียว มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม โดยมี นายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เป็นประธานเปิดงาน ร่วมกับผู้บริหารของกระทรวงพาณิชย์และกรมพัฒนาชุมชน ในงานดังกล่าวมีการนําเสนอผลงานการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การประกวดผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารและเครื่องดื่ม ของใช้ของตกแต่ง เสื้อผ้า และเครื่องแต่งกาย สมุนไพรและเครื่องสําอาง และผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยม โดยผู้ชนะการประกวดผลิตภัณฑ์จะได้รับอนุญาตให้ใช้ตราของกระทรวงพาณิชย์ กรมพัฒนาชุมชน และจังหวัดนครปฐม บนหีบห่อของผลิตภัณฑ์ เพื่อตอกย้ําการเป็นสินค้าที่มีคุณภาพประจํากลุ่มจังหวัดภาคกลางด้านตะวันตก 6 จังหวัด เป็นการประชาสัมพันธ์สินค้าคุณภาพให้กับผู้บริโภคอีกทางหนึ่งด้วย
ผลการประกวดผลิตภัณฑ์ SMEs ผลิตภัณฑ์ OTOP เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในจังหวัดภูมิภาคตะวันตก ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประกวดผลิตภัณฑ์จํานวน 24 ราย จําแนกตามกลุ่มสินค้า 4 รางวัล และผลิตภัณฑ์ ยอดเยี่ยม 1 รางวัล ดังนี้
จําแนกตามกลุ่มสินค้าจํานวน 4 รางวัล
• รางวัลชนะเลิศประเภทอาหารและเครื่องดื่ม ได้แก่ ซีเรียลจมูกข้าวการ์บาเฟล็กซ์ กลุ่มพัฒนาสตรีเกษตรกร ต.ทุ่งสมอ จ.กาญจนบุรี
• รางวัลชนะเลิศประเภทเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ผ้าทอบ้านสระบัวก่ํา จ.สุพรรณบุรี
• รางวัลชนะเลิศประเภทเครื่องสําอาง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร มิสโคโค่ จ.สมุทรสาคร
• รางวัลชนะเลิศประเภทของใช้ของตกแต่ง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ Oriental Motifs จ.นครปฐม ประเภทผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมจํานวน 1 รางวัล
• รางวัลชนะเลิศผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยม ได้แก่ ซีเรียลจมูกข้าวการ์บาเฟล็กซ์ กลุ่มพัฒนาสตรีเกษตรกร ต.ทุ่งสมอ จ.กาญจนบุรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6429
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรและการท่าเรือแห่งประเทศไทย ร่วมมืออำนวยความสะดวกทางการค้า เพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนการส่งออกสินค้าของประเทศ
|
วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561
กรมศุลกากรและการท่าเรือแห่งประเทศไทย ร่วมมืออํานวยความสะดวกทางการค้า เพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนการส่งออกสินค้าของประเทศ
พิธีลงนามร่วมในสัญญาประกันทัณฑ์บน พิธีการศุลกากรส่งออกว่าด้วยการตรวจปล่อยสินค้าขาออกในเขตพื้นที่สํานักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ เพื่อบรรทุกลงเรือเฉพาะเขต (Specific Local Vessel) และรับบรรทุกที่สํานักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง
วันนี้ (วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2561) เวลา 10.00 น. นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร และเรือตรีทรงธรรม จันทประสิทธิ์ รองผู้อํานวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย สายวิศวกรรม รักษาการแทนผู้อํานวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ร่วมพิธีลงนามร่วมในสัญญาประกันทัณฑ์บน พิธีการศุลกากรส่งออกว่าด้วยการตรวจปล่อยสินค้าขาออกในเขตพื้นที่สํานักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ เพื่อบรรทุกลงเรือเฉพาะเขต (Specific Local Vessel) และรับบรรทุกที่สํานักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ระหว่างกรมศุลกากรและการท่าเรือแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ได้รับเกียรติจากภาคเอกชน สมาคม และสมาพันธ์ต่างๆ เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในงานดังกล่าว ณ ห้องภาสกรวงศ์ ชั้น 2 อาคาร 1 กรมศุลกากร
นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า กรมศุลกากรและการท่าเรือแห่งประเทศไทย ประสานความร่วมมือในการอํานวยความสะดวกทางการค้า เพิ่มประสิทธิภาพในการส่งออกสินค้า และลดต้นทุนการส่งออกสินค้าของประเทศ โดยกรมศุลกากรออกประกาศกรมศุลกากร ที่ 37/2561 เรื่อง พิธีการศุลกากรส่งออกว่าด้วยการตรวจปล่อยสินค้าขาออกในเขตพื้นที่สํานักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ เพื่อบรรทุกลงเรือเฉพาะเขต (Specific Local Vessel) และรับบรรทุกที่สํานักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง และการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้จัดทําโครงการท่าเทียบเรือชายฝั่ง 20G ท่าเรือกรุงเทพ (Bangkok Port Coastal Terminal Optimizing Your Business) เพื่อสนับสนุนการขนส่งทางน้ําภายในประเทศ ส่งเสริมระบบโลจิสติกส์ ลดปริมาณการจราจรทางบก และเพิ่มขีดความสามารถด้านการส่งออกของประเทศ
อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวต่อว่า พิธีการศุลกากรส่งออกว่าด้วยการตรวจปล่อยสินค้าขาออกในเขตพื้นที่สํานักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ เพื่อบรรทุกลงเรือเฉพาะเขต (Specific Local Vessel) และรับบรรทุกที่สํานักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง เป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนการพิธีการศุลกากรส่งออก จากเดิมที่จะทําการตรวจปล่อย ณ ท่าท้ายสุดที่ระบุไว้ว่าจะส่งของออกนอกราชอาณาจักร เป็นการตรวจปล่อยให้เสร็จสิ้น ณ ท่าต้นทางที่มีพนักงานศุลกากรปฏิบัติหน้าที่ประจําและมีความพร้อมในการตรวจสอบสินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์ โดยปฏิบัติพิธีการศุลกากรขาออก ตรวจปล่อยสินค้าให้เสร็จสิ้นที่สํานักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ บรรทุกลงเรือเฉพาะเขตและรับบรรทุก ณ ท่าท้ายสุดที่สํานักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งการขนส่งสินค้าด้วยเรือเฉพาะเขตมีความปลอดภัยสูง ขนส่งได้ปริมาณมาก ขนส่งสินค้าได้ตามเวลาที่กําหนด ลดต้นทุนการขนส่งแทนการใช้รถบรรทุก ลดปัญหาจราจรทางบก สําหรับการดําเนินพิธีการศุลกากรส่งออกในรูปแบบนี้ จะสามารถลดค่าใช้จ่ายในระบบโลจิสติกส์ได้ไม่น้อยกว่า 1,400 ล้านบาทต่อปี และยังเป็นการลดปริมาณการใช้พลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยลดปริมาณการใช้น้ํามันได้ไม่น้อยกว่า7.4 ล้านลิตรต่อปี ลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ไม่น้อยกว่า 26.7 ล้านตันคาร์บอนต่อปี อีกทั้งสามารถเพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี และจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณการใช้บริการ หากท่าเอกชนในกํากับดูแลภายใต้สํานักงานศุลกากรกรุงเทพเปิดดําเนินการในลักษณะเดียวกัน คาดว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจจะเพิ่มสูงขึ้น
ผลการดําเนินงานตามกระบวนการทางศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง (Pre-Arrival Processing)
กรมศุลกากรได้ออกประกาศกรมศุลกากร ที่ 5/2561 เรื่อง กระบวนการทางศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง (Pre-Arrival Processing) ซึ่งเป็นกระบวนการทางเลือกที่ช่วยอํานวยความสะดวกให้กับผู้นําของเข้าในการนําสินค้าเข้ามาจากต่างประเทศ โดยผู้นําของเข้าสามารถยื่นใบขนสินค้าขาเข้าล่วงหน้าและยื่นชําระค่าภาษีอากร (ถ้ามี) ล่วงหน้าได้ ก่อนที่เรือ/อากาศยาน จะเข้ามาถึง ณ ท่า/สนามบินที่เป็นด่านศุลกากร
ผู้นําของเข้าจะสามารถยื่นใบขนสินค้าขาเข้าล่วงหน้าได้ต่อเมื่อนายเรือ ผู้ควบคุมอากาศยาน หรือตัวแทนผู้รับมอบอํานาจจากนายเรือ/ผู้ควบคุมอากาศยาน หรือตัวแทนเรือ/อากาศยาน ยื่นบัญชีสินค้าสําหรับเรือ/อากาศยาน ให้กับกรมศุลกากรแล้ว และผู้นําของเข้าต้องยื่นใบขนสินค้าขาเข้าในเดือนเดียวกันกับเดือนที่สินค้าจะมาถึง โดยหลังจากเริ่มใช้ประกาศกรมฯ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2561 มีจํานวนใบขนสินค้าขาเข้าที่ส่งเข้าระบบคอมพิวเตอร์กรมศุลกากรแบบล่วงหน้า ดังนี้
จํานวนใบขนสินค้าขาเข้า/ฉบับ คิดเป็นร้อยละ
ใบขนสินค้าขาเข้าทั้งหมด 518,413 -
ใบขนสินค้าที่ส่งมาก่อนสินค้ามาถึง 51,030 9.84
ใบขนสินค้าที่ชําระภาษีก่อนสินค้ามาถึง 16,430 3.17
กระบวนการทางศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึงนี้ เป็นการอํานวยความสะดวกให้ผู้นําของเข้าสามารถปฏิบัติพิธีการศุลกากรในการนําเข้าสินค้าที่มาต่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว ลดระยะเวลา ลดค่าใช้จ่าย ส่งเสริมระบบโลจิสติกส์และการค้าระหว่างประเทศ อันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและสอดคล้องกับบทบัญญัติตามความตกลงว่าด้วยการอํานวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation Agreement) ภายใต้องค์การการค้าโลก
กรมศุลกากรยังคงมุ่งมั่นให้บริการศุลกากรเป็นเลิศ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของเศรษฐกิจไทยและเชื่อมโยงการค้าโลก เพื่อยกระดับการให้บริการที่ทันสมัย ทันต่อการเปลี่ยนแปลงการค้าโลก ตอบสนองนโยบายของรัฐบาล และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรและการท่าเรือแห่งประเทศไทย ร่วมมืออำนวยความสะดวกทางการค้า เพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนการส่งออกสินค้าของประเทศ
วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561
กรมศุลกากรและการท่าเรือแห่งประเทศไทย ร่วมมืออํานวยความสะดวกทางการค้า เพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนการส่งออกสินค้าของประเทศ
พิธีลงนามร่วมในสัญญาประกันทัณฑ์บน พิธีการศุลกากรส่งออกว่าด้วยการตรวจปล่อยสินค้าขาออกในเขตพื้นที่สํานักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ เพื่อบรรทุกลงเรือเฉพาะเขต (Specific Local Vessel) และรับบรรทุกที่สํานักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง
วันนี้ (วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2561) เวลา 10.00 น. นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร และเรือตรีทรงธรรม จันทประสิทธิ์ รองผู้อํานวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย สายวิศวกรรม รักษาการแทนผู้อํานวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ร่วมพิธีลงนามร่วมในสัญญาประกันทัณฑ์บน พิธีการศุลกากรส่งออกว่าด้วยการตรวจปล่อยสินค้าขาออกในเขตพื้นที่สํานักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ เพื่อบรรทุกลงเรือเฉพาะเขต (Specific Local Vessel) และรับบรรทุกที่สํานักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ระหว่างกรมศุลกากรและการท่าเรือแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ได้รับเกียรติจากภาคเอกชน สมาคม และสมาพันธ์ต่างๆ เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในงานดังกล่าว ณ ห้องภาสกรวงศ์ ชั้น 2 อาคาร 1 กรมศุลกากร
นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า กรมศุลกากรและการท่าเรือแห่งประเทศไทย ประสานความร่วมมือในการอํานวยความสะดวกทางการค้า เพิ่มประสิทธิภาพในการส่งออกสินค้า และลดต้นทุนการส่งออกสินค้าของประเทศ โดยกรมศุลกากรออกประกาศกรมศุลกากร ที่ 37/2561 เรื่อง พิธีการศุลกากรส่งออกว่าด้วยการตรวจปล่อยสินค้าขาออกในเขตพื้นที่สํานักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ เพื่อบรรทุกลงเรือเฉพาะเขต (Specific Local Vessel) และรับบรรทุกที่สํานักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง และการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้จัดทําโครงการท่าเทียบเรือชายฝั่ง 20G ท่าเรือกรุงเทพ (Bangkok Port Coastal Terminal Optimizing Your Business) เพื่อสนับสนุนการขนส่งทางน้ําภายในประเทศ ส่งเสริมระบบโลจิสติกส์ ลดปริมาณการจราจรทางบก และเพิ่มขีดความสามารถด้านการส่งออกของประเทศ
อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวต่อว่า พิธีการศุลกากรส่งออกว่าด้วยการตรวจปล่อยสินค้าขาออกในเขตพื้นที่สํานักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ เพื่อบรรทุกลงเรือเฉพาะเขต (Specific Local Vessel) และรับบรรทุกที่สํานักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง เป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนการพิธีการศุลกากรส่งออก จากเดิมที่จะทําการตรวจปล่อย ณ ท่าท้ายสุดที่ระบุไว้ว่าจะส่งของออกนอกราชอาณาจักร เป็นการตรวจปล่อยให้เสร็จสิ้น ณ ท่าต้นทางที่มีพนักงานศุลกากรปฏิบัติหน้าที่ประจําและมีความพร้อมในการตรวจสอบสินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์ โดยปฏิบัติพิธีการศุลกากรขาออก ตรวจปล่อยสินค้าให้เสร็จสิ้นที่สํานักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ บรรทุกลงเรือเฉพาะเขตและรับบรรทุก ณ ท่าท้ายสุดที่สํานักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งการขนส่งสินค้าด้วยเรือเฉพาะเขตมีความปลอดภัยสูง ขนส่งได้ปริมาณมาก ขนส่งสินค้าได้ตามเวลาที่กําหนด ลดต้นทุนการขนส่งแทนการใช้รถบรรทุก ลดปัญหาจราจรทางบก สําหรับการดําเนินพิธีการศุลกากรส่งออกในรูปแบบนี้ จะสามารถลดค่าใช้จ่ายในระบบโลจิสติกส์ได้ไม่น้อยกว่า 1,400 ล้านบาทต่อปี และยังเป็นการลดปริมาณการใช้พลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยลดปริมาณการใช้น้ํามันได้ไม่น้อยกว่า7.4 ล้านลิตรต่อปี ลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ไม่น้อยกว่า 26.7 ล้านตันคาร์บอนต่อปี อีกทั้งสามารถเพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี และจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณการใช้บริการ หากท่าเอกชนในกํากับดูแลภายใต้สํานักงานศุลกากรกรุงเทพเปิดดําเนินการในลักษณะเดียวกัน คาดว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจจะเพิ่มสูงขึ้น
ผลการดําเนินงานตามกระบวนการทางศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง (Pre-Arrival Processing)
กรมศุลกากรได้ออกประกาศกรมศุลกากร ที่ 5/2561 เรื่อง กระบวนการทางศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง (Pre-Arrival Processing) ซึ่งเป็นกระบวนการทางเลือกที่ช่วยอํานวยความสะดวกให้กับผู้นําของเข้าในการนําสินค้าเข้ามาจากต่างประเทศ โดยผู้นําของเข้าสามารถยื่นใบขนสินค้าขาเข้าล่วงหน้าและยื่นชําระค่าภาษีอากร (ถ้ามี) ล่วงหน้าได้ ก่อนที่เรือ/อากาศยาน จะเข้ามาถึง ณ ท่า/สนามบินที่เป็นด่านศุลกากร
ผู้นําของเข้าจะสามารถยื่นใบขนสินค้าขาเข้าล่วงหน้าได้ต่อเมื่อนายเรือ ผู้ควบคุมอากาศยาน หรือตัวแทนผู้รับมอบอํานาจจากนายเรือ/ผู้ควบคุมอากาศยาน หรือตัวแทนเรือ/อากาศยาน ยื่นบัญชีสินค้าสําหรับเรือ/อากาศยาน ให้กับกรมศุลกากรแล้ว และผู้นําของเข้าต้องยื่นใบขนสินค้าขาเข้าในเดือนเดียวกันกับเดือนที่สินค้าจะมาถึง โดยหลังจากเริ่มใช้ประกาศกรมฯ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2561 มีจํานวนใบขนสินค้าขาเข้าที่ส่งเข้าระบบคอมพิวเตอร์กรมศุลกากรแบบล่วงหน้า ดังนี้
จํานวนใบขนสินค้าขาเข้า/ฉบับ คิดเป็นร้อยละ
ใบขนสินค้าขาเข้าทั้งหมด 518,413 -
ใบขนสินค้าที่ส่งมาก่อนสินค้ามาถึง 51,030 9.84
ใบขนสินค้าที่ชําระภาษีก่อนสินค้ามาถึง 16,430 3.17
กระบวนการทางศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึงนี้ เป็นการอํานวยความสะดวกให้ผู้นําของเข้าสามารถปฏิบัติพิธีการศุลกากรในการนําเข้าสินค้าที่มาต่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว ลดระยะเวลา ลดค่าใช้จ่าย ส่งเสริมระบบโลจิสติกส์และการค้าระหว่างประเทศ อันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและสอดคล้องกับบทบัญญัติตามความตกลงว่าด้วยการอํานวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation Agreement) ภายใต้องค์การการค้าโลก
กรมศุลกากรยังคงมุ่งมั่นให้บริการศุลกากรเป็นเลิศ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของเศรษฐกิจไทยและเชื่อมโยงการค้าโลก เพื่อยกระดับการให้บริการที่ทันสมัย ทันต่อการเปลี่ยนแปลงการค้าโลก ตอบสนองนโยบายของรัฐบาล และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11303
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปนัดดา" เปิดงาน 12 ปี รำลึกพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
|
วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม 2560
"ปนัดดา" เปิดงาน 12 ปี รําลึกพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "พระมหากรุณาธิคุณสถิตเสถียรในดวงใจปวงชนชาวไทย" เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 12 ปี วันคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
โดยมี รศ.ดร.นํายุทธ สงค์ธนาพิทักษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และนายประจวบ กันธิยะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวต้อนรับ
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลให้สัมภาษณ์ภายหลังพิธีเปิดว่า วันที่ 18 มกราคม2560 ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบแห่งความภาคภูมิใจนับจากที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 สถาปนาสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตล้านนา ขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
ด้วยน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงได้พร้อมใจจัดงานวันสถาปนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนานี้ขึ้นโดยเน้นการพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์เพื่อจะเป็นกําลังใจสําคัญในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับชีวิต เชื่อมั่นว่าสิ่งเหล่านี้ จะนําพาคนไทยก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางด้วยการเพิ่มศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ เพื่อจะขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้าของประเทศในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มศักยภาพ ภายใต้ความรู้ความสามารถและวิทยาการสมัยใหม่ และความเห็นอกเห็นใจในฐานะที่เป็นคนไทยด้วยกัน
เนื่องในโอกาสวันสถาปนามหาวิทยาลัยครบรอบ 12 ปีนี้ มหาวิทยาลัยจึงได้จัดกิจกรรมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเผยแพร่ผลการดําเนินงาน อันเนื่องจากพระราชดําริ โครงการหลวง และโครงการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องตลอดจนการประชุมสัมมนาทางวิชาการโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้คณาจารย์ บุคลากร และนักศึกษา ได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบัน ตลอดจนเป็นการเผยแพร่ผลงานชื่อเสียงและเกียรติยศประวัติอันดีงามของมหาวิทยาลัยให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนอย่างกว้างขวาง
โดยกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การจัดแสดงนิทรรศการนักปฏิบัติผู้ยิ่งใหญ่ของแผ่นดิน นิทรรศการถวายความรําลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การจัดแสดงผลงานโครงการหลวง โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ การแข่งขันทักษะทางวิชาการ นิทรรศการนักปฏิบัติผู้ยิ่งใหญ่ของแผ่นดิน นิทรรศการสายน้ําแห่งนวัตกรรม การเสวนาทางวิชาการหัวข้อ การจัดการศึกษาหลากหลายรูปแบบ ดนตรีในสวน "บทเพลงของพ่อ" กาดมั่วคัวกิ๋นย้อนถิ่นล้านนา และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปนัดดา" เปิดงาน 12 ปี รำลึกพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม 2560
"ปนัดดา" เปิดงาน 12 ปี รําลึกพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "พระมหากรุณาธิคุณสถิตเสถียรในดวงใจปวงชนชาวไทย" เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 12 ปี วันคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
โดยมี รศ.ดร.นํายุทธ สงค์ธนาพิทักษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และนายประจวบ กันธิยะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวต้อนรับ
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลให้สัมภาษณ์ภายหลังพิธีเปิดว่า วันที่ 18 มกราคม2560 ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบแห่งความภาคภูมิใจนับจากที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 สถาปนาสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตล้านนา ขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
ด้วยน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงได้พร้อมใจจัดงานวันสถาปนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนานี้ขึ้นโดยเน้นการพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์เพื่อจะเป็นกําลังใจสําคัญในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับชีวิต เชื่อมั่นว่าสิ่งเหล่านี้ จะนําพาคนไทยก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางด้วยการเพิ่มศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ เพื่อจะขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้าของประเทศในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มศักยภาพ ภายใต้ความรู้ความสามารถและวิทยาการสมัยใหม่ และความเห็นอกเห็นใจในฐานะที่เป็นคนไทยด้วยกัน
เนื่องในโอกาสวันสถาปนามหาวิทยาลัยครบรอบ 12 ปีนี้ มหาวิทยาลัยจึงได้จัดกิจกรรมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเผยแพร่ผลการดําเนินงาน อันเนื่องจากพระราชดําริ โครงการหลวง และโครงการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องตลอดจนการประชุมสัมมนาทางวิชาการโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้คณาจารย์ บุคลากร และนักศึกษา ได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบัน ตลอดจนเป็นการเผยแพร่ผลงานชื่อเสียงและเกียรติยศประวัติอันดีงามของมหาวิทยาลัยให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนอย่างกว้างขวาง
โดยกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การจัดแสดงนิทรรศการนักปฏิบัติผู้ยิ่งใหญ่ของแผ่นดิน นิทรรศการถวายความรําลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การจัดแสดงผลงานโครงการหลวง โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ การแข่งขันทักษะทางวิชาการ นิทรรศการนักปฏิบัติผู้ยิ่งใหญ่ของแผ่นดิน นิทรรศการสายน้ําแห่งนวัตกรรม การเสวนาทางวิชาการหัวข้อ การจัดการศึกษาหลากหลายรูปแบบ ดนตรีในสวน "บทเพลงของพ่อ" กาดมั่วคัวกิ๋นย้อนถิ่นล้านนา และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1406
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ขยายระยะเวลาปิดทำการสาขาจนถึงวันที่ 30 มี.ค.63 สามารถใช้บริการผ่าน MyMo / ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ 24 ชั่วโมง
|
วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม 2563
ออมสิน ขยายระยะเวลาปิดทําการสาขาจนถึงวันที่ 30 มี.ค.63 สามารถใช้บริการผ่าน MyMo / ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ 24 ชั่วโมง
ตามที่เกิดเหตุการณ์ประชาชนเดินทางมาใช้บริการธนาคารออมสินเป็นจํานวนมากในช่วงวันที่ 26-27 มีนาคม 2563 ซึ่งเกิดจากความเข้าใจคลาดเคลื่อนในการขอรับเงินช่วยเหลือชดเชยรายได้ของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) จํานวน 5,000 บาท
ออมสิน ขยายระยะเวลาปิดทําการสาขาจนถึงวันที่ 30 มี.ค.63 สามารถใช้บริการผ่าน MyMo / ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ 24 ชั่วโมง
ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่เกิดเหตุการณ์ประชาชนเดินทางมาใช้บริการธนาคารออมสินเป็นจํานวนมากในช่วงวันที่ 26-27 มีนาคม 2563 ซึ่งเกิดจากความเข้าใจคลาดเคลื่อนในการขอรับเงินช่วยเหลือชดเชยรายได้ของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) จํานวน 5,000 บาท แม้ว่าธนาคารฯ จะใช้มาตรการด้านความปลอดภัยตามหลัก Social Distancing ของกระทรวงสาธารณสุขในการรับมือ แต่ประชาชนที่มามีจํานวนมากจนแออัดพื้นที่สาขา ทําให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19)
ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว และด้วยความห่วงใยในความปลอดภัยรวมถึงเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา COVID-19 ธนาคารออมสินจึงประกาศปิดให้บริการสาขาทุกแห่งทั่วประเทศเพิ่มเติมอีก 1 วัน ในวันจันทร์ที่ 30 มีนาคม 2563 จากที่ปิดให้บริการแล้ว 2 วัน เมื่อวันที่ 28-29 มีนาคม 2563 ทั้งนี้ ลูกค้าของธนาคารออมสินสามารถใช้บริการผ่าน Mobile Banking on MyMo ของธนาคารออมสิน และช่องทางอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ของธนาคารฯ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยธนาคารฯ ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้
อย่างไรก็ตาม สําหรับการลงทะเบียนเพื่อขอรับเงินช่วยเหลือชดเชยรายได้ของผู้ที่ได้รับผลกระทบฯ จํานวน 5,000 บาท นั้น ธนาคารฯ ขอย้ําถึงหลักความปลอดภัย “3 ไม่” คือ 1.ไม่ต้องมาธนาคาร เพราะธนาคารไม่ใช่ช่องทางการลงทะเบียน สามารถลงทะเบียนออนไลน์ได้ที่บ้านโดยไม่มีกําหนดปิด ผ่านเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com เท่านั้น 2.ไม่ต้องเปิดบัญชีใหม่ โดยใช้บัญชีธนาคารเดิมที่มีอยู่แล้วบัญชีใดก็ได้ และ 3.ไม่ต้องมารับเงินที่ธนาคาร เพราะจะได้รับเงินโอนเข้าบัญชีพร้อมเพย์หรือบัญชีที่ได้แจ้งในการลงทะเบียนไว้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ขยายระยะเวลาปิดทำการสาขาจนถึงวันที่ 30 มี.ค.63 สามารถใช้บริการผ่าน MyMo / ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ 24 ชั่วโมง
วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม 2563
ออมสิน ขยายระยะเวลาปิดทําการสาขาจนถึงวันที่ 30 มี.ค.63 สามารถใช้บริการผ่าน MyMo / ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ 24 ชั่วโมง
ตามที่เกิดเหตุการณ์ประชาชนเดินทางมาใช้บริการธนาคารออมสินเป็นจํานวนมากในช่วงวันที่ 26-27 มีนาคม 2563 ซึ่งเกิดจากความเข้าใจคลาดเคลื่อนในการขอรับเงินช่วยเหลือชดเชยรายได้ของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) จํานวน 5,000 บาท
ออมสิน ขยายระยะเวลาปิดทําการสาขาจนถึงวันที่ 30 มี.ค.63 สามารถใช้บริการผ่าน MyMo / ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ 24 ชั่วโมง
ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่เกิดเหตุการณ์ประชาชนเดินทางมาใช้บริการธนาคารออมสินเป็นจํานวนมากในช่วงวันที่ 26-27 มีนาคม 2563 ซึ่งเกิดจากความเข้าใจคลาดเคลื่อนในการขอรับเงินช่วยเหลือชดเชยรายได้ของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) จํานวน 5,000 บาท แม้ว่าธนาคารฯ จะใช้มาตรการด้านความปลอดภัยตามหลัก Social Distancing ของกระทรวงสาธารณสุขในการรับมือ แต่ประชาชนที่มามีจํานวนมากจนแออัดพื้นที่สาขา ทําให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19)
ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว และด้วยความห่วงใยในความปลอดภัยรวมถึงเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา COVID-19 ธนาคารออมสินจึงประกาศปิดให้บริการสาขาทุกแห่งทั่วประเทศเพิ่มเติมอีก 1 วัน ในวันจันทร์ที่ 30 มีนาคม 2563 จากที่ปิดให้บริการแล้ว 2 วัน เมื่อวันที่ 28-29 มีนาคม 2563 ทั้งนี้ ลูกค้าของธนาคารออมสินสามารถใช้บริการผ่าน Mobile Banking on MyMo ของธนาคารออมสิน และช่องทางอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ของธนาคารฯ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยธนาคารฯ ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้
อย่างไรก็ตาม สําหรับการลงทะเบียนเพื่อขอรับเงินช่วยเหลือชดเชยรายได้ของผู้ที่ได้รับผลกระทบฯ จํานวน 5,000 บาท นั้น ธนาคารฯ ขอย้ําถึงหลักความปลอดภัย “3 ไม่” คือ 1.ไม่ต้องมาธนาคาร เพราะธนาคารไม่ใช่ช่องทางการลงทะเบียน สามารถลงทะเบียนออนไลน์ได้ที่บ้านโดยไม่มีกําหนดปิด ผ่านเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com เท่านั้น 2.ไม่ต้องเปิดบัญชีใหม่ โดยใช้บัญชีธนาคารเดิมที่มีอยู่แล้วบัญชีใดก็ได้ และ 3.ไม่ต้องมารับเงินที่ธนาคาร เพราะจะได้รับเงินโอนเข้าบัญชีพร้อมเพย์หรือบัญชีที่ได้แจ้งในการลงทะเบียนไว้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28045
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ตรวจเยี่ยมการใช้ประโยชน์จากโครงการ “เน็ตประชารัฐ” ในพื้นที่ จ.ชุมพร
|
วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ ตรวจเยี่ยมการใช้ประโยชน์จากโครงการ “เน็ตประชารัฐ” ในพื้นที่ จ.ชุมพร
รมว.ดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) นําคณะผู้บริหารกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัดฯ ลงพื้นที่ หมู่บ้านเขาชันโต๊ะ หมู่ 8 ตําบลวิสัยเหนือ อําเภอเมือง จังหวัดชุมพร เพื่อตรวจเยี่ยมการใช้ประโยชน์จากโครงการ “เน็ตประชารัฐ” ที่ติดตั้งแล้วเสร็จไปเมื่อเดือนธันวาคม 2560 ซึ่งจากการลงพื้นที่พบว่าการดูแลอุปกรณ์ทุกจุดติดตั้งของหมู่บ้านแต่ละชุมชนยังขาดความรู้ความเข้าใจเบื้องต้น ในการดูแลอุปกรณ์ การแจ้งเหตุขัดข้อง หรือให้คําแนะนําการเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเบื้องต้น รวมถึงจํานวนจุดติดตั้งไม่เพียงพอ สําหรับหมู่บ้านที่มีจํานวนประชากรอยู่หนาแน่น และมีความต้องการใช้บริการเน็ตประชารัฐมากกว่า 1 จุด เนื่องจากลักษณะของหมู่บ้านที่แต่ละหลังคาเรือนมีการกระจายตัวทําให้เกิดระยะทางห่างจากจุดติดตั้ง ทั้งนี้ รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เห็นควรเน้นสร้างการรับรู้ในชุมชน หน่วยงานระดับจังหวัด และในระดับพื้นที่ ส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การส่งเสริมหมู่บ้านท่องเที่ยว สร้างความเข้าใจขั้นตอนพื้นฐานในการใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐ อย่างถูกต้องและเหมาะสม ส่งเสริมการประกอบอาชีพในพื้นที่มุ่งเน้นการเปิดโอกาสการเข้าถึงของผู้สูงอายุ โดยให้หน่วยงานในท้องถิ่นหรือภาคเอกชนเป็นผู้ร่วมดําเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ สําหรับการค้าขายสินค้าและบริการออนไลน์ โดยให้รู้เท่าทันภาวะตลาด การขนส่งสินค้า รวมถึงการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ เชิงอนุรักษ์ของพื้นที่ชุมชนให้เป็นที่รู้จักทั่วถึง ตลอดจนการติดตามประเมินผลผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมการใช้ประโยชน์จากโครงข่ายเน็ตประชารัฐ ให้สามารถนําความรู้ไปใช้ประโยชน์และถ่ายทอดความรู้ให้แก่คนในชุมชน หรือถ่ายทอดให้กลุ่มเป้าหมายอื่นที่มีความสนใจได้มีความรู้และสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2561
************************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ตรวจเยี่ยมการใช้ประโยชน์จากโครงการ “เน็ตประชารัฐ” ในพื้นที่ จ.ชุมพร
วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ ตรวจเยี่ยมการใช้ประโยชน์จากโครงการ “เน็ตประชารัฐ” ในพื้นที่ จ.ชุมพร
รมว.ดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) นําคณะผู้บริหารกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัดฯ ลงพื้นที่ หมู่บ้านเขาชันโต๊ะ หมู่ 8 ตําบลวิสัยเหนือ อําเภอเมือง จังหวัดชุมพร เพื่อตรวจเยี่ยมการใช้ประโยชน์จากโครงการ “เน็ตประชารัฐ” ที่ติดตั้งแล้วเสร็จไปเมื่อเดือนธันวาคม 2560 ซึ่งจากการลงพื้นที่พบว่าการดูแลอุปกรณ์ทุกจุดติดตั้งของหมู่บ้านแต่ละชุมชนยังขาดความรู้ความเข้าใจเบื้องต้น ในการดูแลอุปกรณ์ การแจ้งเหตุขัดข้อง หรือให้คําแนะนําการเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเบื้องต้น รวมถึงจํานวนจุดติดตั้งไม่เพียงพอ สําหรับหมู่บ้านที่มีจํานวนประชากรอยู่หนาแน่น และมีความต้องการใช้บริการเน็ตประชารัฐมากกว่า 1 จุด เนื่องจากลักษณะของหมู่บ้านที่แต่ละหลังคาเรือนมีการกระจายตัวทําให้เกิดระยะทางห่างจากจุดติดตั้ง ทั้งนี้ รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เห็นควรเน้นสร้างการรับรู้ในชุมชน หน่วยงานระดับจังหวัด และในระดับพื้นที่ ส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การส่งเสริมหมู่บ้านท่องเที่ยว สร้างความเข้าใจขั้นตอนพื้นฐานในการใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐ อย่างถูกต้องและเหมาะสม ส่งเสริมการประกอบอาชีพในพื้นที่มุ่งเน้นการเปิดโอกาสการเข้าถึงของผู้สูงอายุ โดยให้หน่วยงานในท้องถิ่นหรือภาคเอกชนเป็นผู้ร่วมดําเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ สําหรับการค้าขายสินค้าและบริการออนไลน์ โดยให้รู้เท่าทันภาวะตลาด การขนส่งสินค้า รวมถึงการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ เชิงอนุรักษ์ของพื้นที่ชุมชนให้เป็นที่รู้จักทั่วถึง ตลอดจนการติดตามประเมินผลผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมการใช้ประโยชน์จากโครงข่ายเน็ตประชารัฐ ให้สามารถนําความรู้ไปใช้ประโยชน์และถ่ายทอดความรู้ให้แก่คนในชุมชน หรือถ่ายทอดให้กลุ่มเป้าหมายอื่นที่มีความสนใจได้มีความรู้และสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2561
************************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14762
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพอใจแผนจัดการน้ำ ทุ่งเจ้าพระยา -บางระกำรองรับฝนตกชุกปลายฤดู มั่นใจปีนี้ไม่มีน้ำหลากน้ำท่วมภาคกลาง
|
วันจันทร์ที่ 24 กันยายน 2561
นายกรัฐมนตรีพอใจแผนจัดการน้ํา ทุ่งเจ้าพระยา -บางระกํารองรับฝนตกชุกปลายฤดู มั่นใจปีนี้ไม่มีน้ําหลากน้ําท่วมภาคกลาง
นายกรัฐมนตรีพอใจแผนจัดการน้ําทุ่งเจ้าพระยา -บางระกํารองรับฝนตกชุกปลายฤดู มั่นใจปีนี้ไม่มีน้ําหลากน้ําท่วมภาคกลาง
วันนี้ (22 กันยายน 2561) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับรายงานว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ระบายน้ําจากอ่างเก็บน้้ําขนาดใหญ่เข้าไปพักไว้ในพื้นที่ลุ่มต่ํา 12 ทุ่งลุ่มเจ้าพระยาแล้ว เช่นเดียวกับทางตอนบนที่ปล่อยน้ําเข้าทุ่งบางระกํา เพื่อพร่องน้ําในระบบ ทําให้มีพื้นที่รองรับปริมาณฝนที่อาจตกชุกในช่วงปลายฤดู โดยมั่นใจว่าปีนี้จะไม่มีสถานการณ์น้ําหลากหรือน้ําท่วมภาคกลางแน่นอน สําหรับข้อกังวลว่าจะมีฝนตกหนักจากอิทธิพลของพายุในช่วงเดือน ก.ย.- ต.ค. นั้น กรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่าปีนี้อากาศหนาวจากจีนจะมาเร็ว ดังนั้นโอกาสที่ภาคกลางจะได้รับผลกระทบจากพายุในช่วงนี้จึงมีไม่มากนัก ซึ่งระลอกแรกรัฐบาลมีแผนทยอยนําน้ําเข้าทุ่งร้อยละ 30 - 50 ของศักยภาพการรับน้ําอ่างเก็บน้ํา โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพลและสิริกิติ์ หากปลายฤดูมีฝนตกชุกก็จะยังมีพื้นที่รับน้ําได้อีกมาก ประชาชนจึงหมดกังวลเรื่องน้ําเหนือจากแม่น้ําปิงและแม่น้ําน่านหลากได้ ส่วนลุ่มน้ํายมแม้ไม่มีเขื่อน แต่ทุ่งบางระกําสามารถรับน้ําได้ 550 ล้าน ลบ.ม. และขณะนี้มีน้ํานอนทุ่งอยู่ 200 ล้านลบ.ม. จึงยังรับน้ําได้อีกมากเช่นกัน หากมีฝนตกชุกก็จะทําให้น้ําที่ไหลเข้าเขื่อนเจ้าพระยามีไม่มากเท่าปีก่อน ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มต่ําท้ายเขื่อนตั้งแต่ จ.ชัยนาท จนถึง จ.พระนครศรีอยุธยา
อย่างไรก็ตาม บริเวณพื้นที่ทุ่งโพธิ์พระยา จ. สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นทุ่งที่ต่ําที่สุดของลุ่มเจ้าพระยา เกษตรกรจะปลูกข้าวล่าช้ากว่าทุ่งอื่น 15 วัน เพราะระบายน้ําออกหมดเป็นทุ่งสุดท้าย แต่ก็พร้อมจะรับน้ําหลากหลังเก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย.นี้ ซึ่งที่ผ่านมาเกษตรกรรู้สึกพึงพอใจการปล่อยน้ําเข้าทุ่งมาก เพราะช่วยตัดวงจรของโรค แมลง และหนู อีกทั้งยังช่วยพักหน้าดิน เพิ่มธาตุอาหารในดินและลดต้นทุนค่าปุ๋ยค่ายาได้อีกด้วย
"นายกฯ รับทราบว่า ในสัปดาห์หน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะนําพันธุ์ปลาและกุ้งไปปล่อยที่ทุ่งบางระกํา เพื่อให้เกษตรกรจับขายเป็นรายได้เสริม และให้กรมประมงและองค์การสะพานปลาเข้าไปช่วยส่งเสริมเรื่องการแปรรูปและหาตลาดให้ โดยจะดําเนินการแบบเดียวกันนี้กับ 12 ทุ่งลุ่มเจ้าพระยาด้วย ซึ่งนายกฯ พึงพอใจและขอให้ทําตามแผนที่วางไว้ให้สําเร็จ"
......
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพอใจแผนจัดการน้ำ ทุ่งเจ้าพระยา -บางระกำรองรับฝนตกชุกปลายฤดู มั่นใจปีนี้ไม่มีน้ำหลากน้ำท่วมภาคกลาง
วันจันทร์ที่ 24 กันยายน 2561
นายกรัฐมนตรีพอใจแผนจัดการน้ํา ทุ่งเจ้าพระยา -บางระกํารองรับฝนตกชุกปลายฤดู มั่นใจปีนี้ไม่มีน้ําหลากน้ําท่วมภาคกลาง
นายกรัฐมนตรีพอใจแผนจัดการน้ําทุ่งเจ้าพระยา -บางระกํารองรับฝนตกชุกปลายฤดู มั่นใจปีนี้ไม่มีน้ําหลากน้ําท่วมภาคกลาง
วันนี้ (22 กันยายน 2561) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับรายงานว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ระบายน้ําจากอ่างเก็บน้้ําขนาดใหญ่เข้าไปพักไว้ในพื้นที่ลุ่มต่ํา 12 ทุ่งลุ่มเจ้าพระยาแล้ว เช่นเดียวกับทางตอนบนที่ปล่อยน้ําเข้าทุ่งบางระกํา เพื่อพร่องน้ําในระบบ ทําให้มีพื้นที่รองรับปริมาณฝนที่อาจตกชุกในช่วงปลายฤดู โดยมั่นใจว่าปีนี้จะไม่มีสถานการณ์น้ําหลากหรือน้ําท่วมภาคกลางแน่นอน สําหรับข้อกังวลว่าจะมีฝนตกหนักจากอิทธิพลของพายุในช่วงเดือน ก.ย.- ต.ค. นั้น กรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่าปีนี้อากาศหนาวจากจีนจะมาเร็ว ดังนั้นโอกาสที่ภาคกลางจะได้รับผลกระทบจากพายุในช่วงนี้จึงมีไม่มากนัก ซึ่งระลอกแรกรัฐบาลมีแผนทยอยนําน้ําเข้าทุ่งร้อยละ 30 - 50 ของศักยภาพการรับน้ําอ่างเก็บน้ํา โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพลและสิริกิติ์ หากปลายฤดูมีฝนตกชุกก็จะยังมีพื้นที่รับน้ําได้อีกมาก ประชาชนจึงหมดกังวลเรื่องน้ําเหนือจากแม่น้ําปิงและแม่น้ําน่านหลากได้ ส่วนลุ่มน้ํายมแม้ไม่มีเขื่อน แต่ทุ่งบางระกําสามารถรับน้ําได้ 550 ล้าน ลบ.ม. และขณะนี้มีน้ํานอนทุ่งอยู่ 200 ล้านลบ.ม. จึงยังรับน้ําได้อีกมากเช่นกัน หากมีฝนตกชุกก็จะทําให้น้ําที่ไหลเข้าเขื่อนเจ้าพระยามีไม่มากเท่าปีก่อน ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มต่ําท้ายเขื่อนตั้งแต่ จ.ชัยนาท จนถึง จ.พระนครศรีอยุธยา
อย่างไรก็ตาม บริเวณพื้นที่ทุ่งโพธิ์พระยา จ. สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นทุ่งที่ต่ําที่สุดของลุ่มเจ้าพระยา เกษตรกรจะปลูกข้าวล่าช้ากว่าทุ่งอื่น 15 วัน เพราะระบายน้ําออกหมดเป็นทุ่งสุดท้าย แต่ก็พร้อมจะรับน้ําหลากหลังเก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย.นี้ ซึ่งที่ผ่านมาเกษตรกรรู้สึกพึงพอใจการปล่อยน้ําเข้าทุ่งมาก เพราะช่วยตัดวงจรของโรค แมลง และหนู อีกทั้งยังช่วยพักหน้าดิน เพิ่มธาตุอาหารในดินและลดต้นทุนค่าปุ๋ยค่ายาได้อีกด้วย
"นายกฯ รับทราบว่า ในสัปดาห์หน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะนําพันธุ์ปลาและกุ้งไปปล่อยที่ทุ่งบางระกํา เพื่อให้เกษตรกรจับขายเป็นรายได้เสริม และให้กรมประมงและองค์การสะพานปลาเข้าไปช่วยส่งเสริมเรื่องการแปรรูปและหาตลาดให้ โดยจะดําเนินการแบบเดียวกันนี้กับ 12 ทุ่งลุ่มเจ้าพระยาด้วย ซึ่งนายกฯ พึงพอใจและขอให้ทําตามแผนที่วางไว้ให้สําเร็จ"
......
สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15588
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีระบุยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงโรดแมป เผยทุกอย่างจะคลี่คลายหลังจากพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพ และมีพิธีพระบรมราชาภิเษก
|
วันอังคารที่ 7 มีนาคม 2560
นายกรัฐมนตรีระบุยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงโรดแมป เผยทุกอย่างจะคลี่คลายหลังจากพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพ และมีพิธีพระบรมราชาภิเษก
นายกรัฐมนตรีระบุยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงโรดแมป เผยทุกอย่างจะคลี่คลายหลังจากพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพ และมีพิธีพระบรมราชาภิเษก
วันนี้ (7 มีนาคม 2560) เวลา 14.10 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีการประเมินสถานการณ์ความเคลื่อนไหวจากกลุ่มต่าง ๆ ทางการเมือง มีสัญญาณบ่งบอกว่าจะกระทบให้ต้องขยับโรดแมปว่า เพราะมีเหตุการณ์สําคัญเกิดขึ้น และทุกอย่างจะคลี่คลายลงหลังจากพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ และมีพิธีพระบรมราชาภิเษกแล้ว
------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีระบุยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงโรดแมป เผยทุกอย่างจะคลี่คลายหลังจากพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพ และมีพิธีพระบรมราชาภิเษก
วันอังคารที่ 7 มีนาคม 2560
นายกรัฐมนตรีระบุยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงโรดแมป เผยทุกอย่างจะคลี่คลายหลังจากพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพ และมีพิธีพระบรมราชาภิเษก
นายกรัฐมนตรีระบุยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงโรดแมป เผยทุกอย่างจะคลี่คลายหลังจากพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพ และมีพิธีพระบรมราชาภิเษก
วันนี้ (7 มีนาคม 2560) เวลา 14.10 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีการประเมินสถานการณ์ความเคลื่อนไหวจากกลุ่มต่าง ๆ ทางการเมือง มีสัญญาณบ่งบอกว่าจะกระทบให้ต้องขยับโรดแมปว่า เพราะมีเหตุการณ์สําคัญเกิดขึ้น และทุกอย่างจะคลี่คลายลงหลังจากพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ และมีพิธีพระบรมราชาภิเษกแล้ว
------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2235
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ลงพื้นที่ จ.จันทบุรี หนุนวิทยากรแกนนำเน็ตประชารัฐ เร่งสร้างความรู้การใช้สื่อดิจิทัล ยกระดับเศรษฐกิจชุมชน
|
วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561
กระทรวงดิจิทัลฯ ลงพื้นที่ จ.จันทบุรี หนุนวิทยากรแกนนําเน็ตประชารัฐ เร่งสร้างความรู้การใช้สื่อดิจิทัล ยกระดับเศรษฐกิจชุมชน
กระทรวงดิจิทัลฯ
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ นําทีมผู้บริหารกระทรวงฯ ลงพื้นที่บ้านคลองน้ําเป็น อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี ตรวจเยี่ยมการใช้ประโยชน์จากโครงการเน็ตประชารัฐ หนุนวิทยากรแกนนําเน็ตประชารัฐเร่งให้ความรู้ผู้นําชุมชน พร้อมผลักดันคนในพื้นที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพิ่มมูลค่าสินค้าชุมชน ยกระดับเศรษฐกิจและสังคมอย่างบูรณาการ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยในการเดินทางตรวจเยี่ยมการใช้ประโยชน์จากโครงการเน็ตประชารัฐ บ้านคลองน้ําเป็น อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี ว่า โครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ หรือ เน็ตประชารัฐ ได้ขยายการติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ภาคตะวันออก จํานวน 1,554 หมู่บ้าน ได้แก่ จังหวัดจันทบุรี 221 หมู่บ้าน ฉะเชิงเทรา 289 หมู่บ้าน ชลบุรี 26 หมู่บ้าน ตราด 80 หมู่บ้าน นครนายก 120 หมู่บ้าน ปราจีนบุรี 338 หมู่บ้าน ระยอง 114 หมู่บ้าน และสระแก้ว 366 หมู่บ้าน
จังหวัดจันทบุรี เป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีความโดดเด่นในด้านเกษตรกรรม ทั้งยังเป็นพื้นที่เพาะปลูกผลไม้ที่มีชื่อเสียงของประเทศมากมาย ทั้ง ทุเรียน เงาะ และมังคุด นอกจากนี้ ยังเป็นศูนย์กลางการซื้อขายอัญมณีแหล่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงการมีทรัพยากรการท่องเที่ยวที่หลากหลายทั้งแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และการท่องเที่ยวทางทะเล ตลอดจนการส่งเสริมการค้าชายแดนเพื่อการค้าการลงทุนที่เชื่อมโยงกับประเทศกัมพูชาและเวียดนาม ซึ่งการขยายโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเข้าถึงหมู่บ้านตามโครงการ เน็ตประชารัฐนี้ จะไปสนับสนุนเพิ่มประสิทธิภาพให้ประชาชนและชุมชนในหมู่บ้านสามารถพัฒนาเพิ่มผลผลิตสินค้าเกษตรและคุณภาพของสินค้าให้ได้มาตรฐาน สร้างมูลค่าเพิ่มทางการท่องเที่ยว รวมไปถึงการพัฒนาด้านสังคม เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีระบบการดูแลรักษาสุขภาพและการเข้าถึงบริการต่างๆ ของภาครัฐ ส่งเสริมและพัฒนาทางด้านการศึกษาตลอดจนการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สําหรับการตรวจเยี่ยมจุดติดตั้งเน็ตประชารัฐที่บ้านคลองน้ําเป็น ซึ่งเป็นชุมชนตัวอย่างในด้านของการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง และการใช้นวัตกรรมอย่างสร้างสรรค์ โดยเป็นพื้นที่ที่มีการตั้งศูนย์กําจัดศัตรูพืชชีวพันธ์ ไม่ใช้สารเคมี เพิ่มมูลค่าสินค้าการเกษตร โดยมีการผลิตสินค้าแปรรูป อาทิ ทุเรียนทอด พริกไทย น้ําผึ้งชันโรง โฮมสเตย์ท่องเที่ยวสวนผลไม้-ผลไม้บุฟเฟ่ และกล้วยตากริมวารี เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) ยังได้นําโครงการ “TOT Young Club เด็กไทยมีดีใช้ไอทีเพื่อวิสาหกิจชุมชน” เพื่อพัฒนาเยาวชนในพื้นที่ให้มีความรู้ด้านดิจิทัล นําไปพัฒนาชุมชนของตนเอง โดยโครงการ TOT Young Club ถือเป็นโครงการที่พัฒนาสร้างเยาวชนในการขับเคลื่อนชุมชน สร้างความเข้มแข็ง สร้างรายได้ และความยั่งยืนให้กับคนในชุมชน สร้างต้นกล้าที่ประสานเชื่อมโยงคนในชุมชนให้มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ขับเคลื่อนนโยบายประเทศไทย 4.0
ปัจจุบันกระทรวงดิจิทัลฯ ได้เร่งสร้างการรับรู้และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐในชุมชน โดยวิทยากรแกนนําครูจากสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ที่ผ่านการอบรมหลักสูตร “การพัฒนาวิทยากรแกนนําเพื่อการใช้ประโยชน์จากโครงการเน็ตประชารัฐ” กว่า 1,000 คนทั่วประเทศ ได้จัดอบรมขยายเครือข่ายสู่ผู้นําชุมชนทั้ง 24,700 หมู่บ้าน รวมจํานวน 100,000 คน ภายในเดือนมีนาคม 2561 ซึ่งจะมีการเชื่อมโยงสู่ประชาชนในหมู่บ้านตนเองอีกไม่น้อยกว่า 1,000,000 คนทั่วประเทศ ภายในปี 2561
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ที่เหมาะสมกับบริบทของชุมชน และประชาชนในพื้นที่ ภายใต้แนวคิด “เข้าถึง เข้าใจ นําไปใช้ประโยชน์ เกิดผลผลิต” ซึ่งจะเป็นการพัฒนาเพิ่มศักยภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ ทั้งภาคการผลิต ภาคเกษตรกรรม และภาคอุตสาหกรรม ให้เกิดแหล่งความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม ตลอดจนแหล่งเงินทุน เพื่อให้สามารถแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าออกสู่ตลาดระดับโลก และตลาดออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนกินดีอยู่ดี นําประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
*************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ลงพื้นที่ จ.จันทบุรี หนุนวิทยากรแกนนำเน็ตประชารัฐ เร่งสร้างความรู้การใช้สื่อดิจิทัล ยกระดับเศรษฐกิจชุมชน
วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561
กระทรวงดิจิทัลฯ ลงพื้นที่ จ.จันทบุรี หนุนวิทยากรแกนนําเน็ตประชารัฐ เร่งสร้างความรู้การใช้สื่อดิจิทัล ยกระดับเศรษฐกิจชุมชน
กระทรวงดิจิทัลฯ
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ นําทีมผู้บริหารกระทรวงฯ ลงพื้นที่บ้านคลองน้ําเป็น อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี ตรวจเยี่ยมการใช้ประโยชน์จากโครงการเน็ตประชารัฐ หนุนวิทยากรแกนนําเน็ตประชารัฐเร่งให้ความรู้ผู้นําชุมชน พร้อมผลักดันคนในพื้นที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพิ่มมูลค่าสินค้าชุมชน ยกระดับเศรษฐกิจและสังคมอย่างบูรณาการ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยในการเดินทางตรวจเยี่ยมการใช้ประโยชน์จากโครงการเน็ตประชารัฐ บ้านคลองน้ําเป็น อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี ว่า โครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ หรือ เน็ตประชารัฐ ได้ขยายการติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ภาคตะวันออก จํานวน 1,554 หมู่บ้าน ได้แก่ จังหวัดจันทบุรี 221 หมู่บ้าน ฉะเชิงเทรา 289 หมู่บ้าน ชลบุรี 26 หมู่บ้าน ตราด 80 หมู่บ้าน นครนายก 120 หมู่บ้าน ปราจีนบุรี 338 หมู่บ้าน ระยอง 114 หมู่บ้าน และสระแก้ว 366 หมู่บ้าน
จังหวัดจันทบุรี เป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีความโดดเด่นในด้านเกษตรกรรม ทั้งยังเป็นพื้นที่เพาะปลูกผลไม้ที่มีชื่อเสียงของประเทศมากมาย ทั้ง ทุเรียน เงาะ และมังคุด นอกจากนี้ ยังเป็นศูนย์กลางการซื้อขายอัญมณีแหล่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงการมีทรัพยากรการท่องเที่ยวที่หลากหลายทั้งแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และการท่องเที่ยวทางทะเล ตลอดจนการส่งเสริมการค้าชายแดนเพื่อการค้าการลงทุนที่เชื่อมโยงกับประเทศกัมพูชาและเวียดนาม ซึ่งการขยายโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเข้าถึงหมู่บ้านตามโครงการ เน็ตประชารัฐนี้ จะไปสนับสนุนเพิ่มประสิทธิภาพให้ประชาชนและชุมชนในหมู่บ้านสามารถพัฒนาเพิ่มผลผลิตสินค้าเกษตรและคุณภาพของสินค้าให้ได้มาตรฐาน สร้างมูลค่าเพิ่มทางการท่องเที่ยว รวมไปถึงการพัฒนาด้านสังคม เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีระบบการดูแลรักษาสุขภาพและการเข้าถึงบริการต่างๆ ของภาครัฐ ส่งเสริมและพัฒนาทางด้านการศึกษาตลอดจนการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สําหรับการตรวจเยี่ยมจุดติดตั้งเน็ตประชารัฐที่บ้านคลองน้ําเป็น ซึ่งเป็นชุมชนตัวอย่างในด้านของการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง และการใช้นวัตกรรมอย่างสร้างสรรค์ โดยเป็นพื้นที่ที่มีการตั้งศูนย์กําจัดศัตรูพืชชีวพันธ์ ไม่ใช้สารเคมี เพิ่มมูลค่าสินค้าการเกษตร โดยมีการผลิตสินค้าแปรรูป อาทิ ทุเรียนทอด พริกไทย น้ําผึ้งชันโรง โฮมสเตย์ท่องเที่ยวสวนผลไม้-ผลไม้บุฟเฟ่ และกล้วยตากริมวารี เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) ยังได้นําโครงการ “TOT Young Club เด็กไทยมีดีใช้ไอทีเพื่อวิสาหกิจชุมชน” เพื่อพัฒนาเยาวชนในพื้นที่ให้มีความรู้ด้านดิจิทัล นําไปพัฒนาชุมชนของตนเอง โดยโครงการ TOT Young Club ถือเป็นโครงการที่พัฒนาสร้างเยาวชนในการขับเคลื่อนชุมชน สร้างความเข้มแข็ง สร้างรายได้ และความยั่งยืนให้กับคนในชุมชน สร้างต้นกล้าที่ประสานเชื่อมโยงคนในชุมชนให้มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ขับเคลื่อนนโยบายประเทศไทย 4.0
ปัจจุบันกระทรวงดิจิทัลฯ ได้เร่งสร้างการรับรู้และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐในชุมชน โดยวิทยากรแกนนําครูจากสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ที่ผ่านการอบรมหลักสูตร “การพัฒนาวิทยากรแกนนําเพื่อการใช้ประโยชน์จากโครงการเน็ตประชารัฐ” กว่า 1,000 คนทั่วประเทศ ได้จัดอบรมขยายเครือข่ายสู่ผู้นําชุมชนทั้ง 24,700 หมู่บ้าน รวมจํานวน 100,000 คน ภายในเดือนมีนาคม 2561 ซึ่งจะมีการเชื่อมโยงสู่ประชาชนในหมู่บ้านตนเองอีกไม่น้อยกว่า 1,000,000 คนทั่วประเทศ ภายในปี 2561
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ที่เหมาะสมกับบริบทของชุมชน และประชาชนในพื้นที่ ภายใต้แนวคิด “เข้าถึง เข้าใจ นําไปใช้ประโยชน์ เกิดผลผลิต” ซึ่งจะเป็นการพัฒนาเพิ่มศักยภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ ทั้งภาคการผลิต ภาคเกษตรกรรม และภาคอุตสาหกรรม ให้เกิดแหล่งความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม ตลอดจนแหล่งเงินทุน เพื่อให้สามารถแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าออกสู่ตลาดระดับโลก และตลาดออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนกินดีอยู่ดี นําประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
*************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9864
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เคาะมาตรการช่วยสถานประกอบกิจการ บรรเทาผลกระทบโควิด 19 [กระทรวงแรงงาน]
|
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563
ก.แรงงาน เคาะมาตรการช่วยสถานประกอบกิจการ บรรเทาผลกระทบโควิด 19 [กระทรวงแรงงาน]
ก.แรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กําหนดมาตรการช่วยเหลือสถานประกอบกิจการ ภายใต้ พ.ร.บ.ส่งเสริมฯ 2545 ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19
นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสถานประกอบกิจการเป็นจํานวนมาก รัฐบาลจึงสั่งการให้หน่วยงานภาครัฐกําหนดมาตรการช่วยเหลือแรงงานและสถานประกอบกิจการที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ โดยในส่วนของกพร. ได้กําหนดมาตรการช่วยเหลือสถานประกอบกิจการอยู่ในข่ายบังคับตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 และแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2557 รวม 4 มาตรการ ได้แก่
มาตรการที่ 1 ลดสัดส่วนของจํานวนลูกจ้างที่ผู้ประกอบกิจการต้องจัดให้มีการฝึกอบรมหรือทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ หรือผ่านการรับรองความรู้ความสามารถอย่างใดอย่างหนึ่ง จากเดิมในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ลดลงเหลือไม่น้อยกว่าร้อยละ 10
มาตรการที่ 2 ขยายเวลาการยื่นขอรับรองหลักสูตรและค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมของสถานประกอบกิจการที่ฝึกอบรมลูกจ้างระหว่างเดือนมกราคม 2563 ถึงธันวาคม 2563 จากเดิมต้องยื่นรับรองหลักสูตรเสนอนายทะเบียนให้ความเห็นชอบภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่ฝึกอบรมเสร็จสิ้น เป็นภายใน 120 วัน นับตั้งแต่วันที่ฝึกอบรมเสร็จสิ้น
มาตรการที่ 3 ขยายเวลาการประเมินเงินสมทบ ประจําปี 2562 จากเดิม กําหนดต้องยื่นแบบแสดงการส่งเงินสมทบ (สท.2) ภายใน 31 มีนาคม 2563 ขยายเวลาเป็นภายใน 31 กรกฎาคม 2563 และมาตรการที่ 4 ขยายเวลาการชําระหนี้เงินกู้ยืมกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานให้สถานประกอบกิจการเป็นเวลา 6 เดือน (พักชําระหนี้ตั้งแต่เมษายน4 ถึงเดือนกันยายน 2563) โดยเริ่มชําระหนี้ในเดือนตุลาคม 2563
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กองส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน 0 2643 6039 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เคาะมาตรการช่วยสถานประกอบกิจการ บรรเทาผลกระทบโควิด 19 [กระทรวงแรงงาน]
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563
ก.แรงงาน เคาะมาตรการช่วยสถานประกอบกิจการ บรรเทาผลกระทบโควิด 19 [กระทรวงแรงงาน]
ก.แรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กําหนดมาตรการช่วยเหลือสถานประกอบกิจการ ภายใต้ พ.ร.บ.ส่งเสริมฯ 2545 ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19
นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสถานประกอบกิจการเป็นจํานวนมาก รัฐบาลจึงสั่งการให้หน่วยงานภาครัฐกําหนดมาตรการช่วยเหลือแรงงานและสถานประกอบกิจการที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ โดยในส่วนของกพร. ได้กําหนดมาตรการช่วยเหลือสถานประกอบกิจการอยู่ในข่ายบังคับตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 และแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2557 รวม 4 มาตรการ ได้แก่
มาตรการที่ 1 ลดสัดส่วนของจํานวนลูกจ้างที่ผู้ประกอบกิจการต้องจัดให้มีการฝึกอบรมหรือทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ หรือผ่านการรับรองความรู้ความสามารถอย่างใดอย่างหนึ่ง จากเดิมในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ลดลงเหลือไม่น้อยกว่าร้อยละ 10
มาตรการที่ 2 ขยายเวลาการยื่นขอรับรองหลักสูตรและค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมของสถานประกอบกิจการที่ฝึกอบรมลูกจ้างระหว่างเดือนมกราคม 2563 ถึงธันวาคม 2563 จากเดิมต้องยื่นรับรองหลักสูตรเสนอนายทะเบียนให้ความเห็นชอบภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่ฝึกอบรมเสร็จสิ้น เป็นภายใน 120 วัน นับตั้งแต่วันที่ฝึกอบรมเสร็จสิ้น
มาตรการที่ 3 ขยายเวลาการประเมินเงินสมทบ ประจําปี 2562 จากเดิม กําหนดต้องยื่นแบบแสดงการส่งเงินสมทบ (สท.2) ภายใน 31 มีนาคม 2563 ขยายเวลาเป็นภายใน 31 กรกฎาคม 2563 และมาตรการที่ 4 ขยายเวลาการชําระหนี้เงินกู้ยืมกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานให้สถานประกอบกิจการเป็นเวลา 6 เดือน (พักชําระหนี้ตั้งแต่เมษายน4 ถึงเดือนกันยายน 2563) โดยเริ่มชําระหนี้ในเดือนตุลาคม 2563
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กองส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน 0 2643 6039 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28672
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบนโยบายและกำหนดทิศทางการดำเนินงานการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษภายใต้นโยบายการปฏิรูปประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
|
วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม 2561
ปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบนโยบายและกําหนดทิศทางการดําเนินงานการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษภายใต้นโยบายการปฏิรูปประเทศ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการการมอบนโยบายและกําหนดทิศทางการดําเนินงาน
การสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษภายใต้นโยบายการปฏิรูปประเทศ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๑.๐๐ น.
ณ ห้อง Cosmos ชั้น ๔ โรงแรมเบสท์เวสเทิร์น พลัส แวนดา แกรนด์ อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการการมอบนโยบายและกําหนดทิศทางการดําเนินงาน
การสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษภายใต้นโยบายการปฏิรูปประเทศ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
โอกาสนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้มอบนโยบายและบรรยายพิเศษ
เรื่อง “ทิศทางการดําเนินงานด้านการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษภายใต้ยุทธศาสตร์
การปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม”
โดยมี พันตํารวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ
และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ จํานวน ๗๗ คน เข้าร่วมฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบนโยบายและกำหนดทิศทางการดำเนินงานการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษภายใต้นโยบายการปฏิรูปประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม 2561
ปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบนโยบายและกําหนดทิศทางการดําเนินงานการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษภายใต้นโยบายการปฏิรูปประเทศ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการการมอบนโยบายและกําหนดทิศทางการดําเนินงาน
การสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษภายใต้นโยบายการปฏิรูปประเทศ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๑.๐๐ น.
ณ ห้อง Cosmos ชั้น ๔ โรงแรมเบสท์เวสเทิร์น พลัส แวนดา แกรนด์ อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการการมอบนโยบายและกําหนดทิศทางการดําเนินงาน
การสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษภายใต้นโยบายการปฏิรูปประเทศ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
โอกาสนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้มอบนโยบายและบรรยายพิเศษ
เรื่อง “ทิศทางการดําเนินงานด้านการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษภายใต้ยุทธศาสตร์
การปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม”
โดยมี พันตํารวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ
และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ จํานวน ๗๗ คน เข้าร่วมฯ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17653
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เร่งพัฒนาระบบการแพทย์แผนไทยฯครบวงจร ให้คนไทยรู้จัก เชื่อมั่น ชอบและใช้
|
วันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2561
สธ.เร่งพัฒนาระบบการแพทย์แผนไทยฯครบวงจร ให้คนไทยรู้จัก เชื่อมั่น ชอบและใช้
สาธารณสุขทําแผนปฏิบัติการ แผนไทยเฟิร์ส ใช้กลไก 3 อาร์ ให้ประชาชน รู้จัก เชื่อมั่น ชอบและใช้การแพทย์แผนไทยและสมุนไพรไทยดูแลสุขภาพให้มากยิ่งขึ้น เผยไทยมีการใช้ยาสมุนไพรเพิ่ม 406 ล้านบาท
สาธารณสุขทําแผนปฏิบัติการ แผนไทยเฟิร์ส ใช้กลไก 3 อาร์ ให้ประชาชน รู้จัก เชื่อมั่น ชอบและใช้การแพทย์แผนไทยและสมุนไพรไทยดูแลสุขภาพให้มากยิ่งขึ้น เผยไทยมีการใช้ยาสมุนไพรเพิ่ม 406 ล้านบาท
วันนี้ (22 มกราคม 2561) ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรีและมอบแนวทางการดําเนินงาน ว่า จากการที่รัฐบาลมีนโยบายให้มีการพัฒนาสมุนไพรไทยอย่างเป็นระบบและยั่งยืน โดยส่งเสริมการพัฒนาต่อยอดยารักษาโรค เน้นการใช้ยาสมุนไพรทดแทนยาแผนปัจจุบันให้ประชาชนไทยใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพให้มากยิ่งขึ้น ตลอดจนส่งเสริมการเกษตรเพาะปลูกสมุนไพรในแต่ละชุมชน ช่วยกระจายโอกาสและสร้างรายได้ให้กับชุมชน
กระทรวงสาธารณสุขในฐานะที่เป็นแกนนําการพัฒนาสมุนไพรไทยได้เร่งดําเนินการเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการใช้บริการการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรโดยใช้ 3 มาตรการ คือ การพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้เกิด หมอดี พัฒนาสมุนไพรอย่างครบวงจรเพื่อสร้างยาดี และพัฒนาคุณภาพสร้างบริการดี โดยในปี 2561 จะจัดทําแผนปฏิบัติการแผนไทยเฟิร์ส พัฒนาสมุนไพรให้คนไทยรู้จัก เชื่อมั่น ชอบ และใช้ บริการการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์ทางเลือก และผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย โดยใช้กลไก 3อาร์ เอ็นจิ้น(3R Engine) ได้แก่ 1.รีแบรนด์ดิ้ง(Re-Branding) โดยเร่งสร้างค่านิยม แผนไทยเฟิร์ส เพิ่มการเข้าถึงสมุนไพร 3 ต. สร้างผลิตภัณฑ์ สินค้า หรือวัฒนธรรมพื้นบ้านให้มีมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ รวมถึงการพัฒนาเมืองสมุนไพรเชื่อมโยงการท่องเที่ยว
2.รีแอสชัวแรนส์(Re-Assurance) โดยบูรณาการการแพทย์แผนไทยร่วมกับคลินิกหมอครอบครัว (Primary Care Cluster : PCC) พัฒนาคุณภาพมาตรฐานและขยายความครอบคลุมการจัดบริการ พัฒนาระบบการรับรองคุณภาพสมุนไพร ตลอดจนรับรองหมอพื้นบ้านหรือวิธีการรักษาทางการแพทย์พื้นบ้านที่ปลอดภัยกับประชาชน 3.รีเสิร์ชแอนด์อินโนเวชั่น (Research & Innovation) พัฒนาและเชื่อมโยงระบบข้อมูล การวิจัย นวัตกรรมด้านการแพทย์แผนไทยฯและสมุนไพร เพื่อให้เกิดประโยชน์ในระบบสุขภาพ ส่งเสริมเศรษฐกิจอย่างครบวงจร รวมถึงสร้างสรรค์ต่อยอดภูมิปัญญาด้านนวัตกรรม และเทคโนโลยี
ทั้งนี้จากข้อมูลเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2560 มีมีผู้ป่วยนอกเข้ารับบริการการแพทย์แผนไทยฯ จํานวน 32,444,810 ครั้งจากผู้ป่วยนอกทั้งหมด 164,259,449 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 19.75 และมีการใช้ยาสมุนไพรเพิ่ม 406 ล้านบาทจาก 1,723.69 ล้านบาทในปี 2559 เป็น 2,129.96 ล้านบาท ในปี 2560
************************************* 22 มกราคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เร่งพัฒนาระบบการแพทย์แผนไทยฯครบวงจร ให้คนไทยรู้จัก เชื่อมั่น ชอบและใช้
วันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2561
สธ.เร่งพัฒนาระบบการแพทย์แผนไทยฯครบวงจร ให้คนไทยรู้จัก เชื่อมั่น ชอบและใช้
สาธารณสุขทําแผนปฏิบัติการ แผนไทยเฟิร์ส ใช้กลไก 3 อาร์ ให้ประชาชน รู้จัก เชื่อมั่น ชอบและใช้การแพทย์แผนไทยและสมุนไพรไทยดูแลสุขภาพให้มากยิ่งขึ้น เผยไทยมีการใช้ยาสมุนไพรเพิ่ม 406 ล้านบาท
สาธารณสุขทําแผนปฏิบัติการ แผนไทยเฟิร์ส ใช้กลไก 3 อาร์ ให้ประชาชน รู้จัก เชื่อมั่น ชอบและใช้การแพทย์แผนไทยและสมุนไพรไทยดูแลสุขภาพให้มากยิ่งขึ้น เผยไทยมีการใช้ยาสมุนไพรเพิ่ม 406 ล้านบาท
วันนี้ (22 มกราคม 2561) ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรีและมอบแนวทางการดําเนินงาน ว่า จากการที่รัฐบาลมีนโยบายให้มีการพัฒนาสมุนไพรไทยอย่างเป็นระบบและยั่งยืน โดยส่งเสริมการพัฒนาต่อยอดยารักษาโรค เน้นการใช้ยาสมุนไพรทดแทนยาแผนปัจจุบันให้ประชาชนไทยใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพให้มากยิ่งขึ้น ตลอดจนส่งเสริมการเกษตรเพาะปลูกสมุนไพรในแต่ละชุมชน ช่วยกระจายโอกาสและสร้างรายได้ให้กับชุมชน
กระทรวงสาธารณสุขในฐานะที่เป็นแกนนําการพัฒนาสมุนไพรไทยได้เร่งดําเนินการเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการใช้บริการการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรโดยใช้ 3 มาตรการ คือ การพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้เกิด หมอดี พัฒนาสมุนไพรอย่างครบวงจรเพื่อสร้างยาดี และพัฒนาคุณภาพสร้างบริการดี โดยในปี 2561 จะจัดทําแผนปฏิบัติการแผนไทยเฟิร์ส พัฒนาสมุนไพรให้คนไทยรู้จัก เชื่อมั่น ชอบ และใช้ บริการการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์ทางเลือก และผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย โดยใช้กลไก 3อาร์ เอ็นจิ้น(3R Engine) ได้แก่ 1.รีแบรนด์ดิ้ง(Re-Branding) โดยเร่งสร้างค่านิยม แผนไทยเฟิร์ส เพิ่มการเข้าถึงสมุนไพร 3 ต. สร้างผลิตภัณฑ์ สินค้า หรือวัฒนธรรมพื้นบ้านให้มีมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ รวมถึงการพัฒนาเมืองสมุนไพรเชื่อมโยงการท่องเที่ยว
2.รีแอสชัวแรนส์(Re-Assurance) โดยบูรณาการการแพทย์แผนไทยร่วมกับคลินิกหมอครอบครัว (Primary Care Cluster : PCC) พัฒนาคุณภาพมาตรฐานและขยายความครอบคลุมการจัดบริการ พัฒนาระบบการรับรองคุณภาพสมุนไพร ตลอดจนรับรองหมอพื้นบ้านหรือวิธีการรักษาทางการแพทย์พื้นบ้านที่ปลอดภัยกับประชาชน 3.รีเสิร์ชแอนด์อินโนเวชั่น (Research & Innovation) พัฒนาและเชื่อมโยงระบบข้อมูล การวิจัย นวัตกรรมด้านการแพทย์แผนไทยฯและสมุนไพร เพื่อให้เกิดประโยชน์ในระบบสุขภาพ ส่งเสริมเศรษฐกิจอย่างครบวงจร รวมถึงสร้างสรรค์ต่อยอดภูมิปัญญาด้านนวัตกรรม และเทคโนโลยี
ทั้งนี้จากข้อมูลเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2560 มีมีผู้ป่วยนอกเข้ารับบริการการแพทย์แผนไทยฯ จํานวน 32,444,810 ครั้งจากผู้ป่วยนอกทั้งหมด 164,259,449 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 19.75 และมีการใช้ยาสมุนไพรเพิ่ม 406 ล้านบาทจาก 1,723.69 ล้านบาทในปี 2559 เป็น 2,129.96 ล้านบาท ในปี 2560
************************************* 22 มกราคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9534
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยิ่งใหญ่โชว์โขนรามเกียรติ์ เชื่อมความสัมพันธ์ทางการทูต ไทย-สเปน รมว.วธ.เปิดนิทรรศการอนุรักษ์-ส่งเสริมศิลปะการแสดงโขน
|
วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม 2561
ยิ่งใหญ่โชว์โขนรามเกียรติ์ เชื่อมความสัมพันธ์ทางการทูต ไทย-สเปน รมว.วธ.เปิดนิทรรศการอนุรักษ์-ส่งเสริมศิลปะการแสดงโขน
ยิ่งใหญ่โชว์โขนรามเกียรติ์ เชื่อมความสัมพันธ์ทางการทูต ไทย-สเปน รมว.วธ.เปิดนิทรรศการอนุรักษ์-ส่งเสริมศิลปะการแสดงโขน
เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เดินสาย โรดโชว์ 6 ประเทศยุโรป เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม
ยิ่งใหญ่โชว์โขนรามเกียรติ์ เชื่อมความสัมพันธ์ทางการทูต ไทย-สเปน
รมว.วธ.เปิดนิทรรศการอนุรักษ์-ส่งเสริมศิลปะการแสดงโขน
เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9
เดินสาย โรดโชว์ 6 ประเทศยุโรป เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม กระชับความสัมพันธ์ เสริมสร้างภาพลักษณ์ สร้างเกียรติภูมิ – นําความเป็นไทยสู่สากล
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2561 ตามเวลาท้องถิ่น ราชอาณาจักรสเปน ณ โรงละครCírculode BellasArtesกรุงมาดริด ราชอาณาจักรสเปน นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดงานการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ชุด อัญเชิญพระนารายณ์ ปราบมารร้ายทศกัณฐ์ และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ด้านการอนุรักษ์และส่งเสริมศิลปะการแสดงโขนว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) และสถานทูตไทย บูรณาการความร่วมมือดําเนินโครงการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยในต่างประเทศ เส้นทางภูมิภาคยุโรป ณ สาธารณรัฐอิตาลี สาธารณรัฐโปรตุเกส ราชอาณาจักรสเปน สาธารณรัฐออสเตรีย สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และราชอาณาจักรเบลเยียม ระหว่างวันที่ 6-29 พฤษภาคม 2561 ภายใต้รูปแบบโรคโชว์ ซึ่งเป็นการดําเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งให้การดําเนินกิจกรรมในต่างประเทศเป็นไปในลักษณะTeam Thailandที่หน่วยงานต่างๆ ของไทยมาร่วมมือกันเพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด
ทั้งนี้ ราชอาณาจักรสเปน เริ่มมีการติดต่อกับไทย ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช นับเป็นชาวยุโรปประเทศที่สอง ที่เดินทางมาไทยในสมัยนั้น โดยประเทศไทยและสเปน สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2413 ซึ่งเป็นระยะเวลานานถึง 148 ปีมาแล้ว และทั้งสองประเทศได้ลงนามในสนธิสัญญาทางไมตรี การพาณิชย์และการเดินเรือความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสเปนดําเนินมาด้วยดี โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระดับพระราชวงศ์ของทั้งสองประเทศมีความแน่นแฟ้น พระบรมวงศานุวงศ์ของไทยและสเปนหลายพระองค์ได้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนกันหลายครั้ง
ดังนั้น การดําเนินโครงการครั้งนี้ เพื่อเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยในสเปนและอีกหลายประเทศในภูมิภาคยุโรป โดยเฉพาะการแสดงโขนที่เป็นศิลปะชั้นสูงของคนไทย ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายระดับนานาชาติ เนื่องจากช่วงปลายปี 2561 จะมีการพิจารณาประกาศให้โขน ภายใต้ชื่อKHONขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับไม่ได้ของมนุษยชาติขององค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมสหประชาชาติ (ยูเนสโก)ที่สําคัญเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ โดยใช้มิติทางวัฒนธรรม เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ เสริมสร้างภาพลักษณ์ และเกียรติภูมิของประเทศไทยและนําความเป็นไทยสู่สากล และเป็นการดึงดูดให้ชาวต่างชาติมาท่องเที่ยวทางในประเทศไทยมากขึ้น รวมถึงจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ด้านต่างๆ ทั้งการท่องเที่ยว การลงทุนและการส่งออกระหว่างประเทศไทยกับประเทศในภูมิภาคยุโรปด้วย
อย่างไรก็ตาม สําหรับชุดการแสดง ณ โรงละครCírculode BellasArtesกรุงมาดริดและประเทศต่างๆ ได้แก่ โขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุดอัญเชิญพระนารายณ์ ปราบมารร้ายทศกัณฐ์ การแสดงโขนชุด ยกรบ และโขนชุด หนุมานจับนางสุพรรณมัจฉา การแสดงทางศิลปวัฒนธรรม เช่น ฟ้อนผาง รําโคมออกฟ้อนขันดอก ตาลีกีปัสออกยอเก็ตออกรําซัดชาตรี การต่อสู้ด้วยพลอง - ไม้สั้น การแสดง 4 ภาค อาทิ ฟ้อนผาง (เหนือ) รําชนไก่ (ใต้) ระบําฉิ่ง (กลาง) เซิ้งกะโป๋ (อีสาน) การสาธิตเชิงปฏิบัติการนาฏศิลป์และดนตรีไทย (โขน ละคร ระบํา) การสาธิตการเขียนร่ม การเขียนผ้าบาติก การแกะสลักและงานจักสานจากใบลาน เป็นต้น
---------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยิ่งใหญ่โชว์โขนรามเกียรติ์ เชื่อมความสัมพันธ์ทางการทูต ไทย-สเปน รมว.วธ.เปิดนิทรรศการอนุรักษ์-ส่งเสริมศิลปะการแสดงโขน
วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม 2561
ยิ่งใหญ่โชว์โขนรามเกียรติ์ เชื่อมความสัมพันธ์ทางการทูต ไทย-สเปน รมว.วธ.เปิดนิทรรศการอนุรักษ์-ส่งเสริมศิลปะการแสดงโขน
ยิ่งใหญ่โชว์โขนรามเกียรติ์ เชื่อมความสัมพันธ์ทางการทูต ไทย-สเปน รมว.วธ.เปิดนิทรรศการอนุรักษ์-ส่งเสริมศิลปะการแสดงโขน
เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เดินสาย โรดโชว์ 6 ประเทศยุโรป เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม
ยิ่งใหญ่โชว์โขนรามเกียรติ์ เชื่อมความสัมพันธ์ทางการทูต ไทย-สเปน
รมว.วธ.เปิดนิทรรศการอนุรักษ์-ส่งเสริมศิลปะการแสดงโขน
เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9
เดินสาย โรดโชว์ 6 ประเทศยุโรป เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม กระชับความสัมพันธ์ เสริมสร้างภาพลักษณ์ สร้างเกียรติภูมิ – นําความเป็นไทยสู่สากล
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2561 ตามเวลาท้องถิ่น ราชอาณาจักรสเปน ณ โรงละครCírculode BellasArtesกรุงมาดริด ราชอาณาจักรสเปน นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดงานการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ชุด อัญเชิญพระนารายณ์ ปราบมารร้ายทศกัณฐ์ และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ด้านการอนุรักษ์และส่งเสริมศิลปะการแสดงโขนว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) และสถานทูตไทย บูรณาการความร่วมมือดําเนินโครงการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยในต่างประเทศ เส้นทางภูมิภาคยุโรป ณ สาธารณรัฐอิตาลี สาธารณรัฐโปรตุเกส ราชอาณาจักรสเปน สาธารณรัฐออสเตรีย สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และราชอาณาจักรเบลเยียม ระหว่างวันที่ 6-29 พฤษภาคม 2561 ภายใต้รูปแบบโรคโชว์ ซึ่งเป็นการดําเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งให้การดําเนินกิจกรรมในต่างประเทศเป็นไปในลักษณะTeam Thailandที่หน่วยงานต่างๆ ของไทยมาร่วมมือกันเพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด
ทั้งนี้ ราชอาณาจักรสเปน เริ่มมีการติดต่อกับไทย ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช นับเป็นชาวยุโรปประเทศที่สอง ที่เดินทางมาไทยในสมัยนั้น โดยประเทศไทยและสเปน สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2413 ซึ่งเป็นระยะเวลานานถึง 148 ปีมาแล้ว และทั้งสองประเทศได้ลงนามในสนธิสัญญาทางไมตรี การพาณิชย์และการเดินเรือความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสเปนดําเนินมาด้วยดี โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระดับพระราชวงศ์ของทั้งสองประเทศมีความแน่นแฟ้น พระบรมวงศานุวงศ์ของไทยและสเปนหลายพระองค์ได้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนกันหลายครั้ง
ดังนั้น การดําเนินโครงการครั้งนี้ เพื่อเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยในสเปนและอีกหลายประเทศในภูมิภาคยุโรป โดยเฉพาะการแสดงโขนที่เป็นศิลปะชั้นสูงของคนไทย ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายระดับนานาชาติ เนื่องจากช่วงปลายปี 2561 จะมีการพิจารณาประกาศให้โขน ภายใต้ชื่อKHONขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับไม่ได้ของมนุษยชาติขององค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมสหประชาชาติ (ยูเนสโก)ที่สําคัญเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ โดยใช้มิติทางวัฒนธรรม เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ เสริมสร้างภาพลักษณ์ และเกียรติภูมิของประเทศไทยและนําความเป็นไทยสู่สากล และเป็นการดึงดูดให้ชาวต่างชาติมาท่องเที่ยวทางในประเทศไทยมากขึ้น รวมถึงจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ด้านต่างๆ ทั้งการท่องเที่ยว การลงทุนและการส่งออกระหว่างประเทศไทยกับประเทศในภูมิภาคยุโรปด้วย
อย่างไรก็ตาม สําหรับชุดการแสดง ณ โรงละครCírculode BellasArtesกรุงมาดริดและประเทศต่างๆ ได้แก่ โขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุดอัญเชิญพระนารายณ์ ปราบมารร้ายทศกัณฐ์ การแสดงโขนชุด ยกรบ และโขนชุด หนุมานจับนางสุพรรณมัจฉา การแสดงทางศิลปวัฒนธรรม เช่น ฟ้อนผาง รําโคมออกฟ้อนขันดอก ตาลีกีปัสออกยอเก็ตออกรําซัดชาตรี การต่อสู้ด้วยพลอง - ไม้สั้น การแสดง 4 ภาค อาทิ ฟ้อนผาง (เหนือ) รําชนไก่ (ใต้) ระบําฉิ่ง (กลาง) เซิ้งกะโป๋ (อีสาน) การสาธิตเชิงปฏิบัติการนาฏศิลป์และดนตรีไทย (โขน ละคร ระบํา) การสาธิตการเขียนร่ม การเขียนผ้าบาติก การแกะสลักและงานจักสานจากใบลาน เป็นต้น
---------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จริงหรือไม่ ที่ขณะนี้มีการทำแพลตฟอร์ม ‘ไทยชนะ’ ของปลอม ลอกเลียนแบบของภาครัฐ และประชาชนจะมีวิธีการสังเกตอย่างไร เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ ??
|
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563
จริงหรือไม่ ที่ขณะนี้มีการทําแพลตฟอร์ม ‘ไทยชนะ’ ของปลอม ลอกเลียนแบบของภาครัฐ และประชาชนจะมีวิธีการสังเกตอย่างไร เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ ??
จริงหรือไม่ ที่ขณะนี้มีการทําแพลตฟอร์ม ‘ไทยชนะ’ ปลอม และมีวิธีการสังเกตอย่างไร ??
Q : จริงหรือไม่ ที่ขณะนี้มีการทําแพลตฟอร์ม ‘ไทยชนะ’ ของปลอม ลอกเลียนแบบของภาครัฐ และประชาชนจะมีวิธีการสังเกตอย่างไร เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ ??
A : จริง ขณะนี้พบกลุ่มผู้ไม่หวังดี มีการทําแพลตฟอร์ม ‘ไทยชนะ’ ของปลอม ลอกเลียนแบบของรัฐ ซึ่งมีลักษณะเหมือนกันกับแพลตฟอร์ม ‘ไทยชนะ’ ทั้งการใช้สีและโลโก้ เป็นเว็บไซต์หลอกลวงให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพื่อขโมยข้อมูลส่วนบุคคล โดยแพลตฟอร์ม ‘ไทยชนะ’ ที่แท้จริง สามารถใช้งานผ่านเว็บไซต์ www.ไทยชนะ.com หรือ www.thaichana.com เท่านั้น โดยไม่ต้องโหลดแอปพลิเคชันใดๆ ทั้งสิ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จริงหรือไม่ ที่ขณะนี้มีการทำแพลตฟอร์ม ‘ไทยชนะ’ ของปลอม ลอกเลียนแบบของภาครัฐ และประชาชนจะมีวิธีการสังเกตอย่างไร เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ ??
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563
จริงหรือไม่ ที่ขณะนี้มีการทําแพลตฟอร์ม ‘ไทยชนะ’ ของปลอม ลอกเลียนแบบของภาครัฐ และประชาชนจะมีวิธีการสังเกตอย่างไร เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ ??
จริงหรือไม่ ที่ขณะนี้มีการทําแพลตฟอร์ม ‘ไทยชนะ’ ปลอม และมีวิธีการสังเกตอย่างไร ??
Q : จริงหรือไม่ ที่ขณะนี้มีการทําแพลตฟอร์ม ‘ไทยชนะ’ ของปลอม ลอกเลียนแบบของภาครัฐ และประชาชนจะมีวิธีการสังเกตอย่างไร เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ ??
A : จริง ขณะนี้พบกลุ่มผู้ไม่หวังดี มีการทําแพลตฟอร์ม ‘ไทยชนะ’ ของปลอม ลอกเลียนแบบของรัฐ ซึ่งมีลักษณะเหมือนกันกับแพลตฟอร์ม ‘ไทยชนะ’ ทั้งการใช้สีและโลโก้ เป็นเว็บไซต์หลอกลวงให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพื่อขโมยข้อมูลส่วนบุคคล โดยแพลตฟอร์ม ‘ไทยชนะ’ ที่แท้จริง สามารถใช้งานผ่านเว็บไซต์ www.ไทยชนะ.com หรือ www.thaichana.com เท่านั้น โดยไม่ต้องโหลดแอปพลิเคชันใดๆ ทั้งสิ้น
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31484
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงใยปัญหาอนามัยประชาชน สั่งจัดระเบียบการให้อาหารนกทุกพื้นที่ หลังมีข้อร้องเรียนมาก ชี้หวั่นกระทบภาพลักษณ์ท่องเที่ยวด้วย
|
วันพุธที่ 19 กันยายน 2561
นายกฯ ห่วงใยปัญหาอนามัยประชาชน สั่งจัดระเบียบการให้อาหารนกทุกพื้นที่ หลังมีข้อร้องเรียนมาก ชี้หวั่นกระทบภาพลักษณ์ท่องเที่ยวด้วย
นายกฯ ห่วงใยปัญหาอนามัยประชาชน สั่งจัดระเบียบการให้อาหารนกทุกพื้นที่ หลังมีข้อร้องเรียนมาก ชี้หวั่นกระทบภาพลักษณ์ท่องเที่ยวด้วย
วันนี้ (19 ก.ย. 61) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการให้กรุงเทพมหานคร จังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดระเบียบการให้อาหารนกในพื้นที่สาธารณะ เช่น สวนสาธารณะและวัด หรือแม้แต่พื้นที่ส่วนบุคคลแต่ส่งผลกระทบต่อผู้พักอาศัยในบริเวณใกล้เคียง หลังได้รับข้อร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนว่าหลายแห่งปล่อยปละละเลย มีการให้อาหารนกเป็นประจํา จนจํานวนนกเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ สร้างความรําคาญ และเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค
"นายกฯ กําชับให้ทุกหน่วยทุกพื้นที่ไปหาวิธีแก้ไขให้เกิดความสะอาดอย่างเร่งด่วน โดยจะต้องไม่ทําร้ายสัตว์ แต่เน้นขอความร่วมมือประชาชนงดให้อาหารนกอย่างเด็ดขาด เพื่อลดจํานวนนกในแต่ละจุดลง หากอยู่ในพื้นที่วัดขอให้กําหนดบริเวณให้อาหารในวงจํากัด เพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนกับคนทั่วไป
โดยได้ยกตัวอย่างกรณีท่าเรือวัดระฆังโฆสิตาราม กทม.ที่มีการให้อาหารนกจํานวนมาก โดยไม่สนใจป้ายห้าม ทําให้ผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมาหรือใช้บริการท่าเรือต้องปิดจมูกปิดปากเพื่อป้องกันเชื้อโรค ส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิต ภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยว และสุ่มเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยจากเชื้อโรคที่มากับนกด้วย"
......................................................
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงใยปัญหาอนามัยประชาชน สั่งจัดระเบียบการให้อาหารนกทุกพื้นที่ หลังมีข้อร้องเรียนมาก ชี้หวั่นกระทบภาพลักษณ์ท่องเที่ยวด้วย
วันพุธที่ 19 กันยายน 2561
นายกฯ ห่วงใยปัญหาอนามัยประชาชน สั่งจัดระเบียบการให้อาหารนกทุกพื้นที่ หลังมีข้อร้องเรียนมาก ชี้หวั่นกระทบภาพลักษณ์ท่องเที่ยวด้วย
นายกฯ ห่วงใยปัญหาอนามัยประชาชน สั่งจัดระเบียบการให้อาหารนกทุกพื้นที่ หลังมีข้อร้องเรียนมาก ชี้หวั่นกระทบภาพลักษณ์ท่องเที่ยวด้วย
วันนี้ (19 ก.ย. 61) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการให้กรุงเทพมหานคร จังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดระเบียบการให้อาหารนกในพื้นที่สาธารณะ เช่น สวนสาธารณะและวัด หรือแม้แต่พื้นที่ส่วนบุคคลแต่ส่งผลกระทบต่อผู้พักอาศัยในบริเวณใกล้เคียง หลังได้รับข้อร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนว่าหลายแห่งปล่อยปละละเลย มีการให้อาหารนกเป็นประจํา จนจํานวนนกเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ สร้างความรําคาญ และเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค
"นายกฯ กําชับให้ทุกหน่วยทุกพื้นที่ไปหาวิธีแก้ไขให้เกิดความสะอาดอย่างเร่งด่วน โดยจะต้องไม่ทําร้ายสัตว์ แต่เน้นขอความร่วมมือประชาชนงดให้อาหารนกอย่างเด็ดขาด เพื่อลดจํานวนนกในแต่ละจุดลง หากอยู่ในพื้นที่วัดขอให้กําหนดบริเวณให้อาหารในวงจํากัด เพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนกับคนทั่วไป
โดยได้ยกตัวอย่างกรณีท่าเรือวัดระฆังโฆสิตาราม กทม.ที่มีการให้อาหารนกจํานวนมาก โดยไม่สนใจป้ายห้าม ทําให้ผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมาหรือใช้บริการท่าเรือต้องปิดจมูกปิดปากเพื่อป้องกันเชื้อโรค ส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิต ภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยว และสุ่มเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยจากเชื้อโรคที่มากับนกด้วย"
......................................................
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15520
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันยังไม่มีแนวคิดปรับคณะรัฐมนตรี
|
วันอังคารที่ 18 กรกฎาคม 2560
นายกรัฐมนตรียืนยันยังไม่มีแนวคิดปรับคณะรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรียืนยันยังไม่มีแนวคิดปรับคณะรัฐมนตรี
วันนี้ (18 กรกฎาคม 2560) เวลา 13.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีว่า ยังไม่มีแนวคิดในการปรับคณะรัฐมนตรี
-----------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันยังไม่มีแนวคิดปรับคณะรัฐมนตรี
วันอังคารที่ 18 กรกฎาคม 2560
นายกรัฐมนตรียืนยันยังไม่มีแนวคิดปรับคณะรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรียืนยันยังไม่มีแนวคิดปรับคณะรัฐมนตรี
วันนี้ (18 กรกฎาคม 2560) เวลา 13.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีว่า ยังไม่มีแนวคิดในการปรับคณะรัฐมนตรี
-----------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5283
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.