title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี กำชับดูแลฝุ่นละออง PM 2.5 ประสานความร่วมมือประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมดูแลความปลอดภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่
|
วันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2562
นายกรัฐมนตรี กําชับดูแลฝุ่นละออง PM 2.5 ประสานความร่วมมือประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมดูแลความปลอดภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กําชับดูแลฝุ่นละออง PM 2.5 ประสานความร่วมมือประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมดูแลความปลอดภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่
วันนี้ (17 ธ.ค.62) เวลา 13.00 น.ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ1ทําเนียบรัฐบาลหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงแก่สื่อมวลชนถึงมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองว่า รัฐบาลดําเนินการทุกอย่างเต็มที่ โดยสั่งการให้ทุกกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งรัดการแก้ไขปัญหา วัสดุที่เหลือจากการเกษตรเช่น อ้อย ข้าวโพด ฯลฯ ก็ให้นํามาทําผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าเกิดประโยชน์มากขึ้น หรือนําไปเป็นวัสดุเชื้อเพลิงในการผลิตพลังงานในโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดเล็กในชุมชน แทนการเผาที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนอกจากนี้ ใช้มาตรการและวิธีการใหม่ ๆ ที่เหมาะสม ในการดูแลจุดความร้อนหรือฮอตสปอตในพื้นที่ต่าง ๆ รวมไปถึงการขอความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีปัญหาเรื่องดังกล่าวเช่นกัน
สําหรับการใช้รถขนส่งสาธารณะ ทั้งรถเมล์ รถไฟฟ้า รวมทั้งการก่อสร้างก็มีความก้าวหน้าโดยลําดับ หลายเส้นทางก็ได้มีการเปิดใช้แล้ว ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการใช้รถส่วนตัวลงได้บ้าง เพื่อผลดีต่อการจราจร นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความเข้าใจว่า บางกรณีก็มีความจําเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนตัวในการรับส่งลูกหลานไปโรงเรียน แต่ขอความร่วมมือในส่วนของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ หากไม่มีความจําเป็นมากนัก ก็ให้หันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะบ้าง เพราะที่ผ่านมารัฐบาลพยายามดูแลและส่งเสริมรถบริการสาธารณะให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น พร้อมๆ ไปกับการเร่งดําเนินการโครงสร้างพื้นฐาน ถนน เส้นทางต่าง ๆ ทั้งเส้นทางถนนปกติและทางด่วนพิเศษที่ต้องจ่ายเงิน เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มได้เข้าถึงบริการและรับความสะดวกอย่างทั่วถึงตามศักยภาพของแต่ละบุคคล
จากนั้น นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงสถานการณ์ภัยแล้งที่บางพื้นที่ไม่มีน้ําทํานาปลังว่า จะต้องหาวิธีการเพาะปลูกพืชแต่ละชนิดให้เหมาะสมกับพื้นที่และสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการน้ําให้เพียงพอต่ออุปโภคบริโภคของประชาชนโดยขอความร่วมมือประชาชนทุกคนใช้น้ําอย่างประหยัดและเกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะต้องลดปริมาณการใช้น้ําสําหรับการทําการเกษตรลงให้ได้มากที่สุด เพราะมีบางประเทศมีการใช้น้ําทําการเกษตรน้อยกว่าประเทศไทย ซึ่งได้มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาวิธีการและแนวทางดังกล่าวเพื่อนํามาปรับใช้กับประเทศไทย นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เตรียมบริหารจัดการการให้ใช้น้ําบาดาลมากขึ้น เพื่อเตรียมรองรับแก้ไขปัญหากรณีน้ําอุปโภคบริโภคขาดแคลนน้ําที่และบรรเทาความเดือนร้อนให้กับประชาชน
ในช่วงท้ายของการแถลงข่าว นายกรัฐมนตรียังย้ําถึงมาตรดูแลความปลอดภัยประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ว่า พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีการประชุมและออกมาตรการและสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งการกวดขันบังคับใช้กฎหมาย การอํานวยความสะดวก การจารจร อาชญากรรม ฯลฯ ส่วนการแก้ไขปัญหาภาคใต้ ขณะนี้ได้มีการเพิ่มมาตรการเชิงรุกมากขึ้น โดยดําเนินการเป็นไปตามกติกาสากล ในการปฏิบัติหน้าที่ก็ขอให้เจ้าหน้าที่รัฐระมัดระวังดูแลตนเองให้ดี รวมถึงการดูแลประชาชนให้ได้รับปลอดภัย พร้อมขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ด้วย
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี กำชับดูแลฝุ่นละออง PM 2.5 ประสานความร่วมมือประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมดูแลความปลอดภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่
วันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2562
นายกรัฐมนตรี กําชับดูแลฝุ่นละออง PM 2.5 ประสานความร่วมมือประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมดูแลความปลอดภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กําชับดูแลฝุ่นละออง PM 2.5 ประสานความร่วมมือประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมดูแลความปลอดภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่
วันนี้ (17 ธ.ค.62) เวลา 13.00 น.ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ1ทําเนียบรัฐบาลหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงแก่สื่อมวลชนถึงมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองว่า รัฐบาลดําเนินการทุกอย่างเต็มที่ โดยสั่งการให้ทุกกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งรัดการแก้ไขปัญหา วัสดุที่เหลือจากการเกษตรเช่น อ้อย ข้าวโพด ฯลฯ ก็ให้นํามาทําผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าเกิดประโยชน์มากขึ้น หรือนําไปเป็นวัสดุเชื้อเพลิงในการผลิตพลังงานในโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดเล็กในชุมชน แทนการเผาที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนอกจากนี้ ใช้มาตรการและวิธีการใหม่ ๆ ที่เหมาะสม ในการดูแลจุดความร้อนหรือฮอตสปอตในพื้นที่ต่าง ๆ รวมไปถึงการขอความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีปัญหาเรื่องดังกล่าวเช่นกัน
สําหรับการใช้รถขนส่งสาธารณะ ทั้งรถเมล์ รถไฟฟ้า รวมทั้งการก่อสร้างก็มีความก้าวหน้าโดยลําดับ หลายเส้นทางก็ได้มีการเปิดใช้แล้ว ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการใช้รถส่วนตัวลงได้บ้าง เพื่อผลดีต่อการจราจร นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความเข้าใจว่า บางกรณีก็มีความจําเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนตัวในการรับส่งลูกหลานไปโรงเรียน แต่ขอความร่วมมือในส่วนของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ หากไม่มีความจําเป็นมากนัก ก็ให้หันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะบ้าง เพราะที่ผ่านมารัฐบาลพยายามดูแลและส่งเสริมรถบริการสาธารณะให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น พร้อมๆ ไปกับการเร่งดําเนินการโครงสร้างพื้นฐาน ถนน เส้นทางต่าง ๆ ทั้งเส้นทางถนนปกติและทางด่วนพิเศษที่ต้องจ่ายเงิน เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มได้เข้าถึงบริการและรับความสะดวกอย่างทั่วถึงตามศักยภาพของแต่ละบุคคล
จากนั้น นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงสถานการณ์ภัยแล้งที่บางพื้นที่ไม่มีน้ําทํานาปลังว่า จะต้องหาวิธีการเพาะปลูกพืชแต่ละชนิดให้เหมาะสมกับพื้นที่และสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการน้ําให้เพียงพอต่ออุปโภคบริโภคของประชาชนโดยขอความร่วมมือประชาชนทุกคนใช้น้ําอย่างประหยัดและเกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะต้องลดปริมาณการใช้น้ําสําหรับการทําการเกษตรลงให้ได้มากที่สุด เพราะมีบางประเทศมีการใช้น้ําทําการเกษตรน้อยกว่าประเทศไทย ซึ่งได้มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาวิธีการและแนวทางดังกล่าวเพื่อนํามาปรับใช้กับประเทศไทย นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เตรียมบริหารจัดการการให้ใช้น้ําบาดาลมากขึ้น เพื่อเตรียมรองรับแก้ไขปัญหากรณีน้ําอุปโภคบริโภคขาดแคลนน้ําที่และบรรเทาความเดือนร้อนให้กับประชาชน
ในช่วงท้ายของการแถลงข่าว นายกรัฐมนตรียังย้ําถึงมาตรดูแลความปลอดภัยประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ว่า พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีการประชุมและออกมาตรการและสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งการกวดขันบังคับใช้กฎหมาย การอํานวยความสะดวก การจารจร อาชญากรรม ฯลฯ ส่วนการแก้ไขปัญหาภาคใต้ ขณะนี้ได้มีการเพิ่มมาตรการเชิงรุกมากขึ้น โดยดําเนินการเป็นไปตามกติกาสากล ในการปฏิบัติหน้าที่ก็ขอให้เจ้าหน้าที่รัฐระมัดระวังดูแลตนเองให้ดี รวมถึงการดูแลประชาชนให้ได้รับปลอดภัย พร้อมขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ด้วย
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25294
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. ส่งผู้ตรวจราชการฯ ให้กำลังใจแพทย์ที่ถูกทำร้ายพร้อมแจ้งความดำเนินคดี
|
วันพุธที่ 11 ธันวาคม 2562
ปลัด สธ. ส่งผู้ตรวจราชการฯ ให้กําลังใจแพทย์ที่ถูกทําร้ายพร้อมแจ้งความดําเนินคดี
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข โทรศัพท์สายตรงให้กําลังใจแพทย์ที่ถูกทําร้ายที่จังหวัดขอนแก่น และส่งผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 7 ลงพื้นที่ดูแลเยียวยา ติดตามคดี ยืนยันให้ดําเนินคดีข้อหาพยายามฆ่า
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข โทรศัพท์สายตรงให้กําลังใจแพทย์ที่ถูกทําร้ายที่จังหวัดขอนแก่น และส่งผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 7 ลงพื้นที่ดูแลเยียวยา ติดตามคดี ยืนยันให้ดําเนินคดีข้อหาพยายามฆ่า
วันนี้ (11 ธันวาคม 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์กรณีมีผู้ป่วยทําร้ายร่างกายแพทย์ขณะปฏิบัติหน้าที่ ว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้สั่งการให้ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 7 นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่นและผู้อํานวยการโรงพยาบาลเข้าเยี่ยมเพื่อให้กําลังใจแพทย์ที่ถูกผู้ป่วยทําร้ายขณะปฏิบัติหน้าที่ และให้ลาพักงานเพื่อเยียวยาจิตใจ สําหรับการดําเนินคดีได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ตํารวจและอัยการในการดําเนินการแจ้งความในข้อหาพยายามฆ่ากับผู้ป่วยรายดังกล่าว พร้อมส่งมอบวัตถุพยาน เช่น ภาพจากกล้องวงจรปิด กรรไกรที่ใช้ก่อเหตุ ให้กับเจ้าหน้าที่ตํารวจ ทั้งนี้ตามฎีกาที่ 816/2520 ที่ผ่านมา ระบุว่าการทําร้ายบริเวณต้นคอซึ่งมีเส้นเลือดสําคัญนั้นอาจทําให้ถึงแก่ชีวิตได้ ถือว่าเป็นการพยายามฆ่า
นายแพทย์สุขุม กล่าวต่อว่า ในด้านมาตรฐานความปลอดภัยในสถานพยาบาล กระทรวงสาธารณสุขได้เน้นความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุข (2P Safety) ของ สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. ในการปฏิบัติงานของโรงพยาบาลต่างๆ ขณะนี้โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขผ่านเกณฑ์มาตรฐานแล้วกว่าร้อยละ 90 รวมถึงมาตรฐานต่างๆ เช่น ห้องฉุกเฉินคุณภาพ อย่างไรก็ตาม คงต้องทบทวนว่ามาตรฐานที่ สรพ.กําหนดให้มีความครอบคลุม อาจจะต้องมีมาตรการเพิ่มเติม ได้สั่งการให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งดูแลเครื่องมือแพทย์ดําเนินการ ให้กรมการแพทย์ ซึ่งดูแลมาตรฐานและระบบต่างๆในห้องฉุกเฉิน ให้ขยายมาตรฐานความปลอดภัยมายังหอผู้ป่วยทั้งหมด โดยเน้นกิจกรรมคุณภาพ เช่น การทํา 5 ส. ให้จัดเก็บอุปกรณ์ให้เป็นระเบียบ นอกจากนี้ หากมีผู้บาดเจ็บจากการทะเลาะวิวาทมาเป็นกลุ่มและมีอาการมึนเมาต้องรีบแจ้งเจ้าหน้าตํารวจเพื่อช่วยดูแลความปลอดภัย นอกจากจะเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยแล้วจําเป็นต้องดูแลความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ด้วย ที่สําคัญคือการจัดรูปแบบการให้บริการเพื่อช่วยลดความแออัด ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ช่วยเสริมสร้างมาตรฐานของโรงพยาบาล
“ในวันนี้ ผมได้โทรศัพท์พูดคุยให้กําลังใจกับน้องและเปิดสายเพื่อให้คําปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง สําหรับกระทรวงสาธารณสุขเน้นความปลอดภัยของผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ที่เสียสละปฏิบัติงานในพื้นที่ต่างจังหวัด หากมีปัญหาเกิดขึ้นในโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายดําเนินคดีให้ถึงที่สุด หากผู้บริหารในพื้นที่อะลุ่มอล่วยจะดําเนินคดีมาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และขอความเห็นใจจากทุกๆ คนในการยุติการก่อเหตุความรุนแรงทุกรูปแบบในโรงพยาบาล” นายแพทย์สุขุมกล่าว
*************************** 11 ธันวาคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. ส่งผู้ตรวจราชการฯ ให้กำลังใจแพทย์ที่ถูกทำร้ายพร้อมแจ้งความดำเนินคดี
วันพุธที่ 11 ธันวาคม 2562
ปลัด สธ. ส่งผู้ตรวจราชการฯ ให้กําลังใจแพทย์ที่ถูกทําร้ายพร้อมแจ้งความดําเนินคดี
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข โทรศัพท์สายตรงให้กําลังใจแพทย์ที่ถูกทําร้ายที่จังหวัดขอนแก่น และส่งผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 7 ลงพื้นที่ดูแลเยียวยา ติดตามคดี ยืนยันให้ดําเนินคดีข้อหาพยายามฆ่า
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข โทรศัพท์สายตรงให้กําลังใจแพทย์ที่ถูกทําร้ายที่จังหวัดขอนแก่น และส่งผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 7 ลงพื้นที่ดูแลเยียวยา ติดตามคดี ยืนยันให้ดําเนินคดีข้อหาพยายามฆ่า
วันนี้ (11 ธันวาคม 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์กรณีมีผู้ป่วยทําร้ายร่างกายแพทย์ขณะปฏิบัติหน้าที่ ว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้สั่งการให้ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 7 นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่นและผู้อํานวยการโรงพยาบาลเข้าเยี่ยมเพื่อให้กําลังใจแพทย์ที่ถูกผู้ป่วยทําร้ายขณะปฏิบัติหน้าที่ และให้ลาพักงานเพื่อเยียวยาจิตใจ สําหรับการดําเนินคดีได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ตํารวจและอัยการในการดําเนินการแจ้งความในข้อหาพยายามฆ่ากับผู้ป่วยรายดังกล่าว พร้อมส่งมอบวัตถุพยาน เช่น ภาพจากกล้องวงจรปิด กรรไกรที่ใช้ก่อเหตุ ให้กับเจ้าหน้าที่ตํารวจ ทั้งนี้ตามฎีกาที่ 816/2520 ที่ผ่านมา ระบุว่าการทําร้ายบริเวณต้นคอซึ่งมีเส้นเลือดสําคัญนั้นอาจทําให้ถึงแก่ชีวิตได้ ถือว่าเป็นการพยายามฆ่า
นายแพทย์สุขุม กล่าวต่อว่า ในด้านมาตรฐานความปลอดภัยในสถานพยาบาล กระทรวงสาธารณสุขได้เน้นความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุข (2P Safety) ของ สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. ในการปฏิบัติงานของโรงพยาบาลต่างๆ ขณะนี้โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขผ่านเกณฑ์มาตรฐานแล้วกว่าร้อยละ 90 รวมถึงมาตรฐานต่างๆ เช่น ห้องฉุกเฉินคุณภาพ อย่างไรก็ตาม คงต้องทบทวนว่ามาตรฐานที่ สรพ.กําหนดให้มีความครอบคลุม อาจจะต้องมีมาตรการเพิ่มเติม ได้สั่งการให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งดูแลเครื่องมือแพทย์ดําเนินการ ให้กรมการแพทย์ ซึ่งดูแลมาตรฐานและระบบต่างๆในห้องฉุกเฉิน ให้ขยายมาตรฐานความปลอดภัยมายังหอผู้ป่วยทั้งหมด โดยเน้นกิจกรรมคุณภาพ เช่น การทํา 5 ส. ให้จัดเก็บอุปกรณ์ให้เป็นระเบียบ นอกจากนี้ หากมีผู้บาดเจ็บจากการทะเลาะวิวาทมาเป็นกลุ่มและมีอาการมึนเมาต้องรีบแจ้งเจ้าหน้าตํารวจเพื่อช่วยดูแลความปลอดภัย นอกจากจะเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยแล้วจําเป็นต้องดูแลความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ด้วย ที่สําคัญคือการจัดรูปแบบการให้บริการเพื่อช่วยลดความแออัด ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ช่วยเสริมสร้างมาตรฐานของโรงพยาบาล
“ในวันนี้ ผมได้โทรศัพท์พูดคุยให้กําลังใจกับน้องและเปิดสายเพื่อให้คําปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง สําหรับกระทรวงสาธารณสุขเน้นความปลอดภัยของผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ที่เสียสละปฏิบัติงานในพื้นที่ต่างจังหวัด หากมีปัญหาเกิดขึ้นในโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายดําเนินคดีให้ถึงที่สุด หากผู้บริหารในพื้นที่อะลุ่มอล่วยจะดําเนินคดีมาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และขอความเห็นใจจากทุกๆ คนในการยุติการก่อเหตุความรุนแรงทุกรูปแบบในโรงพยาบาล” นายแพทย์สุขุมกล่าว
*************************** 11 ธันวาคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25161
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ ปาฐกถาพิเศษให้แก่ผู้เข้ารับการอบรม "หลักสูตรหลักประจำ" ตามพระราโชบาย รุ่นที่ 1/61 ในการฝึกอบรมจิตอาสาอย่างต่อเนื่อง
|
วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม 2561
ม.ล.ปนัดดาฯ ปาฐกถาพิเศษให้แก่ผู้เข้ารับการอบรม "หลักสูตรหลักประจํา" ตามพระราโชบาย รุ่นที่ 1/61 ในการฝึกอบรมจิตอาสาอย่างต่อเนื่อง
ม.ล.ปนัดดาฯ ปาฐกถาพิเศษให้แก่ผู้เข้ารับการอบรม "หลักสูตรหลักประจํา" ตามพระราโชบาย รุ่นที่ 1/61 ในการฝึกอบรมจิตอาสาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อวันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2561 เวลา 10.00 น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม กล่าวปาฐกถาพิเศษทางวิชาการให้แก่ผู้เข้ารับการอบรม "หลักสูตรหลักประจํา" ตามพระราโชบาย รุ่นที่ 1/61 ในการฝึกอบรมจิตอาสาอย่างต่อเนื่อง เป็นครั้งที่ 2 ณ กองพันฝึกส่วนหลัง เขตพระราชฐานในพระองค์ฯ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ
ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวว่า นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณปกเกล้าปกกระหม่อม ที่ได้มาปฏิบัติหน้าที่บรรยายพิเศษเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย สถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นศูนย์รวมใจไทยทั้งชาติมาโดยตลอดระยะเวลาอันยาวนาน เป็นความรักความผูกพันของประชาชนชาวไทยที่ได้ก่อให้เกิดความเป็นปึกแผ่นและความมั่นคงแก่แผ่นดินตราบทุกวันนี้ ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงพระราชทานความห่วงใยในเยาวชนและอนาคต ของชาติบ้านเมือง พระองค์ทรงมีพระราชดํารัสให้ช่วยกันเสริมสร้างคนดี มีความรู้ ประการสําคัญ คือ การมี “คุณธรรม” นอกจากนี้ ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อครั้งทรงเป็นทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พระองค์ทรงมีพระเมตตาต่อนักศึกษาและลูกศิษย์ของพระองค์อย่างหาที่สุดมิได้ ทรงพระราชทานความรักความผูกพัน เช่น พระองค์ทรงโปรดให้นักศึกษานั่งประจําที่นั่งเดิมในห้องทรงบรรยายทุกครั้ง เพื่อจะสามารถจดจําหน้าตาและชื่อของลูกศิษย์ของพระองค์ท่านได้ และทรงมีรับสั่งกับลูกศิษย์อย่างสม่ําเสมอ โดยไม่ทรงถือพระองค์เลยแม้แต่น้อย พระราชจริยวัตรที่เรียบง่ายและงดงามทําให้นักศึกษา คณาจารย์ ตลอดจนบุคคลทั่วไปต่างมีความซาบซึ้งในพระเมตตาคุณและถวายความรักต่อพระองค์ด้วยความรู้สึกผูกพันใกล้ชิดเป็นอย่างยิ่ง
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานพระบรมราโชบายด้านการศึกษา อันถือเป็นหัวใจที่จิตอาสาทุกท่านต้องช่วยกันเสริมสร้างแนวพระราชดําริด้านการศึกษานี้ให้เกิดความสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรมตามอํานาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่แต่ละคนพึงมีการศึกษามุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน 4 ด้าน ได้แก่ มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง คือ มีความรู้ความเข้าใจต่อชาติบ้านเมือง ยึดมั่นในศาสนา มั่นคงในสถาบันพระมหากษัตริย์ มีความเอื้ออาทรต่อครอบครัว และชุมชนของตน
มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรมจริยธรรม คือ รู้จักแยกแยะ สิ่งที่ผิดกับสิ่งที่ชอบ และสิ่งที่ชั่วกับสิ่งที่ดี ให้ปฏิบัติแต่สิ่งที่ชอบและสิ่งที่ดีงาม ปฏิเสธสิ่งที่ผิดและสิ่งที่ชั่ว ช่วยกันเสริมสร้างคนดีแก่ชาติบ้านเมือง มีงานทํา คือ การมีสัมมาชีพอันสุจริต ได้แก่ การเลี้ยงดูอบรมบ่มสอนลูกหลานในครอบครัว การฝึกฝนอบรมในสถานศึกษา ต้องมุ่งให้เด็กและเยาวชนรักงาน มุ่งมั่นให้งานเกิดความสําเร็จ การฝึกฝนอบรมทั้งในหลักสูตรและนอกหลักสูตรต้องมีจุดมุ่งหมาย ให้ผู้เรียนทํางานเป็น และมีความชํานาญการ สนับสนุนให้ผู้สําเร็จหลักสูตรมีอาชีพ มีงานทํา จนสามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัว เป็นพลเมืองดีของชาติ ถือเป็นหน้าที่ของทุกคน ครอบครัว สถานศึกษา ส่วนราชการ และสถานประกอบการต้องส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสทําหน้าที่เป็นพลเมืองดี ให้คนดีมีที่ยืน การเป็นพลเมืองดี คือเห็นอะไรที่จะทําเพื่อบ้านเมืองได้ก็ต้องทํา' เช่น งานอาสาสมัคร งานบําเพ็ญประโยชน์ งานสาธารณกุศลให้ทําด้วยความมีน้ําใจ ความเป็นสุภาพชน และความเอื้ออาทรต่อกันทั้งนี้ เพื่อให้อนาคตของชาติมีความเข้มแข็ง มีภูมิคุ้มกันที่ดี มีความมุ่งมั่นพากเพียรในการประพฤติปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีของสังคมและประเทศชาติ บ้านเมืองมีความมั่นคง พลเมืองในชาติมีความรู้รักสามัคคีดํารงชีวิตอยู่ร่วมกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ ปาฐกถาพิเศษให้แก่ผู้เข้ารับการอบรม "หลักสูตรหลักประจำ" ตามพระราโชบาย รุ่นที่ 1/61 ในการฝึกอบรมจิตอาสาอย่างต่อเนื่อง
วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม 2561
ม.ล.ปนัดดาฯ ปาฐกถาพิเศษให้แก่ผู้เข้ารับการอบรม "หลักสูตรหลักประจํา" ตามพระราโชบาย รุ่นที่ 1/61 ในการฝึกอบรมจิตอาสาอย่างต่อเนื่อง
ม.ล.ปนัดดาฯ ปาฐกถาพิเศษให้แก่ผู้เข้ารับการอบรม "หลักสูตรหลักประจํา" ตามพระราโชบาย รุ่นที่ 1/61 ในการฝึกอบรมจิตอาสาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อวันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2561 เวลา 10.00 น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม กล่าวปาฐกถาพิเศษทางวิชาการให้แก่ผู้เข้ารับการอบรม "หลักสูตรหลักประจํา" ตามพระราโชบาย รุ่นที่ 1/61 ในการฝึกอบรมจิตอาสาอย่างต่อเนื่อง เป็นครั้งที่ 2 ณ กองพันฝึกส่วนหลัง เขตพระราชฐานในพระองค์ฯ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ
ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวว่า นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณปกเกล้าปกกระหม่อม ที่ได้มาปฏิบัติหน้าที่บรรยายพิเศษเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย สถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นศูนย์รวมใจไทยทั้งชาติมาโดยตลอดระยะเวลาอันยาวนาน เป็นความรักความผูกพันของประชาชนชาวไทยที่ได้ก่อให้เกิดความเป็นปึกแผ่นและความมั่นคงแก่แผ่นดินตราบทุกวันนี้ ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงพระราชทานความห่วงใยในเยาวชนและอนาคต ของชาติบ้านเมือง พระองค์ทรงมีพระราชดํารัสให้ช่วยกันเสริมสร้างคนดี มีความรู้ ประการสําคัญ คือ การมี “คุณธรรม” นอกจากนี้ ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อครั้งทรงเป็นทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พระองค์ทรงมีพระเมตตาต่อนักศึกษาและลูกศิษย์ของพระองค์อย่างหาที่สุดมิได้ ทรงพระราชทานความรักความผูกพัน เช่น พระองค์ทรงโปรดให้นักศึกษานั่งประจําที่นั่งเดิมในห้องทรงบรรยายทุกครั้ง เพื่อจะสามารถจดจําหน้าตาและชื่อของลูกศิษย์ของพระองค์ท่านได้ และทรงมีรับสั่งกับลูกศิษย์อย่างสม่ําเสมอ โดยไม่ทรงถือพระองค์เลยแม้แต่น้อย พระราชจริยวัตรที่เรียบง่ายและงดงามทําให้นักศึกษา คณาจารย์ ตลอดจนบุคคลทั่วไปต่างมีความซาบซึ้งในพระเมตตาคุณและถวายความรักต่อพระองค์ด้วยความรู้สึกผูกพันใกล้ชิดเป็นอย่างยิ่ง
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานพระบรมราโชบายด้านการศึกษา อันถือเป็นหัวใจที่จิตอาสาทุกท่านต้องช่วยกันเสริมสร้างแนวพระราชดําริด้านการศึกษานี้ให้เกิดความสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรมตามอํานาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่แต่ละคนพึงมีการศึกษามุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน 4 ด้าน ได้แก่ มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง คือ มีความรู้ความเข้าใจต่อชาติบ้านเมือง ยึดมั่นในศาสนา มั่นคงในสถาบันพระมหากษัตริย์ มีความเอื้ออาทรต่อครอบครัว และชุมชนของตน
มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรมจริยธรรม คือ รู้จักแยกแยะ สิ่งที่ผิดกับสิ่งที่ชอบ และสิ่งที่ชั่วกับสิ่งที่ดี ให้ปฏิบัติแต่สิ่งที่ชอบและสิ่งที่ดีงาม ปฏิเสธสิ่งที่ผิดและสิ่งที่ชั่ว ช่วยกันเสริมสร้างคนดีแก่ชาติบ้านเมือง มีงานทํา คือ การมีสัมมาชีพอันสุจริต ได้แก่ การเลี้ยงดูอบรมบ่มสอนลูกหลานในครอบครัว การฝึกฝนอบรมในสถานศึกษา ต้องมุ่งให้เด็กและเยาวชนรักงาน มุ่งมั่นให้งานเกิดความสําเร็จ การฝึกฝนอบรมทั้งในหลักสูตรและนอกหลักสูตรต้องมีจุดมุ่งหมาย ให้ผู้เรียนทํางานเป็น และมีความชํานาญการ สนับสนุนให้ผู้สําเร็จหลักสูตรมีอาชีพ มีงานทํา จนสามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัว เป็นพลเมืองดีของชาติ ถือเป็นหน้าที่ของทุกคน ครอบครัว สถานศึกษา ส่วนราชการ และสถานประกอบการต้องส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสทําหน้าที่เป็นพลเมืองดี ให้คนดีมีที่ยืน การเป็นพลเมืองดี คือเห็นอะไรที่จะทําเพื่อบ้านเมืองได้ก็ต้องทํา' เช่น งานอาสาสมัคร งานบําเพ็ญประโยชน์ งานสาธารณกุศลให้ทําด้วยความมีน้ําใจ ความเป็นสุภาพชน และความเอื้ออาทรต่อกันทั้งนี้ เพื่อให้อนาคตของชาติมีความเข้มแข็ง มีภูมิคุ้มกันที่ดี มีความมุ่งมั่นพากเพียรในการประพฤติปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีของสังคมและประเทศชาติ บ้านเมืองมีความมั่นคง พลเมืองในชาติมีความรู้รักสามัคคีดํารงชีวิตอยู่ร่วมกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10844
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.หนุนพิษณุโลกเป็นเมืองสุขภาพและสมุนไพร ดูแลประชาชนควบคู่แพทย์แผนปัจจุบัน
|
วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม 2560
สธ.หนุนพิษณุโลกเป็นเมืองสุขภาพและสมุนไพร ดูแลประชาชนควบคู่แพทย์แผนปัจจุบัน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ติดตามการบริการของสถานบริการสาธารณสุข เล็งหนุนพิษณุโลกเป็นเมืองสุขภาพเมืองสมุนไพรภาคเหนือตอนล่างผลิตยาแผนไทย ดูแลประชาชนควบคู่แพทย์แผนปัจจุบัน พร้อมสร้างอาชีพเพิ่มรายได้จากเมืองสมุนไพร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ติดตามการบริการของสถานบริการสาธารณสุข เล็งหนุนพิษณุโลกเป็นเมืองสุขภาพเมืองสมุนไพรภาคเหนือตอนล่างผลิตยาแผนไทย ดูแลประชาชนควบคู่แพทย์แผนปัจจุบัน พร้อมสร้างอาชีพเพิ่มรายได้จากเมืองสมุนไพร
วันนี้ (25 ธันวาคม 2560) ที่ จ.พิษณุโลก ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนพ.เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหารระดับสูง ตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขในการให้บริการประชาชน ณ โรงพยาบาลบางกระทุ่ม จากนั้นเดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล นครป่าหมาก และพบปะอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน อ.บางกระทุ่ม ในการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นอกสถานที่อย่างเป็นทางการ
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ตามแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่ 1พ.ศ.2560-2564 ส่งเสริมการพัฒนาสมุนไพรอย่างครบวงจร (ต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ํา) และสนับสนุนการพัฒนาบริการแพทย์แผนไทย ต่อยอดจากภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าในท้องถิ่น ให้สามารถเป็นจุดขายให้นักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการ สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้แก่คนไทย ตามเจตนารมณ์ของการพัฒนาคนไทยไปสู่ เศรษฐกิจยุค 4.0 ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้กําหนดให้การแพทย์แผนไทยและทางเลือก เป็น 1 ใน 19 สาขาหลักตามแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) เพื่อใช้ภูมิปัญญาไทยการแพทย์แผนไทยดูแลผู้ป่วยแบบผสมผสานร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบันและสหวิชาชีพ เพิ่มทางเลือกการดูแลสุขภาพประชาชน ตั้งเป้าให้โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป มีคลินิกบริการการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสานรักษาโรคทั่วไปและเฉพาะโรค อย่างน้อย 1 คลินิก ขณะนี้ดําเนินการได้ร้อยละ 70 นอกจากนี้ยังได้พัฒนาโรงพยาบาลแพทย์แผนไทย และมีแพทย์แผนไทยในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลทั้ง 9,000 แห่ง ให้ประชาชนเข้าถึงบริการการแพทย์ผสมผสานมากขึ้น
สําหรับโรงพยาบาลบางกระทุ่ม นับเป็นโรงพยาบาลที่มีความก้าวหน้าการพัฒนาสมุนไพร มีโรงงานผลิตยาสมุนไพรที่ผ่านการรับรองมาตรฐานหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตยาจากสมุนไพร (GMP หรือGood Manufacturing Practice) ในปี 2560 มีมูลค่าการใช้ยาแผนไทยในโรงพยาบาลกว่าร้อยละ 40 และได้กระจายยาแผนไทยที่ผลิตให้สถานบริการภายในจังหวัด ในเขตสุขภาพที่ 2 รวมถึงจังหวัดอื่นๆ กว่า 50 แห่ง มีประชาชนในพื้นร่วมกันตั้งกลุ่มสมุนไพรครบวงจรเพื่อเศรษฐกิจชุมชน จํานวน 77 ราย ปลูกวัตถุดิบสมุนไพรที่มีคุณภาพส่งโรงพยาบาล สร้างรายได้ให้กับชุมชน ในปีงบประมาณ 2561 มีแผนเพิ่มกําลังการผลิตยาสมุนไพรเพิ่มร้อยละ 10 อาทิ ยาแคปซูล ยาชง ยาลูกกลอน ยาน้ํา ลูกประคบสมุนไพร 55 รายการ เป็นต้น ทั้งนี้ โรงพยาบาลบางกระทุ่ม ได้รับงบพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 (งบเพิ่มเติม) ปีงบประมาณ 2560 ในโครงการส่งเสริมและพัฒนาพืชสมุนไพรและการแพทย์แผนไทย เพื่อสร้างเสริมสุขภาพ เศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ตามยุทธศาสตร์ของจังหวัดพิษณุโลกที่จะพัฒนาจังหวัดให้เป็นเมืองสุขภาพและเมืองสมุนไพร
สําหรับ สถิติการใช้ยาแผนไทยในสถานบริการสาธารณสุขทั่วประเทศปี 2560 มีมูลค่ากว่า 1,219ล้านบาท โดยในปี 2561 ตั้งเป้าให้มีมูลค่าการใช้ยาแผนไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 และจะพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการผลิตยาสมุนไพรในโรงพยาบาลตามมาตรฐาน WHO-GMP ขณะนี้มีโรงงานผลิตยาสมุนไพรฯ ผ่านมาตรฐาน WHO-GMP แล้ว 32 แห่ง และอยู่ระหว่างพัฒนามาตรฐานและตรวจประเมินมาตรฐาน 15 แห่ง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.หนุนพิษณุโลกเป็นเมืองสุขภาพและสมุนไพร ดูแลประชาชนควบคู่แพทย์แผนปัจจุบัน
วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม 2560
สธ.หนุนพิษณุโลกเป็นเมืองสุขภาพและสมุนไพร ดูแลประชาชนควบคู่แพทย์แผนปัจจุบัน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ติดตามการบริการของสถานบริการสาธารณสุข เล็งหนุนพิษณุโลกเป็นเมืองสุขภาพเมืองสมุนไพรภาคเหนือตอนล่างผลิตยาแผนไทย ดูแลประชาชนควบคู่แพทย์แผนปัจจุบัน พร้อมสร้างอาชีพเพิ่มรายได้จากเมืองสมุนไพร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ติดตามการบริการของสถานบริการสาธารณสุข เล็งหนุนพิษณุโลกเป็นเมืองสุขภาพเมืองสมุนไพรภาคเหนือตอนล่างผลิตยาแผนไทย ดูแลประชาชนควบคู่แพทย์แผนปัจจุบัน พร้อมสร้างอาชีพเพิ่มรายได้จากเมืองสมุนไพร
วันนี้ (25 ธันวาคม 2560) ที่ จ.พิษณุโลก ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนพ.เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหารระดับสูง ตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขในการให้บริการประชาชน ณ โรงพยาบาลบางกระทุ่ม จากนั้นเดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล นครป่าหมาก และพบปะอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน อ.บางกระทุ่ม ในการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นอกสถานที่อย่างเป็นทางการ
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ตามแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่ 1พ.ศ.2560-2564 ส่งเสริมการพัฒนาสมุนไพรอย่างครบวงจร (ต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ํา) และสนับสนุนการพัฒนาบริการแพทย์แผนไทย ต่อยอดจากภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าในท้องถิ่น ให้สามารถเป็นจุดขายให้นักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการ สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้แก่คนไทย ตามเจตนารมณ์ของการพัฒนาคนไทยไปสู่ เศรษฐกิจยุค 4.0 ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้กําหนดให้การแพทย์แผนไทยและทางเลือก เป็น 1 ใน 19 สาขาหลักตามแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) เพื่อใช้ภูมิปัญญาไทยการแพทย์แผนไทยดูแลผู้ป่วยแบบผสมผสานร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบันและสหวิชาชีพ เพิ่มทางเลือกการดูแลสุขภาพประชาชน ตั้งเป้าให้โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป มีคลินิกบริการการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสานรักษาโรคทั่วไปและเฉพาะโรค อย่างน้อย 1 คลินิก ขณะนี้ดําเนินการได้ร้อยละ 70 นอกจากนี้ยังได้พัฒนาโรงพยาบาลแพทย์แผนไทย และมีแพทย์แผนไทยในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลทั้ง 9,000 แห่ง ให้ประชาชนเข้าถึงบริการการแพทย์ผสมผสานมากขึ้น
สําหรับโรงพยาบาลบางกระทุ่ม นับเป็นโรงพยาบาลที่มีความก้าวหน้าการพัฒนาสมุนไพร มีโรงงานผลิตยาสมุนไพรที่ผ่านการรับรองมาตรฐานหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตยาจากสมุนไพร (GMP หรือGood Manufacturing Practice) ในปี 2560 มีมูลค่าการใช้ยาแผนไทยในโรงพยาบาลกว่าร้อยละ 40 และได้กระจายยาแผนไทยที่ผลิตให้สถานบริการภายในจังหวัด ในเขตสุขภาพที่ 2 รวมถึงจังหวัดอื่นๆ กว่า 50 แห่ง มีประชาชนในพื้นร่วมกันตั้งกลุ่มสมุนไพรครบวงจรเพื่อเศรษฐกิจชุมชน จํานวน 77 ราย ปลูกวัตถุดิบสมุนไพรที่มีคุณภาพส่งโรงพยาบาล สร้างรายได้ให้กับชุมชน ในปีงบประมาณ 2561 มีแผนเพิ่มกําลังการผลิตยาสมุนไพรเพิ่มร้อยละ 10 อาทิ ยาแคปซูล ยาชง ยาลูกกลอน ยาน้ํา ลูกประคบสมุนไพร 55 รายการ เป็นต้น ทั้งนี้ โรงพยาบาลบางกระทุ่ม ได้รับงบพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 (งบเพิ่มเติม) ปีงบประมาณ 2560 ในโครงการส่งเสริมและพัฒนาพืชสมุนไพรและการแพทย์แผนไทย เพื่อสร้างเสริมสุขภาพ เศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ตามยุทธศาสตร์ของจังหวัดพิษณุโลกที่จะพัฒนาจังหวัดให้เป็นเมืองสุขภาพและเมืองสมุนไพร
สําหรับ สถิติการใช้ยาแผนไทยในสถานบริการสาธารณสุขทั่วประเทศปี 2560 มีมูลค่ากว่า 1,219ล้านบาท โดยในปี 2561 ตั้งเป้าให้มีมูลค่าการใช้ยาแผนไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 และจะพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการผลิตยาสมุนไพรในโรงพยาบาลตามมาตรฐาน WHO-GMP ขณะนี้มีโรงงานผลิตยาสมุนไพรฯ ผ่านมาตรฐาน WHO-GMP แล้ว 32 แห่ง และอยู่ระหว่างพัฒนามาตรฐานและตรวจประเมินมาตรฐาน 15 แห่ง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8973
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ได้อะไร
|
วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563
อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ได้อะไร
ได้อะไรหลายอย่างเลย
อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ได้อะไร
- ได้ทําอาหารให้คนที่เรารัก
- มีสุขอนามัยที่ดีทั้งบ้าน
- ได้ออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ
- ได้มีโอกาสดีๆ ในชีวิต
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ได้อะไร
วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563
อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ได้อะไร
ได้อะไรหลายอย่างเลย
อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ได้อะไร
- ได้ทําอาหารให้คนที่เรารัก
- มีสุขอนามัยที่ดีทั้งบ้าน
- ได้ออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ
- ได้มีโอกาสดีๆ ในชีวิต
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28069
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรมออกประกาศข้อแนะนำคุณลักษณะผ้าที่ใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัยสำหรับประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) [กระทรวงอุตสาหกรรม]
|
วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2563
กระทรวงอุตสาหกรรมออกประกาศข้อแนะนําคุณลักษณะผ้าที่ใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัยสําหรับประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) [กระทรวงอุตสาหกรรม]
และเพื่อประโยชน์ในการสนับสนุนการผลิตหน้ากากอนามัยที่ทําจากผ้าให้มีคุณภาพเพียงพอและราคาที่เหมาะสม โดยคุณลักษณะของผ้าแนบท้ายประกาศได้ผ่านการจัดทําโดยสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ และสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรมออกประกาศข้อแนะนำคุณลักษณะผ้าที่ใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัยสำหรับประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) [กระทรวงอุตสาหกรรม]
วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2563
กระทรวงอุตสาหกรรมออกประกาศข้อแนะนําคุณลักษณะผ้าที่ใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัยสําหรับประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) [กระทรวงอุตสาหกรรม]
และเพื่อประโยชน์ในการสนับสนุนการผลิตหน้ากากอนามัยที่ทําจากผ้าให้มีคุณภาพเพียงพอและราคาที่เหมาะสม โดยคุณลักษณะของผ้าแนบท้ายประกาศได้ผ่านการจัดทําโดยสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ และสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27375
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- " บิ๋กอู๋ " เปิดอาคารศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เด็กและผู้พิการ เพิ่มศักยภาพการพัฒนาคุณภาพชีวิต
|
วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน 2561
" บิ๋กอู๋ " เปิดอาคารศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เด็กและผู้พิการ เพิ่มศักยภาพการพัฒนาคุณภาพชีวิต
พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดอาคารศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เด็กและผู้พิการตําบลบ้านผึ้ง เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการประกอบกิจกรรมและเสริมสร้างทักษะในการดําเนินชีวิต เพิ่มพูนองค์ความรู้และพัฒนาตนเองของประชาชน
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2561 ที่บริเวณองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านผึ้ง อําเภอเมือง จังหวัดนครพนม พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดอาคารศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เด็กและผู้พิการตําบลบ้านผึ้ง เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการประกอบกิจกรรมและเสริมสร้างทักษะในการดําเนินชีวิต เพิ่มพูนองค์ความรู้และพัฒนาตนเองของประชาชนในชุมชน โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ประชาชนในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับและร่วมประกอบพิธี
จากที่ตําบลบ้านผึ้ง ได้มีการส่งเสริมการจัดสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุ เด็กและเยาวชน รวมทั้งการส่งเสริมอาชีพให้กับผู้พิการให้ได้เห็นคุณค่าในตนเอง โดยมีการรวมกลุ่มกันจัดตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุ โดยยึดหลัก “บวร” ในการดําเนินการ เพื่อเป็นสถานที่กระตุ้นให้ผู้สูงวัยทุกคนได้คลายเหงา มองเห็นคุณค่าในชีวิตตนเอง ได้ทํากิจกรรมร่วมกัน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และนําสิ่งเหล่านั้นมาถ่ายทอดสู่ลูกหลาน ตลอดจนเกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ในชุมชน มีกลุ่มเด็กและเยาวชนที่มีความเข้มแข็งร่วมกันจัดทํากิจกรรมสาธารณประโยชน์และกิจกรรมจิตอาสาต่าง ๆ ภายใต้การดําเนินกิจกรรม ผ่านสภาเด็กและเยาวชนตําบลบ้านผึ้ง มีการส่งเสริมอาชีพให้กับผู้พิการให้มีอาชีพเสริมและมีรายได้ในการเลี้ยงชีพ และสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างภาคภูมิ และเพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพในการส่งเสริมสนับสนุนให้ทั้งสามกลุ่มได้มีสถานที่ในการทํากิจกรรม ได้ออกกําลังกาย ได้แสดงออกซึ่งภูมิปัญญา ศักยภาพ สร้างสรรค์ประโยชน์แก่ชุมชนและสังคม ทําทุกคนมีอาชีพ มีรายได้ และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น รวมถึงเป็นสถานที่ในการใช้ประโยชน์ของประชาชนในตําบลบ้านผึ้ง และส่วนราชการต่าง ๆ ในอนาคต ดังนั้น องค์การบริหารส่วนตําบลบ้านผึ้ง จึงได้มีการจัดสร้างอาคารศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เด็กและผู้พิการตําบลบ้านผึ้งขึ้นมา ด้วยงบประมาณรวมทั้งสิ้น 2,500,000 บาท และเมื่อแล้วเสร็จจึงได้ร่วมกันประกอบพิธีเปิดขึ้น
-----------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/
18 พฤศจิกายน 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- " บิ๋กอู๋ " เปิดอาคารศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เด็กและผู้พิการ เพิ่มศักยภาพการพัฒนาคุณภาพชีวิต
วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน 2561
" บิ๋กอู๋ " เปิดอาคารศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เด็กและผู้พิการ เพิ่มศักยภาพการพัฒนาคุณภาพชีวิต
พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดอาคารศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เด็กและผู้พิการตําบลบ้านผึ้ง เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการประกอบกิจกรรมและเสริมสร้างทักษะในการดําเนินชีวิต เพิ่มพูนองค์ความรู้และพัฒนาตนเองของประชาชน
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2561 ที่บริเวณองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านผึ้ง อําเภอเมือง จังหวัดนครพนม พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดอาคารศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เด็กและผู้พิการตําบลบ้านผึ้ง เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการประกอบกิจกรรมและเสริมสร้างทักษะในการดําเนินชีวิต เพิ่มพูนองค์ความรู้และพัฒนาตนเองของประชาชนในชุมชน โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ประชาชนในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับและร่วมประกอบพิธี
จากที่ตําบลบ้านผึ้ง ได้มีการส่งเสริมการจัดสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุ เด็กและเยาวชน รวมทั้งการส่งเสริมอาชีพให้กับผู้พิการให้ได้เห็นคุณค่าในตนเอง โดยมีการรวมกลุ่มกันจัดตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุ โดยยึดหลัก “บวร” ในการดําเนินการ เพื่อเป็นสถานที่กระตุ้นให้ผู้สูงวัยทุกคนได้คลายเหงา มองเห็นคุณค่าในชีวิตตนเอง ได้ทํากิจกรรมร่วมกัน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และนําสิ่งเหล่านั้นมาถ่ายทอดสู่ลูกหลาน ตลอดจนเกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ในชุมชน มีกลุ่มเด็กและเยาวชนที่มีความเข้มแข็งร่วมกันจัดทํากิจกรรมสาธารณประโยชน์และกิจกรรมจิตอาสาต่าง ๆ ภายใต้การดําเนินกิจกรรม ผ่านสภาเด็กและเยาวชนตําบลบ้านผึ้ง มีการส่งเสริมอาชีพให้กับผู้พิการให้มีอาชีพเสริมและมีรายได้ในการเลี้ยงชีพ และสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างภาคภูมิ และเพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพในการส่งเสริมสนับสนุนให้ทั้งสามกลุ่มได้มีสถานที่ในการทํากิจกรรม ได้ออกกําลังกาย ได้แสดงออกซึ่งภูมิปัญญา ศักยภาพ สร้างสรรค์ประโยชน์แก่ชุมชนและสังคม ทําทุกคนมีอาชีพ มีรายได้ และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น รวมถึงเป็นสถานที่ในการใช้ประโยชน์ของประชาชนในตําบลบ้านผึ้ง และส่วนราชการต่าง ๆ ในอนาคต ดังนั้น องค์การบริหารส่วนตําบลบ้านผึ้ง จึงได้มีการจัดสร้างอาคารศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เด็กและผู้พิการตําบลบ้านผึ้งขึ้นมา ด้วยงบประมาณรวมทั้งสิ้น 2,500,000 บาท และเมื่อแล้วเสร็จจึงได้ร่วมกันประกอบพิธีเปิดขึ้น
-----------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/
18 พฤศจิกายน 2561
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16879
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. เปิดเวที ต่อยอดเครือข่าย SMEs สายพันธุ์ Startup - Innovation
|
วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม 2561
บสย. เปิดเวที ต่อยอดเครือข่าย SMEs สายพันธุ์ Startup - Innovation
บสย.ผนึกกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเวที “ต่อยอดธุรกิจ Startup ให้สําเร็จ ด้วยกลยุทธ์เด็ดจากนวัตกรรม” สร้างเครือข่ายนักธุรกิจสายพันธุ์สตาร์ทอัพ–นวัตกรรม พร้อมโชว์เคสนวัตกรรมสร้างเงินล้าน แมทชิ่งธุรกิจ - แหล่งเงินทุน เผยแนวโน้มการขอสินเชื่อ
บสย. ผนึก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเวที “ต่อยอดธุรกิจ Startup ให้สําเร็จ ด้วยกลยุทธ์เด็ดจากนวัตกรรม” สร้างเครือข่ายนักธุรกิจสายพันธุ์ สตาร์ทอัพ – นวัตกรรม พร้อมโชว์เคส นวัตกรรมสร้างเงินล้าน แมทชิ่งธุรกิจ - แหล่งเงินทุน เผยแนวโน้มการขอสินเชื่อ และค้ําประกันสินเชื่อขยายตัวตามเทรนด์
นายวิเชษฐ วรกุล รองผู้จัดการทั่วไป สายงานธุรกิจ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า บสย.ได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร คือ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) และสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม สถาบันการเงินและภาคเอกชน เปิดเวทีต่อยอดธุรกิจ Startup จัดสัมมนา “ต่อยอดธุรกิจ Startup ให้สําเร็จ ด้วยกลยุทธ์เด็ดจากนวัตกรรม” เปิดเวทีเชื่อมโยงเครือข่ายนักธุรกิจสายพันธุ์ Startup และ Innovation ที่เคยผ่านการอบรมหลักสูตร “24 ชั่วโมงสร้าง DNA นักธุรกิจรุ่นใหม่ด้วยนวัตกรรม “ จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยการจัดสัมมนาครั้งนี้ จะเป็นการเปิดเวทีถ่ายทอดองค์ความรู้ เพื่อการต่อยอดเครือข่ายธุรกิจ ขยายเครือข่าย และเสริมสร้างโอกาสทางการเงิน จากธนาคารที่มีโครงการสินเชื่อ Startup และ Innovation โดยมีโครงการค้ําประกันสินเชื่อ Startup & Innovation ของ บสย. รองรับ
การจัดงานครั้งนี้ได้รับความสนใจจาก ผู้ประกอบการกลุ่ม Startup และ Innovation กว่า 200 คน เข้าร่วมฟังการถ่ายทอดองค์ความรู้จากธุรกิจที่ประสบความสําเร็จหลากหลายมุมมอง อาทิ คุณณัฎฐ์เมธี ธนกิตต์วุฒิกุล ผู้บริหาร A Grains Granola จากธุรกิจ Startup คุณวาริท น้อยเกิด เจ้าของประชาฟาร์ม (ปลาสวยงาม บ้านโป่งราชบุรี) ก้าวสู่ความสําเร็จด้ายการขายผ่านช่องทาง Online 100% คุณอภิณพร ทองดี จาก บริษัท แอลเจที อินเตอร์ ฟู้ด จํากัด (ขนมครองแครงเล็กจนโต) การต่อยอดและขยายธุรกิจสู่ตลาดโลก
ปิดท้ายงานด้วยการเปิดเวทีธุรกิจที่ไม่ธรรมดา “ขยายธุรกิจอย่างไรให้รุ่งโรจน์ ไม่รุ่งริ่ง” โดยผู้ประกอบการตัวจริง คุณชวลิต ต่อสหะกุล เจ้าของกิจการพระรามเก้าไก่ย่าง จากร้านเพิงเล็กๆ ขยายเป็น 100 โต๊ะ พร้อมแนวคิดร้านอาหารเชิงรุก คุณเขมิกา จิวะพรทิพย์ แห่ง บริษัท แอล วี เอ็น แอล จํากัด สตูดิโอออกกําลังกายฟิซิค PHYSIQUE 57 คุณกฤษฎา ชุณศาสตร์ บริษัท ชุณศาสตร์ จํากัด ภายใต้แนวคิด ขายสินค้าต้องรู้จักใช้สื่อ ขยายธุรกิจต้องรู้จักการสื่อสาร และ ไฮไลท์ปิดท้าย เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้แลกเปลี่ยนต่อยอดธุรกิจระหว่างกัน
ปัจจุบัน บสย. อนุมัติค้ําประกันสินเชื่อ ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 กว่า 900 ราย คิดเป็นวงเงินค้ําประกันสินเชื่อกว่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งแนวโน้มผู้ประกอบการ SMEs กลุ่ม Startup และ Innovation มีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มการขอสินเชื่อจากธนาคาร และการค้ําประกันสินเชื่อของ บสย. สําหรับผู้ประกอบการกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ 0-2890-9999
ชนิญญา สันสมภาค 081-860-7477 [email protected] www.tcg.or.th
ศรัญยู ตันติเสรี 091-771-2885 [email protected] www.facebook.com/tcg.or.th
วิขุดา ก้องกีรติ 089-605-9870 [email protected]
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. เปิดเวที ต่อยอดเครือข่าย SMEs สายพันธุ์ Startup - Innovation
วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม 2561
บสย. เปิดเวที ต่อยอดเครือข่าย SMEs สายพันธุ์ Startup - Innovation
บสย.ผนึกกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเวที “ต่อยอดธุรกิจ Startup ให้สําเร็จ ด้วยกลยุทธ์เด็ดจากนวัตกรรม” สร้างเครือข่ายนักธุรกิจสายพันธุ์สตาร์ทอัพ–นวัตกรรม พร้อมโชว์เคสนวัตกรรมสร้างเงินล้าน แมทชิ่งธุรกิจ - แหล่งเงินทุน เผยแนวโน้มการขอสินเชื่อ
บสย. ผนึก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเวที “ต่อยอดธุรกิจ Startup ให้สําเร็จ ด้วยกลยุทธ์เด็ดจากนวัตกรรม” สร้างเครือข่ายนักธุรกิจสายพันธุ์ สตาร์ทอัพ – นวัตกรรม พร้อมโชว์เคส นวัตกรรมสร้างเงินล้าน แมทชิ่งธุรกิจ - แหล่งเงินทุน เผยแนวโน้มการขอสินเชื่อ และค้ําประกันสินเชื่อขยายตัวตามเทรนด์
นายวิเชษฐ วรกุล รองผู้จัดการทั่วไป สายงานธุรกิจ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า บสย.ได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร คือ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) และสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม สถาบันการเงินและภาคเอกชน เปิดเวทีต่อยอดธุรกิจ Startup จัดสัมมนา “ต่อยอดธุรกิจ Startup ให้สําเร็จ ด้วยกลยุทธ์เด็ดจากนวัตกรรม” เปิดเวทีเชื่อมโยงเครือข่ายนักธุรกิจสายพันธุ์ Startup และ Innovation ที่เคยผ่านการอบรมหลักสูตร “24 ชั่วโมงสร้าง DNA นักธุรกิจรุ่นใหม่ด้วยนวัตกรรม “ จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยการจัดสัมมนาครั้งนี้ จะเป็นการเปิดเวทีถ่ายทอดองค์ความรู้ เพื่อการต่อยอดเครือข่ายธุรกิจ ขยายเครือข่าย และเสริมสร้างโอกาสทางการเงิน จากธนาคารที่มีโครงการสินเชื่อ Startup และ Innovation โดยมีโครงการค้ําประกันสินเชื่อ Startup & Innovation ของ บสย. รองรับ
การจัดงานครั้งนี้ได้รับความสนใจจาก ผู้ประกอบการกลุ่ม Startup และ Innovation กว่า 200 คน เข้าร่วมฟังการถ่ายทอดองค์ความรู้จากธุรกิจที่ประสบความสําเร็จหลากหลายมุมมอง อาทิ คุณณัฎฐ์เมธี ธนกิตต์วุฒิกุล ผู้บริหาร A Grains Granola จากธุรกิจ Startup คุณวาริท น้อยเกิด เจ้าของประชาฟาร์ม (ปลาสวยงาม บ้านโป่งราชบุรี) ก้าวสู่ความสําเร็จด้ายการขายผ่านช่องทาง Online 100% คุณอภิณพร ทองดี จาก บริษัท แอลเจที อินเตอร์ ฟู้ด จํากัด (ขนมครองแครงเล็กจนโต) การต่อยอดและขยายธุรกิจสู่ตลาดโลก
ปิดท้ายงานด้วยการเปิดเวทีธุรกิจที่ไม่ธรรมดา “ขยายธุรกิจอย่างไรให้รุ่งโรจน์ ไม่รุ่งริ่ง” โดยผู้ประกอบการตัวจริง คุณชวลิต ต่อสหะกุล เจ้าของกิจการพระรามเก้าไก่ย่าง จากร้านเพิงเล็กๆ ขยายเป็น 100 โต๊ะ พร้อมแนวคิดร้านอาหารเชิงรุก คุณเขมิกา จิวะพรทิพย์ แห่ง บริษัท แอล วี เอ็น แอล จํากัด สตูดิโอออกกําลังกายฟิซิค PHYSIQUE 57 คุณกฤษฎา ชุณศาสตร์ บริษัท ชุณศาสตร์ จํากัด ภายใต้แนวคิด ขายสินค้าต้องรู้จักใช้สื่อ ขยายธุรกิจต้องรู้จักการสื่อสาร และ ไฮไลท์ปิดท้าย เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้แลกเปลี่ยนต่อยอดธุรกิจระหว่างกัน
ปัจจุบัน บสย. อนุมัติค้ําประกันสินเชื่อ ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 กว่า 900 ราย คิดเป็นวงเงินค้ําประกันสินเชื่อกว่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งแนวโน้มผู้ประกอบการ SMEs กลุ่ม Startup และ Innovation มีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มการขอสินเชื่อจากธนาคาร และการค้ําประกันสินเชื่อของ บสย. สําหรับผู้ประกอบการกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ 0-2890-9999
ชนิญญา สันสมภาค 081-860-7477 [email protected] www.tcg.or.th
ศรัญยู ตันติเสรี 091-771-2885 [email protected] www.facebook.com/tcg.or.th
วิขุดา ก้องกีรติ 089-605-9870 [email protected]
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15861
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมพิธีเนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ พุทธศักราช 2561
|
วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม 2561
กระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมพิธีเนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ พุทธศักราช 2561
กระทรวงดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีทําบุญตักบาตร พระสงฆ์และสามเณร 500 รูป พร้อมวางพานพุ่ม เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ พุทธศักราช 2561 เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2561 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยมีนาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมพิธี จากนั้น เวลา 17.00 น. รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ พร้อมด้วยผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ เข้าร่วมพระราชพิธีทรงบําเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง
************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมพิธีเนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ พุทธศักราช 2561
วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม 2561
กระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมพิธีเนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ พุทธศักราช 2561
กระทรวงดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีทําบุญตักบาตร พระสงฆ์และสามเณร 500 รูป พร้อมวางพานพุ่ม เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ พุทธศักราช 2561 เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2561 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยมีนาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมพิธี จากนั้น เวลา 17.00 น. รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ พร้อมด้วยผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ เข้าร่วมพระราชพิธีทรงบําเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง
************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17359
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) ครั้งที่ 2/2562
|
วันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2562
พม. จัดประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) ครั้งที่ 2/2562
พม. จัดประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) ครั้งที่ 2/2562
วันที่ 21 ต.ค. 62 เวลา 09.00 น. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) จัดประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) ครั้งที่ 2/2562 โดยมี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) คณะผู้บริหารกระทรวง พม. และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล
นายจุติ กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) ครั้งที่ 2/2562 ที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นสําคัญ ได้แก่ 1) การดําเนินโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ซึ่งกระทรวง พม. โดย ดย. อยู่ระหว่างพัฒนาระบบฐานข้อมูล และจะเร่งรัดตรวจสอบพร้อมทั้งประมวลผลข้อมูลผู้มีสิทธิที่มาให้ข้อมูลหลังวันที่ 30 ก.ย. 61 และผู้ที่ยังไม่มายื่นข้อมูลเพิ่มเติม และจะเสนอต่อ กดยช. เพื่อพิจารณาเป็นวาระเร่งด่วนต่อไป 2) การยุบเลิกคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพขั้นต่ําของการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยของสถานรับเลี้ยงเด็กเอกชน และเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับเด็กให้เป็นไปตามมาตรฐานของรัฐธรรมนูญและอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และคณะอนุกรรมการส่งเสริมการปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ 3) การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาความพร้อมของประเทศไทยต่อการถอนข้อสงวนของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการถอนข้อสงวน ข้อ 22 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และ 4) การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบงานเยาวชน ครั้งที่ 11 และการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบงานเยาวชน + 3 ครั้งที่ 7 โดยที่ประชุมเห็นชอบในหลักการสนับสนุนเงินเข้ากองทุนเยาวชนอาเซียน เป็นเงิน 5,000 ดอลลาห์สหรัฐ (150,000 บาท) ปีละครั้ง ก่อนนําเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบเรื่องการส่งเสริมกระบวนการทางความคิด (Mind Set) เด็กและเยาวชน...สู่ประเทศไทย 4.0 โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนําแนวคิดไปขับเคลื่อนในการปฏิบัติงานอย่างเป็นรูปธรรมตามบทบาทภารกิจขององค์กร และเรื่องการส่งเสริมให้ท้องถิ่นสนับสนุนสภาเด็กและเยาวชน กลุ่มเด็กและเยาวชน ริเริ่มทํากิจกรรมสร้างสรรค์และแก้ไขปัญหาในชุมชน สังคมของตนเอง โดยการถ่ายโอนภารกิจสภาเด็กและเยาวชนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้คํานึงถึงความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหลัก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) ครั้งที่ 2/2562
วันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2562
พม. จัดประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) ครั้งที่ 2/2562
พม. จัดประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) ครั้งที่ 2/2562
วันที่ 21 ต.ค. 62 เวลา 09.00 น. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) จัดประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) ครั้งที่ 2/2562 โดยมี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) คณะผู้บริหารกระทรวง พม. และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล
นายจุติ กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) ครั้งที่ 2/2562 ที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นสําคัญ ได้แก่ 1) การดําเนินโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ซึ่งกระทรวง พม. โดย ดย. อยู่ระหว่างพัฒนาระบบฐานข้อมูล และจะเร่งรัดตรวจสอบพร้อมทั้งประมวลผลข้อมูลผู้มีสิทธิที่มาให้ข้อมูลหลังวันที่ 30 ก.ย. 61 และผู้ที่ยังไม่มายื่นข้อมูลเพิ่มเติม และจะเสนอต่อ กดยช. เพื่อพิจารณาเป็นวาระเร่งด่วนต่อไป 2) การยุบเลิกคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพขั้นต่ําของการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยของสถานรับเลี้ยงเด็กเอกชน และเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับเด็กให้เป็นไปตามมาตรฐานของรัฐธรรมนูญและอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และคณะอนุกรรมการส่งเสริมการปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ 3) การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาความพร้อมของประเทศไทยต่อการถอนข้อสงวนของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการถอนข้อสงวน ข้อ 22 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และ 4) การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบงานเยาวชน ครั้งที่ 11 และการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบงานเยาวชน + 3 ครั้งที่ 7 โดยที่ประชุมเห็นชอบในหลักการสนับสนุนเงินเข้ากองทุนเยาวชนอาเซียน เป็นเงิน 5,000 ดอลลาห์สหรัฐ (150,000 บาท) ปีละครั้ง ก่อนนําเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบเรื่องการส่งเสริมกระบวนการทางความคิด (Mind Set) เด็กและเยาวชน...สู่ประเทศไทย 4.0 โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนําแนวคิดไปขับเคลื่อนในการปฏิบัติงานอย่างเป็นรูปธรรมตามบทบาทภารกิจขององค์กร และเรื่องการส่งเสริมให้ท้องถิ่นสนับสนุนสภาเด็กและเยาวชน กลุ่มเด็กและเยาวชน ริเริ่มทํากิจกรรมสร้างสรรค์และแก้ไขปัญหาในชุมชน สังคมของตนเอง โดยการถ่ายโอนภารกิจสภาเด็กและเยาวชนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้คํานึงถึงความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหลัก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23968
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกฯ ระบุหน่วยงานของรัฐสามารถเชื่อมโยงและนำข้อมูลตาม ร่าง พรบ.การทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปใช้ได้ต้องเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงานเท่านั้น
|
วันอังคารที่ 17 ตุลาคม 2560
โฆษกฯ ระบุหน่วยงานของรัฐสามารถเชื่อมโยงและนําข้อมูลตาม ร่าง พรบ.การทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปใช้ได้ต้องเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงานเท่านั้น
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงเพื่อป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือน ระบุหน่วยงานของรัฐสามารถเชื่อมโยงและนําข้อมูลตาม ร่าง พรบ.การทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปใช้ได้ต้องเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงานเท่านั้น
วันนี้ ( 17 ต.ค. 60 ) เวลา 15.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงถึงเรื่องที่ ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ เพื่อป้องกันความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและการเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือนโดยเฉพาะในลักษณะที่ระบุว่าหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ สามารถที่จะเชื่อมโยงข้อมูลทะเบียนราษฎรของกระทรวงมหาดไทยได้และรัฐสามารถที่จะรู้เรื่องเกี่ยวข้องกับประชาชนทั้งหมดว่า การที่แต่ละกระทรวง ทบวง กรม และหน่วยงานของรัฐ จะสามารถเข้าถึงและนําข้อมูลเหล่านั้นไปได้ ต้องเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงานเท่านั้น จึงขอแจ้งเกี่ยวกับการดําเนินการเชื่อมโยงข้อมูลตามพระราชบัญญัติดังกล่าวให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องเพื่อป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือนซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกฯ ระบุหน่วยงานของรัฐสามารถเชื่อมโยงและนำข้อมูลตาม ร่าง พรบ.การทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปใช้ได้ต้องเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงานเท่านั้น
วันอังคารที่ 17 ตุลาคม 2560
โฆษกฯ ระบุหน่วยงานของรัฐสามารถเชื่อมโยงและนําข้อมูลตาม ร่าง พรบ.การทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปใช้ได้ต้องเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงานเท่านั้น
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงเพื่อป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือน ระบุหน่วยงานของรัฐสามารถเชื่อมโยงและนําข้อมูลตาม ร่าง พรบ.การทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปใช้ได้ต้องเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงานเท่านั้น
วันนี้ ( 17 ต.ค. 60 ) เวลา 15.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงถึงเรื่องที่ ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ เพื่อป้องกันความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและการเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือนโดยเฉพาะในลักษณะที่ระบุว่าหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ สามารถที่จะเชื่อมโยงข้อมูลทะเบียนราษฎรของกระทรวงมหาดไทยได้และรัฐสามารถที่จะรู้เรื่องเกี่ยวข้องกับประชาชนทั้งหมดว่า การที่แต่ละกระทรวง ทบวง กรม และหน่วยงานของรัฐ จะสามารถเข้าถึงและนําข้อมูลเหล่านั้นไปได้ ต้องเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงานเท่านั้น จึงขอแจ้งเกี่ยวกับการดําเนินการเชื่อมโยงข้อมูลตามพระราชบัญญัติดังกล่าวให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องเพื่อป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือนซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7467
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปนัดดา" เปิดการอบรม "โรงเรียนคุณธรรมต้นแบบ หลักสูตร เข้าใจวัยรุ่นด้วยโยนิโสมนสิการ" โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม
|
วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม 2560
"ปนัดดา" เปิดการอบรม "โรงเรียนคุณธรรมต้นแบบ หลักสูตร เข้าใจวัยรุ่นด้วยโยนิโสมนสิการ" โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการโครงการ "โรงเรียนคุณธรรมต้นแบบ หลักสูตรเข้าใจวัยรุ่นด้วยโยนิโสมนสิการ"
โดยมีผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารจากหลายโรงเรียน อาทิ โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม ในพระบรมราชินูปถัมภ์, โรงเรียนสารวิทยา, โรงเรียนปทุมคงคา, โรงเรียนวชิรธรรมสาธิต, โรงเรียนสตรีเศรษฐบุตรบําเพ็ญ ฯลฯ พร้อมทั้งคณะครู อาจารย์ ผู้ปกครอง และนักเรียน เข้าร่วมงาน
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวว่า รู้สึกยินดียิ่งที่ได้มาพบปะเยี่ยมเยียนโรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม ในพระบรมราชินูปถัมภ์ โดยใคร่ขอความร่วมมือจากครู อาจารย์ และผู้ปกครองในการขับเคลื่อนโรงเรียนคุณธรรม และน้อมนําแนวคิดศาสตร์พระราชา ในการพัฒนานักเรียนให้มีความรู้ความสามารถและมีคุณธรรมควบคู่กันไป ซึ่งการเป็นโรงเรียนคุณธรรมของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีกรอบแนวคิดที่สําคัญ 5 ประการ คือ 1) ความพอเพียง 2) ความกตัญญู 3) ความซื่อสัตย์สุจริต 4) ความรับผิดชอบ 5) อุดมการณ์คุณธรรมจริยธรรม
นอกจากนี้ ฝากให้ลูกหลานนักเรียนคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของชนชาติไทยเป็นคุณงามความดีที่ได้ปฏิบัติสืบทอดต่อกันมา ไม่ว่าจะเป็นการอ่อนน้อมถ่อมตน ความเป็นสุภาพชน ความขยันหมั่นเพียร และความซื่อสัตย์สุจริต รักษาความเป็นคนดี ใต้ร่มพระบารมีไว้ให้ได้
ม.ล.ปนัดดา ได้กล่าวถึงพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ที่พระราชทานแก่ลูกหลาน เยาวชนไทย เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2527ใจความว่า "วัยเด็กเป็นวัยเริ่มต้น เป็นวัยเตรียมตัวเพื่อสร้างความเจริญ มั่นคงในชีวิตเด็ก ๆ จึงควรรีบขวนขวายศึกษา จักได้ มีความฉลาดรอบรู้ ว่าอะไรคือความดี และอะไรคือความเสื่อมเสีย เพื่อนําทางชีวิตของตนไปสู่ความสุข ความเจริญได้โดยถูกต้องและสมบูรณ์" เพื่อเป็นความภาคภูมิใจของลูกหลานเยาวชนไทยสืบไป
ขอให้ลูกหลานนักเรียนสืบสานพระราชปณิธาน ก้าวเดินตามรอยพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทั้งเรื่องการมีแนวคิด วิสัยทัศน์ ทัศนคติที่ดีต่อบ้านเมือง ความเป็นคนดีของสังคม ความเป็นนักการศึกษา ความเพียร และความซื่อสัตย์สุจริต
อนึ่ง โยนิโสมนสิการ (อ่านว่า โยนิโส-มะนะสิกาน) ประกอบด้วย 2 คํา คือโยนิโสมาจากคําว่า โยนิ ซึ่งแปลว่า เหตุ ต้นเค้า แหล่งเกิด ปัญญา อุบาย วิธี ทางและมนสิการหมายถึง การทําในใจ การคิด คํานึง นึกถึง ใส่ใจ พิจารณา
ดังนั้น โยนิโสมนสิการ จึงหมายถึง การคิดหรือพิจารณาโดยแยบคาย หรือการคิดพิจารณาอย่างรอบคอบถี่ถ้วน หรือสามารถคิดเป็น วิเคราะห์เป็น โดยคิดและวิเคราะห์ได้อย่างถูกวิธี นั่นคือ ความเป็นผู้ฉลาดในการคิด คิดอย่างถูกวิธีถูกระบบ พิจารณาไตร่ตรองสาวไปจนถึงสาเหตุหรือต้นตอของเรื่องที่กําลังคิด คือคิดถึงรากถึงโคนนั่นเอง แล้วประมวลความคิดรอบด้าน จนกระทั่งสรุปออกมาได้ว่าสิ่งนั้นควรหรือไม่ควร ดีหรือไม่ดี เป็นวิถีทางแห่งปัญญา เป็นธรรมสําหรับกลั่นกรองแยกแยะข้อมูลหรือแหล่งข่าว (ปรโตโฆสะ) อีกชั้นหนึ่ง เป็นบ่อเกิดแห่งสัมมาทิฐิ ทําให้มีเหตุผล ไม่งมงาย
อิทธิพล รุ่งก่อน, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปนัดดา" เปิดการอบรม "โรงเรียนคุณธรรมต้นแบบ หลักสูตร เข้าใจวัยรุ่นด้วยโยนิโสมนสิการ" โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม
วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม 2560
"ปนัดดา" เปิดการอบรม "โรงเรียนคุณธรรมต้นแบบ หลักสูตร เข้าใจวัยรุ่นด้วยโยนิโสมนสิการ" โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการโครงการ "โรงเรียนคุณธรรมต้นแบบ หลักสูตรเข้าใจวัยรุ่นด้วยโยนิโสมนสิการ"
โดยมีผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารจากหลายโรงเรียน อาทิ โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม ในพระบรมราชินูปถัมภ์, โรงเรียนสารวิทยา, โรงเรียนปทุมคงคา, โรงเรียนวชิรธรรมสาธิต, โรงเรียนสตรีเศรษฐบุตรบําเพ็ญ ฯลฯ พร้อมทั้งคณะครู อาจารย์ ผู้ปกครอง และนักเรียน เข้าร่วมงาน
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวว่า รู้สึกยินดียิ่งที่ได้มาพบปะเยี่ยมเยียนโรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม ในพระบรมราชินูปถัมภ์ โดยใคร่ขอความร่วมมือจากครู อาจารย์ และผู้ปกครองในการขับเคลื่อนโรงเรียนคุณธรรม และน้อมนําแนวคิดศาสตร์พระราชา ในการพัฒนานักเรียนให้มีความรู้ความสามารถและมีคุณธรรมควบคู่กันไป ซึ่งการเป็นโรงเรียนคุณธรรมของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีกรอบแนวคิดที่สําคัญ 5 ประการ คือ 1) ความพอเพียง 2) ความกตัญญู 3) ความซื่อสัตย์สุจริต 4) ความรับผิดชอบ 5) อุดมการณ์คุณธรรมจริยธรรม
นอกจากนี้ ฝากให้ลูกหลานนักเรียนคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของชนชาติไทยเป็นคุณงามความดีที่ได้ปฏิบัติสืบทอดต่อกันมา ไม่ว่าจะเป็นการอ่อนน้อมถ่อมตน ความเป็นสุภาพชน ความขยันหมั่นเพียร และความซื่อสัตย์สุจริต รักษาความเป็นคนดี ใต้ร่มพระบารมีไว้ให้ได้
ม.ล.ปนัดดา ได้กล่าวถึงพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ที่พระราชทานแก่ลูกหลาน เยาวชนไทย เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2527ใจความว่า "วัยเด็กเป็นวัยเริ่มต้น เป็นวัยเตรียมตัวเพื่อสร้างความเจริญ มั่นคงในชีวิตเด็ก ๆ จึงควรรีบขวนขวายศึกษา จักได้ มีความฉลาดรอบรู้ ว่าอะไรคือความดี และอะไรคือความเสื่อมเสีย เพื่อนําทางชีวิตของตนไปสู่ความสุข ความเจริญได้โดยถูกต้องและสมบูรณ์" เพื่อเป็นความภาคภูมิใจของลูกหลานเยาวชนไทยสืบไป
ขอให้ลูกหลานนักเรียนสืบสานพระราชปณิธาน ก้าวเดินตามรอยพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทั้งเรื่องการมีแนวคิด วิสัยทัศน์ ทัศนคติที่ดีต่อบ้านเมือง ความเป็นคนดีของสังคม ความเป็นนักการศึกษา ความเพียร และความซื่อสัตย์สุจริต
อนึ่ง โยนิโสมนสิการ (อ่านว่า โยนิโส-มะนะสิกาน) ประกอบด้วย 2 คํา คือโยนิโสมาจากคําว่า โยนิ ซึ่งแปลว่า เหตุ ต้นเค้า แหล่งเกิด ปัญญา อุบาย วิธี ทางและมนสิการหมายถึง การทําในใจ การคิด คํานึง นึกถึง ใส่ใจ พิจารณา
ดังนั้น โยนิโสมนสิการ จึงหมายถึง การคิดหรือพิจารณาโดยแยบคาย หรือการคิดพิจารณาอย่างรอบคอบถี่ถ้วน หรือสามารถคิดเป็น วิเคราะห์เป็น โดยคิดและวิเคราะห์ได้อย่างถูกวิธี นั่นคือ ความเป็นผู้ฉลาดในการคิด คิดอย่างถูกวิธีถูกระบบ พิจารณาไตร่ตรองสาวไปจนถึงสาเหตุหรือต้นตอของเรื่องที่กําลังคิด คือคิดถึงรากถึงโคนนั่นเอง แล้วประมวลความคิดรอบด้าน จนกระทั่งสรุปออกมาได้ว่าสิ่งนั้นควรหรือไม่ควร ดีหรือไม่ดี เป็นวิถีทางแห่งปัญญา เป็นธรรมสําหรับกลั่นกรองแยกแยะข้อมูลหรือแหล่งข่าว (ปรโตโฆสะ) อีกชั้นหนึ่ง เป็นบ่อเกิดแห่งสัมมาทิฐิ ทําให้มีเหตุผล ไม่งมงาย
อิทธิพล รุ่งก่อน, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5401
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-อิหร่าน ยินดีที่ความร่วมมือด้านสาธารณสุขและการท่องเที่ยว มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรมมากขึ้น
|
วันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2562
ไทย-อิหร่าน ยินดีที่ความร่วมมือด้านสาธารณสุขและการท่องเที่ยว มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรมมากขึ้น
ไทย-อิหร่าน ยินดีที่ความร่วมมือด้านสาธารณสุขและการท่องเที่ยว มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรมมากขึ้น
วันนี้ (วันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2562) เวลา 16.00 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายโมเซน มุฮัมมะดีย์ (H.E. Mr. Mohsen Mohammadi) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตฯ โดยเห็นว่าการหารือในครั้งนี้ เป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่มีมาอย่างยาวนานและราบรื่น พร้อมขอให้มั่นใจว่า ความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างไทยกับอิหร่านจะยังคงดําเนินต่อไปในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพและความพร้อมร่วมกัน
เอกอัครราชทูตฯ ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าพบ พร้อมมอบสารแสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับตําแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยยืนยันความพร้อมในการสานต่อความร่วมมือกับไทยในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข เภสัชกรรม และอุปกรณ์การแพทย์
ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ความร่วมมือระหว่างกันมีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม โดยด้านการแพทย์และสาธารณสุข ไทยกับอิหร่านได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างสองประเทศเมื่อปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้ส่งเสริมการเยือนของบุคลากรด้านการแพทย์และสาธารณสุขระหว่างกันมากขึ้น โดยขณะนี้ อิหร่านได้แต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเดินทางเยือนประเทศไทยในไม่ช้า
สําหรับ ด้านการท่องเที่ยว รัฐบาลพยายามผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่หลากหลาย โดยขณะนี้มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางเข้ามาใช้บริการ พร้อมขอให้เอกอัครราชทูตฯ สนับสนุนให้นักท่องเที่ยวชาวอิหร่าน เข้ามาท่องเที่ยวในไทยมากขึ้นด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-อิหร่าน ยินดีที่ความร่วมมือด้านสาธารณสุขและการท่องเที่ยว มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรมมากขึ้น
วันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2562
ไทย-อิหร่าน ยินดีที่ความร่วมมือด้านสาธารณสุขและการท่องเที่ยว มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรมมากขึ้น
ไทย-อิหร่าน ยินดีที่ความร่วมมือด้านสาธารณสุขและการท่องเที่ยว มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรมมากขึ้น
วันนี้ (วันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2562) เวลา 16.00 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายโมเซน มุฮัมมะดีย์ (H.E. Mr. Mohsen Mohammadi) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตฯ โดยเห็นว่าการหารือในครั้งนี้ เป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่มีมาอย่างยาวนานและราบรื่น พร้อมขอให้มั่นใจว่า ความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างไทยกับอิหร่านจะยังคงดําเนินต่อไปในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพและความพร้อมร่วมกัน
เอกอัครราชทูตฯ ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีที่สละเวลาให้เข้าพบ พร้อมมอบสารแสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับตําแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยยืนยันความพร้อมในการสานต่อความร่วมมือกับไทยในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข เภสัชกรรม และอุปกรณ์การแพทย์
ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ความร่วมมือระหว่างกันมีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม โดยด้านการแพทย์และสาธารณสุข ไทยกับอิหร่านได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างสองประเทศเมื่อปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้ส่งเสริมการเยือนของบุคลากรด้านการแพทย์และสาธารณสุขระหว่างกันมากขึ้น โดยขณะนี้ อิหร่านได้แต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเดินทางเยือนประเทศไทยในไม่ช้า
สําหรับ ด้านการท่องเที่ยว รัฐบาลพยายามผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่หลากหลาย โดยขณะนี้มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางเข้ามาใช้บริการ พร้อมขอให้เอกอัครราชทูตฯ สนับสนุนให้นักท่องเที่ยวชาวอิหร่าน เข้ามาท่องเที่ยวในไทยมากขึ้นด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24000
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก งด !!! การดำเนินการด้านใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถ ณ ที่ทำการสำนักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป [กระทรวงคมนาคม]
|
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563
กรมการขนส่งทางบก งด !!! การดําเนินการด้านใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจํารถ ณ ที่ทําการสํานักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป [กระทรวงคมนาคม]
กรมการขนส่งทางบก งด !!! การดําเนินการด้านใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจํารถ ณ ที่ทําการสํานักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป
*** ขณะนี้ ยังไม่เปิดให้บริการด้านใบอนุญาตขับรถ ***
กรมการขนส่งทางบก งด !!! การดําเนินการด้านใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจํารถ ณ ที่ทําการสํานักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือมีประกาศเปลี่ยนแปลง
*** โดยยกเลิกประกาศเดิม 24 มีนาคม - 12 เมษายน 2563 แล้ว ***
กรมการขนส่งทางบก ขยายเวลาต่ออายุใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจํารถ สามารถใช้ต่อไปได้จนกว่าจะมีการยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินพร้อมประกาศงดการดําเนินการด้านใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจํารถ ณ ที่ทําการสํานักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ) ได้สั่งการให้งานหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมทุกหน่วยงาน ผ่อนผันขยายระยะเวลาหรืออายุของใบสําคัญรับรอง ใบอนุญาต สัญญา และหนังสือสําคัญ จากวันที่หมดอายุหรือสิ้นอายุออกไปจนกว่าจะมีการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
กรมการขนส่งทางบกจึงได้ออก ประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่อง การดําเนินการด้านใบอนุญาตขับรถและผู้ประจํารถ ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
งดการดําเนินการด้านใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ และใบอนุญาตเป็นผู้ประจํารถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก ณ ที่ทําการสํานักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินหรือมีประกาศเป็นอย่างอื่น
ทั้งนี้ กรณีใบอนุญาตขับรถหรือใบอนุญาตเป็นผู้ประจํารถที่สิ้นอายุแล้วไม่เกินหนึ่งปี หรือสิ้นอายุเกินกว่าหนึ่งปีขึ้นไป หรือครบอายุในระหว่างช่วงงดการดําเนินการ ให้ถือว่ายังสามารถใช้ขับรถได้ โดยให้มาดําเนินการขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถหรือใบอนุญาตเป็นผู้ประจํารถได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่มีประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือมีประกาศเป็นอย่างอื่น
นอกจากนี้ ยังให้งดบริการการเรียนการสอนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติของโรงเรียนสอนขับรถที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก และงดการออกหน่วยเคลื่อนที่ด้านใบอนุญาตขับรถ และด้านทะเบียนและภาษีรถ ณ หน่วยบริการเคลื่อนที่รับชําระภาษีรถประจําปีที่ห้างสรรพสินค้าหรือแหล่งชุมชน หรือศูนย์บริการร่วม
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการอํานวยความสะดวก ลดขั้นตอนและระยะเวลาการมาติดต่อกับทางราชการ ซึ่งกรมการขนส่งทางบกเปิดการอบรมเพื่อขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถผ่านระบบ e-Learning ทางเว็บไซต์www.dlt-elearning.comตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมานั้น มีผู้เข้าอบรมแล้วจํานวนกว่า40,000 ราย ซึ่งผู้ที่ผ่านการอบรมแล้วในช่วงที่ผ่านมา และผู้ที่เข้ารับการอบรมตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป สามารถนําผลการอบรมมาดําเนินการขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่มีประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือมีประกาศเป็นอย่างอื่น โดยการอบรมประกอบด้วย การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถรถส่วนบุคคล (รถยนต์, รถยนต์สามล้อ, รถจักรยานยนต์) จํานวน 1 ชั่วโมง การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถขนส่ง จํานวน 2 ชั่วโมง การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถสาธารณะ (รถยนต์สาธารณะ หรือ รถแท็กซี่, รถยนต์สามล้อสาธารณะ, รถจักรยานยนต์สาธารณะ) จํานวน 3 ชั่วโมง
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวต่อไปว่า การให้บริการด้านทะเบียนและภาษีรถ ณ ที่ทําการสํานักงานขนส่ง ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ รวมถึงบริการเลื่อนล้อต่อภาษี (Drive Thru for Tax) ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกแนะนําให้ใช้ช่องทางชําระภาษีรถประจําปีอื่น โดยไม่ต้องมาติดต่อที่สํานักงานขนส่ง ได้แก่ บริการรับชําระภาษีรถประจําปีผ่านช่องทางออนไลน์ ที่เว็บไซต์กรมการขนส่งทางบกhttps://eservice.dlt.go.th/เคาน์เตอร์เซอร์วิส ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น แอปพลิเคชัน Truemoney Wallet mPAY ที่ทําการไปรษณีย์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก งด !!! การดำเนินการด้านใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถ ณ ที่ทำการสำนักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป [กระทรวงคมนาคม]
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563
กรมการขนส่งทางบก งด !!! การดําเนินการด้านใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจํารถ ณ ที่ทําการสํานักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป [กระทรวงคมนาคม]
กรมการขนส่งทางบก งด !!! การดําเนินการด้านใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจํารถ ณ ที่ทําการสํานักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป
*** ขณะนี้ ยังไม่เปิดให้บริการด้านใบอนุญาตขับรถ ***
กรมการขนส่งทางบก งด !!! การดําเนินการด้านใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจํารถ ณ ที่ทําการสํานักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือมีประกาศเปลี่ยนแปลง
*** โดยยกเลิกประกาศเดิม 24 มีนาคม - 12 เมษายน 2563 แล้ว ***
กรมการขนส่งทางบก ขยายเวลาต่ออายุใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจํารถ สามารถใช้ต่อไปได้จนกว่าจะมีการยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินพร้อมประกาศงดการดําเนินการด้านใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจํารถ ณ ที่ทําการสํานักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ) ได้สั่งการให้งานหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมทุกหน่วยงาน ผ่อนผันขยายระยะเวลาหรืออายุของใบสําคัญรับรอง ใบอนุญาต สัญญา และหนังสือสําคัญ จากวันที่หมดอายุหรือสิ้นอายุออกไปจนกว่าจะมีการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
กรมการขนส่งทางบกจึงได้ออก ประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่อง การดําเนินการด้านใบอนุญาตขับรถและผู้ประจํารถ ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
งดการดําเนินการด้านใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ และใบอนุญาตเป็นผู้ประจํารถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก ณ ที่ทําการสํานักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินหรือมีประกาศเป็นอย่างอื่น
ทั้งนี้ กรณีใบอนุญาตขับรถหรือใบอนุญาตเป็นผู้ประจํารถที่สิ้นอายุแล้วไม่เกินหนึ่งปี หรือสิ้นอายุเกินกว่าหนึ่งปีขึ้นไป หรือครบอายุในระหว่างช่วงงดการดําเนินการ ให้ถือว่ายังสามารถใช้ขับรถได้ โดยให้มาดําเนินการขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถหรือใบอนุญาตเป็นผู้ประจํารถได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่มีประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือมีประกาศเป็นอย่างอื่น
นอกจากนี้ ยังให้งดบริการการเรียนการสอนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติของโรงเรียนสอนขับรถที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก และงดการออกหน่วยเคลื่อนที่ด้านใบอนุญาตขับรถ และด้านทะเบียนและภาษีรถ ณ หน่วยบริการเคลื่อนที่รับชําระภาษีรถประจําปีที่ห้างสรรพสินค้าหรือแหล่งชุมชน หรือศูนย์บริการร่วม
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการอํานวยความสะดวก ลดขั้นตอนและระยะเวลาการมาติดต่อกับทางราชการ ซึ่งกรมการขนส่งทางบกเปิดการอบรมเพื่อขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถผ่านระบบ e-Learning ทางเว็บไซต์www.dlt-elearning.comตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมานั้น มีผู้เข้าอบรมแล้วจํานวนกว่า40,000 ราย ซึ่งผู้ที่ผ่านการอบรมแล้วในช่วงที่ผ่านมา และผู้ที่เข้ารับการอบรมตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป สามารถนําผลการอบรมมาดําเนินการขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่มีประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือมีประกาศเป็นอย่างอื่น โดยการอบรมประกอบด้วย การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถรถส่วนบุคคล (รถยนต์, รถยนต์สามล้อ, รถจักรยานยนต์) จํานวน 1 ชั่วโมง การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถขนส่ง จํานวน 2 ชั่วโมง การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถสาธารณะ (รถยนต์สาธารณะ หรือ รถแท็กซี่, รถยนต์สามล้อสาธารณะ, รถจักรยานยนต์สาธารณะ) จํานวน 3 ชั่วโมง
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวต่อไปว่า การให้บริการด้านทะเบียนและภาษีรถ ณ ที่ทําการสํานักงานขนส่ง ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ รวมถึงบริการเลื่อนล้อต่อภาษี (Drive Thru for Tax) ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกแนะนําให้ใช้ช่องทางชําระภาษีรถประจําปีอื่น โดยไม่ต้องมาติดต่อที่สํานักงานขนส่ง ได้แก่ บริการรับชําระภาษีรถประจําปีผ่านช่องทางออนไลน์ ที่เว็บไซต์กรมการขนส่งทางบกhttps://eservice.dlt.go.th/เคาน์เตอร์เซอร์วิส ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น แอปพลิเคชัน Truemoney Wallet mPAY ที่ทําการไปรษณีย์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28985
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสุขภาพจิต ชี้ไทยมีจุดแข็งสู้โควิด แนะคนไทยดึงพลัง “อึด ฮึด สู้” ก้าวผ่านสู่สังคมที่ดีกว่าไปพร้อมกัน [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันอังคารที่ 21 เมษายน 2563
กรมสุขภาพจิต ชี้ไทยมีจุดแข็งสู้โควิด แนะคนไทยดึงพลัง “อึด ฮึด สู้” ก้าวผ่านสู่สังคมที่ดีกว่าไปพร้อมกัน [กระทรวงสาธารณสุข]
กรมสุขภาพจิต ชี้ไทยมีจุดแข็งสู้โควิด แนะคนไทยดึงพลัง “อึด ฮึด สู้” ก้าวผ่านสู่สังคมที่ดีกว่าไปพร้อมกัน
กรมสุขภาพจิต ชี้ไทยมีจุดแข็งสู้โควิด แนะคนไทยดึงพลัง“อึด ฮึด สู้” ก้าวผ่านสู่สังคมที่ดีกว่าไปพร้อมกัน
กรมสุขภาพจิต ชี้ประเทศไทยมีจุดแข็งทั้งด้านระบบการควบคุมโรคที่ดีในระดับแนวหน้าของโลก การมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) ที่ผ่านการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมากว่า40 ปี และประเทศเรามีจิตอาสาที่ประเทศอื่นไม่มีที่พร้อมดูแลช่วยเหลือกัน และกันในสถานการณ์ที่ยากลําบาก มีระบบการเกษตร และธรรมชาติที่เอื้อต่อการดํารงชีวิตขั้นพื้นฐาน ในสถานการณ์ขณะนี้จึงขอเพียงให้ทุกคน ดึงพลัง “อึด ฮึด สู้”ที่มีอยู่ในตัวเองออกมาใช้ ก็จะสามารถก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19 สู่สังคมที่ดีกว่าไปพร้อมกัน ขณะเดียวกันหากรู้สึกหมดพลัง เครียดไปต่อไม่ไหวอย่าเก็บไว้คนเดียว ขอให้หาคนปรึกษา หรือใช้บริการสายด่วนสุขภาพจิต 1323
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยกรณีปัญหาความเครียด วิตกกังวล จากผลกระทบที่เกิดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของประชาชนในขณะนี้ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบทั่วโลก และเมื่อเทียบกันแล้วความรุนแรงของผลกระทบที่ประเทศไทยได้รับยังนับว่าน้อยกว่าอีกหลายๆประเทศมาก ดังที่ปรากฏแล้วว่าอัตราการติดเชื้อรายใหม่ของเราลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่อัตราการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ก็ต่ํากว่าค่าเฉลี่ยทั่วไป จึงทําให้เกิดภาพการขอกลับประเทศของคนไทยในต่างแดนก็มีจํานวนมาก ทั้งนี้ปัจจัยสําคัญที่ทําให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดีจนเป็นที่ยอมรับ เพราะประเทศไทยมีจุดแข็งหลายด้าน เช่น ประเทศเรามีระบบการควบคุมโรคที่ดีในระดับแนวหน้าของโลก, มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) ที่ผ่านการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมากว่า 40 ปี และประเทศเรามีจิตอาสาที่ประเทศอื่นไม่มีที่พร้อมดูแลช่วยเหลือกันและกันในสถานการณ์ที่ยากลําบาก รวมทั้งมีระบบการเกษตร และธรรมชาติที่เอื้อต่อการดํารงชีวิตขั้นพื้นฐานได้ ดังนั้นในสถานการณ์นี้ขอเพียงให้คนไทย ดึงพลัง“อึด ฮึด สู้”ที่มีอยู่ในตัวเองของทุกคนออกมาใช้ ก็จะสามารถก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19 ไปได้ แต่หากใครรู้สึกพลังหมด เครียดไปต่อไม่ไหว และมีสัญญาณที่บ่งบอก 3 ด้าน คือด้านร่างกายนอนไม่หลับ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ตื่นเต้นตกใจง่าย ปวดศีรษะ ความดันสูง ด้านอารมณ์หงุดหงิดง่าย มีความเครียด รู้สึกโกรธ ฉุนเฉียว ท้อแท้ ซึมเศร้าด้านพฤติกรรมมี ความสัมพันธ์กับครอบครัวและคนรอบข้างลดน้อยลง มีความก้าวร้าวมากขึ้น อดทนต่อสิ่งกระตุ้นได้น้อยลงขออย่าเก็บไว้คนเดียวให้หาคนปรึกษา หรือใช้บริการสายด่วนสุขภาพจิต 1323
สําหรับการใช้พลัง “อึด ฮึด สู้” (Resilience) เพื่อสร้างกําลังใจที่เข้มแข็ง และต่อสู้เอาชนะอุปสรรค ที่ทําให้เราผ่านพ้นความทุกข์ไปได้ มีแนวทางคือพลัง“อึด”คือ การทนต่อแรงกดดัน สามารถสร้างได้ด้วยการมองเห็นคุณค่าในตัวเอง ควบคุมอารมณ์ได้ดี รู้จักปรับอารมณ์ปรับความคิด คิดในเชิงบวกไม่ท้อถอยกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตพลัง“ฮึด”คือพลังที่เมื่อเจอแรงกดดัน หรือเจอสถานการณ์ลําบาก แล้วสามารถมีแรงใจที่จะลุกขึ้นมาใหม่ สามารถสร้างได้จากการเพิ่มศรัทธาในชีวิต โดยมองว่าชีวิตยังมีความหวัง ถ้าเรารู้สึกไม่ไหวให้หาคนที่เราไว้ใจช่วย และที่สําคัญคือต้องมีกําลังใจ ซึ่งแต่ละคนสร้างและหาได้ ทั้งสร้างกําลังใจด้วยตัวเอง กําลังใจจากครอบครัว และ กําลังใจจากสังคมซึ่งประเทศไทยมีให้กันตลอดเวลาพลัง“สู้”เป็นพลังเสริมจากพลังฮึด เป็นพลังเอาชนะอุปสรรคต่างๆ สามารถสร้างได้ด้วยการปรับเป้าหมาย ปรับการกระทํา ปรับพฤติกรรม ให้หาทําอะไรในสิ่งที่พอทําได้ให้ทําไปก่อน อย่างไปคาดหวังมากจนเกินไป และควรปรับเป้าหมายชีวิตให้เล็กลง เพื่อให้ยืนอยู่และผ่านพ้นวิกฤติสถานการณ์ไปได้ ทั้งนี้จากหลายเหตุการณ์วิกฤติที่ผ่านมา คนไทยสามารถดึงพลังนี้ออกมาใช้ ทําให้สามารถปรับตัวกับสถานการณ์ และสามารถจัดการกับความเครียดได้เป็นอย่างดี จึงเชื่อมั่นว่าเกิดการณ์วิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้ คนไทยก็จะสามารถจับมือก้าวผ่านเพื่อสู่สังคมที่ดีกว่าไปพร้อมกันในอีกไม่ช้า อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว
................................... 21 เมษายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสุขภาพจิต ชี้ไทยมีจุดแข็งสู้โควิด แนะคนไทยดึงพลัง “อึด ฮึด สู้” ก้าวผ่านสู่สังคมที่ดีกว่าไปพร้อมกัน [กระทรวงสาธารณสุข]
วันอังคารที่ 21 เมษายน 2563
กรมสุขภาพจิต ชี้ไทยมีจุดแข็งสู้โควิด แนะคนไทยดึงพลัง “อึด ฮึด สู้” ก้าวผ่านสู่สังคมที่ดีกว่าไปพร้อมกัน [กระทรวงสาธารณสุข]
กรมสุขภาพจิต ชี้ไทยมีจุดแข็งสู้โควิด แนะคนไทยดึงพลัง “อึด ฮึด สู้” ก้าวผ่านสู่สังคมที่ดีกว่าไปพร้อมกัน
กรมสุขภาพจิต ชี้ไทยมีจุดแข็งสู้โควิด แนะคนไทยดึงพลัง“อึด ฮึด สู้” ก้าวผ่านสู่สังคมที่ดีกว่าไปพร้อมกัน
กรมสุขภาพจิต ชี้ประเทศไทยมีจุดแข็งทั้งด้านระบบการควบคุมโรคที่ดีในระดับแนวหน้าของโลก การมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) ที่ผ่านการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมากว่า40 ปี และประเทศเรามีจิตอาสาที่ประเทศอื่นไม่มีที่พร้อมดูแลช่วยเหลือกัน และกันในสถานการณ์ที่ยากลําบาก มีระบบการเกษตร และธรรมชาติที่เอื้อต่อการดํารงชีวิตขั้นพื้นฐาน ในสถานการณ์ขณะนี้จึงขอเพียงให้ทุกคน ดึงพลัง “อึด ฮึด สู้”ที่มีอยู่ในตัวเองออกมาใช้ ก็จะสามารถก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19 สู่สังคมที่ดีกว่าไปพร้อมกัน ขณะเดียวกันหากรู้สึกหมดพลัง เครียดไปต่อไม่ไหวอย่าเก็บไว้คนเดียว ขอให้หาคนปรึกษา หรือใช้บริการสายด่วนสุขภาพจิต 1323
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยกรณีปัญหาความเครียด วิตกกังวล จากผลกระทบที่เกิดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของประชาชนในขณะนี้ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบทั่วโลก และเมื่อเทียบกันแล้วความรุนแรงของผลกระทบที่ประเทศไทยได้รับยังนับว่าน้อยกว่าอีกหลายๆประเทศมาก ดังที่ปรากฏแล้วว่าอัตราการติดเชื้อรายใหม่ของเราลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่อัตราการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ก็ต่ํากว่าค่าเฉลี่ยทั่วไป จึงทําให้เกิดภาพการขอกลับประเทศของคนไทยในต่างแดนก็มีจํานวนมาก ทั้งนี้ปัจจัยสําคัญที่ทําให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดีจนเป็นที่ยอมรับ เพราะประเทศไทยมีจุดแข็งหลายด้าน เช่น ประเทศเรามีระบบการควบคุมโรคที่ดีในระดับแนวหน้าของโลก, มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) ที่ผ่านการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมากว่า 40 ปี และประเทศเรามีจิตอาสาที่ประเทศอื่นไม่มีที่พร้อมดูแลช่วยเหลือกันและกันในสถานการณ์ที่ยากลําบาก รวมทั้งมีระบบการเกษตร และธรรมชาติที่เอื้อต่อการดํารงชีวิตขั้นพื้นฐานได้ ดังนั้นในสถานการณ์นี้ขอเพียงให้คนไทย ดึงพลัง“อึด ฮึด สู้”ที่มีอยู่ในตัวเองของทุกคนออกมาใช้ ก็จะสามารถก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19 ไปได้ แต่หากใครรู้สึกพลังหมด เครียดไปต่อไม่ไหว และมีสัญญาณที่บ่งบอก 3 ด้าน คือด้านร่างกายนอนไม่หลับ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ตื่นเต้นตกใจง่าย ปวดศีรษะ ความดันสูง ด้านอารมณ์หงุดหงิดง่าย มีความเครียด รู้สึกโกรธ ฉุนเฉียว ท้อแท้ ซึมเศร้าด้านพฤติกรรมมี ความสัมพันธ์กับครอบครัวและคนรอบข้างลดน้อยลง มีความก้าวร้าวมากขึ้น อดทนต่อสิ่งกระตุ้นได้น้อยลงขออย่าเก็บไว้คนเดียวให้หาคนปรึกษา หรือใช้บริการสายด่วนสุขภาพจิต 1323
สําหรับการใช้พลัง “อึด ฮึด สู้” (Resilience) เพื่อสร้างกําลังใจที่เข้มแข็ง และต่อสู้เอาชนะอุปสรรค ที่ทําให้เราผ่านพ้นความทุกข์ไปได้ มีแนวทางคือพลัง“อึด”คือ การทนต่อแรงกดดัน สามารถสร้างได้ด้วยการมองเห็นคุณค่าในตัวเอง ควบคุมอารมณ์ได้ดี รู้จักปรับอารมณ์ปรับความคิด คิดในเชิงบวกไม่ท้อถอยกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตพลัง“ฮึด”คือพลังที่เมื่อเจอแรงกดดัน หรือเจอสถานการณ์ลําบาก แล้วสามารถมีแรงใจที่จะลุกขึ้นมาใหม่ สามารถสร้างได้จากการเพิ่มศรัทธาในชีวิต โดยมองว่าชีวิตยังมีความหวัง ถ้าเรารู้สึกไม่ไหวให้หาคนที่เราไว้ใจช่วย และที่สําคัญคือต้องมีกําลังใจ ซึ่งแต่ละคนสร้างและหาได้ ทั้งสร้างกําลังใจด้วยตัวเอง กําลังใจจากครอบครัว และ กําลังใจจากสังคมซึ่งประเทศไทยมีให้กันตลอดเวลาพลัง“สู้”เป็นพลังเสริมจากพลังฮึด เป็นพลังเอาชนะอุปสรรคต่างๆ สามารถสร้างได้ด้วยการปรับเป้าหมาย ปรับการกระทํา ปรับพฤติกรรม ให้หาทําอะไรในสิ่งที่พอทําได้ให้ทําไปก่อน อย่างไปคาดหวังมากจนเกินไป และควรปรับเป้าหมายชีวิตให้เล็กลง เพื่อให้ยืนอยู่และผ่านพ้นวิกฤติสถานการณ์ไปได้ ทั้งนี้จากหลายเหตุการณ์วิกฤติที่ผ่านมา คนไทยสามารถดึงพลังนี้ออกมาใช้ ทําให้สามารถปรับตัวกับสถานการณ์ และสามารถจัดการกับความเครียดได้เป็นอย่างดี จึงเชื่อมั่นว่าเกิดการณ์วิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้ คนไทยก็จะสามารถจับมือก้าวผ่านเพื่อสู่สังคมที่ดีกว่าไปพร้อมกันในอีกไม่ช้า อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว
................................... 21 เมษายน 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29472
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หารือกับกระทรวงอุดมศึกษา อัฟกานิสถาน
|
วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561
หารือกับกระทรวงอุดมศึกษา อัฟกานิสถาน
ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายสุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการอุดมศึกษากับ MR. Abdul Tawab Balakarzai รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา (ฝ่ายวิชาการ)
เมื่อวันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายสุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการอุดมศึกษากับ MR. Abdul Tawab Balakarzai รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา (ฝ่ายวิชาการ) อัฟกานิสถาน ที่ห้องประชุม MOC อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ
รมช.ศึกษาการ กล่าวว่า เมื่อ 16 ปีที่แล้วประเทศไทยเคยมีทบวงมหาวิทยาลัยที่ดูแลสถาบันอุดมศึกษาทั้งประเทศ จากนั้นได้เกิดการยุบรวมทบวงมหาวิทยาลัยเข้ากับกระทรวงศึกษาธิการ แต่เนื่องจากเมื่อเวลาผ่านไปก็พบว่าการรวมกันนั้นทําให้การบริหารจัดการทําได้ยาก เนื่องจากโครงสร้างของกระทรวงศึกษาธิการมีขนาดใหญ่มาก กระทรวงศึกษาธิการจึงเตรียมที่จะจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา โดยแยกสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาออกจากกระทรวงศึกษาธิการ คาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2561 นี้
ส่วนความร่วมมือระหว่างอัฟกานิสถานกับมหาวิทยาลัยมหิดลก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนําที่มีชื่อเสียงในระดับโลก มีโรงพยาบาลในสังกัดถึง 2 แห่ง คือ โรงพยาบาลศิริราชและโรงพยาบาลรามาธิบดี อีกทั้งมีประวัติการดําเนินงานด้านการแพทย์และการสาธารณสุขมาอย่างยาวนาน ความร่วมมือนี้ถือเป็นโอกาสดี ในการส่งเสริมความสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน
นอกจากนี้ การเรียนการสอนออนไลน์เป็นสิ่งสําคัญมากสําหรับมหาวิทยาลัยในยุคปัจจุบัน เพราะโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การมีอินเทอร์เน็ตช่วยเปิดโลก และทําให้ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา ดังนั้นมหาวิทยาลัยควรปรับตัวจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์มากขึ้น โดยการสนับสนุนของ สกอ. ทั้งการจัดสรรงบประมาณและส่งเสริมการขยายผลหลักสูตรออนไลน์ไปทั่วประเทศด้วย
ทั้งนี้ หวังว่าการเดินทางมาประเทศไทยในครั้งนี้ จะทําให้กระทรวงศึกษาธิการไทยและกระทรวงการอุดมศึกษาอัฟกานิสถาน ได้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์และสามารถนําไปประยุกต์ใช้กับทั้งสองประเทศได้
MR. Abdul Tawab Balakarzai รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา (ฝ่ายวิชาการ) อัฟกานิสถาน กล่าวว่า การบริหารจัดการด้านการศึกษาของอัฟกานิสถาน ประกอบด้วย 2 หน่วยงานสําคัญ คือ กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา ในส่วนของการอุดมศึกษานั้นอัฟกานิสถานกําลังพัฒนาสถาบันการอุดมศึกษาทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ โดยมุ่งเน้นด้านคุณภาพด้วยการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ เช่น มาเลเซีย อินเดีย ตุรกี อิรัก และไทย เป็นต้น รวมทั้งมีการตั้ง Professional Development Center และโปรแกรมที่เชื่อมโยงกับวิธีการสอน การวิจัยและเทคโนโลยีด้วย ตลอดจนการส่งเสริมด้าน ICT ซึ่งจะลงนาม MoU กับ MIT ที่สหรัฐอเมริกาในเดือนหน้าด้วย
สําหรับการเดินทางมาประเทศไทยในครั้งนี้ เพื่อดําเนินกิจกรรมความร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) พร้อมทั้งลงนาม MoU ด้านการแพทย์กับมหาวิทยาลัยมหิดล อาทิ การให้ทุนนักศึกษาที่ได้รับทุนระดับปริญญาโท ภายใต้ทุนการศึกษา Higher Education Development Program (HEDP Scholarship) โดยหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนและสานต่อความร่วมมือที่ดีร่วมกันต่อไป
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น: สรุป
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สํานักงานรัฐมนตรี: รายงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หารือกับกระทรวงอุดมศึกษา อัฟกานิสถาน
วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561
หารือกับกระทรวงอุดมศึกษา อัฟกานิสถาน
ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายสุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการอุดมศึกษากับ MR. Abdul Tawab Balakarzai รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา (ฝ่ายวิชาการ)
เมื่อวันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายสุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการอุดมศึกษากับ MR. Abdul Tawab Balakarzai รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา (ฝ่ายวิชาการ) อัฟกานิสถาน ที่ห้องประชุม MOC อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ
รมช.ศึกษาการ กล่าวว่า เมื่อ 16 ปีที่แล้วประเทศไทยเคยมีทบวงมหาวิทยาลัยที่ดูแลสถาบันอุดมศึกษาทั้งประเทศ จากนั้นได้เกิดการยุบรวมทบวงมหาวิทยาลัยเข้ากับกระทรวงศึกษาธิการ แต่เนื่องจากเมื่อเวลาผ่านไปก็พบว่าการรวมกันนั้นทําให้การบริหารจัดการทําได้ยาก เนื่องจากโครงสร้างของกระทรวงศึกษาธิการมีขนาดใหญ่มาก กระทรวงศึกษาธิการจึงเตรียมที่จะจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา โดยแยกสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาออกจากกระทรวงศึกษาธิการ คาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2561 นี้
ส่วนความร่วมมือระหว่างอัฟกานิสถานกับมหาวิทยาลัยมหิดลก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนําที่มีชื่อเสียงในระดับโลก มีโรงพยาบาลในสังกัดถึง 2 แห่ง คือ โรงพยาบาลศิริราชและโรงพยาบาลรามาธิบดี อีกทั้งมีประวัติการดําเนินงานด้านการแพทย์และการสาธารณสุขมาอย่างยาวนาน ความร่วมมือนี้ถือเป็นโอกาสดี ในการส่งเสริมความสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน
นอกจากนี้ การเรียนการสอนออนไลน์เป็นสิ่งสําคัญมากสําหรับมหาวิทยาลัยในยุคปัจจุบัน เพราะโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การมีอินเทอร์เน็ตช่วยเปิดโลก และทําให้ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา ดังนั้นมหาวิทยาลัยควรปรับตัวจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์มากขึ้น โดยการสนับสนุนของ สกอ. ทั้งการจัดสรรงบประมาณและส่งเสริมการขยายผลหลักสูตรออนไลน์ไปทั่วประเทศด้วย
ทั้งนี้ หวังว่าการเดินทางมาประเทศไทยในครั้งนี้ จะทําให้กระทรวงศึกษาธิการไทยและกระทรวงการอุดมศึกษาอัฟกานิสถาน ได้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์และสามารถนําไปประยุกต์ใช้กับทั้งสองประเทศได้
MR. Abdul Tawab Balakarzai รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา (ฝ่ายวิชาการ) อัฟกานิสถาน กล่าวว่า การบริหารจัดการด้านการศึกษาของอัฟกานิสถาน ประกอบด้วย 2 หน่วยงานสําคัญ คือ กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา ในส่วนของการอุดมศึกษานั้นอัฟกานิสถานกําลังพัฒนาสถาบันการอุดมศึกษาทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ โดยมุ่งเน้นด้านคุณภาพด้วยการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ เช่น มาเลเซีย อินเดีย ตุรกี อิรัก และไทย เป็นต้น รวมทั้งมีการตั้ง Professional Development Center และโปรแกรมที่เชื่อมโยงกับวิธีการสอน การวิจัยและเทคโนโลยีด้วย ตลอดจนการส่งเสริมด้าน ICT ซึ่งจะลงนาม MoU กับ MIT ที่สหรัฐอเมริกาในเดือนหน้าด้วย
สําหรับการเดินทางมาประเทศไทยในครั้งนี้ เพื่อดําเนินกิจกรรมความร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) พร้อมทั้งลงนาม MoU ด้านการแพทย์กับมหาวิทยาลัยมหิดล อาทิ การให้ทุนนักศึกษาที่ได้รับทุนระดับปริญญาโท ภายใต้ทุนการศึกษา Higher Education Development Program (HEDP Scholarship) โดยหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนและสานต่อความร่วมมือที่ดีร่วมกันต่อไป
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น: สรุป
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สํานักงานรัฐมนตรี: รายงาน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10133
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดโครงการ Green Army Green Farmer เพื่อประเทศชาติและประชาชน
|
วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน 2561
นายกรัฐมนตรีเปิดโครงการ Green Army Green Farmer เพื่อประเทศชาติและประชาชน
นายกรัฐมนตรีเปิดโครงการ Green Army Green Farmer เพื่อประเทศชาติและประชาชน แนะเกษตรกรใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมตามแนวทาง THAILAND 4.0 เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต กระจายรายได้สู่ชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก
วันนี้ (7 พฤศจิกายน 2561) เวลา 14.30 น. ณ มณฑลทหารบกที่ 17 ตําบลลาดหญ้า อําเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดโครงการ Green Army Green Farmer เพื่อประเทศชาติและประชาชน ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือด้านเกษตรและอาหารปลอดภัย ซึ่งใช้พื้นที่ทหารเป็นฐานการผลิต เพื่อให้สอดรับกับนโยบายรัฐบาลในการส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ รวมถึงการพัฒนาเกษตรอินทรีย์และเกษตรกรรมยั่งยืน รวมทั้งเพื่อยกระดับสุขภาพ คุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชน ตลอดจนนําไปสู่การสร้างความเข้มแข็งของชุมชน การกระจายรายได้ และการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยมีเกษตรกรและประชาชนเข้าร่วมโครงการ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบเกียรติบัตรการรับรองแปลงเกษตรปลอดภัยแก่กลุ่มเกษตรกรที่ผ่านการตรวจรับรองคุณภาพกระบวนการผลิต จาก 8 จังหวัดภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันตก พร้อมมอบงบประมาณสนับสนุนการจัดหารถห้องเย็นจากจังหวัดกาญจนบุรี – บริษัทประชารัฐรักสามัคคี - วิสาหกิจเพื่อสังคมจังหวัดกาญจนบุรี – สํานักงานเกษตรจังหวัดกาญจนบุรี – สหกรณ์จังหวัดกาญจนบุรีแก่เกษตรกร
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวพบปะกับประชาชนที่มาเข้าร่วมโครงการและให้การต้อนรับตอนหนึ่งว่า วันนี้เดินทางลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีในหลายพื้นที่รู้สึกร้อนและเหนื่อย พอมาเห็นรอยยิ้มที่มีความสุขของประชาชน ทําให้หายเหนื่อย และรู้สึกดีใจ พร้อมกล่าวชื่นชมเกษตรกรที่ได้รับรางวัลแปลงเกษตรปลอดภัย โดยขอให้เกษตรกรใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมตามแนวทาง THAILAND 4.0 เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต และการกระจายรายได้สู่ชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก พร้อมกับให้หน่วยงานราชการส่งเสริมด้านสุขภาพ และคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่เกษตรกร ในการหันมา ลด ละ เลิก การใช้สารเคมีอันตราย รวมถึงการส่งเสริมให้ประชาชนผู้บริโภคได้มีโอกาสเข้าถึงผลผลิตเกษตรและอาหารที่มีความปลอดภัย มีการวางแผนการผลิต ยึดการตลาดนําการผลิต ผลิตสินค้าตามความต้องการของตลาด
สําหรับการตรวจวิเคราะห์รับรองคุณภาพความปลอดภัย นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้มหาวิทยาลัยมหิดลเข้ามาเป็นหน่วยงานหลักในการตรวจวิเคราะห์รับรองคุณภาพความปลอดภัย เพื่อช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ทั้งตัวเกษตรกรเอง และผู้บริโภคได้อีกด้วย ซึ่งในอนาคตยังสามารถขยายศักยภาพไปสู่อุตสาหกรรมการเกษตร การแปรรูป และการส่งออก รวมทั้งให้ขยายการดําเนินโครงการฯ สู่พื้นที่อื่น ๆ ในรูปแบบการบูรณาการการทํางานเพื่อประโยชน์ต่อการร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป
ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีปลูกต้นรวงผึ้ง ต้นไม้ประจํารัชกาลที่ 10 และนั่งรถรางไฟฟ้าไปยังแปลงสาธิตโครงการ Green Army Green Farmer เพื่อประเทศชาติและประชาชน ตามแปลงสาธิตต่าง ๆ ของโครงการ โดยนายกรัฐมนตรีได้ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ประกอบด้วย ปรุงอาหารสุขภาพจากวัตถุดิบเกษตรปลอดภัยหว่านเมล็ดข้าวสายพันธุ์ กข 43 (สายพันธุ์ที่มีดัชนีน้ําตาลต่ํา เหมาะสําหรับผู้ป่วยเบาหวาน) ปล่อยปลาลงในร่องน้ํานาข้าว เป็นต้น เสร็จแล้วนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร
---------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดโครงการ Green Army Green Farmer เพื่อประเทศชาติและประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน 2561
นายกรัฐมนตรีเปิดโครงการ Green Army Green Farmer เพื่อประเทศชาติและประชาชน
นายกรัฐมนตรีเปิดโครงการ Green Army Green Farmer เพื่อประเทศชาติและประชาชน แนะเกษตรกรใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมตามแนวทาง THAILAND 4.0 เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต กระจายรายได้สู่ชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก
วันนี้ (7 พฤศจิกายน 2561) เวลา 14.30 น. ณ มณฑลทหารบกที่ 17 ตําบลลาดหญ้า อําเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดโครงการ Green Army Green Farmer เพื่อประเทศชาติและประชาชน ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือด้านเกษตรและอาหารปลอดภัย ซึ่งใช้พื้นที่ทหารเป็นฐานการผลิต เพื่อให้สอดรับกับนโยบายรัฐบาลในการส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ รวมถึงการพัฒนาเกษตรอินทรีย์และเกษตรกรรมยั่งยืน รวมทั้งเพื่อยกระดับสุขภาพ คุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชน ตลอดจนนําไปสู่การสร้างความเข้มแข็งของชุมชน การกระจายรายได้ และการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยมีเกษตรกรและประชาชนเข้าร่วมโครงการ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบเกียรติบัตรการรับรองแปลงเกษตรปลอดภัยแก่กลุ่มเกษตรกรที่ผ่านการตรวจรับรองคุณภาพกระบวนการผลิต จาก 8 จังหวัดภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันตก พร้อมมอบงบประมาณสนับสนุนการจัดหารถห้องเย็นจากจังหวัดกาญจนบุรี – บริษัทประชารัฐรักสามัคคี - วิสาหกิจเพื่อสังคมจังหวัดกาญจนบุรี – สํานักงานเกษตรจังหวัดกาญจนบุรี – สหกรณ์จังหวัดกาญจนบุรีแก่เกษตรกร
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวพบปะกับประชาชนที่มาเข้าร่วมโครงการและให้การต้อนรับตอนหนึ่งว่า วันนี้เดินทางลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีในหลายพื้นที่รู้สึกร้อนและเหนื่อย พอมาเห็นรอยยิ้มที่มีความสุขของประชาชน ทําให้หายเหนื่อย และรู้สึกดีใจ พร้อมกล่าวชื่นชมเกษตรกรที่ได้รับรางวัลแปลงเกษตรปลอดภัย โดยขอให้เกษตรกรใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมตามแนวทาง THAILAND 4.0 เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต และการกระจายรายได้สู่ชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก พร้อมกับให้หน่วยงานราชการส่งเสริมด้านสุขภาพ และคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่เกษตรกร ในการหันมา ลด ละ เลิก การใช้สารเคมีอันตราย รวมถึงการส่งเสริมให้ประชาชนผู้บริโภคได้มีโอกาสเข้าถึงผลผลิตเกษตรและอาหารที่มีความปลอดภัย มีการวางแผนการผลิต ยึดการตลาดนําการผลิต ผลิตสินค้าตามความต้องการของตลาด
สําหรับการตรวจวิเคราะห์รับรองคุณภาพความปลอดภัย นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้มหาวิทยาลัยมหิดลเข้ามาเป็นหน่วยงานหลักในการตรวจวิเคราะห์รับรองคุณภาพความปลอดภัย เพื่อช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ทั้งตัวเกษตรกรเอง และผู้บริโภคได้อีกด้วย ซึ่งในอนาคตยังสามารถขยายศักยภาพไปสู่อุตสาหกรรมการเกษตร การแปรรูป และการส่งออก รวมทั้งให้ขยายการดําเนินโครงการฯ สู่พื้นที่อื่น ๆ ในรูปแบบการบูรณาการการทํางานเพื่อประโยชน์ต่อการร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป
ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีปลูกต้นรวงผึ้ง ต้นไม้ประจํารัชกาลที่ 10 และนั่งรถรางไฟฟ้าไปยังแปลงสาธิตโครงการ Green Army Green Farmer เพื่อประเทศชาติและประชาชน ตามแปลงสาธิตต่าง ๆ ของโครงการ โดยนายกรัฐมนตรีได้ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ประกอบด้วย ปรุงอาหารสุขภาพจากวัตถุดิบเกษตรปลอดภัยหว่านเมล็ดข้าวสายพันธุ์ กข 43 (สายพันธุ์ที่มีดัชนีน้ําตาลต่ํา เหมาะสําหรับผู้ป่วยเบาหวาน) ปล่อยปลาลงในร่องน้ํานาข้าว เป็นต้น เสร็จแล้วนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร
---------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16624
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส.บรรยายพิเศษเรื่อง “การบูรณาการจัดการสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ”
|
วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม 2560
รมว.ทส.บรรยายพิเศษเรื่อง “การบูรณาการจัดการสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ”
พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติบรรยายพิเศษเรื่อง "การบูรณาการจัดการสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ” ในการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข ครั้งที่ 3/2560
วันนี้ (วันที่ 3 มีนาคม 2560) พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติบรรยายพิเศษเรื่อง "การบูรณาการจัดการสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ” ในการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข ครั้งที่ 3/2560 ณ กระทรวงสาธารณสุข
ทั้งนี้ ในการบรรยายพิเศษดังกล่าวฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้บรรยายแนวทางการบริหารจัดการ และกระบวนการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ในด้านต่างๆดังนี้
1) การใช้สารเคมี ในกิจกรรมต่างๆน้ําเสีย
2) แนวทางการแก้ไข/บําบัด ขยะมูลฝอยโดยเฉพาะปัญหาขยะติดเชื้อ
3) ปัญหาหมอกควัน ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส.บรรยายพิเศษเรื่อง “การบูรณาการจัดการสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ”
วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม 2560
รมว.ทส.บรรยายพิเศษเรื่อง “การบูรณาการจัดการสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ”
พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติบรรยายพิเศษเรื่อง "การบูรณาการจัดการสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ” ในการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข ครั้งที่ 3/2560
วันนี้ (วันที่ 3 มีนาคม 2560) พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติบรรยายพิเศษเรื่อง "การบูรณาการจัดการสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ” ในการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข ครั้งที่ 3/2560 ณ กระทรวงสาธารณสุข
ทั้งนี้ ในการบรรยายพิเศษดังกล่าวฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้บรรยายแนวทางการบริหารจัดการ และกระบวนการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ในด้านต่างๆดังนี้
1) การใช้สารเคมี ในกิจกรรมต่างๆน้ําเสีย
2) แนวทางการแก้ไข/บําบัด ขยะมูลฝอยโดยเฉพาะปัญหาขยะติดเชื้อ
3) ปัญหาหมอกควัน ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2190
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การท่าเรือแห่งประเทศไทยชี้แจงกรณีข่าวรถเมล์ NGV ของ ขสมก. ได้รับความเสียหายในบริเวณท่าเรือแหลมฉบัง
|
วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561
การท่าเรือแห่งประเทศไทยชี้แจงกรณีข่าวรถเมล์ NGV ของ ขสมก. ได้รับความเสียหายในบริเวณท่าเรือแหลมฉบัง
การท่าเรือแห่งประเทศไทยชี้แจงกรณีข่าวรถเมล์ NGV ของ ขสมก. ได้รับความเสียหายในบริเวณท่าเรือแหลมฉบัง
เรือตรี ทรงธรรม จันทประสิทธ์ รองผู้อํานวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย สายวิศวกรรม รักษาการแทนผู้อํานวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) กระทรวงคมนาคม ชี้แจงกรณีที่มีการเสนอข่าวเกี่ยวกับรถเมล์ NGV ของ ขสมก. ได้รับความเสียหายในบริเวณท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) ดังนี้
กระบวนการรับมอบ-ส่งมอบรถเมล์ NGV นั้น ได้ตรวจสอบแล้วมีกระบวนการดําเนินการ 3 ขั้นตอน และมีผู้รับผิดชอบแต่ละขั้นตอน ดังนี้
1. การส่งมอบระหว่างเรือสินค้ากับท่าเทียบเรือ ซี3 ทลฉ.นั้น ขอเรียนว่า รถเมล์ NGV ได้จอดอยู่บนพื้นโครงเหล็กซึ่งมีขนาดเท่ากับตู้คอนเทนเนอร์ 40 ฟุต โดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันในระหว่างการขนถ่าย จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายจากการกระทบกระแทกกันได้สูง ซึ่งเมื่อเรือสินค้าได้เข้าเทียบที่ท่าเทียบเรือ ซี3 พบว่า มีรถเมล์ NGV จํานวน 3 คัน มีความชํารุดเสียหายก่อนที่จะมาถึงท่าเทียบเรือ ซี3 โดยมีกระจกแตก ทะลุ ร้าว และได้มีการจัดทําบันทึกความเสียหาย ซึ่งผู้แทนของเรือสินค้าได้ลงนามรับทราบและรับรองความเสียหายดังกล่าวแล้ว ความเสียหายส่วนนี้ สายการเดินเรือเป็นผู้รับผิดชอบ
2. การรับฝากรถเมล์ NGV ในพื้นที่ท่าเทียบเรือ ซี3 ทลฉ. ได้ตรวจสอบแล้วพบว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ปิดและมีกล้อง CCTV บันทึกภาพไว้ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ของท่าเทียบเรือ ซี3 แวะเวียนมาตรวจสอบเป็นประจํา ซึ่งตรวจพบ รถเมล์ NGV มีความชํารุดเสียหายที่บริเวณกระจกอีกจํานวน 2 คัน ความเสียหายส่วนนี้ ท่าเทียบเรือ ซี3 เป็นผู้รับผิดชอบ
3. การส่งมอบรถเมล์ NGV ให้กับรถหัวลากที่ลําเลียงออกนอกพื้นที่ท่าเทียบเรือ ซี3 ทลฉ. นั้น ได้มีการตรวจสอบร่วมกันระหว่างท่าเทียบเรือ ซี3 และตัวแทนเจ้าของสินค้าและได้มีบันทึกการตรวจสอบร่วมกันแล้วพบว่ามีรถเมล์ NGV มีความเสียหายที่บริเวณกระจกรถ แต่หลังจากที่รถเมล์ NGV ได้ออกจากท่าเทียบเรือ ซี3 ไปแล้ว มีการตรวจพบโดยผู้ขนส่ง ว่ารถเมล์มีไฟเลี้ยวและไฟท้ายแตกเพิ่มเติมอีก 2 คัน ความเสียหายส่วนนี้ ผู้รับบรรทุกเป็นผู้รับผิดชอบ
การดําเนินการแก้ไขปัญหา
การท่าเรือฯ โดย ร.ต.ต. มนตรี ฤกษ์จําเนียร ผู้อํานวยการท่าเรือแหลมฉบัง ได้เข้าพื้นที่ท่าเทียบเรือ ซี3 เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2561 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. และได้มีการประชุมร่วมกับท่าเทียบเรือ ซี3 พร้อมทั้งเข้าตรวจสอบพื้นที่ร่วมกัน และจัดทํารายงานสรุปเหตุการณ์พร้อมให้ท่าเทียบเรือซี3 รวบรวมเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องเสนอท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อดําเนินการเกี่ยวกับความรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อไป
------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การท่าเรือแห่งประเทศไทยชี้แจงกรณีข่าวรถเมล์ NGV ของ ขสมก. ได้รับความเสียหายในบริเวณท่าเรือแหลมฉบัง
วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561
การท่าเรือแห่งประเทศไทยชี้แจงกรณีข่าวรถเมล์ NGV ของ ขสมก. ได้รับความเสียหายในบริเวณท่าเรือแหลมฉบัง
การท่าเรือแห่งประเทศไทยชี้แจงกรณีข่าวรถเมล์ NGV ของ ขสมก. ได้รับความเสียหายในบริเวณท่าเรือแหลมฉบัง
เรือตรี ทรงธรรม จันทประสิทธ์ รองผู้อํานวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย สายวิศวกรรม รักษาการแทนผู้อํานวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) กระทรวงคมนาคม ชี้แจงกรณีที่มีการเสนอข่าวเกี่ยวกับรถเมล์ NGV ของ ขสมก. ได้รับความเสียหายในบริเวณท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) ดังนี้
กระบวนการรับมอบ-ส่งมอบรถเมล์ NGV นั้น ได้ตรวจสอบแล้วมีกระบวนการดําเนินการ 3 ขั้นตอน และมีผู้รับผิดชอบแต่ละขั้นตอน ดังนี้
1. การส่งมอบระหว่างเรือสินค้ากับท่าเทียบเรือ ซี3 ทลฉ.นั้น ขอเรียนว่า รถเมล์ NGV ได้จอดอยู่บนพื้นโครงเหล็กซึ่งมีขนาดเท่ากับตู้คอนเทนเนอร์ 40 ฟุต โดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันในระหว่างการขนถ่าย จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายจากการกระทบกระแทกกันได้สูง ซึ่งเมื่อเรือสินค้าได้เข้าเทียบที่ท่าเทียบเรือ ซี3 พบว่า มีรถเมล์ NGV จํานวน 3 คัน มีความชํารุดเสียหายก่อนที่จะมาถึงท่าเทียบเรือ ซี3 โดยมีกระจกแตก ทะลุ ร้าว และได้มีการจัดทําบันทึกความเสียหาย ซึ่งผู้แทนของเรือสินค้าได้ลงนามรับทราบและรับรองความเสียหายดังกล่าวแล้ว ความเสียหายส่วนนี้ สายการเดินเรือเป็นผู้รับผิดชอบ
2. การรับฝากรถเมล์ NGV ในพื้นที่ท่าเทียบเรือ ซี3 ทลฉ. ได้ตรวจสอบแล้วพบว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ปิดและมีกล้อง CCTV บันทึกภาพไว้ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ของท่าเทียบเรือ ซี3 แวะเวียนมาตรวจสอบเป็นประจํา ซึ่งตรวจพบ รถเมล์ NGV มีความชํารุดเสียหายที่บริเวณกระจกอีกจํานวน 2 คัน ความเสียหายส่วนนี้ ท่าเทียบเรือ ซี3 เป็นผู้รับผิดชอบ
3. การส่งมอบรถเมล์ NGV ให้กับรถหัวลากที่ลําเลียงออกนอกพื้นที่ท่าเทียบเรือ ซี3 ทลฉ. นั้น ได้มีการตรวจสอบร่วมกันระหว่างท่าเทียบเรือ ซี3 และตัวแทนเจ้าของสินค้าและได้มีบันทึกการตรวจสอบร่วมกันแล้วพบว่ามีรถเมล์ NGV มีความเสียหายที่บริเวณกระจกรถ แต่หลังจากที่รถเมล์ NGV ได้ออกจากท่าเทียบเรือ ซี3 ไปแล้ว มีการตรวจพบโดยผู้ขนส่ง ว่ารถเมล์มีไฟเลี้ยวและไฟท้ายแตกเพิ่มเติมอีก 2 คัน ความเสียหายส่วนนี้ ผู้รับบรรทุกเป็นผู้รับผิดชอบ
การดําเนินการแก้ไขปัญหา
การท่าเรือฯ โดย ร.ต.ต. มนตรี ฤกษ์จําเนียร ผู้อํานวยการท่าเรือแหลมฉบัง ได้เข้าพื้นที่ท่าเทียบเรือ ซี3 เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2561 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. และได้มีการประชุมร่วมกับท่าเทียบเรือ ซี3 พร้อมทั้งเข้าตรวจสอบพื้นที่ร่วมกัน และจัดทํารายงานสรุปเหตุการณ์พร้อมให้ท่าเทียบเรือซี3 รวบรวมเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องเสนอท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อดําเนินการเกี่ยวกับความรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อไป
------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10351
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านกลไกไทยนิยม ยั่งยืน
|
วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2561
ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านกลไกไทยนิยม ยั่งยืน
โดยเปิดลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม ภายใต้โครงการไทยนิยมยั่งยืน
วันที่ 7 มิ.ย. 2561
ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านกลไกไทยนิยม ยั่งยืน
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเดินหน้าช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยอย่างทั่วถึง โดยเปิดลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม ภายใต้โครงการไทยนิยมยั่งยืน โดยเน้นผู้มีรายได้น้อยที่เป็นผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง และผู้ที่ไม่สามารถเดินทางไปลงทะเบียนได้ในรอบปี 2560 ทั้งนี้ ทีมผู้ดูแลบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไทยนิยมยั่งยืน ซึ่งเป็นกลไกในระดับพื้นที่จะไปเก็บข้อมูลผู้มีรายได้น้อยที่มีคุณสมบัติเดียวกับเมื่อปี 2560 ถึงที่อยู่อาศัยให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคมนี้ หลังจากนั้นผู้มีรายได้น้อยจะสามารถตรวจสอบสิทธิของตนเองได้จากทีมงานไทยนิยม ในพื้นที่ รวมทั้งที่ทําการกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน และเว็บไซต์ www.epayment.go.th โดยคาดว่าผู้มีรายได้น้อยจะได้รับบัตรและเริ่มใช้ได้ราวเดือนตุลาคม 2561 เป็นต้นไป
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านกลไกไทยนิยม ยั่งยืน
วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2561
ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านกลไกไทยนิยม ยั่งยืน
โดยเปิดลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม ภายใต้โครงการไทยนิยมยั่งยืน
วันที่ 7 มิ.ย. 2561
ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านกลไกไทยนิยม ยั่งยืน
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเดินหน้าช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยอย่างทั่วถึง โดยเปิดลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม ภายใต้โครงการไทยนิยมยั่งยืน โดยเน้นผู้มีรายได้น้อยที่เป็นผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง และผู้ที่ไม่สามารถเดินทางไปลงทะเบียนได้ในรอบปี 2560 ทั้งนี้ ทีมผู้ดูแลบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไทยนิยมยั่งยืน ซึ่งเป็นกลไกในระดับพื้นที่จะไปเก็บข้อมูลผู้มีรายได้น้อยที่มีคุณสมบัติเดียวกับเมื่อปี 2560 ถึงที่อยู่อาศัยให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคมนี้ หลังจากนั้นผู้มีรายได้น้อยจะสามารถตรวจสอบสิทธิของตนเองได้จากทีมงานไทยนิยม ในพื้นที่ รวมทั้งที่ทําการกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน และเว็บไซต์ www.epayment.go.th โดยคาดว่าผู้มีรายได้น้อยจะได้รับบัตรและเริ่มใช้ได้ราวเดือนตุลาคม 2561 เป็นต้นไป
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13010
|
รายการ คืนความสุขให้คนในชาติ
|
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
กล่าวในรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ”
ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2558 เวลา 08.00 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
กิจกรรม "ปั่นเพื่อพ่อ BIKE FOR DAD” ตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสร็จสิ้นไปด้วยความเรียบร้อย อย่างน่าประทับใจ ในการที่ร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ของชาติไทยอีกครั้งหนึ่ง เป้าหมายสําคัญก็คือ "การรวมพลังแห่งความกตัญญูแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และร่วมใจสามัคคีของคนในชาติ” ทั้งนี้ "ความสามัคคีเป็นกําลังอย่างสูงสุดของหมู่ชน” ให้สมดังพระราชดํารัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานแด่พสกนิกรชาวไทย เมื่อ 50 กว่าปีที่ผ่านมา มีใจความว่า "...ประเทศไหน ถ้าประชาชนพลเมือง มีความสามัคคีกลมเกลียว กันดี มีระเบียบวินัย ประเทศนั้นก็เจริญและอยู่ในฐานะดี จึงเห็นได้ว่าความสามัคคีกลมเกลียวกันนั้น ระหว่างคนในชาติ และความเข้าใจรักษาระเบียบวินัย เป็นปัจจัยสําคัญอันหนึ่ง ที่จะช่วยนําประเทศชาติสู่ความวัฒนาถาวร...”
ในการนี้ ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน ทั้งผู้ที่เข้าร่วมในกิจกรรมปั่นเพื่อพ่อ และผู้เฝ้ารอรับเสด็จฯ อยู่ 2 ข้างทาง อย่างเนื่องแน่น ผู้ให้กําลังใจอยู่ที่บ้าน และทุกๆ คนด้วย ที่ล้วนมีส่วนร่วมในความสําเร็จ เป็นเจ้าภาพร่วมกัน รวมทั้ง เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ทุกภาคส่วน ทั้งภาคธุรกิจเอกชนด้วย ที่อยู่เบื้องหลัง ทําให้กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติครั้งนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยในทุกขั้นตอน ทุกพื้นที่ ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีสู่ศักราชใหม่ แสดงความพร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ในศกหน้า และการก้าวไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ด้วยความ "รู้ รัก สามัคคี” ของคนในชาติ
สําหรับการเตรียมตัว เตรียมประเทศ ให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง การพัฒนาไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่เรียกว่า AEC นั้น กําลังจะเริ่มในปีใหม่ที่จะมาถึงนี้ รัฐบาลมีการดําเนินการอย่างบูรณาการ และประสานสอดคล้องตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง เพื่อการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อาทิ
1. การผลักดันการส่งออก ในปี 2559 ได้มีการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ (พกค.) ประกอบด้วย 9 กระทรวงที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในส่วนของเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ประธานสมาคมธนาคารไทย ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ร่วมมือกันในการที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาคธุรกิจร่วมกับรัฐด้วย ในปัจจุบันมีการประชุมร่วมกันไปเรียบร้อยแล้ว ได้มีการร่วมกันพิจารณากําหนด 7 ยุทธศาสตร์สําคัญ คือ (1) การเปิดประตูการค้าและขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย - แปซิฟิก หรือ TPP ซึ่งจะต้องมีการพิจารณากันอย่างละเอียดรอบคอบ RCEP อันนี้เราก็ต้องรวมถึงการขยายประโยชน์ของ FTA ที่มีอยู่ ต้องมีเร่งการเจรจา RCEP ให้ได้โดยเร็ว แล้วก็การพิจารณาเปิดเจรจาจัดทํา FTA ใหม่ (2) การเร่งรัดขยายตลาดส่งออกเชิงรุก โดยใช้ความต้องการตลาดเป็นตัวนําการผลิต หรือกําหนดสินค้า บริการที่จะผลักดันการส่งออก และมีการกําหนดกลยุทธ์เชิงลึก ลงถึงในระดับเมือง มุ่งเน้นการเจาะตลาดใหม่ๆ เจาะกลุ่มตลาดเฉพาะ และช่องทางการค้าออนไลน์ (3) การส่งเสริมการค้าชายแดน ทั้งนี้ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน (4) การส่งเสริมผู้ประกอบการไทย ไปดําเนินธุรกิจและลงทุนในต่างประเทศ (5) การปรับโครงสร้างการค้าสู่การค้าการบริการ เพื่อเป็นจักรกลใหม่ในการขับเคลื่อนการค้า โดยมีธุรกิจบริการที่ให้ความสําคัญ 6 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ ธุรกิจบันเทิงและคอนเทนต์ ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจการศึกษา ธุรกิจบริการเกี่ยวกับการต้อนรับ และธุรกิจบริการวิชาชีพ ก็ขอให้มีการกําหนดมาตรฐานที่ดีเพียงพอในการมีงาน มีอาชีพ มีรายได้สูงขึ้น และทํางานได้จริงๆ (6) การเพิ่มบทบาทของ SMEs ในการผลักดันการค้าและสร้างนักรบเศรษฐกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม คือต้องสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา แล้วก็ผูกพันเชื่อมโยงไปกับท้องถิ่นเขาด้วย ภาคการผลิต (7) การสร้างมูลค่าเพิ่มในภาคอุตสาหกรรมการส่งออก ทั้งนี้เราก็จะยกระดับผู้ประกอบการส่งออกจากเดิมที่เป็นเพียงผู้รับจ้างผลิต ไปสู่ผู้ประกอบการที่มีการออกแบบ หรือผู้ประกอบการที่มี แบรนด์เป็นของตนเอง มีหลายอย่างมีศักยภาพ รัฐบาลก็จะเอาจริงเอาจังกับเรื่องเหล่านี้
2. การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนในช่วง 7 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 - 2564 มุ่งสู่แนวทางจัดตั้ง คลัสเตอร์ ซุปเปอร์คลัสเตอร์ โดย (1) กําหนดการจัดตั้งซุปเปอร์คลัสเตอร์ ใน 9 จังหวัด ซึ่งรัฐบาลได้แก้ไขกฎระเบียบและปรับปรุงกฎหมาย ให้มีความเป็นสากล จํานวน 367 ฉบับ ทั้งเรื่องกฎหมายอํานวยความสะดวก การค้าการลงทุน สิทธิมนุษยชน และกฎหมายที่ประชาชนได้ประโยชน์ทั้งสิ้น บางอย่างก็ยังอยู่ในขั้นตอนพิจารณาของคณะกรรมาธิการ ผมก็รับฟังข้อขัดแย้ง หรือความเห็นของทุกภาคส่วน ก็ไปพิจารณาเพิ่มเติมกันในสามวาระของ สนช. ก็แล้วกัน ก็อย่าเพิ่งเข้าใจว่าทุกอย่างประกาศไปแล้ว ความขัดแย้งสูง ผมไม่อยากให้พี่น้องลําบาก เหน็ดเหนื่อย ต้องมาประท้วงในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องสําคัญ เพราะยังไม่เดินหน้าไปถึงไหนเลย เพียงแค่มาพิจารณา ครม. ก็ส่งกลับไปให้ ทําให้ครบ เอาข้อพิจารณา ข้อสังเกตของท่านทั้งหลายใส่เข้าไปด้วย คราวนี้จะทําได้อย่างไร ก็ต้องไปทําในเพิ่มเติมในหลักการและเหตุผลให้กว้างขึ้น เพื่อจะได้ไปถกแถลงในประเด็นที่ท่านเสนอมาได้ ไม่อย่างนั้นจะตีกรอบ ก็จะกลายเป็นว่ารัฐเป็นคนกําหนดทั้งสิ้น แต่ต้องช่วยกัน ต้องแบ่งเบากันบ้างว่าอะไรจะได้ อะไรจะเสีย รัฐบาลผมมีนโยบายว่าคนที่ได้ประโยชน์ต้องเป็นประชาชน รัฐบาลก็ต้องทําหน้าที่ให้ดีที่สุด แต่ทั้งนี้ก็ต้องไม่ไปละเมิดพันธสัญญาของคนอื่นเขาด้วย กับต่างชาติที่เราต้องมีการค้าการลงทุนร่วมกัน
(2) เรื่องของการเพิ่มสิทธิประโยชน์ อันนี้เป็นเรื่องสําคัญ เพื่อจะสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นในประเทศไทย เราจําเป็น เพราะต้องเป็นอาชีพเสริมสําหรับภาคการเกษตรด้วย ซึ่งนับวันจะมีปัญหามากขึ้น ถ้าเรามีอุตสาหกรรมบ้าง ที่เป็นอุตสาหกรรมสีเขียว ก็จะช่วยให้พี่น้องมีรายได้ เลี้ยงดูครอบครัว เลี้ยงดูพ่อแม่ แล้วพัฒนาไปสู่การเป็นผู้ประกอบการ ด้วยการรวมกลุ่ม โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตร เราก็ต้องปรับปรุง เกี่ยวกับเรื่องของสหกรณ์ การเกษตรทั้งหมด ที่มีหลายประเภทด้วยกัน ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น วันนี้ได้สั่งการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปดําเนินการแล้ว ในส่วนของการลงทุนปัจจุบันนั้น ก็เร่งรัดการลงทุนที่เป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เพื่อเป็นการยกระดับพื้นที่ที่มีศักยภาพให้เป็นฐานการผลิต ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 ประเภท ด้วยกัน อาทิ ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การแปรรูปอาหาร หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม การแพทย์ครบวงจร การขนส่งและการบิน เชื้อเพลิงและเคมีชีวภาพ และดิจิตอล ทั้งนี้ เราจะเน้นการพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพ ส่งเสริมด้านนวัตกรรม เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า และเน้นการนําวัตถุดิบในแต่ละพื้นที่มาแปรรูป สร้างความเชื่อมโยง SMEs กับการประกอบการในระดับกลาง ระดับใหญ่ ให้เชื่อมโยงกันให้ได้ เพื่อจะเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนระดับล่าง
(3) การเตรียมความพร้อมให้การสนับสนุน ส่งเสริม และแก้ไขปัญหาอุปสรรค ทั้งเรื่องปัญหาที่ดิน วันนี้ก็ต้องแก้ไขกันมากมายไปหมด ทั้งที่ดินบุกรุก ที่ดินราชพัสดุ ที่ดินอะไรต่างๆ คือจนทุกคนเคยชินไปแล้ว จนไม่รู้ว่ากฎหมายอยู่ตรงไหน วันนี้เอากฎหมายมาว่ากันก่อน เราจะดูแลให้ตามสมควรที่ไม่ผิด ไม่ทําให้คนอื่นเกิดความเหลื่อมล้ํา อะไรทํานองนี้ ในเรื่องของการปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เราก็ต้องเร่งในเรื่องของการให้การบริการ One Stop Service ว่าข้อมูลต่างๆ จะทําอย่างไร จะไปที่ไหนบ้าง ก็มาที่เดียว One Stop Service วันนี้ก็มีที่กรุงเทพฯ แล้วก็มีที่จังหวัดที่เตรียมการเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษแล้ว หลายจังหวัดด้วยกัน ก็ติดตามเอาแล้วกัน
(4) การจัดทําระบบบัญชีเดียว เพื่อรองรับข้อมูลผู้ประกอบการให้ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง เพื่อจะขอรับการส่งเสริมการลงทุนต่อไป ปีนี้รัฐบาลได้อนุมัติไปแล้ว จํานวนเกือบ 2 พันโครงการ มีมูลค่าการลงทุน ประมาณ 7 แสนล้านบาท ซึ่งก็จะเป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในหลายมิติ ทั้งการเพิ่มรายได้จากการส่งออกกว่า 1 ล้านล้านบาท เพิ่มการใช้วัสดุในประเทศราว 8 แสนล้านบาท ก่อให้เกิดการลงทุนใน 20 จังหวัด และช่วยเพิ่มรายได้ต่อหัวของประชากรในพื้นที่ผ่านโครงการต่างๆ คิดเป็นมูลค่า กว่า 4 หมื่น 4 พันล้านบาท ถ้าไม่ทําแบบนี้ไปไม่ได้ ฝากไว้กับเกษตรกร แล้วก็ผลิตผลทางการเกษตรอย่างเดียวไปไม่ได้แน่นอน ต้องสร้างความเจริญไปสู่ภูมิภาค ท้องถิ่น ทั้งภาคการเกษตร เกษตรแปรรูป อุตสาหกรรมแนวใหม่ทั้งหมดในทุกพื้นที่ ก็ขอร้องว่า ขอให้สนับสนุนรัฐบาลด้วย ในโครงการที่ดีๆ ท่านมีปัญหาก็พูดคุยกัน ด้วยวิถีทางที่ถูกต้อง เข้าช่องทางที่ถูกต้องแล้วกัน
(5) การเชิญชวนนักลงทุนต่างชาติให้มาลงทุนในไทย รวมทั้งส่งเสริมการลงทุนในลักษณะ "ไทย กลุ่มประเทศอาเซียน” ก็เหมือนไทยบวก 1 ไปประเทศโน้น ประเทศนี้ หรือประเทศเพื่อนบ้านมาประเทศไทย ก็เป็นอาเซียน บวกหนึ่ง เช่นเดียวกัน
(6) การเดินหน้าการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน จํานวน 10 พื้นที่ ปี 2558 จํานวน 6 พื้นที่ และปี 2559 จะเพิ่มอีก 4 พื้นที่ รวมทั้งพื้นที่ที่มีศักยภาพด้วย เป็นการจัดตั้งซุปเปอร์คลัสเตอร์ อะไรก็แล้วแต่ อันนั้นก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งเหมือนกัน อาจจะเกิดทั้งในเขตเศรษฐกิจพิเศษก็ได้ หรือนอกเขตก็ได้ ตรงที่มีศักยภาพก็แล้วกัน วันนี้ต้องเป็นความร่วมมือกันระหว่างของภาครัฐ ภาคเอกชนที่เขาตั้งใจจะลงทุน เพราะบางครั้งมีปัญหามากมายหลายอย่าง พวกสาธารณูปโภคพื้นฐาน ไฟฟ้า ประปา ถนน ก็มีปัญหาหมด เพราะฉะนั้นก็ขอร้องพวกเราด้วยกันว่าเวลาลงทุนมาแล้ว พวกที่มีพื้นที่ต่างๆ ก็อย่าขายจนแพงเกินความเป็นจริงมากเกินไป ขึ้นเป็น 100 เท่า อย่างนี้ก็ไม่ไหว การลงทุนก็ไม่เกิดขึ้น ถ้าเราทําทุกอย่างได้ตามแผนงานของรัฐบาลในระยะเวลาอันสั้นนี้ จะเป็นการเริ่มต้น และส่งผลต่ออนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจ้างงานในพื้นที่ การสร้างชนเมืองในชนบท การเพิ่มการค้าการลงทุนตามแนวชายแดน การค้าขายชายแดน แล้วก็มีการใช้วัตถุดิบทั้งในและต่างประเทศร่วมกัน เราจะได้แก้ปัญหาเรื่องยาง เรื่องข้าวให้ได้ครบวงจร ใช้ในประเทศให้มากขึ้น 30% อย่างที่ตั้งใจไว้ ก็ต้องมีโรงงานเกี่ยวกับเรื่องยาง แล้วก็ทํานอกจากเป็นยางรถยนต์แล้ว ก็ยังเป็นเรื่องของยางปูพื้น ปูสนามกีฬา ถุงมือ เดิมเราทํามากอยู่แล้ว ต่อไปก็เป็นเรื่องวัสดุอื่นๆ ใช้ในการประกอบกัน เป็นผนังห้องน้ําสําหรับคนเจ็บคนป่วย หรือทําเกี่ยวกับเรื่องเฟอร์นิเจอร์ เกี่ยวกับเรื่องเครื่องนอน เรามีฝีมือทั้งสิ้น วัตถุดิบก็มีจํานวนมาก ก็ต้องเพิ่มทักษะเข้ามา เพิ่มโรงงานเข้ามาแล้วก็เรียนรู้เรื่องเทคโนโลยี การประกอบต่างๆ ให้เป็นนวัตกรรมที่แข่งขันกับคนอื่นเขาได้ ต้องมีความแตกต่าง ถึงแม้ว่าเราจะมีค่าแรงที่สูงพอสมควร แต่เราก็ต้องไปลดตรงอื่นให้ได้ ต้นทุนการผลิตจะลดยังไง ก็เอาของในประเทศมา รัฐบาลก็จะดูแลตรงนี้ด้วย เพื่อจะรองรับการประกอบการ ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด เรากําลังทําอยู่ทั้งหมด เรื่องแรงงานที่มีฝีมือเราขาด จํานวนมากวันนี้เร่งรัดไปแล้ว ทั้งเร่งด่วน ระยะสั้น ระยะยาว เร่งด่วนก็ต่อยอดเอา จบไปแล้ว ถ้าระยะสั้นก็ปี 4 ที่กําลังจะจบเอามาอบรมในสาขาที่ต้องการ ถ้าระยะยาว ก็ ปี 1 ถึง ปี 4 ในรุ่นต่อไป ก็ต้องเตรียมการให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ
3. การเตรียมแรงงานที่มีฝีมือ มีปัญหามากในภาคอุตสาหกรรม ขาดแคลน ไม่เพียงพอ ทั้งนักวิจัย นักพัฒนา หัวหน้างาน ผู้จัดการต่างๆ เหล่านี้ ทั้งภาคอุตสาหกรรม และภาคการบริการ ท่องเที่ยว ทั้งหมด ยังขาดอยู่จํานวนมาก เทคนิคเชี่ยนอีก เรื่องเกี่ยวกับเรือ รถไฟ รถไฟฟ้า การขนส่ง ทางบก ทางเรือ ทางอากาศ ช่างซ่อมเครื่องบิน สิ่งเหล่านี่เป็นเรื่องที่เรากําลังขาดอยู่ทั้งสิ้น ก็ได้เร่งรัดไปแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วเราผลิตแรงงานไม่เพียงพอก็ไม่ตอบสนองต่อการขยายตัวของเราไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC นั่นเอง เรื่องนี้กระทรวงแรงงานได้บูรณาการ ในการจัดทําข้อมูลแรงงาน ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงศึกษาธิการ ที่เป็น "ผู้ใช้ – ผู้ผลิตแรงงานที่มีฝีมือ” ก็ต้องสอบถามจากผู้ประกอบการไทยด้วย เพราะขาดทั้งต่างประเทศมาลงทุน ทั้งในประเทศที่ขาด ก็มี 2 อย่าง แรงงานที่มีฝีมือ ซึ่งเราต้องผลิตมากขึ้น ต่อยอดอะไรก็แล้วแต่ กับอีกอันคือแรงงานไม่ต้องมีฝีมือ ใช้แรงงานอย่างเดียวนี่ก็ต้องเป็นเรื่องของความร่วมมือระหว่างประเทศ ในการใช้แรงงานต่างด้าว ก็ต้องควบคุมกันให้ได้ ทุกคนก็เป็นมนุษย์ทั้งนั้น เราก็ต้องดูแลเขาให้ดีที่สุด อย่าไปเอาเปรียบเขา การค้ามนุษย์เป็นสิ่งที่ร้ายแรง วันนี้มีโทษทัณฑ์มากมาย ทั้งผู้ทํา ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เจ้าหน้าที่ มีโทษทุกอย่าง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของรัฐ วันนี้ผมก็กําชับไปแล้ว ไม่ว่าจะในเรื่องของการทําความผิด เรื่องของประมง เรื่องของค้ามนุษย์ จะต้องลงโทษอย่างเด็ดขาด แล้วก็จะต้อมีการจัดทําข้อมูลเชิงสถิติตัวเลขของความต้องการแรงงาน ว่าเป็นอย่างไร เท่าไร ประเภทใดบ้าง และในระดับการศึกษาใด ความรู้ความชํานาญที่ต้องฝึกเพิ่มเติมให้เขามีอะไรบ้าง หลายสาขามีความต้องการทั้งหมด ต้องมีรายละเอียดเหล่านี้ทั้งหมด ปัญหาเราก็คือการจัดทําข้อมูลทั้งหมด ไม่ว่าจะเรื่องประชาชน เรื่องอาชีพ เรื่องรายได้ ผมก็เน้นว่า ปี 2560 นี้ น่าจะทําให้สําเร็จ บัตรประชาชนที่มีระบุอาชีพ รายได้ ไม่ต้องอาย มีรายได้น้อยรายได้มากก็คนไทยทั้งสิ้น ผมต้องการให้แยกแยะให้ได้ว่ารัฐบาลจะได้ใช้งบประมาณอย่างไรให้เหมาะสม เพราะเรารายได้ยังน้อยอยู่ แต่ถ้าหากว่าเศรษฐกิจดีขึ้นมากๆ วันหน้าก็ดีขึ้นเอง ทุกคนก็คงจะลืมตาอ้าปากกันได้ หมดหนี้หมดสินกันเสียที แต่ถ้าไม่เริ่มแบบผมทําวันนี้ไปไม่ได้แน่นอน ก็จะจนไปเรื่อยๆ เป็นหนี้ไปเรื่อยๆ อยากจะขอร้อง ขอความร่วมมือด้วยแล้วกัน
เรื่องของแรงงานก็ยังไม่จบ ต้องมีการจัดทําข้อมูลแรงงานพื้นฐานในระบบ เช่น Smart Job Center เพื่อให้ผู้ประกอบการ สถานประกอบการ และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ใช้ในการบริหารงานร่วมกันเรียกว่าบูรณาการ สําหรับผู้ต้องการแรงงงาน จากตัวแรงงานเอง จะต้องเจอกัน ไม่อย่างนั้นบริษัทต่างๆ บางที บางบริษัทก็มีประสิทธิภาพ บางบริษัทก็ซื่อตรง ซื่อสัตย์ บางบริษัทก็ไม่ค่อยซื่อสัตย์ ทําให้เกิดปัญหาในเรื่องของแรงงานในอนาคตต่อไปด้วย
"โครงการเพิ่มผลิตภาพแรงงานไทย” รัฐบาลก็ช่วยเหลือ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขัน มีนวัตกรรม มีความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน อาทิ เช่นการพัฒนาแรงงานมีทักษะฝีมือสูงขึ้น เป็น Multi Skill สามารถทํางานได้มากขึ้น ในเวลาเท่าเดิม แล้วก็เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดการสูญเสียในการผลิต ขณะเดียวกันสามารถลดการสูญเสียในวงจรการผลิตด้วย ลดต้นทุนการผลิตได้จริง โดยจะนําร่อง SMEs และสถานประกอบกิจการ จํานวน 260 แห่ง ใน 20 กลุ่มธุรกิจ อาทิ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม สิ่งทอและแฟชั่น เฟอร์นิเจอร์และผลิตภัณฑ์จากไม้ หัตถกรรม อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น มีการจัดตั้ง "ศูนย์บริการให้คําปรึกษาเพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงาน” (ศปพ.) ภายในสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาค และศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้คําปรึกษาแก่สถานประกอบกิจการต่างๆ ในการดําเนินงานไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงขบวนการผลิตหรือขั้นตอนการทํางาน รวมถึงการบริหารจัดการระบบโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน จะสามารถช่วยลดการสูญเสียในวงจรการผลิตได้ ทั้งนี้ สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไปนั้น กฎหมายกําหนดไว้แล้วว่าต้องฝึกอบรมลูกจ้าง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของจํานวนลูกจ้างทั้งหมดทุกปี โดยสามารถนําค่าใช้จ่ายในการพัฒนาฝีมือแรงงานไปลดหย่อนภาษีได้ ร้อยละ 200 ก็ขอให้ช่วยด้วย
ทั้งนี้ การเตรียมความพร้อมทางด้านบุคคลากรในด้านต่างๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม ช่างเทคนิค ช่างฝีมือ บุคคลากรทางการแพทย์ การศึกษา รวมทั้งข้าราชการรุ่นใหม่ คงต้องไม่ใช่เฉพาะการเพิ่มจํานวนเท่านั้น ต้องสามารถให้การบริการ ปฏิบัติงานในหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ มีความเป็นสากล ได้รับการยอมรับ มีความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับอาเซียนและประชาคมอาเซียน รวมทั้งประเทศสมาชิก ตลอดจนบุคลากรต้องสามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย ต้องมีทักษะทั่วไปด้านภาษา ภาษาอังกฤษ และภาษาอื่นๆ ด้วย ที่จําเป็นในการฟัง การพูด การอ่าน การเขียนเท่าที่ทําได้ในระยะแรก ต่อไปก็คงจะพัฒนาเก่งขึ้นในอนาคต เพื่อจะเป็นหัวหน้างานต่อไปอย่างไร ในการการประชุมต่างๆ เหล่านั้น ถ้าหากว่าเรามีการรู้ภาษาอังกฤษมากขึ้น จะเข้าใจมากขึ้น ว่าเขาประชุมกันเรื่องอะไร เขาเจรจากันเรื่องอะไรกันอยู่ ระดับที่ต้องพัฒนาไปสู่ตรงกลาง กับตรง Top ของกิจการแต่ละกิจการ ท่านต้องมีการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง พวกแรงงานข้างล่างก็ต้องรู้เหมือนกัน เพราะท่านก็ต้องมีเพื่อนร่วมงานมีนายจ้างเป็นชาวต่างประเทศด้วย รู้ไม่ต้องมาก นิดๆ หน่อยๆ ทักทายได้ อะไรได้ พูดคุยกันได้พอสมควร ในส่วนของทักษะเฉพาะภาษาประเทศเพื่อนบ้านผมก็เห็นมีการฝึกมีการเรียนรู้มากมายตามทีวี โทรทัศน์ทุกช่อง แต่ผมก็ไม่ทราบว่าผลสัมฤทธิ์เกิดขึ้นเท่าไร วันนี้สอนเรื่องนี้ เรื่องนั้น แต่ไม่รู้ว่าวัดผลได้อย่างไร ว่าภาษาอังกฤษได้ถึงไหน ผมอยากให้แยกแยะอย่างนี้ได้ไหม ว่าเป็นภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐาน 1 อัน พื้นฐาน คือ คนทั่วไปต้องเรียนรู้จากง่ายๆ อันที่สองภาษาอังกฤษเพื่อธุรกิจ ใช่ไหม อุตสาหกรรมอะไรก็แล้วแต่ อันที่สามก็ภาษาอังกฤษสําหรับข้าราชการ อันที่สี่ก็เป็นภาษาอังกฤษสําหรับการท่องเที่ยว เพื่อจะเป็นเจ้าภาพ เจ้าบ้านที่ดี เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว มีความยากง่ายแตกต่างกัน และสุดท้ายก็เป็นเรื่องของ การศึกษาตามสถานศึกษาซึ่งมีหลักสูตรของเขาอยู่แล้ว วันนี้ต้องสอนให้คนฟังได้ก่อน ฟังเข้าใจให้ได้มากที่สุด กําลังเตรียมการเรื่องการเป็น HUB ด้วย เราก็ต้องการเป็น HUB รักษาพยาบาล ผมก็แนะนําให้กระทรวงศึกษาธิการไปปรับในเรื่องนี้แล้ว ว่าปัญหาในเรื่องของการขาดแคลนแพทย์ส่วนกลางมีไหม ปัญหาการขาดแคลนแพทย์ชนบทมีไหม แล้วก็การขาดแคลนในการที่จะเป็น HUB เรื่องการรักษาพยาบาล จะต้องสร้างความเชื่อมันโดยมีแพทย์ต่างประเทศมาเป็นที่ปรึกษาอะไรต่างๆ ด้วยไหม ให้ไปแล้ว เพราะฉะนั้นไปดูในแผนการผลิตในปี 2559 นี้ให้ได้แล้วกัน ถึง 2560 ไม่อย่างนั้นก็เป็นอยู่เหมือนเดิม ขาดแพทย์ชนบท ทําไมไม่ไปเปิดหลักสูตรส่วนหนึ่ง มีสัดส่วน อันนี้มาจากต่างจังหวัด ภูมิภาคโน้น ภาคนี้ ในจังหวัด โรงพยาบาลจังหวัด ให้จังหวัดนั้นเขาส่งคนมาเรียนแพทย์ กลับไปก็ต้องไปอยู่จังหวัดโน้นไม่ต้องมีย้ายไปไหนทั้งสิ้น เขาก็โตที่โน่น จะได้สร้างชุมชนเมือง การศึกษาก็มีโรงเรียน มีมหาวิทยาลัยในภูมิภาคไป สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องวางอนาคตทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นจะเกิดอะไรไม่ได้
ปัญหาสําคัญของบ้านเราในเวลานี้ สิ่งที่ผมเป็นกังวลอยู่หลายเรื่องด้วยกัน 1) เรื่องแรก คือ การไม่เคารพกฎหมาย ทําให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายไม่ได้ กฎหมายก็จะคลายความศักดิ์สิทธิ์ลง ไม่ใช่ว่ากฎหมายเหล่านี้จะทําเพื่อละเมิดสิทธิ์มนุษยชน ผมต้องถามว่าแล้วท่านละเมิดสิทธิมนุษยชนคนอื่นเขาหรือไม่ ประเด็นอย่าพูดข้างเดียว ไม่ได้ วันนี้กําลังปฏิรูปอยู่ คนอื่นเขาเดือดร้อนหรือเปล่า สิ่งกังวลต่อไป คือ ถ้าเขาละเมิดกฎหมายเหล่นี้ เดือดร้อนคนอื่น ต้องมีคนไม่ชอบ อันตรายก็จะเกิดขึ้น ก็จะเกิดการตีกัน ทะเลาะกัน ก็ไม่พ้นรัฐบาลต้องไปแก้ปัญหา เจ้าหน้าที่ก็เดือดร้อน ขอร้องเถิดครับไม่ว่าจะกลุ่มไหนก็ตาม อย่าฝ่าฝืนกฎหมายกันเลย กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ แล้วจะอยู่กันอย่างไร ถ้าไม่มีกฎหมาย ก็เหมือนเดิม 2) เรื่องที่สองก็คือไม่เชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรม ความไว้เนื้อเชื่อใจไม่เกิดขึ้น เพราะว่าอะไร เพราะไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจในขบวนยุติธรรมว่าต้องเริ่มตรงไหน ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็กลัวอย่างเดียว กลัวตํารวจจับ ก็ต้องมีเหตุมีผล ทําไมเขาถึงจับ ทําไมถึงมีการเรียกร้องผลประโยชน์ สมยอมหรือเปล่า การที่จะไปว่ากล่าวให้ร้ายใครก็ต้องมีการร้องทุกข์ กล่าวโทษใช่ไหม แล้วก็มีโอกาสในการพิสูจน์ทราบด้วยกระบวนการยุติธรรมทางกฎหมาย วันนี้ยุ่งไปหมดเลย เรื่องเหล่านี้ ผมพยายามทําทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎหมายแล้ว วันนี้ก็จะเห็นได้ว่ามีความยุติธรรมหมดทุกอัน คือต้องเป็นธรรม ให้โอกาสทุกคน ก็ให้ทําความเข้าใจด้วย 3) เรื่องต่อไปผมคิดว่าจําเป็น ต้องให้คนไทยนี่ทราบขั้นตอนของการทํางานของภาครัฐบ้าง ไม่อย่างนั้นก็จะล้มล้างกันไปทุกอันไปเลย ทําอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง พัฒนาก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้หมด บริหารอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง นี่ เพราะไม่ทราบขั้นตอนว่าตัวเองจะเข้ามามีส่วนร่วมตรงไหน เรามี พรบ. ข้อมูลข่าวสารให้แล้ว ในนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะต้องมาเริ่มตั้งแต่ต้น ถ้าเริ่มต้นไปไม่ได้ ฝ่ายรัฐต้องเป็นคนมาเริ่มต้นก่อนโดยความต้องการของคนในพื้นที่ หรือตามแผนงานระยะยาว ยุทธศาสตร์อะไรก็แล้วแต่ แล้วไปทําประชาวิจารณ์ ไปทําการประชุมสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ว่าโอเคไหม ถ้าโอเค ถึงจะเดินหน้าต่อไปได้ นั่นแหละเขาเรียกว่าความร่วมมือ จะทําไม่ทําอยู่ตรงโน้น แต่ถ้าเริ่มตอนแรก โครงการเกิดไม่ได้สักอันเลย แล้วจะทําอย่างไร ที่ผมพูดทั้งหมดไม่เกิดเลย 4) อีกอันหนึ่งก็คือว่าประชาชนก็ไม่ทราบอีกว่าจะร่วมมือกับรัฐ ตรงไหน เมื่อไหร่ หลายคนก็ใช้ความรู้สึกความคิดส่วนตัว ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ โดยหลักการก็ไม่ค่อยได้ดู ใช้ความรู้สึก ใช้ความเป็นธรรมชาติ ใช้ต่างๆ มาตัดสินปัญหา ทั้งหมดเลย ลืมทุกอย่างไร ก็เลยทําให้เกิดความขัดแย้ง มีปัญหาร่วมกัน พัฒนาไม่ได้ สิ่งนี้จะมีคนนํามาใช้ประโยชน์ ในการไม่เข้าใจของท่าน เพราะฉะนั้นผมต้องถามกลับไปว่า วันนี้ทําไมหลายเรื่องที่น่าจะเข้าใจ ประชาชนน่าจะมีการเรียนรู้มานานแล้วโดยฝ่ายการเมืองโดยรัฐบาล โดยผู้บริหารประเทศ ปรากฏว่าไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม เป็นสิบๆ ปีมาแล้ว วันนี้เราก็พยายามให้ทุกคนได้รับทราบ พูดไป แจ้งไป บางทีก็ไม่ค่อยสนใจ ไม่ค่อยร่วมมือ เพราะเคยชิน ผมว่าท่านต้องปรับตัวเองบ้าง ทั้งข้าราชการ ทั้งประชาชน ภาคธุรกิจ เอกชน ต้องปรับตัวได้แล้ว
วันนี้ประเทศกําลังเดินหน้า ไปสู่อนาคต เพราะฉะนั้นต้องมีหลายอย่างที่มีการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ตัวเอง ครอบครัว สิ่งแวดล้อม เข้าใจกฎหมาย เข้าใจกติกา สงคมการเป็นประชาคมโลก ถ้าทุกคนทําตามกรอบที่เราออกกฎหมายไปแล้ว ตามกติกาสากล แล้วก็จะกล่าวอ้างว่าไม่รู้อีก พอไม่รู้ขึ้นมาปั๊บ มีเรื่องทันที ทั้งๆ ที่หลายคนก็ เพราะไม่รู้ แต่มีเจตนาบริสุทธิ์ ก็เป็นเครื่องมือของเขาเคลื่อนไหวไปโน่นไปนี่ ก็เป็นปัญหาหมด ก่อนอื่นท่านต้องดูกฎหมายก่อนว่า ท่านจะทํานี่จะผิดกฎหมายหรือเปล่า ถ้าผิดแล้ว การแสดงความคิดเห็นของท่านนี่ ถ้าเป็นความคิดเห็นทางการเมืองหรือทางประชาธิปไตย มันใช่เวลาหรือยังใช่ไหม แล้วการกระทําของท่านนี่ มีผลกระทบกับการจราจร ผลกระทบกับคนอื่นที่เขาไม่เห็นด้วยอีกไหม เหล่านี้ท่านต้อง คิดร่วมกัน ไม่อย่างนั้นแก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นวันนี้ผมอยากขอร้องนักการเมืองข้าราชการ ประชาชนทุกคน ทุกหมู่เหล่า ภาคธุรกิจเอกชน ต้องร่วมมือทั้งสิ้น เข้าใจตรงนี้ ทําอย่างไรจะร่วมมือ จับมือกันได้ในลักษณะการเป็น "ประชารัฐ” ทั้งข้างบน และข้างล่าง
ใกล้ช่วงเทศกาลปีใหม่เข้ามาแล้ว มีวันหยุดยาวหลายวัน มีการเฉลิมฉลองกัน ก็เป็นธรรมดา อยากจะขอให้ทุกคนระมัดระวัง ในเรื่องของการเดินทาง ผมไม่อยากให้มีการสูญเสีย บาดเจ็บเล็กน้อยก็ไม่อยากให้เกิด เพราะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ยิ่งเสียชีวิต ยิ่งแย่ใหญ่ เพราะมีคนเสียใจกับท่านมาก ครอบครัวท่าน พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนร่วมงาน ไม่มีใครอยากเห็นใครเจ็บ ตายไป โดยเฉพาะรัฐบาล พยายามทําทุกอย่างแล้วนะครับ ก็อยู่ในขั้นตอนสร้างความเข้มแข็ง จะดูแลเรื่องถนนหนทางยังไง ทางเลี้ยว ทางโค้งยังไง เรื่องของพื้นที่เสี่ยงต่างๆ การควบคุมความเร็วรถ การควบคุมพลขับ ทุกอย่างต้องทําใหม่ทั้งหมด ก็เริ่มได้บ้าง บางอย่างก็เริ่มไม่ได้ ก็ต้องใช้คนในการอํานวยการจราจร ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่เตรียมการมาโดยตลอด ทั้งของกระทรวงมหาดไทย ตํารวจ ทหาร เจ้าหน้าที่พลเรืองทั้งหมด ก็ร่วมมือกันทุกครั้ง มีวันหยุดยาวๆ เขาก็ไม่ได้ไปเที่ยวเหมือนกัน ครอบครัวเขาก็มี แต่เขาเสียสละอยู่กับท่าน อย่ามาคิดว่าเขาอยู่เพราะเป็นหน้าที่อย่างเดียว หรือได้รับเบี้ยเลี้ยง ไม่ใช่ ความสุขเขาก็ต้องการ แต่เขาจําเป็นต้องอยู่ เบี้ยเลี้ยงเล็กๆ น้อยๆ ก็ให้เขากิน เขาอยู่ เขาใช้ เขาไม่อยู่บ้านก็มีเบี้ยเลี้ยงให้ลูกเมียเขากินอยู่ที่บ้าน เข้าใจบ้าง ขอขอบคุณข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ทั้งหมด ทุกคนที่ต้องเสียสละวันหยุดช่วงเทศกาล มาช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าปีใหม่หน้านั้นเราคงจะพบแต่ในสิ่งที่ดีๆ ประเทศชาติเดินหน้าไปได้ ความขัดแย้งลดลง หรือไม่เกิดขึ้นอีกเลย จะเดินหน้าไปสู่การเป็นประชาธิปไตยที่ถาวร ขอบคุณครับ สวัสดีครับ ขอให้มีความสุขครับ
|
รายการ คืนความสุขให้คนในชาติ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
กล่าวในรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ”
ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2558 เวลา 08.00 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
กิจกรรม "ปั่นเพื่อพ่อ BIKE FOR DAD” ตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสร็จสิ้นไปด้วยความเรียบร้อย อย่างน่าประทับใจ ในการที่ร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ของชาติไทยอีกครั้งหนึ่ง เป้าหมายสําคัญก็คือ "การรวมพลังแห่งความกตัญญูแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และร่วมใจสามัคคีของคนในชาติ” ทั้งนี้ "ความสามัคคีเป็นกําลังอย่างสูงสุดของหมู่ชน” ให้สมดังพระราชดํารัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานแด่พสกนิกรชาวไทย เมื่อ 50 กว่าปีที่ผ่านมา มีใจความว่า "...ประเทศไหน ถ้าประชาชนพลเมือง มีความสามัคคีกลมเกลียว กันดี มีระเบียบวินัย ประเทศนั้นก็เจริญและอยู่ในฐานะดี จึงเห็นได้ว่าความสามัคคีกลมเกลียวกันนั้น ระหว่างคนในชาติ และความเข้าใจรักษาระเบียบวินัย เป็นปัจจัยสําคัญอันหนึ่ง ที่จะช่วยนําประเทศชาติสู่ความวัฒนาถาวร...”
ในการนี้ ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน ทั้งผู้ที่เข้าร่วมในกิจกรรมปั่นเพื่อพ่อ และผู้เฝ้ารอรับเสด็จฯ อยู่ 2 ข้างทาง อย่างเนื่องแน่น ผู้ให้กําลังใจอยู่ที่บ้าน และทุกๆ คนด้วย ที่ล้วนมีส่วนร่วมในความสําเร็จ เป็นเจ้าภาพร่วมกัน รวมทั้ง เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ทุกภาคส่วน ทั้งภาคธุรกิจเอกชนด้วย ที่อยู่เบื้องหลัง ทําให้กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติครั้งนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยในทุกขั้นตอน ทุกพื้นที่ ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีสู่ศักราชใหม่ แสดงความพร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ในศกหน้า และการก้าวไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ด้วยความ "รู้ รัก สามัคคี” ของคนในชาติ
สําหรับการเตรียมตัว เตรียมประเทศ ให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง การพัฒนาไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่เรียกว่า AEC นั้น กําลังจะเริ่มในปีใหม่ที่จะมาถึงนี้ รัฐบาลมีการดําเนินการอย่างบูรณาการ และประสานสอดคล้องตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง เพื่อการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อาทิ
1. การผลักดันการส่งออก ในปี 2559 ได้มีการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ (พกค.) ประกอบด้วย 9 กระทรวงที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในส่วนของเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ประธานสมาคมธนาคารไทย ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ร่วมมือกันในการที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาคธุรกิจร่วมกับรัฐด้วย ในปัจจุบันมีการประชุมร่วมกันไปเรียบร้อยแล้ว ได้มีการร่วมกันพิจารณากําหนด 7 ยุทธศาสตร์สําคัญ คือ (1) การเปิดประตูการค้าและขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย - แปซิฟิก หรือ TPP ซึ่งจะต้องมีการพิจารณากันอย่างละเอียดรอบคอบ RCEP อันนี้เราก็ต้องรวมถึงการขยายประโยชน์ของ FTA ที่มีอยู่ ต้องมีเร่งการเจรจา RCEP ให้ได้โดยเร็ว แล้วก็การพิจารณาเปิดเจรจาจัดทํา FTA ใหม่ (2) การเร่งรัดขยายตลาดส่งออกเชิงรุก โดยใช้ความต้องการตลาดเป็นตัวนําการผลิต หรือกําหนดสินค้า บริการที่จะผลักดันการส่งออก และมีการกําหนดกลยุทธ์เชิงลึก ลงถึงในระดับเมือง มุ่งเน้นการเจาะตลาดใหม่ๆ เจาะกลุ่มตลาดเฉพาะ และช่องทางการค้าออนไลน์ (3) การส่งเสริมการค้าชายแดน ทั้งนี้ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน (4) การส่งเสริมผู้ประกอบการไทย ไปดําเนินธุรกิจและลงทุนในต่างประเทศ (5) การปรับโครงสร้างการค้าสู่การค้าการบริการ เพื่อเป็นจักรกลใหม่ในการขับเคลื่อนการค้า โดยมีธุรกิจบริการที่ให้ความสําคัญ 6 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ ธุรกิจบันเทิงและคอนเทนต์ ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจการศึกษา ธุรกิจบริการเกี่ยวกับการต้อนรับ และธุรกิจบริการวิชาชีพ ก็ขอให้มีการกําหนดมาตรฐานที่ดีเพียงพอในการมีงาน มีอาชีพ มีรายได้สูงขึ้น และทํางานได้จริงๆ (6) การเพิ่มบทบาทของ SMEs ในการผลักดันการค้าและสร้างนักรบเศรษฐกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม คือต้องสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา แล้วก็ผูกพันเชื่อมโยงไปกับท้องถิ่นเขาด้วย ภาคการผลิต (7) การสร้างมูลค่าเพิ่มในภาคอุตสาหกรรมการส่งออก ทั้งนี้เราก็จะยกระดับผู้ประกอบการส่งออกจากเดิมที่เป็นเพียงผู้รับจ้างผลิต ไปสู่ผู้ประกอบการที่มีการออกแบบ หรือผู้ประกอบการที่มี แบรนด์เป็นของตนเอง มีหลายอย่างมีศักยภาพ รัฐบาลก็จะเอาจริงเอาจังกับเรื่องเหล่านี้
2. การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนในช่วง 7 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 - 2564 มุ่งสู่แนวทางจัดตั้ง คลัสเตอร์ ซุปเปอร์คลัสเตอร์ โดย (1) กําหนดการจัดตั้งซุปเปอร์คลัสเตอร์ ใน 9 จังหวัด ซึ่งรัฐบาลได้แก้ไขกฎระเบียบและปรับปรุงกฎหมาย ให้มีความเป็นสากล จํานวน 367 ฉบับ ทั้งเรื่องกฎหมายอํานวยความสะดวก การค้าการลงทุน สิทธิมนุษยชน และกฎหมายที่ประชาชนได้ประโยชน์ทั้งสิ้น บางอย่างก็ยังอยู่ในขั้นตอนพิจารณาของคณะกรรมาธิการ ผมก็รับฟังข้อขัดแย้ง หรือความเห็นของทุกภาคส่วน ก็ไปพิจารณาเพิ่มเติมกันในสามวาระของ สนช. ก็แล้วกัน ก็อย่าเพิ่งเข้าใจว่าทุกอย่างประกาศไปแล้ว ความขัดแย้งสูง ผมไม่อยากให้พี่น้องลําบาก เหน็ดเหนื่อย ต้องมาประท้วงในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องสําคัญ เพราะยังไม่เดินหน้าไปถึงไหนเลย เพียงแค่มาพิจารณา ครม. ก็ส่งกลับไปให้ ทําให้ครบ เอาข้อพิจารณา ข้อสังเกตของท่านทั้งหลายใส่เข้าไปด้วย คราวนี้จะทําได้อย่างไร ก็ต้องไปทําในเพิ่มเติมในหลักการและเหตุผลให้กว้างขึ้น เพื่อจะได้ไปถกแถลงในประเด็นที่ท่านเสนอมาได้ ไม่อย่างนั้นจะตีกรอบ ก็จะกลายเป็นว่ารัฐเป็นคนกําหนดทั้งสิ้น แต่ต้องช่วยกัน ต้องแบ่งเบากันบ้างว่าอะไรจะได้ อะไรจะเสีย รัฐบาลผมมีนโยบายว่าคนที่ได้ประโยชน์ต้องเป็นประชาชน รัฐบาลก็ต้องทําหน้าที่ให้ดีที่สุด แต่ทั้งนี้ก็ต้องไม่ไปละเมิดพันธสัญญาของคนอื่นเขาด้วย กับต่างชาติที่เราต้องมีการค้าการลงทุนร่วมกัน
(2) เรื่องของการเพิ่มสิทธิประโยชน์ อันนี้เป็นเรื่องสําคัญ เพื่อจะสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นในประเทศไทย เราจําเป็น เพราะต้องเป็นอาชีพเสริมสําหรับภาคการเกษตรด้วย ซึ่งนับวันจะมีปัญหามากขึ้น ถ้าเรามีอุตสาหกรรมบ้าง ที่เป็นอุตสาหกรรมสีเขียว ก็จะช่วยให้พี่น้องมีรายได้ เลี้ยงดูครอบครัว เลี้ยงดูพ่อแม่ แล้วพัฒนาไปสู่การเป็นผู้ประกอบการ ด้วยการรวมกลุ่ม โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตร เราก็ต้องปรับปรุง เกี่ยวกับเรื่องของสหกรณ์ การเกษตรทั้งหมด ที่มีหลายประเภทด้วยกัน ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น วันนี้ได้สั่งการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปดําเนินการแล้ว ในส่วนของการลงทุนปัจจุบันนั้น ก็เร่งรัดการลงทุนที่เป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เพื่อเป็นการยกระดับพื้นที่ที่มีศักยภาพให้เป็นฐานการผลิต ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 ประเภท ด้วยกัน อาทิ ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การท่องเที่ยว การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การแปรรูปอาหาร หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม การแพทย์ครบวงจร การขนส่งและการบิน เชื้อเพลิงและเคมีชีวภาพ และดิจิตอล ทั้งนี้ เราจะเน้นการพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพ ส่งเสริมด้านนวัตกรรม เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า และเน้นการนําวัตถุดิบในแต่ละพื้นที่มาแปรรูป สร้างความเชื่อมโยง SMEs กับการประกอบการในระดับกลาง ระดับใหญ่ ให้เชื่อมโยงกันให้ได้ เพื่อจะเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนระดับล่าง
(3) การเตรียมความพร้อมให้การสนับสนุน ส่งเสริม และแก้ไขปัญหาอุปสรรค ทั้งเรื่องปัญหาที่ดิน วันนี้ก็ต้องแก้ไขกันมากมายไปหมด ทั้งที่ดินบุกรุก ที่ดินราชพัสดุ ที่ดินอะไรต่างๆ คือจนทุกคนเคยชินไปแล้ว จนไม่รู้ว่ากฎหมายอยู่ตรงไหน วันนี้เอากฎหมายมาว่ากันก่อน เราจะดูแลให้ตามสมควรที่ไม่ผิด ไม่ทําให้คนอื่นเกิดความเหลื่อมล้ํา อะไรทํานองนี้ ในเรื่องของการปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เราก็ต้องเร่งในเรื่องของการให้การบริการ One Stop Service ว่าข้อมูลต่างๆ จะทําอย่างไร จะไปที่ไหนบ้าง ก็มาที่เดียว One Stop Service วันนี้ก็มีที่กรุงเทพฯ แล้วก็มีที่จังหวัดที่เตรียมการเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษแล้ว หลายจังหวัดด้วยกัน ก็ติดตามเอาแล้วกัน
(4) การจัดทําระบบบัญชีเดียว เพื่อรองรับข้อมูลผู้ประกอบการให้ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง เพื่อจะขอรับการส่งเสริมการลงทุนต่อไป ปีนี้รัฐบาลได้อนุมัติไปแล้ว จํานวนเกือบ 2 พันโครงการ มีมูลค่าการลงทุน ประมาณ 7 แสนล้านบาท ซึ่งก็จะเป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในหลายมิติ ทั้งการเพิ่มรายได้จากการส่งออกกว่า 1 ล้านล้านบาท เพิ่มการใช้วัสดุในประเทศราว 8 แสนล้านบาท ก่อให้เกิดการลงทุนใน 20 จังหวัด และช่วยเพิ่มรายได้ต่อหัวของประชากรในพื้นที่ผ่านโครงการต่างๆ คิดเป็นมูลค่า กว่า 4 หมื่น 4 พันล้านบาท ถ้าไม่ทําแบบนี้ไปไม่ได้ ฝากไว้กับเกษตรกร แล้วก็ผลิตผลทางการเกษตรอย่างเดียวไปไม่ได้แน่นอน ต้องสร้างความเจริญไปสู่ภูมิภาค ท้องถิ่น ทั้งภาคการเกษตร เกษตรแปรรูป อุตสาหกรรมแนวใหม่ทั้งหมดในทุกพื้นที่ ก็ขอร้องว่า ขอให้สนับสนุนรัฐบาลด้วย ในโครงการที่ดีๆ ท่านมีปัญหาก็พูดคุยกัน ด้วยวิถีทางที่ถูกต้อง เข้าช่องทางที่ถูกต้องแล้วกัน
(5) การเชิญชวนนักลงทุนต่างชาติให้มาลงทุนในไทย รวมทั้งส่งเสริมการลงทุนในลักษณะ "ไทย กลุ่มประเทศอาเซียน” ก็เหมือนไทยบวก 1 ไปประเทศโน้น ประเทศนี้ หรือประเทศเพื่อนบ้านมาประเทศไทย ก็เป็นอาเซียน บวกหนึ่ง เช่นเดียวกัน
(6) การเดินหน้าการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน จํานวน 10 พื้นที่ ปี 2558 จํานวน 6 พื้นที่ และปี 2559 จะเพิ่มอีก 4 พื้นที่ รวมทั้งพื้นที่ที่มีศักยภาพด้วย เป็นการจัดตั้งซุปเปอร์คลัสเตอร์ อะไรก็แล้วแต่ อันนั้นก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งเหมือนกัน อาจจะเกิดทั้งในเขตเศรษฐกิจพิเศษก็ได้ หรือนอกเขตก็ได้ ตรงที่มีศักยภาพก็แล้วกัน วันนี้ต้องเป็นความร่วมมือกันระหว่างของภาครัฐ ภาคเอกชนที่เขาตั้งใจจะลงทุน เพราะบางครั้งมีปัญหามากมายหลายอย่าง พวกสาธารณูปโภคพื้นฐาน ไฟฟ้า ประปา ถนน ก็มีปัญหาหมด เพราะฉะนั้นก็ขอร้องพวกเราด้วยกันว่าเวลาลงทุนมาแล้ว พวกที่มีพื้นที่ต่างๆ ก็อย่าขายจนแพงเกินความเป็นจริงมากเกินไป ขึ้นเป็น 100 เท่า อย่างนี้ก็ไม่ไหว การลงทุนก็ไม่เกิดขึ้น ถ้าเราทําทุกอย่างได้ตามแผนงานของรัฐบาลในระยะเวลาอันสั้นนี้ จะเป็นการเริ่มต้น และส่งผลต่ออนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจ้างงานในพื้นที่ การสร้างชนเมืองในชนบท การเพิ่มการค้าการลงทุนตามแนวชายแดน การค้าขายชายแดน แล้วก็มีการใช้วัตถุดิบทั้งในและต่างประเทศร่วมกัน เราจะได้แก้ปัญหาเรื่องยาง เรื่องข้าวให้ได้ครบวงจร ใช้ในประเทศให้มากขึ้น 30% อย่างที่ตั้งใจไว้ ก็ต้องมีโรงงานเกี่ยวกับเรื่องยาง แล้วก็ทํานอกจากเป็นยางรถยนต์แล้ว ก็ยังเป็นเรื่องของยางปูพื้น ปูสนามกีฬา ถุงมือ เดิมเราทํามากอยู่แล้ว ต่อไปก็เป็นเรื่องวัสดุอื่นๆ ใช้ในการประกอบกัน เป็นผนังห้องน้ําสําหรับคนเจ็บคนป่วย หรือทําเกี่ยวกับเรื่องเฟอร์นิเจอร์ เกี่ยวกับเรื่องเครื่องนอน เรามีฝีมือทั้งสิ้น วัตถุดิบก็มีจํานวนมาก ก็ต้องเพิ่มทักษะเข้ามา เพิ่มโรงงานเข้ามาแล้วก็เรียนรู้เรื่องเทคโนโลยี การประกอบต่างๆ ให้เป็นนวัตกรรมที่แข่งขันกับคนอื่นเขาได้ ต้องมีความแตกต่าง ถึงแม้ว่าเราจะมีค่าแรงที่สูงพอสมควร แต่เราก็ต้องไปลดตรงอื่นให้ได้ ต้นทุนการผลิตจะลดยังไง ก็เอาของในประเทศมา รัฐบาลก็จะดูแลตรงนี้ด้วย เพื่อจะรองรับการประกอบการ ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด เรากําลังทําอยู่ทั้งหมด เรื่องแรงงานที่มีฝีมือเราขาด จํานวนมากวันนี้เร่งรัดไปแล้ว ทั้งเร่งด่วน ระยะสั้น ระยะยาว เร่งด่วนก็ต่อยอดเอา จบไปแล้ว ถ้าระยะสั้นก็ปี 4 ที่กําลังจะจบเอามาอบรมในสาขาที่ต้องการ ถ้าระยะยาว ก็ ปี 1 ถึง ปี 4 ในรุ่นต่อไป ก็ต้องเตรียมการให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ
3. การเตรียมแรงงานที่มีฝีมือ มีปัญหามากในภาคอุตสาหกรรม ขาดแคลน ไม่เพียงพอ ทั้งนักวิจัย นักพัฒนา หัวหน้างาน ผู้จัดการต่างๆ เหล่านี้ ทั้งภาคอุตสาหกรรม และภาคการบริการ ท่องเที่ยว ทั้งหมด ยังขาดอยู่จํานวนมาก เทคนิคเชี่ยนอีก เรื่องเกี่ยวกับเรือ รถไฟ รถไฟฟ้า การขนส่ง ทางบก ทางเรือ ทางอากาศ ช่างซ่อมเครื่องบิน สิ่งเหล่านี่เป็นเรื่องที่เรากําลังขาดอยู่ทั้งสิ้น ก็ได้เร่งรัดไปแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วเราผลิตแรงงานไม่เพียงพอก็ไม่ตอบสนองต่อการขยายตัวของเราไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC นั่นเอง เรื่องนี้กระทรวงแรงงานได้บูรณาการ ในการจัดทําข้อมูลแรงงาน ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงศึกษาธิการ ที่เป็น "ผู้ใช้ – ผู้ผลิตแรงงานที่มีฝีมือ” ก็ต้องสอบถามจากผู้ประกอบการไทยด้วย เพราะขาดทั้งต่างประเทศมาลงทุน ทั้งในประเทศที่ขาด ก็มี 2 อย่าง แรงงานที่มีฝีมือ ซึ่งเราต้องผลิตมากขึ้น ต่อยอดอะไรก็แล้วแต่ กับอีกอันคือแรงงานไม่ต้องมีฝีมือ ใช้แรงงานอย่างเดียวนี่ก็ต้องเป็นเรื่องของความร่วมมือระหว่างประเทศ ในการใช้แรงงานต่างด้าว ก็ต้องควบคุมกันให้ได้ ทุกคนก็เป็นมนุษย์ทั้งนั้น เราก็ต้องดูแลเขาให้ดีที่สุด อย่าไปเอาเปรียบเขา การค้ามนุษย์เป็นสิ่งที่ร้ายแรง วันนี้มีโทษทัณฑ์มากมาย ทั้งผู้ทํา ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เจ้าหน้าที่ มีโทษทุกอย่าง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของรัฐ วันนี้ผมก็กําชับไปแล้ว ไม่ว่าจะในเรื่องของการทําความผิด เรื่องของประมง เรื่องของค้ามนุษย์ จะต้องลงโทษอย่างเด็ดขาด แล้วก็จะต้อมีการจัดทําข้อมูลเชิงสถิติตัวเลขของความต้องการแรงงาน ว่าเป็นอย่างไร เท่าไร ประเภทใดบ้าง และในระดับการศึกษาใด ความรู้ความชํานาญที่ต้องฝึกเพิ่มเติมให้เขามีอะไรบ้าง หลายสาขามีความต้องการทั้งหมด ต้องมีรายละเอียดเหล่านี้ทั้งหมด ปัญหาเราก็คือการจัดทําข้อมูลทั้งหมด ไม่ว่าจะเรื่องประชาชน เรื่องอาชีพ เรื่องรายได้ ผมก็เน้นว่า ปี 2560 นี้ น่าจะทําให้สําเร็จ บัตรประชาชนที่มีระบุอาชีพ รายได้ ไม่ต้องอาย มีรายได้น้อยรายได้มากก็คนไทยทั้งสิ้น ผมต้องการให้แยกแยะให้ได้ว่ารัฐบาลจะได้ใช้งบประมาณอย่างไรให้เหมาะสม เพราะเรารายได้ยังน้อยอยู่ แต่ถ้าหากว่าเศรษฐกิจดีขึ้นมากๆ วันหน้าก็ดีขึ้นเอง ทุกคนก็คงจะลืมตาอ้าปากกันได้ หมดหนี้หมดสินกันเสียที แต่ถ้าไม่เริ่มแบบผมทําวันนี้ไปไม่ได้แน่นอน ก็จะจนไปเรื่อยๆ เป็นหนี้ไปเรื่อยๆ อยากจะขอร้อง ขอความร่วมมือด้วยแล้วกัน
เรื่องของแรงงานก็ยังไม่จบ ต้องมีการจัดทําข้อมูลแรงงานพื้นฐานในระบบ เช่น Smart Job Center เพื่อให้ผู้ประกอบการ สถานประกอบการ และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ใช้ในการบริหารงานร่วมกันเรียกว่าบูรณาการ สําหรับผู้ต้องการแรงงงาน จากตัวแรงงานเอง จะต้องเจอกัน ไม่อย่างนั้นบริษัทต่างๆ บางที บางบริษัทก็มีประสิทธิภาพ บางบริษัทก็ซื่อตรง ซื่อสัตย์ บางบริษัทก็ไม่ค่อยซื่อสัตย์ ทําให้เกิดปัญหาในเรื่องของแรงงานในอนาคตต่อไปด้วย
"โครงการเพิ่มผลิตภาพแรงงานไทย” รัฐบาลก็ช่วยเหลือ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขัน มีนวัตกรรม มีความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน อาทิ เช่นการพัฒนาแรงงานมีทักษะฝีมือสูงขึ้น เป็น Multi Skill สามารถทํางานได้มากขึ้น ในเวลาเท่าเดิม แล้วก็เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดการสูญเสียในการผลิต ขณะเดียวกันสามารถลดการสูญเสียในวงจรการผลิตด้วย ลดต้นทุนการผลิตได้จริง โดยจะนําร่อง SMEs และสถานประกอบกิจการ จํานวน 260 แห่ง ใน 20 กลุ่มธุรกิจ อาทิ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม สิ่งทอและแฟชั่น เฟอร์นิเจอร์และผลิตภัณฑ์จากไม้ หัตถกรรม อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น มีการจัดตั้ง "ศูนย์บริการให้คําปรึกษาเพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงาน” (ศปพ.) ภายในสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาค และศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้คําปรึกษาแก่สถานประกอบกิจการต่างๆ ในการดําเนินงานไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงขบวนการผลิตหรือขั้นตอนการทํางาน รวมถึงการบริหารจัดการระบบโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน จะสามารถช่วยลดการสูญเสียในวงจรการผลิตได้ ทั้งนี้ สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไปนั้น กฎหมายกําหนดไว้แล้วว่าต้องฝึกอบรมลูกจ้าง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของจํานวนลูกจ้างทั้งหมดทุกปี โดยสามารถนําค่าใช้จ่ายในการพัฒนาฝีมือแรงงานไปลดหย่อนภาษีได้ ร้อยละ 200 ก็ขอให้ช่วยด้วย
ทั้งนี้ การเตรียมความพร้อมทางด้านบุคคลากรในด้านต่างๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม ช่างเทคนิค ช่างฝีมือ บุคคลากรทางการแพทย์ การศึกษา รวมทั้งข้าราชการรุ่นใหม่ คงต้องไม่ใช่เฉพาะการเพิ่มจํานวนเท่านั้น ต้องสามารถให้การบริการ ปฏิบัติงานในหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ มีความเป็นสากล ได้รับการยอมรับ มีความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับอาเซียนและประชาคมอาเซียน รวมทั้งประเทศสมาชิก ตลอดจนบุคลากรต้องสามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย ต้องมีทักษะทั่วไปด้านภาษา ภาษาอังกฤษ และภาษาอื่นๆ ด้วย ที่จําเป็นในการฟัง การพูด การอ่าน การเขียนเท่าที่ทําได้ในระยะแรก ต่อไปก็คงจะพัฒนาเก่งขึ้นในอนาคต เพื่อจะเป็นหัวหน้างานต่อไปอย่างไร ในการการประชุมต่างๆ เหล่านั้น ถ้าหากว่าเรามีการรู้ภาษาอังกฤษมากขึ้น จะเข้าใจมากขึ้น ว่าเขาประชุมกันเรื่องอะไร เขาเจรจากันเรื่องอะไรกันอยู่ ระดับที่ต้องพัฒนาไปสู่ตรงกลาง กับตรง Top ของกิจการแต่ละกิจการ ท่านต้องมีการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง พวกแรงงานข้างล่างก็ต้องรู้เหมือนกัน เพราะท่านก็ต้องมีเพื่อนร่วมงานมีนายจ้างเป็นชาวต่างประเทศด้วย รู้ไม่ต้องมาก นิดๆ หน่อยๆ ทักทายได้ อะไรได้ พูดคุยกันได้พอสมควร ในส่วนของทักษะเฉพาะภาษาประเทศเพื่อนบ้านผมก็เห็นมีการฝึกมีการเรียนรู้มากมายตามทีวี โทรทัศน์ทุกช่อง แต่ผมก็ไม่ทราบว่าผลสัมฤทธิ์เกิดขึ้นเท่าไร วันนี้สอนเรื่องนี้ เรื่องนั้น แต่ไม่รู้ว่าวัดผลได้อย่างไร ว่าภาษาอังกฤษได้ถึงไหน ผมอยากให้แยกแยะอย่างนี้ได้ไหม ว่าเป็นภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐาน 1 อัน พื้นฐาน คือ คนทั่วไปต้องเรียนรู้จากง่ายๆ อันที่สองภาษาอังกฤษเพื่อธุรกิจ ใช่ไหม อุตสาหกรรมอะไรก็แล้วแต่ อันที่สามก็ภาษาอังกฤษสําหรับข้าราชการ อันที่สี่ก็เป็นภาษาอังกฤษสําหรับการท่องเที่ยว เพื่อจะเป็นเจ้าภาพ เจ้าบ้านที่ดี เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว มีความยากง่ายแตกต่างกัน และสุดท้ายก็เป็นเรื่องของ การศึกษาตามสถานศึกษาซึ่งมีหลักสูตรของเขาอยู่แล้ว วันนี้ต้องสอนให้คนฟังได้ก่อน ฟังเข้าใจให้ได้มากที่สุด กําลังเตรียมการเรื่องการเป็น HUB ด้วย เราก็ต้องการเป็น HUB รักษาพยาบาล ผมก็แนะนําให้กระทรวงศึกษาธิการไปปรับในเรื่องนี้แล้ว ว่าปัญหาในเรื่องของการขาดแคลนแพทย์ส่วนกลางมีไหม ปัญหาการขาดแคลนแพทย์ชนบทมีไหม แล้วก็การขาดแคลนในการที่จะเป็น HUB เรื่องการรักษาพยาบาล จะต้องสร้างความเชื่อมันโดยมีแพทย์ต่างประเทศมาเป็นที่ปรึกษาอะไรต่างๆ ด้วยไหม ให้ไปแล้ว เพราะฉะนั้นไปดูในแผนการผลิตในปี 2559 นี้ให้ได้แล้วกัน ถึง 2560 ไม่อย่างนั้นก็เป็นอยู่เหมือนเดิม ขาดแพทย์ชนบท ทําไมไม่ไปเปิดหลักสูตรส่วนหนึ่ง มีสัดส่วน อันนี้มาจากต่างจังหวัด ภูมิภาคโน้น ภาคนี้ ในจังหวัด โรงพยาบาลจังหวัด ให้จังหวัดนั้นเขาส่งคนมาเรียนแพทย์ กลับไปก็ต้องไปอยู่จังหวัดโน้นไม่ต้องมีย้ายไปไหนทั้งสิ้น เขาก็โตที่โน่น จะได้สร้างชุมชนเมือง การศึกษาก็มีโรงเรียน มีมหาวิทยาลัยในภูมิภาคไป สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องวางอนาคตทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นจะเกิดอะไรไม่ได้
ปัญหาสําคัญของบ้านเราในเวลานี้ สิ่งที่ผมเป็นกังวลอยู่หลายเรื่องด้วยกัน 1) เรื่องแรก คือ การไม่เคารพกฎหมาย ทําให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายไม่ได้ กฎหมายก็จะคลายความศักดิ์สิทธิ์ลง ไม่ใช่ว่ากฎหมายเหล่านี้จะทําเพื่อละเมิดสิทธิ์มนุษยชน ผมต้องถามว่าแล้วท่านละเมิดสิทธิมนุษยชนคนอื่นเขาหรือไม่ ประเด็นอย่าพูดข้างเดียว ไม่ได้ วันนี้กําลังปฏิรูปอยู่ คนอื่นเขาเดือดร้อนหรือเปล่า สิ่งกังวลต่อไป คือ ถ้าเขาละเมิดกฎหมายเหล่นี้ เดือดร้อนคนอื่น ต้องมีคนไม่ชอบ อันตรายก็จะเกิดขึ้น ก็จะเกิดการตีกัน ทะเลาะกัน ก็ไม่พ้นรัฐบาลต้องไปแก้ปัญหา เจ้าหน้าที่ก็เดือดร้อน ขอร้องเถิดครับไม่ว่าจะกลุ่มไหนก็ตาม อย่าฝ่าฝืนกฎหมายกันเลย กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ แล้วจะอยู่กันอย่างไร ถ้าไม่มีกฎหมาย ก็เหมือนเดิม 2) เรื่องที่สองก็คือไม่เชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรม ความไว้เนื้อเชื่อใจไม่เกิดขึ้น เพราะว่าอะไร เพราะไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจในขบวนยุติธรรมว่าต้องเริ่มตรงไหน ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็กลัวอย่างเดียว กลัวตํารวจจับ ก็ต้องมีเหตุมีผล ทําไมเขาถึงจับ ทําไมถึงมีการเรียกร้องผลประโยชน์ สมยอมหรือเปล่า การที่จะไปว่ากล่าวให้ร้ายใครก็ต้องมีการร้องทุกข์ กล่าวโทษใช่ไหม แล้วก็มีโอกาสในการพิสูจน์ทราบด้วยกระบวนการยุติธรรมทางกฎหมาย วันนี้ยุ่งไปหมดเลย เรื่องเหล่านี้ ผมพยายามทําทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎหมายแล้ว วันนี้ก็จะเห็นได้ว่ามีความยุติธรรมหมดทุกอัน คือต้องเป็นธรรม ให้โอกาสทุกคน ก็ให้ทําความเข้าใจด้วย 3) เรื่องต่อไปผมคิดว่าจําเป็น ต้องให้คนไทยนี่ทราบขั้นตอนของการทํางานของภาครัฐบ้าง ไม่อย่างนั้นก็จะล้มล้างกันไปทุกอันไปเลย ทําอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง พัฒนาก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้หมด บริหารอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง นี่ เพราะไม่ทราบขั้นตอนว่าตัวเองจะเข้ามามีส่วนร่วมตรงไหน เรามี พรบ. ข้อมูลข่าวสารให้แล้ว ในนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะต้องมาเริ่มตั้งแต่ต้น ถ้าเริ่มต้นไปไม่ได้ ฝ่ายรัฐต้องเป็นคนมาเริ่มต้นก่อนโดยความต้องการของคนในพื้นที่ หรือตามแผนงานระยะยาว ยุทธศาสตร์อะไรก็แล้วแต่ แล้วไปทําประชาวิจารณ์ ไปทําการประชุมสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ว่าโอเคไหม ถ้าโอเค ถึงจะเดินหน้าต่อไปได้ นั่นแหละเขาเรียกว่าความร่วมมือ จะทําไม่ทําอยู่ตรงโน้น แต่ถ้าเริ่มตอนแรก โครงการเกิดไม่ได้สักอันเลย แล้วจะทําอย่างไร ที่ผมพูดทั้งหมดไม่เกิดเลย 4) อีกอันหนึ่งก็คือว่าประชาชนก็ไม่ทราบอีกว่าจะร่วมมือกับรัฐ ตรงไหน เมื่อไหร่ หลายคนก็ใช้ความรู้สึกความคิดส่วนตัว ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ โดยหลักการก็ไม่ค่อยได้ดู ใช้ความรู้สึก ใช้ความเป็นธรรมชาติ ใช้ต่างๆ มาตัดสินปัญหา ทั้งหมดเลย ลืมทุกอย่างไร ก็เลยทําให้เกิดความขัดแย้ง มีปัญหาร่วมกัน พัฒนาไม่ได้ สิ่งนี้จะมีคนนํามาใช้ประโยชน์ ในการไม่เข้าใจของท่าน เพราะฉะนั้นผมต้องถามกลับไปว่า วันนี้ทําไมหลายเรื่องที่น่าจะเข้าใจ ประชาชนน่าจะมีการเรียนรู้มานานแล้วโดยฝ่ายการเมืองโดยรัฐบาล โดยผู้บริหารประเทศ ปรากฏว่าไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม เป็นสิบๆ ปีมาแล้ว วันนี้เราก็พยายามให้ทุกคนได้รับทราบ พูดไป แจ้งไป บางทีก็ไม่ค่อยสนใจ ไม่ค่อยร่วมมือ เพราะเคยชิน ผมว่าท่านต้องปรับตัวเองบ้าง ทั้งข้าราชการ ทั้งประชาชน ภาคธุรกิจ เอกชน ต้องปรับตัวได้แล้ว
วันนี้ประเทศกําลังเดินหน้า ไปสู่อนาคต เพราะฉะนั้นต้องมีหลายอย่างที่มีการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ตัวเอง ครอบครัว สิ่งแวดล้อม เข้าใจกฎหมาย เข้าใจกติกา สงคมการเป็นประชาคมโลก ถ้าทุกคนทําตามกรอบที่เราออกกฎหมายไปแล้ว ตามกติกาสากล แล้วก็จะกล่าวอ้างว่าไม่รู้อีก พอไม่รู้ขึ้นมาปั๊บ มีเรื่องทันที ทั้งๆ ที่หลายคนก็ เพราะไม่รู้ แต่มีเจตนาบริสุทธิ์ ก็เป็นเครื่องมือของเขาเคลื่อนไหวไปโน่นไปนี่ ก็เป็นปัญหาหมด ก่อนอื่นท่านต้องดูกฎหมายก่อนว่า ท่านจะทํานี่จะผิดกฎหมายหรือเปล่า ถ้าผิดแล้ว การแสดงความคิดเห็นของท่านนี่ ถ้าเป็นความคิดเห็นทางการเมืองหรือทางประชาธิปไตย มันใช่เวลาหรือยังใช่ไหม แล้วการกระทําของท่านนี่ มีผลกระทบกับการจราจร ผลกระทบกับคนอื่นที่เขาไม่เห็นด้วยอีกไหม เหล่านี้ท่านต้อง คิดร่วมกัน ไม่อย่างนั้นแก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นวันนี้ผมอยากขอร้องนักการเมืองข้าราชการ ประชาชนทุกคน ทุกหมู่เหล่า ภาคธุรกิจเอกชน ต้องร่วมมือทั้งสิ้น เข้าใจตรงนี้ ทําอย่างไรจะร่วมมือ จับมือกันได้ในลักษณะการเป็น "ประชารัฐ” ทั้งข้างบน และข้างล่าง
ใกล้ช่วงเทศกาลปีใหม่เข้ามาแล้ว มีวันหยุดยาวหลายวัน มีการเฉลิมฉลองกัน ก็เป็นธรรมดา อยากจะขอให้ทุกคนระมัดระวัง ในเรื่องของการเดินทาง ผมไม่อยากให้มีการสูญเสีย บาดเจ็บเล็กน้อยก็ไม่อยากให้เกิด เพราะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ยิ่งเสียชีวิต ยิ่งแย่ใหญ่ เพราะมีคนเสียใจกับท่านมาก ครอบครัวท่าน พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนร่วมงาน ไม่มีใครอยากเห็นใครเจ็บ ตายไป โดยเฉพาะรัฐบาล พยายามทําทุกอย่างแล้วนะครับ ก็อยู่ในขั้นตอนสร้างความเข้มแข็ง จะดูแลเรื่องถนนหนทางยังไง ทางเลี้ยว ทางโค้งยังไง เรื่องของพื้นที่เสี่ยงต่างๆ การควบคุมความเร็วรถ การควบคุมพลขับ ทุกอย่างต้องทําใหม่ทั้งหมด ก็เริ่มได้บ้าง บางอย่างก็เริ่มไม่ได้ ก็ต้องใช้คนในการอํานวยการจราจร ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่เตรียมการมาโดยตลอด ทั้งของกระทรวงมหาดไทย ตํารวจ ทหาร เจ้าหน้าที่พลเรืองทั้งหมด ก็ร่วมมือกันทุกครั้ง มีวันหยุดยาวๆ เขาก็ไม่ได้ไปเที่ยวเหมือนกัน ครอบครัวเขาก็มี แต่เขาเสียสละอยู่กับท่าน อย่ามาคิดว่าเขาอยู่เพราะเป็นหน้าที่อย่างเดียว หรือได้รับเบี้ยเลี้ยง ไม่ใช่ ความสุขเขาก็ต้องการ แต่เขาจําเป็นต้องอยู่ เบี้ยเลี้ยงเล็กๆ น้อยๆ ก็ให้เขากิน เขาอยู่ เขาใช้ เขาไม่อยู่บ้านก็มีเบี้ยเลี้ยงให้ลูกเมียเขากินอยู่ที่บ้าน เข้าใจบ้าง ขอขอบคุณข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ทั้งหมด ทุกคนที่ต้องเสียสละวันหยุดช่วงเทศกาล มาช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าปีใหม่หน้านั้นเราคงจะพบแต่ในสิ่งที่ดีๆ ประเทศชาติเดินหน้าไปได้ ความขัดแย้งลดลง หรือไม่เกิดขึ้นอีกเลย จะเดินหน้าไปสู่การเป็นประชาธิปไตยที่ถาวร ขอบคุณครับ สวัสดีครับ ขอให้มีความสุขครับ
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ยุติธรรม หารือร่วมกับผู้แทน OHCHR เพื่อผลักดันงานด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
|
วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2559
ปลัดฯ ยุติธรรม หารือร่วมกับผู้แทน OHCHR เพื่อผลักดันงานด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับนายโลคอง เมย์ยอง รักษาการผู้แทนสํานักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ (OHCHR) สํานักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมคณะ
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เวลา ๑๐.๐๐ น.
นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
ให้การต้อนรับ
นายโลคอง เมย์ยอง รักษาการผู้แทนสํานักงานข้าหลวงใหญ่
เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ (OHCHR) สํานักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมคณะ
ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการเกี่ยวกับประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ประกอบด้วย
๑.ความคืบหน้าการดําเนินงานของประเทศไทยในการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่ไทยได้ตอบรับและให้คํามั่นโดยสมัครใจ
จากการนําเสนอรายงานทบทวนสิทธิมนุษยชนของประเทศตามกลไก UPR รอบที่ ๒ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
๒.การผลักดันความร่วมมือในการร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมาน
และการบังคับให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... และการให้สัตยาบันและปฏิบัติตามพิธีสารเลือกรับ
ของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ํายีศักดิ์ศรี
๓.การขอเข้าเยี่ยมสถานที่ควบคุมตัวบุคคลในเรือนจําทั่วประเทศและเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร
๔.การให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือนักสิทธิมนุษยชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ซึ่งกระทรวงยุติธรรมพร้อมนําผลการหารือเข้าสู่การพิจารณาและขับเคลื่อนการดําเนินงานต่อไป
โดยมีนางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
พันตํารวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
พร้อมด้วยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ยุติธรรม หารือร่วมกับผู้แทน OHCHR เพื่อผลักดันงานด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2559
ปลัดฯ ยุติธรรม หารือร่วมกับผู้แทน OHCHR เพื่อผลักดันงานด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับนายโลคอง เมย์ยอง รักษาการผู้แทนสํานักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ (OHCHR) สํานักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมคณะ
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เวลา ๑๐.๐๐ น.
นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
ให้การต้อนรับ
นายโลคอง เมย์ยอง รักษาการผู้แทนสํานักงานข้าหลวงใหญ่
เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ (OHCHR) สํานักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมคณะ
ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการเกี่ยวกับประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ประกอบด้วย
๑.ความคืบหน้าการดําเนินงานของประเทศไทยในการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่ไทยได้ตอบรับและให้คํามั่นโดยสมัครใจ
จากการนําเสนอรายงานทบทวนสิทธิมนุษยชนของประเทศตามกลไก UPR รอบที่ ๒ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
๒.การผลักดันความร่วมมือในการร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมาน
และการบังคับให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... และการให้สัตยาบันและปฏิบัติตามพิธีสารเลือกรับ
ของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ํายีศักดิ์ศรี
๓.การขอเข้าเยี่ยมสถานที่ควบคุมตัวบุคคลในเรือนจําทั่วประเทศและเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร
๔.การให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือนักสิทธิมนุษยชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ซึ่งกระทรวงยุติธรรมพร้อมนําผลการหารือเข้าสู่การพิจารณาและขับเคลื่อนการดําเนินงานต่อไป
โดยมีนางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
พันตํารวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
พร้อมด้วยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/891
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลออกมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ทั้งทางตรง ทางอ้อม
|
วันอังคารที่ 24 มีนาคม 2563
รัฐบาลออกมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ทั้งทางตรง ทางอ้อม
รัฐบาลออกมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ทั้งทางตรง ทางอ้อม
วันนี้ (24 มี.ค.63) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวฯ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ร่วมกับกระทรวงการคลัง แถลงมาตรการดูแล เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ที่มีต่อเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด มีมาตรการรองรับทางเศรษฐกิจตั้งแต่เกิดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระบาด ซึ่งมาตรการระยะที่ 1 ที่ออกมาตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค. 63 เพื่อมุ่งดูแลผู้ประกอบการ ป้องกันการปลดคนงาน ถึงวันนี้ผ่านมาสองสัปดาห์ เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ในการ ดูแลเยียวยาประชาชนบางส่วนที่เริ่มได้รับผลกระทบ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบเรื่อง มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
โอกาสนี้ นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร ร่วมกันเปิดเผยถึงมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 ประกอบด้วย กลุ่มแรงงานลูกจ้าง มีมาตรการ คือ 1. สนับสนุนเงิน คนละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือน ให้เงินเยียวยาแรงงานลูกจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม จากกรณีการปิดพื้นที่เสี่ยงต่อการระบาดชั่วคราว 2. สินเชื่อฉุกเฉินวงเงินไม่เกิน 10,000 บาทต่อรายไม่ต้องมีหลักประกัน 3. สินเชื่อพิเศษวงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย อัตราดอกเบี้ย 0.35% ต่อเดือน ต้องมีหลักประกัน ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี 4. โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําของสํานักงานธนานุเคราะห์เพื่อช่วยเหลือประชาชน (Soft loan) ปล่อยเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ําแก่ สธค. เพื่อให้กู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยต่ํา 5. ยืดระยะเวลาการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เลื่อนกําหนดเวลาการยื่นแบบและชําระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาออกไปเป็นสิ้นสุด 31 ส.ค. 63 6. เพิ่มวงเงินหักลดหย่อนเบี้ยประกันสุขภาพ โดยเพิ่มวงเงินลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพจาก 15,000 บาท เป็น 25,000 บาท 7. ยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับค่าเสี่ยงภัยให้บุคคลากรทางการแพทย์ 8. ฝึกอบรม เพิ่มทักษะอาชีพหรือจัดกิจกรรมเพื่อสังคม รวมถึงนักศึกษาที่ยังหางานไม่ได้ ขยายการฝึกอบรมผ่านภาคีเครือข่าย
ด้านกลุ่มผู้ประกอบการ ประกอบด้วย 7 มาตรการ ได้แก่ 1. สินเชื่อรายย่อย วงเงินต่อรายไม่เกิน 3 ล้านบาท 2. เลื่อนเวลาการชําระภาษีเงินได้นิติบุคคล ภ.ง.ด. 50 และ ภ.ง.ด. 51 3. เลื่อนเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ นําส่งและชําระภาษี เช่น VAT ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอื่น ๆ สําหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ 4. ขยายระยะเวลาการชําระภาษีให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสินค้าน้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน เป็นเวลา 3 เดือน 5. ขยายเวลาการยื่นแบบรายการภาษีพร้อมชําระภาษีของการประกอบกิจการสถานบริการที่จัดเป็นบริการตามบัญชีพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต อาทิ ไนต์คลับ ผับ บาร์ รวมถึงสถานอาบน้ําหรืออบตัวและนวด สนามแข่งม้าและสนามกอล์ฟ ออกไปจนถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 6. ยกเว้นอากรขาเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและรักษาโควิด-19 เป็นเวลา 6 เดือน 7. ยกเว้นภาษีและลดค่าธรรมเนียมจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (Non-Bank) ให้เจ้าหนี้ไม่ใช่สถาบันการเงิน เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล เช่าซื้อ Leasing
จากนั้น นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองกล่าวถึงการหารือร่วมกันของ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และส่วนที่เกี่ยวข้อง ในการดูแลตลาดพันธบัตร ตลาดตราสารและกองทุนรวมทั้งหลาย ได้มีมาตรการคู่ขนานมาตรการเยียวยาเพื่อป้องกันตลาดทุนออกมา 3 เรื่อง ได้แก่ มาตรการที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งกลไกพิเศษขึ้นมา 1 ล้านล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กองทุนรวม รองรับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ 2. หุ้นกู้โดยจัดตั้งกองทุนที่จะเพิ่มเสถียรภาพให้กับหุ้นกู้ของประเทศไทย วงเงินประมาณ 70,000 - 100,000 ล้านบาท เพื่อให้ธุรกิจยังเดินต่อไปได้ไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและลูกจ้าง 3. ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เข้าแทรกแซงตลาดพันธบัตรอย่างต่อเนื่อง
รองนายกรัฐมนตรียังกล่าวในช่วงท้ายว่า ในเวลานี้ อยากให้ประชาชนตระหนักถึงความสําคัญของสาธารณสุข อยู่บ้าน ดูแลตนเอง เพื่อลดการแพร่เชื้อ เสียสละในระยะสั้นดีกว่าที่จะเกิดผลกระทบในระยะยาว ทั้งนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังพร้อมออกมาตรการที่เหมาะสมมารองรับ เพื่อดูแลเศรษฐกิจของไทยช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่องและทันท่วงที หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลง
...................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลออกมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ทั้งทางตรง ทางอ้อม
วันอังคารที่ 24 มีนาคม 2563
รัฐบาลออกมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ทั้งทางตรง ทางอ้อม
รัฐบาลออกมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ทั้งทางตรง ทางอ้อม
วันนี้ (24 มี.ค.63) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวฯ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ร่วมกับกระทรวงการคลัง แถลงมาตรการดูแล เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ที่มีต่อเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด มีมาตรการรองรับทางเศรษฐกิจตั้งแต่เกิดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระบาด ซึ่งมาตรการระยะที่ 1 ที่ออกมาตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค. 63 เพื่อมุ่งดูแลผู้ประกอบการ ป้องกันการปลดคนงาน ถึงวันนี้ผ่านมาสองสัปดาห์ เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ในการ ดูแลเยียวยาประชาชนบางส่วนที่เริ่มได้รับผลกระทบ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบเรื่อง มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
โอกาสนี้ นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร ร่วมกันเปิดเผยถึงมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 ประกอบด้วย กลุ่มแรงงานลูกจ้าง มีมาตรการ คือ 1. สนับสนุนเงิน คนละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือน ให้เงินเยียวยาแรงงานลูกจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม จากกรณีการปิดพื้นที่เสี่ยงต่อการระบาดชั่วคราว 2. สินเชื่อฉุกเฉินวงเงินไม่เกิน 10,000 บาทต่อรายไม่ต้องมีหลักประกัน 3. สินเชื่อพิเศษวงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย อัตราดอกเบี้ย 0.35% ต่อเดือน ต้องมีหลักประกัน ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี 4. โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําของสํานักงานธนานุเคราะห์เพื่อช่วยเหลือประชาชน (Soft loan) ปล่อยเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ําแก่ สธค. เพื่อให้กู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยต่ํา 5. ยืดระยะเวลาการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เลื่อนกําหนดเวลาการยื่นแบบและชําระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาออกไปเป็นสิ้นสุด 31 ส.ค. 63 6. เพิ่มวงเงินหักลดหย่อนเบี้ยประกันสุขภาพ โดยเพิ่มวงเงินลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพจาก 15,000 บาท เป็น 25,000 บาท 7. ยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับค่าเสี่ยงภัยให้บุคคลากรทางการแพทย์ 8. ฝึกอบรม เพิ่มทักษะอาชีพหรือจัดกิจกรรมเพื่อสังคม รวมถึงนักศึกษาที่ยังหางานไม่ได้ ขยายการฝึกอบรมผ่านภาคีเครือข่าย
ด้านกลุ่มผู้ประกอบการ ประกอบด้วย 7 มาตรการ ได้แก่ 1. สินเชื่อรายย่อย วงเงินต่อรายไม่เกิน 3 ล้านบาท 2. เลื่อนเวลาการชําระภาษีเงินได้นิติบุคคล ภ.ง.ด. 50 และ ภ.ง.ด. 51 3. เลื่อนเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ นําส่งและชําระภาษี เช่น VAT ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอื่น ๆ สําหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ 4. ขยายระยะเวลาการชําระภาษีให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสินค้าน้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน เป็นเวลา 3 เดือน 5. ขยายเวลาการยื่นแบบรายการภาษีพร้อมชําระภาษีของการประกอบกิจการสถานบริการที่จัดเป็นบริการตามบัญชีพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต อาทิ ไนต์คลับ ผับ บาร์ รวมถึงสถานอาบน้ําหรืออบตัวและนวด สนามแข่งม้าและสนามกอล์ฟ ออกไปจนถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 6. ยกเว้นอากรขาเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและรักษาโควิด-19 เป็นเวลา 6 เดือน 7. ยกเว้นภาษีและลดค่าธรรมเนียมจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (Non-Bank) ให้เจ้าหนี้ไม่ใช่สถาบันการเงิน เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล เช่าซื้อ Leasing
จากนั้น นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองกล่าวถึงการหารือร่วมกันของ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และส่วนที่เกี่ยวข้อง ในการดูแลตลาดพันธบัตร ตลาดตราสารและกองทุนรวมทั้งหลาย ได้มีมาตรการคู่ขนานมาตรการเยียวยาเพื่อป้องกันตลาดทุนออกมา 3 เรื่อง ได้แก่ มาตรการที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งกลไกพิเศษขึ้นมา 1 ล้านล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กองทุนรวม รองรับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ 2. หุ้นกู้โดยจัดตั้งกองทุนที่จะเพิ่มเสถียรภาพให้กับหุ้นกู้ของประเทศไทย วงเงินประมาณ 70,000 - 100,000 ล้านบาท เพื่อให้ธุรกิจยังเดินต่อไปได้ไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและลูกจ้าง 3. ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เข้าแทรกแซงตลาดพันธบัตรอย่างต่อเนื่อง
รองนายกรัฐมนตรียังกล่าวในช่วงท้ายว่า ในเวลานี้ อยากให้ประชาชนตระหนักถึงความสําคัญของสาธารณสุข อยู่บ้าน ดูแลตนเอง เพื่อลดการแพร่เชื้อ เสียสละในระยะสั้นดีกว่าที่จะเกิดผลกระทบในระยะยาว ทั้งนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังพร้อมออกมาตรการที่เหมาะสมมารองรับ เพื่อดูแลเศรษฐกิจของไทยช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่องและทันท่วงที หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลง
...................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27776
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ สู่เศรษฐกิจฐานราก ณ จังหวัดแพร่
|
วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม 2562
นายกรัฐมนตรีเดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ สู่เศรษฐกิจฐานราก ณ จังหวัดแพร่
นายกรัฐมนตรีตรวจราชการจังหวัดแพร่ ย้ําเดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ สู่เศรษฐกิจฐานราก ครอบคลุมป่าชุมชน การบริหารจัดการป่าไม้ - น้ํา การเกษตร สาธารณสุข OTOP และท่องเที่ยวนวัตวิถี
วันนี้ (เสาร์ 16 มีนาคม 2562) เวลา 15.45 น. ณ สนามกีฬาองค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ อําเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สวมใส่เสื้อพื้นเมือง “หม้อห้อม” ตรวจราชการจังหวัดแพร่ ย้ําเดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ สู่เศรษฐกิจรากหญ้า ครอบคลุมป่าชุมชน การบริหารจัดการป่าไม้ - น้ํา การเกษตร สาธารณสุข OTOP และท่องเที่ยวนวัตวิถี โดยมีประชาชนครบทั้ง 8 อําเภอของจังหวัดแพร่กว่า 6,000 คน มาต้อนรับและรับฟังนโยบายรัฐบาล และเป็นสักขีพยานในโอกาส พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชนให้แก่ผู้แทนป่าชุมชน และนายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ มอบสมุดประจําตัวผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล ในลักษณะแปลงรวมให้แก่ประชาชน
นายกรัฐมนตรีกล่าวดีใจที่มาเยือนเมืองแพร่ซึ่งเป็น “ประตูแห่งล้านนาตะวันออก” และเป็นครั้งแรกที่ได้มา “มาเยือนเมืองแป้ มาแลประชา เพราะฮักจึงมา มาหาฮักนะ” วันนี้ได้นําครอบครัวมาด้วย คือ รัฐมนตรีร่วมคณะ ได้แก่ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และพลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
วันนี้รัฐบาลมีการดําเนินนโยบาย “ไม้มีค่า ป่าชุมชน คนอยู่กับป่า” เพื่อรักษาความมั่นคงของทรัพยากร สร้างความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ “ปลดล็อค” ให้ประชาชน สามารถเก็บทํากิน เป็นมรดกลูกหลาน เป็นสินทรัพย์ที่ถูกกฎหมายภายใต้กฎหมาย เป็นธรรม สร้างสรรค์ และเป็นประโยชน์ ประชาชนใช้ประโยชน์ป่าไม้ได้ตั้งแต่ต้นทาง กลางทางและปลายทาง ทั้งการปลูกป่าไม้ การใช้ไม้อย่างถูกกฎหมาย เพื่อชาวแพร่มีอาชีพทําวงกบ ให้มีตลาด รัฐบาลจึงได้ปลดล็อคกฎหมาย “ไม้มีค่า” ซึ่งไม้ชนิดใดที่ขึ้นในที่ดินกรรมสิทธิ์หรือตามประมวลกฎหมายที่ดินที่ไม่ใช่ไม้หวงห้าม เจ้าของสามารถตัดได้ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เพิ่มเติมให้มีการอนุญาตในพื้นที่ดินของรัฐ สปก. คทช. ให้ประชาชนปลูกไม้มีค่าและตัดตามพื้นที่ที่ประกาศอนุญาต นอกจากนี้ ยังมีโครงการ “ป่าชุมชน” ส่งเสริมประชาชนดูแลทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืนและได้รับประโยชน์จากการดูแลรักษาป่า ตามนโยบาย “รัฐได้ป่า ประชาชนได้ที่ทํากิน บนผืนดินเดียวกัน”
นายกรัฐมนตรี ยังเน้นการทํางานเพื่อเศรษฐกิจฐานรากให้เกิดประสิทธิภาพ ไม่ใช่ส่งเสริมให้คนกู้ แต่ต้องการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการ สําหรับจังหวัดแพร่มีการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ สนับสนุนเงินทุนให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จํานวน 634 กองทุน วงเงินรวม 190,200,000 บาท เพื่อส่งเสริมศักยภาพในการประกอบอาชีพ และความเป็นอยู่ในชุมชน การลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้มีสิทธิ์ 144,021 ราย มารับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแล้ว 141,464 ราย หรือร้อยละ 98.22 ปรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบขั้นบันได เพิ่มเบี้ยยังชีพความพิการ รวมทั้งนโยบาย UCEP ช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยฉุกเฉิน ให้มีสิทธิเข้ารักษาพยาบาลทุกที่ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ จับกุมผู้กระทําผิดการเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรา ส่งมอบโฉนดที่ดินและทรัพย์สินที่ถูกฉ้อโกง เน้นการพัฒนาชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี การพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและสิ่งอํานวยความสะดวก พัฒนาสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว เชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวแต่ละท้องถิ่น และส่งเสริมการตลาดชุมชนท่องเที่ยว
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการขับเคลื่อนภาคการเกษตร บริหารจัดการพื้นที่เกษตรตามแผนที่การเกษตรเชิงรุก (Zoning by Agri – Map) โดยปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวในพื้นที่ไม่เหมาะสม พัฒนาเกษตรกรสู่ Smart Farmer ส่งเสริมเกษตร GAP การปลูกพืชเกษตรอินทรีย์ โครงการเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อส่งเสริมการเกษตรปลอดภัยทั้งผู้ปลูกและผู้บริโภค สําหรับการบริหารจัดการน้ํา พื้นที่ภาคเหนือส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดเล็ก ในปี 2557 - 2561 พื้นที่ภาคเหนือ รวม 12,247 โครงการ งบประมาณรวมประมาณ 60,000 ล้านบาท เช่น การจัดทําระบบประปาหมู่บ้าน การขุดลอกแหล่งน้ําลําน้ํา การก่อสร้างเพิ่มความจุอ่างเก็บน้ํา การขุดสระน้ําในไร่นา การขุดบ่อบาดาล การป้องกันน้ําท่วมชุมชนเมือง และการป้องกันตลิ่งพังทลาย มีพื้นที่รับประโยชน์ 4.84 ล้านไร่ เพิ่มน้ําได้ 825 ล้านลูกบาศก์เมตร และเพิ่มแนวป้องกันตลิ่งได้ 89.57 กม. ซึ่งจังหวัดแพร่ มี 600 โครงการ งบประมาณรวม 2,864 ล้านบาท พื้นที่รับประโยชน์ 0.17 ล้านไร เพิ่มน้ําได้ 43 ล้านลูกบาศก์เมตร และเพิ่มแนวป้องกันตลิ่งได้ 2.21 กม. เพิ่มศักยภาพการเก็บกักน้ําอ่างเก็บน้ําแม่มาน พื้นที่รับประโยชน์ 11,500 ไร่ (กรมชลประทาน) เขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ํายม 9 แห่ง เพิ่มแนวป้องกันตลิ่ง 3.42 กม. (กรมโยธาธิการและผังเมือง) ขุดลอกและบํารุงรักษาร่องน้ําภายในประเทศที่แม่น้ํายม (กรมเจ้าท่า) ซึ่งทุกรัฐบาลจะต้องทําต่อไป โดยในปี 2563 จะมีโครงการขนาดใหญ่สําคัญ 8 โครงการ เพื่อสร้างความยั่งยืนและมั่นคง ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ําว่าทุกรัฐบาลต้องทํางานอย่างนี้
นายกรัฐมนตรีย้ําว่า การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมต้องเกิดขึ้น วันนี้มีโครงการพัฒนาที่สําคัญในพื้นที่ อาทิ โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ วงเงินรวม 85,345 ล้านบาท เป็นโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายใหม่ เพื่อเพิ่มความครอบคลุมพื้นที่ของโครงข่ายทางรถไฟในบริเวณภาคเหนือตอนบน เชื่อมต่อการเดินทางและขนส่งสินค้ากับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาชนจีนตอนใต้ เพื่อไปสู่การเพิ่มศักยภาพด้านการคมนาคมขนส่ง การค้า และการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ รวมทั้งการพัฒนาระบบดิจิตอลของประเทศ เพื่อประชาชนสามารถใช้เป็นแหล่งเรียนรู้
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลนี้มุ่งสร้างอนาคตให้ประชาชน ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี สิ่งสําคัญที่สุดของการพัฒนาคือ ประชาชนต้องได้รับประโยชน์ โดยยึดหลักความสมดุล สนับสนุนการกระจายผลประโยชน์จากการพัฒนาให้แก่ประชาชนในพื้นที่ วันนี้ขอเพียงให้ประชาชน มีความรัก ความสามัคคี และร่วมกันทํามาหากินอย่างสุจริต โดยนายกรัฐมนตรีร่วมร้องเพลง “คนดี ไม่มีวันตาย” ให้กําลังใจประชาชนด้วย
-----------------------
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ สู่เศรษฐกิจฐานราก ณ จังหวัดแพร่
วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม 2562
นายกรัฐมนตรีเดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ สู่เศรษฐกิจฐานราก ณ จังหวัดแพร่
นายกรัฐมนตรีตรวจราชการจังหวัดแพร่ ย้ําเดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ สู่เศรษฐกิจฐานราก ครอบคลุมป่าชุมชน การบริหารจัดการป่าไม้ - น้ํา การเกษตร สาธารณสุข OTOP และท่องเที่ยวนวัตวิถี
วันนี้ (เสาร์ 16 มีนาคม 2562) เวลา 15.45 น. ณ สนามกีฬาองค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ อําเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สวมใส่เสื้อพื้นเมือง “หม้อห้อม” ตรวจราชการจังหวัดแพร่ ย้ําเดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ สู่เศรษฐกิจรากหญ้า ครอบคลุมป่าชุมชน การบริหารจัดการป่าไม้ - น้ํา การเกษตร สาธารณสุข OTOP และท่องเที่ยวนวัตวิถี โดยมีประชาชนครบทั้ง 8 อําเภอของจังหวัดแพร่กว่า 6,000 คน มาต้อนรับและรับฟังนโยบายรัฐบาล และเป็นสักขีพยานในโอกาส พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชนให้แก่ผู้แทนป่าชุมชน และนายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ มอบสมุดประจําตัวผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล ในลักษณะแปลงรวมให้แก่ประชาชน
นายกรัฐมนตรีกล่าวดีใจที่มาเยือนเมืองแพร่ซึ่งเป็น “ประตูแห่งล้านนาตะวันออก” และเป็นครั้งแรกที่ได้มา “มาเยือนเมืองแป้ มาแลประชา เพราะฮักจึงมา มาหาฮักนะ” วันนี้ได้นําครอบครัวมาด้วย คือ รัฐมนตรีร่วมคณะ ได้แก่ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และพลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
วันนี้รัฐบาลมีการดําเนินนโยบาย “ไม้มีค่า ป่าชุมชน คนอยู่กับป่า” เพื่อรักษาความมั่นคงของทรัพยากร สร้างความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ “ปลดล็อค” ให้ประชาชน สามารถเก็บทํากิน เป็นมรดกลูกหลาน เป็นสินทรัพย์ที่ถูกกฎหมายภายใต้กฎหมาย เป็นธรรม สร้างสรรค์ และเป็นประโยชน์ ประชาชนใช้ประโยชน์ป่าไม้ได้ตั้งแต่ต้นทาง กลางทางและปลายทาง ทั้งการปลูกป่าไม้ การใช้ไม้อย่างถูกกฎหมาย เพื่อชาวแพร่มีอาชีพทําวงกบ ให้มีตลาด รัฐบาลจึงได้ปลดล็อคกฎหมาย “ไม้มีค่า” ซึ่งไม้ชนิดใดที่ขึ้นในที่ดินกรรมสิทธิ์หรือตามประมวลกฎหมายที่ดินที่ไม่ใช่ไม้หวงห้าม เจ้าของสามารถตัดได้ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เพิ่มเติมให้มีการอนุญาตในพื้นที่ดินของรัฐ สปก. คทช. ให้ประชาชนปลูกไม้มีค่าและตัดตามพื้นที่ที่ประกาศอนุญาต นอกจากนี้ ยังมีโครงการ “ป่าชุมชน” ส่งเสริมประชาชนดูแลทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืนและได้รับประโยชน์จากการดูแลรักษาป่า ตามนโยบาย “รัฐได้ป่า ประชาชนได้ที่ทํากิน บนผืนดินเดียวกัน”
นายกรัฐมนตรี ยังเน้นการทํางานเพื่อเศรษฐกิจฐานรากให้เกิดประสิทธิภาพ ไม่ใช่ส่งเสริมให้คนกู้ แต่ต้องการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการ สําหรับจังหวัดแพร่มีการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ สนับสนุนเงินทุนให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จํานวน 634 กองทุน วงเงินรวม 190,200,000 บาท เพื่อส่งเสริมศักยภาพในการประกอบอาชีพ และความเป็นอยู่ในชุมชน การลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้มีสิทธิ์ 144,021 ราย มารับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแล้ว 141,464 ราย หรือร้อยละ 98.22 ปรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบขั้นบันได เพิ่มเบี้ยยังชีพความพิการ รวมทั้งนโยบาย UCEP ช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยฉุกเฉิน ให้มีสิทธิเข้ารักษาพยาบาลทุกที่ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ จับกุมผู้กระทําผิดการเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรา ส่งมอบโฉนดที่ดินและทรัพย์สินที่ถูกฉ้อโกง เน้นการพัฒนาชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี การพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและสิ่งอํานวยความสะดวก พัฒนาสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว เชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวแต่ละท้องถิ่น และส่งเสริมการตลาดชุมชนท่องเที่ยว
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการขับเคลื่อนภาคการเกษตร บริหารจัดการพื้นที่เกษตรตามแผนที่การเกษตรเชิงรุก (Zoning by Agri – Map) โดยปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวในพื้นที่ไม่เหมาะสม พัฒนาเกษตรกรสู่ Smart Farmer ส่งเสริมเกษตร GAP การปลูกพืชเกษตรอินทรีย์ โครงการเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อส่งเสริมการเกษตรปลอดภัยทั้งผู้ปลูกและผู้บริโภค สําหรับการบริหารจัดการน้ํา พื้นที่ภาคเหนือส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดเล็ก ในปี 2557 - 2561 พื้นที่ภาคเหนือ รวม 12,247 โครงการ งบประมาณรวมประมาณ 60,000 ล้านบาท เช่น การจัดทําระบบประปาหมู่บ้าน การขุดลอกแหล่งน้ําลําน้ํา การก่อสร้างเพิ่มความจุอ่างเก็บน้ํา การขุดสระน้ําในไร่นา การขุดบ่อบาดาล การป้องกันน้ําท่วมชุมชนเมือง และการป้องกันตลิ่งพังทลาย มีพื้นที่รับประโยชน์ 4.84 ล้านไร่ เพิ่มน้ําได้ 825 ล้านลูกบาศก์เมตร และเพิ่มแนวป้องกันตลิ่งได้ 89.57 กม. ซึ่งจังหวัดแพร่ มี 600 โครงการ งบประมาณรวม 2,864 ล้านบาท พื้นที่รับประโยชน์ 0.17 ล้านไร เพิ่มน้ําได้ 43 ล้านลูกบาศก์เมตร และเพิ่มแนวป้องกันตลิ่งได้ 2.21 กม. เพิ่มศักยภาพการเก็บกักน้ําอ่างเก็บน้ําแม่มาน พื้นที่รับประโยชน์ 11,500 ไร่ (กรมชลประทาน) เขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ํายม 9 แห่ง เพิ่มแนวป้องกันตลิ่ง 3.42 กม. (กรมโยธาธิการและผังเมือง) ขุดลอกและบํารุงรักษาร่องน้ําภายในประเทศที่แม่น้ํายม (กรมเจ้าท่า) ซึ่งทุกรัฐบาลจะต้องทําต่อไป โดยในปี 2563 จะมีโครงการขนาดใหญ่สําคัญ 8 โครงการ เพื่อสร้างความยั่งยืนและมั่นคง ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ําว่าทุกรัฐบาลต้องทํางานอย่างนี้
นายกรัฐมนตรีย้ําว่า การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมต้องเกิดขึ้น วันนี้มีโครงการพัฒนาที่สําคัญในพื้นที่ อาทิ โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ วงเงินรวม 85,345 ล้านบาท เป็นโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายใหม่ เพื่อเพิ่มความครอบคลุมพื้นที่ของโครงข่ายทางรถไฟในบริเวณภาคเหนือตอนบน เชื่อมต่อการเดินทางและขนส่งสินค้ากับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาชนจีนตอนใต้ เพื่อไปสู่การเพิ่มศักยภาพด้านการคมนาคมขนส่ง การค้า และการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ รวมทั้งการพัฒนาระบบดิจิตอลของประเทศ เพื่อประชาชนสามารถใช้เป็นแหล่งเรียนรู้
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลนี้มุ่งสร้างอนาคตให้ประชาชน ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี สิ่งสําคัญที่สุดของการพัฒนาคือ ประชาชนต้องได้รับประโยชน์ โดยยึดหลักความสมดุล สนับสนุนการกระจายผลประโยชน์จากการพัฒนาให้แก่ประชาชนในพื้นที่ วันนี้ขอเพียงให้ประชาชน มีความรัก ความสามัคคี และร่วมกันทํามาหากินอย่างสุจริต โดยนายกรัฐมนตรีร่วมร้องเพลง “คนดี ไม่มีวันตาย” ให้กําลังใจประชาชนด้วย
-----------------------
สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19388
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม คนร. ครั้งที่ 3/61 รับทราบความคืบหน้า การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ 6 แห่ง ในภาพรวมมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น
|
วันพุธที่ 12 กันยายน 2561
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม คนร. ครั้งที่ 3/61 รับทราบความคืบหน้า การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ 6 แห่ง ในภาพรวมมีผลการดําเนินงานที่ดีขึ้น
นายกรัฐมนตรีประชุม คนร. ครั้งที่ 3/2561 รับทราบความคืบหน้าการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ 6 แห่งในภาพรวมมีผลการดําเนินงานที่ดีขึ้น โดย DE เสนอรวมกิจการระหว่าง บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท. เพื่อศักยภาพการแข่งขันของประเทศ เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กร
วันนี้ (12 ก.ย.61) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ 3/2561 ร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
ภายหลังการประชุม นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คนร. และคณะ ได้แถลงผลการประชุมว่า คนร. ได้พิจารณาและรับทราบความคืบหน้าการดําเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรของรัฐวิสาหกิจทั้ง 6 แห่ง ซึ่งในภาพรวมรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่มีผลการดําเนินงานที่ดีขึ้น และได้ให้ความสําคัญกับการสร้างความเข้าใจกับพนักงาน สหภาพแรงงาน และผู้ที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ไขปัญหาให้เกิดความร่วมมือในการดําเนินงานเพื่อประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจพนักงาน และประชาชน โดยมีสาระสําคัญและ คนร. ได้ให้นโยบาย ดังนี้
คนร. รับทราบข้อเสนอของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ในการควบรวมกิจการของ บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) (บมจ. ทีโอที) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) (บมจ. กสท) และเห็นชอบการแต่งตั้งคณะทํางานเตรียมการรวมกิจการของ บมจ ทีโอที และ บมจ. กสท โดยมอบหมายให้กระทรวง DE บมจ ทีโอที และ บมจ. กสท จัดทํารายละเอียดในการควบรวมกิจการข้างต้นให้ครบถ้วนภายในเดือนพฤศจิกายน 2561 เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
พร้อมกันนี้ คนร. มอบหมายให้บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) (บกท.) เร่งดําเนินการให้เป็นไปตามแผนงานเพื่อให้เป็น National Premium Airline ได้ตามเป้าหมาย และมีผลประกอบการและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง รวมทั้งให้สร้างความร่วมมือกับหน่วยงานในภาครัฐและหน่วยงานเอกชน เพื่อสร้างประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง (Hub) ด้านการขนส่งทางอากาศยานในภูมิภาคและการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองตามนโยบายรัฐบาล
ด้านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) คนร. ให้ ขสมก. เร่งจัดหารถโดยสาร 3,183 คัน โดยด่วน เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการประชาชนโดยพิจารณาประเภทเชื้อเพลิงให้เหมาะสมกับ สภาพปัจจุบัน และมอบหมายให้ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กําหนดเส้นทางการเดินรถให้สะดวกกับประชาชนและศึกษาราคาค่าบริการมาตรฐานสําหรับขนส่งมวลชนแต่ละประเภท (Mobility Unit Price) ในราคาค่าบริการที่มีความเป็นธรรม
คนร. รับทราบการดําเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในเรื่องการดําเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรางที่สําคัญได้เป็นไปตามแผนงาน ทั้งนี้ คนร. ได้มอบหมายให้ รฟท. เร่งดําเนินการต่าง ๆ เช่น บริหารจัดการทรัพย์สินของ รฟท. และการบริหารจัดการเดินรถไฟฟ้าสายสีแดง ให้เป็นไปตามแผนการดําเนินการต่อไป
นอกจากนี้ ในส่วนของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) พระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 มีผลบังคับใช้แล้ว และจะทยอยเพิ่มทุนได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 ซึ่ง ธอท. มีผลประกอบการในช่วง 8 เดือน เป็นกําไรสุทธิทั้งสิ้น 811 ล้านบาท ทั้งนี้ คนร. ได้มอบหมายให้ ธอท. เร่งดําเนินการฟื้นฟูกิจการให้ธนาคารมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPF) รวมทั้งขยายฐานลูกค้ามุสลิมให้เพิ่มขึ้นตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งและการนําเทคโนโลยีมายกระดับการดําเนินงานให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมธนาคารในปัจจุบัน
-----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
(ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม คนร. ครั้งที่ 3/61 รับทราบความคืบหน้า การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ 6 แห่ง ในภาพรวมมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น
วันพุธที่ 12 กันยายน 2561
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม คนร. ครั้งที่ 3/61 รับทราบความคืบหน้า การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ 6 แห่ง ในภาพรวมมีผลการดําเนินงานที่ดีขึ้น
นายกรัฐมนตรีประชุม คนร. ครั้งที่ 3/2561 รับทราบความคืบหน้าการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ 6 แห่งในภาพรวมมีผลการดําเนินงานที่ดีขึ้น โดย DE เสนอรวมกิจการระหว่าง บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท. เพื่อศักยภาพการแข่งขันของประเทศ เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กร
วันนี้ (12 ก.ย.61) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ 3/2561 ร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
ภายหลังการประชุม นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คนร. และคณะ ได้แถลงผลการประชุมว่า คนร. ได้พิจารณาและรับทราบความคืบหน้าการดําเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรของรัฐวิสาหกิจทั้ง 6 แห่ง ซึ่งในภาพรวมรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่มีผลการดําเนินงานที่ดีขึ้น และได้ให้ความสําคัญกับการสร้างความเข้าใจกับพนักงาน สหภาพแรงงาน และผู้ที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ไขปัญหาให้เกิดความร่วมมือในการดําเนินงานเพื่อประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจพนักงาน และประชาชน โดยมีสาระสําคัญและ คนร. ได้ให้นโยบาย ดังนี้
คนร. รับทราบข้อเสนอของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ในการควบรวมกิจการของ บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) (บมจ. ทีโอที) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) (บมจ. กสท) และเห็นชอบการแต่งตั้งคณะทํางานเตรียมการรวมกิจการของ บมจ ทีโอที และ บมจ. กสท โดยมอบหมายให้กระทรวง DE บมจ ทีโอที และ บมจ. กสท จัดทํารายละเอียดในการควบรวมกิจการข้างต้นให้ครบถ้วนภายในเดือนพฤศจิกายน 2561 เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
พร้อมกันนี้ คนร. มอบหมายให้บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) (บกท.) เร่งดําเนินการให้เป็นไปตามแผนงานเพื่อให้เป็น National Premium Airline ได้ตามเป้าหมาย และมีผลประกอบการและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง รวมทั้งให้สร้างความร่วมมือกับหน่วยงานในภาครัฐและหน่วยงานเอกชน เพื่อสร้างประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง (Hub) ด้านการขนส่งทางอากาศยานในภูมิภาคและการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองตามนโยบายรัฐบาล
ด้านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) คนร. ให้ ขสมก. เร่งจัดหารถโดยสาร 3,183 คัน โดยด่วน เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการประชาชนโดยพิจารณาประเภทเชื้อเพลิงให้เหมาะสมกับ สภาพปัจจุบัน และมอบหมายให้ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กําหนดเส้นทางการเดินรถให้สะดวกกับประชาชนและศึกษาราคาค่าบริการมาตรฐานสําหรับขนส่งมวลชนแต่ละประเภท (Mobility Unit Price) ในราคาค่าบริการที่มีความเป็นธรรม
คนร. รับทราบการดําเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในเรื่องการดําเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรางที่สําคัญได้เป็นไปตามแผนงาน ทั้งนี้ คนร. ได้มอบหมายให้ รฟท. เร่งดําเนินการต่าง ๆ เช่น บริหารจัดการทรัพย์สินของ รฟท. และการบริหารจัดการเดินรถไฟฟ้าสายสีแดง ให้เป็นไปตามแผนการดําเนินการต่อไป
นอกจากนี้ ในส่วนของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) พระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 มีผลบังคับใช้แล้ว และจะทยอยเพิ่มทุนได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 ซึ่ง ธอท. มีผลประกอบการในช่วง 8 เดือน เป็นกําไรสุทธิทั้งสิ้น 811 ล้านบาท ทั้งนี้ คนร. ได้มอบหมายให้ ธอท. เร่งดําเนินการฟื้นฟูกิจการให้ธนาคารมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPF) รวมทั้งขยายฐานลูกค้ามุสลิมให้เพิ่มขึ้นตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งและการนําเทคโนโลยีมายกระดับการดําเนินงานให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมธนาคารในปัจจุบัน
-----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
(ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15324
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ชี้แจงกรณีการเดินทางของนักฟุตบอลชาวต่างชาติ ผ่านการอนุญาตอย่างถูกต้อง ขณะที่ผู้เดินทางจากจังหวัดระยอง ไม่จำเป็นต้องกักตัว
|
วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2563
โฆษก ศบค. ชี้แจงกรณีการเดินทางของนักฟุตบอลชาวต่างชาติ ผ่านการอนุญาตอย่างถูกต้อง ขณะที่ผู้เดินทางจากจังหวัดระยอง ไม่จําเป็นต้องกักตัว
โฆษก ศบค. ชี้แจงกรณีการเดินทางของนักฟุตบอลชาวต่างชาติ ผ่านการอนุญาตอย่างถูกต้อง ขณะที่ผู้เดินทางจากจังหวัดระยอง ไม่จําเป็นต้องกักตัว
วันนี้ (17 ก.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนที่สอบถามผ่านโซเชียลมีเดียช่วงการแถลงข่าวของศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
โฆษก ศบค. กล่าวถึงกรณีการเดินทางของนักฟุตบอลชาวต่างชาติทีมบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ที่จะเดินทางเข้ามายังท่าอากาศยานดอนเมือง ในวันที่ 19 ก.ค. นี้ ว่า มีการขออนุญาตการเดินทางอย่างถูกต้อง โดยบุคคลกลุ่มดังกล่าวต้องผ่านการตรวจสอบคัดกรอง หากไม่พบเชื้อโควิด-19 จะเดินทางต่อไปยังท่าอากาศยานบุรีรัมย์และเข้าไปยังสถานที่กักตัว Alternative Local Quarantine : ALQ ต่อไป ทั้งนี้ ขอยืนยันอีกครั้งว่า ผู้เดินทางมาจากจังหวัดระยอง สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
โฆษก ศบค. ยังชี้แจงเพิ่มเติมกรณีนักการทูตจากตะวันตกที่ไม่สามารถเข้าพักในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งได้ ขณะนี้ได้มีการประสานเพื่อให้นักการทูตเข้าพักในโรงแรม Grand Centre Point Terminal 21 ซึ่งเป็น Alternative State Quarantine หนึ่งในรูปแบบของสถานที่กักกัน ทั้งนี้ ประชาชนสามารถตรวจสอบพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก (Alternative State Quarantine) ได้ที่ www.hsscovid.com
................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ชี้แจงกรณีการเดินทางของนักฟุตบอลชาวต่างชาติ ผ่านการอนุญาตอย่างถูกต้อง ขณะที่ผู้เดินทางจากจังหวัดระยอง ไม่จำเป็นต้องกักตัว
วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2563
โฆษก ศบค. ชี้แจงกรณีการเดินทางของนักฟุตบอลชาวต่างชาติ ผ่านการอนุญาตอย่างถูกต้อง ขณะที่ผู้เดินทางจากจังหวัดระยอง ไม่จําเป็นต้องกักตัว
โฆษก ศบค. ชี้แจงกรณีการเดินทางของนักฟุตบอลชาวต่างชาติ ผ่านการอนุญาตอย่างถูกต้อง ขณะที่ผู้เดินทางจากจังหวัดระยอง ไม่จําเป็นต้องกักตัว
วันนี้ (17 ก.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนที่สอบถามผ่านโซเชียลมีเดียช่วงการแถลงข่าวของศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
โฆษก ศบค. กล่าวถึงกรณีการเดินทางของนักฟุตบอลชาวต่างชาติทีมบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ที่จะเดินทางเข้ามายังท่าอากาศยานดอนเมือง ในวันที่ 19 ก.ค. นี้ ว่า มีการขออนุญาตการเดินทางอย่างถูกต้อง โดยบุคคลกลุ่มดังกล่าวต้องผ่านการตรวจสอบคัดกรอง หากไม่พบเชื้อโควิด-19 จะเดินทางต่อไปยังท่าอากาศยานบุรีรัมย์และเข้าไปยังสถานที่กักตัว Alternative Local Quarantine : ALQ ต่อไป ทั้งนี้ ขอยืนยันอีกครั้งว่า ผู้เดินทางมาจากจังหวัดระยอง สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
โฆษก ศบค. ยังชี้แจงเพิ่มเติมกรณีนักการทูตจากตะวันตกที่ไม่สามารถเข้าพักในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งได้ ขณะนี้ได้มีการประสานเพื่อให้นักการทูตเข้าพักในโรงแรม Grand Centre Point Terminal 21 ซึ่งเป็น Alternative State Quarantine หนึ่งในรูปแบบของสถานที่กักกัน ทั้งนี้ ประชาชนสามารถตรวจสอบพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก (Alternative State Quarantine) ได้ที่ www.hsscovid.com
................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33466
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรีเตรียมเดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประชาชนจังหวัดปราจีนบุรี 9 มี.ค.60 นี้
|
วันอังคารที่ 7 มีนาคม 2560
ผู้ช่วยโฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรีเตรียมเดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประชาชนจังหวัดปราจีนบุรี 9 มี.ค.60 นี้
ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยนายกรัฐมนตรีเตรียมเดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประชาชนจังหวัดปราจีนบุรี 9 มี.ค.60 นี้ พร้อมตรวจราชการระบบการดูแล รักษาพยาบาลและติดตามความก้าวหน้าการดําเนินโครงการเมืองสมุนไพร ณ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
วันนี้ ( 7 มี.ค. 60) เวลา 14.50 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2560 นายกรัฐมนตรี จะเดินทางลงพื้นที่ตรวจราชการและตรวจเยี่ยมประชาชนในจังหวัดปราจีนบุรี โดยในช่วงเช้านายกรัฐมนตรีและคณะจะออกเดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ จาก พล.ม.2 รอ. เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ไปยังมณฑลทหารบกที่ 12 ค่ายจักรพงษ์ อําเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อตรวจเยี่ยมคลีนิคหมอครอบครัว (Primary Care Cluster : PCC ) และพบปะประชาชนผู้มารับบริการ ณ อาคารคลีนิคหมอครอบครัวสาขาศาลาไทยอําเภอเมือง
สําหรับการดําเนินการคลีนิคหมอครอบครัว เป็นการปฏิรูประบบบริการสุขภาพ โดยการพัฒนาระบบ บริการปฐมภูมิ(Primary Care Service) ที่จะทําให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างทั่วถึง โดยมีการจัดทีมแพทย์เข้าถึงประชาชนในพื้นที่เพื่อเน้นการป้องกันและให้ความรู้เรื่องสาธารณสุขพื้นฐานในเบื้องต้นกับประชาชน เพื่อให้รู้จักป้องกันตนเองจากเกิดโรคต่าง ๆ อันจะทําให้สามารถช่วยประหยัดงบประมาณในการที่จะไปรักษาพยาบาลในขั้นต่อไป จากนั้นเดินทางไปยังโรงเรียนปราจิณราษฎรอํารุง อําเภอเมือง เพื่อพบปะประชาชน ข้าราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กํานัน ผู้ใหญ่บ้านและกลุ่ม พลังมวลชนจังหวัดปราจีนบุรี
ต่อจากนั้นจะเดินทางไปตรวจเยี่ยมการดําเนินการของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เพื่อตรวจราชการระบบการดูแล รักษาพยาบาลและติดตามความก้าวหน้าการดําเนินโครงการเมืองสมุนไพร (Herbal City) และเยี่ยมประชาชนผู้มารับบริการ ก่อนเดินทางกลับในช่วงบ่าย
-----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรีเตรียมเดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประชาชนจังหวัดปราจีนบุรี 9 มี.ค.60 นี้
วันอังคารที่ 7 มีนาคม 2560
ผู้ช่วยโฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรีเตรียมเดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประชาชนจังหวัดปราจีนบุรี 9 มี.ค.60 นี้
ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยนายกรัฐมนตรีเตรียมเดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมประชาชนจังหวัดปราจีนบุรี 9 มี.ค.60 นี้ พร้อมตรวจราชการระบบการดูแล รักษาพยาบาลและติดตามความก้าวหน้าการดําเนินโครงการเมืองสมุนไพร ณ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
วันนี้ ( 7 มี.ค. 60) เวลา 14.50 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2560 นายกรัฐมนตรี จะเดินทางลงพื้นที่ตรวจราชการและตรวจเยี่ยมประชาชนในจังหวัดปราจีนบุรี โดยในช่วงเช้านายกรัฐมนตรีและคณะจะออกเดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ จาก พล.ม.2 รอ. เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ไปยังมณฑลทหารบกที่ 12 ค่ายจักรพงษ์ อําเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อตรวจเยี่ยมคลีนิคหมอครอบครัว (Primary Care Cluster : PCC ) และพบปะประชาชนผู้มารับบริการ ณ อาคารคลีนิคหมอครอบครัวสาขาศาลาไทยอําเภอเมือง
สําหรับการดําเนินการคลีนิคหมอครอบครัว เป็นการปฏิรูประบบบริการสุขภาพ โดยการพัฒนาระบบ บริการปฐมภูมิ(Primary Care Service) ที่จะทําให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างทั่วถึง โดยมีการจัดทีมแพทย์เข้าถึงประชาชนในพื้นที่เพื่อเน้นการป้องกันและให้ความรู้เรื่องสาธารณสุขพื้นฐานในเบื้องต้นกับประชาชน เพื่อให้รู้จักป้องกันตนเองจากเกิดโรคต่าง ๆ อันจะทําให้สามารถช่วยประหยัดงบประมาณในการที่จะไปรักษาพยาบาลในขั้นต่อไป จากนั้นเดินทางไปยังโรงเรียนปราจิณราษฎรอํารุง อําเภอเมือง เพื่อพบปะประชาชน ข้าราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กํานัน ผู้ใหญ่บ้านและกลุ่ม พลังมวลชนจังหวัดปราจีนบุรี
ต่อจากนั้นจะเดินทางไปตรวจเยี่ยมการดําเนินการของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เพื่อตรวจราชการระบบการดูแล รักษาพยาบาลและติดตามความก้าวหน้าการดําเนินโครงการเมืองสมุนไพร (Herbal City) และเยี่ยมประชาชนผู้มารับบริการ ก่อนเดินทางกลับในช่วงบ่าย
-----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2243
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ครบรอบ 17 ปี เดินหน้าฟื้นฟู อนุรักษ์ ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2562
ทส. ครบรอบ 17 ปี เดินหน้าฟื้นฟู อนุรักษ์ ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินหน้าการดําเนินงานด้านการฟื้นฟู อนุรักษ์ ดูแล รักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของประเทศชาติและประโยชน์สุขแก่ประชาชน
ทส. ครบรอบ 17 ปี เดินหน้าฟื้นฟู อนุรักษ์ ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินหน้าการดําเนินงานด้านการฟื้นฟู อนุรักษ์ ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของประเทศชาติและประโยชน์สุขแก่ประชาชน
วันนี้ (3 ตุลาคม 2562) โดยเวลาประมาณ 07.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริหารฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจํา ประกอบด้วย นายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ นายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีฯ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ในสังกัดฯ ร่วมพิธีสักการะ
พระพุทธสยัมภู พระประจํากระทรวง และศาลพระภูมิเจ้าที่ ณ บริเวณหน้าอาคารกรมควบคุมมลพิษ จากนั้น ร่วมประกอบพิธีสงฆ์ โดยมีพระสงฆ์จากวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร เจริญพระพุทธมนต์ ณ ห้องประชุมศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ชั้น 2 อาคารกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครบรอบ 17 ปี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวให้กําลังใจและมอบนโยบายแก่ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการปฏิบัติงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และให้น้อมนําแนวทางตามพระราชดําริพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มาเป็นกรอบแนวทางในการดําเนินงาน 4 ด้าน ดังนี้
►ด้านทรัพยากรน้ํา เร่งรัดการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง พัฒนาแหล่งน้ําและระบบกระจายน้ํา รวมทั้ง การขุดเจาะน้ําบาดาลและการเติมน้ําใต้ดินในฤดูน้ําหลาก เพื่ออุปโภค บริโภค
►ด้านสิ่งแวดล้อม สร้างการมีส่วนร่วม และการบูรณาการระหว่างหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ในการแก้ไขปัญหาขยะพลาสติก การนําเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ และการแก้ไขปัญหาหมอกควัน ไฟป่า และฝุ่นละออง PM2.5 PM10 รวมทั้ง พัฒนาการดําเนินงานด้านผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม EIA /EHIA
►ด้านทรัพยากรธรรมชาติ ให้ความสําคัญในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งผืนป่า สัตว์ป่า ท้องทะเล การเพิ่มพื้นที่สีเขียว เน้นการทํางานแบบบูรณาและการมีส่วนร่วม และสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่ เพื่อร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
►ด้านการบริหารจัดการ เร่งดําเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ระเบียบต่าง ๆ สร้างความเข้มแข็งให้กับหน่วยงานทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค อีกทั้งให้ศึกษาและทําความเข้าใจข้อกฎหมาย
กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ในการปกป้อง ดูแล รักษา ทรัพยากรป่าไม้ ท้องทะเล และสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ขอให้ทุกหน่วยงานเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลการดําเนินงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ โดยเฉพาะทางโซเซียลมีเดีย เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับบทบาท อํานาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ตลอดจนขอให้ทุกหน่วยงานให้ความสําคัญเกี่ยวกับสวัสดิการ การสร้างขวัญและกําลังใจในการทํางานกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน โดยยึดหลักการทํางานโปร่งใส ตรวจสอบได้ รวมถึงให้มีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้มีความเชื่อมโยงกัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ครบรอบ 17 ปี เดินหน้าฟื้นฟู อนุรักษ์ ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2562
ทส. ครบรอบ 17 ปี เดินหน้าฟื้นฟู อนุรักษ์ ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินหน้าการดําเนินงานด้านการฟื้นฟู อนุรักษ์ ดูแล รักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของประเทศชาติและประโยชน์สุขแก่ประชาชน
ทส. ครบรอบ 17 ปี เดินหน้าฟื้นฟู อนุรักษ์ ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินหน้าการดําเนินงานด้านการฟื้นฟู อนุรักษ์ ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของประเทศชาติและประโยชน์สุขแก่ประชาชน
วันนี้ (3 ตุลาคม 2562) โดยเวลาประมาณ 07.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริหารฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจํา ประกอบด้วย นายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ นายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีฯ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ในสังกัดฯ ร่วมพิธีสักการะ
พระพุทธสยัมภู พระประจํากระทรวง และศาลพระภูมิเจ้าที่ ณ บริเวณหน้าอาคารกรมควบคุมมลพิษ จากนั้น ร่วมประกอบพิธีสงฆ์ โดยมีพระสงฆ์จากวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร เจริญพระพุทธมนต์ ณ ห้องประชุมศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ชั้น 2 อาคารกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครบรอบ 17 ปี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวให้กําลังใจและมอบนโยบายแก่ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการปฏิบัติงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และให้น้อมนําแนวทางตามพระราชดําริพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มาเป็นกรอบแนวทางในการดําเนินงาน 4 ด้าน ดังนี้
►ด้านทรัพยากรน้ํา เร่งรัดการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง พัฒนาแหล่งน้ําและระบบกระจายน้ํา รวมทั้ง การขุดเจาะน้ําบาดาลและการเติมน้ําใต้ดินในฤดูน้ําหลาก เพื่ออุปโภค บริโภค
►ด้านสิ่งแวดล้อม สร้างการมีส่วนร่วม และการบูรณาการระหว่างหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ในการแก้ไขปัญหาขยะพลาสติก การนําเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ และการแก้ไขปัญหาหมอกควัน ไฟป่า และฝุ่นละออง PM2.5 PM10 รวมทั้ง พัฒนาการดําเนินงานด้านผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม EIA /EHIA
►ด้านทรัพยากรธรรมชาติ ให้ความสําคัญในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งผืนป่า สัตว์ป่า ท้องทะเล การเพิ่มพื้นที่สีเขียว เน้นการทํางานแบบบูรณาและการมีส่วนร่วม และสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่ เพื่อร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
►ด้านการบริหารจัดการ เร่งดําเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ระเบียบต่าง ๆ สร้างความเข้มแข็งให้กับหน่วยงานทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค อีกทั้งให้ศึกษาและทําความเข้าใจข้อกฎหมาย
กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ในการปกป้อง ดูแล รักษา ทรัพยากรป่าไม้ ท้องทะเล และสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ขอให้ทุกหน่วยงานเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลการดําเนินงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ โดยเฉพาะทางโซเซียลมีเดีย เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับบทบาท อํานาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ตลอดจนขอให้ทุกหน่วยงานให้ความสําคัญเกี่ยวกับสวัสดิการ การสร้างขวัญและกําลังใจในการทํางานกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน โดยยึดหลักการทํางานโปร่งใส ตรวจสอบได้ รวมถึงให้มีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้มีความเชื่อมโยงกัน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23593
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงใยเกษตรกร แนะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูกมุ่งเน้นลดรายจ่ายเพิ่มมูลค่าผลผลิต ย้ำรัฐบาลยินดีช่วยเหลือทุกรูปแบบ วอนทุกฝ่ายร่วมมือขจัดปัญหาการเกษตรที่เรื้อรัง
|
วันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม 2560
นายกฯ ห่วงใยเกษตรกร แนะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูกมุ่งเน้นลดรายจ่ายเพิ่มมูลค่าผลผลิต ย้ํารัฐบาลยินดีช่วยเหลือทุกรูปแบบ วอนทุกฝ่ายร่วมมือขจัดปัญหาการเกษตรที่เรื้อรัง
นายกฯ ห่วงใยเกษตรกร แนะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูกมุ่งเน้นลดรายจ่ายเพิ่มมูลค่าผลผลิต ย้ํารัฐบาลยินดีช่วยเหลือทุกรูปแบบ วอนทุกฝ่ายร่วมมือขจัดปัญหาการเกษตรที่เรื้อรัง
วันนี้ (23 ตุลาคม 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผิดเผยว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้เวลาช่วงวันหยุดทบทวนภารกิจและปัญหาสําคัญของบ้านเมือง โดยเฉพาะปัญหาปากท้องและชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกร ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยย้ําว่าการจัดสรรพื้นที่เพาะปลูกอย่างเหมาะสม การทําไร่นาสวนผสมควบคู่กับการเลี้ยงสัตว์ เช่น ไก่ ปลา สุกร ฯลฯ เพื่อให้มีรายได้เสริมและลดรายจ่ายของครอบครัว ตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เป็นแนวทางที่ควรนําไปประยุกต์ใช้
“การทําให้สินค้าเกษตรมีราคาดีขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ที่สําคัญคือการเพิ่มมูลค่าผลผลิตและลดต้นทุนการผลิต เกษตรกรควรพิจารณาปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกโดยใช้พันธุ์ที่มีคุณภาพ ใช้วิธีอินทรีย์และนวัตกรรมเข้ามาช่วย เช่น ปลูกข้าวอินทรีย์ แปรรูปยาง หรือปลูกปาล์มที่ให้น้ํามันสูงขึ้น เพราะตลาดมีความต้องการมาก ขณะเดียวกันต้องลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งการจ้างคน การใช้ปุ๋ยเคมีที่ไม่จําเป็น และประหยัดการใช้น้ํา
นอกจากนี้ ควรรวมกลุ่มให้เกิดความเข้มแข็ง สร้างอํานาจต่อรอง เพื่อไม่ให้ถูกกดราคา โดยรัฐบาลกําลังจัดหาและพัฒนาตลาด ทั้งตลาดทั่วไปและตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มผู้รักสุขภาพ กลุ่มที่ชอบสินค้าแปลกใหม่ เป็นต้น เพื่อให้ผู้ค้าสามารถขายสินค้าได้โดยตรง โดยจะกระจายอยู่ทั่วประเทศและขยายไปยังต่างประเทศด้วย”
นายกรัฐมนตรียังกล่าวด้วยว่า หากพี่น้องเกษตรไม่ร่วมมือหรือปรับเปลี่ยนวิธีการทําการเกษตร ก็คงไม่มีรัฐบาลใดช่วยแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนได้ นอกจากใช้วิธีพยุงราคาซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่มีวันจบสิ้น เปรียบเหมือนการให้ยาเลี้ยงไข้แต่ไม่มีวันหาย ที่ผ่านมาการปลูกพืชตามกระแสจนปริมาณล้นตลาดเป็นปัญหาใหญ่ ทําให้ราคาผลผลิตตกต่ํา ดังนั้น เมื่อทุกคนมองเห็นจุดอ่อน มีการยื่นข้อเรียกร้อง และภาครัฐบาลรู้ความต้องการของตลาด ทั้งเกษตรกรและรัฐบาลจึงต้องพร้อมใจกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
“รัฐบาลยินดีสนับสนุน ส่งเจ้าหน้าที่ลงไปให้คําแนะนํา เพื่อทํางานร่วมกัน รวมทั้งอยากให้พี่น้องเกษตรกรไปติดต่อพูดคุยปรึกษาหารือกับบุคลากรด้านการเกษตรทุกระดับที่อยู่ในพื้นที่ หรือศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ที่มีอยู่กว่า 880 แห่งทั่วประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล พัฒนาความรู้ และปรับเปลี่ยนวิธีการเพาะปลูกให้ทันสมัยและสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ยกระดับรายได้และเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ตนเองและครอบครัว”
---------------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงใยเกษตรกร แนะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูกมุ่งเน้นลดรายจ่ายเพิ่มมูลค่าผลผลิต ย้ำรัฐบาลยินดีช่วยเหลือทุกรูปแบบ วอนทุกฝ่ายร่วมมือขจัดปัญหาการเกษตรที่เรื้อรัง
วันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม 2560
นายกฯ ห่วงใยเกษตรกร แนะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูกมุ่งเน้นลดรายจ่ายเพิ่มมูลค่าผลผลิต ย้ํารัฐบาลยินดีช่วยเหลือทุกรูปแบบ วอนทุกฝ่ายร่วมมือขจัดปัญหาการเกษตรที่เรื้อรัง
นายกฯ ห่วงใยเกษตรกร แนะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูกมุ่งเน้นลดรายจ่ายเพิ่มมูลค่าผลผลิต ย้ํารัฐบาลยินดีช่วยเหลือทุกรูปแบบ วอนทุกฝ่ายร่วมมือขจัดปัญหาการเกษตรที่เรื้อรัง
วันนี้ (23 ตุลาคม 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผิดเผยว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้เวลาช่วงวันหยุดทบทวนภารกิจและปัญหาสําคัญของบ้านเมือง โดยเฉพาะปัญหาปากท้องและชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกร ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยย้ําว่าการจัดสรรพื้นที่เพาะปลูกอย่างเหมาะสม การทําไร่นาสวนผสมควบคู่กับการเลี้ยงสัตว์ เช่น ไก่ ปลา สุกร ฯลฯ เพื่อให้มีรายได้เสริมและลดรายจ่ายของครอบครัว ตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เป็นแนวทางที่ควรนําไปประยุกต์ใช้
“การทําให้สินค้าเกษตรมีราคาดีขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ที่สําคัญคือการเพิ่มมูลค่าผลผลิตและลดต้นทุนการผลิต เกษตรกรควรพิจารณาปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกโดยใช้พันธุ์ที่มีคุณภาพ ใช้วิธีอินทรีย์และนวัตกรรมเข้ามาช่วย เช่น ปลูกข้าวอินทรีย์ แปรรูปยาง หรือปลูกปาล์มที่ให้น้ํามันสูงขึ้น เพราะตลาดมีความต้องการมาก ขณะเดียวกันต้องลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งการจ้างคน การใช้ปุ๋ยเคมีที่ไม่จําเป็น และประหยัดการใช้น้ํา
นอกจากนี้ ควรรวมกลุ่มให้เกิดความเข้มแข็ง สร้างอํานาจต่อรอง เพื่อไม่ให้ถูกกดราคา โดยรัฐบาลกําลังจัดหาและพัฒนาตลาด ทั้งตลาดทั่วไปและตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มผู้รักสุขภาพ กลุ่มที่ชอบสินค้าแปลกใหม่ เป็นต้น เพื่อให้ผู้ค้าสามารถขายสินค้าได้โดยตรง โดยจะกระจายอยู่ทั่วประเทศและขยายไปยังต่างประเทศด้วย”
นายกรัฐมนตรียังกล่าวด้วยว่า หากพี่น้องเกษตรไม่ร่วมมือหรือปรับเปลี่ยนวิธีการทําการเกษตร ก็คงไม่มีรัฐบาลใดช่วยแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนได้ นอกจากใช้วิธีพยุงราคาซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่มีวันจบสิ้น เปรียบเหมือนการให้ยาเลี้ยงไข้แต่ไม่มีวันหาย ที่ผ่านมาการปลูกพืชตามกระแสจนปริมาณล้นตลาดเป็นปัญหาใหญ่ ทําให้ราคาผลผลิตตกต่ํา ดังนั้น เมื่อทุกคนมองเห็นจุดอ่อน มีการยื่นข้อเรียกร้อง และภาครัฐบาลรู้ความต้องการของตลาด ทั้งเกษตรกรและรัฐบาลจึงต้องพร้อมใจกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
“รัฐบาลยินดีสนับสนุน ส่งเจ้าหน้าที่ลงไปให้คําแนะนํา เพื่อทํางานร่วมกัน รวมทั้งอยากให้พี่น้องเกษตรกรไปติดต่อพูดคุยปรึกษาหารือกับบุคลากรด้านการเกษตรทุกระดับที่อยู่ในพื้นที่ หรือศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ที่มีอยู่กว่า 880 แห่งทั่วประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล พัฒนาความรู้ และปรับเปลี่ยนวิธีการเพาะปลูกให้ทันสมัยและสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ยกระดับรายได้และเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ตนเองและครอบครัว”
---------------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7577
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วศ. แนะใส่ใจเลือกภาชนะเมลามีนเหมาะสม ปลอดภัยในช่วงกินร้อนป้องกันโควิด-19
|
วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน 2563
วศ. แนะใส่ใจเลือกภาชนะเมลามีนเหมาะสม ปลอดภัยในช่วงกินร้อนป้องกันโควิด-19
วศ. แนะใส่ใจเลือกภาชนะเมลามีนเหมาะสม ปลอดภัยในช่วงกินร้อนป้องกันโควิด-19
เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) แนะนําประชาชนผู้บริโภคให้ใส่ใจในการเลือกใช้ภาชนะเมลามีนบรรจุอาหาร ให้มีความเหมาะสมต่อการใช้งานบรรจุอาหารในช่วงที่ต้องอุ่นอาหารให้ร้อนเพื่อป้องกันโรคโควิด-19นี้
กรมวิทยาศาสตร์บริการ โดยศูนย์ทดสอบวัสดุสัมผัสอาหารของอาเซียน กองผลิตภัณฑ์อาหารและวัสดุสัมผัสอาหารมีภารกิจหลักในการทดสอบคุณภาพ และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ อาหาร น้ํา และวัสดุสัมผัสอาหารด้านกายภาพ เคมี และชีวภาพ รวมถึงการให้ความรู้ ความเข้าใจ การเลือกใช้วัสดุสัมผัสอาหาร หรือภาชนะบรรจุอาหารให้เหมาะสม ลดความเสี่ยงการใช้ภาชะที่ไม่มีคุณภาพ จะได้ปลอดภัยจากสารปนเปื้อนที่มากับภาชนะบรรจุ โดยเฉพาะภาชนะเมลามีนที่คนส่วนใหญ่มักนํามาใช้งานไม่เหมาะสม เนื่องจากเข้าใจผิด คิดว่าภาชนะเมลามีนเป็นภาชนะที่ทนความร้อนได้สูงมาใช้บรรจุอาหารร้อนจัดซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะทําให้มีสารละลายปนเปื้อนมากับอาหารได้ จึงมีข้อแนะนําการใช้เมลามีนดั้งนี้ 1.ควรเลือกภาชนะที่มีเครื่องหมาย มอก. 2.ไม่นําไปใช้กับของร้อนอุณหภูมิสูงกว่า 95 องศาเซลเซียสเป็นเวลานาน 3.ไม่นําไปใช้กับอาหารรสจัด 4.ห้ามใช้งานกับไมโครเวฟ 5. ไม่ควรใช้อุปกรณ์แข็งในการล้างทําความสะอาดป้องกันการเกิดรอยขีดข่วน การเลือกภาชนะบรรจุอาหารควรเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งาน และควรระวังไม่ใช้ภาชนะพลาสติกเมลามีนเลียนแบบที่ทําจากพลาสติกยูเรีย - ฟอร์มาลดีไฮด์ ลักษณะที่คล้ายกับภาชนะเมลามีนวางขาย ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้บรรจุอาหาร บางครั้งจะเลียนแบบโดยการเคลือบผิวด้วยพลาสติกเมลามีน ทําให้แยกแยะได้ยากยิ่งขึ้น ภาชนะเลียนแบบเหล่านี้ทนอุณหภูมิได้ต่ําเมื่อนํามาใช้งานจึงมีความเสี่ยงสูงกับการได้รับสารปนเปื้อนมากับอาหาร ข้อสังเกตคือภาชนะเลียนแบบเหล่านี้จะมีราคาถูกวางขายทั้งที่ไม่มีเครื่องหมายมาตรฐาน
ทั้งนี้สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ศูนย์ทดสอบวัสดุสัมผัสอาหารของอาเซียน กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 02-201-7308 หรือเบอร์ 02-2017000 ในวันและเวลาราชการ หรือติดตามข้อมูลข่าวสาร จําเป็นต่อความปลอดภัยในชีวิตประจําวันได้ทางเพจ Doctor D. ซึ่งเป็นเพจที่ให้ข้อมูลวิทยาศาสตร์ควบคุมดูแลข้อมูลโดยนักวิทยาศาสตร์ของกรมวิทยาศาสตร์บริการ
ข้อมูลข่าวโดย : กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วศ. แนะใส่ใจเลือกภาชนะเมลามีนเหมาะสม ปลอดภัยในช่วงกินร้อนป้องกันโควิด-19
วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน 2563
วศ. แนะใส่ใจเลือกภาชนะเมลามีนเหมาะสม ปลอดภัยในช่วงกินร้อนป้องกันโควิด-19
วศ. แนะใส่ใจเลือกภาชนะเมลามีนเหมาะสม ปลอดภัยในช่วงกินร้อนป้องกันโควิด-19
เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) แนะนําประชาชนผู้บริโภคให้ใส่ใจในการเลือกใช้ภาชนะเมลามีนบรรจุอาหาร ให้มีความเหมาะสมต่อการใช้งานบรรจุอาหารในช่วงที่ต้องอุ่นอาหารให้ร้อนเพื่อป้องกันโรคโควิด-19นี้
กรมวิทยาศาสตร์บริการ โดยศูนย์ทดสอบวัสดุสัมผัสอาหารของอาเซียน กองผลิตภัณฑ์อาหารและวัสดุสัมผัสอาหารมีภารกิจหลักในการทดสอบคุณภาพ และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ อาหาร น้ํา และวัสดุสัมผัสอาหารด้านกายภาพ เคมี และชีวภาพ รวมถึงการให้ความรู้ ความเข้าใจ การเลือกใช้วัสดุสัมผัสอาหาร หรือภาชนะบรรจุอาหารให้เหมาะสม ลดความเสี่ยงการใช้ภาชะที่ไม่มีคุณภาพ จะได้ปลอดภัยจากสารปนเปื้อนที่มากับภาชนะบรรจุ โดยเฉพาะภาชนะเมลามีนที่คนส่วนใหญ่มักนํามาใช้งานไม่เหมาะสม เนื่องจากเข้าใจผิด คิดว่าภาชนะเมลามีนเป็นภาชนะที่ทนความร้อนได้สูงมาใช้บรรจุอาหารร้อนจัดซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะทําให้มีสารละลายปนเปื้อนมากับอาหารได้ จึงมีข้อแนะนําการใช้เมลามีนดั้งนี้ 1.ควรเลือกภาชนะที่มีเครื่องหมาย มอก. 2.ไม่นําไปใช้กับของร้อนอุณหภูมิสูงกว่า 95 องศาเซลเซียสเป็นเวลานาน 3.ไม่นําไปใช้กับอาหารรสจัด 4.ห้ามใช้งานกับไมโครเวฟ 5. ไม่ควรใช้อุปกรณ์แข็งในการล้างทําความสะอาดป้องกันการเกิดรอยขีดข่วน การเลือกภาชนะบรรจุอาหารควรเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งาน และควรระวังไม่ใช้ภาชนะพลาสติกเมลามีนเลียนแบบที่ทําจากพลาสติกยูเรีย - ฟอร์มาลดีไฮด์ ลักษณะที่คล้ายกับภาชนะเมลามีนวางขาย ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้บรรจุอาหาร บางครั้งจะเลียนแบบโดยการเคลือบผิวด้วยพลาสติกเมลามีน ทําให้แยกแยะได้ยากยิ่งขึ้น ภาชนะเลียนแบบเหล่านี้ทนอุณหภูมิได้ต่ําเมื่อนํามาใช้งานจึงมีความเสี่ยงสูงกับการได้รับสารปนเปื้อนมากับอาหาร ข้อสังเกตคือภาชนะเลียนแบบเหล่านี้จะมีราคาถูกวางขายทั้งที่ไม่มีเครื่องหมายมาตรฐาน
ทั้งนี้สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ศูนย์ทดสอบวัสดุสัมผัสอาหารของอาเซียน กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 02-201-7308 หรือเบอร์ 02-2017000 ในวันและเวลาราชการ หรือติดตามข้อมูลข่าวสาร จําเป็นต่อความปลอดภัยในชีวิตประจําวันได้ทางเพจ Doctor D. ซึ่งเป็นเพจที่ให้ข้อมูลวิทยาศาสตร์ควบคุมดูแลข้อมูลโดยนักวิทยาศาสตร์ของกรมวิทยาศาสตร์บริการ
ข้อมูลข่าวโดย : กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32076
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.เตรียมแนวทางช่วยเหลือ ฟื้นฟู ดูแลสถานศึกษาและประชาชนที่ได้รับผลกระทบ "ปาบึก"
|
วันพุธที่ 9 มกราคม 2562
ศธ.เตรียมแนวทางช่วยเหลือ ฟื้นฟู ดูแลสถานศึกษาและประชาชนที่ได้รับผลกระทบ "ปาบึก"
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวในที่ประชุมถึงแนวทางการช่วยเหลือ ฟื้นฟู และดูแลสถานศึกษา ตลอดจนประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติพายุโซนร้อน “ปาบึก” (PABUK)
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมองค์กรหลัก ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันอังคารที่ 8 มกราคม 2562 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ โดยมีศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นางรัตนา ศรีเหรัญ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รศ.นพ.ปรีชา สุนทรานันท์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนผู้บริหารองค์กรหลักและหน่วยงานในกํากับ เข้าร่วมประชุม
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวในที่ประชุมถึงแนวทางการช่วยเหลือ ฟื้นฟู และดูแลสถานศึกษา ตลอดจนประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติพายุโซนร้อน “ปาบึก” (PABUK) ซึ่งในช่วงดังกล่าวกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้ตั้งศูนย์ป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติพายุโซนร้อน “ปาบึก”(PABUK) กระทรวงศึกษาธิการ โดยนายอํานาจ วิชยานุวัติ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานคณะกรรมการ ซึ่งมีศูนย์กลางที่สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และส่วนภูมิภาคอีก 36 แห่ง ณ สํานักงานศึกษาธิการภาค 6,7 และ 8 เพื่อการเตรียมพร้อมเฝ้าระวัง ป้องกัน และลดผลกระทบจากสถานการณ์ครอบคลุมใน 14 จังหวัดภาคใต้และภาคใต้ชายแดน ตลอดจนจังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์
ในส่วนของการช่วยเหลือฟื้นฟู ได้มอบให้สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ประสานการทํางานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อรวบรวมข้อมูลความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างชัดเจน และช่วยเหลือได้ตรงจุดมากที่สุด พร้อมทั้งให้ สอศ.รณรงค์รับบริจาคสิ่งของเครื่องใช้ ตลอดจนอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว อาทิ อะไหล่ต่าง ๆ ชิ้นส่วนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ยังสามารถใช้การได้ น้ํามันเครื่องจากภาคเอกชน เป็นต้น เพื่อนําไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ต่อไป
Written by ทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว
Photo Credit อิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriter นวรัตน์ รามสูต
Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.เตรียมแนวทางช่วยเหลือ ฟื้นฟู ดูแลสถานศึกษาและประชาชนที่ได้รับผลกระทบ "ปาบึก"
วันพุธที่ 9 มกราคม 2562
ศธ.เตรียมแนวทางช่วยเหลือ ฟื้นฟู ดูแลสถานศึกษาและประชาชนที่ได้รับผลกระทบ "ปาบึก"
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวในที่ประชุมถึงแนวทางการช่วยเหลือ ฟื้นฟู และดูแลสถานศึกษา ตลอดจนประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติพายุโซนร้อน “ปาบึก” (PABUK)
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมองค์กรหลัก ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันอังคารที่ 8 มกราคม 2562 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ โดยมีศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นางรัตนา ศรีเหรัญ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รศ.นพ.ปรีชา สุนทรานันท์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนผู้บริหารองค์กรหลักและหน่วยงานในกํากับ เข้าร่วมประชุม
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวในที่ประชุมถึงแนวทางการช่วยเหลือ ฟื้นฟู และดูแลสถานศึกษา ตลอดจนประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติพายุโซนร้อน “ปาบึก” (PABUK) ซึ่งในช่วงดังกล่าวกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้ตั้งศูนย์ป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติพายุโซนร้อน “ปาบึก”(PABUK) กระทรวงศึกษาธิการ โดยนายอํานาจ วิชยานุวัติ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานคณะกรรมการ ซึ่งมีศูนย์กลางที่สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และส่วนภูมิภาคอีก 36 แห่ง ณ สํานักงานศึกษาธิการภาค 6,7 และ 8 เพื่อการเตรียมพร้อมเฝ้าระวัง ป้องกัน และลดผลกระทบจากสถานการณ์ครอบคลุมใน 14 จังหวัดภาคใต้และภาคใต้ชายแดน ตลอดจนจังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์
ในส่วนของการช่วยเหลือฟื้นฟู ได้มอบให้สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ประสานการทํางานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อรวบรวมข้อมูลความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างชัดเจน และช่วยเหลือได้ตรงจุดมากที่สุด พร้อมทั้งให้ สอศ.รณรงค์รับบริจาคสิ่งของเครื่องใช้ ตลอดจนอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว อาทิ อะไหล่ต่าง ๆ ชิ้นส่วนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ยังสามารถใช้การได้ น้ํามันเครื่องจากภาคเอกชน เป็นต้น เพื่อนําไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ต่อไป
Written by ทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว
Photo Credit อิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriter นวรัตน์ รามสูต
Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18010
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยธ” หารือความร่วมมือกับสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย
|
วันพฤหัสบดีที่ 21 กันยายน 2560
“ยธ” หารือความร่วมมือกับสํานักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ร่วมหารือกับนายศักดิ์ชัย อัศวินอานนท์ อธิบดีอัยการสํานักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย สํานักงานอัยการสูงสุด
ในวันพุธที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ณ สํานักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม
ร่วมหารือกับนายศักดิ์ชัย อัศวินอานนท์
อธิบดีอัยการสํานักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย สํานักงานอัยการสูงสุด
เพื่อประสานความร่วมมือระหว่างกองทุนยุติธรรมและสํานักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย
ในการกําหนดกรอบและเป้าหมายในการทํางานร่วมกัน
เพื่อให้บริการประชาชนและนําไปสู่การอํานวยความยุติธรรมและลดความเหลื่อมล้ําในสังคม
ซึ่งกองทุนยุติธรรมและสํานักงานอัยการฯ สามารถสนับสนุนการดําเนินงานตามกรอบบันทึกข้อตกลง
ว่าด้วยการอํานวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ําในสังคม เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๗
โดยกรอบความร่วมมือจะเป็นในด้านภารกิจของกองทุนยุติธรรมและสํานักงานอัยการฯ
อาทิ การให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน การช่วยเหลือประชาชนในทางคดี
รวมไปถึงการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท เป็นต้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยธ” หารือความร่วมมือกับสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย
วันพฤหัสบดีที่ 21 กันยายน 2560
“ยธ” หารือความร่วมมือกับสํานักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ร่วมหารือกับนายศักดิ์ชัย อัศวินอานนท์ อธิบดีอัยการสํานักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย สํานักงานอัยการสูงสุด
ในวันพุธที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ณ สํานักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม
ร่วมหารือกับนายศักดิ์ชัย อัศวินอานนท์
อธิบดีอัยการสํานักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย สํานักงานอัยการสูงสุด
เพื่อประสานความร่วมมือระหว่างกองทุนยุติธรรมและสํานักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย
ในการกําหนดกรอบและเป้าหมายในการทํางานร่วมกัน
เพื่อให้บริการประชาชนและนําไปสู่การอํานวยความยุติธรรมและลดความเหลื่อมล้ําในสังคม
ซึ่งกองทุนยุติธรรมและสํานักงานอัยการฯ สามารถสนับสนุนการดําเนินงานตามกรอบบันทึกข้อตกลง
ว่าด้วยการอํานวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ําในสังคม เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๗
โดยกรอบความร่วมมือจะเป็นในด้านภารกิจของกองทุนยุติธรรมและสํานักงานอัยการฯ
อาทิ การให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน การช่วยเหลือประชาชนในทางคดี
รวมไปถึงการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท เป็นต้น
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6858
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. จัดประชุมมอบนโยบายเพื่อประกอบการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
|
วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม 2562
ทส. จัดประชุมมอบนโยบายเพื่อประกอบการจัดทําคําของบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมมอบนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อประกอบการจัดทําคําของบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยมีผู้บริหารระดับหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัด ทส. และผู้แทนสํานักงบประมา
ทส. จัดประชุมมอบนโยบายเพื่อประกอบการจัดทําคําของบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมมอบนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อประกอบการจัดทําคําของบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยมีผู้บริหารระดับหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัด ทส. และผู้แทนสํานักงบประมาณ กระทรวงการคลัง เข้าร่วมการประชุมและรับมอบนโยบาย ณ ห้องประชุม 202 อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
วันนี้ (2 สิงหาคม 2562) เวลา 14.30 น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายวราวุธ ศิลปอาชา) เป็นประธานการประชุม พร้อมทั้งมอบนโยบายเพื่อประกอบการจัดทําคําของบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้ง 4 ด้านภารกิจ และหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมประชุมรับมอบนโยบาย และรับฟังการชี้แจงแนวทาง/หลักเกณฑ์การจัดทําคําของบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จากผู้แทนสํานักงบประมาณ กระทรวงการคลัง โดยในโอกาสนี้ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายวิจารย์ สิมาฉายา) ได้รายงานคําของบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ภาพรวมกระทรรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ความเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี และคําของบประมาณระดับแผนงานตามยุทธศาสตร์จัดสรรฯ ให้ประธานทราบด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. จัดประชุมมอบนโยบายเพื่อประกอบการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม 2562
ทส. จัดประชุมมอบนโยบายเพื่อประกอบการจัดทําคําของบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมมอบนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อประกอบการจัดทําคําของบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยมีผู้บริหารระดับหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัด ทส. และผู้แทนสํานักงบประมา
ทส. จัดประชุมมอบนโยบายเพื่อประกอบการจัดทําคําของบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมมอบนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อประกอบการจัดทําคําของบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยมีผู้บริหารระดับหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัด ทส. และผู้แทนสํานักงบประมาณ กระทรวงการคลัง เข้าร่วมการประชุมและรับมอบนโยบาย ณ ห้องประชุม 202 อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
วันนี้ (2 สิงหาคม 2562) เวลา 14.30 น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายวราวุธ ศิลปอาชา) เป็นประธานการประชุม พร้อมทั้งมอบนโยบายเพื่อประกอบการจัดทําคําของบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้ง 4 ด้านภารกิจ และหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมประชุมรับมอบนโยบาย และรับฟังการชี้แจงแนวทาง/หลักเกณฑ์การจัดทําคําของบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จากผู้แทนสํานักงบประมาณ กระทรวงการคลัง โดยในโอกาสนี้ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายวิจารย์ สิมาฉายา) ได้รายงานคําของบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ภาพรวมกระทรรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ความเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี และคําของบประมาณระดับแผนงานตามยุทธศาสตร์จัดสรรฯ ให้ประธานทราบด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21964
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหน้าคณะนำคณะผู้แทนไทยศึกษาดูงาน ณ ศาลยาเสพติดแห่งรัฐนิวเซาธ์เวลส์ นครซิดนีย์
|
วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม 2561
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหน้าคณะนําคณะผู้แทนไทยศึกษาดูงาน ณ ศาลยาเสพติดแห่งรัฐนิวเซาธ์เวลส์ นครซิดนีย์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหน้าคณะนําคณะผู้แทนไทยศึกษาดูงาน ณ ศาลยาเสพติดแห่งรัฐนิวเซาธ์เวลส์ นครซิดนีย์
เมื่อวันที่ ๑๙กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๓๐ น. (เวลาท้องถิ่นของเครือรัฐออสเตรเลีย)
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเดินทางไปรับฟังการบรรยายสรุปและศึกษาดูงาน
ณ ศาลยาเสพติดแห่งรัฐนิวเซาธ์เวลส์ นครซิดนีย์
โดยคณะผู้แทนไทยได้เข้าร่วมสังเกตการณ์การปฏิบัติงานของศาลยาเสพติด
ในการเบี่ยงเบนผู้กระทําความผิดในคดีเสพยาเสพติดออกจากกระบวนการยุติธรรม
เพื่อเข้าสู่ระบบการบําบัดรักษา
เวลา ๑๓.๓๐ น. เดินทางไปรับฟังการบรรยายสรุปและศึกษาดูงาน ณ สถาบันตรวจพิสูจน์แห่งชาติ (NMI)
ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางของออสเตรเลียด้านการตรวจพิสูจน์สินค้าและวัตถุหลายประเภทรวมทั้งยาเสพติด
โดยมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับสํานักงานตํารวจสหพันธ์ออสเตรเลีย (AFP)
ในการจัดทําระบบตรวจพิสูจน์คุณลักษณะยาเสพติด ซึ่งไทยและออสเตรเลีย
จะได้มีการพัฒนาความร่วมมือด้านการตรวจพิสูจน์ยาเสพติดทั้งในด้านเครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัย
และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของนักวิทยาศาสตร์ในโอกาสต่อไป
เวลา ๑๕.๓๐น. เดินทางไปรับฟังการบรรยายสรุปและศึกษาดูงาน
ณ สถาบันฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของสํานักงานพิทักษ์เขตแดนออสเตรเลีย (ABF)
ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการจัดการฝึกอบรมด้านการตรวจค้นเรือและอากาศยาน
ให้กับเจ้าหน้าที่ของออสเตรเลียและเจ้าหน้าที่จากประเทศต่างๆ กว่า ๔๐ประเทศ
ซึ่งไทยและออสเตรเลียมีความยินดีที่จะพัฒนาความร่วมมือด้านการฝึกอบรม
เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะการสนับสนุนโครงการแม่น้ําโขงปลอดภัย
เพื่อหยุดยั้งการผลิตยาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคํา
เพื่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดในประเทศไทยและในระดับภูมิภาคต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหน้าคณะนำคณะผู้แทนไทยศึกษาดูงาน ณ ศาลยาเสพติดแห่งรัฐนิวเซาธ์เวลส์ นครซิดนีย์
วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม 2561
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหน้าคณะนําคณะผู้แทนไทยศึกษาดูงาน ณ ศาลยาเสพติดแห่งรัฐนิวเซาธ์เวลส์ นครซิดนีย์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหน้าคณะนําคณะผู้แทนไทยศึกษาดูงาน ณ ศาลยาเสพติดแห่งรัฐนิวเซาธ์เวลส์ นครซิดนีย์
เมื่อวันที่ ๑๙กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๓๐ น. (เวลาท้องถิ่นของเครือรัฐออสเตรเลีย)
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเดินทางไปรับฟังการบรรยายสรุปและศึกษาดูงาน
ณ ศาลยาเสพติดแห่งรัฐนิวเซาธ์เวลส์ นครซิดนีย์
โดยคณะผู้แทนไทยได้เข้าร่วมสังเกตการณ์การปฏิบัติงานของศาลยาเสพติด
ในการเบี่ยงเบนผู้กระทําความผิดในคดีเสพยาเสพติดออกจากกระบวนการยุติธรรม
เพื่อเข้าสู่ระบบการบําบัดรักษา
เวลา ๑๓.๓๐ น. เดินทางไปรับฟังการบรรยายสรุปและศึกษาดูงาน ณ สถาบันตรวจพิสูจน์แห่งชาติ (NMI)
ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางของออสเตรเลียด้านการตรวจพิสูจน์สินค้าและวัตถุหลายประเภทรวมทั้งยาเสพติด
โดยมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับสํานักงานตํารวจสหพันธ์ออสเตรเลีย (AFP)
ในการจัดทําระบบตรวจพิสูจน์คุณลักษณะยาเสพติด ซึ่งไทยและออสเตรเลีย
จะได้มีการพัฒนาความร่วมมือด้านการตรวจพิสูจน์ยาเสพติดทั้งในด้านเครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัย
และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของนักวิทยาศาสตร์ในโอกาสต่อไป
เวลา ๑๕.๓๐น. เดินทางไปรับฟังการบรรยายสรุปและศึกษาดูงาน
ณ สถาบันฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของสํานักงานพิทักษ์เขตแดนออสเตรเลีย (ABF)
ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการจัดการฝึกอบรมด้านการตรวจค้นเรือและอากาศยาน
ให้กับเจ้าหน้าที่ของออสเตรเลียและเจ้าหน้าที่จากประเทศต่างๆ กว่า ๔๐ประเทศ
ซึ่งไทยและออสเตรเลียมีความยินดีที่จะพัฒนาความร่วมมือด้านการฝึกอบรม
เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะการสนับสนุนโครงการแม่น้ําโขงปลอดภัย
เพื่อหยุดยั้งการผลิตยาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคํา
เพื่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดในประเทศไทยและในระดับภูมิภาคต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13978
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. จัดประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมทางด้านสาธารณสุข กรณีผ่อนปรนมาตรการของกิจการและกิจกรรม ระยะที่ 2 ในช่วงโควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม 2563
สธ. จัดประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมทางด้านสาธารณสุข กรณีผ่อนปรนมาตรการของกิจการและกิจกรรม ระยะที่ 2 ในช่วงโควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
สธ. จัดประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมทางด้านสาธารณสุข กรณีผ่อนปรนมาตรการของกิจการและกิจกรรม ระยะที่ 2 ในช่วงโควิด-19
สธ. จัดประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมทางด้านสาธารณสุข กรณีผ่อนปรนมาตรการของกิจการและกิจกรรม ระยะที่ 2 ในช่วงโควิด-19
วันนี้ (8 พฤษภาคม 2563) ที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ในฐานะกรรมการและเลขานุการร่วมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อโควิด-19 เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมทางด้านสาธารณสุข เพื่อผ่อนปรนมาตรการจํากัดการประกอบกิจการ/จัดกิจกรรม ตามพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ครั้งที่ 4/2563 โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กรุงเทพมหานคร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคม ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องใน 8 กลุ่มกิจการ และผู้แทนจากหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข
ในการจัดประชุมครั้งนี้ มีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าประชุม และประชุมผ่านระบบ Video Conference แยกเป็น 3 ห้อง เพื่อให้ผู้เข้าประชุมเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 จากนั้นได้ประชุมกลุ่มย่อย 8 กลุ่ม 8 ห้อง ดังนี้ 1)ร้านอาหาร/ภัตตาคาร 2)ห้างสรรพสินค้า 3)สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ เช่น การนวด/สปา 4)สถานเสริมความงาม 5)สถานบริการ fitness/สนามกีฬาในร่ม/โรงยิม 6)การจัดประชุม/อบรม/สัมมนา ในศูนย์ประชุม ในโรงแรม ภายในองค์กร 7)กองถ่ายทําภาพยนตร์/ถ่ายแบบ/ถ่ายคลิป และ 8)สวนสนุก/สวนน้ํา/สนามเด็กเล่นเพื่อร่วมกันพัฒนาเกณฑ์ประเมินความพร้อมของผู้ประกอบการในการปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ รวบรวมข้อคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องให้สามารถปฏิบัติได้จริงและครอบคลุมทุกมิติ จัดทําข้อมูลความพร้อมของกิจการและข้อเสนอต่างๆ เตรียมนําเสนอต่อ ศบค. ประกอบการพิจารณาในการผ่อนปรนกิจการและกิจกรรม ในระยะที่ 2 ต่อไป
***************************************
ข้อมูลจาก : กองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมควบคุมโรค
วันที่ 8 พฤษภาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. จัดประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมทางด้านสาธารณสุข กรณีผ่อนปรนมาตรการของกิจการและกิจกรรม ระยะที่ 2 ในช่วงโควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม 2563
สธ. จัดประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมทางด้านสาธารณสุข กรณีผ่อนปรนมาตรการของกิจการและกิจกรรม ระยะที่ 2 ในช่วงโควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
สธ. จัดประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมทางด้านสาธารณสุข กรณีผ่อนปรนมาตรการของกิจการและกิจกรรม ระยะที่ 2 ในช่วงโควิด-19
สธ. จัดประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมทางด้านสาธารณสุข กรณีผ่อนปรนมาตรการของกิจการและกิจกรรม ระยะที่ 2 ในช่วงโควิด-19
วันนี้ (8 พฤษภาคม 2563) ที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ในฐานะกรรมการและเลขานุการร่วมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อโควิด-19 เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมทางด้านสาธารณสุข เพื่อผ่อนปรนมาตรการจํากัดการประกอบกิจการ/จัดกิจกรรม ตามพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ครั้งที่ 4/2563 โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กรุงเทพมหานคร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคม ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องใน 8 กลุ่มกิจการ และผู้แทนจากหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข
ในการจัดประชุมครั้งนี้ มีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าประชุม และประชุมผ่านระบบ Video Conference แยกเป็น 3 ห้อง เพื่อให้ผู้เข้าประชุมเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 จากนั้นได้ประชุมกลุ่มย่อย 8 กลุ่ม 8 ห้อง ดังนี้ 1)ร้านอาหาร/ภัตตาคาร 2)ห้างสรรพสินค้า 3)สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ เช่น การนวด/สปา 4)สถานเสริมความงาม 5)สถานบริการ fitness/สนามกีฬาในร่ม/โรงยิม 6)การจัดประชุม/อบรม/สัมมนา ในศูนย์ประชุม ในโรงแรม ภายในองค์กร 7)กองถ่ายทําภาพยนตร์/ถ่ายแบบ/ถ่ายคลิป และ 8)สวนสนุก/สวนน้ํา/สนามเด็กเล่นเพื่อร่วมกันพัฒนาเกณฑ์ประเมินความพร้อมของผู้ประกอบการในการปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ รวบรวมข้อคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องให้สามารถปฏิบัติได้จริงและครอบคลุมทุกมิติ จัดทําข้อมูลความพร้อมของกิจการและข้อเสนอต่างๆ เตรียมนําเสนอต่อ ศบค. ประกอบการพิจารณาในการผ่อนปรนกิจการและกิจกรรม ในระยะที่ 2 ต่อไป
***************************************
ข้อมูลจาก : กองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมควบคุมโรค
วันที่ 8 พฤษภาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30553
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.วิทย์ จับมือ CAS แถลงข่าว CAS Innovation EXPO (Bangkok) 2018 งานแสดงนวัตกรรมวิทยาการใหม่ของจีนครั้งแรกในต่างประเทศ
|
วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม 2561
ก.วิทย์ จับมือ CAS แถลงข่าว CAS Innovation EXPO (Bangkok) 2018 งานแสดงนวัตกรรมวิทยาการใหม่ของจีนครั้งแรกในต่างประเทศ
แถลงข่าวการจัดงาน “CAS Innovation EXPO (Bangkok) 2018” ที่นํามาจัดแสดงในต่างประเทศเป็นครั้งแรก
เวลา 14.00 น. (4 ตุลาคม 2561) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับ สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (Chinese Academy of Sciences: CAS) แถลงข่าวการจัดงาน “CAS Innovation EXPO (Bangkok) 2018” ที่นํามาจัดแสดงในต่างประเทศเป็นครั้งแรก รวมทั้งการนําเสนอผลงานของภาคเอกชนจีน และการนําเสนอผลงานความร่วมมือระหว่างไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน นิทรรศการผลงานนวัตกรรมวิทยาการใหม่ ภายใต้แนวคิด “จากฟ้าสู่ดินด้วยเทคโนโลยี” เพื่อให้เกิดการต่อยอดกิจกรรมความร่วมมือระหว่างสองประเทศในอนาคต โดยมี รศ.นพ. สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แถลงข่าวร่วมกับ H.E. Mr. Lyu Jian เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทย และ Mr. Fan Hua รองผู้อํานวยการสํานักงานนวัตรกรรมและความร่วมมือ สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์ ณ ห้องโถงชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เผยในงานแถลงข่าวฯ ว่า “การจัดงานนิทรรศการ “CAS Innovation EXPO (Bangkok) 2018” ครั้งนี้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศจีนซึ่งมีพัฒนาการไปอย่างก้าวกระโดด และเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะผู้ทรงมีคุณูปการต่อวงการ วทน. ของไทย อีกทั้งยังทรงพระราชทานการสนับสนุนในด้านต่างๆ เพื่อให้เกิดความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมระหว่างทั้งสองประเทศที่แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น
“ประเทศจีน มีการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้สาธารณรัฐประชาชนจีนมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จนทําให้จีนสามารถเป็นมหาอํานาจของโลกในปัจจุบัน โดยในช่วงที่ผ่านมา กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความร่วมมือกับหน่วยงานของสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ผ่านกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ เช่น การวิจัยร่วม การพัฒนาศักยภาพบุคลากร การแลกเปลี่ยนนักวิจัย การประชุม/สัมมนา และการจัดกิจกรรมมุ่งเน้นให้เกิดการขยายเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือกับสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (Chinese Academy of Sciences: CAS) ที่มีการดําเนินโครงการความร่วมมือในสาขาต่างๆ เช่น เทคโนโลยีชีวภาพจุลินทรีย์ เทคโนโลยีพันธุกรรม เทคโนโลยีระบบขนส่งทางราง เทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ และการแลกเปลี่ยนกลุ่มนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยในสาขาเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังมีโครงการในพระราชดําริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ในรูปแบบต่างๆ อีกด้วย” รศ.นพ.สรนิต กล่าว
Mr.Yang Xin (Minister Counsellor) อัครราชทูตที่ปรึกษา กล่าวว่า สถานเอกอัคราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ในฐานะหนึ่งในผู้ร่วมจัดนิทรรศการครั้งนี้ คาดหวังว่าจะเป็นกิจกรรมที่ช่วยเผยแพร่ความตระหนักรู้ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีอย่างทั่วถึง และส่งเสริมให้เกิดแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์นวตกรรมใหม่ รวมถึงเป็นโอกาสอันดีที่จะให้ทุกภาคส่วนของประเทศไทยได้รับรู้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีของประเทศจีน สร้างแรงสนับสนุนเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือในเชิงลึกด้านวิทยาการระหว่างสองประเทศ นับเป็นครั้งแรกที่สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (CAS)ได้นําเอาผลงานชิ้นสุดยอดที่สําคัญของประเทศจีนออกมาจัดแสดงในต่างประเทศ โดยนิทรรศการผลงานนวตกรรมวิทยาการใหม่ ณ กรุงเทพฯ ครั้งนี้ ได้นําเอาผลงานวิจัยกว่า 30 ชิ้น ที่เป็นผลสําเร็จในระดับชั้นนําของโลกมาจัดแสดง พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกว่า 100 ประเภท ครอบคลุมตั้งแต่ห้วงอวกาศส่วนลึก ใต้ทะเลลึก ใต้พิภพส่วนลึก อัศจรรย์สีฟ้าเข้ม วิทยาการแห่งชีวิต และระบบนิเวศน์เกษตรกรรม พลังงาน อุตสาหกรรม สสาร วัสดุ และผลงานวิจัยประยุกต์เชิงพาณิชย์รวม 11 หัวข้อใหญ่ และยังนําเอาผู้ประกอบการชั้นนําของประเทศจีนรวม 19 บริษัทที่ประกอบธุรกิจเชื่อมโยงกับ 10 คลัสเตอร์เป้าหมายของประเทศไทย และผู้ประกอบการไทยอีก 14 รายเข้าร่วมในการจัดนิทรรศการในครั้งนี้
Mr.Fan Hua รองผู้อํานวยการสํานักงานนวัตกรรมและความร่วมมือสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์ กล่าวในงานแถลงฯ ว่า “ด้วยการสนับสนุนจากสถานเอกอัคราชทูตจีนประจําประเทศไทย สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (CAS)และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ตัดสินใจร่วมกันจัดนิทรรศการ CAS Innovation Expo Bangkok 2018 งานนี้เป็นครั้งแรกที่สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (CAS) ได้นําเอาผลงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ของชาติมาจัดแสดงในต่างประเทศ โดยประเทศไทยเป็นป้ายแรกของการจัดแสดงแบบ Road Show มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการตระหนักรู้ด้านงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีความสําคัญ รวมถึงผลงานการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของประเทศจีนในตลอดหลายปีที่ผ่านมา และได้ใช้โอกาสนี้ในการเผยแพร่ผลงานความร่วมมือระหว่างไทย-จีนด้านการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เราคาดหวังว่านิทรรศการวิทยาศาสตร์ครั้งนี้ จะทําให้ประชาชนได้รับรู้ถึงแนวโน้มการสร้างนวตกรรมใหม่และการพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีชั้นนําและชั้นแนวหน้าของทั้งสองประเทศ ตระหนักถึงความสําคัญในการร่วมมือ ภาควิชาการของทั้งสองประเทศ โดยนิทรรศการครั้งนี้แบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลักคือ : ผลสําเร็จด้านพัฒนาวิทยาศาสตร์ของสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (CAS) เทคโนโลยีที่เชื่อมโยงกับ 10 คลัสเตอร์เป้าหมายของไทย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงสนพระทัยและสนับสนุนขับเคลื่อนความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ระหว่างไทย-จีน และผลสําเร็จด้านพัฒนาวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย”
ภายในนิทรรศการจะประกอบไปด้วยการแสดงผลงานโครงการในพระราชดําริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผลงานวิจัยและพัฒนาระหว่างหน่วยงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทยและหน่วยงานจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้แก่
1. โครงการติดตั้งกล้องโทรทรรศน์ควบคุมระยะไกลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
2.Space Science and Exploration โดยสํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)
3.Thailand Tokamak Project โดย สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
4. การพัฒนากําลังคนและเทคโนโลยีแสงซินโครตรอน และการพัฒนางานวิจัยด้านการเกษตรทางด้านแสงซินโครตรอน โดย สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน)
5. การดําเนินงานของศูนย์วิจัยร่วมไทย-จีน ด้านระบบรางและรถไฟความเร็วสูง โดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
6. การนําเสนอระบบระบุตําแหน่งภายในอาคารด้วยเทคโนโลยีบลูทูธพลังงานต่ํา (แพลตฟอร์มอยู่ไหน 3 มิติ)” โดย ศูนย์เทคโนโลยีอเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
7. การแสดงการเปรียบเทียบพัฒนาการของระบบแปลภาษาจีน-ไทย / ไทย-จีน โดย ศูนย์เทคโนโลยีอเล็ก ทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
8. การนําเสนอการพัฒนาระบบ WEFRE Rehab System โดย ศูนย์เทคโนโลยีอเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
9. ความร่วมมือด้านนาโนเทคโนโลยี ระหว่าง ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติและ National Center for Nanoscience and Technology: NCNST
10. แบบจําลองระบบโลก (Earth System Model) โดย สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร
11. การนําเสนอผลงานเกษตรเชิงหน้าที่ (Functional Agriculture) โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
12. การดําเนินงานของกลุ่มอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ โดยสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
13.Thailand – China Joint Laboratory on Microbial Biotechnology โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ
สําหรับงาน “CAS Innovation EXPO (Bangkok) 2018” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 – 14 ตุลาคม 2561ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.วิทย์ จับมือ CAS แถลงข่าว CAS Innovation EXPO (Bangkok) 2018 งานแสดงนวัตกรรมวิทยาการใหม่ของจีนครั้งแรกในต่างประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม 2561
ก.วิทย์ จับมือ CAS แถลงข่าว CAS Innovation EXPO (Bangkok) 2018 งานแสดงนวัตกรรมวิทยาการใหม่ของจีนครั้งแรกในต่างประเทศ
แถลงข่าวการจัดงาน “CAS Innovation EXPO (Bangkok) 2018” ที่นํามาจัดแสดงในต่างประเทศเป็นครั้งแรก
เวลา 14.00 น. (4 ตุลาคม 2561) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับ สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (Chinese Academy of Sciences: CAS) แถลงข่าวการจัดงาน “CAS Innovation EXPO (Bangkok) 2018” ที่นํามาจัดแสดงในต่างประเทศเป็นครั้งแรก รวมทั้งการนําเสนอผลงานของภาคเอกชนจีน และการนําเสนอผลงานความร่วมมือระหว่างไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน นิทรรศการผลงานนวัตกรรมวิทยาการใหม่ ภายใต้แนวคิด “จากฟ้าสู่ดินด้วยเทคโนโลยี” เพื่อให้เกิดการต่อยอดกิจกรรมความร่วมมือระหว่างสองประเทศในอนาคต โดยมี รศ.นพ. สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แถลงข่าวร่วมกับ H.E. Mr. Lyu Jian เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทย และ Mr. Fan Hua รองผู้อํานวยการสํานักงานนวัตรกรรมและความร่วมมือ สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์ ณ ห้องโถงชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เผยในงานแถลงข่าวฯ ว่า “การจัดงานนิทรรศการ “CAS Innovation EXPO (Bangkok) 2018” ครั้งนี้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศจีนซึ่งมีพัฒนาการไปอย่างก้าวกระโดด และเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะผู้ทรงมีคุณูปการต่อวงการ วทน. ของไทย อีกทั้งยังทรงพระราชทานการสนับสนุนในด้านต่างๆ เพื่อให้เกิดความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมระหว่างทั้งสองประเทศที่แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น
“ประเทศจีน มีการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้สาธารณรัฐประชาชนจีนมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จนทําให้จีนสามารถเป็นมหาอํานาจของโลกในปัจจุบัน โดยในช่วงที่ผ่านมา กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความร่วมมือกับหน่วยงานของสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ผ่านกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ เช่น การวิจัยร่วม การพัฒนาศักยภาพบุคลากร การแลกเปลี่ยนนักวิจัย การประชุม/สัมมนา และการจัดกิจกรรมมุ่งเน้นให้เกิดการขยายเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือกับสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (Chinese Academy of Sciences: CAS) ที่มีการดําเนินโครงการความร่วมมือในสาขาต่างๆ เช่น เทคโนโลยีชีวภาพจุลินทรีย์ เทคโนโลยีพันธุกรรม เทคโนโลยีระบบขนส่งทางราง เทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ และการแลกเปลี่ยนกลุ่มนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยในสาขาเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังมีโครงการในพระราชดําริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ในรูปแบบต่างๆ อีกด้วย” รศ.นพ.สรนิต กล่าว
Mr.Yang Xin (Minister Counsellor) อัครราชทูตที่ปรึกษา กล่าวว่า สถานเอกอัคราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ในฐานะหนึ่งในผู้ร่วมจัดนิทรรศการครั้งนี้ คาดหวังว่าจะเป็นกิจกรรมที่ช่วยเผยแพร่ความตระหนักรู้ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีอย่างทั่วถึง และส่งเสริมให้เกิดแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์นวตกรรมใหม่ รวมถึงเป็นโอกาสอันดีที่จะให้ทุกภาคส่วนของประเทศไทยได้รับรู้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีของประเทศจีน สร้างแรงสนับสนุนเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือในเชิงลึกด้านวิทยาการระหว่างสองประเทศ นับเป็นครั้งแรกที่สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (CAS)ได้นําเอาผลงานชิ้นสุดยอดที่สําคัญของประเทศจีนออกมาจัดแสดงในต่างประเทศ โดยนิทรรศการผลงานนวตกรรมวิทยาการใหม่ ณ กรุงเทพฯ ครั้งนี้ ได้นําเอาผลงานวิจัยกว่า 30 ชิ้น ที่เป็นผลสําเร็จในระดับชั้นนําของโลกมาจัดแสดง พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกว่า 100 ประเภท ครอบคลุมตั้งแต่ห้วงอวกาศส่วนลึก ใต้ทะเลลึก ใต้พิภพส่วนลึก อัศจรรย์สีฟ้าเข้ม วิทยาการแห่งชีวิต และระบบนิเวศน์เกษตรกรรม พลังงาน อุตสาหกรรม สสาร วัสดุ และผลงานวิจัยประยุกต์เชิงพาณิชย์รวม 11 หัวข้อใหญ่ และยังนําเอาผู้ประกอบการชั้นนําของประเทศจีนรวม 19 บริษัทที่ประกอบธุรกิจเชื่อมโยงกับ 10 คลัสเตอร์เป้าหมายของประเทศไทย และผู้ประกอบการไทยอีก 14 รายเข้าร่วมในการจัดนิทรรศการในครั้งนี้
Mr.Fan Hua รองผู้อํานวยการสํานักงานนวัตกรรมและความร่วมมือสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์ กล่าวในงานแถลงฯ ว่า “ด้วยการสนับสนุนจากสถานเอกอัคราชทูตจีนประจําประเทศไทย สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (CAS)และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ตัดสินใจร่วมกันจัดนิทรรศการ CAS Innovation Expo Bangkok 2018 งานนี้เป็นครั้งแรกที่สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (CAS) ได้นําเอาผลงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ของชาติมาจัดแสดงในต่างประเทศ โดยประเทศไทยเป็นป้ายแรกของการจัดแสดงแบบ Road Show มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการตระหนักรู้ด้านงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีความสําคัญ รวมถึงผลงานการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของประเทศจีนในตลอดหลายปีที่ผ่านมา และได้ใช้โอกาสนี้ในการเผยแพร่ผลงานความร่วมมือระหว่างไทย-จีนด้านการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เราคาดหวังว่านิทรรศการวิทยาศาสตร์ครั้งนี้ จะทําให้ประชาชนได้รับรู้ถึงแนวโน้มการสร้างนวตกรรมใหม่และการพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีชั้นนําและชั้นแนวหน้าของทั้งสองประเทศ ตระหนักถึงความสําคัญในการร่วมมือ ภาควิชาการของทั้งสองประเทศ โดยนิทรรศการครั้งนี้แบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลักคือ : ผลสําเร็จด้านพัฒนาวิทยาศาสตร์ของสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (CAS) เทคโนโลยีที่เชื่อมโยงกับ 10 คลัสเตอร์เป้าหมายของไทย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงสนพระทัยและสนับสนุนขับเคลื่อนความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ระหว่างไทย-จีน และผลสําเร็จด้านพัฒนาวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย”
ภายในนิทรรศการจะประกอบไปด้วยการแสดงผลงานโครงการในพระราชดําริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผลงานวิจัยและพัฒนาระหว่างหน่วยงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทยและหน่วยงานจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้แก่
1. โครงการติดตั้งกล้องโทรทรรศน์ควบคุมระยะไกลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
2.Space Science and Exploration โดยสํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)
3.Thailand Tokamak Project โดย สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
4. การพัฒนากําลังคนและเทคโนโลยีแสงซินโครตรอน และการพัฒนางานวิจัยด้านการเกษตรทางด้านแสงซินโครตรอน โดย สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน)
5. การดําเนินงานของศูนย์วิจัยร่วมไทย-จีน ด้านระบบรางและรถไฟความเร็วสูง โดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
6. การนําเสนอระบบระบุตําแหน่งภายในอาคารด้วยเทคโนโลยีบลูทูธพลังงานต่ํา (แพลตฟอร์มอยู่ไหน 3 มิติ)” โดย ศูนย์เทคโนโลยีอเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
7. การแสดงการเปรียบเทียบพัฒนาการของระบบแปลภาษาจีน-ไทย / ไทย-จีน โดย ศูนย์เทคโนโลยีอเล็ก ทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
8. การนําเสนอการพัฒนาระบบ WEFRE Rehab System โดย ศูนย์เทคโนโลยีอเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
9. ความร่วมมือด้านนาโนเทคโนโลยี ระหว่าง ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติและ National Center for Nanoscience and Technology: NCNST
10. แบบจําลองระบบโลก (Earth System Model) โดย สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร
11. การนําเสนอผลงานเกษตรเชิงหน้าที่ (Functional Agriculture) โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
12. การดําเนินงานของกลุ่มอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ โดยสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
13.Thailand – China Joint Laboratory on Microbial Biotechnology โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ
สําหรับงาน “CAS Innovation EXPO (Bangkok) 2018” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 – 14 ตุลาคม 2561ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15883
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีเริ่มการก่อสร้างโครงการการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย
|
วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม 2560
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีเริ่มการก่อสร้างโครงการการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีเริ่มการก่อสร้างโครงการการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย
วันนี้ (พฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม 2560) เวลา 13.20 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประธานในพิธีเริ่มการก่อสร้างโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา) โดยมีนายนายหวัง เสี่ยวเทา รองประธานคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ ผู้แทนสาธารณรัฐประชาชนจีน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และนายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม รักษาการในตําแหน่งผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธี ณ มอหลักหินรัชกาลที่ 5 ต. กลางดงอ. ปากช่อง จ. นครราชสีมา
นายกรัฐมนตรีได้ กล่าวแสดงความยินดีที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเริ่มการก่อสร้างโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา) รัฐบาลมีนโยบายมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทยให้มีความเชื่อมโยงด้านการคมนาคมภายในอนุภูมิภาคและภูมิภาคอาเซียน เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงทางระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะทําให้เกิดผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ โดยโครงการก่อสร้างการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงจะเป็นเส้นทางที่เชื่อมโยงประเทศไทยกับประเทศต่างๆ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) สาธารณรัฐประชาชนจีน และสาธารณรัฐอินเดีย ซึ่งสนับสนุนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ของอาเซียน
โครงการ ฯ นี้จะเชื่อมโยงกับโครงข่ายคมนาคมของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนตามนโยบาย One Belt, One Road ที่มีรากฐานมาจากเส้นทาง สายไหมในอดีต ซึ่งมีความสําคัญในด้านภูมิศาสตร์โลก การติดต่อทางการค้า ทําให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมทั้งสร้างศักยภาพและโอกาสใหม่ทางการค้าการลงทุน และการท่องเที่ยว ก่อให้เกิดการขยายตัวของเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจโดยรอบเส้นทาง อันจะนําไปสู่การยกระดับประเทศไทยให้เป็นประเทศรายได้สูง เกิดการกระจายความเจริญอย่างทั่วถึง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และลดความเหลื่อมล้ําในภาพรวม นับเป็นการพัฒนาอย่างสมดุลและยั่งยืน และที่สําคัญโครงการดังกล่าวสามารถช่วยประหยัดเวลาในการเดินทาง ประหยัดค่าใช้จ่ายจากการใช้รถ ลดปัญหามลพิษ และลดความสูญเสียเนื่องจากอุบัติเหตุ
หลังจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งประสานความร่วมมือระหว่างประเทศในการดําเนินการจัดทําแผนแม่บทการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม จัดทําแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศ การปฏิรูปกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศที่เน้นการเจริญเติบโตจากเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม เช่น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผังเมือง กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณสองข้างทางตามแนวเส้นทางการพัฒนาระบบราง และจัดตั้งสถาบันวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง ในการทําหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการบริหารจัดการงานวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อดําเนินงานพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง และพัฒนาบุคลากรทั้งระดับวิศวกรและช่างเทคนิคสําหรับรองรับการพัฒนาระบบขนส่งทางรางต่อไป
อนึ่ง เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2557 รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาล ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ ในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 – 2569เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการรถไฟทางคู่ขนาดมาตรฐานเส้นทางกรุงเทพฯ – นครราชสีมา – หนองคาย และเส้นทางแก่งคอย – ท่าเรือมาบตาพุดทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มีการหารือทวิภาคีร่วมกัน ตามรูปแบบความร่วมมือทางรถไฟระหว่างรัฐกับรัฐ (G2G) โดยเริ่มก่อสร้างเส้นทางกรุงเทพฯ – นครราชสีมา ระยะทางรวม 252 กิโลเมตร จํานวน 6 สถานี ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ใช้ประเภทรถโดยสาร EMU (Electric Multiple Unit) CR series ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีเริ่มการก่อสร้างโครงการการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย
วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม 2560
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีเริ่มการก่อสร้างโครงการการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีเริ่มการก่อสร้างโครงการการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย
วันนี้ (พฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม 2560) เวลา 13.20 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประธานในพิธีเริ่มการก่อสร้างโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา) โดยมีนายนายหวัง เสี่ยวเทา รองประธานคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ ผู้แทนสาธารณรัฐประชาชนจีน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และนายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม รักษาการในตําแหน่งผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธี ณ มอหลักหินรัชกาลที่ 5 ต. กลางดงอ. ปากช่อง จ. นครราชสีมา
นายกรัฐมนตรีได้ กล่าวแสดงความยินดีที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเริ่มการก่อสร้างโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา) รัฐบาลมีนโยบายมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทยให้มีความเชื่อมโยงด้านการคมนาคมภายในอนุภูมิภาคและภูมิภาคอาเซียน เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงทางระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะทําให้เกิดผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ โดยโครงการก่อสร้างการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงจะเป็นเส้นทางที่เชื่อมโยงประเทศไทยกับประเทศต่างๆ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) สาธารณรัฐประชาชนจีน และสาธารณรัฐอินเดีย ซึ่งสนับสนุนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ของอาเซียน
โครงการ ฯ นี้จะเชื่อมโยงกับโครงข่ายคมนาคมของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนตามนโยบาย One Belt, One Road ที่มีรากฐานมาจากเส้นทาง สายไหมในอดีต ซึ่งมีความสําคัญในด้านภูมิศาสตร์โลก การติดต่อทางการค้า ทําให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมทั้งสร้างศักยภาพและโอกาสใหม่ทางการค้าการลงทุน และการท่องเที่ยว ก่อให้เกิดการขยายตัวของเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจโดยรอบเส้นทาง อันจะนําไปสู่การยกระดับประเทศไทยให้เป็นประเทศรายได้สูง เกิดการกระจายความเจริญอย่างทั่วถึง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และลดความเหลื่อมล้ําในภาพรวม นับเป็นการพัฒนาอย่างสมดุลและยั่งยืน และที่สําคัญโครงการดังกล่าวสามารถช่วยประหยัดเวลาในการเดินทาง ประหยัดค่าใช้จ่ายจากการใช้รถ ลดปัญหามลพิษ และลดความสูญเสียเนื่องจากอุบัติเหตุ
หลังจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งประสานความร่วมมือระหว่างประเทศในการดําเนินการจัดทําแผนแม่บทการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม จัดทําแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศ การปฏิรูปกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศที่เน้นการเจริญเติบโตจากเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม เช่น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผังเมือง กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณสองข้างทางตามแนวเส้นทางการพัฒนาระบบราง และจัดตั้งสถาบันวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง ในการทําหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการบริหารจัดการงานวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อดําเนินงานพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง และพัฒนาบุคลากรทั้งระดับวิศวกรและช่างเทคนิคสําหรับรองรับการพัฒนาระบบขนส่งทางรางต่อไป
อนึ่ง เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2557 รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาล ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ ในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 – 2569เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการรถไฟทางคู่ขนาดมาตรฐานเส้นทางกรุงเทพฯ – นครราชสีมา – หนองคาย และเส้นทางแก่งคอย – ท่าเรือมาบตาพุดทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มีการหารือทวิภาคีร่วมกัน ตามรูปแบบความร่วมมือทางรถไฟระหว่างรัฐกับรัฐ (G2G) โดยเริ่มก่อสร้างเส้นทางกรุงเทพฯ – นครราชสีมา ระยะทางรวม 252 กิโลเมตร จํานวน 6 สถานี ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ใช้ประเภทรถโดยสาร EMU (Electric Multiple Unit) CR series ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8915
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอบคุณข้าราชการ และลูกจ้างประจำที่เกษียณอายุราชการ ประจำปี 2560 ระบุข้าราชการเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการทำงานของรัฐบาลให้ประสบความสำเร็จ
|
วันพฤหัสบดีที่ 14 กันยายน 2560
นายกรัฐมนตรีขอบคุณข้าราชการ และลูกจ้างประจําที่เกษียณอายุราชการ ประจําปี 2560 ระบุข้าราชการเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนการทํางานของรัฐบาลให้ประสบความสําเร็จ
นายกรัฐมนตรีขอบคุณข้าราชการ และลูกจ้างประจําที่เกษียณอายุราชการ ประจําปี 2560 ระบุข้าราชการเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนการทํางานของรัฐบาลให้ประสบความสําเร็จ
วันนี้ (14 กันยายน 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรีนําข้าราชการ ลูกจ้างประจํา สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีที่เกษียณอายุราชการ ประจําปี พ.ศ. 2560 เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเพื่อขอรับโอวาท และเพื่อเป็นขวัญกําลังใจแก่ผู้เกษียณอายุราชการ
โดยในปีนี้ มีข้าราชการ ลูกจ้างประจํา สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเกษียณอายุราชการ จํานวนทั้งหมด 12 ราย อาทิเช่น นางฐะปานีย์ อาจารวงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นางนันทิกาญจน์ สวัสดิ์ภักดี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจํา ด้านยุทธศาสตร์และการวางแผน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวมอบโอวาทตอนหนึ่งว่า ในนามของนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลขอขอบคุณข้าราชการ และลูกจ้างประจําทุกคนที่เกษียณอายุราชการ ประจําปี 2560 พร้อมกล่าวแสดงความรู้สึกดีใจ ที่เห็นทุกคนแข็งแรง ซึ่งแสดงให้เห็นความเอาใจใส่ต่อสุขภาพ เตรียมพร้อมใช้ชีวิตหลังเกษียณอายุราชการ พร้อมกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลไม่สามารถทํางานได้เพียงฝ่ายเดียว ต้องอาศัยจักรกลที่สําคัญ ได้แก่ ข้าราชการ ทุกระดับ ซึ่งถือเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนการทํางาน ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะความรัก ความสามัคคี ความเอาใจใส่ต่อกันไม่ว่าจะเป็นข้าราชการระดับไหน ถือเป็นสิ่งสําคัญอย่างยิ่งในการทํางาน ทั้งนี้ การทํางานมีทั้งสิ่งที่ดี และไม่ดี ขอให้ช่วยกันรักษาชื่อเสียง รักษาสิ่งที่ดีของหน่วยงานตลอดไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า วันนี้ถึงแม้จะพ้นหน้าที่ไป แต่ยังมีภาระต่อครอบครัวที่ต้องดูแล ขอให้วางแผนการใช้ชีวิตให้มีความสุข ขอให้ใช้ความรู้ความสามารถคอยเป็นที่ปรึกษากับข้าราชการรุ่นใหม่ และขอให้ทุกคนมีสติในการครองตน ครองเรือน และมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างพอเพียง พร้อมทั้งขอให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวของครอบครัว และลูกหลานต่อไป
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ร่วมถ่ายรูป พร้อมมอบของที่ระลึกให้กับข้าราชการ และลูกจ้างประจําที่เกษียณอายุราชการ โดยนายกรัฐมนตรีได้สอบถามความเป็นอยู่ และการใช้ชีวิตหลังเกษียณอายุราชการกับข้าราชการ และลูกจ้างประจําอย่างเป็นกันเอง
-------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอบคุณข้าราชการ และลูกจ้างประจำที่เกษียณอายุราชการ ประจำปี 2560 ระบุข้าราชการเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการทำงานของรัฐบาลให้ประสบความสำเร็จ
วันพฤหัสบดีที่ 14 กันยายน 2560
นายกรัฐมนตรีขอบคุณข้าราชการ และลูกจ้างประจําที่เกษียณอายุราชการ ประจําปี 2560 ระบุข้าราชการเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนการทํางานของรัฐบาลให้ประสบความสําเร็จ
นายกรัฐมนตรีขอบคุณข้าราชการ และลูกจ้างประจําที่เกษียณอายุราชการ ประจําปี 2560 ระบุข้าราชการเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนการทํางานของรัฐบาลให้ประสบความสําเร็จ
วันนี้ (14 กันยายน 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรีนําข้าราชการ ลูกจ้างประจํา สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีที่เกษียณอายุราชการ ประจําปี พ.ศ. 2560 เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเพื่อขอรับโอวาท และเพื่อเป็นขวัญกําลังใจแก่ผู้เกษียณอายุราชการ
โดยในปีนี้ มีข้าราชการ ลูกจ้างประจํา สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเกษียณอายุราชการ จํานวนทั้งหมด 12 ราย อาทิเช่น นางฐะปานีย์ อาจารวงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นางนันทิกาญจน์ สวัสดิ์ภักดี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจํา ด้านยุทธศาสตร์และการวางแผน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวมอบโอวาทตอนหนึ่งว่า ในนามของนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลขอขอบคุณข้าราชการ และลูกจ้างประจําทุกคนที่เกษียณอายุราชการ ประจําปี 2560 พร้อมกล่าวแสดงความรู้สึกดีใจ ที่เห็นทุกคนแข็งแรง ซึ่งแสดงให้เห็นความเอาใจใส่ต่อสุขภาพ เตรียมพร้อมใช้ชีวิตหลังเกษียณอายุราชการ พร้อมกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลไม่สามารถทํางานได้เพียงฝ่ายเดียว ต้องอาศัยจักรกลที่สําคัญ ได้แก่ ข้าราชการ ทุกระดับ ซึ่งถือเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนการทํางาน ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะความรัก ความสามัคคี ความเอาใจใส่ต่อกันไม่ว่าจะเป็นข้าราชการระดับไหน ถือเป็นสิ่งสําคัญอย่างยิ่งในการทํางาน ทั้งนี้ การทํางานมีทั้งสิ่งที่ดี และไม่ดี ขอให้ช่วยกันรักษาชื่อเสียง รักษาสิ่งที่ดีของหน่วยงานตลอดไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า วันนี้ถึงแม้จะพ้นหน้าที่ไป แต่ยังมีภาระต่อครอบครัวที่ต้องดูแล ขอให้วางแผนการใช้ชีวิตให้มีความสุข ขอให้ใช้ความรู้ความสามารถคอยเป็นที่ปรึกษากับข้าราชการรุ่นใหม่ และขอให้ทุกคนมีสติในการครองตน ครองเรือน และมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างพอเพียง พร้อมทั้งขอให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวของครอบครัว และลูกหลานต่อไป
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ร่วมถ่ายรูป พร้อมมอบของที่ระลึกให้กับข้าราชการ และลูกจ้างประจําที่เกษียณอายุราชการ โดยนายกรัฐมนตรีได้สอบถามความเป็นอยู่ และการใช้ชีวิตหลังเกษียณอายุราชการกับข้าราชการ และลูกจ้างประจําอย่างเป็นกันเอง
-------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6670
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ร่วมกับศาลแรงงานกลางให้บริการสัญจรทั่วกรุง อำนวยความยุติธรรมแก่แรงงานที่กระทบโควิด
|
วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563
กสร. ร่วมกับศาลแรงงานกลางให้บริการสัญจรทั่วกรุง อํานวยความยุติธรรมแก่แรงงานที่กระทบโควิด
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ร่วมกับศาลแรงงานกลางเดินหน้าโครงการ “ศาลแรงงานเคลื่อนที่” ช่วยเหลือและอํานวยความยุติธรรมแก่ประชาชนด้านแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ออกให้บริการคําปรึกษาข้อกฎหมาย ไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง การรับฟ้
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า โครงการ “ศาลแรงงานเคลื่อนที่” เป็นโครงการที่ กสร. ร่วมกับศาลแรงงานกลางจัดขึ้น เพื่อให้บริการสร้างการรับรู้และเข้าใจถึงสิทธิหน้าที่ของนายจ้างและลูกจ้างตามกฎหมายแรงงาน ในรูปแบบของศูนย์บริการด้านกฎหมายเคลื่อนที่ โดยจะให้บริการให้คําปรึกษา ไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง การรับคําฟ้องแก่นายจ้าง ลูกจ้าง และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ภายใต้ชื่อ “คลินิกศาลแรงงานร่วมใจ วิถีใหม่-สู้ภัย โควิด” เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย และลดการเดินทางมายังศาลของประชาชน ซึ่งจะเปิดให้บริการครั้งแรก ณ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 เขตดินแดง (สรพ. 5) ในวันที่ 17 มิถุนายนนี้ ครั้งที่ 2 วันที่ 22 มิถุนายน ณ สรพ.3 (เขตประเวศ) ครั้งที่ 3 วันที่ 3 กรกฎาคม ณ สรพ.10 (เขตมีนบุรี) ครั้งที่ 4 วันที่ 13 กรกฎาคม ณ สรพ.7 (เขตตลิ่งชัน) ครั้งที่ 5 วันที่ 3 สิงหาคม ณ สรพ.3 (เขตประเวศ) ครั้งที่ 6 วันที่ 11 สิงหาคม ณ สรพ.10 (เขตมีนบุรี) ครั้งที่ 7 วันที่ 1 กันยายน ณ สรพ.8 (เขตพระนคร) และครั้งสุดท้ายในวันที่ 15 กันยายน ณ สรพ.5 (เขตดินแดง)
อธิบดี กสร. กล่าวต่อไปว่า โครงการดังกล่าวเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนายจ้าง ลูกจ้าง และประชาชนที่มีข้อสงสัยหรือต้องการความชัดเจนในการปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน รวมทั้งเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน ของนายจ้าง ลูกจ้างจากสถานการณ์โควิด-19 นํามาซึ่งความร่วมมือ ร่วมใจให้ผ่านพ้นวิกฤติดังกล่าวไปได้ด้วยดี จึงขอเชิญชวนผู้สนใจใช้บริการ “คลินิกศาลแรงงานร่วมใจ วิถีใหม่-สู้ภัยโควิด” ได้ตามวันและสถานที่ข้างต้น ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองนิติการ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์ 0 2246 7589 หรือสายด่วน 1506 กด 3
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ร่วมกับศาลแรงงานกลางให้บริการสัญจรทั่วกรุง อำนวยความยุติธรรมแก่แรงงานที่กระทบโควิด
วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563
กสร. ร่วมกับศาลแรงงานกลางให้บริการสัญจรทั่วกรุง อํานวยความยุติธรรมแก่แรงงานที่กระทบโควิด
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ร่วมกับศาลแรงงานกลางเดินหน้าโครงการ “ศาลแรงงานเคลื่อนที่” ช่วยเหลือและอํานวยความยุติธรรมแก่ประชาชนด้านแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ออกให้บริการคําปรึกษาข้อกฎหมาย ไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง การรับฟ้
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า โครงการ “ศาลแรงงานเคลื่อนที่” เป็นโครงการที่ กสร. ร่วมกับศาลแรงงานกลางจัดขึ้น เพื่อให้บริการสร้างการรับรู้และเข้าใจถึงสิทธิหน้าที่ของนายจ้างและลูกจ้างตามกฎหมายแรงงาน ในรูปแบบของศูนย์บริการด้านกฎหมายเคลื่อนที่ โดยจะให้บริการให้คําปรึกษา ไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง การรับคําฟ้องแก่นายจ้าง ลูกจ้าง และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ภายใต้ชื่อ “คลินิกศาลแรงงานร่วมใจ วิถีใหม่-สู้ภัย โควิด” เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย และลดการเดินทางมายังศาลของประชาชน ซึ่งจะเปิดให้บริการครั้งแรก ณ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 เขตดินแดง (สรพ. 5) ในวันที่ 17 มิถุนายนนี้ ครั้งที่ 2 วันที่ 22 มิถุนายน ณ สรพ.3 (เขตประเวศ) ครั้งที่ 3 วันที่ 3 กรกฎาคม ณ สรพ.10 (เขตมีนบุรี) ครั้งที่ 4 วันที่ 13 กรกฎาคม ณ สรพ.7 (เขตตลิ่งชัน) ครั้งที่ 5 วันที่ 3 สิงหาคม ณ สรพ.3 (เขตประเวศ) ครั้งที่ 6 วันที่ 11 สิงหาคม ณ สรพ.10 (เขตมีนบุรี) ครั้งที่ 7 วันที่ 1 กันยายน ณ สรพ.8 (เขตพระนคร) และครั้งสุดท้ายในวันที่ 15 กันยายน ณ สรพ.5 (เขตดินแดง)
อธิบดี กสร. กล่าวต่อไปว่า โครงการดังกล่าวเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนายจ้าง ลูกจ้าง และประชาชนที่มีข้อสงสัยหรือต้องการความชัดเจนในการปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน รวมทั้งเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน ของนายจ้าง ลูกจ้างจากสถานการณ์โควิด-19 นํามาซึ่งความร่วมมือ ร่วมใจให้ผ่านพ้นวิกฤติดังกล่าวไปได้ด้วยดี จึงขอเชิญชวนผู้สนใจใช้บริการ “คลินิกศาลแรงงานร่วมใจ วิถีใหม่-สู้ภัยโควิด” ได้ตามวันและสถานที่ข้างต้น ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองนิติการ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์ 0 2246 7589 หรือสายด่วน 1506 กด 3
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32405
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางชี้แจงข่าวลือกรณีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ ยืนยัน! ยังได้รับสิทธิเหมือนเดิม
|
วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม 2563
กรมบัญชีกลางชี้แจงข่าวลือกรณีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ ยืนยัน! ยังได้รับสิทธิเหมือนเดิม
ตามที่มีข้อความเผยแพร่ตามสื่อต่าง ๆ และอ้างถึงการเบิกค่ารักษาพยาบาลโดยใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ที่บิดเบือน และก่อให้เกิดความตื่นตระหนก สิทธิสวัสดิการไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวยังคงได้รับสิทธิเช่นเดิม
นางสาววิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่มีข้อความเผยแพร่ตามสื่อต่าง ๆ และอ้างถึงการเบิกค่ารักษาพยาบาลโดยใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการว่า “ข่าวใหม่ ที่มนุษย์เงินเดือนภาครัฐ น่าจะรับทราบและเตรียมตัวเตรียมใจรับมือ 1) ค่ารักษาพยาบาลจะเบิกได้เพียงบางส่วน (ราว 65 %) ที่เหลือต้องชําระเพิ่มเอง หลวงไม่ช่วยแล้ว สิ่งที่ต้องเตรียมตัวก็คือ เศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่ การใช่จ่ายเท่าที่จําเป็นจริง ๆ (จริง ๆ น่ะ..เพราะเราเริ่มเข้าสู่ยุคเผาจริงแล้ว) เก็บเงินไว้ให้มากที่สุดและนานที่สุด เพื่อไม่ต้องเป็นหนี้โดยใช่เหตุ 2) แนวโน้มยากจะคาดเดา แต่การที่รัฐต้องเจียดงบประมาณและกู้เงินมาช่วยวิกฤตโควิดและฟื้นฟูเศรษฐกิจตามโครงการต่าง ๆ เป็นเงินมหาศาล จนนักเศรษฐศาสตร์มองว่าเป็นการยากที่กรมสรรพกรจะจัดเก็บรายได้เข้าคลังตามเป้าและจ่ายค่าดอกเบี้ยเงินกู้ได้ 3) เมื่อถึงจุดทางตัน อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะทุกวันนี้ งบเงินเดือนข้าราชการมีเปอร์เซ็นต์สูงขึ้นทุกปี ด้วยเหตุผลนี้ ข้าราชการควรเตรียมตัวรับสภาพ โดยเฉพาะข้าราชการที่มีรายรับจากเงินเดือน เพียงอย่างเดียว” ซึ่งเป็นข้อมูลที่บิดเบือน และก่อให้เกิดความตื่นตระหนก นั้น
“กรมบัญชีกลางในฐานะหน่วยงานที่กํากับดูแล เกี่ยวกับสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ ขอชี้แจงว่า ข้อความข้างต้นไม่เป็นความจริง สิทธิสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวยังคงได้รับสิทธิเช่นเดิม และขอเตือนให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง อย่าหลงเชื่อข้อความดังกล่าว หากมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องสิทธิสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ กรมบัญชีกลางจะแจ้งให้ทราบต่อไป ทั้งนี้ ขอให้ติดตามข่าวสารจากช่องทางต่าง ๆ ของกรมบัญชีกลางเท่านั้น” โฆษกกรมบัญชีกลางกล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางชี้แจงข่าวลือกรณีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ ยืนยัน! ยังได้รับสิทธิเหมือนเดิม
วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม 2563
กรมบัญชีกลางชี้แจงข่าวลือกรณีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ ยืนยัน! ยังได้รับสิทธิเหมือนเดิม
ตามที่มีข้อความเผยแพร่ตามสื่อต่าง ๆ และอ้างถึงการเบิกค่ารักษาพยาบาลโดยใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ที่บิดเบือน และก่อให้เกิดความตื่นตระหนก สิทธิสวัสดิการไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวยังคงได้รับสิทธิเช่นเดิม
นางสาววิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่มีข้อความเผยแพร่ตามสื่อต่าง ๆ และอ้างถึงการเบิกค่ารักษาพยาบาลโดยใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการว่า “ข่าวใหม่ ที่มนุษย์เงินเดือนภาครัฐ น่าจะรับทราบและเตรียมตัวเตรียมใจรับมือ 1) ค่ารักษาพยาบาลจะเบิกได้เพียงบางส่วน (ราว 65 %) ที่เหลือต้องชําระเพิ่มเอง หลวงไม่ช่วยแล้ว สิ่งที่ต้องเตรียมตัวก็คือ เศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่ การใช่จ่ายเท่าที่จําเป็นจริง ๆ (จริง ๆ น่ะ..เพราะเราเริ่มเข้าสู่ยุคเผาจริงแล้ว) เก็บเงินไว้ให้มากที่สุดและนานที่สุด เพื่อไม่ต้องเป็นหนี้โดยใช่เหตุ 2) แนวโน้มยากจะคาดเดา แต่การที่รัฐต้องเจียดงบประมาณและกู้เงินมาช่วยวิกฤตโควิดและฟื้นฟูเศรษฐกิจตามโครงการต่าง ๆ เป็นเงินมหาศาล จนนักเศรษฐศาสตร์มองว่าเป็นการยากที่กรมสรรพกรจะจัดเก็บรายได้เข้าคลังตามเป้าและจ่ายค่าดอกเบี้ยเงินกู้ได้ 3) เมื่อถึงจุดทางตัน อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะทุกวันนี้ งบเงินเดือนข้าราชการมีเปอร์เซ็นต์สูงขึ้นทุกปี ด้วยเหตุผลนี้ ข้าราชการควรเตรียมตัวรับสภาพ โดยเฉพาะข้าราชการที่มีรายรับจากเงินเดือน เพียงอย่างเดียว” ซึ่งเป็นข้อมูลที่บิดเบือน และก่อให้เกิดความตื่นตระหนก นั้น
“กรมบัญชีกลางในฐานะหน่วยงานที่กํากับดูแล เกี่ยวกับสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ ขอชี้แจงว่า ข้อความข้างต้นไม่เป็นความจริง สิทธิสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวยังคงได้รับสิทธิเช่นเดิม และขอเตือนให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง อย่าหลงเชื่อข้อความดังกล่าว หากมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องสิทธิสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ กรมบัญชีกลางจะแจ้งให้ทราบต่อไป ทั้งนี้ ขอให้ติดตามข่าวสารจากช่องทางต่าง ๆ ของกรมบัญชีกลางเท่านั้น” โฆษกกรมบัญชีกลางกล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33084
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุม ศบค. ประเมินผลปฏิบัติการควบคุมโควิด 19 ภายหลังมาตรการผ่อนปรนของรัฐบาล
|
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม 2563
นายกรัฐมนตรีประชุม ศบค. ประเมินผลปฏิบัติการควบคุมโควิด 19 ภายหลังมาตรการผ่อนปรนของรัฐบาล
นายกรัฐมนตรีประชุม ศบค. ประเมินผลปฏิบัติการควบคุมโควิด 19 ภายหลังมาตรการผ่อนปรนของรัฐบาล
วันนี้ (7 พฤษภาคม 2563) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดการประชุมด้วยการขอบคุณทุกกําลังใจที่ส่งมาถึง และได้มอบแนวทางในการดําเนินงานในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างห้วงต่างๆ โดยพิจารณาผลกระทบที่ไปถึงยังภาคส่วนต่างๆ ด้วย
ขณะนี้ แม้สถานการณ์อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพึงพอใจ แต่ในการดําเนินการยังต้องมีความเข้มงวด ผ่านการดําเนินการในเชิงรุก รวมทั้ง ให้ควบคุมดูแลการเดินทางเข้า-ออก ประเทศผ่านช่องทางต่างๆ ผู้เดินทางจะต้องผ่านมาตรการ State Quarantine และมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ รัฐบาลได้ดําเนินการตามมาตรการฉุกเฉินระยะที่ 1 แล้วอย่างเคร่งครัด ขอให้ปฏิบัติต่อไป ห้ามละเลย ให้ ศบค. ด้านความมั่นคง ด้านสาธารณสุข ทหาร ตํารวจ ผู้ประจําด่านตรวจเฝ้าระวัง ปฏิบัติตามมาตรฐานและข้อกําหนด ประสานงานร่วมกับผู้ประกอบการท้องถิ่น ให้ดําเนินการให้เป็นไปตามมาตรการ และดูแล ติดตามอย่างใกล้ชิด
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้สั่งการให้ ศบค. พิจารณามาตรการในด้านต่างๆ เช่น ด้านการต่างประเทศ พร้อมขอให้รายงานถึงผลกระทบภายหลังการผ่อนคลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงพิจารณาแนวทางการแก้ไข โดยในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ การเยียวยา รวมทั้งข้อเสนอของผู้ประกอบการที่ได้ยื่นมา และขอให้ศูนย์การช่วยเหลือฯ เร่งดําเนินการและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ นอกจากนี้ ให้ร่วมพิจารณาให้ผู้ต้องการความช่วยเหลือได้รับความช่วยเหลือทุกคน ไม่ตกหล่น และในส่วนของการเรียนการสอนให้ร่วมพิจารณาเรื่องการเปิดเรียน และวิธีการเรียนการสอนไม่ให้เกิดผลกระทบ
การรายงานสถานการณ์โควิด-19
กระทรวงสาธารณสุข โดยปลัดกระทรวงได้รายงานถึงจํานวนผู้ป่วย ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว ผู้ป่วยในโรงพยาบาล และการตรวจหาผู้ป่วย เช่น การทํา Active Case Finding ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขได้ดําเนินการสํารวจสถานที่ที่เปิดตามมาตรการผ่อนปรน เช่น ตลาด สวนสาธารณะ พบว่ามีความเข้าใจต่อการปฏิบัติตนในที่สาธารณะ แต่กลุ่มร้านตัดผมยังขาดความเข้าใจอยู่บ้าง รวมทั้งได้ดําเนินการสํารวจกลุ่มผู้ใช้แรงงานอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนได้ให้ความรู้กลุ่มเฉพาะ เช่น ศาสนา เรือนจํา ผู้ประกอบการอาหาร การขนส่ง โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวที่ต้องให้ความรู้ความเข้าใจรวมถึงหลักปฏิบัติต่างๆ ทั้งนี้ สาธารณสุขเห็นว่า ยังมีความจําเป็นต้องคงมาตรการในประเทศให้เข้มข้น และตรึงการนําเข้าจากต่างประเทศ แม้ว่าสถานการณ์ในไทยจะดีขึ้นตามลําดับ แต่สถานการณ์โลกยังมีการระบาดอย่างต่อเนื่อง ในโอกาสนี้ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้รายงานถึงความก้าวหน้าในการพัฒนาวัคซีน ว่ามีพัฒนาการ จนคาดว่าจะสามารถนําไปสู่การผลิตวัคซีนได้
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการดําเนินการตามมาตรการผ่อนปรน โดยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างการผ่อนปรนมาตรการ เช่น ความหนาแน่นของผู้โดยสารบนรถไฟฟ้า BTS ซึ่งควรให้วิ่งรถเต็มจํานวน ทั้งวัน และจําเป็นต้องเตรียมมาตรการรองรับในทุกด้าน เช่น การพักคอย การผ่อนปรนจะต้องค่อยๆ ผ่อนคลายพร้อมกับมีมาตรการรองรับที่เหมาะสม และมีแผนฉุกเฉินรองรับ โดยย้ําเรื่องการกําหนดเวลาในการทํางานเริ่มงาน ต้องจัดให้มีการเหลื่อมเวลา เพื่อลดความหนาแน่นในระบบขนส่งสาธารณะอีกทางหนึ่ง และต้องทําให้ชัดเจน ในส่วนของการตรวจเชื้อที่กระทรวงสาธารณสุขกําลังดําเนินการ ขอให้พิจารณาดําเนินการอย่างจริงจัง จะขอให้ชี้แจงข้อมูลเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ และเพจเพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงมาตรการและการดําเนินการ ในส่วนของการรณรงค์ให้ประชาชนใส่หน้ากากเพื่อป้องกันนั้น ควรหลีกเลี่ยงการวิ่ง เมื่อต้องใส่หน้ากากจึงควรออกกําลังกายด้วยการเดินแทน
การรายงานการดําเนินมาตรการผ่อนปรน
สํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ รายงานกรณีมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการดําเนินกิจการ/กิจกรรม ที่ได้เริ่มไปแล้วเมื่อ 3 พฤษภาคม 2563 ว่าในส่วนของบางกิจการจะผ่อนคลายมาตรการเพิ่มเติมอย่างไร ได้แก่ การเปิดสถานดูแลผู้สูงอายุ ร้าน Furniture วัสดุก่อสร้าง กิจการที่เกี่ยวข้องกับด้านสินเชื่อ ประกันภัย ในห้างสรรพสินค้า ซึ่งคณะกรรมการจะได้พิจารณาผ่อนปรนตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ในส่วนของสถานดูแลผู้สูงอายุ ไม่มีในข้อกําหนด แต่ไปปรากฏอยู่ใน พ.ร.บ.ควบคุมโรค และเป็นอํานาจของผู้ว่าราชการของแต่ละจังหวัดในการพิจารณาเพิ่มเติม ทั้งนี้ ในส่วนของมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 2 กําลังมีการดําเนินการตามขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ระดมความคิดเห็นจากส่วนราชการ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง
ขั้นตอนที่ 2 จัดประชุมเพื่อซักซ้อมความเข้าใจในการบังคับใช้มาตรการผ่อนปรนในระยะที่ 2
ขั้นตอนที่ 3 ยกร่างข้อกําหนดตามมาตรา 9 ของ พ.ร.ก. ฉุกเฉินเพื่อกําหนดมาตรการผ่อนปรนในระยะที่ 2
ขั้นตอนที่ 4 คือ บังคับใช้มาตรการผ่อนปรนระยะที่ 2
ด้านสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น กลุ่มเป้าหมายในการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจเพื่อเฝ้าระวัง และค้นหาในกลุ่มเสี่ยง หรือสถานที่เสี่ยง ทั้งนี้ มาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรค มีความสําคัญ โดยสาธารณสุขได้จัดทําคู่มือการป้องกันและควบคุมโรคโควิด19 และคู่มือการปฏิบัติตามมาตรการผ่อนปรนกิจการและกิจกรรมเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีย้ําว่า แม้ว่าจะมีการตรวจจํานวนมากขึ้น ซึ่งบางคนจะตรวจแล้วไม่พบเชื้อ หรือ อาจอยู่ในช่วงไม่แสดงอาการ หรือกลับมาเป็นซ้ํา ซึ่งต้องระมัดระวังและสร้างความเข้าใจ ซึ่งขอให้ตรวจสอบในกลุ่มอาชีพ บางกลุ่มด้วย อาทิ เรือประมง พนักงานขับเรือ พนักงานขับรถโดยสาร ต้องได้รับการตรวจดูแล รวมทั้งการจัดระเบียบอย่างต่อเนื่อง
กระทรวงมหาดไทย ได้รายงานด้านมาตรการป้องกันและช่วยเหลือประชาชนว่ายังคงมีความเข้มข้น โดยได้สั่งการให้ ทุกจังหวัด และ กทม. ดําเนินตามข้อกําหนดฯ ให้กํากับติดตามให้สถานประกอบการ พนักงาน และผู้ใช้บริการดําเนินการตามมาตรากรที่ ศบค. กําหนด ได้แก่ ทําความสะอาดพื้นที่ จุดล้างมือ สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า เว้นระยะห่าง ควบคุมจํานวนผู้ใช้บริการไม่ให้แออัด กรณีการพิจารณาสั่งปิดสถานประกอบการ ให้ดําเนินการตามข้อกําหนดฯ กรณีจะมีการออกคําสั่งปิดสถานที่เพิ่ม ให้รายงานมาที่ ศบค. และกระทรวงมหาดไทยก่อน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้แก่ประชาชน และเป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
กรุงเทพมหานครฯ ได้รายงานการปฏิบัติตามมาตรการผ่อนปรน โดยได้ตรวจและตักเตือนผู้ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ กรณี รถไฟฟ้า bts ได้สั่งดําเนินการให้กําหนดเจ้าหน้าที่ประจําสถานีให้มากขึ้น เพื่อตรวจจํานวนประชาชนไม่เห็นแออัด และคนจําหน่ายตั๋ว
กระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้รายงานการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศ โดยมีคนไทยแสดงความประสงค์กลับไทย 45,147 คน แบ่งเป็น ทางบก 25,660 คน ทางอากาศ 19,487 คน ซึ่งหลักเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาการนําบุคคลกลับประเทศไทย ได้แก่ กลุ่มที่จะได้รับพิจารณานํากลับด่วนที่สุด ได้แก่ กลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ป่วย ผู้ตกค้างสนามบิน วีซ่าหมดอายุ นักท่องเที่ยวตกค้าง และ กลุ่มที่จะได้รับการพิจารณานํากลับด่วนมาก ได้แก่ พระภิกษุสงฆ์ นักเรียน นักศึกษา คนตกงาน ทั้งนี้จะพิจารณาผ่านองค์ประกอบที่สําคัญ ได้แก่ ความยากลําบากของพื้นที่ ระบบสาธารณสุข รวมทั้งการประเมินความเสี่ยงในพื้นที่ และการชุมนุมที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการระบาด เป็นต้น ในประเด็นนี้ นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ยืดหยุ่นจํานวนตัวเลขประชาชนที่เข้ามาในประเทศ เพื่อให้ประชาชนไทยที่ติดค้างยังต่างประเทศได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ในส่วนของคนไทยในมาเลเซีย นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศอํานวยความสะดวก ดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งว่าส่งความช่วยเหลือไปให้เกือบทุกรัฐในมาเลเซียอย่างเพียงพอ ซึ่งกรณีนี้ได้รับความร่วมมือจากอาสาสมัครมาเลเซียด้วย
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสรุปการสั่งการให้ทุกภาคส่วนคํานึงถึงความสมดุล และสร้างความเชื่อมั่น โดยเฉพาะการช่วยเหลือเยียวยา ต้องดําเนินการควบคู่กับมาตรการทางสาธารณสุข ไม่ใช่เพียงตัวเลขผู้ป่วยที่ลดลง แต่ต้องร่วมช่วยเหลือผู้คนที่ได้รับผลกระทบ มีความยากลําบากในการดํารงชีวิต ต้องดูแลรอบด้าน ไม่ให้เกิดปัญหาท่ามกลางภาวะโควิด โดยขอให้ร่วมกันพิจารณาว่าในอีก 3 เดือนข้างหน้าจะดําเนินมาตรการอย่างไร ต้องช่วยเหลือ เยียวยา และย้ําให้ทุกภาคส่วนทําความเข้าใจให้ตรงกัน ผ่านชุดข้อมูลเดียวกันเพื่อป้องกันการบิดเบือน และไม่ให้เกิดความสับสนในสังคม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุม ศบค. ประเมินผลปฏิบัติการควบคุมโควิด 19 ภายหลังมาตรการผ่อนปรนของรัฐบาล
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม 2563
นายกรัฐมนตรีประชุม ศบค. ประเมินผลปฏิบัติการควบคุมโควิด 19 ภายหลังมาตรการผ่อนปรนของรัฐบาล
นายกรัฐมนตรีประชุม ศบค. ประเมินผลปฏิบัติการควบคุมโควิด 19 ภายหลังมาตรการผ่อนปรนของรัฐบาล
วันนี้ (7 พฤษภาคม 2563) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดการประชุมด้วยการขอบคุณทุกกําลังใจที่ส่งมาถึง และได้มอบแนวทางในการดําเนินงานในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างห้วงต่างๆ โดยพิจารณาผลกระทบที่ไปถึงยังภาคส่วนต่างๆ ด้วย
ขณะนี้ แม้สถานการณ์อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพึงพอใจ แต่ในการดําเนินการยังต้องมีความเข้มงวด ผ่านการดําเนินการในเชิงรุก รวมทั้ง ให้ควบคุมดูแลการเดินทางเข้า-ออก ประเทศผ่านช่องทางต่างๆ ผู้เดินทางจะต้องผ่านมาตรการ State Quarantine และมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ รัฐบาลได้ดําเนินการตามมาตรการฉุกเฉินระยะที่ 1 แล้วอย่างเคร่งครัด ขอให้ปฏิบัติต่อไป ห้ามละเลย ให้ ศบค. ด้านความมั่นคง ด้านสาธารณสุข ทหาร ตํารวจ ผู้ประจําด่านตรวจเฝ้าระวัง ปฏิบัติตามมาตรฐานและข้อกําหนด ประสานงานร่วมกับผู้ประกอบการท้องถิ่น ให้ดําเนินการให้เป็นไปตามมาตรการ และดูแล ติดตามอย่างใกล้ชิด
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้สั่งการให้ ศบค. พิจารณามาตรการในด้านต่างๆ เช่น ด้านการต่างประเทศ พร้อมขอให้รายงานถึงผลกระทบภายหลังการผ่อนคลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงพิจารณาแนวทางการแก้ไข โดยในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ การเยียวยา รวมทั้งข้อเสนอของผู้ประกอบการที่ได้ยื่นมา และขอให้ศูนย์การช่วยเหลือฯ เร่งดําเนินการและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ นอกจากนี้ ให้ร่วมพิจารณาให้ผู้ต้องการความช่วยเหลือได้รับความช่วยเหลือทุกคน ไม่ตกหล่น และในส่วนของการเรียนการสอนให้ร่วมพิจารณาเรื่องการเปิดเรียน และวิธีการเรียนการสอนไม่ให้เกิดผลกระทบ
การรายงานสถานการณ์โควิด-19
กระทรวงสาธารณสุข โดยปลัดกระทรวงได้รายงานถึงจํานวนผู้ป่วย ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว ผู้ป่วยในโรงพยาบาล และการตรวจหาผู้ป่วย เช่น การทํา Active Case Finding ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขได้ดําเนินการสํารวจสถานที่ที่เปิดตามมาตรการผ่อนปรน เช่น ตลาด สวนสาธารณะ พบว่ามีความเข้าใจต่อการปฏิบัติตนในที่สาธารณะ แต่กลุ่มร้านตัดผมยังขาดความเข้าใจอยู่บ้าง รวมทั้งได้ดําเนินการสํารวจกลุ่มผู้ใช้แรงงานอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนได้ให้ความรู้กลุ่มเฉพาะ เช่น ศาสนา เรือนจํา ผู้ประกอบการอาหาร การขนส่ง โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวที่ต้องให้ความรู้ความเข้าใจรวมถึงหลักปฏิบัติต่างๆ ทั้งนี้ สาธารณสุขเห็นว่า ยังมีความจําเป็นต้องคงมาตรการในประเทศให้เข้มข้น และตรึงการนําเข้าจากต่างประเทศ แม้ว่าสถานการณ์ในไทยจะดีขึ้นตามลําดับ แต่สถานการณ์โลกยังมีการระบาดอย่างต่อเนื่อง ในโอกาสนี้ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้รายงานถึงความก้าวหน้าในการพัฒนาวัคซีน ว่ามีพัฒนาการ จนคาดว่าจะสามารถนําไปสู่การผลิตวัคซีนได้
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการดําเนินการตามมาตรการผ่อนปรน โดยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างการผ่อนปรนมาตรการ เช่น ความหนาแน่นของผู้โดยสารบนรถไฟฟ้า BTS ซึ่งควรให้วิ่งรถเต็มจํานวน ทั้งวัน และจําเป็นต้องเตรียมมาตรการรองรับในทุกด้าน เช่น การพักคอย การผ่อนปรนจะต้องค่อยๆ ผ่อนคลายพร้อมกับมีมาตรการรองรับที่เหมาะสม และมีแผนฉุกเฉินรองรับ โดยย้ําเรื่องการกําหนดเวลาในการทํางานเริ่มงาน ต้องจัดให้มีการเหลื่อมเวลา เพื่อลดความหนาแน่นในระบบขนส่งสาธารณะอีกทางหนึ่ง และต้องทําให้ชัดเจน ในส่วนของการตรวจเชื้อที่กระทรวงสาธารณสุขกําลังดําเนินการ ขอให้พิจารณาดําเนินการอย่างจริงจัง จะขอให้ชี้แจงข้อมูลเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ และเพจเพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงมาตรการและการดําเนินการ ในส่วนของการรณรงค์ให้ประชาชนใส่หน้ากากเพื่อป้องกันนั้น ควรหลีกเลี่ยงการวิ่ง เมื่อต้องใส่หน้ากากจึงควรออกกําลังกายด้วยการเดินแทน
การรายงานการดําเนินมาตรการผ่อนปรน
สํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ รายงานกรณีมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการดําเนินกิจการ/กิจกรรม ที่ได้เริ่มไปแล้วเมื่อ 3 พฤษภาคม 2563 ว่าในส่วนของบางกิจการจะผ่อนคลายมาตรการเพิ่มเติมอย่างไร ได้แก่ การเปิดสถานดูแลผู้สูงอายุ ร้าน Furniture วัสดุก่อสร้าง กิจการที่เกี่ยวข้องกับด้านสินเชื่อ ประกันภัย ในห้างสรรพสินค้า ซึ่งคณะกรรมการจะได้พิจารณาผ่อนปรนตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ในส่วนของสถานดูแลผู้สูงอายุ ไม่มีในข้อกําหนด แต่ไปปรากฏอยู่ใน พ.ร.บ.ควบคุมโรค และเป็นอํานาจของผู้ว่าราชการของแต่ละจังหวัดในการพิจารณาเพิ่มเติม ทั้งนี้ ในส่วนของมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 2 กําลังมีการดําเนินการตามขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ระดมความคิดเห็นจากส่วนราชการ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง
ขั้นตอนที่ 2 จัดประชุมเพื่อซักซ้อมความเข้าใจในการบังคับใช้มาตรการผ่อนปรนในระยะที่ 2
ขั้นตอนที่ 3 ยกร่างข้อกําหนดตามมาตรา 9 ของ พ.ร.ก. ฉุกเฉินเพื่อกําหนดมาตรการผ่อนปรนในระยะที่ 2
ขั้นตอนที่ 4 คือ บังคับใช้มาตรการผ่อนปรนระยะที่ 2
ด้านสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น กลุ่มเป้าหมายในการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจเพื่อเฝ้าระวัง และค้นหาในกลุ่มเสี่ยง หรือสถานที่เสี่ยง ทั้งนี้ มาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรค มีความสําคัญ โดยสาธารณสุขได้จัดทําคู่มือการป้องกันและควบคุมโรคโควิด19 และคู่มือการปฏิบัติตามมาตรการผ่อนปรนกิจการและกิจกรรมเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีย้ําว่า แม้ว่าจะมีการตรวจจํานวนมากขึ้น ซึ่งบางคนจะตรวจแล้วไม่พบเชื้อ หรือ อาจอยู่ในช่วงไม่แสดงอาการ หรือกลับมาเป็นซ้ํา ซึ่งต้องระมัดระวังและสร้างความเข้าใจ ซึ่งขอให้ตรวจสอบในกลุ่มอาชีพ บางกลุ่มด้วย อาทิ เรือประมง พนักงานขับเรือ พนักงานขับรถโดยสาร ต้องได้รับการตรวจดูแล รวมทั้งการจัดระเบียบอย่างต่อเนื่อง
กระทรวงมหาดไทย ได้รายงานด้านมาตรการป้องกันและช่วยเหลือประชาชนว่ายังคงมีความเข้มข้น โดยได้สั่งการให้ ทุกจังหวัด และ กทม. ดําเนินตามข้อกําหนดฯ ให้กํากับติดตามให้สถานประกอบการ พนักงาน และผู้ใช้บริการดําเนินการตามมาตรากรที่ ศบค. กําหนด ได้แก่ ทําความสะอาดพื้นที่ จุดล้างมือ สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า เว้นระยะห่าง ควบคุมจํานวนผู้ใช้บริการไม่ให้แออัด กรณีการพิจารณาสั่งปิดสถานประกอบการ ให้ดําเนินการตามข้อกําหนดฯ กรณีจะมีการออกคําสั่งปิดสถานที่เพิ่ม ให้รายงานมาที่ ศบค. และกระทรวงมหาดไทยก่อน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้แก่ประชาชน และเป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
กรุงเทพมหานครฯ ได้รายงานการปฏิบัติตามมาตรการผ่อนปรน โดยได้ตรวจและตักเตือนผู้ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ กรณี รถไฟฟ้า bts ได้สั่งดําเนินการให้กําหนดเจ้าหน้าที่ประจําสถานีให้มากขึ้น เพื่อตรวจจํานวนประชาชนไม่เห็นแออัด และคนจําหน่ายตั๋ว
กระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้รายงานการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศ โดยมีคนไทยแสดงความประสงค์กลับไทย 45,147 คน แบ่งเป็น ทางบก 25,660 คน ทางอากาศ 19,487 คน ซึ่งหลักเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาการนําบุคคลกลับประเทศไทย ได้แก่ กลุ่มที่จะได้รับพิจารณานํากลับด่วนที่สุด ได้แก่ กลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ป่วย ผู้ตกค้างสนามบิน วีซ่าหมดอายุ นักท่องเที่ยวตกค้าง และ กลุ่มที่จะได้รับการพิจารณานํากลับด่วนมาก ได้แก่ พระภิกษุสงฆ์ นักเรียน นักศึกษา คนตกงาน ทั้งนี้จะพิจารณาผ่านองค์ประกอบที่สําคัญ ได้แก่ ความยากลําบากของพื้นที่ ระบบสาธารณสุข รวมทั้งการประเมินความเสี่ยงในพื้นที่ และการชุมนุมที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการระบาด เป็นต้น ในประเด็นนี้ นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ยืดหยุ่นจํานวนตัวเลขประชาชนที่เข้ามาในประเทศ เพื่อให้ประชาชนไทยที่ติดค้างยังต่างประเทศได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ในส่วนของคนไทยในมาเลเซีย นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศอํานวยความสะดวก ดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งว่าส่งความช่วยเหลือไปให้เกือบทุกรัฐในมาเลเซียอย่างเพียงพอ ซึ่งกรณีนี้ได้รับความร่วมมือจากอาสาสมัครมาเลเซียด้วย
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสรุปการสั่งการให้ทุกภาคส่วนคํานึงถึงความสมดุล และสร้างความเชื่อมั่น โดยเฉพาะการช่วยเหลือเยียวยา ต้องดําเนินการควบคู่กับมาตรการทางสาธารณสุข ไม่ใช่เพียงตัวเลขผู้ป่วยที่ลดลง แต่ต้องร่วมช่วยเหลือผู้คนที่ได้รับผลกระทบ มีความยากลําบากในการดํารงชีวิต ต้องดูแลรอบด้าน ไม่ให้เกิดปัญหาท่ามกลางภาวะโควิด โดยขอให้ร่วมกันพิจารณาว่าในอีก 3 เดือนข้างหน้าจะดําเนินมาตรการอย่างไร ต้องช่วยเหลือ เยียวยา และย้ําให้ทุกภาคส่วนทําความเข้าใจให้ตรงกัน ผ่านชุดข้อมูลเดียวกันเพื่อป้องกันการบิดเบือน และไม่ให้เกิดความสับสนในสังคม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30422
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จัดโครงการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
|
วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม 2562
สธ.จัดโครงการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับภาคีเครือข่าย ประชาชนจิตอาสา จัดโครงการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก น้อมนําพระราโชบาย “สืบสาน รักษา ต่อยอด” สู่การปฏิบัติ ส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค การรักษาโรค และฟื้นฟูสุขภาพ เพื่อประชาชนสุขภาพดี
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับภาคีเครือข่าย ประชาชนจิตอาสา จัดโครงการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก น้อมนําพระราโชบาย “สืบสาน รักษา ต่อยอด” สู่การปฏิบัติ ส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค การรักษาโรค และฟื้นฟูสุขภาพ เพื่อประชาชนสุขภาพดี
วันนี้ (22 กรกฎาคม 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าว โครงการ “ใต้ร่มพระบารมี น้อมนําสุขภาพดี สู่วิถีชุมชน” เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายด้านการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนจิตอาสา จัดโครงการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ เพื่อเผยแพร่พระราชกรณียกิจด้านการแพทย์และสาธารณสุข และแสดงความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยน้อมนําพระราโชบาย “สืบสาน รักษา ต่อยอด” สู่การปฏิบัติ ส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค การรักษาโรค และฟื้นฟูสุขภาพ เพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชนตามพระราชปณิธาน 2 โครงการ คือ โครงการ “ใต้ร่มพระบารมี น้อมนําสุขภาพดี สู่วิถีชุมชน” เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก บูรณาการโครงการของ 21 หน่วยงาน รวม 30 โครงการ เป็นกิจกรรมดูแลประชาชน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการสร้างเสริมสุขภาพและการออกกําลังกาย อาทิ โครงการปั่นรวมใจภักดิ์ รักในหลวง Bike for King โครงการ 10 ล้านครอบครัวไทยออกกําลังกาย (คีตะมวยไทย) การป้องกันและควบคุมโรค อาทิ โครงการยกระดับศักยภาพจิตอาสาในการค้นหาผู้ป่วยโรคเรื้อนรายใหม่ในชุมชนด้วยแอปพลิเคชันไลน์ โครงการตรวจคัดกรองและวินิจฉัยโรคพยาธิใบไม้ตับและหนอนพยาธิด้วยปัญญาประดิษฐ์ โครงการรวมพลังจิตอาสากําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โครงการอบรมและฝึกปฏิบัติวิทยากรจิตอาสาด้านการกู้ชีพ ด้านพัฒนาคุณภาพและยกระดับบริการสุขภาพ อาทิ โครงการเปลี่ยนลิ้นหัวใจพิการแต่กําเนิด และด้านมหกรรมและการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ อาทิ โครงการคืนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยให้แผ่นดิน โครงการจัดทําหนังสือตามรอยพระยุคลบาท ในหลวงรัชกาลที่ 10 เป็นต้น
โดยในวันที่ 26 กรกฎาคม 2562 กําหนดจัดกิจกรรมที่กระทรวงสาธารณสุข ประกอบด้วย พิธีถวายพระพรชัยมงคล ถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ การให้บริการสุขภาพแก่ประชาชน กิจกรรมส่งเสริมการออกกําลังกาย อบรมการกู้ชีพขั้นพื้นฐานและการป้องกันเด็กจมน้ํา
สําหรับโครงการที่ 2 คือ การจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และรับบริจาคโลหิตเฉลิมพระเกียรติ ฯ ได้จัดพร้อมกันทุกจังหวัดทั่วประเทศ ตั้งแต่พฤษภาคม 2562 – พฤษภาคม 2563 โดยครั้งที่ 1 เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2562 มีประชาชนรับบริการตรวจรักษา 26,501 คน ผู้บริจาคโลหิต 18,222 คน ผู้แสดงความจํานงค์บริจาคอวัยวะ 1,228 คน บริจาคดวงตา 1,235 คน
ด้านนายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โครงการ “ใต้ร่มพระบารมี น้อมนําสุขภาพดี สู่วิถีชุมชน” เฉลิมพระเกียรติ ฯ ซึ่งได้รับการรับรองจากคณะกรรมการฝ่ายโครงการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ สํานักนายกรัฐมนตรี ดําเนินการตั้งแต่พฤษภาคม 2562 – กันยายน 2564 ทั่วประเทศ สําหรับในวันที่ 26 กรกฎาคม 2562 จะจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ และบริการประชาชนที่กระทรวงสาธารณสุข โดยมีการแสดงนิทรรศการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกับ 4 ทศวรรษ 2 แผ่นดิน การบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ จํานวน 2,000 โด๊ส บริการตรวจสอบเครื่องวัดความดันโลหิต คัดกรองสุขภาพผู้สูงอายุตรวจประเมินข้อเข่าเสื่อม การสาธิตและฝึกอบรมการป้องกันเด็กจมน้ําและการกู้ชีพขั้นพื้นฐานสําหรับประชาชน บริการตรวจสุขภาพด้วยเครื่องตรวจอัจฉริยะ กิจกรรมการให้ความรู้ด้านผลิตภัณฑ์อาหารทางเลือกสุขภาพ การตรวจรักษาด้วยการแพทย์แผนจีน การคัดกรองสุขภาพจิตเบื้องต้น ประชาชนร่วมกิจกรรมและรับบริการสุขภาพได้ที่บริเวณถนนสาธารณสุข 2 กระทรวงสาธารณสุข อําเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี เวลา 09.00 น. – 14.00 น.
นอกจากนี้ ตั้งแต่เวลา 16.00 น.เป็นต้นไป จะจัดกิจกรรมออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ 3 กิจกรรม ได้แก่ 10 ล้านครอบครัวไทยออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ (คีตะมวยไทย 10 ท่า) พร้อมกันทั้งส่วนกลางและภูมิภาค และ กิจกรรมปั่นจักรยานออกกําลังกาย และกิจกรรมเดิน-วิ่งทางเลือกสุขภาพ รอบกระทรวงสาธารณสุข ระยะทาง 5 กิโลเมตร คาดว่ามีผู้ร่วมกิจกรรมกว่า 3,000 คน
************************************ 22 กรกฎาคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จัดโครงการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม 2562
สธ.จัดโครงการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับภาคีเครือข่าย ประชาชนจิตอาสา จัดโครงการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก น้อมนําพระราโชบาย “สืบสาน รักษา ต่อยอด” สู่การปฏิบัติ ส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค การรักษาโรค และฟื้นฟูสุขภาพ เพื่อประชาชนสุขภาพดี
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับภาคีเครือข่าย ประชาชนจิตอาสา จัดโครงการเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก น้อมนําพระราโชบาย “สืบสาน รักษา ต่อยอด” สู่การปฏิบัติ ส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค การรักษาโรค และฟื้นฟูสุขภาพ เพื่อประชาชนสุขภาพดี
วันนี้ (22 กรกฎาคม 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าว โครงการ “ใต้ร่มพระบารมี น้อมนําสุขภาพดี สู่วิถีชุมชน” เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายด้านการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนจิตอาสา จัดโครงการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ เพื่อเผยแพร่พระราชกรณียกิจด้านการแพทย์และสาธารณสุข และแสดงความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยน้อมนําพระราโชบาย “สืบสาน รักษา ต่อยอด” สู่การปฏิบัติ ส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค การรักษาโรค และฟื้นฟูสุขภาพ เพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชนตามพระราชปณิธาน 2 โครงการ คือ โครงการ “ใต้ร่มพระบารมี น้อมนําสุขภาพดี สู่วิถีชุมชน” เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก บูรณาการโครงการของ 21 หน่วยงาน รวม 30 โครงการ เป็นกิจกรรมดูแลประชาชน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการสร้างเสริมสุขภาพและการออกกําลังกาย อาทิ โครงการปั่นรวมใจภักดิ์ รักในหลวง Bike for King โครงการ 10 ล้านครอบครัวไทยออกกําลังกาย (คีตะมวยไทย) การป้องกันและควบคุมโรค อาทิ โครงการยกระดับศักยภาพจิตอาสาในการค้นหาผู้ป่วยโรคเรื้อนรายใหม่ในชุมชนด้วยแอปพลิเคชันไลน์ โครงการตรวจคัดกรองและวินิจฉัยโรคพยาธิใบไม้ตับและหนอนพยาธิด้วยปัญญาประดิษฐ์ โครงการรวมพลังจิตอาสากําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โครงการอบรมและฝึกปฏิบัติวิทยากรจิตอาสาด้านการกู้ชีพ ด้านพัฒนาคุณภาพและยกระดับบริการสุขภาพ อาทิ โครงการเปลี่ยนลิ้นหัวใจพิการแต่กําเนิด และด้านมหกรรมและการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ อาทิ โครงการคืนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยให้แผ่นดิน โครงการจัดทําหนังสือตามรอยพระยุคลบาท ในหลวงรัชกาลที่ 10 เป็นต้น
โดยในวันที่ 26 กรกฎาคม 2562 กําหนดจัดกิจกรรมที่กระทรวงสาธารณสุข ประกอบด้วย พิธีถวายพระพรชัยมงคล ถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ การให้บริการสุขภาพแก่ประชาชน กิจกรรมส่งเสริมการออกกําลังกาย อบรมการกู้ชีพขั้นพื้นฐานและการป้องกันเด็กจมน้ํา
สําหรับโครงการที่ 2 คือ การจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และรับบริจาคโลหิตเฉลิมพระเกียรติ ฯ ได้จัดพร้อมกันทุกจังหวัดทั่วประเทศ ตั้งแต่พฤษภาคม 2562 – พฤษภาคม 2563 โดยครั้งที่ 1 เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2562 มีประชาชนรับบริการตรวจรักษา 26,501 คน ผู้บริจาคโลหิต 18,222 คน ผู้แสดงความจํานงค์บริจาคอวัยวะ 1,228 คน บริจาคดวงตา 1,235 คน
ด้านนายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โครงการ “ใต้ร่มพระบารมี น้อมนําสุขภาพดี สู่วิถีชุมชน” เฉลิมพระเกียรติ ฯ ซึ่งได้รับการรับรองจากคณะกรรมการฝ่ายโครงการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ สํานักนายกรัฐมนตรี ดําเนินการตั้งแต่พฤษภาคม 2562 – กันยายน 2564 ทั่วประเทศ สําหรับในวันที่ 26 กรกฎาคม 2562 จะจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ และบริการประชาชนที่กระทรวงสาธารณสุข โดยมีการแสดงนิทรรศการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกับ 4 ทศวรรษ 2 แผ่นดิน การบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ จํานวน 2,000 โด๊ส บริการตรวจสอบเครื่องวัดความดันโลหิต คัดกรองสุขภาพผู้สูงอายุตรวจประเมินข้อเข่าเสื่อม การสาธิตและฝึกอบรมการป้องกันเด็กจมน้ําและการกู้ชีพขั้นพื้นฐานสําหรับประชาชน บริการตรวจสุขภาพด้วยเครื่องตรวจอัจฉริยะ กิจกรรมการให้ความรู้ด้านผลิตภัณฑ์อาหารทางเลือกสุขภาพ การตรวจรักษาด้วยการแพทย์แผนจีน การคัดกรองสุขภาพจิตเบื้องต้น ประชาชนร่วมกิจกรรมและรับบริการสุขภาพได้ที่บริเวณถนนสาธารณสุข 2 กระทรวงสาธารณสุข อําเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี เวลา 09.00 น. – 14.00 น.
นอกจากนี้ ตั้งแต่เวลา 16.00 น.เป็นต้นไป จะจัดกิจกรรมออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ 3 กิจกรรม ได้แก่ 10 ล้านครอบครัวไทยออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ (คีตะมวยไทย 10 ท่า) พร้อมกันทั้งส่วนกลางและภูมิภาค และ กิจกรรมปั่นจักรยานออกกําลังกาย และกิจกรรมเดิน-วิ่งทางเลือกสุขภาพ รอบกระทรวงสาธารณสุข ระยะทาง 5 กิโลเมตร คาดว่ามีผู้ร่วมกิจกรรมกว่า 3,000 คน
************************************ 22 กรกฎาคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21681
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผย 5 แนวทาง ใช้เงินกู้ 4.5 หมื่นล้าน กระจายทุกภาคส่วน
|
วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน 2563
สธ.เผย 5 แนวทาง ใช้เงินกู้ 4.5 หมื่นล้าน กระจายทุกภาคส่วน
กระทรวงสาธารณสุข เผย 5 แนวทาง ใช้เงินกู้ 4.5 หมื่นล้านบาท เพื่อภารกิจด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระจายทุกภาคส่วน ป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
กระทรวงสาธารณสุข เผย 5 แนวทาง ใช้เงินกู้ 4.5 หมื่นล้านบาท เพื่อภารกิจด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระจายทุกภาคส่วน ป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
วันนี้ (4 มิถุนายน 2563) ที่สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุขได้รับจัดสรรงบประมาณตามพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (1 ล้านล้านบาท) จากรัฐบาลจํานวน 45,000 ล้านบาท ซึ่งใช้ในภาพรวมระบบสาธารณสุขทั้งประเทศ ไม่ใช่กระทรวงสาธารณสุขหน่วยงานเดียว จะกระจายไปกลุ่มต่าง ๆ ได้แก่ อาสาสมัครสาธารณสุข โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล โรงพยาบาลทุกระดับ สปสช. และหน่วยงานภายนอก เช่น โรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลสังกัดอื่น ๆ ในเรื่องนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบนโยบายว่าการใช้จ่ายงบประมาณ ต้องคํานึงถึงความคุ้มค่า กระจายทุกภาคส่วน มีความโปร่งใส มีส่วนร่วม และคํานึงถึงประชาชนเป็นหลัก มีเป้าหมายเพื่อลดการติดเชื้อของประชากรในประเทศให้อยู่ระดับที่ควบคุมได้ ป้องกันความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคระลอกใหม่เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศสามารถดําเนินการได้ ภายใต้บริบทความไม่แน่นอนจากโรคอุบัติใหม่ และประชาชนได้รับการบริการที่มีคุณภาพ มาตรฐาน ทันสมัย มีศักยภาพ
และได้กําหนดการใช้งบประมาณใน 5 แผนงาน ประกอบด้วย 1.แผนงานหรือโครงการเพื่อรองรับค่าใช้จ่าย ค่าเยียวยา ค่าชดเชย และค่าเสี่ยงภัย สําหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง และค่าใช้จ่ายในการจัดหาผู้ชํานาญการทั้งในประเทศและต่างประเทศ 2.แผนงานหรือโครงการเพื่อจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข ยารักษาโรค วัคซีนป้องกันโรค และห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ 3. แผนงานหรือโครงการเพื่อค่าใช้จ่ายที่จําเป็นต่อการบําบัดรักษา ป้องกันควบคุมโรค การวิจัยพัฒนาทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อการฟื้นฟูด้านสาธารณสุข 4.แผนงานหรือโครงการเพื่อเตรียมความพร้อมด้านสถานพยาบาลและค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในการกักตัวผู้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และ 5. แผนงานหรือโครงการเพื่อรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน อันเนื่องมาจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าว จะมีคณะกรรมการติดตามการใช้จ่ายงบประมาณ เน้นให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด ลดผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หากไม่เพียงพอจะนําเรียนท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประสานของบเพิ่มเติม เน้นนโยบายเร่งด่วน เช่น ค่าใช้จ่ายการกักตัวในสถานที่เฝ้าระวังที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) การวิจัยพัฒนา และจัดซื้อจัดหาวัคซีนในอนาคต เป็นต้น
********************************* 4 มิถุนายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผย 5 แนวทาง ใช้เงินกู้ 4.5 หมื่นล้าน กระจายทุกภาคส่วน
วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน 2563
สธ.เผย 5 แนวทาง ใช้เงินกู้ 4.5 หมื่นล้าน กระจายทุกภาคส่วน
กระทรวงสาธารณสุข เผย 5 แนวทาง ใช้เงินกู้ 4.5 หมื่นล้านบาท เพื่อภารกิจด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระจายทุกภาคส่วน ป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
กระทรวงสาธารณสุข เผย 5 แนวทาง ใช้เงินกู้ 4.5 หมื่นล้านบาท เพื่อภารกิจด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระจายทุกภาคส่วน ป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
วันนี้ (4 มิถุนายน 2563) ที่สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุขได้รับจัดสรรงบประมาณตามพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (1 ล้านล้านบาท) จากรัฐบาลจํานวน 45,000 ล้านบาท ซึ่งใช้ในภาพรวมระบบสาธารณสุขทั้งประเทศ ไม่ใช่กระทรวงสาธารณสุขหน่วยงานเดียว จะกระจายไปกลุ่มต่าง ๆ ได้แก่ อาสาสมัครสาธารณสุข โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล โรงพยาบาลทุกระดับ สปสช. และหน่วยงานภายนอก เช่น โรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลสังกัดอื่น ๆ ในเรื่องนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบนโยบายว่าการใช้จ่ายงบประมาณ ต้องคํานึงถึงความคุ้มค่า กระจายทุกภาคส่วน มีความโปร่งใส มีส่วนร่วม และคํานึงถึงประชาชนเป็นหลัก มีเป้าหมายเพื่อลดการติดเชื้อของประชากรในประเทศให้อยู่ระดับที่ควบคุมได้ ป้องกันความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคระลอกใหม่เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศสามารถดําเนินการได้ ภายใต้บริบทความไม่แน่นอนจากโรคอุบัติใหม่ และประชาชนได้รับการบริการที่มีคุณภาพ มาตรฐาน ทันสมัย มีศักยภาพ
และได้กําหนดการใช้งบประมาณใน 5 แผนงาน ประกอบด้วย 1.แผนงานหรือโครงการเพื่อรองรับค่าใช้จ่าย ค่าเยียวยา ค่าชดเชย และค่าเสี่ยงภัย สําหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง และค่าใช้จ่ายในการจัดหาผู้ชํานาญการทั้งในประเทศและต่างประเทศ 2.แผนงานหรือโครงการเพื่อจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข ยารักษาโรค วัคซีนป้องกันโรค และห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ 3. แผนงานหรือโครงการเพื่อค่าใช้จ่ายที่จําเป็นต่อการบําบัดรักษา ป้องกันควบคุมโรค การวิจัยพัฒนาทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อการฟื้นฟูด้านสาธารณสุข 4.แผนงานหรือโครงการเพื่อเตรียมความพร้อมด้านสถานพยาบาลและค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในการกักตัวผู้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และ 5. แผนงานหรือโครงการเพื่อรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน อันเนื่องมาจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าว จะมีคณะกรรมการติดตามการใช้จ่ายงบประมาณ เน้นให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด ลดผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หากไม่เพียงพอจะนําเรียนท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประสานของบเพิ่มเติม เน้นนโยบายเร่งด่วน เช่น ค่าใช้จ่ายการกักตัวในสถานที่เฝ้าระวังที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) การวิจัยพัฒนา และจัดซื้อจัดหาวัคซีนในอนาคต เป็นต้น
********************************* 4 มิถุนายน 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31938
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดงาน “ตลาดสินค้าเกษตรคุณภาพ อ.ต.ก.จังหวัดเพชรบุรี”
|
วันจันทร์ที่ 30 มกราคม 2560
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดงาน “ตลาดสินค้าเกษตรคุณภาพ อ.ต.ก.จังหวัดเพชรบุรี”
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดงาน “ตลาดสินค้าเกษตรคุณภาพ อ.ต.ก.จังหวัดเพชรบุรี” ระหว่างวันที่ 28 ม.ค. - 2 ก.พ. 60 ณ สหกรณ์บริการสินค้าเกษตรอินทรีย์เพชรบุรี จํากัด อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี
น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังพิธีเปิดงาน“ตลาดสินค้าเกษตรคุณภาพ อ.ต.ก.จังหวัดเพชรบุรี” ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 มกราคม - 2 กุมภาพันธ์ 2560 ณ สหกรณ์บริการสินค้าเกษตรอินทรีย์เพชรบุรี จํากัด อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ว่า ตามที่รัฐบาลให้ความสําคัญในการปฏิรูปและพัฒนาการเกษตร โดยสนับสนุนให้เกษตรกรผลิตสินค้า พืช ผัก ผลไม้ ผลผลิตทางการเกษตรที่ปลอดภัย โดยคํานึกถึงคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและผู้บริโภคอย่างจริงจัง ซึ่ง พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบนโยบายในการเปิดตลาดสินค้าเกษตรที่มีมาตรฐาน สามารถพัฒนาให้เป็นตลาดถาวรสําหรับเกษตรกรได้ โดยมีสมาชิกร่วมดําเนินการ เช่น สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยเป็นสินค้าเกษตรอินทรีย์ ปลอดภัย ปลอดสารพิษ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และได้รับการรับรอง GAP ซึ่งตลาดดังกล่าวถือเป็นตลาดสินค้าสําหรับเกษตรกร สถาบันเกษตรกร ผู้ประกอบการด้านการเกษตร และจําหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพมา เพื่อพัฒนาให้เป็นตลาดสินค้าเกษตรคุณภาพ อ.ต.ก.อย่างยั่งยืนต่อไป
ด้าน นายกมลวิศว์ แก้วแฝก ผู้อํานวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย อ.ต.ก.ได้ดําเนินงานขับเคลื่อนระบบตลาด และระบบกระจายสินค้าเกษตร สินค้าชุมชน เชื่อมโยงตลาดในทุกระดับ โดยบูรณาการความร่วมมือหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สหกรณ์บริการสินค้าเกษตรอินทรีย์เพชรบุรี จํากัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน ร่วมจัดงาน “ตลาดสินค้าเกษตรคุณภาพ อ.ต.ก.จังหวัดเพชรบุรี” ขึ้น ณ บริเวณสหกรณ์บริการสินค้าเกษตรอินทรีย์เพชรบุรี จํากัด อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ทั้งนี้ ภายในงานมีการจําหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์จากเกษตรกรผู้ปลูกกว่า 100 ราย และจัดกิจกรรมการสาธิตฝึกอบรมด้านการเกษตร การให้ความรู้ด้านสินค้าเกษตรปลอดภัย การรับรองมาตรฐาน GAP และเกษตรอินทรีย์ จากสํานักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 5 กรมวิชาการเกษตร เป็นต้น
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดงาน “ตลาดสินค้าเกษตรคุณภาพ อ.ต.ก.จังหวัดเพชรบุรี”
วันจันทร์ที่ 30 มกราคม 2560
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดงาน “ตลาดสินค้าเกษตรคุณภาพ อ.ต.ก.จังหวัดเพชรบุรี”
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดงาน “ตลาดสินค้าเกษตรคุณภาพ อ.ต.ก.จังหวัดเพชรบุรี” ระหว่างวันที่ 28 ม.ค. - 2 ก.พ. 60 ณ สหกรณ์บริการสินค้าเกษตรอินทรีย์เพชรบุรี จํากัด อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี
น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังพิธีเปิดงาน“ตลาดสินค้าเกษตรคุณภาพ อ.ต.ก.จังหวัดเพชรบุรี” ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 มกราคม - 2 กุมภาพันธ์ 2560 ณ สหกรณ์บริการสินค้าเกษตรอินทรีย์เพชรบุรี จํากัด อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ว่า ตามที่รัฐบาลให้ความสําคัญในการปฏิรูปและพัฒนาการเกษตร โดยสนับสนุนให้เกษตรกรผลิตสินค้า พืช ผัก ผลไม้ ผลผลิตทางการเกษตรที่ปลอดภัย โดยคํานึกถึงคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและผู้บริโภคอย่างจริงจัง ซึ่ง พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบนโยบายในการเปิดตลาดสินค้าเกษตรที่มีมาตรฐาน สามารถพัฒนาให้เป็นตลาดถาวรสําหรับเกษตรกรได้ โดยมีสมาชิกร่วมดําเนินการ เช่น สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยเป็นสินค้าเกษตรอินทรีย์ ปลอดภัย ปลอดสารพิษ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และได้รับการรับรอง GAP ซึ่งตลาดดังกล่าวถือเป็นตลาดสินค้าสําหรับเกษตรกร สถาบันเกษตรกร ผู้ประกอบการด้านการเกษตร และจําหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพมา เพื่อพัฒนาให้เป็นตลาดสินค้าเกษตรคุณภาพ อ.ต.ก.อย่างยั่งยืนต่อไป
ด้าน นายกมลวิศว์ แก้วแฝก ผู้อํานวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย อ.ต.ก.ได้ดําเนินงานขับเคลื่อนระบบตลาด และระบบกระจายสินค้าเกษตร สินค้าชุมชน เชื่อมโยงตลาดในทุกระดับ โดยบูรณาการความร่วมมือหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สหกรณ์บริการสินค้าเกษตรอินทรีย์เพชรบุรี จํากัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน ร่วมจัดงาน “ตลาดสินค้าเกษตรคุณภาพ อ.ต.ก.จังหวัดเพชรบุรี” ขึ้น ณ บริเวณสหกรณ์บริการสินค้าเกษตรอินทรีย์เพชรบุรี จํากัด อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ทั้งนี้ ภายในงานมีการจําหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์จากเกษตรกรผู้ปลูกกว่า 100 ราย และจัดกิจกรรมการสาธิตฝึกอบรมด้านการเกษตร การให้ความรู้ด้านสินค้าเกษตรปลอดภัย การรับรองมาตรฐาน GAP และเกษตรอินทรีย์ จากสํานักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 5 กรมวิชาการเกษตร เป็นต้น
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1541
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2562
|
วันจันทร์ที่ 21 มกราคม 2562
ศธ.เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2562
กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2562 โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2562
กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2562โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2562 เวลา10.00-12.00น. ณ ห้องประชุมราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ
ภายหลังการประชุม ได้มีการแถลงผลการประชุมโดยปลัดกระทรวงมหาดไทย พาณิชย์ สาธารณสุข ศึกษาธิการ และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นั้นนายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ร่วมแถลงผลการประชุมในครั้งนี้ว่า นายกรัฐมนตรีได้ขอให้ทุกหน่วยงานเสนอความเห็นว่าต้องการให้ ศธ.เข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนภารกิจเรื่องใดบ้างในการบูรณาการการจัดการศึกษาร่วมกันเช่นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)เสนอให้ ศธ.เร่งปลูกฝังเด็กในวัยเรียนเรื่องการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ทั้งเรื่องการแยกขยะ การปลูกต้นไม้หรือสํานักงาน ก.พ.ร.ก็ได้เสนอความเห็นต้องการให้ ศธ. เร่งการสร้างการรับรู้ด้านการศึกษา ให้เป็นกระทรวงเพื่ออนาคตของชาติ ทํางานเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อสร้างMindsetใหม่ของสังคม เช่น ไม่ใช่เรียนเพื่อปริญญา แต่เพื่อการมีงานทํา สร้างทักษะต่าง ๆ ที่จําเป็นในศตวรรษที่21ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นด้วยว่าหลายกระทรวงต้องมองกันใหม่ที่จะให้เป็นกระทรวงเพื่ออนาคตของประเทศ
นายกรัฐมนตรีกําชับให้ ศธ.เร่งการพัฒนาศักยภาพเด็กในการก้าวสู่สากลโดยเฉพาะภาษาอังกฤษควรเน้นให้เด็กสามารถสื่อสารได้ มีการพัฒนาการเรียนการสอน Coding/Programmingในระดับพื้นฐานตั้งแต่ระดับประถมศึกษาปีที่ 1 เป็นต้น
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีต้องการให้ทุกหน่วยงานร่วมกันดูแลเด็กที่มีความยากจนขาดโอกาสทางการศึกษาโดยขอให้ทุกหน่วยงานติดตามข้อมูลจากSocial Mediaหากพบเด็กที่มีฐานะยากจนเป็นพิเศษ แต่เรียนดี ขอให้ช่วยกันดูแลเพื่อให้เด็กได้มีโอกาสได้รับการศึกษาต่อ พร้อมกันนี้มอบหมายให้ ศธ.เร่งยกระดับการทดสอบระดับนานาชาติ เช่น โครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (PISA) ของไทยให้อยู่ในลําดับที่สูงขึ้น เนื่องจากคะแนนPISAเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดในการลงทุนของประเทศ รวมถึงการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) โดยกําชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนามนุษย์ ร่วมกันนําเรื่องดังกล่าวเป็นโจทย์ในการสนับสนุน ศธ. เพื่อร่วมพัฒนาเด็กให้ไปสู่เป้าหมาย
ในส่วนของการลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษานายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญกับการศึกษาทุกระดับ โดยเฉพาะ กศน. ที่จะต้องจัดการศึกษาให้เทียบเคียงกับการสอนระบบปกติ ดูแลการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยให้กับกลุ่มแรงงานหรือผู้ใช้แรงงานด้วย อีกทั้งสถานศึกษาควรให้ความสําคัญกับการจัดกิจกรรมทั้งภายในและภายนอกโรงเรียนในการที่จะสร้างความสัมพันธ์ให้เกิดขึ้นทั้ง3ส่วน คือ "เด็ก-ครู-ผู้ปกครอง"
นายกรัฐมนตรียังได้ขอให้ ศธ.ช่วยสร้างการรับรู้ด้วยข้อเท็จจริงไปยังสถานศึกษา เช่น สถานการณ์ฝุ่นละอองPM2.5โดยสามารถนําข้อมูลจากสํานักโฆษกฯ ไปสร้างการรับรู้ให้เกิดขึ้น เพื่อให้ทุกคนช่วยกันลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศลงให้ได้ซึ่ง สพฐ.ได้เน้นย้ําให้สถานศึกษาติดตามสถานการณ์ ข่าวสารใกล้ชิด และดูว่าที่ตั้งของโรงเรียนเป็นจุดที่เกิดวิกฤตหรือไม่ รวมถึงต้องให้ความรู้แก่นักเรียนในการสังเกตตัวเองหากกรณีเกิดอาการแพ้จากฝุ่นเป็นอย่างไร ทั้งนี้ จะได้แจ้งเพิ่มเติมขอให้ครูประจําชั้นเอาใจใส่ ติดตามดูแลเด็กเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเด็กที่มีโรคประจําตัวและมีการติดต่อประสานกับแพทย์ โรงพยาบาลกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน แต่การประกาศให้ลด หรืองดกิจกรรมกลางแจ้งนั้น หากโรงเรียนอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงค่าฝุ่นละอองสูงเกินมาตรฐาน ผู้อํานวยการสถานศึกษาซึ่งอยู่หน้างานสามารถพิจารณาสั่งงดกิจกรรม ลดกิจกรรม หรือเลือกสถานที่จัดกิจกรรมที่เหมาะสมได้ทันที
ในเรื่องการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับเรื่องการเลือกตั้งนั้นนายกรัฐมนตรีย้ําว่าข้อเท็จจริงที่เป็นไปได้ เป็นไปไม่ได้ ขอให้ทําความเข้าใจแก่ประชาชน ต้องการให้ข้าราชการและครูทําความเข้าใจแก่ประชาชนในเรื่องที่มีข้อมูลข่าวสาร ไม่ได้ย้ําถึงการวางตัวช่วงเลือกตั้งเพราะยังไม่มีภารกิจ แต่สําหรับ สพฐ.ซึ่งมีบุคลากรครูกว่า 4 แสนคน ได้ออกหนังสือซึ่งเป็นไปตามกฎหมายแจ้งการปฏิบัติตนในฐานะข้าราชการ โดยย้ําเรื่องการวางตัวเป็นกลางทางการเมือง
ส่วนประเด็นที่มีการเรียกร้องให้เลื่อนวันสอบการทดสอบความถนัดทั่วไป หรือ GAT และการทดสอบความถนัดทางวิชาชีพ/วิชาการ หรือ PAT มาเป็นกําหนดเดิมคือ 23-26 กุมภาพันธ์ 2562 หากมีการเลื่อนเลือกตั้งออกไปนั้น นายกรัฐมนตรีไม่ได้มีการสอบถามในการประชุมครั้งนี้ แต่ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายแล้วว่า หากมีการประกาศเลื่อนเลือกตั้ง ก็ให้คืนวันสอบแก่นักเรียน แต่ขอให้รอจนกว่าจะมีความชัดเจน
อนึ่ง ก่อนการประชุมครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์) พร้อมด้วยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ และศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร) รวมทั้งผู้บริหารและข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรี โดยรัฐมนตรีทั้ง3ท่าน และ ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้นําเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์การศึกษาไทยและห้องประชุมต่าง ๆ ซึ่งตั้งอยู่ภายในอาคารราชวัลลภ
Written byบัลลังก์ โรหิตเสถียร
Photo CreditPR-MOE one team
Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2562
วันจันทร์ที่ 21 มกราคม 2562
ศธ.เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2562
กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2562 โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2562
กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2562โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2562 เวลา10.00-12.00น. ณ ห้องประชุมราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ
ภายหลังการประชุม ได้มีการแถลงผลการประชุมโดยปลัดกระทรวงมหาดไทย พาณิชย์ สาธารณสุข ศึกษาธิการ และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นั้นนายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ร่วมแถลงผลการประชุมในครั้งนี้ว่า นายกรัฐมนตรีได้ขอให้ทุกหน่วยงานเสนอความเห็นว่าต้องการให้ ศธ.เข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนภารกิจเรื่องใดบ้างในการบูรณาการการจัดการศึกษาร่วมกันเช่นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)เสนอให้ ศธ.เร่งปลูกฝังเด็กในวัยเรียนเรื่องการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ทั้งเรื่องการแยกขยะ การปลูกต้นไม้หรือสํานักงาน ก.พ.ร.ก็ได้เสนอความเห็นต้องการให้ ศธ. เร่งการสร้างการรับรู้ด้านการศึกษา ให้เป็นกระทรวงเพื่ออนาคตของชาติ ทํางานเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อสร้างMindsetใหม่ของสังคม เช่น ไม่ใช่เรียนเพื่อปริญญา แต่เพื่อการมีงานทํา สร้างทักษะต่าง ๆ ที่จําเป็นในศตวรรษที่21ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นด้วยว่าหลายกระทรวงต้องมองกันใหม่ที่จะให้เป็นกระทรวงเพื่ออนาคตของประเทศ
นายกรัฐมนตรีกําชับให้ ศธ.เร่งการพัฒนาศักยภาพเด็กในการก้าวสู่สากลโดยเฉพาะภาษาอังกฤษควรเน้นให้เด็กสามารถสื่อสารได้ มีการพัฒนาการเรียนการสอน Coding/Programmingในระดับพื้นฐานตั้งแต่ระดับประถมศึกษาปีที่ 1 เป็นต้น
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีต้องการให้ทุกหน่วยงานร่วมกันดูแลเด็กที่มีความยากจนขาดโอกาสทางการศึกษาโดยขอให้ทุกหน่วยงานติดตามข้อมูลจากSocial Mediaหากพบเด็กที่มีฐานะยากจนเป็นพิเศษ แต่เรียนดี ขอให้ช่วยกันดูแลเพื่อให้เด็กได้มีโอกาสได้รับการศึกษาต่อ พร้อมกันนี้มอบหมายให้ ศธ.เร่งยกระดับการทดสอบระดับนานาชาติ เช่น โครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (PISA) ของไทยให้อยู่ในลําดับที่สูงขึ้น เนื่องจากคะแนนPISAเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดในการลงทุนของประเทศ รวมถึงการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) โดยกําชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนามนุษย์ ร่วมกันนําเรื่องดังกล่าวเป็นโจทย์ในการสนับสนุน ศธ. เพื่อร่วมพัฒนาเด็กให้ไปสู่เป้าหมาย
ในส่วนของการลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษานายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญกับการศึกษาทุกระดับ โดยเฉพาะ กศน. ที่จะต้องจัดการศึกษาให้เทียบเคียงกับการสอนระบบปกติ ดูแลการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยให้กับกลุ่มแรงงานหรือผู้ใช้แรงงานด้วย อีกทั้งสถานศึกษาควรให้ความสําคัญกับการจัดกิจกรรมทั้งภายในและภายนอกโรงเรียนในการที่จะสร้างความสัมพันธ์ให้เกิดขึ้นทั้ง3ส่วน คือ "เด็ก-ครู-ผู้ปกครอง"
นายกรัฐมนตรียังได้ขอให้ ศธ.ช่วยสร้างการรับรู้ด้วยข้อเท็จจริงไปยังสถานศึกษา เช่น สถานการณ์ฝุ่นละอองPM2.5โดยสามารถนําข้อมูลจากสํานักโฆษกฯ ไปสร้างการรับรู้ให้เกิดขึ้น เพื่อให้ทุกคนช่วยกันลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศลงให้ได้ซึ่ง สพฐ.ได้เน้นย้ําให้สถานศึกษาติดตามสถานการณ์ ข่าวสารใกล้ชิด และดูว่าที่ตั้งของโรงเรียนเป็นจุดที่เกิดวิกฤตหรือไม่ รวมถึงต้องให้ความรู้แก่นักเรียนในการสังเกตตัวเองหากกรณีเกิดอาการแพ้จากฝุ่นเป็นอย่างไร ทั้งนี้ จะได้แจ้งเพิ่มเติมขอให้ครูประจําชั้นเอาใจใส่ ติดตามดูแลเด็กเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเด็กที่มีโรคประจําตัวและมีการติดต่อประสานกับแพทย์ โรงพยาบาลกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน แต่การประกาศให้ลด หรืองดกิจกรรมกลางแจ้งนั้น หากโรงเรียนอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงค่าฝุ่นละอองสูงเกินมาตรฐาน ผู้อํานวยการสถานศึกษาซึ่งอยู่หน้างานสามารถพิจารณาสั่งงดกิจกรรม ลดกิจกรรม หรือเลือกสถานที่จัดกิจกรรมที่เหมาะสมได้ทันที
ในเรื่องการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับเรื่องการเลือกตั้งนั้นนายกรัฐมนตรีย้ําว่าข้อเท็จจริงที่เป็นไปได้ เป็นไปไม่ได้ ขอให้ทําความเข้าใจแก่ประชาชน ต้องการให้ข้าราชการและครูทําความเข้าใจแก่ประชาชนในเรื่องที่มีข้อมูลข่าวสาร ไม่ได้ย้ําถึงการวางตัวช่วงเลือกตั้งเพราะยังไม่มีภารกิจ แต่สําหรับ สพฐ.ซึ่งมีบุคลากรครูกว่า 4 แสนคน ได้ออกหนังสือซึ่งเป็นไปตามกฎหมายแจ้งการปฏิบัติตนในฐานะข้าราชการ โดยย้ําเรื่องการวางตัวเป็นกลางทางการเมือง
ส่วนประเด็นที่มีการเรียกร้องให้เลื่อนวันสอบการทดสอบความถนัดทั่วไป หรือ GAT และการทดสอบความถนัดทางวิชาชีพ/วิชาการ หรือ PAT มาเป็นกําหนดเดิมคือ 23-26 กุมภาพันธ์ 2562 หากมีการเลื่อนเลือกตั้งออกไปนั้น นายกรัฐมนตรีไม่ได้มีการสอบถามในการประชุมครั้งนี้ แต่ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายแล้วว่า หากมีการประกาศเลื่อนเลือกตั้ง ก็ให้คืนวันสอบแก่นักเรียน แต่ขอให้รอจนกว่าจะมีความชัดเจน
อนึ่ง ก่อนการประชุมครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์) พร้อมด้วยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ และศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร) รวมทั้งผู้บริหารและข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรี โดยรัฐมนตรีทั้ง3ท่าน และ ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้นําเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์การศึกษาไทยและห้องประชุมต่าง ๆ ซึ่งตั้งอยู่ภายในอาคารราชวัลลภ
Written byบัลลังก์ โรหิตเสถียร
Photo CreditPR-MOE one team
Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18240
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การกำกับดูแลธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน
|
วันจันทร์ที่ 21 มกราคม 2562
การกํากับดูแลธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน
กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นสมควรให้มีการกํากับดูแลการประกอบธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อดังกล่าวในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม ได้รับการบริการจากผู้ประกอบธุรกิจอย่างเป็นธรรม
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มีการประกอบธุรกิจประเภทการให้กู้ยืมเงินโดยมีทะเบียนรถเป็นประกันอย่างแพร่หลายเนื่องจากพิจารณาอนุมัติสินเชื่อรวดเร็ว และสามารถตอบสนองความต้องการสินเชื่อในเวลาฉุกเฉินได้ กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจึงเห็นสมควรให้มีการกํากับดูแลการประกอบธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อดังกล่าวในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม ได้รับการบริการจากผู้ประกอบธุรกิจอย่างเป็นธรรม
กระทรวงการคลังจึงได้ออกประกาศกระทรวงการคลังเรื่องกิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ 5 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่58(เรื่องสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกํากับ) (ฉบับที่3) ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2561 ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างรอประกาศในราชกิจจานุเบกษาโดยมีสาระสําคัญประการหนึ่ง คือ กําหนดให้ “การประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกํากับ” หมายความถึง การให้กู้ยืมเงินที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน และกําหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกํากับอยู่ในวันที่ประกาศกระทรวงการคลังฉบับนี้มีผลใช้บังคับถ้าประสงค์จะประกอบกิจการต่อไปจะต้องยื่นขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกํากับต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังผ่านธนาคารแห่งประเทศไทย ภายใน 60 วัน นับจากวันที่ประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวมีผลใช้บังคับอย่างไรก็ดี ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันสามารถยื่นขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังผ่านสํานักงานเศรษฐกิจการคลังตามประกาศกระทรวงการคลังเรื่องกิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ5แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 (เรื่องสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ) ลงวันที่ 4ตุลาคม 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้อีกทางหนึ่งด้วย
อนึ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทยได้จัดให้มีการประชุมชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับแนวทางการกํากับดูแลการประกอบธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันในวันศุกร์ที่ 25 มกราคม 2562 เวลา 8.30 – 12.00 น. ณ ห้องภัทรรวมใจ อาคาร 2 ชั้น 2 ธนาคารแห่งประเทศไทยโดยผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมประชุมชี้แจงได้ที่ https://www.bot.or.th/Thai/FinancialInstitutions/Publications/Pages/CarFinance.aspx ภายในวันอังคารที่ 22 มกราคม 2562 ก่อน 16.00 น. หรือติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ ทีมความเสี่ยงด้านเครดิตฝ่ายนโยบายการกํากับสถาบันการเงินโทรศัพท์ 0-2283-5837 โทรสาร 0-2283-5938 หรือE-mail: [email protected]
สํานักนโยบายระบบการเงินและสถาบันการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 022739020ต่อ3209
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การกำกับดูแลธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน
วันจันทร์ที่ 21 มกราคม 2562
การกํากับดูแลธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน
กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นสมควรให้มีการกํากับดูแลการประกอบธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อดังกล่าวในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม ได้รับการบริการจากผู้ประกอบธุรกิจอย่างเป็นธรรม
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มีการประกอบธุรกิจประเภทการให้กู้ยืมเงินโดยมีทะเบียนรถเป็นประกันอย่างแพร่หลายเนื่องจากพิจารณาอนุมัติสินเชื่อรวดเร็ว และสามารถตอบสนองความต้องการสินเชื่อในเวลาฉุกเฉินได้ กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจึงเห็นสมควรให้มีการกํากับดูแลการประกอบธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อดังกล่าวในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม ได้รับการบริการจากผู้ประกอบธุรกิจอย่างเป็นธรรม
กระทรวงการคลังจึงได้ออกประกาศกระทรวงการคลังเรื่องกิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ 5 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่58(เรื่องสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกํากับ) (ฉบับที่3) ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2561 ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างรอประกาศในราชกิจจานุเบกษาโดยมีสาระสําคัญประการหนึ่ง คือ กําหนดให้ “การประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกํากับ” หมายความถึง การให้กู้ยืมเงินที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน และกําหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกํากับอยู่ในวันที่ประกาศกระทรวงการคลังฉบับนี้มีผลใช้บังคับถ้าประสงค์จะประกอบกิจการต่อไปจะต้องยื่นขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกํากับต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังผ่านธนาคารแห่งประเทศไทย ภายใน 60 วัน นับจากวันที่ประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวมีผลใช้บังคับอย่างไรก็ดี ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันสามารถยื่นขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังผ่านสํานักงานเศรษฐกิจการคลังตามประกาศกระทรวงการคลังเรื่องกิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ5แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 (เรื่องสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ) ลงวันที่ 4ตุลาคม 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้อีกทางหนึ่งด้วย
อนึ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทยได้จัดให้มีการประชุมชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับแนวทางการกํากับดูแลการประกอบธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันในวันศุกร์ที่ 25 มกราคม 2562 เวลา 8.30 – 12.00 น. ณ ห้องภัทรรวมใจ อาคาร 2 ชั้น 2 ธนาคารแห่งประเทศไทยโดยผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมประชุมชี้แจงได้ที่ https://www.bot.or.th/Thai/FinancialInstitutions/Publications/Pages/CarFinance.aspx ภายในวันอังคารที่ 22 มกราคม 2562 ก่อน 16.00 น. หรือติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ ทีมความเสี่ยงด้านเครดิตฝ่ายนโยบายการกํากับสถาบันการเงินโทรศัพท์ 0-2283-5837 โทรสาร 0-2283-5938 หรือE-mail: [email protected]
สํานักนโยบายระบบการเงินและสถาบันการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 022739020ต่อ3209
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18246
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากร ลงนามในบันทึกข้อตกลง ร่วมกับ กลุ่ม 7 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย เพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการจัดเก็บภาษี
|
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560
กรมศุลกากร ลงนามในบันทึกข้อตกลง ร่วมกับ กลุ่ม 7 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย เพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการจัดเก็บภาษี
กรมศุลกากร ลงนามในบันทึกข้อตกลง ร่วมกับ กลุ่ม 7 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย เพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการจัดเก็บภาษี
วันนี้ (วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 14.00 น. ณ ห้องภาสกรวงศ์ อาคาร 1 กรมศุลกากร นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร และ กลุ่ม 7 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย ซึ่งประกอบด้วย สมาคมผู้ผลิตท่อโลหะและแปรรูปเหล็กแผ่น สมาคมผู้ผลิตเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน สมาคมผู้ผลิตเหล็กทรงยาวด้วยเตาอาร์คไฟฟ้า สมาคมการค้าผู้ผลิตเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี สมาคมเหล็กแผ่นรีดเย็นไทย สมาคมโลหะไทย และสมาคมเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และข้อมูลข่าวสาร สนับสนุนและร่วมมือกันในการพัฒนาศักยภาพเกี่ยวกับการตรวจสอบสินค้าประเภทเหล็กและเหล็กกล้า เพื่อประสานความร่วมมือ ส่งเสริมและผลักดันให้การจัดเก็บภาษีกรมศุลกากร มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในการนี้ ได้รับเกียรติจากนายวิน วิริยประไพกิจ ประธานกลุ่ม 7 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย ดร.สมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกิตติมาศักดิ์ กลุ่ม 7 สมาคม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกรมศุลกากร และผู้แทนทั้ง 7 กลุ่มสมาคม สื่อมวลชนทุกแขนง เข้าร่วมงานเพื่อเป็นสักขีพยานเป็นจํานวนมาก
สําหรับการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ มีขึ้นเนื่องจาก ปัจจุบันการแข่งขันของกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ําและอุตสาหกรรมเหล็กกลางน้ําในต่างประเทศ ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ส่งผลกระทบต่อกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าภายในประเทศ ตลอดจนผู้บริโภคทั้งในภาคอุตสาหกรรม และภาคครัวเรือน เนื่องจากสินค้าเหล็กเป็นวัตถุดิบที่สําคัญ สําหรับการผลิตเครื่องจักร ยานพาหนะ โครงสร้างอาคารบ้านเรือน ตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ซึ่งในปี พ.ศ.2559 ประเทศไทยมีมูลค่าการนําเข้าสินค้าประเภทเหล็กและเหล็กกล้า สูงถึง 575,830 ล้านบาท จึงได้กําหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อปกป้องประโยชน์ของอุตสาหกรรมภายใน ผู้บริโภค และประโยชน์สาธารณะ โดยอาศัยอํานาจตามพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.2542 และพระราชบัญญัติมาตรการปกป้องจากการนําเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น พ.ศ.2550 ในการให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping) ตามประกาศของคณะกรรมการพิจารณามาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน และอากรปกป้อง (Safeguard) ตามประกาศของคณะกรรมการพิจารณากําหนดมาตรการปกป้องจากการนําเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว เป็นหน้าที่ของกรมศุลกากรในฐานะหน่วยงานที่กํากับดูแลการนําเข้า-ส่งออก
กรมศุลกากร และกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไทย จึงร่วมมือในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และข้อมูลข่าวสาร สนับสนุนและร่วมมือกันในการพัฒนาศักยภาพเกี่ยวกับการตรวจสอบสินค้าประเภทเหล็กและเหล็กกล้า ตลอดจนพัฒนาศักยภาพบุคลากร ให้เกิดทักษะความรู้ในด้านการวิเคราะห์ตรวจสอบสินค้านําเข้าประเภทผลิตภัณฑ์เหล็กอย่างยั่งยืน บันทึกความเข้าใจนี้ จะแสดงถึงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นตั้งใจในการดําเนินการ เพื่อส่งเสริม ประสานความร่วมมือ และผลักดันการดําเนินงานร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากร ลงนามในบันทึกข้อตกลง ร่วมกับ กลุ่ม 7 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย เพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการจัดเก็บภาษี
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560
กรมศุลกากร ลงนามในบันทึกข้อตกลง ร่วมกับ กลุ่ม 7 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย เพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการจัดเก็บภาษี
กรมศุลกากร ลงนามในบันทึกข้อตกลง ร่วมกับ กลุ่ม 7 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย เพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการจัดเก็บภาษี
วันนี้ (วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 14.00 น. ณ ห้องภาสกรวงศ์ อาคาร 1 กรมศุลกากร นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร และ กลุ่ม 7 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย ซึ่งประกอบด้วย สมาคมผู้ผลิตท่อโลหะและแปรรูปเหล็กแผ่น สมาคมผู้ผลิตเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน สมาคมผู้ผลิตเหล็กทรงยาวด้วยเตาอาร์คไฟฟ้า สมาคมการค้าผู้ผลิตเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี สมาคมเหล็กแผ่นรีดเย็นไทย สมาคมโลหะไทย และสมาคมเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และข้อมูลข่าวสาร สนับสนุนและร่วมมือกันในการพัฒนาศักยภาพเกี่ยวกับการตรวจสอบสินค้าประเภทเหล็กและเหล็กกล้า เพื่อประสานความร่วมมือ ส่งเสริมและผลักดันให้การจัดเก็บภาษีกรมศุลกากร มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในการนี้ ได้รับเกียรติจากนายวิน วิริยประไพกิจ ประธานกลุ่ม 7 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย ดร.สมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกิตติมาศักดิ์ กลุ่ม 7 สมาคม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกรมศุลกากร และผู้แทนทั้ง 7 กลุ่มสมาคม สื่อมวลชนทุกแขนง เข้าร่วมงานเพื่อเป็นสักขีพยานเป็นจํานวนมาก
สําหรับการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ มีขึ้นเนื่องจาก ปัจจุบันการแข่งขันของกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ําและอุตสาหกรรมเหล็กกลางน้ําในต่างประเทศ ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ส่งผลกระทบต่อกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าภายในประเทศ ตลอดจนผู้บริโภคทั้งในภาคอุตสาหกรรม และภาคครัวเรือน เนื่องจากสินค้าเหล็กเป็นวัตถุดิบที่สําคัญ สําหรับการผลิตเครื่องจักร ยานพาหนะ โครงสร้างอาคารบ้านเรือน ตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ซึ่งในปี พ.ศ.2559 ประเทศไทยมีมูลค่าการนําเข้าสินค้าประเภทเหล็กและเหล็กกล้า สูงถึง 575,830 ล้านบาท จึงได้กําหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อปกป้องประโยชน์ของอุตสาหกรรมภายใน ผู้บริโภค และประโยชน์สาธารณะ โดยอาศัยอํานาจตามพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ พ.ศ.2542 และพระราชบัญญัติมาตรการปกป้องจากการนําเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น พ.ศ.2550 ในการให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping) ตามประกาศของคณะกรรมการพิจารณามาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน และอากรปกป้อง (Safeguard) ตามประกาศของคณะกรรมการพิจารณากําหนดมาตรการปกป้องจากการนําเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว เป็นหน้าที่ของกรมศุลกากรในฐานะหน่วยงานที่กํากับดูแลการนําเข้า-ส่งออก
กรมศุลกากร และกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไทย จึงร่วมมือในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และข้อมูลข่าวสาร สนับสนุนและร่วมมือกันในการพัฒนาศักยภาพเกี่ยวกับการตรวจสอบสินค้าประเภทเหล็กและเหล็กกล้า ตลอดจนพัฒนาศักยภาพบุคลากร ให้เกิดทักษะความรู้ในด้านการวิเคราะห์ตรวจสอบสินค้านําเข้าประเภทผลิตภัณฑ์เหล็กอย่างยั่งยืน บันทึกความเข้าใจนี้ จะแสดงถึงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นตั้งใจในการดําเนินการ เพื่อส่งเสริม ประสานความร่วมมือ และผลักดันการดําเนินงานร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1735
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์เดินหน้ายุทธศาสตร์ฮับอัญมณีของโลก เร่งสร้างทัพผู้ประกอบการหน้าใหม่สู่เวทีสากล พร้อมโชว์ศักยภาพในงาน Bangkok Gems คาดเงินสะพัดกว่า 2,400 ล้าน
|
วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562
พาณิชย์เดินหน้ายุทธศาสตร์ฮับอัญมณีของโลก เร่งสร้างทัพผู้ประกอบการหน้าใหม่สู่เวทีสากล พร้อมโชว์ศักยภาพในงาน Bangkok Gems คาดเงินสะพัดกว่า 2,400 ล้าน
งออกอัญมณีเติบโตต่อเนื่อง ผู้ประกอบการหน้าใหม่ขยายตัวทุกภูมิภาค พาณิชย์เดินหน้าไทยเป็นศูนย์กลางค้าและการผลิตอัญมณีของโลก ประกาศความพร้อมของไทยในการจัดงาน Bangkok Gems & Jewelry Fair ครั้งที่ 63
ชูแนวคิด“Thailand’s Magic Handsตอกย้ําจุดเด่นฝีมือช่างไทย มั่นใจยอดสั่งซื้อภายในงานทะลุ2,400ล้านบาท
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับเป็นสินค้าที่มีความสําคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจไทย โดยเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 3 ของไทย รองจากสินค้ายานยนต์ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยสร้างงานให้คนในอุตสาหกรรมกว่า 1.2 ล้านคน ทั้งนี้ การส่งออกในปี 2561 อัญมณีและเครื่องประดับไม่รวมทองคําที่ยังไม่ขึ้นรูป มีมูลค่าส่งออก 7,606.45 ล้านเหรียญสหรัฐขยายตัวเพิ่มขึ้น 6.96%เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ราคาวัตถุดิบปรับตัวอยู่ในแนวลบ และความโดดเด่นของผลงานของผู้ประกอบการ สินค้าที่ขยายตัวสูง ได้แก่ เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเงิน เครื่องประดับ อัญมณีเทียม และเพชร ตลาดส่งออกสําคัญ ได้แก่ ฮ่องกง (-1.17%) สหรัฐอเมริกา(+15.72%) เยอรมณี(+16.24%) อินเดีย (+2.23%) เบลเยี่ยม (+8.19%)ตลาดส่งออกรองที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่กาตาร์(103.49%)สิงคโปร์ (+38.92%) เกาหลีใต้(+36.98%) ลิกเทนสไตน์ (+25.04%)อิสราเอล(+20.61%)เป็นต้น
ในปี 2562 กระทรวงพาณิชย์มีแผนเร่งผลักดันมูลค่าส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ
(ไม่รวมทองคํา) อย่างเต็มที่ โดยตั้งเป้าขยายตัว ไม่ต่ํากว่าร้อยละ 1 หรือ ประมาณ 7,682 ล้านเหรียญสหรัฐไม่หวั่น ปัจจัยเสี่ยง อาทิ สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ - จีนBREXITความผันผวนของเศรษฐกิจและค่าเงิน กระทรวงพาณิชย์เชื่อมั่นในผลงานเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของช่างฝีมือไทย คุณภาพการสินค้า และแผนยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมอัญมณีของไทย
ในปีนี้ กระทรวงพาณิชย์ตอกย้ํากลุ่มเป้าหมายsuper richในอาเซียน เอเชียใต้ และจีน และเจาะขยายตลาดสู่กลุ่มความสนใจเฉพาะทาง เช่น เครื่องประดับสําหรับคนรุ่นใหม่วัยทํางาน ในจีน ญี่ปุ่น และ สหรัฐฯ เครื่องประดับสําหรับสัตว์เลี้ยงในประเทศที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและสังคมคนโสด กลุ่มความเชื่อและศาสนาในอาเซียน และจีน เป็นต้น โดยวางแผนขยายช่องทางการตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์ นอกจากนี้ ให้ความสําคัญต่อการสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ หรือNew Facesผลักดันให้เกิดสินค้าที่หลายหลาย รูปแบบใหม่โดยฝีมือSMEจากทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละจังหวัดมีเอกลักษณ์งานฝีมือที่โดดเด่น หากแต่ยังขาดช่องทางการเข้าสู่เวทีสากล
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอกย้ํานโยบายส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการค้าและการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับของโลก(Jewelry Hub)ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องจัดทําแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับให้ครอบคลุมทั้งกระบวนการตลอดห่วงโซ่อุปทาน ประกอบด้วยมาตรการ ๓ด้านหลัก ได้แก่ (1) การปลดล็อกภาษีและกฎระเบียบ อาทิ การยกเว้นอากรขาเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ พิกัด 71 ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ ๒8มกราคม ๒๕๖๐ทําให้เมื่อผู้ประกอบการ(Exhibitor)นําเข้าสินค้าในช่วงงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยจะยังไม่มีภาระภาษีมูลค่าเพิ่มจนกว่าจะจําหน่ายสินค้าได้ภายในงาน(2) การพัฒนาผู้ประกอบการ สินค้า/วัตถุดิบ และแรงงาน และ (3) การพัฒนาช่องทางการจําหน่ายและความสามารถด้านการตลาด
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ดําเนินงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันและส่งเสริมด้านการตลาดในหลายด้าน อาทิการจัดทํากลยุทธ์การสื่อสารเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์อุตสาหกรรมให้เป็นที่ยอมรับในกลุ่มผู้ซื้อ ผู้นําเข้า และสร้างการรับรู้โดยตรงแก่ผู้บริโภค เช่น โครงการBuy with confidenceโดยGITคู่ขนานไปกับการส่งเสริมภาพลักษณ์อุตสาหกรรมในต่างประเทศผ่านแคมเปญ “Thailand Magic Hands:the spirit of Jewelry Making”โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ รวมทั้งการยกระดับงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับBangkok Gems and Jewelry Fairซึ่งถือเป็นเวทีการค้าที่สําคัญสําหรับนักธุรกิจ ผู้ซื้อ/ผู้ขาย ในการต่อยอดธุรกิจในหลากหลายมิติ ทั้งการสรรหาวัตถุดิบ การค้าขาย และการสร้างเครือข่ายพันธมิตร รวมทั้งการขยายช่องทางการขายสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เช่นAliExpressและthaitrade.comเป็นต้น
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับงานBangkok Gems &
Jewelry Fairในปีนี้กระทรวงพาณิชย์ได้จัดขึ้นเป็นครั้งที่63ระหว่างวันที่ 20 - 24 กุมภาพันธ์ 2562
ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายใต้แนวคิด "Thailand's Magic Hands"ตอกย้ําผลงานของช่างฝีมือไทยที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั่วโลก โดยได้รับพระกรุณาธิคุณจาก
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด เพื่อให้กําลังใจผู้ประกอบการและเป็นแรงบันดาลใจให้นักออกแบบรุ่นใหม่พัฒนาฝีมือสู่ตลาดโลก โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 800 บริษัท 1,800 คูหา คาดมีผู้เข้าชมงาน 20,000 ราย จาก 130 ประเทศ เกิดมูลค่าสั่งซื้อทันทีไม่ต่ํากว่า 2,400 ล้านบาท
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมและโอกาสทางการค้าเจาะตลาดหลากหลายกลุ่ม อาทิ โซน
The New Facesแสดงสินค้าเครื่องประดับจากผู้ผลิตและนักออกแบบระดับSMEsกว่า 123 รายจาก
ทั่วประเทศเพื่อเชื่อมโยงผู้ประกอบการจากภูมิภาคสู่สากลโดยมีผู้ประกอบการจาก 21 จังหวัด อาทิ ลําปาง แพร่ เชียงใหม่ สุโขทัย นครสวรรค์ ตาก สุรินทร์ พังงา นครศรีธรรมราช สตูล เป็นต้น โซนThe Niche Showcaseนําเสนอกลุ่มสินค้าใหม่ที่มีโอกาสเติบโตทางการค้าในต่างประเทศสูง5กลุ่มสินค้า ได้แก่
High Jewelry, Heritage & Craftsmanship, Spiritual Power, Luxe MenและBeyond JewelryโซนThe JewellersและIDZ : Innovation and Design Zoneแสดงผลงานของดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่และผลงานที่มีนวัตกรรม รวมทั้งยังมีการสาธิตการทําอัญมณีและเครื่องประดับของช่างฝีมือไทยโดยสมาคมช่างทองไทย และการสัมมนาWorkshopอีกมากมาย
งานแสดงสินค้าBangkok Gems & Jewelry Fairครั้งที่ 63 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 - 24 กุมภาพันธ์ 2562 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
สามารถชมข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าชมงานล่วงหน้าได้ที่เว็บไซต์www.bkkgems.comหรือโทรสายตรงการค้าระหว่างประเทศ 1169
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์เดินหน้ายุทธศาสตร์ฮับอัญมณีของโลก เร่งสร้างทัพผู้ประกอบการหน้าใหม่สู่เวทีสากล พร้อมโชว์ศักยภาพในงาน Bangkok Gems คาดเงินสะพัดกว่า 2,400 ล้าน
วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562
พาณิชย์เดินหน้ายุทธศาสตร์ฮับอัญมณีของโลก เร่งสร้างทัพผู้ประกอบการหน้าใหม่สู่เวทีสากล พร้อมโชว์ศักยภาพในงาน Bangkok Gems คาดเงินสะพัดกว่า 2,400 ล้าน
งออกอัญมณีเติบโตต่อเนื่อง ผู้ประกอบการหน้าใหม่ขยายตัวทุกภูมิภาค พาณิชย์เดินหน้าไทยเป็นศูนย์กลางค้าและการผลิตอัญมณีของโลก ประกาศความพร้อมของไทยในการจัดงาน Bangkok Gems & Jewelry Fair ครั้งที่ 63
ชูแนวคิด“Thailand’s Magic Handsตอกย้ําจุดเด่นฝีมือช่างไทย มั่นใจยอดสั่งซื้อภายในงานทะลุ2,400ล้านบาท
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับเป็นสินค้าที่มีความสําคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจไทย โดยเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 3 ของไทย รองจากสินค้ายานยนต์ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยสร้างงานให้คนในอุตสาหกรรมกว่า 1.2 ล้านคน ทั้งนี้ การส่งออกในปี 2561 อัญมณีและเครื่องประดับไม่รวมทองคําที่ยังไม่ขึ้นรูป มีมูลค่าส่งออก 7,606.45 ล้านเหรียญสหรัฐขยายตัวเพิ่มขึ้น 6.96%เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ราคาวัตถุดิบปรับตัวอยู่ในแนวลบ และความโดดเด่นของผลงานของผู้ประกอบการ สินค้าที่ขยายตัวสูง ได้แก่ เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเงิน เครื่องประดับ อัญมณีเทียม และเพชร ตลาดส่งออกสําคัญ ได้แก่ ฮ่องกง (-1.17%) สหรัฐอเมริกา(+15.72%) เยอรมณี(+16.24%) อินเดีย (+2.23%) เบลเยี่ยม (+8.19%)ตลาดส่งออกรองที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่กาตาร์(103.49%)สิงคโปร์ (+38.92%) เกาหลีใต้(+36.98%) ลิกเทนสไตน์ (+25.04%)อิสราเอล(+20.61%)เป็นต้น
ในปี 2562 กระทรวงพาณิชย์มีแผนเร่งผลักดันมูลค่าส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ
(ไม่รวมทองคํา) อย่างเต็มที่ โดยตั้งเป้าขยายตัว ไม่ต่ํากว่าร้อยละ 1 หรือ ประมาณ 7,682 ล้านเหรียญสหรัฐไม่หวั่น ปัจจัยเสี่ยง อาทิ สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ - จีนBREXITความผันผวนของเศรษฐกิจและค่าเงิน กระทรวงพาณิชย์เชื่อมั่นในผลงานเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของช่างฝีมือไทย คุณภาพการสินค้า และแผนยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมอัญมณีของไทย
ในปีนี้ กระทรวงพาณิชย์ตอกย้ํากลุ่มเป้าหมายsuper richในอาเซียน เอเชียใต้ และจีน และเจาะขยายตลาดสู่กลุ่มความสนใจเฉพาะทาง เช่น เครื่องประดับสําหรับคนรุ่นใหม่วัยทํางาน ในจีน ญี่ปุ่น และ สหรัฐฯ เครื่องประดับสําหรับสัตว์เลี้ยงในประเทศที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและสังคมคนโสด กลุ่มความเชื่อและศาสนาในอาเซียน และจีน เป็นต้น โดยวางแผนขยายช่องทางการตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์ นอกจากนี้ ให้ความสําคัญต่อการสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ หรือNew Facesผลักดันให้เกิดสินค้าที่หลายหลาย รูปแบบใหม่โดยฝีมือSMEจากทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละจังหวัดมีเอกลักษณ์งานฝีมือที่โดดเด่น หากแต่ยังขาดช่องทางการเข้าสู่เวทีสากล
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอกย้ํานโยบายส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการค้าและการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับของโลก(Jewelry Hub)ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องจัดทําแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับให้ครอบคลุมทั้งกระบวนการตลอดห่วงโซ่อุปทาน ประกอบด้วยมาตรการ ๓ด้านหลัก ได้แก่ (1) การปลดล็อกภาษีและกฎระเบียบ อาทิ การยกเว้นอากรขาเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ พิกัด 71 ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ ๒8มกราคม ๒๕๖๐ทําให้เมื่อผู้ประกอบการ(Exhibitor)นําเข้าสินค้าในช่วงงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยจะยังไม่มีภาระภาษีมูลค่าเพิ่มจนกว่าจะจําหน่ายสินค้าได้ภายในงาน(2) การพัฒนาผู้ประกอบการ สินค้า/วัตถุดิบ และแรงงาน และ (3) การพัฒนาช่องทางการจําหน่ายและความสามารถด้านการตลาด
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ดําเนินงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันและส่งเสริมด้านการตลาดในหลายด้าน อาทิการจัดทํากลยุทธ์การสื่อสารเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์อุตสาหกรรมให้เป็นที่ยอมรับในกลุ่มผู้ซื้อ ผู้นําเข้า และสร้างการรับรู้โดยตรงแก่ผู้บริโภค เช่น โครงการBuy with confidenceโดยGITคู่ขนานไปกับการส่งเสริมภาพลักษณ์อุตสาหกรรมในต่างประเทศผ่านแคมเปญ “Thailand Magic Hands:the spirit of Jewelry Making”โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ รวมทั้งการยกระดับงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับBangkok Gems and Jewelry Fairซึ่งถือเป็นเวทีการค้าที่สําคัญสําหรับนักธุรกิจ ผู้ซื้อ/ผู้ขาย ในการต่อยอดธุรกิจในหลากหลายมิติ ทั้งการสรรหาวัตถุดิบ การค้าขาย และการสร้างเครือข่ายพันธมิตร รวมทั้งการขยายช่องทางการขายสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เช่นAliExpressและthaitrade.comเป็นต้น
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับงานBangkok Gems &
Jewelry Fairในปีนี้กระทรวงพาณิชย์ได้จัดขึ้นเป็นครั้งที่63ระหว่างวันที่ 20 - 24 กุมภาพันธ์ 2562
ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายใต้แนวคิด "Thailand's Magic Hands"ตอกย้ําผลงานของช่างฝีมือไทยที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั่วโลก โดยได้รับพระกรุณาธิคุณจาก
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด เพื่อให้กําลังใจผู้ประกอบการและเป็นแรงบันดาลใจให้นักออกแบบรุ่นใหม่พัฒนาฝีมือสู่ตลาดโลก โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 800 บริษัท 1,800 คูหา คาดมีผู้เข้าชมงาน 20,000 ราย จาก 130 ประเทศ เกิดมูลค่าสั่งซื้อทันทีไม่ต่ํากว่า 2,400 ล้านบาท
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมและโอกาสทางการค้าเจาะตลาดหลากหลายกลุ่ม อาทิ โซน
The New Facesแสดงสินค้าเครื่องประดับจากผู้ผลิตและนักออกแบบระดับSMEsกว่า 123 รายจาก
ทั่วประเทศเพื่อเชื่อมโยงผู้ประกอบการจากภูมิภาคสู่สากลโดยมีผู้ประกอบการจาก 21 จังหวัด อาทิ ลําปาง แพร่ เชียงใหม่ สุโขทัย นครสวรรค์ ตาก สุรินทร์ พังงา นครศรีธรรมราช สตูล เป็นต้น โซนThe Niche Showcaseนําเสนอกลุ่มสินค้าใหม่ที่มีโอกาสเติบโตทางการค้าในต่างประเทศสูง5กลุ่มสินค้า ได้แก่
High Jewelry, Heritage & Craftsmanship, Spiritual Power, Luxe MenและBeyond JewelryโซนThe JewellersและIDZ : Innovation and Design Zoneแสดงผลงานของดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่และผลงานที่มีนวัตกรรม รวมทั้งยังมีการสาธิตการทําอัญมณีและเครื่องประดับของช่างฝีมือไทยโดยสมาคมช่างทองไทย และการสัมมนาWorkshopอีกมากมาย
งานแสดงสินค้าBangkok Gems & Jewelry Fairครั้งที่ 63 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 - 24 กุมภาพันธ์ 2562 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
สามารถชมข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าชมงานล่วงหน้าได้ที่เว็บไซต์www.bkkgems.comหรือโทรสายตรงการค้าระหว่างประเทศ 1169
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18825
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษกรัฐบาล เผย รัฐบาลตั้งเจ้าพนักงานคุมโรค รวมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ช่วยกันเฝ้าระวังโควิด-19
|
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563
รองโฆษกรัฐบาล เผย รัฐบาลตั้งเจ้าพนักงานคุมโรค รวมกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ช่วยกันเฝ้าระวังโควิด-19
น.ส.ไตรศุลี ไตสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย รัฐบาลตั้งเจ้าพนักงานคุมโรค รวมกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ช่วยกันเฝ้าระวังโควิด-19
วันที่ 14 มี.ค.63 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภายหลังศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธาน เห็นชอบให้ปรับมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยให้ผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ที่ผ่านกระบวนการคัดกรองแล้วไม่พบไข้ ให้กลับไปเฝ้าดูอาการ 14 วัน ยังบ้านพักตามภูมิลําเนา โดยจะมีบุคลากรทางการแพทย์ ไปตรวจเยี่ยมเป็นประจําทุกวันจนครบ 14 วัน
ล่าสุด นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุข แต่งตั้งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ฉบับที่ 3 และ 4 พ.ศ. 2563 มีผลบังคับใช้แล้ววันนี้ (14 มี.ค.) ซึ่งนอกจากจะมีผู้บริหารระดับสูงและเจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขแล้ว ยังหมายรวมถึงข้าราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ไม่ว่าจะเป็น ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจําตําบล สารวัตรกํานัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ รวมถึงข้าราชการสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตําบล ไม่ว่าจะเป็น นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกเทศมนตรี นายกองค์การบริหารส่วนตําบล ฯลฯ เพื่อร่วมบูรณาการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของไวรัสทุกพื้นที่
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สําหรับอํานาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ เจ้าพนักงานจะมีอํานาจออกหนังสือเรียกบุคคลใด ๆ มาให้ถ้อยคํา แจ้งข้อเท็จจริง เพื่อเป็นประโยชน์ในการเฝ้าระวัง โดยมีอํานาจในการเข้าไปยังอาคารบ้านเรือนเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบด้วย นอกจากนี้ ในส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ได้มอบหมายให้กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ อํานวยความสะดวกแก่บุคคลกลุ่มเสี่ยงที่เดินทางกลับไปเฝ้าระวังอาการยังภูมิลําเนา พร้อมประชาสัมพันธ์ถึงวิธีการป้องกันตัวเองแก่คนในชุมชนด้วย อย่างไรก็ตาม ต้องขอความร่วมมือสําหรับผู้ไปกลับเฝ้าสังเกตอาการไม่ให้สร้างพฤติกรรมเสี่ยงต่อสาธารณะ โดยขอความร่วมมือให้กักตัวอยู่ในที่พักอาศัยเพื่อสังเกตอาการเท่านั้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษกรัฐบาล เผย รัฐบาลตั้งเจ้าพนักงานคุมโรค รวมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ช่วยกันเฝ้าระวังโควิด-19
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563
รองโฆษกรัฐบาล เผย รัฐบาลตั้งเจ้าพนักงานคุมโรค รวมกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ช่วยกันเฝ้าระวังโควิด-19
น.ส.ไตรศุลี ไตสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย รัฐบาลตั้งเจ้าพนักงานคุมโรค รวมกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ช่วยกันเฝ้าระวังโควิด-19
วันที่ 14 มี.ค.63 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภายหลังศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธาน เห็นชอบให้ปรับมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยให้ผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ที่ผ่านกระบวนการคัดกรองแล้วไม่พบไข้ ให้กลับไปเฝ้าดูอาการ 14 วัน ยังบ้านพักตามภูมิลําเนา โดยจะมีบุคลากรทางการแพทย์ ไปตรวจเยี่ยมเป็นประจําทุกวันจนครบ 14 วัน
ล่าสุด นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุข แต่งตั้งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ฉบับที่ 3 และ 4 พ.ศ. 2563 มีผลบังคับใช้แล้ววันนี้ (14 มี.ค.) ซึ่งนอกจากจะมีผู้บริหารระดับสูงและเจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขแล้ว ยังหมายรวมถึงข้าราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ไม่ว่าจะเป็น ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจําตําบล สารวัตรกํานัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ รวมถึงข้าราชการสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตําบล ไม่ว่าจะเป็น นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกเทศมนตรี นายกองค์การบริหารส่วนตําบล ฯลฯ เพื่อร่วมบูรณาการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของไวรัสทุกพื้นที่
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สําหรับอํานาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ เจ้าพนักงานจะมีอํานาจออกหนังสือเรียกบุคคลใด ๆ มาให้ถ้อยคํา แจ้งข้อเท็จจริง เพื่อเป็นประโยชน์ในการเฝ้าระวัง โดยมีอํานาจในการเข้าไปยังอาคารบ้านเรือนเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบด้วย นอกจากนี้ ในส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ได้มอบหมายให้กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ อํานวยความสะดวกแก่บุคคลกลุ่มเสี่ยงที่เดินทางกลับไปเฝ้าระวังอาการยังภูมิลําเนา พร้อมประชาสัมพันธ์ถึงวิธีการป้องกันตัวเองแก่คนในชุมชนด้วย อย่างไรก็ตาม ต้องขอความร่วมมือสําหรับผู้ไปกลับเฝ้าสังเกตอาการไม่ให้สร้างพฤติกรรมเสี่ยงต่อสาธารณะ โดยขอความร่วมมือให้กักตัวอยู่ในที่พักอาศัยเพื่อสังเกตอาการเท่านั้น
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27159
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายวิษณุฯ รองนายกรัฐมนตรีแจง ไทยยังไม่ปิดประเทศ ระบุอาจพิจารณาขยายช่วงเวลาเคอร์ฟิวเพิ่มจาก 6 ชม.เป็น 8-10 ชม. ขอดูให้สอดคล้องกับสถานการณ์
|
วันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2563
นายวิษณุฯ รองนายกรัฐมนตรีแจง ไทยยังไม่ปิดประเทศ ระบุอาจพิจารณาขยายช่วงเวลาเคอร์ฟิวเพิ่มจาก 6 ชม.เป็น 8-10 ชม. ขอดูให้สอดคล้องกับสถานการณ์
นายวิษณุฯ รองนายกรัฐมนตรีแจง ไทยยังไม่ปิดประเทศ ระบุอาจพิจารณาขยายช่วงเวลาเคอร์ฟิวเพิ่มจาก 6 ชม.เป็น 8-10 ชม. ขอดูให้สอดคล้องกับสถานการณ์
วันนี้ (3 เม.ย.63) เวลา 11.57 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงรายละเอียดการประกาศเคอร์ฟิวภายใต้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อแก้ปัญหาการระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ว่า รัฐบาลมี 3 มาตรการ ได้แก่ มาตรการการแพทย์หรือมาตรการด้านสาธารณสุข คือ การตรวจโรค การดูแลและการรักษา ซึ่งต้องฟังหมอกระทรวงสาธารณสุข หรือโฆษก ศบค. เท่านั้น สําหรับมาตรการที่ 2 คือ มาตรการด้านการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค และมาตรการที่ 3 คือ มาตรการเยียวยาฟื้นฟูแก้ไขให้คนที่ได้รับผลกระทบกลับฟื้นคืนมาสามารถมีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายต่อไปได้ ซึ่งเป็นมาตรการด้านเศรษฐกิจ
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงมาตรการที่ 2 ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคนั้นว่า พระราชกําหนดสถานการณ์ฉุกเฉินให้อํานาจรัฐบาลเข้ามาจัดการเฉพาะมาตรการที่ 2 เท่านั้น ไม่ได้ให้ไปใช้อํานาจใดๆ ซึ่งมาตรการที่ 1 ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อและกฎหมายอื่นของแพทย์รวมถึงมาตรการที่ 3 จําเป็นต้องอาศัยมติคณะรัฐมนตรีและกฎหมายในการบริหารราชการแผ่นดินดําเนินการ ส่วนกรณีที่ออกมาเสนอรัฐบาลเยียวยาช่วยเหลือกลุ่มอาชีพนั้นนี้ ไม่ใช่อํานาจตามพระราชกําหนด ถ้ารัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือแล้ว โดยใช้กฎหมายอื่นและเป็นอํานาจของคณะรัฐมนตรี สําหรับมาตรการที่ 2 คือการป้องกันนั้น มีกฎหมายอยู่แล้ว เช่น พ.ร.บ.โรคติดต่อ ซึ่งอาจไม่เพียงพอแก่การรับมือโรคระบาดโควิด-19 จึงจําเป็นต้องอาศัยพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินออกมาใช้บังคับ เช่น การประกาศเคอร์ฟิว คือการห้ามออกจากบ้าน ซึ่งกฎหมายอื่นไม่ได้ให้อํานาจเอาไว้ และได้มีการออกข้อกําหนด หรือกติกา หลักเกณฑ์ ให้ปฏิบัติหรือห้ามปฏิบัติ ฉบับ 1และฉบับที่ 2 และอาจจะมีฉบับที่ 3 ฉบับที่ 4 และฉบับที่ 5 ตามมาได้
รองนายกรัฐมนตรีชี้แจงเพิ่มเติมข้อกําหนดที่ออกตามพระราชกําหนดฯ ฉบับที่ 2 นั้น คือเรื่องเคอร์ฟิวหรือการห้ามออกจากบ้านว่า ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่ได้ปิดประเทศ แต่ได้มีการเข้มงวดและเคร่งครัดดังนี้ คนไทยที่อยู่นอกประเทศยังสามารถกลับเข้ามาในประเทศไทยได้เพราะเป็นสิทธิตามกฎหมาย โดยได้อนุญาตให้แก่กลุ่มคนไทยบางกลุ่มที่กําลังจะเดินทางเข้ามาอยู่แล้ว เช่น คนไทยจากมาเลเซีย คนไทยจากอินโดนีเซีย คนไทยจากสหรัฐอเมริกาและยุโรปซึ่งเป็นนักเรียนไทยที่ไปเรียนช่วงสั้นๆ จําเป็นต้องกลับเข้ามา นอกจากนั้น การขนส่งสินค้าไทยออกไปนอกประเทศ หรือการขนส่งสินค้าจากต่างประเทศทั่วโลกเข้ามาในประเทศไทยโดยผ่านทางเครื่องบินยังทําได้ตามปกติ ขณะเดียวกันก็ต้องสั่งสินค้าจากต่างประเทศทั้งเครื่องจักรเครื่องกล เครื่องมือแพทย์ และเครื่องใช้ไม้สอยอื่นๆ ที่เคยค้าขายปกติ หรือคาร์โก้ ก็ยังมาได้ตามปกติ กลุ่มที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทยได้ยาก คือชาวต่างประเทศประเทศที่กําลังจะเข้ามาในประเทศไทยขณะนี้มีมาตรการเข้มงวดมากขึ้น และจะเข้มงวดขึ้น 2 เท่าสําหรับชาวต่างประเทศ โดยขอให้ชะลอการเดินทางเข้ามาในประเทศไทยอย่างน้อยก็จนถึงวันที่ 15 เมษายน 2563 และหลังจากวันที่ 15 เมษายน จะพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง คนไทยทุกคนที่กลับเข้ามาประเทศก็จะมีมาตรการกักกันอาไว้สังเกตอาการอย่างน้อย 14 วัน
สําหรับข้อกําหนดฉบับที่ 2 ที่ออกมาและมีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เรื่องเคอร์ฟิว คือ การห้ามบุคคลทุกคนทั่วราชอาณาจักร นอกเคหสถาน หมายถึงบ้าน ห้องหอ Condominium อพาร์ทเม้นท์ โรงงาน วัดวาอาราม สถานที่ทํางาน จะออกมาอยู่ข้างนอกหรือเดินทางอยู่บนท้องถนนไม่ได้ ซึ่งเคอร์ฟิวได้กําหนดเอาไว้ 6 ชั่วโมงตั้งแต่ 4 ทุ่ม จนถึงตี 4 หากยังมีผู้ฝ่าฝืนหรือพิสูจน์เป็นการป้องกันได้ดีก็จะประเมินเหตุการณ์วันต่อวันอาจจะขยายขึ้นเป็น 8 ชั่วโมงหรือ 10 ชั่วโมงต่อไปก็ได้ ทั้งนี้ จะมีกําลังเจ้าหน้าที่ตํารวจ ทหาร คอยตรวจตราและหากพบว่าฝ่าฝืนก็ไม่มีข้อยกเว้น คุ้มครอง และมีความผิดตามพระราชกําหนดมาตรา 18 ซึ่งกําหนดโทษไว้รุนแรงมากคือจําคุกถึง 2 ปี ปรับได้ถึง 40,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
อย่างไรก็ตาม รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เคอร์ฟิวมีข้อยกเว้นสําหรับ 2 ประเภท คือ 1) ข้อยกเว้นที่ให้แก่บุคคลเป็นการทั่วไป ด้แก่บุคคลที่เขาเขียนเอาไว้ในข้อกําหนด ผู้ที่มีภารกิจหรือปฏิบัติหน้าที่ด้านการแพทย์ คนไข้ คนเจ็บ คนป่วยและฝ่ายหนึ่งหมายถึงหมอ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ คลินิก โรงพยาบาล เป็นต้น และ 2) ยกเว้นที่ให้เป็นการเฉพาะแก่บุคคลบางคนได้แก่ ผู้ที่มีอาชีพ หรือมีหน้าที่ ที่จะต้องทําการขนส่ง ขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ข้าวปลาอาหาร กลุ่มคนที่ต้องขับรถและขนของเอาไปเติม Supermarket ซึ่งทํางานเวลากลางคืนรวมถึงกลุ่มขนส่งอาหาร ไม่ว่าจะเป็นอาหารสด อาหารแห้ง หรือของที่จะต้องไปเปิดตลาดตอนเช้า ซึ่งส่วนใหญ่ทํางานกันระหว่างตี 3 - 4 ตี หรือกลุ่มที่จะต้องขนส่งในส่วนที่เกี่ยวกับการนําเข้าและส่งออก ขึ้นรถบรรทุก รถปิคอัพไปจอดไว้ที่ด่านเพื่อเตรียมที่จะส่งออกหรือเตรียมที่จะนําเข้า เครื่องบินมาลงขนสินค้า Cargo มา รถบรรทุกต้องไปรับจากสนามบินแล้วก็นําไประบายต่อตามซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือร้านต่าง ๆ สามารถทําได้เป็นข้อยกเว้น
นอกนั้นยังอนุญาตธุรกิจการเงินการธนาคาร กลุ่มคนที่ขับรถนําเงินไปเติมในตู้ atm ซึ่งก็ทํางานกันกลางคืน ขนส่งหนังสือพิมพ์ ตลอดจนการขนส่งคนไปยังที่ควบคุมตัวที่กักกัน คนที่ทํางานเป็นกะเป็นผลัดไม่ว่าจะเป็นราชการ คนที่ทํางานเป็นกะ เป็นผลัด เป็นเวรยามอยู่แล้วตามปกติก็สามารถออกมาปฏิบัติหน้าที่ได้ รวมทั้งผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่อื่นๆตามที่ได้กําหนดเอาไว้ในข้อยกเว้นในข้อกําหนดนี้ ข้อกําหนดระบุว่าจะต้องมีเอกสารติดตัวไป ได้แก่ บัตรประจําตัวประชาชน หรือต้องมีเอกสาร เช่น เอกสารแสดงว่าเป็นรถที่มารับคนโดยสารที่มาจากต่างประเทศ เช่น ผู้โดยสารนั่งบนรถมีพาสปอร์ตหนังสือเดินทาง เป็นต้น ในส่วนของคนส่งหนังสือพิมพ์นั้น ขอให้มีหนังสือรับรองจากบรรณาธิการหรือ บก. ยืนยันว่ารับรองเป็นเจ้าหน้าที่พนักงานประจํารถขนส่งหนังสือพิมพ์จริง มีการระบุวันเวลาที่ชัดเจนตั้งแต่วันนั้นถึงวันนั้น
สําหรับผู้ที่ได้รับการยกเว้นเป็นการเฉพาะราย (ไม่รวมเจ้าหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติการ เช่น ตํารวจ ทหาร ที่เป็นเจ้าหน้าที่เขายกเว้นให้อยู่แล้ว) แต่ผู้ยกเว้นเฉพาะรายคือผู้ที่ไม่ได้เขียนและไม่ได้เข้าข้อกําหนด แต่อาจมีเหตุจําเป็นที่จะต้องออกไปปฏิบัติงานตอน 4 ทุ่ม ถึงตี 4 จะต้องมีการขออนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น คนที่ประกอบอาชีพกรีดยาง อาชีพประมง บริษัทที่จะต้องออกไปซ่อมสายโทรศัพท์หรือรหัสสัญญาณจอดาวเทียม ซึ่งอาจต้องออกไปปฏิบัติหน้าที่กันไปตอนตี 2 ตี 3 ระหว่างนี้ก็ไปขออนุญาตหรือแจ้งให้กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือเจ้าหน้าที่ตํารวจทราบไว้เป็นหลักฐาน
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวขยายความคํา "พนักงานเจ้าหน้าที่" ว่า เป็นคําที่มาจากพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ. 2548 ระบุไว้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่หมายถึงผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชกําหนดนี้ ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด รวมถึงผู้บริหารระดับสูงอื่น ๆ เช่น เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นต้น ทั้งนี้พนักงานเจ้าหน้าที่ก็จะมีการแต่งตั้งลงไปจนถึงระดับล่าง ได้แก่ เจ้าหน้าที่ตํารวจ หรือทหารที่ตั้งด่านตรวจกลางทางทุกคนเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมถึงกํานัน ผู้ใหญ่บ้านด้วย ซึ่งเมื่อได้แต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ก็จะเป็นผู้มีอํานาจในการอนุญาต
กรณี ผู้ว่าราชการจังหวัดออกคําสั่งหรือออกคําแนะนําอะไรที่เข้มงวดก็ให้ปฏิบัติในส่วนที่เข้มงวดกว่าไป หรือบางจังหวัดผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่จังหวัดของตนเอง ตั้งแต่ 3 ทุ่มหรือ ตั้งแต่ 1ทุ่ม ถือว่าเข้มงวดกว่าก็ให้เป็นไปตามนั้นเฉพาะในจังหวัดนั้น แต่ของรัฐบาล 4 ทุ่ม ถึงตี 4 และต่อไปก็จะพยายามปรับของทุกจังหวัดให้เข้ามาอยู่ในเกณฑ์เดียวกัน ส่วนในข้อกําหนดฉบับที่ 2 ข้อที่ 3 ระบุว่า หากมีประชาชนจะต้องออกนอกประเทศแต่ปรากฏว่าออกไม่ได้ ให้คณะกรรมการโรคติดต่อประจําจังหวัด จัดที่เอกเทศ เช่น โรงเรียนหรือสถานที่เหมาะสม เพื่อกักกันเอาไว้ 14 วัน เพื่อสังเกตอาการและตรวจโรค เช่น แรงงานพม่า คนกัมพูชา คนมาเลเซีย ซึ่งเดินทางไปถึงด่านแล้วด่านปิดทําให้เข้าประเทศตนเองไม่ได้ ทั้งนี้เมื่อครบกําหนด 14 วัน และด่านประเทศเหล่านั้นเปิดก็ให้ปล่อยกลับประเทศได้หรือปล่อยกลับไปยังสถานที่ที่คนดังกล่าวมา
---------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายวิษณุฯ รองนายกรัฐมนตรีแจง ไทยยังไม่ปิดประเทศ ระบุอาจพิจารณาขยายช่วงเวลาเคอร์ฟิวเพิ่มจาก 6 ชม.เป็น 8-10 ชม. ขอดูให้สอดคล้องกับสถานการณ์
วันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2563
นายวิษณุฯ รองนายกรัฐมนตรีแจง ไทยยังไม่ปิดประเทศ ระบุอาจพิจารณาขยายช่วงเวลาเคอร์ฟิวเพิ่มจาก 6 ชม.เป็น 8-10 ชม. ขอดูให้สอดคล้องกับสถานการณ์
นายวิษณุฯ รองนายกรัฐมนตรีแจง ไทยยังไม่ปิดประเทศ ระบุอาจพิจารณาขยายช่วงเวลาเคอร์ฟิวเพิ่มจาก 6 ชม.เป็น 8-10 ชม. ขอดูให้สอดคล้องกับสถานการณ์
วันนี้ (3 เม.ย.63) เวลา 11.57 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงรายละเอียดการประกาศเคอร์ฟิวภายใต้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อแก้ปัญหาการระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ว่า รัฐบาลมี 3 มาตรการ ได้แก่ มาตรการการแพทย์หรือมาตรการด้านสาธารณสุข คือ การตรวจโรค การดูแลและการรักษา ซึ่งต้องฟังหมอกระทรวงสาธารณสุข หรือโฆษก ศบค. เท่านั้น สําหรับมาตรการที่ 2 คือ มาตรการด้านการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค และมาตรการที่ 3 คือ มาตรการเยียวยาฟื้นฟูแก้ไขให้คนที่ได้รับผลกระทบกลับฟื้นคืนมาสามารถมีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายต่อไปได้ ซึ่งเป็นมาตรการด้านเศรษฐกิจ
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงมาตรการที่ 2 ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคนั้นว่า พระราชกําหนดสถานการณ์ฉุกเฉินให้อํานาจรัฐบาลเข้ามาจัดการเฉพาะมาตรการที่ 2 เท่านั้น ไม่ได้ให้ไปใช้อํานาจใดๆ ซึ่งมาตรการที่ 1 ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อและกฎหมายอื่นของแพทย์รวมถึงมาตรการที่ 3 จําเป็นต้องอาศัยมติคณะรัฐมนตรีและกฎหมายในการบริหารราชการแผ่นดินดําเนินการ ส่วนกรณีที่ออกมาเสนอรัฐบาลเยียวยาช่วยเหลือกลุ่มอาชีพนั้นนี้ ไม่ใช่อํานาจตามพระราชกําหนด ถ้ารัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือแล้ว โดยใช้กฎหมายอื่นและเป็นอํานาจของคณะรัฐมนตรี สําหรับมาตรการที่ 2 คือการป้องกันนั้น มีกฎหมายอยู่แล้ว เช่น พ.ร.บ.โรคติดต่อ ซึ่งอาจไม่เพียงพอแก่การรับมือโรคระบาดโควิด-19 จึงจําเป็นต้องอาศัยพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินออกมาใช้บังคับ เช่น การประกาศเคอร์ฟิว คือการห้ามออกจากบ้าน ซึ่งกฎหมายอื่นไม่ได้ให้อํานาจเอาไว้ และได้มีการออกข้อกําหนด หรือกติกา หลักเกณฑ์ ให้ปฏิบัติหรือห้ามปฏิบัติ ฉบับ 1และฉบับที่ 2 และอาจจะมีฉบับที่ 3 ฉบับที่ 4 และฉบับที่ 5 ตามมาได้
รองนายกรัฐมนตรีชี้แจงเพิ่มเติมข้อกําหนดที่ออกตามพระราชกําหนดฯ ฉบับที่ 2 นั้น คือเรื่องเคอร์ฟิวหรือการห้ามออกจากบ้านว่า ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่ได้ปิดประเทศ แต่ได้มีการเข้มงวดและเคร่งครัดดังนี้ คนไทยที่อยู่นอกประเทศยังสามารถกลับเข้ามาในประเทศไทยได้เพราะเป็นสิทธิตามกฎหมาย โดยได้อนุญาตให้แก่กลุ่มคนไทยบางกลุ่มที่กําลังจะเดินทางเข้ามาอยู่แล้ว เช่น คนไทยจากมาเลเซีย คนไทยจากอินโดนีเซีย คนไทยจากสหรัฐอเมริกาและยุโรปซึ่งเป็นนักเรียนไทยที่ไปเรียนช่วงสั้นๆ จําเป็นต้องกลับเข้ามา นอกจากนั้น การขนส่งสินค้าไทยออกไปนอกประเทศ หรือการขนส่งสินค้าจากต่างประเทศทั่วโลกเข้ามาในประเทศไทยโดยผ่านทางเครื่องบินยังทําได้ตามปกติ ขณะเดียวกันก็ต้องสั่งสินค้าจากต่างประเทศทั้งเครื่องจักรเครื่องกล เครื่องมือแพทย์ และเครื่องใช้ไม้สอยอื่นๆ ที่เคยค้าขายปกติ หรือคาร์โก้ ก็ยังมาได้ตามปกติ กลุ่มที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทยได้ยาก คือชาวต่างประเทศประเทศที่กําลังจะเข้ามาในประเทศไทยขณะนี้มีมาตรการเข้มงวดมากขึ้น และจะเข้มงวดขึ้น 2 เท่าสําหรับชาวต่างประเทศ โดยขอให้ชะลอการเดินทางเข้ามาในประเทศไทยอย่างน้อยก็จนถึงวันที่ 15 เมษายน 2563 และหลังจากวันที่ 15 เมษายน จะพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง คนไทยทุกคนที่กลับเข้ามาประเทศก็จะมีมาตรการกักกันอาไว้สังเกตอาการอย่างน้อย 14 วัน
สําหรับข้อกําหนดฉบับที่ 2 ที่ออกมาและมีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เรื่องเคอร์ฟิว คือ การห้ามบุคคลทุกคนทั่วราชอาณาจักร นอกเคหสถาน หมายถึงบ้าน ห้องหอ Condominium อพาร์ทเม้นท์ โรงงาน วัดวาอาราม สถานที่ทํางาน จะออกมาอยู่ข้างนอกหรือเดินทางอยู่บนท้องถนนไม่ได้ ซึ่งเคอร์ฟิวได้กําหนดเอาไว้ 6 ชั่วโมงตั้งแต่ 4 ทุ่ม จนถึงตี 4 หากยังมีผู้ฝ่าฝืนหรือพิสูจน์เป็นการป้องกันได้ดีก็จะประเมินเหตุการณ์วันต่อวันอาจจะขยายขึ้นเป็น 8 ชั่วโมงหรือ 10 ชั่วโมงต่อไปก็ได้ ทั้งนี้ จะมีกําลังเจ้าหน้าที่ตํารวจ ทหาร คอยตรวจตราและหากพบว่าฝ่าฝืนก็ไม่มีข้อยกเว้น คุ้มครอง และมีความผิดตามพระราชกําหนดมาตรา 18 ซึ่งกําหนดโทษไว้รุนแรงมากคือจําคุกถึง 2 ปี ปรับได้ถึง 40,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
อย่างไรก็ตาม รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เคอร์ฟิวมีข้อยกเว้นสําหรับ 2 ประเภท คือ 1) ข้อยกเว้นที่ให้แก่บุคคลเป็นการทั่วไป ด้แก่บุคคลที่เขาเขียนเอาไว้ในข้อกําหนด ผู้ที่มีภารกิจหรือปฏิบัติหน้าที่ด้านการแพทย์ คนไข้ คนเจ็บ คนป่วยและฝ่ายหนึ่งหมายถึงหมอ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ คลินิก โรงพยาบาล เป็นต้น และ 2) ยกเว้นที่ให้เป็นการเฉพาะแก่บุคคลบางคนได้แก่ ผู้ที่มีอาชีพ หรือมีหน้าที่ ที่จะต้องทําการขนส่ง ขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ข้าวปลาอาหาร กลุ่มคนที่ต้องขับรถและขนของเอาไปเติม Supermarket ซึ่งทํางานเวลากลางคืนรวมถึงกลุ่มขนส่งอาหาร ไม่ว่าจะเป็นอาหารสด อาหารแห้ง หรือของที่จะต้องไปเปิดตลาดตอนเช้า ซึ่งส่วนใหญ่ทํางานกันระหว่างตี 3 - 4 ตี หรือกลุ่มที่จะต้องขนส่งในส่วนที่เกี่ยวกับการนําเข้าและส่งออก ขึ้นรถบรรทุก รถปิคอัพไปจอดไว้ที่ด่านเพื่อเตรียมที่จะส่งออกหรือเตรียมที่จะนําเข้า เครื่องบินมาลงขนสินค้า Cargo มา รถบรรทุกต้องไปรับจากสนามบินแล้วก็นําไประบายต่อตามซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือร้านต่าง ๆ สามารถทําได้เป็นข้อยกเว้น
นอกนั้นยังอนุญาตธุรกิจการเงินการธนาคาร กลุ่มคนที่ขับรถนําเงินไปเติมในตู้ atm ซึ่งก็ทํางานกันกลางคืน ขนส่งหนังสือพิมพ์ ตลอดจนการขนส่งคนไปยังที่ควบคุมตัวที่กักกัน คนที่ทํางานเป็นกะเป็นผลัดไม่ว่าจะเป็นราชการ คนที่ทํางานเป็นกะ เป็นผลัด เป็นเวรยามอยู่แล้วตามปกติก็สามารถออกมาปฏิบัติหน้าที่ได้ รวมทั้งผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่อื่นๆตามที่ได้กําหนดเอาไว้ในข้อยกเว้นในข้อกําหนดนี้ ข้อกําหนดระบุว่าจะต้องมีเอกสารติดตัวไป ได้แก่ บัตรประจําตัวประชาชน หรือต้องมีเอกสาร เช่น เอกสารแสดงว่าเป็นรถที่มารับคนโดยสารที่มาจากต่างประเทศ เช่น ผู้โดยสารนั่งบนรถมีพาสปอร์ตหนังสือเดินทาง เป็นต้น ในส่วนของคนส่งหนังสือพิมพ์นั้น ขอให้มีหนังสือรับรองจากบรรณาธิการหรือ บก. ยืนยันว่ารับรองเป็นเจ้าหน้าที่พนักงานประจํารถขนส่งหนังสือพิมพ์จริง มีการระบุวันเวลาที่ชัดเจนตั้งแต่วันนั้นถึงวันนั้น
สําหรับผู้ที่ได้รับการยกเว้นเป็นการเฉพาะราย (ไม่รวมเจ้าหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติการ เช่น ตํารวจ ทหาร ที่เป็นเจ้าหน้าที่เขายกเว้นให้อยู่แล้ว) แต่ผู้ยกเว้นเฉพาะรายคือผู้ที่ไม่ได้เขียนและไม่ได้เข้าข้อกําหนด แต่อาจมีเหตุจําเป็นที่จะต้องออกไปปฏิบัติงานตอน 4 ทุ่ม ถึงตี 4 จะต้องมีการขออนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น คนที่ประกอบอาชีพกรีดยาง อาชีพประมง บริษัทที่จะต้องออกไปซ่อมสายโทรศัพท์หรือรหัสสัญญาณจอดาวเทียม ซึ่งอาจต้องออกไปปฏิบัติหน้าที่กันไปตอนตี 2 ตี 3 ระหว่างนี้ก็ไปขออนุญาตหรือแจ้งให้กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือเจ้าหน้าที่ตํารวจทราบไว้เป็นหลักฐาน
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวขยายความคํา "พนักงานเจ้าหน้าที่" ว่า เป็นคําที่มาจากพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ. 2548 ระบุไว้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่หมายถึงผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชกําหนดนี้ ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด รวมถึงผู้บริหารระดับสูงอื่น ๆ เช่น เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นต้น ทั้งนี้พนักงานเจ้าหน้าที่ก็จะมีการแต่งตั้งลงไปจนถึงระดับล่าง ได้แก่ เจ้าหน้าที่ตํารวจ หรือทหารที่ตั้งด่านตรวจกลางทางทุกคนเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมถึงกํานัน ผู้ใหญ่บ้านด้วย ซึ่งเมื่อได้แต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ก็จะเป็นผู้มีอํานาจในการอนุญาต
กรณี ผู้ว่าราชการจังหวัดออกคําสั่งหรือออกคําแนะนําอะไรที่เข้มงวดก็ให้ปฏิบัติในส่วนที่เข้มงวดกว่าไป หรือบางจังหวัดผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่จังหวัดของตนเอง ตั้งแต่ 3 ทุ่มหรือ ตั้งแต่ 1ทุ่ม ถือว่าเข้มงวดกว่าก็ให้เป็นไปตามนั้นเฉพาะในจังหวัดนั้น แต่ของรัฐบาล 4 ทุ่ม ถึงตี 4 และต่อไปก็จะพยายามปรับของทุกจังหวัดให้เข้ามาอยู่ในเกณฑ์เดียวกัน ส่วนในข้อกําหนดฉบับที่ 2 ข้อที่ 3 ระบุว่า หากมีประชาชนจะต้องออกนอกประเทศแต่ปรากฏว่าออกไม่ได้ ให้คณะกรรมการโรคติดต่อประจําจังหวัด จัดที่เอกเทศ เช่น โรงเรียนหรือสถานที่เหมาะสม เพื่อกักกันเอาไว้ 14 วัน เพื่อสังเกตอาการและตรวจโรค เช่น แรงงานพม่า คนกัมพูชา คนมาเลเซีย ซึ่งเดินทางไปถึงด่านแล้วด่านปิดทําให้เข้าประเทศตนเองไม่ได้ ทั้งนี้เมื่อครบกําหนด 14 วัน และด่านประเทศเหล่านั้นเปิดก็ให้ปล่อยกลับประเทศได้หรือปล่อยกลับไปยังสถานที่ที่คนดังกล่าวมา
---------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28406
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตฯ จัดมหกรรมคิวซี ครั้งที่ 32 ยกระดับรัฐ - เอกชน มุ่งสู่ Thailand 4.0
|
วันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2561
กระทรวงอุตฯ จัดมหกรรมคิวซี ครั้งที่ 32 ยกระดับรัฐ - เอกชน มุ่งสู่ Thailand 4.0
กระทรวงอุตฯ จัดมหกรรมคิวซี ครั้งที่ 32 ยกระดับรัฐ - เอกชน มุ่งสู่ Thailand 4.0
กรุงเทพฯ 23 เมษายน 2561- กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.)จับมือสมาคมส่งเสริมคุณภาพแห่งประเทศไทย พัฒนาคุณภาพของภาคราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ผ่านการจัดงานมหกรรมคิวซีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 32 เพื่อส่งเสริมให้ภาครัฐและเอกชนได้นําเสนอกิจกรรมของกลุ่มคุณภาพ ซึ่งเป็นกระบวนการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบของผู้ปฏิบัติงานจริง พร้อมยกระดับคุณภาพภาคผลิตและภาคบริการด้วยการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้เป็นกลไกในการพัฒนาพร้อมนําพาประเทศไปสู่การเป็นประเทศไทย 4.0
นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสําคัญต่อการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจ มุ่งเน้นการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เป็นกลไกเพื่อยกระดับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตที่จะก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องสามารถลดต้นทุนและสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมไทยสู่มาตรฐานสากล
การจัดงานมหกรรมคิวซีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 32 มหกรรมคุณภาพภาครัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 29 มหกรรมคุณภาพภาคราชการและโรงพยาบาล ประจําปี 2561 และมหกรรมโครงการคุณภาพข้ามสายงาน ครั้งที่ 1 ในวันนี้ (23 เม.ย. 61) กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กสอ.ร่วมกับสมาคมส่งเสริมคุณภาพแห่งประเทศไทย จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ภาครัฐและภาคเอกชนนํากิจกรรมกลุ่มคุณภาพหรือกลุ่มคิวซีเข้าสู่การแก้ไขปัญหาในองค์กรอย่างเป็นระบบ โดยในปีนี้เป็นการทํากิจกรรมคุณภาพในหน่วยงานให้แพร่หลายยิ่งขึ้นและพัฒนาคุณภาพงานอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเผยแพร่และสนับสนุนกิจกรรมคุณภาพในทุก ๆ อุตสาหกรรมภาคราชการ ภาครัฐวิสาหกิจ ทั้งการผลิตและการบริการตลอดจนเปิดโอกาส ให้กลุ่มคุณภาพรุ่นใหม่ ๆได้มีเวทีสําหรับการเสนอผลงานอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังได้คัดเลือกกลุ่มคุณภาพยอดเยี่ยมจากภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐวิสาหกิจ ภาคราชการและโรงพยาบาล เป็นตัวแทนของประเทศไทย เพื่อไปเข้าร่วมการนําเสนอผลงานในมหกรรมคุณภาพนานาชาติต่อไป
“การพัฒนาคุณภาพงานนั้นบุคลากรถือเป็นส่วนสําคัญที่ต้องได้รับการพัฒนาควบคู่ เนื่องจากสินค้าและบริการจะพัฒนาไม่ได้หากบุคลากรไม่มีจิตสํานึกและไม่มีคุณภาพ ดังนั้น ทุกส่วนงาน ภาครัฐ ภาครัฐวิสาหกิจ และภาคอุตสาหกรรม จึงจําเป็นต้องพัฒนาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดซึ่งจะนําไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมพร้อมรับการแข่งขันในเวทีการค้าโลก” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว
ด้านนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวเสริมว่า การจัดมหกรรมคุณภาพแห่งประเทศไทยในปีนี้ กําหนดจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 23 – 27 และวันที่ 30 เมษายน 2561 รวม 6 วัน ซึ่งได้รับความสนใจจากหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ ภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐวิสาหกิจและภาคราชการโรงพยาบาลต่าง ๆส่งกลุ่มคุณภาพเพื่อเข้าร่วมเสนอผลงาน ทั้งสิ้น 129 กลุ่ม โดยแบ่งออกเป็นภาคอุตสาหกรรม 49 กลุ่มภาครัฐวิสาหกิจ 12 กลุ่ม ภาคราชการและโรงพยาบาล 54 กลุ่ม มหกรรมโครงการคุณภาพข้ามสายงาน 5 กลุ่ม โดยผู้เข้าร่วมงานจะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์จากการเสนอผลงานของกิจกรรมที่หลากหลาย โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมงานวันละประมาณ 400 คน
สําหรับในปี 2560 ที่ผ่านมา มีผู้ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกเข้าร่วมนําเสนอผลงานคุณภาพเป็นจํานวนทั้งสิ้น 117 กลุ่ม ประกอบด้วย ภาคอุตสาหกรรม 52 กลุ่ม หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ 17 กลุ่ม หน่วยงานราชการ และโรงพยาบาล 48 กลุ่ม โดยกลุ่มคุณภาพที่สามารถลดค่าใช้จ่ายให้กับองค์กรได้ตั้งแต่หลักล้านบาทไปจนถึง 100 ล้านบาท อาทิ บริษัท ปตท.จํากัด (มหาชน) ลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้ 300 ล้านบาท บริษัท เอสซีจี พลาสติกส์ จํากัด ลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้ 288 ล้านบาท บริษัท ซี พี แรม จํากัด ลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้ 15.58 ล้านบาท บริษัท ไทยโพลิเอททีลีน จํากัด ลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้ 15 ล้านบาท บริษัท บางจากปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) ลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้ 9.1 ล้านบาท บริษัท ไออาร์พีซี จํากัด ลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้ 3.6 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มคุณภาพยอดเยี่ยมที่ได้ร่วมเสนอผลงานในงานมหกรรมครั้งนี้จะได้รับคัดเลือกไปเสนอผลงานในระดับนานาชาติ โดยในปี 2560 มีกลุ่มคุณภาพยอดเยี่ยมเข้าร่วมเสนอผลงานระดับนานาชาติในงาน International Convention on Quality Control Circles 2017(ICQCC) ณกรุงมะนิลาประเทศฟิลิปปินส์ จํานวน 14 กลุ่ม จาก 9 หน่วยงาน อาทิ บริษัท ไทยโพลิเอททีลีน จํากัด บริษัท นวพลาสติกอุตสาหกรรม (สระบุรี) จํากัด ปตท.จํากัด (มหาชน) บริษัท เอสซีจี พลาสติกส์ จํากัด และบริษัท อินโดรามาโพลีเอสเตอร์ อินดัสตรี้ส์ จํากัด (มหาชน) จ.นครปฐม เป็นต้น และเข้าร่วมเสนอผลงาน ในงาน International Quality & Productivity Convention 2017 (IQPC 2017) ณ เมืองปาดัง เกาะสุมาตรา ประเทศสาธารณรัฐอินโดนีเซีย จํานวน 18 กลุ่ม จาก 12 หน่วยงาน อาทิ การไฟฟ้าแห่งประเทศไทย บริษัท ซีพี แรม จํากัด บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จํากัด บริษัท ไออาร์พีซี จํากัด และสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติราชินี เป็นต้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตฯ จัดมหกรรมคิวซี ครั้งที่ 32 ยกระดับรัฐ - เอกชน มุ่งสู่ Thailand 4.0
วันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2561
กระทรวงอุตฯ จัดมหกรรมคิวซี ครั้งที่ 32 ยกระดับรัฐ - เอกชน มุ่งสู่ Thailand 4.0
กระทรวงอุตฯ จัดมหกรรมคิวซี ครั้งที่ 32 ยกระดับรัฐ - เอกชน มุ่งสู่ Thailand 4.0
กรุงเทพฯ 23 เมษายน 2561- กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.)จับมือสมาคมส่งเสริมคุณภาพแห่งประเทศไทย พัฒนาคุณภาพของภาคราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ผ่านการจัดงานมหกรรมคิวซีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 32 เพื่อส่งเสริมให้ภาครัฐและเอกชนได้นําเสนอกิจกรรมของกลุ่มคุณภาพ ซึ่งเป็นกระบวนการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบของผู้ปฏิบัติงานจริง พร้อมยกระดับคุณภาพภาคผลิตและภาคบริการด้วยการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้เป็นกลไกในการพัฒนาพร้อมนําพาประเทศไปสู่การเป็นประเทศไทย 4.0
นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสําคัญต่อการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจ มุ่งเน้นการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เป็นกลไกเพื่อยกระดับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตที่จะก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องสามารถลดต้นทุนและสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมไทยสู่มาตรฐานสากล
การจัดงานมหกรรมคิวซีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 32 มหกรรมคุณภาพภาครัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 29 มหกรรมคุณภาพภาคราชการและโรงพยาบาล ประจําปี 2561 และมหกรรมโครงการคุณภาพข้ามสายงาน ครั้งที่ 1 ในวันนี้ (23 เม.ย. 61) กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กสอ.ร่วมกับสมาคมส่งเสริมคุณภาพแห่งประเทศไทย จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ภาครัฐและภาคเอกชนนํากิจกรรมกลุ่มคุณภาพหรือกลุ่มคิวซีเข้าสู่การแก้ไขปัญหาในองค์กรอย่างเป็นระบบ โดยในปีนี้เป็นการทํากิจกรรมคุณภาพในหน่วยงานให้แพร่หลายยิ่งขึ้นและพัฒนาคุณภาพงานอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเผยแพร่และสนับสนุนกิจกรรมคุณภาพในทุก ๆ อุตสาหกรรมภาคราชการ ภาครัฐวิสาหกิจ ทั้งการผลิตและการบริการตลอดจนเปิดโอกาส ให้กลุ่มคุณภาพรุ่นใหม่ ๆได้มีเวทีสําหรับการเสนอผลงานอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังได้คัดเลือกกลุ่มคุณภาพยอดเยี่ยมจากภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐวิสาหกิจ ภาคราชการและโรงพยาบาล เป็นตัวแทนของประเทศไทย เพื่อไปเข้าร่วมการนําเสนอผลงานในมหกรรมคุณภาพนานาชาติต่อไป
“การพัฒนาคุณภาพงานนั้นบุคลากรถือเป็นส่วนสําคัญที่ต้องได้รับการพัฒนาควบคู่ เนื่องจากสินค้าและบริการจะพัฒนาไม่ได้หากบุคลากรไม่มีจิตสํานึกและไม่มีคุณภาพ ดังนั้น ทุกส่วนงาน ภาครัฐ ภาครัฐวิสาหกิจ และภาคอุตสาหกรรม จึงจําเป็นต้องพัฒนาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดซึ่งจะนําไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมพร้อมรับการแข่งขันในเวทีการค้าโลก” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว
ด้านนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวเสริมว่า การจัดมหกรรมคุณภาพแห่งประเทศไทยในปีนี้ กําหนดจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 23 – 27 และวันที่ 30 เมษายน 2561 รวม 6 วัน ซึ่งได้รับความสนใจจากหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ ภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐวิสาหกิจและภาคราชการโรงพยาบาลต่าง ๆส่งกลุ่มคุณภาพเพื่อเข้าร่วมเสนอผลงาน ทั้งสิ้น 129 กลุ่ม โดยแบ่งออกเป็นภาคอุตสาหกรรม 49 กลุ่มภาครัฐวิสาหกิจ 12 กลุ่ม ภาคราชการและโรงพยาบาล 54 กลุ่ม มหกรรมโครงการคุณภาพข้ามสายงาน 5 กลุ่ม โดยผู้เข้าร่วมงานจะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์จากการเสนอผลงานของกิจกรรมที่หลากหลาย โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมงานวันละประมาณ 400 คน
สําหรับในปี 2560 ที่ผ่านมา มีผู้ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกเข้าร่วมนําเสนอผลงานคุณภาพเป็นจํานวนทั้งสิ้น 117 กลุ่ม ประกอบด้วย ภาคอุตสาหกรรม 52 กลุ่ม หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ 17 กลุ่ม หน่วยงานราชการ และโรงพยาบาล 48 กลุ่ม โดยกลุ่มคุณภาพที่สามารถลดค่าใช้จ่ายให้กับองค์กรได้ตั้งแต่หลักล้านบาทไปจนถึง 100 ล้านบาท อาทิ บริษัท ปตท.จํากัด (มหาชน) ลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้ 300 ล้านบาท บริษัท เอสซีจี พลาสติกส์ จํากัด ลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้ 288 ล้านบาท บริษัท ซี พี แรม จํากัด ลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้ 15.58 ล้านบาท บริษัท ไทยโพลิเอททีลีน จํากัด ลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้ 15 ล้านบาท บริษัท บางจากปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) ลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้ 9.1 ล้านบาท บริษัท ไออาร์พีซี จํากัด ลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้ 3.6 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มคุณภาพยอดเยี่ยมที่ได้ร่วมเสนอผลงานในงานมหกรรมครั้งนี้จะได้รับคัดเลือกไปเสนอผลงานในระดับนานาชาติ โดยในปี 2560 มีกลุ่มคุณภาพยอดเยี่ยมเข้าร่วมเสนอผลงานระดับนานาชาติในงาน International Convention on Quality Control Circles 2017(ICQCC) ณกรุงมะนิลาประเทศฟิลิปปินส์ จํานวน 14 กลุ่ม จาก 9 หน่วยงาน อาทิ บริษัท ไทยโพลิเอททีลีน จํากัด บริษัท นวพลาสติกอุตสาหกรรม (สระบุรี) จํากัด ปตท.จํากัด (มหาชน) บริษัท เอสซีจี พลาสติกส์ จํากัด และบริษัท อินโดรามาโพลีเอสเตอร์ อินดัสตรี้ส์ จํากัด (มหาชน) จ.นครปฐม เป็นต้น และเข้าร่วมเสนอผลงาน ในงาน International Quality & Productivity Convention 2017 (IQPC 2017) ณ เมืองปาดัง เกาะสุมาตรา ประเทศสาธารณรัฐอินโดนีเซีย จํานวน 18 กลุ่ม จาก 12 หน่วยงาน อาทิ การไฟฟ้าแห่งประเทศไทย บริษัท ซีพี แรม จํากัด บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จํากัด บริษัท ไออาร์พีซี จํากัด และสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติราชินี เป็นต้น
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11693
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. หนุนโรงพยาบาลร้อยเอ็ดผ่าตัดรูปแบบใหม่ ส่องกล้องตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่วันเดียว ไม่นอนค้าง ประหยัดเวลา ลดค่าใช้จ่าย
|
วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560
สธ. หนุนโรงพยาบาลร้อยเอ็ดผ่าตัดรูปแบบใหม่ ส่องกล้องตรวจมะเร็งลําไส้ใหญ่วันเดียว ไม่นอนค้าง ประหยัดเวลา ลดค่าใช้จ่าย
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดโครงการผ่าตัดรูปแบบใหม่โรงพยาบาลร้อยเอ็ด ส่องกล้องตรวจมะเร็งลําไส้ใหญ่ วันเดียวกลับบ้านได้ไม่นอนค้าง ช่วยลดคิวรอผ่าตัด ลดแออัดในโรงพยาบาล เตรียมขยายให้ครอบคลุมเพิ่มเติมในโรคมะเร็งชนิดต่างๆ
วันนี้ (11 สิงหาคม 2560) ที่โรงพยาบาลร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดโครงการรณรงค์ผ่าตัดรูปแบบใหม่ ส่องกล้องตรวจมะเร็งลําไส้ใหญ่วันเดียวไม่นอนค้าง (One Day Surgery)ว่า ปัจจุบันแนวโน้มผู้เสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะโรคมะเร็ง นับเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สําคัญของประเทศไทยและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของประชากรลําดับต้นๆของประเทศ โดยปัจจุบันอัตราการเติบโตของผู้ป่วยมะเร็งยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ผู้เข้ารับบริการทางการแพทย์มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น ส่งผลไปถึงระยะเวลารอรับบริการ เกิดความแออัดในโรงพยาบาล รวมทั้งต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาสูง
ดังนั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรด้านสาธารณสุข โรงพยาบาลร้อยเอ็ดจึงได้มีระบบการให้บริการผ่าตัดและระงับความรู้สึก แบบวันเดียวกลับบ้านได้ ผู้ป่วยไม่ต้องค้างคืน เริ่มในกลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็งลําไส้ใหญ่ที่ทําหัตถการส่องกล้องตรวจลําไส้ใหญ่และทวารหนัก (Colonoscopy)ถ้าพบก้อนผิดปกติสามารถตัดออกและส่งชิ้นเนื้อเพื่อวินิจฉัยโรคได้ มีผู้ป่วยเข้ารับบริการ 600-700 รายต่อปี มีเตียงให้บริการ 8 เตียง รองรับผู้ป่วยได้ 1,500 รายต่อปี โดยผู้รับบริการได้รับการบริการตามมาตรฐาน แต่ประหยัดเวลา และลดค่าใช้จ่าย ลดการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ เข้าถึงบริการได้เร็วขึ้น ไม่ต้องรอคิวการผ่าตัดนาน โรงพยาบาลสามารถลดต้นทุนค่ารักษาพยาบาล ซึ่งต้นทุนการทําผ่าตัดแบบผู้ป่วยนอกน้อยกว่า 2,500 บาทต่อราย ส่วนแบบผู้ป่วยในต้นทุน 7,461 บาทต่อราย
สําหรับการผ่าตัดรูปแบบใหม่ วันเดียวกลับ คือการให้ผู้ป่วยเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดที่บ้านและมารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาล หลังพักฟื้นจากการผ่าตัดไม่กี่ชั่วโมงสามารถช่วยเหลือตัวเอง และกลับบ้านได้ในวันเดียวหรืออยู่ในโรงพยาบาลไม่เกิน 24 ชั่วโมง ซึ่งจะช่วยลดเวลานอนในโรงพยาบาล ลดการติดเชื้อของแผลผ่าตัดและลดการติดเชื้อในโรงพยาบาล ลดภาระค่าใช้จ่ายและการเสียรายได้ของผู้ป่วยและญาติระหว่างมาโรงพยาบาล ช่วยเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจองค์รวมของประเทศ รวมทั้งช่วยลดระยะเวลารอคอยผ่าตัด ทําให้โรงพยาบาลผ่าตัดผู้ป่วยได้มากขึ้น เนื่องจากไม่ต้องใช้เตียงเตรียมตัวก่อนผ่าตัด ไม่ต้องรอเตียงว่าง ลดความแออัดในโรงพยาบาล มีเตียงรองรับผู้ป่วยผ่าตัดฉุกเฉินหรือโรคที่ยุ่งยากซับซ้อน ซึ่งการผ่าตัดรูปแบบนี้เป็นที่นิยมในต่างประเทศและทํามานานกว่า 40 ปี
ทั้งนี้ โรงพยาบาลร้อยเอ็ดได้วางแผนขยายบริการเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้ป่วย เนื้องอกกระเพาะอาหาร เนื้องอกต่อมลูกหมาก เส้นเอ็นบาดเจ็บ เป็นต้น เป็นการพัฒนาศูนย์โรคมะเร็งแบบครบวงจร ภายใต้ความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ กระทรวงสาธารณสุขและสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่ปลอดภัยมีคุณภาพตามมาตรฐาน
****************************** 11 สิงหาคม 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. หนุนโรงพยาบาลร้อยเอ็ดผ่าตัดรูปแบบใหม่ ส่องกล้องตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่วันเดียว ไม่นอนค้าง ประหยัดเวลา ลดค่าใช้จ่าย
วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560
สธ. หนุนโรงพยาบาลร้อยเอ็ดผ่าตัดรูปแบบใหม่ ส่องกล้องตรวจมะเร็งลําไส้ใหญ่วันเดียว ไม่นอนค้าง ประหยัดเวลา ลดค่าใช้จ่าย
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดโครงการผ่าตัดรูปแบบใหม่โรงพยาบาลร้อยเอ็ด ส่องกล้องตรวจมะเร็งลําไส้ใหญ่ วันเดียวกลับบ้านได้ไม่นอนค้าง ช่วยลดคิวรอผ่าตัด ลดแออัดในโรงพยาบาล เตรียมขยายให้ครอบคลุมเพิ่มเติมในโรคมะเร็งชนิดต่างๆ
วันนี้ (11 สิงหาคม 2560) ที่โรงพยาบาลร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดโครงการรณรงค์ผ่าตัดรูปแบบใหม่ ส่องกล้องตรวจมะเร็งลําไส้ใหญ่วันเดียวไม่นอนค้าง (One Day Surgery)ว่า ปัจจุบันแนวโน้มผู้เสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะโรคมะเร็ง นับเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สําคัญของประเทศไทยและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของประชากรลําดับต้นๆของประเทศ โดยปัจจุบันอัตราการเติบโตของผู้ป่วยมะเร็งยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ผู้เข้ารับบริการทางการแพทย์มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น ส่งผลไปถึงระยะเวลารอรับบริการ เกิดความแออัดในโรงพยาบาล รวมทั้งต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาสูง
ดังนั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรด้านสาธารณสุข โรงพยาบาลร้อยเอ็ดจึงได้มีระบบการให้บริการผ่าตัดและระงับความรู้สึก แบบวันเดียวกลับบ้านได้ ผู้ป่วยไม่ต้องค้างคืน เริ่มในกลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็งลําไส้ใหญ่ที่ทําหัตถการส่องกล้องตรวจลําไส้ใหญ่และทวารหนัก (Colonoscopy)ถ้าพบก้อนผิดปกติสามารถตัดออกและส่งชิ้นเนื้อเพื่อวินิจฉัยโรคได้ มีผู้ป่วยเข้ารับบริการ 600-700 รายต่อปี มีเตียงให้บริการ 8 เตียง รองรับผู้ป่วยได้ 1,500 รายต่อปี โดยผู้รับบริการได้รับการบริการตามมาตรฐาน แต่ประหยัดเวลา และลดค่าใช้จ่าย ลดการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ เข้าถึงบริการได้เร็วขึ้น ไม่ต้องรอคิวการผ่าตัดนาน โรงพยาบาลสามารถลดต้นทุนค่ารักษาพยาบาล ซึ่งต้นทุนการทําผ่าตัดแบบผู้ป่วยนอกน้อยกว่า 2,500 บาทต่อราย ส่วนแบบผู้ป่วยในต้นทุน 7,461 บาทต่อราย
สําหรับการผ่าตัดรูปแบบใหม่ วันเดียวกลับ คือการให้ผู้ป่วยเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดที่บ้านและมารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาล หลังพักฟื้นจากการผ่าตัดไม่กี่ชั่วโมงสามารถช่วยเหลือตัวเอง และกลับบ้านได้ในวันเดียวหรืออยู่ในโรงพยาบาลไม่เกิน 24 ชั่วโมง ซึ่งจะช่วยลดเวลานอนในโรงพยาบาล ลดการติดเชื้อของแผลผ่าตัดและลดการติดเชื้อในโรงพยาบาล ลดภาระค่าใช้จ่ายและการเสียรายได้ของผู้ป่วยและญาติระหว่างมาโรงพยาบาล ช่วยเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจองค์รวมของประเทศ รวมทั้งช่วยลดระยะเวลารอคอยผ่าตัด ทําให้โรงพยาบาลผ่าตัดผู้ป่วยได้มากขึ้น เนื่องจากไม่ต้องใช้เตียงเตรียมตัวก่อนผ่าตัด ไม่ต้องรอเตียงว่าง ลดความแออัดในโรงพยาบาล มีเตียงรองรับผู้ป่วยผ่าตัดฉุกเฉินหรือโรคที่ยุ่งยากซับซ้อน ซึ่งการผ่าตัดรูปแบบนี้เป็นที่นิยมในต่างประเทศและทํามานานกว่า 40 ปี
ทั้งนี้ โรงพยาบาลร้อยเอ็ดได้วางแผนขยายบริการเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้ป่วย เนื้องอกกระเพาะอาหาร เนื้องอกต่อมลูกหมาก เส้นเอ็นบาดเจ็บ เป็นต้น เป็นการพัฒนาศูนย์โรคมะเร็งแบบครบวงจร ภายใต้ความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ กระทรวงสาธารณสุขและสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่ปลอดภัยมีคุณภาพตามมาตรฐาน
****************************** 11 สิงหาคม 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5896
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือ UNICEF และภาคีเครือข่าย จัดประชุมภูมิภาคอาเซียนว่าด้วยการคุ้มครองเด็กออนไลน์ (ASEAN Regional Forum on Child Online Protection)
|
วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563
พม. จับมือ UNICEF และภาคีเครือข่าย จัดประชุมภูมิภาคอาเซียนว่าด้วยการคุ้มครองเด็กออนไลน์ (ASEAN Regional Forum on Child Online Protection)
พม. จับมือ UNICEF และภาคีเครือข่าย จัดประชุมภูมิภาคอาเซียนว่าด้วยการคุ้มครองเด็กออนไลน์ (ASEAN Regional Forum on Child Online Protection)
วันนี้ (25 ก.พ. 63) เวลา 08.45 น. ที่โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน กรุงเทพฯ นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมภูมิภาคอาเซียนว่าด้วยการคุ้มครองเด็กออนไลน์ (ASEAN Regional Forum on Child Online Protection) โดยความร่วมมือระหว่าง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union: ITU) และสํานักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UN Office on Drugs and Crime: UNDOC) เพื่ออภิปราย แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ขับเคลื่อนงานและแผนการดําเนินงานเกี่ยวกับการปกป้องคุ้มครองเด็กในบริบทออนไลน์ รวมทั้ง เสริมพลังความร่วมมือแก่ผู้ทํางานในระดับองค์กรเฉพาะสาขาของอาเซียน ความร่วมมือระหว่างประเทศและภูมิภาค โดยมีคณะผู้บริหารกระทรวง พม. พร้อมด้วย ผู้แทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม องค์กรสหประชาชาติ และนักวิชาการ จากประเทศกัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม ไทย มองโกเลีย และอัฟกานิสถาน จํานวนทั้งสิ้น 250 คน เข้าร่วม
นายปรเมธี กล่าวว่า การประชุมภูมิภาคอาเซียนว่าด้วยการคุ้มครองเด็กออนไลน์ (ASEAN Regional Forum on Child Online Protection) ครั้งนี้ ตนได้เน้นย้ําถึงการให้ความสําคัญของความมุ่งมั่นในความร่วมมือกันขับเคลื่อนงานด้านการคุ้มครองเด็กในบริบทออนไลน์ โดยเมื่อปี 2562 ผู้นําอาเซียนได้รับรองปฏิญญาว่าด้วยการคุ้มครองเด็กจากการแสวงประโยชน์ในสื่อออนไลน์ ในอาเซียน (Declaration on the Protection of Children from all Forms of Online Exploitation and Abuse in ASEAN) ในระหว่าง การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 ซึ่งปฏิญญาดังกล่าวเป็นการยืนยันความมุ่งมั่นของอาเซียนในการคุ้มครองเด็กจากการแสวงหาผลประโยชน์ในสื่อออนไลน์ อีกทั้งยังได้นําเสนอความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนงานด้านการคุ้มครองเด็กในบริบทออนไลน์ของประเทศไทยต่อที่ประชุม อาทิ การจัดตั้งศูนย์ประสานงานขับเคลื่อนการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ (Child Online Protection Action Thailand : COPAT) และการขับเคลื่อนงานด้านการคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ ผ่านยุทธศาสตร์ส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ พ.ศ. 2560-2564 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สังคมไทยมีการขับเคลื่อนในการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนให้รู้เท่าทันและใช้สื่อออนไลน์ได้อย่างสร้างสรรค์และปลอดภัย อีกทั้ง มีกฎหมาย องค์ความรู้ และการจัดการความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ทําให้เด็กและเยาวชนมีความรู้ พฤติกรรม และทักษะการใช้สื่อออนไลน์อย่างสร้างสรรค์และปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น
นายปรเมธี กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมระดับภูมิภาคอาเซียนในวันนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม องค์กรสหประชาชาติ และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและระหว่างประเทศ จะได้ร่วมกันตระหนักถึงประเด็นการคุ้มครองเด็กออนไลน์แบบองค์รวม และร่วมกันสนับสนุนการอนุวัติปฏิญญาว่าด้วยการคุ้มครองเด็กจากการแสวงหาผลประโยชน์ในสื่อออนไลน์ในอาเซียน (Declaration on the Protection of Children from all Forms of Online Exploitation and Abuse in ASEAN) ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือ UNICEF และภาคีเครือข่าย จัดประชุมภูมิภาคอาเซียนว่าด้วยการคุ้มครองเด็กออนไลน์ (ASEAN Regional Forum on Child Online Protection)
วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563
พม. จับมือ UNICEF และภาคีเครือข่าย จัดประชุมภูมิภาคอาเซียนว่าด้วยการคุ้มครองเด็กออนไลน์ (ASEAN Regional Forum on Child Online Protection)
พม. จับมือ UNICEF และภาคีเครือข่าย จัดประชุมภูมิภาคอาเซียนว่าด้วยการคุ้มครองเด็กออนไลน์ (ASEAN Regional Forum on Child Online Protection)
วันนี้ (25 ก.พ. 63) เวลา 08.45 น. ที่โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน กรุงเทพฯ นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมภูมิภาคอาเซียนว่าด้วยการคุ้มครองเด็กออนไลน์ (ASEAN Regional Forum on Child Online Protection) โดยความร่วมมือระหว่าง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union: ITU) และสํานักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UN Office on Drugs and Crime: UNDOC) เพื่ออภิปราย แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ขับเคลื่อนงานและแผนการดําเนินงานเกี่ยวกับการปกป้องคุ้มครองเด็กในบริบทออนไลน์ รวมทั้ง เสริมพลังความร่วมมือแก่ผู้ทํางานในระดับองค์กรเฉพาะสาขาของอาเซียน ความร่วมมือระหว่างประเทศและภูมิภาค โดยมีคณะผู้บริหารกระทรวง พม. พร้อมด้วย ผู้แทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม องค์กรสหประชาชาติ และนักวิชาการ จากประเทศกัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม ไทย มองโกเลีย และอัฟกานิสถาน จํานวนทั้งสิ้น 250 คน เข้าร่วม
นายปรเมธี กล่าวว่า การประชุมภูมิภาคอาเซียนว่าด้วยการคุ้มครองเด็กออนไลน์ (ASEAN Regional Forum on Child Online Protection) ครั้งนี้ ตนได้เน้นย้ําถึงการให้ความสําคัญของความมุ่งมั่นในความร่วมมือกันขับเคลื่อนงานด้านการคุ้มครองเด็กในบริบทออนไลน์ โดยเมื่อปี 2562 ผู้นําอาเซียนได้รับรองปฏิญญาว่าด้วยการคุ้มครองเด็กจากการแสวงประโยชน์ในสื่อออนไลน์ ในอาเซียน (Declaration on the Protection of Children from all Forms of Online Exploitation and Abuse in ASEAN) ในระหว่าง การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 ซึ่งปฏิญญาดังกล่าวเป็นการยืนยันความมุ่งมั่นของอาเซียนในการคุ้มครองเด็กจากการแสวงหาผลประโยชน์ในสื่อออนไลน์ อีกทั้งยังได้นําเสนอความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนงานด้านการคุ้มครองเด็กในบริบทออนไลน์ของประเทศไทยต่อที่ประชุม อาทิ การจัดตั้งศูนย์ประสานงานขับเคลื่อนการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ (Child Online Protection Action Thailand : COPAT) และการขับเคลื่อนงานด้านการคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ ผ่านยุทธศาสตร์ส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ พ.ศ. 2560-2564 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สังคมไทยมีการขับเคลื่อนในการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนให้รู้เท่าทันและใช้สื่อออนไลน์ได้อย่างสร้างสรรค์และปลอดภัย อีกทั้ง มีกฎหมาย องค์ความรู้ และการจัดการความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ทําให้เด็กและเยาวชนมีความรู้ พฤติกรรม และทักษะการใช้สื่อออนไลน์อย่างสร้างสรรค์และปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น
นายปรเมธี กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมระดับภูมิภาคอาเซียนในวันนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม องค์กรสหประชาชาติ และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและระหว่างประเทศ จะได้ร่วมกันตระหนักถึงประเด็นการคุ้มครองเด็กออนไลน์แบบองค์รวม และร่วมกันสนับสนุนการอนุวัติปฏิญญาว่าด้วยการคุ้มครองเด็กจากการแสวงหาผลประโยชน์ในสื่อออนไลน์ในอาเซียน (Declaration on the Protection of Children from all Forms of Online Exploitation and Abuse in ASEAN) ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26729
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ประชุมการจัดการศึกษาแบบบูรณาการ เมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" อำเภอสุไหงโก-ลก
|
วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2559
ศธ.ประชุมการจัดการศึกษาแบบบูรณาการ เมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" อําเภอสุไหงโก-ลก
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่อําเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เพื่อร่วมประชุมการจัดการศึกษาแบบบูรณาการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน"
ที่รัฐบาลประกาศให้อําเภอสุไหงโก-ลกเป็นเมืองต้นแบบด้านการค้าชายแดนระหว่างประเทศ (International Border City) โดยมุ่งหวังให้มีแผนจัดการศึกษาแบบบูรณาการเมืองต้นแบบที่สมบูรณ์ ทุกภาคส่วนของสังคมได้เข้าใจถึงนโยบาย และเกิดความร่วมมือในการบูรณาการจัดการศึกษาสู่การพัฒนาเมืองสุไหงโก-ลก ให้เป็นเมืองต้นแบบด้านการค้าชายแดนระหว่างประเทศอย่างแท้จริง
เมื่อวันจันทร์ที่ 19ธันวาคม 2559 เวลา10.00-12.30 น.พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคณะ เดินทางถึงวิทยาลัยการอาชีพสุไหงโก-ลก (สาขา2) เพื่อเข้าร่วมประชุมการจัดการศึกษาแบบบูรณาการเมืองต้นแบบ"สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" อําเภอสุไหงโก-ลก
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์เปิดเผยถึงการประชุมในครั้งนี้ว่า จากการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2559 เห็นชอบหลักการโครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" (ปี พ.ศ.2560-2563)ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ร่วมกับศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) จัดทําโครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" โดย คปต. ได้มีมติเห็นชอบหลักการและแนวทางการพัฒนาโครงการดังกล่าวเพื่อต้องการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้กับพื้นที่ 3 อําเภอในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้แก่
อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานีให้เป็นเมืองต้นแบบการพัฒนา "เกษตรอุตสาหกรรมก้าวหน้าผสมผสาน" (Agricultural Industry City)
อําเภอเบตง จังหวัดยะลาให้เป็นเมืองต้นแบบ "การพัฒนาที่พึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน" (Sustainable Development City)
อําเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาสให้เป็นเมืองต้นแบบ "การค้าชายแดนระหว่างประเทศ" (International Border City)
โดยมีแนวทางการพัฒนาแบ่งเป็น 3 ระยะคือ
1) ระยะเร่งด่วนเพื่อเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุน ออกมาตรการด้านสิทธิประโยชน์การลงทุน จัดตั้งกองทุนส่งเสริมธุรกิจรุ่นใหม่ของแต่ละอําเภอ
2) ระยะที่ 2สนับสนุนการลงทุนระยะแรก
- อําเภอหนองจิกส่งเสริมการแปรรูปผลผลิตการเกษตรเป็นสินค้าOTOPปรับปรุงท่าเรือปัตตานีและถนน
- อําเภอสุไหงโก-ลกจัดตั้ง Free Trade Zone ก่อสร้างสะพานโก-ลก แห่งที่ 2 ศึกษาความเหมาะสมศูนย์กระจายสินค้า คลังสินค้า โรงงาน ศูนย์นิทรรศการ
- อําเภอเบตงพัฒนาการท่องเที่ยวครบวงจรและแหล่งท่องเที่ยวใหม่ รวมทั้งพัฒนาคุณภาพระบบไฟฟ้าและระบบโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ
3) ระยะที่ 3การเชื่อมโยงระบบขนส่งทั้งหมดไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
เพื่อให้การขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเพื่อรองรับพื้นที่พัฒนาพิเศษเฉพาะ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" กระทรวงศึกษาธิการ โดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จึงได้มอบหมายให้สํานักงานศึกษาธิการจังหวัดนราธิวาส จัดการประชุมครั้งนี้ขึ้น โดยร่วมกับหน่วยงานทางการศึกษาทุกหน่วยงานและภาคสังคมในจังหวัดนราธิวาส เพื่อนําผลจากการประชุมไปขับเคลื่อนการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาจังหวัดนราธิวาสให้สอดคล้องกับโครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน"รวมทั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาสซึ่งได้กําหนดพื้นที่เป้าหมายรวม 5 ตําบล 5 อําเภอ คือ ตําบลละหาร อําเภอยี่งอ, ตําบลโคกเคียน อําเภอเมืองฯ,ตําบลสุไหงโก-ลก อําเภอสุไหงโก-ลก, ตําบลเจ๊ะเห อําเภอตากใบ และตําบลโล๊ะจูด อําเภอแว้ง
จากการรับฟังในครั้งนี้ นอกจากจะได้รับฟังสภาพ ปัญหา ความต้องการของภาคประชาสังคมในพื้นที่อําเภอสุไหงโก-ลกแล้ว ยังได้รับฟังแนวทางทางการจัดการศึกษาแบบบูรณาการเมืองต้นแบบ"สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ในสังกัดต่าง ๆ ดังนี้
การจัดการศึกษาแบบบูรณาการเมืองต้นแบบ"สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน"ในโรงเรียนสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีโรงเรียนในอําเภอสุไหงโก-ลก ที่ได้เตรียมการขับเคลื่อนการเรียนการสอนตามกรอบหลักสูตรการศึกษาให้สอดคล้องกับเมืองต้นแบบฯ จํานวน2โรงเรียน คือ โรงเรียนบ้านสุไหงโก-ลก และโรงเรียนสุไหงโก-ลก โดยได้มีการบูรณาการรายวิชาพื้นฐานและกลุ่มสาระ เพิ่มหน่วยการเรียนรู้ ปรับปรุงรายวิชาเพิ่มเติม การส่งเสริมให้มีกิจกรรมการพัฒนาผู้เรียน และกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ โดยเน้นทั้งด้านเศรษฐกิจ ด้านอาชีพ ด้านภาษา ด้านสังคม และด้านวัฒนธรรม เช่น หลักสูตรเนื้อหาเงินตรา การค้าขาย โลจิสติกส์การเพิ่มรายได้จากการลงทุน ศิลปะการแสดง ภาษาเพื่อการสื่อสาร กฎหมายและสิทธิมนุษยชน ข้อควรปฏิบัติและไม่ควรปฏิบัติของการอยู่ร่วมกันของประชาชนในท้องถิ่น เป็นต้น
การจัดการศึกษาแบบบูรณาการเมืองต้นแบบ"สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน"ระดับอาชีวศึกษา ซึ่งอาชีวศึกษาจังหวัดนราธิวาส ประกอบด้วยวิทยาลัย2แห่ง คือ วิทยาลัยสารพัดช่างนราธิวาส และวิทยาลัยการอาชีพสุไหงโก-ลก โดยจัดเรียนการสอน3หลักสูตร คือ หลักสูตร ปวช. ทั้งระบบทวิภาคีและทวิศึกษา หลักสูตร ปวส.ระบบทวิภาคี และหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น
การจัดการศึกษาแบบบูรณาการเมืองต้นแบบ"สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน"ระดับการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดนราธิวาสเน้นจัดหลักสูตรเพื่อสร้างรายได้ สร้างอาชีพหรือต่อยอดวิชาชีพเดิมให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ วิถีชีวิต และความต้องการของประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยยกขีดความสามารถใน4กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มเกษตร กลุ่มSMEกลุ่มการบริการ และกลุ่มแรงงาน โดยจะเน้นการเปลี่ยนแปลงด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ให้เป็นไปตามนโยบายThailand 4.0เช่น ส่งเสริมการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การจัดวิชาชีพระยะสั้น การดําเนินงานของศูนย์การเรียนรู้ใน กศน.ตําบลทั้ง4ศูนย์ คือ ศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประจําตําบล ศูนย์ดิจิทัลชุมชน ศูนย์การศึกษาตลอดชีวิตชุมชน และศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาประชาธิปไตยตําบล
การจัดการศึกษาแบบบูรณาการเมืองต้นแบบ"สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน"ระดับอุดมศึกษาซึ่งมีสถานศึกษา2แห่ง คือ1) วิทยาลัยชุมชนนราธิวาสได้กําหนดหลักสูตรอนุปริญญาและหลักสูตรระยะสั้นเพื่อรองรับการมีงานทํา ความรู้ความเข้าใจในการเป็นผู้ประกอบการ รวมทั้งหลักสูตรด้านภาษาที่ใช้สื่อสารกันอย่างแพร่หลายในภูมิภาค เช่น การบัญชี คอมพิวเตอร์ธุรกิจ หลักสูตรพัฒนาผู้ประกอบการ หลักสูตรด้านภาษาจีน อังกฤษ มลายูกลาง พม่า2) มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ได้พัฒนาหลักสูตรและสาขาวิชาเพื่อรองรับการพัฒนาไว้แล้ว ทั้งด้านอุตสาหกรรม เช่น วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต ด้านการเกษตร เช่น วิทยาศาสตรบัณฑิต รวมทั้งการเป็นพี่เลี้ยงให้โรงเรียน สพฐ.2แห่งอีกด้วย
พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ต้องการให้วางแผนจัดการศึกษาแบบบูรณาการ ให้ตอบโจทย์การเป็นเมืองต้นแบบของสุไหงโก-ลก คือ "การเป็นเมืองต้นแบบการค้าชายแดนระหว่างประเทศ"ซึ่งถือเป็นบทบาทสําคัญที่สุดแต่ก็ไม่ได้หมายถึงจะต้องละเลยในบทบาทอื่น ๆ
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวด้วยว่า ยังคงให้ความสําคัญต่อการจัดทําแผนงานขับเคลื่อนให้เกิดความสมบูรณ์ให้มากที่สุด เพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ดําเนินการตามแผนที่วางไว้ จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดนราธิวาส รวมทั้งศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.) ได้รวบรวมข้อคิดเห็นต่าง ๆ จากการประชุมครั้งนี้ ไปสังเคราะห์และจัดทําแผนการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการเมืองต้นแบบฯ ซึ่งจะเป็นภาพซ้อนกับการจัดการศึกษาแบบบูรณาการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส รวมทั้งแผนบูรณาการการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจะสอดคล้องเชื่อมโยงส่งเสริมซึ่งกันและกัน ให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด
ทั้งนี้ ภายหลังจากการประชุมรับฟังแผนการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการเมืองต้นแบบ"สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน"ทั้ง3เมือง คือ สุไหงโก-ลก เบตง และหนองจิก เสร็จสิ้นแล้ว จะให้มีการบูรณาการแผนการจัดการศึกษาทั้ง3แผนดังกล่าวให้ตกผลึก และมีแผนที่สมบูรณ์ ก่อนเริ่มดําเนินการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการในปีการศึกษา2560ต่อไป
โอกาสนี้พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ ได้ขอให้ทุกหน่วยงานร่วมเผยแพร่และสร้างการรับรู้ของเมืองต้นแบบ"สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น และนําแนวทางการบริหารประเทศของรัฐบาล ตามวิสัยทัศน์ "มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ทั้ง21ข้อ ไปดําเนินการต่อไปด้วย(อ่านรายละเอียดทั้ง21ข้อ เพิ่มเติมในข่าวที่504)
ในภาคบ่ายเวลา14.00-15.00 น.พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคณะได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมกิจกรรมการเรียนการสอนของโรงเรียนสุไหงโก-ลก สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต15ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ได้เตรียมการขับเคลื่อนการเรียนการสอนตามกรอบหลักสูตรการศึกษาให้สอดคล้องกับเมืองต้นแบบ"สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน"
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวว่า จากการตรวจเยี่ยม พบว่าโรงเรียนดังกล่าวได้จัดการศึกษาที่ตอบโจทย์เมืองต้นแบบฯของสุไหงโก-ลก คือ"การเป็นเมืองต้นแบบการค้าชายแดนระหว่างประเทศ"มาโดยลําดับ นับตั้งแต่การเตรียมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน แผนพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส และแผนการจัดการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งแผนการขับเคลื่อนเหล่านี้จะเป็นการจัดการศึกษาเชิงซ้อนที่สอดคล้องเชื่อมโยงส่งเสริมซึ่งกันและกันต่อไป
นอกจากนี้ หากโรงเรียนมีความต้องการที่จะรับการสนับสนุนหรือการแก้ปัญหาด้านใด ๆ ขอให้แจ้งมายัง สพม.15หรือ สพฐ. ที่จะช่วยคลี่คลายปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ของโรงเรียนให้ เช่น กรณีที่โรงเรียนมีพื้นที่จํากัด ต้องรองรับจํานวนนักเรียนมากถึง1,500คน ครู108คน ซึ่งนอกจาก สพฐ. ได้พิจารณาอนุมัติจัดสรรงบประมาณก่อสร้างอาคารเรียนให้แล้ว ทําให้ช่วยผ่อนคลายปัญหาด้านนี้ไปได้บ้าง แต่ปัญหาเรื่องสนามกีฬาซึ่งยังมีพื้นที่จํากัดและมีเพียงสนามเดียว สพฐ.ก็คงต้องนําไปพิจารณาในโอกาสต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ประชุมการจัดการศึกษาแบบบูรณาการ เมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" อำเภอสุไหงโก-ลก
วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2559
ศธ.ประชุมการจัดการศึกษาแบบบูรณาการ เมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" อําเภอสุไหงโก-ลก
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่อําเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เพื่อร่วมประชุมการจัดการศึกษาแบบบูรณาการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน"
ที่รัฐบาลประกาศให้อําเภอสุไหงโก-ลกเป็นเมืองต้นแบบด้านการค้าชายแดนระหว่างประเทศ (International Border City) โดยมุ่งหวังให้มีแผนจัดการศึกษาแบบบูรณาการเมืองต้นแบบที่สมบูรณ์ ทุกภาคส่วนของสังคมได้เข้าใจถึงนโยบาย และเกิดความร่วมมือในการบูรณาการจัดการศึกษาสู่การพัฒนาเมืองสุไหงโก-ลก ให้เป็นเมืองต้นแบบด้านการค้าชายแดนระหว่างประเทศอย่างแท้จริง
เมื่อวันจันทร์ที่ 19ธันวาคม 2559 เวลา10.00-12.30 น.พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคณะ เดินทางถึงวิทยาลัยการอาชีพสุไหงโก-ลก (สาขา2) เพื่อเข้าร่วมประชุมการจัดการศึกษาแบบบูรณาการเมืองต้นแบบ"สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" อําเภอสุไหงโก-ลก
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์เปิดเผยถึงการประชุมในครั้งนี้ว่า จากการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2559 เห็นชอบหลักการโครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" (ปี พ.ศ.2560-2563)ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ร่วมกับศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) จัดทําโครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" โดย คปต. ได้มีมติเห็นชอบหลักการและแนวทางการพัฒนาโครงการดังกล่าวเพื่อต้องการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้กับพื้นที่ 3 อําเภอในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้แก่
อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานีให้เป็นเมืองต้นแบบการพัฒนา "เกษตรอุตสาหกรรมก้าวหน้าผสมผสาน" (Agricultural Industry City)
อําเภอเบตง จังหวัดยะลาให้เป็นเมืองต้นแบบ "การพัฒนาที่พึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน" (Sustainable Development City)
อําเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาสให้เป็นเมืองต้นแบบ "การค้าชายแดนระหว่างประเทศ" (International Border City)
โดยมีแนวทางการพัฒนาแบ่งเป็น 3 ระยะคือ
1) ระยะเร่งด่วนเพื่อเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุน ออกมาตรการด้านสิทธิประโยชน์การลงทุน จัดตั้งกองทุนส่งเสริมธุรกิจรุ่นใหม่ของแต่ละอําเภอ
2) ระยะที่ 2สนับสนุนการลงทุนระยะแรก
- อําเภอหนองจิกส่งเสริมการแปรรูปผลผลิตการเกษตรเป็นสินค้าOTOPปรับปรุงท่าเรือปัตตานีและถนน
- อําเภอสุไหงโก-ลกจัดตั้ง Free Trade Zone ก่อสร้างสะพานโก-ลก แห่งที่ 2 ศึกษาความเหมาะสมศูนย์กระจายสินค้า คลังสินค้า โรงงาน ศูนย์นิทรรศการ
- อําเภอเบตงพัฒนาการท่องเที่ยวครบวงจรและแหล่งท่องเที่ยวใหม่ รวมทั้งพัฒนาคุณภาพระบบไฟฟ้าและระบบโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ
3) ระยะที่ 3การเชื่อมโยงระบบขนส่งทั้งหมดไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
เพื่อให้การขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเพื่อรองรับพื้นที่พัฒนาพิเศษเฉพาะ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" กระทรวงศึกษาธิการ โดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จึงได้มอบหมายให้สํานักงานศึกษาธิการจังหวัดนราธิวาส จัดการประชุมครั้งนี้ขึ้น โดยร่วมกับหน่วยงานทางการศึกษาทุกหน่วยงานและภาคสังคมในจังหวัดนราธิวาส เพื่อนําผลจากการประชุมไปขับเคลื่อนการจัดทําแผนพัฒนาการศึกษาจังหวัดนราธิวาสให้สอดคล้องกับโครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน"รวมทั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาสซึ่งได้กําหนดพื้นที่เป้าหมายรวม 5 ตําบล 5 อําเภอ คือ ตําบลละหาร อําเภอยี่งอ, ตําบลโคกเคียน อําเภอเมืองฯ,ตําบลสุไหงโก-ลก อําเภอสุไหงโก-ลก, ตําบลเจ๊ะเห อําเภอตากใบ และตําบลโล๊ะจูด อําเภอแว้ง
จากการรับฟังในครั้งนี้ นอกจากจะได้รับฟังสภาพ ปัญหา ความต้องการของภาคประชาสังคมในพื้นที่อําเภอสุไหงโก-ลกแล้ว ยังได้รับฟังแนวทางทางการจัดการศึกษาแบบบูรณาการเมืองต้นแบบ"สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ในสังกัดต่าง ๆ ดังนี้
การจัดการศึกษาแบบบูรณาการเมืองต้นแบบ"สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน"ในโรงเรียนสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีโรงเรียนในอําเภอสุไหงโก-ลก ที่ได้เตรียมการขับเคลื่อนการเรียนการสอนตามกรอบหลักสูตรการศึกษาให้สอดคล้องกับเมืองต้นแบบฯ จํานวน2โรงเรียน คือ โรงเรียนบ้านสุไหงโก-ลก และโรงเรียนสุไหงโก-ลก โดยได้มีการบูรณาการรายวิชาพื้นฐานและกลุ่มสาระ เพิ่มหน่วยการเรียนรู้ ปรับปรุงรายวิชาเพิ่มเติม การส่งเสริมให้มีกิจกรรมการพัฒนาผู้เรียน และกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ โดยเน้นทั้งด้านเศรษฐกิจ ด้านอาชีพ ด้านภาษา ด้านสังคม และด้านวัฒนธรรม เช่น หลักสูตรเนื้อหาเงินตรา การค้าขาย โลจิสติกส์การเพิ่มรายได้จากการลงทุน ศิลปะการแสดง ภาษาเพื่อการสื่อสาร กฎหมายและสิทธิมนุษยชน ข้อควรปฏิบัติและไม่ควรปฏิบัติของการอยู่ร่วมกันของประชาชนในท้องถิ่น เป็นต้น
การจัดการศึกษาแบบบูรณาการเมืองต้นแบบ"สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน"ระดับอาชีวศึกษา ซึ่งอาชีวศึกษาจังหวัดนราธิวาส ประกอบด้วยวิทยาลัย2แห่ง คือ วิทยาลัยสารพัดช่างนราธิวาส และวิทยาลัยการอาชีพสุไหงโก-ลก โดยจัดเรียนการสอน3หลักสูตร คือ หลักสูตร ปวช. ทั้งระบบทวิภาคีและทวิศึกษา หลักสูตร ปวส.ระบบทวิภาคี และหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น
การจัดการศึกษาแบบบูรณาการเมืองต้นแบบ"สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน"ระดับการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดนราธิวาสเน้นจัดหลักสูตรเพื่อสร้างรายได้ สร้างอาชีพหรือต่อยอดวิชาชีพเดิมให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ วิถีชีวิต และความต้องการของประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยยกขีดความสามารถใน4กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มเกษตร กลุ่มSMEกลุ่มการบริการ และกลุ่มแรงงาน โดยจะเน้นการเปลี่ยนแปลงด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ให้เป็นไปตามนโยบายThailand 4.0เช่น ส่งเสริมการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การจัดวิชาชีพระยะสั้น การดําเนินงานของศูนย์การเรียนรู้ใน กศน.ตําบลทั้ง4ศูนย์ คือ ศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประจําตําบล ศูนย์ดิจิทัลชุมชน ศูนย์การศึกษาตลอดชีวิตชุมชน และศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาประชาธิปไตยตําบล
การจัดการศึกษาแบบบูรณาการเมืองต้นแบบ"สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน"ระดับอุดมศึกษาซึ่งมีสถานศึกษา2แห่ง คือ1) วิทยาลัยชุมชนนราธิวาสได้กําหนดหลักสูตรอนุปริญญาและหลักสูตรระยะสั้นเพื่อรองรับการมีงานทํา ความรู้ความเข้าใจในการเป็นผู้ประกอบการ รวมทั้งหลักสูตรด้านภาษาที่ใช้สื่อสารกันอย่างแพร่หลายในภูมิภาค เช่น การบัญชี คอมพิวเตอร์ธุรกิจ หลักสูตรพัฒนาผู้ประกอบการ หลักสูตรด้านภาษาจีน อังกฤษ มลายูกลาง พม่า2) มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ได้พัฒนาหลักสูตรและสาขาวิชาเพื่อรองรับการพัฒนาไว้แล้ว ทั้งด้านอุตสาหกรรม เช่น วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต ด้านการเกษตร เช่น วิทยาศาสตรบัณฑิต รวมทั้งการเป็นพี่เลี้ยงให้โรงเรียน สพฐ.2แห่งอีกด้วย
พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ต้องการให้วางแผนจัดการศึกษาแบบบูรณาการ ให้ตอบโจทย์การเป็นเมืองต้นแบบของสุไหงโก-ลก คือ "การเป็นเมืองต้นแบบการค้าชายแดนระหว่างประเทศ"ซึ่งถือเป็นบทบาทสําคัญที่สุดแต่ก็ไม่ได้หมายถึงจะต้องละเลยในบทบาทอื่น ๆ
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวด้วยว่า ยังคงให้ความสําคัญต่อการจัดทําแผนงานขับเคลื่อนให้เกิดความสมบูรณ์ให้มากที่สุด เพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ดําเนินการตามแผนที่วางไว้ จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดนราธิวาส รวมทั้งศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.) ได้รวบรวมข้อคิดเห็นต่าง ๆ จากการประชุมครั้งนี้ ไปสังเคราะห์และจัดทําแผนการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการเมืองต้นแบบฯ ซึ่งจะเป็นภาพซ้อนกับการจัดการศึกษาแบบบูรณาการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส รวมทั้งแผนบูรณาการการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจะสอดคล้องเชื่อมโยงส่งเสริมซึ่งกันและกัน ให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด
ทั้งนี้ ภายหลังจากการประชุมรับฟังแผนการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการเมืองต้นแบบ"สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน"ทั้ง3เมือง คือ สุไหงโก-ลก เบตง และหนองจิก เสร็จสิ้นแล้ว จะให้มีการบูรณาการแผนการจัดการศึกษาทั้ง3แผนดังกล่าวให้ตกผลึก และมีแผนที่สมบูรณ์ ก่อนเริ่มดําเนินการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการในปีการศึกษา2560ต่อไป
โอกาสนี้พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ ได้ขอให้ทุกหน่วยงานร่วมเผยแพร่และสร้างการรับรู้ของเมืองต้นแบบ"สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น และนําแนวทางการบริหารประเทศของรัฐบาล ตามวิสัยทัศน์ "มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ทั้ง21ข้อ ไปดําเนินการต่อไปด้วย(อ่านรายละเอียดทั้ง21ข้อ เพิ่มเติมในข่าวที่504)
ในภาคบ่ายเวลา14.00-15.00 น.พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคณะได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมกิจกรรมการเรียนการสอนของโรงเรียนสุไหงโก-ลก สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต15ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ได้เตรียมการขับเคลื่อนการเรียนการสอนตามกรอบหลักสูตรการศึกษาให้สอดคล้องกับเมืองต้นแบบ"สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน"
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวว่า จากการตรวจเยี่ยม พบว่าโรงเรียนดังกล่าวได้จัดการศึกษาที่ตอบโจทย์เมืองต้นแบบฯของสุไหงโก-ลก คือ"การเป็นเมืองต้นแบบการค้าชายแดนระหว่างประเทศ"มาโดยลําดับ นับตั้งแต่การเตรียมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน แผนพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส และแผนการจัดการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งแผนการขับเคลื่อนเหล่านี้จะเป็นการจัดการศึกษาเชิงซ้อนที่สอดคล้องเชื่อมโยงส่งเสริมซึ่งกันและกันต่อไป
นอกจากนี้ หากโรงเรียนมีความต้องการที่จะรับการสนับสนุนหรือการแก้ปัญหาด้านใด ๆ ขอให้แจ้งมายัง สพม.15หรือ สพฐ. ที่จะช่วยคลี่คลายปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ของโรงเรียนให้ เช่น กรณีที่โรงเรียนมีพื้นที่จํากัด ต้องรองรับจํานวนนักเรียนมากถึง1,500คน ครู108คน ซึ่งนอกจาก สพฐ. ได้พิจารณาอนุมัติจัดสรรงบประมาณก่อสร้างอาคารเรียนให้แล้ว ทําให้ช่วยผ่อนคลายปัญหาด้านนี้ไปได้บ้าง แต่ปัญหาเรื่องสนามกีฬาซึ่งยังมีพื้นที่จํากัดและมีเพียงสนามเดียว สพฐ.ก็คงต้องนําไปพิจารณาในโอกาสต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1074
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการถาวรในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่
|
วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน 2560
พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการถาวรในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่
พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการถาวรในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่
วันที่ 14 มิถุนายน 2560 เวลา 17.00 น. พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการถาวรในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ โดยมีนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ดร.ฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม นายปรารพ เหล่าวานิช เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายปวิณ ชํานิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร หัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมในพิธี ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดเชียงใหม่
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการถาวรในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน 2560
พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการถาวรในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่
พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการถาวรในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่
วันที่ 14 มิถุนายน 2560 เวลา 17.00 น. พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการถาวรในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ โดยมีนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ดร.ฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม นายปรารพ เหล่าวานิช เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายปวิณ ชํานิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร หัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมในพิธี ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดเชียงใหม่
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4554
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จุรินทร์’ประชุมร่วมผู้ประกอบการส่งออกอาหารทะเลแปรรูป-แช่แข็ง เร่งโปรโมทภาพลักษณ์อุตสาหกรรมอาหารไทย จับมือ 3 กระทรวง “พณ.-กษ.-สธ.” ออกใบรับรองอาหารไทยไร้โควิด หวังตีตลาดโลกทำเงิน
|
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563
‘จุรินทร์’ประชุมร่วมผู้ประกอบการส่งออกอาหารทะเลแปรรูป-แช่แข็ง เร่งโปรโมทภาพลักษณ์อุตสาหกรรมอาหารไทย จับมือ 3 กระทรวง “พณ.-กษ.-สธ.” ออกใบรับรองอาหารไทยไร้โควิด หวังตีตลาดโลกทําเงิน
24 เมษายน 2563 13.00-16.00น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประชุมหารือผู้ผลิตสินค้าและเกษตรกรกลุ่มอาหารทะเลแช่แข็งและแปรรูป และกลุ่มผู้เลี้ยงกุ้ง รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร
ที่ บริษัท ซีแวลู จํากัด (มหาชน) จังหวัดสมุทรสาคร โดยหลังการประชุม นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เดินทางมาหารือร่วมกันระหว่างเกษตรกรผู้แปรรูปและผู้ส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งและอาหารทะเลแปรรูปของประเทศไทย ผู้เข้าร่วมประกอบด้วยข้าราชการระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ รองอธิบดีกรมประมง กรมปศุสัตว์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร สมาคมแช่เยือกแข็งไทย สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย สมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยง สมาคมบรรจุภัณฑ์โลหะไทย สมาพันธ์เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งไทย สมาคมกุ้งภาคตะวันออก หอการค้าสมุทรสาคร
โดยภาพรวมของอาหารทะเลแช่แข็งและแปรรูปของไทยตัวเลขมูลค่าการตลาดทั้งหมดในภาพรวมของปีที่แล้ว 2562 ประมาณ 172,235 ล้านบาท ผลผลิตทั้งหมด 1,188,523 ตัน บริโภคในประเทศร้อยละ 22 ส่งออกร้อยละ 78 โดยประมาณการส่งออกปีที่แล้ว 2562 ทั้งหมด 173,961.78 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.28% ของการส่งออกของไทยทั้งหมด สําหรับไตรมาสแรกยอดส่งออกทั้งหมด 37,910 ล้านบาท สําหรับไตรมาสแรกนั้น ติดลบร้อยละ 9.77 ดังนั้นวันนี้ได้หารือร่วมกันกับภาคเอกชนไม่ได้หมายถึงศักยภาพการส่งออกของเราไม่ดี แต่เกิดจากการล็อคดาวน์ ของประเทศคู่ค้าของเราหลายประเทศในโลกจึงส่งผลกระทบต่อตัวเลขอย่างไรก็ตามได้หารือร่วมกันทั้งกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชนว่าโอกาสที่เราจะพลิกฟื้นตัวเลขกลับมาเป็นบวกก็ยังมีอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราจะจับมือร่วมกันในการทําตัวเลขที่ดีขึ้นคาดว่าในไตรมาสที่สามและไตรมาสที่สี่จะเพิ่มตัวเลขกลับมาเป็นบวกได้
สําหรับตลาดหลักประกอบด้วยสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีนและออสเตรเลียเป็นด้านหลัก สําหรับสหรัฐอเมริกาเราส่งออกร้อยละ 21.4 ญี่ปุ่นร้อยละ 20.7 จีนร้อยละ 6.3 และออสเตรเลียร้อยละ 5.4 ผลิตภัณฑ์สําคัญมีอยู่ด้วยกัน 5 ชนิดในภาพรวมประกอบด้วย 1. ปลาทูน่ากระป๋องปลาซาร์ดีนกระป๋อง 2.อาหารสัตว์เลี้ยงที่ทําจากทูน่า3.กุ้ง 4.ปลาหมึก 5.ปลา หมวดสําคัญของเราอันหนึ่งก็คือทูน่ากระป๋องซึ่งประเทศไทยส่งออกเป็นลําดับหนึ่งของโลกมีส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 28.5 มูลค่าการส่งออกปีที่แล้ว 67,673.3 ล้านบาท สําหรับปีนี้สามารถทํายอดออกมาเป็นบวกได้ร้อยละ 3 ส่วนไตรมาสที่สองภาคเอกชนประเมินว่าจะสามารถทําตัวเลขเป็นบวกได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 สําหรับตลาดหลักของมีสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย
วันนี้ได้มีการจัดทําแผนที่จะเดินหน้าร่วมกันทั้งในส่วนของกระทรวงเกษตรและกระทรวงพาณิชย์และในส่วนของภาคเอกชนได้กําหนดเป้าหมายว่าสําหรับไตรมาสที่สามและไตรมาสที่สี่ของปีนี้จะพยายามช่วยกันทําให้ตัวเลขการส่งออกเป็นบวก
โดยมีการดําเนินการร่วมกันใน 4 มาตรการ มาตรการที่หนึ่งการช่วยลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์โดยเฉพาะกระป๋อง ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องรับซื้อจากในประเทศซึ่งมีราคาที่ค่อนข้างสูง กรมการค้าต่างประเทศของกระทรวงพาณิชย์ได้ทําหน้าที่เป็นตัวกลางในการช่วยนัดผู้ผลิตเหล็กผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระป๋องและผู้แปรรูปและผู้ส่งออกในเรื่องอาหารทะเลมาพบเพื่อหาทางร่วมกันในการที่จะลดต้นทุน
มาตรการที่สอง คือ กระทรวงพาณิชย์จะเร่งรัดในการเจรจา FTA กับสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรหรือ uk ถ้าเป็นไปได้จะเดินหน้าทํา FTA กับแอฟริกาและกลุ่มประเทศยูเรเซียรวมทั้งการดําเนินหน้าที่จะผลักดันให้เกิดการลงนามในข้อตกลงRCEPให้ได้ในปีนี้
มาตรการที่สาม กระทรวงพาณิชย์จะจับมือกับภาคเอกชนในการเดินหน้าหาส่วนแบ่งเพิ่มเติมประกอบด้วย 4 ตลาด 1.จีน 2.รัสเซีย 3.แอฟริกาใต้ 4.อเมริกาใต้ซึ่งกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศก็จะไปทําแผนงานที่เป็นรูปธรรมออกมาว่าเราจะจับมือเดินไปตลาดเหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง
ประการสุดท้าย มาตรการที่สี่ ต้องจับมือกันระหว่างรัฐกับเอกชนในการช่วยทําประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์อาหารไทยให้เป็นที่ยอมรับของชาวโลกมากขึ้นโดยเฉพาะในเรื่องของความปลอดภัยของอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤติโควิดเพื่อให้คนทั้งโลกได้เกิดความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์อาหารจากประเทศไทยที่ส่งออกไปนั้นปลอดจากโควิดโดยจะสามกระทรวงนอกจากกระทรวงพาณิชย์แล้วยังมีกระทรวงเกษตรกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทในการจับมือร่วมกันทํา MOUในการไปให้หนังสือรับรอง COVID free certificate ว่าผลิตภัณฑ์จากโรงงานปลอดจากเชื้อโควิดได้ 100% เพื่อที่จะใช้เป็นอีกเอกสารในการโฆษณาอาหารไทยกับตลาดโลกต่อไปเพื่อทําตัวเลขในไตรมาสสามกับสี่ให้ดีขึ้นสําหรับหมวดอาหารทะเลแปรรูปแช่แข็ง
ทางด้านภาคเอกชน ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและนายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทยกล่าวว่าในส่วนแรกอย่าลืมว่าบ้านเรามีการทําตลาดอาหารสําเร็จรูปปลากระป๋องแช่แข็งทําเยอะมากกับกลุ่มรีเทลเลอร์หรือซุปเปอร์มาร์เก็ต. เราทํากับฟู้ดเซอร์วิสน้อย แต่ตอนนี้ผลกระทบจากโควิดกลุ่มการบริการอาหารเช่น ภัตตาคาร โรงแรม การบินการบินมีปัญหาหมดแต่ซุปเปอร์มาร์เก็ตขายดีมากเพราะคนซื้อของกลับบ้านกิน จึงเป็นโอกาสทางการตลาดของอาหารแช่แข็ง ไม่มีปัญหาลูกค้าสั่งซื้อเยอะ ในส่วนที่สองคือวัตถุดิบค่อนข้างที่จะมีเสถียรภาพในแง่ของจํานวนกับราคาดีพอควร กุ้งที่มีปัญหาอยู่ในแง่จํานวน ที่ผ่านมาทางรัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรก็ได้ทํางานอย่างเคร่งเครียดโดยกรมประมง กับผู้เลี้ยงและสมาคมมาเดือนกว่าถึงสองเดือนแล้วในการหามาตรการช่วยเหลือทั้งห่วงโซ่
ดร ชนินทร์ ชลิศราพงศ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทยและนายกสมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทยกล่าวว่าตอนนี้ ปัญหาคลี่คลายดีมากก็คิดว่าอาหารทะเลโดยเฉพาะปลาสามารถมีวัตถุดิบเพียงพอในการป้อนตลาดต่างประเทศเรามั่นใจว่าปีนี้ทั้งปีตัวเลขจะโตไม่ต่ํากว่า 10%
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จุรินทร์’ประชุมร่วมผู้ประกอบการส่งออกอาหารทะเลแปรรูป-แช่แข็ง เร่งโปรโมทภาพลักษณ์อุตสาหกรรมอาหารไทย จับมือ 3 กระทรวง “พณ.-กษ.-สธ.” ออกใบรับรองอาหารไทยไร้โควิด หวังตีตลาดโลกทำเงิน
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563
‘จุรินทร์’ประชุมร่วมผู้ประกอบการส่งออกอาหารทะเลแปรรูป-แช่แข็ง เร่งโปรโมทภาพลักษณ์อุตสาหกรรมอาหารไทย จับมือ 3 กระทรวง “พณ.-กษ.-สธ.” ออกใบรับรองอาหารไทยไร้โควิด หวังตีตลาดโลกทําเงิน
24 เมษายน 2563 13.00-16.00น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประชุมหารือผู้ผลิตสินค้าและเกษตรกรกลุ่มอาหารทะเลแช่แข็งและแปรรูป และกลุ่มผู้เลี้ยงกุ้ง รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร
ที่ บริษัท ซีแวลู จํากัด (มหาชน) จังหวัดสมุทรสาคร โดยหลังการประชุม นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เดินทางมาหารือร่วมกันระหว่างเกษตรกรผู้แปรรูปและผู้ส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งและอาหารทะเลแปรรูปของประเทศไทย ผู้เข้าร่วมประกอบด้วยข้าราชการระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ รองอธิบดีกรมประมง กรมปศุสัตว์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร สมาคมแช่เยือกแข็งไทย สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย สมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยง สมาคมบรรจุภัณฑ์โลหะไทย สมาพันธ์เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งไทย สมาคมกุ้งภาคตะวันออก หอการค้าสมุทรสาคร
โดยภาพรวมของอาหารทะเลแช่แข็งและแปรรูปของไทยตัวเลขมูลค่าการตลาดทั้งหมดในภาพรวมของปีที่แล้ว 2562 ประมาณ 172,235 ล้านบาท ผลผลิตทั้งหมด 1,188,523 ตัน บริโภคในประเทศร้อยละ 22 ส่งออกร้อยละ 78 โดยประมาณการส่งออกปีที่แล้ว 2562 ทั้งหมด 173,961.78 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.28% ของการส่งออกของไทยทั้งหมด สําหรับไตรมาสแรกยอดส่งออกทั้งหมด 37,910 ล้านบาท สําหรับไตรมาสแรกนั้น ติดลบร้อยละ 9.77 ดังนั้นวันนี้ได้หารือร่วมกันกับภาคเอกชนไม่ได้หมายถึงศักยภาพการส่งออกของเราไม่ดี แต่เกิดจากการล็อคดาวน์ ของประเทศคู่ค้าของเราหลายประเทศในโลกจึงส่งผลกระทบต่อตัวเลขอย่างไรก็ตามได้หารือร่วมกันทั้งกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชนว่าโอกาสที่เราจะพลิกฟื้นตัวเลขกลับมาเป็นบวกก็ยังมีอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราจะจับมือร่วมกันในการทําตัวเลขที่ดีขึ้นคาดว่าในไตรมาสที่สามและไตรมาสที่สี่จะเพิ่มตัวเลขกลับมาเป็นบวกได้
สําหรับตลาดหลักประกอบด้วยสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีนและออสเตรเลียเป็นด้านหลัก สําหรับสหรัฐอเมริกาเราส่งออกร้อยละ 21.4 ญี่ปุ่นร้อยละ 20.7 จีนร้อยละ 6.3 และออสเตรเลียร้อยละ 5.4 ผลิตภัณฑ์สําคัญมีอยู่ด้วยกัน 5 ชนิดในภาพรวมประกอบด้วย 1. ปลาทูน่ากระป๋องปลาซาร์ดีนกระป๋อง 2.อาหารสัตว์เลี้ยงที่ทําจากทูน่า3.กุ้ง 4.ปลาหมึก 5.ปลา หมวดสําคัญของเราอันหนึ่งก็คือทูน่ากระป๋องซึ่งประเทศไทยส่งออกเป็นลําดับหนึ่งของโลกมีส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 28.5 มูลค่าการส่งออกปีที่แล้ว 67,673.3 ล้านบาท สําหรับปีนี้สามารถทํายอดออกมาเป็นบวกได้ร้อยละ 3 ส่วนไตรมาสที่สองภาคเอกชนประเมินว่าจะสามารถทําตัวเลขเป็นบวกได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 สําหรับตลาดหลักของมีสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย
วันนี้ได้มีการจัดทําแผนที่จะเดินหน้าร่วมกันทั้งในส่วนของกระทรวงเกษตรและกระทรวงพาณิชย์และในส่วนของภาคเอกชนได้กําหนดเป้าหมายว่าสําหรับไตรมาสที่สามและไตรมาสที่สี่ของปีนี้จะพยายามช่วยกันทําให้ตัวเลขการส่งออกเป็นบวก
โดยมีการดําเนินการร่วมกันใน 4 มาตรการ มาตรการที่หนึ่งการช่วยลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์โดยเฉพาะกระป๋อง ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องรับซื้อจากในประเทศซึ่งมีราคาที่ค่อนข้างสูง กรมการค้าต่างประเทศของกระทรวงพาณิชย์ได้ทําหน้าที่เป็นตัวกลางในการช่วยนัดผู้ผลิตเหล็กผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระป๋องและผู้แปรรูปและผู้ส่งออกในเรื่องอาหารทะเลมาพบเพื่อหาทางร่วมกันในการที่จะลดต้นทุน
มาตรการที่สอง คือ กระทรวงพาณิชย์จะเร่งรัดในการเจรจา FTA กับสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรหรือ uk ถ้าเป็นไปได้จะเดินหน้าทํา FTA กับแอฟริกาและกลุ่มประเทศยูเรเซียรวมทั้งการดําเนินหน้าที่จะผลักดันให้เกิดการลงนามในข้อตกลงRCEPให้ได้ในปีนี้
มาตรการที่สาม กระทรวงพาณิชย์จะจับมือกับภาคเอกชนในการเดินหน้าหาส่วนแบ่งเพิ่มเติมประกอบด้วย 4 ตลาด 1.จีน 2.รัสเซีย 3.แอฟริกาใต้ 4.อเมริกาใต้ซึ่งกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศก็จะไปทําแผนงานที่เป็นรูปธรรมออกมาว่าเราจะจับมือเดินไปตลาดเหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง
ประการสุดท้าย มาตรการที่สี่ ต้องจับมือกันระหว่างรัฐกับเอกชนในการช่วยทําประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์อาหารไทยให้เป็นที่ยอมรับของชาวโลกมากขึ้นโดยเฉพาะในเรื่องของความปลอดภัยของอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤติโควิดเพื่อให้คนทั้งโลกได้เกิดความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์อาหารจากประเทศไทยที่ส่งออกไปนั้นปลอดจากโควิดโดยจะสามกระทรวงนอกจากกระทรวงพาณิชย์แล้วยังมีกระทรวงเกษตรกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทในการจับมือร่วมกันทํา MOUในการไปให้หนังสือรับรอง COVID free certificate ว่าผลิตภัณฑ์จากโรงงานปลอดจากเชื้อโควิดได้ 100% เพื่อที่จะใช้เป็นอีกเอกสารในการโฆษณาอาหารไทยกับตลาดโลกต่อไปเพื่อทําตัวเลขในไตรมาสสามกับสี่ให้ดีขึ้นสําหรับหมวดอาหารทะเลแปรรูปแช่แข็ง
ทางด้านภาคเอกชน ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและนายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทยกล่าวว่าในส่วนแรกอย่าลืมว่าบ้านเรามีการทําตลาดอาหารสําเร็จรูปปลากระป๋องแช่แข็งทําเยอะมากกับกลุ่มรีเทลเลอร์หรือซุปเปอร์มาร์เก็ต. เราทํากับฟู้ดเซอร์วิสน้อย แต่ตอนนี้ผลกระทบจากโควิดกลุ่มการบริการอาหารเช่น ภัตตาคาร โรงแรม การบินการบินมีปัญหาหมดแต่ซุปเปอร์มาร์เก็ตขายดีมากเพราะคนซื้อของกลับบ้านกิน จึงเป็นโอกาสทางการตลาดของอาหารแช่แข็ง ไม่มีปัญหาลูกค้าสั่งซื้อเยอะ ในส่วนที่สองคือวัตถุดิบค่อนข้างที่จะมีเสถียรภาพในแง่ของจํานวนกับราคาดีพอควร กุ้งที่มีปัญหาอยู่ในแง่จํานวน ที่ผ่านมาทางรัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรก็ได้ทํางานอย่างเคร่งเครียดโดยกรมประมง กับผู้เลี้ยงและสมาคมมาเดือนกว่าถึงสองเดือนแล้วในการหามาตรการช่วยเหลือทั้งห่วงโซ่
ดร ชนินทร์ ชลิศราพงศ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทยและนายกสมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทยกล่าวว่าตอนนี้ ปัญหาคลี่คลายดีมากก็คิดว่าอาหารทะเลโดยเฉพาะปลาสามารถมีวัตถุดิบเพียงพอในการป้อนตลาดต่างประเทศเรามั่นใจว่าปีนี้ทั้งปีตัวเลขจะโตไม่ต่ํากว่า 10%
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29731
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีเปิดการประชุมสมาคมนักวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา
|
วันเสาร์ที่ 27 มกราคม 2561
รองนายกรัฐมนตรีเปิดการประชุมสมาคมนักวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา
รองนายกรัฐมนตรีเปิดการประชุมสมาคมนักวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา
เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2561 เวลา 08.30 น. ที่โรงแรม Clearwater Beach Marriott Suites on Sand Key
เมืองแทมปา มลรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่กํากับดูแลสํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ได้เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมประจําปีของสมาคมนักวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา (Annual ATPAC - NRCT - MOST - OHEC - IPST Conference) โดยมีผู้ร่วมคณะประกอบด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพปฎล สุนทรนนท์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง, ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์ สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, ดร.สุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, ดร.วิไลพร เจตนจันทร์ ผู้อํานวยการสํานักงานเทคโนโลยี บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน) ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิ และ คณะอนุกรรมการด้านการปรับระบบงบประมาณวิจัยและนวัตกรรมแบบบูรณาการ สภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ โดยมี ดร.เมธี เวชารัตนา ประธานกรรมการกลุ่มวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา ให้การต้อนรับ
สมาคมนักวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา เป็นการรวมกลุ่มของคนรุ่นใหม่ในประเทศอเมริกาเหนือ จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2534 และจดทะเบียนเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกําไรที่มลรัฐเท็กซัส เมื่อ พ.ศ.2535 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการศึกษาในประเทศไทย จัดตั้งผู้ประสานงานและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างบริษัทและองค์กรที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย สหรัฐอเมริกา แคนาดา และประเทศอื่น ๆ รวมถึงการรักษาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและความเป็นสมาคมกันระหว่างสมาชิก
สําหรับในการประชุมครั้งนี้ มีผู้มาร่วมงานประมาณ 130 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนทุนของหน่วยงานต่าง ๆ ของไทย และคนไทยที่ประกอบอาชีพในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ทั้งนี้ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “นโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนและปฏิรูประบบวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ” โดยชี้ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของรัฐบาลในการปฏิรูประบบงานวิจัยและนวัตกรรมอย่างจริงจัง ด้วยการกําหนดนโยบายวิจัยและนวัตกรรมของประเทศที่ชัดเจน มีการนําผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ จัดตั้งองค์กรของหน่วยงานในระบบวิจัย มีการพัฒนากําลังคนและโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการจัดสรรงบประมาณและการบริหารงานวิจัย ด้วยการดําเนินการให้มียุทธศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมระยะ 20 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2560 - 2579 ที่ชัดเจนสอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศ
จากนั้น ในเวลา 14.00 น. คณะของรองนายกรัฐมนตรีฯ ได้เดินทางไปดูงานการบริหารจัดการน้ําของมลรัฐฟลอริดา ที่ Tampa Bay Water ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ผลิตน้ําเพื่อการอุปโภคและบริโภคที่สะอาดและปลอดภัยให้กับรัฐบาลท้องถิ่น 9 แห่ง บริการประชาชนในพื้นที่ 2.4 ล้านคน ในมลรัฐฟลอริดา โดย โดยมีนาย Kenneth R. Herd หัวหน้าหน่วยก่อสร้างและสัญญาให้การต้อนรับ ทั้งนี้คณะของรองนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมโรงงานเปลี่ยนน้ําทะเลให้เป็นน้ําจืด (Desalination Plant) ด้วย
ต่อมาในเวลา 17.00 น. รองนายกรัฐมนตรีฯ พร้อมด้วยคณะ ได้เดินทางกลับมาเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการสมาคมนักวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา เพื่อหารือเกี่ยวกับโครงการริเริ่มหน่วยงาน Thailand - U.S. Science Corporation Center (TUSCO) เสร็จแล้วจึงได้เดินทางกลับประเทศไทย
* หมายเหตุ วันและเวลาในกําหนดการ คือ วันและเวลาท้องถิ่นของสหรัฐอเมริกา
...............................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีเปิดการประชุมสมาคมนักวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา
วันเสาร์ที่ 27 มกราคม 2561
รองนายกรัฐมนตรีเปิดการประชุมสมาคมนักวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา
รองนายกรัฐมนตรีเปิดการประชุมสมาคมนักวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา
เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2561 เวลา 08.30 น. ที่โรงแรม Clearwater Beach Marriott Suites on Sand Key
เมืองแทมปา มลรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่กํากับดูแลสํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ได้เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมประจําปีของสมาคมนักวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา (Annual ATPAC - NRCT - MOST - OHEC - IPST Conference) โดยมีผู้ร่วมคณะประกอบด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพปฎล สุนทรนนท์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง, ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์ สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, ดร.สุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, ดร.วิไลพร เจตนจันทร์ ผู้อํานวยการสํานักงานเทคโนโลยี บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน) ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิ และ คณะอนุกรรมการด้านการปรับระบบงบประมาณวิจัยและนวัตกรรมแบบบูรณาการ สภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ โดยมี ดร.เมธี เวชารัตนา ประธานกรรมการกลุ่มวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา ให้การต้อนรับ
สมาคมนักวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา เป็นการรวมกลุ่มของคนรุ่นใหม่ในประเทศอเมริกาเหนือ จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2534 และจดทะเบียนเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกําไรที่มลรัฐเท็กซัส เมื่อ พ.ศ.2535 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการศึกษาในประเทศไทย จัดตั้งผู้ประสานงานและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างบริษัทและองค์กรที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย สหรัฐอเมริกา แคนาดา และประเทศอื่น ๆ รวมถึงการรักษาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและความเป็นสมาคมกันระหว่างสมาชิก
สําหรับในการประชุมครั้งนี้ มีผู้มาร่วมงานประมาณ 130 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนทุนของหน่วยงานต่าง ๆ ของไทย และคนไทยที่ประกอบอาชีพในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ทั้งนี้ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “นโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนและปฏิรูประบบวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ” โดยชี้ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของรัฐบาลในการปฏิรูประบบงานวิจัยและนวัตกรรมอย่างจริงจัง ด้วยการกําหนดนโยบายวิจัยและนวัตกรรมของประเทศที่ชัดเจน มีการนําผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ จัดตั้งองค์กรของหน่วยงานในระบบวิจัย มีการพัฒนากําลังคนและโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการจัดสรรงบประมาณและการบริหารงานวิจัย ด้วยการดําเนินการให้มียุทธศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมระยะ 20 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2560 - 2579 ที่ชัดเจนสอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศ
จากนั้น ในเวลา 14.00 น. คณะของรองนายกรัฐมนตรีฯ ได้เดินทางไปดูงานการบริหารจัดการน้ําของมลรัฐฟลอริดา ที่ Tampa Bay Water ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ผลิตน้ําเพื่อการอุปโภคและบริโภคที่สะอาดและปลอดภัยให้กับรัฐบาลท้องถิ่น 9 แห่ง บริการประชาชนในพื้นที่ 2.4 ล้านคน ในมลรัฐฟลอริดา โดย โดยมีนาย Kenneth R. Herd หัวหน้าหน่วยก่อสร้างและสัญญาให้การต้อนรับ ทั้งนี้คณะของรองนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมโรงงานเปลี่ยนน้ําทะเลให้เป็นน้ําจืด (Desalination Plant) ด้วย
ต่อมาในเวลา 17.00 น. รองนายกรัฐมนตรีฯ พร้อมด้วยคณะ ได้เดินทางกลับมาเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการสมาคมนักวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา เพื่อหารือเกี่ยวกับโครงการริเริ่มหน่วยงาน Thailand - U.S. Science Corporation Center (TUSCO) เสร็จแล้วจึงได้เดินทางกลับประเทศไทย
* หมายเหตุ วันและเวลาในกําหนดการ คือ วันและเวลาท้องถิ่นของสหรัฐอเมริกา
...............................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9667
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม จัดพิธีเชิดชูเกียรติผู้ได้รับพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์ พร้อมประกาศเกียรติคุณแก่อาสาสมัครคุมประพฤติ
|
วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2561
กรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม จัดพิธีเชิดชูเกียรติผู้ได้รับพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์ พร้อมประกาศเกียรติคุณแก่อาสาสมัครคุมประพฤติ
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเชิดชูเกียรติอาสาสมัครคุมประพฤติ ผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฯ
ในวันศุกร์ที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น.
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานในพิธีเชิดชูเกียรติอาสาสมัครคุมประพฤติ ผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์แก่อาสาสมัครคุมประพฤติ จํานวน ๑๐๓ คน พร้อมทั้งมอบ
ใบประกาศเกียรติคุณแก่อาสาสมัครคุมประพฤติที่ปฏิบัติงานมาเป็นเวลา ๒๕ ปี จํานวน ๒๒๖ คน
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างขวัญกําลังใจและสร้างแรงจูงใจแก่อาสาสมัครคุมประพฤติ ที่มีบทบาทสําคัญ
ในด้านการช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้กระทําผิดในชุมชน ซึ่งเป็นผู้ที่ได้อุทิศแรงกาย แรงใจ และเสียสละ
มีความความมุ่งมั่นในการที่จะทําให้สังคมเกิดความสงบสุข ตลอดจนกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนในสังคม
ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทําผิดในชุมชนให้กลับตนเป็นคนดีของสังคม
โดยมีคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ รวมถึงอาสาสมัครคุมประพฤติ เข้าร่วมฯ
ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ให้โอวาท
พร้อมกล่าวแสดงความยินดีแก่อาสาสมัครคุมประพฤติ ซึ่งมีใจความสําคัญตอนหนึ่ง ว่า
กระทรวงยุติธรรม มุ่งเน้นการลดความเหลื่อมล้ําสร้างความเป็นธรรมและความสงบสุขในสังคม
โดยแนวทางการดําเนินงานที่สําคัญประการหนึ่ง คือ การสร้างความปลอดภัยและความสงบสุขในสังคม
ลดการกระทําผิดซ้ําของผู้กระทําผิด ผู้ผ่านการแก้ไขฟื้นฟู มีการศึกษา มีงานทํา มีรายได้ พึ่งตนเองได้
ซึ่งอาสาสมัครคุมประพฤติเป็นผู้มีความสําคัญต่อการพัฒนาระบบคุมประพฤติ เป็นผู้ช่วยเหลือและผลักดัน
ให้การดําเนินงานด้านการคุมประพฤติประสบความสําเร็จ ซึ่งมีบทบาทสําคัญในด้านการช่วยเหลือสงเคราะห์
ผู้กระทําผิดในชุมชนทําให้ผู้กระทําผิดได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดี
มีความรับผิดชอบซึ่งเป็นการปฏิบัติงานที่มุ่งหมายเพื่อ “คืนคนดีสู่สังคม”
จึงเห็นได้ว่าอาสาสมัครคุมประพฤติเป็นผู้ที่เสียสละ อุทิศกําลังกาย กําลังใจ เวลา ตลอดจนกําลังทรัพย์
เพื่อช่วยเหลือสังคมและประโยชน์ของส่วนรวม จากความทุ่มเทดังกล่าวนั้น ส่งผลให้อาสาสมัครคุมประพฤติ
ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์และประกาศเกียรติคุณในวันนี้
นับได้ว่าอาสาสมัครคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม เป็นหุ้นส่วนที่สําคัญอย่างยิ่งของกระทรวงยุติธรรม
ในการป้องกันสังคมให้ปลอดภัยจากอาชญากรรม ช่วยเสริมสร้างความสงบสุขเรียบร้อยให้เกิดขึ้นในสังคม
ในการนี้ได้กล่าวแสดงความชื่นชมและขอบคุณอาสาสมัครคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรมทุกท่าน
ที่ได้ให้ความร่วมมือและช่วยเหลืองานในภารกิจของกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม
เป็นอย่างดียิ่งมาโดยตลอด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม จัดพิธีเชิดชูเกียรติผู้ได้รับพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์ พร้อมประกาศเกียรติคุณแก่อาสาสมัครคุมประพฤติ
วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2561
กรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม จัดพิธีเชิดชูเกียรติผู้ได้รับพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์ พร้อมประกาศเกียรติคุณแก่อาสาสมัครคุมประพฤติ
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเชิดชูเกียรติอาสาสมัครคุมประพฤติ ผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฯ
ในวันศุกร์ที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น.
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานในพิธีเชิดชูเกียรติอาสาสมัครคุมประพฤติ ผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์แก่อาสาสมัครคุมประพฤติ จํานวน ๑๐๓ คน พร้อมทั้งมอบ
ใบประกาศเกียรติคุณแก่อาสาสมัครคุมประพฤติที่ปฏิบัติงานมาเป็นเวลา ๒๕ ปี จํานวน ๒๒๖ คน
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างขวัญกําลังใจและสร้างแรงจูงใจแก่อาสาสมัครคุมประพฤติ ที่มีบทบาทสําคัญ
ในด้านการช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้กระทําผิดในชุมชน ซึ่งเป็นผู้ที่ได้อุทิศแรงกาย แรงใจ และเสียสละ
มีความความมุ่งมั่นในการที่จะทําให้สังคมเกิดความสงบสุข ตลอดจนกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนในสังคม
ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทําผิดในชุมชนให้กลับตนเป็นคนดีของสังคม
โดยมีคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ รวมถึงอาสาสมัครคุมประพฤติ เข้าร่วมฯ
ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ให้โอวาท
พร้อมกล่าวแสดงความยินดีแก่อาสาสมัครคุมประพฤติ ซึ่งมีใจความสําคัญตอนหนึ่ง ว่า
กระทรวงยุติธรรม มุ่งเน้นการลดความเหลื่อมล้ําสร้างความเป็นธรรมและความสงบสุขในสังคม
โดยแนวทางการดําเนินงานที่สําคัญประการหนึ่ง คือ การสร้างความปลอดภัยและความสงบสุขในสังคม
ลดการกระทําผิดซ้ําของผู้กระทําผิด ผู้ผ่านการแก้ไขฟื้นฟู มีการศึกษา มีงานทํา มีรายได้ พึ่งตนเองได้
ซึ่งอาสาสมัครคุมประพฤติเป็นผู้มีความสําคัญต่อการพัฒนาระบบคุมประพฤติ เป็นผู้ช่วยเหลือและผลักดัน
ให้การดําเนินงานด้านการคุมประพฤติประสบความสําเร็จ ซึ่งมีบทบาทสําคัญในด้านการช่วยเหลือสงเคราะห์
ผู้กระทําผิดในชุมชนทําให้ผู้กระทําผิดได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดี
มีความรับผิดชอบซึ่งเป็นการปฏิบัติงานที่มุ่งหมายเพื่อ “คืนคนดีสู่สังคม”
จึงเห็นได้ว่าอาสาสมัครคุมประพฤติเป็นผู้ที่เสียสละ อุทิศกําลังกาย กําลังใจ เวลา ตลอดจนกําลังทรัพย์
เพื่อช่วยเหลือสังคมและประโยชน์ของส่วนรวม จากความทุ่มเทดังกล่าวนั้น ส่งผลให้อาสาสมัครคุมประพฤติ
ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์และประกาศเกียรติคุณในวันนี้
นับได้ว่าอาสาสมัครคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม เป็นหุ้นส่วนที่สําคัญอย่างยิ่งของกระทรวงยุติธรรม
ในการป้องกันสังคมให้ปลอดภัยจากอาชญากรรม ช่วยเสริมสร้างความสงบสุขเรียบร้อยให้เกิดขึ้นในสังคม
ในการนี้ได้กล่าวแสดงความชื่นชมและขอบคุณอาสาสมัครคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรมทุกท่าน
ที่ได้ให้ความร่วมมือและช่วยเหลืองานในภารกิจของกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม
เป็นอย่างดียิ่งมาโดยตลอด
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10831
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำ รัฐบาลตั้งเป้าแก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง อย่างยั่งยืน
|
วันอังคารที่ 10 กันยายน 2562
นายกรัฐมนตรีย้ํา รัฐบาลตั้งเป้าแก้ปัญหาน้ําท่วม-น้ําแล้ง อย่างยั่งยืน
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีย้ํา รัฐบาลตั้งเป้าแก้ปัญหาน้ําท่วม-น้ําแล้ง อย่างยั่งยืน กําชับการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ต้องดําเนินการให้เป็นไปด้วยความโปร่งใส ไม่ให้เกิดการทุจริต
วันนี้ (10 กันยายน 2562) เวลา 13.30 น. ณ บริเวณโถงกลาง ชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวถึงการตั้งวอร์รูมแก้ปัญหาน้ําท่วมและภัยแล้งว่า รัฐบาลดูแลเกี่ยวกับภัยพิบัติต่าง ๆ ในทุกเรื่อง ตั้งแต่ระดับนโยบาย ติดตามการแก้ปัญหาหาแนวทางมาตรการใหม่ๆ กําหนดแผนงานโครงการและงบประมาณลงไปสนับสนุนช่วยเหลือในพื้นที่ โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในระดับบน ระดับนโยบาย กระทรวงมหาดไทยเป็นประธานดําเนินการในระดับล่างหรือในพื้นที่ซึ่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วยเช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)ซึ่งพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเรื่องการบริหารจัดการน้ํา ได้มีการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ําในลุ่มน้ําต่าง ๆ และอ่างเก็บน้ําของประเทศไทยอย่างเป็นระบบ รัฐบาลดําเนินการตามแผนตลอดระยะเวลา 5 ปีอย่างต่อเนื่อง ทําให้ทุกกิจกรรมเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า ส่งผลให้สามารถลดความเสียหายได้เป็นจํานวนมาก
อย่างไรก็ตามปัญหาน้ําท่วมในขณะนี้ สาเหตุเกิดจากการที่ฝนที่ตกลงมามากเกินกว่าปริมาณที่เคยมี เช่น ที่จังหวัดยโสธรและจังหวัดอุบลราชธานี ฝนตก 3-5 วัน มีปริมาณฝนตกลงมาถึง 500 มิลิเมตร ซึ่งปกติเฉลี่ยฝนตกทั้งประมาณปี 1,000–1,200 มิลิเมตร เท่านั้น จึงทําให้เกิดน้ําท่วมได้โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ําซึ่งส่วนมากเป็นพื้นที่ด้านการเกษตร ปศุสัตว์ และประมง ซึ่งรัฐบาลก็ได้มีมาตรการการดูแลเยียวยาขั้นต้นอยู่แล้วตามมาตรการของกระทรวงการคลัง รวมไปถึงการดูแลในเรื่องของการสนับสนุนหาเมล็ดพันธุ์พืชให้ประชาชนนําไปเพาะปลูกตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ตลอดจนการพิจารณาอาชีพใหม่ที่เหมาะสมให้กับประชาชนหากยังไม่สามารถเพาะปลูกพืชได้ในฤดูกาลหน้า ซึ่งการลงพื้นที่ในแต่ละครั้ง ก็เพื่อเป็นขวัญกําลังใจ สร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน สําหรับการช่วยเหลือก็มีขั้นตอนต่างๆ อยู่แล้ว อันแรก คือ เยียวยา อันที่สอง คือ ฟื้นฟูและการปรับเพิ่มอาชีพ รวมทั้งการหาแก้มลิงใหม่ๆการระบายน้ํา ก็ต้องเร่งลงน้ําสาขาและลงแม่น้ําโขง เป็นต้นซึ่งคณะรัฐมนตรี ก็หาทางแก้ไขปัญหาทั้งน้ําท่วมและน้ําแล้งอย่างยั่งยืน
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําถึงการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยว่า ต้องดําเนินการให้เป็นไปด้วยความโปร่งใส ไม่ให้เกิดการทุจริต ข้อมูลต่าง ๆ ต้องตรงกับข้อมูลที่รายงานขึ้นมา เพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณเกิดความคุ้มค่า
----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำ รัฐบาลตั้งเป้าแก้ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง อย่างยั่งยืน
วันอังคารที่ 10 กันยายน 2562
นายกรัฐมนตรีย้ํา รัฐบาลตั้งเป้าแก้ปัญหาน้ําท่วม-น้ําแล้ง อย่างยั่งยืน
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีย้ํา รัฐบาลตั้งเป้าแก้ปัญหาน้ําท่วม-น้ําแล้ง อย่างยั่งยืน กําชับการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ต้องดําเนินการให้เป็นไปด้วยความโปร่งใส ไม่ให้เกิดการทุจริต
วันนี้ (10 กันยายน 2562) เวลา 13.30 น. ณ บริเวณโถงกลาง ชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวถึงการตั้งวอร์รูมแก้ปัญหาน้ําท่วมและภัยแล้งว่า รัฐบาลดูแลเกี่ยวกับภัยพิบัติต่าง ๆ ในทุกเรื่อง ตั้งแต่ระดับนโยบาย ติดตามการแก้ปัญหาหาแนวทางมาตรการใหม่ๆ กําหนดแผนงานโครงการและงบประมาณลงไปสนับสนุนช่วยเหลือในพื้นที่ โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในระดับบน ระดับนโยบาย กระทรวงมหาดไทยเป็นประธานดําเนินการในระดับล่างหรือในพื้นที่ซึ่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วยเช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)ซึ่งพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเรื่องการบริหารจัดการน้ํา ได้มีการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ําในลุ่มน้ําต่าง ๆ และอ่างเก็บน้ําของประเทศไทยอย่างเป็นระบบ รัฐบาลดําเนินการตามแผนตลอดระยะเวลา 5 ปีอย่างต่อเนื่อง ทําให้ทุกกิจกรรมเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า ส่งผลให้สามารถลดความเสียหายได้เป็นจํานวนมาก
อย่างไรก็ตามปัญหาน้ําท่วมในขณะนี้ สาเหตุเกิดจากการที่ฝนที่ตกลงมามากเกินกว่าปริมาณที่เคยมี เช่น ที่จังหวัดยโสธรและจังหวัดอุบลราชธานี ฝนตก 3-5 วัน มีปริมาณฝนตกลงมาถึง 500 มิลิเมตร ซึ่งปกติเฉลี่ยฝนตกทั้งประมาณปี 1,000–1,200 มิลิเมตร เท่านั้น จึงทําให้เกิดน้ําท่วมได้โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ําซึ่งส่วนมากเป็นพื้นที่ด้านการเกษตร ปศุสัตว์ และประมง ซึ่งรัฐบาลก็ได้มีมาตรการการดูแลเยียวยาขั้นต้นอยู่แล้วตามมาตรการของกระทรวงการคลัง รวมไปถึงการดูแลในเรื่องของการสนับสนุนหาเมล็ดพันธุ์พืชให้ประชาชนนําไปเพาะปลูกตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ตลอดจนการพิจารณาอาชีพใหม่ที่เหมาะสมให้กับประชาชนหากยังไม่สามารถเพาะปลูกพืชได้ในฤดูกาลหน้า ซึ่งการลงพื้นที่ในแต่ละครั้ง ก็เพื่อเป็นขวัญกําลังใจ สร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน สําหรับการช่วยเหลือก็มีขั้นตอนต่างๆ อยู่แล้ว อันแรก คือ เยียวยา อันที่สอง คือ ฟื้นฟูและการปรับเพิ่มอาชีพ รวมทั้งการหาแก้มลิงใหม่ๆการระบายน้ํา ก็ต้องเร่งลงน้ําสาขาและลงแม่น้ําโขง เป็นต้นซึ่งคณะรัฐมนตรี ก็หาทางแก้ไขปัญหาทั้งน้ําท่วมและน้ําแล้งอย่างยั่งยืน
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําถึงการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยว่า ต้องดําเนินการให้เป็นไปด้วยความโปร่งใส ไม่ให้เกิดการทุจริต ข้อมูลต่าง ๆ ต้องตรงกับข้อมูลที่รายงานขึ้นมา เพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณเกิดความคุ้มค่า
----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22979
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน
|
วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563
มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน
วันอังคารที่ 18 กุมาพันธ์ 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน โดยขยายเวลาการจดแจ้งการขอใช้สิทธิลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากร้อยละ 20 เหลือร้อยละ 10 เป็นเวลา
10 รอบบัญชีต่อเนื่องกันออกไปจนถึงวันที่ 30 ธ.ค.63 รวมทั้งยังเห็นชอบมาตรการภาษีสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรสําหรับอุตสาหกรรม 4.0 โดยให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสําหรับทรัพย์สินที่บริจาคให้แก่ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรสําหรับอุตสาหกรรม 4.0 ระหว่างวันที่ 1 ม.ค. - 31 ธ.ค. 2563 ได้ 3 เท่าของที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 100 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 มาตรการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดน และส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายได้เป็นอย่างดี
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน
วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563
มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน
วันอังคารที่ 18 กุมาพันธ์ 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน โดยขยายเวลาการจดแจ้งการขอใช้สิทธิลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากร้อยละ 20 เหลือร้อยละ 10 เป็นเวลา
10 รอบบัญชีต่อเนื่องกันออกไปจนถึงวันที่ 30 ธ.ค.63 รวมทั้งยังเห็นชอบมาตรการภาษีสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรสําหรับอุตสาหกรรม 4.0 โดยให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสําหรับทรัพย์สินที่บริจาคให้แก่ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรสําหรับอุตสาหกรรม 4.0 ระหว่างวันที่ 1 ม.ค. - 31 ธ.ค. 2563 ได้ 3 เท่าของที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 100 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 มาตรการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดน และส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายได้เป็นอย่างดี
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26574
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.แถลงข่าวเปิดห้องเรียนดนตรี เริ่มปีการศึกษา 2560 ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 145 คน
|
วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2560
ศธ.แถลงข่าวเปิดห้องเรียนดนตรี เริ่มปีการศึกษา 2560 ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 145 คน
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานแถลงข่าวโครงการห้องเรียนดนตรี และชมการนําเสนอผลงานของนักเรียนผู้มีความสามารถพิเศษ ด้านทัศนศิลป์ ด้านดนตรี และนาฏศิลป์ รุ่นที่ 3
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า ถือเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้รับเชิญจากสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในการแถลงข่าวในครั้งนี้ ยอมรับว่ามีความรู้สึกประทับใจมากเป็นพิเศษ และตื้นตันใจเป็นอย่างมากสําหรับการได้มาสัมผัสกับแวดวงวิชาการในด้านของศิลปะและดนตรีในครั้งนี้
สําหรับการจัดโครงการห้องเรียนดนตรีที่ได้ดําเนินการอยู่ในขณะนี้เป็นโครงการสําคัญที่จะส่งเสริม ต่อยอดความรู้ของนักเรียนผู้มีความสามารถพิเศษตามความสนใจและความถนัด ตลอดจนได้รับการพัฒนาทักษะจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและศิลปินแห่งชาติสาขาต่าง ๆ ให้บรรลุถึงศักยภาพสูงสุดของนักเรียนแต่ละคน และยังสอดคล้องตามหลักการของรัฐบาลในการพัฒนากําลังคนด้านการศึกษา สําหรับคนที่มีความสามารถพิเศษอีกด้วยซึ่งโครงการนี้ถือว่าเป็นงานที่ สพฐ. ได้เตรียมการไว้เป็นอย่างดีในการทํางานเพื่อให้เกิดการบูรณาการกับแผนงานที่มีอยู่แล้วในด้านทัศนศิลป์ดนตรี และนาฏศิลป์
นอกจากนี้ รัฐบาลมีความมุ่งมั่นเป็นอย่างมากที่จะยกระดับคุณภาพการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สูงขึ้นทั้งคุณภาพของนักเรียน ครู บุคลากรทางการศึกษา รวมถึงสถานศึกษา และแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ด้วย โดยกระทรวงศึกษาธิการได้ลงไปทํางานปฏิบัติภารกิจกันอย่างเข้มข้นซึ่งการเปิดโครงการห้องเรียนดนตรี จะเป็นอีกโครงการหนึ่งในเรื่องของการเสริมสร้างโอกาสทางการศึกษา และมุ่งหวังที่จะใช้การศึกษาเป็นสื่อในการสร้างสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้และที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการได้ดําเนินการส่งเสริมคุณภาพการศึกษาที่ประสบความสําเร็จไปแล้วหลายโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง"ห้องเรียนกีฬา"ตามโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นการนํากีฬาเข้าสู่ระบบการศึกษา การจุดประกายความฝันของเด็กในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ชอบเล่นกีฬา โดยเข้าไปดูแลเป็นพิเศษทั้งในเรื่องการเรียนและกีฬา
จากการที่ได้ลงพื้นที่ชายแดนภาคใต้มาโดยตลอด ได้เล็งเห็นว่าเด็กในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้เก่งแต่ด้านกีฬาเพียงอย่างเดียว แต่ด้านศิลปะ วัฒนธรรม และความสามารถพิเศษอีกหลายด้านก็เก่งไม่แพ้กัน เพราะฉะนั้นเรื่องดนตรีก็จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในปีการศึกษา2560เป็นปีแรกอย่างเป็นระบบ โดยกระทรวงศึกษาธิการได้คัดเลือกโรงเรียนที่มีความพร้อมและอนุมัติให้เปิดห้องเรียนดนตรี ใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้จังหวัดละ1โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดปัดตานีโรงเรียนคณะราษฎรบํารุง จังหวัดยะลา และโรงเรียนสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส
นายบุญรักษ์ ยอดเพชร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกล่าวว่า สพฐ. ได้รับมอบนโยบายจากพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้ดําเนินการพัฒนาศักยภาพของนักเรียนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ถือเป็นโอกาสสําคัญที่ สพฐ. จะได้ทําภารกิจของตัวเองให้เด่นชัด คือ การค้นหาความสามารถของนักเรียนในด้านต่าง ๆ และส่งเสริมให้นักเรียนมีศักยภาพตามที่นักเรียนถนัด ซึ่ง สพฐ. ได้ดําเนินการในระยะแรกเพื่อให้โรงเรียนทั้ง3แห่ง สามารถจัดการเรียนการสอนได้ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 โดยเชิญผู้อํานวยการโรงเรียนรองผู้อํานวยการฝ่ายวิชาการ ครูดนตรีของแต่ละโรงเรียน สถาบันการศึกษาด้านดนตรีในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ผู้แทนกลุ่มออกแบบและก่อสร้าง ผู้แทนสํานักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน เข้าร่วมประชุมวางแผนการดําเนินงานสรุปได้ดังนี้
การรับนักเรียนในระยะแรกจะเปิดห้องเรียนดนตรีในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จํานวน 1 ห้องเรียน และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จํานวน 1 ห้องเรียน โดยรับสมัครจากนักเรียนที่มีความสามารถด้านดนตรีของโรงเรียน และประชาสัมพันธ์การรับนักเรียนในพื้นที่ให้แก่นักเรียน ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไปได้รับทราบอย่างทั่วถึง
เรื่องหลักสูตรในปีการศึกษา 2560 โครงการห้องเรียนดนตรีจะเปิดสอน 2 ระดับชั้น ได้แก่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เปิดสอนในแผนการเรียนวิทย์-ดนตรี และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เปิดสอนในแผนการเรียนศิลป์-ดนตรีและภายใน3ปีจะเปิดครบทุกระดับชั้น
ด้านอาคารสถานที่โรงเรียนทั้ง 3 แห่งได้เสนอให้ใช้อาคารเรียนเดิม และปรับปรุงให้เหมาะสมแก่การเรียนการสอน มีการออกแบบเป็นพิเศษโดยเฉพาะเพื่อให้เหมาะสมแก่การเรียนดนตรี ซึ่ง สพฐ. ได้จัดสรรงบประมานในการพัฒนาห้องเรียนดนตรีไว้เรียบร้อยแล้ว
ด้านครุภัณฑ์ดนตรีสพฐ. ได้จัดสรรงบประมาณเป็นค่าครุภัณฑ์เครื่องดนตรี โดยพิจารณาจัดซื้อเครื่องดนตรีในวงโยธวาทิตเป็นหลัก ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทําคุณลักษณะเฉพาะครุภัณฑ์เครื่องดนตรีขึ้นใหม่ เพื่อเสนอขอรับงบประมาณต่อไป
ด้านอัตรากําลังโรงเรียนได้วิเคราะห์ความต้องการอัตรากําลังของโรงเรียนร่วมกัน และเห็นว่าเพื่อให้การจัดการเรียนการสอน และพัฒนาทักษะทางดนตรีของนักเรียนได้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ ในระยะแรกควรมีครูอัตราจ้างไม่เกิน 5 คน ซึ่งปฏิบัติหน้าที่สอนในรายวิชาดนตรีตามหลักสูตรที่กําหนด และสอนตามกลุ่มเครื่องดนตรีของวงโยธวาทิต ได้แก่ กลุ่มเครื่องลมไม้ (Woodwind) เครื่องลมทองเหลือง (Brass) และเครื่องจังหวะ (Percussion)
นางสุกัญญา งามบรรจง ผู้อํานวยการสํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษากล่าวถึงหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนในโครงการห้องเรียนดนตรีทั้ง 3 แห่งว่า ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 แบ่งเป็น 2 ระดับชั้นได้แก่
ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นใช้ชื่อแผนการเรียนวิทย์-ดนตรี โครงสร้างหลักสูตรประกอบด้วยรายวิชาพื้นฐาน 11 หน่วยกิต และรายวิชาเพิ่มเติม 4.5 หน่วยกิต รวมทั้งสิ้น15.5หน่วยกิต โดยได้จัดรายวิชาที่สําคัญต่อการเรียนดนตรี5 วิชา จํานวน 3 หน่วยกิต เช่น การปฏิบัติเครื่องดนตรีการรวมวงโสตทักษะ ฯลฯ
ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายใช้ชื่อแผนการเรียนศิลป์-ดนตรี โดยแต่ละโรงเรียนจะมีจํานวนหน่วยกิตที่แตกต่างกันไป แต่ในรายวิชาเพิ่มเติมได้จัดให้มีรายวิชาที่สําคัญต่อการเรียนดนตรีไว้เท่ากันคือ 3.5 หน่วยกิต ประกอบด้วย 6 รายวิชา เช่น ทฤษฏีดนตรี การขับร้องเสียงประสานโสตทักษะ คีย์บอร์ดหรือเปียโน และการรวมวงสําหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 จะมีรายวิชาแสดงดนตรีเพื่อให้นักเรียนได้นําเสนอผลงาน อันแสดงถึงศักยภาพเป็นรายบุคคล สามารถนําไปใช้ในการจัดทําแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) เพื่อสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาด้านดนตรีได้
นักเรียนในโครงการทั้ง2ระดับชั้นจะต้องได้ฝึกปฏิบัติการรวมวงและกิจกรรมนอกเวลาเรียนด้านดนตรีไม่น้อยกว่า 200 ชั่วโมงต่อภาคเรียน เพื่อเป็นการส่งเสริมความเป็นเลิศด้านดนตรี
นายสามารถ รังสรรค์ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 15กล่าวว่า ด้านการเตรียมความพร้อมของสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 15 และโรงเรียนในโครงการห้องเรียนดนตรีได้มีการคัดเลือกนักเรียนเพื่อเข้าเรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 ของทั้ง3จังหวัดรวมทั้งสิ้น145คนสรุปได้ดังนี้
ปัดตานีโรงเรียนเบญจมราชูทิศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่1รับได้ 37 คนมัธยมศึกษาปีที่4รับได้ 13 คน
ยะลาโรงเรียนคณะราษฏรบํารุงชั้นมัธยมศึกษาปีที่1รับได้ 41คนมัธยมศึกษาปีที่4รับได้ 20 คน
นราธิวาสโรงเรียนสุไหงโกลกชั้นมัธยมศึกษาปีที่1รับได้ 19 คน มัธยมศึกษาปีที่4รับได้ 15 คน
ทั้งนี้ โรงเรียนได้วางแผนการสร้างเครือข่ายร่วมพัฒนากับมหาวิทยาลัยทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคที่เปิดสอนสาขาดนตรี เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา เพื่อสร้างความเป็นเลิศด้านดนตรีสากล และร่วมกับสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ (วิทยาลัยนาฏศิลป์พัทลุง และวิทยาลัยนาฏศิลป์นครศรีธรรมราช) ในการส่งเสริมด้านดนตรีสากล ร่วมถึงศิลปะการแสดงพื้นบ้านภาคใต้ โดยได้บรรจุไว้ในแผนปฏิบัติการของโครงการห้องเรียนดนตรีเรียบร้อยแล้ว
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวสรุปการแถลงข่าวครั้งนี้ด้วยว่าโครงการห้องเรียนดนตรีมีความพร้อมเป็นอย่างมาก สพฐ. ก็ได้เตรียมการเป็นอย่างดีในการสนับสนุนการเรียนที่ทําให้นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษทางด้านดนตรีใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้รับการศึกษาอย่างเป็นระบบ มีแผนการศึกษาที่เป็นมาตรฐาน และมีการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ถือว่ามีความพร้อมที่จะดําเนินการตามแผนงานที่ได้เตรียมการไว้จึงขอขอบคุณคณะทํางานทุกภาคส่วนที่ทําไห้เกิดเป็นโครงการห้องเรียนดนตรีขึ้นมาโดยมีการเตรียมการไว้เป็นอย่างดี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.แถลงข่าวเปิดห้องเรียนดนตรี เริ่มปีการศึกษา 2560 ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 145 คน
วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2560
ศธ.แถลงข่าวเปิดห้องเรียนดนตรี เริ่มปีการศึกษา 2560 ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 145 คน
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานแถลงข่าวโครงการห้องเรียนดนตรี และชมการนําเสนอผลงานของนักเรียนผู้มีความสามารถพิเศษ ด้านทัศนศิลป์ ด้านดนตรี และนาฏศิลป์ รุ่นที่ 3
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า ถือเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้รับเชิญจากสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในการแถลงข่าวในครั้งนี้ ยอมรับว่ามีความรู้สึกประทับใจมากเป็นพิเศษ และตื้นตันใจเป็นอย่างมากสําหรับการได้มาสัมผัสกับแวดวงวิชาการในด้านของศิลปะและดนตรีในครั้งนี้
สําหรับการจัดโครงการห้องเรียนดนตรีที่ได้ดําเนินการอยู่ในขณะนี้เป็นโครงการสําคัญที่จะส่งเสริม ต่อยอดความรู้ของนักเรียนผู้มีความสามารถพิเศษตามความสนใจและความถนัด ตลอดจนได้รับการพัฒนาทักษะจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและศิลปินแห่งชาติสาขาต่าง ๆ ให้บรรลุถึงศักยภาพสูงสุดของนักเรียนแต่ละคน และยังสอดคล้องตามหลักการของรัฐบาลในการพัฒนากําลังคนด้านการศึกษา สําหรับคนที่มีความสามารถพิเศษอีกด้วยซึ่งโครงการนี้ถือว่าเป็นงานที่ สพฐ. ได้เตรียมการไว้เป็นอย่างดีในการทํางานเพื่อให้เกิดการบูรณาการกับแผนงานที่มีอยู่แล้วในด้านทัศนศิลป์ดนตรี และนาฏศิลป์
นอกจากนี้ รัฐบาลมีความมุ่งมั่นเป็นอย่างมากที่จะยกระดับคุณภาพการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สูงขึ้นทั้งคุณภาพของนักเรียน ครู บุคลากรทางการศึกษา รวมถึงสถานศึกษา และแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ด้วย โดยกระทรวงศึกษาธิการได้ลงไปทํางานปฏิบัติภารกิจกันอย่างเข้มข้นซึ่งการเปิดโครงการห้องเรียนดนตรี จะเป็นอีกโครงการหนึ่งในเรื่องของการเสริมสร้างโอกาสทางการศึกษา และมุ่งหวังที่จะใช้การศึกษาเป็นสื่อในการสร้างสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้และที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการได้ดําเนินการส่งเสริมคุณภาพการศึกษาที่ประสบความสําเร็จไปแล้วหลายโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง"ห้องเรียนกีฬา"ตามโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นการนํากีฬาเข้าสู่ระบบการศึกษา การจุดประกายความฝันของเด็กในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ชอบเล่นกีฬา โดยเข้าไปดูแลเป็นพิเศษทั้งในเรื่องการเรียนและกีฬา
จากการที่ได้ลงพื้นที่ชายแดนภาคใต้มาโดยตลอด ได้เล็งเห็นว่าเด็กในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้เก่งแต่ด้านกีฬาเพียงอย่างเดียว แต่ด้านศิลปะ วัฒนธรรม และความสามารถพิเศษอีกหลายด้านก็เก่งไม่แพ้กัน เพราะฉะนั้นเรื่องดนตรีก็จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในปีการศึกษา2560เป็นปีแรกอย่างเป็นระบบ โดยกระทรวงศึกษาธิการได้คัดเลือกโรงเรียนที่มีความพร้อมและอนุมัติให้เปิดห้องเรียนดนตรี ใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้จังหวัดละ1โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดปัดตานีโรงเรียนคณะราษฎรบํารุง จังหวัดยะลา และโรงเรียนสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส
นายบุญรักษ์ ยอดเพชร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกล่าวว่า สพฐ. ได้รับมอบนโยบายจากพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้ดําเนินการพัฒนาศักยภาพของนักเรียนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ถือเป็นโอกาสสําคัญที่ สพฐ. จะได้ทําภารกิจของตัวเองให้เด่นชัด คือ การค้นหาความสามารถของนักเรียนในด้านต่าง ๆ และส่งเสริมให้นักเรียนมีศักยภาพตามที่นักเรียนถนัด ซึ่ง สพฐ. ได้ดําเนินการในระยะแรกเพื่อให้โรงเรียนทั้ง3แห่ง สามารถจัดการเรียนการสอนได้ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 โดยเชิญผู้อํานวยการโรงเรียนรองผู้อํานวยการฝ่ายวิชาการ ครูดนตรีของแต่ละโรงเรียน สถาบันการศึกษาด้านดนตรีในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ผู้แทนกลุ่มออกแบบและก่อสร้าง ผู้แทนสํานักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน เข้าร่วมประชุมวางแผนการดําเนินงานสรุปได้ดังนี้
การรับนักเรียนในระยะแรกจะเปิดห้องเรียนดนตรีในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จํานวน 1 ห้องเรียน และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จํานวน 1 ห้องเรียน โดยรับสมัครจากนักเรียนที่มีความสามารถด้านดนตรีของโรงเรียน และประชาสัมพันธ์การรับนักเรียนในพื้นที่ให้แก่นักเรียน ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไปได้รับทราบอย่างทั่วถึง
เรื่องหลักสูตรในปีการศึกษา 2560 โครงการห้องเรียนดนตรีจะเปิดสอน 2 ระดับชั้น ได้แก่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เปิดสอนในแผนการเรียนวิทย์-ดนตรี และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เปิดสอนในแผนการเรียนศิลป์-ดนตรีและภายใน3ปีจะเปิดครบทุกระดับชั้น
ด้านอาคารสถานที่โรงเรียนทั้ง 3 แห่งได้เสนอให้ใช้อาคารเรียนเดิม และปรับปรุงให้เหมาะสมแก่การเรียนการสอน มีการออกแบบเป็นพิเศษโดยเฉพาะเพื่อให้เหมาะสมแก่การเรียนดนตรี ซึ่ง สพฐ. ได้จัดสรรงบประมานในการพัฒนาห้องเรียนดนตรีไว้เรียบร้อยแล้ว
ด้านครุภัณฑ์ดนตรีสพฐ. ได้จัดสรรงบประมาณเป็นค่าครุภัณฑ์เครื่องดนตรี โดยพิจารณาจัดซื้อเครื่องดนตรีในวงโยธวาทิตเป็นหลัก ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทําคุณลักษณะเฉพาะครุภัณฑ์เครื่องดนตรีขึ้นใหม่ เพื่อเสนอขอรับงบประมาณต่อไป
ด้านอัตรากําลังโรงเรียนได้วิเคราะห์ความต้องการอัตรากําลังของโรงเรียนร่วมกัน และเห็นว่าเพื่อให้การจัดการเรียนการสอน และพัฒนาทักษะทางดนตรีของนักเรียนได้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ ในระยะแรกควรมีครูอัตราจ้างไม่เกิน 5 คน ซึ่งปฏิบัติหน้าที่สอนในรายวิชาดนตรีตามหลักสูตรที่กําหนด และสอนตามกลุ่มเครื่องดนตรีของวงโยธวาทิต ได้แก่ กลุ่มเครื่องลมไม้ (Woodwind) เครื่องลมทองเหลือง (Brass) และเครื่องจังหวะ (Percussion)
นางสุกัญญา งามบรรจง ผู้อํานวยการสํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษากล่าวถึงหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนในโครงการห้องเรียนดนตรีทั้ง 3 แห่งว่า ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 แบ่งเป็น 2 ระดับชั้นได้แก่
ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นใช้ชื่อแผนการเรียนวิทย์-ดนตรี โครงสร้างหลักสูตรประกอบด้วยรายวิชาพื้นฐาน 11 หน่วยกิต และรายวิชาเพิ่มเติม 4.5 หน่วยกิต รวมทั้งสิ้น15.5หน่วยกิต โดยได้จัดรายวิชาที่สําคัญต่อการเรียนดนตรี5 วิชา จํานวน 3 หน่วยกิต เช่น การปฏิบัติเครื่องดนตรีการรวมวงโสตทักษะ ฯลฯ
ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายใช้ชื่อแผนการเรียนศิลป์-ดนตรี โดยแต่ละโรงเรียนจะมีจํานวนหน่วยกิตที่แตกต่างกันไป แต่ในรายวิชาเพิ่มเติมได้จัดให้มีรายวิชาที่สําคัญต่อการเรียนดนตรีไว้เท่ากันคือ 3.5 หน่วยกิต ประกอบด้วย 6 รายวิชา เช่น ทฤษฏีดนตรี การขับร้องเสียงประสานโสตทักษะ คีย์บอร์ดหรือเปียโน และการรวมวงสําหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 จะมีรายวิชาแสดงดนตรีเพื่อให้นักเรียนได้นําเสนอผลงาน อันแสดงถึงศักยภาพเป็นรายบุคคล สามารถนําไปใช้ในการจัดทําแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) เพื่อสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาด้านดนตรีได้
นักเรียนในโครงการทั้ง2ระดับชั้นจะต้องได้ฝึกปฏิบัติการรวมวงและกิจกรรมนอกเวลาเรียนด้านดนตรีไม่น้อยกว่า 200 ชั่วโมงต่อภาคเรียน เพื่อเป็นการส่งเสริมความเป็นเลิศด้านดนตรี
นายสามารถ รังสรรค์ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 15กล่าวว่า ด้านการเตรียมความพร้อมของสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 15 และโรงเรียนในโครงการห้องเรียนดนตรีได้มีการคัดเลือกนักเรียนเพื่อเข้าเรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 ของทั้ง3จังหวัดรวมทั้งสิ้น145คนสรุปได้ดังนี้
ปัดตานีโรงเรียนเบญจมราชูทิศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่1รับได้ 37 คนมัธยมศึกษาปีที่4รับได้ 13 คน
ยะลาโรงเรียนคณะราษฏรบํารุงชั้นมัธยมศึกษาปีที่1รับได้ 41คนมัธยมศึกษาปีที่4รับได้ 20 คน
นราธิวาสโรงเรียนสุไหงโกลกชั้นมัธยมศึกษาปีที่1รับได้ 19 คน มัธยมศึกษาปีที่4รับได้ 15 คน
ทั้งนี้ โรงเรียนได้วางแผนการสร้างเครือข่ายร่วมพัฒนากับมหาวิทยาลัยทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคที่เปิดสอนสาขาดนตรี เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา เพื่อสร้างความเป็นเลิศด้านดนตรีสากล และร่วมกับสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ (วิทยาลัยนาฏศิลป์พัทลุง และวิทยาลัยนาฏศิลป์นครศรีธรรมราช) ในการส่งเสริมด้านดนตรีสากล ร่วมถึงศิลปะการแสดงพื้นบ้านภาคใต้ โดยได้บรรจุไว้ในแผนปฏิบัติการของโครงการห้องเรียนดนตรีเรียบร้อยแล้ว
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวสรุปการแถลงข่าวครั้งนี้ด้วยว่าโครงการห้องเรียนดนตรีมีความพร้อมเป็นอย่างมาก สพฐ. ก็ได้เตรียมการเป็นอย่างดีในการสนับสนุนการเรียนที่ทําให้นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษทางด้านดนตรีใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้รับการศึกษาอย่างเป็นระบบ มีแผนการศึกษาที่เป็นมาตรฐาน และมีการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ถือว่ามีความพร้อมที่จะดําเนินการตามแผนงานที่ได้เตรียมการไว้จึงขอขอบคุณคณะทํางานทุกภาคส่วนที่ทําไห้เกิดเป็นโครงการห้องเรียนดนตรีขึ้นมาโดยมีการเตรียมการไว้เป็นอย่างดี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3575
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออท.ราชอาณาจักรสเปน/ไทย เข้าเยี่ยมคำนับ รมช.กห.
|
วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562
ออท.ราชอาณาจักรสเปน/ไทย เข้าเยี่ยมคํานับ รมช.กห.
พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา นรม. และ รมว.กห.ได้มอบหมายให้ พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห.ให้การต้อนรับ นาย Emilio de Miguel Calabia (เอมิลิโอ เด มิเกล กาลาเบีย) ออท.ราชอาณาจักรสเปน/ไทย เข้าเยี่ยมคํานับในโอกาสเข้ารับตําแหน่งใหม่ ณ ศาลาว่าการกลาโหม
พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห.ได้ให้การต้อนรับและกล่าวขอบคุณที่กรุณาให้เกียรติมาเยี่ยมคํานับ พร้อมกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย กับราชอาณาจักรสเปนที่มีมาอย่างราบรื่นต่อเนื่องยาวนานมาถึง149ปี ได้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนในหลายระดับโดยเฉพาะ จนท. ระดับสูงที่มีมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความสัมพันธ์ทางทหาร ทั้งด้านการศึกษา การฝึกและการส่งกําลังบํารุง และชื่นชมสเปนที่เป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสําเร็จในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและเชิญชวนให้สเปนมาร่วมลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก รวมทั้งเชิญให้มาร่วมงาน Defence&Security ที่จัดขึ้นในเดือน พ.ย. ปีนี้
นาย Emilio de Miguel Calabia (เอมิลิโอ เด มิเกล กาลาเบีย) ได้กล่าวขอบคุณ และกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์อันดีที่มีมาอย่างยาวนานและขอบคุณที่ไทยเชิญให้มาร่วมลงทุนด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งทางสเปนมีความสนใจในการร่วมลงทุนและเสริมสร้างความร่วมมือทางการค้ากับไทยให้มีความร่วมมือมากขึ้นและตอบรับการเข้าร่วมงานDefence&Securityที่จะจัดขึ้นในปลายปีนี้ด้วย และมีความประสงค์ที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับอาเซียนและต่อยอดความร่วมมือของทั้งสองประเทศให้มีความยั่งยืนต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออท.ราชอาณาจักรสเปน/ไทย เข้าเยี่ยมคำนับ รมช.กห.
วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562
ออท.ราชอาณาจักรสเปน/ไทย เข้าเยี่ยมคํานับ รมช.กห.
พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา นรม. และ รมว.กห.ได้มอบหมายให้ พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห.ให้การต้อนรับ นาย Emilio de Miguel Calabia (เอมิลิโอ เด มิเกล กาลาเบีย) ออท.ราชอาณาจักรสเปน/ไทย เข้าเยี่ยมคํานับในโอกาสเข้ารับตําแหน่งใหม่ ณ ศาลาว่าการกลาโหม
พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห.ได้ให้การต้อนรับและกล่าวขอบคุณที่กรุณาให้เกียรติมาเยี่ยมคํานับ พร้อมกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย กับราชอาณาจักรสเปนที่มีมาอย่างราบรื่นต่อเนื่องยาวนานมาถึง149ปี ได้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนในหลายระดับโดยเฉพาะ จนท. ระดับสูงที่มีมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความสัมพันธ์ทางทหาร ทั้งด้านการศึกษา การฝึกและการส่งกําลังบํารุง และชื่นชมสเปนที่เป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสําเร็จในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและเชิญชวนให้สเปนมาร่วมลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก รวมทั้งเชิญให้มาร่วมงาน Defence&Security ที่จัดขึ้นในเดือน พ.ย. ปีนี้
นาย Emilio de Miguel Calabia (เอมิลิโอ เด มิเกล กาลาเบีย) ได้กล่าวขอบคุณ และกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์อันดีที่มีมาอย่างยาวนานและขอบคุณที่ไทยเชิญให้มาร่วมลงทุนด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งทางสเปนมีความสนใจในการร่วมลงทุนและเสริมสร้างความร่วมมือทางการค้ากับไทยให้มีความร่วมมือมากขึ้นและตอบรับการเข้าร่วมงานDefence&Securityที่จะจัดขึ้นในปลายปีนี้ด้วย และมีความประสงค์ที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับอาเซียนและต่อยอดความร่วมมือของทั้งสองประเทศให้มีความยั่งยืนต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24106
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ (กขร.) ครั้งที่ 1/2561
|
วันพุธที่ 21 มีนาคม 2561
ผลการประชุมคณะกรรมการคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ (กขร.) ครั้งที่ 1/2561
ที่ประชุม กขร. มีมติเห็นชอบกรอบยุทธศาสตร์ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2561-2562 เพื่อส่งเสริมสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม
วันนี้(21มี.ค. 61)เวลา13.30น.ณห้องประชุม109 อาคารสํานักงานปลัดนายกรัฐมนตรีทําเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ตันยุวรรธนะรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ(กขร.)ครั้งที่1/2561สรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมรับทราบการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการพ.ศ. 2540โดยการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจําเป็นจะต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องพร้อมวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ ตามบทบัญญัติ มาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 แล้วรายงานผลการดําเนินการรับฟังความคิดเห็น พร้อมจัดทําคําชี้แจง และการตรวจสอบความจําเป็นในการตราพระราชบัญญัติ ประกอบการนําเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
พร้อมกันนี้ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบกรอบยุทธศาสตร์ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการพ.ศ. 2561-2562เพื่อให้การกําหนดกรอบทิศทางนําองค์กรการกําหนดยุทธศาสตร์แผนงานโครงการและตัวชี้วัดความสําเร็จในการดําเนินงานที่เหมาะสมในการผลักดันภารกิจของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการผ่านกระบวนการจัดทําแผนยุทธศาสตร์ทั้งนี้เพื่อให้มียุทธศาสตร์คณะกรรมการการข้อมูลข่าวสารของราชการพ.ศ. 2562-2564เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการปฏิบัติงานสอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของประชาชนให้สามารถรองรับและตอบสนองต่อทิศทางของประเทศในอนาคต รวมทั้งเป็นประโยชน์ในการพัฒนาหน่วยงานในระยะยาวตลอดจนเร่งรัดและติดตามผลการปฏิบัติราชการของหน่วยงานภาครัฐให้เป็นไปตามนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งเสริมสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารภาครัฐในภาพรวมต่อไป
...............................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ (กขร.) ครั้งที่ 1/2561
วันพุธที่ 21 มีนาคม 2561
ผลการประชุมคณะกรรมการคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ (กขร.) ครั้งที่ 1/2561
ที่ประชุม กขร. มีมติเห็นชอบกรอบยุทธศาสตร์ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2561-2562 เพื่อส่งเสริมสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม
วันนี้(21มี.ค. 61)เวลา13.30น.ณห้องประชุม109 อาคารสํานักงานปลัดนายกรัฐมนตรีทําเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ตันยุวรรธนะรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ(กขร.)ครั้งที่1/2561สรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมรับทราบการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการพ.ศ. 2540โดยการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจําเป็นจะต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องพร้อมวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ ตามบทบัญญัติ มาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 แล้วรายงานผลการดําเนินการรับฟังความคิดเห็น พร้อมจัดทําคําชี้แจง และการตรวจสอบความจําเป็นในการตราพระราชบัญญัติ ประกอบการนําเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
พร้อมกันนี้ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบกรอบยุทธศาสตร์ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการพ.ศ. 2561-2562เพื่อให้การกําหนดกรอบทิศทางนําองค์กรการกําหนดยุทธศาสตร์แผนงานโครงการและตัวชี้วัดความสําเร็จในการดําเนินงานที่เหมาะสมในการผลักดันภารกิจของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการผ่านกระบวนการจัดทําแผนยุทธศาสตร์ทั้งนี้เพื่อให้มียุทธศาสตร์คณะกรรมการการข้อมูลข่าวสารของราชการพ.ศ. 2562-2564เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการปฏิบัติงานสอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของประชาชนให้สามารถรองรับและตอบสนองต่อทิศทางของประเทศในอนาคต รวมทั้งเป็นประโยชน์ในการพัฒนาหน่วยงานในระยะยาวตลอดจนเร่งรัดและติดตามผลการปฏิบัติราชการของหน่วยงานภาครัฐให้เป็นไปตามนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งเสริมสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารภาครัฐในภาพรวมต่อไป
...............................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10942
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี หารือร่วมกับสภาธุรกิจเพื่อความเข้าใจระหว่างประเทศ (BCIU)
|
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2559
นายกรัฐมนตรี หารือร่วมกับสภาธุรกิจเพื่อความเข้าใจระหว่างประเทศ (BCIU)
นายกรัฐมนตรี หารือร่วมกับสภาธุรกิจเพื่อความเข้าใจระหว่างประเทศ (BCIU)
วันนี้ 22 กันยายน 2559 เวลา 18.00 น. ณ โรงแรม Plaza Athenee นครนิวยอร์ก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมหารือกับสภาธุรกิจเพื่อความเข้าใจระหว่างประเทศ (Business Council for International Understanding) ในโอกาสเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 71 โดยมีเอกชนชั้นนําของสหรัฐ ฯ เข้าร่วมหารือด้วย อาทิ กลุ่มการเงิน กลุ่มอิเลคทรอนิกส์ กลุ่มโทรคมนาคมและการสื่อสาร อุตสาหกรรมค้าปลีก เป็นต้น พลตรีวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ
นายกรัฐมนตรีกล่าวความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและสหรัฐ ฯ ที่มีมายาวนาน พร้อมขอบคุณสภาธุรกิจเพื่อความเข้าใจระหว่างประเทศ ที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจและขยายการลงทุนในไทย ซึ่งสะท้อนให้ว่าภาคเอกชนในสหรัฐฯ ยังคงให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพและโอกาสทางเศรษฐกิจของไทย
ไทยมีความสําคัญต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าและใหญ่เป็นอันดับสองของอาเซียน โดยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ ทําให้ไทยยังเป็นจุดเชื่อมต่อสําคัญ (connectivity hub) ในทุกทางทั้งต่ออนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงไปจนถึงจีนตอนใต้ และต่ออาเซียนโดยรวม ซึ่งภาคเอกชนสหรัฐ ฯ สามารถใช้จุดแข็งของประเทศไทย ให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อธุรกิจและต่อภูมิภาคได้อย่างเต็มศักยภาพ
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวว่า รัฐบาลได้ผลักดันการลงทุนจํานวนมหาศาลเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อพัฒนาความเชื่อมโยง อาทิ การปรับปรุงท่าเรือและสนามบินในประเทศ การปรับปรุงถนนและการสร้างทางรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา เมียนมาร์ ไปจนถึงจีนตอนใต้ ทั้งการพัฒนาท่าเรือน้ําลึกที่ทวาย ทั้งการพัฒนาทางรถไฟความเร็วสูง การวางเครือข่ายดิจิตัล และการปรับปรุงท่าอากาศยานและท่าเรือในประเทศทั้งท่าเรือสัตหีบ แหลมฉบัง และมาบตาพุด เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางท่าเรือของภูมิภาค
ในส่วนของเศรษฐกิจไทยนั้น ไทยสนับสนุนแนวทางการค้าเสรีและการลงทุนจากต่างประเทศมาโดยตลอด และมุ่งปฏิรูปนโยบายเศรษฐกิจในด้าน
ต่าง ๆ ที่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนการประกอบธุรกิจ เช่น การปฏิรูประบบภาษีอากรและศุลกากรให้โปร่งใสและทันสมัยขึ้น การปรับปรุงมาตรการจูงใจการลงทุน การปรับปรุงระบบขนส่งมวลชนในเมืองและระบบโลจิสติกส์ การขยายเครือข่ายโทรคมนาคมและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายดิจิตัล ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเอื้ออํานวยให้การประกอบธุรกิจของนักลงทุนทั้งในประเทศและจากต่างประเทศให้สะดวกขึ้น (ease of doing business)
รัฐบาลมีจุดมุ่งหมายสําคัญที่จะยกระดับประเทศไทยให้หลุดออกจากกับดักของประเทศที่มีรายได้ปานกลาง โดยได้กําหนดอุตสาหกรรมที่ไทยดําเนินการได้ดีอยู่แล้ว 5 สาขาเพื่อใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมพัฒนาเป็นเข้มข้นยิ่งขึ้น (deepen) ได้แก่ (1) อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
(2) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (3) อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ (4) เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ (5) การแปรรูปอาหาร ในขณะเดียวกัน รัฐบาลได้กําหนดอุตสาหกรรมใหม่ที่รู้จักกันในนาม New S-Curve อีก 5 สาขาเพื่อต่อยอดเชื่อมโยงจากอุตสาหกรรมเดิมดังกล่าว ได้แก่ (1) อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (2) อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ (3) อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (4) อุตสาหกรรมดิจิทัล และ (5) อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร และได้ปรับปรุงมาตรการจูงใจการลงทุนหลายประการทั้งสิทธิประโยชน์เพื่อการลงทุน มาตรการภาษี เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐบาลกําลังดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนในระดับภูมิภาคทั้ง กรอบ PPP และ RCEP ด้วย
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงพัฒนาการของประเทศไทยว่า กําลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สําคัญ มีการประกาศ Roadmap ของการคืนสู่ประชาธิปไตยนี้อย่างชัดเจน และได้ดําเนินการตาม Roadmap เป็นผลสําเร็จตามขั้นตอน โดยรัฐบาลมีความจริงจังและจริงใจที่จะปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมให้เกิดความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน เพื่อให้กลับคืนสู่ประชาธิปไตยที่มั่นคงได้สมดุล
ประธานบริหารสภาบีซีไอยู ได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและประทับใจในความเป็นผู้นําของนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยมีเสถียรภาพ และไทยมีการยกระดับเศรษฐกิจประเทศภายใต้ โครงการ Thailand 4.0 ทําให้เพิ่มโอกาสและลู่ทางการค้าและการลงทุนในไทยและภูมิภาคด้วย ซึ่งธุรกิจของสหรัฐ ฯ ที่มีการลงทุนในไทยอยู่แล้ว กําลังพิจารณาขยายการค้าและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ธุรกิจภาคบริการและค้าปลีกของสหรัฐ สนใจที่จะเข้ามาดําเนินธุรกิจในประเทศทั้งการลงทุนโดยตรงและการร่วมทุน
โอกาสนี้ ผู้บริหารระดับสูงของภาคเอกชนสหรัฐ ฯ ต่างๆ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแผนงานทางธุรกิจ อาทิ เจ้าหน้าที่ผู้บริหารระดับสูง บริษัท Goodyear Tire and Rubber ได้กล่าวว่าบริษัท ฯ ได้ดําเนินธุรกิจในประเทศไทยมาอย่างยาวนานและมีแผนจะขยายการลงทุนในประเทศไทยโดยเฉพาะ การสร้างโรงงานผลิตยางล้อครื่องบิน เพื่อตอบสนองความต้องการของในอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งที่จะเพิ่มมากยิ่งขึ้นในอนาคต รองประธาน บริษัท Walmart กล่าวว่า ไทยได้มีการส่งเสินค้าให้ วอลมาร์ท และวอลมาร์ทกําลังพิจารณาขยายการนําเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มเติม และเห็นว่ารัฐบาลไทยได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับแรงงานและกระบวนการผลิตอาหารทะเลอย่างจริงจังอีกด้วย
* * * * * * * *
นายกรัฐมนตรีกล่าวความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและสหรัฐ ฯ ที่มีมายาวนาน พร้อมขอบคุณสภาธุรกิจเพื่อความเข้าใจระหว่างประเทศ ที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจและขยายการลงทุนในไทย ซึ่งสะท้อนให้ว่าภาคเอกชนในสหรัฐฯ ยังคงให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพและโอกาสทางเศรษฐกิจของไทย
ไทยมีความสําคัญต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าและใหญ่เป็นอันดับสองของอาเซียน โดยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ ทําให้ไทยยังเป็นจุดเชื่อมต่อสําคัญ (connectivity hub) ในทุกทางทั้งต่ออนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงไปจนถึงจีนตอนใต้ และต่ออาเซียนโดยรวม ซึ่งภาคเอกชนสหรัฐ ฯ สามารถใช้จุดแข็งของประเทศไทย ให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อธุรกิจและต่อภูมิภาคได้อย่างเต็มศักยภาพ
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวว่า รัฐบาลได้ผลักดันการลงทุนจํานวนมหาศาลเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อพัฒนาความเชื่อมโยง อาทิ การปรับปรุงท่าเรือและสนามบินในประเทศ การปรับปรุงถนนและการสร้างทางรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา เมียนมาร์ ไปจนถึงจีนตอนใต้ ทั้งการพัฒนาท่าเรือน้ําลึกที่ทวาย ทั้งการพัฒนาทางรถไฟความเร็วสูง การวางเครือข่ายดิจิตัล และการปรับปรุงท่าอากาศยานและท่าเรือในประเทศทั้งท่าเรือสัตหีบ แหลมฉบัง และมาบตาพุด เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางท่าเรือของภูมิภาค
ในส่วนของเศรษฐกิจไทยนั้น ไทยสนับสนุนแนวทางการค้าเสรีและการลงทุนจากต่างประเทศมาโดยตลอด และมุ่งปฏิรูปนโยบายเศรษฐกิจในด้าน
ต่าง ๆ ที่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนการประกอบธุรกิจ เช่น การปฏิรูประบบภาษีอากรและศุลกากรให้โปร่งใสและทันสมัยขึ้น การปรับปรุงมาตรการจูงใจการลงทุน การปรับปรุงระบบขนส่งมวลชนในเมืองและระบบโลจิสติกส์ การขยายเครือข่ายโทรคมนาคมและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายดิจิตัล ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเอื้ออํานวยให้การประกอบธุรกิจของนักลงทุนทั้งในประเทศและจากต่างประเทศให้สะดวกขึ้น (ease of doing business)
รัฐบาลมีจุดมุ่งหมายสําคัญที่จะยกระดับประเทศไทยให้หลุดออกจากกับดักของประเทศที่มีรายได้ปานกลาง โดยได้กําหนดอุตสาหกรรมที่ไทยดําเนินการได้ดีอยู่แล้ว 5 สาขาเพื่อใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมพัฒนาเป็นเข้มข้นยิ่งขึ้น (deepen) ได้แก่ (1) อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
(2) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (3) อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ (4) เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ (5) การแปรรูปอาหาร ในขณะเดียวกัน รัฐบาลได้กําหนดอุตสาหกรรมใหม่ที่รู้จักกันในนาม New S-Curve อีก 5 สาขาเพื่อต่อยอดเชื่อมโยงจากอุตสาหกรรมเดิมดังกล่าว ได้แก่ (1) อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (2) อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ (3) อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (4) อุตสาหกรรมดิจิทัล และ (5) อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร และได้ปรับปรุงมาตรการจูงใจการลงทุนหลายประการทั้งสิทธิประโยชน์เพื่อการลงทุน มาตรการภาษี เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐบาลกําลังดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนในระดับภูมิภาคทั้ง กรอบ PPP และ RCEP ด้วย
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงพัฒนาการของประเทศไทยว่า กําลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สําคัญ มีการประกาศ Roadmap ของการคืนสู่ประชาธิปไตยนี้อย่างชัดเจน และได้ดําเนินการตาม Roadmap เป็นผลสําเร็จตามขั้นตอน โดยรัฐบาลมีความจริงจังและจริงใจที่จะปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมให้เกิดความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน เพื่อให้กลับคืนสู่ประชาธิปไตยที่มั่นคงได้สมดุล
ประธานบริหารสภาบีซีไอยู ได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและประทับใจในความเป็นผู้นําของนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยมีเสถียรภาพ และไทยมีการยกระดับเศรษฐกิจประเทศภายใต้ โครงการ Thailand 4.0 ทําให้เพิ่มโอกาสและลู่ทางการค้าและการลงทุนในไทยและภูมิภาคด้วย ซึ่งธุรกิจของสหรัฐ ฯ ที่มีการลงทุนในไทยอยู่แล้ว กําลังพิจารณาขยายการค้าและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ธุรกิจภาคบริการและค้าปลีกของสหรัฐ สนใจที่จะเข้ามาดําเนินธุรกิจในประเทศทั้งการลงทุนโดยตรงและการร่วมทุน
โอกาสนี้ ผู้บริหารระดับสูงของภาคเอกชนสหรัฐ ฯ ต่างๆ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแผนงานทางธุรกิจ อาทิ เจ้าหน้าที่ผู้บริหารระดับสูง บริษัท Goodyear Tire and Rubber ได้กล่าวว่าบริษัท ฯ ได้ดําเนินธุรกิจในประเทศไทยมาอย่างยาวนานและมีแผนจะขยายการลงทุนในประเทศไทยโดยเฉพาะ การสร้างโรงงานผลิตยางล้อครื่องบิน เพื่อตอบสนองความต้องการของในอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งที่จะเพิ่มมากยิ่งขึ้นในอนาคต รองประธาน บริษัท Walmart กล่าวว่า ไทยได้มีการส่งเสินค้าให้ วอลมาร์ท และวอลมาร์ทกําลังพิจารณาขยายการนําเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มเติม และเห็นว่ารัฐบาลไทยได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับแรงงานและกระบวนการผลิตอาหารทะเลอย่างจริงจังอีกด้วย
* * * * * * * *
นายกรัฐมนตรีกล่าวความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและสหรัฐ ฯ ที่มีมายาวนาน พร้อมขอบคุณสภาธุรกิจเพื่อความเข้าใจระหว่างประเทศ ที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจและขยายการลงทุนในไทย ซึ่งสะท้อนให้ว่าภาคเอกชนในสหรัฐฯ ยังคงให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพและโอกาสทางเศรษฐกิจของไทย
ไทยมีความสําคัญต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าและใหญ่เป็นอันดับสองของอาเซียน โดยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ ทําให้ไทยยังเป็นจุดเชื่อมต่อสําคัญ (connectivity hub) ในทุกทางทั้งต่ออนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงไปจนถึงจีนตอนใต้ และต่ออาเซียนโดยรวม ซึ่งภาคเอกชนสหรัฐ ฯ สามารถใช้จุดแข็งของประเทศไทย ให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อธุรกิจและต่อภูมิภาคได้อย่างเต็มศักยภาพ
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวว่า รัฐบาลได้ผลักดันการลงทุนจํานวนมหาศาลเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อพัฒนาความเชื่อมโยง อาทิ การปรับปรุงท่าเรือและสนามบินในประเทศ การปรับปรุงถนนและการสร้างทางรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา เมียนมาร์ ไปจนถึงจีนตอนใต้ ทั้งการพัฒนาท่าเรือน้ําลึกที่ทวาย ทั้งการพัฒนาทางรถไฟความเร็วสูง การวางเครือข่ายดิจิตัล และการปรับปรุงท่าอากาศยานและท่าเรือในประเทศทั้งท่าเรือสัตหีบ แหลมฉบัง และมาบตาพุด เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางท่าเรือของภูมิภาค
ในส่วนของเศรษฐกิจไทยนั้น ไทยสนับสนุนแนวทางการค้าเสรีและการลงทุนจากต่างประเทศมาโดยตลอด และมุ่งปฏิรูปนโยบายเศรษฐกิจในด้าน
ต่าง ๆ ที่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนการประกอบธุรกิจ เช่น การปฏิรูประบบภาษีอากรและศุลกากรให้โปร่งใสและทันสมัยขึ้น การปรับปรุงมาตรการจูงใจการลงทุน การปรับปรุงระบบขนส่งมวลชนในเมืองและระบบโลจิสติกส์ การขยายเครือข่ายโทรคมนาคมและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายดิจิตัล ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเอื้ออํานวยให้การประกอบธุรกิจของนักลงทุนทั้งในประเทศและจากต่างประเทศให้สะดวกขึ้น (ease of doing business)
รัฐบาลมีจุดมุ่งหมายสําคัญที่จะยกระดับประเทศไทยให้หลุดออกจากกับดักของประเทศที่มีรายได้ปานกลาง โดยได้กําหนดอุตสาหกรรมที่ไทยดําเนินการได้ดีอยู่แล้ว 5 สาขาเพื่อใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมพัฒนาเป็นเข้มข้นยิ่งขึ้น (deepen) ได้แก่ (1) อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
(2) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (3) อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ (4) เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ (5) การแปรรูปอาหาร ในขณะเดียวกัน รัฐบาลได้กําหนดอุตสาหกรรมใหม่ที่รู้จักกันในนาม New S-Curve อีก 5 สาขาเพื่อต่อยอดเชื่อมโยงจากอุตสาหกรรมเดิมดังกล่าว ได้แก่ (1) อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (2) อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ (3) อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (4) อุตสาหกรรมดิจิทัล และ (5) อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร และได้ปรับปรุงมาตรการจูงใจการลงทุนหลายประการทั้งสิทธิประโยชน์เพื่อการลงทุน มาตรการภาษี เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐบาลกําลังดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนในระดับภูมิภาคทั้ง กรอบ PPP และ RCEP ด้วย
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงพัฒนาการของประเทศไทยว่า กําลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สําคัญ มีการประกาศ Roadmap ของการคืนสู่ประชาธิปไตยนี้อย่างชัดเจน และได้ดําเนินการตาม Roadmap เป็นผลสําเร็จตามขั้นตอน โดยรัฐบาลมีความจริงจังและจริงใจที่จะปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมให้เกิดความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน เพื่อให้กลับคืนสู่ประชาธิปไตยที่มั่นคงได้สมดุล
ประธานบริหารสภาบีซีไอยู ได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและประทับใจในความเป็นผู้นําของนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยมีเสถียรภาพ และไทยมีการยกระดับเศรษฐกิจประเทศภายใต้ โครงการ Thailand 4.0 ทําให้เพิ่มโอกาสและลู่ทางการค้าและการลงทุนในไทยและภูมิภาคด้วย ซึ่งธุรกิจของสหรัฐ ฯ ที่มีการลงทุนในไทยอยู่แล้ว กําลังพิจารณาขยายการค้าและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ธุรกิจภาคบริการและค้าปลีกของสหรัฐ สนใจที่จะเข้ามาดําเนินธุรกิจในประเทศทั้งการลงทุนโดยตรงและการร่วมทุน
โอกาสนี้ ผู้บริหารระดับสูงของภาคเอกชนสหรัฐ ฯ ต่างๆ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแผนงานทางธุรกิจ อาทิ เจ้าหน้าที่ผู้บริหารระดับสูง บริษัท Goodyear Tire and Rubber ได้กล่าวว่าบริษัท ฯ ได้ดําเนินธุรกิจในประเทศไทยมาอย่างยาวนานและมีแผนจะขยายการลงทุนในประเทศไทยโดยเฉพาะ การสร้างโรงงานผลิตยางล้อครื่องบิน เพื่อตอบสนองความต้องการของในอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งที่จะเพิ่มมากยิ่งขึ้นในอนาคต รองประธาน บริษัท Walmart กล่าวว่า ไทยได้มีการส่งเสินค้าให้ วอลมาร์ท และวอลมาร์ทกําลังพิจารณาขยายการนําเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มเติม และเห็นว่ารัฐบาลไทยได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับแรงงานและกระบวนการผลิตอาหารทะเลอย่างจริงจังอีกด้วย
* * * * * * * *
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี หารือร่วมกับสภาธุรกิจเพื่อความเข้าใจระหว่างประเทศ (BCIU)
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2559
นายกรัฐมนตรี หารือร่วมกับสภาธุรกิจเพื่อความเข้าใจระหว่างประเทศ (BCIU)
นายกรัฐมนตรี หารือร่วมกับสภาธุรกิจเพื่อความเข้าใจระหว่างประเทศ (BCIU)
วันนี้ 22 กันยายน 2559 เวลา 18.00 น. ณ โรงแรม Plaza Athenee นครนิวยอร์ก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมหารือกับสภาธุรกิจเพื่อความเข้าใจระหว่างประเทศ (Business Council for International Understanding) ในโอกาสเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 71 โดยมีเอกชนชั้นนําของสหรัฐ ฯ เข้าร่วมหารือด้วย อาทิ กลุ่มการเงิน กลุ่มอิเลคทรอนิกส์ กลุ่มโทรคมนาคมและการสื่อสาร อุตสาหกรรมค้าปลีก เป็นต้น พลตรีวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ
นายกรัฐมนตรีกล่าวความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและสหรัฐ ฯ ที่มีมายาวนาน พร้อมขอบคุณสภาธุรกิจเพื่อความเข้าใจระหว่างประเทศ ที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจและขยายการลงทุนในไทย ซึ่งสะท้อนให้ว่าภาคเอกชนในสหรัฐฯ ยังคงให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพและโอกาสทางเศรษฐกิจของไทย
ไทยมีความสําคัญต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าและใหญ่เป็นอันดับสองของอาเซียน โดยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ ทําให้ไทยยังเป็นจุดเชื่อมต่อสําคัญ (connectivity hub) ในทุกทางทั้งต่ออนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงไปจนถึงจีนตอนใต้ และต่ออาเซียนโดยรวม ซึ่งภาคเอกชนสหรัฐ ฯ สามารถใช้จุดแข็งของประเทศไทย ให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อธุรกิจและต่อภูมิภาคได้อย่างเต็มศักยภาพ
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวว่า รัฐบาลได้ผลักดันการลงทุนจํานวนมหาศาลเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อพัฒนาความเชื่อมโยง อาทิ การปรับปรุงท่าเรือและสนามบินในประเทศ การปรับปรุงถนนและการสร้างทางรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา เมียนมาร์ ไปจนถึงจีนตอนใต้ ทั้งการพัฒนาท่าเรือน้ําลึกที่ทวาย ทั้งการพัฒนาทางรถไฟความเร็วสูง การวางเครือข่ายดิจิตัล และการปรับปรุงท่าอากาศยานและท่าเรือในประเทศทั้งท่าเรือสัตหีบ แหลมฉบัง และมาบตาพุด เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางท่าเรือของภูมิภาค
ในส่วนของเศรษฐกิจไทยนั้น ไทยสนับสนุนแนวทางการค้าเสรีและการลงทุนจากต่างประเทศมาโดยตลอด และมุ่งปฏิรูปนโยบายเศรษฐกิจในด้าน
ต่าง ๆ ที่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนการประกอบธุรกิจ เช่น การปฏิรูประบบภาษีอากรและศุลกากรให้โปร่งใสและทันสมัยขึ้น การปรับปรุงมาตรการจูงใจการลงทุน การปรับปรุงระบบขนส่งมวลชนในเมืองและระบบโลจิสติกส์ การขยายเครือข่ายโทรคมนาคมและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายดิจิตัล ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเอื้ออํานวยให้การประกอบธุรกิจของนักลงทุนทั้งในประเทศและจากต่างประเทศให้สะดวกขึ้น (ease of doing business)
รัฐบาลมีจุดมุ่งหมายสําคัญที่จะยกระดับประเทศไทยให้หลุดออกจากกับดักของประเทศที่มีรายได้ปานกลาง โดยได้กําหนดอุตสาหกรรมที่ไทยดําเนินการได้ดีอยู่แล้ว 5 สาขาเพื่อใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมพัฒนาเป็นเข้มข้นยิ่งขึ้น (deepen) ได้แก่ (1) อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
(2) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (3) อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ (4) เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ (5) การแปรรูปอาหาร ในขณะเดียวกัน รัฐบาลได้กําหนดอุตสาหกรรมใหม่ที่รู้จักกันในนาม New S-Curve อีก 5 สาขาเพื่อต่อยอดเชื่อมโยงจากอุตสาหกรรมเดิมดังกล่าว ได้แก่ (1) อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (2) อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ (3) อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (4) อุตสาหกรรมดิจิทัล และ (5) อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร และได้ปรับปรุงมาตรการจูงใจการลงทุนหลายประการทั้งสิทธิประโยชน์เพื่อการลงทุน มาตรการภาษี เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐบาลกําลังดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนในระดับภูมิภาคทั้ง กรอบ PPP และ RCEP ด้วย
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงพัฒนาการของประเทศไทยว่า กําลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สําคัญ มีการประกาศ Roadmap ของการคืนสู่ประชาธิปไตยนี้อย่างชัดเจน และได้ดําเนินการตาม Roadmap เป็นผลสําเร็จตามขั้นตอน โดยรัฐบาลมีความจริงจังและจริงใจที่จะปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมให้เกิดความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน เพื่อให้กลับคืนสู่ประชาธิปไตยที่มั่นคงได้สมดุล
ประธานบริหารสภาบีซีไอยู ได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและประทับใจในความเป็นผู้นําของนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยมีเสถียรภาพ และไทยมีการยกระดับเศรษฐกิจประเทศภายใต้ โครงการ Thailand 4.0 ทําให้เพิ่มโอกาสและลู่ทางการค้าและการลงทุนในไทยและภูมิภาคด้วย ซึ่งธุรกิจของสหรัฐ ฯ ที่มีการลงทุนในไทยอยู่แล้ว กําลังพิจารณาขยายการค้าและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ธุรกิจภาคบริการและค้าปลีกของสหรัฐ สนใจที่จะเข้ามาดําเนินธุรกิจในประเทศทั้งการลงทุนโดยตรงและการร่วมทุน
โอกาสนี้ ผู้บริหารระดับสูงของภาคเอกชนสหรัฐ ฯ ต่างๆ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแผนงานทางธุรกิจ อาทิ เจ้าหน้าที่ผู้บริหารระดับสูง บริษัท Goodyear Tire and Rubber ได้กล่าวว่าบริษัท ฯ ได้ดําเนินธุรกิจในประเทศไทยมาอย่างยาวนานและมีแผนจะขยายการลงทุนในประเทศไทยโดยเฉพาะ การสร้างโรงงานผลิตยางล้อครื่องบิน เพื่อตอบสนองความต้องการของในอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งที่จะเพิ่มมากยิ่งขึ้นในอนาคต รองประธาน บริษัท Walmart กล่าวว่า ไทยได้มีการส่งเสินค้าให้ วอลมาร์ท และวอลมาร์ทกําลังพิจารณาขยายการนําเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มเติม และเห็นว่ารัฐบาลไทยได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับแรงงานและกระบวนการผลิตอาหารทะเลอย่างจริงจังอีกด้วย
* * * * * * * *
นายกรัฐมนตรีกล่าวความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและสหรัฐ ฯ ที่มีมายาวนาน พร้อมขอบคุณสภาธุรกิจเพื่อความเข้าใจระหว่างประเทศ ที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจและขยายการลงทุนในไทย ซึ่งสะท้อนให้ว่าภาคเอกชนในสหรัฐฯ ยังคงให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพและโอกาสทางเศรษฐกิจของไทย
ไทยมีความสําคัญต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าและใหญ่เป็นอันดับสองของอาเซียน โดยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ ทําให้ไทยยังเป็นจุดเชื่อมต่อสําคัญ (connectivity hub) ในทุกทางทั้งต่ออนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงไปจนถึงจีนตอนใต้ และต่ออาเซียนโดยรวม ซึ่งภาคเอกชนสหรัฐ ฯ สามารถใช้จุดแข็งของประเทศไทย ให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อธุรกิจและต่อภูมิภาคได้อย่างเต็มศักยภาพ
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวว่า รัฐบาลได้ผลักดันการลงทุนจํานวนมหาศาลเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อพัฒนาความเชื่อมโยง อาทิ การปรับปรุงท่าเรือและสนามบินในประเทศ การปรับปรุงถนนและการสร้างทางรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา เมียนมาร์ ไปจนถึงจีนตอนใต้ ทั้งการพัฒนาท่าเรือน้ําลึกที่ทวาย ทั้งการพัฒนาทางรถไฟความเร็วสูง การวางเครือข่ายดิจิตัล และการปรับปรุงท่าอากาศยานและท่าเรือในประเทศทั้งท่าเรือสัตหีบ แหลมฉบัง และมาบตาพุด เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางท่าเรือของภูมิภาค
ในส่วนของเศรษฐกิจไทยนั้น ไทยสนับสนุนแนวทางการค้าเสรีและการลงทุนจากต่างประเทศมาโดยตลอด และมุ่งปฏิรูปนโยบายเศรษฐกิจในด้าน
ต่าง ๆ ที่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนการประกอบธุรกิจ เช่น การปฏิรูประบบภาษีอากรและศุลกากรให้โปร่งใสและทันสมัยขึ้น การปรับปรุงมาตรการจูงใจการลงทุน การปรับปรุงระบบขนส่งมวลชนในเมืองและระบบโลจิสติกส์ การขยายเครือข่ายโทรคมนาคมและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายดิจิตัล ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเอื้ออํานวยให้การประกอบธุรกิจของนักลงทุนทั้งในประเทศและจากต่างประเทศให้สะดวกขึ้น (ease of doing business)
รัฐบาลมีจุดมุ่งหมายสําคัญที่จะยกระดับประเทศไทยให้หลุดออกจากกับดักของประเทศที่มีรายได้ปานกลาง โดยได้กําหนดอุตสาหกรรมที่ไทยดําเนินการได้ดีอยู่แล้ว 5 สาขาเพื่อใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมพัฒนาเป็นเข้มข้นยิ่งขึ้น (deepen) ได้แก่ (1) อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
(2) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (3) อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ (4) เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ (5) การแปรรูปอาหาร ในขณะเดียวกัน รัฐบาลได้กําหนดอุตสาหกรรมใหม่ที่รู้จักกันในนาม New S-Curve อีก 5 สาขาเพื่อต่อยอดเชื่อมโยงจากอุตสาหกรรมเดิมดังกล่าว ได้แก่ (1) อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (2) อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ (3) อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (4) อุตสาหกรรมดิจิทัล และ (5) อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร และได้ปรับปรุงมาตรการจูงใจการลงทุนหลายประการทั้งสิทธิประโยชน์เพื่อการลงทุน มาตรการภาษี เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐบาลกําลังดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนในระดับภูมิภาคทั้ง กรอบ PPP และ RCEP ด้วย
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงพัฒนาการของประเทศไทยว่า กําลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สําคัญ มีการประกาศ Roadmap ของการคืนสู่ประชาธิปไตยนี้อย่างชัดเจน และได้ดําเนินการตาม Roadmap เป็นผลสําเร็จตามขั้นตอน โดยรัฐบาลมีความจริงจังและจริงใจที่จะปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมให้เกิดความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน เพื่อให้กลับคืนสู่ประชาธิปไตยที่มั่นคงได้สมดุล
ประธานบริหารสภาบีซีไอยู ได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและประทับใจในความเป็นผู้นําของนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยมีเสถียรภาพ และไทยมีการยกระดับเศรษฐกิจประเทศภายใต้ โครงการ Thailand 4.0 ทําให้เพิ่มโอกาสและลู่ทางการค้าและการลงทุนในไทยและภูมิภาคด้วย ซึ่งธุรกิจของสหรัฐ ฯ ที่มีการลงทุนในไทยอยู่แล้ว กําลังพิจารณาขยายการค้าและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ธุรกิจภาคบริการและค้าปลีกของสหรัฐ สนใจที่จะเข้ามาดําเนินธุรกิจในประเทศทั้งการลงทุนโดยตรงและการร่วมทุน
โอกาสนี้ ผู้บริหารระดับสูงของภาคเอกชนสหรัฐ ฯ ต่างๆ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแผนงานทางธุรกิจ อาทิ เจ้าหน้าที่ผู้บริหารระดับสูง บริษัท Goodyear Tire and Rubber ได้กล่าวว่าบริษัท ฯ ได้ดําเนินธุรกิจในประเทศไทยมาอย่างยาวนานและมีแผนจะขยายการลงทุนในประเทศไทยโดยเฉพาะ การสร้างโรงงานผลิตยางล้อครื่องบิน เพื่อตอบสนองความต้องการของในอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งที่จะเพิ่มมากยิ่งขึ้นในอนาคต รองประธาน บริษัท Walmart กล่าวว่า ไทยได้มีการส่งเสินค้าให้ วอลมาร์ท และวอลมาร์ทกําลังพิจารณาขยายการนําเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มเติม และเห็นว่ารัฐบาลไทยได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับแรงงานและกระบวนการผลิตอาหารทะเลอย่างจริงจังอีกด้วย
* * * * * * * *
นายกรัฐมนตรีกล่าวความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและสหรัฐ ฯ ที่มีมายาวนาน พร้อมขอบคุณสภาธุรกิจเพื่อความเข้าใจระหว่างประเทศ ที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจและขยายการลงทุนในไทย ซึ่งสะท้อนให้ว่าภาคเอกชนในสหรัฐฯ ยังคงให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพและโอกาสทางเศรษฐกิจของไทย
ไทยมีความสําคัญต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าและใหญ่เป็นอันดับสองของอาเซียน โดยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ ทําให้ไทยยังเป็นจุดเชื่อมต่อสําคัญ (connectivity hub) ในทุกทางทั้งต่ออนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงไปจนถึงจีนตอนใต้ และต่ออาเซียนโดยรวม ซึ่งภาคเอกชนสหรัฐ ฯ สามารถใช้จุดแข็งของประเทศไทย ให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อธุรกิจและต่อภูมิภาคได้อย่างเต็มศักยภาพ
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวว่า รัฐบาลได้ผลักดันการลงทุนจํานวนมหาศาลเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อพัฒนาความเชื่อมโยง อาทิ การปรับปรุงท่าเรือและสนามบินในประเทศ การปรับปรุงถนนและการสร้างทางรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา เมียนมาร์ ไปจนถึงจีนตอนใต้ ทั้งการพัฒนาท่าเรือน้ําลึกที่ทวาย ทั้งการพัฒนาทางรถไฟความเร็วสูง การวางเครือข่ายดิจิตัล และการปรับปรุงท่าอากาศยานและท่าเรือในประเทศทั้งท่าเรือสัตหีบ แหลมฉบัง และมาบตาพุด เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางท่าเรือของภูมิภาค
ในส่วนของเศรษฐกิจไทยนั้น ไทยสนับสนุนแนวทางการค้าเสรีและการลงทุนจากต่างประเทศมาโดยตลอด และมุ่งปฏิรูปนโยบายเศรษฐกิจในด้าน
ต่าง ๆ ที่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนการประกอบธุรกิจ เช่น การปฏิรูประบบภาษีอากรและศุลกากรให้โปร่งใสและทันสมัยขึ้น การปรับปรุงมาตรการจูงใจการลงทุน การปรับปรุงระบบขนส่งมวลชนในเมืองและระบบโลจิสติกส์ การขยายเครือข่ายโทรคมนาคมและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายดิจิตัล ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเอื้ออํานวยให้การประกอบธุรกิจของนักลงทุนทั้งในประเทศและจากต่างประเทศให้สะดวกขึ้น (ease of doing business)
รัฐบาลมีจุดมุ่งหมายสําคัญที่จะยกระดับประเทศไทยให้หลุดออกจากกับดักของประเทศที่มีรายได้ปานกลาง โดยได้กําหนดอุตสาหกรรมที่ไทยดําเนินการได้ดีอยู่แล้ว 5 สาขาเพื่อใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมพัฒนาเป็นเข้มข้นยิ่งขึ้น (deepen) ได้แก่ (1) อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
(2) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (3) อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ (4) เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ (5) การแปรรูปอาหาร ในขณะเดียวกัน รัฐบาลได้กําหนดอุตสาหกรรมใหม่ที่รู้จักกันในนาม New S-Curve อีก 5 สาขาเพื่อต่อยอดเชื่อมโยงจากอุตสาหกรรมเดิมดังกล่าว ได้แก่ (1) อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (2) อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ (3) อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (4) อุตสาหกรรมดิจิทัล และ (5) อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร และได้ปรับปรุงมาตรการจูงใจการลงทุนหลายประการทั้งสิทธิประโยชน์เพื่อการลงทุน มาตรการภาษี เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐบาลกําลังดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนในระดับภูมิภาคทั้ง กรอบ PPP และ RCEP ด้วย
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงพัฒนาการของประเทศไทยว่า กําลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สําคัญ มีการประกาศ Roadmap ของการคืนสู่ประชาธิปไตยนี้อย่างชัดเจน และได้ดําเนินการตาม Roadmap เป็นผลสําเร็จตามขั้นตอน โดยรัฐบาลมีความจริงจังและจริงใจที่จะปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมให้เกิดความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน เพื่อให้กลับคืนสู่ประชาธิปไตยที่มั่นคงได้สมดุล
ประธานบริหารสภาบีซีไอยู ได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและประทับใจในความเป็นผู้นําของนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยมีเสถียรภาพ และไทยมีการยกระดับเศรษฐกิจประเทศภายใต้ โครงการ Thailand 4.0 ทําให้เพิ่มโอกาสและลู่ทางการค้าและการลงทุนในไทยและภูมิภาคด้วย ซึ่งธุรกิจของสหรัฐ ฯ ที่มีการลงทุนในไทยอยู่แล้ว กําลังพิจารณาขยายการค้าและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ธุรกิจภาคบริการและค้าปลีกของสหรัฐ สนใจที่จะเข้ามาดําเนินธุรกิจในประเทศทั้งการลงทุนโดยตรงและการร่วมทุน
โอกาสนี้ ผู้บริหารระดับสูงของภาคเอกชนสหรัฐ ฯ ต่างๆ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแผนงานทางธุรกิจ อาทิ เจ้าหน้าที่ผู้บริหารระดับสูง บริษัท Goodyear Tire and Rubber ได้กล่าวว่าบริษัท ฯ ได้ดําเนินธุรกิจในประเทศไทยมาอย่างยาวนานและมีแผนจะขยายการลงทุนในประเทศไทยโดยเฉพาะ การสร้างโรงงานผลิตยางล้อครื่องบิน เพื่อตอบสนองความต้องการของในอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งที่จะเพิ่มมากยิ่งขึ้นในอนาคต รองประธาน บริษัท Walmart กล่าวว่า ไทยได้มีการส่งเสินค้าให้ วอลมาร์ท และวอลมาร์ทกําลังพิจารณาขยายการนําเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มเติม และเห็นว่ารัฐบาลไทยได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับแรงงานและกระบวนการผลิตอาหารทะเลอย่างจริงจังอีกด้วย
* * * * * * * *
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/501
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนาให้ความช่วยเหลือคนไทยในออสเตรีย สโลวาเกีย สโลวีเนีย และจากประเทศใกล้เคียง จำนวน 29 คน กลับประเทศไทย [กระทรวงการต่างประเทศ]
|
วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2563
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนาให้ความช่วยเหลือคนไทยในออสเตรีย สโลวาเกีย สโลวีเนีย และจากประเทศใกล้เคียง จํานวน 29 คน กลับประเทศไทย [กระทรวงการต่างประเทศ]
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนาให้ความช่วยเหลือคนไทยในออสเตรีย สโลวาเกีย สโลวีเนีย และจากประเทศใกล้เคียง จํานวน 29 คน กลับประเทศไทย
ภารกิจช่วยเหลือคนไทยกลับบ้านของ สอท. ณ กรุงเวียนนา
การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้ส่งผลให้พี่น้องชาวไทยประสบความยากลําบากในการเดินทางกลับประเทศไทย เนื่องจากการยกเลิกเที่ยวบินและมาตรการป้องกันด้านสาธารณสุขของประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทย
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา ได้พยายามให้ความช่วยเหลือคนไทยในออสเตรีย สโลวาเกีย และสโลวีเนีย รวมถึงคนไทยจากประเทศอื่น ๆ ใกล้เคียง ที่มีความจําเป็นเร่งด่วน สามารถเดินทางกลับไทยแล้วรวม 29 คน ประกอบด้วย นักท่องเที่ยวตกค้าง นักศึกษา ผู้ป่วย และผู้ตกงาน ทุกคนเดินทางกลับถึงภูมิลําเนาเรียบร้อยโดยสวัสดิภาพ
สถานเอกอัครราชทูตฯ ขอขอบคุณสําหรับความร่วมมือและการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบูดาเปสต์ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก สถานกงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ กรุงบราติสลาวา สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ กรุงลูบลิยานา ฯลฯ ที่ได้ช่วยเหลือและอํานวยความสะดวกการเดินทางกลับบ้านของพี่น้องชาวไทยทุกคน
สถานเอกอัครราชทูตฯ พร้อมให้ความช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยในออสเตรีย สโลวาเกีย และสโลวีเนีย ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และมีความจําเป็นเร่งด่วนต้องเดินทางกลับไทย
โดยขอให้ติดต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ ทางอีเมล [email protected] หรือโทร.+43 1 478 3335 19 หรือทาง inbox ของ Facebook สถานเอกอัครราชทูตฯ เพื่อเตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ เมื่อเดินทางถึงประเทศไทยแล้ว ท่านจะต้องเข้ารับการกักตัวในสถานที่ที่ทางรัฐบาลจัดไว้ให้เป็นเวลา 14 วันด้วย
"การทูตเพื่อประชาชน ทุกแห่งหนเราดูแล"
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนาให้ความช่วยเหลือคนไทยในออสเตรีย สโลวาเกีย สโลวีเนีย และจากประเทศใกล้เคียง จำนวน 29 คน กลับประเทศไทย [กระทรวงการต่างประเทศ]
วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2563
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนาให้ความช่วยเหลือคนไทยในออสเตรีย สโลวาเกีย สโลวีเนีย และจากประเทศใกล้เคียง จํานวน 29 คน กลับประเทศไทย [กระทรวงการต่างประเทศ]
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนาให้ความช่วยเหลือคนไทยในออสเตรีย สโลวาเกีย สโลวีเนีย และจากประเทศใกล้เคียง จํานวน 29 คน กลับประเทศไทย
ภารกิจช่วยเหลือคนไทยกลับบ้านของ สอท. ณ กรุงเวียนนา
การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้ส่งผลให้พี่น้องชาวไทยประสบความยากลําบากในการเดินทางกลับประเทศไทย เนื่องจากการยกเลิกเที่ยวบินและมาตรการป้องกันด้านสาธารณสุขของประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทย
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา ได้พยายามให้ความช่วยเหลือคนไทยในออสเตรีย สโลวาเกีย และสโลวีเนีย รวมถึงคนไทยจากประเทศอื่น ๆ ใกล้เคียง ที่มีความจําเป็นเร่งด่วน สามารถเดินทางกลับไทยแล้วรวม 29 คน ประกอบด้วย นักท่องเที่ยวตกค้าง นักศึกษา ผู้ป่วย และผู้ตกงาน ทุกคนเดินทางกลับถึงภูมิลําเนาเรียบร้อยโดยสวัสดิภาพ
สถานเอกอัครราชทูตฯ ขอขอบคุณสําหรับความร่วมมือและการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบูดาเปสต์ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก สถานกงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ กรุงบราติสลาวา สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ กรุงลูบลิยานา ฯลฯ ที่ได้ช่วยเหลือและอํานวยความสะดวกการเดินทางกลับบ้านของพี่น้องชาวไทยทุกคน
สถานเอกอัครราชทูตฯ พร้อมให้ความช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยในออสเตรีย สโลวาเกีย และสโลวีเนีย ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และมีความจําเป็นเร่งด่วนต้องเดินทางกลับไทย
โดยขอให้ติดต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ ทางอีเมล [email protected] หรือโทร.+43 1 478 3335 19 หรือทาง inbox ของ Facebook สถานเอกอัครราชทูตฯ เพื่อเตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ เมื่อเดินทางถึงประเทศไทยแล้ว ท่านจะต้องเข้ารับการกักตัวในสถานที่ที่ทางรัฐบาลจัดไว้ให้เป็นเวลา 14 วันด้วย
"การทูตเพื่อประชาชน ทุกแห่งหนเราดูแล"
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30506
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. นำข้าราชการและเจ้าหน้าที่ รวมพลังประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชัน “ไม่ทนต่อการทุจริต”
|
วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม 2561
รมว.พม. นําข้าราชการและเจ้าหน้าที่ รวมพลังประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชัน “ไม่ทนต่อการทุจริต”
รมว.พม. นําข้าราชการและเจ้าหน้าที่ รวมพลังประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชัน “ไม่ทนต่อการทุจริต”
วันนี้ (6 ธ.ค. 61) เวลา 08.00 น. ที่บริเวณลานพระประชาบดี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในการประกาศเจตนารมณ์การต่อต้านคอร์รัปชัน “กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ไม่ทนต่อการทุจริต (M-Society Zero Tolerance)” ประจําปีงบประมาณ 2562 เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (International Anti - Corruption Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 9 ธันวาคมของทุกปี พร้อมด้วย นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) คณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน จํานวน 400 คน ร่วมแสดงพลังประกาศเจตนารมณ์
พลเอก อนันตพร กล่าวว่า ด้วย ที่ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติ (The United Nation: UN) ได้ประกาศให้วันที่ 9 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (International Anti – Corruption Day) สําหรับในปีนี้ ประเทศไทย โดยรัฐบาลร่วมกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน รณรงค์เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล ภายใต้แนวคิด “Zero Tolerance คนไทยไม่ทนต่อการทุจริต” เพื่อแสดงเจตนารมณ์มุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างต่อเนื่อง และเป็นการปลุกกระแสสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต
พลเอก อนันตพร กล่าวต่อไปว่า สําหรับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต ได้ดําเนินโครงการแสดงพลังประกาศเจตนารมณ์การต่อต้านคอร์รัปชัน “กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ไม่ทนต่อการทุจริต (M-Society Zero Tolerance)” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นจิตสํานึกและเสริมสร้างเจตนารมณ์ในการต่อต้านคอร์รัปชัน “ไม่ทนต่อการทุจริต” อย่างชัดเจน ของคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ อีกทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นไว้วางใจในระบบราชการตามหลักธรรมาภิบาล อันเป็นแนวทางในการปฏิบัติราชการตามเจตนารมณ์การต่อต้านคอร์รัปชันอย่างแท้จริง
“ทั้งนี้ คณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของกระทรวง พม. ได้รวมพลังประกาศเจตนารมณ์ “ไม่ทนต่อการทุจริต” ด้วยการปฏิบัติหน้าที่บนพื้นฐานของความดีตามหลักคุณธรรม 4 ประการ คือ พอเพียง มีวินัย สุจริต และจิตอาสา อีกทั้งการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกําลังความสามารถด้วยความมีเกียรติและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นข้าราชการ โดยยึดความซื่อสัตย์สุจริต อุตสาหะ เสียสละ เที่ยงตรง โปร่งใสตรวจสอบได้ กล้ายืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้องด้วยมาตรฐานทางจริยธรรมนําจิตใจและจรรยาบรรณทางวิชาชีพ ไม่ใช้ตําแหน่งหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง และมุ่งประโยชน์ส่วนรวมและประชาชนเป็นสําคัญ” พลเอก อนันตพร กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. นำข้าราชการและเจ้าหน้าที่ รวมพลังประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชัน “ไม่ทนต่อการทุจริต”
วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม 2561
รมว.พม. นําข้าราชการและเจ้าหน้าที่ รวมพลังประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชัน “ไม่ทนต่อการทุจริต”
รมว.พม. นําข้าราชการและเจ้าหน้าที่ รวมพลังประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชัน “ไม่ทนต่อการทุจริต”
วันนี้ (6 ธ.ค. 61) เวลา 08.00 น. ที่บริเวณลานพระประชาบดี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในการประกาศเจตนารมณ์การต่อต้านคอร์รัปชัน “กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ไม่ทนต่อการทุจริต (M-Society Zero Tolerance)” ประจําปีงบประมาณ 2562 เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (International Anti - Corruption Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 9 ธันวาคมของทุกปี พร้อมด้วย นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) คณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน จํานวน 400 คน ร่วมแสดงพลังประกาศเจตนารมณ์
พลเอก อนันตพร กล่าวว่า ด้วย ที่ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติ (The United Nation: UN) ได้ประกาศให้วันที่ 9 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (International Anti – Corruption Day) สําหรับในปีนี้ ประเทศไทย โดยรัฐบาลร่วมกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน รณรงค์เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล ภายใต้แนวคิด “Zero Tolerance คนไทยไม่ทนต่อการทุจริต” เพื่อแสดงเจตนารมณ์มุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างต่อเนื่อง และเป็นการปลุกกระแสสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต
พลเอก อนันตพร กล่าวต่อไปว่า สําหรับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต ได้ดําเนินโครงการแสดงพลังประกาศเจตนารมณ์การต่อต้านคอร์รัปชัน “กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ไม่ทนต่อการทุจริต (M-Society Zero Tolerance)” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นจิตสํานึกและเสริมสร้างเจตนารมณ์ในการต่อต้านคอร์รัปชัน “ไม่ทนต่อการทุจริต” อย่างชัดเจน ของคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ อีกทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นไว้วางใจในระบบราชการตามหลักธรรมาภิบาล อันเป็นแนวทางในการปฏิบัติราชการตามเจตนารมณ์การต่อต้านคอร์รัปชันอย่างแท้จริง
“ทั้งนี้ คณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของกระทรวง พม. ได้รวมพลังประกาศเจตนารมณ์ “ไม่ทนต่อการทุจริต” ด้วยการปฏิบัติหน้าที่บนพื้นฐานของความดีตามหลักคุณธรรม 4 ประการ คือ พอเพียง มีวินัย สุจริต และจิตอาสา อีกทั้งการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกําลังความสามารถด้วยความมีเกียรติและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นข้าราชการ โดยยึดความซื่อสัตย์สุจริต อุตสาหะ เสียสละ เที่ยงตรง โปร่งใสตรวจสอบได้ กล้ายืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้องด้วยมาตรฐานทางจริยธรรมนําจิตใจและจรรยาบรรณทางวิชาชีพ ไม่ใช้ตําแหน่งหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง และมุ่งประโยชน์ส่วนรวมและประชาชนเป็นสําคัญ” พลเอก อนันตพร กล่าวในตอนท้าย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17338
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 ณ จังหวัดเชียงราย
|
วันอังคารที่ 30 ตุลาคม 2561
การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 ณ จังหวัดเชียงราย
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี สักการะพระแก้วมรกต และกราบนมัสการพระธรรมราชานุวัตร เจ้าอาวาสวัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย
วันนี้ (30 ตุลาคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และ นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี สักการะพระแก้วมรกต และกราบนมัสการพระธรรมราชานุวัตร เจ้าอาวาสวัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เยี่ยมชมการจัดแสดงนิทรรศการและผลงานเด่นของจังหวัดเชียงราย และประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 ณ ห้องประชุมแสนหวี
หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 ณ จังหวัดเชียงราย
วันอังคารที่ 30 ตุลาคม 2561
การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 ณ จังหวัดเชียงราย
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี สักการะพระแก้วมรกต และกราบนมัสการพระธรรมราชานุวัตร เจ้าอาวาสวัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย
วันนี้ (30 ตุลาคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และ นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี สักการะพระแก้วมรกต และกราบนมัสการพระธรรมราชานุวัตร เจ้าอาวาสวัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เยี่ยมชมการจัดแสดงนิทรรศการและผลงานเด่นของจังหวัดเชียงราย และประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 ณ ห้องประชุมแสนหวี
หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16437
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมโรงงานอุตสาหกรรมอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการเพื่อสอดรับกับมาตรการ “อยู่บ้าน ลดเชื้อ เพื่อชาติ” ผู้ประกอบการสามารถยื่นเอกสารขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ผ่านช่องทางดิจิทัลที่เว็บไซต์ [กระทรวงอุตสาหกรรม]
|
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563
กรมโรงงานอุตสาหกรรมอํานวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการเพื่อสอดรับกับมาตรการ “อยู่บ้าน ลดเชื้อ เพื่อชาติ” ผู้ประกอบการสามารถยื่นเอกสารขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ผ่านช่องทางดิจิทัลที่เว็บไซต์ [กระทรวงอุตสาหกรรม]
กรมโรงงานอุตสาหกรรมอํานวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการเพื่อสอดรับกับมาตรการ “อยู่บ้าน ลดเชื้อ เพื่อชาติ” ผู้ประกอบการสามารถยื่นเอกสารขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน และยื่นรับฟังความคิดเห็น ผ่านช่องทางดิจิทัลที่เว็บไซต์
กรมโรงงานอุตสาหกรรมอํานวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการเพื่อสอดรับกับมาตรการ “อยู่บ้าน ลดเชื้อ เพื่อชาติ”
ผู้ประกอบการสามารถยื่นเอกสารขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน และยื่นรับฟังความคิดเห็น ผ่านช่องทางดิจิทัลที่เว็บไซต์http://dsapp.diw.go.th/
สอบถามเพิ่มเติมโทร 0 2202 4129
***สําหรับโรงงานที่ตั้งในพื้นที่ กทม. เท่านั้น***
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมโรงงานอุตสาหกรรมอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการเพื่อสอดรับกับมาตรการ “อยู่บ้าน ลดเชื้อ เพื่อชาติ” ผู้ประกอบการสามารถยื่นเอกสารขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ผ่านช่องทางดิจิทัลที่เว็บไซต์ [กระทรวงอุตสาหกรรม]
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563
กรมโรงงานอุตสาหกรรมอํานวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการเพื่อสอดรับกับมาตรการ “อยู่บ้าน ลดเชื้อ เพื่อชาติ” ผู้ประกอบการสามารถยื่นเอกสารขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ผ่านช่องทางดิจิทัลที่เว็บไซต์ [กระทรวงอุตสาหกรรม]
กรมโรงงานอุตสาหกรรมอํานวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการเพื่อสอดรับกับมาตรการ “อยู่บ้าน ลดเชื้อ เพื่อชาติ” ผู้ประกอบการสามารถยื่นเอกสารขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน และยื่นรับฟังความคิดเห็น ผ่านช่องทางดิจิทัลที่เว็บไซต์
กรมโรงงานอุตสาหกรรมอํานวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการเพื่อสอดรับกับมาตรการ “อยู่บ้าน ลดเชื้อ เพื่อชาติ”
ผู้ประกอบการสามารถยื่นเอกสารขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน และยื่นรับฟังความคิดเห็น ผ่านช่องทางดิจิทัลที่เว็บไซต์http://dsapp.diw.go.th/
สอบถามเพิ่มเติมโทร 0 2202 4129
***สําหรับโรงงานที่ตั้งในพื้นที่ กทม. เท่านั้น***
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28829
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีขอบคุณสื่อมวลชนเวียดนามที่ช่วยเสริมสร้างทัศนคติที่ดีระหว่างประชาชนไทยและเวียดนาม
|
วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2562
รองนายกรัฐมนตรีขอบคุณสื่อมวลชนเวียดนามที่ช่วยเสริมสร้างทัศนคติที่ดีระหว่างประชาชนไทยและเวียดนาม
รองนายกรัฐมนตรีขอบคุณสื่อมวลชนเวียดนามที่ช่วยเสริมสร้างทัศนคติที่ดีระหว่างประชาชนไทยและเวียดนาม
วันนี้ (27 พฤศจิกายน 2562) เวลา 10.30 น. ณ ห้องนารี 2 ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายมงคล บางประภา ประธานสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นํานายถวน หู (Mr. Thuan Huu) ประธานสมาคมนักหนังสือพิมพ์เวียดนาม และคณะสื่อมวลชนเวียดนาม เข้าเยี่ยมคารวะ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
รองนายกรัฐมนตรียินดีต้อนรับคณะสื่อมวลชนเวียดนามในโอกาสเดินทางเยือนไทย และยินดีที่สื่อมวลชนของไทยและเวียดนามมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน รวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วและถูกต้องให้แก่ประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ ให้เกิดความเข้าใจอันดี และทัศนคติที่ดีต่อกันด้วย ซึ่งรัฐบาลไทยพร้อมให้การสนับสนุน
ประธานสมาคมนักหนังสือพิมพ์เวียดนามกล่าวว่าสมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งเวียดนามและสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากว่า 24 ปีแล้ว โดยมีกิจกรรมแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างสื่อมวลชนทั้งสองฝ่ายเป็นประจําทุกปี ซึ่งมีส่วนสําคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไทยและเวียดนามให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ในการนี้รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับเวียดนามต่อการเป็นประธานอาเซียนในปี 2563 รวมถึงการเป็นประธาน RCEP ด้วย ซึ่งไทยยินดีให้การสนับสนุน โดยเชื่อมั่นว่าเวียดนามจะสามารถผลักดันการเสริมสร้างเสถียรภาพ ความมั่นคง และพัฒนาความเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจ ให้แก่ภูมิภาคอาเซียนต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีขอบคุณสื่อมวลชนเวียดนามที่ช่วยเสริมสร้างทัศนคติที่ดีระหว่างประชาชนไทยและเวียดนาม
วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2562
รองนายกรัฐมนตรีขอบคุณสื่อมวลชนเวียดนามที่ช่วยเสริมสร้างทัศนคติที่ดีระหว่างประชาชนไทยและเวียดนาม
รองนายกรัฐมนตรีขอบคุณสื่อมวลชนเวียดนามที่ช่วยเสริมสร้างทัศนคติที่ดีระหว่างประชาชนไทยและเวียดนาม
วันนี้ (27 พฤศจิกายน 2562) เวลา 10.30 น. ณ ห้องนารี 2 ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายมงคล บางประภา ประธานสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นํานายถวน หู (Mr. Thuan Huu) ประธานสมาคมนักหนังสือพิมพ์เวียดนาม และคณะสื่อมวลชนเวียดนาม เข้าเยี่ยมคารวะ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
รองนายกรัฐมนตรียินดีต้อนรับคณะสื่อมวลชนเวียดนามในโอกาสเดินทางเยือนไทย และยินดีที่สื่อมวลชนของไทยและเวียดนามมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน รวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วและถูกต้องให้แก่ประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ ให้เกิดความเข้าใจอันดี และทัศนคติที่ดีต่อกันด้วย ซึ่งรัฐบาลไทยพร้อมให้การสนับสนุน
ประธานสมาคมนักหนังสือพิมพ์เวียดนามกล่าวว่าสมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งเวียดนามและสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากว่า 24 ปีแล้ว โดยมีกิจกรรมแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างสื่อมวลชนทั้งสองฝ่ายเป็นประจําทุกปี ซึ่งมีส่วนสําคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไทยและเวียดนามให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ในการนี้รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับเวียดนามต่อการเป็นประธานอาเซียนในปี 2563 รวมถึงการเป็นประธาน RCEP ด้วย ซึ่งไทยยินดีให้การสนับสนุน โดยเชื่อมั่นว่าเวียดนามจะสามารถผลักดันการเสริมสร้างเสถียรภาพ ความมั่นคง และพัฒนาความเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจ ให้แก่ภูมิภาคอาเซียนต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24862
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ พลเอก ประวิตร ฯ ขับเคลื่อนธนาคารน้ำใต้ดิน บรรเทาความรุนแรงภัยแล้ง น้ำท่วมขัง เร่งกระจายแหล่งน้ำขนาดเล็กทุกพื้นที่แก้ปัญหาน้ำอย่างยั่งยืน
|
วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2563
รองนายกฯ พลเอก ประวิตร ฯ ขับเคลื่อนธนาคารน้ําใต้ดิน บรรเทาความรุนแรงภัยแล้ง น้ําท่วมขัง เร่งกระจายแหล่งน้ําขนาดเล็กทุกพื้นที่แก้ปัญหาน้ําอย่างยั่งยืน
รองนายกฯ พลเอก ประวิตร ฯ ขับเคลื่อนธนาคารน้ําใต้ดิน บรรเทาความรุนแรงภัยแล้ง น้ําท่วมขัง เร่งกระจายแหล่งน้ําขนาดเล็กทุกพื้นที่แก้ปัญหาน้ําอย่างยั่งยืน
วันนี้ (17 กรกฎาคม 2563) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา ครั้งที่ 1/2563 โดยมี ดร.สมเกียรติ ประจําวงษ์ เลขาธิการสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ (สทนช.) และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการประชุมในวันนี้ เพื่อรับทราบแผนและโครงการภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา ด้านการพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ํา ให้ครบถ้วน สมบูรณ์ เพื่อขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมบยตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา 20 ปี โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการบริหารจัดการน้ําเพื่อการอุปโภค บริโภค น้ําเพื่อการเกษตร น้ําเพื่อเศรษฐกิจ พร้อมกําชับการบริหารจัดการน้ําใต้ดิน การขุดเจาะน้ําบาดาลโครงการ 1 ตําบล 1 แหล่งกักเก็บน้ํา ให้เป็นแหล่งเก็บน้ําเพื่ออุปโภคบริโภค เพื่อการเกษตรให้ครอบคลุมทุกตําบลทั่วประเทศ โดยรองนายกรัฐมนตรืให้ความสําคัญการใช้จ่ายงบประมาณต้องคุ้มค่า เพราะรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณจํานวนมากในแต่ละปี เพื่อแก้ปัญหาน้ําให้กับประชาชนทั่วประเทศ
โอกาศนี้ ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการโครงการจัดหาน้ําต้นทุนและแผนปฏิบัติการ ปี 2563 – 2566 จังหวัดภูเก็ต โดยให้ สทนช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทําแผนการจัดหาแหล่งน้ําและแผนการป้องกันอุทกภัยในพื้นที่เมืองเศรษฐกิจที่สําคัญ เนื่องจากการขยายตัวด้านการท่องเที่ยว และชุมชนเมือง โดยเห็นชอบแผนระยะสั้น 4 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพอ่างเก็บน้ําบางเหนียวดํา 2) โครงการระบบสูบผันน้ํา บ้านโคกโตนด-อ่างเก็บน้ําบางเหนียวดํา 3) โครงการบําบัดน้ําเสียมาผลิตน้ําประปา และ 4) โครงการพัฒนาระบบควบคุมบริหารจัดการน้ําพร้อมกันนี้ ที่ประชุมเห็นชอบคําสั่งแต่งตั้งคณะทํางานขับเคลื่อนโครงการธนาคารน้ําใต้ดิน โดยมีรองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานคณะทํางาน
เพื่อช่วยบรรเทาความรุนแรงภัยแล้ง น้ําท่วมขังให้กระจายไปทั่วทุกภูมิภาคในประเทศ แก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน ปรับประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสภาพพื้นที่ได้ ตามเป้าหมายของแผนแม่บทฯ 20 ปี ภายใต้แผนแม่บทยุทธศาสตร์ชาติ การบริหารจัดการน้ํา
ในช่วงท้าย รองนายกรัฐมนตรียั่งสั่งการให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นแจ้งองค์ปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ดําเนินการเติมน้ําใต้ดินในพื้นที่ที่เหมาะสมทั้งระบบ รวมทั้งให้ทุกหน่วยงานบูรณาการงานจัดทําระบบ Big data เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งข้อมูลด้านการเกษตรที่มีประสิทธิภาพอย่างครบวงจร
------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ พลเอก ประวิตร ฯ ขับเคลื่อนธนาคารน้ำใต้ดิน บรรเทาความรุนแรงภัยแล้ง น้ำท่วมขัง เร่งกระจายแหล่งน้ำขนาดเล็กทุกพื้นที่แก้ปัญหาน้ำอย่างยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2563
รองนายกฯ พลเอก ประวิตร ฯ ขับเคลื่อนธนาคารน้ําใต้ดิน บรรเทาความรุนแรงภัยแล้ง น้ําท่วมขัง เร่งกระจายแหล่งน้ําขนาดเล็กทุกพื้นที่แก้ปัญหาน้ําอย่างยั่งยืน
รองนายกฯ พลเอก ประวิตร ฯ ขับเคลื่อนธนาคารน้ําใต้ดิน บรรเทาความรุนแรงภัยแล้ง น้ําท่วมขัง เร่งกระจายแหล่งน้ําขนาดเล็กทุกพื้นที่แก้ปัญหาน้ําอย่างยั่งยืน
วันนี้ (17 กรกฎาคม 2563) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา ครั้งที่ 1/2563 โดยมี ดร.สมเกียรติ ประจําวงษ์ เลขาธิการสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ (สทนช.) และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการประชุมในวันนี้ เพื่อรับทราบแผนและโครงการภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา ด้านการพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ํา ให้ครบถ้วน สมบูรณ์ เพื่อขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมบยตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา 20 ปี โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการบริหารจัดการน้ําเพื่อการอุปโภค บริโภค น้ําเพื่อการเกษตร น้ําเพื่อเศรษฐกิจ พร้อมกําชับการบริหารจัดการน้ําใต้ดิน การขุดเจาะน้ําบาดาลโครงการ 1 ตําบล 1 แหล่งกักเก็บน้ํา ให้เป็นแหล่งเก็บน้ําเพื่ออุปโภคบริโภค เพื่อการเกษตรให้ครอบคลุมทุกตําบลทั่วประเทศ โดยรองนายกรัฐมนตรืให้ความสําคัญการใช้จ่ายงบประมาณต้องคุ้มค่า เพราะรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณจํานวนมากในแต่ละปี เพื่อแก้ปัญหาน้ําให้กับประชาชนทั่วประเทศ
โอกาศนี้ ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการโครงการจัดหาน้ําต้นทุนและแผนปฏิบัติการ ปี 2563 – 2566 จังหวัดภูเก็ต โดยให้ สทนช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทําแผนการจัดหาแหล่งน้ําและแผนการป้องกันอุทกภัยในพื้นที่เมืองเศรษฐกิจที่สําคัญ เนื่องจากการขยายตัวด้านการท่องเที่ยว และชุมชนเมือง โดยเห็นชอบแผนระยะสั้น 4 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพอ่างเก็บน้ําบางเหนียวดํา 2) โครงการระบบสูบผันน้ํา บ้านโคกโตนด-อ่างเก็บน้ําบางเหนียวดํา 3) โครงการบําบัดน้ําเสียมาผลิตน้ําประปา และ 4) โครงการพัฒนาระบบควบคุมบริหารจัดการน้ําพร้อมกันนี้ ที่ประชุมเห็นชอบคําสั่งแต่งตั้งคณะทํางานขับเคลื่อนโครงการธนาคารน้ําใต้ดิน โดยมีรองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานคณะทํางาน
เพื่อช่วยบรรเทาความรุนแรงภัยแล้ง น้ําท่วมขังให้กระจายไปทั่วทุกภูมิภาคในประเทศ แก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน ปรับประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสภาพพื้นที่ได้ ตามเป้าหมายของแผนแม่บทฯ 20 ปี ภายใต้แผนแม่บทยุทธศาสตร์ชาติ การบริหารจัดการน้ํา
ในช่วงท้าย รองนายกรัฐมนตรียั่งสั่งการให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นแจ้งองค์ปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ดําเนินการเติมน้ําใต้ดินในพื้นที่ที่เหมาะสมทั้งระบบ รวมทั้งให้ทุกหน่วยงานบูรณาการงานจัดทําระบบ Big data เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งข้อมูลด้านการเกษตรที่มีประสิทธิภาพอย่างครบวงจร
------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33456
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ แนะผู้มีรายได้น้อยวางแผนการใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ย้ำรัฐดูแลครบวงจร
|
วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม 2561
นายกฯ แนะผู้มีรายได้น้อยวางแผนการใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ย้ํารัฐดูแลครบวงจร
นายกฯ แนะผู้มีรายได้น้อยวางแผนการใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ย้ํารัฐดูแลครบวงจร
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แนะให้ผู้มีรายได้น้อยวางแผนการใช้จ่ายในช่วงปลายปีอย่างเหมาะสม เช่น ซื้อสินค้าที่จําเป็นสําหรับครอบครัว หรือใช้เป็นค่าเดินทางกลับภูมิลําเนา หลังรัฐบาลสนับสนุนค่าใช้จ่าย 500 บาท เข้า e-Money แล้ว ตั้งแต่ 8-10 ธ.ค.61 โดยสามารถกดเป็นเงินสดไปใช้จ่ายเมื่อใดก็ได้ ไม่จําเป็นต้องกดภายใน 3 วันนี้
"นายกฯ ย้ําว่า การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยจะต้องทําแบบครบวงจร ทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยการสนับสนุนค่าใช้จ่ายระยะสั้นเพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพนั้น มาจากความต้องการของประชาชนที่ได้สํารวจมา"
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สําหรับค่าเดินทางไปรักษาสุขภาพผู้สูงอายุ 1,000 บาท/คน จะเริ่มจ่ายตั้งแต่ 21 ธ.ค.61 ค่าเช่าบ้านผู้สูงอายุ 400 บาท/คน/เดือน ตั้งแต่ 12 ธ.ค.61 ส่วนค่าไฟฟ้าและค่าน้ํา ตั้งแต่ 18 ก.พ.62
"ท่านนายกฯ บอกด้วยว่า รัฐบาลทํามาตลอด 4 ปี เพื่อสร้างโอกาสในระยะยาวตั้งแต่ต้นน้ําถึงปลายน้ํา เช่น แก้หนี้นอกระบบ จัดสรรที่ทํากิน เกษตรแปลงใหญ่ ออกกฎหมายให้คนอยู่ร่วมกับป่า กฎหมายใช้ไม้มีค่าค้ําประกันทางธุรกิจ กฎหมายวิสาหกิจชุมชน กองทุนหมู่บ้าน พิโกไฟแนนซ์ แฟรนไชส์สร้างอาชีพ ตลาดประชารัฐ อีคอมเมิร์ซ ฯลฯ จึงอยากให้สังคมดูตรงนี้ด้วย"
...............................................
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ แนะผู้มีรายได้น้อยวางแผนการใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ย้ำรัฐดูแลครบวงจร
วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม 2561
นายกฯ แนะผู้มีรายได้น้อยวางแผนการใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ย้ํารัฐดูแลครบวงจร
นายกฯ แนะผู้มีรายได้น้อยวางแผนการใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ย้ํารัฐดูแลครบวงจร
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แนะให้ผู้มีรายได้น้อยวางแผนการใช้จ่ายในช่วงปลายปีอย่างเหมาะสม เช่น ซื้อสินค้าที่จําเป็นสําหรับครอบครัว หรือใช้เป็นค่าเดินทางกลับภูมิลําเนา หลังรัฐบาลสนับสนุนค่าใช้จ่าย 500 บาท เข้า e-Money แล้ว ตั้งแต่ 8-10 ธ.ค.61 โดยสามารถกดเป็นเงินสดไปใช้จ่ายเมื่อใดก็ได้ ไม่จําเป็นต้องกดภายใน 3 วันนี้
"นายกฯ ย้ําว่า การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยจะต้องทําแบบครบวงจร ทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยการสนับสนุนค่าใช้จ่ายระยะสั้นเพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพนั้น มาจากความต้องการของประชาชนที่ได้สํารวจมา"
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สําหรับค่าเดินทางไปรักษาสุขภาพผู้สูงอายุ 1,000 บาท/คน จะเริ่มจ่ายตั้งแต่ 21 ธ.ค.61 ค่าเช่าบ้านผู้สูงอายุ 400 บาท/คน/เดือน ตั้งแต่ 12 ธ.ค.61 ส่วนค่าไฟฟ้าและค่าน้ํา ตั้งแต่ 18 ก.พ.62
"ท่านนายกฯ บอกด้วยว่า รัฐบาลทํามาตลอด 4 ปี เพื่อสร้างโอกาสในระยะยาวตั้งแต่ต้นน้ําถึงปลายน้ํา เช่น แก้หนี้นอกระบบ จัดสรรที่ทํากิน เกษตรแปลงใหญ่ ออกกฎหมายให้คนอยู่ร่วมกับป่า กฎหมายใช้ไม้มีค่าค้ําประกันทางธุรกิจ กฎหมายวิสาหกิจชุมชน กองทุนหมู่บ้าน พิโกไฟแนนซ์ แฟรนไชส์สร้างอาชีพ ตลาดประชารัฐ อีคอมเมิร์ซ ฯลฯ จึงอยากให้สังคมดูตรงนี้ด้วย"
...............................................
สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17412
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การใช้สายชำระต่อจากผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือไม่ ??
|
วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม 2563
การใช้สายชําระต่อจากผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือไม่ ??
การใช้สายชําระต่อจากผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เสี่ยงติดเชื้อหรือไม่ ??
Q : การใช้สายชําระต่อจากผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือไม่ ??
A : มีความเป็นไปได้ เพราะสายชําระอาจมีเชื้อไวรัสโควิด-19 ติดอยู่ เมื่อใช้เสร็จให้ล้างมือทันทีและหมั่นทําความสะอาดห้องน้ําเป็นประจํา
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การใช้สายชำระต่อจากผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือไม่ ??
วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม 2563
การใช้สายชําระต่อจากผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือไม่ ??
การใช้สายชําระต่อจากผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เสี่ยงติดเชื้อหรือไม่ ??
Q : การใช้สายชําระต่อจากผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือไม่ ??
A : มีความเป็นไปได้ เพราะสายชําระอาจมีเชื้อไวรัสโควิด-19 ติดอยู่ เมื่อใช้เสร็จให้ล้างมือทันทีและหมั่นทําความสะอาดห้องน้ําเป็นประจํา
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30555
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.2 เปิดโครงการสัมมนาเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมที่ดิน 117 ปี
|
วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561
มท.2 เปิดโครงการสัมมนาเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมที่ดิน 117 ปี
มท.2 เปิดโครงการสัมมนาเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมที่ดิน 117 ปี
วันนี้ (17ก.พ.61) ที่โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในการเปิดงานสัมมนาผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กรมที่ดินในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมที่ดิน 117 ปี
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ส่งความปรารถนาดีมายังกรมที่ดินในโอกาสครบรอบ 117 ปีแห่งการสถาปนากรมที่ดิน และขอแสดงความยินดีแก่สํานักทะเบียนและเจ้าหน้าที่ผู้ได้รับรางวัลอันเป็นเกียรติประวัติของการรับราชการ ตลอดจน "ชาวดิน" ทุกคนที่ได้พัฒนาองค์กรและดําเนินการอย่างสร้างสรรค์เป็นประโยชน์สุขต่อประชาชน
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยได้แสดงความชื่นชมต่อกรมที่ดินที่ได้พัฒนาองค์กรโดยยึดหลักการบริหารภาครัฐแนวใหม่ และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานและพัฒนาระบบการบริหารและบริการ และการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนซึ่งแสดงให้เห็นว่ากรมที่ดินได้เดินไปสู่ประเทศไทย 4.0 มากขึ้น นอกจากนี้ กรมที่ดินยังมีบทบาทเป็นผู้ปิดทองหลังพระในหลายๆ นโยบายที่สําคัญของรัฐบาล เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษ การจัดที่ดินทํากิน และการสนับสนุนภารกิจของหน่วยงานอื่น ทั้งหมดนี้ขอให้มีการรักษามาตรฐานและขยายผลสู่ความเป็นเลิศต่อไป
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเน้นย้ําให้บุคลากรกรมที่ดินปฏิบัติงานโดยมองในภาพกว้าง ดังจะเห็นได้จากกฎหมายที่อยู่ในอํานาจหน้าที่ของกรมที่ดินมีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายอื่นๆ ในความรับผิดชอบของส่วนราชการอื่นอีกหลายฉบับ ดังนั้น ผู้บริหารต้องตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงให้เท่าทัน และพัฒนาปรับปรุงกฎหมายให้มีความสอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน ขณะเดียวกันผู้ปฏิบัติต้องสะท้อนสภาพปัญหาและเสนอแนะเชิงสร้างสรรค์ขึ้นมาให้ฝ่ายนโยบายได้รับทราบเพื่อดําเนินการพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่อไป
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ฝากให้บุคลากรกรมที่ดินสนับสนุนการดําเนินงานตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ซึ่งเป็นนโยบายสําคัญของรัฐบาล โดยขอให้สนับสนุนการดําเนินงานของผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอําเภอด้วย อีกทั้งได้ฝากหลักคิดการปฏิบัติงานโดยให้ชาวดินยึดถือพระราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่ว่า "งานราชการนั้นคืองานของแผ่นดิน" และให้เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริงโดยยึดหลักธรรมาภิบาลในการปฏิบัติงาน
สําหรับการจัดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมที่ดินในปีนี้ ประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ พิธีทําบุญตักบาตร การจัดนิทรรศการความก้าวหน้าในการปฏิบัติงานของกรมที่ดิน การมอบรางวัลสํานักทะเบียนที่ดินดีเด่นและเจ้าหน้าที่ผู้มีคุณธรรมจริยธรรมดีเด่น และการสัมมนารับมอบนโยบายจากผู้บริหารของกระทรวงมหาดไทยและกรมที่ดิน โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 1,000 คน.
ครั้งที่ 31/2561
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
โทร. 0-22224131-2
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.2 เปิดโครงการสัมมนาเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมที่ดิน 117 ปี
วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561
มท.2 เปิดโครงการสัมมนาเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมที่ดิน 117 ปี
มท.2 เปิดโครงการสัมมนาเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมที่ดิน 117 ปี
วันนี้ (17ก.พ.61) ที่โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในการเปิดงานสัมมนาผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กรมที่ดินในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมที่ดิน 117 ปี
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ส่งความปรารถนาดีมายังกรมที่ดินในโอกาสครบรอบ 117 ปีแห่งการสถาปนากรมที่ดิน และขอแสดงความยินดีแก่สํานักทะเบียนและเจ้าหน้าที่ผู้ได้รับรางวัลอันเป็นเกียรติประวัติของการรับราชการ ตลอดจน "ชาวดิน" ทุกคนที่ได้พัฒนาองค์กรและดําเนินการอย่างสร้างสรรค์เป็นประโยชน์สุขต่อประชาชน
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยได้แสดงความชื่นชมต่อกรมที่ดินที่ได้พัฒนาองค์กรโดยยึดหลักการบริหารภาครัฐแนวใหม่ และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานและพัฒนาระบบการบริหารและบริการ และการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนซึ่งแสดงให้เห็นว่ากรมที่ดินได้เดินไปสู่ประเทศไทย 4.0 มากขึ้น นอกจากนี้ กรมที่ดินยังมีบทบาทเป็นผู้ปิดทองหลังพระในหลายๆ นโยบายที่สําคัญของรัฐบาล เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษ การจัดที่ดินทํากิน และการสนับสนุนภารกิจของหน่วยงานอื่น ทั้งหมดนี้ขอให้มีการรักษามาตรฐานและขยายผลสู่ความเป็นเลิศต่อไป
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเน้นย้ําให้บุคลากรกรมที่ดินปฏิบัติงานโดยมองในภาพกว้าง ดังจะเห็นได้จากกฎหมายที่อยู่ในอํานาจหน้าที่ของกรมที่ดินมีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายอื่นๆ ในความรับผิดชอบของส่วนราชการอื่นอีกหลายฉบับ ดังนั้น ผู้บริหารต้องตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงให้เท่าทัน และพัฒนาปรับปรุงกฎหมายให้มีความสอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน ขณะเดียวกันผู้ปฏิบัติต้องสะท้อนสภาพปัญหาและเสนอแนะเชิงสร้างสรรค์ขึ้นมาให้ฝ่ายนโยบายได้รับทราบเพื่อดําเนินการพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่อไป
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ฝากให้บุคลากรกรมที่ดินสนับสนุนการดําเนินงานตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ซึ่งเป็นนโยบายสําคัญของรัฐบาล โดยขอให้สนับสนุนการดําเนินงานของผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอําเภอด้วย อีกทั้งได้ฝากหลักคิดการปฏิบัติงานโดยให้ชาวดินยึดถือพระราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่ว่า "งานราชการนั้นคืองานของแผ่นดิน" และให้เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริงโดยยึดหลักธรรมาภิบาลในการปฏิบัติงาน
สําหรับการจัดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมที่ดินในปีนี้ ประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ พิธีทําบุญตักบาตร การจัดนิทรรศการความก้าวหน้าในการปฏิบัติงานของกรมที่ดิน การมอบรางวัลสํานักทะเบียนที่ดินดีเด่นและเจ้าหน้าที่ผู้มีคุณธรรมจริยธรรมดีเด่น และการสัมมนารับมอบนโยบายจากผู้บริหารของกระทรวงมหาดไทยและกรมที่ดิน โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 1,000 คน.
ครั้งที่ 31/2561
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
โทร. 0-22224131-2
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10184
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. พม. กำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือ 2 ครอบครัวด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.ชลบุรี และฉะเชิงเทรา
|
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560
รมว. พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือ 2 ครอบครัวด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.ชลบุรี และฉะเชิงเทรา
รมว. พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือ 2 ครอบครัวด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.ชลบุรี และฉะเชิงเทรา
วันนี้ (4 พ.ค. 60) เวลา 08.15 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 623/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ว่า จากกรณี ชายวัย 37 ปี ป่วยหลายโรครุมเร้า ทั้งโรคธาลัสซีเมีย หัวใจล้มเหลว น้ําท่วมปอด ไม่สามารถนอนได้ ต้องนั่งหลับ และมีอาการบวมตามร่างกาย จนไม่สามารถใช้ชีวิตแบบคนปกติได้ ต้องให้ออกซิเจนตลอดเวลา ด้านภรรยาต้องลาออก จากงาน เพื่อมาอยู่ดูแลอย่างใกล้ชิด มีเพียงผู้เป็นแม่ ที่ต้องทํางานหาเลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียว ที่อําเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี และกรณีชายวัย 58 ปี ป่วยเป็นโรคมะเร็งผิวหนังระยะสุดท้าย มีก้อนฝีขนาดใหญ่ผุดขึ้นมาทั่วร่างกาย สร้างความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างมาก อาศัยเพียงลําพังกับภรรยา ที่ไม่ได้ประกอบอาชีพ เนื่องจากต้องอยู่ดูแลตนเองอย่างใกล้ชิด ครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาล ที่อําเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทั้ง 2 จังหวัด ได้แก่ พมจ.ชลบุรี และ พมจ.ฉะเชิงเทรา พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมทั้ง 2 ครอบครัว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว พร้อมให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ รวมทั้ง มอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้ง ประสานความร่วมมือกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยอย่างต่อเนื่อง รวมถึง การปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้ถูกสุขลักษณะ มีความมั่นคง และปลอดภัย อีกทั้ง การแนะนําให้คําปรึกษาในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงและเพียงพอ สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. พม. กำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือ 2 ครอบครัวด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.ชลบุรี และฉะเชิงเทรา
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560
รมว. พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือ 2 ครอบครัวด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.ชลบุรี และฉะเชิงเทรา
รมว. พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือ 2 ครอบครัวด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.ชลบุรี และฉะเชิงเทรา
วันนี้ (4 พ.ค. 60) เวลา 08.15 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 623/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ว่า จากกรณี ชายวัย 37 ปี ป่วยหลายโรครุมเร้า ทั้งโรคธาลัสซีเมีย หัวใจล้มเหลว น้ําท่วมปอด ไม่สามารถนอนได้ ต้องนั่งหลับ และมีอาการบวมตามร่างกาย จนไม่สามารถใช้ชีวิตแบบคนปกติได้ ต้องให้ออกซิเจนตลอดเวลา ด้านภรรยาต้องลาออก จากงาน เพื่อมาอยู่ดูแลอย่างใกล้ชิด มีเพียงผู้เป็นแม่ ที่ต้องทํางานหาเลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียว ที่อําเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี และกรณีชายวัย 58 ปี ป่วยเป็นโรคมะเร็งผิวหนังระยะสุดท้าย มีก้อนฝีขนาดใหญ่ผุดขึ้นมาทั่วร่างกาย สร้างความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างมาก อาศัยเพียงลําพังกับภรรยา ที่ไม่ได้ประกอบอาชีพ เนื่องจากต้องอยู่ดูแลตนเองอย่างใกล้ชิด ครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาล ที่อําเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทั้ง 2 จังหวัด ได้แก่ พมจ.ชลบุรี และ พมจ.ฉะเชิงเทรา พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมทั้ง 2 ครอบครัว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว พร้อมให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ รวมทั้ง มอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้ง ประสานความร่วมมือกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยอย่างต่อเนื่อง รวมถึง การปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้ถูกสุขลักษณะ มีความมั่นคง และปลอดภัย อีกทั้ง การแนะนําให้คําปรึกษาในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงและเพียงพอ สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3518
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เปิดตัวโครงการจัดทำยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579)
|
วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2560
กระทรวงเกษตรฯ เปิดตัวโครงการจัดทํายุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579)
กระทรวงเกษตรฯ เปิดตัวโครงการจัดทํายุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) หวังแก้ปัญหาในระดับโครงสร้าง พร้อมเพิ่มการใช้ยางในประเทศ ลดการส่งออกยางวัตถุดิบ เพื่อวางรากฐานให้อุตสาหกรรมยางพาราไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
นายเลิศวิโรจน์โกวัฒนะรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะทํางานจัดทํายุทธศาสตร์ยางพาราเปิดเผยว่า “ยางพารา”ถือเป็นพืชที่มีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยปัจจุบันประเทศไทยมีเนื้อที่ปลูกยางพาราประมาณ22ล้านไร่และสามารถผลิตยางธรรมชาติได้4.4ล้านตันโดยผลผลิตดังกล่าวได้สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรชาวสวนยางที่มีอยู่ประมาณ1.6ล้านครัวเรือนเป็นมูลค่าประมาณ3แสนล้านบาทก่อให้เกิดการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมประมาณ200,000คนและในแต่ละปี ยางธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ยาง สามารถสร้างรายได้จากการส่งออกให้กับประเทศไม่น้อยกว่า400,000ล้านบาท อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมยางพารามีปัญหาหลายประการได้แก่ยางพาราเป็นสินค้าที่ต้องพึ่งพาตลาดส่งออกเป็นหลักโดยยางพาราที่ผลิตได้ถูกนําไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ยางจากโรงงานที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยเพียงแค่ ร้อยละ14เท่านั้นส่วนที่เหลืออีกร้อยละ86ถูกส่งออกในรูปของยางที่เป็นวัตถุดิบและด้วยเหตุที่โครงสร้างตลาดยางพาราเป็นแบบผู้ซื้อน้อยรายในขณะที่มีผู้ขายจํานวนมากส่งผลทําให้ผู้ซื้อมีอํานาจต่อรองเหนือกว่าผู้ขายในขณะเดียวกันราคายางพาราที่ซื้อขายกันในตลาดโลกยังถูกกําหนดจากตลาดซื้อขายล่วงหน้าซึ่งกว่าร้อยละ90เป็นการเก็งกําไรส่งผลทําให้ราคายางพารามีความผันผวนค่อนข้างมาก
นายเลิศวิโรจน์กล่าวต่อไปว่านอกจากปัญหาเรื่องราคาตกต่ําแล้วการผลิตยางพาราของไทยยังมีต้นทุนสูงกว่าประเทศคู่แข่งส่งผลให้จําเป็นต้องตั้งราคาขายสูงกว่าคู่แข่งทําให้สูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันในขณะเดียวกันประเทศไทยมีพื้นที่สวนยางส่วนหนึ่งที่อยู่ในเขตป่าสงวนทําให้ประเทศผู้ซื้อโดยเฉพาะสหภาพยุโรปและประเทศญี่ปุ่นกําหนดมาตรการกีดกันการค้าในรูปแบบของการออกมาตรฐานด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมเช่นมาตรฐานFSCและPEFCซึ่งเป็นมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน
ดังนั้นกระทรวงเกษตรฯจึงจัดทําแผนยุทธศาสตร์ยางพารา20ปี(พ.ศ.2560-2579)เพื่อแก้ไขปัญหาในระดับโครงสร้างโดยเพิ่มการใช้ยางภายในประเทศพร้อมกับลดการส่งออกยางวัตถุดิบเพื่อวางรากฐานให้อุตสาหกรรมยางพาราของไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืนโดยร่างยุทธศาสตร์ดังกล่าวประกอบด้วย5ประเด็นยุทธศาสตร์19กลยุทธ์ย่อยโดยประเด็นยุทธศาสตร์ทั้ง5ประเด็นประกอบด้วย(1)การสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง(2)การเพิ่มประสิทธิภาพและการยกระดับคุณภาพและมาตรฐาน(3)การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม(4)การพัฒนาตลาดและช่องทางการจัดจําหน่ายและ(5) การพัฒนาปัจจัยสนับสนุน ทั้งนี้ ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี ได้กําหนดเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ไว้เป็น 4 ระยะๆละ 5 ปี โดยการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราในระยะ 1-5 ปีนั้นจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาระบบการผลิตให้มีประสิทธิภาพ การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราในระยะ 6-10 ปีจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาระบบตลาดทั้งในและต่างประเทศ ส่วนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราในระยะ 11-15 ปีจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนานวัตกรรมและอุตสาหกรรม และการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราในระยะ 16-20 ปี จะมุ่งเน้นไปที่การรันอินระบบให้ดําเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านดร.ธีธัชสุขสะอาดผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทยกล่าวว่าร่างยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ20ปีได้กําหนดวิสัยทัศน์ไว้ว่า“เป็นผู้นําของโลกในด้านการผลิตและการส่งออกยางธรรมชาติผลิตภัณฑ์ยางและผลิตภัณฑ์ไม้ยางพารา”โดยขั้นตอนที่จะดําเนินการต่อไปคือ การจัดทําประชาพิจารณ์ร่างยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ20ปีซึ่งได้กําหนดจัดขึ้นในวันอังคารที่12กันยายน2560 เวลา9.00-12.00น.ณห้องประชุมกันตังการยางแห่งประเทศไทยสํานักงานใหญ่ถนนบางขุนนนท์เขตบางกอกน้อยกรุงเทพฯโดยหลังจากจัดทําประชาพิจารณ์เสร็จเรียบร้อยแล้วคณะทํางานฯจะนําความคิดเห็นที่ได้ไปปรับปรุง“ร่างยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ20ปี”ให้เป็น“ยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ20ปี”ที่สมบูรณ์ก่อนที่จะนําเสนอต่อคณะอนุกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ยางพาราและกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ(กนย.)ต่อไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เปิดตัวโครงการจัดทำยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579)
วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2560
กระทรวงเกษตรฯ เปิดตัวโครงการจัดทํายุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579)
กระทรวงเกษตรฯ เปิดตัวโครงการจัดทํายุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) หวังแก้ปัญหาในระดับโครงสร้าง พร้อมเพิ่มการใช้ยางในประเทศ ลดการส่งออกยางวัตถุดิบ เพื่อวางรากฐานให้อุตสาหกรรมยางพาราไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
นายเลิศวิโรจน์โกวัฒนะรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะทํางานจัดทํายุทธศาสตร์ยางพาราเปิดเผยว่า “ยางพารา”ถือเป็นพืชที่มีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยปัจจุบันประเทศไทยมีเนื้อที่ปลูกยางพาราประมาณ22ล้านไร่และสามารถผลิตยางธรรมชาติได้4.4ล้านตันโดยผลผลิตดังกล่าวได้สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรชาวสวนยางที่มีอยู่ประมาณ1.6ล้านครัวเรือนเป็นมูลค่าประมาณ3แสนล้านบาทก่อให้เกิดการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมประมาณ200,000คนและในแต่ละปี ยางธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ยาง สามารถสร้างรายได้จากการส่งออกให้กับประเทศไม่น้อยกว่า400,000ล้านบาท อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมยางพารามีปัญหาหลายประการได้แก่ยางพาราเป็นสินค้าที่ต้องพึ่งพาตลาดส่งออกเป็นหลักโดยยางพาราที่ผลิตได้ถูกนําไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ยางจากโรงงานที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยเพียงแค่ ร้อยละ14เท่านั้นส่วนที่เหลืออีกร้อยละ86ถูกส่งออกในรูปของยางที่เป็นวัตถุดิบและด้วยเหตุที่โครงสร้างตลาดยางพาราเป็นแบบผู้ซื้อน้อยรายในขณะที่มีผู้ขายจํานวนมากส่งผลทําให้ผู้ซื้อมีอํานาจต่อรองเหนือกว่าผู้ขายในขณะเดียวกันราคายางพาราที่ซื้อขายกันในตลาดโลกยังถูกกําหนดจากตลาดซื้อขายล่วงหน้าซึ่งกว่าร้อยละ90เป็นการเก็งกําไรส่งผลทําให้ราคายางพารามีความผันผวนค่อนข้างมาก
นายเลิศวิโรจน์กล่าวต่อไปว่านอกจากปัญหาเรื่องราคาตกต่ําแล้วการผลิตยางพาราของไทยยังมีต้นทุนสูงกว่าประเทศคู่แข่งส่งผลให้จําเป็นต้องตั้งราคาขายสูงกว่าคู่แข่งทําให้สูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันในขณะเดียวกันประเทศไทยมีพื้นที่สวนยางส่วนหนึ่งที่อยู่ในเขตป่าสงวนทําให้ประเทศผู้ซื้อโดยเฉพาะสหภาพยุโรปและประเทศญี่ปุ่นกําหนดมาตรการกีดกันการค้าในรูปแบบของการออกมาตรฐานด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมเช่นมาตรฐานFSCและPEFCซึ่งเป็นมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน
ดังนั้นกระทรวงเกษตรฯจึงจัดทําแผนยุทธศาสตร์ยางพารา20ปี(พ.ศ.2560-2579)เพื่อแก้ไขปัญหาในระดับโครงสร้างโดยเพิ่มการใช้ยางภายในประเทศพร้อมกับลดการส่งออกยางวัตถุดิบเพื่อวางรากฐานให้อุตสาหกรรมยางพาราของไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืนโดยร่างยุทธศาสตร์ดังกล่าวประกอบด้วย5ประเด็นยุทธศาสตร์19กลยุทธ์ย่อยโดยประเด็นยุทธศาสตร์ทั้ง5ประเด็นประกอบด้วย(1)การสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง(2)การเพิ่มประสิทธิภาพและการยกระดับคุณภาพและมาตรฐาน(3)การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม(4)การพัฒนาตลาดและช่องทางการจัดจําหน่ายและ(5) การพัฒนาปัจจัยสนับสนุน ทั้งนี้ ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี ได้กําหนดเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ไว้เป็น 4 ระยะๆละ 5 ปี โดยการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราในระยะ 1-5 ปีนั้นจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาระบบการผลิตให้มีประสิทธิภาพ การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราในระยะ 6-10 ปีจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาระบบตลาดทั้งในและต่างประเทศ ส่วนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราในระยะ 11-15 ปีจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนานวัตกรรมและอุตสาหกรรม และการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ยางพาราในระยะ 16-20 ปี จะมุ่งเน้นไปที่การรันอินระบบให้ดําเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านดร.ธีธัชสุขสะอาดผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทยกล่าวว่าร่างยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ20ปีได้กําหนดวิสัยทัศน์ไว้ว่า“เป็นผู้นําของโลกในด้านการผลิตและการส่งออกยางธรรมชาติผลิตภัณฑ์ยางและผลิตภัณฑ์ไม้ยางพารา”โดยขั้นตอนที่จะดําเนินการต่อไปคือ การจัดทําประชาพิจารณ์ร่างยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ20ปีซึ่งได้กําหนดจัดขึ้นในวันอังคารที่12กันยายน2560 เวลา9.00-12.00น.ณห้องประชุมกันตังการยางแห่งประเทศไทยสํานักงานใหญ่ถนนบางขุนนนท์เขตบางกอกน้อยกรุงเทพฯโดยหลังจากจัดทําประชาพิจารณ์เสร็จเรียบร้อยแล้วคณะทํางานฯจะนําความคิดเห็นที่ได้ไปปรับปรุง“ร่างยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ20ปี”ให้เป็น“ยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ20ปี”ที่สมบูรณ์ก่อนที่จะนําเสนอต่อคณะอนุกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ยางพาราและกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ(กนย.)ต่อไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6567
|
รัฐบาลไทย-ศบศ. รับนโยบายนายกฯ เน้นการจ้างงาน สนับสนุนภาคธุรกิจ และรักษาเสถียรภาพทางการเงิน แพลนจัดทำแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทำ” หวังนายจ้างและลูกจ้างได้พบปะกัน
|
วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม 2563
ศบศ. รับนโยบายนายกฯ เน้นการจ้างงาน สนับสนุนภาคธุรกิจ และรักษาเสถียรภาพทางการเงิน แพลนจัดทําแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทํา” หวังนายจ้างและลูกจ้างได้พบปะกัน
ศบศ. รับนโยบายนายกฯ เน้นการจ้างงาน สนับสนุนภาคธุรกิจ และรักษาเสถียรภาพทางการเงิน แพลนจัดทําแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทํา” หวังนายจ้างและลูกจ้างได้พบปะกัน
วันนี้ (19 ส.ค. 63) เวลา 11.40 น. ณ ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายดนุชา พิชยนันท์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ นายสมิทธิ์ พนมยงค์ โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ แถลงผลการประชุม ผลการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ จากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ครั้งที่ 1/2563 สาระสําคัญ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยต่อความเดือดร้อนของประชาชนในทุกภาคส่วนทั้งด้านธุรกิจ ผู้ประกอบการและอาชีพอิสระ จึงจัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) ขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าหลังจากการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแล้ว ไทยยังคงมีเสถียรภาพอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวทางการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจทั้งระดับ Micro (ระดับพื้นที่) ซึ่งมอบหมายให้รัฐมนตรีรายกระทรวง ลงไปดูแลในระดับพื้นที่ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ดูแลแก้ไขปัญหาที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 รวมทั้งปัญหาเดิมที่มีอยู่แล้ว เช่น ภัยแล้ง สําหรับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจระดับ Macro (ระดับประเทศ) นั้น ศบศ. จะเป็นศูนย์ใหญ่ที่รับผิดชอบ โดยอาศัยความร่วมมือในทุกภาคส่วน ตามแนวทาง “รวมไทยสร้างชาติ” ซึ่งภายใต้ศูนย์นี้ ยังมีการทํางานของคณะอนุกรรมการอีก 3 ชุด เพื่อให้ครอบคลุมการดําเนินการทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวเพราะปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นผลพวงจากวิกฤตโควิด-19 ยังไม่มีวิธีการแก้ไขปัญหาที่แน่นอน การดําเนินการจึงต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง รอบคอบ ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์
นายสมิทธิ์ พนมยงค์ โฆษก ศบศ. ได้แถลงเพิ่มเติม เป้าหมายการทํางานของ ศบศ. คือ ลดการถดถอยทางเศรษฐกิจ ที่มีการประเมินในปีนี้ทั้งปีจะติดลบลดลงอยู่ที่ร้อยละ 7 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้มีการดําเนินการแล้วอย่าง เช่น โครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน”จะมีการปรับปรุงขอบเขตการใช้สิทธิ เช่น จากเดิม 5 คืน ต่อ 1 สิทธิ เป็น 10 คืน ต่อ 1 สิทธิ และปรับเพิ่มค่าโดยสารเครื่องบิน จากเดิม 1,000 บาท ปรับเป็น 2,000 บาท รวมทั้งขยายฐานการใช้สิทธิ สําหรับบริษัทขนาดใหญ่ ที่มีการจัดอบรม สัมมนา ท่องเที่ยวอยู่แล้ว ใช้ในโครงการ ฯ นี้ได้ นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ได้มีขยายคุณสมบัติของผู้ประกอบการในการขอสินเชื่อ (Soft Loan) เพื่อขยายขอบเขตทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่เข้าถึงสินเชื่อนั้นได้ เพื่อให้สามารถดําเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําเป้าหมายหลักแก่ ศบศ. คือ 1. การจ้างงาน 2. การสนับสนุนภาคธุรกิจ และ 3. การรักษาเสถียรภาพทางการเงิน
จากนั้น รองเลขาธิการสภาพัฒน์ฯ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมได้มีการเห็นชอบในหลักการ 4 เรื่องสําคัญ ได้แก่ 1. สนับสนุนการท่องเที่ยว ในโครงการ เราเที่ยวด้วยกัน โดยมีการปรับปรุงขยายสิทธิ และการช่วยเหลือค่าเครื่องบินเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเดินทางได้ไกลขึ้น และขยายวงกลุ่มเป้าหมายโดยเน้นให้ธุรกิจขนาดใหญ่สามารถใช้สิทธิในการจัดประชุมสัมมนา 2. สนับสนุนการดูแลภาคธุรกิจ SME ให้เข้าถึงได้มากขึ้น เพื่อให้มีสภาพคล่องและธุรกิจยังคงดําเนินต่อไปได้ 3. มาตรการจ้างงาน โดยเฉพาะบัณฑิตจบใหม่และผู้ที่กําลังตกงานโดยมีการทําแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทํา” โดยเน้นให้มีข้อมูลในรูปแบบ Big Data รวมศูนย์ข้อมูลเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้จ้างงานและผู้รับจ้างได้มีโอกาสเจอกันง่ายขึ้น และ 4. มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย
----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ศบศ. รับนโยบายนายกฯ เน้นการจ้างงาน สนับสนุนภาคธุรกิจ และรักษาเสถียรภาพทางการเงิน แพลนจัดทำแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทำ” หวังนายจ้างและลูกจ้างได้พบปะกัน
วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม 2563
ศบศ. รับนโยบายนายกฯ เน้นการจ้างงาน สนับสนุนภาคธุรกิจ และรักษาเสถียรภาพทางการเงิน แพลนจัดทําแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทํา” หวังนายจ้างและลูกจ้างได้พบปะกัน
ศบศ. รับนโยบายนายกฯ เน้นการจ้างงาน สนับสนุนภาคธุรกิจ และรักษาเสถียรภาพทางการเงิน แพลนจัดทําแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทํา” หวังนายจ้างและลูกจ้างได้พบปะกัน
วันนี้ (19 ส.ค. 63) เวลา 11.40 น. ณ ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายดนุชา พิชยนันท์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ นายสมิทธิ์ พนมยงค์ โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ แถลงผลการประชุม ผลการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ จากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ครั้งที่ 1/2563 สาระสําคัญ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยต่อความเดือดร้อนของประชาชนในทุกภาคส่วนทั้งด้านธุรกิจ ผู้ประกอบการและอาชีพอิสระ จึงจัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) ขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าหลังจากการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแล้ว ไทยยังคงมีเสถียรภาพอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวทางการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจทั้งระดับ Micro (ระดับพื้นที่) ซึ่งมอบหมายให้รัฐมนตรีรายกระทรวง ลงไปดูแลในระดับพื้นที่ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ดูแลแก้ไขปัญหาที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 รวมทั้งปัญหาเดิมที่มีอยู่แล้ว เช่น ภัยแล้ง สําหรับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจระดับ Macro (ระดับประเทศ) นั้น ศบศ. จะเป็นศูนย์ใหญ่ที่รับผิดชอบ โดยอาศัยความร่วมมือในทุกภาคส่วน ตามแนวทาง “รวมไทยสร้างชาติ” ซึ่งภายใต้ศูนย์นี้ ยังมีการทํางานของคณะอนุกรรมการอีก 3 ชุด เพื่อให้ครอบคลุมการดําเนินการทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวเพราะปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นผลพวงจากวิกฤตโควิด-19 ยังไม่มีวิธีการแก้ไขปัญหาที่แน่นอน การดําเนินการจึงต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง รอบคอบ ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์
นายสมิทธิ์ พนมยงค์ โฆษก ศบศ. ได้แถลงเพิ่มเติม เป้าหมายการทํางานของ ศบศ. คือ ลดการถดถอยทางเศรษฐกิจ ที่มีการประเมินในปีนี้ทั้งปีจะติดลบลดลงอยู่ที่ร้อยละ 7 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้มีการดําเนินการแล้วอย่าง เช่น โครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน”จะมีการปรับปรุงขอบเขตการใช้สิทธิ เช่น จากเดิม 5 คืน ต่อ 1 สิทธิ เป็น 10 คืน ต่อ 1 สิทธิ และปรับเพิ่มค่าโดยสารเครื่องบิน จากเดิม 1,000 บาท ปรับเป็น 2,000 บาท รวมทั้งขยายฐานการใช้สิทธิ สําหรับบริษัทขนาดใหญ่ ที่มีการจัดอบรม สัมมนา ท่องเที่ยวอยู่แล้ว ใช้ในโครงการ ฯ นี้ได้ นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ได้มีขยายคุณสมบัติของผู้ประกอบการในการขอสินเชื่อ (Soft Loan) เพื่อขยายขอบเขตทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่เข้าถึงสินเชื่อนั้นได้ เพื่อให้สามารถดําเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําเป้าหมายหลักแก่ ศบศ. คือ 1. การจ้างงาน 2. การสนับสนุนภาคธุรกิจ และ 3. การรักษาเสถียรภาพทางการเงิน
จากนั้น รองเลขาธิการสภาพัฒน์ฯ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมได้มีการเห็นชอบในหลักการ 4 เรื่องสําคัญ ได้แก่ 1. สนับสนุนการท่องเที่ยว ในโครงการ เราเที่ยวด้วยกัน โดยมีการปรับปรุงขยายสิทธิ และการช่วยเหลือค่าเครื่องบินเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเดินทางได้ไกลขึ้น และขยายวงกลุ่มเป้าหมายโดยเน้นให้ธุรกิจขนาดใหญ่สามารถใช้สิทธิในการจัดประชุมสัมมนา 2. สนับสนุนการดูแลภาคธุรกิจ SME ให้เข้าถึงได้มากขึ้น เพื่อให้มีสภาพคล่องและธุรกิจยังคงดําเนินต่อไปได้ 3. มาตรการจ้างงาน โดยเฉพาะบัณฑิตจบใหม่และผู้ที่กําลังตกงานโดยมีการทําแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทํา” โดยเน้นให้มีข้อมูลในรูปแบบ Big Data รวมศูนย์ข้อมูลเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้จ้างงานและผู้รับจ้างได้มีโอกาสเจอกันง่ายขึ้น และ 4. มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย
----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34340
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อาการแบบใดควรไปพบหมอ
|
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563
อาการแบบใดควรไปพบหมอ
#ไม่สบายไปพบหมอ
หอบและไอ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อาการแบบใดควรไปพบหมอ
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563
อาการแบบใดควรไปพบหมอ
#ไม่สบายไปพบหมอ
หอบและไอ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31421
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดา ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง 'สถาบันพระมหากษัตริย์กับความผูกพันของคนในชาติ' ให้แก่ ครูและนักเรียน กศน. ข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
|
วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม 2561
ม.ล.ปนัดดา ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง 'สถาบันพระมหากษัตริย์กับความผูกพันของคนในชาติ' ให้แก่ ครูและนักเรียน กศน. ข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ม.ล.ปนัดดา ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง 'สถาบันพระมหากษัตริย์กับความผูกพันของคนในชาติ' ให้แก่ครูและนักเรียน กศน. ข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐ น.
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม
ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง 'สถาบันพระมหากษัตริย์กับความผูกพันของคนในชาติ' ให้แก่ ครูและนักเรียน กศน.
ข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (๒๕ เขต) ที่เข้าร่วมโครงการประชารัฐ
ร่วมใจเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ รุ่นที่ ๑
ณ หอประชุม อาคารปฏิบัติการมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ
ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวตอนหนึ่งของการปาฐกถาพิเศษว่า : "พระบรมราโชวาทเป็นความศักดิ์สิทธิ์
ยังความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตบุคคลผู้มุ่งมั่นปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในเชิงบวกหรือความสุขความเจริญ
เกิดขึ้นแก่ชุมชนและสังคม หากเราทุกคนจักช่วยกันคนละไม้คนละมือในการครองตน ครองคน และครองงาน
ให้เป็นไปตามคําสอนของบรรพบุรุษไทย ไม่เล่นละครเข้าหากัน ไม่เสแสร้งแกล้งทํา ไม่สร้างภาพ
ไม่วางอํานาจบาตรใหญ่ ไม่ใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยอันเกินฐานะหรือความสามารถเฉพาะตัว
แต่กระทําไปเพียงเพื่อคุยโวโอ้อวดซึ่งเป็นอุปนิสัยอันไม่พึงประสงค์ของสังคม
มีความมานะในการเรียนรู้ถึงหลักการดําเนินชีวิตที่พอเพียงและเรียบง่าย (a simple life)
ไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น ไม่ลืมตัวหรือขาดความสม่ําเสมอ พระราชทานสอนถึงความเสมอต้นเสมอปลาย
ในความเป็นคนดีมีปัญญา มีความอ่อนน้อมถ่อมตนเข้าไว้ที่เป็นกําไรชีวิต เป็นสุภาพชน
เป็นแบบอย่างซึ่งกันและกัน แล้วมีหรือที่ผลลัพธ์ของการดําเนินชีวิตและตัวชี้วัดของชุมชนและสังคม
จะออกมาเป็นอย่างอื่น นอกจากความสําเร็จเป็นอันดับแรกในการดํารงชีวิตของตนและครอบครัว
ตามพระราชปณิธานของพระองค์ท่าน อันเป็นการก้าวเดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท
ในทางเจตคตินิยม เมื่อมองในทางกลับกัน การใช้ชีวิตที่เปรียบเสมือนการตามใจตนเอง
(a spoiled person) ชนิดหลงทิศหลงทางหรือความหลงลืมตัว เย่อหยิ่ง (be proud of oneself)
จนกลายเป็นความเสียคน ย่อมนํามาซึ่งความล้มเหลวในการดําเนินชีวิตอย่างไม่สมควรเกิดขึ้น"
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดา ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง 'สถาบันพระมหากษัตริย์กับความผูกพันของคนในชาติ' ให้แก่ ครูและนักเรียน กศน. ข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม 2561
ม.ล.ปนัดดา ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง 'สถาบันพระมหากษัตริย์กับความผูกพันของคนในชาติ' ให้แก่ ครูและนักเรียน กศน. ข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ม.ล.ปนัดดา ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง 'สถาบันพระมหากษัตริย์กับความผูกพันของคนในชาติ' ให้แก่ครูและนักเรียน กศน. ข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐ น.
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม
ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง 'สถาบันพระมหากษัตริย์กับความผูกพันของคนในชาติ' ให้แก่ ครูและนักเรียน กศน.
ข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (๒๕ เขต) ที่เข้าร่วมโครงการประชารัฐ
ร่วมใจเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ รุ่นที่ ๑
ณ หอประชุม อาคารปฏิบัติการมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ
ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวตอนหนึ่งของการปาฐกถาพิเศษว่า : "พระบรมราโชวาทเป็นความศักดิ์สิทธิ์
ยังความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตบุคคลผู้มุ่งมั่นปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในเชิงบวกหรือความสุขความเจริญ
เกิดขึ้นแก่ชุมชนและสังคม หากเราทุกคนจักช่วยกันคนละไม้คนละมือในการครองตน ครองคน และครองงาน
ให้เป็นไปตามคําสอนของบรรพบุรุษไทย ไม่เล่นละครเข้าหากัน ไม่เสแสร้งแกล้งทํา ไม่สร้างภาพ
ไม่วางอํานาจบาตรใหญ่ ไม่ใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยอันเกินฐานะหรือความสามารถเฉพาะตัว
แต่กระทําไปเพียงเพื่อคุยโวโอ้อวดซึ่งเป็นอุปนิสัยอันไม่พึงประสงค์ของสังคม
มีความมานะในการเรียนรู้ถึงหลักการดําเนินชีวิตที่พอเพียงและเรียบง่าย (a simple life)
ไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น ไม่ลืมตัวหรือขาดความสม่ําเสมอ พระราชทานสอนถึงความเสมอต้นเสมอปลาย
ในความเป็นคนดีมีปัญญา มีความอ่อนน้อมถ่อมตนเข้าไว้ที่เป็นกําไรชีวิต เป็นสุภาพชน
เป็นแบบอย่างซึ่งกันและกัน แล้วมีหรือที่ผลลัพธ์ของการดําเนินชีวิตและตัวชี้วัดของชุมชนและสังคม
จะออกมาเป็นอย่างอื่น นอกจากความสําเร็จเป็นอันดับแรกในการดํารงชีวิตของตนและครอบครัว
ตามพระราชปณิธานของพระองค์ท่าน อันเป็นการก้าวเดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท
ในทางเจตคตินิยม เมื่อมองในทางกลับกัน การใช้ชีวิตที่เปรียบเสมือนการตามใจตนเอง
(a spoiled person) ชนิดหลงทิศหลงทางหรือความหลงลืมตัว เย่อหยิ่ง (be proud of oneself)
จนกลายเป็นความเสียคน ย่อมนํามาซึ่งความล้มเหลวในการดําเนินชีวิตอย่างไม่สมควรเกิดขึ้น"
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13505
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาพิเศษ "การพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศสู่ Thailand 4.0"
|
วันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2561
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาพิเศษ "การพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศสู่ Thailand 4.0"
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาพิเศษ "การพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศสู่ Thailand 4.0" ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธีนี กรุงเทพฯ
วันนี้ (29 มกราคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและประธานคณะกรรมการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวเรื่อง "การพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศสู่ Thailand 4.0" ในงานสัมมนาทิศทางเศรษฐกิจในหัวข้อ "EEC ไม่มีไม่ได้" โดยมีเนื้อหาในตอนหนึ่งว่า“การขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศในยุคอุตสาหกรรม 4.0 จะไปสู่เป้าหมายร่วมกันได้ ทุกฝ่ายต้องตื่นตัวและวางแนวทางขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงของ โลกอนาคต ดังนั้น EEC จะเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญเพื่อการก้าวไปข้างหน้าของประเทศไทย”
โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในงาน และมีนายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ EEC พร้อมทั้งผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและเอกชน ร่วมเป็นเกียรติ ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธีนี กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาพิเศษ "การพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศสู่ Thailand 4.0"
วันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2561
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาพิเศษ "การพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศสู่ Thailand 4.0"
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาพิเศษ "การพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศสู่ Thailand 4.0" ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธีนี กรุงเทพฯ
วันนี้ (29 มกราคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและประธานคณะกรรมการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวเรื่อง "การพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศสู่ Thailand 4.0" ในงานสัมมนาทิศทางเศรษฐกิจในหัวข้อ "EEC ไม่มีไม่ได้" โดยมีเนื้อหาในตอนหนึ่งว่า“การขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศในยุคอุตสาหกรรม 4.0 จะไปสู่เป้าหมายร่วมกันได้ ทุกฝ่ายต้องตื่นตัวและวางแนวทางขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงของ โลกอนาคต ดังนั้น EEC จะเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญเพื่อการก้าวไปข้างหน้าของประเทศไทย”
โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในงาน และมีนายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ EEC พร้อมทั้งผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและเอกชน ร่วมเป็นเกียรติ ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธีนี กรุงเทพฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9692
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"กระทรวงทรัพยากรฯ ร่วมใจ ต้านภัยโควิด -19 " [กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติเเละสิ่งเเวดล้อม]
|
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563
"กระทรวงทรัพยากรฯ ร่วมใจ ต้านภัยโควิด -19 " [กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติเเละสิ่งเเวดล้อม]
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบถุงยังชีพเพื่อบรรเทาทุกข์แก่พี่น้องประชาชนชุมชนวัดไผ่ตันและชุมชนใกล้เคียง ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด – 19
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบถุงยังชีพเพื่อบรรเทาทุกข์แก่พี่น้องประชาชนชุมชนวัดไผ่ตันและชุมชนใกล้เคียง ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด – 19
วันนี้ (29 เมษายน 2563) เวลาประมาณ 09.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําทีมคณะผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่สังกัดกระทรวงฯถวายอาหารปรุงสําเร็จ จํานวน 600 กล่อง แด่เจ้าอาวาสวัดไผ่ตันเพื่อนําไปแจกจ่ายให้ประชาชน ณ ศาลาอเนกประสงค์ วัดไผ่ตัน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร อีกทั้งมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยโควิด – 19 อาทิ ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสําเร็จรูป อาหารกระป๋อง น้ํามันพืช น้ําปลา น้ําตาล น้ําพริก เจลล้างมือ ยาสีฟัน สบู่ ยารักษาโรคสามัญ เป็นต้น ให้แก่นางมานิตย์ จันทร์เพ็ญ ประธานชุมชนวัดไผ่ตัน จํานวน 250 ชุด เพื่อนําไปแจกจ่ายให้ประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ใกล้เคียง ณ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียนวัดไผ่ตัน ซอยประดิพัทธ์ 19จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยคณะ ลงพื้นที่เดินแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยโควิด – 19 ตามบ้านเรือนชุมชนวัดไผ่ตัน จํานวน 250 ชุด โดยมี นางมานิตย์ จันทร์เพ็ญ ประธานชุมชนวัดไผ่ตัน และนายสินธุ์ชัย บุญปักษ์ ผู้อํานวยการเขตพญาไท ให้การต้อนรับและอํานวยความสะดวกนําคณะผู้บริหารกระทรวงฯ เดินแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและบรรเทาความเดือนร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนชุมในพื้นที่ดังกล่าว
ทั้งนี้ ในการดําเนินการแจกถุงยังชีพให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด – 19 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะดําเนินการแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยโควิด – 19 และอาหารให้แก่พี่น้องประชาชนตามชุมชนบริเวณกระทรวงฯ หรือชุมชนที่ช่วยด้านสิ่งแวดล้อมทุกวันพุธ โดยจะเปลี่ยนชุนชนไปตามจุดต่าง ๆ ซึ่งถือหลักที่ว่า “พวกเรากระทรวงทรัพย์ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชาวบ้าน ไม่ทิ้งกัน เราจะผ่าน โควิด – 19 ไปด้วยกัน”
สําหรับการดําเนินงานก้าวต่อไป กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ร่วมกับเครือข่ายเพื่อความยั่งยืนแห่งประเทศไทย (TRBN) จัดทําโครงการ “ส่งพลาสติกกลับบ้าน” เพื่อรับมือวิกฤติขยะจากสถานการณ์วิกฤตโควิด – 19
ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอความร่วมมือประชาชนและผู้ประกอบการให้ใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกเท่าที่มีความจําเป็น อีกทั้งให้ ลด ละ เลิก ใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ตลอดจนขอความร่วมมือจากทุกคนร่วมกันคัดแยกขยะ เพื่อนําขยะกลับมารีไซเคิลและสร้างประโยชน์ใหม่อย่างมีคุณค่าอีกครั้ง ส่วนขยะอาหารและขยะหน้ากากอนามัยที่ใช้แล้วให้แยกขยะก่อนทิ้ง เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อให้กับพนักงานเก็บขยะและลดภาระบ่อฝังกลบต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"กระทรวงทรัพยากรฯ ร่วมใจ ต้านภัยโควิด -19 " [กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติเเละสิ่งเเวดล้อม]
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563
"กระทรวงทรัพยากรฯ ร่วมใจ ต้านภัยโควิด -19 " [กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติเเละสิ่งเเวดล้อม]
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบถุงยังชีพเพื่อบรรเทาทุกข์แก่พี่น้องประชาชนชุมชนวัดไผ่ตันและชุมชนใกล้เคียง ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด – 19
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบถุงยังชีพเพื่อบรรเทาทุกข์แก่พี่น้องประชาชนชุมชนวัดไผ่ตันและชุมชนใกล้เคียง ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด – 19
วันนี้ (29 เมษายน 2563) เวลาประมาณ 09.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําทีมคณะผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่สังกัดกระทรวงฯถวายอาหารปรุงสําเร็จ จํานวน 600 กล่อง แด่เจ้าอาวาสวัดไผ่ตันเพื่อนําไปแจกจ่ายให้ประชาชน ณ ศาลาอเนกประสงค์ วัดไผ่ตัน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร อีกทั้งมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยโควิด – 19 อาทิ ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสําเร็จรูป อาหารกระป๋อง น้ํามันพืช น้ําปลา น้ําตาล น้ําพริก เจลล้างมือ ยาสีฟัน สบู่ ยารักษาโรคสามัญ เป็นต้น ให้แก่นางมานิตย์ จันทร์เพ็ญ ประธานชุมชนวัดไผ่ตัน จํานวน 250 ชุด เพื่อนําไปแจกจ่ายให้ประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ใกล้เคียง ณ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียนวัดไผ่ตัน ซอยประดิพัทธ์ 19จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยคณะ ลงพื้นที่เดินแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยโควิด – 19 ตามบ้านเรือนชุมชนวัดไผ่ตัน จํานวน 250 ชุด โดยมี นางมานิตย์ จันทร์เพ็ญ ประธานชุมชนวัดไผ่ตัน และนายสินธุ์ชัย บุญปักษ์ ผู้อํานวยการเขตพญาไท ให้การต้อนรับและอํานวยความสะดวกนําคณะผู้บริหารกระทรวงฯ เดินแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและบรรเทาความเดือนร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนชุมในพื้นที่ดังกล่าว
ทั้งนี้ ในการดําเนินการแจกถุงยังชีพให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด – 19 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะดําเนินการแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยโควิด – 19 และอาหารให้แก่พี่น้องประชาชนตามชุมชนบริเวณกระทรวงฯ หรือชุมชนที่ช่วยด้านสิ่งแวดล้อมทุกวันพุธ โดยจะเปลี่ยนชุนชนไปตามจุดต่าง ๆ ซึ่งถือหลักที่ว่า “พวกเรากระทรวงทรัพย์ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชาวบ้าน ไม่ทิ้งกัน เราจะผ่าน โควิด – 19 ไปด้วยกัน”
สําหรับการดําเนินงานก้าวต่อไป กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ร่วมกับเครือข่ายเพื่อความยั่งยืนแห่งประเทศไทย (TRBN) จัดทําโครงการ “ส่งพลาสติกกลับบ้าน” เพื่อรับมือวิกฤติขยะจากสถานการณ์วิกฤตโควิด – 19
ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอความร่วมมือประชาชนและผู้ประกอบการให้ใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกเท่าที่มีความจําเป็น อีกทั้งให้ ลด ละ เลิก ใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ตลอดจนขอความร่วมมือจากทุกคนร่วมกันคัดแยกขยะ เพื่อนําขยะกลับมารีไซเคิลและสร้างประโยชน์ใหม่อย่างมีคุณค่าอีกครั้ง ส่วนขยะอาหารและขยะหน้ากากอนามัยที่ใช้แล้วให้แยกขยะก่อนทิ้ง เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อให้กับพนักงานเก็บขยะและลดภาระบ่อฝังกลบต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29962
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋” ขอบคุณ เมียนมาร์ พิสูจน์สัญชาติ เสร็จครบ 100 % พร้อมย้ำ 1 ก.ค.61 ตรวจเข้มต่างด้าว
|
วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561
“บิ๊กอู๋” ขอบคุณ เมียนมาร์ พิสูจน์สัญชาติ เสร็จครบ 100 % พร้อมย้ํา 1 ก.ค.61 ตรวจเข้มต่างด้าว
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ขอบคุณเมียนมาร์ และนายจ้าง ที่พิสูจน์สัญชาติครบ100% เร่ง 13 จังหวัดที่เหลือ รีบดําเนินการให้เสร็จตามกําหนด ย้ํา พร้อมตรวจเข้มการทํางานของแรงงานต่างด้าว 1 กรกฎาคม 61
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า หลังจากที่กระทรวงแรงงานได้เปิดให้มีการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวกับประเทศต้นทาง นั้น พบว่า ขณะนี้ทางการเมียนมาร์ได้พิสูจน์สัญชาติครบแล้ว จึงขอขอบคุณทางการเมียนมาร์และนายจ้าง ที่ได้ดําเนินการแล้วเสร็จก่อนกําหนดที่ตั้งไว้ ส่วนกัมพูชา พบว่า ยังคงเหลือต้องเข้ารับการพิสูจน์สัญชาติ 22,770 คน ขณะที่ลาว ต้องเข้ารับการพิสูจน์สัญชาติ อีกจํานวน 5,614 คนจากจํานวนเป้าหมายแรงงานที่ต้องพิสูจน์สัญชาติ 134,491 คน กัมพูชา 104,457 คน ลาว 12,327 คน เมียนมา 17,707 คน ซึ่งขณะนี้ดําเนินการไปแล้ว 106,107 คน ส่วนการจัดทํา/ปรับปรุงทะเบียนประวัติ ตรวจลงตรา (วีซ่า) และขออนุญาตทํางาน ณ ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (OSS) ระยะที่สอง นั้น พบว่า ขณะนี้มีแรงงานที่คงเหลือ ต้องเข้าศูนย์ฯ อีกประมาณ 59,000 คน ซึ่งจากตัวเลขเป้าหมายทั้งหมดของแรงงานต่างด้าวที่ต้องดําเนินการฯ จํานวน 360,222 คน นั้น ขณะนี้ดําเนินการแล้ว 289,907 คน คิดเป็น 80.48% คงเหลือ 70,315 คน ซึ่งคาดว่าในจํานวน 70,000 คน บางส่วนได้ เปลี่ยนรูปแบบเป็น MOU และ Border pass ราว 17,000 คน คงเหลือ ที่ต้องดําเนินการแท้จริง ประมาณ 59,000 คน โดย 5 จังหวัดคงเหลือต้องเข้าพิสูจน์สัญชาติ ได้แก่ 1. กรุงเทพมหานคร 10,414 คน 2. ชลบุรี 9,828 คน 3. ตราด 3,599 คน 4. จันทบุรี 1,173 คน 5. สมุทรปราการ 410 คน ส่วน 13 จังหวัด คงเหลือแรงงานที่ต้องเร่งดําเนินการเข้าศูนย์ OSS ตามมติ ครม. 16 มกราคม 2561 ได้แก่ 1.กรุงเทพมหานคร 17,159 คน 2.ชลบุรี 12,763 คน 3.ปทุมธานี 7,691 คน 4.ตราด 4,646 คน 5.สมุทรปราการ 4,114 คน 6.ตาก 3,831 คน 7.ระยอง 2,998 คน 8.สุราษฎร์ธานี 1,305 คน 9.จันทบุรี 1,270 คน 10.ภูเก็ต 1,251 คน 11.ปราจีนบุรี 1,069 คน 12.สระแก้ว 1,018 คน และ13.อยุธยา 1,016 คน
รมว.แรงงาน กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้เหลือเวลาอีก 2 สัปดาห์เท่านั้น จึงขอให้นายจ้างเร่งพาแรงงานต่างด้าวไปดําเนินการให้ทันภายในกําหนด โดยกระทรวงแรงงานแขอยืนยันชัดเจนว่ารัฐบาลจะไม่มีการผ่อนปรน ไม่ขยายเวลาอย่างแน่นอน หากพ้น 30 มิถุนายน 2561 ยังไม่มาดําเนินการ แรงงานต่างด้าวจะไม่สามารถอยู่และทํางานต่อไปได้ซึ่ง หากแรงงานต่างด้าวที่มาดําเนินการไม่ทัน ขอให้กลับประเทศและกลับเข้ามาในรปแบบการนําเข้าตามระบบ MOU ทั้งนี้ ภายในช่วงสัปดาห์สุดท้ายจะมีแผนระดมกวาดล้างผู้กระทําผิดกฎหมายครั้งใหญ่ เริ่ม 1 กรกฎาคมนี้ หากพบคนต่างด้าวทํางานโดยไม่มีใบอนุญาตทํางานหรือทํางานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทําได้ จะมีโทษปรับ 5,000 – 50,000 บาท และเมื่อชําระค่าปรับแล้ว คนต่างด้าวจะถูกส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และห้ามขออนุญาตทํางานภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ได้รับโทษ ขณะเดียวกันนายจ้างที่จ้างคนต่างด้าวโดยไม่มีใบอนุญาตทํางานหรือทํางานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทําได้ จะมีโทษปรับ 10,000-100,000 บาทต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทําผิดซ้ําต้องมีโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทํางานเป็นเวลา 3 ปี แห่งพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
-------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/ กรมการจัดหางาน - ข้อมูล/15 มิถุนายน 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋” ขอบคุณ เมียนมาร์ พิสูจน์สัญชาติ เสร็จครบ 100 % พร้อมย้ำ 1 ก.ค.61 ตรวจเข้มต่างด้าว
วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561
“บิ๊กอู๋” ขอบคุณ เมียนมาร์ พิสูจน์สัญชาติ เสร็จครบ 100 % พร้อมย้ํา 1 ก.ค.61 ตรวจเข้มต่างด้าว
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ขอบคุณเมียนมาร์ และนายจ้าง ที่พิสูจน์สัญชาติครบ100% เร่ง 13 จังหวัดที่เหลือ รีบดําเนินการให้เสร็จตามกําหนด ย้ํา พร้อมตรวจเข้มการทํางานของแรงงานต่างด้าว 1 กรกฎาคม 61
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า หลังจากที่กระทรวงแรงงานได้เปิดให้มีการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวกับประเทศต้นทาง นั้น พบว่า ขณะนี้ทางการเมียนมาร์ได้พิสูจน์สัญชาติครบแล้ว จึงขอขอบคุณทางการเมียนมาร์และนายจ้าง ที่ได้ดําเนินการแล้วเสร็จก่อนกําหนดที่ตั้งไว้ ส่วนกัมพูชา พบว่า ยังคงเหลือต้องเข้ารับการพิสูจน์สัญชาติ 22,770 คน ขณะที่ลาว ต้องเข้ารับการพิสูจน์สัญชาติ อีกจํานวน 5,614 คนจากจํานวนเป้าหมายแรงงานที่ต้องพิสูจน์สัญชาติ 134,491 คน กัมพูชา 104,457 คน ลาว 12,327 คน เมียนมา 17,707 คน ซึ่งขณะนี้ดําเนินการไปแล้ว 106,107 คน ส่วนการจัดทํา/ปรับปรุงทะเบียนประวัติ ตรวจลงตรา (วีซ่า) และขออนุญาตทํางาน ณ ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (OSS) ระยะที่สอง นั้น พบว่า ขณะนี้มีแรงงานที่คงเหลือ ต้องเข้าศูนย์ฯ อีกประมาณ 59,000 คน ซึ่งจากตัวเลขเป้าหมายทั้งหมดของแรงงานต่างด้าวที่ต้องดําเนินการฯ จํานวน 360,222 คน นั้น ขณะนี้ดําเนินการแล้ว 289,907 คน คิดเป็น 80.48% คงเหลือ 70,315 คน ซึ่งคาดว่าในจํานวน 70,000 คน บางส่วนได้ เปลี่ยนรูปแบบเป็น MOU และ Border pass ราว 17,000 คน คงเหลือ ที่ต้องดําเนินการแท้จริง ประมาณ 59,000 คน โดย 5 จังหวัดคงเหลือต้องเข้าพิสูจน์สัญชาติ ได้แก่ 1. กรุงเทพมหานคร 10,414 คน 2. ชลบุรี 9,828 คน 3. ตราด 3,599 คน 4. จันทบุรี 1,173 คน 5. สมุทรปราการ 410 คน ส่วน 13 จังหวัด คงเหลือแรงงานที่ต้องเร่งดําเนินการเข้าศูนย์ OSS ตามมติ ครม. 16 มกราคม 2561 ได้แก่ 1.กรุงเทพมหานคร 17,159 คน 2.ชลบุรี 12,763 คน 3.ปทุมธานี 7,691 คน 4.ตราด 4,646 คน 5.สมุทรปราการ 4,114 คน 6.ตาก 3,831 คน 7.ระยอง 2,998 คน 8.สุราษฎร์ธานี 1,305 คน 9.จันทบุรี 1,270 คน 10.ภูเก็ต 1,251 คน 11.ปราจีนบุรี 1,069 คน 12.สระแก้ว 1,018 คน และ13.อยุธยา 1,016 คน
รมว.แรงงาน กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้เหลือเวลาอีก 2 สัปดาห์เท่านั้น จึงขอให้นายจ้างเร่งพาแรงงานต่างด้าวไปดําเนินการให้ทันภายในกําหนด โดยกระทรวงแรงงานแขอยืนยันชัดเจนว่ารัฐบาลจะไม่มีการผ่อนปรน ไม่ขยายเวลาอย่างแน่นอน หากพ้น 30 มิถุนายน 2561 ยังไม่มาดําเนินการ แรงงานต่างด้าวจะไม่สามารถอยู่และทํางานต่อไปได้ซึ่ง หากแรงงานต่างด้าวที่มาดําเนินการไม่ทัน ขอให้กลับประเทศและกลับเข้ามาในรปแบบการนําเข้าตามระบบ MOU ทั้งนี้ ภายในช่วงสัปดาห์สุดท้ายจะมีแผนระดมกวาดล้างผู้กระทําผิดกฎหมายครั้งใหญ่ เริ่ม 1 กรกฎาคมนี้ หากพบคนต่างด้าวทํางานโดยไม่มีใบอนุญาตทํางานหรือทํางานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทําได้ จะมีโทษปรับ 5,000 – 50,000 บาท และเมื่อชําระค่าปรับแล้ว คนต่างด้าวจะถูกส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และห้ามขออนุญาตทํางานภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ได้รับโทษ ขณะเดียวกันนายจ้างที่จ้างคนต่างด้าวโดยไม่มีใบอนุญาตทํางานหรือทํางานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทําได้ จะมีโทษปรับ 10,000-100,000 บาทต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทําผิดซ้ําต้องมีโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทํางานเป็นเวลา 3 ปี แห่งพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
-------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/ กรมการจัดหางาน - ข้อมูล/15 มิถุนายน 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13082
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ เปิดศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 ITC ในพื้นที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 จ.สงขลา
|
วันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2561
รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ เปิดศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 ITC ในพื้นที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 จ.สงขลา
นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 (Industry Transformation Center : ITC 4.0) ในพื้นที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 จังหวัดสงขลา
เมื่อวันที่ 26 กันยายน 61 นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 (Industry Transformation Center : ITC 4.0) ในพื้นที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 จังหวัดสงขลา เพื่อเป็นศูนย์ส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการ SME และ OTOP ให้ก้าวเข้าสู่การเป็น SMEs 4.0 โดยมี นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติ และมี นายธีระ แก้วพิมล อุตสาหกรรมจังหวัดสงขลา ให้การต้อนรับ ณ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 จังหวัดสงขลา
โดยการดําเนินงานของศูนย์ ITC แห่งนี้ เป็นศูนย์กลางรวบรวมองค์ความรู้ เครื่องมือ เครื่องจักร สําหรับให้บริการผู้ประกอบการในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาจังหวัดภาคใต้ชายแดนที่มุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตร และอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป เพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลและเป็นการยกระดับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และวิสาหกิจชุมชน (OTOP) ในพื้นที่ดังกล่าวให้มีความเข้มแข็งและพัฒนาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในโลกปัจจุบัน
ศูนย์ ITC มีรูปแบบแนวคิดการดําเนินงาน คือ 1) Innovation Zone นําเสนอผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการพัฒนาจากโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และโครงการเพิ่มศักยภาพและยกระดับเทคโนโลยีอุตสาหกรรมเป้าหมายอาหารแปรรูป เครือข่าย มาตรฐานฮาลาล จํานวน ผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังได้นําเสนอผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการพัฒนาจากศูนย์การออกแบบและตรวจสอบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สาขาอาหาร) ต้นแบบ สถาบันอาหาร 2) Product Development Zone นําเสนอผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการพัฒนาจากโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ และการพิมพ์ และพัฒนารูปแบบบรรจุภัณฑ์ และโครงการเพิ่มผลิตภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสู่อุตสาหกรรม 4.0 รวมทั้งนําเสนอผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการพัฒนาจากหน่วยร่วมบริการต่าง ๆ 3) Big Brother and Networking Zone
สําหรับศูนย์ ITC แห่งนี้ ยังมีหน่วยงานและสถาบันเครือข่ายที่ร่วมให้บริการทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ได้แก่ 1. สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) 2. สถาบันอาหาร 3. สภาอุตสาหกรรมจังหวัดสงขลา 4. คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 5. อุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 6. ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 7. ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ มหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลา และ 8. ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่
นอกจากนี้ยังมีบริษัทเอกชนที่เข้าร่วมเป็น BIG BROTHERs กับทาง กระทรวงอุตสาหกรรม ได้แก่ บริษัท สมูทแพค จํากัด บริษัท ฟู้ด แมชชิน เนอรี่ จํากัด และบริษัท อินดิโก้ อินเตอร์ มีเดีย จํากัด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ เปิดศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 ITC ในพื้นที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 จ.สงขลา
วันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2561
รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ เปิดศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 ITC ในพื้นที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 จ.สงขลา
นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 (Industry Transformation Center : ITC 4.0) ในพื้นที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 จังหวัดสงขลา
เมื่อวันที่ 26 กันยายน 61 นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 (Industry Transformation Center : ITC 4.0) ในพื้นที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 จังหวัดสงขลา เพื่อเป็นศูนย์ส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการ SME และ OTOP ให้ก้าวเข้าสู่การเป็น SMEs 4.0 โดยมี นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติ และมี นายธีระ แก้วพิมล อุตสาหกรรมจังหวัดสงขลา ให้การต้อนรับ ณ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 จังหวัดสงขลา
โดยการดําเนินงานของศูนย์ ITC แห่งนี้ เป็นศูนย์กลางรวบรวมองค์ความรู้ เครื่องมือ เครื่องจักร สําหรับให้บริการผู้ประกอบการในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาจังหวัดภาคใต้ชายแดนที่มุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตร และอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป เพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลและเป็นการยกระดับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และวิสาหกิจชุมชน (OTOP) ในพื้นที่ดังกล่าวให้มีความเข้มแข็งและพัฒนาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในโลกปัจจุบัน
ศูนย์ ITC มีรูปแบบแนวคิดการดําเนินงาน คือ 1) Innovation Zone นําเสนอผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการพัฒนาจากโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และโครงการเพิ่มศักยภาพและยกระดับเทคโนโลยีอุตสาหกรรมเป้าหมายอาหารแปรรูป เครือข่าย มาตรฐานฮาลาล จํานวน ผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังได้นําเสนอผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการพัฒนาจากศูนย์การออกแบบและตรวจสอบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สาขาอาหาร) ต้นแบบ สถาบันอาหาร 2) Product Development Zone นําเสนอผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการพัฒนาจากโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ และการพิมพ์ และพัฒนารูปแบบบรรจุภัณฑ์ และโครงการเพิ่มผลิตภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสู่อุตสาหกรรม 4.0 รวมทั้งนําเสนอผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการพัฒนาจากหน่วยร่วมบริการต่าง ๆ 3) Big Brother and Networking Zone
สําหรับศูนย์ ITC แห่งนี้ ยังมีหน่วยงานและสถาบันเครือข่ายที่ร่วมให้บริการทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ได้แก่ 1. สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) 2. สถาบันอาหาร 3. สภาอุตสาหกรรมจังหวัดสงขลา 4. คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 5. อุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 6. ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 7. ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ มหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลา และ 8. ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่
นอกจากนี้ยังมีบริษัทเอกชนที่เข้าร่วมเป็น BIG BROTHERs กับทาง กระทรวงอุตสาหกรรม ได้แก่ บริษัท สมูทแพค จํากัด บริษัท ฟู้ด แมชชิน เนอรี่ จํากัด และบริษัท อินดิโก้ อินเตอร์ มีเดีย จํากัด
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15742
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ประชุมหาแนวทางเพื่อช่วยเหลือผู้พิทักษ์ป่า
|
วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม 2561
ทส. ประชุมหาแนวทางเพื่อช่วยเหลือผู้พิทักษ์ป่า
ทส. ประชุมหาแนวทางเพื่อช่วยเหลือผู้พิทักษ์ป่า
วันนี้ (8 มีนาคม 2561) พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมหาแนวทางเพื่อช่วยเหลือผู้พิทักษ์ป่าของหน่วยงานภายในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีพลเอก อรรถนพ ศิริศักดิ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ทส. เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 20 อาคารกรมควบคุมมลพิษ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ประชุมหาแนวทางเพื่อช่วยเหลือผู้พิทักษ์ป่า
วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม 2561
ทส. ประชุมหาแนวทางเพื่อช่วยเหลือผู้พิทักษ์ป่า
ทส. ประชุมหาแนวทางเพื่อช่วยเหลือผู้พิทักษ์ป่า
วันนี้ (8 มีนาคม 2561) พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมหาแนวทางเพื่อช่วยเหลือผู้พิทักษ์ป่าของหน่วยงานภายในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีพลเอก อรรถนพ ศิริศักดิ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ทส. เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 20 อาคารกรมควบคุมมลพิษ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10622
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม SportAccord Convention 2018
|
วันพุธที่ 31 พฤษภาคม 2560
ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม SportAccord Convention 2018
ระหว่างวันที่ 15 – 20 เมษายน 2561 ณ กรุงเทพมหานคร.
เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาและการแถลงข่าวการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม SportAccord Convention 2018 โดยมี นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, Mr. Stepan Fox รองประธาน SportAccord Concil, Mr. Nis Hatt กรรมการผู้จัดการ SportAccord Convention และนายสกล วรรณพงษ์ ผู้ว่าการ กกท. ร่วมงาน ณห้องประชุม ชั้น 25 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษาการกีฬาแห่งประเทศไทย
ในการนี้ รองนายกรัฐมนตรีฯ กล่าวว่า การเป็นเจ้าภาพการประชุม SportAccord Convention 2018 มีความสอดคล้องตามยุทธศาสตร์ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการใช้กีฬาแห่งโลกนําการท่องเที่ยวไทยสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ คือ การให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางจัดการประชุมทางการกีฬาระดับโลก ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น Sports Hub ของอาเซียน สนับสนุนกีฬาเพื่อความเป็นเลิศ กีฬาเพื่อมวลชน และกีฬาเพื่อการท่องเที่ยว เปิดโอกาสให้สมาคมกีฬาแห่งประเทศไทยได้แสดงศักยภาพให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ทั้งยังสร้างแรงจูงใจให้สหพันธ์กีฬานานาชาติเลือกประเทศไทยเป็นฐานที่ตั้งสํานักงานระดับภูมิภาคของตน ซึ่งจะทําให้ประเทศไทยพัฒนาไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางการกีฬาได้ในที่สุด
“วันนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่ผู้บริหารของ SportAccord Convention ได้มาเยือนประเทศไทย ได้เห็นการเตรียมการ และความพร้อมของประเทศไทยในการที่จะเป็นเจ้าภาพการประชุม ทั้งนี้ การที่คนกีฬาจากทั่วโลกเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อร่วมการประชุมดังกล่าว ถือเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทย ในการเป็นจุดหมายปลายทางด้านกีฬา “Sports Dream Destination” ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น พิธีลงนามสัญญาการเป็นเจ้าภาพอย่างเป็นทางการครั้งนี้ จะเป็นการเริ่มต้นการทํางานร่วมกันของประเทศไทย และ SportAccord Convention โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้แต่งตั้งคณะกรรมการอํานวยการจัดการประชุม SportAccord Convention 2018 ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิในวงการกีฬา ตลอดจนผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้ครอบคลุมการดําเนินงานทุกด้าน การเดินทางเยือนประเทศไทยของผู้บริหาร SportAccord Convention ในครั้งนี้ เป็นภารกิจแรกหลังการลงนามสัญญาการเป็นเจ้าภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสํารวจความพร้อม เยี่ยมชมสถานที่ และประชุมหารือกับคณะทํางานของประเทศไทย เพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกันถึงแนวทางการปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายตามมาตรฐานของ SportAccord Convention”
ทั้งนี้ ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม SportAccord Convention 2018 ระหว่างวันที่ 15 – 20 เมษายน 2561 ณ กรุงเทพมหานคร.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม SportAccord Convention 2018
วันพุธที่ 31 พฤษภาคม 2560
ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม SportAccord Convention 2018
ระหว่างวันที่ 15 – 20 เมษายน 2561 ณ กรุงเทพมหานคร.
เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาและการแถลงข่าวการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม SportAccord Convention 2018 โดยมี นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, Mr. Stepan Fox รองประธาน SportAccord Concil, Mr. Nis Hatt กรรมการผู้จัดการ SportAccord Convention และนายสกล วรรณพงษ์ ผู้ว่าการ กกท. ร่วมงาน ณห้องประชุม ชั้น 25 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษาการกีฬาแห่งประเทศไทย
ในการนี้ รองนายกรัฐมนตรีฯ กล่าวว่า การเป็นเจ้าภาพการประชุม SportAccord Convention 2018 มีความสอดคล้องตามยุทธศาสตร์ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการใช้กีฬาแห่งโลกนําการท่องเที่ยวไทยสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ คือ การให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางจัดการประชุมทางการกีฬาระดับโลก ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น Sports Hub ของอาเซียน สนับสนุนกีฬาเพื่อความเป็นเลิศ กีฬาเพื่อมวลชน และกีฬาเพื่อการท่องเที่ยว เปิดโอกาสให้สมาคมกีฬาแห่งประเทศไทยได้แสดงศักยภาพให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ทั้งยังสร้างแรงจูงใจให้สหพันธ์กีฬานานาชาติเลือกประเทศไทยเป็นฐานที่ตั้งสํานักงานระดับภูมิภาคของตน ซึ่งจะทําให้ประเทศไทยพัฒนาไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางการกีฬาได้ในที่สุด
“วันนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่ผู้บริหารของ SportAccord Convention ได้มาเยือนประเทศไทย ได้เห็นการเตรียมการ และความพร้อมของประเทศไทยในการที่จะเป็นเจ้าภาพการประชุม ทั้งนี้ การที่คนกีฬาจากทั่วโลกเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อร่วมการประชุมดังกล่าว ถือเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทย ในการเป็นจุดหมายปลายทางด้านกีฬา “Sports Dream Destination” ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น พิธีลงนามสัญญาการเป็นเจ้าภาพอย่างเป็นทางการครั้งนี้ จะเป็นการเริ่มต้นการทํางานร่วมกันของประเทศไทย และ SportAccord Convention โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้แต่งตั้งคณะกรรมการอํานวยการจัดการประชุม SportAccord Convention 2018 ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิในวงการกีฬา ตลอดจนผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้ครอบคลุมการดําเนินงานทุกด้าน การเดินทางเยือนประเทศไทยของผู้บริหาร SportAccord Convention ในครั้งนี้ เป็นภารกิจแรกหลังการลงนามสัญญาการเป็นเจ้าภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสํารวจความพร้อม เยี่ยมชมสถานที่ และประชุมหารือกับคณะทํางานของประเทศไทย เพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกันถึงแนวทางการปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายตามมาตรฐานของ SportAccord Convention”
ทั้งนี้ ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม SportAccord Convention 2018 ระหว่างวันที่ 15 – 20 เมษายน 2561 ณ กรุงเทพมหานคร.
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4164
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เตรียมรับมือปรับขึ้นค่าจ้าง 1 ม.ค 63
|
วันอังคารที่ 24 ธันวาคม 2562
กสร. เตรียมรับมือปรับขึ้นค่าจ้าง 1 ม.ค 63
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สั่งพนักงานตรวจแรงงานเร่งทําความเข้าใจนายจ้างลูกจ้างก่อนปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ํา 1 ม.ค. นี้ พร้อมตรวจติดตามหลังปรับขึ้นค่าจ้าง ย้ํานายจ้างต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง สงสัยโทร 1506 กด 3
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า ตามที่ครม. มีมติรับทราบประกาศคณะกรรมการค่าจ้างปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ําทั่วประเทศ ค่าจ้างขั้นต่ํามีการปรับเพิ่มขึ้นจํานวน 5 - 6 บาท โดยจะแตกต่างกันในแต่ละจังหวัด ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2563 เป็นต้นไปนั้น กสร. ได้สั่งการให้พนักงานตรวจแรงงานทั่วประเทศ เร่งลงพื้นที่เพื่อชี้แจง ทําความเข้าใจกับนายจ้าง ลูกจ้างให้รับทราบสิทธิหน้าที่ตามกฎหมาย และภายหลังจากค่าจ้างขั้นต่ําอัตราใหม่มีผลบังคับใช้แล้วพนักงานตรวจแรงงานจะเข้าไปตรวจติดตามการจ่ายค่าจ้างของสถานประกอบกิจการ หากพบว่าปฏิบัติไม่ถูกต้องพนักงานตรวจแรงงานจะดําเนินการออกคําสั่งให้จ่ายค่าจ้างให้ถูกต้องตามกฎหมายทันที
อธิบดีกสร. กล่าวต่อว่า ค่าจ้างขั้นต่ําเป็นอัตราค่าจ้างพื้นฐานสําหรับลูกจ้างที่เริ่มเข้าทํางาน สําหรับสถานประกอบกิจการที่มีการจ่ายค่าจ้างเท่ากับหรือมากกว่าที่อัตราค่าจ้างขั้นต่ําที่ปรับใหม่ถือว่าปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม นายจ้างอาจจะพิจารณาปรับค่าจ้างตามอัตราส่วนให้กับลูกจ้างที่ทํางานกับสถานประกอบกิจการมานานเพื่อเป็นขวัญและกําลังใจให้กับลูกจ้าง ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่กรุงเทพมหานคร 10 พื้นที่ หรือสายด่วน 1506 กด 3
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เตรียมรับมือปรับขึ้นค่าจ้าง 1 ม.ค 63
วันอังคารที่ 24 ธันวาคม 2562
กสร. เตรียมรับมือปรับขึ้นค่าจ้าง 1 ม.ค 63
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สั่งพนักงานตรวจแรงงานเร่งทําความเข้าใจนายจ้างลูกจ้างก่อนปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ํา 1 ม.ค. นี้ พร้อมตรวจติดตามหลังปรับขึ้นค่าจ้าง ย้ํานายจ้างต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง สงสัยโทร 1506 กด 3
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า ตามที่ครม. มีมติรับทราบประกาศคณะกรรมการค่าจ้างปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ําทั่วประเทศ ค่าจ้างขั้นต่ํามีการปรับเพิ่มขึ้นจํานวน 5 - 6 บาท โดยจะแตกต่างกันในแต่ละจังหวัด ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2563 เป็นต้นไปนั้น กสร. ได้สั่งการให้พนักงานตรวจแรงงานทั่วประเทศ เร่งลงพื้นที่เพื่อชี้แจง ทําความเข้าใจกับนายจ้าง ลูกจ้างให้รับทราบสิทธิหน้าที่ตามกฎหมาย และภายหลังจากค่าจ้างขั้นต่ําอัตราใหม่มีผลบังคับใช้แล้วพนักงานตรวจแรงงานจะเข้าไปตรวจติดตามการจ่ายค่าจ้างของสถานประกอบกิจการ หากพบว่าปฏิบัติไม่ถูกต้องพนักงานตรวจแรงงานจะดําเนินการออกคําสั่งให้จ่ายค่าจ้างให้ถูกต้องตามกฎหมายทันที
อธิบดีกสร. กล่าวต่อว่า ค่าจ้างขั้นต่ําเป็นอัตราค่าจ้างพื้นฐานสําหรับลูกจ้างที่เริ่มเข้าทํางาน สําหรับสถานประกอบกิจการที่มีการจ่ายค่าจ้างเท่ากับหรือมากกว่าที่อัตราค่าจ้างขั้นต่ําที่ปรับใหม่ถือว่าปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม นายจ้างอาจจะพิจารณาปรับค่าจ้างตามอัตราส่วนให้กับลูกจ้างที่ทํางานกับสถานประกอบกิจการมานานเพื่อเป็นขวัญและกําลังใจให้กับลูกจ้าง ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่กรุงเทพมหานคร 10 พื้นที่ หรือสายด่วน 1506 กด 3
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25420
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.ธนะศักดิ์ฯ ร่วมการซ้อมพิธียกพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรยอดพระเมรุมาศ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
|
วันพุธที่ 18 ตุลาคม 2560
รอง นรม.พล.อ.ธนะศักดิ์ฯ ร่วมการซ้อมพิธียกพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรยอดพระเมรุมาศ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
รอง นรม.พล.อ.ธนะศักดิ์ฯ ร่วมการซ้อมพิธียกพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรยอดพระเมรุมาศ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ทุกอย่างเป็นไปด้วยความปลอดภัย โดยเป็นการซักซ้อมที่สมบูรณ์แบบ พร้อมสําหรับพิธีการในวันพรุ่งนี้ (18 ตุลาคม 2560)
วันนี้ (17 ตุลาคม 2560) เวลา 17.00 น. พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการฝ่ายจัดสร้างพระเมรุมาศ สิ่งปลูกสร้างประกอบพระเมรุมาศ และบูรณะปฏิสังขรณ์ ราชรถและพระยานมาศ ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตรร่วมการซ้อมพิธียกพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรยอดพระเมรุมาศ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า วันนี้ถือว่าการซักซ้อมเป็นไปด้วยดี ซึ่งเป็นฉัตรจําลอง มีขนาดและน้ําหนักเท่าของจริง ซึ่งมีขนาด 510 เซ็นติเมตร น้ําหนักประมาณ 80 กิโลกรัม ใช้เวลาในการยกพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร (จําลอง) ทั้งสิ้นประมาณ 3 นาที
ทั้งนี้ จะมีการเชิญพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร จากสํานักพระราชวังมายังพระเมรุมาศ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ในช่วงเวลา 05.00 น. ของวันพรุ่งนี้ (18 ตุลาคม 2560) ซึ่งคาดว่าพรุ่งนี้ในช่วงเย็นอาจจะมีเมฆและฝนตกตามคําพยากรณ์อากาศ และวันนี้เป็นการซักซ้อมที่สามารถรองรับกับสถานการณ์จริงได้ โดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ และทุกอย่างเป็นไปด้วยความปลอดภัย อีกทั้งเป็นการซักซ้อมที่สมบูรณ์แบบ โดยไม่เป็นปัญหาใด ๆ ถึงแม้อาจจะเป็นการซ้อมพิธีในช่วงเวลากลางคืน แต่พร้อมสําหรับพิธีการในวันพรุ่งนี้ (18 ตุลาคม 2560)
พร้อมกันนี้ ในวันพรุ่งนี้พระเมรุมาศจะเสร็จสมบูรณ์แบบ (ในทางราชการ) โดยจะนํานั่งร้านออกทั้งหมดในช่วงเวลากลางคืนเป็นต้นไป โดยจะเชิญสื่อมวลชนถ่ายภาพพระเมรุมาศอีกครั้งในวันที่ 20 ตุลาคม 2560 เพื่อให้สื่อมวลชนนําภาพที่เสร็จพร้อมสมบูรณ์ไปใช้ในงานด้านสื่อสารมวลชน เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างสมพระเกียรติ
..........................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.ธนะศักดิ์ฯ ร่วมการซ้อมพิธียกพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรยอดพระเมรุมาศ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
วันพุธที่ 18 ตุลาคม 2560
รอง นรม.พล.อ.ธนะศักดิ์ฯ ร่วมการซ้อมพิธียกพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรยอดพระเมรุมาศ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
รอง นรม.พล.อ.ธนะศักดิ์ฯ ร่วมการซ้อมพิธียกพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรยอดพระเมรุมาศ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ทุกอย่างเป็นไปด้วยความปลอดภัย โดยเป็นการซักซ้อมที่สมบูรณ์แบบ พร้อมสําหรับพิธีการในวันพรุ่งนี้ (18 ตุลาคม 2560)
วันนี้ (17 ตุลาคม 2560) เวลา 17.00 น. พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการฝ่ายจัดสร้างพระเมรุมาศ สิ่งปลูกสร้างประกอบพระเมรุมาศ และบูรณะปฏิสังขรณ์ ราชรถและพระยานมาศ ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตรร่วมการซ้อมพิธียกพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรยอดพระเมรุมาศ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า วันนี้ถือว่าการซักซ้อมเป็นไปด้วยดี ซึ่งเป็นฉัตรจําลอง มีขนาดและน้ําหนักเท่าของจริง ซึ่งมีขนาด 510 เซ็นติเมตร น้ําหนักประมาณ 80 กิโลกรัม ใช้เวลาในการยกพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร (จําลอง) ทั้งสิ้นประมาณ 3 นาที
ทั้งนี้ จะมีการเชิญพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร จากสํานักพระราชวังมายังพระเมรุมาศ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ในช่วงเวลา 05.00 น. ของวันพรุ่งนี้ (18 ตุลาคม 2560) ซึ่งคาดว่าพรุ่งนี้ในช่วงเย็นอาจจะมีเมฆและฝนตกตามคําพยากรณ์อากาศ และวันนี้เป็นการซักซ้อมที่สามารถรองรับกับสถานการณ์จริงได้ โดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ และทุกอย่างเป็นไปด้วยความปลอดภัย อีกทั้งเป็นการซักซ้อมที่สมบูรณ์แบบ โดยไม่เป็นปัญหาใด ๆ ถึงแม้อาจจะเป็นการซ้อมพิธีในช่วงเวลากลางคืน แต่พร้อมสําหรับพิธีการในวันพรุ่งนี้ (18 ตุลาคม 2560)
พร้อมกันนี้ ในวันพรุ่งนี้พระเมรุมาศจะเสร็จสมบูรณ์แบบ (ในทางราชการ) โดยจะนํานั่งร้านออกทั้งหมดในช่วงเวลากลางคืนเป็นต้นไป โดยจะเชิญสื่อมวลชนถ่ายภาพพระเมรุมาศอีกครั้งในวันที่ 20 ตุลาคม 2560 เพื่อให้สื่อมวลชนนําภาพที่เสร็จพร้อมสมบูรณ์ไปใช้ในงานด้านสื่อสารมวลชน เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างสมพระเกียรติ
..........................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7471
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-HKTDC พร้อมสนับสนุนความร่วมมือ ไทย – ฮ่องกง ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น
|
วันพุธที่ 24 กรกฎาคม 2562
HKTDC พร้อมสนับสนุนความร่วมมือ ไทย – ฮ่องกง ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น
HKTDC พร้อมสนับสนุนความร่วมมือ ไทย – ฮ่องกง ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น
วันนี้ (24 กรกฎาคม 2562) เวลา 14.30 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายปีเตอร์ หล่ํา (Mr. Peter Lam) ประธานองค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (Hong Kong Trade Development Council: HKTDC) และคณะเข้าเยี่ยมคารวะ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางเยือนไทย สรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับประธาน HKTDC และคณะนักธุรกิจชั้นนําจากฮ่องกง พร้อมแสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับตําแหน่งประธานองค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวย้ําว่ารัฐบาลยืนยันให้ความสําคัญในการดําเนินนโยบาย โดยเฉพาะในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) และเห็นว่าความร่วมมือระหว่าง ไทย จีน และฮ่องกง ยังมีโอกาสร่วมมือกันอีกมาก
ด้านประธาน HKTDC ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีที่ตอบรับคําเชิญเยือนฮ่องกงในเดือนตุลาคมนี้ โดยฮ่องกงพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการ Startup และ SMEs ยุคใหม่ของไทย โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ การเสริมสร้างสมรรถนะหุ้นส่วนความร่วมมือระหว่างกลุ่ม อุตสาหกรรม การส่งเสริมความร่วมมือกับตลาดต่างประเทศ และการให้ความช่วยเหลือ Startups และ SMEs รวมถึงการพัฒนาบุคลากรและการถ่ายทอดเทคโนโลยี
ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ความร่วมมือระหว่างไทย - ฮ่องกงมีพลวัตมากขึ้น โดยไทยพร้อมที่จะร่วมมือ และเป็นประตูเชื่อมโยงระหว่างอาเซียนกับเขตอ่าวกวางตุ้ง - ฮ่องกง - มาเก๊า (Guangdong - Hong Kong - Macao Greater Bay Area: GBA) ผ่านข้อริเริ่ม “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative: BRI) โดยรองนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า HKTDC จะมีบทบาทสําคัญในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยกับฮ่องกงให้เกิดผลเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น และสนับสนุนการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค โดยเฉพาะการส่งเสริมความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การเงิน เทคโนโลยีและนวัตกรรม และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนสาขาความร่วมมืออื่น ๆ ที่ไทยและฮ่องกงมีศักยภาพ
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องในการจัดตั้งคณะทํางานระดับสูงร่วมกัน เพื่อสานต่อความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์เพื่อความร่วมมืออันเป็นรูปธรรมในหลายด้าน ได้แก่ ตลาดเงิน ตลาดทุน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ดิจิทัล และ Startup และ SMEs
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-HKTDC พร้อมสนับสนุนความร่วมมือ ไทย – ฮ่องกง ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น
วันพุธที่ 24 กรกฎาคม 2562
HKTDC พร้อมสนับสนุนความร่วมมือ ไทย – ฮ่องกง ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น
HKTDC พร้อมสนับสนุนความร่วมมือ ไทย – ฮ่องกง ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น
วันนี้ (24 กรกฎาคม 2562) เวลา 14.30 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายปีเตอร์ หล่ํา (Mr. Peter Lam) ประธานองค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (Hong Kong Trade Development Council: HKTDC) และคณะเข้าเยี่ยมคารวะ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางเยือนไทย สรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับประธาน HKTDC และคณะนักธุรกิจชั้นนําจากฮ่องกง พร้อมแสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับตําแหน่งประธานองค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวย้ําว่ารัฐบาลยืนยันให้ความสําคัญในการดําเนินนโยบาย โดยเฉพาะในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) และเห็นว่าความร่วมมือระหว่าง ไทย จีน และฮ่องกง ยังมีโอกาสร่วมมือกันอีกมาก
ด้านประธาน HKTDC ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีที่ตอบรับคําเชิญเยือนฮ่องกงในเดือนตุลาคมนี้ โดยฮ่องกงพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการ Startup และ SMEs ยุคใหม่ของไทย โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ การเสริมสร้างสมรรถนะหุ้นส่วนความร่วมมือระหว่างกลุ่ม อุตสาหกรรม การส่งเสริมความร่วมมือกับตลาดต่างประเทศ และการให้ความช่วยเหลือ Startups และ SMEs รวมถึงการพัฒนาบุคลากรและการถ่ายทอดเทคโนโลยี
ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ความร่วมมือระหว่างไทย - ฮ่องกงมีพลวัตมากขึ้น โดยไทยพร้อมที่จะร่วมมือ และเป็นประตูเชื่อมโยงระหว่างอาเซียนกับเขตอ่าวกวางตุ้ง - ฮ่องกง - มาเก๊า (Guangdong - Hong Kong - Macao Greater Bay Area: GBA) ผ่านข้อริเริ่ม “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative: BRI) โดยรองนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า HKTDC จะมีบทบาทสําคัญในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยกับฮ่องกงให้เกิดผลเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น และสนับสนุนการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค โดยเฉพาะการส่งเสริมความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การเงิน เทคโนโลยีและนวัตกรรม และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนสาขาความร่วมมืออื่น ๆ ที่ไทยและฮ่องกงมีศักยภาพ
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องในการจัดตั้งคณะทํางานระดับสูงร่วมกัน เพื่อสานต่อความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์เพื่อความร่วมมืออันเป็นรูปธรรมในหลายด้าน ได้แก่ ตลาดเงิน ตลาดทุน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ดิจิทัล และ Startup และ SMEs
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21737
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แรงงานส่ง เจ้าหน้าที่ จ.ตาก เคลียร์ปัญหาแรงงานต่างด้าว กว่า 400 คน ร้องโรงงานเปิดกิจการ
|
วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2563
แรงงานส่ง เจ้าหน้าที่ จ.ตาก เคลียร์ปัญหาแรงงานต่างด้าว กว่า 400 คน ร้องโรงงานเปิดกิจการ
อธิบดีกรมการจัดหางาน ส่ง เจ้าหน้าที่กรมการจัดหางานร่วมกับหน่วยเกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงแรงงานเคลียร์แรงงานต่างด้าว ในจ.ตาก สัญชาติเมียนมา กว่า 400 คน รวมตัวเรียกร้องให้โรงงานเปิดแรงงานกลับเข้าทํางาน หลังสถานประกอบการหยุดกิจการชั่วคราวจากพิษโควิด – 19
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวถึงกรณีที่มีแรงงานต่างด้าว สัญชาติเมียนมา จํานวนกว่า 400 คน รวมตัวกันหน้า บริษัทคอร์ติน่า อีเกอร์ จํากัด หมู่ที่ 3 บ้านแม่ตาวใหม่ อําเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อเรียกร้องให้โรงงาน เปิดรับกลุ่มแรงงานกลับเข้าทํางานตามปกติ หลังจากสถานประกอบการได้หยุดกิจการชั่วคราว กว่า 2 เดือน เพราะพิษโควิด – 19 ทําให้แรงงาน ไม่มีงานทํา ไม่มีรายได้ ว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้ กรมการจัดหางาน ไม่นิ่งนอนใจ ได้ส่งเจ้าหน้าที่จากสํานักงานจัดหางานจังหวัดตาก ลงพื้นที่ ร่วมกับสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดตาก และสํานักงานประกันสังคมจังหวัดตาก ทันที เพื่อรับฟังปัญหา เจรจาและชี้แจงข้อกฎหมาย
จากการตรวจสอบ พบว่า ลูกจ้างแรงงานต่างด้าวประเภทกลุ่มเช้าไป-เย็นกลับ (มาตรา 64) ไม่ได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาตามมาตรา79/1 ของสํานักงานประกันสังคมจากการที่นายจ้างประกาศหยุดกิจการชั่วคราวเนื่องจากเหตุสุดวิสัยการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2563 - 30 กันยายน 2563 อีกทั้ง นายจ้างยังคงค้างจ่ายเงินค่าจ้างตามประกาศอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา ซึ่งแรงงานต่างด้าวได้เรียกร้องว่า หากนายจ้างประสงค์จะปิดกิจการขอให้นายจ้างจ่ายเงินค่าชดเชยตามกฎหมาย อย่างไรก็ดี จะมีการเจราจาหาข้อยุติร่วมกันระหว่างนายจ้าง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และองค์กรภาคเอกชน (MAP, LPN) อีกครั้งในวันที่ 11 สิงหาคม 2563 นี้ เวลา 09.00 น. ที่ บริษัทคอร์ติน่า อีเกอร์จํากัด
“ทันทีที่รับทราบเรื่อง กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะให้ความสําคัญกับแรงงานทุกคนที่เข้ามาทํางานในประเทศไทย คํานึงถึงหลักสิทธิมนุษชน การได้รับสิทธิความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานอย่างเท่าเทียมกันแรงงานต่างด้าวที่ทํางานอย่างถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทยจะได้รับความคุ้มครองและดูแลเหมือนเช่นคนไทย และเป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล ทั้งความคุ้มครองกรณีที่ได้รับความเสียหายจากการกระทําของนายจ้าง หรือผู้รับอนุญาตให้นําคนต่างด้าวเข้ามาทํางานไม่ปฏิบัติตามหน้าที่และความรับผิดชอบตามกฎหมาย ซึ่งสามารถร้องทุกข์ได้ ผ่านทาง สํานักงานจัดหางานจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือผ่านทางเพจ Facebook ของสํานักงานฯ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แทนการรวมตัวกัน หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงานโทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน นอกจากนี้แรงงานต่างด้าวที่ทํางานอย่างถูกกฎหมายในประเทศไทยยังจะได้รับประโยชน์จากสวัสดิการการประกันสังคม การประกันสุขภาพ การศึกษาและสังคม เพื่อให้สามารถทํางานอยู่ในประเทศไทยได้อย่างปกติสุข” นายสุชาติฯ กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แรงงานส่ง เจ้าหน้าที่ จ.ตาก เคลียร์ปัญหาแรงงานต่างด้าว กว่า 400 คน ร้องโรงงานเปิดกิจการ
วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2563
แรงงานส่ง เจ้าหน้าที่ จ.ตาก เคลียร์ปัญหาแรงงานต่างด้าว กว่า 400 คน ร้องโรงงานเปิดกิจการ
อธิบดีกรมการจัดหางาน ส่ง เจ้าหน้าที่กรมการจัดหางานร่วมกับหน่วยเกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงแรงงานเคลียร์แรงงานต่างด้าว ในจ.ตาก สัญชาติเมียนมา กว่า 400 คน รวมตัวเรียกร้องให้โรงงานเปิดแรงงานกลับเข้าทํางาน หลังสถานประกอบการหยุดกิจการชั่วคราวจากพิษโควิด – 19
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวถึงกรณีที่มีแรงงานต่างด้าว สัญชาติเมียนมา จํานวนกว่า 400 คน รวมตัวกันหน้า บริษัทคอร์ติน่า อีเกอร์ จํากัด หมู่ที่ 3 บ้านแม่ตาวใหม่ อําเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อเรียกร้องให้โรงงาน เปิดรับกลุ่มแรงงานกลับเข้าทํางานตามปกติ หลังจากสถานประกอบการได้หยุดกิจการชั่วคราว กว่า 2 เดือน เพราะพิษโควิด – 19 ทําให้แรงงาน ไม่มีงานทํา ไม่มีรายได้ ว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้ กรมการจัดหางาน ไม่นิ่งนอนใจ ได้ส่งเจ้าหน้าที่จากสํานักงานจัดหางานจังหวัดตาก ลงพื้นที่ ร่วมกับสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดตาก และสํานักงานประกันสังคมจังหวัดตาก ทันที เพื่อรับฟังปัญหา เจรจาและชี้แจงข้อกฎหมาย
จากการตรวจสอบ พบว่า ลูกจ้างแรงงานต่างด้าวประเภทกลุ่มเช้าไป-เย็นกลับ (มาตรา 64) ไม่ได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาตามมาตรา79/1 ของสํานักงานประกันสังคมจากการที่นายจ้างประกาศหยุดกิจการชั่วคราวเนื่องจากเหตุสุดวิสัยการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2563 - 30 กันยายน 2563 อีกทั้ง นายจ้างยังคงค้างจ่ายเงินค่าจ้างตามประกาศอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา ซึ่งแรงงานต่างด้าวได้เรียกร้องว่า หากนายจ้างประสงค์จะปิดกิจการขอให้นายจ้างจ่ายเงินค่าชดเชยตามกฎหมาย อย่างไรก็ดี จะมีการเจราจาหาข้อยุติร่วมกันระหว่างนายจ้าง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และองค์กรภาคเอกชน (MAP, LPN) อีกครั้งในวันที่ 11 สิงหาคม 2563 นี้ เวลา 09.00 น. ที่ บริษัทคอร์ติน่า อีเกอร์จํากัด
“ทันทีที่รับทราบเรื่อง กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะให้ความสําคัญกับแรงงานทุกคนที่เข้ามาทํางานในประเทศไทย คํานึงถึงหลักสิทธิมนุษชน การได้รับสิทธิความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานอย่างเท่าเทียมกันแรงงานต่างด้าวที่ทํางานอย่างถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทยจะได้รับความคุ้มครองและดูแลเหมือนเช่นคนไทย และเป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล ทั้งความคุ้มครองกรณีที่ได้รับความเสียหายจากการกระทําของนายจ้าง หรือผู้รับอนุญาตให้นําคนต่างด้าวเข้ามาทํางานไม่ปฏิบัติตามหน้าที่และความรับผิดชอบตามกฎหมาย ซึ่งสามารถร้องทุกข์ได้ ผ่านทาง สํานักงานจัดหางานจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือผ่านทางเพจ Facebook ของสํานักงานฯ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แทนการรวมตัวกัน หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงานโทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน นอกจากนี้แรงงานต่างด้าวที่ทํางานอย่างถูกกฎหมายในประเทศไทยยังจะได้รับประโยชน์จากสวัสดิการการประกันสังคม การประกันสุขภาพ การศึกษาและสังคม เพื่อให้สามารถทํางานอยู่ในประเทศไทยได้อย่างปกติสุข” นายสุชาติฯ กล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34005
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.และ รมว.กห. ขอให้เชื่อมั่น หนักแน่นและเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่วมผ่านวิกฤตโรคร้ายอย่างสวัสดิภาพไปด้วยกัน
|
วันอังคารที่ 7 เมษายน 2563
นรม.และ รมว.กห. ขอให้เชื่อมั่น หนักแน่นและเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่วมผ่านวิกฤตโรคร้ายอย่างสวัสดิภาพไปด้วยกัน
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า ฝ่ายความมั่นคงมีความกังวลกับสถานการณ์การบิดเบือนข้อมูล
การให้ข้อมูลอันเป็นเท็จและไม่สร้างสรรค์ที่มีมากขึ้นในปัจจุบัน ท่ามกลางวิกฤตสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID - 19 โดยอาจเกิดจากการได้รับข้อมูลไม่ถูกต้องครบถ้วน ความไม่ตั้งใจหรืออาจมีความตั้งใจต้องการเสียดสี โทษกันไปมา สร้างความโกรธเกลียด แตกแยกและไม่พอใจกันในสังคมก็ตาม ซึ่งการนําเสนอข้อมูลดังกล่าวผ่านสื่อต่างๆ ไม่เป็นผลดีอย่างมากและทําให้สถานการณ์เลวร้ายลง ท่ามกลางความพยายามและความตั้งใจของทุกภาคส่วน ที่กําลังร่วมกันนําพาประเทศและเพื่อนร่วมชีวิตทุกคนให้สามารถฝ่าวิกฤตภัยครั้งนี้
ฝ่ายความมั่นคง ขอทําความเข้าใจร่วมกันว่า รัฐบาลยังคงระบบบริหารราชการแผ่นดินปกติ
โดยการแก้ปัญหาวิกฤตโรคระบาด ผ่าน “ศูนย์บริหารสถานการณ์ COVID -19” นําโดย นรม. และ รมว.กห. เพื่อความเป็นเอกภาพในนโยบายและการบูรณาการขับเคลื่อนการทํางานเฉพาะกิจของทุกหน่วยงานร่วมกันในทุกมิติ โดยมีเป้าหมายต้องการผลสัมฤทธิ์สูงสุดในระยะเวลาที่กําหนด เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยและสวัสดิภาพของประชาชนทุกชีวิตในภาพรวม
ทั้งนี้ นโยบายจาก“ศูนย์บริหารสถานการณ์ COVID -19” ที่เกี่ยวข้องกับทุกหน่วยงาน จะถูกนําไปจัดทําแผนงาน โครงการและมาตรการต่างๆ รองรับ โดยมีงบประมาณรายจ่ายประจําปี 63 และงบกลางที่ผ่านการอนุมัติ ภายใต้การขับเคลื่อนงาน การกํากับดูแลและอํานวยการของ รอง นรม.และ รมต.ทุกท่าน
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และ รมว.กห. ได้กล่าวย้ําว่า การขับเคลื่อนประเทศฝ่าวิกฤตภัยโรคระบาดครั้งนี้ เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่บนความยากลําบากของประชาชนทุกชีวิต โดยมีความมุ่งหวังให้ประชาชนทุกคนต้องหนักแน่น มีความรับผิดชอบตนเองและสังคมมากขึ้น รวมทั้งให้ความร่วมมือกันทางสังคมอย่างแรงกล้า ด้วยความเข้าใจและวางใจกัน พร้อมขอให้เชื่อมั่นในระบบงานและตัวบุคคล ทั้งข้าราชการฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจํา เพื่อต่อสู้และผ่านวิกฤตโรคระบาดครั้งนี้ไปด้วยกันอย่างสวัสดิภาพ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.และ รมว.กห. ขอให้เชื่อมั่น หนักแน่นและเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่วมผ่านวิกฤตโรคร้ายอย่างสวัสดิภาพไปด้วยกัน
วันอังคารที่ 7 เมษายน 2563
นรม.และ รมว.กห. ขอให้เชื่อมั่น หนักแน่นและเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่วมผ่านวิกฤตโรคร้ายอย่างสวัสดิภาพไปด้วยกัน
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า ฝ่ายความมั่นคงมีความกังวลกับสถานการณ์การบิดเบือนข้อมูล
การให้ข้อมูลอันเป็นเท็จและไม่สร้างสรรค์ที่มีมากขึ้นในปัจจุบัน ท่ามกลางวิกฤตสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID - 19 โดยอาจเกิดจากการได้รับข้อมูลไม่ถูกต้องครบถ้วน ความไม่ตั้งใจหรืออาจมีความตั้งใจต้องการเสียดสี โทษกันไปมา สร้างความโกรธเกลียด แตกแยกและไม่พอใจกันในสังคมก็ตาม ซึ่งการนําเสนอข้อมูลดังกล่าวผ่านสื่อต่างๆ ไม่เป็นผลดีอย่างมากและทําให้สถานการณ์เลวร้ายลง ท่ามกลางความพยายามและความตั้งใจของทุกภาคส่วน ที่กําลังร่วมกันนําพาประเทศและเพื่อนร่วมชีวิตทุกคนให้สามารถฝ่าวิกฤตภัยครั้งนี้
ฝ่ายความมั่นคง ขอทําความเข้าใจร่วมกันว่า รัฐบาลยังคงระบบบริหารราชการแผ่นดินปกติ
โดยการแก้ปัญหาวิกฤตโรคระบาด ผ่าน “ศูนย์บริหารสถานการณ์ COVID -19” นําโดย นรม. และ รมว.กห. เพื่อความเป็นเอกภาพในนโยบายและการบูรณาการขับเคลื่อนการทํางานเฉพาะกิจของทุกหน่วยงานร่วมกันในทุกมิติ โดยมีเป้าหมายต้องการผลสัมฤทธิ์สูงสุดในระยะเวลาที่กําหนด เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยและสวัสดิภาพของประชาชนทุกชีวิตในภาพรวม
ทั้งนี้ นโยบายจาก“ศูนย์บริหารสถานการณ์ COVID -19” ที่เกี่ยวข้องกับทุกหน่วยงาน จะถูกนําไปจัดทําแผนงาน โครงการและมาตรการต่างๆ รองรับ โดยมีงบประมาณรายจ่ายประจําปี 63 และงบกลางที่ผ่านการอนุมัติ ภายใต้การขับเคลื่อนงาน การกํากับดูแลและอํานวยการของ รอง นรม.และ รมต.ทุกท่าน
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และ รมว.กห. ได้กล่าวย้ําว่า การขับเคลื่อนประเทศฝ่าวิกฤตภัยโรคระบาดครั้งนี้ เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่บนความยากลําบากของประชาชนทุกชีวิต โดยมีความมุ่งหวังให้ประชาชนทุกคนต้องหนักแน่น มีความรับผิดชอบตนเองและสังคมมากขึ้น รวมทั้งให้ความร่วมมือกันทางสังคมอย่างแรงกล้า ด้วยความเข้าใจและวางใจกัน พร้อมขอให้เชื่อมั่นในระบบงานและตัวบุคคล ทั้งข้าราชการฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจํา เพื่อต่อสู้และผ่านวิกฤตโรคระบาดครั้งนี้ไปด้วยกันอย่างสวัสดิภาพ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28553
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตรียมเปิดคลินิกพิเศษเฉพาะทางนอกเวลาราชการ เป็นทางเลือกในการรับบริการ ลดแออัด ลดรอคอย
|
วันเสาร์ที่ 8 กันยายน 2561
สธ. เตรียมเปิดคลินิกพิเศษเฉพาะทางนอกเวลาราชการ เป็นทางเลือกในการรับบริการ ลดแออัด ลดรอคอย
กระทรวงสาธารณสุข เตรียมเปิดบริการคลินิกพิเศษเฉพาะทางนอกเวลาราชการ เป็นทางเลือกในการรับบริการของประชาชน ช่วยลดความแออัด ลดระยะเวลารอคอย นําร่องแล้ว 7 โรงพยาบาล
นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมผู้บริหารสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขสัญจร ที่ศูนย์ประชุมเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง จังหวัดตรัง ว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายในการลดความแออัด ลดระยะเวลารอคอย ในการพบแพทย์เฉพาะทางโดยเฉพาะในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปที่เปิดให้บริการคลินิกเฉพาะทาง จึงได้เปิดคลินิกพิเศษเฉพาะทางนอกเวลาราชการของหน่วยบริการในสังกัด เพื่อเป็นทางเลือกสําหรับประชาชนที่มารับบริการ
“จากการทําประชาพิจารณ์ประชาชนและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล 7 แห่งที่นําร่องที่เปิดให้บริการคลินิกพิเศษเฉพาะทางฯ ได้แก่ รพ.สกลนคร, รพ.มหาราชนครราชสีมา, รพ.นครปฐม, รพ.สุราษฎร์ธานี, รพ.พระนครศรีอยุธยา, รพ.เชียงรายประขานุเคราะห์ และ รพ.อุดรธานี พบว่า เห็นด้วยกับการเปิดคลินิกพิเศษเฉพาะทางฯ เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์และระเบียบสามารถนําไปใช้ได้จริง โดยราคาค่าบริการรวมทั้งอัตราค่าตอบแทนบุคลากรเหมาะสม ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทําระเบียบคลินิกพิเศษฯ ซึ่งจะเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงนามในเดือนกันยายน 2561 และแจ้งให้หน่วยบริการโดยเฉพาะโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่ผ่านเกณฑ์เปิดบริการ คลินิกพิเศษเฉพาะทางนอกเวลาต่อไป ซึ่งจะเป็นการอํานวยความสะดวก หรือทางเลือกให้กับประชาชนที่ต้องการความรวดเร็ว และพบแพทย์เฉพาะทาง” นายแพทย์เจษฎา กล่าว
************************** 8 กันยายน 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตรียมเปิดคลินิกพิเศษเฉพาะทางนอกเวลาราชการ เป็นทางเลือกในการรับบริการ ลดแออัด ลดรอคอย
วันเสาร์ที่ 8 กันยายน 2561
สธ. เตรียมเปิดคลินิกพิเศษเฉพาะทางนอกเวลาราชการ เป็นทางเลือกในการรับบริการ ลดแออัด ลดรอคอย
กระทรวงสาธารณสุข เตรียมเปิดบริการคลินิกพิเศษเฉพาะทางนอกเวลาราชการ เป็นทางเลือกในการรับบริการของประชาชน ช่วยลดความแออัด ลดระยะเวลารอคอย นําร่องแล้ว 7 โรงพยาบาล
นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมผู้บริหารสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขสัญจร ที่ศูนย์ประชุมเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง จังหวัดตรัง ว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายในการลดความแออัด ลดระยะเวลารอคอย ในการพบแพทย์เฉพาะทางโดยเฉพาะในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปที่เปิดให้บริการคลินิกเฉพาะทาง จึงได้เปิดคลินิกพิเศษเฉพาะทางนอกเวลาราชการของหน่วยบริการในสังกัด เพื่อเป็นทางเลือกสําหรับประชาชนที่มารับบริการ
“จากการทําประชาพิจารณ์ประชาชนและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล 7 แห่งที่นําร่องที่เปิดให้บริการคลินิกพิเศษเฉพาะทางฯ ได้แก่ รพ.สกลนคร, รพ.มหาราชนครราชสีมา, รพ.นครปฐม, รพ.สุราษฎร์ธานี, รพ.พระนครศรีอยุธยา, รพ.เชียงรายประขานุเคราะห์ และ รพ.อุดรธานี พบว่า เห็นด้วยกับการเปิดคลินิกพิเศษเฉพาะทางฯ เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์และระเบียบสามารถนําไปใช้ได้จริง โดยราคาค่าบริการรวมทั้งอัตราค่าตอบแทนบุคลากรเหมาะสม ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทําระเบียบคลินิกพิเศษฯ ซึ่งจะเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงนามในเดือนกันยายน 2561 และแจ้งให้หน่วยบริการโดยเฉพาะโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่ผ่านเกณฑ์เปิดบริการ คลินิกพิเศษเฉพาะทางนอกเวลาต่อไป ซึ่งจะเป็นการอํานวยความสะดวก หรือทางเลือกให้กับประชาชนที่ต้องการความรวดเร็ว และพบแพทย์เฉพาะทาง” นายแพทย์เจษฎา กล่าว
************************** 8 กันยายน 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15247
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางออกหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการขอกันเงินงบประมาณปี 63 ไว้เบิกเหลื่อมปี
|
วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563
กรมบัญชีกลางออกหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการขอกันเงินงบประมาณปี 63 ไว้เบิกเหลื่อมปี
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 กรมบัญชีกลางโดยได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลัง ได้กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการขอกันเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2563 ไว้เบิกเหลื่อมปี (กรณีมีหนี้ผูกพัน ทุกรายการโดยไม่กําหนดวงเงิน)
นางสาววิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 43 กําหนดให้การขอเบิกเงินจากคลังตามงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณใด ให้กระทําได้เฉพาะภายในปีงบประมาณนั้น ในกรณีที่หน่วยรับงบประมาณได้ก่อหนี้ผูกพันไว้ก่อนสิ้นปีงบประมาณ และไม่สามารถเบิกจ่ายเงินได้ทัน ให้ขยายเวลาขอเบิกเงินได้อีกไม่เกิน 6 เดือน ของปีงบประมาณถัดไป เว้นแต่มีความจําเป็นต้องขอเบิกเงินภายหลังเวลาดังกล่าว ให้ขอทําความตกลงกับกระทรวงการคลัง เพื่อขอขยายเวลาออกไปอีกไม่เกิน 6 เดือน โดยหน่วยรับงบประมาณได้มีการกันเงินไว้ตามระเบียบเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินจากคลังแล้ว ซึ่งตามระเบียบฯ ข้อ 106 กําหนดในเรื่องการขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี หน่วยงานของรัฐต้องดําเนินการก่อนสิ้นปีงบประมาณ โดยปฏิบัติตามวิธีการที่กระทรวงการคลังกําหนด
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 กรมบัญชีกลางโดยได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลัง ได้กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการขอกันเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2563 ไว้เบิกเหลื่อมปี (กรณีมีหนี้ผูกพัน ทุกรายการโดยไม่กําหนดวงเงิน) ให้หน่วยงานของรัฐที่มีสัญญาหรือข้อตกลงซื้อหรือจ้าง ดําเนินการผ่านระบบ GFMIS Web Online เพื่อให้สามารถใช้จ่ายเงินงบประมาณได้อย่างต่อเนื่องบรรลุวัตถุประสงค์ ถูกต้อง ครบถ้วน และสอดคล้องกับแนวทางตามกฎหมาย ดังนี้
1. หน่วยงานของรัฐที่เป็นส่วนราชการ ให้บันทึก PO
2. หน่วยงานของรัฐที่เป็นส่วนราชการและต้องชําระเงินให้แก่ผู้ขายในต่างประเทศ และหน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่ส่วนราชการ ให้บันทึกเป็นเอกสารสํารองเงินประเภท CX
3. หน่วยงานของรัฐที่ได้ดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุและอยู่ระหว่างกระบวนการอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ให้บันทึกเป็นเอกสารสํารองเงินประเภท CX ตามแนวทางปฏิบัติในการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี กรณีมีหนี้ผูกพัน
เมื่อได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี และได้ลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างพัสดุเรียบร้อยแล้ว ให้แก้ไขการบันทึกรายการดังกล่าว จากเอกสารสํารองเงินประเภท CX เป็น PO ให้แล้วเสร็จภายในวันทําการสุดท้ายของเดือนมีนาคม 2564 เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง
4. หน่วยงานของรัฐที่ได้รับจัดสรรงบประมาณในรายการเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง ตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ในรายการต่าง ๆ ที่กําหนด ให้บันทึกเป็นเอกสารสํารองเงินประเภท CK
“สําหรับหน่วยงานของรัฐที่เป็นส่วนราชการและเป็นหน่วยงานผู้เบิกที่มีสํานักงานอยู่ในภูมิภาค ต้องเลือก (LIST) เอกสารสํารองเงิน สรุปเลขที่เอกสารสํารองเงิน และรายละเอียดในแบบแจ้งรายละเอียดการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี ส่งให้ส่วนราชการเจ้าของงบประมาณหรือหน่วยงานผู้เบิกแทนเป็นผู้รวบรวม ยืนยันข้อมูล (CONFIRM) ในระบบ GFMIS และส่งให้กรมบัญชีกลางพิจารณา ทั้งนี้ ให้หน่วยงานของรัฐดําเนินการขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีให้แล้วเสร็จ ภายในวันทําการสุดท้ายของเดือนกันยายน 2563 หากไม่ดําเนินการภายในระยะเวลาที่กําหนด งบประมาณดังกล่าวต้องถูกพับไป” โฆษกกรมบัญชีกลางกล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางออกหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการขอกันเงินงบประมาณปี 63 ไว้เบิกเหลื่อมปี
วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563
กรมบัญชีกลางออกหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการขอกันเงินงบประมาณปี 63 ไว้เบิกเหลื่อมปี
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 กรมบัญชีกลางโดยได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลัง ได้กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการขอกันเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2563 ไว้เบิกเหลื่อมปี (กรณีมีหนี้ผูกพัน ทุกรายการโดยไม่กําหนดวงเงิน)
นางสาววิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 43 กําหนดให้การขอเบิกเงินจากคลังตามงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณใด ให้กระทําได้เฉพาะภายในปีงบประมาณนั้น ในกรณีที่หน่วยรับงบประมาณได้ก่อหนี้ผูกพันไว้ก่อนสิ้นปีงบประมาณ และไม่สามารถเบิกจ่ายเงินได้ทัน ให้ขยายเวลาขอเบิกเงินได้อีกไม่เกิน 6 เดือน ของปีงบประมาณถัดไป เว้นแต่มีความจําเป็นต้องขอเบิกเงินภายหลังเวลาดังกล่าว ให้ขอทําความตกลงกับกระทรวงการคลัง เพื่อขอขยายเวลาออกไปอีกไม่เกิน 6 เดือน โดยหน่วยรับงบประมาณได้มีการกันเงินไว้ตามระเบียบเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินจากคลังแล้ว ซึ่งตามระเบียบฯ ข้อ 106 กําหนดในเรื่องการขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี หน่วยงานของรัฐต้องดําเนินการก่อนสิ้นปีงบประมาณ โดยปฏิบัติตามวิธีการที่กระทรวงการคลังกําหนด
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 กรมบัญชีกลางโดยได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลัง ได้กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการขอกันเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2563 ไว้เบิกเหลื่อมปี (กรณีมีหนี้ผูกพัน ทุกรายการโดยไม่กําหนดวงเงิน) ให้หน่วยงานของรัฐที่มีสัญญาหรือข้อตกลงซื้อหรือจ้าง ดําเนินการผ่านระบบ GFMIS Web Online เพื่อให้สามารถใช้จ่ายเงินงบประมาณได้อย่างต่อเนื่องบรรลุวัตถุประสงค์ ถูกต้อง ครบถ้วน และสอดคล้องกับแนวทางตามกฎหมาย ดังนี้
1. หน่วยงานของรัฐที่เป็นส่วนราชการ ให้บันทึก PO
2. หน่วยงานของรัฐที่เป็นส่วนราชการและต้องชําระเงินให้แก่ผู้ขายในต่างประเทศ และหน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่ส่วนราชการ ให้บันทึกเป็นเอกสารสํารองเงินประเภท CX
3. หน่วยงานของรัฐที่ได้ดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุและอยู่ระหว่างกระบวนการอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ให้บันทึกเป็นเอกสารสํารองเงินประเภท CX ตามแนวทางปฏิบัติในการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี กรณีมีหนี้ผูกพัน
เมื่อได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี และได้ลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างพัสดุเรียบร้อยแล้ว ให้แก้ไขการบันทึกรายการดังกล่าว จากเอกสารสํารองเงินประเภท CX เป็น PO ให้แล้วเสร็จภายในวันทําการสุดท้ายของเดือนมีนาคม 2564 เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง
4. หน่วยงานของรัฐที่ได้รับจัดสรรงบประมาณในรายการเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง ตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ในรายการต่าง ๆ ที่กําหนด ให้บันทึกเป็นเอกสารสํารองเงินประเภท CK
“สําหรับหน่วยงานของรัฐที่เป็นส่วนราชการและเป็นหน่วยงานผู้เบิกที่มีสํานักงานอยู่ในภูมิภาค ต้องเลือก (LIST) เอกสารสํารองเงิน สรุปเลขที่เอกสารสํารองเงิน และรายละเอียดในแบบแจ้งรายละเอียดการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี ส่งให้ส่วนราชการเจ้าของงบประมาณหรือหน่วยงานผู้เบิกแทนเป็นผู้รวบรวม ยืนยันข้อมูล (CONFIRM) ในระบบ GFMIS และส่งให้กรมบัญชีกลางพิจารณา ทั้งนี้ ให้หน่วยงานของรัฐดําเนินการขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีให้แล้วเสร็จ ภายในวันทําการสุดท้ายของเดือนกันยายน 2563 หากไม่ดําเนินการภายในระยะเวลาที่กําหนด งบประมาณดังกล่าวต้องถูกพับไป” โฆษกกรมบัญชีกลางกล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34411
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยม ให้กำลังใจ ประชาชนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เพื่อดูอาการและเฝ้าระวังโรค ณ โรงแรมภัทรา
|
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563
นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยม ให้กําลังใจ ประชาชนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เพื่อดูอาการและเฝ้าระวังโรค ณ โรงแรมภัทรา
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยม ให้กําลังใจ ประชาชนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เพื่อดูอาการและเฝ้าระวังโรค ณ โรงแรมภัทรา
วันนี้ 8 เมษายน 2563 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางไปยังโรงแรมภัทรา เพื่อตรวจเยี่ยมความเป็นอยู่ ให้กําลังใจ ประชาชนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ และต้องถูกกักกันตัวเพื่อดูอาการและเฝ้าระวังโรค ซึ่งทุกคนต่างยินดีให้ความร่วมมือและขอบคุณรัฐบาลที่ช่วยเหลือพร้อมดูแลอย่างดีในที่ State Quarantine แห่งนี้ ไม่มีอะไรติดขัด ไม่มีปัญหาอะไร สบายดีทุกคน นอกจากนี้ ได้พูดคุย สอบถามเจ้าของโรงแรมว่ามีขาดเหลืออะไร หรือไม่ จะได้ช่วยดูแล พร้อมขอบคุณโรงแรมที่เสียสละและให้ความร่วมมือในการร่วมแก้ปัญหา ซึ่งคนไทยต่างซาบซึ้งในน้ําใจที่มีต่อกันในสภาวะเช่นนี้
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปเยี่ยมโดยไม่มีการเตรียมการล่วงหน้า เพื่อจะได้รับทราบการดําเนินการและปัญหา ก่อนจะมีการประชุม ศบค ในวันพรุ่งนี้
------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยม ให้กำลังใจ ประชาชนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เพื่อดูอาการและเฝ้าระวังโรค ณ โรงแรมภัทรา
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563
นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยม ให้กําลังใจ ประชาชนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เพื่อดูอาการและเฝ้าระวังโรค ณ โรงแรมภัทรา
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยม ให้กําลังใจ ประชาชนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เพื่อดูอาการและเฝ้าระวังโรค ณ โรงแรมภัทรา
วันนี้ 8 เมษายน 2563 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางไปยังโรงแรมภัทรา เพื่อตรวจเยี่ยมความเป็นอยู่ ให้กําลังใจ ประชาชนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ และต้องถูกกักกันตัวเพื่อดูอาการและเฝ้าระวังโรค ซึ่งทุกคนต่างยินดีให้ความร่วมมือและขอบคุณรัฐบาลที่ช่วยเหลือพร้อมดูแลอย่างดีในที่ State Quarantine แห่งนี้ ไม่มีอะไรติดขัด ไม่มีปัญหาอะไร สบายดีทุกคน นอกจากนี้ ได้พูดคุย สอบถามเจ้าของโรงแรมว่ามีขาดเหลืออะไร หรือไม่ จะได้ช่วยดูแล พร้อมขอบคุณโรงแรมที่เสียสละและให้ความร่วมมือในการร่วมแก้ปัญหา ซึ่งคนไทยต่างซาบซึ้งในน้ําใจที่มีต่อกันในสภาวะเช่นนี้
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปเยี่ยมโดยไม่มีการเตรียมการล่วงหน้า เพื่อจะได้รับทราบการดําเนินการและปัญหา ก่อนจะมีการประชุม ศบค ในวันพรุ่งนี้
------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28657
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องทุกข์จากกลุ่มผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากแชร์ลูกโซ่
|
วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2561
กระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องทุกข์จากกลุ่มผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากแชร์ลูกโซ่
กระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องทุกข์จากกลุ่มผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากแชร์ลูกโซ่
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ บริเวณด้านหน้าศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกกระทรวงยุติธรรม รับหนังสือจากนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทยพร้อมผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบแชร์ลูกโซ่ อาทิ คดีเงินดิจิตอล คดีแชร์น้ํามันจังหวัดพะเยา คดีถูกฉ้อโกงเงินกองทุนหมู่บ้านจังหวัดชัยภูมิ ฯลฯ เพื่อขอความเป็นธรรมจากกระทรวงยุติธรรม และขอให้พิจารณาช่วยเหลือผู้เสียหายจากแชร์ลูกโซ่ รวมทั้งขอให้มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อเยียวยาความเสียหายให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบต่อไป
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรมจะเร่งดําเนินการตามกระบวนการอย่างเต็มที่แต่เนื่องจากกระบวนการดําเนินการค่อนข้างซับซ้อน อีกทั้งมีผู้เสียหายเป็นจํานวนมาก มีการร้องเรียนเพิ่มเติม และมีผู้เสียหายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทําให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้ระยะเวลาในการดําเนินการ ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ตั้งชุดสอบสวน เตรียมลงพื้นที่เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ผู้เสียหาย พร้อมทั้งให้ผู้เสียหายสามารถร้องเรียนได้ผ่านช่องทางต่างๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยขอให้ผู้เสียหายเตรียมข้อมูลหลักฐานให้ครบถ้วนสมบูรณ์เพื่ออํานวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ให้สามารถดําเนินการได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องทุกข์จากกลุ่มผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากแชร์ลูกโซ่
วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2561
กระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องทุกข์จากกลุ่มผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากแชร์ลูกโซ่
กระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องทุกข์จากกลุ่มผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากแชร์ลูกโซ่
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ บริเวณด้านหน้าศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกกระทรวงยุติธรรม รับหนังสือจากนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทยพร้อมผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบแชร์ลูกโซ่ อาทิ คดีเงินดิจิตอล คดีแชร์น้ํามันจังหวัดพะเยา คดีถูกฉ้อโกงเงินกองทุนหมู่บ้านจังหวัดชัยภูมิ ฯลฯ เพื่อขอความเป็นธรรมจากกระทรวงยุติธรรม และขอให้พิจารณาช่วยเหลือผู้เสียหายจากแชร์ลูกโซ่ รวมทั้งขอให้มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อเยียวยาความเสียหายให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบต่อไป
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรมจะเร่งดําเนินการตามกระบวนการอย่างเต็มที่แต่เนื่องจากกระบวนการดําเนินการค่อนข้างซับซ้อน อีกทั้งมีผู้เสียหายเป็นจํานวนมาก มีการร้องเรียนเพิ่มเติม และมีผู้เสียหายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทําให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้ระยะเวลาในการดําเนินการ ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ตั้งชุดสอบสวน เตรียมลงพื้นที่เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ผู้เสียหาย พร้อมทั้งให้ผู้เสียหายสามารถร้องเรียนได้ผ่านช่องทางต่างๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยขอให้ผู้เสียหายเตรียมข้อมูลหลักฐานให้ครบถ้วนสมบูรณ์เพื่ออํานวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ให้สามารถดําเนินการได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16031
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"รมช.ชุติมา" เข้าปฏิบัติงานที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมเร่งดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำมาหากินของพี่น้องเกษตรกร
|
วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2559
"รมช.ชุติมา" เข้าปฏิบัติงานที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมเร่งดําเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทํามาหากินของพี่น้องเกษตรกร
"รมช.ชุติมา" เข้าปฏิบัติงานที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมเร่งดําเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทํามาหากินของพี่น้องเกษตรกร และการยกระดับมาตรฐานของสินค้าเกษตรให้ดียิ่งขึ้น
วันนี้ (20 ธ.ค. 59) น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์คนใหม่ เดินทางเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจํากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยถือฤกษ์ในเวลา 06.45 น. ไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่ ศาลท้าวเวสสุวรรณ ศาลตายาย และพระพิรุณทรงนาค
น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร เปิดเผยว่า วันนี้เป็นวันแรกที่เข้ามาปฏิบัติงานที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยวันนี้ได้เข้ามาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และรอพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อออกไปประชุมคณะรัฐมนตรีพร้อมกัน ซึ่งการเข้ามาทํางานในครั้งนี้ถือว่ามาทํางานในช่วงที่ดีมาก เนื่องจากกระทรวงเกษตรฯ ได้มีการวางนโยบายและยุทธศาสตร์ไว้ชัดเจนแล้ว รวมถึงมีแผนการทํางานที่ชัดเจนด้วย ทั้งในปีนี้และในช่วง 5 ปีข้างหน้า รวมถึงแผนระยะยาวทุก 5 ปี จนครบ 20 ปี ซึ่งถือเป็นเส้นทางของกระทรวงเกษตรฯ ที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
“สําหรับเรื่องเร่งด่วนที่ต้องเร่งดําเนินการคือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทํามาหากินของพี่น้องเกษตรกร โดยต้องจัดอันดับเรื่องที่มีปัญหามากที่สุด แล้วเข้าไปช่วยจัดการสิ่งเหล่านั้นให้ดีขึ้น โดยจะมีทั้งข้าราชการของกระทรวงเกษตรฯ ร่วมมือกันทํางานและพร้อมลุยงานไปด้วยกัน ซึ่งจะสามารถแก้ไขปัญหาได้มากยิ่งขึ้น โดยส่วนตัวมองว่าจะทําอย่างไรให้สามารถยกระดับมาตรฐานของสินค้าเกษตรให้ดียิ่งขึ้น เพราะว่าการทํามาค้าขายทุกวันนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพ เพราะฉะนั้นจะดูว่าต้องทําอย่างไรที่จะยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรให้ดีขึ้นด้วย ซึ่งก็ตรงกับยุทธศาสตร์ของการทํางานในปีนี้ รวมถึงต้องคํานึงในเรื่องของประสิทธิภาพ ถ้ามาตรฐานดี คุณภาพดี ราคาก็จะสามารถแข่งขันตลาดอื่น ๆ ได้” น.ส.ชุติมา กล่าว
ต่อมา พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดูแลเรื่องข้าว เพราะสามารถดําเนินการได้ทันที ไม่ต้องมาศึกษางานใหม่ ซึ่งจะทําให้เกิดความรวดเร็วในการทํางาน อีกทั้งยังเคยเป็นเลขาฯ คณะกรรมการนโยบายและการบริหารจัดการข้าว (นบข.) และมีความเข้าใจในระบบการบริหารข้าวอยู่แล้ว รวมถึงยังได้ร่วมกันทํายุทธศาสตร์ข้าวครบวงจรด้วย จึงสามารถดําเนินการเรื่องนี้ได้ทันนี้ นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้ดูแลในเรื่องมาตรฐานสินค้าต่าง ๆ ให้มีความเชื่อมโยงระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับกระทรวงพาณิชย์ด้วย
“ปัจจัยสําคัญให้การทํางานคือการทํางานอย่างซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งถือเป็นปัจจัยสําคัญของการทํางานในยุคนี้ จึงมั่นใจในการทํางานร่วมกัน และจะมาเป็นกําลังสําคัญในการช่วยทํางานที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เป็นอย่างดี และช่วยกันขับเคลื่อนการดําเนินการตามนโยบายของรัฐบาลให้สําเร็จต่อไป” พลเอก ฉัตรชัย กล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"รมช.ชุติมา" เข้าปฏิบัติงานที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมเร่งดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำมาหากินของพี่น้องเกษตรกร
วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2559
"รมช.ชุติมา" เข้าปฏิบัติงานที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมเร่งดําเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทํามาหากินของพี่น้องเกษตรกร
"รมช.ชุติมา" เข้าปฏิบัติงานที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมเร่งดําเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทํามาหากินของพี่น้องเกษตรกร และการยกระดับมาตรฐานของสินค้าเกษตรให้ดียิ่งขึ้น
วันนี้ (20 ธ.ค. 59) น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์คนใหม่ เดินทางเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจํากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยถือฤกษ์ในเวลา 06.45 น. ไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่ ศาลท้าวเวสสุวรรณ ศาลตายาย และพระพิรุณทรงนาค
น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร เปิดเผยว่า วันนี้เป็นวันแรกที่เข้ามาปฏิบัติงานที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยวันนี้ได้เข้ามาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และรอพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อออกไปประชุมคณะรัฐมนตรีพร้อมกัน ซึ่งการเข้ามาทํางานในครั้งนี้ถือว่ามาทํางานในช่วงที่ดีมาก เนื่องจากกระทรวงเกษตรฯ ได้มีการวางนโยบายและยุทธศาสตร์ไว้ชัดเจนแล้ว รวมถึงมีแผนการทํางานที่ชัดเจนด้วย ทั้งในปีนี้และในช่วง 5 ปีข้างหน้า รวมถึงแผนระยะยาวทุก 5 ปี จนครบ 20 ปี ซึ่งถือเป็นเส้นทางของกระทรวงเกษตรฯ ที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
“สําหรับเรื่องเร่งด่วนที่ต้องเร่งดําเนินการคือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทํามาหากินของพี่น้องเกษตรกร โดยต้องจัดอันดับเรื่องที่มีปัญหามากที่สุด แล้วเข้าไปช่วยจัดการสิ่งเหล่านั้นให้ดีขึ้น โดยจะมีทั้งข้าราชการของกระทรวงเกษตรฯ ร่วมมือกันทํางานและพร้อมลุยงานไปด้วยกัน ซึ่งจะสามารถแก้ไขปัญหาได้มากยิ่งขึ้น โดยส่วนตัวมองว่าจะทําอย่างไรให้สามารถยกระดับมาตรฐานของสินค้าเกษตรให้ดียิ่งขึ้น เพราะว่าการทํามาค้าขายทุกวันนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพ เพราะฉะนั้นจะดูว่าต้องทําอย่างไรที่จะยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรให้ดีขึ้นด้วย ซึ่งก็ตรงกับยุทธศาสตร์ของการทํางานในปีนี้ รวมถึงต้องคํานึงในเรื่องของประสิทธิภาพ ถ้ามาตรฐานดี คุณภาพดี ราคาก็จะสามารถแข่งขันตลาดอื่น ๆ ได้” น.ส.ชุติมา กล่าว
ต่อมา พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดูแลเรื่องข้าว เพราะสามารถดําเนินการได้ทันที ไม่ต้องมาศึกษางานใหม่ ซึ่งจะทําให้เกิดความรวดเร็วในการทํางาน อีกทั้งยังเคยเป็นเลขาฯ คณะกรรมการนโยบายและการบริหารจัดการข้าว (นบข.) และมีความเข้าใจในระบบการบริหารข้าวอยู่แล้ว รวมถึงยังได้ร่วมกันทํายุทธศาสตร์ข้าวครบวงจรด้วย จึงสามารถดําเนินการเรื่องนี้ได้ทันนี้ นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้ดูแลในเรื่องมาตรฐานสินค้าต่าง ๆ ให้มีความเชื่อมโยงระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับกระทรวงพาณิชย์ด้วย
“ปัจจัยสําคัญให้การทํางานคือการทํางานอย่างซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งถือเป็นปัจจัยสําคัญของการทํางานในยุคนี้ จึงมั่นใจในการทํางานร่วมกัน และจะมาเป็นกําลังสําคัญในการช่วยทํางานที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เป็นอย่างดี และช่วยกันขับเคลื่อนการดําเนินการตามนโยบายของรัฐบาลให้สําเร็จต่อไป” พลเอก ฉัตรชัย กล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1073
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เปิดกิจกรรม Show Case "เน็ตประชารัฐ@สตูล การพัฒนาที่ยั่งยืน"
|
วันอังคารที่ 25 เมษายน 2560
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เปิดกิจกรรม Show Case "เน็ตประชารัฐ@สตูล การพัฒนาที่ยั่งยืน"
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานพิธีเปิดและแถลงข่าวกิจกรรม Show Case "เน็ตประชารัฐ@สตูล การพัฒนาที่ยั่งยืน" โดยมีผู้บริหารกระทรวงฯ และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดเข้าร่วมงานฯ ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้มอบหมายให้ บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) จัดกิจกรรมดังกล่าวขึ้น เพื่อให้ชุมชนรับรู้ถึงประโยชน์ของโครงการฯ ที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเท่าเทียมและทั่วถึงในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของประชาชน รวมทั้งเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจ พัฒนาการศึกษาและการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพให้กับชุมชน สําหรับจังหวัดสตูล นอกจากจะประกอบอาชีพการทําสวนยางและปาล์มน้ํามันแล้ว ยังมีความโดดเด่นในด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเน็ตประชารัฐจะสร้างโอกาสในการนําสตูล ที่เป็นเมืองท่องเที่ยวธรรมชาติสมบูรณ์ที่สุดของไทยให้เป็นที่รู้จักและสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศทั่วโลกมากยิ่งขึ้นต่อไป ณ หมู่บ้านควนดินดํา ตําบลปาล์มพัฒนา อําเภอมะนัง จังหวัดสตูล เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2560
*********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เปิดกิจกรรม Show Case "เน็ตประชารัฐ@สตูล การพัฒนาที่ยั่งยืน"
วันอังคารที่ 25 เมษายน 2560
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เปิดกิจกรรม Show Case "เน็ตประชารัฐ@สตูล การพัฒนาที่ยั่งยืน"
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานพิธีเปิดและแถลงข่าวกิจกรรม Show Case "เน็ตประชารัฐ@สตูล การพัฒนาที่ยั่งยืน" โดยมีผู้บริหารกระทรวงฯ และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดเข้าร่วมงานฯ ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้มอบหมายให้ บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) จัดกิจกรรมดังกล่าวขึ้น เพื่อให้ชุมชนรับรู้ถึงประโยชน์ของโครงการฯ ที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเท่าเทียมและทั่วถึงในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของประชาชน รวมทั้งเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจ พัฒนาการศึกษาและการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพให้กับชุมชน สําหรับจังหวัดสตูล นอกจากจะประกอบอาชีพการทําสวนยางและปาล์มน้ํามันแล้ว ยังมีความโดดเด่นในด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเน็ตประชารัฐจะสร้างโอกาสในการนําสตูล ที่เป็นเมืองท่องเที่ยวธรรมชาติสมบูรณ์ที่สุดของไทยให้เป็นที่รู้จักและสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศทั่วโลกมากยิ่งขึ้นต่อไป ณ หมู่บ้านควนดินดํา ตําบลปาล์มพัฒนา อําเภอมะนัง จังหวัดสตูล เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2560
*********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3274
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำส่งเสริมการศึกษา หาความรู้ของครูอย่างเปิดกว้าง พร้อมก้าวทันสถานการณ์ เพื่อให้การเรียนการสอนเกิดประสิทธิภาพ
|
วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม 2563
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําส่งเสริมการศึกษา หาความรู้ของครูอย่างเปิดกว้าง พร้อมก้าวทันสถานการณ์ เพื่อให้การเรียนการสอนเกิดประสิทธิภาพ
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีงานวันครู ครั้งที่ 64 ประจําปี 2563 เน้นย้ําส่งเสริมการศึกษาหาความรู้ของครูให้เปิดกว้างมากขึ้น มุ่งเน้นให้ครูมีวุฒิการศึกษาตรงตามวิชาที่สอน พร้อมก้าวทันต่อสถานการณ์ เพื่อให้การเรียนการสอนเกิดประสิทธิภาพ
วันนี้ (16 ม.ค. 63 ) เวลา 09.30 น. ณ หอประชุมคุรุสภา สํานักงานเลขาธิการคุรุสภา กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีการงานวันครู ครั้งที่ 64 พ.ศ. 2563 เพื่อประกอบพิธีระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ และเพื่อส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูกับประชาชน โดยมี นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้กล่าวรายงาน ซึ่งมีนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการคุรุสภา คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ คณะอนุกรรมการจัดงานวันครู ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ ข้าราชการ และประชาชน เข้าร่วมพิธี
สําหรับปี พ.ศ. 2563 สํานักงานเลขาธิการคุรุสภากําหนดจัดงานวันครู ครั้งที่ 64 พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 16-17 มกราคม 2562 ในหัวข้อแก่นสาระ คือ “โลกก้าวไกล ครูไทยก้าวทัน สร้างสรรค์คุณภาพเด็กไทย” เพื่อระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครู และความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับประชาชน และส่งเสริมยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาที่ประกอบคุณงามความดี หรือทําคุณประโยชน์ต่อวงการศึกษา
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้คารวะครูอาวุโสและมอบของที่ระลึกแด่ครูอาวุโส คือ ครูวีระ เดชพันธ์ อดีตครูที่เคยสอนนายกรัฐมนตรีสมัยเป็นนักเรียนโรงเรียนวัดนวลนรดิศ พร้อมมอบโล่รางวัลผู้มีคุณูปการต่อการศึกษาของชาติ ประจําปี 2563 จํานวน 8 ราย รวมทั้งมอบโล่รางวัลคุรุสภา ประจําปี 2562 ระดับดีเด่น จํานวน 9 ราย
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความรู้สึกยินดีที่ได้มีโอกาสมาเป็นประธานเปิดงานวันครูในปีนี้ พร้อมกล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า สําหรับวันนี้การได้มาร่วมสักการะปฐมบูรพาจารย์ คารวะครูอาวุโส ถือเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อครูผู้มีพระคุณ ผู้ที่คอยเสริมสร้างภูมิปัญญาให้แก่ศิษย์ด้วยความอุตสาหะ อดทน เสียสละ เพื่อหวังให้ลูกศิษย์ทั้งหลายมีความเจริญก้าวหน้าในด้านสติปัญญา มีจิตใจที่มีคุณธรรมสําหรับการดําเนินชีวิตและการประกอบอาชีพ นับว่าเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของครูในการสร้างสรรค์ปั้นแต่งศิษย์ให้มีคุณลักษณะที่ดี เป็นพลเมืองดี และเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพของสังคม อีกทั้งครูยังเป็นอาชีพที่มีเกียรติสูงสุด เป็นผู้สร้างคนให้มีคุณภาพ ซึ่งไม่ว่าประเทศจะเดินไปในทิศทางใดทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับศักยภาพของประชากรในประเทศ เพราะครูคือบุคลากรที่มีบทบาทสําคัญที่สุดของกระบวนการศึกษาการเรียนการสอน เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้และบ่มเพาะศีลธรรมจรรยาเพื่อให้ผู้เรียนมีทั้งความรู้ มีความเฉลียวฉลาด นอกจากนี้ยังมีหน้าที่อบรมบ่มนิสัยให้ศิษย์มีคุณธรรม จริยธรรม เป็นพลเมืองดีของชาติ ซึ่งล้วนแต่เป็นภาระอันหนักยิ่ง โดยต้องการได้เห็นศิษย์ประสบความสําเร็จ มีความเจริญก้าวหน้า และเป็นกําลังที่สําคัญของสังคม
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลตระหนักถึงความสําคัญของครูในฐานะผู้ที่สร้างคน ซึ่งเป็นการสร้างพื้นฐานสําคัญของการพัฒนาประเทศ อาชีพครูอาจารย์มีหน้าที่สั่งสอนอบรมบ่มเพาะทั้งวิชาการและทัศนคติ การสอนคนให้เป็นคนดีคนเก่ง ซึ่งต้องมีความอดทนอย่างสูง เราจึงต้องให้ความสําคัญของครูในทุกด้าน พร้อมกับนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําว่า ต้องส่งเสริมการศึกษาหาความรู้ของครูให้เปิดกว้างมากขึ้น การให้ทุนเรียนต่อในสาขาที่สอน การส่งไปอบรมในเรื่องที่สนใจเพื่อให้ก้าวทันต่อสถานการณ์อยู่เสมอ การสนับสนุนโครงการวิจัยต่าง ๆ โดยมุ่งให้ครูมีวุฒิการศึกษาตรงตามวิชาที่สอน เพื่อให้การเรียนการสอนเกิดประสิทธิภาพแก่นักเรียนนักศึกษา พร้อมทั้งนําเทคโนโลยีสารสนเทศและเครื่องมือที่เหมาะสมมาใช้ เพื่อเป็นเครื่องมือสําหรับช่วยครูในการสอน หรือใช้สําหรับการเรียนรู้ด้วยตนเอง เช่น การศึกษาทางไกล การเรียนโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ทั้งนี้ โดยปรับระบบการประเมินสมรรถนะที่สะท้อนประสิทธิภาพการจัดการการเรียนการสอนและการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนเป็นสําคัญด้วย เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นกําลังใจให้คุณครูทุกท่านมีความสุข มีความภาคภูมิใจในอาชีพของตน ทั้งยังเป็นการพัฒนาวงการศึกษาเพื่อที่จะให้เราสามารถดึงบุคลากรที่เป็นคนเก่งให้อยากเข้ามาทําอาชีพครูกันมากขึ้น
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มอบคําขวัญ “วันครู” ครั้งที่ 64 ว่า “ครูไทย รักศิษย์ คิดพัฒนา” เพื่อให้ครูได้ภาคภูมิใจว่า ครูเป็นปูชนียบุคคลที่ศิษย์ทุกคนให้ความเคารพรักและซาบซึ้งในพระคุณที่ได้อบรมสั่งสอนวิชาความรู้ เพื่อพัฒนาให้เด็กและเยาวชนเติบโตเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพของสังคม และเนื่องในโอกาสวันครู พุทธศักราช 2563 นี้ กราบอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและอํานาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก และพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี โปรดดลบันดาลพระราชทานพรให้ผู้ประกอบวิชาชีพครู ตลอดจนบุคลากรทางการศึกษาทุกท่าน จงประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานและสัมฤทธิ์ผลในสิ่งที่พึงปรารถนาโดยทั่วกัน
.......................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำส่งเสริมการศึกษา หาความรู้ของครูอย่างเปิดกว้าง พร้อมก้าวทันสถานการณ์ เพื่อให้การเรียนการสอนเกิดประสิทธิภาพ
วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม 2563
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําส่งเสริมการศึกษา หาความรู้ของครูอย่างเปิดกว้าง พร้อมก้าวทันสถานการณ์ เพื่อให้การเรียนการสอนเกิดประสิทธิภาพ
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีงานวันครู ครั้งที่ 64 ประจําปี 2563 เน้นย้ําส่งเสริมการศึกษาหาความรู้ของครูให้เปิดกว้างมากขึ้น มุ่งเน้นให้ครูมีวุฒิการศึกษาตรงตามวิชาที่สอน พร้อมก้าวทันต่อสถานการณ์ เพื่อให้การเรียนการสอนเกิดประสิทธิภาพ
วันนี้ (16 ม.ค. 63 ) เวลา 09.30 น. ณ หอประชุมคุรุสภา สํานักงานเลขาธิการคุรุสภา กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีการงานวันครู ครั้งที่ 64 พ.ศ. 2563 เพื่อประกอบพิธีระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ และเพื่อส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูกับประชาชน โดยมี นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้กล่าวรายงาน ซึ่งมีนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการคุรุสภา คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ คณะอนุกรรมการจัดงานวันครู ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ ข้าราชการ และประชาชน เข้าร่วมพิธี
สําหรับปี พ.ศ. 2563 สํานักงานเลขาธิการคุรุสภากําหนดจัดงานวันครู ครั้งที่ 64 พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 16-17 มกราคม 2562 ในหัวข้อแก่นสาระ คือ “โลกก้าวไกล ครูไทยก้าวทัน สร้างสรรค์คุณภาพเด็กไทย” เพื่อระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครู และความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับประชาชน และส่งเสริมยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาที่ประกอบคุณงามความดี หรือทําคุณประโยชน์ต่อวงการศึกษา
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้คารวะครูอาวุโสและมอบของที่ระลึกแด่ครูอาวุโส คือ ครูวีระ เดชพันธ์ อดีตครูที่เคยสอนนายกรัฐมนตรีสมัยเป็นนักเรียนโรงเรียนวัดนวลนรดิศ พร้อมมอบโล่รางวัลผู้มีคุณูปการต่อการศึกษาของชาติ ประจําปี 2563 จํานวน 8 ราย รวมทั้งมอบโล่รางวัลคุรุสภา ประจําปี 2562 ระดับดีเด่น จํานวน 9 ราย
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความรู้สึกยินดีที่ได้มีโอกาสมาเป็นประธานเปิดงานวันครูในปีนี้ พร้อมกล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า สําหรับวันนี้การได้มาร่วมสักการะปฐมบูรพาจารย์ คารวะครูอาวุโส ถือเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อครูผู้มีพระคุณ ผู้ที่คอยเสริมสร้างภูมิปัญญาให้แก่ศิษย์ด้วยความอุตสาหะ อดทน เสียสละ เพื่อหวังให้ลูกศิษย์ทั้งหลายมีความเจริญก้าวหน้าในด้านสติปัญญา มีจิตใจที่มีคุณธรรมสําหรับการดําเนินชีวิตและการประกอบอาชีพ นับว่าเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของครูในการสร้างสรรค์ปั้นแต่งศิษย์ให้มีคุณลักษณะที่ดี เป็นพลเมืองดี และเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพของสังคม อีกทั้งครูยังเป็นอาชีพที่มีเกียรติสูงสุด เป็นผู้สร้างคนให้มีคุณภาพ ซึ่งไม่ว่าประเทศจะเดินไปในทิศทางใดทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับศักยภาพของประชากรในประเทศ เพราะครูคือบุคลากรที่มีบทบาทสําคัญที่สุดของกระบวนการศึกษาการเรียนการสอน เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้และบ่มเพาะศีลธรรมจรรยาเพื่อให้ผู้เรียนมีทั้งความรู้ มีความเฉลียวฉลาด นอกจากนี้ยังมีหน้าที่อบรมบ่มนิสัยให้ศิษย์มีคุณธรรม จริยธรรม เป็นพลเมืองดีของชาติ ซึ่งล้วนแต่เป็นภาระอันหนักยิ่ง โดยต้องการได้เห็นศิษย์ประสบความสําเร็จ มีความเจริญก้าวหน้า และเป็นกําลังที่สําคัญของสังคม
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลตระหนักถึงความสําคัญของครูในฐานะผู้ที่สร้างคน ซึ่งเป็นการสร้างพื้นฐานสําคัญของการพัฒนาประเทศ อาชีพครูอาจารย์มีหน้าที่สั่งสอนอบรมบ่มเพาะทั้งวิชาการและทัศนคติ การสอนคนให้เป็นคนดีคนเก่ง ซึ่งต้องมีความอดทนอย่างสูง เราจึงต้องให้ความสําคัญของครูในทุกด้าน พร้อมกับนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําว่า ต้องส่งเสริมการศึกษาหาความรู้ของครูให้เปิดกว้างมากขึ้น การให้ทุนเรียนต่อในสาขาที่สอน การส่งไปอบรมในเรื่องที่สนใจเพื่อให้ก้าวทันต่อสถานการณ์อยู่เสมอ การสนับสนุนโครงการวิจัยต่าง ๆ โดยมุ่งให้ครูมีวุฒิการศึกษาตรงตามวิชาที่สอน เพื่อให้การเรียนการสอนเกิดประสิทธิภาพแก่นักเรียนนักศึกษา พร้อมทั้งนําเทคโนโลยีสารสนเทศและเครื่องมือที่เหมาะสมมาใช้ เพื่อเป็นเครื่องมือสําหรับช่วยครูในการสอน หรือใช้สําหรับการเรียนรู้ด้วยตนเอง เช่น การศึกษาทางไกล การเรียนโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ทั้งนี้ โดยปรับระบบการประเมินสมรรถนะที่สะท้อนประสิทธิภาพการจัดการการเรียนการสอนและการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนเป็นสําคัญด้วย เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นกําลังใจให้คุณครูทุกท่านมีความสุข มีความภาคภูมิใจในอาชีพของตน ทั้งยังเป็นการพัฒนาวงการศึกษาเพื่อที่จะให้เราสามารถดึงบุคลากรที่เป็นคนเก่งให้อยากเข้ามาทําอาชีพครูกันมากขึ้น
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มอบคําขวัญ “วันครู” ครั้งที่ 64 ว่า “ครูไทย รักศิษย์ คิดพัฒนา” เพื่อให้ครูได้ภาคภูมิใจว่า ครูเป็นปูชนียบุคคลที่ศิษย์ทุกคนให้ความเคารพรักและซาบซึ้งในพระคุณที่ได้อบรมสั่งสอนวิชาความรู้ เพื่อพัฒนาให้เด็กและเยาวชนเติบโตเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพของสังคม และเนื่องในโอกาสวันครู พุทธศักราช 2563 นี้ กราบอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและอํานาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก และพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี โปรดดลบันดาลพระราชทานพรให้ผู้ประกอบวิชาชีพครู ตลอดจนบุคลากรทางการศึกษาทุกท่าน จงประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานและสัมฤทธิ์ผลในสิ่งที่พึงปรารถนาโดยทั่วกัน
.......................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25831
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เชิญร่วมอุดหนุนผลไม้และสินค้าจากเกษตรกร ช่วยเกษตรกรฝ่าวิกฤตโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
|
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563
ธ.ก.ส. เชิญร่วมอุดหนุนผลไม้และสินค้าจากเกษตรกร ช่วยเกษตรกรฝ่าวิกฤตโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
ธ.ก.ส.เชิญชวนพี่น้องประชาชนช่วยเกษตรกรฝ่าวิกฤตโควิด-19 โดยร่วมอุดหนุนผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกร จ.ปราจีนบุรี จันทบุรี กาญจนบุรี และสุพรรณบุรี อาทิ ทุเรียน ส้มโอ มังคุด เงาะ เมล่อน กุ้งก้ามกรามและอีกมากมาย ตั้งแต่ 27-29 พ.ค.นี้ ณ ธ.ก.ส. สํานักงานใหญ่
ธ.ก.ส. เชิญชวนพี่น้องประชาชนช่วยเกษตรกรฝ่าวิกฤตโควิด-19 โดยร่วมอุดหนุนผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกรจังหวัดปราจีนบุรี จันทบุรี กาญจนบุรี และสุพรรณบุรี อาทิ ทุเรียน ส้มโอ มังคุด เงาะ เมล่อน กุ้งก้ามกรามและอีกมากมาย ตั้งแต่ 27-29 พฤษภาคมนี้ ณ ธ.ก.ส. สํานักงานใหญ่ บางเขน
นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลต่อการจําหน่ายสินค้าในภาคเกษตร เป็นอย่างมาก เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร ธ.ก.ส. ได้จัดทําช่องทางสนับสนุนในการจําหน่ายสินค้าจากแหล่งผลิตของเกษตรกรไปสู่ผู้บริโภคโดยตรง โดยในช่วงนี้มีสินค้าเกษตรจากสหกรณ์แปลงใหญ่ทุเรียนชาวสวนไม้เค็ด อําเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี ที่ได้นําทุเรียน ส้มโอ และหน่อไม้มาจําหน่าย กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านปลายคลองและสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. จันทบุรี จํากัด (สกต.) จังหวัดจันทบุรี นํามังคุด ลองกอง สละ และเงาะมาจําหน่าย และศูนย์เกษตรธรรมชาติทองผาภูมิ อําเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี นําพืชผักและผลไม้มาจําหน่าย ในระหว่างวันที่ 27 - 29 พฤษภาคม 2563 นอกจากนี้ มีกลุ่มวิสาหกิจแปลงใหญ่กุ้งก้ามกรามบ้านสะพานพัฒนา อําเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ได้นํากุ้งก้ามกราม เมล่อน และไข่มาร่วมจําหน่าย ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2563 ระหว่างเวลา 09.00 - 17.00 น. ณ ธ.ก.ส. สํานักงานใหญ่ บางเขน กรุงเทพฯ
“ธ.ก.ส. จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมอุดหนุนสินค้าเกษตรคุณภาพดี ซึ่งนอกจากจะได้รับสินค้าเกษตรส่งตรงจากสวนและฟาร์มของเกษตรกรโดยตรงแล้ว ยังเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและสร้างขวัญกําลังใจให้แก่เกษตรกรในการประกอบอาชีพ และร่วมสร้างเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้แข็งแกร่งอย่างยั่งยืนอีกด้วย” นายสมเกียรติกล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เชิญร่วมอุดหนุนผลไม้และสินค้าจากเกษตรกร ช่วยเกษตรกรฝ่าวิกฤตโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563
ธ.ก.ส. เชิญร่วมอุดหนุนผลไม้และสินค้าจากเกษตรกร ช่วยเกษตรกรฝ่าวิกฤตโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
ธ.ก.ส.เชิญชวนพี่น้องประชาชนช่วยเกษตรกรฝ่าวิกฤตโควิด-19 โดยร่วมอุดหนุนผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกร จ.ปราจีนบุรี จันทบุรี กาญจนบุรี และสุพรรณบุรี อาทิ ทุเรียน ส้มโอ มังคุด เงาะ เมล่อน กุ้งก้ามกรามและอีกมากมาย ตั้งแต่ 27-29 พ.ค.นี้ ณ ธ.ก.ส. สํานักงานใหญ่
ธ.ก.ส. เชิญชวนพี่น้องประชาชนช่วยเกษตรกรฝ่าวิกฤตโควิด-19 โดยร่วมอุดหนุนผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกรจังหวัดปราจีนบุรี จันทบุรี กาญจนบุรี และสุพรรณบุรี อาทิ ทุเรียน ส้มโอ มังคุด เงาะ เมล่อน กุ้งก้ามกรามและอีกมากมาย ตั้งแต่ 27-29 พฤษภาคมนี้ ณ ธ.ก.ส. สํานักงานใหญ่ บางเขน
นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลต่อการจําหน่ายสินค้าในภาคเกษตร เป็นอย่างมาก เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร ธ.ก.ส. ได้จัดทําช่องทางสนับสนุนในการจําหน่ายสินค้าจากแหล่งผลิตของเกษตรกรไปสู่ผู้บริโภคโดยตรง โดยในช่วงนี้มีสินค้าเกษตรจากสหกรณ์แปลงใหญ่ทุเรียนชาวสวนไม้เค็ด อําเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี ที่ได้นําทุเรียน ส้มโอ และหน่อไม้มาจําหน่าย กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านปลายคลองและสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. จันทบุรี จํากัด (สกต.) จังหวัดจันทบุรี นํามังคุด ลองกอง สละ และเงาะมาจําหน่าย และศูนย์เกษตรธรรมชาติทองผาภูมิ อําเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี นําพืชผักและผลไม้มาจําหน่าย ในระหว่างวันที่ 27 - 29 พฤษภาคม 2563 นอกจากนี้ มีกลุ่มวิสาหกิจแปลงใหญ่กุ้งก้ามกรามบ้านสะพานพัฒนา อําเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ได้นํากุ้งก้ามกราม เมล่อน และไข่มาร่วมจําหน่าย ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2563 ระหว่างเวลา 09.00 - 17.00 น. ณ ธ.ก.ส. สํานักงานใหญ่ บางเขน กรุงเทพฯ
“ธ.ก.ส. จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมอุดหนุนสินค้าเกษตรคุณภาพดี ซึ่งนอกจากจะได้รับสินค้าเกษตรส่งตรงจากสวนและฟาร์มของเกษตรกรโดยตรงแล้ว ยังเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและสร้างขวัญกําลังใจให้แก่เกษตรกรในการประกอบอาชีพ และร่วมสร้างเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้แข็งแกร่งอย่างยั่งยืนอีกด้วย” นายสมเกียรติกล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31570
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ร่วมกับมหาวิทยาลัยผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพประชาชนในชนบท
|
วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม 2561
สธ. ร่วมกับมหาวิทยาลัยผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพประชาชนในชนบท
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงสาธารณสุข มอบสัมฤทธิบัตรบัณฑิตแพทย์ โครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท ปีการศึกษา 2560 แก้ปัญหาการขาดแคลนแพทย์ของประเทศ เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพประชาชน
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงสาธารณสุข มอบสัมฤทธิบัตรบัณฑิตแพทย์ โครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบทปีการศึกษา 2560 แก้ปัญหาการขาดแคลนแพทย์ของประเทศ เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพประชาชน
วันนี้ (15 พฤษภาคม 2561) โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กทม. นายแพทย์ธวัช สุนทราจารย์ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงสาธารณสุข มอบสัมฤทธิบัตรบัณฑิตแพทย์ที่จบจากโครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท ปีการศึกษา 2560 โดยมีบัณฑิตแพทย์สําเร็จการศึกษาเข้ารับสัมฤทธิ์บัตร จาก 34 สถาบันการศึกษา ทั้งสิ้น 1,000 คน
นายแพทย์ธวัช สุนทราจารย์ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และทบวงมหาวิทยาลัย ได้ร่วมมือกันผลิตแพทย์ในโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท เพื่อให้กลับไปปฏิบัติงานในภูมิลําเนา ซึ่งจะทําให้เข้าใจบริบทของพื้นที่ ให้การดูแลสุขภาพประชาชนได้เป็นอย่างดี ลดความเหลื่อมล้ําการเข้าถึงบริการ และลดการสูญเสียแพทย์ออกจากระบบสาธารณสุข ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมแผนการผลิตแพทย์เพิ่มตามโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท ระยะ 2 ปี (พ.ศ.2561 – 2562) เพื่อรองรับการขยายบริการด้านการแพทย์และการสาธารณสุขของประเทศในอนาคต ที่ต้องการให้มีแพทย์ด้านเวชศาสตร์ครอบครัว เป็นหมอครอบครัวที่รู้จักครอบครัวอย่างแท้จริง ดูแลแบบองค์รวม
นายแพทย์ธวัช กล่าวต่อว่า ในการดําเนินงานจะประสานงานกับศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษาชั้นคลินิกของโรงพยาบาลครอบคลุม 12 เขตสุขภาพทั่วประเทศ โดยร่วมมือกับคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่างๆ คัดเลือกเด็กนักเรียนจากพื้นที่ชนบท รับทุนกระทรวงสาธารณสุขเพื่อเรียนแพทย์เป็นเวลา 6 ปี การเรียนการสอนชั้นปีที่ 1-3 เรียนที่มหาวิทยาลัยคู่ความร่วมมือจํานวน 14 แห่ง ส่วนชั้นปีที่ 4-6 เรียนที่ศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษาชั้นคลินิก จํานวน 37 แห่ง ซึ่งอยู่ในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ภายหลังสําเร็จการศึกษามีสัญญาผูกพันให้กลับไปปฏิบัติงานในโรงพยาบาลที่อยู่ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่อย่างน้อย 3 ปีหรือ 12 ปี
ผลการดําเนินงานโครงการในช่วง 22 ปีที่ผ่านมาว่า รับนักศึกษาตั้งแต่ปีการศึกษา 2538 - 2560 จํานวน 21 รุ่น จํานวน 14,237 คน มีบัณฑิตสําเร็จการศึกษาแล้ว 17 รุ่น จํานวน 7,901 คน รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ 18 สําเร็จการศึกษาในปีการศึกษา 2560 จํานวน 1,000 คน จากสถาบันการศึกษา 38 แห่ง ซึ่งบัณฑิตจะกลับไปปฏิบัติงานในภูมิภาคต่างๆ ได้แก่ ภาคเหนือ จํานวน 106 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจํานวน 336 คน ภาคกลาง 236 คน ภาคตะวันออก 96 ภาคตะวันตก 41 คน และภาคใต้ 185 คน
****************************15พฤษภาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ร่วมกับมหาวิทยาลัยผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพประชาชนในชนบท
วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม 2561
สธ. ร่วมกับมหาวิทยาลัยผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพประชาชนในชนบท
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงสาธารณสุข มอบสัมฤทธิบัตรบัณฑิตแพทย์ โครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท ปีการศึกษา 2560 แก้ปัญหาการขาดแคลนแพทย์ของประเทศ เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพประชาชน
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงสาธารณสุข มอบสัมฤทธิบัตรบัณฑิตแพทย์ โครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบทปีการศึกษา 2560 แก้ปัญหาการขาดแคลนแพทย์ของประเทศ เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพประชาชน
วันนี้ (15 พฤษภาคม 2561) โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กทม. นายแพทย์ธวัช สุนทราจารย์ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงสาธารณสุข มอบสัมฤทธิบัตรบัณฑิตแพทย์ที่จบจากโครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท ปีการศึกษา 2560 โดยมีบัณฑิตแพทย์สําเร็จการศึกษาเข้ารับสัมฤทธิ์บัตร จาก 34 สถาบันการศึกษา ทั้งสิ้น 1,000 คน
นายแพทย์ธวัช สุนทราจารย์ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และทบวงมหาวิทยาลัย ได้ร่วมมือกันผลิตแพทย์ในโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท เพื่อให้กลับไปปฏิบัติงานในภูมิลําเนา ซึ่งจะทําให้เข้าใจบริบทของพื้นที่ ให้การดูแลสุขภาพประชาชนได้เป็นอย่างดี ลดความเหลื่อมล้ําการเข้าถึงบริการ และลดการสูญเสียแพทย์ออกจากระบบสาธารณสุข ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมแผนการผลิตแพทย์เพิ่มตามโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท ระยะ 2 ปี (พ.ศ.2561 – 2562) เพื่อรองรับการขยายบริการด้านการแพทย์และการสาธารณสุขของประเทศในอนาคต ที่ต้องการให้มีแพทย์ด้านเวชศาสตร์ครอบครัว เป็นหมอครอบครัวที่รู้จักครอบครัวอย่างแท้จริง ดูแลแบบองค์รวม
นายแพทย์ธวัช กล่าวต่อว่า ในการดําเนินงานจะประสานงานกับศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษาชั้นคลินิกของโรงพยาบาลครอบคลุม 12 เขตสุขภาพทั่วประเทศ โดยร่วมมือกับคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่างๆ คัดเลือกเด็กนักเรียนจากพื้นที่ชนบท รับทุนกระทรวงสาธารณสุขเพื่อเรียนแพทย์เป็นเวลา 6 ปี การเรียนการสอนชั้นปีที่ 1-3 เรียนที่มหาวิทยาลัยคู่ความร่วมมือจํานวน 14 แห่ง ส่วนชั้นปีที่ 4-6 เรียนที่ศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษาชั้นคลินิก จํานวน 37 แห่ง ซึ่งอยู่ในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ภายหลังสําเร็จการศึกษามีสัญญาผูกพันให้กลับไปปฏิบัติงานในโรงพยาบาลที่อยู่ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่อย่างน้อย 3 ปีหรือ 12 ปี
ผลการดําเนินงานโครงการในช่วง 22 ปีที่ผ่านมาว่า รับนักศึกษาตั้งแต่ปีการศึกษา 2538 - 2560 จํานวน 21 รุ่น จํานวน 14,237 คน มีบัณฑิตสําเร็จการศึกษาแล้ว 17 รุ่น จํานวน 7,901 คน รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ 18 สําเร็จการศึกษาในปีการศึกษา 2560 จํานวน 1,000 คน จากสถาบันการศึกษา 38 แห่ง ซึ่งบัณฑิตจะกลับไปปฏิบัติงานในภูมิภาคต่างๆ ได้แก่ ภาคเหนือ จํานวน 106 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจํานวน 336 คน ภาคกลาง 236 คน ภาคตะวันออก 96 ภาคตะวันตก 41 คน และภาคใต้ 185 คน
****************************15พฤษภาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12238
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ประภัตร” ดันสินค้าส่งออกต่างประเทศต้องมีเครื่องหมาย Q
|
วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2562
“ประภัตร” ดันสินค้าส่งออกต่างประเทศต้องมีเครื่องหมาย Q
“ประภัตร” ดันสินค้าส่งออกต่างประเทศต้องมีเครื่องหมาย Q เพื่อย้ํามาตรฐานความปลอดภัยให้กับผู้บริโภค นําร่อง ‘เมล่อน’ เมืองสุพรรณฯ ผลิตสินค้ามาตรฐานป้อนตลาด พร้อมกระตุ้นผู้บริโภคเข้าถึงตลาดออนไลน์ และแหล่งผลิตสินค้า Q
วันนี้ (15 พ.ย.62) นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการกระชุมตรวจติดตามความก้าวหน้าการผลักดันและส่งเสริมสินค้าที่ได้รับการรับรอง GAP ให้ใช้และแสดงเครื่องหมาย Q ณ ห้องประชุมพระพิรุณ 111 สํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ผลักดันให้มีการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยต่อผู้บริโภค โดยส่งเสริมการผลิตตั้งแต่ฟาร์มให้มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practice : GAP) โดยมีการใช้สารเคมีอย่างถูกต้อง เหมาะสม และจํากัดตามหลักวิชาการ และมีการให้สัญลักษณ์ Q เพื่อรับรองมาตรฐาน ซึ่งจะทําให้สามารถสื่อสารกับผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ จึงมีนโยบายที่จะผลักดันและส่งเสริมสินค้าที่ได้รับการรับรอง GAP ให้ใช้และแสดงเครื่องหมาย Q เพื่อเพิ่มมูลค่าการตลาดให้กับสินค้าเกษตร อาทิ ข้าวสาร ผัก และผลไม้
นายประภัตร กล่าวว่า มกอช. ได้ดําเนินการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว โดยคัดเลือกเมล่อนประสิทธิฟาร์ม ต.ดอนคา อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี เป็นพื้นที่นําร่อง ในการผลักดันและส่งเสริมสินค้าที่ได้รับการรับรอง GAP ให้ใช้และแสดงเครื่องหมาย Q โดยสนับสนุนการแสดงเครื่องหมาย Q สนับสนุนสินค้าที่ได้มาตรฐานสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทั้งมาตรฐานและข้อมูลของเกษตรกร พร้อมหาตลาดรองรับให้กับเกษตรกร ได้แก่ ตลอดออนไลน์ www.dgtfram.com ร้าน Q4U (ร้านใน มกอช.) องค์การตลาดเพื่อการเกษตร (อ.ต.ก.) และห้างโมเดิร์นเทรด อย่างไรก็ตาม นอกจากเกษตรกรจะมีช่องทางการจําหน่ายมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นแล้ว เกษตรกรยังมีสินค้าที่ได้มาตรฐานสู่ผู้บริโภค รวมทั้งผู้บริโภคเข้าถึงสถานที่จําหน่ายและแหล่งผลิตสินค้า Q อีกด้วย
“ปัจจุบันหลายประเทศให้ความสําคัญกับการบริโภคที่คํานึงถึงสุขภาพมากขึ้น ดังนั้นสินค้าเกษตรที่ส่งออกไปต่างประเทศจะต้องมีสัญลักษณ์ Q เพื่อแสดงถึงสินค้าที่ได้มาตรฐานและความปลอดภัยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค และให้เกษตกรได้รักษาคุณภาพสินค้า เป็นการสร้างตลาดให้กว้างขึ้น ทั้งยังเพิ่มมูลค่าอีกด้วย โดยได้เน้นย้ําให้ มกอช. เร่งสร้างการรับรู้ให้เกษตรกร ผู้บริโภค และผู้ขายได้รู้จักมากยิ่งขึ้น เพราะมีความสําคัญ ทําให้ทุกคนได้เห็นว่าสินค้าที่มีสัญลักษณ์ Q และไม่มีนั้น แตกต่างกันอย่างไร เพื่อให้ผู้บริโภคหันมาเลือกซื้อสินค้าที่มีสัญลักษณ์ Q มากขึ้น ขณะเดียวกันต้องลงพื้นที่ตรวจสอบสินค้าเกษตรที่มี GAP แล้วทุกชนิดเพื่อติดตราสัญลักษณ์ Q ให้ชัดเจน ซึ่งจากนี้จะขยายผลไปสู่ผัก และผลไม้ชนิดอื่นๆ ต่อไป นอกจากนี้ต่างประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่นและออสเตรเลียมีความต้องการลําไยและส้มโอมากในฤดูกาลนี้ดังนั้นจึงต้องเร่งส่งเสริมสัญลักษณ์ Q เพื่อสร้างความมั่นใจในมาตรฐานและความปลอดภัยให้กับสินค้าส่งออก ตลอดจนมีการส่งเสริมการตลาดออนไลน์ โดยส่งเจ้าหน้าที่ไปศึกษาเรียนรู้ เพื่อนํามาปรับใช้ ปัจจุบันมีสินค้าที่มีสัญลักษณ์ Q จําหน่ายออนไลน์อยู่ในขณะนี้ประมาณ 300 รายการ และจะขยายเพิ่มขึ้นอีก“ นายประภัตร กล่าว
ด้าน นางสาวจูอะดี พงศ์มณีรัตน์ เลขาธิการ มกอช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สินค้าเกษตรที่ได้รับการรับรองเครื่องหมาย Q เป็นสินค้าที่มีคุณภาพและความปลอดภัยต่อผู้บริโภคตั้งแต่การผลิตในระดับฟาร์ม ซึ่งต้องปฏิบัติสอดคล้องกับมาตรฐาน GAP รวมทั้งโรงคัดบรรจุผักผลไม้ โรงฆ่าสัตว์ ศูนย์รวบรวมน้ํานมดิบ การผลิตต้องสอดคล้องกับมาตรฐานการปฏิบัติในการผลิตที่ดี (Good Manufacturing Practices : GMP)โดยปัจจุบัน มีเกษตรกรที่ได้รับการรับรอง GAP จํานวน 297,874 ใบ (190,815 ราย) แบ่งเป็น พืช 144,762 ใบ (127,867 ราย) ปศุสัตว์ 18,309 ใบ (18,307 ราย) ประมง 221 ใบ (221 ราย) และข้าว 134,582 ใบ (44,420 ราย)
“ที่ผ่านมา มกอช. ได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน เช่น ห้างโมเดิร์นเทรด ตลาดสดต่างๆ ในการสนับสนุนส่งเสริมการขายสินค้าเกษตรและอาหารที่มีเครื่องหมาย Q โดยเปิดให้มีมุมจําหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมาย Q เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับสินค้าที่มีคุณภาพให้มากยิ่งขึ้น และผู้บริโภคสามารถเลือกหาซื้อสินค้าที่มีคุณภาพ ความปลอดภัยและมีมาตรฐาน ได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ ผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมาย Q จะต้องรักษาคุณภาพ ความปลอดภัย และได้มาตรฐานอย่างสม่ําเสมอ เพราะหน่วยงานที่ให้การรับรองจะทําการติดตามตรวจสอบเป็นระยะ หากพบว่าไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข หรือไม่รักษาคุณภาพ ความปลอดภัย ตามมาตรฐาน จะถูกยกเลิกการใช้เครื่องหมาย Q ฉะนั้น สําหรับผู้บริโภคที่ต้องการเลือกหาสินค้าคุณภาพ ปลอดภัย ได้มาตรฐาน ต้องเลือกสินค้าที่มีเครื่องหมาย Q เท่านั้น”เลขาธิการ มกอช. กล่าว
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ประภัตร” ดันสินค้าส่งออกต่างประเทศต้องมีเครื่องหมาย Q
วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2562
“ประภัตร” ดันสินค้าส่งออกต่างประเทศต้องมีเครื่องหมาย Q
“ประภัตร” ดันสินค้าส่งออกต่างประเทศต้องมีเครื่องหมาย Q เพื่อย้ํามาตรฐานความปลอดภัยให้กับผู้บริโภค นําร่อง ‘เมล่อน’ เมืองสุพรรณฯ ผลิตสินค้ามาตรฐานป้อนตลาด พร้อมกระตุ้นผู้บริโภคเข้าถึงตลาดออนไลน์ และแหล่งผลิตสินค้า Q
วันนี้ (15 พ.ย.62) นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการกระชุมตรวจติดตามความก้าวหน้าการผลักดันและส่งเสริมสินค้าที่ได้รับการรับรอง GAP ให้ใช้และแสดงเครื่องหมาย Q ณ ห้องประชุมพระพิรุณ 111 สํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ผลักดันให้มีการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยต่อผู้บริโภค โดยส่งเสริมการผลิตตั้งแต่ฟาร์มให้มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practice : GAP) โดยมีการใช้สารเคมีอย่างถูกต้อง เหมาะสม และจํากัดตามหลักวิชาการ และมีการให้สัญลักษณ์ Q เพื่อรับรองมาตรฐาน ซึ่งจะทําให้สามารถสื่อสารกับผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ จึงมีนโยบายที่จะผลักดันและส่งเสริมสินค้าที่ได้รับการรับรอง GAP ให้ใช้และแสดงเครื่องหมาย Q เพื่อเพิ่มมูลค่าการตลาดให้กับสินค้าเกษตร อาทิ ข้าวสาร ผัก และผลไม้
นายประภัตร กล่าวว่า มกอช. ได้ดําเนินการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว โดยคัดเลือกเมล่อนประสิทธิฟาร์ม ต.ดอนคา อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี เป็นพื้นที่นําร่อง ในการผลักดันและส่งเสริมสินค้าที่ได้รับการรับรอง GAP ให้ใช้และแสดงเครื่องหมาย Q โดยสนับสนุนการแสดงเครื่องหมาย Q สนับสนุนสินค้าที่ได้มาตรฐานสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทั้งมาตรฐานและข้อมูลของเกษตรกร พร้อมหาตลาดรองรับให้กับเกษตรกร ได้แก่ ตลอดออนไลน์ www.dgtfram.com ร้าน Q4U (ร้านใน มกอช.) องค์การตลาดเพื่อการเกษตร (อ.ต.ก.) และห้างโมเดิร์นเทรด อย่างไรก็ตาม นอกจากเกษตรกรจะมีช่องทางการจําหน่ายมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นแล้ว เกษตรกรยังมีสินค้าที่ได้มาตรฐานสู่ผู้บริโภค รวมทั้งผู้บริโภคเข้าถึงสถานที่จําหน่ายและแหล่งผลิตสินค้า Q อีกด้วย
“ปัจจุบันหลายประเทศให้ความสําคัญกับการบริโภคที่คํานึงถึงสุขภาพมากขึ้น ดังนั้นสินค้าเกษตรที่ส่งออกไปต่างประเทศจะต้องมีสัญลักษณ์ Q เพื่อแสดงถึงสินค้าที่ได้มาตรฐานและความปลอดภัยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค และให้เกษตกรได้รักษาคุณภาพสินค้า เป็นการสร้างตลาดให้กว้างขึ้น ทั้งยังเพิ่มมูลค่าอีกด้วย โดยได้เน้นย้ําให้ มกอช. เร่งสร้างการรับรู้ให้เกษตรกร ผู้บริโภค และผู้ขายได้รู้จักมากยิ่งขึ้น เพราะมีความสําคัญ ทําให้ทุกคนได้เห็นว่าสินค้าที่มีสัญลักษณ์ Q และไม่มีนั้น แตกต่างกันอย่างไร เพื่อให้ผู้บริโภคหันมาเลือกซื้อสินค้าที่มีสัญลักษณ์ Q มากขึ้น ขณะเดียวกันต้องลงพื้นที่ตรวจสอบสินค้าเกษตรที่มี GAP แล้วทุกชนิดเพื่อติดตราสัญลักษณ์ Q ให้ชัดเจน ซึ่งจากนี้จะขยายผลไปสู่ผัก และผลไม้ชนิดอื่นๆ ต่อไป นอกจากนี้ต่างประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่นและออสเตรเลียมีความต้องการลําไยและส้มโอมากในฤดูกาลนี้ดังนั้นจึงต้องเร่งส่งเสริมสัญลักษณ์ Q เพื่อสร้างความมั่นใจในมาตรฐานและความปลอดภัยให้กับสินค้าส่งออก ตลอดจนมีการส่งเสริมการตลาดออนไลน์ โดยส่งเจ้าหน้าที่ไปศึกษาเรียนรู้ เพื่อนํามาปรับใช้ ปัจจุบันมีสินค้าที่มีสัญลักษณ์ Q จําหน่ายออนไลน์อยู่ในขณะนี้ประมาณ 300 รายการ และจะขยายเพิ่มขึ้นอีก“ นายประภัตร กล่าว
ด้าน นางสาวจูอะดี พงศ์มณีรัตน์ เลขาธิการ มกอช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สินค้าเกษตรที่ได้รับการรับรองเครื่องหมาย Q เป็นสินค้าที่มีคุณภาพและความปลอดภัยต่อผู้บริโภคตั้งแต่การผลิตในระดับฟาร์ม ซึ่งต้องปฏิบัติสอดคล้องกับมาตรฐาน GAP รวมทั้งโรงคัดบรรจุผักผลไม้ โรงฆ่าสัตว์ ศูนย์รวบรวมน้ํานมดิบ การผลิตต้องสอดคล้องกับมาตรฐานการปฏิบัติในการผลิตที่ดี (Good Manufacturing Practices : GMP)โดยปัจจุบัน มีเกษตรกรที่ได้รับการรับรอง GAP จํานวน 297,874 ใบ (190,815 ราย) แบ่งเป็น พืช 144,762 ใบ (127,867 ราย) ปศุสัตว์ 18,309 ใบ (18,307 ราย) ประมง 221 ใบ (221 ราย) และข้าว 134,582 ใบ (44,420 ราย)
“ที่ผ่านมา มกอช. ได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน เช่น ห้างโมเดิร์นเทรด ตลาดสดต่างๆ ในการสนับสนุนส่งเสริมการขายสินค้าเกษตรและอาหารที่มีเครื่องหมาย Q โดยเปิดให้มีมุมจําหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมาย Q เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับสินค้าที่มีคุณภาพให้มากยิ่งขึ้น และผู้บริโภคสามารถเลือกหาซื้อสินค้าที่มีคุณภาพ ความปลอดภัยและมีมาตรฐาน ได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ ผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมาย Q จะต้องรักษาคุณภาพ ความปลอดภัย และได้มาตรฐานอย่างสม่ําเสมอ เพราะหน่วยงานที่ให้การรับรองจะทําการติดตามตรวจสอบเป็นระยะ หากพบว่าไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข หรือไม่รักษาคุณภาพ ความปลอดภัย ตามมาตรฐาน จะถูกยกเลิกการใช้เครื่องหมาย Q ฉะนั้น สําหรับผู้บริโภคที่ต้องการเลือกหาสินค้าคุณภาพ ปลอดภัย ได้มาตรฐาน ต้องเลือกสินค้าที่มีเครื่องหมาย Q เท่านั้น”เลขาธิการ มกอช. กล่าว
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24597
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยรัฐบาลเตรียมพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตกเป็นเมืองพักผ่อนเพื่อสุขภาพระดับโลกหวังดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพเดินทางมามากขึ้น
|
วันพุธที่ 7 มีนาคม 2561
ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยรัฐบาลเตรียมพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตกเป็นเมืองพักผ่อนเพื่อสุขภาพระดับโลกหวังดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพเดินทางมามากขึ้น
ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยรัฐบาลเตรียมพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตกเป็นเมืองพักผ่อนเพื่อสุขภาพระดับโลกหวังดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพเดินทางมามากขึ้น
วันนี้ (6 มี.ค.61) เวลา 14.30 น. ณ โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน อําเภอชะอํา จังหวัดเพชรบุรี ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2561 ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พันเอก อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 (สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์) ว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาแนวทางพัฒนาการท่องเที่ยวในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตก ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตการพัฒนาการท่องเที่ยวระหว่างปี 2559 - 2563 มุ่งเน้นการพัฒนาฐานทรัพยากรพื้นฐานการท่องเที่ยวด้านต่าง ๆ เช่น ด้านสังคม ด้านวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ด้านทุนมนุษย์ และด้านคุณภาพการบริการ ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาให้พื้นที่เป็นเมืองพักผ่อนเพื่อสุขภาพระดับโลก และส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพ และขีดความสามารถทางด้านการแข่งขันทางตลาด ตลอดจนดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่มากขึ้น
สําหรับมาตรการสําคัญในการสนับสนุนการท่องเที่ยว ประกอบด้วย การกําหนดเขตพื้นที่รองในเมืองหลักเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระจายรายได้ไปสู่เมืองรองตามนโยบายรัฐบาล เช่น ที่อําเภอเขาย้อย อําเภอหนองหญ้าปล้อง อําเภอท่ายาง อําเภอบ้านลาด และอําเภอบ้านแหลม และมีการประกาศกําหนดเขตพื้นที่ในท้องถิ่นหรือชุมชน ซึ่งมีชุมชนที่ผ่านการประกาศแล้ว จํานวน 4 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนบ้านนาต้น จังหวัดสุโขทัย ชุมชนบ้านน้ําเชี่ยว จังหวัดตราด ชุมชนบ้านรวมไทย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และชุมชนแหลมสัก จังหวัดกระบี่ ส่วนแนวทางการพัฒนาและปรับปรุงภาค จะมีการพัฒนาและปรับปรุงท่าอากาศยานหัวหิน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ มีการส่งเสริมธุรกิจสนามกอล์ฟเพื่อการท่องเที่ยวเพื่อสร้างความเป็นเลิศทางการกีฬากอล์ฟให้กับเด็กและเยาวชน และเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงกีฬา โดยมีแผนดําเนินการเร่งด่วนในปีงบประมาณ 2562 จํานวน 45 โครงการ และมียุทธศาสตร์การพัฒนา 5 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย 1) เพิ่มคุณค่าและมูลค่าทางทรัพยากรการท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรม 2) การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันทางตลาดการท่องเที่ยว เพื่อเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ 3) การสร้างความเข้มแข็งกลไกการขับเคลื่อนเขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตก 4) ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชื่อมโยงภายในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวทะเลฝั่งตะวันตก และ5) เร่งสนับสนุนและขับเคลื่อนมาตรการเยียวยาก รักษา และแก้ไขประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ด้านแรงงาน ด้านสภาพแวดล้อม และด้านความปลอดภัย
__________________
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยรัฐบาลเตรียมพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตกเป็นเมืองพักผ่อนเพื่อสุขภาพระดับโลกหวังดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพเดินทางมามากขึ้น
วันพุธที่ 7 มีนาคม 2561
ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยรัฐบาลเตรียมพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตกเป็นเมืองพักผ่อนเพื่อสุขภาพระดับโลกหวังดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพเดินทางมามากขึ้น
ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยรัฐบาลเตรียมพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตกเป็นเมืองพักผ่อนเพื่อสุขภาพระดับโลกหวังดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพเดินทางมามากขึ้น
วันนี้ (6 มี.ค.61) เวลา 14.30 น. ณ โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน อําเภอชะอํา จังหวัดเพชรบุรี ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2561 ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พันเอก อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 (สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์) ว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาแนวทางพัฒนาการท่องเที่ยวในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตก ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตการพัฒนาการท่องเที่ยวระหว่างปี 2559 - 2563 มุ่งเน้นการพัฒนาฐานทรัพยากรพื้นฐานการท่องเที่ยวด้านต่าง ๆ เช่น ด้านสังคม ด้านวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ด้านทุนมนุษย์ และด้านคุณภาพการบริการ ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาให้พื้นที่เป็นเมืองพักผ่อนเพื่อสุขภาพระดับโลก และส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพ และขีดความสามารถทางด้านการแข่งขันทางตลาด ตลอดจนดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่มากขึ้น
สําหรับมาตรการสําคัญในการสนับสนุนการท่องเที่ยว ประกอบด้วย การกําหนดเขตพื้นที่รองในเมืองหลักเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระจายรายได้ไปสู่เมืองรองตามนโยบายรัฐบาล เช่น ที่อําเภอเขาย้อย อําเภอหนองหญ้าปล้อง อําเภอท่ายาง อําเภอบ้านลาด และอําเภอบ้านแหลม และมีการประกาศกําหนดเขตพื้นที่ในท้องถิ่นหรือชุมชน ซึ่งมีชุมชนที่ผ่านการประกาศแล้ว จํานวน 4 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนบ้านนาต้น จังหวัดสุโขทัย ชุมชนบ้านน้ําเชี่ยว จังหวัดตราด ชุมชนบ้านรวมไทย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และชุมชนแหลมสัก จังหวัดกระบี่ ส่วนแนวทางการพัฒนาและปรับปรุงภาค จะมีการพัฒนาและปรับปรุงท่าอากาศยานหัวหิน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ มีการส่งเสริมธุรกิจสนามกอล์ฟเพื่อการท่องเที่ยวเพื่อสร้างความเป็นเลิศทางการกีฬากอล์ฟให้กับเด็กและเยาวชน และเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงกีฬา โดยมีแผนดําเนินการเร่งด่วนในปีงบประมาณ 2562 จํานวน 45 โครงการ และมียุทธศาสตร์การพัฒนา 5 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย 1) เพิ่มคุณค่าและมูลค่าทางทรัพยากรการท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรม 2) การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันทางตลาดการท่องเที่ยว เพื่อเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ 3) การสร้างความเข้มแข็งกลไกการขับเคลื่อนเขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตก 4) ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชื่อมโยงภายในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวทะเลฝั่งตะวันตก และ5) เร่งสนับสนุนและขับเคลื่อนมาตรการเยียวยาก รักษา และแก้ไขประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ด้านแรงงาน ด้านสภาพแวดล้อม และด้านความปลอดภัย
__________________
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10552
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.