title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK เปิดสำนักงานผู้แทนในเวียงจันทน์อย่างเป็นทางการ ตอบสนองนโยบายรัฐบาลเชื่อมโยงการค้าการลงทุนใน CLMVT
|
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2561
EXIM BANK เปิดสํานักงานผู้แทนในเวียงจันทน์อย่างเป็นทางการ ตอบสนองนโยบายรัฐบาลเชื่อมโยงการค้าการลงทุนใน CLMVT
EXIM BANK เปิดสํานักงานผู้แทนในเวียงจันทน์ สปป.ลาว โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยผู้แทนภาครัฐ สปป.ลาว กรรมการและผู้บริหาร EXIM BANK ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของไทย เป็นสักขีพยาน ณ โรงแรมคราวน์ พลาซ่า เวียงจันทน์
EXIM BANK เปิดสํานักงานผู้แทนในเวียงจันทน์อย่างเป็นทางการ ตอบสนองนโยบายรัฐบาลเชื่อมโยงการค้าการลงทุนใน CLMVT
EXIM BANK เปิดสํานักงานผู้แทนในเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยมีนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยผู้แทนภาครัฐ สปป.ลาว กรรมการและผู้บริหาร EXIM BANK ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของไทย เป็นสักขีพยาน ณ โรงแรมคราวน์ พลาซ่า เวียงจันทน์ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2561
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ประเทศไทยและ สปป.ลาว มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิด ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ (Infrastructure Connectivity) ด้านการเงิน (Financial Connectivity) และด้านพลเมือง (People to People Connectivity) โดยเฉพาะการดําเนินโครงการพัฒนาพื้นที่ชายแดนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง นอกเหนือจากมูลค่าการค้าระหว่างไทยและ สปป.ลาว ที่มีอยู่ประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยไทยเป็นแหล่งนําเข้าสําคัญอันดับ 1 และเป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 ของ สปป.ลาว นักลงทุนไทยเป็นนักลงทุนต่างชาติอันดับที่ 3 ที่เข้าไปลงทุนใน สปป.ลาว ไทยเป็นประเทศที่เข้าไปลงทุนพัฒนาโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าและเป็นผู้ซื้อไฟฟ้ารายใหญ่อันดับ 1 จาก สปป.ลาว และมีความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงระบบการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ภายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขงและอาเซียน นอกจากนี้ สืบเนื่องจากมาตรการริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Market Initiative: ABMI) กระทรวงการคลังได้อนุญาตให้กระทรวงการเงินของ สปป.ลาว ออกพันธบัตรสกุลเงินบาทเพื่อระดมทุนไปลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใน สปป.ลาว วงเงินรวม 55,500 ล้านบาท โดยออกขายพันธบัตรสกุลเงินบาทแล้ว 8 ครั้งในช่วงปี 2556-2561 วงเงินรวมทั้งสิ้น 45,690 ล้านบาท ซึ่งไทยเป็นประเทศแรกที่สนับสนุนให้ สปป.ลาว สามารถระดมทุนนอกประเทศได้สําเร็จ เป็นการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในภูมิภาคตามยุทธศาสตร์ของกระทรวงการคลัง เพื่อยกระดับให้ประเทศไทยเป็นผู้นําด้านตลาดตราสารหนี้ในภูมิภาคและเสริมสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกันของอาเซียน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวต่อไปว่า การจัดตั้งสํานักงานผู้แทนของ EXIM BANK ในเวียงจันทน์สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลและผู้ประกอบการไทยให้ความสําคัญกับ สปป.ลาว และแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ในการขยายรูปแบบความร่วมมือและพัฒนาบริการทางการเงินให้มีประสิทธิภาพและหลากหลายมากยิ่งขึ้น นับเป็นผลงานชิ้นสําคัญของ EXIM BANK ในการผลักดันการค้าและการลงทุน เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่ทั้งสองประเทศ อันจะส่งผลให้รายได้ประชาชาติ การลงทุน การจ้างงาน และความอยู่ดีมีสุขของประชาชนทั้งสองประเทศดีขึ้น นําไปสู่ความใกล้ชิดแน่นแฟ้นและความมั่งคั่งยั่งยืนทางธุรกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญของ EXIM BANK ในการสนับสนุนทางการเงินให้แก่ธุรกิจส่งออก นําเข้า และลงทุน มายาวนานกว่า 20 ปี โดยเฉพาะโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน สาธารณูปโภค และอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปใน สปป.ลาว
“นอกจากการทําหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการสนับสนุนเงินทุนให้กับผู้ประกอบการไทยและ สปป.ลาว ซึ่งเป็นภารกิจหลักอยู่แล้วนั้น EXIM BANK ต้องเพิ่มภารกิจ เป็น ‘ทูตมิตรภาพทางเศรษฐกิจ’ อีกตําแหน่งหนึ่ง เพื่อทําหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ให้ข้อมูลด้านการค้า การลงทุน และกฎระเบียบต่างๆ แก่ผู้ประกอบการไทยและ สปป.ลาว รวมทั้งอํานวยความสะดวกในการติดต่อกับหน่วยงานภาครัฐ กระตุ้นให้เกิดการจับคู่ทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการของไทยและ สปป.ลาว ภารกิจของ EXIM BANK ใน สปป.ลาว จะเข้มข้นมากยิ่งขึ้นในระยะต่อไป เพื่อให้ความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและสปป.ลาวมั่นคงและยั่งยืน” นายอภิศักดิ์ กล่าว
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวว่า นับตั้งแต่ EXIM BANK เปิดดําเนินการเมื่อปี 2537 เป็นต้นมา เป็นเวลากว่า 24 ปีที่ EXIM BANK ได้ทําหน้าที่ส่งเสริมการส่งออก การนําเข้า และการลงทุน โดยเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจและมิตรประเทศที่ดีมายาวนานอย่าง สปป.ลาว โดย EXIM BANK ได้สนับสนุนทางการเงินให้แก่โครงการต่างๆ ใน สปป.ลาว รวมทั้งสิ้นกว่า 30,000 ล้านบาทในโครงการพัฒนาประเทศด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การก่อสร้างถนน การลงทุนในโรงไฟฟ้า รวมถึงโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่มีการจําหน่ายไฟฟ้ากลับมายังประเทศไทย และอีกหลายโครงการในภาคอุตสาหกรรมและบริการ
นายพิศิษฐ์ เปิดเผยต่อไปว่า EXIM BANK จัดตั้งสํานักงานผู้แทนในเวียงจันทน์เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมประเทศไทยทํางานกับภาครัฐและเอกชนไทย-สปป.ลาว เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างทั้งสองประเทศ รวมถึงการขยายธุรกิจเชื่อมโยง CLMVT (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย) ต่อไปยังประเทศต่างๆ ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขงและอาเซียน ทั้งนี้ สํานักงานผู้แทน EXIM BANK ในเวียงจันทน์จะทําหน้าที่ให้บริการด้านคําปรึกษาแนะนํา ข้อมูลการค้าการลงทุน รวมถึงข้อมูลเชิงลึกที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยทุกขนาดธุรกิจสามารถเริ่มต้นหรือขยายการค้าการลงทุนในสปป.ลาว ได้อย่างประสบความสําเร็จ ตลอดจนอํานวยความสะดวกในการทําธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ แสวงหาโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ ตลอดจนขยายความร่วมมือในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความคาดหวังของภาครัฐและเอกชนของทั้งสองประเทศ ขับเคลื่อนให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการพัฒนาในระดับประเทศและระดับภูมิภาค
ทั้งนี้ สปป.ลาวเป็นประเทศที่มีประชากร 7 ล้านคน มีขนาดเศรษฐกิจเล็กที่สุดใน CLMVT ไม่มีทางออกสู่ทะเล แต่เป็นประเทศที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าจะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเฉลี่ยในช่วงปี 2561-2565 ราว 7% ต่อปี สูงที่สุดใน CLMVT และสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยอาศัยจุดแข็งของ สปป.ลาวในการมีพรมแดนติดกับ CLMVT และจีน ทําให้ สปป.ลาว เป็นประตูเชื่อมโยงเครือข่ายพลังงาน เส้นทางคมนาคมขนส่ง การท่องเที่ยว และการค้าของภูมิภาค
ในโอกาสนี้ นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK และนายอุเดด สุวันนะวง ประธานสภาการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติลาว (LNCCI) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง EXIM BANK กับ LNCCI เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือด้านข้อมูล บริการทั้งทางการเงินและมิใช่การเงิน รวมถึงการร่วมกันจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อขยายโอกาสในด้านการค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศ อันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการลาว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายเลขานุการและสื่อสารองค์กร EXIM BANK สํานักงานใหญ่
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141, 1144
EXIM Thailand Officially Opens Vientiane Representative Office to Respond to Government Policy of Promoting CLMVT Trade and Investment Connectivity
Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand) held the official opening ceremony of its representative office in Vientiane, Lao PDR. The event was presided over by Mr. Apisak Tantivorawong, Thailand’s Minister of Finance, and was witnessed and attended by representatives from Lao PDR government, EXIM Thailand’s directors and executives, together with representatives from Thai public and private entities at Crowne Plaza Vientiane Hotel on November 30, 2018.
Mr. Apisak Tantivorawong, Thai Finance Minister, revealed that Thailand and Lao PDR have been in close infrastructure, financial, and people to people connectivity, especially as regards border development projects under the philosophy of sufficiency economy. Besides Thai-Lao trade value of approximately USD 5 billion per year with a steadily upward trend, Thailand ranks first as source of Lao PDR’s import, second as export market, and third largest foreign direct investor, and tops the list of Lao PDR’s power plant developers/investors and power purchasers. There has also been close collaboration between the two countries in the Greater Mekong Sub-region (GMS) and ASEAN transportation and logistics networking. Furthermore, under the Asian Bond Market Initiative (ABMI), Thai Ministry of Finance has authorized allowed Lao Ministry of Finance to issue Thai Baht bonds in the total amount of up to THB 55.5 billion to raise funds for investment in Lao PDR’s infrastructure projects. Eight Baht-denominated bond issues worth THB 45.69 billion in total have been made by the Lao government during 2013-2018. Thailand is thus the first country that has supported Lao PDR’s offshore funds raising. This move will help drive Thai Ministry of Finance’s strategy to boost Thailand’s status as regional leader in bond market development and enhance mutual economic growth of ASEAN nations.
Thai Finance Minister further said that the establishment of EXIM Thailand’s representative office in Vientiane reflects the importance Thai government and Thai entrepreneurs have placed on Lao PDR and prospects of new opportunities for expansion of collaboration and financial service development with higher efficiency and broader diversity. EXIM Thailand’s presence in Lao PDR represents its achievement in fulfilling its mission of promoting trade and investment for mutual economic benefits. This will lead to higher GDP, investment and employment, as well as the well-being of the peoples of both countries. It will also foster closer business ties and sustainable security and prosperity, leveraging on EXIM Thailand’s over 20 years of expertise and experience in financial support for export, import and investment, particularly infrastructure, power plant, public utility and processed agricultural projects in Lao PDR.
“In addition to being a key institution with the primary function of rendering financial facilities to Thai and Lao entrepreneurs, EXIM Thailand has another role to perform as a “goodwill ambassador” to foster economic ties through provision of consultation and information on trade, investment and rules and regulations as well as facilitation and coordination with public agencies and business matching between Thai and Lao entrepreneurs. EXIM Thailand’s mission in Lao PDR will be increasingly crucial to ensure Thailand and Lao PDR’s stable and sustainable economic partnership,” added Mr. Apisak.
Mr. Pisit Serewiwattana, EXIM Thailand’s President, said that for the past 24 years of operation since its inception in 1994, EXIM Thailand has vigorously promoted Thai export, import and investment, linking Thai economy with several others, especially those of the neighboring countries, one of which is Lao PDR which is a long-time economic partner and friend of Thailand. The Bank has so far approved financial facilities for investment projects in Lao PDR worth more than 30 billion baht in total. Such projects are mainly infrastructure projects comprising road construction, investment in power plants which include large power plants with sale of electricity back to Thailand and several other projects in manufacturing and service industries.
EXIM Thailand’s President further said that the Bank’s Vientiane representative office is aimed to be part of Team Thailand to work with Thai-Lao public and private sectors in boosting bilateral trade and investment value and linking CLMVT (Cambodia, Lao PDR, Myanmar, Vietnam and Thailand) with countries across the GMS and ASEAN. The representative office is tasked with providing trade and investment information and consultancy including in-depth data which will help Thai entrepreneurs of all sizes in their start-up and expansion of trade and investment in Lao PDR. It will also facilitate international financial transactions, explore new business opportunities for the entrepreneurs, and expand cooperation in more diversified forms, in order to meet the expectations of both countries’ public and private sectors in stimulating economic growth and enhancing national as well as regional development.
Lao PDR is a landlocked country with a population of around 7 million people and the economy of the smallest size in the CLMVT. Nevertheless, it is predicted by the International Monetary Fund (IMF) to record an average economic growth of approximately 7% per year during 2018-2022, the highest in CLMVT and among the top of the global list. With its proximity to CLMVT and China, Lao PDR is well-placed to serve as the gateway to and linkage with regional energy, trade, tourism and transportation hubs.
In concurrence with the official opening of Vientiane representative office, an MOU was also signed between Mr. Pisit Serewiwattana, EXIM Thailand’s President, and Mr. Oudet Souvannavong, President of Lao National Chamber of Commerce and Industry (LNCCI), to promote and support cooperation in the areas of information exchange, financial and non-financial support, as well as joint activities with a view to expanding trade and investment opportunities for the benefits of the entrepreneurs of both countries.
For further information, please contact Corporate Communication, Secretary and Corporate Communication Department Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 1141, 1144
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK เปิดสำนักงานผู้แทนในเวียงจันทน์อย่างเป็นทางการ ตอบสนองนโยบายรัฐบาลเชื่อมโยงการค้าการลงทุนใน CLMVT
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2561
EXIM BANK เปิดสํานักงานผู้แทนในเวียงจันทน์อย่างเป็นทางการ ตอบสนองนโยบายรัฐบาลเชื่อมโยงการค้าการลงทุนใน CLMVT
EXIM BANK เปิดสํานักงานผู้แทนในเวียงจันทน์ สปป.ลาว โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยผู้แทนภาครัฐ สปป.ลาว กรรมการและผู้บริหาร EXIM BANK ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของไทย เป็นสักขีพยาน ณ โรงแรมคราวน์ พลาซ่า เวียงจันทน์
EXIM BANK เปิดสํานักงานผู้แทนในเวียงจันทน์อย่างเป็นทางการ ตอบสนองนโยบายรัฐบาลเชื่อมโยงการค้าการลงทุนใน CLMVT
EXIM BANK เปิดสํานักงานผู้แทนในเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยมีนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยผู้แทนภาครัฐ สปป.ลาว กรรมการและผู้บริหาร EXIM BANK ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของไทย เป็นสักขีพยาน ณ โรงแรมคราวน์ พลาซ่า เวียงจันทน์ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2561
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ประเทศไทยและ สปป.ลาว มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิด ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ (Infrastructure Connectivity) ด้านการเงิน (Financial Connectivity) และด้านพลเมือง (People to People Connectivity) โดยเฉพาะการดําเนินโครงการพัฒนาพื้นที่ชายแดนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง นอกเหนือจากมูลค่าการค้าระหว่างไทยและ สปป.ลาว ที่มีอยู่ประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยไทยเป็นแหล่งนําเข้าสําคัญอันดับ 1 และเป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 ของ สปป.ลาว นักลงทุนไทยเป็นนักลงทุนต่างชาติอันดับที่ 3 ที่เข้าไปลงทุนใน สปป.ลาว ไทยเป็นประเทศที่เข้าไปลงทุนพัฒนาโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าและเป็นผู้ซื้อไฟฟ้ารายใหญ่อันดับ 1 จาก สปป.ลาว และมีความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงระบบการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ภายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขงและอาเซียน นอกจากนี้ สืบเนื่องจากมาตรการริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Market Initiative: ABMI) กระทรวงการคลังได้อนุญาตให้กระทรวงการเงินของ สปป.ลาว ออกพันธบัตรสกุลเงินบาทเพื่อระดมทุนไปลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใน สปป.ลาว วงเงินรวม 55,500 ล้านบาท โดยออกขายพันธบัตรสกุลเงินบาทแล้ว 8 ครั้งในช่วงปี 2556-2561 วงเงินรวมทั้งสิ้น 45,690 ล้านบาท ซึ่งไทยเป็นประเทศแรกที่สนับสนุนให้ สปป.ลาว สามารถระดมทุนนอกประเทศได้สําเร็จ เป็นการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในภูมิภาคตามยุทธศาสตร์ของกระทรวงการคลัง เพื่อยกระดับให้ประเทศไทยเป็นผู้นําด้านตลาดตราสารหนี้ในภูมิภาคและเสริมสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกันของอาเซียน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวต่อไปว่า การจัดตั้งสํานักงานผู้แทนของ EXIM BANK ในเวียงจันทน์สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลและผู้ประกอบการไทยให้ความสําคัญกับ สปป.ลาว และแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ในการขยายรูปแบบความร่วมมือและพัฒนาบริการทางการเงินให้มีประสิทธิภาพและหลากหลายมากยิ่งขึ้น นับเป็นผลงานชิ้นสําคัญของ EXIM BANK ในการผลักดันการค้าและการลงทุน เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่ทั้งสองประเทศ อันจะส่งผลให้รายได้ประชาชาติ การลงทุน การจ้างงาน และความอยู่ดีมีสุขของประชาชนทั้งสองประเทศดีขึ้น นําไปสู่ความใกล้ชิดแน่นแฟ้นและความมั่งคั่งยั่งยืนทางธุรกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญของ EXIM BANK ในการสนับสนุนทางการเงินให้แก่ธุรกิจส่งออก นําเข้า และลงทุน มายาวนานกว่า 20 ปี โดยเฉพาะโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน สาธารณูปโภค และอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปใน สปป.ลาว
“นอกจากการทําหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการสนับสนุนเงินทุนให้กับผู้ประกอบการไทยและ สปป.ลาว ซึ่งเป็นภารกิจหลักอยู่แล้วนั้น EXIM BANK ต้องเพิ่มภารกิจ เป็น ‘ทูตมิตรภาพทางเศรษฐกิจ’ อีกตําแหน่งหนึ่ง เพื่อทําหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ให้ข้อมูลด้านการค้า การลงทุน และกฎระเบียบต่างๆ แก่ผู้ประกอบการไทยและ สปป.ลาว รวมทั้งอํานวยความสะดวกในการติดต่อกับหน่วยงานภาครัฐ กระตุ้นให้เกิดการจับคู่ทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการของไทยและ สปป.ลาว ภารกิจของ EXIM BANK ใน สปป.ลาว จะเข้มข้นมากยิ่งขึ้นในระยะต่อไป เพื่อให้ความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและสปป.ลาวมั่นคงและยั่งยืน” นายอภิศักดิ์ กล่าว
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวว่า นับตั้งแต่ EXIM BANK เปิดดําเนินการเมื่อปี 2537 เป็นต้นมา เป็นเวลากว่า 24 ปีที่ EXIM BANK ได้ทําหน้าที่ส่งเสริมการส่งออก การนําเข้า และการลงทุน โดยเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจและมิตรประเทศที่ดีมายาวนานอย่าง สปป.ลาว โดย EXIM BANK ได้สนับสนุนทางการเงินให้แก่โครงการต่างๆ ใน สปป.ลาว รวมทั้งสิ้นกว่า 30,000 ล้านบาทในโครงการพัฒนาประเทศด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การก่อสร้างถนน การลงทุนในโรงไฟฟ้า รวมถึงโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่มีการจําหน่ายไฟฟ้ากลับมายังประเทศไทย และอีกหลายโครงการในภาคอุตสาหกรรมและบริการ
นายพิศิษฐ์ เปิดเผยต่อไปว่า EXIM BANK จัดตั้งสํานักงานผู้แทนในเวียงจันทน์เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมประเทศไทยทํางานกับภาครัฐและเอกชนไทย-สปป.ลาว เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างทั้งสองประเทศ รวมถึงการขยายธุรกิจเชื่อมโยง CLMVT (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย) ต่อไปยังประเทศต่างๆ ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขงและอาเซียน ทั้งนี้ สํานักงานผู้แทน EXIM BANK ในเวียงจันทน์จะทําหน้าที่ให้บริการด้านคําปรึกษาแนะนํา ข้อมูลการค้าการลงทุน รวมถึงข้อมูลเชิงลึกที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยทุกขนาดธุรกิจสามารถเริ่มต้นหรือขยายการค้าการลงทุนในสปป.ลาว ได้อย่างประสบความสําเร็จ ตลอดจนอํานวยความสะดวกในการทําธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ แสวงหาโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ ตลอดจนขยายความร่วมมือในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความคาดหวังของภาครัฐและเอกชนของทั้งสองประเทศ ขับเคลื่อนให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการพัฒนาในระดับประเทศและระดับภูมิภาค
ทั้งนี้ สปป.ลาวเป็นประเทศที่มีประชากร 7 ล้านคน มีขนาดเศรษฐกิจเล็กที่สุดใน CLMVT ไม่มีทางออกสู่ทะเล แต่เป็นประเทศที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าจะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเฉลี่ยในช่วงปี 2561-2565 ราว 7% ต่อปี สูงที่สุดใน CLMVT และสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยอาศัยจุดแข็งของ สปป.ลาวในการมีพรมแดนติดกับ CLMVT และจีน ทําให้ สปป.ลาว เป็นประตูเชื่อมโยงเครือข่ายพลังงาน เส้นทางคมนาคมขนส่ง การท่องเที่ยว และการค้าของภูมิภาค
ในโอกาสนี้ นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK และนายอุเดด สุวันนะวง ประธานสภาการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติลาว (LNCCI) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง EXIM BANK กับ LNCCI เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือด้านข้อมูล บริการทั้งทางการเงินและมิใช่การเงิน รวมถึงการร่วมกันจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อขยายโอกาสในด้านการค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศ อันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการลาว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายเลขานุการและสื่อสารองค์กร EXIM BANK สํานักงานใหญ่
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141, 1144
EXIM Thailand Officially Opens Vientiane Representative Office to Respond to Government Policy of Promoting CLMVT Trade and Investment Connectivity
Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand) held the official opening ceremony of its representative office in Vientiane, Lao PDR. The event was presided over by Mr. Apisak Tantivorawong, Thailand’s Minister of Finance, and was witnessed and attended by representatives from Lao PDR government, EXIM Thailand’s directors and executives, together with representatives from Thai public and private entities at Crowne Plaza Vientiane Hotel on November 30, 2018.
Mr. Apisak Tantivorawong, Thai Finance Minister, revealed that Thailand and Lao PDR have been in close infrastructure, financial, and people to people connectivity, especially as regards border development projects under the philosophy of sufficiency economy. Besides Thai-Lao trade value of approximately USD 5 billion per year with a steadily upward trend, Thailand ranks first as source of Lao PDR’s import, second as export market, and third largest foreign direct investor, and tops the list of Lao PDR’s power plant developers/investors and power purchasers. There has also been close collaboration between the two countries in the Greater Mekong Sub-region (GMS) and ASEAN transportation and logistics networking. Furthermore, under the Asian Bond Market Initiative (ABMI), Thai Ministry of Finance has authorized allowed Lao Ministry of Finance to issue Thai Baht bonds in the total amount of up to THB 55.5 billion to raise funds for investment in Lao PDR’s infrastructure projects. Eight Baht-denominated bond issues worth THB 45.69 billion in total have been made by the Lao government during 2013-2018. Thailand is thus the first country that has supported Lao PDR’s offshore funds raising. This move will help drive Thai Ministry of Finance’s strategy to boost Thailand’s status as regional leader in bond market development and enhance mutual economic growth of ASEAN nations.
Thai Finance Minister further said that the establishment of EXIM Thailand’s representative office in Vientiane reflects the importance Thai government and Thai entrepreneurs have placed on Lao PDR and prospects of new opportunities for expansion of collaboration and financial service development with higher efficiency and broader diversity. EXIM Thailand’s presence in Lao PDR represents its achievement in fulfilling its mission of promoting trade and investment for mutual economic benefits. This will lead to higher GDP, investment and employment, as well as the well-being of the peoples of both countries. It will also foster closer business ties and sustainable security and prosperity, leveraging on EXIM Thailand’s over 20 years of expertise and experience in financial support for export, import and investment, particularly infrastructure, power plant, public utility and processed agricultural projects in Lao PDR.
“In addition to being a key institution with the primary function of rendering financial facilities to Thai and Lao entrepreneurs, EXIM Thailand has another role to perform as a “goodwill ambassador” to foster economic ties through provision of consultation and information on trade, investment and rules and regulations as well as facilitation and coordination with public agencies and business matching between Thai and Lao entrepreneurs. EXIM Thailand’s mission in Lao PDR will be increasingly crucial to ensure Thailand and Lao PDR’s stable and sustainable economic partnership,” added Mr. Apisak.
Mr. Pisit Serewiwattana, EXIM Thailand’s President, said that for the past 24 years of operation since its inception in 1994, EXIM Thailand has vigorously promoted Thai export, import and investment, linking Thai economy with several others, especially those of the neighboring countries, one of which is Lao PDR which is a long-time economic partner and friend of Thailand. The Bank has so far approved financial facilities for investment projects in Lao PDR worth more than 30 billion baht in total. Such projects are mainly infrastructure projects comprising road construction, investment in power plants which include large power plants with sale of electricity back to Thailand and several other projects in manufacturing and service industries.
EXIM Thailand’s President further said that the Bank’s Vientiane representative office is aimed to be part of Team Thailand to work with Thai-Lao public and private sectors in boosting bilateral trade and investment value and linking CLMVT (Cambodia, Lao PDR, Myanmar, Vietnam and Thailand) with countries across the GMS and ASEAN. The representative office is tasked with providing trade and investment information and consultancy including in-depth data which will help Thai entrepreneurs of all sizes in their start-up and expansion of trade and investment in Lao PDR. It will also facilitate international financial transactions, explore new business opportunities for the entrepreneurs, and expand cooperation in more diversified forms, in order to meet the expectations of both countries’ public and private sectors in stimulating economic growth and enhancing national as well as regional development.
Lao PDR is a landlocked country with a population of around 7 million people and the economy of the smallest size in the CLMVT. Nevertheless, it is predicted by the International Monetary Fund (IMF) to record an average economic growth of approximately 7% per year during 2018-2022, the highest in CLMVT and among the top of the global list. With its proximity to CLMVT and China, Lao PDR is well-placed to serve as the gateway to and linkage with regional energy, trade, tourism and transportation hubs.
In concurrence with the official opening of Vientiane representative office, an MOU was also signed between Mr. Pisit Serewiwattana, EXIM Thailand’s President, and Mr. Oudet Souvannavong, President of Lao National Chamber of Commerce and Industry (LNCCI), to promote and support cooperation in the areas of information exchange, financial and non-financial support, as well as joint activities with a view to expanding trade and investment opportunities for the benefits of the entrepreneurs of both countries.
For further information, please contact Corporate Communication, Secretary and Corporate Communication Department Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 1141, 1144
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17211
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปนัดดา" เปิดประชุมสภานิสิตนักศึกษาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย ที่ ม.เทคโนโลยีสุรนารี และพบปะนักเรียน รร.สระบุรีวิทยาคม
|
วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2560
"ปนัดดา" เปิดประชุมสภานิสิตนักศึกษาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย ที่ ม.เทคโนโลยีสุรนารี และพบปะนักเรียน รร.สระบุรีวิทยาคม
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุม พร้อมบรรยายพิเศษ "บทบาทผู้นํานักศึกษากับการเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ"
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสภานิสิตนักศึกษาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย สมัยสามัญ ครั้งที่ 6 (UniversityStudentCouncilsAssembly of Thailand: SCAT#6) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 กรกฎาคม 2560 ณ อาคารบรรณสาร มทส. อําเภอเมืองนครราชสีมา โดยได้รับเกียรติจาก ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุม พร้อมบรรยายพิเศษ "บทบาทผู้นํานักศึกษากับการเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ" โดยผู้บริหารและผู้นํานิสิตนักศึกษาจาก 22 สถาบันที่เป็นสมาชิกสภานิสิตนักศึกษาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย จํานวนกว่า 100 คน เข้าร่วมงาน
ศ.ดร.ประสาท สืบค้า อธิการบดี มทส.กล่าวถึงการประชุมในครั้งนี้ว่า ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยต่าง ๆ สภาคณบดี ตลอดจนสภาวิชาชีพแต่ละสาขา มีความพยายามที่จะพัฒนาเยาวชนวัยทีนเอจ (Teenage) ซึ่งเพิ่งเข้าสู่ระดับการอุดมศึกษาจนกระทั่งจบการศึกษา เพื่อเข้าสู่โลกของการทํางานในวัยผู้ใหญ่อย่างเต็มที่ เพราะถือเป็นช่วงผ่องถ่ายที่สําคัญที่จะต้องจัดการศึกษาทั้งด้านวิชาการในห้องเรียน และเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงนอกห้องเรียนอย่างสมดุลและเพียงพอต่อการพัฒนาทักษะเพื่อเป็นพลเมืองไทยและพลโลกที่ดีให้ได้ ผ่านกิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ ดังเช่นกิจกรรมของสภานิสิตนักศึกษาสัมพันธ์แห่งประเทศไทยในครั้งนี้ ที่ช่วยส่งเสริมความคิดเป็นทําเป็น รู้จักวางแผนงานและกิจกรรม เปิดประสบการณ์และมุมมองจากการทํางานเป็นทีม เกิดความรักความสามัคคี ตลอดจนตระหนักในบทบาทหน้าที่ของตนเอง ที่จะต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเอง ชุมชน และสังคมด้วย
ฝากถึงผู้นํานิสิตนักศึกษาทุกคน ให้ช่วยสร้างความเป็นเอกภาพขององค์กรให้เกิดขึ้น โดยน้อมนําคําสอนของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในเรื่องของความสามัคคี สู่การปฏิบัติ ที่จะเกิดเป็นพลัง เกิดการสร้างบารมี และผลงานที่ประจักษ์ต่อวงการอุดมศึกษา เพื่อเชิญชวนสถาบันอื่น ๆ มาเข้าร่วมเป็นสมาชิกเพิ่มมากขึ้น
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวมีใจความตอนหนึ่งว่า การจัดงานสําหรับนิสิตนักศึกษาเช่นนี้ ถือเป็นงานระดับปัญญาชน เป็นอีกกิจกรรมที่จะได้มาซึ่งแนวคิดและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะนําไปสู่การขยายผลต่อยอดสู่การปฏิบัติจริง ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการอุดมศึกษาและประเทศชาติ และได้กล่าวถึง"ศาสตร์พระราชา"ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งพระองค์ทรงสอนให้เรารักกัน ร่วมมือกัน สามัคคีกัน เพื่อทําให้ประเทศสงบสุขและมีความเจริญรุ่งเรือง โดยในช่วงวัยของการศึกษาเล่าเรียน นอกจากเราจะต้องหมั่นเพียรและขวนขวายเพื่อสร้างความดีงาม ความรู้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองแล้วควรปฏิบัติตามหลักคําสอนพระราชทาน "รู้-รัก-สามัคคี" และ " เข้าใจ-เข้าถึง-พัฒนา"เพื่อสร้างความรักความสามัคคี ความซื่อสัตย์สุจริตให้เกิดขึ้นในหมู่นิสิตนักศึกษาร่วมสถาบัน และขยายผลไปยังสถาบันอื่นด้วย สิ่งสําคัญอีกประการคือ การทํางานสิ่งต่าง ๆ ควรยึดหลักธรรมาภิบาลเป็นที่ตั้ง และใช้สื่อโซเชียลมีเดียด้วยความรับผิดชอบ
ในส่วนของคุณลักษณะความเป็นพลเมืองโลก (Global Citizenship Characteristics) เป็นหลักการสากลที่ครูบาอาจารย์ต้องปลูกฝังให้เกิดขึ้นแก่ผู้เรียนในหลายประการ อาทิ ความเป็นพลเมืองของประเทศที่มีความรู้สึกห่วงใยผูกพันต่อเพื่อนมนุษย์และโลก ทักษะในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้คนข้ามวัฒนธรรม สมรรถนะสากลด้านการทํางาน มีทัศนคติและค่านิยมเพื่อการปฏิสัมพันธ์ที่ดี มีความคิดยืดหยุ่น พร้อมปรับตัว เคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรม เป็นต้น
อนึ่ง ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ได้พบปะคณะผู้บริหาร คณะครู และนักเรียนโรงเรียนสระบุรีวิทยาคม เพื่อร่วมขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรมอย่างเป็นรูปธรรม ณ หอประชุมโรงเรียน
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวตอนหนึ่งว่า ต้องการมาพบปะเพื่อขอความร่วมมือจากนักเรียนและคณะครูในการขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรม ร่วมกับโรงเรียนในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกว่า 30,000 โรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตลอดจนโรงเรียนเอกชน สถานศึกษาสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ที่ขานรับเข้าร่วมโครงการด้วยแล้ว
ซึ่งมีตัวชี้วัดการดําเนินงานที่สําคัญ 5 ข้อ ได้แก่ 1) ความพอเพียง 2) ความกตัญญู 3) ความซื่อสัตย์สุจริต 4) ความรับผิดชอบ 5) การมีอุดมการณ์คุณธรรมจริยธรรม
ทั้งนี้ ขอแนะนํานักเรียนให้ศึกษาและอ่านพระบรมราโชวาท คําสอนพระราชทาน ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผู้ซึ่งมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรชาวไทยโดยเฉพาะในด้านการศึกษา ทรงพระราชทานคําสอนคําแนะนําเกี่ยวกับครูไว้หลายประการ อาทิ "คนไทยเราเคารพยกย่องครูมาก สงเคราะห์ครูเข้าในบุพการีรองจากบิดามารดาไม่ว่าผู้ใดมียศถาบรรดาศักดิ์มากเพียงใดก็ยําเกรงครู ไม่ลบหลู่ครู ไม่ลืมครู เพราะเราถือว่าครูเป็นผู้ปลูกฝังทั้งความรู้และความดีเป็นผู้ที่ปั้นเราให้เป็นคนดีมีประโยชน์ต่อสังคม" เป็นต้น ดังนั้น เราจึงควรให้ความเคารพและสํานึกในพระคุณครู เพราะครูอาจารย์เป็นผู้มีบทบาทอย่างมากในการอบรมบ่มสอนลูกหลานให้เป็นคนดี มีความรักสมัครสมานสามัคคี และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีที่จะพัฒนาประเทศชาติต่อไปในอนาคต
"โรงเรียนสระบุรีวิทยาคม" ตั้งอยู่บนถนนพหลโยธิน (สระบุรี-หล่มสัก) ตําบลปากเพรียว อําเภอเมืองสระบุรี จัดการเรียนการสอนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 มีนักเรียน 3,438 คน มีผู้บริหาร ครู และเจ้าหน้าที่ 186 คน โดยมีนายเฉลียว ไตรพิพัฒน์ เป็นผู้อํานวยการโรงเรียน
เอกลักษณ์: วิชาการดี เทคโนโลยีพร้อม
อัตลักษณ์: สร้างกิจกรรม ทําด้วยตนเอง
วิสัยทัศน์: ผู้เรียนมีศักยภาพเป็นพลโลก มีคุณธรรม จริยธรรม ปฏิบัติตามแนวคิดของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีคุณภาพได้มาตรฐานการศึกษา และมาตรฐานสากล
สีประโรงเรียน: สีเหลือง-ฟ้า
นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปนัดดา" เปิดประชุมสภานิสิตนักศึกษาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย ที่ ม.เทคโนโลยีสุรนารี และพบปะนักเรียน รร.สระบุรีวิทยาคม
วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2560
"ปนัดดา" เปิดประชุมสภานิสิตนักศึกษาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย ที่ ม.เทคโนโลยีสุรนารี และพบปะนักเรียน รร.สระบุรีวิทยาคม
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุม พร้อมบรรยายพิเศษ "บทบาทผู้นํานักศึกษากับการเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ"
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสภานิสิตนักศึกษาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย สมัยสามัญ ครั้งที่ 6 (UniversityStudentCouncilsAssembly of Thailand: SCAT#6) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 กรกฎาคม 2560 ณ อาคารบรรณสาร มทส. อําเภอเมืองนครราชสีมา โดยได้รับเกียรติจาก ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุม พร้อมบรรยายพิเศษ "บทบาทผู้นํานักศึกษากับการเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ" โดยผู้บริหารและผู้นํานิสิตนักศึกษาจาก 22 สถาบันที่เป็นสมาชิกสภานิสิตนักศึกษาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย จํานวนกว่า 100 คน เข้าร่วมงาน
ศ.ดร.ประสาท สืบค้า อธิการบดี มทส.กล่าวถึงการประชุมในครั้งนี้ว่า ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยต่าง ๆ สภาคณบดี ตลอดจนสภาวิชาชีพแต่ละสาขา มีความพยายามที่จะพัฒนาเยาวชนวัยทีนเอจ (Teenage) ซึ่งเพิ่งเข้าสู่ระดับการอุดมศึกษาจนกระทั่งจบการศึกษา เพื่อเข้าสู่โลกของการทํางานในวัยผู้ใหญ่อย่างเต็มที่ เพราะถือเป็นช่วงผ่องถ่ายที่สําคัญที่จะต้องจัดการศึกษาทั้งด้านวิชาการในห้องเรียน และเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงนอกห้องเรียนอย่างสมดุลและเพียงพอต่อการพัฒนาทักษะเพื่อเป็นพลเมืองไทยและพลโลกที่ดีให้ได้ ผ่านกิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ ดังเช่นกิจกรรมของสภานิสิตนักศึกษาสัมพันธ์แห่งประเทศไทยในครั้งนี้ ที่ช่วยส่งเสริมความคิดเป็นทําเป็น รู้จักวางแผนงานและกิจกรรม เปิดประสบการณ์และมุมมองจากการทํางานเป็นทีม เกิดความรักความสามัคคี ตลอดจนตระหนักในบทบาทหน้าที่ของตนเอง ที่จะต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเอง ชุมชน และสังคมด้วย
ฝากถึงผู้นํานิสิตนักศึกษาทุกคน ให้ช่วยสร้างความเป็นเอกภาพขององค์กรให้เกิดขึ้น โดยน้อมนําคําสอนของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในเรื่องของความสามัคคี สู่การปฏิบัติ ที่จะเกิดเป็นพลัง เกิดการสร้างบารมี และผลงานที่ประจักษ์ต่อวงการอุดมศึกษา เพื่อเชิญชวนสถาบันอื่น ๆ มาเข้าร่วมเป็นสมาชิกเพิ่มมากขึ้น
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวมีใจความตอนหนึ่งว่า การจัดงานสําหรับนิสิตนักศึกษาเช่นนี้ ถือเป็นงานระดับปัญญาชน เป็นอีกกิจกรรมที่จะได้มาซึ่งแนวคิดและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะนําไปสู่การขยายผลต่อยอดสู่การปฏิบัติจริง ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการอุดมศึกษาและประเทศชาติ และได้กล่าวถึง"ศาสตร์พระราชา"ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งพระองค์ทรงสอนให้เรารักกัน ร่วมมือกัน สามัคคีกัน เพื่อทําให้ประเทศสงบสุขและมีความเจริญรุ่งเรือง โดยในช่วงวัยของการศึกษาเล่าเรียน นอกจากเราจะต้องหมั่นเพียรและขวนขวายเพื่อสร้างความดีงาม ความรู้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองแล้วควรปฏิบัติตามหลักคําสอนพระราชทาน "รู้-รัก-สามัคคี" และ " เข้าใจ-เข้าถึง-พัฒนา"เพื่อสร้างความรักความสามัคคี ความซื่อสัตย์สุจริตให้เกิดขึ้นในหมู่นิสิตนักศึกษาร่วมสถาบัน และขยายผลไปยังสถาบันอื่นด้วย สิ่งสําคัญอีกประการคือ การทํางานสิ่งต่าง ๆ ควรยึดหลักธรรมาภิบาลเป็นที่ตั้ง และใช้สื่อโซเชียลมีเดียด้วยความรับผิดชอบ
ในส่วนของคุณลักษณะความเป็นพลเมืองโลก (Global Citizenship Characteristics) เป็นหลักการสากลที่ครูบาอาจารย์ต้องปลูกฝังให้เกิดขึ้นแก่ผู้เรียนในหลายประการ อาทิ ความเป็นพลเมืองของประเทศที่มีความรู้สึกห่วงใยผูกพันต่อเพื่อนมนุษย์และโลก ทักษะในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้คนข้ามวัฒนธรรม สมรรถนะสากลด้านการทํางาน มีทัศนคติและค่านิยมเพื่อการปฏิสัมพันธ์ที่ดี มีความคิดยืดหยุ่น พร้อมปรับตัว เคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรม เป็นต้น
อนึ่ง ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ได้พบปะคณะผู้บริหาร คณะครู และนักเรียนโรงเรียนสระบุรีวิทยาคม เพื่อร่วมขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรมอย่างเป็นรูปธรรม ณ หอประชุมโรงเรียน
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวตอนหนึ่งว่า ต้องการมาพบปะเพื่อขอความร่วมมือจากนักเรียนและคณะครูในการขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรม ร่วมกับโรงเรียนในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกว่า 30,000 โรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตลอดจนโรงเรียนเอกชน สถานศึกษาสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ที่ขานรับเข้าร่วมโครงการด้วยแล้ว
ซึ่งมีตัวชี้วัดการดําเนินงานที่สําคัญ 5 ข้อ ได้แก่ 1) ความพอเพียง 2) ความกตัญญู 3) ความซื่อสัตย์สุจริต 4) ความรับผิดชอบ 5) การมีอุดมการณ์คุณธรรมจริยธรรม
ทั้งนี้ ขอแนะนํานักเรียนให้ศึกษาและอ่านพระบรมราโชวาท คําสอนพระราชทาน ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผู้ซึ่งมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรชาวไทยโดยเฉพาะในด้านการศึกษา ทรงพระราชทานคําสอนคําแนะนําเกี่ยวกับครูไว้หลายประการ อาทิ "คนไทยเราเคารพยกย่องครูมาก สงเคราะห์ครูเข้าในบุพการีรองจากบิดามารดาไม่ว่าผู้ใดมียศถาบรรดาศักดิ์มากเพียงใดก็ยําเกรงครู ไม่ลบหลู่ครู ไม่ลืมครู เพราะเราถือว่าครูเป็นผู้ปลูกฝังทั้งความรู้และความดีเป็นผู้ที่ปั้นเราให้เป็นคนดีมีประโยชน์ต่อสังคม" เป็นต้น ดังนั้น เราจึงควรให้ความเคารพและสํานึกในพระคุณครู เพราะครูอาจารย์เป็นผู้มีบทบาทอย่างมากในการอบรมบ่มสอนลูกหลานให้เป็นคนดี มีความรักสมัครสมานสามัคคี และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีที่จะพัฒนาประเทศชาติต่อไปในอนาคต
"โรงเรียนสระบุรีวิทยาคม" ตั้งอยู่บนถนนพหลโยธิน (สระบุรี-หล่มสัก) ตําบลปากเพรียว อําเภอเมืองสระบุรี จัดการเรียนการสอนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 มีนักเรียน 3,438 คน มีผู้บริหาร ครู และเจ้าหน้าที่ 186 คน โดยมีนายเฉลียว ไตรพิพัฒน์ เป็นผู้อํานวยการโรงเรียน
เอกลักษณ์: วิชาการดี เทคโนโลยีพร้อม
อัตลักษณ์: สร้างกิจกรรม ทําด้วยตนเอง
วิสัยทัศน์: ผู้เรียนมีศักยภาพเป็นพลโลก มีคุณธรรม จริยธรรม ปฏิบัติตามแนวคิดของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีคุณภาพได้มาตรฐานการศึกษา และมาตรฐานสากล
สีประโรงเรียน: สีเหลือง-ฟ้า
นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5075
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเนื่องในโอกาสวันสถาปนาสำนักนายกรัฐมนตรี ครบรอบปี 85
|
วันพุธที่ 28 มิถุนายน 2560
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเนื่องในโอกาสวันสถาปนาสํานักนายกรัฐมนตรี ครบรอบปี 85
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเนื่องในโอกาสวันสถาปนาสํานักนายกรัฐมนตรี ครบรอบปี 85
วันนี้ (28 มิถุนายน 2560) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในงานเนื่องในโอกาสวันสถาปนาสํานักนายกรัฐมนตรี ครบรอบปี 85 โดยมี คณะรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการ รองหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์การมหาชนในสังกัดสํานักนายกรัฐมนตรีทุกหน่วยงาน และผู้ทีเกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ พระสงฆ์ จํานวน 9 รูป พร้อมถวายเครื่องไทยธรรม เนื่องในโอกาสวันสถาปนาสํานักนายกรัฐมนตรี ครบรอบปีที่ 85 จากนั้น สมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ประธานพิธีฝ่ายสงฆ์เทศน์ธรรมตอนหนึ่งว่า การระลึกถึงวันสถาปนาสํานักนายกรัฐมนตรีในโอกาส ครบรอบปีที่ 85 นี้ ถือเป็นการระลึกในสิ่งที่ดี ซึ่งจะทําให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปอย่างเรียบร้อยและสงบสุข สําหรับการทําพิธีเจิรญพระพุทธมนต์เป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน เพราะจะได้ฟังคําสอนของศาสนา เพื่อใช้เป็นหลักในการปฏิบัติตน รวมไปถึงการปะพรหมน้ํามนต์ซึ่งหลายคนตั้งใจมารับน้ํามนต์โดยเฉพาะ เพื่อความศักดิ์สิทธิ์และเพื่อความเป็นสิริมงคล ผู้รับน้ํามนต์จะต้องประพฤติ ปฏิบัติตนในทางที่ดีด้วยเพื่อจะให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ เพราะน้ํามนต์อย่างเดียวไม่ช่วยให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้ เช่นเดียวกันการนําน้ํามาทําน้ํามนต์ นํามาจากหลายแห่งหลายที่ เมื่อมารวมกันไม่สามารถแยกได้ว่ามาจากแหล่งที่ใด เปรียบเสมือนกับคณะรัฐมนตรี และข้าราชการทุกคนที่มารวมตัวกันอยู่ในทําเนียบรัฐบาล เมื่อมีการรวมตัวกันขอให้ทุกคนมีความสามัคคี กลมเกลียว เป็นหนึ่ง ทําอะไรขอให้ร่วมมือกัน เพื่อให้เกิดความสําเร็จต่อประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก คิดและมองในแง่บอกอย่าให้กิเลสมาครอบงํา เพราะเมื่อคนเราเกิดกิเลสในใจก็จะทําให้เกิดความเห็นแก่ตัว เกิดความละโมบโลภมาก อยากได้ อยากมี อยากจะเป็น เพราะฉนั้นต้องอย่าให้กิเสลมาครอบงํา โดยเริ่มจากตัวเองก่อนอย่าให้ความเคยชินกับการมองในแง่ลบเข้ามาทําลายตัวเราได้
ภายหลังเสร็จสิ้นพิธี นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมนิทรรศการด้วยความสนใจ ณ บริเวณโถงกลางและตึกสันติไมตรีโดยภายในงานมีนิทรรศการแสดงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พร้อมกับนิทรรศการที่สําคัญอื่น ๆ
---------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเนื่องในโอกาสวันสถาปนาสำนักนายกรัฐมนตรี ครบรอบปี 85
วันพุธที่ 28 มิถุนายน 2560
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเนื่องในโอกาสวันสถาปนาสํานักนายกรัฐมนตรี ครบรอบปี 85
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเนื่องในโอกาสวันสถาปนาสํานักนายกรัฐมนตรี ครบรอบปี 85
วันนี้ (28 มิถุนายน 2560) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในงานเนื่องในโอกาสวันสถาปนาสํานักนายกรัฐมนตรี ครบรอบปี 85 โดยมี คณะรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการ รองหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์การมหาชนในสังกัดสํานักนายกรัฐมนตรีทุกหน่วยงาน และผู้ทีเกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ พระสงฆ์ จํานวน 9 รูป พร้อมถวายเครื่องไทยธรรม เนื่องในโอกาสวันสถาปนาสํานักนายกรัฐมนตรี ครบรอบปีที่ 85 จากนั้น สมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ประธานพิธีฝ่ายสงฆ์เทศน์ธรรมตอนหนึ่งว่า การระลึกถึงวันสถาปนาสํานักนายกรัฐมนตรีในโอกาส ครบรอบปีที่ 85 นี้ ถือเป็นการระลึกในสิ่งที่ดี ซึ่งจะทําให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปอย่างเรียบร้อยและสงบสุข สําหรับการทําพิธีเจิรญพระพุทธมนต์เป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน เพราะจะได้ฟังคําสอนของศาสนา เพื่อใช้เป็นหลักในการปฏิบัติตน รวมไปถึงการปะพรหมน้ํามนต์ซึ่งหลายคนตั้งใจมารับน้ํามนต์โดยเฉพาะ เพื่อความศักดิ์สิทธิ์และเพื่อความเป็นสิริมงคล ผู้รับน้ํามนต์จะต้องประพฤติ ปฏิบัติตนในทางที่ดีด้วยเพื่อจะให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ เพราะน้ํามนต์อย่างเดียวไม่ช่วยให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้ เช่นเดียวกันการนําน้ํามาทําน้ํามนต์ นํามาจากหลายแห่งหลายที่ เมื่อมารวมกันไม่สามารถแยกได้ว่ามาจากแหล่งที่ใด เปรียบเสมือนกับคณะรัฐมนตรี และข้าราชการทุกคนที่มารวมตัวกันอยู่ในทําเนียบรัฐบาล เมื่อมีการรวมตัวกันขอให้ทุกคนมีความสามัคคี กลมเกลียว เป็นหนึ่ง ทําอะไรขอให้ร่วมมือกัน เพื่อให้เกิดความสําเร็จต่อประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก คิดและมองในแง่บอกอย่าให้กิเลสมาครอบงํา เพราะเมื่อคนเราเกิดกิเลสในใจก็จะทําให้เกิดความเห็นแก่ตัว เกิดความละโมบโลภมาก อยากได้ อยากมี อยากจะเป็น เพราะฉนั้นต้องอย่าให้กิเสลมาครอบงํา โดยเริ่มจากตัวเองก่อนอย่าให้ความเคยชินกับการมองในแง่ลบเข้ามาทําลายตัวเราได้
ภายหลังเสร็จสิ้นพิธี นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมนิทรรศการด้วยความสนใจ ณ บริเวณโถงกลางและตึกสันติไมตรีโดยภายในงานมีนิทรรศการแสดงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พร้อมกับนิทรรศการที่สําคัญอื่น ๆ
---------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4835
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติดตามพัฒนาการเด็กในถิ่นทุรกันดาร จ.แม่ฮ่องสอน
|
วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม 2561
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติดตามพัฒนาการเด็กในถิ่นทุรกันดาร จ.แม่ฮ่องสอน
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติดตามพัฒนาการเด็กในถิ่นทุรกันดารตามพระราชดําริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ศูนย์การเรียนตํารวจตระเวนชายแดนบ้านดอยแสง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งทุกภาคส่วนร่วมกันแก้ไขปัญหาโภชนาการและอนามัยสิ่งแวดล้อม ควบคุมหนอนพยาธิ
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติดตามพัฒนาการเด็กในถิ่นทุรกันดารตามพระราชดําริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ศูนย์การเรียนตํารวจตระเวนชายแดนบ้านดอยแสง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งทุกภาคส่วนร่วมกันแก้ไขปัญหาโภชนาการและอนามัยสิ่งแวดล้อม ควบคุมหนอนพยาธิ กําจัดโรคมาลาเรีย
วันนี้ (25 พฤษภาคม 2561) นายแพทย์เจษฎาโชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยแพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรคนายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 1 และคณะ ตรวจสุขภาพเด็กนักเรียน และตรวจเยี่ยมติดตามการดําเนินงานพัฒนาการเด็กในถิ่นทุรกันดารตามพระราชดําริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ศูนย์การเรียนตํารวจตระเวนชายแดนบ้านดอยแสง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน
นายแพทย์เจษฎากล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ดําเนินการตามพระราชดําริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร พื้นที่ 51 จังหวัดเป้าหมาย โดยจัดทําโครงการส่งเสริมโภชนาการและสุขภาพอนามัยเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร (กพด.) เพื่อลดอัตราตายทารกน้ําหนักตัวน้อย มีพัฒนาการตามวัย มีภาวะโภชนาการดี สูงสมส่วน ลดโรคคอพอก และโครงการพัฒนาตามพระราชดําริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ด้านการพัฒนาเด็กและเยาวชนในการป้องกันโรคมาลาเรียและหนอนพยาธิ ซึ่งเป็นโรคติดต่อสําคัญในพื้นที่ และส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเด็ก โดยจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีเป้าหมายดําเนินการในโรงเรียน 39 แห่ง
สําหรับที่ศูนย์การเรียนตํารวจตระเวนชายแดนบ้านดอยแสง ได้บูรณาการทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน และประชาชนร่วมดําเนินงานเพื่อให้เด็กแข็งแรง มีสุขภาพดี มีพัฒนาการสมวัย ทั้งด้านโภชนาการ จัดอาหารกลางวันให้เด็ก ใช้เกลือเสริมไอโอดีนในอาหารและน้ําเสริมไอโอดีน การควบคุมโรคมาลาเรียและหนอนพยาธิ การพัฒนาอนามัยสิ่งแวดล้อม และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค โดยโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลบ้านในสอย โรงพยาบาลศรีสังวาลย์ และสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ดูแลส่งเสริมพัฒนาการเด็กในศูนย์เด็กเล็กบ้านดอยแสง ฝึกอบรมการใช้เครื่องตรวจประเมินพัฒนาการเด็กให้แก่ผู้ดูแลเด็ก พร้อมทั้งสนับสนุนชุดตรวจประเมินพัฒนาการ และยา เวชภัณฑ์ ตรวจสุขภาพนักเรียนทุกคนและให้การดูแลรักษา รวมทั้งตรวจสารไอโอดีนในเกลือบริโภค ตรวจค้นหาหนอนพยาธิและให้ยารักษาในนักเรียน และให้ความรู้โรคหนอนพยาธิแก่ผู้ปกครองและชุมชน
ผลการตรวจสุขภาพในปีการศึกษา 2560 นักเรียนทั้งหมด 80 คน พบว่า เด็กอนุบาลมีน้ําหนักตามเกณฑ์ร้อยละ 65 น้ําหนักค่อนข้างน้อยและน้อยกว่าเกณฑ์ร้อยละ 20 น้ําหนักค่อนข้างมากและมากเกินเกณฑ์ร้อยละ 15 ส่วนเด็กประถมศึกษามีรูปร่างสมส่วนร้อยละ 95 และตรวจนักเรียน 58 คน พบหนอนพยาธิ 5 คน คิดเป็นร้อยละ 8.6
พฤษภาคม4/3 ********************************** 25 พฤษภาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติดตามพัฒนาการเด็กในถิ่นทุรกันดาร จ.แม่ฮ่องสอน
วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม 2561
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติดตามพัฒนาการเด็กในถิ่นทุรกันดาร จ.แม่ฮ่องสอน
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติดตามพัฒนาการเด็กในถิ่นทุรกันดารตามพระราชดําริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ศูนย์การเรียนตํารวจตระเวนชายแดนบ้านดอยแสง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งทุกภาคส่วนร่วมกันแก้ไขปัญหาโภชนาการและอนามัยสิ่งแวดล้อม ควบคุมหนอนพยาธิ
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติดตามพัฒนาการเด็กในถิ่นทุรกันดารตามพระราชดําริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ศูนย์การเรียนตํารวจตระเวนชายแดนบ้านดอยแสง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งทุกภาคส่วนร่วมกันแก้ไขปัญหาโภชนาการและอนามัยสิ่งแวดล้อม ควบคุมหนอนพยาธิ กําจัดโรคมาลาเรีย
วันนี้ (25 พฤษภาคม 2561) นายแพทย์เจษฎาโชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยแพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรคนายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 1 และคณะ ตรวจสุขภาพเด็กนักเรียน และตรวจเยี่ยมติดตามการดําเนินงานพัฒนาการเด็กในถิ่นทุรกันดารตามพระราชดําริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ศูนย์การเรียนตํารวจตระเวนชายแดนบ้านดอยแสง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน
นายแพทย์เจษฎากล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ดําเนินการตามพระราชดําริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร พื้นที่ 51 จังหวัดเป้าหมาย โดยจัดทําโครงการส่งเสริมโภชนาการและสุขภาพอนามัยเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร (กพด.) เพื่อลดอัตราตายทารกน้ําหนักตัวน้อย มีพัฒนาการตามวัย มีภาวะโภชนาการดี สูงสมส่วน ลดโรคคอพอก และโครงการพัฒนาตามพระราชดําริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ด้านการพัฒนาเด็กและเยาวชนในการป้องกันโรคมาลาเรียและหนอนพยาธิ ซึ่งเป็นโรคติดต่อสําคัญในพื้นที่ และส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเด็ก โดยจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีเป้าหมายดําเนินการในโรงเรียน 39 แห่ง
สําหรับที่ศูนย์การเรียนตํารวจตระเวนชายแดนบ้านดอยแสง ได้บูรณาการทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน และประชาชนร่วมดําเนินงานเพื่อให้เด็กแข็งแรง มีสุขภาพดี มีพัฒนาการสมวัย ทั้งด้านโภชนาการ จัดอาหารกลางวันให้เด็ก ใช้เกลือเสริมไอโอดีนในอาหารและน้ําเสริมไอโอดีน การควบคุมโรคมาลาเรียและหนอนพยาธิ การพัฒนาอนามัยสิ่งแวดล้อม และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค โดยโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลบ้านในสอย โรงพยาบาลศรีสังวาลย์ และสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ดูแลส่งเสริมพัฒนาการเด็กในศูนย์เด็กเล็กบ้านดอยแสง ฝึกอบรมการใช้เครื่องตรวจประเมินพัฒนาการเด็กให้แก่ผู้ดูแลเด็ก พร้อมทั้งสนับสนุนชุดตรวจประเมินพัฒนาการ และยา เวชภัณฑ์ ตรวจสุขภาพนักเรียนทุกคนและให้การดูแลรักษา รวมทั้งตรวจสารไอโอดีนในเกลือบริโภค ตรวจค้นหาหนอนพยาธิและให้ยารักษาในนักเรียน และให้ความรู้โรคหนอนพยาธิแก่ผู้ปกครองและชุมชน
ผลการตรวจสุขภาพในปีการศึกษา 2560 นักเรียนทั้งหมด 80 คน พบว่า เด็กอนุบาลมีน้ําหนักตามเกณฑ์ร้อยละ 65 น้ําหนักค่อนข้างน้อยและน้อยกว่าเกณฑ์ร้อยละ 20 น้ําหนักค่อนข้างมากและมากเกินเกณฑ์ร้อยละ 15 ส่วนเด็กประถมศึกษามีรูปร่างสมส่วนร้อยละ 95 และตรวจนักเรียน 58 คน พบหนอนพยาธิ 5 คน คิดเป็นร้อยละ 8.6
พฤษภาคม4/3 ********************************** 25 พฤษภาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12538
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานการประชุมเตรียมการจัดการแข่งขัน Air Race 1 World Cup Thailand 2017
|
วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2560
รองนายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานการประชุมเตรียมการจัดการแข่งขัน Air Race 1 World Cup Thailand 2017
รองนายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานการประชุมเตรียมการจัดการแข่งขัน Air Race 1 World Cup Thailand 2017
วันนี้ (วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2560) เวลา 09.30 น. ณ จ.ชลบุรี
พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานการประชุมเตรียมการจัดการแข่งขัน Air Race 1 World Cup Thailand 2017 เพื่อติดตามผลการดําเนินงานของอนุกรรมการฝ่ายต่างๆ รวมทั้งตรวจเยี่ยมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ และสนามบินที่ใช้ในการแข่งขัน
ในการนี้ทุกฝ่ายยืนยันความพร้อมที่จะจัดงาน ให้ยิ่งใหญ่ สมกับเป็นการเปิดตัวปีท่องเที่ยวไทย หรือ Amazing Thailand tourism year 2018
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานการประชุมเตรียมการจัดการแข่งขัน Air Race 1 World Cup Thailand 2017
วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2560
รองนายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานการประชุมเตรียมการจัดการแข่งขัน Air Race 1 World Cup Thailand 2017
รองนายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานการประชุมเตรียมการจัดการแข่งขัน Air Race 1 World Cup Thailand 2017
วันนี้ (วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2560) เวลา 09.30 น. ณ จ.ชลบุรี
พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานการประชุมเตรียมการจัดการแข่งขัน Air Race 1 World Cup Thailand 2017 เพื่อติดตามผลการดําเนินงานของอนุกรรมการฝ่ายต่างๆ รวมทั้งตรวจเยี่ยมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ และสนามบินที่ใช้ในการแข่งขัน
ในการนี้ทุกฝ่ายยืนยันความพร้อมที่จะจัดงาน ให้ยิ่งใหญ่ สมกับเป็นการเปิดตัวปีท่องเที่ยวไทย หรือ Amazing Thailand tourism year 2018
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7331
|
รายการคืนความสุขให้คนในชาติ
|
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
กล่าวในรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ"
ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม 2557 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนที่รักทุกคน
ก่อนอื่นผมขอส่งความปรารถนาดีแด่พี่น้องคริสต์ศาสนิกชนชาวไทย เนื่องในโอกาสวันคริสต์มาสที่เพิ่งจะผ่านไป สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมพร้อมกับพี่น้องชาวไทยต้องขอแสดงความชื่นชมยินดีกับทีมฟุตบอลชาติไทย ที่สามารถคว้าแชมป์ในรายการ AFF SUZUKI CUP 2014 ซึ่งทีม“ขุนพลช้างศึก” ของไทยนั้น สามารถพลิกสถานการณ์หลังจากได้รับพระราชทานกําลังใจจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผ่านทางรองราชเลขาธิการ และได้นําชัยมาถวายพ่อหลวง และปวงชนชาวไทยได้ในที่สุด
วันนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทอดพระเนตรการแข่งขันฟุตบอลร่วมกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ด้วย ผมขอชื่นชมในความเข้มแข็ง เสียสละ และอดทน ของนักกีฬาทุกท่านภายใต้การนําของโค้ช ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่ได้ทําหน้าที่เป็นตัวแทนชาวไทยที่รู้รักสามัคคี มีวินัย รักชาติ รักสถาบัน ถวายพระเกียรติได้อย่างสมภาคภูมิ รัฐบาลได้มอบเงินสนับสนุนให้ 5 ล้านบาท และได้ขอความร่วมมือภาคธุรกิจเอกชนโดยบริษัท CP และ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) ให้เพิ่มอีกบริษัทละ 5 ล้านบาท รวมเป็น 15 ล้านบาท
วันนี้ผมได้มีโอกาสเดินทางไปจังหวัดพังงา เพื่อเข้าร่วมงานรําลึกครบรอบ 10 ปีเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยสึนามิ ผมขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสีย และสูญหายทุกท่าน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปถึง 10 ปีแล้วก็ตาม แต่เหตุการณ์นี้ก็ยังคงอยู่ในความทรงจําของพวกเราทุกคน ภัยธรรมชาตินั้น เป็นสิ่งที่เราห้ามไม่ได้ แต่เราทุกคนต้องพยายามอย่างเต็มที่ในการที่จะป้องกันและบรรเทาความเสียหายที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาป่าต้นน้ํา การปลูกป่า การทําช่องทางระบายน้ําเหล่านี้เป็นสิ่งสําคัญ พร้อมทั้งการให้ความรู้ในเรื่องของการป้องกันภัยแจ้งเตือนภัยไว้ล่วงหน้าด้วย และในวันนี้เช่นกัน ผมได้มีโอกาสเข้าตรวจเยี่ยมสถานการณ์น้ําท่วมในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จริง ๆ แล้วหลายจังหวัดในภาคใต้ปีนี้อากาศเปลี่ยนแปลงมาก และฝนตกไม่หยุดต่อเนื่องกัน ทําให้เกิดการท่วมขังเป็นระยะเวลาที่นานกว่าปกติ และมีระดับน้ําที่ลึกมากพอสมควร ทําให้ประชาชนเดือดร้อน สําหรับพี่น้องที่ประสบภัยน้ําท่วมในทุกพื้นที่นั้น ที่ผมไม่ได้ไปเยี่ยม ทางรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ได้เร่งสั่งการให้ดําเนินการให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และเร่งด่วน
ในปีใหม่นี้ ผมเข้าใจดีว่าพี่น้องข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นตํารวจ ทหาร ข้าราชการท้องถิ่น อาสาสมัคร ต่างต้องเสียสละทําหน้าที่คอยปฏิบัติงานช่วยเหลือ อํานวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชน ที่สัญจรไปมา ซึ่งในการปฏิบัติงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนนั้น ผมเข้าใจดีว่าในหลาย ๆ เรื่อง มีปัญหา อุปสรรค ทั้งในกฎเกณฑ์ ความพร้อมของเครื่องไม้เครื่องมือ กฎระเบียบที่ต้องแก้ไข ก็ขอให้ท่านได้ทุ่มเท ทําด้วยใจ ด้วยความเสียสละ ให้ทุกท่านตระหนักว่า ข้าราชการ อาสาสมัคร เป็นอาชีพที่ต้องเสียสละเพื่อให้การบริการแก่ประชาชน ให้ประชาชนมีความสุขและปลอดภัยในช่วงวันหยุดราชการหลายวัน อย่างเช่นในช่วงวันปีใหม่นี้
สําหรับการทํางานของรัฐบาลในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นถือได้ว่า ได้ดําเนินการตามนโยบายและยุทธศาสตร์ใหญ่ ที่ได้แถลงไว้กับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และแจ้งให้กับพี่น้องทราบเมื่อเริ่มเข้ามาบริหารประเทศ ล้วนแต่เป็นการสร้างพื้นฐานการพัฒนาที่นําไปสู่ความยั่งยืนให้กับประเทศชาติในอนาคต ทั้งนี้ พวกเราทุกคนได้พยายามเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับนานาประเทศ บนหลักการที่ว่า นโยบายการต่างประเทศเป็นส่วนประกอบสําคัญของนโยบายองค์รวมทั้งหมดในการบริหารราชการแผ่นดิน
การประชุมสุดยอดผู้นําแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง (GMS) 6 ประเทศ ครั้งที่ 5 นับว่าประเทศไทยประสบความสําเร็จอย่างดียิ่ง ในการเป็นเจ้าภาพการประชุมนานาชาติระดับสุดยอดผู้นําครั้งแรกของรัฐบาลนี้ โดยเราได้รับเกียรติอย่างสูงจากท่านผู้นําทุกประเทศ GMS เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน พร้อมด้วยรัฐมนตรีประจําแผนงาน GMS รัฐมนตรีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่อาวุโส GMS บุคคลสําคัญในภาคธุรกิจและเอกชน GMS รวมทั้งประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย ซึ่งเป็นองค์กรหุ้นส่วนการพัฒนาของ GMS เข้าร่วมการประชุมด้วย
หัวข้อหลักของการประชุม คือ “ความมุ่งมั่นลดความเหลื่อมล้ําเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง” ก่อนการประชุมระดับผู้นําประเทศ ได้จัดให้มีการประชุมระหว่างภาคีการพัฒนาต่าง ๆ เพื่อเป็นการหารือและเตรียมข้อเสนอต่อผู้นํา ประกอบด้วย การประชุมด้านการลงทุน การประชุมของภาคธุรกิจ การประชุมของหุ้นส่วนการพัฒนา และการประชุมของกลุ่มเยาวชน
จากนั้น ผมในฐานะผู้แทนผู้นําทั้งหมด ได้ให้ข้อคิดเห็นต่อข้อเสนอเหล่านั้น และนําไปเป็นประเด็นหารือในการประชุมสุดยอดผู้นําประเทศ GMS ซึ่งได้มีการรับรองแถลงการณ์ร่วมระดับผู้นํา 6 ประเทศลุ่มแม่น้ําโขง ผลการประชุมระดับผู้นําประเทศ GMS นั้น ได้แสดงความชื่นชมในความร่วมมืออย่างต่อเนื่องของประเทศสมาชิก ในอันที่จะผลักดันการดําเนินความร่วมมือให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและน่าพอใจ อาทิ
การเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การเชื่อมต่อตามแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ – ใต้ ด้วยสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 4 เมืองห้วยทราย สปป.ลาว – อ.เชียงของ ประเทศไทย ขณะนี้ก็กําลังเตรียมขยายการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก – ตะวันตก ไปยังประเทศเมียนมาร์ และการพิจารณาสถานที่ตั้งของ “ศูนย์ประสานงานการซื้อขายไฟฟ้า” ระหว่างประเทศสมาชิกในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง รวมทั้งการร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเชื่อมโยงประเทศสมาชิก และสนับสนุนเทคโนโลยีสารสนเทศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
การพัฒนาด้านกฎระเบียบ เช่น การอํานวยความสะดวกทางการค้า และคมนาคมขนส่งตามแนวระเบียงเศรษฐกิจให้ครอบคลุมเมืองหลวงของแต่ละประเทศสมาชิก อีกทั้งร่วมมือกันผลักดันการดําเนินงานภายใต้ความตกลงการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขงด้วยกัน
ต่อไปเป็นเรื่องของการอํานวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว ลดขั้นตอนในการตรวจลงตรา มีการจัดทําแผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวใน GMS สําหรับในปี 2559-2569 จะผลักดันให้เกิด “ศูนย์ประสานการท่องเที่ยวของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง” อีกด้วย
เรื่องต่อไปการอํานวยความสะดวกด้านการเคลื่อนย้ายแรงงานมีฝีมือ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันด้านแรงงานใน GMS และเรื่องสุดท้ายคือการเสริมสร้างและรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และความมั่นคงทางอาหาร น้ํา และพลังงาน ในภูมิภาค โดยเฉพาะประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น
ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกต่าง ๆ นั้น ต่างก็มีความมุ่งมั่นร่วมกันในการพัฒนาอนุภูมิภาค GMS อย่างยั่งยืน เพื่อความเจริญรุ่งเรืองในอนาคต พร้อม ๆ กัน โดยกําหนดวิสัยทัศน์ไว้ว่า จะร่วมกันที่จะนําไปสู่การค้า การลงทุนในภูมิภาค การร่วมกันพัฒนาแนวเส้นทางคมนาคมใน GMS ให้เป็นแนวระเบียงเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ร่วมกันขจัดอุปสรรคด้านกฎระเบียบการคมนาคมขนส่งข้ามพรมแดน เพื่ออํานวยความสะดวกการเคลื่อนย้ายยานพาหนะ สินค้า และคน ทั้งนี้จะมีการประสานความร่วมมือระหว่างกันในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับอนุภูมิภาค และสอดคล้องกันทั้งในระดับคณะทํางาน และกรอบความร่วมมืออื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น อาเซียน อาเซียน – จีน และอาเซียนบวกสาม
ความร่วมมือไทย – จีน ในการเดินทางไปจีนเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 22 – 23 ธันวาคม 2557 นั้น เป็นการเดินหน้ากระชับความสัมพันธ์กับพันธมิตรใกล้บ้าน ที่เป็นมหาอํานาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก เพื่อส่งเสริมความร่วมมือรอบด้าน ทั้ง 2 ฝ่ายก็มั่นใจว่า จะสามารถผลักดันมูลค่าการค้าการลงทุน ให้ขยายตัว 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2558 ซึ่งเป็นปีที่ครบรอบ 40 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – จีน และผมขอแสดงความขอบคุณในการต้อนรับที่อบอุ่นเป็นกันเอง ซึ่งเป็นโอกาสที่ดี สําหรับทั้งสองประเทศ ในการที่กระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และร่วมกันมองไปข้างหน้า กําหนดวิสัยทัศน์และแนวทางความร่วมมือระหว่างกันในอนาคต เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงของภูมิภาคควบคู่ไปด้วยกับความร่วมมือทวิภาคี
อีกประการหนึ่ง ในปีหน้าเป็นปีแห่งการครบรอบสถาปนาความสัมพันธ์ไทย จีน ครบรอบปีที่ 40 และเป็นปีที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระชนมพรรษาครบ 60 พรรษา ซึ่งทางสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้น ก็ถวายพระพรมาด้วย เพราะว่า ความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ของไทยกับจีนนั้น มีความแน่นแฟ้นมาโดยตลอด ทั้งผู้นําทุกท่านก็ได้ฝากถวายพระพรไปยังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และทุกพระองค์ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน
เรื่องความร่วมมือทวิภาคีในด้านการพัฒนาเส้นทางรถไฟ ที่เราได้ลงนาม MOU ที่ประเทศไทยไปแล้วนั้น ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้มีคณะกรรมการร่วมเร่งหารือในรายละเอียดของโครงการภายในต้นปีหน้า ซึ่งผมกําหนดไว้แล้วว่าภายในเดือนมกราคม พร้อมที่จะพูดคุยกัน เป็นต้นไป แล้วก็เร่งศึกษาทําความเข้าใจ หากฎกติกาการค้า การร่วมกันลงทุนอะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ ให้แล้วเสร็จได้โดยเร็ว เพื่อจะได้ดําเนินการก่อสร้างเป็นของขวัญให้กับคนไทย ในประมาณปลายปี 2558 หรือเร็วกว่านั้น ทั้งนี้ ได้ขอให้จีนสนับสนุนให้ไทยเป็น “ศูนย์กลางการคมนาคมของภูมิภาค” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความพร้อมของไทยที่จะเป็นสถานที่ตั้งของศูนย์ควบคุมระบบรถไฟในภูมิภาค รวมทั้งตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับกิจการรถไฟ ขณะเดียวกัน ก็มีความร่วมมือในอีกหลายๆ ด้าน ที่สําคัญ ได้แก่
ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น การศึกษาดูงานด้านกิจการอวกาศและการวิจัยในประเทศจีน การพัฒนาระบบ GPSสําหรับเรือประมง และใช้ประโยชน์จากดาวเทียมและเทคโนโลยีสํารวจระยะไกล หรือระบบ remote sensing พร้อมทั้งเสนอให้มีการลงนามความร่วมมือด้านอวกาศระหว่างรัฐบาลทั้งสองฝ่าย
สําหรับความร่วมมือด้านพลังงาน จีนยินดีกระชับความร่วมมือกับไทยในเรื่องพลังงานหมุนเวียน โรงไฟฟ้าพลังความร้อน โรงงานขยะ ขณะที่เราก็พร้อมเสนอการส่งออกเอทานอลแก่จีน สําหรับความร่วมมือด้านพลังงานนี้นั้น ก็จะหารือกันในการประชุมคณะกรรมการร่วมด้านพลังงานไทย – จีน เพื่อขยายผลความสําเร็จต่อไป
เรื่องความร่วมมือด้านเกษตร จีนก็ยินดีที่จะเร่งรัดดําเนินการตามที่ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกัน อีกทั้งจีนจะเร่งรัดการจัดตั้งสถาบันวิจัยยางในไทย ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย ผมได้ขอให้การสนับสนุนในการจัดตั้งสถาบันตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์เรื่องยาง และเรื่องรถยนต์ด้วย ซึ่งท่านก็รับปากว่าจะพิจารณาต่อไป ซึ่งก็เป็นผลดีกับบ้านเรา เราจะได้มีสถาบันวิจัยต่าง ๆ ที่มีมาตรฐาน เมื่อผลิตแล้วต้องมีการรับรองมาตรฐานและส่งออกได้ ไม่ใช่ผลิตออกมาแล้วไม่ต้องรับรองคุณภาพ ส่งไปก็เสียค่าตรวจสอบอีกจากต่างประเทศทําให้มูลค่าสินค้านั้นแพงมากขึ้น
นอกจากนั้น เรายังยินดีที่จะร่วมมือกันในด้านวัฒนธรรม การท่องเที่ยว การทหาร ยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งในเรื่องการทางด้านป้องกันประเทศและเรื่องของการช่วยเหลือประชาชนบรรเทาภัยพิบัติ ตลอดจนการป้องกันการลักลอบข้ามพรมแดน เพื่อเป็นการรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของภูมิภาค ทั้งนี้ ด้านการท่องเที่ยวได้มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องหน่วยงานทั้งสองฝ่ายจะต้องควบคุมในเรื่องของการบิน การสัญจรไปมา โดยต้องหารือกันต่อไปในเรื่องของการเพิ่มเที่ยวบินระหว่างประเทศระหว่างสองประเทศไทย-จีน และความร่วมมือในกรอบอาเซียน ซึ่งจะมีการจัดตั้งประชาคม ประกอบด้วย สามเสาหลักในปี 2558 จีนพร้อมให้ความช่วยเหลือในเรื่องการลดความเหลื่อมล้ําและสร้างความมั่นคงในภูมิภาค และในส่วนของกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง (GMS) จีนยินดีเพิ่มการลงทุน สนับสนุนทางด้านเศรษฐกิจการค้าในอนุภูมิภาค ทั้งนี้ ผมได้เสนอให้นายกรัฐมนตรีจีนสนับสนุนไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาคนี้ โดยคํานึงถึงผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมกับทั้งของไทยและของสมาชิกอาเซียนด้วย เราต้องก้าวหน้าไปพร้อม ๆ กัน
โอกาสเดียวกันนี้ นายกรัฐมนตรีจีน และผมได้เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน เพื่อยกระดับความร่วมมือตลาดทุนและตลาดเงินระหว่างสองประเทศ จํานวน 4 ฉบับ ได้แก่ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งธนาคารชําระดุลเงินหยวนในประเทศไทย ระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารประชาชนจีน ความตกลงทวิภาคีแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลหยวนและบาท บันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและธนาคารแห่งประเทศจีน จํากัด และบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับความร่วมมือทางวิชาการทรัพยากรน้ําและการชลประทาน ซึ่งในเวทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น มีข้อจํากัด เงื่อนไข กฎกติกา พันธะสัญญาระหว่างประเทศต่าง ๆ จะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการพูดคุยเจรจาความ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และความร่วมมือต่าง ๆ เราจะต้องสร้าง และต้องให้พันธมิตรคู่ค้า ซึ่งเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์นั้นได้ประจักษ์ ก็คือ “ความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ” การเป็นผู้เล่นที่เคารพกติกาสากลนั้น จะต้องอยู่บนพื้นฐานของการเป็นตัวของตัวเองที่สําคัญ นั่นก็คือสิ่งที่รัฐบาลนี้กําลังดําเนินการอยู่ เพื่อให้นานาชาติยอมรับ และลดความเหลื่อมล้ํา ให้ความเสมอภาค และเท่าเทียมกันในเวทีต่าง ๆ ของโลก
เรื่องการค้ามนุษย์ เป็นสิ่งสําคัญเร่งด่วน เมื่อต้นสัปดาห์ ผมได้เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์และความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาเรื่องค้ามนุษย์ในประเทศไทย ทั้งนี้เพื่อเป็นการประเมินผลการดําเนินงาน ทบทวนประสิทธิภาพของกลไกการทํางานที่มีอยู่ สําหรับเป็นข้อมูลพื้นฐานในการหารือ และวางแผนการดําเนินงานร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นรายเดือน นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2558 เป็นต้นไป ที่ประชุมรับทราบถึงปัญหาและอุปสรรคที่หน่วยราชการต่าง ๆ ประสบ ที่จะต้องดําเนินการต่อไปในปี 2558 ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ทั้งในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย การให้ความคุ้มครองแก่เหยื่อการค้ามนุษย์และพยาน การป้องกันการค้ามนุษย์ และการสร้างความเป็นหุ้นส่วนกับภาคส่วนต่าง ๆ เช่น ภาคเอกชน ภาควิชาการ องค์กรอิสระ และสื่อมวลชน
ผมได้มีการสั่งการให้มีการทบทวนกลไกในการทํางาน แก้ไขปัญหาค้ามนุษย์ระดับชาติ เพื่อให้ทุกหน่วยงานทํางานอย่างมีความบูรณาการมากยิ่งขึ้น ให้มีการขับเคลื่อนการดําเนินการแก้ไขปัญหาในทุกมิติที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ได้อย่างจริงจัง ให้ตั้งคณะอนุกรรมการ 5 คณะ ประกอบด้วย คณะอนุกรรมการเรื่องค้ามนุษย์ คณะอนุกรรมการเรื่องประมงและ IUU คณะอนุกรรมการเรื่องแรงงานเด็ก แรงงานบังคับและแรงงานต่างชาติ คณะอนุกรรมการสตรี และคณะอนุกรรมการด้านกฎหมายและประชาสัมพันธ์ โดยทุกคณะต้องมีเป้าหมายและแผนงานอย่างชัดเจน พร้อมรายงานผลการดําเนินการให้ผมทราบทุกเดือน ในวันที่ 7 นี้ก็จะเสนอในเรื่องของยุทธศาสตร์ระยะยาวและกําหนด Road Map ในการที่จะเดินหน้าในการแก้ปัญหาในการรับรู้ให้กับองค์ระหว่างประเทศ ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น มิฉะนั้นแล้วจะมีผลเสียต่อการค้าขาย การเศรษฐกิจ โควตาการส่งออกของเราทั้งหมด เกี่ยวกับเรื่องประมง สินค้าทางประมงทั้งหมดเราจะเป็นปัญหา มีมูลค่ากว่าสองแสนล้านบาท
เรื่องเร่งด่วนการจดทะเบียนเรือประมงไทย ต้องขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการ เจ้าของกิจการต้องจดทะเบียนเรือทุกลํา ติด GPS ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม 2558 ทั้งนี้ เป็นสิ่งที่เราจะต้องแสดงให้นานาชาติเขารับรู้ถึงการแก้ไขปัญหา เพื่อจะลดระดับในเรื่องของความเป็น Tier 3 และในเรื่องของกติกา (Illegal Unreported and Unregulated Fishing : IUU ) เรื่องประมงด้วย จะมีผลต่อเสถียรภาพ ความเป็นอยู่ของคนไทยทุกคน รายได้ของประเทศ ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นมานาน ได้มีการแจ้งเตือนตั้งแต่ปี 2553 มาแล้ว การลดระดับ จัดระดับเราเป็น Tier 2 ปี 53-54-55-56 จนกระทั่งถึงปี 57 เมื่อเราเข้ามานั้น ก็พอดีกับที่เขาปรับเรามาเป็น Tier 3 พอดี เราจะแก้กลับไปให้ได้โดยเร็ว
เพราะฉะนั้น เราจะต้องปรับปรุงอย่างจริงจัง ยั่งยืน อาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งราชการ พ่อค้า ประชาชน ขอร้อง และอาจจะต้องสร้างพันธกิจทางด้านการประมงเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพื่อจะได้ลดเรื่องการกระทําผิดกฎหมาย แหล่งจับปลาต่าง ๆ ซึ่งมีน้อยในปัจจุบัน ประเทศไทยเรามีความมั่นคงทางทะเลมาก คือเรือประมง ขีดความสามารถในการจับปลา เราอาจจะเก่งที่สุดก็ได้ในขณะนี้ ต้องร่วมมือกัน วันนี้เราถูกจับอยู่ในน่านน้ําเสรี น่านน้ําต่างประเทศมากพอสมควร แล้วเราต้องไปช่วยเอาเขากลับมา เสียค่าปรับอะไรเสียหายไปหมด ฉะนั้นอาจจะต้องจัดระเบียบมีการพูดคุยหารือกันให้ดีเรื่องประมง และข้อสําคัญก็จะต้องไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์เหล่านี้โดยเด็ดขาด เรื่องนี้เป็นเรื่องสําคัญ เพราะฉะนั้นเจ้าหน้าที่ผู้ใดกระทําจะต้องถูกไล่ออก ถูกลงโทษอย่างหนักและโดยทันที ขอร้องกัน
เรื่องการค้ามนุษย์นั้น รวมความไปถึงเรื่องของ การค้าผู้หญิงเด็ก โสเภณี ขอทานต่าง ๆ ทั้งหมดหลายเรื่อง ทั้งประมง ใช้แรงงานเกินเวลา แรงงานเด็กต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นการผิดกติกาพันธสัญญาต่างประเทศนานาชาติทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นต้องเร่งดําเนินการ ผมขอกําชับทุกหน่วยงาน ทุกภาคส่วน ทุกคณะอนุกรรมการ และคณะกรรมการนโยบายนั้นจะประกอบไปด้วย นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรีทั้ง 5 ท่านเป็นรองประธาน และในส่วนของคณะอนุกรรมการก็จะเป็นรัฐมนตรีที่รับผิดชอบงานหลัก ๆ และข้างล่างบูรณาการข้าราชการ ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ก็จะเริ่มทํางานได้เต็มที่ต่อเนื่องจากของเดิม เราก็แก้มาตลอด ตั้งแต่เข้ามาควบคุมอํานาจ ก็ต้องพัฒนาต่อไปให้สร้างการรับรู้ ทั้งต่างประเทศ ทั้งในประเทศ ในประเทศร่วมมือกัน ต่างประเทศแสดงให้เขาเห็นว่าเราก็แก้ไขแล้ว แต่ขอเวลาว่าต้องเดินไปตาม Road Map ต้องใช้เวลา เพราะหมักหมมมาเป็นเวลานาน เพราะฉะนั้นประชาชนจะต้องเป็นผู้ที่คอยเฝ้าระวังให้รัฐบาลด้วย ถ้าใครพบเห็นเหตุการณ์ ผู้ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์หรือเกี่ยวข้อง ตลอดจนเบาะแส การทุจริตคอร์รัปชัน สามารถติดต่อหน่วยงานราชการต่าง ๆ ได้ตามหมายเลขที่ปรากฏหน้าจอนี้
มาตรการปลอดภัยในการเดินทาง ในห้วงเทศกาลปีใหม่ที่กําลังจะมาถึง รัฐบาลมีความเป็นห่วงในความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องชาวไทยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม โดยเฉพาะเยาวชน เด็ก ผู้หญิง เหล่านี้ เพื่อกลับภูมิลําเนาไปหาครอบครัว ไปเยี่ยมญาติ หรือไปท่องเที่ยว รัฐบาลได้กําหนดมาตรการ กําหนดแผนอํานวยความสะดวกป้องกันอันตรายต่าง ๆ ในทุกมิติไว้แล้ว เพื่อจะรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ปีนี้หยุดหลายวัน รวมทั้งการให้การบริการขนส่งสาธารณะ การจัดเตรียมสิ่งอํานวยความสะดวกภายในท่าเรือ สถานีขนส่ง ท่าอากาศยาน อาคารผู้โดยสาร สถานีรถไฟ การอํานวยความสะดวกในด้านข้อมูล การจราจร การลดราคาค่าบริการจุดผ่านทางต่าง ๆ ในช่วงปีใหม่
นอกจากนั้น มาตรการป้องกันการลดอุบัติเหตุทางถนน จะเน้นการบูรณาการการป้องกันร่วมกันในลักษณะยึด Area Approach เช่น ให้จังหวัดเป็นหน่วยงานหลักในบูรณาการร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ร่วมกันดูแลความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวและประชาชน มีมาตรการแก้ไขปัญหา ตั้งจุดตรวจ จุดพักรถ ดูแลการจราจรจุดเสี่ยงอุบัติเหตุ ถนนชํารุด บริเวณจุดตัดทางรถไฟให้มีความปลอดภัย และปรับสภาพสิ่งแวดล้อมอันตรายข้างทาง เพื่อให้มีทัศนวิสัยให้ดีขึ้นในการขับขี่ยานพาหนะ ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนเหน็ดเหนื่อยมาก ผมรู้ดีว่าเหนื่อย ก็อยากจะพักผ่อนแต่ก็ไม่ได้ ด้วยความรับผิดชอบในหน้าที่ ขอขอบคุณจากหัวใจ ของนายกรัฐมนตรี ของรัฐบาลด้วย ถึงข้าราชการพลเรือน ตํารวจ ทหาร อาสาสมัคร ทุก ๆ คนที่ช่วยกัน
การขับขี่ยานพาหนะนั้น ผมขอความร่วมมือจากพี่น้องทุกคนด้วย ให้ระมัดระวังในการเดินทาง การเลี้ยงสังสรรค์ การดื่มสุรานั้น ก็อาจจะมีมากในช่วงปีใหม่นี้ ผมถือว่าทุกคนต้องช่วยกันระมัดระวังตนเอง และรับผิดชอบชีวิตผู้อื่นด้วย พลขับรถต้องรับผิดชอบผู้โดยสารภายในรถ ผู้โดยสารภายในรถต้องรับผิดชอบพลขับรถ ต่างคนต่างก็ดูแลกัน ถ้าพลขับดื่มเหล้า ดื่มสุรา ก็ไม่ขึ้นรถกัน ไม่ต้องรีบร้อนกลับมา เดี๋ยวเสียชีวิตเปล่า ๆ ก็แจ้งความดําเนินคดีไป ประมาท อันนี้ผมได้สั่งการไปแล้วว่า ในช่วงปีใหม่จะต้องมีผู้รับผิดชอบในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ โดยการดื่มสุราของพลขับหรือทําให้เกิดอันตรายร้ายแรงในการจัดงานบันเทิงต่าง ๆ ผู้จัดงานต้องรับผิดชอบทั้งหมดในชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนที่มาเที่ยว เขามาเที่ยว ท่านได้เงินเขา ท่านก็ต้องผิดชอบ ดูแลเขาให้ดีด้วย ขอให้ทุกคนได้มีสติ คํานึงถึงความพอดี ช่วยกันดูแลคนที่เรารัก อย่าให้ความสนุกของเรากลายเป็นความทุกข์ของคนอื่น ตัวเองปลอดภัย คนอื่นก็ต้องปลอดภัยด้วย
สําหรับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ โดยกองกํากับการสายตรวจ 191 ได้เปิดโครงการ “You’ll never walk alone” เพื่อเพิ่มช่องทางในการรับแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายจากประชาชน ซึ่งนอกจาก 191 แล้ว ยังสามารถแจ้งเหตุต่าง ๆ ผ่านช่องทางที่แสดงบนหน้าจอโทรทัศน์ของท่านเวลานี้ ( 061-3850191, 061-3851191, 061-3852191และ 061-3853191 เฟซบุ๊ก “สายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ 191” และไลน์ไอดี “patrolcop0191”) และหน่วยทหารทุกหน่วย กองรักษาการทุกพื้นที่ ประตูทางเข้า - ออก ที่มีเวรยาม แจ้งได้ทั้งหมด พักรถอะไรก็ได้ ถ้าง่วงจอดนอนก็ได้ ปลอดภัย อย่าไปจอดในที่ ๆ ไม่มีคนอยู่ อันตราย
ในห้วงเทศกาลปีใหม่นี้ ผมอยากขอให้ทุกท่านช่วยกันส่งกําลังใจให้พี่น้องชาวไทยในภาคต่าง ๆ ที่กําลังประสบภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นน้ําท่วมในภาคใต้ จังหวัดพัทลุง – สงขลา – ปัตตานี –นราธิวาส ภัยหนาว – ไฟป่าในเขตภาคเหนือภาคอีสาน รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ จะพยายามช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาเหล่านี้ต่อไป ในพื้นที่ประสบภัยนี้ ขอให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ใช้ความระมัดระวังในการดําเนินชีวิตและในการปฏิบัติงานต่าง ๆ ด้วย ภาคเอกชน หรือพี่น้องในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศ สามารถร่วมแสดงน้ําใจ ให้ความช่วยเหลือ โดยติดต่อผ่านส่วนราชการใกล้บ้านท่าน ธารน้ําใจของคนไทยนั้นจะส่งไปถึงปลายทางแน่นอน และขอให้คนไทยทุกคน ทั้งไทยพุทธ ไทยมุสลิม ที่มีภูมิลําเนาอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อําเภอในจังหวัดสงขลาที่มีเหตุการณ์ความรุนแรงอยู่นั้น ก็ขอให้ปลอดภัย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป และผ่านพ้นวันเวลายากลําบากเหล่านี้ไปได้อย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่รัฐบาลจะแก้ปัญหาในเรื่องของความปลอดภัยในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้โดยเร็ว ในทุกมิติ ในทุกมาตรการ วิธีการต่าง ๆ
สุดท้ายนี้ ขอให้ประชาชนชาวไทยทุกคนได้ร่วมแรงร่วมใจกัน ในการสร้างประเทศไทยให้เป็นประเทศที่ร่มเย็น น่าอยู่ มั่นคง แข็งแรง อย่างยั่งยืนในทุกมิติ ผมได้กําหนดวิสัยทัศน์ของประเทศไทยไว้แล้วว่าในปี 2558 - 2562 นั้น รัฐบาล ประเทศไทยจะต้องมีความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน ตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
|
รายการคืนความสุขให้คนในชาติ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
กล่าวในรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ"
ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม 2557 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนที่รักทุกคน
ก่อนอื่นผมขอส่งความปรารถนาดีแด่พี่น้องคริสต์ศาสนิกชนชาวไทย เนื่องในโอกาสวันคริสต์มาสที่เพิ่งจะผ่านไป สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมพร้อมกับพี่น้องชาวไทยต้องขอแสดงความชื่นชมยินดีกับทีมฟุตบอลชาติไทย ที่สามารถคว้าแชมป์ในรายการ AFF SUZUKI CUP 2014 ซึ่งทีม“ขุนพลช้างศึก” ของไทยนั้น สามารถพลิกสถานการณ์หลังจากได้รับพระราชทานกําลังใจจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผ่านทางรองราชเลขาธิการ และได้นําชัยมาถวายพ่อหลวง และปวงชนชาวไทยได้ในที่สุด
วันนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทอดพระเนตรการแข่งขันฟุตบอลร่วมกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ด้วย ผมขอชื่นชมในความเข้มแข็ง เสียสละ และอดทน ของนักกีฬาทุกท่านภายใต้การนําของโค้ช ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่ได้ทําหน้าที่เป็นตัวแทนชาวไทยที่รู้รักสามัคคี มีวินัย รักชาติ รักสถาบัน ถวายพระเกียรติได้อย่างสมภาคภูมิ รัฐบาลได้มอบเงินสนับสนุนให้ 5 ล้านบาท และได้ขอความร่วมมือภาคธุรกิจเอกชนโดยบริษัท CP และ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) ให้เพิ่มอีกบริษัทละ 5 ล้านบาท รวมเป็น 15 ล้านบาท
วันนี้ผมได้มีโอกาสเดินทางไปจังหวัดพังงา เพื่อเข้าร่วมงานรําลึกครบรอบ 10 ปีเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยสึนามิ ผมขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสีย และสูญหายทุกท่าน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปถึง 10 ปีแล้วก็ตาม แต่เหตุการณ์นี้ก็ยังคงอยู่ในความทรงจําของพวกเราทุกคน ภัยธรรมชาตินั้น เป็นสิ่งที่เราห้ามไม่ได้ แต่เราทุกคนต้องพยายามอย่างเต็มที่ในการที่จะป้องกันและบรรเทาความเสียหายที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาป่าต้นน้ํา การปลูกป่า การทําช่องทางระบายน้ําเหล่านี้เป็นสิ่งสําคัญ พร้อมทั้งการให้ความรู้ในเรื่องของการป้องกันภัยแจ้งเตือนภัยไว้ล่วงหน้าด้วย และในวันนี้เช่นกัน ผมได้มีโอกาสเข้าตรวจเยี่ยมสถานการณ์น้ําท่วมในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จริง ๆ แล้วหลายจังหวัดในภาคใต้ปีนี้อากาศเปลี่ยนแปลงมาก และฝนตกไม่หยุดต่อเนื่องกัน ทําให้เกิดการท่วมขังเป็นระยะเวลาที่นานกว่าปกติ และมีระดับน้ําที่ลึกมากพอสมควร ทําให้ประชาชนเดือดร้อน สําหรับพี่น้องที่ประสบภัยน้ําท่วมในทุกพื้นที่นั้น ที่ผมไม่ได้ไปเยี่ยม ทางรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ได้เร่งสั่งการให้ดําเนินการให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และเร่งด่วน
ในปีใหม่นี้ ผมเข้าใจดีว่าพี่น้องข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นตํารวจ ทหาร ข้าราชการท้องถิ่น อาสาสมัคร ต่างต้องเสียสละทําหน้าที่คอยปฏิบัติงานช่วยเหลือ อํานวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชน ที่สัญจรไปมา ซึ่งในการปฏิบัติงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนนั้น ผมเข้าใจดีว่าในหลาย ๆ เรื่อง มีปัญหา อุปสรรค ทั้งในกฎเกณฑ์ ความพร้อมของเครื่องไม้เครื่องมือ กฎระเบียบที่ต้องแก้ไข ก็ขอให้ท่านได้ทุ่มเท ทําด้วยใจ ด้วยความเสียสละ ให้ทุกท่านตระหนักว่า ข้าราชการ อาสาสมัคร เป็นอาชีพที่ต้องเสียสละเพื่อให้การบริการแก่ประชาชน ให้ประชาชนมีความสุขและปลอดภัยในช่วงวันหยุดราชการหลายวัน อย่างเช่นในช่วงวันปีใหม่นี้
สําหรับการทํางานของรัฐบาลในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นถือได้ว่า ได้ดําเนินการตามนโยบายและยุทธศาสตร์ใหญ่ ที่ได้แถลงไว้กับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และแจ้งให้กับพี่น้องทราบเมื่อเริ่มเข้ามาบริหารประเทศ ล้วนแต่เป็นการสร้างพื้นฐานการพัฒนาที่นําไปสู่ความยั่งยืนให้กับประเทศชาติในอนาคต ทั้งนี้ พวกเราทุกคนได้พยายามเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับนานาประเทศ บนหลักการที่ว่า นโยบายการต่างประเทศเป็นส่วนประกอบสําคัญของนโยบายองค์รวมทั้งหมดในการบริหารราชการแผ่นดิน
การประชุมสุดยอดผู้นําแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง (GMS) 6 ประเทศ ครั้งที่ 5 นับว่าประเทศไทยประสบความสําเร็จอย่างดียิ่ง ในการเป็นเจ้าภาพการประชุมนานาชาติระดับสุดยอดผู้นําครั้งแรกของรัฐบาลนี้ โดยเราได้รับเกียรติอย่างสูงจากท่านผู้นําทุกประเทศ GMS เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน พร้อมด้วยรัฐมนตรีประจําแผนงาน GMS รัฐมนตรีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่อาวุโส GMS บุคคลสําคัญในภาคธุรกิจและเอกชน GMS รวมทั้งประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย ซึ่งเป็นองค์กรหุ้นส่วนการพัฒนาของ GMS เข้าร่วมการประชุมด้วย
หัวข้อหลักของการประชุม คือ “ความมุ่งมั่นลดความเหลื่อมล้ําเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง” ก่อนการประชุมระดับผู้นําประเทศ ได้จัดให้มีการประชุมระหว่างภาคีการพัฒนาต่าง ๆ เพื่อเป็นการหารือและเตรียมข้อเสนอต่อผู้นํา ประกอบด้วย การประชุมด้านการลงทุน การประชุมของภาคธุรกิจ การประชุมของหุ้นส่วนการพัฒนา และการประชุมของกลุ่มเยาวชน
จากนั้น ผมในฐานะผู้แทนผู้นําทั้งหมด ได้ให้ข้อคิดเห็นต่อข้อเสนอเหล่านั้น และนําไปเป็นประเด็นหารือในการประชุมสุดยอดผู้นําประเทศ GMS ซึ่งได้มีการรับรองแถลงการณ์ร่วมระดับผู้นํา 6 ประเทศลุ่มแม่น้ําโขง ผลการประชุมระดับผู้นําประเทศ GMS นั้น ได้แสดงความชื่นชมในความร่วมมืออย่างต่อเนื่องของประเทศสมาชิก ในอันที่จะผลักดันการดําเนินความร่วมมือให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและน่าพอใจ อาทิ
การเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การเชื่อมต่อตามแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ – ใต้ ด้วยสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 4 เมืองห้วยทราย สปป.ลาว – อ.เชียงของ ประเทศไทย ขณะนี้ก็กําลังเตรียมขยายการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก – ตะวันตก ไปยังประเทศเมียนมาร์ และการพิจารณาสถานที่ตั้งของ “ศูนย์ประสานงานการซื้อขายไฟฟ้า” ระหว่างประเทศสมาชิกในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง รวมทั้งการร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเชื่อมโยงประเทศสมาชิก และสนับสนุนเทคโนโลยีสารสนเทศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
การพัฒนาด้านกฎระเบียบ เช่น การอํานวยความสะดวกทางการค้า และคมนาคมขนส่งตามแนวระเบียงเศรษฐกิจให้ครอบคลุมเมืองหลวงของแต่ละประเทศสมาชิก อีกทั้งร่วมมือกันผลักดันการดําเนินงานภายใต้ความตกลงการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขงด้วยกัน
ต่อไปเป็นเรื่องของการอํานวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว ลดขั้นตอนในการตรวจลงตรา มีการจัดทําแผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวใน GMS สําหรับในปี 2559-2569 จะผลักดันให้เกิด “ศูนย์ประสานการท่องเที่ยวของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง” อีกด้วย
เรื่องต่อไปการอํานวยความสะดวกด้านการเคลื่อนย้ายแรงงานมีฝีมือ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันด้านแรงงานใน GMS และเรื่องสุดท้ายคือการเสริมสร้างและรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และความมั่นคงทางอาหาร น้ํา และพลังงาน ในภูมิภาค โดยเฉพาะประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น
ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกต่าง ๆ นั้น ต่างก็มีความมุ่งมั่นร่วมกันในการพัฒนาอนุภูมิภาค GMS อย่างยั่งยืน เพื่อความเจริญรุ่งเรืองในอนาคต พร้อม ๆ กัน โดยกําหนดวิสัยทัศน์ไว้ว่า จะร่วมกันที่จะนําไปสู่การค้า การลงทุนในภูมิภาค การร่วมกันพัฒนาแนวเส้นทางคมนาคมใน GMS ให้เป็นแนวระเบียงเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ร่วมกันขจัดอุปสรรคด้านกฎระเบียบการคมนาคมขนส่งข้ามพรมแดน เพื่ออํานวยความสะดวกการเคลื่อนย้ายยานพาหนะ สินค้า และคน ทั้งนี้จะมีการประสานความร่วมมือระหว่างกันในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับอนุภูมิภาค และสอดคล้องกันทั้งในระดับคณะทํางาน และกรอบความร่วมมืออื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น อาเซียน อาเซียน – จีน และอาเซียนบวกสาม
ความร่วมมือไทย – จีน ในการเดินทางไปจีนเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 22 – 23 ธันวาคม 2557 นั้น เป็นการเดินหน้ากระชับความสัมพันธ์กับพันธมิตรใกล้บ้าน ที่เป็นมหาอํานาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก เพื่อส่งเสริมความร่วมมือรอบด้าน ทั้ง 2 ฝ่ายก็มั่นใจว่า จะสามารถผลักดันมูลค่าการค้าการลงทุน ให้ขยายตัว 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2558 ซึ่งเป็นปีที่ครบรอบ 40 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – จีน และผมขอแสดงความขอบคุณในการต้อนรับที่อบอุ่นเป็นกันเอง ซึ่งเป็นโอกาสที่ดี สําหรับทั้งสองประเทศ ในการที่กระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และร่วมกันมองไปข้างหน้า กําหนดวิสัยทัศน์และแนวทางความร่วมมือระหว่างกันในอนาคต เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงของภูมิภาคควบคู่ไปด้วยกับความร่วมมือทวิภาคี
อีกประการหนึ่ง ในปีหน้าเป็นปีแห่งการครบรอบสถาปนาความสัมพันธ์ไทย จีน ครบรอบปีที่ 40 และเป็นปีที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระชนมพรรษาครบ 60 พรรษา ซึ่งทางสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้น ก็ถวายพระพรมาด้วย เพราะว่า ความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ของไทยกับจีนนั้น มีความแน่นแฟ้นมาโดยตลอด ทั้งผู้นําทุกท่านก็ได้ฝากถวายพระพรไปยังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และทุกพระองค์ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน
เรื่องความร่วมมือทวิภาคีในด้านการพัฒนาเส้นทางรถไฟ ที่เราได้ลงนาม MOU ที่ประเทศไทยไปแล้วนั้น ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้มีคณะกรรมการร่วมเร่งหารือในรายละเอียดของโครงการภายในต้นปีหน้า ซึ่งผมกําหนดไว้แล้วว่าภายในเดือนมกราคม พร้อมที่จะพูดคุยกัน เป็นต้นไป แล้วก็เร่งศึกษาทําความเข้าใจ หากฎกติกาการค้า การร่วมกันลงทุนอะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ ให้แล้วเสร็จได้โดยเร็ว เพื่อจะได้ดําเนินการก่อสร้างเป็นของขวัญให้กับคนไทย ในประมาณปลายปี 2558 หรือเร็วกว่านั้น ทั้งนี้ ได้ขอให้จีนสนับสนุนให้ไทยเป็น “ศูนย์กลางการคมนาคมของภูมิภาค” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความพร้อมของไทยที่จะเป็นสถานที่ตั้งของศูนย์ควบคุมระบบรถไฟในภูมิภาค รวมทั้งตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับกิจการรถไฟ ขณะเดียวกัน ก็มีความร่วมมือในอีกหลายๆ ด้าน ที่สําคัญ ได้แก่
ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น การศึกษาดูงานด้านกิจการอวกาศและการวิจัยในประเทศจีน การพัฒนาระบบ GPSสําหรับเรือประมง และใช้ประโยชน์จากดาวเทียมและเทคโนโลยีสํารวจระยะไกล หรือระบบ remote sensing พร้อมทั้งเสนอให้มีการลงนามความร่วมมือด้านอวกาศระหว่างรัฐบาลทั้งสองฝ่าย
สําหรับความร่วมมือด้านพลังงาน จีนยินดีกระชับความร่วมมือกับไทยในเรื่องพลังงานหมุนเวียน โรงไฟฟ้าพลังความร้อน โรงงานขยะ ขณะที่เราก็พร้อมเสนอการส่งออกเอทานอลแก่จีน สําหรับความร่วมมือด้านพลังงานนี้นั้น ก็จะหารือกันในการประชุมคณะกรรมการร่วมด้านพลังงานไทย – จีน เพื่อขยายผลความสําเร็จต่อไป
เรื่องความร่วมมือด้านเกษตร จีนก็ยินดีที่จะเร่งรัดดําเนินการตามที่ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกัน อีกทั้งจีนจะเร่งรัดการจัดตั้งสถาบันวิจัยยางในไทย ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย ผมได้ขอให้การสนับสนุนในการจัดตั้งสถาบันตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์เรื่องยาง และเรื่องรถยนต์ด้วย ซึ่งท่านก็รับปากว่าจะพิจารณาต่อไป ซึ่งก็เป็นผลดีกับบ้านเรา เราจะได้มีสถาบันวิจัยต่าง ๆ ที่มีมาตรฐาน เมื่อผลิตแล้วต้องมีการรับรองมาตรฐานและส่งออกได้ ไม่ใช่ผลิตออกมาแล้วไม่ต้องรับรองคุณภาพ ส่งไปก็เสียค่าตรวจสอบอีกจากต่างประเทศทําให้มูลค่าสินค้านั้นแพงมากขึ้น
นอกจากนั้น เรายังยินดีที่จะร่วมมือกันในด้านวัฒนธรรม การท่องเที่ยว การทหาร ยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งในเรื่องการทางด้านป้องกันประเทศและเรื่องของการช่วยเหลือประชาชนบรรเทาภัยพิบัติ ตลอดจนการป้องกันการลักลอบข้ามพรมแดน เพื่อเป็นการรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของภูมิภาค ทั้งนี้ ด้านการท่องเที่ยวได้มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องหน่วยงานทั้งสองฝ่ายจะต้องควบคุมในเรื่องของการบิน การสัญจรไปมา โดยต้องหารือกันต่อไปในเรื่องของการเพิ่มเที่ยวบินระหว่างประเทศระหว่างสองประเทศไทย-จีน และความร่วมมือในกรอบอาเซียน ซึ่งจะมีการจัดตั้งประชาคม ประกอบด้วย สามเสาหลักในปี 2558 จีนพร้อมให้ความช่วยเหลือในเรื่องการลดความเหลื่อมล้ําและสร้างความมั่นคงในภูมิภาค และในส่วนของกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง (GMS) จีนยินดีเพิ่มการลงทุน สนับสนุนทางด้านเศรษฐกิจการค้าในอนุภูมิภาค ทั้งนี้ ผมได้เสนอให้นายกรัฐมนตรีจีนสนับสนุนไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาคนี้ โดยคํานึงถึงผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมกับทั้งของไทยและของสมาชิกอาเซียนด้วย เราต้องก้าวหน้าไปพร้อม ๆ กัน
โอกาสเดียวกันนี้ นายกรัฐมนตรีจีน และผมได้เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน เพื่อยกระดับความร่วมมือตลาดทุนและตลาดเงินระหว่างสองประเทศ จํานวน 4 ฉบับ ได้แก่ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งธนาคารชําระดุลเงินหยวนในประเทศไทย ระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารประชาชนจีน ความตกลงทวิภาคีแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลหยวนและบาท บันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและธนาคารแห่งประเทศจีน จํากัด และบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับความร่วมมือทางวิชาการทรัพยากรน้ําและการชลประทาน ซึ่งในเวทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น มีข้อจํากัด เงื่อนไข กฎกติกา พันธะสัญญาระหว่างประเทศต่าง ๆ จะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการพูดคุยเจรจาความ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และความร่วมมือต่าง ๆ เราจะต้องสร้าง และต้องให้พันธมิตรคู่ค้า ซึ่งเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์นั้นได้ประจักษ์ ก็คือ “ความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ” การเป็นผู้เล่นที่เคารพกติกาสากลนั้น จะต้องอยู่บนพื้นฐานของการเป็นตัวของตัวเองที่สําคัญ นั่นก็คือสิ่งที่รัฐบาลนี้กําลังดําเนินการอยู่ เพื่อให้นานาชาติยอมรับ และลดความเหลื่อมล้ํา ให้ความเสมอภาค และเท่าเทียมกันในเวทีต่าง ๆ ของโลก
เรื่องการค้ามนุษย์ เป็นสิ่งสําคัญเร่งด่วน เมื่อต้นสัปดาห์ ผมได้เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์และความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาเรื่องค้ามนุษย์ในประเทศไทย ทั้งนี้เพื่อเป็นการประเมินผลการดําเนินงาน ทบทวนประสิทธิภาพของกลไกการทํางานที่มีอยู่ สําหรับเป็นข้อมูลพื้นฐานในการหารือ และวางแผนการดําเนินงานร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นรายเดือน นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2558 เป็นต้นไป ที่ประชุมรับทราบถึงปัญหาและอุปสรรคที่หน่วยราชการต่าง ๆ ประสบ ที่จะต้องดําเนินการต่อไปในปี 2558 ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ทั้งในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย การให้ความคุ้มครองแก่เหยื่อการค้ามนุษย์และพยาน การป้องกันการค้ามนุษย์ และการสร้างความเป็นหุ้นส่วนกับภาคส่วนต่าง ๆ เช่น ภาคเอกชน ภาควิชาการ องค์กรอิสระ และสื่อมวลชน
ผมได้มีการสั่งการให้มีการทบทวนกลไกในการทํางาน แก้ไขปัญหาค้ามนุษย์ระดับชาติ เพื่อให้ทุกหน่วยงานทํางานอย่างมีความบูรณาการมากยิ่งขึ้น ให้มีการขับเคลื่อนการดําเนินการแก้ไขปัญหาในทุกมิติที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ได้อย่างจริงจัง ให้ตั้งคณะอนุกรรมการ 5 คณะ ประกอบด้วย คณะอนุกรรมการเรื่องค้ามนุษย์ คณะอนุกรรมการเรื่องประมงและ IUU คณะอนุกรรมการเรื่องแรงงานเด็ก แรงงานบังคับและแรงงานต่างชาติ คณะอนุกรรมการสตรี และคณะอนุกรรมการด้านกฎหมายและประชาสัมพันธ์ โดยทุกคณะต้องมีเป้าหมายและแผนงานอย่างชัดเจน พร้อมรายงานผลการดําเนินการให้ผมทราบทุกเดือน ในวันที่ 7 นี้ก็จะเสนอในเรื่องของยุทธศาสตร์ระยะยาวและกําหนด Road Map ในการที่จะเดินหน้าในการแก้ปัญหาในการรับรู้ให้กับองค์ระหว่างประเทศ ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น มิฉะนั้นแล้วจะมีผลเสียต่อการค้าขาย การเศรษฐกิจ โควตาการส่งออกของเราทั้งหมด เกี่ยวกับเรื่องประมง สินค้าทางประมงทั้งหมดเราจะเป็นปัญหา มีมูลค่ากว่าสองแสนล้านบาท
เรื่องเร่งด่วนการจดทะเบียนเรือประมงไทย ต้องขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการ เจ้าของกิจการต้องจดทะเบียนเรือทุกลํา ติด GPS ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม 2558 ทั้งนี้ เป็นสิ่งที่เราจะต้องแสดงให้นานาชาติเขารับรู้ถึงการแก้ไขปัญหา เพื่อจะลดระดับในเรื่องของความเป็น Tier 3 และในเรื่องของกติกา (Illegal Unreported and Unregulated Fishing : IUU ) เรื่องประมงด้วย จะมีผลต่อเสถียรภาพ ความเป็นอยู่ของคนไทยทุกคน รายได้ของประเทศ ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นมานาน ได้มีการแจ้งเตือนตั้งแต่ปี 2553 มาแล้ว การลดระดับ จัดระดับเราเป็น Tier 2 ปี 53-54-55-56 จนกระทั่งถึงปี 57 เมื่อเราเข้ามานั้น ก็พอดีกับที่เขาปรับเรามาเป็น Tier 3 พอดี เราจะแก้กลับไปให้ได้โดยเร็ว
เพราะฉะนั้น เราจะต้องปรับปรุงอย่างจริงจัง ยั่งยืน อาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งราชการ พ่อค้า ประชาชน ขอร้อง และอาจจะต้องสร้างพันธกิจทางด้านการประมงเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพื่อจะได้ลดเรื่องการกระทําผิดกฎหมาย แหล่งจับปลาต่าง ๆ ซึ่งมีน้อยในปัจจุบัน ประเทศไทยเรามีความมั่นคงทางทะเลมาก คือเรือประมง ขีดความสามารถในการจับปลา เราอาจจะเก่งที่สุดก็ได้ในขณะนี้ ต้องร่วมมือกัน วันนี้เราถูกจับอยู่ในน่านน้ําเสรี น่านน้ําต่างประเทศมากพอสมควร แล้วเราต้องไปช่วยเอาเขากลับมา เสียค่าปรับอะไรเสียหายไปหมด ฉะนั้นอาจจะต้องจัดระเบียบมีการพูดคุยหารือกันให้ดีเรื่องประมง และข้อสําคัญก็จะต้องไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์เหล่านี้โดยเด็ดขาด เรื่องนี้เป็นเรื่องสําคัญ เพราะฉะนั้นเจ้าหน้าที่ผู้ใดกระทําจะต้องถูกไล่ออก ถูกลงโทษอย่างหนักและโดยทันที ขอร้องกัน
เรื่องการค้ามนุษย์นั้น รวมความไปถึงเรื่องของ การค้าผู้หญิงเด็ก โสเภณี ขอทานต่าง ๆ ทั้งหมดหลายเรื่อง ทั้งประมง ใช้แรงงานเกินเวลา แรงงานเด็กต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นการผิดกติกาพันธสัญญาต่างประเทศนานาชาติทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นต้องเร่งดําเนินการ ผมขอกําชับทุกหน่วยงาน ทุกภาคส่วน ทุกคณะอนุกรรมการ และคณะกรรมการนโยบายนั้นจะประกอบไปด้วย นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรีทั้ง 5 ท่านเป็นรองประธาน และในส่วนของคณะอนุกรรมการก็จะเป็นรัฐมนตรีที่รับผิดชอบงานหลัก ๆ และข้างล่างบูรณาการข้าราชการ ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ก็จะเริ่มทํางานได้เต็มที่ต่อเนื่องจากของเดิม เราก็แก้มาตลอด ตั้งแต่เข้ามาควบคุมอํานาจ ก็ต้องพัฒนาต่อไปให้สร้างการรับรู้ ทั้งต่างประเทศ ทั้งในประเทศ ในประเทศร่วมมือกัน ต่างประเทศแสดงให้เขาเห็นว่าเราก็แก้ไขแล้ว แต่ขอเวลาว่าต้องเดินไปตาม Road Map ต้องใช้เวลา เพราะหมักหมมมาเป็นเวลานาน เพราะฉะนั้นประชาชนจะต้องเป็นผู้ที่คอยเฝ้าระวังให้รัฐบาลด้วย ถ้าใครพบเห็นเหตุการณ์ ผู้ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์หรือเกี่ยวข้อง ตลอดจนเบาะแส การทุจริตคอร์รัปชัน สามารถติดต่อหน่วยงานราชการต่าง ๆ ได้ตามหมายเลขที่ปรากฏหน้าจอนี้
มาตรการปลอดภัยในการเดินทาง ในห้วงเทศกาลปีใหม่ที่กําลังจะมาถึง รัฐบาลมีความเป็นห่วงในความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องชาวไทยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม โดยเฉพาะเยาวชน เด็ก ผู้หญิง เหล่านี้ เพื่อกลับภูมิลําเนาไปหาครอบครัว ไปเยี่ยมญาติ หรือไปท่องเที่ยว รัฐบาลได้กําหนดมาตรการ กําหนดแผนอํานวยความสะดวกป้องกันอันตรายต่าง ๆ ในทุกมิติไว้แล้ว เพื่อจะรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ปีนี้หยุดหลายวัน รวมทั้งการให้การบริการขนส่งสาธารณะ การจัดเตรียมสิ่งอํานวยความสะดวกภายในท่าเรือ สถานีขนส่ง ท่าอากาศยาน อาคารผู้โดยสาร สถานีรถไฟ การอํานวยความสะดวกในด้านข้อมูล การจราจร การลดราคาค่าบริการจุดผ่านทางต่าง ๆ ในช่วงปีใหม่
นอกจากนั้น มาตรการป้องกันการลดอุบัติเหตุทางถนน จะเน้นการบูรณาการการป้องกันร่วมกันในลักษณะยึด Area Approach เช่น ให้จังหวัดเป็นหน่วยงานหลักในบูรณาการร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ร่วมกันดูแลความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวและประชาชน มีมาตรการแก้ไขปัญหา ตั้งจุดตรวจ จุดพักรถ ดูแลการจราจรจุดเสี่ยงอุบัติเหตุ ถนนชํารุด บริเวณจุดตัดทางรถไฟให้มีความปลอดภัย และปรับสภาพสิ่งแวดล้อมอันตรายข้างทาง เพื่อให้มีทัศนวิสัยให้ดีขึ้นในการขับขี่ยานพาหนะ ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนเหน็ดเหนื่อยมาก ผมรู้ดีว่าเหนื่อย ก็อยากจะพักผ่อนแต่ก็ไม่ได้ ด้วยความรับผิดชอบในหน้าที่ ขอขอบคุณจากหัวใจ ของนายกรัฐมนตรี ของรัฐบาลด้วย ถึงข้าราชการพลเรือน ตํารวจ ทหาร อาสาสมัคร ทุก ๆ คนที่ช่วยกัน
การขับขี่ยานพาหนะนั้น ผมขอความร่วมมือจากพี่น้องทุกคนด้วย ให้ระมัดระวังในการเดินทาง การเลี้ยงสังสรรค์ การดื่มสุรานั้น ก็อาจจะมีมากในช่วงปีใหม่นี้ ผมถือว่าทุกคนต้องช่วยกันระมัดระวังตนเอง และรับผิดชอบชีวิตผู้อื่นด้วย พลขับรถต้องรับผิดชอบผู้โดยสารภายในรถ ผู้โดยสารภายในรถต้องรับผิดชอบพลขับรถ ต่างคนต่างก็ดูแลกัน ถ้าพลขับดื่มเหล้า ดื่มสุรา ก็ไม่ขึ้นรถกัน ไม่ต้องรีบร้อนกลับมา เดี๋ยวเสียชีวิตเปล่า ๆ ก็แจ้งความดําเนินคดีไป ประมาท อันนี้ผมได้สั่งการไปแล้วว่า ในช่วงปีใหม่จะต้องมีผู้รับผิดชอบในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ โดยการดื่มสุราของพลขับหรือทําให้เกิดอันตรายร้ายแรงในการจัดงานบันเทิงต่าง ๆ ผู้จัดงานต้องรับผิดชอบทั้งหมดในชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนที่มาเที่ยว เขามาเที่ยว ท่านได้เงินเขา ท่านก็ต้องผิดชอบ ดูแลเขาให้ดีด้วย ขอให้ทุกคนได้มีสติ คํานึงถึงความพอดี ช่วยกันดูแลคนที่เรารัก อย่าให้ความสนุกของเรากลายเป็นความทุกข์ของคนอื่น ตัวเองปลอดภัย คนอื่นก็ต้องปลอดภัยด้วย
สําหรับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ โดยกองกํากับการสายตรวจ 191 ได้เปิดโครงการ “You’ll never walk alone” เพื่อเพิ่มช่องทางในการรับแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายจากประชาชน ซึ่งนอกจาก 191 แล้ว ยังสามารถแจ้งเหตุต่าง ๆ ผ่านช่องทางที่แสดงบนหน้าจอโทรทัศน์ของท่านเวลานี้ ( 061-3850191, 061-3851191, 061-3852191และ 061-3853191 เฟซบุ๊ก “สายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ 191” และไลน์ไอดี “patrolcop0191”) และหน่วยทหารทุกหน่วย กองรักษาการทุกพื้นที่ ประตูทางเข้า - ออก ที่มีเวรยาม แจ้งได้ทั้งหมด พักรถอะไรก็ได้ ถ้าง่วงจอดนอนก็ได้ ปลอดภัย อย่าไปจอดในที่ ๆ ไม่มีคนอยู่ อันตราย
ในห้วงเทศกาลปีใหม่นี้ ผมอยากขอให้ทุกท่านช่วยกันส่งกําลังใจให้พี่น้องชาวไทยในภาคต่าง ๆ ที่กําลังประสบภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นน้ําท่วมในภาคใต้ จังหวัดพัทลุง – สงขลา – ปัตตานี –นราธิวาส ภัยหนาว – ไฟป่าในเขตภาคเหนือภาคอีสาน รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ จะพยายามช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาเหล่านี้ต่อไป ในพื้นที่ประสบภัยนี้ ขอให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ใช้ความระมัดระวังในการดําเนินชีวิตและในการปฏิบัติงานต่าง ๆ ด้วย ภาคเอกชน หรือพี่น้องในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศ สามารถร่วมแสดงน้ําใจ ให้ความช่วยเหลือ โดยติดต่อผ่านส่วนราชการใกล้บ้านท่าน ธารน้ําใจของคนไทยนั้นจะส่งไปถึงปลายทางแน่นอน และขอให้คนไทยทุกคน ทั้งไทยพุทธ ไทยมุสลิม ที่มีภูมิลําเนาอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อําเภอในจังหวัดสงขลาที่มีเหตุการณ์ความรุนแรงอยู่นั้น ก็ขอให้ปลอดภัย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป และผ่านพ้นวันเวลายากลําบากเหล่านี้ไปได้อย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่รัฐบาลจะแก้ปัญหาในเรื่องของความปลอดภัยในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้โดยเร็ว ในทุกมิติ ในทุกมาตรการ วิธีการต่าง ๆ
สุดท้ายนี้ ขอให้ประชาชนชาวไทยทุกคนได้ร่วมแรงร่วมใจกัน ในการสร้างประเทศไทยให้เป็นประเทศที่ร่มเย็น น่าอยู่ มั่นคง แข็งแรง อย่างยั่งยืนในทุกมิติ ผมได้กําหนดวิสัยทัศน์ของประเทศไทยไว้แล้วว่าในปี 2558 - 2562 นั้น รัฐบาล ประเทศไทยจะต้องมีความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน ตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. กำชับจนท.เร่งให้ความรู้การทำสัญญาจ้างและจ่ายค่าแรงประมงทะเล
|
วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม 2561
กสร. กําชับจนท.เร่งให้ความรู้การทําสัญญาจ้างและจ่ายค่าแรงประมงทะเล
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กําชับเจ้าหน้าที่ 22 จังหวัดชายฝั่งทะเล เร่งให้ความรู้การทําสัญญาจ้าง จ่ายค่าแรงประมงทะเลแก่นายจ้าง ลูกจ้าง มุ่งแก้ปัญหา IUU Fishing ก่อนก.ย.นี้
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า การแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) เป็นนโยบายสําคัญของรัฐบาลที่ต้องดําเนินการอย่างจริงจังและต้องขับเคลื่อนให้เห็นผลเป็นรูปธรรมก่อนสหภาพยุโรป (อียู) จะเข้ามาตรวจสอบอีกครั้งในเดือนก.ย.นี้ ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวมีการบูรณาการทํางานร่วมกันหลายหน่วยงาน ในส่วนของกระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมีภารกิจในการกํากับ ดูแลและคุ้มครองแรงงาน ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กฏหมายกําหนดและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้ออกประกาศกําหนดแบบสัญญาจ้างในงานประมงให้สอดคล้องกับประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีเรื่องการออกหนังสือคนประจําเรือ ตามกฏหมายว่าด้วยการประมง กําหนดให้นายจ้างจ่ายค่าตอบแทนลูกจ้างเป็นรายเดือนและโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของลูกจ้าง กสร. จึงได้กําชับเจ้าหน้าที่โดยเฉพาะใน 22 จังหวัดชายฝั่งทะเลที่มีศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า – ออก (PIPO) ตั้งอยู่ เร่งให้ความรู้แก่นายจ้าง ลูกจ้างในกิจการประมงทะเลเพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจและปฏิบัติได้ถูกต้องตามกฎหมายในเรื่องการทําสัญญาจ้างงานและการจ่ายค่าแรงงานประมงทะเล
นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ยังได้กําชับให้เจ้าหน้าที่ที่ไปปฏิบัติงานประจําศูนย์ PIPO ทั้ง 32 ศูนย์ ใน 22 จังหวัดชายฝั่งทะเล ปฏิบัติตามระเบียบการตรวจแรงงานและดําเนินคดีอาญาตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเลอย่างเคร่งครัด เพื่อให้มีการบังคับกฎหมายใช้อย่างจริงจัง มีแนวปฏิบัติ ที่สอดคล้องตามกฎหมาย และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. กำชับจนท.เร่งให้ความรู้การทำสัญญาจ้างและจ่ายค่าแรงประมงทะเล
วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม 2561
กสร. กําชับจนท.เร่งให้ความรู้การทําสัญญาจ้างและจ่ายค่าแรงประมงทะเล
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กําชับเจ้าหน้าที่ 22 จังหวัดชายฝั่งทะเล เร่งให้ความรู้การทําสัญญาจ้าง จ่ายค่าแรงประมงทะเลแก่นายจ้าง ลูกจ้าง มุ่งแก้ปัญหา IUU Fishing ก่อนก.ย.นี้
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า การแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) เป็นนโยบายสําคัญของรัฐบาลที่ต้องดําเนินการอย่างจริงจังและต้องขับเคลื่อนให้เห็นผลเป็นรูปธรรมก่อนสหภาพยุโรป (อียู) จะเข้ามาตรวจสอบอีกครั้งในเดือนก.ย.นี้ ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวมีการบูรณาการทํางานร่วมกันหลายหน่วยงาน ในส่วนของกระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมีภารกิจในการกํากับ ดูแลและคุ้มครองแรงงาน ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กฏหมายกําหนดและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้ออกประกาศกําหนดแบบสัญญาจ้างในงานประมงให้สอดคล้องกับประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีเรื่องการออกหนังสือคนประจําเรือ ตามกฏหมายว่าด้วยการประมง กําหนดให้นายจ้างจ่ายค่าตอบแทนลูกจ้างเป็นรายเดือนและโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของลูกจ้าง กสร. จึงได้กําชับเจ้าหน้าที่โดยเฉพาะใน 22 จังหวัดชายฝั่งทะเลที่มีศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า – ออก (PIPO) ตั้งอยู่ เร่งให้ความรู้แก่นายจ้าง ลูกจ้างในกิจการประมงทะเลเพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจและปฏิบัติได้ถูกต้องตามกฎหมายในเรื่องการทําสัญญาจ้างงานและการจ่ายค่าแรงงานประมงทะเล
นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ยังได้กําชับให้เจ้าหน้าที่ที่ไปปฏิบัติงานประจําศูนย์ PIPO ทั้ง 32 ศูนย์ ใน 22 จังหวัดชายฝั่งทะเล ปฏิบัติตามระเบียบการตรวจแรงงานและดําเนินคดีอาญาตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเลอย่างเคร่งครัด เพื่อให้มีการบังคับกฎหมายใช้อย่างจริงจัง มีแนวปฏิบัติ ที่สอดคล้องตามกฎหมาย และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13977
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดพิจิตร รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนพร้อมหาทางช่วยเหลือ
|
วันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม 2560
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดพิจิตร รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนพร้อมหาทางช่วยเหลือ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดพิจิตร รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนพร้อมหาทางช่วยเหลือ
วันนี้ (22 ธันวาคม 2560) เวลา 10.00 น.พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์กระทรวงยุติธรรมในการอํานวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ําในสังคม ภายใต้โครงการยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นําบริการรัฐสู่ประชาชน ครั้งที่ 3ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 โดยมีผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ประกอบด้วย 1) จังหวัดสุโขทัย 2) จังหวัดตาก 3) จังหวัดอุตรดิตถ์ 4) จังหวัดพิษณุโลก 5) จังหวัดกําแพงเพชร 6) จังหวัดพิจิตร 7) จังหวัดเพชรบูรณ์ 8) จังหวัดนครสวรรค์ และ 9) จังหวัดอุทัยธานี เข้าร่วมการประชุมฯ ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้าจังหวัดพิจิตร ซีเค คอนเวนชั่นฮอลล์ ตําบลในเมือง อําเภอเมือง จังหวัดพิจิตร
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างคือ
ปัญหาหนี้สิน ปัญหาข้อพิพาทเรื่องที่ดิน ปัญหาการไม่รู้ข้อกฎหมาย และการเข้าไม่ถึงบริการภาครัฐ
ทั้งหมดนี้ เป็นปัญหาที่ต้องเร่งรัดดําเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานในพื้นที่สร้างความรู้ ความเข้าใจเรื่องดังกล่าวให้ประชาชนได้รับทราบ ผ่านช่องทางการสื่อสารทุกรูปแบบ
โดยเฉพาะสื่อโซเชียลมีเดีย รวมถึงการสร้างอาสาสมัครจิตอาสาในหมู่บ้านเพื่อทําหน้าที่อํานวยความยุติธรรมในพื้นที่
เพื่อนําไปสู่การแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนต่อไป
นอกจากนี้ได้กล่าวเน้นย้ําถึงแนวทางการดําเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ว่าขอให้ดําเนินงานตามนโยบายของกระทรวงยุติธรรม ดังนี้
1) ปกป้องสถาบันชาติ และพระมหากษัตริย์ ผ่านการบังคับใช้กฎหมาย
2) อํานวยความยุติธรรม และลดความเหลื่อมล้ําในสังคม โดยใช้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง
3) ปรับปรุงการทํางานของหน่วยงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานเพื่อบริการประชาชน
และ 4) ดูแลเรื่องสิทธิและเสรีภาพที่ประชาชนพึงมีและควรได้รับตามข้อกฎหมาย
ทั้งนี้ ขอให้ทุกหน่วยงานในสังกัดยึดหลักการบริหารงานที่สําคัญ คือ"อํานวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ํา ขจัดความทุกข์ยาก สร้างประชาสามัคคี ส่งเสริมคนดีสู่สังคม"
หลังจากนั้นเวลา 12.00 น. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและคณะได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมศูนย์การศึกษาพิเศษประจําจังหวัดพิจิตร ที่ตําบลในเมือง อําเภอเมือง จังหวัดพิจิตร ซึ่งเป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ อยู่ในการกํากับดูแลของพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม โดยมีนายวิทยา นุ่นโฉม ผู้อํานวยการศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจําจังหวัดพิจิตร และคณะให้การต้อนรับ พร้อมบรรยายสรุปและนําชมสถานที่ของศูนย์ฯ
จากนั้น เวลา 13.30 น. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมคณะได้เดินทางไปยังศูนย์ยุติธรรมชุมชน ตําบลกําแพงดิน อําเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร เพื่อเปิดโครงการยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นําบริการรัฐสู่ประชาชน ครั้งที่ 3 ประจําปีงบประมาณ 2560
โดยมี นางณิทฐา แสวงทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนชาวพิจิตร กว่า 500 คน ให้การต้อนรับ
ทั้งนี้ พลอากาศเอก ประจินฯ ได้เยี่ยมชมนิทรรศการจากหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงยุติธรรมและได้รับหนังสือจากนางอารมณ์ คําจริง ผู้แทนกลุ่มประชาสังคมปฏิรูปทรัพยากรและทองคํา เรื่องขอให้พิจารณาดําเนินการด้านกฎหมายคดีเหมืองแร่ทองคําที่อยู่ในชั้นสอบสวนของ ป.ป.ช. และ DSI
โดยพลอากาศเอก ประจินฯ ได้กล่าวว่า จะเร่งดําเนินการให้เนื่องจากเป็นความเดือดร้อนของประชาชน
นอกจากนี้ นางมาลี กันสุข อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 65/4 หมู่ที่ 6 ตําบลกําแพงดิน อําเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร ผู้แทนประชาชนที่ถูก บริษัททีพีไอ ฟ้องร้องคดี จํานวน 120 ราย ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากกระทรวงยุติธรรม
ในการนี้ พลอากาศเอก ประจินฯ กล่าวว่า กรณีนี้ จะเร่งดําเนินการแก้ไขให้ โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนส่วนแรก คือ การเร่งติดตามข้อมูลเอกสารที่ประชาชนถูกเอาเปรียบ พร้อมทั้งจะดูแลปัญหาความเดือดร้อนในด้านค่าใช้จ่าย โดยเรื่องที่เข้าสู่สํานักงานยุติธรรมจังหวัดแล้วจะเร่งดําเนินการต่อ ส่วนที่ขึ้นศาลแล้วจะติดตามช่วยเหลือต่อไป ส่วนที่ 2 ในระยะยาวต้องพิจารณาแก้ไขปัญหาการที่ประชาชนถูกหลอกให้เซ็นเอกสาร แล้วนําไปเพิ่มเติมข้อมูลจะดําเนินการช่วยเหลือประชาชนอย่างไร แต่ทั้งนี้ต้องศึกษาแต่ละกรณีอย่างละเอียดอีกครั้ง ส่วนปัญหาเกี่ยวกับพืชผลทางการเกษตรทั้งพันธุ์พืชปุ๋ยต่างๆ จะต้องประสานกับเกษตรและพาณิชย์เพื่อให้เข้ามาดูแลและช่วยเหลือต่อไป
*****************
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดพิจิตร รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนพร้อมหาทางช่วยเหลือ
วันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม 2560
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดพิจิตร รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนพร้อมหาทางช่วยเหลือ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดพิจิตร รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนพร้อมหาทางช่วยเหลือ
วันนี้ (22 ธันวาคม 2560) เวลา 10.00 น.พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์กระทรวงยุติธรรมในการอํานวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ําในสังคม ภายใต้โครงการยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นําบริการรัฐสู่ประชาชน ครั้งที่ 3ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 โดยมีผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ประกอบด้วย 1) จังหวัดสุโขทัย 2) จังหวัดตาก 3) จังหวัดอุตรดิตถ์ 4) จังหวัดพิษณุโลก 5) จังหวัดกําแพงเพชร 6) จังหวัดพิจิตร 7) จังหวัดเพชรบูรณ์ 8) จังหวัดนครสวรรค์ และ 9) จังหวัดอุทัยธานี เข้าร่วมการประชุมฯ ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้าจังหวัดพิจิตร ซีเค คอนเวนชั่นฮอลล์ ตําบลในเมือง อําเภอเมือง จังหวัดพิจิตร
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างคือ
ปัญหาหนี้สิน ปัญหาข้อพิพาทเรื่องที่ดิน ปัญหาการไม่รู้ข้อกฎหมาย และการเข้าไม่ถึงบริการภาครัฐ
ทั้งหมดนี้ เป็นปัญหาที่ต้องเร่งรัดดําเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานในพื้นที่สร้างความรู้ ความเข้าใจเรื่องดังกล่าวให้ประชาชนได้รับทราบ ผ่านช่องทางการสื่อสารทุกรูปแบบ
โดยเฉพาะสื่อโซเชียลมีเดีย รวมถึงการสร้างอาสาสมัครจิตอาสาในหมู่บ้านเพื่อทําหน้าที่อํานวยความยุติธรรมในพื้นที่
เพื่อนําไปสู่การแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนต่อไป
นอกจากนี้ได้กล่าวเน้นย้ําถึงแนวทางการดําเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ว่าขอให้ดําเนินงานตามนโยบายของกระทรวงยุติธรรม ดังนี้
1) ปกป้องสถาบันชาติ และพระมหากษัตริย์ ผ่านการบังคับใช้กฎหมาย
2) อํานวยความยุติธรรม และลดความเหลื่อมล้ําในสังคม โดยใช้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง
3) ปรับปรุงการทํางานของหน่วยงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานเพื่อบริการประชาชน
และ 4) ดูแลเรื่องสิทธิและเสรีภาพที่ประชาชนพึงมีและควรได้รับตามข้อกฎหมาย
ทั้งนี้ ขอให้ทุกหน่วยงานในสังกัดยึดหลักการบริหารงานที่สําคัญ คือ"อํานวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ํา ขจัดความทุกข์ยาก สร้างประชาสามัคคี ส่งเสริมคนดีสู่สังคม"
หลังจากนั้นเวลา 12.00 น. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและคณะได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมศูนย์การศึกษาพิเศษประจําจังหวัดพิจิตร ที่ตําบลในเมือง อําเภอเมือง จังหวัดพิจิตร ซึ่งเป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ อยู่ในการกํากับดูแลของพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม โดยมีนายวิทยา นุ่นโฉม ผู้อํานวยการศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจําจังหวัดพิจิตร และคณะให้การต้อนรับ พร้อมบรรยายสรุปและนําชมสถานที่ของศูนย์ฯ
จากนั้น เวลา 13.30 น. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมคณะได้เดินทางไปยังศูนย์ยุติธรรมชุมชน ตําบลกําแพงดิน อําเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร เพื่อเปิดโครงการยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นําบริการรัฐสู่ประชาชน ครั้งที่ 3 ประจําปีงบประมาณ 2560
โดยมี นางณิทฐา แสวงทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนชาวพิจิตร กว่า 500 คน ให้การต้อนรับ
ทั้งนี้ พลอากาศเอก ประจินฯ ได้เยี่ยมชมนิทรรศการจากหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงยุติธรรมและได้รับหนังสือจากนางอารมณ์ คําจริง ผู้แทนกลุ่มประชาสังคมปฏิรูปทรัพยากรและทองคํา เรื่องขอให้พิจารณาดําเนินการด้านกฎหมายคดีเหมืองแร่ทองคําที่อยู่ในชั้นสอบสวนของ ป.ป.ช. และ DSI
โดยพลอากาศเอก ประจินฯ ได้กล่าวว่า จะเร่งดําเนินการให้เนื่องจากเป็นความเดือดร้อนของประชาชน
นอกจากนี้ นางมาลี กันสุข อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 65/4 หมู่ที่ 6 ตําบลกําแพงดิน อําเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร ผู้แทนประชาชนที่ถูก บริษัททีพีไอ ฟ้องร้องคดี จํานวน 120 ราย ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากกระทรวงยุติธรรม
ในการนี้ พลอากาศเอก ประจินฯ กล่าวว่า กรณีนี้ จะเร่งดําเนินการแก้ไขให้ โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนส่วนแรก คือ การเร่งติดตามข้อมูลเอกสารที่ประชาชนถูกเอาเปรียบ พร้อมทั้งจะดูแลปัญหาความเดือดร้อนในด้านค่าใช้จ่าย โดยเรื่องที่เข้าสู่สํานักงานยุติธรรมจังหวัดแล้วจะเร่งดําเนินการต่อ ส่วนที่ขึ้นศาลแล้วจะติดตามช่วยเหลือต่อไป ส่วนที่ 2 ในระยะยาวต้องพิจารณาแก้ไขปัญหาการที่ประชาชนถูกหลอกให้เซ็นเอกสาร แล้วนําไปเพิ่มเติมข้อมูลจะดําเนินการช่วยเหลือประชาชนอย่างไร แต่ทั้งนี้ต้องศึกษาแต่ละกรณีอย่างละเอียดอีกครั้ง ส่วนปัญหาเกี่ยวกับพืชผลทางการเกษตรทั้งพันธุ์พืชปุ๋ยต่างๆ จะต้องประสานกับเกษตรและพาณิชย์เพื่อให้เข้ามาดูแลและช่วยเหลือต่อไป
*****************
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8954
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาเหตุใดผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่สูบบุหรี่ จึงมีอาการรุนแรงกว่าผู้ป่วยที่ไม่สูบบุหรี่ ??
|
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563
สาเหตุใดผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่สูบบุหรี่ จึงมีอาการรุนแรงกว่าผู้ป่วยที่ไม่สูบบุหรี่ ??
ทําไมผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่สูบบุหรี่ มีอาการรุนแรงกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ ??
Q : สาเหตุใดผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่สูบบุหรี่ จึงมีอาการรุนแรงกว่าผู้ป่วยที่ไม่สูบบุหรี่ ??
A : เพราะบุหรี่จะเข้าไปทําลายระบบทางเดินหายใจ รวมถึงภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งไวรัสโควิด-19 ก็เป็นไวรัสฯ ที่มีการทําลายปอด ส่งผลเสียหายต่อร่างกายอย่างรุนแรงเช่นกัน ทั้งนี้พบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่สูบบุหรี่จะมีอาการรุนแรงกว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 14 เท่า
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาเหตุใดผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่สูบบุหรี่ จึงมีอาการรุนแรงกว่าผู้ป่วยที่ไม่สูบบุหรี่ ??
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563
สาเหตุใดผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่สูบบุหรี่ จึงมีอาการรุนแรงกว่าผู้ป่วยที่ไม่สูบบุหรี่ ??
ทําไมผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่สูบบุหรี่ มีอาการรุนแรงกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ ??
Q : สาเหตุใดผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่สูบบุหรี่ จึงมีอาการรุนแรงกว่าผู้ป่วยที่ไม่สูบบุหรี่ ??
A : เพราะบุหรี่จะเข้าไปทําลายระบบทางเดินหายใจ รวมถึงภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งไวรัสโควิด-19 ก็เป็นไวรัสฯ ที่มีการทําลายปอด ส่งผลเสียหายต่อร่างกายอย่างรุนแรงเช่นกัน ทั้งนี้พบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่สูบบุหรี่จะมีอาการรุนแรงกว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 14 เท่า
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31553
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พล.อ.ประวิตร’ แสดงความอาลัยและยกย่อง นายวีระชัย พลาศรัย เป็นข้าราชการคนสำคัญของแผ่นดิน
|
วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2562
พล.อ.ประวิตร’ แสดงความอาลัยและยกย่อง นายวีระชัย พลาศรัย เป็นข้าราชการคนสําคัญของแผ่นดิน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนรม.และรมว.กห. ได้แสดงความอาลัยอย่างสุดซึ้ง หลังทราบข่าวการเสียชีวิตของ นาย วีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้แสดงความอาลัยอย่างสุดซึ้ง หลังทราบข่าวการเสียชีวิตของ นาย วีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา
โดยได้กล่าวแสดงความอาลัยว่า ถือเป็นการสูญเสียข้าราชการคนสําคัญของแผ่นดิน ที่ควรค่าแก่การยกย่อง พร้อมทั้งกล่าวชื่นชม นายวีรชัยฯ ถึงการทุ่มเท เสียสละและมีส่วนสําคัญยิ่งในการปฏิบัติราชการแผ่นดินที่สําคัญๆในเวทีระหว่างประเทศที่ผ่านมา โดยเฉพาะการทําหน้าที่หัวหน้าคณะต่อสู้และชี้แจงต่อศาลโลกคดีปราสาทพระวิหาร รวมทั้งมีส่วนสําคัญยิ่งในการประสานขับเคลื่อนและผลักดันแก้ปัญหาวิกฤติสําคัญๆของชาติในเวทีระหว่างประเทศจนประสบความสําเร็จ ส่งผลดีต่อภาพลักษณ์และผลประโยชน์ของประเทศอย่างมาก ทั้งปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ( IUU ) , ปัญหาการบินพลเรือน ( ICAO ) , ปัญหาการค้ามนุษย์ , ปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พล.อ.ประวิตร’ แสดงความอาลัยและยกย่อง นายวีระชัย พลาศรัย เป็นข้าราชการคนสำคัญของแผ่นดิน
วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2562
พล.อ.ประวิตร’ แสดงความอาลัยและยกย่อง นายวีระชัย พลาศรัย เป็นข้าราชการคนสําคัญของแผ่นดิน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนรม.และรมว.กห. ได้แสดงความอาลัยอย่างสุดซึ้ง หลังทราบข่าวการเสียชีวิตของ นาย วีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้แสดงความอาลัยอย่างสุดซึ้ง หลังทราบข่าวการเสียชีวิตของ นาย วีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา
โดยได้กล่าวแสดงความอาลัยว่า ถือเป็นการสูญเสียข้าราชการคนสําคัญของแผ่นดิน ที่ควรค่าแก่การยกย่อง พร้อมทั้งกล่าวชื่นชม นายวีรชัยฯ ถึงการทุ่มเท เสียสละและมีส่วนสําคัญยิ่งในการปฏิบัติราชการแผ่นดินที่สําคัญๆในเวทีระหว่างประเทศที่ผ่านมา โดยเฉพาะการทําหน้าที่หัวหน้าคณะต่อสู้และชี้แจงต่อศาลโลกคดีปราสาทพระวิหาร รวมทั้งมีส่วนสําคัญยิ่งในการประสานขับเคลื่อนและผลักดันแก้ปัญหาวิกฤติสําคัญๆของชาติในเวทีระหว่างประเทศจนประสบความสําเร็จ ส่งผลดีต่อภาพลักษณ์และผลประโยชน์ของประเทศอย่างมาก ทั้งปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ( IUU ) , ปัญหาการบินพลเรือน ( ICAO ) , ปัญหาการค้ามนุษย์ , ปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19390
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดโครงการอบรมพัฒนาศักยภาพผู้นำชุมชนริมคลองลาดพร้าว บางซื่อ คลองเปรมประชากร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาแกนนำและชาวชุมชนให้สามารถลุกขึ้นมาจัดการแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง
|
วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2560
พม. จัดโครงการอบรมพัฒนาศักยภาพผู้นําชุมชนริมคลองลาดพร้าว บางซื่อ คลองเปรมประชากร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาแกนนําและชาวชุมชนให้สามารถลุกขึ้นมาจัดการแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง
พม. จัดโครงการอบรมพัฒนาศักยภาพผู้นําชุมชนริมคลองลาดพร้าว บางซื่อ คลองเปรมประชากร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาแกนนําและชาวชุมชนให้สามารถลุกขึ้นมาจัดการแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง
เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.60เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมไพบูลย์วัฒนศิริธรรม สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ถนนนวมินทร์ บางกะปิ กรุงเทพฯ นายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการอบรมพัฒนาศักยภาพผู้นําชุมชนริมคลองลาดพร้าว บางซื่อ คลองเปรมประชากร” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้แกนนําและชาวชุมชนสามารถลุกขึ้นมาจัดการแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง เกิดการสร้างความเข้มแข็งในการร่วมขับเคลื่อนงาน โดยชุมชนเป็นแกนหลักอย่างยั่งยืน รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนริมคลอง และสร้างการรับรู้และทําความเข้าใจการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-18 มิถุนายน 2560 โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ประกอบด้วย ผู้นําชุมชนริมคลองลาดพร้าว บางซื่อ และคลองเปรมประชากร หน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้อง ทหาร ตํารวจ สํานักงานเขต สหกรณ์ และเจ้าหน้าที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) จํานวนประมาณ 100 คน
นายไมตรี กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนในเรื่องการแก้ไขปัญหาชุมชนบุกรุกริมคลอง และการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยจะมีการรื้อย้ายบ้านเรือนที่รุกล้ําริมคลองลาดพร้าว ซึ่งเป็นที่ดินที่ราชพัสดุดูแล และสร้างเขื่อนริมคลอง เพื่อให้การระบายน้ําเป็นไปโดยสะดวก โดยมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) รับผิดชอบเรื่องการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง ซึ่งมีเป้าหมาย 3 คลอง คือ คลองลาดพร้าว คลองบางซื่อ และคลองเปรมประชากร รวมทั้งสิ้น 81 ชุมชน 11,004 ครัวเรือน มีผู้รับผลประโยชน์ 64,869 คน (เป้าหมายปี 2560 จํานวน 50 ชุมชน 6,419 ครัวเรือน) เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองแบบถูกกฎหมาย ไม่บุกรุกที่ดินรัฐ จากเป้าหมายภายในสิ้นปีนี้ จํานวน 33 ชุมชน รวม 3,672 ครัวเรือน และจะก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผนงานระยะเวลา 3 ปี (พ.ศ.2559-2561) รวมเป้าหมาย 52 ชุมชน จํานวน 7,081 ครัวเรือน ซึ่งขณะนี้ดําเนินการไปแล้ว 11 ชุมชน รวม 763 ครัวเรือน
นายไมตรี กล่าวต่ออีกว่า การพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง ตามแนวทางประชารัฐ เป็นการร่วมมือของทุกภาคส่วน มีหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่เข้ามาร่วมการทํางานและให้การสนับสนุน เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน คณะรักษาความสงบแห่งชาติ กองทัพบก กระทรวงมหาดไทย สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร กรมส่งเสริมสหกรณ์ การเคหะแห่งชาติ การประปานครหลวง และการไฟฟ้านครหลวง เป็นต้น ส่วนภาคเอกชน เช่น บริษัทอิตาเลี่ยน-ไทย เสนากรุ๊ป ซีพี และทีโอเอ เป็นต้น นอกจากการทํางานร่วมกันของหน่วยงานต่างๆแล้ว ภาคประชาชนก็ต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามโครงการบ้านประชารัฐริมคลองด้วย โดยเฉพาะผู้นําชุมชนจะต้องมีส่วนในการชักชวนให้พี่น้องในชุมชนเข้ามาร่วมกันพัฒนาชุมชนของตนเอง เพื่อนําไปสู่บ้านใหม่ที่สวยงาม มีความมั่นคง มีสิ่งแวดล้อมที่ดี เช่น ร่วมการบําบัดน้ําเสีย ไม่ทิ้งขยะ หรือสิ่งปฏิกูลลงในคลอง
"ทั้งนี้หากผู้นําชุมชนมีความเข้มแข็ง เสียสละ มุ่งมั่นตั้งใจทํางาน และมีความโปร่งใส เชื่อว่าโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง จะประสบความสําเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ จะเป็นการสร้างอนาคตใหม่ให้แก่ลูกหลาน รวมทั้งยังเป็นการคืนครองให้แก่สังคม ทําให้คลองมีความสวยสะอาด น้ําสามารถระบายได้ดี ไม่เกิดปัญหาน้ําท่วมอีกต่อไป" นายไมตรี กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดโครงการอบรมพัฒนาศักยภาพผู้นำชุมชนริมคลองลาดพร้าว บางซื่อ คลองเปรมประชากร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาแกนนำและชาวชุมชนให้สามารถลุกขึ้นมาจัดการแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง
วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2560
พม. จัดโครงการอบรมพัฒนาศักยภาพผู้นําชุมชนริมคลองลาดพร้าว บางซื่อ คลองเปรมประชากร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาแกนนําและชาวชุมชนให้สามารถลุกขึ้นมาจัดการแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง
พม. จัดโครงการอบรมพัฒนาศักยภาพผู้นําชุมชนริมคลองลาดพร้าว บางซื่อ คลองเปรมประชากร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาแกนนําและชาวชุมชนให้สามารถลุกขึ้นมาจัดการแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง
เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.60เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมไพบูลย์วัฒนศิริธรรม สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ถนนนวมินทร์ บางกะปิ กรุงเทพฯ นายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการอบรมพัฒนาศักยภาพผู้นําชุมชนริมคลองลาดพร้าว บางซื่อ คลองเปรมประชากร” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้แกนนําและชาวชุมชนสามารถลุกขึ้นมาจัดการแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง เกิดการสร้างความเข้มแข็งในการร่วมขับเคลื่อนงาน โดยชุมชนเป็นแกนหลักอย่างยั่งยืน รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนริมคลอง และสร้างการรับรู้และทําความเข้าใจการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-18 มิถุนายน 2560 โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ประกอบด้วย ผู้นําชุมชนริมคลองลาดพร้าว บางซื่อ และคลองเปรมประชากร หน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้อง ทหาร ตํารวจ สํานักงานเขต สหกรณ์ และเจ้าหน้าที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) จํานวนประมาณ 100 คน
นายไมตรี กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนในเรื่องการแก้ไขปัญหาชุมชนบุกรุกริมคลอง และการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยจะมีการรื้อย้ายบ้านเรือนที่รุกล้ําริมคลองลาดพร้าว ซึ่งเป็นที่ดินที่ราชพัสดุดูแล และสร้างเขื่อนริมคลอง เพื่อให้การระบายน้ําเป็นไปโดยสะดวก โดยมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) รับผิดชอบเรื่องการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง ซึ่งมีเป้าหมาย 3 คลอง คือ คลองลาดพร้าว คลองบางซื่อ และคลองเปรมประชากร รวมทั้งสิ้น 81 ชุมชน 11,004 ครัวเรือน มีผู้รับผลประโยชน์ 64,869 คน (เป้าหมายปี 2560 จํานวน 50 ชุมชน 6,419 ครัวเรือน) เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองแบบถูกกฎหมาย ไม่บุกรุกที่ดินรัฐ จากเป้าหมายภายในสิ้นปีนี้ จํานวน 33 ชุมชน รวม 3,672 ครัวเรือน และจะก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผนงานระยะเวลา 3 ปี (พ.ศ.2559-2561) รวมเป้าหมาย 52 ชุมชน จํานวน 7,081 ครัวเรือน ซึ่งขณะนี้ดําเนินการไปแล้ว 11 ชุมชน รวม 763 ครัวเรือน
นายไมตรี กล่าวต่ออีกว่า การพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง ตามแนวทางประชารัฐ เป็นการร่วมมือของทุกภาคส่วน มีหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่เข้ามาร่วมการทํางานและให้การสนับสนุน เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน คณะรักษาความสงบแห่งชาติ กองทัพบก กระทรวงมหาดไทย สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร กรมส่งเสริมสหกรณ์ การเคหะแห่งชาติ การประปานครหลวง และการไฟฟ้านครหลวง เป็นต้น ส่วนภาคเอกชน เช่น บริษัทอิตาเลี่ยน-ไทย เสนากรุ๊ป ซีพี และทีโอเอ เป็นต้น นอกจากการทํางานร่วมกันของหน่วยงานต่างๆแล้ว ภาคประชาชนก็ต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามโครงการบ้านประชารัฐริมคลองด้วย โดยเฉพาะผู้นําชุมชนจะต้องมีส่วนในการชักชวนให้พี่น้องในชุมชนเข้ามาร่วมกันพัฒนาชุมชนของตนเอง เพื่อนําไปสู่บ้านใหม่ที่สวยงาม มีความมั่นคง มีสิ่งแวดล้อมที่ดี เช่น ร่วมการบําบัดน้ําเสีย ไม่ทิ้งขยะ หรือสิ่งปฏิกูลลงในคลอง
"ทั้งนี้หากผู้นําชุมชนมีความเข้มแข็ง เสียสละ มุ่งมั่นตั้งใจทํางาน และมีความโปร่งใส เชื่อว่าโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง จะประสบความสําเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ จะเป็นการสร้างอนาคตใหม่ให้แก่ลูกหลาน รวมทั้งยังเป็นการคืนครองให้แก่สังคม ทําให้คลองมีความสวยสะอาด น้ําสามารถระบายได้ดี ไม่เกิดปัญหาน้ําท่วมอีกต่อไป" นายไมตรี กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4626
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” พอใจโครงการเยียวยาเกษตรกรเดินหน้าตามเป้าหมาย 3 เดือนจ่ายไปแล้วกว่า1แสนล้าน สศก.ชี้เกษตรกร99%พอใจใช้เงินเยียวยาต่อยอดอาชีพบรรเทาผลกระทบโควิด19
|
วันพุธที่ 5 สิงหาคม 2563
“เฉลิมชัย” พอใจโครงการเยียวยาเกษตรกรเดินหน้าตามเป้าหมาย 3 เดือนจ่ายไปแล้วกว่า1แสนล้าน สศก.ชี้เกษตรกร99%พอใจใช้เงินเยียวยาต่อยอดอาชีพบรรเทาผลกระทบโควิด19
“เฉลิมชัย” พอใจโครงการเยียวยาเกษตรกรเดินหน้าตามเป้าหมาย 3 เดือนจ่ายไปแล้วกว่า1แสนล้าน สศก.ชี้เกษตรกร99%พอใจใช้เงินเยียวยาต่อยอดอาชีพบรรเทาผลกระทบโควิด19
นายอลงกรณ์พลบุตรที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แถลงวันนี้ว่าดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พอใจผลการดําเนินงานโครงการเยียวยาเกษตรกรที่สามารถเดินหน้าตามเป้าหมาย3เดือนจ่ายเกษตรกรกว่า7.7ล้านไปแล้ว1.1แสนล้านบาทและขอบคุณทุกหน่วยงานรวมทั้งคณะรัฐมนตรีแทนเกษตรกรทุกคนที่ช่วยสนับสนุนกระทรวงเกษตรฯในการดําเนินโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จนลุล่วงคืบหน้าด้วยดีโดยให้กําลังใจทุกฝ่ายดําเนินก่อนต่อจนแล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคมนี้
นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร(สศก.)ทําหน้าที่นายทะเบียนรวบรวมและจัดทําระบบคัดกรองที่ถูกต้องสศก.ได้ทําการตรวจสอบความซ้ําซ้อนข้อมูลและส่งรายชื่อเกษตรกรที่ได้รับสิทธิ์ฯให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)เพื่อดําเนินการโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรรายละ5,000บาทต่อเดือนเป็นระยะเวลา3เดือนตั้งแต่เดือนพฤษภาคม–กรกฎาคม2563จากรายงานของสศก.แจ้งว่าจากการติดตามประเมินผลโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019
โดยสศก.ได้จัดส่งรายชื่อเกษตรกรที่ได้ตรวจสอบความซ้ําซ้อนของข้อมูลกับโครงการเราไม่ทิ้งกันของกระทรวงการคลังข้าราชการลูกจ้างประจําข้าราชการบํานาญของกรมบัญชีกลางและระบบประกันสังคมของสํานักงานประกันสังคมให้ธ.ก.ส.เพื่อโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกร(ข้อมูลณ31ก.ค.63)รวมทั้งสิ้น7,747,490รายโดย ธ.ก.ส.ดําเนินการโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรตั้งแต่15พ.ค. – 31ก.ค. 63รวม3งวดจํานวน112,126.730ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ96.48ของเป้าหมาย116,212.35ล้านบาทแบ่งเป็น งวดที่1จํานวน7,486,705รายจํานวนเงิน37,433.525ล้านบาทงวดที่2จํานวน7,472,114ราย จํานวนเงิน37,360.570ล้านบาทและงวดที่3จํานวน7,466,527ราย จํานวนเงิน37,332.635ล้านบาทอย่างไรก็ตามมีเกษตรกรที่ยังไม่สามารถโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรได้เนื่องจากไม่ได้แจ้งเลขบัญชีขณะนี้ได้เร่งให้หน่วยงานในพื้นที่ติดตามเกษตรกรเพื่อส่งเลขบัญชีให้กับธ.ก.ส.ดําเนินการโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยดําเนินการหลายช่องทางเช่นติดประกาศณหน่วยงานในพื้นที่โทรศัพท์แจ้งเกษตรกรโดยตรงรวมทั้งส่งรายชื่อให้กับผู้นําชุมชนเพื่อไปแจ้งเกษตรกรต่อไปและสําหรับเกษตรกรกลุ่มสุดท้ายที่ได้แจ้งความจํานงเพาะปลูกและปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตรก่อนวันที่15พฤษภาคมและเพาะปลูกพืชก่อนวันที่30มิถุนายนซึ่งมีจํานวน38,737รายกลุ่มนี้จะได้รับเงินครั้งเดียว15,000บาทภายในเดือนสิงหาคมนี้สําหรับผลการอุทธรณ์มีเกษตรกรที่มาขอยื่นเรื่องอุทธรณ์เยียวยาของทั้ง8หน่วยงานโดยตรวจสอบความถูกต้องและซ้ําซ้อนแล้วคงเหลือ189,645รายซึ่งล่าสุดการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการอุทธรณ์ครั้งที่6/2563เมื่อวันที่29กรกฎาคมที่ผ่านมาพบว่ามีเกษตรกรที่เข้าหลักเกณฑ์ที่สามารถจ่ายเงินเยียวยาได้จํานวน70,338รายและอยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจสอบสิทธิ์อีก269ราย
นายระพีภัทร์จันทรศรีวงศ์เลขาธิการสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร(สศก.)กล่าวว่าสศก.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรับขึ้นทะเบียนเกษตรกรได้สํารวจข้อมูลในระหว่างเดือนมิถุนายน–กรกฎาคม2563พบว่าเกษตรกรร้อยละ99พึงพอใจต่อการดําเนินงานโครงการในระดับมากมีเพียงบางส่วนเท่านั้นไม่พึงพอใจเนื่องจากยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการและอยู่ระหว่างอุทธรณ์เกษตรกรร้อยละ96เห็นว่าจํานวนเงินช่วยเหลือเพียงพอต่อการบรรเทาความเดือดร้อนมีเพียงร้อยละ4ที่เห็นว่าจํานวนเงินที่ได้รับไม่เพียงพอเนื่องจากความเสียหายจากการทําการเกษตรมีมากกว่าจํานวนเงินที่ได้รับส่งผลต่อความสามารถในการชําระหนี้
สําหรับเกษตรกรที่ได้รับเงินช่วยเหลือมีการนําเงินไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆโดยเกษตรกรจะนําไปลงทุนทางการเกษตรเช่นซื้อพันธุ์สัตว์อาหารสัตว์ปุ๋ยและซ่อมแซมโรงเรือนเป็นอันดับแรกที่เหลือนําไปซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในครัวเรือนลงทุนนอกการเกษตรเช่นซื้อสินค้าไปจําหน่ายต่อและนําไปชําระหนี้สิน/จ่ายค่าเช่ารวมทั้งนําไปใช้จ่ายอื่นๆเช่นจ่ายค่าน้ําค่าไฟฟ้าค่าซ่อมแซมบ้านใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของบุตรหลานเก็บออมเป็นต้น
ทั้งนี้จากการดําเนินโครงการดังกล่าวทําให้เห็นถึงความสําคัญของการจัดทําระบบฐานข้อมูลทะเบียนเกษตรกรที่เป็นฐานข้อมูลเดียวกันควรมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์กรมที่ดินส.ป.ก.จะทําให้การดําเนินงานอื่นๆหรือการปรับปรุงข้อมูลของหน่วยงานมีความเป็นปัจจุบันอยู่เสมอการตรวจสอบคัดกรองข้อมูลจะดําเนินการได้รวดเร็วขึ้นอีกทั้งหากมีการประชาสัมพันธ์ไปทางกระทรวงมหาดไทยที่สามารถเข้าถึงกํานันผู้ใหญ่บ้านได้ทั่วถึงและรวดเร็วกว่าจะช่วยให้การดําเนินงานโครงการได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้นสร้างความตระหนักให้เกษตรกรเห็นความสําคัญของการขึ้นทะเบียน/ปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรเพื่อได้รับการช่วยเหลือในโครงการต่างๆนอกจากนี้เกษตรกรได้ให้ข้อคิดเห็นถึงรูปแบบในการช่วยเหลือเกษตรกรเมื่อเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้หรือเหตุการณ์อื่น โดยต้องการให้จ่ายเงินช่วยเหลือเป็นลําดับแรกรองลงมาคือการจัดหาตลาดช่วยกระจายผลผลิตของเกษตรกรการสนับสนุนปัจจัยการผลิตเช่นปุ๋ยยาพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์หรืออาหารสัตว์จัดอบรมให้ความรู้เพื่อสามารถนําไปประยุกต์ใช้ในการประกอบการเกษตรได้และช่วยด้านระบบชลประทานหรือจัดหาแหล่งน้ํารวมทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ในการเพาะปลูกและลดดอกเบี้ยเงินกู้เป็นต้น อย่างไรก็ตามสศก.จะมีการสํารวจข้อมูลเพื่อประเมินผลอีกครั้งเมื่อโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” พอใจโครงการเยียวยาเกษตรกรเดินหน้าตามเป้าหมาย 3 เดือนจ่ายไปแล้วกว่า1แสนล้าน สศก.ชี้เกษตรกร99%พอใจใช้เงินเยียวยาต่อยอดอาชีพบรรเทาผลกระทบโควิด19
วันพุธที่ 5 สิงหาคม 2563
“เฉลิมชัย” พอใจโครงการเยียวยาเกษตรกรเดินหน้าตามเป้าหมาย 3 เดือนจ่ายไปแล้วกว่า1แสนล้าน สศก.ชี้เกษตรกร99%พอใจใช้เงินเยียวยาต่อยอดอาชีพบรรเทาผลกระทบโควิด19
“เฉลิมชัย” พอใจโครงการเยียวยาเกษตรกรเดินหน้าตามเป้าหมาย 3 เดือนจ่ายไปแล้วกว่า1แสนล้าน สศก.ชี้เกษตรกร99%พอใจใช้เงินเยียวยาต่อยอดอาชีพบรรเทาผลกระทบโควิด19
นายอลงกรณ์พลบุตรที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แถลงวันนี้ว่าดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พอใจผลการดําเนินงานโครงการเยียวยาเกษตรกรที่สามารถเดินหน้าตามเป้าหมาย3เดือนจ่ายเกษตรกรกว่า7.7ล้านไปแล้ว1.1แสนล้านบาทและขอบคุณทุกหน่วยงานรวมทั้งคณะรัฐมนตรีแทนเกษตรกรทุกคนที่ช่วยสนับสนุนกระทรวงเกษตรฯในการดําเนินโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จนลุล่วงคืบหน้าด้วยดีโดยให้กําลังใจทุกฝ่ายดําเนินก่อนต่อจนแล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคมนี้
นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร(สศก.)ทําหน้าที่นายทะเบียนรวบรวมและจัดทําระบบคัดกรองที่ถูกต้องสศก.ได้ทําการตรวจสอบความซ้ําซ้อนข้อมูลและส่งรายชื่อเกษตรกรที่ได้รับสิทธิ์ฯให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)เพื่อดําเนินการโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรรายละ5,000บาทต่อเดือนเป็นระยะเวลา3เดือนตั้งแต่เดือนพฤษภาคม–กรกฎาคม2563จากรายงานของสศก.แจ้งว่าจากการติดตามประเมินผลโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019
โดยสศก.ได้จัดส่งรายชื่อเกษตรกรที่ได้ตรวจสอบความซ้ําซ้อนของข้อมูลกับโครงการเราไม่ทิ้งกันของกระทรวงการคลังข้าราชการลูกจ้างประจําข้าราชการบํานาญของกรมบัญชีกลางและระบบประกันสังคมของสํานักงานประกันสังคมให้ธ.ก.ส.เพื่อโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกร(ข้อมูลณ31ก.ค.63)รวมทั้งสิ้น7,747,490รายโดย ธ.ก.ส.ดําเนินการโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรตั้งแต่15พ.ค. – 31ก.ค. 63รวม3งวดจํานวน112,126.730ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ96.48ของเป้าหมาย116,212.35ล้านบาทแบ่งเป็น งวดที่1จํานวน7,486,705รายจํานวนเงิน37,433.525ล้านบาทงวดที่2จํานวน7,472,114ราย จํานวนเงิน37,360.570ล้านบาทและงวดที่3จํานวน7,466,527ราย จํานวนเงิน37,332.635ล้านบาทอย่างไรก็ตามมีเกษตรกรที่ยังไม่สามารถโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรได้เนื่องจากไม่ได้แจ้งเลขบัญชีขณะนี้ได้เร่งให้หน่วยงานในพื้นที่ติดตามเกษตรกรเพื่อส่งเลขบัญชีให้กับธ.ก.ส.ดําเนินการโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยดําเนินการหลายช่องทางเช่นติดประกาศณหน่วยงานในพื้นที่โทรศัพท์แจ้งเกษตรกรโดยตรงรวมทั้งส่งรายชื่อให้กับผู้นําชุมชนเพื่อไปแจ้งเกษตรกรต่อไปและสําหรับเกษตรกรกลุ่มสุดท้ายที่ได้แจ้งความจํานงเพาะปลูกและปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตรก่อนวันที่15พฤษภาคมและเพาะปลูกพืชก่อนวันที่30มิถุนายนซึ่งมีจํานวน38,737รายกลุ่มนี้จะได้รับเงินครั้งเดียว15,000บาทภายในเดือนสิงหาคมนี้สําหรับผลการอุทธรณ์มีเกษตรกรที่มาขอยื่นเรื่องอุทธรณ์เยียวยาของทั้ง8หน่วยงานโดยตรวจสอบความถูกต้องและซ้ําซ้อนแล้วคงเหลือ189,645รายซึ่งล่าสุดการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการอุทธรณ์ครั้งที่6/2563เมื่อวันที่29กรกฎาคมที่ผ่านมาพบว่ามีเกษตรกรที่เข้าหลักเกณฑ์ที่สามารถจ่ายเงินเยียวยาได้จํานวน70,338รายและอยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจสอบสิทธิ์อีก269ราย
นายระพีภัทร์จันทรศรีวงศ์เลขาธิการสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร(สศก.)กล่าวว่าสศก.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรับขึ้นทะเบียนเกษตรกรได้สํารวจข้อมูลในระหว่างเดือนมิถุนายน–กรกฎาคม2563พบว่าเกษตรกรร้อยละ99พึงพอใจต่อการดําเนินงานโครงการในระดับมากมีเพียงบางส่วนเท่านั้นไม่พึงพอใจเนื่องจากยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการและอยู่ระหว่างอุทธรณ์เกษตรกรร้อยละ96เห็นว่าจํานวนเงินช่วยเหลือเพียงพอต่อการบรรเทาความเดือดร้อนมีเพียงร้อยละ4ที่เห็นว่าจํานวนเงินที่ได้รับไม่เพียงพอเนื่องจากความเสียหายจากการทําการเกษตรมีมากกว่าจํานวนเงินที่ได้รับส่งผลต่อความสามารถในการชําระหนี้
สําหรับเกษตรกรที่ได้รับเงินช่วยเหลือมีการนําเงินไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆโดยเกษตรกรจะนําไปลงทุนทางการเกษตรเช่นซื้อพันธุ์สัตว์อาหารสัตว์ปุ๋ยและซ่อมแซมโรงเรือนเป็นอันดับแรกที่เหลือนําไปซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในครัวเรือนลงทุนนอกการเกษตรเช่นซื้อสินค้าไปจําหน่ายต่อและนําไปชําระหนี้สิน/จ่ายค่าเช่ารวมทั้งนําไปใช้จ่ายอื่นๆเช่นจ่ายค่าน้ําค่าไฟฟ้าค่าซ่อมแซมบ้านใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของบุตรหลานเก็บออมเป็นต้น
ทั้งนี้จากการดําเนินโครงการดังกล่าวทําให้เห็นถึงความสําคัญของการจัดทําระบบฐานข้อมูลทะเบียนเกษตรกรที่เป็นฐานข้อมูลเดียวกันควรมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์กรมที่ดินส.ป.ก.จะทําให้การดําเนินงานอื่นๆหรือการปรับปรุงข้อมูลของหน่วยงานมีความเป็นปัจจุบันอยู่เสมอการตรวจสอบคัดกรองข้อมูลจะดําเนินการได้รวดเร็วขึ้นอีกทั้งหากมีการประชาสัมพันธ์ไปทางกระทรวงมหาดไทยที่สามารถเข้าถึงกํานันผู้ใหญ่บ้านได้ทั่วถึงและรวดเร็วกว่าจะช่วยให้การดําเนินงานโครงการได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้นสร้างความตระหนักให้เกษตรกรเห็นความสําคัญของการขึ้นทะเบียน/ปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรเพื่อได้รับการช่วยเหลือในโครงการต่างๆนอกจากนี้เกษตรกรได้ให้ข้อคิดเห็นถึงรูปแบบในการช่วยเหลือเกษตรกรเมื่อเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้หรือเหตุการณ์อื่น โดยต้องการให้จ่ายเงินช่วยเหลือเป็นลําดับแรกรองลงมาคือการจัดหาตลาดช่วยกระจายผลผลิตของเกษตรกรการสนับสนุนปัจจัยการผลิตเช่นปุ๋ยยาพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์หรืออาหารสัตว์จัดอบรมให้ความรู้เพื่อสามารถนําไปประยุกต์ใช้ในการประกอบการเกษตรได้และช่วยด้านระบบชลประทานหรือจัดหาแหล่งน้ํารวมทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ในการเพาะปลูกและลดดอกเบี้ยเงินกู้เป็นต้น อย่างไรก็ตามสศก.จะมีการสํารวจข้อมูลเพื่อประเมินผลอีกครั้งเมื่อโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33946
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ตรวจเยี่ยมสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พร้อมเน้นย้ำการบูรณาการข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล และการพัฒนาศักยภาพงานนิติวิทยาศาสตร์ตามมาตรฐานสากล
|
วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2560
รมว.ยุติธรรม ตรวจเยี่ยมสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พร้อมเน้นย้ําการบูรณาการข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล และการพัฒนาศักยภาพงานนิติวิทยาศาสตร์ตามมาตรฐานสากล
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เยี่ยมชมการดําเนินงาน พร้อมทั้งรับฟังปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงานของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ได้เยี่ยมชมการดําเนินงาน พร้อมทั้งรับฟังปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงานของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เน้นย้ําให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์เร่งขับเคลื่อน
นโยบายการบูรณาการข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่มอบหมาย
ให้กระทรวงยุติธรรม โดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เป็นเจ้าภาพหลัก
ในการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความร่วมมือและพัฒนาศักยภาพด้านการพิสูจน์หลักฐาน
การเก็บวัตถุพยานเพื่อประกอบการสืบสวนสอบสวน การวิเคราะห์วัตถุพยาน
ซึ่งจะต้องมีฐานข้อมูลที่มีคุณภาพ และเป็นมาตรฐานสากล
เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ประชาชน
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมสนับสนุนการดําเนินงาน
ตามนโยบายของรัฐบาลดังกล่าวให้ประสบผลสําเร็จ
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะ ได้เยี่ยมชมการทํางานของเจ้าหน้าที่
ภายในห้องปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย
๑) ห้องปฏิบัติการตรวจพิสูจน์ทางลายพิมพ์นิ้วมือและฝ่ามืออัตโนมัติ
เพื่อเยี่ยมชมการตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบลายนิ้วมือ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า
การตรวจพิสูจน์หารอยนิ้วมือแฝง ฝ่ามือแฝง ฝ่าเท้าแฝง
ตลอดจนการจัดเก็บฐานข้อมูลลายพิมพ์นิ้วมือ ฝ่ามือ และตรวจพิสูจน์ลายนิ้วมือด้วยระบบคอมพิวเตอร์
๒) ห้องปฏิบัติการกลุ่มตรวจสอบอาวุธปืนและวัตถุพยานทางฟิสิกส์
เพื่อเยี่ยมชมการตรวจพิสูจน์เขม่าปืน และวัตถุพยานต่าง ๆ
๓) ห้องปฏิบัติการกลุ่มตรวจพิสูจน์ทางเคมี เพื่อเยี่ยมชมการตรวจหาสารเสพติดจากเส้นผม
การตรวจหาสารพิษ และการตรวจพิสูจน์สารระเบิด
๔) ห้องปฏิบัติการตรวจสารพันธุกรรมทางคดี เพื่อเยี่ยมชมการตรวจหาสารพันธุกรรมจากวัตถุพยาน
ในคดีอาญา การจัดเก็บสารพันธุกรรมของผู้ต้องขังทั่วประเทศ
และการตรวจสารพันธุกรรมเพื่อให้สัญชาติแก่บุคคลที่อยู่ชายขอบของประเทศไทย เป็นต้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ตรวจเยี่ยมสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พร้อมเน้นย้ำการบูรณาการข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล และการพัฒนาศักยภาพงานนิติวิทยาศาสตร์ตามมาตรฐานสากล
วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2560
รมว.ยุติธรรม ตรวจเยี่ยมสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พร้อมเน้นย้ําการบูรณาการข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล และการพัฒนาศักยภาพงานนิติวิทยาศาสตร์ตามมาตรฐานสากล
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เยี่ยมชมการดําเนินงาน พร้อมทั้งรับฟังปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงานของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ได้เยี่ยมชมการดําเนินงาน พร้อมทั้งรับฟังปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงานของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เน้นย้ําให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์เร่งขับเคลื่อน
นโยบายการบูรณาการข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่มอบหมาย
ให้กระทรวงยุติธรรม โดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เป็นเจ้าภาพหลัก
ในการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความร่วมมือและพัฒนาศักยภาพด้านการพิสูจน์หลักฐาน
การเก็บวัตถุพยานเพื่อประกอบการสืบสวนสอบสวน การวิเคราะห์วัตถุพยาน
ซึ่งจะต้องมีฐานข้อมูลที่มีคุณภาพ และเป็นมาตรฐานสากล
เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ประชาชน
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมสนับสนุนการดําเนินงาน
ตามนโยบายของรัฐบาลดังกล่าวให้ประสบผลสําเร็จ
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะ ได้เยี่ยมชมการทํางานของเจ้าหน้าที่
ภายในห้องปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย
๑) ห้องปฏิบัติการตรวจพิสูจน์ทางลายพิมพ์นิ้วมือและฝ่ามืออัตโนมัติ
เพื่อเยี่ยมชมการตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบลายนิ้วมือ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า
การตรวจพิสูจน์หารอยนิ้วมือแฝง ฝ่ามือแฝง ฝ่าเท้าแฝง
ตลอดจนการจัดเก็บฐานข้อมูลลายพิมพ์นิ้วมือ ฝ่ามือ และตรวจพิสูจน์ลายนิ้วมือด้วยระบบคอมพิวเตอร์
๒) ห้องปฏิบัติการกลุ่มตรวจสอบอาวุธปืนและวัตถุพยานทางฟิสิกส์
เพื่อเยี่ยมชมการตรวจพิสูจน์เขม่าปืน และวัตถุพยานต่าง ๆ
๓) ห้องปฏิบัติการกลุ่มตรวจพิสูจน์ทางเคมี เพื่อเยี่ยมชมการตรวจหาสารเสพติดจากเส้นผม
การตรวจหาสารพิษ และการตรวจพิสูจน์สารระเบิด
๔) ห้องปฏิบัติการตรวจสารพันธุกรรมทางคดี เพื่อเยี่ยมชมการตรวจหาสารพันธุกรรมจากวัตถุพยาน
ในคดีอาญา การจัดเก็บสารพันธุกรรมของผู้ต้องขังทั่วประเทศ
และการตรวจสารพันธุกรรมเพื่อให้สัญชาติแก่บุคคลที่อยู่ชายขอบของประเทศไทย เป็นต้น
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4071
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไม่คลายล็อก ต่อเวลาต่างด้าว MOU ครบ 4 ปี อยู่ทำงานในไทยต่อ ถึง 31 พฤษภาคม 2563
|
วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2563
ไม่คลายล็อก ต่อเวลาต่างด้าว MOU ครบ 4 ปี อยู่ทํางานในไทยต่อ ถึง 31 พฤษภาคม 2563
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เผย เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบขยายเวลาให้แรงงานต่างด้าว
กลุ่มที่ 1) เข้ามาทํางานตามข้อตกลง MOU ได้แก่ กัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่มีวาระการจ้างงานครบ 4 ปี และระยะเวลาการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดลง 2) คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา และเมียนมา ที่ถือบัตรผ่านแดนที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทํางานในราชอาณาจักร ตามความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนในลักษณะไป – กลับ หรือตามฤดูกาลซึ่งครบวาระการจ้างงานหรือการอนุญาตให้พํานักในเขตพื้นที่ชายแดนที่ได้รับอนุญาตสิ้นสุด แต่ไม่สามารถเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ก่อนหรือในวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เนื่องจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและทํางานได้ต่อไป ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ตาม ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ 1) ลงวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2563 ที่ได้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินต่อไปอีกระยะหนึ่ง
“มาตรการ การจํากัดการเคลื่อนย้ายแรงงาน การควบคุมการเดินทางข้ามเขตพื้นที่จังหวัด รวมถึงการระงับการเข้าออกราชอาณาจักร ที่ยังมีผลบังคับใช้ต่อไป ส่งผลให้คนต่างด้าว ทั้งสองกลุ่มนี้ ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศต้นทางได้ ซึ่งหากไม่ขยายระยะเวลาการอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและการทํางานให้กับคนต่างด้าวเพิ่มเติมต่อไปอีก จะทําให้ส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วนได้ โดยเฉพาะ การป้องกันการระบาดของโรคโควิด 19 จากการข้ามจังหวัด เพื่อลดโอกาสเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อกลับมารุนแรงขึ้นใหม่ ” นายสุชาติฯ กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วงเดือนมีนาคม ถึง เมษายน 2563 มีจํานวนคนต่างด้าวที่เข้ามาทํางานตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MOU) ซึ่งวาระการจ้างงานจะครบ 4 ปี ประมาณ 29,083 คน จําแนกเป็น กัมพูชา 12,801 คน ลาว 3,092 คน และ เมียนมา 13,190 คน ส่วน คนต่างด้าวที่เข้ามาทํางานตามความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนในลักษณะไป – กลับ หรือแบบตามฤดูกาล ซึ่งครบวาระการจ้างงานหรือการอนุญาตให้พํานักในเขตพื้นที่ชายแดนที่ได้รับอนุญาตสิ้นสุด ประมาณ 43,975 คน จําแนกเป็น กัมพูชา 25,236 คน เมียนมา 18,739 คน
ขณะที่ ในเดือนพฤษภาคม 2563 นี้ จะมีจํานวนคนต่างด้าวที่เข้ามาทํางานตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MOU) ซึ่งวาระการจ้างงานจะครบ 4 ปี ประมาณ 15,139 คน (กัมพูชา 6,398 คน ลาว 1,449 คน เมียนมา 7,292 คน) และคนต่างด้าวที่เข้ามาทํางานตามความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนในลักษณะไป – กลับ หรือแบบตามฤดูกาล ซึ่งครบวาระการจ้างงานหรือการอนุญาตให้พํานักในเขตพื้นที่ชายแดนที่ได้รับอนุญาตสิ้นสุด ประมาณ 20,389 คน จําแนกเป็น กัมพูชา 11,502 คน เมียนมา 8,887 คน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไม่คลายล็อก ต่อเวลาต่างด้าว MOU ครบ 4 ปี อยู่ทำงานในไทยต่อ ถึง 31 พฤษภาคม 2563
วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2563
ไม่คลายล็อก ต่อเวลาต่างด้าว MOU ครบ 4 ปี อยู่ทํางานในไทยต่อ ถึง 31 พฤษภาคม 2563
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เผย เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบขยายเวลาให้แรงงานต่างด้าว
กลุ่มที่ 1) เข้ามาทํางานตามข้อตกลง MOU ได้แก่ กัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่มีวาระการจ้างงานครบ 4 ปี และระยะเวลาการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดลง 2) คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา และเมียนมา ที่ถือบัตรผ่านแดนที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทํางานในราชอาณาจักร ตามความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนในลักษณะไป – กลับ หรือตามฤดูกาลซึ่งครบวาระการจ้างงานหรือการอนุญาตให้พํานักในเขตพื้นที่ชายแดนที่ได้รับอนุญาตสิ้นสุด แต่ไม่สามารถเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ก่อนหรือในวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เนื่องจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและทํางานได้ต่อไป ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ตาม ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ 1) ลงวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2563 ที่ได้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินต่อไปอีกระยะหนึ่ง
“มาตรการ การจํากัดการเคลื่อนย้ายแรงงาน การควบคุมการเดินทางข้ามเขตพื้นที่จังหวัด รวมถึงการระงับการเข้าออกราชอาณาจักร ที่ยังมีผลบังคับใช้ต่อไป ส่งผลให้คนต่างด้าว ทั้งสองกลุ่มนี้ ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศต้นทางได้ ซึ่งหากไม่ขยายระยะเวลาการอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและการทํางานให้กับคนต่างด้าวเพิ่มเติมต่อไปอีก จะทําให้ส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วนได้ โดยเฉพาะ การป้องกันการระบาดของโรคโควิด 19 จากการข้ามจังหวัด เพื่อลดโอกาสเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อกลับมารุนแรงขึ้นใหม่ ” นายสุชาติฯ กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วงเดือนมีนาคม ถึง เมษายน 2563 มีจํานวนคนต่างด้าวที่เข้ามาทํางานตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MOU) ซึ่งวาระการจ้างงานจะครบ 4 ปี ประมาณ 29,083 คน จําแนกเป็น กัมพูชา 12,801 คน ลาว 3,092 คน และ เมียนมา 13,190 คน ส่วน คนต่างด้าวที่เข้ามาทํางานตามความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนในลักษณะไป – กลับ หรือแบบตามฤดูกาล ซึ่งครบวาระการจ้างงานหรือการอนุญาตให้พํานักในเขตพื้นที่ชายแดนที่ได้รับอนุญาตสิ้นสุด ประมาณ 43,975 คน จําแนกเป็น กัมพูชา 25,236 คน เมียนมา 18,739 คน
ขณะที่ ในเดือนพฤษภาคม 2563 นี้ จะมีจํานวนคนต่างด้าวที่เข้ามาทํางานตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MOU) ซึ่งวาระการจ้างงานจะครบ 4 ปี ประมาณ 15,139 คน (กัมพูชา 6,398 คน ลาว 1,449 คน เมียนมา 7,292 คน) และคนต่างด้าวที่เข้ามาทํางานตามความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนในลักษณะไป – กลับ หรือแบบตามฤดูกาล ซึ่งครบวาระการจ้างงานหรือการอนุญาตให้พํานักในเขตพื้นที่ชายแดนที่ได้รับอนุญาตสิ้นสุด ประมาณ 20,389 คน จําแนกเป็น กัมพูชา 11,502 คน เมียนมา 8,887 คน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30468
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเชิญชวนคนไทย ชมนิทรรศการพระบิดาแห่งการจัดการทรัพยากรน้ำ “สายน้ำของพระราชา” 1 ในนิทรรศการพระบิดาแห่งศาสตร์ 9 แขนง
|
วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม 2561
รัฐบาลเชิญชวนคนไทย ชมนิทรรศการพระบิดาแห่งการจัดการทรัพยากรน้ํา “สายน้ําของพระราชา” 1 ในนิทรรศการพระบิดาแห่งศาสตร์ 9 แขนง
รัฐบาลเชิญชวนคนไทยชมนิทรรศการพระบิดาแห่งการจัดการทรัพยากรน้ํา “สายน้ําของพระราชา” 1 ในนิทรรศการพระบิดาแห่งศาสตร์ 9 แขนง
วันนี้ (5 ธันวาคม 2561) เวลา 07.45 น. ณ ท้องสนามหลวง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดนิทรรศการพระบิดาแห่งศาสตร์ 9 แขนง และนิทรรศการธงชาติไทย โดยมีนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา คณะองคมนตรีและคู่สมรส ประธานองค์กรอิสระและคู่สมรส คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ หัวหน้าส่วนราชการ เข้าร่วมงานในครั้งนี้
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีทําพิธีกดปุ่มเปิดนิทรรศการพระบิดาแห่งศาสตร์ 9 แขนง และนิทรรศการธงชาติไทย พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการต่าง ๆ ด้วยความสนใจ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวตอนหนึ่งว่า ขอให้คนไทยทุกคนนําหลักแนวคิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่ทรงพระราชทานแนวพระราชดําริการพัฒนาแหล่งน้ําและแนวพระราชดําริการจัดการระบบการบริหารจัดการน้ํา ที่จะช่วยแก้ไขและป้องกันปัญหาจากน้ําได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง เราทุกคนต้องไม่ลืมพระมหากรุณาธิคุณที่มีคุณูปการยิ่งต่อประเทศชาติในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของชีวิต ที่สามารถแก้ไขปัญหาและสร้างความกินดีอยู่ดีของชีวิต ทําให้พระองค์เปรียบเสมือน "พระบิดาแห่งการจัดการทรัพยากรน้ํา" ที่คนไทยมิอาจลืมเลือนได้
ทั้งนี้ รัฐบาลได้กําหนดจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันชาติ และ วันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2561 ณ บริเวณท้องสนามหลวง ระหว่างวันที่ 5- 9 ธันวาคม 2561 เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดยภายในงานมีการจัดแสดงนิทรรศการเทิดพระเกียรติและเชิดชูสดุดีพระเกียรติคุณที่ทรงเป็นพระบิดาแห่งศาสตร์ 9 แขนง ซึ่งสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักบูรณาการจัดนิทรรศการในหัวข้อ พระบิดาแห่งการจัดการทรัพยากรน้ํา “สายน้ําของพระราชา” โดยรูปแบบนิทรรศการจะเป็นสื่อผสมด้วยความยิ่งใหญ่ของแบบจําลองขนาดใหญ่เสมือนจริง ความสูงกว่า 3 เมตร ประชาชนสามารถเยี่ยมชม ร่วมถ่ายภาพ เรียนรู้หลักการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําตามศาสตร์พระราชา พร้อมร่วมกิจกรรมและรับของที่ระลึก
อนึ่ง นิทรรศการจะแบ่งเป็น 2 โซน ประกอบด้วย โซนนิทรรศการด้านนอก เป็นการแสดงแบบจําลองโครงการพัฒนาแหล่งน้ํา ตั้งแต่บนฟ้าจนออกสู่ทะเล ประกอบด้วย ศาสตร์ในพื้นที่ต้นน้ํา ด้วยการทําฝนหลวง การอนุรักษ์พื้นที่ต้นน้ําด้วยวิธีการต่างๆ การบริหารจัดการน้ําในพื้นที่ต้นน้ําด้วยระบบประปาภูเขา การก่อสร้างฝายมีชีวิต (ฝายต้นน้ําลําธาร) ศาสตร์ในพื้นที่กลางน้ํา ด้วยแบบจําลองการสร้างเขื่อนเก็บกักน้ํา โครงการแก้มลิง ทฤษฎีใหม่ ระบบกระจายน้ํา คันกั้นน้ํา และศาสตร์ในพื้นที่ปลายน้ํา ด้วยแบบจําลองประตูระบายน้ํา
สําหรับโซนนิทรรศการด้านใน เป็นศิลปะพนังปั้นนูนต่ําพ่นทราย ซึ่งเป็นเทคนิคพิเศษ จําลองโครงการพัฒนาแหล่งน้ําอันเนื่องมาจากพระราชดําริตั้งแต่ต้นน้ํา กลางน้ําจนถึงปลายน้ํา พร้อมสื่อผสมผ่านจอ LED เรียงร้อยรายละเอียดโครงการพระราชดําริในพื้นที่ต่างๆ ภาพพระราชกรณียกิจของรัชกาลที่ 9 ที่ยังประโยชน์กับปวงชนชาวไทยตราบจนทุกวันนี้
ทั้งนี้ การจัดนิทรรศการพระบิดาแห่งศาสตร์ 9 แขนงในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย นิทรรศการพระบิดาแห่งการจัดการทรัพยากรน้ํา พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย พระบิดาแห่งฝนหลวง พระบิดาแห่งนวัตกรรมไทย พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย พระบิดาแห่งการอนุรักษ์มรดกไทย พระบิดาแห่งการวิจัยไทย พระบิดาแห่งมาตรฐานการช่างไทย พระบิดาแห่งการวิจัยและพัฒนาข้าวไทย และการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับธงชาติไทย
...........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเชิญชวนคนไทย ชมนิทรรศการพระบิดาแห่งการจัดการทรัพยากรน้ำ “สายน้ำของพระราชา” 1 ในนิทรรศการพระบิดาแห่งศาสตร์ 9 แขนง
วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม 2561
รัฐบาลเชิญชวนคนไทย ชมนิทรรศการพระบิดาแห่งการจัดการทรัพยากรน้ํา “สายน้ําของพระราชา” 1 ในนิทรรศการพระบิดาแห่งศาสตร์ 9 แขนง
รัฐบาลเชิญชวนคนไทยชมนิทรรศการพระบิดาแห่งการจัดการทรัพยากรน้ํา “สายน้ําของพระราชา” 1 ในนิทรรศการพระบิดาแห่งศาสตร์ 9 แขนง
วันนี้ (5 ธันวาคม 2561) เวลา 07.45 น. ณ ท้องสนามหลวง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดนิทรรศการพระบิดาแห่งศาสตร์ 9 แขนง และนิทรรศการธงชาติไทย โดยมีนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา คณะองคมนตรีและคู่สมรส ประธานองค์กรอิสระและคู่สมรส คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ หัวหน้าส่วนราชการ เข้าร่วมงานในครั้งนี้
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีทําพิธีกดปุ่มเปิดนิทรรศการพระบิดาแห่งศาสตร์ 9 แขนง และนิทรรศการธงชาติไทย พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการต่าง ๆ ด้วยความสนใจ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวตอนหนึ่งว่า ขอให้คนไทยทุกคนนําหลักแนวคิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่ทรงพระราชทานแนวพระราชดําริการพัฒนาแหล่งน้ําและแนวพระราชดําริการจัดการระบบการบริหารจัดการน้ํา ที่จะช่วยแก้ไขและป้องกันปัญหาจากน้ําได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง เราทุกคนต้องไม่ลืมพระมหากรุณาธิคุณที่มีคุณูปการยิ่งต่อประเทศชาติในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของชีวิต ที่สามารถแก้ไขปัญหาและสร้างความกินดีอยู่ดีของชีวิต ทําให้พระองค์เปรียบเสมือน "พระบิดาแห่งการจัดการทรัพยากรน้ํา" ที่คนไทยมิอาจลืมเลือนได้
ทั้งนี้ รัฐบาลได้กําหนดจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันชาติ และ วันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2561 ณ บริเวณท้องสนามหลวง ระหว่างวันที่ 5- 9 ธันวาคม 2561 เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดยภายในงานมีการจัดแสดงนิทรรศการเทิดพระเกียรติและเชิดชูสดุดีพระเกียรติคุณที่ทรงเป็นพระบิดาแห่งศาสตร์ 9 แขนง ซึ่งสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักบูรณาการจัดนิทรรศการในหัวข้อ พระบิดาแห่งการจัดการทรัพยากรน้ํา “สายน้ําของพระราชา” โดยรูปแบบนิทรรศการจะเป็นสื่อผสมด้วยความยิ่งใหญ่ของแบบจําลองขนาดใหญ่เสมือนจริง ความสูงกว่า 3 เมตร ประชาชนสามารถเยี่ยมชม ร่วมถ่ายภาพ เรียนรู้หลักการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําตามศาสตร์พระราชา พร้อมร่วมกิจกรรมและรับของที่ระลึก
อนึ่ง นิทรรศการจะแบ่งเป็น 2 โซน ประกอบด้วย โซนนิทรรศการด้านนอก เป็นการแสดงแบบจําลองโครงการพัฒนาแหล่งน้ํา ตั้งแต่บนฟ้าจนออกสู่ทะเล ประกอบด้วย ศาสตร์ในพื้นที่ต้นน้ํา ด้วยการทําฝนหลวง การอนุรักษ์พื้นที่ต้นน้ําด้วยวิธีการต่างๆ การบริหารจัดการน้ําในพื้นที่ต้นน้ําด้วยระบบประปาภูเขา การก่อสร้างฝายมีชีวิต (ฝายต้นน้ําลําธาร) ศาสตร์ในพื้นที่กลางน้ํา ด้วยแบบจําลองการสร้างเขื่อนเก็บกักน้ํา โครงการแก้มลิง ทฤษฎีใหม่ ระบบกระจายน้ํา คันกั้นน้ํา และศาสตร์ในพื้นที่ปลายน้ํา ด้วยแบบจําลองประตูระบายน้ํา
สําหรับโซนนิทรรศการด้านใน เป็นศิลปะพนังปั้นนูนต่ําพ่นทราย ซึ่งเป็นเทคนิคพิเศษ จําลองโครงการพัฒนาแหล่งน้ําอันเนื่องมาจากพระราชดําริตั้งแต่ต้นน้ํา กลางน้ําจนถึงปลายน้ํา พร้อมสื่อผสมผ่านจอ LED เรียงร้อยรายละเอียดโครงการพระราชดําริในพื้นที่ต่างๆ ภาพพระราชกรณียกิจของรัชกาลที่ 9 ที่ยังประโยชน์กับปวงชนชาวไทยตราบจนทุกวันนี้
ทั้งนี้ การจัดนิทรรศการพระบิดาแห่งศาสตร์ 9 แขนงในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย นิทรรศการพระบิดาแห่งการจัดการทรัพยากรน้ํา พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย พระบิดาแห่งฝนหลวง พระบิดาแห่งนวัตกรรมไทย พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย พระบิดาแห่งการอนุรักษ์มรดกไทย พระบิดาแห่งการวิจัยไทย พระบิดาแห่งมาตรฐานการช่างไทย พระบิดาแห่งการวิจัยและพัฒนาข้าวไทย และการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับธงชาติไทย
...........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17328
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลสนับสนุนการออกแบบอาคารประหยัดไฟฟ้า เดินหน้าแผนอนุรักษ์พลังงาน 10 ปี ตั้งเป้าประหยัดได้ 30% พร้อมดึงผู้ประกอบการร่วมสร้างเมืองนวัตกรรมประหยัดพลังงานแห่งอนาคต
|
วันเสาร์ที่ 8 เมษายน 2560
รัฐบาลสนับสนุนการออกแบบอาคารประหยัดไฟฟ้า เดินหน้าแผนอนุรักษ์พลังงาน 10 ปี ตั้งเป้าประหยัดได้ 30% พร้อมดึงผู้ประกอบการร่วมสร้างเมืองนวัตกรรมประหยัดพลังงานแห่งอนาคต
รัฐบาลสนับสนุนการออกแบบอาคารเพื่ออนุรักษ์พลังงาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดําเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานของประเทศ พ.ศ. 2558 -2579 ที่เน้นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และการบังคับใช้กฎหมาย
วันนี้ (8 เม.ย. 60) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลสนับสนุนการออกแบบอาคารเพื่ออนุรักษ์พลังงาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดําเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานของประเทศ พ.ศ. 2558 -2579 ที่เน้นการปฏิบัติการเชิงรุก 2 เรื่อง คือ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และการบังคับใช้เป็นกฎหมาย
"กระทรวงพลังงานตั้งเป้าหมายลดการใช้พลังงานให้ได้ร้อยละ 30 ภายในปี 2579 โดยล่าสุดได้ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกับภาคเอกชนผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จํานวน 5 แห่ง เพื่อสร้างบ้านประหยัดพลังงานให้คนไทยได้อยู่อาศัยอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่ บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จํากัด(มหาชน) บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จํากัด (มหาชน) บริษัท เซ็นทรัล พัฒนา จํากัด (มหาชน) บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด (มหาชน) และบริษัท นารายณ์พร็อพเพอร์ตี้ จํากัด (มหาชน)"
ทั้งนี้ ในปีนี้จะเริ่มนําร่องกับอสังหาริมทรัพย์ที่มีพื้นที่ 10,000 ตร.ม. ขึ้นไปก่อน และจะทยอยขยายลงไปจนถึงพื้นที่ 2,000 ตร.ม. ภายในปี 2562 ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทุกฝ่ายช่วยกันลดการใช้พลังงานและประชาชนมีทางเลือกมากขึ้น และในอนาคตจะขยายความร่วมมือไปยังผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นต่อไป
"ท่านนายกฯ อยากให้สถานที่ราชการและหน่วยงานของในทุกระดับได้คํานึงถึงการออกแบบก่อสร้างอาคารของตนที่ช่วยอนุรักษ์พลังงานด้วย โดยนําองค์ความรู้จากงานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพลังงานไปใช้ประโยชน์ เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปสู่การเป็นเมืองนวัตกรรมประหยัดพลังงานแห่งอนาคตได้ในอนาคต”
สําหรับการออกแบบอาคารอนุรักษ์พลังงาน จะเน้นเรื่องการใช้ประโยชน์จากแสงสว่างและอุณหภูมิตามธรรมชาติให้มากที่สุด เพื่อให้ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยที่สุด เช่น เลือกทิศทางในการตั้งอาคารโดยพิจารณาจากทิศทางของลมและแสงแดด วางตําแหน่งประตูหน้าต่างให้ลมพัดไหลเวียนเข้าออกได้เพื่อระบายอากาศ ใช้ผนังโปร่งแสงบางส่วนให้แสงสว่างจากธรรมชาติเข้าถึงเพื่อประหยัดไฟในเวลากลางวัน ใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน ใช้วัสดุในการก่อสร้างอาคารและหลังคาที่ไม่ดูดกลืนความร้อน เป็นต้น
............l
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลสนับสนุนการออกแบบอาคารประหยัดไฟฟ้า เดินหน้าแผนอนุรักษ์พลังงาน 10 ปี ตั้งเป้าประหยัดได้ 30% พร้อมดึงผู้ประกอบการร่วมสร้างเมืองนวัตกรรมประหยัดพลังงานแห่งอนาคต
วันเสาร์ที่ 8 เมษายน 2560
รัฐบาลสนับสนุนการออกแบบอาคารประหยัดไฟฟ้า เดินหน้าแผนอนุรักษ์พลังงาน 10 ปี ตั้งเป้าประหยัดได้ 30% พร้อมดึงผู้ประกอบการร่วมสร้างเมืองนวัตกรรมประหยัดพลังงานแห่งอนาคต
รัฐบาลสนับสนุนการออกแบบอาคารเพื่ออนุรักษ์พลังงาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดําเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานของประเทศ พ.ศ. 2558 -2579 ที่เน้นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และการบังคับใช้กฎหมาย
วันนี้ (8 เม.ย. 60) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลสนับสนุนการออกแบบอาคารเพื่ออนุรักษ์พลังงาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดําเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานของประเทศ พ.ศ. 2558 -2579 ที่เน้นการปฏิบัติการเชิงรุก 2 เรื่อง คือ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และการบังคับใช้เป็นกฎหมาย
"กระทรวงพลังงานตั้งเป้าหมายลดการใช้พลังงานให้ได้ร้อยละ 30 ภายในปี 2579 โดยล่าสุดได้ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกับภาคเอกชนผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จํานวน 5 แห่ง เพื่อสร้างบ้านประหยัดพลังงานให้คนไทยได้อยู่อาศัยอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่ บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จํากัด(มหาชน) บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จํากัด (มหาชน) บริษัท เซ็นทรัล พัฒนา จํากัด (มหาชน) บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด (มหาชน) และบริษัท นารายณ์พร็อพเพอร์ตี้ จํากัด (มหาชน)"
ทั้งนี้ ในปีนี้จะเริ่มนําร่องกับอสังหาริมทรัพย์ที่มีพื้นที่ 10,000 ตร.ม. ขึ้นไปก่อน และจะทยอยขยายลงไปจนถึงพื้นที่ 2,000 ตร.ม. ภายในปี 2562 ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทุกฝ่ายช่วยกันลดการใช้พลังงานและประชาชนมีทางเลือกมากขึ้น และในอนาคตจะขยายความร่วมมือไปยังผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นต่อไป
"ท่านนายกฯ อยากให้สถานที่ราชการและหน่วยงานของในทุกระดับได้คํานึงถึงการออกแบบก่อสร้างอาคารของตนที่ช่วยอนุรักษ์พลังงานด้วย โดยนําองค์ความรู้จากงานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพลังงานไปใช้ประโยชน์ เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปสู่การเป็นเมืองนวัตกรรมประหยัดพลังงานแห่งอนาคตได้ในอนาคต”
สําหรับการออกแบบอาคารอนุรักษ์พลังงาน จะเน้นเรื่องการใช้ประโยชน์จากแสงสว่างและอุณหภูมิตามธรรมชาติให้มากที่สุด เพื่อให้ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยที่สุด เช่น เลือกทิศทางในการตั้งอาคารโดยพิจารณาจากทิศทางของลมและแสงแดด วางตําแหน่งประตูหน้าต่างให้ลมพัดไหลเวียนเข้าออกได้เพื่อระบายอากาศ ใช้ผนังโปร่งแสงบางส่วนให้แสงสว่างจากธรรมชาติเข้าถึงเพื่อประหยัดไฟในเวลากลางวัน ใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน ใช้วัสดุในการก่อสร้างอาคารและหลังคาที่ไม่ดูดกลืนความร้อน เป็นต้น
............l
สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2971
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.เกษตรฯ ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานตามแผนการผลิตและตลาดข้าวครบวงจรและแผนปฏิบัติงานเกษตรอินทรีย์
|
วันอังคารที่ 20 มิถุนายน 2560
รมช.เกษตรฯ ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานตามแผนการผลิตและตลาดข้าวครบวงจรและแผนปฏิบัติงานเกษตรอินทรีย์
รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานตามแผนการผลิตและตลาดข้าวครบวงจรและแผนปฏิบัติงานเกษตรอินทรีย์ พร้อมพบปะเกษตรกร ณ จังหวัดยโสธร และจังหวัดร้อยเอ็ด
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจรและแผนปฏิบัติงานเกษตรอินทรีย์ พร้อมพบปะเกษตรกร ณ จังหวัดยโสธร และจังหวัดร้อยเอ็ด ว่า การลงพื้นที่ดังกล่าว ได้มีการประชุมติดตามการดําเนินงานในเรื่องข้าวครบวงจร นาแปลงใหญ่ และเกษตรอินทรีย์ ร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการดําเนินการนาแปลงใหญ่จะทําให้เกษตรกรมีการรวมกลุ่มกันอย่างเข้มแข็งและผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ สามารถลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้ ส่งผลให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยกระทรวงเกษตรฯ จะดําเนินการในรูปแบบโครงการประชารัฐ โดยบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน ตั้งแต่ระดับต้นทางถึงปลายทาง เกษตรกรต้องมีการรวมตัวกันในการผลิตข้าวคุณภาพทั้ง GAP และข้าวอินทรีย์ ผู้ประกอบการที่เกี่ยวกับการผลิตมีส่วนช่วยให้การสนับสนุนในด้านต่าง ๆ อาทิ การรับซื้อข้าวจากโครงการนาแปลงใหญ่ในราคานําตลาด
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เล็งเห็นถึงศักยภาพการผลิตข้าวอินทรีย์ของภาคอีสาน จึงมีความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร มีเป้าหมายที่จะเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกข้าวอินทรีย์โดยผลักดันผ่านโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ 1 ล้านไร่ เน้นย้ําให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่เกษตรกร ในประเด็นดังต่อไปนี้
1. พื้นที่ที่จะเข้าร่วมโครงการต้องเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับการรับรองเกษตรอินทรีย์มาก่อน
2. หากเกษตรกรที่อยู่ในระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม (PGS) ซึ่งเป็นระบบการรับรองคุณภาพที่มุ่งเน้นการรับประกันคุณภาพในท้องถิ่น มีความสนใจสามารถเข้าร่วมโครงการนาอินทรีย์ได้ โดยไม่ต้องออกจากกลุ่มเดิม
3. เกษตรกรที่อยู่ในกลุ่มที่ต้องการมาตรฐานสากล เช่น IFOAM USDA หรือ EU สามารถเข้าร่วมโครงการนาอินทรีย์ได้ โดยกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ถ้าผ่านการตรวจสอบ จะได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (Organic Thailand) นอกเหนือจากการรับรองตามมาตรฐานสากลของกลุ่ม
การทําเกษตรอินทรีย์ นอกจากจะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ให้ความสําคัญกับสุขภาพแล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพของเกษตรกร เนื่องจากการทําเกษตรอินทรีย์ไม่ใช้ยาปราบศัตรูพืช ปุ๋ยเคมี และสารเคมี อีกทั้งยังเป็นการลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรได้ด้วย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.เกษตรฯ ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานตามแผนการผลิตและตลาดข้าวครบวงจรและแผนปฏิบัติงานเกษตรอินทรีย์
วันอังคารที่ 20 มิถุนายน 2560
รมช.เกษตรฯ ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานตามแผนการผลิตและตลาดข้าวครบวงจรและแผนปฏิบัติงานเกษตรอินทรีย์
รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานตามแผนการผลิตและตลาดข้าวครบวงจรและแผนปฏิบัติงานเกษตรอินทรีย์ พร้อมพบปะเกษตรกร ณ จังหวัดยโสธร และจังหวัดร้อยเอ็ด
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจรและแผนปฏิบัติงานเกษตรอินทรีย์ พร้อมพบปะเกษตรกร ณ จังหวัดยโสธร และจังหวัดร้อยเอ็ด ว่า การลงพื้นที่ดังกล่าว ได้มีการประชุมติดตามการดําเนินงานในเรื่องข้าวครบวงจร นาแปลงใหญ่ และเกษตรอินทรีย์ ร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการดําเนินการนาแปลงใหญ่จะทําให้เกษตรกรมีการรวมกลุ่มกันอย่างเข้มแข็งและผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ สามารถลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้ ส่งผลให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยกระทรวงเกษตรฯ จะดําเนินการในรูปแบบโครงการประชารัฐ โดยบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน ตั้งแต่ระดับต้นทางถึงปลายทาง เกษตรกรต้องมีการรวมตัวกันในการผลิตข้าวคุณภาพทั้ง GAP และข้าวอินทรีย์ ผู้ประกอบการที่เกี่ยวกับการผลิตมีส่วนช่วยให้การสนับสนุนในด้านต่าง ๆ อาทิ การรับซื้อข้าวจากโครงการนาแปลงใหญ่ในราคานําตลาด
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เล็งเห็นถึงศักยภาพการผลิตข้าวอินทรีย์ของภาคอีสาน จึงมีความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร มีเป้าหมายที่จะเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกข้าวอินทรีย์โดยผลักดันผ่านโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ 1 ล้านไร่ เน้นย้ําให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่เกษตรกร ในประเด็นดังต่อไปนี้
1. พื้นที่ที่จะเข้าร่วมโครงการต้องเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับการรับรองเกษตรอินทรีย์มาก่อน
2. หากเกษตรกรที่อยู่ในระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม (PGS) ซึ่งเป็นระบบการรับรองคุณภาพที่มุ่งเน้นการรับประกันคุณภาพในท้องถิ่น มีความสนใจสามารถเข้าร่วมโครงการนาอินทรีย์ได้ โดยไม่ต้องออกจากกลุ่มเดิม
3. เกษตรกรที่อยู่ในกลุ่มที่ต้องการมาตรฐานสากล เช่น IFOAM USDA หรือ EU สามารถเข้าร่วมโครงการนาอินทรีย์ได้ โดยกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ถ้าผ่านการตรวจสอบ จะได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (Organic Thailand) นอกเหนือจากการรับรองตามมาตรฐานสากลของกลุ่ม
การทําเกษตรอินทรีย์ นอกจากจะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ให้ความสําคัญกับสุขภาพแล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพของเกษตรกร เนื่องจากการทําเกษตรอินทรีย์ไม่ใช้ยาปราบศัตรูพืช ปุ๋ยเคมี และสารเคมี อีกทั้งยังเป็นการลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรได้ด้วย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4662
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลีย และคณะ เข้าเยี่ยมคำนับ รอง นรม. และ รมว.กห. ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของ กห.
|
วันพุธที่ 23 สิงหาคม 2560
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลีย และคณะ เข้าเยี่ยมคํานับ รอง นรม. และ รมว.กห. ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของ กห.
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลีย และคณะ เข้าเยี่ยมคํานับ รอง นรม. และ รมว.กห. ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของ กห.
พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า เมื่อ 23 ส.ค.60 เวลา 10.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ให้การต้อนรับ นางสาว Marise Payne รมว.กห.เครือรัฐออสเตรเลีย และคณะ ณ ศาลาว่าการกลาโหม ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของ กห. ระหว่าง 22 – 24 ส.ค.60
นางสาว Marise ได้กล่าว แสดงความอาลัยอย่างสุดซึ้ง ต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมทั้งได้แสดงความยินดีกับประชาชนไทย ในการเสด็จขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างออสเตรเลียและไทย ที่มีพัฒนาการอย่างแน่นแฟ้น โดยเฉพาะ กห.ของทั้งสองประเทศ ที่คงความต่อเนื่องในการสานต่อความสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนความร่วมมือทางทหารระหว่างกันอย่างใกล้ชิด ทั้งด้านการฝึก ศึกษา การรักษาสันติภาพ การลาดตระเวนทางทะเล และการแลกเปลี่ยนข่าวสาร พร้อมทั้งเสนอ ให้มีการฝึกการลาดตระเวนทางทะเลร่วมกัน ในต้นปี 61 เพื่อพัฒนาศักยภาพความร่วมมือทางทะเล ขณะเดียวกัน ก็ขอขอบคุณไทยที่ให้การสนับสนุนออสเตรเลีย ในเวทีการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ( ADMM Plus ) เพื่อร่วมกันรักษาความมั่นคงของภูมิภาค
พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวขอบคุณ นางสาว Marise ที่แสดงความอาลัยต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลที่ 9 พร้อมทั้งขอบคุณออสเตรเลีย ที่ให้การสนับสนุนความร่วมมือทางทหารกับไทยมาโดยตลอด โดยเฉพาะได้ส่งเรือรบเข้าร่วมพิธีสวนสนามทางเรือ ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ในโอกาสครบรอบ 50ปีอาเซียน ใน พ.ย.60 และกล่าวว่า การเดินทางเยือนไทยของรมว.กระทรวงต่างประเทศและรมว.กระทรวงกลาโหมออสเตรเลีย ในระยะเวลาที่ใกล้กันที่ผ่านมา สะท้อนถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศที่แน่นแฟ้นมาโดยตลอด ทั้งนี้ ความร่วมมือทางทหารที่ใกล้ชิดและแน่นแฟ้นระหว่างกัน จะเป็นส่วนสําคัญ ให้เราสามารถรับมือกับความท้าทายของภูมิภาคและของโลกร่วมกัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลีย และคณะ เข้าเยี่ยมคำนับ รอง นรม. และ รมว.กห. ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของ กห.
วันพุธที่ 23 สิงหาคม 2560
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลีย และคณะ เข้าเยี่ยมคํานับ รอง นรม. และ รมว.กห. ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของ กห.
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเครือรัฐออสเตรเลีย และคณะ เข้าเยี่ยมคํานับ รอง นรม. และ รมว.กห. ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของ กห.
พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า เมื่อ 23 ส.ค.60 เวลา 10.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ให้การต้อนรับ นางสาว Marise Payne รมว.กห.เครือรัฐออสเตรเลีย และคณะ ณ ศาลาว่าการกลาโหม ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของ กห. ระหว่าง 22 – 24 ส.ค.60
นางสาว Marise ได้กล่าว แสดงความอาลัยอย่างสุดซึ้ง ต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมทั้งได้แสดงความยินดีกับประชาชนไทย ในการเสด็จขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างออสเตรเลียและไทย ที่มีพัฒนาการอย่างแน่นแฟ้น โดยเฉพาะ กห.ของทั้งสองประเทศ ที่คงความต่อเนื่องในการสานต่อความสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนความร่วมมือทางทหารระหว่างกันอย่างใกล้ชิด ทั้งด้านการฝึก ศึกษา การรักษาสันติภาพ การลาดตระเวนทางทะเล และการแลกเปลี่ยนข่าวสาร พร้อมทั้งเสนอ ให้มีการฝึกการลาดตระเวนทางทะเลร่วมกัน ในต้นปี 61 เพื่อพัฒนาศักยภาพความร่วมมือทางทะเล ขณะเดียวกัน ก็ขอขอบคุณไทยที่ให้การสนับสนุนออสเตรเลีย ในเวทีการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ( ADMM Plus ) เพื่อร่วมกันรักษาความมั่นคงของภูมิภาค
พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวขอบคุณ นางสาว Marise ที่แสดงความอาลัยต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลที่ 9 พร้อมทั้งขอบคุณออสเตรเลีย ที่ให้การสนับสนุนความร่วมมือทางทหารกับไทยมาโดยตลอด โดยเฉพาะได้ส่งเรือรบเข้าร่วมพิธีสวนสนามทางเรือ ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ในโอกาสครบรอบ 50ปีอาเซียน ใน พ.ย.60 และกล่าวว่า การเดินทางเยือนไทยของรมว.กระทรวงต่างประเทศและรมว.กระทรวงกลาโหมออสเตรเลีย ในระยะเวลาที่ใกล้กันที่ผ่านมา สะท้อนถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศที่แน่นแฟ้นมาโดยตลอด ทั้งนี้ ความร่วมมือทางทหารที่ใกล้ชิดและแน่นแฟ้นระหว่างกัน จะเป็นส่วนสําคัญ ให้เราสามารถรับมือกับความท้าทายของภูมิภาคและของโลกร่วมกัน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6132
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561
|
วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม 2561
รองนรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561
โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการของการส่งเสริมความเข้าใจและสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อสอดคล้องกับยุทธศาตร์ชาติ ระยะ 20 ปี ต่อไป
วันนี้ (9 กรกฎาคม 2561) เวลา 15.45 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในหลักการของการส่งเสริมความเข้าใจและสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมและรัฐบาลในการพัฒนากําลังคนและขับเคลื่อนระบบคุณวุฒิวิชาชีพให้มีขีดความสามารถในระดับสากล โดยการนําเสนอข้อมูลความต้องการกําลังคนเชิงปริมาณและคุณภาพระยะเวลา 3 - 5 ปี พร้อมกําหนดมาตรฐานอาชีพและการปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่องทุก 2 ปี ตลอดจนติดตามและให้การรับรองหลักสูตรที่สอดคล้องกับมาตรฐานวิชาชีพโดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อสอดคล้องกับยุทธศาตร์ชาติ ระยะ 20 ปี ต่อไป
..............................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561
วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม 2561
รองนรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561
โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการของการส่งเสริมความเข้าใจและสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อสอดคล้องกับยุทธศาตร์ชาติ ระยะ 20 ปี ต่อไป
วันนี้ (9 กรกฎาคม 2561) เวลา 15.45 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในหลักการของการส่งเสริมความเข้าใจและสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมและรัฐบาลในการพัฒนากําลังคนและขับเคลื่อนระบบคุณวุฒิวิชาชีพให้มีขีดความสามารถในระดับสากล โดยการนําเสนอข้อมูลความต้องการกําลังคนเชิงปริมาณและคุณภาพระยะเวลา 3 - 5 ปี พร้อมกําหนดมาตรฐานอาชีพและการปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่องทุก 2 ปี ตลอดจนติดตามและให้การรับรองหลักสูตรที่สอดคล้องกับมาตรฐานวิชาชีพโดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อสอดคล้องกับยุทธศาตร์ชาติ ระยะ 20 ปี ต่อไป
..............................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13714
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. แถลงย้ำมาตรการเงินช่วยเหลือเยียวยาคนพิการทุกคนคนละ 1,000 บาท พร้อมเพิ่มเบี้ยความพิการจาก 800 บาท เป็น 1,000 บาท ให้กับเด็กพิการที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
|
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563
พม. แถลงย้ํามาตรการเงินช่วยเหลือเยียวยาคนพิการทุกคนคนละ 1,000 บาท พร้อมเพิ่มเบี้ยความพิการจาก 800 บาท เป็น 1,000 บาท ให้กับเด็กพิการที่มีอายุต่ํากว่า 18 ปี
พม. แถลงย้ํามาตรการเงินช่วยเหลือเยียวยาคนพิการทุกคนคนละ 1,000 บาท พร้อมเพิ่มเบี้ยความพิการจาก 800 บาท เป็น 1,000 บาท ให้กับเด็กพิการที่มีอายุต่ํากว่า 18 ปี
วันนี้ (29 เม.ย.63) เวลา 15.00 น. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดแถลงข่าวการดําเนินงานตามภารกิจสําคัญของกระทรวง พม. ดังนี้ 1. มาตรการเงินช่วยเหลือเยียวยาคนพิการ 1,000 บาท เพื่อช่วยเหลือคนพิการที่มีความเดือดร้อนและได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และ 2. การเพิ่มเบี้ยความพิการจาก 800 บาท เป็น 1,000 บาท ให้กับเด็กพิการทั่วประเทศที่มีอายุต่ํากว่า 18 ปี และมีบัตรประจําตัวคนพิการ โดยมี นางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เป็นผู้แถลงข่าว ณ บริเวณโถงชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ
นางธนาภรณ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มคนพิการเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางและมีความเสี่ยงจากผลกระทบดังกล่าว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) จึงได้เร่งออกมาตรการการช่วยเหลือเยียวยาคนพิการในช่วงภาวะวิกฤตินี้ โดยเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวง พม. เสนอมาตรการเงินช่วยเหลือเยียวยาคนพิการ 1,000 บาท เพื่อเป็นการช่วยเหลือเยียวยาบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นให้กับคนพิการทุกคนที่มีบัตรประจําตัวคนพิการ จํานวน 2 ล้านคน คนละ 1,000 บาท จ่ายครั้งเดียว โดยใช้งบประมาณจากกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ สําหรับการจ่ายเงิน พก. ได้ประสานงานกับกระทรวงการคลัง เพื่อเร่งจ่ายเงินให้คนพิการโดยเร็ว และไม่ต้องลงทะเบียนใดๆ
นางธนาภรณ์ กล่าวต่อไปว่า สําหรับการจ่ายเงินช่วยเหลือดังกล่าวแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) คนพิการที่เคยได้รับเบี้ยความพิการ กรณีมีบัญชีธนาคาร จะโอนเงินเข้าบัญชี และกรณีรับเป็นเงินสด จะได้รับเงินสด และ 2) คนพิการที่ไม่ได้รับเบี้ยความพิการ พม. จะส่งเจ้าหน้าที่ลงเยี่ยมบ้านและจ่ายเงินให้คนพิการโดยเร็ว ทั้งนี้ หากคนพิการที่ไม่ได้รับเบี้ยความพิการหรือประสงค์รับเงินช่วยเหลือผ่านบัญชีธนาคารสามารถแจ้งข้อมูลมายังศูนย์บริการคนพิการจังหวัดทั่วประเทศ
นางธนาภรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการปรับเพิ่มเบี้ยความพิการจาก 800 บาท เป็น 1,000 บาท ให้กับเด็กพิการทั่วประเทศที่มีอายุต่ํากว่า 18 ปี ที่มีบัตรประจําตัวคนพิการ จํานวนกว่า 120,000 คน ทั้งนี้ จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป ทั้งนี้ หากมีปัญหาข้อสงสัยสามารถติดต่อได้ที่ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โทร 0 2354 3388 ต่อ 307 หรือ กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โทร 0 2106 9307 หรือ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม โทร. 1300 และ สายด่วนคนพิการ โทร. 1479 รวมทั้ง ศูนย์บริการคนพิการจังหวัดทั่วประเทศ หรือช่องทางออนไลน์ต่างๆ ของ พก.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. แถลงย้ำมาตรการเงินช่วยเหลือเยียวยาคนพิการทุกคนคนละ 1,000 บาท พร้อมเพิ่มเบี้ยความพิการจาก 800 บาท เป็น 1,000 บาท ให้กับเด็กพิการที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563
พม. แถลงย้ํามาตรการเงินช่วยเหลือเยียวยาคนพิการทุกคนคนละ 1,000 บาท พร้อมเพิ่มเบี้ยความพิการจาก 800 บาท เป็น 1,000 บาท ให้กับเด็กพิการที่มีอายุต่ํากว่า 18 ปี
พม. แถลงย้ํามาตรการเงินช่วยเหลือเยียวยาคนพิการทุกคนคนละ 1,000 บาท พร้อมเพิ่มเบี้ยความพิการจาก 800 บาท เป็น 1,000 บาท ให้กับเด็กพิการที่มีอายุต่ํากว่า 18 ปี
วันนี้ (29 เม.ย.63) เวลา 15.00 น. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดแถลงข่าวการดําเนินงานตามภารกิจสําคัญของกระทรวง พม. ดังนี้ 1. มาตรการเงินช่วยเหลือเยียวยาคนพิการ 1,000 บาท เพื่อช่วยเหลือคนพิการที่มีความเดือดร้อนและได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และ 2. การเพิ่มเบี้ยความพิการจาก 800 บาท เป็น 1,000 บาท ให้กับเด็กพิการทั่วประเทศที่มีอายุต่ํากว่า 18 ปี และมีบัตรประจําตัวคนพิการ โดยมี นางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เป็นผู้แถลงข่าว ณ บริเวณโถงชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ
นางธนาภรณ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มคนพิการเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางและมีความเสี่ยงจากผลกระทบดังกล่าว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) จึงได้เร่งออกมาตรการการช่วยเหลือเยียวยาคนพิการในช่วงภาวะวิกฤตินี้ โดยเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวง พม. เสนอมาตรการเงินช่วยเหลือเยียวยาคนพิการ 1,000 บาท เพื่อเป็นการช่วยเหลือเยียวยาบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นให้กับคนพิการทุกคนที่มีบัตรประจําตัวคนพิการ จํานวน 2 ล้านคน คนละ 1,000 บาท จ่ายครั้งเดียว โดยใช้งบประมาณจากกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ สําหรับการจ่ายเงิน พก. ได้ประสานงานกับกระทรวงการคลัง เพื่อเร่งจ่ายเงินให้คนพิการโดยเร็ว และไม่ต้องลงทะเบียนใดๆ
นางธนาภรณ์ กล่าวต่อไปว่า สําหรับการจ่ายเงินช่วยเหลือดังกล่าวแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) คนพิการที่เคยได้รับเบี้ยความพิการ กรณีมีบัญชีธนาคาร จะโอนเงินเข้าบัญชี และกรณีรับเป็นเงินสด จะได้รับเงินสด และ 2) คนพิการที่ไม่ได้รับเบี้ยความพิการ พม. จะส่งเจ้าหน้าที่ลงเยี่ยมบ้านและจ่ายเงินให้คนพิการโดยเร็ว ทั้งนี้ หากคนพิการที่ไม่ได้รับเบี้ยความพิการหรือประสงค์รับเงินช่วยเหลือผ่านบัญชีธนาคารสามารถแจ้งข้อมูลมายังศูนย์บริการคนพิการจังหวัดทั่วประเทศ
นางธนาภรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการปรับเพิ่มเบี้ยความพิการจาก 800 บาท เป็น 1,000 บาท ให้กับเด็กพิการทั่วประเทศที่มีอายุต่ํากว่า 18 ปี ที่มีบัตรประจําตัวคนพิการ จํานวนกว่า 120,000 คน ทั้งนี้ จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป ทั้งนี้ หากมีปัญหาข้อสงสัยสามารถติดต่อได้ที่ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โทร 0 2354 3388 ต่อ 307 หรือ กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โทร 0 2106 9307 หรือ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม โทร. 1300 และ สายด่วนคนพิการ โทร. 1479 รวมทั้ง ศูนย์บริการคนพิการจังหวัดทั่วประเทศ หรือช่องทางออนไลน์ต่างๆ ของ พก.
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30021
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ชวนประชาชนเร่งกำจัดแหล่งลูกน้ำยุงลายในบ้าน
|
วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2562
สธ.ชวนประชาชนเร่งกําจัดแหล่งลูกน้ํายุงลายในบ้าน
กระทรวงสาธารณสุข ชวนประชาชนเร่งกําจัดแหล่งลูกน้ํายุงลายในบ้านก่อนเข้าหน้าฝน หลังจากสํารวจค่าดัชนีลูกน้ํายุงลายทั้ง 2 รอบพบว่า บ้านเป็นแหล่งลูกน้ํายุงลายหรือแหล่งโรค สูงกว่าวัด โรงเรียน และโรงพยาบาล
กระทรวงสาธารณสุข ชวนประชาชนเร่งกําจัดแหล่งลูกน้ํายุงลายในบ้านก่อนเข้าหน้าฝน หลังจากสํารวจค่าดัชนีลูกน้ํายุงลายทั้ง 2 รอบพบว่า บ้านเป็นแหล่งลูกน้ํายุงลายหรือแหล่งโรค สูงกว่าวัด โรงเรียน และโรงพยาบาล
นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์กรณีการคาดการณ์โรคไข้เลือดออกของสํานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค คาดหากไม่มีมาตรการควบคุมโรคที่เข้มแข็ง อาจเกิดการระบาดคล้ายในปี 2556 ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับชุมชนจัดทําโครงการจิตอาสาทําลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ตั้งแต่เดือนมกราคม 2562 และสํารวจค่าดัชนีลูกน้ํายุงลาย ทั้ง 2 ครั้งพบว่า บ้านมีค่าดัชนีลูกน้ํายุงลายสูงกว่าวัด โรงเรียน และโรงพยาบาล ซึ่งทําให้โอกาสเกิดการระบาดสูงเนื่องจากยุงลายอยู่ในบ้าน จึงขอให้ประชาชนช่วยกันสํารวจภาชนะใส่น้ําภายในบ้านของตนเองตั้งแต่ก่อนเข้าหน้าฝน ล้างภาชนะที่เก็บน้ําใช้ และขัดไข่ยุงลายที่เกาะด้านในของภาชนะ ลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ สีดํา และอยู่ได้นานถึง 1 ปี เนื่องจากเมื่อฝนตก มีน้ําขัง ไข่ยุงจะเปลี่ยนเป็นลูกน้ํายุงลายภายใน 1-2 วัน และเป็นยุงลายใน 7 วัน เมื่อไปกัดคนอาจทําให้เป็นไข้เลือดออกได้ ซึ่งจุดที่พบลูกน้ําส่วนใหญ่จะเป็นอ่างซีเมนต์ที่เก็บน้ําไว้ใช้ในห้องน้ํา จานรองกระถางต้นไม้ ภาชนะที่รองน้ําทิ้งด้านหลังตู้เย็น และยางรถยนต์
“ในปีนี้ พบผู้เสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกเป็นผู้ใหญ่ ที่มีปัจจัยเสี่ยงคล้ายกับปีที่ผ่านมา คือมีโรคเรื้อรังประจําตัว ภาวะน้ําหนักตัวเกินหรืออ้วน และซื้อยากินเองหรือไปรักษาที่คลินิกหลายแห่ง มีผลให้การวินิจฉัยโรคและได้รับการรักษาล่าช้า จึงขอแนะนําประชาชนหากเป็นไข้สูงลอย ไม่ไอ ไม่มีน้ํามูก กินยาลดไข้พาราเซตามอลแล้วอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน ขอให้รีบพบแพทย์ ไม่ซื้อยาลดไข้กลุ่มเอนเสดเช่น ไอบูโพรเฟน หรือแอสไพรินกินเอง” นายแพทย์สุขุมกล่าว
ทั้งนี้ การทําลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ด้วยมาตรการ 3 เก็บ 3 โรค คือเก็บบ้านให้ปลอดโปร่งไม่ให้ยุงลายเกาะพักเก็บขยะเศษภาชนะไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายและเก็บน้ําปิดให้มิดชิดหรือเปลี่ยนถ่ายน้ําทุกสัปดาห์ไม่ให้ยุงลายวางไข่ซึ่งป้องกันได้3 โรค คือ ไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลายสําหรับยางรถยนต์เก่าให้เก็บไว้ในที่มีหลังคา หรือนํามาซ้อนกันและคลุมไว้ไม่ให้มีน้ําขัง จานรองกระถางต้นไม้ โรยทรายรองไว้เพื่อซับน้ําไม่ให้มีน้ําขัง ส่วนอ่างซีเมนต์ที่ใช้เก็บน้ําในห้องน้ําใส่ทรายกําจัดลูกน้ํา ซึ่งสามารถซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป หรือขอรับที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน
******************************************** 14 มีนาคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ชวนประชาชนเร่งกำจัดแหล่งลูกน้ำยุงลายในบ้าน
วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2562
สธ.ชวนประชาชนเร่งกําจัดแหล่งลูกน้ํายุงลายในบ้าน
กระทรวงสาธารณสุข ชวนประชาชนเร่งกําจัดแหล่งลูกน้ํายุงลายในบ้านก่อนเข้าหน้าฝน หลังจากสํารวจค่าดัชนีลูกน้ํายุงลายทั้ง 2 รอบพบว่า บ้านเป็นแหล่งลูกน้ํายุงลายหรือแหล่งโรค สูงกว่าวัด โรงเรียน และโรงพยาบาล
กระทรวงสาธารณสุข ชวนประชาชนเร่งกําจัดแหล่งลูกน้ํายุงลายในบ้านก่อนเข้าหน้าฝน หลังจากสํารวจค่าดัชนีลูกน้ํายุงลายทั้ง 2 รอบพบว่า บ้านเป็นแหล่งลูกน้ํายุงลายหรือแหล่งโรค สูงกว่าวัด โรงเรียน และโรงพยาบาล
นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์กรณีการคาดการณ์โรคไข้เลือดออกของสํานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค คาดหากไม่มีมาตรการควบคุมโรคที่เข้มแข็ง อาจเกิดการระบาดคล้ายในปี 2556 ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับชุมชนจัดทําโครงการจิตอาสาทําลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ตั้งแต่เดือนมกราคม 2562 และสํารวจค่าดัชนีลูกน้ํายุงลาย ทั้ง 2 ครั้งพบว่า บ้านมีค่าดัชนีลูกน้ํายุงลายสูงกว่าวัด โรงเรียน และโรงพยาบาล ซึ่งทําให้โอกาสเกิดการระบาดสูงเนื่องจากยุงลายอยู่ในบ้าน จึงขอให้ประชาชนช่วยกันสํารวจภาชนะใส่น้ําภายในบ้านของตนเองตั้งแต่ก่อนเข้าหน้าฝน ล้างภาชนะที่เก็บน้ําใช้ และขัดไข่ยุงลายที่เกาะด้านในของภาชนะ ลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ สีดํา และอยู่ได้นานถึง 1 ปี เนื่องจากเมื่อฝนตก มีน้ําขัง ไข่ยุงจะเปลี่ยนเป็นลูกน้ํายุงลายภายใน 1-2 วัน และเป็นยุงลายใน 7 วัน เมื่อไปกัดคนอาจทําให้เป็นไข้เลือดออกได้ ซึ่งจุดที่พบลูกน้ําส่วนใหญ่จะเป็นอ่างซีเมนต์ที่เก็บน้ําไว้ใช้ในห้องน้ํา จานรองกระถางต้นไม้ ภาชนะที่รองน้ําทิ้งด้านหลังตู้เย็น และยางรถยนต์
“ในปีนี้ พบผู้เสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกเป็นผู้ใหญ่ ที่มีปัจจัยเสี่ยงคล้ายกับปีที่ผ่านมา คือมีโรคเรื้อรังประจําตัว ภาวะน้ําหนักตัวเกินหรืออ้วน และซื้อยากินเองหรือไปรักษาที่คลินิกหลายแห่ง มีผลให้การวินิจฉัยโรคและได้รับการรักษาล่าช้า จึงขอแนะนําประชาชนหากเป็นไข้สูงลอย ไม่ไอ ไม่มีน้ํามูก กินยาลดไข้พาราเซตามอลแล้วอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน ขอให้รีบพบแพทย์ ไม่ซื้อยาลดไข้กลุ่มเอนเสดเช่น ไอบูโพรเฟน หรือแอสไพรินกินเอง” นายแพทย์สุขุมกล่าว
ทั้งนี้ การทําลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ด้วยมาตรการ 3 เก็บ 3 โรค คือเก็บบ้านให้ปลอดโปร่งไม่ให้ยุงลายเกาะพักเก็บขยะเศษภาชนะไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายและเก็บน้ําปิดให้มิดชิดหรือเปลี่ยนถ่ายน้ําทุกสัปดาห์ไม่ให้ยุงลายวางไข่ซึ่งป้องกันได้3 โรค คือ ไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลายสําหรับยางรถยนต์เก่าให้เก็บไว้ในที่มีหลังคา หรือนํามาซ้อนกันและคลุมไว้ไม่ให้มีน้ําขัง จานรองกระถางต้นไม้ โรยทรายรองไว้เพื่อซับน้ําไม่ให้มีน้ําขัง ส่วนอ่างซีเมนต์ที่ใช้เก็บน้ําในห้องน้ําใส่ทรายกําจัดลูกน้ํา ซึ่งสามารถซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป หรือขอรับที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน
******************************************** 14 มีนาคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19320
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมบูรณาการ งานด้านการศึกษา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม
|
วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561
การประชุมบูรณาการ งานด้านการศึกษา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม
การประชุมบูรณาการ งานด้านการศึกษา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงค์ หัวหน้าพิเศษของรัฐบาล เป็นประธานการประชุมบูรณาการ งานด้านการศึกษา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม ณ ห้องประชุม กองพลทหารราบที่ 15 ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย ตําบลบ่อทอง อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวงวัฒนธรรม, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, ตํารวจภูธรภาค 9 และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เมื่อ 2 ก.พ. 61 โดยมีประเด็นที่สําคัญดังนี้
1.การชี้แจงบทบาทหน้าที่ของผู้แทนพิเศษของรัฐบาล กลุ่มภารกิจงานที่ 4 งานการศึกษา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม ในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมนําเสนอผลการปฏิบัติงานในห้วงที่ผ่านมาของผู้แทนพิเศษของรัฐบาล และโครงการที่สําคัญ อาทิเช่น โครงการโรงเรียนประชารัฐจังหวัดชายแดนภาคใต้, โครงการอาชีวศึกษาประชารัฐจังหวัดชายแดนภาคใต้ และโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้
2.การชี้แจงแผนงาน/โครงการที่สําคัญของกระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
3.หารือการบูรณาการงานด้านการศึกษา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม การท่องเที่ยวและการกีฬา
4.หารือข้อเสนอการพัฒนาแผนเพิ่มเติมระหว่าง งบประมาณปี พ.ศ.2561 เรื่องการส่งเสริมการท่องเที่ยง การกีฬาและวัฒนธรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมบูรณาการ งานด้านการศึกษา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม
วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561
การประชุมบูรณาการ งานด้านการศึกษา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม
การประชุมบูรณาการ งานด้านการศึกษา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงค์ หัวหน้าพิเศษของรัฐบาล เป็นประธานการประชุมบูรณาการ งานด้านการศึกษา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม ณ ห้องประชุม กองพลทหารราบที่ 15 ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย ตําบลบ่อทอง อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวงวัฒนธรรม, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, ตํารวจภูธรภาค 9 และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เมื่อ 2 ก.พ. 61 โดยมีประเด็นที่สําคัญดังนี้
1.การชี้แจงบทบาทหน้าที่ของผู้แทนพิเศษของรัฐบาล กลุ่มภารกิจงานที่ 4 งานการศึกษา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม ในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมนําเสนอผลการปฏิบัติงานในห้วงที่ผ่านมาของผู้แทนพิเศษของรัฐบาล และโครงการที่สําคัญ อาทิเช่น โครงการโรงเรียนประชารัฐจังหวัดชายแดนภาคใต้, โครงการอาชีวศึกษาประชารัฐจังหวัดชายแดนภาคใต้ และโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้
2.การชี้แจงแผนงาน/โครงการที่สําคัญของกระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
3.หารือการบูรณาการงานด้านการศึกษา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม การท่องเที่ยวและการกีฬา
4.หารือข้อเสนอการพัฒนาแผนเพิ่มเติมระหว่าง งบประมาณปี พ.ศ.2561 เรื่องการส่งเสริมการท่องเที่ยง การกีฬาและวัฒนธรรม
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9830
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ชู “บุรีรัมย์โมเดล” ต้นแบบวิสาหกิจชุมชนปลูก-ผลิตกัญชาเพื่อการแพทย์แห่งแรกของประเทศ
|
วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2562
อนุทิน ชู “บุรีรัมย์โมเดล” ต้นแบบวิสาหกิจชุมชนปลูก-ผลิตกัญชาเพื่อการแพทย์แห่งแรกของประเทศ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชม “บุรีรัมย์ โมเดล” ให้เป็นต้นแบบการปลูกกัญชาร่วมกับวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ เก็บผลผลิตส่งโรงพยาบาลคูเมือง ผลิตยาทั้งแพทย์แผนไทยและแผนปัจจุบันกระจายสู่โรงพยาบาลในเขตนครชัยบุรินทร์
อนุทิน ชู “บุรีรัมย์โมเดล” ต้นแบบวิสาหกิจชุมชนปลูก-ผลิตกัญชาเพื่อการแพทย์แห่งแรกของประเทศ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชม “บุรีรัมย์ โมเดล” ให้เป็นต้นแบบการปลูกกัญชาร่วมกับวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ เก็บผลผลิตส่งโรงพยาบาลคูเมือง ผลิตยาทั้งแพทย์แผนไทยและแผนปัจจุบันกระจายสู่โรงพยาบาลในเขตนครชัยบุรินทร์
วันนี้ (16 กันยายน 2562) ที่อุทยานไม้ดอกเพลาเพลิน จ.บุรีรัมย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 9 เยี่ยมชมการเตรียมความพร้อมสู่ “บุรีรัมย์โมเดล” ในการปลูกและผลิตน้ํามันกัญชาเพื่อนําไปใช้ทางการแพทย์ และโรงพยาบาลคูเมืองบุรีรัมย์ “Khumuang Hospital Medical Cannabis” และให้สัมภาษณ์ว่า นโยบายที่กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งรัดดําเนินการเป็นอันดับแรกๆ คือ การขับเคลื่อนการนํากัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ โดยเขตสุขภาพที่ 9 (นครชัยบุรินทร์) ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ได้ดําเนินการตามนโยบาย โดยให้บุรีรัมย์เป็นจังหวัดหลักร่วมกับวิสาหกิจศูนย์กลางการพัฒนาสมุนไพร เพ-ลาเพลิน เพื่อชุมชน โดยรับเมล็ดพันธุ์กัญชาจากโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และเก็บผลผลิตที่ได้ส่งให้กับโรงพยาบาลคูเมืองนําไปผลิตเป็นยากัญชา ทั้งในรูปแบบยาแผนไทยและแผนปัจจุบันกระจายสู่โรงพยาบาลภายในเขตสุขภาพ “Khumuang Hospital Medical Cannabis” ซึ่งได้สร้างเป็นต้นแบบบุรีรัมย์โมเดล ปลูกและผลิตยากัญชาและส่งต่อความรู้ด้านการปลูกสู่วิสาหกิจชุมชนอื่นๆ ร่วมมือกับโรงพยาบาลในเขตสุขภาพที่ 9
นายอนุทินกล่าวต่อว่า วิสาหกิจศูนย์กลางการพัฒนาสมุนไพร เพ-ลาเพลิน เพื่อชุมชน เป็นวิสาหกิจชุมชนที่มีความพร้อมทั้งด้านสถานที่ ระบบการปลูก ระบบการรักษาความปลอดภัย โดยได้เริ่ม ปลูกกัญชาล็อตแรกไปเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2562 ในระบบปิดที่มีการควบคุมระบบความชื้น อุณหภูมิ การให้น้ํา และการควบคุมศัตรูพืช การดําเนินงานครั้งนี้เกิดจากร่วมมือของสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร มหาวิทยาลัยรังสิต โรงพยาบาลคูเมือง และวิสาหกิจศูนย์กลางการพัฒนาสมุนไพร เพ-ลาเพลิน เพื่อชุมชน ที่จะร่วมกันปลูกและผลิตน้ํามันกัญชาเพื่อนําไปใช้ทางการแพทย์ให้เกิดเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ จังหวัดบุรีรัมย์มีนโยบายเรื่องการนํากัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ และได้จัดงานพันธุ์บุรีรัมย์ เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจทางวิชาการแก่ประชาชนที่มีความจําเป็นต้องใช้กัญชาเพื่อรักษาทางการแพทย์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงมีผู้จดแจ้งครอบครองกัญชาในระหว่างวันที่ 19-21 เมษายน 2562 มากที่สุดในประเทศ คือ 1,411 ราย คิดเป็นร้อยละ 29.89 ของผู้ที่จดแจ้งทั้งหมด
****************************** 16 กันยายน 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ชู “บุรีรัมย์โมเดล” ต้นแบบวิสาหกิจชุมชนปลูก-ผลิตกัญชาเพื่อการแพทย์แห่งแรกของประเทศ
วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2562
อนุทิน ชู “บุรีรัมย์โมเดล” ต้นแบบวิสาหกิจชุมชนปลูก-ผลิตกัญชาเพื่อการแพทย์แห่งแรกของประเทศ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชม “บุรีรัมย์ โมเดล” ให้เป็นต้นแบบการปลูกกัญชาร่วมกับวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ เก็บผลผลิตส่งโรงพยาบาลคูเมือง ผลิตยาทั้งแพทย์แผนไทยและแผนปัจจุบันกระจายสู่โรงพยาบาลในเขตนครชัยบุรินทร์
อนุทิน ชู “บุรีรัมย์โมเดล” ต้นแบบวิสาหกิจชุมชนปลูก-ผลิตกัญชาเพื่อการแพทย์แห่งแรกของประเทศ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชม “บุรีรัมย์ โมเดล” ให้เป็นต้นแบบการปลูกกัญชาร่วมกับวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ เก็บผลผลิตส่งโรงพยาบาลคูเมือง ผลิตยาทั้งแพทย์แผนไทยและแผนปัจจุบันกระจายสู่โรงพยาบาลในเขตนครชัยบุรินทร์
วันนี้ (16 กันยายน 2562) ที่อุทยานไม้ดอกเพลาเพลิน จ.บุรีรัมย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 9 เยี่ยมชมการเตรียมความพร้อมสู่ “บุรีรัมย์โมเดล” ในการปลูกและผลิตน้ํามันกัญชาเพื่อนําไปใช้ทางการแพทย์ และโรงพยาบาลคูเมืองบุรีรัมย์ “Khumuang Hospital Medical Cannabis” และให้สัมภาษณ์ว่า นโยบายที่กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งรัดดําเนินการเป็นอันดับแรกๆ คือ การขับเคลื่อนการนํากัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ โดยเขตสุขภาพที่ 9 (นครชัยบุรินทร์) ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ได้ดําเนินการตามนโยบาย โดยให้บุรีรัมย์เป็นจังหวัดหลักร่วมกับวิสาหกิจศูนย์กลางการพัฒนาสมุนไพร เพ-ลาเพลิน เพื่อชุมชน โดยรับเมล็ดพันธุ์กัญชาจากโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และเก็บผลผลิตที่ได้ส่งให้กับโรงพยาบาลคูเมืองนําไปผลิตเป็นยากัญชา ทั้งในรูปแบบยาแผนไทยและแผนปัจจุบันกระจายสู่โรงพยาบาลภายในเขตสุขภาพ “Khumuang Hospital Medical Cannabis” ซึ่งได้สร้างเป็นต้นแบบบุรีรัมย์โมเดล ปลูกและผลิตยากัญชาและส่งต่อความรู้ด้านการปลูกสู่วิสาหกิจชุมชนอื่นๆ ร่วมมือกับโรงพยาบาลในเขตสุขภาพที่ 9
นายอนุทินกล่าวต่อว่า วิสาหกิจศูนย์กลางการพัฒนาสมุนไพร เพ-ลาเพลิน เพื่อชุมชน เป็นวิสาหกิจชุมชนที่มีความพร้อมทั้งด้านสถานที่ ระบบการปลูก ระบบการรักษาความปลอดภัย โดยได้เริ่ม ปลูกกัญชาล็อตแรกไปเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2562 ในระบบปิดที่มีการควบคุมระบบความชื้น อุณหภูมิ การให้น้ํา และการควบคุมศัตรูพืช การดําเนินงานครั้งนี้เกิดจากร่วมมือของสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร มหาวิทยาลัยรังสิต โรงพยาบาลคูเมือง และวิสาหกิจศูนย์กลางการพัฒนาสมุนไพร เพ-ลาเพลิน เพื่อชุมชน ที่จะร่วมกันปลูกและผลิตน้ํามันกัญชาเพื่อนําไปใช้ทางการแพทย์ให้เกิดเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ จังหวัดบุรีรัมย์มีนโยบายเรื่องการนํากัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ และได้จัดงานพันธุ์บุรีรัมย์ เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจทางวิชาการแก่ประชาชนที่มีความจําเป็นต้องใช้กัญชาเพื่อรักษาทางการแพทย์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงมีผู้จดแจ้งครอบครองกัญชาในระหว่างวันที่ 19-21 เมษายน 2562 มากที่สุดในประเทศ คือ 1,411 ราย คิดเป็นร้อยละ 29.89 ของผู้ที่จดแจ้งทั้งหมด
****************************** 16 กันยายน 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23120
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เพิ่มความเชื่อมั่นผลการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเครือข่าย COVID-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2563
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เพิ่มความเชื่อมั่นผลการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเครือข่าย COVID-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เพิ่มความเชื่อมั่นผลการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเครือข่าย COVID-19
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เพิ่มความเชื่อมั่นต่อผลการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเครือข่าย COVID-19 ด้วยการแต่งตั้งคณะทํางานตรวจติดตาม ประเมินผล ส่งเสริม และธํารงรักษาคุณภาพห้องปฏิบัติการเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง ห้องปฏิบัติการที่ผ่านประเมินจะต้องมีนักเทคนิคการแพทย์ที่มีความรู้ในการตรวจหาสารพันธุกรรม มีเครื่องมือ มีสถานที่ปลอดภัย มีบุคลากรที่ผ่านการทดสอบ มีระบบการจัดการความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพของห้องปฏิบัติการ และมีระบบข้อมูลที่เชื่อมโยงกัน
ายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่าตามข้อสั่งการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข (Public Health Emergency Operation Center) ให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รับผิดชอบห้องปฏิบัติการตรวจเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จึงได้จัดทําโครงการ “หนึ่งห้องปฏิบัติการ หนึ่งจังหวัด” เพื่อรองรับการตรวจวินิจฉัย การรักษาและติดตามผู้ป่วย สอบสวนโรค และเฝ้าระวังโรค ให้กับประชาชนทั่วประเทศ มีเป้าหมายพัฒนาให้มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในทุกจังหวัดของประเทศไทย โดยการวางระบบการประเมินความสามารถ ความชํานาญของบุคลากร ความพร้อมด้านเครื่องมือ สถานที่ และระบบการจัดการความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพในห้องปฏิบัติการก่อนการเปิดให้บริการของห้องปฏิบัติการเครือข่าย COVID-19 ดังกล่าว ซึ่งนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้มีคําสั่งแต่งตั้งผู้ตรวจประเมินที่มีความรู้ ประสบการณ์การตรวจทางห้องปฏิบัติการ COVID-19 และระบบความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพในห้องปฏิบัติการจากสํานักมาตรฐานห้องปฏิบัติการ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทุกแห่ง เพื่อออกตรวจติดตาม ประเมินผล รวมทั้งช่วยส่งเสริมพัฒนาให้ห้องปฏิบัติการเครือข่ายสามารถธํารงรักษาคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังได้แต่งตั้งคณะทํางานที่มีองค์ประกอบของผู้บริหาร นักวิชาการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รวมทั้งผู้แทนจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นคณะทํางานเพื่อกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขการตรวจติดตามประเมินผลห้องปฏิบัติการเครือข่าย พิจารณารายงานการตรวจประเมินเพื่อให้การรับรองและการต่ออายุการรับรองห้องปฏิบัติการเครือข่ายและจัดทําแผนส่งเสริม พัฒนาศักยภาพห้องปฏิบัติการเครือข่ายให้ธํารงรักษาระบบคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถยื่นขอการรับรองตามมาตรฐานสากล
นายแพทย์โอภาส กล่าวต่ออีกว่าในช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ส่งผู้ตรวจประเมินออกตรวจติดตามประเมินผลห้องปฏิบัติการเครือข่ายโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า จํานวน 34 แห่งในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล รวมทั้งต่างจังหวัดในรอบที่ 1 พบว่า ห้องปฏิบัติการเครือข่ายดังกล่าวส่วนมาก มีการดําเนินการที่สอดคล้อง ตามเงื่อนไขที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กําหนด มีเพียง 2 แห่งที่ต้องปรับปรุงขั้นตอนการปฏิบัติงานให้เกิดความปลอดภัย ทางชีวภาพอย่างสูงสุดต่อผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งทั้ง 2 แห่ง ได้ให้ความร่วมมือและปรับปรุงแล้วเสร็จโดยทันที
“กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เพิ่มความเชื่อมั่นต่อผลการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเครือข่าย โดยคณะทํางานได้กําหนดแนวทางการติดตาม ประเมินผลคุณภาพการตรวจทางห้องปฏิบัติการเครือข่ายในระยะสั้นด้วยการมอบหมายให้สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขตรวจวิเคราะห์ซ้ําในตัวอย่างที่แสดงผลบวกและผลลบ โดยห้องปฏิบัติการเครือข่าย หากผลการตรวจวิเคราะห์ซ้ํานั้นได้ผลไม่ตรงกันตัวอย่างใดตัวอย่างหนึ่ง ทีมผู้ตรวจประเมินจะลงพื้นที่เพื่อติดตามประเมินผลหาสาเหตุทันที และรายงานต่อคณะทํางาน ซึ่งจะพิจารณารายงานเสนออธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พิจารณายกเลิกการเป็นเครือข่ายต่อไป นอกจากนี้ คณะทํางานยังมีแนวทางการดําเนินการในระยะยาวด้วยการส่งตัวอย่างทดสอบความชํานาญและการออกตรวจประเมิน ณ ห้องปฏิบัติการ”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เพิ่มความเชื่อมั่นผลการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเครือข่าย COVID-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2563
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เพิ่มความเชื่อมั่นผลการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเครือข่าย COVID-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เพิ่มความเชื่อมั่นผลการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเครือข่าย COVID-19
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เพิ่มความเชื่อมั่นต่อผลการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเครือข่าย COVID-19 ด้วยการแต่งตั้งคณะทํางานตรวจติดตาม ประเมินผล ส่งเสริม และธํารงรักษาคุณภาพห้องปฏิบัติการเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง ห้องปฏิบัติการที่ผ่านประเมินจะต้องมีนักเทคนิคการแพทย์ที่มีความรู้ในการตรวจหาสารพันธุกรรม มีเครื่องมือ มีสถานที่ปลอดภัย มีบุคลากรที่ผ่านการทดสอบ มีระบบการจัดการความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพของห้องปฏิบัติการ และมีระบบข้อมูลที่เชื่อมโยงกัน
ายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่าตามข้อสั่งการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข (Public Health Emergency Operation Center) ให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รับผิดชอบห้องปฏิบัติการตรวจเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จึงได้จัดทําโครงการ “หนึ่งห้องปฏิบัติการ หนึ่งจังหวัด” เพื่อรองรับการตรวจวินิจฉัย การรักษาและติดตามผู้ป่วย สอบสวนโรค และเฝ้าระวังโรค ให้กับประชาชนทั่วประเทศ มีเป้าหมายพัฒนาให้มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในทุกจังหวัดของประเทศไทย โดยการวางระบบการประเมินความสามารถ ความชํานาญของบุคลากร ความพร้อมด้านเครื่องมือ สถานที่ และระบบการจัดการความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพในห้องปฏิบัติการก่อนการเปิดให้บริการของห้องปฏิบัติการเครือข่าย COVID-19 ดังกล่าว ซึ่งนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้มีคําสั่งแต่งตั้งผู้ตรวจประเมินที่มีความรู้ ประสบการณ์การตรวจทางห้องปฏิบัติการ COVID-19 และระบบความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพในห้องปฏิบัติการจากสํานักมาตรฐานห้องปฏิบัติการ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทุกแห่ง เพื่อออกตรวจติดตาม ประเมินผล รวมทั้งช่วยส่งเสริมพัฒนาให้ห้องปฏิบัติการเครือข่ายสามารถธํารงรักษาคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังได้แต่งตั้งคณะทํางานที่มีองค์ประกอบของผู้บริหาร นักวิชาการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รวมทั้งผู้แทนจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นคณะทํางานเพื่อกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขการตรวจติดตามประเมินผลห้องปฏิบัติการเครือข่าย พิจารณารายงานการตรวจประเมินเพื่อให้การรับรองและการต่ออายุการรับรองห้องปฏิบัติการเครือข่ายและจัดทําแผนส่งเสริม พัฒนาศักยภาพห้องปฏิบัติการเครือข่ายให้ธํารงรักษาระบบคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถยื่นขอการรับรองตามมาตรฐานสากล
นายแพทย์โอภาส กล่าวต่ออีกว่าในช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ส่งผู้ตรวจประเมินออกตรวจติดตามประเมินผลห้องปฏิบัติการเครือข่ายโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า จํานวน 34 แห่งในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล รวมทั้งต่างจังหวัดในรอบที่ 1 พบว่า ห้องปฏิบัติการเครือข่ายดังกล่าวส่วนมาก มีการดําเนินการที่สอดคล้อง ตามเงื่อนไขที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กําหนด มีเพียง 2 แห่งที่ต้องปรับปรุงขั้นตอนการปฏิบัติงานให้เกิดความปลอดภัย ทางชีวภาพอย่างสูงสุดต่อผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งทั้ง 2 แห่ง ได้ให้ความร่วมมือและปรับปรุงแล้วเสร็จโดยทันที
“กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เพิ่มความเชื่อมั่นต่อผลการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเครือข่าย โดยคณะทํางานได้กําหนดแนวทางการติดตาม ประเมินผลคุณภาพการตรวจทางห้องปฏิบัติการเครือข่ายในระยะสั้นด้วยการมอบหมายให้สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขตรวจวิเคราะห์ซ้ําในตัวอย่างที่แสดงผลบวกและผลลบ โดยห้องปฏิบัติการเครือข่าย หากผลการตรวจวิเคราะห์ซ้ํานั้นได้ผลไม่ตรงกันตัวอย่างใดตัวอย่างหนึ่ง ทีมผู้ตรวจประเมินจะลงพื้นที่เพื่อติดตามประเมินผลหาสาเหตุทันที และรายงานต่อคณะทํางาน ซึ่งจะพิจารณารายงานเสนออธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พิจารณายกเลิกการเป็นเครือข่ายต่อไป นอกจากนี้ คณะทํางานยังมีแนวทางการดําเนินการในระยะยาวด้วยการส่งตัวอย่างทดสอบความชํานาญและการออกตรวจประเมิน ณ ห้องปฏิบัติการ”
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30498
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทินเปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ รพ.แม่สอด เน้นรักษา 5 กลุ่มโรค
|
วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562
อนุทินเปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ รพ.แม่สอด เน้นรักษา 5 กลุ่มโรค
รองนายกฯและรมว.สธ. เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ รพ.แม่สอด เป็น 1 ใน 32 รพ.ที่เปิดให้บริการในระยะที่ 2 เน้นรักษาใน 5 กลุ่มโรค คือ ลมชักดื้อยา คลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบําบัด ภาวะปวดประสาท ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง ปลอกประสาทอักเสบ และผู้ป่วยระยะประคับประคอง
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ โรงพยาบาลแม่สอด โดยเป็น 1 ใน 32 โรงพยาบาลที่เปิดให้บริการในระยะที่ 2 เน้นรักษาใน 5 กลุ่มโรค คือ ลมชักดื้อยา คลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบําบัด ภาวะปวดประสาท ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง ปลอกประสาทอักเสบ/เสื่อมแข็ง และผู้ป่วยระยะประคับประคอง มะเร็งระยะสุดท้าย
วันนี้ (30 ตุลาคม2562) ที่ จ.ตาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์โรงพยาบาลแม่สอด และให้สัมภาษณ์ว่า คลินิกกัญชาทางการแพทย์ที่โรงพยาบาลแม่สอดแห่งนี้ เป็น 1 ใน 32 โรงพยาบาลที่ได้เปิดบริการเพิ่มในระยะที่ 2 เพื่อให้ผู้ป่วยที่มีความจําเป็นต้องใช้กัญชา เข้าถึงกัญชาเพื่อการรักษาอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรม ด้วยระบบการบริหารจัดการที่มีมาตรฐานและความปลอดภัยสูง โดยได้รับสารสกัดน้ํามันกัญชาจากโรงพยาบาลอภัยภูเบศรแล้ว 200 ขวด การเปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ จะเป็นประโยชน์กับผู้ป่วยที่จําเป็นต้องใช้สารสกัดจากกัญชารักษาโรคภายใต้การดูแลของแพทย์ เภสัชกร พยาบาลที่ผ่านการอบรม และเป็นการเก็บข้อมูลผลการรักษาเพื่อนํามาวิเคราะห์วิจัย พัฒนายกระดับการใช้สารสกัดกัญชาทางการแพทย์ ซึ่งจะเป็นนวตกรรมที่เกิดประโยชน์กับวงการแพทย์ต่อไป
สําหรับคลินิกกัญชาทางการแพทย์ โรงพยาบาลแม่สอด เปิดบริการรักษาผู้ป่วยใน 5 กลุ่มโรคหลัก คือ โรคลมชักดื้อยา คลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบําบัด อาการปวดที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง ปลอกประสาทอักเสบ/เสื่อมแข็ง และผู้ป่วยระยะประคับประคอง มะเร็งระยะสุดท้าย ภายใต้การดูแลบุคลากรที่ผ่านการอบรมคือ แพทย์ 1 คน เภสัชกร 3 คน พยาบาลวิชาชีพ 3 คน และแพทย์แผนไทย 2 คน เปิดให้บริการทุกวันพฤหัส สัปดาห์ที่ 1 และ 3 ของเดือน เวลา 8.30 - 12.00 น. คาดว่าจะให้บริการประชาชนได้วันละ 30 ราย โดยมีอายุรแพทย์ประสาทวิทยา จิตแพทย์ แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน แพทย์นิติเวชและห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ ร่วมให้การดูแลและให้คําปรึกษา
ทั้งนี้ จังหวัดตากเป็น 1 ในจังหวัดพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันตก ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้มีแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ เพื่อรองรับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการเคลื่อนย้ายประชากรของแรงงานต่างชาติ รวมทั้งโรคติดต่อตามแนวชายแดน ซึ่งโรงพยาบาลแม่สอดเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายรับส่งต่อผู้ป่วยจากสถานพยาบาลภาครัฐและองค์กรเอกชนเพื่อสาธารณประโยชน์ (Non-government Organizations : NGO) ในพื้นที่ชายแดน รวมทั้งรับส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลเมียวดีที่มีความประสงค์จะมารักษาต่อ โดยการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายชายแดน การจัดบริการเชิงรุกอย่างเป็นมิตรในโรงพยาบาลชุมชน และข้ามประเทศ การพัฒนาระบบข้อมูลสาธารณสุขต่างชาติ และการพัฒนาความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนภายในและนอกประเทศ
************************************** 30 ตุลาคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทินเปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ รพ.แม่สอด เน้นรักษา 5 กลุ่มโรค
วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562
อนุทินเปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ รพ.แม่สอด เน้นรักษา 5 กลุ่มโรค
รองนายกฯและรมว.สธ. เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ รพ.แม่สอด เป็น 1 ใน 32 รพ.ที่เปิดให้บริการในระยะที่ 2 เน้นรักษาใน 5 กลุ่มโรค คือ ลมชักดื้อยา คลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบําบัด ภาวะปวดประสาท ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง ปลอกประสาทอักเสบ และผู้ป่วยระยะประคับประคอง
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ โรงพยาบาลแม่สอด โดยเป็น 1 ใน 32 โรงพยาบาลที่เปิดให้บริการในระยะที่ 2 เน้นรักษาใน 5 กลุ่มโรค คือ ลมชักดื้อยา คลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบําบัด ภาวะปวดประสาท ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง ปลอกประสาทอักเสบ/เสื่อมแข็ง และผู้ป่วยระยะประคับประคอง มะเร็งระยะสุดท้าย
วันนี้ (30 ตุลาคม2562) ที่ จ.ตาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์โรงพยาบาลแม่สอด และให้สัมภาษณ์ว่า คลินิกกัญชาทางการแพทย์ที่โรงพยาบาลแม่สอดแห่งนี้ เป็น 1 ใน 32 โรงพยาบาลที่ได้เปิดบริการเพิ่มในระยะที่ 2 เพื่อให้ผู้ป่วยที่มีความจําเป็นต้องใช้กัญชา เข้าถึงกัญชาเพื่อการรักษาอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรม ด้วยระบบการบริหารจัดการที่มีมาตรฐานและความปลอดภัยสูง โดยได้รับสารสกัดน้ํามันกัญชาจากโรงพยาบาลอภัยภูเบศรแล้ว 200 ขวด การเปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ จะเป็นประโยชน์กับผู้ป่วยที่จําเป็นต้องใช้สารสกัดจากกัญชารักษาโรคภายใต้การดูแลของแพทย์ เภสัชกร พยาบาลที่ผ่านการอบรม และเป็นการเก็บข้อมูลผลการรักษาเพื่อนํามาวิเคราะห์วิจัย พัฒนายกระดับการใช้สารสกัดกัญชาทางการแพทย์ ซึ่งจะเป็นนวตกรรมที่เกิดประโยชน์กับวงการแพทย์ต่อไป
สําหรับคลินิกกัญชาทางการแพทย์ โรงพยาบาลแม่สอด เปิดบริการรักษาผู้ป่วยใน 5 กลุ่มโรคหลัก คือ โรคลมชักดื้อยา คลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบําบัด อาการปวดที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง ปลอกประสาทอักเสบ/เสื่อมแข็ง และผู้ป่วยระยะประคับประคอง มะเร็งระยะสุดท้าย ภายใต้การดูแลบุคลากรที่ผ่านการอบรมคือ แพทย์ 1 คน เภสัชกร 3 คน พยาบาลวิชาชีพ 3 คน และแพทย์แผนไทย 2 คน เปิดให้บริการทุกวันพฤหัส สัปดาห์ที่ 1 และ 3 ของเดือน เวลา 8.30 - 12.00 น. คาดว่าจะให้บริการประชาชนได้วันละ 30 ราย โดยมีอายุรแพทย์ประสาทวิทยา จิตแพทย์ แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน แพทย์นิติเวชและห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ ร่วมให้การดูแลและให้คําปรึกษา
ทั้งนี้ จังหวัดตากเป็น 1 ในจังหวัดพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันตก ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้มีแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ เพื่อรองรับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการเคลื่อนย้ายประชากรของแรงงานต่างชาติ รวมทั้งโรคติดต่อตามแนวชายแดน ซึ่งโรงพยาบาลแม่สอดเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายรับส่งต่อผู้ป่วยจากสถานพยาบาลภาครัฐและองค์กรเอกชนเพื่อสาธารณประโยชน์ (Non-government Organizations : NGO) ในพื้นที่ชายแดน รวมทั้งรับส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลเมียวดีที่มีความประสงค์จะมารักษาต่อ โดยการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายชายแดน การจัดบริการเชิงรุกอย่างเป็นมิตรในโรงพยาบาลชุมชน และข้ามประเทศ การพัฒนาระบบข้อมูลสาธารณสุขต่างชาติ และการพัฒนาความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนภายในและนอกประเทศ
************************************** 30 ตุลาคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24156
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนวทางการป้องกันโควิด-19 สำหรับชุมชนท่องเที่ยว
|
วันอังคารที่ 16 มิถุนายน 2563
แนวทางการป้องกันโควิด-19 สําหรับชุมชนท่องเที่ยว
มีแนวทางปฏิบัติอย่างไรบ้างนะ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนวทางการป้องกันโควิด-19 สำหรับชุมชนท่องเที่ยว
วันอังคารที่ 16 มิถุนายน 2563
แนวทางการป้องกันโควิด-19 สําหรับชุมชนท่องเที่ยว
มีแนวทางปฏิบัติอย่างไรบ้างนะ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32365
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอรับมอบหน้ากากอนามัย N95
|
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563
บีโอไอรับมอบหน้ากากอนามัย N95
บีโอไอรับมอบหน้ากากอนามัย N95
บีโอไอรับมอบหน้ากากอนามัย N95
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (ที่ 4 จากขวา) รับมอบหน้ากากอนามัย N95 จํานวน 15,000 ชิ้น จากนายเท็ตสึ ชิโอซากิ ประธานภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และผู้บริหาร กลุ่มบริษัท มินีแบมิตซูมิ ประเทศไทย (กลาง) เพื่อส่งมอบต่อให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลต่าง ๆ นําไปใช้ประโยชน์ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอรับมอบหน้ากากอนามัย N95
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563
บีโอไอรับมอบหน้ากากอนามัย N95
บีโอไอรับมอบหน้ากากอนามัย N95
บีโอไอรับมอบหน้ากากอนามัย N95
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (ที่ 4 จากขวา) รับมอบหน้ากากอนามัย N95 จํานวน 15,000 ชิ้น จากนายเท็ตสึ ชิโอซากิ ประธานภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และผู้บริหาร กลุ่มบริษัท มินีแบมิตซูมิ ประเทศไทย (กลาง) เพื่อส่งมอบต่อให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลต่าง ๆ นําไปใช้ประโยชน์ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29984
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Telenor Group ยืนยันพร้อมสนับสนุนไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล มุ่งสู่การเป็น Digital hub ของไทย
|
วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2560
Telenor Group ยืนยันพร้อมสนับสนุนไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล มุ่งสู่การเป็น Digital hub ของไทย
Telenor Group ยืนยันพร้อมสนับสนุนไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล มุ่งสู่การเป็น Digital hub ของไทย
วันนี้ (25 พ.ค. 2560 ) เวลา 09.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายซิคเว่ เบรกเก้ (Mr. Sigve Brekke) ประธานและผู้บริหารระดับสูงของบริษัท Telenor Group เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญของการสนทนา ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณที่กลุ่มบริษัท Telenor Group ลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง และมีบทบาทในการพัฒนาบริการโทรคมนาคมและการสื่อสารดิจิทัลของไทย รวมทั้งยินดีที่ DTAC กับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) ได้จัดทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือร่วมกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในความร่วมมือระหว่างกัน ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญอย่างยิ่งต่อ “การปฎิรูป” โดยมีเป้าหมายสําคัญคือการยกระดับประเทศสู่ไทยแลนด์ 4.0 ด้วยความเชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีดิจิทัลสามารถตอบปัญหาความท้าทายที่ประเทศกําลังเผชิญเพื่อเพิ่มโอกาสในการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม ให้ประเทศก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง ซึ่งไทยอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ทั้งการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทุกตําบลและในพื้นที่ห่างไกล และการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศ เพื่อเปิดเส้นทางเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก เพื่อมุ่งสู่การเป็น Digital Hub ของไทย
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวย้ําว่า รัฐบาลดําเนินการทุกอย่างด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งยังเห็นว่าประสบการณ์ด้านดิจิทัลของกลุ่มบริษัทฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (cyber security) และ startup จะเป็นประโยชน์และมีส่วนช่วยสนับสนุนให้ไทยกลายเป็น Digital Hub ได้โดยเร็ว นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวเชิญกลุ่มบริษัทฯให้เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการ Digital Park Thailand ตามนโยบายโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) อีกด้วย
โอกาสนี้ นายเบรกเก้ ประธานกลุ่มบริษัทฯ ได้กล่าวแสดงความประทับใจในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี โดยกลุ่มบริษัทฯยินดีแบ่งปันประสบการณ์และความรู้ในสาขาที่เชี่ยวชาญ พร้อมกล่าวชื่นชมและยืนยันว่า กลุ่มบริษัทฯ พร้อมที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล โดยกลุ่มบริษัทฯถือว่าประเทศไทยเป็นหุ้นส่วนในระยะยาว (Long term partner)
*******************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Telenor Group ยืนยันพร้อมสนับสนุนไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล มุ่งสู่การเป็น Digital hub ของไทย
วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2560
Telenor Group ยืนยันพร้อมสนับสนุนไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล มุ่งสู่การเป็น Digital hub ของไทย
Telenor Group ยืนยันพร้อมสนับสนุนไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล มุ่งสู่การเป็น Digital hub ของไทย
วันนี้ (25 พ.ค. 2560 ) เวลา 09.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายซิคเว่ เบรกเก้ (Mr. Sigve Brekke) ประธานและผู้บริหารระดับสูงของบริษัท Telenor Group เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญของการสนทนา ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณที่กลุ่มบริษัท Telenor Group ลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง และมีบทบาทในการพัฒนาบริการโทรคมนาคมและการสื่อสารดิจิทัลของไทย รวมทั้งยินดีที่ DTAC กับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) ได้จัดทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือร่วมกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในความร่วมมือระหว่างกัน ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญอย่างยิ่งต่อ “การปฎิรูป” โดยมีเป้าหมายสําคัญคือการยกระดับประเทศสู่ไทยแลนด์ 4.0 ด้วยความเชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีดิจิทัลสามารถตอบปัญหาความท้าทายที่ประเทศกําลังเผชิญเพื่อเพิ่มโอกาสในการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม ให้ประเทศก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง ซึ่งไทยอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ทั้งการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทุกตําบลและในพื้นที่ห่างไกล และการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศ เพื่อเปิดเส้นทางเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก เพื่อมุ่งสู่การเป็น Digital Hub ของไทย
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวย้ําว่า รัฐบาลดําเนินการทุกอย่างด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งยังเห็นว่าประสบการณ์ด้านดิจิทัลของกลุ่มบริษัทฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (cyber security) และ startup จะเป็นประโยชน์และมีส่วนช่วยสนับสนุนให้ไทยกลายเป็น Digital Hub ได้โดยเร็ว นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวเชิญกลุ่มบริษัทฯให้เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการ Digital Park Thailand ตามนโยบายโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) อีกด้วย
โอกาสนี้ นายเบรกเก้ ประธานกลุ่มบริษัทฯ ได้กล่าวแสดงความประทับใจในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี โดยกลุ่มบริษัทฯยินดีแบ่งปันประสบการณ์และความรู้ในสาขาที่เชี่ยวชาญ พร้อมกล่าวชื่นชมและยืนยันว่า กลุ่มบริษัทฯ พร้อมที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล โดยกลุ่มบริษัทฯถือว่าประเทศไทยเป็นหุ้นส่วนในระยะยาว (Long term partner)
*******************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4016
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แรงงาน ร่วมมือ กลาโหม สนับสนุนฐานข้อมูลกำลังคนเพื่อการฝึกทางทหาร
|
วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม 2561
แรงงาน ร่วมมือ กลาโหม สนับสนุนฐานข้อมูลกําลังคนเพื่อการฝึกทางทหาร
วันนี้ (24 พ.ค.61) นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ พลตรี เพิ่มศักดิ์ รอบจังหวัด รองเจ้ากรมการสรรพกําลังกลาโหม และคณะ ตรวจเยี่ยมการฝึกปัญหาที่บังคับการ (Command Post Exercise : CPX) การฝึกการระดมสรรพกําลังเพื่อการทหาร
วันนี้ (24 พ.ค.61) นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ พลตรีเพิ่มศักดิ์ รอบจังหวัด รองเจ้ากรมการสรรพกําลังกลาโหม และคณะ ตรวจเยี่ยมการฝึกปัญหาที่บังคับการ (Command Post Exercise : CPX) การฝึกการระดมสรรพกําลังเพื่อการทหาร ประจําปี ๒๕๖๑ ณ ห้องประชุมกองยุทธศาสตร์และแผนงาน ชั้น 13 อาคารกระทรวงแรงงาน
นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ ด้านกําลังคน กระทรวงแรงงานมีความพร้อมในด้านการสนับสนุนกําลังคน เนื่องจากมีฐานข้อมูลเกี่ยวกับกําลังคนในระบบต่างๆ เช่น ศูนย์ข้อมูลแรงงานแห่งชาติ ระบบการฝึกอบรมของส่วนราชการ ระบบทะเบียนรายชื่อวิทยากรทะเบียนรายชื่อเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน และทะเบียนลูกจ้างในสถานประกอบกิจการ เป็นต้น
สําหรับการฝึกปัญหาที่บังคับการฯ ซึ่งได้ดําเนินการระหว่างวันที่ ๒๒ – ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๑ กระทรวงแรงงานได้เชิญส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้แทนจากสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ สํานักงานปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวงวิทยาศาสตร์ สํานักงานพิสูจน์หลักฐานตํารวจ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ เป็นต้น รวมทั้งมอบหมายเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงานเข้าร่วมการฝึกอีกด้วย ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน
ได้จัดทําแผนเตรียมความพร้อมกําลังคน พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๖๑ เรียบร้อยแล้ว เพื่อจะจะได้ดําเนินการขับเคลื่อนตามแผนในระยะต่อไป
----------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๑
ชาญชัย ชาวหนองเพียร ภาพ/ข่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แรงงาน ร่วมมือ กลาโหม สนับสนุนฐานข้อมูลกำลังคนเพื่อการฝึกทางทหาร
วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม 2561
แรงงาน ร่วมมือ กลาโหม สนับสนุนฐานข้อมูลกําลังคนเพื่อการฝึกทางทหาร
วันนี้ (24 พ.ค.61) นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ พลตรี เพิ่มศักดิ์ รอบจังหวัด รองเจ้ากรมการสรรพกําลังกลาโหม และคณะ ตรวจเยี่ยมการฝึกปัญหาที่บังคับการ (Command Post Exercise : CPX) การฝึกการระดมสรรพกําลังเพื่อการทหาร
วันนี้ (24 พ.ค.61) นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ พลตรีเพิ่มศักดิ์ รอบจังหวัด รองเจ้ากรมการสรรพกําลังกลาโหม และคณะ ตรวจเยี่ยมการฝึกปัญหาที่บังคับการ (Command Post Exercise : CPX) การฝึกการระดมสรรพกําลังเพื่อการทหาร ประจําปี ๒๕๖๑ ณ ห้องประชุมกองยุทธศาสตร์และแผนงาน ชั้น 13 อาคารกระทรวงแรงงาน
นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ ด้านกําลังคน กระทรวงแรงงานมีความพร้อมในด้านการสนับสนุนกําลังคน เนื่องจากมีฐานข้อมูลเกี่ยวกับกําลังคนในระบบต่างๆ เช่น ศูนย์ข้อมูลแรงงานแห่งชาติ ระบบการฝึกอบรมของส่วนราชการ ระบบทะเบียนรายชื่อวิทยากรทะเบียนรายชื่อเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน และทะเบียนลูกจ้างในสถานประกอบกิจการ เป็นต้น
สําหรับการฝึกปัญหาที่บังคับการฯ ซึ่งได้ดําเนินการระหว่างวันที่ ๒๒ – ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๑ กระทรวงแรงงานได้เชิญส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้แทนจากสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ สํานักงานปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวงวิทยาศาสตร์ สํานักงานพิสูจน์หลักฐานตํารวจ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ เป็นต้น รวมทั้งมอบหมายเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงานเข้าร่วมการฝึกอีกด้วย ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน
ได้จัดทําแผนเตรียมความพร้อมกําลังคน พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๖๑ เรียบร้อยแล้ว เพื่อจะจะได้ดําเนินการขับเคลื่อนตามแผนในระยะต่อไป
----------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๑
ชาญชัย ชาวหนองเพียร ภาพ/ข่าว
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12501
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์” สรุปผลการจับกุมสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์ เผยจับผู้กระทำความผิดจำหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินจริงได้อีก 2 ราย เป็นการจำหน่ายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ 1 ราย [กระทรวงพาณิชย์]
|
วันอังคารที่ 7 เมษายน 2563
“พาณิชย์” สรุปผลการจับกุมสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์ เผยจับผู้กระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินจริงได้อีก 2 ราย เป็นการจําหน่ายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ 1 ราย [กระทรวงพาณิชย์]
และร้านค้าทั่วไป 1 ร้าน มียอดรวมจับกุมทั้งสิ้น 267 ราย ส่วนไข่ไก่ไม่พบผู้กระทําผิด หลังสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว (ประจําวันที่ 7 เมษายน 2563)
นางลลิดา จิวะนันทประวัติ รองโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการปฏิบัติการกรณีสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์ของกระทรวงพาณิชย์ว่า เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2563 ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการจับกุมผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 โดยสามารถจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์ได้อีก 2 ราย แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 1 ราย เป็นการจับกุมผู้จําหน่ายสินค้าทางแอปพลิเคชันไลน์ 1 ราย ในเขตประเวศ กรุงเทพฯ จําหน่ายหน้ากากอนามัย กล่องละ 50 ชิ้น ราคากล่องละ 750 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 15 บาท โดยเป็นสินค้านําเข้าจากจีน มีปริมาณ 5,500 ชิ้น และไม่ได้แจ้งปริมาณ ราคาจําหน่ายต่อคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) จึงได้แจ้งข้อหาตาม มาตรา 25 (5) ไม่แจ้งราคาต้นทุนการซื้อขาย และสต๊อก และข้อหาตามมาตรา 29 ค้ากําไรเกินควร
ส่วนในต่างจังหวัดจับกุมได้ 1 ราย เป็นการกระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินราคาสมควร (มาตรา 29) ที่อําเภอโนนสัง จังหวัดหนองบัวลําภู โดยทําการล่อซื้อจับกุมร้านค้า พบจําหน่ายในราคากล่องละ 750 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 15 ได้แจ้งข้อหาตามมาตรา 29 ค้ากําไรเกินควร ทําให้สถิติการจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์และแอลกอฮอล์ เพิ่มขึ้นเป็น 267 ราย แยกเป็นกรุงเทพฯ 132 ราย และต่างจังหวัด 135 ราย
สําหรับโทษที่ผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ข้อหาขายเกินราคาควบคุม มาตรา 25 (1) และมาตรา 25 (5) ไม่แจ้งต้นทุนซื้อ ขาย สต๊อก มีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับ ไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคาขาย มาตรา 28 มีอัตราโทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท ข้อหาขายแพงเกินสมควร (มาตรา 29) มีอัตราโทษจําคุก ไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ทางด้านการจับกุมผู้กระทําความผิดจําหน่ายไข่ไก่เกินราคาทั่วประเทศ ณ วันที่ 6 เม.ย. 2563 ไม่พบผู้กระทําความผิดเพิ่ม ทําให้มียอดรวมการจับกุมทั่วประเทศอยู่ที่ 26 รายคงเดิม เพราะขณะนี้ สถานการณ์ได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งการผลิต การกระจายไข่ไก่ และการจําหน่าย
“หากประชาชนพบเห็นการกักตุนสินค้าหรือค้ากําไรเกินควร ขอให้ร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 และในต่างจังหวัดร้องเรียนได้ที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัด หรือศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด จะมีการเข้าไปตรวจสอบและดําเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทําความผิดทันที”นางลลิดากล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์” สรุปผลการจับกุมสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์ เผยจับผู้กระทำความผิดจำหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินจริงได้อีก 2 ราย เป็นการจำหน่ายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ 1 ราย [กระทรวงพาณิชย์]
วันอังคารที่ 7 เมษายน 2563
“พาณิชย์” สรุปผลการจับกุมสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์ เผยจับผู้กระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินจริงได้อีก 2 ราย เป็นการจําหน่ายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ 1 ราย [กระทรวงพาณิชย์]
และร้านค้าทั่วไป 1 ร้าน มียอดรวมจับกุมทั้งสิ้น 267 ราย ส่วนไข่ไก่ไม่พบผู้กระทําผิด หลังสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว (ประจําวันที่ 7 เมษายน 2563)
นางลลิดา จิวะนันทประวัติ รองโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการปฏิบัติการกรณีสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์ของกระทรวงพาณิชย์ว่า เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2563 ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการจับกุมผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 โดยสามารถจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์ได้อีก 2 ราย แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 1 ราย เป็นการจับกุมผู้จําหน่ายสินค้าทางแอปพลิเคชันไลน์ 1 ราย ในเขตประเวศ กรุงเทพฯ จําหน่ายหน้ากากอนามัย กล่องละ 50 ชิ้น ราคากล่องละ 750 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 15 บาท โดยเป็นสินค้านําเข้าจากจีน มีปริมาณ 5,500 ชิ้น และไม่ได้แจ้งปริมาณ ราคาจําหน่ายต่อคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) จึงได้แจ้งข้อหาตาม มาตรา 25 (5) ไม่แจ้งราคาต้นทุนการซื้อขาย และสต๊อก และข้อหาตามมาตรา 29 ค้ากําไรเกินควร
ส่วนในต่างจังหวัดจับกุมได้ 1 ราย เป็นการกระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินราคาสมควร (มาตรา 29) ที่อําเภอโนนสัง จังหวัดหนองบัวลําภู โดยทําการล่อซื้อจับกุมร้านค้า พบจําหน่ายในราคากล่องละ 750 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 15 ได้แจ้งข้อหาตามมาตรา 29 ค้ากําไรเกินควร ทําให้สถิติการจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์และแอลกอฮอล์ เพิ่มขึ้นเป็น 267 ราย แยกเป็นกรุงเทพฯ 132 ราย และต่างจังหวัด 135 ราย
สําหรับโทษที่ผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ข้อหาขายเกินราคาควบคุม มาตรา 25 (1) และมาตรา 25 (5) ไม่แจ้งต้นทุนซื้อ ขาย สต๊อก มีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับ ไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคาขาย มาตรา 28 มีอัตราโทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท ข้อหาขายแพงเกินสมควร (มาตรา 29) มีอัตราโทษจําคุก ไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ทางด้านการจับกุมผู้กระทําความผิดจําหน่ายไข่ไก่เกินราคาทั่วประเทศ ณ วันที่ 6 เม.ย. 2563 ไม่พบผู้กระทําความผิดเพิ่ม ทําให้มียอดรวมการจับกุมทั่วประเทศอยู่ที่ 26 รายคงเดิม เพราะขณะนี้ สถานการณ์ได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งการผลิต การกระจายไข่ไก่ และการจําหน่าย
“หากประชาชนพบเห็นการกักตุนสินค้าหรือค้ากําไรเกินควร ขอให้ร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 และในต่างจังหวัดร้องเรียนได้ที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัด หรือศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด จะมีการเข้าไปตรวจสอบและดําเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทําความผิดทันที”นางลลิดากล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28552
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สพฐ.ชี้แจงปัญหาการยกเลิกหลักสูตร ตามโครงการคูปองพัฒนาครู
|
วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2561
สพฐ.ชี้แจงปัญหาการยกเลิกหลักสูตร ตามโครงการคูปองพัฒนาครู
สพฐ.ชี้แจงปัญหาการยกเลิกหลักสูตร ตามโครงการคูปองพัฒนาครู ระบุเปิดกว้างให้ครูเลือกหลักสูตรที่มีคุณภาพในระบบ ไม่จํากัดสิทธิ์ใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ต้องได้รับอนุมัติจาก ผอ.โรงเรียน และผ่านการพิจารณาความเหมาะสมเรื่องงบประมาณ
วันที่ 4 มิถุนายน 2561 นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงประเด็นปัญหาการยกเลิกหลักสูตรตามโครงการคูปองพัฒนาครู จากกรณีที่ หจก. ไอ ไอ ไทยแลนด์ และ WeMaths คณิตศาสตร์สัญชาติไทย หนึ่งในหน่วยพัฒนาครู กล่าวว่าหลักสูตรของตนเป็นหนึ่งใน 787 หลักสูตร ที่สถาบันคุรุพัฒนาให้การรับรอง และส่งให้ สพฐ. พิจารณารับรอง และประกาศให้ครูจองเรียบร้อยแล้ว แต่ต่อมาพบว่า สพฐ. มีการจัดทําเกณฑ์ใหม่ และดึงหลักสูตรกลับไปพิจารณาอีกรอบ พร้อมทั้งยกเลิกการจอง โดยเหลือหลักสูตรที่ผ่านการพิจารณา เพียง 500-600 หลักสูตร และถูกปรับตกไปกว่า 200 หลักสูตร ทั้งยังให้ครูที่ประสงค์จะอบรมต้องเปลี่ยนไปลงหลักสูตรใหม่ ที่ไม่ตรงกับความต้องการ ทําให้ครูเสียประโยชน์ นั้น สพฐ. ขอชี้แจงดังนี้
สพฐ. ได้มีการรับรองหลักสูตรทั้งหมด 787 หลักสูตร และหน่วยพัฒนาถอนหลักสูตรไป 2 หลักสูตร ทําให้ในระบบของการจอง (booking) หลักสูตรของครู มี 785 หลักสูตร โดยที่ สพฐ. ประกาศขั้นตอนการดําเนินการอย่างชัดเจนว่า ในช่วงวันที่ 25 เมษายน - 2 พฤษภาคม 2561 เป็นขั้นตอนการ bookin คือ การจองของครู ซึ่งมีเพียง ชื่อหลักสูตร เนื้อหา และชื่อหน่วยพัฒนา รวมทั้งรายละเอียดค่าลงทะเบียน โดยยังไม่ระบุวันที่ และสถานที่ให้ครูเลือกจอง
การที่ สพฐ. กําหนดให้มีการจอง (booking) ในปีนี้ ก็เพื่อแก้ปัญหาในประเด็นต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2560 เช่น คุณครูที่ลงชื่อเข้ารับการอบรมแล้ว แต่มาพบภายหลังว่าต้องเดินทางไกลจากเขตพื้นที่ของตน จะสิ้นเปลืองงบประมาณในการเดินทางจากเหนือไปใต้ หรือข้ามภูมิภาค จึงตัดสินใจไม่เข้ารับการอบรม ทําให้หน่วยพัฒนาเสียหาย จนต้องยกเลิกการอบรม กลายเป็นสร้างความเสียหายให้กับครูที่เลือกเข้ารับการอบรมในหลักสูตรนั้น ๆ จึงทําให้ สพฐ. ต้องปรับแก้วิธีการในปีงบประมาณ 2561 โดย เพิ่มขั้นตอนการจอง (booking) เพื่อใช้ในการประมาณการ และเพื่อให้เขตพื้นที่ยืนยันจํานวนครูที่จะอบรมกับหน่วยพัฒนา อนึ่ง การที่ให้เขตพื้นที่ช่วยประสานงาน จะทําให้ทราบว่าครูคนไหนไปอบรมเรื่องอะไร และยังส่งผลให้ครูเข้ารับการอบรมอย่างตั้งใจอีกด้วย นอกจากนั้น ผลจากการ booking ยังช่วยลดปัญหาการเดินทางไกลของครูลงอย่างมาก คือ จํานวน 27,732 ที่นั่ง อบรมในเขตตนเอง และจํานวน 62,695 ที่นั่ง อบรมในจังหวัดของตนเอง อนึ่ง กระบวนการของการพิจารณาเรื่องนี้ สถาบันคุรุพัฒนาจะกําหนดเกณฑ์ในการเปิดรุ่น รับรุ่น และรับหลักสูตรเข้าระบบ
ส่วนขั้นตอนการ shopping ของครูในรอบที่ 1 ระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม – 3 มิถุนายน 2561 จะดําเนินการผ่านระบบ training.obec.go.th โดยหลักสูตรที่ปรากฏในระบบจะระบุวันและสถานที่ในการอบรมเรียบร้อยแล้ว ซึ่ง สพฐ. รับข้อมูลจากสถาบันคุรุพัฒนา โดยการ shopping จะต้องผ่านการอนุมัติจาก ผอ.รร. ขั้นตอนนี้สถาบันคุรุพัฒนาได้ส่งข้อมูลหลักสูตรการอบรมให้ สพฐ. จํานวนทั้งสิ้น 451 หลักสูตร รวม 2,455 รุ่น ซึ่งข้อมูลนี้ จะเป็นข้อมูลสําหรับการเลือกของครู สําหรับการยืนยันกับระบบ และเป็นข้อมูลที่ให้หน่วยพัฒนาได้รับทราบเพื่อดําเนินการในการอบรมต่อไป
“การพัฒนาครูเพื่อนักเรียน ได้เปิดกว้างให้ครูเลือกหลักสูตรที่มีคุณภาพในระบบมากมาย ไม่มีการจํากัดสิทธิ์ใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่ต้องได้รับการอนุมัติจากผู้อํานวยการโรงเรียน และผ่านการพิจารณาความเหมาะสมในเรื่องของงบประมาณ เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณแผ่นดิน และติดตามการนําความรู้จากการพัฒนาของครูไปใช้กับนักเรียนอย่างเกิดประโยชน์ โดยผู้อํานวยการเขตพื้นที่การศึกษา และผู้อํานวยการโรงเรียนช่วยกันขับเคลื่อน ซึ่งจะทําให้การปฏิรูปการศึกษาเข้มแข็ง และกระจายการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง”
------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สพฐ.ชี้แจงปัญหาการยกเลิกหลักสูตร ตามโครงการคูปองพัฒนาครู
วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2561
สพฐ.ชี้แจงปัญหาการยกเลิกหลักสูตร ตามโครงการคูปองพัฒนาครู
สพฐ.ชี้แจงปัญหาการยกเลิกหลักสูตร ตามโครงการคูปองพัฒนาครู ระบุเปิดกว้างให้ครูเลือกหลักสูตรที่มีคุณภาพในระบบ ไม่จํากัดสิทธิ์ใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ต้องได้รับอนุมัติจาก ผอ.โรงเรียน และผ่านการพิจารณาความเหมาะสมเรื่องงบประมาณ
วันที่ 4 มิถุนายน 2561 นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงประเด็นปัญหาการยกเลิกหลักสูตรตามโครงการคูปองพัฒนาครู จากกรณีที่ หจก. ไอ ไอ ไทยแลนด์ และ WeMaths คณิตศาสตร์สัญชาติไทย หนึ่งในหน่วยพัฒนาครู กล่าวว่าหลักสูตรของตนเป็นหนึ่งใน 787 หลักสูตร ที่สถาบันคุรุพัฒนาให้การรับรอง และส่งให้ สพฐ. พิจารณารับรอง และประกาศให้ครูจองเรียบร้อยแล้ว แต่ต่อมาพบว่า สพฐ. มีการจัดทําเกณฑ์ใหม่ และดึงหลักสูตรกลับไปพิจารณาอีกรอบ พร้อมทั้งยกเลิกการจอง โดยเหลือหลักสูตรที่ผ่านการพิจารณา เพียง 500-600 หลักสูตร และถูกปรับตกไปกว่า 200 หลักสูตร ทั้งยังให้ครูที่ประสงค์จะอบรมต้องเปลี่ยนไปลงหลักสูตรใหม่ ที่ไม่ตรงกับความต้องการ ทําให้ครูเสียประโยชน์ นั้น สพฐ. ขอชี้แจงดังนี้
สพฐ. ได้มีการรับรองหลักสูตรทั้งหมด 787 หลักสูตร และหน่วยพัฒนาถอนหลักสูตรไป 2 หลักสูตร ทําให้ในระบบของการจอง (booking) หลักสูตรของครู มี 785 หลักสูตร โดยที่ สพฐ. ประกาศขั้นตอนการดําเนินการอย่างชัดเจนว่า ในช่วงวันที่ 25 เมษายน - 2 พฤษภาคม 2561 เป็นขั้นตอนการ bookin คือ การจองของครู ซึ่งมีเพียง ชื่อหลักสูตร เนื้อหา และชื่อหน่วยพัฒนา รวมทั้งรายละเอียดค่าลงทะเบียน โดยยังไม่ระบุวันที่ และสถานที่ให้ครูเลือกจอง
การที่ สพฐ. กําหนดให้มีการจอง (booking) ในปีนี้ ก็เพื่อแก้ปัญหาในประเด็นต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2560 เช่น คุณครูที่ลงชื่อเข้ารับการอบรมแล้ว แต่มาพบภายหลังว่าต้องเดินทางไกลจากเขตพื้นที่ของตน จะสิ้นเปลืองงบประมาณในการเดินทางจากเหนือไปใต้ หรือข้ามภูมิภาค จึงตัดสินใจไม่เข้ารับการอบรม ทําให้หน่วยพัฒนาเสียหาย จนต้องยกเลิกการอบรม กลายเป็นสร้างความเสียหายให้กับครูที่เลือกเข้ารับการอบรมในหลักสูตรนั้น ๆ จึงทําให้ สพฐ. ต้องปรับแก้วิธีการในปีงบประมาณ 2561 โดย เพิ่มขั้นตอนการจอง (booking) เพื่อใช้ในการประมาณการ และเพื่อให้เขตพื้นที่ยืนยันจํานวนครูที่จะอบรมกับหน่วยพัฒนา อนึ่ง การที่ให้เขตพื้นที่ช่วยประสานงาน จะทําให้ทราบว่าครูคนไหนไปอบรมเรื่องอะไร และยังส่งผลให้ครูเข้ารับการอบรมอย่างตั้งใจอีกด้วย นอกจากนั้น ผลจากการ booking ยังช่วยลดปัญหาการเดินทางไกลของครูลงอย่างมาก คือ จํานวน 27,732 ที่นั่ง อบรมในเขตตนเอง และจํานวน 62,695 ที่นั่ง อบรมในจังหวัดของตนเอง อนึ่ง กระบวนการของการพิจารณาเรื่องนี้ สถาบันคุรุพัฒนาจะกําหนดเกณฑ์ในการเปิดรุ่น รับรุ่น และรับหลักสูตรเข้าระบบ
ส่วนขั้นตอนการ shopping ของครูในรอบที่ 1 ระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม – 3 มิถุนายน 2561 จะดําเนินการผ่านระบบ training.obec.go.th โดยหลักสูตรที่ปรากฏในระบบจะระบุวันและสถานที่ในการอบรมเรียบร้อยแล้ว ซึ่ง สพฐ. รับข้อมูลจากสถาบันคุรุพัฒนา โดยการ shopping จะต้องผ่านการอนุมัติจาก ผอ.รร. ขั้นตอนนี้สถาบันคุรุพัฒนาได้ส่งข้อมูลหลักสูตรการอบรมให้ สพฐ. จํานวนทั้งสิ้น 451 หลักสูตร รวม 2,455 รุ่น ซึ่งข้อมูลนี้ จะเป็นข้อมูลสําหรับการเลือกของครู สําหรับการยืนยันกับระบบ และเป็นข้อมูลที่ให้หน่วยพัฒนาได้รับทราบเพื่อดําเนินการในการอบรมต่อไป
“การพัฒนาครูเพื่อนักเรียน ได้เปิดกว้างให้ครูเลือกหลักสูตรที่มีคุณภาพในระบบมากมาย ไม่มีการจํากัดสิทธิ์ใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่ต้องได้รับการอนุมัติจากผู้อํานวยการโรงเรียน และผ่านการพิจารณาความเหมาะสมในเรื่องของงบประมาณ เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณแผ่นดิน และติดตามการนําความรู้จากการพัฒนาของครูไปใช้กับนักเรียนอย่างเกิดประโยชน์ โดยผู้อํานวยการเขตพื้นที่การศึกษา และผู้อํานวยการโรงเรียนช่วยกันขับเคลื่อน ซึ่งจะทําให้การปฏิรูปการศึกษาเข้มแข็ง และกระจายการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง”
------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12903
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยพระสงฆ์กระทำความผิดเป็นเรื่องของบุคคล ไม่เกี่ยวกับศาสนา
|
วันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2561
นายกรัฐมนตรีเผยพระสงฆ์กระทําความผิดเป็นเรื่องของบุคคล ไม่เกี่ยวกับศาสนา
นายกรัฐมนตรีเผยพระสงฆ์กระทําความผิดเป็นเรื่องของบุคคล ไม่เกี่ยวกับศาสนา
วันนี้ (5 มิถุนายน 2561) เวลา 14.40 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีแนวทางแก้ไขปัญหาวิกฤตพระสงฆ์ว่า คําสอนของพระพุทธเจ้า ไม่สามารถบิดเบือนได้ และสามารถพิสูจน์ได้ ซึ่งจะผิดจะถูกเป็นการกระทําของบุคคล ไม่ใช่เรื่องของศาสนา ขอให้แยกแยะให้ถูกต้อง ทั้งพุทธศาสนิกชน และพระสงฆ์ต้องยอมรับนับถือกติกาซึ่งกันและกัน ส่วนกรณีที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับพระสงฆ์เป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรม เพราะมีการร้องเรียนขึ้นมา รัฐบาลจะต้องพิสูจน์เพื่อหาความจริงตามกระบวนการ โดยให้สิทธิทุกคนพิสูจน์ตัวเอง ส่วนเรื่องคดีความนั้น เป็นความร่วมมือของสํานักพระพุทธศาสนา มหาเถรสมาคม และเจ้าหน้าที่ตํารวจร่วมมือกันดําเนินคดีตามกระบวนการกฎหมาย
สําหรับการที่ตัวเองได้มีการขอโทษก่อนหน้านี้นั้น ไม่ใช่เป็นเพราะบุคคล แต่เป็นเพราะแต่งสงฆ์ และเคารพผ้าเหลือง ซึ่งการดําเนินการต่าง ๆ ต้องให้เหมาะสม พร้อมขอความร่วมมือสื่อมวลชนอย่าไปตีข่าวให้คึกโครม เหมือนเป็นการรังแกพระ ทําให้ไม่ได้ตัวบุคคลที่กระทําความผิดกลับมารับโทษได้ เพราะไปขอลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ
----------------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยพระสงฆ์กระทำความผิดเป็นเรื่องของบุคคล ไม่เกี่ยวกับศาสนา
วันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2561
นายกรัฐมนตรีเผยพระสงฆ์กระทําความผิดเป็นเรื่องของบุคคล ไม่เกี่ยวกับศาสนา
นายกรัฐมนตรีเผยพระสงฆ์กระทําความผิดเป็นเรื่องของบุคคล ไม่เกี่ยวกับศาสนา
วันนี้ (5 มิถุนายน 2561) เวลา 14.40 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีแนวทางแก้ไขปัญหาวิกฤตพระสงฆ์ว่า คําสอนของพระพุทธเจ้า ไม่สามารถบิดเบือนได้ และสามารถพิสูจน์ได้ ซึ่งจะผิดจะถูกเป็นการกระทําของบุคคล ไม่ใช่เรื่องของศาสนา ขอให้แยกแยะให้ถูกต้อง ทั้งพุทธศาสนิกชน และพระสงฆ์ต้องยอมรับนับถือกติกาซึ่งกันและกัน ส่วนกรณีที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับพระสงฆ์เป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรม เพราะมีการร้องเรียนขึ้นมา รัฐบาลจะต้องพิสูจน์เพื่อหาความจริงตามกระบวนการ โดยให้สิทธิทุกคนพิสูจน์ตัวเอง ส่วนเรื่องคดีความนั้น เป็นความร่วมมือของสํานักพระพุทธศาสนา มหาเถรสมาคม และเจ้าหน้าที่ตํารวจร่วมมือกันดําเนินคดีตามกระบวนการกฎหมาย
สําหรับการที่ตัวเองได้มีการขอโทษก่อนหน้านี้นั้น ไม่ใช่เป็นเพราะบุคคล แต่เป็นเพราะแต่งสงฆ์ และเคารพผ้าเหลือง ซึ่งการดําเนินการต่าง ๆ ต้องให้เหมาะสม พร้อมขอความร่วมมือสื่อมวลชนอย่าไปตีข่าวให้คึกโครม เหมือนเป็นการรังแกพระ ทําให้ไม่ได้ตัวบุคคลที่กระทําความผิดกลับมารับโทษได้ เพราะไปขอลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ
----------------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12778
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ จับมือ CAT-DEPA-สดช. โชว์ความสำเร็จ Phuket Smart City สร้างเมืองอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เพิ่มคุณภาพชีวิตชาวภูเก็ต-นักท่องเที่ยว
|
วันศุกร์ที่ 20 เมษายน 2561
กระทรวงดิจิทัลฯ จับมือ CAT-DEPA-สดช. โชว์ความสําเร็จ Phuket Smart City สร้างเมืองอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เพิ่มคุณภาพชีวิตชาวภูเก็ต-นักท่องเที่ยว
กระทรวงดิจิทัลฯ
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับหน่วยงานในสังกัด ทั้ง บมจ.กสท โทรคมนาคม (CAT) สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) และสํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สดช.) ประกาศความสําเร็จในงาน Success to Phuket Smart City ยกจังหวัดภูเก็ต เป็นต้นแบบเมืองอัจฉริยะ ผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล บริการ Free Wi-Fi 1,000 จุด บริการ Beacon 2,000 จุด เปิดแอปฯ ข้อมูลข่าวสารจังหวัด บูรณาการจัดเก็บข้อมูล Big Data เพื่อการบริหารเมือง พร้อมนําร่องบริการ LoRaWAN ใช้ในการติดตามพิกัดการขนส่งสาธารณะประเมินพฤติกรรมการขับขี่ ลดอุบัติเหตุ เพิ่มประสิทธิภาพการบริการ คาดครอบคลุมทั่วประเทศในปี 62
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน มีนโยบายด้านการเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ตามวัตถุประสงค์หลักที่ต้องการ ให้มีการส่งเสริมภาคเศรษฐกิจดิจิทัล และวางรากฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลในการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง ซึ่งจะทําให้ทุกภาคเศรษฐกิจก้าวทันและสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้
กระทรวงดิจิทัลฯ ในฐานะหน่วยงานหลักในการผลักดันนโยบายดังกล่าว ได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ทั้ง บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) หรือ CAT สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ DEPA และสํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ สดช. ดําเนินการพัฒนาโครงการภูเก็ต สมาร์ทซิตี้ (Phuket Smart City) “ต้นแบบเมืองอัจฉริยะ” ภายใต้โครงการความร่วมมือกับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และส่วนราชการท้องถิ่นในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นโครงการสําคัญในยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาโครงข่ายบรอดแบนด์ให้ครอบคลุมพื้นที่สาธารณะ พื้นที่ท่องเที่ยว และพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งมุ่งหวังให้ประชาชน นักท่องเที่ยว หรือชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในจังหวัดภูเก็ตได้ใช้ประโยชน์ เช่น 1) ประชาชนในจังหวัดภูเก็ตสามารถใช้บริการอินเทอร์เน็ตเข้าถึงข้อมูลและบริการที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอาชีพ สร้างธุรกิจ และเพิ่มรายได้ในชุมชนผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งการได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมในการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนผ่านบริการดิจิทัลต่างๆ 2) ชาวต่างชาติหรือนักท่องเที่ยวสามารถใช้ประโยชน์จากบริการอินเทอร์เน็ตในการทํากิจกรรมออนไลน์ต่างๆ เพื่อเป็นการผลักดันและส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมถึงช่วยสร้างบรรยากาศ และเพิ่มแรงจูงใจในการลงทุนทางธุรกิจในจังหวัดภูเก็ต และ 3) เพื่อพัฒนาจังหวัดภูเก็ตให้เป็น Smart City ซึ่งจะดําเนินการในพื้นที่สาธารณะ พื้นที่ท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตให้มีโครงสร้างพื้นฐานที่จําเป็น โดยจังหวัดภูเก็ตพร้อมที่จะรองรับการใช้งานเทคโนโลยีสมัยใหม่ อาทิ Internet of Things (IoT) และนวัตกรรมอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
สําหรับ “ภูเก็ต สมาร์ทซิตี้” ได้ดําเนินการยกระดับพื้นที่ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลไปแล้วในหลายโครงการ อาทิ การให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยเทคโนโลยีไร้สาย (Hi-speed Wi-Fi) ในพื้นที่สาธารณะ สถานที่ท่องเที่ยว และพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดภูเก็ต จํานวน 100 สถานที่ และมีจุดให้บริการ 1,000 จุด ให้บริการในอัตราการรับ/ส่งข้อมูลความเร็วไม่น้อยกว่า 100/25 Mbps ผ่านโครงข่ายใยแก้วนําแสง (Fiber Optic Cable) เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ใช้ประโยชน์จากสัญญาณอินเทอร์เน็ตอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ จังหวัดภูเก็ตยังมีจุดให้บริการ Beacon ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้สําหรับการส่งข้อมูลระยะสั้นผ่าน Bluetooth Low Energy พร้อมระบบที่เกี่ยวข้อง จํานวน 2,000 จุด รวมถึงได้สร้างแอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือให้ประชาชน นักท่องเที่ยว และชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ได้รับข้อมูลข่าวสารทางตรง มีความถูกต้องจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และได้รับข้อมูลการท่องเที่ยวที่เป็นประโยชน์ พร้อมสิทธิประโยชน์จําเพาะเจาะจงในพื้นที่ ซึ่งเป็นการส่งเสริมการเข้ามามีส่วนร่วมของผู้ประกอบการในพื้นที่หรือจังหวัดได้อีกทางหนึ่ง รวมทั้งยังมีระบบจัดเก็บข้อมูลและการบริหารจัดการข้อมูลแบบบูรณาการ (Big Data) ที่พร้อมให้บริการข้อมูลในลักษณะ Open Data ตลอดจนระบบรายงานเพื่อการบริหารจัดการข้อมูล (Reporting Tool) สําหรับนําเสนอข้อมูลหรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจในการบริหารจัดการเมืองอัจฉริยะ อีกทั้งมีการให้บริการสื่อข้อมูลแบบดิจิทัล (Digital Signage) จํานวน 21 จุดให้บริการ ประกอบด้วย อุปกรณ์พร้อมจอภาพแสดงผลขนาดไม่ต่ํากว่า 46 นิ้ว จํานวน 20 จุด และจอภาพแสดงผลต่อเนื่องในลักษณะ Video Wall โดยแต่ละจอภาพมีขนาดไม่ต่ํากว่า 55 นิ้ว รวม 5 จอ จํานวน 1 จุด
นอกจากนั้น CAT ยังได้นําเอาเทคโนโลยี IoT เข้ามารองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นเมืองอัจฉริยะของจังหวัดภูเก็ต โดยแบ่งบทบาทการทํางานเพื่อให้บริการ IoT ตั้งแต่ ระดับ Device เนื่องจากในอนาคตจะมีผู้ใช้งาน sensor เพิ่มมากขึ้น เพื่อตอบสนองงานบริการ Internet of Things (IoT) ด้านต่างๆ อย่างครอบคลุม CAT จึงให้ความสําคัญกับการสนับสนุนการสร้าง Ecosystem โดยผลักดันให้เกิดการผลิตและติดตั้งอุปกรณ์เหล่านั้นอย่างรวดเร็ว เพื่อให้สามารถเข้าถึงระดับ Network โดย CAT ให้บริการด้านการสื่อสารระบบสายและไร้สาย ได้แก่ บริการ 3G และ 4G ภายใต้แบรนด์ My อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ C-Internet รวมถึง LPWAN ที่ CAT ได้นําเทคโนโลยี LoRaWAN มาเปิดบริการเพื่อรองรับอุปกรณ์ IoT โดยสามารถรับส่งข้อมูลได้ในระยะไกล ประหยัดพลังงาน และราคาไม่สูงมากนัก
ในส่วนของ LoRaWAN ได้เริ่มทดสอบให้บริการใน 4 จุด ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สนามหลวง มหาวิทยาลัยบูรพา และจังหวัดภูเก็ต ตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งจังหวัดภูเก็ตได้ใช้ LoRaWAN เข้าไปช่วยในเรื่องของระบบติดตามพิกัด ติดตามสถานการณ์ทํางานของระบบขนส่งสาธารณะ อาทิ เรือโดยสาร รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถทัวร์ และรถเก็บขยะ เป็นต้น เพื่อประเมินพฤติกรรมการขับขี่ เพิ่มความปลอดภัยในการให้บริการ การบริหารจัดการเวลา จะเห็นได้ว่าหนึ่งในปัจจัยหลักของการบริหารจัดการเมืองอัจฉริยะ คือ การจัดสร้างระบบสําหรับรองรับ Big Data หรือ Data Aggregation เพื่อใช้ในการจัดการข้อมูลหลากหลายรูปแบบที่ถูกส่งมาจากอุปกรณ์เซ็นเซอร์ หรือเพื่อเตรียมพร้อมสําหรับส่งข้อมูลเหล่านี้ให้กับนักพัฒนาแอปพลิเคชั่นได้นําไปต่อยอดแอปพลิเคชั่นของตนเอง สําหรับการให้บริการ LoRaWAN ของ CAT นอกจาก 4 จุดดังกล่าวแล้ว ยังมีแผนขยายโครงข่ายเพื่อเปิดให้บริการ LoRa by CAT เพิ่มขึ้นในหลายจังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา น่าน สระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี สงขลา สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา มหาสารคาม อุดรธานี อุบลราชธานี และนครปฐม โดยมีเป้าหมายที่จะวางโครงข่ายเพื่อให้บริการครอบคลุมทั้งประเทศภายในปี 2562 ส่วนระดับสุดท้าย คือ ระดับ Data Analysis เพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะ โดยเน้นไปที่เรื่องของการบริการเมืองอัจฉริยะในแต่ละด้าน ซึ่งมีแนวโน้มความต้องการที่สูงขึ้น ประกอบกับการสร้างเมืองอัจฉริยะนั้น ต้องมีระบบประมวลผลขนาดใหญ่ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่เกิดจากพฤติกรรมและกิจกรรมที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละจังหวัด เพื่อสร้างความเข้าใจและป้องกันปัญหาของเมืองที่มีแตกต่างกันไปได้อย่างยั่งยืน และถาวร
สําหรับ DEPA โดยสาขาภาคใต้ตอนบน ได้ดําเนินการขับเคลื่อน Smart City ภายใต้โครงการ Smart Growth ในด้านต่างประกอบด้วย Smart Economy จัดทําหลักสูตรการอบรมของหน่วยงานที่เป็น Startup ซึ่งที่ผ่านมามี Startup ที่จดทะเบียนกับ BOI เพิ่มขึ้นจํานวน 28 ราย มูลค่าการลงทุนประมาณ 160 ล้าน รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ Smart City Innovation Park เป็นศูนย์ที่ให้ความรู้เรื่อง Smart City ซึ่งปีที่ผ่านมามีหน่วยงานทั่วประเทศเข้ามาเรียนรู้ประมาณ 3,500 คน ตลอดจนการดําเนินการเรื่อง Digital Startup โดย DEPA จัดสรรเงินทุนและงบประมาณให้กับ Startup Funds ที่เกี่ยวกับ Smart City ร่วมขบคิดแก้ไขปัญหาของเมือง
Smart Tourism การพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว Smart City Application ได้พัฒนาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดําเนินการร่วมกับบริษัทประชารัฐรักสามัคคีเพื่อปรับปรุงแอปพลิเคชันให้สามารถนําสินค้าท้องถิ่นมานําเสนอบนแอปพลิเคชั่นได้ และจะเปลี่ยนชื่อจาก Smart City Application เป็น So Phuket ตามแนวคิดของประชารัฐ
Smart Safety พัฒนาระบบฐานข้อมูลนักท่องเที่ยว ระบบแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายใช้งานควบคู่กับ Smart City Application และระบบควบคุมความปลอดภัยทางทะเล ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก การพัฒนาระบบฐานข้อมูล ได้ดําเนินการแล้วเสร็จ และได้ฝึกอบรมให้กับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ส่วนที่สอง ศึกษาเทคโนโลยีที่ใช้กับสายรัดข้อมือ Wristband เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลในการติดตามนักท่องเที่ยวทางเรือ โดยระบบต้นแบบได้พัฒนาเสร็จเรียบร้อยแล้ว และท่าเรืออ่าวปอได้นําระบบต้นแบบไปทดลองใช้งานจริง ผ่านการดําเนินการโดย Startup ในพื้นที่
Smart Environment ระบบเซ็นเซอร์ IOT Development sensor ซึ่งได้ติดตั้งแล้วจํานวน 10 สถานี ระยะทาง 8 กิโลเมตรไปตามแนวคลองบางใหญ่ที่ผ่านเทศบาลนครภูเก็ต ระบบเชื่อมต่อข้อมูลคุณภาพน้ํา ข้อมูลอากาศ ข้อมูลระดับน้ํา และในระยะที่ 2 จะติดตั้งเพิ่มอีก 5 สถานีบนแนวคลองบางใหญ่ช่วงต้นน้ํา คาดว่าเดือนกันยายน 2561 จะดําเนินการแล้วเสร็จ นอกจากนั้นยังได้รับการจัดสรรงบประมาณให้ดําเนินการเรื่องการเชื่อมโยงข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกันทั้งหมด ล่าสุดพบว่ามีหน่วยงานที่เป็นเจ้าของข้อมูล sensor เรื่องน้ําประมาณ 5-6 หน่วยงาน โดยจะรวมข้อมูลทั้งหมดเพื่อให้เห็นภาพรวมของการบริหารจัดการน้ําของจังหวัดภูเก็ต ปัญหา อุปสรรค และรูปแบบการนําไปใช้จริง
สําหรับโครงการต่อเนื่องที่จะดําเนินการในปีนี้เป็นเรื่อง City Data Platform จะเป็นมิติการรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเมืองที่ผ่านระบบ IoT sensor หรือระบบต่างๆ ที่อยู่ในอํานาจของจังหวัดเข้ามาไว้ที่ส่วนกลางและเป็นฐานข้อมูล Big Data ของจังหวัดเพื่อให้เมืองสามารถบริหารจัดการได้ โดยได้กําหนดเป็น 3 เรื่อง คือ การท่องเที่ยว ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม ข้อมูลที่ไปตอบโจทย์ด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันได้หน่วยงานพันธมิตรแล้ว คือมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และบริษัทภูเก็ตพัฒนาเมือง ที่อยู่ระหว่างการจัดทําข้อเสนอร่วมวิจัยโครงการมาเสนอต่อ DEPA ต่อไป
*******************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ จับมือ CAT-DEPA-สดช. โชว์ความสำเร็จ Phuket Smart City สร้างเมืองอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เพิ่มคุณภาพชีวิตชาวภูเก็ต-นักท่องเที่ยว
วันศุกร์ที่ 20 เมษายน 2561
กระทรวงดิจิทัลฯ จับมือ CAT-DEPA-สดช. โชว์ความสําเร็จ Phuket Smart City สร้างเมืองอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เพิ่มคุณภาพชีวิตชาวภูเก็ต-นักท่องเที่ยว
กระทรวงดิจิทัลฯ
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับหน่วยงานในสังกัด ทั้ง บมจ.กสท โทรคมนาคม (CAT) สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) และสํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สดช.) ประกาศความสําเร็จในงาน Success to Phuket Smart City ยกจังหวัดภูเก็ต เป็นต้นแบบเมืองอัจฉริยะ ผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล บริการ Free Wi-Fi 1,000 จุด บริการ Beacon 2,000 จุด เปิดแอปฯ ข้อมูลข่าวสารจังหวัด บูรณาการจัดเก็บข้อมูล Big Data เพื่อการบริหารเมือง พร้อมนําร่องบริการ LoRaWAN ใช้ในการติดตามพิกัดการขนส่งสาธารณะประเมินพฤติกรรมการขับขี่ ลดอุบัติเหตุ เพิ่มประสิทธิภาพการบริการ คาดครอบคลุมทั่วประเทศในปี 62
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน มีนโยบายด้านการเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ตามวัตถุประสงค์หลักที่ต้องการ ให้มีการส่งเสริมภาคเศรษฐกิจดิจิทัล และวางรากฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลในการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง ซึ่งจะทําให้ทุกภาคเศรษฐกิจก้าวทันและสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้
กระทรวงดิจิทัลฯ ในฐานะหน่วยงานหลักในการผลักดันนโยบายดังกล่าว ได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ทั้ง บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) หรือ CAT สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ DEPA และสํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ สดช. ดําเนินการพัฒนาโครงการภูเก็ต สมาร์ทซิตี้ (Phuket Smart City) “ต้นแบบเมืองอัจฉริยะ” ภายใต้โครงการความร่วมมือกับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และส่วนราชการท้องถิ่นในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นโครงการสําคัญในยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาโครงข่ายบรอดแบนด์ให้ครอบคลุมพื้นที่สาธารณะ พื้นที่ท่องเที่ยว และพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งมุ่งหวังให้ประชาชน นักท่องเที่ยว หรือชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในจังหวัดภูเก็ตได้ใช้ประโยชน์ เช่น 1) ประชาชนในจังหวัดภูเก็ตสามารถใช้บริการอินเทอร์เน็ตเข้าถึงข้อมูลและบริการที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอาชีพ สร้างธุรกิจ และเพิ่มรายได้ในชุมชนผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งการได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมในการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนผ่านบริการดิจิทัลต่างๆ 2) ชาวต่างชาติหรือนักท่องเที่ยวสามารถใช้ประโยชน์จากบริการอินเทอร์เน็ตในการทํากิจกรรมออนไลน์ต่างๆ เพื่อเป็นการผลักดันและส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมถึงช่วยสร้างบรรยากาศ และเพิ่มแรงจูงใจในการลงทุนทางธุรกิจในจังหวัดภูเก็ต และ 3) เพื่อพัฒนาจังหวัดภูเก็ตให้เป็น Smart City ซึ่งจะดําเนินการในพื้นที่สาธารณะ พื้นที่ท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตให้มีโครงสร้างพื้นฐานที่จําเป็น โดยจังหวัดภูเก็ตพร้อมที่จะรองรับการใช้งานเทคโนโลยีสมัยใหม่ อาทิ Internet of Things (IoT) และนวัตกรรมอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
สําหรับ “ภูเก็ต สมาร์ทซิตี้” ได้ดําเนินการยกระดับพื้นที่ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลไปแล้วในหลายโครงการ อาทิ การให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยเทคโนโลยีไร้สาย (Hi-speed Wi-Fi) ในพื้นที่สาธารณะ สถานที่ท่องเที่ยว และพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดภูเก็ต จํานวน 100 สถานที่ และมีจุดให้บริการ 1,000 จุด ให้บริการในอัตราการรับ/ส่งข้อมูลความเร็วไม่น้อยกว่า 100/25 Mbps ผ่านโครงข่ายใยแก้วนําแสง (Fiber Optic Cable) เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ใช้ประโยชน์จากสัญญาณอินเทอร์เน็ตอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ จังหวัดภูเก็ตยังมีจุดให้บริการ Beacon ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้สําหรับการส่งข้อมูลระยะสั้นผ่าน Bluetooth Low Energy พร้อมระบบที่เกี่ยวข้อง จํานวน 2,000 จุด รวมถึงได้สร้างแอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือให้ประชาชน นักท่องเที่ยว และชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ได้รับข้อมูลข่าวสารทางตรง มีความถูกต้องจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และได้รับข้อมูลการท่องเที่ยวที่เป็นประโยชน์ พร้อมสิทธิประโยชน์จําเพาะเจาะจงในพื้นที่ ซึ่งเป็นการส่งเสริมการเข้ามามีส่วนร่วมของผู้ประกอบการในพื้นที่หรือจังหวัดได้อีกทางหนึ่ง รวมทั้งยังมีระบบจัดเก็บข้อมูลและการบริหารจัดการข้อมูลแบบบูรณาการ (Big Data) ที่พร้อมให้บริการข้อมูลในลักษณะ Open Data ตลอดจนระบบรายงานเพื่อการบริหารจัดการข้อมูล (Reporting Tool) สําหรับนําเสนอข้อมูลหรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจในการบริหารจัดการเมืองอัจฉริยะ อีกทั้งมีการให้บริการสื่อข้อมูลแบบดิจิทัล (Digital Signage) จํานวน 21 จุดให้บริการ ประกอบด้วย อุปกรณ์พร้อมจอภาพแสดงผลขนาดไม่ต่ํากว่า 46 นิ้ว จํานวน 20 จุด และจอภาพแสดงผลต่อเนื่องในลักษณะ Video Wall โดยแต่ละจอภาพมีขนาดไม่ต่ํากว่า 55 นิ้ว รวม 5 จอ จํานวน 1 จุด
นอกจากนั้น CAT ยังได้นําเอาเทคโนโลยี IoT เข้ามารองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นเมืองอัจฉริยะของจังหวัดภูเก็ต โดยแบ่งบทบาทการทํางานเพื่อให้บริการ IoT ตั้งแต่ ระดับ Device เนื่องจากในอนาคตจะมีผู้ใช้งาน sensor เพิ่มมากขึ้น เพื่อตอบสนองงานบริการ Internet of Things (IoT) ด้านต่างๆ อย่างครอบคลุม CAT จึงให้ความสําคัญกับการสนับสนุนการสร้าง Ecosystem โดยผลักดันให้เกิดการผลิตและติดตั้งอุปกรณ์เหล่านั้นอย่างรวดเร็ว เพื่อให้สามารถเข้าถึงระดับ Network โดย CAT ให้บริการด้านการสื่อสารระบบสายและไร้สาย ได้แก่ บริการ 3G และ 4G ภายใต้แบรนด์ My อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ C-Internet รวมถึง LPWAN ที่ CAT ได้นําเทคโนโลยี LoRaWAN มาเปิดบริการเพื่อรองรับอุปกรณ์ IoT โดยสามารถรับส่งข้อมูลได้ในระยะไกล ประหยัดพลังงาน และราคาไม่สูงมากนัก
ในส่วนของ LoRaWAN ได้เริ่มทดสอบให้บริการใน 4 จุด ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สนามหลวง มหาวิทยาลัยบูรพา และจังหวัดภูเก็ต ตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งจังหวัดภูเก็ตได้ใช้ LoRaWAN เข้าไปช่วยในเรื่องของระบบติดตามพิกัด ติดตามสถานการณ์ทํางานของระบบขนส่งสาธารณะ อาทิ เรือโดยสาร รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถทัวร์ และรถเก็บขยะ เป็นต้น เพื่อประเมินพฤติกรรมการขับขี่ เพิ่มความปลอดภัยในการให้บริการ การบริหารจัดการเวลา จะเห็นได้ว่าหนึ่งในปัจจัยหลักของการบริหารจัดการเมืองอัจฉริยะ คือ การจัดสร้างระบบสําหรับรองรับ Big Data หรือ Data Aggregation เพื่อใช้ในการจัดการข้อมูลหลากหลายรูปแบบที่ถูกส่งมาจากอุปกรณ์เซ็นเซอร์ หรือเพื่อเตรียมพร้อมสําหรับส่งข้อมูลเหล่านี้ให้กับนักพัฒนาแอปพลิเคชั่นได้นําไปต่อยอดแอปพลิเคชั่นของตนเอง สําหรับการให้บริการ LoRaWAN ของ CAT นอกจาก 4 จุดดังกล่าวแล้ว ยังมีแผนขยายโครงข่ายเพื่อเปิดให้บริการ LoRa by CAT เพิ่มขึ้นในหลายจังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา น่าน สระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี สงขลา สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา มหาสารคาม อุดรธานี อุบลราชธานี และนครปฐม โดยมีเป้าหมายที่จะวางโครงข่ายเพื่อให้บริการครอบคลุมทั้งประเทศภายในปี 2562 ส่วนระดับสุดท้าย คือ ระดับ Data Analysis เพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะ โดยเน้นไปที่เรื่องของการบริการเมืองอัจฉริยะในแต่ละด้าน ซึ่งมีแนวโน้มความต้องการที่สูงขึ้น ประกอบกับการสร้างเมืองอัจฉริยะนั้น ต้องมีระบบประมวลผลขนาดใหญ่ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่เกิดจากพฤติกรรมและกิจกรรมที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละจังหวัด เพื่อสร้างความเข้าใจและป้องกันปัญหาของเมืองที่มีแตกต่างกันไปได้อย่างยั่งยืน และถาวร
สําหรับ DEPA โดยสาขาภาคใต้ตอนบน ได้ดําเนินการขับเคลื่อน Smart City ภายใต้โครงการ Smart Growth ในด้านต่างประกอบด้วย Smart Economy จัดทําหลักสูตรการอบรมของหน่วยงานที่เป็น Startup ซึ่งที่ผ่านมามี Startup ที่จดทะเบียนกับ BOI เพิ่มขึ้นจํานวน 28 ราย มูลค่าการลงทุนประมาณ 160 ล้าน รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ Smart City Innovation Park เป็นศูนย์ที่ให้ความรู้เรื่อง Smart City ซึ่งปีที่ผ่านมามีหน่วยงานทั่วประเทศเข้ามาเรียนรู้ประมาณ 3,500 คน ตลอดจนการดําเนินการเรื่อง Digital Startup โดย DEPA จัดสรรเงินทุนและงบประมาณให้กับ Startup Funds ที่เกี่ยวกับ Smart City ร่วมขบคิดแก้ไขปัญหาของเมือง
Smart Tourism การพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว Smart City Application ได้พัฒนาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดําเนินการร่วมกับบริษัทประชารัฐรักสามัคคีเพื่อปรับปรุงแอปพลิเคชันให้สามารถนําสินค้าท้องถิ่นมานําเสนอบนแอปพลิเคชั่นได้ และจะเปลี่ยนชื่อจาก Smart City Application เป็น So Phuket ตามแนวคิดของประชารัฐ
Smart Safety พัฒนาระบบฐานข้อมูลนักท่องเที่ยว ระบบแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายใช้งานควบคู่กับ Smart City Application และระบบควบคุมความปลอดภัยทางทะเล ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก การพัฒนาระบบฐานข้อมูล ได้ดําเนินการแล้วเสร็จ และได้ฝึกอบรมให้กับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ส่วนที่สอง ศึกษาเทคโนโลยีที่ใช้กับสายรัดข้อมือ Wristband เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลในการติดตามนักท่องเที่ยวทางเรือ โดยระบบต้นแบบได้พัฒนาเสร็จเรียบร้อยแล้ว และท่าเรืออ่าวปอได้นําระบบต้นแบบไปทดลองใช้งานจริง ผ่านการดําเนินการโดย Startup ในพื้นที่
Smart Environment ระบบเซ็นเซอร์ IOT Development sensor ซึ่งได้ติดตั้งแล้วจํานวน 10 สถานี ระยะทาง 8 กิโลเมตรไปตามแนวคลองบางใหญ่ที่ผ่านเทศบาลนครภูเก็ต ระบบเชื่อมต่อข้อมูลคุณภาพน้ํา ข้อมูลอากาศ ข้อมูลระดับน้ํา และในระยะที่ 2 จะติดตั้งเพิ่มอีก 5 สถานีบนแนวคลองบางใหญ่ช่วงต้นน้ํา คาดว่าเดือนกันยายน 2561 จะดําเนินการแล้วเสร็จ นอกจากนั้นยังได้รับการจัดสรรงบประมาณให้ดําเนินการเรื่องการเชื่อมโยงข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกันทั้งหมด ล่าสุดพบว่ามีหน่วยงานที่เป็นเจ้าของข้อมูล sensor เรื่องน้ําประมาณ 5-6 หน่วยงาน โดยจะรวมข้อมูลทั้งหมดเพื่อให้เห็นภาพรวมของการบริหารจัดการน้ําของจังหวัดภูเก็ต ปัญหา อุปสรรค และรูปแบบการนําไปใช้จริง
สําหรับโครงการต่อเนื่องที่จะดําเนินการในปีนี้เป็นเรื่อง City Data Platform จะเป็นมิติการรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเมืองที่ผ่านระบบ IoT sensor หรือระบบต่างๆ ที่อยู่ในอํานาจของจังหวัดเข้ามาไว้ที่ส่วนกลางและเป็นฐานข้อมูล Big Data ของจังหวัดเพื่อให้เมืองสามารถบริหารจัดการได้ โดยได้กําหนดเป็น 3 เรื่อง คือ การท่องเที่ยว ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม ข้อมูลที่ไปตอบโจทย์ด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันได้หน่วยงานพันธมิตรแล้ว คือมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และบริษัทภูเก็ตพัฒนาเมือง ที่อยู่ระหว่างการจัดทําข้อเสนอร่วมวิจัยโครงการมาเสนอต่อ DEPA ต่อไป
*******************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11646
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ประจำปีการศึกษา 2557-2558
|
วันจันทร์ที่ 30 มกราคม 2560
พิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ประจําปีการศึกษา 2557-2558
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จพระราชดําเนินในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สําเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 11 แห่ง จํานวน 33,924 คน และมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ จํานวน 268 คน ประจําปีการศึกษา 2557-2558
รวมทั้งสิ้น 34,192 คน ระหว่างวันที่ 26-31 มกราคม 2560 ณ หอประชุมมหาวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
พิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
วันที่สี่: วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม 2560
ผู้สําเร็จการศึกษาที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในวันที่สี่ ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามจํานวน 4,391 คน และมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษจํานวน 1,402 คน จํานวนทั้งสิ้น 5,793 คน โดยมีม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วยศาสตราจารย์ปริญญา จินดาประเสริฐ นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม, รศ.สมชาย วงศ์เกษม อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม, นายศรีวรรณ เกียรติสุรนนท์ นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ, ผศ.ประกาศิต อานุภาพแสนยากร อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ตลอดจนคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย นักศึกษา และประชาชน ร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จ
พิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
วันที่สาม: วันเสาร์ที่ 28 มกราคม 2560
ผู้สําเร็จการศึกษาที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในวันที่สาม ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์จํานวน 2,859 คน และมหาวิทยาลัยราชภัฏเลยจํานวน 3,232 คน จํานวนทั้งสิ้น 6,091 คน โดยมีพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วยนายถนอม อินทรกําเนิด นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์, ผศ.จรูญ ถาวรจักร อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์, นายสุชาติ เมืองแก้ว นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏเลย, ผศ.สนิท เหลืองบุตรนาค อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเลย ตลอดจนคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย นักศึกษา และประชาชน ร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จ
พิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
วันที่สอง: วันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2560
ผู้สําเร็จการศึกษาที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในวันที่สอง ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์จํานวน 4,780 คน และมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดจํานวน 212 คน จํานวนทั้งสิ้น 4,992 คน โดยมีพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วย ดร.สุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, นายสุชาติ เมืองแก้ว นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์, รศ.มาลิณี จุโฑปะมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์, ศาสตราจารย์ (พิเศษ) นพ.สมพร โพธินาม นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด, ผศ.ดุสิต อุบลเลิศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ตลอดจนคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย นักศึกษา และประชาชน ร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จ
พิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
วันแรก: วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม 2560
ผู้สําเร็จการศึกษาที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในวันแรก ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครจํานวน 3,760 คน และมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาจํานวน 2,344 คนจํานวนทั้งสิ้น6,104คน โดยมีพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วย ดร.สุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, นายปัญญา มหาชัย นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร, รศ.ชนินทร์ วะสีนนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร, นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา, รศ.วิเชียร ฝอยพิกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ตลอดจนคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย นักศึกษา และประชาชน ร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ประจำปีการศึกษา 2557-2558
วันจันทร์ที่ 30 มกราคม 2560
พิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ประจําปีการศึกษา 2557-2558
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จพระราชดําเนินในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สําเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 11 แห่ง จํานวน 33,924 คน และมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ จํานวน 268 คน ประจําปีการศึกษา 2557-2558
รวมทั้งสิ้น 34,192 คน ระหว่างวันที่ 26-31 มกราคม 2560 ณ หอประชุมมหาวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
พิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
วันที่สี่: วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม 2560
ผู้สําเร็จการศึกษาที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในวันที่สี่ ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามจํานวน 4,391 คน และมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษจํานวน 1,402 คน จํานวนทั้งสิ้น 5,793 คน โดยมีม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วยศาสตราจารย์ปริญญา จินดาประเสริฐ นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม, รศ.สมชาย วงศ์เกษม อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม, นายศรีวรรณ เกียรติสุรนนท์ นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ, ผศ.ประกาศิต อานุภาพแสนยากร อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ตลอดจนคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย นักศึกษา และประชาชน ร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จ
พิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
วันที่สาม: วันเสาร์ที่ 28 มกราคม 2560
ผู้สําเร็จการศึกษาที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในวันที่สาม ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์จํานวน 2,859 คน และมหาวิทยาลัยราชภัฏเลยจํานวน 3,232 คน จํานวนทั้งสิ้น 6,091 คน โดยมีพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วยนายถนอม อินทรกําเนิด นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์, ผศ.จรูญ ถาวรจักร อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์, นายสุชาติ เมืองแก้ว นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏเลย, ผศ.สนิท เหลืองบุตรนาค อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเลย ตลอดจนคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย นักศึกษา และประชาชน ร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จ
พิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
วันที่สอง: วันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2560
ผู้สําเร็จการศึกษาที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในวันที่สอง ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์จํานวน 4,780 คน และมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดจํานวน 212 คน จํานวนทั้งสิ้น 4,992 คน โดยมีพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วย ดร.สุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, นายสุชาติ เมืองแก้ว นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์, รศ.มาลิณี จุโฑปะมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์, ศาสตราจารย์ (พิเศษ) นพ.สมพร โพธินาม นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด, ผศ.ดุสิต อุบลเลิศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ตลอดจนคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย นักศึกษา และประชาชน ร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จ
พิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
วันแรก: วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม 2560
ผู้สําเร็จการศึกษาที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในวันแรก ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครจํานวน 3,760 คน และมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาจํานวน 2,344 คนจํานวนทั้งสิ้น6,104คน โดยมีพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วย ดร.สุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, นายปัญญา มหาชัย นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร, รศ.ชนินทร์ วะสีนนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร, นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา, รศ.วิเชียร ฝอยพิกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ตลอดจนคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย นักศึกษา และประชาชน ร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1534
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รวอ.ให้รองผู้ว่ากรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย ร่วมหารือด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ
|
วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม 2561
รวอ.ให้รองผู้ว่ากรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย ร่วมหารือด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้รองผู้ว่ากรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย ร่วมหารือด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ณ ห้องรับรอง 1 ชั้น 2 กระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (29 มีนาคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้นายทรงศัก สายเชื้อ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา นํา นาง Maria Vassilakou รองผู้ว่ากรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย และคณะ เข้าพบ เพื่อหารือด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะและติดตามประเด็นที่หารือกัน ในช่วงที่ท่านรัฐมนตรีเดินทางไปเยือนกรุงเวียนนาเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 ณ ห้องรับรอง 1 ชั้น 2 กระทรวงอุตสาหกรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รวอ.ให้รองผู้ว่ากรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย ร่วมหารือด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ
วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม 2561
รวอ.ให้รองผู้ว่ากรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย ร่วมหารือด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้รองผู้ว่ากรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย ร่วมหารือด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ณ ห้องรับรอง 1 ชั้น 2 กระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (29 มีนาคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้นายทรงศัก สายเชื้อ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา นํา นาง Maria Vassilakou รองผู้ว่ากรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย และคณะ เข้าพบ เพื่อหารือด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะและติดตามประเด็นที่หารือกัน ในช่วงที่ท่านรัฐมนตรีเดินทางไปเยือนกรุงเวียนนาเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 ณ ห้องรับรอง 1 ชั้น 2 กระทรวงอุตสาหกรรม
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11175
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยจัดตั้งกลุ่มยุทธศาสตร์การพัฒนาภาค สนับสนุนการทำงานภาคและบูรณาการการจัดทำแผนในทุกระดับ
|
วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2560
กระทรวงมหาดไทยจัดตั้งกลุ่มยุทธศาสตร์การพัฒนาภาค สนับสนุนการทํางานภาคและบูรณาการการจัดทําแผนในทุกระดับ
กระทรวงมหาดไทยจัดตั้งกลุ่มยุทธศาสตร์การพัฒนาภาค สนับสนุนการทํางานภาคและบูรณาการการจัดทําแผนในทุกระดับ
วันนี้ (15 ธ.ค.60) ที่กระทรวงมหาดไทย นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2560 ประกอบกับประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ เรื่อง การจัดตั้งกลุ่มจังหวัดและกําหนดจังหวัดที่เป็นศูนย์ปฏิบัติการของกลุ่มจังหวัด (ฉบับที่ 3) โดยจัดตั้งกลุ่มจังหวัด จํานวน 18 กลุ่มจังหวัด 6 ภาค และกําหนดจังหวัดที่เป็นศูนย์ปฏิบัติการของกลุ่มจังหวัด
ดังนั้น เพื่อให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาภาค การพัฒนาพื้นที่ของรัฐบาล และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เกิดประสิทธิภาพ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ลงนามคําสั่งสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่ 1658/2560 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2560 จัดตั้งกลุ่มยุทธศาสตร์การพัฒนาภาค สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โดยแบ่งเป็นจํานวน 6 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคกลาง 2) กลุ่มยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคใต้ 3) กลุ่มยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคใต้ชายแดน 4) กลุ่มยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคตะวันออก 5) กลุ่มยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ 6) กลุ่มยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคเหนือ มีอํานาจหน้าที่ 1. ประสานและบูรณาการการทํางานของภาคร่วมกับหน่วยงานกลางและคณะกรรมการหรือคณะทํางานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งส่วนราชการ กระทรวง กรม และส่วนราชการหรือภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาในระดับพื้นที่ การรับฟังความคิดเห็นในระดับพื้นที่ เพื่อเชื่อมโยงบูรณาการและประสานการจัดทําแผนในทุกระดับ ทั้งยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายสําคัญของรัฐบาล แผนพัฒนาภาค แผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด แผนพัฒนาอําเภอ แผนพัฒนาตําบล แผนพัฒนาชุมชน หมู่บ้าน และแผนพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในลักษณะ One Plan 2. ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดทําและบริหารแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด และแผนพัฒนาจังหวัดให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 3. ศึกษา วิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อจัดทําระบบข้อมูลศักยภาพการพัฒนาภาค 4. ติดตามและประเมินผลการดําเนินงานตามแผนพัฒนาภาค และ 5. จัดทําข้อเสนอแนะเพื่อนําไปสู่การพัฒนากระบวนการจัดทําแผนพัฒนาภาค
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดตั้งกลุ่มยุทธศาสตร์การพัฒนาภาค สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว จะเป็นกลไกในการบูรณาการการทํางานของหน่วยงานต่างๆ ทั้งในส่วนกลางและในระดับพื้นที่ เพื่อเชื่อมโยงการจัดทําแผนในระดับต่างๆ ให้เกิดประสิทธิภาพตอบสนองต่อการพัฒนาประเทศอย่างมั่งคง มั่งคั่ง ยั่งยืนต่อไป.
ครั้งที่ 193/2560
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
โทร. 0-22224131-2
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยจัดตั้งกลุ่มยุทธศาสตร์การพัฒนาภาค สนับสนุนการทำงานภาคและบูรณาการการจัดทำแผนในทุกระดับ
วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2560
กระทรวงมหาดไทยจัดตั้งกลุ่มยุทธศาสตร์การพัฒนาภาค สนับสนุนการทํางานภาคและบูรณาการการจัดทําแผนในทุกระดับ
กระทรวงมหาดไทยจัดตั้งกลุ่มยุทธศาสตร์การพัฒนาภาค สนับสนุนการทํางานภาคและบูรณาการการจัดทําแผนในทุกระดับ
วันนี้ (15 ธ.ค.60) ที่กระทรวงมหาดไทย นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2560 ประกอบกับประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ เรื่อง การจัดตั้งกลุ่มจังหวัดและกําหนดจังหวัดที่เป็นศูนย์ปฏิบัติการของกลุ่มจังหวัด (ฉบับที่ 3) โดยจัดตั้งกลุ่มจังหวัด จํานวน 18 กลุ่มจังหวัด 6 ภาค และกําหนดจังหวัดที่เป็นศูนย์ปฏิบัติการของกลุ่มจังหวัด
ดังนั้น เพื่อให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาภาค การพัฒนาพื้นที่ของรัฐบาล และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เกิดประสิทธิภาพ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ลงนามคําสั่งสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่ 1658/2560 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2560 จัดตั้งกลุ่มยุทธศาสตร์การพัฒนาภาค สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โดยแบ่งเป็นจํานวน 6 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคกลาง 2) กลุ่มยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคใต้ 3) กลุ่มยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคใต้ชายแดน 4) กลุ่มยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคตะวันออก 5) กลุ่มยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ 6) กลุ่มยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคเหนือ มีอํานาจหน้าที่ 1. ประสานและบูรณาการการทํางานของภาคร่วมกับหน่วยงานกลางและคณะกรรมการหรือคณะทํางานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งส่วนราชการ กระทรวง กรม และส่วนราชการหรือภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาในระดับพื้นที่ การรับฟังความคิดเห็นในระดับพื้นที่ เพื่อเชื่อมโยงบูรณาการและประสานการจัดทําแผนในทุกระดับ ทั้งยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายสําคัญของรัฐบาล แผนพัฒนาภาค แผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด แผนพัฒนาอําเภอ แผนพัฒนาตําบล แผนพัฒนาชุมชน หมู่บ้าน และแผนพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในลักษณะ One Plan 2. ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดทําและบริหารแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด และแผนพัฒนาจังหวัดให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 3. ศึกษา วิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อจัดทําระบบข้อมูลศักยภาพการพัฒนาภาค 4. ติดตามและประเมินผลการดําเนินงานตามแผนพัฒนาภาค และ 5. จัดทําข้อเสนอแนะเพื่อนําไปสู่การพัฒนากระบวนการจัดทําแผนพัฒนาภาค
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดตั้งกลุ่มยุทธศาสตร์การพัฒนาภาค สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว จะเป็นกลไกในการบูรณาการการทํางานของหน่วยงานต่างๆ ทั้งในส่วนกลางและในระดับพื้นที่ เพื่อเชื่อมโยงการจัดทําแผนในระดับต่างๆ ให้เกิดประสิทธิภาพตอบสนองต่อการพัฒนาประเทศอย่างมั่งคง มั่งคั่ง ยั่งยืนต่อไป.
ครั้งที่ 193/2560
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
โทร. 0-22224131-2
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8804
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่ปรึกษา รมช.สธ. ย้ำโครงการเที่ยวปันสุข อสม. โปร่งใส
|
วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563
ที่ปรึกษา รมช.สธ. ย้ําโครงการเที่ยวปันสุข อสม. โปร่งใส
ที่ปรึกษา รมช.สธ. ย้ําโครงการเที่ยวปันสุข อสม. โปร่งใส
ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ย้ําโครงการเที่ยวปันสุขแพ็คเกจกําลังใจใช้บริการบริษัทนําเที่ยวของคนไทยที่ได้มาตรฐาน ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควิด 19 ฟื้นเศรษฐกิจประเทศ ให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลอํานวยความสะดวกอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านลงทะเบียนเที่ยวด้วยกันเปิดวิสัยทัศน์ใหม่ๆ พัฒนางานเพื่อดูแลประชาชน
วันนี้ (24 กรกฎาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายธนิตพล ไชยนันทน์ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจากดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้ช่วยดูแลโครงการเที่ยวปันสุขแพ็คเกจกําลังใจ ที่รัฐบาลจัดทําขึ้นเป็นขวัญกําลังใจให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) ที่ได้ร่วมทํางานเชิงรุกป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ในช่วงที่ผ่านมา เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ
สิ่งที่ต้องการจากโครงการเที่ยวปันสุข ฯ คือให้ อสม.ได้ท่องเที่ยวอย่างมีคุณภาพ ได้เปิดวิสัยทัศน์ใหม่ ๆ ได้พักในโรงแรมได้มาตรฐาน สะอาด มีมาตรการป้องกันโรคที่ดี นําสิ่งที่ได้พบเห็นจากการท่องเที่ยวมาพัฒนาเพิ่มศักยภาพการทํางานให้ดียิ่งขึ้น ฝากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ช่วยอํานวยความสะดวก อสม.ในการลงทะเบียนไปเที่ยวด้วยกัน และเลือกบริษัททัวร์ที่มีมาตรฐาน เป็นผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 ที่ผ่านมา พิจารณารายการท่องเที่ยวที่เป็นการทัศนศึกษาตามที่ อสม.สนใจ เน้นให้ดําเนินการด้วยความโปร่งใส ช่วยกันสอดส่องไม่ให้มีการเรียกรับหัวคิวเกิดการทุจริตในโครงการนี้ โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพจะมีกระบวนการติดตามตรวจสอบและประเมินผลโครงการ
“โครงการนี้ รัฐบาลต้องการตอบแทน อสม. และช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยที่ประสบปัญหาวิกฤตโควิด 19 ก่อน ซึ่งจะขอความร่วมมือให้กระทรวงการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ช่วยพิจารณาคัดเลือกตรวจสอบบริษัททัวร์ที่ได้มาตรฐานและได้รับผลกระทบเข้าร่วมโครงการ” นายธนิตพลกล่าว
************************************** 24 กรกฎาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่ปรึกษา รมช.สธ. ย้ำโครงการเที่ยวปันสุข อสม. โปร่งใส
วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563
ที่ปรึกษา รมช.สธ. ย้ําโครงการเที่ยวปันสุข อสม. โปร่งใส
ที่ปรึกษา รมช.สธ. ย้ําโครงการเที่ยวปันสุข อสม. โปร่งใส
ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ย้ําโครงการเที่ยวปันสุขแพ็คเกจกําลังใจใช้บริการบริษัทนําเที่ยวของคนไทยที่ได้มาตรฐาน ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควิด 19 ฟื้นเศรษฐกิจประเทศ ให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลอํานวยความสะดวกอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านลงทะเบียนเที่ยวด้วยกันเปิดวิสัยทัศน์ใหม่ๆ พัฒนางานเพื่อดูแลประชาชน
วันนี้ (24 กรกฎาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายธนิตพล ไชยนันทน์ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจากดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้ช่วยดูแลโครงการเที่ยวปันสุขแพ็คเกจกําลังใจ ที่รัฐบาลจัดทําขึ้นเป็นขวัญกําลังใจให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) ที่ได้ร่วมทํางานเชิงรุกป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ในช่วงที่ผ่านมา เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ
สิ่งที่ต้องการจากโครงการเที่ยวปันสุข ฯ คือให้ อสม.ได้ท่องเที่ยวอย่างมีคุณภาพ ได้เปิดวิสัยทัศน์ใหม่ ๆ ได้พักในโรงแรมได้มาตรฐาน สะอาด มีมาตรการป้องกันโรคที่ดี นําสิ่งที่ได้พบเห็นจากการท่องเที่ยวมาพัฒนาเพิ่มศักยภาพการทํางานให้ดียิ่งขึ้น ฝากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ช่วยอํานวยความสะดวก อสม.ในการลงทะเบียนไปเที่ยวด้วยกัน และเลือกบริษัททัวร์ที่มีมาตรฐาน เป็นผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 ที่ผ่านมา พิจารณารายการท่องเที่ยวที่เป็นการทัศนศึกษาตามที่ อสม.สนใจ เน้นให้ดําเนินการด้วยความโปร่งใส ช่วยกันสอดส่องไม่ให้มีการเรียกรับหัวคิวเกิดการทุจริตในโครงการนี้ โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพจะมีกระบวนการติดตามตรวจสอบและประเมินผลโครงการ
“โครงการนี้ รัฐบาลต้องการตอบแทน อสม. และช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยที่ประสบปัญหาวิกฤตโควิด 19 ก่อน ซึ่งจะขอความร่วมมือให้กระทรวงการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ช่วยพิจารณาคัดเลือกตรวจสอบบริษัททัวร์ที่ได้มาตรฐานและได้รับผลกระทบเข้าร่วมโครงการ” นายธนิตพลกล่าว
************************************** 24 กรกฎาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33639
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ไทย - อิหร่าน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระบบสุขภาพอย่างยั่งยืน
|
วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม 2561
สธ.ไทย - อิหร่าน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระบบสุขภาพอย่างยั่งยืน
กระทรวงสาธารณสุขไทย แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับกระทรวงสาธารณสุขอิหร่านเพื่อการพัฒนาระบบสุขภาพอย่างยั่งยืน
กระทรวงสาธารณสุขไทย แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับกระทรวงสาธารณสุขอิหร่านเพื่อการพัฒนาระบบสุขภาพอย่างยั่งยืน
ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ. ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเดินทางกลับจากเยือนสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านอย่างเป็นทางการตามคําเชิญของรัฐมนตรีสาธารณสุขและแพทย์ศาสตร์ศึกษา ระหว่างวันที่ 6-10 มีนาคม 2561 ว่า ได้ผลเป็นที่น่าพอใจระหว่าง 2 ประเทศที่จะร่วมกันพัฒนาระบบสุขภาพอย่างยั่งยืน ด้วยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนโดยกําหนดให้นโยบายสุขภาพอยู่ในทุกนโยบายสาธารณะ และเห็นตรงกันว่า การลงทุนด้านสุขภาพเป็นการลงทุนสําคัญเพื่อการพัฒนาประเทศในระยะยาวอย่างยั่งยืน ซึ่งอิหร่านมีระบบสุขภาพที่เข้มแข็ง โดยมีจุดเปลี่ยนที่สําคัญคือการปฏิรูป ทั้งกระทรวงสาธารณสุขและแพทย์ศาสตร์ศึกษาเข้าเป็นกระทรวงเดียวกัน สามารถผลิตบุคลากรด้านสุขภาพทุกสาขาได้เพียงพอและกระจายทุกจังหวัด ทํางานด้านการป้องกันและรักษา โดยใช้ชุมชนเป็นฐานและความร่วมมือของท้องถิ่น ทําให้ประชาชนอิหร่านเข้าถึงบริการได้ร้อยละ 90
สําหรับความร่วมมือต่อจากนี้ จะเน้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ โดยอิหร่านจะเรียนรู้จากประเทศไทยในหลายด้าน โดยเฉพาะระบบประกันสุขภาพ การพัฒนาระบบการเงินการคลังสุขภาพ โดยใช้หลักการ SAFE คือ การที่รัฐบาลและประชาชน สามารถรับภาระรายจ่ายด้านสุขภาพอย่างยุติธรรม คุ้มค่า โดยใช้การประเมินเทคโนโลยีอย่างเป็นระบบ
ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ. ปิยะสกล กล่าวต่อว่า นอกจากเรื่องการประกันสุขภาพแล้ว สิ่งที่จะเรียนรู้จากประเทศไทย คือ การบูรณาการสุขภาพให้อยู่ในทุกนโยบาย (Health in All Policies) ซึ่งประเทศไทยได้ใช้กระบวนการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เป็นเครื่องมือในการสร้างความเข้มแข็งของทุกภาคส่วน ซึ่งอิหร่านได้ขับเคลื่อนประเด็นนี้ โดยมีการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติสําเร็จเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่ผ่านมา
**********************************10 มีนาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ไทย - อิหร่าน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระบบสุขภาพอย่างยั่งยืน
วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม 2561
สธ.ไทย - อิหร่าน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระบบสุขภาพอย่างยั่งยืน
กระทรวงสาธารณสุขไทย แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับกระทรวงสาธารณสุขอิหร่านเพื่อการพัฒนาระบบสุขภาพอย่างยั่งยืน
กระทรวงสาธารณสุขไทย แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับกระทรวงสาธารณสุขอิหร่านเพื่อการพัฒนาระบบสุขภาพอย่างยั่งยืน
ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ. ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเดินทางกลับจากเยือนสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านอย่างเป็นทางการตามคําเชิญของรัฐมนตรีสาธารณสุขและแพทย์ศาสตร์ศึกษา ระหว่างวันที่ 6-10 มีนาคม 2561 ว่า ได้ผลเป็นที่น่าพอใจระหว่าง 2 ประเทศที่จะร่วมกันพัฒนาระบบสุขภาพอย่างยั่งยืน ด้วยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนโดยกําหนดให้นโยบายสุขภาพอยู่ในทุกนโยบายสาธารณะ และเห็นตรงกันว่า การลงทุนด้านสุขภาพเป็นการลงทุนสําคัญเพื่อการพัฒนาประเทศในระยะยาวอย่างยั่งยืน ซึ่งอิหร่านมีระบบสุขภาพที่เข้มแข็ง โดยมีจุดเปลี่ยนที่สําคัญคือการปฏิรูป ทั้งกระทรวงสาธารณสุขและแพทย์ศาสตร์ศึกษาเข้าเป็นกระทรวงเดียวกัน สามารถผลิตบุคลากรด้านสุขภาพทุกสาขาได้เพียงพอและกระจายทุกจังหวัด ทํางานด้านการป้องกันและรักษา โดยใช้ชุมชนเป็นฐานและความร่วมมือของท้องถิ่น ทําให้ประชาชนอิหร่านเข้าถึงบริการได้ร้อยละ 90
สําหรับความร่วมมือต่อจากนี้ จะเน้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ โดยอิหร่านจะเรียนรู้จากประเทศไทยในหลายด้าน โดยเฉพาะระบบประกันสุขภาพ การพัฒนาระบบการเงินการคลังสุขภาพ โดยใช้หลักการ SAFE คือ การที่รัฐบาลและประชาชน สามารถรับภาระรายจ่ายด้านสุขภาพอย่างยุติธรรม คุ้มค่า โดยใช้การประเมินเทคโนโลยีอย่างเป็นระบบ
ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ. ปิยะสกล กล่าวต่อว่า นอกจากเรื่องการประกันสุขภาพแล้ว สิ่งที่จะเรียนรู้จากประเทศไทย คือ การบูรณาการสุขภาพให้อยู่ในทุกนโยบาย (Health in All Policies) ซึ่งประเทศไทยได้ใช้กระบวนการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เป็นเครื่องมือในการสร้างความเข้มแข็งของทุกภาคส่วน ซึ่งอิหร่านได้ขับเคลื่อนประเด็นนี้ โดยมีการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติสําเร็จเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่ผ่านมา
**********************************10 มีนาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10670
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 7 กรกฎาคม 2560
|
วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม 2560
$("#video-player3").css("background-color", "#000000");
var container = document.getElementById("video-player3");
flowplayer.conf = {
share :false, // --> set share button
// facebook :true,
// ratio :9/16, // --> set ratio
// seekable :true,
// autoplay :false,
// splash : true,
// chromecast :true,
// auto quality
// hlsQualities:true,
poster :"https://media.thaigov.go.th/uploads/thumbnail/news/2017/07/5095_Capture04.JPG", //poster
// swf :"flowplayer.swf",
// hlsQualities:[{level: -1, label: "ABR"},{level: 1, label: "SD"}, {level: 6, label: "HD"}],
};
flowplayer(container, {
clip: {
sources: [
{
// type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl
// src: "vod/testcar.mp4"
// type: "application/x-mpegurl",
// file: "smil.php?filename=hp_2.mp4/playlist.m3u8",
type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl
src: "http://www.thaigov.go.th/vdo/contents/views/669"
}
],
title: "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 7 กรกฎาคม 2560",
// qualities: ["160p", "260p", "530p", "800p"],
// defaultQuality: "260p"
}
});
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 7 กรกฎาคม 2560
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2560 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
สืบเนื่องจากสุดสัปดาห์นี้ เป็นวันสําคัญทางพุทธศาสนา โดยในเทศกาล“วันอาสาฬหบูชา”ประจําปี 2560 นี้ นับเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง ที่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ได้เสด็จฯ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในพิธีบําเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานและพิธีเจริญพระพุทธมนต์ งานสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ณ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
ที่สําคัญอีกประการหนึ่งคือ รัฐบาลได้กําหนดให้“วันเข้าพรรษา”ของทุกปีเป็น“วันงดดื่มสุราแห่งชาติ”ซึ่งปีนี้ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้ ผมอยากขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ได้ร่วมกันทําบุญ ทํากุศล ต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม โดยการ“งดดื่มสุรา”เครื่องดองของเมา ตลอดห้วงเวลาเข้าพรรษา 3 เดือน นับจากนี้ หรือตลอดไปหากใครมีศรัทธาที่แรงกล้า มีความมุ่งมั่น ก็สามารถละเลิกการดื่มสุราตลอดไป ตลอดชีวิต ถือเป็นมหากุศล อย่างน้อยหากเลี่ยงไม่ได้ก็ขอให้เป็นการ“ดื่มอยากมีสติ” ส่วน“การดื่มเพื่อเข้าสังคม”นั้น ผมเห็นว่าเป็นสิ่งที่ล้าหลังไปแล้วสําหรับสังคมไทยในวันนี้ รวมความไปถึงการสูบบุหรี่ด้วย
ทั้งนี้ พ.ร.บ.ยาสูบ“ฉบับใหม่”ที่รัฐบาลนี้ผลักดันเป็นกฎหมาย และมีผลบังคับใช้แล้ว เมื่อ 4 กรกฎาคม 2560 วัตถุประสงค์หลักคือ การป้องกันเยาวชนไม่ให้เป็น“นักสูบหน้าใหม่”การคุ้มครองสุขภาพบุคคลรอบข้างที่ไม่สูบบุหรี่ แต่ได้รับผลกระทบ“ทางอ้อม”รวมทั้งการควบคุมและเตือน“สิงห์นักสูบ”มิให้ฝ่าฝืนสูบบุหรี่ใน“เขตปลอดบุหรี่”ขอให้ช่วยกันดูแลด้วย
ในการนี้ ผมขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทย โดยเฉพาะพุทธศาสนิกชน ร่วมกันรักษา“ศีล 5”ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติพื้นฐานของชีวิต จะนําความเจริญมาสู่ผู้เคร่งครัดในการปฏิบัติ และเป็น“ประตูสู่ความเสื่อม”สําหรับผู้ที่ละเมิดศีลในแต่ละข้อ ทั้งการฆ่าสัตว์ ทําร้ายผู้อื่นการลักทรัพย์ การทุจริตการประพฤติผิดในกามการพูดจาส่อเสียด โกหก บิดเบือน เลื่อนลอย และการดื่มสุรา ใช้ยาเสพติด ที่เราต้องละเว้น และเอาตัวออกห่างสิ่งเหล่านี้ด้วยนะครับ ทั้งนี้ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10ในปีนี้ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์“ทุกพระองค์” รวมทั้ง เพื่อความสงบสุขในสังคมไทยของเราด้วย
พี่น้องประชาชนที่เคารพครับ
เศรษฐกิจของประเทศ ห้วงที่ผ่านมา ในเดือนพฤษภาคม มีสัญญาณการขยายตัวต่อเนื่อง จากการส่งออกที่ขยายตัวได้ในระดับสูง ร้อยละ 13.2 การท่องเที่ยวเติบโตอย่างต่อเนื่อง ร้อยละ 3.3 คาดว่าเศรษฐกิจในไตรมาส 2 จะดีกว่าไตรมาสแรก และมีรายงานผลสํารวจความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติในไทย จากBOIพบว่า ร้อยละ 35.7 มีแผนจะขยายการลงทุนในประเทศไทย และร้อยละ 62.5 จะเดินหน้าลงทุนในไทยตามแผนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ มีความเชื่อมโยงกันในทุกระดับ ซึ่งรัฐบาลก็ให้ความ สําคัญทั้งหมด และดําเนินมาตรการต่าง ๆ ไปพร้อม ๆ กัน โดยมุ่งหวังให้ส่งผลดีทั้งทางตรงและทางอ้อม แก่พี่น้องประชาชนทุกคน
อย่างไรก็ตาม“หนี้สิน”ยังเป็นปัญหาปากท้อง ที่รัฐบาลไม่อาจละเลยได้นะครับ แต่เป็นจุดหมายของแทบทุกมาตรการของรัฐบาล ในการยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อปลดเปลื้องภาระให้กับพี่น้องประชาชนหลากหลายกลุ่ม ที่ต้องแบกรับมานาน จนทําให้ไม่สามารถจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าจําเป็นในชีวิตประจําวันได้เท่าที่ควร ปัจจุบัน“หนี้ครัวเรือน”ของประเทศไทย แม้ว่าจะลดลงมาอย่างต่อเนื่อง 5 ไตรมาส ติดต่อกัน แต่ยังอยู่ในระดับที่ยังต้องลดลงให้ได้อีก โดยข้อมูลล่าสุด เมื่อสิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2560 สัดส่วนหนี้ครัวเรือนปรับลดลง จากร้อยละ 79.8 มาอยู่ที่ร้อยละ 78.6 ของรายได้รวม ของประเทศ ในไตรมาสก่อน ทั้งนี้จากการสํารวจหนี้ครัวเรือนและประเมินจากข้อมูลที่มีอยู่ พบว่า.
(1) คนไทยเป็นหนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย โดยคนอายุ 30 ปี กว่าครึ่ง มีภาระหนี้สินแล้ว โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้จากสินเชื่อส่วนบุคคลหรือหนี้บัตรเครดิต
(2) คนไทยเป็นหนี้มากขึ้น โดยเทียบกับปี 2552 คนไทยที่มีหนี้สินคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 20 แต่ในปี 2559 สัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 30 รวมถึงมูลค่าของยอดหนี้ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า
(3) คนไทยแบกหนี้มานาน เห็นได้จากพี่น้องประชาชนที่เข้าใกล้วัยเกษียณ แม้มีรายได้มากขึ้น เริ่มมีรายจ่ายฟุ่มเฟือยน้อยลง ไม่ต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ แต่เห็นได้ว่าปริมาณหนี้ไม่ได้ลดลงตามไปด้วยเท่าไหร่
ทั้งนี้ ปัญหาหนี้ครัวเรือนนี้ ถือเป็นปัญหาที่สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ําของประเทศของประชาชน ที่ต้องเร่งขจัดปัดเป่าโดยเร็ว และถือว่าเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สําคัญที่รัฐบาลพยายามเดินหน้าแก้ไขมาโดยตลอด ให้มีแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้อย่างบูรณาการและยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการดําเนิน การแก้ไขปัญหาหนี้ให้กับพี่น้องประชาชนในกลุ่มต่าง ๆ อาทิ
กลุ่มแรก คือเกษตรกร ได้มีการรับขึ้นทะเบียนข้อมูลหนี้สินเกษตรกรในระดับหมู่บ้าน โดยเฉพาะหนี้ที่นําที่ดินไปประกันหนี้ และเกิดปัญหาความเดือดร้อน แยกเป็นหนี้ ทั้งในและนอกระบบสถาบันการเงิน ซึ่งมีเกษตรกรมายื่นคําร้อง กว่า 1 แสนราย มูลหนี้ราว 17,000 ล้านบาทสําหรับเกษตรกรที่มีหนี้ในระบบฯ รัฐบาลก็ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังกําหนดแนวทางให้การช่วยเหลือ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ และการขยายระยะเวลาชําระหนี้ เป็นต้น ผลจากการทยอยไกล่เกลี่ย เพื่อช่วยปลดเปลื้องหนี้สินได้แล้ว ราว 3 พันราย มูลหนี้เกือบ 400 ล้านบาท
กลุ่มที่สอง คือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย มีการเพิ่มช่องทางการให้สินเชื่อหลาย ๆ ด้าน รวมทั้งเร่งแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ โดยรัฐบาลได้ดําเนินการแก้ไขและป้องกันปัญหาอย่างครบวงจร ในด้าน“เจ้าหนี้”ก็มีการดําเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ได้กวดขันด้วย อย่าให้มีโดยเด็ดขาด รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ ให้เจ้าหนี้มาร่วมไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ เข้ามาขออนุญาตดําเนินธุรกิจสินเชื่อในระบบให้ถูกต้องนอกจากนี้ มีการบังคับใช้ พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา สําหรับลูกหนี้ ได้จัดให้มีเจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยไกล่เกลี่ยหนี้ เพื่อให้เกิดมูลค่าหนี้ที่เป็นธรรม และให้ธนาคารของรัฐ พิจารณาสินเชื่อ เพื่อแก้ไขหนี้นอกระบบ ตามศักยภาพของลูกหนี้แต่ละราย ขณะเดียวกัน รัฐบาลให้ความสําคัญกับการสร้างความเข้มแข็ง ความเป็นปึกแผ่น ของชุมชน หรือ“ระดับฐานราก”ของสังคมไทย โดยให้ชุมชนเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของสมาชิกในชุมชน ผ่านองค์กรการเงินชุมชนที่เข้มแข็งและมีศักยภาพ ควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พยายามเพิ่มช่องทางให้ลูกหนี้สามารถกลับมาเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ และการให้สินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ที่สําคัญ ได้มีการสร้างกลไกในการพัฒนาและฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้มีศักยภาพในการหารายได้และสามารถชําระหนี้ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้กลับไปเป็นหนี้นอกระบบอีก ซึ่งเป็นแนวทางการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะการให้ความรู้ในการจัดทํา“บัญชีครัวเรือน”อย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างวินัยทางการเงิน เป็น“ภูมิคุ้มกัน”การเป็นหนี้ ตาม“ศาสตร์พระราชา”อีกด้วย
กลุ่มสุดท้าย คือผู้ที่มีรายได้ประจํา แต่ยังมีภาระหนี้ล้นพ้นตัว ก็สามารถเข้าร่วมในโครงการ“คลินิกแก้หนี้”ที่มีการเปิดให้บริการแล้วในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อลดภาระการผ่อนชําระ และช่วยให้ประชาชนสามารถวางแผนการเงินที่เหมาะสม สร้างวินัยทางการเงิน ไม่ให้กลับมาเป็นหนี้ได้อีก
โดยสรุปแล้ว รัฐบาลได้พยายามอย่างเต็มที่นะครับ ที่จะหามาตรการ ทั้งในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนควบคู่กันไปเสมอ เพื่อให้เกิดการขจัดปัญหาได้อย่างจริงจังในระยะยาว โดยทั้งนี้ต้องอาศัยการตระหนักรู้ และปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายของพี่น้องประชาชน เป็นปัจจัยสําคัญ เพราะว่าหากคนไข้เชื่อฟังหมอกินยาตามกําหนด มีวินัยปฏิบัติตามคําแนะนํา และรู้วิธีป้องกันตนเองแล้ว ไม่เพียงจะหายป่วย แต่ร่างกายและจิตใจก็จะแข็งแรง มีแรง มีพลัง ต่อสู้ชีวิตได้อีกนี่คือ ปรัชญาที่เรียบง่าย จากการประยุกต์“ศาสตร์พระราชา”ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งรัฐบาลนี้ ได้เน้นการช่วยให้พี่น้องประชาชน ให้มีการเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน สร้างโอกาส สร้างตลาด รวมไปถึงการให้ความรู้ ความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน เพื่อไม่ให้กลับไปมีหนี้สินล้นพ้นตัว ซ้ําเติมหนี้เดิม หรือก่อหนี้ใหม่ผมก็หวังอย่างยิ่งนะครับ ว่าทุกฝ่ายจะช่วยกันทําหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ เราต้องแก้ไขไปด้วยกัน เพื่อจะแก้ไขปัญหาหนี้ครัวให้ได้ในระยะยาว เพื่อจะลดภาระของพี่น้องประชาชน ลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศร่วมกันอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะมีมาตรการต่าง ๆ ออกมามากมายแต่ปัญหาขอเราคือว่า ทุกคนยังไม่สามารถจะเข้ามาอยู่ในระบบเหล่านั้นได้ ก็ต้องไปหาช่องทางว่าจะทํากันอย่างไร อย่างน้อยก็เริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อน มิฉะนั้นแล้ว การที่รัฐบาลไม่ว่าจะออกมาตรการใดก็ตาม ไม่สามารถที่จะรองรับ หรือร่วมมือในมาตรการต่าง ๆ เหล่านั้นของรัฐได้ เลยกลายเป็นว่าเหมือนรัฐไม่ดูแล ประชาชนมีรายได้น้อยลง มีหนี้สินมากขึ้น อะไรทํานองนี้อย่างที่มีคนพูดกล่าวกันในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเรื่องจริง แต่เราจะทําอย่างไร ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองเลย เรายังคงทําแบบเดิม คิดแบบเดิม ไม่เข้าไปอยู่ในห่วงโซ่ ไม่พัฒนาตัวเอง รัฐก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก เพราะว่าเป็นการทําฝ่ายเดียว แล้วผลกระทบตรงนั้นจะเกิดขึ้นจากหลายส่วนด้วยกัน ขอให้ฟังรัฐบาลบ้าง ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองให้ดีขึ้น ระยะยาว ดีกว่าที่จะมุ่งเน้นในเรื่องของการช่วยเหลือไปตลอดเวลา ซึ่งเป็นไปไม่ได้ทั้งหมด
จากผลสํารวจความสุขของเกษตรกรกลุ่มตัวอย่าง 500 กว่าราย ทั่วประเทศโดยสํานักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL)มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นําพบว่า“ความสุขมวลรวมของเกษตรกร”มีค่าเฉลี่ยสูงถึง 8.29 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนนไปพิสูจน์กันเองว่า จากโพลออกมาแล้วจริงหรือไม่จริงอย่างไร ทั้งนี้ส่วนหนึ่งน่าจะเกิดมาจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ คนที่อยู่ในห่วงโซ่เหล่านี้ ก็สามารถจะมีรายได้ดีขึ้น ปรับตัวเอง มีการปรับเปลี่ยนการปลูกพืช มีการลดต้นทุนการผลิต มีการรวมกลุ่ม เหล่านี้ก็จะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าใครไม่เข้ามาในวงจรเหล่านี้เลย ก็ไม่เพิ่มขึ้นแน่นอน หนี้สินก็จะมากขึ้นเรื่อย ๆ วันนี้เราพยายามที่จะเพิ่มรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้สูงขึ้นหลายมาตรการด้วยกัน
รายงานล่าสุดช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา สินค้าเกษตรของไทย มีมูลค่าการค้า ประมาณ 7.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยการส่งออกสินค้าเกษตรสําคัญมูลค่ากว่า 5.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.8% ขณะที่การนําเข้ามูลค่ากว่า 1.6 แสนล้านบาท ลดลง 16% ส่งผลให้ไทยได้เปรียบดุลการค้า เกือบ 4 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24% ต้องไปดูการส่งออกเพิ่มขึ้น การนําเข้าลดลง การพัฒนาในด้านนี้จะลดลงหรือไม่ ต้องไปใคร่ครวญกันให้ดีว่า เราจะมีมาตรการอย่างไรออกไป รัฐบาลก็ติดตามเรื่องนี้อยู่อย่างสม่ําเสมอ
ทั้งนี้ สินค้าการเกษตรสําคัญของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นข้าว ยาง ปาล์ม ข้าวโพด มัน อ้อย ฯลฯ ต่อไปนี้ผมไม่อยากให้ทุกคนคิดว่า ราคาผลิตผลการเกษตรที่เรามีเป็นจํานวนมากนี้ จะมีโอกาสสูงขึ้นได้มากนักในอนาคต เพราะได้มีวิวัฒนาการต่าง ๆ มากมาย ในด้านอาหาร ไม่ว่าจะเป็นอาหารคน อาหารสัตว์ ซึ่งสามารถจะทดแทนกันได้ไม่จําเป็นต้องอาศัยพืชชนิดเดียวเช่น เดิมอย่างเช่นกรณี“ยาง”วันนี้บางประเทศ หรือบางอุตสาหกรรมก็สามารถผลิตยางรถยนต์ หรือยางอื่น ๆ ได้จากยางเทียม ที่ทํามาจากน้ํามันทดแทน ในช่วงที่ราคาน้ํามันดิบถูกลง โดยเรามีหนทางเดียวที่จะทําให้ราคาอยู่ในสภาพที่เกษตรกรไม่เดือดร้อนคือ การปรับตัว ผลจากการสํารวจกลุ่มเกษตรตัวอย่างที่กล่าวมาของ“ซูเปอร์โพล”พบว่า มีการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ทํากินทางการเกษตรอย่างมีนัยสําคัญคือ การปลูกข้าวอย่างเดียว“ลดลง”จากร้อยละ 75.3 เหลือร้อยละ 57.8ในขณะที่การปลูกข้าวกับพืชอื่น ๆ เช่น ทําไร่ ทําสวนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 15.5 เป็นร้อยละ 30.0 ทั้งนี้ การปรับตัวดังกล่าวนั้น ก็จะเป็นผลดีต่อภาคเกษตรกรรมของประเทศ หากเกิดขึ้นจริงในภาพรวมทั้งประเทศ โดยเฉพาะที่เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อย่างเช่น ลดพื้นที่ปลูกลงลดต้นทุนการผลิตผลิตตามความต้องการของตลาด เหล่านี้เป็นต้นนอกจากนี้ รัฐบาลต้องการให้พี่น้องเกษตรกรได้มีความเข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ มีการบริหารจัดการและการรวมกลุ่มเองไม่ว่าจะเป็นเกษตรแปลงใหญ่สหกรณ์ หรือวิสาหกิจชุมชนโดยใช้กลไก“ประชารัฐ”สอดแทรกในการดําเนินการ ตั้งแต่การปลูก การผลิต แปรรูป การตลาดด้วยตัวเองในตลาดชุมชน ตลาดออนไลน์
วันนี้ เรากําลังจัดทําโครงสร้างใหม่ทั้งหมด ที่จะเป็นการปฏิรูป เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งองค์ประกอบหลายอย่าง รวมไปถึงการวิจัย พัฒนา สร้างนวัตกรรม โดยเน้นการผลิตเพื่อใช้ และป้อนตลาดภายในประเทศก่อน สิ่งต่าง ๆ ต้องการการลงทุนจากเอกชนไทยและจากต่างประเทศ ซึ่งต้องมีการพิจารณาปัจจัยการผลิตอื่น ๆ ด้วยให้ครบวงจร ไม่ใช่เพียงวัสดุต้นทุนในประเทศเท่านั้น เช่น ยางพารา สิ่งที่เราต้องพิจารณา มีทั้งต้นทุนการผลิตค่าแรงค่าวัสดุต้นทุนคุณภาพการตลาดการแข่งขันที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งไม่ง่ายอย่างที่นักการเมืองบางท่าน หรือบางพรรคออกมาพูด หรือกล่าวอ้างโจมตีรัฐบาลอยู่ในเวลานี้ เพราะว่าถ้าทําเช่นนั้นได้จริง ก็คงแก้ปัญหาได้นานแล้ว ปัญหาคงไม่สะสมมาจนถึงวันนี้ วันนี้เรากําลังทําในสิ่งใหม่ ที่จะแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้าง ตลอดห่วงโซ่การผลิต ก็ไม่อยากให้ใครดึงกลับไปจุดเดิม พี่น้องเกษตรกรต้องพิจารณาด้วยตัวเอง
ที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่อาจจะทําให้เกิดปัญหาในเรื่องของราคายาง คือการปลูกยางพารา 3 ล้านกว่าไร่ ในพื้นที่บุกรุก ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่อาจจะทําให้ราคายางตก เพราะเรามียางเป็นจํานวนมาก อาจจะมากเกินไป การส่งออก ราคาก็ตก เพราะตลาดกลางก็มียางเป็นจํานวนมาก ต้องไปแข่งขันกันในตลาดโลก ตลาดกลาง เหล่านี้เราจะมากดดันกันภายในประเทศ คงทําไม่ได้ เพราะฉะนั้นในประเทศเราจะทําอย่างไร สาเหตุหนึ่งที่มีการปลูกมากเกินไป ในพืชเกษตรหลายชนิดทําให้เกิดปัญหาราคาตกทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น ยาง ที่ปลูกในพื้นที่บุกรุก 3 ล้านกว่าไร่ ถ้าเราทําให้พื้นที่บุกรุกเหล่านั้น ไม่มีการกรีดยางอีกต่อไป ราคายางขึ้นแน่นอน เพราะยางจะลดลง วันนี้เราก็เห็นใจพี่น้องเกษตรกรที่เดือดร้อน
ทั้งนี้ การกระทําใด ๆ ที่ผิดกฎหมาย รัฐบาลจําเป็นต้องมีนโยบายในการที่จะเปลี่ยนผ่านในช่วงนี้ เพราะฉะนั้นการที่ออกมาเรียกร้องในขณะนี้ แล้วมีการระดมกัน ปลุกกันว่าจะออกมากดดันรัฐบาล ผมไม่อยากให้เกิดกรณีเช่นนั้น เพราะถ้าหากว่ามีการกดดันรัฐบาลมากจนเกินไป รัฐบาลจําเป็นต้องใช้มาตรการทางกฎหมายคือ การห้ามกรีดยางในพื้นที่บุกรุกทั้งสิ้น ใน 3 ล้านกว่าไร่ แล้วพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางที่ยากจนจะทํายังไง
เพราะฉะนั้น ขอให้ผู้นําเกษตรกร สมาคมยางต่าง ๆ ให้พิจารณาตรงนี้ด้วย เพราะว่าท่านทําให้คนเหล่านั้นเดือดร้อนไปด้วย ไม่ใช่โยนภาระทั้งหมดมาให้กับรัฐบาล ท่านก็รู้อยู่แล้วว่า ปัญหาของเราคือยาง เรามีจํานวนมากเกินไป การส่งเสริมการผลิตยางในประเทศนั้นไม่ใช่สิ่งที่ง่าย เพราะที่ผ่านมามุ่งไปแต่ส่วนการขายไปต่างประเทศ แล้วก็ไม่ได้เพิ่มในเรื่องของการใช้ยางในประเทศให้มากขึ้น
วันนี้รัฐบาลพยายามส่งเสริม ไม่ให้เป็นการพึงพาการส่งออกมากจนเกินไปเหมือนในอดีต จนควบคุมไม่ได้ คราวนี้ในทุกกระทรวงสํารวจ จัดทําโครงการใช้ยางในทุกกิจกรรม ในภาพรวมของประเทศ คือการใช้ยางในส่วนราชการนั้น ไม่ใช่แต่เพียงว่า เอายางมา ซื้อยางมาจากเกษตรกร แล้วมาใช้ได้เลย ไม่ได้ ต้องมีการแปรรูป มีการนําสู่อุตสาหกรรม ถึงจะไปทํายางสนามกีฬา เสร็จแล้วก็ต้องไปทําการประมูลจัดซื้อจัดจ้าง ถึงจะใช้ได้
การทําถนนหนทางก็เช่นเดียวกัน วันนี้ใช้ได้ประมาณ 5-15% ในการที่จะใช้ผสมลงไป ซึ่งต้นทุนในการทําถนนก็สูงขึ้น แล้วจะทํายังไง เพราะฉะนั้นต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน ทั้งราคายาง ทั้งราคาที่ต้องเอาไปแปรรูป ทั้งราคาที่นําไปสู่การผลิต แล้วนํามาสู่การใช้งาน ตอนนี้รัฐบาลแก้ทุกอันนะครับ เราถึงจะได้นํามากําหนดเป็นความต้องการให้ได้ว่าตลาดภายในเราต้องการเท่าไร
เพราะฉะนั้น เราควรจะกําหนดปริมาณการผลิตบ้างหรือไม่ ปลูกที่ไหน เมื่อไร ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดยางของทั่วโลก ไม่ใช่ออกมาพร้อม ๆ กันทั้งหมด บางที่ก็ไม่ได้ หลายผลิตผลการเกษตร วันนี้ผมเห็นมีการเรียกร้องในเรื่องของสับปะรด เข้ามาอีก สับปะรดก็มีการบุกรุกเข้าไปหลายแสนไร่ ในปัจจุบัน ราคาสับปะรดดีขึ้น ก็บุกรุกป่าไปปลูกสับปะรดเข้าไปอีก แล้วราคาตกก็ร้องเรียนกับรัฐบาลสิ่งเหล่านี้แก้ได้อย่างเดียว คือการแก้ด้วยการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งแน่นอนพี่น้องประชาชนต้องเดือดร้อน
เพราะฉะนั้นต้องขอให้ผู้นําเกษตรกรต่าง ๆ ได้เข้าใจตรงนี้ ถ้าท่านไม่ช่วยเราตรงนั้น เราก็ไม่ทราบว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไร การที่จะเอางบประมาณไปอุดหนุน ไปอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ผิดกลไกของWTOอ้อย อะไรต่าง ๆ เราต้องมาแก้ทั้งหมดวันนี้ ท่านทราบหรือไม่ จะมีการฟ้องร้องอะไรต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเราก็คลี่คลายสถานการณ์ไปได้แล้ว ในเรื่องของเงินอุดหนุน ในเรื่องอ้อยก็ไปหาวิธีการที่เหมาะสม ไม่ผิดกติกาพันธะสัญญาโลก
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเรียนรู้ ถ้าเกษตรกรยังมุ่งอยากได้แต่ราคาที่สูง ๆ แล้วให้รัฐบาล หาวิธีการแก้ให้ได้ ยังไงก็แก้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นใครที่บอกว่าแก้ได้ ผมคิดว่าอย่าไปให้เขาหลอกเลย วันหน้าเขาก็หลอกแบบนี้เช่นกัน สิ่งเดียวที่แก้ได้คือ ปลูกในพื้นที่ ๆ เหมาะสม ปลูกในพื้นที่ที่ไม่บุกรุก แล้วลดต้นทุนการผลิตให้ได้ ปรับเปลี่ยนการปลูกพืชเชิงเดี่ยว เป็นการปลูกพืชหลาย ๆ ชนิด แล้ววันหน้าเราก็จะมีการปลูกพืชในพื้นที่ ๆ เหมาะสม เช่นตรงนี้ควรจะปลูกข้าว ตรงนี้ควรจะทําไร่นาสวนผสม ตรงนี้ควรจะทําสวนผลไม้ ตรงนี้ควรจะเลี้ยงสัตว์ ซึ่งในระหว่างนี้จะต้องเป็นช่วงของการปรับเปลี่ยน การให้ความรู้ การเตรียมการ หลายท่านอาจจะทดลองดูว่าเราเคยปลูก 20 ไร่ ทํานา หรือทําอะไรก็แล้วแต่ เราลองลดพื้นที่เหล่านั้นไปว่าจะทํานาไปเป็นอย่างอื่น ลอง 5 ไร่ได้หรือไม่ เหลือ 15 ไร่ ตรงไหนที่ทําข้าว แล้วขายไม่ได้คุณภาพ ราคาตก คุณภาพไม่ดี ก็ไปปลูกอย่างอื่นที่จะทดแทนได้ แล้วก็ปลูกข้าวไว้รับประทานอย่างเดียว เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องช่วยกันคิด ซึ่งเราคงต้องมีการกําหนดปริมาณการผลิต ว่าปลูกที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร มากน้อยเท่าไร แล้วเราจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างไร ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปส่งเสริมและความองค์ความรู้เพิ่มเติม ความรู้ปราชญ์ชาวบ้านก็มี ความรู้ของเกษตรกรSmart Farmerรุ่นใหม่ก็มี แล้วที่เราแพร่ไปตามสื่อ ตามสิ่งพิมพ์ ก็มากมายไปหมด ทุกคนต้องช่วยกันดูด้วย ไม่เช่นนั้นรัฐบาลแก้ไม่ได้ ปัญหาหมักหมมมาหลายอย่างด้วยกัน เราอาจจะต้องสนับสนุนภาคเอกชน ผู้ประกอบการเข้ามาร่วมกันนะครับ เช่น ในกรณีให้การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) และเครือข่ายวิชาการ ต่าง ๆ มาช่วยกันคิด ช่วยกันทําด้วย
วันนี้เรื่องยาง หมอนที่ผลิตจากยางพาราแท้ 100% และผ้าหุ้มหมอนไร้ฝุ่นจากศูนย์วิจัยศิริราช และศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จุฬาฯ ได้เริ่มส่งไปขายในประเทศจีน ช่วงเดือนสิงหาคมนี้ จํานวน 100,000 ใบ ตั้งเป้ายอดขายในอนาคตว่าจะสามารถสร้างมูลค่า ราว 5,000 ล้านบาทใน 3 ปี นอกจากนี้ จีนยังมีการสั่งซื้อยางไทยไปสต็อกไว้ เพื่อนําไปผลิตล้อรถยนต์จํานวนมากอีกด้วย อันนี้เป็นความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน กับทุกประเทศในโลกนี้ ซึ่งประเทศไทยจําเป็นต้องรักษาสมดุลเหล่านี้ไว้ให้ได้
สรุปได้ว่าหลักการสําคัญ ในการแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ํา ที่ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจว่า มีประเด็นเชื่อมโยงกัน เกี่ยวพันกัน ในเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
(1)การปลูกมากเกินไป ทําให้Demandน้อยกว่าSupplyคือ ความต้องการน้อยกว่าการผลิตที่มีจํานวนมาก
(2) การปลูกในพื้นที่ไม่เหมาะสม ดินไม่ดี น้ําไม่พอ ร้อนเกินไป ภัยแล้ง ภัยพิบัติ น้ําท่วม น้ํามาก น้ําน้อย ทําให้ต้องมีการลงทุนหลายครั้ง รฐบาลต้องเยียวยา ต้องมีการประกันภัย เหล่านี้ทําให้ผลผลิตไม่สมบูรณ์ ตรงนี้จะทําอย่างไรกับพื้นที่ตรงนี้
(3) การปลูกในพื้นที่บุกรุก ซึ่งเป็นทั้งพื้นที่ป่า พื้นที่อุทยาน ฯลฯ ซึ่งมีส่วนทําให้ผลผลิตนั้นมีมากจนเกินไป จากในส่วนที่ถูกกฎหมายก็ทําให้ฝ่ายโน้นเดือดร้อนไปด้วย ฉะนั้นต้องหารือกัน สมาคมเกษตรกร อย่ารวมกันเพื่อร้องเรียนอย่างเดียว ไปดูกันเองด้วย ไม่รู้ตั้งมาแล้วช่วยอะไรได้บ้าง เพราะฉะนั้นตั้งมาแล้วก็ต้องช่วยกัน อย่าไปเข้าใจอะไรกันผิด ๆ ต่อต้านรัฐบาล ทุกเรื่องไป
(4) การลงทุน ค่าใช้จ่ายในการเพาะปลูก ต้นทุนการผลิตสูง ทําให้ส่วนต่างกับราคาขายนั้นไม่มากนัก ขาดทุน กําไรนิดเดียว ไม่พอ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับค่าเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ยาค่าจ้างเครื่องจักร - รถไถค่าแรง และค่าเช่านา ค่าเช่าที่ดิน เหล่านี้เป็นต้น วันนี้ต้องไปทบทวนใหม่ทั้งหมด
(5) การตลาด ประกอบด้วยปัญหาต่าง ๆ อาทิ เกษตรกรขาดความรู้ด้านการตลาด สหกรณ์บางแห่งขาดประสิทธิภาพ เกษตรกรไม่สามารถกําหนดราคาเองได้ ขึ้นอยู่กับพ่อค้าคนกลางขายแต่วัตถุดิบ ไม่แปรรูป ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม,การขายต่างประเทศก็มีการซื้อขายล่วงหน้า,พันธะสัญญาต่างประเทศและโลก ได้มีการห้ามการสนับสนุนราคาพืชผลทางการเกษตรขณะนี้ เราก็ต้องแก้ปัญหาเรื่องอ้อยอีก ตามที่ผมกล่าวไปแล้วเรื่องการใช้เงินCESSมีการประท้วงจากต่างประเทศ การเจรจาทางการค้าที่จําเป็น ต้องมีการนําเข้าสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น เช่น ของอาเซียนFTAเป็นสิ่งที่เราต้องปฏิบัติคลังสํารองพืชผลเกษตรทุกประเทศเขาก็มีการตั้งคลังสํารองเอาไว้ เมื่อทุกประเทศมีมาก ราคาก็ตก เช่น การสต็อกข้าว ไทยเคยมีข้าวในสต็อกกว่า 18 ล้านตันและความร่วมมือต่างประเทศผ่านกลไกต่าง ๆ ร่วมมือเจรจา ซึ่งแต่ละประเทศนั้นก็พยายามจะสงวนไว้เพื่อประโยชน์ของประเทศตนเองให้มากที่สุดด้วย
นอกจากนั้น ยังมีปัญหาอื่น ๆ อีกมากมายเศรษฐกิจโลก การซื้อขายมูลค่าลดลงทุกกิจกรรม หนี้สินครัวเรือนในช่วงที่ผ่านมา หากไม่ได้รับการแก้ไข ไม่ครบวงจร ทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิม หนี้ก็จะพอกพูนมากขึ้นไปเรื่อย ๆ รัฐบาลออกทุนอะไรมาก็ตาม กองทุนโน้น กองทุนนี้ มาให้กู้ยืมก็สู้ไม่ได้ ทุกเรื่องที่กล่าวมา เป็นปัญหาสืบเนื่องยาวนาน การแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด ไม่ทําทั้งระบบ พอมาทําอันนี้ก็ยากการที่จะทําให้เกิดความไว้วางใจ การเชื่อมั่น เหล่านี้ต้องใช้เวลาทั้งสิ้น รัฐบาลนี้ยืนยันกําลังดําเนินการแก้ไขอยู่ ในทุก ๆ เรื่อง มีคนเดือดร้อนเป็นจํานวนมาก อันเป็นผลมาจากการบริหารประเทศในอดีตที่ผ่านมา รัฐบาลนี้จําเป็นต้องสะสางให้ได้ในทุกประเด็น แล้วมีการเริ่มต้นใหม่ให้ถูกต้อง ทั้งนี้ ขอให้สังเกตว่าหากในอดีตอย่างที่เขากล่าวอ้างมาว่า “ทําดี”อยู่แล้ว วันนี้ เราคงไม่ต้องตามแก้ไปหมดทุกเรื่องเช่นวันนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแรงงาน บุกรุกป่า ราคาสินค้าเกษตร หรือการสาธารณสุข การรักษาพยาบาล การศึกษา ผมไม่บังอาจต่อว่าท่านเหล่านั้น ให้เกียรติซึ่งกันและกัน แต่วันนี้อยากให้ประชาชนแยกแยะให้เข้าใจว่า เราจะร่วมมือแก้ไขปัญหาอย่างไร แล้วไม่ให้คนเหล่านั้นที่พูดจาทําให้เสียหายได้ออกมาพูดอีก ทุกอย่างกลับเป็นแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว
พี่น้องประชาชนที่เคารพ ครับ
เรื่องแรงงานต่างด้าวนั้น ข้อดีวันนี้ที่ผมเห็นก็คือ ดีใจที่คนไทยตื่นตัวในเรื่องกฎหมายและการปฏิรูปมากขึ้น ซึ่งผมอยากให้เข้าใจตรงกันว่า ปัญหาแรงงานต่างด้าวนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาในเรื่องของ“กฎหมายค้ามนุษย์”ซึ่งเราแสดงเจตนารมณ์ชัดเจน ทุกครั้ง ในเวทีระหว่างประเทศว่า จะป้องกันและต่อต้านการค้ามนุษย์ ให้ถึงที่สุดโดยกฎหมายในกลุ่มนี้ มี เรื่องใหญ่ ๆ รวมอยู่ด้วยกัน อาทิ การค้ามนุษย์การประมงผิดกฎหมาย แรงงานเด็ก แรงงานทาส รวมทั้งแรงงานต่างด้าว ซึ่งเราต้องเร่งดําเนินการอยู่ในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่เพื่อคนอื่น แต่เพื่อประเทศไทยของเราเอง การแก้ปัญหานี้ มีความพยายามอย่างต่อเนื่อง
3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้เปิดโอกาสให้มีการลงทะเบียนแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติไปแล้ว ราว 3 ล้านคน แต่อุปสรรคสําคัญ คือการพิสูจน์สัญชาติโดยประเทศต้นทาง ทําให้ยังคงเป็นปัญหาอยู่ และได้ผ่อนผันให้มาโดยตลอด หากยังพิสูจน์สัญชาติไม่ได้ ให้ถือบัตรสีชมพูไปพลางก่อน เรื่องนี้ขอให้พิจารณาด้วยใจที่เป็นกลางอย่ามองปัญหาในเชิงธุรกิจแต่เพียงด้านเดียว
สิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจไม่ทราบว่า ทําไมเราต้องพึ่งแรงงานต่างด้าว แล้วมีความต้องการจํานวนเท่าไหร่ เพราะหากทุก ๆ งานมีคนไทยทําเองหมด เราก็คงไม่ต้องไปพึ่งใคร หรือให้ใครต้องเข้ามาทําแทนเรา ในความเป็นจริงข้อนี้ทุกคนต้องยอมรับ วันนี้คนไทยเราทํางานประเภทใช้แรงงานลดลงทุกวัน และเหลือน้อยมาก บางประเภทแทบไม่มี จึงเป็นเหตุที่เราต้องทําความร่วมมือกับต่างประเทศ มีข้อตกลงกัน ซึ่งมีความยุ่งยากมากมาย มีระเบียบ มีขั้นตอน ทั้งกฎหมายในประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งปัญหาในเรื่องการทุจริตปัญหาด้านความมั่นคงปัญหาการค้ามนุษย์ ภาระทางสังคม การศึกษา สาธารณสุข การถือสัญชาติเด็กที่เกิดจากแรงงานต่างด้าว เหล่านี้เป็นต้น ทุกอย่างวันนี้ผสมปนเปเชื่อมโยงกัน ทําให้เป็นการซ้ําเติมปัญหา ถ้าเราไม่แกะออกมาวันนี้ การแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ไม่สามารถทําได้เพียงด้านใดด้านหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว ตามที่กล่าวมาแล้ว
เรื่องแรกที่เราต้องดําเนินการ คือ“การจัดระเบียบ”ใหม่ทั้งหมด หากทําได้เรียบร้อย เป็นระบบ เราก็จะบริหารจัดการได้อย่างยั่งยืน ตรงตามความต้องการตลาดแรงงานในประเทศที่เราต้องการ ทุกภาคการผลิตและบริการไม่มีการแย่งงาน ไม่มีการหนีงาน เปลี่ยนงาน เปลี่ยนนายจ้าง ทุกฝ่ายก็ได้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่เป็นเหมือนเช่นที่ผ่านมา ต้องอยู่แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ แล้ว“ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”ของท่านก็หายไป ไปอยู่ที่ไหนสังคมของเราก็จะสงบสุข ปลอดภัย ไว้ใจซึ่งกันและกันได้ สิ่งเหล่านี้ คนที่ไม่เคยรู้ ควรเปิดหูเปิดตาไม่ใช่หลับตาปิดใจ วิพากษ์วิจารณ์โดยปราศจากข้อมูล เราต้องเอาความจริงมาพูด มาเสนอแนะกัน ให้ความรู้ด้วยความจริงกับสังคม ว่าถ้าหากว่า ไม่มีการให้แรงงานเพื่อนบ้านเข้ามาทํางานเลย ก็จะไม่มีใครทํางานในโรงงานต่าง ๆ แม้แต่เด็กปั๊ม เด็กเสิร์ฟ ร้านอาหาร ไปจนถึงแรงงานในบ้าน แรงงานในสวนนาไร่ หรือการกรีดยาง และในเรือประมง ก็มีแรงงานเหล่านี้ ที่ทําให้เศรษฐกิจของประเทศไม่หยุดชะงัก เพราะฉะนั้น อย่าไปพูดจาให้เสียหาย เพราะว่า ในเมื่อเขาเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจเราแล้ว ด้วย“หลักมนุษยธรรม”และ“สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน”แรงงานเหล่านี้ ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของระบบสังคมของเรา ซึ่งก็ต้องได้รับสวัสดิการตามสมควร ที่รัฐต้องดูแลให้เป็นไปตามหลักสากลด้วย ซึ่งมีกระบวนการ ค่าใช้จ่ายตามปกติ ไม่ต่างอะไรจากพี่น้องคนไทย ที่ต้องไปทํางานในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเช่นกัน เพราะเป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่สําคัญเราจะเอาแต่ได้โดยไม่ยอมเสียอะไรเลย คงเป็นไปไม่ได้ แต่ต้องไม่ใช่การเสียความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งรัฐบาลก็จะไม่ยอมปล่อยปละละเลย ให้เป็นปัญหาคาราคาซังอีกต่อไป ให้เวลาไปแล้ว ต้องไปหาวิธีการดําเนินการกันให้ได้ ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน ผู้ประกอบการแรงงานต่าง ๆ ก็ต้องร่วมมือ หลายประเทศเขาก็ทําแบบนี้มาก่อน
การที่เราเคยเปิดให้จดทะเบียนไปแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2557 กว่า 1.3 ล้านคน ซึ่งก็เป็นเพียงความสําเร็จในระดับหนึ่ง แต่แรงงานที่ไม่เข้ามาอยู่ในระบบ และแรงงานที่เข้า ๆ ออก ๆ หมุนเวียนมาใหม่ ด้วยช่องทางที่หลีกเลี่ยงกฎหมายของข้าราชการที่ทุจริตบ้าง นายหน้าบ้าง นายจ้างบ้าง ก็สร้างปัญหาอยู่อย่างต่อเนื่องนําไปสู่วงจรแรงงานทาสบ้าง ค้ามนุษย์บ้าง ที่ส่งผลกระทบในภาพรวมของประเทศ ผู้ประกอบการเอง ก็ประสบปัญหาการเปลี่ยนงานของแรงงานต่างด้าวอยู่ตลอดเวลา ต้องทําให้ถูกต้อง จะได้ชัดเจนขึ้น บางครั้งเสียเงิน เสียเวลา ฝึกฝนจนใช้งานได้ ก็ถูกดึงไปใช้ เพราะอะไร เพราะเราไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน เลยเกิดความไม่เป็นธรรมต่อนายจ้างเดิม เหล่านี้เป็นต้นที่สําคัญคือ การเข้ามาในประเทศที่ไม่ผ่านกระบวนการพิสูจน์สัญชาติจากประเทศต้นทาง ที่เราเคยชะลอไปได้ วันนี้ไม่ได้แล้ว หากไม่มีหลักฐานทางราชการที่ถูกต้องในการเข้ามาทํางาน เราจะไม่สามารถควบคุม หรือจัดระเบียบอะไรได้เลย จากการที่นําเข้าผ่านแนวชายแดนเข้ามา ซึ่งมีเป็นจํานวนมาก ที่หลีกเลี่ยงไม่อยู่ในระบบเหล่านี้ซึ่งได้พูดคุยกับเพื่อนบ้านของเรา ช่วยกันแก้ปัญหา เราแก้คนเดียวไม่ได้ ช่วงที่ผ่านมาได้มีการจัดชุดพิสูจน์สัญชาติของต้นทางเข้ามาดําเนินการในบ้านเรา ในระหว่างที่ผ่อนปรนให้มีการใช้“บัตรชั่วคราว”แต่ห้ามย้ายงาน ย้ายพื้นที่ แต่ก็มีลักลอบอยู่ ต้องยอมรับความจริง
วันนี้มีข้อตกลงทําMOUกันระหว่าง 3 ประเทศได้ระบุไว้ว่า ต้องมีการพิสูจน์สัญชาติ ณ ชายแดนประเทศต้นทางที่มีสํานักงานอยู่เท่านั้น ซึ่งควรจะเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ที่ผ่านมาปล่อยเข้ามาหลายปีที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ จนเราต้องเข้ามาหามาตรการชะลอไป วันนี้ชะลอไม่ได้ ต้องเข้ามาสู่กระบวนการที่ถูกต้อง ก่อนที่จะเข้ามาในปลายทางของแต่ละประเทศ ต้องมีการพิสูจน์สัญชาติมาก่อนดังนั้น เมื่อเรามี พ.ร.ก.แรงงานต่างด้าวฯ ออกมา ก็ต้องปฏิบัติตามนั้น แต่ปัญหาเราอยู่ตรงที่ แรงงานที่เข้ามาอีกบางส่วนยังคงไม่ผ่านการขึ้นทะเบียนของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา บางส่วนทําแล้วไม่สมบูรณ์ คงต้องไปดําเนินการให้เรียบร้อยที่ชายแดน ถ้าเราทําครั้งนี้เรียบร้อยก็จะไม่มีปัญหาอีกต่อไป ต้องขออภัยในความยุ่งยากด้วย เพื่อจะได้เข้ามาอย่างถูกต้อง เราไม่สามารถจะอนุญาตให้เข้ามาก่อน ให้มาขึ้นทะเบียนแล้วมาพิสูจน์สัญชาติภายหลังได้อีกต่อไป ทั้งนี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้มีการทําผิดกฎหมายอีก แล้วต้องไปพันกับค้ามนุษย์ ไปพันกับIUUต่าง ๆ เหล่านั้น แล้ววันหน้าถ้ายังคงมีอาการประเภทเหล่านี้อยู่ ค้ามนุษย์ ผิดกฎหมาย แล้วเขาไม่ซื้อสินค้าอื่น ๆ แล้ว จะเป็นอย่างไร ฉะนั้นคนที่ออกมาเรียกร้อง ต้องเข้าใจประเด็นนี้ด้วยผมเข้าใจถึงความเดือดร้อนของท่าน แต่ท่านต้องเข้าใจถึงความเดือดร้อนของประเทศด้วย วันนี้เราพยายามแก้ปัญหาที่ก่อนหน้านี้ที่เราเข้ามาให้ได้ในประเด็นแรงงาน เป็นเรื่องสําคัญและเป็นวาระสําคัญของชาติ เราจะต้องแก้ปัญหาให้ได้ ยอมรับไม่ได้อีก ต่อให้มีแรงงานผิดกฎหมาย
ต้องขอความร่วมมือจากทุกฝ่าย นายจ้างลูกจ้าง ที่ยังปฏิบัติไม่ถูกต้อง เราให้เวลาไปเกือบ 6 เดือน หรือภายในสิ้นปีนี้ ตามที่ขยายไปแล้วให้ไปดําเนินการให้ครบ ท่านต้องหาวิธีดําเนินการให้ได้ ภาครัฐ กระทรวงแรงงาน สํานักงานจัดหางานต่าง ๆ เหล่านี้ ผู้ประกอบการ บริษัท เหล่านี้ต้องร่วมมือกันว่า จะหากลไกมาตรการอย่างไรที่จะไม่ให้เกิดผลกระทบจากการประกอบการ ถ้าท่านบอกว่า ทําแบบนี้แล้วเกิดผลกระทบกับการประกอบการแล้วจะเป็นอย่างไร ก็แก้ไขอะไรไม่ได้เหมือนเดิม เพราะอย่าลืมว่าที่ผ่านมา ท่านทําผิดกฎหมายมาเป็นจํานวนมากและนานพอสมควร ในกลุ่มที่ดีผมขอชมเชย แต่คราวนี้ปัญหาก็คือในกลุ่มที่ลักลอบ แย่งงาน แย่งคนงานด้วยการชักชวนให้ย้ายงานทั้งที่เขาลงทุนไปแล้ว นี้เป็นการกระทําที่เห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้นคนเหล่านี้ต้องปรับตัวเองให้ได้ด้วย
ที่เป็นกังวลตอนนี้คือ ลูกจ้าง ที่ท่านไว้ใจ อาทิเช่น ดูแลบ้าน แม่บ้าน เลี้ยงลูก หรือทํางานอะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ ขนาดเล็ก ๆ เหล่านี้จะทําอย่างไร อาจจะต้องให้กระทรวงแรงงานระบุให้ชัดเจนหรือไม่ว่าพวกคนเหล่านี้ออกไปในส่วนของแรงงานประเภทเหล่านี้แล้วให้กลับมาทํางานเหมือนเดิม ให้ระบุไว้ มี“บัตรเฉพาะออกไป”ก่อนออกไปก็มีบัตรเฉพาะว่าพวกนี้ออกไปแล้วกลับมาทํางานเดิมจะทําได้หรือไม่ อันนี้ขอฝากไว้ด้วยมีลายเซ็นต์ มีการยินยอม รับรองเงื่อนไข จากทั้ง 2 ฝ่ายให้ชัดเจน ทั้งผู้ประกอบการและแรงงาน ต้องมีมาตรการเฉพาะออกมาเป็นประเภท ๆ มีทั้งแรงงานที่จะเข้ามาทํางานเป็นรายปี และแรงงานอีกประเภท คือ แรงงานที่เข้ามาไปเช้า-เย็นกลับ อันนี้ต้องตกลงต่างหาก อย่าเอามาปนกัน ส่วนนั้นก็ต้องเอาเข้ามาและออกไป ทํางานในพื้นที่แนวชายแดนไม่ให้เกิดผลกระทบกับการประกอบในพื้นที่ชายแดน ถ้าตอนในก็อีกอันหนึ่ง เพราะฉะนั้นขอให้ส่วนราชการไปคิดมาตรการให้เกิดความชัดเจนขึ้น ในเรื่องของที่มีการเรียกร้องให้ดูแลหรือปรับปรุงในเรื่องค่าปรับต่างๆ รัฐบาลพยายามจะหาทาง วิธีการทางด้านกฎหมายว่าจะทําได้อย่างไรที่ค่าปรับต่าง ๆ ให้มีมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด ก็กําลังดําเนินการอยู่
ผมจะใช้เวลาที่มีอยู่ 6 เดือนนี้ แก้ปัญหาให้ได้มากที่สุดเพื่อลดกระทบ ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้สํานักจัดหางาน“เถื่อน”นายหน้า หรือบริษัทไม่สุจริตเข้ามาแสวงประโยชน์ จากแรงงานเหล่านี้จะต้องถูกลงโทษเด็ดขาด สําหรับผู้ที่ค้ามนุษย์ก็ดําเนินการเต็มที่ ทั้งโทษอาญา โทษต่าง ๆเหล่านี้ สําหรับขบวนการค้ามนุษย์ หากการล่อลวงว่าจะให้รายได้ที่ดีกว่า แล้วย้ายคนงานเหล่านี้ไปทํางานที่อื่นเอาผลประโยชน์ แล้วนายจ้างเดิมที่เขาเสียค่าใช้จ่ายเหล่านี้เขาจะทําอย่างไร อย่าเห็นแก่ตัวแบบนั้น ทําให้เกิดปัญหากับนายจ้างเดิม แรงงานใหม่บางทีไปถ้าถูกกฎหมายก็แล้วไป ย้ายงานได้แต่ถ้าย้ายงานไม่ได้ ก็ผิดกฎหมายลักลอบเข้าเมือง ลักลอบทํางานผิดกฎหมายอีก ก็พันกันไปทั้งหมดทุกอย่าง ต้องอาศัยความไว้วางใจกันและใช้สติปัญญาในการแก้ไข้ปัญหา ต้องเสียสละกันบ้าง บางคนก็กําไรมามากแล้วในการใช้แรงงานผิดกฎหมาย วันนี้พอขาดทุนก็เรียกร้อง ขอขอบคุณสําหรับผู้ที่ประกอบการดี ๆ ทั้งหมด สําหรับผมคิดว่ามีจํานวนมากกว่าผู้ประกอบการที่ไม่ถูกต้อง
ทั้งนี้ เพื่อให้ทันต่อการดําเนินการในช่วงผ่อนผัน ตามกรอบเวลา“6 เดือนข้างหน้า”เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ขอให้กระทรวงแรงงาน มีการจัดตั้ง“ศูนย์เฉพาะกิจ”เพื่ออํานวยการ บริหารจัดการ สําหรับการทํางานของคนต่างด้าวให้ถูกต้องตาม พ.ร.ก. แรงงานต่างด้าวฯ นี้ ตามที่ผมได้กล่าวไปแล้วด้วย อาทิ
(1) กลุ่มที่มีใบอนุญาตทํางาน (Work Permit)แต่ผิดนายจ้าง และ
(2) กลุ่มที่ตรวจสัญชาติแล้ว มีPassportมีVISAมีCI(หรือ เอกสารรับรองบุคคล) แล้ว แต่ยังไม่ได้ขอใบอนุญาตทํางานทั้ง 2 กลุ่มนี้ ให้สามารถดําเนินการให้ถูกต้องได้ทันที ณ ศูนย์เฉพาะกิจฯ สํานักงานจัดหางาน“ทุกจังหวัด”และกรุงเทพฯ“ทั้ง 10 พื้นที่”
(3) กลุ่มที่มีการนําเข้าตามMOUไม่ได้เป็นปัญหา สามารถดําเนินการได้ตามปกติ และสําหรับ
(4) กลุ่มที่ไม่มีใบอนุญาตทํางาน ให้ทั้งนายจ้าง และลูกจ้าง มาพบเจ้าหน้าที่ ณ ศูนย์เฉพาะกิจฯ ดังกล่าว เพื่อดําเนินการตามขั้นตอนให้ถูกต้อง ระหว่าง 24 กรกฎาคม-7 สิงหาคม นี้ / กรณีที่ยังมีข้อสงสัย สามารถสอบถามที่“สายด่วน 1694”
สิ่งสําคัญอีกประการคือ ขบวนการผิดกฎหมายค้ามนุษย์ จะต้องถูกทําลายเครือข่ายลงอย่างเด็ดขาดให้ได้ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทุจริตเรียกรับผลประโยชน์รีดไถ จากการเดินทางไปกลับภูมิลําเนาของแรงงานต่างด้าว ซึ่งมีมานาน จะต้องไม่เกิดขึ้นอีกโดยเด็ดขาด จะต้องถูกดําเนินคดีตามกฎหมาย จนถึง รัฐบาลนี้ พร้อมเปิดรับเรื่องราวร้องเรียน“ทุกช่องทาง”
พี่น้องประชาชน ครับ
เรื่องที่อยากฝากไว้คือ ไม่อยากให้คนไทยทุกคนฝากทุกอย่างให้รัฐบาลต้องดําเนินการ หรือรับผิดชอบ โดยที่ทุกภาคส่วนไม่ได้มีส่วนร่วมด้วยเลย ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่ง หรือ ผู้ที่มีส่วนได้เสีย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรักษาทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมการบุกรุกป่าป่าต้นน้ําอากาศขยะน้ําเสียการใช้แรงงานผิดกฎหมาย เป็นต้นสิ่งที่รัฐบาลจะทําได้คือ การกํากับดูแลด้านนโยบาย การออกกฎหมาย รวมไปจนถึงการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ การอํานวยความสะดวก ซึ่งถ้าหากประชาชน และทุกภาคส่วนไม่ให้ความร่วมมือ เพราะมัวแต่คํานึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่ เพียงอย่างเดียว อ้างผลกระทบ ความเดือดร้อน รัฐบาลจะทําอะไรได้อย่างเป็นรูปธรรมเป็นไปไม่ได้ทุกอย่างต้องช่วยกันแก้ไข โดยเริ่มแก้ที่ตนเองก่อน ใครที่ยังเป็นอย่างที่ผมกล่าวไป ก็ขอให้มองประโยชน์ส่วนใหญ่ด้วย พิจารณาทั้งปัจจัยภายในภายนอก และอนาคตของประเทศบ้าง อย่าไปคิดถึงอนาคตทางการเมืองอย่างเดียว
วันนี้เห็นออกมาพูดเรื่องยาง เรื่องข้าว เรื่องอะไรต่างๆ ทั้งที่ผ่านมา ไม่เคยได้แก้ปัญหาอย่างยั่งยืนไม่อยากให้ทุกคนมุ่งแต่ปกป้องผลประโยชน์ส่วนตน ไม่คิดเสียสละเพื่อส่วนรวม ไม่คิดถึงผลกระทบ แล้วผลักภาระเหล่านั้นให้รัฐบาลต้องรับผิดชอบทั้งหมด หรือไปแก้ไขกันเอาเอง เราก็จะลดความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลข้าราชการประชาชน ในการบังคับใช้กฎหมายได้อย่างไร มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น อย่างที่ผมยกตัวอย่างไปแล้วทุกคนต่างรู้ดีว่า หากไม่มีการกระทําผิดกฎหมาย ก็จะไม่มีการเรียกรับผลประโยชน์ หากไม่ผิดอะไร ก็ไม่ถูกจับกุม ไม่ถูกปรับ ไม่ต้องไปสมยอมเขา กฎหมายก็ไม่จําเป็นต้องแรงขึ้น ไม่จําเป็นต้องมีกฎหมายใหม่ด้วยซ้ําไป หลายกฎหมายเป็นเรื่องเดิมที่มีอยู่แล้ว ก็ไม่เคารพ กฎหมายใหม่ก็ไม่เอา
ผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากทําผิดกฎหมาย ดังนั้น สิ่งรัฐบาลนี้พยายามทําอยู่คือ การอํานวยความสะดวกให้การปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่เป็นอุปสรรค หรือเป็นเรื่องยาก ทั้งเรื่องของการจดทะเบียน การติดต่อราชการ การขอใบอนุญาตต่าง ๆ ต้องมีกระบวนการและขั้นตอนที่รวดเร็วและสะดวกขึ้น นําเทคโนโลยีมาใช้ การจัดตั้งOSSหรือ“ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ” one stop serviceให้จบในจุดเดียว ต้องไปพิจารณากันให้ดีว่าจะทําได้อย่างไร
สรุปง่าย ๆ คือว่า ถ้าทุกอย่างเราสามารถทําได้ก็จะดีขึ้นเองด้วย
(1) ทุกคนต้องเคารพกฎหมาย
(2) อย่าเอากฎหมายเพื่อส่วนรวม มาตีกับผลประโยชน์ส่วนตน แล้วหลีกเลี่ยง ไม่ปฏิบัติตาม โดยมีการชักนําจากคนไม่หวังดี และ
(3) ให้คิดถึงคนอื่น คิดถึงผลกระทบกับประเทศชาติในทุกๆ ด้านด้วย ทั้งเศรษฐกิจ มั่นคง ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินด้วย
รัฐบาลและ คสช. ไม่ได้มุ่งหวังอํานาจอย่างที่กล่าวอ้างกันทุกวันนี้ ว่าจะสืบทอดอํานาจผลประโยชน์ ผมยังนึกไม่ออกเหมือนกัน ผมก็ไม่รู้ว่าจะทําไปเพื่ออะไร ถ้าไม่ได้ทําเพื่อประเทศชาติ ประชาชน ผมไม่รู้จะทําไปเพื่ออะไรเหมือนกัน ทุกวันนี้เราไม่ต้องการที่จะไปควบคุมการเมือง ควบคุมประชาธิปไตยไปอีก 10-20 ปีใครคิดแบบนั้นผมว่าไม่ใช้คนไทย ก็ต้องขอความร่วมมือในการช่วยกันรักษาเสถียรภาพของบ้านเมือง
ในช่วงนี้ รัฐบาลและ คสช. คิดทํามุ่งหวังอยู่เสมอว่า จะทําอย่างไรปัญหาเหล่านี้จะไม่กลับมาอีก ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลาทํากันต่อไป อีกหลายรัฐบาล ก็ใช่ว่าปัญหาเหล่านี้ จะแก้ไขได้หมดสิ้น โลกมีความเสี่ยงตลอดเวลา วันนี้โลกภายนอกเขาไม่ค่อยมีปัญหา หรือจะสนใจกับในเรื่องของการบริหารจัดการ “ที่มาของรัฐบาล”มากนัก ก็มีความทําความเข้าใจกันอยู่บ้าง แต่เขาให้ความสนใจกับความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เพราะหากไม่มีเสถียรภาพ การค้า การลงทุน หรือเศรษฐกิจก็จะหยุดชะงัก ในโลกจึงมีทั้งประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ทั้งสังคมนิยม บางประเทศยังเป็นรัฐบาลทหาร ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาการณ์ในแต่ละประเทศ ซึ่งทุกคนก็ต้องสร้างความเข้าใจนะครับ ว่าเราทําเพื่ออะไรกันอยู่ในเวลานี้ ไม่ใช้ไปฟังนักการเมืองที่มุ่งหวังแต่เพียงการเมืองอย่างเดียว หวังผลทางการเมือง เราต้องเร่งรักษาความสงบเรียบร้อยให้ได้จากภายในเสีย
ผมไม่ได้หมายความว่า ประเทศไทยจะต้องเป็นอย่างอื่น ผมยืนยันหลายครั้งแล้วเรามีประชาธิปไตยมา 85 ปีแล้ว เราต้องมาดูซิว่า ประชาธิปไตย 85 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร เราเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ แต่ทําไมเราไม่รู้จักการแก้ไข้ในสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง มีการเปลี่ยนแปลงบ้าง ให้สําเร็จ ให้เหมาะสมเสียในช่วงนี้ วันหน้าทุกอย่างมันก็ต้องดีขึ้นเอง ช่วงนี้รัฐบาล และ คสช. ก็พยายามจะเปิดโอกาส สร้างบรรยากาศ ให้มีการปฏิรูปในทุก ๆ ด้าน เพื่อที่เราจะได้เป็นประชาธิปไตย“เต็มใบ”อย่างเต็มภาคภูมิ ตามแบบฉบับของเรา ซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิต ประวัติศาสตร์ และอารยธรรมของเราไม่ใช่ประชาธิปไตยที่ถูกบิดเบือน บิดเบี้ยว จนเสียหลักการอันเป็นแก่นแท้ เพื่อเพียงผลประโยชน์ของใครบางคน กลุ่มบางกลุ่ม วันนี้ เราต้องมาร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ ต้องให้กําลังใจ ให้โอกาสคนดีๆ พยายามทําเพื่อส่วนรวม ประเทศชาติ และอนาคตของลูกหลาน ไม่ให้พ่ายแพ้ต่อกลการเมืองที่อาจจะไม่จริงใจ ที่ดีเขามากกว่าอยู่แล้ว คนที่ไม่ดีก็ยังมีอยู่ หรือกลุ่มผลประโยชน์ที่ไร้ศีลธรรมเหล่านี้
สุดท้ายนี้ ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน นักท่องเที่ยว และผู้ที่สนใจ นิยมสินค้าไทย คุณภาพดี มาร่วมซื้อหา อุดหนุน“สุดยอดสินค้า”จากทั่วประเทศ ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล ทั้งอาหารท้องถิ่น ผลไม้พื้นบ้าน งานหัตถกรรมชุมชน และOTOP “คุณภาพระดับส่งออก”จนถึงวันที่ 24 กรกฎาคมนี้
ขอบคุณครับ ขอให้“ทุกคน”มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
*
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 7 กรกฎาคม 2560
วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม 2560
$("#video-player3").css("background-color", "#000000");
var container = document.getElementById("video-player3");
flowplayer.conf = {
share :false, // --> set share button
// facebook :true,
// ratio :9/16, // --> set ratio
// seekable :true,
// autoplay :false,
// splash : true,
// chromecast :true,
// auto quality
// hlsQualities:true,
poster :"https://media.thaigov.go.th/uploads/thumbnail/news/2017/07/5095_Capture04.JPG", //poster
// swf :"flowplayer.swf",
// hlsQualities:[{level: -1, label: "ABR"},{level: 1, label: "SD"}, {level: 6, label: "HD"}],
};
flowplayer(container, {
clip: {
sources: [
{
// type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl
// src: "vod/testcar.mp4"
// type: "application/x-mpegurl",
// file: "smil.php?filename=hp_2.mp4/playlist.m3u8",
type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl
src: "http://www.thaigov.go.th/vdo/contents/views/669"
}
],
title: "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 7 กรกฎาคม 2560",
// qualities: ["160p", "260p", "530p", "800p"],
// defaultQuality: "260p"
}
});
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 7 กรกฎาคม 2560
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2560 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
สืบเนื่องจากสุดสัปดาห์นี้ เป็นวันสําคัญทางพุทธศาสนา โดยในเทศกาล“วันอาสาฬหบูชา”ประจําปี 2560 นี้ นับเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง ที่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ได้เสด็จฯ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในพิธีบําเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานและพิธีเจริญพระพุทธมนต์ งานสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ณ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
ที่สําคัญอีกประการหนึ่งคือ รัฐบาลได้กําหนดให้“วันเข้าพรรษา”ของทุกปีเป็น“วันงดดื่มสุราแห่งชาติ”ซึ่งปีนี้ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้ ผมอยากขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ได้ร่วมกันทําบุญ ทํากุศล ต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม โดยการ“งดดื่มสุรา”เครื่องดองของเมา ตลอดห้วงเวลาเข้าพรรษา 3 เดือน นับจากนี้ หรือตลอดไปหากใครมีศรัทธาที่แรงกล้า มีความมุ่งมั่น ก็สามารถละเลิกการดื่มสุราตลอดไป ตลอดชีวิต ถือเป็นมหากุศล อย่างน้อยหากเลี่ยงไม่ได้ก็ขอให้เป็นการ“ดื่มอยากมีสติ” ส่วน“การดื่มเพื่อเข้าสังคม”นั้น ผมเห็นว่าเป็นสิ่งที่ล้าหลังไปแล้วสําหรับสังคมไทยในวันนี้ รวมความไปถึงการสูบบุหรี่ด้วย
ทั้งนี้ พ.ร.บ.ยาสูบ“ฉบับใหม่”ที่รัฐบาลนี้ผลักดันเป็นกฎหมาย และมีผลบังคับใช้แล้ว เมื่อ 4 กรกฎาคม 2560 วัตถุประสงค์หลักคือ การป้องกันเยาวชนไม่ให้เป็น“นักสูบหน้าใหม่”การคุ้มครองสุขภาพบุคคลรอบข้างที่ไม่สูบบุหรี่ แต่ได้รับผลกระทบ“ทางอ้อม”รวมทั้งการควบคุมและเตือน“สิงห์นักสูบ”มิให้ฝ่าฝืนสูบบุหรี่ใน“เขตปลอดบุหรี่”ขอให้ช่วยกันดูแลด้วย
ในการนี้ ผมขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทย โดยเฉพาะพุทธศาสนิกชน ร่วมกันรักษา“ศีล 5”ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติพื้นฐานของชีวิต จะนําความเจริญมาสู่ผู้เคร่งครัดในการปฏิบัติ และเป็น“ประตูสู่ความเสื่อม”สําหรับผู้ที่ละเมิดศีลในแต่ละข้อ ทั้งการฆ่าสัตว์ ทําร้ายผู้อื่นการลักทรัพย์ การทุจริตการประพฤติผิดในกามการพูดจาส่อเสียด โกหก บิดเบือน เลื่อนลอย และการดื่มสุรา ใช้ยาเสพติด ที่เราต้องละเว้น และเอาตัวออกห่างสิ่งเหล่านี้ด้วยนะครับ ทั้งนี้ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10ในปีนี้ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์“ทุกพระองค์” รวมทั้ง เพื่อความสงบสุขในสังคมไทยของเราด้วย
พี่น้องประชาชนที่เคารพครับ
เศรษฐกิจของประเทศ ห้วงที่ผ่านมา ในเดือนพฤษภาคม มีสัญญาณการขยายตัวต่อเนื่อง จากการส่งออกที่ขยายตัวได้ในระดับสูง ร้อยละ 13.2 การท่องเที่ยวเติบโตอย่างต่อเนื่อง ร้อยละ 3.3 คาดว่าเศรษฐกิจในไตรมาส 2 จะดีกว่าไตรมาสแรก และมีรายงานผลสํารวจความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติในไทย จากBOIพบว่า ร้อยละ 35.7 มีแผนจะขยายการลงทุนในประเทศไทย และร้อยละ 62.5 จะเดินหน้าลงทุนในไทยตามแผนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ มีความเชื่อมโยงกันในทุกระดับ ซึ่งรัฐบาลก็ให้ความ สําคัญทั้งหมด และดําเนินมาตรการต่าง ๆ ไปพร้อม ๆ กัน โดยมุ่งหวังให้ส่งผลดีทั้งทางตรงและทางอ้อม แก่พี่น้องประชาชนทุกคน
อย่างไรก็ตาม“หนี้สิน”ยังเป็นปัญหาปากท้อง ที่รัฐบาลไม่อาจละเลยได้นะครับ แต่เป็นจุดหมายของแทบทุกมาตรการของรัฐบาล ในการยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อปลดเปลื้องภาระให้กับพี่น้องประชาชนหลากหลายกลุ่ม ที่ต้องแบกรับมานาน จนทําให้ไม่สามารถจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าจําเป็นในชีวิตประจําวันได้เท่าที่ควร ปัจจุบัน“หนี้ครัวเรือน”ของประเทศไทย แม้ว่าจะลดลงมาอย่างต่อเนื่อง 5 ไตรมาส ติดต่อกัน แต่ยังอยู่ในระดับที่ยังต้องลดลงให้ได้อีก โดยข้อมูลล่าสุด เมื่อสิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2560 สัดส่วนหนี้ครัวเรือนปรับลดลง จากร้อยละ 79.8 มาอยู่ที่ร้อยละ 78.6 ของรายได้รวม ของประเทศ ในไตรมาสก่อน ทั้งนี้จากการสํารวจหนี้ครัวเรือนและประเมินจากข้อมูลที่มีอยู่ พบว่า.
(1) คนไทยเป็นหนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย โดยคนอายุ 30 ปี กว่าครึ่ง มีภาระหนี้สินแล้ว โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้จากสินเชื่อส่วนบุคคลหรือหนี้บัตรเครดิต
(2) คนไทยเป็นหนี้มากขึ้น โดยเทียบกับปี 2552 คนไทยที่มีหนี้สินคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 20 แต่ในปี 2559 สัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 30 รวมถึงมูลค่าของยอดหนี้ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า
(3) คนไทยแบกหนี้มานาน เห็นได้จากพี่น้องประชาชนที่เข้าใกล้วัยเกษียณ แม้มีรายได้มากขึ้น เริ่มมีรายจ่ายฟุ่มเฟือยน้อยลง ไม่ต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ แต่เห็นได้ว่าปริมาณหนี้ไม่ได้ลดลงตามไปด้วยเท่าไหร่
ทั้งนี้ ปัญหาหนี้ครัวเรือนนี้ ถือเป็นปัญหาที่สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ําของประเทศของประชาชน ที่ต้องเร่งขจัดปัดเป่าโดยเร็ว และถือว่าเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สําคัญที่รัฐบาลพยายามเดินหน้าแก้ไขมาโดยตลอด ให้มีแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้อย่างบูรณาการและยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการดําเนิน การแก้ไขปัญหาหนี้ให้กับพี่น้องประชาชนในกลุ่มต่าง ๆ อาทิ
กลุ่มแรก คือเกษตรกร ได้มีการรับขึ้นทะเบียนข้อมูลหนี้สินเกษตรกรในระดับหมู่บ้าน โดยเฉพาะหนี้ที่นําที่ดินไปประกันหนี้ และเกิดปัญหาความเดือดร้อน แยกเป็นหนี้ ทั้งในและนอกระบบสถาบันการเงิน ซึ่งมีเกษตรกรมายื่นคําร้อง กว่า 1 แสนราย มูลหนี้ราว 17,000 ล้านบาทสําหรับเกษตรกรที่มีหนี้ในระบบฯ รัฐบาลก็ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังกําหนดแนวทางให้การช่วยเหลือ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ และการขยายระยะเวลาชําระหนี้ เป็นต้น ผลจากการทยอยไกล่เกลี่ย เพื่อช่วยปลดเปลื้องหนี้สินได้แล้ว ราว 3 พันราย มูลหนี้เกือบ 400 ล้านบาท
กลุ่มที่สอง คือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย มีการเพิ่มช่องทางการให้สินเชื่อหลาย ๆ ด้าน รวมทั้งเร่งแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ โดยรัฐบาลได้ดําเนินการแก้ไขและป้องกันปัญหาอย่างครบวงจร ในด้าน“เจ้าหนี้”ก็มีการดําเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ได้กวดขันด้วย อย่าให้มีโดยเด็ดขาด รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ ให้เจ้าหนี้มาร่วมไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ เข้ามาขออนุญาตดําเนินธุรกิจสินเชื่อในระบบให้ถูกต้องนอกจากนี้ มีการบังคับใช้ พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา สําหรับลูกหนี้ ได้จัดให้มีเจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยไกล่เกลี่ยหนี้ เพื่อให้เกิดมูลค่าหนี้ที่เป็นธรรม และให้ธนาคารของรัฐ พิจารณาสินเชื่อ เพื่อแก้ไขหนี้นอกระบบ ตามศักยภาพของลูกหนี้แต่ละราย ขณะเดียวกัน รัฐบาลให้ความสําคัญกับการสร้างความเข้มแข็ง ความเป็นปึกแผ่น ของชุมชน หรือ“ระดับฐานราก”ของสังคมไทย โดยให้ชุมชนเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของสมาชิกในชุมชน ผ่านองค์กรการเงินชุมชนที่เข้มแข็งและมีศักยภาพ ควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พยายามเพิ่มช่องทางให้ลูกหนี้สามารถกลับมาเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ และการให้สินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ที่สําคัญ ได้มีการสร้างกลไกในการพัฒนาและฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้มีศักยภาพในการหารายได้และสามารถชําระหนี้ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้กลับไปเป็นหนี้นอกระบบอีก ซึ่งเป็นแนวทางการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะการให้ความรู้ในการจัดทํา“บัญชีครัวเรือน”อย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างวินัยทางการเงิน เป็น“ภูมิคุ้มกัน”การเป็นหนี้ ตาม“ศาสตร์พระราชา”อีกด้วย
กลุ่มสุดท้าย คือผู้ที่มีรายได้ประจํา แต่ยังมีภาระหนี้ล้นพ้นตัว ก็สามารถเข้าร่วมในโครงการ“คลินิกแก้หนี้”ที่มีการเปิดให้บริการแล้วในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อลดภาระการผ่อนชําระ และช่วยให้ประชาชนสามารถวางแผนการเงินที่เหมาะสม สร้างวินัยทางการเงิน ไม่ให้กลับมาเป็นหนี้ได้อีก
โดยสรุปแล้ว รัฐบาลได้พยายามอย่างเต็มที่นะครับ ที่จะหามาตรการ ทั้งในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนควบคู่กันไปเสมอ เพื่อให้เกิดการขจัดปัญหาได้อย่างจริงจังในระยะยาว โดยทั้งนี้ต้องอาศัยการตระหนักรู้ และปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายของพี่น้องประชาชน เป็นปัจจัยสําคัญ เพราะว่าหากคนไข้เชื่อฟังหมอกินยาตามกําหนด มีวินัยปฏิบัติตามคําแนะนํา และรู้วิธีป้องกันตนเองแล้ว ไม่เพียงจะหายป่วย แต่ร่างกายและจิตใจก็จะแข็งแรง มีแรง มีพลัง ต่อสู้ชีวิตได้อีกนี่คือ ปรัชญาที่เรียบง่าย จากการประยุกต์“ศาสตร์พระราชา”ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งรัฐบาลนี้ ได้เน้นการช่วยให้พี่น้องประชาชน ให้มีการเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน สร้างโอกาส สร้างตลาด รวมไปถึงการให้ความรู้ ความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน เพื่อไม่ให้กลับไปมีหนี้สินล้นพ้นตัว ซ้ําเติมหนี้เดิม หรือก่อหนี้ใหม่ผมก็หวังอย่างยิ่งนะครับ ว่าทุกฝ่ายจะช่วยกันทําหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ เราต้องแก้ไขไปด้วยกัน เพื่อจะแก้ไขปัญหาหนี้ครัวให้ได้ในระยะยาว เพื่อจะลดภาระของพี่น้องประชาชน ลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศร่วมกันอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะมีมาตรการต่าง ๆ ออกมามากมายแต่ปัญหาขอเราคือว่า ทุกคนยังไม่สามารถจะเข้ามาอยู่ในระบบเหล่านั้นได้ ก็ต้องไปหาช่องทางว่าจะทํากันอย่างไร อย่างน้อยก็เริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อน มิฉะนั้นแล้ว การที่รัฐบาลไม่ว่าจะออกมาตรการใดก็ตาม ไม่สามารถที่จะรองรับ หรือร่วมมือในมาตรการต่าง ๆ เหล่านั้นของรัฐได้ เลยกลายเป็นว่าเหมือนรัฐไม่ดูแล ประชาชนมีรายได้น้อยลง มีหนี้สินมากขึ้น อะไรทํานองนี้อย่างที่มีคนพูดกล่าวกันในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเรื่องจริง แต่เราจะทําอย่างไร ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองเลย เรายังคงทําแบบเดิม คิดแบบเดิม ไม่เข้าไปอยู่ในห่วงโซ่ ไม่พัฒนาตัวเอง รัฐก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก เพราะว่าเป็นการทําฝ่ายเดียว แล้วผลกระทบตรงนั้นจะเกิดขึ้นจากหลายส่วนด้วยกัน ขอให้ฟังรัฐบาลบ้าง ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองให้ดีขึ้น ระยะยาว ดีกว่าที่จะมุ่งเน้นในเรื่องของการช่วยเหลือไปตลอดเวลา ซึ่งเป็นไปไม่ได้ทั้งหมด
จากผลสํารวจความสุขของเกษตรกรกลุ่มตัวอย่าง 500 กว่าราย ทั่วประเทศโดยสํานักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL)มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นําพบว่า“ความสุขมวลรวมของเกษตรกร”มีค่าเฉลี่ยสูงถึง 8.29 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนนไปพิสูจน์กันเองว่า จากโพลออกมาแล้วจริงหรือไม่จริงอย่างไร ทั้งนี้ส่วนหนึ่งน่าจะเกิดมาจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ คนที่อยู่ในห่วงโซ่เหล่านี้ ก็สามารถจะมีรายได้ดีขึ้น ปรับตัวเอง มีการปรับเปลี่ยนการปลูกพืช มีการลดต้นทุนการผลิต มีการรวมกลุ่ม เหล่านี้ก็จะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าใครไม่เข้ามาในวงจรเหล่านี้เลย ก็ไม่เพิ่มขึ้นแน่นอน หนี้สินก็จะมากขึ้นเรื่อย ๆ วันนี้เราพยายามที่จะเพิ่มรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้สูงขึ้นหลายมาตรการด้วยกัน
รายงานล่าสุดช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา สินค้าเกษตรของไทย มีมูลค่าการค้า ประมาณ 7.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยการส่งออกสินค้าเกษตรสําคัญมูลค่ากว่า 5.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.8% ขณะที่การนําเข้ามูลค่ากว่า 1.6 แสนล้านบาท ลดลง 16% ส่งผลให้ไทยได้เปรียบดุลการค้า เกือบ 4 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24% ต้องไปดูการส่งออกเพิ่มขึ้น การนําเข้าลดลง การพัฒนาในด้านนี้จะลดลงหรือไม่ ต้องไปใคร่ครวญกันให้ดีว่า เราจะมีมาตรการอย่างไรออกไป รัฐบาลก็ติดตามเรื่องนี้อยู่อย่างสม่ําเสมอ
ทั้งนี้ สินค้าการเกษตรสําคัญของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นข้าว ยาง ปาล์ม ข้าวโพด มัน อ้อย ฯลฯ ต่อไปนี้ผมไม่อยากให้ทุกคนคิดว่า ราคาผลิตผลการเกษตรที่เรามีเป็นจํานวนมากนี้ จะมีโอกาสสูงขึ้นได้มากนักในอนาคต เพราะได้มีวิวัฒนาการต่าง ๆ มากมาย ในด้านอาหาร ไม่ว่าจะเป็นอาหารคน อาหารสัตว์ ซึ่งสามารถจะทดแทนกันได้ไม่จําเป็นต้องอาศัยพืชชนิดเดียวเช่น เดิมอย่างเช่นกรณี“ยาง”วันนี้บางประเทศ หรือบางอุตสาหกรรมก็สามารถผลิตยางรถยนต์ หรือยางอื่น ๆ ได้จากยางเทียม ที่ทํามาจากน้ํามันทดแทน ในช่วงที่ราคาน้ํามันดิบถูกลง โดยเรามีหนทางเดียวที่จะทําให้ราคาอยู่ในสภาพที่เกษตรกรไม่เดือดร้อนคือ การปรับตัว ผลจากการสํารวจกลุ่มเกษตรตัวอย่างที่กล่าวมาของ“ซูเปอร์โพล”พบว่า มีการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ทํากินทางการเกษตรอย่างมีนัยสําคัญคือ การปลูกข้าวอย่างเดียว“ลดลง”จากร้อยละ 75.3 เหลือร้อยละ 57.8ในขณะที่การปลูกข้าวกับพืชอื่น ๆ เช่น ทําไร่ ทําสวนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 15.5 เป็นร้อยละ 30.0 ทั้งนี้ การปรับตัวดังกล่าวนั้น ก็จะเป็นผลดีต่อภาคเกษตรกรรมของประเทศ หากเกิดขึ้นจริงในภาพรวมทั้งประเทศ โดยเฉพาะที่เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อย่างเช่น ลดพื้นที่ปลูกลงลดต้นทุนการผลิตผลิตตามความต้องการของตลาด เหล่านี้เป็นต้นนอกจากนี้ รัฐบาลต้องการให้พี่น้องเกษตรกรได้มีความเข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ มีการบริหารจัดการและการรวมกลุ่มเองไม่ว่าจะเป็นเกษตรแปลงใหญ่สหกรณ์ หรือวิสาหกิจชุมชนโดยใช้กลไก“ประชารัฐ”สอดแทรกในการดําเนินการ ตั้งแต่การปลูก การผลิต แปรรูป การตลาดด้วยตัวเองในตลาดชุมชน ตลาดออนไลน์
วันนี้ เรากําลังจัดทําโครงสร้างใหม่ทั้งหมด ที่จะเป็นการปฏิรูป เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งองค์ประกอบหลายอย่าง รวมไปถึงการวิจัย พัฒนา สร้างนวัตกรรม โดยเน้นการผลิตเพื่อใช้ และป้อนตลาดภายในประเทศก่อน สิ่งต่าง ๆ ต้องการการลงทุนจากเอกชนไทยและจากต่างประเทศ ซึ่งต้องมีการพิจารณาปัจจัยการผลิตอื่น ๆ ด้วยให้ครบวงจร ไม่ใช่เพียงวัสดุต้นทุนในประเทศเท่านั้น เช่น ยางพารา สิ่งที่เราต้องพิจารณา มีทั้งต้นทุนการผลิตค่าแรงค่าวัสดุต้นทุนคุณภาพการตลาดการแข่งขันที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งไม่ง่ายอย่างที่นักการเมืองบางท่าน หรือบางพรรคออกมาพูด หรือกล่าวอ้างโจมตีรัฐบาลอยู่ในเวลานี้ เพราะว่าถ้าทําเช่นนั้นได้จริง ก็คงแก้ปัญหาได้นานแล้ว ปัญหาคงไม่สะสมมาจนถึงวันนี้ วันนี้เรากําลังทําในสิ่งใหม่ ที่จะแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้าง ตลอดห่วงโซ่การผลิต ก็ไม่อยากให้ใครดึงกลับไปจุดเดิม พี่น้องเกษตรกรต้องพิจารณาด้วยตัวเอง
ที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่อาจจะทําให้เกิดปัญหาในเรื่องของราคายาง คือการปลูกยางพารา 3 ล้านกว่าไร่ ในพื้นที่บุกรุก ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่อาจจะทําให้ราคายางตก เพราะเรามียางเป็นจํานวนมาก อาจจะมากเกินไป การส่งออก ราคาก็ตก เพราะตลาดกลางก็มียางเป็นจํานวนมาก ต้องไปแข่งขันกันในตลาดโลก ตลาดกลาง เหล่านี้เราจะมากดดันกันภายในประเทศ คงทําไม่ได้ เพราะฉะนั้นในประเทศเราจะทําอย่างไร สาเหตุหนึ่งที่มีการปลูกมากเกินไป ในพืชเกษตรหลายชนิดทําให้เกิดปัญหาราคาตกทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น ยาง ที่ปลูกในพื้นที่บุกรุก 3 ล้านกว่าไร่ ถ้าเราทําให้พื้นที่บุกรุกเหล่านั้น ไม่มีการกรีดยางอีกต่อไป ราคายางขึ้นแน่นอน เพราะยางจะลดลง วันนี้เราก็เห็นใจพี่น้องเกษตรกรที่เดือดร้อน
ทั้งนี้ การกระทําใด ๆ ที่ผิดกฎหมาย รัฐบาลจําเป็นต้องมีนโยบายในการที่จะเปลี่ยนผ่านในช่วงนี้ เพราะฉะนั้นการที่ออกมาเรียกร้องในขณะนี้ แล้วมีการระดมกัน ปลุกกันว่าจะออกมากดดันรัฐบาล ผมไม่อยากให้เกิดกรณีเช่นนั้น เพราะถ้าหากว่ามีการกดดันรัฐบาลมากจนเกินไป รัฐบาลจําเป็นต้องใช้มาตรการทางกฎหมายคือ การห้ามกรีดยางในพื้นที่บุกรุกทั้งสิ้น ใน 3 ล้านกว่าไร่ แล้วพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางที่ยากจนจะทํายังไง
เพราะฉะนั้น ขอให้ผู้นําเกษตรกร สมาคมยางต่าง ๆ ให้พิจารณาตรงนี้ด้วย เพราะว่าท่านทําให้คนเหล่านั้นเดือดร้อนไปด้วย ไม่ใช่โยนภาระทั้งหมดมาให้กับรัฐบาล ท่านก็รู้อยู่แล้วว่า ปัญหาของเราคือยาง เรามีจํานวนมากเกินไป การส่งเสริมการผลิตยางในประเทศนั้นไม่ใช่สิ่งที่ง่าย เพราะที่ผ่านมามุ่งไปแต่ส่วนการขายไปต่างประเทศ แล้วก็ไม่ได้เพิ่มในเรื่องของการใช้ยางในประเทศให้มากขึ้น
วันนี้รัฐบาลพยายามส่งเสริม ไม่ให้เป็นการพึงพาการส่งออกมากจนเกินไปเหมือนในอดีต จนควบคุมไม่ได้ คราวนี้ในทุกกระทรวงสํารวจ จัดทําโครงการใช้ยางในทุกกิจกรรม ในภาพรวมของประเทศ คือการใช้ยางในส่วนราชการนั้น ไม่ใช่แต่เพียงว่า เอายางมา ซื้อยางมาจากเกษตรกร แล้วมาใช้ได้เลย ไม่ได้ ต้องมีการแปรรูป มีการนําสู่อุตสาหกรรม ถึงจะไปทํายางสนามกีฬา เสร็จแล้วก็ต้องไปทําการประมูลจัดซื้อจัดจ้าง ถึงจะใช้ได้
การทําถนนหนทางก็เช่นเดียวกัน วันนี้ใช้ได้ประมาณ 5-15% ในการที่จะใช้ผสมลงไป ซึ่งต้นทุนในการทําถนนก็สูงขึ้น แล้วจะทํายังไง เพราะฉะนั้นต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน ทั้งราคายาง ทั้งราคาที่ต้องเอาไปแปรรูป ทั้งราคาที่นําไปสู่การผลิต แล้วนํามาสู่การใช้งาน ตอนนี้รัฐบาลแก้ทุกอันนะครับ เราถึงจะได้นํามากําหนดเป็นความต้องการให้ได้ว่าตลาดภายในเราต้องการเท่าไร
เพราะฉะนั้น เราควรจะกําหนดปริมาณการผลิตบ้างหรือไม่ ปลูกที่ไหน เมื่อไร ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดยางของทั่วโลก ไม่ใช่ออกมาพร้อม ๆ กันทั้งหมด บางที่ก็ไม่ได้ หลายผลิตผลการเกษตร วันนี้ผมเห็นมีการเรียกร้องในเรื่องของสับปะรด เข้ามาอีก สับปะรดก็มีการบุกรุกเข้าไปหลายแสนไร่ ในปัจจุบัน ราคาสับปะรดดีขึ้น ก็บุกรุกป่าไปปลูกสับปะรดเข้าไปอีก แล้วราคาตกก็ร้องเรียนกับรัฐบาลสิ่งเหล่านี้แก้ได้อย่างเดียว คือการแก้ด้วยการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งแน่นอนพี่น้องประชาชนต้องเดือดร้อน
เพราะฉะนั้นต้องขอให้ผู้นําเกษตรกรต่าง ๆ ได้เข้าใจตรงนี้ ถ้าท่านไม่ช่วยเราตรงนั้น เราก็ไม่ทราบว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไร การที่จะเอางบประมาณไปอุดหนุน ไปอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ผิดกลไกของWTOอ้อย อะไรต่าง ๆ เราต้องมาแก้ทั้งหมดวันนี้ ท่านทราบหรือไม่ จะมีการฟ้องร้องอะไรต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเราก็คลี่คลายสถานการณ์ไปได้แล้ว ในเรื่องของเงินอุดหนุน ในเรื่องอ้อยก็ไปหาวิธีการที่เหมาะสม ไม่ผิดกติกาพันธะสัญญาโลก
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเรียนรู้ ถ้าเกษตรกรยังมุ่งอยากได้แต่ราคาที่สูง ๆ แล้วให้รัฐบาล หาวิธีการแก้ให้ได้ ยังไงก็แก้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นใครที่บอกว่าแก้ได้ ผมคิดว่าอย่าไปให้เขาหลอกเลย วันหน้าเขาก็หลอกแบบนี้เช่นกัน สิ่งเดียวที่แก้ได้คือ ปลูกในพื้นที่ ๆ เหมาะสม ปลูกในพื้นที่ที่ไม่บุกรุก แล้วลดต้นทุนการผลิตให้ได้ ปรับเปลี่ยนการปลูกพืชเชิงเดี่ยว เป็นการปลูกพืชหลาย ๆ ชนิด แล้ววันหน้าเราก็จะมีการปลูกพืชในพื้นที่ ๆ เหมาะสม เช่นตรงนี้ควรจะปลูกข้าว ตรงนี้ควรจะทําไร่นาสวนผสม ตรงนี้ควรจะทําสวนผลไม้ ตรงนี้ควรจะเลี้ยงสัตว์ ซึ่งในระหว่างนี้จะต้องเป็นช่วงของการปรับเปลี่ยน การให้ความรู้ การเตรียมการ หลายท่านอาจจะทดลองดูว่าเราเคยปลูก 20 ไร่ ทํานา หรือทําอะไรก็แล้วแต่ เราลองลดพื้นที่เหล่านั้นไปว่าจะทํานาไปเป็นอย่างอื่น ลอง 5 ไร่ได้หรือไม่ เหลือ 15 ไร่ ตรงไหนที่ทําข้าว แล้วขายไม่ได้คุณภาพ ราคาตก คุณภาพไม่ดี ก็ไปปลูกอย่างอื่นที่จะทดแทนได้ แล้วก็ปลูกข้าวไว้รับประทานอย่างเดียว เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องช่วยกันคิด ซึ่งเราคงต้องมีการกําหนดปริมาณการผลิต ว่าปลูกที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร มากน้อยเท่าไร แล้วเราจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างไร ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปส่งเสริมและความองค์ความรู้เพิ่มเติม ความรู้ปราชญ์ชาวบ้านก็มี ความรู้ของเกษตรกรSmart Farmerรุ่นใหม่ก็มี แล้วที่เราแพร่ไปตามสื่อ ตามสิ่งพิมพ์ ก็มากมายไปหมด ทุกคนต้องช่วยกันดูด้วย ไม่เช่นนั้นรัฐบาลแก้ไม่ได้ ปัญหาหมักหมมมาหลายอย่างด้วยกัน เราอาจจะต้องสนับสนุนภาคเอกชน ผู้ประกอบการเข้ามาร่วมกันนะครับ เช่น ในกรณีให้การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) และเครือข่ายวิชาการ ต่าง ๆ มาช่วยกันคิด ช่วยกันทําด้วย
วันนี้เรื่องยาง หมอนที่ผลิตจากยางพาราแท้ 100% และผ้าหุ้มหมอนไร้ฝุ่นจากศูนย์วิจัยศิริราช และศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จุฬาฯ ได้เริ่มส่งไปขายในประเทศจีน ช่วงเดือนสิงหาคมนี้ จํานวน 100,000 ใบ ตั้งเป้ายอดขายในอนาคตว่าจะสามารถสร้างมูลค่า ราว 5,000 ล้านบาทใน 3 ปี นอกจากนี้ จีนยังมีการสั่งซื้อยางไทยไปสต็อกไว้ เพื่อนําไปผลิตล้อรถยนต์จํานวนมากอีกด้วย อันนี้เป็นความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน กับทุกประเทศในโลกนี้ ซึ่งประเทศไทยจําเป็นต้องรักษาสมดุลเหล่านี้ไว้ให้ได้
สรุปได้ว่าหลักการสําคัญ ในการแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ํา ที่ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจว่า มีประเด็นเชื่อมโยงกัน เกี่ยวพันกัน ในเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
(1)การปลูกมากเกินไป ทําให้Demandน้อยกว่าSupplyคือ ความต้องการน้อยกว่าการผลิตที่มีจํานวนมาก
(2) การปลูกในพื้นที่ไม่เหมาะสม ดินไม่ดี น้ําไม่พอ ร้อนเกินไป ภัยแล้ง ภัยพิบัติ น้ําท่วม น้ํามาก น้ําน้อย ทําให้ต้องมีการลงทุนหลายครั้ง รฐบาลต้องเยียวยา ต้องมีการประกันภัย เหล่านี้ทําให้ผลผลิตไม่สมบูรณ์ ตรงนี้จะทําอย่างไรกับพื้นที่ตรงนี้
(3) การปลูกในพื้นที่บุกรุก ซึ่งเป็นทั้งพื้นที่ป่า พื้นที่อุทยาน ฯลฯ ซึ่งมีส่วนทําให้ผลผลิตนั้นมีมากจนเกินไป จากในส่วนที่ถูกกฎหมายก็ทําให้ฝ่ายโน้นเดือดร้อนไปด้วย ฉะนั้นต้องหารือกัน สมาคมเกษตรกร อย่ารวมกันเพื่อร้องเรียนอย่างเดียว ไปดูกันเองด้วย ไม่รู้ตั้งมาแล้วช่วยอะไรได้บ้าง เพราะฉะนั้นตั้งมาแล้วก็ต้องช่วยกัน อย่าไปเข้าใจอะไรกันผิด ๆ ต่อต้านรัฐบาล ทุกเรื่องไป
(4) การลงทุน ค่าใช้จ่ายในการเพาะปลูก ต้นทุนการผลิตสูง ทําให้ส่วนต่างกับราคาขายนั้นไม่มากนัก ขาดทุน กําไรนิดเดียว ไม่พอ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับค่าเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ยาค่าจ้างเครื่องจักร - รถไถค่าแรง และค่าเช่านา ค่าเช่าที่ดิน เหล่านี้เป็นต้น วันนี้ต้องไปทบทวนใหม่ทั้งหมด
(5) การตลาด ประกอบด้วยปัญหาต่าง ๆ อาทิ เกษตรกรขาดความรู้ด้านการตลาด สหกรณ์บางแห่งขาดประสิทธิภาพ เกษตรกรไม่สามารถกําหนดราคาเองได้ ขึ้นอยู่กับพ่อค้าคนกลางขายแต่วัตถุดิบ ไม่แปรรูป ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม,การขายต่างประเทศก็มีการซื้อขายล่วงหน้า,พันธะสัญญาต่างประเทศและโลก ได้มีการห้ามการสนับสนุนราคาพืชผลทางการเกษตรขณะนี้ เราก็ต้องแก้ปัญหาเรื่องอ้อยอีก ตามที่ผมกล่าวไปแล้วเรื่องการใช้เงินCESSมีการประท้วงจากต่างประเทศ การเจรจาทางการค้าที่จําเป็น ต้องมีการนําเข้าสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น เช่น ของอาเซียนFTAเป็นสิ่งที่เราต้องปฏิบัติคลังสํารองพืชผลเกษตรทุกประเทศเขาก็มีการตั้งคลังสํารองเอาไว้ เมื่อทุกประเทศมีมาก ราคาก็ตก เช่น การสต็อกข้าว ไทยเคยมีข้าวในสต็อกกว่า 18 ล้านตันและความร่วมมือต่างประเทศผ่านกลไกต่าง ๆ ร่วมมือเจรจา ซึ่งแต่ละประเทศนั้นก็พยายามจะสงวนไว้เพื่อประโยชน์ของประเทศตนเองให้มากที่สุดด้วย
นอกจากนั้น ยังมีปัญหาอื่น ๆ อีกมากมายเศรษฐกิจโลก การซื้อขายมูลค่าลดลงทุกกิจกรรม หนี้สินครัวเรือนในช่วงที่ผ่านมา หากไม่ได้รับการแก้ไข ไม่ครบวงจร ทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิม หนี้ก็จะพอกพูนมากขึ้นไปเรื่อย ๆ รัฐบาลออกทุนอะไรมาก็ตาม กองทุนโน้น กองทุนนี้ มาให้กู้ยืมก็สู้ไม่ได้ ทุกเรื่องที่กล่าวมา เป็นปัญหาสืบเนื่องยาวนาน การแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด ไม่ทําทั้งระบบ พอมาทําอันนี้ก็ยากการที่จะทําให้เกิดความไว้วางใจ การเชื่อมั่น เหล่านี้ต้องใช้เวลาทั้งสิ้น รัฐบาลนี้ยืนยันกําลังดําเนินการแก้ไขอยู่ ในทุก ๆ เรื่อง มีคนเดือดร้อนเป็นจํานวนมาก อันเป็นผลมาจากการบริหารประเทศในอดีตที่ผ่านมา รัฐบาลนี้จําเป็นต้องสะสางให้ได้ในทุกประเด็น แล้วมีการเริ่มต้นใหม่ให้ถูกต้อง ทั้งนี้ ขอให้สังเกตว่าหากในอดีตอย่างที่เขากล่าวอ้างมาว่า “ทําดี”อยู่แล้ว วันนี้ เราคงไม่ต้องตามแก้ไปหมดทุกเรื่องเช่นวันนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแรงงาน บุกรุกป่า ราคาสินค้าเกษตร หรือการสาธารณสุข การรักษาพยาบาล การศึกษา ผมไม่บังอาจต่อว่าท่านเหล่านั้น ให้เกียรติซึ่งกันและกัน แต่วันนี้อยากให้ประชาชนแยกแยะให้เข้าใจว่า เราจะร่วมมือแก้ไขปัญหาอย่างไร แล้วไม่ให้คนเหล่านั้นที่พูดจาทําให้เสียหายได้ออกมาพูดอีก ทุกอย่างกลับเป็นแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว
พี่น้องประชาชนที่เคารพ ครับ
เรื่องแรงงานต่างด้าวนั้น ข้อดีวันนี้ที่ผมเห็นก็คือ ดีใจที่คนไทยตื่นตัวในเรื่องกฎหมายและการปฏิรูปมากขึ้น ซึ่งผมอยากให้เข้าใจตรงกันว่า ปัญหาแรงงานต่างด้าวนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาในเรื่องของ“กฎหมายค้ามนุษย์”ซึ่งเราแสดงเจตนารมณ์ชัดเจน ทุกครั้ง ในเวทีระหว่างประเทศว่า จะป้องกันและต่อต้านการค้ามนุษย์ ให้ถึงที่สุดโดยกฎหมายในกลุ่มนี้ มี เรื่องใหญ่ ๆ รวมอยู่ด้วยกัน อาทิ การค้ามนุษย์การประมงผิดกฎหมาย แรงงานเด็ก แรงงานทาส รวมทั้งแรงงานต่างด้าว ซึ่งเราต้องเร่งดําเนินการอยู่ในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่เพื่อคนอื่น แต่เพื่อประเทศไทยของเราเอง การแก้ปัญหานี้ มีความพยายามอย่างต่อเนื่อง
3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้เปิดโอกาสให้มีการลงทะเบียนแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติไปแล้ว ราว 3 ล้านคน แต่อุปสรรคสําคัญ คือการพิสูจน์สัญชาติโดยประเทศต้นทาง ทําให้ยังคงเป็นปัญหาอยู่ และได้ผ่อนผันให้มาโดยตลอด หากยังพิสูจน์สัญชาติไม่ได้ ให้ถือบัตรสีชมพูไปพลางก่อน เรื่องนี้ขอให้พิจารณาด้วยใจที่เป็นกลางอย่ามองปัญหาในเชิงธุรกิจแต่เพียงด้านเดียว
สิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจไม่ทราบว่า ทําไมเราต้องพึ่งแรงงานต่างด้าว แล้วมีความต้องการจํานวนเท่าไหร่ เพราะหากทุก ๆ งานมีคนไทยทําเองหมด เราก็คงไม่ต้องไปพึ่งใคร หรือให้ใครต้องเข้ามาทําแทนเรา ในความเป็นจริงข้อนี้ทุกคนต้องยอมรับ วันนี้คนไทยเราทํางานประเภทใช้แรงงานลดลงทุกวัน และเหลือน้อยมาก บางประเภทแทบไม่มี จึงเป็นเหตุที่เราต้องทําความร่วมมือกับต่างประเทศ มีข้อตกลงกัน ซึ่งมีความยุ่งยากมากมาย มีระเบียบ มีขั้นตอน ทั้งกฎหมายในประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งปัญหาในเรื่องการทุจริตปัญหาด้านความมั่นคงปัญหาการค้ามนุษย์ ภาระทางสังคม การศึกษา สาธารณสุข การถือสัญชาติเด็กที่เกิดจากแรงงานต่างด้าว เหล่านี้เป็นต้น ทุกอย่างวันนี้ผสมปนเปเชื่อมโยงกัน ทําให้เป็นการซ้ําเติมปัญหา ถ้าเราไม่แกะออกมาวันนี้ การแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ไม่สามารถทําได้เพียงด้านใดด้านหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว ตามที่กล่าวมาแล้ว
เรื่องแรกที่เราต้องดําเนินการ คือ“การจัดระเบียบ”ใหม่ทั้งหมด หากทําได้เรียบร้อย เป็นระบบ เราก็จะบริหารจัดการได้อย่างยั่งยืน ตรงตามความต้องการตลาดแรงงานในประเทศที่เราต้องการ ทุกภาคการผลิตและบริการไม่มีการแย่งงาน ไม่มีการหนีงาน เปลี่ยนงาน เปลี่ยนนายจ้าง ทุกฝ่ายก็ได้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่เป็นเหมือนเช่นที่ผ่านมา ต้องอยู่แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ แล้ว“ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”ของท่านก็หายไป ไปอยู่ที่ไหนสังคมของเราก็จะสงบสุข ปลอดภัย ไว้ใจซึ่งกันและกันได้ สิ่งเหล่านี้ คนที่ไม่เคยรู้ ควรเปิดหูเปิดตาไม่ใช่หลับตาปิดใจ วิพากษ์วิจารณ์โดยปราศจากข้อมูล เราต้องเอาความจริงมาพูด มาเสนอแนะกัน ให้ความรู้ด้วยความจริงกับสังคม ว่าถ้าหากว่า ไม่มีการให้แรงงานเพื่อนบ้านเข้ามาทํางานเลย ก็จะไม่มีใครทํางานในโรงงานต่าง ๆ แม้แต่เด็กปั๊ม เด็กเสิร์ฟ ร้านอาหาร ไปจนถึงแรงงานในบ้าน แรงงานในสวนนาไร่ หรือการกรีดยาง และในเรือประมง ก็มีแรงงานเหล่านี้ ที่ทําให้เศรษฐกิจของประเทศไม่หยุดชะงัก เพราะฉะนั้น อย่าไปพูดจาให้เสียหาย เพราะว่า ในเมื่อเขาเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจเราแล้ว ด้วย“หลักมนุษยธรรม”และ“สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน”แรงงานเหล่านี้ ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของระบบสังคมของเรา ซึ่งก็ต้องได้รับสวัสดิการตามสมควร ที่รัฐต้องดูแลให้เป็นไปตามหลักสากลด้วย ซึ่งมีกระบวนการ ค่าใช้จ่ายตามปกติ ไม่ต่างอะไรจากพี่น้องคนไทย ที่ต้องไปทํางานในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเช่นกัน เพราะเป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่สําคัญเราจะเอาแต่ได้โดยไม่ยอมเสียอะไรเลย คงเป็นไปไม่ได้ แต่ต้องไม่ใช่การเสียความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งรัฐบาลก็จะไม่ยอมปล่อยปละละเลย ให้เป็นปัญหาคาราคาซังอีกต่อไป ให้เวลาไปแล้ว ต้องไปหาวิธีการดําเนินการกันให้ได้ ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน ผู้ประกอบการแรงงานต่าง ๆ ก็ต้องร่วมมือ หลายประเทศเขาก็ทําแบบนี้มาก่อน
การที่เราเคยเปิดให้จดทะเบียนไปแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2557 กว่า 1.3 ล้านคน ซึ่งก็เป็นเพียงความสําเร็จในระดับหนึ่ง แต่แรงงานที่ไม่เข้ามาอยู่ในระบบ และแรงงานที่เข้า ๆ ออก ๆ หมุนเวียนมาใหม่ ด้วยช่องทางที่หลีกเลี่ยงกฎหมายของข้าราชการที่ทุจริตบ้าง นายหน้าบ้าง นายจ้างบ้าง ก็สร้างปัญหาอยู่อย่างต่อเนื่องนําไปสู่วงจรแรงงานทาสบ้าง ค้ามนุษย์บ้าง ที่ส่งผลกระทบในภาพรวมของประเทศ ผู้ประกอบการเอง ก็ประสบปัญหาการเปลี่ยนงานของแรงงานต่างด้าวอยู่ตลอดเวลา ต้องทําให้ถูกต้อง จะได้ชัดเจนขึ้น บางครั้งเสียเงิน เสียเวลา ฝึกฝนจนใช้งานได้ ก็ถูกดึงไปใช้ เพราะอะไร เพราะเราไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน เลยเกิดความไม่เป็นธรรมต่อนายจ้างเดิม เหล่านี้เป็นต้นที่สําคัญคือ การเข้ามาในประเทศที่ไม่ผ่านกระบวนการพิสูจน์สัญชาติจากประเทศต้นทาง ที่เราเคยชะลอไปได้ วันนี้ไม่ได้แล้ว หากไม่มีหลักฐานทางราชการที่ถูกต้องในการเข้ามาทํางาน เราจะไม่สามารถควบคุม หรือจัดระเบียบอะไรได้เลย จากการที่นําเข้าผ่านแนวชายแดนเข้ามา ซึ่งมีเป็นจํานวนมาก ที่หลีกเลี่ยงไม่อยู่ในระบบเหล่านี้ซึ่งได้พูดคุยกับเพื่อนบ้านของเรา ช่วยกันแก้ปัญหา เราแก้คนเดียวไม่ได้ ช่วงที่ผ่านมาได้มีการจัดชุดพิสูจน์สัญชาติของต้นทางเข้ามาดําเนินการในบ้านเรา ในระหว่างที่ผ่อนปรนให้มีการใช้“บัตรชั่วคราว”แต่ห้ามย้ายงาน ย้ายพื้นที่ แต่ก็มีลักลอบอยู่ ต้องยอมรับความจริง
วันนี้มีข้อตกลงทําMOUกันระหว่าง 3 ประเทศได้ระบุไว้ว่า ต้องมีการพิสูจน์สัญชาติ ณ ชายแดนประเทศต้นทางที่มีสํานักงานอยู่เท่านั้น ซึ่งควรจะเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ที่ผ่านมาปล่อยเข้ามาหลายปีที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ จนเราต้องเข้ามาหามาตรการชะลอไป วันนี้ชะลอไม่ได้ ต้องเข้ามาสู่กระบวนการที่ถูกต้อง ก่อนที่จะเข้ามาในปลายทางของแต่ละประเทศ ต้องมีการพิสูจน์สัญชาติมาก่อนดังนั้น เมื่อเรามี พ.ร.ก.แรงงานต่างด้าวฯ ออกมา ก็ต้องปฏิบัติตามนั้น แต่ปัญหาเราอยู่ตรงที่ แรงงานที่เข้ามาอีกบางส่วนยังคงไม่ผ่านการขึ้นทะเบียนของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา บางส่วนทําแล้วไม่สมบูรณ์ คงต้องไปดําเนินการให้เรียบร้อยที่ชายแดน ถ้าเราทําครั้งนี้เรียบร้อยก็จะไม่มีปัญหาอีกต่อไป ต้องขออภัยในความยุ่งยากด้วย เพื่อจะได้เข้ามาอย่างถูกต้อง เราไม่สามารถจะอนุญาตให้เข้ามาก่อน ให้มาขึ้นทะเบียนแล้วมาพิสูจน์สัญชาติภายหลังได้อีกต่อไป ทั้งนี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้มีการทําผิดกฎหมายอีก แล้วต้องไปพันกับค้ามนุษย์ ไปพันกับIUUต่าง ๆ เหล่านั้น แล้ววันหน้าถ้ายังคงมีอาการประเภทเหล่านี้อยู่ ค้ามนุษย์ ผิดกฎหมาย แล้วเขาไม่ซื้อสินค้าอื่น ๆ แล้ว จะเป็นอย่างไร ฉะนั้นคนที่ออกมาเรียกร้อง ต้องเข้าใจประเด็นนี้ด้วยผมเข้าใจถึงความเดือดร้อนของท่าน แต่ท่านต้องเข้าใจถึงความเดือดร้อนของประเทศด้วย วันนี้เราพยายามแก้ปัญหาที่ก่อนหน้านี้ที่เราเข้ามาให้ได้ในประเด็นแรงงาน เป็นเรื่องสําคัญและเป็นวาระสําคัญของชาติ เราจะต้องแก้ปัญหาให้ได้ ยอมรับไม่ได้อีก ต่อให้มีแรงงานผิดกฎหมาย
ต้องขอความร่วมมือจากทุกฝ่าย นายจ้างลูกจ้าง ที่ยังปฏิบัติไม่ถูกต้อง เราให้เวลาไปเกือบ 6 เดือน หรือภายในสิ้นปีนี้ ตามที่ขยายไปแล้วให้ไปดําเนินการให้ครบ ท่านต้องหาวิธีดําเนินการให้ได้ ภาครัฐ กระทรวงแรงงาน สํานักงานจัดหางานต่าง ๆ เหล่านี้ ผู้ประกอบการ บริษัท เหล่านี้ต้องร่วมมือกันว่า จะหากลไกมาตรการอย่างไรที่จะไม่ให้เกิดผลกระทบจากการประกอบการ ถ้าท่านบอกว่า ทําแบบนี้แล้วเกิดผลกระทบกับการประกอบการแล้วจะเป็นอย่างไร ก็แก้ไขอะไรไม่ได้เหมือนเดิม เพราะอย่าลืมว่าที่ผ่านมา ท่านทําผิดกฎหมายมาเป็นจํานวนมากและนานพอสมควร ในกลุ่มที่ดีผมขอชมเชย แต่คราวนี้ปัญหาก็คือในกลุ่มที่ลักลอบ แย่งงาน แย่งคนงานด้วยการชักชวนให้ย้ายงานทั้งที่เขาลงทุนไปแล้ว นี้เป็นการกระทําที่เห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้นคนเหล่านี้ต้องปรับตัวเองให้ได้ด้วย
ที่เป็นกังวลตอนนี้คือ ลูกจ้าง ที่ท่านไว้ใจ อาทิเช่น ดูแลบ้าน แม่บ้าน เลี้ยงลูก หรือทํางานอะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ ขนาดเล็ก ๆ เหล่านี้จะทําอย่างไร อาจจะต้องให้กระทรวงแรงงานระบุให้ชัดเจนหรือไม่ว่าพวกคนเหล่านี้ออกไปในส่วนของแรงงานประเภทเหล่านี้แล้วให้กลับมาทํางานเหมือนเดิม ให้ระบุไว้ มี“บัตรเฉพาะออกไป”ก่อนออกไปก็มีบัตรเฉพาะว่าพวกนี้ออกไปแล้วกลับมาทํางานเดิมจะทําได้หรือไม่ อันนี้ขอฝากไว้ด้วยมีลายเซ็นต์ มีการยินยอม รับรองเงื่อนไข จากทั้ง 2 ฝ่ายให้ชัดเจน ทั้งผู้ประกอบการและแรงงาน ต้องมีมาตรการเฉพาะออกมาเป็นประเภท ๆ มีทั้งแรงงานที่จะเข้ามาทํางานเป็นรายปี และแรงงานอีกประเภท คือ แรงงานที่เข้ามาไปเช้า-เย็นกลับ อันนี้ต้องตกลงต่างหาก อย่าเอามาปนกัน ส่วนนั้นก็ต้องเอาเข้ามาและออกไป ทํางานในพื้นที่แนวชายแดนไม่ให้เกิดผลกระทบกับการประกอบในพื้นที่ชายแดน ถ้าตอนในก็อีกอันหนึ่ง เพราะฉะนั้นขอให้ส่วนราชการไปคิดมาตรการให้เกิดความชัดเจนขึ้น ในเรื่องของที่มีการเรียกร้องให้ดูแลหรือปรับปรุงในเรื่องค่าปรับต่างๆ รัฐบาลพยายามจะหาทาง วิธีการทางด้านกฎหมายว่าจะทําได้อย่างไรที่ค่าปรับต่าง ๆ ให้มีมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด ก็กําลังดําเนินการอยู่
ผมจะใช้เวลาที่มีอยู่ 6 เดือนนี้ แก้ปัญหาให้ได้มากที่สุดเพื่อลดกระทบ ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้สํานักจัดหางาน“เถื่อน”นายหน้า หรือบริษัทไม่สุจริตเข้ามาแสวงประโยชน์ จากแรงงานเหล่านี้จะต้องถูกลงโทษเด็ดขาด สําหรับผู้ที่ค้ามนุษย์ก็ดําเนินการเต็มที่ ทั้งโทษอาญา โทษต่าง ๆเหล่านี้ สําหรับขบวนการค้ามนุษย์ หากการล่อลวงว่าจะให้รายได้ที่ดีกว่า แล้วย้ายคนงานเหล่านี้ไปทํางานที่อื่นเอาผลประโยชน์ แล้วนายจ้างเดิมที่เขาเสียค่าใช้จ่ายเหล่านี้เขาจะทําอย่างไร อย่าเห็นแก่ตัวแบบนั้น ทําให้เกิดปัญหากับนายจ้างเดิม แรงงานใหม่บางทีไปถ้าถูกกฎหมายก็แล้วไป ย้ายงานได้แต่ถ้าย้ายงานไม่ได้ ก็ผิดกฎหมายลักลอบเข้าเมือง ลักลอบทํางานผิดกฎหมายอีก ก็พันกันไปทั้งหมดทุกอย่าง ต้องอาศัยความไว้วางใจกันและใช้สติปัญญาในการแก้ไข้ปัญหา ต้องเสียสละกันบ้าง บางคนก็กําไรมามากแล้วในการใช้แรงงานผิดกฎหมาย วันนี้พอขาดทุนก็เรียกร้อง ขอขอบคุณสําหรับผู้ที่ประกอบการดี ๆ ทั้งหมด สําหรับผมคิดว่ามีจํานวนมากกว่าผู้ประกอบการที่ไม่ถูกต้อง
ทั้งนี้ เพื่อให้ทันต่อการดําเนินการในช่วงผ่อนผัน ตามกรอบเวลา“6 เดือนข้างหน้า”เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ขอให้กระทรวงแรงงาน มีการจัดตั้ง“ศูนย์เฉพาะกิจ”เพื่ออํานวยการ บริหารจัดการ สําหรับการทํางานของคนต่างด้าวให้ถูกต้องตาม พ.ร.ก. แรงงานต่างด้าวฯ นี้ ตามที่ผมได้กล่าวไปแล้วด้วย อาทิ
(1) กลุ่มที่มีใบอนุญาตทํางาน (Work Permit)แต่ผิดนายจ้าง และ
(2) กลุ่มที่ตรวจสัญชาติแล้ว มีPassportมีVISAมีCI(หรือ เอกสารรับรองบุคคล) แล้ว แต่ยังไม่ได้ขอใบอนุญาตทํางานทั้ง 2 กลุ่มนี้ ให้สามารถดําเนินการให้ถูกต้องได้ทันที ณ ศูนย์เฉพาะกิจฯ สํานักงานจัดหางาน“ทุกจังหวัด”และกรุงเทพฯ“ทั้ง 10 พื้นที่”
(3) กลุ่มที่มีการนําเข้าตามMOUไม่ได้เป็นปัญหา สามารถดําเนินการได้ตามปกติ และสําหรับ
(4) กลุ่มที่ไม่มีใบอนุญาตทํางาน ให้ทั้งนายจ้าง และลูกจ้าง มาพบเจ้าหน้าที่ ณ ศูนย์เฉพาะกิจฯ ดังกล่าว เพื่อดําเนินการตามขั้นตอนให้ถูกต้อง ระหว่าง 24 กรกฎาคม-7 สิงหาคม นี้ / กรณีที่ยังมีข้อสงสัย สามารถสอบถามที่“สายด่วน 1694”
สิ่งสําคัญอีกประการคือ ขบวนการผิดกฎหมายค้ามนุษย์ จะต้องถูกทําลายเครือข่ายลงอย่างเด็ดขาดให้ได้ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทุจริตเรียกรับผลประโยชน์รีดไถ จากการเดินทางไปกลับภูมิลําเนาของแรงงานต่างด้าว ซึ่งมีมานาน จะต้องไม่เกิดขึ้นอีกโดยเด็ดขาด จะต้องถูกดําเนินคดีตามกฎหมาย จนถึง รัฐบาลนี้ พร้อมเปิดรับเรื่องราวร้องเรียน“ทุกช่องทาง”
พี่น้องประชาชน ครับ
เรื่องที่อยากฝากไว้คือ ไม่อยากให้คนไทยทุกคนฝากทุกอย่างให้รัฐบาลต้องดําเนินการ หรือรับผิดชอบ โดยที่ทุกภาคส่วนไม่ได้มีส่วนร่วมด้วยเลย ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่ง หรือ ผู้ที่มีส่วนได้เสีย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรักษาทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมการบุกรุกป่าป่าต้นน้ําอากาศขยะน้ําเสียการใช้แรงงานผิดกฎหมาย เป็นต้นสิ่งที่รัฐบาลจะทําได้คือ การกํากับดูแลด้านนโยบาย การออกกฎหมาย รวมไปจนถึงการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ การอํานวยความสะดวก ซึ่งถ้าหากประชาชน และทุกภาคส่วนไม่ให้ความร่วมมือ เพราะมัวแต่คํานึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่ เพียงอย่างเดียว อ้างผลกระทบ ความเดือดร้อน รัฐบาลจะทําอะไรได้อย่างเป็นรูปธรรมเป็นไปไม่ได้ทุกอย่างต้องช่วยกันแก้ไข โดยเริ่มแก้ที่ตนเองก่อน ใครที่ยังเป็นอย่างที่ผมกล่าวไป ก็ขอให้มองประโยชน์ส่วนใหญ่ด้วย พิจารณาทั้งปัจจัยภายในภายนอก และอนาคตของประเทศบ้าง อย่าไปคิดถึงอนาคตทางการเมืองอย่างเดียว
วันนี้เห็นออกมาพูดเรื่องยาง เรื่องข้าว เรื่องอะไรต่างๆ ทั้งที่ผ่านมา ไม่เคยได้แก้ปัญหาอย่างยั่งยืนไม่อยากให้ทุกคนมุ่งแต่ปกป้องผลประโยชน์ส่วนตน ไม่คิดเสียสละเพื่อส่วนรวม ไม่คิดถึงผลกระทบ แล้วผลักภาระเหล่านั้นให้รัฐบาลต้องรับผิดชอบทั้งหมด หรือไปแก้ไขกันเอาเอง เราก็จะลดความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลข้าราชการประชาชน ในการบังคับใช้กฎหมายได้อย่างไร มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น อย่างที่ผมยกตัวอย่างไปแล้วทุกคนต่างรู้ดีว่า หากไม่มีการกระทําผิดกฎหมาย ก็จะไม่มีการเรียกรับผลประโยชน์ หากไม่ผิดอะไร ก็ไม่ถูกจับกุม ไม่ถูกปรับ ไม่ต้องไปสมยอมเขา กฎหมายก็ไม่จําเป็นต้องแรงขึ้น ไม่จําเป็นต้องมีกฎหมายใหม่ด้วยซ้ําไป หลายกฎหมายเป็นเรื่องเดิมที่มีอยู่แล้ว ก็ไม่เคารพ กฎหมายใหม่ก็ไม่เอา
ผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากทําผิดกฎหมาย ดังนั้น สิ่งรัฐบาลนี้พยายามทําอยู่คือ การอํานวยความสะดวกให้การปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่เป็นอุปสรรค หรือเป็นเรื่องยาก ทั้งเรื่องของการจดทะเบียน การติดต่อราชการ การขอใบอนุญาตต่าง ๆ ต้องมีกระบวนการและขั้นตอนที่รวดเร็วและสะดวกขึ้น นําเทคโนโลยีมาใช้ การจัดตั้งOSSหรือ“ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ” one stop serviceให้จบในจุดเดียว ต้องไปพิจารณากันให้ดีว่าจะทําได้อย่างไร
สรุปง่าย ๆ คือว่า ถ้าทุกอย่างเราสามารถทําได้ก็จะดีขึ้นเองด้วย
(1) ทุกคนต้องเคารพกฎหมาย
(2) อย่าเอากฎหมายเพื่อส่วนรวม มาตีกับผลประโยชน์ส่วนตน แล้วหลีกเลี่ยง ไม่ปฏิบัติตาม โดยมีการชักนําจากคนไม่หวังดี และ
(3) ให้คิดถึงคนอื่น คิดถึงผลกระทบกับประเทศชาติในทุกๆ ด้านด้วย ทั้งเศรษฐกิจ มั่นคง ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินด้วย
รัฐบาลและ คสช. ไม่ได้มุ่งหวังอํานาจอย่างที่กล่าวอ้างกันทุกวันนี้ ว่าจะสืบทอดอํานาจผลประโยชน์ ผมยังนึกไม่ออกเหมือนกัน ผมก็ไม่รู้ว่าจะทําไปเพื่ออะไร ถ้าไม่ได้ทําเพื่อประเทศชาติ ประชาชน ผมไม่รู้จะทําไปเพื่ออะไรเหมือนกัน ทุกวันนี้เราไม่ต้องการที่จะไปควบคุมการเมือง ควบคุมประชาธิปไตยไปอีก 10-20 ปีใครคิดแบบนั้นผมว่าไม่ใช้คนไทย ก็ต้องขอความร่วมมือในการช่วยกันรักษาเสถียรภาพของบ้านเมือง
ในช่วงนี้ รัฐบาลและ คสช. คิดทํามุ่งหวังอยู่เสมอว่า จะทําอย่างไรปัญหาเหล่านี้จะไม่กลับมาอีก ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลาทํากันต่อไป อีกหลายรัฐบาล ก็ใช่ว่าปัญหาเหล่านี้ จะแก้ไขได้หมดสิ้น โลกมีความเสี่ยงตลอดเวลา วันนี้โลกภายนอกเขาไม่ค่อยมีปัญหา หรือจะสนใจกับในเรื่องของการบริหารจัดการ “ที่มาของรัฐบาล”มากนัก ก็มีความทําความเข้าใจกันอยู่บ้าง แต่เขาให้ความสนใจกับความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เพราะหากไม่มีเสถียรภาพ การค้า การลงทุน หรือเศรษฐกิจก็จะหยุดชะงัก ในโลกจึงมีทั้งประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ทั้งสังคมนิยม บางประเทศยังเป็นรัฐบาลทหาร ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาการณ์ในแต่ละประเทศ ซึ่งทุกคนก็ต้องสร้างความเข้าใจนะครับ ว่าเราทําเพื่ออะไรกันอยู่ในเวลานี้ ไม่ใช้ไปฟังนักการเมืองที่มุ่งหวังแต่เพียงการเมืองอย่างเดียว หวังผลทางการเมือง เราต้องเร่งรักษาความสงบเรียบร้อยให้ได้จากภายในเสีย
ผมไม่ได้หมายความว่า ประเทศไทยจะต้องเป็นอย่างอื่น ผมยืนยันหลายครั้งแล้วเรามีประชาธิปไตยมา 85 ปีแล้ว เราต้องมาดูซิว่า ประชาธิปไตย 85 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร เราเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ แต่ทําไมเราไม่รู้จักการแก้ไข้ในสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง มีการเปลี่ยนแปลงบ้าง ให้สําเร็จ ให้เหมาะสมเสียในช่วงนี้ วันหน้าทุกอย่างมันก็ต้องดีขึ้นเอง ช่วงนี้รัฐบาล และ คสช. ก็พยายามจะเปิดโอกาส สร้างบรรยากาศ ให้มีการปฏิรูปในทุก ๆ ด้าน เพื่อที่เราจะได้เป็นประชาธิปไตย“เต็มใบ”อย่างเต็มภาคภูมิ ตามแบบฉบับของเรา ซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิต ประวัติศาสตร์ และอารยธรรมของเราไม่ใช่ประชาธิปไตยที่ถูกบิดเบือน บิดเบี้ยว จนเสียหลักการอันเป็นแก่นแท้ เพื่อเพียงผลประโยชน์ของใครบางคน กลุ่มบางกลุ่ม วันนี้ เราต้องมาร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ ต้องให้กําลังใจ ให้โอกาสคนดีๆ พยายามทําเพื่อส่วนรวม ประเทศชาติ และอนาคตของลูกหลาน ไม่ให้พ่ายแพ้ต่อกลการเมืองที่อาจจะไม่จริงใจ ที่ดีเขามากกว่าอยู่แล้ว คนที่ไม่ดีก็ยังมีอยู่ หรือกลุ่มผลประโยชน์ที่ไร้ศีลธรรมเหล่านี้
สุดท้ายนี้ ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน นักท่องเที่ยว และผู้ที่สนใจ นิยมสินค้าไทย คุณภาพดี มาร่วมซื้อหา อุดหนุน“สุดยอดสินค้า”จากทั่วประเทศ ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล ทั้งอาหารท้องถิ่น ผลไม้พื้นบ้าน งานหัตถกรรมชุมชน และOTOP “คุณภาพระดับส่งออก”จนถึงวันที่ 24 กรกฎาคมนี้
ขอบคุณครับ ขอให้“ทุกคน”มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
*
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5095
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank จับมือ MCOT เปิดตัวโครงการ “SME D Digital Market Place” ปั้นยอดขาย ขยายตลาด ดันสตาร์ทอัพเอสเอ็มอีไทย ขึ้น E-Commerce Platforms
|
วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562
SME D Bank จับมือ MCOT เปิดตัวโครงการ “SME D Digital Market Place” ปั้นยอดขาย ขยายตลาด ดันสตาร์ทอัพเอสเอ็มอีไทย ขึ้น E-Commerce Platforms
SME D Bank ประสานความร่วมมือกับ บริษัท อสมท จํากัด (มหาชน) เปิดตัวโครงการ “SME D Digital Market Place” มุ่งพาผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ถนนดิจิทัล เพื่อให้บริการด้านการตลาดและเพิ่มโอกาสทางการค้าให้แก่ ผู้ประกอบการ SMEsไทย
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank หรือ ธพว.) เปิดเผยว่า SME D Bank ประสานความร่วมมือกับ บริษัท อสมท จํากัด (มหาชน) เปิดตัวโครงการ “SME D Digital Market Place” มุ่งพาผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ถนนดิจิทัล เพื่อให้บริการด้านการตลาดและเพิ่มโอกาสทางการค้าให้แก่ ผู้ประกอบการ SMEsไทย ต่อยอดโอกาสและช่องทางการกระจายสินค้าโดยประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อดิจิตัล พร้อมทั้งส่งเสริม ผลักดัน และยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นไทยให้สามารถแข่งขันบนตลาดโลกได้อย่างยั่งยืนผ่านแพลตฟอร์มสื่อโทรทัศน์ และ สื่อดิจิทัล
โครงการ “SME D Digital Market Place” เป็นความร่วมมือระหว่าง 2 องค์กร สืบเนื่องจากการเล็งเห็นโอกาสในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จากสัดส่วนการตลาด TV Shopping ที่ขยายตัวสูงถึง 8,000 ล้านบาทตั้งแต่ช่วงปี 2558 ที่ผ่านมา เกิดไอเดียส่งเสริมระบบ E-Commerce หรือดิจิทัลแพลตฟอร์ม ให้กลุ่มสตาร์ทอัพ และ SMEs ได้แจ้งเกิด โดยการนํา 50 ผู้ประกอบการดาวรุ่ง สินค้าที่มีความโดดเด่น เข้าดูแลส่งเสริมการตลาดแบบครบวงจร ในรูปแบบของสปอตโทรทัศน์ และสกู๊ปพิเศษแนะนําสินค้า การประชาสัมพันธ์ผ่านSocial Media รวมไปถึงระบบการจัดการหลังบ้าน ให้แก่ธุรกิจในกลุ่ม SMEs โดยในเบื้องต้นจะเริ่มดําเนินการเป็นระยะเวลา 3 เดือนก่อน ภายใต้การดูแลของ SME D Bank และ บมจ.อสมท สนับสนุนการติดปีกก้าวสู่ตลาดดิจิทัลครบวงจร สามารถขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการสร้างผู้ประกอบการก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 ต่อไป
โดยกลุ่มธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการจะเป็น ลูกค้า และ ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพ ภายใต้การดูแลของ SME D Bank ที่มีความน่าสนใจ มีความโดดเด่น มีอัตลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ในคลัสเตอร์ต่างๆ และเป็นการต่อยอดความร่วมมือ โครงการ SME D Scaleup Society เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 ที่ผ่านมา อาทิ กลุ่มผลิตภัณฑ์แปรรูปยางพารา และกลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร เป็นต้น
โครงการ “SME D Digital Market Place” เป็นจุดเริ่มต้นความร่วมมือของ 2 องค์กรจากภาครัฐ สะท้อนความสําเร็จในการร่วมมือขับเคลื่อนพัฒนาอุตสาหกรรมธุรกิจ SMEs อีกทั้งยังเชื่อมั่นว่าจะสามารถเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงผู้บริโภค ขยายช่องทางในการจัดจําหน่าย สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการ และยกระดับเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล สามารถประกอบกิจการค้าขายพัฒนาสู่ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจต่อไป
ข้อมูลเพิ่มเติม: ฝ่ายส่งเสริมกิจกรรมพัฒนาผู้ประกอบการ โทร 02 265 -4494, 02 265 -3009, 02 265 -4579
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank จับมือ MCOT เปิดตัวโครงการ “SME D Digital Market Place” ปั้นยอดขาย ขยายตลาด ดันสตาร์ทอัพเอสเอ็มอีไทย ขึ้น E-Commerce Platforms
วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562
SME D Bank จับมือ MCOT เปิดตัวโครงการ “SME D Digital Market Place” ปั้นยอดขาย ขยายตลาด ดันสตาร์ทอัพเอสเอ็มอีไทย ขึ้น E-Commerce Platforms
SME D Bank ประสานความร่วมมือกับ บริษัท อสมท จํากัด (มหาชน) เปิดตัวโครงการ “SME D Digital Market Place” มุ่งพาผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ถนนดิจิทัล เพื่อให้บริการด้านการตลาดและเพิ่มโอกาสทางการค้าให้แก่ ผู้ประกอบการ SMEsไทย
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank หรือ ธพว.) เปิดเผยว่า SME D Bank ประสานความร่วมมือกับ บริษัท อสมท จํากัด (มหาชน) เปิดตัวโครงการ “SME D Digital Market Place” มุ่งพาผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ถนนดิจิทัล เพื่อให้บริการด้านการตลาดและเพิ่มโอกาสทางการค้าให้แก่ ผู้ประกอบการ SMEsไทย ต่อยอดโอกาสและช่องทางการกระจายสินค้าโดยประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อดิจิตัล พร้อมทั้งส่งเสริม ผลักดัน และยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นไทยให้สามารถแข่งขันบนตลาดโลกได้อย่างยั่งยืนผ่านแพลตฟอร์มสื่อโทรทัศน์ และ สื่อดิจิทัล
โครงการ “SME D Digital Market Place” เป็นความร่วมมือระหว่าง 2 องค์กร สืบเนื่องจากการเล็งเห็นโอกาสในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จากสัดส่วนการตลาด TV Shopping ที่ขยายตัวสูงถึง 8,000 ล้านบาทตั้งแต่ช่วงปี 2558 ที่ผ่านมา เกิดไอเดียส่งเสริมระบบ E-Commerce หรือดิจิทัลแพลตฟอร์ม ให้กลุ่มสตาร์ทอัพ และ SMEs ได้แจ้งเกิด โดยการนํา 50 ผู้ประกอบการดาวรุ่ง สินค้าที่มีความโดดเด่น เข้าดูแลส่งเสริมการตลาดแบบครบวงจร ในรูปแบบของสปอตโทรทัศน์ และสกู๊ปพิเศษแนะนําสินค้า การประชาสัมพันธ์ผ่านSocial Media รวมไปถึงระบบการจัดการหลังบ้าน ให้แก่ธุรกิจในกลุ่ม SMEs โดยในเบื้องต้นจะเริ่มดําเนินการเป็นระยะเวลา 3 เดือนก่อน ภายใต้การดูแลของ SME D Bank และ บมจ.อสมท สนับสนุนการติดปีกก้าวสู่ตลาดดิจิทัลครบวงจร สามารถขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการสร้างผู้ประกอบการก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 ต่อไป
โดยกลุ่มธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการจะเป็น ลูกค้า และ ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพ ภายใต้การดูแลของ SME D Bank ที่มีความน่าสนใจ มีความโดดเด่น มีอัตลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ในคลัสเตอร์ต่างๆ และเป็นการต่อยอดความร่วมมือ โครงการ SME D Scaleup Society เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 ที่ผ่านมา อาทิ กลุ่มผลิตภัณฑ์แปรรูปยางพารา และกลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร เป็นต้น
โครงการ “SME D Digital Market Place” เป็นจุดเริ่มต้นความร่วมมือของ 2 องค์กรจากภาครัฐ สะท้อนความสําเร็จในการร่วมมือขับเคลื่อนพัฒนาอุตสาหกรรมธุรกิจ SMEs อีกทั้งยังเชื่อมั่นว่าจะสามารถเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงผู้บริโภค ขยายช่องทางในการจัดจําหน่าย สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการ และยกระดับเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล สามารถประกอบกิจการค้าขายพัฒนาสู่ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจต่อไป
ข้อมูลเพิ่มเติม: ฝ่ายส่งเสริมกิจกรรมพัฒนาผู้ประกอบการ โทร 02 265 -4494, 02 265 -3009, 02 265 -4579
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18921
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. แนะนำวิธีปฏิบัติประกอบการขอซื้อตั๋วโดยสาร และการจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มในสถานีรถไฟ เพื่อให้สอดคล้องตาม พ.ร.ก. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 [กระทรวงคมนาคม]
|
วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม 2563
รฟท. แนะนําวิธีปฏิบัติประกอบการขอซื้อตั๋วโดยสาร และการจําหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มในสถานีรถไฟ เพื่อให้สอดคล้องตาม พ.ร.ก. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 [กระทรวงคมนาคม]
รฟท. แนะนําวิธีปฏิบัติประกอบการขอซื้อตั๋วโดยสาร และการจําหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มในสถานีรถไฟ เพื่อให้สอดคล้องตาม พ.ร.ก. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม แนะนําวิธีปฏิบัติประกอบการขอซื้อตั๋วโดยสาร และการจําหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มภายในสถานีรถไฟ เพื่อให้สอดคล้องตามข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ฉบับที่ 5 และฉบับที่ 6 เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที 3 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายหรือมีคําสั่งเปลี่ยนแปลง
นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตามพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 5) ข้อ 5 กําหนดให้ประชาชนงดหรือชะลอการเดินทางข้ามเขตพื้นที่จังหวัด เว้นแต่มีความจําเป็น ซึ่งต้องแสดงเหตุผลและหลักฐานต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และฉบับที่ 6 ข้อ 1 (1) ก. การจําหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มในสถานีรถไฟ และคําสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ 2/2563 ประกาศ ณ วันที่ 3 พฤษภาคม 2563 นั้น เพื่อให้สอดคล้องตามข้อกําหนดและคําสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ 2/2563 รฟท. จึงได้กําหนดวิธีปฏิบัติประกอบการขอซื้อตั๋วโดยสาร และการจําหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มภายในสถานีรถไฟ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายหรือมีคําสั่งเปลี่ยนแปลง ดังนี้
1. การจําหน่ายตั๋วโดยสาร กําหนดให้พนักงานจําหน่ายตั๋วขอตรวจสอบเอกสารหลักฐานแสดงเหตุผลความจําเป็นที่ต้องเดินทางข้ามจังหวัดที่รับรองหรือออกให้โดยผู้ว่าราชการจังหวัด หรือเจ้าหน้าที่ ผู้ได้รับมอบหมายก่อนจําหน่ายตั๋วทุกครั้ง
2. การจําหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มในสถานีรถไฟ กําหนดให้นายสถานีถือปฏิบัติและควบคุมผู้ประกอบการ พนักงานบริการและผู้ใช้บริการ ดังนี้
2.1 ให้เจ้าหน้าที่และผู้ประกอบการทําความสะอาดพื้นผิวสัมผัส ก่อนและหลังการให้บริการ และให้กําจัดขยะมูลฝอยทุกวัน
2.2 ให้เจ้าหน้าที่ ผู้ประกอบการ พนักงานบริการ และผู้ใช้บริการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า และให้มีการคัดกรองอาการป่วย ไข้ จาม หรือเป็นหวัดสําหรับพนักงานบริการและผู้ใช้บริการตามขีดความสามารถ
2.3 ให้สถานีและผู้ประกอบการจัดให้มีจุดบริการล้างมือด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล หรือน้ํายาฆ่าเชื้อโรค
2.4 ให้นายสถานีและผู้ประกอบการลดเวลาในการทํากิจกรรมให้สั้นลงเท่าที่จําเป็น โดยถือหลักหลีกเลี่ยงการติดต่อสัมผัสระหว่างกัน
2.5 ให้นายสถานีและผู้ประกอบการจัดให้มีการเว้นระยะห่างระหว่างโต๊ะ ที่นั่ง ระยะห่างระหว่างทางเดิน รวมถึงจัดให้มีพื้นที่รอคิวที่มีที่นั่งหรือยืนห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร
2.6 ให้ควบคุมจํานวนผู้ใช้บริการมิให้แออัด
สําหรับผู้โดยสารที่จะเดินทางข้ามเขตจังหวัด จะต้องได้รับการตรวจคัดกรองและต้องแสดงเหตุผลความจําเป็น พร้อมหลักฐานการอนุญาตของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรการป้องกันที่ทางราชการกําหนด โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. แนะนำวิธีปฏิบัติประกอบการขอซื้อตั๋วโดยสาร และการจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มในสถานีรถไฟ เพื่อให้สอดคล้องตาม พ.ร.ก. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 [กระทรวงคมนาคม]
วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม 2563
รฟท. แนะนําวิธีปฏิบัติประกอบการขอซื้อตั๋วโดยสาร และการจําหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มในสถานีรถไฟ เพื่อให้สอดคล้องตาม พ.ร.ก. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 [กระทรวงคมนาคม]
รฟท. แนะนําวิธีปฏิบัติประกอบการขอซื้อตั๋วโดยสาร และการจําหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มในสถานีรถไฟ เพื่อให้สอดคล้องตาม พ.ร.ก. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม แนะนําวิธีปฏิบัติประกอบการขอซื้อตั๋วโดยสาร และการจําหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มภายในสถานีรถไฟ เพื่อให้สอดคล้องตามข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ฉบับที่ 5 และฉบับที่ 6 เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที 3 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายหรือมีคําสั่งเปลี่ยนแปลง
นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตามพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 5) ข้อ 5 กําหนดให้ประชาชนงดหรือชะลอการเดินทางข้ามเขตพื้นที่จังหวัด เว้นแต่มีความจําเป็น ซึ่งต้องแสดงเหตุผลและหลักฐานต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และฉบับที่ 6 ข้อ 1 (1) ก. การจําหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มในสถานีรถไฟ และคําสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ 2/2563 ประกาศ ณ วันที่ 3 พฤษภาคม 2563 นั้น เพื่อให้สอดคล้องตามข้อกําหนดและคําสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ 2/2563 รฟท. จึงได้กําหนดวิธีปฏิบัติประกอบการขอซื้อตั๋วโดยสาร และการจําหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มภายในสถานีรถไฟ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายหรือมีคําสั่งเปลี่ยนแปลง ดังนี้
1. การจําหน่ายตั๋วโดยสาร กําหนดให้พนักงานจําหน่ายตั๋วขอตรวจสอบเอกสารหลักฐานแสดงเหตุผลความจําเป็นที่ต้องเดินทางข้ามจังหวัดที่รับรองหรือออกให้โดยผู้ว่าราชการจังหวัด หรือเจ้าหน้าที่ ผู้ได้รับมอบหมายก่อนจําหน่ายตั๋วทุกครั้ง
2. การจําหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มในสถานีรถไฟ กําหนดให้นายสถานีถือปฏิบัติและควบคุมผู้ประกอบการ พนักงานบริการและผู้ใช้บริการ ดังนี้
2.1 ให้เจ้าหน้าที่และผู้ประกอบการทําความสะอาดพื้นผิวสัมผัส ก่อนและหลังการให้บริการ และให้กําจัดขยะมูลฝอยทุกวัน
2.2 ให้เจ้าหน้าที่ ผู้ประกอบการ พนักงานบริการ และผู้ใช้บริการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า และให้มีการคัดกรองอาการป่วย ไข้ จาม หรือเป็นหวัดสําหรับพนักงานบริการและผู้ใช้บริการตามขีดความสามารถ
2.3 ให้สถานีและผู้ประกอบการจัดให้มีจุดบริการล้างมือด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล หรือน้ํายาฆ่าเชื้อโรค
2.4 ให้นายสถานีและผู้ประกอบการลดเวลาในการทํากิจกรรมให้สั้นลงเท่าที่จําเป็น โดยถือหลักหลีกเลี่ยงการติดต่อสัมผัสระหว่างกัน
2.5 ให้นายสถานีและผู้ประกอบการจัดให้มีการเว้นระยะห่างระหว่างโต๊ะ ที่นั่ง ระยะห่างระหว่างทางเดิน รวมถึงจัดให้มีพื้นที่รอคิวที่มีที่นั่งหรือยืนห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร
2.6 ให้ควบคุมจํานวนผู้ใช้บริการมิให้แออัด
สําหรับผู้โดยสารที่จะเดินทางข้ามเขตจังหวัด จะต้องได้รับการตรวจคัดกรองและต้องแสดงเหตุผลความจําเป็น พร้อมหลักฐานการอนุญาตของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรการป้องกันที่ทางราชการกําหนด โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30329
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เชิญชวนเครือข่ายประชารัฐรวมพลังประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ 1,099,999 ดอก เพื่อร่วมถวายความอาลัยและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
|
วันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2560
พม. เชิญชวนเครือข่ายประชารัฐรวมพลังประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ 1,099,999 ดอก เพื่อร่วมถวายความอาลัยและน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
พม. เชิญชวนเครือข่ายประชารัฐรวมพลังประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ 1,099,999 ดอก เพื่อร่วมถวายความอาลัยและน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
วันนี้ (24 พ.ค. 60) เวลา 10.30 น. ที่บริเวณโถงกลาง ชั้น 1 กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพมหานครพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการแถลงข่าวโครงการ "ล้านดวงใจ พม. เพื่อพ่อหลวง รวมพลังเครือข่ายประชารัฐประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ 1,099,999 ดอก” เพื่อร่วมถวายความอาลัยและน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รวมทั้งเสริมพลัง สร้างการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) หน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. และเครือข่ายประชารัฐ
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า สืบเนื่องจากคณะกรรมการอํานวยการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้มอบหมายกระทรวง พม. เป็นหน่วยงานหลัก ในการดําเนินการจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ของประชาชน ณ มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งอยู่ ในบริเวณกระทรวง พม. เพื่อร่วมถวายความอาลัยและน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รวมทั้งเสริมพลังสร้างการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) หน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. และเครือข่ายประชารัฐ อาทิ สโมสรโรตารีกรุงเทพรัตนโกสินทร์ ภาค 3350 โรตารีสากล สถาบันส่งเสริมภูมิปัญญาเพื่อสังคม สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ในการร่วมประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์และส่งมอบให้กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ คนไร้ที่พึ่ง และผู้ยากไร้ ใน 76 จังหวัด ทั่วประเทศ และกรุงเทพมหานคร รวมทั้งสิ้น 1,099,999 ดอก (กรุงเทพมหานคร 264,075 ดอก และอีก 76 จังหวัดๆ ละ 10,999 ดอก) ซึ่งในเดือนตุลาคม 2560 จะทําพิธีส่งมอบดอกไม้จันทน์ต่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัด โดยบูรณาการหน่วยงาน พม. ระดับจังหวัด ภายใต้แนวคิดบ้านเดียวกัน One Home ส่งมอบกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ต่อไป
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่ออีกว่า สําหรับกิจกรรม "ล้านดวงใจ พม. เพื่อพ่อหลวง รวมพลังเครือข่ายประชารัฐประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ 1,099,999 ดอก” ในวันนี้ ประกอบด้วยการสาธิตการประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ 3 รูปแบบ ได้แก่ ดอกดารารัตน์ช่อใหญ่ สําหรับพระสงฆ์ จํานวน 9,999 ช่อ ดอกแก้วช่อกลาง สําหรับผู้บริหาร จํานวน 9,999 ดอก และดอกแคทลียา สําหรับประชาชนและกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้รับบริการของกระทรวง พม. จํานวน 1,080,001 ดอก ซึ่งวัสดุอุปกรณ์ที่นํามาประดิษฐ์เป็นวัตถุดิบธรรมชาติในท้องถิ่นและเป็นผลผลิตของสมาชิกนิคมสร้างตนเองหรือราษฎรบนพื้นที่สูง เช่น เปลือกข้าวโพด ใบตองแห้ง ผักตบชวาที่รีดแล้ว โดยหน่วยงาน พม. อาทิ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กรมส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) การเคหะแห่งชาติ (กคช.) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) สถานธนานุเคราะห์ สโมสรโรตารีกรุงเทพรัตนโกสินทร์ ภาค 3350 โรตารีสากล สถาบันส่งเสริมภูมิปัญญาเพื่อสังคม สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) และเครือข่ายประชารัฐ
"ทั้งนี้ ขอเชิญชวนอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ประชาชน และเครือข่ายประชารัฐ ร่วมประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ ระหว่างวันที่ 24 พฤษภาคม – 30 กันยายน 2560 โดยในส่วนกลางสามารถร่วมกิจกรรม ได้ที่ บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ และส่วนภูมิภาคสามารถร่วมกิจกรรมได้ที่ หน่วยงานสังกัด พส. ในพื้นที่ทั่วประเทศ อีกทั้งสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม โทร 1300 บริการ 24 ชั่วโมง”พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เชิญชวนเครือข่ายประชารัฐรวมพลังประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ 1,099,999 ดอก เพื่อร่วมถวายความอาลัยและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
วันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2560
พม. เชิญชวนเครือข่ายประชารัฐรวมพลังประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ 1,099,999 ดอก เพื่อร่วมถวายความอาลัยและน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
พม. เชิญชวนเครือข่ายประชารัฐรวมพลังประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ 1,099,999 ดอก เพื่อร่วมถวายความอาลัยและน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
วันนี้ (24 พ.ค. 60) เวลา 10.30 น. ที่บริเวณโถงกลาง ชั้น 1 กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพมหานครพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการแถลงข่าวโครงการ "ล้านดวงใจ พม. เพื่อพ่อหลวง รวมพลังเครือข่ายประชารัฐประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ 1,099,999 ดอก” เพื่อร่วมถวายความอาลัยและน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รวมทั้งเสริมพลัง สร้างการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) หน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. และเครือข่ายประชารัฐ
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า สืบเนื่องจากคณะกรรมการอํานวยการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้มอบหมายกระทรวง พม. เป็นหน่วยงานหลัก ในการดําเนินการจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ของประชาชน ณ มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งอยู่ ในบริเวณกระทรวง พม. เพื่อร่วมถวายความอาลัยและน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รวมทั้งเสริมพลังสร้างการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) หน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. และเครือข่ายประชารัฐ อาทิ สโมสรโรตารีกรุงเทพรัตนโกสินทร์ ภาค 3350 โรตารีสากล สถาบันส่งเสริมภูมิปัญญาเพื่อสังคม สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ในการร่วมประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์และส่งมอบให้กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ คนไร้ที่พึ่ง และผู้ยากไร้ ใน 76 จังหวัด ทั่วประเทศ และกรุงเทพมหานคร รวมทั้งสิ้น 1,099,999 ดอก (กรุงเทพมหานคร 264,075 ดอก และอีก 76 จังหวัดๆ ละ 10,999 ดอก) ซึ่งในเดือนตุลาคม 2560 จะทําพิธีส่งมอบดอกไม้จันทน์ต่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัด โดยบูรณาการหน่วยงาน พม. ระดับจังหวัด ภายใต้แนวคิดบ้านเดียวกัน One Home ส่งมอบกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ต่อไป
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่ออีกว่า สําหรับกิจกรรม "ล้านดวงใจ พม. เพื่อพ่อหลวง รวมพลังเครือข่ายประชารัฐประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ 1,099,999 ดอก” ในวันนี้ ประกอบด้วยการสาธิตการประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ 3 รูปแบบ ได้แก่ ดอกดารารัตน์ช่อใหญ่ สําหรับพระสงฆ์ จํานวน 9,999 ช่อ ดอกแก้วช่อกลาง สําหรับผู้บริหาร จํานวน 9,999 ดอก และดอกแคทลียา สําหรับประชาชนและกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้รับบริการของกระทรวง พม. จํานวน 1,080,001 ดอก ซึ่งวัสดุอุปกรณ์ที่นํามาประดิษฐ์เป็นวัตถุดิบธรรมชาติในท้องถิ่นและเป็นผลผลิตของสมาชิกนิคมสร้างตนเองหรือราษฎรบนพื้นที่สูง เช่น เปลือกข้าวโพด ใบตองแห้ง ผักตบชวาที่รีดแล้ว โดยหน่วยงาน พม. อาทิ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กรมส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) การเคหะแห่งชาติ (กคช.) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) สถานธนานุเคราะห์ สโมสรโรตารีกรุงเทพรัตนโกสินทร์ ภาค 3350 โรตารีสากล สถาบันส่งเสริมภูมิปัญญาเพื่อสังคม สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) และเครือข่ายประชารัฐ
"ทั้งนี้ ขอเชิญชวนอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ประชาชน และเครือข่ายประชารัฐ ร่วมประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ ระหว่างวันที่ 24 พฤษภาคม – 30 กันยายน 2560 โดยในส่วนกลางสามารถร่วมกิจกรรม ได้ที่ บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ และส่วนภูมิภาคสามารถร่วมกิจกรรมได้ที่ หน่วยงานสังกัด พส. ในพื้นที่ทั่วประเทศ อีกทั้งสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม โทร 1300 บริการ 24 ชั่วโมง”พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3990
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” เตรียมยกระดับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
|
วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2560
“ยุติธรรม” เตรียมยกระดับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ผอ.ศอ.ปส.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ศอ.ปส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐
เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๓๐ น.
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ผอ.ศอ.ปส.)
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ศอ.ปส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐
เพื่อรับฟังผลการดําเนินงานในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และพิจารณาแผนประชารัฐร่วมใจ ปลอดภัยยาเสพติด ปี ๒๕๖๑
โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมฯ
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า
งานด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด จะดําเนินงานไปทั้งมิติด้านการป้องกัน
การปราบปราม และการบําบัดรักษา โดยแผนการดําเนินงานในปีนี้
ได้ยึดหลักแนวทางการดําเนินงานตามปีที่ผ่านมา คือ เน้นการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยได้มอบหมายให้สํานักงาน ป.ป.ส.
ทบทวนกลไกในการขับเคลื่อนงานของ ศอ.ปส. ในปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ทั้งในด้านการป้องกัน การปราบปราม การบําบัดรักษา รวมถึงการคืนคนดีสู่สังคม
สําหรับนโยบายหลักของกระทรวงยุติธรรมจากนี้เป็นต้นไป จะเน้นการลงพื้นที่ให้บริการประชาชนมากขึ้น
เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนในการป้องกันภัยจากยาเสพติด การสร้างชุมชนเข้มแข็ง
และการใช้พลังประชารัฐในการลดการแพร่ระบาดของยาเสพติดในชุมชน
รวมถึงการเพิ่มความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน
เพื่อยกระดับการหยุดยั้งและลดประสิทธิภาพของแหล่งผลิตยาเสพติด
การปราบปรามการขนส่งและการจําหน่ายยาเสพติด ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” เตรียมยกระดับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2560
“ยุติธรรม” เตรียมยกระดับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ผอ.ศอ.ปส.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ศอ.ปส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐
เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๓๐ น.
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ผอ.ศอ.ปส.)
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ศอ.ปส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐
เพื่อรับฟังผลการดําเนินงานในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และพิจารณาแผนประชารัฐร่วมใจ ปลอดภัยยาเสพติด ปี ๒๕๖๑
โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมฯ
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า
งานด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด จะดําเนินงานไปทั้งมิติด้านการป้องกัน
การปราบปราม และการบําบัดรักษา โดยแผนการดําเนินงานในปีนี้
ได้ยึดหลักแนวทางการดําเนินงานตามปีที่ผ่านมา คือ เน้นการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยได้มอบหมายให้สํานักงาน ป.ป.ส.
ทบทวนกลไกในการขับเคลื่อนงานของ ศอ.ปส. ในปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ทั้งในด้านการป้องกัน การปราบปราม การบําบัดรักษา รวมถึงการคืนคนดีสู่สังคม
สําหรับนโยบายหลักของกระทรวงยุติธรรมจากนี้เป็นต้นไป จะเน้นการลงพื้นที่ให้บริการประชาชนมากขึ้น
เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนในการป้องกันภัยจากยาเสพติด การสร้างชุมชนเข้มแข็ง
และการใช้พลังประชารัฐในการลดการแพร่ระบาดของยาเสพติดในชุมชน
รวมถึงการเพิ่มความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน
เพื่อยกระดับการหยุดยั้งและลดประสิทธิภาพของแหล่งผลิตยาเสพติด
การปราบปรามการขนส่งและการจําหน่ายยาเสพติด ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6046
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าเร่งพัฒนาการประมง 4 ด้าน
|
วันจันทร์ที่ 24 กันยายน 2561
กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าเร่งพัฒนาการประมง 4 ด้าน
กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าเร่งพัฒนาการประมง 4 ด้าน สอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานงานวันสถาปนากรมประมง ครบรอบ 92 ปี ณ กรมประมง ว่า กรมประมง ได้มีการพัฒนาการประมงไทยมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งพัฒนาองค์ยความรู้ทางวิชาการในทุกสาขาการประมง และยังได้ปรับเปลี่ยนจากการประมงที่ต้องพึ่งพิงการจับจากธรรมชาติเพียงอย่างเดียว มาเป็นการเพาะเลี้ยง และอุตสาหกรรมการประมงขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าหลายแสนล้านบาท จนประเทศไทยกลายเป็นแหล่งผลิตอาหารสัตว์น้ําในลําดับต้นๆ ของโลก นอกจากนี้กรมประมงยังประสบผลสําเร็จในการแก้ไขปัญหาต่างๆ อาทิ การแก้ไขปัญหาทําประมง IUU การบริหารจัดการและการฟื้นฟูทรัพยากรประมงให้เกิดความยั่งยืน การปรับปรุงกฎหมายภายใต้ พรก.การประมง 2558 การพัฒนาห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่ต้นน้ําจนปลายน้ําอย่างมีมาตรฐาน การพัฒนาระบบการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าประมงไทย การศึกษางานวิจัยงานวิชาการต่างๆ การสร้างมูลค่าภาคการเกษตรและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรอย่างเป็นระบบ การให้เกษตรกรชาวประมงเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนภาคการประมงไทยในนโยบายสําคัญ การปรับโครงสร้างภาคการตลาดนําการผลิต การนําเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ในการขับเคลื่อนภาคการประมงให้สอดรับกับนโยบายประเทศไทย 4.0 เป็นต้น
ทั้งนี้ กรมประมงยังได้มีการพัฒนาการประมงของไทยที่สําคัญทั้ง 4 ด้านอย่างชัดเจนซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ 1) ด้านการพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําและเกษตรกร โดยการนําเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําให้มีผลผลิตต่อพื้นที่สูงขึ้น เพื่อมาช่วยเสริมการเพาะเลี้ยงของเกษตรกรรายย่อยให้ผ่านพ้นอุปสรรคและปัญหาทางการผลิต รวมถึงการผลักดันการรวมกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ให้เกิดความเข้มแข็ง และพัฒนาเกษตรกรให้เป็น Smart Farmer สามารถจัดการดูแลและแก้ปัญหาการผลิตและผลผลิตได้อย่างเหมาะสม 2) ด้านการพัฒนาและตรวจสอบสินค้าประมงให้มีมาตรฐาน เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของสินค้าประมงในตลาดโลก รวมถึงการส่งเสริมและพัฒนาการผลิตสินค้าประมงให้ได้คุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยทั้งระบบ อันจะนําไปสู่การขยายตลาดใหม่ 3) ด้านการบริหารจัดการด้านการประมงและทรัพยากรสัตว์น้ํา เพื่อให้มีความยั่งยืนและคงความหลากหลาย ฟื้นฟูสัตว์น้ําและแหล่งที่อยู่อาศัยให้เกิดความสมดุลกับการนํามาใช้ประโยชน์ โดยการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ํา รวมไปถึงการควบคุมและป้องกันการทําประมงให้ถูกต้องตาม กฎหมายและแผนระดับชาติ (NPOA) และ 4) ด้านการบริหารจัดการองค์การ ซึ่งถือเป็นสิ่งสําคัญในการขับเคลื่อนการดําเนินการในภาคการประมงให้ประสบความสําเร็จ โดยจะมุ่งเน้นการจัดการทรัพยากรบุคคลให้มีประสิทธิภาพ มีการส่งเสริมบุคลากรให้มีความรู้และทักษะในหน้าที่ที่รับผิดชอบ พัฒนาระบบงานสารสนเทศไปสู่ Big data เพื่อเป็นคลังข้อมูลในการวางแนวทางการตัดสินใจในข้อมูลต่างๆ รวมทั้ง การมุ่งเน้นให้มีการสร้างงานวิจัยพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันและมูลค่าสินค้าประมง ในโอกาสนี้ ยังได้ร่วมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ําออนไลน์ เพื่ออนุรักษ์และเพิ่มจํานวนทรัพยากรประมงในแหล่งน้ําธรรมชาติ จํานวน 4 แห่งๆละ 1,000,000 ตัว ดังนี้ 1) ภาคกลาง บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ 2) ภาคเหนือ กว๊านพะเยา จังหวัดพะเยา 3) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หนองหาร จังหวัดสกลนคร และ 4) ภาคใต้ แม่น้ําตาปี จังหวัดสุราษฎร์ธานี จากนั้นมอบโล่รางวัลให้แก่ผู้ทําคุณประโยชน์ต่อวงการประมงไทย เช่น เกษตรกรดีเด่น ข้าราชการดีเด่น และเกษตรกรแปลงใหญ่ดีเด่นอีกด้วย
นายกฤษฎา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของกรมประมง ได้มีการส่งเสริมอาชีพประมงให้เกษตรกรเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําในช่วงฤดูน้ําหลาก โดยมีพื้นที่ 2 จุด คือ จ.พิษณุโลก และลุ่มเจ้าพระยา มีจํานวนพื้นที่ล้านกว่าไร่ ซึ่งเมื่อมีการปล่อยน้ําเข้าทุ่งแล้วนั้น ทางประมงจังหวัดได้นําพันธุ์สัตว์น้ําไปปล่อย ทําให้เกษตรกรมีอาชีพเสริมคือการจับปลา นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้องค์การสะพานปลาเข้าไปดูแลและรับซื้อปลาด้วย อีกทั้งยังมอบหมายให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) จัดหาตลาดรองรับให้เกษตรกรมีสถานที่จําหน่ายสินค้าได้ต่อไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าเร่งพัฒนาการประมง 4 ด้าน
วันจันทร์ที่ 24 กันยายน 2561
กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าเร่งพัฒนาการประมง 4 ด้าน
กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าเร่งพัฒนาการประมง 4 ด้าน สอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานงานวันสถาปนากรมประมง ครบรอบ 92 ปี ณ กรมประมง ว่า กรมประมง ได้มีการพัฒนาการประมงไทยมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งพัฒนาองค์ยความรู้ทางวิชาการในทุกสาขาการประมง และยังได้ปรับเปลี่ยนจากการประมงที่ต้องพึ่งพิงการจับจากธรรมชาติเพียงอย่างเดียว มาเป็นการเพาะเลี้ยง และอุตสาหกรรมการประมงขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าหลายแสนล้านบาท จนประเทศไทยกลายเป็นแหล่งผลิตอาหารสัตว์น้ําในลําดับต้นๆ ของโลก นอกจากนี้กรมประมงยังประสบผลสําเร็จในการแก้ไขปัญหาต่างๆ อาทิ การแก้ไขปัญหาทําประมง IUU การบริหารจัดการและการฟื้นฟูทรัพยากรประมงให้เกิดความยั่งยืน การปรับปรุงกฎหมายภายใต้ พรก.การประมง 2558 การพัฒนาห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่ต้นน้ําจนปลายน้ําอย่างมีมาตรฐาน การพัฒนาระบบการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าประมงไทย การศึกษางานวิจัยงานวิชาการต่างๆ การสร้างมูลค่าภาคการเกษตรและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรอย่างเป็นระบบ การให้เกษตรกรชาวประมงเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนภาคการประมงไทยในนโยบายสําคัญ การปรับโครงสร้างภาคการตลาดนําการผลิต การนําเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ในการขับเคลื่อนภาคการประมงให้สอดรับกับนโยบายประเทศไทย 4.0 เป็นต้น
ทั้งนี้ กรมประมงยังได้มีการพัฒนาการประมงของไทยที่สําคัญทั้ง 4 ด้านอย่างชัดเจนซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ 1) ด้านการพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําและเกษตรกร โดยการนําเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําให้มีผลผลิตต่อพื้นที่สูงขึ้น เพื่อมาช่วยเสริมการเพาะเลี้ยงของเกษตรกรรายย่อยให้ผ่านพ้นอุปสรรคและปัญหาทางการผลิต รวมถึงการผลักดันการรวมกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ให้เกิดความเข้มแข็ง และพัฒนาเกษตรกรให้เป็น Smart Farmer สามารถจัดการดูแลและแก้ปัญหาการผลิตและผลผลิตได้อย่างเหมาะสม 2) ด้านการพัฒนาและตรวจสอบสินค้าประมงให้มีมาตรฐาน เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของสินค้าประมงในตลาดโลก รวมถึงการส่งเสริมและพัฒนาการผลิตสินค้าประมงให้ได้คุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยทั้งระบบ อันจะนําไปสู่การขยายตลาดใหม่ 3) ด้านการบริหารจัดการด้านการประมงและทรัพยากรสัตว์น้ํา เพื่อให้มีความยั่งยืนและคงความหลากหลาย ฟื้นฟูสัตว์น้ําและแหล่งที่อยู่อาศัยให้เกิดความสมดุลกับการนํามาใช้ประโยชน์ โดยการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ํา รวมไปถึงการควบคุมและป้องกันการทําประมงให้ถูกต้องตาม กฎหมายและแผนระดับชาติ (NPOA) และ 4) ด้านการบริหารจัดการองค์การ ซึ่งถือเป็นสิ่งสําคัญในการขับเคลื่อนการดําเนินการในภาคการประมงให้ประสบความสําเร็จ โดยจะมุ่งเน้นการจัดการทรัพยากรบุคคลให้มีประสิทธิภาพ มีการส่งเสริมบุคลากรให้มีความรู้และทักษะในหน้าที่ที่รับผิดชอบ พัฒนาระบบงานสารสนเทศไปสู่ Big data เพื่อเป็นคลังข้อมูลในการวางแนวทางการตัดสินใจในข้อมูลต่างๆ รวมทั้ง การมุ่งเน้นให้มีการสร้างงานวิจัยพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันและมูลค่าสินค้าประมง ในโอกาสนี้ ยังได้ร่วมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ําออนไลน์ เพื่ออนุรักษ์และเพิ่มจํานวนทรัพยากรประมงในแหล่งน้ําธรรมชาติ จํานวน 4 แห่งๆละ 1,000,000 ตัว ดังนี้ 1) ภาคกลาง บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ 2) ภาคเหนือ กว๊านพะเยา จังหวัดพะเยา 3) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หนองหาร จังหวัดสกลนคร และ 4) ภาคใต้ แม่น้ําตาปี จังหวัดสุราษฎร์ธานี จากนั้นมอบโล่รางวัลให้แก่ผู้ทําคุณประโยชน์ต่อวงการประมงไทย เช่น เกษตรกรดีเด่น ข้าราชการดีเด่น และเกษตรกรแปลงใหญ่ดีเด่นอีกด้วย
นายกฤษฎา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของกรมประมง ได้มีการส่งเสริมอาชีพประมงให้เกษตรกรเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําในช่วงฤดูน้ําหลาก โดยมีพื้นที่ 2 จุด คือ จ.พิษณุโลก และลุ่มเจ้าพระยา มีจํานวนพื้นที่ล้านกว่าไร่ ซึ่งเมื่อมีการปล่อยน้ําเข้าทุ่งแล้วนั้น ทางประมงจังหวัดได้นําพันธุ์สัตว์น้ําไปปล่อย ทําให้เกษตรกรมีอาชีพเสริมคือการจับปลา นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้องค์การสะพานปลาเข้าไปดูแลและรับซื้อปลาด้วย อีกทั้งยังมอบหมายให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) จัดหาตลาดรองรับให้เกษตรกรมีสถานที่จําหน่ายสินค้าได้ต่อไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15598
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี แถลงผลงานไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เร่งผลักดันทรัพย์สินออกจากระบบ ได้กว่า ๔๖,๒๗๔ ล้านบาท และสามารถไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดีสำเร็จมากกว่
|
วันพุธที่ 16 มกราคม 2562
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี แถลงผลงานไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เร่งผลักดันทรัพย์สินออกจากระบบ ได้กว่า ๔๖,๒๗๔ ล้านบาท และสามารถไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดีสําเร็จมากกว่
กรมบังคับคดี แถลงผลงานไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เร่งผลักดันทรัพย์สินออกจากระบบ ได้กว่า ๔๖,๒๗๔ ล้านบาท และสามารถไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดีสําเร็จมากกว่า ๕,๐๐๐ ราย
ในวันพุธที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๐๐ น.
นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี
แถลงผลการดําเนินงานของไตรมาสที่ ๑ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
ตามนโยบายกรมบังคับคดี ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
เพื่อการพัฒนาสู่ความเป็นเลิศใน ๕ ด้าน (LED ๕ Excellence)
ได้แก่ การบริหารจัดการคดี การพัฒนานวัตกรรมและระบบการทํางาน
การพัฒนาระบบฐานข้อมูล การเพิ่มศักยภาพบุคลากร และการยกระดับองค์กร
เพื่อพัฒนาไปสู่ LED - Thailand ๔.๐ โดยมีผลการดําเนินงานหลัก ๆ ดังนี้
๑. การเร่งผลักดันทรัพย์สินออกจากระบบ ตามที่ได้กําหนดค่าเป้าหมายในการผลักดันทรัพย์สิน
ในปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ไว้สูงกว่าปีงบประมาณที่ผ่านมา จํานวนถึง ๑๓๐,๐๐๐ ล้านบาท
โดยในไตรมาสแรก สามารถผลักดันทรัพย์สินได้ เป็นเงินจํานวน ๔๖,๒๗๔,๑๔๕,๙๓๒ บาท
โดยผลของการขายทอดตลาด การงดการบังคับคดี และการถอนการบังคับคดีของไตรมาสแรกปี พ.ศ. ๒๕๖๒
สูงกว่า ปี พ.ศ. ๒๕๖๑ คิดเป็นร้อยละ ๕๐.๘๙ ๗๒.๙๐ และ ๓๐.๒๑ ตามลําดับ
อันเป็นผลเนื่องมากจากการทํางานเชิงรุกทั่วประเทศและขยายกลุ่มเป้าหมายให้กว้างยิ่งขึ้น
๒. การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในชั้นบังคับคดี ภายใต้กลยุทธ์การดําเนินการไกล่เกลี่ย
“เชิงรุก เชิงลึก และครอบคลุม” มีเรื่องเข้าสู่การไกล่เกลี่ยจํานวน ๕,๘๔๗ เรื่อง
และสามารถไกล่เกลี่ยสําเร็จ ๕,๒๕๗ เรื่อง
โดยได้ทําการไกล่เกลี่ยหนี้ครัวเรือน หนี้รายย่อยต่าง ๆ
และหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ก.ย.ศ.) เป็นต้น
โดยในเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ กรมบังคับคดีร่วมกับ ก.ย.ศ. จัดมหกรรมไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ชั้นบังคับคดีหนี้ ก.ย.ศ. ในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนใต้ ประกอบด้วย จังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส
มีลูกหนี้ ก.ย.ศ. เข้าร่วมมหกรรม จํานวนทั้งสิ้น ๗,๓๒๙ ราย
๓. การบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน
ในการบังคับคดีแพ่งและบังคับคดีล้มละลาย
ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ ๒๕๖๒ กรมบังคับคดีได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการเชื่อมโยง
และแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้แก่
๑. บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จํากัด ๒. บริษัทโตโยต้าลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จํากัด
๓. ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) จํากัด (มหาชน) ๔. สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สํานักงาน กสทช.) และ ๕. กรมที่ดิน
และได้ลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อประโยชน์ในการบังคับคดีกับผู้กระทําความผิด
กับสํานักงานการบังคับคดี สํานักงานอัยการสูงสุด และสํานักงาน ก.ล.ต.
๔. การพัฒนาความร่วมมือกับต่างประเทศ เมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
Mr.Zhao Dacheng รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงยุติธรรม สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมคณะ
เข้าเยี่ยมและศึกษาดูงานด้านการบังคับคดีและการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี
การนําด้านเทคโนโลยีมาใช้ในการปฏิบัติงาน และได้ร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางในการปฏิบัติงาน
๕. การพัฒนาทักษะดิจิทัล โดยกรมบังคับคดีได้รับคัดเลือกให้เป็นหน่วยงานนําร่อง
การสร้างและพัฒนากําลังคนภาครัฐเชิงกลยุทธ์เพื่อนําไปสู่ดิจิทัลไทยแลนด์
จาก อ.ก.พ. วิสามัญเฉพาะกิจเกี่ยวกับการขับเคลื่อนการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการ
๖. การพัฒนากระบวนการทํางาน กรมบังคับคดีได้เริ่มดําเนินการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์รับ - ส่ง
หนังสือราชการภายในหน่วยงานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ - ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๑
ส่งผลให้กรมบังคับคดีสามารถลดการใช้กระดาษได้ไม่น้อยกว่า ๙,๐๘๔ แผ่น
เป็นการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อม ภายใต้ “LED ๔.๐ & Go green”
๗. การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการปฏิบัติงานตามกฎหมายใหม่
ตามที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๑
ได้มีมติเห็นชอบในหลักการตามร่างพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
(การบังคับทางปกครอง) เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการบังคับทางปกครองให้ชัดเจน
มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมยิ่งขึ้น และสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ลงมติในวาระแรก
เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๒ เห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว
โดยสาระสําคัญส่วนหนึ่งกําหนดมอบภารกิจใหม่ให้กับกรมบังคับคดี
ในการบังคับคดีตามคําสั่งทางปกครองที่กําหนดให้ชําระเงินโดยเจ้าพนักงานบังคับคดี
ดังนั้น กรมบังคับคดีจําเป็นต้องหารือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อม
ในการดําเนินการตามร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี แถลงผลงานไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เร่งผลักดันทรัพย์สินออกจากระบบ ได้กว่า ๔๖,๒๗๔ ล้านบาท และสามารถไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดีสำเร็จมากกว่
วันพุธที่ 16 มกราคม 2562
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี แถลงผลงานไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เร่งผลักดันทรัพย์สินออกจากระบบ ได้กว่า ๔๖,๒๗๔ ล้านบาท และสามารถไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดีสําเร็จมากกว่
กรมบังคับคดี แถลงผลงานไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เร่งผลักดันทรัพย์สินออกจากระบบ ได้กว่า ๔๖,๒๗๔ ล้านบาท และสามารถไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดีสําเร็จมากกว่า ๕,๐๐๐ ราย
ในวันพุธที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๐๐ น.
นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี
แถลงผลการดําเนินงานของไตรมาสที่ ๑ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
ตามนโยบายกรมบังคับคดี ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
เพื่อการพัฒนาสู่ความเป็นเลิศใน ๕ ด้าน (LED ๕ Excellence)
ได้แก่ การบริหารจัดการคดี การพัฒนานวัตกรรมและระบบการทํางาน
การพัฒนาระบบฐานข้อมูล การเพิ่มศักยภาพบุคลากร และการยกระดับองค์กร
เพื่อพัฒนาไปสู่ LED - Thailand ๔.๐ โดยมีผลการดําเนินงานหลัก ๆ ดังนี้
๑. การเร่งผลักดันทรัพย์สินออกจากระบบ ตามที่ได้กําหนดค่าเป้าหมายในการผลักดันทรัพย์สิน
ในปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ไว้สูงกว่าปีงบประมาณที่ผ่านมา จํานวนถึง ๑๓๐,๐๐๐ ล้านบาท
โดยในไตรมาสแรก สามารถผลักดันทรัพย์สินได้ เป็นเงินจํานวน ๔๖,๒๗๔,๑๔๕,๙๓๒ บาท
โดยผลของการขายทอดตลาด การงดการบังคับคดี และการถอนการบังคับคดีของไตรมาสแรกปี พ.ศ. ๒๕๖๒
สูงกว่า ปี พ.ศ. ๒๕๖๑ คิดเป็นร้อยละ ๕๐.๘๙ ๗๒.๙๐ และ ๓๐.๒๑ ตามลําดับ
อันเป็นผลเนื่องมากจากการทํางานเชิงรุกทั่วประเทศและขยายกลุ่มเป้าหมายให้กว้างยิ่งขึ้น
๒. การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในชั้นบังคับคดี ภายใต้กลยุทธ์การดําเนินการไกล่เกลี่ย
“เชิงรุก เชิงลึก และครอบคลุม” มีเรื่องเข้าสู่การไกล่เกลี่ยจํานวน ๕,๘๔๗ เรื่อง
และสามารถไกล่เกลี่ยสําเร็จ ๕,๒๕๗ เรื่อง
โดยได้ทําการไกล่เกลี่ยหนี้ครัวเรือน หนี้รายย่อยต่าง ๆ
และหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ก.ย.ศ.) เป็นต้น
โดยในเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ กรมบังคับคดีร่วมกับ ก.ย.ศ. จัดมหกรรมไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ชั้นบังคับคดีหนี้ ก.ย.ศ. ในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนใต้ ประกอบด้วย จังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส
มีลูกหนี้ ก.ย.ศ. เข้าร่วมมหกรรม จํานวนทั้งสิ้น ๗,๓๒๙ ราย
๓. การบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน
ในการบังคับคดีแพ่งและบังคับคดีล้มละลาย
ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ ๒๕๖๒ กรมบังคับคดีได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการเชื่อมโยง
และแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้แก่
๑. บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จํากัด ๒. บริษัทโตโยต้าลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จํากัด
๓. ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) จํากัด (มหาชน) ๔. สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สํานักงาน กสทช.) และ ๕. กรมที่ดิน
และได้ลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อประโยชน์ในการบังคับคดีกับผู้กระทําความผิด
กับสํานักงานการบังคับคดี สํานักงานอัยการสูงสุด และสํานักงาน ก.ล.ต.
๔. การพัฒนาความร่วมมือกับต่างประเทศ เมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
Mr.Zhao Dacheng รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงยุติธรรม สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมคณะ
เข้าเยี่ยมและศึกษาดูงานด้านการบังคับคดีและการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี
การนําด้านเทคโนโลยีมาใช้ในการปฏิบัติงาน และได้ร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางในการปฏิบัติงาน
๕. การพัฒนาทักษะดิจิทัล โดยกรมบังคับคดีได้รับคัดเลือกให้เป็นหน่วยงานนําร่อง
การสร้างและพัฒนากําลังคนภาครัฐเชิงกลยุทธ์เพื่อนําไปสู่ดิจิทัลไทยแลนด์
จาก อ.ก.พ. วิสามัญเฉพาะกิจเกี่ยวกับการขับเคลื่อนการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการ
๖. การพัฒนากระบวนการทํางาน กรมบังคับคดีได้เริ่มดําเนินการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์รับ - ส่ง
หนังสือราชการภายในหน่วยงานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ - ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๑
ส่งผลให้กรมบังคับคดีสามารถลดการใช้กระดาษได้ไม่น้อยกว่า ๙,๐๘๔ แผ่น
เป็นการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อม ภายใต้ “LED ๔.๐ & Go green”
๗. การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการปฏิบัติงานตามกฎหมายใหม่
ตามที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๑
ได้มีมติเห็นชอบในหลักการตามร่างพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
(การบังคับทางปกครอง) เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการบังคับทางปกครองให้ชัดเจน
มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมยิ่งขึ้น และสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ลงมติในวาระแรก
เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๒ เห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว
โดยสาระสําคัญส่วนหนึ่งกําหนดมอบภารกิจใหม่ให้กับกรมบังคับคดี
ในการบังคับคดีตามคําสั่งทางปกครองที่กําหนดให้ชําระเงินโดยเจ้าพนักงานบังคับคดี
ดังนั้น กรมบังคับคดีจําเป็นต้องหารือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อม
ในการดําเนินการตามร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18175
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว.ติดปีกสตาร์ทอัพปลุกปั้นหลักสูตร SME-D Scale UP ผู้สมัครล้นหลามทั่วประเทศ พัฒนา SMEs และStart Up ครั้งแรกของประเทศให้ความรู้บวกเงินทุนสานฝันธุรกิจสร้างเทคโนโลยีนวัตกรรม ก้าวสู่
|
วันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม 2560
ธพว.ติดปีกสตาร์ทอัพปลุกปั้นหลักสูตร SME-D Scale UP ผู้สมัครล้นหลามทั่วประเทศ พัฒนา SMEs และStart Up ครั้งแรกของประเทศให้ความรู้บวกเงินทุนสานฝันธุรกิจสร้างเทคโนโลยีนวัตกรรม ก้าวสู่
ธพว.ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จัดพิธีเปิดโครงการอบรมหลักสูตร “SME-D Scale UP” โดยได้รับเกียรติจากปลัดกระทรวงการคลังในฐานะประธานคณะกรรมการวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติเป็นประธานเปิดโครงการ
วันนี้ (17 สิงหาคม 2560)ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.หรือ SME Development Bank) ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) จัดพิธีเปิดโครงการอบรมหลักสูตร “SME-D Scale UP” โดยได้รับเกียรติจากนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลังในฐานะประธานคณะกรรมการวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติเป็นประธานเปิดโครงการ พร้อมด้วยนายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธพว. ผศ.ดร.ดอน อิศรากร ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรม สจล.และวิทยากรชั้นนําของประเทศ อาทิ นายกระทิง เรืองโรจน์ พูนผล Co-Founder 500 Tuk Tuk นายชวยศ ป้อมคํา CEO @ Lean Start up Thailand และที่ปรึกษาด้านการสร้างนวัตกรรมStart Up นายชาคริต จันทร์รุ่งสกุล ที่ปรึกษาธุรกิจและนักการตลาดแห่งยุคผู้พัฒนาโซลูชั่นสําหรับองค์กรขนาดใหญ่ พร้อมด้วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพหลากหลายธุรกิจจาก 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve เข้าร่วมงาน หลักสูตรการสร้างพัฒนาธุรกิจรูปแบบใหม่ให้ตอบโจทย์ความต้องการตลาดในยุค 4.0 เพื่อต่อยอดแนวความคิดสร้างสรรค์สร้างโมเดลธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์ที่สามารถออกตลาดได้จริงพร้อมเงินทุนอัตราดอกเบี้ยพิเศษสนับสนุนจาก ธพว.เพื่อสร้างธุรกิจเป็นรูปธรรม
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าวว่า ธนาคารให้ความสําคัญกับการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการ ตามพันธกิจของการเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาโดยโครงการหลักสูตร SME- D Scale Up เป็นหลักสูตรแรกที่เคยมีโดยให้องค์ความรู้และโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน โดยมีการจัดอบรมจากวิทยากรชั้นแนวหน้าระดับประเทศทุกแขนงกว่า 12 ท่าน อาทิ ด้านนวัตกรรมด้านการเงิน (FinTech) ด้านการพัฒนาโซลูชั่น Software ด้านการสร้างแบรนด์การตลาดOnline Social Media และดิจิตอลดีไซน์ ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต ( Lean) ตามแนวนโยบายของรัฐบาลที่ถือเป็นยุทธศาสตร์ของประเทศในการเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 ที่เน้นการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาตนเอง เพื่อเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย โดยหลักสูตรนี้ได้รับกระแสตอบรับดีมากจากการเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคมถึง 4 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา มีผู้สนใจสมัครจํานวนมากถึง 598 รายจากทั่วประเทศ และผ่านการคัดเลือกเข้าอบรม 56 กิจการ โดยเป็นธุรกิจอุตสาหกรรมดิจิทัลกลุ่มสตาร์ทอัพสูง 20 % รองลงมาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร18% และที่เหลือกระจายในอุตสาหกรรมต่างๆทุกภาคทั่วประเทศ เช่น บริษัทเซโกฟาร์ม จังหวัดยะลา ผลิตนวัตกรรมสารสกัดจากตัวอ่อนของแมลงด้วงสาคูแหล่งอาหารทดแทนโปรตีนธรรมชาติ บริษัทฟลามิงโก้กรุ๊ป จากเชียงใหม่ธุรกิจออกแบบและจัดทําแอพพลิเคชั่น เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงเข้ามาสนใจหลักสูตรนี้เป็นจํานวนมาก อาทิเช่น นายภีม เพชรเกตุ CEO บริษัท พี ยู ยู เอ็น อินเทลลิเจนท์ จํากัด ผู้ก่อตั้งระบบบัญชีออนไลน์ชื่อดัง (PEAK) ดร.ณัฐฐาวรรนุช ทองมี (จ๋า) นักแสดงชื่อดัง CEO Wiseline Corporation Ltd นางสาวฉัตรประวีร์ ตรีชัชวาลวงศ์ (ซี) เจ้าหญิงแห่งวงการไอทีผู้ก่อตั้งบริษัทโซเชียลแล๊บจํากัด นายเฉลิมพล ปุณโณทกCEOบริษัท ซีที เอเชีย โรโบติกส์ จํากัด ผู้ปลุกปั้นหุ่นยนต์หัวใจไทยสู่ตลาดโลกกับหุ่นยนต์ดินสอ และบริษัทชูโกลบอล เจ้าของรองเท้าและผลิตภัณฑ์แฟชั่นแบรนด์ SHUBERRY ที่มีอัตราเจริญเติบโตสูงสุดในกลุ่ม SME และกิจการ Boxtel๑Suvarnabhumi Airport โรงแรมแคปซูลรายชั่วโมงเพียงแห่งเดียวในสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นต้น
ทั้งนี้หลักสูตรอบรมอย่างเข้มข้นมีครบทั้งภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติเริ่มเรียนวันที่ 17 สิงหาคม 2560 ถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2560 ธนาคารมุ่งเน้นให้เป็นเสมือนแหล่งเรียนรู้ที่ผสานเรื่องของเงินทุนเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนําไปต่อยอดธุรกิจ โดยแบ่งเป็น 8 หลักสูตรเช่นการสร้างแรงบันดาลใจและติดอาวุธให้Start up พร้อมการจุดประกายไอเดียและกรณีศึกษารวมถึงการนําเสนอผลงานซึ่งผู้ผ่านการอบรมทุกท่านจะได้รับโล่ห์ประกาศเกียรติคุณทุกรายและรับโล่เกียรติยศสําหรับแผนธุรกิจอีก 3 รางวัลประกอบด้วยแผนธุรกิจดาวรุ่ง(Geeks Biz Award) แผนธุรกิจนวัตกรรม(Inno Biz Award) และแผนธุรกิจสร้างสรรค์(Creative Biz Award)และสิ่งสําคัญจะสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการแบ่งปันความสําเร็จจากภาคธุรกิจและหน่วยงานภาครัฐต่อไป
“SME คืออนาคตของประเทศหรือThailand Future ผู้ประกอบการStart Up คือคลื่นลูกใหม่ที่จะนําพาประเทศเข้าสู่ไทยแลนด์4.0 หลักสูตรนี้จะนําองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาผนวกรูปแบบธุรกิจใหม่ยุค Digital Disruption และเศรษฐกิจสร้างสรรค์(Creative Economy)จะเป็นตัวช่วยให้ธุรกิจมุ่งสู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้อย่างแท้จริง “กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าว
ที่มา : ฝ่ายส่งเสริมกิจกรรมพัฒนาผู้ประกอบการ โทร. 081-4807594
เผยแพร่ข้อมูล : ฝ่ายส่งเสริมการตลาด ลูกค้าสัมพันธ์และกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 0-265-4574-5
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว.ติดปีกสตาร์ทอัพปลุกปั้นหลักสูตร SME-D Scale UP ผู้สมัครล้นหลามทั่วประเทศ พัฒนา SMEs และStart Up ครั้งแรกของประเทศให้ความรู้บวกเงินทุนสานฝันธุรกิจสร้างเทคโนโลยีนวัตกรรม ก้าวสู่
วันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม 2560
ธพว.ติดปีกสตาร์ทอัพปลุกปั้นหลักสูตร SME-D Scale UP ผู้สมัครล้นหลามทั่วประเทศ พัฒนา SMEs และStart Up ครั้งแรกของประเทศให้ความรู้บวกเงินทุนสานฝันธุรกิจสร้างเทคโนโลยีนวัตกรรม ก้าวสู่
ธพว.ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จัดพิธีเปิดโครงการอบรมหลักสูตร “SME-D Scale UP” โดยได้รับเกียรติจากปลัดกระทรวงการคลังในฐานะประธานคณะกรรมการวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติเป็นประธานเปิดโครงการ
วันนี้ (17 สิงหาคม 2560)ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.หรือ SME Development Bank) ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) จัดพิธีเปิดโครงการอบรมหลักสูตร “SME-D Scale UP” โดยได้รับเกียรติจากนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลังในฐานะประธานคณะกรรมการวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติเป็นประธานเปิดโครงการ พร้อมด้วยนายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธพว. ผศ.ดร.ดอน อิศรากร ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรม สจล.และวิทยากรชั้นนําของประเทศ อาทิ นายกระทิง เรืองโรจน์ พูนผล Co-Founder 500 Tuk Tuk นายชวยศ ป้อมคํา CEO @ Lean Start up Thailand และที่ปรึกษาด้านการสร้างนวัตกรรมStart Up นายชาคริต จันทร์รุ่งสกุล ที่ปรึกษาธุรกิจและนักการตลาดแห่งยุคผู้พัฒนาโซลูชั่นสําหรับองค์กรขนาดใหญ่ พร้อมด้วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพหลากหลายธุรกิจจาก 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve เข้าร่วมงาน หลักสูตรการสร้างพัฒนาธุรกิจรูปแบบใหม่ให้ตอบโจทย์ความต้องการตลาดในยุค 4.0 เพื่อต่อยอดแนวความคิดสร้างสรรค์สร้างโมเดลธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์ที่สามารถออกตลาดได้จริงพร้อมเงินทุนอัตราดอกเบี้ยพิเศษสนับสนุนจาก ธพว.เพื่อสร้างธุรกิจเป็นรูปธรรม
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าวว่า ธนาคารให้ความสําคัญกับการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการ ตามพันธกิจของการเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาโดยโครงการหลักสูตร SME- D Scale Up เป็นหลักสูตรแรกที่เคยมีโดยให้องค์ความรู้และโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน โดยมีการจัดอบรมจากวิทยากรชั้นแนวหน้าระดับประเทศทุกแขนงกว่า 12 ท่าน อาทิ ด้านนวัตกรรมด้านการเงิน (FinTech) ด้านการพัฒนาโซลูชั่น Software ด้านการสร้างแบรนด์การตลาดOnline Social Media และดิจิตอลดีไซน์ ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต ( Lean) ตามแนวนโยบายของรัฐบาลที่ถือเป็นยุทธศาสตร์ของประเทศในการเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 ที่เน้นการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาตนเอง เพื่อเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย โดยหลักสูตรนี้ได้รับกระแสตอบรับดีมากจากการเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคมถึง 4 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา มีผู้สนใจสมัครจํานวนมากถึง 598 รายจากทั่วประเทศ และผ่านการคัดเลือกเข้าอบรม 56 กิจการ โดยเป็นธุรกิจอุตสาหกรรมดิจิทัลกลุ่มสตาร์ทอัพสูง 20 % รองลงมาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร18% และที่เหลือกระจายในอุตสาหกรรมต่างๆทุกภาคทั่วประเทศ เช่น บริษัทเซโกฟาร์ม จังหวัดยะลา ผลิตนวัตกรรมสารสกัดจากตัวอ่อนของแมลงด้วงสาคูแหล่งอาหารทดแทนโปรตีนธรรมชาติ บริษัทฟลามิงโก้กรุ๊ป จากเชียงใหม่ธุรกิจออกแบบและจัดทําแอพพลิเคชั่น เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงเข้ามาสนใจหลักสูตรนี้เป็นจํานวนมาก อาทิเช่น นายภีม เพชรเกตุ CEO บริษัท พี ยู ยู เอ็น อินเทลลิเจนท์ จํากัด ผู้ก่อตั้งระบบบัญชีออนไลน์ชื่อดัง (PEAK) ดร.ณัฐฐาวรรนุช ทองมี (จ๋า) นักแสดงชื่อดัง CEO Wiseline Corporation Ltd นางสาวฉัตรประวีร์ ตรีชัชวาลวงศ์ (ซี) เจ้าหญิงแห่งวงการไอทีผู้ก่อตั้งบริษัทโซเชียลแล๊บจํากัด นายเฉลิมพล ปุณโณทกCEOบริษัท ซีที เอเชีย โรโบติกส์ จํากัด ผู้ปลุกปั้นหุ่นยนต์หัวใจไทยสู่ตลาดโลกกับหุ่นยนต์ดินสอ และบริษัทชูโกลบอล เจ้าของรองเท้าและผลิตภัณฑ์แฟชั่นแบรนด์ SHUBERRY ที่มีอัตราเจริญเติบโตสูงสุดในกลุ่ม SME และกิจการ Boxtel๑Suvarnabhumi Airport โรงแรมแคปซูลรายชั่วโมงเพียงแห่งเดียวในสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นต้น
ทั้งนี้หลักสูตรอบรมอย่างเข้มข้นมีครบทั้งภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติเริ่มเรียนวันที่ 17 สิงหาคม 2560 ถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2560 ธนาคารมุ่งเน้นให้เป็นเสมือนแหล่งเรียนรู้ที่ผสานเรื่องของเงินทุนเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนําไปต่อยอดธุรกิจ โดยแบ่งเป็น 8 หลักสูตรเช่นการสร้างแรงบันดาลใจและติดอาวุธให้Start up พร้อมการจุดประกายไอเดียและกรณีศึกษารวมถึงการนําเสนอผลงานซึ่งผู้ผ่านการอบรมทุกท่านจะได้รับโล่ห์ประกาศเกียรติคุณทุกรายและรับโล่เกียรติยศสําหรับแผนธุรกิจอีก 3 รางวัลประกอบด้วยแผนธุรกิจดาวรุ่ง(Geeks Biz Award) แผนธุรกิจนวัตกรรม(Inno Biz Award) และแผนธุรกิจสร้างสรรค์(Creative Biz Award)และสิ่งสําคัญจะสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการแบ่งปันความสําเร็จจากภาคธุรกิจและหน่วยงานภาครัฐต่อไป
“SME คืออนาคตของประเทศหรือThailand Future ผู้ประกอบการStart Up คือคลื่นลูกใหม่ที่จะนําพาประเทศเข้าสู่ไทยแลนด์4.0 หลักสูตรนี้จะนําองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาผนวกรูปแบบธุรกิจใหม่ยุค Digital Disruption และเศรษฐกิจสร้างสรรค์(Creative Economy)จะเป็นตัวช่วยให้ธุรกิจมุ่งสู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้อย่างแท้จริง “กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าว
ที่มา : ฝ่ายส่งเสริมกิจกรรมพัฒนาผู้ประกอบการ โทร. 081-4807594
เผยแพร่ข้อมูล : ฝ่ายส่งเสริมการตลาด ลูกค้าสัมพันธ์และกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 0-265-4574-5
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6000
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเน้นกินผัก เพื่อสุขภาพที่ดี กำชับกรมอนามัยผลิตกระจายการจำหน่ายหน้ากากอนามัยให้เพียงพอต่อความต้องการ
|
วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563
นายกรัฐมนตรีเน้นกินผัก เพื่อสุขภาพที่ดี กําชับกรมอนามัยผลิตกระจายการจําหน่ายหน้ากากอนามัยให้เพียงพอต่อความต้องการ
นายกรัฐมนตรีเน้นกินผัก เพื่อสุขภาพที่ดี กําชับกรมอนามัยผลิตกระจายการจําหน่ายหน้ากากอนามัยให้เพียงพอต่อความต้องการ
วันนี้ (11 ก.พ.63) ณ บริเวณหลังตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล เวลา 8.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมนิทรรศการต่าง ๆ ได้แก่ โครงการพระสงฆ์กับการพัฒนาสุขภาวะ โดยกระทรวงสาธารณสุข กิจกรรมรณรงค์“เพราะว่ารักจึง (ให้) ผักนํา” โดยกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมนําเสนอนิทรรศการเพื่อนําเสนอผลงานผู้ประกอบการวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (Digital Startup) ด้านเทคโนโลยีเพื่อการเงิน (FinTech)
นายสาธิต ปิตุเดชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นําคณะประชาสัมพันธ์โครงการพระสงฆ์กับการพัฒนาสุขภาวะ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการดูแล สุขภาวะของพระสงฆ์ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สมบูรณ์ทั้งทางกาย จิตใจ ปัญญาและสังคม รวมทั้งการจัดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ ทําให้วัดกับชุมชนมีความเชื่อมโยงกัน รวมถึงการรณรงค์ให้ชุมชนจัดงานบุญปลอดเหล้า ถวายอาหารสุขภาพ ทําบุญตักบาตรด้วย “ภัตตาหาร ชูสุขภาพ” และถวายความรู้ในการดูแลสุขภาพแก่พระสงฆ์อีกด้วย จากนั้น นายกรัฐมนตรีร่วมประชาสัมพันธ์กิจกรรมรณรงค์“เพราะว่ารักจึง (ให้) ผักนํา” เนื่องในเทศกาลแห่งความรัก เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนไทยรับประทานผักทุกมื้อ เพื่อจัดการระบบอาหารเพื่อสุขภาวะที่ดี รวมถึงสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกผักปลอดภัย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ทดลองชิม“ผักนํารัก & Roll” พร้อมย้ําว่าอยากให้คนไทยใส่ใจในการบริโภคมากขึ้น โดยเน้นการบริโภคผักใบเขียว เพื่อสุขภาพที่ดี
โอกาสนี้ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นําคณะ Digital Startup เสนอนวัตกรรมการเงิน (FinTech) ประกอบด้วย “แพลตฟอร์ม รีไฟแนนซ์ ลดภาระหนี้สินให้คนไทย” “การวางแผนการเงินครบวงจร พร้อมสินเชื่อ สวัสดิการ ด้วยโปรแกรมอัจฉริยะ Robo-Advisor” “บริการเชิงรุกสําหรับธุรกิจประกันภัย คมนาคมขนส่ง และคุณภาพชีวิต” “เครื่องมือที่ช่วยให้ภาคธุรกิจ ในสังคมไร้เงินสดเปลี่ยน “ต้นทุน” ให้เป็น “กําไร” โดยอัตโนมัติ” และ “การทํางานของระบบ เพื่ออํานวยความสะดวกในการจัดการภาษีของเจ้าของธุรกิจออนไลน์แบบครบวงจรร่วมกับกรมสรรพากร และธนาคารพาณิชย์” โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมความสามารถของคนไทยรุ่นใหม่ เพราะผลงานเหล่านี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในด้านการบริการที่เกี่ยวข้องกับการเงินและการลงทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งทุกโครงการที่จะประสบความสําเร็จได้นั้น ต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนและยืนยันว่าภาครัฐจะให้การสนับสนุนอยู่เสมอ
ทั้งนี้ ก่อนการเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี นายสาธิต ปิตุเดชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะผู้บริหารองค์การอนามัย มอบหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือซึ่งผลิตโดยองค์การอนามัยแด่นายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 เพื่อนําไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนโดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลเห็นความสําคัญในการดูแลสุขภาพประชาชน ทั้งแจกหน้ากากอนามัยให้กับประชาชนทั่วไป และจําหน่ายหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือในราคาต่ํา โดยหน่วยงานรัฐรับภาระค่าดําเนินการและขนส่ง เพื่อให้ประชาชนที่พอมีสามารถซื้อหาได้ รวมทั้งกําชับให้กรมอนามัยผลิตหน้ากากอนามัยให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนที่สําคัญโรงพยาบาลต้องไม่ขาดแคลน
..................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเน้นกินผัก เพื่อสุขภาพที่ดี กำชับกรมอนามัยผลิตกระจายการจำหน่ายหน้ากากอนามัยให้เพียงพอต่อความต้องการ
วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563
นายกรัฐมนตรีเน้นกินผัก เพื่อสุขภาพที่ดี กําชับกรมอนามัยผลิตกระจายการจําหน่ายหน้ากากอนามัยให้เพียงพอต่อความต้องการ
นายกรัฐมนตรีเน้นกินผัก เพื่อสุขภาพที่ดี กําชับกรมอนามัยผลิตกระจายการจําหน่ายหน้ากากอนามัยให้เพียงพอต่อความต้องการ
วันนี้ (11 ก.พ.63) ณ บริเวณหลังตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล เวลา 8.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมนิทรรศการต่าง ๆ ได้แก่ โครงการพระสงฆ์กับการพัฒนาสุขภาวะ โดยกระทรวงสาธารณสุข กิจกรรมรณรงค์“เพราะว่ารักจึง (ให้) ผักนํา” โดยกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมนําเสนอนิทรรศการเพื่อนําเสนอผลงานผู้ประกอบการวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (Digital Startup) ด้านเทคโนโลยีเพื่อการเงิน (FinTech)
นายสาธิต ปิตุเดชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นําคณะประชาสัมพันธ์โครงการพระสงฆ์กับการพัฒนาสุขภาวะ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการดูแล สุขภาวะของพระสงฆ์ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สมบูรณ์ทั้งทางกาย จิตใจ ปัญญาและสังคม รวมทั้งการจัดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ ทําให้วัดกับชุมชนมีความเชื่อมโยงกัน รวมถึงการรณรงค์ให้ชุมชนจัดงานบุญปลอดเหล้า ถวายอาหารสุขภาพ ทําบุญตักบาตรด้วย “ภัตตาหาร ชูสุขภาพ” และถวายความรู้ในการดูแลสุขภาพแก่พระสงฆ์อีกด้วย จากนั้น นายกรัฐมนตรีร่วมประชาสัมพันธ์กิจกรรมรณรงค์“เพราะว่ารักจึง (ให้) ผักนํา” เนื่องในเทศกาลแห่งความรัก เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนไทยรับประทานผักทุกมื้อ เพื่อจัดการระบบอาหารเพื่อสุขภาวะที่ดี รวมถึงสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกผักปลอดภัย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ทดลองชิม“ผักนํารัก & Roll” พร้อมย้ําว่าอยากให้คนไทยใส่ใจในการบริโภคมากขึ้น โดยเน้นการบริโภคผักใบเขียว เพื่อสุขภาพที่ดี
โอกาสนี้ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นําคณะ Digital Startup เสนอนวัตกรรมการเงิน (FinTech) ประกอบด้วย “แพลตฟอร์ม รีไฟแนนซ์ ลดภาระหนี้สินให้คนไทย” “การวางแผนการเงินครบวงจร พร้อมสินเชื่อ สวัสดิการ ด้วยโปรแกรมอัจฉริยะ Robo-Advisor” “บริการเชิงรุกสําหรับธุรกิจประกันภัย คมนาคมขนส่ง และคุณภาพชีวิต” “เครื่องมือที่ช่วยให้ภาคธุรกิจ ในสังคมไร้เงินสดเปลี่ยน “ต้นทุน” ให้เป็น “กําไร” โดยอัตโนมัติ” และ “การทํางานของระบบ เพื่ออํานวยความสะดวกในการจัดการภาษีของเจ้าของธุรกิจออนไลน์แบบครบวงจรร่วมกับกรมสรรพากร และธนาคารพาณิชย์” โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมความสามารถของคนไทยรุ่นใหม่ เพราะผลงานเหล่านี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในด้านการบริการที่เกี่ยวข้องกับการเงินและการลงทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งทุกโครงการที่จะประสบความสําเร็จได้นั้น ต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนและยืนยันว่าภาครัฐจะให้การสนับสนุนอยู่เสมอ
ทั้งนี้ ก่อนการเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี นายสาธิต ปิตุเดชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะผู้บริหารองค์การอนามัย มอบหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือซึ่งผลิตโดยองค์การอนามัยแด่นายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 เพื่อนําไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนโดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลเห็นความสําคัญในการดูแลสุขภาพประชาชน ทั้งแจกหน้ากากอนามัยให้กับประชาชนทั่วไป และจําหน่ายหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือในราคาต่ํา โดยหน่วยงานรัฐรับภาระค่าดําเนินการและขนส่ง เพื่อให้ประชาชนที่พอมีสามารถซื้อหาได้ รวมทั้งกําชับให้กรมอนามัยผลิตหน้ากากอนามัยให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนที่สําคัญโรงพยาบาลต้องไม่ขาดแคลน
..................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26412
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมควบคุมโรค เผยกรณีชาวเมียนมาติดเชื้อโควิด 19 เพิ่มอีก 3 ราย พบกลับจากไทยเพียงรายเดียว เป็นผู้ติดเชื้อรายเก่าที่เคยตรวจพบและรายงานไปแล้ว [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563
กรมควบคุมโรค เผยกรณีชาวเมียนมาติดเชื้อโควิด 19 เพิ่มอีก 3 ราย พบกลับจากไทยเพียงรายเดียว เป็นผู้ติดเชื้อรายเก่าที่เคยตรวจพบและรายงานไปแล้ว [กระทรวงสาธารณสุข]
กรมควบคุมโรค เผยกรณีชาวเมียนมาติดเชื้อโควิด 19 เพิ่มอีก 3 ราย พบกลับจากไทยเพียงรายเดียว เป็นผู้ติดเชื้อรายเก่าที่เคยตรวจพบและรายงานไปแล้ว
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยผลการสอบสวนรายละเอียดเพิ่มเติม กรณีมีรายงานพบชาวเมียนมาติดเชื้อโควิด 19 เพิ่มอีก 3 ราย พบว่าในจํานวนนี้มี 1 รายที่เดินทางกลับจากไทย เป็นผู้ติดเชื้อรายเก่าที่เคยตรวจพบ ณ ศูนย์กักผู้ต้องกัก อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่เคยแถลงข่าวและดูแลรักษาจนครบตามมาตรฐานการรักษา และอนุญาตให้กลับบ้านไปแล้ว ขอให้ประชาชนมั่นใจในระบบป้องกันควบคุมโรคของไทย ที่มีความเข้มแข็งและดําเนินการอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง
วันนี้ (2 กรกฎาคม 2563) นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานข่าวว่าพบชาวเมียนมาป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) เพิ่มอีก 3 ราย นั้น กรมควบคุมโรค ขอชี้แจงว่า จากการประสานข้อมูลกับประเทศเมียนมา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ โดยได้ทําการสอบสวนรายละเอียดเพิ่มเติม พบว่าผู้ป่วยโรคโควิด 19 จํานวน 3 รายดังกล่าว มีเพียง 1 รายที่เดินทางกลับจากประเทศไทย ส่วนอีก 2 รายเป็นผู้ที่เดินทางมาจากประเทศอินเดีย ซึ่งผู้ติดเชื้อที่กลับจากไทยรายดังกล่าวนั้น เป็นผู้ติดเชื้อรายเก่าที่เคยตรวจพบ ณ ศูนย์กักผู้ต้องกัก อ.สะเดา จ.สงขลา ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา เป็นกลุ่มเดียวกันกับที่เคยรายงานเป็นผู้ป่วย มีการแถลงข่าวและดูแลรักษาจนหายดี ครบตามมาตรฐานการรักษา และแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านไปแล้ว
ทั้งนี้ การตรวจพบเชื้อซ้ํา สามารถเกิดขึ้นได้ ซึ่งการตรวจเชื้อโดยการหาสารพันธุกรรมอาจยังพบพันธุกรรมของไวรัสได้ แต่จะเพาะเชื้อไม่ขึ้นเนื่องจากเป็นไวรัสที่ถูกร่างกายทําลายแล้ว ซึ่งในประเทศไทยและต่างประเทศ ก็มีการรายงานเช่นเดียวกัน
นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวอีกว่า กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ยังคงเน้นย้ําในการดําเนินมาตรการเฝ้าระวัง และตรวจคัดกรองผู้ที่เดินทางตามจุดผ่านเข้าออกพรมแดนของประเทศอย่างเข้มข้นจึงขอให้ประชาชนมั่นใจในระบบป้องกันควบคุมโรคของประเทศไทย ที่มีความเข้มแข็งและดําเนินการอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
**************************************************
ข้อมูลจาก : กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค
วันที่ 2 กรกฎาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมควบคุมโรค เผยกรณีชาวเมียนมาติดเชื้อโควิด 19 เพิ่มอีก 3 ราย พบกลับจากไทยเพียงรายเดียว เป็นผู้ติดเชื้อรายเก่าที่เคยตรวจพบและรายงานไปแล้ว [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563
กรมควบคุมโรค เผยกรณีชาวเมียนมาติดเชื้อโควิด 19 เพิ่มอีก 3 ราย พบกลับจากไทยเพียงรายเดียว เป็นผู้ติดเชื้อรายเก่าที่เคยตรวจพบและรายงานไปแล้ว [กระทรวงสาธารณสุข]
กรมควบคุมโรค เผยกรณีชาวเมียนมาติดเชื้อโควิด 19 เพิ่มอีก 3 ราย พบกลับจากไทยเพียงรายเดียว เป็นผู้ติดเชื้อรายเก่าที่เคยตรวจพบและรายงานไปแล้ว
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยผลการสอบสวนรายละเอียดเพิ่มเติม กรณีมีรายงานพบชาวเมียนมาติดเชื้อโควิด 19 เพิ่มอีก 3 ราย พบว่าในจํานวนนี้มี 1 รายที่เดินทางกลับจากไทย เป็นผู้ติดเชื้อรายเก่าที่เคยตรวจพบ ณ ศูนย์กักผู้ต้องกัก อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่เคยแถลงข่าวและดูแลรักษาจนครบตามมาตรฐานการรักษา และอนุญาตให้กลับบ้านไปแล้ว ขอให้ประชาชนมั่นใจในระบบป้องกันควบคุมโรคของไทย ที่มีความเข้มแข็งและดําเนินการอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง
วันนี้ (2 กรกฎาคม 2563) นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานข่าวว่าพบชาวเมียนมาป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) เพิ่มอีก 3 ราย นั้น กรมควบคุมโรค ขอชี้แจงว่า จากการประสานข้อมูลกับประเทศเมียนมา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ โดยได้ทําการสอบสวนรายละเอียดเพิ่มเติม พบว่าผู้ป่วยโรคโควิด 19 จํานวน 3 รายดังกล่าว มีเพียง 1 รายที่เดินทางกลับจากประเทศไทย ส่วนอีก 2 รายเป็นผู้ที่เดินทางมาจากประเทศอินเดีย ซึ่งผู้ติดเชื้อที่กลับจากไทยรายดังกล่าวนั้น เป็นผู้ติดเชื้อรายเก่าที่เคยตรวจพบ ณ ศูนย์กักผู้ต้องกัก อ.สะเดา จ.สงขลา ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา เป็นกลุ่มเดียวกันกับที่เคยรายงานเป็นผู้ป่วย มีการแถลงข่าวและดูแลรักษาจนหายดี ครบตามมาตรฐานการรักษา และแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านไปแล้ว
ทั้งนี้ การตรวจพบเชื้อซ้ํา สามารถเกิดขึ้นได้ ซึ่งการตรวจเชื้อโดยการหาสารพันธุกรรมอาจยังพบพันธุกรรมของไวรัสได้ แต่จะเพาะเชื้อไม่ขึ้นเนื่องจากเป็นไวรัสที่ถูกร่างกายทําลายแล้ว ซึ่งในประเทศไทยและต่างประเทศ ก็มีการรายงานเช่นเดียวกัน
นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวอีกว่า กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ยังคงเน้นย้ําในการดําเนินมาตรการเฝ้าระวัง และตรวจคัดกรองผู้ที่เดินทางตามจุดผ่านเข้าออกพรมแดนของประเทศอย่างเข้มข้นจึงขอให้ประชาชนมั่นใจในระบบป้องกันควบคุมโรคของประเทศไทย ที่มีความเข้มแข็งและดําเนินการอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
**************************************************
ข้อมูลจาก : กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค
วันที่ 2 กรกฎาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33071
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับประธานคณะอนุกรรมการด้านสิทธิมนุษยชน สมาชิกสหภาพยุโรป เพื่อหารือประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน
|
วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม 2561
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับประธานคณะอนุกรรมการด้านสิทธิมนุษยชน สมาชิกสหภาพยุโรป เพื่อหารือประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับประธานคณะอนุกรรมการด้านสิทธิมนุษยชนสมาชิกสหภาพยุโรป เพื่อหารือประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน
ในวันพุธที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๔.๔๕ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
ให้การต้อนรับ นาย Pier Antonio Panzeri ประธานคณะอนุกรรมการด้านสิทธิมนุษยชน
สมาชิกสหภาพยุโรปชาวอิตาลี พร้อมคณะสมาชิกสภายุโรป
ที่ได้เข้าหารือข้อราชการเกี่ยวกับด้านสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะประเด็นด้านสิทธิทางการเมือง
และสิทธิพลเมือง เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับประธานคณะอนุกรรมการด้านสิทธิมนุษยชน สมาชิกสหภาพยุโรป เพื่อหารือประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน
วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม 2561
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับประธานคณะอนุกรรมการด้านสิทธิมนุษยชน สมาชิกสหภาพยุโรป เพื่อหารือประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับประธานคณะอนุกรรมการด้านสิทธิมนุษยชนสมาชิกสหภาพยุโรป เพื่อหารือประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน
ในวันพุธที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๔.๔๕ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
ให้การต้อนรับ นาย Pier Antonio Panzeri ประธานคณะอนุกรรมการด้านสิทธิมนุษยชน
สมาชิกสหภาพยุโรปชาวอิตาลี พร้อมคณะสมาชิกสภายุโรป
ที่ได้เข้าหารือข้อราชการเกี่ยวกับด้านสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะประเด็นด้านสิทธิทางการเมือง
และสิทธิพลเมือง เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13947
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ 5/2561
|
วันอังคารที่ 26 มิถุนายน 2561
รองนรม. วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ 5/2561
โดยที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนงบประมาณและแผนการดําเนินงาน ประจําปีงบประมาณ 2562
ตามพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. 2558 มาตรา 21 (6)
วันนี้ (26 มิถุนายน 2561) เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นาย วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ 5/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนงบประมาณและแผนการดําเนินงาน ประจําปีงบประมาณ 2562 ตามพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. 2558 มาตรา 21 (6) กําหนดให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอํานาจหน้าที่ให้ความเห็นชอบแผนการดําเนินงาน แผนการเงิน และแผนงบประมาณประจําปี และตามมาตรา 11 ที่กําหนดว่า ประโยชน์ในการดําเนินงานของกองทุนให้มีการจัดสรรเงินกองทุนวิจัยกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้มีความรู้เท่าทันสื่อ ซึ่งทําให้ประชาชนกลั่นกรองการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ที่เกิดประโยชน์ โดยรวมต่อสังคม ซึ่งจําแนกเป็น 4 ยุทธศาสตร์ 9 แผนงาน และ20 โครงการ รวมถึงแผนงบประมาณส่วนการสนับสนุน 2 แผน ได้แก่ 1) แผนบริหารจัดการขับเคลื่อนงานตามยุทธศาสตร์ (งานสนับสนุนทุน/งานติดตามประเมินการสนับสนุนทุน) และ 2) แผนบริหารจัดการและพัฒนาองค์กร
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแนวคิดเรื่องการให้ทุนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Grant) จากการเปิดรับข้อเสนอโครงการหรือกิจกรรมเพื่อขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ประจําปี พ.ศ. 2560 (Open Grant) โดยมียุทธศาสตร์ทั้ง 4 ด้าน ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ที่ 1 ส่งเสริมการพัฒนาการผลิตและเผยแพร่สื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ยุทธศาสตร์ที่ 2ส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ในการพัฒนาสื่อและนิเวศสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ ยุทธศาสตร์ที่ 3 ส่งเสริมและพัฒนาให้เกิดกลไก และกระบวนการคัดครอง เฝ้าระวัง การรู้เท่าทันสื่อ และยุทธศาสตร์ที่ 4 ส่งเสริมและพัฒนาช่องทางเพื่อสื่อสารกับสังคม ให้เกิดการรับรู้และส่วนร่วมของประชาชน แต่ไม่มีความชัดเจนเพียงพอในด้านการกําหนดเป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์เชิงคุณค่า รวมถึงแนวทางการต่อยอดที่ยั่งยืน เนื่องจากการให้ทุนสนับสนุนในรูปแบบงบประมาณทั่วไป (Open Grant) มีข้อจํากัด กองทุนฯ จึงมีโครงการเปิดให้ทุนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Grant) เพื่อให้ตอบรับกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 พร้อมตอบรับกับภารกิจของกองทุนฯ ในการสร้างการบูรณาการและการทํางานเชิงเครือข่ายสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และสร้างผลสัมฤทธิ์ตามตัวชี้วัดองค์กร (Outcome) เพื่อให้สามารถทํางานในลักษณะเชิงรุกควบคู่ไปกับการทํางานเชิงรับที่จะสามารถขับเคลื่อนการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์อย่างเด่นชัดและเป็นรูปธรรมตามนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งมั่นและตั้งใจให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ เพื่อมีบทบาทร่วมกันในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติอย่างแท้จริง
........................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ 5/2561
วันอังคารที่ 26 มิถุนายน 2561
รองนรม. วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ 5/2561
โดยที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนงบประมาณและแผนการดําเนินงาน ประจําปีงบประมาณ 2562
ตามพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. 2558 มาตรา 21 (6)
วันนี้ (26 มิถุนายน 2561) เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นาย วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ 5/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนงบประมาณและแผนการดําเนินงาน ประจําปีงบประมาณ 2562 ตามพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. 2558 มาตรา 21 (6) กําหนดให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอํานาจหน้าที่ให้ความเห็นชอบแผนการดําเนินงาน แผนการเงิน และแผนงบประมาณประจําปี และตามมาตรา 11 ที่กําหนดว่า ประโยชน์ในการดําเนินงานของกองทุนให้มีการจัดสรรเงินกองทุนวิจัยกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้มีความรู้เท่าทันสื่อ ซึ่งทําให้ประชาชนกลั่นกรองการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ที่เกิดประโยชน์ โดยรวมต่อสังคม ซึ่งจําแนกเป็น 4 ยุทธศาสตร์ 9 แผนงาน และ20 โครงการ รวมถึงแผนงบประมาณส่วนการสนับสนุน 2 แผน ได้แก่ 1) แผนบริหารจัดการขับเคลื่อนงานตามยุทธศาสตร์ (งานสนับสนุนทุน/งานติดตามประเมินการสนับสนุนทุน) และ 2) แผนบริหารจัดการและพัฒนาองค์กร
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแนวคิดเรื่องการให้ทุนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Grant) จากการเปิดรับข้อเสนอโครงการหรือกิจกรรมเพื่อขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ประจําปี พ.ศ. 2560 (Open Grant) โดยมียุทธศาสตร์ทั้ง 4 ด้าน ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ที่ 1 ส่งเสริมการพัฒนาการผลิตและเผยแพร่สื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ยุทธศาสตร์ที่ 2ส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ในการพัฒนาสื่อและนิเวศสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ ยุทธศาสตร์ที่ 3 ส่งเสริมและพัฒนาให้เกิดกลไก และกระบวนการคัดครอง เฝ้าระวัง การรู้เท่าทันสื่อ และยุทธศาสตร์ที่ 4 ส่งเสริมและพัฒนาช่องทางเพื่อสื่อสารกับสังคม ให้เกิดการรับรู้และส่วนร่วมของประชาชน แต่ไม่มีความชัดเจนเพียงพอในด้านการกําหนดเป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์เชิงคุณค่า รวมถึงแนวทางการต่อยอดที่ยั่งยืน เนื่องจากการให้ทุนสนับสนุนในรูปแบบงบประมาณทั่วไป (Open Grant) มีข้อจํากัด กองทุนฯ จึงมีโครงการเปิดให้ทุนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Grant) เพื่อให้ตอบรับกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 พร้อมตอบรับกับภารกิจของกองทุนฯ ในการสร้างการบูรณาการและการทํางานเชิงเครือข่ายสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และสร้างผลสัมฤทธิ์ตามตัวชี้วัดองค์กร (Outcome) เพื่อให้สามารถทํางานในลักษณะเชิงรุกควบคู่ไปกับการทํางานเชิงรับที่จะสามารถขับเคลื่อนการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์อย่างเด่นชัดและเป็นรูปธรรมตามนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งมั่นและตั้งใจให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ เพื่อมีบทบาทร่วมกันในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติอย่างแท้จริง
........................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13346
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมหมู่บ้าน CIV เล่าเน้ง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ในโอกาสเดินทางมาตรวจราชการและร่วมประชุม ครม. อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 7/2561 จ.เพชรบูรณ์
|
วันจันทร์ที่ 17 กันยายน 2561
รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมหมู่บ้าน CIV เล่าเน้ง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ในโอกาสเดินทางมาตรวจราชการและร่วมประชุม ครม. อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 7/2561 จ.เพชรบูรณ์
รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมหมู่บ้าน CIV เล่าเน้ง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ในโอกาสเดินทางมาตรวจราชการและร่วมประชุม ครม. อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 7/2561 จ.เพชรบูรณ์
วันนี้ (17 กันยายน 2561) เวลา 15.30 น. นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะลงพื้นที่เยี่ยมชมหมู่บ้านเล่าเน้ง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ โดยมีนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายพรเทพ การศัพท์ นายวีรศักดิ์ ศุภประเสริฐ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงพื้นที่
หมู่บ้านเล่าเน้ง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นคนไทยเชื้อสายม้ง ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและยังคงรักษาอัตลักษณ์ชุมชน วัฒนธรรมประเพณีของบรรพชนเป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่เข้าร่วมโครงการหมู่บ้าน CIV ของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกระทรวงฯ ได้เข้าไปส่งเสริมพัฒนาและสนับสนุนทั้งด้านการสร้างตราสินค้า การจัดทําต้นแบบผลิตภัณฑ์และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ ช่วยออกแบบปรับปรุงชุดเครื่องแต่งกายที่มีอัตลักษณ์ของทัองถิ่น ตลอดจนช่วยจัดทํา Marketing Tools นามบัตร แผ่นพับซึ่งมีข้อมูลผลิตภัณฑ์ และสื่อทาง Digital QR Code ผลิตภัณฑ์ผ้าเขียนเทียนชาวไทยภูเขา เป็นสินค้าอัตลักษณ์ของชุมชนซึ่งจะช่วยสร้างงานสร้างอาชีพสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนอย่างต่อเนื่อง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมหมู่บ้าน CIV เล่าเน้ง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ในโอกาสเดินทางมาตรวจราชการและร่วมประชุม ครม. อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 7/2561 จ.เพชรบูรณ์
วันจันทร์ที่ 17 กันยายน 2561
รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมหมู่บ้าน CIV เล่าเน้ง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ในโอกาสเดินทางมาตรวจราชการและร่วมประชุม ครม. อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 7/2561 จ.เพชรบูรณ์
รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมหมู่บ้าน CIV เล่าเน้ง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ในโอกาสเดินทางมาตรวจราชการและร่วมประชุม ครม. อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 7/2561 จ.เพชรบูรณ์
วันนี้ (17 กันยายน 2561) เวลา 15.30 น. นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะลงพื้นที่เยี่ยมชมหมู่บ้านเล่าเน้ง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ โดยมีนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายพรเทพ การศัพท์ นายวีรศักดิ์ ศุภประเสริฐ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงพื้นที่
หมู่บ้านเล่าเน้ง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นคนไทยเชื้อสายม้ง ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและยังคงรักษาอัตลักษณ์ชุมชน วัฒนธรรมประเพณีของบรรพชนเป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่เข้าร่วมโครงการหมู่บ้าน CIV ของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกระทรวงฯ ได้เข้าไปส่งเสริมพัฒนาและสนับสนุนทั้งด้านการสร้างตราสินค้า การจัดทําต้นแบบผลิตภัณฑ์และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ ช่วยออกแบบปรับปรุงชุดเครื่องแต่งกายที่มีอัตลักษณ์ของทัองถิ่น ตลอดจนช่วยจัดทํา Marketing Tools นามบัตร แผ่นพับซึ่งมีข้อมูลผลิตภัณฑ์ และสื่อทาง Digital QR Code ผลิตภัณฑ์ผ้าเขียนเทียนชาวไทยภูเขา เป็นสินค้าอัตลักษณ์ของชุมชนซึ่งจะช่วยสร้างงานสร้างอาชีพสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนอย่างต่อเนื่อง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15450
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชิมช้อปใช้ อู้ฟู่ กรุงไทยหนุนเฟส 2 ชวนใช้จ่ายกระเป๋า2 รับเงินคืนสูงสุด 20%
|
วันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2562
ชิมช้อปใช้ อู้ฟู่ กรุงไทยหนุนเฟส 2 ชวนใช้จ่ายกระเป๋า2 รับเงินคืนสูงสุด 20%
กรุงไทยผลักดันมาตรการชิมช้อปใช้เฟส 2 อย่างต่อเนื่อง มั่นใจระบบแอปพลิเคชั่นถุงเงิน – เป๋าตัง พร้อมรองรับผู้รับสิทธิอย่างมีประสิทธิภาพ ชวนใช้จ่ายผ่านกระเป๋า G-Wallet 2 ยอดใช้จ่าย 50,000 บาท รับเงินคืนสูงสุด 20% หรือ 8,500 บาท
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีความเห็นชอบให้เปิดมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ “ ชิมช้อปใช้” เฟส 2 ในวันที่ 24 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป กําหนดจํานวนผู้ลงทะเบียนเพิ่มเติมอีก 3 ล้านคน เท่านั้น เปิดรับสิทธิลงทะเบียนวันละ 1 ล้านคน โดยแบ่งเป็นวันละ 2 รอบ ได้แก่ รอบที่1 เวลา 6.00น. กําหนดจํานวนผู้รับสิทธิ 5แสนคน รอบที่ 2 เวลา 18.00น. กําหนดจํานวนผู้รับสิทธิอีก 5 แสนคน เช่นกัน ซึ่ง ธนาคารมีความมั่นใจว่าระบบแอปพลิเคชั่นของธนาคารทั้งถุงเงิน และเป๋าตัง มีความพร้อมในการรองรับร้านค้า และผู้ลงทะเบียนรับสิทธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยในเฟสที่ 2 ธนาคารขอเชิญชวนผู้รับสิทธิตามมาตรการชิมช้อปใช้ เมื่อใช้จ่ายผ่านกระเป๋า G-Wallet 1 รับสิทธิ 1,000 บาท ครบแล้ว ยังสามารถใช้สิทธิในกระเป๋า G- Wallet 2 เพื่อรับเงินคืนสูงสุด 20% หรือประมาณ 8,500 บาท โดยขั้นตอนการเติมเงินง่ายมากและไม่ซับซ้อน โดยการเติมเงินผ่านการสแกน QR Code ด้วยแอปของทุกธนาคาร โดยเข้าไปที่แอปเป๋าตัง เลือกกดสัญลักษณ์รูป QR Code (เติมเงิน G-Wallet ) ด้านบนมุมซ้าย ต่อมาทําการบันทึกรูปภาพ QR Code ลงในโทรศัพท์ หลังจากนั้นเข้าแอปธนาคารของท่านและกดเลือกสแกน QR – Code จากรูปภาพที่บันทึกไว้ในโทรศัพท์ และใส่จํานวนเงินที่ต้องการเติมเงิน
นอกจากนี้ ยังสามารถเติมเงินง่ายๆผ่านตู้ ATM ของ 5 ธนาคารใหญ่ ประกอบด้วย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา โดยการเติมเงินจะต้องใช้ตู้เอทีเอ็ม ที่ตรงกับบัตรเอทีเอ็มของธนาคารนั้นๆ ให้เข้าที่เมนู เติมเงิน เติมเงินพร้อมเพย์ หรือโอนเงิน แล้วแต่เมนูหน้าแรกของตู้เอทีเอ็มธนาคารนั้นๆ หลังจากนั้นเลือกบัญชีว่าจะให้ทําการโอนเงินจากบัญชีออมทรัพย์หรือกระแสรายวัน พร้อมใส่หมายเลข G-Wallet 15 หลัก ที่ได้จาก QR Code หลังจากนั้นใส่จํานวนเงินที่ต้องการและกดยืนยัน
ส่วนวิธีการชําระเงินเพื่อรับสิทธิเงินคืน 15-20% โดยเข้าแอปเป๋าตัง กดที่เมนูใช้สิทธิรับเงินคืน 15-20 % และเลือก ใช้จ่ายร้านค้าถุงเงิน หลังจากนั้น จะได้ QR Code เพื่อให้ร้านค้าใช้แอปถุงเงินสแกน โดยผู้รับสิทธิต้องตรวจสอบยอดเงินที่ต้องชําระ และกดยืนยันการชําระเงิน ในส่วนของการรับเงินคืนนั้น จะได้รับเงินคืนภายในเดือนถัดไปหลังจากการเสร็จสิ้นการใช้สิทธิของมาตรการ
ทั้งนี้ มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเฟสที่ 2 ขั้นตอนการลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิจะเหมือนเฟสที่ 1 โดยลงทะเบียนผ่าน WWW. ชิมช้อปใช้ .com กรอกรายละเอียดข้อมูลส่วนตัว พร้อมเลือกจังหวัดที่ประสงค์จะเดินทางไปใช้สิทธิ โดยไม่ใช่จังหวัดตามสําเนาทะเบียนบ้าน หลังจากนั้นภายใน 3 วันธนาคารจะส่ง SMS เพื่อให้โหลดแอปเป๋าตัง โดยไม่ต้องมีบัญชีธนาคารกรุงไทย เพื่อรับสิทธิ 1,000 บาท ผ่านกระเป๋า G - Wallet1 และผู้ได้รับสิทธิสามารถเติมเงินในกระเป๋า G- Wallet 2 ใช้จ่ายในร้านที่ร่วมโครงการ ชิมช้อปใช้ ได้ทุกจังหวัด ที่ไม่ตรงกับทะเบียนบ้าน เพื่อรับสิทธิเงินคืน โดยยอดใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาท รับเงินคืน 15% และยอดใช้จ่ายตั้งแต่ 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 50,000 บาท รับเงินคืน 20 % หรือสูงสุด 8,500 บาท ทั้งนี้ ผู้รับสิทธิตามมาตรการชิมช้อปใช้ เฟสที่ 1 และเฟสที่2 สามารถใช้จ่ายผ่านกระเป๋า G- Wallet 2 ได้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562
โดยจะเห็นว่า ผู้รับสิทธิในเฟสแรก สามารถจ่ายเงินผ่านแอปเป๋าตังได้อย่างสะดวก จะเห็นยอดการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ล่าสุด ณ วันที่ 20 ตุลาคม 2562 มียอดการใช้จ่ายผ่าน G- Wallet ทั้งสิ้นจํานวน 8,892.40 ล้านบาท แบ่งเป็น ร้านค้าประเภทชิม 14.5 % ร้านค้าประเภทช้อป 55.6% ร้านค้าประเภทใช้ 1.4% และร้านค้าประเภททั่วไปอีก 28.5% ซึ่งจากยอดการใช้จ่ายดังกล่าว ส่วนใหญ่เกิดจากการใช้จ่ายที่ได้รับสิทธิ 1,000 บาท จากกระเป๋าช่องที่1 แต่กระเป๋าช่องที่2 ยังคงมีไม่มากนัก
นอกจากนี้ มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ ชิมช้อปใช้ เฟสที่ 2 ธุรกิจที่จะเข้าร่วมโครงการมีความหลากหลายมากขึ้น ครบวงจรสําหรับการเดินทาง อาทิเช่น โรงแรม แพ็คเกจทัวร์ และรถเช่า เป็นต้น
นายผยง กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้จ่ายในประเทศ และทําให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ประชาชนที่ได้รับสิทธิในเฟสที่1 จํานวน 10 ล้านคน และในเฟสที่2 อีก 3 ล้านคน นําเงินไปใช้จ่าย ตามมาตรการของโครงการ สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และกระจายไปสู่ฐานรากของชุมชน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล
ฝ่ายกลยุทธ์การตลาด
โทร. 0-2208-4174-8
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชิมช้อปใช้ อู้ฟู่ กรุงไทยหนุนเฟส 2 ชวนใช้จ่ายกระเป๋า2 รับเงินคืนสูงสุด 20%
วันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2562
ชิมช้อปใช้ อู้ฟู่ กรุงไทยหนุนเฟส 2 ชวนใช้จ่ายกระเป๋า2 รับเงินคืนสูงสุด 20%
กรุงไทยผลักดันมาตรการชิมช้อปใช้เฟส 2 อย่างต่อเนื่อง มั่นใจระบบแอปพลิเคชั่นถุงเงิน – เป๋าตัง พร้อมรองรับผู้รับสิทธิอย่างมีประสิทธิภาพ ชวนใช้จ่ายผ่านกระเป๋า G-Wallet 2 ยอดใช้จ่าย 50,000 บาท รับเงินคืนสูงสุด 20% หรือ 8,500 บาท
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีความเห็นชอบให้เปิดมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ “ ชิมช้อปใช้” เฟส 2 ในวันที่ 24 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป กําหนดจํานวนผู้ลงทะเบียนเพิ่มเติมอีก 3 ล้านคน เท่านั้น เปิดรับสิทธิลงทะเบียนวันละ 1 ล้านคน โดยแบ่งเป็นวันละ 2 รอบ ได้แก่ รอบที่1 เวลา 6.00น. กําหนดจํานวนผู้รับสิทธิ 5แสนคน รอบที่ 2 เวลา 18.00น. กําหนดจํานวนผู้รับสิทธิอีก 5 แสนคน เช่นกัน ซึ่ง ธนาคารมีความมั่นใจว่าระบบแอปพลิเคชั่นของธนาคารทั้งถุงเงิน และเป๋าตัง มีความพร้อมในการรองรับร้านค้า และผู้ลงทะเบียนรับสิทธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยในเฟสที่ 2 ธนาคารขอเชิญชวนผู้รับสิทธิตามมาตรการชิมช้อปใช้ เมื่อใช้จ่ายผ่านกระเป๋า G-Wallet 1 รับสิทธิ 1,000 บาท ครบแล้ว ยังสามารถใช้สิทธิในกระเป๋า G- Wallet 2 เพื่อรับเงินคืนสูงสุด 20% หรือประมาณ 8,500 บาท โดยขั้นตอนการเติมเงินง่ายมากและไม่ซับซ้อน โดยการเติมเงินผ่านการสแกน QR Code ด้วยแอปของทุกธนาคาร โดยเข้าไปที่แอปเป๋าตัง เลือกกดสัญลักษณ์รูป QR Code (เติมเงิน G-Wallet ) ด้านบนมุมซ้าย ต่อมาทําการบันทึกรูปภาพ QR Code ลงในโทรศัพท์ หลังจากนั้นเข้าแอปธนาคารของท่านและกดเลือกสแกน QR – Code จากรูปภาพที่บันทึกไว้ในโทรศัพท์ และใส่จํานวนเงินที่ต้องการเติมเงิน
นอกจากนี้ ยังสามารถเติมเงินง่ายๆผ่านตู้ ATM ของ 5 ธนาคารใหญ่ ประกอบด้วย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา โดยการเติมเงินจะต้องใช้ตู้เอทีเอ็ม ที่ตรงกับบัตรเอทีเอ็มของธนาคารนั้นๆ ให้เข้าที่เมนู เติมเงิน เติมเงินพร้อมเพย์ หรือโอนเงิน แล้วแต่เมนูหน้าแรกของตู้เอทีเอ็มธนาคารนั้นๆ หลังจากนั้นเลือกบัญชีว่าจะให้ทําการโอนเงินจากบัญชีออมทรัพย์หรือกระแสรายวัน พร้อมใส่หมายเลข G-Wallet 15 หลัก ที่ได้จาก QR Code หลังจากนั้นใส่จํานวนเงินที่ต้องการและกดยืนยัน
ส่วนวิธีการชําระเงินเพื่อรับสิทธิเงินคืน 15-20% โดยเข้าแอปเป๋าตัง กดที่เมนูใช้สิทธิรับเงินคืน 15-20 % และเลือก ใช้จ่ายร้านค้าถุงเงิน หลังจากนั้น จะได้ QR Code เพื่อให้ร้านค้าใช้แอปถุงเงินสแกน โดยผู้รับสิทธิต้องตรวจสอบยอดเงินที่ต้องชําระ และกดยืนยันการชําระเงิน ในส่วนของการรับเงินคืนนั้น จะได้รับเงินคืนภายในเดือนถัดไปหลังจากการเสร็จสิ้นการใช้สิทธิของมาตรการ
ทั้งนี้ มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเฟสที่ 2 ขั้นตอนการลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิจะเหมือนเฟสที่ 1 โดยลงทะเบียนผ่าน WWW. ชิมช้อปใช้ .com กรอกรายละเอียดข้อมูลส่วนตัว พร้อมเลือกจังหวัดที่ประสงค์จะเดินทางไปใช้สิทธิ โดยไม่ใช่จังหวัดตามสําเนาทะเบียนบ้าน หลังจากนั้นภายใน 3 วันธนาคารจะส่ง SMS เพื่อให้โหลดแอปเป๋าตัง โดยไม่ต้องมีบัญชีธนาคารกรุงไทย เพื่อรับสิทธิ 1,000 บาท ผ่านกระเป๋า G - Wallet1 และผู้ได้รับสิทธิสามารถเติมเงินในกระเป๋า G- Wallet 2 ใช้จ่ายในร้านที่ร่วมโครงการ ชิมช้อปใช้ ได้ทุกจังหวัด ที่ไม่ตรงกับทะเบียนบ้าน เพื่อรับสิทธิเงินคืน โดยยอดใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาท รับเงินคืน 15% และยอดใช้จ่ายตั้งแต่ 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 50,000 บาท รับเงินคืน 20 % หรือสูงสุด 8,500 บาท ทั้งนี้ ผู้รับสิทธิตามมาตรการชิมช้อปใช้ เฟสที่ 1 และเฟสที่2 สามารถใช้จ่ายผ่านกระเป๋า G- Wallet 2 ได้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562
โดยจะเห็นว่า ผู้รับสิทธิในเฟสแรก สามารถจ่ายเงินผ่านแอปเป๋าตังได้อย่างสะดวก จะเห็นยอดการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ล่าสุด ณ วันที่ 20 ตุลาคม 2562 มียอดการใช้จ่ายผ่าน G- Wallet ทั้งสิ้นจํานวน 8,892.40 ล้านบาท แบ่งเป็น ร้านค้าประเภทชิม 14.5 % ร้านค้าประเภทช้อป 55.6% ร้านค้าประเภทใช้ 1.4% และร้านค้าประเภททั่วไปอีก 28.5% ซึ่งจากยอดการใช้จ่ายดังกล่าว ส่วนใหญ่เกิดจากการใช้จ่ายที่ได้รับสิทธิ 1,000 บาท จากกระเป๋าช่องที่1 แต่กระเป๋าช่องที่2 ยังคงมีไม่มากนัก
นอกจากนี้ มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ ชิมช้อปใช้ เฟสที่ 2 ธุรกิจที่จะเข้าร่วมโครงการมีความหลากหลายมากขึ้น ครบวงจรสําหรับการเดินทาง อาทิเช่น โรงแรม แพ็คเกจทัวร์ และรถเช่า เป็นต้น
นายผยง กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้จ่ายในประเทศ และทําให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ประชาชนที่ได้รับสิทธิในเฟสที่1 จํานวน 10 ล้านคน และในเฟสที่2 อีก 3 ล้านคน นําเงินไปใช้จ่าย ตามมาตรการของโครงการ สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และกระจายไปสู่ฐานรากของชุมชน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล
ฝ่ายกลยุทธ์การตลาด
โทร. 0-2208-4174-8
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23999
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมให้กำลังใจแพทย์ พยาบาล รพ.ราชวิถี พร้อมมอบยาต้านไวรัสโควิด – 19 เฟวิลาเวียร์ 10,000 เม็ด ให้แก่โรงพยาบาลในกทม. เชื่อมั่นกระบวนการรักษาของไทยมีประสิทธิภาพ
|
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมให้กําลังใจแพทย์ พยาบาล รพ.ราชวิถี พร้อมมอบยาต้านไวรัสโควิด – 19 เฟวิลาเวียร์ 10,000 เม็ด ให้แก่โรงพยาบาลในกทม. เชื่อมั่นกระบวนการรักษาของไทยมีประสิทธิภาพ
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมให้กําลังใจแพทย์ พยาบาล รพ.ราชวิถี พร้อมมอบยาต้านไวรัสโควิด – 19 เฟวิลาเวียร์ 10,000 เม็ด ให้แก่โรงพยาบาลในกทม. เชื่อมั่นกระบวนการรักษาของไทยมีประสิทธิภาพ
วันนี้ (12 มี.ค. 63) เวลา 15.00 น. ณ อาคารศูนย์การแพทย์ราชวิถี โรงพยาบาลราชวิถี กรุงเทพฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้เดินทางมาให้กําลังใจผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ โดยมีนายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อํานวยการโรงพยาบาลราชวิถี คณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่มารอให้การต้อนรับ โดยมีคณบดีแพทยศาสตร์ทั้งสามแห่ง โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราช และผู้อํานวยการสํานักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร ร่วมคณะด้วย
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมจุดคัดกรองด้วยเครื่องเทอร์โมสแกน บริเวณชั้น 1 และได้ชมการเต้นออกกําลังกายของโรงพยาบาล ซึ่งได้ทําเป็นประจําทุกวัน ก่อนตรวจเยี่ยมคลินิกไข้หวัด ARI clinic (Acute Respiratory Infection Clinic) ซึ่งให้บริการแบบ One Stop Service โดยทีมแพทย์จะตรวจ คัดกรอง วินิจฉัยและให้การรักษาในจุดบริการเดียวอย่างเบ็ดเสร็จ โอกาสนี้ ได้มอบยาต้านไวรัสโควิด – 19 เฟวิลาเวียร์ จํานวน10,000 เม็ด ให้แก่โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ เพื่อนําไปกระจายให้กับโรงพยาบาลในสังกัดกรมการแพทย์ โรงพยาบาลในเครือ Uhosnet และโรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานคร พร้อมมอบกระเช้าให้กําลังใจแก่ตัวแทนญาติผู้ป่วย แพทย์และพยาบาล ทั้งนี้ สถาบันการแพทย์ของไทยทุกแห่งทั้งในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร และโรงเรียนแพทย์ชั้นนําของไทย ร่วมมือสร้างความเชื่อมั่นกระบวนการรักษาของไทย
นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณทีมแพทย์พยาบาลที่เสียสละและทํางานหนักในการดูแลรักษาคนไข้ ซึ่งประชาชนต้องดูแลสุขภาพ มีการป้องกันตนเอง งดเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงหรือกลุ่มประเทศที่มีการระบาด ทุกคนไม่ว่าจะเป็นดาราหรือผู้มีชื่อเสียงที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ขอให้กักตนเอง 14 วัน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ และร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคม ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็เน้นคุมเข้มสถานบันเทิงหรือสถานที่จัดงานขนาดใหญ่ที่มีประชาชนรวมตัวอยู่จํานวนมาก หรือหากจะมีการจัดงาน ต้องมีมาตรการการคัดกรองอย่างเข้มงวด พร้อมตั้งจัดหาเจลแอลกอฮอล์น้ํายาฆ่าเชื้อต้องมีพร้อมอีกด้วย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในการบริหารจัดการการแก้ไขปัญหาโควิด – 19 ของรัฐบาล การทํางานทุกกระทรวงเดินไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะการรักษาของไทยมีมาตรฐานและเป็นที่น่าพอใจ สถานบันการแพทย์ของไทยทุกแห่งทั้งในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร และโรงเรียนแพทย์ชั้นนําของไทย ร่วมมือย้ําความเชื่อมั่นแห่งกับกระบวนการรักษาของไทยยิ่งขึ้น รวมทั้งรัฐบาลเสริมมาตรการเข้มงวดทุกด้านทั้ง การคัดกรอง และการใช้แอปพลิเคชันติดตามเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงโควิด-19 โดยจะมีการเก็บข้อมูล แจ้งเตือน ติดตามตัวผ่านทางโทรศัพท์มือถือได้ ทุกอย่างทําให้รัดกุมที่สุด สําหรับการทํางานของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 บูรณาการงานร่วมกัน เพื่อร่วมมือร่วมใจกัน สู้ด้วยกัน และเราจะผ่านวิกฤตไวรัสนี้ไปได้อย่างแน่นอน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมให้กำลังใจแพทย์ พยาบาล รพ.ราชวิถี พร้อมมอบยาต้านไวรัสโควิด – 19 เฟวิลาเวียร์ 10,000 เม็ด ให้แก่โรงพยาบาลในกทม. เชื่อมั่นกระบวนการรักษาของไทยมีประสิทธิภาพ
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมให้กําลังใจแพทย์ พยาบาล รพ.ราชวิถี พร้อมมอบยาต้านไวรัสโควิด – 19 เฟวิลาเวียร์ 10,000 เม็ด ให้แก่โรงพยาบาลในกทม. เชื่อมั่นกระบวนการรักษาของไทยมีประสิทธิภาพ
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมให้กําลังใจแพทย์ พยาบาล รพ.ราชวิถี พร้อมมอบยาต้านไวรัสโควิด – 19 เฟวิลาเวียร์ 10,000 เม็ด ให้แก่โรงพยาบาลในกทม. เชื่อมั่นกระบวนการรักษาของไทยมีประสิทธิภาพ
วันนี้ (12 มี.ค. 63) เวลา 15.00 น. ณ อาคารศูนย์การแพทย์ราชวิถี โรงพยาบาลราชวิถี กรุงเทพฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้เดินทางมาให้กําลังใจผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ โดยมีนายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อํานวยการโรงพยาบาลราชวิถี คณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่มารอให้การต้อนรับ โดยมีคณบดีแพทยศาสตร์ทั้งสามแห่ง โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราช และผู้อํานวยการสํานักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร ร่วมคณะด้วย
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมจุดคัดกรองด้วยเครื่องเทอร์โมสแกน บริเวณชั้น 1 และได้ชมการเต้นออกกําลังกายของโรงพยาบาล ซึ่งได้ทําเป็นประจําทุกวัน ก่อนตรวจเยี่ยมคลินิกไข้หวัด ARI clinic (Acute Respiratory Infection Clinic) ซึ่งให้บริการแบบ One Stop Service โดยทีมแพทย์จะตรวจ คัดกรอง วินิจฉัยและให้การรักษาในจุดบริการเดียวอย่างเบ็ดเสร็จ โอกาสนี้ ได้มอบยาต้านไวรัสโควิด – 19 เฟวิลาเวียร์ จํานวน10,000 เม็ด ให้แก่โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ เพื่อนําไปกระจายให้กับโรงพยาบาลในสังกัดกรมการแพทย์ โรงพยาบาลในเครือ Uhosnet และโรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานคร พร้อมมอบกระเช้าให้กําลังใจแก่ตัวแทนญาติผู้ป่วย แพทย์และพยาบาล ทั้งนี้ สถาบันการแพทย์ของไทยทุกแห่งทั้งในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร และโรงเรียนแพทย์ชั้นนําของไทย ร่วมมือสร้างความเชื่อมั่นกระบวนการรักษาของไทย
นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณทีมแพทย์พยาบาลที่เสียสละและทํางานหนักในการดูแลรักษาคนไข้ ซึ่งประชาชนต้องดูแลสุขภาพ มีการป้องกันตนเอง งดเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงหรือกลุ่มประเทศที่มีการระบาด ทุกคนไม่ว่าจะเป็นดาราหรือผู้มีชื่อเสียงที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ขอให้กักตนเอง 14 วัน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ และร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคม ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็เน้นคุมเข้มสถานบันเทิงหรือสถานที่จัดงานขนาดใหญ่ที่มีประชาชนรวมตัวอยู่จํานวนมาก หรือหากจะมีการจัดงาน ต้องมีมาตรการการคัดกรองอย่างเข้มงวด พร้อมตั้งจัดหาเจลแอลกอฮอล์น้ํายาฆ่าเชื้อต้องมีพร้อมอีกด้วย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในการบริหารจัดการการแก้ไขปัญหาโควิด – 19 ของรัฐบาล การทํางานทุกกระทรวงเดินไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะการรักษาของไทยมีมาตรฐานและเป็นที่น่าพอใจ สถานบันการแพทย์ของไทยทุกแห่งทั้งในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร และโรงเรียนแพทย์ชั้นนําของไทย ร่วมมือย้ําความเชื่อมั่นแห่งกับกระบวนการรักษาของไทยยิ่งขึ้น รวมทั้งรัฐบาลเสริมมาตรการเข้มงวดทุกด้านทั้ง การคัดกรอง และการใช้แอปพลิเคชันติดตามเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงโควิด-19 โดยจะมีการเก็บข้อมูล แจ้งเตือน ติดตามตัวผ่านทางโทรศัพท์มือถือได้ ทุกอย่างทําให้รัดกุมที่สุด สําหรับการทํางานของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 บูรณาการงานร่วมกัน เพื่อร่วมมือร่วมใจกัน สู้ด้วยกัน และเราจะผ่านวิกฤตไวรัสนี้ไปได้อย่างแน่นอน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27306
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'วราวุธ' รมว.ทส. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดำเนินงานสถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมป์ฯ เน้นย้ำ "การพัฒนาควบคู่กับการอนุรักษ์อย่างสมดุล ไม่แบ่งแยกหน่วยงาน ร่วมมือก
|
วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2563
'วราวุธ' รมว.ทส. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดําเนินงานสถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมป์ฯ เน้นย้ํา "การพัฒนาควบคู่กับการอนุรักษ์อย่างสมดุล ไม่แบ่งแยกหน่วยงาน ร่วมมือก
'วราวุธ' รมว.ทส. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดําเนินงานสถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมป์ฯ เน้นย้ํา "การพัฒนาควบคู่กับการอนุรักษ์อย่างสมดุล ไม่แบ่งแยกหน่วยงาน ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาของประชาชนและประเทศ"
'วราวุธ' รมว.ทส. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดําเนินงานสถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมป์ฯ เน้นย้ํา "การพัฒนาควบคู่กับการอนุรักษ์อย่างสมดุล ไม่แบ่งแยกหน่วยงาน ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาของประชาชนและประเทศ"
วันนี้ (1 ส.ค. 63) เวลา 15.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดําเนินงานให้แก่ผู้บริหาร พนักงานและเจ้าหน้าที่ของสถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมป์ฯ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ และปลูกต้นไม้บริเวณหน้ารูปปั้นเจ้าพระยาไชยานุภาพ (พลายภูเขาทอง) ณ อาคารกัลยาณิวัฒนาการุณย์ สถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมป์ฯ จังหวัดลําปาง
รมว.ทส. กล่าวว่า องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) เป็นตัวอย่างที่ดีที่จะสะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาและการอนุรักษ์ หากมีการตัดไม้แต่ไม่มีการปลูกและการอนุรักษ์ ปัญหาที่ตามมาคือ ภัยแล้ง อุทกภัย เป็นต้น ดังนั้น บทบาทที่สําคัญของ ออป. คือการอนุรักษ์ควบคู่ไปกับการพัฒนาให้มีความสมดุล และการแก้ไขปัญหาของประชาชนในพื้นที่ โดยถ้อยทีถ้อยอาศัย ปรับทัศนคติของเจ้าหน้าที่ให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา
รมว.ทส. กล่าวต่อไปว่า สําหรับเรื่องช้าง ปัญหาช้างป่า ขอให้ใส่ใจ ทําความเข้าใจ กับประชาชน รวมทั้งช้างและสัตว์ทุกชนิด โดยเฉพาะช้างซึ่งเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมือง ขอเป็นกําลังใจและขอบคุณผู้บริหาร พนักงานและเจ้าหน้าที่ของ ออป. ทุกท่าน ขอให้ร่วมมือกันทํางานโดยไม่มีการแบ่งแยกหน่วยงาน อย่าให้เกิดกรณีว่าไม่ใช่หน้าที่ ทุกปัญหามีทางออก ให้มีสติร่วมกันแก้ไขปัญหาของประชาชนและประเทศ และผลักดันสร้างชื่อเสียงให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นกระทรวงฯ ที่อยู่ในอันดับต้น ๆ ของประเทศต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'วราวุธ' รมว.ทส. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดำเนินงานสถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมป์ฯ เน้นย้ำ "การพัฒนาควบคู่กับการอนุรักษ์อย่างสมดุล ไม่แบ่งแยกหน่วยงาน ร่วมมือก
วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2563
'วราวุธ' รมว.ทส. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดําเนินงานสถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมป์ฯ เน้นย้ํา "การพัฒนาควบคู่กับการอนุรักษ์อย่างสมดุล ไม่แบ่งแยกหน่วยงาน ร่วมมือก
'วราวุธ' รมว.ทส. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดําเนินงานสถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมป์ฯ เน้นย้ํา "การพัฒนาควบคู่กับการอนุรักษ์อย่างสมดุล ไม่แบ่งแยกหน่วยงาน ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาของประชาชนและประเทศ"
'วราวุธ' รมว.ทส. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดําเนินงานสถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมป์ฯ เน้นย้ํา "การพัฒนาควบคู่กับการอนุรักษ์อย่างสมดุล ไม่แบ่งแยกหน่วยงาน ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาของประชาชนและประเทศ"
วันนี้ (1 ส.ค. 63) เวลา 15.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการดําเนินงานให้แก่ผู้บริหาร พนักงานและเจ้าหน้าที่ของสถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมป์ฯ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ และปลูกต้นไม้บริเวณหน้ารูปปั้นเจ้าพระยาไชยานุภาพ (พลายภูเขาทอง) ณ อาคารกัลยาณิวัฒนาการุณย์ สถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมป์ฯ จังหวัดลําปาง
รมว.ทส. กล่าวว่า องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) เป็นตัวอย่างที่ดีที่จะสะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาและการอนุรักษ์ หากมีการตัดไม้แต่ไม่มีการปลูกและการอนุรักษ์ ปัญหาที่ตามมาคือ ภัยแล้ง อุทกภัย เป็นต้น ดังนั้น บทบาทที่สําคัญของ ออป. คือการอนุรักษ์ควบคู่ไปกับการพัฒนาให้มีความสมดุล และการแก้ไขปัญหาของประชาชนในพื้นที่ โดยถ้อยทีถ้อยอาศัย ปรับทัศนคติของเจ้าหน้าที่ให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา
รมว.ทส. กล่าวต่อไปว่า สําหรับเรื่องช้าง ปัญหาช้างป่า ขอให้ใส่ใจ ทําความเข้าใจ กับประชาชน รวมทั้งช้างและสัตว์ทุกชนิด โดยเฉพาะช้างซึ่งเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมือง ขอเป็นกําลังใจและขอบคุณผู้บริหาร พนักงานและเจ้าหน้าที่ของ ออป. ทุกท่าน ขอให้ร่วมมือกันทํางานโดยไม่มีการแบ่งแยกหน่วยงาน อย่าให้เกิดกรณีว่าไม่ใช่หน้าที่ ทุกปัญหามีทางออก ให้มีสติร่วมกันแก้ไขปัญหาของประชาชนและประเทศ และผลักดันสร้างชื่อเสียงให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นกระทรวงฯ ที่อยู่ในอันดับต้น ๆ ของประเทศต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33888
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ติวเข้มเจ้าหน้าที่ สอจ. ทั่วประเทศเน้นสร้างเครือข่ายรักษ์สิ่งแวดล้อม-ลดข้อขัดแย้ง
|
วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม 2562
ก.อุตฯ ติวเข้มเจ้าหน้าที่ สอจ. ทั่วประเทศเน้นสร้างเครือข่ายรักษ์สิ่งแวดล้อม-ลดข้อขัดแย้ง
นายเอกภัทร วังสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาติวเข้มอุตสาหกรรมจังหวัดและเจ้าหน้าที่ทั่วประเทศ กว่า 300 คน
กรุงเทพฯ : 7 มี.ค.62 – นายเอกภัทร วังสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาติวเข้มอุตสาหกรรมจังหวัดและเจ้าหน้าที่ทั่วประเทศ กว่า 300 คน การจัดสัมมนาในครั้งนี้เพื่อสร้างและพัฒนาเครือข่ายอุตสาหกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อมในทุกภาคส่วน หวังสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ทําให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ลดปัญหาข้อขัดแย้ง – การเผชิญหน้า มีความรับผิดชอบต่อสังคม โปร่งใส มีคุณธรรมและปฏิบัติตามข้อกฎหมาย อันจะส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของประเทศประสบความสําเร็จซึ่งจะนําไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ของประเทศไทย 4.0 ณ โรงแรมที เค พาเลซ& คอนเวนชั่น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ติวเข้มเจ้าหน้าที่ สอจ. ทั่วประเทศเน้นสร้างเครือข่ายรักษ์สิ่งแวดล้อม-ลดข้อขัดแย้ง
วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม 2562
ก.อุตฯ ติวเข้มเจ้าหน้าที่ สอจ. ทั่วประเทศเน้นสร้างเครือข่ายรักษ์สิ่งแวดล้อม-ลดข้อขัดแย้ง
นายเอกภัทร วังสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาติวเข้มอุตสาหกรรมจังหวัดและเจ้าหน้าที่ทั่วประเทศ กว่า 300 คน
กรุงเทพฯ : 7 มี.ค.62 – นายเอกภัทร วังสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาติวเข้มอุตสาหกรรมจังหวัดและเจ้าหน้าที่ทั่วประเทศ กว่า 300 คน การจัดสัมมนาในครั้งนี้เพื่อสร้างและพัฒนาเครือข่ายอุตสาหกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อมในทุกภาคส่วน หวังสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ทําให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ลดปัญหาข้อขัดแย้ง – การเผชิญหน้า มีความรับผิดชอบต่อสังคม โปร่งใส มีคุณธรรมและปฏิบัติตามข้อกฎหมาย อันจะส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของประเทศประสบความสําเร็จซึ่งจะนําไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ของประเทศไทย 4.0 ณ โรงแรมที เค พาเลซ& คอนเวนชั่น
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19187
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เตรียมพร้อมร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาระบบราชการด้วย Thailand ๔.๐
|
วันอังคารที่ 4 กรกฎาคม 2560
กระทรวงยุติธรรม เตรียมพร้อมร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาระบบราชการด้วย Thailand ๔.๐
นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เข้าร่วมการประชุมสัมมนา เรื่อง “การขับเคลื่อนการพัฒนาระบบราชการด้วย Thailand ๔.๐”
เมื่อวันอังคารที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น.
นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เข้าร่วมการประชุมสัมมนา เรื่อง “การขับเคลื่อนการพัฒนาระบบราชการด้วย Thailand ๔.๐”
ซึ่งจัดขึ้นเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจและเตรียมความพร้อมให้ทุกส่วนราชการ ในการพัฒนาระบบราชการ
ตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย ๔.๐ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
อันจะนําไปสู่ประโยชน์สุขของประชาชนอย่างแท้จริง
โอกาสนี้ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ ก.พ.ร.
เป็นประธานเปิดการสัมมนา
กล่าวตอนหนึ่งว่า ระบบราชการ ๔.๐ จะต้องเป็นที่พึ่งของประชาชน โดยทํางานในรูปแบบประชารัฐ
และบริหารกิจการบ้านเมืองแบบมีส่วนร่วมกับทุกภาคส่วน
ทั้งภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ชุมชน และประชาชน
โดยยึดหลักธรรมาภิบาลในการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติ
โดยมี ผู้นําการบริหารการเปลี่ยนแปลง (Chief Change Officer : CCO) ระดับกระทรวงของแต่ละส่วนราชการ
ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
ณ ห้องจตุรทิศ ชั้น ๓ โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอริน กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เตรียมพร้อมร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาระบบราชการด้วย Thailand ๔.๐
วันอังคารที่ 4 กรกฎาคม 2560
กระทรวงยุติธรรม เตรียมพร้อมร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาระบบราชการด้วย Thailand ๔.๐
นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เข้าร่วมการประชุมสัมมนา เรื่อง “การขับเคลื่อนการพัฒนาระบบราชการด้วย Thailand ๔.๐”
เมื่อวันอังคารที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น.
นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เข้าร่วมการประชุมสัมมนา เรื่อง “การขับเคลื่อนการพัฒนาระบบราชการด้วย Thailand ๔.๐”
ซึ่งจัดขึ้นเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจและเตรียมความพร้อมให้ทุกส่วนราชการ ในการพัฒนาระบบราชการ
ตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย ๔.๐ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
อันจะนําไปสู่ประโยชน์สุขของประชาชนอย่างแท้จริง
โอกาสนี้ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ ก.พ.ร.
เป็นประธานเปิดการสัมมนา
กล่าวตอนหนึ่งว่า ระบบราชการ ๔.๐ จะต้องเป็นที่พึ่งของประชาชน โดยทํางานในรูปแบบประชารัฐ
และบริหารกิจการบ้านเมืองแบบมีส่วนร่วมกับทุกภาคส่วน
ทั้งภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ชุมชน และประชาชน
โดยยึดหลักธรรมาภิบาลในการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติ
โดยมี ผู้นําการบริหารการเปลี่ยนแปลง (Chief Change Officer : CCO) ระดับกระทรวงของแต่ละส่วนราชการ
ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
ณ ห้องจตุรทิศ ชั้น ๓ โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอริน กรุงเทพฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5006
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ก.แรงงาน รับข้อสั่งการ รองนายกรัฐมนตรี จับตาแรงงานต่างด้าว
|
วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม 2563
ก.แรงงาน รับข้อสั่งการ รองนายกรัฐมนตรี จับตาแรงงานต่างด้าว
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เผยว่าตามที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ตรวจสอบคัดกรอง แรงงานต่างด้าวให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย นั้น
กรมการจัดหางาน ตระหนักถึงความสําคัญในการป้องกัน และลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมาย ซึ่งไม่ผ่านการตรวจคัดกรองตามมาตรการที่รัฐกําหนด จึงสั่งการด่วนให้จัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด เร่งเฝ้าระวังติดตามความเคลื่อนไหวของคนต่างด้าวในพื้นที่ ให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย แนะนํานายจ้างให้จ้างแรงงานต่างด้าวที่ผ่านการตรวจคัดกรองของภาครัฐ และขอใบอนุญาตทํางาน เพื่อป้องกันความเสี่ยงในกับการกลับมาระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 2
ส่วนกรณี กรณีที่มีลูกเรือของเที่ยวบินทางทหารจากอียิปต์ ตรวจพบการติดเชื้อโรค COVID-19 เดินทางไปในสถานที่ต่างๆ ใน จ.ระยอง นั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ กรมการจัดหางาน ได้มอบจัดหางานจังหวัดเฝ้าดูแลกลุ่มแรงงานต่างด้าวในพื้นที่อย่างใกล้ชิด พร้อมกําชับให้ ติดตามความเคลื่อนไหวของแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ว่าอยู่ในภาวะกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ รวมทั้ง เน้นย้ําให้แรงงานต่างด้าวในพื้นที่ปฏิบัติตนให้ถูกต้อง ตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข สวมหน้ากากอนามัย และล้างมือให้บ่อยครั้งและใช้แอลกอฮอล์ทําความสะอาดมือเป็นประจํา รวมถึงดูแลสุขภาพให้แข็งแรงและนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงการรับเชื้อหรือแพร่กระจายของเชื้อโรค ได้ในระดับหนึ่ง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ก.แรงงาน รับข้อสั่งการ รองนายกรัฐมนตรี จับตาแรงงานต่างด้าว
วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม 2563
ก.แรงงาน รับข้อสั่งการ รองนายกรัฐมนตรี จับตาแรงงานต่างด้าว
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เผยว่าตามที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ตรวจสอบคัดกรอง แรงงานต่างด้าวให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย นั้น
กรมการจัดหางาน ตระหนักถึงความสําคัญในการป้องกัน และลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมาย ซึ่งไม่ผ่านการตรวจคัดกรองตามมาตรการที่รัฐกําหนด จึงสั่งการด่วนให้จัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด เร่งเฝ้าระวังติดตามความเคลื่อนไหวของคนต่างด้าวในพื้นที่ ให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย แนะนํานายจ้างให้จ้างแรงงานต่างด้าวที่ผ่านการตรวจคัดกรองของภาครัฐ และขอใบอนุญาตทํางาน เพื่อป้องกันความเสี่ยงในกับการกลับมาระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 2
ส่วนกรณี กรณีที่มีลูกเรือของเที่ยวบินทางทหารจากอียิปต์ ตรวจพบการติดเชื้อโรค COVID-19 เดินทางไปในสถานที่ต่างๆ ใน จ.ระยอง นั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ กรมการจัดหางาน ได้มอบจัดหางานจังหวัดเฝ้าดูแลกลุ่มแรงงานต่างด้าวในพื้นที่อย่างใกล้ชิด พร้อมกําชับให้ ติดตามความเคลื่อนไหวของแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ว่าอยู่ในภาวะกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ รวมทั้ง เน้นย้ําให้แรงงานต่างด้าวในพื้นที่ปฏิบัติตนให้ถูกต้อง ตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข สวมหน้ากากอนามัย และล้างมือให้บ่อยครั้งและใช้แอลกอฮอล์ทําความสะอาดมือเป็นประจํา รวมถึงดูแลสุขภาพให้แข็งแรงและนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงการรับเชื้อหรือแพร่กระจายของเชื้อโรค ได้ในระดับหนึ่ง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33363
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และสวมใส่ผ้าไทย
|
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563
มาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และสวมใส่ผ้าไทย
วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และสวมใส่ผ้าไทย เพื่ออนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมอันล้ําค่า โดยรณรงค์เชิญชวนให้ข้าราชการ และประชาชน สวมใส่ผ้าไทยตามความเหมาะสมของท้องถิ่นเพิ่มขึ้น หรืออย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้ทุกกระทรวงจัดทํามาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ และสวมใส่ผ้าไทย สร้างการรับรู้แก่ประชาชนผ่านกิจกรรม เช่น การประชุม เสวนา แจกแผ่นพับ ป้ายนิทรรศการ และสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งการรณรงค์ดังกล่าว นอกจากจะช่วยกระตุ้นให้เกิดค่านิยมการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทําจากผ้าทอที่เป็นภูมิปัญญาของคนไทยแล้ว ยังช่วยสร้างรายได้แก่ชุมชนอีกด้วย
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และสวมใส่ผ้าไทย
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563
มาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และสวมใส่ผ้าไทย
วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และสวมใส่ผ้าไทย เพื่ออนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมอันล้ําค่า โดยรณรงค์เชิญชวนให้ข้าราชการ และประชาชน สวมใส่ผ้าไทยตามความเหมาะสมของท้องถิ่นเพิ่มขึ้น หรืออย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้ทุกกระทรวงจัดทํามาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ และสวมใส่ผ้าไทย สร้างการรับรู้แก่ประชาชนผ่านกิจกรรม เช่น การประชุม เสวนา แจกแผ่นพับ ป้ายนิทรรศการ และสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งการรณรงค์ดังกล่าว นอกจากจะช่วยกระตุ้นให้เกิดค่านิยมการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทําจากผ้าทอที่เป็นภูมิปัญญาของคนไทยแล้ว ยังช่วยสร้างรายได้แก่ชุมชนอีกด้วย
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32412
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2561
|
วันพุธที่ 1 สิงหาคม 2561
รองนรม. พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2561
ที่ประชุมได้พิจารณาและให้ความเห็นชอบในหลักการต่อรายงาน EIA โครงการรถไฟทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ช่วงหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์
(ภายใต้โครงการศึกษาและออกแบบระบบรถไฟฟ้าทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ช่วงหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์)
วันนี้ (1 สิงหาคม 2561) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและให้ความเห็นชอบในหลักการต่อรายงาน EIA โครงการรถไฟทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ช่วงหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ (ภายใต้โครงการศึกษาและออกแบบระบบรถไฟฟ้าทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ช่วงหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์) ของ รฟท. โดยให้ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)ดําเนินการตามมาตรการฯ ตามที่กําหนดไว้ในรายงาน EIA ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ชํานาญการฯ ด้านโครงสร้างพื้นฐานทางบกและอากาศในการประชุมครั้งที่ 33/2560 เมื่อ 24 พ.ย. 60 แล้ว โดยให้ตั้งงบประมาณเพื่อดําเนินมาตรการฯ ตามที่กําหนดไว้ พร้อมนําความเห็นของที่ประชุมฯ เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตาม มาตรา 47 แห่ง พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 ต่อไป
อนึ่ง ทางรถไฟช่วงหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางรถไฟสายตะวันตก (West Coast) ของประเทศมาเลเซีย ซึ่งปัจจุบันถูกพัฒนาเป็นระบบรถไฟทางคู่แบบใช้ไฟฟ้าแล้ว ดังนั้น รฟท. จึงมีแนวคิดในการพัฒนาเส้นทางในฝั่งประเทศไทยให้เป็นระบบทางคู่แบบใช้ไฟฟ้า เพื่อให้การเชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซียเป็นไปอย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีโดยรวมต่อเศรษฐกิจและสังคมของประชาคมอาเซียน
........................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2561
วันพุธที่ 1 สิงหาคม 2561
รองนรม. พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2561
ที่ประชุมได้พิจารณาและให้ความเห็นชอบในหลักการต่อรายงาน EIA โครงการรถไฟทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ช่วงหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์
(ภายใต้โครงการศึกษาและออกแบบระบบรถไฟฟ้าทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ช่วงหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์)
วันนี้ (1 สิงหาคม 2561) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและให้ความเห็นชอบในหลักการต่อรายงาน EIA โครงการรถไฟทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ช่วงหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ (ภายใต้โครงการศึกษาและออกแบบระบบรถไฟฟ้าทางคู่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ช่วงหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์) ของ รฟท. โดยให้ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)ดําเนินการตามมาตรการฯ ตามที่กําหนดไว้ในรายงาน EIA ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ชํานาญการฯ ด้านโครงสร้างพื้นฐานทางบกและอากาศในการประชุมครั้งที่ 33/2560 เมื่อ 24 พ.ย. 60 แล้ว โดยให้ตั้งงบประมาณเพื่อดําเนินมาตรการฯ ตามที่กําหนดไว้ พร้อมนําความเห็นของที่ประชุมฯ เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตาม มาตรา 47 แห่ง พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 ต่อไป
อนึ่ง ทางรถไฟช่วงหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางรถไฟสายตะวันตก (West Coast) ของประเทศมาเลเซีย ซึ่งปัจจุบันถูกพัฒนาเป็นระบบรถไฟทางคู่แบบใช้ไฟฟ้าแล้ว ดังนั้น รฟท. จึงมีแนวคิดในการพัฒนาเส้นทางในฝั่งประเทศไทยให้เป็นระบบทางคู่แบบใช้ไฟฟ้า เพื่อให้การเชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซียเป็นไปอย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีโดยรวมต่อเศรษฐกิจและสังคมของประชาคมอาเซียน
........................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14266
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วมเพื่อติดตามการช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหาผู้ประสบภัยน้ำท่วมจังหวัดขอนแก่น
|
วันอังคารที่ 31 ตุลาคม 2560
นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจน้ําท่วมเพื่อติดตามการช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหาผู้ประสบภัยน้ําท่วมจังหวัดขอนแก่น
นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจน้ําท่วมเพื่อติดตามการช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหาผู้ประสบภัยน้ําท่วมจังหวัดขอนแก่น
วันนี้ (31 ตุลาคม 2560) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมีกําหนดการเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดขอนแก่นเพื่อติดตามการให้ความช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหา พร้อมพบปะให้กําลังใจผู้ประสบภัยน้ําท่วม จังหวัดขอนแก่น โดยมีกําหนดการดังนี้
เวลา 13.30 น. นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะเดินทางโดยเครื่องบิน Embraer บ.ท.135 จากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ไปยังท่าอากาศยานขอนแก่น เมื่อถึงท่าอากาศยานขอนแก่น นายกรัฐมนตรีรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์น้ําท่วมในภาพรวมจาก ดร.สมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น และนายสมเกียรติ ประจําวงษ์ อธิบดีกรมชลประทาน
จากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะเดินทางโดย ฮ. ตรวจสถานการณ์น้ํา และการซ่อมแซมคันกั้นน้ําบริเวณบ้านคุยโพธิ์ ตําบลบึงเนียม อําเภอเมือง ต่อจากนั้นออกเดินทางไปยังบริเวณประตูระบายน้ําห้วยพระคือเพื่อพบปะให้กําลังใจประชาชนและมอบถุงยังชีพแก่ประชาชนผู้ประสบภัยน้ําท่วม
ในเวลา 17.00 น. นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะเดินทางจากท่าอากาศยานขอนแก่นกลับมายังกรุงเทพมหานคร
-------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วมเพื่อติดตามการช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหาผู้ประสบภัยน้ำท่วมจังหวัดขอนแก่น
วันอังคารที่ 31 ตุลาคม 2560
นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจน้ําท่วมเพื่อติดตามการช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหาผู้ประสบภัยน้ําท่วมจังหวัดขอนแก่น
นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ตรวจน้ําท่วมเพื่อติดตามการช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหาผู้ประสบภัยน้ําท่วมจังหวัดขอนแก่น
วันนี้ (31 ตุลาคม 2560) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมีกําหนดการเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดขอนแก่นเพื่อติดตามการให้ความช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหา พร้อมพบปะให้กําลังใจผู้ประสบภัยน้ําท่วม จังหวัดขอนแก่น โดยมีกําหนดการดังนี้
เวลา 13.30 น. นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะเดินทางโดยเครื่องบิน Embraer บ.ท.135 จากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ไปยังท่าอากาศยานขอนแก่น เมื่อถึงท่าอากาศยานขอนแก่น นายกรัฐมนตรีรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์น้ําท่วมในภาพรวมจาก ดร.สมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น และนายสมเกียรติ ประจําวงษ์ อธิบดีกรมชลประทาน
จากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะเดินทางโดย ฮ. ตรวจสถานการณ์น้ํา และการซ่อมแซมคันกั้นน้ําบริเวณบ้านคุยโพธิ์ ตําบลบึงเนียม อําเภอเมือง ต่อจากนั้นออกเดินทางไปยังบริเวณประตูระบายน้ําห้วยพระคือเพื่อพบปะให้กําลังใจประชาชนและมอบถุงยังชีพแก่ประชาชนผู้ประสบภัยน้ําท่วม
ในเวลา 17.00 น. นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะเดินทางจากท่าอากาศยานขอนแก่นกลับมายังกรุงเทพมหานคร
-------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7683
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลส่งเสริมตลาดประชารัฐด้านการท่องเที่ยว
|
วันอังคารที่ 17 เมษายน 2561
รัฐบาลส่งเสริมตลาดประชารัฐด้านการท่องเที่ยว
โดยเร่งรวบรวมและจัดส่งข้อมูลตลาดประชารัฐที่มีศักยภาพให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
รัฐบาลส่งเสริมตลาดประชารัฐด้านการท่องเที่ยว
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลส่งเสริมตลาดประชารัฐด้านการท่องเที่ยว โดยเร่งรวบรวมและจัดส่งข้อมูลตลาดประชารัฐที่มีศักยภาพให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อบรรจุในปฏิทินปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน และประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศได้รับทราบ รวมทั้งประสานความร่วมมือกับ สํานักงานสาขาของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในพื้นที่จัดทําเส้นทางการท่องเที่ยวของจังหวัดให้เชื่อมโยงกับตลาดประชารัฐ และ OTOP Tourism Village ซึ่งในปัจจุบันมีตลาดที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวแล้วจํานวน 144 แห่งจาก 67 จังหวัดทั่วประเทศ นอกจากนี้ จะเร่งพัฒนาศักยภาพและจัดหาสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ เกษตรกร และผู้มีรายได้น้อย ที่เกี่ยวข้องกับตลาดประชารัฐต่อไป
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลส่งเสริมตลาดประชารัฐด้านการท่องเที่ยว
วันอังคารที่ 17 เมษายน 2561
รัฐบาลส่งเสริมตลาดประชารัฐด้านการท่องเที่ยว
โดยเร่งรวบรวมและจัดส่งข้อมูลตลาดประชารัฐที่มีศักยภาพให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
รัฐบาลส่งเสริมตลาดประชารัฐด้านการท่องเที่ยว
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลส่งเสริมตลาดประชารัฐด้านการท่องเที่ยว โดยเร่งรวบรวมและจัดส่งข้อมูลตลาดประชารัฐที่มีศักยภาพให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อบรรจุในปฏิทินปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน และประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศได้รับทราบ รวมทั้งประสานความร่วมมือกับ สํานักงานสาขาของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในพื้นที่จัดทําเส้นทางการท่องเที่ยวของจังหวัดให้เชื่อมโยงกับตลาดประชารัฐ และ OTOP Tourism Village ซึ่งในปัจจุบันมีตลาดที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวแล้วจํานวน 144 แห่งจาก 67 จังหวัดทั่วประเทศ นอกจากนี้ จะเร่งพัฒนาศักยภาพและจัดหาสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ เกษตรกร และผู้มีรายได้น้อย ที่เกี่ยวข้องกับตลาดประชารัฐต่อไป
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11519
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยยันไม่มีนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้-ฝาก
|
วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม 2561
กรุงไทยยันไม่มีนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้-ฝาก
กรุงไทยเผยขณะนี้ยังไม่มีนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝาก เพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจฟื้นตัวอย่างเข้มแข็ง หากปรับขึ้นหวั่นลูกค้าและภาคธุรกิจได้รับผลกระทบ ระบุสภาพคล่องในระบบยังสูง
นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ ไม่ได้สร้างแรงกดดันให้กับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เนื่องจากสภาพคล่องในระบบอยู่ในระดับสูง ดังนั้น การปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้หรือเงินฝาก ถ้าจะเกิดขึ้นจะเป็นผลจากนโยบายการทําธุรกิจของแต่ละธนาคารเป็นหลัก
“ ส่วนของธนาคารกรุงไทยยังไม่มีนโยบายที่จะขึ้นดอกเบี้ยในช่วงนี้แน่นอน แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับตัวขึ้นต่อเพราะธนาคารไม่ได้มีความจําเป็นที่จะต้องเร่งทํากําไรระยะสั้น นอกจากนี้ การปรับดอกเบี้ยเงินกู้ขึ้นอาจส่งผลกระทบด้านลบกับลูกค้า และสวนทางกับความตั้งใจของธนาคารที่อยากเห็นธุรกิจของลูกค้าฟื้นตัวได้อย่างเข้มแข็งก่อน”
อย่างไรก็ตาม ธนาคารเห็นว่า สิ่งสําคัญที่สุดในขณะนี้ คือ การสนับสนุนให้เศรษฐกิจในประเทศขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง และความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการเพิ่มมากขึ้นก่อน เพราะในระยะยาวทั้งสองปัจจัยคือ ปัจจัยหลักที่จะส่งผลบวกต่อภาคธุรกิจ และภาคการธนาคารควบคู่กันไป
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร. 0-2208-4177
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยยันไม่มีนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้-ฝาก
วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม 2561
กรุงไทยยันไม่มีนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้-ฝาก
กรุงไทยเผยขณะนี้ยังไม่มีนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝาก เพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจฟื้นตัวอย่างเข้มแข็ง หากปรับขึ้นหวั่นลูกค้าและภาคธุรกิจได้รับผลกระทบ ระบุสภาพคล่องในระบบยังสูง
นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ ไม่ได้สร้างแรงกดดันให้กับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เนื่องจากสภาพคล่องในระบบอยู่ในระดับสูง ดังนั้น การปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้หรือเงินฝาก ถ้าจะเกิดขึ้นจะเป็นผลจากนโยบายการทําธุรกิจของแต่ละธนาคารเป็นหลัก
“ ส่วนของธนาคารกรุงไทยยังไม่มีนโยบายที่จะขึ้นดอกเบี้ยในช่วงนี้แน่นอน แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับตัวขึ้นต่อเพราะธนาคารไม่ได้มีความจําเป็นที่จะต้องเร่งทํากําไรระยะสั้น นอกจากนี้ การปรับดอกเบี้ยเงินกู้ขึ้นอาจส่งผลกระทบด้านลบกับลูกค้า และสวนทางกับความตั้งใจของธนาคารที่อยากเห็นธุรกิจของลูกค้าฟื้นตัวได้อย่างเข้มแข็งก่อน”
อย่างไรก็ตาม ธนาคารเห็นว่า สิ่งสําคัญที่สุดในขณะนี้ คือ การสนับสนุนให้เศรษฐกิจในประเทศขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง และความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการเพิ่มมากขึ้นก่อน เพราะในระยะยาวทั้งสองปัจจัยคือ ปัจจัยหลักที่จะส่งผลบวกต่อภาคธุรกิจ และภาคการธนาคารควบคู่กันไป
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร. 0-2208-4177
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17624
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ จับมือ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ ผุดนิคมอุตสาหกรรมอาหารครบวงจร เชื่อรายใหญ่ดันเอสเอ็มอีติดปีก เตรียมชง ครม.พิจารณาแพ็คเกจสิทธิพิเศษภายใน ก.ย. – ต.ค.นี้
|
วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน 2560
ก.อุตฯ จับมือ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ ผุดนิคมอุตสาหกรรมอาหารครบวงจร เชื่อรายใหญ่ดันเอสเอ็มอีติดปีก เตรียมชง ครม.พิจารณาแพ็คเกจสิทธิพิเศษภายใน ก.ย. – ต.ค.นี้
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทยในรูปแบบประชารัฐ หรือจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอาหารครบวงจรว่า กระทรวงฯลงนามกับบริษัท สิงห์คอร์เปอเรชั่น จํากัด จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอาหาร ไปแล้ว 1 แห่ง
นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทยในรูปแบบประชารัฐ หรือจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอาหารครบวงจร (World Food Valley Thailand) ภายใต้แนวคิดเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศโดยร่วมมือกับเอกชนรายใหญ่ ว่า ปัจจุบันกระทรวงฯ ได้ลงนามกับบริษัท สิงห์คอร์เปอเรชั่น จํากัด จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอาหาร ไปแล้ว 1 แห่งที่ จังหวัดอ่างทอง เนื้อที่ 1.3 พันไร่ และมีแผนที่จะลงนามเร็วๆนี้ ร่วมกับ บริษัท น้ําตาลราชบุรี จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอาหารที่จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นแหล่งผลิตอาหารที่ต่อยอดมาจากอ้อย และร่วมกับ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) จัดตั้งฟู้ดวัลเลย์ ที่อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
“การพัฒนาเอสเอ็มอีให้เติบโตขึ้นเป็นสิ่งสําคัญ โดยผู้ประกอบการรายใหญ่สามารถเป็นพี่เลี้ยงสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยได้ โมเดลนี้จะเริ่มจากอุตสาหกรรมเครื่องดื่มและอาหาร โดยผู้ประกอบการที่เข้าไปลงทุนในโครงการ World Food Valley Thailand จะได้ประโยชน์จากการใช้วัตถุดิบในพื้นที่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ที่เชื่อมโยงทั้งต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ํา และจะได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมจากมาตรการส่งเสริมของสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ และผู้เชี่ยวชาญที่เข้ามาทํางานในพื้นที่ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และจะมีสิทธิพิเศษอื่นๆอีก ซึ่งแพคเกจต่างๆ เหล่านี้อยู่ระหว่างการพิจารณาอัตราที่เหมาะสม คาดว่าจะนําเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ภายในเดือนกันยายน – ตุลาคมนี้” นายสมชาย กล่าว
ด้านนายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อํานวยการสถาบันอาหาร กล่าวว่า ปัจจุบันมีโรงงานอุตสาหกรรมอาหารประมาณ 1.1 แสนราย ในจํานวนนี้เป็นเอสเอ็มอีถึงร้อยละ 99.5 ขณะที่เป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่เพียง ร้อยละ 0.5 หรือประมาณ 600 ราย มีสัดส่วนมูลค่าการผลิตคิดเป็นร้อยละ 65 ของทั้งอุตสาหกรรมอาหาร เราต้องเพิ่มการแปรรูปวัตถุดิบการเกษตรให้มากขึ้น และคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เช่น การแปรรูปข้าวจากเดิมที่ส่งออกเป็นข้าวสารทั้งหมด ตั้งเป้าเพิ่มการแปรรูปข้าวอย่างน้อย ร้อยละ 30
สําหรับยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมอาหาร แผนงานหลักๆจะเป็นการเพิ่มนักรบพันธุ์ใหม่ หรือผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรายใหม่ที่มีความเข้มแข็งและมีเทคโนโลยีให้ได้ 3.5 หมื่นรายภายใน 20 ปี หรือเพิ่มปีละ 1,750 ราย และยกระดับผู้ประกอบการขนาดกลาง เพื่อขยายฐานการผลิตให้กว้างขึ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ จับมือ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ ผุดนิคมอุตสาหกรรมอาหารครบวงจร เชื่อรายใหญ่ดันเอสเอ็มอีติดปีก เตรียมชง ครม.พิจารณาแพ็คเกจสิทธิพิเศษภายใน ก.ย. – ต.ค.นี้
วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน 2560
ก.อุตฯ จับมือ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ ผุดนิคมอุตสาหกรรมอาหารครบวงจร เชื่อรายใหญ่ดันเอสเอ็มอีติดปีก เตรียมชง ครม.พิจารณาแพ็คเกจสิทธิพิเศษภายใน ก.ย. – ต.ค.นี้
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทยในรูปแบบประชารัฐ หรือจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอาหารครบวงจรว่า กระทรวงฯลงนามกับบริษัท สิงห์คอร์เปอเรชั่น จํากัด จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอาหาร ไปแล้ว 1 แห่ง
นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทยในรูปแบบประชารัฐ หรือจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอาหารครบวงจร (World Food Valley Thailand) ภายใต้แนวคิดเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศโดยร่วมมือกับเอกชนรายใหญ่ ว่า ปัจจุบันกระทรวงฯ ได้ลงนามกับบริษัท สิงห์คอร์เปอเรชั่น จํากัด จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอาหาร ไปแล้ว 1 แห่งที่ จังหวัดอ่างทอง เนื้อที่ 1.3 พันไร่ และมีแผนที่จะลงนามเร็วๆนี้ ร่วมกับ บริษัท น้ําตาลราชบุรี จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอาหารที่จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นแหล่งผลิตอาหารที่ต่อยอดมาจากอ้อย และร่วมกับ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) จัดตั้งฟู้ดวัลเลย์ ที่อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
“การพัฒนาเอสเอ็มอีให้เติบโตขึ้นเป็นสิ่งสําคัญ โดยผู้ประกอบการรายใหญ่สามารถเป็นพี่เลี้ยงสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยได้ โมเดลนี้จะเริ่มจากอุตสาหกรรมเครื่องดื่มและอาหาร โดยผู้ประกอบการที่เข้าไปลงทุนในโครงการ World Food Valley Thailand จะได้ประโยชน์จากการใช้วัตถุดิบในพื้นที่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ที่เชื่อมโยงทั้งต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ํา และจะได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมจากมาตรการส่งเสริมของสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ และผู้เชี่ยวชาญที่เข้ามาทํางานในพื้นที่ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และจะมีสิทธิพิเศษอื่นๆอีก ซึ่งแพคเกจต่างๆ เหล่านี้อยู่ระหว่างการพิจารณาอัตราที่เหมาะสม คาดว่าจะนําเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ภายในเดือนกันยายน – ตุลาคมนี้” นายสมชาย กล่าว
ด้านนายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อํานวยการสถาบันอาหาร กล่าวว่า ปัจจุบันมีโรงงานอุตสาหกรรมอาหารประมาณ 1.1 แสนราย ในจํานวนนี้เป็นเอสเอ็มอีถึงร้อยละ 99.5 ขณะที่เป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่เพียง ร้อยละ 0.5 หรือประมาณ 600 ราย มีสัดส่วนมูลค่าการผลิตคิดเป็นร้อยละ 65 ของทั้งอุตสาหกรรมอาหาร เราต้องเพิ่มการแปรรูปวัตถุดิบการเกษตรให้มากขึ้น และคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เช่น การแปรรูปข้าวจากเดิมที่ส่งออกเป็นข้าวสารทั้งหมด ตั้งเป้าเพิ่มการแปรรูปข้าวอย่างน้อย ร้อยละ 30
สําหรับยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมอาหาร แผนงานหลักๆจะเป็นการเพิ่มนักรบพันธุ์ใหม่ หรือผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรายใหม่ที่มีความเข้มแข็งและมีเทคโนโลยีให้ได้ 3.5 หมื่นรายภายใน 20 ปี หรือเพิ่มปีละ 1,750 ราย และยกระดับผู้ประกอบการขนาดกลาง เพื่อขยายฐานการผลิตให้กว้างขึ้น
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6508
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายพุทธิพงษ์ รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมแถลงข่าวเปิดโครงการ ชิม ช้อป ใช้ @thailandpostmart by ไปรษณีย์ไทย ผ่าน G-Wallet2
|
วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม 2562
นายพุทธิพงษ์ รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมแถลงข่าวเปิดโครงการ ชิม ช้อป ใช้ @thailandpostmart by ไปรษณีย์ไทย ผ่าน G-Wallet2
นายพุทธิพงษ์ รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมแถลงข่าวเปิดโครงการ ชิม ช้อป ใช้ @thailandpostmart by ไปรษณีย์ไทย ผ่าน G-Wallet2
วันนี้ (6 ธันวาคม 2562) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด และกระทรวงการคลัง โดยธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) จับมือกันร่วมแถลงข่าวเชิญชวนคนไทยช้อปสินค้าที่เข้าร่วมมาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” ทั้ง 3 เฟส จ่ายค่าสินค้าผ่านระบบ G-Wallet 2 ทางเว็บไซต์ thailandpostmart.com โดยมีนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมการแถลงข่าวครั้งนี้ ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า “กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของไปรษณีย์ไทย ในการเป็นหน่วยงานหลัก ที่ได้พัฒนาระบบงานร้านออนไลน์ ระบบการชําระค่าสินค้า และระบบการขนส่ง เพื่อสร้างโอกาสให้ร้านค้าชุมชนด้วยการนําสินค้าจากชุมชนมาจําหน่ายผ่านเว็บไซต์ thailandpostmart.com โดยแบ่งหมวดสินค้าเป็น 8 กลุ่มหลัก ได้แก่ อร่อยทั่วไทย ของดีประจําจังหวัด สินค้าชุมชน สินค้าไปรษณีย์ สุขภาพและความงาม บ้านและสวน ยานยนต์ และสินค้าฮาลาล สําหรับผู้สนใจสามารถช้อปสินค้าที่ร่วมมาตรการ ชิม ช้อป ใช้ ที่เว็บไซต์ thailandpostmart.com และที่ทําการไปรษณีย์ 20 แห่งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยไปรษณีย์ไทยพร้อมจัดส่งสินค้าด้วยระบบการขนส่งสินค้าที่สะดวก ปลอดภัย มีมาตรฐาน”
*****************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายพุทธิพงษ์ รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมแถลงข่าวเปิดโครงการ ชิม ช้อป ใช้ @thailandpostmart by ไปรษณีย์ไทย ผ่าน G-Wallet2
วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม 2562
นายพุทธิพงษ์ รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมแถลงข่าวเปิดโครงการ ชิม ช้อป ใช้ @thailandpostmart by ไปรษณีย์ไทย ผ่าน G-Wallet2
นายพุทธิพงษ์ รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมแถลงข่าวเปิดโครงการ ชิม ช้อป ใช้ @thailandpostmart by ไปรษณีย์ไทย ผ่าน G-Wallet2
วันนี้ (6 ธันวาคม 2562) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด และกระทรวงการคลัง โดยธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) จับมือกันร่วมแถลงข่าวเชิญชวนคนไทยช้อปสินค้าที่เข้าร่วมมาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” ทั้ง 3 เฟส จ่ายค่าสินค้าผ่านระบบ G-Wallet 2 ทางเว็บไซต์ thailandpostmart.com โดยมีนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมการแถลงข่าวครั้งนี้ ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า “กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของไปรษณีย์ไทย ในการเป็นหน่วยงานหลัก ที่ได้พัฒนาระบบงานร้านออนไลน์ ระบบการชําระค่าสินค้า และระบบการขนส่ง เพื่อสร้างโอกาสให้ร้านค้าชุมชนด้วยการนําสินค้าจากชุมชนมาจําหน่ายผ่านเว็บไซต์ thailandpostmart.com โดยแบ่งหมวดสินค้าเป็น 8 กลุ่มหลัก ได้แก่ อร่อยทั่วไทย ของดีประจําจังหวัด สินค้าชุมชน สินค้าไปรษณีย์ สุขภาพและความงาม บ้านและสวน ยานยนต์ และสินค้าฮาลาล สําหรับผู้สนใจสามารถช้อปสินค้าที่ร่วมมาตรการ ชิม ช้อป ใช้ ที่เว็บไซต์ thailandpostmart.com และที่ทําการไปรษณีย์ 20 แห่งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยไปรษณีย์ไทยพร้อมจัดส่งสินค้าด้วยระบบการขนส่งสินค้าที่สะดวก ปลอดภัย มีมาตรฐาน”
*****************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25080
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กกจ. เผย จะไปทำงานในเกาหลี ต้องตรวจสุขภาพก่อนขอวีซ่าและกักตัว 14 วันเมื่อไปถึง
|
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563
กกจ. เผย จะไปทํางานในเกาหลี ต้องตรวจสุขภาพก่อนขอวีซ่าและกักตัว 14 วันเมื่อไปถึง
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เผย สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจําประเทศไทย แจ้งเพิ่มเติมเอกสารเพื่อประกอบการยื่นขอตรวจลงตรา (วีซ่า)
ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) แก่แรงงานต่างชาติที่จะเข้าไปทํางานในสาธารณรัฐเกาหลี ดังนี้ 1.ใบรับรองแพทย์ (Medical Certificate) ที่มีระยะเวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมง ในวันยื่นคําร้องขอวีซ่านอกเหนือจากหนังสือรับรองการตรวจสุขภาพ แบบ ค ตามประกาศกรมการจัดหางาน เรื่อง การตรวจสุขภาพคนหางานที่จะไปทํางานต่างประเทศ ลงวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ.2560 2.แบบรายงานสุขภาพ (Health Condition Report Form) และหนังสือแสดงความยินยอมการกักตนเอง โดยคนหางานต้องเข้ารับการสัมภาษณ์เกี่ยวกับสุขภาพ พร้อมลงลายมือชื่อรับรองตนเองในวันรับวีซ่า
อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจําประเทศไทย จะใช้เวลาพิจารณาออกวีซ่า ไม่น้อยกว่า 14 วัน ตามมาตรการเฝ้าระวัง และขอให้แรงงานไทยตรวจสุขภาพตามที่สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจําประเทศไทย ระบุไว้ ซึ่งหากสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ คลี่คลายลงหรือเข้าสู่ภาวะปกติ กรมการจัดหางานจะแจ้งยกเลิกการตรวจสุขภาพแรงงานไทยตามรายการดังกล่าวให้ทราบอีกครั้ง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ โทร.022456706 สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด และสํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กกจ. เผย จะไปทำงานในเกาหลี ต้องตรวจสุขภาพก่อนขอวีซ่าและกักตัว 14 วันเมื่อไปถึง
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563
กกจ. เผย จะไปทํางานในเกาหลี ต้องตรวจสุขภาพก่อนขอวีซ่าและกักตัว 14 วันเมื่อไปถึง
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เผย สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจําประเทศไทย แจ้งเพิ่มเติมเอกสารเพื่อประกอบการยื่นขอตรวจลงตรา (วีซ่า)
ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) แก่แรงงานต่างชาติที่จะเข้าไปทํางานในสาธารณรัฐเกาหลี ดังนี้ 1.ใบรับรองแพทย์ (Medical Certificate) ที่มีระยะเวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมง ในวันยื่นคําร้องขอวีซ่านอกเหนือจากหนังสือรับรองการตรวจสุขภาพ แบบ ค ตามประกาศกรมการจัดหางาน เรื่อง การตรวจสุขภาพคนหางานที่จะไปทํางานต่างประเทศ ลงวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ.2560 2.แบบรายงานสุขภาพ (Health Condition Report Form) และหนังสือแสดงความยินยอมการกักตนเอง โดยคนหางานต้องเข้ารับการสัมภาษณ์เกี่ยวกับสุขภาพ พร้อมลงลายมือชื่อรับรองตนเองในวันรับวีซ่า
อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจําประเทศไทย จะใช้เวลาพิจารณาออกวีซ่า ไม่น้อยกว่า 14 วัน ตามมาตรการเฝ้าระวัง และขอให้แรงงานไทยตรวจสุขภาพตามที่สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจําประเทศไทย ระบุไว้ ซึ่งหากสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ คลี่คลายลงหรือเข้าสู่ภาวะปกติ กรมการจัดหางานจะแจ้งยกเลิกการตรวจสุขภาพแรงงานไทยตามรายการดังกล่าวให้ทราบอีกครั้ง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ โทร.022456706 สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด และสํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31394
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ประชุมทางไกลรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนและสหรัฐฯ หารือความร่วมมือตอบโต้ COVID-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563
สธ.ประชุมทางไกลรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนและสหรัฐฯ หารือความร่วมมือตอบโต้ COVID-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
สธ.ประชุมทางไกลรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนและสหรัฐฯ หารือความร่วมมือตอบโต้ COVID-19
กระทรวงสาธารณสุขไทย ร่วมประชุมทางไกลกับรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนและสหรัฐอเมริกา หารือแนวปฏิบัติเกี่ยวกับนโยบายและมาตรการลดความเสี่ยงและผลกระทบจากโควิด 19 สร้างความร่วมมือการป้องกันและควบคุมโรคติดต่ออุบัติใหม่ในภูมิภาคให้เข้มแข็ง
เช้าวันนี้ (30 เมษายน 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.สําเริง แหยงกระโทก ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ร่วมการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน-สหรัฐฯ ทางไกลสมัยพิเศษ ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรก ว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือในการตอบโต้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียน ประกอบด้วย บรูไน ดารุสซาลาม กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และสหรัฐฯ และเลขาธิการอาเซียน โดยไทยได้ร่วมแลกเปลี่ยนการดําเนินงานที่ให้ความสําคัญกับมาตรการด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะการค้นหาผู้ติดเชื้อตั้งแต่ระยะแรก การเฝ้าระวังป้องกันโรค และการเว้นระยะห่างทางสังคม ที่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี สามารถควบคุมการระบาดของโรคได้
นายแพทย์สําเริงกล่าวว่า รัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการตรวจวินิจฉัยและการรักษาโรคโควิด 19 จัดสรรเงินช่วยเหลือเพื่อเยียวยาผลกระทบที่เกิดจากการระบาดของโรคให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจ และไทยได้เสนอที่ประชุมว่า ต้องสร้างความมั่นใจว่ามาตรการจํากัดการเดินทางต้องไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิต การขนส่งยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ที่จําเป็น และเร่งวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ให้ได้โดยเร็ว เมื่อผลิตวัคซีนได้แล้วต้องจัดสรรให้ทุกประเทศอย่างเท่าเทียม รวมทั้งการลงทุนสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เป็นรากฐานสําคัญของความมั่นคงด้านสุขภาพโลก
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ออกแถลงการณ์ร่วม ว่าด้วยความร่วมมือในการตอบโต้โควิด 19 โดยเน้นการแบ่งปันข้อมูล แนวทางการปฏิบัติที่ดี และมาตรการการควบคุมโรคที่ถูกต้อง ทันเวลา และโปร่งใส การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ความร่วมมือทางวิชาการ โดยเฉพาะการวิจัยและพัฒนาวัคซีน การเข้าถึงยาจําเป็นและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ในพื้นที่ห่างไกล และแสดงความยินดีต่อข้อริเริ่มความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างอาเซียนและสหรัฐอเมริกา (US-ASEAN Health Futures Initiative) เพื่อสร้างศักยภาพด้านการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขของอาเซียน การทํางานร่วมกันกับองค์กรระหว่างประเทศ และการลงทุนในระบบสาธารณสุขผ่านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเพื่อสร้างเสริมความมั่นคงด้านสุขภาพโลก รวมทั้ง ที่ประชุมฯ เห็นชอบให้มีการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสและผู้เชี่ยวชาญของประเทศสมาชิกอาเซียนและสหรัฐฯ สม่ําเสมอ เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และ ติดตามการดําเนินงานตามแถลงการณ์ พร้อมรับการระบาดของโรคอุบัติใหม่ให้มีประสิทธิภาพ
ด้านเลขาธิการอาเซียนได้กล่าวถึงความร่วมมือที่เข้มแข็งของอาเซียนในการตอบโต้โควิด 19 และที่ประชุมผู้นําอาเซียน การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน รวมทั้งที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ ล้วนให้ความสําคัญในการควบคุมการระบาดและการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ความร่วมมือเร่งผลิตวัคซีน และขอบคุณสหรัฐฯ ที่ให้สนับสนุนทั้งด้านวิชาการและงบประมาณแก่ประเทศอาเซียนในการตอบโต้การระบาดของโรค
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ประชุมทางไกลรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนและสหรัฐฯ หารือความร่วมมือตอบโต้ COVID-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563
สธ.ประชุมทางไกลรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนและสหรัฐฯ หารือความร่วมมือตอบโต้ COVID-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
สธ.ประชุมทางไกลรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนและสหรัฐฯ หารือความร่วมมือตอบโต้ COVID-19
กระทรวงสาธารณสุขไทย ร่วมประชุมทางไกลกับรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนและสหรัฐอเมริกา หารือแนวปฏิบัติเกี่ยวกับนโยบายและมาตรการลดความเสี่ยงและผลกระทบจากโควิด 19 สร้างความร่วมมือการป้องกันและควบคุมโรคติดต่ออุบัติใหม่ในภูมิภาคให้เข้มแข็ง
เช้าวันนี้ (30 เมษายน 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.สําเริง แหยงกระโทก ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ร่วมการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน-สหรัฐฯ ทางไกลสมัยพิเศษ ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรก ว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือในการตอบโต้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียน ประกอบด้วย บรูไน ดารุสซาลาม กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และสหรัฐฯ และเลขาธิการอาเซียน โดยไทยได้ร่วมแลกเปลี่ยนการดําเนินงานที่ให้ความสําคัญกับมาตรการด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะการค้นหาผู้ติดเชื้อตั้งแต่ระยะแรก การเฝ้าระวังป้องกันโรค และการเว้นระยะห่างทางสังคม ที่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี สามารถควบคุมการระบาดของโรคได้
นายแพทย์สําเริงกล่าวว่า รัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการตรวจวินิจฉัยและการรักษาโรคโควิด 19 จัดสรรเงินช่วยเหลือเพื่อเยียวยาผลกระทบที่เกิดจากการระบาดของโรคให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจ และไทยได้เสนอที่ประชุมว่า ต้องสร้างความมั่นใจว่ามาตรการจํากัดการเดินทางต้องไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิต การขนส่งยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ที่จําเป็น และเร่งวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ให้ได้โดยเร็ว เมื่อผลิตวัคซีนได้แล้วต้องจัดสรรให้ทุกประเทศอย่างเท่าเทียม รวมทั้งการลงทุนสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เป็นรากฐานสําคัญของความมั่นคงด้านสุขภาพโลก
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ออกแถลงการณ์ร่วม ว่าด้วยความร่วมมือในการตอบโต้โควิด 19 โดยเน้นการแบ่งปันข้อมูล แนวทางการปฏิบัติที่ดี และมาตรการการควบคุมโรคที่ถูกต้อง ทันเวลา และโปร่งใส การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ความร่วมมือทางวิชาการ โดยเฉพาะการวิจัยและพัฒนาวัคซีน การเข้าถึงยาจําเป็นและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ในพื้นที่ห่างไกล และแสดงความยินดีต่อข้อริเริ่มความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างอาเซียนและสหรัฐอเมริกา (US-ASEAN Health Futures Initiative) เพื่อสร้างศักยภาพด้านการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขของอาเซียน การทํางานร่วมกันกับองค์กรระหว่างประเทศ และการลงทุนในระบบสาธารณสุขผ่านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเพื่อสร้างเสริมความมั่นคงด้านสุขภาพโลก รวมทั้ง ที่ประชุมฯ เห็นชอบให้มีการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสและผู้เชี่ยวชาญของประเทศสมาชิกอาเซียนและสหรัฐฯ สม่ําเสมอ เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และ ติดตามการดําเนินงานตามแถลงการณ์ พร้อมรับการระบาดของโรคอุบัติใหม่ให้มีประสิทธิภาพ
ด้านเลขาธิการอาเซียนได้กล่าวถึงความร่วมมือที่เข้มแข็งของอาเซียนในการตอบโต้โควิด 19 และที่ประชุมผู้นําอาเซียน การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน รวมทั้งที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ ล้วนให้ความสําคัญในการควบคุมการระบาดและการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ความร่วมมือเร่งผลิตวัคซีน และขอบคุณสหรัฐฯ ที่ให้สนับสนุนทั้งด้านวิชาการและงบประมาณแก่ประเทศอาเซียนในการตอบโต้การระบาดของโรค
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30093
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปมท.เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ ครั้งที่ 1/2561 เน้นพัฒนาคุณภาพชีวิต บูรณาการทุกภาคส่วน ทำงานร่วมกันตามแนวทางประชารัฐ
|
วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม 2561
ปมท.เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ ครั้งที่ 1/2561 เน้นพัฒนาคุณภาพชีวิต บูรณาการทุกภาคส่วน ทํางานร่วมกันตามแนวทางประชารัฐ
ปมท. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ ครั้งที่ 1/2561 เน้นพัฒนาคุณภาพชีวิต บูรณาการทุกภาคส่วน ทํางานร่วมกันตามแนวทางประชารัฐ
วันนี้ (24 พ.ค.61) เวลา 9.30 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทยนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ ครั้งที่ 1/2561เพื่อกําหนดเป้าหมายและแนวทางการดําเนินงานในการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนในระดับพื้นที่ เพื่อให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องนําไปปฏิบัติให้ไปในทิศทางเดียวกันโดยคณะกรรมการประกอบไปด้วยหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และ กรุงเทพมหานคร เป็นต้น
นายฉัตรชัย กล่าวว่าการประชุมในวันนี้ เป็นการประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ ที่มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะกรรมการ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ พ.ศ.2561 เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในระดับพื้นที่ เป็นไปในทิศทาง ยุทธศาสตร์ และเป้าหมาย อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ตามแนวทางประชารัฐ เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในพื้นที่ โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งที่ประชุมได้การพิจารณาเรื่องที่สําคัญ ดังนี้1) การกําหนดเป้าหมายและแนวทางการดําเนินงานในการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างเป็นรูปธรรม เกิดผลสัมฤทธิ์บรรลุตามเป้าหมาย 2) การแต่งตั้งกรรมการทรงคุณวุฒิ โดยคัดสรรจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถด้านการพัฒนาสังคม ด้านการแพทย์ และด้านสาธารณสุข รวมจํานวน 3 ท่าน เพื่อเป็นคณะกรรมการนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ 3) การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานโดยที่ประชุมได้เสนอให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 3 คณะ ประกอบด้วย คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดําเนินงานการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ คณะอนุกรรมการติดตามประเมินผลและเสริมพลัง คณะอนุกรรมการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ และ 4) กําหนดRoadmapในการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ เพื่อให้การดําเนินงานของทุกภาคส่วน เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
จากนั้น ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รายงานความก้าวหน้าของการดําเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.) โดยสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และกรมการปกครอง และ การดําเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับเขต (พชข.) โดยกรุงเทพมหานคร ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าโดยในส่วนของอําเภอ ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการฯ (พชอ.) ครบทั้ง 878 อําเภอแล้ว และในด้านของกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการพัฒนาทีมเลขานุการ และจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ รวมทั้งจัดทําคู่มือแนวทางการขับเคลื่อนงานให้แก่ผู้ปฏิบัติในทุกอําเภอ เพื่อให้การขับเคลื่อนงานเกิดเป็นรูปธรรม และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องประชาชน และในส่วนของกรุงเทพมหานคร (พชข.) ได้มีการเตรียมพร้อมของคณะกรรมการฯ เช่นการจัดสัมมนาและศึกษาดูงาน รวมทั้งจัดเวทีเสวนาในเรื่องดังกล่าวให้แก่คณะกรรมการฯ
ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวเพิ่มเติมว่าเพื่อให้การขับเคลี่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน มีคุณภาพที่ดีและเกิดความยั่งยืน กระทรวงมหาดไทยจะได้ผนึกกําลังร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง นํากรอบแนวทางและเป้าหมายต่างๆ ซึ่งที่ประชุมได้วางไว้นําไปปฏิบัติเพื่อให้สอดคล้องตามแนวทางของรัฐบาล และเป็นไปตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีฯ ดังกล่าว โดยกระทรวงมหาดไทยจะใช้กลไกที่มีอยู่ในพื้นที่ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นําท้องถิ่น กรรมการหมู่บ้าน และเครือข่ายอาสาสมัครต่างๆ รวมทั้งการใช้ในทุกเวทีการประชุมส่วนราชการของจังหวัดและอําเภอ สําหรับการขับเคลื่อนงานตามนโยบายดังกล่าวอีกด้วย.
ครั้งที่ 110/2561 วันที่ 24 พ.ค. 61
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
โทร 0-22224131-2
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปมท.เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ ครั้งที่ 1/2561 เน้นพัฒนาคุณภาพชีวิต บูรณาการทุกภาคส่วน ทำงานร่วมกันตามแนวทางประชารัฐ
วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม 2561
ปมท.เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ ครั้งที่ 1/2561 เน้นพัฒนาคุณภาพชีวิต บูรณาการทุกภาคส่วน ทํางานร่วมกันตามแนวทางประชารัฐ
ปมท. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ ครั้งที่ 1/2561 เน้นพัฒนาคุณภาพชีวิต บูรณาการทุกภาคส่วน ทํางานร่วมกันตามแนวทางประชารัฐ
วันนี้ (24 พ.ค.61) เวลา 9.30 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทยนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ ครั้งที่ 1/2561เพื่อกําหนดเป้าหมายและแนวทางการดําเนินงานในการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนในระดับพื้นที่ เพื่อให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องนําไปปฏิบัติให้ไปในทิศทางเดียวกันโดยคณะกรรมการประกอบไปด้วยหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และ กรุงเทพมหานคร เป็นต้น
นายฉัตรชัย กล่าวว่าการประชุมในวันนี้ เป็นการประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ ที่มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะกรรมการ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ พ.ศ.2561 เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในระดับพื้นที่ เป็นไปในทิศทาง ยุทธศาสตร์ และเป้าหมาย อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ตามแนวทางประชารัฐ เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในพื้นที่ โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งที่ประชุมได้การพิจารณาเรื่องที่สําคัญ ดังนี้1) การกําหนดเป้าหมายและแนวทางการดําเนินงานในการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างเป็นรูปธรรม เกิดผลสัมฤทธิ์บรรลุตามเป้าหมาย 2) การแต่งตั้งกรรมการทรงคุณวุฒิ โดยคัดสรรจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถด้านการพัฒนาสังคม ด้านการแพทย์ และด้านสาธารณสุข รวมจํานวน 3 ท่าน เพื่อเป็นคณะกรรมการนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ 3) การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานโดยที่ประชุมได้เสนอให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 3 คณะ ประกอบด้วย คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดําเนินงานการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ คณะอนุกรรมการติดตามประเมินผลและเสริมพลัง คณะอนุกรรมการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ และ 4) กําหนดRoadmapในการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับพื้นที่ เพื่อให้การดําเนินงานของทุกภาคส่วน เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
จากนั้น ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รายงานความก้าวหน้าของการดําเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.) โดยสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และกรมการปกครอง และ การดําเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับเขต (พชข.) โดยกรุงเทพมหานคร ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าโดยในส่วนของอําเภอ ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการฯ (พชอ.) ครบทั้ง 878 อําเภอแล้ว และในด้านของกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการพัฒนาทีมเลขานุการ และจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ รวมทั้งจัดทําคู่มือแนวทางการขับเคลื่อนงานให้แก่ผู้ปฏิบัติในทุกอําเภอ เพื่อให้การขับเคลื่อนงานเกิดเป็นรูปธรรม และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องประชาชน และในส่วนของกรุงเทพมหานคร (พชข.) ได้มีการเตรียมพร้อมของคณะกรรมการฯ เช่นการจัดสัมมนาและศึกษาดูงาน รวมทั้งจัดเวทีเสวนาในเรื่องดังกล่าวให้แก่คณะกรรมการฯ
ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวเพิ่มเติมว่าเพื่อให้การขับเคลี่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน มีคุณภาพที่ดีและเกิดความยั่งยืน กระทรวงมหาดไทยจะได้ผนึกกําลังร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง นํากรอบแนวทางและเป้าหมายต่างๆ ซึ่งที่ประชุมได้วางไว้นําไปปฏิบัติเพื่อให้สอดคล้องตามแนวทางของรัฐบาล และเป็นไปตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีฯ ดังกล่าว โดยกระทรวงมหาดไทยจะใช้กลไกที่มีอยู่ในพื้นที่ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นําท้องถิ่น กรรมการหมู่บ้าน และเครือข่ายอาสาสมัครต่างๆ รวมทั้งการใช้ในทุกเวทีการประชุมส่วนราชการของจังหวัดและอําเภอ สําหรับการขับเคลื่อนงานตามนโยบายดังกล่าวอีกด้วย.
ครั้งที่ 110/2561 วันที่ 24 พ.ค. 61
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
โทร 0-22224131-2
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12503
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศส
|
วันอังคารที่ 26 มิถุนายน 2561
นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศส
นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศส
วันนี้ (26 มิถุนายน 2561) เวลา 12.30 น. ณ ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 20 - 26 มิถุนายน 2561 ว่า การเดินทางเยือนครั้งนี้ ได้รับการต้อนรับอย่างดี สหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศสเห็นความจริงใจจากประเทศไทย การเยือนครั้งนี้มีประเด็นการพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือในหลายด้าน อาทิ เศรษฐกิจ การค้า การส่งเสริมภาคเอกชน การเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC รวมไปถึงนโยบาย Thailand Plus One ถือว่าเป็นนโยบายที่สําคัญของรัฐบาลในการที่จะเชื่อมโยงกับต่างประเทศ นอกจากนี้ การเยือนในครั้งนี้เพื่อทําความเข้าใจในฐานะที่ไทยจะเป็นประธานอาเซียนในปี 2562 และได้มีการเรียนเชิญผู้นําของทั้งประเทศเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นําอาเซียนในปี 2562 ด้วย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงพิธีลงนามความตกลงสัญญากรอบการร่วมทุน (Joint Venture Company Principles Agreement) ระหว่างบริษัท การบินไทย จากัด (มหาชน) กับบริษัท Airbus Commercial Aircraft เพื่อพัฒนาศูนย์ซ่อมบํารุงอากาศยาน (MRO : Maintenance, Repair and Overhaul) ในประเทศไทย และกล่าวยืนยันกับต่างประเทศว่า รัฐบาลพร้อมจะให้การดูแลด้านความมั่นคง เสถียรภาพทางการเมือง และความปลอดภัยแก่นักลงทุนในประเทศไทย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศส
วันอังคารที่ 26 มิถุนายน 2561
นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศส
นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศส
วันนี้ (26 มิถุนายน 2561) เวลา 12.30 น. ณ ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังการเดินทางเยือนสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 20 - 26 มิถุนายน 2561 ว่า การเดินทางเยือนครั้งนี้ ได้รับการต้อนรับอย่างดี สหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศสเห็นความจริงใจจากประเทศไทย การเยือนครั้งนี้มีประเด็นการพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือในหลายด้าน อาทิ เศรษฐกิจ การค้า การส่งเสริมภาคเอกชน การเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC รวมไปถึงนโยบาย Thailand Plus One ถือว่าเป็นนโยบายที่สําคัญของรัฐบาลในการที่จะเชื่อมโยงกับต่างประเทศ นอกจากนี้ การเยือนในครั้งนี้เพื่อทําความเข้าใจในฐานะที่ไทยจะเป็นประธานอาเซียนในปี 2562 และได้มีการเรียนเชิญผู้นําของทั้งประเทศเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นําอาเซียนในปี 2562 ด้วย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงพิธีลงนามความตกลงสัญญากรอบการร่วมทุน (Joint Venture Company Principles Agreement) ระหว่างบริษัท การบินไทย จากัด (มหาชน) กับบริษัท Airbus Commercial Aircraft เพื่อพัฒนาศูนย์ซ่อมบํารุงอากาศยาน (MRO : Maintenance, Repair and Overhaul) ในประเทศไทย และกล่าวยืนยันกับต่างประเทศว่า รัฐบาลพร้อมจะให้การดูแลด้านความมั่นคง เสถียรภาพทางการเมือง และความปลอดภัยแก่นักลงทุนในประเทศไทย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13350
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
|
วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562
กรมสรรพากรขยายกําหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
กระทรวงการคลังประกาศขยายกําหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตออกไปอีก 8 วัน นับแต่วันพ้นกําหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีตามที่กฎหมายกําหนด โดยขยายต่อไปอีก 2 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.2562 ถึงวันที่ 31 ม.ค.2564
นายปิ่นสาย สุรัสวดี รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กระทรวงการคลังได้ประกาศขยายกําหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตออกไปอีก 8 วัน นับแต่วันพ้นกําหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีตามที่กฎหมายกําหนด โดยขยายต่อไปอีก 2 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2564 ซึ่งเป็นการขยายกําหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษี การชําระภาษี และการนําส่งภาษี สําหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90 ภ.ง.ด.91 และ ภ.ง.ด.94) ภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50 ภ.ง.ด.52 ภ.ง.ด.55 ภ.ง.ด.51 และ ภ.ง.ด.54) ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.1 ภ.ง.ด.2 ภ.ง.ด.3 และ ภ.ง.ด.53) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30 และ ภ.พ.36) ภาษีธุรกิจเฉพาะ (ภ.ธ.40) ตามประมวลรัษฎากรผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ www.rd.go.th ซึ่งจะช่วยให้ผู้เสียภาษีได้รับความสะดวก รวดเร็ว สามารถยื่นแบบฯ ได้ทุกที่ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือนําส่งภาษียื่นแบบแสดงรายการผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น และสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan)”
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร. 1161
กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์
เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562
กรมสรรพากรขยายกําหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
กระทรวงการคลังประกาศขยายกําหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตออกไปอีก 8 วัน นับแต่วันพ้นกําหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีตามที่กฎหมายกําหนด โดยขยายต่อไปอีก 2 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.2562 ถึงวันที่ 31 ม.ค.2564
นายปิ่นสาย สุรัสวดี รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กระทรวงการคลังได้ประกาศขยายกําหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตออกไปอีก 8 วัน นับแต่วันพ้นกําหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีตามที่กฎหมายกําหนด โดยขยายต่อไปอีก 2 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2564 ซึ่งเป็นการขยายกําหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษี การชําระภาษี และการนําส่งภาษี สําหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90 ภ.ง.ด.91 และ ภ.ง.ด.94) ภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50 ภ.ง.ด.52 ภ.ง.ด.55 ภ.ง.ด.51 และ ภ.ง.ด.54) ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.1 ภ.ง.ด.2 ภ.ง.ด.3 และ ภ.ง.ด.53) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30 และ ภ.พ.36) ภาษีธุรกิจเฉพาะ (ภ.ธ.40) ตามประมวลรัษฎากรผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ www.rd.go.th ซึ่งจะช่วยให้ผู้เสียภาษีได้รับความสะดวก รวดเร็ว สามารถยื่นแบบฯ ได้ทุกที่ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือนําส่งภาษียื่นแบบแสดงรายการผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น และสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan)”
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร. 1161
กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์
เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18601
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ หารือผู้ประกอบการค้าปัจจัยการผลิตทางการเกษตร
|
วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม 2561
กระทรวงเกษตรฯ หารือผู้ประกอบการค้าปัจจัยการผลิตทางการเกษตร
กระทรวงเกษตรฯ หารือผู้ประกอบการค้าปัจจัยการผลิตทางการเกษตร เร่งหาแนวทางช่วยเหลือให้เกษตรกรโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําได้ซื้อในราคาพิเศษ
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังการประชุมหารือนโยบายแก่ผู้ประกอบการค้าปัจจัยการผลิตทางการเกษตรเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร ณ ห้องประชุม 124 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2561 เห็นชอบ มาตรการเกษตรประชารัฐเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดําเนินการจัดทําโครงการภายใต้มาตรการนี้ 2 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อลดต้นทุนปัจจัยการผลิตให้แก่เกษตรกร และ 2) โครงการสนับสนุนการผลิตหรือจัดหาปุ๋ยสั่งตัดผ่านสถาบันเกษตรกร กลุ่มเป้าหมายสถาบันเกษตรกรนั้น เพื่อให้การดําเนินโครงการดังกล่าวเกิดประโยชน์และช่วยลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกร จึงได้มีการเชิญผู้ประกอบการค้าปัจจัยการผลิตทางการเกษตร อาทิ สมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย สมาคมการค้าผู้ผลิตปุ๋ยไทย สมาคมธุรกิจปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวิภาพไทย สมาคมคนไทยธุรกิจการเกษตร สมาคมอารักขาพืชไทย สมาคมนวเกษตรกรรมไทย และสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย ร่วมหารือแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเป้าหมาย 3 ล้านคนทั่วประเทศ โดยเป็นเกษตรกรรายบุคคลที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. หรือเกษตรกรทั่วไป หรือเกษตรกรผู้ที่ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐที่ ธ.ก.ส. รับขึ้นทะเบียนเป็นลูกค้า ธ.ก.ส. มีบัตรสวัสดิการสินเชื่อแห่งรัฐ ให้ได้ซื้อปัจจัยการผลิตในราคาพิเศษและให้ได้รับปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพดี พร้อมทั้งเป็นการเพิ่มโอกาสและความมั่นใจให้แก่เกษตรกรในการเลือกซื้อปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพดีและราคายุติธรรม โดยให้สมาคมฯ ไปรวบรวมบริษัทที่จะเข้าร่วมลดราคา ว่าสามารถลดได้ราคาสูงสุดและต่ําสุดเท่าไร ตามความสมัครใจของบริษัทนั้นๆ ผ่านร้านค้าปัจจัยการผลิตที่เข้าร่วมโครงการ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ หารือผู้ประกอบการค้าปัจจัยการผลิตทางการเกษตร
วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม 2561
กระทรวงเกษตรฯ หารือผู้ประกอบการค้าปัจจัยการผลิตทางการเกษตร
กระทรวงเกษตรฯ หารือผู้ประกอบการค้าปัจจัยการผลิตทางการเกษตร เร่งหาแนวทางช่วยเหลือให้เกษตรกรโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําได้ซื้อในราคาพิเศษ
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังการประชุมหารือนโยบายแก่ผู้ประกอบการค้าปัจจัยการผลิตทางการเกษตรเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร ณ ห้องประชุม 124 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2561 เห็นชอบ มาตรการเกษตรประชารัฐเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดําเนินการจัดทําโครงการภายใต้มาตรการนี้ 2 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อลดต้นทุนปัจจัยการผลิตให้แก่เกษตรกร และ 2) โครงการสนับสนุนการผลิตหรือจัดหาปุ๋ยสั่งตัดผ่านสถาบันเกษตรกร กลุ่มเป้าหมายสถาบันเกษตรกรนั้น เพื่อให้การดําเนินโครงการดังกล่าวเกิดประโยชน์และช่วยลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกร จึงได้มีการเชิญผู้ประกอบการค้าปัจจัยการผลิตทางการเกษตร อาทิ สมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย สมาคมการค้าผู้ผลิตปุ๋ยไทย สมาคมธุรกิจปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวิภาพไทย สมาคมคนไทยธุรกิจการเกษตร สมาคมอารักขาพืชไทย สมาคมนวเกษตรกรรมไทย และสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย ร่วมหารือแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเป้าหมาย 3 ล้านคนทั่วประเทศ โดยเป็นเกษตรกรรายบุคคลที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. หรือเกษตรกรทั่วไป หรือเกษตรกรผู้ที่ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐที่ ธ.ก.ส. รับขึ้นทะเบียนเป็นลูกค้า ธ.ก.ส. มีบัตรสวัสดิการสินเชื่อแห่งรัฐ ให้ได้ซื้อปัจจัยการผลิตในราคาพิเศษและให้ได้รับปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพดี พร้อมทั้งเป็นการเพิ่มโอกาสและความมั่นใจให้แก่เกษตรกรในการเลือกซื้อปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพดีและราคายุติธรรม โดยให้สมาคมฯ ไปรวบรวมบริษัทที่จะเข้าร่วมลดราคา ว่าสามารถลดได้ราคาสูงสุดและต่ําสุดเท่าไร ตามความสมัครใจของบริษัทนั้นๆ ผ่านร้านค้าปัจจัยการผลิตที่เข้าร่วมโครงการ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12002
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับหน้าที่
|
วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2560
เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับหน้าที่
เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับหน้าที่
วันนี้ (14 ธันวาคม 2560) เวลา 10.30 น. นายเมอีร์ ชโลโม เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ สรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความขอบคุณที่เอกอัครราชทูตฯ ได้เดินทางเข้าร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และยินดีในโอกาสเข้ารับตําแหน่งใหม่ โดยไทยพร้อมที่จะทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างสองประเทศให้เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องหาแนวทางเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น โดยเห็นว่าไทยและอิสราเอลยังมีศักยภาพในการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจได้อีกมาก เนื่องจากเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศมีลักษณะที่เกื้อหนุนกันกัน
นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้ทราบว่า รัฐบาลไทยกับรัฐบาลอิสราเอลได้ลงนามความตกลงความร่วมมือด้านการเกษตรโดยเชื่อมั่นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายอย่างมาก ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการจัดตั้งคณะทํางานร่วมด้านการเกษตร เพื่อผลักดันให้มีการแลกเปลี่ยนความร่วมมือระหว่างกันอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวชื่นชมอิสราเอลถึงพัฒนาการทางเทคโนโลยี รวมถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม การบริหารจัดการน้ํา และเห็นว่า ทั้งสองประเทศสามารถขยายความร่วมมือได้ในด้านต่าง ๆ โดยนายกรัฐมนตรียังได้กล่าว เชิญชวนนักลงทุนอิสราเอลให้เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย โดยเฉพาะในสาขาที่อิสราเอลมีความเชี่ยวชาญ
ไทยและอิสราเอลยินดีที่ทั้งสองฝ่ายมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในด้านความมั่นคง โดยนายกรัฐมนตรียินดีที่ได้ทราบว่ามีการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงกลาโหมอิสราเอลว่าด้วยความร่วมมือทางทหาร เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และหวังว่าบันทึกฯ ดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือให้กว้างขวางและแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณอิสราเอลที่ให้การดูแลและสนับสนุนแรงงานไทย โดยหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะทํางานร่วมกันเพื่อส่งเสริมสิทธิและสวัสดิการของแรงงานไทย ตลอดจนการดูแลสภาพความเป็นอยู่ที่ดีของแรงงานไทยในอิสราเอล
ด้านเอกอัครราชทูตฯ กล่าวยินดีกับความสัมพันธ์และมิตรภาพอันยาวนานระหว่างสองประเทศ โดยครบรอบ 60 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ไปเมื่อปี พ.ศ. 2557 โดยเอกอัครราชทูตฯ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า อิสราเอลได้รับแรงบันดาลใจมาจากในหลวงรัชกาลที่ 9 ในด้านปรัชญาการเกษตรและการบริหารจัดการน้ํา
นอกจากนี้ อิสราเอลยังมีความสนใจในนโยบายไทยแลนด์ + 1 โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว โดยเห็นว่าทั้งสองประเทศมีศักยภาพที่จะพัฒนาในด้านนี้อีกมาก และยินดีที่ชาวอิสราเอลนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยเป็นจํานวนมาก ซึ่งการท่องเที่ยวจะนําไปสู่การติดต่อระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจอันดีและมิตรภาพระหว่างกันได้มากยิ่งขึ้น
ในตอนท้าย เอกอัครราชทูตฯยังได้มอบหนังสือเชิญจากนายกรัฐมนตรีอิสราเอลแก่นายกรัฐมนตรี เพื่อเข้าร่วมงานวันเฉลิมฉลองการประกาศเอกราชของประเทศอิสราเอลครบ 70 ปี ในช่วงต้นปีหน้า
*****************************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับหน้าที่
วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2560
เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับหน้าที่
เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับหน้าที่
วันนี้ (14 ธันวาคม 2560) เวลา 10.30 น. นายเมอีร์ ชโลโม เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ สรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความขอบคุณที่เอกอัครราชทูตฯ ได้เดินทางเข้าร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และยินดีในโอกาสเข้ารับตําแหน่งใหม่ โดยไทยพร้อมที่จะทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างสองประเทศให้เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องหาแนวทางเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น โดยเห็นว่าไทยและอิสราเอลยังมีศักยภาพในการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจได้อีกมาก เนื่องจากเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศมีลักษณะที่เกื้อหนุนกันกัน
นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้ทราบว่า รัฐบาลไทยกับรัฐบาลอิสราเอลได้ลงนามความตกลงความร่วมมือด้านการเกษตรโดยเชื่อมั่นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายอย่างมาก ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการจัดตั้งคณะทํางานร่วมด้านการเกษตร เพื่อผลักดันให้มีการแลกเปลี่ยนความร่วมมือระหว่างกันอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวชื่นชมอิสราเอลถึงพัฒนาการทางเทคโนโลยี รวมถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม การบริหารจัดการน้ํา และเห็นว่า ทั้งสองประเทศสามารถขยายความร่วมมือได้ในด้านต่าง ๆ โดยนายกรัฐมนตรียังได้กล่าว เชิญชวนนักลงทุนอิสราเอลให้เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย โดยเฉพาะในสาขาที่อิสราเอลมีความเชี่ยวชาญ
ไทยและอิสราเอลยินดีที่ทั้งสองฝ่ายมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในด้านความมั่นคง โดยนายกรัฐมนตรียินดีที่ได้ทราบว่ามีการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงกลาโหมอิสราเอลว่าด้วยความร่วมมือทางทหาร เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และหวังว่าบันทึกฯ ดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือให้กว้างขวางและแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณอิสราเอลที่ให้การดูแลและสนับสนุนแรงงานไทย โดยหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะทํางานร่วมกันเพื่อส่งเสริมสิทธิและสวัสดิการของแรงงานไทย ตลอดจนการดูแลสภาพความเป็นอยู่ที่ดีของแรงงานไทยในอิสราเอล
ด้านเอกอัครราชทูตฯ กล่าวยินดีกับความสัมพันธ์และมิตรภาพอันยาวนานระหว่างสองประเทศ โดยครบรอบ 60 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ไปเมื่อปี พ.ศ. 2557 โดยเอกอัครราชทูตฯ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า อิสราเอลได้รับแรงบันดาลใจมาจากในหลวงรัชกาลที่ 9 ในด้านปรัชญาการเกษตรและการบริหารจัดการน้ํา
นอกจากนี้ อิสราเอลยังมีความสนใจในนโยบายไทยแลนด์ + 1 โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว โดยเห็นว่าทั้งสองประเทศมีศักยภาพที่จะพัฒนาในด้านนี้อีกมาก และยินดีที่ชาวอิสราเอลนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยเป็นจํานวนมาก ซึ่งการท่องเที่ยวจะนําไปสู่การติดต่อระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจอันดีและมิตรภาพระหว่างกันได้มากยิ่งขึ้น
ในตอนท้าย เอกอัครราชทูตฯยังได้มอบหนังสือเชิญจากนายกรัฐมนตรีอิสราเอลแก่นายกรัฐมนตรี เพื่อเข้าร่วมงานวันเฉลิมฉลองการประกาศเอกราชของประเทศอิสราเอลครบ 70 ปี ในช่วงต้นปีหน้า
*****************************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8757
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ ร่วมเป็นวิทยากรกิตติมศักดิ์บรรยายพิเศษ "ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทย ภายใต้รัฐบาลผสม"
|
วันอังคารที่ 27 สิงหาคม 2562
รัฐมนตรีฯ สุริยะ ร่วมเป็นวิทยากรกิตติมศักดิ์บรรยายพิเศษ "ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทย ภายใต้รัฐบาลผสม"
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นวิทยากรกิตติมศักดิ์ บรรยายพิเศษงาน Dinner Talk ภายใต้หัวข้อ ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทย ภายใต้รัฐบาลผสม ณ สโมสรทหารบก
วันที่ 26 สิงหาคม 2562 เวลา 19.00 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นวิทยากรกิตติมศักดิ์ บรรยายพิเศษงาน Dinner Talk ภายใต้หัวข้อ ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทย ภายใต้รัฐบาลผสม จัดโดย สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ โดยมี นางสาวสุธารัตน์ เกษร นายกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ให้การต้อนรับ ณ สโมสรทหารบก
รัฐมนตรีฯ สุริยะ กล่าวว่า กลไกสําคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของประเทศไทย ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดการยกระดับผลิตภาพการผลิต ควบคู่ไปกับการกระจายรายได้ไปสู่เศรษฐกิจฐานราก และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเร่งขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมในทุกมิติ ทุกสาขา ทุกระดับ และทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ภายใต้นโยบาย "5 เครื่องยนต์ขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมที่สําคัญ ได้แก่ เครื่องยนต์แรก คือ การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (S-Curve) เพื่อให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นในประเทศ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) เครื่องยนต์ที่ 2 คือ การยกระดับผู้ประกอบการ SMEs และ Startup ให้เติบโตและเข้มแข็งด้วยการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ เครื่องยนต์ที่ 3 คือ การพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงพื้นที่ (Special Economic Zone) เพื่อยึดโยงการพัฒนาอุตสาหกรรมกับศักยภาพเชิงพื้นที่และกระจายรายได้ไปสู่ภูมิภาค โดยการขับเคลื่อนการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC และเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน หรือ SEZ เครื่องยนต์ที่ 4 คือ การส่งเสริมการประกอบการที่เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Social and Environment) โดยมุ่งเน้นปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของสถานประกอบการผ่านโครงการ Factory 4.0 ยกระดับสถานประกอบการสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) และส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเครื่องยนต์ที่ 5 เครื่องยนต์สุดท้ายที่มีความสําคัญเป็นอย่างมาก คือ การปฏิรูปกระทรวงอุตสาหกรรมไปสู่ Smart Government โดยการเร่งนําระบบดิจิทัลมาใช้ในการบริการและปฏิบัติงานของกระทรวงอุตสาหกรรมในทุกมิติ เช่น ระบบการยื่นขอใบอนุญาตออนไลน์ ซึ่งการปฏิรูปนี้จะเกิดขึ้นทั่วประเทศภายในปีนี้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ ร่วมเป็นวิทยากรกิตติมศักดิ์บรรยายพิเศษ "ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทย ภายใต้รัฐบาลผสม"
วันอังคารที่ 27 สิงหาคม 2562
รัฐมนตรีฯ สุริยะ ร่วมเป็นวิทยากรกิตติมศักดิ์บรรยายพิเศษ "ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทย ภายใต้รัฐบาลผสม"
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นวิทยากรกิตติมศักดิ์ บรรยายพิเศษงาน Dinner Talk ภายใต้หัวข้อ ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทย ภายใต้รัฐบาลผสม ณ สโมสรทหารบก
วันที่ 26 สิงหาคม 2562 เวลา 19.00 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นวิทยากรกิตติมศักดิ์ บรรยายพิเศษงาน Dinner Talk ภายใต้หัวข้อ ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทย ภายใต้รัฐบาลผสม จัดโดย สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ โดยมี นางสาวสุธารัตน์ เกษร นายกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ให้การต้อนรับ ณ สโมสรทหารบก
รัฐมนตรีฯ สุริยะ กล่าวว่า กลไกสําคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของประเทศไทย ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดการยกระดับผลิตภาพการผลิต ควบคู่ไปกับการกระจายรายได้ไปสู่เศรษฐกิจฐานราก และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเร่งขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมในทุกมิติ ทุกสาขา ทุกระดับ และทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ภายใต้นโยบาย "5 เครื่องยนต์ขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมที่สําคัญ ได้แก่ เครื่องยนต์แรก คือ การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (S-Curve) เพื่อให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นในประเทศ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) เครื่องยนต์ที่ 2 คือ การยกระดับผู้ประกอบการ SMEs และ Startup ให้เติบโตและเข้มแข็งด้วยการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ เครื่องยนต์ที่ 3 คือ การพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงพื้นที่ (Special Economic Zone) เพื่อยึดโยงการพัฒนาอุตสาหกรรมกับศักยภาพเชิงพื้นที่และกระจายรายได้ไปสู่ภูมิภาค โดยการขับเคลื่อนการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC และเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน หรือ SEZ เครื่องยนต์ที่ 4 คือ การส่งเสริมการประกอบการที่เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Social and Environment) โดยมุ่งเน้นปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของสถานประกอบการผ่านโครงการ Factory 4.0 ยกระดับสถานประกอบการสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) และส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเครื่องยนต์ที่ 5 เครื่องยนต์สุดท้ายที่มีความสําคัญเป็นอย่างมาก คือ การปฏิรูปกระทรวงอุตสาหกรรมไปสู่ Smart Government โดยการเร่งนําระบบดิจิทัลมาใช้ในการบริการและปฏิบัติงานของกระทรวงอุตสาหกรรมในทุกมิติ เช่น ระบบการยื่นขอใบอนุญาตออนไลน์ ซึ่งการปฏิรูปนี้จะเกิดขึ้นทั่วประเทศภายในปีนี้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22535
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เยี่ยมชมและให้กำลังใจผู้ประกอบการ OTOP SMEs ที่นำสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพได้มาตรฐานมาจำหน่าย ภายใต้กิจกรรม "สปอ. ร่วมใจช่วยผู้ประกอบการไทย สู้ภัยโควิด"
|
วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2563
ปลัดกอบชัยฯ เยี่ยมชมและให้กําลังใจผู้ประกอบการ OTOP SMEs ที่นําสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพได้มาตรฐานมาจําหน่าย ภายใต้กิจกรรม "สปอ. ร่วมใจช่วยผู้ประกอบการไทย สู้ภัยโควิด"
ปลัดกอบชัยฯ เยี่ยมชมและให้กําลังใจผู้ประกอบการ OTOP SMEs ที่นําสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพได้มาตรฐานมาจําหน่าย ภายใต้กิจกรรม "สปอ. ร่วมใจช่วยผู้ประกอบการไทย สู้ภัยโควิด"
วันนี้ (15 มิ.ย. 63) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เกียรติเยี่ยมชมและให้กําลังใจผู้ประกอบการ OTOP SMEs จากคณะกรรมการส่งเสริมการดําเนินงานพัฒนาประสิทธิภาพองค์กร กลุ่มที่ 1 (ภาคตะวันออก) ที่นําสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพได้มาตรฐานมาจําหน่าย ภายใต้กิจกรรม "สปอ. ร่วมใจช่วยผู้ประกอบการไทย สู้ภัยโควิด" ในระหว่างวันที่ 15-19 มิถุนายน 2563 ณ บริเวณ ชั้น 1 อาคารสโมสรกระทรวงอุตสาหกรรม(อาคารนารายณ์)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เยี่ยมชมและให้กำลังใจผู้ประกอบการ OTOP SMEs ที่นำสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพได้มาตรฐานมาจำหน่าย ภายใต้กิจกรรม "สปอ. ร่วมใจช่วยผู้ประกอบการไทย สู้ภัยโควิด"
วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2563
ปลัดกอบชัยฯ เยี่ยมชมและให้กําลังใจผู้ประกอบการ OTOP SMEs ที่นําสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพได้มาตรฐานมาจําหน่าย ภายใต้กิจกรรม "สปอ. ร่วมใจช่วยผู้ประกอบการไทย สู้ภัยโควิด"
ปลัดกอบชัยฯ เยี่ยมชมและให้กําลังใจผู้ประกอบการ OTOP SMEs ที่นําสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพได้มาตรฐานมาจําหน่าย ภายใต้กิจกรรม "สปอ. ร่วมใจช่วยผู้ประกอบการไทย สู้ภัยโควิด"
วันนี้ (15 มิ.ย. 63) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เกียรติเยี่ยมชมและให้กําลังใจผู้ประกอบการ OTOP SMEs จากคณะกรรมการส่งเสริมการดําเนินงานพัฒนาประสิทธิภาพองค์กร กลุ่มที่ 1 (ภาคตะวันออก) ที่นําสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพได้มาตรฐานมาจําหน่าย ภายใต้กิจกรรม "สปอ. ร่วมใจช่วยผู้ประกอบการไทย สู้ภัยโควิด" ในระหว่างวันที่ 15-19 มิถุนายน 2563 ณ บริเวณ ชั้น 1 อาคารสโมสรกระทรวงอุตสาหกรรม(อาคารนารายณ์)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32341
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ สานพันธกิจ 5 โครงการสำคัญ หลัง ครม. ไฟเขียวงบกว่า 2 พันล้านบาท ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ส่งเสริมเศรษฐกิจชาติ
|
วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561
กระทรวงดิจิทัลฯ สานพันธกิจ 5 โครงการสําคัญ หลัง ครม. ไฟเขียวงบกว่า 2 พันล้านบาท ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ส่งเสริมเศรษฐกิจชาติ
กระทรวงดิจิทัลฯ
กระทรวงดิจิทัลฯ เดินหน้า 5 โครงการสําคัญ หลังคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 วงเงินกว่า 2,254 ล้านบาท เน้นการพัฒนาพื้นที่ EEC หนุนการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม S-Curve ของประเทศ พร้อมต่อยอด “เน็ตประชารัฐ” ขยายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต เชื่อมต่อโครงข่ายไฟเบอร์ออปติก สู่ 3,196 โรงเรียน 812 โรงพยาบาล ในพื้นที่ห่างไกล เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนในพื้นที่ห่างไกล คาดแล้วเสร็จภายใน ก.ย. 61
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ประชุมมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลางรายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ (บิ๊กร็อก) ครั้งที่ 4 ให้กับกระทรวงดิจิทัลฯ เพื่อใช้ในการดําเนินงาน 5 โครงการสําคัญ วงเงิน 2,254.96 ล้านบาท ประกอบด้วย 1) โครงการขยายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต วงเงินกว่า 598 ล้านบาท โดยจะขยายเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และปรับปรุงโครงข่ายอินเทอร์เน็ตที่เป็นเทคโนโลยีแบบเก่าให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วยไฟเบอร์ออฟติกไปยังโรงเรียนที่ยังไม่มีโครงข่ายไฟเบอร์ออฟติกไม่น้อยกว่า 3,196 แห่ง รวมถึงโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลและสุขศาลาพระราชทาน 812 แห่ง รวมทั้งขยายความจุอินเทอร์เน็ตให้กับโรงพยาบาล เพื่อรองรับการตรวจรักษาทางไกล จํานวน 5 คู่ (10 แห่ง) และคัดเลือกคู่โรงพยาบาลแม่ข่ายและสุขศาลาพระราชทาน จํานวน 5 คู่ (10 แห่ง) รวมเป็นโรงพยาบาล 20 แห่ง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาคัดเลือก
2) โครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในพื้นที่ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) วงเงินกว่า 788 ล้านบาท สนับสนุนนโยบายในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม S-Curve ของประเทศ พร้อมทั้งการสร้างให้เกิดธุรกิจบริการรูปแบบใหม่ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลสําหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ตลอดจนยังสนับสนุนให้มีโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในพื้นที่ EEC อันจะนําไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับประเทศ การยกระดับคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย นักท่องเที่ยว ส่งเสริมการคมนาคมและขนส่งที่สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสร้างการเชื่อมโยงข้อมูลของเมืองให้เป็นระบบนิเวศข้อมูลของเมืองและต่อยอดใช้ประโยชน์จากข้อมูล เช่น ข้อมูลการเดินทาง ข้อมูลวิถีชีวิตเพื่อการพัฒนานวัตกรรมที่เหมาะสมตามนโยบายของ EEC รวมถึงการจัดให้มีศูนย์ปฏิบัติการ EEC Operation Center เพื่อนําข้อมูลมาบริหารจัดการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ
3) โครงการพัฒนาสภาพแวดล้อมและส่งเสริมการเติบโตของดิจิทัลสตาร์ตอัพ (Digital Startup) วงเงินกว่า 414 ล้านบาท เป็นโครงการส่งเสริมการเติบโตของดิจิทัลสตาร์ตอัพ โดยการส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้ประกอบการดิจิทัลในระยะเริ่มต้น (Digital Startup) สามารถจัดตั้งดําเนินธุรกิจได้จริงในตลาด และยังเป็นการสร้างโอกาสและเครือข่าย Digital Startup ระดับนานาชาติ (Digital Startup International Network Events) ผ่านกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งการสร้างศูนย์ Digital Startup Maker Space ร่วมกับพันธมิตรภาคการศึกษา ภาครัฐ และภาคเอกชน ตลอดจนขยายโอกาสทางการตลาดสําหรับ Digital Startup ในการพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลเพื่อตอบโจทย์ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งผู้ประกอบการ Digital Tech Startup สามารถจดจัดตั้งธุรกิจได้ในประเทศไทย อันก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น ตลอดจนเป็นกลไกและเครื่องมือสําคัญในการพัฒนาประเทศด้วยดิจิทัล พร้อมทั้งสามารถเพิ่มการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและอุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศ
4) โครงการ Coding Nation วงเงินกว่า 236 ล้านบาท เพื่อการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ระดับประเทศ ให้เป็นเครื่องมือสําคัญในการพัฒนากําลังคนและบุคลากรด้านดิจิทัล รวมถึงการสร้างกําลังคนคุณภาพด้านดิจิทัลในระดับ Digital Professional และกําลังคนที่เป็น Digital Specialist ป้อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน เพื่อเป็นกําลังสําคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศไทยสามารถพัฒนาและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล กิจกรรมโครงการจะมีการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ระดับประเทศผ่านระบบ Coding Nation ประกอบด้วย ระบบการประเมินทักษะตนเอง การอบรมด้านทักษะดิจิทัล ในรูปแบบออนไลน์
5) โครงการจัดตั้งสถาบันไอโอที (IoT Institute) เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลแห่งอนาคต วงเงินกว่า 217 ล้านบาท เพื่อใช้ในการเตรียมความพร้อมและออกแบบ ทั้งนี้สถาบันไอโอทีจะตั้งขึ้นภายในเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (ดิจิทัลพาร์ค ไทยแลนด์) โดยในช่วงของการจัดตั้งและก่อสร้างสถาบันจะมีกิจกรรมต่าง ๆ ดําเนินไปพร้อมๆ กัน ซึ่งโครงการนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) เพิ่มมูลค่าและขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับประเทศไทย รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมใหม่ ที่สามารถตอบโจทย์ของประเทศด้าน New S-Curve อาทิ หุ่นยนต์ การบิน ยานยนต์ หรือแม้แต่ธุรกิจบริการ การปรับการดําเนินธุรกิจจากการพึ่งพาแรงงานที่ไทยกําลังจะประสบปัญหาจํานวนแรงงานจากภาวะการเข้าสู่สังคมสูงอายุ ไปสู่การผลิตบนฐานของระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีการผลิตยุคใหม่ จําเป็นต้องนําเข้าเทคโนโลยีทั้งเครื่องมือ อุปกรณ์ ระบบอัตโนมัติ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ หากจะทําให้ไทยมีความได้เปรียบในการแข่งขันที่แท้จริง จะต้องมีการลงทุนเพื่อพัฒนาไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม (Innovation-Driven Economy) ทดแทนการลดลงของความได้เปรียบเรื่องกําลังแรงงาน ซึ่งต้องมีการลงทุนพัฒนาคุณภาพโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทักษะแรงงาน การพัฒนาศักยภาพทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อจะสามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศไทยในอนาคต
สําหรับ 5 โครงการข้างต้น เป็นส่วนหนึ่งที่กระทรวงดิจิทัลฯ พยายามผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น “ไทยแลนด์ 4.0” เพื่อเป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล ที่ทําให้ทุกส่วนได้รับประโยชน์มากที่สุด รวมทั้งต้องการผลักดันให้ประเทศสามารถเติบโตได้จากภายในประเทศ ด้วยความยั่งยืนและขยายตัวอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะกลายเป็นศูนย์กลางการเติบโตของโลกในอนาคต โดยทั้ง 5 โครงการข้างต้น จะดําเนินการให้สําเร็จในปีงบประมาณนี้
*******************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ สานพันธกิจ 5 โครงการสำคัญ หลัง ครม. ไฟเขียวงบกว่า 2 พันล้านบาท ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ส่งเสริมเศรษฐกิจชาติ
วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561
กระทรวงดิจิทัลฯ สานพันธกิจ 5 โครงการสําคัญ หลัง ครม. ไฟเขียวงบกว่า 2 พันล้านบาท ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ส่งเสริมเศรษฐกิจชาติ
กระทรวงดิจิทัลฯ
กระทรวงดิจิทัลฯ เดินหน้า 5 โครงการสําคัญ หลังคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 วงเงินกว่า 2,254 ล้านบาท เน้นการพัฒนาพื้นที่ EEC หนุนการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม S-Curve ของประเทศ พร้อมต่อยอด “เน็ตประชารัฐ” ขยายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต เชื่อมต่อโครงข่ายไฟเบอร์ออปติก สู่ 3,196 โรงเรียน 812 โรงพยาบาล ในพื้นที่ห่างไกล เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนในพื้นที่ห่างไกล คาดแล้วเสร็จภายใน ก.ย. 61
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ประชุมมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลางรายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ (บิ๊กร็อก) ครั้งที่ 4 ให้กับกระทรวงดิจิทัลฯ เพื่อใช้ในการดําเนินงาน 5 โครงการสําคัญ วงเงิน 2,254.96 ล้านบาท ประกอบด้วย 1) โครงการขยายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต วงเงินกว่า 598 ล้านบาท โดยจะขยายเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และปรับปรุงโครงข่ายอินเทอร์เน็ตที่เป็นเทคโนโลยีแบบเก่าให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วยไฟเบอร์ออฟติกไปยังโรงเรียนที่ยังไม่มีโครงข่ายไฟเบอร์ออฟติกไม่น้อยกว่า 3,196 แห่ง รวมถึงโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลและสุขศาลาพระราชทาน 812 แห่ง รวมทั้งขยายความจุอินเทอร์เน็ตให้กับโรงพยาบาล เพื่อรองรับการตรวจรักษาทางไกล จํานวน 5 คู่ (10 แห่ง) และคัดเลือกคู่โรงพยาบาลแม่ข่ายและสุขศาลาพระราชทาน จํานวน 5 คู่ (10 แห่ง) รวมเป็นโรงพยาบาล 20 แห่ง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาคัดเลือก
2) โครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในพื้นที่ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) วงเงินกว่า 788 ล้านบาท สนับสนุนนโยบายในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม S-Curve ของประเทศ พร้อมทั้งการสร้างให้เกิดธุรกิจบริการรูปแบบใหม่ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลสําหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ตลอดจนยังสนับสนุนให้มีโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในพื้นที่ EEC อันจะนําไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับประเทศ การยกระดับคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย นักท่องเที่ยว ส่งเสริมการคมนาคมและขนส่งที่สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสร้างการเชื่อมโยงข้อมูลของเมืองให้เป็นระบบนิเวศข้อมูลของเมืองและต่อยอดใช้ประโยชน์จากข้อมูล เช่น ข้อมูลการเดินทาง ข้อมูลวิถีชีวิตเพื่อการพัฒนานวัตกรรมที่เหมาะสมตามนโยบายของ EEC รวมถึงการจัดให้มีศูนย์ปฏิบัติการ EEC Operation Center เพื่อนําข้อมูลมาบริหารจัดการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ
3) โครงการพัฒนาสภาพแวดล้อมและส่งเสริมการเติบโตของดิจิทัลสตาร์ตอัพ (Digital Startup) วงเงินกว่า 414 ล้านบาท เป็นโครงการส่งเสริมการเติบโตของดิจิทัลสตาร์ตอัพ โดยการส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้ประกอบการดิจิทัลในระยะเริ่มต้น (Digital Startup) สามารถจัดตั้งดําเนินธุรกิจได้จริงในตลาด และยังเป็นการสร้างโอกาสและเครือข่าย Digital Startup ระดับนานาชาติ (Digital Startup International Network Events) ผ่านกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งการสร้างศูนย์ Digital Startup Maker Space ร่วมกับพันธมิตรภาคการศึกษา ภาครัฐ และภาคเอกชน ตลอดจนขยายโอกาสทางการตลาดสําหรับ Digital Startup ในการพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลเพื่อตอบโจทย์ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งผู้ประกอบการ Digital Tech Startup สามารถจดจัดตั้งธุรกิจได้ในประเทศไทย อันก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น ตลอดจนเป็นกลไกและเครื่องมือสําคัญในการพัฒนาประเทศด้วยดิจิทัล พร้อมทั้งสามารถเพิ่มการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและอุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศ
4) โครงการ Coding Nation วงเงินกว่า 236 ล้านบาท เพื่อการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ระดับประเทศ ให้เป็นเครื่องมือสําคัญในการพัฒนากําลังคนและบุคลากรด้านดิจิทัล รวมถึงการสร้างกําลังคนคุณภาพด้านดิจิทัลในระดับ Digital Professional และกําลังคนที่เป็น Digital Specialist ป้อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน เพื่อเป็นกําลังสําคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศไทยสามารถพัฒนาและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล กิจกรรมโครงการจะมีการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ระดับประเทศผ่านระบบ Coding Nation ประกอบด้วย ระบบการประเมินทักษะตนเอง การอบรมด้านทักษะดิจิทัล ในรูปแบบออนไลน์
5) โครงการจัดตั้งสถาบันไอโอที (IoT Institute) เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลแห่งอนาคต วงเงินกว่า 217 ล้านบาท เพื่อใช้ในการเตรียมความพร้อมและออกแบบ ทั้งนี้สถาบันไอโอทีจะตั้งขึ้นภายในเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (ดิจิทัลพาร์ค ไทยแลนด์) โดยในช่วงของการจัดตั้งและก่อสร้างสถาบันจะมีกิจกรรมต่าง ๆ ดําเนินไปพร้อมๆ กัน ซึ่งโครงการนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) เพิ่มมูลค่าและขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับประเทศไทย รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมใหม่ ที่สามารถตอบโจทย์ของประเทศด้าน New S-Curve อาทิ หุ่นยนต์ การบิน ยานยนต์ หรือแม้แต่ธุรกิจบริการ การปรับการดําเนินธุรกิจจากการพึ่งพาแรงงานที่ไทยกําลังจะประสบปัญหาจํานวนแรงงานจากภาวะการเข้าสู่สังคมสูงอายุ ไปสู่การผลิตบนฐานของระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีการผลิตยุคใหม่ จําเป็นต้องนําเข้าเทคโนโลยีทั้งเครื่องมือ อุปกรณ์ ระบบอัตโนมัติ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ หากจะทําให้ไทยมีความได้เปรียบในการแข่งขันที่แท้จริง จะต้องมีการลงทุนเพื่อพัฒนาไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม (Innovation-Driven Economy) ทดแทนการลดลงของความได้เปรียบเรื่องกําลังแรงงาน ซึ่งต้องมีการลงทุนพัฒนาคุณภาพโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทักษะแรงงาน การพัฒนาศักยภาพทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อจะสามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศไทยในอนาคต
สําหรับ 5 โครงการข้างต้น เป็นส่วนหนึ่งที่กระทรวงดิจิทัลฯ พยายามผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น “ไทยแลนด์ 4.0” เพื่อเป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล ที่ทําให้ทุกส่วนได้รับประโยชน์มากที่สุด รวมทั้งต้องการผลักดันให้ประเทศสามารถเติบโตได้จากภายในประเทศ ด้วยความยั่งยืนและขยายตัวอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะกลายเป็นศูนย์กลางการเติบโตของโลกในอนาคต โดยทั้ง 5 โครงการข้างต้น จะดําเนินการให้สําเร็จในปีงบประมาณนี้
*******************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10392
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไม่ประมาท การ์ดอย่าตก
|
วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม 2563
ไม่ประมาท การ์ดอย่าตก
อยู่บ้าน หยุดเชื่อ เพื่อชาติ
สกมมุนา โหติ ผลูปปตติ ทุกการกระทํา ย่อมมีผล
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไม่ประมาท การ์ดอย่าตก
วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม 2563
ไม่ประมาท การ์ดอย่าตก
อยู่บ้าน หยุดเชื่อ เพื่อชาติ
สกมมุนา โหติ ผลูปปตติ ทุกการกระทํา ย่อมมีผล
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34229
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลย้ำยังไม่อนุมัติบำเหน็จ 2 ขั้นให้แก่เจ้าหน้าที่ คสช. ชี้สื่อบางสำนักนำเสนอข่าวคลาดเคลื่อน พร้อมระบุเจ้าหน้าที่ ทุกคนทำงานทุ่มเทเสียสละ สมควรได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
|
วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน 2561
รัฐบาลย้ํายังไม่อนุมัติบําเหน็จ 2 ขั้นให้แก่เจ้าหน้าที่ คสช. ชี้สื่อบางสํานักนําเสนอข่าวคลาดเคลื่อน พร้อมระบุเจ้าหน้าที่ ทุกคนทํางานทุ่มเทเสียสละ สมควรได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
รัฐบาลย้ํายังไม่อนุมัติบําเหน็จ 2 ขั้นให้แก่เจ้าหน้าที่ คสช. ชี้สื่อบางสํานักนําเสนอข่าวคลาดเคลื่อน พร้อมระบุเจ้าหน้าที่ ทุกคนทํางานทุ่มเทเสียสละ สมควรได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
วันนี้ (16 มิถุนายน 2561) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่สื่อมวลชนนําเสนอข่าว ครม.อนุมัติหลักการให้โควตาบําเหน็จประจําปี (2 ขั้น) นอกเหนือโควตาปกติกับเจ้าหน้าที่ คสช.จํานวน 600 คน ว่า ที่ประชุม ครม.ครั้งที่ผ่านมาเพียงแค่รับทราบข้อเสนอของ คสช. เท่านั้น โดยได้ให้ฝ่ายความมั่นคงและ คสช. กลับไปพิจารณาทบทวนเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การพิจารณาให้บําเหน็จแก่ผู้ปฏิบัติงานใน คสช.ให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรมอีกครั้งหนึ่ง จึงยังไม่ได้อนุมัติให้ดําเนินการตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด
"มีสื่อมวลชนเพียงไม่กี่สํานักที่นําเสนอข่าวนี้ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ราวกับต้องการลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาล อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่า การเสนอขอรับบําเหน็จประจําปีเป็นการเสนอตามวงรอบปกติ โดยคสช. มีเจ้าหน้าที่ของรัฐจากส่วนราชการต่าง ๆ และบุคคลทั่วไปร่วมปฎิบัติงานเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและเป็นไปตามโยบายที่รัฐบาลกําหนด
ซึ่งที่ผ่านมามีผลงานสําคัญหลายด้าน ทั้งการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง การจัดระเบียบสังคม การรับเรื่องร้องทุกข์ช่วยเหลือประชาชนร่วมกับศูนย์ดํารงธรรม การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ รวมทั้งการสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายสําคัญของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วนของประเทศ เช่น ปัญหาไอยูยู ค้ามนุษย์ และการทุจริตคอร์รัปชัน"
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า เจ้าหน้าที่เหล่านี้ปฎิบัติหน้าที่กระจายกันอยู่ทั่วประเทศ และต้องรับผิดชอบภาระงานหลายหน้าที่มากขึ้นนอกเหนือจากงานประจํา ก็ควรให้บําเหน็จตอบแทนบ้างตามความเหมาะสม เพื่อสร้างขวัญกําลังใจให้แก่ผู้ที่ทํางานด้วยความทุ่มเท เสียสละ และมีผลงานที่เด่นชัด แต่จะต้องคํานึงถึงความเป็นไปได้ของงบประมาณ มีรายละเอียดหลักเกณฑ์ที่รัดกุม ตลอดจน ใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด
-----------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลย้ำยังไม่อนุมัติบำเหน็จ 2 ขั้นให้แก่เจ้าหน้าที่ คสช. ชี้สื่อบางสำนักนำเสนอข่าวคลาดเคลื่อน พร้อมระบุเจ้าหน้าที่ ทุกคนทำงานทุ่มเทเสียสละ สมควรได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน 2561
รัฐบาลย้ํายังไม่อนุมัติบําเหน็จ 2 ขั้นให้แก่เจ้าหน้าที่ คสช. ชี้สื่อบางสํานักนําเสนอข่าวคลาดเคลื่อน พร้อมระบุเจ้าหน้าที่ ทุกคนทํางานทุ่มเทเสียสละ สมควรได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
รัฐบาลย้ํายังไม่อนุมัติบําเหน็จ 2 ขั้นให้แก่เจ้าหน้าที่ คสช. ชี้สื่อบางสํานักนําเสนอข่าวคลาดเคลื่อน พร้อมระบุเจ้าหน้าที่ ทุกคนทํางานทุ่มเทเสียสละ สมควรได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
วันนี้ (16 มิถุนายน 2561) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่สื่อมวลชนนําเสนอข่าว ครม.อนุมัติหลักการให้โควตาบําเหน็จประจําปี (2 ขั้น) นอกเหนือโควตาปกติกับเจ้าหน้าที่ คสช.จํานวน 600 คน ว่า ที่ประชุม ครม.ครั้งที่ผ่านมาเพียงแค่รับทราบข้อเสนอของ คสช. เท่านั้น โดยได้ให้ฝ่ายความมั่นคงและ คสช. กลับไปพิจารณาทบทวนเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การพิจารณาให้บําเหน็จแก่ผู้ปฏิบัติงานใน คสช.ให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรมอีกครั้งหนึ่ง จึงยังไม่ได้อนุมัติให้ดําเนินการตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด
"มีสื่อมวลชนเพียงไม่กี่สํานักที่นําเสนอข่าวนี้ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ราวกับต้องการลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาล อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่า การเสนอขอรับบําเหน็จประจําปีเป็นการเสนอตามวงรอบปกติ โดยคสช. มีเจ้าหน้าที่ของรัฐจากส่วนราชการต่าง ๆ และบุคคลทั่วไปร่วมปฎิบัติงานเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและเป็นไปตามโยบายที่รัฐบาลกําหนด
ซึ่งที่ผ่านมามีผลงานสําคัญหลายด้าน ทั้งการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง การจัดระเบียบสังคม การรับเรื่องร้องทุกข์ช่วยเหลือประชาชนร่วมกับศูนย์ดํารงธรรม การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ รวมทั้งการสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายสําคัญของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วนของประเทศ เช่น ปัญหาไอยูยู ค้ามนุษย์ และการทุจริตคอร์รัปชัน"
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า เจ้าหน้าที่เหล่านี้ปฎิบัติหน้าที่กระจายกันอยู่ทั่วประเทศ และต้องรับผิดชอบภาระงานหลายหน้าที่มากขึ้นนอกเหนือจากงานประจํา ก็ควรให้บําเหน็จตอบแทนบ้างตามความเหมาะสม เพื่อสร้างขวัญกําลังใจให้แก่ผู้ที่ทํางานด้วยความทุ่มเท เสียสละ และมีผลงานที่เด่นชัด แต่จะต้องคํานึงถึงความเป็นไปได้ของงบประมาณ มีรายละเอียดหลักเกณฑ์ที่รัดกุม ตลอดจน ใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด
-----------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13105
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.หารือกับประธานสภาจังหวัดฟุกุโอกะ ยกระดับความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
|
วันพุธที่ 21 มีนาคม 2561
ศธ.หารือกับประธานสภาจังหวัดฟุกุโอกะ ยกระดับความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
รมว.ศึกษาธิการ หารือกับประธานสภาจังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อร่วมกันยกระดับการศึกษาทุกระดับ โดยเฉพาะโครงการ "โรงเรียนพี่โรงเรียนน้อง"
รมว.ศึกษาธิการ หารือกับประธานสภาจังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่นเพื่อร่วมกันยกระดับการศึกษาทุกระดับโดยเฉพาะโครงการ "โรงเรียนพี่โรงเรียนน้อง"พร้อมเชิญชวนสถาบันการศึกษาที่มีศักยภาพสูง มาร่วมจัดการศึกษาโดยใช้หลักสูตรญี่ปุ่น เพื่อเป็นอีกหนึ่งต้นแบบของการผลิตกําลังคนตอบโจทย์ประเทศไทย 4.0 และความต้องการกําลังคนในพื้นที่ EEC
เมื่อวันจันทร์ที่ 19 มีนาคม 2561ณอาคารราชวัลลภ,นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนางวัฒนาพร ระงับทุกข์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และ น.ส.นงศิลินี โมสิกะ ผู้อํานวยการสํานักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับนายอากิระ ฮิกุชิ ประธานสภาจังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์รมว.ศึกษาธิการกล่าวแสดงความยินดีที่ได้มีความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างไทย-ฟุกุโอกะ ทั้งในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอาชีวศึกษา มาอย่างต่อเนื่อง โดยต้องการที่จะมีความร่วมมือให้แน่นเฟ้นมากขึ้นโดยใช้หลักสูตรญี่ปุ่น เป็นอีกหนึ่งต้นแบบของการผลิตกําลังคนตอบโจทย์การก้าวสู่ประเทศไทย 4.0 และตอบโจทย์ความต้องการกําลังคนในพื้นที่ EEC
จึงขอเชิญชวนให้สภาจังหวัดฟุกุโอกะ มาร่วมจัดการศึกษาทั้งระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา กับสถาบันการศึกษาของไทย เสมือนเรียนหลักสูตรเดียวกับที่ญี่ปุ่น อาทิ ใช้หลักสูตรญี่ปุ่น, ส่งเสริมการเรียนและฝึกประสบการณ์จริงในบริษัท สถานประกอบการ หรือโรงงานญี่ปุ่นในพื้นที่ EEC, จัดหาครูผู้สอนเป็นชาวญี่ปุ่น เป็นต้น โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีสําหรับการดําเนินการดังกล่าวด้วย
นอกจากนี้ รมว.ศึกษาธิการ ได้กล่าวแสดงความยินดีในโอกาสที่จะมีการจัดตั้งสถานกงสุลไทย ณ จังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย
นายอากิระ ฮิกุชิ ประธานสภาจังหวัดฟุกุโอกะกล่าวแสดงความยินดีเช่นกันที่จะมีการตั้งสถานกงสุลไทย ณ จังหวัดฟุกุโอกะ ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีความร่วมมือด้านบุคลากรและด้านเศรษฐกิจมากขึ้น ในส่วนของความร่วมมือด้านการศึกษา ถือว่าไทย-ฟุกุโอกะได้ดําเนินโครงการที่สําคัญ ๆ หลายส่วน โดยเฉพาะโครงการ "โรงเรียนพี่โรงเรียนน้อง" ระหว่างโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กับโรงเรียนในจังหวัดฟุกุโอกะ และมีความยินดีที่จะจัดการศึกษาร่วมกับไทยในพื้นที่ EEC อย่างเต็มที่
ทั้งนี้ ประธานสภาจังหวัดฟุกุโอกะได้เรียนเชิญ รมว.ศึกษาธิการ เดินทางเยือนจังหวัดฟุกุโอกะอย่างเป็นทางการด้วย
Written byอรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.หารือกับประธานสภาจังหวัดฟุกุโอกะ ยกระดับความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
วันพุธที่ 21 มีนาคม 2561
ศธ.หารือกับประธานสภาจังหวัดฟุกุโอกะ ยกระดับความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
รมว.ศึกษาธิการ หารือกับประธานสภาจังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อร่วมกันยกระดับการศึกษาทุกระดับ โดยเฉพาะโครงการ "โรงเรียนพี่โรงเรียนน้อง"
รมว.ศึกษาธิการ หารือกับประธานสภาจังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่นเพื่อร่วมกันยกระดับการศึกษาทุกระดับโดยเฉพาะโครงการ "โรงเรียนพี่โรงเรียนน้อง"พร้อมเชิญชวนสถาบันการศึกษาที่มีศักยภาพสูง มาร่วมจัดการศึกษาโดยใช้หลักสูตรญี่ปุ่น เพื่อเป็นอีกหนึ่งต้นแบบของการผลิตกําลังคนตอบโจทย์ประเทศไทย 4.0 และความต้องการกําลังคนในพื้นที่ EEC
เมื่อวันจันทร์ที่ 19 มีนาคม 2561ณอาคารราชวัลลภ,นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนางวัฒนาพร ระงับทุกข์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และ น.ส.นงศิลินี โมสิกะ ผู้อํานวยการสํานักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับนายอากิระ ฮิกุชิ ประธานสภาจังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์รมว.ศึกษาธิการกล่าวแสดงความยินดีที่ได้มีความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างไทย-ฟุกุโอกะ ทั้งในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอาชีวศึกษา มาอย่างต่อเนื่อง โดยต้องการที่จะมีความร่วมมือให้แน่นเฟ้นมากขึ้นโดยใช้หลักสูตรญี่ปุ่น เป็นอีกหนึ่งต้นแบบของการผลิตกําลังคนตอบโจทย์การก้าวสู่ประเทศไทย 4.0 และตอบโจทย์ความต้องการกําลังคนในพื้นที่ EEC
จึงขอเชิญชวนให้สภาจังหวัดฟุกุโอกะ มาร่วมจัดการศึกษาทั้งระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา กับสถาบันการศึกษาของไทย เสมือนเรียนหลักสูตรเดียวกับที่ญี่ปุ่น อาทิ ใช้หลักสูตรญี่ปุ่น, ส่งเสริมการเรียนและฝึกประสบการณ์จริงในบริษัท สถานประกอบการ หรือโรงงานญี่ปุ่นในพื้นที่ EEC, จัดหาครูผู้สอนเป็นชาวญี่ปุ่น เป็นต้น โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีสําหรับการดําเนินการดังกล่าวด้วย
นอกจากนี้ รมว.ศึกษาธิการ ได้กล่าวแสดงความยินดีในโอกาสที่จะมีการจัดตั้งสถานกงสุลไทย ณ จังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย
นายอากิระ ฮิกุชิ ประธานสภาจังหวัดฟุกุโอกะกล่าวแสดงความยินดีเช่นกันที่จะมีการตั้งสถานกงสุลไทย ณ จังหวัดฟุกุโอกะ ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีความร่วมมือด้านบุคลากรและด้านเศรษฐกิจมากขึ้น ในส่วนของความร่วมมือด้านการศึกษา ถือว่าไทย-ฟุกุโอกะได้ดําเนินโครงการที่สําคัญ ๆ หลายส่วน โดยเฉพาะโครงการ "โรงเรียนพี่โรงเรียนน้อง" ระหว่างโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กับโรงเรียนในจังหวัดฟุกุโอกะ และมีความยินดีที่จะจัดการศึกษาร่วมกับไทยในพื้นที่ EEC อย่างเต็มที่
ทั้งนี้ ประธานสภาจังหวัดฟุกุโอกะได้เรียนเชิญ รมว.ศึกษาธิการ เดินทางเยือนจังหวัดฟุกุโอกะอย่างเป็นทางการด้วย
Written byอรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10915
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมพิจารณาร่างแรกรายงานความคืบหน้าผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย (Progress Report) ก่อนส่งให้สหรัฐอเมริกา
|
วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2562
พม. จัดประชุมพิจารณาร่างแรกรายงานความคืบหน้าผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย (Progress Report) ก่อนส่งให้สหรัฐอเมริกา
พม. จัดประชุมพิจารณาร่างแรกรายงานความคืบหน้าผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย (Progress Report) ก่อนส่งให้สหรัฐอเมริกา
วันนี้ (11 ก.พ. 62) เวลา 09.00 น. พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจกํากับและติดตามการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 7/2561-2562 โดยมี นางสาวอุษณี กังวารจิตต์ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สํานักงานอัยการสูงสุด สํานักงานศาลยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กรมสอบสวนคดีพิเศษ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และผู้ทรงคุณวุฒิฯลฯ จํานวนกว่า 60 คน เข้าร่วม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลเอก อนันตพร กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้นํารายงานผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ประจําปี 2561 หรือ TIP Report ฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เสนอพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี ได้ให้ความเห็นชอบเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งกระทรวงการต่างประเทศ ได้นํารายงาน TIP Report ฉบับภาษาอังกฤษ ส่งให้สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจําประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว เพื่อนําไปพิจารณาจัดระดับประเทศไทยในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกาประจําปี 2562 ต่อไป ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ได้กําหนดรอบระยะเวลาในการขอรับข้อมูลจากประเทศต่างๆ เพื่อประกอบการจัดทํารายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ คือ ระหว่างเดือนเมษายนของปีก่อนการประเมินจนถึงเดือนมีนาคมของปีที่จะทําการประเมิน โดยในทางปฏิบัติที่ผ่านมา รัฐบาลไทยจะดําเนินการจัดทํารายงานความคืบหน้าผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือ Progress Report ซึ่งเป็นผลการดําเนินงานสําคัญ 3 เดือน ในช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม ของแต่ละปี ส่งให้สหรัฐอเมริกาเพิ่มเติมจากรายงาน T IP Report โดยที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาร่าง Progress Report (1 มกราคม - 31 มีนาคม 2562) ซึ่งเป็นผลความคืบหน้าการดําเนินงาน 3 ด้านสําคัญ ประกอบด้วย 1) ด้านการดําเนินคดี 2) ด้านการคุ้มครอง และ 3) ด้านการป้องกัน โดยเฉพาะสถิติการจับกุมดําเนินคดีกับผู้กระทําผิดค้ามนุษย์ ความคืบหน้าการดําเนินคดีสําคัญจํานวนผู้เสียหายที่ได้รับการช่วยเหลือคุ้มครอง การจัดทํา Mobile Application for Victims รวมทั้งผลจากการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวและการตรวจแรงงาน
พลเอก อนันตพร กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมฯ ได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานไปดําเนินการปรับปรุงข้อมูลการดําเนินงานให้เป็นปัจจุบัน โดยกระทรวง พม. ได้กําหนดจะนําร่างรายงาน Progress Report เสนอคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ที่มีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พิจารณาภายในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ 2562และเสนอนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบก่อนส่งให้สหรัฐอเมริกาภายในต้นเดือนเมษายน 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมพิจารณาร่างแรกรายงานความคืบหน้าผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย (Progress Report) ก่อนส่งให้สหรัฐอเมริกา
วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2562
พม. จัดประชุมพิจารณาร่างแรกรายงานความคืบหน้าผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย (Progress Report) ก่อนส่งให้สหรัฐอเมริกา
พม. จัดประชุมพิจารณาร่างแรกรายงานความคืบหน้าผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย (Progress Report) ก่อนส่งให้สหรัฐอเมริกา
วันนี้ (11 ก.พ. 62) เวลา 09.00 น. พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจกํากับและติดตามการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 7/2561-2562 โดยมี นางสาวอุษณี กังวารจิตต์ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สํานักงานอัยการสูงสุด สํานักงานศาลยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กรมสอบสวนคดีพิเศษ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และผู้ทรงคุณวุฒิฯลฯ จํานวนกว่า 60 คน เข้าร่วม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลเอก อนันตพร กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้นํารายงานผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ประจําปี 2561 หรือ TIP Report ฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เสนอพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี ได้ให้ความเห็นชอบเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งกระทรวงการต่างประเทศ ได้นํารายงาน TIP Report ฉบับภาษาอังกฤษ ส่งให้สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจําประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว เพื่อนําไปพิจารณาจัดระดับประเทศไทยในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกาประจําปี 2562 ต่อไป ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา ได้กําหนดรอบระยะเวลาในการขอรับข้อมูลจากประเทศต่างๆ เพื่อประกอบการจัดทํารายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ คือ ระหว่างเดือนเมษายนของปีก่อนการประเมินจนถึงเดือนมีนาคมของปีที่จะทําการประเมิน โดยในทางปฏิบัติที่ผ่านมา รัฐบาลไทยจะดําเนินการจัดทํารายงานความคืบหน้าผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือ Progress Report ซึ่งเป็นผลการดําเนินงานสําคัญ 3 เดือน ในช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม ของแต่ละปี ส่งให้สหรัฐอเมริกาเพิ่มเติมจากรายงาน T IP Report โดยที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาร่าง Progress Report (1 มกราคม - 31 มีนาคม 2562) ซึ่งเป็นผลความคืบหน้าการดําเนินงาน 3 ด้านสําคัญ ประกอบด้วย 1) ด้านการดําเนินคดี 2) ด้านการคุ้มครอง และ 3) ด้านการป้องกัน โดยเฉพาะสถิติการจับกุมดําเนินคดีกับผู้กระทําผิดค้ามนุษย์ ความคืบหน้าการดําเนินคดีสําคัญจํานวนผู้เสียหายที่ได้รับการช่วยเหลือคุ้มครอง การจัดทํา Mobile Application for Victims รวมทั้งผลจากการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวและการตรวจแรงงาน
พลเอก อนันตพร กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมฯ ได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานไปดําเนินการปรับปรุงข้อมูลการดําเนินงานให้เป็นปัจจุบัน โดยกระทรวง พม. ได้กําหนดจะนําร่างรายงาน Progress Report เสนอคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ที่มีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พิจารณาภายในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ 2562และเสนอนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบก่อนส่งให้สหรัฐอเมริกาภายในต้นเดือนเมษายน 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18688
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-รัสเซียพร้อมร่วมมือระหว่างกันอย่างรอบด้าน เพื่อความเป็นพลวัตมากขึ้นในทุกมิติ
|
วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562
ไทย-รัสเซียพร้อมร่วมมือระหว่างกันอย่างรอบด้าน เพื่อความเป็นพลวัตมากขึ้นในทุกมิติ
ไทย-รัสเซียพร้อมร่วมมือระหว่างกันอย่างรอบด้าน เพื่อความเป็นพลวัตมากขึ้นในทุกมิติ
วันนี้ (วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562) เวลา 15.30 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายเยฟเกนี โตมีฮิน (H.E. Mr. Evgeny Tomikhin) เอกอัครราชทูตสหพันธรัฐรัสเซียประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับเอกอัครราชทูตฯ ในโอกาสเข้ารับตําแหน่ง และเน้นย้ําความพร้อมของรัฐบาลไทยในการทํางานร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์และผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีชื่นชมบทบาทการส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-รัสเซียของเอกอัครราชทูตฯ พร้อมหวังว่าจะมีโอกาสให้การต้อนรับผู้แทนระดับสูงสุดของรัสเซียในการประชุมสุดยอดผู้นํา East Asia Summit (EAS) ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในปีนี้
เอกอัครราชทูตฯ ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีที่ให้การต้อนรับ และยินดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-รัสเซียแน่นแฟ้นมากขึ้นในทุกมิติ มั่นใจว่าภายใต้การนําของรองนายกรัฐมนตรีจะทําให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศแน่นแฟ้นและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในด้านสาธารณสุข การท่องเที่ยวและกีฬา และด้านคมนาคม
ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ความร่วมมือระหว่างไทยและรัสเซียมีพลวัต โดยเฉพาะด้านสาธารณสุขและเวชภัณฑ์ที่มีความใกล้ชิดกันมากขึ้น โดยทั้งสองประเทศจะเป็นเจ้าภาพร่วมในการจัดการประชุม Meeting on Strengthening the Preparedness for Infectious Diseases with Pandemic Potential among EAS Participating Countries ระหว่างวันที่ 16-17 ตุลาคม 2562 ที่กรุงเทพฯ
โอกาสนี้ ทั้งสองได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านอื่น ๆ ที่สําคัญ ได้แก่ ความร่วมมือด้านคมนาคม ขณะนี้ไทยอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการระบบรางทั่วประเทศ ซึ่งเป็นสาขาที่รัสเซียมีความเชี่ยวชาญ รองนายกรัฐมนตรีจึงได้ใช้โอกาสนี้เชิญชวนภาคเอกชนของรัสเซียที่มีความเชี่ยวชาญด้านระบบรางและรถไฟฟ้าเข้ามาลงทุนในไทย ในด้านการท่องเที่ยว ไทยและรัสเซียยินดีที่ได้ทราบว่า ในปี 2561 มีนักท่องเที่ยวรัสเซียเดินทางมาเยือนไทยเป็นจํานวนกว่าล้านคน ซึ่งมากเป็นอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวจากยุโรป นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปรัสเซียก็มีจํานวนเพิ่มขึ้นอีกด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-รัสเซียพร้อมร่วมมือระหว่างกันอย่างรอบด้าน เพื่อความเป็นพลวัตมากขึ้นในทุกมิติ
วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562
ไทย-รัสเซียพร้อมร่วมมือระหว่างกันอย่างรอบด้าน เพื่อความเป็นพลวัตมากขึ้นในทุกมิติ
ไทย-รัสเซียพร้อมร่วมมือระหว่างกันอย่างรอบด้าน เพื่อความเป็นพลวัตมากขึ้นในทุกมิติ
วันนี้ (วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562) เวลา 15.30 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายเยฟเกนี โตมีฮิน (H.E. Mr. Evgeny Tomikhin) เอกอัครราชทูตสหพันธรัฐรัสเซียประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับเอกอัครราชทูตฯ ในโอกาสเข้ารับตําแหน่ง และเน้นย้ําความพร้อมของรัฐบาลไทยในการทํางานร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์และผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีชื่นชมบทบาทการส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-รัสเซียของเอกอัครราชทูตฯ พร้อมหวังว่าจะมีโอกาสให้การต้อนรับผู้แทนระดับสูงสุดของรัสเซียในการประชุมสุดยอดผู้นํา East Asia Summit (EAS) ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในปีนี้
เอกอัครราชทูตฯ ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีที่ให้การต้อนรับ และยินดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-รัสเซียแน่นแฟ้นมากขึ้นในทุกมิติ มั่นใจว่าภายใต้การนําของรองนายกรัฐมนตรีจะทําให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศแน่นแฟ้นและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในด้านสาธารณสุข การท่องเที่ยวและกีฬา และด้านคมนาคม
ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ความร่วมมือระหว่างไทยและรัสเซียมีพลวัต โดยเฉพาะด้านสาธารณสุขและเวชภัณฑ์ที่มีความใกล้ชิดกันมากขึ้น โดยทั้งสองประเทศจะเป็นเจ้าภาพร่วมในการจัดการประชุม Meeting on Strengthening the Preparedness for Infectious Diseases with Pandemic Potential among EAS Participating Countries ระหว่างวันที่ 16-17 ตุลาคม 2562 ที่กรุงเทพฯ
โอกาสนี้ ทั้งสองได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านอื่น ๆ ที่สําคัญ ได้แก่ ความร่วมมือด้านคมนาคม ขณะนี้ไทยอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการระบบรางทั่วประเทศ ซึ่งเป็นสาขาที่รัสเซียมีความเชี่ยวชาญ รองนายกรัฐมนตรีจึงได้ใช้โอกาสนี้เชิญชวนภาคเอกชนของรัสเซียที่มีความเชี่ยวชาญด้านระบบรางและรถไฟฟ้าเข้ามาลงทุนในไทย ในด้านการท่องเที่ยว ไทยและรัสเซียยินดีที่ได้ทราบว่า ในปี 2561 มีนักท่องเที่ยวรัสเซียเดินทางมาเยือนไทยเป็นจํานวนกว่าล้านคน ซึ่งมากเป็นอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวจากยุโรป นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปรัสเซียก็มีจํานวนเพิ่มขึ้นอีกด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23338
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีเวียดนามยินดีสนับสนุนการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของไทย พร้อมร่วมมือเพื่อพัฒนาอนุภูมิภาคและภูมิภาคอาเซียนให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง
|
วันศุกร์ที่ 25 มกราคม 2562
รองนายกรัฐมนตรีเวียดนามยินดีสนับสนุนการดํารงตําแหน่งประธานอาเซียนของไทย พร้อมร่วมมือเพื่อพัฒนาอนุภูมิภาคและภูมิภาคอาเซียนให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง
รองนายกรัฐมนตรีเวียดนามยินดีสนับสนุนการดํารงตําแหน่งประธานอาเซียนของไทย พร้อมร่วมมือเพื่อพัฒนาอนุภูมิภาคและภูมิภาคอาเซียนให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง
วันนี้ (25 ม.ค. 2562) เวลา 16.00 น. นายฝ่าม บิ่งห์ มิงห์ (H.E. Mr. Pham Binh Minh) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการสนทนาดังนี้
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ได้พบกับรองนายกรัฐมนตรีเวียดนาม ในโอกาสการเดินทางเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JCBC) ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ 3 และฝากความระลึกถึงไปยังนายเหวียน ซวน ฟุก นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ซึ่งได้มีโอกาสพบปะกันหลายครั้งในการประชุมระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าผลสําเร็จของการประชุมดังกล่าวจะขยายความร่วมมือในฐานะหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ให้เพิ่มมากขึ้น และพร้อมร่วมมือกันผลักดันประเด็นสําคัญต่างๆ ให้คืบหน้า ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศและภูมิภาคโดยรวม พร้อมทั้งยินดีที่มีข้อริเริ่มจัดทําแผนปฏิบัติการเพื่อขยายความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกันในระยะที่ 2 ซึ่งจะเป็นแผนแม่บทที่ช่วยกําหนดทิศทางความสัมพันธ์ของไทยและเวียดนามในอีก 5 ปีข้างหน้า
ด้านเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีเห็นว่าไทยและเวียดนามมีศักยภาพที่จะบรรลุเป้าหมายมูลค่าการค้า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐได้ภายในปี 2563 สําหรับด้านการลงทุน ปัจจุบันไทยมีมูลค่าการลงทุนสะสมในเวียดนามถึง 10,000 ล้านดอลลาห์สหรัฐ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีขอให้เวียดนามผลักดันการแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น การส่งออกรถยนต์ และการส่งออกผลไม้ของไทยไปเวียดนามให้สําเร็จ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีเวียดนามรับไปพิจารณาและยืนยันที่จะสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนไทยในเวียดนามต่อไป
นายกรัฐมนตรีเห็นว่าไทยและเวียดนาม มีศักยภาพและสามารถเชื่อมโยงในหลายมิติ ทั้งทางบก ทางทะเล และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งสามารถพัฒนาไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค โดยเฉพาะในกลุ่ม ACMECS และกลุ่มประเทศลุ่มน้ําโขงให้เติบโตไปด้วยกัน รวมถึงด้านการท่องเที่ยวที่มีการไปมาหาสู่กันระหว่างกันมากขึ้น และสามารถพัฒนาเป็นการท่องเที่ยวแบบแพคเกจ เชื่อมโยงไปยังประเทศที่ 3 ด้วย
ด้านแรงงาน มีแรงงานเวียดนามที่ทํางานในประเทศไทยจํานวนมาก ซึ่งประเทศไทยจะผ่อนปรนให้แรงงานเวียดนามเข้ามาทํางานในประเทศไทยให้มากขึ้น อันจะช่วยสนับสนุนความเจริญเติบโตและการพัฒนาทางเศรษฐกิจของเวียดนาม
โอกาสนี้รองนายกรัฐมนตรีเวียดนามชื่นชมความสําเร็จของประเทศไทยในการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) ซึ่งนายกรัฐมนตรียินดีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในเรื่องการแก้ไขปัญหาดังกล่าวแก่เวียดนาม โดยไม่กี่วันที่ผ่านมารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทยซึ่งได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบด้าน IUU ได้เยือนเวียดนามและมีการพูดคุยเรื่องนี้
ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีเวียดนามยินดีสนับสนุนการดํารงตําแหน่งประธานอาเซียนของไทยในปีนี้ และพร้อมที่จะร่วมมือกันเพื่อพัฒนาอนุภูมิภาคและภูมิภาคอาเซียนให้มีความเจริญเติบโตอย่างเข้มแข็ง มีความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืนต่อไป
**************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีเวียดนามยินดีสนับสนุนการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของไทย พร้อมร่วมมือเพื่อพัฒนาอนุภูมิภาคและภูมิภาคอาเซียนให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง
วันศุกร์ที่ 25 มกราคม 2562
รองนายกรัฐมนตรีเวียดนามยินดีสนับสนุนการดํารงตําแหน่งประธานอาเซียนของไทย พร้อมร่วมมือเพื่อพัฒนาอนุภูมิภาคและภูมิภาคอาเซียนให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง
รองนายกรัฐมนตรีเวียดนามยินดีสนับสนุนการดํารงตําแหน่งประธานอาเซียนของไทย พร้อมร่วมมือเพื่อพัฒนาอนุภูมิภาคและภูมิภาคอาเซียนให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง
วันนี้ (25 ม.ค. 2562) เวลา 16.00 น. นายฝ่าม บิ่งห์ มิงห์ (H.E. Mr. Pham Binh Minh) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการสนทนาดังนี้
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ได้พบกับรองนายกรัฐมนตรีเวียดนาม ในโอกาสการเดินทางเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JCBC) ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ 3 และฝากความระลึกถึงไปยังนายเหวียน ซวน ฟุก นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ซึ่งได้มีโอกาสพบปะกันหลายครั้งในการประชุมระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าผลสําเร็จของการประชุมดังกล่าวจะขยายความร่วมมือในฐานะหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ให้เพิ่มมากขึ้น และพร้อมร่วมมือกันผลักดันประเด็นสําคัญต่างๆ ให้คืบหน้า ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศและภูมิภาคโดยรวม พร้อมทั้งยินดีที่มีข้อริเริ่มจัดทําแผนปฏิบัติการเพื่อขยายความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกันในระยะที่ 2 ซึ่งจะเป็นแผนแม่บทที่ช่วยกําหนดทิศทางความสัมพันธ์ของไทยและเวียดนามในอีก 5 ปีข้างหน้า
ด้านเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีเห็นว่าไทยและเวียดนามมีศักยภาพที่จะบรรลุเป้าหมายมูลค่าการค้า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐได้ภายในปี 2563 สําหรับด้านการลงทุน ปัจจุบันไทยมีมูลค่าการลงทุนสะสมในเวียดนามถึง 10,000 ล้านดอลลาห์สหรัฐ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีขอให้เวียดนามผลักดันการแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น การส่งออกรถยนต์ และการส่งออกผลไม้ของไทยไปเวียดนามให้สําเร็จ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีเวียดนามรับไปพิจารณาและยืนยันที่จะสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนไทยในเวียดนามต่อไป
นายกรัฐมนตรีเห็นว่าไทยและเวียดนาม มีศักยภาพและสามารถเชื่อมโยงในหลายมิติ ทั้งทางบก ทางทะเล และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งสามารถพัฒนาไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค โดยเฉพาะในกลุ่ม ACMECS และกลุ่มประเทศลุ่มน้ําโขงให้เติบโตไปด้วยกัน รวมถึงด้านการท่องเที่ยวที่มีการไปมาหาสู่กันระหว่างกันมากขึ้น และสามารถพัฒนาเป็นการท่องเที่ยวแบบแพคเกจ เชื่อมโยงไปยังประเทศที่ 3 ด้วย
ด้านแรงงาน มีแรงงานเวียดนามที่ทํางานในประเทศไทยจํานวนมาก ซึ่งประเทศไทยจะผ่อนปรนให้แรงงานเวียดนามเข้ามาทํางานในประเทศไทยให้มากขึ้น อันจะช่วยสนับสนุนความเจริญเติบโตและการพัฒนาทางเศรษฐกิจของเวียดนาม
โอกาสนี้รองนายกรัฐมนตรีเวียดนามชื่นชมความสําเร็จของประเทศไทยในการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) ซึ่งนายกรัฐมนตรียินดีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในเรื่องการแก้ไขปัญหาดังกล่าวแก่เวียดนาม โดยไม่กี่วันที่ผ่านมารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทยซึ่งได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบด้าน IUU ได้เยือนเวียดนามและมีการพูดคุยเรื่องนี้
ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีเวียดนามยินดีสนับสนุนการดํารงตําแหน่งประธานอาเซียนของไทยในปีนี้ และพร้อมที่จะร่วมมือกันเพื่อพัฒนาอนุภูมิภาคและภูมิภาคอาเซียนให้มีความเจริญเติบโตอย่างเข้มแข็ง มีความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืนต่อไป
**************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18363
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รองนายกรัฐมนตรีเร่งรัดการลงทุนของรัฐวิสาหกิจในไตรมาสสุดท้ายดันเศรษฐกิจไทยปี 2561”
|
วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2561
“รองนายกรัฐมนตรีเร่งรัดการลงทุนของรัฐวิสาหกิจในไตรมาสสุดท้ายดันเศรษฐกิจไทยปี 2561”
การประชุมเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นประธาน และได้เชิญผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ 18 แห่งที่มีวงเงินลงทุนขนาดใหญ่ เพื่อรับนโยบายในการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กําหนดไว้
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในวันนี้ได้จัดประชุมเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นประธาน และได้เชิญผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ 18 แห่งที่มีวงเงินลงทุนขนาดใหญ่ เพื่อรับนโยบายในการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ โดยเฉพาะไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี 2561 ให้ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อํานวยการ สคร. กล่าวเสริมว่า กรอบการลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปี 2561ที่ สคร. กํากับดูแล 45 แห่ง มีจํานวน 445,191 ล้านบาท โดยผลการเบิกจ่ายลงทุนสะสมถึงเดือนตุลาคม 2561 เท่ากับ 339,279 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 85 ของแผนการเบิกจ่ายลงทุนสะสม โดยมีรายละเอียดดังนี้
ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจสะสมถึงเดือนตุลาคม 2561
ชื่อรัฐวิสาหกิจ แผนลงทุนทั้งปี 2561 แผนเบิกจ่ายสะสม ผลการเบิกจ่ายสะสม ร้อยละเบิกจ่าย
/แผนสะสม
1. ปีงบประมาณ จํานวน 34 แห่ง (รวม)
(1 ต.ค. 60 – 30 ก.ย. 61) 144,664 144,664 102,830 71%
1.1 การรถไฟแห่งประเทศไทย 52,468 52,468 32,076 61%
1.2 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย 32,463 32,463 32,461 100%
1.3 การประปาส่วนภูมิภาค 13,200 13,200 5,743 44%
1.4 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) 12,815 12,815 9,092 71%
1.5 การเคหะแห่งชาติ 6,371 6,371 5,576 88%
1.6 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย 4,527 4,527 1,185 26%
1.7 การประปานครหลวง 3,688 3,688 3,628 98%
1.8 การท่าเรือแห่งประเทศไทย 3,403 3,403 3,403 100%
1.9 การยาสูบแห่งประเทศไทย 2,934 2,934 2,727 93%
1.10 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ 2,097 2,097 105 5%
1.11 รัฐวิสาหกิจแห่งอื่นๆ จํานวน 24 แห่ง 10,698 10,698 6,834 64%
ชื่อรัฐวิสาหกิจ แผนลงทุนทั้งปี 2561 แผนเบิกจ่ายสะสม ผลการเบิกจ่ายสะสม ร้อยละเบิกจ่าย
/แผนสะสม
2. ปีปฏิทิน จํานวน 11 แห่ง (รวม)
(1 ม.ค. 61 – 31 ต.ค. 61) 300,527 252,281 236,449 94%
2.1 บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) 161,112 150,565 142,439 95%
2.2 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 58,040 41,275 40,283 98%
2.3 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 32,446 23,790 22,968 97%
2.4 การไฟฟ้านครหลวง 20,443 13,211 12,666 96%
2.5 บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) 13,817 12,611 10,316 82%
2.6 บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) 6,300 4,573 2,838 62%
2.7 บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) 4,018 2,976 2,673 90%
2.8 บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด 2,983 2,294 1,687 74%
2.9 รัฐวิสาหกิจแห่งอื่นๆ จํานวน 3 แห่ง 1,368 996 579 58%
รวม 45 แห่ง 445,191 396,955 339,279 85%
ที่มา: สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
สําหรับในปี 2562 รัฐวิสาหกิจที่ สคร. กํากับดูแล 45 แห่ง มีกรอบการลงทุนจํานวน 391,866 ล้านบาท มาจากรัฐวิสาหกิจที่มีงบลงทุนขนาดใหญ่ ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน)
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการ สคร. กล่าวสรุปว่า เพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ในการประชุมเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้มอบหมายให้รัฐวิสาหกิจ ดังนี้
1. ให้รัฐวิสาหกิจปีปฏิทินเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนในไตรมาสที่ 4 ปีปฏิทิน 2561 (ตุลาคม – ธันวาคม 2561) และสําหรับรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนที่ไม่เป็นไปตามแผนในปี 2561 ที่จะต้องมาผูกพันมาเบิกจ่ายในปี 2562
2. ให้ปรับปรุงแผนและประมาณการเบิกจ่ายงบลงทุนให้สะท้อนกับความสามารถในการเบิกจ่ายได้ตามจริง โดยให้คํานึงถึงการเบิกจ่ายที่เป็น Front-Loaded มากขึ้น
3. ให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนให้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 เพื่อให้สอดคล้องกับตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2561
4. ให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจกํากับดูแลการเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย และพิจารณากําหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายของการเบิกจ่ายงบลงทุนในการประเมินผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รองนายกรัฐมนตรีเร่งรัดการลงทุนของรัฐวิสาหกิจในไตรมาสสุดท้ายดันเศรษฐกิจไทยปี 2561”
วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2561
“รองนายกรัฐมนตรีเร่งรัดการลงทุนของรัฐวิสาหกิจในไตรมาสสุดท้ายดันเศรษฐกิจไทยปี 2561”
การประชุมเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นประธาน และได้เชิญผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ 18 แห่งที่มีวงเงินลงทุนขนาดใหญ่ เพื่อรับนโยบายในการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กําหนดไว้
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในวันนี้ได้จัดประชุมเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นประธาน และได้เชิญผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ 18 แห่งที่มีวงเงินลงทุนขนาดใหญ่ เพื่อรับนโยบายในการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ โดยเฉพาะไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี 2561 ให้ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อํานวยการ สคร. กล่าวเสริมว่า กรอบการลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปี 2561ที่ สคร. กํากับดูแล 45 แห่ง มีจํานวน 445,191 ล้านบาท โดยผลการเบิกจ่ายลงทุนสะสมถึงเดือนตุลาคม 2561 เท่ากับ 339,279 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 85 ของแผนการเบิกจ่ายลงทุนสะสม โดยมีรายละเอียดดังนี้
ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจสะสมถึงเดือนตุลาคม 2561
ชื่อรัฐวิสาหกิจ แผนลงทุนทั้งปี 2561 แผนเบิกจ่ายสะสม ผลการเบิกจ่ายสะสม ร้อยละเบิกจ่าย
/แผนสะสม
1. ปีงบประมาณ จํานวน 34 แห่ง (รวม)
(1 ต.ค. 60 – 30 ก.ย. 61) 144,664 144,664 102,830 71%
1.1 การรถไฟแห่งประเทศไทย 52,468 52,468 32,076 61%
1.2 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย 32,463 32,463 32,461 100%
1.3 การประปาส่วนภูมิภาค 13,200 13,200 5,743 44%
1.4 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) 12,815 12,815 9,092 71%
1.5 การเคหะแห่งชาติ 6,371 6,371 5,576 88%
1.6 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย 4,527 4,527 1,185 26%
1.7 การประปานครหลวง 3,688 3,688 3,628 98%
1.8 การท่าเรือแห่งประเทศไทย 3,403 3,403 3,403 100%
1.9 การยาสูบแห่งประเทศไทย 2,934 2,934 2,727 93%
1.10 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ 2,097 2,097 105 5%
1.11 รัฐวิสาหกิจแห่งอื่นๆ จํานวน 24 แห่ง 10,698 10,698 6,834 64%
ชื่อรัฐวิสาหกิจ แผนลงทุนทั้งปี 2561 แผนเบิกจ่ายสะสม ผลการเบิกจ่ายสะสม ร้อยละเบิกจ่าย
/แผนสะสม
2. ปีปฏิทิน จํานวน 11 แห่ง (รวม)
(1 ม.ค. 61 – 31 ต.ค. 61) 300,527 252,281 236,449 94%
2.1 บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) 161,112 150,565 142,439 95%
2.2 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 58,040 41,275 40,283 98%
2.3 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 32,446 23,790 22,968 97%
2.4 การไฟฟ้านครหลวง 20,443 13,211 12,666 96%
2.5 บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) 13,817 12,611 10,316 82%
2.6 บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) 6,300 4,573 2,838 62%
2.7 บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) 4,018 2,976 2,673 90%
2.8 บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด 2,983 2,294 1,687 74%
2.9 รัฐวิสาหกิจแห่งอื่นๆ จํานวน 3 แห่ง 1,368 996 579 58%
รวม 45 แห่ง 445,191 396,955 339,279 85%
ที่มา: สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
สําหรับในปี 2562 รัฐวิสาหกิจที่ สคร. กํากับดูแล 45 แห่ง มีกรอบการลงทุนจํานวน 391,866 ล้านบาท มาจากรัฐวิสาหกิจที่มีงบลงทุนขนาดใหญ่ ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน)
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการ สคร. กล่าวสรุปว่า เพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ในการประชุมเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้มอบหมายให้รัฐวิสาหกิจ ดังนี้
1. ให้รัฐวิสาหกิจปีปฏิทินเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนในไตรมาสที่ 4 ปีปฏิทิน 2561 (ตุลาคม – ธันวาคม 2561) และสําหรับรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนที่ไม่เป็นไปตามแผนในปี 2561 ที่จะต้องมาผูกพันมาเบิกจ่ายในปี 2562
2. ให้ปรับปรุงแผนและประมาณการเบิกจ่ายงบลงทุนให้สะท้อนกับความสามารถในการเบิกจ่ายได้ตามจริง โดยให้คํานึงถึงการเบิกจ่ายที่เป็น Front-Loaded มากขึ้น
3. ให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนให้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 เพื่อให้สอดคล้องกับตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2561
4. ให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจกํากับดูแลการเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย และพิจารณากําหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายของการเบิกจ่ายงบลงทุนในการประเมินผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16958
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพร้อมประชาชนทุกภาคส่วนของ จ.ราชบุรี ร่วมกันปลูกต้นไม้ เพื่อเสริมสร้างความรัก ความสามัคคี และร่วมกันกระทำความดีให้กับประเทศชาติ
|
วันพุธที่ 23 พฤษภาคม 2561
นายกรัฐมนตรีพร้อมประชาชนทุกภาคส่วนของ จ.ราชบุรี ร่วมกันปลูกต้นไม้ เพื่อเสริมสร้างความรัก ความสามัคคี และร่วมกันกระทําความดีให้กับประเทศชาติ
นายกรัฐมนตรีเปิดโครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ปี พ.ศ. 2561 เพื่อรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9
วันนี้ (23 พฤษภาคม 2561) เวลา 08.20 น. ณ ศูนย์ศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม อันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดราชบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดโครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ปี พ.ศ. 2561 โดยมีรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ผู้ว่าราชการจังหวัด ที่เกี่ยวข้อง หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนภาคเอกชน และประชาชนเข้าร่วม
สําหรับโครงการดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนร่วมกันปลูกต้นไม้ เพื่อเป็นการเสริมสร้างความรัก ความสามัคคี และร่วมกันกระทําความดีให้กับประเทศชาติ ตามพระราโชบายฯ และปลูกฝังจิตสํานึกในการอนุรักษ์ต้นไม้ และทรัพยากรป่าไม้ ให้แก่ประชาชนทุกคนในประเทศ ทั้งนี้ มีกําหนดการดําเนินโครงการฯ โดยส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนร่วมกันปลูกต้นไม้ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 29 พฤษภาคม – 30 กันยายน 2561 ในพื้นที่กรรมสิทธิ์ของประชาชนและพื้นที่ของรัฐทุกประเภท รวมทั้งสิ้น 2,550,703 ต้น
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดโครงการ พร้อมกล่าวมอบนโยบายการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ และกล่าวพบปะประชาชนที่เข้าร่วมโครงการตอนหนึ่งว่า การลงพื้นที่มาพบปะประชาชนในวันนี้ เพราะต้องการเห็นรอยยิ้มของประชาชนในพื้นที่ ไม่ต้องการให้ประชาชนมารักนายกฯ แต่ขอให้รักพื้นที่ รักจังหวัด และรักประเทศชาติ ทั้งนี้ การปลูกต้นไม้ที่สําคัญคือการดูแลหลังการปลูกให้ต้นไม้เจริญเติบโต ปลูกแล้วต้องคอยติดตามประเมินผลไม่ให้ต้นไม้ตาย ซึ่งการปลูกต้นไม้ทุกคนสามารถปลูกได้ทุกวัน ไม่จําเป็นต้องรอโครงการและรอการสนับสนุนงบประมาณในการซื้อกล้าไม้จากหน่วยงานภาครัฐ ขอให้ปลูกต้นไม้ที่ชื่นชอบ รวมทั้งขอให้ช่วยกันปลูกไม้ดอกที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เพื่อให้เกิดความสวยงามตามสถานที่ต่าง ๆ อันจะก่อให้เกิดการท่องเที่ยวและสร้างรายได้ตามมา และป่าไม้คือชีวิตของคน ของสัตว์ป่า และธรรมชาติ เมื่อป่าไม้มีความอุดมสมบูรณ์จะส่งผลต่ออากาศที่บริสุทธิ์ ก่อให้เกิดต้นน้ําลําธาร พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีต้องการให้กรุงเทพมหานคร และจังหวัดใหญ่ ๆ มีอากาศที่บริสุทธิ์เหมือนต่างจังหวัดด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า คนไทยทุกคนต้องรักและสามัคคีกัน เพราะความรักความสามัคคีเป็นบ่อเกิดแห่งความสําเร็จอย่างยั่งยืน เพราะฉะนั้นจึงอยากจะขอความร่วมมือทุกคนอย่าทะเลาะกัน รวมถึงอย่ารวมตัวประท้วง เพราะจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศ โดยเฉพาะผลเสียต่อการท่องเที่ยว ซึ่งจากการได้ไปพบหารือกับผู้นําต่างประเทศในหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา ต่างประเทศมีความชื่นชอบประเทศไทยมาก ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติที่สวยงาม อาหารรสชาติอร่อย ที่พักราคาถูก รวมไปถึงความมีน้ําใจ รอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของคนไทย ทําให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเลือกที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยไม่ว่าเทศกาลไหน แต่สิ่งที่คนไทยทุกคนต้องช่วยกันปรับปรุงแก้ไข สร้างความเข้าใจต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติคือเรื่องของกฎระเบียบ และการปฏิบัติตามกฎหมาย วัฒนธรรมของประเทศไทย รวมทั้งต้องช่วยกันเป็นเจ้าภาพที่ดีสร้างความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ต่อนักท่องเที่ยวเพื่อภาพลักษณ์ที่ดียิ่งขึ้น
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้เนื่องในวันต้นไม้แห่งชาติ ภายใต้โครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ปี พ.ศ. 2561 ร่วมกับข้าราชการ และพลังมวลชนชาวจังหวัดราชบุรี อาทิ ต้นรวงผึ้ง (ต้นไม้ประจํารัชกาลที่ 10) ต้นกัลปพฤกษ์ (ต้นไม้ประจําจังหวัดราชบุรี) ต้นยางนา ต้นตะแบก ต้นปีบ เป็นต้น
หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะนั่งรถรางเยี่ยมชมโครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม อันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดราชบุรี และรับฟังการบรรยายสรุปโดยผู้อํานวยการศูนย์ศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม อันเนื่องมาจากพระราชดําริ เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีและคณะได้ร่วมกันปล่อยพันธุ์สัตว์น้ําต่าง ๆ ประกอบด้วย ปลายี่สก (ปลาประจําจังหวัดราชบุรี) และปลานิล ณ อ่างเก็บน้ําเขาชะงุ้ม
--------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพร้อมประชาชนทุกภาคส่วนของ จ.ราชบุรี ร่วมกันปลูกต้นไม้ เพื่อเสริมสร้างความรัก ความสามัคคี และร่วมกันกระทำความดีให้กับประเทศชาติ
วันพุธที่ 23 พฤษภาคม 2561
นายกรัฐมนตรีพร้อมประชาชนทุกภาคส่วนของ จ.ราชบุรี ร่วมกันปลูกต้นไม้ เพื่อเสริมสร้างความรัก ความสามัคคี และร่วมกันกระทําความดีให้กับประเทศชาติ
นายกรัฐมนตรีเปิดโครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ปี พ.ศ. 2561 เพื่อรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9
วันนี้ (23 พฤษภาคม 2561) เวลา 08.20 น. ณ ศูนย์ศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม อันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดราชบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดโครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ปี พ.ศ. 2561 โดยมีรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ผู้ว่าราชการจังหวัด ที่เกี่ยวข้อง หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนภาคเอกชน และประชาชนเข้าร่วม
สําหรับโครงการดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนร่วมกันปลูกต้นไม้ เพื่อเป็นการเสริมสร้างความรัก ความสามัคคี และร่วมกันกระทําความดีให้กับประเทศชาติ ตามพระราโชบายฯ และปลูกฝังจิตสํานึกในการอนุรักษ์ต้นไม้ และทรัพยากรป่าไม้ ให้แก่ประชาชนทุกคนในประเทศ ทั้งนี้ มีกําหนดการดําเนินโครงการฯ โดยส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนร่วมกันปลูกต้นไม้ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 29 พฤษภาคม – 30 กันยายน 2561 ในพื้นที่กรรมสิทธิ์ของประชาชนและพื้นที่ของรัฐทุกประเภท รวมทั้งสิ้น 2,550,703 ต้น
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดโครงการ พร้อมกล่าวมอบนโยบายการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ และกล่าวพบปะประชาชนที่เข้าร่วมโครงการตอนหนึ่งว่า การลงพื้นที่มาพบปะประชาชนในวันนี้ เพราะต้องการเห็นรอยยิ้มของประชาชนในพื้นที่ ไม่ต้องการให้ประชาชนมารักนายกฯ แต่ขอให้รักพื้นที่ รักจังหวัด และรักประเทศชาติ ทั้งนี้ การปลูกต้นไม้ที่สําคัญคือการดูแลหลังการปลูกให้ต้นไม้เจริญเติบโต ปลูกแล้วต้องคอยติดตามประเมินผลไม่ให้ต้นไม้ตาย ซึ่งการปลูกต้นไม้ทุกคนสามารถปลูกได้ทุกวัน ไม่จําเป็นต้องรอโครงการและรอการสนับสนุนงบประมาณในการซื้อกล้าไม้จากหน่วยงานภาครัฐ ขอให้ปลูกต้นไม้ที่ชื่นชอบ รวมทั้งขอให้ช่วยกันปลูกไม้ดอกที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เพื่อให้เกิดความสวยงามตามสถานที่ต่าง ๆ อันจะก่อให้เกิดการท่องเที่ยวและสร้างรายได้ตามมา และป่าไม้คือชีวิตของคน ของสัตว์ป่า และธรรมชาติ เมื่อป่าไม้มีความอุดมสมบูรณ์จะส่งผลต่ออากาศที่บริสุทธิ์ ก่อให้เกิดต้นน้ําลําธาร พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีต้องการให้กรุงเทพมหานคร และจังหวัดใหญ่ ๆ มีอากาศที่บริสุทธิ์เหมือนต่างจังหวัดด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า คนไทยทุกคนต้องรักและสามัคคีกัน เพราะความรักความสามัคคีเป็นบ่อเกิดแห่งความสําเร็จอย่างยั่งยืน เพราะฉะนั้นจึงอยากจะขอความร่วมมือทุกคนอย่าทะเลาะกัน รวมถึงอย่ารวมตัวประท้วง เพราะจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศ โดยเฉพาะผลเสียต่อการท่องเที่ยว ซึ่งจากการได้ไปพบหารือกับผู้นําต่างประเทศในหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา ต่างประเทศมีความชื่นชอบประเทศไทยมาก ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติที่สวยงาม อาหารรสชาติอร่อย ที่พักราคาถูก รวมไปถึงความมีน้ําใจ รอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของคนไทย ทําให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเลือกที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยไม่ว่าเทศกาลไหน แต่สิ่งที่คนไทยทุกคนต้องช่วยกันปรับปรุงแก้ไข สร้างความเข้าใจต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติคือเรื่องของกฎระเบียบ และการปฏิบัติตามกฎหมาย วัฒนธรรมของประเทศไทย รวมทั้งต้องช่วยกันเป็นเจ้าภาพที่ดีสร้างความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ต่อนักท่องเที่ยวเพื่อภาพลักษณ์ที่ดียิ่งขึ้น
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้เนื่องในวันต้นไม้แห่งชาติ ภายใต้โครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ปี พ.ศ. 2561 ร่วมกับข้าราชการ และพลังมวลชนชาวจังหวัดราชบุรี อาทิ ต้นรวงผึ้ง (ต้นไม้ประจํารัชกาลที่ 10) ต้นกัลปพฤกษ์ (ต้นไม้ประจําจังหวัดราชบุรี) ต้นยางนา ต้นตะแบก ต้นปีบ เป็นต้น
หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะนั่งรถรางเยี่ยมชมโครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม อันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดราชบุรี และรับฟังการบรรยายสรุปโดยผู้อํานวยการศูนย์ศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม อันเนื่องมาจากพระราชดําริ เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีและคณะได้ร่วมกันปล่อยพันธุ์สัตว์น้ําต่าง ๆ ประกอบด้วย ปลายี่สก (ปลาประจําจังหวัดราชบุรี) และปลานิล ณ อ่างเก็บน้ําเขาชะงุ้ม
--------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12451
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. เผยไมโครอินชัวรันส์บูม ! คุ้มครองความเสี่ยงภัยให้ผู้มีรายได้น้อย ยอดขายกว่า 4 ล้านฉบับ เบี้ยสะพัดกว่า 2,000 ล้านบาท
|
วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2561
คปภ. เผยไมโครอินชัวรันส์บูม ! คุ้มครองความเสี่ยงภัยให้ผู้มีรายได้น้อย ยอดขายกว่า 4 ล้านฉบับ เบี้ยสะพัดกว่า 2,000 ล้านบาท
จากข้อมูลการรับประกันภัยกรมธรรม์ประกันภัยสําหรับรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) ในปี 2560 พบว่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 มีจํานวนกรมธรรม์ประกันภัยสําหรับรายย่อยที่มีผลบังคับทั้งสิ้น 4,079,144 ฉบับ คิดเป็นเบี้ยประกันภัยรับรวม 2,189,873,638.24 บาท
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่าปี 2560 นับเป็นปีที่สํานักงาน คปภ. ครบรอบ 10 ปี ในการทําหน้าที่กํากับและส่งเสริมธุรกิจประกันภัย ตลอดจนการคุ้มครองผู้บริโภคด้านประกันภัยให้ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งมีการทํางานในเชิงรุก และบูรณาการอย่างมุ่งมั่น เต็มความรู้ ความสามารถ เพื่อให้สํานักงาน คปภ. เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยให้สามารถเป็นที่พึ่งที่ยั่งยืนให้แก่ประชาชนทุกระดับในวงกว้าง โดยหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายหลักก็คือประชาชนในระดับฐานรากที่มีรายได้น้อยให้สามารถเข้าถึงระบบประกันภัย ในขณะเดียวกันสํานักงาน คปภ. มีนโยบายมุ่งเน้นพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในกลุ่มนี้ ผ่านการขับเคลื่อนองค์กรสู่ประชาชนให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ให้สามารถใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงในชีวิต และทรัพย์สินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้มีการส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสําหรับรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) อย่างต่อเนื่อง อาทิ กรมธรรม์ประกันภัย 200 กรมธรรม์ประกันภัยประกันภัย 100 และกรมธรรม์ประกันภัย 222 ซึ่งจําหน่ายเฉพาะในช่วงเทศกาล รวมถึงกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุเพื่อคนพิการ พร้อมออกประกาศ/คําสั่งที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผลักดันให้บริษัทประกันภัยพัฒนาและเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยสําหรับรายย่อยขึ้นเองเพื่อความหลากหลายและประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน
ทั้งนี้ จากข้อมูลการรับประกันภัยกรมธรรม์ประกันภัยสําหรับรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) ในปี 2560 พบว่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 มีจํานวนกรมธรรม์ประกันภัยสําหรับรายย่อยที่มีผลบังคับทั้งสิ้น 4,079,144 ฉบับ คิดเป็นเบี้ยประกันภัยรับรวม 2,189,873,638.24 บาท และมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนไปทั้งสิ้น 1,789,333,895.28 บาท โดยมีอัตราส่วนค่าสินไหมทดแทนต่อเบี้ยประกันภัยรับรวม หรือ Loss Ratio เท่ากับร้อยละ 81.71 โดยหากพิจารณาในแต่ละประเภทของกรมธรรม์ประกันภัยสําหรับรายย่อยจะสามารถแบ่งเป็นกรมธรรม์ประกันภัย 200 จํานวน 65,517 ฉบับ มีเบี้ยประกันภัย 13,103,400 บาท และมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทน 6,150,000 บาท กรมธรรม์ประกันภัย 100 จํานวน 63,069 ฉบับ มีเบี้ยประกันภัย 6,306,900 บาท และมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทน 2,940,000 บาท กรมธรรม์ประกันภัย 222 จํานวน 14,006 ฉบับ มีเบี้ยประกันภัย 3,109,332 บาท และมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทน 229,226.80 บาท กรมธรรม์ประกันภัยรายย่อยอื่นๆ ของบริษัทประกันชีวิต จํานวน 35,423 ฉบับ มีเบี้ยประกันภัย 40,918,776.67 บาท และมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทน 26,656,118.06 บาท กรมธรรม์ประกันภัยรายย่อยอื่นๆ ของบริษัทประกันวินาศภัย จํานวน 453,535 ฉบับ มีเบี้ยประกันภัย 138,072,317.57 บาท และมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทน 66,567,315.19 บาท และประกันภัยข้าวนาปี จํานวน 3,447,594 ฉบับ มีเบี้ยประกันภัย 1,988,362,912 บาท และมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทน 1,686,791,235 บาท
“จากสถิติการรับประกันภัยสําหรับรายย่อยใน 3 ปีหลังสุดตั้งแต่ปี 2557-2560 จะเห็นได้ว่าจํานวนกรมธรรม์ประกันภัยสําหรับรายย่อยในภาพรวมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2560 มีการจําหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยสําหรับรายย่อยเพิ่มขึ้นจากปี 2559 ร้อยละ 2.52 สําหรับในปี 2561 สํานักงาน คปภ. ยังคงมีแผนที่จะต่อยอดความสําเร็จของกรมธรรม์ประกันภัยสําหรับรายย่อย ผ่านทั้งการพัฒนาตลาดด้านผลิตภัณฑ์ประกันภัยสําหรับรายย่อยเพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้เอาประกันภัยให้ได้รับความคุ้มครองที่ตรงความต้องการด้วยเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสมกับความเสี่ยงของผู้เอาประกันภัยแต่ละราย และยังคงจะมีการขับเคลื่อนองค์กรสู่ประชาชน ผ่านโครงการ คปภ. เพื่อชุมชนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประชาชนในชุมชนต่างๆ ของประเทศมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยและสิทธิประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย รวมถึงมีการต่อยอดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสําหรับผู้มีรายได้น้อยและผู้ด้อยโอกาสที่มีความเหมาะสมกับชุมชนต่างๆ ต่อไป” เลขาธิการกล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. เผยไมโครอินชัวรันส์บูม ! คุ้มครองความเสี่ยงภัยให้ผู้มีรายได้น้อย ยอดขายกว่า 4 ล้านฉบับ เบี้ยสะพัดกว่า 2,000 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2561
คปภ. เผยไมโครอินชัวรันส์บูม ! คุ้มครองความเสี่ยงภัยให้ผู้มีรายได้น้อย ยอดขายกว่า 4 ล้านฉบับ เบี้ยสะพัดกว่า 2,000 ล้านบาท
จากข้อมูลการรับประกันภัยกรมธรรม์ประกันภัยสําหรับรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) ในปี 2560 พบว่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 มีจํานวนกรมธรรม์ประกันภัยสําหรับรายย่อยที่มีผลบังคับทั้งสิ้น 4,079,144 ฉบับ คิดเป็นเบี้ยประกันภัยรับรวม 2,189,873,638.24 บาท
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่าปี 2560 นับเป็นปีที่สํานักงาน คปภ. ครบรอบ 10 ปี ในการทําหน้าที่กํากับและส่งเสริมธุรกิจประกันภัย ตลอดจนการคุ้มครองผู้บริโภคด้านประกันภัยให้ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งมีการทํางานในเชิงรุก และบูรณาการอย่างมุ่งมั่น เต็มความรู้ ความสามารถ เพื่อให้สํานักงาน คปภ. เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยให้สามารถเป็นที่พึ่งที่ยั่งยืนให้แก่ประชาชนทุกระดับในวงกว้าง โดยหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายหลักก็คือประชาชนในระดับฐานรากที่มีรายได้น้อยให้สามารถเข้าถึงระบบประกันภัย ในขณะเดียวกันสํานักงาน คปภ. มีนโยบายมุ่งเน้นพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในกลุ่มนี้ ผ่านการขับเคลื่อนองค์กรสู่ประชาชนให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ให้สามารถใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงในชีวิต และทรัพย์สินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้มีการส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสําหรับรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) อย่างต่อเนื่อง อาทิ กรมธรรม์ประกันภัย 200 กรมธรรม์ประกันภัยประกันภัย 100 และกรมธรรม์ประกันภัย 222 ซึ่งจําหน่ายเฉพาะในช่วงเทศกาล รวมถึงกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุเพื่อคนพิการ พร้อมออกประกาศ/คําสั่งที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผลักดันให้บริษัทประกันภัยพัฒนาและเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยสําหรับรายย่อยขึ้นเองเพื่อความหลากหลายและประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน
ทั้งนี้ จากข้อมูลการรับประกันภัยกรมธรรม์ประกันภัยสําหรับรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) ในปี 2560 พบว่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 มีจํานวนกรมธรรม์ประกันภัยสําหรับรายย่อยที่มีผลบังคับทั้งสิ้น 4,079,144 ฉบับ คิดเป็นเบี้ยประกันภัยรับรวม 2,189,873,638.24 บาท และมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนไปทั้งสิ้น 1,789,333,895.28 บาท โดยมีอัตราส่วนค่าสินไหมทดแทนต่อเบี้ยประกันภัยรับรวม หรือ Loss Ratio เท่ากับร้อยละ 81.71 โดยหากพิจารณาในแต่ละประเภทของกรมธรรม์ประกันภัยสําหรับรายย่อยจะสามารถแบ่งเป็นกรมธรรม์ประกันภัย 200 จํานวน 65,517 ฉบับ มีเบี้ยประกันภัย 13,103,400 บาท และมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทน 6,150,000 บาท กรมธรรม์ประกันภัย 100 จํานวน 63,069 ฉบับ มีเบี้ยประกันภัย 6,306,900 บาท และมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทน 2,940,000 บาท กรมธรรม์ประกันภัย 222 จํานวน 14,006 ฉบับ มีเบี้ยประกันภัย 3,109,332 บาท และมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทน 229,226.80 บาท กรมธรรม์ประกันภัยรายย่อยอื่นๆ ของบริษัทประกันชีวิต จํานวน 35,423 ฉบับ มีเบี้ยประกันภัย 40,918,776.67 บาท และมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทน 26,656,118.06 บาท กรมธรรม์ประกันภัยรายย่อยอื่นๆ ของบริษัทประกันวินาศภัย จํานวน 453,535 ฉบับ มีเบี้ยประกันภัย 138,072,317.57 บาท และมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทน 66,567,315.19 บาท และประกันภัยข้าวนาปี จํานวน 3,447,594 ฉบับ มีเบี้ยประกันภัย 1,988,362,912 บาท และมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทน 1,686,791,235 บาท
“จากสถิติการรับประกันภัยสําหรับรายย่อยใน 3 ปีหลังสุดตั้งแต่ปี 2557-2560 จะเห็นได้ว่าจํานวนกรมธรรม์ประกันภัยสําหรับรายย่อยในภาพรวมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2560 มีการจําหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยสําหรับรายย่อยเพิ่มขึ้นจากปี 2559 ร้อยละ 2.52 สําหรับในปี 2561 สํานักงาน คปภ. ยังคงมีแผนที่จะต่อยอดความสําเร็จของกรมธรรม์ประกันภัยสําหรับรายย่อย ผ่านทั้งการพัฒนาตลาดด้านผลิตภัณฑ์ประกันภัยสําหรับรายย่อยเพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้เอาประกันภัยให้ได้รับความคุ้มครองที่ตรงความต้องการด้วยเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสมกับความเสี่ยงของผู้เอาประกันภัยแต่ละราย และยังคงจะมีการขับเคลื่อนองค์กรสู่ประชาชน ผ่านโครงการ คปภ. เพื่อชุมชนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประชาชนในชุมชนต่างๆ ของประเทศมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยและสิทธิประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย รวมถึงมีการต่อยอดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสําหรับผู้มีรายได้น้อยและผู้ด้อยโอกาสที่มีความเหมาะสมกับชุมชนต่างๆ ต่อไป” เลขาธิการกล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10466
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ลุยสถานศึกษา สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย
|
วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน 2561
ก.แรงงาน ลุยสถานศึกษา สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย
กระทรวงแรงงาน เดินหน้า Safety Thailand มุ่งเป้าสถานศึกษาทั่วประเทศ ร่วมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยเชิงป้องกัน เน้นนักเรียน นักศึกษา และบุคลากรด้านการศึกษาต้องปลอดภัย พร้อมสร้างจิตสํานึกก่อนเข้าสู่วัยทํางาน
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า การดําเนินการ ด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานเป็นนโยบายที่กระทรวงแรงงาน โดย พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้ความสําคัญและได้กําหนดเป็นนโยบายเร่งด่วน โดยมุ่งเน้นการขับเคลื่อนนโยบาย Safety Thailand ด้วยการตรวจและบังคับให้บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังเพื่อลดอัตรา การประสบอันตรายจากการทํางาน คุ้มครองคนทํางานทุกคนให้มีความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยดี นอกจากนี้ ยังได้เดินหน้าสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในเชิงป้องกัน โดยเริ่มบ่มเพาะตั้งแต่วัยนักเรียน นักศึกษาในสถานศึกษาซึ่งจะเติบโตเป็นกําลังที่สําคัญของชาติในอนาคต อีกทั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงานโดยการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจและความตระหนักจนเกิดเป็นวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยในการทํางานในที่สุด
อธิบดี กสร. กล่าวต่อไปว่า กิจกรรมสถานศึกษาปลอดภัยเป็นการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนตามแนวทางประชารัฐ โดยในปี 2561 นี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ความปลอดภัย คือภูมิคุ้มกันชีวิต ฝึกคิด ฝึกทํา ตั้งแต่วันนี้ โดยเชิญชวนสถานศึกษาทั่วประเทศตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงอุดมศึกษา รวมถึงการศึกษานอกโรงเรียนเข้าร่วมกิจกรรม โดยสามารถสมัครได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 29 มิถุนายน 2561 สถานศึกษาที่ผ่านเกณฑ์ การประเมิน จะได้รับโล่รางวัลและเกียรติบัตรเพื่อยกย่องว่าสถานศึกษาของท่านเป็นต้นแบบที่ดีในการดําเนินการความปลอดภัยให้กับนักเรียน นักศึกษาและบุคลากรในสถานศึกษา สําหรับหลักเกณฑ์ ข้อกําหนดและรายละเอียดอื่น ๆ สามารถสอบถามได้ที่ กองความปลอดภัยแรงงาน โทรศัพท์ 0 2448 9128 ต่อ 709 หรือติดตามจากเว็บไซต์ www.oshthai.org
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ลุยสถานศึกษา สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย
วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน 2561
ก.แรงงาน ลุยสถานศึกษา สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย
กระทรวงแรงงาน เดินหน้า Safety Thailand มุ่งเป้าสถานศึกษาทั่วประเทศ ร่วมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยเชิงป้องกัน เน้นนักเรียน นักศึกษา และบุคลากรด้านการศึกษาต้องปลอดภัย พร้อมสร้างจิตสํานึกก่อนเข้าสู่วัยทํางาน
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า การดําเนินการ ด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานเป็นนโยบายที่กระทรวงแรงงาน โดย พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้ความสําคัญและได้กําหนดเป็นนโยบายเร่งด่วน โดยมุ่งเน้นการขับเคลื่อนนโยบาย Safety Thailand ด้วยการตรวจและบังคับให้บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังเพื่อลดอัตรา การประสบอันตรายจากการทํางาน คุ้มครองคนทํางานทุกคนให้มีความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยดี นอกจากนี้ ยังได้เดินหน้าสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในเชิงป้องกัน โดยเริ่มบ่มเพาะตั้งแต่วัยนักเรียน นักศึกษาในสถานศึกษาซึ่งจะเติบโตเป็นกําลังที่สําคัญของชาติในอนาคต อีกทั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงานโดยการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจและความตระหนักจนเกิดเป็นวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยในการทํางานในที่สุด
อธิบดี กสร. กล่าวต่อไปว่า กิจกรรมสถานศึกษาปลอดภัยเป็นการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนตามแนวทางประชารัฐ โดยในปี 2561 นี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ความปลอดภัย คือภูมิคุ้มกันชีวิต ฝึกคิด ฝึกทํา ตั้งแต่วันนี้ โดยเชิญชวนสถานศึกษาทั่วประเทศตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงอุดมศึกษา รวมถึงการศึกษานอกโรงเรียนเข้าร่วมกิจกรรม โดยสามารถสมัครได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 29 มิถุนายน 2561 สถานศึกษาที่ผ่านเกณฑ์ การประเมิน จะได้รับโล่รางวัลและเกียรติบัตรเพื่อยกย่องว่าสถานศึกษาของท่านเป็นต้นแบบที่ดีในการดําเนินการความปลอดภัยให้กับนักเรียน นักศึกษาและบุคลากรในสถานศึกษา สําหรับหลักเกณฑ์ ข้อกําหนดและรายละเอียดอื่น ๆ สามารถสอบถามได้ที่ กองความปลอดภัยแรงงาน โทรศัพท์ 0 2448 9128 ต่อ 709 หรือติดตามจากเว็บไซต์ www.oshthai.org
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12686
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ศาสตร์พระราชาจะดำรงอยู่กับลูกหลานตลอดไป" ที่ รร.ไชยฉิมพลีวิทยาคม
|
วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2560
"ศาสตร์พระราชาจะดํารงอยู่กับลูกหลานตลอดไป" ที่ รร.ไชยฉิมพลีวิทยาคม
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยี่ยมเยียนพบปะสนทนากับผู้บริหาร คณาจารย์ นักเรียนโรงเรียนไชยฉิมพลีวิทยาคม และบรรยายพิเศษ เรื่อง ‘ศาสตร์พระราชาจะดํารงอยู่กับลูกหลานตลอดไป และโครงการการใช้ภาษาต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยี่ยมเยียนพบปะสนทนากับผู้บริหาร คณาจารย์ นักเรียนโรงเรียนไชยฉิมพลีวิทยาคม และบรรยายพิเศษ เรื่อง ‘ศาสตร์พระราชาจะดํารงอยู่กับลูกหลานตลอดไป และโครงการการใช้ภาษาต่างประเทศ (Diplomatic Language, ภาษาทางการทูต)' ณ หอประชุมโรงเรียนไชยฉิมพลีวิทยาคม เขตภาษีเจริญ
"ขอให้ลูกหลานช่วยกันสืบสานพระราชปณิธาน 'สถานศึกษาคุณธรรม'ตามที่กระทรวงศึกษาธิการได้ดําเนินโครงการโรงเรียนคุณธรรมในสถานศึกษาทุกสังกัดทั่วประเทศ ซึ่งมีกรอบแนวคิดที่สําคัญ 5 ประการ คือ ความพอเพียง ความกตัญญู ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ และอุดมการณ์คุณธรรมจริยธรรม
อีกทั้งขอให้น้อมนําศาสตร์พระราชาในเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริต ความเพียร ความรู้-รัก-สามัคคี และเข้าใจ-เข้าถึง-พัฒนา รวมทั้งพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ว่าด้วยความเป็นนักการศึกษาที่ดี การมีทัศนคติที่ดีต่อกัน มาเป็น 'เข็มทิศชีวิต' ทั้งในด้านการเรียน การทํางาน และการดํารงชีวิต อันจะนําพาทั้งตนเอง โรงเรียน องค์กร และสังคมสู่ความเจริญและสามารถพัฒนาการศึกษาไปสู่ความเป็นเลิศได้
นอกจากนี้ ขอแนะนําให้ลูกหลานนําวิธีการพูดทางการทูต ที่มีความสุภาพ ไพเราะ อ่อนโยน "ไปปรับใช้ เพื่อช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพและประทับใจผู้ฟัง" เพราะลักษณะวิธีการพูดทางการทูตนั้น วิชาชีพอื่นก็สามารถนําไปใช้ได้ สิ่งสําคัญอยู่ที่เราต้องคิดก่อนพูด ตลอดจนขอให้ร่วมกันใช้ Social Media อย่างสร้างสรรค์ ไม่ใส่ร้ายป้ายสีใคร สิ่งใดที่ไม่ใช่เรื่องของเรา ก็ไม่จําเป็นต้องโพสต์แสดงความคิดเห็นหรือว่ากล่าวใคร"
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สํานักงานรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ศาสตร์พระราชาจะดำรงอยู่กับลูกหลานตลอดไป" ที่ รร.ไชยฉิมพลีวิทยาคม
วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2560
"ศาสตร์พระราชาจะดํารงอยู่กับลูกหลานตลอดไป" ที่ รร.ไชยฉิมพลีวิทยาคม
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยี่ยมเยียนพบปะสนทนากับผู้บริหาร คณาจารย์ นักเรียนโรงเรียนไชยฉิมพลีวิทยาคม และบรรยายพิเศษ เรื่อง ‘ศาสตร์พระราชาจะดํารงอยู่กับลูกหลานตลอดไป และโครงการการใช้ภาษาต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยี่ยมเยียนพบปะสนทนากับผู้บริหาร คณาจารย์ นักเรียนโรงเรียนไชยฉิมพลีวิทยาคม และบรรยายพิเศษ เรื่อง ‘ศาสตร์พระราชาจะดํารงอยู่กับลูกหลานตลอดไป และโครงการการใช้ภาษาต่างประเทศ (Diplomatic Language, ภาษาทางการทูต)' ณ หอประชุมโรงเรียนไชยฉิมพลีวิทยาคม เขตภาษีเจริญ
"ขอให้ลูกหลานช่วยกันสืบสานพระราชปณิธาน 'สถานศึกษาคุณธรรม'ตามที่กระทรวงศึกษาธิการได้ดําเนินโครงการโรงเรียนคุณธรรมในสถานศึกษาทุกสังกัดทั่วประเทศ ซึ่งมีกรอบแนวคิดที่สําคัญ 5 ประการ คือ ความพอเพียง ความกตัญญู ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ และอุดมการณ์คุณธรรมจริยธรรม
อีกทั้งขอให้น้อมนําศาสตร์พระราชาในเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริต ความเพียร ความรู้-รัก-สามัคคี และเข้าใจ-เข้าถึง-พัฒนา รวมทั้งพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ว่าด้วยความเป็นนักการศึกษาที่ดี การมีทัศนคติที่ดีต่อกัน มาเป็น 'เข็มทิศชีวิต' ทั้งในด้านการเรียน การทํางาน และการดํารงชีวิต อันจะนําพาทั้งตนเอง โรงเรียน องค์กร และสังคมสู่ความเจริญและสามารถพัฒนาการศึกษาไปสู่ความเป็นเลิศได้
นอกจากนี้ ขอแนะนําให้ลูกหลานนําวิธีการพูดทางการทูต ที่มีความสุภาพ ไพเราะ อ่อนโยน "ไปปรับใช้ เพื่อช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพและประทับใจผู้ฟัง" เพราะลักษณะวิธีการพูดทางการทูตนั้น วิชาชีพอื่นก็สามารถนําไปใช้ได้ สิ่งสําคัญอยู่ที่เราต้องคิดก่อนพูด ตลอดจนขอให้ร่วมกันใช้ Social Media อย่างสร้างสรรค์ ไม่ใส่ร้ายป้ายสีใคร สิ่งใดที่ไม่ใช่เรื่องของเรา ก็ไม่จําเป็นต้องโพสต์แสดงความคิดเห็นหรือว่ากล่าวใคร"
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สํานักงานรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7875
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ ลุย แจกถุงยังชีพ ช่วยประชาชน ! จุรินทร์ นำคณะบรรเทาทุกข์คนเดือดร้อน พร้อมตั้งหน้าทำงาน-ปรับวิธีรับมือทุกวิกฤติ
|
วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2563
พาณิชย์ ลุย แจกถุงยังชีพ ช่วยประชาชน ! จุรินทร์ นําคณะบรรเทาทุกข์คนเดือดร้อน พร้อมตั้งหน้าทํางาน-ปรับวิธีรับมือทุกวิกฤติ
วันที่ 9 สิงหาคม 2563 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับปลัดกระทรวงพาณิชย์ และคณะ ลงพื้นที่แจกถุงยังชีพให้กับประชาชนที่โรงเรียนรัตนโกสินทร์ร่มเกล้า การเคหะร่มเกล้า เขตลาดกระบัง และ เขตคลองสามวา
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์นั้นเราก็ยังดําเนินการในเรื่องของรายได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ประสบกับภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว สงครามการค้ายังไม่เลิก และขณะเดียวกันประสบกับภัยโควิดซ้ําซ้อนด้วยกัน การปรับตัวเข้าสู่ยุคนิวนอร์มอล เป็นเรื่องสําคัญโดยเฉพาะในเรื่องของการค้าการลงทุน โดยเฉพาะในส่วนของการค้าที่กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบโดยตรงก็ได้มีการปรับรูปแบบการตลาดหลายรูปแบบ ตั้งแต่การปรับตัวจากระบบออฟไลน์ทั่วไป นั่นคือการค้าแบบดั้งเดิม รูปแบบนี้ก็ยังใช้อยู่ แต่ต้องมีการเพิ่มเติมอีกหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น รูปแบบของการค้าออนไลน์ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทสําคัญ และกระทรวงพาณิชย์เองก็เข้ามามีบทบาทในการที่จะส่งเสริมเรื่องนี้ตั้งแต่การที่กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับภาคเอกชนจัดให้มีการพบปะกันระหว่างผู้นําเข้าต่างประเทศหลายประเทศและผู้ส่งออกของเราบนหน้าจอ เพื่อให้สามารถทําสัญญาซื้อขายกันได้ในระบบออนไลน์
ซึ่งที่ผ่านมาก็ประสบความสําเร็จไม่ว่าจะเป็นพืชผลทางเกษตร ผลไม้หรือแม้แต่สินค้าเกษตรแปรรูปอาหาร และสินค้าอื่นๆนอกจากนั้นจะใช้ รูปแบบเคาน์เตอร์เทรด คือการแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกันทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ถ้ามีส่วนเหลื่อมของมูลค่าก็ชําระเป็นเงินสด หรือถ้าเพิ่มเติมสินค้าชนิดอื่นยกตัวอย่างเช่นเมื่อวานที่จังหวัดนครศรีธรรมราชก็ได้มีการนําสินค้าสําคัญๆ มาแลกเปลี่ยนกัน เช่น นํามันแกวมาแลกกับปลาก็เป็นเรื่องที่ช่วยให้สามารถทําให้ค้าขายกันได้ เพราะต่างฝ่ายต่างไม่มีเงินสดในภาวะที่เศรษฐกิจพลิกผันไป นอกจากนั้นที่สําคัญอีกรูปแบบหนึ่งคือเกษตรพันธสัญญาคือการลงนามจะซื้อจะขายและทําสัญญาระหว่างกันว่าถ้าเกษตรกรผลิตผลผลิตทางการเกษตรได้ตามมาตรฐานที่กําหนด ผู้ซื้อก็ยินดีรับซื้อในราคาไม่ต่ํากว่าเท่าไหร่ภายในระยะเวลาหนึ่งปี ซึ่งเมื่อวานก็สามารถทําสัญญาขายมังคุด ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชได้ 1000 กว่าตันสําหรับเกษตรกรทั้งสองอําเภอ เพราะฉะนั้นอันนี้ก็จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง
" รวมทั้งที่จังหวัดเชียงใหม่เมื่อไม่นานมานี้ที่ผมเรียกว่าอมก๋อยโมเดล นั่นก็คือการนําเกษตรกรเชื้อสายกะเหรี่ยงที่ปลูกพืชผักผลไม้ก็สามารถลงนามเซ็นสัญญาขายของได้จํานวนมาก อันนี้ก็เป็นตัวอย่างที่เราดําเนินการไปแล้ว เพราะฉะนั้นการปรับรูปแบบการค้าในยุคนิวนอร์มอลก็ถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสําคัญอย่างน้อย 4 รูปแบบนี้ถือเป็นกระบวนการที่ช่วยให้เดินหน้าต่อไป บวกกับเรื่องสุดท้ายคือเรื่องการค้าชายแดนเพราะว่าการค้าชายแดนจะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างประเทศเพื่อนบ้านของเรา ซึ่งขณะนี้ก็กําลังดําเนินการให้เกิดการเปิดด่านที่ปิดไป รวมทั้งเปิดด่านใหม่ๆทั่วประเทศ ทั้งในส่วนของมาเลย์ เมียนม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม และรวมไปถึงประเทศจีน " นายจุรินทร์กล่าว
ส่วนโครงการพาณิชย์ลดราคานั้นก็ได้ดําเนินการมาถึงล็อตที่ 5 แล้วซึ่งลงลึกไปถึงระดับอําเภอ เพราะฉะนั้นทุกอําเภอได้มีการจัดเสร็จสิ้นแล้วโดยลดสูงสุดถึง 80% และมีสินค้าทั้งหมดกว่า 7,000 รายการ และจะมีล็อต 6 อีกที่จะลงลึกกว่าอําเภอ นั่นก็คือลงลึกไปถึงร้านโชห่วยที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกระทรวงพาณิชย์ไปปรับปรุงให้เป็นสมาร์ทโชห่วย และที่ยังไม่ปรับปรุงให้เข้าร่วมโครงการลดราคาในร้านโชห่วยทั่วประเทศ ซึ่งจะมีการเปิดตัวเร็วๆนี้ เพื่อช่วยลดค่าครองชีพให้ประชาชนลึกลงไปถึงระดับหมู่บ้านไม่ใช่แค่ระดับอําเภอ
นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้ก็ถือเป็นการลงพื้นที่ของในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อีกด้วย เนื่องจากในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งวันนี้ก็จะลงพื้นที่สองเขตด้วยกันคือเขตลาดกระบังและเขตคลองสามวา ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาเราก็เห็นว่ากรุงเทพมหานครมีความสําคัญไม่แพ้กับภาคอื่นๆทั่วประเทศและถือว่าเป็นพื้นที่เป้าหมายของพรรคประชาธิปัตย์ และขอเรียนความคืบหน้าสําหรับว่า สําหรับการคัดเลือกตัวผู้สมัคร สก. ส.ส.ช่างท้องถิ่นและระดับชาติคืบหน้าไปกว่า 80% แล้ว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ ลุย แจกถุงยังชีพ ช่วยประชาชน ! จุรินทร์ นำคณะบรรเทาทุกข์คนเดือดร้อน พร้อมตั้งหน้าทำงาน-ปรับวิธีรับมือทุกวิกฤติ
วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2563
พาณิชย์ ลุย แจกถุงยังชีพ ช่วยประชาชน ! จุรินทร์ นําคณะบรรเทาทุกข์คนเดือดร้อน พร้อมตั้งหน้าทํางาน-ปรับวิธีรับมือทุกวิกฤติ
วันที่ 9 สิงหาคม 2563 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับปลัดกระทรวงพาณิชย์ และคณะ ลงพื้นที่แจกถุงยังชีพให้กับประชาชนที่โรงเรียนรัตนโกสินทร์ร่มเกล้า การเคหะร่มเกล้า เขตลาดกระบัง และ เขตคลองสามวา
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์นั้นเราก็ยังดําเนินการในเรื่องของรายได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ประสบกับภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว สงครามการค้ายังไม่เลิก และขณะเดียวกันประสบกับภัยโควิดซ้ําซ้อนด้วยกัน การปรับตัวเข้าสู่ยุคนิวนอร์มอล เป็นเรื่องสําคัญโดยเฉพาะในเรื่องของการค้าการลงทุน โดยเฉพาะในส่วนของการค้าที่กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบโดยตรงก็ได้มีการปรับรูปแบบการตลาดหลายรูปแบบ ตั้งแต่การปรับตัวจากระบบออฟไลน์ทั่วไป นั่นคือการค้าแบบดั้งเดิม รูปแบบนี้ก็ยังใช้อยู่ แต่ต้องมีการเพิ่มเติมอีกหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น รูปแบบของการค้าออนไลน์ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทสําคัญ และกระทรวงพาณิชย์เองก็เข้ามามีบทบาทในการที่จะส่งเสริมเรื่องนี้ตั้งแต่การที่กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับภาคเอกชนจัดให้มีการพบปะกันระหว่างผู้นําเข้าต่างประเทศหลายประเทศและผู้ส่งออกของเราบนหน้าจอ เพื่อให้สามารถทําสัญญาซื้อขายกันได้ในระบบออนไลน์
ซึ่งที่ผ่านมาก็ประสบความสําเร็จไม่ว่าจะเป็นพืชผลทางเกษตร ผลไม้หรือแม้แต่สินค้าเกษตรแปรรูปอาหาร และสินค้าอื่นๆนอกจากนั้นจะใช้ รูปแบบเคาน์เตอร์เทรด คือการแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกันทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ถ้ามีส่วนเหลื่อมของมูลค่าก็ชําระเป็นเงินสด หรือถ้าเพิ่มเติมสินค้าชนิดอื่นยกตัวอย่างเช่นเมื่อวานที่จังหวัดนครศรีธรรมราชก็ได้มีการนําสินค้าสําคัญๆ มาแลกเปลี่ยนกัน เช่น นํามันแกวมาแลกกับปลาก็เป็นเรื่องที่ช่วยให้สามารถทําให้ค้าขายกันได้ เพราะต่างฝ่ายต่างไม่มีเงินสดในภาวะที่เศรษฐกิจพลิกผันไป นอกจากนั้นที่สําคัญอีกรูปแบบหนึ่งคือเกษตรพันธสัญญาคือการลงนามจะซื้อจะขายและทําสัญญาระหว่างกันว่าถ้าเกษตรกรผลิตผลผลิตทางการเกษตรได้ตามมาตรฐานที่กําหนด ผู้ซื้อก็ยินดีรับซื้อในราคาไม่ต่ํากว่าเท่าไหร่ภายในระยะเวลาหนึ่งปี ซึ่งเมื่อวานก็สามารถทําสัญญาขายมังคุด ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชได้ 1000 กว่าตันสําหรับเกษตรกรทั้งสองอําเภอ เพราะฉะนั้นอันนี้ก็จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง
" รวมทั้งที่จังหวัดเชียงใหม่เมื่อไม่นานมานี้ที่ผมเรียกว่าอมก๋อยโมเดล นั่นก็คือการนําเกษตรกรเชื้อสายกะเหรี่ยงที่ปลูกพืชผักผลไม้ก็สามารถลงนามเซ็นสัญญาขายของได้จํานวนมาก อันนี้ก็เป็นตัวอย่างที่เราดําเนินการไปแล้ว เพราะฉะนั้นการปรับรูปแบบการค้าในยุคนิวนอร์มอลก็ถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสําคัญอย่างน้อย 4 รูปแบบนี้ถือเป็นกระบวนการที่ช่วยให้เดินหน้าต่อไป บวกกับเรื่องสุดท้ายคือเรื่องการค้าชายแดนเพราะว่าการค้าชายแดนจะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างประเทศเพื่อนบ้านของเรา ซึ่งขณะนี้ก็กําลังดําเนินการให้เกิดการเปิดด่านที่ปิดไป รวมทั้งเปิดด่านใหม่ๆทั่วประเทศ ทั้งในส่วนของมาเลย์ เมียนม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม และรวมไปถึงประเทศจีน " นายจุรินทร์กล่าว
ส่วนโครงการพาณิชย์ลดราคานั้นก็ได้ดําเนินการมาถึงล็อตที่ 5 แล้วซึ่งลงลึกไปถึงระดับอําเภอ เพราะฉะนั้นทุกอําเภอได้มีการจัดเสร็จสิ้นแล้วโดยลดสูงสุดถึง 80% และมีสินค้าทั้งหมดกว่า 7,000 รายการ และจะมีล็อต 6 อีกที่จะลงลึกกว่าอําเภอ นั่นก็คือลงลึกไปถึงร้านโชห่วยที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกระทรวงพาณิชย์ไปปรับปรุงให้เป็นสมาร์ทโชห่วย และที่ยังไม่ปรับปรุงให้เข้าร่วมโครงการลดราคาในร้านโชห่วยทั่วประเทศ ซึ่งจะมีการเปิดตัวเร็วๆนี้ เพื่อช่วยลดค่าครองชีพให้ประชาชนลึกลงไปถึงระดับหมู่บ้านไม่ใช่แค่ระดับอําเภอ
นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้ก็ถือเป็นการลงพื้นที่ของในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อีกด้วย เนื่องจากในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งวันนี้ก็จะลงพื้นที่สองเขตด้วยกันคือเขตลาดกระบังและเขตคลองสามวา ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาเราก็เห็นว่ากรุงเทพมหานครมีความสําคัญไม่แพ้กับภาคอื่นๆทั่วประเทศและถือว่าเป็นพื้นที่เป้าหมายของพรรคประชาธิปัตย์ และขอเรียนความคืบหน้าสําหรับว่า สําหรับการคัดเลือกตัวผู้สมัคร สก. ส.ส.ช่างท้องถิ่นและระดับชาติคืบหน้าไปกว่า 80% แล้ว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34056
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-3-5 ส.ค. นี้ พม. เชิญชวนร่วมงานมหกรรม Thailand Social Expo 2018 ณ Hall 5 - 8 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
|
วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม 2561
3-5 ส.ค. นี้ พม. เชิญชวนร่วมงานมหกรรม Thailand Social Expo 2018 ณ Hall 5 - 8 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
3-5 ส.ค. นี้ พม. เชิญชวนร่วมงานมหกรรม Thailand Social Expo 2018 ณ Hall 5 - 8 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
วันนี้ (2 ส.ค. 61) เวลา 13.30 น. ที่บริเวณโถง ชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯนางสุภัชชา สุทธิพล โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นประธานการแถลงการดําเนินงานตามภารกิจสําคัญของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในประเด็นการจัดงาน Thailand Social Expo 2018 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-5 สิงหาคม 2561 ณ Hall 5 - 8 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี
รัฐบาลโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะองค์กรนําด้านการพัฒนาสังคมของประเทศ มีความมุ่งมั่นในการผลักดันและขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสังคมอย่างเป็นระบบ รวมถึงการสร้างการรับรู้ การแสวงหาความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชนและภาคประชาสังคมในการขับเคลื่อนการพัฒนาสังคม ตลอดจนการสร้างบทบาทนําในการพัฒนาสังคมของประเทศอย่างมีคุณภาพ เพื่อนําไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน ทั้งนี้ กระทรวง พม.จึงได้บูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และทุกภาคส่วนที่ทํางานด้านสังคมกว่า 90 หน่วยงาน กําหนดจัดงานThailand Social Expo 2018ซึ่งเป็นงานแสดงผลงานด้านสังคมของรัฐบาลและงานมหกรรมด้านสังคมครั้งแรกของประเทศไทย ที่แสดงผลงานนวัตกรรมทางสังคม เทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาสังคมและประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ผลการคิดค้น และการดําเนินงานสําคัญในด้านสังคมของไทยและอาเซียน โดยการจัดงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพหน่วยงานด้านสังคมในการขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมของประเทศ สร้างพลังความร่วมมือของหน่วยงานด้านสังคมทุกภาคส่วนแสดงผลงานสําคัญด้านการพัฒนาสังคมของประเทศ นวัตกรรมทางสังคมต้นแบบการพัฒนาสังคม ศักยภาพของกลุ่มเป้าหมาย และองค์ความรู้ด้านสังคม รวมถึงผลผลิต ผลิตภัณฑ์ของหน่วยงานด้านสังคมทุกภาคส่วน และนําเสนองานวิชาการ รายงานสถานการณ์ทางสังคม การคาดการณ์แนวโน้มทางสังคมเพื่อนําไปสู่การกําหนดนโยบาย
การจัดงาน Thailand Social Expo 2018 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-5 สิงหาคม 2561 ณ Hall 5 - 8 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี โดยภายในงานมีกิจกรรมหลัก ได้แก่ การประชุมวิชาการ การแสดงผลงานนวัตกรรม การแสดงผลิตผลด้านสังคม และการแสดงศักยภาพของกลุ่มเป้าหมายและภาคีเครือข่าย ซึ่งประกอบด้วย 4 Zone ดังนี้1) การประชุมวิชาการเสวนา ปาฐกถา การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการพัฒนาสังคม และการนําเสนอรายงานสถานการณ์ทางสังคมทั้งในเชิงประเด็นและเชิงกลุ่มเป้าหมาย อาทิ "พลังสตรีอาเซียน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ”ASEAN Women Empowerment and Economic development "เพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หยุดการกระทําความรุนแรงในทุกรูปแบบ” "Digital Society : ความท้าทายต่อกระบวนทัศน์การพัฒนาเด็กและเยาวชน” "การนําเสนอมติสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ” เป็นต้น2) การแสดงผลงานนวัตกรรมด้านสังคมของประเทศไทยซึ่งเป็นนวัตกรรมเพื่อพัฒนาสังคม ต้นแบบที่ดีของการพัฒนาสังคม เทคโนโลยีเพื่อสังคม อาทิ การจําลองบ้านและที่อยู่อาศัยที่เอื้อต่อคนพิการ การจําลองสภาพแวดล้อมและสิ่งอํานวยความสะดวกที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ นวัตกรรมโรงรับจํานํา นวัตกรรมด้านการออม การเปิดจองนวัตกรรมสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับคนพิการและผู้สูงอายุ และการให้บริการทางสังคม อาทิ การทําบัตรประชาชนเคลื่อนที่ การออกหน่วยให้บริการทําบัตรประจําตัวคนพิการ การลงทะเบียนทําบัตรผู้แสดงความสามารถในที่สาธารณะ รถทันตกรรมเคลื่อนที่ การนวดแผนไทย บริการวัดสายตาและบริการแว่นตา การประมูลทรัพย์หลุดจํานํา เป็นต้น3) การแสดงผลิตผลด้านสังคมของกลุ่มเป้าหมายและภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนอาทิ ธงฟ้าราคาประหยัด สินค้า OTOP ตลาดเคหะประชารัฐ เครื่องอุปโภคบริโภคในรูปแบบตลาดชุมชน ผลิตภัณฑ์ทอฝัน By พม. บริการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ สินเชื่อประชารัฐ การเปิดจองบ้าน ผ่านระบบ Online ในโครงการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) เป็นต้น และ4) การแสดงศักยภาพของกลุ่มเป้าหมายและภาคีเครือข่ายเพื่อเสริมสร้างเจตคติที่ดี และสร้างสรรค์ของคนในสังคม อาทิ การแสดงศิลปิน S2S กับนักร้องวงดุริยางค์ทหารบก การแสดงโขนรามเกียรติ์ของผู้พิการทางการได้ยินตอน "ยกรบ” การแสดงของชนเผ่าอาข่า "การเดินแฟชั่นโชว์ผู้สูงอายุ” โดยคุณต่าย เพ็ญพักตร์ ศิริกุล และทีมมีสแกรนด์ ปี 2018
ในโอกาสนี้ ขอเชิญชวนประชาชนผู้สนใจ ภาคีเครือข่ายทางสังคม หน่วยงานภาครัฐ เอกชน NGOs และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สถาบันการศึกษาเข้าร่วมงาน Thailand Social Expo 2018 ระหว่างวันที่ 3 - 5 สิงหาคม 2561 ณ Hall 5 – 8 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-3-5 ส.ค. นี้ พม. เชิญชวนร่วมงานมหกรรม Thailand Social Expo 2018 ณ Hall 5 - 8 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม 2561
3-5 ส.ค. นี้ พม. เชิญชวนร่วมงานมหกรรม Thailand Social Expo 2018 ณ Hall 5 - 8 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
3-5 ส.ค. นี้ พม. เชิญชวนร่วมงานมหกรรม Thailand Social Expo 2018 ณ Hall 5 - 8 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
วันนี้ (2 ส.ค. 61) เวลา 13.30 น. ที่บริเวณโถง ชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯนางสุภัชชา สุทธิพล โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นประธานการแถลงการดําเนินงานตามภารกิจสําคัญของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในประเด็นการจัดงาน Thailand Social Expo 2018 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-5 สิงหาคม 2561 ณ Hall 5 - 8 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี
รัฐบาลโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะองค์กรนําด้านการพัฒนาสังคมของประเทศ มีความมุ่งมั่นในการผลักดันและขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสังคมอย่างเป็นระบบ รวมถึงการสร้างการรับรู้ การแสวงหาความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชนและภาคประชาสังคมในการขับเคลื่อนการพัฒนาสังคม ตลอดจนการสร้างบทบาทนําในการพัฒนาสังคมของประเทศอย่างมีคุณภาพ เพื่อนําไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน ทั้งนี้ กระทรวง พม.จึงได้บูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และทุกภาคส่วนที่ทํางานด้านสังคมกว่า 90 หน่วยงาน กําหนดจัดงานThailand Social Expo 2018ซึ่งเป็นงานแสดงผลงานด้านสังคมของรัฐบาลและงานมหกรรมด้านสังคมครั้งแรกของประเทศไทย ที่แสดงผลงานนวัตกรรมทางสังคม เทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาสังคมและประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ผลการคิดค้น และการดําเนินงานสําคัญในด้านสังคมของไทยและอาเซียน โดยการจัดงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพหน่วยงานด้านสังคมในการขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมของประเทศ สร้างพลังความร่วมมือของหน่วยงานด้านสังคมทุกภาคส่วนแสดงผลงานสําคัญด้านการพัฒนาสังคมของประเทศ นวัตกรรมทางสังคมต้นแบบการพัฒนาสังคม ศักยภาพของกลุ่มเป้าหมาย และองค์ความรู้ด้านสังคม รวมถึงผลผลิต ผลิตภัณฑ์ของหน่วยงานด้านสังคมทุกภาคส่วน และนําเสนองานวิชาการ รายงานสถานการณ์ทางสังคม การคาดการณ์แนวโน้มทางสังคมเพื่อนําไปสู่การกําหนดนโยบาย
การจัดงาน Thailand Social Expo 2018 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-5 สิงหาคม 2561 ณ Hall 5 - 8 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี โดยภายในงานมีกิจกรรมหลัก ได้แก่ การประชุมวิชาการ การแสดงผลงานนวัตกรรม การแสดงผลิตผลด้านสังคม และการแสดงศักยภาพของกลุ่มเป้าหมายและภาคีเครือข่าย ซึ่งประกอบด้วย 4 Zone ดังนี้1) การประชุมวิชาการเสวนา ปาฐกถา การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการพัฒนาสังคม และการนําเสนอรายงานสถานการณ์ทางสังคมทั้งในเชิงประเด็นและเชิงกลุ่มเป้าหมาย อาทิ "พลังสตรีอาเซียน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ”ASEAN Women Empowerment and Economic development "เพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หยุดการกระทําความรุนแรงในทุกรูปแบบ” "Digital Society : ความท้าทายต่อกระบวนทัศน์การพัฒนาเด็กและเยาวชน” "การนําเสนอมติสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ” เป็นต้น2) การแสดงผลงานนวัตกรรมด้านสังคมของประเทศไทยซึ่งเป็นนวัตกรรมเพื่อพัฒนาสังคม ต้นแบบที่ดีของการพัฒนาสังคม เทคโนโลยีเพื่อสังคม อาทิ การจําลองบ้านและที่อยู่อาศัยที่เอื้อต่อคนพิการ การจําลองสภาพแวดล้อมและสิ่งอํานวยความสะดวกที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ นวัตกรรมโรงรับจํานํา นวัตกรรมด้านการออม การเปิดจองนวัตกรรมสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับคนพิการและผู้สูงอายุ และการให้บริการทางสังคม อาทิ การทําบัตรประชาชนเคลื่อนที่ การออกหน่วยให้บริการทําบัตรประจําตัวคนพิการ การลงทะเบียนทําบัตรผู้แสดงความสามารถในที่สาธารณะ รถทันตกรรมเคลื่อนที่ การนวดแผนไทย บริการวัดสายตาและบริการแว่นตา การประมูลทรัพย์หลุดจํานํา เป็นต้น3) การแสดงผลิตผลด้านสังคมของกลุ่มเป้าหมายและภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนอาทิ ธงฟ้าราคาประหยัด สินค้า OTOP ตลาดเคหะประชารัฐ เครื่องอุปโภคบริโภคในรูปแบบตลาดชุมชน ผลิตภัณฑ์ทอฝัน By พม. บริการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ สินเชื่อประชารัฐ การเปิดจองบ้าน ผ่านระบบ Online ในโครงการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) เป็นต้น และ4) การแสดงศักยภาพของกลุ่มเป้าหมายและภาคีเครือข่ายเพื่อเสริมสร้างเจตคติที่ดี และสร้างสรรค์ของคนในสังคม อาทิ การแสดงศิลปิน S2S กับนักร้องวงดุริยางค์ทหารบก การแสดงโขนรามเกียรติ์ของผู้พิการทางการได้ยินตอน "ยกรบ” การแสดงของชนเผ่าอาข่า "การเดินแฟชั่นโชว์ผู้สูงอายุ” โดยคุณต่าย เพ็ญพักตร์ ศิริกุล และทีมมีสแกรนด์ ปี 2018
ในโอกาสนี้ ขอเชิญชวนประชาชนผู้สนใจ ภาคีเครือข่ายทางสังคม หน่วยงานภาครัฐ เอกชน NGOs และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สถาบันการศึกษาเข้าร่วมงาน Thailand Social Expo 2018 ระหว่างวันที่ 3 - 5 สิงหาคม 2561 ณ Hall 5 – 8 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14303
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ นำทีม พม. ลงพื้นที่ จ.ราชบุรี เยี่ยมเยือนประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย
|
วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน 2561
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ นําทีม พม. ลงพื้นที่ จ.ราชบุรี เยี่ยมเยือนประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ นําทีม พม. ลงพื้นที่ จ.ราชบุรี เยี่ยมเยือนประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมติดตามการดําเนินงานของตําบลดอนแร่ ต้นแบบการบูรณาการทํางานเพื่อคนทุกกลุ่มวัย
วันนี้ (22 มิ.ย.61) เวลา 13.00 น. พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยพลเอก สุรศักดิ์ ศรีศักดิ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ผช.รมว.พม.) นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่พบปะเยี่ยมเยือนประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งตรวจเยี่ยมและรับฟังรายงายสถานการณ์ทางสังคมในพื้นที่ตําบลดอนแร่ อําเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นตําบลต้นแบบการบูรณาการการขับเคลื่อนงานเพื่อคนทุกกลุ่มวัย รวมทั้งมอบนโยบายในการขับเคลื่อนงานตามบริบทของพื้นที่ ณ วัดนาหนอง ตําบลดอนแร่ อําเภอเมือง จังหวัดราชบุรี
ตามที่ รัฐบาลมีนโยบาย "ลดความเหลื่อมล้ําของสังคม และการสร้างโอกาสเข้าถึงบริการของรัฐ” โดยมอบกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นหน่วยงานสําคัญในการขับเคลื่อนงานด้านสังคม เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะ เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส ได้มีความมั่นคงในการดํารงชีวิตด้วยคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกันในสังคม สําหรับการลงพื้นที่ตําบลดอนแร่ อําเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ของพลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ในครั้งนี้ เป็นการติดตามการดําเนินงานด้านสังคมของความร่วมมือของคนในชุมชน ทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือในการพัฒนาสังคมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตําบลดอนแร่เป็นหนึ่งตําบลที่ตั้งอยู่ในจังหวัดราชบุรี แบ่งการปกครองออกเป็น 10 หมู่บ้าน รวมครัวเรือนทั้งหมด 1,264 ครัวเรือน ประชากรรวม 4,293 คน แบ่งเป็นประชากรชาย 2,086 คน หญิง 2,207 คน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม จุดแข็งของตําบลนี้ คือ การคมนาคมสะดวก ที่ดินส่วนใหญ่เป็นของชุมชน มีแหล่งทรัพยากรที่มีคุณค่า เป็นแหล่งผลิตภาคการเกษตรทั้งข้าว พืช ผักต่างๆ รวมถึงมีร้านค้า ร้านอาหาร ตลาด และอุตสาหกรรมในครัวเรือนที่เป็นที่รู้จัก เช่น การทอผ้า เครื่องจักสาน และงานหัตถกรรม เป็นต้น อย่างไรก็ตาม พื้นที่ตําบลดอนแร่ยังมีปัญหาที่ต้องการการแก้ไขอยู่หลายด้าน อาทิ แหล่งน้ําเพื่อการเกษตร หนี้สินภาคครัวเรือน ต้นทุนการผลิตสูง ผลผลิตราคาตกต่ํา ปัญหาที่อยู่อาศัย สุขภาพ ยาเสพติด ความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินความเสื่อมถอยทางวัฒนธรรม รวมถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติ
การลงพื้นที่ครั้งนี้ เป็นการพบปะเยี่ยมเยือนประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งรับฟังรายงานสถานการณ์ทางสังคมและติดตามการขับเคลื่อนงานของขบวนการองค์กรชุมชนตําบลดอนแร่ ซึ่งเป็นตําบลต้นแบบการทํางาน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนทุกช่วงวัย โดยการวิเคราะห์จุดแข็งและปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ นํามาสู่การจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนที่ทุกคนในชุมชนร่วมกันคิด ร่วมกันจัดทําแผนพัฒนาตําบลดอนแร่ เพื่อให้คนตําบลดอนแร่ สามารถพึ่งพาตนเองได้ ด้วยแผนงาน "กินอิ่ม นอนอุ่น” ผ่านการมีแกนนําดี ครอบครัวดี สิ่งแวดล้อมดี สวัสดิการชุมชนที่ดี วัฒนธรรมชุมชนที่ยังคงอยู่ และมีอาชีพที่ดี ซึ่งที่ผ่านมา มีการดําเนินกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ 1) กองทุนสวัสดิการวันละบาท หรือ"กองบุญชุมชนตําบลดอนแร่” ปัจจุบันมีสมาชิก 2,416 คน มีเงินกองทุนรวม 6,413,520.45 บาท 2) สภาองค์กรชุมชน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2551 เป็นพื้นที่กลางในการจัดสวัสดิการชุมชน จัดทําแผนพัฒนาตําบล จนกระทั่งนํามาสู่การดําเนินโครงการบ้านพอเพียงชนบท การพัฒนาด้านเศรษฐกิจและทุนชุมชนเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาชีพและรายได้ให้กับคนในพื้นที่ 3) โครงการบ้านพอเพียงชนบท มีการดําเนินการในปี 2560 จํานวน 13 หลัง งบประมาณ 234,000 บาท และปี 2561 จํานวน 5 หลัง งบประมาณ 89,680 บาท รวม 18 หลัง งบประมาณ 323,680 บาท นอกจากนี้ มีการขับเคลื่อนงานด้านเศรษฐกิจและทุน โดยการจัดพื้นที่ต๋าหลาดไท – ยวน (ตลาดไท - ยวน) วัดนาหนอง เพื่อเปิดโอกาสให้คนในชุมชนได้นําผลิตภัณฑ์ผ้าทอมาจัดจําหน่าย เช่น ผ้าจกทอมือ ผ้าขาวม้า ผ้าชิ้น ฯลฯ มีวิสาหกิจชุมชนกลุ่มหมูหลุมอินทรีย์ (หมูแผ่น หมูหยอง กุนเชียง) กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตอุปกรณ์ประดับยนต์ (พวงมาลัยรถยนต์ หัวเกียร์ไม้) กลุ่มปลูกผักปลอดภัยจากสารพิษดอนแร่ กลุ่มส่งเสริมอาชีพดอนแร่ (การเลี้ยงวัวเนื้อลูกผสม)
สําหรับสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดราชบุรี จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ.2550 มีจุดมุ่งหมายสําคัญในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนในพื้นที่ รวมทั้งเป็นตัวแทนของเด็กและเยาวชนในการสะท้อนปัญหา เสนอแนวทางแก้ไข และการพัฒนาเด็กและเยาวชนในพื้นที่ โดยยึดหลักการ "ร่วมคิด ร่วมทํา เด็กนํา ผู้ใหญ่หนุน” บริหารงานแบบมีส่วนร่วม คือ ทุกคนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น การตัดสินใจในการดําเนินงานและรับผิดชอบร่วมกัน กําหนดสิ่งที่จะทําได้ด้วยตนเอง ทั้งในด้านการคิด การลงมือปฏิบัติ โดยมีผู้ใหญ่เป็นผู้ให้คําปรึกษา ช่วยชี้แนะแนวทางและประสบการณ์ ซึ่งในการดําเนินงานของสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดราชบุรีนั้น ได้รับความร่วมมือ และการสนับสนุนอย่างดีจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และรุ่นพี่จากสภาเด็กและเยาวชน
ทั้งนี้ ได้เน้นย้ําให้ทุกหน่วยงานในพื้นที่ มีการขับเคลื่อนงานด้านสังคม เช่น ผู้สูงอายุ สภาเด็กและเยาวชน ที่อยู่อาศัย และด้านอื่นๆ โดยแต่ละงานที่ขับเคลื่อน ต้องมีการประสานและได้รับการหนุนเสริมจากหน่วยงาน ภาคีหลายภาคส่วน โดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนตําบลดอนแร่ ที่เป็นหน่วยงานในพื้นที่ที่ดูแลใกล้ชิด และขอชื่นชมหน่วยงานทุกภาคส่วนที่ร่วมกันขับเคลื่อนงาน เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ให้สามารถเข้าถึงบริการต่างๆ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ นำทีม พม. ลงพื้นที่ จ.ราชบุรี เยี่ยมเยือนประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย
วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน 2561
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ นําทีม พม. ลงพื้นที่ จ.ราชบุรี เยี่ยมเยือนประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ นําทีม พม. ลงพื้นที่ จ.ราชบุรี เยี่ยมเยือนประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมติดตามการดําเนินงานของตําบลดอนแร่ ต้นแบบการบูรณาการทํางานเพื่อคนทุกกลุ่มวัย
วันนี้ (22 มิ.ย.61) เวลา 13.00 น. พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยพลเอก สุรศักดิ์ ศรีศักดิ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ผช.รมว.พม.) นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่พบปะเยี่ยมเยือนประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งตรวจเยี่ยมและรับฟังรายงายสถานการณ์ทางสังคมในพื้นที่ตําบลดอนแร่ อําเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นตําบลต้นแบบการบูรณาการการขับเคลื่อนงานเพื่อคนทุกกลุ่มวัย รวมทั้งมอบนโยบายในการขับเคลื่อนงานตามบริบทของพื้นที่ ณ วัดนาหนอง ตําบลดอนแร่ อําเภอเมือง จังหวัดราชบุรี
ตามที่ รัฐบาลมีนโยบาย "ลดความเหลื่อมล้ําของสังคม และการสร้างโอกาสเข้าถึงบริการของรัฐ” โดยมอบกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นหน่วยงานสําคัญในการขับเคลื่อนงานด้านสังคม เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะ เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส ได้มีความมั่นคงในการดํารงชีวิตด้วยคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกันในสังคม สําหรับการลงพื้นที่ตําบลดอนแร่ อําเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ของพลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ในครั้งนี้ เป็นการติดตามการดําเนินงานด้านสังคมของความร่วมมือของคนในชุมชน ทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือในการพัฒนาสังคมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตําบลดอนแร่เป็นหนึ่งตําบลที่ตั้งอยู่ในจังหวัดราชบุรี แบ่งการปกครองออกเป็น 10 หมู่บ้าน รวมครัวเรือนทั้งหมด 1,264 ครัวเรือน ประชากรรวม 4,293 คน แบ่งเป็นประชากรชาย 2,086 คน หญิง 2,207 คน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม จุดแข็งของตําบลนี้ คือ การคมนาคมสะดวก ที่ดินส่วนใหญ่เป็นของชุมชน มีแหล่งทรัพยากรที่มีคุณค่า เป็นแหล่งผลิตภาคการเกษตรทั้งข้าว พืช ผักต่างๆ รวมถึงมีร้านค้า ร้านอาหาร ตลาด และอุตสาหกรรมในครัวเรือนที่เป็นที่รู้จัก เช่น การทอผ้า เครื่องจักสาน และงานหัตถกรรม เป็นต้น อย่างไรก็ตาม พื้นที่ตําบลดอนแร่ยังมีปัญหาที่ต้องการการแก้ไขอยู่หลายด้าน อาทิ แหล่งน้ําเพื่อการเกษตร หนี้สินภาคครัวเรือน ต้นทุนการผลิตสูง ผลผลิตราคาตกต่ํา ปัญหาที่อยู่อาศัย สุขภาพ ยาเสพติด ความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินความเสื่อมถอยทางวัฒนธรรม รวมถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติ
การลงพื้นที่ครั้งนี้ เป็นการพบปะเยี่ยมเยือนประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งรับฟังรายงานสถานการณ์ทางสังคมและติดตามการขับเคลื่อนงานของขบวนการองค์กรชุมชนตําบลดอนแร่ ซึ่งเป็นตําบลต้นแบบการทํางาน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนทุกช่วงวัย โดยการวิเคราะห์จุดแข็งและปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ นํามาสู่การจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนที่ทุกคนในชุมชนร่วมกันคิด ร่วมกันจัดทําแผนพัฒนาตําบลดอนแร่ เพื่อให้คนตําบลดอนแร่ สามารถพึ่งพาตนเองได้ ด้วยแผนงาน "กินอิ่ม นอนอุ่น” ผ่านการมีแกนนําดี ครอบครัวดี สิ่งแวดล้อมดี สวัสดิการชุมชนที่ดี วัฒนธรรมชุมชนที่ยังคงอยู่ และมีอาชีพที่ดี ซึ่งที่ผ่านมา มีการดําเนินกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ 1) กองทุนสวัสดิการวันละบาท หรือ"กองบุญชุมชนตําบลดอนแร่” ปัจจุบันมีสมาชิก 2,416 คน มีเงินกองทุนรวม 6,413,520.45 บาท 2) สภาองค์กรชุมชน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2551 เป็นพื้นที่กลางในการจัดสวัสดิการชุมชน จัดทําแผนพัฒนาตําบล จนกระทั่งนํามาสู่การดําเนินโครงการบ้านพอเพียงชนบท การพัฒนาด้านเศรษฐกิจและทุนชุมชนเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาชีพและรายได้ให้กับคนในพื้นที่ 3) โครงการบ้านพอเพียงชนบท มีการดําเนินการในปี 2560 จํานวน 13 หลัง งบประมาณ 234,000 บาท และปี 2561 จํานวน 5 หลัง งบประมาณ 89,680 บาท รวม 18 หลัง งบประมาณ 323,680 บาท นอกจากนี้ มีการขับเคลื่อนงานด้านเศรษฐกิจและทุน โดยการจัดพื้นที่ต๋าหลาดไท – ยวน (ตลาดไท - ยวน) วัดนาหนอง เพื่อเปิดโอกาสให้คนในชุมชนได้นําผลิตภัณฑ์ผ้าทอมาจัดจําหน่าย เช่น ผ้าจกทอมือ ผ้าขาวม้า ผ้าชิ้น ฯลฯ มีวิสาหกิจชุมชนกลุ่มหมูหลุมอินทรีย์ (หมูแผ่น หมูหยอง กุนเชียง) กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตอุปกรณ์ประดับยนต์ (พวงมาลัยรถยนต์ หัวเกียร์ไม้) กลุ่มปลูกผักปลอดภัยจากสารพิษดอนแร่ กลุ่มส่งเสริมอาชีพดอนแร่ (การเลี้ยงวัวเนื้อลูกผสม)
สําหรับสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดราชบุรี จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ.2550 มีจุดมุ่งหมายสําคัญในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนในพื้นที่ รวมทั้งเป็นตัวแทนของเด็กและเยาวชนในการสะท้อนปัญหา เสนอแนวทางแก้ไข และการพัฒนาเด็กและเยาวชนในพื้นที่ โดยยึดหลักการ "ร่วมคิด ร่วมทํา เด็กนํา ผู้ใหญ่หนุน” บริหารงานแบบมีส่วนร่วม คือ ทุกคนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น การตัดสินใจในการดําเนินงานและรับผิดชอบร่วมกัน กําหนดสิ่งที่จะทําได้ด้วยตนเอง ทั้งในด้านการคิด การลงมือปฏิบัติ โดยมีผู้ใหญ่เป็นผู้ให้คําปรึกษา ช่วยชี้แนะแนวทางและประสบการณ์ ซึ่งในการดําเนินงานของสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดราชบุรีนั้น ได้รับความร่วมมือ และการสนับสนุนอย่างดีจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และรุ่นพี่จากสภาเด็กและเยาวชน
ทั้งนี้ ได้เน้นย้ําให้ทุกหน่วยงานในพื้นที่ มีการขับเคลื่อนงานด้านสังคม เช่น ผู้สูงอายุ สภาเด็กและเยาวชน ที่อยู่อาศัย และด้านอื่นๆ โดยแต่ละงานที่ขับเคลื่อน ต้องมีการประสานและได้รับการหนุนเสริมจากหน่วยงาน ภาคีหลายภาคส่วน โดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนตําบลดอนแร่ ที่เป็นหน่วยงานในพื้นที่ที่ดูแลใกล้ชิด และขอชื่นชมหน่วยงานทุกภาคส่วนที่ร่วมกันขับเคลื่อนงาน เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ให้สามารถเข้าถึงบริการต่างๆ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13285
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ระหว่างวันที่ 28 กันยายน–4 ตุลาคม 2561 พบการกระทำผิด จำนวน 343 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 5.27 ล้านบาท
|
วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม 2561
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ระหว่างวันที่ 28 กันยายน–4 ตุลาคม 2561 พบการกระทําผิด จํานวน 343 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 5.27 ล้านบาท
กรมสรรพสามิตดําเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต
นางสดศรี พงศ์อุทัย รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศ พร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากการบริโภคสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าสินค้าโดยทั่วไป
จากผลการตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2561 (ระหว่างวันที่ 28 กันยายน – 4 ตุลาคม 2561) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 343 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 5.27 ล้านบาท โดยแยกเป็น
- สุรา จํานวน 207 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 1.62 ล้านบาท
- ยาสูบ จํานวน 77 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 1.69 ล้านบาท
- ไพ่ จํานวน 16 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.13 ล้านบาท
- น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 11 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.32 ล้านบาท
- น้ําหอม จํานวน 2 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.01 ล้านบาท
- รถจักรยานยนต์ จํานวน 23 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ จํานวน 0.33 ล้านบาท
- สินค้าอื่น ๆ จํานวน 7 คดี รวมเป็นเงินค่าปรับ 1.17 ล้านบาท
โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 511.780 ลิตร ยาสูบ จํานวน 4,051 ซอง ไพ่ จํานวน 548 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 22,515 ลิตร น้ําหอม จํานวน 82 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 21 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ระหว่างวันที่ 28 กันยายน–4 ตุลาคม 2561 พบการกระทำผิด จำนวน 343 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 5.27 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม 2561
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ระหว่างวันที่ 28 กันยายน–4 ตุลาคม 2561 พบการกระทําผิด จํานวน 343 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 5.27 ล้านบาท
กรมสรรพสามิตดําเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต
นางสดศรี พงศ์อุทัย รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศ พร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากการบริโภคสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าสินค้าโดยทั่วไป
จากผลการตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2561 (ระหว่างวันที่ 28 กันยายน – 4 ตุลาคม 2561) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 343 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 5.27 ล้านบาท โดยแยกเป็น
- สุรา จํานวน 207 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 1.62 ล้านบาท
- ยาสูบ จํานวน 77 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 1.69 ล้านบาท
- ไพ่ จํานวน 16 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.13 ล้านบาท
- น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 11 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.32 ล้านบาท
- น้ําหอม จํานวน 2 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.01 ล้านบาท
- รถจักรยานยนต์ จํานวน 23 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ จํานวน 0.33 ล้านบาท
- สินค้าอื่น ๆ จํานวน 7 คดี รวมเป็นเงินค่าปรับ 1.17 ล้านบาท
โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 511.780 ลิตร ยาสูบ จํานวน 4,051 ซอง ไพ่ จํานวน 548 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 22,515 ลิตร น้ําหอม จํานวน 82 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 21 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15911
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ.ลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ผลักดันการส่งเสริมอาชีพผู้พ้นโทษ/ผู้ถูกคุมความประพฤติ-ตรวจสอบการคืนสิทธิให้กับประชาชน
|
วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม 2561
ยธ.ลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ผลักดันการส่งเสริมอาชีพผู้พ้นโทษ/ผู้ถูกคุมความประพฤติ-ตรวจสอบการคืนสิทธิให้กับประชาชน
กระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ผลักดันการส่งเสริมอาชีพผู้พ้นโทษ/ผู้ถูกคุมความประพฤติ-ตรวจสอบการคืนสิทธิให้กับประชาชน
ในวันศุกร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ เรือนจําจังหวัดกาญจนบุรี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม และคณะสื่อมวลชน เยี่ยมชมการดําเนินงานของศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทํา หรือศูนย์ CARE ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมในการฝึกอาชีพก่อนปล่อยตัวผู้ต้องขังออกจากเรือนจํา และเยี่ยมชมระบบรายงานผลการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพผู้พ้นโทษ/ผู้ถูกคุมความประพฤติ หรือระบบ CARE SUPPORT เพื่อใช้สําหรับติดตามและรายงานผลการติดตามการให้ความช่วยเหลือจากภาคราชการในการประกอบอาชีพของผู้ถูกคุมประพฤติ/ผู้พ้นโทษจากกรมราชทัณฑ์ กรมคุมประพฤติ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน พร้อมทั้งตรวจเยี่ยมการดําเนินงานด้านอื่นๆ ของเรือนจําจังหวัดกาญจนบุรี โดยมีนายวีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่เรือนจําจังหวัดกาญจนบุรี ให้การต้อนรับ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กรมราชทัณฑ์ นอกเหนือจากมีภารกิจในการส่งเสริมและพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังแล้ว ยังมีการจัดตั้งศูนย์ CARE ขึ้นภายในเรือนจํา โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับผู้ต้องขังก่อนถูกปล่อยตัว นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาระบบรายงานผลการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพผู้พ้นโทษ ผู้ถูกคุมความประพฤติ เพื่อติดตามข้อมูลการประกอบอาชีพของผู้พ้นโทษ อันจะเป็นการส่งเสริม และให้โอกาสผู้ที่เคยก้าวพลาด ได้มีอาชีพและได้รับการยอมรับจากสังคม โดยไม่หวนกลับไปกระทําผิดซ้ําอีก และเป็นกําลังในการพัฒนาประเทศต่อไป
ในการนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เยี่ยมชมบูธของอดีตผู้ต้องขังที่ผ่านการฝึกวิชาชีพและได้รับเงินทุนในการประกอบอาชีพจากเรือนจํา พร้อมให้กําลังใจแก่อดีตผู้ต้องขังในการจําหน่ายสินค้าและบริการ เพื่อสร้างรายได้ในการหาเลี้ยงครอบครัวต่อไป
ต่อจากนั้น ในเวลา ๑๓.๓๐ น. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมคณะ ติดตามการดําเนินงานการช่วยเหลือแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนตามโครงการอํานวยความเป็นธรรม คืนสิทธิ สร้างโอกาส (การตรวจ DNA พิสูจน์สถานะทางทะเบียนราษฎร) จํานวนประมาณ ๑๑๔ ราย รวมทั้งผู้ประสบภัย และผู้อ้างอิง พร้อมทั้งได้มอบเงินค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญาตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ.๒๕๔๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๕๙ จํานวน ๖ ราย เป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น ๒๕๔,๕๗๕ บาท ณ ที่ว่าการอําเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า การดําเนินการตามโครงการดังกล่าวเพื่อเป็นการลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม ทั้งสิทธิในการรับความช่วยเหลือหรือสวัสดิการต่างๆ ที่รัฐบาลมีให้ประชาชน เพื่อให้เกิดความเสมอภาค และเพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่จังหวัดรอยต่อประเทศ ที่อาจยังมีบางส่วนยังไม่ได้รับสิทธิ์ต่างๆ เพราะยังไม่ได้รับการยืนยันความเป็นพลเมือง
สําหรับโครงการดังกล่าว ได้มีการดําเนินงานมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ มีการจัดเก็บสารพันธุกรรมบุคคล หรือ DNA ทั้งคนไร้สัญชาติ กลุ่มชาติพันธ์ที่อยู่ตาม ชายแดนและคนไทยที่ตกหล่นเนื่องจากไม่มีสูติบัตรหรือไม่ได้ไปแจ้งเกิดทางทะเบียนไปแล้วทั้งสิ้นจํานวนกว่า ๙,๑๗๕ ราย แบ่งเป็นเป็นบุคคลผู้ประสบปัญหา ๕,๔๖๖ ราย และบุคคลอ้างอิง ๓,๗๐๙ ราย
สําหรับจังหวัดกาญจนบุรีเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศไทยและมีความหลากหลายของประชากรทั้งภาษาและวัฒนธรรมและกลุ่มชาติพันธ์จึงถือเป็น จังหวัดที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียนราษฏร การแก้ปัญหาจึงต้องใช้หลายแนวทาง ในการพิจารณาทั้งผลตามกฏหมายและกระบวนการของกฎหมายทั้งจากหลักดินแดนและหลักการสืบสายเลือด เพื่อแก้ปัญหาสถานะทางทะเบียนราษฎร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับประชาชนคนไทยทุกคน
โดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้ดําเนินการจัดเก็บสารพันธุกรรมแก่ราษฎรไร้สถานะ และประสบปัญหาทางทะเบียนราษฎร์ในพื้นที่ต่างๆ ในจังหสัดกาญจนบุรี จํานวน ๙ อําเภอ ประกอบด้วย อําเภอมะขามเตี้ย อําเภอท่ามะกา อําเภอเมืองกาญจนบุรี อําเภอท่าม่วง อําเถอหนองปรือ อําเภอบ่อพลอย อําเภอเลาขวัญ อําเภอไทรโยค และอําเภอห้วยกระเจา มีบุคคลผู้ประสบปัญหาสถานะทางทะเบียนราษฎร จํานวน ๗๔ ราย และบุคคลอ้างอิง จํานวน ๖๔ ราย รวมจํานวน ๑๓๘ ราย ที่เข้ารับการตรวจในครั้งนี้ ซึ่งผลการตรวจสารพันธุกรรม (DNA) จะถูกนํามาใช้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาแก้ไขปัญหาสถานะทางทะเบียนราษฎรหรือการได้สัญชาติไทยต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ.ลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ผลักดันการส่งเสริมอาชีพผู้พ้นโทษ/ผู้ถูกคุมความประพฤติ-ตรวจสอบการคืนสิทธิให้กับประชาชน
วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม 2561
ยธ.ลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ผลักดันการส่งเสริมอาชีพผู้พ้นโทษ/ผู้ถูกคุมความประพฤติ-ตรวจสอบการคืนสิทธิให้กับประชาชน
กระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ผลักดันการส่งเสริมอาชีพผู้พ้นโทษ/ผู้ถูกคุมความประพฤติ-ตรวจสอบการคืนสิทธิให้กับประชาชน
ในวันศุกร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ เรือนจําจังหวัดกาญจนบุรี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม และคณะสื่อมวลชน เยี่ยมชมการดําเนินงานของศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทํา หรือศูนย์ CARE ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมในการฝึกอาชีพก่อนปล่อยตัวผู้ต้องขังออกจากเรือนจํา และเยี่ยมชมระบบรายงานผลการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพผู้พ้นโทษ/ผู้ถูกคุมความประพฤติ หรือระบบ CARE SUPPORT เพื่อใช้สําหรับติดตามและรายงานผลการติดตามการให้ความช่วยเหลือจากภาคราชการในการประกอบอาชีพของผู้ถูกคุมประพฤติ/ผู้พ้นโทษจากกรมราชทัณฑ์ กรมคุมประพฤติ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน พร้อมทั้งตรวจเยี่ยมการดําเนินงานด้านอื่นๆ ของเรือนจําจังหวัดกาญจนบุรี โดยมีนายวีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่เรือนจําจังหวัดกาญจนบุรี ให้การต้อนรับ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กรมราชทัณฑ์ นอกเหนือจากมีภารกิจในการส่งเสริมและพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังแล้ว ยังมีการจัดตั้งศูนย์ CARE ขึ้นภายในเรือนจํา โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับผู้ต้องขังก่อนถูกปล่อยตัว นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาระบบรายงานผลการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพผู้พ้นโทษ ผู้ถูกคุมความประพฤติ เพื่อติดตามข้อมูลการประกอบอาชีพของผู้พ้นโทษ อันจะเป็นการส่งเสริม และให้โอกาสผู้ที่เคยก้าวพลาด ได้มีอาชีพและได้รับการยอมรับจากสังคม โดยไม่หวนกลับไปกระทําผิดซ้ําอีก และเป็นกําลังในการพัฒนาประเทศต่อไป
ในการนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เยี่ยมชมบูธของอดีตผู้ต้องขังที่ผ่านการฝึกวิชาชีพและได้รับเงินทุนในการประกอบอาชีพจากเรือนจํา พร้อมให้กําลังใจแก่อดีตผู้ต้องขังในการจําหน่ายสินค้าและบริการ เพื่อสร้างรายได้ในการหาเลี้ยงครอบครัวต่อไป
ต่อจากนั้น ในเวลา ๑๓.๓๐ น. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมคณะ ติดตามการดําเนินงานการช่วยเหลือแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนตามโครงการอํานวยความเป็นธรรม คืนสิทธิ สร้างโอกาส (การตรวจ DNA พิสูจน์สถานะทางทะเบียนราษฎร) จํานวนประมาณ ๑๑๔ ราย รวมทั้งผู้ประสบภัย และผู้อ้างอิง พร้อมทั้งได้มอบเงินค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญาตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ.๒๕๔๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๕๙ จํานวน ๖ ราย เป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น ๒๕๔,๕๗๕ บาท ณ ที่ว่าการอําเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า การดําเนินการตามโครงการดังกล่าวเพื่อเป็นการลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม ทั้งสิทธิในการรับความช่วยเหลือหรือสวัสดิการต่างๆ ที่รัฐบาลมีให้ประชาชน เพื่อให้เกิดความเสมอภาค และเพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่จังหวัดรอยต่อประเทศ ที่อาจยังมีบางส่วนยังไม่ได้รับสิทธิ์ต่างๆ เพราะยังไม่ได้รับการยืนยันความเป็นพลเมือง
สําหรับโครงการดังกล่าว ได้มีการดําเนินงานมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ มีการจัดเก็บสารพันธุกรรมบุคคล หรือ DNA ทั้งคนไร้สัญชาติ กลุ่มชาติพันธ์ที่อยู่ตาม ชายแดนและคนไทยที่ตกหล่นเนื่องจากไม่มีสูติบัตรหรือไม่ได้ไปแจ้งเกิดทางทะเบียนไปแล้วทั้งสิ้นจํานวนกว่า ๙,๑๗๕ ราย แบ่งเป็นเป็นบุคคลผู้ประสบปัญหา ๕,๔๖๖ ราย และบุคคลอ้างอิง ๓,๗๐๙ ราย
สําหรับจังหวัดกาญจนบุรีเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศไทยและมีความหลากหลายของประชากรทั้งภาษาและวัฒนธรรมและกลุ่มชาติพันธ์จึงถือเป็น จังหวัดที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียนราษฏร การแก้ปัญหาจึงต้องใช้หลายแนวทาง ในการพิจารณาทั้งผลตามกฏหมายและกระบวนการของกฎหมายทั้งจากหลักดินแดนและหลักการสืบสายเลือด เพื่อแก้ปัญหาสถานะทางทะเบียนราษฎร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับประชาชนคนไทยทุกคน
โดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้ดําเนินการจัดเก็บสารพันธุกรรมแก่ราษฎรไร้สถานะ และประสบปัญหาทางทะเบียนราษฎร์ในพื้นที่ต่างๆ ในจังหสัดกาญจนบุรี จํานวน ๙ อําเภอ ประกอบด้วย อําเภอมะขามเตี้ย อําเภอท่ามะกา อําเภอเมืองกาญจนบุรี อําเภอท่าม่วง อําเถอหนองปรือ อําเภอบ่อพลอย อําเภอเลาขวัญ อําเภอไทรโยค และอําเภอห้วยกระเจา มีบุคคลผู้ประสบปัญหาสถานะทางทะเบียนราษฎร จํานวน ๗๔ ราย และบุคคลอ้างอิง จํานวน ๖๔ ราย รวมจํานวน ๑๓๘ ราย ที่เข้ารับการตรวจในครั้งนี้ ซึ่งผลการตรวจสารพันธุกรรม (DNA) จะถูกนํามาใช้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาแก้ไขปัญหาสถานะทางทะเบียนราษฎรหรือการได้สัญชาติไทยต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14369
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ ประจิน ลงพื้นที่แนะชาวบ้านโนนป่าแดง จ.พิจิตร ใช้ประโยชน์จาก “เน็ตประชารัฐ” ส่งเสริมคุณภาพชีวิต
|
วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม 2560
รองนายกฯ ประจิน ลงพื้นที่แนะชาวบ้านโนนป่าแดง จ.พิจิตร ใช้ประโยชน์จาก “เน็ตประชารัฐ” ส่งเสริมคุณภาพชีวิต
รองนายกฯ ประจิน
วันนี้ (15 ตุลาคม 2560) พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมติดตามความคืบหน้าโครงการเน็ตประชารัฐที่บ้านโนนป่าแดง ต.หนองหลุม อ.วชิรบารมี จ.พิจิตร ซึ่งเป็นโครงการสําคัญตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อสร้างโอกาส สร้างรายได้ ต่อยอดการใช้ประโยชน์ทั้งการศึกษา เศรษฐกิจ สาธารณสุข และบริการภาครัฐ ปัจจุบันกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยบริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) ได้ดําเนินการขยายติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในหมู่บ้านเป้าหมายไปแล้วถึง 19,401 หมู่บ้าน สําหรับพื้นที่ภาคเหนือกําหนดเป้าหมายติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง จํานวน 4,412 หมู่บ้าน ได้ติดตั้งแล้วเสร็จจํานวน 3,274 หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ 74.20 ซึ่งภายในปี 2560 นี้จะสามารถติดตั้งครอบคลุมหมู่บ้านทั่วประเทศได้ครบตามเป้าหมาย จํานวน 24,700 หมู่บ้าน
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการ “เน็ตประชารัฐ” เป็นการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านสื่อสัญญาณสายเคเบิลใยแก้วนําแสง (FTTx) ครอบคลุมหมู่บ้านเป้าหมายจํานวน 24,700 หมู่บ้าน ทั่วประเทศ ภายในปี 2560 โดยรัฐบาลมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากสนับสนุนชุมชนทั่วประเทศ ในการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เกิดประโยชน์เต็มศักยภาพ ทั้งด้านเศรษฐกิจ ด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข และด้านบริการภาครัฐ และพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้เติบโตจากการใช้ประโยชน์ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและการใช้ประโยชน์จากข้อมูล ซึ่งรัฐบาล โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ติดตามโครงการเน็ตประชารัฐอย่างใกล้ชิด ปัจจุบันการขยายการติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเป็นไปตามเป้าหมาย และเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างทั่วถึงเต็มศักยภาพ ขณะนี้กระทรวงดิจิทัลฯ ได้เร่งสนับสนุนการอบรมเพื่อให้ชุมชนและประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากการเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง รวมทั้งเพื่อพัฒนาความรู้เกี่ยวกับช่องทางการตลาดออนไลน์ เพื่อให้ชุมชนเข้าใจและสามารถประยุกต์ใช้ช่องทางต่างๆ ตลอดจนสามารถพัฒนาสื่อและเนื้อหาสําหรับเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าขายสําหรับสินค้าและบริการของชุมชน
ทั้งนี้ จากการรายงานความคืบหน้าการดําเนินงานโครงการฯ ที่ผ่านมา บมจ.ทีโอที ได้มีการอบรมให้ความรู้กับหมู่บ้านตามโครงการเน็ตประชารัฐ โดยจัดอบรมให้กับเจ้าหน้าที่จากสํานักงานพาณิชย์จังหวัด เจ้าหน้าที่สํานักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด เจ้าหน้าที่จากองค์การบริหารส่วนตําบล (อบต.) เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัด ตัวแทนกลุ่มอาชีพที่สําคัญ ครูและนักเรียนในหมู่บ้านที่มีการติดตั้งจุดให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ซึ่งมีจํานวนผู้เข้าร่วมการอบรมฯ ครั้งละประมาณ 20-40 คน รวมถึงได้จัดสื่อการเรียนสําหรับการเรียนรู้ด้วยตนเองให้แก่ผู้เข้าอบรมฯ ทุกคน โดยได้มีการออกแบบและพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้แบบ e-Learning จํานวน 5 หลักสูตร ประกอบด้วยหลักสูตรอินเทอร์เน็ตเบื้องต้น หลักสูตร Google App for work หลักสูตร Open shop on Social Network หลักสูตรการใช้ YouTube เบื้องต้น และหลักสูตรรู้ทันภัยไซเบอร์ ซึ่งทั้ง 5 หลักสูตร ได้นําขึ้นเผยแพร่บนเว็บไซต์ www.netpracharat.com เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ได้โดยง่าย และชุมชนสามารถต่อยอดจากการเรียนรู้ผ่านสื่อดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการบริการทางสังคมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
สําหรับอําเภอวชิรบารมี เดิมเป็นส่วนหนึ่งของอําเภอสามง่าม ต่อมาในปี พ.ศ. 2541 จึงได้แยกพื้นที่ตําบล บ้านนา ตําบลบึงบัว ตําบลวังโมกข์ และตําบลหนองหลุม จัดตั้งขึ้นเป็น อําเภอวชิรบารมี เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร โดยพระราชทานชื่อ "วชิร" ให้เป็นชื่อของอําเภอ ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 เป็นต้นมา แบ่งเขตการปกครองเป็น 4 ตําบล 51 หมู่บ้าน ซึ่งตําบล หนองหลุมมี 12 หมู่บ้าน และประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่จะประกอบอาชีพด้านการเกษตร อาทิ การทํานา เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ที่เป็นสินค้าโอทอปของชุมชน ได้แก่ ไม้กวาดดอกหญ้า รองเท้าสลิบเปอร์ ฯลฯ ทั้งนี้ โครงการเน็ตประชารัฐจะเป็นการขยายโอกาสด้านต่างๆ ให้กับชุมชนบ้านโนนป่าแดง ได้อย่างหลากหลาย ทั้งเป็นการเปิดโลกกว้าง พัฒนาการเรียนการสอนให้กับชุมชน พัฒนาด้านสาธารณสุขเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับชุมชน และที่สําคัญจะเป็นการใช้ประโยชน์ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและการใช้ประโยชน์จากข้อมูล ตั้งแต่การประกอบอาชีพ การเรียนรู้ การค้าขาย การทํามาหากิน ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ไปจนถึงเพิ่มช่องทางการขายสินค้าชุมชน ให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
***********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ ประจิน ลงพื้นที่แนะชาวบ้านโนนป่าแดง จ.พิจิตร ใช้ประโยชน์จาก “เน็ตประชารัฐ” ส่งเสริมคุณภาพชีวิต
วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม 2560
รองนายกฯ ประจิน ลงพื้นที่แนะชาวบ้านโนนป่าแดง จ.พิจิตร ใช้ประโยชน์จาก “เน็ตประชารัฐ” ส่งเสริมคุณภาพชีวิต
รองนายกฯ ประจิน
วันนี้ (15 ตุลาคม 2560) พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมติดตามความคืบหน้าโครงการเน็ตประชารัฐที่บ้านโนนป่าแดง ต.หนองหลุม อ.วชิรบารมี จ.พิจิตร ซึ่งเป็นโครงการสําคัญตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อสร้างโอกาส สร้างรายได้ ต่อยอดการใช้ประโยชน์ทั้งการศึกษา เศรษฐกิจ สาธารณสุข และบริการภาครัฐ ปัจจุบันกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยบริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) ได้ดําเนินการขยายติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในหมู่บ้านเป้าหมายไปแล้วถึง 19,401 หมู่บ้าน สําหรับพื้นที่ภาคเหนือกําหนดเป้าหมายติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง จํานวน 4,412 หมู่บ้าน ได้ติดตั้งแล้วเสร็จจํานวน 3,274 หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ 74.20 ซึ่งภายในปี 2560 นี้จะสามารถติดตั้งครอบคลุมหมู่บ้านทั่วประเทศได้ครบตามเป้าหมาย จํานวน 24,700 หมู่บ้าน
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการ “เน็ตประชารัฐ” เป็นการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านสื่อสัญญาณสายเคเบิลใยแก้วนําแสง (FTTx) ครอบคลุมหมู่บ้านเป้าหมายจํานวน 24,700 หมู่บ้าน ทั่วประเทศ ภายในปี 2560 โดยรัฐบาลมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากสนับสนุนชุมชนทั่วประเทศ ในการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เกิดประโยชน์เต็มศักยภาพ ทั้งด้านเศรษฐกิจ ด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข และด้านบริการภาครัฐ และพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้เติบโตจากการใช้ประโยชน์ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและการใช้ประโยชน์จากข้อมูล ซึ่งรัฐบาล โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ติดตามโครงการเน็ตประชารัฐอย่างใกล้ชิด ปัจจุบันการขยายการติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเป็นไปตามเป้าหมาย และเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างทั่วถึงเต็มศักยภาพ ขณะนี้กระทรวงดิจิทัลฯ ได้เร่งสนับสนุนการอบรมเพื่อให้ชุมชนและประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากการเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง รวมทั้งเพื่อพัฒนาความรู้เกี่ยวกับช่องทางการตลาดออนไลน์ เพื่อให้ชุมชนเข้าใจและสามารถประยุกต์ใช้ช่องทางต่างๆ ตลอดจนสามารถพัฒนาสื่อและเนื้อหาสําหรับเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าขายสําหรับสินค้าและบริการของชุมชน
ทั้งนี้ จากการรายงานความคืบหน้าการดําเนินงานโครงการฯ ที่ผ่านมา บมจ.ทีโอที ได้มีการอบรมให้ความรู้กับหมู่บ้านตามโครงการเน็ตประชารัฐ โดยจัดอบรมให้กับเจ้าหน้าที่จากสํานักงานพาณิชย์จังหวัด เจ้าหน้าที่สํานักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด เจ้าหน้าที่จากองค์การบริหารส่วนตําบล (อบต.) เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัด ตัวแทนกลุ่มอาชีพที่สําคัญ ครูและนักเรียนในหมู่บ้านที่มีการติดตั้งจุดให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ซึ่งมีจํานวนผู้เข้าร่วมการอบรมฯ ครั้งละประมาณ 20-40 คน รวมถึงได้จัดสื่อการเรียนสําหรับการเรียนรู้ด้วยตนเองให้แก่ผู้เข้าอบรมฯ ทุกคน โดยได้มีการออกแบบและพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้แบบ e-Learning จํานวน 5 หลักสูตร ประกอบด้วยหลักสูตรอินเทอร์เน็ตเบื้องต้น หลักสูตร Google App for work หลักสูตร Open shop on Social Network หลักสูตรการใช้ YouTube เบื้องต้น และหลักสูตรรู้ทันภัยไซเบอร์ ซึ่งทั้ง 5 หลักสูตร ได้นําขึ้นเผยแพร่บนเว็บไซต์ www.netpracharat.com เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ได้โดยง่าย และชุมชนสามารถต่อยอดจากการเรียนรู้ผ่านสื่อดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการบริการทางสังคมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
สําหรับอําเภอวชิรบารมี เดิมเป็นส่วนหนึ่งของอําเภอสามง่าม ต่อมาในปี พ.ศ. 2541 จึงได้แยกพื้นที่ตําบล บ้านนา ตําบลบึงบัว ตําบลวังโมกข์ และตําบลหนองหลุม จัดตั้งขึ้นเป็น อําเภอวชิรบารมี เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร โดยพระราชทานชื่อ "วชิร" ให้เป็นชื่อของอําเภอ ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 เป็นต้นมา แบ่งเขตการปกครองเป็น 4 ตําบล 51 หมู่บ้าน ซึ่งตําบล หนองหลุมมี 12 หมู่บ้าน และประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่จะประกอบอาชีพด้านการเกษตร อาทิ การทํานา เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ที่เป็นสินค้าโอทอปของชุมชน ได้แก่ ไม้กวาดดอกหญ้า รองเท้าสลิบเปอร์ ฯลฯ ทั้งนี้ โครงการเน็ตประชารัฐจะเป็นการขยายโอกาสด้านต่างๆ ให้กับชุมชนบ้านโนนป่าแดง ได้อย่างหลากหลาย ทั้งเป็นการเปิดโลกกว้าง พัฒนาการเรียนการสอนให้กับชุมชน พัฒนาด้านสาธารณสุขเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับชุมชน และที่สําคัญจะเป็นการใช้ประโยชน์ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและการใช้ประโยชน์จากข้อมูล ตั้งแต่การประกอบอาชีพ การเรียนรู้ การค้าขาย การทํามาหากิน ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ไปจนถึงเพิ่มช่องทางการขายสินค้าชุมชน ให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
***********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7429
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ประกาศปรับลดเวลาและวันทำงานของข้าราชการ 50% ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค.63 เป็นต้นไป [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2563
ศธ.ประกาศปรับลดเวลาและวันทํางานของข้าราชการ 50% ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค.63 เป็นต้นไป [กระทรวงสาธารณสุข]
ศธ.ประกาศปรับลดเวลาและวันทํางานของข้าราชการ 50% ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค.63 เป็นต้นไป
(18 พฤษภาคม 2563) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงนามในประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การปรับลดเวลาและวันทํางานของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับ 2 โดยมีสาระสําคัญดังนี้
ข้อ 1ผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหารระดับต้น ผู้อํานวยการระดับสูง และผู้อํานวยการระดับต้นหรือเทียบเท่า และผู้อํานวยการกลุ่ม/กอง/ฝ่าย ให้มาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ทํางานตามปกติ
ข้อ 2ให้ผู้บริหารแต่ละหน่วยงาน มอบหมายงานให้บุคลากรในสังกัดปฏิบัติงานที่บ้านตามความเหมาะสม และส่งเสริมให้ใช้ระบบอินเทอร์เน็ต เช่น ประชุมทางไกล เป็นต้น โดยเปิดเครื่องมือสื่อสารเพื่อให้สามารถติดต่อได้ตลอดเวลา และให้ทุกหน่วยงานจัดบุคลากรสําหรับวันมาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ทํางานจํานวน 50% ของบุคลากรทั้งหมดเมื่อรวมกับบุคลากรตามข้อ 1 แล้ว
ข้อ 3ให้ผู้บริหารแต่ละหน่วยงานกําหนดวิธีการที่ชัดเจน และเหมาะสมในการมอบหมายงานให้บุคลากรในสังกัดปฏิบัติงานที่บ้าน รวมถึงการรายงานผลที่ปฏิบัติไปในช่วงที่ไม่ได้มาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ทํางาน โดยคํานึงถึงเป้าหมายการดําเนินงานของงานที่ได้รับมอบหมายเป็นสําคัญ และกําหนดตารางการทํางานของบุคลากรในสังกัด หมุนเวียนกันมาปฏิบัติงานตามข้อ 2
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป
นายณัฎฐพล ทีปสุวรรณ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ประกาศปรับลดเวลาและวันทำงานของข้าราชการ 50% ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค.63 เป็นต้นไป [กระทรวงสาธารณสุข]
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2563
ศธ.ประกาศปรับลดเวลาและวันทํางานของข้าราชการ 50% ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค.63 เป็นต้นไป [กระทรวงสาธารณสุข]
ศธ.ประกาศปรับลดเวลาและวันทํางานของข้าราชการ 50% ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค.63 เป็นต้นไป
(18 พฤษภาคม 2563) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงนามในประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การปรับลดเวลาและวันทํางานของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับ 2 โดยมีสาระสําคัญดังนี้
ข้อ 1ผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหารระดับต้น ผู้อํานวยการระดับสูง และผู้อํานวยการระดับต้นหรือเทียบเท่า และผู้อํานวยการกลุ่ม/กอง/ฝ่าย ให้มาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ทํางานตามปกติ
ข้อ 2ให้ผู้บริหารแต่ละหน่วยงาน มอบหมายงานให้บุคลากรในสังกัดปฏิบัติงานที่บ้านตามความเหมาะสม และส่งเสริมให้ใช้ระบบอินเทอร์เน็ต เช่น ประชุมทางไกล เป็นต้น โดยเปิดเครื่องมือสื่อสารเพื่อให้สามารถติดต่อได้ตลอดเวลา และให้ทุกหน่วยงานจัดบุคลากรสําหรับวันมาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ทํางานจํานวน 50% ของบุคลากรทั้งหมดเมื่อรวมกับบุคลากรตามข้อ 1 แล้ว
ข้อ 3ให้ผู้บริหารแต่ละหน่วยงานกําหนดวิธีการที่ชัดเจน และเหมาะสมในการมอบหมายงานให้บุคลากรในสังกัดปฏิบัติงานที่บ้าน รวมถึงการรายงานผลที่ปฏิบัติไปในช่วงที่ไม่ได้มาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ทํางาน โดยคํานึงถึงเป้าหมายการดําเนินงานของงานที่ได้รับมอบหมายเป็นสําคัญ และกําหนดตารางการทํางานของบุคลากรในสังกัด หมุนเวียนกันมาปฏิบัติงานตามข้อ 2
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป
นายณัฎฐพล ทีปสุวรรณ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31111
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำยังไม่มีการหารือกันเรื่องการค้ำประกันเงินกู้เพื่อนำมาฟื้นฟูบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ขอประชาชนอย่าเป็นกังวล ยืนยันจะพิจารณาอย่างรอบคอบ
|
วันพุธที่ 13 พฤษภาคม 2563
นายกรัฐมนตรีย้ํายังไม่มีการหารือกันเรื่องการค้ําประกันเงินกู้เพื่อนํามาฟื้นฟูบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ขอประชาชนอย่าเป็นกังวล ยืนยันจะพิจารณาอย่างรอบคอบ
นายกรัฐมนตรีย้ํายังไม่มีการหารือกันเรื่องการค้ําประกันเงินกู้เพื่อนํามาฟื้นฟูบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ขอประชาชนอย่าเป็นกังวล ยืนยันจะพิจารณาอย่างรอบคอบ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวย้ําถึงแผนการฟื้นฟูบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ว่า ยังไม่มีการหารือกันเรื่องการค้ําประกันเงินกู้เพื่อนํามาฟื้นฟูตามที่เป็นข่าว ขอประชาชนอย่าเป็นกังวลในเรื่องดังกล่าว สําหรับแผนการฟื้นฟูจะมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายหลายฉบับ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) และกระทรวงคมนาคมพิจารณาร่วมกัน ซึ่งต้องดําเนินการอีกหลายขั้นตอนก่อนที่จะมีการเห็นชอบในหลักการ เพื่อนําเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ
นายกรัฐมนตรียืนยันแผนการฟื้นฟูฯ ใหม่จะต้องครบถ้วนและสมบูรณ์ เกิดผลกระทบน้อยที่สุด ทั้งนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งบุคลากรภายใน และภายนอกองค์กร รวมถึงสหภาพแรงงาน ต้องช่วยเหลือให้บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) สามารถให้บริการต่อไปได้ เพื่อลดผลกระทบต่อการจ้างงาน ด้วย
..................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำยังไม่มีการหารือกันเรื่องการค้ำประกันเงินกู้เพื่อนำมาฟื้นฟูบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ขอประชาชนอย่าเป็นกังวล ยืนยันจะพิจารณาอย่างรอบคอบ
วันพุธที่ 13 พฤษภาคม 2563
นายกรัฐมนตรีย้ํายังไม่มีการหารือกันเรื่องการค้ําประกันเงินกู้เพื่อนํามาฟื้นฟูบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ขอประชาชนอย่าเป็นกังวล ยืนยันจะพิจารณาอย่างรอบคอบ
นายกรัฐมนตรีย้ํายังไม่มีการหารือกันเรื่องการค้ําประกันเงินกู้เพื่อนํามาฟื้นฟูบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ขอประชาชนอย่าเป็นกังวล ยืนยันจะพิจารณาอย่างรอบคอบ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวย้ําถึงแผนการฟื้นฟูบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ว่า ยังไม่มีการหารือกันเรื่องการค้ําประกันเงินกู้เพื่อนํามาฟื้นฟูตามที่เป็นข่าว ขอประชาชนอย่าเป็นกังวลในเรื่องดังกล่าว สําหรับแผนการฟื้นฟูจะมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายหลายฉบับ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) และกระทรวงคมนาคมพิจารณาร่วมกัน ซึ่งต้องดําเนินการอีกหลายขั้นตอนก่อนที่จะมีการเห็นชอบในหลักการ เพื่อนําเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ
นายกรัฐมนตรียืนยันแผนการฟื้นฟูฯ ใหม่จะต้องครบถ้วนและสมบูรณ์ เกิดผลกระทบน้อยที่สุด ทั้งนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งบุคลากรภายใน และภายนอกองค์กร รวมถึงสหภาพแรงงาน ต้องช่วยเหลือให้บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) สามารถให้บริการต่อไปได้ เพื่อลดผลกระทบต่อการจ้างงาน ด้วย
..................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30779
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษของนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 4/2561
|
วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน 2561
การประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษของนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 4/2561
การประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษของนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 4/2561
วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน 2561) เวลา 10.00 น. พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษของนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษของนายกรัฐมนตรี ณ ห้องประชุมอาคารรับรองเกษะโกมล บ้านเกษะโกมล
การประชุมในวันนี้ คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาเห็นว่า ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันเป็นปัญหาที่มีความสําคัญ จําเป็นต้องได้รับการพิจารณาแก้ไขอย่างจริงจังและเร่งด่วน เนื่องจากมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนและด้านสุขอนามัย ซึ่งมีปัญหาที่สําคัญ 2 เรื่อง ดังนี้
1. ปัญหาเรื่องขยะ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากขยะทั่วไป ขยะอิเล็กทรอนิกส์ และขยะพิษ ซึ่งจําเป็นต้องมีการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง และครบวงจร จึงสมควรกําหนดให้มีเจ้าภาพหลัก ในการบริหารจัดการ ควบคุม กําจัด และใช้ประโยชน์อย่างครบวงจร ซึ่งจะทําให้ทิศทางในการดําเนินการมีความชัดเจนและสอดคล้องกัน
2.ปัญหาเรื่องทรัพยากรน้ําจากผักตบชวา ซึ่งมีผลกระทบต่อการคมนาคมทางน้ํา การระบายน้ําการเกิดอุทกภัย การดํารงชีวิตของสัตว์น้ํา และคุณภาพน้ํา อันทําให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนโดยทั่วไปด้วย สมควรต้องแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง และครบวงจร โดยกําหนดให้มีหน่วยงานหลักในระดับนโยบายและท้องถิ่นร่วมกันทําอย่างจริงจัง โดยมีการสนับสนุนด้านงบประมาณ เครื่องมือในการกําจัดผักตบชวา โดยให้มีการบูรณาการเครื่องมือระหว่างหน่วยงาน และควรมีการวิจัยอย่างจริงจังที่ต้นเหตุเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน โดยไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษของนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 4/2561
วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน 2561
การประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษของนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 4/2561
การประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษของนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 4/2561
วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน 2561) เวลา 10.00 น. พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษของนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษของนายกรัฐมนตรี ณ ห้องประชุมอาคารรับรองเกษะโกมล บ้านเกษะโกมล
การประชุมในวันนี้ คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาเห็นว่า ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันเป็นปัญหาที่มีความสําคัญ จําเป็นต้องได้รับการพิจารณาแก้ไขอย่างจริงจังและเร่งด่วน เนื่องจากมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนและด้านสุขอนามัย ซึ่งมีปัญหาที่สําคัญ 2 เรื่อง ดังนี้
1. ปัญหาเรื่องขยะ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากขยะทั่วไป ขยะอิเล็กทรอนิกส์ และขยะพิษ ซึ่งจําเป็นต้องมีการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง และครบวงจร จึงสมควรกําหนดให้มีเจ้าภาพหลัก ในการบริหารจัดการ ควบคุม กําจัด และใช้ประโยชน์อย่างครบวงจร ซึ่งจะทําให้ทิศทางในการดําเนินการมีความชัดเจนและสอดคล้องกัน
2.ปัญหาเรื่องทรัพยากรน้ําจากผักตบชวา ซึ่งมีผลกระทบต่อการคมนาคมทางน้ํา การระบายน้ําการเกิดอุทกภัย การดํารงชีวิตของสัตว์น้ํา และคุณภาพน้ํา อันทําให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนโดยทั่วไปด้วย สมควรต้องแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง และครบวงจร โดยกําหนดให้มีหน่วยงานหลักในระดับนโยบายและท้องถิ่นร่วมกันทําอย่างจริงจัง โดยมีการสนับสนุนด้านงบประมาณ เครื่องมือในการกําจัดผักตบชวา โดยให้มีการบูรณาการเครื่องมือระหว่างหน่วยงาน และควรมีการวิจัยอย่างจริงจังที่ต้นเหตุเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน โดยไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12848
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด ก.อุตฯ มอบรางวัลธรรมาภิบาลดีเด่น ให้ผู้ประกอบการSME
|
วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม 2561
ปลัด ก.อุตฯ มอบรางวัลธรรมาภิบาลดีเด่น ให้ผู้ประกอบการSME
ปลัด ก.อุตฯ มอบรางวัลธรรมาภิบาลดีเด่น ให้ผู้ประกอบการSME ณ อาคารศูนย์การเรียนรู้ ธนาคารแห่งประเทศไทย
เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2561 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ประธานกรรมการสถาบันป๋วย อึ๊งภากรณ์ พร้อมด้วย นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย และนายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกรรมการสถาบันพัฒนาวิสากิจขนาดกลางและขนาดย่อม ได้ร่วมเป็นเกียรติในพิธีมอบรางวัลธรรมาภิบาลดีเด่น แห่งปี 2561 โดยมีนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน ณ อาคารศูนย์การเรียนรู้ ธนาคารแห่งประเทศไทย
โดยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบรางวัลเกียรติคุณบัตรยกย่องให้แก่ผู้ประกอบการ SME คือ บริษัท วีเคเอส กรุ๊ป (เอเชีย) จํากัด และ บริษัท พระราม 2 การโยธา จํากัด พร้อมทั้งมอบรางวัลธรรมาภิบาลดีเด่น ด้านการปฎิบัติต่อพนักงานดีเด่น แก่บริษัท เอส.ที.ไรซิ่ง จํากัด ซึ่งการมอบรางวัลให้สถานประกอบการที่มีธรรมาภิบาล ถือว่าเป็นการสร้างขวัญกําลังใจในการพัฒนาธุรกิจของผู้ประกอบการด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด ก.อุตฯ มอบรางวัลธรรมาภิบาลดีเด่น ให้ผู้ประกอบการSME
วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม 2561
ปลัด ก.อุตฯ มอบรางวัลธรรมาภิบาลดีเด่น ให้ผู้ประกอบการSME
ปลัด ก.อุตฯ มอบรางวัลธรรมาภิบาลดีเด่น ให้ผู้ประกอบการSME ณ อาคารศูนย์การเรียนรู้ ธนาคารแห่งประเทศไทย
เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2561 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ประธานกรรมการสถาบันป๋วย อึ๊งภากรณ์ พร้อมด้วย นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย และนายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกรรมการสถาบันพัฒนาวิสากิจขนาดกลางและขนาดย่อม ได้ร่วมเป็นเกียรติในพิธีมอบรางวัลธรรมาภิบาลดีเด่น แห่งปี 2561 โดยมีนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน ณ อาคารศูนย์การเรียนรู้ ธนาคารแห่งประเทศไทย
โดยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบรางวัลเกียรติคุณบัตรยกย่องให้แก่ผู้ประกอบการ SME คือ บริษัท วีเคเอส กรุ๊ป (เอเชีย) จํากัด และ บริษัท พระราม 2 การโยธา จํากัด พร้อมทั้งมอบรางวัลธรรมาภิบาลดีเด่น ด้านการปฎิบัติต่อพนักงานดีเด่น แก่บริษัท เอส.ที.ไรซิ่ง จํากัด ซึ่งการมอบรางวัลให้สถานประกอบการที่มีธรรมาภิบาล ถือว่าเป็นการสร้างขวัญกําลังใจในการพัฒนาธุรกิจของผู้ประกอบการด้วย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10673
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ ปลื้มนำจับคู่ธุรกิจอินเดีย วันเดียวทะลุ 4,000 ล้าน ยังเดินหน้าต่อเปิดตลาดใหม่เพิ่มเจรจาอีก 2 วัน
|
วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2562
จุรินทร์ ปลื้มนําจับคู่ธุรกิจอินเดีย วันเดียวทะลุ 4,000 ล้าน ยังเดินหน้าต่อเปิดตลาดใหม่เพิ่มเจรจาอีก 2 วัน
(26 กันยายน 2562) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า มีโปรแกรมที่จะพบภาคธุรกิจของอินเดียหลายรายการในช่วงระยะเวลา 3 วันตั้งแต่วันที่ 25-27กันยายน 2562
โดยรายการแรก คือ การพบปะ Mr.Kishire Biyani ซึ่งเป็นเจ้าของซุปเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ ของอินเดีย ชื่อฟู้ดฮอลล์และบิ๊กบาร์ซ่ามีสาขา 2,000 สาขาทั่วประเทศอินเดียใน 400 เมืองมีลูกค้าประมาณ 600 ล้านคน สําหรับฟู้ดฮอลล์และบิ๊กบาร์ซ่าซึ่งเป็นเครือของฟิวเจอร์กรุ๊ป นําเข้าสินค้าอาหารจากประเทศไทยเป็นหลักปีละ 35 ล้านบาทโดยประมาณถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นเพราะตลาดอินเดียเป็นตลาดใหม่สําหรับประเทศไทย ครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกแรก และขณะนี้มีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้น
และการที่รองนายกรัฐมนตรีมาพบกับภาคเอกชนอินเดียโดยตรง ถือว่ามาเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ทางการค้าประเทศไทยกับประเทศอินเดีย Mr. Biyani อยากให้ทางเรามาจากเทศกาลสินค้ากับทางอินเดียบ่อยๆ รวมทั้งมีหลายประเทศที่จัดเทศกาล ทําให้ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัว โดย outlet ของเขาขายได้ดี อยากให้สินค้าของประเทศไทยเข้ามาเพิ่มเติมนอกจากสินค้าประเภทอาหาร ประเทศไทยควรมาจัดให้ถี่ครั้งขึ้น โดยเฉพาะเวชสําอางและเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เฟอร์นิเจอร์ สิ่งของตกแต่งบ้าน เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่อาหารเพราะฉะนั้นสะท้อนให้เห็นว่าสินค้าตลาดค้าปลีกของอินเดีย มีอนาคตทั้งที่เป็นอาหารและไม่ใช่อาหาร เราจะกลับไปดูว่ามีสินค้าอะไรบ้างที่จะมีอนาคตสําหรับอินเดีย
ส่วนการส่งออกมาที่ประเทศอินเดียเราก็มีสินค้าหลายอย่าง อัญมณี เครื่องประดับ ก็แสดงให้เห็นว่าตลาดใหม่ที่เราอยากที่จะมาบุกเบิกอย่างตลาดยางล้อ ยางพารา เป็นต้น และการลงนาม MOU ระหว่างภาคเอกชนไทยกับอินเดียรวม 3 ฉบับนั้นมีมูลค่าพอสมควร สําหรับภาคเอกชนของอินเดียที่จะมาสัมมนาร่วมกับเราจะมาจับคู่ทางการค้ากับเรา โดยอินเดียมีมาประมาณ 150 บริษัท ส่วนทางไทยเรามี 30 บริษัท รวมทั้งองค์กรและบริษัทถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีสําหรับอนาคต
รายงานข่าวแจ้งว่า สําหรับภารกิจวันที่ 25 กันยายน เพียงวันเดียวในมุมไบ ต่อโครงการผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ระดับสูงและคณะผู้แทนการค้าภาคเอกชนเดินทางเยือนอินเดีย นําโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ สามารถสร้างมูลค่าทางการค้าได้ทั้งหมดร่วม 4,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการลงนามข้อตกลง MOU ระหว่างสมาคมธุรกิจไทยกับผู้ซื้อจากอินเดีย 2,600 ล้านบาท และตลอดทั้งวันหลังการเปิดงานสัมมนาได้ มีกิจกรรม เจรจาการค้าสร้างเครือข่ายธุรกิจระหว่างภาคเอกชนไทยและอินเดียโดยจับคู่ธุรกิจเป็นรายสินค้า (Matching &Networking )จนเมื่อช่วงค่ําของวันที่ 25 กันยายน 2562 ที่ผ่านมารวมมูลค่าเฉพาะการ Matching คู่ค้ารวมมูลค่ากว่า 1,300 ล้านบาท ทําให้ยอดการเจรจาเพียงวันเดียวทะลุ ร่วมเกือบ 4,000 ล้านบาท
และวันนี้ (26กันยายน2562) นายจุรินทร์ยังมีภารกิจที่ผู้ประกอบการที่ลงทุนในประเทศอินเดียเข้าพบเพื่อรายงานปัญหาอุปสรรค และมีประธานอุตสาหกรรมแห่งบอมเบย์เข้าพบเพื่อรายงานผลการเจรจาการค้า โดยนายจุรินทร์ยังมีภารกิจสําคัญในวันที่ 27 กันยายน 2562 เดินทางไปเมืองเจนไน เพื่อเปิดสัมมนาโอกาสใหม่ทางธุรกิจและอุตสาหกรรมยางระหว่างไทยกับอินเดีย พร้อมกิจกรรมเสริมสร้างเครือข่ายธุรกิจและจะมีการทําข้อตกลง MOU หลายรายการที่เป็นมูลค่าทางการค้าในพื้นที่อินเดียตอนใต้ นั่นคือเมืองเจนไน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ ปลื้มนำจับคู่ธุรกิจอินเดีย วันเดียวทะลุ 4,000 ล้าน ยังเดินหน้าต่อเปิดตลาดใหม่เพิ่มเจรจาอีก 2 วัน
วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2562
จุรินทร์ ปลื้มนําจับคู่ธุรกิจอินเดีย วันเดียวทะลุ 4,000 ล้าน ยังเดินหน้าต่อเปิดตลาดใหม่เพิ่มเจรจาอีก 2 วัน
(26 กันยายน 2562) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า มีโปรแกรมที่จะพบภาคธุรกิจของอินเดียหลายรายการในช่วงระยะเวลา 3 วันตั้งแต่วันที่ 25-27กันยายน 2562
โดยรายการแรก คือ การพบปะ Mr.Kishire Biyani ซึ่งเป็นเจ้าของซุปเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ ของอินเดีย ชื่อฟู้ดฮอลล์และบิ๊กบาร์ซ่ามีสาขา 2,000 สาขาทั่วประเทศอินเดียใน 400 เมืองมีลูกค้าประมาณ 600 ล้านคน สําหรับฟู้ดฮอลล์และบิ๊กบาร์ซ่าซึ่งเป็นเครือของฟิวเจอร์กรุ๊ป นําเข้าสินค้าอาหารจากประเทศไทยเป็นหลักปีละ 35 ล้านบาทโดยประมาณถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นเพราะตลาดอินเดียเป็นตลาดใหม่สําหรับประเทศไทย ครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกแรก และขณะนี้มีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้น
และการที่รองนายกรัฐมนตรีมาพบกับภาคเอกชนอินเดียโดยตรง ถือว่ามาเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ทางการค้าประเทศไทยกับประเทศอินเดีย Mr. Biyani อยากให้ทางเรามาจากเทศกาลสินค้ากับทางอินเดียบ่อยๆ รวมทั้งมีหลายประเทศที่จัดเทศกาล ทําให้ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัว โดย outlet ของเขาขายได้ดี อยากให้สินค้าของประเทศไทยเข้ามาเพิ่มเติมนอกจากสินค้าประเภทอาหาร ประเทศไทยควรมาจัดให้ถี่ครั้งขึ้น โดยเฉพาะเวชสําอางและเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เฟอร์นิเจอร์ สิ่งของตกแต่งบ้าน เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่อาหารเพราะฉะนั้นสะท้อนให้เห็นว่าสินค้าตลาดค้าปลีกของอินเดีย มีอนาคตทั้งที่เป็นอาหารและไม่ใช่อาหาร เราจะกลับไปดูว่ามีสินค้าอะไรบ้างที่จะมีอนาคตสําหรับอินเดีย
ส่วนการส่งออกมาที่ประเทศอินเดียเราก็มีสินค้าหลายอย่าง อัญมณี เครื่องประดับ ก็แสดงให้เห็นว่าตลาดใหม่ที่เราอยากที่จะมาบุกเบิกอย่างตลาดยางล้อ ยางพารา เป็นต้น และการลงนาม MOU ระหว่างภาคเอกชนไทยกับอินเดียรวม 3 ฉบับนั้นมีมูลค่าพอสมควร สําหรับภาคเอกชนของอินเดียที่จะมาสัมมนาร่วมกับเราจะมาจับคู่ทางการค้ากับเรา โดยอินเดียมีมาประมาณ 150 บริษัท ส่วนทางไทยเรามี 30 บริษัท รวมทั้งองค์กรและบริษัทถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีสําหรับอนาคต
รายงานข่าวแจ้งว่า สําหรับภารกิจวันที่ 25 กันยายน เพียงวันเดียวในมุมไบ ต่อโครงการผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ระดับสูงและคณะผู้แทนการค้าภาคเอกชนเดินทางเยือนอินเดีย นําโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ สามารถสร้างมูลค่าทางการค้าได้ทั้งหมดร่วม 4,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการลงนามข้อตกลง MOU ระหว่างสมาคมธุรกิจไทยกับผู้ซื้อจากอินเดีย 2,600 ล้านบาท และตลอดทั้งวันหลังการเปิดงานสัมมนาได้ มีกิจกรรม เจรจาการค้าสร้างเครือข่ายธุรกิจระหว่างภาคเอกชนไทยและอินเดียโดยจับคู่ธุรกิจเป็นรายสินค้า (Matching &Networking )จนเมื่อช่วงค่ําของวันที่ 25 กันยายน 2562 ที่ผ่านมารวมมูลค่าเฉพาะการ Matching คู่ค้ารวมมูลค่ากว่า 1,300 ล้านบาท ทําให้ยอดการเจรจาเพียงวันเดียวทะลุ ร่วมเกือบ 4,000 ล้านบาท
และวันนี้ (26กันยายน2562) นายจุรินทร์ยังมีภารกิจที่ผู้ประกอบการที่ลงทุนในประเทศอินเดียเข้าพบเพื่อรายงานปัญหาอุปสรรค และมีประธานอุตสาหกรรมแห่งบอมเบย์เข้าพบเพื่อรายงานผลการเจรจาการค้า โดยนายจุรินทร์ยังมีภารกิจสําคัญในวันที่ 27 กันยายน 2562 เดินทางไปเมืองเจนไน เพื่อเปิดสัมมนาโอกาสใหม่ทางธุรกิจและอุตสาหกรรมยางระหว่างไทยกับอินเดีย พร้อมกิจกรรมเสริมสร้างเครือข่ายธุรกิจและจะมีการทําข้อตกลง MOU หลายรายการที่เป็นมูลค่าทางการค้าในพื้นที่อินเดียตอนใต้ นั่นคือเมืองเจนไน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23412
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ภาคอีสานและภาคเหนือ
|
วันอังคารที่ 15 สิงหาคม 2560
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมที่ภาคอีสานและภาคเหนือ
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมที่ภาคอีสานและภาคเหนือ
วันนี้ (15 สิงหาคม 2560) เวลา 15.30 น. ณ ศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมที่ภาคอีสานและภาคเหนือ จากตัวแทนคณะครู นักเรียน ชุมชน และผู้ปกครอง โรงเรียนบางขุนเทียนศึกษา จํานวนเงิน 84,353 บาท
โอกาสนี้รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณตัวแทนคณะครู นักเรียน ชุมชน และผู้ปกครอง โรงเรียนบางขุนเทียนศึกษา ที่ได้ร่วมบริจาคเงินสมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลจะนําเงินบริจาคดังกล่าวมอบให้กับศูนย์ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ําท่วมที่รัฐบาลได้จัดตั้งขึ้นมา เพื่อเป็นศูนย์กลางการรับบริจาคของประชาชนที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม พร้อมเชิญชวนประชาชน หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ ได้ร่วมกันบริจาคเงินช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยได้ที่กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย ของสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ผ่านบัญชี067-0-06895-0 ธนาคารกรุงไทย สาขาทําเนียบรัฐบาล
สําหรับผู้ที่บริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กรณีบุคคลธรรมดา สามารถนําเงินที่บริจาคไปหักลดหย่อนในการคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้เท่าที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละสิบของเงินได้สุทธิ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถนําเงินหรือมูลค่าทรัพย์สินที่บริจาคไปหักเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิได้เท่าที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละ 2 ของกําไรสุทธิ
**********************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ภาคอีสานและภาคเหนือ
วันอังคารที่ 15 สิงหาคม 2560
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมที่ภาคอีสานและภาคเหนือ
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมที่ภาคอีสานและภาคเหนือ
วันนี้ (15 สิงหาคม 2560) เวลา 15.30 น. ณ ศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมที่ภาคอีสานและภาคเหนือ จากตัวแทนคณะครู นักเรียน ชุมชน และผู้ปกครอง โรงเรียนบางขุนเทียนศึกษา จํานวนเงิน 84,353 บาท
โอกาสนี้รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณตัวแทนคณะครู นักเรียน ชุมชน และผู้ปกครอง โรงเรียนบางขุนเทียนศึกษา ที่ได้ร่วมบริจาคเงินสมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลจะนําเงินบริจาคดังกล่าวมอบให้กับศูนย์ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ําท่วมที่รัฐบาลได้จัดตั้งขึ้นมา เพื่อเป็นศูนย์กลางการรับบริจาคของประชาชนที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม พร้อมเชิญชวนประชาชน หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ ได้ร่วมกันบริจาคเงินช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยได้ที่กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย ของสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ผ่านบัญชี067-0-06895-0 ธนาคารกรุงไทย สาขาทําเนียบรัฐบาล
สําหรับผู้ที่บริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กรณีบุคคลธรรมดา สามารถนําเงินที่บริจาคไปหักลดหย่อนในการคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้เท่าที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละสิบของเงินได้สุทธิ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถนําเงินหรือมูลค่าทรัพย์สินที่บริจาคไปหักเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิได้เท่าที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละ 2 ของกําไรสุทธิ
**********************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5949
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตนักเรียนด้อยโอกาสที่จังหวัดสุรินทร์
|
วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2560
รองนายกรัฐมนตรีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตนักเรียนด้อยโอกาสที่จังหวัดสุรินทร์
รองนายกรัฐมนตรีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตนักเรียนด้อยโอกาสที่จังหวัดสุรินทร์
เมื่อเวลา 09.00 น.ของวันนี้ (24 พ.ย.60) พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปยังโรงเรียนบ้านสําโรง อําเภอสนม จังหวัดสุรินทร์ เพื่อเป็นประธานในพิธีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส โดยมีนายอรรถพร สิงหวิชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ นางสาวเพ็ญศิริ แสนสุข ผู้อํานวยการโรงเรียนบ้านสําโรง ผู้แทนส่วนราชการในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์และนายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีดับบลิว จํากัด(มหาชน) ผู้ให้การสนับสนุนโครงการ ฯ ร่วมให้การต้อนรับ
นางสาวเพ็ญศิริ แสนสุข ผู้อํานวยการโรงเรียนบ้านสําโรง กล่าวว่า โรงเรียนบ้านสําโรงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติจากสํานักงานพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีได้พิจารณาคัดเลือกให้จังหวัดสุรินทร์เข้าร่วมโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส รวมทั้งขอขอบคุณจังหวัดสุรินทร์ บริษัท ทีทีดับบลิว จํากัด (มหาชน) และหน่วยงานต่าง ๆ ที่ให้การสนับสนุนโครงการ ฯ เพื่อร่วมกันส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาของประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
จากนั้นนายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีดับบลิว จํากัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนโครงการ ฯ ได้กล่าวว่าบริษัท ฯ ได้เข้าร่วมเป็นผู้สนับสนุนหลักในโครงการ ฯ นี้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของโรงเรียนให้มีความเหมาะสม มีหลักโภชนาการที่ดี มีการเสริมสร้างสุขภาพพลานามัย พัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการศึกษา รวมทั้งมุ่งเน้นให้เกิดสภาพแวดล้อม และบรรยากาศที่ดีต่อการใช้ชีวิตของเด็กนักเรียนในโรงเรียน โดยได้มีการสนับสนุนการก่อสร้างห้องสุขาและปรับปรุงภูมิทัศน์ การปรับปรุงระบบน้ําเพื่อการบริโภค ตู้กดน้ําดื่ม และโต๊ะเก้าอี้ครู นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนรวมทั้งสํานักงานของ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ให้การสนับสนุนหลอดไฟฟ้าประหยัดพลังงาน เฟอร์นิเจอร์ครัว ถังเก็บน้ํา เสื้อกางเกงนักเรียน ชุดกีฬา อุปกรณ์กีฬา หนังสือ และตู้ยาอีกด้วย
ในการนี้พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในพิธีส่งมอบโครงการ ฯ ว่า สํานักงานรองนายกรัฐมนตรี ได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของการศึกษา ซึ่งถือเป็นกลไกในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดศักยภาพและมีความพร้อมในการเข้าสู่สังคมปัจจุบัน โดยรัฐบาลได้มุ่งเน้นให้เกิดการปฏิรูประบบการศึกษาเพื่อให้คนไทยทุกวัยได้รับโอกาสในการเสริมสร้างสมรรถนะของตน เพื่อก้าวสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ตามที่ตนใฝ่ฝัน พร้อมทั้งได้กล่าวขอบคุณส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้ร่วมให้การสนับสนุนการดําเนินงานโครงการ ฯ จนสําเร็จลุล่วงไปด้วยดี
เสร็จแล้วจึงได้ประกอบพิธีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส พร้อมทั้งมอบทุนการศึกษา ทุนบํารุงห้องสมุด และส่งมอบสิ่งอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้กับโรงเรียนบ้านสําโรงต่อไป แล้วจึงได้เยี่ยมชมการดําเนินโครงการภายในโรงเรียน กิจกรรมของนักเรียน และสินค้าชุมชน พร้อมทั้งร่วมกันปลูกต้นไม้ที่บริเวณด้านหน้าของอาคารเรียนไว้เพื่อเป็นอุปกรณ์ในครั้งนี้อีกด้วย
ต่อมาในเวลา 13.00 น.พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคณะได้เดินทางต่อไปยังสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อําเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ เพื่อเป็นประธานในการเปิดงานโลกการเรียนรู้สู่อาชีพสุรินทร์ โดยมีนายอรรถพร สิงหวิชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์กล่าวรายงานว่า การเปิดโลกการเรียนรู้สู่อาชีพสุรินทร์ในวันนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนแผนพัฒนาการศึกษาเพื่ออาชีพจังหวัดสุรินทร์ ภายใต้ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการมีงานทํา โดยความร่วมมือกันระหว่างจังหวัดสุรินทร์ คณะกรรมการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ สํานักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน สํานักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้(องค์การมหาชน)และกิจการเพื่อสังคม a-chive ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-26 พฤศจิกายน 2560 เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดรูปแบบการสร้างความพร้อมด้านอาชีพของเด็กและเยาวชนในระบบการศึกษาและนอกระบบการศึกษา เกิดระบบแนะแนวที่สามารถแนะนําให้เด็กและเยาวชนเห็นทางเลือกทางด้านอาชีพและการศึกษาต่อสายสามัญหรือสายอาชีพแทนการยุติการศึกษา และสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และเห็นความสําคัญของการศึกษาเพื่ออาชีพให้แก่เด็กและเยาวชน พ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูแนะแนวในจังหวัดสุรินทร์
จากนั้นพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่ารัฐบาลให้ความสําคัญสูงสุดกับการพัฒนา “คน” อันเป็นทรัพยากรที่สําคัญของการพัฒนาชาติ รัฐบาลจึงมีนโยบายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องบูรณาการการศึกษาและพัฒนาคน โดยมุ่งให้เกิดการเตรียมความพร้อมของเยาวชนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและความต้องการของท้องถิ่น เน้นการสร้างคนให้มีความสามารถ มีทักษะ และเจตคติที่ดีต่อการทํางาน การส่งเสริมให้เยาวชนได้เตรียมความพร้อมด้านอาชีพยังเป็นเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ประเทศสมาชิกทั่วโลกสัญญากันว่าจะบรรลุในปี 2573 โดยการส่งเสริมความรู้และทักษะเพื่ออาชีพและการพัฒนาการศึกษาที่สอดคล้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ถือเป็นเป้าหมายการศึกษาโลกที่สําคัญ การขับเคลื่อนในเรื่องนี้ให้สําเร็จ จึงควรริเริ่มจากท้องถิ่นไปสู่จังหวัด ดังนั้น การพัฒนาด้านอาชีพของคนในแต่ละจังหวัดจึงต้องคํานึงถึงปัจจัยต่าง ๆ โดยจังหวัดสามารถกําหนดทิศทางการศึกษาให้แก่ลูกหลานในจังหวัดของตนเองได้
หลังจากนั้นคณะของรองนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมศูนย์ความรู้กินได้ กิจกรรมเพื่อรู้จักตนเองและรู้จักอาชีพและเวทีเปิดโลกอาชีพ รวมทั้งนิทรรศการทํามาหากินพื้นถิ่นสุรินทร์ โดยมี นักเรียน ผู้บริหารโรงเรียน ภาคีเครือข่ายและประชาชนทั่วไปให้ความสนใจเข้าร่วมงานเป็นจํานวนมาก
....................................................................................
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตนักเรียนด้อยโอกาสที่จังหวัดสุรินทร์
วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2560
รองนายกรัฐมนตรีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตนักเรียนด้อยโอกาสที่จังหวัดสุรินทร์
รองนายกรัฐมนตรีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตนักเรียนด้อยโอกาสที่จังหวัดสุรินทร์
เมื่อเวลา 09.00 น.ของวันนี้ (24 พ.ย.60) พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปยังโรงเรียนบ้านสําโรง อําเภอสนม จังหวัดสุรินทร์ เพื่อเป็นประธานในพิธีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส โดยมีนายอรรถพร สิงหวิชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ นางสาวเพ็ญศิริ แสนสุข ผู้อํานวยการโรงเรียนบ้านสําโรง ผู้แทนส่วนราชการในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์และนายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีดับบลิว จํากัด(มหาชน) ผู้ให้การสนับสนุนโครงการ ฯ ร่วมให้การต้อนรับ
นางสาวเพ็ญศิริ แสนสุข ผู้อํานวยการโรงเรียนบ้านสําโรง กล่าวว่า โรงเรียนบ้านสําโรงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติจากสํานักงานพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีได้พิจารณาคัดเลือกให้จังหวัดสุรินทร์เข้าร่วมโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส รวมทั้งขอขอบคุณจังหวัดสุรินทร์ บริษัท ทีทีดับบลิว จํากัด (มหาชน) และหน่วยงานต่าง ๆ ที่ให้การสนับสนุนโครงการ ฯ เพื่อร่วมกันส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาของประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
จากนั้นนายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีดับบลิว จํากัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนโครงการ ฯ ได้กล่าวว่าบริษัท ฯ ได้เข้าร่วมเป็นผู้สนับสนุนหลักในโครงการ ฯ นี้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของโรงเรียนให้มีความเหมาะสม มีหลักโภชนาการที่ดี มีการเสริมสร้างสุขภาพพลานามัย พัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการศึกษา รวมทั้งมุ่งเน้นให้เกิดสภาพแวดล้อม และบรรยากาศที่ดีต่อการใช้ชีวิตของเด็กนักเรียนในโรงเรียน โดยได้มีการสนับสนุนการก่อสร้างห้องสุขาและปรับปรุงภูมิทัศน์ การปรับปรุงระบบน้ําเพื่อการบริโภค ตู้กดน้ําดื่ม และโต๊ะเก้าอี้ครู นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนรวมทั้งสํานักงานของ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ให้การสนับสนุนหลอดไฟฟ้าประหยัดพลังงาน เฟอร์นิเจอร์ครัว ถังเก็บน้ํา เสื้อกางเกงนักเรียน ชุดกีฬา อุปกรณ์กีฬา หนังสือ และตู้ยาอีกด้วย
ในการนี้พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในพิธีส่งมอบโครงการ ฯ ว่า สํานักงานรองนายกรัฐมนตรี ได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของการศึกษา ซึ่งถือเป็นกลไกในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดศักยภาพและมีความพร้อมในการเข้าสู่สังคมปัจจุบัน โดยรัฐบาลได้มุ่งเน้นให้เกิดการปฏิรูประบบการศึกษาเพื่อให้คนไทยทุกวัยได้รับโอกาสในการเสริมสร้างสมรรถนะของตน เพื่อก้าวสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ตามที่ตนใฝ่ฝัน พร้อมทั้งได้กล่าวขอบคุณส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้ร่วมให้การสนับสนุนการดําเนินงานโครงการ ฯ จนสําเร็จลุล่วงไปด้วยดี
เสร็จแล้วจึงได้ประกอบพิธีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส พร้อมทั้งมอบทุนการศึกษา ทุนบํารุงห้องสมุด และส่งมอบสิ่งอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้กับโรงเรียนบ้านสําโรงต่อไป แล้วจึงได้เยี่ยมชมการดําเนินโครงการภายในโรงเรียน กิจกรรมของนักเรียน และสินค้าชุมชน พร้อมทั้งร่วมกันปลูกต้นไม้ที่บริเวณด้านหน้าของอาคารเรียนไว้เพื่อเป็นอุปกรณ์ในครั้งนี้อีกด้วย
ต่อมาในเวลา 13.00 น.พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคณะได้เดินทางต่อไปยังสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อําเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ เพื่อเป็นประธานในการเปิดงานโลกการเรียนรู้สู่อาชีพสุรินทร์ โดยมีนายอรรถพร สิงหวิชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์กล่าวรายงานว่า การเปิดโลกการเรียนรู้สู่อาชีพสุรินทร์ในวันนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนแผนพัฒนาการศึกษาเพื่ออาชีพจังหวัดสุรินทร์ ภายใต้ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการมีงานทํา โดยความร่วมมือกันระหว่างจังหวัดสุรินทร์ คณะกรรมการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ สํานักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน สํานักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้(องค์การมหาชน)และกิจการเพื่อสังคม a-chive ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-26 พฤศจิกายน 2560 เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดรูปแบบการสร้างความพร้อมด้านอาชีพของเด็กและเยาวชนในระบบการศึกษาและนอกระบบการศึกษา เกิดระบบแนะแนวที่สามารถแนะนําให้เด็กและเยาวชนเห็นทางเลือกทางด้านอาชีพและการศึกษาต่อสายสามัญหรือสายอาชีพแทนการยุติการศึกษา และสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และเห็นความสําคัญของการศึกษาเพื่ออาชีพให้แก่เด็กและเยาวชน พ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูแนะแนวในจังหวัดสุรินทร์
จากนั้นพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่ารัฐบาลให้ความสําคัญสูงสุดกับการพัฒนา “คน” อันเป็นทรัพยากรที่สําคัญของการพัฒนาชาติ รัฐบาลจึงมีนโยบายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องบูรณาการการศึกษาและพัฒนาคน โดยมุ่งให้เกิดการเตรียมความพร้อมของเยาวชนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและความต้องการของท้องถิ่น เน้นการสร้างคนให้มีความสามารถ มีทักษะ และเจตคติที่ดีต่อการทํางาน การส่งเสริมให้เยาวชนได้เตรียมความพร้อมด้านอาชีพยังเป็นเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ประเทศสมาชิกทั่วโลกสัญญากันว่าจะบรรลุในปี 2573 โดยการส่งเสริมความรู้และทักษะเพื่ออาชีพและการพัฒนาการศึกษาที่สอดคล้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ถือเป็นเป้าหมายการศึกษาโลกที่สําคัญ การขับเคลื่อนในเรื่องนี้ให้สําเร็จ จึงควรริเริ่มจากท้องถิ่นไปสู่จังหวัด ดังนั้น การพัฒนาด้านอาชีพของคนในแต่ละจังหวัดจึงต้องคํานึงถึงปัจจัยต่าง ๆ โดยจังหวัดสามารถกําหนดทิศทางการศึกษาให้แก่ลูกหลานในจังหวัดของตนเองได้
หลังจากนั้นคณะของรองนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมศูนย์ความรู้กินได้ กิจกรรมเพื่อรู้จักตนเองและรู้จักอาชีพและเวทีเปิดโลกอาชีพ รวมทั้งนิทรรศการทํามาหากินพื้นถิ่นสุรินทร์ โดยมี นักเรียน ผู้บริหารโรงเรียน ภาคีเครือข่ายและประชาชนทั่วไปให้ความสนใจเข้าร่วมงานเป็นจํานวนมาก
....................................................................................
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8345
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.ลงพื้นที่ศูนย์ปฏิบัติการร่วมพิทักษ์ป่ารอยต่อแพร่-น่าน และฐานปฏิบัติการฟื้นฟูป่าต้นน้ำที่ 1
|
วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2560
ทส.ลงพื้นที่ศูนย์ปฏิบัติการร่วมพิทักษ์ป่ารอยต่อแพร่-น่าน และฐานปฏิบัติการฟื้นฟูป่าต้นน้ําที่ 1
วันนี้ (16 มิถุนายน 2560) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ลงพื้นที่ติดตามผลการปฏิบัติงานศูนย์ปฏิบัติการร่วมพิทักษ์ป่า พื้นที่รอยต่อจังหวัดแพร่-น่าน อําเภอเวียงสา จังหวัดน่าน
วันนี้ (16 มิถุนายน 2560) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ พร้อมด้วย นายชลธิศ สุรัสวดี อธิบดีกรมป่าไม้ นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ติดตามผลการปฏิบัติงานศูนย์ปฏิบัติการร่วมพิทักษ์ป่า พื้นที่รอยต่อจังหวัดแพร่-น่าน อําเภอเวียงสา จังหวัดน่าน
โดยศูนย์ปฏิบัติการร่วมพิทักษ์ป่า พื้นที่รอยต่อจังหวัดแพร่-น่าน ดําเนินภารกิจในการพิทักษ์ผืนป่า ดูแล ปกป้องและปราบปรามผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับป่าไม้ ซึ่งผลการดําเนินการจับกุมผู้ลักลอบตัดไม้มีค่า (ไม้ประดู่ ไม้ชิงชัน) ในเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2559 - ปัจจุบัน จับกุมขยายผลได้ 8 คดี โดยที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557-2560 นั้นสามารถจับกุมได้รวม 58 คดี อีกทั้งยังได้มีการบูรณาการงานร่วมกับหลายภาคส่วน และนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายใต้คําสั่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทําลายป่าแห่งชาติ ที่ 1/2560 ศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (ศปก.พป.)
ในโอกาสนี้ รมว.ทส. และคณะผู้บริหาร ได้ตรวจเยี่ยมกําลังพล ติดตามผลการดําเนินงานและสถานการณ์ในพื้นที่ พร้อมมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวเจ้าหน้าที่ผู้ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และมอบเครื่องอุปโภค-บริโภคแก่เจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจในการปฏิบัติงานปกป้องผืนป่า
นอกจากนี้ ในวันเดียวกัน รมว.ทส. และคณะ ได้ลงพื้นที่ฐานปฏิบัติการฟื้นฟูป่าต้นน้ําที่ 1 เพื่อตรวจติดตามผลการดําเนินงานแปลงฟื้นฟูสภาพป่า ประชารัฐพิทักษ์ป่าน่าน พร้อมทั้งมอบนโยบายการปฏิบัติงานแก่เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ มุ่งเน้นการฟื้นฟูรักษาป่าอย่างยั่งยืนสืบไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.ลงพื้นที่ศูนย์ปฏิบัติการร่วมพิทักษ์ป่ารอยต่อแพร่-น่าน และฐานปฏิบัติการฟื้นฟูป่าต้นน้ำที่ 1
วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2560
ทส.ลงพื้นที่ศูนย์ปฏิบัติการร่วมพิทักษ์ป่ารอยต่อแพร่-น่าน และฐานปฏิบัติการฟื้นฟูป่าต้นน้ําที่ 1
วันนี้ (16 มิถุนายน 2560) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ลงพื้นที่ติดตามผลการปฏิบัติงานศูนย์ปฏิบัติการร่วมพิทักษ์ป่า พื้นที่รอยต่อจังหวัดแพร่-น่าน อําเภอเวียงสา จังหวัดน่าน
วันนี้ (16 มิถุนายน 2560) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ พร้อมด้วย นายชลธิศ สุรัสวดี อธิบดีกรมป่าไม้ นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ติดตามผลการปฏิบัติงานศูนย์ปฏิบัติการร่วมพิทักษ์ป่า พื้นที่รอยต่อจังหวัดแพร่-น่าน อําเภอเวียงสา จังหวัดน่าน
โดยศูนย์ปฏิบัติการร่วมพิทักษ์ป่า พื้นที่รอยต่อจังหวัดแพร่-น่าน ดําเนินภารกิจในการพิทักษ์ผืนป่า ดูแล ปกป้องและปราบปรามผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับป่าไม้ ซึ่งผลการดําเนินการจับกุมผู้ลักลอบตัดไม้มีค่า (ไม้ประดู่ ไม้ชิงชัน) ในเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2559 - ปัจจุบัน จับกุมขยายผลได้ 8 คดี โดยที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557-2560 นั้นสามารถจับกุมได้รวม 58 คดี อีกทั้งยังได้มีการบูรณาการงานร่วมกับหลายภาคส่วน และนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายใต้คําสั่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทําลายป่าแห่งชาติ ที่ 1/2560 ศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (ศปก.พป.)
ในโอกาสนี้ รมว.ทส. และคณะผู้บริหาร ได้ตรวจเยี่ยมกําลังพล ติดตามผลการดําเนินงานและสถานการณ์ในพื้นที่ พร้อมมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวเจ้าหน้าที่ผู้ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และมอบเครื่องอุปโภค-บริโภคแก่เจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจในการปฏิบัติงานปกป้องผืนป่า
นอกจากนี้ ในวันเดียวกัน รมว.ทส. และคณะ ได้ลงพื้นที่ฐานปฏิบัติการฟื้นฟูป่าต้นน้ําที่ 1 เพื่อตรวจติดตามผลการดําเนินงานแปลงฟื้นฟูสภาพป่า ประชารัฐพิทักษ์ป่าน่าน พร้อมทั้งมอบนโยบายการปฏิบัติงานแก่เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ มุ่งเน้นการฟื้นฟูรักษาป่าอย่างยั่งยืนสืบไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4610
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศเข้าร่วมการประชุมทางไกลเจ้าหน้าที่อาวุโสสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย IORA ครั้งที่ 10 [กระทรวงการต่างประเทศ]
|
วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2563
รองอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศเข้าร่วมการประชุมทางไกลเจ้าหน้าที่อาวุโสสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย IORA ครั้งที่ 10 [กระทรวงการต่างประเทศ]
รองอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศเข้าร่วมการประชุมทางไกลเจ้าหน้าที่อาวุโสสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย IORA ครั้งที่ 10
วันนี้ (29 มิถุนายน 2563) นางสาวรุจิกร แสงจันทร์ รองอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศเข้าร่วมการประชุมทางไกลเจ้าหน้าที่อาวุโสสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย IORA ครั้งที่ 10 โดยทบทวนและส่งเสริมความร่วมมือในหลายสาขา เช่น การอํานวยความสะดวกการค้า การลงทุน ศก.ภาคทะเล การบริหารความเสี่ยงภัยพิบัติ และการบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศเข้าร่วมการประชุมทางไกลเจ้าหน้าที่อาวุโสสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย IORA ครั้งที่ 10 [กระทรวงการต่างประเทศ]
วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2563
รองอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศเข้าร่วมการประชุมทางไกลเจ้าหน้าที่อาวุโสสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย IORA ครั้งที่ 10 [กระทรวงการต่างประเทศ]
รองอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศเข้าร่วมการประชุมทางไกลเจ้าหน้าที่อาวุโสสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย IORA ครั้งที่ 10
วันนี้ (29 มิถุนายน 2563) นางสาวรุจิกร แสงจันทร์ รองอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศเข้าร่วมการประชุมทางไกลเจ้าหน้าที่อาวุโสสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย IORA ครั้งที่ 10 โดยทบทวนและส่งเสริมความร่วมมือในหลายสาขา เช่น การอํานวยความสะดวกการค้า การลงทุน ศก.ภาคทะเล การบริหารความเสี่ยงภัยพิบัติ และการบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32936
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.