title
stringlengths
0
33.4k
context
stringlengths
0
133k
raw
stringlengths
39
133k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานประชุมขับเคลื่อนและติดตามนโยบายของรัฐบาลและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย เน้นย้ำผู้ว่าฯ ต้องทำงานเชิงรุก เข้าถึงปัญหา รอบรู้งานพื้นที่
วันจันทร์ที่ 10 กันยายน 2561 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานประชุมขับเคลื่อนและติดตามนโยบายของรัฐบาลและภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทย เน้นย้ําผู้ว่าฯ ต้องทํางานเชิงรุก เข้าถึงปัญหา รอบรู้งานพื้นที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานประชุมขับเคลื่อนและติดตามนโยบายของรัฐบาลและภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทย เน้นย้ําผู้ว่าฯ ต้องทํางานเชิงรุก เข้าถึงปัญหา รอบรู้งานพื้นที่ เมื่อวัันที่ 9 ก.ย. 61 เวลา 09.00 น. ณ ห้องเมจิก 3 ชั้น 2 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนและติดตามนโยบายของรัฐบาลและภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 โดยมี นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย อธิบดี หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม รวม 162 คน พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าวว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องขับเคลื่อนงานในฐานะผู้บัญชาการพื้นที่แทนรัฐบาล (Area Manager) เน้นการทํางานเชิงรุก เข้าถึงปัญหา รอบรู้ รับผิดชอบภารกิจทั้งในเชิงนโยบาย (Agenda) อํานาจหน้าที่ (Function) และ พื้นที่ (Area) โดยต้องใช้กลไกมหาดไทยทั้งท้องที่ และท้องถิ่น ตอบสนองการขับเคลื่อนภารกิจในการ "บําบัดทุกข์ บํารุงสุข"โดยยึดประโยชน์ของสาธารณะและความต้องการของพี่น้องประชาชนเป็นสําคัญ ด้านการเทิดทูนสถาบันของชาติในพื้นที่ ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดน้อมนําศาสตร์พระราชา มาสืบสาน รักษา ต่อยอดในพื้นที่ และดําเนินโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดําริ "เราทําความ ดี ด้วยหัวใจ" ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งส่งเสริมให้คนมีคุณธรรม จริยธรรม ผ่านกลไกสถาบันครอบครัว ให้เด็ก เยาวชย และประชาชน มีความรู้รัก สามัคคี มีความเมตตา ความซื่อสัตย์ ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ด้านกลไกการขับเคลื่อนการทํางานของมหาดไทย ตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอ ท้องถิ่น ท้องที่ ต้องตอบสนองต่อนโยบายรัฐบาลในการบําบัดทุกข์ บําบัดสุขให้กับประชาชน และสร้างการรับรู้ให้ประชาชนในระดับพื้นที่ในเรื่องสําคัญต่างๆ โดยผ่านระบบปฏิบัติการสื่อสารของกระทรวงมหาดไทย เช่น line@มหาดไทย หอกระจายข่าว และอื่นๆ พลเอก อนุพงษ์ฯ เน้นย้ําว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องให้ความสําคัญกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาในระดับพื้นที่ (Bottom-up Appraoch) ซึ่งต้องทําให้กลไกในระดับ Area มีความเข้มแข็ง โดยยึดถือความต้องการของประชาชนเป็นหลัก ด้วยการนําความต้องการของประชาชนสะท้อนไปถึงระดับนโยบาย และการดําเนินงานตามนโยบายและภารกิจของทุกกระทรวงต้องเป็นไปตามความต้องการของประชาชน ในส่วนของโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้กลไกในพื้นที่ขับเคลื่อนโดยนําปัญหาความต้องการของประชาชนจากเวทีประชาคมมาพิจารณาบรรจุแผนงาน/โครงการเข้าในแผนพัฒนาระดับต่าง ๆ และส่งเสริมสนับสนุนการดําเนินโครงการ ทั้งโครงการมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ (หมู่บ้าน/ชุมชนละ 2 แสนบาท) โครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี และการสนับสนุนงบประมาณโดยสํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ด้านการจัดการสาธารณภัย ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้อํานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดต้องประเมินสถานการณ์ และบริหารจัดการบุคลากร รวมทั้งบูรณาการการทํางานกับทุกภาคส่วนเพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยได้อย่างทันท่วงทีและเป็นระบบ และต้องแถลงข่าวสร้างการรับรู้กับประชาชน เพื่อไม่เกิดความสับสน ในส่วนของการบริหารจัดการขยะ ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องนํานโยบายการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศไปกํากับและให้คําแนะนําองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยตั้งแต่ต้นทาง คือ การคัดแยกขยะจากครัวเรือน การใช้หลัก 3Rs (Reuse Reduce Recycle) กลางทาง คือ การคัดแยกขยะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และปลายทางคือ การขับเคลื่อนให้กลุ่มพื้นที่ในการจัดการมูลฝอยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (Clusters) ให้เกิดการดําเนินงานอย่างถูกต้อง เหมาะสม และพิจารณากลั่นกรองโครงการจัดการมูลฝอยที่มอบให้เอกชนหรือร่วมดําเนินการกับภาคเอกชน เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้รับผิดชอบพื้นที่ต้องสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนให้เห็นถึงความสําคัญของการแก้ไขปัญหาขยะอย่างยั่งยืน รวมทั้งใช้กลไกท้องที่ ท้องถิ่น รณรงค์ให้ประชาชนช่วยกันดูแลรักษาความสะอาดพื้นที่สาธารณะในทุกจังหวัด และการบําบัดน้ําเสียในทุกพื้นที่ ในด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้อํานวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (ผอ.รมน.จังหวัด) ดําเนินการบูรณาการกําลังพลทั้งทหาร ตํารวจ และพลเรือน ในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง ตัดอุปสงค์ อุปทานของยาเสพติด และการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมในพื้นที่ เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย และความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สินของประชาชน รวมทั้งความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ด้านการกําจัดผักตบชวา ให้ทุกจังหวัดดําเนินการตามมาตรการกําจัดผักตบชวาอย่างต่อเนื่อง (เก็บเล็ก) ในแหล่งน้ําปิด โดยจัดทําแผนบริหารจัดการ บูรณาการและรณรงค์ให้ประชาชนทุกภาคส่วนร่วมกําจัดผักตบชวา และหากเกินกําลังให้ประสานกรมโยธาธิการและผังเมืองดําเนินการ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานประชุมขับเคลื่อนและติดตามนโยบายของรัฐบาลและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย เน้นย้ำผู้ว่าฯ ต้องทำงานเชิงรุก เข้าถึงปัญหา รอบรู้งานพื้นที่ วันจันทร์ที่ 10 กันยายน 2561 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานประชุมขับเคลื่อนและติดตามนโยบายของรัฐบาลและภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทย เน้นย้ําผู้ว่าฯ ต้องทํางานเชิงรุก เข้าถึงปัญหา รอบรู้งานพื้นที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานประชุมขับเคลื่อนและติดตามนโยบายของรัฐบาลและภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทย เน้นย้ําผู้ว่าฯ ต้องทํางานเชิงรุก เข้าถึงปัญหา รอบรู้งานพื้นที่ เมื่อวัันที่ 9 ก.ย. 61 เวลา 09.00 น. ณ ห้องเมจิก 3 ชั้น 2 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนและติดตามนโยบายของรัฐบาลและภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 โดยมี นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย อธิบดี หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม รวม 162 คน พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าวว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องขับเคลื่อนงานในฐานะผู้บัญชาการพื้นที่แทนรัฐบาล (Area Manager) เน้นการทํางานเชิงรุก เข้าถึงปัญหา รอบรู้ รับผิดชอบภารกิจทั้งในเชิงนโยบาย (Agenda) อํานาจหน้าที่ (Function) และ พื้นที่ (Area) โดยต้องใช้กลไกมหาดไทยทั้งท้องที่ และท้องถิ่น ตอบสนองการขับเคลื่อนภารกิจในการ "บําบัดทุกข์ บํารุงสุข"โดยยึดประโยชน์ของสาธารณะและความต้องการของพี่น้องประชาชนเป็นสําคัญ ด้านการเทิดทูนสถาบันของชาติในพื้นที่ ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดน้อมนําศาสตร์พระราชา มาสืบสาน รักษา ต่อยอดในพื้นที่ และดําเนินโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดําริ "เราทําความ ดี ด้วยหัวใจ" ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งส่งเสริมให้คนมีคุณธรรม จริยธรรม ผ่านกลไกสถาบันครอบครัว ให้เด็ก เยาวชย และประชาชน มีความรู้รัก สามัคคี มีความเมตตา ความซื่อสัตย์ ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ด้านกลไกการขับเคลื่อนการทํางานของมหาดไทย ตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอ ท้องถิ่น ท้องที่ ต้องตอบสนองต่อนโยบายรัฐบาลในการบําบัดทุกข์ บําบัดสุขให้กับประชาชน และสร้างการรับรู้ให้ประชาชนในระดับพื้นที่ในเรื่องสําคัญต่างๆ โดยผ่านระบบปฏิบัติการสื่อสารของกระทรวงมหาดไทย เช่น line@มหาดไทย หอกระจายข่าว และอื่นๆ พลเอก อนุพงษ์ฯ เน้นย้ําว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องให้ความสําคัญกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาในระดับพื้นที่ (Bottom-up Appraoch) ซึ่งต้องทําให้กลไกในระดับ Area มีความเข้มแข็ง โดยยึดถือความต้องการของประชาชนเป็นหลัก ด้วยการนําความต้องการของประชาชนสะท้อนไปถึงระดับนโยบาย และการดําเนินงานตามนโยบายและภารกิจของทุกกระทรวงต้องเป็นไปตามความต้องการของประชาชน ในส่วนของโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้กลไกในพื้นที่ขับเคลื่อนโดยนําปัญหาความต้องการของประชาชนจากเวทีประชาคมมาพิจารณาบรรจุแผนงาน/โครงการเข้าในแผนพัฒนาระดับต่าง ๆ และส่งเสริมสนับสนุนการดําเนินโครงการ ทั้งโครงการมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ (หมู่บ้าน/ชุมชนละ 2 แสนบาท) โครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี และการสนับสนุนงบประมาณโดยสํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ด้านการจัดการสาธารณภัย ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้อํานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดต้องประเมินสถานการณ์ และบริหารจัดการบุคลากร รวมทั้งบูรณาการการทํางานกับทุกภาคส่วนเพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยได้อย่างทันท่วงทีและเป็นระบบ และต้องแถลงข่าวสร้างการรับรู้กับประชาชน เพื่อไม่เกิดความสับสน ในส่วนของการบริหารจัดการขยะ ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องนํานโยบายการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศไปกํากับและให้คําแนะนําองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยตั้งแต่ต้นทาง คือ การคัดแยกขยะจากครัวเรือน การใช้หลัก 3Rs (Reuse Reduce Recycle) กลางทาง คือ การคัดแยกขยะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และปลายทางคือ การขับเคลื่อนให้กลุ่มพื้นที่ในการจัดการมูลฝอยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (Clusters) ให้เกิดการดําเนินงานอย่างถูกต้อง เหมาะสม และพิจารณากลั่นกรองโครงการจัดการมูลฝอยที่มอบให้เอกชนหรือร่วมดําเนินการกับภาคเอกชน เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้รับผิดชอบพื้นที่ต้องสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนให้เห็นถึงความสําคัญของการแก้ไขปัญหาขยะอย่างยั่งยืน รวมทั้งใช้กลไกท้องที่ ท้องถิ่น รณรงค์ให้ประชาชนช่วยกันดูแลรักษาความสะอาดพื้นที่สาธารณะในทุกจังหวัด และการบําบัดน้ําเสียในทุกพื้นที่ ในด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้อํานวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (ผอ.รมน.จังหวัด) ดําเนินการบูรณาการกําลังพลทั้งทหาร ตํารวจ และพลเรือน ในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง ตัดอุปสงค์ อุปทานของยาเสพติด และการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมในพื้นที่ เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย และความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สินของประชาชน รวมทั้งความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ด้านการกําจัดผักตบชวา ให้ทุกจังหวัดดําเนินการตามมาตรการกําจัดผักตบชวาอย่างต่อเนื่อง (เก็บเล็ก) ในแหล่งน้ําปิด โดยจัดทําแผนบริหารจัดการ บูรณาการและรณรงค์ให้ประชาชนทุกภาคส่วนร่วมกําจัดผักตบชวา และหากเกินกําลังให้ประสานกรมโยธาธิการและผังเมืองดําเนินการ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15265
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ระดมกำลังขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนปี 62
วันพุธที่ 10 ตุลาคม 2561 กระทรวงเกษตรฯ ระดมกําลังขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนปี 62 กระทรวงเกษตรฯ ระดมกําลังขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนปี 62 เดินหน้าเข้มข้นในพื้นที่ ใช้พลังขับเคลื่อน 3 ระดับ 5 กลไก 7 ภาคส่วนความร่วมมือ นายวิวัฒน์ ศัลยกําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน ครั้งที่ 5/2561 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า รัฐบาลได้กําหนดการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนให้เป็นแผนพัฒนาภาคเกษตรที่สําคัญ ให้สามารถพัฒนาต่อไปอย่างเป็นระบบ มีการประสานการดําเนินงานและบูรณาการความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ในการขยายผลการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนให้เป็นรูปธรรม นําไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและผู้บริโภคให้ดีขึ้นจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและสามารถพึ่งพาตนเองได้ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้กําหนดแนวทางการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน พ.ศ. 2560-2564 ให้มีการเสริมสร้างฐานการผลิตภาคเกษตรให้เข้มแข็งและยั่งยืนโดยยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารเข้าสู่ระบบมาตรฐานและสอดคล้องกับความต้องการของตลาด นายวิวัฒน์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการสร้างกลไกการทํางานในระดับพื้นที่ร่วมกับภาคีเครือข่ายเกิดขึ้นแล้วแต่ก็ยังไม่เกิดประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ ดังนั้น จึงได้มีแนวทางการดําเนินงานขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน ปี 2562 ที่จะก่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยมีการดําเนินงานดังนี้ 1.เน้นการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ 2.ใช้พลังขับเคลื่อน 3 ระดับ (ชาติ จังหวัด พื้นที่) 5 กลไก (ประสานงาน ยุทธศาสตร์ชาติ จัดการความรู้ ติดตามความต่อเนื่อง และสื่อสารสังคม) 7 ภาคส่วนความร่วมมือ (รัฐ วิชาการ ประชาชน เอกชน ประชาสังคม สื่อ และศาสนา) 3.ให้ความสําคัญกับการพัฒนาคน พัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่เชื่อมต่อภูมิปัญญาเกษตรกรรุ่นเดิม 4. สร้างพื้นที่ต้นแบบเกษตรกรรมยั่งยืน 6 รูปแบบ 5. พัฒนาสู่การรับรองมาตรฐานทุกระดับ 6. สร้างตลาดสีเขียวทุกระดับ อาทิ ตลาดชุมชน โรงพยาบาล โรงเรียน ฯลฯ 7. เชื่อมโยงแหล่งทุนกับระบบเกษตรกรรมยั่งยืนตลอดห่วงโซ่ และ 8. ขยายสู่ตลาดโมเดิร์น เทรด ทั้งนี้ ในการสร้างพื้นที่ต้นแบบของการดําเนินงานร่วม 7 ภาคีนั้น ได้เลือกพื้นที่นําร่อง 28 จังหวัดที่ได้กําหนดไว้เมื่อปี 2561 ได้แก่ ภาคเหนือ 9 จังหวัด ภาคอีสาน 13 จังหวัด ภาคกลาง 3 จังหวัด และภาคใต้ 3 จังหวัด ดําเนินงานตามกรอบแนวทางที่กําหนดไว้ คือ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน ร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่จัดทําแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนแต่ละภาค ติดตามการทํางานโดยเน้นการมีส่วนร่วม จัดทําฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงกับระบบกลาง สร้างกระบวนการเรียนรู้ สร้างต้นแบบ/แหล่งเรียนรู้เกษตรกรรมยั่งยืนคนรุ่นใหม่ พร้อมติดตามประเมินผล และสนับสนุน ประสานภาคีที่จําเป็น ตลอดจนจัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิด สร้างคู่มือการทํางาน และสร้างทีมวิชการวิเคราะห์แก้ไขปัญหาระดับพื้นที่ นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้เสนอร่าง “โครงการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนเพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากด้วยพลังประชารัฐ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาองค์ความรู้เกษตรกรรมยั่งยืนให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว และเพื่อส่งเสริมให้เกิดพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืนเพิ่มขึ้นทั่วประเทศ โดยต้องมีพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืนไม่น้อยกว่า 5 ล้านไร่ (4 ปี) กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ระดมกำลังขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนปี 62 วันพุธที่ 10 ตุลาคม 2561 กระทรวงเกษตรฯ ระดมกําลังขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนปี 62 กระทรวงเกษตรฯ ระดมกําลังขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนปี 62 เดินหน้าเข้มข้นในพื้นที่ ใช้พลังขับเคลื่อน 3 ระดับ 5 กลไก 7 ภาคส่วนความร่วมมือ นายวิวัฒน์ ศัลยกําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน ครั้งที่ 5/2561 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า รัฐบาลได้กําหนดการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนให้เป็นแผนพัฒนาภาคเกษตรที่สําคัญ ให้สามารถพัฒนาต่อไปอย่างเป็นระบบ มีการประสานการดําเนินงานและบูรณาการความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ในการขยายผลการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนให้เป็นรูปธรรม นําไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและผู้บริโภคให้ดีขึ้นจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและสามารถพึ่งพาตนเองได้ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้กําหนดแนวทางการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน พ.ศ. 2560-2564 ให้มีการเสริมสร้างฐานการผลิตภาคเกษตรให้เข้มแข็งและยั่งยืนโดยยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารเข้าสู่ระบบมาตรฐานและสอดคล้องกับความต้องการของตลาด นายวิวัฒน์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการสร้างกลไกการทํางานในระดับพื้นที่ร่วมกับภาคีเครือข่ายเกิดขึ้นแล้วแต่ก็ยังไม่เกิดประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ ดังนั้น จึงได้มีแนวทางการดําเนินงานขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน ปี 2562 ที่จะก่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยมีการดําเนินงานดังนี้ 1.เน้นการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ 2.ใช้พลังขับเคลื่อน 3 ระดับ (ชาติ จังหวัด พื้นที่) 5 กลไก (ประสานงาน ยุทธศาสตร์ชาติ จัดการความรู้ ติดตามความต่อเนื่อง และสื่อสารสังคม) 7 ภาคส่วนความร่วมมือ (รัฐ วิชาการ ประชาชน เอกชน ประชาสังคม สื่อ และศาสนา) 3.ให้ความสําคัญกับการพัฒนาคน พัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่เชื่อมต่อภูมิปัญญาเกษตรกรรุ่นเดิม 4. สร้างพื้นที่ต้นแบบเกษตรกรรมยั่งยืน 6 รูปแบบ 5. พัฒนาสู่การรับรองมาตรฐานทุกระดับ 6. สร้างตลาดสีเขียวทุกระดับ อาทิ ตลาดชุมชน โรงพยาบาล โรงเรียน ฯลฯ 7. เชื่อมโยงแหล่งทุนกับระบบเกษตรกรรมยั่งยืนตลอดห่วงโซ่ และ 8. ขยายสู่ตลาดโมเดิร์น เทรด ทั้งนี้ ในการสร้างพื้นที่ต้นแบบของการดําเนินงานร่วม 7 ภาคีนั้น ได้เลือกพื้นที่นําร่อง 28 จังหวัดที่ได้กําหนดไว้เมื่อปี 2561 ได้แก่ ภาคเหนือ 9 จังหวัด ภาคอีสาน 13 จังหวัด ภาคกลาง 3 จังหวัด และภาคใต้ 3 จังหวัด ดําเนินงานตามกรอบแนวทางที่กําหนดไว้ คือ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน ร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่จัดทําแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนแต่ละภาค ติดตามการทํางานโดยเน้นการมีส่วนร่วม จัดทําฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงกับระบบกลาง สร้างกระบวนการเรียนรู้ สร้างต้นแบบ/แหล่งเรียนรู้เกษตรกรรมยั่งยืนคนรุ่นใหม่ พร้อมติดตามประเมินผล และสนับสนุน ประสานภาคีที่จําเป็น ตลอดจนจัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิด สร้างคู่มือการทํางาน และสร้างทีมวิชการวิเคราะห์แก้ไขปัญหาระดับพื้นที่ นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้เสนอร่าง “โครงการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนเพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากด้วยพลังประชารัฐ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาองค์ความรู้เกษตรกรรมยั่งยืนให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว และเพื่อส่งเสริมให้เกิดพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืนเพิ่มขึ้นทั่วประเทศ โดยต้องมีพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืนไม่น้อยกว่า 5 ล้านไร่ (4 ปี) กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15982
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ไฟเขียว โครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61
วันพุธที่ 12 เมษายน 2560 ครม. ไฟเขียว โครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 ครม. ไฟเขียว โครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 หนุนยกระดับคุณภาพเมล็ดพันธุ์ข้าว เพื่อผลผลิตข้าวที่มีคุณภาพดีมีตลาดรองรับ พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบโครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 รวม 3 โครงการ โดยเป็นโครงการระยะ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2560-2564 เป็นเงินงบประมาณทั้งสิ้น 25,871 ล้านบาท โดยในปี 2560 จะมีการใช้งบกลาง 1,087 ล้านบาท เพื่อให้ดําเนินการเป็นไปอย่างรวดเร็วโดยมีพื้นที่เป้าหมาย 20.68 ล้านไร่ เกษตรกร 1,630,670 ราย ทั้งนี้ ใน 3 โครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการส่งเสริมการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิคุณภาพดี ปี 2560 โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเกษตรกรในพื้นที่ 21 จังหวัด ซึ่งเป็นเกษตรที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์) ส่งเสริมให้เกษตรกรใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีจากแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์ที่เชื่อถือได้ โดยสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิราคาถูกให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ 60,000 ครัวเรือน รวมเมล็ดพันธุ์ข้าว 4,500,000 กิโลกรัม อัตราการช่วยเหลือครัวเรือนละไม่เกิน 5 ไร่ ไร่ละ 15 กิโลกรัม โดยมีระยะเวลาดําเนินการ 1 ปี ตั้งแต่เดือน มี.ค.- ต.ค.60) วงเงินรวม 57 ล้านบาท 2. โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่หลักเกณฑ์ใหม่) ปี 2560-2564 โดยต้องการสนับสนุนให้เกษตรกรมีการรวมตัวกันเพื่อการผลิตและจําหน่ายโดยมีตลาดรองรับที่แน่นอน และสามารถลดต้นทุน โดยมีเป้าหมาย 18,800 กลุ่ม พื้นที่ 19.375 ล้านไร่ ใช้งบประมาณ 16,117.62 ล้านบาท โดยมีการส่งเสริมด้านการพัฒนาการผลิตข้าว เพื่อลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิต สนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวและเครื่องจักรกลการเกษตร โดยมีการถ่ายทอดความรู้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการตรวจรับรองตรวจคุณภาพ GAP แบบกลุ่ม พร้อมทั้งส่งเสริมการบริหารจัดการ โดยการจัดจ้างผู้จัดการแปลงมืออาชีพเพื่อบริหารจัดการกลุ่ม พัฒนาด้านการตลาดเพื่อส่งเสริมการขายผลผลิตข้าว โดยให้มีการจัดทําแผนการผลิตข้าวให้สอดคล้องกับความต้องการการซื้อข้าว มีการจัดเวทีเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการเพื่อสร้างข้อตกลงด้านการตลาดข้าว ตลอดทั้งสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐหลายๆ ส่วน เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ 3. โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ปี 2560-2564 โดยตั้งเป้าหมายให้มีการจัดการพื้นที่ปลูกข้าวอินทรีย์ 1 ล้านไร่ ภายใน 5 ปี โดย สนับสนุนให้เกษตรกรมีการรวมกลุ่มเพื่อผลิตข้าวอินทรีย์ในพื้นที่ที่มีศักยภาพในการบริหารจัดการให้เป็นนาอินทรีย์ได้ โดยมีพื้นที่รวมกันตั้งแต่ 100 ไร่ขึ้นไป สนับสนุนเงินอุดหนุนให้เกษตรกร เพื่อชดเชยปริมาณผลผลิตที่ลดลงจากการทํานาอินทรีย์ในช่วงแรก และให้เงินสนับสนุนเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกษตรกรมุ่งมั่นที่จะปรับเปลี่ยนให้ผ่านเกณฑ์การตรวจสอบโดยผู้ที่ผ่านเกณฑ์จะได้รับเงินสนับสนุนเพิ่มขึ้นในปีที่ 2 และ 3 จนได้รับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 9,696 ล้านบาท ประกอบด้วย งบอุดหนุนให้เกษตรกร รายละไม่เกิน 15 ไร่ ระยะเวลา 3 ปี วงเงิน 9,000 ล้านบาท และงบดําเนินการ วงเงิน 697 ล้านบาท กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ไฟเขียว โครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 วันพุธที่ 12 เมษายน 2560 ครม. ไฟเขียว โครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 ครม. ไฟเขียว โครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 หนุนยกระดับคุณภาพเมล็ดพันธุ์ข้าว เพื่อผลผลิตข้าวที่มีคุณภาพดีมีตลาดรองรับ พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบโครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 รวม 3 โครงการ โดยเป็นโครงการระยะ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2560-2564 เป็นเงินงบประมาณทั้งสิ้น 25,871 ล้านบาท โดยในปี 2560 จะมีการใช้งบกลาง 1,087 ล้านบาท เพื่อให้ดําเนินการเป็นไปอย่างรวดเร็วโดยมีพื้นที่เป้าหมาย 20.68 ล้านไร่ เกษตรกร 1,630,670 ราย ทั้งนี้ ใน 3 โครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการส่งเสริมการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิคุณภาพดี ปี 2560 โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเกษตรกรในพื้นที่ 21 จังหวัด ซึ่งเป็นเกษตรที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์) ส่งเสริมให้เกษตรกรใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีจากแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์ที่เชื่อถือได้ โดยสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิราคาถูกให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ 60,000 ครัวเรือน รวมเมล็ดพันธุ์ข้าว 4,500,000 กิโลกรัม อัตราการช่วยเหลือครัวเรือนละไม่เกิน 5 ไร่ ไร่ละ 15 กิโลกรัม โดยมีระยะเวลาดําเนินการ 1 ปี ตั้งแต่เดือน มี.ค.- ต.ค.60) วงเงินรวม 57 ล้านบาท 2. โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่หลักเกณฑ์ใหม่) ปี 2560-2564 โดยต้องการสนับสนุนให้เกษตรกรมีการรวมตัวกันเพื่อการผลิตและจําหน่ายโดยมีตลาดรองรับที่แน่นอน และสามารถลดต้นทุน โดยมีเป้าหมาย 18,800 กลุ่ม พื้นที่ 19.375 ล้านไร่ ใช้งบประมาณ 16,117.62 ล้านบาท โดยมีการส่งเสริมด้านการพัฒนาการผลิตข้าว เพื่อลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิต สนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวและเครื่องจักรกลการเกษตร โดยมีการถ่ายทอดความรู้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการตรวจรับรองตรวจคุณภาพ GAP แบบกลุ่ม พร้อมทั้งส่งเสริมการบริหารจัดการ โดยการจัดจ้างผู้จัดการแปลงมืออาชีพเพื่อบริหารจัดการกลุ่ม พัฒนาด้านการตลาดเพื่อส่งเสริมการขายผลผลิตข้าว โดยให้มีการจัดทําแผนการผลิตข้าวให้สอดคล้องกับความต้องการการซื้อข้าว มีการจัดเวทีเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการเพื่อสร้างข้อตกลงด้านการตลาดข้าว ตลอดทั้งสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐหลายๆ ส่วน เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ 3. โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ปี 2560-2564 โดยตั้งเป้าหมายให้มีการจัดการพื้นที่ปลูกข้าวอินทรีย์ 1 ล้านไร่ ภายใน 5 ปี โดย สนับสนุนให้เกษตรกรมีการรวมกลุ่มเพื่อผลิตข้าวอินทรีย์ในพื้นที่ที่มีศักยภาพในการบริหารจัดการให้เป็นนาอินทรีย์ได้ โดยมีพื้นที่รวมกันตั้งแต่ 100 ไร่ขึ้นไป สนับสนุนเงินอุดหนุนให้เกษตรกร เพื่อชดเชยปริมาณผลผลิตที่ลดลงจากการทํานาอินทรีย์ในช่วงแรก และให้เงินสนับสนุนเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกษตรกรมุ่งมั่นที่จะปรับเปลี่ยนให้ผ่านเกณฑ์การตรวจสอบโดยผู้ที่ผ่านเกณฑ์จะได้รับเงินสนับสนุนเพิ่มขึ้นในปีที่ 2 และ 3 จนได้รับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 9,696 ล้านบาท ประกอบด้วย งบอุดหนุนให้เกษตรกร รายละไม่เกิน 15 ไร่ ระยะเวลา 3 ปี วงเงิน 9,000 ล้านบาท และงบดําเนินการ วงเงิน 697 ล้านบาท กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3072
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายก “ฉัตรชัย” เยี่ยม รพ.สต.ปุโละปุโย จ.ปัตตานี เร่งรัดนโยบาย รพ.สต.ติดดาว และ อสม. 4.0
วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561 รองนายก “ฉัตรชัย” เยี่ยม รพ.สต.ปุโละปุโย จ.ปัตตานี เร่งรัดนโยบาย รพ.สต.ติดดาว และ อสม. 4.0 พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เยี่ยม รพ.สต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ติดตามนโยบาย รพ.สต. ติดดาว และอสม. 4.0 รวมทั้งการแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคหัดในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ กําชับให้เร่งรัดทําให้โรคหัดหมดไปจากประเทศไทยภายในปี 2563 พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เยี่ยม รพ.สต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ติดตามนโยบาย รพ.สต. ติดดาว และอสม. 4.0 รวมทั้งการแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคหัดในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ กําชับให้เร่งรัดทําให้โรคหัดหมดไปจากประเทศไทยภายในปี 2563 วันนี้ (19 ตุลาคม 2561) พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค และนพ.เจษฎา ฉายคุณรัฐ ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 12 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมติดตามการดําเนินงานด้านสาธารณสุข ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลปุโละปุโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี และให้สัมภาษณ์ว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อให้กําลังใจให้กับผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติงาน อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งรับทราบแนวทางการแก้ปัญหา การพัฒนางาน เพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขในระดับพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพ เกิดผลดีต่อประชาชน พลเอก ฉัตรชัยกล่าวต่อว่า รัฐบาลมอบให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดดําเนินการให้เกิดผลโดยเร็ว 2 เรื่องสําคัญ เรื่องที่ 1 คือ การพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลหรือ รพ.สต. ติดดาว ซึ่งเป็นนโยบายสําคัญภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ด้านสาธารณสุข โดยจัดทําเกณฑ์คุณภาพให้รพ.สต. มีองค์ประกอบ 5 ส่วน คือ บริหารดี ประสานงานดี ภาคีมีส่วนร่วม บุคลากรดี บริการดี ประชาชนมีสุขภาพดี เป็นการยกระดับคุณภาพหน่วยบริการระดับปฐมภูมิให้ได้มาตรฐาน อาศัยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายอย่างบูรณาการ ตอบสนองความต้องการและความจําเป็นด้านสุขภาพ แก้ไขปัญหาสาธารณสุขของประชาชนในพื้นที่ ประชาชน/ชุมชนสามารถพึ่งตนเองได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตั้งเป้าให้รพ.สต.ทั่วประเทศผ่านเกณฑ์รพ.สต.ติดดาวภายในปี 2564 เรื่องที่ 2 การพัฒนาอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน 4.0 หรืออสม. 4.0 เพื่อรองรับกับบริบทปัญหาที่เปลี่ยนแปลงและความท้าทายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งตอบสนองนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล เป็นการส่งเสริมและกระตุ้นให้นําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ที่สอดคล้องกับเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อให้ อสม. มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Skill) ผนวกกับความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) และความมีจิตอาสาเป็นผู้นํา มาสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพ (Service Mind & Change agent) เป็นแบบอย่างให้กับประชาชนทั่วไป ส่งผลต่อการทํางานสาธารณสุขเชิงรุกมีประสิทธิภาพ ช่วยให้สามารถดูแลสุขภาพประชาชนอย่างทั่วถึง สําหรับปัญหาการระบาดของโรคหัดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ 1 มกราคมถึง 17 ตุลาคม 2561 พบผู้ป่วยที่ จ.ยะลา 382 ราย จ.ปัตตานี 108 ราย จ.สงขลา 22 ราย จ.นราธิวาส 57 ราย ส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุต่ํากว่า 5 ปี ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ดําเนินการควบคุมโรคและจํากัดการการแพร่ระบาด โดยให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดที่พบผู้ป่วย ดําเนินตามมาตรการ 3-2-3 คือ วินิจฉัยให้เร็วและแจ้งให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ทราบภายใน 3 ชั่วโมง ทําการสอบสวนโรคเชิงรุกพร้อมค้นหาผู้สัมผัสให้ครบภายใน 2 วัน และดําเนินการฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สัมผัสโรคให้เร็วที่สุดภายใน 3 วัน พร้อมให้ทุกพื้นที่เร่งรัดดําเนินการ 5 มาตรการสําคัญ คือ 1.เพิ่มและรักษาระดับความครอบคลุมการได้รับวัคซีนหัดไม่ต่ํากว่าร้อยละ 95 ของกลุ่มเป้าหมาย 2.การเฝ้าระวังโรคและการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการ 3.การเสริมสร้างความเข้มแข็งของการสอบสวนและควบคุมโรค 4.การตอบโต้การระบาดอย่างเต็มที่ และ 5.การรณรงค์ให้วัคซีนโรคหัดทั่วประเทศในปี 2562 “ขอเชิญชวนประชาชนนําบุตรหลานเข้ารับการฉีดวัคซีนโรคหัดให้ครบถ้วนตามแผนการให้วัคซีนที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขนัดหมายให้ความครอบคลุมวัคซีนในกลุ่มเป้าหมายได้ถึงร้อยละ 95 โดยเฉพาะกลุ่มอายุต่ํากว่า5 ปี เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน และทําให้ประเทศไทยปลอดจากโรคหัดในปี 2563” พลเอก ฉัตรชัยกล่าว **************************** 19 ตุลาคม 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายก “ฉัตรชัย” เยี่ยม รพ.สต.ปุโละปุโย จ.ปัตตานี เร่งรัดนโยบาย รพ.สต.ติดดาว และ อสม. 4.0 วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561 รองนายก “ฉัตรชัย” เยี่ยม รพ.สต.ปุโละปุโย จ.ปัตตานี เร่งรัดนโยบาย รพ.สต.ติดดาว และ อสม. 4.0 พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เยี่ยม รพ.สต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ติดตามนโยบาย รพ.สต. ติดดาว และอสม. 4.0 รวมทั้งการแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคหัดในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ กําชับให้เร่งรัดทําให้โรคหัดหมดไปจากประเทศไทยภายในปี 2563 พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เยี่ยม รพ.สต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ติดตามนโยบาย รพ.สต. ติดดาว และอสม. 4.0 รวมทั้งการแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคหัดในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ กําชับให้เร่งรัดทําให้โรคหัดหมดไปจากประเทศไทยภายในปี 2563 วันนี้ (19 ตุลาคม 2561) พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค และนพ.เจษฎา ฉายคุณรัฐ ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 12 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมติดตามการดําเนินงานด้านสาธารณสุข ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลปุโละปุโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี และให้สัมภาษณ์ว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อให้กําลังใจให้กับผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติงาน อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งรับทราบแนวทางการแก้ปัญหา การพัฒนางาน เพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขในระดับพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพ เกิดผลดีต่อประชาชน พลเอก ฉัตรชัยกล่าวต่อว่า รัฐบาลมอบให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดดําเนินการให้เกิดผลโดยเร็ว 2 เรื่องสําคัญ เรื่องที่ 1 คือ การพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลหรือ รพ.สต. ติดดาว ซึ่งเป็นนโยบายสําคัญภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ด้านสาธารณสุข โดยจัดทําเกณฑ์คุณภาพให้รพ.สต. มีองค์ประกอบ 5 ส่วน คือ บริหารดี ประสานงานดี ภาคีมีส่วนร่วม บุคลากรดี บริการดี ประชาชนมีสุขภาพดี เป็นการยกระดับคุณภาพหน่วยบริการระดับปฐมภูมิให้ได้มาตรฐาน อาศัยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายอย่างบูรณาการ ตอบสนองความต้องการและความจําเป็นด้านสุขภาพ แก้ไขปัญหาสาธารณสุขของประชาชนในพื้นที่ ประชาชน/ชุมชนสามารถพึ่งตนเองได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตั้งเป้าให้รพ.สต.ทั่วประเทศผ่านเกณฑ์รพ.สต.ติดดาวภายในปี 2564 เรื่องที่ 2 การพัฒนาอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน 4.0 หรืออสม. 4.0 เพื่อรองรับกับบริบทปัญหาที่เปลี่ยนแปลงและความท้าทายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งตอบสนองนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล เป็นการส่งเสริมและกระตุ้นให้นําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ที่สอดคล้องกับเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อให้ อสม. มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Skill) ผนวกกับความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) และความมีจิตอาสาเป็นผู้นํา มาสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพ (Service Mind & Change agent) เป็นแบบอย่างให้กับประชาชนทั่วไป ส่งผลต่อการทํางานสาธารณสุขเชิงรุกมีประสิทธิภาพ ช่วยให้สามารถดูแลสุขภาพประชาชนอย่างทั่วถึง สําหรับปัญหาการระบาดของโรคหัดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ 1 มกราคมถึง 17 ตุลาคม 2561 พบผู้ป่วยที่ จ.ยะลา 382 ราย จ.ปัตตานี 108 ราย จ.สงขลา 22 ราย จ.นราธิวาส 57 ราย ส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุต่ํากว่า 5 ปี ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ดําเนินการควบคุมโรคและจํากัดการการแพร่ระบาด โดยให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดที่พบผู้ป่วย ดําเนินตามมาตรการ 3-2-3 คือ วินิจฉัยให้เร็วและแจ้งให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ทราบภายใน 3 ชั่วโมง ทําการสอบสวนโรคเชิงรุกพร้อมค้นหาผู้สัมผัสให้ครบภายใน 2 วัน และดําเนินการฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สัมผัสโรคให้เร็วที่สุดภายใน 3 วัน พร้อมให้ทุกพื้นที่เร่งรัดดําเนินการ 5 มาตรการสําคัญ คือ 1.เพิ่มและรักษาระดับความครอบคลุมการได้รับวัคซีนหัดไม่ต่ํากว่าร้อยละ 95 ของกลุ่มเป้าหมาย 2.การเฝ้าระวังโรคและการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการ 3.การเสริมสร้างความเข้มแข็งของการสอบสวนและควบคุมโรค 4.การตอบโต้การระบาดอย่างเต็มที่ และ 5.การรณรงค์ให้วัคซีนโรคหัดทั่วประเทศในปี 2562 “ขอเชิญชวนประชาชนนําบุตรหลานเข้ารับการฉีดวัคซีนโรคหัดให้ครบถ้วนตามแผนการให้วัคซีนที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขนัดหมายให้ความครอบคลุมวัคซีนในกลุ่มเป้าหมายได้ถึงร้อยละ 95 โดยเฉพาะกลุ่มอายุต่ํากว่า5 ปี เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน และทําให้ประเทศไทยปลอดจากโรคหัดในปี 2563” พลเอก ฉัตรชัยกล่าว **************************** 19 ตุลาคม 2561
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16206
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็น “วันนักประดิษฐ์” เป็นวันที่ปวงชนชาวไทยจะได้เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะ “พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย” ซึ่งได้มีการรับการจดทะเบียนและทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรการประดิษฐ์ ในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยผลงาน “เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ําหมุนช้าแบบทุ่นลอย” ที่เรียกว่า “กังหันน้ําชัยพัฒนา” ซึ่งนับเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของไทย และเป็นครั้งแรกของโลกด้วย ผมอยากให้นักประดิษฐ์ นักวิทยาศาสตร์ รวมทั้งเยาวชนที่ใฝ่ฝันจะเติบโตขึ้นมาเป็นนักวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ในอนาคต ได้ยึดมั่นแนวทางการพัฒนาผลงานของตน ตามแบบอย่างของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงมุ่งค้นคว้า สร้างสรรค์ผลงานในการแก้ปัญหาสังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับปวงชนชาวไทย ผมขอเป็นกําลังใจให้กับการมานะ ทุ่มเท ในการผลิตนวัตกรรมเพื่อส่วนรวมเพื่อการสร้างชาติ เพื่อการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติที่มีอย่างจํากัด อย่างยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของมวลมนุษยชาติรัฐบาล พร้อมจะสนับสนุนให้นําเข้าสู่ภาคการผลิตให้ได้มากที่สุด ระหว่างวันที่ 2-6 กุมภาพันธ์ 2559 มีการจัดงานวันนักประดิษฐ์ ณ Event Hall 102 – 103 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพมหานคร ภายใต้แนวคิดผลงานประดิษฐ์ที่นําสู่การเรียนรู้และการพัฒนา เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตและพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ขอเชิญผู้ที่สนใจ อาทิ นักเรียน นักศึกษา ที่ต้องการแนวคิด แรงบันดาลใจ และนักธุรกิจที่ต้องการหาลู่ทางการลงทุนในนวัตกรรมใหม่ เยี่ยมชมผลงานสิ่งประดิษฐ์ ทั้งของนักประดิษฐ์ไทยและนักประดิษฐ์ต่างประเทศ กว่า 17 ประเทศ ในวัน เวลา และสถานที่ดังกล่าว ผมขอเรียนอีกครั้งถึงปัญหาของประเทศเราวันนี้ ที่มีความวุ่นวายพอสมควร ในขั้นการเตรียมการเลือกตั้ง การเตรียมการทําประชามติ หรือร่างรัฐธรรมนูญของเรา ผมขอเรียนย้ําว่า เราจะต้องแก้ไข และวางพื้นฐานให้ได้โดยเร็ว ในการที่จะเป็นประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน เรื่องที่ 1. คือปัญหาการเมือง และประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์ ทุกคนทราบดี เรื่องที่ 2. ความแตกต่าง ของ อาชีพ รายได้ การศึกษา ของคนในประเทศ เรื่องที่ 3. ความเหลื่อมล้ํา แตกต่าง ในด้านคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งยังไม่ทั่วถึงและเพียงพอ เรื่องที่ 4. ความไม่เป็นธรรมในสังคม การเลือกปฏิบัติ เรื่องที่ 5. การไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย บังคับใช้กฎหมายไม่ได้ หรือใช้กฎหมายเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับผู้นํา ระดับผู้บริหาร และไม่ได้คํานึงถึงประชาชนส่วนใหญ่ ตลอดจนการไม่ยอมรับในการตัดสิน หรือการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยการอ้างสิทธิมนุษยชน แล้วไม่ดูว่าทุกปัญหาที่เกิดขึ้นล้วนเกิดจากการกระทําของตน ในการทําผิดกฎหมายทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจําเป็นต้องให้มีการตรวจสอบตามกฎหมาย เข้าสู่กระบวนการให้ชัดเจนขึ้น ทุกอย่างจึงจะสงบเรียบร้อย เรื่องที่ 6. ระบบงบประมาณ รายรับ รายจ่ายของประเทศ มีการขาดดุลอยู่จํานวนมากพอสมควร ทําอย่างไรเราจะมีรายรับมากขึ้น ให้สัมพันธ์กับรายจ่ายที่ต้องมีเพิ่มขึ้นตลอดเวลา เตรียมรองรับสังคมผู้สูงอายุ สังคมที่จะต้องมีการแข่งขันกันอีกมากมายในวันข้างหน้า รวมความไปถึงเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ การดูแลด้านสาธารณสุข การศึกษา เรื่องที่ 7. โครงสร้างรายรับของประเทศนั้นเราต้องปรับปรุงทั้งหมด ในเรื่องของสินค้าส่งออก สินค้านําเข้า ภาษี ระบบภาษีการค้า สรรพสามิต กรมศุลกากร ต่างๆ เหล่านั้น ต้องมีการปรับปรุง ปรับแก้ให้ได้ในอนาคต เรื่องที่ 8. ระบบเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งเป็นเศรษฐกิจของประชาคมโลก วันนี้ทุกกลุ่มประเทศ ได้มีการพูดถึงความเชื่อมโยง ความเป็นเศรษฐกิจเดียว การอุตสาหกรรมที่เป็นมิตร ไม่ทําลายสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการส่งเสริมความเข้มแข็งของธุรกิจขนาด SMEs / Micro SMEs และการรวมกลุ่ม การขยายตัวของกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจใหม่ รวมทั้งพันธะสัญญาต่าง ๆ มากมาย ความตกลงทางการค้าที่มีบทบาทสูง เช่น TPP , RCEP, ความตกลง FTA หรือกลุ่มประเทศต่างๆ ที่ได้มีการจัดตั้งขึ้นมาใหม่ในปัจจุบัน เรื่องที่ 9. ความเข้มแข็งของประเทศ เราอาจจะยังมีไม่เพียงพอ น้อยเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคน กฎหมาย จิตสํานึก วินัย อุดมการณ์ คุณธรรม จริยธรรม ตลอดจนการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาล เราต้องเร่งพัฒนาทุกด้านโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัพยากรมนุษย์นั้นเป็นสิ่งสําคัญที่สุด ความเข้มแข็งในระดับพื้นที่ ชุมชน ต้องพัฒนาจากภายใน ต้องเริ่มจากระดับหมู่บ้าน แสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ข้างล่างก็ต้องแสวงหากันให้ได้นะ ความร่วมมือมากกว่าความขัดแย้ง โดยใช้การเป็นประชารัฐ รัฐ เอกชน ประชาชน และองค์การต่าง ๆ ในพื้นที่ ที่ผมเรียนว่า ความร่วมมือต้องมากกว่าความขัดแย้งเพราะว่าเราเห็นต่างกันมากในปัจจุบัน ทุกคนเคารพความเห็นต่าง แต่ต้องหาทางรวมกันให้ได้ ถ้าหากว่ายังเห็นต่างกัน แล้วสุดโต่งกันไปทั้งคู่ ย่อมไปไม่ได้ทั้งหมด และไม่เกิดอะไรขึ้นมาได้เลย นอกจากความขัดแย้ง เรื่องที่ 10. ปัญหาความไม่เข้มแข็งของภาคการเกษตร เพราะว่าดินฟ้า อากาศ ภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง วันนี้จะเห็นว่า น้ําเรามีน้อยลง ฝนตกน้อยลง ไม่ตรงตามฤดูกาล จึงได้รับผลกระทบสูงมากในประเทศไทย หรือประเทศที่มีผลิตผลทางการเกษตรมาก อย่างเช่นประเทศเรา เรื่องข้าว เรื่องยาง เรื่องผลไม้ เรื่องการปลูกพืชอื่น ๆ ที่ต้องใช้น้ํา เพราะวันนี้ราคาสินค้าเกษตรตกต่ํา เราจําเป็นต้องช่วยเกษตรกรให้มากขึ้น วันนี้ก็มีนโยบายหลายอย่างด้วยกัน หลายมาตรการ การลดค่าใช้จ่ายต้นทุน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกพืช การสร้างกระบวนการแปรรูป การเพิ่มมูลค่าสินค้า การตลาด เหล่านี้ กําลังเร่งดําเนินการอยู่ เรื่องที่ 11. ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เราต้องเร่งส่งเสริม เพิ่มขีดความสามารถในทุกระดับตั้งแต่ หมู่บ้าน ชุมชน ตําบล อําเภอ จังหวัด กลุ่มจังหวัด ภูมิภาค กลุ่มการค้าชายแดน เชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่เป็นคลัสเตอร์ หรือ ซูเปอร์คลัสเตอร์ แล้วเราจะได้เชื่อมโยง ความสัมพันธ์เหล่านั้น ให้มีความเข้มแข็ง เป็นปึกแผ่น พอที่จะแข่งขันกันได้สร้างความเป็นหุ้นส่วนได้กับเวทีสากล ทั้ง CLMV-T / ASEAN ไปยังประเทศที่พัฒนาเข้มแข็งแล้ว หรือไปยังประชาคมโลกอื่นๆ เรื่องที่ 12. การลงทุนทั้งในประเทศ ต่างประเทศ ของนักลงทุนไทย และตลอดจนนักลงทุนต่างประเทศ มาลงทุนในไทย สิ่งสําคัญคือเราต้องพัฒนาในเรื่องทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเตรียมความพร้อม การศึกษา แรงงานที่มีทักษะ หัวหน้างาน เพื่อจะเตรียมการต้อนรับผู้มาลงทุน แล้วรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ร่วมการวิจัยและพัฒนา เพื่อนําประเทศชาติให้เข้มแข็งในวันหน้า เรื่องของสาธารณูปโภคพื้นฐาน ถึงเราจะดีมากพอสมควรในปัจจุบัน แต่ก็ยังไม่ครบ ผมต้องการให้ชัดเจนขึ้นในเรื่องของการเชื่อมโยงภูมิภาคต่อภูมิภาค และช่องทางการค้าขายชายแดน อันนี้เป็นเส้นทางหลัก ต่อไปเป็นเส้นทางจังหวัดกับจังหวัด เชื่อมโยงภูมิภาค จากนั้นเป็นจังหวัด อําเภอ อําเภอไปตําบล ตําบลไปหมู่บ้าน พวกนี้เป็นสิ่งที่โยงกันทั้งหมด ทีนี้ถ้าเราทําขาด ๆ ตอนๆ ไป ก็ไม่สําเร็จ อาจจะต้องกําหนดให้ชัดเจน เช่นว่าตรงไหนจะก่อน ตรงไหนจะหลัง แต่ประชาชนจะต้องไม่เดือดร้อน จะต้องมีความพอเพียงในขั้นต้นให้ได้ก่อน สําหรับเรื่องของการคมนาคมขนส่ง การคมนาคม น้ํา ไฟ พลังงาน เราจําเป็นต้องสร้างความเข้มแข็งให้ได้ ความเชื่อมโยงให้ได้ เพื่อจะสนับสนุนความเข้มแข็งของประเทศในอนาคต ทั้งการเป็นที่อยู่อาศัย ในเรื่องของการเป็นสถานที่ประกอบการ ทําการค้าอุตสาหกรรมอะไรก็แล้วแต่ สังคมเมือง เหล่านี้ต้องพร้อมให้หมด เรื่องต่อไปคือเรื่องนวัตกรรม ปัญหาคือสินค้าเราราคาต่ํา เป็นราคาของสินค้าต้นทุน ถ้าเราเน้นนวัตกรรมให้ได้ ทําสิ่งใหม่ ๆ ออกมา มีความแปลกกว่าเขา เป็นไปตามวัฒนธรรมท้องถิ่น เราแปรรูปออกมา ราคาก็สูงขึ้นเอง วันนี้ได้พยายามให้เอาไปขายในที่อื่น ๆ อีกด้วย กําลังปรับปรุงอยู่ในเรื่องของการนําโอท๊อป ไปขายบนเครื่องบินบ้าง หรือตามร้านค้าปลอดภาษีบ้าง อะไรบ้างก็มีการประสานกันหารือกันอยู่ขณะนี้ เรื่องความเข้มแข็งของประชาชน เช่นเดียวกัน เราต้องรวมกัน ขัดแย้งกันมากความเข้มแข็งก็จะลดลง ในเรื่องของวิสาหกิจชุมชนต้องเกิดขึ้น ธุรกิจชุมชน ธุรกิจเพื่อสังคมเหล่านี้ สหกรณ์ต้องมีการปรับปรุง รวมความไปถึงเรื่องการรวมกลุ่มเกษตรกรเพื่อนําสู่การผลิต ทั้งปลูก ทั้งผลิตด้วยตัวเอง การรวมแปลงใหญ่เหล่านี้เป็นการเชื่อมโยงทั้งสิ้น ส่วนมูลค่าของสินค้า หรือของกิจกรรมทั้งหมด จะเกิดเชื่อมโยงทั้งต้นทาง กลางทาง ปลายทาง ใครจะอยู่ตรงไหนก็ได้ ประชาชนอาจจะอยู่ตรงต้นทาง เป็นผู้เพาะปลูก กลางทางก็มีผู้มารับไปเข้าสู่กระบวนการแปรรูป ปลายทางก็ไปสู่ตลาด ทั้งในท้องถิ่น ในต่างจังหวัด ในประเทศ และในต่างประเทศต่อไป เรื่องที่ 13. การบริหารจัดการน้ํา มีผลกระทบกับในเรืองของการปลูกพืช ทางการเกษตรด้วย รวมความถึงน้ําเพื่อการอุปโภค บริโภค น้ําเพื่อการผลักดันของระบบนิเวศวิทยาของเรา เรื่องของการโซนนิ่งมีความจําเป็น การปรับเปลี่ยนพื้นที่การเกษตรหรือการปลูกพืชให้เหมาะสมกับน้ําที่เรามีอยู่ เรากําลังทําแผนจัดการบริหารน้ําทั้งระบบ แล้วต้องสอดคล้องกับแผนการปลูกพืชด้วย ทั้งหมดจะต้องมีทั้ง Demand และ Supply สอดคล้องกันกับน้ําต้นทุนที่มีอยู่ทั้งหมดเลย เราจะได้สามารถทําให้ทุกอย่างเข้มแข็ง มีราคาได้ สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ อย่างที่เคยเรียนไปแล้วว่าเราวางแผนยังไงก็แล้วแต่ ถ้าเราไม่ย้อนกลับมาดูต้นทุนของน้ําที่เรามีอยู่ หรือระบบการกักเก็บ ระบบการระบายน้ํา ส่งน้ํา พร่องน้ํา เหล่านี้ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งไว้แล้ว ทรงทําเป็นตัวอย่างไว้แล้ว หลาย ๆ พื้นที่ด้วยกัน เราต้องทําให้ครบ ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดปัญหาอย่างที่ผ่านมา เป็นปัญหาอย่างยั่งยืน ผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น การบริหารจัดการน้ําให้ตรงกับพื้นที่การเกษตรเป็นเรื่องสําคัญ พื้นที่ใดที่ไปไม่ถึง ประชาชนก็ต้องเข้าใจว่าไปไม่ถึง ยังไงก็ไม่ถึง เพราะระบบชลประทานของประเทศไปไม่ถึงทั่วประเทศ เพราะพื้นที่สูงต่ําต่างกัน เพราะฉะนั้นการที่จะเอาน้ําจากที่ต่ําขึ้นที่สูงมาก ๆ ต้องใช้งบประมาณสูงมาก แล้วต้นทุนน้ําเราก็ไม่เพียงพอ เพราะอย่างนั้นเราอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยน การปลูกพืช เป็นพืชที่ใช้น้ําน้อย พืชใช้น้ํามากก็ไปอยู่ในเขตชลประทาน หรือในที่สามารถส่งน้ําให้ได้ หรือมีแหล่งน้ําธรรมชาติอยู่แล้วเดิม ทํานองนี้รายละเอียดมีมากมาย เพราะฉะนั้นในระหว่างนี้เราต้องเตรียมการ ไม่อยากบังคับใครทั้งสิ้น แต่ทุกคนถ้าเรียนรู้ด้วยตัวเองจากข้อมูลที่ทางรัฐให้ไป แล้วก็มาตรการส่งเสริมให้ทุกคนได้สามารถมีอาชีพ หรืออาชีพเสริมอยู่ให้ได้ โดยการลดปลูกพืชหลักลงไปบ้าง เพื่อให้สอดคล้องกับน้ําที่มีอยู่ เหล่านี้จะทําให้ประเทศเราอยู่รอดในอนาคต เรื่องที่สําคัญอีกประการหนึ่งก็คือ เรื่องที่ 14. ปัญหาการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่จํากัด ที่ผ่านมามักจะละเลยกัน ไร้การบริหารจัดการที่ดี ทั้งผิดกฎหมายบ้าง ถูกกฎหมายบ้าง ขาดสมดุลในการใช้ทรัพยากร ทั้งในเรื่องของการท่องเที่ยว การฟื้นฟู การปลูกทดแทน ที่ดิน ป่าไม้มีปัญหาหมด ถูกบุกรุกทําลายไปมาก ทั้งในพื้นที่บนบกและชายฝั่ง อาจจะทําให้เกิดปัญหาขาดความชุ่มชื้น ฝนตกน้อยลง เคยเรียนไปแล้วว่า ถ้าบ้านเรามีต้นกําเนิดน้ํามาจากฝนอย่างเดียวเท่านั้นเอง ถ้าป่าหายไป ความชุ่มชื้นหายไป อากาศข้างบนก็ชื้นน้อย ฝนก็ไม่ตก ทําฝนเทียมยังไงก็ไม่ตก เพราะไม่มีความชื้น เพราะสัมพันธ์กันทั้งหมด ขอให้ช่วยกันระมัดระวังด้วย เรื่องการบริหารจัดการที่ดิน ที่ผ่านมาทุกคนต่างเรียกร้องที่ดิน ก็เป็นที่น่ากังวลใจ น่าเห็นใจ รัฐบาลพยายามจะแก้ปัญหาให้ได้ก่อนในระยะนี้ เพราะทุกคนที่ไม่มีที่ดินมีเป็นจํานวนมาก เราจะทํายังไง ที่ที่บุกรุกไปแล้วจะใช้ประโยชน์ได้อย่างไร แต่ต้องคํานึงถึงกฎหมายและคํานึงถึงทรัพยากรที่มีอยู่ที่เราต้องการ ให้มีปริมาณป่าอยู่ประมาณ 40% ของพื้นที่ประเทศ ถ้าเราไม่เคารพกฎหมาย ไม่เคารพกฎกติกากันเลย ก็จะเกิดการทุจริต การสมยอมกัน เจ้าหน้าที่ประชาชนก็เดือดร้อน ท้ายสุดก็ไปเดือดร้อนกับศาล กับกระบวนการยุติธรรม แล้วทําอะไรกันไม่ได้ ท้ายสุดประชาชนที่ยากไร้ก็ต้องทําผิดกฎหมาย ถูกตัดสิน ดําเนินคดี อะไรก็แล้วแต่ เพราะวันนี้เราต้องมีการบูรณาการกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ทั้งมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งประชาชนด้วยที่ต้องการพื้นที่ทํากิน รัฐบาลนี้กําลังแก้ไข โดยต้องเริ่มจากหลักนิติศาสตร์ แล้วใช้วิธีการรัฐศาสตร์ควบคู่กันไปด้วย การทํางานของคณะกรรมการจัดที่ดิน ซึ่งเป็นกรรมการระดับนโยบายของรัฐบาล เรื่องที่ 15. อันนี้สําคัญที่สุดเลย ปัญหาการขาดความเป็นสังคมไทย ซึ่งเคยเป็นสังคมสันติสุขในอดีตที่ผ่านมา แต่หลายปีที่เรามีความขัดแย้งกันมาก ทําให้เป็นสังคมที่มีความขัดแย้ง ไม่สงบสุข มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งประชาชน มีการใช้ความรุนแรงต่อกัน ในอดีตที่ผ่านมา ทั้งนี้เกิดจากการบิดเบือน ปลุกปั่น สุดโต่ง จากผู้ที่ไม่หวังดี อาจจะมีการหวังผลประโยชน์ทางการเมืองด้วย มีนักวิชาการที่สุดโต่ง มุ่งเน้นในเรื่องประชาธิปไตย โดยไม่ได้สอนให้คนอยู่ร่วมกันได้อย่างไร หรือแม้กระทั่งสื่อบางสื่อ ที่มีจรรยาบรรณไม่เพียงพอ ตลอดจนโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีคําพูด ซึ่งสร้างความเกลียดชังอยู่ทั่วไปในวันนี้ ต้องขจัดออกไปให้ได้ ต้องคํานึงถึงส่วนรวม ลูกเด็กเล็กแดง เห็นแล้วไม่สุภาพ เพื่อให้เป็นตัวอย่างที่ดีต่อไปในอนาคต สังคมไทยไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะเราจะต้องจัดทําระบบประชาธิปไตยของเรา ให้สอดคล้องกับวิถีไทย แต่จะทํายังไงให้ไปว่ากันมา วันนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษารัฐธรรมนูญร่างที่ 1 อยู่ เราจะต้องระมัดระวังไม่เปิดทางให้ใครหรือผู้ใดเข้าเป็นรัฐบาลที่ไม่มีธรรมาภิบาลในการบริหารประเทศ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ได้เปลี่ยนแปลงสังคมไทยไปมาก เราเคยมีความสุขมากกว่านี้ วันนี้ลดลง แทบจะไม่มีเลยในห้วงที่ผ่านมา ก่อนวันที่ 22 พฤษภาคน 2557 เพราะเราใช้ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล หลักการต่าง ๆ ไม่คํานึงถึง ใช้ความรู้สึก เกลียด ชอบ รัก อะไรก็แล้วแต่ ไม่เป็นผลดีเลย อนาคตประเทศอยู่อย่างนี้ไม่ได้ เพราะประเทศชาติและประชาชน คนไทยทุกคนไม่มีความสุข เราต้องช่วยกันให้สังคมเรามีความสุขเหมือนเดิม เรื่องรัฐธรรมนูญ อยากจะเรียนอีกครั้งหนึ่งว่า ทุกคนอาจจะมองว่าเป็นสิ่งสําคัญ ผมไม่ได้ว่าไม่สําคัญ สําคัญที่สุดในการปกครองประเทศ เป็นหลักการของประเทศในระบอบประชาธิปไตย แต่ผมสังเกตดูเหมือนกับทุกคนคาดหวังว่ารัฐธรรมนูญคือยาวิเศษ หรือสูตรสําเร็จในการที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศไทย หรือแก้โรคได้ทุกโรค ผมอยากจะให้ทบทวนดู ถ้าเราดูร่างรัฐธรรมนูญ แล้วฟังโดยคนโน้นพูด คนนี้พูด โดยที่ไม่ใช่คนร่างพูดจะทําให้สับสน เพราะฉะนั้นของผมเองผมก็ต้องศึกษาเหมือนกัน ในฐานะผมเป็นประชาชน และในนามของรัฐบาล ผมก็ใช้หลักการของผมเอง เริ่มต้นตั้งแต่ 1. ดูทีละหมวด มีอยู่หลายหมวดด้วยกัน ถ้าอ่านไปแล้วไม่ติดใจสงสัยก็ผ่านไป 2. สงสัยตรงไหนก็ทําเครื่องหมายไว้ กาไว้ 3. แล้วอาจจะต้องไปศึกษาเปรียบเทียบว่าต่างจาก 40 อย่างไร 50 อย่างไร หรือฉบับอื่น ๆ มีหรือไม่ บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่คล้าย ๆ กันอยู่แล้ว เพียงแต่คําพูดแตกต่างกันออกไปเท่านั้นเองแต่วัตถุประสงค์เหมือนกัน 4. จากนั้นก็ต้องเอาปัจจัยต่าง ๆ มาวิเคราะห์ โดยต้องเอาปัญหาก่อนเดือน พฤษภาคม2557 มาดู ในเรื่องของการติดบล็อกต่าง ๆ ในเรื่องของปัญหาความขัดแย้ง ปัญหาในเรื่องของการที่รัฐบาลต้องไปสู่การเป็นรัฐบาลที่ไม่มีอํานาจเต็ม เหล่านี้จะแก้ปัญหาได้อย่างไร เพราะฉะนั้นรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แก้ปัญหาทั้งหมดจะได้หรือไม่ ถ้าได้ ได้อย่างไร แล้วทําไมต้องมีการระบุอะไรที่มีความแตกต่างบ้าง เพราะช่วงต่อไปนี้เป็นช่วงสําคัญเรื่องของการปฏิรูปประเทศ เราจะต้องดําเนินการไปสู่การเป็นประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง ถ้าเรายังไม่มีวินัย ไม่เคารพกฎหมาย ไม่เคารพกติกาของสังคม ไม่ดูแลคนให้เกิดความเท่าเทียม เป็นธรรม ไม่วางแผนอนาคตประเทศให้ชัดเจน ไม่มียุทธศาสตร์ ผมคิดว่าประชาธิปไตยของไทยจะกลับไปที่เดิม มีความขัดแย้งกัน อาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ําไป เพราะฉะนั้นอย่าไปกังวลกับเรื่องรัฐธรรมนูญมากนัก อยู่ที่ใจของทุกคน รัฐธรรมนูญใจสําคัญที่สุด ประเทศไทยนั้น เราจําเป็นต้องปฏิรูปหรือไม่ อันนี้เป็นสิ่งที่ผมอยากจะถามประชาชนทั้งประเทศว่า จําเป็นต้องปฏิรูปหรือไม่ ทุกคนรู้ปัญหาดี แต่ทุกคนไม่รู้จะทํายังไงเหมือนกัน เพราะต้องมอบหมายให้ใครเข้ามาทําอะไรก็แล้วแต่เรื่องของท่าน แต่คนที่เข้ามาท่านต้องให้เขารับในหลักการว่า ต้องมีการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ 20 ปี ทําไมถึงจําเป็น เพราะว่ามีปัญหาเรื่องงบประมาณด้วย อะไรด้วย แล้วสิ่งที่ทํามาหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา ก็ยังไม่สมบูรณ์ ขาดความต่อเนื่อง ความเชื่อมโยง แล้วประโยชน์ที่ได้รับ ยังไม่ทั่วถึงจะทํายังไง ในหลาย ๆ ประเด็นของยุทธศาสตร์มี 6 ยุทธศาสตร์ มีเรื่องความเข้มแข็ง เรื่องความมั่นคง เรื่องเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ํา ลดความเป็นธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเรื่องงบประมาณ ถ้าเราไม่กําหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หลายอย่างก็จะไม่ต่อเนื่องเชื่อมโยง ไม่เกิดเหมือนกับร่างกายมนุษย์ ต้องมีเส้นเลือดใหญ่ เส้นเลือดกลาง เส้นเลือดเล็ก ที่จะต้องไปสู่ทุกส่วนของร่างกาย และประชาชนอาศัยอยู่ตามเส้นเลือดเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเกษตร อาชีพ ที่อยู่อาศัย ถ้าทุกอย่างไม่เตรียมการไว้อย่างนี้ล่วงหน้า อีก 20 ปี ข้างหน้าคนรุ่นใหม่เกิดขึ้นมาจบปริญญาออกมา อะไรทํานองนี้ ก็จะอยู่กันยังไง เราต้องวางให้เขาตั้งแต่วันนี้ ถึงต้องมียุทธศาสตร์ชาติ กําหนดไว้ล่วงหน้า ประเมินจากปัจจัยภายใน ภายนอก สถานการณ์โลก อะไรก็แล้วแต่ เรื่องของงบประมาณต่าง ๆ เหล่านั้น เราจะต้องมาดูว่าทั่วถึงหรือไม่ ประหยัดงบประมาณหรือไม่ ซ้ําซ้อนหรือไม่ ทั้งผู้ปฏิบัติ และ พรบ.งบประมาณจําเป็นต้องเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เพิ่มเติมหรือไม่ เพื่อให้ไม่เกิดการรั่วไหล ซ้ําซ้อน มีการบูรณาการ นโยบายของรัฐบาล หรือพรรคการเมืองก็ว่าไปตามนโยบายของพรรค แต่นโยบายของรัฐบาลต้องต่อเนื่องเชื่อมโยง กับยุทธศาสตร์ 20 ปี แล้วในส่วนของแผนพัฒนาเศรษฐกิจของสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพราะในเรื่องของการใช้งบประมาณที่สําคัญคือ ที่มีปัญหากันอยู่คือเรื่องการทําประชานิยม ถ้าไม่มีผลเสียหายก็ทําได้ ผมคิดว่านะ ถ้าไม่ทําทั้งหมด ไม่ทําจนเสียหาย หร่อยหรอ จนกระทบกระเทือนอย่างอื่น ต้องเรียกให้ถูกต้อง ผมว่าประชานิยมเคยอธิบายไปแล้วว่า ประชานิยมกับประชารัฐ คนละแบบกัน ประชารัฐร่วมกัน ประชานิยมใช้เงินรัฐอย่างเดียวผมว่าไม่ถูกตรงนี้ แล้วมีผลเสียหายไม่ได้ กระทบต่อระบบงบประมาณของประเทศ เพราะพวกนี้จ่ายแล้วหายไปเลย แต่ถ้าระบบประชานิยม ถ้าเราทํามาก ๆ จะเกิดปัญหา ถ้าเราทําประชารัฐมีความร่วมมือของภาครัฐมาด้วย กับเอกชน ภาคธุรกิจ วันนี้พยายามจะเดินหน้าไปสู่การลงทุนร่วมของ PPP อะไรก็แล้วแต่ ซึ่งมีการปรับปรุงแก้ไข พรบ. ร่วมทุนเหล่านี้ ถ้าทุกคนไม่ยอมรับในสิ่งใหม่ ๆ เหล่านี้ ก็เกิดขึ้นไม่ได้อีก เพราะฉะนั้นอะไรที่เกิดได้ ก็ควรจะเกิดในช่วงนี้ ทุกอย่างแก้ไขได้หมด ตอนนี้เราจําเป็นต้องใช้อะไรบ้าง ในช่วงการเปลี่ยนผ่านเหล่านี้ จะดี จะถูก จะผิด ก็ไปวิเคราะห์กันออกมา แล้วดูจากรัฐธรรมนูญ ดูจากกฎหมายที่ทยอยออกไปในเวลานี้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้จําเป็นต้องมีความแตกต่างหรือไม่ จากที่ผมกล่าวมาทั้งหมด ทั้งปัญหา ทั้งการเดินหน้าประเทศ ทั้งการขจัดความขัดแย้ง ทั้งการปฏิรูป หรือการวางพื้นฐานให้กับอนาคต 20 ปีข้างหน้า ต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่ หมายความว่าแตกต่างหรือไม่ ก็คงไม่ใช่ เหมือนไม่มีประชาธิปไตยเลย คงไม่ใช่ เพราะฉะนั้นก็มีระยะเวลาเปลี่ยนผ่านในการบังคับใช้เท่านั้นเอง เพื่อไม่ให้ประเทศหยุดชะงักอีก ไม่ต้องเกิดปัญหาอย่างก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม เข้าไปอีก 5. เรื่องต่อไปคือ การที่เราจะกําหนดอนาคตประเทศไทยกันไว้อย่างไรในเวทีโลก เราก็ต้องย้อนกลับมาว่า เมื่อ 20 ปีต่อไป หรือทุก ๆ 5 ปี ประเทศไทยจะอยู่ตรงไหนในเวทีโลก เราต้องกําหนดมาตรฐานของเราไว้ แล้วเดินตามมาตรฐานเหล่านั้น เพื่อจะให้เกิดความยั่งยืน ให้ได้ ว่าเราจะเป็นอย่างไรใน 20 ปี ข้างหน้า แล้วมองย้อนกลับ 5 – 5 – 5 – 5 ย้อนกลับมาตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ที่เราวางไว้ ตั้งแต่แผน 12-13-14-15 อีก 4 แผน วันนี้ก็ 11 ต่อ 12 แล้ว 6. เรื่องรัฐธรรมนูญและกฎหมายทุกฉบับ ถ้าเรามองว่าคือยาวิเศษ แล้วแก้ไขได้ทุกอย่าง ไปทบทวนดูว่าจะแก้ไขได้ทั้งหมดหรือไม่ ความขัดแย้ง ปัญหายิ่งแรง ความขัดแย้งก็สูงขึ้น ถ้าไม่เข้มแข็งพอก็มีปัญหาอีก ความขัดแย้งก็จะเกิดขึ้นระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ บังคับใช้กฎหมายไม่ได้ ประชาชนไม่เชื่อมั่น ไม่เชื่อถือ เพราะทุกอย่างต้องมีความสมดุลกันในตัวเอง ให้ความเป็นธรรม ดูสากลเข้าบ้าง ก็ผสมกันไป ผมคิดว่าคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเต็มที่แล้ว ผมเห็นเหน็ดเหนื่อย เครียดเหมือนกัน เพราะว่าเราจะต้องทําในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น ให้เกิดขึ้น ทุกอย่างลําบากหมด ในเรื่องของการแก้ไขความขัดแย้ง แก้ไขการทุจริต ความรุนแรง ความไม่เข้มแข็ง ความไม่มีขีดความสามารถในการแข่งขัน เหล่านี้จะทํายังไง แล้วถ้าเราสามารถผ่านประชามติไปได้ เราจะต้องเข้าไปสู่การเลือกตั้ง ถ้าเลือกตั้งได้ ก็ไปตั้งรัฐบาลได้ ถ้าเลือกตั้งไม่ได้ วุ่นวายกันอีก มีการทําร้ายกัน หรือใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ใส่กันอีก เหมือนเดิม ก็ไปไม่ได้อีกเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกันคิด เราจะหยุดเรื่องเหล่านี้อย่างไร อย่าพูดว่าไม่เป็นไร วันนี้ก็เห็นสงบเงียบเรียบร้อยดี ผมเคยกราบเรียนแล้วว่า สงบอย่างนี้ทุกที แต่ปัญหาก็คือมีการเอาชนะคะคานกันในหลายๆ อย่าง ทําให้ประชาชนสับสน แล้วแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน เจ้าหน้าที่ก็ลําบาก อย่าให้เกิดขึ้นอีกเลย แล้วหลังเลือกตั้งมาแล้ว ต่างฝ่ายต่างจะยอมรับในผลการเลือกตั้งหรือไม่ ก็จะกลับมาเดือดร้อนเจ้าหน้าที่อีก ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายให้ทุกคนยอมรับกัน ผมว่าต้องยอมรับกันด้วยกติกาของสังคม ของสังคมโลก เลือกตั้งคือเลือกตั้ง เลือกตั้งแล้วผลยังไงอีกฝ่ายก็ต้องรับ แล้วไม่ให้เกิดปัญหาอีกเช่นที่ผ่านมา ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ถ้าแก้ไม่ได้จริง ๆ ใครจะเป็นคนหยุดสถานการณ์ได้ วันนี้เขาก็มีวิธีการแก้ไขให้อยู่แล้ว ก็ไม่เห็นด้วยอีก เพิ่มอํานาจคนโน้นคนนี้มาก แล้วใครจะทํา ถ้าไม่ต้องทํา ก็คือทุกคนต้องอยู่ที่ใจของทุกคนทั้งประเทศ จะทํายังไง หยุดด้วยตัวเองได้หรือไม่ 7. เรื่องกฎหมายการปกครอง การบริหาร กฎหมายลูกต่าง ๆ บทเฉพาะกาลต่าง ๆ เหล่านี้มีความแตกต่างกันทั้งสิ้น ประโยชน์คนละอย่างกัน บางอย่างก็ไม่ได้เขียนในรัฐธรรมนูญ บางอย่างอยู่ในกฎหมายลูก บางอย่างอาจจะต้องอยู่ในบทเฉพาะกาล ไม่อย่างนั้นตีกันไปหมด คนละความหมาย ศึกษาให้ดี ไม่อย่างนั้นจะสับสน แล้วก็ไม่เห็นชอบไปทุกเรื่องไป ต้องดูความสัมพันธ์กันให้ต่อเนื่องด้วย เรื่องต่อไปคือ เรื่องการเมืองไทยที่ผ่านมานั้น เรามักจะเน้นในเรื่องพลังอํานาจของประชาชน แต่พลังอํานาจอย่างไร อํานาจของประชาชนคืออย่างเดียว คือการเลือกผู้แทน การลงประชามติ เลือกผู้แทน หรือ สส. ขึ้นมาเพื่อจะทํางานให้บ้านเมือง แล้วก็ถือว่าเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แล้ว เราได้รัฐบาลมาดีบ้างไม่ดีบ้าง อะไรก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นขอให้เรามองปัญหาของเรา ย้อนมองกลับไปกลับมา เราจะรู้เองว่า เราต้องปรับปรุง ปรับเปลี่ยน เปลี่ยนแปลง ปฏิรูป อะไร อย่างไร เพราะฉะนั้นช่วงนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่สําคัญ ผมเองค่อนข้างเครียดเหมือนกันในช่วงนี้ มีทั้งปัญหา ทั้งเตรียมการปฏิรูป ทั้งเตรียมการประชามติ ร่างรัฐธรรมนูญ อะไรก็แล้วแต่ หลายเรืองด้วยกัน แม่น้ํา 5 สาย แล้วก็ปัญหาในการบริหารราชการแผ่นดิน มีมากมาย วันนี้เราควรจะต้องพิจารณากันแล้วว่า เราจะต้องมีกลไกอะไรหรือไม่ที่จะทําให้ประเทศเราผ่านช่วงนี้ไปได้ นั่นคือเหตุผลที่มีความแตกต่าง อยากให้ทุกคนตั้งใจพิจารณา อย่าตั้งใจเพื่อจะขัดแย้ง หาจุดขัดแย้งไม่ได้ หาจุดที่มีความแตกต่างแล้วไปหาเหตุผล ถ้าดีก็ยอมรับ ต้องนึกถึงประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ ประชาชนส่วนรวม มองปัญหาเราอย่างเป็นกลาง ผมไม่ใช่ศัตรูใครทั้งสิ้น ในเรื่องของกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมเป็นผู้ตัดสิน ศึกษาบทเรียน และก็เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี กลับมาเป็นสังคมสันติสุขของไทย ๆ แบบเดิม อย่างที่เราเคยเป็น สําหรับปัญหาของพี่น้องชาวนา ผมอยากแจ้งให้ทราบว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจเลย วันนี้หลาย ๆ ที่เริ่มมีความยากลําบากแล้ว เรื่องน้ํา เรื่องข้าว เรื่องยาง อะไรก็แล้วแต่ ก็แก้ไปเรื่อย ๆ เราก็แก้ไปด้วย สร้างความเข้มแข็งไปด้วย ถ้าบรรเทาความเดือดร้อนอย่างเดียวก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย ปีหน้าก็เกิดใหม่ วันนี้อาจจะลําบากบ้าง เพราะมาพร้อม ๆ กัน เพราะวันนี้ผมให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อจัดทํา “แผนข้าวครบวงจร” ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งจะมีทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งองค์กรภาคเอกชนร่วมด้วย เช่น สมาคมชาวนา สมาคมโรงสี สมาคมผู้ค้าข้าวถุง และสมาคมผู้ส่งออก เป็นต้น สําหรับ “แผนข้าวครบวงจร” นี้ เป็นความพยายามของรัฐ ที่ต้องการให้มีการปลูกข้าว ให้สมดุลกับความต้องการใช้ หรือที่เรียกว่า Supply เท่ากับ Demand ซึ่งจะเป็นแนวทางลดผลผลิตของข้าว ที่มากเกินความต้องการ ขณะนี้ ผมได้รับรายงานจากคณะกรรมการว่า ได้ประมาณการความต้องการข้าวของประเทศอยู่ที่ประมาณ 25 ล้านตันข้าวเปลือก และได้วางแผนการจัดสรรพื้นที่เพาะปลูกให้สมดุลกัน ซึ่งแน่นอนว่ามีบางพื้นที่ที่อาจต้องปรับเปลี่ยนจากการปลูกข้าว หรือลดการปลูกข้าวลง เพื่อไปปลูกพืชชนิดอื่นเสริม ผมไม่อยากให้มีการบังคับกัน เดี๋ยวก็เดือดร้อนอีก แต่ถ้าปลูกแล้วตาย ปลูกแล้วไม่มีน้ํา ปลูกไปก็เสียเปล่า เป็นหนี้เป็นสินอีก ก็ขอให้พี่น้องชาวนาได้เข้าใจ ให้ความร่วมมือกับภาครัฐด้วยตามความสมัครใจ และตามหลักวิชาการด้วย รับคําแนะนําอย่างเปิดใจด้วยกัน ผมรู้ว่ายาก เราเคยทํากันมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย วันนี้ต้องกลับมาดูว่าเราเป็นหนี้มากหรือไม่ แล้ววันหน้าจะเป็นหนี้อีกหรือไม่ จะหมดหนี้เมื่อไร วันนี้ต้องปรับเปลี่ยนแล้ว ผมคิดว่าในอนาคตอันใกล้ ถ้าทุกคนร่วมมือแบบวันนี้ ทุกพืชเศรษฐกิจ ผมว่าไปได้ เราทําสําเร็จแน่ ตอนนี้กระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมหาตลาดรองรับไว้แล้ว ในส่วนของพืชทดแทนที่ผลิตขึ้นมาหรือปลูกขึ้นมาแทนการปลูกข้าว จํานวนหนึ่งที่จะต้องลดลง แล้วไปเพิ่มเป็นผลผลิตอย่างอื่น ต้องหาตลาดให้ด้วย เพราะฉะนั้นเข้าไปหาเขา หาราชการ จังหวัด ไปหานายอําเภอ หาผู้ว่าราชการจังหวัด เกษตรจังหวัด พาณิชย์จังหวัด อะไรต่าง ๆ มีอยู่หมดแล้ว ถ้าไม่ไปหาเขาก็ไม่รู้เรื่อง เพราะคนที่จะไปหา เป็นผู้นําเหล่านี้คือ ผู้นํากลุ่มเกษตรกร กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน อบท. ไปพบข้าราชการเขา แล้วเอาความเดือดร้อนของประชาชนไปคุยกับเขา รัฐบาลไม่สมารถจะลงไปได้ทุกพื้นที่ ก็ต้องใช้กลไกเหล่านี้ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ในส่วนของประชารัฐ เราต้องไม่สร้างปัญหาใหม่ แก้ปัญหาเดิม เช่น ลดการปลูกข้าว แล้วไปปลูกอย่างอื่น มีปัญหาเรื่องตลาดอีก ในส่วนข้อเสนอของสมาคมชาวนา เรื่องมาตรการช่วยเหลือชาวนาแบบยั่งยืน ที่ได้ยื่นให้คณะกรรมการไปพิจารณานั้น ผมรับทราบแล้ว และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กําลังนําไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเร่งให้รีบหาข้อสรุปให้ได้โดยเร็ว อย่าใจร้อนมากนัก ผมรู้ว่าร้อนเพราะไม่มีเงิน เพราะเดือดร้อน แต่คราวนี้ถ้าแก้ไขอะไรที่เร่งด่วนเกินไป ปัญหาก็กลับมาที่เดิม ปัญหาอื่นก็เกิดขึ้นอีก ผมขอชื่นชมชาวนายุคใหม่ หลาย ๆ พื้นที่ หลาย ๆ ท่าน หลาย ๆ กลุ่ม ชื่นชมจริง ๆ เพราะแนวคิดที่ท่านเสนอมานั้นจะมุ่งเน้นความยั่งยืน และมุ่งให้ความช่วยเหลือที่สอดคล้องกับนโยบายนาแปลงใหญ่ของรัฐบาล ที่กําหนดลงไป ผมหวังว่า แผนข้าวครบวงจรนี้จะเป็นประโยชน์ คณะกรรมการกําลังดําเนินการจัดทํา ซึ่งใกล้จะเสร็จแล้ว ก็จะเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน จะทําให้เราสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและสังคม ให้กับพี่น้องชาวนาได้อย่างยั่งยืน คือการเจริญเติบโตจากภายในด้วย เป็นการช่วยเหลือโดยภาคราชการ มาช่วยทั้งต้นทาง กลางทาง ปลายทาง การปลูก การผลิต ให้มีคุณภาพ แล้วก็มีภาคเอกชนมารองรับผลผลิต คือการตลาดปลายทาง สําหรับเรื่องยาง กําลังแก้ไขไปเป็นระยะ ๆ แล้วช่วงนี้เห็นว่า ราคายางยังอยู่ในราคาที่ค่อนข้างจะไม่สูงมากนัก แต่เป็นช่วงฤดูใกล้การปิดกรีดยางพอดี เดี๋ยวก็ต้องเตรียมการกันต่อ เรื่องการนําสู่การผลิต หรือการนํามาใช้ ต้องใช้เวลาในการขับเคลื่อน วันนี้ไม่ได้มุ่งหวังว่าจะต้องไปซื้อมาทั้งหมด ซื้อไม่ได้อยู่แล้ว วันนี้ก็ไปซื้อนําราคาเฉย ๆ ราคาก็ได้สูงขึ้นมาเล็กน้อย ก็ยังดีกว่าไม่ขึ้น แต่สิ่งสําคัญที่จะเกิดตามมาคือ เรากําลังแปรรูป ก็ต้องใช้เวลาในการแปรรูป ตอนนี้อยู่ขั้นตอนที่ 2 คือส่วนหนึ่งจะต้องเอามาสู่โรงงาน ในการวิจัยพัฒนาเรื่องยางต้องทําควบคู่กันไปจะได้เข้มแข็งและยั่งยืน ผมและรัฐบาลเป็นห่วงรายได้ ชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกร พ่อแม่พี่น้อง ลูกหลาน ก็รวมความไปถึงผู้ประกอบอาชีพอิสระด้วย พอเศรษฐกิจแย่ รายได้จากธุรกิจเชื่อมโยงก็ลดลงหมด การสัญจรไปมาลดลง การคมนาคมลดลง รายได้จากการขับแท็กซี่ ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างคือลดหมด แต่ถ้าทุกคนสู้ ช่วยกันสู้ ช่วยกันทํา ช่วยกันหาเงิน ช่วยกันใช้ มากบ้างน้อยบ้าง แล้วก็สัญจรไปมาหาสู่กัน เดี๋ยวจะดีขึ้นเอง จะช่วยกันยกทางโน้น ทางนี้ ขึ้นมาหลาย ๆ ทาง ถ้ารอการช่วยเหลืออย่างเดียวก็ไม่ไหวเหมือนกัน รัฐบาลก็เต็มกลืนเหมือนกัน ปัญหามีมาก สุดท้ายนี้ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม เป็นช่วงของตลาดวัฒนธรรม สยามเมืองยิ้ม จัดระหว่างวันที่ 1-26 กุมภาพันธ์ โดยมีกระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพ เป็นการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นต่าง ๆ นําสินค้าอันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น เพิ่มรายท้องถิ่น และพัฒนาสินค้าให้ดียิ่งขึ้นสนับสนุนเศรษฐกิจในท้องถิ่นด้วย ตามอัตลักษณ์ แล้วเราจะได้เชื่อมโยงการตลาดจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภคโดยตรง มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดงานในแต่ละสัปดาห์ให้ประชาชนได้มาท่องเที่ยว และใช้จ่าย ใช้สอย ขอให้ช่วยกันมา มีบรรยากาศแตกต่างกันออกไป ช่วงแรก 1-7 กุมภาพันธ์ เรียกว่า ตลาดมั่งมีศรีสุข ซึ่งอยู่ในช่วงตรุษจีน เชิญพ่อแม่พี่น้องมาร่วมกันจับจ่ายซื้อของ ช่วงที่สอง 8-14 กุมภาพันธ์ ตลาดสร้างรัก อยู่ในช่วงวันแห่งความรัก วันวาเลนไทน์ ช่วงที่สาม 15-21 กุมภาพันธ์ ตลาดสร้างสุข และช่วงสุดท้าย 22 - 26 กุมภาพันธ์ เรียกว่าตลาดสร้างบุญ เป็นสัปดาห์ของวันมาฆบูชา ขอขอบคุณกระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือจัดตลาดได้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง ๆ ขอบคุณจริงๆ ขอเชิญชวน มาเที่ยวมาชมกันมาก ๆ มาช่วยกันใช้จ่ายบ้าง ไม่มากก็น้อย เรื่องใดก็ตามที่เป็นสิ่งดี ๆ ของคนไทย ประเทศไทย ทุกคนต้องช่วยกันประชาสัมพันธ์ ให้ประชาน ชาวต่างประเทศ ได้รับทราบข้อเท็จจริง อย่าไปเปิดประเด็นใหม่ การบิดเบือน เปิดความขัดแย้งให้รุนแรงอีก ไม่มีวันจบสิ้น ขอบคุณสื่อที่ดี ๆ ที่เข้าใจ แล้วทําหน้าที่อย่างมีจรรยาบรรณ เพื่อประเทศชาติอันเป็นที่รักยิ่งของคนไทยทุกคน ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน วันที่ 2 กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็น “วันนักประดิษฐ์” เป็นวันที่ปวงชนชาวไทยจะได้เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะ “พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย” ซึ่งได้มีการรับการจดทะเบียนและทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรการประดิษฐ์ ในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยผลงาน “เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ําหมุนช้าแบบทุ่นลอย” ที่เรียกว่า “กังหันน้ําชัยพัฒนา” ซึ่งนับเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของไทย และเป็นครั้งแรกของโลกด้วย ผมอยากให้นักประดิษฐ์ นักวิทยาศาสตร์ รวมทั้งเยาวชนที่ใฝ่ฝันจะเติบโตขึ้นมาเป็นนักวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ในอนาคต ได้ยึดมั่นแนวทางการพัฒนาผลงานของตน ตามแบบอย่างของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงมุ่งค้นคว้า สร้างสรรค์ผลงานในการแก้ปัญหาสังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับปวงชนชาวไทย ผมขอเป็นกําลังใจให้กับการมานะ ทุ่มเท ในการผลิตนวัตกรรมเพื่อส่วนรวมเพื่อการสร้างชาติ เพื่อการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติที่มีอย่างจํากัด อย่างยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของมวลมนุษยชาติรัฐบาล พร้อมจะสนับสนุนให้นําเข้าสู่ภาคการผลิตให้ได้มากที่สุด ระหว่างวันที่ 2-6 กุมภาพันธ์ 2559 มีการจัดงานวันนักประดิษฐ์ ณ Event Hall 102 – 103 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพมหานคร ภายใต้แนวคิดผลงานประดิษฐ์ที่นําสู่การเรียนรู้และการพัฒนา เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตและพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ขอเชิญผู้ที่สนใจ อาทิ นักเรียน นักศึกษา ที่ต้องการแนวคิด แรงบันดาลใจ และนักธุรกิจที่ต้องการหาลู่ทางการลงทุนในนวัตกรรมใหม่ เยี่ยมชมผลงานสิ่งประดิษฐ์ ทั้งของนักประดิษฐ์ไทยและนักประดิษฐ์ต่างประเทศ กว่า 17 ประเทศ ในวัน เวลา และสถานที่ดังกล่าว ผมขอเรียนอีกครั้งถึงปัญหาของประเทศเราวันนี้ ที่มีความวุ่นวายพอสมควร ในขั้นการเตรียมการเลือกตั้ง การเตรียมการทําประชามติ หรือร่างรัฐธรรมนูญของเรา ผมขอเรียนย้ําว่า เราจะต้องแก้ไข และวางพื้นฐานให้ได้โดยเร็ว ในการที่จะเป็นประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน เรื่องที่ 1. คือปัญหาการเมือง และประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์ ทุกคนทราบดี เรื่องที่ 2. ความแตกต่าง ของ อาชีพ รายได้ การศึกษา ของคนในประเทศ เรื่องที่ 3. ความเหลื่อมล้ํา แตกต่าง ในด้านคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งยังไม่ทั่วถึงและเพียงพอ เรื่องที่ 4. ความไม่เป็นธรรมในสังคม การเลือกปฏิบัติ เรื่องที่ 5. การไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย บังคับใช้กฎหมายไม่ได้ หรือใช้กฎหมายเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับผู้นํา ระดับผู้บริหาร และไม่ได้คํานึงถึงประชาชนส่วนใหญ่ ตลอดจนการไม่ยอมรับในการตัดสิน หรือการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยการอ้างสิทธิมนุษยชน แล้วไม่ดูว่าทุกปัญหาที่เกิดขึ้นล้วนเกิดจากการกระทําของตน ในการทําผิดกฎหมายทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจําเป็นต้องให้มีการตรวจสอบตามกฎหมาย เข้าสู่กระบวนการให้ชัดเจนขึ้น ทุกอย่างจึงจะสงบเรียบร้อย เรื่องที่ 6. ระบบงบประมาณ รายรับ รายจ่ายของประเทศ มีการขาดดุลอยู่จํานวนมากพอสมควร ทําอย่างไรเราจะมีรายรับมากขึ้น ให้สัมพันธ์กับรายจ่ายที่ต้องมีเพิ่มขึ้นตลอดเวลา เตรียมรองรับสังคมผู้สูงอายุ สังคมที่จะต้องมีการแข่งขันกันอีกมากมายในวันข้างหน้า รวมความไปถึงเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ การดูแลด้านสาธารณสุข การศึกษา เรื่องที่ 7. โครงสร้างรายรับของประเทศนั้นเราต้องปรับปรุงทั้งหมด ในเรื่องของสินค้าส่งออก สินค้านําเข้า ภาษี ระบบภาษีการค้า สรรพสามิต กรมศุลกากร ต่างๆ เหล่านั้น ต้องมีการปรับปรุง ปรับแก้ให้ได้ในอนาคต เรื่องที่ 8. ระบบเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งเป็นเศรษฐกิจของประชาคมโลก วันนี้ทุกกลุ่มประเทศ ได้มีการพูดถึงความเชื่อมโยง ความเป็นเศรษฐกิจเดียว การอุตสาหกรรมที่เป็นมิตร ไม่ทําลายสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการส่งเสริมความเข้มแข็งของธุรกิจขนาด SMEs / Micro SMEs และการรวมกลุ่ม การขยายตัวของกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจใหม่ รวมทั้งพันธะสัญญาต่าง ๆ มากมาย ความตกลงทางการค้าที่มีบทบาทสูง เช่น TPP , RCEP, ความตกลง FTA หรือกลุ่มประเทศต่างๆ ที่ได้มีการจัดตั้งขึ้นมาใหม่ในปัจจุบัน เรื่องที่ 9. ความเข้มแข็งของประเทศ เราอาจจะยังมีไม่เพียงพอ น้อยเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคน กฎหมาย จิตสํานึก วินัย อุดมการณ์ คุณธรรม จริยธรรม ตลอดจนการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาล เราต้องเร่งพัฒนาทุกด้านโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัพยากรมนุษย์นั้นเป็นสิ่งสําคัญที่สุด ความเข้มแข็งในระดับพื้นที่ ชุมชน ต้องพัฒนาจากภายใน ต้องเริ่มจากระดับหมู่บ้าน แสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ข้างล่างก็ต้องแสวงหากันให้ได้นะ ความร่วมมือมากกว่าความขัดแย้ง โดยใช้การเป็นประชารัฐ รัฐ เอกชน ประชาชน และองค์การต่าง ๆ ในพื้นที่ ที่ผมเรียนว่า ความร่วมมือต้องมากกว่าความขัดแย้งเพราะว่าเราเห็นต่างกันมากในปัจจุบัน ทุกคนเคารพความเห็นต่าง แต่ต้องหาทางรวมกันให้ได้ ถ้าหากว่ายังเห็นต่างกัน แล้วสุดโต่งกันไปทั้งคู่ ย่อมไปไม่ได้ทั้งหมด และไม่เกิดอะไรขึ้นมาได้เลย นอกจากความขัดแย้ง เรื่องที่ 10. ปัญหาความไม่เข้มแข็งของภาคการเกษตร เพราะว่าดินฟ้า อากาศ ภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง วันนี้จะเห็นว่า น้ําเรามีน้อยลง ฝนตกน้อยลง ไม่ตรงตามฤดูกาล จึงได้รับผลกระทบสูงมากในประเทศไทย หรือประเทศที่มีผลิตผลทางการเกษตรมาก อย่างเช่นประเทศเรา เรื่องข้าว เรื่องยาง เรื่องผลไม้ เรื่องการปลูกพืชอื่น ๆ ที่ต้องใช้น้ํา เพราะวันนี้ราคาสินค้าเกษตรตกต่ํา เราจําเป็นต้องช่วยเกษตรกรให้มากขึ้น วันนี้ก็มีนโยบายหลายอย่างด้วยกัน หลายมาตรการ การลดค่าใช้จ่ายต้นทุน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกพืช การสร้างกระบวนการแปรรูป การเพิ่มมูลค่าสินค้า การตลาด เหล่านี้ กําลังเร่งดําเนินการอยู่ เรื่องที่ 11. ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เราต้องเร่งส่งเสริม เพิ่มขีดความสามารถในทุกระดับตั้งแต่ หมู่บ้าน ชุมชน ตําบล อําเภอ จังหวัด กลุ่มจังหวัด ภูมิภาค กลุ่มการค้าชายแดน เชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่เป็นคลัสเตอร์ หรือ ซูเปอร์คลัสเตอร์ แล้วเราจะได้เชื่อมโยง ความสัมพันธ์เหล่านั้น ให้มีความเข้มแข็ง เป็นปึกแผ่น พอที่จะแข่งขันกันได้สร้างความเป็นหุ้นส่วนได้กับเวทีสากล ทั้ง CLMV-T / ASEAN ไปยังประเทศที่พัฒนาเข้มแข็งแล้ว หรือไปยังประชาคมโลกอื่นๆ เรื่องที่ 12. การลงทุนทั้งในประเทศ ต่างประเทศ ของนักลงทุนไทย และตลอดจนนักลงทุนต่างประเทศ มาลงทุนในไทย สิ่งสําคัญคือเราต้องพัฒนาในเรื่องทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเตรียมความพร้อม การศึกษา แรงงานที่มีทักษะ หัวหน้างาน เพื่อจะเตรียมการต้อนรับผู้มาลงทุน แล้วรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ร่วมการวิจัยและพัฒนา เพื่อนําประเทศชาติให้เข้มแข็งในวันหน้า เรื่องของสาธารณูปโภคพื้นฐาน ถึงเราจะดีมากพอสมควรในปัจจุบัน แต่ก็ยังไม่ครบ ผมต้องการให้ชัดเจนขึ้นในเรื่องของการเชื่อมโยงภูมิภาคต่อภูมิภาค และช่องทางการค้าขายชายแดน อันนี้เป็นเส้นทางหลัก ต่อไปเป็นเส้นทางจังหวัดกับจังหวัด เชื่อมโยงภูมิภาค จากนั้นเป็นจังหวัด อําเภอ อําเภอไปตําบล ตําบลไปหมู่บ้าน พวกนี้เป็นสิ่งที่โยงกันทั้งหมด ทีนี้ถ้าเราทําขาด ๆ ตอนๆ ไป ก็ไม่สําเร็จ อาจจะต้องกําหนดให้ชัดเจน เช่นว่าตรงไหนจะก่อน ตรงไหนจะหลัง แต่ประชาชนจะต้องไม่เดือดร้อน จะต้องมีความพอเพียงในขั้นต้นให้ได้ก่อน สําหรับเรื่องของการคมนาคมขนส่ง การคมนาคม น้ํา ไฟ พลังงาน เราจําเป็นต้องสร้างความเข้มแข็งให้ได้ ความเชื่อมโยงให้ได้ เพื่อจะสนับสนุนความเข้มแข็งของประเทศในอนาคต ทั้งการเป็นที่อยู่อาศัย ในเรื่องของการเป็นสถานที่ประกอบการ ทําการค้าอุตสาหกรรมอะไรก็แล้วแต่ สังคมเมือง เหล่านี้ต้องพร้อมให้หมด เรื่องต่อไปคือเรื่องนวัตกรรม ปัญหาคือสินค้าเราราคาต่ํา เป็นราคาของสินค้าต้นทุน ถ้าเราเน้นนวัตกรรมให้ได้ ทําสิ่งใหม่ ๆ ออกมา มีความแปลกกว่าเขา เป็นไปตามวัฒนธรรมท้องถิ่น เราแปรรูปออกมา ราคาก็สูงขึ้นเอง วันนี้ได้พยายามให้เอาไปขายในที่อื่น ๆ อีกด้วย กําลังปรับปรุงอยู่ในเรื่องของการนําโอท๊อป ไปขายบนเครื่องบินบ้าง หรือตามร้านค้าปลอดภาษีบ้าง อะไรบ้างก็มีการประสานกันหารือกันอยู่ขณะนี้ เรื่องความเข้มแข็งของประชาชน เช่นเดียวกัน เราต้องรวมกัน ขัดแย้งกันมากความเข้มแข็งก็จะลดลง ในเรื่องของวิสาหกิจชุมชนต้องเกิดขึ้น ธุรกิจชุมชน ธุรกิจเพื่อสังคมเหล่านี้ สหกรณ์ต้องมีการปรับปรุง รวมความไปถึงเรื่องการรวมกลุ่มเกษตรกรเพื่อนําสู่การผลิต ทั้งปลูก ทั้งผลิตด้วยตัวเอง การรวมแปลงใหญ่เหล่านี้เป็นการเชื่อมโยงทั้งสิ้น ส่วนมูลค่าของสินค้า หรือของกิจกรรมทั้งหมด จะเกิดเชื่อมโยงทั้งต้นทาง กลางทาง ปลายทาง ใครจะอยู่ตรงไหนก็ได้ ประชาชนอาจจะอยู่ตรงต้นทาง เป็นผู้เพาะปลูก กลางทางก็มีผู้มารับไปเข้าสู่กระบวนการแปรรูป ปลายทางก็ไปสู่ตลาด ทั้งในท้องถิ่น ในต่างจังหวัด ในประเทศ และในต่างประเทศต่อไป เรื่องที่ 13. การบริหารจัดการน้ํา มีผลกระทบกับในเรืองของการปลูกพืช ทางการเกษตรด้วย รวมความถึงน้ําเพื่อการอุปโภค บริโภค น้ําเพื่อการผลักดันของระบบนิเวศวิทยาของเรา เรื่องของการโซนนิ่งมีความจําเป็น การปรับเปลี่ยนพื้นที่การเกษตรหรือการปลูกพืชให้เหมาะสมกับน้ําที่เรามีอยู่ เรากําลังทําแผนจัดการบริหารน้ําทั้งระบบ แล้วต้องสอดคล้องกับแผนการปลูกพืชด้วย ทั้งหมดจะต้องมีทั้ง Demand และ Supply สอดคล้องกันกับน้ําต้นทุนที่มีอยู่ทั้งหมดเลย เราจะได้สามารถทําให้ทุกอย่างเข้มแข็ง มีราคาได้ สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ อย่างที่เคยเรียนไปแล้วว่าเราวางแผนยังไงก็แล้วแต่ ถ้าเราไม่ย้อนกลับมาดูต้นทุนของน้ําที่เรามีอยู่ หรือระบบการกักเก็บ ระบบการระบายน้ํา ส่งน้ํา พร่องน้ํา เหล่านี้ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งไว้แล้ว ทรงทําเป็นตัวอย่างไว้แล้ว หลาย ๆ พื้นที่ด้วยกัน เราต้องทําให้ครบ ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดปัญหาอย่างที่ผ่านมา เป็นปัญหาอย่างยั่งยืน ผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น การบริหารจัดการน้ําให้ตรงกับพื้นที่การเกษตรเป็นเรื่องสําคัญ พื้นที่ใดที่ไปไม่ถึง ประชาชนก็ต้องเข้าใจว่าไปไม่ถึง ยังไงก็ไม่ถึง เพราะระบบชลประทานของประเทศไปไม่ถึงทั่วประเทศ เพราะพื้นที่สูงต่ําต่างกัน เพราะฉะนั้นการที่จะเอาน้ําจากที่ต่ําขึ้นที่สูงมาก ๆ ต้องใช้งบประมาณสูงมาก แล้วต้นทุนน้ําเราก็ไม่เพียงพอ เพราะอย่างนั้นเราอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยน การปลูกพืช เป็นพืชที่ใช้น้ําน้อย พืชใช้น้ํามากก็ไปอยู่ในเขตชลประทาน หรือในที่สามารถส่งน้ําให้ได้ หรือมีแหล่งน้ําธรรมชาติอยู่แล้วเดิม ทํานองนี้รายละเอียดมีมากมาย เพราะฉะนั้นในระหว่างนี้เราต้องเตรียมการ ไม่อยากบังคับใครทั้งสิ้น แต่ทุกคนถ้าเรียนรู้ด้วยตัวเองจากข้อมูลที่ทางรัฐให้ไป แล้วก็มาตรการส่งเสริมให้ทุกคนได้สามารถมีอาชีพ หรืออาชีพเสริมอยู่ให้ได้ โดยการลดปลูกพืชหลักลงไปบ้าง เพื่อให้สอดคล้องกับน้ําที่มีอยู่ เหล่านี้จะทําให้ประเทศเราอยู่รอดในอนาคต เรื่องที่สําคัญอีกประการหนึ่งก็คือ เรื่องที่ 14. ปัญหาการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่จํากัด ที่ผ่านมามักจะละเลยกัน ไร้การบริหารจัดการที่ดี ทั้งผิดกฎหมายบ้าง ถูกกฎหมายบ้าง ขาดสมดุลในการใช้ทรัพยากร ทั้งในเรื่องของการท่องเที่ยว การฟื้นฟู การปลูกทดแทน ที่ดิน ป่าไม้มีปัญหาหมด ถูกบุกรุกทําลายไปมาก ทั้งในพื้นที่บนบกและชายฝั่ง อาจจะทําให้เกิดปัญหาขาดความชุ่มชื้น ฝนตกน้อยลง เคยเรียนไปแล้วว่า ถ้าบ้านเรามีต้นกําเนิดน้ํามาจากฝนอย่างเดียวเท่านั้นเอง ถ้าป่าหายไป ความชุ่มชื้นหายไป อากาศข้างบนก็ชื้นน้อย ฝนก็ไม่ตก ทําฝนเทียมยังไงก็ไม่ตก เพราะไม่มีความชื้น เพราะสัมพันธ์กันทั้งหมด ขอให้ช่วยกันระมัดระวังด้วย เรื่องการบริหารจัดการที่ดิน ที่ผ่านมาทุกคนต่างเรียกร้องที่ดิน ก็เป็นที่น่ากังวลใจ น่าเห็นใจ รัฐบาลพยายามจะแก้ปัญหาให้ได้ก่อนในระยะนี้ เพราะทุกคนที่ไม่มีที่ดินมีเป็นจํานวนมาก เราจะทํายังไง ที่ที่บุกรุกไปแล้วจะใช้ประโยชน์ได้อย่างไร แต่ต้องคํานึงถึงกฎหมายและคํานึงถึงทรัพยากรที่มีอยู่ที่เราต้องการ ให้มีปริมาณป่าอยู่ประมาณ 40% ของพื้นที่ประเทศ ถ้าเราไม่เคารพกฎหมาย ไม่เคารพกฎกติกากันเลย ก็จะเกิดการทุจริต การสมยอมกัน เจ้าหน้าที่ประชาชนก็เดือดร้อน ท้ายสุดก็ไปเดือดร้อนกับศาล กับกระบวนการยุติธรรม แล้วทําอะไรกันไม่ได้ ท้ายสุดประชาชนที่ยากไร้ก็ต้องทําผิดกฎหมาย ถูกตัดสิน ดําเนินคดี อะไรก็แล้วแต่ เพราะวันนี้เราต้องมีการบูรณาการกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ทั้งมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งประชาชนด้วยที่ต้องการพื้นที่ทํากิน รัฐบาลนี้กําลังแก้ไข โดยต้องเริ่มจากหลักนิติศาสตร์ แล้วใช้วิธีการรัฐศาสตร์ควบคู่กันไปด้วย การทํางานของคณะกรรมการจัดที่ดิน ซึ่งเป็นกรรมการระดับนโยบายของรัฐบาล เรื่องที่ 15. อันนี้สําคัญที่สุดเลย ปัญหาการขาดความเป็นสังคมไทย ซึ่งเคยเป็นสังคมสันติสุขในอดีตที่ผ่านมา แต่หลายปีที่เรามีความขัดแย้งกันมาก ทําให้เป็นสังคมที่มีความขัดแย้ง ไม่สงบสุข มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งประชาชน มีการใช้ความรุนแรงต่อกัน ในอดีตที่ผ่านมา ทั้งนี้เกิดจากการบิดเบือน ปลุกปั่น สุดโต่ง จากผู้ที่ไม่หวังดี อาจจะมีการหวังผลประโยชน์ทางการเมืองด้วย มีนักวิชาการที่สุดโต่ง มุ่งเน้นในเรื่องประชาธิปไตย โดยไม่ได้สอนให้คนอยู่ร่วมกันได้อย่างไร หรือแม้กระทั่งสื่อบางสื่อ ที่มีจรรยาบรรณไม่เพียงพอ ตลอดจนโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีคําพูด ซึ่งสร้างความเกลียดชังอยู่ทั่วไปในวันนี้ ต้องขจัดออกไปให้ได้ ต้องคํานึงถึงส่วนรวม ลูกเด็กเล็กแดง เห็นแล้วไม่สุภาพ เพื่อให้เป็นตัวอย่างที่ดีต่อไปในอนาคต สังคมไทยไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะเราจะต้องจัดทําระบบประชาธิปไตยของเรา ให้สอดคล้องกับวิถีไทย แต่จะทํายังไงให้ไปว่ากันมา วันนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษารัฐธรรมนูญร่างที่ 1 อยู่ เราจะต้องระมัดระวังไม่เปิดทางให้ใครหรือผู้ใดเข้าเป็นรัฐบาลที่ไม่มีธรรมาภิบาลในการบริหารประเทศ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ได้เปลี่ยนแปลงสังคมไทยไปมาก เราเคยมีความสุขมากกว่านี้ วันนี้ลดลง แทบจะไม่มีเลยในห้วงที่ผ่านมา ก่อนวันที่ 22 พฤษภาคน 2557 เพราะเราใช้ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล หลักการต่าง ๆ ไม่คํานึงถึง ใช้ความรู้สึก เกลียด ชอบ รัก อะไรก็แล้วแต่ ไม่เป็นผลดีเลย อนาคตประเทศอยู่อย่างนี้ไม่ได้ เพราะประเทศชาติและประชาชน คนไทยทุกคนไม่มีความสุข เราต้องช่วยกันให้สังคมเรามีความสุขเหมือนเดิม เรื่องรัฐธรรมนูญ อยากจะเรียนอีกครั้งหนึ่งว่า ทุกคนอาจจะมองว่าเป็นสิ่งสําคัญ ผมไม่ได้ว่าไม่สําคัญ สําคัญที่สุดในการปกครองประเทศ เป็นหลักการของประเทศในระบอบประชาธิปไตย แต่ผมสังเกตดูเหมือนกับทุกคนคาดหวังว่ารัฐธรรมนูญคือยาวิเศษ หรือสูตรสําเร็จในการที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศไทย หรือแก้โรคได้ทุกโรค ผมอยากจะให้ทบทวนดู ถ้าเราดูร่างรัฐธรรมนูญ แล้วฟังโดยคนโน้นพูด คนนี้พูด โดยที่ไม่ใช่คนร่างพูดจะทําให้สับสน เพราะฉะนั้นของผมเองผมก็ต้องศึกษาเหมือนกัน ในฐานะผมเป็นประชาชน และในนามของรัฐบาล ผมก็ใช้หลักการของผมเอง เริ่มต้นตั้งแต่ 1. ดูทีละหมวด มีอยู่หลายหมวดด้วยกัน ถ้าอ่านไปแล้วไม่ติดใจสงสัยก็ผ่านไป 2. สงสัยตรงไหนก็ทําเครื่องหมายไว้ กาไว้ 3. แล้วอาจจะต้องไปศึกษาเปรียบเทียบว่าต่างจาก 40 อย่างไร 50 อย่างไร หรือฉบับอื่น ๆ มีหรือไม่ บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่คล้าย ๆ กันอยู่แล้ว เพียงแต่คําพูดแตกต่างกันออกไปเท่านั้นเองแต่วัตถุประสงค์เหมือนกัน 4. จากนั้นก็ต้องเอาปัจจัยต่าง ๆ มาวิเคราะห์ โดยต้องเอาปัญหาก่อนเดือน พฤษภาคม2557 มาดู ในเรื่องของการติดบล็อกต่าง ๆ ในเรื่องของปัญหาความขัดแย้ง ปัญหาในเรื่องของการที่รัฐบาลต้องไปสู่การเป็นรัฐบาลที่ไม่มีอํานาจเต็ม เหล่านี้จะแก้ปัญหาได้อย่างไร เพราะฉะนั้นรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แก้ปัญหาทั้งหมดจะได้หรือไม่ ถ้าได้ ได้อย่างไร แล้วทําไมต้องมีการระบุอะไรที่มีความแตกต่างบ้าง เพราะช่วงต่อไปนี้เป็นช่วงสําคัญเรื่องของการปฏิรูปประเทศ เราจะต้องดําเนินการไปสู่การเป็นประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง ถ้าเรายังไม่มีวินัย ไม่เคารพกฎหมาย ไม่เคารพกติกาของสังคม ไม่ดูแลคนให้เกิดความเท่าเทียม เป็นธรรม ไม่วางแผนอนาคตประเทศให้ชัดเจน ไม่มียุทธศาสตร์ ผมคิดว่าประชาธิปไตยของไทยจะกลับไปที่เดิม มีความขัดแย้งกัน อาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ําไป เพราะฉะนั้นอย่าไปกังวลกับเรื่องรัฐธรรมนูญมากนัก อยู่ที่ใจของทุกคน รัฐธรรมนูญใจสําคัญที่สุด ประเทศไทยนั้น เราจําเป็นต้องปฏิรูปหรือไม่ อันนี้เป็นสิ่งที่ผมอยากจะถามประชาชนทั้งประเทศว่า จําเป็นต้องปฏิรูปหรือไม่ ทุกคนรู้ปัญหาดี แต่ทุกคนไม่รู้จะทํายังไงเหมือนกัน เพราะต้องมอบหมายให้ใครเข้ามาทําอะไรก็แล้วแต่เรื่องของท่าน แต่คนที่เข้ามาท่านต้องให้เขารับในหลักการว่า ต้องมีการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ 20 ปี ทําไมถึงจําเป็น เพราะว่ามีปัญหาเรื่องงบประมาณด้วย อะไรด้วย แล้วสิ่งที่ทํามาหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา ก็ยังไม่สมบูรณ์ ขาดความต่อเนื่อง ความเชื่อมโยง แล้วประโยชน์ที่ได้รับ ยังไม่ทั่วถึงจะทํายังไง ในหลาย ๆ ประเด็นของยุทธศาสตร์มี 6 ยุทธศาสตร์ มีเรื่องความเข้มแข็ง เรื่องความมั่นคง เรื่องเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ํา ลดความเป็นธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเรื่องงบประมาณ ถ้าเราไม่กําหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หลายอย่างก็จะไม่ต่อเนื่องเชื่อมโยง ไม่เกิดเหมือนกับร่างกายมนุษย์ ต้องมีเส้นเลือดใหญ่ เส้นเลือดกลาง เส้นเลือดเล็ก ที่จะต้องไปสู่ทุกส่วนของร่างกาย และประชาชนอาศัยอยู่ตามเส้นเลือดเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเกษตร อาชีพ ที่อยู่อาศัย ถ้าทุกอย่างไม่เตรียมการไว้อย่างนี้ล่วงหน้า อีก 20 ปี ข้างหน้าคนรุ่นใหม่เกิดขึ้นมาจบปริญญาออกมา อะไรทํานองนี้ ก็จะอยู่กันยังไง เราต้องวางให้เขาตั้งแต่วันนี้ ถึงต้องมียุทธศาสตร์ชาติ กําหนดไว้ล่วงหน้า ประเมินจากปัจจัยภายใน ภายนอก สถานการณ์โลก อะไรก็แล้วแต่ เรื่องของงบประมาณต่าง ๆ เหล่านั้น เราจะต้องมาดูว่าทั่วถึงหรือไม่ ประหยัดงบประมาณหรือไม่ ซ้ําซ้อนหรือไม่ ทั้งผู้ปฏิบัติ และ พรบ.งบประมาณจําเป็นต้องเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เพิ่มเติมหรือไม่ เพื่อให้ไม่เกิดการรั่วไหล ซ้ําซ้อน มีการบูรณาการ นโยบายของรัฐบาล หรือพรรคการเมืองก็ว่าไปตามนโยบายของพรรค แต่นโยบายของรัฐบาลต้องต่อเนื่องเชื่อมโยง กับยุทธศาสตร์ 20 ปี แล้วในส่วนของแผนพัฒนาเศรษฐกิจของสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพราะในเรื่องของการใช้งบประมาณที่สําคัญคือ ที่มีปัญหากันอยู่คือเรื่องการทําประชานิยม ถ้าไม่มีผลเสียหายก็ทําได้ ผมคิดว่านะ ถ้าไม่ทําทั้งหมด ไม่ทําจนเสียหาย หร่อยหรอ จนกระทบกระเทือนอย่างอื่น ต้องเรียกให้ถูกต้อง ผมว่าประชานิยมเคยอธิบายไปแล้วว่า ประชานิยมกับประชารัฐ คนละแบบกัน ประชารัฐร่วมกัน ประชานิยมใช้เงินรัฐอย่างเดียวผมว่าไม่ถูกตรงนี้ แล้วมีผลเสียหายไม่ได้ กระทบต่อระบบงบประมาณของประเทศ เพราะพวกนี้จ่ายแล้วหายไปเลย แต่ถ้าระบบประชานิยม ถ้าเราทํามาก ๆ จะเกิดปัญหา ถ้าเราทําประชารัฐมีความร่วมมือของภาครัฐมาด้วย กับเอกชน ภาคธุรกิจ วันนี้พยายามจะเดินหน้าไปสู่การลงทุนร่วมของ PPP อะไรก็แล้วแต่ ซึ่งมีการปรับปรุงแก้ไข พรบ. ร่วมทุนเหล่านี้ ถ้าทุกคนไม่ยอมรับในสิ่งใหม่ ๆ เหล่านี้ ก็เกิดขึ้นไม่ได้อีก เพราะฉะนั้นอะไรที่เกิดได้ ก็ควรจะเกิดในช่วงนี้ ทุกอย่างแก้ไขได้หมด ตอนนี้เราจําเป็นต้องใช้อะไรบ้าง ในช่วงการเปลี่ยนผ่านเหล่านี้ จะดี จะถูก จะผิด ก็ไปวิเคราะห์กันออกมา แล้วดูจากรัฐธรรมนูญ ดูจากกฎหมายที่ทยอยออกไปในเวลานี้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้จําเป็นต้องมีความแตกต่างหรือไม่ จากที่ผมกล่าวมาทั้งหมด ทั้งปัญหา ทั้งการเดินหน้าประเทศ ทั้งการขจัดความขัดแย้ง ทั้งการปฏิรูป หรือการวางพื้นฐานให้กับอนาคต 20 ปีข้างหน้า ต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่ หมายความว่าแตกต่างหรือไม่ ก็คงไม่ใช่ เหมือนไม่มีประชาธิปไตยเลย คงไม่ใช่ เพราะฉะนั้นก็มีระยะเวลาเปลี่ยนผ่านในการบังคับใช้เท่านั้นเอง เพื่อไม่ให้ประเทศหยุดชะงักอีก ไม่ต้องเกิดปัญหาอย่างก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม เข้าไปอีก 5. เรื่องต่อไปคือ การที่เราจะกําหนดอนาคตประเทศไทยกันไว้อย่างไรในเวทีโลก เราก็ต้องย้อนกลับมาว่า เมื่อ 20 ปีต่อไป หรือทุก ๆ 5 ปี ประเทศไทยจะอยู่ตรงไหนในเวทีโลก เราต้องกําหนดมาตรฐานของเราไว้ แล้วเดินตามมาตรฐานเหล่านั้น เพื่อจะให้เกิดความยั่งยืน ให้ได้ ว่าเราจะเป็นอย่างไรใน 20 ปี ข้างหน้า แล้วมองย้อนกลับ 5 – 5 – 5 – 5 ย้อนกลับมาตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ที่เราวางไว้ ตั้งแต่แผน 12-13-14-15 อีก 4 แผน วันนี้ก็ 11 ต่อ 12 แล้ว 6. เรื่องรัฐธรรมนูญและกฎหมายทุกฉบับ ถ้าเรามองว่าคือยาวิเศษ แล้วแก้ไขได้ทุกอย่าง ไปทบทวนดูว่าจะแก้ไขได้ทั้งหมดหรือไม่ ความขัดแย้ง ปัญหายิ่งแรง ความขัดแย้งก็สูงขึ้น ถ้าไม่เข้มแข็งพอก็มีปัญหาอีก ความขัดแย้งก็จะเกิดขึ้นระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ บังคับใช้กฎหมายไม่ได้ ประชาชนไม่เชื่อมั่น ไม่เชื่อถือ เพราะทุกอย่างต้องมีความสมดุลกันในตัวเอง ให้ความเป็นธรรม ดูสากลเข้าบ้าง ก็ผสมกันไป ผมคิดว่าคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเต็มที่แล้ว ผมเห็นเหน็ดเหนื่อย เครียดเหมือนกัน เพราะว่าเราจะต้องทําในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น ให้เกิดขึ้น ทุกอย่างลําบากหมด ในเรื่องของการแก้ไขความขัดแย้ง แก้ไขการทุจริต ความรุนแรง ความไม่เข้มแข็ง ความไม่มีขีดความสามารถในการแข่งขัน เหล่านี้จะทํายังไง แล้วถ้าเราสามารถผ่านประชามติไปได้ เราจะต้องเข้าไปสู่การเลือกตั้ง ถ้าเลือกตั้งได้ ก็ไปตั้งรัฐบาลได้ ถ้าเลือกตั้งไม่ได้ วุ่นวายกันอีก มีการทําร้ายกัน หรือใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ใส่กันอีก เหมือนเดิม ก็ไปไม่ได้อีกเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกันคิด เราจะหยุดเรื่องเหล่านี้อย่างไร อย่าพูดว่าไม่เป็นไร วันนี้ก็เห็นสงบเงียบเรียบร้อยดี ผมเคยกราบเรียนแล้วว่า สงบอย่างนี้ทุกที แต่ปัญหาก็คือมีการเอาชนะคะคานกันในหลายๆ อย่าง ทําให้ประชาชนสับสน แล้วแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน เจ้าหน้าที่ก็ลําบาก อย่าให้เกิดขึ้นอีกเลย แล้วหลังเลือกตั้งมาแล้ว ต่างฝ่ายต่างจะยอมรับในผลการเลือกตั้งหรือไม่ ก็จะกลับมาเดือดร้อนเจ้าหน้าที่อีก ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายให้ทุกคนยอมรับกัน ผมว่าต้องยอมรับกันด้วยกติกาของสังคม ของสังคมโลก เลือกตั้งคือเลือกตั้ง เลือกตั้งแล้วผลยังไงอีกฝ่ายก็ต้องรับ แล้วไม่ให้เกิดปัญหาอีกเช่นที่ผ่านมา ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ถ้าแก้ไม่ได้จริง ๆ ใครจะเป็นคนหยุดสถานการณ์ได้ วันนี้เขาก็มีวิธีการแก้ไขให้อยู่แล้ว ก็ไม่เห็นด้วยอีก เพิ่มอํานาจคนโน้นคนนี้มาก แล้วใครจะทํา ถ้าไม่ต้องทํา ก็คือทุกคนต้องอยู่ที่ใจของทุกคนทั้งประเทศ จะทํายังไง หยุดด้วยตัวเองได้หรือไม่ 7. เรื่องกฎหมายการปกครอง การบริหาร กฎหมายลูกต่าง ๆ บทเฉพาะกาลต่าง ๆ เหล่านี้มีความแตกต่างกันทั้งสิ้น ประโยชน์คนละอย่างกัน บางอย่างก็ไม่ได้เขียนในรัฐธรรมนูญ บางอย่างอยู่ในกฎหมายลูก บางอย่างอาจจะต้องอยู่ในบทเฉพาะกาล ไม่อย่างนั้นตีกันไปหมด คนละความหมาย ศึกษาให้ดี ไม่อย่างนั้นจะสับสน แล้วก็ไม่เห็นชอบไปทุกเรื่องไป ต้องดูความสัมพันธ์กันให้ต่อเนื่องด้วย เรื่องต่อไปคือ เรื่องการเมืองไทยที่ผ่านมานั้น เรามักจะเน้นในเรื่องพลังอํานาจของประชาชน แต่พลังอํานาจอย่างไร อํานาจของประชาชนคืออย่างเดียว คือการเลือกผู้แทน การลงประชามติ เลือกผู้แทน หรือ สส. ขึ้นมาเพื่อจะทํางานให้บ้านเมือง แล้วก็ถือว่าเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แล้ว เราได้รัฐบาลมาดีบ้างไม่ดีบ้าง อะไรก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นขอให้เรามองปัญหาของเรา ย้อนมองกลับไปกลับมา เราจะรู้เองว่า เราต้องปรับปรุง ปรับเปลี่ยน เปลี่ยนแปลง ปฏิรูป อะไร อย่างไร เพราะฉะนั้นช่วงนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่สําคัญ ผมเองค่อนข้างเครียดเหมือนกันในช่วงนี้ มีทั้งปัญหา ทั้งเตรียมการปฏิรูป ทั้งเตรียมการประชามติ ร่างรัฐธรรมนูญ อะไรก็แล้วแต่ หลายเรืองด้วยกัน แม่น้ํา 5 สาย แล้วก็ปัญหาในการบริหารราชการแผ่นดิน มีมากมาย วันนี้เราควรจะต้องพิจารณากันแล้วว่า เราจะต้องมีกลไกอะไรหรือไม่ที่จะทําให้ประเทศเราผ่านช่วงนี้ไปได้ นั่นคือเหตุผลที่มีความแตกต่าง อยากให้ทุกคนตั้งใจพิจารณา อย่าตั้งใจเพื่อจะขัดแย้ง หาจุดขัดแย้งไม่ได้ หาจุดที่มีความแตกต่างแล้วไปหาเหตุผล ถ้าดีก็ยอมรับ ต้องนึกถึงประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ ประชาชนส่วนรวม มองปัญหาเราอย่างเป็นกลาง ผมไม่ใช่ศัตรูใครทั้งสิ้น ในเรื่องของกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมเป็นผู้ตัดสิน ศึกษาบทเรียน และก็เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี กลับมาเป็นสังคมสันติสุขของไทย ๆ แบบเดิม อย่างที่เราเคยเป็น สําหรับปัญหาของพี่น้องชาวนา ผมอยากแจ้งให้ทราบว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจเลย วันนี้หลาย ๆ ที่เริ่มมีความยากลําบากแล้ว เรื่องน้ํา เรื่องข้าว เรื่องยาง อะไรก็แล้วแต่ ก็แก้ไปเรื่อย ๆ เราก็แก้ไปด้วย สร้างความเข้มแข็งไปด้วย ถ้าบรรเทาความเดือดร้อนอย่างเดียวก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย ปีหน้าก็เกิดใหม่ วันนี้อาจจะลําบากบ้าง เพราะมาพร้อม ๆ กัน เพราะวันนี้ผมให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อจัดทํา “แผนข้าวครบวงจร” ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งจะมีทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งองค์กรภาคเอกชนร่วมด้วย เช่น สมาคมชาวนา สมาคมโรงสี สมาคมผู้ค้าข้าวถุง และสมาคมผู้ส่งออก เป็นต้น สําหรับ “แผนข้าวครบวงจร” นี้ เป็นความพยายามของรัฐ ที่ต้องการให้มีการปลูกข้าว ให้สมดุลกับความต้องการใช้ หรือที่เรียกว่า Supply เท่ากับ Demand ซึ่งจะเป็นแนวทางลดผลผลิตของข้าว ที่มากเกินความต้องการ ขณะนี้ ผมได้รับรายงานจากคณะกรรมการว่า ได้ประมาณการความต้องการข้าวของประเทศอยู่ที่ประมาณ 25 ล้านตันข้าวเปลือก และได้วางแผนการจัดสรรพื้นที่เพาะปลูกให้สมดุลกัน ซึ่งแน่นอนว่ามีบางพื้นที่ที่อาจต้องปรับเปลี่ยนจากการปลูกข้าว หรือลดการปลูกข้าวลง เพื่อไปปลูกพืชชนิดอื่นเสริม ผมไม่อยากให้มีการบังคับกัน เดี๋ยวก็เดือดร้อนอีก แต่ถ้าปลูกแล้วตาย ปลูกแล้วไม่มีน้ํา ปลูกไปก็เสียเปล่า เป็นหนี้เป็นสินอีก ก็ขอให้พี่น้องชาวนาได้เข้าใจ ให้ความร่วมมือกับภาครัฐด้วยตามความสมัครใจ และตามหลักวิชาการด้วย รับคําแนะนําอย่างเปิดใจด้วยกัน ผมรู้ว่ายาก เราเคยทํากันมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย วันนี้ต้องกลับมาดูว่าเราเป็นหนี้มากหรือไม่ แล้ววันหน้าจะเป็นหนี้อีกหรือไม่ จะหมดหนี้เมื่อไร วันนี้ต้องปรับเปลี่ยนแล้ว ผมคิดว่าในอนาคตอันใกล้ ถ้าทุกคนร่วมมือแบบวันนี้ ทุกพืชเศรษฐกิจ ผมว่าไปได้ เราทําสําเร็จแน่ ตอนนี้กระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมหาตลาดรองรับไว้แล้ว ในส่วนของพืชทดแทนที่ผลิตขึ้นมาหรือปลูกขึ้นมาแทนการปลูกข้าว จํานวนหนึ่งที่จะต้องลดลง แล้วไปเพิ่มเป็นผลผลิตอย่างอื่น ต้องหาตลาดให้ด้วย เพราะฉะนั้นเข้าไปหาเขา หาราชการ จังหวัด ไปหานายอําเภอ หาผู้ว่าราชการจังหวัด เกษตรจังหวัด พาณิชย์จังหวัด อะไรต่าง ๆ มีอยู่หมดแล้ว ถ้าไม่ไปหาเขาก็ไม่รู้เรื่อง เพราะคนที่จะไปหา เป็นผู้นําเหล่านี้คือ ผู้นํากลุ่มเกษตรกร กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน อบท. ไปพบข้าราชการเขา แล้วเอาความเดือดร้อนของประชาชนไปคุยกับเขา รัฐบาลไม่สมารถจะลงไปได้ทุกพื้นที่ ก็ต้องใช้กลไกเหล่านี้ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ในส่วนของประชารัฐ เราต้องไม่สร้างปัญหาใหม่ แก้ปัญหาเดิม เช่น ลดการปลูกข้าว แล้วไปปลูกอย่างอื่น มีปัญหาเรื่องตลาดอีก ในส่วนข้อเสนอของสมาคมชาวนา เรื่องมาตรการช่วยเหลือชาวนาแบบยั่งยืน ที่ได้ยื่นให้คณะกรรมการไปพิจารณานั้น ผมรับทราบแล้ว และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กําลังนําไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเร่งให้รีบหาข้อสรุปให้ได้โดยเร็ว อย่าใจร้อนมากนัก ผมรู้ว่าร้อนเพราะไม่มีเงิน เพราะเดือดร้อน แต่คราวนี้ถ้าแก้ไขอะไรที่เร่งด่วนเกินไป ปัญหาก็กลับมาที่เดิม ปัญหาอื่นก็เกิดขึ้นอีก ผมขอชื่นชมชาวนายุคใหม่ หลาย ๆ พื้นที่ หลาย ๆ ท่าน หลาย ๆ กลุ่ม ชื่นชมจริง ๆ เพราะแนวคิดที่ท่านเสนอมานั้นจะมุ่งเน้นความยั่งยืน และมุ่งให้ความช่วยเหลือที่สอดคล้องกับนโยบายนาแปลงใหญ่ของรัฐบาล ที่กําหนดลงไป ผมหวังว่า แผนข้าวครบวงจรนี้จะเป็นประโยชน์ คณะกรรมการกําลังดําเนินการจัดทํา ซึ่งใกล้จะเสร็จแล้ว ก็จะเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน จะทําให้เราสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและสังคม ให้กับพี่น้องชาวนาได้อย่างยั่งยืน คือการเจริญเติบโตจากภายในด้วย เป็นการช่วยเหลือโดยภาคราชการ มาช่วยทั้งต้นทาง กลางทาง ปลายทาง การปลูก การผลิต ให้มีคุณภาพ แล้วก็มีภาคเอกชนมารองรับผลผลิต คือการตลาดปลายทาง สําหรับเรื่องยาง กําลังแก้ไขไปเป็นระยะ ๆ แล้วช่วงนี้เห็นว่า ราคายางยังอยู่ในราคาที่ค่อนข้างจะไม่สูงมากนัก แต่เป็นช่วงฤดูใกล้การปิดกรีดยางพอดี เดี๋ยวก็ต้องเตรียมการกันต่อ เรื่องการนําสู่การผลิต หรือการนํามาใช้ ต้องใช้เวลาในการขับเคลื่อน วันนี้ไม่ได้มุ่งหวังว่าจะต้องไปซื้อมาทั้งหมด ซื้อไม่ได้อยู่แล้ว วันนี้ก็ไปซื้อนําราคาเฉย ๆ ราคาก็ได้สูงขึ้นมาเล็กน้อย ก็ยังดีกว่าไม่ขึ้น แต่สิ่งสําคัญที่จะเกิดตามมาคือ เรากําลังแปรรูป ก็ต้องใช้เวลาในการแปรรูป ตอนนี้อยู่ขั้นตอนที่ 2 คือส่วนหนึ่งจะต้องเอามาสู่โรงงาน ในการวิจัยพัฒนาเรื่องยางต้องทําควบคู่กันไปจะได้เข้มแข็งและยั่งยืน ผมและรัฐบาลเป็นห่วงรายได้ ชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกร พ่อแม่พี่น้อง ลูกหลาน ก็รวมความไปถึงผู้ประกอบอาชีพอิสระด้วย พอเศรษฐกิจแย่ รายได้จากธุรกิจเชื่อมโยงก็ลดลงหมด การสัญจรไปมาลดลง การคมนาคมลดลง รายได้จากการขับแท็กซี่ ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างคือลดหมด แต่ถ้าทุกคนสู้ ช่วยกันสู้ ช่วยกันทํา ช่วยกันหาเงิน ช่วยกันใช้ มากบ้างน้อยบ้าง แล้วก็สัญจรไปมาหาสู่กัน เดี๋ยวจะดีขึ้นเอง จะช่วยกันยกทางโน้น ทางนี้ ขึ้นมาหลาย ๆ ทาง ถ้ารอการช่วยเหลืออย่างเดียวก็ไม่ไหวเหมือนกัน รัฐบาลก็เต็มกลืนเหมือนกัน ปัญหามีมาก สุดท้ายนี้ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม เป็นช่วงของตลาดวัฒนธรรม สยามเมืองยิ้ม จัดระหว่างวันที่ 1-26 กุมภาพันธ์ โดยมีกระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพ เป็นการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นต่าง ๆ นําสินค้าอันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น เพิ่มรายท้องถิ่น และพัฒนาสินค้าให้ดียิ่งขึ้นสนับสนุนเศรษฐกิจในท้องถิ่นด้วย ตามอัตลักษณ์ แล้วเราจะได้เชื่อมโยงการตลาดจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภคโดยตรง มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดงานในแต่ละสัปดาห์ให้ประชาชนได้มาท่องเที่ยว และใช้จ่าย ใช้สอย ขอให้ช่วยกันมา มีบรรยากาศแตกต่างกันออกไป ช่วงแรก 1-7 กุมภาพันธ์ เรียกว่า ตลาดมั่งมีศรีสุข ซึ่งอยู่ในช่วงตรุษจีน เชิญพ่อแม่พี่น้องมาร่วมกันจับจ่ายซื้อของ ช่วงที่สอง 8-14 กุมภาพันธ์ ตลาดสร้างรัก อยู่ในช่วงวันแห่งความรัก วันวาเลนไทน์ ช่วงที่สาม 15-21 กุมภาพันธ์ ตลาดสร้างสุข และช่วงสุดท้าย 22 - 26 กุมภาพันธ์ เรียกว่าตลาดสร้างบุญ เป็นสัปดาห์ของวันมาฆบูชา ขอขอบคุณกระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือจัดตลาดได้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง ๆ ขอบคุณจริงๆ ขอเชิญชวน มาเที่ยวมาชมกันมาก ๆ มาช่วยกันใช้จ่ายบ้าง ไม่มากก็น้อย เรื่องใดก็ตามที่เป็นสิ่งดี ๆ ของคนไทย ประเทศไทย ทุกคนต้องช่วยกันประชาสัมพันธ์ ให้ประชาน ชาวต่างประเทศ ได้รับทราบข้อเท็จจริง อย่าไปเปิดประเด็นใหม่ การบิดเบือน เปิดความขัดแย้งให้รุนแรงอีก ไม่มีวันจบสิ้น ขอบคุณสื่อที่ดี ๆ ที่เข้าใจ แล้วทําหน้าที่อย่างมีจรรยาบรรณ เพื่อประเทศชาติอันเป็นที่รักยิ่งของคนไทยทุกคน ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีปล่อยเรือลงน้ำ โครงการต่อเรือตรวจการณ์ขนาดความยาวไม่น้อยกว่า 70 ฟุต ของกรมเจ้าท่า
วันจันทร์ที่ 25 กันยายน 2560 นายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีปล่อยเรือลงน้ํา โครงการต่อเรือตรวจการณ์ขนาดความยาวไม่น้อยกว่า 70 ฟุต ของกรมเจ้าท่า นายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีปล่อยเรือลงน้ํา โครงการต่อเรือตรวจการณ์ขนาดความยาวไม่น้อยกว่า 70 ฟุต ของกรมเจ้าท่า ในวันที่ 23 กันยายน 2560 โดยมี นางธิดา พรภาวนา ภริยารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นผู้ประกอบพิธีปล่อยเรือตรวจการณ์ 701 ลงน้ํา และมีนายศรศักดิ์ แสนสมบัติ อธิบดีกรมเจ้าท่า นายวิรัตน์ ชนะสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิตัลไทย มารีน จํากัด ผู้บริหารกรมเจ้าท่า และเจ้าหน้าที่ของบริษัท อิตัลไทย มารีน จํากัด ร่วมให้การต้อนรับ ณ อู่ต่อเรือ บริษัท อิตัลไทย มารีน จํากัด จังหวัดสมุทราปราการ นายพิชิต อัคราทิตย์ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมเห็นความสําคัญในภารกิจของกรมเจ้าท่า (จท.) ซึ่งดูแลความปลอดภัยในการขนส่งทางน้ํา ป้องกันมลภาวะ และปกป้องสิ่งแวดล้อมทางน้ํา ค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางน้ํา รวมทั้งร่วมปฏิบัติงานดูแลความมั่นคงและผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล กระทรวงฯ จึงให้การสนับสุนการต่อเรือตรวจการณ์ทางทะเล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพในการปฏิบัติงานตามภารกิจของ จท. โดยเรือตรวจการณ์ จท. 701 จะปฏิบัติงานในพื้นที่เกาะสมุย เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวทางทะเลที่สําคัญของประเทศไทย อันจะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว ประชาชนที่สัญจรทางน้ํา และจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศในภาพรวม โดยกระทรวงฯ จะให้การสนับสนุนการต่อเรือเพิ่มเติมให้ครอบคลุมพื้นที่ทางทะเลทั้งในฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามันต่อไป นายศรศักดิ์ แสนสมบัติ กล่าวเพิ่มเติมว่า จท. ได้ว่าจ้างบริษัท อิตัลไทย มารีน จํากัด ต่อเรือตรวจการณ์ขนาดความยาวไม่น้อยกว่า 70 ฟุต จํานวน 1 ลํา โดยลงนามในสัญญาจ้างต่อเรือ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2559 เพื่อรองรับภารกิจตรวจตราและดูแลความปลอดภัยในการเดินเรือโดยสาร เรือประมง เรือขนส่งสินค้า การปฏิบัติการขจัดคราบน้ํามันรั่วไหลลงสู่ทะเล ตลอดจนปฏิบัติการร่วมค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล และสนับสนุนการตรวจตราการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU FISHING) และการตรวจตรา ปราบปรามการค้ามนุษย์ ให้การสนับสนุนการปฏิบัติงานเพื่อรักษาความมั่นคง และผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในพื้นที่เกาะสมุย เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยเรือตรวจการณ์ จท. 701 มีคุณลักษณะตัวเรือและเก๋งเรือสร้างด้วยอลูมิเนียมอัลลอยด์ มีการทรงตัวดี มั่นคง และปลอดภัยสูง มีศักภาพตามมาตรฐานของสมาคมจัดชั้นเรือ ซึ่งตัวเรือมีความยาวตลอดลํา 21.59 เมตร ความกว้าง 5.33 เมตร กินน้ําลึก 1.12 เมตร ความเร็วสูงสุดไม่ต่ํากว่า 25 นอต รัศมีปฏิบัติการ 350 ไมล์ทะเล และมีเจ้าหน้าที่ประจําเรือและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน จํานวน 10 นาย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีปล่อยเรือลงน้ำ โครงการต่อเรือตรวจการณ์ขนาดความยาวไม่น้อยกว่า 70 ฟุต ของกรมเจ้าท่า วันจันทร์ที่ 25 กันยายน 2560 นายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีปล่อยเรือลงน้ํา โครงการต่อเรือตรวจการณ์ขนาดความยาวไม่น้อยกว่า 70 ฟุต ของกรมเจ้าท่า นายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีปล่อยเรือลงน้ํา โครงการต่อเรือตรวจการณ์ขนาดความยาวไม่น้อยกว่า 70 ฟุต ของกรมเจ้าท่า ในวันที่ 23 กันยายน 2560 โดยมี นางธิดา พรภาวนา ภริยารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นผู้ประกอบพิธีปล่อยเรือตรวจการณ์ 701 ลงน้ํา และมีนายศรศักดิ์ แสนสมบัติ อธิบดีกรมเจ้าท่า นายวิรัตน์ ชนะสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิตัลไทย มารีน จํากัด ผู้บริหารกรมเจ้าท่า และเจ้าหน้าที่ของบริษัท อิตัลไทย มารีน จํากัด ร่วมให้การต้อนรับ ณ อู่ต่อเรือ บริษัท อิตัลไทย มารีน จํากัด จังหวัดสมุทราปราการ นายพิชิต อัคราทิตย์ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมเห็นความสําคัญในภารกิจของกรมเจ้าท่า (จท.) ซึ่งดูแลความปลอดภัยในการขนส่งทางน้ํา ป้องกันมลภาวะ และปกป้องสิ่งแวดล้อมทางน้ํา ค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางน้ํา รวมทั้งร่วมปฏิบัติงานดูแลความมั่นคงและผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล กระทรวงฯ จึงให้การสนับสุนการต่อเรือตรวจการณ์ทางทะเล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพในการปฏิบัติงานตามภารกิจของ จท. โดยเรือตรวจการณ์ จท. 701 จะปฏิบัติงานในพื้นที่เกาะสมุย เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวทางทะเลที่สําคัญของประเทศไทย อันจะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว ประชาชนที่สัญจรทางน้ํา และจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศในภาพรวม โดยกระทรวงฯ จะให้การสนับสนุนการต่อเรือเพิ่มเติมให้ครอบคลุมพื้นที่ทางทะเลทั้งในฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามันต่อไป นายศรศักดิ์ แสนสมบัติ กล่าวเพิ่มเติมว่า จท. ได้ว่าจ้างบริษัท อิตัลไทย มารีน จํากัด ต่อเรือตรวจการณ์ขนาดความยาวไม่น้อยกว่า 70 ฟุต จํานวน 1 ลํา โดยลงนามในสัญญาจ้างต่อเรือ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2559 เพื่อรองรับภารกิจตรวจตราและดูแลความปลอดภัยในการเดินเรือโดยสาร เรือประมง เรือขนส่งสินค้า การปฏิบัติการขจัดคราบน้ํามันรั่วไหลลงสู่ทะเล ตลอดจนปฏิบัติการร่วมค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล และสนับสนุนการตรวจตราการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU FISHING) และการตรวจตรา ปราบปรามการค้ามนุษย์ ให้การสนับสนุนการปฏิบัติงานเพื่อรักษาความมั่นคง และผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในพื้นที่เกาะสมุย เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยเรือตรวจการณ์ จท. 701 มีคุณลักษณะตัวเรือและเก๋งเรือสร้างด้วยอลูมิเนียมอัลลอยด์ มีการทรงตัวดี มั่นคง และปลอดภัยสูง มีศักภาพตามมาตรฐานของสมาคมจัดชั้นเรือ ซึ่งตัวเรือมีความยาวตลอดลํา 21.59 เมตร ความกว้าง 5.33 เมตร กินน้ําลึก 1.12 เมตร ความเร็วสูงสุดไม่ต่ํากว่า 25 นอต รัศมีปฏิบัติการ 350 ไมล์ทะเล และมีเจ้าหน้าที่ประจําเรือและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน จํานวน 10 นาย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6924
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยเผยความคืบหน้าโครงการหมู่บ้าน/ชุมชนละ 2 แสนบาท
วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน 2561 กระทรวงมหาดไทยเผยความคืบหน้าโครงการหมู่บ้าน/ชุมชนละ 2 แสนบาท กระทรวงมหาดไทยเผยความคืบหน้าโครงการหมู่บ้าน/ชุมชนละ 2 แสนบาท เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 61 ที่กระทรวงมหาดไทย นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทย ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ได้รับรายงานความคืบหน้าโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการไทยนิยมยั่งยืน (หมู่บ้าน/ชุมชนละ 2 แสนบาท) ดําเนินการโดย กรมการปกครอง ดังนี้ โครงการฯ มีพื้นที่เป้าหมาย จํานวน 82,233 หมู่บ้าน/ชุมชน มีหมู่บ้าน/ชุมชนเสนอโครงการ 91,335 โครงการ วงเงินงบประมาณ 16,095,270,043 บาท ซึ่งในจํานวนนี้เป็นหมู่บ้าน/ชุมชนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมการปกครอง จํานวน 80,176 หมู่บ้าน/ชุมชน และเป็นชุมชนในความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานคร จํานวน 2,057 ชุมชน ในขณะนี้ คณะกรรมการบริหารงานอําเภอแบบบูรณาการ/คณะกรรมการ กรุงเทพมหานคร อนุมัติโครงการฯ แล้ว 79,717 หมู่บ้าน/ชุมชน รวม 90,225 โครงการ งบประมาณ 15,826,910,566 บาท โดยผู้ว่าราชการจังหวัด/ปลัดกรุงเทพมหานคร เห็นชอบแผนแล้ว 74,069 หมู่บ้าน/ชุมชน 83,329 โครงการ งบประมาณ 14,795,068,978 บาท และกองจัดทํางบประมาณเขตพื้นที่ (CBO) ให้ความเห็นชอบแล้ว 10,063 หมู่บ้าน/ชุมชน 11,160 โครงการ งบประมาณ 2,010,684,200 บาท ซึ่งขณะนี้กําลังทยอยโอนเงินลงหมู่บ้าน/ชุมชนเพื่อดําเนินโครงการต่อไป โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากหมู่บ้าน/ชุมชนได้รับงบประมาณแล้ว หมู่บ้าน/ชุมชนจะเป็นผู้ดําเนินการโครงการเองทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การจัดซื้อจัดจ้าง การตรวจรับงานพัสดุ ตลอดจนการเบิกจ่ายเงินโครงการ โดยจะมีคณะผู้รับผิดชอบการจัดซื้อจัดจ้าง การตรวจรับพัสดุ การเบิกจ่ายเงิน และจัดทําบัญชี ซึ่งเป็นประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชนที่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมประชาคม ทั้งนี้ การดําเนินโครงการทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยเผยความคืบหน้าโครงการหมู่บ้าน/ชุมชนละ 2 แสนบาท วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน 2561 กระทรวงมหาดไทยเผยความคืบหน้าโครงการหมู่บ้าน/ชุมชนละ 2 แสนบาท กระทรวงมหาดไทยเผยความคืบหน้าโครงการหมู่บ้าน/ชุมชนละ 2 แสนบาท เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 61 ที่กระทรวงมหาดไทย นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทย ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ได้รับรายงานความคืบหน้าโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการไทยนิยมยั่งยืน (หมู่บ้าน/ชุมชนละ 2 แสนบาท) ดําเนินการโดย กรมการปกครอง ดังนี้ โครงการฯ มีพื้นที่เป้าหมาย จํานวน 82,233 หมู่บ้าน/ชุมชน มีหมู่บ้าน/ชุมชนเสนอโครงการ 91,335 โครงการ วงเงินงบประมาณ 16,095,270,043 บาท ซึ่งในจํานวนนี้เป็นหมู่บ้าน/ชุมชนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมการปกครอง จํานวน 80,176 หมู่บ้าน/ชุมชน และเป็นชุมชนในความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานคร จํานวน 2,057 ชุมชน ในขณะนี้ คณะกรรมการบริหารงานอําเภอแบบบูรณาการ/คณะกรรมการ กรุงเทพมหานคร อนุมัติโครงการฯ แล้ว 79,717 หมู่บ้าน/ชุมชน รวม 90,225 โครงการ งบประมาณ 15,826,910,566 บาท โดยผู้ว่าราชการจังหวัด/ปลัดกรุงเทพมหานคร เห็นชอบแผนแล้ว 74,069 หมู่บ้าน/ชุมชน 83,329 โครงการ งบประมาณ 14,795,068,978 บาท และกองจัดทํางบประมาณเขตพื้นที่ (CBO) ให้ความเห็นชอบแล้ว 10,063 หมู่บ้าน/ชุมชน 11,160 โครงการ งบประมาณ 2,010,684,200 บาท ซึ่งขณะนี้กําลังทยอยโอนเงินลงหมู่บ้าน/ชุมชนเพื่อดําเนินโครงการต่อไป โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากหมู่บ้าน/ชุมชนได้รับงบประมาณแล้ว หมู่บ้าน/ชุมชนจะเป็นผู้ดําเนินการโครงการเองทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การจัดซื้อจัดจ้าง การตรวจรับงานพัสดุ ตลอดจนการเบิกจ่ายเงินโครงการ โดยจะมีคณะผู้รับผิดชอบการจัดซื้อจัดจ้าง การตรวจรับพัสดุ การเบิกจ่ายเงิน และจัดทําบัญชี ซึ่งเป็นประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชนที่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมประชาคม ทั้งนี้ การดําเนินโครงการทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13261
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยชี้แจง กรณีข่าวการสละสิทธิ์ของผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ
วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 กระทรวงมหาดไทยชี้แจง กรณีข่าวการสละสิทธิ์ของผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ กระทรวงมหาดไทยชี้แจง กรณีข่าวการสละสิทธิ์ของผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย ชี้แจงกรณีผู้จัดการออนไลน์และแฟนเพจไขลานความคิด เสนอข่าวการสละสิทธิ์ของผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ 4,982 ราย โดยจากกรณีดังกล่าว กระทรวงมหาดไทย ขอชี้แจงว่าการสละสิทธิ์ของผู้ประกอบการ จํานวน 4,982 ราย เป็นการสละสิทธิ์ภายหลังจากการจัดสรรพื้นที่ให้ผู้ประกอบการแล้ว โดยมีสาเหตุหลัก ๆ ดังนี้ 1. ผู้ประกอบการบางส่วนมีสินค้าแต่ไม่เพียงพอต่อการจัดจําหน่ายอย่างต่อเนื่อง 2. ผู้ประกอบการลงทะเบียนเพื่อเป็นการจองสิทธิ์ไว้โดยที่ยังไม่มีสินค้าที่จะจัดจําหน่ายหรือจับจองไว้เพื่อนําพื้นที่จําหน่ายสินค้าไปให้บุคคลอื่นเช่าช่วงต่อ 3. ผู้ประกอบการบางรายคุณสมบัติไม่ตรงตามเงื่อนไขของตลาด 4. ผู้ประกอบการไม่สะดวกมาจําหน่ายสินค้าในเวลาที่กําหนดให้ บางรายที่อยู่อาศัยของผู้ประกอบการกับตลาดห่างไกลกัน ทําให้ไม่สะดวกที่จะเดินทางมาค้าขาย 5. ผู้ประกอบการมีสถานที่ค้าขายประจําอยู่แล้วแต่ลงทะเบียนเพื่อจองสิทธิ์พื้นที่เพิ่มเติมไว้ โดยสถานที่ที่รัฐจัดสรรให้ในตลาดประชารัฐมีเวลาจําหน่ายที่ตรงกับเวลาค้าขายเดิมอยู่แล้ว 6. ตลาดที่ผู้ประกอบการสนใจถูกจัดสรรให้ผู้ลงทะเบียนอื่นหมดแล้ว และเมื่อเจ้าของตลาด จะจัดสรรพื้นที่ในตลาดอื่นที่ยังมีพื้นที่ พบว่าผู้ประกอบการไม่สะดวกในการไปจําหน่ายในตลาดอื่นที่จังหวัดจัดสรร ให้ใหม่เพราะทําให้มีค่าต้นทุนในการเดินทางมากขึ้นจึงได้สละสิทธิ์ ทั้งนี้ ในการสละสิทธิ์ เป็นไปด้วยความสมัครใจของผู้ลงทะเบียน โดยจังหวัดได้มีความพยายามในการประสานงานและจัดสรรพื้นที่ใหม่ให้กับผู้ประกอบการตามความประสงค์อย่างเหมาะสมแล้ว ในส่วนของผู้ประกอบการที่รอการจัดสรรพื้นที่ตลาดเพื่อจําหน่ายสินค้า ได้มีการจัดตั้ง "คลินิกผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ" โดยสัมภาษณ์ผู้ประกอบการที่ประสงค์จะจําหน่ายสินค้าอย่างแท้จริง นํามาพัฒนาศักยภาพการสรรหาสินค้าเพื่อค้าขายและการตลาด เพื่อสร้างให้เป็นผู้ประกอบการที่สามารถค้าขายได้อย่างยั่งยืนและหาเลี้ยงชีพได้ด้วยตนเองต่อไป ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทย ขอเรียนว่าการดําเนินโครงการตลาดประชารัฐ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย และผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการไม่มีสถานที่ค้าขายให้มีพื้นที่ค้าขาย และส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการให้สามารถค้าขายได้อย่างยั่งยืน เป็นการลดความเหลื่อมล้ํา สร้างโอกาส สร้างรายได้ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน -----------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยชี้แจง กรณีข่าวการสละสิทธิ์ของผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 กระทรวงมหาดไทยชี้แจง กรณีข่าวการสละสิทธิ์ของผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ กระทรวงมหาดไทยชี้แจง กรณีข่าวการสละสิทธิ์ของผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย ชี้แจงกรณีผู้จัดการออนไลน์และแฟนเพจไขลานความคิด เสนอข่าวการสละสิทธิ์ของผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ 4,982 ราย โดยจากกรณีดังกล่าว กระทรวงมหาดไทย ขอชี้แจงว่าการสละสิทธิ์ของผู้ประกอบการ จํานวน 4,982 ราย เป็นการสละสิทธิ์ภายหลังจากการจัดสรรพื้นที่ให้ผู้ประกอบการแล้ว โดยมีสาเหตุหลัก ๆ ดังนี้ 1. ผู้ประกอบการบางส่วนมีสินค้าแต่ไม่เพียงพอต่อการจัดจําหน่ายอย่างต่อเนื่อง 2. ผู้ประกอบการลงทะเบียนเพื่อเป็นการจองสิทธิ์ไว้โดยที่ยังไม่มีสินค้าที่จะจัดจําหน่ายหรือจับจองไว้เพื่อนําพื้นที่จําหน่ายสินค้าไปให้บุคคลอื่นเช่าช่วงต่อ 3. ผู้ประกอบการบางรายคุณสมบัติไม่ตรงตามเงื่อนไขของตลาด 4. ผู้ประกอบการไม่สะดวกมาจําหน่ายสินค้าในเวลาที่กําหนดให้ บางรายที่อยู่อาศัยของผู้ประกอบการกับตลาดห่างไกลกัน ทําให้ไม่สะดวกที่จะเดินทางมาค้าขาย 5. ผู้ประกอบการมีสถานที่ค้าขายประจําอยู่แล้วแต่ลงทะเบียนเพื่อจองสิทธิ์พื้นที่เพิ่มเติมไว้ โดยสถานที่ที่รัฐจัดสรรให้ในตลาดประชารัฐมีเวลาจําหน่ายที่ตรงกับเวลาค้าขายเดิมอยู่แล้ว 6. ตลาดที่ผู้ประกอบการสนใจถูกจัดสรรให้ผู้ลงทะเบียนอื่นหมดแล้ว และเมื่อเจ้าของตลาด จะจัดสรรพื้นที่ในตลาดอื่นที่ยังมีพื้นที่ พบว่าผู้ประกอบการไม่สะดวกในการไปจําหน่ายในตลาดอื่นที่จังหวัดจัดสรร ให้ใหม่เพราะทําให้มีค่าต้นทุนในการเดินทางมากขึ้นจึงได้สละสิทธิ์ ทั้งนี้ ในการสละสิทธิ์ เป็นไปด้วยความสมัครใจของผู้ลงทะเบียน โดยจังหวัดได้มีความพยายามในการประสานงานและจัดสรรพื้นที่ใหม่ให้กับผู้ประกอบการตามความประสงค์อย่างเหมาะสมแล้ว ในส่วนของผู้ประกอบการที่รอการจัดสรรพื้นที่ตลาดเพื่อจําหน่ายสินค้า ได้มีการจัดตั้ง "คลินิกผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ" โดยสัมภาษณ์ผู้ประกอบการที่ประสงค์จะจําหน่ายสินค้าอย่างแท้จริง นํามาพัฒนาศักยภาพการสรรหาสินค้าเพื่อค้าขายและการตลาด เพื่อสร้างให้เป็นผู้ประกอบการที่สามารถค้าขายได้อย่างยั่งยืนและหาเลี้ยงชีพได้ด้วยตนเองต่อไป ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทย ขอเรียนว่าการดําเนินโครงการตลาดประชารัฐ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย และผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการไม่มีสถานที่ค้าขายให้มีพื้นที่ค้าขาย และส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการให้สามารถค้าขายได้อย่างยั่งยืน เป็นการลดความเหลื่อมล้ํา สร้างโอกาส สร้างรายได้ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน -----------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10084
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ผนึกกำลังประชารัฐ สร้างอาชีพผู้ต้องขัง คืนคนดีสู่สังคม
วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม 2561 ก.แรงงาน ผนึกกําลังประชารัฐ สร้างอาชีพผู้ต้องขัง คืนคนดีสู่สังคม รมว.แรงงาน ร่วมเป็นเกียรติในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการประสานความร่วมมือโครงการประชารัฐ ร่วมสร้างงาน สร้างอาชีพผู้ต้องขัง ระหว่างกรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมราชราชทัณฑ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย วันที่ 26 มีนาคม 2561 เวลา 11.00 น. พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยนายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน และคณะผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นเกียรติในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการประสานความร่วมมือโครงการประชารัฐ ร่วมสร้างงาน สร้างอาชีพผู้ต้องขัง ระหว่างกรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมราชราชทัณฑ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ณ ทัณฑสถานบําบัดพิเศษ จังหวัดปทุมธานี โดย พล.ต.อ. อดุลย์ฯ กล่าวว่า ภารกิจของกระทรวงแรงงานมีหน้าที่ในการบริหารกําลังแรงงานให้มีความพร้อมในการทํางาน เพื่อให้แรงงานมีทักษะฝีมือ มีศักยภาพ มีความรู้ความสามารถตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน และรองรับ Thailand 4.0 ซึ่งถือเป็นปัจจัยสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน การดําเนินงานในครั้งนี้ เป็นการทํางานในรูปแบบประชารัฐ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล จากความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และกรมราชทัณฑ์ ร่วมกับภาคเอกชน ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโอกาสและคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้ต้องขัง โดยผ่านกระบวนการฝึกอบรมวิชาชีพ จริยธรรม ให้โอกาสผู้กระทําผิดได้ปรับปรุงตนเอง สามารถประกอบอาชีพอิสระ เพื่อหารายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวภายหลังจากพ้นโทษ และแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในบางสาขาอาชีพ อันเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งส่งเสริมคนดีคืนสู่สังคม “โครงการนี้มีเป้าหมายการดําเนินงานกับผู้ต้องขัง จํานวน 37,000 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรก ซึ่งเป็นนักโทษชั้นดี จํานวน 27,000 คน จะเตรียมความพร้อมด้านอาชีพก่อนพ้นโทษตามความต้องการของผู้ต้องขัง เพื่อเพิ่มเติมความรู้ รวมทั้งทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ซึ่งกรมราชทัณฑ์จะจัดทําฐานข้อมูลผู้ต้องขัง อํานวยความสะดวกด้านสถานที่ฝึกอบรมและปฏิบัติงาน กําหนดขั้นตอนการดําเนินการรับชิ้นงานไปผลิตในเรือนจํา เพื่อจัดจําหน่ายและสร้างรายได้แก่ผู้ต้องขัง รวมถึงส่งผู้ต้องขังไปฝึกทักษะในสถานประกอบการ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จะทําหน้าที่ประสานงานกับสถานประกอบการ/นายจ้าง ให้มาเข้าร่วมโครงการฯ กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มผู้ใกล้พ้นโทษ จํานวน 10,000 คน โดยจะสํารวจความต้องการและคัดแยกผู้ที่ต้องการทํางานในสถานประกอบการและต้องการประกอบอาชีพอิสระ โดยกรมการจัดหางานจะบริการจัดหางานและส่งเสริมการประกอบชีพอิสระ จากนั้นจะมีการติดตามประเมินผลเป็นระยะ” พล.ต.อ. อดุลย์ฯ กล่าวในท้ายที่สุด ---------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ผนึกกำลังประชารัฐ สร้างอาชีพผู้ต้องขัง คืนคนดีสู่สังคม วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม 2561 ก.แรงงาน ผนึกกําลังประชารัฐ สร้างอาชีพผู้ต้องขัง คืนคนดีสู่สังคม รมว.แรงงาน ร่วมเป็นเกียรติในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการประสานความร่วมมือโครงการประชารัฐ ร่วมสร้างงาน สร้างอาชีพผู้ต้องขัง ระหว่างกรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมราชราชทัณฑ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย วันที่ 26 มีนาคม 2561 เวลา 11.00 น. พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยนายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน และคณะผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นเกียรติในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการประสานความร่วมมือโครงการประชารัฐ ร่วมสร้างงาน สร้างอาชีพผู้ต้องขัง ระหว่างกรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมราชราชทัณฑ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ณ ทัณฑสถานบําบัดพิเศษ จังหวัดปทุมธานี โดย พล.ต.อ. อดุลย์ฯ กล่าวว่า ภารกิจของกระทรวงแรงงานมีหน้าที่ในการบริหารกําลังแรงงานให้มีความพร้อมในการทํางาน เพื่อให้แรงงานมีทักษะฝีมือ มีศักยภาพ มีความรู้ความสามารถตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน และรองรับ Thailand 4.0 ซึ่งถือเป็นปัจจัยสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน การดําเนินงานในครั้งนี้ เป็นการทํางานในรูปแบบประชารัฐ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล จากความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และกรมราชทัณฑ์ ร่วมกับภาคเอกชน ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโอกาสและคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้ต้องขัง โดยผ่านกระบวนการฝึกอบรมวิชาชีพ จริยธรรม ให้โอกาสผู้กระทําผิดได้ปรับปรุงตนเอง สามารถประกอบอาชีพอิสระ เพื่อหารายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวภายหลังจากพ้นโทษ และแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในบางสาขาอาชีพ อันเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งส่งเสริมคนดีคืนสู่สังคม “โครงการนี้มีเป้าหมายการดําเนินงานกับผู้ต้องขัง จํานวน 37,000 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรก ซึ่งเป็นนักโทษชั้นดี จํานวน 27,000 คน จะเตรียมความพร้อมด้านอาชีพก่อนพ้นโทษตามความต้องการของผู้ต้องขัง เพื่อเพิ่มเติมความรู้ รวมทั้งทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ซึ่งกรมราชทัณฑ์จะจัดทําฐานข้อมูลผู้ต้องขัง อํานวยความสะดวกด้านสถานที่ฝึกอบรมและปฏิบัติงาน กําหนดขั้นตอนการดําเนินการรับชิ้นงานไปผลิตในเรือนจํา เพื่อจัดจําหน่ายและสร้างรายได้แก่ผู้ต้องขัง รวมถึงส่งผู้ต้องขังไปฝึกทักษะในสถานประกอบการ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จะทําหน้าที่ประสานงานกับสถานประกอบการ/นายจ้าง ให้มาเข้าร่วมโครงการฯ กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มผู้ใกล้พ้นโทษ จํานวน 10,000 คน โดยจะสํารวจความต้องการและคัดแยกผู้ที่ต้องการทํางานในสถานประกอบการและต้องการประกอบอาชีพอิสระ โดยกรมการจัดหางานจะบริการจัดหางานและส่งเสริมการประกอบชีพอิสระ จากนั้นจะมีการติดตามประเมินผลเป็นระยะ” พล.ต.อ. อดุลย์ฯ กล่าวในท้ายที่สุด ---------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11067
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมว.ทส. ลงพื้นที่ตรวจติดตามการปฏิบัติงานและมอบนโยบายในการปฏิบัติงานระดับพื้นที่​ จ.แพร่
วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2563 ​รมว.ทส. ลงพื้นที่ตรวจติดตามการปฏิบัติงานและมอบนโยบายในการปฏิบัติงานระดับพื้นที่​ จ.แพร่ ​รมว.ทส. ลงพื้นที่ตรวจติดตามการปฏิบัติงานและมอบนโยบายในการปฏิบัติงานระดับพื้นที่​ จ.แพร่ รมว.ทส. ลงพื้นที่ตรวจติดตามการปฏิบัติงานและมอบนโยบายในการปฏิบัติงานระดับพื้นที่​ จ.แพร่ วานนี้ ๒ สิงหาคม​ ๒๕๖๓ เวลา​ ๑๓.๓๐​ น.​ นาย​วราวุธ​ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ​และสิ่งแวดล้อม​ พร้อมด้วย​ นายจตุพร​ บุรุษพัฒน์​ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ​ และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง​ ลงพื้นตรวจเยี่ยมและตรวจติดตามการปฏิบัติงานระดับพื้นที่​ จังหวัดแพร่โดยได้สักการะหลวงพ่อวิชิตมาร และเยี่ยมชมบัานพักข้าราชการชั้นสูงสมัยโบราณ​ ซึ่งมีอายุกว่า ๑๐๐​ ปี​ และมีบริเวณแนวกําแพงโดยรอบอายุกว่า​ ๑,๐๐๐ ปี​ ต่อจากนั้น​ ได้เยี่ยมชมตรวจสอบอาคารพิพิธภัณฑ์ไม้สัก​ สถาบันประชารัฐพิทักษ์ป่า​ พร้อมรับฟังประวัติความเป็นมา​ และปลูกต้นรวงผึ้งบริเวณหน้าพิพิธภัณฑ์ฯ หลังจากนั้น​ เวลา​ประมาณ​ ๑๔.๐๐ น.​ รมว.ทส.​ และคณะ​ ได้เดินทางไปยังสํานักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่​ ๑๓​ (แพร่)​ เพื่อประชุมมอบนโยบาย​ ติดตามความก้าวหน้าและรับฟังบรรยายสรุปผลการดําเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ ในพื้นที่จังหวัดแพร่​ จากผู้อํานวยการสํานักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​จังหวัดแพร่​ และ​ผู้อํานวยการสํานักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่​ ๑๓​ (แพร่)​ โดยมี​ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่​ เข้าร่วมการประชุมฯ​ ในครั้งนี้ด้วย รมว.ทส.​ กล่าวว่า​ การทํางานทุกโครงการของกระทรวงฯ​ ขอให้​เน้นที่ความสําเร็จ​ ใช้งบประมาณให้เกิดความคุ้มค่า​ และเกิดประโยชน์สูงสุด​ต่อประชาชน​ ใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหา​ ปรับทัศนคติของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน​ในพื้นที่ให้พูดคุยทําความเข้าใจ​ รับฟังความคิดเห็นของประชาชน​เป็นสําคัญ รวมทั้ง​ให้บูรณาการความร่วมมือกับทุกหน่วยงานในกระทรวงฯ​ และจังหวัด​ โดย​การทํางานขอให้หารือและรายงานให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทราบด้วย​ ยึดหลักการทํางาน "ขยัน​ ซื่อสัตย์​ อดทน​ และมีวินัย" นอกจากนี้​ ให้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับรู้​ เข้าใจในสิ่งที่กระทรวงฯ​ ได้ดําเนินการ​ และสิ่งสําคัญ​ที่สุด​ให้น้อมนําแนวพระราชดําริมาเป็นแนวทางในการดําเนินงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์​ โดยห้ามไม่มีการนําสถาบันฯ​ มาแอบอ้างให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท​ และทํางานให้เต็มกําลังความสามารถเพื่อสนองคุณแผ่นดิน ปกท.ทส.​ กล่าวว่า​ การทํางานขอให้เทิดทูนสถาบันฯ​ และขอฝากผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่​ และทุกหน่วยงานให้สื่อสารอย่างชัดเจนให้เจ้าหน้าที่ทุกคน​ ทุกระดับในพื้นที่​ ได้รับทราบนโยบายและความห่วงใยของรัฐมนตรีฯ​ และในการปฏิบัติงานให้ทุกหน่วยงานจัดทําปฏิทินในแต่ละเดือน​ให้ชัดเจน​ว่ามีเหตุการณ์สําคัญอะไรบ้าง​ เพราะในทุกวันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา​ ซึ่งจะทําให้ทราบล่วงหน้าเพื่อวางแผนการทํางาน​แบบ​ New​ Normal​ อีกทั้ง​ ในการปฏิบัติงานในพื้นที่ให้เน้นเชิงสัญลักษณ์ให้ชัดเจน​ว่า​เป็นเจ้าหน้าที่จาก​กรมป่าไม้​ หรือกรมอุทยาน​ฯ หรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานสังกัดกระทรวงฯ​ เพื่อสื่อสารให้เห็นว่ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ ได้เร่งดําเนินการแก้ไขปัญหาต่างๆ​ ในพื้นที่ ให้ถือว่าความสุขของประชาชนคือหัวใจสําคัญ​ในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้​ ต้องให้ความสําคัญเรื่องการฝึกอบรม​โครงการที่ดําเนินการร่วมกับ​ ศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน (ศอญ.)​โดยการจัดอบรมต้องมีผลสัมฤทธิ์ในการทํางาน​ และรายงานผลการดําเนินงานทุก​ ๓​ เดือน​ด้วย ภายหลังจากการประชุมมอบนโยบาย​ฯ​ รมว.ทส.และคณะ​ ได้เดินทางไปสักการะ​และห่มผ้าองค์พระธาตุช่อแฮ โดยมี​ พระโกศัยเจติยารักษ์​ รองเจ้าคณะจังหวัดแพร่​ เจ้าอาวาส​ เป็นประธานนําประกอบพิธีห่มผ้าฯ​ ณ​ วัดพระธาตุช่อแฮ​ พระอารามหลวง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมว.ทส. ลงพื้นที่ตรวจติดตามการปฏิบัติงานและมอบนโยบายในการปฏิบัติงานระดับพื้นที่​ จ.แพร่ วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2563 ​รมว.ทส. ลงพื้นที่ตรวจติดตามการปฏิบัติงานและมอบนโยบายในการปฏิบัติงานระดับพื้นที่​ จ.แพร่ ​รมว.ทส. ลงพื้นที่ตรวจติดตามการปฏิบัติงานและมอบนโยบายในการปฏิบัติงานระดับพื้นที่​ จ.แพร่ รมว.ทส. ลงพื้นที่ตรวจติดตามการปฏิบัติงานและมอบนโยบายในการปฏิบัติงานระดับพื้นที่​ จ.แพร่ วานนี้ ๒ สิงหาคม​ ๒๕๖๓ เวลา​ ๑๓.๓๐​ น.​ นาย​วราวุธ​ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ​และสิ่งแวดล้อม​ พร้อมด้วย​ นายจตุพร​ บุรุษพัฒน์​ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ​ และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง​ ลงพื้นตรวจเยี่ยมและตรวจติดตามการปฏิบัติงานระดับพื้นที่​ จังหวัดแพร่โดยได้สักการะหลวงพ่อวิชิตมาร และเยี่ยมชมบัานพักข้าราชการชั้นสูงสมัยโบราณ​ ซึ่งมีอายุกว่า ๑๐๐​ ปี​ และมีบริเวณแนวกําแพงโดยรอบอายุกว่า​ ๑,๐๐๐ ปี​ ต่อจากนั้น​ ได้เยี่ยมชมตรวจสอบอาคารพิพิธภัณฑ์ไม้สัก​ สถาบันประชารัฐพิทักษ์ป่า​ พร้อมรับฟังประวัติความเป็นมา​ และปลูกต้นรวงผึ้งบริเวณหน้าพิพิธภัณฑ์ฯ หลังจากนั้น​ เวลา​ประมาณ​ ๑๔.๐๐ น.​ รมว.ทส.​ และคณะ​ ได้เดินทางไปยังสํานักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่​ ๑๓​ (แพร่)​ เพื่อประชุมมอบนโยบาย​ ติดตามความก้าวหน้าและรับฟังบรรยายสรุปผลการดําเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ ในพื้นที่จังหวัดแพร่​ จากผู้อํานวยการสํานักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​จังหวัดแพร่​ และ​ผู้อํานวยการสํานักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่​ ๑๓​ (แพร่)​ โดยมี​ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่​ เข้าร่วมการประชุมฯ​ ในครั้งนี้ด้วย รมว.ทส.​ กล่าวว่า​ การทํางานทุกโครงการของกระทรวงฯ​ ขอให้​เน้นที่ความสําเร็จ​ ใช้งบประมาณให้เกิดความคุ้มค่า​ และเกิดประโยชน์สูงสุด​ต่อประชาชน​ ใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหา​ ปรับทัศนคติของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน​ในพื้นที่ให้พูดคุยทําความเข้าใจ​ รับฟังความคิดเห็นของประชาชน​เป็นสําคัญ รวมทั้ง​ให้บูรณาการความร่วมมือกับทุกหน่วยงานในกระทรวงฯ​ และจังหวัด​ โดย​การทํางานขอให้หารือและรายงานให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทราบด้วย​ ยึดหลักการทํางาน "ขยัน​ ซื่อสัตย์​ อดทน​ และมีวินัย" นอกจากนี้​ ให้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับรู้​ เข้าใจในสิ่งที่กระทรวงฯ​ ได้ดําเนินการ​ และสิ่งสําคัญ​ที่สุด​ให้น้อมนําแนวพระราชดําริมาเป็นแนวทางในการดําเนินงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์​ โดยห้ามไม่มีการนําสถาบันฯ​ มาแอบอ้างให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท​ และทํางานให้เต็มกําลังความสามารถเพื่อสนองคุณแผ่นดิน ปกท.ทส.​ กล่าวว่า​ การทํางานขอให้เทิดทูนสถาบันฯ​ และขอฝากผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่​ และทุกหน่วยงานให้สื่อสารอย่างชัดเจนให้เจ้าหน้าที่ทุกคน​ ทุกระดับในพื้นที่​ ได้รับทราบนโยบายและความห่วงใยของรัฐมนตรีฯ​ และในการปฏิบัติงานให้ทุกหน่วยงานจัดทําปฏิทินในแต่ละเดือน​ให้ชัดเจน​ว่ามีเหตุการณ์สําคัญอะไรบ้าง​ เพราะในทุกวันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา​ ซึ่งจะทําให้ทราบล่วงหน้าเพื่อวางแผนการทํางาน​แบบ​ New​ Normal​ อีกทั้ง​ ในการปฏิบัติงานในพื้นที่ให้เน้นเชิงสัญลักษณ์ให้ชัดเจน​ว่า​เป็นเจ้าหน้าที่จาก​กรมป่าไม้​ หรือกรมอุทยาน​ฯ หรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานสังกัดกระทรวงฯ​ เพื่อสื่อสารให้เห็นว่ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ ได้เร่งดําเนินการแก้ไขปัญหาต่างๆ​ ในพื้นที่ ให้ถือว่าความสุขของประชาชนคือหัวใจสําคัญ​ในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้​ ต้องให้ความสําคัญเรื่องการฝึกอบรม​โครงการที่ดําเนินการร่วมกับ​ ศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน (ศอญ.)​โดยการจัดอบรมต้องมีผลสัมฤทธิ์ในการทํางาน​ และรายงานผลการดําเนินงานทุก​ ๓​ เดือน​ด้วย ภายหลังจากการประชุมมอบนโยบาย​ฯ​ รมว.ทส.และคณะ​ ได้เดินทางไปสักการะ​และห่มผ้าองค์พระธาตุช่อแฮ โดยมี​ พระโกศัยเจติยารักษ์​ รองเจ้าคณะจังหวัดแพร่​ เจ้าอาวาส​ เป็นประธานนําประกอบพิธีห่มผ้าฯ​ ณ​ วัดพระธาตุช่อแฮ​ พระอารามหลวง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33890
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. มอบรางวัลข้าราชการ พม. ผู้ซึ่งได้รับการคัดเลือกจาก ปปช. ให้เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ประจำปี 2560
วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤศจิกายน 2560 รมว.พม. มอบรางวัลข้าราชการ พม. ผู้ซึ่งได้รับการคัดเลือกจาก ปปช. ให้เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ประจําปี 2560 รมว.พม. มอบรางวัลข้าราชการ พม. ผู้ซึ่งได้รับการคัดเลือกจาก ปปช. ให้เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ประจําปี 2560 วันนี้ (16 พ.ย. 60) เวลา 09.00 น. ณ ห้องรับรองชั้น 9 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กรุงเทพฯ นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ได้มอบรางวัลบุคคลต้นแบบและแสดงความยินดีแก่ นางสาวรุ่งฤดี ต้นแก้ว เจ้าพนักงานพัฒนาสังคมชํานาญงาน บุคลากรในสังกัดศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา บรมราชินีนาถ จังหวัดลําพูน กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กระทรวง พม. ผู้ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากสํานักงาน ปปช. ยกย่องให้เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ประจําปี 2560 รับรางวัล NACC Award 2017 เนื่องในวันสถาปนาสํานักงาน ปปช. ครบรอบ 18 ปี ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2560 นี้ พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า บุคลากรขององค์กรถือว่ามีความสําคัญ และสามารถนําองค์กรไปสู่เป้าหมายได้อย่างมั่นใจ โดยเฉพาะบุคลากรที่มีคุณภาพ องค์กรยิ่งต้องให้ความสําคัญ และรักษาไว้ให้อยู่ในองค์กรตลอดไปดังเช่น นางสาวรุ่งฤดี ต้นแก้ว ผู้ได้รับคัดเลือกจากสํานักงาน ปปช. ยกย่องให้เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ประจําปี 2560 ซึ่งปฎิบัติงานด้วยการยึดมั่นถือมั่นในความซื่อสัตย์สุจริตอย่างมั่นคง ไม่อ่อนไหวต่อสิ่งยั่วยุหรือแรงกดดันใดๆ อันก่อให้เกิดการกระทําการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ และมีพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความซื่อสัตย์สุจริต ยึดถือกฎระเบียบแบบแผนอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด อีกทั้งยังเป็นผู้ที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สมถะ ไม่ฟุ่มเฟือย รู้จักพึ่งพาตนเอง รักษาความลับของทางราชการ ใฝ่เรียนรู้ ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับงานที่ได้รับผิดชอบ โดยคํานึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนผู้รับบริการและประเทศชาติเป็นหลัก พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่ออีกว่า กระทรวง พม. มีนโยบายบริหารการพัฒนา (Administration based) 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการพัฒนาบุคลากรสู่มืออาชีพ ด้านการพัฒนาองค์กรตามหลักธรรมาภิบาลสู่มาตรฐานสากลด้านการพัฒนาระบบและกระบวนการทํางานให้เกิดประสิทธิผล ด้านการพัฒนาและขับเคลื่อนกฎหมาย ด้านสังคม สู่การปฏิบัติ และด้านการจัดสวัสดิการสําหรับบุคลากร ซึ่งจะเห็นได้ว่าการพัฒนาบุคลากรถือเป็นลําดับแรกที่มีความสําคัญมากที่สุดที่จะสามารถขับเคลื่อนภารกิจขององค์กรไปสู่เป้าหมายของประเทศได้ และนางสาวรุ่งฤดี ถือเป็นบุคลากรคุณภาพที่สร้างความภาคภูมิใจให้ พม. และถือเป็นบุคคลต้นแบบที่ควรค่าแก่การยกย่องเป็นแบบอย่างขององค์กรเป็นอย่างยิ่ง "ทั้งนี้ ตนขอชื่นชมและขอบคุณที่มุ่งมั่น ยืนหยัดปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายด้วยความถูกต้อง ซื่อสัตย์ โปร่งใส สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ตนเอง ครอบครัว และองค์กร ซึ่งรางวัลนี้เป็นรางวัลที่ได้มายากมาก แต่ที่ยากกว่าคือการรักษาความดีเอาไว้ และตั้งใจปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ต่อไป”พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. มอบรางวัลข้าราชการ พม. ผู้ซึ่งได้รับการคัดเลือกจาก ปปช. ให้เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ประจำปี 2560 วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤศจิกายน 2560 รมว.พม. มอบรางวัลข้าราชการ พม. ผู้ซึ่งได้รับการคัดเลือกจาก ปปช. ให้เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ประจําปี 2560 รมว.พม. มอบรางวัลข้าราชการ พม. ผู้ซึ่งได้รับการคัดเลือกจาก ปปช. ให้เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ประจําปี 2560 วันนี้ (16 พ.ย. 60) เวลา 09.00 น. ณ ห้องรับรองชั้น 9 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กรุงเทพฯ นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ได้มอบรางวัลบุคคลต้นแบบและแสดงความยินดีแก่ นางสาวรุ่งฤดี ต้นแก้ว เจ้าพนักงานพัฒนาสังคมชํานาญงาน บุคลากรในสังกัดศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา บรมราชินีนาถ จังหวัดลําพูน กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กระทรวง พม. ผู้ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากสํานักงาน ปปช. ยกย่องให้เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ประจําปี 2560 รับรางวัล NACC Award 2017 เนื่องในวันสถาปนาสํานักงาน ปปช. ครบรอบ 18 ปี ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2560 นี้ พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า บุคลากรขององค์กรถือว่ามีความสําคัญ และสามารถนําองค์กรไปสู่เป้าหมายได้อย่างมั่นใจ โดยเฉพาะบุคลากรที่มีคุณภาพ องค์กรยิ่งต้องให้ความสําคัญ และรักษาไว้ให้อยู่ในองค์กรตลอดไปดังเช่น นางสาวรุ่งฤดี ต้นแก้ว ผู้ได้รับคัดเลือกจากสํานักงาน ปปช. ยกย่องให้เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ประจําปี 2560 ซึ่งปฎิบัติงานด้วยการยึดมั่นถือมั่นในความซื่อสัตย์สุจริตอย่างมั่นคง ไม่อ่อนไหวต่อสิ่งยั่วยุหรือแรงกดดันใดๆ อันก่อให้เกิดการกระทําการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ และมีพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความซื่อสัตย์สุจริต ยึดถือกฎระเบียบแบบแผนอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด อีกทั้งยังเป็นผู้ที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สมถะ ไม่ฟุ่มเฟือย รู้จักพึ่งพาตนเอง รักษาความลับของทางราชการ ใฝ่เรียนรู้ ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับงานที่ได้รับผิดชอบ โดยคํานึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนผู้รับบริการและประเทศชาติเป็นหลัก พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่ออีกว่า กระทรวง พม. มีนโยบายบริหารการพัฒนา (Administration based) 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการพัฒนาบุคลากรสู่มืออาชีพ ด้านการพัฒนาองค์กรตามหลักธรรมาภิบาลสู่มาตรฐานสากลด้านการพัฒนาระบบและกระบวนการทํางานให้เกิดประสิทธิผล ด้านการพัฒนาและขับเคลื่อนกฎหมาย ด้านสังคม สู่การปฏิบัติ และด้านการจัดสวัสดิการสําหรับบุคลากร ซึ่งจะเห็นได้ว่าการพัฒนาบุคลากรถือเป็นลําดับแรกที่มีความสําคัญมากที่สุดที่จะสามารถขับเคลื่อนภารกิจขององค์กรไปสู่เป้าหมายของประเทศได้ และนางสาวรุ่งฤดี ถือเป็นบุคลากรคุณภาพที่สร้างความภาคภูมิใจให้ พม. และถือเป็นบุคคลต้นแบบที่ควรค่าแก่การยกย่องเป็นแบบอย่างขององค์กรเป็นอย่างยิ่ง "ทั้งนี้ ตนขอชื่นชมและขอบคุณที่มุ่งมั่น ยืนหยัดปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายด้วยความถูกต้อง ซื่อสัตย์ โปร่งใส สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ตนเอง ครอบครัว และองค์กร ซึ่งรางวัลนี้เป็นรางวัลที่ได้มายากมาก แต่ที่ยากกว่าคือการรักษาความดีเอาไว้ และตั้งใจปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ต่อไป”พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8127
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการกำกับและบริหารโครงการผลิตหน้ากากผ้าเพื่อลดปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย และป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID19) [กระทรวงอุตสาหกรรม]
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563 การประชุมคณะกรรมการกํากับและบริหารโครงการผลิตหน้ากากผ้าเพื่อลดปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย และป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID19) [กระทรวงอุตสาหกรรม] นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการกํากับและบริหารโครงการผลิตหน้ากากผ้าเพื่อลดปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย และป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID19) แก่ประชาชน วันนี้ (27 มีนาคม 2563) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการกํากับและบริหารโครงการผลิตหน้ากากผ้าเพื่อลดปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย และป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID19) แก่ประชาชน โดยมีนายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ ได้หารือเกี่ยวกับแนวทางการจัดทําหน้ากากผ้าเพื่อแจกจ่ายให้แก่ประชาชน โดยมีหน่วยงานร่วมดําเนินการ อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสิ่งทอ ธนาคารกรุงไทย บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการกำกับและบริหารโครงการผลิตหน้ากากผ้าเพื่อลดปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย และป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID19) [กระทรวงอุตสาหกรรม] วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563 การประชุมคณะกรรมการกํากับและบริหารโครงการผลิตหน้ากากผ้าเพื่อลดปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย และป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID19) [กระทรวงอุตสาหกรรม] นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการกํากับและบริหารโครงการผลิตหน้ากากผ้าเพื่อลดปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย และป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID19) แก่ประชาชน วันนี้ (27 มีนาคม 2563) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการกํากับและบริหารโครงการผลิตหน้ากากผ้าเพื่อลดปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย และป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID19) แก่ประชาชน โดยมีนายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ ได้หารือเกี่ยวกับแนวทางการจัดทําหน้ากากผ้าเพื่อแจกจ่ายให้แก่ประชาชน โดยมีหน่วยงานร่วมดําเนินการ อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสิ่งทอ ธนาคารกรุงไทย บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27979
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลังมอบโล่และประกาศเกียรติคุณ “ผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต” ให้กำลังใจบุคลากรในสังกัด
วันพุธที่ 20 กันยายน 2560 คลังมอบโล่และประกาศเกียรติคุณ “ผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต” ให้กําลังใจบุคลากรในสังกัด ก.คลังเล็งเห็นความสําคัญของการให้กําลังใจบุคลากรที่ประพฤติปฏิบัติตนด้วยความดีและส่งเสริมให้บุคลากรในสังกัดที่มีความซื่อสัตย์สุจริตได้รับการยกย่อง จึงได้จัดโครงการพิธีมอบโล่และประกาศเกียรติคุณ “ผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต” นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล รองปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเล็งเห็นความสําคัญของการให้กําลังใจบุคลากรที่ประพฤติปฏิบัติตนด้วยความดีและส่งเสริมให้บุคลากรในสังกัดที่มีความซื่อสัตย์สุจริตได้รับการยกย่อง จึงได้จัดโครงการพิธีมอบโล่และประกาศเกียรติคุณ “ผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต” ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2560 ขึ้น “เป้าหมายของกระทรวงการคลัง คือ การส่งเสริมให้บุคลากรในสังกัดยึดถือเอาความซื่อสัตย์สุจริตเป็นแนวทางสําคัญในการปฏิบัติราชการ เนื่องจากงานของภาครัฐเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับประชาชนจํานวนมาก บุคลากรของทางราชการเสมือนมีอํานาจอยู่ในมือ ได้รับมอบหมายจากสาธารณชนให้ทําการแทนในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ดังนั้น จึงจําเป็นต้องยึดถือความเที่ยงตรงและความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้ง ประการต่อมาเพื่อสนับสนุนให้บุคลากรมีความกล้าในการยืนหยัดต่อสู้เพื่อปกป้องความซื่อสัตย์สุจริต และประการสุดท้าย คือ เรามุ่งหวังให้โครงการดังกล่าวมีส่วนกระตุ้นให้บุคลากรในสังกัดเกิดความเพียรโดยเพียรที่จะทําความดี ภายใต้หัวใจสําคัญของการปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต” สําหรับในปี งบประมาณ พ.ศ.2560 นั้น มีบุคลากรของกระทรวงการคลังที่ได้รับรางวัลโล่และประกาศเกียรติคุณ “ผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต” จํานวน 9 ราย โดยมอบโล่และประกาศเกียรติคุณแก่ผู้ที่ได้รับคัดเลือกจาก สํานักงาน ป.ป.ช. จํานวน 2 ราย คือ 1. นางอาภรณ์ เมฆโสภณ นักวิชาการสรรพากรชํานาญการพิเศษ กรมสรรพากร 2. นายวนา พรนราดล ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง และมอบเกียรติบัตรแก่บุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จํานวน 7 ราย ดังนี้ 1. นางสาวกชพร รักอยู่ นักบัญชีชํานาญการพิเศษ กรมบัญชีกลาง 2. นางสาวประภัสสร รัตนวิเชียร นักวิชาการศุลกากรปฏิบัติการ กรมศุลกากร 3. นางสาวกัญระพีร์ ศรีติพันธ์ นักตรวจสอบภาษีชํานาญการพิเศษ กรมสรรพสามิต 4. ว่าที่ร้อยโทยรรยง อรัญญาเกษมสุข นักประเมินราคาทรัพย์สินชํานาญการ กรมธนารักษ์ 5. นางสาวกรรวีร์ จารุรังสรรค์ นักวิเคราะห์รัฐวิสาหกิจชํานาญการพิเศษ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ 6. นางอรพร ถมยา เศรษฐกรชํานาญการพิเศษ สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ 7. นายทศพร เตชะธนะวัฒน์ นักวิชาการพัสดุชํานาญการ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง “เหนือสิ่งอื่นใด เราต้องการให้ผู้ได้รับคัดเลือกเป็นบุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เกิดความภาคภูมิใจในการปฏิบัติตนเป็นผู้ซื่อสัตย์สุจริต และเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่บุคลกรกระทรวงการคลังรายอื่นๆ เกิดจิตสํานึกที่ดีต่อการประพฤติปฏิบัติตนอย่างซื่อสัตย์ จนก่อให้เกิดเป็นค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตและการป้องกันการทุจริต ตลอดจนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ และประชาชน” รองปลัดกระทรวงการคลังกล่าวในตอนท้าย ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง โทร 02 126 5800 ต่อ2627
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลังมอบโล่และประกาศเกียรติคุณ “ผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต” ให้กำลังใจบุคลากรในสังกัด วันพุธที่ 20 กันยายน 2560 คลังมอบโล่และประกาศเกียรติคุณ “ผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต” ให้กําลังใจบุคลากรในสังกัด ก.คลังเล็งเห็นความสําคัญของการให้กําลังใจบุคลากรที่ประพฤติปฏิบัติตนด้วยความดีและส่งเสริมให้บุคลากรในสังกัดที่มีความซื่อสัตย์สุจริตได้รับการยกย่อง จึงได้จัดโครงการพิธีมอบโล่และประกาศเกียรติคุณ “ผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต” นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล รองปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเล็งเห็นความสําคัญของการให้กําลังใจบุคลากรที่ประพฤติปฏิบัติตนด้วยความดีและส่งเสริมให้บุคลากรในสังกัดที่มีความซื่อสัตย์สุจริตได้รับการยกย่อง จึงได้จัดโครงการพิธีมอบโล่และประกาศเกียรติคุณ “ผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต” ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2560 ขึ้น “เป้าหมายของกระทรวงการคลัง คือ การส่งเสริมให้บุคลากรในสังกัดยึดถือเอาความซื่อสัตย์สุจริตเป็นแนวทางสําคัญในการปฏิบัติราชการ เนื่องจากงานของภาครัฐเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับประชาชนจํานวนมาก บุคลากรของทางราชการเสมือนมีอํานาจอยู่ในมือ ได้รับมอบหมายจากสาธารณชนให้ทําการแทนในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ดังนั้น จึงจําเป็นต้องยึดถือความเที่ยงตรงและความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้ง ประการต่อมาเพื่อสนับสนุนให้บุคลากรมีความกล้าในการยืนหยัดต่อสู้เพื่อปกป้องความซื่อสัตย์สุจริต และประการสุดท้าย คือ เรามุ่งหวังให้โครงการดังกล่าวมีส่วนกระตุ้นให้บุคลากรในสังกัดเกิดความเพียรโดยเพียรที่จะทําความดี ภายใต้หัวใจสําคัญของการปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต” สําหรับในปี งบประมาณ พ.ศ.2560 นั้น มีบุคลากรของกระทรวงการคลังที่ได้รับรางวัลโล่และประกาศเกียรติคุณ “ผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต” จํานวน 9 ราย โดยมอบโล่และประกาศเกียรติคุณแก่ผู้ที่ได้รับคัดเลือกจาก สํานักงาน ป.ป.ช. จํานวน 2 ราย คือ 1. นางอาภรณ์ เมฆโสภณ นักวิชาการสรรพากรชํานาญการพิเศษ กรมสรรพากร 2. นายวนา พรนราดล ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง และมอบเกียรติบัตรแก่บุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จํานวน 7 ราย ดังนี้ 1. นางสาวกชพร รักอยู่ นักบัญชีชํานาญการพิเศษ กรมบัญชีกลาง 2. นางสาวประภัสสร รัตนวิเชียร นักวิชาการศุลกากรปฏิบัติการ กรมศุลกากร 3. นางสาวกัญระพีร์ ศรีติพันธ์ นักตรวจสอบภาษีชํานาญการพิเศษ กรมสรรพสามิต 4. ว่าที่ร้อยโทยรรยง อรัญญาเกษมสุข นักประเมินราคาทรัพย์สินชํานาญการ กรมธนารักษ์ 5. นางสาวกรรวีร์ จารุรังสรรค์ นักวิเคราะห์รัฐวิสาหกิจชํานาญการพิเศษ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ 6. นางอรพร ถมยา เศรษฐกรชํานาญการพิเศษ สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ 7. นายทศพร เตชะธนะวัฒน์ นักวิชาการพัสดุชํานาญการ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง “เหนือสิ่งอื่นใด เราต้องการให้ผู้ได้รับคัดเลือกเป็นบุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เกิดความภาคภูมิใจในการปฏิบัติตนเป็นผู้ซื่อสัตย์สุจริต และเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่บุคลกรกระทรวงการคลังรายอื่นๆ เกิดจิตสํานึกที่ดีต่อการประพฤติปฏิบัติตนอย่างซื่อสัตย์ จนก่อให้เกิดเป็นค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตและการป้องกันการทุจริต ตลอดจนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ และประชาชน” รองปลัดกระทรวงการคลังกล่าวในตอนท้าย ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง โทร 02 126 5800 ต่อ2627
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6821
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากแถลง “ข้อสรุปในการแก้ปัญหาสลากเกินราคา ตามโร้ดแมประยะที่ 3”
วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม 2562 สํานักงานสลากแถลง “ข้อสรุปในการแก้ปัญหาสลากเกินราคา ตามโร้ดแมประยะที่ 3” กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล พร้อมด้วยผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล แถลง “ข้อสรุปในการแก้ปัญหาสลากเกินราคา ตามโร้ดแมประยะที่ 3” วันนี้ (24 มกราคม 2562) เวลา 14.00 น. ที่สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล นายธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล พร้อมด้วย พ.ต.อ.บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล แถลงต่อผู้สื่อข่าวว่า ตามที่คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้วางแนวทางในการแก้ไขปัญหาการจําหน่ายสลากเกินราคาไว้ 3 ระยะ คือ ระยะแรกคือการจัดระเบียบและบังคับใช้กฎหมาย ระยะที่ 2 คือ การปรับแผนและกําหนดทิศทางการจําหน่าย ด้วยการจัดระบบการจําหน่ายสลากผ่านโครงการซื้อ-จองล่วงหน้า เป็นการปรับสมดุลปริมาณสลากระหว่างระบบตัวแทนจําหน่ายและระบบการซื้อ-จองล่วงหน้า ทําให้สลากกระจายไปยังผู้จําหน่ายทั่วประเทศ และระยะที่ 3 คือการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม ซึ่งในห้วงระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้ลงพื้นที่รับฟังเสียงของประชาชน ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายสลาก เกี่ยวกับความต้องการในการซื้อขายสลาก เพื่อรวบรวมไปสู่วิธีการแก้ไขปัญหา จากผลการรับฟังเสียงซึ่งมีความหลากหลายนั้น ส่วนใหญ่ผู้ซื้อต้องการซื้อสลากแบบรวมชุด ผู้ขายจึงต้องไปหาซื้อสลากมารวมชุดเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อ ทําให้ต้นทุนการจําหน่ายเพิ่มสูงขึ้น และยังทําให้สลากแบบใบเดี่ยวหายไปจากตลาดด้วย นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของปริมาณสลากรวมชุดที่มีความแตกต่างกัน ทีทั้งแบบ 5 ใบ 3 ใบและ 2 ใบ เป็นต้น จากข้อมูลของการลงพื้นที่รับฟังเสียงของผู้ซื้อและผู้ขาย ประกอบกับในปัจจุบัน สถานการณ์การจําหน่ายสลากแบบรวมชุดทวีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งในเรื่องของปริมาณการรวมชุดและเรื่องของราคา จนทําให้การหาซื้อสลากแบบใบเดี่ยวทําได้ยาก เนื่องจากถูกดึงไปรวมชุดเป็นส่วนใหญ่ คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล จึงได้ร่วมกันพิจารณาด้วยความรอบคอบ และคํานึงถึงประโยชน์ต่อผู้ซื้อเป็นสําคัญและในขณะเดียวกันก็ไม่ให้กระทบต่อผู้ขาย จึงมีมติให้ดําเนินการจัดทําสลากแบบรวมชุดขึ้น โดยเป็นการรวมชุดแบบ 2-2-1 คือ การจัดชุด 2 ใบ เป็นจํานวน 2 เล่ม และจัดชุด 2 ใบ อีก 2 เล่ม และมี 1 เล่ม ที่เป็นใบเดี่ยว สําหรับชุด 2 ใบแรก มีเลข 6 หลักเหมือนกัน จํานวน 100 ชุด ชุดละ 2 ใบ และจะมีเลขหมายเลข 6 หลักเหมือนกัน ซึ่งไม่ซ้ํากับชุดแรก อีกจํานวน 100 ชุด ชุดละ 2 ใบ และอีก 1 เล่ม จํานวน 100 ใบ ทําให้รายย่อยแต่ละรายได้รับสลากจํานวน 5 เล่มเช่นเดิม แต่สามารถจําหน่ายสลากชุดได้ 200 ชุด ชุดละ 2 ใบ ซึ่งสามารถแยกขายเป็นใบเดี่ยวได้ นอกจากนี้ จะมีการคละตัวเลขภายในเล่มเดียวกัน และการจัดจําหน่ายเป็นการกระจายไปทั่วประเทศ ทําให้ไม่สามารถนําไปจับชุดเพื่อรวมเป็นชุดจําหน่ายในปริมาณมาก ๆ ได้อีกต่อไป และจะพิมพ์สีที่แตกต่างกันเพื่อเป็นจุดสังเกต เพื่อให้ผู้ขายและผู้ซื้อเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นสลากที่พิมพ์ออกมาเป็นแบบรวมชุด สลากแบบรวมชุดนี้ จะจําหน่ายในระบบซื้อ-จองล่วงหน้าฯ โดยเริ่มดําเนินการในการทํารายการซื้อ-จองล่วงหน้าฯ ครั้งที่ 81 ซึ่งเปิดให้จองสลากงวดวันที่ 1 มีนาคม 2562 (ทํารายการจองวันที่ 5-6 กุมภาพันธ์ และทํารายการซื้อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2562) และจะใช้เวลา 3 เดือนในการประเมินผลการทดลองตลาด สําหรับการการจัดพิมพ์สลากแบบรวมชุดในลักษณะดังกล่าวนี้ เป็นไปเพื่อเป็นการตอบสนองทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ที่มีความต้องการซื้อขายสลากแบบรวมชุด แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องจํากัดปริมาณในการการรวมชุดไม่ให้มีมากจนเกินไปด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากแถลง “ข้อสรุปในการแก้ปัญหาสลากเกินราคา ตามโร้ดแมประยะที่ 3” วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม 2562 สํานักงานสลากแถลง “ข้อสรุปในการแก้ปัญหาสลากเกินราคา ตามโร้ดแมประยะที่ 3” กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล พร้อมด้วยผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล แถลง “ข้อสรุปในการแก้ปัญหาสลากเกินราคา ตามโร้ดแมประยะที่ 3” วันนี้ (24 มกราคม 2562) เวลา 14.00 น. ที่สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล นายธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล พร้อมด้วย พ.ต.อ.บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล แถลงต่อผู้สื่อข่าวว่า ตามที่คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้วางแนวทางในการแก้ไขปัญหาการจําหน่ายสลากเกินราคาไว้ 3 ระยะ คือ ระยะแรกคือการจัดระเบียบและบังคับใช้กฎหมาย ระยะที่ 2 คือ การปรับแผนและกําหนดทิศทางการจําหน่าย ด้วยการจัดระบบการจําหน่ายสลากผ่านโครงการซื้อ-จองล่วงหน้า เป็นการปรับสมดุลปริมาณสลากระหว่างระบบตัวแทนจําหน่ายและระบบการซื้อ-จองล่วงหน้า ทําให้สลากกระจายไปยังผู้จําหน่ายทั่วประเทศ และระยะที่ 3 คือการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม ซึ่งในห้วงระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้ลงพื้นที่รับฟังเสียงของประชาชน ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายสลาก เกี่ยวกับความต้องการในการซื้อขายสลาก เพื่อรวบรวมไปสู่วิธีการแก้ไขปัญหา จากผลการรับฟังเสียงซึ่งมีความหลากหลายนั้น ส่วนใหญ่ผู้ซื้อต้องการซื้อสลากแบบรวมชุด ผู้ขายจึงต้องไปหาซื้อสลากมารวมชุดเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อ ทําให้ต้นทุนการจําหน่ายเพิ่มสูงขึ้น และยังทําให้สลากแบบใบเดี่ยวหายไปจากตลาดด้วย นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของปริมาณสลากรวมชุดที่มีความแตกต่างกัน ทีทั้งแบบ 5 ใบ 3 ใบและ 2 ใบ เป็นต้น จากข้อมูลของการลงพื้นที่รับฟังเสียงของผู้ซื้อและผู้ขาย ประกอบกับในปัจจุบัน สถานการณ์การจําหน่ายสลากแบบรวมชุดทวีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งในเรื่องของปริมาณการรวมชุดและเรื่องของราคา จนทําให้การหาซื้อสลากแบบใบเดี่ยวทําได้ยาก เนื่องจากถูกดึงไปรวมชุดเป็นส่วนใหญ่ คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล จึงได้ร่วมกันพิจารณาด้วยความรอบคอบ และคํานึงถึงประโยชน์ต่อผู้ซื้อเป็นสําคัญและในขณะเดียวกันก็ไม่ให้กระทบต่อผู้ขาย จึงมีมติให้ดําเนินการจัดทําสลากแบบรวมชุดขึ้น โดยเป็นการรวมชุดแบบ 2-2-1 คือ การจัดชุด 2 ใบ เป็นจํานวน 2 เล่ม และจัดชุด 2 ใบ อีก 2 เล่ม และมี 1 เล่ม ที่เป็นใบเดี่ยว สําหรับชุด 2 ใบแรก มีเลข 6 หลักเหมือนกัน จํานวน 100 ชุด ชุดละ 2 ใบ และจะมีเลขหมายเลข 6 หลักเหมือนกัน ซึ่งไม่ซ้ํากับชุดแรก อีกจํานวน 100 ชุด ชุดละ 2 ใบ และอีก 1 เล่ม จํานวน 100 ใบ ทําให้รายย่อยแต่ละรายได้รับสลากจํานวน 5 เล่มเช่นเดิม แต่สามารถจําหน่ายสลากชุดได้ 200 ชุด ชุดละ 2 ใบ ซึ่งสามารถแยกขายเป็นใบเดี่ยวได้ นอกจากนี้ จะมีการคละตัวเลขภายในเล่มเดียวกัน และการจัดจําหน่ายเป็นการกระจายไปทั่วประเทศ ทําให้ไม่สามารถนําไปจับชุดเพื่อรวมเป็นชุดจําหน่ายในปริมาณมาก ๆ ได้อีกต่อไป และจะพิมพ์สีที่แตกต่างกันเพื่อเป็นจุดสังเกต เพื่อให้ผู้ขายและผู้ซื้อเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นสลากที่พิมพ์ออกมาเป็นแบบรวมชุด สลากแบบรวมชุดนี้ จะจําหน่ายในระบบซื้อ-จองล่วงหน้าฯ โดยเริ่มดําเนินการในการทํารายการซื้อ-จองล่วงหน้าฯ ครั้งที่ 81 ซึ่งเปิดให้จองสลากงวดวันที่ 1 มีนาคม 2562 (ทํารายการจองวันที่ 5-6 กุมภาพันธ์ และทํารายการซื้อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2562) และจะใช้เวลา 3 เดือนในการประเมินผลการทดลองตลาด สําหรับการการจัดพิมพ์สลากแบบรวมชุดในลักษณะดังกล่าวนี้ เป็นไปเพื่อเป็นการตอบสนองทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ที่มีความต้องการซื้อขายสลากแบบรวมชุด แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องจํากัดปริมาณในการการรวมชุดไม่ให้มีมากจนเกินไปด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18337
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายอาชีวศึกษาเพื่อรองรับ EEC
วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2560 นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายอาชีวศึกษาเพื่อรองรับ EEC นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายอาชีวศึกษาเพื่อรองรับ EEC วันนี้ (20 พ.ย.60) เวลา 13.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการศึกษา ตรวจเยี่ยมและรับฟังการบรรยายสรุปการจัดการศึกษาของวิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ และการจัดการศึกษาในพื้นที่โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ณ วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ดร.สุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ชี้แจงถึงการดําเนินงานจัดการเรียนการสอนเพื่อผลิตกําลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) โดยมีสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เป็นหน่วยงานหลักในการผลิตและพัฒนากําลังคนด้านวิชาชีพ ทั้งในระดับฝีมือ ระดับเทคนิค และระดับเทคโนโลยี ซึ่งได้จัดทําแผนแม่บท ได้แก่ แผนพัฒนาการอาชีวศึกษา พ.ศ. 2560-2579 เพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการศึกษาอาชีวศึกษาของประเทศที่จะสอดคล้องกับเป้าหมายและทิศทางของการพัฒนากําลังคนตามยุทธศาสตร์ชาติ โดยเฉพาะการสร้างความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนา และการเสริมสร้างศักยภาพคนอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ สอศ. จึงได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา ในจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา จํานวนทั้งหมด 13 ศูนย์ ภายใต้การดําเนินงานตาม 5 ภารกิจ ได้แก่ (1) การเป็นฐานข้อมูลกลาง (2) การส่งเสริมสมรรถนะผู้เรียนเข้าสู่มาตรฐานอาชีพ (3) การส่งเสริมการระดมทรัพยากรและความร่วมมือ (4) การจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับการมีงานทํา (5) การวิจัยและพัฒนา เพื่อขับเคลื่อนแผนงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีลักษณะการทํางานแบบประชารัฐ ซึ่งมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเด็กอาชีวะให้มีศักยภาพตามความต้องการของ EEC โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายให้ข้าราชการและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องเล็งเห็นถึงความสําคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเน้นย้ําการขับเคลื่อนการบริหารทางการศึกษาที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในสังคมโลกที่มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมากยิ่งขึ้น และสําหรับประเทศไทยในปัจจุบันที่เน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 4.0 จึงจําเป็นอย่างยิ่งที่นักเรียนนักศึกษาภายในประเทศจะต้องมีความรู้ความสามารถที่ตอบสนองกับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้ง First S-Curve และ New S-Curveว เพื่อจะเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจึงเน้นย้ําให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และนักวิชาการในพื้นที่สานต่อความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างแข็งขันและมีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน ___________________________________________ วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ ใช้การจัดการศึกษาที่เรียกว่า “สัตหีบโมเดล” ซึ่งเน้นเรียนจริง รู้จริง และทําจริง โดยความร่วมมือ 3 ฝ่าย คือ สถานศึกษา สถานประกอบการ และสมาคมหรือองค์กรวิชาชีพ โดยมีรูปแบบ S-M-L ซึ่งเป็นการจัดการศึกษาโดยใช้ระยะเวลาการเรียนเป็นตัวกําหนดโครงการสร้างหลักสูตร และใช้ค่าตอบแทนเพื่อเป็นแรงจูงใจให้แก่นักเรียนนักศึกษาที่เข้ามาเรียนและได้ทํางานระหว่างเรียน ทั้งนี้วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เป็นหนึ่งใน 6 วิทยาลัยเทคนิคนําร่องของสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) โดยเฉพาะหลักสูตรอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งมีอัตราเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทําให้มีความต้องการบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการบิน ที่มีความรู้ความสามารถ รวมทั้งช่างอากาศยาน หรือ Aircraft Mechanic เพื่อรองรับแผนการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบินไทย ซึ่งในปัจจุบันยังขาดแคลนวิศวกรอากาศยานและช่างอากาศยานเป็นจํานวนมาก ที่จะสามารถช่วยในการซ่อมบํารุง ดูแลรักษาเครื่องบินที่มีจํานวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในอุตสาหกรรมการบินของไทย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายอาชีวศึกษาเพื่อรองรับ EEC วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2560 นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายอาชีวศึกษาเพื่อรองรับ EEC นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายอาชีวศึกษาเพื่อรองรับ EEC วันนี้ (20 พ.ย.60) เวลา 13.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการศึกษา ตรวจเยี่ยมและรับฟังการบรรยายสรุปการจัดการศึกษาของวิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ และการจัดการศึกษาในพื้นที่โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ณ วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ดร.สุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ชี้แจงถึงการดําเนินงานจัดการเรียนการสอนเพื่อผลิตกําลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) โดยมีสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เป็นหน่วยงานหลักในการผลิตและพัฒนากําลังคนด้านวิชาชีพ ทั้งในระดับฝีมือ ระดับเทคนิค และระดับเทคโนโลยี ซึ่งได้จัดทําแผนแม่บท ได้แก่ แผนพัฒนาการอาชีวศึกษา พ.ศ. 2560-2579 เพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการศึกษาอาชีวศึกษาของประเทศที่จะสอดคล้องกับเป้าหมายและทิศทางของการพัฒนากําลังคนตามยุทธศาสตร์ชาติ โดยเฉพาะการสร้างความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนา และการเสริมสร้างศักยภาพคนอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ สอศ. จึงได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา ในจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา จํานวนทั้งหมด 13 ศูนย์ ภายใต้การดําเนินงานตาม 5 ภารกิจ ได้แก่ (1) การเป็นฐานข้อมูลกลาง (2) การส่งเสริมสมรรถนะผู้เรียนเข้าสู่มาตรฐานอาชีพ (3) การส่งเสริมการระดมทรัพยากรและความร่วมมือ (4) การจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับการมีงานทํา (5) การวิจัยและพัฒนา เพื่อขับเคลื่อนแผนงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีลักษณะการทํางานแบบประชารัฐ ซึ่งมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเด็กอาชีวะให้มีศักยภาพตามความต้องการของ EEC โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายให้ข้าราชการและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องเล็งเห็นถึงความสําคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเน้นย้ําการขับเคลื่อนการบริหารทางการศึกษาที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในสังคมโลกที่มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมากยิ่งขึ้น และสําหรับประเทศไทยในปัจจุบันที่เน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 4.0 จึงจําเป็นอย่างยิ่งที่นักเรียนนักศึกษาภายในประเทศจะต้องมีความรู้ความสามารถที่ตอบสนองกับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้ง First S-Curve และ New S-Curveว เพื่อจะเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจึงเน้นย้ําให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และนักวิชาการในพื้นที่สานต่อความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างแข็งขันและมีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน ___________________________________________ วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ ใช้การจัดการศึกษาที่เรียกว่า “สัตหีบโมเดล” ซึ่งเน้นเรียนจริง รู้จริง และทําจริง โดยความร่วมมือ 3 ฝ่าย คือ สถานศึกษา สถานประกอบการ และสมาคมหรือองค์กรวิชาชีพ โดยมีรูปแบบ S-M-L ซึ่งเป็นการจัดการศึกษาโดยใช้ระยะเวลาการเรียนเป็นตัวกําหนดโครงการสร้างหลักสูตร และใช้ค่าตอบแทนเพื่อเป็นแรงจูงใจให้แก่นักเรียนนักศึกษาที่เข้ามาเรียนและได้ทํางานระหว่างเรียน ทั้งนี้วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เป็นหนึ่งใน 6 วิทยาลัยเทคนิคนําร่องของสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) โดยเฉพาะหลักสูตรอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งมีอัตราเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทําให้มีความต้องการบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการบิน ที่มีความรู้ความสามารถ รวมทั้งช่างอากาศยาน หรือ Aircraft Mechanic เพื่อรองรับแผนการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบินไทย ซึ่งในปัจจุบันยังขาดแคลนวิศวกรอากาศยานและช่างอากาศยานเป็นจํานวนมาก ที่จะสามารถช่วยในการซ่อมบํารุง ดูแลรักษาเครื่องบินที่มีจํานวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในอุตสาหกรรมการบินของไทย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8220
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี นำเจ้าหน้าที่ทำเนียบรัฐบาลตีปิงปอง พร้อมย้ำให้ความสำคัญและสนับสนุนกีฬาทุกประเภท
วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2559 นายกรัฐมนตรี นําเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาลตีปิงปอง พร้อมย้ําให้ความสําคัญและสนับสนุนกีฬาทุกประเภท นายกรัฐมนตรี นําเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาลตีปิงปอง พร้อมย้ําให้ความสําคัญและสนับสนุนกีฬาทุกประเภท วันนี้ (21 ธันวาคม 2559) เวลา 15:10 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นําข้าราชการ พนักงานราชการ และเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาล เล่นกีฬาประจําทุกในทุกสัปดาห์เพื่อเสริมสร้างสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง อีกทั้งเป็นการสนับสนุนให้คนไทยหันมาออกกําลังกายกันมากขึ้น เพื่อให้มีสุขภาพที่ดีและเป็นกําลังสําคัญเพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้ามั่นคง และยั่งยืน โดยมี พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมออกกําลังกายในครั้งนี้ด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้นําเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาลเต้นแอโรบิกเพื่ออบอุ่นร่างกาย ในสัปดาห์นี้นายกรัฐมนตรีได้เลือกออกกําลังกายด้วยกีฬาเทเบิลเทนนิสหรือปิงปอง โดยเลือกเล่นในแบบประเภทเดียว 1 : 1 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาลพร้อมสื่อมวลชน ซึ่งในระหว่างการแข่งขันฯ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับ นายลักยิ้ม งามพจนวงศ์ ผู้แทนสมาคมเทเบิลเทนนิสแห่งประเทศไทยว่า รัฐบาลให้กําลังใจนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ของสมาคมฯ ทุกคน พร้อมให้การสนับสนุนกีฬาเทเบิลเทนนิสและกีฬาประเภทอื่น ๆ อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ หลังจบจากการเล่นกีฬาดังกล่าว ผลการแข่งขันคือ เจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาลเป็นฝ่ายชนะ 11-2 , 9-2 และสื่อมวลชน เป็นฝ่ายชนะ 10-7 หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ขอเปลี่ยนตัวเพื่อไปปฏิบัติราชการต่อไป ************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี นำเจ้าหน้าที่ทำเนียบรัฐบาลตีปิงปอง พร้อมย้ำให้ความสำคัญและสนับสนุนกีฬาทุกประเภท วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2559 นายกรัฐมนตรี นําเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาลตีปิงปอง พร้อมย้ําให้ความสําคัญและสนับสนุนกีฬาทุกประเภท นายกรัฐมนตรี นําเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาลตีปิงปอง พร้อมย้ําให้ความสําคัญและสนับสนุนกีฬาทุกประเภท วันนี้ (21 ธันวาคม 2559) เวลา 15:10 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นําข้าราชการ พนักงานราชการ และเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาล เล่นกีฬาประจําทุกในทุกสัปดาห์เพื่อเสริมสร้างสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง อีกทั้งเป็นการสนับสนุนให้คนไทยหันมาออกกําลังกายกันมากขึ้น เพื่อให้มีสุขภาพที่ดีและเป็นกําลังสําคัญเพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้ามั่นคง และยั่งยืน โดยมี พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมออกกําลังกายในครั้งนี้ด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้นําเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาลเต้นแอโรบิกเพื่ออบอุ่นร่างกาย ในสัปดาห์นี้นายกรัฐมนตรีได้เลือกออกกําลังกายด้วยกีฬาเทเบิลเทนนิสหรือปิงปอง โดยเลือกเล่นในแบบประเภทเดียว 1 : 1 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาลพร้อมสื่อมวลชน ซึ่งในระหว่างการแข่งขันฯ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับ นายลักยิ้ม งามพจนวงศ์ ผู้แทนสมาคมเทเบิลเทนนิสแห่งประเทศไทยว่า รัฐบาลให้กําลังใจนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ของสมาคมฯ ทุกคน พร้อมให้การสนับสนุนกีฬาเทเบิลเทนนิสและกีฬาประเภทอื่น ๆ อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ หลังจบจากการเล่นกีฬาดังกล่าว ผลการแข่งขันคือ เจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาลเป็นฝ่ายชนะ 11-2 , 9-2 และสื่อมวลชน เป็นฝ่ายชนะ 10-7 หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ขอเปลี่ยนตัวเพื่อไปปฏิบัติราชการต่อไป ************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1083
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตือนตีกันในโรงพยาบาล ติดคุก 100% ไม่รอลงอาญา
วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม 2563 สธ. เตือนตีกันในโรงพยาบาล ติดคุก 100% ไม่รอลงอาญา กระทรวงสาธารณสุข เตือนการทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาล ห้องฉุกเฉิน ศาลพิพากษาจําคุก ไม่รอลงอาญา เผยกรณีห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลอ่างทอง ศาลจังหวัดอ่างทองพิพากษาลงโทษจําคุก 1 ปี 6 เดือน กระทรวงสาธารณสุข เตือนการทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาล ห้องฉุกเฉิน ศาลพิพากษาจําคุก ไม่รอลงอาญา เผยกรณีห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลอ่างทอง ศาลจังหวัดอ่างทองพิพากษาลงโทษจําคุก 1 ปี 6 เดือน นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับรายงานจากนายแพทย์ประภาส ลี้สุทธิพรชัย ผู้อํานวยการโรงพยาบาลอ่างทอง กรณีที่มีกลุ่มวัยรุ่นทะเลาะวิวาทที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลอ่างทอง เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดอ่างทองได้มีคําพิพากษาเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2563 ลงโทษจําคุกผู้ก่อเหตุภายในห้องฉุกเฉินทั้ง 3 คน คนละ 3 ปี แต่ผู้ก่อเหตุให้การรับสารภาพ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจําคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน ส่วนผู้ก่อเหตุบริเวณหน้าห้องฉุกเฉินจํานวน 8 คน ศาลพิพากษาเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2562 ให้รับโทษจําคุกคนละ 6 เดือน แต่ผู้ก่อเหตุให้การรับสารภาพ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจําคุกคนละ 3 เดือน ซึ่งพฤติการณ์แห่งคดีเป็นการทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาลอันเป็นสาธารณสถานที่มีไว้สําหรับรักษาพยาบาลผู้ป่วยเจ็บ ไม่ควรที่ผู้ใดจะล่วงละเมิดเข้าไปทําลายความสงบเรียบร้อย เหตุที่เกิดขึ้นถือเป็นการกระทําที่อุกอาจ กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยรวม จึงไม่สมควรรอการลงโทษ “กระทรวงสาธารณสุขยืนยันจะดําเนินคดี ไม่มีการยอมความกับผู้ก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่โรงพยาบาล และขอความร่วมมือประชาชนป้องกันไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง เพื่อให้โรงพยาบาลเป็นพื้นที่ปลอดความรุนแรง แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ได้ดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างเต็มที่” นายแพทย์สุขุมกล่าว ******************************** 5 มีนาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตือนตีกันในโรงพยาบาล ติดคุก 100% ไม่รอลงอาญา วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม 2563 สธ. เตือนตีกันในโรงพยาบาล ติดคุก 100% ไม่รอลงอาญา กระทรวงสาธารณสุข เตือนการทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาล ห้องฉุกเฉิน ศาลพิพากษาจําคุก ไม่รอลงอาญา เผยกรณีห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลอ่างทอง ศาลจังหวัดอ่างทองพิพากษาลงโทษจําคุก 1 ปี 6 เดือน กระทรวงสาธารณสุข เตือนการทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาล ห้องฉุกเฉิน ศาลพิพากษาจําคุก ไม่รอลงอาญา เผยกรณีห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลอ่างทอง ศาลจังหวัดอ่างทองพิพากษาลงโทษจําคุก 1 ปี 6 เดือน นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับรายงานจากนายแพทย์ประภาส ลี้สุทธิพรชัย ผู้อํานวยการโรงพยาบาลอ่างทอง กรณีที่มีกลุ่มวัยรุ่นทะเลาะวิวาทที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลอ่างทอง เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดอ่างทองได้มีคําพิพากษาเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2563 ลงโทษจําคุกผู้ก่อเหตุภายในห้องฉุกเฉินทั้ง 3 คน คนละ 3 ปี แต่ผู้ก่อเหตุให้การรับสารภาพ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจําคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน ส่วนผู้ก่อเหตุบริเวณหน้าห้องฉุกเฉินจํานวน 8 คน ศาลพิพากษาเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2562 ให้รับโทษจําคุกคนละ 6 เดือน แต่ผู้ก่อเหตุให้การรับสารภาพ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจําคุกคนละ 3 เดือน ซึ่งพฤติการณ์แห่งคดีเป็นการทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาลอันเป็นสาธารณสถานที่มีไว้สําหรับรักษาพยาบาลผู้ป่วยเจ็บ ไม่ควรที่ผู้ใดจะล่วงละเมิดเข้าไปทําลายความสงบเรียบร้อย เหตุที่เกิดขึ้นถือเป็นการกระทําที่อุกอาจ กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยรวม จึงไม่สมควรรอการลงโทษ “กระทรวงสาธารณสุขยืนยันจะดําเนินคดี ไม่มีการยอมความกับผู้ก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่โรงพยาบาล และขอความร่วมมือประชาชนป้องกันไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง เพื่อให้โรงพยาบาลเป็นพื้นที่ปลอดความรุนแรง แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ได้ดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างเต็มที่” นายแพทย์สุขุมกล่าว ******************************** 5 มีนาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26914
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ประจำวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2562 รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ประจําวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ประจําวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ประจําวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 1.สถานการณ์ วันที่3กุมภาพันธ์2562 1. กรุงเทพมหานคร : คุณภาพอากาศเกินมาตรฐานจํานวน 1 สถานี ค่าสูงสุดอยู่ที่ เขตบางเขน (52 ug/m3) (ลดลง) 2. ปริมณฑล : คุณภาพอากาศเกินมาตรฐานจํานวน - สถานีค่าสูงสุดอยู่ที่ จ.สมุทรปราการ (40 ug/m3) (ลดลง) 3. ทั่วประเทศยกเว้น กทม./ปริมณฑล : คุณภาพอากาศเกินมาตรฐานจํานวน 9 สถานี ค่าสูงสุดอยู่ที่ จ.ตาก (71 ug/m3) (ลดลง) แหล่งข้อมูล : กรมควบคุมมลพิษ และกองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กทม. ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น. 2.ข่าว ประจําวัน วันนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2562) กรมอนามัย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กรมควบคุมมลพิษ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งภาคเอกชนในการบูรณาการข้อมูลและกิจกรรมการดูแล ป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน เช่น การออกหน่วยด้านสาธารณสุขให้ความรู้แก่ประชาชนในการป้องกันตนเองและการตรวจสุขภาพประชาชน การสนับสนุนหน้ากากอนามัยและ N95 รวมทั้ง การรณรงค์ร่วมลดฝุ่นละออง ขนาดเล็ก และให้ความรู้ผ่านรายการ “บ้านสุขภาพ” เรื่อง การป้องกันฝุ่นละอองเพื่อสุขภาพ โดยสถานีวิทยุรัฐสภา FM.87.5 mHz พร้อมสถานีเครือข่าย 14 สถานีทั่วประเทศ มีการสนับสนุนเอกสาร แผ่นพับให้ความรู้ แก่ศูนย์อนามัยที่ 5 ราชบุรี ศูนย์อนามัยที่ 6 ชลบุรี โรงพยาบาลราชวิถี เรื่อง แผ่นพับ รู้ทัน...ป้องกัน ฝุ่น PM2.5 จํานวน 10,000 แผ่น โปสเตอร์ ฝุ่น PM2.5 300 แผ่น โปสเตอร์ประโยชน์ของต้นไม้ 300 แผ่น และหน้ากาก N95 600 ชิ้น พร้อมทั้งให้คําแนะนําการออกกําลังกายแก่สมาคมนักวิ่ง และการเฝ้าระวัง สื่อสาร แจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง ผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ LINE, Facebook, เว็บไซต์ 3.สรุปผลการให้บริการสายด่วน1422ปรึกษาประชาชน วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2562 อาทิ คําถาม ผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 คําตอบ โดยปกติร่างกายจะมีกลไกปกป้อง แต่หากได้รับปริมาณมาก อาจเกิดการระคายเคืองบริเวณดวงตา จมูก คอ ทางเดินหายใจ มีอาการแสบตา ไอ จาม น้ํามูกไหล หายใจไม่สะดวก หอบเหนื่อย ผู้ป่วยที่มีโรคประจําตัว เช่นหอบหืด โรคหัวใจ อาจมีอาการรุนแรงได้ คําถาม การใส่หน้ากากป้องกัน และชนิดของหน้ากากที่สามารถป้องกันได้ คําตอบ หน้ากากที่ใช้ป้องกันได้ดีที่สุดขณะนี้ คือ N95 ถ้าสวมขนาดที่พอเหมาะกับใบหน้าตัวเอง และสวมถูกต้อง กลุ่มคนที่ควรสวมหน้ากาก N95 ได้แก่ กลุ่มเสี่ยง และกลุ่มอาชีพเสี่ยง ถ้าไม่สามารถหา N95 ได้ หรือ ในกลุ่มประชาชนทั่วไป สามารถสวมหน้ากากธรรมดา 2 ชั้น หรือ หน้ากากธรรมดาใช้กระดาษทิชชูซับด้านใน 2 แผ่น แต่การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินมาตรฐาน หลีกเลี่ยงหรืองดออกกําลังกายกลางแจ้งในช่วงฝุ่นขนาดเล็กเกินมาตรฐาน เป็นต้น คําถาม สถานที่หรือพื้นที่ที่ปลอดภัยจาก ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 คําตอบ อยู่ในบ้าน/ ที่ทํางาน และปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด โดยเฉพาะในช่วงที่ฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินมาตรฐาน หรือช่วงเวลาเช้าตรู่ และทําความสะอาดบ้านด้วยผ้าชุบน้ํา ไม่ใช้ไม้กวาดๆ พื้น เพราะจะทําให้ฝุ่น ฟุ้งกระจาย 4.ข้อแนะนําประจําวัน 1. กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจําตัว เช่น โรคหอบหืด ภูมิแพ้ โรคหัวใจ ควรลดกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องใช้แรงมาก เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน หากมีอาการผิดปกติ ให้รีบพบแพทย์ 2. คําแนะนําเพิ่มเติมเว็บไซต์กรมอนามัย กรมควบคุมมลพิษ หรือ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ด้วยความปรารถนาดีจาก กระทรวงสาธารณสุข ************************************ 3 กุมภาพันธ์2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ประจำวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2562 รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ประจําวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ประจําวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ประจําวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 1.สถานการณ์ วันที่3กุมภาพันธ์2562 1. กรุงเทพมหานคร : คุณภาพอากาศเกินมาตรฐานจํานวน 1 สถานี ค่าสูงสุดอยู่ที่ เขตบางเขน (52 ug/m3) (ลดลง) 2. ปริมณฑล : คุณภาพอากาศเกินมาตรฐานจํานวน - สถานีค่าสูงสุดอยู่ที่ จ.สมุทรปราการ (40 ug/m3) (ลดลง) 3. ทั่วประเทศยกเว้น กทม./ปริมณฑล : คุณภาพอากาศเกินมาตรฐานจํานวน 9 สถานี ค่าสูงสุดอยู่ที่ จ.ตาก (71 ug/m3) (ลดลง) แหล่งข้อมูล : กรมควบคุมมลพิษ และกองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กทม. ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น. 2.ข่าว ประจําวัน วันนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2562) กรมอนามัย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กรมควบคุมมลพิษ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งภาคเอกชนในการบูรณาการข้อมูลและกิจกรรมการดูแล ป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน เช่น การออกหน่วยด้านสาธารณสุขให้ความรู้แก่ประชาชนในการป้องกันตนเองและการตรวจสุขภาพประชาชน การสนับสนุนหน้ากากอนามัยและ N95 รวมทั้ง การรณรงค์ร่วมลดฝุ่นละออง ขนาดเล็ก และให้ความรู้ผ่านรายการ “บ้านสุขภาพ” เรื่อง การป้องกันฝุ่นละอองเพื่อสุขภาพ โดยสถานีวิทยุรัฐสภา FM.87.5 mHz พร้อมสถานีเครือข่าย 14 สถานีทั่วประเทศ มีการสนับสนุนเอกสาร แผ่นพับให้ความรู้ แก่ศูนย์อนามัยที่ 5 ราชบุรี ศูนย์อนามัยที่ 6 ชลบุรี โรงพยาบาลราชวิถี เรื่อง แผ่นพับ รู้ทัน...ป้องกัน ฝุ่น PM2.5 จํานวน 10,000 แผ่น โปสเตอร์ ฝุ่น PM2.5 300 แผ่น โปสเตอร์ประโยชน์ของต้นไม้ 300 แผ่น และหน้ากาก N95 600 ชิ้น พร้อมทั้งให้คําแนะนําการออกกําลังกายแก่สมาคมนักวิ่ง และการเฝ้าระวัง สื่อสาร แจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง ผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ LINE, Facebook, เว็บไซต์ 3.สรุปผลการให้บริการสายด่วน1422ปรึกษาประชาชน วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2562 อาทิ คําถาม ผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 คําตอบ โดยปกติร่างกายจะมีกลไกปกป้อง แต่หากได้รับปริมาณมาก อาจเกิดการระคายเคืองบริเวณดวงตา จมูก คอ ทางเดินหายใจ มีอาการแสบตา ไอ จาม น้ํามูกไหล หายใจไม่สะดวก หอบเหนื่อย ผู้ป่วยที่มีโรคประจําตัว เช่นหอบหืด โรคหัวใจ อาจมีอาการรุนแรงได้ คําถาม การใส่หน้ากากป้องกัน และชนิดของหน้ากากที่สามารถป้องกันได้ คําตอบ หน้ากากที่ใช้ป้องกันได้ดีที่สุดขณะนี้ คือ N95 ถ้าสวมขนาดที่พอเหมาะกับใบหน้าตัวเอง และสวมถูกต้อง กลุ่มคนที่ควรสวมหน้ากาก N95 ได้แก่ กลุ่มเสี่ยง และกลุ่มอาชีพเสี่ยง ถ้าไม่สามารถหา N95 ได้ หรือ ในกลุ่มประชาชนทั่วไป สามารถสวมหน้ากากธรรมดา 2 ชั้น หรือ หน้ากากธรรมดาใช้กระดาษทิชชูซับด้านใน 2 แผ่น แต่การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินมาตรฐาน หลีกเลี่ยงหรืองดออกกําลังกายกลางแจ้งในช่วงฝุ่นขนาดเล็กเกินมาตรฐาน เป็นต้น คําถาม สถานที่หรือพื้นที่ที่ปลอดภัยจาก ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 คําตอบ อยู่ในบ้าน/ ที่ทํางาน และปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด โดยเฉพาะในช่วงที่ฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินมาตรฐาน หรือช่วงเวลาเช้าตรู่ และทําความสะอาดบ้านด้วยผ้าชุบน้ํา ไม่ใช้ไม้กวาดๆ พื้น เพราะจะทําให้ฝุ่น ฟุ้งกระจาย 4.ข้อแนะนําประจําวัน 1. กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจําตัว เช่น โรคหอบหืด ภูมิแพ้ โรคหัวใจ ควรลดกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องใช้แรงมาก เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน หากมีอาการผิดปกติ ให้รีบพบแพทย์ 2. คําแนะนําเพิ่มเติมเว็บไซต์กรมอนามัย กรมควบคุมมลพิษ หรือ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ด้วยความปรารถนาดีจาก กระทรวงสาธารณสุข ************************************ 3 กุมภาพันธ์2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18547
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากฯ ออกรางวัลในวันที่ 16 พฤษภาคม นี้ ยึดแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 [กระทรวงการคลัง]
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563 สํานักงานสลากฯ ออกรางวัลในวันที่ 16 พฤษภาคม นี้ ยึดแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 [กระทรวงการคลัง] สํานักงานสลากฯ ออกรางวัลในวันที่ 16 พฤษภาคม นี้ ยึดแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 วันนี้ (14 พฤษภาคม 2563) นายธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่าการออกรางวัลในวันที่ 16 พฤษภาคม 2563 จะยึดแนวทางในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ตามแนวทางกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะมีการจํากัดจํานวนผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ออกรางวัล โดยให้กรรมการ เจ้าหน้าที่ และผู้เกี่ยวข้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เช่น การจัดสถานที่นั่งห่างกัน อย่างน้อย 1 เมตร จุดคัดกรองอุณหภูมิผู้ร่วมออกรางวัลทุกคน ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ กําหนดให้ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาในห้องออกรางวัล หากเป็นเจ้าหน้าที่เชิญกรรมการ ผู้ประกาศรางวัลต้องใส่ Face Shield นอกเหนือจากหน้ากากอนามัยด้วย ตลอดจนให้ทําความสะอาดอุปกรณ์ออกรางวัล รวมถึงจุดที่มีการสัมผัสบ่อยๆ ทุก 30 นาที ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจเข้าชมการออกรางวัล สามารถเดินทางมาได้ แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด โดยการรับชมในห้องออกรางวัลอาจมีที่นั่งลดลงจากเดิม เพราะจะมีการเว้นระยะห่างเพิ่ม(Social Distancing) และหากที่นั่งเต็มได้จัดสถานที่รับชมผ่านโทรทัศน์วงจรปิด ณ ด้านล่างของอาคาร ดังนั้นจึงขอความร่วมมือให้ประชาชนรับชมการถ่ายทอดสดการออกรางวัลผ่านโทรทัศน์ วิทยุ หรือสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งมีความสะดวก ปลอดภัย และสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ที่รณรงค์ให้อยู่บ้านและลดการเดินทาง ในส่วนของผู้ถูกรางวัลสลากฯ ที่ต้องการเดินทางมาขึ้นรางวัลที่สํานักงานสลากฯ สนามบินน้ํา จ.นนทบุรี จะต้องลงทะเบียนจองคิวผ่านเว็บไซต์www.glo.or.thเพื่อนัดหมายเวลาล่วงหน้าก่อนมาขึ้นรางวัล โดยเริ่มให้จองคิวการขึ้นรางวัลของสลากงวด 1 เมษายน 2563 ตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคมนี้ และเริ่มให้มาขึ้นรางวัลที่สํานักงานฯ ได้ตั้งแต่ 18 พฤษภาคม เป็นต้นไป กําหนดรับขึ้นเงินรางวัลได้ไม่เกินวันละ 65,000 ฉบับ ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามมาตรการฯ การป้องกันการแพร่ระบาดของของโรคโควิด 19 อย่างเคร่งครัด สําหรับวิธีการจองคิวผ่านเว็บไซต์www.glo.or.thจะไม่ยุ่งยาก เพียงกรอกชื่อ-นามสกุล หมายเลขบัตรประชาชน และจํานวนสลากฯ ที่จะมาขอขึ้นรางวัล จากนั้นก็มาขึ้นรางวัลตามวันเวลาที่ได้จองไว้ได้ อย่างไรก็ตามเพื่อความสะดวกสามารถขึ้นรางวัลได้ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ และธนาคารกรุงไทยเฉพาะสาขากรุงเทพและปริมณฑล สําหรับการจําหน่ายสลากงวด 16 มิถุนายน 2563 นั้น สํานักงานสลากฯ จะให้ตัวแทนจําหน่าย แจ้งความประสงค์จะขอรับสลากไปจําหน่ายผ่านเว็บไซต์www.glo.or.thตั้งแต่วันที่ 14-18 พฤษภาคม 2563 ทั้งนี้ หากตัวแทนจําหน่ายไม่แจ้งความประสงค์ในระบบ จะไม่สามารถชําระเงินค่าสลากและรับสลากงวดวันที่ 16 มิถุนายน 2563 ไปจําหน่ายได้ โฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวตอนท้ายว่า สํานักงานสลากฯ ได้ขอให้ตัวแทนจําหน่ายสลากทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ประเมินสถานการณ์และความสามารถในการจําหน่ายก่อนตัดสินใจ แจ้งความประสงค์ขอรับสลากไปจําหน่าย เนื่องจากในแต่ละพื้นที่มีข้อจํากัดในการจําหน่ายแตกต่างกัน อาจทําให้การจําหน่ายไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ และในขณะจําหน่ายสลากให้ปฏิบัติตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด และการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เช่น การใส่ Face Shield, สวมหน้ากากอนามัย, ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์, สวมถุงมือขณะจําหน่ายสลาก และรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล 1-2 เมตร เป็นต้น โดยการปฏิบัติดังกล่าวจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ซื้อ ผู้ขาย และสังคมส่วนรวม เพื่อควบคุมการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และทําให้การจําหน่ายสลากดําเนินการได้อย่างต่อเนื่องเป็นปกติ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากฯ ออกรางวัลในวันที่ 16 พฤษภาคม นี้ ยึดแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 [กระทรวงการคลัง] วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563 สํานักงานสลากฯ ออกรางวัลในวันที่ 16 พฤษภาคม นี้ ยึดแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 [กระทรวงการคลัง] สํานักงานสลากฯ ออกรางวัลในวันที่ 16 พฤษภาคม นี้ ยึดแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 วันนี้ (14 พฤษภาคม 2563) นายธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่าการออกรางวัลในวันที่ 16 พฤษภาคม 2563 จะยึดแนวทางในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ตามแนวทางกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะมีการจํากัดจํานวนผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ออกรางวัล โดยให้กรรมการ เจ้าหน้าที่ และผู้เกี่ยวข้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เช่น การจัดสถานที่นั่งห่างกัน อย่างน้อย 1 เมตร จุดคัดกรองอุณหภูมิผู้ร่วมออกรางวัลทุกคน ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ กําหนดให้ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาในห้องออกรางวัล หากเป็นเจ้าหน้าที่เชิญกรรมการ ผู้ประกาศรางวัลต้องใส่ Face Shield นอกเหนือจากหน้ากากอนามัยด้วย ตลอดจนให้ทําความสะอาดอุปกรณ์ออกรางวัล รวมถึงจุดที่มีการสัมผัสบ่อยๆ ทุก 30 นาที ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจเข้าชมการออกรางวัล สามารถเดินทางมาได้ แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด โดยการรับชมในห้องออกรางวัลอาจมีที่นั่งลดลงจากเดิม เพราะจะมีการเว้นระยะห่างเพิ่ม(Social Distancing) และหากที่นั่งเต็มได้จัดสถานที่รับชมผ่านโทรทัศน์วงจรปิด ณ ด้านล่างของอาคาร ดังนั้นจึงขอความร่วมมือให้ประชาชนรับชมการถ่ายทอดสดการออกรางวัลผ่านโทรทัศน์ วิทยุ หรือสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งมีความสะดวก ปลอดภัย และสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ที่รณรงค์ให้อยู่บ้านและลดการเดินทาง ในส่วนของผู้ถูกรางวัลสลากฯ ที่ต้องการเดินทางมาขึ้นรางวัลที่สํานักงานสลากฯ สนามบินน้ํา จ.นนทบุรี จะต้องลงทะเบียนจองคิวผ่านเว็บไซต์www.glo.or.thเพื่อนัดหมายเวลาล่วงหน้าก่อนมาขึ้นรางวัล โดยเริ่มให้จองคิวการขึ้นรางวัลของสลากงวด 1 เมษายน 2563 ตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคมนี้ และเริ่มให้มาขึ้นรางวัลที่สํานักงานฯ ได้ตั้งแต่ 18 พฤษภาคม เป็นต้นไป กําหนดรับขึ้นเงินรางวัลได้ไม่เกินวันละ 65,000 ฉบับ ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามมาตรการฯ การป้องกันการแพร่ระบาดของของโรคโควิด 19 อย่างเคร่งครัด สําหรับวิธีการจองคิวผ่านเว็บไซต์www.glo.or.thจะไม่ยุ่งยาก เพียงกรอกชื่อ-นามสกุล หมายเลขบัตรประชาชน และจํานวนสลากฯ ที่จะมาขอขึ้นรางวัล จากนั้นก็มาขึ้นรางวัลตามวันเวลาที่ได้จองไว้ได้ อย่างไรก็ตามเพื่อความสะดวกสามารถขึ้นรางวัลได้ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ และธนาคารกรุงไทยเฉพาะสาขากรุงเทพและปริมณฑล สําหรับการจําหน่ายสลากงวด 16 มิถุนายน 2563 นั้น สํานักงานสลากฯ จะให้ตัวแทนจําหน่าย แจ้งความประสงค์จะขอรับสลากไปจําหน่ายผ่านเว็บไซต์www.glo.or.thตั้งแต่วันที่ 14-18 พฤษภาคม 2563 ทั้งนี้ หากตัวแทนจําหน่ายไม่แจ้งความประสงค์ในระบบ จะไม่สามารถชําระเงินค่าสลากและรับสลากงวดวันที่ 16 มิถุนายน 2563 ไปจําหน่ายได้ โฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวตอนท้ายว่า สํานักงานสลากฯ ได้ขอให้ตัวแทนจําหน่ายสลากทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ประเมินสถานการณ์และความสามารถในการจําหน่ายก่อนตัดสินใจ แจ้งความประสงค์ขอรับสลากไปจําหน่าย เนื่องจากในแต่ละพื้นที่มีข้อจํากัดในการจําหน่ายแตกต่างกัน อาจทําให้การจําหน่ายไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ และในขณะจําหน่ายสลากให้ปฏิบัติตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด และการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เช่น การใส่ Face Shield, สวมหน้ากากอนามัย, ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์, สวมถุงมือขณะจําหน่ายสลาก และรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล 1-2 เมตร เป็นต้น โดยการปฏิบัติดังกล่าวจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ซื้อ ผู้ขาย และสังคมส่วนรวม เพื่อควบคุมการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และทําให้การจําหน่ายสลากดําเนินการได้อย่างต่อเนื่องเป็นปกติ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30814
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. กำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงสาววัย 17 ปี ชาว จ.ลำปาง ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ที่ถูกหลอกไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้ แต่ถูกนายจ้างบังคับค้าประเวณีและทำร้ายร่างกาย
วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560 รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงสาววัย 17 ปี ชาว จ.ลําปาง ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ที่ถูกหลอกไปทํางานที่ประเทศเกาหลีใต้ แต่ถูกนายจ้างบังคับค้าประเวณีและทําร้ายร่างกาย รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงสาววัย 17 ปี ชาว จ.ลําปาง ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ที่ถูกหลอกไปทํางานที่ประเทศเกาหลีใต้ แต่ถูกนายจ้างบังคับค้าประเวณีและทําร้ายร่างกาย พร้อมเร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.พิจิตร และยะลา วันนี้ (17 พ.ย. 60) เวลา 08.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 756/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขและป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมี คณะผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า จากกรณีหญิงสาววัย 17 ปี ชาวจังหวัดลําปาง ถูกหลอกไปทํางานที่ร้านนวดในประเทศเกาหลีใต้ แต่กลับถูกนายจ้างบังคับค้าประเวณี กักขังตัว ทําร้ายร่างกาย และข่มขู่เรียกเงินกว่าแสนบาท จึงได้แอบโทรศัพท์ และติดต่อส่งข้อความให้ผู้เป็นแม่ที่อยู่ประเทศไทยช่วยแจ้งเจ้าหน้าที่ให้เข้าช่วยเหลือ นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดลําปาง (พมจ.ลําปาง) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวง พม. ซึ่งขณะนี้ ได้มีการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสํานักตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เพื่อขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่สํานักตรวจคนเข้าเมืองประเทศเกาหลีใต้ และได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตํารวจ เมืองปูซาน จนสามารถเข้าช่วยเหลือหญิงสาวคนดังกล่าวออกมาได้เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการดําเนินการทางกฎหมาย ที่ประเทศเกาหลีใต้ ทั้งนี้ ทีมช่วยเหลือเฉพาะกิจ ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่จากสํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดลําปาง (สนง.พมจ.ลําปาง) สํานักตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดลําปาง สํานักงานจัดหางานจังหวัดลําปาง และสํานักงาน ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดลําปาง จะร่วมกันประชุมหารือแนวทางการช่วยเหลือหญิงสาวคนดังกล่าวกลับประเทศไทยต่อไป ทั้งนี้ จากปัญหาหญิงไทยที่ถูกชักชวนหรือสมัครใจไปทํางานในต่างประเทศ แต่อาจถูกหลอกไปบังคับค้าประเวณี หรือถูกทารุณทําร้ายร่างกาย ตนขอความร่วมมือบุคคลที่จะเดินทางไปทํางานยังต่างแดน ให้ศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนการเดินทางไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาลักษณะดังกล่าวขึ้นอีก และหากพบเบาะแส สามารถแจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม โทรหมายเลข +66 99 130 1300 สายด่วนโทรฟรีทั่วโลก 24 ชั่วโมง เพื่อให้คําปรึกษาและการช่วยเหลือต่อไป พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า สําหรับกรณีเด็กทารกเพศหญิงวัยเพียง 1 สัปดาห์กว่า กําพร้าแม่ เนื่องจากเสียชีวิตหลังคลอด และผู้เป็นพ่อทอดทิ้งไป ต้องอาศัยอยู่กับตา-ยาย และสมาชิกในครอบครัวอีก 7 คน ในบ้านสภาพเก่า ทรุดโทรมใกล้ผุพัง ครอบครัวมีฐานะยากจน ประกอบอาชีพเก็บของเก่าขาย และรับจ้างก่อสร้าง ที่อําเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิจิตร (พมจ.พิจิตร) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งลงพื้นที่ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก และผู้สูงอายุของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้ง ประสานหน่วยงานในพื้นที่ดูแลเรื่องการปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มีความแข็งแรงมั่นคง ถูกสุขลักษณะ และเหมาะสมกับการใช้วิติประจําวัน และหากตรวจสอบพบว่าครอบครัว ไม่พร้อมดูแลเด็ก ทั้งนี้ ทางกระทรวง พม. มีบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดพิจิตร ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. พร้อมรับเด็กมาดูแล และคุ้มครองสวัสดิภาพ พัฒนา และฟื้นฟูเด็กในระยะยาว ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 พร้อมให้คําแนะนําปรึกษาแก่ครอบครัวในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า จากกรณีเด็กชายวัยประมาณ 10 ขวบ ยังไม่ได้เรียนหนังสือ อาศัยอยู่เพียงลําพัง กับย่าแก่ชราที่สุขภาพไม่แข็งแรง ซึ่งเด็กชายต้องออกไปตระเวนเก็บของเก่าขาย เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว ทั้ง 2 ชีวิต อาศัยในเพิงสังกะสีสภาพเก่าทรุดโทรมใกล้ผุพัง ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่อําเภอเมือง จังหวัดยะลา นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดยะลา (พมจ.ยะลา) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กและผู้สูงอายุ ของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการศึกษาของเด็กชายคนดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในระยะยาว การรักษาพยาบาลอาการป่วยของหญิงชราดอย่างใกล้ชิด และการซ่อมแซมปรับปรุงบ้านให้มีสภาพแข็งแรง ถูกสุขลักษณะ นอกจากนี้ ให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในระยะต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. กำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงสาววัย 17 ปี ชาว จ.ลำปาง ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ที่ถูกหลอกไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้ แต่ถูกนายจ้างบังคับค้าประเวณีและทำร้ายร่างกาย วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560 รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงสาววัย 17 ปี ชาว จ.ลําปาง ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ที่ถูกหลอกไปทํางานที่ประเทศเกาหลีใต้ แต่ถูกนายจ้างบังคับค้าประเวณีและทําร้ายร่างกาย รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงสาววัย 17 ปี ชาว จ.ลําปาง ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ที่ถูกหลอกไปทํางานที่ประเทศเกาหลีใต้ แต่ถูกนายจ้างบังคับค้าประเวณีและทําร้ายร่างกาย พร้อมเร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.พิจิตร และยะลา วันนี้ (17 พ.ย. 60) เวลา 08.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 756/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขและป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมี คณะผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า จากกรณีหญิงสาววัย 17 ปี ชาวจังหวัดลําปาง ถูกหลอกไปทํางานที่ร้านนวดในประเทศเกาหลีใต้ แต่กลับถูกนายจ้างบังคับค้าประเวณี กักขังตัว ทําร้ายร่างกาย และข่มขู่เรียกเงินกว่าแสนบาท จึงได้แอบโทรศัพท์ และติดต่อส่งข้อความให้ผู้เป็นแม่ที่อยู่ประเทศไทยช่วยแจ้งเจ้าหน้าที่ให้เข้าช่วยเหลือ นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดลําปาง (พมจ.ลําปาง) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวง พม. ซึ่งขณะนี้ ได้มีการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสํานักตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เพื่อขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่สํานักตรวจคนเข้าเมืองประเทศเกาหลีใต้ และได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตํารวจ เมืองปูซาน จนสามารถเข้าช่วยเหลือหญิงสาวคนดังกล่าวออกมาได้เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการดําเนินการทางกฎหมาย ที่ประเทศเกาหลีใต้ ทั้งนี้ ทีมช่วยเหลือเฉพาะกิจ ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่จากสํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดลําปาง (สนง.พมจ.ลําปาง) สํานักตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดลําปาง สํานักงานจัดหางานจังหวัดลําปาง และสํานักงาน ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดลําปาง จะร่วมกันประชุมหารือแนวทางการช่วยเหลือหญิงสาวคนดังกล่าวกลับประเทศไทยต่อไป ทั้งนี้ จากปัญหาหญิงไทยที่ถูกชักชวนหรือสมัครใจไปทํางานในต่างประเทศ แต่อาจถูกหลอกไปบังคับค้าประเวณี หรือถูกทารุณทําร้ายร่างกาย ตนขอความร่วมมือบุคคลที่จะเดินทางไปทํางานยังต่างแดน ให้ศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนการเดินทางไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาลักษณะดังกล่าวขึ้นอีก และหากพบเบาะแส สามารถแจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม โทรหมายเลข +66 99 130 1300 สายด่วนโทรฟรีทั่วโลก 24 ชั่วโมง เพื่อให้คําปรึกษาและการช่วยเหลือต่อไป พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า สําหรับกรณีเด็กทารกเพศหญิงวัยเพียง 1 สัปดาห์กว่า กําพร้าแม่ เนื่องจากเสียชีวิตหลังคลอด และผู้เป็นพ่อทอดทิ้งไป ต้องอาศัยอยู่กับตา-ยาย และสมาชิกในครอบครัวอีก 7 คน ในบ้านสภาพเก่า ทรุดโทรมใกล้ผุพัง ครอบครัวมีฐานะยากจน ประกอบอาชีพเก็บของเก่าขาย และรับจ้างก่อสร้าง ที่อําเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิจิตร (พมจ.พิจิตร) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งลงพื้นที่ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก และผู้สูงอายุของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้ง ประสานหน่วยงานในพื้นที่ดูแลเรื่องการปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มีความแข็งแรงมั่นคง ถูกสุขลักษณะ และเหมาะสมกับการใช้วิติประจําวัน และหากตรวจสอบพบว่าครอบครัว ไม่พร้อมดูแลเด็ก ทั้งนี้ ทางกระทรวง พม. มีบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดพิจิตร ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. พร้อมรับเด็กมาดูแล และคุ้มครองสวัสดิภาพ พัฒนา และฟื้นฟูเด็กในระยะยาว ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 พร้อมให้คําแนะนําปรึกษาแก่ครอบครัวในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า จากกรณีเด็กชายวัยประมาณ 10 ขวบ ยังไม่ได้เรียนหนังสือ อาศัยอยู่เพียงลําพัง กับย่าแก่ชราที่สุขภาพไม่แข็งแรง ซึ่งเด็กชายต้องออกไปตระเวนเก็บของเก่าขาย เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว ทั้ง 2 ชีวิต อาศัยในเพิงสังกะสีสภาพเก่าทรุดโทรมใกล้ผุพัง ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่อําเภอเมือง จังหวัดยะลา นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดยะลา (พมจ.ยะลา) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กและผู้สูงอายุ ของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการศึกษาของเด็กชายคนดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในระยะยาว การรักษาพยาบาลอาการป่วยของหญิงชราดอย่างใกล้ชิด และการซ่อมแซมปรับปรุงบ้านให้มีสภาพแข็งแรง ถูกสุขลักษณะ นอกจากนี้ ให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในระยะต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8178
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. กำหนด New Normal คนพิการเข้าถึงบริการฟื้นฟู
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563 สธ. กําหนด New Normal คนพิการเข้าถึงบริการฟื้นฟู กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับภาคีเครือข่ายสุขภาพ จัดทําแนวทางปฏิบัติสําหรับสถานพยาบาลในการ ปรับรูปแบบบริการฟื้นฟู เพื่อให้ผู้ป่วย คนพิการ และผู้สูงอายุ ได้รับบริการฟื้นฟูสมรรถภาพฐานชีวิตวิถีใหม่ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับภาคีเครือข่ายสุขภาพ จัดทําแนวทางปฏิบัติสําหรับสถานพยาบาลในการ ปรับรูปแบบบริการฟื้นฟู เพื่อให้ผู้ป่วย คนพิการ และผู้สูงอายุ ได้รับบริการฟื้นฟูสมรรถภาพฐานชีวิตวิถีใหม่ วันนี้ (12 มิถุนายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวง สาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ปรับรูปแบบการจัดบริการฟื้นฟูสมรรถภาพฐานชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) เพื่อให้ผู้ป่วย คนพิการ และผู้สูงอายุ เข้าถึงบริการฟื้นฟูสมรรถภาพ ลดความแออัด เพิ่มความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ โดยสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ กรมการแพทย์ ร่วมกับราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ ฟื้นฟูแห่งประเทศไทย สภากายภาพบําบัด สมาคมนักกิจรรมบําบัด/อาชีวบําบัดแห่งประเทศไทย สมาคมโสตสัมผัสวิทยาและการแก้ไขการพูดแห่งประเทศไทย สมาคมกายอุปกรณ์ไทย ผู้แทนโรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลชุมชน สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสํานักงานประกันสังคม จัดทําแนวทางปฏิบัติการสําหรับสถานพยาบาลในการปรับรูปแบบบริการฟื้นฟูในสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 ให้สถานพยาบาลนําไปประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสมของสถานพยาบาลแต่ละพื้นที่ นายแพทย์ณัฐพงศ์กล่าวต่อว่า แนวทางปฏิบัติประกอบด้วย 1.การใช้เทคโนโลยีคัดกรองก่อนมาถึงโรงพยาบาลและก่อนเข้ารับบริการฟื้นฟู 2.การจัดกลุ่ม คัดแยก จัดลําดับความสําคัญของผู้ป่วย โดยประเมินจากความจําเป็นของบริการฟื้นฟู และความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แบ่งเป็น กลุ่มที่จําเป็นต้องได้รับบริการฟื้นฟูที่สถานพยาบาล ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมองในระยะทองคือ 6 เดือนแรก ผู้ป่วยมีอาการปวดรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อน และกลุ่มผู้สูงอายุ โรคกระดูกและกล้ามเนื้อที่อาการไม่เปลี่ยนแปลง ไม่จําเป็นต้องมาสถานพยาบาล 3.ตรวจหาเชื้อโควิด 19 สําหรับผู้ที่ความเสี่ยง เช่น มีปัญหาการกลืน และการขับเสมหะ 4.ปรับสภาพแวดล้อมในสถานพยาบาล โดยคํานึงถึงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการแพร่กระจายเชื้อ ได้แก่ การระบายอากาศ การจัดระยะห่างของที่นั่งรอคอย/ เตียงบําบัด ความสะอาดของอุปกรณ์ อาคารสถานที่ เป็นต้น 5.การนัดหมายล่วงหน้า ผ่านไลน์ โทรศัพท์ หรือเว็บไซต์ นอกจากนี้ ยังเพิ่มรูปแบบบริการฟื้นฟูเพื่อการเข้าถึง ได้แก่ การฟื้นฟูทางไกลด้วย VDO call (Tele-rehabilitation) การเยี่ยมบ้านให้คําแนะนําการฟื้นฟูโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ การให้คําปรึกษาผ่านทางโทรศัพท์หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ บริการส่งยาทางไปรษณีย์ โดยเฉพาะกลุ่มที่อาการคงที่ และสร้างระบบการส่งต่อผู้ป่วยที่จําเป็นในเครือข่ายสถานพยาบาล โดยมีสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลฟื้นฟูระดับตติยภูมิ เป็นต้นแบบการดําเนินงาน ********************************* 12 มิถุนายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. กำหนด New Normal คนพิการเข้าถึงบริการฟื้นฟู วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563 สธ. กําหนด New Normal คนพิการเข้าถึงบริการฟื้นฟู กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับภาคีเครือข่ายสุขภาพ จัดทําแนวทางปฏิบัติสําหรับสถานพยาบาลในการ ปรับรูปแบบบริการฟื้นฟู เพื่อให้ผู้ป่วย คนพิการ และผู้สูงอายุ ได้รับบริการฟื้นฟูสมรรถภาพฐานชีวิตวิถีใหม่ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับภาคีเครือข่ายสุขภาพ จัดทําแนวทางปฏิบัติสําหรับสถานพยาบาลในการ ปรับรูปแบบบริการฟื้นฟู เพื่อให้ผู้ป่วย คนพิการ และผู้สูงอายุ ได้รับบริการฟื้นฟูสมรรถภาพฐานชีวิตวิถีใหม่ วันนี้ (12 มิถุนายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวง สาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ปรับรูปแบบการจัดบริการฟื้นฟูสมรรถภาพฐานชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) เพื่อให้ผู้ป่วย คนพิการ และผู้สูงอายุ เข้าถึงบริการฟื้นฟูสมรรถภาพ ลดความแออัด เพิ่มความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ โดยสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ กรมการแพทย์ ร่วมกับราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ ฟื้นฟูแห่งประเทศไทย สภากายภาพบําบัด สมาคมนักกิจรรมบําบัด/อาชีวบําบัดแห่งประเทศไทย สมาคมโสตสัมผัสวิทยาและการแก้ไขการพูดแห่งประเทศไทย สมาคมกายอุปกรณ์ไทย ผู้แทนโรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลชุมชน สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสํานักงานประกันสังคม จัดทําแนวทางปฏิบัติการสําหรับสถานพยาบาลในการปรับรูปแบบบริการฟื้นฟูในสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 ให้สถานพยาบาลนําไปประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสมของสถานพยาบาลแต่ละพื้นที่ นายแพทย์ณัฐพงศ์กล่าวต่อว่า แนวทางปฏิบัติประกอบด้วย 1.การใช้เทคโนโลยีคัดกรองก่อนมาถึงโรงพยาบาลและก่อนเข้ารับบริการฟื้นฟู 2.การจัดกลุ่ม คัดแยก จัดลําดับความสําคัญของผู้ป่วย โดยประเมินจากความจําเป็นของบริการฟื้นฟู และความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แบ่งเป็น กลุ่มที่จําเป็นต้องได้รับบริการฟื้นฟูที่สถานพยาบาล ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมองในระยะทองคือ 6 เดือนแรก ผู้ป่วยมีอาการปวดรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อน และกลุ่มผู้สูงอายุ โรคกระดูกและกล้ามเนื้อที่อาการไม่เปลี่ยนแปลง ไม่จําเป็นต้องมาสถานพยาบาล 3.ตรวจหาเชื้อโควิด 19 สําหรับผู้ที่ความเสี่ยง เช่น มีปัญหาการกลืน และการขับเสมหะ 4.ปรับสภาพแวดล้อมในสถานพยาบาล โดยคํานึงถึงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการแพร่กระจายเชื้อ ได้แก่ การระบายอากาศ การจัดระยะห่างของที่นั่งรอคอย/ เตียงบําบัด ความสะอาดของอุปกรณ์ อาคารสถานที่ เป็นต้น 5.การนัดหมายล่วงหน้า ผ่านไลน์ โทรศัพท์ หรือเว็บไซต์ นอกจากนี้ ยังเพิ่มรูปแบบบริการฟื้นฟูเพื่อการเข้าถึง ได้แก่ การฟื้นฟูทางไกลด้วย VDO call (Tele-rehabilitation) การเยี่ยมบ้านให้คําแนะนําการฟื้นฟูโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ การให้คําปรึกษาผ่านทางโทรศัพท์หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ บริการส่งยาทางไปรษณีย์ โดยเฉพาะกลุ่มที่อาการคงที่ และสร้างระบบการส่งต่อผู้ป่วยที่จําเป็นในเครือข่ายสถานพยาบาล โดยมีสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลฟื้นฟูระดับตติยภูมิ เป็นต้นแบบการดําเนินงาน ********************************* 12 มิถุนายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32272
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋” ลั่น ไทยพร้อมจัดกิจกรรมครบรอบ 100 ปี ILO ในฐานะสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง
วันพุธที่ 6 มิถุนายน 2561 “บิ๊กอู๋” ลั่น ไทยพร้อมจัดกิจกรรมครบรอบ 100 ปี ILO ในฐานะสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง รมว.แรงงาน ร่วมหารือการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ในฐานะสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง เผย ไทยพร้อมแสดงศักยภาพและความมุ่งมั่นตั้งใจแก้ปัญหาด้านแรงงานอย่างจริงจัง เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2561 เวลา 11.30 - 12.30 น. พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ร่วมหารือกับ Ms. Tomoko Nishimoto, Assistant Director-General and Regional Director for Asia and the Pacific เกี่ยวกับกิจกรรมการเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ในปี พ.ศ. 2562 ซึ่ง ILO มีแผนกําหนดการจัดงานฯ ในวันที่ 11 เมษายน 2562 โดยจะถ่ายทอดสดจาก 24 ประเทศทั่วโลก ประเทศละ 1 ชั่วโมง และประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศดังกล่าวด้วย สําหรับรูปแบบการจัดงานและสถานที่ถ่ายทําจะแสดงออกถึงความเป็นไทย รมว.แรงงาน กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศกลุ่มแรกในอาเซียนที่อยู่ในฐานะสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง ILO และได้เป็นสมาชิก ILO มาครบ 100 ปี กระทรวงแรงงานจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะให้การสนับสนุนกิจกรรมดังกล่าว ซึ่งประโยชน์ที่จะได้รับจากการจัดกิจกรรมจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาประเทศได้ว่า ประเทศไทยได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบของ ILO อย่างเคร่งครัด และแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการดําเนินงานด้านการแก้ปัญหาแรงงานภายในประเทศอย่างจริงจัง +++++++++++++++++++++++
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋” ลั่น ไทยพร้อมจัดกิจกรรมครบรอบ 100 ปี ILO ในฐานะสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง วันพุธที่ 6 มิถุนายน 2561 “บิ๊กอู๋” ลั่น ไทยพร้อมจัดกิจกรรมครบรอบ 100 ปี ILO ในฐานะสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง รมว.แรงงาน ร่วมหารือการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ในฐานะสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง เผย ไทยพร้อมแสดงศักยภาพและความมุ่งมั่นตั้งใจแก้ปัญหาด้านแรงงานอย่างจริงจัง เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2561 เวลา 11.30 - 12.30 น. พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ร่วมหารือกับ Ms. Tomoko Nishimoto, Assistant Director-General and Regional Director for Asia and the Pacific เกี่ยวกับกิจกรรมการเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ในปี พ.ศ. 2562 ซึ่ง ILO มีแผนกําหนดการจัดงานฯ ในวันที่ 11 เมษายน 2562 โดยจะถ่ายทอดสดจาก 24 ประเทศทั่วโลก ประเทศละ 1 ชั่วโมง และประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศดังกล่าวด้วย สําหรับรูปแบบการจัดงานและสถานที่ถ่ายทําจะแสดงออกถึงความเป็นไทย รมว.แรงงาน กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศกลุ่มแรกในอาเซียนที่อยู่ในฐานะสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง ILO และได้เป็นสมาชิก ILO มาครบ 100 ปี กระทรวงแรงงานจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะให้การสนับสนุนกิจกรรมดังกล่าว ซึ่งประโยชน์ที่จะได้รับจากการจัดกิจกรรมจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาประเทศได้ว่า ประเทศไทยได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบของ ILO อย่างเคร่งครัด และแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการดําเนินงานด้านการแก้ปัญหาแรงงานภายในประเทศอย่างจริงจัง +++++++++++++++++++++++
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12784
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตรวจเยี่ยม สทศ.-สมศ.
วันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2562 ตรวจเยี่ยม สทศ.-สมศ. คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายณรงค์ ดูดิง ที่ปรึกษา รมช.ศธ. นางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ และคณะ ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการทดสอบระดับชาติ และการประเมินผลการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียนอย่างมีคุณภาพ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2562 คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายณรงค์ ดูดิง ที่ปรึกษา รมช.ศธ. นางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ และคณะ ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการทดสอบระดับชาติ และการประเมินผลการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียนอย่างมีคุณภาพ ณ อาคารพญาไทพลาซ่า เขตราชเทวี กรุงเทพฯ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า เมื่อมารับตําแหน่งก็พยายามที่จะพบปะและหารือการดําเนินงานของหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบ รวมทั้ง สทศ. และ สมศ. โดยใช้หลักคิดในการกํากับดูแล 4 ประการ คือ 1) ความซื่อสัตย์สุจริต 2) ความโปร่งใส 3) การบริหารงาน ที่มุ่งผลสําเร็จในเชิงประสิทธิภาพและประสิทธิผล และ 4) การดําเนินงานตามหลักการของกฎหมาย จึงขอฝากผู้บริหารทุกท่านถือปฏิบัติในทิศทางเดียวกันด้วย โดยในส่วนของนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ศธ. คือ การเตรียมคนสู่ศตวรรษที่ 21 อย่างมีคุณภาพ ในระยะเร่งด่วน 1 ปี ได้แก่ การผลักดันหลักสูตรโค้ดดิ้ง (Coding), การยกระดับวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี ตลอดจนการส่งเสิรมการอ่านการเขียนให้แก่ประชาชน และการส่งเสริมจิตอาสา ตามแนวพระราชดําริของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงฝากผู้บริหารช่วยขับเคลื่อนทั้ง 4 งาน ตามแนวนโยบายนี้ด้วย - เวลา 14.00 น. ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) โดยมีคณะกรรมการบริหาร และบุคลากร สทศ. ให้การต้อนรับ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวถึง สทศ. ซึ่งเป็นหน่วยงานทดสอบระดับชาติ ว่า การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ทั้งระดับประถมศึกษาปีที่ 6 และมัธยมศึกษาปีที่ 3, 6 ควรเตรียมเชื่อมโยงเนื้อหา Coding กับการทดสอบ หลังจากที่มีการกําหนดเรื่องนี้ไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้วด้วย เพื่อให้มีการพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะคิดวิเคราะห์ ความคิดรวบยอด ซึ่งเป็นสมรรถนะที่จําเป็น และเป็นความต้องการของโลกในอนาคต ส่วนการดําเนินงานของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี (วษท.) เตรียมจะยกระดับให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของเกษตรกร ที่จะช่วยในการ Upskill - Reskill สร้างความรู้และรายได้ต่อไป เช่นเดียวกับ การส่งเสริมการใช้ภาษาไทยของประชาชน การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และการเป็นจิตอาสาช่วยเหลือสังคม ที่จะต้องได้รับความร่วมมือของทุกคน เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในเวลา 1 ปีต่อจากนี้ - จากนั้นเวลา 15.00 น. ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของ สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) รมช.ศึกษาธิการ กล่าวภายหลังเยี่ยมชมการดําเนินงานของ สมศ. ว่า ขอให้ สมศ. ทําหน้าที่ประเมินคุณภาพการศึกษา เพื่อการพัฒนาปรับปรุงที่ดีขึ้นอย่างเต็มที่ และถูกต้องมากที่สุด และฝากคิดแนวทางที่จะทําอย่างไร ให้การประกันคุณภาพการศึกษา เป็นเครื่องชี้วัดคุณภาพของผู้เรียน ที่มีความรู้ความสามารถ ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ในขณะเดียวกัน ก็สามารถวัดความพึงพอใจของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งสถานศึกษา ผู้เรียน และผู้ปกครอง เพื่อนําไปพัฒนาปรับปรุงงาน ที่จะก่อให้เกิดความสุขจากผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่ดีขึ้น เด็กเยาวชนอยู่รอดในสังคม และสร้างความเจริญแก่ประเทศได้ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า ในเรื่องของกฎหมาย ทั้งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 พระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) พ.ศ.2561 และกฎกระทรวงการประกันคุณการศึกษา พ.ศ.2561 ควรมีการตั้งคณะกรรมการ ที่ประกอบด้วยทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือร่วมกันถึงแนวทางการประเมินผลการศึกษาอย่างรอบด้านที่ชัดเจน ส่งผลให้ สมศ. เป็นองค์กรที่สามารถยกระดับการศึกษาของประเทศ ให้เป็นที่ยอมรับอย่างมีมาตรฐานต่อไป นวรัตน์ รามสูต/ณรีรัตน์ บุญหลัง: สรุป นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.:รายงาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตรวจเยี่ยม สทศ.-สมศ. วันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2562 ตรวจเยี่ยม สทศ.-สมศ. คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายณรงค์ ดูดิง ที่ปรึกษา รมช.ศธ. นางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ และคณะ ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการทดสอบระดับชาติ และการประเมินผลการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียนอย่างมีคุณภาพ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2562 คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายณรงค์ ดูดิง ที่ปรึกษา รมช.ศธ. นางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ และคณะ ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการทดสอบระดับชาติ และการประเมินผลการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียนอย่างมีคุณภาพ ณ อาคารพญาไทพลาซ่า เขตราชเทวี กรุงเทพฯ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า เมื่อมารับตําแหน่งก็พยายามที่จะพบปะและหารือการดําเนินงานของหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบ รวมทั้ง สทศ. และ สมศ. โดยใช้หลักคิดในการกํากับดูแล 4 ประการ คือ 1) ความซื่อสัตย์สุจริต 2) ความโปร่งใส 3) การบริหารงาน ที่มุ่งผลสําเร็จในเชิงประสิทธิภาพและประสิทธิผล และ 4) การดําเนินงานตามหลักการของกฎหมาย จึงขอฝากผู้บริหารทุกท่านถือปฏิบัติในทิศทางเดียวกันด้วย โดยในส่วนของนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ศธ. คือ การเตรียมคนสู่ศตวรรษที่ 21 อย่างมีคุณภาพ ในระยะเร่งด่วน 1 ปี ได้แก่ การผลักดันหลักสูตรโค้ดดิ้ง (Coding), การยกระดับวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี ตลอดจนการส่งเสิรมการอ่านการเขียนให้แก่ประชาชน และการส่งเสริมจิตอาสา ตามแนวพระราชดําริของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงฝากผู้บริหารช่วยขับเคลื่อนทั้ง 4 งาน ตามแนวนโยบายนี้ด้วย - เวลา 14.00 น. ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) โดยมีคณะกรรมการบริหาร และบุคลากร สทศ. ให้การต้อนรับ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวถึง สทศ. ซึ่งเป็นหน่วยงานทดสอบระดับชาติ ว่า การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ทั้งระดับประถมศึกษาปีที่ 6 และมัธยมศึกษาปีที่ 3, 6 ควรเตรียมเชื่อมโยงเนื้อหา Coding กับการทดสอบ หลังจากที่มีการกําหนดเรื่องนี้ไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้วด้วย เพื่อให้มีการพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะคิดวิเคราะห์ ความคิดรวบยอด ซึ่งเป็นสมรรถนะที่จําเป็น และเป็นความต้องการของโลกในอนาคต ส่วนการดําเนินงานของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี (วษท.) เตรียมจะยกระดับให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของเกษตรกร ที่จะช่วยในการ Upskill - Reskill สร้างความรู้และรายได้ต่อไป เช่นเดียวกับ การส่งเสริมการใช้ภาษาไทยของประชาชน การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และการเป็นจิตอาสาช่วยเหลือสังคม ที่จะต้องได้รับความร่วมมือของทุกคน เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในเวลา 1 ปีต่อจากนี้ - จากนั้นเวลา 15.00 น. ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของ สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) รมช.ศึกษาธิการ กล่าวภายหลังเยี่ยมชมการดําเนินงานของ สมศ. ว่า ขอให้ สมศ. ทําหน้าที่ประเมินคุณภาพการศึกษา เพื่อการพัฒนาปรับปรุงที่ดีขึ้นอย่างเต็มที่ และถูกต้องมากที่สุด และฝากคิดแนวทางที่จะทําอย่างไร ให้การประกันคุณภาพการศึกษา เป็นเครื่องชี้วัดคุณภาพของผู้เรียน ที่มีความรู้ความสามารถ ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ในขณะเดียวกัน ก็สามารถวัดความพึงพอใจของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งสถานศึกษา ผู้เรียน และผู้ปกครอง เพื่อนําไปพัฒนาปรับปรุงงาน ที่จะก่อให้เกิดความสุขจากผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่ดีขึ้น เด็กเยาวชนอยู่รอดในสังคม และสร้างความเจริญแก่ประเทศได้ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า ในเรื่องของกฎหมาย ทั้งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 พระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) พ.ศ.2561 และกฎกระทรวงการประกันคุณการศึกษา พ.ศ.2561 ควรมีการตั้งคณะกรรมการ ที่ประกอบด้วยทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือร่วมกันถึงแนวทางการประเมินผลการศึกษาอย่างรอบด้านที่ชัดเจน ส่งผลให้ สมศ. เป็นองค์กรที่สามารถยกระดับการศึกษาของประเทศ ให้เป็นที่ยอมรับอย่างมีมาตรฐานต่อไป นวรัตน์ รามสูต/ณรีรัตน์ บุญหลัง: สรุป นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.:รายงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22932
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วศ.อว. ร่วมมือ สถาบันสิ่งทอพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้า เพื่อต่อยอดงานวิจัยสู้ไวรัส COVID-19
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563 วศ.อว. ร่วมมือ สถาบันสิ่งทอพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้า เพื่อต่อยอดงานวิจัยสู้ไวรัส COVID-19 วศ.อว. ร่วมมือ สถาบันสิ่งทอพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้า เพื่อต่อยอดงานวิจัยสู้ไวรัส COVID-19 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ พร้อมด้วยผู้บริหารและทีมนักวิทยาศาสตร์ เข้าร่วมหารือในประเด็นการพัฒนาห้องปฏิบัติการทดสอบหน้ากากอนามัย ณ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ (กล้วยน้ําไท) โดยมี ดร.ชาญชัย สิริเกษมเลิศ ผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ และคณะให้การต้อนรับ การหารือในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมมือพัฒนากระบวนการทดสอบมาตรฐานหน้ากากอนามัยแบบผ้า การทําชุดป้องกันเชื้อโรคให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้ป้องกันไวรัส Covid-19 รวมถึงงานวิจัยด้านอื่นๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชน ช่วยลดภาระการทํางานของบุคลากรทางการแพทย์ รวมไปถึงช่วยเหลือภาครัฐในการรับมือกับการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้เข้าศึกษาดูงานด้านผลิตภัณฑ์ผ้าทอเพื่อนําองค์ความรู้ที่ได้ไปพัฒนาและดําเนินงานโครงการส่งเสริมวิสาหกิจรายย่อยเพื่อยกระดับสินค้า OTOP ให้ได้มาตรฐานในพื้นที่ภูมิภาค ณ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยมี นายสุรพล ปลื้มใจ ผู้อํานวยการกองพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน และคณะให้การต้อนรับ ข้อมูลข่าวโดย : กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วศ.อว. ร่วมมือ สถาบันสิ่งทอพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้า เพื่อต่อยอดงานวิจัยสู้ไวรัส COVID-19 วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563 วศ.อว. ร่วมมือ สถาบันสิ่งทอพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้า เพื่อต่อยอดงานวิจัยสู้ไวรัส COVID-19 วศ.อว. ร่วมมือ สถาบันสิ่งทอพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ผ้า เพื่อต่อยอดงานวิจัยสู้ไวรัส COVID-19 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ พร้อมด้วยผู้บริหารและทีมนักวิทยาศาสตร์ เข้าร่วมหารือในประเด็นการพัฒนาห้องปฏิบัติการทดสอบหน้ากากอนามัย ณ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ (กล้วยน้ําไท) โดยมี ดร.ชาญชัย สิริเกษมเลิศ ผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ และคณะให้การต้อนรับ การหารือในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมมือพัฒนากระบวนการทดสอบมาตรฐานหน้ากากอนามัยแบบผ้า การทําชุดป้องกันเชื้อโรคให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้ป้องกันไวรัส Covid-19 รวมถึงงานวิจัยด้านอื่นๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชน ช่วยลดภาระการทํางานของบุคลากรทางการแพทย์ รวมไปถึงช่วยเหลือภาครัฐในการรับมือกับการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้เข้าศึกษาดูงานด้านผลิตภัณฑ์ผ้าทอเพื่อนําองค์ความรู้ที่ได้ไปพัฒนาและดําเนินงานโครงการส่งเสริมวิสาหกิจรายย่อยเพื่อยกระดับสินค้า OTOP ให้ได้มาตรฐานในพื้นที่ภูมิภาค ณ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยมี นายสุรพล ปลื้มใจ ผู้อํานวยการกองพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน และคณะให้การต้อนรับ ข้อมูลข่าวโดย : กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28748
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นสักขีพยานในการรับมอบสุขาเพื่อประชาชน จุดที่ 4 และจุดที่ 5 บริเวณสนามหลวงฝั่งเหนือ
วันอังคารที่ 17 มกราคม 2560 รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นสักขีพยานในการรับมอบสุขาเพื่อประชาชน จุดที่ 4 และจุดที่ 5 บริเวณสนามหลวงฝั่งเหนือ 16 มกราคม 2560 รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นสักขีพยานในการรับมอบสุขาเพื่อประชาชน จุดที่ 4 และจุดที่ 5 บริเวณสนามหลวงฝั่งเหนือ วันที่ 16 มกราคม 2560 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นสักขีพยานในการรับมอบสุขาเพื่อประชาชน จุดที่ 4 และจุดที่ 5 บริเวณสนามหลวงฝั่งเหนือ (ข้างเต๊นท์พักคอย ก. และหลังเต๊นท์พักคอย จ.) จากคุณยุทธนา เจียมตระการ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การบริหาร SCG โดยมีนายภัทรุตม์ ทรรทรานนท์ ปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นผู้รับมอบสุขาเพื่อประชาชนฯ เพื่อรองรับการใช้งานจากประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพและถวายอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นสักขีพยานในการรับมอบสุขาเพื่อประชาชน จุดที่ 4 และจุดที่ 5 บริเวณสนามหลวงฝั่งเหนือ วันอังคารที่ 17 มกราคม 2560 รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นสักขีพยานในการรับมอบสุขาเพื่อประชาชน จุดที่ 4 และจุดที่ 5 บริเวณสนามหลวงฝั่งเหนือ 16 มกราคม 2560 รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นสักขีพยานในการรับมอบสุขาเพื่อประชาชน จุดที่ 4 และจุดที่ 5 บริเวณสนามหลวงฝั่งเหนือ วันที่ 16 มกราคม 2560 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นสักขีพยานในการรับมอบสุขาเพื่อประชาชน จุดที่ 4 และจุดที่ 5 บริเวณสนามหลวงฝั่งเหนือ (ข้างเต๊นท์พักคอย ก. และหลังเต๊นท์พักคอย จ.) จากคุณยุทธนา เจียมตระการ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การบริหาร SCG โดยมีนายภัทรุตม์ ทรรทรานนท์ ปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นผู้รับมอบสุขาเพื่อประชาชนฯ เพื่อรองรับการใช้งานจากประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพและถวายอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1375
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ.กำชับให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีอุบัติเหตุรถชนในกระทรวงสาธารณสุขให้เสร็จสิ้นเร็วที่สุด
วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤศจิกายน 2560 รมว.สธ.กําชับให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีอุบัติเหตุรถชนในกระทรวงสาธารณสุขให้เสร็จสิ้นเร็วที่สุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กําชับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีอุบัติเหตุรถชนรปภ.ในกระทรวงสาธารณสุข ให้ได้ข้อเท็จจริงเบื้องต้นให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อพิจารณาดําเนินการต่อไป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กําชับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีอุบัติเหตุรถชนรปภ.ในกระทรวงสาธารณสุข ให้ได้ข้อเท็จจริงเบื้องต้นให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อพิจารณาดําเนินการต่อไป วันนี้ (16 พฤศจิกายน 2560) ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกรณีอุบัติเหตุรถชนพนักงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ในกระทรวงสาธารณสุข ว่า ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กําชับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่มีนายแพทย์ณัฐวุฒิ ประเสริฐสิริพงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข และนิติกร กลุ่มเสริมสร้างวินัยและคุณธรรม เป็นกรรมการและเลขานุการ เร่งดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุดเนื่องจากอยู่ในความสนใจของสังคม เพื่อนําไปประกอบการพิจารณาดําเนินการต่อไป เช่น เป็นการทําความผิดทางวินัยหรือไม่ เกิดความเสียหายใดแก่ทางราชการซึ่งจะต้องหาผู้รับผิดชอบชดใช้หรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้ไม่มีอํานาจเกี่ยวกับคดีทางอาญา สําหรับจะมีกรณีขับขี่ขณะเมาสุราหรือไม่ คณะกรรมการฯ จะตรวจสอบ โดยอาจนําข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตํารวจมาประกอบการพิจารณา หากพบข้อเท็จจริงว่าเป็นเช่นนั้น จะรายงานให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอํานาจ แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยต่อไป *********************************** 16 พฤศจิกายน 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ.กำชับให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีอุบัติเหตุรถชนในกระทรวงสาธารณสุขให้เสร็จสิ้นเร็วที่สุด วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤศจิกายน 2560 รมว.สธ.กําชับให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีอุบัติเหตุรถชนในกระทรวงสาธารณสุขให้เสร็จสิ้นเร็วที่สุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กําชับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีอุบัติเหตุรถชนรปภ.ในกระทรวงสาธารณสุข ให้ได้ข้อเท็จจริงเบื้องต้นให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อพิจารณาดําเนินการต่อไป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กําชับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีอุบัติเหตุรถชนรปภ.ในกระทรวงสาธารณสุข ให้ได้ข้อเท็จจริงเบื้องต้นให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อพิจารณาดําเนินการต่อไป วันนี้ (16 พฤศจิกายน 2560) ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกรณีอุบัติเหตุรถชนพนักงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ในกระทรวงสาธารณสุข ว่า ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กําชับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่มีนายแพทย์ณัฐวุฒิ ประเสริฐสิริพงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข และนิติกร กลุ่มเสริมสร้างวินัยและคุณธรรม เป็นกรรมการและเลขานุการ เร่งดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุดเนื่องจากอยู่ในความสนใจของสังคม เพื่อนําไปประกอบการพิจารณาดําเนินการต่อไป เช่น เป็นการทําความผิดทางวินัยหรือไม่ เกิดความเสียหายใดแก่ทางราชการซึ่งจะต้องหาผู้รับผิดชอบชดใช้หรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้ไม่มีอํานาจเกี่ยวกับคดีทางอาญา สําหรับจะมีกรณีขับขี่ขณะเมาสุราหรือไม่ คณะกรรมการฯ จะตรวจสอบ โดยอาจนําข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตํารวจมาประกอบการพิจารณา หากพบข้อเท็จจริงว่าเป็นเช่นนั้น จะรายงานให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอํานาจ แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยต่อไป *********************************** 16 พฤศจิกายน 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8129
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559 นายกรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์น้ําท่วมอย่างใกล้ชิด นายกรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์น้ําท่วมอย่างใกล้ชิด วันนี้ (4 ตุลาคม 2559) เวลา 15.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงสถานการณ์น้ําในขณะนี้ว่า รัฐบาลได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากการระบายน้ําออกจากเขื่อน โดยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงไปในพื้นที่เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างใกล้ชิด แต่ขอให้ช่วยกันทําความเข้าใจกับประชาชนว่าช่วงนี้ว่า น้ําฝนภาคเหนือนั้นมีจํานวนมาก ประกอบกับน้ําฝนตกเหนือเขื่อนทําให้ประชาชนอาจจะได้รับผลกระทบ พร้อมกล่าวยืนยันว่าการระบายน้ําออกจากเขื่อนลงในพื้นที่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ สําหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการปล่อยน้ําท่วมพื้นที่การเกษตร และใช้เป็นแก้มลิงในการ กักเก็บน้ํา รัฐบาลเตรียมหามาตรการเยียวยาชดเชย โดยอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา ส่วนประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจะได้รับการเยียวยาตามหลักเกณฑ์การช่วยเหลือของรัฐบาลต่อไป --------------------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559 นายกรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์น้ําท่วมอย่างใกล้ชิด นายกรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์น้ําท่วมอย่างใกล้ชิด วันนี้ (4 ตุลาคม 2559) เวลา 15.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงสถานการณ์น้ําในขณะนี้ว่า รัฐบาลได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากการระบายน้ําออกจากเขื่อน โดยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงไปในพื้นที่เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างใกล้ชิด แต่ขอให้ช่วยกันทําความเข้าใจกับประชาชนว่าช่วงนี้ว่า น้ําฝนภาคเหนือนั้นมีจํานวนมาก ประกอบกับน้ําฝนตกเหนือเขื่อนทําให้ประชาชนอาจจะได้รับผลกระทบ พร้อมกล่าวยืนยันว่าการระบายน้ําออกจากเขื่อนลงในพื้นที่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ สําหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการปล่อยน้ําท่วมพื้นที่การเกษตร และใช้เป็นแก้มลิงในการ กักเก็บน้ํา รัฐบาลเตรียมหามาตรการเยียวยาชดเชย โดยอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา ส่วนประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจะได้รับการเยียวยาตามหลักเกณฑ์การช่วยเหลือของรัฐบาลต่อไป --------------------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/527
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย บรรยายเรื่อง “แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์และพิธีทำน้ำอภิเษก”
วันอังคารที่ 5 มีนาคม 2562 กระทรวงมหาดไทย บรรยายเรื่อง “แหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์และพิธีทําน้ําอภิเษก” กระทรวงมหาดไทย บรรยายเรื่อง “แหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์และพิธีทําน้ําอภิเษก” ในการอบรมเชิงปฏิบัติการงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 วันนี้ (5 มี.ค. 62) เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุม 2 อาคารหอประชุม สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ถ.พหลโยธิน กรุงเทพมหานคร นายพรพจน์ เพ็ญพาสรองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นวิทยากรในการบรรยาย หัวข้อ “แหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์และพิธีทําน้ําอภิเษก” ในการอบรมเชิงปฏิบัติการงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ. 2562 จัดโดย คณะอนุกรรมการด้านสารัตถะและสร้างสรรค์ผลิตสื่อในคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ร่วมกับ กสทช. โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และกรมประชาสัมพันธ์ โดยมี สื่อมวลชนแขนงต่างๆ ได้แก่ สื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุกระจายเสียง สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อออนไลน์ เข้ารับการอบรมจํานวน 120 คน นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามประกาศสํานักพระราชวัง เรื่อง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ลงวันที่ 1 มกราคม 2562 นายกรัฐมนตรีได้มีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการฝ่ายต่างๆ เพื่อช่วยดําเนินการงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธานกรรมการฝ่ายจัดพิธีการงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และได้แต่งตั้งให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานอนุกรรมการฝ่ายจัดทําน้ําอภิเษก ซึ่งได้แต่งตั้งคณะทํางานจํานวน 4 คณะ เพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติในการจัดทําน้ําอภิเษกของจังหวัดให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ ได้แก่ 1) คณะทํางานฝ่ายจัดกระบวนแห่น้ําอภิเษก 2) คณะทํางานฝ่ายจัดทําและเก็บรักษาคนโทน้ําอภิเษก 3) คณะทํางานฝ่ายจัดทําหนังสือที่ระลึกพิธีทําน้ําอภิเษก และ 4) คณะทํางานฝ่ายพิธีเสกน้ําพระพุทธมนต์ สําหรับแหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในการจัดทําน้ําอภิเษก มีจํานวน 108 แหล่งน้ํา ได้แก่ 1) แหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัด 76 จังหวัด รวม 107 แหล่งน้ํา แบ่งเป็น จังหวัดที่มีแหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์ จํานวน 1 แห่ง 60 จังหวัด 60 แหล่งน้ํา จังหวัดที่มีแหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์ จํานวน 2 แห่ง 7 จังหวัด 14 แหล่งน้ํา จังหวัดที่มีแหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์ จํานวน 3 แห่ง 5 จังหวัด 15 แหล่งน้ํา จังหวัดที่มีแหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์ จํานวน 4 แห่ง 3 จังหวัด 12 แหล่งน้ํา จังหวัดที่มีแหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์ จํานวน 6 แหล่งน้ํา 1 จังหวัด โดยทุกจังหวัดเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในพิธีพลีกรรมตักน้ํา 2) แหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์ ณ หอศาสตราคมในพระบรมมหาราชวัง จํานวน 1 แหล่งน้ํา โดยกรุงเทพมหานครเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในพิธีพลีกรรมตักน้ํา นอกจากนี้ มีแหล่งน้ําสรงมุรธาภิเษก จํานวน 9 แหล่งน้ํา ได้แก่ สระศักดิ์สิทธิ์ 4 สระ ของจังหวัดสุพรรณบุรี คือ สระแก้ว สระคา สระยมนา และสระเกษ และน้ําจากแม่น้ําศักดิ์สิทธิ์ 5 สาย คือ แม่น้ําบางปะกง แม่น้ําป่าสัก แม่น้ําเจ้าพระยา แม่น้ําราชบุรี และแม่น้ําเพชรบุรี โดยกระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในพิธีพลีกรรมตักน้ํา ทั้งนี้ จะมีการประกอบพิธีต่างๆ ดังนี้ 1) พิธีพลีกรรมตักน้ํา ในวันเสาร์ที่ 6 เมษายน 2562 2) พิธีทําน้ําอภิเษกของจังหวัด ในระหว่างวันที่ 8 – 9 เมษายน 2562 ณ สถานที่ตามที่จังหวัดกําหนด 3) การเชิญคนโทน้ําอภิเษกของจังหวัดมาเก็บรักษาไว้ที่กระทรวงมหาดไทย ในระหว่างวันที่ 10-11 เมษายน 2562 ยกเว้นกรุงเทพมหานครจะประกอบพิธีพลีกรรมตักน้ํา ณ หอศาสตราคม ในพระบรมหาราชวังในวันที่ 12 เมษายน 2562 พร้อมเชิญคนโทน้ํามาเก็บรักษาไว้ที่กระทรวงมหาดไทย4) จัดริ้วขบวนแห่เชิญคนโทน้ําอภิเษก จากกระทรวงมหาดไทยไปยังวัดสุทัศนเทพวราราม และประกอบพิธีเสกน้ําอภิเษกรวม ณ วิหารหลวง วัดสุทัศนเทพวราราม ในวันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน 2562 และในวันศุกร์ที่ 19 เมษายน 2562 กระทรวงมหาดไทยจะจัดริ้วขบวนแห่เชิญคนโทน้ําอภิเษก จากวัดสุทัศนเทพวราราม ไปยังพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม นายพรพจน์ เพ็ญพาส กล่าวว่า ในด้านการเตรียมแหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์และสถานที่ประกอบพิธีทําน้ําอภิเษก ทั่วประเทศ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบนโยบายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมในการจัดทําน้ําอภิเษกในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ทั้งในด้านแหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัด ด้านพิธีพลีกรรมตักน้ํา ด้านพิธีทําน้ําอภิเษก และด้านการเชิญคนโทน้ําอภิเษก เพื่อให้พิธีเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย บรรยายเรื่อง “แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์และพิธีทำน้ำอภิเษก” วันอังคารที่ 5 มีนาคม 2562 กระทรวงมหาดไทย บรรยายเรื่อง “แหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์และพิธีทําน้ําอภิเษก” กระทรวงมหาดไทย บรรยายเรื่อง “แหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์และพิธีทําน้ําอภิเษก” ในการอบรมเชิงปฏิบัติการงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 วันนี้ (5 มี.ค. 62) เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุม 2 อาคารหอประชุม สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ถ.พหลโยธิน กรุงเทพมหานคร นายพรพจน์ เพ็ญพาสรองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นวิทยากรในการบรรยาย หัวข้อ “แหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์และพิธีทําน้ําอภิเษก” ในการอบรมเชิงปฏิบัติการงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ. 2562 จัดโดย คณะอนุกรรมการด้านสารัตถะและสร้างสรรค์ผลิตสื่อในคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ร่วมกับ กสทช. โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และกรมประชาสัมพันธ์ โดยมี สื่อมวลชนแขนงต่างๆ ได้แก่ สื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุกระจายเสียง สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อออนไลน์ เข้ารับการอบรมจํานวน 120 คน นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามประกาศสํานักพระราชวัง เรื่อง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ลงวันที่ 1 มกราคม 2562 นายกรัฐมนตรีได้มีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการฝ่ายต่างๆ เพื่อช่วยดําเนินการงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธานกรรมการฝ่ายจัดพิธีการงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และได้แต่งตั้งให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานอนุกรรมการฝ่ายจัดทําน้ําอภิเษก ซึ่งได้แต่งตั้งคณะทํางานจํานวน 4 คณะ เพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติในการจัดทําน้ําอภิเษกของจังหวัดให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ ได้แก่ 1) คณะทํางานฝ่ายจัดกระบวนแห่น้ําอภิเษก 2) คณะทํางานฝ่ายจัดทําและเก็บรักษาคนโทน้ําอภิเษก 3) คณะทํางานฝ่ายจัดทําหนังสือที่ระลึกพิธีทําน้ําอภิเษก และ 4) คณะทํางานฝ่ายพิธีเสกน้ําพระพุทธมนต์ สําหรับแหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในการจัดทําน้ําอภิเษก มีจํานวน 108 แหล่งน้ํา ได้แก่ 1) แหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัด 76 จังหวัด รวม 107 แหล่งน้ํา แบ่งเป็น จังหวัดที่มีแหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์ จํานวน 1 แห่ง 60 จังหวัด 60 แหล่งน้ํา จังหวัดที่มีแหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์ จํานวน 2 แห่ง 7 จังหวัด 14 แหล่งน้ํา จังหวัดที่มีแหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์ จํานวน 3 แห่ง 5 จังหวัด 15 แหล่งน้ํา จังหวัดที่มีแหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์ จํานวน 4 แห่ง 3 จังหวัด 12 แหล่งน้ํา จังหวัดที่มีแหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์ จํานวน 6 แหล่งน้ํา 1 จังหวัด โดยทุกจังหวัดเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในพิธีพลีกรรมตักน้ํา 2) แหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์ ณ หอศาสตราคมในพระบรมมหาราชวัง จํานวน 1 แหล่งน้ํา โดยกรุงเทพมหานครเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในพิธีพลีกรรมตักน้ํา นอกจากนี้ มีแหล่งน้ําสรงมุรธาภิเษก จํานวน 9 แหล่งน้ํา ได้แก่ สระศักดิ์สิทธิ์ 4 สระ ของจังหวัดสุพรรณบุรี คือ สระแก้ว สระคา สระยมนา และสระเกษ และน้ําจากแม่น้ําศักดิ์สิทธิ์ 5 สาย คือ แม่น้ําบางปะกง แม่น้ําป่าสัก แม่น้ําเจ้าพระยา แม่น้ําราชบุรี และแม่น้ําเพชรบุรี โดยกระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในพิธีพลีกรรมตักน้ํา ทั้งนี้ จะมีการประกอบพิธีต่างๆ ดังนี้ 1) พิธีพลีกรรมตักน้ํา ในวันเสาร์ที่ 6 เมษายน 2562 2) พิธีทําน้ําอภิเษกของจังหวัด ในระหว่างวันที่ 8 – 9 เมษายน 2562 ณ สถานที่ตามที่จังหวัดกําหนด 3) การเชิญคนโทน้ําอภิเษกของจังหวัดมาเก็บรักษาไว้ที่กระทรวงมหาดไทย ในระหว่างวันที่ 10-11 เมษายน 2562 ยกเว้นกรุงเทพมหานครจะประกอบพิธีพลีกรรมตักน้ํา ณ หอศาสตราคม ในพระบรมหาราชวังในวันที่ 12 เมษายน 2562 พร้อมเชิญคนโทน้ํามาเก็บรักษาไว้ที่กระทรวงมหาดไทย4) จัดริ้วขบวนแห่เชิญคนโทน้ําอภิเษก จากกระทรวงมหาดไทยไปยังวัดสุทัศนเทพวราราม และประกอบพิธีเสกน้ําอภิเษกรวม ณ วิหารหลวง วัดสุทัศนเทพวราราม ในวันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน 2562 และในวันศุกร์ที่ 19 เมษายน 2562 กระทรวงมหาดไทยจะจัดริ้วขบวนแห่เชิญคนโทน้ําอภิเษก จากวัดสุทัศนเทพวราราม ไปยังพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม นายพรพจน์ เพ็ญพาส กล่าวว่า ในด้านการเตรียมแหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์และสถานที่ประกอบพิธีทําน้ําอภิเษก ทั่วประเทศ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบนโยบายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมในการจัดทําน้ําอภิเษกในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ทั้งในด้านแหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัด ด้านพิธีพลีกรรมตักน้ํา ด้านพิธีทําน้ําอภิเษก และด้านการเชิญคนโทน้ําอภิเษก เพื่อให้พิธีเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19139
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. ออมสินฯ รับมอบเงินจากกลุ่มรวมพลังใจ พลังที่มาจากใจ ช่วยพี่น้องประสบภัยน้ำท่วม
วันพฤหัสบดีที่ 14 กันยายน 2560 รมต.นร. ออมสินฯ รับมอบเงินจากกลุ่มรวมพลังใจ พลังที่มาจากใจ ช่วยพี่น้องประสบภัยน้ําท่วม รมต.นร. ออมสินฯ รับมอบเงินจากกลุ่มรวมพลังใจ พลังที่มาจากใจ ช่วยพี่น้องประสบภัยน้ําท่วม จํานวน 501,107 บาท วันนี้ (14 ก.ย. 60) เวลา 09.30 น. ณ ศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงิน จํานวน 501,107 บาท จากร้อยโทหญิงพิมดาว พานิชสมัย ที่อาสาชักชวนเพื่อนศิลปินดาราร่วมวงการ จัดโครงการพิเศษ“พลังใจ”#พลังที่มาจากใจ เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม 2560 ณไลฟ์สไตล์ ฮอลล์ ชั้น2ศูนย์การค้าสยามพารากอน ที่ผ่านมาเพื่อนําเงินไปช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสกลนครและจังหวัดใกล้เคียง ผ่านกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรีต่อไป โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณสําหรับน้ําใจของคณะบุคคลที่ได้ร่วมบริจาคผ่านโครงการพิเศษดังกล่าว พร้อมกล่าวว่า จะนําเงินที่ได้รับมอบครั้งนี้เข้ากองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามวัตถุประสงค์ของผู้มอบต่อไป ............................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. ออมสินฯ รับมอบเงินจากกลุ่มรวมพลังใจ พลังที่มาจากใจ ช่วยพี่น้องประสบภัยน้ำท่วม วันพฤหัสบดีที่ 14 กันยายน 2560 รมต.นร. ออมสินฯ รับมอบเงินจากกลุ่มรวมพลังใจ พลังที่มาจากใจ ช่วยพี่น้องประสบภัยน้ําท่วม รมต.นร. ออมสินฯ รับมอบเงินจากกลุ่มรวมพลังใจ พลังที่มาจากใจ ช่วยพี่น้องประสบภัยน้ําท่วม จํานวน 501,107 บาท วันนี้ (14 ก.ย. 60) เวลา 09.30 น. ณ ศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงิน จํานวน 501,107 บาท จากร้อยโทหญิงพิมดาว พานิชสมัย ที่อาสาชักชวนเพื่อนศิลปินดาราร่วมวงการ จัดโครงการพิเศษ“พลังใจ”#พลังที่มาจากใจ เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม 2560 ณไลฟ์สไตล์ ฮอลล์ ชั้น2ศูนย์การค้าสยามพารากอน ที่ผ่านมาเพื่อนําเงินไปช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสกลนครและจังหวัดใกล้เคียง ผ่านกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรีต่อไป โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณสําหรับน้ําใจของคณะบุคคลที่ได้ร่วมบริจาคผ่านโครงการพิเศษดังกล่าว พร้อมกล่าวว่า จะนําเงินที่ได้รับมอบครั้งนี้เข้ากองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามวัตถุประสงค์ของผู้มอบต่อไป ............................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6671
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ลงพื้นที่ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจในพื้นที่ จ.นนทบุรี และ จ.ปทุมธานี วอนประชาชนร่วมมือ ไม่ฝ่าฝืนเคอร์ฟิว ยับยั้งการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19
วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563 รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ลงพื้นที่ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ประจําจุดตรวจในพื้นที่ จ.นนทบุรี และ จ.ปทุมธานี วอนประชาชนร่วมมือ ไม่ฝ่าฝืนเคอร์ฟิว ยับยั้งการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ลงพื้นที่ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ประจําจุดตรวจในพื้นที่ จ.นนทบุรี และ จ.ปทุมธานี วอนประชาชนร่วมมือ ไม่ฝ่าฝืนเคอร์ฟิว ยับยั้งการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 วันนี้ (16 เมษายน 2563) เวลา 22.00 น. นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายณัฎฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานช่วงเคอร์ฟิว จ.นนทบุรี และ จ.ปทุมธานี ซึ่งพบว่าเป็นจุดที่มีการสัญจรอย่างคับคั่ง รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปยังจุดตรวจ ถนน 340 (ขาออก) ตั้งอยู่บริเวณหน้า อบต.ไทรใหญ่ ตําบลไทรน้อย อําเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี มีกําลังเจ้าหน้าที่ประจําจุด จํานวน 41 นาย ซึ่งบูรณาการการทํางานร่วมกันระหว่าง เจ้าหน้าที่ตํารวจ 18 นาย เจ้าหน้าที่ทหาร 2 นาย เจ้าหน้าที่ปกครอง 12 นาย เจ้าหน้าที่สาธารณสุข 5 นาย เจ้าหน้าที่ขนส่ง 3 นาย และ อาสาสมัคร 1 นาย จากนั้น รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปยัง จุดตรวจ ถนน พหลโยธิน (ขาออก) หน้าห้างเทสโกโลตัส ตําบลคลองหนึ่ง อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี มีกําลังเจ้าหน้าที่ประจําจุด จํานวน 114 นาย ซึ่งบูรณาการการทํางานร่วมกันระหว่าง เจ้าหน้าที่ตํารวจ 36 นาย เจ้าหน้าที่ปกครอง 45 นาย เจ้าหน้าที่สาธารณสุข 18 นาย เจ้าหน้าที่ขนส่ง 6 นาย และอาสาสมัคร 9 นาย ภายหลังการตรวจเยี่ยมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ประจําจุดตรวจทั้งสองแห่ง รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้มอบเครื่องดื่มบํารุงกําลัง เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจให้เจ้าหน้าที่ พร้อมแสดงความห่วงใยในการปฏิบัติหน้าที่ และขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนปลอดภัย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้ได้มาเห็นการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่หลายฝ่าย ที่มาทํางานร่วมกันเพื่อดูแลประชาชน สถานการณ์โดยทั่วไปพบว่ามีการกระทําผิดน้อยลง และได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี จะเห็นได้ว่าสถานการณ์ผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ลดลงเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งมาจากการที่รัฐบาลประกาศเคอร์ฟิว โดยห้ามออกจากบ้าน เคหสถานทั่วประเทศในช่วงเวลา 22.00 น. ถึง 04.00 น. เว้นแต่มีความจําเป็น หรือเป็นผู้ที่ประกอบอาชีพที่ได้รับการยกเว้นเท่านั้น ผู้ใดฝ่าฝืนข้อกําหนด หรือคําสั่ง ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ จึงขอให้ประชาชนปฏิบัติตามและให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ เพื่อให้สถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลายโดยเร็ว .................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ลงพื้นที่ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจในพื้นที่ จ.นนทบุรี และ จ.ปทุมธานี วอนประชาชนร่วมมือ ไม่ฝ่าฝืนเคอร์ฟิว ยับยั้งการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563 รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ลงพื้นที่ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ประจําจุดตรวจในพื้นที่ จ.นนทบุรี และ จ.ปทุมธานี วอนประชาชนร่วมมือ ไม่ฝ่าฝืนเคอร์ฟิว ยับยั้งการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ลงพื้นที่ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ประจําจุดตรวจในพื้นที่ จ.นนทบุรี และ จ.ปทุมธานี วอนประชาชนร่วมมือ ไม่ฝ่าฝืนเคอร์ฟิว ยับยั้งการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 วันนี้ (16 เมษายน 2563) เวลา 22.00 น. นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายณัฎฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานช่วงเคอร์ฟิว จ.นนทบุรี และ จ.ปทุมธานี ซึ่งพบว่าเป็นจุดที่มีการสัญจรอย่างคับคั่ง รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปยังจุดตรวจ ถนน 340 (ขาออก) ตั้งอยู่บริเวณหน้า อบต.ไทรใหญ่ ตําบลไทรน้อย อําเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี มีกําลังเจ้าหน้าที่ประจําจุด จํานวน 41 นาย ซึ่งบูรณาการการทํางานร่วมกันระหว่าง เจ้าหน้าที่ตํารวจ 18 นาย เจ้าหน้าที่ทหาร 2 นาย เจ้าหน้าที่ปกครอง 12 นาย เจ้าหน้าที่สาธารณสุข 5 นาย เจ้าหน้าที่ขนส่ง 3 นาย และ อาสาสมัคร 1 นาย จากนั้น รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปยัง จุดตรวจ ถนน พหลโยธิน (ขาออก) หน้าห้างเทสโกโลตัส ตําบลคลองหนึ่ง อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี มีกําลังเจ้าหน้าที่ประจําจุด จํานวน 114 นาย ซึ่งบูรณาการการทํางานร่วมกันระหว่าง เจ้าหน้าที่ตํารวจ 36 นาย เจ้าหน้าที่ปกครอง 45 นาย เจ้าหน้าที่สาธารณสุข 18 นาย เจ้าหน้าที่ขนส่ง 6 นาย และอาสาสมัคร 9 นาย ภายหลังการตรวจเยี่ยมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ประจําจุดตรวจทั้งสองแห่ง รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้มอบเครื่องดื่มบํารุงกําลัง เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจให้เจ้าหน้าที่ พร้อมแสดงความห่วงใยในการปฏิบัติหน้าที่ และขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนปลอดภัย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้ได้มาเห็นการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่หลายฝ่าย ที่มาทํางานร่วมกันเพื่อดูแลประชาชน สถานการณ์โดยทั่วไปพบว่ามีการกระทําผิดน้อยลง และได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี จะเห็นได้ว่าสถานการณ์ผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ลดลงเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งมาจากการที่รัฐบาลประกาศเคอร์ฟิว โดยห้ามออกจากบ้าน เคหสถานทั่วประเทศในช่วงเวลา 22.00 น. ถึง 04.00 น. เว้นแต่มีความจําเป็น หรือเป็นผู้ที่ประกอบอาชีพที่ได้รับการยกเว้นเท่านั้น ผู้ใดฝ่าฝืนข้อกําหนด หรือคําสั่ง ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ จึงขอให้ประชาชนปฏิบัติตามและให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ เพื่อให้สถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลายโดยเร็ว .................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29235
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. มุ่งคุ้มครองแรงงานสอดคล้องสากล เน้นทำความเข้าใจภาคสังคม
วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2561 กสร. มุ่งคุ้มครองแรงงานสอดคล้องสากล เน้นทําความเข้าใจภาคสังคม กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ชูบทบาทคุ้มครองแรงงานสอดคล้องมาตรฐานสากล เสริมประสิทธิภาพเจ้าหน้าที่ทําความเข้าใจภาคสังคม เน้นทันสถานการณ์ด้านแรงงานระหว่างประเทศ พร้อมร่วมมือปฏิบัติตามกฎหมาย กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ชูบทบาทคุ้มครองแรงงานสอดคล้องมาตรฐานสากล เสริมประสิทธิภาพเจ้าหน้าที่ทําความเข้าใจภาคสังคม เน้นทันสถานการณ์ด้านแรงงานระหว่างประเทศ พร้อมร่วมมือปฏิบัติตามกฎหมาย นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า บทบาทการดําเนินงานของกสร. ไม่ได้มีขอบเขตเฉพาะบริบททางสังคมและแรงงานภายในประเทศเท่านั้น แต่ต้องคํานึงมาตรฐาน หลักการสากลด้านแรงงาน รวมไปถึงประเด็นการค้าระหว่างประเทศที่หยิบยกประเด็นเรื่องสิทธิแรงงานมาเป็นเครื่องมือในการกีดกันทางการค้า ซึ่งที่ผ่านมา กสร. ได้ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับอนุสัญญาและข้อแนะขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือ ILO รวมทั้งได้กําหนดนโยบายและแนวทางการปฏิบัติงานเพื่อป้องกันและแก้ไขการละเมิดสิทธิด้านแรงงานมาอย่างต่อเนื่อง แต่ความสําคัญของการดําเนินการดังกล่าวอยู่ที่ต้องทําความเข้าใจกับภาคสังคมเพื่อให้เกิดการรับรู้ และร่วมมือในการปฏิบัติจึงจะทําให้การยกระดับการคุ้มครองสิทธิแรงงานก้าวเข้าสู่มาตรฐานสากลได้อย่างแท้จริง อธิบดี กล่าวต่อไปว่า เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการดําเนินการในเรื่องดังกล่าว กสร. จึงได้จัดอบรมให้ความรู้เรื่องสถานการณ์ระหว่างประเทศกับการปฏิบัติงานของกสร. ให้กับเจ้าหน้าที่ในหน่วยปฏิบัติ โดยมุ่งหวังให้มีความเข้าใจในเรื่องของมาตรฐานแรงงานสากล สถานการณ์ด้านแรงงานและการแข่งขันในเวทีการค้าโลก ตลอดจนสามารถถ่ายทอดให้แก่นายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ที่เกี่ยวข้องได้มีความรู้ความเข้าใจ และปรับตัวได้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งได้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 มีนาคม 2561 มีเจ้าหน้าที่เข้าร่วมกว่า 50 คน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. มุ่งคุ้มครองแรงงานสอดคล้องสากล เน้นทำความเข้าใจภาคสังคม วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2561 กสร. มุ่งคุ้มครองแรงงานสอดคล้องสากล เน้นทําความเข้าใจภาคสังคม กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ชูบทบาทคุ้มครองแรงงานสอดคล้องมาตรฐานสากล เสริมประสิทธิภาพเจ้าหน้าที่ทําความเข้าใจภาคสังคม เน้นทันสถานการณ์ด้านแรงงานระหว่างประเทศ พร้อมร่วมมือปฏิบัติตามกฎหมาย กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ชูบทบาทคุ้มครองแรงงานสอดคล้องมาตรฐานสากล เสริมประสิทธิภาพเจ้าหน้าที่ทําความเข้าใจภาคสังคม เน้นทันสถานการณ์ด้านแรงงานระหว่างประเทศ พร้อมร่วมมือปฏิบัติตามกฎหมาย นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า บทบาทการดําเนินงานของกสร. ไม่ได้มีขอบเขตเฉพาะบริบททางสังคมและแรงงานภายในประเทศเท่านั้น แต่ต้องคํานึงมาตรฐาน หลักการสากลด้านแรงงาน รวมไปถึงประเด็นการค้าระหว่างประเทศที่หยิบยกประเด็นเรื่องสิทธิแรงงานมาเป็นเครื่องมือในการกีดกันทางการค้า ซึ่งที่ผ่านมา กสร. ได้ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับอนุสัญญาและข้อแนะขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือ ILO รวมทั้งได้กําหนดนโยบายและแนวทางการปฏิบัติงานเพื่อป้องกันและแก้ไขการละเมิดสิทธิด้านแรงงานมาอย่างต่อเนื่อง แต่ความสําคัญของการดําเนินการดังกล่าวอยู่ที่ต้องทําความเข้าใจกับภาคสังคมเพื่อให้เกิดการรับรู้ และร่วมมือในการปฏิบัติจึงจะทําให้การยกระดับการคุ้มครองสิทธิแรงงานก้าวเข้าสู่มาตรฐานสากลได้อย่างแท้จริง อธิบดี กล่าวต่อไปว่า เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการดําเนินการในเรื่องดังกล่าว กสร. จึงได้จัดอบรมให้ความรู้เรื่องสถานการณ์ระหว่างประเทศกับการปฏิบัติงานของกสร. ให้กับเจ้าหน้าที่ในหน่วยปฏิบัติ โดยมุ่งหวังให้มีความเข้าใจในเรื่องของมาตรฐานแรงงานสากล สถานการณ์ด้านแรงงานและการแข่งขันในเวทีการค้าโลก ตลอดจนสามารถถ่ายทอดให้แก่นายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ที่เกี่ยวข้องได้มีความรู้ความเข้าใจ และปรับตัวได้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งได้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 มีนาคม 2561 มีเจ้าหน้าที่เข้าร่วมกว่า 50 คน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10884
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผุ้ตรวจฯ ภานุวัฒน์ ตรวจเยี่ยมโรงไฟฟ้า จ.อุดรธานี
วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562 ผุ้ตรวจฯ ภานุวัฒน์ ตรวจเยี่ยมโรงไฟฟ้า จ.อุดรธานี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ จ.อุดรธานี เข้าตรวจเยี่ยมบริษัท บัวสมหมายไบโอแมส จํากัด วันที่ 1 กันยายน 2562 เวลา 13.00 น. นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ จ.อุดรธานี เข้าตรวจเยี่ยมบริษัท บัวสมหมายไบโอแมส จํากัด ซึ่งดําเนินกิจการผลิตไฟฟ้าจากวัสดุชีวมวล เช่น แกลบ เปลือกไม้ยางพารา โดยมีนางสาวพิราพร สมทรัพย์ ผู้จัดการทั่วไป และเจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานี ให้การต้อนรับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผุ้ตรวจฯ ภานุวัฒน์ ตรวจเยี่ยมโรงไฟฟ้า จ.อุดรธานี วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562 ผุ้ตรวจฯ ภานุวัฒน์ ตรวจเยี่ยมโรงไฟฟ้า จ.อุดรธานี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ จ.อุดรธานี เข้าตรวจเยี่ยมบริษัท บัวสมหมายไบโอแมส จํากัด วันที่ 1 กันยายน 2562 เวลา 13.00 น. นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ จ.อุดรธานี เข้าตรวจเยี่ยมบริษัท บัวสมหมายไบโอแมส จํากัด ซึ่งดําเนินกิจการผลิตไฟฟ้าจากวัสดุชีวมวล เช่น แกลบ เปลือกไม้ยางพารา โดยมีนางสาวพิราพร สมทรัพย์ ผู้จัดการทั่วไป และเจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานี ให้การต้อนรับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22719
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สธ." เน้นย้ำประชาชนเฝ้าระวังฝุ่น PM2.5 แนะสวมหน้ากาก N95 ป้องกัน โหลดแอพ Air4thai เพื่อเกาะติดสถานการณ์
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2562 "สธ." เน้นย้ําประชาชนเฝ้าระวังฝุ่น PM2.5 แนะสวมหน้ากาก N95 ป้องกัน โหลดแอพ Air4thai เพื่อเกาะติดสถานการณ์ "สธ." เน้นย้ําประชาชนเฝ้าระวังฝุ่น PM2.5 แนะสวมหน้ากาก N95 ป้องกัน โหลดแอพ Air4thai เพื่อเกาะติดสถานการณ์ น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่มีค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐานในบางพื้นที่ของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รอง นรม. และรมว.สาธารณสุข(สธ.) มีความเป็นห่วงพี่น้องประชาชน จากสภาพอากาศที่เริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพ จึงขอให้ประชาชนในพื้นที่ปฏิบัติตามคําแนะนําในการป้องกันตนเองที่ถูกต้อง ด้วยการตรวจเช็คคุณภาพอากาศ PM2.5 ผ่านแอพพลิเคชั่น Air4thai หรือติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศทางเว็บไซต์กรมควบคุมมลพิษ หรือจากเฟซบุ๊กเพจ “คนรักอนามัย ใส่ใจอากาศ PM2.5” ของกระทรวงสาธารณสุข โดยให้สังเกตที่สีเป็นหลัก หากเป็นสีส้มและสีแดง ซึ่งเป็นค่าฝุ่นละอองที่เกินมาตรฐาน และมีผลกระทบต่อสุขภาพควรปฏิบัติตนตามคําแนะนําอย่างเคร่งครัด น.ส.ไตรศุลี กล่าวด้วยว่า ผู้อยู่ในกลุ่มกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ หอบหืด เยื่อบุตาอักเสบ หัวใจและหลอดเลือด ผู้ที่ทํางานอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานานหรืออาศัยในพื้นที่เสี่ยง ควรปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด งดกิจกรรมหรือออกกําลังกายกลางแจ้ง สําหรับผู้ที่มีโรคประจําตัวควรเตรียมยาและอุปกรณ์ที่จําเป็นให้พร้อม ให้สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากาก N95 โดยต้องใส่ให้ถูกวิธีด้วย ที่สําคัญไม่ควรสวมใส่หน้ากากทุกชนิดในขณะที่ออกกําลังกายอย่างเด็ดขาด เพราะจะส่งผลให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดทํางานหนักมากขึ้นและเป็นอันตรายได้ ทั้งนี้ ขอให้ติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศอย่างต่อเนื่องด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สธ." เน้นย้ำประชาชนเฝ้าระวังฝุ่น PM2.5 แนะสวมหน้ากาก N95 ป้องกัน โหลดแอพ Air4thai เพื่อเกาะติดสถานการณ์ วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2562 "สธ." เน้นย้ําประชาชนเฝ้าระวังฝุ่น PM2.5 แนะสวมหน้ากาก N95 ป้องกัน โหลดแอพ Air4thai เพื่อเกาะติดสถานการณ์ "สธ." เน้นย้ําประชาชนเฝ้าระวังฝุ่น PM2.5 แนะสวมหน้ากาก N95 ป้องกัน โหลดแอพ Air4thai เพื่อเกาะติดสถานการณ์ น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่มีค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐานในบางพื้นที่ของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รอง นรม. และรมว.สาธารณสุข(สธ.) มีความเป็นห่วงพี่น้องประชาชน จากสภาพอากาศที่เริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพ จึงขอให้ประชาชนในพื้นที่ปฏิบัติตามคําแนะนําในการป้องกันตนเองที่ถูกต้อง ด้วยการตรวจเช็คคุณภาพอากาศ PM2.5 ผ่านแอพพลิเคชั่น Air4thai หรือติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศทางเว็บไซต์กรมควบคุมมลพิษ หรือจากเฟซบุ๊กเพจ “คนรักอนามัย ใส่ใจอากาศ PM2.5” ของกระทรวงสาธารณสุข โดยให้สังเกตที่สีเป็นหลัก หากเป็นสีส้มและสีแดง ซึ่งเป็นค่าฝุ่นละอองที่เกินมาตรฐาน และมีผลกระทบต่อสุขภาพควรปฏิบัติตนตามคําแนะนําอย่างเคร่งครัด น.ส.ไตรศุลี กล่าวด้วยว่า ผู้อยู่ในกลุ่มกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ หอบหืด เยื่อบุตาอักเสบ หัวใจและหลอดเลือด ผู้ที่ทํางานอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานานหรืออาศัยในพื้นที่เสี่ยง ควรปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด งดกิจกรรมหรือออกกําลังกายกลางแจ้ง สําหรับผู้ที่มีโรคประจําตัวควรเตรียมยาและอุปกรณ์ที่จําเป็นให้พร้อม ให้สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากาก N95 โดยต้องใส่ให้ถูกวิธีด้วย ที่สําคัญไม่ควรสวมใส่หน้ากากทุกชนิดในขณะที่ออกกําลังกายอย่างเด็ดขาด เพราะจะส่งผลให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดทํางานหนักมากขึ้นและเป็นอันตรายได้ ทั้งนี้ ขอให้ติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศอย่างต่อเนื่องด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24461
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค (ก.บ.ภ.) ครั้งที่ 2/2561
วันพุธที่ 5 กันยายน 2561 ผลการประชุมคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค (ก.บ.ภ.) ครั้งที่ 2/2561 นายกรัฐมนตรีย้ําแผนในการจัดทําโครงการงบประมาณ ต้องสอดคล้องกับแผนแม่บท ยุทธศาสตร์ชาติ ความต้องการของประชาชนและพื้นที่ เพื่อนําไปสู่การปฏิรูปประเทศ และยกระดับประชาชนให้พ้นจากความยากจน วันนี้ (5 ก.ย.61) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค (ก.บ.ภ.) ครั้งที่ 2/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเน้นย้ําถึงการทํางานในห้วงต่อไปว่า แผนในการจัดทําโครงการงบประมาณต้องมีความชัดเจนและง่ายในการบริหาร โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาในภายหลัง รวมทั้งต้องมีความสอดคล้องกับแผนแม่บทและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อนําไปสู่การปฏิรูปประเทศ และการใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดผลสัมฤทธิ์ไปสู่วิสัยทัศน์ตามเป้าหมายที่กําหนดไว้คือมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยเฉพาะการใช้จ่ายงบประมาณต้องมีความสอดคล้องกันทั้งของส่วนกลาง ภูมิภาค และท้องถิ่น และปรับให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนและพื้นที่ โดยสิ่งสําคัญคือทําอย่างไรจะเพิ่มศักยภาพของพื้นที่เกิดขึ้นมาให้ได้ และให้เกิดการเชื่อโยงอย่างไร้รอยต่อครอบคลุมในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านกายภาพ กฎ ระเบียบ หรือกฎหมายต่าง ๆ เป็นต้น ขณะเดียวกันให้นําข้อมูล Big Data ทั้งเรื่องความเหลื่อมล้ํา และโอกาสที่มีอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ มาวิเคราะห์ประกอบการพิจารณาเพื่อกําหนดกรอบวงเงินงบประมาณในการจัดทําแผนงานโครงการ ตลอดจนการเพิ่มมูลค่าและเชื่อมโยงห่วงโซ่ พื้นที่ ประชาชนในแต่ละอาชีพและรายได้ครอบคลุมทุกกลุ่ม การใช้การตลาดนําการผลิต ทั้งนี้เพื่อยกระดับประชาชนให้พ้นจากความยากจนให้ได้โดยเร็วที่สุด และให้ประชาชนมีรายได้เพียงพอต่อการดํารงชีวิต รองรับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในอนาคต เพื่อร่วมพัฒนาประเทศไปด้วยกัน ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมฯ นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้เปิดเผยถึงผลการประชุมฯ สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบนโยบาย หลักเกณฑ์ และวิธีการจัดทําแผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด ฉบับทบทวน โดยมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนแม่บท แผนปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาฯ ฉบับที่12 และนโยบายรัฐบาล รวมทั้งให้ความสําคัญกับแผนพัฒนาภาค เป็นแผนชี้นําการพัฒนาในภาพรวมของพื้นที่ ให้ความสําคัญกับกระบวนการจัดทําแผนอย่างมีส่วนร่วม การประสานแผนในระดับพื้นที่ให้สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของประชาชน โดยปรับระยะเวลาการจัดทําแผนเป็น 5 ปี จากปี 2561 – 2565 พร้อมกันนี้ ที่ประชุมเห็นชอบหลักเกณฑ์การจัดทําแผนปฏิบัติราชการประจําปีของจังหวัดและแผนปฏิบัติราชการประจําปีของกลุ่มจังหวัด ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยจะต้องมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และแนวทางการพัฒนาตามแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด สําหรับลักษณะโครงการที่ดําเนินการควรครอบคลุมประเด็นการพัฒนาสําคัญ มีความเชื่อมโยงตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง มีความพร้อมดําเนินการทุกด้าน และไม่เป็นการจัดซื้อครุภัณฑ์เพื่อแจกจ่ายประชาชนหรือใช้งานตามภารกิจปกติ ไม่เป็นค่าใช้จ่ายซ่อมแซม ปรับปรุง หรือก่อสร้างอาคารสถานที่ของส่วนราชการ เป็นต้น ส่วนการจัดทําแผนปฏิบัติการภาค ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ให้ความสําคัญกับโครงการมีผลประโยชน์ต่อประชาชนในวงกว้างและเกิดผลกระทบในระดับภาค รวมทั้ง ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการกําหนดกรอบการจัดสรรงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จํานวน 28,000 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนการจัดสรรระหว่างจังหวัด : กลุ่มจังหวัด เป็น 70 : 30 โดยเป็นงบประมาณสําหรับดําเนินโครงการของจังหวัด 19,600 ล้านบาท และกลุ่มจังหวัด 8,400 ล้านบาท และงบประมาณในการบริหารงานจังหวัด 695 ล้านบาท กลุ่มจังหวัด 89 ล้านบาท ทั้งนี้ มอบให้ฝ่ายเลขานุการฯปรับหลักเกณฑ์การจัดสรรกรอบงบประมาณกลุ่มจังหวัดให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และนโยบายสําคัญของรัฐบาล พร้อมเห็นชอบหลักเกณฑ์การเปลี่ยนแปลงโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561-2562 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด โดยให้ อ.ก.บ.ภ. พิจารณาเฉพาะโครงการใหม่ที่ไม่อยู่ในแผนปฏิบัติราชการประจําปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด หรือโครงการเดิมที่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วกระทบต่อกลุ่มเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของโครงการ อีกทั้งที่ประชุมมีมติเห็นชอบปฏิทินการจัดทําแผนพัฒนาและแผนปฏิบัติราชการประจําปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด โดยกําหนดให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดส่งแผนพัฒนา และแผนปฏิบัติราชการประจําปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดในเดือนธันวาคม 2561 และ ก.บ.ภ. พิจารณาให้ความเห็นชอบภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบผลการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค (อ.ก.บ.ภ.) ทั้ง 5 คณะ 6 ภาค ซึ่งในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ได้มีการพิจารณากลั่นกรองการขอโอนเปลี่ยนแปลงโครงการและงบประมาณรายจ่ายตามแผนปฏิบัติราชการประจําปี พ.ศ. 2559-2561 และมีการจัดประชุมระดมความคิดเห็นต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาภาค (Regional forum) โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมมากกว่า 1,800 คน มีการเสนอแผนงานโครงการเบื้องต้นจํานวน 1,899 โครงการ วงเงินรวม 216,126 ล้านบาท รวมทั้ง รับทราบ รายงานความก้าวหน้าการขับเคลื่อนการพัฒนาเชิงพื้นที่ โดยเป็นการดําเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสําคัญกับการพัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตและแก้ไขปัญหาความยากจน ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนและจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งมีสัดส่วนประชากรยากจนมากเป็นลําดับต้นๆ ของประเทศ โดยมีข้อเสนอโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการพัฒนาแม่ฮ่องสอน จํานวน 99 โครงการ วงเงิน 3,693 ล้านบาท และแผนพัฒนากาฬสินธุ์ จํานวน 93 โครงการ วงเงิน 7,774 ล้านบาท ผลการดําเนินงานมีความก้าวหน้าเป็นรูปธรรมหลายเรื่อง อาทิ การปลดล็อคข้อจํากัดด้านที่ดินทํากิน การแก้ปัญหาหนี้สิน การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน แหล่งน้ําและระบบกระจายน้ําเพื่อการเกษตร การพัฒนาอาชีพและผลิตภัณฑ์ชุมชนที่โดดเด่น ตลอดจนมีการสร้างสรรค์แหล่งท่องเที่ยวและเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ให้มีความเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวโดยชุมชน ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้ให้พื้นที่ได้อย่างยั่งยืน -------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค (ก.บ.ภ.) ครั้งที่ 2/2561 วันพุธที่ 5 กันยายน 2561 ผลการประชุมคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค (ก.บ.ภ.) ครั้งที่ 2/2561 นายกรัฐมนตรีย้ําแผนในการจัดทําโครงการงบประมาณ ต้องสอดคล้องกับแผนแม่บท ยุทธศาสตร์ชาติ ความต้องการของประชาชนและพื้นที่ เพื่อนําไปสู่การปฏิรูปประเทศ และยกระดับประชาชนให้พ้นจากความยากจน วันนี้ (5 ก.ย.61) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค (ก.บ.ภ.) ครั้งที่ 2/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเน้นย้ําถึงการทํางานในห้วงต่อไปว่า แผนในการจัดทําโครงการงบประมาณต้องมีความชัดเจนและง่ายในการบริหาร โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาในภายหลัง รวมทั้งต้องมีความสอดคล้องกับแผนแม่บทและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อนําไปสู่การปฏิรูปประเทศ และการใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดผลสัมฤทธิ์ไปสู่วิสัยทัศน์ตามเป้าหมายที่กําหนดไว้คือมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยเฉพาะการใช้จ่ายงบประมาณต้องมีความสอดคล้องกันทั้งของส่วนกลาง ภูมิภาค และท้องถิ่น และปรับให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนและพื้นที่ โดยสิ่งสําคัญคือทําอย่างไรจะเพิ่มศักยภาพของพื้นที่เกิดขึ้นมาให้ได้ และให้เกิดการเชื่อโยงอย่างไร้รอยต่อครอบคลุมในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านกายภาพ กฎ ระเบียบ หรือกฎหมายต่าง ๆ เป็นต้น ขณะเดียวกันให้นําข้อมูล Big Data ทั้งเรื่องความเหลื่อมล้ํา และโอกาสที่มีอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ มาวิเคราะห์ประกอบการพิจารณาเพื่อกําหนดกรอบวงเงินงบประมาณในการจัดทําแผนงานโครงการ ตลอดจนการเพิ่มมูลค่าและเชื่อมโยงห่วงโซ่ พื้นที่ ประชาชนในแต่ละอาชีพและรายได้ครอบคลุมทุกกลุ่ม การใช้การตลาดนําการผลิต ทั้งนี้เพื่อยกระดับประชาชนให้พ้นจากความยากจนให้ได้โดยเร็วที่สุด และให้ประชาชนมีรายได้เพียงพอต่อการดํารงชีวิต รองรับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในอนาคต เพื่อร่วมพัฒนาประเทศไปด้วยกัน ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมฯ นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้เปิดเผยถึงผลการประชุมฯ สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบนโยบาย หลักเกณฑ์ และวิธีการจัดทําแผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด ฉบับทบทวน โดยมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนแม่บท แผนปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาฯ ฉบับที่12 และนโยบายรัฐบาล รวมทั้งให้ความสําคัญกับแผนพัฒนาภาค เป็นแผนชี้นําการพัฒนาในภาพรวมของพื้นที่ ให้ความสําคัญกับกระบวนการจัดทําแผนอย่างมีส่วนร่วม การประสานแผนในระดับพื้นที่ให้สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของประชาชน โดยปรับระยะเวลาการจัดทําแผนเป็น 5 ปี จากปี 2561 – 2565 พร้อมกันนี้ ที่ประชุมเห็นชอบหลักเกณฑ์การจัดทําแผนปฏิบัติราชการประจําปีของจังหวัดและแผนปฏิบัติราชการประจําปีของกลุ่มจังหวัด ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยจะต้องมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และแนวทางการพัฒนาตามแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด สําหรับลักษณะโครงการที่ดําเนินการควรครอบคลุมประเด็นการพัฒนาสําคัญ มีความเชื่อมโยงตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง มีความพร้อมดําเนินการทุกด้าน และไม่เป็นการจัดซื้อครุภัณฑ์เพื่อแจกจ่ายประชาชนหรือใช้งานตามภารกิจปกติ ไม่เป็นค่าใช้จ่ายซ่อมแซม ปรับปรุง หรือก่อสร้างอาคารสถานที่ของส่วนราชการ เป็นต้น ส่วนการจัดทําแผนปฏิบัติการภาค ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ให้ความสําคัญกับโครงการมีผลประโยชน์ต่อประชาชนในวงกว้างและเกิดผลกระทบในระดับภาค รวมทั้ง ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการกําหนดกรอบการจัดสรรงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จํานวน 28,000 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนการจัดสรรระหว่างจังหวัด : กลุ่มจังหวัด เป็น 70 : 30 โดยเป็นงบประมาณสําหรับดําเนินโครงการของจังหวัด 19,600 ล้านบาท และกลุ่มจังหวัด 8,400 ล้านบาท และงบประมาณในการบริหารงานจังหวัด 695 ล้านบาท กลุ่มจังหวัด 89 ล้านบาท ทั้งนี้ มอบให้ฝ่ายเลขานุการฯปรับหลักเกณฑ์การจัดสรรกรอบงบประมาณกลุ่มจังหวัดให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และนโยบายสําคัญของรัฐบาล พร้อมเห็นชอบหลักเกณฑ์การเปลี่ยนแปลงโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561-2562 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด โดยให้ อ.ก.บ.ภ. พิจารณาเฉพาะโครงการใหม่ที่ไม่อยู่ในแผนปฏิบัติราชการประจําปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด หรือโครงการเดิมที่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วกระทบต่อกลุ่มเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของโครงการ อีกทั้งที่ประชุมมีมติเห็นชอบปฏิทินการจัดทําแผนพัฒนาและแผนปฏิบัติราชการประจําปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด โดยกําหนดให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดส่งแผนพัฒนา และแผนปฏิบัติราชการประจําปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดในเดือนธันวาคม 2561 และ ก.บ.ภ. พิจารณาให้ความเห็นชอบภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบผลการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค (อ.ก.บ.ภ.) ทั้ง 5 คณะ 6 ภาค ซึ่งในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ได้มีการพิจารณากลั่นกรองการขอโอนเปลี่ยนแปลงโครงการและงบประมาณรายจ่ายตามแผนปฏิบัติราชการประจําปี พ.ศ. 2559-2561 และมีการจัดประชุมระดมความคิดเห็นต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาภาค (Regional forum) โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมมากกว่า 1,800 คน มีการเสนอแผนงานโครงการเบื้องต้นจํานวน 1,899 โครงการ วงเงินรวม 216,126 ล้านบาท รวมทั้ง รับทราบ รายงานความก้าวหน้าการขับเคลื่อนการพัฒนาเชิงพื้นที่ โดยเป็นการดําเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสําคัญกับการพัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตและแก้ไขปัญหาความยากจน ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนและจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งมีสัดส่วนประชากรยากจนมากเป็นลําดับต้นๆ ของประเทศ โดยมีข้อเสนอโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการพัฒนาแม่ฮ่องสอน จํานวน 99 โครงการ วงเงิน 3,693 ล้านบาท และแผนพัฒนากาฬสินธุ์ จํานวน 93 โครงการ วงเงิน 7,774 ล้านบาท ผลการดําเนินงานมีความก้าวหน้าเป็นรูปธรรมหลายเรื่อง อาทิ การปลดล็อคข้อจํากัดด้านที่ดินทํากิน การแก้ปัญหาหนี้สิน การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน แหล่งน้ําและระบบกระจายน้ําเพื่อการเกษตร การพัฒนาอาชีพและผลิตภัณฑ์ชุมชนที่โดดเด่น ตลอดจนมีการสร้างสรรค์แหล่งท่องเที่ยวและเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ให้มีความเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวโดยชุมชน ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้ให้พื้นที่ได้อย่างยั่งยืน -------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15163
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. บันทึกเทปกล่าวอาเศียรวาท ถวายพระพรวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิง
วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2561 ทส. บันทึกเทปกล่าวอาเศียรวาท ถวายพระพรวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิง ทส. บันทึกเทปกล่าวอาเศียรวาท ถวายพระพรวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2561 ทส. บันทึกเทปกล่าวอาเศียรวาท ถวายพระพรวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2561 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมบันทึกเทปโทรทัศน์กล่าวอาเศียรวาทถวายพระพร วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา 12 สิงหาคม 2561 เพื่อแสดงความจงรักภักดี และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย โดยวันนี้ (18 กรกฎาคม 2561) พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงฯ กล่าวอาเศียรวาทถวายพระพรฯ ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 (ททบ.5)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. บันทึกเทปกล่าวอาเศียรวาท ถวายพระพรวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิง วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2561 ทส. บันทึกเทปกล่าวอาเศียรวาท ถวายพระพรวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิง ทส. บันทึกเทปกล่าวอาเศียรวาท ถวายพระพรวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2561 ทส. บันทึกเทปกล่าวอาเศียรวาท ถวายพระพรวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2561 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมบันทึกเทปโทรทัศน์กล่าวอาเศียรวาทถวายพระพร วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา 12 สิงหาคม 2561 เพื่อแสดงความจงรักภักดี และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย โดยวันนี้ (18 กรกฎาคม 2561) พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงฯ กล่าวอาเศียรวาทถวายพระพรฯ ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 (ททบ.5)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14043
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ พลเอก ประวิตรฯ ลงพื้นที่ สั่งทุกหน่วยงานสกัดหมอกควัน ฝุ่น PM 2.5 เพื่อคุณภาพอากาศที่ดีของภาคเหนือ
วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม 2562 รองนายกฯ พลเอก ประวิตรฯ ลงพื้นที่ สั่งทุกหน่วยงานสกัดหมอกควัน ฝุ่น PM 2.5 เพื่อคุณภาพอากาศที่ดีของภาคเหนือ รองนายกฯ พลเอก ประวิตรฯ ลงพื้นที่ สั่งทุกหน่วยงานสกัดหมอกควัน ฝุ่น PM 2.5 เพื่อคุณภาพอากาศที่ดีของภาคเหนือ วันที่ 10 ตุลาคม 2562 พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ สั่งการหน่วยงานเตรียมความพร้อมป้องกันและรับมือสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือ ปี 2563 ไม่ให้เกิดสถานการณ์หมอกควันในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีหน่วยงานรับมอบนโยบาย อาทิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวง และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม สํานักนายกรัฐมนตรี และผู้ว่าราชการจังหวัด 9 จังหวัดภาคเหนือ พลเอก ประวิตรฯ เน้นย้ําให้ทุกหน่วยงานที่ทุ่มเทสรรพกําลังและทรัพยากร เพื่อหยุดการเผา และควบคุมไม่ให้ปริมาณฝุ่นละอองสูงเกินเกณฑ์มาตรฐานตลอดปี 2563 และให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยหลัก บูรณาการสั่งการโดยผู้ว่าราชการจังหวัด หากฝุ่นละอองสูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน ให้ประกาศห้ามเผาโดยทันที ให้นายอําเภอ อบต. กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ลงพื้นที่ถึงระดับตําบล โดยเฉพาะตําบลเสี่ยงเผา ให้กระทรวงกลาโหม สนับสนุนการลาดตระเวนและดับไฟ ทั้งภาคพื้นดินและทางอากาศอย่างเต็มที่ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งเปลี่ยนพื้นที่เกษตรทั้งหมดใน 9 จังหวัดภาคเหนือไปสู่การเป็นเกษตรปลอดการเผา ภายใน 3 ปี และกํากับให้ภาคเอกชน โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ งดสนับสนุนผลผลิตทางการเกษตรที่มาจากการบุกรุกป่าอย่างเด็ดขาด ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลดจุดความร้อน (Hotspot) ในพื้นที่ป่าให้เป็นศูนย์ ในระหว่างวันที่ 15 มีนาคม ถึง 30 เมษายน 2563 พร้อมทั้งระดมสรรพกําลัง อุปกรณ์ เครื่องมือจากนอกพื้นที่ มาเสริมการลาดตระเวน เฝ้าระวัง และดับไฟป่า ไม่ให้เกิดการลุกลามของไฟจนไม่สามารถควบคุมได้ นอกจากนี้ ให้ทุกหน่วยงานสร้างความเป็นเอกภาพของข้อมูล เพื่อการสั่งการที่ถูกต้อง และลดความตื่นตระหนกของประชาชน สื่อสารทําความเข้าใจกับประชาชนถึงการดําเนินงานของภาครัฐอย่างต่อเนื่องให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นและร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหามากขึ้น และให้เข้มงวดการดําเนินการตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว นอกจากนี้ พลเอก ประวิตรฯ ยังได้ตรวจเยี่ยมให้กําลังใจกําลังพลและเครือข่ายภาคประชาชนที่จะเป็นกําลังสําคัญในการเฝ้าระวังและดับไฟ พร้อมเน้นย้ําให้ร่วมมือกันอย่างเต็มที่ในการปกป้องภาคเหนือจากมลพิษหมอกควัน และให้เกียรติปล่อยขบวนคาราวานต้านการเผา ลดหมอกควัน เพื่อคุณภาพอากาศที่ดี เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับประชาชน ให้ร่วมเป็นส่วนสําคัญในการลดและเลิกการเผา และช่วยสนับสนุนการเฝ้าระวังการเกิดไฟและหมอกควัน หนุนเสริมการทํางานของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ นําไปสู่การป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนืออย่างยั่งยืนต่อไป จากสถานการณ์หมอกควันและฝุ่น PM2.5 ในปีที่ผ่านมา พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพ่อแม่พี่น้องประชาชนภาคเหนือที่มักได้รับผลกระทบจากหมอกควันเป็นประจําทุกปี ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน โดยเฉพาะปี 2562 ที่ผ่านมา สภาพอากาศแห้งแล้ง ปริมาณน้ําฝนต่ํากว่าปกติ ทําให้เกิดไฟได้ง่าย ลุกลามอย่างรวดเร็ว และเมื่อไฟลามเข้าสู่พื้นที่ป่าซึ่งมีเชื้อเพลิงจํานวนมากทําให้ไฟที่ลุกไหม้มีความรุนแรง ส่งผลให้สถานการณ์หมอกควันมีความรุนแรง จากสภาวะอากาศที่แห้งและนิ่ง ภูมิประเทศบางแห่งเป็นแอ่งกระทะ เช่น แอ่งแม่ฮ่องสอน แอ่งเชียงใหม่-ลําพูน เป็นต้น ฝุ่นละอองไม่แพร่กระจาย และสามารถแขวนลอยอยู่ในบรรยากาศได้นาน ไม่ตกลงสู่พื้นดิน ส่งผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัยของประชาชน ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรําคาญ นอกจากนี้ปัญหาหมอกควันยังส่งผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจของพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจการท่องเที่ยว รวมถึงบดบังทัศนวิสัยการจราจรทั้งทางบกและทางอากาศ ซึ่งพบว่ามีการยกเลิกและเลื่อนเที่ยวบินเนื่องจากทัศนวิสัยต่ํากว่าเกณฑ์ปลอดภัย ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการป้องกันและรับมือสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือปี 2563 ไม่ให้เกิดสถานการณ์หมอกควันในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน โดยมีการประชุมหารือและมอบนโยบาย เพื่อเป็นแนวทางการดําเนินงานแบบบูรณาการและมีประสิทธิภาพสูงสุดของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม สํานักนายกรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัด 9 จังหวัดภาคเหนือ ทั้งนี้ ให้มั่นใจว่าทุกหน่วยงานพร้อมที่จะทุ่มเทสรรพกําลังและทรัพยากรเพื่อหยุดการเผา และควบคุมไม่ให้ฝุ่นละอองสูงเกินเกณฑ์มาตรฐานตลอดปี 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ พลเอก ประวิตรฯ ลงพื้นที่ สั่งทุกหน่วยงานสกัดหมอกควัน ฝุ่น PM 2.5 เพื่อคุณภาพอากาศที่ดีของภาคเหนือ วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม 2562 รองนายกฯ พลเอก ประวิตรฯ ลงพื้นที่ สั่งทุกหน่วยงานสกัดหมอกควัน ฝุ่น PM 2.5 เพื่อคุณภาพอากาศที่ดีของภาคเหนือ รองนายกฯ พลเอก ประวิตรฯ ลงพื้นที่ สั่งทุกหน่วยงานสกัดหมอกควัน ฝุ่น PM 2.5 เพื่อคุณภาพอากาศที่ดีของภาคเหนือ วันที่ 10 ตุลาคม 2562 พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ สั่งการหน่วยงานเตรียมความพร้อมป้องกันและรับมือสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือ ปี 2563 ไม่ให้เกิดสถานการณ์หมอกควันในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีหน่วยงานรับมอบนโยบาย อาทิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวง และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม สํานักนายกรัฐมนตรี และผู้ว่าราชการจังหวัด 9 จังหวัดภาคเหนือ พลเอก ประวิตรฯ เน้นย้ําให้ทุกหน่วยงานที่ทุ่มเทสรรพกําลังและทรัพยากร เพื่อหยุดการเผา และควบคุมไม่ให้ปริมาณฝุ่นละอองสูงเกินเกณฑ์มาตรฐานตลอดปี 2563 และให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยหลัก บูรณาการสั่งการโดยผู้ว่าราชการจังหวัด หากฝุ่นละอองสูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน ให้ประกาศห้ามเผาโดยทันที ให้นายอําเภอ อบต. กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ลงพื้นที่ถึงระดับตําบล โดยเฉพาะตําบลเสี่ยงเผา ให้กระทรวงกลาโหม สนับสนุนการลาดตระเวนและดับไฟ ทั้งภาคพื้นดินและทางอากาศอย่างเต็มที่ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งเปลี่ยนพื้นที่เกษตรทั้งหมดใน 9 จังหวัดภาคเหนือไปสู่การเป็นเกษตรปลอดการเผา ภายใน 3 ปี และกํากับให้ภาคเอกชน โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ งดสนับสนุนผลผลิตทางการเกษตรที่มาจากการบุกรุกป่าอย่างเด็ดขาด ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลดจุดความร้อน (Hotspot) ในพื้นที่ป่าให้เป็นศูนย์ ในระหว่างวันที่ 15 มีนาคม ถึง 30 เมษายน 2563 พร้อมทั้งระดมสรรพกําลัง อุปกรณ์ เครื่องมือจากนอกพื้นที่ มาเสริมการลาดตระเวน เฝ้าระวัง และดับไฟป่า ไม่ให้เกิดการลุกลามของไฟจนไม่สามารถควบคุมได้ นอกจากนี้ ให้ทุกหน่วยงานสร้างความเป็นเอกภาพของข้อมูล เพื่อการสั่งการที่ถูกต้อง และลดความตื่นตระหนกของประชาชน สื่อสารทําความเข้าใจกับประชาชนถึงการดําเนินงานของภาครัฐอย่างต่อเนื่องให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นและร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหามากขึ้น และให้เข้มงวดการดําเนินการตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว นอกจากนี้ พลเอก ประวิตรฯ ยังได้ตรวจเยี่ยมให้กําลังใจกําลังพลและเครือข่ายภาคประชาชนที่จะเป็นกําลังสําคัญในการเฝ้าระวังและดับไฟ พร้อมเน้นย้ําให้ร่วมมือกันอย่างเต็มที่ในการปกป้องภาคเหนือจากมลพิษหมอกควัน และให้เกียรติปล่อยขบวนคาราวานต้านการเผา ลดหมอกควัน เพื่อคุณภาพอากาศที่ดี เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับประชาชน ให้ร่วมเป็นส่วนสําคัญในการลดและเลิกการเผา และช่วยสนับสนุนการเฝ้าระวังการเกิดไฟและหมอกควัน หนุนเสริมการทํางานของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ นําไปสู่การป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนืออย่างยั่งยืนต่อไป จากสถานการณ์หมอกควันและฝุ่น PM2.5 ในปีที่ผ่านมา พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพ่อแม่พี่น้องประชาชนภาคเหนือที่มักได้รับผลกระทบจากหมอกควันเป็นประจําทุกปี ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน โดยเฉพาะปี 2562 ที่ผ่านมา สภาพอากาศแห้งแล้ง ปริมาณน้ําฝนต่ํากว่าปกติ ทําให้เกิดไฟได้ง่าย ลุกลามอย่างรวดเร็ว และเมื่อไฟลามเข้าสู่พื้นที่ป่าซึ่งมีเชื้อเพลิงจํานวนมากทําให้ไฟที่ลุกไหม้มีความรุนแรง ส่งผลให้สถานการณ์หมอกควันมีความรุนแรง จากสภาวะอากาศที่แห้งและนิ่ง ภูมิประเทศบางแห่งเป็นแอ่งกระทะ เช่น แอ่งแม่ฮ่องสอน แอ่งเชียงใหม่-ลําพูน เป็นต้น ฝุ่นละอองไม่แพร่กระจาย และสามารถแขวนลอยอยู่ในบรรยากาศได้นาน ไม่ตกลงสู่พื้นดิน ส่งผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัยของประชาชน ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรําคาญ นอกจากนี้ปัญหาหมอกควันยังส่งผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจของพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจการท่องเที่ยว รวมถึงบดบังทัศนวิสัยการจราจรทั้งทางบกและทางอากาศ ซึ่งพบว่ามีการยกเลิกและเลื่อนเที่ยวบินเนื่องจากทัศนวิสัยต่ํากว่าเกณฑ์ปลอดภัย ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการป้องกันและรับมือสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือปี 2563 ไม่ให้เกิดสถานการณ์หมอกควันในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน โดยมีการประชุมหารือและมอบนโยบาย เพื่อเป็นแนวทางการดําเนินงานแบบบูรณาการและมีประสิทธิภาพสูงสุดของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม สํานักนายกรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัด 9 จังหวัดภาคเหนือ ทั้งนี้ ให้มั่นใจว่าทุกหน่วยงานพร้อมที่จะทุ่มเทสรรพกําลังและทรัพยากรเพื่อหยุดการเผา และควบคุมไม่ให้ฝุ่นละอองสูงเกินเกณฑ์มาตรฐานตลอดปี 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23740
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี หารือกับนายถัง อี้จวิน รองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ มณฑลเจ้อเจียง
วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน 2560 รองนายกรัฐมนตรี หารือกับนายถัง อี้จวิน รองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ มณฑลเจ้อเจียง รองนายกรัฐมนตรี หารือกับนายถัง อี้จวิน รองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ มณฑลเจ้อเจียง เมื่อวันเสาร์ที่ 23 กันยายน 2560 ณ เมืองหนิงโป มณฑลเจ้อเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี หารือกับนายถัง อี้จวิน รองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ มณฑลเจ้อเจียง โดยมีนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และคณะผู้แทนประเทศไทย ร่วมการหารือด้วย ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ รองนายกรัฐมนตรีและคณะ ร่วมงานเลี้ยงต้อนรับ ณ Ningbo Executive Council Center และเป็นประธานเปิดงาน Asia Arts Festival ครั้งที่ 15 ณ Cultural Square
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี หารือกับนายถัง อี้จวิน รองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ มณฑลเจ้อเจียง วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน 2560 รองนายกรัฐมนตรี หารือกับนายถัง อี้จวิน รองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ มณฑลเจ้อเจียง รองนายกรัฐมนตรี หารือกับนายถัง อี้จวิน รองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ มณฑลเจ้อเจียง เมื่อวันเสาร์ที่ 23 กันยายน 2560 ณ เมืองหนิงโป มณฑลเจ้อเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี หารือกับนายถัง อี้จวิน รองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ มณฑลเจ้อเจียง โดยมีนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และคณะผู้แทนประเทศไทย ร่วมการหารือด้วย ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ รองนายกรัฐมนตรีและคณะ ร่วมงานเลี้ยงต้อนรับ ณ Ningbo Executive Council Center และเป็นประธานเปิดงาน Asia Arts Festival ครั้งที่ 15 ณ Cultural Square
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6991
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-NIA ร่วมกับ WWF กระทรวงทรัพยากรฯ และเดอะมอลล์ กรุ๊ป จัดการประกวดสุดยอดนวัตกรรมทรงเกียรติระดับประเทศ “นวัตกรรมการจัดการพลาสติกเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและทะเลไทย”
วันพุธที่ 8 กรกฎาคม 2563 NIA ร่วมกับ WWF กระทรวงทรัพยากรฯ และเดอะมอลล์ กรุ๊ป จัดการประกวดสุดยอดนวัตกรรมทรงเกียรติระดับประเทศ “นวัตกรรมการจัดการพลาสติกเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและทะเลไทย” NIA ร่วมกับ WWF กระทรวงทรัพยากรฯ และเดอะมอลล์ กรุ๊ป จัดการประกวดสุดยอดนวัตกรรมทรงเกียรติระดับประเทศ “นวัตกรรมการจัดการพลาสติกเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและทะเลไทย” NIA ร่วมกับ WWF กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเดอะมอลล์ กรุ๊ป จัดการประกวดสุดยอดนวัตกรรมทรงเกียรติระดับประเทศ “นวัตกรรมการจัดการพลาสติกเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและทะเลไทย” ปั้นแนวทางคนรุ่นใหม่สู่การเป็นธุรกิจอย่างยั่งยืน เดินหน้าลดปัญหาขยะพลาสติกในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินรางวัลสนับสนุนการพัฒนาต่อยอดอย่างยั่งยืน ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง รองผู้อํานวยการด้านระบบนวัตกรรม (NIA) เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการตัดสินรอบชิงชนะเลิศของการประกวด ณ ควอเทียร์ วอเตอร์ การ์เดน ชั้น 5 ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ ในวันที่ 5 มิถุนายน 2563 ซึ่งการจัดการประกวดแบ่งเป็น 3 รอบ โดยคัดเลือกจากการส่งผลงานเข้าประกวดทั้งหมดกว่า 100 ทีม โดยมี 3 ทีมสุดท้ายนําเสนอผลการการบ่มเพาะจาก NIA ตามหลักการของ 3P ซึ่งได้แก่ Profit People และ Planet เพื่อให้เห็นแนวทางการจัดการขยะพลาสติกอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายสาขา มีมติเอกฉันท์ผลการตัดสิน ดังนี้ รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ แทรชลัคกี้ “ขยะรีไซเคิลลุ้นโชค” ด้วยการสร้างแรงจูงใจให้คนไทยเห็นการคัดแยกขยะเป็นเรื่องสนุกแถมได้ลุ้นโชคและดูแลสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน ใน 4 ประเภท คือ 1) ขยะพลาสติก 2) แก้ว 3) กระดาษ และ 4) โลหะ สามารถนําขยะรีไซเคิลทั้งหมดจะนําไปจําหน่ายให้กับโรงงานรีไซเคิลตามกระบวนการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยรายได้ส่วนหนึ่งจะนํามาแบ่งเป็นรางวัลแก่ประชาชนที่ส่งขยะรีไซเคิลเข้ามาร่วมกิจกรรม จาก point ที่ได้จากการแยกขยะรีไซเคิล แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับพฤติกรรมของคนไทย ตลอดจนมีแนวทางการเติบโตของธุรกิจได้อย่างยั่งยืน เราคงเห็นการเก็บขยะเพื่อลุ้นโชคโดยไม่ต้องสียเงินซื้อก็จะทําให้ขยะพลาสติกลดลง โดยตั้งเป้าว่า ในอีก 3 ปีข้างหน้า จะเร่งเพิ่มสมาชิกเข้าร่วมกิจกรรมให้ได้ 2 แสนราย (เฉลี่ยครอบครัวละ 4 คน) หรือ คิดเป็นน้ําหนักขยะรีไซเคิล 900 ตันต่อเดือน รวมถึงจะเพิ่มรางวัลให้มากขึ้นอาจถึง 1 ล้านบาทต่อครั้ง โดยได้รับเงินรางวัล 500,000 บาท พร้อมถ้วยพระราชทานฯ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีมวน โปรเจ็ค จากปัญหาถุงพลาสติก ที่ไม่มีคนต้องการส่งปัญหากับสิ่งแวดล้อมมากมาย จึงมีแนวคิดให้เกิดการส่งถุงพลาสติกกลับมาที่โรงงานผลิต โดยการสร้างให้เกิดจิตสํานึกส่งไปรษณีย์ และมีจุด drop point ในที่ต่างๆ แล้วนํามาใช้เป็นวัตถุดิบในการขึ้นรูปเป็นถุงพลาสติก และผลิตภัณฑ์พลาสติกที่มีการประยุกต์ใช้การออกแบบเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ได้รับโล่รางวัล พร้อมเงินรางวัล 200,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีม ขอ ขวด รีชอป เป็นการแก้ไขปัญหาแบบเฉพาะจุด ในการจัดการระบบรถซาเล้งที่เก็บรวบรวมขยะ โดยมีระบบการติดตามและแจ้งเตือน แบ่งพื้นที่การดูแลที่ชัดเจน ได้รับโล่รางวัล พร้อมเงินรางวัล 100,000 บาท ขอย้ําฝากส่งท้ายว่า พลาสติก...ไม่ใช่ผู้ร้าย โดยที่ผ่านมาเราใช้พลาสติกเพื่อตอบโจทย์ด้านความสะดวกสบาย แต่การนําเทคโนโลยี หรือแนวทางที่เหมาะกับวิถีการบริโภคพลาสติกของคนไทยมาใช้เพื่อจัดการกับปัญหาขยะพลาสติกเหล่านี้อย่างแพร่หลาย การส่งต่อแนวทางการบริหารจัดการพลาสติกของ 3 แนวทางข้างต้น มีส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวด้านการจัดการพลาสติกเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและทะเลไทย แก่ประชาชนทั่วไปในวงกว้าง และใช้นวัตกรรมที่จะสามารถสร้างประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เพื่อนําไอเดียดังกล่าวไปทําให้เกิดต้นแบบได้จริงต่อไป ที่ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจ และการสนับสนุนของทุกคน เพื่อช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมให้ดียิ่งขึ้น ข้อมูลข่าวโดย : สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-NIA ร่วมกับ WWF กระทรวงทรัพยากรฯ และเดอะมอลล์ กรุ๊ป จัดการประกวดสุดยอดนวัตกรรมทรงเกียรติระดับประเทศ “นวัตกรรมการจัดการพลาสติกเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและทะเลไทย” วันพุธที่ 8 กรกฎาคม 2563 NIA ร่วมกับ WWF กระทรวงทรัพยากรฯ และเดอะมอลล์ กรุ๊ป จัดการประกวดสุดยอดนวัตกรรมทรงเกียรติระดับประเทศ “นวัตกรรมการจัดการพลาสติกเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและทะเลไทย” NIA ร่วมกับ WWF กระทรวงทรัพยากรฯ และเดอะมอลล์ กรุ๊ป จัดการประกวดสุดยอดนวัตกรรมทรงเกียรติระดับประเทศ “นวัตกรรมการจัดการพลาสติกเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและทะเลไทย” NIA ร่วมกับ WWF กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเดอะมอลล์ กรุ๊ป จัดการประกวดสุดยอดนวัตกรรมทรงเกียรติระดับประเทศ “นวัตกรรมการจัดการพลาสติกเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและทะเลไทย” ปั้นแนวทางคนรุ่นใหม่สู่การเป็นธุรกิจอย่างยั่งยืน เดินหน้าลดปัญหาขยะพลาสติกในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินรางวัลสนับสนุนการพัฒนาต่อยอดอย่างยั่งยืน ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง รองผู้อํานวยการด้านระบบนวัตกรรม (NIA) เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการตัดสินรอบชิงชนะเลิศของการประกวด ณ ควอเทียร์ วอเตอร์ การ์เดน ชั้น 5 ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ ในวันที่ 5 มิถุนายน 2563 ซึ่งการจัดการประกวดแบ่งเป็น 3 รอบ โดยคัดเลือกจากการส่งผลงานเข้าประกวดทั้งหมดกว่า 100 ทีม โดยมี 3 ทีมสุดท้ายนําเสนอผลการการบ่มเพาะจาก NIA ตามหลักการของ 3P ซึ่งได้แก่ Profit People และ Planet เพื่อให้เห็นแนวทางการจัดการขยะพลาสติกอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายสาขา มีมติเอกฉันท์ผลการตัดสิน ดังนี้ รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ แทรชลัคกี้ “ขยะรีไซเคิลลุ้นโชค” ด้วยการสร้างแรงจูงใจให้คนไทยเห็นการคัดแยกขยะเป็นเรื่องสนุกแถมได้ลุ้นโชคและดูแลสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน ใน 4 ประเภท คือ 1) ขยะพลาสติก 2) แก้ว 3) กระดาษ และ 4) โลหะ สามารถนําขยะรีไซเคิลทั้งหมดจะนําไปจําหน่ายให้กับโรงงานรีไซเคิลตามกระบวนการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยรายได้ส่วนหนึ่งจะนํามาแบ่งเป็นรางวัลแก่ประชาชนที่ส่งขยะรีไซเคิลเข้ามาร่วมกิจกรรม จาก point ที่ได้จากการแยกขยะรีไซเคิล แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับพฤติกรรมของคนไทย ตลอดจนมีแนวทางการเติบโตของธุรกิจได้อย่างยั่งยืน เราคงเห็นการเก็บขยะเพื่อลุ้นโชคโดยไม่ต้องสียเงินซื้อก็จะทําให้ขยะพลาสติกลดลง โดยตั้งเป้าว่า ในอีก 3 ปีข้างหน้า จะเร่งเพิ่มสมาชิกเข้าร่วมกิจกรรมให้ได้ 2 แสนราย (เฉลี่ยครอบครัวละ 4 คน) หรือ คิดเป็นน้ําหนักขยะรีไซเคิล 900 ตันต่อเดือน รวมถึงจะเพิ่มรางวัลให้มากขึ้นอาจถึง 1 ล้านบาทต่อครั้ง โดยได้รับเงินรางวัล 500,000 บาท พร้อมถ้วยพระราชทานฯ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีมวน โปรเจ็ค จากปัญหาถุงพลาสติก ที่ไม่มีคนต้องการส่งปัญหากับสิ่งแวดล้อมมากมาย จึงมีแนวคิดให้เกิดการส่งถุงพลาสติกกลับมาที่โรงงานผลิต โดยการสร้างให้เกิดจิตสํานึกส่งไปรษณีย์ และมีจุด drop point ในที่ต่างๆ แล้วนํามาใช้เป็นวัตถุดิบในการขึ้นรูปเป็นถุงพลาสติก และผลิตภัณฑ์พลาสติกที่มีการประยุกต์ใช้การออกแบบเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ได้รับโล่รางวัล พร้อมเงินรางวัล 200,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีม ขอ ขวด รีชอป เป็นการแก้ไขปัญหาแบบเฉพาะจุด ในการจัดการระบบรถซาเล้งที่เก็บรวบรวมขยะ โดยมีระบบการติดตามและแจ้งเตือน แบ่งพื้นที่การดูแลที่ชัดเจน ได้รับโล่รางวัล พร้อมเงินรางวัล 100,000 บาท ขอย้ําฝากส่งท้ายว่า พลาสติก...ไม่ใช่ผู้ร้าย โดยที่ผ่านมาเราใช้พลาสติกเพื่อตอบโจทย์ด้านความสะดวกสบาย แต่การนําเทคโนโลยี หรือแนวทางที่เหมาะกับวิถีการบริโภคพลาสติกของคนไทยมาใช้เพื่อจัดการกับปัญหาขยะพลาสติกเหล่านี้อย่างแพร่หลาย การส่งต่อแนวทางการบริหารจัดการพลาสติกของ 3 แนวทางข้างต้น มีส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวด้านการจัดการพลาสติกเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและทะเลไทย แก่ประชาชนทั่วไปในวงกว้าง และใช้นวัตกรรมที่จะสามารถสร้างประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เพื่อนําไอเดียดังกล่าวไปทําให้เกิดต้นแบบได้จริงต่อไป ที่ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจ และการสนับสนุนของทุกคน เพื่อช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมให้ดียิ่งขึ้น ข้อมูลข่าวโดย : สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33202
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตอบคำถามจากสื่อมวลชนกรณีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในมาเลเซียกับการพูดคุยเพื่อสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้
วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม 2561 นายกรัฐมนตรีตอบคําถามจากสื่อมวลชนกรณีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในมาเลเซียกับการพูดคุยเพื่อสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นายกรัฐมนตรีตอบคําถามจากสื่อมวลชนกรณีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในมาเลเซียกับการพูดคุยเพื่อสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ วันนี้ (15 พฤษภาคม 2561) เวลา 12.50 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตอบคําถามจากสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี กรณีการพูดคุยเพื่อสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศมาเลเซีย ว่า รัฐบาลจะยังคงประสานความร่วมมือกับรัฐบาลมาเลเซียในการดําเนินการพูดคุยเพื่อสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล และการสร้างการรับรู้กับต่างประเทศ โดยเฉพาะองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนว่า ไทยได้มีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยมีมาเลเซียเป็นผู้อํานวยความสะดวกในการพูดคุยเพื่อสันติสุขด้วย อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรียืนยันว่า การพูดคุยเพื่อสันติสุขจะต้องดําเนินการต่อไป เพราะถือว่าเป็นเรื่องของความมั่นคงในภูมิภาค
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตอบคำถามจากสื่อมวลชนกรณีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในมาเลเซียกับการพูดคุยเพื่อสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม 2561 นายกรัฐมนตรีตอบคําถามจากสื่อมวลชนกรณีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในมาเลเซียกับการพูดคุยเพื่อสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นายกรัฐมนตรีตอบคําถามจากสื่อมวลชนกรณีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในมาเลเซียกับการพูดคุยเพื่อสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ วันนี้ (15 พฤษภาคม 2561) เวลา 12.50 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตอบคําถามจากสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี กรณีการพูดคุยเพื่อสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศมาเลเซีย ว่า รัฐบาลจะยังคงประสานความร่วมมือกับรัฐบาลมาเลเซียในการดําเนินการพูดคุยเพื่อสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล และการสร้างการรับรู้กับต่างประเทศ โดยเฉพาะองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนว่า ไทยได้มีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยมีมาเลเซียเป็นผู้อํานวยความสะดวกในการพูดคุยเพื่อสันติสุขด้วย อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรียืนยันว่า การพูดคุยเพื่อสันติสุขจะต้องดําเนินการต่อไป เพราะถือว่าเป็นเรื่องของความมั่นคงในภูมิภาค
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12237
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- พิธีถวายราชสักการะและลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563 พิธีถวายราชสักการะและลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีถวายราชสักการะและลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563 ชั้น 1 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (2 มิถุนายน 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีถวายราชสักการะและลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563 โดยมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมในพิธี ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- พิธีถวายราชสักการะและลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563 วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563 พิธีถวายราชสักการะและลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีถวายราชสักการะและลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563 ชั้น 1 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (2 มิถุนายน 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีถวายราชสักการะและลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563 โดยมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมในพิธี ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31818
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ นำขบวนคาราวาน “ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น สัญจร 2017” สู่พี่น้อง จ.ตรัง
วันพุธที่ 26 กรกฎาคม 2560 รมว.ดิจิทัลฯ นําขบวนคาราวาน “ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น สัญจร 2017” สู่พี่น้อง จ.ตรัง รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดงาน “ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น สัญจร 2017” ที่จังหวัดตรัง เป็นจังหวัดที่ 5 ในจํานวน 12 จังหวัด ที่ขบวนคาราวานดังกล่าวจะเดินทางไปเผยแพร่ความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบและปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล โดยภายในงานได้เชิญวิทยากรชื่อดังมาให้ความรู้ในเรื่องของการทําตลาดออนไลน์ การสร้างเพจขายสินค้า และการใช้เครื่องมือดิจิทัลให้ทันโลกในปัจจุบัน พร้อมกันนี้ยังมีบูธนิทรรศการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ มาจัดแสดงและจัดกิจกรรมให้ประชาชนได้ร่วมสนุกและลุ้นรับของรางวัลมากมาย ซึ่งการจัดคาราวานดังกล่าวได้ให้ความสําคัญในการสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีดิจิทัลที่ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เนื่องจากอินเทอร์เน็ตเข้ามามีอิทธิพลในการใช้ชีวิตประจําวันของประชาชนเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ยังถือเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับประชาชนเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและผลักดันเศรษฐกิจของประเทศให้มีความแข็งแกร่งในอนาคต เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2560 ณ ลานหน้าห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จังหวัดตรัง *******************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ นำขบวนคาราวาน “ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น สัญจร 2017” สู่พี่น้อง จ.ตรัง วันพุธที่ 26 กรกฎาคม 2560 รมว.ดิจิทัลฯ นําขบวนคาราวาน “ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น สัญจร 2017” สู่พี่น้อง จ.ตรัง รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดงาน “ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น สัญจร 2017” ที่จังหวัดตรัง เป็นจังหวัดที่ 5 ในจํานวน 12 จังหวัด ที่ขบวนคาราวานดังกล่าวจะเดินทางไปเผยแพร่ความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบและปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล โดยภายในงานได้เชิญวิทยากรชื่อดังมาให้ความรู้ในเรื่องของการทําตลาดออนไลน์ การสร้างเพจขายสินค้า และการใช้เครื่องมือดิจิทัลให้ทันโลกในปัจจุบัน พร้อมกันนี้ยังมีบูธนิทรรศการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ มาจัดแสดงและจัดกิจกรรมให้ประชาชนได้ร่วมสนุกและลุ้นรับของรางวัลมากมาย ซึ่งการจัดคาราวานดังกล่าวได้ให้ความสําคัญในการสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีดิจิทัลที่ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เนื่องจากอินเทอร์เน็ตเข้ามามีอิทธิพลในการใช้ชีวิตประจําวันของประชาชนเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ยังถือเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับประชาชนเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและผลักดันเศรษฐกิจของประเทศให้มีความแข็งแกร่งในอนาคต เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2560 ณ ลานหน้าห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จังหวัดตรัง *******************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5475
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. กำหนด New Normal คนพิการเข้าถึงบริการฟื้นฟู [กระทรวงสาธารณสุข]
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563 สธ. กําหนด New Normal คนพิการเข้าถึงบริการฟื้นฟู [กระทรวงสาธารณสุข] สธ. กําหนด New Normal คนพิการเข้าถึงบริการฟื้นฟู กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับภาคีเครือข่ายสุขภาพ จัดทําแนวทางปฏิบัติสําหรับสถานพยาบาลในการ ปรับรูปแบบบริการฟื้นฟู เพื่อให้ผู้ป่วย คนพิการ และผู้สูงอายุ ได้รับบริการฟื้นฟูสมรรถภาพฐานชีวิตวิถีใหม่ วันนี้ (12 มิถุนายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวง สาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ปรับรูปแบบการจัดบริการฟื้นฟูสมรรถภาพฐานชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) เพื่อให้ผู้ป่วย คนพิการ และผู้สูงอายุ เข้าถึงบริการฟื้นฟูสมรรถภาพ ลดความแออัด เพิ่มความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ โดยสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ กรมการแพทย์ ร่วมกับราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ ฟื้นฟูแห่งประเทศไทย สภากายภาพบําบัด สมาคมนักกิจรรมบําบัด/อาชีวบําบัดแห่งประเทศไทย สมาคมโสตสัมผัสวิทยาและการแก้ไขการพูดแห่งประเทศไทย สมาคมกายอุปกรณ์ไทย ผู้แทนโรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลชุมชน สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสํานักงานประกันสังคม จัดทําแนวทางปฏิบัติการสําหรับสถานพยาบาลในการปรับรูปแบบบริการฟื้นฟูในสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 ให้สถานพยาบาลนําไปประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสมของสถานพยาบาลแต่ละพื้นที่ นายแพทย์ณัฐพงศ์กล่าวต่อว่า แนวทางปฏิบัติประกอบด้วย 1.การใช้เทคโนโลยีคัดกรองก่อนมาถึงโรงพยาบาลและก่อนเข้ารับบริการฟื้นฟู 2.การจัดกลุ่ม คัดแยก จัดลําดับความสําคัญของผู้ป่วย โดยประเมินจากความจําเป็นของบริการฟื้นฟู และความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แบ่งเป็น กลุ่มที่จําเป็นต้องได้รับบริการฟื้นฟูที่สถานพยาบาล ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมองในระยะทองคือ 6 เดือนแรก ผู้ป่วยมีอาการปวดรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อน และกลุ่มผู้สูงอายุ โรคกระดูกและกล้ามเนื้อที่อาการไม่เปลี่ยนแปลง ไม่จําเป็นต้องมาสถานพยาบาล 3.ตรวจหาเชื้อโควิด 19 สําหรับผู้ที่ความเสี่ยง เช่น มีปัญหาการกลืน และการขับเสมหะ 4.ปรับสภาพแวดล้อมในสถานพยาบาล โดยคํานึงถึงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการแพร่กระจายเชื้อ ได้แก่ การระบายอากาศ การจัดระยะห่างของที่นั่งรอคอย/ เตียงบําบัด ความสะอาดของอุปกรณ์ อาคารสถานที่ เป็นต้น 5.การนัดหมายล่วงหน้า ผ่านไลน์ โทรศัพท์ หรือเว็บไซต์ นอกจากนี้ ยังเพิ่มรูปแบบบริการฟื้นฟูเพื่อการเข้าถึง ได้แก่ การฟื้นฟูทางไกลด้วย VDO call (Tele-rehabilitation) การเยี่ยมบ้านให้คําแนะนําการฟื้นฟูโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ การให้คําปรึกษาผ่านทางโทรศัพท์หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ บริการส่งยาทางไปรษณีย์ โดยเฉพาะกลุ่มที่อาการคงที่ และสร้างระบบการส่งต่อผู้ป่วยที่จําเป็นในเครือข่ายสถานพยาบาล โดยมีสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลฟื้นฟูระดับตติยภูมิ เป็นต้นแบบการดําเนินงาน ********************************* 12 มิถุนายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. กำหนด New Normal คนพิการเข้าถึงบริการฟื้นฟู [กระทรวงสาธารณสุข] วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563 สธ. กําหนด New Normal คนพิการเข้าถึงบริการฟื้นฟู [กระทรวงสาธารณสุข] สธ. กําหนด New Normal คนพิการเข้าถึงบริการฟื้นฟู กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับภาคีเครือข่ายสุขภาพ จัดทําแนวทางปฏิบัติสําหรับสถานพยาบาลในการ ปรับรูปแบบบริการฟื้นฟู เพื่อให้ผู้ป่วย คนพิการ และผู้สูงอายุ ได้รับบริการฟื้นฟูสมรรถภาพฐานชีวิตวิถีใหม่ วันนี้ (12 มิถุนายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวง สาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ปรับรูปแบบการจัดบริการฟื้นฟูสมรรถภาพฐานชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) เพื่อให้ผู้ป่วย คนพิการ และผู้สูงอายุ เข้าถึงบริการฟื้นฟูสมรรถภาพ ลดความแออัด เพิ่มความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ โดยสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ กรมการแพทย์ ร่วมกับราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ ฟื้นฟูแห่งประเทศไทย สภากายภาพบําบัด สมาคมนักกิจรรมบําบัด/อาชีวบําบัดแห่งประเทศไทย สมาคมโสตสัมผัสวิทยาและการแก้ไขการพูดแห่งประเทศไทย สมาคมกายอุปกรณ์ไทย ผู้แทนโรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลชุมชน สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสํานักงานประกันสังคม จัดทําแนวทางปฏิบัติการสําหรับสถานพยาบาลในการปรับรูปแบบบริการฟื้นฟูในสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 ให้สถานพยาบาลนําไปประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสมของสถานพยาบาลแต่ละพื้นที่ นายแพทย์ณัฐพงศ์กล่าวต่อว่า แนวทางปฏิบัติประกอบด้วย 1.การใช้เทคโนโลยีคัดกรองก่อนมาถึงโรงพยาบาลและก่อนเข้ารับบริการฟื้นฟู 2.การจัดกลุ่ม คัดแยก จัดลําดับความสําคัญของผู้ป่วย โดยประเมินจากความจําเป็นของบริการฟื้นฟู และความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แบ่งเป็น กลุ่มที่จําเป็นต้องได้รับบริการฟื้นฟูที่สถานพยาบาล ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมองในระยะทองคือ 6 เดือนแรก ผู้ป่วยมีอาการปวดรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อน และกลุ่มผู้สูงอายุ โรคกระดูกและกล้ามเนื้อที่อาการไม่เปลี่ยนแปลง ไม่จําเป็นต้องมาสถานพยาบาล 3.ตรวจหาเชื้อโควิด 19 สําหรับผู้ที่ความเสี่ยง เช่น มีปัญหาการกลืน และการขับเสมหะ 4.ปรับสภาพแวดล้อมในสถานพยาบาล โดยคํานึงถึงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการแพร่กระจายเชื้อ ได้แก่ การระบายอากาศ การจัดระยะห่างของที่นั่งรอคอย/ เตียงบําบัด ความสะอาดของอุปกรณ์ อาคารสถานที่ เป็นต้น 5.การนัดหมายล่วงหน้า ผ่านไลน์ โทรศัพท์ หรือเว็บไซต์ นอกจากนี้ ยังเพิ่มรูปแบบบริการฟื้นฟูเพื่อการเข้าถึง ได้แก่ การฟื้นฟูทางไกลด้วย VDO call (Tele-rehabilitation) การเยี่ยมบ้านให้คําแนะนําการฟื้นฟูโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ การให้คําปรึกษาผ่านทางโทรศัพท์หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ บริการส่งยาทางไปรษณีย์ โดยเฉพาะกลุ่มที่อาการคงที่ และสร้างระบบการส่งต่อผู้ป่วยที่จําเป็นในเครือข่ายสถานพยาบาล โดยมีสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลฟื้นฟูระดับตติยภูมิ เป็นต้นแบบการดําเนินงาน ********************************* 12 มิถุนายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32276
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุมนบข. ครั้งที่ 4/61 พิจารณาทบทวนโครงการสินเชื่อ ชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 61/62 และการเพิ่มโควตาการส่งออกข้าวไป EU
วันอังคารที่ 4 กันยายน 2561 นายกรัฐมนตรีประชุมนบข. ครั้งที่ 4/61 พิจารณาทบทวนโครงการสินเชื่อ ชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 61/62 และการเพิ่มโควตาการส่งออกข้าวไป EU นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมนบข. ครั้งที่ 4/61 พิจารณาทบทวนโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 61/62 และการเพิ่มโควตาการส่งออกข้าวไป EU วันนี้ (3 ก.ย.61) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 4/2561 สรุปสาระสําคัญของผลการประชุม ดังนี้ ที่ประชุมรับทราบสถานการณ์ข้าวโลกข้าวไทย ปี 2561/62 ดังนี้ สถานการณ์ข้าวโลก ปี 2561/62 คาดว่าผลผลิตข้าวมีประมาณ 487.57 ล้านตันลดลง 0.97 ล้านตันจากปี 2560/61 (488.54 ล้านตัน) เนื่องจากผลผลิตจีน อินเดีย และปากีสถานจะลดลง เพราะปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นแทนข้าว ได้แก่ ข้าวโพด และมันฝรั่ง การบริโภค คาดว่าจะมีปริมาณ 487.81 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีประมาณ 481.50 ล้านตัน เนื่องจากประชากรของโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและสต็อกข้าวโลกปลายปี 2562 จะอยู่ที่ประมาณ 143.57 ล้านตัน ลดลง 0.25 ล้านตัน จากปลายปี 61 ซึ่งมีประมาณ 143.82 ล้านตัน การส่งออกข้าวช่วงเดือนมกราคม – สิงหาคม 2561 อินเดียส่งออกข้าวสูงสุดอันดับ 1 ของโลก 7.98 ล้านตัน รองลงมาคือ ไทย 6.81 ล้านตัน เวียดนาม 4.65 ล้านตัน ราคาส่งออกข้าวของไทยส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ยกเว้นราคาข้าวหอมมะลิปรับตัวลดลง สําหรับการส่งออกข้าวคุณภาพสูงของไทย (ม.ค.-ก.ค.61) ส่งออกลดลงมีปริมาณ 721,784 ตัน แต่มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นจาก 690 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็น 798 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เนื่องจากราคาส่งออกข้าวหอมมะลิปรับตัวสูงขึ้น สถานการณ์ข้าวไทย ปี 2561/62 การเพาะปลูกรอบที่ 1 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กําหนดเป้าหมายพื้นที่ส่งเสริมการปลูกข้าว 58.21 ล้านไร่ ขณะนี้เพาะปลูกแล้ว 48.22 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 82.84 ของเป้าหมาย และเก็บเกี่ยวแล้ว 3.51 ล้านไร่ ทั้งนี้หลายจังหวัดในภาคเหนือตอนล่าง เช่น จังหวัดพิษณุโลก พิจิตร และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง เช่น จังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ประสบสภาวะฝนทิ้งช่วงทําให้ต้นข้าวขาดน้ําในแปลงนามีวัชพืชมาก ส่งผลกระทบต่อผลผลิตข้าว การเพาะปลูกรอบที่ 2 กระทรวงเกษตรฯ กําหนดเป้าหมายพื้นที่ส่งเสริมการปลูกข้าว 12.21 ล้านไร่ ซึ่งเกษตรกรจะปลูกระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2561 – เมษายน 2562 การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2561/62 รอบที่ 1 ขึ้นทะเบียนแล้ว 3.37 ล้านครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 84.25 ของเป้าหมาย 4 ล้านครัวเรือน พื้นที่ 46.18 ล้านไร่ และราคาข้าวส่วนใหญ่ทรงตัวใกล้เคียงกับเดือนที่ผ่านมา ยกเว้นข้าวเปลือกหอมมะลิที่ปรับตัวลดลงเล็กน้อย พร้อมกันนี้ ที่ประชุมรับทราบแผนการดําเนินงานของกระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าภายใน ที่ได้จัดทําโครงการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้คุณประโยชน์ข้าวและการส่งเสริมการบริโภคข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ดังนี้ 1) ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้คุณประโยชน์ข้าวและการส่งเสริมการบริโภคข้าวอินทรีย์ และข้าวสาร Q อย่างต่อเนื่อง ผ่านสื่อต่าง ๆ อาทิ สปอตวิทยุสื่อออนไลน์ แอพพลิเคชั่น 2) รณรงค์ส่งเสริมการบริโภคร่วมกับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ เช่นห้างสรรพสินค้า สมาคม ภัตตาคาร สถานพยาบาล และ 3) ประชาสัมพันธ์โครงการสนับสนุนผู้ส่งออกข้าวมาตรฐานรับรองออร์แกนิคไทยแลนด์ เช่น การสนับสนุนค่าตรวจรับรองมาตรฐานอินทรีย์ โครงการเชื่อมโยงตลาดอินทรีย์และข้าวสาร Q ครบวงจร เป็นต้น ที่ประชุมเห็นชอบให้นําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาทบทวนมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปี 2561/62 โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2561/62 ตามที่ ธ.ก.ส. เสนอโดย 1) กรณีเกษตรกรฝากเก็บข้าวไว้ที่สหกรณ์หรือสถาบันเกษตรกรให้ปรับปรุงค่าเก็บรักษาข้าวเปลือกตันละ 1,500 บาท จากมติคณะรัฐมนตรี (24 ก.ค.61) เดิมให้สหกรณ์ตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรได้รับตันละ 500 บาท ปรับเป็นให้เกษตรกรได้รับตันละ 1,000 บาท และสหกรณ์ได้รับตันละ 500 บาท 2) เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรต้องเก็บรักษาข้าวเปลือกหลักประกันไว้ในยุ้งฉางหรือสถานที่เก็บของตนเองเท่านั้น 3) ปรับปรุงวิธีการเก็บรักษาข้าวเปลือกของสถาบันเกษตรกร ต้องเก็บรักษาข้าวเปลือกโดยบรรจุข้าวเปลือกในกระสอบป่านหรือถุง Big bag และวางเรียงในยุ้งฉางหรือสถานที่เก็บเพื่อสะดวกในการตรวจสอบ หรือเก็บข้าวในยุ้งฉางที่ยกพื้นสูง หรือไซโล (SILO) ยกเว้นกรณีเทกองจะต้องมีระบบการระบายอากาศเพื่อการรักษาคุณภาพข้าวเปลือกไม่ให้เสื่อมสภาพตลอดระยะเวลาโครงการ และ 4) มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการ นบข. นําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป การขอขยายปริมาณการจัดสรรโควตาการส่งออกข้าวไปสหภาพยุโรป (EU) ให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร ที่ประชุม 1) รับทราบผลการดําเนินงานในปี 2560/61 มีผู้เข้าร่วมโครงการที่เชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ประกอบด้วย ผู้ประกอบการค้าข้าว 28 ราย เกษตรกร 74 กลุ่ม ปริมาณข้าวที่มีการซื้อขาย ปริมาณรวม 6,691.47 ตัน แยกเป็นข้าวอินทรีย์ 1,716.32 ตัน ข้าว GAP 4,975.15 ตัน และผู้ประกอบการ 9 รายที่เชื่อมโยงตามโครงการจัดสรรโควตาได้รับการจัดสรรปริมาณ 2,000 ตัน ส่งออกไป 1,962 ตัน 2) รับทราบเป้าหมายโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ของกระทรวงเกษตรฯ ปี 60 –64 จะมีปริมาณข้าวอินทรีย์ 997,000 ตันข้าวเปลือก 3) เห็นชอบการขอขยายปริมาณการจัดสรรโควตาการส่งออกข้าวไปสหภาพยุโรป (EU) ให้แก่ผู้ประกอบการค้าข้าวที่เชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ ภายใต้โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจรตามที่กระทรวงเกษตรฯ เสนอ จากเดิมร้อยละ 10 (2,000 ตัน) ของปริมาณโควตาทั้งหมด เป็นร้อยละ 25 (5,000 ตัน) ของปริมาณโควตาทั้งหมด ภายในปี 2564 และ 4) มอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ พิจารณาสัดส่วนโควตาที่เหมาะสมตามการประเมินผลผลิตข้าวในโครงการ ของกระทรวงเกษตรฯ และสถิติการส่งออกข้าวที่กระทรวงพาณิชย์ประมวลได้เป็นรายปีต่อไป --------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก (ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการ นบข.)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุมนบข. ครั้งที่ 4/61 พิจารณาทบทวนโครงการสินเชื่อ ชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 61/62 และการเพิ่มโควตาการส่งออกข้าวไป EU วันอังคารที่ 4 กันยายน 2561 นายกรัฐมนตรีประชุมนบข. ครั้งที่ 4/61 พิจารณาทบทวนโครงการสินเชื่อ ชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 61/62 และการเพิ่มโควตาการส่งออกข้าวไป EU นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมนบข. ครั้งที่ 4/61 พิจารณาทบทวนโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 61/62 และการเพิ่มโควตาการส่งออกข้าวไป EU วันนี้ (3 ก.ย.61) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 4/2561 สรุปสาระสําคัญของผลการประชุม ดังนี้ ที่ประชุมรับทราบสถานการณ์ข้าวโลกข้าวไทย ปี 2561/62 ดังนี้ สถานการณ์ข้าวโลก ปี 2561/62 คาดว่าผลผลิตข้าวมีประมาณ 487.57 ล้านตันลดลง 0.97 ล้านตันจากปี 2560/61 (488.54 ล้านตัน) เนื่องจากผลผลิตจีน อินเดีย และปากีสถานจะลดลง เพราะปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นแทนข้าว ได้แก่ ข้าวโพด และมันฝรั่ง การบริโภค คาดว่าจะมีปริมาณ 487.81 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีประมาณ 481.50 ล้านตัน เนื่องจากประชากรของโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและสต็อกข้าวโลกปลายปี 2562 จะอยู่ที่ประมาณ 143.57 ล้านตัน ลดลง 0.25 ล้านตัน จากปลายปี 61 ซึ่งมีประมาณ 143.82 ล้านตัน การส่งออกข้าวช่วงเดือนมกราคม – สิงหาคม 2561 อินเดียส่งออกข้าวสูงสุดอันดับ 1 ของโลก 7.98 ล้านตัน รองลงมาคือ ไทย 6.81 ล้านตัน เวียดนาม 4.65 ล้านตัน ราคาส่งออกข้าวของไทยส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ยกเว้นราคาข้าวหอมมะลิปรับตัวลดลง สําหรับการส่งออกข้าวคุณภาพสูงของไทย (ม.ค.-ก.ค.61) ส่งออกลดลงมีปริมาณ 721,784 ตัน แต่มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นจาก 690 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็น 798 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เนื่องจากราคาส่งออกข้าวหอมมะลิปรับตัวสูงขึ้น สถานการณ์ข้าวไทย ปี 2561/62 การเพาะปลูกรอบที่ 1 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กําหนดเป้าหมายพื้นที่ส่งเสริมการปลูกข้าว 58.21 ล้านไร่ ขณะนี้เพาะปลูกแล้ว 48.22 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 82.84 ของเป้าหมาย และเก็บเกี่ยวแล้ว 3.51 ล้านไร่ ทั้งนี้หลายจังหวัดในภาคเหนือตอนล่าง เช่น จังหวัดพิษณุโลก พิจิตร และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง เช่น จังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ประสบสภาวะฝนทิ้งช่วงทําให้ต้นข้าวขาดน้ําในแปลงนามีวัชพืชมาก ส่งผลกระทบต่อผลผลิตข้าว การเพาะปลูกรอบที่ 2 กระทรวงเกษตรฯ กําหนดเป้าหมายพื้นที่ส่งเสริมการปลูกข้าว 12.21 ล้านไร่ ซึ่งเกษตรกรจะปลูกระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2561 – เมษายน 2562 การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2561/62 รอบที่ 1 ขึ้นทะเบียนแล้ว 3.37 ล้านครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 84.25 ของเป้าหมาย 4 ล้านครัวเรือน พื้นที่ 46.18 ล้านไร่ และราคาข้าวส่วนใหญ่ทรงตัวใกล้เคียงกับเดือนที่ผ่านมา ยกเว้นข้าวเปลือกหอมมะลิที่ปรับตัวลดลงเล็กน้อย พร้อมกันนี้ ที่ประชุมรับทราบแผนการดําเนินงานของกระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าภายใน ที่ได้จัดทําโครงการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้คุณประโยชน์ข้าวและการส่งเสริมการบริโภคข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ดังนี้ 1) ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้คุณประโยชน์ข้าวและการส่งเสริมการบริโภคข้าวอินทรีย์ และข้าวสาร Q อย่างต่อเนื่อง ผ่านสื่อต่าง ๆ อาทิ สปอตวิทยุสื่อออนไลน์ แอพพลิเคชั่น 2) รณรงค์ส่งเสริมการบริโภคร่วมกับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ เช่นห้างสรรพสินค้า สมาคม ภัตตาคาร สถานพยาบาล และ 3) ประชาสัมพันธ์โครงการสนับสนุนผู้ส่งออกข้าวมาตรฐานรับรองออร์แกนิคไทยแลนด์ เช่น การสนับสนุนค่าตรวจรับรองมาตรฐานอินทรีย์ โครงการเชื่อมโยงตลาดอินทรีย์และข้าวสาร Q ครบวงจร เป็นต้น ที่ประชุมเห็นชอบให้นําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาทบทวนมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปี 2561/62 โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2561/62 ตามที่ ธ.ก.ส. เสนอโดย 1) กรณีเกษตรกรฝากเก็บข้าวไว้ที่สหกรณ์หรือสถาบันเกษตรกรให้ปรับปรุงค่าเก็บรักษาข้าวเปลือกตันละ 1,500 บาท จากมติคณะรัฐมนตรี (24 ก.ค.61) เดิมให้สหกรณ์ตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรได้รับตันละ 500 บาท ปรับเป็นให้เกษตรกรได้รับตันละ 1,000 บาท และสหกรณ์ได้รับตันละ 500 บาท 2) เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรต้องเก็บรักษาข้าวเปลือกหลักประกันไว้ในยุ้งฉางหรือสถานที่เก็บของตนเองเท่านั้น 3) ปรับปรุงวิธีการเก็บรักษาข้าวเปลือกของสถาบันเกษตรกร ต้องเก็บรักษาข้าวเปลือกโดยบรรจุข้าวเปลือกในกระสอบป่านหรือถุง Big bag และวางเรียงในยุ้งฉางหรือสถานที่เก็บเพื่อสะดวกในการตรวจสอบ หรือเก็บข้าวในยุ้งฉางที่ยกพื้นสูง หรือไซโล (SILO) ยกเว้นกรณีเทกองจะต้องมีระบบการระบายอากาศเพื่อการรักษาคุณภาพข้าวเปลือกไม่ให้เสื่อมสภาพตลอดระยะเวลาโครงการ และ 4) มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการ นบข. นําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป การขอขยายปริมาณการจัดสรรโควตาการส่งออกข้าวไปสหภาพยุโรป (EU) ให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร ที่ประชุม 1) รับทราบผลการดําเนินงานในปี 2560/61 มีผู้เข้าร่วมโครงการที่เชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ประกอบด้วย ผู้ประกอบการค้าข้าว 28 ราย เกษตรกร 74 กลุ่ม ปริมาณข้าวที่มีการซื้อขาย ปริมาณรวม 6,691.47 ตัน แยกเป็นข้าวอินทรีย์ 1,716.32 ตัน ข้าว GAP 4,975.15 ตัน และผู้ประกอบการ 9 รายที่เชื่อมโยงตามโครงการจัดสรรโควตาได้รับการจัดสรรปริมาณ 2,000 ตัน ส่งออกไป 1,962 ตัน 2) รับทราบเป้าหมายโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ของกระทรวงเกษตรฯ ปี 60 –64 จะมีปริมาณข้าวอินทรีย์ 997,000 ตันข้าวเปลือก 3) เห็นชอบการขอขยายปริมาณการจัดสรรโควตาการส่งออกข้าวไปสหภาพยุโรป (EU) ให้แก่ผู้ประกอบการค้าข้าวที่เชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ ภายใต้โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจรตามที่กระทรวงเกษตรฯ เสนอ จากเดิมร้อยละ 10 (2,000 ตัน) ของปริมาณโควตาทั้งหมด เป็นร้อยละ 25 (5,000 ตัน) ของปริมาณโควตาทั้งหมด ภายในปี 2564 และ 4) มอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ พิจารณาสัดส่วนโควตาที่เหมาะสมตามการประเมินผลผลิตข้าวในโครงการ ของกระทรวงเกษตรฯ และสถิติการส่งออกข้าวที่กระทรวงพาณิชย์ประมวลได้เป็นรายปีต่อไป --------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก (ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการ นบข.)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15117
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ เร่งปรับกลไกการพิจารณาการนำวัคซีนใหม่ มาใช้ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และเพื่อรองรับสถานการณ์โรคอุบัติใหม่/อุบัติซ้ำ
วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน 2561 คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ เร่งปรับกลไกการพิจารณาการนําวัคซีนใหม่ มาใช้ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และเพื่อรองรับสถานการณ์โรคอุบัติใหม่/อุบัติซ้ํา พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมวัคซีนแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2561 วันนี้ (13 กันยายน 2561 ) เวลา 09.00 น.ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมวัคซีนแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ประชุมได้พิจารณา การปรับปรุงกลไกการพิจารณาการนําวัคซีนใหม่มาใช้ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค โครงการพัฒนาวัคซีนไข้สมองอักเสบเจอีชนิดเชื้อเป็นโดยใช้เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมภายใต้วาระแห่งชาติด้านวัคซีน และโครงการนําร่อง (Pilot project) การบูรณาการการบริหารจัดการวัคซีน การจัดซื้อและการสํารองวัคซีนรูปแบบใหม่ และปรับปรุงกลไกการพิจารณาการนําวัคซีนใหม่มาใช้ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ซึ่งจะมีการทํางานร่วมกันของคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ภายใต้คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ และคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยมีคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชีวัคซีนหลักแห่งชาติ ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เพื่อพิจารณานําวัคซีนมาใช้ทั้งในภาวะปกติและภาวะที่มีการระบาดของโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ํา โดยทางเลือกใหม่นี้ พร้อมกันนี้ที่ประชุม รับทราบผลการดําเนินงานและสภาพปัญหาของโครงการพัฒนาวัคซีนไข้สมองอักเสบเจอีชนิดเชื้อเป็นโดยใช้เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมภายใต้วาระแห่งชาติด้านวัคซีน ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างองค์การเภสัชกรรมและมหาวิทยาลัยมหิดล และได้ให้แนวทางในการแก้ปัญหา เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านวัคซีนของประเทศ ซึ่งจะทําให้เกิดการต่อยอดการวิจัยพัฒนาสู่การผลิตในระดับอุตสาหกรรม และทําให้ประเทศไทยสามารถพึ่งตนเองและมีความมั่นคงด้านวัคซีน สําหรับ ความคืบหน้าโครงการนําร่อง (Pilot project) การบูรณาการบริหารจัดการวัคซีน การจัดซื้อและการสํารองวัคซีนรูปแบบใหม่นั้น คณะทํางานดําเนินการโครงการนําร่องฯ ได้มีการประชุมทุกเดือน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการให้เป็นไปตามแผนที่กําหนด ทั้งการจัดซื้อร่วมกันแบบปีต่อปี (Pooled procurement) ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2562 และการเตรียมการเพื่อการจัดซื้อวัคซีนบางชนิดแบบผูกพันงบประมาณหลายปี (Multi-year tender) ในปีงบประมาณ 2563 ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบ และมอบหมายให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ร่วมกับ สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) และกระทรวงสาธารณสุข ดําเนินการขออนุมัติหลักการจาก ครม. ส่วนการจัดซื้อจากผู้ผลิตและ/หรือผู้นําเข้ามากกว่า 1 ราย (Multi-supplier) ในราคาเดียวกัน ให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติเสนอต่อกรมบัญชีกลางเพื่อขอยกเว้นการดําเนินการตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนวัคซีน ซึ่งจะทําให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้รับการป้องกันโรคด้วยวัคซีนอย่างครอบคลุม ..................................................... สํานักโฆษก ​ ​
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ เร่งปรับกลไกการพิจารณาการนำวัคซีนใหม่ มาใช้ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และเพื่อรองรับสถานการณ์โรคอุบัติใหม่/อุบัติซ้ำ วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน 2561 คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ เร่งปรับกลไกการพิจารณาการนําวัคซีนใหม่ มาใช้ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และเพื่อรองรับสถานการณ์โรคอุบัติใหม่/อุบัติซ้ํา พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมวัคซีนแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2561 วันนี้ (13 กันยายน 2561 ) เวลา 09.00 น.ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมวัคซีนแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ประชุมได้พิจารณา การปรับปรุงกลไกการพิจารณาการนําวัคซีนใหม่มาใช้ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค โครงการพัฒนาวัคซีนไข้สมองอักเสบเจอีชนิดเชื้อเป็นโดยใช้เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมภายใต้วาระแห่งชาติด้านวัคซีน และโครงการนําร่อง (Pilot project) การบูรณาการการบริหารจัดการวัคซีน การจัดซื้อและการสํารองวัคซีนรูปแบบใหม่ และปรับปรุงกลไกการพิจารณาการนําวัคซีนใหม่มาใช้ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ซึ่งจะมีการทํางานร่วมกันของคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ภายใต้คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ และคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยมีคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชีวัคซีนหลักแห่งชาติ ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เพื่อพิจารณานําวัคซีนมาใช้ทั้งในภาวะปกติและภาวะที่มีการระบาดของโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ํา โดยทางเลือกใหม่นี้ พร้อมกันนี้ที่ประชุม รับทราบผลการดําเนินงานและสภาพปัญหาของโครงการพัฒนาวัคซีนไข้สมองอักเสบเจอีชนิดเชื้อเป็นโดยใช้เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมภายใต้วาระแห่งชาติด้านวัคซีน ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างองค์การเภสัชกรรมและมหาวิทยาลัยมหิดล และได้ให้แนวทางในการแก้ปัญหา เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านวัคซีนของประเทศ ซึ่งจะทําให้เกิดการต่อยอดการวิจัยพัฒนาสู่การผลิตในระดับอุตสาหกรรม และทําให้ประเทศไทยสามารถพึ่งตนเองและมีความมั่นคงด้านวัคซีน สําหรับ ความคืบหน้าโครงการนําร่อง (Pilot project) การบูรณาการบริหารจัดการวัคซีน การจัดซื้อและการสํารองวัคซีนรูปแบบใหม่นั้น คณะทํางานดําเนินการโครงการนําร่องฯ ได้มีการประชุมทุกเดือน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการให้เป็นไปตามแผนที่กําหนด ทั้งการจัดซื้อร่วมกันแบบปีต่อปี (Pooled procurement) ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2562 และการเตรียมการเพื่อการจัดซื้อวัคซีนบางชนิดแบบผูกพันงบประมาณหลายปี (Multi-year tender) ในปีงบประมาณ 2563 ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบ และมอบหมายให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ร่วมกับ สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) และกระทรวงสาธารณสุข ดําเนินการขออนุมัติหลักการจาก ครม. ส่วนการจัดซื้อจากผู้ผลิตและ/หรือผู้นําเข้ามากกว่า 1 ราย (Multi-supplier) ในราคาเดียวกัน ให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติเสนอต่อกรมบัญชีกลางเพื่อขอยกเว้นการดําเนินการตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนวัคซีน ซึ่งจะทําให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้รับการป้องกันโรคด้วยวัคซีนอย่างครอบคลุม ..................................................... สํานักโฆษก ​ ​
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15352
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.2 ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี พร้อมมอบนโยบายและแนวทาง การปฏิบัติงาน ให้แก่ส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่
วันพุธที่ 12 ธันวาคม 2561 มท.2 ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ อําเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี พร้อมมอบนโยบายและแนวทาง การปฏิบัติงาน ให้แก่ส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ มท.2 ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ อําเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี พร้อมมอบนโยบายและแนวทาง การปฏิบัติงาน ให้แก่ส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ วันนี้ (12 ธ.ค. 61) เวลา 10.00 น. นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ ที่ว่าการอําเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี พร้อมมอบนโยบายให้แก่หัวหน้าส่วนราชการระดับอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ โดยมี นายบรรพต ยาฟอง ปลัดจังหวัดอุดรธานี และ นายสุชาติ ทอนมณี นายอําเภอกุมภวาปี เข้าร่วมรับมอบนโยบายด้วย นายสุธี มากบุญ กล่าวว่า การมาในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้กําลังใจและติดตามความก้าวหน้าของการดําเนินนโยบายตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ที่มีการดําเนินการในลักษณะบูรณาการระหว่างหน่วยงานในพื้นที่ เช่น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของประชาชนกลุ่มเป้าหมาย โครงการ OTOP นวัตวิถี ซึ่งเน้นการทํางานร่วมกันของภาคีเครือข่าย การพัฒนาอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกิดความยั่งยืน การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งเน้นการวางแผนที่เป็นระบบ อาศัยร่วมมือทั้งทหาร ตํารวจ พลเรือน ท้องที่ ท้องถิ่น และการมีส่วนร่วมของประชาชน โครงการเน็ตประชารัฐ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี ต้องเน้นการขยายผลให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจสูงสุด โครงการหมู่บ้าน/ชุมชนละ 2 แสนบาท กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ซึ่งจะต้องติดตามให้มีการดําเนินการอย่างโปร่งใสและเกิดความคุ้มค่า นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ําถึงการดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่พี่น้องประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ พร้อมทั้งได้มอบหลักในการทํางาน 5 หลัก เพื่อเป็นแนวทาง ในการทํางาน ได้แก่ 1) การเป็นข้าราชการในองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 2) สนองนโยบายของรัฐบาลให้ดีที่สุดในทุกๆ เรื่องภายใต้กรอบกฎหมาย 3) เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา 4) การยึดหลักธรรมาภิบาล และ 5) การบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์แบบมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ นายสุธี มากบุญ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้เร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณของโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี พร้อมกําชับให้ตํารวจและชุมชนในพื้นที่ ช่วยกันดูแลความปลอดภัยและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว รวมทั้งเรื่องความสะอาดของแหล่งท่องเที่ยว และขอให้จังหวัดและอําเภอพิจารณาปรับใช้กลไกที่มีอยู่ในพื้นที่ให้เหมาะสม เพื่อให้การบริหารจัดการการรักษาความสงบเรียบร้อย การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ การบริการงานทะเบียน การเลือกสมาชิกวุฒิสภาและการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย มีความสุจริต โปร่งใส และเที่ยงธรรม ทั้งนี้ ขอให้ทุกส่วนราชการวางตัวเป็นกลางและร่วมมือร่วมใจทํางานเพื่อประเทศชาติ ร่วมกันขับเคลื่อนภารกิจด้วยความมุ่งมั่น ในการแก้ไขปัญหาและพัฒนางานอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล และเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เดินทางไปเยี่ยมชม ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านนาดี - บ้านสร้างบง ที่บ้านสร้างบง ตําบลผาสุก ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวของชุมชนตามโครงการ OTOP นวัตวิถี มีกิจกรรมหลัก คือ การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร และกิจกรรมอื่นๆ อาทิ กลุ่มผักปลอดสารพิษ กลุ่มขนมไทย กลุ่มทอผ้าพื้นเมือง กลุ่มทอเสื่อกก กลุ่มการออมทรัพย์ กลุ่มเพาะเห็ดในโรงเรือน เป็นต้น ซึ่งแต่ละกลุ่มกิจกรรมมีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยมีกลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มนักท่องเที่ยว กลุ่มนักเรียน และกลุ่มผู้มาศึกษาดูงาน และได้เดินทางไปยังตําบลเชียงแหว (บ้านเดียม) อําเภอกุมภวาปี เพื่อตรวจติดตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน (โครงการหมู่บ้าน/ชุมชนละ 2 แสนบาท) ซึ่งจากการประชาคมของชาวบ้านเดียมที่ผ่านมา ชาวบ้านเดียมได้เสนอให้มีการปรับปรุงซ่อมแซมระบบประปาหมู่บ้าน ซึ่งทําให้ปัจจุบัน ชาวบ้านเดียมกว่า 146 ครัวเรือน มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เนื่องจากมีน้ําประปาที่สะอาดไว้ใช้บริโภค - อุปโภค
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.2 ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี พร้อมมอบนโยบายและแนวทาง การปฏิบัติงาน ให้แก่ส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ วันพุธที่ 12 ธันวาคม 2561 มท.2 ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ อําเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี พร้อมมอบนโยบายและแนวทาง การปฏิบัติงาน ให้แก่ส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ มท.2 ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ อําเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี พร้อมมอบนโยบายและแนวทาง การปฏิบัติงาน ให้แก่ส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ วันนี้ (12 ธ.ค. 61) เวลา 10.00 น. นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ ที่ว่าการอําเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี พร้อมมอบนโยบายให้แก่หัวหน้าส่วนราชการระดับอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ โดยมี นายบรรพต ยาฟอง ปลัดจังหวัดอุดรธานี และ นายสุชาติ ทอนมณี นายอําเภอกุมภวาปี เข้าร่วมรับมอบนโยบายด้วย นายสุธี มากบุญ กล่าวว่า การมาในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้กําลังใจและติดตามความก้าวหน้าของการดําเนินนโยบายตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ที่มีการดําเนินการในลักษณะบูรณาการระหว่างหน่วยงานในพื้นที่ เช่น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของประชาชนกลุ่มเป้าหมาย โครงการ OTOP นวัตวิถี ซึ่งเน้นการทํางานร่วมกันของภาคีเครือข่าย การพัฒนาอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกิดความยั่งยืน การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งเน้นการวางแผนที่เป็นระบบ อาศัยร่วมมือทั้งทหาร ตํารวจ พลเรือน ท้องที่ ท้องถิ่น และการมีส่วนร่วมของประชาชน โครงการเน็ตประชารัฐ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี ต้องเน้นการขยายผลให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจสูงสุด โครงการหมู่บ้าน/ชุมชนละ 2 แสนบาท กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ซึ่งจะต้องติดตามให้มีการดําเนินการอย่างโปร่งใสและเกิดความคุ้มค่า นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ําถึงการดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่พี่น้องประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ พร้อมทั้งได้มอบหลักในการทํางาน 5 หลัก เพื่อเป็นแนวทาง ในการทํางาน ได้แก่ 1) การเป็นข้าราชการในองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 2) สนองนโยบายของรัฐบาลให้ดีที่สุดในทุกๆ เรื่องภายใต้กรอบกฎหมาย 3) เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา 4) การยึดหลักธรรมาภิบาล และ 5) การบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์แบบมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ นายสุธี มากบุญ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้เร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณของโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี พร้อมกําชับให้ตํารวจและชุมชนในพื้นที่ ช่วยกันดูแลความปลอดภัยและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว รวมทั้งเรื่องความสะอาดของแหล่งท่องเที่ยว และขอให้จังหวัดและอําเภอพิจารณาปรับใช้กลไกที่มีอยู่ในพื้นที่ให้เหมาะสม เพื่อให้การบริหารจัดการการรักษาความสงบเรียบร้อย การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ การบริการงานทะเบียน การเลือกสมาชิกวุฒิสภาและการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย มีความสุจริต โปร่งใส และเที่ยงธรรม ทั้งนี้ ขอให้ทุกส่วนราชการวางตัวเป็นกลางและร่วมมือร่วมใจทํางานเพื่อประเทศชาติ ร่วมกันขับเคลื่อนภารกิจด้วยความมุ่งมั่น ในการแก้ไขปัญหาและพัฒนางานอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล และเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เดินทางไปเยี่ยมชม ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านนาดี - บ้านสร้างบง ที่บ้านสร้างบง ตําบลผาสุก ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวของชุมชนตามโครงการ OTOP นวัตวิถี มีกิจกรรมหลัก คือ การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร และกิจกรรมอื่นๆ อาทิ กลุ่มผักปลอดสารพิษ กลุ่มขนมไทย กลุ่มทอผ้าพื้นเมือง กลุ่มทอเสื่อกก กลุ่มการออมทรัพย์ กลุ่มเพาะเห็ดในโรงเรือน เป็นต้น ซึ่งแต่ละกลุ่มกิจกรรมมีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยมีกลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มนักท่องเที่ยว กลุ่มนักเรียน และกลุ่มผู้มาศึกษาดูงาน และได้เดินทางไปยังตําบลเชียงแหว (บ้านเดียม) อําเภอกุมภวาปี เพื่อตรวจติดตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน (โครงการหมู่บ้าน/ชุมชนละ 2 แสนบาท) ซึ่งจากการประชาคมของชาวบ้านเดียมที่ผ่านมา ชาวบ้านเดียมได้เสนอให้มีการปรับปรุงซ่อมแซมระบบประปาหมู่บ้าน ซึ่งทําให้ปัจจุบัน ชาวบ้านเดียมกว่า 146 ครัวเรือน มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เนื่องจากมีน้ําประปาที่สะอาดไว้ใช้บริโภค - อุปโภค
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17459
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Work from home ดีต่อหน่วยงานอย่างไร ??
วันอังคารที่ 14 เมษายน 2563 Work from home ดีต่อหน่วยงานอย่างไร ?? ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 การทํางานที่บ้านจะมีผลดีต่อหน่วยงานอย่างไรบ้างนะ หากเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ทุกคนในบริษัทยังต้องเข้าทํางานที่หน่วยงาน เมื่อมีคนป่วยหนึ่งคน คนที่เหลือทั้งหมดก็ต้องกักตัวเฝ้าระวัง ทําให้งานสะดุดได้ แต่ถ้าหากทุกคนในบริษัทใช้วิธี "สลับกัน" มาทํางาน เป็น 2 กลุ่ม หากมีผู้ป่วยหนึ่งคนก็ไม่ต้องกักตัวทั้งหมดเพราะยังเหลืออีกกลุ่มหนึ่งที่สามารถทํางานได้ ทําให้งานไปต่อได้ นี่แหละเป็นข้อดีของการ Work from home ในสถานการณ์ดังกล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Work from home ดีต่อหน่วยงานอย่างไร ?? วันอังคารที่ 14 เมษายน 2563 Work from home ดีต่อหน่วยงานอย่างไร ?? ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 การทํางานที่บ้านจะมีผลดีต่อหน่วยงานอย่างไรบ้างนะ หากเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ทุกคนในบริษัทยังต้องเข้าทํางานที่หน่วยงาน เมื่อมีคนป่วยหนึ่งคน คนที่เหลือทั้งหมดก็ต้องกักตัวเฝ้าระวัง ทําให้งานสะดุดได้ แต่ถ้าหากทุกคนในบริษัทใช้วิธี "สลับกัน" มาทํางาน เป็น 2 กลุ่ม หากมีผู้ป่วยหนึ่งคนก็ไม่ต้องกักตัวทั้งหมดเพราะยังเหลืออีกกลุ่มหนึ่งที่สามารถทํางานได้ ทําให้งานไปต่อได้ นี่แหละเป็นข้อดีของการ Work from home ในสถานการณ์ดังกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29000
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ จัดประชุมหารือผู้ทรงคุณวุฒิด้านไซเบอร์ เพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติ และกรอบมาตรฐานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ให้กับหน่วยงาน CII
วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 กระทรวงดิจิทัลฯ จัดประชุมหารือผู้ทรงคุณวุฒิด้านไซเบอร์ เพื่อกําหนดแนวทางปฏิบัติ และกรอบมาตรฐานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ให้กับหน่วยงาน CII กระทรวงดิจิทัลฯ จัดประชุมหารือผู้ทรงคุณวุฒิด้านไซเบอร์ เพื่อกําหนดแนวทางปฏิบัติ และกรอบมาตรฐานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ให้กับหน่วยงาน CII นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เป็นประธานการประชุมร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานต่างๆ เพื่อหารือร่วมกันในการพิจารณากําหนดแนวทางปฏิบัติและกรอบมาตรฐานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์สําหรับหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสําคัญทางสารสนเทศ (Critical Information Infrastructure : CII) ของประเทศ ในประเด็นปัจจัยและเกณฑ์คัดเลือกบริการที่สําคัญ (Critical Services) ของ CII แต่ละด้าน และหน่วยงานควบคุมหรือกํากับดูแล (Regulator) ของแต่ละบริการที่สําคัญเพื่อเตรียมเสนอคณะกรรมการกํากับดูแลด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในโอกาสต่อไป เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ณ ห้องประชุม MDES1 ชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม *****************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ จัดประชุมหารือผู้ทรงคุณวุฒิด้านไซเบอร์ เพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติ และกรอบมาตรฐานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ให้กับหน่วยงาน CII วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 กระทรวงดิจิทัลฯ จัดประชุมหารือผู้ทรงคุณวุฒิด้านไซเบอร์ เพื่อกําหนดแนวทางปฏิบัติ และกรอบมาตรฐานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ให้กับหน่วยงาน CII กระทรวงดิจิทัลฯ จัดประชุมหารือผู้ทรงคุณวุฒิด้านไซเบอร์ เพื่อกําหนดแนวทางปฏิบัติ และกรอบมาตรฐานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ให้กับหน่วยงาน CII นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เป็นประธานการประชุมร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานต่างๆ เพื่อหารือร่วมกันในการพิจารณากําหนดแนวทางปฏิบัติและกรอบมาตรฐานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์สําหรับหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสําคัญทางสารสนเทศ (Critical Information Infrastructure : CII) ของประเทศ ในประเด็นปัจจัยและเกณฑ์คัดเลือกบริการที่สําคัญ (Critical Services) ของ CII แต่ละด้าน และหน่วยงานควบคุมหรือกํากับดูแล (Regulator) ของแต่ละบริการที่สําคัญเพื่อเตรียมเสนอคณะกรรมการกํากับดูแลด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในโอกาสต่อไป เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ณ ห้องประชุม MDES1 ชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม *****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26718
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.วิทยาศาสตร์ฯ ปิดยอดจำหน่าย “ตลาดนัดวิถีวิทย์ 2560” รวม 30 ล้านบาท พร้อมส่งมอบภารกิจให้ ก.สาธารณสุข
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560 ก.วิทยาศาสตร์ฯ ปิดยอดจําหน่าย “ตลาดนัดวิถีวิทย์ 2560” รวม 30 ล้านบาท พร้อมส่งมอบภารกิจให้ ก.สาธารณสุข ก.วิทยาศาสตร์ฯ ปิดยอดจําหน่าย “ตลาดนัดวิถีวิทย์ 2560” รวม 30 ล้านบาท พร้อมส่งมอบภารกิจให้ ก.สาธารณสุข 28 มกราคม 2560 ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี : ดร. อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) นําคณะผู้บริหาร และเครือข่าย ประชุมหารือการสร้างความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) พร้อมเยี่ยมชมศูนย์เทคโนโลยี ณ ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่ 25 – 28 มกราคม 2560 เพื่อศึกษาแนวทางการดําเนินงานและพัฒนาความร่วมมือด้าน วทน. ระหว่างไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ผลักดันการสร้างพื้นที่นวัตกรรม (Area of Innovation) หนุนอุตสาหกรรม 4.0 และนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า จากการที่ได้ประชุมหารือเพื่อศึกษาแนวทางและสร้างความร่วมมือด้าน วทน. กับประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เพื่อประเทศไทยจะก้าวสู่ไทยแลนด์ 4.0 ด้วยเน้นการประยุกต์ใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ต่อยอดภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม การศึกษา และสังคม เพื่อพัฒนาประเทศให้หลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ซึ่งการประชุมความร่วมมือไทย-เยอรมนี เป็นแนวทางในการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of innovation: EECi) กลไกสําคัญในการยกระดับและพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม และส่งเสริมให้เกิดการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูงในพื้นที่ โดยมีระบบนิเวศนวัตกรรมที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดการทําวิจัยพัฒนาและสร้างนวัตกรรมร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย รวมถึงชุมชน เพื่อนําไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ด้วย วทน. ทําให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต ซึ่งการประชุมความร่วมมือและเยี่ยมชมประกอบด้วย - สถาบันฟรอนโฮเฟอร์ (Fraunhofer-Gesellschaft) เป็นองค์กรวิจัยเชิงประยุกต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของยุโรป การวิจัยมุ่งตอบสนองความต้องการของมนุษย์ในด้านสุขภาพ ความปลอดภัย การสื่อสาร พลังงานและสิ่งแวดล้อม หนึ่งในสถาบันวิจัยและพัฒนาที่สําคัญแห่งหนึ่งของโลก มีสถาบันย่อยและศูนย์วิจัย 67 แห่ง กระจายอยู่ทั่วประเทศ มีบุคลากรมากกว่า 24,000 คน มีความเป็นเลิศในด้านวิทยาศาสตร์การผลิต ดําเนินการวิจัยและพัฒนา ตลอดกระบวนการของอุตสาหกรรม จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต การบํารุงรักษาสินค้า การลงทุน และการรีไซเคิลผลิตภัณฑ์ เพื่อการออกแบบและการจัดการของบริษัทผู้ผลิต บทบาทของสถาบันฟรอนโฮเฟอร์ ไอพีเค (Fraunhofer Institute of Production Systems and Design Technology) คือ การเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ โดยนําเสนอแอปพลิเคชั่นที่เน้นการช่วยแก้ไขปัญหาที่พบทั้งระบบในโรงงานอุตสาหกรรม อีกทั้งยังช่วยถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังอุตสาหกรรมอื่นภายนอกโรงงาน สถาบันฯ เน้นการจดสิทธิบัตรจํานวนมาก การเขียนบทความวิชาการในเชิงงานวิจัยพื้นฐานมีจํานวนน้อยมาก ทาง ศ. ดร. อิง โฮลเจอร์ โคล ผู้อํานวยการส่วนบริหารองค์การของสถาบันฯ ได้นําเสนอเกี่ยวกับอุตสาหกรรม 4.0 โดยเริ่มที่นิยามตั้งแต่อุตสาหกรรม 1.0 เป็นการผลิตด้วยพลังไอน้ํา อุตสาหกรรม 2.0 เป็นการผลิตด้วยไฟฟ้าและแรงงานมนุษย์ อุตสาหกรรม 3.0 เป็นการนําเทคโนโลยีสารสนเทศและอิเล็กทรอนิกส์มาใช้การกระบวนการผลิตให้เป็นอัตโนมัติ ส่วนอุตสาหกรรม 4.0 เป็นการรวมโลกแห่งความจริงกับโลกเสมือนเข้าไว้ด้วยกัน (Cyber-Physical System) เป็นการสร้างอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง อินเทอร์เน็ตของข้อมูล และอินเทอร์เน็ตของบริการ ในการปรับเปลี่ยนจากอุตสาหกรรม 3.0 ไปเป็นอุตสาหกรรม 4.0 ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ทางสถาบันฯ ได้มีการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อช่วยกําหนดกระบวนการและแผนที่นําทางของแต่ละโรงงานอุตสาหกรรมว่าควรจะปรับเปลี่ยนอะไรและเมื่อใด ทั้งนี้ประเทศไทยเราต้องกําหนดจุดยืนของประเทศที่ชัดเจนว่าจะเน้นการผลิตแบบปริมาณมาก หรือจะเน้นการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนบุคคล - ศูนย์ความสามารถดาร์มสตัดท์ (Darmstadt Competence Centre) ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีดาร์มสตัดท์ มีความเชี่ยวชาญ 4 ด้าน ได้แก่ วิศวกรรมเครื่องกล ยานยนต์ อุตสาหกรรมอวกาศ และเทคโนโลยีทันตกรรม ที่นี่ เป็นหนึ่งในสิบศูนย์ที่ตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนนโยบาย SMEs 4.0 (Mittelstand 4.0) ของประเทศ ได้รับทุนสนับสนุน (Funding Initiative) จากกระทรวงเศรษฐกิจและพลังงานของรัฐบาลกลางเยอรมนี ที่นี่เป็นศูนย์อบรมภาคปฏิบัติให้กับบุคลากรจากภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วทั้งประเทศเยอรมัน มีการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการจํานวน 15 คอร์ส การสอนทฤษฎีจะใช้เวลาไม่มาก เน้นให้ผู้เข้ารับการอบรมได้ฝึกงานกับสถานการณ์จริง เครื่องมือจริง มีการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์เพื่อติดตามการทํางานในโรงงานอุตสาหกรรมตามจุดต่าง ๆ มีการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ๋ (Big Data) และนํามาวิเคราะห์เพื่อแก้ไขปัญหาที่ถูกจุด มีคู่มือการประกอบชิ้นส่วนแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นการสั่งซื้อตามความต้องการของลูกค้า อาจจะมีเป็นพันวิธีการประกอบ ด้วยอุตสาหกรรมแบบ 4.0 พนักงานสามารถนําชิ้นส่วนสแกนและดึงวิดีทัศน์ที่แสดงถึงขั้นตอนการประกอบของชิ้นส่วนนั้น ๆ จากฐานข้อมูลขึ้นมาและทําตามที่ละขั้นตอน แทนขั้นตอนเดิมที่ต้องเปิดคู่มือเล่มหนาเพื่อหาวิธีการประกอบชิ้นส่วนหนึ่งๆ นอกจากนี้ยังได้เข้าเยี่ยมชมงาน International Green Week (IGW) เป็นงานที่มีการจัดขึ้นเป็นประจําทุกปี ณ กรุงเบอร์ลิน งานแสดงสินค้าที่ใหญ่ทางด้านผลิตภัณฑ์อาหาร เกษตรอินทรีย์ และพืชสวนระดับนานาชาติ เป็นงานที่แสดงให้เห็นถึงขนบธรรมเนียม ประเพณี ตลอดจนนวัตกรรม ที่ถูกนํามาประยุกต์ใช้ของแต่ละประเทศ และเยี่ยมชมบูทของประเทศไทย ที่จัดคูหา 2 ส่วนได้แก่ (1) ส่วนแสดงนวัตกรรมด้านการเกษตร (Innovative Agriculture) ภายใต้หัวข้อ "Thailand: Green Village for Sustainable Economy" (ประเทศไทย: หมู่บ้านสีเขียวสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืน) เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ประเทศด้านการเกษตรยั่งยืนและเศรษฐกิจสีเขียว โดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของไทย สําหรับประโยชน์จากการเข้าร่วมจัดการแสดงสินค้าของไทยในครั้งนี้ จะเป็นการประชาสัมพันธ์ให้เกิดความรู้ความเข้าใจของมาตรฐานสินค้าเกษตรและความปลอดภัยทางอาหารของไทยให้เป็นที่รู้จักในต่างประเทศ รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อสินค้าเกษตรของไทย ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยตลอดห่วงโซ่อุปทาน และ (2) ส่วนศาลาไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมไทย และเสริมสร้างภาพลักษณ์ “สินค้าไทยสู่ตลาดโลก” โดยจะมีสินค้าทางการเกษตรที่มีมาตรฐานและคุณภาพของไทย อาทิ ผลิตภัณฑ์จากโครงการหลวง (โครงการพัฒนาดอยตุง มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ร้านภูฟ้า) ข้าวหอมมะลิ และ สินค้าโอท็อป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมให้การสนับสนุนในทุกๆ ด้าน ทั้งในส่วนของการร่วมวิจัย พัฒนา และการให้เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญ เช่น ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. ซึ่งมีเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) ศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ (Food Feed Innovation Center) ที่เป็น one-stop service ส่งเสริมให้ SMEs ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวเสริมว่า การผลักดันสตาร์ทอัพในประเทศเยอรมันโดยสถาบันฟรอนโฮเฟอร์ ไอพีเค เริ่มจากระยะเตรียมเมล็ดพันธุ์ (Pre-Seed) จะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน แล้วตามมาด้วยระยะฟูมฟักบริษัทสตาร์ทอัพให้มีความแข็งแรงขึ้นในระยะเวลาเฉลี่ยอยู่ที่ 5-8 ปี หลังจากนั้นจะเป็นระยะขยายความสามารถ ทั้งนี้หากเป็นบริษัทด้านไอทีจะใช้เวลาสั้นกว่าที่กล่าวมาเนื่องจากเทคโนโลยีด้านนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก สําหรับงานวิจัยในกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากนี้ไปจะเร่งทํางานเน้นงานวิจัยเชิงประยุกต์ เน้นการสร้างสิทธิบัตรมากกว่าการเขียนบทความวิชาการ และกระทรวงวิทย์ฯ จะเปิดรับการหารือพร้อมให้คําแนะนํากับผู้ประกอบการเพื่อให้การใช้ วทน. เกิดผลสําเร็จอย่างยั่งยืนและนําพาประเทศเราก้าวสู่ไทยแลนด์ 4.0 ข่าวโดย ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช. เผยแพร่ข่าวโดย นางสาวชลธิชา แสงเทียนสุวรรณ E-mail:[email protected] Facebook: NSTDA-สวทช. ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02 564 7000 ต่อ 71731, 71727, 711192 , 71725, 1162 ลัญจนา (089 128 5004) วีระวุฒิ (081 614 4465) ชัชวาลย์ (083 032 5145) ชนานันท์ (081 639 6122) อาทิตย์ (081 989 3459)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.วิทยาศาสตร์ฯ ปิดยอดจำหน่าย “ตลาดนัดวิถีวิทย์ 2560” รวม 30 ล้านบาท พร้อมส่งมอบภารกิจให้ ก.สาธารณสุข วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560 ก.วิทยาศาสตร์ฯ ปิดยอดจําหน่าย “ตลาดนัดวิถีวิทย์ 2560” รวม 30 ล้านบาท พร้อมส่งมอบภารกิจให้ ก.สาธารณสุข ก.วิทยาศาสตร์ฯ ปิดยอดจําหน่าย “ตลาดนัดวิถีวิทย์ 2560” รวม 30 ล้านบาท พร้อมส่งมอบภารกิจให้ ก.สาธารณสุข 28 มกราคม 2560 ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี : ดร. อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) นําคณะผู้บริหาร และเครือข่าย ประชุมหารือการสร้างความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) พร้อมเยี่ยมชมศูนย์เทคโนโลยี ณ ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่ 25 – 28 มกราคม 2560 เพื่อศึกษาแนวทางการดําเนินงานและพัฒนาความร่วมมือด้าน วทน. ระหว่างไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ผลักดันการสร้างพื้นที่นวัตกรรม (Area of Innovation) หนุนอุตสาหกรรม 4.0 และนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า จากการที่ได้ประชุมหารือเพื่อศึกษาแนวทางและสร้างความร่วมมือด้าน วทน. กับประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เพื่อประเทศไทยจะก้าวสู่ไทยแลนด์ 4.0 ด้วยเน้นการประยุกต์ใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ต่อยอดภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม การศึกษา และสังคม เพื่อพัฒนาประเทศให้หลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ซึ่งการประชุมความร่วมมือไทย-เยอรมนี เป็นแนวทางในการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of innovation: EECi) กลไกสําคัญในการยกระดับและพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม และส่งเสริมให้เกิดการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูงในพื้นที่ โดยมีระบบนิเวศนวัตกรรมที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดการทําวิจัยพัฒนาและสร้างนวัตกรรมร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย รวมถึงชุมชน เพื่อนําไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ด้วย วทน. ทําให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต ซึ่งการประชุมความร่วมมือและเยี่ยมชมประกอบด้วย - สถาบันฟรอนโฮเฟอร์ (Fraunhofer-Gesellschaft) เป็นองค์กรวิจัยเชิงประยุกต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของยุโรป การวิจัยมุ่งตอบสนองความต้องการของมนุษย์ในด้านสุขภาพ ความปลอดภัย การสื่อสาร พลังงานและสิ่งแวดล้อม หนึ่งในสถาบันวิจัยและพัฒนาที่สําคัญแห่งหนึ่งของโลก มีสถาบันย่อยและศูนย์วิจัย 67 แห่ง กระจายอยู่ทั่วประเทศ มีบุคลากรมากกว่า 24,000 คน มีความเป็นเลิศในด้านวิทยาศาสตร์การผลิต ดําเนินการวิจัยและพัฒนา ตลอดกระบวนการของอุตสาหกรรม จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต การบํารุงรักษาสินค้า การลงทุน และการรีไซเคิลผลิตภัณฑ์ เพื่อการออกแบบและการจัดการของบริษัทผู้ผลิต บทบาทของสถาบันฟรอนโฮเฟอร์ ไอพีเค (Fraunhofer Institute of Production Systems and Design Technology) คือ การเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ โดยนําเสนอแอปพลิเคชั่นที่เน้นการช่วยแก้ไขปัญหาที่พบทั้งระบบในโรงงานอุตสาหกรรม อีกทั้งยังช่วยถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังอุตสาหกรรมอื่นภายนอกโรงงาน สถาบันฯ เน้นการจดสิทธิบัตรจํานวนมาก การเขียนบทความวิชาการในเชิงงานวิจัยพื้นฐานมีจํานวนน้อยมาก ทาง ศ. ดร. อิง โฮลเจอร์ โคล ผู้อํานวยการส่วนบริหารองค์การของสถาบันฯ ได้นําเสนอเกี่ยวกับอุตสาหกรรม 4.0 โดยเริ่มที่นิยามตั้งแต่อุตสาหกรรม 1.0 เป็นการผลิตด้วยพลังไอน้ํา อุตสาหกรรม 2.0 เป็นการผลิตด้วยไฟฟ้าและแรงงานมนุษย์ อุตสาหกรรม 3.0 เป็นการนําเทคโนโลยีสารสนเทศและอิเล็กทรอนิกส์มาใช้การกระบวนการผลิตให้เป็นอัตโนมัติ ส่วนอุตสาหกรรม 4.0 เป็นการรวมโลกแห่งความจริงกับโลกเสมือนเข้าไว้ด้วยกัน (Cyber-Physical System) เป็นการสร้างอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง อินเทอร์เน็ตของข้อมูล และอินเทอร์เน็ตของบริการ ในการปรับเปลี่ยนจากอุตสาหกรรม 3.0 ไปเป็นอุตสาหกรรม 4.0 ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ทางสถาบันฯ ได้มีการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อช่วยกําหนดกระบวนการและแผนที่นําทางของแต่ละโรงงานอุตสาหกรรมว่าควรจะปรับเปลี่ยนอะไรและเมื่อใด ทั้งนี้ประเทศไทยเราต้องกําหนดจุดยืนของประเทศที่ชัดเจนว่าจะเน้นการผลิตแบบปริมาณมาก หรือจะเน้นการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนบุคคล - ศูนย์ความสามารถดาร์มสตัดท์ (Darmstadt Competence Centre) ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีดาร์มสตัดท์ มีความเชี่ยวชาญ 4 ด้าน ได้แก่ วิศวกรรมเครื่องกล ยานยนต์ อุตสาหกรรมอวกาศ และเทคโนโลยีทันตกรรม ที่นี่ เป็นหนึ่งในสิบศูนย์ที่ตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนนโยบาย SMEs 4.0 (Mittelstand 4.0) ของประเทศ ได้รับทุนสนับสนุน (Funding Initiative) จากกระทรวงเศรษฐกิจและพลังงานของรัฐบาลกลางเยอรมนี ที่นี่เป็นศูนย์อบรมภาคปฏิบัติให้กับบุคลากรจากภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วทั้งประเทศเยอรมัน มีการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการจํานวน 15 คอร์ส การสอนทฤษฎีจะใช้เวลาไม่มาก เน้นให้ผู้เข้ารับการอบรมได้ฝึกงานกับสถานการณ์จริง เครื่องมือจริง มีการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์เพื่อติดตามการทํางานในโรงงานอุตสาหกรรมตามจุดต่าง ๆ มีการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ๋ (Big Data) และนํามาวิเคราะห์เพื่อแก้ไขปัญหาที่ถูกจุด มีคู่มือการประกอบชิ้นส่วนแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นการสั่งซื้อตามความต้องการของลูกค้า อาจจะมีเป็นพันวิธีการประกอบ ด้วยอุตสาหกรรมแบบ 4.0 พนักงานสามารถนําชิ้นส่วนสแกนและดึงวิดีทัศน์ที่แสดงถึงขั้นตอนการประกอบของชิ้นส่วนนั้น ๆ จากฐานข้อมูลขึ้นมาและทําตามที่ละขั้นตอน แทนขั้นตอนเดิมที่ต้องเปิดคู่มือเล่มหนาเพื่อหาวิธีการประกอบชิ้นส่วนหนึ่งๆ นอกจากนี้ยังได้เข้าเยี่ยมชมงาน International Green Week (IGW) เป็นงานที่มีการจัดขึ้นเป็นประจําทุกปี ณ กรุงเบอร์ลิน งานแสดงสินค้าที่ใหญ่ทางด้านผลิตภัณฑ์อาหาร เกษตรอินทรีย์ และพืชสวนระดับนานาชาติ เป็นงานที่แสดงให้เห็นถึงขนบธรรมเนียม ประเพณี ตลอดจนนวัตกรรม ที่ถูกนํามาประยุกต์ใช้ของแต่ละประเทศ และเยี่ยมชมบูทของประเทศไทย ที่จัดคูหา 2 ส่วนได้แก่ (1) ส่วนแสดงนวัตกรรมด้านการเกษตร (Innovative Agriculture) ภายใต้หัวข้อ "Thailand: Green Village for Sustainable Economy" (ประเทศไทย: หมู่บ้านสีเขียวสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืน) เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ประเทศด้านการเกษตรยั่งยืนและเศรษฐกิจสีเขียว โดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของไทย สําหรับประโยชน์จากการเข้าร่วมจัดการแสดงสินค้าของไทยในครั้งนี้ จะเป็นการประชาสัมพันธ์ให้เกิดความรู้ความเข้าใจของมาตรฐานสินค้าเกษตรและความปลอดภัยทางอาหารของไทยให้เป็นที่รู้จักในต่างประเทศ รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อสินค้าเกษตรของไทย ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยตลอดห่วงโซ่อุปทาน และ (2) ส่วนศาลาไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมไทย และเสริมสร้างภาพลักษณ์ “สินค้าไทยสู่ตลาดโลก” โดยจะมีสินค้าทางการเกษตรที่มีมาตรฐานและคุณภาพของไทย อาทิ ผลิตภัณฑ์จากโครงการหลวง (โครงการพัฒนาดอยตุง มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ร้านภูฟ้า) ข้าวหอมมะลิ และ สินค้าโอท็อป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมให้การสนับสนุนในทุกๆ ด้าน ทั้งในส่วนของการร่วมวิจัย พัฒนา และการให้เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญ เช่น ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. ซึ่งมีเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) ศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ (Food Feed Innovation Center) ที่เป็น one-stop service ส่งเสริมให้ SMEs ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวเสริมว่า การผลักดันสตาร์ทอัพในประเทศเยอรมันโดยสถาบันฟรอนโฮเฟอร์ ไอพีเค เริ่มจากระยะเตรียมเมล็ดพันธุ์ (Pre-Seed) จะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน แล้วตามมาด้วยระยะฟูมฟักบริษัทสตาร์ทอัพให้มีความแข็งแรงขึ้นในระยะเวลาเฉลี่ยอยู่ที่ 5-8 ปี หลังจากนั้นจะเป็นระยะขยายความสามารถ ทั้งนี้หากเป็นบริษัทด้านไอทีจะใช้เวลาสั้นกว่าที่กล่าวมาเนื่องจากเทคโนโลยีด้านนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก สําหรับงานวิจัยในกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากนี้ไปจะเร่งทํางานเน้นงานวิจัยเชิงประยุกต์ เน้นการสร้างสิทธิบัตรมากกว่าการเขียนบทความวิชาการ และกระทรวงวิทย์ฯ จะเปิดรับการหารือพร้อมให้คําแนะนํากับผู้ประกอบการเพื่อให้การใช้ วทน. เกิดผลสําเร็จอย่างยั่งยืนและนําพาประเทศเราก้าวสู่ไทยแลนด์ 4.0 ข่าวโดย ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช. เผยแพร่ข่าวโดย นางสาวชลธิชา แสงเทียนสุวรรณ E-mail:[email protected] Facebook: NSTDA-สวทช. ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02 564 7000 ต่อ 71731, 71727, 711192 , 71725, 1162 ลัญจนา (089 128 5004) วีระวุฒิ (081 614 4465) ชัชวาลย์ (083 032 5145) ชนานันท์ (081 639 6122) อาทิตย์ (081 989 3459)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1715
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดโรงงานผลิตไฟฟ้าพลังงานก๊าซชีวภาพ กองบิน 2
วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม 2561 รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดโรงงานผลิตไฟฟ้าพลังงานก๊าซชีวภาพ กองบิน 2 พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดโรงงานผลิตไฟฟ้าพลังงานก๊าซชีวภาพ กองบิน 2 กองทัพอากาศ ณ กองบิน 2 จังหวัดลพบุรี เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2561 พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดโรงงานผลิตไฟฟ้าพลังงานก๊าซชีวภาพ กองบิน 2 กองทัพอากาศ ณ กองบิน 2 จังหวัดลพบุรี โดยมีพลอากาศเอก จอม รุ่งสว่าง ผู้บัญชาการทหารอากาศ ให้การต้อนรับ ในโอกาสนี้ นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายหร่อหยา จันทรัตนา ผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน และนายผดุงศักดิ์ หาญปรีชาสวัสดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ร่วมเป็นเกียรติในพิธี โรงงานผลิตไฟฟ้าพลังงานก๊าซชีวภาพ กองบิน 2 เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซชีวภาพจากระบบหมักย่อยขยะอินทรีย์แบบแห้ง ซึ่งถือเป็นโครงการต้นแบบแห่งแรกของประเทศไทย โดยกองทัพอากาศได้รับงบประมาณในการดําเนินโครงการฯ จากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน โดยมีสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นผู้ดําเนินการศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมเบื้องต้นด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งออกแบบระบบของโครงการฯ โดยมีวัตถุประสงค์ที่สําคัญ ในการสร้างเสริมความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าสําหรับการปฏิบัติภารกิจของหน่วยงานภายในกองบิน 2 และกระจายพื้นที่การใช้ประโยชน์เทคโนโลยีพลังงานทดแทนให้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดต้นแบบและแหล่งเรียนรู้การบริหารจัดการโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซชีวภาพจากการหมักย่อยขยะอินทรีย์แบบแห้งขนาดเล็กให้กับชุมชนอีกด้วย สําหรับการดําเนินโครงการฯ เป็นการใช้เทคโนโลยีใหม่เพื่อจัดการขยะ ซึ่งกําลังแพร่หลายในต่างประเทศ เช่น ประเทศเยอรมนี และประเทศสวีเดน เป็นต้น ใช้พื้นที่ในการก่อสร้างน้อยเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีแบบอื่น โดยอาศัยกระบวนการหมักย่อยสลายทางชีวภาพจากจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในธรรมชาติ เพื่อย่อยสลายสารอินทรีย์หรือความสกปรก ทําให้ความสกปรกลดลงและได้ก๊าซชีวภาพ ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ โดยขยะอินทรีย์ที่คัดแยกออกมาได้จะถูกนําเข้าระบบหมักย่อย ส่วนขยะประเภทอื่น เช่น โลหะหรือพลาสติกที่ย่อยสลายยาก จะถูกคัดแยกและรวบรวมไปจัดการต่อไป โดยสามารถแยกกระบวนการทํางานได้เป็น 4 ระบบ ได้แก่ 1. ระบบบริหารจัดการขยะ ด้วยการใช้เทคนิคการแยกวัสดุออกจากกัน สามารถแยกขยะออกเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย 1) ขยะส่วนที่หนัก (Heavy Fraction) ได้แก่ โลหะ ไม้ ขวดพลาสติก และวัสดุ อนินทรีย์ที่มีน้ําหนักค่อนข้างมาก เช่น เศษผัก, เปลือกผลไม้ 2) ขยะส่วนที่เบา (Light Fraction) จะถูกส่งต่อไปแยกขยะ เช่น กระดาษ และถุงพลาสติก 3) ขยะส่วนที่ละเอียด ขยะส่วนที่เหลือมาจะถูกส่งไปตามสายพานและแยกชิ้นส่วนโลหะขนาดเล็กที่ปะปนด้วยเทคนิคแยกวัสดุด้วยแม่เหล็กดูด เช่น เศษฝาเบียร์ ตะปู ออกไป โดยทุกๆ ขั้นตอนในระบบแยกขยะ จะมีระบบดูดกลิ่นและฝุ่นละออง เพื่อลดกลิ่นและการฟุ้งกระจายของฝุ่นภายในอาคาร 2. ระบบผลิตก๊าซชีวภาพ ในขั้นตอนต่อไป ขยะอินทรีย์จะถูกนําไปหมักย่อยในถังปฏิกรณ์แบบแห้ง โดยมีปริมาตร 900 ลบ.ม. รองรับอัตราการป้อนวัสดุหมัก 10 ตัน/วัน สามารถผลิตก๊าซชีวภาพได้วันละ 1,550 ลบ.ม./วัน ผลิตกระแสไฟฟ้าได้วันละ 2,500 หน่วย โดยก๊าซชีวภาพที่เกิดขึ้นจะถูกกักเก็บไว้ในบอลลูนพลาสติกแบบ 2 ชั้น อยู่ส่วนบนของบ่อหมัก สามารถกักเก็บก๊าซชีวภาพได้ 800 ลบ.ม. รองรับแรงดัน 2,000 Pascal สําหรับตะกอนส่วนที่ย่อยสลายไม่หมดจากระบบก๊าซชีวภาพ จะถูกนํามาผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์ โดยดูดส่งไปที่ระบบหมักย่อยแบบปิดที่ใช้ในการบําบัดน้ําเสียแบบไร้อากาศ เช่น น้ําซะขยะ น้ําเสียจากศูนย์กสิกรรม และน้ําส่วนหนึ่งที่หมักย่อยแล้วจะถูกสูบไปพ่นในระบบหมักย่อยแบบแห้ง เพื่อสร้างปัจจัยที่เอื้อต่อการทํางานของจุลินทรีย์ในถังหมัก Hybrid Biogas Digester 3. ระบบบําบัดก๊าซ กรองก๊าซ ดูดก๊าซ และระบบเผาก๊าซ จากนั้น ก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้ จะถูกนําไปเก็บในถังสํารองก๊าซชีวภาพ โดยมีการติดตั้งถังควบคุมแรงดัน ซึ่งถ้ามีก๊าซส่วนเกินที่เหลือใช้ หรือไม่ได้นํามาผลิตไฟฟ้าในบางช่วงเวลา จะถูกนําไปเผาทิ้งอัตโนมัติที่ชุดเผาทิ้งก๊าซชีวภาพ ก๊าซที่อยู่ในถังสํารองนี้ จะถูกนํามาปรับปรุงคุณภาพก่อนนํามาเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า Hydrogen sulfide เพื่อดักฝุ่น ไอน้ํา และก๊าซไข่เน่า 4. ระบบผลิตและส่งไฟฟ้า ก๊าซชีวภาพที่รวบรวมไว้จะถูกผลิตกระแสไฟฟ้าผ่านเครื่องยนต์ขนาด 250 kW จํานวน 2 ชุด และส่งไปที่หม้อแปลงไฟฟ้าขนาด 800 kva 3 phase 50 Hz เพื่อใช้ประโยชน์ภายในพื้นที่กองบิน 2 ต่อไป ทั้งนี้ หากโรงงานผลิตไฟฟ้าพลังงานก๊าซชีวภาพเดินเครื่องเต็มกําลังการผลิต คาดว่าจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายเรื่องค่าไฟฟ้าให้กับกองบิน 2 ได้ประมาณ 180,000 บาทต่อเดือน และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะ ตลอดจนสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับข้าราชการและครอบครัวของกองบิน 2 ที่สําคัญยังเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้า หากระบบไฟฟ้าหลักเกิดความเสียหายหรือไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ กองบิน 2 จะยังคงมีระบบไฟฟ้าสํารองเพื่อดํารงภารกิจด้านความมั่นคงได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากนโยบายผู้บัญชาการทหารอากาศ ปี 2560 – 2561 ได้กําหนดเป้าหมายแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างความร่วมมือด้านพลังงานทดแทน รวมทั้งการอนุรักษ์พลังงานกับหน่วยงานภายนอก เพื่อพัฒนาหน่วยงานระดับกองบินและโรงเรียนการบิน ให้เป็น “Smart Wing” ด้วยเทคโนโลยี “Smart Grid” ที่จะบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าให้สามารถตอบสนองต่อการปฏิบัติภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพแต่ใช้ทรัพยากรที่น้อยลง (Doing More with Less) รวมทั้งมีความน่าเชื่อถือ ความปลอดภัย ความยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยกองบิน 2 จะเป็นต้นแบบสําหรับการพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงานทดแทนของกองทัพอากาศ ให้เป็น “Smart Wing 2” ต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดโรงงานผลิตไฟฟ้าพลังงานก๊าซชีวภาพ กองบิน 2 วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม 2561 รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดโรงงานผลิตไฟฟ้าพลังงานก๊าซชีวภาพ กองบิน 2 พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดโรงงานผลิตไฟฟ้าพลังงานก๊าซชีวภาพ กองบิน 2 กองทัพอากาศ ณ กองบิน 2 จังหวัดลพบุรี เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2561 พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดโรงงานผลิตไฟฟ้าพลังงานก๊าซชีวภาพ กองบิน 2 กองทัพอากาศ ณ กองบิน 2 จังหวัดลพบุรี โดยมีพลอากาศเอก จอม รุ่งสว่าง ผู้บัญชาการทหารอากาศ ให้การต้อนรับ ในโอกาสนี้ นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายหร่อหยา จันทรัตนา ผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน และนายผดุงศักดิ์ หาญปรีชาสวัสดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ร่วมเป็นเกียรติในพิธี โรงงานผลิตไฟฟ้าพลังงานก๊าซชีวภาพ กองบิน 2 เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซชีวภาพจากระบบหมักย่อยขยะอินทรีย์แบบแห้ง ซึ่งถือเป็นโครงการต้นแบบแห่งแรกของประเทศไทย โดยกองทัพอากาศได้รับงบประมาณในการดําเนินโครงการฯ จากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน โดยมีสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นผู้ดําเนินการศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมเบื้องต้นด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งออกแบบระบบของโครงการฯ โดยมีวัตถุประสงค์ที่สําคัญ ในการสร้างเสริมความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าสําหรับการปฏิบัติภารกิจของหน่วยงานภายในกองบิน 2 และกระจายพื้นที่การใช้ประโยชน์เทคโนโลยีพลังงานทดแทนให้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดต้นแบบและแหล่งเรียนรู้การบริหารจัดการโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซชีวภาพจากการหมักย่อยขยะอินทรีย์แบบแห้งขนาดเล็กให้กับชุมชนอีกด้วย สําหรับการดําเนินโครงการฯ เป็นการใช้เทคโนโลยีใหม่เพื่อจัดการขยะ ซึ่งกําลังแพร่หลายในต่างประเทศ เช่น ประเทศเยอรมนี และประเทศสวีเดน เป็นต้น ใช้พื้นที่ในการก่อสร้างน้อยเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีแบบอื่น โดยอาศัยกระบวนการหมักย่อยสลายทางชีวภาพจากจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในธรรมชาติ เพื่อย่อยสลายสารอินทรีย์หรือความสกปรก ทําให้ความสกปรกลดลงและได้ก๊าซชีวภาพ ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ โดยขยะอินทรีย์ที่คัดแยกออกมาได้จะถูกนําเข้าระบบหมักย่อย ส่วนขยะประเภทอื่น เช่น โลหะหรือพลาสติกที่ย่อยสลายยาก จะถูกคัดแยกและรวบรวมไปจัดการต่อไป โดยสามารถแยกกระบวนการทํางานได้เป็น 4 ระบบ ได้แก่ 1. ระบบบริหารจัดการขยะ ด้วยการใช้เทคนิคการแยกวัสดุออกจากกัน สามารถแยกขยะออกเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย 1) ขยะส่วนที่หนัก (Heavy Fraction) ได้แก่ โลหะ ไม้ ขวดพลาสติก และวัสดุ อนินทรีย์ที่มีน้ําหนักค่อนข้างมาก เช่น เศษผัก, เปลือกผลไม้ 2) ขยะส่วนที่เบา (Light Fraction) จะถูกส่งต่อไปแยกขยะ เช่น กระดาษ และถุงพลาสติก 3) ขยะส่วนที่ละเอียด ขยะส่วนที่เหลือมาจะถูกส่งไปตามสายพานและแยกชิ้นส่วนโลหะขนาดเล็กที่ปะปนด้วยเทคนิคแยกวัสดุด้วยแม่เหล็กดูด เช่น เศษฝาเบียร์ ตะปู ออกไป โดยทุกๆ ขั้นตอนในระบบแยกขยะ จะมีระบบดูดกลิ่นและฝุ่นละออง เพื่อลดกลิ่นและการฟุ้งกระจายของฝุ่นภายในอาคาร 2. ระบบผลิตก๊าซชีวภาพ ในขั้นตอนต่อไป ขยะอินทรีย์จะถูกนําไปหมักย่อยในถังปฏิกรณ์แบบแห้ง โดยมีปริมาตร 900 ลบ.ม. รองรับอัตราการป้อนวัสดุหมัก 10 ตัน/วัน สามารถผลิตก๊าซชีวภาพได้วันละ 1,550 ลบ.ม./วัน ผลิตกระแสไฟฟ้าได้วันละ 2,500 หน่วย โดยก๊าซชีวภาพที่เกิดขึ้นจะถูกกักเก็บไว้ในบอลลูนพลาสติกแบบ 2 ชั้น อยู่ส่วนบนของบ่อหมัก สามารถกักเก็บก๊าซชีวภาพได้ 800 ลบ.ม. รองรับแรงดัน 2,000 Pascal สําหรับตะกอนส่วนที่ย่อยสลายไม่หมดจากระบบก๊าซชีวภาพ จะถูกนํามาผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์ โดยดูดส่งไปที่ระบบหมักย่อยแบบปิดที่ใช้ในการบําบัดน้ําเสียแบบไร้อากาศ เช่น น้ําซะขยะ น้ําเสียจากศูนย์กสิกรรม และน้ําส่วนหนึ่งที่หมักย่อยแล้วจะถูกสูบไปพ่นในระบบหมักย่อยแบบแห้ง เพื่อสร้างปัจจัยที่เอื้อต่อการทํางานของจุลินทรีย์ในถังหมัก Hybrid Biogas Digester 3. ระบบบําบัดก๊าซ กรองก๊าซ ดูดก๊าซ และระบบเผาก๊าซ จากนั้น ก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้ จะถูกนําไปเก็บในถังสํารองก๊าซชีวภาพ โดยมีการติดตั้งถังควบคุมแรงดัน ซึ่งถ้ามีก๊าซส่วนเกินที่เหลือใช้ หรือไม่ได้นํามาผลิตไฟฟ้าในบางช่วงเวลา จะถูกนําไปเผาทิ้งอัตโนมัติที่ชุดเผาทิ้งก๊าซชีวภาพ ก๊าซที่อยู่ในถังสํารองนี้ จะถูกนํามาปรับปรุงคุณภาพก่อนนํามาเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า Hydrogen sulfide เพื่อดักฝุ่น ไอน้ํา และก๊าซไข่เน่า 4. ระบบผลิตและส่งไฟฟ้า ก๊าซชีวภาพที่รวบรวมไว้จะถูกผลิตกระแสไฟฟ้าผ่านเครื่องยนต์ขนาด 250 kW จํานวน 2 ชุด และส่งไปที่หม้อแปลงไฟฟ้าขนาด 800 kva 3 phase 50 Hz เพื่อใช้ประโยชน์ภายในพื้นที่กองบิน 2 ต่อไป ทั้งนี้ หากโรงงานผลิตไฟฟ้าพลังงานก๊าซชีวภาพเดินเครื่องเต็มกําลังการผลิต คาดว่าจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายเรื่องค่าไฟฟ้าให้กับกองบิน 2 ได้ประมาณ 180,000 บาทต่อเดือน และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะ ตลอดจนสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับข้าราชการและครอบครัวของกองบิน 2 ที่สําคัญยังเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้า หากระบบไฟฟ้าหลักเกิดความเสียหายหรือไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ กองบิน 2 จะยังคงมีระบบไฟฟ้าสํารองเพื่อดํารงภารกิจด้านความมั่นคงได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากนโยบายผู้บัญชาการทหารอากาศ ปี 2560 – 2561 ได้กําหนดเป้าหมายแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างความร่วมมือด้านพลังงานทดแทน รวมทั้งการอนุรักษ์พลังงานกับหน่วยงานภายนอก เพื่อพัฒนาหน่วยงานระดับกองบินและโรงเรียนการบิน ให้เป็น “Smart Wing” ด้วยเทคโนโลยี “Smart Grid” ที่จะบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าให้สามารถตอบสนองต่อการปฏิบัติภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพแต่ใช้ทรัพยากรที่น้อยลง (Doing More with Less) รวมทั้งมีความน่าเชื่อถือ ความปลอดภัย ความยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยกองบิน 2 จะเป็นต้นแบบสําหรับการพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงานทดแทนของกองทัพอากาศ ให้เป็น “Smart Wing 2” ต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13649
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามการเตรียมการจัดทำน้ำอภิเษก และการดำเนินงาน ภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทยและนโยบายของรัฐบาลร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 14 จังหวัดภาคใต้
วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม 2562 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามการเตรียมการจัดทําน้ําอภิเษก และการดําเนินงาน ภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทยและนโยบายของรัฐบาลร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 14 จังหวัดภาคใต้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามการเตรียมการจัดทําน้ําอภิเษก และการดําเนินงาน ภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทยและนโยบายของรัฐบาลร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 14 จังหวัดภาคใต้ วันนี้ (8 มี.ค. 62) เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุมศรีวิชัย ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมหารือข้อราชการและติดตามการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทยร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดภาคใต้ 14 จังหวัด โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดภาคใต้ 14 จังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ร่วมประชุมหารือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในวันนี้เป็นการประชุมขับเคลื่อนและติดตามงานต่างๆ มีเรื่องที่สําคัญ คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยกระทรวงมหาดไทยได้รับมอบหมายเรื่องการจัดนําอภิเษก ทางคณะผู้บริหารระดับสูงจึงได้เชิญผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดภาคใต้มา เพื่อติดตามและสอบถามความคืบหน้าและปัญหาอุปสรรคของการเตรียมการในเรื่องดังกล่าว เพื่อช่วยสนับสนุนจังหวัดในด้านต่างๆ และแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อให้การดําเนินการจัดทําน้ําอภิเษกเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ และติดตามการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยจากพายุปาปึก ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยเป็นอย่างมาก โดยในช่วงบ่ายจะได้ลงพื้นที่เพื่อพบปะและให้กําลังใจกับผู้ประสบภัย จากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดภาคใต้ทั้ง 14 จังหวัด ได้รายงานการเตรียมความพร้อมของการเตรียมแหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์ ทั้งด้านพิธีพลีกรรมตักน้ํา และด้านพิธีทําน้ําอภิเษก เป็นต้น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กําชับในเรื่องการดําเนินการปรับภูมิทัศน์บริเวณแหล่งน้ําให้แล้วเสร็จภายในกลางเดือนมีนาคมนี้ และให้ดูแลบริเวณแหล่งน้ําให้มีความเรียบร้อย ท้ายสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ติดตามการดําเนินงานเรื่องอื่นๆ เช่น โครงการจิตอาสาพระราชทาน 904 การฟื้นฟูและพัฒนาลําน้ํา คู คลองเพื่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด การบริหารจัดการขยะมูลฝอย และการแก้ไขปัญหาน้ําเสีย การป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง และการสร้างการรับรู้สู่ชุมชน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามการเตรียมการจัดทำน้ำอภิเษก และการดำเนินงาน ภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทยและนโยบายของรัฐบาลร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 14 จังหวัดภาคใต้ วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม 2562 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามการเตรียมการจัดทําน้ําอภิเษก และการดําเนินงาน ภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทยและนโยบายของรัฐบาลร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 14 จังหวัดภาคใต้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามการเตรียมการจัดทําน้ําอภิเษก และการดําเนินงาน ภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทยและนโยบายของรัฐบาลร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 14 จังหวัดภาคใต้ วันนี้ (8 มี.ค. 62) เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุมศรีวิชัย ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมหารือข้อราชการและติดตามการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทยร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดภาคใต้ 14 จังหวัด โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดภาคใต้ 14 จังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ร่วมประชุมหารือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในวันนี้เป็นการประชุมขับเคลื่อนและติดตามงานต่างๆ มีเรื่องที่สําคัญ คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยกระทรวงมหาดไทยได้รับมอบหมายเรื่องการจัดนําอภิเษก ทางคณะผู้บริหารระดับสูงจึงได้เชิญผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดภาคใต้มา เพื่อติดตามและสอบถามความคืบหน้าและปัญหาอุปสรรคของการเตรียมการในเรื่องดังกล่าว เพื่อช่วยสนับสนุนจังหวัดในด้านต่างๆ และแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อให้การดําเนินการจัดทําน้ําอภิเษกเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ และติดตามการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยจากพายุปาปึก ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยเป็นอย่างมาก โดยในช่วงบ่ายจะได้ลงพื้นที่เพื่อพบปะและให้กําลังใจกับผู้ประสบภัย จากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดภาคใต้ทั้ง 14 จังหวัด ได้รายงานการเตรียมความพร้อมของการเตรียมแหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์ ทั้งด้านพิธีพลีกรรมตักน้ํา และด้านพิธีทําน้ําอภิเษก เป็นต้น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กําชับในเรื่องการดําเนินการปรับภูมิทัศน์บริเวณแหล่งน้ําให้แล้วเสร็จภายในกลางเดือนมีนาคมนี้ และให้ดูแลบริเวณแหล่งน้ําให้มีความเรียบร้อย ท้ายสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ติดตามการดําเนินงานเรื่องอื่นๆ เช่น โครงการจิตอาสาพระราชทาน 904 การฟื้นฟูและพัฒนาลําน้ํา คู คลองเพื่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด การบริหารจัดการขยะมูลฝอย และการแก้ไขปัญหาน้ําเสีย การป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง และการสร้างการรับรู้สู่ชุมชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19209
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด ก.อุตฯ นำทีมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมชมงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ำแห่งรัตนโกสินทร์"
วันพุธที่ 9 มกราคม 2562 ปลัด ก.อุตฯ นําทีมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมชมงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ําแห่งรัตนโกสินทร์" นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมภริยา เข้าร่วมชมงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ําแห่งรัตนโกสินทร์" ณ บริเวณลานพระราชวังดุสิตและสนามเสือป่า วันนี้ 9 มกราคม 2562 นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมภริยา นําคณะผู้บริหารข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม กว่า 200 คน แต่งกายด้วยชุดผ้าไทยย้อนยุค เข้าร่วมชมงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ําแห่งรัตนโกสินทร์" ณ บริเวณลานพระราชวังดุสิตและสนามเสือป่า
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด ก.อุตฯ นำทีมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมชมงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ำแห่งรัตนโกสินทร์" วันพุธที่ 9 มกราคม 2562 ปลัด ก.อุตฯ นําทีมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมชมงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ําแห่งรัตนโกสินทร์" นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมภริยา เข้าร่วมชมงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ําแห่งรัตนโกสินทร์" ณ บริเวณลานพระราชวังดุสิตและสนามเสือป่า วันนี้ 9 มกราคม 2562 นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมภริยา นําคณะผู้บริหารข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม กว่า 200 คน แต่งกายด้วยชุดผ้าไทยย้อนยุค เข้าร่วมชมงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ําแห่งรัตนโกสินทร์" ณ บริเวณลานพระราชวังดุสิตและสนามเสือป่า
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18038
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนวทางเตรียมความพร้อมจัดการศึกษา ก่อนเปิดภาคเรียนปี 2563
วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน 2563 แนวทางเตรียมความพร้อมจัดการศึกษา ก่อนเปิดภาคเรียนปี 2563 วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบแนวทางการเตรียมความพร้อมจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ก่อนเปิดภาคเรียนปีการศึกษา 2563 โดยให้เริ่มนับเวลาเรียน ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 63 และนับรวมเวลาเรียนที่เปิดสอนชดเชยให้ครบตามโครงสร้างเวลาเรียน และให้อนุมัติการจบการศึกษา ภายในวันที่ 9 เม.ย. 64 กรณีนักเรียนมีผลการเรียนไม่สมบูรณ์ ให้สถานศึกษาสอนซ่อมเสริม ประเมินผลและอนุมัติจบการศึกษา ภายในวันที่ 15 พ.ค. 64 นอกจากนี้ยังเห็นชอบสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้สถานศึกษาสามารถจัดการเรียนการสอนทางไกลในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เช่น ค่าใบงาน แบบฝึกหัด และค่าใช้จ่ายของครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ออกไปติดตาม ประเมินผล และเยี่ยมบ้านนักเรียน อีกด้วย ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนวทางเตรียมความพร้อมจัดการศึกษา ก่อนเปิดภาคเรียนปี 2563 วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน 2563 แนวทางเตรียมความพร้อมจัดการศึกษา ก่อนเปิดภาคเรียนปี 2563 วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบแนวทางการเตรียมความพร้อมจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ก่อนเปิดภาคเรียนปีการศึกษา 2563 โดยให้เริ่มนับเวลาเรียน ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 63 และนับรวมเวลาเรียนที่เปิดสอนชดเชยให้ครบตามโครงสร้างเวลาเรียน และให้อนุมัติการจบการศึกษา ภายในวันที่ 9 เม.ย. 64 กรณีนักเรียนมีผลการเรียนไม่สมบูรณ์ ให้สถานศึกษาสอนซ่อมเสริม ประเมินผลและอนุมัติจบการศึกษา ภายในวันที่ 15 พ.ค. 64 นอกจากนี้ยังเห็นชอบสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้สถานศึกษาสามารถจัดการเรียนการสอนทางไกลในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เช่น ค่าใบงาน แบบฝึกหัด และค่าใช้จ่ายของครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ออกไปติดตาม ประเมินผล และเยี่ยมบ้านนักเรียน อีกด้วย ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32083
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การเปิดดำเนินการสถานที่และกิจกรรมต่างๆ
วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2563 การเปิดดําเนินการสถานที่และกิจกรรมต่างๆ รายละเอียดดังนี้ 1.การถ่ายทํารายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ และวิดีทัศน์ ที่เคยผ่อนคลายไว้ให้สามารถดําเนินกิจกรรมได้เพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและการลงทุน 2.สถานที่ใช้เครื่องเล่นเป่าลม บ้านลม หรือที่มีลักษณะเดียวกันที่เป็นการติดตั้งแบบถาวร และได้รับการตรวจสอบรับรองตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารกําหนด 3.ให้ผู้ว่าราชการ กทม. หรือ ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอํานาจในการอนุญาตให้สนามชนโคสนามชนไก่ หรือสนามแข่งขันอื่นในลักษณะเดียวกันที่อยู่ในเขตรับผิดชอบเปิดดําเนินการได้ มาตรการควบคุมหลัก - มีจุดคัดกรอง - มีจุดล้างมือ - สวมหน้ากาก - ทําความสะอาด - เว้นระยะห่าง - ควบคุมจํานวนผู้ร่วมกิจกรรม ผู้ไม่เกี่ยวข้องงดเข้าพื้นที่ - ลงทะเบียนผ่านแอพไทยชนะ หรือเขียนบันทึก มาตรการเสริม - มีระบบระบายอากาศที่ดี และทําความสะอาดสม่ําเสมอ - จัดอาหารและเครื่องดื่มเป็นส่วนบุคคล - แบ่งพื้นที่ถ่ายทํา/จัดกิจกรรมอย่างชัดเจน - จัดทําระบบจองคิวออนไลน์และการพัฒนานวัตกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การเปิดดำเนินการสถานที่และกิจกรรมต่างๆ วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2563 การเปิดดําเนินการสถานที่และกิจกรรมต่างๆ รายละเอียดดังนี้ 1.การถ่ายทํารายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ และวิดีทัศน์ ที่เคยผ่อนคลายไว้ให้สามารถดําเนินกิจกรรมได้เพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและการลงทุน 2.สถานที่ใช้เครื่องเล่นเป่าลม บ้านลม หรือที่มีลักษณะเดียวกันที่เป็นการติดตั้งแบบถาวร และได้รับการตรวจสอบรับรองตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารกําหนด 3.ให้ผู้ว่าราชการ กทม. หรือ ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอํานาจในการอนุญาตให้สนามชนโคสนามชนไก่ หรือสนามแข่งขันอื่นในลักษณะเดียวกันที่อยู่ในเขตรับผิดชอบเปิดดําเนินการได้ มาตรการควบคุมหลัก - มีจุดคัดกรอง - มีจุดล้างมือ - สวมหน้ากาก - ทําความสะอาด - เว้นระยะห่าง - ควบคุมจํานวนผู้ร่วมกิจกรรม ผู้ไม่เกี่ยวข้องงดเข้าพื้นที่ - ลงทะเบียนผ่านแอพไทยชนะ หรือเขียนบันทึก มาตรการเสริม - มีระบบระบายอากาศที่ดี และทําความสะอาดสม่ําเสมอ - จัดอาหารและเครื่องดื่มเป็นส่วนบุคคล - แบ่งพื้นที่ถ่ายทํา/จัดกิจกรรมอย่างชัดเจน - จัดทําระบบจองคิวออนไลน์และการพัฒนานวัตกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34015
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. มอบโล่เกียรติคุณเครือข่ายเด็กและเยาวชน DJ TEEN และภาคีเครือข่าย ร่วมรณรงค์แก้ปัญหาตั้งครรภ์ในวัยรุ่นอย่างเข้มแข็ง
วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน 2562 รมว.พม. มอบโล่เกียรติคุณเครือข่ายเด็กและเยาวชน DJ TEEN และภาคีเครือข่าย ร่วมรณรงค์แก้ปัญหาตั้งครรภ์ในวัยรุ่นอย่างเข้มแข็ง รมว.พม. มอบโล่เกียรติคุณเครือข่ายเด็กและเยาวชน DJ TEEN และภาคีเครือข่าย ร่วมรณรงค์แก้ปัญหาตั้งครรภ์ในวัยรุ่นอย่างเข้มแข็ง วันนี้ (15 ก.ย. 62) เวลา 13.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดงานมหกรรมสร้างสรรค์พลังบวกในเด็กและเยาวชนป้องกันและแก้ไขปัญหา การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พร้อมทั้งมอบโล่เกียรติคุณสําหรับเครือข่ายเด็กและเยาวชน DJ TEEN รวมทั้งภาคีเครือข่าย ป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) จัดขึ้นเพื่อแสดงพลังสร้างสรรค์ของเด็กและเยาวชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น โดยมีคณะผู้บริหารกระทรวง พม. พร้อมด้วย เครือข่ายเด็กและเยาวชน DJ TEEN เจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัว เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเครือข่ายที่สนับสนุน DJ TEEN รวมจํานวนทั้งสิ้น 510 คน เข้าร่วมงาน ณ โรงแรมอะเดรียติค พาเลซ กรุงเทพฯ นายจุติ กล่าวว่า ปัจจุบัน ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว ดังนั้น การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น จึงเป็นภารกิจที่สําคัญที่ ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนจําเป็นต้องบูรณาการความร่วมมือกัน ในขณะที่ สังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่มีอัตราส่วนและจํานวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น และอัตราเกิดของประชากรลดลง ที่ส่งผลให้ประชากรไทยมีแนวโน้มลดลงในระยะ 5 - 10 ปี ข้างหน้า อีกทั้งจํานวนเด็กที่เกิดจากแม่วัยรุ่นกลับมีจํานวนเพิ่มมากขึ้นเป็นลําดับ จึงทําให้มี "การเกิดน้อย แต่ด้อยคุณภาพ” ทั้งนี้ รัฐบาลได้ให้ความสําคัญในการแก้ปัญหาดังกล่าว ด้วยพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 และยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นระดับชาติ พ.ศ. 2560 – 2569 ซึ่งกระทรวง พม. เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนงานตามพระราชบัญญัติในมาตรา 9 และยุทธศาสตร์ที่ 4 โดยสนับสนุนสภาเด็กและเยาวชนสร้างเครือข่ายเด็กและเยาวชนในการป้องกัน แก้ไข และเฝ้าระวังปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นในท้องถิ่นของตนเอง รวมทั้งการจัดสวัสดิการสังคมสําหรับแม่วัยรุ่นและครอบครัว อีกทั้งได้สนับสนุนสภาเด็กและเยาวชนสร้างเครือข่ายเด็กและเยาวชน DJ TEEN ใน 77 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 456 เครือข่าย เพื่อสื่อสารรณรงค์ให้เด็กและเยาวชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศมีความรู้เรื่องสุขภาวะ ทางเพศและทักษะชีวิตในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ครอบครัว และชุมชน มีทัศนคติเรื่องเพศเชิงบวก สามารถสื่อสารกับบุตรหลานได้อย่างสร้างสรรค์ โดยแกนนําเครือข่ายเด็กและเยาวชน DJ TEEN ได้สื่อสารรณรงค์ใน 3 รูปแบบ ดังนี้ 1) สื่อกระจายเสียง ด้วยการจัดรายการวิทยุ เสียงตามสาย หอกระจายข่าว อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ต่อเนื่องตลอดปี โดยบูรณาการความร่วมมือกับกรมประชาสัมพันธ์ ผ่านช่องรายการวิทยุของ สวท. จังหวัด 2) สื่อพื้นบ้าน ด้วยการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ผ่านวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง และ 3) สื่อออนไลน์ ด้วยการจัดทําหนังสั้น คลิปวิดีโอ Viral Clip โฆษณา ผ่านสื่อออนไลน์ อาทิ Facebook YouTube Instagram และ Twitter นายจุติ กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดย ดย. ได้กําหนดจัดมหกรรมพลังบวกในเด็กและเยาวชนป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พร้อมทั้งมอบโล่เกียรติคุณสําหรับเครือข่ายเด็กและเยาวชน DJ TEEN และหน่วยงาน ภาคีเครือข่ายป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นครั้งนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นการรวมพลังเครือข่ายเด็กและเยาวชน DJ TEEN องค์กร ที่สนับสนุน DJ TEEN จากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ พร้อมทั้งการนําผลงานพื้นที่ต้นแบบ ผลงานและผลิตภัณฑ์ของแม่วัยรุ่น มาแสดงและจัดนิทรรศการ โดยกิจกรรมภายในงานที่น่าสนใจ ประกอบด้วย การปลุกพลังบวกให้กับเครือข่ายเด็กและเยาวชนDJ Teen ในการสร้างสรรค์สังคมหัวข้อ "รู้ใจกัน รู้เท่าทันเรื่องเพศ” การแสดงสื่อสร้างสรรค์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น 3 รูปแบบ ได้แก่ สื่อกระจายเสียง สื่อออนไลน์ และสื่อพื้นบ้าน จากทีมชนะการประกวดสื่อสร้างสรรค์ฯ การสรุปผลการขับเคลื่อนงานของเด็กและเยาวชน DJ TEEN ในระดับพื้นที่ การมอบโล่เกียรติคุณให้ทีมชนะการประกวดการจัดบูธแสดงผลงานของเครือข่ายเด็กและเยาวชน DJ TEEN องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการดําเนินกิจกรรมสร้างสรรค์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นดีเด่น ประจําปี 2562 การจัดสวัสดิการสังคมสําหรับแม่วัยรุ่น การจําหน่ายผลิตภัณฑ์ของแม่วัยรุ่น และการแสดงสื่อสร้างสรรค์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น "การรวมตัวของกลุ่มเครือข่ายเด็กและเยาวชน DJ TEEN เป็นการรวมพลังในการออกแบบการสื่อสารรณรงค์ เพื่อเปลี่ยนแปลงทางสังคม เพื่อให้วัยรุ่นมีทักษะชีวิตที่ตระหนักรู้เรื่องเพศและสร้างทัศนคติเชิงบวกให้กับพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครอบครัว และชุมชน สําหรับการสื่อสารเรื่องเพศกับบุตรหลานได้อย่างสร้างสรรค์ นับว่าเป็นสิ่งสําคัญที่สุดที่ช่วยป้องกันวัยรุ่นตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์ ทั้งนี้ ขอให้เครือข่ายเด็กและเยาวชน DJ TEEN รวมพลังสร้างสรรค์และประกาศให้สังคมได้รับรู้ถึงพลังของเด็กและเยาวชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นอย่างเข้มแข็งต่อไป” นายจุติ กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. มอบโล่เกียรติคุณเครือข่ายเด็กและเยาวชน DJ TEEN และภาคีเครือข่าย ร่วมรณรงค์แก้ปัญหาตั้งครรภ์ในวัยรุ่นอย่างเข้มแข็ง วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน 2562 รมว.พม. มอบโล่เกียรติคุณเครือข่ายเด็กและเยาวชน DJ TEEN และภาคีเครือข่าย ร่วมรณรงค์แก้ปัญหาตั้งครรภ์ในวัยรุ่นอย่างเข้มแข็ง รมว.พม. มอบโล่เกียรติคุณเครือข่ายเด็กและเยาวชน DJ TEEN และภาคีเครือข่าย ร่วมรณรงค์แก้ปัญหาตั้งครรภ์ในวัยรุ่นอย่างเข้มแข็ง วันนี้ (15 ก.ย. 62) เวลา 13.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดงานมหกรรมสร้างสรรค์พลังบวกในเด็กและเยาวชนป้องกันและแก้ไขปัญหา การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พร้อมทั้งมอบโล่เกียรติคุณสําหรับเครือข่ายเด็กและเยาวชน DJ TEEN รวมทั้งภาคีเครือข่าย ป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) จัดขึ้นเพื่อแสดงพลังสร้างสรรค์ของเด็กและเยาวชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น โดยมีคณะผู้บริหารกระทรวง พม. พร้อมด้วย เครือข่ายเด็กและเยาวชน DJ TEEN เจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัว เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเครือข่ายที่สนับสนุน DJ TEEN รวมจํานวนทั้งสิ้น 510 คน เข้าร่วมงาน ณ โรงแรมอะเดรียติค พาเลซ กรุงเทพฯ นายจุติ กล่าวว่า ปัจจุบัน ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว ดังนั้น การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น จึงเป็นภารกิจที่สําคัญที่ ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนจําเป็นต้องบูรณาการความร่วมมือกัน ในขณะที่ สังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่มีอัตราส่วนและจํานวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น และอัตราเกิดของประชากรลดลง ที่ส่งผลให้ประชากรไทยมีแนวโน้มลดลงในระยะ 5 - 10 ปี ข้างหน้า อีกทั้งจํานวนเด็กที่เกิดจากแม่วัยรุ่นกลับมีจํานวนเพิ่มมากขึ้นเป็นลําดับ จึงทําให้มี "การเกิดน้อย แต่ด้อยคุณภาพ” ทั้งนี้ รัฐบาลได้ให้ความสําคัญในการแก้ปัญหาดังกล่าว ด้วยพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 และยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นระดับชาติ พ.ศ. 2560 – 2569 ซึ่งกระทรวง พม. เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนงานตามพระราชบัญญัติในมาตรา 9 และยุทธศาสตร์ที่ 4 โดยสนับสนุนสภาเด็กและเยาวชนสร้างเครือข่ายเด็กและเยาวชนในการป้องกัน แก้ไข และเฝ้าระวังปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นในท้องถิ่นของตนเอง รวมทั้งการจัดสวัสดิการสังคมสําหรับแม่วัยรุ่นและครอบครัว อีกทั้งได้สนับสนุนสภาเด็กและเยาวชนสร้างเครือข่ายเด็กและเยาวชน DJ TEEN ใน 77 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 456 เครือข่าย เพื่อสื่อสารรณรงค์ให้เด็กและเยาวชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศมีความรู้เรื่องสุขภาวะ ทางเพศและทักษะชีวิตในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ครอบครัว และชุมชน มีทัศนคติเรื่องเพศเชิงบวก สามารถสื่อสารกับบุตรหลานได้อย่างสร้างสรรค์ โดยแกนนําเครือข่ายเด็กและเยาวชน DJ TEEN ได้สื่อสารรณรงค์ใน 3 รูปแบบ ดังนี้ 1) สื่อกระจายเสียง ด้วยการจัดรายการวิทยุ เสียงตามสาย หอกระจายข่าว อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ต่อเนื่องตลอดปี โดยบูรณาการความร่วมมือกับกรมประชาสัมพันธ์ ผ่านช่องรายการวิทยุของ สวท. จังหวัด 2) สื่อพื้นบ้าน ด้วยการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ผ่านวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง และ 3) สื่อออนไลน์ ด้วยการจัดทําหนังสั้น คลิปวิดีโอ Viral Clip โฆษณา ผ่านสื่อออนไลน์ อาทิ Facebook YouTube Instagram และ Twitter นายจุติ กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดย ดย. ได้กําหนดจัดมหกรรมพลังบวกในเด็กและเยาวชนป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พร้อมทั้งมอบโล่เกียรติคุณสําหรับเครือข่ายเด็กและเยาวชน DJ TEEN และหน่วยงาน ภาคีเครือข่ายป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นครั้งนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นการรวมพลังเครือข่ายเด็กและเยาวชน DJ TEEN องค์กร ที่สนับสนุน DJ TEEN จากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ พร้อมทั้งการนําผลงานพื้นที่ต้นแบบ ผลงานและผลิตภัณฑ์ของแม่วัยรุ่น มาแสดงและจัดนิทรรศการ โดยกิจกรรมภายในงานที่น่าสนใจ ประกอบด้วย การปลุกพลังบวกให้กับเครือข่ายเด็กและเยาวชนDJ Teen ในการสร้างสรรค์สังคมหัวข้อ "รู้ใจกัน รู้เท่าทันเรื่องเพศ” การแสดงสื่อสร้างสรรค์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น 3 รูปแบบ ได้แก่ สื่อกระจายเสียง สื่อออนไลน์ และสื่อพื้นบ้าน จากทีมชนะการประกวดสื่อสร้างสรรค์ฯ การสรุปผลการขับเคลื่อนงานของเด็กและเยาวชน DJ TEEN ในระดับพื้นที่ การมอบโล่เกียรติคุณให้ทีมชนะการประกวดการจัดบูธแสดงผลงานของเครือข่ายเด็กและเยาวชน DJ TEEN องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการดําเนินกิจกรรมสร้างสรรค์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นดีเด่น ประจําปี 2562 การจัดสวัสดิการสังคมสําหรับแม่วัยรุ่น การจําหน่ายผลิตภัณฑ์ของแม่วัยรุ่น และการแสดงสื่อสร้างสรรค์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น "การรวมตัวของกลุ่มเครือข่ายเด็กและเยาวชน DJ TEEN เป็นการรวมพลังในการออกแบบการสื่อสารรณรงค์ เพื่อเปลี่ยนแปลงทางสังคม เพื่อให้วัยรุ่นมีทักษะชีวิตที่ตระหนักรู้เรื่องเพศและสร้างทัศนคติเชิงบวกให้กับพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครอบครัว และชุมชน สําหรับการสื่อสารเรื่องเพศกับบุตรหลานได้อย่างสร้างสรรค์ นับว่าเป็นสิ่งสําคัญที่สุดที่ช่วยป้องกันวัยรุ่นตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์ ทั้งนี้ ขอให้เครือข่ายเด็กและเยาวชน DJ TEEN รวมพลังสร้างสรรค์และประกาศให้สังคมได้รับรู้ถึงพลังของเด็กและเยาวชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นอย่างเข้มแข็งต่อไป” นายจุติ กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23102
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เชิญชวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังรักษาทางไกล ผ่านวิดีโอคอล [กระทรวงสาธารณสุข]
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563 สธ.เชิญชวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังรักษาทางไกล ผ่านวิดีโอคอล [กระทรวงสาธารณสุข] สธ.เชิญชวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังรักษาทางไกล ผ่านวิดีโอคอล กระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังลงทะเบียนรักษาทางไกลผ่านระบบวิดีโอ ทางไลน์/ Skype และรับยาทางไปรษณีย์ นําร่องกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังอาการคงที่ที่รักษาต่อเนื่องในโรงพยาบาล วันนี้ (24 เมษายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) กรมการแพทย์ได้ปรับรูปแบบการจัดบริการทางการแพทย์ เพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาล ลดการแพร่กระจายเชื้อ เป็นระบบบริการแบบใหม่ (New Normal Medical Services) ที่เป็นทางเลือกในการรับการรักษาต่อไป ซึ่งจะช่วยอํานวยความสะดวกแก่ผู้ป่วย ไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เพิ่มการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) โดยโรงพยาบาลในสังกัดกรมการแพทย์ได้จัดระบบการรักษาทางไกลผ่านระบบวิดีโอ (Tele Consult/ Video call) และให้บริการส่งยาทางไปรษณีย์ทุกสิทธิการรักษา นําร่องในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง โรคทางระบบประสาท กระดูก ที่มีประวัติการรักษาที่โรงพยาบาลนั้นๆ ดําเนินการแล้ว 27 แห่งทั่วประเทศ ขณะนี้ เริ่มมีผู้รับการรักษาทางไกลผ่านระบบวิดีโอแล้ว 4,316 คน เฉลี่ย 200 คนต่อวัน และส่งยาทางไปรษณีย์ 6,717 คน เฉลี่ย 313 คนต่อวัน จะขยายบริการให้ครอบคลุมทุกสถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ทั้งแผนกและกลุ่มโรค เชื่อมโยงข้อมูลการรักษาระหว่างโรงพยาบาลและข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วย (Personal Health Record) พัฒนาไปสู่ระบบการส่งต่อและให้คําปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ (Consult) นายแพทย์ณัฐพงศ์กล่าวต่อว่า ในการรับบริการ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังลงทะเบียนห้องตรวจ เพื่อแจ้งความจํานงรักษาทางไกลในการรักษาครั้งต่อไป ซึ่งผู้ป่วยหรือญาติสามารถใช้ Smart phone ในการสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ได้ ทางโรงพยาบาลจะพิจารณาจากประวัติการรักษาผู้ป่วย หากมีอาการทั่วไปดี ผลการตรวจล่าสุดคงที่ จะนัดวันและเวลาการรักษาทางไกลผ่านระบบวิดีโอ เพื่อรับการตรวจและปรึกษากับแพทย์ทางไลน์ หรือ Skype และส่งยาให้ทางไปรษณีย์ แต่หากผู้ป่วยรายใดมีอาการแย่ลง หรือเจ็บป่วยรุนแรงฉุกเฉินสามารถรับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ ระบบบริการทางการแพทย์แบบใหม่ (New Normal Medical Services) เป็นระบบบริการใหม่ตามความจําเป็นของแต่ละบุคคล สนับสนุนการดูแลตนเองผ่าน Application และสื่อ มีระบบข้อมูลด้านสุขภาพและการส่งต่อผู้ป่วยที่เชื่อมโยงกัน นําระบบ IT มาใช้เพื่อให้เข้าถึงบริการง่ายขึ้น สะดวกรวดเร็วขึ้น อํานวยความสะดวกประชาชน อาทิ การตรวจทางห้องปฏิบัติการแบบ drive thru การรับยาร้านยาใกล้บ้าน การส่งยาทางไปรษณีย์ การปรึกษาทางไกล เป็นต้น มีการบริหารจัดการเตียงร่วมกันระหว่างหน่วยบริการ และเพิ่มประสิทธิภาพระบบการป้องกันการติดเชื้อในสถานพยาบาล *************************************** 24 เมษายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เชิญชวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังรักษาทางไกล ผ่านวิดีโอคอล [กระทรวงสาธารณสุข] วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563 สธ.เชิญชวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังรักษาทางไกล ผ่านวิดีโอคอล [กระทรวงสาธารณสุข] สธ.เชิญชวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังรักษาทางไกล ผ่านวิดีโอคอล กระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังลงทะเบียนรักษาทางไกลผ่านระบบวิดีโอ ทางไลน์/ Skype และรับยาทางไปรษณีย์ นําร่องกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังอาการคงที่ที่รักษาต่อเนื่องในโรงพยาบาล วันนี้ (24 เมษายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) กรมการแพทย์ได้ปรับรูปแบบการจัดบริการทางการแพทย์ เพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาล ลดการแพร่กระจายเชื้อ เป็นระบบบริการแบบใหม่ (New Normal Medical Services) ที่เป็นทางเลือกในการรับการรักษาต่อไป ซึ่งจะช่วยอํานวยความสะดวกแก่ผู้ป่วย ไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เพิ่มการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) โดยโรงพยาบาลในสังกัดกรมการแพทย์ได้จัดระบบการรักษาทางไกลผ่านระบบวิดีโอ (Tele Consult/ Video call) และให้บริการส่งยาทางไปรษณีย์ทุกสิทธิการรักษา นําร่องในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง โรคทางระบบประสาท กระดูก ที่มีประวัติการรักษาที่โรงพยาบาลนั้นๆ ดําเนินการแล้ว 27 แห่งทั่วประเทศ ขณะนี้ เริ่มมีผู้รับการรักษาทางไกลผ่านระบบวิดีโอแล้ว 4,316 คน เฉลี่ย 200 คนต่อวัน และส่งยาทางไปรษณีย์ 6,717 คน เฉลี่ย 313 คนต่อวัน จะขยายบริการให้ครอบคลุมทุกสถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ทั้งแผนกและกลุ่มโรค เชื่อมโยงข้อมูลการรักษาระหว่างโรงพยาบาลและข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วย (Personal Health Record) พัฒนาไปสู่ระบบการส่งต่อและให้คําปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ (Consult) นายแพทย์ณัฐพงศ์กล่าวต่อว่า ในการรับบริการ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังลงทะเบียนห้องตรวจ เพื่อแจ้งความจํานงรักษาทางไกลในการรักษาครั้งต่อไป ซึ่งผู้ป่วยหรือญาติสามารถใช้ Smart phone ในการสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ได้ ทางโรงพยาบาลจะพิจารณาจากประวัติการรักษาผู้ป่วย หากมีอาการทั่วไปดี ผลการตรวจล่าสุดคงที่ จะนัดวันและเวลาการรักษาทางไกลผ่านระบบวิดีโอ เพื่อรับการตรวจและปรึกษากับแพทย์ทางไลน์ หรือ Skype และส่งยาให้ทางไปรษณีย์ แต่หากผู้ป่วยรายใดมีอาการแย่ลง หรือเจ็บป่วยรุนแรงฉุกเฉินสามารถรับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ ระบบบริการทางการแพทย์แบบใหม่ (New Normal Medical Services) เป็นระบบบริการใหม่ตามความจําเป็นของแต่ละบุคคล สนับสนุนการดูแลตนเองผ่าน Application และสื่อ มีระบบข้อมูลด้านสุขภาพและการส่งต่อผู้ป่วยที่เชื่อมโยงกัน นําระบบ IT มาใช้เพื่อให้เข้าถึงบริการง่ายขึ้น สะดวกรวดเร็วขึ้น อํานวยความสะดวกประชาชน อาทิ การตรวจทางห้องปฏิบัติการแบบ drive thru การรับยาร้านยาใกล้บ้าน การส่งยาทางไปรษณีย์ การปรึกษาทางไกล เป็นต้น มีการบริหารจัดการเตียงร่วมกันระหว่างหน่วยบริการ และเพิ่มประสิทธิภาพระบบการป้องกันการติดเชื้อในสถานพยาบาล *************************************** 24 เมษายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29717
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“นราพัฒน์” ชี้ มาตรฐาน GAP จะช่วยตอกย้ำคุณภาพและเพิ่มความมั่นใจแก่คู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ
วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2562 “นราพัฒน์” ชี้ มาตรฐาน GAP จะช่วยตอกย้ําคุณภาพและเพิ่มความมั่นใจแก่คู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ “นราพัฒน์” ชี้ มาตรฐาน GAP จะช่วยตอกย้ําคุณภาพและเพิ่มความมั่นใจแก่คู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ พร้อมรับฟังปัญหาการจัดการน้ําในพื้นที่ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 11 ตุลาคม 2562 นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมงาน “รวมพลังชาวสวนภาคตะวันออกเข้าสู่ระบบรับรองมาตรฐานการผลิตพืช GAP” ณ ลานขนถ่ายสินค้า องค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรี ย้ํามาตรฐาน GAP และ GMP จะส่งผลให้เกษตรกรชาวสวนผลไม้ส่งออกไปขายต่างประเทศได้มากขึ้น โดยเฉพาะกับประเทศจีน ภาคตะวันออกเป็นแหล่งผลิตไม้ผลส่งออกไปยังต่างประเทศ เช่น ทุเรียน มังคุด ลําไย มะม่วงและกล้วยไข่ โดยมีจีนเป็นคู่ค้าหลัก แต่ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 จีนได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน่วยงานที่รับผิดชอบการตรวจสอบสินค้านําเข้า เป็นทบวงการศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือ GACC ทําให้มีความเข้มงวดเรื่องการนําเข้าผลไม้จากประเทศไทยมากขึ้น โดยมีข้อตกลงให้ทั้งสองฝ่ายแจ้งข้อมูลสวนและโรงคัดบรรจุผลไม้ ทําให้เกษตรกรชาวสวนผลไม้ภาคตะวันออกตื่นตัวกับการยื่นคําร้องขอรับรองแหล่งผลิต GAP และผู้ประกอบการต้องยื่นคําร้องการขอมาตรฐาน GMP ที่สําคัญกว่าการยื่นคําร้องเพื่อขอรับรองมาตรฐาน GAP ของเกษตรกร หรือกลุ่มเกษตรกร คือความเข้าใจถึงการมีมาตรฐาน GAP ที่ประเทศคู่ค้าหลายประเทศให้ความสําคัญกับมาตรฐานความปลอดภัย และประเทศไทยเป็นประเทศส่งออกสินค้าเกษตร เกษตรกรไทยจึงจําเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงถึงกฏระเบียบด้านการนําเข้าของต่างประเทศ “นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอให้หน่วยงานภาครัฐเร่งดําเนินการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขึ้นทะเบียนเกษตรกร และรับรองมาตรฐานการผลิตพืชตามมาตรฐาน GAP โดยกําหนดรูปแบบการดําเนินงานแบบ Fast track เพราะเป็นห่วงพี่น้องเกษตรกรให้ได้รับมาตรฐานอย่างครบถ้วน” นายนราพัฒน์ กล่าว ทั้งนี้ นายนราพัฒน์กล่าวเพิ่มเติมว่า พี่น้องเกษตรกรต้องมองการตลาดนําการเกษตร ปลูกอะไรต้องเป็นตามความต้องการของตลาด โดยกระทรวงเกษตรฯกําลังเร่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาฐานข้อมูลให้ทันสมัย เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ สังเคราะห์ พยากรณ์การพัฒนาภาคการเกษตรในอนาคตต และปัจจัยพื้นฐานด้านการผลิต ได้แก่ แหล่งน้ํา ที่ดิน ความอุดมสมบูรณ์ของดิน องค์ความรู้ด้านการแปรรูป การตลาด ระบบขนส่งสินค้า เป็นต้น สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“นราพัฒน์” ชี้ มาตรฐาน GAP จะช่วยตอกย้ำคุณภาพและเพิ่มความมั่นใจแก่คู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2562 “นราพัฒน์” ชี้ มาตรฐาน GAP จะช่วยตอกย้ําคุณภาพและเพิ่มความมั่นใจแก่คู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ “นราพัฒน์” ชี้ มาตรฐาน GAP จะช่วยตอกย้ําคุณภาพและเพิ่มความมั่นใจแก่คู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ พร้อมรับฟังปัญหาการจัดการน้ําในพื้นที่ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 11 ตุลาคม 2562 นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมงาน “รวมพลังชาวสวนภาคตะวันออกเข้าสู่ระบบรับรองมาตรฐานการผลิตพืช GAP” ณ ลานขนถ่ายสินค้า องค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรี ย้ํามาตรฐาน GAP และ GMP จะส่งผลให้เกษตรกรชาวสวนผลไม้ส่งออกไปขายต่างประเทศได้มากขึ้น โดยเฉพาะกับประเทศจีน ภาคตะวันออกเป็นแหล่งผลิตไม้ผลส่งออกไปยังต่างประเทศ เช่น ทุเรียน มังคุด ลําไย มะม่วงและกล้วยไข่ โดยมีจีนเป็นคู่ค้าหลัก แต่ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 จีนได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน่วยงานที่รับผิดชอบการตรวจสอบสินค้านําเข้า เป็นทบวงการศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือ GACC ทําให้มีความเข้มงวดเรื่องการนําเข้าผลไม้จากประเทศไทยมากขึ้น โดยมีข้อตกลงให้ทั้งสองฝ่ายแจ้งข้อมูลสวนและโรงคัดบรรจุผลไม้ ทําให้เกษตรกรชาวสวนผลไม้ภาคตะวันออกตื่นตัวกับการยื่นคําร้องขอรับรองแหล่งผลิต GAP และผู้ประกอบการต้องยื่นคําร้องการขอมาตรฐาน GMP ที่สําคัญกว่าการยื่นคําร้องเพื่อขอรับรองมาตรฐาน GAP ของเกษตรกร หรือกลุ่มเกษตรกร คือความเข้าใจถึงการมีมาตรฐาน GAP ที่ประเทศคู่ค้าหลายประเทศให้ความสําคัญกับมาตรฐานความปลอดภัย และประเทศไทยเป็นประเทศส่งออกสินค้าเกษตร เกษตรกรไทยจึงจําเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงถึงกฏระเบียบด้านการนําเข้าของต่างประเทศ “นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอให้หน่วยงานภาครัฐเร่งดําเนินการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขึ้นทะเบียนเกษตรกร และรับรองมาตรฐานการผลิตพืชตามมาตรฐาน GAP โดยกําหนดรูปแบบการดําเนินงานแบบ Fast track เพราะเป็นห่วงพี่น้องเกษตรกรให้ได้รับมาตรฐานอย่างครบถ้วน” นายนราพัฒน์ กล่าว ทั้งนี้ นายนราพัฒน์กล่าวเพิ่มเติมว่า พี่น้องเกษตรกรต้องมองการตลาดนําการเกษตร ปลูกอะไรต้องเป็นตามความต้องการของตลาด โดยกระทรวงเกษตรฯกําลังเร่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาฐานข้อมูลให้ทันสมัย เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ สังเคราะห์ พยากรณ์การพัฒนาภาคการเกษตรในอนาคตต และปัจจัยพื้นฐานด้านการผลิต ได้แก่ แหล่งน้ํา ที่ดิน ความอุดมสมบูรณ์ของดิน องค์ความรู้ด้านการแปรรูป การตลาด ระบบขนส่งสินค้า เป็นต้น สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23774
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน บูรณาการอบรมคอมฯ เครือข่าย รองรับ Thailand 4.0
วันพุธที่ 21 มิถุนายน 2560 ก.แรงงาน บูรณาการอบรมคอมฯ เครือข่าย รองรับ Thailand 4.0 ก.แรงงาน บูรณาการอบรมคอมฯ เครือข่าย รองรับ Thailand 4.0 หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุทธิ สุโกศล ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการบูรณาการอบรมด้านคอมพิวเตอร์และเครือข่าย เพื่อรองรับ Thailand 4.0 แก่ผู้เข้ารับการอบรมจากสํานักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ณ ห้องอบรมคอมพิวเตอร์ ศูนย์พัฒนาและบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร วันนี้ (21 มิถุนายน 2560) โดยการอบรมด้านคอมพิวเตอร์และเครือข่าย มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมนําความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์ในการทํางานและแก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้อย่างรวดเร็ว รู้วิธีการนําเสนอข้อมูลผ่านทางเว็บไซต์ การดูแลแก้ไขเครื่องคอมพิวเตอร์ และระบบเครือข่ายได้เองเบื้องต้น เพื่อความรวดเร็วในการทํางาน รวมถึงการใช้งานอินเตอร์เน็ตได้อย่างปลอดภัยจากผู้ไม่ประสงค์ดี และถูกต้องตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ "ในการอบรมครั้งนี้เป็นการอบรมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีความผันผวนอย่างมากของโลก ผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละประเทศทั่วโลก ทําให้ประเทศไทยต้องมีการปรับตัวและสร้างความเข้มแข็งในทุกๆด้าน ตั้งแต่ฐานราก และวางอนาคตอย่างมีทิศทางที่ชัดเจน เพื่อการนําพาประเทศไปสู่ Thailand 4.0 ซึ่งเป็นงานที่รัฐบาลให้ความสําคัญเป็นอย่างยิ่ง ในการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของกระทรวงแรงงาน จะทําให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่มีทักษะความรู้สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างสร้างสรรค์ ตอบสนองยุทธศาสตร์ชาติ และรองรับ Thailand 4.0 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นายสุทธิ กล่าวในท้ายสุด +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 21 มิถุนายน 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน บูรณาการอบรมคอมฯ เครือข่าย รองรับ Thailand 4.0 วันพุธที่ 21 มิถุนายน 2560 ก.แรงงาน บูรณาการอบรมคอมฯ เครือข่าย รองรับ Thailand 4.0 ก.แรงงาน บูรณาการอบรมคอมฯ เครือข่าย รองรับ Thailand 4.0 หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุทธิ สุโกศล ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการบูรณาการอบรมด้านคอมพิวเตอร์และเครือข่าย เพื่อรองรับ Thailand 4.0 แก่ผู้เข้ารับการอบรมจากสํานักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ณ ห้องอบรมคอมพิวเตอร์ ศูนย์พัฒนาและบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร วันนี้ (21 มิถุนายน 2560) โดยการอบรมด้านคอมพิวเตอร์และเครือข่าย มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมนําความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์ในการทํางานและแก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้อย่างรวดเร็ว รู้วิธีการนําเสนอข้อมูลผ่านทางเว็บไซต์ การดูแลแก้ไขเครื่องคอมพิวเตอร์ และระบบเครือข่ายได้เองเบื้องต้น เพื่อความรวดเร็วในการทํางาน รวมถึงการใช้งานอินเตอร์เน็ตได้อย่างปลอดภัยจากผู้ไม่ประสงค์ดี และถูกต้องตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ "ในการอบรมครั้งนี้เป็นการอบรมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีความผันผวนอย่างมากของโลก ผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละประเทศทั่วโลก ทําให้ประเทศไทยต้องมีการปรับตัวและสร้างความเข้มแข็งในทุกๆด้าน ตั้งแต่ฐานราก และวางอนาคตอย่างมีทิศทางที่ชัดเจน เพื่อการนําพาประเทศไปสู่ Thailand 4.0 ซึ่งเป็นงานที่รัฐบาลให้ความสําคัญเป็นอย่างยิ่ง ในการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของกระทรวงแรงงาน จะทําให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่มีทักษะความรู้สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างสร้างสรรค์ ตอบสนองยุทธศาสตร์ชาติ และรองรับ Thailand 4.0 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นายสุทธิ กล่าวในท้ายสุด +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 21 มิถุนายน 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4695
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รุกหนัก! จุรินทร์ นำประชุมมอบนโยบายทูตพาณิชย์-เกษตร และพาณิชย์จังหวัด สั่งลุยเจรจาการค้า ปรับตัวเป็นทัพหน้าช่วยเอกชน และเป็นพนักงานขายสินค้าส่งออกกิตติมศักดิ์
วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม 2562 รุกหนัก! จุรินทร์ นําประชุมมอบนโยบายทูตพาณิชย์-เกษตร และพาณิชย์จังหวัด สั่งลุยเจรจาการค้า ปรับตัวเป็นทัพหน้าช่วยเอกชน และเป็นพนักงานขายสินค้าส่งออกกิตติมศักดิ์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ประชุมมอบนโยบายเพื่อเชื่อมโยงการปฏิบัติงานของกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ฯ เพื่อเป้าหมายและสถานการณ์การส่งออกของไทย ปี 2562 โดย นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ อธิบดี ผู้บริหารระดับสูงทั้ง 2 กระทรวง ทูตพาณิชย์ทั่วโลก พาณิชย์จังหวัดและทูตเกษตร รวมทั้งภาคเอกชน เข้าร่วมโดยกระทรวงพาณิชย์ต้องเร่งรัดดําเนินตามนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับสถานการณ์การส่งออกของไทย หลังจากมีมติ ครม. เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2562 เห็นชอบการขับเคลื่อนการส่งออกให้ขยายตัวได้ร้อยละ 3.0 ในช่วงครึ่งหลังของ ปี 2562 และ ร้อยละ 3.5 ในปี 2563 โดยการเร่งหาโอกาสจากการส่งออกและปรับเปลี่ยนทิศทางการค้าจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่าง สหรัฐอเมริกา – จีน โดยรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ใช้เวลาแลกเปลี่ยนข้อมูลกับทูตพาณิชย์ที่รับผิดชอบโซนประเทศต่างๆ ก่อนจะกล่าวมอบนโยบายว่า ขอมอบหน้าที่ทูตพาณิชย์ทั่วโลกทําหน้าที่ส่งเสริมการขาย ละสนับสนุนเอกชนให้สามารถเพิ่มศักยภาพการส่งออกภายใต้นโยบายรัฐบาลและนโยบายกระทรวงให้เกิดเป็นรูปธรรมให้บรรลุเป้าตามนโยบาย 10 ข้อตัวเลขและตัวเลขโตตามเป้าหมายโดยเน้นว่านโยบายการประกันรายได้เกษตรกร ผลิตภัณฑ์ 5 ชนิด ข้าว มันสําปะหลัง ยางพารา ข้าวโพด และทั้งนี้ต้องการให้ส่งเสริมการส่งออกมากขึ้นเพื่อให้ราคาตลาดสูงขึ้น ให้ทูตเกษตรช่วยดูเรื่องการกําหนดมาตรฐานสินค้าเกษตร และช่วยเจรจาเพื่อขอขยายเวลาหรือเงื่อนไขต่างๆที่เป็นอุปสรรค พร้อมเร่งรัดเจรจาในมาตรฐานสินค้าและแก้ไขปัญหาการตรวจสินค้า นายจุรินทร์ ขอให้บทบาทของการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศนั้นจะต้องทํางานอย่างมืออาชีพ ปฏิบัติหน้าที่อย่างครบถ้วน และคิดกลยุทธ์ใหม่ ตามอํานาจหน้าที่ เพราะการทําแบบเดิมทําให้ผลลัพธ์เหมือนเดิมเป็นเรื่องยาก เพราะปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยน ไม่ต้องเลิกของเก่าที่ดีอยู่แล้วแต่เพิ่มสิ่งใหม่ที่ดีขึ้น และต้องการให้ทูตพาณิชย์ปรับตัวเป็นผู้นําทัพเสริมง่นเอกชนให้สามารถส่งออกเพิ่มได้ และปรับเป็นพนักงานขายกิตติมศักดิ์เพื่อให้ผ่านสถานการณ์การค้าโลกในปัจจุบันโดยเฉพาะการขายสินค้าในนามรัฐ G2G / G2C มากขึ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ทูตพาณิชย์จะต้องรู้จักสินค้า และบริการ รวมถึงคุณภาพของสินค้าไทยอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้เกิดการสร้างภาพลักษณ์ และขายแข่งกับผู้ค้าในตลาดโลกได้ และวาระนี้ให้กลับมา Update ข้อมูลเรื่องสินค้าในรัฐบาลนี้ให้เข้าวจอีกรอบ ทุกคนต้องทํางานเชิงรุก อย่างมืออาชีพ ให้ทําแผนปฏิบัติการอย่างเป็นรูปธรรมในช่วงระยะ 3 – 6 เดือน ทั้งนี้การไปแต่ละครั้งจะต้องเกิดผล เห็นผล เพื่อให้ตัวเลขส่งออกเพิ่มสูงขึ้น ส่วนบทบาทของทูตเกษตรนั้นต้องการให้ดูแลเรื่องมาตรฐาน เงื่อนไข ข้อข้อกําหนด เกี่ยวกับสินค้าเกษตร ที่ต่างประเทศกําหนด และเร่งรัดการเจรจาเพื่อปลดล็อก หรืออย่างน้อยขอยืดเวลาเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการส่งออกสินค้าเกษตรไทย ด้านบทบาทพาณิชย์จังหวัด ต้องการให้เน้นเรื่องการจดทะเบียน GI เพื่อรองรับสินค้าตามถิ่นกําเนิดในจังหวัด ท้องถิ่นนั้นๆ ให้ค้นหาสินค้าที่จะสามารถขึ้นทะเบียน GI ได้และให้ช่วยดูเรื่องการค้าชายแดนเพิ่มด้วย ทั้งช่วยคลี่คลายปัญหาในฝั่งประเทศไทยจะช่วยเพิ่มตัวเลขการส่งออกได้ นอกจากนั้นด้านนโยบายโชห่วยให้พาณิชย์จังหวัดช่วยเสริมจากร้านธงฟ้า เร่งรัด เป็นระบบ มีเป้าหมายชัดเจน ส่งเสริมความรู้ใช้ Software เข้าไปช่วยเรื่องการจัดการ Stock ให้กับร้านค้าโชว์ห่วยในท้องถิ่นด้วย รายงานของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่าด้วยว่าได้มีการประเมินสถานการณ์ส่งออกของภาคเอกชนโดยแยกเป็นส่งออกในกลุ่มสินค้าสําคัญ สัดส่วน 75% ซึ่งมีสินค้าเกษตร ข้าว มันสําปะหลัง ยาง อาหาร และน้ําตาล ส่วนสินค้าด้านอุตสาหกรรม มีรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ วัสดุก่อสร้าง อัญมณีและเครื่องประดับ สิ่งทอ น้ํามันสําเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องจักรกล เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก โดยข้อเสนอของภาคเอกชน เพื่อเพิ่มการส่งออกสินค้าสําคัญคือสินค้าเกษตรนั้น มีการเสนอแนะให้จัดคณะผู้แทนการค้าเพื่อฟื้นฟูตลาด เจรจากับประเทศคู่ค้าแบบ G2G พร้อมสร้างความสัมพันธ์การค้าข้าวกับคู่ค้า เข้าร่วมการแสดงสินค้าในต่างประเทศมากขึ้น และให้เกษตรกรไทยพัฒนาการผลิตข้าวนุ่มเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลกมากขึ้น ทางด้านยางพารานั้น สนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายใหญ่เปลี่ยนจากผลิตยางพาราเป็นการผลิตผลิตภัณฑ์ยางพาราแทน เพื่อเพิ่มมูลค่าในการไปแปรรูปโดยการหาตลาดและทําผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ด้านมันสําปะหลังให้ความรู้ และเชิญชวนให้เกษตรกรพัฒนาการเพาะปลูก เพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้ได้ และลดต้นทุนของเกษตรกร ทําให้สามารถแข่งขันกับพืชชนิดอื่นได้ นอกจากนั้นเสนอให้อนุญาตให้ส่งออกได้โดยไม่จํากัดปริมาณ อัตราส่วนสต็อคในการครอบครองของผู้ส่งออก ส่วนด้านอาหารก็ขอให้มีการเร่งรัดการเจรจา FTA ระหว่างไทย – ยุโรป กับไทย-อังกฤษ เพื่อเปิดตลาดยิ่งขึ้นเป็นต้น นอกจากนั้นยังมียุทธศาสตร์การรักษาตลาดเดิมเช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น อาเซียน และจีน และการเปิดตลาดใหม่ที่เอเชียใต้ ละตินอเมริกา รัสเซีย และตะวันออกกลาง รวมทั้งฟื้นฟูส่วนแบ่งตลาดที่เคยขยายตัวได้ดี เช่น อิรัก สหรัฐอาหรับอิมิเรต และบาเรนห์ เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รุกหนัก! จุรินทร์ นำประชุมมอบนโยบายทูตพาณิชย์-เกษตร และพาณิชย์จังหวัด สั่งลุยเจรจาการค้า ปรับตัวเป็นทัพหน้าช่วยเอกชน และเป็นพนักงานขายสินค้าส่งออกกิตติมศักดิ์ วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม 2562 รุกหนัก! จุรินทร์ นําประชุมมอบนโยบายทูตพาณิชย์-เกษตร และพาณิชย์จังหวัด สั่งลุยเจรจาการค้า ปรับตัวเป็นทัพหน้าช่วยเอกชน และเป็นพนักงานขายสินค้าส่งออกกิตติมศักดิ์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ประชุมมอบนโยบายเพื่อเชื่อมโยงการปฏิบัติงานของกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ฯ เพื่อเป้าหมายและสถานการณ์การส่งออกของไทย ปี 2562 โดย นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ อธิบดี ผู้บริหารระดับสูงทั้ง 2 กระทรวง ทูตพาณิชย์ทั่วโลก พาณิชย์จังหวัดและทูตเกษตร รวมทั้งภาคเอกชน เข้าร่วมโดยกระทรวงพาณิชย์ต้องเร่งรัดดําเนินตามนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับสถานการณ์การส่งออกของไทย หลังจากมีมติ ครม. เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2562 เห็นชอบการขับเคลื่อนการส่งออกให้ขยายตัวได้ร้อยละ 3.0 ในช่วงครึ่งหลังของ ปี 2562 และ ร้อยละ 3.5 ในปี 2563 โดยการเร่งหาโอกาสจากการส่งออกและปรับเปลี่ยนทิศทางการค้าจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่าง สหรัฐอเมริกา – จีน โดยรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ใช้เวลาแลกเปลี่ยนข้อมูลกับทูตพาณิชย์ที่รับผิดชอบโซนประเทศต่างๆ ก่อนจะกล่าวมอบนโยบายว่า ขอมอบหน้าที่ทูตพาณิชย์ทั่วโลกทําหน้าที่ส่งเสริมการขาย ละสนับสนุนเอกชนให้สามารถเพิ่มศักยภาพการส่งออกภายใต้นโยบายรัฐบาลและนโยบายกระทรวงให้เกิดเป็นรูปธรรมให้บรรลุเป้าตามนโยบาย 10 ข้อตัวเลขและตัวเลขโตตามเป้าหมายโดยเน้นว่านโยบายการประกันรายได้เกษตรกร ผลิตภัณฑ์ 5 ชนิด ข้าว มันสําปะหลัง ยางพารา ข้าวโพด และทั้งนี้ต้องการให้ส่งเสริมการส่งออกมากขึ้นเพื่อให้ราคาตลาดสูงขึ้น ให้ทูตเกษตรช่วยดูเรื่องการกําหนดมาตรฐานสินค้าเกษตร และช่วยเจรจาเพื่อขอขยายเวลาหรือเงื่อนไขต่างๆที่เป็นอุปสรรค พร้อมเร่งรัดเจรจาในมาตรฐานสินค้าและแก้ไขปัญหาการตรวจสินค้า นายจุรินทร์ ขอให้บทบาทของการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศนั้นจะต้องทํางานอย่างมืออาชีพ ปฏิบัติหน้าที่อย่างครบถ้วน และคิดกลยุทธ์ใหม่ ตามอํานาจหน้าที่ เพราะการทําแบบเดิมทําให้ผลลัพธ์เหมือนเดิมเป็นเรื่องยาก เพราะปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยน ไม่ต้องเลิกของเก่าที่ดีอยู่แล้วแต่เพิ่มสิ่งใหม่ที่ดีขึ้น และต้องการให้ทูตพาณิชย์ปรับตัวเป็นผู้นําทัพเสริมง่นเอกชนให้สามารถส่งออกเพิ่มได้ และปรับเป็นพนักงานขายกิตติมศักดิ์เพื่อให้ผ่านสถานการณ์การค้าโลกในปัจจุบันโดยเฉพาะการขายสินค้าในนามรัฐ G2G / G2C มากขึ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ทูตพาณิชย์จะต้องรู้จักสินค้า และบริการ รวมถึงคุณภาพของสินค้าไทยอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้เกิดการสร้างภาพลักษณ์ และขายแข่งกับผู้ค้าในตลาดโลกได้ และวาระนี้ให้กลับมา Update ข้อมูลเรื่องสินค้าในรัฐบาลนี้ให้เข้าวจอีกรอบ ทุกคนต้องทํางานเชิงรุก อย่างมืออาชีพ ให้ทําแผนปฏิบัติการอย่างเป็นรูปธรรมในช่วงระยะ 3 – 6 เดือน ทั้งนี้การไปแต่ละครั้งจะต้องเกิดผล เห็นผล เพื่อให้ตัวเลขส่งออกเพิ่มสูงขึ้น ส่วนบทบาทของทูตเกษตรนั้นต้องการให้ดูแลเรื่องมาตรฐาน เงื่อนไข ข้อข้อกําหนด เกี่ยวกับสินค้าเกษตร ที่ต่างประเทศกําหนด และเร่งรัดการเจรจาเพื่อปลดล็อก หรืออย่างน้อยขอยืดเวลาเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการส่งออกสินค้าเกษตรไทย ด้านบทบาทพาณิชย์จังหวัด ต้องการให้เน้นเรื่องการจดทะเบียน GI เพื่อรองรับสินค้าตามถิ่นกําเนิดในจังหวัด ท้องถิ่นนั้นๆ ให้ค้นหาสินค้าที่จะสามารถขึ้นทะเบียน GI ได้และให้ช่วยดูเรื่องการค้าชายแดนเพิ่มด้วย ทั้งช่วยคลี่คลายปัญหาในฝั่งประเทศไทยจะช่วยเพิ่มตัวเลขการส่งออกได้ นอกจากนั้นด้านนโยบายโชห่วยให้พาณิชย์จังหวัดช่วยเสริมจากร้านธงฟ้า เร่งรัด เป็นระบบ มีเป้าหมายชัดเจน ส่งเสริมความรู้ใช้ Software เข้าไปช่วยเรื่องการจัดการ Stock ให้กับร้านค้าโชว์ห่วยในท้องถิ่นด้วย รายงานของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่าด้วยว่าได้มีการประเมินสถานการณ์ส่งออกของภาคเอกชนโดยแยกเป็นส่งออกในกลุ่มสินค้าสําคัญ สัดส่วน 75% ซึ่งมีสินค้าเกษตร ข้าว มันสําปะหลัง ยาง อาหาร และน้ําตาล ส่วนสินค้าด้านอุตสาหกรรม มีรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ วัสดุก่อสร้าง อัญมณีและเครื่องประดับ สิ่งทอ น้ํามันสําเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องจักรกล เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก โดยข้อเสนอของภาคเอกชน เพื่อเพิ่มการส่งออกสินค้าสําคัญคือสินค้าเกษตรนั้น มีการเสนอแนะให้จัดคณะผู้แทนการค้าเพื่อฟื้นฟูตลาด เจรจากับประเทศคู่ค้าแบบ G2G พร้อมสร้างความสัมพันธ์การค้าข้าวกับคู่ค้า เข้าร่วมการแสดงสินค้าในต่างประเทศมากขึ้น และให้เกษตรกรไทยพัฒนาการผลิตข้าวนุ่มเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลกมากขึ้น ทางด้านยางพารานั้น สนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายใหญ่เปลี่ยนจากผลิตยางพาราเป็นการผลิตผลิตภัณฑ์ยางพาราแทน เพื่อเพิ่มมูลค่าในการไปแปรรูปโดยการหาตลาดและทําผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ด้านมันสําปะหลังให้ความรู้ และเชิญชวนให้เกษตรกรพัฒนาการเพาะปลูก เพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้ได้ และลดต้นทุนของเกษตรกร ทําให้สามารถแข่งขันกับพืชชนิดอื่นได้ นอกจากนั้นเสนอให้อนุญาตให้ส่งออกได้โดยไม่จํากัดปริมาณ อัตราส่วนสต็อคในการครอบครองของผู้ส่งออก ส่วนด้านอาหารก็ขอให้มีการเร่งรัดการเจรจา FTA ระหว่างไทย – ยุโรป กับไทย-อังกฤษ เพื่อเปิดตลาดยิ่งขึ้นเป็นต้น นอกจากนั้นยังมียุทธศาสตร์การรักษาตลาดเดิมเช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น อาเซียน และจีน และการเปิดตลาดใหม่ที่เอเชียใต้ ละตินอเมริกา รัสเซีย และตะวันออกกลาง รวมทั้งฟื้นฟูส่วนแบ่งตลาดที่เคยขยายตัวได้ดี เช่น อิรัก สหรัฐอาหรับอิมิเรต และบาเรนห์ เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22600
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
วันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2560 พิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จพระราชดําเนินในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สําเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 12 แห่ง ประจําปีการศึกษา 2557-2558 จํานวน 34,192 คน ระหว่างวันที่ 26-31 มกราคม 2560 ณ หอประชุมมหาวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร พิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วันแรก: วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม 2560 ผู้สําเร็จการศึกษาที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในวันแรก ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครจํานวน 3,760 คน และมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาจํานวน 2,344 คนจํานวนทั้งสิ้น6,104คน โดยมีพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วย ดร.สุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, นายปัญญา มหาชัย นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร, รศ.ดร.ชนินทร์ วะสีนนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร, นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา, รศ.ดร.วิเชียร ฝอยพิกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ตลอดจนคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย นักศึกษา และประชาชน ร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2560 พิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จพระราชดําเนินในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สําเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 12 แห่ง ประจําปีการศึกษา 2557-2558 จํานวน 34,192 คน ระหว่างวันที่ 26-31 มกราคม 2560 ณ หอประชุมมหาวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร พิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วันแรก: วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม 2560 ผู้สําเร็จการศึกษาที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในวันแรก ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครจํานวน 3,760 คน และมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาจํานวน 2,344 คนจํานวนทั้งสิ้น6,104คน โดยมีพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วย ดร.สุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, นายปัญญา มหาชัย นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร, รศ.ดร.ชนินทร์ วะสีนนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร, นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา, รศ.ดร.วิเชียร ฝอยพิกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ตลอดจนคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย นักศึกษา และประชาชน ร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1500
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.2 แถลงข่าวเปิดตัวงาน OTOP Midyear 2018 ภายใต้แนวคิด “OTOP Signature เอกลักษณ์จากเสน่ห์วิถีไทยนิยม”
วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน 2561 มท.2 แถลงข่าวเปิดตัวงาน OTOP Midyear 2018 ภายใต้แนวคิด “OTOP Signature เอกลักษณ์จากเสน่ห์วิถีไทยนิยม” มท.2 แถลงข่าวเปิดตัวงาน OTOP Midyear 2018 ภายใต้แนวคิด “OTOP Signature เอกลักษณ์จากเสน่ห์วิถีไทยนิยม” วันนี้ (4 มิถุนายน 2561) เวลา 14.00 น. นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาoการแถลงข่าวการจัดงาน OTOP Midyear 2018 OTOP Signature “เอกลักษณ์จากเสน่ห์วิถีไทยนิยม” ณ ลานอีเดน ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยมี นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้ด้วย นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นการจัดงานครั้งที่ 10 กําหนดจัดระหว่างวันที่ 9-17 มิถุนายน 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์1-3ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี รวม 9 วัน กําหนดเปิดงานในวันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2561 เวลา 15:00 น. โดยมี พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี ซึ่งภายในงานมีการจัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพวรางกูร รัชกาลที่ 10 และมีการจําหน่ายผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOPที่ผ่านการคัดสรรปี พ.ศ. 2559 ระดับ 3-5 ดาว จาก 76 จังหวัด และกรุงเทพฯ เข้าร่วมจําหน่ายไม่น้อยกว่า 2,000 กลุ่ม/ราย ทั้งนี้ ตั้งเป้ายอดการจําหน่ายภายในงานไม่น้อยกว่า 900 ล้านบาท และคาดการณ์ว่ามีประชาชนเยี่ยมชมงานตลอดการจัดงานทั้ง 9 วัน ไม่น้อยกว่า 400,000 คน (เฉลี่ยประมาณวันละ 45,000 คน) ซึ่งจะสามารถช่วยกระจายรายได้ให้กับเศรษฐกิจชุมชนฐานรากให้มีความเข้มแข็ง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศมากยิ่งขึ้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า งานดังกล่าวเป็นงานส่งเสริมการตลาด OTOP ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบกลางปี โดยรัฐบาลคาดหวังว่าจะเป็นโอกาสที่ดีสําหรับประเทศไทยในการนําเสนอผลงานและความสําเร็จสู่สายตาของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เพื่อให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP ที่เป็นภูมิปัญญาของคนไทย ซึ่งมีคุณภาพระดับโลก พร้อมกันนี้ได้มีการนําผลิตภัณฑ์ OTOP จากโครงการ “ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี” บางส่วนมาให้สัมผัสกันในงาน อีกทั้งภายในงานยังจะได้เห็นการพัฒนาของผู้ขายและการพัฒนาความต้องการของผู้ซื้อที่เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน โดยคาดว่าการจัดงานดังกล่าวจะได้ช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ตลอดจนสมาชิกกลุ่มต่างๆ ที่มารวมตัวกันในครั้งนี้กว่า 2,500 บูธ มีผู้เกี่ยวข้องในชุมชนที่จะได้รับประโยชน์จากรายได้ที่เกิดจากการจําหน่ายสินค้า 4-5 หมื่นคน พร้อมกล่าวเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกท่านมาร่วมงาน เพื่อเลือกชิม ชม ช้อป กันอย่างจุใจมากกว่า 10,000 รายการ กว่า 2,500 ร้านค้า และยังมีสิทธิลุ้นของรางวัลพิเศษจากคูปองชิงโชค เมื่อช้อปสินค้าครบทุก 1,000 บาท ภายในงานด้วย ด้าน นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้มีกิจกรรมไฮไลท์ที่อยากให้ทุกท่านลองมาสัมผัสด้วยตัวเอง โดยได้คัดสรรผลิตภัณฑ์เอกลักษณ์จากทั่วประเทศ มาให้เลือกชิม ช้อป และสาธิตให้ชมมากถึง 36 จังหวัด ครบทั้ง 5 ประเภท ได้แก่ ประเภทอาหาร ประเภทเครื่องดื่ม ประเภทสมุนไพร ประเภทผ้า เครื่องแต่งกาย และประเภทของใช้ ของที่ระลึก พร้อมด้วยการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ OTOP Masterpiece ทั้ง 6 หมวด คือ หมวดเพชรทอง ไม้สลัก แกะสลักหิน ผ้า เครื่องปั้นดินเผา และเบญจรงค์ ตลอดจนการจําลองบรรยากาศหมู่บ้าน OTOP Village 111 ที่ก้าวไปสู่ OTOP นวัตวิถี โดยนําเสนอผ่านธีม 8 เสน่ห์+ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่พลาดไม่ได้... ร่วมวิถี ร่วมสมัย และนอกจากนี้ภายในงานยังสร้างสีสันด้วยการให้พ่อค้าแม่ขายแต่งกายชุดไทยย้อนยุคแบบออเจ้า เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสะท้อนเอกลักษณ์และเสน่ห์ของผ้าไทย โอกาสนี้ กระทรวงมหาดไทย ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมจับจ่ายใช้สอย อุดหนุนสินค้า OTOP ชม ช๊อป ชิม ชิว ในงาน OTOP Midyear 2018 OTOP Signature “เอกลักษณ์จากเสน่ห์วิถีไทยนิยม” ระหว่างวันที่ 9-17 มิถุนายน 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์1-3ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี. ครั้งที่ 116/2561 วันที่ 4 มิ.ย. 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.2 แถลงข่าวเปิดตัวงาน OTOP Midyear 2018 ภายใต้แนวคิด “OTOP Signature เอกลักษณ์จากเสน่ห์วิถีไทยนิยม” วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน 2561 มท.2 แถลงข่าวเปิดตัวงาน OTOP Midyear 2018 ภายใต้แนวคิด “OTOP Signature เอกลักษณ์จากเสน่ห์วิถีไทยนิยม” มท.2 แถลงข่าวเปิดตัวงาน OTOP Midyear 2018 ภายใต้แนวคิด “OTOP Signature เอกลักษณ์จากเสน่ห์วิถีไทยนิยม” วันนี้ (4 มิถุนายน 2561) เวลา 14.00 น. นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาoการแถลงข่าวการจัดงาน OTOP Midyear 2018 OTOP Signature “เอกลักษณ์จากเสน่ห์วิถีไทยนิยม” ณ ลานอีเดน ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยมี นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้ด้วย นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นการจัดงานครั้งที่ 10 กําหนดจัดระหว่างวันที่ 9-17 มิถุนายน 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์1-3ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี รวม 9 วัน กําหนดเปิดงานในวันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2561 เวลา 15:00 น. โดยมี พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี ซึ่งภายในงานมีการจัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพวรางกูร รัชกาลที่ 10 และมีการจําหน่ายผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOPที่ผ่านการคัดสรรปี พ.ศ. 2559 ระดับ 3-5 ดาว จาก 76 จังหวัด และกรุงเทพฯ เข้าร่วมจําหน่ายไม่น้อยกว่า 2,000 กลุ่ม/ราย ทั้งนี้ ตั้งเป้ายอดการจําหน่ายภายในงานไม่น้อยกว่า 900 ล้านบาท และคาดการณ์ว่ามีประชาชนเยี่ยมชมงานตลอดการจัดงานทั้ง 9 วัน ไม่น้อยกว่า 400,000 คน (เฉลี่ยประมาณวันละ 45,000 คน) ซึ่งจะสามารถช่วยกระจายรายได้ให้กับเศรษฐกิจชุมชนฐานรากให้มีความเข้มแข็ง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศมากยิ่งขึ้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า งานดังกล่าวเป็นงานส่งเสริมการตลาด OTOP ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบกลางปี โดยรัฐบาลคาดหวังว่าจะเป็นโอกาสที่ดีสําหรับประเทศไทยในการนําเสนอผลงานและความสําเร็จสู่สายตาของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เพื่อให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP ที่เป็นภูมิปัญญาของคนไทย ซึ่งมีคุณภาพระดับโลก พร้อมกันนี้ได้มีการนําผลิตภัณฑ์ OTOP จากโครงการ “ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี” บางส่วนมาให้สัมผัสกันในงาน อีกทั้งภายในงานยังจะได้เห็นการพัฒนาของผู้ขายและการพัฒนาความต้องการของผู้ซื้อที่เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน โดยคาดว่าการจัดงานดังกล่าวจะได้ช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ตลอดจนสมาชิกกลุ่มต่างๆ ที่มารวมตัวกันในครั้งนี้กว่า 2,500 บูธ มีผู้เกี่ยวข้องในชุมชนที่จะได้รับประโยชน์จากรายได้ที่เกิดจากการจําหน่ายสินค้า 4-5 หมื่นคน พร้อมกล่าวเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกท่านมาร่วมงาน เพื่อเลือกชิม ชม ช้อป กันอย่างจุใจมากกว่า 10,000 รายการ กว่า 2,500 ร้านค้า และยังมีสิทธิลุ้นของรางวัลพิเศษจากคูปองชิงโชค เมื่อช้อปสินค้าครบทุก 1,000 บาท ภายในงานด้วย ด้าน นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้มีกิจกรรมไฮไลท์ที่อยากให้ทุกท่านลองมาสัมผัสด้วยตัวเอง โดยได้คัดสรรผลิตภัณฑ์เอกลักษณ์จากทั่วประเทศ มาให้เลือกชิม ช้อป และสาธิตให้ชมมากถึง 36 จังหวัด ครบทั้ง 5 ประเภท ได้แก่ ประเภทอาหาร ประเภทเครื่องดื่ม ประเภทสมุนไพร ประเภทผ้า เครื่องแต่งกาย และประเภทของใช้ ของที่ระลึก พร้อมด้วยการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ OTOP Masterpiece ทั้ง 6 หมวด คือ หมวดเพชรทอง ไม้สลัก แกะสลักหิน ผ้า เครื่องปั้นดินเผา และเบญจรงค์ ตลอดจนการจําลองบรรยากาศหมู่บ้าน OTOP Village 111 ที่ก้าวไปสู่ OTOP นวัตวิถี โดยนําเสนอผ่านธีม 8 เสน่ห์+ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่พลาดไม่ได้... ร่วมวิถี ร่วมสมัย และนอกจากนี้ภายในงานยังสร้างสีสันด้วยการให้พ่อค้าแม่ขายแต่งกายชุดไทยย้อนยุคแบบออเจ้า เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสะท้อนเอกลักษณ์และเสน่ห์ของผ้าไทย โอกาสนี้ กระทรวงมหาดไทย ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมจับจ่ายใช้สอย อุดหนุนสินค้า OTOP ชม ช๊อป ชิม ชิว ในงาน OTOP Midyear 2018 OTOP Signature “เอกลักษณ์จากเสน่ห์วิถีไทยนิยม” ระหว่างวันที่ 9-17 มิถุนายน 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์1-3ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี. ครั้งที่ 116/2561 วันที่ 4 มิ.ย. 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12752
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กกจ. ยื่นมือ พยุงแรงงาน โควิด-19 ทำ“จ้างงานระยะสั้น” รับวันละ 300 บาท [กระทรวงแรงงาน]
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563 กกจ. ยื่นมือ พยุงแรงงาน โควิด-19 ทํา“จ้างงานระยะสั้น” รับวันละ 300 บาท [กระทรวงแรงงาน] กรมการจัดหางาน รับนโยบายรัฐบาล ช่วยผู้ว่างงาน กลุ่มแรงงานนอกระบบ ที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 จัดโครงการจ้างงานด่วน 45 วัน ให้รายได้วันละ 300 บาท ปฏิบัติงาน ลักษณะ Work from home ช่วยทํางานให้กรมการจัดหางานที่บ้าน หรือในพื้นที่/ชุมชน เริ่มเมษายน นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า หม่อมราชวงศ์ จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยพี่น้องแรงงานไทยที่ได้รับผลกระทบต้องว่างงานจากการแพร่กระจายของโรคโควิด-19 จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบ โดยในส่วนของกรมการจัดหางาน ซึ่งมีภารกิจในการส่งเสริมการมีงานทําให้แก่ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายนั้น จึงได้จัดโครงการจ้างงานเพื่อลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 โดยจ้างงานผู้ว่างงานทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานนอกระบบที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ทั่วประเทศ ที่มีวุฒิการศึกษาตั้งแต่มัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) หรือระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ขึ้นไป ทํางานลักษณะ Work from home ช่วยทํางานให้กรมการจัดหางานที่บ้าน หรือในพื้นที่/ชุมชน โดยให้ช่วยปฏิบัติงาน ประชาสัมพันธ์ภารกิจ/การดําเนินงานของกรมการจัดหางาน เช่นการต่ออายุแรงงงานต่างด้าว การขึ้นทะเบียนรับเงินชดเชยกรณีว่างงาน การให้บริการจัดหางาน การไปทํางานต่างประเทศ เป็นต้น รวมทั้ง สํารวจข้อมูลความต้องการทํางาน/ความต้องการจ้างงานโดยเฉพาะการทํางานแบบ Part-time ระยะเวลาจ้างงาน 45 วัน ได้รับค่าจ้างวันละ 300 บาท รับทั่วประเทศ 86 แห่ง (จังหวัดใหญ่ 4คน และจังหวัดเล็ก 2-3 คน) รวมทั้งสิ้น 300 คน เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนนี้ เป็นต้นไป สําหรับผู้ที่สนใจ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สํานักงานกรุงเทพมหานครเขตพื้นที่1-10 สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 “รัฐบาล ให้ความสําคัญกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจของโลก ซึ่งมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อนายจ้าง/สถานประกอบการ คนงานถูกเลิกจ้าง จนเกิดปัญหาการว่างงานเพิ่มขึ้น โดยกําหนดมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบขึ้น กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน จึงได้สนองรับนโยบายของรัฐบาลมาปฏิบัติ โดยการจ้างงานให้ทํางานกับกรมการจัดหางาน ซึ่งเป็นสิ่งที่กรมการจัดหางานสามารถทําได้เลย เพื่อให้ประชาชนมีงานทํา มีอาชีพ มีรายได้ สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวให้ผ่านในช่วงวิกฤตินี้ไปได้ ” นายสุชาติฯ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กกจ. ยื่นมือ พยุงแรงงาน โควิด-19 ทำ“จ้างงานระยะสั้น” รับวันละ 300 บาท [กระทรวงแรงงาน] วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563 กกจ. ยื่นมือ พยุงแรงงาน โควิด-19 ทํา“จ้างงานระยะสั้น” รับวันละ 300 บาท [กระทรวงแรงงาน] กรมการจัดหางาน รับนโยบายรัฐบาล ช่วยผู้ว่างงาน กลุ่มแรงงานนอกระบบ ที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 จัดโครงการจ้างงานด่วน 45 วัน ให้รายได้วันละ 300 บาท ปฏิบัติงาน ลักษณะ Work from home ช่วยทํางานให้กรมการจัดหางานที่บ้าน หรือในพื้นที่/ชุมชน เริ่มเมษายน นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า หม่อมราชวงศ์ จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยพี่น้องแรงงานไทยที่ได้รับผลกระทบต้องว่างงานจากการแพร่กระจายของโรคโควิด-19 จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบ โดยในส่วนของกรมการจัดหางาน ซึ่งมีภารกิจในการส่งเสริมการมีงานทําให้แก่ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายนั้น จึงได้จัดโครงการจ้างงานเพื่อลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 โดยจ้างงานผู้ว่างงานทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานนอกระบบที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ทั่วประเทศ ที่มีวุฒิการศึกษาตั้งแต่มัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) หรือระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ขึ้นไป ทํางานลักษณะ Work from home ช่วยทํางานให้กรมการจัดหางานที่บ้าน หรือในพื้นที่/ชุมชน โดยให้ช่วยปฏิบัติงาน ประชาสัมพันธ์ภารกิจ/การดําเนินงานของกรมการจัดหางาน เช่นการต่ออายุแรงงงานต่างด้าว การขึ้นทะเบียนรับเงินชดเชยกรณีว่างงาน การให้บริการจัดหางาน การไปทํางานต่างประเทศ เป็นต้น รวมทั้ง สํารวจข้อมูลความต้องการทํางาน/ความต้องการจ้างงานโดยเฉพาะการทํางานแบบ Part-time ระยะเวลาจ้างงาน 45 วัน ได้รับค่าจ้างวันละ 300 บาท รับทั่วประเทศ 86 แห่ง (จังหวัดใหญ่ 4คน และจังหวัดเล็ก 2-3 คน) รวมทั้งสิ้น 300 คน เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนนี้ เป็นต้นไป สําหรับผู้ที่สนใจ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สํานักงานกรุงเทพมหานครเขตพื้นที่1-10 สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 “รัฐบาล ให้ความสําคัญกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจของโลก ซึ่งมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อนายจ้าง/สถานประกอบการ คนงานถูกเลิกจ้าง จนเกิดปัญหาการว่างงานเพิ่มขึ้น โดยกําหนดมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบขึ้น กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน จึงได้สนองรับนโยบายของรัฐบาลมาปฏิบัติ โดยการจ้างงานให้ทํางานกับกรมการจัดหางาน ซึ่งเป็นสิ่งที่กรมการจัดหางานสามารถทําได้เลย เพื่อให้ประชาชนมีงานทํา มีอาชีพ มีรายได้ สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวให้ผ่านในช่วงวิกฤตินี้ไปได้ ” นายสุชาติฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28753
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2562 ระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม – 1 สิงหาคม 2562 พบการกระทำผิด จำนวน 367 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 8.60 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม 2562 ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2562 ระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม – 1 สิงหาคม 2562 พบการกระทําผิด จํานวน 367 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 8.60 ล้านบาท กรมสรรพสามิตดําเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต นางสดศรี พงศ์อุทัย ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากการบริโภคสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าสินค้าโดยทั่วไป จากผลการตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2562 (ระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม – 1 สิงหาคม 2562) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 367 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 8.60 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 199 คดี ค่าปรับ 2.16 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 105 คดี ค่าปรับ 3.42 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 8 คดี ค่าปรับ 0.09 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 29 คดี ค่าปรับ 0.28 ล้านบาท น้ําหอม 2 คดี ค่าปรับ 0.10 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 14 คดี ค่าปรับ จํานวน 0.23 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 10 คดี ค่าปรับ 2.33 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 3,674.620 ลิตร ยาสูบ จํานวน 5,218 ซอง ไพ่ จํานวน 1,035 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 6,280.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 475 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 16 คัน สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 – 1 สิงหาคม 2562พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 29,273 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 447.38 ล้านบาท โดยแยกเป็นสุรา จํานวน 16,920 คดี ค่าปรับ 156.81 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 8,191 คดี ค่าปรับ 182.45 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 707 คดี ค่าปรับ 6.59 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 1,452 คดี ค่าปรับ 42.29 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 87 คดี ค่าปรับ 1.83 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 1,370 คดี ค่าปรับ 28.44 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 546 คดี ค่าปรับ 28.97 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 267,405.145 ลิตร ยาสูบ จํานวน 447,595 ไพ่ จํานวน 31,419 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 1,251,967.670 ลิตร น้ําหอม จํานวน 30,704 ขวด และรถจักรยานยนต์ จํานวน 1,364 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2562 ระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม – 1 สิงหาคม 2562 พบการกระทำผิด จำนวน 367 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 8.60 ล้านบาท วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม 2562 ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2562 ระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม – 1 สิงหาคม 2562 พบการกระทําผิด จํานวน 367 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 8.60 ล้านบาท กรมสรรพสามิตดําเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต นางสดศรี พงศ์อุทัย ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากการบริโภคสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าสินค้าโดยทั่วไป จากผลการตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2562 (ระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม – 1 สิงหาคม 2562) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 367 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 8.60 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 199 คดี ค่าปรับ 2.16 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 105 คดี ค่าปรับ 3.42 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 8 คดี ค่าปรับ 0.09 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 29 คดี ค่าปรับ 0.28 ล้านบาท น้ําหอม 2 คดี ค่าปรับ 0.10 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 14 คดี ค่าปรับ จํานวน 0.23 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 10 คดี ค่าปรับ 2.33 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 3,674.620 ลิตร ยาสูบ จํานวน 5,218 ซอง ไพ่ จํานวน 1,035 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 6,280.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 475 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 16 คัน สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 – 1 สิงหาคม 2562พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 29,273 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 447.38 ล้านบาท โดยแยกเป็นสุรา จํานวน 16,920 คดี ค่าปรับ 156.81 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 8,191 คดี ค่าปรับ 182.45 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 707 คดี ค่าปรับ 6.59 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 1,452 คดี ค่าปรับ 42.29 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 87 คดี ค่าปรับ 1.83 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 1,370 คดี ค่าปรับ 28.44 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 546 คดี ค่าปรับ 28.97 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 267,405.145 ลิตร ยาสูบ จํานวน 447,595 ไพ่ จํานวน 31,419 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 1,251,967.670 ลิตร น้ําหอม จํานวน 30,704 ขวด และรถจักรยานยนต์ จํานวน 1,364 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21955
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. เปิดฉากเวที CEO Insurance Forum 2018
วันพุธที่ 25 เมษายน 2561 คปภ. เปิดฉากเวที CEO Insurance Forum 2018 คปภ. เปิดฉากเวที CEO Insurance Forum 2018 เร่งยกระดับอุตสาหกรรมประกันภัยไทยรองรับเศรษฐกิจดิจิทัลสู่มาตรฐานสากล ผุด InsurTech Center of Thailand ช่วยเสริมทัพให้ระบบประกันภัยของไทยเต็มสูบ คปภ. ผนึกกําลังภาคธุรกิจประกันภัย จัดประชุมผู้บริหารระดับสูงด้านการประกันภัย ประจําปี 2561 (CEO Insurance Forum 2018) เพื่อขับเคลื่อนนโยบายการประกันภัยในยุคดิจิทัล และส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมดิจิทัลในอุตสาหกรรมประกันภัย รวมทั้งสร้างภูมิคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนด้านการประกันภัยผ่านการระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน รวมถึงเพิ่มบทบาทของธุรกิจประกันภัยในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่าการประชุมผู้บริหารระดับสูงด้านการประกันภัยได้มีการจัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 ซึ่งปีนี้จัดในวันที่ 25 เมษายน 2561 ณ ห้องเวิลด์บอลรูม ชั้น 23 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ เพื่อใช้เป็นเวทีในการสื่อสารทิศทางและนโยบายในการพัฒนาธุรกิจประกันภัยไทย รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ ข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ อันแสดงถึงศักยภาพและความร่วมมือในการพัฒนาธุรกิจประกันภัยร่วมกันระหว่างสํานักงาน คปภ. ภาคธุรกิจประกันภัย และผู้เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การจัดงานใน 2 ปีที่ผ่านมาได้รับข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งและนําไปสู่การพัฒนากฎเกณฑ์ในหลายเรื่องให้มีความยืดหยุ่นเหมาะสม สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาธุรกิจประกันภัย อาทิ การปรับปรุงกฎหมายแม่บทด้านการประกันภัยเกี่ยวกับการป้องกันการฉ้อฉลในธุรกิจประกันภัย การออกประกาศ คปภ. เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการออกกรมธรรม์ประกันภัย การเสนอขายกรมธรรม์การประกันภัยโดยใช้วิธีการอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2560 การออกประกาศสํานักงาน คปภ. เรื่อง แนวทางการเข้าร่วมโครงการทดสอบนวัตกรรมที่นําเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการสําหรับธุรกิจประกันภัย (Insurance Regulatory Sandbox) การพัฒนาแนวทางการตรวจสอบระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Audit) เป็นต้น สําหรับการประชุมในครั้งนี้ มีการบรรยายพิเศษ เรื่อง “ทิศทางและยุทธศาสตร์การกํากับดูแลธุรกิจประกันภัยยุคดิจิทัลสู่แนวปฏิบัติที่ดีที่สุด” โดยเลขาธิการ คปภ. ซึ่งเป็นการสรุปผลการดําเนินการตามแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 3 โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัยไทยให้สามารถรับมือกับปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดําเนินงาน เช่น การประเมิน FSAP ในช่วงปลายปี 2561 การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม (Climate Change) ความรุนแรงของสงครามการค้า การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ซึ่งจะส่งผลต่อพฤติกรรมในการบริโภคของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมได้มอบทิศทางนโยบายการดําเนินงานของสํานักงาน คปภ. ดังนั้นในปี 2561 จึงนับเป็นปีแห่ง “การยกระดับมาตรฐานการกํากับดูแลธุรกิจประกันภัย สู่มาตรฐานสากล” ด้วยกลยุทธ์ 10 ประการ กล่าวคือ ประการแรก กฎหมายต้องเอื้อต่อการประกอบธุรกิจ ประการที่สอง การกํากับต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากล ประการที่สาม ต้องนําเทคโนโลยีมาใช้ในการตรวจสอบ ประการที่สี่ ยกระดับการคุ้มครองสิทธิผู้เอาประกันภัย ประการที่ห้า มุ่งเน้นธรรมาภิบาลในการประกอบธุรกิจ ประการที่หก ยกระดับการเข้าถึงระบบประกันภัย ประการที่เจ็ด เสริมสร้างขีดความสามารถบุคลากรประกันภัย ประการที่แปด ต้องก้าวให้ทันเทคโนโลยี ประการที่เก้า มุ่งสร้างความปลอดภัยจากไซเบอร์ และประการสุดท้าย เพิ่มบทบาทการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจ นอกจากนี้ได้มีการบรรยายพิเศษเรื่อง “Tangible and actionable potential approach to drive digital insurance” โดย Dr. Woody Mo ประธานบริษัท eBaoTech ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีชั้นนําของสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนในการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและได้มีการนํามาใช้ทั้งของภาคธุรกิจประกันภัย และของหน่วยงานกํากับดูแลธุรกิจประกันภัย ทั้งนี้การประชุม CEO Insurance Forum ในครั้งนี้จะเป็นการต่อยอดจากผลการประชุมในครั้งที่ผ่านมาเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยให้ก้าวไปข้างหน้าอีกขั้นเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่รวดเร็วอย่างก้าวกระโดด โดยเห็นได้จากในช่วงที่ผ่านมาธุรกิจประกันภัยได้เริ่มนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาปฏิวัติรูปแบบการทําธุรกิจ หรือที่เรียกกันว่า “InsurTech” เพื่อสร้างมูลค่าให้กับการประกันภัย ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ การให้บริการ และการบริหารจัดการภายใน ซึ่งถือเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่เห็นว่าอุตสาหกรรมประกันภัยเริ่มมี Reaction ต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลและมีพัฒนาการหลายๆ อย่างเกิดขึ้น รวมทั้งมีกลุ่มบริษัท Startup ที่ได้พัฒนานวัตกรรม InsurTech ขึ้นมาหลายบริษัทแล้ว ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่ดีมาก สําหรับการประชุมในปีนี้ได้กําหนดหัวข้อหลักของการจัดประชุม ภายใต้ธีม“Disruptive Technologies For The Future Insurance Industry” เพื่อให้มีการระดมความคิดเห็นร่วมกันเกี่ยวกับการดําเนินการของธุรกิจประกันภัยและก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี อีกทั้งยังมีประเด็นต่อยอดจากผลการประชุมในปีที่ผ่านมา ที่ท้าทายและน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ในการประชุมกลุ่มย่อย 3กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มย่อยที่ 1 ภายใต้หัวข้อ “Open Data for Insurance Industry” เป็นเรื่องการสร้าง Platform ในการเปิดเผยข้อมูล หรือกําหนดมาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลทั้งจากบริษัทประกันภัยด้วยกันเอง หรือจากบริษัทประกันภัยกับนายหน้าประกันภัย เพื่อให้ธุรกิจมีฐานข้อมูล สามารถแชร์ข้อมูลระหว่างกันและนําข้อมูลเหล่านั้นมาพัฒนา Application หรือสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ได้ ซึ่งประชาชนจะได้ประโยชน์ สามารถเลือกซื้อประกันภัยโดยการเปรียบเทียบแบบประกันภัย ความคุ้มครอง และเบี้ยประกันภัยได้ รวมถึงทราบถึงข้อมูลของตนเองว่าซื้อกรมธรรม์ประกันภัยอะไรบ้างและกับบริษัทใด โดยประเด็นหารือหลักคือการสร้างความเข้าใจในภาพรวมเกี่ยวกับการดําเนินการเรื่องการเปิดเผยข้อมูล และการกําหนดกรอบการดําเนินการจัดทํามาตรฐานโครงสร้างข้อมูล และการจัดทํามาตรฐานการ แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือการเปิดเผยข้อมูล รวมถึงการจัดทําร่างประกาศในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้ภาคธุรกิจเตรียมความพร้อม และการเผยแพร่มาตรฐานโครงสร้างข้อมูล และมาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลให้ผู้สนใจได้รับทราบ เช่นกลุ่มบริษัท Startup / ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะได้สามารถนําไปต่อยอดสร้างเป็นนวัตกรรมใหม่ๆ หรือพัฒนาแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้ กลุ่มย่อยที่ 2 ภายใต้หัวข้อ “Enhancing Insurance Industry Conduct of Business” เป็นประเด็นสืบเนื่องจากปีที่ผ่านมา ที่มีการหารือร่วมกันในเรื่องการควบคุมคุณภาพการเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยในลักษณะป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น โดยในปีนี้ มุ่งเน้นถึงการติดตามและตรวจสอบคุณภาพการเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยของ คนกลางประกันภัยและการชําระเบี้ยประกันภัยโดยส่งเสริมให้ภาคธุรกิจประกันภัยนําเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชน และเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อธุรกิจประกันภัยอย่างยั่งยืน กลุ่มย่อยที่ 3 ภายใต้หัวข้อ “Insurance Technology Assurance and Risk Management” สืบเนื่องจากการที่สํานักงาน คปภ. ได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคธุรกิจนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดําเนินงานอาจทําให้เกิดความเสี่ยงและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของบริษัทและสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัยได้ ดังนั้น สํานักงาน คปภ. จึงได้จัดทําโครงการพัฒนาแนวทางการตรวจสอบเทคโนโลยี หรือ IT Audit ขึ้น โดยการประชุมครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดี ที่ได้มีการสื่อสารให้ผู้บริหารระดับสูงของภาคธุรกิจรับทราบและตระหนักถึงความสําคัญและความเสี่ยงในการนําเทคโนโลยีมาใช้ รวมถึงชี้แจงแผนงานและแนวทางการตรวจสอบตามร่างคู่มือการตรวจสอบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้ภาคธุรกิจประกันภัยเตรียมความพร้อมในการตรวจสอบด้านเทคโนโลยีสารสนเทศต่อไป เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า เพื่อเป็นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยของไทยให้มีการพัฒนาและก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีด้านประกันภัยอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนยิ่งขึ้น สํานักงาน คปภ. จึงมีแนวคิดจะจัดตั้ง InsurTech Center of Thailand (ICT) เพื่อเป็นศูนย์รวมข้อมูลกลางแลกเปลี่ยนความรู้เทคโนโลยีประกันภัยในการพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัย โดยจะบูรณาการการทํางานร่วมกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัยและกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะกลุ่ม Startup และจะใช้กลุ่มส่งเสริมเทคโนโลยีด้านการประกันภัยที่ตั้งขึ้นใหม่ในสํานักงาน คปภ.เป็นหน่วยงานขับเคลื่อน ภายใต้ภารกิจหลักๆ 4 ประการ คือ ประการแรก ส่งเสริมให้มีการศึกษาวิจัยและแลกเปลี่ยนความรู้ด้านเทคโนโลยีประกันภัย ตลอดจนส่งเสริมให้มีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆด้านเทคโนโลยีประกันภัยเพื่อเสริมความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมประกันภัย ประการที่สอง ส่งเสริมการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีประกันภัยในการกํากับดูแลธุรกิจประกันภัย ประการที่สาม สนับสนุนรูปแบบการเข้าถึงการประกันภัยของประชาชนและการใช้ความรู้แก่ประชาชนด้านประกันภัยผ่านเทคโนโลยีประกันภัย และประการที่สี่ เป็นเวทีระดมความคิดเห็นระหว่างหน่วยงานกํากับดูแลกลุ่มธุรกิจประกันภัยและกลุ่มเทคโนโลยีประกันภัย (InsurTech Startup) เพื่อนํานวัตกรรมที่เป็นประโยชน์มาพัฒนาและต่อยอดธุรกิจประกันภัยของไทย ตลอดจนช่วยคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้บริโภคด้านการประกันภัย “การประชุม CEO Insurance Forum 2018 ในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประชุมกลุ่มย่อยภายใต้ 3 หัวข้อหลัก ซึ่งถือได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ มีความท้าทาย และเป็นประโยชน์ ต่อธุรกิจประกันภัย รวมถึงประชาชนเป็นอย่างมาก โดยทุกความคิดเห็น ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะจะนํามาใช้แบบบูรณาการเพื่อปรับปรุงการดําเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์กับอุตสาหกรรมประกันภัยของไทยให้มีการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถ รวมทั้งพัฒนาระบบประกันภัยไทยให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในภาคธุรกิจประกันภัยในการขับเคลื่อนนโยบายการประกันภัยสู่ยุคดิจิทัล ทั้งนี้ กฎกติกาและการบริหารจัดการจะคํานึงถึงหลักการสําคัญ ได้แก่ ความสมดุล ความยืดหยุ่น และการปรับตัวให้เหมาะสม รวมทั้งการทํางานในเชิงรุก เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคอุตสาหกรรมประกันภัย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนต่อไปในอนาคต” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. เปิดฉากเวที CEO Insurance Forum 2018 วันพุธที่ 25 เมษายน 2561 คปภ. เปิดฉากเวที CEO Insurance Forum 2018 คปภ. เปิดฉากเวที CEO Insurance Forum 2018 เร่งยกระดับอุตสาหกรรมประกันภัยไทยรองรับเศรษฐกิจดิจิทัลสู่มาตรฐานสากล ผุด InsurTech Center of Thailand ช่วยเสริมทัพให้ระบบประกันภัยของไทยเต็มสูบ คปภ. ผนึกกําลังภาคธุรกิจประกันภัย จัดประชุมผู้บริหารระดับสูงด้านการประกันภัย ประจําปี 2561 (CEO Insurance Forum 2018) เพื่อขับเคลื่อนนโยบายการประกันภัยในยุคดิจิทัล และส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมดิจิทัลในอุตสาหกรรมประกันภัย รวมทั้งสร้างภูมิคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนด้านการประกันภัยผ่านการระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน รวมถึงเพิ่มบทบาทของธุรกิจประกันภัยในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่าการประชุมผู้บริหารระดับสูงด้านการประกันภัยได้มีการจัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 ซึ่งปีนี้จัดในวันที่ 25 เมษายน 2561 ณ ห้องเวิลด์บอลรูม ชั้น 23 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ เพื่อใช้เป็นเวทีในการสื่อสารทิศทางและนโยบายในการพัฒนาธุรกิจประกันภัยไทย รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ ข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ อันแสดงถึงศักยภาพและความร่วมมือในการพัฒนาธุรกิจประกันภัยร่วมกันระหว่างสํานักงาน คปภ. ภาคธุรกิจประกันภัย และผู้เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การจัดงานใน 2 ปีที่ผ่านมาได้รับข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งและนําไปสู่การพัฒนากฎเกณฑ์ในหลายเรื่องให้มีความยืดหยุ่นเหมาะสม สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาธุรกิจประกันภัย อาทิ การปรับปรุงกฎหมายแม่บทด้านการประกันภัยเกี่ยวกับการป้องกันการฉ้อฉลในธุรกิจประกันภัย การออกประกาศ คปภ. เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการออกกรมธรรม์ประกันภัย การเสนอขายกรมธรรม์การประกันภัยโดยใช้วิธีการอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2560 การออกประกาศสํานักงาน คปภ. เรื่อง แนวทางการเข้าร่วมโครงการทดสอบนวัตกรรมที่นําเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการสําหรับธุรกิจประกันภัย (Insurance Regulatory Sandbox) การพัฒนาแนวทางการตรวจสอบระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Audit) เป็นต้น สําหรับการประชุมในครั้งนี้ มีการบรรยายพิเศษ เรื่อง “ทิศทางและยุทธศาสตร์การกํากับดูแลธุรกิจประกันภัยยุคดิจิทัลสู่แนวปฏิบัติที่ดีที่สุด” โดยเลขาธิการ คปภ. ซึ่งเป็นการสรุปผลการดําเนินการตามแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 3 โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัยไทยให้สามารถรับมือกับปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดําเนินงาน เช่น การประเมิน FSAP ในช่วงปลายปี 2561 การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม (Climate Change) ความรุนแรงของสงครามการค้า การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ซึ่งจะส่งผลต่อพฤติกรรมในการบริโภคของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมได้มอบทิศทางนโยบายการดําเนินงานของสํานักงาน คปภ. ดังนั้นในปี 2561 จึงนับเป็นปีแห่ง “การยกระดับมาตรฐานการกํากับดูแลธุรกิจประกันภัย สู่มาตรฐานสากล” ด้วยกลยุทธ์ 10 ประการ กล่าวคือ ประการแรก กฎหมายต้องเอื้อต่อการประกอบธุรกิจ ประการที่สอง การกํากับต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากล ประการที่สาม ต้องนําเทคโนโลยีมาใช้ในการตรวจสอบ ประการที่สี่ ยกระดับการคุ้มครองสิทธิผู้เอาประกันภัย ประการที่ห้า มุ่งเน้นธรรมาภิบาลในการประกอบธุรกิจ ประการที่หก ยกระดับการเข้าถึงระบบประกันภัย ประการที่เจ็ด เสริมสร้างขีดความสามารถบุคลากรประกันภัย ประการที่แปด ต้องก้าวให้ทันเทคโนโลยี ประการที่เก้า มุ่งสร้างความปลอดภัยจากไซเบอร์ และประการสุดท้าย เพิ่มบทบาทการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจ นอกจากนี้ได้มีการบรรยายพิเศษเรื่อง “Tangible and actionable potential approach to drive digital insurance” โดย Dr. Woody Mo ประธานบริษัท eBaoTech ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีชั้นนําของสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนในการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและได้มีการนํามาใช้ทั้งของภาคธุรกิจประกันภัย และของหน่วยงานกํากับดูแลธุรกิจประกันภัย ทั้งนี้การประชุม CEO Insurance Forum ในครั้งนี้จะเป็นการต่อยอดจากผลการประชุมในครั้งที่ผ่านมาเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยให้ก้าวไปข้างหน้าอีกขั้นเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่รวดเร็วอย่างก้าวกระโดด โดยเห็นได้จากในช่วงที่ผ่านมาธุรกิจประกันภัยได้เริ่มนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาปฏิวัติรูปแบบการทําธุรกิจ หรือที่เรียกกันว่า “InsurTech” เพื่อสร้างมูลค่าให้กับการประกันภัย ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ การให้บริการ และการบริหารจัดการภายใน ซึ่งถือเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่เห็นว่าอุตสาหกรรมประกันภัยเริ่มมี Reaction ต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลและมีพัฒนาการหลายๆ อย่างเกิดขึ้น รวมทั้งมีกลุ่มบริษัท Startup ที่ได้พัฒนานวัตกรรม InsurTech ขึ้นมาหลายบริษัทแล้ว ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่ดีมาก สําหรับการประชุมในปีนี้ได้กําหนดหัวข้อหลักของการจัดประชุม ภายใต้ธีม“Disruptive Technologies For The Future Insurance Industry” เพื่อให้มีการระดมความคิดเห็นร่วมกันเกี่ยวกับการดําเนินการของธุรกิจประกันภัยและก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี อีกทั้งยังมีประเด็นต่อยอดจากผลการประชุมในปีที่ผ่านมา ที่ท้าทายและน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ในการประชุมกลุ่มย่อย 3กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มย่อยที่ 1 ภายใต้หัวข้อ “Open Data for Insurance Industry” เป็นเรื่องการสร้าง Platform ในการเปิดเผยข้อมูล หรือกําหนดมาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลทั้งจากบริษัทประกันภัยด้วยกันเอง หรือจากบริษัทประกันภัยกับนายหน้าประกันภัย เพื่อให้ธุรกิจมีฐานข้อมูล สามารถแชร์ข้อมูลระหว่างกันและนําข้อมูลเหล่านั้นมาพัฒนา Application หรือสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ได้ ซึ่งประชาชนจะได้ประโยชน์ สามารถเลือกซื้อประกันภัยโดยการเปรียบเทียบแบบประกันภัย ความคุ้มครอง และเบี้ยประกันภัยได้ รวมถึงทราบถึงข้อมูลของตนเองว่าซื้อกรมธรรม์ประกันภัยอะไรบ้างและกับบริษัทใด โดยประเด็นหารือหลักคือการสร้างความเข้าใจในภาพรวมเกี่ยวกับการดําเนินการเรื่องการเปิดเผยข้อมูล และการกําหนดกรอบการดําเนินการจัดทํามาตรฐานโครงสร้างข้อมูล และการจัดทํามาตรฐานการ แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือการเปิดเผยข้อมูล รวมถึงการจัดทําร่างประกาศในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้ภาคธุรกิจเตรียมความพร้อม และการเผยแพร่มาตรฐานโครงสร้างข้อมูล และมาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลให้ผู้สนใจได้รับทราบ เช่นกลุ่มบริษัท Startup / ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะได้สามารถนําไปต่อยอดสร้างเป็นนวัตกรรมใหม่ๆ หรือพัฒนาแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้ กลุ่มย่อยที่ 2 ภายใต้หัวข้อ “Enhancing Insurance Industry Conduct of Business” เป็นประเด็นสืบเนื่องจากปีที่ผ่านมา ที่มีการหารือร่วมกันในเรื่องการควบคุมคุณภาพการเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยในลักษณะป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น โดยในปีนี้ มุ่งเน้นถึงการติดตามและตรวจสอบคุณภาพการเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยของ คนกลางประกันภัยและการชําระเบี้ยประกันภัยโดยส่งเสริมให้ภาคธุรกิจประกันภัยนําเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชน และเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อธุรกิจประกันภัยอย่างยั่งยืน กลุ่มย่อยที่ 3 ภายใต้หัวข้อ “Insurance Technology Assurance and Risk Management” สืบเนื่องจากการที่สํานักงาน คปภ. ได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคธุรกิจนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดําเนินงานอาจทําให้เกิดความเสี่ยงและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของบริษัทและสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัยได้ ดังนั้น สํานักงาน คปภ. จึงได้จัดทําโครงการพัฒนาแนวทางการตรวจสอบเทคโนโลยี หรือ IT Audit ขึ้น โดยการประชุมครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดี ที่ได้มีการสื่อสารให้ผู้บริหารระดับสูงของภาคธุรกิจรับทราบและตระหนักถึงความสําคัญและความเสี่ยงในการนําเทคโนโลยีมาใช้ รวมถึงชี้แจงแผนงานและแนวทางการตรวจสอบตามร่างคู่มือการตรวจสอบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้ภาคธุรกิจประกันภัยเตรียมความพร้อมในการตรวจสอบด้านเทคโนโลยีสารสนเทศต่อไป เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า เพื่อเป็นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยของไทยให้มีการพัฒนาและก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีด้านประกันภัยอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนยิ่งขึ้น สํานักงาน คปภ. จึงมีแนวคิดจะจัดตั้ง InsurTech Center of Thailand (ICT) เพื่อเป็นศูนย์รวมข้อมูลกลางแลกเปลี่ยนความรู้เทคโนโลยีประกันภัยในการพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัย โดยจะบูรณาการการทํางานร่วมกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัยและกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะกลุ่ม Startup และจะใช้กลุ่มส่งเสริมเทคโนโลยีด้านการประกันภัยที่ตั้งขึ้นใหม่ในสํานักงาน คปภ.เป็นหน่วยงานขับเคลื่อน ภายใต้ภารกิจหลักๆ 4 ประการ คือ ประการแรก ส่งเสริมให้มีการศึกษาวิจัยและแลกเปลี่ยนความรู้ด้านเทคโนโลยีประกันภัย ตลอดจนส่งเสริมให้มีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆด้านเทคโนโลยีประกันภัยเพื่อเสริมความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมประกันภัย ประการที่สอง ส่งเสริมการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีประกันภัยในการกํากับดูแลธุรกิจประกันภัย ประการที่สาม สนับสนุนรูปแบบการเข้าถึงการประกันภัยของประชาชนและการใช้ความรู้แก่ประชาชนด้านประกันภัยผ่านเทคโนโลยีประกันภัย และประการที่สี่ เป็นเวทีระดมความคิดเห็นระหว่างหน่วยงานกํากับดูแลกลุ่มธุรกิจประกันภัยและกลุ่มเทคโนโลยีประกันภัย (InsurTech Startup) เพื่อนํานวัตกรรมที่เป็นประโยชน์มาพัฒนาและต่อยอดธุรกิจประกันภัยของไทย ตลอดจนช่วยคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้บริโภคด้านการประกันภัย “การประชุม CEO Insurance Forum 2018 ในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประชุมกลุ่มย่อยภายใต้ 3 หัวข้อหลัก ซึ่งถือได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ มีความท้าทาย และเป็นประโยชน์ ต่อธุรกิจประกันภัย รวมถึงประชาชนเป็นอย่างมาก โดยทุกความคิดเห็น ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะจะนํามาใช้แบบบูรณาการเพื่อปรับปรุงการดําเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์กับอุตสาหกรรมประกันภัยของไทยให้มีการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถ รวมทั้งพัฒนาระบบประกันภัยไทยให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในภาคธุรกิจประกันภัยในการขับเคลื่อนนโยบายการประกันภัยสู่ยุคดิจิทัล ทั้งนี้ กฎกติกาและการบริหารจัดการจะคํานึงถึงหลักการสําคัญ ได้แก่ ความสมดุล ความยืดหยุ่น และการปรับตัวให้เหมาะสม รวมทั้งการทํางานในเชิงรุก เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคอุตสาหกรรมประกันภัย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนต่อไปในอนาคต” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11759
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ. ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนตามคำสั่ง คสช. ที่ ๔๙/๒๕๕๙
วันพุธที่ 12 เมษายน 2560 ยธ. ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนตามคําสั่ง คสช. ที่ ๔๙/๒๕๕๙ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ ๔๙/๒๕๕๙ เมื่อวันพุธที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ ๔๙/๒๕๕๙ เรื่อง มาตรการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาต่างๆ ในประเทศไทย โดยที่ประชุมพิจารณา (ร่าง) แผนการอุปถัมภ์คุ้มครองศาสนาต่างๆ ในประเทศไทย (ปีงบประมาณ ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔) ในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครองป้องกันการบ่อนทําลายศาสนา จากบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมไม่หวังดีและสร้างความเสื่อมเสียแก่ศาสนา รวมทั้งส่งเสริมสร้างความเข้าใจอันดีและความสมานฉันท์ระหว่างศาสนิกชนทุกศาสนา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ. ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนตามคำสั่ง คสช. ที่ ๔๙/๒๕๕๙ วันพุธที่ 12 เมษายน 2560 ยธ. ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนตามคําสั่ง คสช. ที่ ๔๙/๒๕๕๙ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ ๔๙/๒๕๕๙ เมื่อวันพุธที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ ๔๙/๒๕๕๙ เรื่อง มาตรการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาต่างๆ ในประเทศไทย โดยที่ประชุมพิจารณา (ร่าง) แผนการอุปถัมภ์คุ้มครองศาสนาต่างๆ ในประเทศไทย (ปีงบประมาณ ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔) ในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครองป้องกันการบ่อนทําลายศาสนา จากบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมไม่หวังดีและสร้างความเสื่อมเสียแก่ศาสนา รวมทั้งส่งเสริมสร้างความเข้าใจอันดีและความสมานฉันท์ระหว่างศาสนิกชนทุกศาสนา
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3069
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. ย้ำรัฐบาลพร้อมสนับสนุนนักศึกษาอาชีวศึกษาเข้าร่วมอบรมโครงการหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ ครั้งที่ 2
วันอังคารที่ 31 ตุลาคม 2560 นรม. ย้ํารัฐบาลพร้อมสนับสนุนนักศึกษาอาชีวศึกษาเข้าร่วมอบรมโครงการหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ ครั้งที่ 2 นรม. สนับสนุนโครงการอบรมหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ ในหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นในรายวิชาชีพที่ขาดแคลนกําลังคน และเป็นหลักสูตรที่สอดคล้องกับ New Engine of Growth (S-Curve New S-Curve) วันนี้ (31 ตุลาคม 2560) เวลา 8.15 น. ณ ห้องโถงกลางชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายแพทย์ธีระศิลป์ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมคณะเจ้าหน้าที่จากสํานักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา นําคณะนักศึกษาอาชีวศึกษาที่ผ่านการเข้าฝึกอบรมโครงการหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ “Education to Employment: Vocational Boot Camp” ครั้งที่ 2 มาพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์ผลการดําเนินงานของโครงการหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ “Education to Employment: Vocational Boot Camp” ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 - 31 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวรายงานว่า โครงการหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ “Education to Employment: Vocational Boot Camp” หรือ E to E เป็นการฝึกอบรมหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นในรายวิชาชีพที่ขาดแคลนกําลังคน และเป็นหลักสูตรที่สอดคล้องกับ New Engine of Growth (S-Curve New S-Curve) เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจตามนโนบายของรัฐบาล ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้สํานักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษาเป็นผู้ดําเนินโครงการเพื่อพัฒนาและเตรียมความพร้อมอย่างเข้มข้นให้กับผู้เรียนสายวิชาชีพสามารถเข้าสู่การทํางานได้ทันที โดยเน้นการพัฒนา “สมรรถนะหลัก” ควบคู่กับ “คุณธรรม” ซึ่งการดําเนินดังกล่าวยังสอดคล้องกับโครงการสานพลังประชารัฐ โดยภาคเอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วม ตั้งแต่การพัฒนาหลักสูตร และการฝึกอบรม และมีวิทยากรจากภาคเอกชนมาร่วมฝึกอบรมด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เดินเยี่ยมชมนิทรรศการที่กระทรวงศึกษาได้นํามาจัดแสดง ได้แก่ หลักสูตรการตรวจซ่อมใหญ่วงล้อ และระบบเบรกอากาศยาน กลุ่มอาชีพช่างอากาศยาน โดยวิทยาลัยเทคนิคถลาง จังหวัดภูเก็ต และเทคโนโลยีการผลิตอ้อยในระบบโมเดิร์นฟาร์ม กลุ่มวิชาชีพเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร โดยวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสระแก้วมาร่วมจัดแสดงในรูปแบบของนิทรรศการ พร้อมทั้งนํา 4 นักศึกษาสาขาช่างเชื่อม จากวิทยาลัยเทคนิคพิษณุโลก วิทยาลัยตาก วิทยาลัยเทคนิคน่าน และวิทยาลัยเทคนิคสิชล ซึ่งได้รับ 3 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน และเหรียญทองประเภทคะแนนรวมสูงสุด จากการแข่งขันทักษะงานเชื่อมเยาวชนนานาชาติ (Zeitplan Yung Welding Competition 2017) “WELDCUP 2017” ณ เมืองดุสเซลดอร์ฟ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และทีมนักศึกษาจากวิทยาลัยเทคนิคสกลนคร สาขาช่างยนต์ แชมป์รางวัลชนะเลิศการแข่งขันฮอนด้าประหยัดเชื้อเพลิงระดับนานาชาติ ด้วยสถิติ 2,698.834 กิโลเมตร/ลิตร ประหยัดน้ํามัน ณ ประเทศญี่ปุ่น พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนโครงการหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ “Education to Employment: Vocational Boot Camp” ที่ได้มีการนํานักศึกษาอาชีวศึกษาเข้าร่วมอบรมการพัฒนาในหลักสูตรต่าง ๆ เพื่อเป็นพลังในต่อยอดการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ Thailand 4.0 ตาม นโนบายของรัฐบาลได้ โดยทางรัฐบาลสนับสนุนการเข้าศึกษาต่อในภาคอาชีวศึกษาให้มากขึ้น เพราะภาคอาชีวศึกษาเรียนจบมาสามารถทํางานได้ทันทีและเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน สําหรับโครงการหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ “Education to Employment: Vocational Boot Camp” ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดหลักสูตรการฝึกอบรมรวมทั้งสิ้น จํานวน 3,888 หลักสูตร และมีผู้เข้ารับการฝึกอบรมรวมทั้งสิ้นจํานวน 84,354 คน โดยหลักสูตรแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม New Engine of Growth จํานวน 1,400 หลักสูตร เช่น หลักสูตรเทคโนโลยี งานซ่อมสีรถยนต์ (ระบบอัจฉริยะ) หลักสูตรเทคโนโลยีปรับฉีดพลาสติก หลักสูตรอาหารไทยแห่งอนาคต หลักสูตรงานควบคุมหลอดไฟบ้านผู้สูงวัยด้วยคอมพิวเตอร์ระบบสมองกลฝังตัว โดยมีผู้เข้าร่วมฝึกอบรมตามโครงการในกลุ่มดังกล่าวจํานวน 29,740 คน และกลุ่มหลักสูตรตามความต้องการของท้องถิ่น (Local Needs) จํานวน 2,488 หลักสูตร เช่น หลักสูตรภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับธุรกิจยุค Thailand 4.0 หลักสูตรโปรแกรมการออกแบบงานกราฟิกและภาพเคลื่อนไหว หลักสูตรการซื้อขายและการทําธุรกิจระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพกําลังคนอาชีวศึกษา ยกระดับทักษะฝีมือแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการ และสอดรับกับกลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หรือ New Engine of Growth ในยุคไทยแลนด์ 4.0 โดยมีผู้เข้าร่วมฝึกอบรมจํานวน 54,614 คน โดยส่วนหนึ่งเป็นการต่อยอดความสําเร็จมาจากโครงการฝึกอบรมหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ ครั้งที่ 1 และต้องการให้โครงการนี้เกิดขึ้นทุกช่วงของการปิดภาคเรียน และเปิดสอนในประเภทวิชาที่หลากหลายมากขึ้น เช่น หลักสูตรงานบํารุงรักษา รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ (Big Bike) ซึ่งมีจําหน่ายในท้องตลาดแต่มีช่างวิชาชีพที่ซ่อมได้ไม่เพียงพอ ******************************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. ย้ำรัฐบาลพร้อมสนับสนุนนักศึกษาอาชีวศึกษาเข้าร่วมอบรมโครงการหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ ครั้งที่ 2 วันอังคารที่ 31 ตุลาคม 2560 นรม. ย้ํารัฐบาลพร้อมสนับสนุนนักศึกษาอาชีวศึกษาเข้าร่วมอบรมโครงการหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ ครั้งที่ 2 นรม. สนับสนุนโครงการอบรมหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ ในหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นในรายวิชาชีพที่ขาดแคลนกําลังคน และเป็นหลักสูตรที่สอดคล้องกับ New Engine of Growth (S-Curve New S-Curve) วันนี้ (31 ตุลาคม 2560) เวลา 8.15 น. ณ ห้องโถงกลางชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายแพทย์ธีระศิลป์ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมคณะเจ้าหน้าที่จากสํานักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา นําคณะนักศึกษาอาชีวศึกษาที่ผ่านการเข้าฝึกอบรมโครงการหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ “Education to Employment: Vocational Boot Camp” ครั้งที่ 2 มาพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์ผลการดําเนินงานของโครงการหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ “Education to Employment: Vocational Boot Camp” ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 - 31 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวรายงานว่า โครงการหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ “Education to Employment: Vocational Boot Camp” หรือ E to E เป็นการฝึกอบรมหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นในรายวิชาชีพที่ขาดแคลนกําลังคน และเป็นหลักสูตรที่สอดคล้องกับ New Engine of Growth (S-Curve New S-Curve) เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจตามนโนบายของรัฐบาล ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้สํานักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษาเป็นผู้ดําเนินโครงการเพื่อพัฒนาและเตรียมความพร้อมอย่างเข้มข้นให้กับผู้เรียนสายวิชาชีพสามารถเข้าสู่การทํางานได้ทันที โดยเน้นการพัฒนา “สมรรถนะหลัก” ควบคู่กับ “คุณธรรม” ซึ่งการดําเนินดังกล่าวยังสอดคล้องกับโครงการสานพลังประชารัฐ โดยภาคเอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วม ตั้งแต่การพัฒนาหลักสูตร และการฝึกอบรม และมีวิทยากรจากภาคเอกชนมาร่วมฝึกอบรมด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เดินเยี่ยมชมนิทรรศการที่กระทรวงศึกษาได้นํามาจัดแสดง ได้แก่ หลักสูตรการตรวจซ่อมใหญ่วงล้อ และระบบเบรกอากาศยาน กลุ่มอาชีพช่างอากาศยาน โดยวิทยาลัยเทคนิคถลาง จังหวัดภูเก็ต และเทคโนโลยีการผลิตอ้อยในระบบโมเดิร์นฟาร์ม กลุ่มวิชาชีพเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร โดยวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสระแก้วมาร่วมจัดแสดงในรูปแบบของนิทรรศการ พร้อมทั้งนํา 4 นักศึกษาสาขาช่างเชื่อม จากวิทยาลัยเทคนิคพิษณุโลก วิทยาลัยตาก วิทยาลัยเทคนิคน่าน และวิทยาลัยเทคนิคสิชล ซึ่งได้รับ 3 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน และเหรียญทองประเภทคะแนนรวมสูงสุด จากการแข่งขันทักษะงานเชื่อมเยาวชนนานาชาติ (Zeitplan Yung Welding Competition 2017) “WELDCUP 2017” ณ เมืองดุสเซลดอร์ฟ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และทีมนักศึกษาจากวิทยาลัยเทคนิคสกลนคร สาขาช่างยนต์ แชมป์รางวัลชนะเลิศการแข่งขันฮอนด้าประหยัดเชื้อเพลิงระดับนานาชาติ ด้วยสถิติ 2,698.834 กิโลเมตร/ลิตร ประหยัดน้ํามัน ณ ประเทศญี่ปุ่น พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนโครงการหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ “Education to Employment: Vocational Boot Camp” ที่ได้มีการนํานักศึกษาอาชีวศึกษาเข้าร่วมอบรมการพัฒนาในหลักสูตรต่าง ๆ เพื่อเป็นพลังในต่อยอดการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ Thailand 4.0 ตาม นโนบายของรัฐบาลได้ โดยทางรัฐบาลสนับสนุนการเข้าศึกษาต่อในภาคอาชีวศึกษาให้มากขึ้น เพราะภาคอาชีวศึกษาเรียนจบมาสามารถทํางานได้ทันทีและเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน สําหรับโครงการหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ “Education to Employment: Vocational Boot Camp” ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดหลักสูตรการฝึกอบรมรวมทั้งสิ้น จํานวน 3,888 หลักสูตร และมีผู้เข้ารับการฝึกอบรมรวมทั้งสิ้นจํานวน 84,354 คน โดยหลักสูตรแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม New Engine of Growth จํานวน 1,400 หลักสูตร เช่น หลักสูตรเทคโนโลยี งานซ่อมสีรถยนต์ (ระบบอัจฉริยะ) หลักสูตรเทคโนโลยีปรับฉีดพลาสติก หลักสูตรอาหารไทยแห่งอนาคต หลักสูตรงานควบคุมหลอดไฟบ้านผู้สูงวัยด้วยคอมพิวเตอร์ระบบสมองกลฝังตัว โดยมีผู้เข้าร่วมฝึกอบรมตามโครงการในกลุ่มดังกล่าวจํานวน 29,740 คน และกลุ่มหลักสูตรตามความต้องการของท้องถิ่น (Local Needs) จํานวน 2,488 หลักสูตร เช่น หลักสูตรภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับธุรกิจยุค Thailand 4.0 หลักสูตรโปรแกรมการออกแบบงานกราฟิกและภาพเคลื่อนไหว หลักสูตรการซื้อขายและการทําธุรกิจระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพกําลังคนอาชีวศึกษา ยกระดับทักษะฝีมือแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการ และสอดรับกับกลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หรือ New Engine of Growth ในยุคไทยแลนด์ 4.0 โดยมีผู้เข้าร่วมฝึกอบรมจํานวน 54,614 คน โดยส่วนหนึ่งเป็นการต่อยอดความสําเร็จมาจากโครงการฝึกอบรมหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นฐานสมรรถนะ ครั้งที่ 1 และต้องการให้โครงการนี้เกิดขึ้นทุกช่วงของการปิดภาคเรียน และเปิดสอนในประเภทวิชาที่หลากหลายมากขึ้น เช่น หลักสูตรงานบํารุงรักษา รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ (Big Bike) ซึ่งมีจําหน่ายในท้องตลาดแต่มีช่างวิชาชีพที่ซ่อมได้ไม่เพียงพอ ******************************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7687
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงานจัดงานวันสตรีสากล ย้ำมุ่งสร้างความเสมอภาคแรงงานสตรี
วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2563 ก.แรงงานจัดงานวันสตรีสากล ย้ํามุ่งสร้างความเสมอภาคแรงงานสตรี กระทรวงแรงงาน จัดงาน “วันสตรีสากล ประจําปี พ.ศ.2563” ภายใต้แนวคิด “แรงงานสตรี ร่วมแรงร่วมใจ สร้างความเสมอภาค สู่สังคมไทย” พร้อมประทานรับโล่รางวัลสตรีทํางานดีเด่น 29 รางวัล จาก พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ณ โรงแรมมิราเคิลฯ กรุงเทพฯ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานเปิดงานวันสตรีสากล ประจําปี พ.ศ. 2563 กล่าวว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้จัดงานวันสตรีสากลขึ้นเป็นประจําทุกปี และมีการคัดเลือกสตรีทํางานดีเด่นในแต่ละปี เพื่อชูเกียรติสตรีทํางานซึ่งประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่าง ที่ดีทั้งในด้านการครองตน ครองคน และครองงาน มีคุณธรรม จริยธรรมและเป็นผู้ที่สร้างคุณประโยชน์แก่สังคม ซึ่งปัจจุบันสตรีเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาประเทศและเพิ่มขึ้นมากกว่าในอดีตอย่างมากทั้งในระดับผู้บริหารและระดับผู้ปฏิบัติการ ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานตระหนักถึงความสําคัญของสตรีทํางานทุกคน เนื่องจากเป็นกําลังสําคัญต่อการสร้างสรรค์สังคมที่ดีทั้งในระดับครอบครัวตลอดไปจนถึงระดับชาติ โดยกระทรวงแรงงานมีความมุ่งมั่นในการส่งเสริมและสนับสนุนให้แรงงานสตรีได้รับการปกป้อง คุ้มครองสิทธิอย่างเท่าเทียมโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ มุ่งพัฒนาแรงงานสตรีให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคงในชีวิต ตลอดจนรณรงค์สร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการส่งเสริมบทบาทของสตรีทํางาน และความเสมอภาคระหว่างเพศ เพื่อให้สตรีทํางานได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมและเป็นธรรม ซึ่งจะเป็นกลไกสําคัญต่อการพัฒนาประเทศ ได้อย่างมั่นคงต่อไป นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวต่อว่า การจัดงานวันสตรีสากล ประจําปี พ.ศ. 2563 นี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “แรงงานสตรี ร่วมแรงร่วมใจ สร้างความเสมอภาค สู่สังคมไทย” เพื่อกระตุ้น ให้สังคมไทยได้ตระหนักถึงความสําคัญของสตรีทํางาน และร่วมส่งเสริมความเสมอภาคด้านแรงงาน โดยมีพิธีประทาน โล่รางวัลสตรีทํางานดีเด่น ซึ่งในปีนี้มีสตรีเสนอผลงานเข้ารับการคัดเลือก จํานวน 114 คน และได้รับการคัดเลือกเป็น สตรีทํางานดีเด่น ประจําปี พ.ศ.2563 รวม 8 ประเภท จํานวน 29 รางวัล อาทิ สตรีนักบริหารดีเด่น สาขาสตรีผู้บริหารรัฐวิสาหกิจดีเด่น ได้แก่ นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สตรีผู้ปฏิบัติการดีเด่น สาขาสตรีผู้ปฏิบัติการภาคเอกชนดีเด่น ได้แก่ นางสาวอําพร โพธิ์ภิขุ พนักงานปฏิบัติการ (ฝ่ายผลิต) บริษัท เบทาโกรเกษตรอุตสาหกรรม จํากัด (โรงงานแปรรูปสุกรแม้โจ้) ศิลปินสตรีดีเด่น ได้แก่ นางพิมพ์โพยม วิริยะสุนทรวงศ์ และสื่อมวลชนสตรีดีเด่น ได้แก่ นางสุดฤทัย เลิศเกษม ผู้อํานวยการสํานักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ เป็นต้น ซึ่งกระทรวงแรงงาน ได้รับพระกรุณาธิคุณจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ทรงโปรดให้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ เสด็จแทนพระองค์ไปประทานโล่รางวัลสตรีทํางานดีเด่น ประจําปี 2563 นอกจากนี้ กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย ทอล์คโชว์ เรื่อง แรงงานสตรี ร่วมแรงร่วมใจ สร้างความเสมอภาคสู่สังคมไทย นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ นิทรรศการสตรีทํางานดีเด่น ประจําปี 2563 และบูธแสดงผลิตภัณฑ์ของสตรีทํางาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงานจัดงานวันสตรีสากล ย้ำมุ่งสร้างความเสมอภาคแรงงานสตรี วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2563 ก.แรงงานจัดงานวันสตรีสากล ย้ํามุ่งสร้างความเสมอภาคแรงงานสตรี กระทรวงแรงงาน จัดงาน “วันสตรีสากล ประจําปี พ.ศ.2563” ภายใต้แนวคิด “แรงงานสตรี ร่วมแรงร่วมใจ สร้างความเสมอภาค สู่สังคมไทย” พร้อมประทานรับโล่รางวัลสตรีทํางานดีเด่น 29 รางวัล จาก พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ณ โรงแรมมิราเคิลฯ กรุงเทพฯ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานเปิดงานวันสตรีสากล ประจําปี พ.ศ. 2563 กล่าวว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้จัดงานวันสตรีสากลขึ้นเป็นประจําทุกปี และมีการคัดเลือกสตรีทํางานดีเด่นในแต่ละปี เพื่อชูเกียรติสตรีทํางานซึ่งประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่าง ที่ดีทั้งในด้านการครองตน ครองคน และครองงาน มีคุณธรรม จริยธรรมและเป็นผู้ที่สร้างคุณประโยชน์แก่สังคม ซึ่งปัจจุบันสตรีเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาประเทศและเพิ่มขึ้นมากกว่าในอดีตอย่างมากทั้งในระดับผู้บริหารและระดับผู้ปฏิบัติการ ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานตระหนักถึงความสําคัญของสตรีทํางานทุกคน เนื่องจากเป็นกําลังสําคัญต่อการสร้างสรรค์สังคมที่ดีทั้งในระดับครอบครัวตลอดไปจนถึงระดับชาติ โดยกระทรวงแรงงานมีความมุ่งมั่นในการส่งเสริมและสนับสนุนให้แรงงานสตรีได้รับการปกป้อง คุ้มครองสิทธิอย่างเท่าเทียมโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ มุ่งพัฒนาแรงงานสตรีให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคงในชีวิต ตลอดจนรณรงค์สร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการส่งเสริมบทบาทของสตรีทํางาน และความเสมอภาคระหว่างเพศ เพื่อให้สตรีทํางานได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมและเป็นธรรม ซึ่งจะเป็นกลไกสําคัญต่อการพัฒนาประเทศ ได้อย่างมั่นคงต่อไป นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวต่อว่า การจัดงานวันสตรีสากล ประจําปี พ.ศ. 2563 นี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “แรงงานสตรี ร่วมแรงร่วมใจ สร้างความเสมอภาค สู่สังคมไทย” เพื่อกระตุ้น ให้สังคมไทยได้ตระหนักถึงความสําคัญของสตรีทํางาน และร่วมส่งเสริมความเสมอภาคด้านแรงงาน โดยมีพิธีประทาน โล่รางวัลสตรีทํางานดีเด่น ซึ่งในปีนี้มีสตรีเสนอผลงานเข้ารับการคัดเลือก จํานวน 114 คน และได้รับการคัดเลือกเป็น สตรีทํางานดีเด่น ประจําปี พ.ศ.2563 รวม 8 ประเภท จํานวน 29 รางวัล อาทิ สตรีนักบริหารดีเด่น สาขาสตรีผู้บริหารรัฐวิสาหกิจดีเด่น ได้แก่ นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สตรีผู้ปฏิบัติการดีเด่น สาขาสตรีผู้ปฏิบัติการภาคเอกชนดีเด่น ได้แก่ นางสาวอําพร โพธิ์ภิขุ พนักงานปฏิบัติการ (ฝ่ายผลิต) บริษัท เบทาโกรเกษตรอุตสาหกรรม จํากัด (โรงงานแปรรูปสุกรแม้โจ้) ศิลปินสตรีดีเด่น ได้แก่ นางพิมพ์โพยม วิริยะสุนทรวงศ์ และสื่อมวลชนสตรีดีเด่น ได้แก่ นางสุดฤทัย เลิศเกษม ผู้อํานวยการสํานักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ เป็นต้น ซึ่งกระทรวงแรงงาน ได้รับพระกรุณาธิคุณจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ทรงโปรดให้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ เสด็จแทนพระองค์ไปประทานโล่รางวัลสตรีทํางานดีเด่น ประจําปี 2563 นอกจากนี้ กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย ทอล์คโชว์ เรื่อง แรงงานสตรี ร่วมแรงร่วมใจ สร้างความเสมอภาคสู่สังคมไทย นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ นิทรรศการสตรีทํางานดีเด่น ประจําปี 2563 และบูธแสดงผลิตภัณฑ์ของสตรีทํางาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27007
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.บูรณาการหน่วยงานภาครัฐสืบสานประเพณีลอยกระทง เน้นปลอดภัย รักษาวัฒนธรรม ใส่ใจสายน้ำ-สิ่งแวดล้อม
วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม 2560 วธ.บูรณาการหน่วยงานภาครัฐสืบสานประเพณีลอยกระทง เน้นปลอดภัย รักษาวัฒนธรรม ใส่ใจสายน้ํา-สิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม บูรณาการหน่วยงานภาครัฐ จัดประเพณีลอยกระทงภายใต้หัวข้อ “ลอยกระทงปลอดภัย สืบสานวัฒนธรรมไทย ใส่ใจสายน้ําและสิ่งแวดล้อม” รณรงค์ให้ใช้กระทงวัสดุธรรมชาติ วางมาตรการอํานวยความสะดวกในการเดินทาง และรักษาความปลอดภัยเข้ม กระทรวงวัฒนธรรม บูรณาการหน่วยงานภาครัฐ จัดประเพณีลอยกระทงภายใต้หัวข้อ “ลอยกระทงปลอดภัย สืบสานวัฒนธรรมไทย ใส่ใจสายน้ําและสิ่งแวดล้อม” รณรงค์ให้ใช้กระทงวัสดุธรรมชาติ วางมาตรการอํานวยความสะดวกในการเดินทาง และรักษาความปลอดภัยเข้ม (วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ ที่กระทรวงวัฒนธรรม) กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้จัดการประชุมบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ๑๐ หน่วยงาน ประกอบด้วย กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สํานักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว (กทม.) สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กรมการขนส่งทางบก กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กรมประชาพันธ์ สภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร และวัฒนธรรมจังหวัด เพื่อกําหนดแนวทางการจัดงานประเพณีลอยกระทงของทุกภาคส่วนให้เป็นไปในทิศทางที่เหมาะสม นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า ประเพณีลอยกระทงเป็นประเพณีที่สําคัญของคนไทยในฤดูน้ําหลาก ซึ่งแก่นแท้ของประเพณีเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีและรู้คุณค่าต่อน้ําที่เราใช้อุปโภคบริโภค แม่น้ําลําคลอง ประเพณีลอยกระทงจึงถือว่าเป็นประเพณีที่มีคุณค่าต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และศาสนาของไทย สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญา วิถีชีวิตและวัฒนธรรมไทยอันงดงามทั้งการแต่งกาย ศิลปกรรม การประดิษฐ์กระทง การประดับประทีปโคมไฟในยามค่ําคืน พิธีกรรม มหรสพ ศิลปะการแสดงพื้นถิ่น และการละเล่นรื่นเริง เป็นศูนย์รวมการส่งเสริมคุณงามความดีและค่านิยมที่ดีแก่สมาชิกในสังคม โดยปีนี้ กระทรวงวัฒนธรรม ส่งเสริมให้จัดงานลอยกระทงภายใต้หัวข้อ “ลอยกระทงปลอดภัย สืบสานวัฒนธรรมไทย ใส่ใจสายน้ําและสิ่งแวดล้อม” โดยเน้นเรื่องการรักษา วัฒนธรรม แม่น้ํา ลําคลอง และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการแสดงออกถึงความเป็นไทยที่มีน้ําใจไมตรี เอื้ออาทรต่อกัน โดยขอความร่วมมือจากประชาชน เข้าร่วมกิจกรรมลอยกระทงอย่างสร้างสรรค์ ในส่วนกลางกระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม สภาวัฒนธรรมกทม. กําหนดจัดกิจกรรมภายใต้ชื่องาน “ลอยกระทงปลอดภัย สืบสานวัฒนธรรมไทย ใส่ใจสายน้ําและสิ่งแวดล้อม” ระหว่างวันที่ ๒ – ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ วัดราชาธิวาสราชวรวิหารกรุงเทพมหานคร ภายในงานประกอบด้วย นิทรรศการคุณค่าสาระของประเพณีลอยกระทง การแสดงทางวัฒนธรรม อาทิ การแสดงสุนทราภรณ์ การแสดงนาฏศิลป์ การแสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นจากเครือข่ายของกระทรวงวัฒนธรรม เช่น การแสดงเพลงพื้นบ้าน การจัดสาธิตอาหารพื้นบ้าน และการสาธิตประดิษฐ์กระทง การสาธิตการละเล่นพื้นบ้าน และการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่สอดคล้องกับประเพณีลอยกระทง นอกจากนี้ ยังให้การสนับสนุนงบประมาณการจัดกิจกรรมลอยกระทงของจังหวัดในส่วนภูมิภาคด้วย แนวทางการดําเนินงานของแต่ละหน่วยงาน ดังนี้ นายกริชเพชร ชัยช่วย ผอ.สํานักความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางน้ํา กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม กําหนดมาตรการความปลอดภัย และการควบคุมการจราจรทางน้ํา เช่น จัดเจ้าหน้าที่ตรวจตราการจราจรทางน้ําในแม่น้ําเจ้าพระยา ดูแลความเรียบร้อยของการใช้โป๊ะและท่าเทียบเรือโดยสารต่างๆ ขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบกิจการ ผู้ใช้เรือ ผู้ครอบครองโป๊ะเทียบเรือ ติดตั้งป้ายระบุจํานวนคนที่สามารถรับน้ําหนักในที่มองเห็นชัดเจน พร้อมติดตั้งไฟส่องสว่างตลอดทั่วบริเวณโป๊ะเรือและทางขึ้น-ลง ต้องมีพวงชูชีพประจําทุกโป๊ะ นางสาวภาวิณี พลนิกรกิจ ผู้แทนกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ให้ทุกจังหวัดเตรียมแผนดูแลความปลอดภัยของประชาชน เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที พิจารณาอนุญาตการจุดและปล่อยพลุ ตะไล โคมลอย โคมไฟ โคมควันหรือวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึง ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์การอนุญาตที่กําหนดไว้ในประกาศ ซึ่งออกตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๗/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ นายกิตติ คํามีอ่อง ผู้แทนสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้สํานักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดในการประสานงานกับวัด เพื่อทําความเข้าใจและขอความร่วมมือกับประชาชนดําเนินการในเรื่องประเพณีลอยกระทง ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดั้งเดิมของวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น นายโฆษิต อักษรชาติ รองผอ.สํานักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร ขอความร่วมมืองดจัดงานรื่นเริง ห้ามจุดพลุและดอกไม้ไฟ โดยอนุญาตให้มีการลอยกระทงตามจุดหลักๆ อย่าง บริเวณสะพานพระราม 8 และคลองผดุงกรุงเกษม เน้นการจัดงานตามประเพณี และเหมาะกับสถานการณ์พระราชพิธี นอกจากนี้จะเปิดสวนสาธารณะให้ลอยกระทงตามปกติ โดยจะกําหนดกฎระเบียบให้ปฏิบัติตามเพื่อความสงบเรียบร้อย พล.ต.ต.โชคชัย เหลืองอ่อน รองผู้บัญชาการสํานักงานยุทธศาสตร์ตํารวจ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ เน้นรักษาความสงบในพื้นที่ เฝ้าระวังสถานที่สําคัญ พร้อมใช้แผนเผชิญเหตุและการป้องกันช่วยเหลือผู้ประสบเหตุโดยเฉพาะในจุดที่มีประชาชนจํานวนมาก และมีการตรวจคนเข้าเมืองอย่างเข้มงวด ประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจโดยเฉพาะหน่วยงานภาคเอกชนในการป้องกันอาชญากรรม อาทิ สถานบริการ สถานบันเทิง นายชัยยันต์ แย้มศรี ผอ.ส่วนสื่อประชาสัมพันธ์ กรมประชาสัมพันธ์ จัดงาน "สืบสานวัฒนธรรมไทย ลอยกระทงร่วมใจถวายพ่อ" เพื่อสืบสานวัฒนธรรมไทย สร้างความพันธ์อันดีระหว่างประชาชนและหน่วยงานราชการ ภายในงานประกอบไปด้วย การแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การแสดงดนตรี “ลอยกระทงร่วมใจถวายพ่อ” นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม รณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจและขอความร่วมมือคนไทยใช้กระทงวัสดุธรรมชาติย่อยสลายง่าย เพื่อลดการใช้โฟมและปริมาณขยะ นายชาญณรงค์ ลักษณียนาวิน ประธานสภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร ร่วมกับกรมส่งเสริมวัฒนธรรมดําเนินการจัดกิจกรรมสืบสานประเพณีลอยกระทง โดยจัดกิจกรรมที่วัดราชาธิวาสราชวรวิหารกรุงเทพมหานคร เน้นส่งเสริมให้สภาวัฒนธรรมเขตต่างๆ จัดกิจกรรมสืบสานประเพณี วัฒนธรรมที่ถูกต้องและเหมาะสม เช่น ดําเนินการในเรื่องของการสาธิตให้ความรู้การประดิษฐ์กระทงวัสดุธรรมชาติ นายวัลลภ งามสอน ผอ.สํานักสวัสดิภาพการขนส่งทางบก กรมการขนส่งทางบก เปิดสายด่วน ๑๕๘๔ รับแจ้งเหตุ ๒๔ ชั่วโมง กําหนดมาตรการการรับส่งผู้โดยสารสาธารณะ เช่น รถโดยสารประจําทาง (บขส) รถบัส รถรับจ้างสาธารณะ เน้นการบริการที่สะดวกและปลอดภัย ไม่ให้มีการละทิ้งหรือปฎิเสธผู้โดยสาร นางจิตรา สิทธนานุวัฒน์ วัฒนธรรมจังหวัดสุโขทัย เน้นมาตรการสําคัญ คือ ใช้วัสดุธรรมชาติ รณรงค์สืบสานวิถีถิ่นวิถีไทย การแต่งกายด้วยผ้าไทย สืบสานตํานานความเชื่อ ปฎิบัติตามพิธีกรรมที่เหมาะสม เฝ้าระวังการเบี่ยงเบนทางวัฒนธรรมอย่างใกล้ชิด กําหนดจุดรักษาความปลอดภัย ในการปล่อยโคม จุดพลุ นางสุชาดา ทุ่งหว้า วัฒนธรรมจังหวัดสมุทรสงคราม จัดงานภายใต้หัวข้อ ประหยัด ปลอดภัย แต่งไทยไปลอยกระทง กิจกรรมที่โดดเด่น ได้แก่ การแห่พระประทีปสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ลอยกระทงกาบกล้วย จํานวน ๒๐๐,๐๐๐ กระทง ประกวดเรือไฟ ขนาด ๕ – ๑๐ เมตร เป็นต้น นางเยาวภา โตสงวน วัฒนธรรมจังหวัดเลย มุ่งเน้นสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จัดงานภายใต้หัวข้อ เดือนหงายที่ชายโขง มีกิจกรรมที่โดดเด่น เช่น การประกวดขบวนแห่ การฟื้นฟูประเพณี การลอกกระทงสายโบราณ ๙๙๙ ดวง และการใช้กระทงกาบกล้วย ทั้งนี้ ประชาชนสามารถเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อร่วมสืบสานประเพณีลอยกระทง ตามสถานที่ต่างๆ โดยสามารถตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง เว็บไซต์ของหน่วยงานต่างๆที่จัดงาน โดยในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม สอบถามได้ที่ สายด่วนวัฒนธรรม ๑๗๖๕ และ www.culture.go.th ----------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.บูรณาการหน่วยงานภาครัฐสืบสานประเพณีลอยกระทง เน้นปลอดภัย รักษาวัฒนธรรม ใส่ใจสายน้ำ-สิ่งแวดล้อม วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม 2560 วธ.บูรณาการหน่วยงานภาครัฐสืบสานประเพณีลอยกระทง เน้นปลอดภัย รักษาวัฒนธรรม ใส่ใจสายน้ํา-สิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม บูรณาการหน่วยงานภาครัฐ จัดประเพณีลอยกระทงภายใต้หัวข้อ “ลอยกระทงปลอดภัย สืบสานวัฒนธรรมไทย ใส่ใจสายน้ําและสิ่งแวดล้อม” รณรงค์ให้ใช้กระทงวัสดุธรรมชาติ วางมาตรการอํานวยความสะดวกในการเดินทาง และรักษาความปลอดภัยเข้ม กระทรวงวัฒนธรรม บูรณาการหน่วยงานภาครัฐ จัดประเพณีลอยกระทงภายใต้หัวข้อ “ลอยกระทงปลอดภัย สืบสานวัฒนธรรมไทย ใส่ใจสายน้ําและสิ่งแวดล้อม” รณรงค์ให้ใช้กระทงวัสดุธรรมชาติ วางมาตรการอํานวยความสะดวกในการเดินทาง และรักษาความปลอดภัยเข้ม (วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ ที่กระทรวงวัฒนธรรม) กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้จัดการประชุมบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ๑๐ หน่วยงาน ประกอบด้วย กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สํานักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว (กทม.) สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กรมการขนส่งทางบก กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กรมประชาพันธ์ สภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร และวัฒนธรรมจังหวัด เพื่อกําหนดแนวทางการจัดงานประเพณีลอยกระทงของทุกภาคส่วนให้เป็นไปในทิศทางที่เหมาะสม นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า ประเพณีลอยกระทงเป็นประเพณีที่สําคัญของคนไทยในฤดูน้ําหลาก ซึ่งแก่นแท้ของประเพณีเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีและรู้คุณค่าต่อน้ําที่เราใช้อุปโภคบริโภค แม่น้ําลําคลอง ประเพณีลอยกระทงจึงถือว่าเป็นประเพณีที่มีคุณค่าต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และศาสนาของไทย สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญา วิถีชีวิตและวัฒนธรรมไทยอันงดงามทั้งการแต่งกาย ศิลปกรรม การประดิษฐ์กระทง การประดับประทีปโคมไฟในยามค่ําคืน พิธีกรรม มหรสพ ศิลปะการแสดงพื้นถิ่น และการละเล่นรื่นเริง เป็นศูนย์รวมการส่งเสริมคุณงามความดีและค่านิยมที่ดีแก่สมาชิกในสังคม โดยปีนี้ กระทรวงวัฒนธรรม ส่งเสริมให้จัดงานลอยกระทงภายใต้หัวข้อ “ลอยกระทงปลอดภัย สืบสานวัฒนธรรมไทย ใส่ใจสายน้ําและสิ่งแวดล้อม” โดยเน้นเรื่องการรักษา วัฒนธรรม แม่น้ํา ลําคลอง และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการแสดงออกถึงความเป็นไทยที่มีน้ําใจไมตรี เอื้ออาทรต่อกัน โดยขอความร่วมมือจากประชาชน เข้าร่วมกิจกรรมลอยกระทงอย่างสร้างสรรค์ ในส่วนกลางกระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม สภาวัฒนธรรมกทม. กําหนดจัดกิจกรรมภายใต้ชื่องาน “ลอยกระทงปลอดภัย สืบสานวัฒนธรรมไทย ใส่ใจสายน้ําและสิ่งแวดล้อม” ระหว่างวันที่ ๒ – ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ วัดราชาธิวาสราชวรวิหารกรุงเทพมหานคร ภายในงานประกอบด้วย นิทรรศการคุณค่าสาระของประเพณีลอยกระทง การแสดงทางวัฒนธรรม อาทิ การแสดงสุนทราภรณ์ การแสดงนาฏศิลป์ การแสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นจากเครือข่ายของกระทรวงวัฒนธรรม เช่น การแสดงเพลงพื้นบ้าน การจัดสาธิตอาหารพื้นบ้าน และการสาธิตประดิษฐ์กระทง การสาธิตการละเล่นพื้นบ้าน และการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่สอดคล้องกับประเพณีลอยกระทง นอกจากนี้ ยังให้การสนับสนุนงบประมาณการจัดกิจกรรมลอยกระทงของจังหวัดในส่วนภูมิภาคด้วย แนวทางการดําเนินงานของแต่ละหน่วยงาน ดังนี้ นายกริชเพชร ชัยช่วย ผอ.สํานักความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางน้ํา กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม กําหนดมาตรการความปลอดภัย และการควบคุมการจราจรทางน้ํา เช่น จัดเจ้าหน้าที่ตรวจตราการจราจรทางน้ําในแม่น้ําเจ้าพระยา ดูแลความเรียบร้อยของการใช้โป๊ะและท่าเทียบเรือโดยสารต่างๆ ขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบกิจการ ผู้ใช้เรือ ผู้ครอบครองโป๊ะเทียบเรือ ติดตั้งป้ายระบุจํานวนคนที่สามารถรับน้ําหนักในที่มองเห็นชัดเจน พร้อมติดตั้งไฟส่องสว่างตลอดทั่วบริเวณโป๊ะเรือและทางขึ้น-ลง ต้องมีพวงชูชีพประจําทุกโป๊ะ นางสาวภาวิณี พลนิกรกิจ ผู้แทนกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ให้ทุกจังหวัดเตรียมแผนดูแลความปลอดภัยของประชาชน เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที พิจารณาอนุญาตการจุดและปล่อยพลุ ตะไล โคมลอย โคมไฟ โคมควันหรือวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึง ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์การอนุญาตที่กําหนดไว้ในประกาศ ซึ่งออกตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๗/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ นายกิตติ คํามีอ่อง ผู้แทนสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้สํานักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดในการประสานงานกับวัด เพื่อทําความเข้าใจและขอความร่วมมือกับประชาชนดําเนินการในเรื่องประเพณีลอยกระทง ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดั้งเดิมของวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น นายโฆษิต อักษรชาติ รองผอ.สํานักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร ขอความร่วมมืองดจัดงานรื่นเริง ห้ามจุดพลุและดอกไม้ไฟ โดยอนุญาตให้มีการลอยกระทงตามจุดหลักๆ อย่าง บริเวณสะพานพระราม 8 และคลองผดุงกรุงเกษม เน้นการจัดงานตามประเพณี และเหมาะกับสถานการณ์พระราชพิธี นอกจากนี้จะเปิดสวนสาธารณะให้ลอยกระทงตามปกติ โดยจะกําหนดกฎระเบียบให้ปฏิบัติตามเพื่อความสงบเรียบร้อย พล.ต.ต.โชคชัย เหลืองอ่อน รองผู้บัญชาการสํานักงานยุทธศาสตร์ตํารวจ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ เน้นรักษาความสงบในพื้นที่ เฝ้าระวังสถานที่สําคัญ พร้อมใช้แผนเผชิญเหตุและการป้องกันช่วยเหลือผู้ประสบเหตุโดยเฉพาะในจุดที่มีประชาชนจํานวนมาก และมีการตรวจคนเข้าเมืองอย่างเข้มงวด ประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจโดยเฉพาะหน่วยงานภาคเอกชนในการป้องกันอาชญากรรม อาทิ สถานบริการ สถานบันเทิง นายชัยยันต์ แย้มศรี ผอ.ส่วนสื่อประชาสัมพันธ์ กรมประชาสัมพันธ์ จัดงาน "สืบสานวัฒนธรรมไทย ลอยกระทงร่วมใจถวายพ่อ" เพื่อสืบสานวัฒนธรรมไทย สร้างความพันธ์อันดีระหว่างประชาชนและหน่วยงานราชการ ภายในงานประกอบไปด้วย การแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การแสดงดนตรี “ลอยกระทงร่วมใจถวายพ่อ” นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม รณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจและขอความร่วมมือคนไทยใช้กระทงวัสดุธรรมชาติย่อยสลายง่าย เพื่อลดการใช้โฟมและปริมาณขยะ นายชาญณรงค์ ลักษณียนาวิน ประธานสภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร ร่วมกับกรมส่งเสริมวัฒนธรรมดําเนินการจัดกิจกรรมสืบสานประเพณีลอยกระทง โดยจัดกิจกรรมที่วัดราชาธิวาสราชวรวิหารกรุงเทพมหานคร เน้นส่งเสริมให้สภาวัฒนธรรมเขตต่างๆ จัดกิจกรรมสืบสานประเพณี วัฒนธรรมที่ถูกต้องและเหมาะสม เช่น ดําเนินการในเรื่องของการสาธิตให้ความรู้การประดิษฐ์กระทงวัสดุธรรมชาติ นายวัลลภ งามสอน ผอ.สํานักสวัสดิภาพการขนส่งทางบก กรมการขนส่งทางบก เปิดสายด่วน ๑๕๘๔ รับแจ้งเหตุ ๒๔ ชั่วโมง กําหนดมาตรการการรับส่งผู้โดยสารสาธารณะ เช่น รถโดยสารประจําทาง (บขส) รถบัส รถรับจ้างสาธารณะ เน้นการบริการที่สะดวกและปลอดภัย ไม่ให้มีการละทิ้งหรือปฎิเสธผู้โดยสาร นางจิตรา สิทธนานุวัฒน์ วัฒนธรรมจังหวัดสุโขทัย เน้นมาตรการสําคัญ คือ ใช้วัสดุธรรมชาติ รณรงค์สืบสานวิถีถิ่นวิถีไทย การแต่งกายด้วยผ้าไทย สืบสานตํานานความเชื่อ ปฎิบัติตามพิธีกรรมที่เหมาะสม เฝ้าระวังการเบี่ยงเบนทางวัฒนธรรมอย่างใกล้ชิด กําหนดจุดรักษาความปลอดภัย ในการปล่อยโคม จุดพลุ นางสุชาดา ทุ่งหว้า วัฒนธรรมจังหวัดสมุทรสงคราม จัดงานภายใต้หัวข้อ ประหยัด ปลอดภัย แต่งไทยไปลอยกระทง กิจกรรมที่โดดเด่น ได้แก่ การแห่พระประทีปสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ลอยกระทงกาบกล้วย จํานวน ๒๐๐,๐๐๐ กระทง ประกวดเรือไฟ ขนาด ๕ – ๑๐ เมตร เป็นต้น นางเยาวภา โตสงวน วัฒนธรรมจังหวัดเลย มุ่งเน้นสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จัดงานภายใต้หัวข้อ เดือนหงายที่ชายโขง มีกิจกรรมที่โดดเด่น เช่น การประกวดขบวนแห่ การฟื้นฟูประเพณี การลอกกระทงสายโบราณ ๙๙๙ ดวง และการใช้กระทงกาบกล้วย ทั้งนี้ ประชาชนสามารถเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อร่วมสืบสานประเพณีลอยกระทง ตามสถานที่ต่างๆ โดยสามารถตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง เว็บไซต์ของหน่วยงานต่างๆที่จัดงาน โดยในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม สอบถามได้ที่ สายด่วนวัฒนธรรม ๑๗๖๕ และ www.culture.go.th ----------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7438
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตลาดสดติดดาว
วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม 2561 ตลาดสดติดดาว รัฐบาลผลักดันโครงการตลาดสดติดดาว เพื่อค้นหาตลาดที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพให้เป็นต้นแบบกับตลาดทุกแห่ง สร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค โดยต้องคํานึงถึงการคุ้มครองผู้บริโภค เสาร์ที่ 29 ก.ย.61 ตลาดสดติดดาว ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลผลักดันโครงการตลาดสดติดดาว เพื่อค้นหาตลาดที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพให้เป็นต้นแบบกับตลาดทุกแห่ง สร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค โดยต้องคํานึงถึงการคุ้มครองผู้บริโภค เช่น ติดป้ายแสดงราคา และใช้เครื่องชั่งตวงวัดที่ได้มาตรฐาน สินค้ามีความหลากหลายและมีคุณภาพ ตรวจสอบสารตกค้าง ผ่านการประเมินสุขาภิบาลตามข้อกําหนดของกรมอนามัย และนําระบบชําระเงินออนไลน์หรือชําระผ่าน QR Code มาใช้ในการซื้อขาย โดยปัจจุบันมีตลาดสดติดดาวแล้ว 190 แห่งจากทั้งหมด 365 แห่งทั่วประเทศที่กระทรวงพาณิชย์ดูแล ส่วนที่เหลือจะเร่งส่งเสริมให้เป็นตลาดที่มีมาตรฐานต่อไป ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยในตลาดสด ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานรากอย่างยั่งยืน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตลาดสดติดดาว วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม 2561 ตลาดสดติดดาว รัฐบาลผลักดันโครงการตลาดสดติดดาว เพื่อค้นหาตลาดที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพให้เป็นต้นแบบกับตลาดทุกแห่ง สร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค โดยต้องคํานึงถึงการคุ้มครองผู้บริโภค เสาร์ที่ 29 ก.ย.61 ตลาดสดติดดาว ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลผลักดันโครงการตลาดสดติดดาว เพื่อค้นหาตลาดที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพให้เป็นต้นแบบกับตลาดทุกแห่ง สร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค โดยต้องคํานึงถึงการคุ้มครองผู้บริโภค เช่น ติดป้ายแสดงราคา และใช้เครื่องชั่งตวงวัดที่ได้มาตรฐาน สินค้ามีความหลากหลายและมีคุณภาพ ตรวจสอบสารตกค้าง ผ่านการประเมินสุขาภิบาลตามข้อกําหนดของกรมอนามัย และนําระบบชําระเงินออนไลน์หรือชําระผ่าน QR Code มาใช้ในการซื้อขาย โดยปัจจุบันมีตลาดสดติดดาวแล้ว 190 แห่งจากทั้งหมด 365 แห่งทั่วประเทศที่กระทรวงพาณิชย์ดูแล ส่วนที่เหลือจะเร่งส่งเสริมให้เป็นตลาดที่มีมาตรฐานต่อไป ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยในตลาดสด ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานรากอย่างยั่งยืน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15767
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรีวางพวงมาลาเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
วันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม 2560 นายกรัฐมนตรีนําคณะรัฐมนตรีวางพวงมาลาเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นายกรัฐมนตรีนําคณะรัฐมนตรีวางพวงมาลาเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วันนี้ (23 ตุลาคม 2560) เวลา 08.15 น. ณ พระบรมราชานุสรณ์ พระลานพระราชวังดุสิต พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รองนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีวางพวงมาลาเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งพระองค์ทรงมีพระราชกรณียกิจที่สําคัญยิ่งต่อประเทศชาติ ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชย์ ทําให้ได้รับการถวายพระราชสมัญญานามว่า สมเด็จพระปิยมหาราช โดยมีการจัดกิจกรรมเทิดพระเกียรติในวันที่ 23 ตุลาคม เป็นประจําทุกปี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรีวางพวงมาลาเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม 2560 นายกรัฐมนตรีนําคณะรัฐมนตรีวางพวงมาลาเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นายกรัฐมนตรีนําคณะรัฐมนตรีวางพวงมาลาเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วันนี้ (23 ตุลาคม 2560) เวลา 08.15 น. ณ พระบรมราชานุสรณ์ พระลานพระราชวังดุสิต พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รองนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีวางพวงมาลาเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งพระองค์ทรงมีพระราชกรณียกิจที่สําคัญยิ่งต่อประเทศชาติ ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชย์ ทําให้ได้รับการถวายพระราชสมัญญานามว่า สมเด็จพระปิยมหาราช โดยมีการจัดกิจกรรมเทิดพระเกียรติในวันที่ 23 ตุลาคม เป็นประจําทุกปี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7574
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แพลตฟอร์มชุมชนสำหรับครูผู้สอนในการแลกเปลี่ยนแนวคิด (IDEA) ในการสอน
วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม 2563 แพลตฟอร์มชุมชนสําหรับครูผู้สอนในการแลกเปลี่ยนแนวคิด (IDEA) ในการสอน วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 เพื่อเปลี่ยนแปลงห้องเรียนให้มีความสุขและมีคุณภาพ รวมทั้งได้เปิดให้ครูสามารถแลกเปลี่ยนไอเดียการสอนและเปิดมุมมองในการสอน 18 ก.พ. 63 เวลา 8.30 น. ณ บริเวณหลังตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมนิทรรศการประชาสัมพันธ์ผลงานวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (Digital Startup) ด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (EdTech) โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นําคณะวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (Digital Startup) ด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (EdTech) เสนอผลงานประกอบด้วย Globlish แพลตฟอร์มการเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพและหลากหลาย Inskru แพลตฟอร์มชุมชนสําหรับครูผู้สอนในการแลกเปลี่ยนแนวคิดการสอน เพื่อเปลี่ยนห้องเรียนให้มีความสุขและมีคุณภาพ Sati บริการฝึกขับรถขนาดใหญ่เสมือนจริง โดยการใช้ Digital Content ให้ผู้ฝึกได้รับการฝึกก่อนขับจริง เพื่อแก้ไขปัญหาการเกิดอุบัติเหตุเพิ่มสมรรถนะและฝีมือแรงงาน และ Skooldio แพลตฟอร์มพัฒนาทักษะ เพื่อสร้างสรรค์บุคลากรด้านเทคโนโลยี และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรในยุคดิจิทัล ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้แสดงความชื่นชมต่อผลงานที่ถูกพัฒนาโดยคนรุ่นใหม่ และรัฐบาลนั้นก็เน้นแก้ไขและปฎิรูปเรื่องการศึกษามาโดยตลอด ทั้งเยาวชนและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อสร้างความเป็นสากล รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยในชีวิตประจําวัน นายกรัฐมนตรียังเสนอแนะให้มีการต่อยอดเทคโนโลยีเพื่อประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านระบบการขนส่ง ด้านการเกษตร อีกด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แพลตฟอร์มชุมชนสำหรับครูผู้สอนในการแลกเปลี่ยนแนวคิด (IDEA) ในการสอน วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม 2563 แพลตฟอร์มชุมชนสําหรับครูผู้สอนในการแลกเปลี่ยนแนวคิด (IDEA) ในการสอน วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 เพื่อเปลี่ยนแปลงห้องเรียนให้มีความสุขและมีคุณภาพ รวมทั้งได้เปิดให้ครูสามารถแลกเปลี่ยนไอเดียการสอนและเปิดมุมมองในการสอน 18 ก.พ. 63 เวลา 8.30 น. ณ บริเวณหลังตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมนิทรรศการประชาสัมพันธ์ผลงานวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (Digital Startup) ด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (EdTech) โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นําคณะวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (Digital Startup) ด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (EdTech) เสนอผลงานประกอบด้วย Globlish แพลตฟอร์มการเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพและหลากหลาย Inskru แพลตฟอร์มชุมชนสําหรับครูผู้สอนในการแลกเปลี่ยนแนวคิดการสอน เพื่อเปลี่ยนห้องเรียนให้มีความสุขและมีคุณภาพ Sati บริการฝึกขับรถขนาดใหญ่เสมือนจริง โดยการใช้ Digital Content ให้ผู้ฝึกได้รับการฝึกก่อนขับจริง เพื่อแก้ไขปัญหาการเกิดอุบัติเหตุเพิ่มสมรรถนะและฝีมือแรงงาน และ Skooldio แพลตฟอร์มพัฒนาทักษะ เพื่อสร้างสรรค์บุคลากรด้านเทคโนโลยี และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรในยุคดิจิทัล ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้แสดงความชื่นชมต่อผลงานที่ถูกพัฒนาโดยคนรุ่นใหม่ และรัฐบาลนั้นก็เน้นแก้ไขและปฎิรูปเรื่องการศึกษามาโดยตลอด ทั้งเยาวชนและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อสร้างความเป็นสากล รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยในชีวิตประจําวัน นายกรัฐมนตรียังเสนอแนะให้มีการต่อยอดเทคโนโลยีเพื่อประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านระบบการขนส่ง ด้านการเกษตร อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33513
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. เผยผลโพล ปชช. ร้อยละ ๙๗.๘๙ ทราบแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา พิธีการต่างๆ และประเพณีสงกรานต์ช่วงโควิด-19 [กระทรวงวัฒนธรรม]
วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563 วธ. เผยผลโพล ปชช. ร้อยละ ๙๗.๘๙ ทราบแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา พิธีการต่างๆ และประเพณีสงกรานต์ช่วงโควิด-19 [กระทรวงวัฒนธรรม] วธ. เผยผลโพล ปชช. ร้อยละ ๙๗.๘๙ ทราบแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา พิธีการต่างๆ และประเพณีสงกรานต์ช่วงโควิด-19 รับรู้ข่าวสารผ่านโทรทัศน์-สวจ.-ออนไลน์-หน่วยงานราชการ-ผู้นําชุมชน-เพื่อน ญาติ คนรู้จัก มากที่สุด วธ. เผยผลโพล ปชช. ร้อยละ ๙๗.๘๙ ทราบแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา พิธีการต่างๆ และประเพณีสงกรานต์ช่วงโควิด-19 รับรู้ข่าวสารผ่านโทรทัศน์-สวจ.-ออนไลน์-หน่วยงานราชการ-ผู้นําชุมชน-เพื่อน ญาติ คนรู้จัก มากที่สุด นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานว่ากระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สํารวจความคิดเห็นเด็ก เยาวชน ประชาชน เครือข่ายชุมชนคุณธรรม และผู้นําพลัง “บวร” ในชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร หัวข้อ การรับรู้ “แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)” และแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ ของกระทรวงวัฒนธรรม จากกลุ่มตัวอย่าง ๔๐,๑๕๕ คนทั่วประเทศ ผลสํารวจพบว่า ร้อยละ ๙๙.๔๓ ประชาชนมีการรับรู้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และร้อยละ ๐.๕๗ ไม่รับรู้ นอกจากนี้ ผลสํารวจยังพบว่า ประชาชนร้อยละ ๙๗.๘๙ รับรู้/ทราบ “แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ ของกระทรวงวัฒนธรรม” และร้อยละ ๒.๑๑ ไม่รับรู้ ทั้งนี้ ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารทุกวัน โดยผ่านช่องทางสื่อโทรทัศน์มากที่สุด ร้อยละ ๕๙.๒๓ รองลงมาร้อยละ ๕๕.๔๘ จากสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด (สวจ.) ร้อยละ ๔๙.๕๖ จากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ อาทิ เว็บไซต์ เฟสบุ๊ค ไลน์ ทวิตเตอร์ อินสตราแกรม ยูทูป คลิปวีดิโอ ร้อยละ ๓๘.๑๘ จากหน่วยงานราชการ ร้อยละ ๓๕.๓๙ ผู้นําชุมชน/ท้องถิ่น ร้อยละ ๒๗.๙๒ เพื่อน ญาติ คนรู้จัก ร้อยละ ๒๖.๘๐ แกนนําบวร/บรม ร้อยละ ๒๔.๐๗ อินโฟกราฟฟิค ร้อยละ ๒๑.๗๕ ป้ายประชาสัมพันธ์ ร้อยละ ๒๑.๕๑ วิทยุชุมชน ร้อยละ ๒๐.๘๗ สถานีวิทยุ ร้อยละ ๑๙.๖๗ สภาวัฒนธรรมจังหวัด/อําเภอ ร้อยละ ๑๔.๗๒ หนังสือพิมพ์ และร้อยละ ๑๔.๒๖ โบรชัวร์ /แผ่นพับ/ใบปลิว นายอิทธิพล กล่าวว่า จากการสํารวจยังพบว่า ประชาชนร้อยละ ๙๘.๖๒ ทราบว่าภาครัฐขอให้ งด หรือเลื่อนการจัดงานเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ ที่เป็นการรวมตัวของคนจํานวนมาก และร้อยละ ๑.๓๘ ไม่ทราบ นอกจากนี้ จากการสอบถามความเห็นประชาชนกรณีมีความจําเป็นไม่สามารถงด หรือเลื่อนการจัดงานแต่งงาน บวช งานศพ ได้ พบว่าร้อยละ ๙๘.๐๗ รับรู้ด้านการปฏิบัติโดยไม่ขัดต่อประกาศ คําสั่ง และข้อกําหนดของรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หรือผู้ว่าราชการจังหวัด ประกาศขององค์การทางศาสนาที่ทางราชการให้การรับรอง โดยรับรู้แนวทางปฏิบัติ อาทิ ผู้จัดงาน ๑. งดให้ผู้มีอาการตัวร้อน ไอ มีน้ํามูก เจ็บคอ ปวดเนื้อปวดตัว หายใจเหนื่อยหรือหายใจลําบาก ผู้กลับจากต่างประเทศยังไม่ครบ ๑๔ วัน ผู้ไม่สวมใส่หน้ากากอนามัย เข้าร่วมงานแต่งงาน บวช งานศพ ๒. งดจัดงานเลี้ยงทุกประเภท และ งดการแสดง ดนตรี มหรสพ หรือเต้นรําทุกชนิด ๓. ผู้จัดงานต้องมีแอลกอฮอล์เจล บริเวณจุดทางเข้างานและจุดต่างๆ รอบบริเวณงาน และสํารองหน้ากากอนามัยไว้บริการ ๔. ผู้จัดงานต้องจัดให้มีจุดคัดกรองและตรวจวัดไข้ให้ผู้เข้าร่วมงาน หากอุณหภูมิเกิน ๓๗.๕ องศา แนะนําให้ไปพบแพทย์โดยทันที ๕. ผู้จัดงานต้องระบุในการ์ดเชิญคือ “ให้สวมใส่หน้ากากอนามัย นําบัตรประชาชนหรือบัตรที่ทางราชการออกให้มาด้วย/หากป่วย ไข้ ไอ ให้งดร่วมงานโดยเด็ดขาด” ๖. งดจัดให้มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด และต้องใช้ระยะเวลาจัดงานให้สั้นที่สุด เป็นต้น สําหรับแนวทางปฏิบัติผู้เข้าร่วมงาน ได้แก่ ๑. ต้องนั่งห่างกัน ไม่น้อยกว่า ๒ เมตร ล้างมือบ่อยๆ ด้วยแอลกอฮอล์เจล หรือน้ําสะอาด หรือสบู่เหลว และหลังออกจากงานให้อาบน้ําเปลี่ยนเครื่องแต่งกายทันที และทําความสะอาดโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต ๒. ต้องแต่งกายให้มิดชิดเตรียมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากากอนามัยแอลกอฮอล์เจล โดยต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่ในงาน นอกจากนี้ ประชาชนรับรู้แนวทางการปฏิบัติตนในงานพิธีการศพ ได้แก่ ๑. กรณีผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ต้องปฏิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข ตามประกาศของสํานักจุฬาราชมนตรี ศาสนาอิสลาม และตามประกาศขององค์การทางศาสนานั้น ๆ ๒. แขกที่ร่วมฌาปนกิจศพ ต้องจัดเก้าอี้นั่งห่างกันไม่น้อยกว่า ๒ เมตร ต้องจํากัดคนร่วมพิธี แห่ศพเวียนเมรุให้น้อยที่สุด และให้ตั้งแถวตอนลึก ขึ้นวางดอกไม้จันทน์ห่างกันไม่น้อยกว่า ๒ เมตร และ ๓. งานพิธีการศพ ต้องลดจํานวนวันสวดพระอภิธรรมศพให้น้อยที่สุด และใช้เวลาสวดให้น้อยที่สุด จัดอาสนะสงฆ์ ให้มีระยะห่างระหว่างกันไม่น้อยกว่า ๑ – ๒ เมตร สําหรับงานมงคลสมรสมีแนวทางการปฏิบัติตน คือ ๑. งานมงคลสมรส งดพิธีแห่ขันหมาก งดหรือเลื่อนจัดงานเลี้ยงฉลองทุกประเภท ๒. งานมงคลสมรส ให้เฉพาะบิดา มารดา ญาติผู้ใหญ่ แขกผู้ใหญ่ รดน้ําสังข์เท่านั้น และต้องจัดแถวเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลไม่น้อยกว่า ๒ เมตร ในส่วนของเทศกาลไหว้บรรพบุรุษ (เช็งเม้ง) งดการเดินทางไปกราบไหว้บรรพบุรุษ ณ สุสาน (ฮวงซุ้ย) โดยให้จัดพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษที่บ้านแทน และงดการรวมญาติ นอกจากนี้ ประชาชนรับรู้แนวทางการปฏิบัติตนในงานวันสําคัญทางศาสนาหรืองานบุญ คือ งดปฏิบัติในศาสนสถาน ใช้ฟังธรรมะออนไลน์และงดการใช้มือหยิบข้าวใส่บาตรพระภิกษุ สําหรับงานประเพณีสงกรานต์ ๑. งดเว้นการจัดงานสงกรานต์ในทุกระดับ งดเดินทางกลับภูมิลําเนา รดน้ําขอพรญาติผู้ใหญ่ผ่านสื่อสารผ่านทางโทรศัพท์หรือสื่อออนไลน์ งดรวมตัวกันของคนหมู่มาก ๒. สืบสานประเพณีสงกรานต์เฉพาะในครอบครัว ที่บ้าน เช่น สรงน้ําพระพุทธรูปที่บ้าน กราบไหว้และขอพรญาติผู้ใหญ่ โดยเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล ๑ – ๒ เมตร ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยทุกคน ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล ----------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. เผยผลโพล ปชช. ร้อยละ ๙๗.๘๙ ทราบแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา พิธีการต่างๆ และประเพณีสงกรานต์ช่วงโควิด-19 [กระทรวงวัฒนธรรม] วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563 วธ. เผยผลโพล ปชช. ร้อยละ ๙๗.๘๙ ทราบแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา พิธีการต่างๆ และประเพณีสงกรานต์ช่วงโควิด-19 [กระทรวงวัฒนธรรม] วธ. เผยผลโพล ปชช. ร้อยละ ๙๗.๘๙ ทราบแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา พิธีการต่างๆ และประเพณีสงกรานต์ช่วงโควิด-19 รับรู้ข่าวสารผ่านโทรทัศน์-สวจ.-ออนไลน์-หน่วยงานราชการ-ผู้นําชุมชน-เพื่อน ญาติ คนรู้จัก มากที่สุด วธ. เผยผลโพล ปชช. ร้อยละ ๙๗.๘๙ ทราบแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา พิธีการต่างๆ และประเพณีสงกรานต์ช่วงโควิด-19 รับรู้ข่าวสารผ่านโทรทัศน์-สวจ.-ออนไลน์-หน่วยงานราชการ-ผู้นําชุมชน-เพื่อน ญาติ คนรู้จัก มากที่สุด นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานว่ากระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สํารวจความคิดเห็นเด็ก เยาวชน ประชาชน เครือข่ายชุมชนคุณธรรม และผู้นําพลัง “บวร” ในชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร หัวข้อ การรับรู้ “แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)” และแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ ของกระทรวงวัฒนธรรม จากกลุ่มตัวอย่าง ๔๐,๑๕๕ คนทั่วประเทศ ผลสํารวจพบว่า ร้อยละ ๙๙.๔๓ ประชาชนมีการรับรู้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และร้อยละ ๐.๕๗ ไม่รับรู้ นอกจากนี้ ผลสํารวจยังพบว่า ประชาชนร้อยละ ๙๗.๘๙ รับรู้/ทราบ “แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ ของกระทรวงวัฒนธรรม” และร้อยละ ๒.๑๑ ไม่รับรู้ ทั้งนี้ ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารทุกวัน โดยผ่านช่องทางสื่อโทรทัศน์มากที่สุด ร้อยละ ๕๙.๒๓ รองลงมาร้อยละ ๕๕.๔๘ จากสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด (สวจ.) ร้อยละ ๔๙.๕๖ จากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ อาทิ เว็บไซต์ เฟสบุ๊ค ไลน์ ทวิตเตอร์ อินสตราแกรม ยูทูป คลิปวีดิโอ ร้อยละ ๓๘.๑๘ จากหน่วยงานราชการ ร้อยละ ๓๕.๓๙ ผู้นําชุมชน/ท้องถิ่น ร้อยละ ๒๗.๙๒ เพื่อน ญาติ คนรู้จัก ร้อยละ ๒๖.๘๐ แกนนําบวร/บรม ร้อยละ ๒๔.๐๗ อินโฟกราฟฟิค ร้อยละ ๒๑.๗๕ ป้ายประชาสัมพันธ์ ร้อยละ ๒๑.๕๑ วิทยุชุมชน ร้อยละ ๒๐.๘๗ สถานีวิทยุ ร้อยละ ๑๙.๖๗ สภาวัฒนธรรมจังหวัด/อําเภอ ร้อยละ ๑๔.๗๒ หนังสือพิมพ์ และร้อยละ ๑๔.๒๖ โบรชัวร์ /แผ่นพับ/ใบปลิว นายอิทธิพล กล่าวว่า จากการสํารวจยังพบว่า ประชาชนร้อยละ ๙๘.๖๒ ทราบว่าภาครัฐขอให้ งด หรือเลื่อนการจัดงานเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ ที่เป็นการรวมตัวของคนจํานวนมาก และร้อยละ ๑.๓๘ ไม่ทราบ นอกจากนี้ จากการสอบถามความเห็นประชาชนกรณีมีความจําเป็นไม่สามารถงด หรือเลื่อนการจัดงานแต่งงาน บวช งานศพ ได้ พบว่าร้อยละ ๙๘.๐๗ รับรู้ด้านการปฏิบัติโดยไม่ขัดต่อประกาศ คําสั่ง และข้อกําหนดของรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หรือผู้ว่าราชการจังหวัด ประกาศขององค์การทางศาสนาที่ทางราชการให้การรับรอง โดยรับรู้แนวทางปฏิบัติ อาทิ ผู้จัดงาน ๑. งดให้ผู้มีอาการตัวร้อน ไอ มีน้ํามูก เจ็บคอ ปวดเนื้อปวดตัว หายใจเหนื่อยหรือหายใจลําบาก ผู้กลับจากต่างประเทศยังไม่ครบ ๑๔ วัน ผู้ไม่สวมใส่หน้ากากอนามัย เข้าร่วมงานแต่งงาน บวช งานศพ ๒. งดจัดงานเลี้ยงทุกประเภท และ งดการแสดง ดนตรี มหรสพ หรือเต้นรําทุกชนิด ๓. ผู้จัดงานต้องมีแอลกอฮอล์เจล บริเวณจุดทางเข้างานและจุดต่างๆ รอบบริเวณงาน และสํารองหน้ากากอนามัยไว้บริการ ๔. ผู้จัดงานต้องจัดให้มีจุดคัดกรองและตรวจวัดไข้ให้ผู้เข้าร่วมงาน หากอุณหภูมิเกิน ๓๗.๕ องศา แนะนําให้ไปพบแพทย์โดยทันที ๕. ผู้จัดงานต้องระบุในการ์ดเชิญคือ “ให้สวมใส่หน้ากากอนามัย นําบัตรประชาชนหรือบัตรที่ทางราชการออกให้มาด้วย/หากป่วย ไข้ ไอ ให้งดร่วมงานโดยเด็ดขาด” ๖. งดจัดให้มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด และต้องใช้ระยะเวลาจัดงานให้สั้นที่สุด เป็นต้น สําหรับแนวทางปฏิบัติผู้เข้าร่วมงาน ได้แก่ ๑. ต้องนั่งห่างกัน ไม่น้อยกว่า ๒ เมตร ล้างมือบ่อยๆ ด้วยแอลกอฮอล์เจล หรือน้ําสะอาด หรือสบู่เหลว และหลังออกจากงานให้อาบน้ําเปลี่ยนเครื่องแต่งกายทันที และทําความสะอาดโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต ๒. ต้องแต่งกายให้มิดชิดเตรียมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากากอนามัยแอลกอฮอล์เจล โดยต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่ในงาน นอกจากนี้ ประชาชนรับรู้แนวทางการปฏิบัติตนในงานพิธีการศพ ได้แก่ ๑. กรณีผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ต้องปฏิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข ตามประกาศของสํานักจุฬาราชมนตรี ศาสนาอิสลาม และตามประกาศขององค์การทางศาสนานั้น ๆ ๒. แขกที่ร่วมฌาปนกิจศพ ต้องจัดเก้าอี้นั่งห่างกันไม่น้อยกว่า ๒ เมตร ต้องจํากัดคนร่วมพิธี แห่ศพเวียนเมรุให้น้อยที่สุด และให้ตั้งแถวตอนลึก ขึ้นวางดอกไม้จันทน์ห่างกันไม่น้อยกว่า ๒ เมตร และ ๓. งานพิธีการศพ ต้องลดจํานวนวันสวดพระอภิธรรมศพให้น้อยที่สุด และใช้เวลาสวดให้น้อยที่สุด จัดอาสนะสงฆ์ ให้มีระยะห่างระหว่างกันไม่น้อยกว่า ๑ – ๒ เมตร สําหรับงานมงคลสมรสมีแนวทางการปฏิบัติตน คือ ๑. งานมงคลสมรส งดพิธีแห่ขันหมาก งดหรือเลื่อนจัดงานเลี้ยงฉลองทุกประเภท ๒. งานมงคลสมรส ให้เฉพาะบิดา มารดา ญาติผู้ใหญ่ แขกผู้ใหญ่ รดน้ําสังข์เท่านั้น และต้องจัดแถวเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลไม่น้อยกว่า ๒ เมตร ในส่วนของเทศกาลไหว้บรรพบุรุษ (เช็งเม้ง) งดการเดินทางไปกราบไหว้บรรพบุรุษ ณ สุสาน (ฮวงซุ้ย) โดยให้จัดพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษที่บ้านแทน และงดการรวมญาติ นอกจากนี้ ประชาชนรับรู้แนวทางการปฏิบัติตนในงานวันสําคัญทางศาสนาหรืองานบุญ คือ งดปฏิบัติในศาสนสถาน ใช้ฟังธรรมะออนไลน์และงดการใช้มือหยิบข้าวใส่บาตรพระภิกษุ สําหรับงานประเพณีสงกรานต์ ๑. งดเว้นการจัดงานสงกรานต์ในทุกระดับ งดเดินทางกลับภูมิลําเนา รดน้ําขอพรญาติผู้ใหญ่ผ่านสื่อสารผ่านทางโทรศัพท์หรือสื่อออนไลน์ งดรวมตัวกันของคนหมู่มาก ๒. สืบสานประเพณีสงกรานต์เฉพาะในครอบครัว ที่บ้าน เช่น สรงน้ําพระพุทธรูปที่บ้าน กราบไหว้และขอพรญาติผู้ใหญ่ โดยเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล ๑ – ๒ เมตร ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยทุกคน ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล ----------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29210
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรจับมือ สตม. เชื่อมข้อมูลอำนวยความสะดวกแบบติดสปีด ในการคืนภาษีให้นักท่องเที่ยว และการขออนุญาตอยู่ต่อของคนต่างด้าวที่ทำงานในประเทศไทย
วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม 2563 สรรพากรจับมือ สตม. เชื่อมข้อมูลอํานวยความสะดวกแบบติดสปีด ในการคืนภาษีให้นักท่องเที่ยว และการขออนุญาตอยู่ต่อของคนต่างด้าวที่ทํางานในประเทศไทย กรมสรรพากรร่วมมือกับ สตม. เชื่อมโยงข้อมูลของชาวต่างชาติผ่านระบบเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ ลดภาระในการขอคืนภาษี ช่วยให้ได้รับความสะดวกสบาย รับเงินคืนภาษีอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อใช้ในการขออนุญาตอยู่ต่อของคนต่างด้าวที่ทํางานในไทย กรมสรรพากรร่วมมือกับสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) เชื่อมโยงข้อมูลของชาวต่างชาติผ่านระบบเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ ลดภาระในการขอคืนภาษี ช่วยให้ได้รับความสะดวกสบาย รับเงินคืนภาษีอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อใช้ในการขออนุญาตอยู่ต่อของคนต่างด้าวที่ทํางานในประเทศไทย เมื่อวันพุธที่ 15 มกราคม 2563 ณ ห้องพระอุเทน 2 ชั้น 2 อาคารกรมสรรพากร ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรได้ร่วมมือกับ สตม. ในการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลการเดินทางเข้า – ออกของชาวต่างชาติผ่านระบบเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสนับสนุนการพิจารณาคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นการนําข้อมูลมาใช้เพื่อรองรับระบบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้นักท่องเที่ยวด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ที่กําลังจะเกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นการอํานวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติในการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าให้เพิ่มขึ้น ซึ่งปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจํานวน 2.6 ล้านราย มูลค่าการซื้อสินค้าจํานวน 46,654 ล้านบาท ส่งเสริมเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง พลตํารวจโท สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากความร่วมมือข้างต้น สตม. และกรมสรรพากรมีเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะดําเนินการเชื่อมโยงข้อมูลแบบแสดงรายการภาษีและข้อมูลของคนต่างด้าว ในการเดินทางเข้า - ออก ราชอาณาจักรไทยให้ถูกต้องผ่านระบบเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ โดยกรมสรรพากรได้ตกลงเชื่อมโยงข้อมูลแบบแสดงรายการภาษี ที่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลนั้นแล้ว รวมถึงข้อมูลใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและข้อมูลใบผ่านภาษีอากร (ก่อนออกเดินทาง) ให้แก่ สตม. เพื่อใช้ในการขออนุญาตอยู่ต่อในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ในส่วนของ สตม. ได้ตกลงเชื่อมโยงข้อมูลการเดินทาง เข้า - ออก ราชอาณาจักรไทยของนักท่องเที่ยวให้แก่กรมสรรพากร เพื่อใช้ในการอํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น การพิจารณาคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่นักท่องเที่ยว การออกหนังสือรับรองเพื่อการรัษฎากรเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งทั้งสองฝ่ายยืนยันความร่วมมือ โดยยึดหลักการรักษาความปลอดภัยที่เคร่งครัดเพื่อควบคุมการเข้าถึงข้อมูล และเก็บรักษาโดยคํานึงถึงความจําเป็นและเหมาะสมในการรักษาชั้นความลับเป็นสําคัญ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร และพลตํารวจโท สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง กล่าวสรุปว่าความร่วมมือระหว่างกรมสรรพากร และ สตม. ในครั้งนี้ เป็นการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐที่ทําให้บริการภาครัฐอยู่ในรูปแบบ one stop service ซึ่งจะช่วยอํานวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว ช่วยลดค่าใช้จ่ายการบริการภาครัฐ และมีส่วนสําคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยวและบริการต่อเนื่อง ซึ่งจะทําให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์ โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรจับมือ สตม. เชื่อมข้อมูลอำนวยความสะดวกแบบติดสปีด ในการคืนภาษีให้นักท่องเที่ยว และการขออนุญาตอยู่ต่อของคนต่างด้าวที่ทำงานในประเทศไทย วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม 2563 สรรพากรจับมือ สตม. เชื่อมข้อมูลอํานวยความสะดวกแบบติดสปีด ในการคืนภาษีให้นักท่องเที่ยว และการขออนุญาตอยู่ต่อของคนต่างด้าวที่ทํางานในประเทศไทย กรมสรรพากรร่วมมือกับ สตม. เชื่อมโยงข้อมูลของชาวต่างชาติผ่านระบบเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ ลดภาระในการขอคืนภาษี ช่วยให้ได้รับความสะดวกสบาย รับเงินคืนภาษีอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อใช้ในการขออนุญาตอยู่ต่อของคนต่างด้าวที่ทํางานในไทย กรมสรรพากรร่วมมือกับสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) เชื่อมโยงข้อมูลของชาวต่างชาติผ่านระบบเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ ลดภาระในการขอคืนภาษี ช่วยให้ได้รับความสะดวกสบาย รับเงินคืนภาษีอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อใช้ในการขออนุญาตอยู่ต่อของคนต่างด้าวที่ทํางานในประเทศไทย เมื่อวันพุธที่ 15 มกราคม 2563 ณ ห้องพระอุเทน 2 ชั้น 2 อาคารกรมสรรพากร ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรได้ร่วมมือกับ สตม. ในการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลการเดินทางเข้า – ออกของชาวต่างชาติผ่านระบบเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสนับสนุนการพิจารณาคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นการนําข้อมูลมาใช้เพื่อรองรับระบบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้นักท่องเที่ยวด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ที่กําลังจะเกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นการอํานวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติในการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าให้เพิ่มขึ้น ซึ่งปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจํานวน 2.6 ล้านราย มูลค่าการซื้อสินค้าจํานวน 46,654 ล้านบาท ส่งเสริมเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง พลตํารวจโท สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากความร่วมมือข้างต้น สตม. และกรมสรรพากรมีเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะดําเนินการเชื่อมโยงข้อมูลแบบแสดงรายการภาษีและข้อมูลของคนต่างด้าว ในการเดินทางเข้า - ออก ราชอาณาจักรไทยให้ถูกต้องผ่านระบบเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ โดยกรมสรรพากรได้ตกลงเชื่อมโยงข้อมูลแบบแสดงรายการภาษี ที่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลนั้นแล้ว รวมถึงข้อมูลใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและข้อมูลใบผ่านภาษีอากร (ก่อนออกเดินทาง) ให้แก่ สตม. เพื่อใช้ในการขออนุญาตอยู่ต่อในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ในส่วนของ สตม. ได้ตกลงเชื่อมโยงข้อมูลการเดินทาง เข้า - ออก ราชอาณาจักรไทยของนักท่องเที่ยวให้แก่กรมสรรพากร เพื่อใช้ในการอํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น การพิจารณาคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่นักท่องเที่ยว การออกหนังสือรับรองเพื่อการรัษฎากรเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งทั้งสองฝ่ายยืนยันความร่วมมือ โดยยึดหลักการรักษาความปลอดภัยที่เคร่งครัดเพื่อควบคุมการเข้าถึงข้อมูล และเก็บรักษาโดยคํานึงถึงความจําเป็นและเหมาะสมในการรักษาชั้นความลับเป็นสําคัญ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร และพลตํารวจโท สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง กล่าวสรุปว่าความร่วมมือระหว่างกรมสรรพากร และ สตม. ในครั้งนี้ เป็นการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐที่ทําให้บริการภาครัฐอยู่ในรูปแบบ one stop service ซึ่งจะช่วยอํานวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว ช่วยลดค่าใช้จ่ายการบริการภาครัฐ และมีส่วนสําคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยวและบริการต่อเนื่อง ซึ่งจะทําให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์ โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25833
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานสำนักนายกรัฐมนตรี ประจำปี 2560 ณ วัดนวลนรดิศวรวิหาร
วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2560 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานสํานักนายกรัฐมนตรี ประจําปี 2560 ณ วัดนวลนรดิศวรวิหาร นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานสํานักนายกรัฐมนตรี ประจําปี 2560 ณ วัดนวลนรดิศวรวิหาร โดยยอดเงินทําบุญถวายผ้าพระกฐินพระราชทานสํานักนายกรัฐมนตรี ประจําปี 2560 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น จํานวน 5,175,338 บาท วันนี้ (2 พ.ย.60) เวลา 14.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานสํานักนายกรัฐมนตรี ประจําปี 2560 ณ วัดนวลนรดิศวรวิหาร ถนนเพชรเกษม ซอย 19 เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ โดยมีผู้เข้าร่วมพิธีประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ข้าราชการการเมืองในสังกัดสํานักนายกรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงและอธิบดีทุกระทรวง ผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ หน่วยงานเอกชน ผู้บริหารโรงเรียนวัดนวลนรดิศ ครูและนักเรียนโรงเรียนวัดนวลนรดิศ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ในการนี้ นายกรัฐมนตรี ถวายความเคารพและเปิดกรวยกระทงดอกไม้ หน้าโต๊ะหมู่บูชาพระบรมสาทิสลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และอัญเชิญผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ บริเวณด้านหน้าพระอุโบสถ วัดนวลนรดิศวรวิหาร (วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี) จากนั้น นายกรัฐมนตรี ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ด้านในพระอุโบสถ วัดนวลนรดิศวรวิหาร และถวายเครื่องบริวารกฐิน คณะรัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ถวายเครื่องไทยธรรมแด่พระสงฆ์ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ถวายจตุปัจจัยแด่ประธานพระสงฆ์ พระสงฆ์อนุโมทนา นายกรัฐมนตรี กรวดน้ํา รับพรแล้วกราบลาพระประธานพระพุทธชินราช (จําลอง) และพระสงฆ์ เป็นอันเสร็จพิธี ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ปลูกต้นรวงผึ้งซึ่งเป็นต้นไม้ประจําพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 เนื่องด้วยดอกรวงผึ้งมีสีเหลืองซึ่งเป็นสีประจําวันพระราชสมภพ และปลูกต้นบุนนาคซึ่งเป็นดอกไม้ประจําโรงเรียวัดนวลนรดิศด้วยก่อนเดินทางไปเป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารเรียนแบบพิเศษและเปิดมหกรรมวิชาการ Thailand 4.0 ณ โรงเรียนวัดนวลนรดิศ สําหรับยอดเงินทําบุญถวายผ้าพระกฐินพระราชทานสํานักนายกรัฐมนตรี ประจําปี 2560 จํานวนเงิน 5,015,999 บาท รวมกับเงินที่ประชาชนร่วมทําบุญ ผ่านวัดนวลนรดิศ จํานวน 159,339 บาท ยอดรวมทั้งสิ้น จํานวน 5,175,338 บาท ----------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานสำนักนายกรัฐมนตรี ประจำปี 2560 ณ วัดนวลนรดิศวรวิหาร วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2560 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานสํานักนายกรัฐมนตรี ประจําปี 2560 ณ วัดนวลนรดิศวรวิหาร นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานสํานักนายกรัฐมนตรี ประจําปี 2560 ณ วัดนวลนรดิศวรวิหาร โดยยอดเงินทําบุญถวายผ้าพระกฐินพระราชทานสํานักนายกรัฐมนตรี ประจําปี 2560 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น จํานวน 5,175,338 บาท วันนี้ (2 พ.ย.60) เวลา 14.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานสํานักนายกรัฐมนตรี ประจําปี 2560 ณ วัดนวลนรดิศวรวิหาร ถนนเพชรเกษม ซอย 19 เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ โดยมีผู้เข้าร่วมพิธีประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ข้าราชการการเมืองในสังกัดสํานักนายกรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงและอธิบดีทุกระทรวง ผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ หน่วยงานเอกชน ผู้บริหารโรงเรียนวัดนวลนรดิศ ครูและนักเรียนโรงเรียนวัดนวลนรดิศ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ในการนี้ นายกรัฐมนตรี ถวายความเคารพและเปิดกรวยกระทงดอกไม้ หน้าโต๊ะหมู่บูชาพระบรมสาทิสลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และอัญเชิญผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ บริเวณด้านหน้าพระอุโบสถ วัดนวลนรดิศวรวิหาร (วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี) จากนั้น นายกรัฐมนตรี ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ด้านในพระอุโบสถ วัดนวลนรดิศวรวิหาร และถวายเครื่องบริวารกฐิน คณะรัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ถวายเครื่องไทยธรรมแด่พระสงฆ์ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ถวายจตุปัจจัยแด่ประธานพระสงฆ์ พระสงฆ์อนุโมทนา นายกรัฐมนตรี กรวดน้ํา รับพรแล้วกราบลาพระประธานพระพุทธชินราช (จําลอง) และพระสงฆ์ เป็นอันเสร็จพิธี ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ปลูกต้นรวงผึ้งซึ่งเป็นต้นไม้ประจําพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 เนื่องด้วยดอกรวงผึ้งมีสีเหลืองซึ่งเป็นสีประจําวันพระราชสมภพ และปลูกต้นบุนนาคซึ่งเป็นดอกไม้ประจําโรงเรียวัดนวลนรดิศด้วยก่อนเดินทางไปเป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารเรียนแบบพิเศษและเปิดมหกรรมวิชาการ Thailand 4.0 ณ โรงเรียนวัดนวลนรดิศ สําหรับยอดเงินทําบุญถวายผ้าพระกฐินพระราชทานสํานักนายกรัฐมนตรี ประจําปี 2560 จํานวนเงิน 5,015,999 บาท รวมกับเงินที่ประชาชนร่วมทําบุญ ผ่านวัดนวลนรดิศ จํานวน 159,339 บาท ยอดรวมทั้งสิ้น จํานวน 5,175,338 บาท ----------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7770
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดี กสร.เผยผลตรวจแรงงานประมง ศูนย์ PIPO พบผิดลดลง
วันอังคารที่ 28 เมษายน 2563 อธิบดี กสร.เผยผลตรวจแรงงานประมง ศูนย์ PIPO พบผิดลดลง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เผยผลตรวจคุ้มครองแรงงานในกิจการประมงทะเล พบนายจ้างปฏิบัติไม่ถูกต้องตามพรบ.คุ้มครองแรงงานลดลงต่อเนื่อง คาดมาจากการรับรู้กฎหมายที่เพิ่มขึ้นและการเคร่งครัดในการดําเนินการตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยถึงผลการตรวจคุ้มครองแรงงานในกิจการประมงทะเล ในปีงบประมาณ 2563 (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 31 มีนาคม 2563) ว่า กสร. ได้จัดส่งพนักงานตรวจแรงงานร่วมเป็นชุดตรวจสหวิชาชีพในการตรวจแรงงานภาคประมงร่วมกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง โดยกสร.มีหน้าที่ตรวจสอบสภาพการจ้างและสภาพการทํางานบนเรือประมงให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจากการตรวจพบการกระทําผิดตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบในช่วงเวลาเดียวกัน โดยในปี 2563 ตรวจแรงงาน ในทะเล 245 ครั้ง พบปฏิบัติไม่ถูกต้อง 2 ครั้ง ขณะที่ปี 2562 ตรวจแรงงานในทะเล 529 ครั้ง พบปฏิบัติไม่ถูกต้อง 14 ครั้ง และปี 2561 ตรวจแรงงานในทะเล 480 ครั้ง พบการปฏิบัติไม่ถูกต้อง 33 ครั้ง สําหรับการตรวจคุ้มครองแรงงาน ณ ศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า - ออก (PIPO) ในปี 2563 ได้ดําเนินการตรวจเรือประมง 34,858 ครั้ง พบปฏิบัติไม่ถูกต้อง 13 ครั้ง และในปี 2562 ตรวจเรือประมง 72,346 ครั้ง ปี 2561 ตรวจเรือประมง 70,771 ครั้ง พบปฏิบัติไม่ถูกต้อง 30 ครั้ง และ 544 ครั้ง ตามลําดับ อธิบดีกสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า จากผลการดําเนินการดังกล่าวคาดว่ามาจากการมุ่งมั่นทํางานอย่างจริงจังเข้มงวดและต่อเนื่องทั้งในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับบริบททางสังคมและการจ้างงาน การสร้างความรู้ ความเข้าใจให้แก่นายจ้าง ลูกจ้าง และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในกิจการประมง รวมถึงการตรวจบูรณาการเชิงรุกกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองทัพเรือ ตํารวจน้ํา กรมประมง และกรมเจ้าท่า เพื่อตรวจแรงงานในภาคประมงให้ได้รับการคุ้มครองสิทธิตามกฎหมายอย่างทั่วถึง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดี กสร.เผยผลตรวจแรงงานประมง ศูนย์ PIPO พบผิดลดลง วันอังคารที่ 28 เมษายน 2563 อธิบดี กสร.เผยผลตรวจแรงงานประมง ศูนย์ PIPO พบผิดลดลง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เผยผลตรวจคุ้มครองแรงงานในกิจการประมงทะเล พบนายจ้างปฏิบัติไม่ถูกต้องตามพรบ.คุ้มครองแรงงานลดลงต่อเนื่อง คาดมาจากการรับรู้กฎหมายที่เพิ่มขึ้นและการเคร่งครัดในการดําเนินการตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยถึงผลการตรวจคุ้มครองแรงงานในกิจการประมงทะเล ในปีงบประมาณ 2563 (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 31 มีนาคม 2563) ว่า กสร. ได้จัดส่งพนักงานตรวจแรงงานร่วมเป็นชุดตรวจสหวิชาชีพในการตรวจแรงงานภาคประมงร่วมกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง โดยกสร.มีหน้าที่ตรวจสอบสภาพการจ้างและสภาพการทํางานบนเรือประมงให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจากการตรวจพบการกระทําผิดตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบในช่วงเวลาเดียวกัน โดยในปี 2563 ตรวจแรงงาน ในทะเล 245 ครั้ง พบปฏิบัติไม่ถูกต้อง 2 ครั้ง ขณะที่ปี 2562 ตรวจแรงงานในทะเล 529 ครั้ง พบปฏิบัติไม่ถูกต้อง 14 ครั้ง และปี 2561 ตรวจแรงงานในทะเล 480 ครั้ง พบการปฏิบัติไม่ถูกต้อง 33 ครั้ง สําหรับการตรวจคุ้มครองแรงงาน ณ ศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า - ออก (PIPO) ในปี 2563 ได้ดําเนินการตรวจเรือประมง 34,858 ครั้ง พบปฏิบัติไม่ถูกต้อง 13 ครั้ง และในปี 2562 ตรวจเรือประมง 72,346 ครั้ง ปี 2561 ตรวจเรือประมง 70,771 ครั้ง พบปฏิบัติไม่ถูกต้อง 30 ครั้ง และ 544 ครั้ง ตามลําดับ อธิบดีกสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า จากผลการดําเนินการดังกล่าวคาดว่ามาจากการมุ่งมั่นทํางานอย่างจริงจังเข้มงวดและต่อเนื่องทั้งในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับบริบททางสังคมและการจ้างงาน การสร้างความรู้ ความเข้าใจให้แก่นายจ้าง ลูกจ้าง และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในกิจการประมง รวมถึงการตรวจบูรณาการเชิงรุกกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองทัพเรือ ตํารวจน้ํา กรมประมง และกรมเจ้าท่า เพื่อตรวจแรงงานในภาคประมงให้ได้รับการคุ้มครองสิทธิตามกฎหมายอย่างทั่วถึง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29905
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมการดำเนินงานศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม จ.อำนาจเจริญ
วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2561 นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมการดําเนินงานศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม จ.อํานาจเจริญ นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมการดําเนินงานศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม จ.อํานาจเจริญ ชื่นชมการดําเนินงาน ย้ําให้ปลูกพืชสอดคล้องกับปริมาณน้ํา-สภาพดินในพื้นที่ แนะประชาชนเรียนรู้ตลอดเวลา ปรับตัวเองให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง วันนี้ (23 ก.ค.61) เวลา 09.50 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ อาทิ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ฯลฯ ได้เดินทางไปตรวจราชการและประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดอํานาจเจริญ และจังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างวันที่ 23 – 24 กรกฎาคม 2561 โดยได้ออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ โดยเครื่องบิน Airbus 320 ของกองทัพอากาศ ไปยังท่าอากาศยานทหาร กองบิน 21 จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อเดินทางไปเยี่ยมชมการดําเนินงานของศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม บ้านหนองเม็ก ตําบลคึมใหญ่ อําเภอเมือง จังหวัดอํานาจเจริญ โดยมีนายสุริยะ อมรโรจน์วรวุฒิ ผู้ว่าราชจังหวัดอํานาจเจริญ คณะผู้บริหารจังหวัดอํานาจเจริญ เกษตรจังหวัด เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ตัวแทนกลุ่มเกษตรกรผักอินทรีย์บ้านหนองเม็ก และประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้รับฟังบรรยายสรุปผลการดําเนินงานศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์จากนายศุภชัย มิ่งขวัญ ฝ่ายการตลาดของศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์ฯ ที่นําประสบการณ์ องค์ความรู้ และเทคโนโลยีจากประเทศอิสราเอลมาปรับใช้ในการพัฒนาต่อยอดการทําเกษตรอินทรีย์ โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ผ่านโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทโฟนในการควบคุมระบบน้ําหยดให้เหมาะสมกับพืชและสภาพพื้นที่ จนสามารถลดต้นทุนการผลิตทั้งแรงงาน ค่าใช้จ่าย ส่งผลให้คุณภาพและปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น ตลอดจนการบริหารจัดการด้านการตลาดอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้ ศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม จัดตั้งขึ้นภายใต้กลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านหนองเม็กและวิสาหกิจชุมชนข้าวอินทรีย์บ้านหนองเม็ก เป็นพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ของจังหวัด การพัฒนาเกษตรอินทรีย์ที่นี่มีจุดเริ่มต้นจากบทเรียนการใช้สารเคมีของเกษตรกร แกนนําซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ได้ตระหนักถึงปัญหาและเห็นความสําคัญของวิถีการดูแลสุขภาพ จึงใช้ประสบการณ์ องค์ความรู้และเทคโนโลยีจากประเทศอิสราเอล มาประยุกต์กับการทําเกษตร โดยปลูกผักอินทรีย์ในโรงเรือน ภายใต้หลักการ “การตลาดนําการผลิต” มีวางแผนการผลิตอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถมีผลผลิตป้อนเข้าสู่ตลาดได้ตลอดทั้งปีรวมทั้งมีการรวมกลุ่มเพื่อให้มีอํานาจในการต่อรอง ผลผลิตหลัก ได้แก่ ผักอินทรีย์ในโรงเรือน และผลผลิตรองชนิดอื่น ๆ เช่น ข้าวอินทรีย์ สมุนไพร ข้าวโพด กล้วย ทุเรียน เงาะ ไก่ไข่ อินทรีย์และปลาอินทรีย์ การพัฒนาเกษตรอินทรีย์ที่นี่มีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาของจังหวัดอํานาจเจริญในเรื่องเมืองธรรมเกษตร หรือเมืองเกษตรอินทรีย์วิถีธรรม ที่เกษตรกรมีคุณธรรมในการทําการเกษตร และวิสัยทัศน์ของจังหวัดอํานาจเจริญที่ว่า “เมืองธรรมเกษตร เขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง เส้นทางการค้าสู่อาเซียน” ซึ่งยังสอดคล้องกับแนวคิดการสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ให้กลับไปพัฒนาชนบทด้วยการพึ่งตนเองอย่างยั่งยืน โดยสามารถเป็นต้นแบบการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ให้กับเกษตรกรทั่วประเทศ ผลการดําเนินงานและความสําเร็จ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา กลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านหนองเม็ก ได้ขยายกําลังการผลิตจากเดิมพื้นที่ 100 ไร่ โรงเรือนปลูกผัก 40 หลัง ส่งผักรอบแรก 200 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ ปัจจุบันขยายพื้นที่การเพาะปลูกเป็น 150 ไร่ โรงเรือนปลูกผัก 87 หลัง มีกําลังการผลิตเฉลี่ย 1.5 - 2 ตัน/สัปดาห์หรือประมาณ 7 - 10 ตัน/ เดือน สามารถสร้างรายได้ให้กับสมาชิกกลุ่มและคนในชุมชนโดยการจ้างแรงงาน 35 คน ค่าตอบแทนวันละ 300 บาท นอกจากนี้ยังขยายเครือข่าย และเพิ่มกําลังการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด โดยมีกลุ่มเครือข่ายที่สําคัญ ได้แก่ เครือข่ายภายในจังหวัดอํานาจเจริญ เช่น กลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านโคกกลาง กลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านโนนขี้เหล็ก และเครือข่ายภายนอกจังหวัดอํานาจเจริญ ได้แก่ สหกรณ์เกษตรอินทรีย์ อุบลราชธานี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และในปี 2561 ได้ก่อตั้งศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิค ฟาร์ม เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้และถ่ายทอดความรู้การผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ และเป็นต้นแบบผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตรแห่งแรกของจังหวัดอํานาจเจริญ พัฒนาตามวิสัยทัศน์จังหวัดอํานาจเจริญ “เมืองธรรมเกษตร เขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง เส้นทางการค้าสู่อาเซียน” จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้พบปะทักทายกับเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ โดยได้กล่าวว่ารู้สึกดีใจที่ได้มาพบปะกับประชาชนในจังหวัดอํานาจเจริญ การมาครั้งนี้เป็นการมาเยี่ยมเยือนประชาชนภาคอีสานตอนล่าง เพื่อหาแนวทางที่จะทําใหประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาล และไม่เกี่ยวข้องการเมืองแต่อย่างใด และมาเพื่อมุ่งหวังจะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น เรื่องหนี้นอกระบบ รายได้ การเกษตร ฯลฯ ให้เร็วที่สุดรองรับรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศต่อไป นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมการดําเนินงานของศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม บ้านหนองเม็ก และนายศุภชัยฯ ที่นําประสบการณ์ องค์ความรู้ และเทคโนโลยีจากประเทศอิสราเอลมาปรับใช้ในการพัฒนาต่อยอดการทําเกษตรอินทรีย์ และการใช้การตลาดนําการผลิต และมีการรวมกลุ่มเกษตรกร สามารถผลิตพืชผลการเกษตรตรงกับความต้องการของประชาชนและผู้บริโภค ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลปัจจุบันที่ต้องการส่งเสริมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์อย่างเป็นระบบซึ่งจะทําให้ประชาชนได้บริโภคอาหารปลอดภัย เกษตรกรก็ไม่ต้องเสี่ยงกับการใช้สารเคมีในการทําเกษตรกรรมและสามารถนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีย้ําให้มีการปลูกพืชให้สอดคล้องกับปริมาณน้ําและสภาพดินในพื้นที่ ซึ่งจะทําให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและมีปริมาณเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามการดําเนินการต้องมองระยะยาวโดยทุกคนต้องร่วมมือกัน โดยรัฐบาลได้มีการวางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งครอบคลุมไปถึงเรื่องของเกษตรและการใช้ที่ดินในการปลูกพืชให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ และราคาเหมาะสม ป้องกันราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ํา นายกรัฐมนตรี ฝากให้ประชาชนรู้จักปรับเปลี่ยนตนเองให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง และพัฒนาเรียนรู้ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่องทั้งจากประสบการณ์ของผู้อื่น จากการอ่านหนังสือ การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ศึกษาเรียนรู้ข้อมูลต่าง ๆ ผ่านทางโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทโฟน รวมถึงการเรียนรู้จากต่างประเทศ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถนํามาต่อยอดและพัฒนาตนเองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งด้านรายได้ อาชีพ และต้องรู้จักที่จะสร้างหลักคิดให้ตนเองมีมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งต้องร่วมกันเป็นผู้นําแห่งการเปลี่ยนแปลง พัฒนาตนเองอยู่เสมอให้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง มีการรวมกลุ่มทําเกษตรปลอดภัยเพื่อนําไปสู่การปลูกพืชเกษตรอินทรีย์ และให้น้อมนําหลักทรงงานของรัชกาลที่ 9 มาเป็นแนวทางการดําเนินชีวิตและการปลูกพืชแบบผสมผสาน นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําถึงการบริการจัดการงบประมาณของท้องถิ่นขอให้ดําเนินการให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่ ไม่ให้เกิดการทุจริตขึ้น และต้องปรับปรุงการทํางานของท้องถิ่นให้มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ในส่วนของรัฐบาลจะเร่งดําเนินโครงการที่มีความเร่งด่วนและสอดคล้องตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของรัฐบาล รวมทั้งขณะนี้ รัฐบาลกําลังเร่งกวาดล้างหนี้นอกระบบให้หมดไป พร้อมฝากให้ประชาชนส่งเสริมสนับสนุนให้บุตรหลานศึกษาในระดับที่สูงขึ้น เพื่อจะได้มีความรู้ จบออกมาสามารถเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้ นายกรัฐมนตรีฝากให้ทุกคนใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ร่วมกันทํากิจกรรมจิตอาสาที่เป็นประโยขน์ต่อตนเองและส่วนรวม เช่น การร่วมกันทําความสะอาดในบ้านเรือนและชุมชนของตนเอง การเก็บกวาดขยะมูลฝอย ซึ่งการทําจิตอาสาถือเป็นการทําความดีและกุศลเพื่อผู้อื่นซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้ชีวิตของตนเองดีขึ้นตามหลักศาสนาพุทธ ขณะที่เรื่องของประชาธิปไตยก็ต้องไม่มีการแบ่งแยกฝ่าย ทุกคนต้องร่วมกันเป็นหัวใจเดียวกันเพราะเราคือคนไทย ทั้งนี้ ในตอนท้าย ประชาชนได้ปรบมือให้กําลังใจนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ในการทํางานและบริหารราชการแผ่นดินต่อไป นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมนิทรรศการผลการดําเนินงานและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากพืชผักอินทรีย์ เช่น ผลิตภัณฑ์ดักแด้อบกรอบ สแน็คปลากรอบอินทรีย์ ข้าวเกรียบใบหม่อนและลูกหม่อน ปุ๋ยหมักอินทรีย์ เส้นไหมและผลิตภัณฑ์จากไหมอีรี่ ซึ่งเป็นการเลี้ยงตัวไหมอีรี่ด้วยใบมันสําปะหลังอินทรีย์และนําเส้นไหมที่ได้มาผลิตหรือทอเป็นผ้าไหมปลอดสารพิษและย้อมสีธรรมชาติ (สีธรรมชาติใบสมอ ครั่ง) โดยผลิตภัณฑ์ผ้าไหมดังกล่าวเป็นที่นิยมอย่างมากทั้งในหน่วยงานภาครัฐและต่างประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งได้เยี่ยมชมแปลงผักอินทรีย์และการปลูกพืชผักอินทรีย์แบบผสมผสานตามหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ เช่น การปลูกทุเรียนและลองกองแซมกล้วย บัวบกแซมมะละกอ ข้าวโพดหวานอินทรีย์ และกล้วน้ําว้าอินทรีย์พันธุ์มะลิอ่อง เป็นต้น สําหรับการผลิตผักอินทรีย์ของศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิค ฟาร์ม ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1. กระบวนการผลิต (การเตรียมดิน การเพาะเมล็ด การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยวและกระบวนการหลังการเก็บเกี่ยว) 2. การบริหารจัดการ (การวางแผนการผลิต การวางแผนกิจกรรมกลุ่ม) และ 3. การตลาด โดยผักส่วนใหญ่จัดส่งให้บริษัท เอสแอนด์บี ฟูดส์ซัพพลาย ซึ่งเป็นผู้รวบรวมส่งให้ Tops Supermarket กระจายสินค้าในพื้นที่ปริมณฑลและต่างจังหวัด เป็นการทํา Contract farming ระหว่างผู้ผลิตกับลูกค้า โดยใช้การตลาดนําการผลิต --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมการดำเนินงานศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม จ.อำนาจเจริญ วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2561 นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมการดําเนินงานศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม จ.อํานาจเจริญ นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมการดําเนินงานศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม จ.อํานาจเจริญ ชื่นชมการดําเนินงาน ย้ําให้ปลูกพืชสอดคล้องกับปริมาณน้ํา-สภาพดินในพื้นที่ แนะประชาชนเรียนรู้ตลอดเวลา ปรับตัวเองให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง วันนี้ (23 ก.ค.61) เวลา 09.50 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ อาทิ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ฯลฯ ได้เดินทางไปตรวจราชการและประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดอํานาจเจริญ และจังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างวันที่ 23 – 24 กรกฎาคม 2561 โดยได้ออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ โดยเครื่องบิน Airbus 320 ของกองทัพอากาศ ไปยังท่าอากาศยานทหาร กองบิน 21 จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อเดินทางไปเยี่ยมชมการดําเนินงานของศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม บ้านหนองเม็ก ตําบลคึมใหญ่ อําเภอเมือง จังหวัดอํานาจเจริญ โดยมีนายสุริยะ อมรโรจน์วรวุฒิ ผู้ว่าราชจังหวัดอํานาจเจริญ คณะผู้บริหารจังหวัดอํานาจเจริญ เกษตรจังหวัด เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ตัวแทนกลุ่มเกษตรกรผักอินทรีย์บ้านหนองเม็ก และประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้รับฟังบรรยายสรุปผลการดําเนินงานศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์จากนายศุภชัย มิ่งขวัญ ฝ่ายการตลาดของศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์ฯ ที่นําประสบการณ์ องค์ความรู้ และเทคโนโลยีจากประเทศอิสราเอลมาปรับใช้ในการพัฒนาต่อยอดการทําเกษตรอินทรีย์ โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ผ่านโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทโฟนในการควบคุมระบบน้ําหยดให้เหมาะสมกับพืชและสภาพพื้นที่ จนสามารถลดต้นทุนการผลิตทั้งแรงงาน ค่าใช้จ่าย ส่งผลให้คุณภาพและปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น ตลอดจนการบริหารจัดการด้านการตลาดอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้ ศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม จัดตั้งขึ้นภายใต้กลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านหนองเม็กและวิสาหกิจชุมชนข้าวอินทรีย์บ้านหนองเม็ก เป็นพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ของจังหวัด การพัฒนาเกษตรอินทรีย์ที่นี่มีจุดเริ่มต้นจากบทเรียนการใช้สารเคมีของเกษตรกร แกนนําซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ได้ตระหนักถึงปัญหาและเห็นความสําคัญของวิถีการดูแลสุขภาพ จึงใช้ประสบการณ์ องค์ความรู้และเทคโนโลยีจากประเทศอิสราเอล มาประยุกต์กับการทําเกษตร โดยปลูกผักอินทรีย์ในโรงเรือน ภายใต้หลักการ “การตลาดนําการผลิต” มีวางแผนการผลิตอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถมีผลผลิตป้อนเข้าสู่ตลาดได้ตลอดทั้งปีรวมทั้งมีการรวมกลุ่มเพื่อให้มีอํานาจในการต่อรอง ผลผลิตหลัก ได้แก่ ผักอินทรีย์ในโรงเรือน และผลผลิตรองชนิดอื่น ๆ เช่น ข้าวอินทรีย์ สมุนไพร ข้าวโพด กล้วย ทุเรียน เงาะ ไก่ไข่ อินทรีย์และปลาอินทรีย์ การพัฒนาเกษตรอินทรีย์ที่นี่มีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาของจังหวัดอํานาจเจริญในเรื่องเมืองธรรมเกษตร หรือเมืองเกษตรอินทรีย์วิถีธรรม ที่เกษตรกรมีคุณธรรมในการทําการเกษตร และวิสัยทัศน์ของจังหวัดอํานาจเจริญที่ว่า “เมืองธรรมเกษตร เขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง เส้นทางการค้าสู่อาเซียน” ซึ่งยังสอดคล้องกับแนวคิดการสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ให้กลับไปพัฒนาชนบทด้วยการพึ่งตนเองอย่างยั่งยืน โดยสามารถเป็นต้นแบบการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ให้กับเกษตรกรทั่วประเทศ ผลการดําเนินงานและความสําเร็จ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา กลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านหนองเม็ก ได้ขยายกําลังการผลิตจากเดิมพื้นที่ 100 ไร่ โรงเรือนปลูกผัก 40 หลัง ส่งผักรอบแรก 200 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ ปัจจุบันขยายพื้นที่การเพาะปลูกเป็น 150 ไร่ โรงเรือนปลูกผัก 87 หลัง มีกําลังการผลิตเฉลี่ย 1.5 - 2 ตัน/สัปดาห์หรือประมาณ 7 - 10 ตัน/ เดือน สามารถสร้างรายได้ให้กับสมาชิกกลุ่มและคนในชุมชนโดยการจ้างแรงงาน 35 คน ค่าตอบแทนวันละ 300 บาท นอกจากนี้ยังขยายเครือข่าย และเพิ่มกําลังการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด โดยมีกลุ่มเครือข่ายที่สําคัญ ได้แก่ เครือข่ายภายในจังหวัดอํานาจเจริญ เช่น กลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านโคกกลาง กลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านโนนขี้เหล็ก และเครือข่ายภายนอกจังหวัดอํานาจเจริญ ได้แก่ สหกรณ์เกษตรอินทรีย์ อุบลราชธานี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และในปี 2561 ได้ก่อตั้งศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิค ฟาร์ม เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้และถ่ายทอดความรู้การผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ และเป็นต้นแบบผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตรแห่งแรกของจังหวัดอํานาจเจริญ พัฒนาตามวิสัยทัศน์จังหวัดอํานาจเจริญ “เมืองธรรมเกษตร เขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง เส้นทางการค้าสู่อาเซียน” จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้พบปะทักทายกับเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ โดยได้กล่าวว่ารู้สึกดีใจที่ได้มาพบปะกับประชาชนในจังหวัดอํานาจเจริญ การมาครั้งนี้เป็นการมาเยี่ยมเยือนประชาชนภาคอีสานตอนล่าง เพื่อหาแนวทางที่จะทําใหประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาล และไม่เกี่ยวข้องการเมืองแต่อย่างใด และมาเพื่อมุ่งหวังจะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น เรื่องหนี้นอกระบบ รายได้ การเกษตร ฯลฯ ให้เร็วที่สุดรองรับรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศต่อไป นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมการดําเนินงานของศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม บ้านหนองเม็ก และนายศุภชัยฯ ที่นําประสบการณ์ องค์ความรู้ และเทคโนโลยีจากประเทศอิสราเอลมาปรับใช้ในการพัฒนาต่อยอดการทําเกษตรอินทรีย์ และการใช้การตลาดนําการผลิต และมีการรวมกลุ่มเกษตรกร สามารถผลิตพืชผลการเกษตรตรงกับความต้องการของประชาชนและผู้บริโภค ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลปัจจุบันที่ต้องการส่งเสริมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์อย่างเป็นระบบซึ่งจะทําให้ประชาชนได้บริโภคอาหารปลอดภัย เกษตรกรก็ไม่ต้องเสี่ยงกับการใช้สารเคมีในการทําเกษตรกรรมและสามารถนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีย้ําให้มีการปลูกพืชให้สอดคล้องกับปริมาณน้ําและสภาพดินในพื้นที่ ซึ่งจะทําให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและมีปริมาณเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามการดําเนินการต้องมองระยะยาวโดยทุกคนต้องร่วมมือกัน โดยรัฐบาลได้มีการวางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งครอบคลุมไปถึงเรื่องของเกษตรและการใช้ที่ดินในการปลูกพืชให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ และราคาเหมาะสม ป้องกันราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ํา นายกรัฐมนตรี ฝากให้ประชาชนรู้จักปรับเปลี่ยนตนเองให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง และพัฒนาเรียนรู้ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่องทั้งจากประสบการณ์ของผู้อื่น จากการอ่านหนังสือ การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ศึกษาเรียนรู้ข้อมูลต่าง ๆ ผ่านทางโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทโฟน รวมถึงการเรียนรู้จากต่างประเทศ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถนํามาต่อยอดและพัฒนาตนเองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งด้านรายได้ อาชีพ และต้องรู้จักที่จะสร้างหลักคิดให้ตนเองมีมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งต้องร่วมกันเป็นผู้นําแห่งการเปลี่ยนแปลง พัฒนาตนเองอยู่เสมอให้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง มีการรวมกลุ่มทําเกษตรปลอดภัยเพื่อนําไปสู่การปลูกพืชเกษตรอินทรีย์ และให้น้อมนําหลักทรงงานของรัชกาลที่ 9 มาเป็นแนวทางการดําเนินชีวิตและการปลูกพืชแบบผสมผสาน นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําถึงการบริการจัดการงบประมาณของท้องถิ่นขอให้ดําเนินการให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่ ไม่ให้เกิดการทุจริตขึ้น และต้องปรับปรุงการทํางานของท้องถิ่นให้มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ในส่วนของรัฐบาลจะเร่งดําเนินโครงการที่มีความเร่งด่วนและสอดคล้องตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของรัฐบาล รวมทั้งขณะนี้ รัฐบาลกําลังเร่งกวาดล้างหนี้นอกระบบให้หมดไป พร้อมฝากให้ประชาชนส่งเสริมสนับสนุนให้บุตรหลานศึกษาในระดับที่สูงขึ้น เพื่อจะได้มีความรู้ จบออกมาสามารถเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้ นายกรัฐมนตรีฝากให้ทุกคนใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ร่วมกันทํากิจกรรมจิตอาสาที่เป็นประโยขน์ต่อตนเองและส่วนรวม เช่น การร่วมกันทําความสะอาดในบ้านเรือนและชุมชนของตนเอง การเก็บกวาดขยะมูลฝอย ซึ่งการทําจิตอาสาถือเป็นการทําความดีและกุศลเพื่อผู้อื่นซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้ชีวิตของตนเองดีขึ้นตามหลักศาสนาพุทธ ขณะที่เรื่องของประชาธิปไตยก็ต้องไม่มีการแบ่งแยกฝ่าย ทุกคนต้องร่วมกันเป็นหัวใจเดียวกันเพราะเราคือคนไทย ทั้งนี้ ในตอนท้าย ประชาชนได้ปรบมือให้กําลังใจนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ในการทํางานและบริหารราชการแผ่นดินต่อไป นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมนิทรรศการผลการดําเนินงานและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากพืชผักอินทรีย์ เช่น ผลิตภัณฑ์ดักแด้อบกรอบ สแน็คปลากรอบอินทรีย์ ข้าวเกรียบใบหม่อนและลูกหม่อน ปุ๋ยหมักอินทรีย์ เส้นไหมและผลิตภัณฑ์จากไหมอีรี่ ซึ่งเป็นการเลี้ยงตัวไหมอีรี่ด้วยใบมันสําปะหลังอินทรีย์และนําเส้นไหมที่ได้มาผลิตหรือทอเป็นผ้าไหมปลอดสารพิษและย้อมสีธรรมชาติ (สีธรรมชาติใบสมอ ครั่ง) โดยผลิตภัณฑ์ผ้าไหมดังกล่าวเป็นที่นิยมอย่างมากทั้งในหน่วยงานภาครัฐและต่างประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งได้เยี่ยมชมแปลงผักอินทรีย์และการปลูกพืชผักอินทรีย์แบบผสมผสานตามหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ เช่น การปลูกทุเรียนและลองกองแซมกล้วย บัวบกแซมมะละกอ ข้าวโพดหวานอินทรีย์ และกล้วน้ําว้าอินทรีย์พันธุ์มะลิอ่อง เป็นต้น สําหรับการผลิตผักอินทรีย์ของศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิค ฟาร์ม ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1. กระบวนการผลิต (การเตรียมดิน การเพาะเมล็ด การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยวและกระบวนการหลังการเก็บเกี่ยว) 2. การบริหารจัดการ (การวางแผนการผลิต การวางแผนกิจกรรมกลุ่ม) และ 3. การตลาด โดยผักส่วนใหญ่จัดส่งให้บริษัท เอสแอนด์บี ฟูดส์ซัพพลาย ซึ่งเป็นผู้รวบรวมส่งให้ Tops Supermarket กระจายสินค้าในพื้นที่ปริมณฑลและต่างจังหวัด เป็นการทํา Contract farming ระหว่างผู้ผลิตกับลูกค้า โดยใช้การตลาดนําการผลิต --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14048
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ร่วมอำนวยการและแถลงข่าว การเข้าตรวจค้นบริษัทและแหล่งผลิต และจำหน่ายวัตถุอันตราย
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน 2562 เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ร่วมอํานวยการและแถลงข่าว การเข้าตรวจค้นบริษัทและแหล่งผลิต และจําหน่ายวัตถุอันตราย เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ร่วมอํานวยการและแถลงข่าวการเข้าตรวจค้นบริษัทและแหล่งผลิต และจําหน่ายวัตถุอันตราย วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ เทศบาลตําบลสามโคก จังหวัดปทุมธานี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มอบหมายให้ ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมอํานวยการในการตรวจค้นบริษัทและแหล่งผลิต และจําหน่ายวัตถุอันตราย โดยการบูรณาการร่วมกับกรมวิชาการเกษตร โดยมี พันตํารวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พันตํารวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ ผู้อํานวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เจ้าหน้าที่จากกองคดีคุ้มครองผู้บริโภค เข้าร่วมปฏิบัติการดังกล่าว ในการนี้ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ร่วมตรวจค้น บริษัท วีไอพี คิงดอม ๙๙๙ จํากัด ผู้ผลิตและจําหน่ายสารชีวภัณฑ์กําจัดวัชพืช ยี่ห้อ “ซุปเปอร์ไลค์” รวมทั้งมีผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นๆ อีกหลายชนิด ซึ่งบริษัทดังกล่าวตั้งอยู่ในพื้นที่ จังหวัดปทุมธานี จากนั้น เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้แถลงข่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการการเข้าตรวจค้นบริษัทดังกล่าว โดยในวันเดียวกันนี้ ได้มีการตรวจค้น จํานวน ๕ จุดพร้อมกัน ได้แก่ บริษัท สมาร์ท ไบโอเทค คอร์ปอเรชั่น จํากัด ตั้งอยู่ที่จังหวัดนนทบุรี จํานวน ๒ จุด (คดีพิเศษที่ ๗๓/๒๕๖๒) บริษัท วีไอพี คิงดอม ๙๙๙ จํากัด ตั้งอยู่ที่จังหวัดปทุมธานี จํานวน ๑ จุด และ จังหวัดนครราชสีมา จํานวน ๒ จุด (คดีพิเศษที่ ๗๔/๒๕๖๒) ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะได้เร่งดําเนินคดีและสรุปสํานวนเพื่อส่งพนักงานอัยการฟ้องคดีต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ร่วมอำนวยการและแถลงข่าว การเข้าตรวจค้นบริษัทและแหล่งผลิต และจำหน่ายวัตถุอันตราย วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน 2562 เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ร่วมอํานวยการและแถลงข่าว การเข้าตรวจค้นบริษัทและแหล่งผลิต และจําหน่ายวัตถุอันตราย เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ร่วมอํานวยการและแถลงข่าวการเข้าตรวจค้นบริษัทและแหล่งผลิต และจําหน่ายวัตถุอันตราย วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ เทศบาลตําบลสามโคก จังหวัดปทุมธานี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มอบหมายให้ ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมอํานวยการในการตรวจค้นบริษัทและแหล่งผลิต และจําหน่ายวัตถุอันตราย โดยการบูรณาการร่วมกับกรมวิชาการเกษตร โดยมี พันตํารวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พันตํารวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ ผู้อํานวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เจ้าหน้าที่จากกองคดีคุ้มครองผู้บริโภค เข้าร่วมปฏิบัติการดังกล่าว ในการนี้ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ร่วมตรวจค้น บริษัท วีไอพี คิงดอม ๙๙๙ จํากัด ผู้ผลิตและจําหน่ายสารชีวภัณฑ์กําจัดวัชพืช ยี่ห้อ “ซุปเปอร์ไลค์” รวมทั้งมีผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นๆ อีกหลายชนิด ซึ่งบริษัทดังกล่าวตั้งอยู่ในพื้นที่ จังหวัดปทุมธานี จากนั้น เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้แถลงข่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการการเข้าตรวจค้นบริษัทดังกล่าว โดยในวันเดียวกันนี้ ได้มีการตรวจค้น จํานวน ๕ จุดพร้อมกัน ได้แก่ บริษัท สมาร์ท ไบโอเทค คอร์ปอเรชั่น จํากัด ตั้งอยู่ที่จังหวัดนนทบุรี จํานวน ๒ จุด (คดีพิเศษที่ ๗๓/๒๕๖๒) บริษัท วีไอพี คิงดอม ๙๙๙ จํากัด ตั้งอยู่ที่จังหวัดปทุมธานี จํานวน ๑ จุด และ จังหวัดนครราชสีมา จํานวน ๒ จุด (คดีพิเศษที่ ๗๔/๒๕๖๒) ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะได้เร่งดําเนินคดีและสรุปสํานวนเพื่อส่งพนักงานอัยการฟ้องคดีต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24582
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีร่วมทำความสะอาดตามโครงการ Big Cleaning Day "ย้อมบ้าน ล้างเมือง" บริเวณเขตเทศบาลนครสกลนคร
วันพุธที่ 2 สิงหาคม 2560 นายกรัฐมนตรีร่วมทําความสะอาดตามโครงการ Big Cleaning Day "ย้อมบ้าน ล้างเมือง" บริเวณเขตเทศบาลนครสกลนคร นายกรัฐมนตรีร่วมทําความสะอาดตามโครงการ Big Cleaning Day "ย้อมบ้าน ล้างเมือง" บริเวณเขตเทศบาลนครสกลนคร วันนี้ (2 สิงหาคม 2560) เวลา 11.00 น. ณ บริเวณเขตเทศบาลนครสกลนคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ร่วมงานโครงการ Big Cleaning Day "ย้อมบ้าน ล้างเมือง" เพื่อทําความสะอาดสถานที่สาธารณะภายหลังน้ําลด โดยนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะได้ฉีดน้ํา และกวาดทําความสะอาดถนน บริเวณหน้าวัดพระธาตุเชิงชุม ก่อนจะไปลงเรือเพื่อเยี่ยมประชาชนที่ประสบอุทกภัย ในพื้นที่เขตเทศบาลนครสกลนคร ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวระหว่างร่วมทํากิจกรรมตอนหนึ่งว่า ดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของประชาชนหลังจากที่ทุกคนได้ผ่านเหตุการณ์ที่ผ่านมา ก็ขอให้ทุกคนร่วมมือร่วมใจกันในการแก้ไขปัญหาทุก ๆเรื่องแล้วทุกอย่างก็จะประสบผลสําเร็จ ทั้งนี้ ตลอดสามปีที่ผ่านมาสิ่งที่รัฐบาลชุดปัจจุบันจะแก้ไขก็คือ ทําให้ทุกคนได้มีความรักความสามัคคี ไม่เกิดความขัดแย้ง จนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และนายกรัฐมนตรีกล่าวย้ําว่าเราจะต้องไม่เพิ่มความขัดแย้ง รัฐบาลชุดนี้ก็ไม่ได้เป็นหนึ่งในความขัดแย้งของใคร เข้ามาเพื่อทําหน้าที่บริหารบ้านเมืองและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเท่านั้น ---------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีร่วมทำความสะอาดตามโครงการ Big Cleaning Day "ย้อมบ้าน ล้างเมือง" บริเวณเขตเทศบาลนครสกลนคร วันพุธที่ 2 สิงหาคม 2560 นายกรัฐมนตรีร่วมทําความสะอาดตามโครงการ Big Cleaning Day "ย้อมบ้าน ล้างเมือง" บริเวณเขตเทศบาลนครสกลนคร นายกรัฐมนตรีร่วมทําความสะอาดตามโครงการ Big Cleaning Day "ย้อมบ้าน ล้างเมือง" บริเวณเขตเทศบาลนครสกลนคร วันนี้ (2 สิงหาคม 2560) เวลา 11.00 น. ณ บริเวณเขตเทศบาลนครสกลนคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ร่วมงานโครงการ Big Cleaning Day "ย้อมบ้าน ล้างเมือง" เพื่อทําความสะอาดสถานที่สาธารณะภายหลังน้ําลด โดยนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะได้ฉีดน้ํา และกวาดทําความสะอาดถนน บริเวณหน้าวัดพระธาตุเชิงชุม ก่อนจะไปลงเรือเพื่อเยี่ยมประชาชนที่ประสบอุทกภัย ในพื้นที่เขตเทศบาลนครสกลนคร ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวระหว่างร่วมทํากิจกรรมตอนหนึ่งว่า ดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของประชาชนหลังจากที่ทุกคนได้ผ่านเหตุการณ์ที่ผ่านมา ก็ขอให้ทุกคนร่วมมือร่วมใจกันในการแก้ไขปัญหาทุก ๆเรื่องแล้วทุกอย่างก็จะประสบผลสําเร็จ ทั้งนี้ ตลอดสามปีที่ผ่านมาสิ่งที่รัฐบาลชุดปัจจุบันจะแก้ไขก็คือ ทําให้ทุกคนได้มีความรักความสามัคคี ไม่เกิดความขัดแย้ง จนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และนายกรัฐมนตรีกล่าวย้ําว่าเราจะต้องไม่เพิ่มความขัดแย้ง รัฐบาลชุดนี้ก็ไม่ได้เป็นหนึ่งในความขัดแย้งของใคร เข้ามาเพื่อทําหน้าที่บริหารบ้านเมืองและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเท่านั้น ---------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5634
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จับมือภาคีเครือข่าย ขยายโครงการ “1 วัด 1 รพ.” ครอบคลุม รพ.-วัด 16,660 แห่งทั่วประเทศ
วันเสาร์ที่ 26 มกราคม 2562 สธ.จับมือภาคีเครือข่าย ขยายโครงการ “1 วัด 1 รพ.” ครอบคลุม รพ.-วัด 16,660 แห่งทั่วประเทศ กระทรวงสาธารณสุข จับมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขยายโครงการ “1 วัด 1 รพ.” ปี 2562 ตั้งเป้าดําเนินการ 16,660 แห่ง เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 เน้น 5 กิจกรรมหลัก กระทรวงสาธารณสุข จับมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขยายโครงการ “1 วัด 1 รพ.” ปี 2562 ตั้งเป้าดําเนินการ 16,660 แห่ง เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 เน้น 5 กิจกรรมหลัก คือ การจัดทําฐานข้อมูลพระสงฆ์ การขับเคลื่อนตามธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ วัดส่งเสริมสุขภาพ ตรวจคัดกรองสุขภาพพระสงฆ์ และวัดร่วมพัฒนาชุมชนด้วยพลังบวร ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะดูแลแก้ไขปัญหาสุขภาพพระสงฆ์อย่างยั่งยืน มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงสาธารณสุข สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ร่วมขับเคลื่อนโครงการ “1 วัด 1 โรงพยาบาล” ให้ครอบคลุมไปถึงโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล ดูแลจํานวนวัดเพิ่มมากขึ้น เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 โดยในปี 2562 ตั้งเป้าขยายไปยังโรงพยาบาล-วัด 16,660 แห่งทั่วประเทศ ใช้ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์เป็นกลไกหลัก ใน 5 กิจกรรมคือ การจัดทําฐานข้อมูลพระสงฆ์ การขับเคลื่อนตามธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์วัดส่งเสริมสุขภาพ ตรวจคัดกรองสุขภาพพระสงฆ์ และวัดร่วมพัฒนาชุมชนด้วยพลังบวร (บ้าน วัด โรงเรียน) “ในระยะแรกได้ให้โรงพยาบาลระดับจังหวัด/อําเภอ ดูแลวัดที่อยู่ใกล้ๆ อาจจะดูแลวัดมากกว่า 1 แห่ง ตามความพร้อมของแต่ละโรงพยาบาล โดยเข้าไป ถวายธูป-เทียนไร้ควัน ถวายชุดความรู้ด้านสุขภาพ ตรวจคัดกรองสุขภาพ โดยมีจุดมุ่งหมายสําคัญคือ ช่วยสนับสนุนให้พระสงฆ์ดูแลสุขภาพตนเองให้ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย ช่วยแนะนําประชาชนดูแลสุขภาพพระสงฆ์ด้วยอาหารใส่บาตรที่ลดหวาน-มัน-เค็ม รวมทั้งยังขอให้พระสงฆ์ช่วยเป็นหลักในการให้ความรู้เรื่องสุขภาพดีแก่ญาติโยมที่มาทําบุญที่วัดอีกด้วย” ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าว ทั้งนี้ จากการติดตามการดําเนินโครงการ “1 วัด 1 โรงพยาบาล” ที่ จ.ลําพูน ซึ่งมีวัดทั้งหมด 444 แห่ง จับคู่วัดอุปถัมภ์และโรงพยาบาลครบทั้ง 79 แห่ง เป็นจังหวัดเดียวที่มีศูนย์ประสานงานพระอาสาสมัครประจําวัด ซึ่งตั้งอยู่ ณ ที่ว่าการอําเภอบ้านโฮ่ง โดยได้ดําเนินการตามรัฐธรรมนูญของสุขภาพพระสงฆ์ ดังนี้ จัดทําฐานข้อมูลพระสงฆ์ครบ 444 แห่ง มีวัดเข้าร่วมโครงการวัดส่งเสริมสุขภาพ 360 วัด จัดอบรมพระคิลานุปัฏฐากหรือ พระอาสาสมัครส่งเสริมสุขภาพประจําวัด (อสว.)140 รูป ทําหน้าที่ ถ่ายทอดความรู้พื้นฐานด้านสุขภาพแก่ชุมชน ให้บริการสุขภาพเบื้องต้นแก่พระสงฆ์ในพื้นที่ ประสานงานด้านสุขภาพพระสงฆ์กับคณะสงฆ์และหน่วยงานด้านสาธารณสุข โดยพระสงฆ์ได้รับการตรวจคัดกรองสุขภาพครบทั้งจังหวัดจํานวน 1,884 รูป กว่าร้อยละ 50 มีภาวะเสี่ยงความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคอ้วน พบป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 81 รูป โรคอ้วน 264 รูป อาพาธติดเตียง 5 รูป ทั้งหมดได้ให้การดูแลต่อเนื่อง โดยกลุ่มเสี่ยงได้รับความรู้เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ กลุ่มป่วยจะส่งต่อไปยังโรงพยาบาล ดูแลด้านโภชนาการ การออกกําลังกาย ลดน้ําหนัก ควบคุมความดันโลหิตและระดับน้ําตาลในเลือด ให้ความรู้ประชาชนเรื่องการถวายอาหารพระสงฆ์ นอกจากนี้ ยังมีกองทุนสงฆ์อาพาธ กิจกรรมวัดปลอดเหล้าปลอดบุหรี่ 200 นับเป็นการพัฒนาชุมชนด้วยพลังบวร (บ้าน วัด โรงเรียน) ***************************************** 26 มกราคม 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จับมือภาคีเครือข่าย ขยายโครงการ “1 วัด 1 รพ.” ครอบคลุม รพ.-วัด 16,660 แห่งทั่วประเทศ วันเสาร์ที่ 26 มกราคม 2562 สธ.จับมือภาคีเครือข่าย ขยายโครงการ “1 วัด 1 รพ.” ครอบคลุม รพ.-วัด 16,660 แห่งทั่วประเทศ กระทรวงสาธารณสุข จับมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขยายโครงการ “1 วัด 1 รพ.” ปี 2562 ตั้งเป้าดําเนินการ 16,660 แห่ง เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 เน้น 5 กิจกรรมหลัก กระทรวงสาธารณสุข จับมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขยายโครงการ “1 วัด 1 รพ.” ปี 2562 ตั้งเป้าดําเนินการ 16,660 แห่ง เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 เน้น 5 กิจกรรมหลัก คือ การจัดทําฐานข้อมูลพระสงฆ์ การขับเคลื่อนตามธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ วัดส่งเสริมสุขภาพ ตรวจคัดกรองสุขภาพพระสงฆ์ และวัดร่วมพัฒนาชุมชนด้วยพลังบวร ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะดูแลแก้ไขปัญหาสุขภาพพระสงฆ์อย่างยั่งยืน มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงสาธารณสุข สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ร่วมขับเคลื่อนโครงการ “1 วัด 1 โรงพยาบาล” ให้ครอบคลุมไปถึงโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล ดูแลจํานวนวัดเพิ่มมากขึ้น เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 โดยในปี 2562 ตั้งเป้าขยายไปยังโรงพยาบาล-วัด 16,660 แห่งทั่วประเทศ ใช้ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์เป็นกลไกหลัก ใน 5 กิจกรรมคือ การจัดทําฐานข้อมูลพระสงฆ์ การขับเคลื่อนตามธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์วัดส่งเสริมสุขภาพ ตรวจคัดกรองสุขภาพพระสงฆ์ และวัดร่วมพัฒนาชุมชนด้วยพลังบวร (บ้าน วัด โรงเรียน) “ในระยะแรกได้ให้โรงพยาบาลระดับจังหวัด/อําเภอ ดูแลวัดที่อยู่ใกล้ๆ อาจจะดูแลวัดมากกว่า 1 แห่ง ตามความพร้อมของแต่ละโรงพยาบาล โดยเข้าไป ถวายธูป-เทียนไร้ควัน ถวายชุดความรู้ด้านสุขภาพ ตรวจคัดกรองสุขภาพ โดยมีจุดมุ่งหมายสําคัญคือ ช่วยสนับสนุนให้พระสงฆ์ดูแลสุขภาพตนเองให้ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย ช่วยแนะนําประชาชนดูแลสุขภาพพระสงฆ์ด้วยอาหารใส่บาตรที่ลดหวาน-มัน-เค็ม รวมทั้งยังขอให้พระสงฆ์ช่วยเป็นหลักในการให้ความรู้เรื่องสุขภาพดีแก่ญาติโยมที่มาทําบุญที่วัดอีกด้วย” ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าว ทั้งนี้ จากการติดตามการดําเนินโครงการ “1 วัด 1 โรงพยาบาล” ที่ จ.ลําพูน ซึ่งมีวัดทั้งหมด 444 แห่ง จับคู่วัดอุปถัมภ์และโรงพยาบาลครบทั้ง 79 แห่ง เป็นจังหวัดเดียวที่มีศูนย์ประสานงานพระอาสาสมัครประจําวัด ซึ่งตั้งอยู่ ณ ที่ว่าการอําเภอบ้านโฮ่ง โดยได้ดําเนินการตามรัฐธรรมนูญของสุขภาพพระสงฆ์ ดังนี้ จัดทําฐานข้อมูลพระสงฆ์ครบ 444 แห่ง มีวัดเข้าร่วมโครงการวัดส่งเสริมสุขภาพ 360 วัด จัดอบรมพระคิลานุปัฏฐากหรือ พระอาสาสมัครส่งเสริมสุขภาพประจําวัด (อสว.)140 รูป ทําหน้าที่ ถ่ายทอดความรู้พื้นฐานด้านสุขภาพแก่ชุมชน ให้บริการสุขภาพเบื้องต้นแก่พระสงฆ์ในพื้นที่ ประสานงานด้านสุขภาพพระสงฆ์กับคณะสงฆ์และหน่วยงานด้านสาธารณสุข โดยพระสงฆ์ได้รับการตรวจคัดกรองสุขภาพครบทั้งจังหวัดจํานวน 1,884 รูป กว่าร้อยละ 50 มีภาวะเสี่ยงความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคอ้วน พบป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 81 รูป โรคอ้วน 264 รูป อาพาธติดเตียง 5 รูป ทั้งหมดได้ให้การดูแลต่อเนื่อง โดยกลุ่มเสี่ยงได้รับความรู้เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ กลุ่มป่วยจะส่งต่อไปยังโรงพยาบาล ดูแลด้านโภชนาการ การออกกําลังกาย ลดน้ําหนัก ควบคุมความดันโลหิตและระดับน้ําตาลในเลือด ให้ความรู้ประชาชนเรื่องการถวายอาหารพระสงฆ์ นอกจากนี้ ยังมีกองทุนสงฆ์อาพาธ กิจกรรมวัดปลอดเหล้าปลอดบุหรี่ 200 นับเป็นการพัฒนาชุมชนด้วยพลังบวร (บ้าน วัด โรงเรียน) ***************************************** 26 มกราคม 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18372
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. จัดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกรุงรัตนโกสินทร์ นัอมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทย สาธิตอาหาร จำหน่ายสินค้าของชุมชนต่างเชื้อชาติ-ชุมชนโบราณ
วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562 วธ. จัดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกรุงรัตนโกสินทร์ นัอมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทย สาธิตอาหาร จําหน่ายสินค้าของชุมชนต่างเชื้อชาติ-ชุมชนโบราณ วธ. จัดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกรุงรัตนโกสินทร์ นัอมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทย สาธิตอาหาร จําหน่ายสินค้าของชุมชนต่างเชื้อชาติ-ชุมชนโบราณ เนื่องในงาน “ใต้ร่มพระบารมี 237 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562 ที่หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานเปิดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกรุงรัตนโกสินทร์ และพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทย ประจําปี 2562 พร้อมทั้งบรรยายพิเศษ เรื่อง คุณูปการของสถาบันพระมหากษัตริย์กับงานศิลปวัฒนธรรม เนื่องในงาน“ใต้ร่มพระบารมี 237 ปี กรุงรัตนโกสินทร์”มีนายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ประธานสภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร คณะครู อาจารย์และผู้นําชุมชน เข้าร่วม นายวีระ กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีภารกิจหลักในการรักษา สืบทอด มรดกวัฒนธรรมของชาติและปกป้องเชิดชูสถาบันชาติ พระมหากษัตริย์ จึงกําหนดจัดงาน“ใต้ร่มพระบารมี 237 ปี กรุงรัตนโกสินทร์”ในช่วงเดือนก.พ.-มี.ค. 2562 เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณขององค์พระมหากษัติย์แห่งราชวงศ์จักรี และเพื่อเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยและใช้ศักยภาพด้านมรดกทางศิลปะและวัฒนธรรมของชาติอันทรงคุณค่าภายในพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ให้เป็นที่รู้จัก โดยจัดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกรุงรัตนโกสินทร์ และพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทย ประจําปี 2562 ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยจัดอบรมเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับกรุงรัตนโกสินทร์และพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทย ให้แก่ ประธานสภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร จํานวน 100 คน จาก 50 เขตในกรุงเทพมหานคร ผู้นําชุมชนจํานวน 100 คน จาก 50 ชุมชน คณะครู อาจารย์ จํานวน 300 คน จาก 150 โรงเรียน รวมทั้งสิ้น 500 คนเพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมนําความรู้ที่ได้รับในครั้งนี้ไปขยายผลเป็นผู้นําชมและให้ความรู้เกี่ยวกับสถานที่สําคัญรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ให้แก่ประชากรในแต่ละเขต แต่ละชุมชน รวมถึงนักเรียนในสถานศึกษาได้เรียนรู้ มรดกวัฒนธรรมของกรุงรัตนโกสินทร์ และพระมหากรุณาธิคุณของบูรพมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ที่มีคุณูปการต่อชาติบ้านเมืองทําให้คนไทยเกิดความหวงแหน สํานึก และเชิดชู สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ร่วมสืบสานมรดกวัฒนธรรมไว้คู่แผ่นดินไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า นอกจากกิจกรรมอบรมเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจในครั้งนี้แล้ว ยังมีกิจกรรมการสาธิตอาหาร การจําหน่ายสินค้าของชุมชนต่างเชื้อชาติ และชุมชนโบราณที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นของดั้งเดิม จํานวน 19 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนชาวจีนจากย่านสําเพ็งและเยาวราช ชุมชนมุสลิมบ้านครัวจากเขตปทุมวัน (บ้านครัวใต้)และเขตราชเทวี (บ้านครัวเหนือ) ชุมชนอินเดีย (พราหมณ์/ฮินดู/ซิกข์)จากย่านพาหุรัด/สีลม/วังบูรพา ชุมชนเวียดนาม (ญวนพุทธ) จากย่านบางซื่อ ชุมชนเขมรจากย่านสามเสน ชุมชนลาว (ชุมชนบางไส้ไก่บ้านสมเด็จ) จากย่านธนบุรี ชุมชนตะวันตก อาทิ ชุมชนบางรัก ชุมชนกุฎีจีน และย่านบางรัก (โปรตุเกส/เยอรมัน/อิตาลี) ย่านธนบุรี (โปรตุเกส/มอญ/ญวน) ชุมชนคลองสานจากย่านคลองสาน ชุมชนมอญบางกระดี่จากย่านบางกระดี่ (เขตบางขุนเทียน) ชุมชนเกาหลีจากย่านโคเรียนทาวน์ (Korean Town)สุขุมวิท 12 ชุมชนญี่ปุ่นจากย่านสุขุมวิท 24,55,49,26 ชุมชนพม่าจากย่านพระโขนง สุขุมวิท 71 ชุมชนชวาจากย่านสาทรใต้ ชุมชนบ้านบาตรจากย่านป้อมปราบศัตรูพ่าย และชุมชนบางลําพูจากย่านพระนคร เป็นต้น -----------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. จัดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกรุงรัตนโกสินทร์ นัอมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทย สาธิตอาหาร จำหน่ายสินค้าของชุมชนต่างเชื้อชาติ-ชุมชนโบราณ วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562 วธ. จัดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกรุงรัตนโกสินทร์ นัอมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทย สาธิตอาหาร จําหน่ายสินค้าของชุมชนต่างเชื้อชาติ-ชุมชนโบราณ วธ. จัดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกรุงรัตนโกสินทร์ นัอมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทย สาธิตอาหาร จําหน่ายสินค้าของชุมชนต่างเชื้อชาติ-ชุมชนโบราณ เนื่องในงาน “ใต้ร่มพระบารมี 237 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562 ที่หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานเปิดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกรุงรัตนโกสินทร์ และพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทย ประจําปี 2562 พร้อมทั้งบรรยายพิเศษ เรื่อง คุณูปการของสถาบันพระมหากษัตริย์กับงานศิลปวัฒนธรรม เนื่องในงาน“ใต้ร่มพระบารมี 237 ปี กรุงรัตนโกสินทร์”มีนายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ประธานสภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร คณะครู อาจารย์และผู้นําชุมชน เข้าร่วม นายวีระ กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีภารกิจหลักในการรักษา สืบทอด มรดกวัฒนธรรมของชาติและปกป้องเชิดชูสถาบันชาติ พระมหากษัตริย์ จึงกําหนดจัดงาน“ใต้ร่มพระบารมี 237 ปี กรุงรัตนโกสินทร์”ในช่วงเดือนก.พ.-มี.ค. 2562 เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณขององค์พระมหากษัติย์แห่งราชวงศ์จักรี และเพื่อเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยและใช้ศักยภาพด้านมรดกทางศิลปะและวัฒนธรรมของชาติอันทรงคุณค่าภายในพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ให้เป็นที่รู้จัก โดยจัดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกรุงรัตนโกสินทร์ และพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทย ประจําปี 2562 ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยจัดอบรมเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับกรุงรัตนโกสินทร์และพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทย ให้แก่ ประธานสภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร จํานวน 100 คน จาก 50 เขตในกรุงเทพมหานคร ผู้นําชุมชนจํานวน 100 คน จาก 50 ชุมชน คณะครู อาจารย์ จํานวน 300 คน จาก 150 โรงเรียน รวมทั้งสิ้น 500 คนเพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมนําความรู้ที่ได้รับในครั้งนี้ไปขยายผลเป็นผู้นําชมและให้ความรู้เกี่ยวกับสถานที่สําคัญรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ให้แก่ประชากรในแต่ละเขต แต่ละชุมชน รวมถึงนักเรียนในสถานศึกษาได้เรียนรู้ มรดกวัฒนธรรมของกรุงรัตนโกสินทร์ และพระมหากรุณาธิคุณของบูรพมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ที่มีคุณูปการต่อชาติบ้านเมืองทําให้คนไทยเกิดความหวงแหน สํานึก และเชิดชู สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ร่วมสืบสานมรดกวัฒนธรรมไว้คู่แผ่นดินไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า นอกจากกิจกรรมอบรมเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจในครั้งนี้แล้ว ยังมีกิจกรรมการสาธิตอาหาร การจําหน่ายสินค้าของชุมชนต่างเชื้อชาติ และชุมชนโบราณที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นของดั้งเดิม จํานวน 19 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนชาวจีนจากย่านสําเพ็งและเยาวราช ชุมชนมุสลิมบ้านครัวจากเขตปทุมวัน (บ้านครัวใต้)และเขตราชเทวี (บ้านครัวเหนือ) ชุมชนอินเดีย (พราหมณ์/ฮินดู/ซิกข์)จากย่านพาหุรัด/สีลม/วังบูรพา ชุมชนเวียดนาม (ญวนพุทธ) จากย่านบางซื่อ ชุมชนเขมรจากย่านสามเสน ชุมชนลาว (ชุมชนบางไส้ไก่บ้านสมเด็จ) จากย่านธนบุรี ชุมชนตะวันตก อาทิ ชุมชนบางรัก ชุมชนกุฎีจีน และย่านบางรัก (โปรตุเกส/เยอรมัน/อิตาลี) ย่านธนบุรี (โปรตุเกส/มอญ/ญวน) ชุมชนคลองสานจากย่านคลองสาน ชุมชนมอญบางกระดี่จากย่านบางกระดี่ (เขตบางขุนเทียน) ชุมชนเกาหลีจากย่านโคเรียนทาวน์ (Korean Town)สุขุมวิท 12 ชุมชนญี่ปุ่นจากย่านสุขุมวิท 24,55,49,26 ชุมชนพม่าจากย่านพระโขนง สุขุมวิท 71 ชุมชนชวาจากย่านสาทรใต้ ชุมชนบ้านบาตรจากย่านป้อมปราบศัตรูพ่าย และชุมชนบางลําพูจากย่านพระนคร เป็นต้น -----------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18763
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561
วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561 ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน วันที่ 21 ตุลาคมของทุกปี ตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่งรัฐบาลได้กําหนดให้เป็น“วันรักต้นไม้ประจําปีของชาติ”เพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ“สมเด็จย่า”ที่ทรงให้ความสําคัญและทรงสนพระทัยเกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่า และการฟื้นฟูความสมดุลทางธรรมชาติ โดยพระองค์ทรงปลูกและบํารุงรักษาต้นไม้ ด้วยพระองค์เอง มาตลอดพระชนม์ชีพ ผมขอยกตัวอย่างโครงการพัฒนาดอยตุง อันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดเชียงราย ที่พระองค์ทรงเล็งเห็นถึงต้นเหตุแห่งปัญหา ของประชาชนจาก 6 ชนเผ่า ในพื้นที่ 29 หมู่บ้าน กว่า 11,000 คน ที่ต้องประกอบอาชีพผิดกฎหมาย เช่น การทําไร่เลื่อนลอย การปลูกฝิ่น และการตกเขียวเพื่อค้าประเวณี เนื่องจากความยากจน ความไม่รู้ และการขาดโอกาสในชีวิต ทั้งนี้ ด้วยพระวิสัยทัศน์และพระราชปณิธานอันแรงกล้าของพระองค์ ที่ทรงปรารถนาให้ชาวดอยตุง สามารถพึ่งพาตัวเองได้ และอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างยั่งยืน จึงทรงริเริ่มดําเนินโครงการในรูปแบบ“ปลูกป่า ปลูกคน”กล่าวคือ การแก้ปัญหาความยากจนที่ยึดคนเป็นศูนย์กลาง และยึดหลักความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ที่สมดุลกับความมั่นคงทางสังคมและความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ การปลูกป่าที่ดอยตุง จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการคืนความสมบูรณ์จากสภาพป่าเขาที่เสื่อมโทรม พื้นดินที่หมดสภาพ และลําธารที่แห้งเหือด ให้พลิกฟื้นกลับเป็นป่าต้นน้ําอันอุดมสมบูรณ์ ป่าเศรษฐกิจ และป่าใช้สอยในสัดส่วนที่พอเหมาะสําหรับการหล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนบนดอยตุง ควบคู่กับการปลูกป่า ก็คือการปลูกคนให้พึ่งพาตนเองได้ และพัฒนาชุมชนต่อไป มีการสร้างงานและอาชีพหลากหลาย สําหรับคนที่มีความถนัดต่างกัน เช่น การปลูก การแปรรูปกาแฟและแมคคาเดเมียการผลิตงานหัตถกรรมการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เกษตรภูมิทัศน์งานบริการและการท่องเที่ยว เป็นต้นสําหรับเยาวชนรุ่นใหม่ ซึ่งจะเติบโตเป็นผู้นําในอนาคตนั้น ก็มีโครงการพัฒนาการศึกษาในโรงเรียน 8 แห่ง เพื่อสร้างพลเมืองที่ดีมีภูมิคุ้มกัน สามารถพัฒนาตนเองและสังคมได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เมื่อปี 2546 สํานักงานควบคุมยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ ได้ยกย่องหลักการพัฒนาของโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ว่ามีส่วนสําคัญอย่างยิ่ง ในการลดปริมาณการปลูกพืชเสพติด และแก้ปัญหาความยากจน ได้อย่างยั่งยืน เพื่อถวายเป็นราชสักการะ แสดงกตัญญูกตเวทิตาคุณ และสนองพระราชปณิธานของ“แม่ฟ้าหลวง”ซึ่งเป็นพระสมัญญานาม ที่ชาวไทยภูเขา พร้อมใจกันเรียกขานสมเด็จย่า และเพื่อเป็นการน้อมนําศาสตร์พระราชา ซึ่งเป็นพระราชดํารัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ตอนหนึ่ง ที่ว่า“...ควรจะปลูกต้นไม้ในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดิน และ รักษาต้นไม้ด้วยตนเอง...”มาสู่การปฏิบัตินะครับ ดังนั้นจึงได้นําคณะรัฐมนตรีร่วมกันปลูกไม้พะยูง เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการส่งเสริม และสร้างจิตสํานึกให้กับชาวไทยทุกคนเกิดความหวงแหน และร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาติ ให้คงอยู่เป็นมรดกของลูกหลานต่อไป พี่น้องประชาชนที่รักครับ หลักปรัชญา“ปลูกป่า ปลูกคน”ของสมเด็จย่า จากโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ที่ผมได้กล่าวมานั้น หากเราศึกษาอย่างลึกซึ้ง แล้วจะเห็นความเชื่อมโยงกันของแนวทางแก้ปมปัญหาพื้นฐาน ด้านเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และสิ่งแวดล้อมของชาติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเราทุกคน ที่เป็นทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ ใน 3 เรื่อง ได้แก่ การแก้ปัญหาเกี่ยวกับ น้ํา ยาเสพติดและความยากจน รัฐบาลนี้ ได้มีความตระหนักในสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น และมุ่งมั่นที่จะน้อมนําหลักคิดดังกล่าวมา“สืบสาน รักษา ต่อยอด”โดยกําหนดเป็นมาตรการและนโยบายสาธารณะ สําหรับการแก้ปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้น ในภาพรวม ดังนี้ 1. การแก้ปัญหา“น้ํา”โดยดําเนินการ 3 เสาหลัก ได้แก่ (1) การตั้งสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ เป็นองค์กรกลาง เพื่อให้เกิดเอกภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําทั้งระบบในภาพรวม ตั้งแต่ป่าต้นน้ํา แหล่งเก็บกักน้ํา พื้นที่เพาะปลูก ไปจนถึงปากอ่าว (2) การขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์น้ํา 12 ปี (พ.ศ. 2558 ถึง 2569) ถือเป็นแผนแม่บทด้านทรัพยากรน้ํา ให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีซึ่งที่ผ่านมามีผลสัมฤทธิ์จากการดําเนินงานที่สําคัญ ๆ ได้แก่ พัฒนาประปาหมู่บ้านเกือบ 7,300 หมู่บ้าน คงเหลือ 199 หมู่บ้าน คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 62 พัฒนาแหล่งเก็บกักน้ําได้ ราว 1,500 ล้าน ลบ.ม.เพิ่มพื้นที่ชลประทาน รวม 2.53 ล้านไร่และฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมทั่วประเทศ รวม 0.48 ล้านไร่เป็นต้น (3) การผ่านกฎหมายแม่บทด้านน้ํา หรือกฎหมายน้ําฉบับแรกของประเทศไทย ก็คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ปลายปีนี้ ที่จะช่วยให้เกิดการบูรณาการในการใช้ พัฒนา บริหารจัดการ ฟื้นฟู และ อนุรักษ์ทรัพยากรน้ํา มีมาตรการป้องกัน และแก้ไขน้ําท่วม น้ําแล้ง วางหลักเกณฑ์ในการประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ในการเข้าถึงทรัพยากรน้ําสาธารณะ อีกทั้งมีองค์กรในการบริหารจัดการน้ํา ระดับชาติ ระดับลุ่มน้ํา และระดับองค์กรผู้ใช้น้ํา ที่สะท้อนการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกระดับ เพื่อจะร่วมกันบริหารจัดการน้ําของชาติเป็นต้น 2. การแก้ปัญหายาเสพติด โดยใช้นโยบายผู้เสพคือผู้ป่วยที่จะต้องได้รับการบําบัดรักษาอย่างถูกต้อง โดยแพทย์และพยาบาลในสถานพยาบาลของรัฐทุกแห่งทั่วประเทศ และหลังจากที่ผู้เสพได้รับการบําบัดรักษาแล้ว ก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมอย่างปกติสุข โดยรัฐบาลจะติดตาม ช่วยเหลือ และส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อให้ผู้เสพได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ สิ่งสําคัญที่สุดก็คือ ผู้เสพที่สมัครใจเข้ารับการบําบัดรักษา จะสามารถสมัครงานได้ โดยไม่เสียประวัติ ไม่โดนลงบันทึกอาชญากรรม สําหรับขั้นตอนการคืนคนดีสู่สังคมอย่างมีประสิทธิภาพนั้น รัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทํา หรือ“ศูนย์แคร์”ประจําเรือนจํา ทัณฑสถาน และสํานักงานยุติธรรมจังหวัด ขึ้น รวม 137 แห่ง ทั่วประเทศ เพื่อเป็นเสมือน“ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ” สําหรับการติดต่อประสานงานระหว่างผู้ต้องขังผู้พ้นโทษเครือข่ายภาคสังคม บริษัท ห้างร้าน ผู้ประกอบการ ฯลฯ เกี่ยวกับข้อมูลด้านการประกอบอาชีพ การให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือ และความต้องการรับจ้างแรงงาน เป็นต้น รวมทั้งสนับสนุนให้หน่วยงานภายนอกได้เข้ามามีบทบาท และมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ให้มีงาน มีอาชีพสุจริต ส่งเสริมให้ผู้กระทําผิดมีรายได้ ทั้งในขณะที่ต้องโทษ และอยู่ระหว่างที่ออกไปใช้ชีวิตในสังคมภายนอก สร้างขวัญกําลังใจและความมั่นใจให้กับผู้ต้องขังและผู้พ้นโทษ ได้มีโอกาสที่จะกลับตัวเป็นพลเมืองดีของสังคม ไม่ตกอยู่ในสภาวะ ล้มละลายทางสังคม ทั้งนี้ สถิติผู้ลงทะเบียนเข้าใช้บริการศูนย์CAREตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึง กันยายน 2561 ที่ผ่านมา เกือบ 27,000 คน โดยขอข้อมูลแหล่งงาน 3,000 กว่าคน ได้รับการจ้างงานแล้วเกือบ 400 คน ได้รับคําปรึกษากว่า 14,000 คน และได้รับการสงเคราะห์ด้านต่าง ๆ อีก กว่า 14,500 คน และ 3. การแก้ปัญหาความยากจนในระยะยั่งยืนด้วยการออม ได้แก่ (1) การออมผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ซึ่งสนับสนุนให้คนไทยตั้งแต่อายุ 15 - 60 ปี ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา เกษตรกร ชาวไร่ชาวนา อาชีพอิสระ ได้รู้จักการเก็บหอม รอมริบ ไม่ปล่อยให้ชีวิตอยู่บนความเสี่ยง หรือครอบครัวล้มละลายจากค่ารักษาพยาบาลในยามแก่ชรา รวมถึงเข้าถึงสวัสดิการแห่งรัฐ มีเงินรายเดือนไว้ใช้หลังอายุ 60 ปี เพิ่มเติมจากเบี้ยคนชราที่จะได้รับอยู่แล้ว กล่าวคือแต่ละเดือนก็จะมีรายรับเข้ามาสองทาง เพื่อจับจ่ายใช้สอยที่จําเป็น โดยสามารถออมเงินกับ กอช. ได้ ขั้นต่ําเดือนละ 50 บาท และปีละไม่เกิน 13,200 บาท แล้วรัฐบาลก็จะเติมเงินให้อีก 50 - 100% ตามช่วงอายุตามตารางบนหน้าจอนะครับ ปัจจุบันการสมัครสมาชิก กอช. ก็สามารถทําได้ง่าย ๆ ผ่านแอพพลิเคชัน“กอช”ในสมาร์ทโฟน ทุกระบบใช้ข้อมูลพื้นฐานเพียงหมายเลขบัตรประจําตัวประชาชน รหัสหลังบัตรประจําตัวประชาชน วันเดือนปีเกิดและหมายเลขโทรศัพท์เท่านั้น สําหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รัฐบาลก็สนับสนุนให้ใช้จ่ายผ่านบัตรฯ โดยรัฐบาลจะคืนเป็นเงินออมให้ 1% ทั้งนี้ ผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถไปตรวจสอบสิทธิและสมัครได้ที่ธนาคารของรัฐ 4 แห่ง หรือ สมัครผ่านแอพพลิเคชัน“กอช”ได้เช่นกัน และ (2) การออมรูปแบบใหม่ คือ การปลูกไม้มีค่าในที่ดินของตน นอกจากจะเป็นการเก็บออมแล้ว ยังถือเป็นหลักทรัพย์ค้ําประกัน และสร้างอาชีพที่มั่นคง ด้วยการปลูกไม้มีค่า ในลักษณะเกษตรผสมผสาน พร้อมกับเพิ่มพื้นที่ป่า และเป็นการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมไปด้วย จะเห็นได้ว่าการแก้ปัญหาต่าง ๆ อย่างยั่งยืน ต้องอาศัยการดําเนินการอย่างมียุทธศาสตร์ และต้องอาศัยเวลา อย่างเช่น โครงการพัฒนาดอยตุงฯ ก็ใช้ระยะเวลาถึง 30 ปี ในการดําเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเราไม่ลดละความพยายาม เราก็จะประสบความสําเร็จ อย่างที่เห็นเป็นประจักษ์แก่สายตา ทั้งชาวไทยและชาวโลก ว่าการ“ปลูกป่า ปลูกคน”เป็นกุศโลบาย ที่ช่วยแก้ปัญหาทั้งเรื่องน้ํา ความยากจน และยาเสพติด ไปพร้อม ๆ กันได้ ทั้งนี้ การดําเนินการอย่างมีระบบ ระเบียบ ก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้ที่ต้องมีหลักวิชาการ ต้องดูแลรักษา และใช้เวลาในการผลิดอก ออกผล เพียงแต่เราต้องรู้ว่ากําลังทําอะไร เพื่ออะไร ซึ่งก็คือ“สร้างวันนี้ เพื่ออนาคต”นั่นเองนะครับ พี่น้องประชาชนครับ ผมมีเรื่องที่น่ายินดีสําหรับคนไทยทุกคนอีกครั้ง เกี่ยวกับผลการจัดอันดับความสามารถทางการแข่งขันระดับโลก 4.0 ประจําปี 2018 ของWorld Economic Forum ในปีนี้ ประเทศไทยมีอันดับและคะแนนดีขึ้น ถือว่าได้ก้าวเข้าสู่ความเป็น 4.0 มากขึ้น โดยปรับมาอยู่ในอันดับที่ 38 จาก 140 ประเทศทั่วโลก จากเดิมอยู่ในอันดับที่ 40 เมื่อปีที่แล้ว สําหรับในอาเซียนนั้น ไทยอยู่อันดับที่ 3 รองจากสิงคโปร์และมาเลเซียส่วนในกลุ่มอาเซียน+3 ไทยอยู่อันดับที่ 6 จาก 12 ประเทศ รองจากสิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย และจีน ซึ่งก็เป็นอันดับคงที่มาหลายปี แสดงให้เห็นถึงสถานะทางการแข่งขันที่มั่นคงของไทยในเวทีนี้ได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ไทยถือเป็น 1 ใน 3 ประเทศที่ไม่ได้มีรายได้ต่อประชากรในระดับที่สูง แต่ยังสามารถเข้ามาอยู่ใน 40 อันดับแรกของโลกได้ในขณะที่อีก 2 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย อันดับที่ 25 และจีนอันดับที่ 28 คะแนนเหล่านี้เป็นผลมาจากเก็บข้อมูลเชิงลึก จากการสอบถามผู้บริหารระดับสูงขององค์กรขนาดใหญ่ และขนาดย่อมในทุกภาคอุตสาหกรรม โดยเทียบกับภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ มีเกณฑ์การประเมิน 12 ด้าน 98 ตัวชี้วัด ซึ่งประเทศไทยมีจุดแข็งด้านระบบการเงิน อยู่ในอันดับ 14 ของโลก เพราะมีความพร้อมด้านเงินทุน วงเงินสินเชื่อที่ให้กับเอกชน ผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน ของSMEsและสตาร์ทอัพ รวมถึงเสถียรภาพของธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ ยังมีจุดแข็งด้านขนาดของตลาดอยู่ในอันดับ 18 ของโลกมาจากการที่บริษัทต่าง ๆ สามารถเข้าถึงตลาดภายในประเทศการลงทุน และการส่งออก หรือตลาดต่างประเทศได้สะดวก อย่างไรก็ตามเราก็ยังมีจุดที่ต้องพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อจะก้าวสู่ความเป็น 4.0 ให้ได้มากขึ้น เช่น ด้านการแข่งขันภายในประเทศ ซึ่งไทยอยู่ในอันดับที่ 92 ของโลก สําหรับเรื่องของการแข่งขันภายในประเทศนั้น เราจะต้องเปิดโอกาสให้บริษัทต่าง ๆ ได้มีการแข่งขันกันอย่างเท่าเทียมกฎระเบียบไม่ซับซ้อน ซึ่งจะนําไปสู่นวัตกรรมในด้านต่าง ๆ ได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีด้านการศึกษาและทักษะ ที่อยู่ในอันดับที่ 66 ของโลก เรายังต้องให้ความสําคัญอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประเทศของเรามีความพร้อมและรู้เท่าทันโลกมากขึ้นด้วย การสํารวจความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่าง ๆ ผ่านดัชนีความสามารถทางการแข่งขันระดับโลก 4.0 นี้ เปรียบได้กับไม้บรรทัด ที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกจับตาดู เพราะนอกจากจะเป็นการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของแต่ละประเทศแล้ว ยังสามารถชี้ให้เห็นถึงจุดเด่นและประเด็นที่ต้องพิจารณาปรับปรุง รวมถึงศักยภาพในการที่จะให้ประเทศต่าง ๆ เข้ามาลงทุน เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต ซึ่งจากการที่ผมได้ไปเข้าร่วมการประชุม ณ ต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา ผมก็สัมผัสได้ว่าผู้นําหลายประเทศมีความเข้าใจ และสนับสนุนแนวทางการพัฒนาของไทย โดยเฉพาะการน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศ เพื่อจะสร้างความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงเป้าหมายสําคัญในการปฏิรูป เพื่อพลิกโฉมเมืองไทยให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และประชาชนอยู่ดีกินดีภายใน 20 ปีข้างหน้า ด้วยการมุ่งมั่นเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในทุกมิติ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติอีกด้วย นอกจากนี้ มีการประเมินผลหนึ่ง ที่กําลังอยู่ในความสนใจก็คือ เรื่องการพัฒนาทุนมนุษย์ ที่ธนาคารโลกได้พยายามจัดทําดัชนีชี้วัดภายใต้โครงการทุนมนุษย์ ที่เพิ่งริเริ่มขึ้น โดยพิจารณาวัดระดับของการสร้างทุนมนุษย์จากศักยภาพของเด็ก ที่ได้รับตั้งแต่เกิดจนจบชั้นมัธยม โดยดูจากอัตราการอยู่รอดโอกาสทางการศึกษา และผลการศึกษา รวมทั้งสุขภาพของเด็กเหล่านั้น ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะทําการวัดออกมาได้ผลที่เป็นตัวเลขที่ถูกต้องสมบูรณ์ ล่าสุดWorld Economic Forum ได้นําเสนอว่า สถาบันด้านHealth Metrics and Evaluationที่สหรัฐอเมริกา ได้จัดทําวิธีคํานวณอย่างเป็นระบบขึ้น จากการวิเคราะห์ผลสํารวจ กว่า 2,500 ชุดและการลงพื้นที่สอบถามในเรื่องความเป็นอยู่ โอกาสทางการศึกษา และการเรียนรู้ รวมถึงสุขภาพ แล้วนํามาประมวลผลให้ได้ค่าที่สะท้อนให้เห็นถึงระดับทุนมนุษย์ วิธีนี้ได้ถูกนํามาใช้วัดระดับทุนมนุษย์ของ 195 ประเทศทั่วโลก นับตั้งแต่ปี 2533 และปี 2559 พบว่าประเทศที่อยู่ในอันดับต้น ๆ ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในยุโรป เช่น ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ และเดนมาร์ก แต่ส่วนที่น่าสนใจมากกว่าก็คือ ประเทศที่พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้เป็น“ทุนมนุษย์”ที่มีคุณภาพมากขึ้น สะท้อนจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น กว่าประเทศอื่น ๆ โดยเฉลี่ย ซึ่งมีทั้งหมด 4 ประเทศ ก็คือ ตุรกี จีน บราซิล และไทย ที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและการให้ความสําคัญอย่างมาก กับการพัฒนาคนของประเทศในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งธนาคารโลก และWorld Economic Forumก็เห็นตรงกันว่า ในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศนั้น เรื่องของคุณภาพคน หรือ“ทุนมนุษย์”มีความสําคัญมากกว่าทุนด้านอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักรหรือเงินทุน เพราะมนุษย์คือปัจจัยการผลิตที่สําคัญ และสามารถจะพัฒนาเรียนรู้ได้ไม่สิ้นสุด ด้วยต้นทุนที่ไม่ต้องสูงมาก เมื่อเทียบกับการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรในการผลิตแต่ละครั้ง ซึ่งนักวิจัยจากสถาบันด้านHealth Matric and Evaluationและธนาคารโลก ในการประชุมผู้นําอาเซียนครั้งล่าสุด ก็ได้ชื่นชมว่าไทยเป็นหนึ่งในประเทศรายได้ปานกลางแรก ๆ ที่มีโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และการให้บริการอย่างทั่วถึงของหน่วยบริการปฐมภูมิ เช่น คลินิกหมอครอบครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลนี้ ได้พัฒนาต่อมา ทั้งหมดนี้เป็นรากฐานที่ดีให้กับการพัฒนาทุนมนุษย์ของไทย และการศึกษานี้ ยังชี้ด้วยว่าระดับของทุนมนุษย์จะเป็นส่วนสําคัญ ในการขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศในระยะต่อไป ที่ผ่านมาเราก็ได้มีการต่อยอดบริการสาธารณสุขของประเทศอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาและเตรียมพร้อม ในเรื่องทุนมนุษย์ของประเทศควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะให้เยาวชนมีทักษะและความสนใจ ในการคิดค้นพัฒนานวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีการขยายโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม ไปสู่โรงเรียน มากกว่า 150 แห่งทั่วประเทศ เพื่อฝึกฝนและพัฒนาความเป็น“นวัตกร”แก่เยาวชนไทย และ พัฒนาทักษะSTEMในเด็กวัยเรียนผ่านการเรียนรู้แบบ“เพลิน ”หรือPlay and Learnด้วย เพราะการศึกษาที่จะทําให้คนไทยอยู่รอดได้ในศตวรรษที่ 21 นั้น ไม่ได้มีอยู่ในห้องเรียนหรือในบทเรียนเท่านั้นเราต้องกระตุ้นให้เกิดการค้นคว้าและค้นพบด้วยตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้สามารถต่อยอดความคิดต่าง ๆ ได้มากขึ้น นอกจากเรื่องความรู้ความสามารถ ที่จะเป็นพื้นฐานของการเตรียมทุนมนุษย์แล้ว ก็ยังต้องมีเรื่องคุณธรรม จริยธรรม เพื่อให้เป็นทุนมนุษย์ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ในช่วงนี้มีกิจกรรมที่ผมอยากจะเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งก็คือ การแสดงโขนที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดแสดงขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อน ๆ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้มีส่วนร่วมสืบสานวัฒนธรรมไทยให้อยู่สืบไป โดยมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ได้จัดการแสดงโขนรามเกียรติ์มาแล้วทั้งหมด 7 ตอน ตั้งแต่ปี 2550 และในปีนี้ มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ได้เลือกบทโขนรามเกียรติ์ ตอน“พิเภกสวามิภักดิ์”ซึ่งเป็นการสื่อความหมายของความจงรักภักดี และการรักษาความเที่ยงธรรม สุจริต อีกทั้งยังมีการผสมผสาน สร้างสรรค์มาจากบทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ฉบับต่าง ๆ อาทิ บทพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 1 รัชกาลที่ 2และรัชกาลที่ 6 โดยผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน ได้ตั้งใจทําทุกอย่างด้วยความประณีต วิจิตรตระการตา เป็นอย่างยิ่ง โดยการแสดงโขนนี้ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 5 ธันวาคม ศกนี้ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยผมจึงขอเชิญชวนให้คนรักโขน รักศิลปะวัฒนธรรมไทย รวมถึงพี่น้องประชาชนคนไทยไปชมการแสดงโขนที่จัดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบนี้ ซึ่งจะมีเพียงปีละครั้งเท่านั้น ก่อนจบวันนี้ ต้องขอแจ้งเตือนประชาชนในเรื่องลมฟ้าอากาศด้วยครับ ภาคใต้จะมีฝนตกชุก อาจมีน้ําท่วมขังในบางพื้นที่หรือตามพื้นถนน ภาคเหนือ อากาศจะเริ่มเย็นลง ภาคอื่น ๆอาจประสบภัยแล้งในการทําการเกษตร อ่างเก็บน้ํามีปัญหาหลายแห่งด้วยกัน เนื่องจากฝนตกน้อย ตกซ้ําในบางพื้นที่ ไม่ตกในพื้นที่อ่าง ทะเลอาจจะมีคลื่นลมแรง การไปพักผ่อนเที่ยวเตร่ ประกอบอาชีพประมงและอื่น ๆ ให้ความสนใจติดตามพยากรณ์อากาศด้วยนะครับ ขอบคุณนะครับขอให้ทุกคนมีสุขภาพร่างกาย และจิตใจที่แข็งแรง และทุกครอบครัวมีความสุข ปลอดภัยสวัสดีครับ .................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561 วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561 ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน วันที่ 21 ตุลาคมของทุกปี ตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่งรัฐบาลได้กําหนดให้เป็น“วันรักต้นไม้ประจําปีของชาติ”เพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ“สมเด็จย่า”ที่ทรงให้ความสําคัญและทรงสนพระทัยเกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่า และการฟื้นฟูความสมดุลทางธรรมชาติ โดยพระองค์ทรงปลูกและบํารุงรักษาต้นไม้ ด้วยพระองค์เอง มาตลอดพระชนม์ชีพ ผมขอยกตัวอย่างโครงการพัฒนาดอยตุง อันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดเชียงราย ที่พระองค์ทรงเล็งเห็นถึงต้นเหตุแห่งปัญหา ของประชาชนจาก 6 ชนเผ่า ในพื้นที่ 29 หมู่บ้าน กว่า 11,000 คน ที่ต้องประกอบอาชีพผิดกฎหมาย เช่น การทําไร่เลื่อนลอย การปลูกฝิ่น และการตกเขียวเพื่อค้าประเวณี เนื่องจากความยากจน ความไม่รู้ และการขาดโอกาสในชีวิต ทั้งนี้ ด้วยพระวิสัยทัศน์และพระราชปณิธานอันแรงกล้าของพระองค์ ที่ทรงปรารถนาให้ชาวดอยตุง สามารถพึ่งพาตัวเองได้ และอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างยั่งยืน จึงทรงริเริ่มดําเนินโครงการในรูปแบบ“ปลูกป่า ปลูกคน”กล่าวคือ การแก้ปัญหาความยากจนที่ยึดคนเป็นศูนย์กลาง และยึดหลักความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ที่สมดุลกับความมั่นคงทางสังคมและความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ การปลูกป่าที่ดอยตุง จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการคืนความสมบูรณ์จากสภาพป่าเขาที่เสื่อมโทรม พื้นดินที่หมดสภาพ และลําธารที่แห้งเหือด ให้พลิกฟื้นกลับเป็นป่าต้นน้ําอันอุดมสมบูรณ์ ป่าเศรษฐกิจ และป่าใช้สอยในสัดส่วนที่พอเหมาะสําหรับการหล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนบนดอยตุง ควบคู่กับการปลูกป่า ก็คือการปลูกคนให้พึ่งพาตนเองได้ และพัฒนาชุมชนต่อไป มีการสร้างงานและอาชีพหลากหลาย สําหรับคนที่มีความถนัดต่างกัน เช่น การปลูก การแปรรูปกาแฟและแมคคาเดเมียการผลิตงานหัตถกรรมการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เกษตรภูมิทัศน์งานบริการและการท่องเที่ยว เป็นต้นสําหรับเยาวชนรุ่นใหม่ ซึ่งจะเติบโตเป็นผู้นําในอนาคตนั้น ก็มีโครงการพัฒนาการศึกษาในโรงเรียน 8 แห่ง เพื่อสร้างพลเมืองที่ดีมีภูมิคุ้มกัน สามารถพัฒนาตนเองและสังคมได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เมื่อปี 2546 สํานักงานควบคุมยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ ได้ยกย่องหลักการพัฒนาของโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ว่ามีส่วนสําคัญอย่างยิ่ง ในการลดปริมาณการปลูกพืชเสพติด และแก้ปัญหาความยากจน ได้อย่างยั่งยืน เพื่อถวายเป็นราชสักการะ แสดงกตัญญูกตเวทิตาคุณ และสนองพระราชปณิธานของ“แม่ฟ้าหลวง”ซึ่งเป็นพระสมัญญานาม ที่ชาวไทยภูเขา พร้อมใจกันเรียกขานสมเด็จย่า และเพื่อเป็นการน้อมนําศาสตร์พระราชา ซึ่งเป็นพระราชดํารัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ตอนหนึ่ง ที่ว่า“...ควรจะปลูกต้นไม้ในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดิน และ รักษาต้นไม้ด้วยตนเอง...”มาสู่การปฏิบัตินะครับ ดังนั้นจึงได้นําคณะรัฐมนตรีร่วมกันปลูกไม้พะยูง เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการส่งเสริม และสร้างจิตสํานึกให้กับชาวไทยทุกคนเกิดความหวงแหน และร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาติ ให้คงอยู่เป็นมรดกของลูกหลานต่อไป พี่น้องประชาชนที่รักครับ หลักปรัชญา“ปลูกป่า ปลูกคน”ของสมเด็จย่า จากโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ที่ผมได้กล่าวมานั้น หากเราศึกษาอย่างลึกซึ้ง แล้วจะเห็นความเชื่อมโยงกันของแนวทางแก้ปมปัญหาพื้นฐาน ด้านเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และสิ่งแวดล้อมของชาติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเราทุกคน ที่เป็นทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ ใน 3 เรื่อง ได้แก่ การแก้ปัญหาเกี่ยวกับ น้ํา ยาเสพติดและความยากจน รัฐบาลนี้ ได้มีความตระหนักในสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น และมุ่งมั่นที่จะน้อมนําหลักคิดดังกล่าวมา“สืบสาน รักษา ต่อยอด”โดยกําหนดเป็นมาตรการและนโยบายสาธารณะ สําหรับการแก้ปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้น ในภาพรวม ดังนี้ 1. การแก้ปัญหา“น้ํา”โดยดําเนินการ 3 เสาหลัก ได้แก่ (1) การตั้งสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ เป็นองค์กรกลาง เพื่อให้เกิดเอกภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําทั้งระบบในภาพรวม ตั้งแต่ป่าต้นน้ํา แหล่งเก็บกักน้ํา พื้นที่เพาะปลูก ไปจนถึงปากอ่าว (2) การขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์น้ํา 12 ปี (พ.ศ. 2558 ถึง 2569) ถือเป็นแผนแม่บทด้านทรัพยากรน้ํา ให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีซึ่งที่ผ่านมามีผลสัมฤทธิ์จากการดําเนินงานที่สําคัญ ๆ ได้แก่ พัฒนาประปาหมู่บ้านเกือบ 7,300 หมู่บ้าน คงเหลือ 199 หมู่บ้าน คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 62 พัฒนาแหล่งเก็บกักน้ําได้ ราว 1,500 ล้าน ลบ.ม.เพิ่มพื้นที่ชลประทาน รวม 2.53 ล้านไร่และฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมทั่วประเทศ รวม 0.48 ล้านไร่เป็นต้น (3) การผ่านกฎหมายแม่บทด้านน้ํา หรือกฎหมายน้ําฉบับแรกของประเทศไทย ก็คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ปลายปีนี้ ที่จะช่วยให้เกิดการบูรณาการในการใช้ พัฒนา บริหารจัดการ ฟื้นฟู และ อนุรักษ์ทรัพยากรน้ํา มีมาตรการป้องกัน และแก้ไขน้ําท่วม น้ําแล้ง วางหลักเกณฑ์ในการประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ในการเข้าถึงทรัพยากรน้ําสาธารณะ อีกทั้งมีองค์กรในการบริหารจัดการน้ํา ระดับชาติ ระดับลุ่มน้ํา และระดับองค์กรผู้ใช้น้ํา ที่สะท้อนการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกระดับ เพื่อจะร่วมกันบริหารจัดการน้ําของชาติเป็นต้น 2. การแก้ปัญหายาเสพติด โดยใช้นโยบายผู้เสพคือผู้ป่วยที่จะต้องได้รับการบําบัดรักษาอย่างถูกต้อง โดยแพทย์และพยาบาลในสถานพยาบาลของรัฐทุกแห่งทั่วประเทศ และหลังจากที่ผู้เสพได้รับการบําบัดรักษาแล้ว ก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมอย่างปกติสุข โดยรัฐบาลจะติดตาม ช่วยเหลือ และส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อให้ผู้เสพได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ สิ่งสําคัญที่สุดก็คือ ผู้เสพที่สมัครใจเข้ารับการบําบัดรักษา จะสามารถสมัครงานได้ โดยไม่เสียประวัติ ไม่โดนลงบันทึกอาชญากรรม สําหรับขั้นตอนการคืนคนดีสู่สังคมอย่างมีประสิทธิภาพนั้น รัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทํา หรือ“ศูนย์แคร์”ประจําเรือนจํา ทัณฑสถาน และสํานักงานยุติธรรมจังหวัด ขึ้น รวม 137 แห่ง ทั่วประเทศ เพื่อเป็นเสมือน“ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ” สําหรับการติดต่อประสานงานระหว่างผู้ต้องขังผู้พ้นโทษเครือข่ายภาคสังคม บริษัท ห้างร้าน ผู้ประกอบการ ฯลฯ เกี่ยวกับข้อมูลด้านการประกอบอาชีพ การให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือ และความต้องการรับจ้างแรงงาน เป็นต้น รวมทั้งสนับสนุนให้หน่วยงานภายนอกได้เข้ามามีบทบาท และมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ให้มีงาน มีอาชีพสุจริต ส่งเสริมให้ผู้กระทําผิดมีรายได้ ทั้งในขณะที่ต้องโทษ และอยู่ระหว่างที่ออกไปใช้ชีวิตในสังคมภายนอก สร้างขวัญกําลังใจและความมั่นใจให้กับผู้ต้องขังและผู้พ้นโทษ ได้มีโอกาสที่จะกลับตัวเป็นพลเมืองดีของสังคม ไม่ตกอยู่ในสภาวะ ล้มละลายทางสังคม ทั้งนี้ สถิติผู้ลงทะเบียนเข้าใช้บริการศูนย์CAREตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึง กันยายน 2561 ที่ผ่านมา เกือบ 27,000 คน โดยขอข้อมูลแหล่งงาน 3,000 กว่าคน ได้รับการจ้างงานแล้วเกือบ 400 คน ได้รับคําปรึกษากว่า 14,000 คน และได้รับการสงเคราะห์ด้านต่าง ๆ อีก กว่า 14,500 คน และ 3. การแก้ปัญหาความยากจนในระยะยั่งยืนด้วยการออม ได้แก่ (1) การออมผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ซึ่งสนับสนุนให้คนไทยตั้งแต่อายุ 15 - 60 ปี ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา เกษตรกร ชาวไร่ชาวนา อาชีพอิสระ ได้รู้จักการเก็บหอม รอมริบ ไม่ปล่อยให้ชีวิตอยู่บนความเสี่ยง หรือครอบครัวล้มละลายจากค่ารักษาพยาบาลในยามแก่ชรา รวมถึงเข้าถึงสวัสดิการแห่งรัฐ มีเงินรายเดือนไว้ใช้หลังอายุ 60 ปี เพิ่มเติมจากเบี้ยคนชราที่จะได้รับอยู่แล้ว กล่าวคือแต่ละเดือนก็จะมีรายรับเข้ามาสองทาง เพื่อจับจ่ายใช้สอยที่จําเป็น โดยสามารถออมเงินกับ กอช. ได้ ขั้นต่ําเดือนละ 50 บาท และปีละไม่เกิน 13,200 บาท แล้วรัฐบาลก็จะเติมเงินให้อีก 50 - 100% ตามช่วงอายุตามตารางบนหน้าจอนะครับ ปัจจุบันการสมัครสมาชิก กอช. ก็สามารถทําได้ง่าย ๆ ผ่านแอพพลิเคชัน“กอช”ในสมาร์ทโฟน ทุกระบบใช้ข้อมูลพื้นฐานเพียงหมายเลขบัตรประจําตัวประชาชน รหัสหลังบัตรประจําตัวประชาชน วันเดือนปีเกิดและหมายเลขโทรศัพท์เท่านั้น สําหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รัฐบาลก็สนับสนุนให้ใช้จ่ายผ่านบัตรฯ โดยรัฐบาลจะคืนเป็นเงินออมให้ 1% ทั้งนี้ ผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถไปตรวจสอบสิทธิและสมัครได้ที่ธนาคารของรัฐ 4 แห่ง หรือ สมัครผ่านแอพพลิเคชัน“กอช”ได้เช่นกัน และ (2) การออมรูปแบบใหม่ คือ การปลูกไม้มีค่าในที่ดินของตน นอกจากจะเป็นการเก็บออมแล้ว ยังถือเป็นหลักทรัพย์ค้ําประกัน และสร้างอาชีพที่มั่นคง ด้วยการปลูกไม้มีค่า ในลักษณะเกษตรผสมผสาน พร้อมกับเพิ่มพื้นที่ป่า และเป็นการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมไปด้วย จะเห็นได้ว่าการแก้ปัญหาต่าง ๆ อย่างยั่งยืน ต้องอาศัยการดําเนินการอย่างมียุทธศาสตร์ และต้องอาศัยเวลา อย่างเช่น โครงการพัฒนาดอยตุงฯ ก็ใช้ระยะเวลาถึง 30 ปี ในการดําเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเราไม่ลดละความพยายาม เราก็จะประสบความสําเร็จ อย่างที่เห็นเป็นประจักษ์แก่สายตา ทั้งชาวไทยและชาวโลก ว่าการ“ปลูกป่า ปลูกคน”เป็นกุศโลบาย ที่ช่วยแก้ปัญหาทั้งเรื่องน้ํา ความยากจน และยาเสพติด ไปพร้อม ๆ กันได้ ทั้งนี้ การดําเนินการอย่างมีระบบ ระเบียบ ก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้ที่ต้องมีหลักวิชาการ ต้องดูแลรักษา และใช้เวลาในการผลิดอก ออกผล เพียงแต่เราต้องรู้ว่ากําลังทําอะไร เพื่ออะไร ซึ่งก็คือ“สร้างวันนี้ เพื่ออนาคต”นั่นเองนะครับ พี่น้องประชาชนครับ ผมมีเรื่องที่น่ายินดีสําหรับคนไทยทุกคนอีกครั้ง เกี่ยวกับผลการจัดอันดับความสามารถทางการแข่งขันระดับโลก 4.0 ประจําปี 2018 ของWorld Economic Forum ในปีนี้ ประเทศไทยมีอันดับและคะแนนดีขึ้น ถือว่าได้ก้าวเข้าสู่ความเป็น 4.0 มากขึ้น โดยปรับมาอยู่ในอันดับที่ 38 จาก 140 ประเทศทั่วโลก จากเดิมอยู่ในอันดับที่ 40 เมื่อปีที่แล้ว สําหรับในอาเซียนนั้น ไทยอยู่อันดับที่ 3 รองจากสิงคโปร์และมาเลเซียส่วนในกลุ่มอาเซียน+3 ไทยอยู่อันดับที่ 6 จาก 12 ประเทศ รองจากสิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย และจีน ซึ่งก็เป็นอันดับคงที่มาหลายปี แสดงให้เห็นถึงสถานะทางการแข่งขันที่มั่นคงของไทยในเวทีนี้ได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ไทยถือเป็น 1 ใน 3 ประเทศที่ไม่ได้มีรายได้ต่อประชากรในระดับที่สูง แต่ยังสามารถเข้ามาอยู่ใน 40 อันดับแรกของโลกได้ในขณะที่อีก 2 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย อันดับที่ 25 และจีนอันดับที่ 28 คะแนนเหล่านี้เป็นผลมาจากเก็บข้อมูลเชิงลึก จากการสอบถามผู้บริหารระดับสูงขององค์กรขนาดใหญ่ และขนาดย่อมในทุกภาคอุตสาหกรรม โดยเทียบกับภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ มีเกณฑ์การประเมิน 12 ด้าน 98 ตัวชี้วัด ซึ่งประเทศไทยมีจุดแข็งด้านระบบการเงิน อยู่ในอันดับ 14 ของโลก เพราะมีความพร้อมด้านเงินทุน วงเงินสินเชื่อที่ให้กับเอกชน ผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน ของSMEsและสตาร์ทอัพ รวมถึงเสถียรภาพของธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ ยังมีจุดแข็งด้านขนาดของตลาดอยู่ในอันดับ 18 ของโลกมาจากการที่บริษัทต่าง ๆ สามารถเข้าถึงตลาดภายในประเทศการลงทุน และการส่งออก หรือตลาดต่างประเทศได้สะดวก อย่างไรก็ตามเราก็ยังมีจุดที่ต้องพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อจะก้าวสู่ความเป็น 4.0 ให้ได้มากขึ้น เช่น ด้านการแข่งขันภายในประเทศ ซึ่งไทยอยู่ในอันดับที่ 92 ของโลก สําหรับเรื่องของการแข่งขันภายในประเทศนั้น เราจะต้องเปิดโอกาสให้บริษัทต่าง ๆ ได้มีการแข่งขันกันอย่างเท่าเทียมกฎระเบียบไม่ซับซ้อน ซึ่งจะนําไปสู่นวัตกรรมในด้านต่าง ๆ ได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีด้านการศึกษาและทักษะ ที่อยู่ในอันดับที่ 66 ของโลก เรายังต้องให้ความสําคัญอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประเทศของเรามีความพร้อมและรู้เท่าทันโลกมากขึ้นด้วย การสํารวจความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่าง ๆ ผ่านดัชนีความสามารถทางการแข่งขันระดับโลก 4.0 นี้ เปรียบได้กับไม้บรรทัด ที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกจับตาดู เพราะนอกจากจะเป็นการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของแต่ละประเทศแล้ว ยังสามารถชี้ให้เห็นถึงจุดเด่นและประเด็นที่ต้องพิจารณาปรับปรุง รวมถึงศักยภาพในการที่จะให้ประเทศต่าง ๆ เข้ามาลงทุน เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต ซึ่งจากการที่ผมได้ไปเข้าร่วมการประชุม ณ ต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา ผมก็สัมผัสได้ว่าผู้นําหลายประเทศมีความเข้าใจ และสนับสนุนแนวทางการพัฒนาของไทย โดยเฉพาะการน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศ เพื่อจะสร้างความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงเป้าหมายสําคัญในการปฏิรูป เพื่อพลิกโฉมเมืองไทยให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และประชาชนอยู่ดีกินดีภายใน 20 ปีข้างหน้า ด้วยการมุ่งมั่นเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในทุกมิติ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติอีกด้วย นอกจากนี้ มีการประเมินผลหนึ่ง ที่กําลังอยู่ในความสนใจก็คือ เรื่องการพัฒนาทุนมนุษย์ ที่ธนาคารโลกได้พยายามจัดทําดัชนีชี้วัดภายใต้โครงการทุนมนุษย์ ที่เพิ่งริเริ่มขึ้น โดยพิจารณาวัดระดับของการสร้างทุนมนุษย์จากศักยภาพของเด็ก ที่ได้รับตั้งแต่เกิดจนจบชั้นมัธยม โดยดูจากอัตราการอยู่รอดโอกาสทางการศึกษา และผลการศึกษา รวมทั้งสุขภาพของเด็กเหล่านั้น ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะทําการวัดออกมาได้ผลที่เป็นตัวเลขที่ถูกต้องสมบูรณ์ ล่าสุดWorld Economic Forum ได้นําเสนอว่า สถาบันด้านHealth Metrics and Evaluationที่สหรัฐอเมริกา ได้จัดทําวิธีคํานวณอย่างเป็นระบบขึ้น จากการวิเคราะห์ผลสํารวจ กว่า 2,500 ชุดและการลงพื้นที่สอบถามในเรื่องความเป็นอยู่ โอกาสทางการศึกษา และการเรียนรู้ รวมถึงสุขภาพ แล้วนํามาประมวลผลให้ได้ค่าที่สะท้อนให้เห็นถึงระดับทุนมนุษย์ วิธีนี้ได้ถูกนํามาใช้วัดระดับทุนมนุษย์ของ 195 ประเทศทั่วโลก นับตั้งแต่ปี 2533 และปี 2559 พบว่าประเทศที่อยู่ในอันดับต้น ๆ ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในยุโรป เช่น ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ และเดนมาร์ก แต่ส่วนที่น่าสนใจมากกว่าก็คือ ประเทศที่พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้เป็น“ทุนมนุษย์”ที่มีคุณภาพมากขึ้น สะท้อนจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น กว่าประเทศอื่น ๆ โดยเฉลี่ย ซึ่งมีทั้งหมด 4 ประเทศ ก็คือ ตุรกี จีน บราซิล และไทย ที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและการให้ความสําคัญอย่างมาก กับการพัฒนาคนของประเทศในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งธนาคารโลก และWorld Economic Forumก็เห็นตรงกันว่า ในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศนั้น เรื่องของคุณภาพคน หรือ“ทุนมนุษย์”มีความสําคัญมากกว่าทุนด้านอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักรหรือเงินทุน เพราะมนุษย์คือปัจจัยการผลิตที่สําคัญ และสามารถจะพัฒนาเรียนรู้ได้ไม่สิ้นสุด ด้วยต้นทุนที่ไม่ต้องสูงมาก เมื่อเทียบกับการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรในการผลิตแต่ละครั้ง ซึ่งนักวิจัยจากสถาบันด้านHealth Matric and Evaluationและธนาคารโลก ในการประชุมผู้นําอาเซียนครั้งล่าสุด ก็ได้ชื่นชมว่าไทยเป็นหนึ่งในประเทศรายได้ปานกลางแรก ๆ ที่มีโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และการให้บริการอย่างทั่วถึงของหน่วยบริการปฐมภูมิ เช่น คลินิกหมอครอบครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลนี้ ได้พัฒนาต่อมา ทั้งหมดนี้เป็นรากฐานที่ดีให้กับการพัฒนาทุนมนุษย์ของไทย และการศึกษานี้ ยังชี้ด้วยว่าระดับของทุนมนุษย์จะเป็นส่วนสําคัญ ในการขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศในระยะต่อไป ที่ผ่านมาเราก็ได้มีการต่อยอดบริการสาธารณสุขของประเทศอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาและเตรียมพร้อม ในเรื่องทุนมนุษย์ของประเทศควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะให้เยาวชนมีทักษะและความสนใจ ในการคิดค้นพัฒนานวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีการขยายโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม ไปสู่โรงเรียน มากกว่า 150 แห่งทั่วประเทศ เพื่อฝึกฝนและพัฒนาความเป็น“นวัตกร”แก่เยาวชนไทย และ พัฒนาทักษะSTEMในเด็กวัยเรียนผ่านการเรียนรู้แบบ“เพลิน ”หรือPlay and Learnด้วย เพราะการศึกษาที่จะทําให้คนไทยอยู่รอดได้ในศตวรรษที่ 21 นั้น ไม่ได้มีอยู่ในห้องเรียนหรือในบทเรียนเท่านั้นเราต้องกระตุ้นให้เกิดการค้นคว้าและค้นพบด้วยตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้สามารถต่อยอดความคิดต่าง ๆ ได้มากขึ้น นอกจากเรื่องความรู้ความสามารถ ที่จะเป็นพื้นฐานของการเตรียมทุนมนุษย์แล้ว ก็ยังต้องมีเรื่องคุณธรรม จริยธรรม เพื่อให้เป็นทุนมนุษย์ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ในช่วงนี้มีกิจกรรมที่ผมอยากจะเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งก็คือ การแสดงโขนที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดแสดงขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อน ๆ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้มีส่วนร่วมสืบสานวัฒนธรรมไทยให้อยู่สืบไป โดยมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ได้จัดการแสดงโขนรามเกียรติ์มาแล้วทั้งหมด 7 ตอน ตั้งแต่ปี 2550 และในปีนี้ มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ได้เลือกบทโขนรามเกียรติ์ ตอน“พิเภกสวามิภักดิ์”ซึ่งเป็นการสื่อความหมายของความจงรักภักดี และการรักษาความเที่ยงธรรม สุจริต อีกทั้งยังมีการผสมผสาน สร้างสรรค์มาจากบทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ฉบับต่าง ๆ อาทิ บทพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 1 รัชกาลที่ 2และรัชกาลที่ 6 โดยผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน ได้ตั้งใจทําทุกอย่างด้วยความประณีต วิจิตรตระการตา เป็นอย่างยิ่ง โดยการแสดงโขนนี้ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 5 ธันวาคม ศกนี้ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยผมจึงขอเชิญชวนให้คนรักโขน รักศิลปะวัฒนธรรมไทย รวมถึงพี่น้องประชาชนคนไทยไปชมการแสดงโขนที่จัดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบนี้ ซึ่งจะมีเพียงปีละครั้งเท่านั้น ก่อนจบวันนี้ ต้องขอแจ้งเตือนประชาชนในเรื่องลมฟ้าอากาศด้วยครับ ภาคใต้จะมีฝนตกชุก อาจมีน้ําท่วมขังในบางพื้นที่หรือตามพื้นถนน ภาคเหนือ อากาศจะเริ่มเย็นลง ภาคอื่น ๆอาจประสบภัยแล้งในการทําการเกษตร อ่างเก็บน้ํามีปัญหาหลายแห่งด้วยกัน เนื่องจากฝนตกน้อย ตกซ้ําในบางพื้นที่ ไม่ตกในพื้นที่อ่าง ทะเลอาจจะมีคลื่นลมแรง การไปพักผ่อนเที่ยวเตร่ ประกอบอาชีพประมงและอื่น ๆ ให้ความสนใจติดตามพยากรณ์อากาศด้วยนะครับ ขอบคุณนะครับขอให้ทุกคนมีสุขภาพร่างกาย และจิตใจที่แข็งแรง และทุกครอบครัวมีความสุข ปลอดภัยสวัสดีครับ .................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16366
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด ก.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่กำกับตรวจสอบโรงงานคัดแยกขยะ จ.อยุธยา
วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน 2561 ปลัด ก.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่กํากับตรวจสอบโรงงานคัดแยกขยะ จ.อยุธยา ปลัด ก.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่กํากับตรวจสอบโรงงานคัดแยกขยะ จ.อยุธยา วันนี้ (30 มิถุนายน 2561) นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายจุลพงษ์ ทวีศรี นางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายบรรจง สุกรีฑา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจกํากับการตรวจสอบโรงงานคัดแยกขยะของบริษัท ฮีดากา โยโก เอ็นเตอร์ไพรส์ จํากัด (สาขาอยุธยา) จังหวัดอยุธยา ซึ่งเป็นโรงงานที่ดําเนินธุรกิจคัดแยกวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่เป็นของเสียอันตราย อัดและตัดเศษโลหะ และแปรรูปวัตถุดิบแล้วส่วนใหญ่จะส่งจําหน่ายไปยังโรงหลอมเหล็กภายในประเทศ ส่วนที่เหลือส่งออกต่างประเทศ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด ก.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่กำกับตรวจสอบโรงงานคัดแยกขยะ จ.อยุธยา วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน 2561 ปลัด ก.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่กํากับตรวจสอบโรงงานคัดแยกขยะ จ.อยุธยา ปลัด ก.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่กํากับตรวจสอบโรงงานคัดแยกขยะ จ.อยุธยา วันนี้ (30 มิถุนายน 2561) นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายจุลพงษ์ ทวีศรี นางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายบรรจง สุกรีฑา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจกํากับการตรวจสอบโรงงานคัดแยกขยะของบริษัท ฮีดากา โยโก เอ็นเตอร์ไพรส์ จํากัด (สาขาอยุธยา) จังหวัดอยุธยา ซึ่งเป็นโรงงานที่ดําเนินธุรกิจคัดแยกวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่เป็นของเสียอันตราย อัดและตัดเศษโลหะ และแปรรูปวัตถุดิบแล้วส่วนใหญ่จะส่งจําหน่ายไปยังโรงหลอมเหล็กภายในประเทศ ส่วนที่เหลือส่งออกต่างประเทศ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13483
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” บูรณาการความร่วมมือเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชน เข้าถึงงานบริการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ
วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561 “ยุติธรรม” บูรณาการความร่วมมือเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชน เข้าถึงงานบริการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ กระทรวงยุติธรรม บูรณาการความร่วมมือเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชน เข้าถึงงานบริการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ ในวันศุกร์ที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานและช่วยเหลือประชาชน ให้เข้าถึงงานบริการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ (คปช.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการประสานงานและช่วยเหลือประชาชน ให้เข้าถึงงานบริการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ (คปช.) ครั้งที่ ๓//๒๕๖๑ โดยที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแก้ไข (ร่าง) บันทึกข้อตกลงการบูรณาการความร่วมมือ เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐให้มีความสมบูรณ์ พร้อมทั้งพิจารณาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องรูปแบบการจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง การบูรณาการความร่วมมือเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐ ที่มีกําหนดจัดขึ้นในวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๑ เพื่อจะได้สร้างเป็นกลไกและมาตรการร่วมกัน ในการขับเคลื่อนการดําเนินงานช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงงานบริการของรัฐ ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นการขับเคลื่อนพัฒนาขีดความสามารถการให้บริการ และเสริมสร้างหลักประกันความยุติธรรมให้กับประชาชนในทุกระดับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” บูรณาการความร่วมมือเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชน เข้าถึงงานบริการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561 “ยุติธรรม” บูรณาการความร่วมมือเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชน เข้าถึงงานบริการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ กระทรวงยุติธรรม บูรณาการความร่วมมือเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชน เข้าถึงงานบริการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ ในวันศุกร์ที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานและช่วยเหลือประชาชน ให้เข้าถึงงานบริการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ (คปช.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการประสานงานและช่วยเหลือประชาชน ให้เข้าถึงงานบริการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ (คปช.) ครั้งที่ ๓//๒๕๖๑ โดยที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแก้ไข (ร่าง) บันทึกข้อตกลงการบูรณาการความร่วมมือ เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐให้มีความสมบูรณ์ พร้อมทั้งพิจารณาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องรูปแบบการจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง การบูรณาการความร่วมมือเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงงานบริการพื้นฐานของรัฐ ที่มีกําหนดจัดขึ้นในวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๑ เพื่อจะได้สร้างเป็นกลไกและมาตรการร่วมกัน ในการขับเคลื่อนการดําเนินงานช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงงานบริการของรัฐ ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นการขับเคลื่อนพัฒนาขีดความสามารถการให้บริการ และเสริมสร้างหลักประกันความยุติธรรมให้กับประชาชนในทุกระดับ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12360
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เล็งเตรียมพื้นที่ จว.ชลบุรี เพิ่มเติม รองรับคนไทยทยอยกลับจากต่างประเทศบินตรงลงอู่ตะเภา
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563 เล็งเตรียมพื้นที่ จว.ชลบุรี เพิ่มเติม รองรับคนไทยทยอยกลับจากต่างประเทศบินตรงลงอู่ตะเภา จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID - 19 และการประสานกับกระทรวงต่างประเทศ ได้รับทราบข้อมูลมีคนไทยในต่างประเทศอีกจํานวนมาก ที่มีความประสงค์จะเดินทางกลับประเทศไทย ซึ่งภาครัฐโดยความร่วมมือกับภาคเอกชน จําเป็นต้องเตรียมพื้นที่และการบริหารจัดการคัดกรองเข้าสู่กระบวนการกักควบคุมโรคแห่งรัฐที่กําหนด ( State Quarantine ) ให้มีจํานวนเพียงพอสําหรับอํานวยความสะดวกรองรับคนไทยที่ทยอยเดินทางกลับเข้ามา โดยเฉพาะเที่ยวบินจากต่างประเทศที่บินตรงลง ณ ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา กระทรวงกลาโหมโดย พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปล.กห.พร้อมคณะ ได้เดินทางไปค่ายนวมินทรา จว.ชลบุรี เป็นประธานประชุมหารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหัวหน้าหลายส่วนราชการในพื้นที่ ประกอบด้วย รองปล.สธ. ผวจ.ชลบุรี ผู้ตรวจราชการ สธ. มทภ.1 ผบ.ชภ.ภาค 2 นายกเมืองพัทยา นายก อบจ.ระยอง ผอ.สาธารณสุขนิเทศน์ เขต 6 นายแพทย์สาธารณสุข จว.ชลบุรี ผอ.สํานักงานป้องกันและควบคุมโรคที่ 6 และประธานโรงพยาบาลกรุงเทพ - พัทยา รวมทั้งผู้แทน บก.ทท.และเหล่าทัพ โดยที่ประชุมได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อบูรณาการทรัพยากรและการทํางานร่วมกันของภาครัฐและภาคเอกชนในด้านต่างๆ ทั้งด้านการอํานวยการประสานงาน ด้านการป้องกันและควบคุมโรค ด้านการรักษาพยาบาลและการส่งกลับ ด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัย รวมทั้งด้านการรักษาความปลอดภัย รองรับคนไทยที่ทยอยเดินทางกลับจากต่างประเทศ นอกจากนั้นได้ร่วมกันวางแผนขับเคลื่อนการบริหารจัดการระดับพื้นที่และยังได้ร่วมพิจารณาแผนการใช้โรงแรมในพื้นที่อีก 7 แห่ง จํานวน 2,500 ห้อง เพื่อหมุนเวียนรองรับเป็นพื้นที่กักควบคุมโรคแห่งรัฐเพิ่มเติม จากโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน ซึ่งมีอยู่เดิม โดยปัจจุบันมีผู้เข้าพักกักควบคุมโรคแล้ว จํานวน 577 ห้อง พล.อ.ณัฐ’ ปล.กห.ได้กล่าวแสดงความขอบคุณทุกส่วนราชการ และย้ําถึงความร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวกันถือเป็นปัจจัยของความสําเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค เพื่อความปลอดภัยของสังคมในภาพรวม พร้อมทั้งขอให้ทํางานร่วมกันโดยตั้งอยู่ในความไม่ประมาท จากนั้นได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่กักควบคุมโรคแห่งรัฐ ณ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน โดยภาพรวมที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากทุกส่วนราชการ รวมทั้งภาคเอกชนและภาคประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดียิ่ง ซึ่งถือเป็นต้นแบบของพื้นที่กักควบคุมโรคของรัฐ ที่สามารถขยายผลรองรับในภูมิภาคต่างๆ ที่มีท่าอากาศยานนานาชาติในอนาคต
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เล็งเตรียมพื้นที่ จว.ชลบุรี เพิ่มเติม รองรับคนไทยทยอยกลับจากต่างประเทศบินตรงลงอู่ตะเภา วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563 เล็งเตรียมพื้นที่ จว.ชลบุรี เพิ่มเติม รองรับคนไทยทยอยกลับจากต่างประเทศบินตรงลงอู่ตะเภา จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID - 19 และการประสานกับกระทรวงต่างประเทศ ได้รับทราบข้อมูลมีคนไทยในต่างประเทศอีกจํานวนมาก ที่มีความประสงค์จะเดินทางกลับประเทศไทย ซึ่งภาครัฐโดยความร่วมมือกับภาคเอกชน จําเป็นต้องเตรียมพื้นที่และการบริหารจัดการคัดกรองเข้าสู่กระบวนการกักควบคุมโรคแห่งรัฐที่กําหนด ( State Quarantine ) ให้มีจํานวนเพียงพอสําหรับอํานวยความสะดวกรองรับคนไทยที่ทยอยเดินทางกลับเข้ามา โดยเฉพาะเที่ยวบินจากต่างประเทศที่บินตรงลง ณ ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา กระทรวงกลาโหมโดย พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปล.กห.พร้อมคณะ ได้เดินทางไปค่ายนวมินทรา จว.ชลบุรี เป็นประธานประชุมหารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหัวหน้าหลายส่วนราชการในพื้นที่ ประกอบด้วย รองปล.สธ. ผวจ.ชลบุรี ผู้ตรวจราชการ สธ. มทภ.1 ผบ.ชภ.ภาค 2 นายกเมืองพัทยา นายก อบจ.ระยอง ผอ.สาธารณสุขนิเทศน์ เขต 6 นายแพทย์สาธารณสุข จว.ชลบุรี ผอ.สํานักงานป้องกันและควบคุมโรคที่ 6 และประธานโรงพยาบาลกรุงเทพ - พัทยา รวมทั้งผู้แทน บก.ทท.และเหล่าทัพ โดยที่ประชุมได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อบูรณาการทรัพยากรและการทํางานร่วมกันของภาครัฐและภาคเอกชนในด้านต่างๆ ทั้งด้านการอํานวยการประสานงาน ด้านการป้องกันและควบคุมโรค ด้านการรักษาพยาบาลและการส่งกลับ ด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัย รวมทั้งด้านการรักษาความปลอดภัย รองรับคนไทยที่ทยอยเดินทางกลับจากต่างประเทศ นอกจากนั้นได้ร่วมกันวางแผนขับเคลื่อนการบริหารจัดการระดับพื้นที่และยังได้ร่วมพิจารณาแผนการใช้โรงแรมในพื้นที่อีก 7 แห่ง จํานวน 2,500 ห้อง เพื่อหมุนเวียนรองรับเป็นพื้นที่กักควบคุมโรคแห่งรัฐเพิ่มเติม จากโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน ซึ่งมีอยู่เดิม โดยปัจจุบันมีผู้เข้าพักกักควบคุมโรคแล้ว จํานวน 577 ห้อง พล.อ.ณัฐ’ ปล.กห.ได้กล่าวแสดงความขอบคุณทุกส่วนราชการ และย้ําถึงความร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวกันถือเป็นปัจจัยของความสําเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค เพื่อความปลอดภัยของสังคมในภาพรวม พร้อมทั้งขอให้ทํางานร่วมกันโดยตั้งอยู่ในความไม่ประมาท จากนั้นได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่กักควบคุมโรคแห่งรัฐ ณ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน โดยภาพรวมที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากทุกส่วนราชการ รวมทั้งภาคเอกชนและภาคประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดียิ่ง ซึ่งถือเป็นต้นแบบของพื้นที่กักควบคุมโรคของรัฐ ที่สามารถขยายผลรองรับในภูมิภาคต่างๆ ที่มีท่าอากาศยานนานาชาติในอนาคต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30592
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีปัญหาคนเร่ร่อน คนไร้ที่พึ่ง และกรณีเงินอุดหนุนสงเคราะห์
วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม 2561 กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีปัญหาคนเร่ร่อน คนไร้ที่พึ่ง และกรณีเงินอุดหนุนสงเคราะห์ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีปัญหาคนเร่ร่อน คนไร้ที่พึ่ง และกรณีเงินอุดหนุนสงเคราะห์ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2561 นางนภา เศรษฐกร อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ชี้แจงกรณีมูลนิธิอิสระชน ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) แจงข้อเท็จจริง กรณีปัญหาคนเร่ร่อน คนไร้ที่พึ่ง และกรณีเงินอุดหนุนสงเคราะห์ โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ขอชี้แจงดังนี้ ปัญหาคนเร่ร่อน คนไร้บ้าน 1. จํานวนคนเร่ร่อนมีมากถึง 3,630 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2559 จํานวน 175 คน หรือร้อยละ 10 พื้นที่ที่มีคนเร่ร่อนมากที่สุดคือเขตพระนคร ประเภทของกลุ่มคนใช้ชีวิตในที่สาธารณะที่น่าเป็นห่วงคือ “กลุ่มผู้ป่วยข้างถนน” ที่มีมากถึง 740 คน และพบว่าปี 2560 มีผู้เสียชีวิตข้างถนนกว่า 28 ราย 2. จากการเก็บข้อมูลผู้ที่มีอาชีพค้าบริการบริเวณรอบเกาะรัตนโกสินทร์กว่า 1,000 คน กว่าร้อยละ 70 เป็นคนที่มีอายุตั้งแต่ 30-70 ปี สะท้อนว่าคนเร่ร่อนที่ออกมาหาอาชีพเลี้ยงตัวเองตามถนนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ จากการสํารวจข้อมูลคนไร้ที่พึ่งทั่วประเทศของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (ข้อมูลระบบสารสนเทศของ พส.) พบว่ามีคนไร้ที่พึ่งทั่วประเทศ จํานวน 70,539 คน ซึ่งทางมูลนิธิอิสระชนได้สํารวจคนเร่ร่อนในเขตกรุงเทพฯ ปี 2560 มีมากถึง 3,630 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2559 จํานวน 175 คน หรือร้อยละ 10 พื้นที่ที่มีคนเร่ร่อนมากที่สุด คือ เขตพระนคร ประเภทของกลุ่มคนใช้ชีวิตในที่สาธารณะที่น่าเป็นห่วงคือ “กลุ่มผู้ป่วยข้างถนน” ที่มีมากถึง 740 คน และพบว่าปี 2560 มีผู้เสียชีวิตข้างถนนกว่า 28 ราย กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ มีภารกิจในการให้ความคุ้มครองสวัสดิภาพ และช่วยเหลือกลุ่มคนไร้ที่พึ่งและคนขอทานโดยตระหนักถึงคุณค่าของกลุ่มเป้าหมาย ในฐานะมนุษย์ที่ควรได้รับการดูแลคุณภาพชีวิต และได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสมตามศักยภาพของแต่ละบุคคล โดยดําเนินการภายใต้พระราชบัญญัติการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2557 และพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. 2559 นอกจากนี้ มีคณะกรรมการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จัดทํายุทธศาสตร์การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2560 – 2564 กําหนดนโยบายและกํากับติดตามการดําเนินงานขององค์กรที่ดําเนินการด้านการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าว กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการได้ดําเนินการ “จัดระเบียบคนไร้ที่พึ่ง” ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ระหว่างเดือนมีนาคม - ตุลาคม 2560 มีจํานวนคนไร้ที่พึ่ง กทม. มีทั้งสิ้น 853 คน ทั้งนี้ พบว่า สาเหตุสําคัญ 3 ประการใน คือ ภาวการณ์ตกงาน/ไม่มีงานทํา จํานวน 512 คน อาการเจ็บป่วยทางจิตและกาย จํานวน 170 คน และ ไม่มีที่อยู่อาศัย จํานวน 171 คน ขณะที่สถานการณ์ “คนไร้ที่พึ่ง” ที่เป็น “ผู้สูงอายุ” และใช้ชีวิตในที่สาธารณะเพิ่มขึ้น พบว่ามีสาเหตุ ดังนี้ 1) โรคความจําเสื่อม (อัลไซเมอร์) ส่งผลต่อพฤติกรรม หลงลืม ทําให้พลัดหลง ไม่สามารถกลับบ้านได้ 2) ข้อจํากัดด้านเศรษฐกิจของครอบครัว ไม่มีเวลาในการดูแลเอาใจใส่ ส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้สูงอายุ รู้สึกด้อยคุณค่า และออกมาเร่ร่อน 3) ไม่ต้องการเป็นภาระของครอบครัว/ต้องการใช้ชีวิตอิสระ เนื่องจากภาวะความเจ็บป่วย และความน้อยเนื้อต่ําใจต่อคุณค่าในตนเอง นโยบายและการขับเคลื่อนเพื่อคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการมีนโยบายการขับเคลื่อนการดําเนินงานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง แบ่งออกเป็น 3 กระบวนการ เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ คือ “กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงบริการพื้นฐาน พัฒนาสู่การพึ่งพาตนเอง” ดังนี้ มาตรการป้องกัน 1. จัดระเบียบคนไร้ที่พึ่งและคนขอทานทั่วประเทศทุกเดือน โดยในปี 2560 มีจํานวน 1,759 ราย (เดือน มี.ค.- ต.ค. 60) 2. จัดชุดปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการขอทานและคนไร้ที่พึ่ง กรุงเทพฯจัดระเบียบในเขตกรุงเทพฯ ทุกเดือน ใน 6 พื้นที่ ครอบคลุมทุกเขตในกรุงเทพฯ 3. รณรงค์และประชาสัมพันธ์ “ปิดช่อง ป้องกัน คนไร้ที่พึ่ง และคนขอทาน” จํานวน 4 ครั้ง ณ จังหวัดภูเก็ต จังหวัดอุดรธานี เชียงใหม่ และสมุทรปราการ 4. โครงการ “ตําบลต้นแบบห่วงใย ไม่ทอดทิ้งกัน” ส่งเสริม สนับสนุนครอบครัว และชุมชน พึ่งพากันและมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่ง และคนขอทานในพื้นที่ รวมทั้งมีส่วนร่วมส่งเสริมและสนับสนุนการจัดสวัสดิการ มีจํานวน 76 ตําบลต้นแบบ (1 จังหวัด / 1 ตําบลต้นแบบ) 5. โครงการ “Family Data : เปิดประตู เยี่ยมบ้าน สร้างสะพานสู่สวัสดิการสังคม” ปี 2561-2562 ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านผู้ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ จํานวน 252,788 ครอบครัว เพื่อประเมินและวางแผนให้ความช่วยเหลือ มาตรการคุ้มครอง 1. ให้การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งในศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ใน 77 แห่ง ทั่วประเทศ ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 25 ม.ค. 61) มีจํานวนคนไร้ที่พึ่งและคนขอทานในความดูแล จํานวน 939 คน แบ่งเป็น คนไร้ที่พึ่ง 820 คน / คนขอทาน 56 คน / จิตเวช 63 คน คนไร้ที่พึ่ง (มีอาการทางจิต) 2,196 คน / คนไร้ที่พึ่ง (ตาม พ.ร.บ.สุขภาพจิต) 804 คน และคนขอทาน 119 คน 2. ให้การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ทั้ง 11 แห่ง ทั่วประเทศ ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 25 ม.ค. 61) มีจํานวนคนไร้ที่พึ่งและคนขอทานในความดูแล จํานวน 4,539 คน แบ่งเป็น คนไร้ที่พึ่ง (ไม่มีอาการทางจิต) 1,420 คน / คนไร้ที่พึ่ง (มีอาการทางจิต) 2,196 คน / คนไร้ที่พึ่ง (ตาม พ.ร.บ.สุขภาพจิต) 804 คน และคนขอทาน 119 คน 3. ให้บริการบ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเปิดให้บริการแล้ว จํานวน 2 แห่ง ได้แก่ บ้านมิตรไมตรีสายไหม, บ้านมิตรไมตรีห้วยขวาง และมีแผนเปิดบริการเพิ่มเติม อีก 2 แห่ง คือ บ้านมิตรไมตรีธนบุรี และบ้านมิตรไมตรีอ่อนนุช เพื่อให้บริการเชิงรุกในระดับพื้นที่ การช่วยเหลือด้านเงินอุดหนุนสงเคราะห์ จากสถานการณ์ข่าว “เงินอุดหนุนสงเคราะห์ฯ” กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ได้กําหนดมาตรการป้องกันการทุจริตเงินอุดหนุนสงเคราะห์ ดังนี้ 1. มาตรการจัดสรรเงินอุดหนุนสงเคราะห์ • ส่วนกลางแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารเงินอุดหนุนสงเคราะห์ โดยให้คณะกรรมการฯ มีหน้าที่ กําหนดเกณฑ์การจัดสรรในกรณีปกติ/ฉุกเฉิน กําหนดวงเงินที่จัดสรร และกําหนดวิธีการในการติดตาม 2. มาตรการการจ่ายเงินอุดหนุนสงเคราะห์ • การพิจารณาช่วยเหลือรายกรณี/รายกลุ่ม ให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองให้ความช่วยเหลือ ในลักษณะความร่วมมือแบบ One Home (การร่วมมือกันของหน่วยงานสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความั่นคงของมนุษย์) ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค • วิธีการจ่ายเงิน มี 3 รูปแบบ ประกอบด้วย (1) โอนเข้าบัญชี (2) สั่งจ่ายรูปแบบเช็ค (3) จ่ายเป็นเงินสด กรณีผู้ประสบปัญหาทางสังคม ไม่สะดวกรับโอนผ่านธนาคาร หรือรับเชคให้จ่ายเป็นเงินสด โดยถ่ายรูปให้เห็นจํานวนเงินที่มอบ และมีพยานที่เป็นบุคคลภายนอก กรณีที่จ่ายเงินสดเป็นกลุ่มใหญ่ ให้จ่ายในสถานที่ราชการ หรือในที่สาธารณะ โดยมีภาคี เครือข่ายเป็นพยาน 3. มาตรการติดตามการจ่ายเงินอุดหนุนสงเคราะห์ • ให้หัวหน้าหน่วยงานสุ่มตรวจติดตามการจ่ายเงิน • กรมแต่งตั้งคณะกรรมการนิเทศติดตาม และกําหนดแผนการติดตามอย่างต่อเนื่อง • ขอความร่วมมือ “กองตรวจราชการ” สํานักงานปลัดกระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ บรรจุประเด็นการติดตามประเมินผลการจ่ายเงินอุดหนุนสงเคราะห์ ในแผนการตรวจติดตามต่อไป 4. มาตรการลงโทษ • หากพบการกระทําทุจริต ไม่ว่าจะด้วยพยานหลักฐาน พยานบุคคล หรืออื่นใด จะดําเนินการลงโทษโดยทันที ------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีปัญหาคนเร่ร่อน คนไร้ที่พึ่ง และกรณีเงินอุดหนุนสงเคราะห์ วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม 2561 กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีปัญหาคนเร่ร่อน คนไร้ที่พึ่ง และกรณีเงินอุดหนุนสงเคราะห์ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีปัญหาคนเร่ร่อน คนไร้ที่พึ่ง และกรณีเงินอุดหนุนสงเคราะห์ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2561 นางนภา เศรษฐกร อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ชี้แจงกรณีมูลนิธิอิสระชน ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) แจงข้อเท็จจริง กรณีปัญหาคนเร่ร่อน คนไร้ที่พึ่ง และกรณีเงินอุดหนุนสงเคราะห์ โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ขอชี้แจงดังนี้ ปัญหาคนเร่ร่อน คนไร้บ้าน 1. จํานวนคนเร่ร่อนมีมากถึง 3,630 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2559 จํานวน 175 คน หรือร้อยละ 10 พื้นที่ที่มีคนเร่ร่อนมากที่สุดคือเขตพระนคร ประเภทของกลุ่มคนใช้ชีวิตในที่สาธารณะที่น่าเป็นห่วงคือ “กลุ่มผู้ป่วยข้างถนน” ที่มีมากถึง 740 คน และพบว่าปี 2560 มีผู้เสียชีวิตข้างถนนกว่า 28 ราย 2. จากการเก็บข้อมูลผู้ที่มีอาชีพค้าบริการบริเวณรอบเกาะรัตนโกสินทร์กว่า 1,000 คน กว่าร้อยละ 70 เป็นคนที่มีอายุตั้งแต่ 30-70 ปี สะท้อนว่าคนเร่ร่อนที่ออกมาหาอาชีพเลี้ยงตัวเองตามถนนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ จากการสํารวจข้อมูลคนไร้ที่พึ่งทั่วประเทศของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (ข้อมูลระบบสารสนเทศของ พส.) พบว่ามีคนไร้ที่พึ่งทั่วประเทศ จํานวน 70,539 คน ซึ่งทางมูลนิธิอิสระชนได้สํารวจคนเร่ร่อนในเขตกรุงเทพฯ ปี 2560 มีมากถึง 3,630 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2559 จํานวน 175 คน หรือร้อยละ 10 พื้นที่ที่มีคนเร่ร่อนมากที่สุด คือ เขตพระนคร ประเภทของกลุ่มคนใช้ชีวิตในที่สาธารณะที่น่าเป็นห่วงคือ “กลุ่มผู้ป่วยข้างถนน” ที่มีมากถึง 740 คน และพบว่าปี 2560 มีผู้เสียชีวิตข้างถนนกว่า 28 ราย กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ มีภารกิจในการให้ความคุ้มครองสวัสดิภาพ และช่วยเหลือกลุ่มคนไร้ที่พึ่งและคนขอทานโดยตระหนักถึงคุณค่าของกลุ่มเป้าหมาย ในฐานะมนุษย์ที่ควรได้รับการดูแลคุณภาพชีวิต และได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสมตามศักยภาพของแต่ละบุคคล โดยดําเนินการภายใต้พระราชบัญญัติการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2557 และพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. 2559 นอกจากนี้ มีคณะกรรมการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จัดทํายุทธศาสตร์การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2560 – 2564 กําหนดนโยบายและกํากับติดตามการดําเนินงานขององค์กรที่ดําเนินการด้านการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าว กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการได้ดําเนินการ “จัดระเบียบคนไร้ที่พึ่ง” ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ระหว่างเดือนมีนาคม - ตุลาคม 2560 มีจํานวนคนไร้ที่พึ่ง กทม. มีทั้งสิ้น 853 คน ทั้งนี้ พบว่า สาเหตุสําคัญ 3 ประการใน คือ ภาวการณ์ตกงาน/ไม่มีงานทํา จํานวน 512 คน อาการเจ็บป่วยทางจิตและกาย จํานวน 170 คน และ ไม่มีที่อยู่อาศัย จํานวน 171 คน ขณะที่สถานการณ์ “คนไร้ที่พึ่ง” ที่เป็น “ผู้สูงอายุ” และใช้ชีวิตในที่สาธารณะเพิ่มขึ้น พบว่ามีสาเหตุ ดังนี้ 1) โรคความจําเสื่อม (อัลไซเมอร์) ส่งผลต่อพฤติกรรม หลงลืม ทําให้พลัดหลง ไม่สามารถกลับบ้านได้ 2) ข้อจํากัดด้านเศรษฐกิจของครอบครัว ไม่มีเวลาในการดูแลเอาใจใส่ ส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้สูงอายุ รู้สึกด้อยคุณค่า และออกมาเร่ร่อน 3) ไม่ต้องการเป็นภาระของครอบครัว/ต้องการใช้ชีวิตอิสระ เนื่องจากภาวะความเจ็บป่วย และความน้อยเนื้อต่ําใจต่อคุณค่าในตนเอง นโยบายและการขับเคลื่อนเพื่อคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการมีนโยบายการขับเคลื่อนการดําเนินงานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง แบ่งออกเป็น 3 กระบวนการ เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ คือ “กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงบริการพื้นฐาน พัฒนาสู่การพึ่งพาตนเอง” ดังนี้ มาตรการป้องกัน 1. จัดระเบียบคนไร้ที่พึ่งและคนขอทานทั่วประเทศทุกเดือน โดยในปี 2560 มีจํานวน 1,759 ราย (เดือน มี.ค.- ต.ค. 60) 2. จัดชุดปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการขอทานและคนไร้ที่พึ่ง กรุงเทพฯจัดระเบียบในเขตกรุงเทพฯ ทุกเดือน ใน 6 พื้นที่ ครอบคลุมทุกเขตในกรุงเทพฯ 3. รณรงค์และประชาสัมพันธ์ “ปิดช่อง ป้องกัน คนไร้ที่พึ่ง และคนขอทาน” จํานวน 4 ครั้ง ณ จังหวัดภูเก็ต จังหวัดอุดรธานี เชียงใหม่ และสมุทรปราการ 4. โครงการ “ตําบลต้นแบบห่วงใย ไม่ทอดทิ้งกัน” ส่งเสริม สนับสนุนครอบครัว และชุมชน พึ่งพากันและมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่ง และคนขอทานในพื้นที่ รวมทั้งมีส่วนร่วมส่งเสริมและสนับสนุนการจัดสวัสดิการ มีจํานวน 76 ตําบลต้นแบบ (1 จังหวัด / 1 ตําบลต้นแบบ) 5. โครงการ “Family Data : เปิดประตู เยี่ยมบ้าน สร้างสะพานสู่สวัสดิการสังคม” ปี 2561-2562 ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านผู้ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ จํานวน 252,788 ครอบครัว เพื่อประเมินและวางแผนให้ความช่วยเหลือ มาตรการคุ้มครอง 1. ให้การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งในศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ใน 77 แห่ง ทั่วประเทศ ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 25 ม.ค. 61) มีจํานวนคนไร้ที่พึ่งและคนขอทานในความดูแล จํานวน 939 คน แบ่งเป็น คนไร้ที่พึ่ง 820 คน / คนขอทาน 56 คน / จิตเวช 63 คน คนไร้ที่พึ่ง (มีอาการทางจิต) 2,196 คน / คนไร้ที่พึ่ง (ตาม พ.ร.บ.สุขภาพจิต) 804 คน และคนขอทาน 119 คน 2. ให้การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ทั้ง 11 แห่ง ทั่วประเทศ ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 25 ม.ค. 61) มีจํานวนคนไร้ที่พึ่งและคนขอทานในความดูแล จํานวน 4,539 คน แบ่งเป็น คนไร้ที่พึ่ง (ไม่มีอาการทางจิต) 1,420 คน / คนไร้ที่พึ่ง (มีอาการทางจิต) 2,196 คน / คนไร้ที่พึ่ง (ตาม พ.ร.บ.สุขภาพจิต) 804 คน และคนขอทาน 119 คน 3. ให้บริการบ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเปิดให้บริการแล้ว จํานวน 2 แห่ง ได้แก่ บ้านมิตรไมตรีสายไหม, บ้านมิตรไมตรีห้วยขวาง และมีแผนเปิดบริการเพิ่มเติม อีก 2 แห่ง คือ บ้านมิตรไมตรีธนบุรี และบ้านมิตรไมตรีอ่อนนุช เพื่อให้บริการเชิงรุกในระดับพื้นที่ การช่วยเหลือด้านเงินอุดหนุนสงเคราะห์ จากสถานการณ์ข่าว “เงินอุดหนุนสงเคราะห์ฯ” กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ได้กําหนดมาตรการป้องกันการทุจริตเงินอุดหนุนสงเคราะห์ ดังนี้ 1. มาตรการจัดสรรเงินอุดหนุนสงเคราะห์ • ส่วนกลางแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารเงินอุดหนุนสงเคราะห์ โดยให้คณะกรรมการฯ มีหน้าที่ กําหนดเกณฑ์การจัดสรรในกรณีปกติ/ฉุกเฉิน กําหนดวงเงินที่จัดสรร และกําหนดวิธีการในการติดตาม 2. มาตรการการจ่ายเงินอุดหนุนสงเคราะห์ • การพิจารณาช่วยเหลือรายกรณี/รายกลุ่ม ให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองให้ความช่วยเหลือ ในลักษณะความร่วมมือแบบ One Home (การร่วมมือกันของหน่วยงานสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความั่นคงของมนุษย์) ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค • วิธีการจ่ายเงิน มี 3 รูปแบบ ประกอบด้วย (1) โอนเข้าบัญชี (2) สั่งจ่ายรูปแบบเช็ค (3) จ่ายเป็นเงินสด กรณีผู้ประสบปัญหาทางสังคม ไม่สะดวกรับโอนผ่านธนาคาร หรือรับเชคให้จ่ายเป็นเงินสด โดยถ่ายรูปให้เห็นจํานวนเงินที่มอบ และมีพยานที่เป็นบุคคลภายนอก กรณีที่จ่ายเงินสดเป็นกลุ่มใหญ่ ให้จ่ายในสถานที่ราชการ หรือในที่สาธารณะ โดยมีภาคี เครือข่ายเป็นพยาน 3. มาตรการติดตามการจ่ายเงินอุดหนุนสงเคราะห์ • ให้หัวหน้าหน่วยงานสุ่มตรวจติดตามการจ่ายเงิน • กรมแต่งตั้งคณะกรรมการนิเทศติดตาม และกําหนดแผนการติดตามอย่างต่อเนื่อง • ขอความร่วมมือ “กองตรวจราชการ” สํานักงานปลัดกระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ บรรจุประเด็นการติดตามประเมินผลการจ่ายเงินอุดหนุนสงเคราะห์ ในแผนการตรวจติดตามต่อไป 4. มาตรการลงโทษ • หากพบการกระทําทุจริต ไม่ว่าจะด้วยพยานหลักฐาน พยานบุคคล หรืออื่นใด จะดําเนินการลงโทษโดยทันที ------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10567
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการต่างประเทศชี้แจง ประเด็นความไม่โปร่งใส การประมูลโครงการจ้างผลิตหนังสือเดินทาง
วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ 2561 กระทรวงการต่างประเทศชี้แจง ประเด็นความไม่โปร่งใส การประมูลโครงการจ้างผลิตหนังสือเดินทาง อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงประเด็นความไม่โปร่งใสการประมูลโครงการจ้างผลิตหนังสือเดินทาง เมื่อที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 นางสาวบุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงประเด็นความไม่โปร่งใสการประมูลโครงการจ้างผลิตหนังสือเดินทาง ตามที่ บทความ “คมคิด ฅนเขียน” นสพ.เดลินิวส์ ตั้งข้อสังเกตโครงการจ้างผลิตและให้บริการจัดทําหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ ระยะที่ 3 ด้วยวิธี E-bidding จํานวน 15 ล้านเล่ม ปรากฏว่ามีเอกชนเพียงรายเดียวที่ได้สัญญาจ้างผลิตมาตั้งแต่ปี 2548 คือ บริษัท จันวาณิชย์ ซีเคียวรีตี้พริ้นท์ติ้ง จํากัด ผู้เขียนกล่าวหาว่าการตรวจสอบคุณสมบัติบริษัทที่เข้ารับการพิจารณาจัดซื้อจัดจ้างใช้เวลาน้อยมากเพียง 4 วัน ครอบคลุมกระบวนการตรวจสอบข้อกําหนดทั้งหมด และเงื่อนไขการมีผลงานในการผลิตหนังสือเดินทาง พบว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท จันวาณิชย์ ซีเคียวรีตี้พริ้นท์ติ้ง จํากัด โดยเฉพาะ นั้น กระทรวงการต่างประเทศขอชี้แจง ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้เผยแพร่ร่าง TOR บนเว็บไซต์ตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ. 2561 ซึ่งหากนับถึงวันเสนอราคาในวันที่ 20 เม.ย. 2561 มีระยะกว่า 2 เดือนครึ่ง ซึ่งเป็นระยะเวลามากกว่าที่ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง พ.ศ. 2560 และระเบียบที่เกี่ยวข้องกําหนดไว้ว่าตั้งแต่วันเผยแพร่เอกสารประกวดราคาจนถึงวันเสนอราคาต้องมีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 20 วันทําการ กระบวนการทดสอบสาธิต (benchmark test) ในวันที่ 26 - 27 เม.ย. 2561 ซึ่งเป็นกระบวนการหลักเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของผู้เสนอราคา เป็นกระบวนการทดสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ซึ่งโดยปกติผู้ประกอบการที่มีความเชี่ยวชาญในงานด้านหนังสือเดินทางชั้นนํา (ซึ่งมีอยู่จํานวนหลายรายทั่วโลก รวมถึงผู้ประกอบการของไทยด้วยและเป็นกลุ่มเป้าหมายเพื่อเชิญชวนให้เข้าร่วมการประกวดราคา) พึงมีอยู่แล้ว มิได้เป็นการทดสอบผู้เสนอราคาด้วยการให้สร้างโครงสร้างสถาปัตยกรรมทางสารสนเทศขึ้นใหม่หมดแต่อย่างใด นอกจากนี้ ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ต้องจัดทําการสาธิตภายใน 5 วันทําการ นับถัดจากวันเสนอราคา (20 เม.ย. 2561) อนึ่ง โดยที่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างในกําหนดการปัจจุบันจะเสร็จสิ้นลงและกระทรวงการต่างประเทศจะต้องลงนามกับผู้ชนะการประกวดราคาภายในวันที่ 31 พ.ค. 2561 เพื่อให้มีระยะเวลาที่เหลืออยู่ (ประมาณ 9 เดือน) สําหรับเตรียมการขึ้นระบบงานหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ระยะที่ 3 โดยมีกําหนดเริ่มโครงการในวันที่ 1 มี.ค. 2562 เมื่อสัญญาช่วงเปลี่ยนผ่านโครงการสิ้นสุดลง ดังนั้น การขยายระยะเวลาของกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างออกไป อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในการขึ้นโครงการที่จะไม่สามารถดําเนินการได้ทันในกรอบเวลาดังกล่าว อันจะส่งผลกระทบต่องานหนังสือเดินทางซึ่งเป็นบริการสาธารณะและอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนในที่สุด ทั้งนี้ การดําเนินการโครงการนี้ได้ดําเนินการตามกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้ให้ความสําคัญสูงสุดกับเรื่องความโปร่งใส โดยได้จัดทําข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ซึ่งเป็นความร่วมมือป้องกันและต่อต้านการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ที่อยู่ภายใต้การตรวจสอบของคณะกรรมการความร่วมมือป้องกันการทุจริต (ค.ป.ท.) เพื่อให้การดําเนินโครงการเป็นไปอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง ---------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการต่างประเทศชี้แจง ประเด็นความไม่โปร่งใส การประมูลโครงการจ้างผลิตหนังสือเดินทาง วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ 2561 กระทรวงการต่างประเทศชี้แจง ประเด็นความไม่โปร่งใส การประมูลโครงการจ้างผลิตหนังสือเดินทาง อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงประเด็นความไม่โปร่งใสการประมูลโครงการจ้างผลิตหนังสือเดินทาง เมื่อที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 นางสาวบุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงประเด็นความไม่โปร่งใสการประมูลโครงการจ้างผลิตหนังสือเดินทาง ตามที่ บทความ “คมคิด ฅนเขียน” นสพ.เดลินิวส์ ตั้งข้อสังเกตโครงการจ้างผลิตและให้บริการจัดทําหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ ระยะที่ 3 ด้วยวิธี E-bidding จํานวน 15 ล้านเล่ม ปรากฏว่ามีเอกชนเพียงรายเดียวที่ได้สัญญาจ้างผลิตมาตั้งแต่ปี 2548 คือ บริษัท จันวาณิชย์ ซีเคียวรีตี้พริ้นท์ติ้ง จํากัด ผู้เขียนกล่าวหาว่าการตรวจสอบคุณสมบัติบริษัทที่เข้ารับการพิจารณาจัดซื้อจัดจ้างใช้เวลาน้อยมากเพียง 4 วัน ครอบคลุมกระบวนการตรวจสอบข้อกําหนดทั้งหมด และเงื่อนไขการมีผลงานในการผลิตหนังสือเดินทาง พบว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท จันวาณิชย์ ซีเคียวรีตี้พริ้นท์ติ้ง จํากัด โดยเฉพาะ นั้น กระทรวงการต่างประเทศขอชี้แจง ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้เผยแพร่ร่าง TOR บนเว็บไซต์ตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ. 2561 ซึ่งหากนับถึงวันเสนอราคาในวันที่ 20 เม.ย. 2561 มีระยะกว่า 2 เดือนครึ่ง ซึ่งเป็นระยะเวลามากกว่าที่ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง พ.ศ. 2560 และระเบียบที่เกี่ยวข้องกําหนดไว้ว่าตั้งแต่วันเผยแพร่เอกสารประกวดราคาจนถึงวันเสนอราคาต้องมีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 20 วันทําการ กระบวนการทดสอบสาธิต (benchmark test) ในวันที่ 26 - 27 เม.ย. 2561 ซึ่งเป็นกระบวนการหลักเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของผู้เสนอราคา เป็นกระบวนการทดสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ซึ่งโดยปกติผู้ประกอบการที่มีความเชี่ยวชาญในงานด้านหนังสือเดินทางชั้นนํา (ซึ่งมีอยู่จํานวนหลายรายทั่วโลก รวมถึงผู้ประกอบการของไทยด้วยและเป็นกลุ่มเป้าหมายเพื่อเชิญชวนให้เข้าร่วมการประกวดราคา) พึงมีอยู่แล้ว มิได้เป็นการทดสอบผู้เสนอราคาด้วยการให้สร้างโครงสร้างสถาปัตยกรรมทางสารสนเทศขึ้นใหม่หมดแต่อย่างใด นอกจากนี้ ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ต้องจัดทําการสาธิตภายใน 5 วันทําการ นับถัดจากวันเสนอราคา (20 เม.ย. 2561) อนึ่ง โดยที่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างในกําหนดการปัจจุบันจะเสร็จสิ้นลงและกระทรวงการต่างประเทศจะต้องลงนามกับผู้ชนะการประกวดราคาภายในวันที่ 31 พ.ค. 2561 เพื่อให้มีระยะเวลาที่เหลืออยู่ (ประมาณ 9 เดือน) สําหรับเตรียมการขึ้นระบบงานหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ระยะที่ 3 โดยมีกําหนดเริ่มโครงการในวันที่ 1 มี.ค. 2562 เมื่อสัญญาช่วงเปลี่ยนผ่านโครงการสิ้นสุดลง ดังนั้น การขยายระยะเวลาของกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างออกไป อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในการขึ้นโครงการที่จะไม่สามารถดําเนินการได้ทันในกรอบเวลาดังกล่าว อันจะส่งผลกระทบต่องานหนังสือเดินทางซึ่งเป็นบริการสาธารณะและอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนในที่สุด ทั้งนี้ การดําเนินการโครงการนี้ได้ดําเนินการตามกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้ให้ความสําคัญสูงสุดกับเรื่องความโปร่งใส โดยได้จัดทําข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ซึ่งเป็นความร่วมมือป้องกันและต่อต้านการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ที่อยู่ภายใต้การตรวจสอบของคณะกรรมการความร่วมมือป้องกันการทุจริต (ค.ป.ท.) เพื่อให้การดําเนินโครงการเป็นไปอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง ---------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10282
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. ธนะศักดิ์ฯ เป็นประธานในพิธีมอบตราสัญลักษณ์ “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน : Amazing Thailand Tourism Year 2018”
วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน 2560 รอง นรม. ธนะศักดิ์ฯ เป็นประธานในพิธีมอบตราสัญลักษณ์ “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน : Amazing Thailand Tourism Year 2018” รอง นรม. ธนะศักดิ์ฯ เป็นประธานในพิธีมอบตราสัญลักษณ์ “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน : Amazing Thailand Tourism Year 2018” ให้กับตัวแทน 16 กลุ่ม 183 กิจกรรม เพื่อเป็นการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์กิจกรรม “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” วันที่ (1 พฤศจิกายน 2560) เวลา 12.30 น. ณ ห้องโถงกลางชั้น 1 สํานักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ถนนราชดําเนินนอก กรุงเทพมหานคร พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบตราสัญลักษณ์ “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน : Amazing Thailand Tourism Year 2018” โดยมี นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และผู้บริหารจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและคณะผู้แทนสื่อมวลชนเข้าร่วมงาน โอกาสนี้ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวรายงานว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยคณะกรรมการนโยบายท่องเที่ยวแห่งชาติได้มีมติให้ปี 2561 เป็น “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” หรือ “Amazing Thailand Tourism Year 2018” และหน่วยงานพันธมิตรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน จึงได้จัดพิธีมอบตราสัญลักษณ์ “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” แก่หน่วยงานเจ้าของกิจกรรมที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการส่งเสริมปี 2561 เป็น “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” จํานวนทั้งสิ้น 183 กิจกรรม โดยสามารถจัดจําแนกได้ 16 กลุ่ม ได้แก่ (1) กลุ่มการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (36 กิจกรรม) (2) กลุ่มการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (12 กิจกรรม) (3) กลุ่มการท่องเที่ยวทางน้ํา (4 กิจกรรม) (4) กลุ่มการท่องเที่ยวเพื่อการแต่งงาน (1 กิจกรรม) (5) กลุ่มการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ (5 กิจกรรม) (6) กลุ่มการท่องเที่ยวเชื่อมโยงอาเซียน (6 กิจกรรม) (7) กลุ่มการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (40 กิจกรรม) (8) กลุ่มการท่องเที่ยวสีเขียว (5 กิจกรรม) (9) กลุ่มการท่องเที่ยวยามค่ําคืน (7 กิจกรรม) (10) กลุ่มการท่องเที่ยวศิลปะบันเทิง (16 กิจกรรม) (11) กลุ่มการท่องเที่ยวโดยชุมชน (14 กิจกรรม) (12) กลุ่มการท่องเที่ยวธุรกิจไมซ์ (13 กิจกรรม) (13) กลุ่มการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล (3 กิจกรรม) (14) กลุ่มการท่องเที่ยวการตลาดระหว่างธุรกิจกับธุรกิจที่ต่างประเทศ (12 กิจกรรม) (15) กลุ่มการท่องเที่ยวพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว (6 กิจกรรม) (16) กลุ่มกิจกรรมการเป็นเจ้าบ้านที่ดี (3 กิจกรรม) โดยกิจกรรมดังกล่าวจะเกิดในกรุงเทพมหานครและทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ทั้งนี้ เป็นการเน้นย้ําให้การท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่เกื้อกูลเรื่องความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม จิตวิทยา และการต่างประเทศ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องบูรณาการทุกภาคส่วน เพื่อนําประเทศไทยไปสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพที่เจริญเติบโตอย่างมีดุลยภาพ บนพื้นฐานของความเป็นไทยโดยนํารายได้กระจายสู่ประชาชนทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาล ส่งผลให้บรรลุวิสัยทัศน์ให้ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพระดับชั้นนําของโลก และได้มาตรฐานเมืองท่องเที่ยวสะอาด อีกทั้งเพิ่มคุณภาพด้านสิ่งแวดล้อมการอํานวยความสะดวกและการบริการในระดับภูมิภาค พร้อมมาตรฐานบริการอาหารริมทางที่รสชาติอร่อยและถูกสุขลักษณะ และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการได้มีการพัฒนาและยกระดับคุณภาพการบริการให้มีมาตรฐาน จากนั้น รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานมอบตราสัญลักษณ์ “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน : Amazing Thailand Tourism Year 2018” ให้กับตัวแทนภาครัฐและเอกชนจํานวน 16 กลุ่ม 183 กิจกรรม ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์กิจกรรม “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” หรือ “Amazing Thailand Tourism Year 2018” ไปสู่ประชาชนและนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศอย่างทั่วถึง ****************************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. ธนะศักดิ์ฯ เป็นประธานในพิธีมอบตราสัญลักษณ์ “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน : Amazing Thailand Tourism Year 2018” วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน 2560 รอง นรม. ธนะศักดิ์ฯ เป็นประธานในพิธีมอบตราสัญลักษณ์ “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน : Amazing Thailand Tourism Year 2018” รอง นรม. ธนะศักดิ์ฯ เป็นประธานในพิธีมอบตราสัญลักษณ์ “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน : Amazing Thailand Tourism Year 2018” ให้กับตัวแทน 16 กลุ่ม 183 กิจกรรม เพื่อเป็นการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์กิจกรรม “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” วันที่ (1 พฤศจิกายน 2560) เวลา 12.30 น. ณ ห้องโถงกลางชั้น 1 สํานักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ถนนราชดําเนินนอก กรุงเทพมหานคร พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบตราสัญลักษณ์ “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน : Amazing Thailand Tourism Year 2018” โดยมี นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และผู้บริหารจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและคณะผู้แทนสื่อมวลชนเข้าร่วมงาน โอกาสนี้ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวรายงานว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยคณะกรรมการนโยบายท่องเที่ยวแห่งชาติได้มีมติให้ปี 2561 เป็น “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” หรือ “Amazing Thailand Tourism Year 2018” และหน่วยงานพันธมิตรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน จึงได้จัดพิธีมอบตราสัญลักษณ์ “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” แก่หน่วยงานเจ้าของกิจกรรมที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการส่งเสริมปี 2561 เป็น “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” จํานวนทั้งสิ้น 183 กิจกรรม โดยสามารถจัดจําแนกได้ 16 กลุ่ม ได้แก่ (1) กลุ่มการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (36 กิจกรรม) (2) กลุ่มการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (12 กิจกรรม) (3) กลุ่มการท่องเที่ยวทางน้ํา (4 กิจกรรม) (4) กลุ่มการท่องเที่ยวเพื่อการแต่งงาน (1 กิจกรรม) (5) กลุ่มการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ (5 กิจกรรม) (6) กลุ่มการท่องเที่ยวเชื่อมโยงอาเซียน (6 กิจกรรม) (7) กลุ่มการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (40 กิจกรรม) (8) กลุ่มการท่องเที่ยวสีเขียว (5 กิจกรรม) (9) กลุ่มการท่องเที่ยวยามค่ําคืน (7 กิจกรรม) (10) กลุ่มการท่องเที่ยวศิลปะบันเทิง (16 กิจกรรม) (11) กลุ่มการท่องเที่ยวโดยชุมชน (14 กิจกรรม) (12) กลุ่มการท่องเที่ยวธุรกิจไมซ์ (13 กิจกรรม) (13) กลุ่มการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล (3 กิจกรรม) (14) กลุ่มการท่องเที่ยวการตลาดระหว่างธุรกิจกับธุรกิจที่ต่างประเทศ (12 กิจกรรม) (15) กลุ่มการท่องเที่ยวพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว (6 กิจกรรม) (16) กลุ่มกิจกรรมการเป็นเจ้าบ้านที่ดี (3 กิจกรรม) โดยกิจกรรมดังกล่าวจะเกิดในกรุงเทพมหานครและทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ทั้งนี้ เป็นการเน้นย้ําให้การท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่เกื้อกูลเรื่องความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม จิตวิทยา และการต่างประเทศ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องบูรณาการทุกภาคส่วน เพื่อนําประเทศไทยไปสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพที่เจริญเติบโตอย่างมีดุลยภาพ บนพื้นฐานของความเป็นไทยโดยนํารายได้กระจายสู่ประชาชนทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาล ส่งผลให้บรรลุวิสัยทัศน์ให้ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพระดับชั้นนําของโลก และได้มาตรฐานเมืองท่องเที่ยวสะอาด อีกทั้งเพิ่มคุณภาพด้านสิ่งแวดล้อมการอํานวยความสะดวกและการบริการในระดับภูมิภาค พร้อมมาตรฐานบริการอาหารริมทางที่รสชาติอร่อยและถูกสุขลักษณะ และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการได้มีการพัฒนาและยกระดับคุณภาพการบริการให้มีมาตรฐาน จากนั้น รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานมอบตราสัญลักษณ์ “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน : Amazing Thailand Tourism Year 2018” ให้กับตัวแทนภาครัฐและเอกชนจํานวน 16 กลุ่ม 183 กิจกรรม ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์กิจกรรม “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” หรือ “Amazing Thailand Tourism Year 2018” ไปสู่ประชาชนและนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศอย่างทั่วถึง ****************************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7725
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานการณ์การผลิตไม้ผล ปี 2563 (ภาคตะวันออก ภาคเหนือ และภาคใต้)
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563 สถานการณ์การผลิตไม้ผล ปี 2563 (ภาคตะวันออก ภาคเหนือ และภาคใต้) สถานการณ์การผลิตไม้ผล ปี 2563 (ภาคตะวันออก ภาคเหนือ และภาคใต้) คาดมีผลผลิตเพิ่มขึ้น พร้อมดําเนินการจัดทําแผนบริหารจัดการผลไม้ ทั้งในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยที่ประชุมได้มีการรายงานสถานการณ์การผลิตไม้ผล ปี 2563 (ภาคตะวันออก ภาคเหนือ และภาคใต้) ซึ่งสํานักงานเศษฐกิจการเกษตรได้คาดการณ์ข้อมูลไม้ผลเศรษฐกิจภาคเหนือ ปี 2563 (ข้อมูล ณ วันที่ 16 เม.ย. 63) ได้แก่ ลําไย (8 จังหวัด) และลิ้นจี่ (4 จังหวัด) คาดว่าจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้นจากปี 2562 โดยคาดว่า ลําไย จะมีผลผลิต 662,132 ตัน แบ่งเป็น ผลผลิตในฤดู 411,299 ตัน และผลผลิตนอกฤดู 250,833 ตัน และลิ้นจี่ จะมีผลผลิต 28,676 ตัน ข้อมูลไม้ผลเศรษฐกิจภาคตะวันออก ปี 2563 (ข้อมูล ณ วันที่ 26 มี.ค. 63) ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ และลองกอง คาดว่าจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้นจากปี 2562 โดยทุเรียน จะมีผลผลิต 550,035 ตัน มังคุด จะมีผลผลิต 212,345 ตัน เงาะ จะมีผลผลิต 210,637 ตัน และลองกอง จะมีผลผลิต 22,484 ตัน และข้อมูลไม้ผลเศรษฐกิจภาคใต้ ปี 2563 (ข้อมูล ณ วันที่ 10 มี.ค. 63) ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ และลองกอง คาดว่าทุเรียนจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้น แต่มังคุด เงาะ และลองกอง จะมีผลผลิตลดลงจากปี 2562 โดยทุเรียน จะมีผลผลิต 560,675 ตัน มังคุด จะมีผลผลิต 167,252 ตัน เงาะ จะมีผลผลิต 66,368 ตัน และลองกอง จะมีผลผลิต 70,742 ตัน อย่างไรก็ตาม ได้มีการจัดทําแผนบริหารจัดการผลไม้ภาคตะวันออก (ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง) และภาคเหนือ ปี 2563 โดยภาคตะวันออกดําเนินการในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ จันทบุรี ระยอง และตราด ส่วนภาคเหนือ (ลิ้นจี่) ดําเนินการในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ พะเยา น่าน เชียงราย และเชียงใหม่ ซึ่งขณะนี้ทุกจังหวัดได้จัดทําแผนบริหารจัดการผลไม้แบบเบ็ดเสร็จภายในจังหวัด ทั้งในเชิงคุณภาพสอดคล้องตามยุทธศาสตร์พัฒนาผลไม้ไทย พ.ศ. 2558 – 2564 และในเชิงปริมาณโดยจัดสมดุลอุปสงค์ อุปทาน มีการบริหารจัดการเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณครอบคลุมระยะก่อนเก็บเกี่ยว ระยะเก็บเกี่ยว และระยะหลังการเก็บเกี่ยว ในทิศทางเดียวกัน กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานการณ์การผลิตไม้ผล ปี 2563 (ภาคตะวันออก ภาคเหนือ และภาคใต้) วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563 สถานการณ์การผลิตไม้ผล ปี 2563 (ภาคตะวันออก ภาคเหนือ และภาคใต้) สถานการณ์การผลิตไม้ผล ปี 2563 (ภาคตะวันออก ภาคเหนือ และภาคใต้) คาดมีผลผลิตเพิ่มขึ้น พร้อมดําเนินการจัดทําแผนบริหารจัดการผลไม้ ทั้งในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยที่ประชุมได้มีการรายงานสถานการณ์การผลิตไม้ผล ปี 2563 (ภาคตะวันออก ภาคเหนือ และภาคใต้) ซึ่งสํานักงานเศษฐกิจการเกษตรได้คาดการณ์ข้อมูลไม้ผลเศรษฐกิจภาคเหนือ ปี 2563 (ข้อมูล ณ วันที่ 16 เม.ย. 63) ได้แก่ ลําไย (8 จังหวัด) และลิ้นจี่ (4 จังหวัด) คาดว่าจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้นจากปี 2562 โดยคาดว่า ลําไย จะมีผลผลิต 662,132 ตัน แบ่งเป็น ผลผลิตในฤดู 411,299 ตัน และผลผลิตนอกฤดู 250,833 ตัน และลิ้นจี่ จะมีผลผลิต 28,676 ตัน ข้อมูลไม้ผลเศรษฐกิจภาคตะวันออก ปี 2563 (ข้อมูล ณ วันที่ 26 มี.ค. 63) ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ และลองกอง คาดว่าจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้นจากปี 2562 โดยทุเรียน จะมีผลผลิต 550,035 ตัน มังคุด จะมีผลผลิต 212,345 ตัน เงาะ จะมีผลผลิต 210,637 ตัน และลองกอง จะมีผลผลิต 22,484 ตัน และข้อมูลไม้ผลเศรษฐกิจภาคใต้ ปี 2563 (ข้อมูล ณ วันที่ 10 มี.ค. 63) ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ และลองกอง คาดว่าทุเรียนจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้น แต่มังคุด เงาะ และลองกอง จะมีผลผลิตลดลงจากปี 2562 โดยทุเรียน จะมีผลผลิต 560,675 ตัน มังคุด จะมีผลผลิต 167,252 ตัน เงาะ จะมีผลผลิต 66,368 ตัน และลองกอง จะมีผลผลิต 70,742 ตัน อย่างไรก็ตาม ได้มีการจัดทําแผนบริหารจัดการผลไม้ภาคตะวันออก (ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง) และภาคเหนือ ปี 2563 โดยภาคตะวันออกดําเนินการในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ จันทบุรี ระยอง และตราด ส่วนภาคเหนือ (ลิ้นจี่) ดําเนินการในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ พะเยา น่าน เชียงราย และเชียงใหม่ ซึ่งขณะนี้ทุกจังหวัดได้จัดทําแผนบริหารจัดการผลไม้แบบเบ็ดเสร็จภายในจังหวัด ทั้งในเชิงคุณภาพสอดคล้องตามยุทธศาสตร์พัฒนาผลไม้ไทย พ.ศ. 2558 – 2564 และในเชิงปริมาณโดยจัดสมดุลอุปสงค์ อุปทาน มีการบริหารจัดการเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณครอบคลุมระยะก่อนเก็บเกี่ยว ระยะเก็บเกี่ยว และระยะหลังการเก็บเกี่ยว ในทิศทางเดียวกัน กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30839
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ ไทย-อินเดีย จับมือใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ จัดทำสมุดภาพความเชื่อมโยงร่องรอยความเจริญของพระพุทธศาสนา ผ่านแผนที่วัฒนธรรมอาเซียน
วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2560 เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ ไทย-อินเดีย จับมือใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ จัดทําสมุดภาพความเชื่อมโยงร่องรอยความเจริญของพระพุทธศาสนา ผ่านแผนที่วัฒนธรรมอาเซียน สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ จิสด้า จัดงานเปิดตัวสมุดภาพความเชื่อมโยงร่องรอยความเจริญของพระพุทธศาสนาผ่านแผนที่วัฒนธรรมอาเซียน วันพฤหัสบดีที่ 3 สิงหาคม 2560 เวลา 13:00 น. ณ ห้อง Board Room 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ จิสด้า จัดงานเปิดตัวสมุดภาพความเชื่อมโยงร่องรอยความเจริญของพระพุทธศาสนาผ่านแผนที่วัฒนธรรมอาเซียน หรือ “India-Asean Archaeological Atlas from Satellite Data Connectivity of Regional Culture: Finite Routes & Infinite Values”ภายใต้ โครงการแผนที่วัฒนธรรมอาเซียน เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 สมุดภาพความเชื่อมโยงร่องรอยความเจริญของพระพุทธศาสนาผ่านแผนที่วัฒนธรรมอาเซียน หรือ“India-Asean Archaeological Atlas from Satellite Data Connectivity of Regional Culture: Finite Routes & Infinite Values” เป็นความร่วมมือด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐอินเดีย (National Atlas & Thematic Mapping Organisation: NATMO) โดยเนื้อหาในหนังสือ เป็นการศึกษาและวิจัยร่องรอยความเจริญของพระพุทธศาสนา ทั้งในเชิงประวัติศาสตร์ โบราณคดี วัฒนธรรม และปฏิสัมพันธ์ต่อสังคม สิ่งแวดล้อม ทั้งในเชิงประจักษ์และเชิงวัฒนธรรม ในช่วงก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 และยังเป็นการเฉลิมฉลองวาระ 2,600 ปี พุทธชยันตี, วโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงพระเจริญพระชมมายุ 60 พรรษา ในปีพุทธศักราช 2558 และการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อํานวยการจิสด้า กล่าวว่า การจัดทําหนังสือดังกล่าว เป็นการบูรณาการเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศร่วมกัน ระหว่างรัฐบาลไทยและอินเดีย โดยใช้ข้อมูลจากดาวเทียม ข้อมูลภูมิสารสนเทศ ข้อมูลด้านโบราณคดีในพระพุทธศานาของประเทศไทย และประเทศในกลุ่มอาเซียน ถ่ายทอดเป็นเรื่องเล่าทางวัฒนธรรม (Story Map) ในลักษณะแผนที่วัฒนธรรมภูมิภาค (Cultural Story Map) ที่จะแสดงให้เห็นถึงร่องรอยความเจริญของพุทธศาสนาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงความเชื่อมโยงต่อเนื่องทางวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่ โดยหนังสือเล่มนี้จัดทําเป็นภาษาอังกฤษและเผยแผ่ไปในหลายประเทศทั่วโลกอีกด้วย ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับหนังสือฟรี (จนกว่าหนังสือจะหมด...) ได้ที่หมายเลข 02-1414548 ในเวลาราชการ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ ไทย-อินเดีย จับมือใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ จัดทำสมุดภาพความเชื่อมโยงร่องรอยความเจริญของพระพุทธศาสนา ผ่านแผนที่วัฒนธรรมอาเซียน วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2560 เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ ไทย-อินเดีย จับมือใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ จัดทําสมุดภาพความเชื่อมโยงร่องรอยความเจริญของพระพุทธศาสนา ผ่านแผนที่วัฒนธรรมอาเซียน สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ จิสด้า จัดงานเปิดตัวสมุดภาพความเชื่อมโยงร่องรอยความเจริญของพระพุทธศาสนาผ่านแผนที่วัฒนธรรมอาเซียน วันพฤหัสบดีที่ 3 สิงหาคม 2560 เวลา 13:00 น. ณ ห้อง Board Room 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ จิสด้า จัดงานเปิดตัวสมุดภาพความเชื่อมโยงร่องรอยความเจริญของพระพุทธศาสนาผ่านแผนที่วัฒนธรรมอาเซียน หรือ “India-Asean Archaeological Atlas from Satellite Data Connectivity of Regional Culture: Finite Routes & Infinite Values”ภายใต้ โครงการแผนที่วัฒนธรรมอาเซียน เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 สมุดภาพความเชื่อมโยงร่องรอยความเจริญของพระพุทธศาสนาผ่านแผนที่วัฒนธรรมอาเซียน หรือ“India-Asean Archaeological Atlas from Satellite Data Connectivity of Regional Culture: Finite Routes & Infinite Values” เป็นความร่วมมือด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐอินเดีย (National Atlas & Thematic Mapping Organisation: NATMO) โดยเนื้อหาในหนังสือ เป็นการศึกษาและวิจัยร่องรอยความเจริญของพระพุทธศาสนา ทั้งในเชิงประวัติศาสตร์ โบราณคดี วัฒนธรรม และปฏิสัมพันธ์ต่อสังคม สิ่งแวดล้อม ทั้งในเชิงประจักษ์และเชิงวัฒนธรรม ในช่วงก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 และยังเป็นการเฉลิมฉลองวาระ 2,600 ปี พุทธชยันตี, วโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงพระเจริญพระชมมายุ 60 พรรษา ในปีพุทธศักราช 2558 และการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อํานวยการจิสด้า กล่าวว่า การจัดทําหนังสือดังกล่าว เป็นการบูรณาการเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศร่วมกัน ระหว่างรัฐบาลไทยและอินเดีย โดยใช้ข้อมูลจากดาวเทียม ข้อมูลภูมิสารสนเทศ ข้อมูลด้านโบราณคดีในพระพุทธศานาของประเทศไทย และประเทศในกลุ่มอาเซียน ถ่ายทอดเป็นเรื่องเล่าทางวัฒนธรรม (Story Map) ในลักษณะแผนที่วัฒนธรรมภูมิภาค (Cultural Story Map) ที่จะแสดงให้เห็นถึงร่องรอยความเจริญของพุทธศาสนาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงความเชื่อมโยงต่อเนื่องทางวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่ โดยหนังสือเล่มนี้จัดทําเป็นภาษาอังกฤษและเผยแผ่ไปในหลายประเทศทั่วโลกอีกด้วย ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับหนังสือฟรี (จนกว่าหนังสือจะหมด...) ได้ที่หมายเลข 02-1414548 ในเวลาราชการ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5721
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกราบสักการะพระอัฐิธาตุ ของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทโท) พร้อมนมัสการเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง และพระลูกศิษย์ของพระโพธิญาณเถร
วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2561 นายกรัฐมนตรีกราบสักการะพระอัฐิธาตุ ของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทโท) พร้อมนมัสการเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง และพระลูกศิษย์ของพระโพธิญาณเถร นายกรัฐมนตรีกราบสักการะพระอัฐิธาตุ ของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทโท) พร้อมนมัสการเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง และพระลูกศิษย์ของพระโพธิญาณเถร วันนี้ (23 กรกฎาคม 2561) เวลา 15.10 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางไปวัดหนองป่าพง ตําบลโนนผึ้ง อําเภอวารินชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อเข้ากราบนมัสการพระราชภาวนาวิกรม (เลี่ยม ฐิตธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพงและพระลูกศิษย์ของพระโพธิญาณเถร โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีถวายพานดอกบัว ถวายผ้าไตร จตุปัจจัย เครื่องไทยธรรม จากนั้นเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพงเทศนาธรรมตอนหนึ่งว่า ขอขอบคุณในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีมาเยือน ซึ่งเป็นส่วนหยิบยื่นช่วยเหลือไมตรีจิตและความเกื้อกูลที่ดีต่อกันอันจะเป็นผลดีต่อการเดินตามรอยพระพุทธศาสนา มีจิตใจเอื้อเฟื้อ โอบอ้อมอารี อันเป็นที่มาของมิตรภาพ และเป็นผู้มีคุณธรรม เป็นมนุษย์ที่มีจิตใจสูง มีความสะอาด สว่าง และสงบ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รู้สึกชื่นชมและดีใจที่ได้เห็นการประพฤติปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนที่ยังคงสืบสานต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ในส่วนของรัฐบาลยังคงมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน ขอให้ทุกคนเดินไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน และขออนุโมทนาในกุศลจิตที่มีร่วมกันในวันนี้ จากนั้น นายกรัฐมนตรีกรวดน้ํา และร่วมเจริญสติ อธิษฐานจิตกับประชาชนในพื้นที่ที่มาปฏิบัติธรรม และเดินทางไปกราบสักการะพระอัฐิธาตุของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทโท) ณ เจดีย์พระโพธิญาณเถร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมอีสานกับล้านช้าง โดยศิษยานุศิษย์ได้สร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง ชาวบ้านเรียกกันติดปากคือ “วัดป่าพง” ตั้งอยู่ที่บ้านพงสว่าง หมู่ที่ 10 ตําบลโนนผึ้ง อําเภอวารินชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นสํานักปฏิบัติธรรมที่แวดล้อมด้วยธรรมชาติอันสงบเงียบ มีบรรยากาศอันร่มรื่น เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม มีเนื้อที่ประมาณ 300 ไร่ สร้างโดยหลวงพ่อชา สุภทฺโท หรือ พระโพธิญาณเถร ปัจจุบันมีพระราชภาวนาวิกรม (เลี่ยม ฐิตธมฺโม) เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งได้รับแต่งตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2537 และท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ “พระราชภาวนาวิกรม” เมื่อปี พ.ศ. 2549 ปัจจุบันวัดหนองป่าพงมีวัดสาขาทั้งในและต่างประเทศไทยจํานวนมาก จากการเผยแผ่พระพุทธศาสนาสายวิปัสนากรรมฐาน โดยบรรดาพระลูกศิษย์ซึ่งศรัทธาในปฏิปทาของหลวงปู่ชา สุภทฺโท -------------------------- สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกราบสักการะพระอัฐิธาตุ ของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทโท) พร้อมนมัสการเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง และพระลูกศิษย์ของพระโพธิญาณเถร วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2561 นายกรัฐมนตรีกราบสักการะพระอัฐิธาตุ ของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทโท) พร้อมนมัสการเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง และพระลูกศิษย์ของพระโพธิญาณเถร นายกรัฐมนตรีกราบสักการะพระอัฐิธาตุ ของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทโท) พร้อมนมัสการเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง และพระลูกศิษย์ของพระโพธิญาณเถร วันนี้ (23 กรกฎาคม 2561) เวลา 15.10 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางไปวัดหนองป่าพง ตําบลโนนผึ้ง อําเภอวารินชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อเข้ากราบนมัสการพระราชภาวนาวิกรม (เลี่ยม ฐิตธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพงและพระลูกศิษย์ของพระโพธิญาณเถร โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีถวายพานดอกบัว ถวายผ้าไตร จตุปัจจัย เครื่องไทยธรรม จากนั้นเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพงเทศนาธรรมตอนหนึ่งว่า ขอขอบคุณในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีมาเยือน ซึ่งเป็นส่วนหยิบยื่นช่วยเหลือไมตรีจิตและความเกื้อกูลที่ดีต่อกันอันจะเป็นผลดีต่อการเดินตามรอยพระพุทธศาสนา มีจิตใจเอื้อเฟื้อ โอบอ้อมอารี อันเป็นที่มาของมิตรภาพ และเป็นผู้มีคุณธรรม เป็นมนุษย์ที่มีจิตใจสูง มีความสะอาด สว่าง และสงบ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รู้สึกชื่นชมและดีใจที่ได้เห็นการประพฤติปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนที่ยังคงสืบสานต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ในส่วนของรัฐบาลยังคงมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน ขอให้ทุกคนเดินไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน และขออนุโมทนาในกุศลจิตที่มีร่วมกันในวันนี้ จากนั้น นายกรัฐมนตรีกรวดน้ํา และร่วมเจริญสติ อธิษฐานจิตกับประชาชนในพื้นที่ที่มาปฏิบัติธรรม และเดินทางไปกราบสักการะพระอัฐิธาตุของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทโท) ณ เจดีย์พระโพธิญาณเถร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมอีสานกับล้านช้าง โดยศิษยานุศิษย์ได้สร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง ชาวบ้านเรียกกันติดปากคือ “วัดป่าพง” ตั้งอยู่ที่บ้านพงสว่าง หมู่ที่ 10 ตําบลโนนผึ้ง อําเภอวารินชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นสํานักปฏิบัติธรรมที่แวดล้อมด้วยธรรมชาติอันสงบเงียบ มีบรรยากาศอันร่มรื่น เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม มีเนื้อที่ประมาณ 300 ไร่ สร้างโดยหลวงพ่อชา สุภทฺโท หรือ พระโพธิญาณเถร ปัจจุบันมีพระราชภาวนาวิกรม (เลี่ยม ฐิตธมฺโม) เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งได้รับแต่งตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2537 และท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ “พระราชภาวนาวิกรม” เมื่อปี พ.ศ. 2549 ปัจจุบันวัดหนองป่าพงมีวัดสาขาทั้งในและต่างประเทศไทยจํานวนมาก จากการเผยแผ่พระพุทธศาสนาสายวิปัสนากรรมฐาน โดยบรรดาพระลูกศิษย์ซึ่งศรัทธาในปฏิปทาของหลวงปู่ชา สุภทฺโท -------------------------- สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14058
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ เผยกระบวนทัศน์การศึกษาไทยในโลกหลังโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563 ดร.สุวิทย์ เผยกระบวนทัศน์การศึกษาไทยในโลกหลังโควิด-19 ดร.สุวิทย์ เผยกระบวนทัศน์การศึกษาไทยในโลกหลังโควิด-19 (5 พฤษภาคม 2563)ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.)พร้อมด้วย รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, นางสุวรรณี คํามั่น เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, คณบดีคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ จากสถาบันอุดมศึกษาในกํากับ, ผู้แทนจากโรงเรียนสาธิตในกํากับ และผู้แทนจากผู้ประกอบการด้านการศึกษา อาทิ Saturday School Foundation, BASE Playhouse, a-chieve social enterprise co.,ltd. และอื่น ๆ ร่วมประชุมหารือความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็น“กระบวนทัศน์การศึกษาไทยในโลกหลังสถานการณ์วิกฤตโควิด-19”ผ่านระบบ VDO Conference - ZOOM Cloud Meetings ตามมาตรการ Social distancing ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์วิจิตร ศรีสอ้าน ชั้น 5 อาคารอุดมศึกษา 1 สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ถนนศรีอยุธยา) โดยมีประเด็นของการหารือ เพื่อดําเนินงานและผลักดันให้สู่ผลสําเร็จที่มีประสิทธิภาพ ดังนี้ 1. การเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับเอกสาร โลกเปลี่ยน คนปรับ 2. การเสนอแนวทางแผนการปฏิบัติ (Action Plan) เพื่อปฏิรูปกระบวนทัศน์การศึกษาไทย 3. การเตรียมคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในโลกหลังโควิด จะเป็นอย่างไร 4. แนวทางปฏิรูปการศึกษาและการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม 5. อะไรคืออุปสรรคสําคัญที่ต้องปลดล็อก 6. อะไรคือนวัตกรรมทางการศึกษาและการเรียนรู้ที่น่าจะผลักดัน ดร.สุวิทย์ กล่าวสรุปสําหรับการประชุมหารือกระบวนทัศน์การศึกษาไทยในโลกหลังสถานการณ์วิกฤตโควิด-19ในครั้งนี้ว่า สําหรับการรับฟังความคิดจากหลายภาคส่วนในวันนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การผนึกกําลังในการปฏิรูปการศึกษาไทยอย่างเป็นรูปธรรม และมีเป้าหมายของการดําเนินที่ชัดเจน โดยเฉพาะการศึกษาไทยหลังสถานการณ์วิกฤติโควิด-19จะเตรียมพร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างไรณ ปัจจุบันการวิจัยของโรงเรียนสาธิตต่าง ๆ ถูกแยกส่วน ไม่มีการบูรณาร่วมกันอย่างหลากหลาย โรงเรียนสาธิต จําเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบของการวิจัยเสียใหม่ คัดสรรงานวิจัยที่เป็นเรื่องสําคัญ ที่สามารถต่อยอดให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม พยายามออกจากการคิด การวิจัยในรูปแบบเดิม ต่อยอดนวัตกรรม จนเกิดเป็น Platform ที่สามารถนําไปประยุกต์ใช้ในบริบทที่แตกต่างกันได้ ซึ่งโรงเรียนสาธิตถือเป็นต้นน้ําของการศึกษาไทย กระทรวง อว. มีหน้าที่ในการสนับสนุนและผลักดันตั้งแต่เรื่องของ SandBox และทําให้การศึกษาเกิด Out Come เป็นหลักไม่ใช่อยู่แต่ในกรอบเดิม ๆ Agenda Based ของระบบการศึกษาไม่ใช่แค่หลักสูตรของการเรียน Online หรือ Offline การศึกษาไม่จําเป็นจะต้องแยกส่วนออกจากสังคม แต่ให้ดึงอัตลักษณ์ และความแข็งแกร่งของแต่ละที่มาบูรณาร่วมกัน แต่สิ่งที่สําคัญมากไปกว่านั้น คือการเตรียมคนที่สมบูรณ์สู่ศตวรรษที่ 21และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในภายภาคหน้าของโลกด้วย ส่วนปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ ที่วันนี้ได้หารือกัน อว. จะพยายามขับเคลื่อนและหาแนวทางการปลดล็อกให้ได้ อาทิ กฎหมาย วัฒนธรรมการเรียนรู้ในองค์กรและการทํางาน เป็นต้น นอกเหนือจากการพัฒนานักเรียน นักศึกษา หรือหลักสูตรด้านต่าง ๆ แล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่เป็นความสําคัญของการศึกษาก็คือ ครู อาจารย์ ผู้สอน ที่จะต้องมีการพัฒนาตนให้เท่าทันกับโลก จําเป็นจะต้อง Re skill - Up skill หรือเปลี่ยน Mine set แบบเดิม “มองปัญหาให้เป็น Challenge ให้เด็กเป็นพลังที่จะเปลี่ยนแปลงและนําไปสู่ความยั่งยืนที่แท้จริง เราจะมา Reset ประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าร่วมกัน” เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ เผยกระบวนทัศน์การศึกษาไทยในโลกหลังโควิด-19 วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563 ดร.สุวิทย์ เผยกระบวนทัศน์การศึกษาไทยในโลกหลังโควิด-19 ดร.สุวิทย์ เผยกระบวนทัศน์การศึกษาไทยในโลกหลังโควิด-19 (5 พฤษภาคม 2563)ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.)พร้อมด้วย รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, นางสุวรรณี คํามั่น เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, คณบดีคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ จากสถาบันอุดมศึกษาในกํากับ, ผู้แทนจากโรงเรียนสาธิตในกํากับ และผู้แทนจากผู้ประกอบการด้านการศึกษา อาทิ Saturday School Foundation, BASE Playhouse, a-chieve social enterprise co.,ltd. และอื่น ๆ ร่วมประชุมหารือความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็น“กระบวนทัศน์การศึกษาไทยในโลกหลังสถานการณ์วิกฤตโควิด-19”ผ่านระบบ VDO Conference - ZOOM Cloud Meetings ตามมาตรการ Social distancing ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์วิจิตร ศรีสอ้าน ชั้น 5 อาคารอุดมศึกษา 1 สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ถนนศรีอยุธยา) โดยมีประเด็นของการหารือ เพื่อดําเนินงานและผลักดันให้สู่ผลสําเร็จที่มีประสิทธิภาพ ดังนี้ 1. การเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับเอกสาร โลกเปลี่ยน คนปรับ 2. การเสนอแนวทางแผนการปฏิบัติ (Action Plan) เพื่อปฏิรูปกระบวนทัศน์การศึกษาไทย 3. การเตรียมคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในโลกหลังโควิด จะเป็นอย่างไร 4. แนวทางปฏิรูปการศึกษาและการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม 5. อะไรคืออุปสรรคสําคัญที่ต้องปลดล็อก 6. อะไรคือนวัตกรรมทางการศึกษาและการเรียนรู้ที่น่าจะผลักดัน ดร.สุวิทย์ กล่าวสรุปสําหรับการประชุมหารือกระบวนทัศน์การศึกษาไทยในโลกหลังสถานการณ์วิกฤตโควิด-19ในครั้งนี้ว่า สําหรับการรับฟังความคิดจากหลายภาคส่วนในวันนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การผนึกกําลังในการปฏิรูปการศึกษาไทยอย่างเป็นรูปธรรม และมีเป้าหมายของการดําเนินที่ชัดเจน โดยเฉพาะการศึกษาไทยหลังสถานการณ์วิกฤติโควิด-19จะเตรียมพร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างไรณ ปัจจุบันการวิจัยของโรงเรียนสาธิตต่าง ๆ ถูกแยกส่วน ไม่มีการบูรณาร่วมกันอย่างหลากหลาย โรงเรียนสาธิต จําเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบของการวิจัยเสียใหม่ คัดสรรงานวิจัยที่เป็นเรื่องสําคัญ ที่สามารถต่อยอดให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม พยายามออกจากการคิด การวิจัยในรูปแบบเดิม ต่อยอดนวัตกรรม จนเกิดเป็น Platform ที่สามารถนําไปประยุกต์ใช้ในบริบทที่แตกต่างกันได้ ซึ่งโรงเรียนสาธิตถือเป็นต้นน้ําของการศึกษาไทย กระทรวง อว. มีหน้าที่ในการสนับสนุนและผลักดันตั้งแต่เรื่องของ SandBox และทําให้การศึกษาเกิด Out Come เป็นหลักไม่ใช่อยู่แต่ในกรอบเดิม ๆ Agenda Based ของระบบการศึกษาไม่ใช่แค่หลักสูตรของการเรียน Online หรือ Offline การศึกษาไม่จําเป็นจะต้องแยกส่วนออกจากสังคม แต่ให้ดึงอัตลักษณ์ และความแข็งแกร่งของแต่ละที่มาบูรณาร่วมกัน แต่สิ่งที่สําคัญมากไปกว่านั้น คือการเตรียมคนที่สมบูรณ์สู่ศตวรรษที่ 21และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในภายภาคหน้าของโลกด้วย ส่วนปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ ที่วันนี้ได้หารือกัน อว. จะพยายามขับเคลื่อนและหาแนวทางการปลดล็อกให้ได้ อาทิ กฎหมาย วัฒนธรรมการเรียนรู้ในองค์กรและการทํางาน เป็นต้น นอกเหนือจากการพัฒนานักเรียน นักศึกษา หรือหลักสูตรด้านต่าง ๆ แล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่เป็นความสําคัญของการศึกษาก็คือ ครู อาจารย์ ผู้สอน ที่จะต้องมีการพัฒนาตนให้เท่าทันกับโลก จําเป็นจะต้อง Re skill - Up skill หรือเปลี่ยน Mine set แบบเดิม “มองปัญหาให้เป็น Challenge ให้เด็กเป็นพลังที่จะเปลี่ยนแปลงและนําไปสู่ความยั่งยืนที่แท้จริง เราจะมา Reset ประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าร่วมกัน” เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30870
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกรัฐมนตรีชื่นชมมหาวิทยาลัยไทยเตรียมเปิดหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต สำหรับปริญญาตรีทุกสาขา เพื่อยกระดับแพทย์วิชาชีพ
วันพุธที่ 13 พฤษภาคม 2563 ​นายกรัฐมนตรีชื่นชมมหาวิทยาลัยไทยเตรียมเปิดหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต สําหรับปริญญาตรีทุกสาขา เพื่อยกระดับแพทย์วิชาชีพ นายกรัฐมนตรีชื่นชมมหาวิทยาลัยไทยเตรียมเปิดหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต สําหรับปริญญาตรีทุกสาขา เพื่อยกระดับแพทย์วิชาชีพ วันนี้ (13 พ.ค. 63) ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมชื่นชมคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่เตรียมเปิดหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต (หลักสูตรนานาชาติ) แห่งแรกในประเทศไทย สานฝันผู้มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีทุกสาขาให้สามารถศึกษาต่อเพื่อเป็นแพทย์วิชาชีพได้ ถือได้ว่า ยกระดับการแพทย์ไทยเพื่อรองรับวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 และอื่นๆในอนาคต นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มีโอกาสที่จะพัฒนาให้เป็น Medical Higher Education เพราะประเทศไทยได้รับการยอมรับสูงมากในเรื่องของการจัดการโรคระบาด ถ้าใช้โอกาสนี้ยกระดับการเรียนการสอนทางด้านแพทยศาสตร์ให้ไปสู่ระดับชั้นนําของโลก โดยเฉพาะระบาดวิทยาและโรคอุบัติใหม่ ทําการปรับหลักสูตรแพทยศาสตร์ให้เป็นอินเตอร์ รองรับนักศึกษาต่างชาติ รวมทั้งสร้างความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนําระดับโลกในการจัดทําหลักสูตรร่วมกัน นับเป็นมิติใหม่ของการศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ มีความพร้อมในการพัฒนาตนเองเพื่อเป็นกําลังหลักของสังคมในระดับสากลต่อไป .............
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกรัฐมนตรีชื่นชมมหาวิทยาลัยไทยเตรียมเปิดหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต สำหรับปริญญาตรีทุกสาขา เพื่อยกระดับแพทย์วิชาชีพ วันพุธที่ 13 พฤษภาคม 2563 ​นายกรัฐมนตรีชื่นชมมหาวิทยาลัยไทยเตรียมเปิดหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต สําหรับปริญญาตรีทุกสาขา เพื่อยกระดับแพทย์วิชาชีพ นายกรัฐมนตรีชื่นชมมหาวิทยาลัยไทยเตรียมเปิดหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต สําหรับปริญญาตรีทุกสาขา เพื่อยกระดับแพทย์วิชาชีพ วันนี้ (13 พ.ค. 63) ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมชื่นชมคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่เตรียมเปิดหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต (หลักสูตรนานาชาติ) แห่งแรกในประเทศไทย สานฝันผู้มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีทุกสาขาให้สามารถศึกษาต่อเพื่อเป็นแพทย์วิชาชีพได้ ถือได้ว่า ยกระดับการแพทย์ไทยเพื่อรองรับวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 และอื่นๆในอนาคต นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มีโอกาสที่จะพัฒนาให้เป็น Medical Higher Education เพราะประเทศไทยได้รับการยอมรับสูงมากในเรื่องของการจัดการโรคระบาด ถ้าใช้โอกาสนี้ยกระดับการเรียนการสอนทางด้านแพทยศาสตร์ให้ไปสู่ระดับชั้นนําของโลก โดยเฉพาะระบาดวิทยาและโรคอุบัติใหม่ ทําการปรับหลักสูตรแพทยศาสตร์ให้เป็นอินเตอร์ รองรับนักศึกษาต่างชาติ รวมทั้งสร้างความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนําระดับโลกในการจัดทําหลักสูตรร่วมกัน นับเป็นมิติใหม่ของการศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ มีความพร้อมในการพัฒนาตนเองเพื่อเป็นกําลังหลักของสังคมในระดับสากลต่อไป .............
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30746
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สถานีกลางบางซื่อ” คืบหน้าแล้วกว่า 77% เร่งเดินหน้าเชื่อมระบบถนน - ราง พลิกโฉมประเทศไทย
วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2562 “สถานีกลางบางซื่อ” คืบหน้าแล้วกว่า 77% เร่งเดินหน้าเชื่อมระบบถนน - ราง พลิกโฉมประเทศไทย -- ปัจจุบันเศรษฐกิจของประเทศไทยมีการขยายตัวต่อเนื่อง เกิดการพัฒนาทั้งภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และการบริการ ดังนั้น การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งจึงเป็นเรื่องที่สําคัญอย่างยิ่ง เพื่อรองรับความเจริญเติบโตของเมือง รวมทั้งเชื่อมโยงเครือข่ายการเดินทางและขนส่งทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านแบบ “ไร้รอยต่อ” ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน (Phaholyothin Transport Center) โดยเฉพาะ “สถานีกลางบางซื่อ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทยปี 2558 - 2565 ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง จะกลายเป็นศูนย์กลางการเดินทางของประเทศ เชื่อมโยงทั้งระบบถนนและระบบราง เป็นสถานีต้นทางของรถไฟทางไกลและรถไฟความเร็วสูงไปทั่วประเทศแทนสถานีหัวลําโพง เป็นจุดเปลี่ยนถ่ายไปสู่รถไฟฟ้าชานเมืองรถไฟฟ้าใต้ดินและรถไฟฟ้าบีทีเอส รวมทั้งเชื่อมโยงกับแอร์พอร์ตเรียลลิงค์ไปสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง นอกจากนี้ ยังสามารถเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน เช่น กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม สิงคโปร์ รวมทั้งไปไกลถึงจีน ยุโรป และตะวันออกกลางในอนาคต สถานีกลางบางซื่อมีอาคารยาว 660 เมตร ซึ่งถือว่ายาวที่สุดในประเทศ จะถูกยกระดับให้เป็น “แกรนด์ สเตชั่น” หรือสถานีด้านการคมนาคม คล้ายกับโตเกียวสเตชั่นของญี่ปุ่น หรือคล้ายกับไทเป เมน สเตชั่นของไต้หวัน มีทั้งหมด 4 ชั้น ประกอบด้วย • ชั้นใต้ดิน - เป็นลานจอดรถที่สามารถรองรับได้ 1,700 คัน • ชั้น 1 - เป็นพื้นที่จําหน่ายตั๋ว พื้นที่พักคอย เขตร้านค้า และจุดเชื่อมต่อรถโดยสารขสมก. และ บขส. • ชั้น 2 – เป็นชานชาลาของรถไฟสายต่าง ๆ รวมทั้งหมด 24 ชานชาลา เป็นชั้นชานชาลารถไฟชานเมืองสายสีแดง จํานวน 4 ชานชาลา และรถไฟทางไกลทุกเส้นทาง จํานวน 8 ชานชาลา • ชั้น 3 - เป็นชั้นชานชาลารถไฟความเร็วสูงทุกเส้นทาง จํานวน 10 ชานชาลา และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิ้งค์ จํานวน 2 ชานชาลา โครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ที่จะมาเชื่อมต่อกับสถานีกลางบางซื่อมีหลายเส้นทาง เช่น • รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ําเงิน ส่วนต่อขยายช่วงบางซื่อ - ท่าพระ • รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ – รังสิต • รถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน • รถไฟฟ้า Airport Rail Link ส่วนต่อขยายช่วงพญาไท - บางซื่อ • รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง - สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา) ขณะนี้การก่อสร้างสถานีกลางบางซื่อคืบหน้าไปกว่าร้อยละ 77.37 โดยเฉพาะงานก่อสร้างตัวสถานีและศูนย์ซ่อมบํารุง และอยู่ระหว่างการเก็บรายละเอียด เช่น ปูหินแกรนิต ติดกระจก และตกแต่งภายใน ส่วนงานก่อสร้างทางรถไฟฟ้าเสร็จเกือบสมบูรณ์ และกําลังเร่งงานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล ซึ่งทั้งหมดจะเรียบร้อยและเปิดให้บริการได้ในปี 2563 นอกจากนี้ จะมีการพัฒนาพื้นที่โดยรอบเป็น Smart Business Complex สร้างธุรกิจใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้น และยังช่วยกระจายความเจริญออกไปยังพื้นที่นอกเมืองมากขึ้น เช่น เชียงราก และรังสิต ส่วนพื้นที่เดิมอย่างหัวลําโพงจะกลายเป็นเขตเมืองเก่าและพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ของประชาชน จากความมุ่งมั่นในการพัฒนาด้านระบบโลจิสติกส์ของประเทศตลอด 4 ปีที่ผ่านมา จึงทําให้ธนาคารโลกจัดอันดับให้ไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพด้านโลจิสติกส์สูงเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน อันดับ 9 ของเอเชีย และอันดับ 32 ของโลก เมื่อปี 2561 นับว่าดีขึ้นถึง 13 อันดับจากปีก่อนหน้า ซึ่งจะช่วยพลิกโฉมประเทศไทยภายใน 5 ปีนี้อีกด้วย... ---------------------- ภาพ / ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สถานีกลางบางซื่อ” คืบหน้าแล้วกว่า 77% เร่งเดินหน้าเชื่อมระบบถนน - ราง พลิกโฉมประเทศไทย วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2562 “สถานีกลางบางซื่อ” คืบหน้าแล้วกว่า 77% เร่งเดินหน้าเชื่อมระบบถนน - ราง พลิกโฉมประเทศไทย -- ปัจจุบันเศรษฐกิจของประเทศไทยมีการขยายตัวต่อเนื่อง เกิดการพัฒนาทั้งภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และการบริการ ดังนั้น การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งจึงเป็นเรื่องที่สําคัญอย่างยิ่ง เพื่อรองรับความเจริญเติบโตของเมือง รวมทั้งเชื่อมโยงเครือข่ายการเดินทางและขนส่งทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านแบบ “ไร้รอยต่อ” ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน (Phaholyothin Transport Center) โดยเฉพาะ “สถานีกลางบางซื่อ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทยปี 2558 - 2565 ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง จะกลายเป็นศูนย์กลางการเดินทางของประเทศ เชื่อมโยงทั้งระบบถนนและระบบราง เป็นสถานีต้นทางของรถไฟทางไกลและรถไฟความเร็วสูงไปทั่วประเทศแทนสถานีหัวลําโพง เป็นจุดเปลี่ยนถ่ายไปสู่รถไฟฟ้าชานเมืองรถไฟฟ้าใต้ดินและรถไฟฟ้าบีทีเอส รวมทั้งเชื่อมโยงกับแอร์พอร์ตเรียลลิงค์ไปสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง นอกจากนี้ ยังสามารถเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน เช่น กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม สิงคโปร์ รวมทั้งไปไกลถึงจีน ยุโรป และตะวันออกกลางในอนาคต สถานีกลางบางซื่อมีอาคารยาว 660 เมตร ซึ่งถือว่ายาวที่สุดในประเทศ จะถูกยกระดับให้เป็น “แกรนด์ สเตชั่น” หรือสถานีด้านการคมนาคม คล้ายกับโตเกียวสเตชั่นของญี่ปุ่น หรือคล้ายกับไทเป เมน สเตชั่นของไต้หวัน มีทั้งหมด 4 ชั้น ประกอบด้วย • ชั้นใต้ดิน - เป็นลานจอดรถที่สามารถรองรับได้ 1,700 คัน • ชั้น 1 - เป็นพื้นที่จําหน่ายตั๋ว พื้นที่พักคอย เขตร้านค้า และจุดเชื่อมต่อรถโดยสารขสมก. และ บขส. • ชั้น 2 – เป็นชานชาลาของรถไฟสายต่าง ๆ รวมทั้งหมด 24 ชานชาลา เป็นชั้นชานชาลารถไฟชานเมืองสายสีแดง จํานวน 4 ชานชาลา และรถไฟทางไกลทุกเส้นทาง จํานวน 8 ชานชาลา • ชั้น 3 - เป็นชั้นชานชาลารถไฟความเร็วสูงทุกเส้นทาง จํานวน 10 ชานชาลา และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิ้งค์ จํานวน 2 ชานชาลา โครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ที่จะมาเชื่อมต่อกับสถานีกลางบางซื่อมีหลายเส้นทาง เช่น • รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ําเงิน ส่วนต่อขยายช่วงบางซื่อ - ท่าพระ • รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ – รังสิต • รถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน • รถไฟฟ้า Airport Rail Link ส่วนต่อขยายช่วงพญาไท - บางซื่อ • รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง - สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา) ขณะนี้การก่อสร้างสถานีกลางบางซื่อคืบหน้าไปกว่าร้อยละ 77.37 โดยเฉพาะงานก่อสร้างตัวสถานีและศูนย์ซ่อมบํารุง และอยู่ระหว่างการเก็บรายละเอียด เช่น ปูหินแกรนิต ติดกระจก และตกแต่งภายใน ส่วนงานก่อสร้างทางรถไฟฟ้าเสร็จเกือบสมบูรณ์ และกําลังเร่งงานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล ซึ่งทั้งหมดจะเรียบร้อยและเปิดให้บริการได้ในปี 2563 นอกจากนี้ จะมีการพัฒนาพื้นที่โดยรอบเป็น Smart Business Complex สร้างธุรกิจใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้น และยังช่วยกระจายความเจริญออกไปยังพื้นที่นอกเมืองมากขึ้น เช่น เชียงราก และรังสิต ส่วนพื้นที่เดิมอย่างหัวลําโพงจะกลายเป็นเขตเมืองเก่าและพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ของประชาชน จากความมุ่งมั่นในการพัฒนาด้านระบบโลจิสติกส์ของประเทศตลอด 4 ปีที่ผ่านมา จึงทําให้ธนาคารโลกจัดอันดับให้ไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพด้านโลจิสติกส์สูงเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน อันดับ 9 ของเอเชีย และอันดับ 32 ของโลก เมื่อปี 2561 นับว่าดีขึ้นถึง 13 อันดับจากปีก่อนหน้า ซึ่งจะช่วยพลิกโฉมประเทศไทยภายใน 5 ปีนี้อีกด้วย... ---------------------- ภาพ / ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18968
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“หม่อมเต่า” ใจดี ให้ของขวัญปีใหม่ 2563 พี่น้องแรงงานไทย 5 ชิ้น ภายใต้แนวคิด สุขใจถ้วนหน้า มากกว่าคำว่า “ให้" ด้วยรักจากใจกระทรวงแรงงาน
วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม 2562 “หม่อมเต่า” ใจดี ให้ของขวัญปีใหม่ 2563 พี่น้องแรงงานไทย 5 ชิ้น ภายใต้แนวคิด สุขใจถ้วนหน้า มากกว่าคําว่า “ให้" ด้วยรักจากใจกระทรวงแรงงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย กระทรวงแรงงาน มอบของขวัญปีใหม่ 2563 พี่น้องแรงงานไทย 5 ชิ้น ภายใต้แนวคิด “สุขใจถ้วนหน้า มากกว่าคําว่า “ให้” ...ด้วยรักจากใจกระทรวงแรงงาน” “5 ให้” วันนี้ (9 ธ.ค.62) หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสเทศกาลปีใหม่ 2563 กระทรวงแรงงานขอส่งความปรารถนาดีมายังพี่น้องผู้ใช้แรงงาน นายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ประกันตน และประชาชนทั่วไป ผู้เป็นพลังและทรัพยากรที่สําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ขอให้ทุกคนประสบแต่ความสุขความเจริญในหน้าที่การงาน มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ มุ่งหวังสิ่งใดสมความปรารถนาในทุกประการ และในปีใหม่นี้กระทรวงแรงานได้จัดเตรียมของขวัญภายใต้แนวคิด “พี่น้องแรงงานไทย สุขใจถ้วนหน้ากับของขวัญปีใหม่ 2563” มากกว่าคําว่า “ให้”...ด้วยรักจากใจกระทรวงแรงงาน ม.ร.ว.จัตุมงคลฯ กล่าวต่อว่า สําหรับของขวัญปีใหม่ที่กระทรวงแรงงานจะมอบให้แก่ในปี 2563 มีจํานวน 5 ชิ้น ภายใต้แนวคิด “5 ให้” ประกอบด้วย ให้ชิ้นที่ 1 “ให้”อัตราค่าจ้างขั้นต่ําเพิ่มขึ้น 5-6 บาททั่วประเทศ ไม่เกิดผลกระทบต่อประเทศ ทั้งราคาสินค้า การค้าระหว่างประเทศ การส่งออก เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 20 ได้พิจารณาการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ําปี 2563 มีมติให้ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเพิ่มขึ้นจํานวน 6 บาท ใน 9 จังหวัด คือ ชลบุรี ภูเก็ต ปราจีนบุรี กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร ส่วนที่เหลือ 68 จังหวัดจะปรับขึ้น 5 บาท ทําให้อัตราค่าจ้างขั้นต่ําของประเทศไทยแบ่งเป็น 10 ระดับ ซึ่งสูงสุดอยู่ที่ 336 บาท คือ ชลบุรี และภูเก็ต และต่ําสุดอยู่ที่ 313 บาท ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ขณะที่อัตราค่าจ้างของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลอยู่ที่ 331 บาท ส่วนจังหวัดที่เหลือจะลดหลั่นกันไปตามลําดับ ทั้งนี้ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2563 นี้ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่แก่พี่น้องผู้ใช้แรงงาน ให้ชิ้นที่ 2 “ให้”เงินกู้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีตามศาสตร์พระราชา อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี เพื่อให้ผู้ใช้แรงงานที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจ สามารถเข้าถึงบริการของกองทุน สามารถปลดหนี้สินนอกระบบ/หนี้บัตรเครดิต ตลอดจนสามารถนําไปพัฒนารายได้ของตนเองและครอบครัว วงเงินงบประมาณโครงการ จํานวน 50,000,000 บาท วงเงินกู้สูงสุดไม่เกินสหกรณ์ฯ ละไม่เกิน 10,000,000 บาทอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 2.00 ต่อปี ระยะส่งคืนสูงสุดไม่เกิน 5 ปี สามารถลดภาระอัตราดอกเบี้ยผู้ใช้แรงงานที่จ่ายให้สหกรณ์ไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี ให้ชิ้นที่ 3 “ให้”อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมร้อยละ 0 ต่อปี แก่แรงงานที่รับงานไปทําที่บ้าน งวดที่ 1 - 12 ร้อยละ 0 ต่อปี งวดที่ 13 ร้อยละ 3 ต่อปี กรอบวงเงินปล่อยกู้ 3,000,000 บาท รายบุคคลยื่นกู้ได้ไม่เกิน 50,000 บาท รายกลุ่มไม่เกิน 200,000 บาท ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค.2562 - 29 ก.พ. 2563 ให้ชิ้นที่ 4 “ให้”ความรู้และให้บริการ เปิดฝึกอบรมภาษาอังกฤษ 30 – 60 ชั่วโมง จํานวน 1,440 คน และฟรีค่าแรงรับซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านทุกชนิด ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน/สํานักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทุกแห่งทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมเป็นต้นไป ให้ชิ้นที่ 5 “ให้”สุขภาพแข็งแรงด้วยโปรแกรมตรวจสุขภาพฟรี 14 รายการ เชิงรุกโดยร่วมกับสถานพยาบาลเข้าไปตรวจสุขภาพผู้ประกันตนภายในนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ โดยจะเข้าตรวจสุขภาพเชิงรุกในนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดระยองในเดือนมิถุนายน และนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการในเดือนพฤศจิกายน 2563 เพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับการตรวจสุขภาพเบื้องต้น คัดกรองโรค ส่งผลให้เกิดกระบวนการดูแลสุขภาพที่ดี ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคทั่วประเทศ หรือโทรสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 +++++++++++++++++++++++
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“หม่อมเต่า” ใจดี ให้ของขวัญปีใหม่ 2563 พี่น้องแรงงานไทย 5 ชิ้น ภายใต้แนวคิด สุขใจถ้วนหน้า มากกว่าคำว่า “ให้" ด้วยรักจากใจกระทรวงแรงงาน วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม 2562 “หม่อมเต่า” ใจดี ให้ของขวัญปีใหม่ 2563 พี่น้องแรงงานไทย 5 ชิ้น ภายใต้แนวคิด สุขใจถ้วนหน้า มากกว่าคําว่า “ให้" ด้วยรักจากใจกระทรวงแรงงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย กระทรวงแรงงาน มอบของขวัญปีใหม่ 2563 พี่น้องแรงงานไทย 5 ชิ้น ภายใต้แนวคิด “สุขใจถ้วนหน้า มากกว่าคําว่า “ให้” ...ด้วยรักจากใจกระทรวงแรงงาน” “5 ให้” วันนี้ (9 ธ.ค.62) หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสเทศกาลปีใหม่ 2563 กระทรวงแรงงานขอส่งความปรารถนาดีมายังพี่น้องผู้ใช้แรงงาน นายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ประกันตน และประชาชนทั่วไป ผู้เป็นพลังและทรัพยากรที่สําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ขอให้ทุกคนประสบแต่ความสุขความเจริญในหน้าที่การงาน มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ มุ่งหวังสิ่งใดสมความปรารถนาในทุกประการ และในปีใหม่นี้กระทรวงแรงานได้จัดเตรียมของขวัญภายใต้แนวคิด “พี่น้องแรงงานไทย สุขใจถ้วนหน้ากับของขวัญปีใหม่ 2563” มากกว่าคําว่า “ให้”...ด้วยรักจากใจกระทรวงแรงงาน ม.ร.ว.จัตุมงคลฯ กล่าวต่อว่า สําหรับของขวัญปีใหม่ที่กระทรวงแรงงานจะมอบให้แก่ในปี 2563 มีจํานวน 5 ชิ้น ภายใต้แนวคิด “5 ให้” ประกอบด้วย ให้ชิ้นที่ 1 “ให้”อัตราค่าจ้างขั้นต่ําเพิ่มขึ้น 5-6 บาททั่วประเทศ ไม่เกิดผลกระทบต่อประเทศ ทั้งราคาสินค้า การค้าระหว่างประเทศ การส่งออก เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 20 ได้พิจารณาการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ําปี 2563 มีมติให้ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเพิ่มขึ้นจํานวน 6 บาท ใน 9 จังหวัด คือ ชลบุรี ภูเก็ต ปราจีนบุรี กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร ส่วนที่เหลือ 68 จังหวัดจะปรับขึ้น 5 บาท ทําให้อัตราค่าจ้างขั้นต่ําของประเทศไทยแบ่งเป็น 10 ระดับ ซึ่งสูงสุดอยู่ที่ 336 บาท คือ ชลบุรี และภูเก็ต และต่ําสุดอยู่ที่ 313 บาท ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ขณะที่อัตราค่าจ้างของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลอยู่ที่ 331 บาท ส่วนจังหวัดที่เหลือจะลดหลั่นกันไปตามลําดับ ทั้งนี้ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2563 นี้ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่แก่พี่น้องผู้ใช้แรงงาน ให้ชิ้นที่ 2 “ให้”เงินกู้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีตามศาสตร์พระราชา อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี เพื่อให้ผู้ใช้แรงงานที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจ สามารถเข้าถึงบริการของกองทุน สามารถปลดหนี้สินนอกระบบ/หนี้บัตรเครดิต ตลอดจนสามารถนําไปพัฒนารายได้ของตนเองและครอบครัว วงเงินงบประมาณโครงการ จํานวน 50,000,000 บาท วงเงินกู้สูงสุดไม่เกินสหกรณ์ฯ ละไม่เกิน 10,000,000 บาทอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 2.00 ต่อปี ระยะส่งคืนสูงสุดไม่เกิน 5 ปี สามารถลดภาระอัตราดอกเบี้ยผู้ใช้แรงงานที่จ่ายให้สหกรณ์ไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี ให้ชิ้นที่ 3 “ให้”อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมร้อยละ 0 ต่อปี แก่แรงงานที่รับงานไปทําที่บ้าน งวดที่ 1 - 12 ร้อยละ 0 ต่อปี งวดที่ 13 ร้อยละ 3 ต่อปี กรอบวงเงินปล่อยกู้ 3,000,000 บาท รายบุคคลยื่นกู้ได้ไม่เกิน 50,000 บาท รายกลุ่มไม่เกิน 200,000 บาท ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค.2562 - 29 ก.พ. 2563 ให้ชิ้นที่ 4 “ให้”ความรู้และให้บริการ เปิดฝึกอบรมภาษาอังกฤษ 30 – 60 ชั่วโมง จํานวน 1,440 คน และฟรีค่าแรงรับซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านทุกชนิด ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน/สํานักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทุกแห่งทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมเป็นต้นไป ให้ชิ้นที่ 5 “ให้”สุขภาพแข็งแรงด้วยโปรแกรมตรวจสุขภาพฟรี 14 รายการ เชิงรุกโดยร่วมกับสถานพยาบาลเข้าไปตรวจสุขภาพผู้ประกันตนภายในนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ โดยจะเข้าตรวจสุขภาพเชิงรุกในนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดระยองในเดือนมิถุนายน และนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการในเดือนพฤศจิกายน 2563 เพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับการตรวจสุขภาพเบื้องต้น คัดกรองโรค ส่งผลให้เกิดกระบวนการดูแลสุขภาพที่ดี ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคทั่วประเทศ หรือโทรสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 +++++++++++++++++++++++
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25116
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Destruction of the 55,941 million Baht confiscated narcotics by the Ministry of public Health
วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน 2563 Destruction of the 55,941 million Baht confiscated narcotics by the Ministry of public Health Destruction of the 55,941 million Baht confiscated narcotics by the Ministry of public Health Ministry of Public Health organized 50thDestruction of Confiscated Narcotics on International Day Against Drug Abuse and Illicit Trafficking, worth over 55,941 million baht. Most of them were methamphetamine/amphetamine, ice/crystal methamphetamine and heroin. Narcotics Control Division also together destroyed 1,187 kilograms of Psychotropic substance. June 26th, 2020 at the Utility and Environment Management Centre, Bang Pa-in Industrial Estate in Phra Nakhon Sri Ayutthaya province, Mr.Anutin Charnvirakul Deputy Prime Minister and Minister of Public Health was the president of 50thDestruction of Confiscated Narcotics on International Day Against Drug Abuse and Illicit Trafficking, held on every June 26th. The ceremony is participated and witnessed by all the distinguishes, for example, Dr. Sukhum Karnchanapimai Permanent Secretary, Ministry of Public Health, diplomats, executives from public and private sectors, National Police Agency, Office of Narcotics Control and Prevention, Royal Thai Army, Bang Pa-in Industrial Estate, and mass media. For this year, The narcotics to be destroyed consisted of confiscated illicit drugs from the holdings of the Thai Food and Drug Administration, weighs over 25,301 kilograms, from 2,751 cases, worth over 55,941million baht, including Methamphetamine/Amphetamine, over 18,303 kilograms (203 million pills) worth over 40,674 million Baht, ice/crystal methamphetamine weighs 5,878 kilograms worth over 12,932 million Baht, heroin weighs over 541 kilograms worth over 2,301 million Baht. Apart from that, there are also MDMA, MDA, MDE approximately weigh 0.026 kilograms (107 pills), Opium weighs over 9 kilograms and cocaine weighs over 10 kilograms to be destroyed. Other confiscated narcotics weigh over 557 kilograms. On this occasion Narcotics Control Division, Food and Drug Administration also commits the destruction of Psychotropic substance weigh over 1,187 kilograms from 724 cases. Department of Medical Science, Scientific Crime Detection Center 1 Prathumthani and Central Police Forensic Science Division also take part in destroying container and packaging used in confiscated narcotics. All of the confiscated drugs will be destructed by Pyrolytic Incineration method with the heat temperature over 850 degree which will cause rapid distruction of molecules into carbon. For this year, the destruction days will be divided into 3 days; on 26thJune 2020 with 8,466 kilograms, on 13thJuly 2020 with 8,275 kilograms, and on 14thJuly 2020 with 8,558 Kilograms. The statistics of narcotics destructions between 1977-2020, a total of 50 times, was over 170,545 kilograms, worth over 273,331 million baht. methamphetamine/amphetamine were destroyed at the highest followed by Opium and other narcotics, Heroine and Ecstasy. Mr.Anutin Charnvirakul Deputy Prime Minister and Minister of Public Health said that the Ministry of Public Health is responsible for rehabilitation, healing the addicts and preventing them from re-addiction again. In the year 2020, the ministry aims to open for 210,982 drug addicts, categorized to 113,382 voluntarily, 56,600 entitled, 26,000 punished, 15,000 behavior control. From the result of performance from 1stOctober 2019 - 15thJune 2020, the 128,520 addicts were brought to and participated in the mentioned program which is approximately about 60.92 percentages, divided into 48,479 voluntarily, 66,253 entitled, and 13,788 punished. All of the hospitals under supervision of the ministry of public health over Thailand are now ready to serve and advise everyone leading to the drugs prevention international standard. For more information regarding the drugs abstinence and rehabilitation, please feel free to contact the hotline 1165 for 24 hrs.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Destruction of the 55,941 million Baht confiscated narcotics by the Ministry of public Health วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน 2563 Destruction of the 55,941 million Baht confiscated narcotics by the Ministry of public Health Destruction of the 55,941 million Baht confiscated narcotics by the Ministry of public Health Ministry of Public Health organized 50thDestruction of Confiscated Narcotics on International Day Against Drug Abuse and Illicit Trafficking, worth over 55,941 million baht. Most of them were methamphetamine/amphetamine, ice/crystal methamphetamine and heroin. Narcotics Control Division also together destroyed 1,187 kilograms of Psychotropic substance. June 26th, 2020 at the Utility and Environment Management Centre, Bang Pa-in Industrial Estate in Phra Nakhon Sri Ayutthaya province, Mr.Anutin Charnvirakul Deputy Prime Minister and Minister of Public Health was the president of 50thDestruction of Confiscated Narcotics on International Day Against Drug Abuse and Illicit Trafficking, held on every June 26th. The ceremony is participated and witnessed by all the distinguishes, for example, Dr. Sukhum Karnchanapimai Permanent Secretary, Ministry of Public Health, diplomats, executives from public and private sectors, National Police Agency, Office of Narcotics Control and Prevention, Royal Thai Army, Bang Pa-in Industrial Estate, and mass media. For this year, The narcotics to be destroyed consisted of confiscated illicit drugs from the holdings of the Thai Food and Drug Administration, weighs over 25,301 kilograms, from 2,751 cases, worth over 55,941million baht, including Methamphetamine/Amphetamine, over 18,303 kilograms (203 million pills) worth over 40,674 million Baht, ice/crystal methamphetamine weighs 5,878 kilograms worth over 12,932 million Baht, heroin weighs over 541 kilograms worth over 2,301 million Baht. Apart from that, there are also MDMA, MDA, MDE approximately weigh 0.026 kilograms (107 pills), Opium weighs over 9 kilograms and cocaine weighs over 10 kilograms to be destroyed. Other confiscated narcotics weigh over 557 kilograms. On this occasion Narcotics Control Division, Food and Drug Administration also commits the destruction of Psychotropic substance weigh over 1,187 kilograms from 724 cases. Department of Medical Science, Scientific Crime Detection Center 1 Prathumthani and Central Police Forensic Science Division also take part in destroying container and packaging used in confiscated narcotics. All of the confiscated drugs will be destructed by Pyrolytic Incineration method with the heat temperature over 850 degree which will cause rapid distruction of molecules into carbon. For this year, the destruction days will be divided into 3 days; on 26thJune 2020 with 8,466 kilograms, on 13thJuly 2020 with 8,275 kilograms, and on 14thJuly 2020 with 8,558 Kilograms. The statistics of narcotics destructions between 1977-2020, a total of 50 times, was over 170,545 kilograms, worth over 273,331 million baht. methamphetamine/amphetamine were destroyed at the highest followed by Opium and other narcotics, Heroine and Ecstasy. Mr.Anutin Charnvirakul Deputy Prime Minister and Minister of Public Health said that the Ministry of Public Health is responsible for rehabilitation, healing the addicts and preventing them from re-addiction again. In the year 2020, the ministry aims to open for 210,982 drug addicts, categorized to 113,382 voluntarily, 56,600 entitled, 26,000 punished, 15,000 behavior control. From the result of performance from 1stOctober 2019 - 15thJune 2020, the 128,520 addicts were brought to and participated in the mentioned program which is approximately about 60.92 percentages, divided into 48,479 voluntarily, 66,253 entitled, and 13,788 punished. All of the hospitals under supervision of the ministry of public health over Thailand are now ready to serve and advise everyone leading to the drugs prevention international standard. For more information regarding the drugs abstinence and rehabilitation, please feel free to contact the hotline 1165 for 24 hrs.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32788
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสักการะอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ก่อนพบปะผู้สูงอายุ-กลุ่มผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จ.เชียงราย ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ-ดูแลผู้สูงอายุ
วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม 2562 นายกรัฐมนตรีสักการะอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ก่อนพบปะผู้สูงอายุ-กลุ่มผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จ.เชียงราย ย้ํารัฐบาลให้ความสําคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ-ดูแลผู้สูงอายุ นายกรัฐมนตรีสักการะอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ก่อนพบปะผู้สูงอายุและกลุ่มผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐจังหวัดเชียงราย ย้ํารัฐบาลให้ความสําคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ดูแลผู้สูงอายุอย่างยั่งยืน วันนี้ (16 มี.ค. 62) เวลา 09.30 น. ณ อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ตําบลริมกก อําเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สักการะอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช เพื่อความเป็นสิริมงคลในโอกาสเดินทางมาตรวจราชการจังหวัดเชียงราย โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมคณะตรวจราชการ โดยมีกลุ่มพัฒนาสตรีมารอให้การต้อนรับและมอบพวงมาลัย จากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินทางไปตรวจติดตามการดําเนินการดูแลผู้สูงอายุและกลุ่มผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ณ มหาวิทยาลัยวัยที่สาม นครเชียงราย จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีนายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ผู้บริหารท้องถิ่น ข้าราชการและประชาชน จํานวน 500 คน มาร่วมให้การต้อนรับ สําหรับมหาวิทยาลัยวัยที่สาม เทศบาลนครเชียงรายก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ตามอัธยาศัยเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและความสุขผู้สูงอายุรวมถึงการจัดความรู้ด้านสุขภาพโดยภูมิปัญญาท้องถิ่นและสาธารณสุข การเรียนรู้องค์ความรู้อย่างเป็นระบบและมีคุณภาพ ภายใต้การบูรณาการความร่วมมือร่วมใจกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ตามแนวทางสานพลังประชารัฐที่จะพัฒนาประเทศไทย 4.0 ที่เน้นการเรียนการสอนแบบองค์รวม อาทิ การเรียนรู้องค์กรสุขภาวะ ปราชญ์ชาวบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่น การเรียนแผนที่ภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ การเรียนทําสิ่งประดิษฐ์จากวัสดุเหลือใช้ และที่สําคัญคือการเรียนรู้แบบไอทีด้วยห้องคอมพิวเตอร์เพื่อการสื่อสาร นอกจากนี้ ทางเทศบาลนครเชียงรายร่วมกับกลุ่มผู้สูงอายุ 64 ชุมชนในเขตเทศบาลนครเชียงราย ในการออกแบบหลักสูตรที่มาจากความต้องการของผู้สูงอายุในพื้นที่ มีการเรียนการสอน การถ่ายทอดและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้สูงอายุกับคนรุ่นหลัง โดยเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อ 5 พ.ค. 2560 ปัจจุบัน มีหลักสูตรการเรียนการสอน จํานวน 8 หลักสูตร อาทิ ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม การท่องเที่ยว IT มีผู้ลงทะเบียนใน 4 รุ่น รวม 551 คน จบหลักสูตรแล้ว 232 คน โครงการฯ ได้รับการสนับสนุนจากเทศบาลนครเชียงราย กองทุนหลักประกันสุขภาพ สสส. JICA ซึ่งจะสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่กําหนดให้มีการเตรียมความพร้อมสังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุของเทศบาลนครเชียงราย ให้เป็นศูนย์กลางในการจัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาทักษะ ศักยภาพและคุณภาพชีวิตทุก ๆ ด้าน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวทักทายผู้สูงอายุว่า วันนี้รัฐบาลต้องดูแลผู้สูงอายุซึ่งเป็นวัฒนธรรมไทยตั้งแต่ดั้งเดิม ลูกหลานต้องดูแลพ่อแม่ ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบันทันสมัยมากขึ้น ทําให้ผู้สูงอายุสามารถพูดคุยกับคนอื่น ๆ โดยเฉพาะลูกหลานได้ตลอดเวลาผ่านโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสําคัญที่ผู้สูงอายุควรจะเรียนรู้การใช้งานเทคโนโลยีเหล่านี้ให้เป็นและนํามาใช้ให้เป็นประโยชน์เพื่อได้พูดคุยกับคนในครอบครัว โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวัน พร้อมเน้นย้ําให้มหาวิทยาลัยวัยที่สาม สอนในเรื่องการเข้าเว็บไซต์กูเกิ้ล เพื่อค้นหาข้อมูลการทําเกษตรต่าง ๆ เพราะจะได้นํามาใช้ประโยชน์ได้ พร้อมกันนี้ รัฐบาลกําหนดให้มีการเตรียมความพร้อมสังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ซึ่งประเทศไทยกําลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงต้องให้ความสําคัญมากขึ้น ที่ต้องเตรียมการดูแลผู้สูงวัยอย่างยั่งยืน นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นชนเผ่าม้งหรือชนเผ่าต่าง ๆ ชนเผ่าไหนก็คือคนไทยด้วยกัน พร้อมทั้งอวยพรขอให้ทุกคนอายุ 100 ปี อีกทั้ง อยากให้ทุกคนร่วมสานนโยบาย 5 ปีที่รัฐบาลได้ดําเนินการมาเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติบ้านเมือง จากนั้น นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมห้องการเรียนรู้เทคโนโลยีและการสื่อสาร ที่เปิดสอนการใช้คอมพิวเตอร์และการใช้โปรแกรมต่าง ๆ การใช้งานอินเทอร์เน็ต การเรียนรู้เรื่องสุขภาพ การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุเบื้องต้น การฟื้นฟูความเสื่อมสมองการออกกําลังกายสําหรับผู้สูงอายุ และการดูแลสุขภาพด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทยให้แก่ผู้สูงอายุได้เรียนรู้ -------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสักการะอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ก่อนพบปะผู้สูงอายุ-กลุ่มผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จ.เชียงราย ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ-ดูแลผู้สูงอายุ วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม 2562 นายกรัฐมนตรีสักการะอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ก่อนพบปะผู้สูงอายุ-กลุ่มผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จ.เชียงราย ย้ํารัฐบาลให้ความสําคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ-ดูแลผู้สูงอายุ นายกรัฐมนตรีสักการะอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ก่อนพบปะผู้สูงอายุและกลุ่มผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐจังหวัดเชียงราย ย้ํารัฐบาลให้ความสําคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ดูแลผู้สูงอายุอย่างยั่งยืน วันนี้ (16 มี.ค. 62) เวลา 09.30 น. ณ อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ตําบลริมกก อําเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สักการะอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช เพื่อความเป็นสิริมงคลในโอกาสเดินทางมาตรวจราชการจังหวัดเชียงราย โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมคณะตรวจราชการ โดยมีกลุ่มพัฒนาสตรีมารอให้การต้อนรับและมอบพวงมาลัย จากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินทางไปตรวจติดตามการดําเนินการดูแลผู้สูงอายุและกลุ่มผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ณ มหาวิทยาลัยวัยที่สาม นครเชียงราย จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีนายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ผู้บริหารท้องถิ่น ข้าราชการและประชาชน จํานวน 500 คน มาร่วมให้การต้อนรับ สําหรับมหาวิทยาลัยวัยที่สาม เทศบาลนครเชียงรายก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ตามอัธยาศัยเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและความสุขผู้สูงอายุรวมถึงการจัดความรู้ด้านสุขภาพโดยภูมิปัญญาท้องถิ่นและสาธารณสุข การเรียนรู้องค์ความรู้อย่างเป็นระบบและมีคุณภาพ ภายใต้การบูรณาการความร่วมมือร่วมใจกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ตามแนวทางสานพลังประชารัฐที่จะพัฒนาประเทศไทย 4.0 ที่เน้นการเรียนการสอนแบบองค์รวม อาทิ การเรียนรู้องค์กรสุขภาวะ ปราชญ์ชาวบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่น การเรียนแผนที่ภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ การเรียนทําสิ่งประดิษฐ์จากวัสดุเหลือใช้ และที่สําคัญคือการเรียนรู้แบบไอทีด้วยห้องคอมพิวเตอร์เพื่อการสื่อสาร นอกจากนี้ ทางเทศบาลนครเชียงรายร่วมกับกลุ่มผู้สูงอายุ 64 ชุมชนในเขตเทศบาลนครเชียงราย ในการออกแบบหลักสูตรที่มาจากความต้องการของผู้สูงอายุในพื้นที่ มีการเรียนการสอน การถ่ายทอดและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้สูงอายุกับคนรุ่นหลัง โดยเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อ 5 พ.ค. 2560 ปัจจุบัน มีหลักสูตรการเรียนการสอน จํานวน 8 หลักสูตร อาทิ ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม การท่องเที่ยว IT มีผู้ลงทะเบียนใน 4 รุ่น รวม 551 คน จบหลักสูตรแล้ว 232 คน โครงการฯ ได้รับการสนับสนุนจากเทศบาลนครเชียงราย กองทุนหลักประกันสุขภาพ สสส. JICA ซึ่งจะสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่กําหนดให้มีการเตรียมความพร้อมสังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุของเทศบาลนครเชียงราย ให้เป็นศูนย์กลางในการจัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาทักษะ ศักยภาพและคุณภาพชีวิตทุก ๆ ด้าน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวทักทายผู้สูงอายุว่า วันนี้รัฐบาลต้องดูแลผู้สูงอายุซึ่งเป็นวัฒนธรรมไทยตั้งแต่ดั้งเดิม ลูกหลานต้องดูแลพ่อแม่ ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบันทันสมัยมากขึ้น ทําให้ผู้สูงอายุสามารถพูดคุยกับคนอื่น ๆ โดยเฉพาะลูกหลานได้ตลอดเวลาผ่านโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสําคัญที่ผู้สูงอายุควรจะเรียนรู้การใช้งานเทคโนโลยีเหล่านี้ให้เป็นและนํามาใช้ให้เป็นประโยชน์เพื่อได้พูดคุยกับคนในครอบครัว โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวัน พร้อมเน้นย้ําให้มหาวิทยาลัยวัยที่สาม สอนในเรื่องการเข้าเว็บไซต์กูเกิ้ล เพื่อค้นหาข้อมูลการทําเกษตรต่าง ๆ เพราะจะได้นํามาใช้ประโยชน์ได้ พร้อมกันนี้ รัฐบาลกําหนดให้มีการเตรียมความพร้อมสังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ซึ่งประเทศไทยกําลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงต้องให้ความสําคัญมากขึ้น ที่ต้องเตรียมการดูแลผู้สูงวัยอย่างยั่งยืน นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นชนเผ่าม้งหรือชนเผ่าต่าง ๆ ชนเผ่าไหนก็คือคนไทยด้วยกัน พร้อมทั้งอวยพรขอให้ทุกคนอายุ 100 ปี อีกทั้ง อยากให้ทุกคนร่วมสานนโยบาย 5 ปีที่รัฐบาลได้ดําเนินการมาเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติบ้านเมือง จากนั้น นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมห้องการเรียนรู้เทคโนโลยีและการสื่อสาร ที่เปิดสอนการใช้คอมพิวเตอร์และการใช้โปรแกรมต่าง ๆ การใช้งานอินเทอร์เน็ต การเรียนรู้เรื่องสุขภาพ การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุเบื้องต้น การฟื้นฟูความเสื่อมสมองการออกกําลังกายสําหรับผู้สูงอายุ และการดูแลสุขภาพด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทยให้แก่ผู้สูงอายุได้เรียนรู้ -------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19382
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 3 ตุลาคม 2560
วันอังคารที่ 3 ตุลาคม 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 3 ตุลาคม 2560 วันอังคารที่ 3 ตุลาคม 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชื้อไวรัสโควิด-19 อยู่ติดกับสิ่งของต่างๆ ได้เป็นระยะเวลานานเท่าไร ??
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563 เชื้อไวรัสโควิด-19 อยู่ติดกับสิ่งของต่างๆ ได้เป็นระยะเวลานานเท่าไร ?? ไวรัสโควิด-19 อยู่ติดกับสิ่งของต่างๆ ได้นานเท่าไร ?? Q : เชื้อไวรัสโควิด-19 อยู่ติดกับสิ่งของต่างๆ ได้เป็นระยะเวลานานเท่าไร ?? A :อยู่ในอากาศ เป็นน้ํามูก เสมหะ น้ําลาย น้ําตา อยู่ได้ 5 นาที อยู่บนพื้น โต๊ะ ลูกบิดประตู อยู่ได้ 7–8 ชั่วโมง อยู่ในผ้าหรือทิชชู่ อยู่ได้ 8–12 ชั่วโมง อยู่บนโต๊ะพื้นเรียบ อยู่ได้ 24–48 ชั่วโมง อยู่ในน้ํา อยู่ได้ 4 วัน อยู่ในตู้เย็นหรือที่อุณหภูมิต่ํากว่า 4 องศาเซลเซียส อาจอยู่ได้ถึง 1 เดือน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชื้อไวรัสโควิด-19 อยู่ติดกับสิ่งของต่างๆ ได้เป็นระยะเวลานานเท่าไร ?? วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563 เชื้อไวรัสโควิด-19 อยู่ติดกับสิ่งของต่างๆ ได้เป็นระยะเวลานานเท่าไร ?? ไวรัสโควิด-19 อยู่ติดกับสิ่งของต่างๆ ได้นานเท่าไร ?? Q : เชื้อไวรัสโควิด-19 อยู่ติดกับสิ่งของต่างๆ ได้เป็นระยะเวลานานเท่าไร ?? A :อยู่ในอากาศ เป็นน้ํามูก เสมหะ น้ําลาย น้ําตา อยู่ได้ 5 นาที อยู่บนพื้น โต๊ะ ลูกบิดประตู อยู่ได้ 7–8 ชั่วโมง อยู่ในผ้าหรือทิชชู่ อยู่ได้ 8–12 ชั่วโมง อยู่บนโต๊ะพื้นเรียบ อยู่ได้ 24–48 ชั่วโมง อยู่ในน้ํา อยู่ได้ 4 วัน อยู่ในตู้เย็นหรือที่อุณหภูมิต่ํากว่า 4 องศาเซลเซียส อาจอยู่ได้ถึง 1 เดือน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32244
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม นำทีมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ บริการอาหาร ณ จุดบริการประชาชนของรัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม
วันศุกร์ที่ 6 มกราคม 2560 ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม นําทีมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ บริการอาหาร ณ จุดบริการประชาชนของรัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม 6 มค 60 ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม นําทีมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ บริการอาหาร ณ จุดบริการประชาชนของรัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม จัดจุดให้บริการอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนบริเวณท้องสนามหลวง จุดบริการที่ 6 หน้าโรงละครแห่งชาติ รอบที่ 1 (07.30น.) วันที่ 5 ม.ค.2560 นําทีมโดยนายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม นายวันชัย พนมชัย ผู้อํานวยการกองควบคุมมาตรฐาน นางธิติมา หุ่นสุวรรณ ผู้อํานวยการกองส่งเสริมและพัฒนาด้านการมาตรฐาน นางมะลิ รักเปี่ยม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการกําหนดมาตรฐาน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย บริการอาหารและเครื่องดื่ม ดังนี้ - เหนียวหมูเค็ม/ตับ/ไก่ ทอดกระเทียมพริกไทย 600 ชุด - ข้าวเหนียวหมูฝอย 300 ชุด - พายหมูแดง 300 ชิ้น - พายเห็ด 300 ชิ้น - พายสังขยามะพร้าวอ่อน 300 ชิ้น - โอวัลติน 300 แก้ว - กาแฟ 600 แก้ว - น้ําดื่ม/น้ําแข็ง 2000 แก้ว แจกจ่ายแก่ทหาร ตํารวจ เจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร และประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพ และถวายอาลัย แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยหน่วยงานหลักคือสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย บริษัท สยามยามาโตะ จํากัด บริษัท สตาร์คอร์ จํากัด และบริษัท ตรีเพชร อีซูซุเซลล์ จํากัด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม นำทีมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ บริการอาหาร ณ จุดบริการประชาชนของรัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม วันศุกร์ที่ 6 มกราคม 2560 ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม นําทีมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ บริการอาหาร ณ จุดบริการประชาชนของรัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม 6 มค 60 ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม นําทีมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ บริการอาหาร ณ จุดบริการประชาชนของรัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม จัดจุดให้บริการอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนบริเวณท้องสนามหลวง จุดบริการที่ 6 หน้าโรงละครแห่งชาติ รอบที่ 1 (07.30น.) วันที่ 5 ม.ค.2560 นําทีมโดยนายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม นายวันชัย พนมชัย ผู้อํานวยการกองควบคุมมาตรฐาน นางธิติมา หุ่นสุวรรณ ผู้อํานวยการกองส่งเสริมและพัฒนาด้านการมาตรฐาน นางมะลิ รักเปี่ยม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการกําหนดมาตรฐาน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย บริการอาหารและเครื่องดื่ม ดังนี้ - เหนียวหมูเค็ม/ตับ/ไก่ ทอดกระเทียมพริกไทย 600 ชุด - ข้าวเหนียวหมูฝอย 300 ชุด - พายหมูแดง 300 ชิ้น - พายเห็ด 300 ชิ้น - พายสังขยามะพร้าวอ่อน 300 ชิ้น - โอวัลติน 300 แก้ว - กาแฟ 600 แก้ว - น้ําดื่ม/น้ําแข็ง 2000 แก้ว แจกจ่ายแก่ทหาร ตํารวจ เจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร และประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพ และถวายอาลัย แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยหน่วยงานหลักคือสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย บริษัท สยามยามาโตะ จํากัด บริษัท สตาร์คอร์ จํากัด และบริษัท ตรีเพชร อีซูซุเซลล์ จํากัด
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1233
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย เดินหน้าเสริมทักษะข้าราชการระดับต้น เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อก้าวทันการเปลี่ยนแปลง ขานรับนโยบาย “THAILAND 4.0”
วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2561 มหาดไทย เดินหน้าเสริมทักษะข้าราชการระดับต้น เพิ่มประสิทธิภาพการทํางาน เพื่อก้าวทันการเปลี่ยนแปลง ขานรับนโยบาย “THAILAND 4.0” มหาดไทย เดินหน้าเสริมทักษะข้าราชการระดับต้น เพิ่มประสิทธิภาพการทํางาน เพื่อก้าวทันการเปลี่ยนแปลง ขานรับนโยบาย “THAILAND 4.0” วันนี้ (14 ธ.ค. 61) เวลา 08.45 น. ที่ห้องประชุมอัษฎางค์ ชั้น 5 อาคารดํารงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายจากนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดโครงการศึกษาอบรม หลักสูตร “การเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานสําหรับข้าราชการระดับต้น” ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 จัดขึ้นโดย สถาบันดํารงราชานุภาพ กระทรวงมหาดไทย เพื่อส่งเสริมให้ข้าราชการประเภททั่วไป เพิ่มขีดความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์ให้ครอบคลุมในทุกด้าน ทั้งในด้านความมั่นคง สังคม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง สิ่งแวดล้อม ตลอดจนเทคโนโลยีและวิทยาการสมัยใหม่ เพื่อให้รู้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง พร้อมเป็นกลไกสนับสนุนในการบริหารงานและขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติในพื้นที่ เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายและเกิดผลสัมฤทธิ์ตามภารกิจของกระทรวง โดยกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ข้าราชการประเภททั่วไป ในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ใช้ระยะเวลาการอบรม 12 วัน ระหว่างวันที่ 14 - 25 ธันวาคม 2561 ณ วิทยาลัยมหาดไทย อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี โดยมี นายอังกูร สุ่นกุล ผู้อํานวยการสถาบันดํารงราชานุภาพ กล่าวรายงาน โอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวให้โอวาทและมอบแนวทางการดําเนินงานให้แก่ผู้เข้ารับการอบรม มีใจความตอนหนึ่งว่า กระทรวงมหาดไทยให้ความสําคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรบุคคล เพื่อให้มีความพร้อมสําหรับการขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงมหาดไทย ทั้งในด้านการพัฒนายุทธศาสตร์และแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติ การจัดสรรทรัพยากร และการบริหารราชการทั่วไป ซึ่งกระทรวงมหาดไทยมีภารกิจในการบําบัดทุกข์ บํารุงสุขของประชาชน และเกี่ยวข้องกับการบริหารราชการส่วนภูมิภาค การพัฒนาจังหวัด และเชี่อมโยงกับส่วนราชการต่างๆเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ให้บรรลุวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้วด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ประกอบกับ ข้าราชการประเภททั่วไปในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย จะต้องปฎิบัติงานในด้านต่างๆ อาทิ งานธุรการ งานสารบรรณ การบริหารจัดการพัสดุ การบริหาร วางแผน ควบคุม ตรวจสอบ ทั้งงานด้านการเงิน การบัญชี ซึ่งการอบรมในครั้งนี้ ถือเป็นการเตรียม หรือเสริมสร้างองค์ความรู้ ทักษะในการปฏิบัติงานให้แก่ข้าราชการในระดับต้น เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจในข้อระเบียบกฎหมายใหม่ๆ ที่มีการพัฒนาขึ้น เพื่อให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคปัจจุบัน จึงขอให้ผู้เข้ารับการอบรมทุกคน “ปฏิบัติตนเป็นดั่งแก้วน้ํา ที่พร้อมรองรับการเติมเต็ม”ตักตวงองค์ความรู้ ทักษะ และวิทยาการสมัยใหม่ เพื่อนํากลับไปประยุกต์ใช้และพัฒนางานที่ดํารงอยู่ให้มีความเจริญก้าวหน้า สามารถสนับสนุนการปฏิบัติงานเพื่อขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ตลอดจนกระทรวงมหาดไทยได้อย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ ท้ายนี้ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้เน้นย้ําว่า การฝึกอบรมครั้งนี้ เป็นการเพิ่มพูนองค์ความรู้และทักษะให้กับข้าราชการระดับต้น เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนการทํางานให้มีประสิทธิภาพ ครอบคลุมสอดคล้องกับสถานการณ์และภารกิจที่ได้รับมอบหมาย จึงขอให้ข้าราชการทุกคน มีความมุ่งมั่นตั้งใจทุ่มเทในการทํางาน รู้จักการเรียนรู้ และนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ให้เท่าทันยุคปัจจุบัน และหมั่นพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ สิ่งสําคัญอีกประการหนึ่ง คือการรู้จักสานสัมพันธ์และสร้างเครือข่ายในการทํางาน เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ในการทํางานซึ่งกันและกัน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาและพัฒนารูปแบบการดําเนินงานให้ดียิ่งๆ ขึ้น และพร้อมเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนนโยบายสําคัญต่างๆ ของรัฐบาล และกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมายและเกิดผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย เดินหน้าเสริมทักษะข้าราชการระดับต้น เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อก้าวทันการเปลี่ยนแปลง ขานรับนโยบาย “THAILAND 4.0” วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2561 มหาดไทย เดินหน้าเสริมทักษะข้าราชการระดับต้น เพิ่มประสิทธิภาพการทํางาน เพื่อก้าวทันการเปลี่ยนแปลง ขานรับนโยบาย “THAILAND 4.0” มหาดไทย เดินหน้าเสริมทักษะข้าราชการระดับต้น เพิ่มประสิทธิภาพการทํางาน เพื่อก้าวทันการเปลี่ยนแปลง ขานรับนโยบาย “THAILAND 4.0” วันนี้ (14 ธ.ค. 61) เวลา 08.45 น. ที่ห้องประชุมอัษฎางค์ ชั้น 5 อาคารดํารงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายจากนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดโครงการศึกษาอบรม หลักสูตร “การเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานสําหรับข้าราชการระดับต้น” ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 จัดขึ้นโดย สถาบันดํารงราชานุภาพ กระทรวงมหาดไทย เพื่อส่งเสริมให้ข้าราชการประเภททั่วไป เพิ่มขีดความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์ให้ครอบคลุมในทุกด้าน ทั้งในด้านความมั่นคง สังคม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง สิ่งแวดล้อม ตลอดจนเทคโนโลยีและวิทยาการสมัยใหม่ เพื่อให้รู้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง พร้อมเป็นกลไกสนับสนุนในการบริหารงานและขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติในพื้นที่ เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายและเกิดผลสัมฤทธิ์ตามภารกิจของกระทรวง โดยกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ข้าราชการประเภททั่วไป ในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ใช้ระยะเวลาการอบรม 12 วัน ระหว่างวันที่ 14 - 25 ธันวาคม 2561 ณ วิทยาลัยมหาดไทย อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี โดยมี นายอังกูร สุ่นกุล ผู้อํานวยการสถาบันดํารงราชานุภาพ กล่าวรายงาน โอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวให้โอวาทและมอบแนวทางการดําเนินงานให้แก่ผู้เข้ารับการอบรม มีใจความตอนหนึ่งว่า กระทรวงมหาดไทยให้ความสําคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรบุคคล เพื่อให้มีความพร้อมสําหรับการขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงมหาดไทย ทั้งในด้านการพัฒนายุทธศาสตร์และแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติ การจัดสรรทรัพยากร และการบริหารราชการทั่วไป ซึ่งกระทรวงมหาดไทยมีภารกิจในการบําบัดทุกข์ บํารุงสุขของประชาชน และเกี่ยวข้องกับการบริหารราชการส่วนภูมิภาค การพัฒนาจังหวัด และเชี่อมโยงกับส่วนราชการต่างๆเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ให้บรรลุวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้วด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ประกอบกับ ข้าราชการประเภททั่วไปในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย จะต้องปฎิบัติงานในด้านต่างๆ อาทิ งานธุรการ งานสารบรรณ การบริหารจัดการพัสดุ การบริหาร วางแผน ควบคุม ตรวจสอบ ทั้งงานด้านการเงิน การบัญชี ซึ่งการอบรมในครั้งนี้ ถือเป็นการเตรียม หรือเสริมสร้างองค์ความรู้ ทักษะในการปฏิบัติงานให้แก่ข้าราชการในระดับต้น เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจในข้อระเบียบกฎหมายใหม่ๆ ที่มีการพัฒนาขึ้น เพื่อให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคปัจจุบัน จึงขอให้ผู้เข้ารับการอบรมทุกคน “ปฏิบัติตนเป็นดั่งแก้วน้ํา ที่พร้อมรองรับการเติมเต็ม”ตักตวงองค์ความรู้ ทักษะ และวิทยาการสมัยใหม่ เพื่อนํากลับไปประยุกต์ใช้และพัฒนางานที่ดํารงอยู่ให้มีความเจริญก้าวหน้า สามารถสนับสนุนการปฏิบัติงานเพื่อขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ตลอดจนกระทรวงมหาดไทยได้อย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ ท้ายนี้ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้เน้นย้ําว่า การฝึกอบรมครั้งนี้ เป็นการเพิ่มพูนองค์ความรู้และทักษะให้กับข้าราชการระดับต้น เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนการทํางานให้มีประสิทธิภาพ ครอบคลุมสอดคล้องกับสถานการณ์และภารกิจที่ได้รับมอบหมาย จึงขอให้ข้าราชการทุกคน มีความมุ่งมั่นตั้งใจทุ่มเทในการทํางาน รู้จักการเรียนรู้ และนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ให้เท่าทันยุคปัจจุบัน และหมั่นพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ สิ่งสําคัญอีกประการหนึ่ง คือการรู้จักสานสัมพันธ์และสร้างเครือข่ายในการทํางาน เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ในการทํางานซึ่งกันและกัน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาและพัฒนารูปแบบการดําเนินงานให้ดียิ่งๆ ขึ้น และพร้อมเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนนโยบายสําคัญต่างๆ ของรัฐบาล และกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมายและเกิดผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17506
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เตือนประชาชนเลี่ยงดื่มเหล้าช่วงอากาศร้อนจัด เสี่ยง “ฮีทสโตรก” ช็อค เสียชีวิตได้
วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน 2561 สธ.เตือนประชาชนเลี่ยงดื่มเหล้าช่วงอากาศร้อนจัด เสี่ยง “ฮีทสโตรก” ช็อค เสียชีวิตได้ กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉลองสงกรานต์ช่วงกลางวัน เสี่ยงเป็นโรคฮีทสโตรกจากสภาพอากาศร้อน ช็อค เสียชีวิตได้ วันนี้ (12 เมษายน 2561) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ สภาพอากาศที่ร้อนจะทําให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นและหากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ท่ามกลางอากาศร้อนจัด จะมีความเสี่ยงเป็นโรคลมแดด โรคลมร้อน หรือฮีทสโตรก อาจเกิดอาการช็อกและเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการดูแลทันท่วงที จึงขอแนะนําประชาชนให้หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในตอนกลางวัน เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะมีผลให้หลอดเลือดที่บริเวณผิวหนังขยายตัว ทําให้เกิดการระบายความร้อนออก มีการปรับเปลี่ยนอัตราและการหมุนเวียนของโลหิต ปัสสาวะบ่อย ทําให้สูญเสียน้ําและเกลือแร่สูงกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่ม โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจําตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ คนอ้วน หรือผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ จะยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่าในการป้องกันโรคฮีทสโตรก ทําได้โดยการดื่มน้ําสะอาดให้มาก ๆ และบ่อย ๆ เนื่องจากน้ําจะเป็นตัวควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ วิธีการสังเกตว่าร่างกายได้รับน้ําเหมาะสมเพียงพอหรือไม่ สามารถสังเกตง่ายๆ จากสีของน้ําปัสสาวะ หากมีสีเหลืองจางๆ แสดงว่าได้รับน้ําเพียงพอ แต่ถ้ามีสีเหลืองเข้มคล้ายน้ําชา และปัสสาวะออกน้อยแสดงว่าได้รับน้ําไม่เพียงพอ จะต้องดื่มน้ําให้มาก ๆ หากพบผู้มีอาการฮีทสโตรก มีอาการตัวร้อนจัดขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่มีเหงื่อออก กระหายน้ํามาก วิงเวียน ปวดศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ หายใจเร็ว อาเจียน ให้รีบนําเข้าที่ร่ม อากาศถ่ายเทสะดวกให้นอนราบยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นสูงเพื่อเพิ่มการไหลเวียนถอดเสื้อผ้าให้เหลือน้อยชิ้น คลายชุดชั้นในและใช้ผ้าชุบน้ําเย็น น้ําแข็งประคบตามซอกคอ หน้าผาก รักแร้ ขาหนีบ ร่วมกับใช้พัดลมเป่า เพื่อระบายความร้อน ลดอุณหภูมิร่างกายให้เร็วที่สุด หากไม่หมดสติให้ดื่มน้ําเปล่ามาก ๆ และส่งผู้ป่วยไปที่โรงพยาบาล หรือโทรสายด่วน 1669 ******************************************* 12 เมษายน 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เตือนประชาชนเลี่ยงดื่มเหล้าช่วงอากาศร้อนจัด เสี่ยง “ฮีทสโตรก” ช็อค เสียชีวิตได้ วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน 2561 สธ.เตือนประชาชนเลี่ยงดื่มเหล้าช่วงอากาศร้อนจัด เสี่ยง “ฮีทสโตรก” ช็อค เสียชีวิตได้ กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉลองสงกรานต์ช่วงกลางวัน เสี่ยงเป็นโรคฮีทสโตรกจากสภาพอากาศร้อน ช็อค เสียชีวิตได้ วันนี้ (12 เมษายน 2561) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ สภาพอากาศที่ร้อนจะทําให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นและหากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ท่ามกลางอากาศร้อนจัด จะมีความเสี่ยงเป็นโรคลมแดด โรคลมร้อน หรือฮีทสโตรก อาจเกิดอาการช็อกและเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการดูแลทันท่วงที จึงขอแนะนําประชาชนให้หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในตอนกลางวัน เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะมีผลให้หลอดเลือดที่บริเวณผิวหนังขยายตัว ทําให้เกิดการระบายความร้อนออก มีการปรับเปลี่ยนอัตราและการหมุนเวียนของโลหิต ปัสสาวะบ่อย ทําให้สูญเสียน้ําและเกลือแร่สูงกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่ม โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจําตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ คนอ้วน หรือผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ จะยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่าในการป้องกันโรคฮีทสโตรก ทําได้โดยการดื่มน้ําสะอาดให้มาก ๆ และบ่อย ๆ เนื่องจากน้ําจะเป็นตัวควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ วิธีการสังเกตว่าร่างกายได้รับน้ําเหมาะสมเพียงพอหรือไม่ สามารถสังเกตง่ายๆ จากสีของน้ําปัสสาวะ หากมีสีเหลืองจางๆ แสดงว่าได้รับน้ําเพียงพอ แต่ถ้ามีสีเหลืองเข้มคล้ายน้ําชา และปัสสาวะออกน้อยแสดงว่าได้รับน้ําไม่เพียงพอ จะต้องดื่มน้ําให้มาก ๆ หากพบผู้มีอาการฮีทสโตรก มีอาการตัวร้อนจัดขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่มีเหงื่อออก กระหายน้ํามาก วิงเวียน ปวดศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ หายใจเร็ว อาเจียน ให้รีบนําเข้าที่ร่ม อากาศถ่ายเทสะดวกให้นอนราบยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นสูงเพื่อเพิ่มการไหลเวียนถอดเสื้อผ้าให้เหลือน้อยชิ้น คลายชุดชั้นในและใช้ผ้าชุบน้ําเย็น น้ําแข็งประคบตามซอกคอ หน้าผาก รักแร้ ขาหนีบ ร่วมกับใช้พัดลมเป่า เพื่อระบายความร้อน ลดอุณหภูมิร่างกายให้เร็วที่สุด หากไม่หมดสติให้ดื่มน้ําเปล่ามาก ๆ และส่งผู้ป่วยไปที่โรงพยาบาล หรือโทรสายด่วน 1669 ******************************************* 12 เมษายน 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11484