title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลุยตรวจเข้มโรงงาน จ.อ่างทอง
|
วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562
หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลุยตรวจเข้มโรงงาน จ.อ่างทอง
นายจุลพงษ์ ทวีศรี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมกับนายประมวล มุ่งมาตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือแนวทางในการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนของบริษัท ไทยเรยอน จํากัด (มหาชน)
เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 นายจุลพงษ์ ทวีศรี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายประกอบ วิวิธจินดา ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายอํานวย สุวรรณรักษ์ อุตสาหกรรมจังหวัดอ่างทอง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมกับนายประมวล มุ่งมาตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือแนวทางในการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนของบริษัท ไทยเรยอน จํากัด (มหาชน) พร้อมกันนี้ได้ให้คําแนะนําในการแก้ไขปรับปรุงกระบวนการผลิตและระบบขจัดมลพิษแก่โรงงาน อันเป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนต่อไป ณ ห้องประชุมโพธิ์ทอง ศาลากลางจังหวัดอ่างทอง จากนั้นในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2562 คณะหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบการประกอบกิจการของโรงงาน และลงพื้นที่พบปะกับผู้นําชุมชน และประชาชนบริเวณโดยรอบโรงงานสอบถามข้อเท็จจริงเพื่อค้นหาสาเหตุของปัญหาข้อร้องเรียนที่เกิดขึ้นและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ชุมชนถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของกระทรวงอุตสาหกรรมในการดําเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการประกอบกิจการของภาคอุตสาหกรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลุยตรวจเข้มโรงงาน จ.อ่างทอง
วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562
หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลุยตรวจเข้มโรงงาน จ.อ่างทอง
นายจุลพงษ์ ทวีศรี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมกับนายประมวล มุ่งมาตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือแนวทางในการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนของบริษัท ไทยเรยอน จํากัด (มหาชน)
เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 นายจุลพงษ์ ทวีศรี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายประกอบ วิวิธจินดา ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายอํานวย สุวรรณรักษ์ อุตสาหกรรมจังหวัดอ่างทอง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมกับนายประมวล มุ่งมาตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือแนวทางในการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนของบริษัท ไทยเรยอน จํากัด (มหาชน) พร้อมกันนี้ได้ให้คําแนะนําในการแก้ไขปรับปรุงกระบวนการผลิตและระบบขจัดมลพิษแก่โรงงาน อันเป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนต่อไป ณ ห้องประชุมโพธิ์ทอง ศาลากลางจังหวัดอ่างทอง จากนั้นในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2562 คณะหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบการประกอบกิจการของโรงงาน และลงพื้นที่พบปะกับผู้นําชุมชน และประชาชนบริเวณโดยรอบโรงงานสอบถามข้อเท็จจริงเพื่อค้นหาสาเหตุของปัญหาข้อร้องเรียนที่เกิดขึ้นและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ชุมชนถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของกระทรวงอุตสาหกรรมในการดําเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการประกอบกิจการของภาคอุตสาหกรรม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18653
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เด็ก ถือเป็นพาหะในการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ให้ผู้อื่นหรือไม่ ??
|
วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2563
เด็ก ถือเป็นพาหะในการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ให้ผู้อื่นหรือไม่ ??
เด็ก เป็นพาหะแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 จริงหรือ?
Q : เด็ก ถือเป็นพาหะในการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ให้ผู้อื่นหรือไม่ ??
A : เด็ก ถือเป็นกลุ่มที่สามารถติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้เช่นกัน แม้ตามสถิติจะพบไม่มากนัก และพบว่าส่วนใหญ่เด็กมักมีอาการป่วยที่ไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับกลุ่มผู้สูงอายุ แต่อย่างไรก็ตามก็สามารถเป็นผู้แพร่เชื้อได้ ดังนั้นหากพบว่าเด็กติดเชื้อฯ ต้องเข้าสู่มาตรการกักกันตัว และได้รับการรักษาอาการ เช่นเดียวกับวัยอื่นๆ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เด็ก ถือเป็นพาหะในการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ให้ผู้อื่นหรือไม่ ??
วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2563
เด็ก ถือเป็นพาหะในการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ให้ผู้อื่นหรือไม่ ??
เด็ก เป็นพาหะแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 จริงหรือ?
Q : เด็ก ถือเป็นพาหะในการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ให้ผู้อื่นหรือไม่ ??
A : เด็ก ถือเป็นกลุ่มที่สามารถติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้เช่นกัน แม้ตามสถิติจะพบไม่มากนัก และพบว่าส่วนใหญ่เด็กมักมีอาการป่วยที่ไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับกลุ่มผู้สูงอายุ แต่อย่างไรก็ตามก็สามารถเป็นผู้แพร่เชื้อได้ ดังนั้นหากพบว่าเด็กติดเชื้อฯ ต้องเข้าสู่มาตรการกักกันตัว และได้รับการรักษาอาการ เช่นเดียวกับวัยอื่นๆ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28306
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกราบนมัสการองค์หลวงพ่อเพชร
|
วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน 2561
นายกรัฐมนตรีกราบนมัสการองค์หลวงพ่อเพชร
นายกรัฐมนตรีกราบนมัสการองค์หลวงพ่อเพชร
วันนี้ (11 มิถุนายน 2561) เวลา 08.50 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ ได้เข้ากราบนมัสการหลวงพ่อเพชร ณ วัดท่าหลวง พระอารามหลวง ตําบลในเมือง อําเภอเมือง จังหวัดพิจิตร เพื่อความเป็นสิริมงคล
สําหรับวัดท่าหลวงเป็นวัดโบราณคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดพิจิตร ภายในอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยสมัยเชียงแสน มีนามว่า”หลวงพ่อเพชร” หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ พุทธลักษณะงดงามมาก หน้าตักกว้าง 1.40 เมตร สูง 1.60 เมตร เป็นพระพุทธรูปสําคัญคู่เมืองพิจิตร ทางจังหวัดได้เคยใช้สถานที่ของวัดแห่งนี้ในการประกอบพิธีถือน้ําพิพัฒน์สัตยาประจํา ปัจจุบันมีพระราชสิทธิเวที ดร. รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดท่าหลวง เจ้าคณะจังหวัดพิจิตร
ในการนี้ รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดท่าหลวง ได้มอบพระพุทธรูปหลวงพ่อเพชร ขนาดหน้าตัก 3 นิ้ว ลงรักปิดทอง และเหรียญหลวงพ่อเพชรหลวงพ่อเงิน พุทธบารมี รุ่นสร้าง วิทยาลัยสงฆ์พิจิตร พ.ศ. 2558 แก่นายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า “การได้มากราบหลวงพ่อเพชร ใจจะได้แกร่งเหมือนเพชร”
----------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกราบนมัสการองค์หลวงพ่อเพชร
วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน 2561
นายกรัฐมนตรีกราบนมัสการองค์หลวงพ่อเพชร
นายกรัฐมนตรีกราบนมัสการองค์หลวงพ่อเพชร
วันนี้ (11 มิถุนายน 2561) เวลา 08.50 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ ได้เข้ากราบนมัสการหลวงพ่อเพชร ณ วัดท่าหลวง พระอารามหลวง ตําบลในเมือง อําเภอเมือง จังหวัดพิจิตร เพื่อความเป็นสิริมงคล
สําหรับวัดท่าหลวงเป็นวัดโบราณคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดพิจิตร ภายในอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยสมัยเชียงแสน มีนามว่า”หลวงพ่อเพชร” หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ พุทธลักษณะงดงามมาก หน้าตักกว้าง 1.40 เมตร สูง 1.60 เมตร เป็นพระพุทธรูปสําคัญคู่เมืองพิจิตร ทางจังหวัดได้เคยใช้สถานที่ของวัดแห่งนี้ในการประกอบพิธีถือน้ําพิพัฒน์สัตยาประจํา ปัจจุบันมีพระราชสิทธิเวที ดร. รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดท่าหลวง เจ้าคณะจังหวัดพิจิตร
ในการนี้ รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดท่าหลวง ได้มอบพระพุทธรูปหลวงพ่อเพชร ขนาดหน้าตัก 3 นิ้ว ลงรักปิดทอง และเหรียญหลวงพ่อเพชรหลวงพ่อเงิน พุทธบารมี รุ่นสร้าง วิทยาลัยสงฆ์พิจิตร พ.ศ. 2558 แก่นายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า “การได้มากราบหลวงพ่อเพชร ใจจะได้แกร่งเหมือนเพชร”
----------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12927
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธนาคารออมสิน ยกระดับ Mobile Banking ด้วย “MyMo My Card” กดเงินสดได้ บัตรไม่ต้อง ช่วงเปิดตัวรับโปรโมชั่น ฟรี!! ค่าธรรมเนียม 6 เดือน
|
วันพุธที่ 15 มีนาคม 2560
ธนาคารออมสิน ยกระดับ Mobile Banking ด้วย “MyMo My Card” กดเงินสดได้ บัตรไม่ต้อง ช่วงเปิดตัวรับโปรโมชั่น ฟรี!! ค่าธรรมเนียม 6 เดือน
ธนาคารออมสิน เปิดตัวธุรกรรมใหม่ “MyMo My Card” พัฒนา Mobile Banking ด้วยการกดเงินสดจากตู้ ATM โดย “ไม่ต้องมีบัตร” ซึ่งเป็นสถาบันการเงินแห่งแรกของไทยและเอเชียเปิดให้บริการนี้
ธนาคารออมสิน เปิดตัวธุรกรรมใหม่ “MyMo My Card” พัฒนา Mobile Banking ด้วยการกดเงินสดจากตู้ ATM โดย “ไม่ต้องมีบัตร” ซึ่งเป็นสถาบันการเงินแห่งแรกของไทยและเอเชียเปิดให้บริการนี้ ด้วยบริการที่เหนือกว่าสะดวกกว่า รวดเร็ว และพ้นจากภัยไซเบอร์ ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานด้านระบบบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศจากหลายสถาบัน ช่วงแนะนําบริการรับโปรโมชั่น ฟรีค่าธรรมเนียม 6 เดือนตั้งแต่วันที่ธนาคารเปิดให้บริการ
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า หลังจากที่ธนาคารออมสินได้นําเสนอนวัตกรรมใหม่ทางการเงิน Mobile Banking เพื่อเป็นช่องทางการบริการในการอํานวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าผ่านโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟน ด้วย “MyMo” ซึ่งเป็นบริการที่รวดเร็ว และปลอดภัยในการใช้บริการ โดยไม่ต้องเดินทางมาติดต่อที่เคาน์เตอร์สาขา ล่าสุดนี้ ธนาคารออมสิน ได้พัฒนาบริการ MyMo ขึ้นมาอีกระดับ เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์และทิศทางนโยบายของธนาคารฯ ที่มุ่งสู่การเป็นธนาคารออมสินยุคใหม่ GSB New ERA : Digi-Thai Banking “Digital for All Thais” ผ่านบริการ “MyMo My Card” ที่สามารถถอนเงินสดได้ที่ตู้ ATM ตู้ ADM ของธนาคารออมสิน โดยไม่ต้องมีบัตรอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเปิดให้บริการได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สําหรับขั้นตอนการรับบริการนี้ เมื่อสมัคร MyMo แล้ว ลูกค้าสามารถทํารายการผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ได้ทั้ง 3G หรือ 4G และ WIFI ให้เข้าสู่ระบบด้วยการ Login ผ่านแอพพลิเคชั่น MyMo บนมือถือ จากนั้นทํารายการถอนเงินสด เลือกบัญชี และจํานวนเงินที่ต้องการ (สูงสุด 5,000 บาทต่อวัน) หน้าจอมือถือ จะขึ้นตัวอ่าน QR Code จากนั้น ไปที่ตู้ ATM หรือตู้ ADM ธนาคารออมสิน เพื่อทําการถอนเงินสด กดเลือกเมนู “MyMo My Card” ที่หน้าจอแรก แล้วใช้มือถือสแกน QR Code ที่ปรากฎขึ้นที่หน้าจอตู้ ATM ตรวจสอบรายการและยืนยัน แล้วรับเงินจากช่องรับเงินสด โดยไม่ต้องมีบัตรอิเล็กทรอนิกส์
ทั้งนี้ จุดเด่นของบริการนี้คือ ใช้งานง่าย ใช้ระยะเวลาในการถอนเงินน้อยกว่าการถอนด้วยบัตร ATM โดยไม่ต้องรอสลิปจากตู้ แต่รับเป็น e-Slip ที่หน้าจอ MyMo บนมือถือ ขณะเดียวกันยังปลอดภัยจากการ Skimming ข้อมูลบัตรและการลักลอบดูรหัสบัตร ATM จากพวกมิจฉาชีพ ส่วน QR Code มีการเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัย และไม่ต้องกลัวว่าจะลืมบัตร ATM ไว้ที่ตู้ และที่สําคัญคือ ค่าธรรมเนียมบริการถูกกว่าบัตร ATM โดยในระยะเริ่มต้นจะใช้บริการได้ที่ตู้ ATM ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และจะทยอยเปิดใช้ให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศโดยเร็วที่สุดต่อไป นอกจากนี้ MyMo My Card ยังสามารถหาพิกัดเครื่อง ATM และทําหน้าที่เป็น NAVIGATOR นําทางให้ลูกค้าไปถึงเครื่อง ATM ธนาคารออมสินได้อีกด้วย และสําหรับในช่วงเปิดตัวนี้ ธนาคารได้จัดโปรโมชั่น ฟรี! ค่าธรรมเนียมการใช้บริการ (MyMo My Card) นาน 6 เดือน และฟรีค่าธรรมเนียมถอนข้ามเขตนาน 1 ปี นับจากวันที่ธนาคารเปิดให้บริการ
นายชาติชาย กล่าวเพิ่มเติมว่า บริการ MyMo ได้พัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อมีบริการ MyMo My Card ซึ่งปลอดภัยจากการ Skimming ข้อมูลบัตรและการลักลอบดูรหัสบัตร ATM จากพวกมิจฉาชีพ ทําให้ธนาคารฯ มั่นใจในความมั่นคงปลอดภัย ซึ่งก่อนเปิดให้บริการนี้ ธนาคารฯ ได้รับใบประกาศนียบัตรรับรองมาตรฐาน ISO/IEC27001:2013 ด้านระบบบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ โดยเป็นสถาบันการเงินของรัฐในประเทศไทยแห่งแรกที่รับการรรับรองมาตรฐานดังกล่าว โดยได้รับการตรวจประเมินรับรองในครั้งนี้ครอบคลุมบริการโครงสร้างพื้นฐานระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ มาตรการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศและบริการที่เกี่ยวข้องสําหรับการให้บริการธุรกรรมทางการเงินแก่ลูกค้าของธนาคารออมสินผ่าน MyMo ซึ่งดําเนินการตรวจประเมินรับรองโดย บริษัท บูโรเวอริทัส เซอทิฟิเคชั่น (ประเทศไทย) จํากัด
“การได้รับการรับรองมาตรฐานในครั้งนี้ของ MyMo ถือเป็นอีกหนึ่งความสําเร็จและความภาคภูมิใจของธนาคารออมสิน สําหรับการยกระดับการปฏิบัติงาน กระบวนการ และมาตรการด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ ให้มีประสิทธิผล และเป็นที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลอีกด้วย” นายชาติชาย กล่าว
สําหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมเปิดประสบการณ์ใหม่กับการถอนเงินสดที่ตู้ ATM โดยไม่ต้องมีบัตร เพียงติดต่อสมัครใช้บริการที่สาขาธนาคารออมสินทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน โทร.1115, ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ MyMo โทร.1143 หรือสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารออมสินทุกช่องทาง
หน่วยบริหารสื่อเพื่อสร้างภาพลักษณ์องค์กร ส่วนประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์องค์กร ฝ่ายสื่อสารองค์กร ธนาคารออมสิน
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธนาคารออมสิน ยกระดับ Mobile Banking ด้วย “MyMo My Card” กดเงินสดได้ บัตรไม่ต้อง ช่วงเปิดตัวรับโปรโมชั่น ฟรี!! ค่าธรรมเนียม 6 เดือน
วันพุธที่ 15 มีนาคม 2560
ธนาคารออมสิน ยกระดับ Mobile Banking ด้วย “MyMo My Card” กดเงินสดได้ บัตรไม่ต้อง ช่วงเปิดตัวรับโปรโมชั่น ฟรี!! ค่าธรรมเนียม 6 เดือน
ธนาคารออมสิน เปิดตัวธุรกรรมใหม่ “MyMo My Card” พัฒนา Mobile Banking ด้วยการกดเงินสดจากตู้ ATM โดย “ไม่ต้องมีบัตร” ซึ่งเป็นสถาบันการเงินแห่งแรกของไทยและเอเชียเปิดให้บริการนี้
ธนาคารออมสิน เปิดตัวธุรกรรมใหม่ “MyMo My Card” พัฒนา Mobile Banking ด้วยการกดเงินสดจากตู้ ATM โดย “ไม่ต้องมีบัตร” ซึ่งเป็นสถาบันการเงินแห่งแรกของไทยและเอเชียเปิดให้บริการนี้ ด้วยบริการที่เหนือกว่าสะดวกกว่า รวดเร็ว และพ้นจากภัยไซเบอร์ ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานด้านระบบบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศจากหลายสถาบัน ช่วงแนะนําบริการรับโปรโมชั่น ฟรีค่าธรรมเนียม 6 เดือนตั้งแต่วันที่ธนาคารเปิดให้บริการ
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า หลังจากที่ธนาคารออมสินได้นําเสนอนวัตกรรมใหม่ทางการเงิน Mobile Banking เพื่อเป็นช่องทางการบริการในการอํานวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าผ่านโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟน ด้วย “MyMo” ซึ่งเป็นบริการที่รวดเร็ว และปลอดภัยในการใช้บริการ โดยไม่ต้องเดินทางมาติดต่อที่เคาน์เตอร์สาขา ล่าสุดนี้ ธนาคารออมสิน ได้พัฒนาบริการ MyMo ขึ้นมาอีกระดับ เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์และทิศทางนโยบายของธนาคารฯ ที่มุ่งสู่การเป็นธนาคารออมสินยุคใหม่ GSB New ERA : Digi-Thai Banking “Digital for All Thais” ผ่านบริการ “MyMo My Card” ที่สามารถถอนเงินสดได้ที่ตู้ ATM ตู้ ADM ของธนาคารออมสิน โดยไม่ต้องมีบัตรอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเปิดให้บริการได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สําหรับขั้นตอนการรับบริการนี้ เมื่อสมัคร MyMo แล้ว ลูกค้าสามารถทํารายการผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ได้ทั้ง 3G หรือ 4G และ WIFI ให้เข้าสู่ระบบด้วยการ Login ผ่านแอพพลิเคชั่น MyMo บนมือถือ จากนั้นทํารายการถอนเงินสด เลือกบัญชี และจํานวนเงินที่ต้องการ (สูงสุด 5,000 บาทต่อวัน) หน้าจอมือถือ จะขึ้นตัวอ่าน QR Code จากนั้น ไปที่ตู้ ATM หรือตู้ ADM ธนาคารออมสิน เพื่อทําการถอนเงินสด กดเลือกเมนู “MyMo My Card” ที่หน้าจอแรก แล้วใช้มือถือสแกน QR Code ที่ปรากฎขึ้นที่หน้าจอตู้ ATM ตรวจสอบรายการและยืนยัน แล้วรับเงินจากช่องรับเงินสด โดยไม่ต้องมีบัตรอิเล็กทรอนิกส์
ทั้งนี้ จุดเด่นของบริการนี้คือ ใช้งานง่าย ใช้ระยะเวลาในการถอนเงินน้อยกว่าการถอนด้วยบัตร ATM โดยไม่ต้องรอสลิปจากตู้ แต่รับเป็น e-Slip ที่หน้าจอ MyMo บนมือถือ ขณะเดียวกันยังปลอดภัยจากการ Skimming ข้อมูลบัตรและการลักลอบดูรหัสบัตร ATM จากพวกมิจฉาชีพ ส่วน QR Code มีการเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัย และไม่ต้องกลัวว่าจะลืมบัตร ATM ไว้ที่ตู้ และที่สําคัญคือ ค่าธรรมเนียมบริการถูกกว่าบัตร ATM โดยในระยะเริ่มต้นจะใช้บริการได้ที่ตู้ ATM ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และจะทยอยเปิดใช้ให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศโดยเร็วที่สุดต่อไป นอกจากนี้ MyMo My Card ยังสามารถหาพิกัดเครื่อง ATM และทําหน้าที่เป็น NAVIGATOR นําทางให้ลูกค้าไปถึงเครื่อง ATM ธนาคารออมสินได้อีกด้วย และสําหรับในช่วงเปิดตัวนี้ ธนาคารได้จัดโปรโมชั่น ฟรี! ค่าธรรมเนียมการใช้บริการ (MyMo My Card) นาน 6 เดือน และฟรีค่าธรรมเนียมถอนข้ามเขตนาน 1 ปี นับจากวันที่ธนาคารเปิดให้บริการ
นายชาติชาย กล่าวเพิ่มเติมว่า บริการ MyMo ได้พัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อมีบริการ MyMo My Card ซึ่งปลอดภัยจากการ Skimming ข้อมูลบัตรและการลักลอบดูรหัสบัตร ATM จากพวกมิจฉาชีพ ทําให้ธนาคารฯ มั่นใจในความมั่นคงปลอดภัย ซึ่งก่อนเปิดให้บริการนี้ ธนาคารฯ ได้รับใบประกาศนียบัตรรับรองมาตรฐาน ISO/IEC27001:2013 ด้านระบบบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ โดยเป็นสถาบันการเงินของรัฐในประเทศไทยแห่งแรกที่รับการรรับรองมาตรฐานดังกล่าว โดยได้รับการตรวจประเมินรับรองในครั้งนี้ครอบคลุมบริการโครงสร้างพื้นฐานระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ มาตรการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศและบริการที่เกี่ยวข้องสําหรับการให้บริการธุรกรรมทางการเงินแก่ลูกค้าของธนาคารออมสินผ่าน MyMo ซึ่งดําเนินการตรวจประเมินรับรองโดย บริษัท บูโรเวอริทัส เซอทิฟิเคชั่น (ประเทศไทย) จํากัด
“การได้รับการรับรองมาตรฐานในครั้งนี้ของ MyMo ถือเป็นอีกหนึ่งความสําเร็จและความภาคภูมิใจของธนาคารออมสิน สําหรับการยกระดับการปฏิบัติงาน กระบวนการ และมาตรการด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ ให้มีประสิทธิผล และเป็นที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลอีกด้วย” นายชาติชาย กล่าว
สําหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมเปิดประสบการณ์ใหม่กับการถอนเงินสดที่ตู้ ATM โดยไม่ต้องมีบัตร เพียงติดต่อสมัครใช้บริการที่สาขาธนาคารออมสินทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน โทร.1115, ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ MyMo โทร.1143 หรือสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารออมสินทุกช่องทาง
หน่วยบริหารสื่อเพื่อสร้างภาพลักษณ์องค์กร ส่วนประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์องค์กร ฝ่ายสื่อสารองค์กร ธนาคารออมสิน
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2404
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศผลตัวแทนเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่นักท่องเที่ยวในเมือง
|
วันอังคารที่ 2 ตุลาคม 2561
ประกาศผลตัวแทนเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่นักท่องเที่ยวในเมือง
ตามที่กรมสรรพากรประกาศรับสมัครผู้ที่ประสงค์ให้บริการเป็นตัวแทนเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรในเมือง เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและเป็นการจูงใจให้นักท่องเที่ยวซื้อสินค้าในประเทศไทยเพิ่มขึ้น
ตามที่กรมสรรพากรประกาศรับสมัครผู้ที่ประสงค์ให้บริการเป็นตัวแทนเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรในเมือง เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและเป็นการจูงใจให้นักท่องเที่ยวซื้อสินค้าในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ตามโครงการทดลองในระยะ 6 เดือน (1 ตุลาคม 2561 – 31 มีนาคม 2562) นั้น
กรมสรรพากรขอเรียนว่า
1. กรมสรรพากรได้ออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 224) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ให้ผู้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรที่ซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการจดทะเบียนเพื่อนําออกไปนอกราชอาณาจักร มีสิทธิตั้งตัวแทนเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถูกเรียกเก็บไว้แล้วได้ตามมาตรา 84/4 แห่งประมวลรัษฎากร และแนวปฏิบัติสําหรับผู้ให้บริการเป็นตัวแทนเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรในเมือง ซึ่งได้มีการประกาศเปิดรับสมัครตัวแทนเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่นักท่องเที่ยวในเมือง ตั้งแต่วันที่ 7 - 17 กันยายน 2561 ที่ผ่านมา โดยมีผู้ยื่นสมัครทั้งหมด จํานวน 3 ราย
2. ในการพิจารณาคัดเลือกนั้น กรมสรรพากรพิจารณาจาก 2 ส่วนคือ (1) คุณสมบัติของผู้สมัคร และ (2) ความเหมาะสมในการเป็นผู้ให้บริการเป็นตัวแทนฯ ได้แก่ การพิจารณาความหนาแน่นของนักท่องเที่ยวในบริเวณที่ตั้งของสถานที่ให้บริการ การคมนาคมสะดวก ความปลอดภัย อัตราค่าบริการที่เรียกเก็บจากนักท่องเที่ยว ความพร้อมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ฯลฯ โดยผู้สมัครต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 จึงจะถือว่าผ่าน
3. กรมสรรพากรได้ทําการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ยื่นสมัครทั้ง 3 ราย ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ผู้ยื่นสมัคร 2 ราย มีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามประกาศอธิบดีฯ และแนวปฏิบัติข้างต้น โดยรายหนึ่งมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อดําเนินการเป็นตัวแทนของผู้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรในการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากกรมสรรพากร ปรากฏอยู่ในข้อหนึ่งข้อใดที่ระบุไว้ในหนังสือรับรองนิติบุคคล และอีกหนึ่งรายมิได้ยื่นคําขออนุมัติตามแบบที่แนบท้ายประกาศอธิบดีฯ (ฉบับที่ 224) จึงไม่เป็นไปตาม ข้อ 3 วรรคหนึ่ง ของประกาศอธิบดีฉบับดังกล่าวประกอบกับ มีการกําหนด จุดบริการจํานวน 5 แห่ง ซึ่งเกินกว่าจํานวนจุดบริการที่กําหนดไว้ตามแบบคําขออนุมัติฯ และแนวปฏิบัติข้างต้น ทั้งนี้ คงเหลือผู้สมัครเพียงรายเดียวที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ถูกต้อง ตามประกาศอธิบดีฯ และแนวปฏิบัติ จึงได้รับการพิจารณาอนุมัติให้เป็นตัวแทนเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่นักท่องเที่ยวในเมือง
4. กรมสรรพากร ขอเรียนยืนยันว่า การพิจารณาคัดเลือกรายผู้ให้บริการฯ เป็นไปตามขั้นตอนตามประกาศอธิบดีฯ (ฉบับที่ 224) และแนวปฏิบัติทุกประการ จึงมีความโปร่งใส และมิได้เอื้อประโยชน์ให้แก่บุคคลหรือกลุ่มธุรกิจใด
กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์
เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศผลตัวแทนเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่นักท่องเที่ยวในเมือง
วันอังคารที่ 2 ตุลาคม 2561
ประกาศผลตัวแทนเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่นักท่องเที่ยวในเมือง
ตามที่กรมสรรพากรประกาศรับสมัครผู้ที่ประสงค์ให้บริการเป็นตัวแทนเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรในเมือง เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและเป็นการจูงใจให้นักท่องเที่ยวซื้อสินค้าในประเทศไทยเพิ่มขึ้น
ตามที่กรมสรรพากรประกาศรับสมัครผู้ที่ประสงค์ให้บริการเป็นตัวแทนเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรในเมือง เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและเป็นการจูงใจให้นักท่องเที่ยวซื้อสินค้าในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ตามโครงการทดลองในระยะ 6 เดือน (1 ตุลาคม 2561 – 31 มีนาคม 2562) นั้น
กรมสรรพากรขอเรียนว่า
1. กรมสรรพากรได้ออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 224) เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ให้ผู้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรที่ซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการจดทะเบียนเพื่อนําออกไปนอกราชอาณาจักร มีสิทธิตั้งตัวแทนเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถูกเรียกเก็บไว้แล้วได้ตามมาตรา 84/4 แห่งประมวลรัษฎากร และแนวปฏิบัติสําหรับผู้ให้บริการเป็นตัวแทนเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรในเมือง ซึ่งได้มีการประกาศเปิดรับสมัครตัวแทนเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่นักท่องเที่ยวในเมือง ตั้งแต่วันที่ 7 - 17 กันยายน 2561 ที่ผ่านมา โดยมีผู้ยื่นสมัครทั้งหมด จํานวน 3 ราย
2. ในการพิจารณาคัดเลือกนั้น กรมสรรพากรพิจารณาจาก 2 ส่วนคือ (1) คุณสมบัติของผู้สมัคร และ (2) ความเหมาะสมในการเป็นผู้ให้บริการเป็นตัวแทนฯ ได้แก่ การพิจารณาความหนาแน่นของนักท่องเที่ยวในบริเวณที่ตั้งของสถานที่ให้บริการ การคมนาคมสะดวก ความปลอดภัย อัตราค่าบริการที่เรียกเก็บจากนักท่องเที่ยว ความพร้อมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ฯลฯ โดยผู้สมัครต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 จึงจะถือว่าผ่าน
3. กรมสรรพากรได้ทําการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ยื่นสมัครทั้ง 3 ราย ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ผู้ยื่นสมัคร 2 ราย มีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามประกาศอธิบดีฯ และแนวปฏิบัติข้างต้น โดยรายหนึ่งมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อดําเนินการเป็นตัวแทนของผู้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรในการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากกรมสรรพากร ปรากฏอยู่ในข้อหนึ่งข้อใดที่ระบุไว้ในหนังสือรับรองนิติบุคคล และอีกหนึ่งรายมิได้ยื่นคําขออนุมัติตามแบบที่แนบท้ายประกาศอธิบดีฯ (ฉบับที่ 224) จึงไม่เป็นไปตาม ข้อ 3 วรรคหนึ่ง ของประกาศอธิบดีฉบับดังกล่าวประกอบกับ มีการกําหนด จุดบริการจํานวน 5 แห่ง ซึ่งเกินกว่าจํานวนจุดบริการที่กําหนดไว้ตามแบบคําขออนุมัติฯ และแนวปฏิบัติข้างต้น ทั้งนี้ คงเหลือผู้สมัครเพียงรายเดียวที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ถูกต้อง ตามประกาศอธิบดีฯ และแนวปฏิบัติ จึงได้รับการพิจารณาอนุมัติให้เป็นตัวแทนเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่นักท่องเที่ยวในเมือง
4. กรมสรรพากร ขอเรียนยืนยันว่า การพิจารณาคัดเลือกรายผู้ให้บริการฯ เป็นไปตามขั้นตอนตามประกาศอธิบดีฯ (ฉบับที่ 224) และแนวปฏิบัติทุกประการ จึงมีความโปร่งใส และมิได้เอื้อประโยชน์ให้แก่บุคคลหรือกลุ่มธุรกิจใด
กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์
เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15793
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชะลอการเดินทางเข้าประเทศไทยถึง 15 เม.ย.63
|
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563
ชะลอการเดินทางเข้าประเทศไทยถึง 15 เม.ย.63
วันอังคารที่ 7 เมษายน 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานงานแจ้งชาวต่างชาติและคนไทยในต่างประเทศ ชะลอการเดินทางเข้าประเทศไทยจนถึงวันที่ 15 เม.ย. 63 ยกเว้นผู้ที่มีความจําเป็นและขออนุญาตไว้ก่อนแล้ว เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่มาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ทําให้จํานวนผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้นและมีคนใกล้ชิดที่ต้องกักกันตัวเองอีกเป็นจํานวนมาก นอกจากนี้ ยังขอให้ประชาชนเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างจริงจัง เพราะจากข้อมูลพบว่ามีผู้ที่ให้ความร่วมมือเพียงร้อยละ 64.81 จากเป้าหมายร้อยละ 90 ทําให้เชื้อยังแพร่กระจายอยู่ ส่วนการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า เมื่อออกจากบ้าน ประชาชนให้ความร่วมมือมากที่สุดถึงร้อยละ 94.03
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชะลอการเดินทางเข้าประเทศไทยถึง 15 เม.ย.63
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563
ชะลอการเดินทางเข้าประเทศไทยถึง 15 เม.ย.63
วันอังคารที่ 7 เมษายน 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานงานแจ้งชาวต่างชาติและคนไทยในต่างประเทศ ชะลอการเดินทางเข้าประเทศไทยจนถึงวันที่ 15 เม.ย. 63 ยกเว้นผู้ที่มีความจําเป็นและขออนุญาตไว้ก่อนแล้ว เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่มาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ทําให้จํานวนผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้นและมีคนใกล้ชิดที่ต้องกักกันตัวเองอีกเป็นจํานวนมาก นอกจากนี้ ยังขอให้ประชาชนเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างจริงจัง เพราะจากข้อมูลพบว่ามีผู้ที่ให้ความร่วมมือเพียงร้อยละ 64.81 จากเป้าหมายร้อยละ 90 ทําให้เชื้อยังแพร่กระจายอยู่ ส่วนการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า เมื่อออกจากบ้าน ประชาชนให้ความร่วมมือมากที่สุดถึงร้อยละ 94.03
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28619
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ทส. เปิด "ศูนย์ควบคุมมลพิษระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก " เพื่อติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม
|
วันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2560
ทส. เปิด "ศูนย์ควบคุมมลพิษระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก " เพื่อติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดงานกิจกรรมส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในการปฏิบัติงาน และเปิด "ศูนย์ควบคุมมลพิษระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก " (Pollution Control Center Eastern Economic Corridor :PCEC)
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีเปิดงานกิจกรรมส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในการปฏิบัติงาน และให้เกียรติเป็นประธานเปิด "ศูนย์ควบคุมมลพิษระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก " (Pollution Control Center Eastern Economic Corridor :PCEC) ณ อาคารสํานักงานศูนย์ควบคุมมลพิษระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ศูนย์ราชการจังหวัดระยอง พร้อมทั้งเยี่ยมชมนิทรรศการและศูนย์ปฏิบัติการสิ่งแวดล้อมระดับพื้นที่ และปล่อยคาราวานที่มีเครื่องมือพร้อมอุปกรณ์ของหน่วยตรวจสอบมลพิษฉุกเฉินและหน่วยปฏิบัติการตอบโต้เหตุฉุกเฉินจากสารเคมี จากหน่วยงานเครือข่ายด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในพื้นที่
โดยในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมควบคุมมลพิษ ได้จัดตั้ง "ศูนย์ควบคุมมลพิษระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก" เพื่อทําหน้าที่ติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ปัญหามลพิษ พร้อมให้คําปรึกษาและรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมทั้งประสานและเชื่อมโยงระบบข้อมูลสารเคมีอันตรายและมลพิษในสิ่งแวดล้อมให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ อาทิ ศูนย์เฝ้าระวังและควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (Environmental Monitoring and Control Center : EMCC) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นการบูรณาการในการวางแผนการตรวจสอบและเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม รวมทั้งใช้เป็นฐานข้อมูลในการกําหนดแนวทางและมาตรการในการบริหารจัดการปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ให้มีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และขยายพื้นที่ในการดําเนินงานของศูนย์ควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง จากเดิมเฉพาะในพื้นที่จังหวัดระยองให้ครอบคลุมจังหวัดต่างๆ ในภาคตะวันออกเพื่อรองรับนโยบายของรัฐบาลภายใต้โครงการ พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกเพื่อรองรับการลงทุนด้านต่างๆที่จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในภูมิภาคนี้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ทส. เปิด "ศูนย์ควบคุมมลพิษระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก " เพื่อติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม
วันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2560
ทส. เปิด "ศูนย์ควบคุมมลพิษระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก " เพื่อติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดงานกิจกรรมส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในการปฏิบัติงาน และเปิด "ศูนย์ควบคุมมลพิษระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก " (Pollution Control Center Eastern Economic Corridor :PCEC)
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีเปิดงานกิจกรรมส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในการปฏิบัติงาน และให้เกียรติเป็นประธานเปิด "ศูนย์ควบคุมมลพิษระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก " (Pollution Control Center Eastern Economic Corridor :PCEC) ณ อาคารสํานักงานศูนย์ควบคุมมลพิษระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ศูนย์ราชการจังหวัดระยอง พร้อมทั้งเยี่ยมชมนิทรรศการและศูนย์ปฏิบัติการสิ่งแวดล้อมระดับพื้นที่ และปล่อยคาราวานที่มีเครื่องมือพร้อมอุปกรณ์ของหน่วยตรวจสอบมลพิษฉุกเฉินและหน่วยปฏิบัติการตอบโต้เหตุฉุกเฉินจากสารเคมี จากหน่วยงานเครือข่ายด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในพื้นที่
โดยในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมควบคุมมลพิษ ได้จัดตั้ง "ศูนย์ควบคุมมลพิษระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก" เพื่อทําหน้าที่ติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ปัญหามลพิษ พร้อมให้คําปรึกษาและรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมทั้งประสานและเชื่อมโยงระบบข้อมูลสารเคมีอันตรายและมลพิษในสิ่งแวดล้อมให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ อาทิ ศูนย์เฝ้าระวังและควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (Environmental Monitoring and Control Center : EMCC) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นการบูรณาการในการวางแผนการตรวจสอบและเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม รวมทั้งใช้เป็นฐานข้อมูลในการกําหนดแนวทางและมาตรการในการบริหารจัดการปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ให้มีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และขยายพื้นที่ในการดําเนินงานของศูนย์ควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง จากเดิมเฉพาะในพื้นที่จังหวัดระยองให้ครอบคลุมจังหวัดต่างๆ ในภาคตะวันออกเพื่อรองรับนโยบายของรัฐบาลภายใต้โครงการ พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกเพื่อรองรับการลงทุนด้านต่างๆที่จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในภูมิภาคนี้
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6864
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. เพิ่มทางเลือกการลงทุนให้สมาชิก เปิดตัวแผนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทย เริ่มให้บริการ 31 ก.ค.
|
วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2563
กบข. เพิ่มทางเลือกการลงทุนให้สมาชิก เปิดตัวแผนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทย เริ่มให้บริการ 31 ก.ค.
แผนการลงทุนใหม่ เพิ่มทางเลือกในการบริหารเงินออมสําหรับสมาชิกที่ต้องการจัดสัดส่วนลงทุนเอง และรับความผันผวนของการลงทุนได้ค่อนข้างสูง
นายบุญเลิศ อันประเสริฐพร รองเลขาธิการ กลุ่มงานปฏิบัติการ รักษาการในตําแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข. เพิ่มทางเลือกการลงทุนให้กับสมาชิกในการบริหารเงินออม โดยล่าสุด ณ 31 กรกฎาคม 2563 ได้ออกแผนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่มีสัดส่วนสินทรัพย์ 100% ลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทย ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไทย และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานไทยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งจะสร้างโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนแบบเฉพาะเจาะจงในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม แผนการลงทุนนี้มีความเสี่ยงที่มูลค่าต่อหน่วยหรือ NAV จะลดลงตามภาวะตลาดหุ้นไทย และปัจจัยอื่นๆ ที่กระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่แผนการลงทุนนําเงินไปลงทุน
แผนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทย จึงเหมาะกับสมาชิกที่เข้าใจเรื่องการลงทุน และสามารถยอมรับความเสี่ยงได้ค่อนข้างสูง โดยสมาชิกสามารถจัดสัดส่วนการลงทุนด้วยตนเองร่วมกับแผนการลงทุนอื่น ไม่ว่าจะเป็นแผนตลาดเงิน แผนตราสารหนี้ และแผนตราสารสารทุนไทย เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายผลตอบแทนที่คาดหวังและระดับความเสี่ยงที่สมาชิกยอมรับได้
ปัจจุบัน สมาชิกสามารถส่งคําสั่งเลือกหรือเปลี่ยนแผนการลงทุนได้ 4 ครั้งต่อปี ใน 4 ช่องทางคือ 1. My GPF Application 2. My GPF Website 3. ส่งเอกสารมายัง กบข. โดยกรอกข้อมูลในแบบแสดงความประสงค์เลือกหรือเปลี่ยนแปลงแผนการลงทุน และ 4. เว็บไซต์ www.gpf.or.th ทั้งนี้ กบข. แนะนําให้สมาชิกทําแบบประเมินความเสี่ยงการลงทุนด้วยตนเองก่อนเลือกแผนการลงทุนทุกครั้ง
สมาชิกที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Contact Center โทร. 1179 Facebook กบข. หรือ Line กบข. พิมพ์ค้นหาไอดี @gpfcommunity และสามารถนัดหมายศูนย์ข้อมูลการเงิน ผ่าน My GPF Application เลือกเมนู “นัดหมายบริการข้อมูลการเงิน” เพื่อขอรับคําปรึกษาในการเลือกแผนการลงทุนอย่างละเอียด
เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบําเหน็จบํานาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กําหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 1,000,000 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 ก.ค. 2563)
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสําหรับสื่อมวลชน :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร: รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 , [email protected]
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. เพิ่มทางเลือกการลงทุนให้สมาชิก เปิดตัวแผนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทย เริ่มให้บริการ 31 ก.ค.
วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2563
กบข. เพิ่มทางเลือกการลงทุนให้สมาชิก เปิดตัวแผนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทย เริ่มให้บริการ 31 ก.ค.
แผนการลงทุนใหม่ เพิ่มทางเลือกในการบริหารเงินออมสําหรับสมาชิกที่ต้องการจัดสัดส่วนลงทุนเอง และรับความผันผวนของการลงทุนได้ค่อนข้างสูง
นายบุญเลิศ อันประเสริฐพร รองเลขาธิการ กลุ่มงานปฏิบัติการ รักษาการในตําแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข. เพิ่มทางเลือกการลงทุนให้กับสมาชิกในการบริหารเงินออม โดยล่าสุด ณ 31 กรกฎาคม 2563 ได้ออกแผนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่มีสัดส่วนสินทรัพย์ 100% ลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทย ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไทย และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานไทยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งจะสร้างโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนแบบเฉพาะเจาะจงในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม แผนการลงทุนนี้มีความเสี่ยงที่มูลค่าต่อหน่วยหรือ NAV จะลดลงตามภาวะตลาดหุ้นไทย และปัจจัยอื่นๆ ที่กระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่แผนการลงทุนนําเงินไปลงทุน
แผนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทย จึงเหมาะกับสมาชิกที่เข้าใจเรื่องการลงทุน และสามารถยอมรับความเสี่ยงได้ค่อนข้างสูง โดยสมาชิกสามารถจัดสัดส่วนการลงทุนด้วยตนเองร่วมกับแผนการลงทุนอื่น ไม่ว่าจะเป็นแผนตลาดเงิน แผนตราสารหนี้ และแผนตราสารสารทุนไทย เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายผลตอบแทนที่คาดหวังและระดับความเสี่ยงที่สมาชิกยอมรับได้
ปัจจุบัน สมาชิกสามารถส่งคําสั่งเลือกหรือเปลี่ยนแผนการลงทุนได้ 4 ครั้งต่อปี ใน 4 ช่องทางคือ 1. My GPF Application 2. My GPF Website 3. ส่งเอกสารมายัง กบข. โดยกรอกข้อมูลในแบบแสดงความประสงค์เลือกหรือเปลี่ยนแปลงแผนการลงทุน และ 4. เว็บไซต์ www.gpf.or.th ทั้งนี้ กบข. แนะนําให้สมาชิกทําแบบประเมินความเสี่ยงการลงทุนด้วยตนเองก่อนเลือกแผนการลงทุนทุกครั้ง
สมาชิกที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Contact Center โทร. 1179 Facebook กบข. หรือ Line กบข. พิมพ์ค้นหาไอดี @gpfcommunity และสามารถนัดหมายศูนย์ข้อมูลการเงิน ผ่าน My GPF Application เลือกเมนู “นัดหมายบริการข้อมูลการเงิน” เพื่อขอรับคําปรึกษาในการเลือกแผนการลงทุนอย่างละเอียด
เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบําเหน็จบํานาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กําหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 1,000,000 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 ก.ค. 2563)
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสําหรับสื่อมวลชน :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร: รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 , [email protected]
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33817
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ ตั้งศูนย์วอร์รูมแก้ไขปัญหาน้ำท่วมภาคใต้ พร้อมเตรียมเสนอนายกฯ งบ 10,000 ล้านบาท สร้างคลองผันน้ำแก้ปัญหาน้ำท่วมนครศรีฯ
|
วันอังคารที่ 10 มกราคม 2560
เกษตรฯ ตั้งศูนย์วอร์รูมแก้ไขปัญหาน้ําท่วมภาคใต้ พร้อมเตรียมเสนอนายกฯ งบ 10,000 ล้านบาท สร้างคลองผันน้ําแก้ปัญหาน้ําท่วมนครศรีฯ
เกษตรฯ ตั้งศูนย์วอร์รูมแก้ไขปัญหาน้ําท่วมภาคใต้ พร้อมเตรียมเสนอนายกฯ งบ 10,000 ล้านบาท สร้างคลองผันน้ําแก้ปัญหาน้ําท่วมนครศรีฯ ระยะยาว
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกลัยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่ได้สั่งการให้ทุกหน่วยช่วยเหลือน้ําท่วมในพื้นที่ภาคใต้ โดยส่วนกลางต้องวางแผนอํานวยการ ดูภาพรวม เพื่อแก้ปัญหาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยขณะนี้กระทรวงเกษตรฯ ได้ให้จัดตั้งศูนย์แก้ไขปัญหาภัยพิบัติทางการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ห้อง 137 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่วันที่ 7 ม.ค.60 เป็นต้นไปจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ซึ่งรายงานสถานการณ์น้ําท่วมในพื้นที่ภาคใต้ จากที่ได้เกิดจากฝนตกหนักในพื้นที่ในช่วงวันที่ 30 ธ.ค. 59 – ปัจจุบัน พบว่า มีผลกระทบใน 8 จังหวัด คือ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ตรัง นครศรีธรรมราช พัทลุง นราธิวาส ปัตตานี และ ยะลา โดยความรุนแรงสถานการณ์ แยกเป็น 3 กลุ่มจังหวัด ดังนี้ 1. จังหวัดที่คาดว่าจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติใน 1 - 2 วัน มี 3 จังหวัด ได้แก่ จ.ตรัง ปัตตานี และ ยะลา 2. จังหวัดที่คาดว่าจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติใน 3 - 4 วัน มี 3 จังหวัด ได้แก่ จ.นราธิวาส สุราษฎร์ธานี และ ชุมพร 3 จังหวัดที่คาดว่าจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติใน 6 - 7 วัน มี 2 จังหวัด ได้แก่ จ.พัทลุง และ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งจากการวิเคราะห์ในข้างต้น จะเห็นว่าต้องมุ่งช่วยเหลือ จ.นครศรีธรรมราช โดยเฉพาะในเขตเมืองโดยด่วน ซึ่งขณะนี้กรมชลประทานได้สนับสนุนเครื่องสูบน้ํา รวม 110 เครื่อง เครื่องผลักดันน้ํา รวม 52 เครื่อง สถานีสูบน้ําไฟฟ้า 4 สถานี เครื่องจักรหนักจากส่วนกลาง และ อื่นๆ
ส่วนในแผนระยะยาวนั้น จะได้เสนอนายกรัฐมนตรีจัดทําคลองผันน้ํา จ.นครศรีธรรมราช ทําให้เพิ่มอัตราการระบายน้ําจากที่มีในปัจจุบัน ได้อีก 5 เท่าตัว โดยใช้งบประมาณ 10,000 ล้านบาท คาดว่าเมื่อดําเนินการแล้ว ปัญหาน้ําท่วมจากคลองท่าดีจะบรรเทาลงไปมาก ซึ่งจะต้องดําเนินการให้เร็วที่สุด
ด้านนายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้การบริหารสถานการณ์และบัญชาการสถานการณ์เพื่อเผชิญเหตุอย่างมีประสิทธิภาพ ตามนโยบายนายกรัฐมนตรีและ รมว.กษ.ได้มอบหมายให้ผู้บริหารทุกหน่วยงานในสังกัดดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. มอบหมายให้รองปลัดฯเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ ในฐานะ ผอ. ศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทําหน้าที่กํากับ ติดตามและประสานงานการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยดังกล่าวของหน่วยงานต่างๆในสังกัด กษ. ในภาพรวม และประสานการดําเนินงานช่วยเหลือเกษตรกรระหว่างกระทรวง พร้อมทั้งรายงานผลการดําเนินงานให้ท่าน รมว.กษ. และปลัด กษ. ทราบอย่างต่อเนื่อง 2. หัวหน้าส่วนราชการกระทรวงฯ ที่เกี่ยวข้องที่ดูแลพื้นที่ภาคใต้ โปรดติดตามสถานการณ์ ตรวจเยี่ยม อํานวยการและสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานในสังกัดเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภัยตามภารกิจหน้าที่และตามความเหมาะสมจนกว่าสถานการณ์จะยุติ 3. การบูรณาการในแต่ละจังหวัด มอบหมายให้ประธานกรรมการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แบบเบ็ดเสร็จ (Single Command) เป็นผู้บูรณาการการทํางานกับทุกหน่วยงานในทุกมิติ 4. อธิบดีกรมชลประทาน อธิบดีกรมประมง อธิบดีกรมปศุสัตว์ และอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมติดตามสถานการณ์และประสานงานการแก้ไขปัญหา ประจําศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร กษ. ห้อง 137 อาคาร 1 ชั้น 3 สป.กษ. ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2560 เวลา 8.30 - 16.30 น. 5. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปรายงานความเสียหายและประเมินสถานการณ์ในแต่ละด้านทั้งในส่วนของราชการและผลกระทบต่อเกษตรกร ความช่วยเหลือ และอื่นๆที่เกี่ยวข้อง มาที่สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทุกวันอย่างต่อเนื่อง โดยสรุปเป็นทางการและผ่านไลน์ จนกว่าสถานการณ์จะพ้นวิกฤติดังกล่าว ([email protected]) โทรศัพท์/โทรสาร 02281 9401 6. การปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ขอให้ประสานงานและบูรณาการกับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ประสบอุทกภัยทุกครั้ง และให้คํานึงถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและทางราชการเป็นสําคัญ
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ ตั้งศูนย์วอร์รูมแก้ไขปัญหาน้ำท่วมภาคใต้ พร้อมเตรียมเสนอนายกฯ งบ 10,000 ล้านบาท สร้างคลองผันน้ำแก้ปัญหาน้ำท่วมนครศรีฯ
วันอังคารที่ 10 มกราคม 2560
เกษตรฯ ตั้งศูนย์วอร์รูมแก้ไขปัญหาน้ําท่วมภาคใต้ พร้อมเตรียมเสนอนายกฯ งบ 10,000 ล้านบาท สร้างคลองผันน้ําแก้ปัญหาน้ําท่วมนครศรีฯ
เกษตรฯ ตั้งศูนย์วอร์รูมแก้ไขปัญหาน้ําท่วมภาคใต้ พร้อมเตรียมเสนอนายกฯ งบ 10,000 ล้านบาท สร้างคลองผันน้ําแก้ปัญหาน้ําท่วมนครศรีฯ ระยะยาว
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกลัยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่ได้สั่งการให้ทุกหน่วยช่วยเหลือน้ําท่วมในพื้นที่ภาคใต้ โดยส่วนกลางต้องวางแผนอํานวยการ ดูภาพรวม เพื่อแก้ปัญหาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยขณะนี้กระทรวงเกษตรฯ ได้ให้จัดตั้งศูนย์แก้ไขปัญหาภัยพิบัติทางการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ห้อง 137 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่วันที่ 7 ม.ค.60 เป็นต้นไปจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ซึ่งรายงานสถานการณ์น้ําท่วมในพื้นที่ภาคใต้ จากที่ได้เกิดจากฝนตกหนักในพื้นที่ในช่วงวันที่ 30 ธ.ค. 59 – ปัจจุบัน พบว่า มีผลกระทบใน 8 จังหวัด คือ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ตรัง นครศรีธรรมราช พัทลุง นราธิวาส ปัตตานี และ ยะลา โดยความรุนแรงสถานการณ์ แยกเป็น 3 กลุ่มจังหวัด ดังนี้ 1. จังหวัดที่คาดว่าจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติใน 1 - 2 วัน มี 3 จังหวัด ได้แก่ จ.ตรัง ปัตตานี และ ยะลา 2. จังหวัดที่คาดว่าจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติใน 3 - 4 วัน มี 3 จังหวัด ได้แก่ จ.นราธิวาส สุราษฎร์ธานี และ ชุมพร 3 จังหวัดที่คาดว่าจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติใน 6 - 7 วัน มี 2 จังหวัด ได้แก่ จ.พัทลุง และ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งจากการวิเคราะห์ในข้างต้น จะเห็นว่าต้องมุ่งช่วยเหลือ จ.นครศรีธรรมราช โดยเฉพาะในเขตเมืองโดยด่วน ซึ่งขณะนี้กรมชลประทานได้สนับสนุนเครื่องสูบน้ํา รวม 110 เครื่อง เครื่องผลักดันน้ํา รวม 52 เครื่อง สถานีสูบน้ําไฟฟ้า 4 สถานี เครื่องจักรหนักจากส่วนกลาง และ อื่นๆ
ส่วนในแผนระยะยาวนั้น จะได้เสนอนายกรัฐมนตรีจัดทําคลองผันน้ํา จ.นครศรีธรรมราช ทําให้เพิ่มอัตราการระบายน้ําจากที่มีในปัจจุบัน ได้อีก 5 เท่าตัว โดยใช้งบประมาณ 10,000 ล้านบาท คาดว่าเมื่อดําเนินการแล้ว ปัญหาน้ําท่วมจากคลองท่าดีจะบรรเทาลงไปมาก ซึ่งจะต้องดําเนินการให้เร็วที่สุด
ด้านนายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้การบริหารสถานการณ์และบัญชาการสถานการณ์เพื่อเผชิญเหตุอย่างมีประสิทธิภาพ ตามนโยบายนายกรัฐมนตรีและ รมว.กษ.ได้มอบหมายให้ผู้บริหารทุกหน่วยงานในสังกัดดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. มอบหมายให้รองปลัดฯเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ ในฐานะ ผอ. ศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทําหน้าที่กํากับ ติดตามและประสานงานการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยดังกล่าวของหน่วยงานต่างๆในสังกัด กษ. ในภาพรวม และประสานการดําเนินงานช่วยเหลือเกษตรกรระหว่างกระทรวง พร้อมทั้งรายงานผลการดําเนินงานให้ท่าน รมว.กษ. และปลัด กษ. ทราบอย่างต่อเนื่อง 2. หัวหน้าส่วนราชการกระทรวงฯ ที่เกี่ยวข้องที่ดูแลพื้นที่ภาคใต้ โปรดติดตามสถานการณ์ ตรวจเยี่ยม อํานวยการและสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานในสังกัดเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภัยตามภารกิจหน้าที่และตามความเหมาะสมจนกว่าสถานการณ์จะยุติ 3. การบูรณาการในแต่ละจังหวัด มอบหมายให้ประธานกรรมการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แบบเบ็ดเสร็จ (Single Command) เป็นผู้บูรณาการการทํางานกับทุกหน่วยงานในทุกมิติ 4. อธิบดีกรมชลประทาน อธิบดีกรมประมง อธิบดีกรมปศุสัตว์ และอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมติดตามสถานการณ์และประสานงานการแก้ไขปัญหา ประจําศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร กษ. ห้อง 137 อาคาร 1 ชั้น 3 สป.กษ. ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2560 เวลา 8.30 - 16.30 น. 5. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปรายงานความเสียหายและประเมินสถานการณ์ในแต่ละด้านทั้งในส่วนของราชการและผลกระทบต่อเกษตรกร ความช่วยเหลือ และอื่นๆที่เกี่ยวข้อง มาที่สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทุกวันอย่างต่อเนื่อง โดยสรุปเป็นทางการและผ่านไลน์ จนกว่าสถานการณ์จะพ้นวิกฤติดังกล่าว ([email protected]) โทรศัพท์/โทรสาร 02281 9401 6. การปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ขอให้ประสานงานและบูรณาการกับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ประสบอุทกภัยทุกครั้ง และให้คํานึงถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและทางราชการเป็นสําคัญ
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1266
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ เปิดตัวสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล “PDPA Privacy for All” ดึงพันธมิตรมีส่วนร่วมในกฎหมายฉบับนี้
|
วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2562
กระทรวงดิจิทัลฯ เปิดตัวสํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล “PDPA Privacy for All” ดึงพันธมิตรมีส่วนร่วมในกฎหมายฉบับนี้
กระทรวงดิจิทัลฯ เปิดตัวสํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล “PDPA Privacy for All”
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานเปิดงานสัมมนาแนะนํากฎหมายและสํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล “PDPA Privacy for All” ภายใต้ธีมงาน “คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ดูแลทุกภาคส่วน ก้าวสู่เศรษฐกิจและสังคมที่มั่นคง ทันสมัย ทั่วถึงและเท่าทัน” โดยมีนางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทําหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กล่าวรายงาน พร้อมด้วยนายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนพันธมิตรผู้ให้การสนับสนุน บรรดานักธุรกิจ ห้างร้าน เอกชน และผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมกว่า 1,200 คน ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ ชั้น 5 โรงแรมเซ็นทรา แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2562 โดย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้ มีผู้คนให้ความสําคัญเป็นจํานวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทต่างๆ เชื่อทุกคนมีความปรารถนาดีที่ไม่อยากจะทําผิดกฎหมาย เพราะเรื่องนี้มีผลกระทบกับความเข้าใจกับภาคธุกิจและประชาชน ซึ่งเป็นมิติใหม่ที่กําลังจะดําเนินการกัน แม้กระทั่งข้อมูลภาครัฐก็ต้องปรับตัวเช่นกัน ซึ่งทุกท่านที่มาร่วมงานในวันนี้ ถือเป็นบุคคลที่มีวิสัยทัศน์ เพราะรู้ว่าเทรนด์ของสังคมจะเป็นรูปแบบใด มีจํานวน 70% ของ Data-driven Platforms (การทํางานภายใต้การตัดสินใจด้วยข้อมูล) ซึ่งจะเชื่อมโยงการทํางานของ Big Data ด้วย ทั้งนี้ อยากให้เกิดความสบายใจว่า กระทรวงฯ จะเดินหน้าเรื่องนี้กันอย่างแน่นอน โดยจะทําให้รอบคอบ พร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย ขณะเดียวกันก็อยากให้เปิดใจกว้างรับฟังข้อมูลซึ่งกันและกัน รวมทั้งคํานึงถึงประโยชน์จากการเข้าสู่โลกยุคดิจิทัล อยากได้ข้อมูลและพร้อมปฏิบัติตามกฎหมายที่ถูกต้อง ธุรกิจจะต้องปรับตัวอย่างไรในอนาคต มีข้อมูลเริ่มต้น เรื่องของ E-Government โดยอยากให้คิดว่า กฎหมายฉบับนี้ เป็นของทุกคน และจะได้ใช้กฎหมายฉบับนี้ไปด้วยกัน คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2563 ซึ่งประเทศไทยมีความพร้อมต้อนรับนักลงทุนใหม่ๆ โดยเฉพาะภาคธุรกิจอุตสาหกรรมดิจิทัล
*******************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ เปิดตัวสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล “PDPA Privacy for All” ดึงพันธมิตรมีส่วนร่วมในกฎหมายฉบับนี้
วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2562
กระทรวงดิจิทัลฯ เปิดตัวสํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล “PDPA Privacy for All” ดึงพันธมิตรมีส่วนร่วมในกฎหมายฉบับนี้
กระทรวงดิจิทัลฯ เปิดตัวสํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล “PDPA Privacy for All”
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานเปิดงานสัมมนาแนะนํากฎหมายและสํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล “PDPA Privacy for All” ภายใต้ธีมงาน “คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ดูแลทุกภาคส่วน ก้าวสู่เศรษฐกิจและสังคมที่มั่นคง ทันสมัย ทั่วถึงและเท่าทัน” โดยมีนางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทําหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กล่าวรายงาน พร้อมด้วยนายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนพันธมิตรผู้ให้การสนับสนุน บรรดานักธุรกิจ ห้างร้าน เอกชน และผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมกว่า 1,200 คน ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ ชั้น 5 โรงแรมเซ็นทรา แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2562 โดย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้ มีผู้คนให้ความสําคัญเป็นจํานวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทต่างๆ เชื่อทุกคนมีความปรารถนาดีที่ไม่อยากจะทําผิดกฎหมาย เพราะเรื่องนี้มีผลกระทบกับความเข้าใจกับภาคธุกิจและประชาชน ซึ่งเป็นมิติใหม่ที่กําลังจะดําเนินการกัน แม้กระทั่งข้อมูลภาครัฐก็ต้องปรับตัวเช่นกัน ซึ่งทุกท่านที่มาร่วมงานในวันนี้ ถือเป็นบุคคลที่มีวิสัยทัศน์ เพราะรู้ว่าเทรนด์ของสังคมจะเป็นรูปแบบใด มีจํานวน 70% ของ Data-driven Platforms (การทํางานภายใต้การตัดสินใจด้วยข้อมูล) ซึ่งจะเชื่อมโยงการทํางานของ Big Data ด้วย ทั้งนี้ อยากให้เกิดความสบายใจว่า กระทรวงฯ จะเดินหน้าเรื่องนี้กันอย่างแน่นอน โดยจะทําให้รอบคอบ พร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย ขณะเดียวกันก็อยากให้เปิดใจกว้างรับฟังข้อมูลซึ่งกันและกัน รวมทั้งคํานึงถึงประโยชน์จากการเข้าสู่โลกยุคดิจิทัล อยากได้ข้อมูลและพร้อมปฏิบัติตามกฎหมายที่ถูกต้อง ธุรกิจจะต้องปรับตัวอย่างไรในอนาคต มีข้อมูลเริ่มต้น เรื่องของ E-Government โดยอยากให้คิดว่า กฎหมายฉบับนี้ เป็นของทุกคน และจะได้ใช้กฎหมายฉบับนี้ไปด้วยกัน คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2563 ซึ่งประเทศไทยมีความพร้อมต้อนรับนักลงทุนใหม่ๆ โดยเฉพาะภาคธุรกิจอุตสาหกรรมดิจิทัล
*******************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23747
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง.นรม. พล.อ.ฉัตรชัยฯ ตรวจเยี่ยมคลินิกหมอครอบครัว และโรงพยายาบาลส่งเสริมตำบล จังหวัดบุรีรัมย์ ชื่นชม-ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ ทุ่มเททำงานดูแลประชาชนอย่างใกล้ชิด
|
วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน 2561
รอง.นรม. พล.อ.ฉัตรชัยฯ ตรวจเยี่ยมคลินิกหมอครอบครัว และโรงพยายาบาลส่งเสริมตําบล จังหวัดบุรีรัมย์ ชื่นชม-ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ ทุ่มเททํางานดูแลประชาชนอย่างใกล้ชิด
รอง.นรม. พล.อ.ฉัตรชัยฯ ตรวจเยี่ยมคลินิกหมอครอบครัว และโรงพยายาบาลส่งเสริมตําบล จังหวัดบุรีรัมย์ ชื่นชม-ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ ทุ่มเททํางานดูแลประชาชนอย่างใกล้ชิด
วันนี้ ( 21 พฤศจิกายน 2561) เวลา 09.00 น. พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พลเอก ปัฐมพงศ์ ประถมภัฎ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เดินทางไปตรวจเยี่ยมคลินิกหมอครอบครัวริมละลม อําเภอเมือง จังหวัด บุรีรัมย์ โดยมี นายธีรวัฒน์ วุฒิคุณ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมเจ้าหน้าที่ และประชาชนให้การต้อนรับ
สําหรับ คลินิกหมอครอบครัวริมละลม เป็นคลินิกหมอครอบครัวนําร่องเขตเมืองระยะแรก ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณปี 2559 เพื่อให้ประชาชนในเขตเมืองของจังหวัด ได้รับบริการปฐมภูมิสะดวก ไม่ไปแออัด ในโรงพยาบาลใหญ่ โดยรัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ ให้มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวดูแลประชาชนในชุมชน อย่างใกล้ชิดทุกกลุ่มวัย ทั้งการรักษาพยาบาล – ส่งเสริมสุขภาพ – ป้องกันโรค - ฟื้นฟูสภาพ และคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ เพื่อลดความเหลื่อมล้ําและสร้างโอกาสเข้าถึงบริการด้านสุขภาพของรัฐอย่างทัดเทียม ช่วยลดเวลารอคอยและลดความแออัด โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเมือง ในปีงบประมาณ 2559 รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเพื่อให้ก่อสร้างคลินิกหมอครอบครัวรองรับงานบริการปฐมภูมิประชาชนในเขตเมือง โดยได้คัดเลือกนําร่องสร้าง 8 แห่ง และในปี 2560 ถึง 2562 ขยายเพิ่มอีก 8 แห่ง รวมเป็น 16 แห่ง ขณะนี้ก่อสร้างแล้วเสร็จ 6 แห่ง คือ บุรีรัมย์ กําแพงเพชร ขอนแก่น เพชรบูรณ์ กาฬสินธุ์ และตราด
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชม และแสดงความยินดีที่คลีนิคหมอครอบครัวรินละลม สามารถรองรับการรักษาของประชาชนในชุมชน และในเขตเมืองที่เจ็บป่วยเล็กน้อยสามารถเข้ารับบริการได้ ไม่ต้องไปแออัดที่โรงพยาบาลในจังหวัด ทําให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของผู้ป่วยและญาติ รวมทั้งจะได้รับการดูแลจากทีมหมอครอบครัวอย่างใกล้ชิด มีแพทย์และทีมสุขภาพประจําตัว เป็นที่พึ่งยามเจ็บป่วย สามารถลดความเหลื่อมล้ําในการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข และสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพของรัฐ ประชาชนจะได้รับการดูแลสุขภาพระดับปฐมภูมิที่มีคุณภาพทัดเทียมกัน
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลต้องการเห็นพี่น้องประชาชนมีสุขภาพที่ดี วันนี้ประเทศกําลังพัฒนาไปสู่ การเป็นไทยแลนด์ 4.0 ไม่เพียงแต่พัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่สิ่งสําคัญคือการพัฒนาทรัพยากรกรมนุษย์ให้มีความสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ รวมถึงมีความเสมอภาคในการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐด้วย
จากนั้น ในช่วงบ่าย รองนายกรัฐมนตรี และคณะได้เดินทางไปโรงพยายาบาลส่งเสริมตําบล (รพ.สต) ตําบลปราสาท อําเภอบ้านด่าน จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ที่มีความตั้งใจ เสียสละ ทุ่มเทต่อการทํางานในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีตามนโยบายสําคัญด้านสาธารณสุข
ทั้งนี้ คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลปราสาท ตั้งเป้าพัฒนาให้ประชาชนมีอายุขัยเพิ่มขึ้นเป็น 80 ปี จากเดิมประมาณ 70.48 ปี พร้อมมีสุขภาวะที่ดีทั้งกายและใจโดยกําหนดประเด็นในการพัฒนา 2 ประเด็นที่สําคัญคือ 1) อาหารปลอดภัย พัฒนาด้วยการสร้างองค์ความรู้ให้ผู้ประกอบการอาหาร ร้านอาหาร แผงลอย ศึกษาการปลูกผักปลอดสารพิษ พัฒนาคุณภาพอาหารให้ปลอดภัยจากการปนเปื้อนสารเคมี และมีการตรวจสารเคมีในพืชผักของ อําเภอบ้านด่าน โดยมีหมู่บ้านต้นแบบปลูกผัก และ 2) การจัดการขยะ พัฒนาโดยคัดเลือกชุมชน ให้เป็นหมู่บ้านต้นแบบการจัดการขยะในชุมชน ใช้หลักการรณรงค์เรื่องการคัดแยกขยะ การใช้ถุงผ้า ลดการใช้ถุงพลาสติก ซึ่งการดําเนินการดังกล่าว ช่วยการพัฒนาการแก้ปัญหาของพื้นที่ ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์ด้านสาธารณสุข พบว่าประชากรส่วนใหญ่ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ และมีสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 จากโรคความดันโลหิตสูง
รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวให้กําลังใจและมอบโอวาทตอนหนึ่งว่า รัฐบาลให้ความสําคัญต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เร่งรัดดูแลประชาชนตั้งแต่แรกเกิดจนถึงผู้สูงอายุให้ความสําคัญต่อการดูแลสุขภาพประชาชนอย่างทั่วถึงให้สามารถเข้าถึงบริการของรัฐได้อย่างเท่าเทียม สร้างความเข้มแข็งในการดูแลสุขภาพประชาชนให้ห่างไกลจากการเจ็บป่วย การให้บริการทางการแพทย์ สามารถเข้าถึงได้อย่างเสมอภาค ทั้งในระดับพื้นที่และภูมิภาค รพ.สต. เป็นเครื่องมือที่สําคัญในการลดความแออัดในการรักษาพยาบาล โดยชุมชนบ้านด้านกําหนดเป้าหมายประเด็นในการพัฒนาด้านสุขภาพไว้ 2 หัวข้อหลักคือเรื่องอาหาร เและขยะ เป็นสิ่งที่สําคัญ แต่ควรเพิ่มอีก 2 เป้าหมาย คือการรักษาความปลอดภัยในท้องถนน เมาแล้วไม่ขับ เพื่อเป็นการลดอุบัติเหตุ การบาดเจ็บและเสียชีวิตของคนในชุมชน รวมถึงการออกกําลังกาย จึงต้องการให้เพิ่มเป้าหมายดังกล่าวเข้าไปในเป้าหมายเดิมของชุมชน เพื่อเป็นการสร้างเสริมสุขภาพ และลดอัตราการรักษาพยาบาล สุขภาพแข็งแรง มีคุณภาพชีวิตที่ดีและเกิดความยั่งยืนต่อไป
--------------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง.นรม. พล.อ.ฉัตรชัยฯ ตรวจเยี่ยมคลินิกหมอครอบครัว และโรงพยายาบาลส่งเสริมตำบล จังหวัดบุรีรัมย์ ชื่นชม-ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ ทุ่มเททำงานดูแลประชาชนอย่างใกล้ชิด
วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน 2561
รอง.นรม. พล.อ.ฉัตรชัยฯ ตรวจเยี่ยมคลินิกหมอครอบครัว และโรงพยายาบาลส่งเสริมตําบล จังหวัดบุรีรัมย์ ชื่นชม-ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ ทุ่มเททํางานดูแลประชาชนอย่างใกล้ชิด
รอง.นรม. พล.อ.ฉัตรชัยฯ ตรวจเยี่ยมคลินิกหมอครอบครัว และโรงพยายาบาลส่งเสริมตําบล จังหวัดบุรีรัมย์ ชื่นชม-ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ ทุ่มเททํางานดูแลประชาชนอย่างใกล้ชิด
วันนี้ ( 21 พฤศจิกายน 2561) เวลา 09.00 น. พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พลเอก ปัฐมพงศ์ ประถมภัฎ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เดินทางไปตรวจเยี่ยมคลินิกหมอครอบครัวริมละลม อําเภอเมือง จังหวัด บุรีรัมย์ โดยมี นายธีรวัฒน์ วุฒิคุณ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมเจ้าหน้าที่ และประชาชนให้การต้อนรับ
สําหรับ คลินิกหมอครอบครัวริมละลม เป็นคลินิกหมอครอบครัวนําร่องเขตเมืองระยะแรก ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณปี 2559 เพื่อให้ประชาชนในเขตเมืองของจังหวัด ได้รับบริการปฐมภูมิสะดวก ไม่ไปแออัด ในโรงพยาบาลใหญ่ โดยรัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ ให้มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวดูแลประชาชนในชุมชน อย่างใกล้ชิดทุกกลุ่มวัย ทั้งการรักษาพยาบาล – ส่งเสริมสุขภาพ – ป้องกันโรค - ฟื้นฟูสภาพ และคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ เพื่อลดความเหลื่อมล้ําและสร้างโอกาสเข้าถึงบริการด้านสุขภาพของรัฐอย่างทัดเทียม ช่วยลดเวลารอคอยและลดความแออัด โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเมือง ในปีงบประมาณ 2559 รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเพื่อให้ก่อสร้างคลินิกหมอครอบครัวรองรับงานบริการปฐมภูมิประชาชนในเขตเมือง โดยได้คัดเลือกนําร่องสร้าง 8 แห่ง และในปี 2560 ถึง 2562 ขยายเพิ่มอีก 8 แห่ง รวมเป็น 16 แห่ง ขณะนี้ก่อสร้างแล้วเสร็จ 6 แห่ง คือ บุรีรัมย์ กําแพงเพชร ขอนแก่น เพชรบูรณ์ กาฬสินธุ์ และตราด
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชม และแสดงความยินดีที่คลีนิคหมอครอบครัวรินละลม สามารถรองรับการรักษาของประชาชนในชุมชน และในเขตเมืองที่เจ็บป่วยเล็กน้อยสามารถเข้ารับบริการได้ ไม่ต้องไปแออัดที่โรงพยาบาลในจังหวัด ทําให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของผู้ป่วยและญาติ รวมทั้งจะได้รับการดูแลจากทีมหมอครอบครัวอย่างใกล้ชิด มีแพทย์และทีมสุขภาพประจําตัว เป็นที่พึ่งยามเจ็บป่วย สามารถลดความเหลื่อมล้ําในการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข และสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพของรัฐ ประชาชนจะได้รับการดูแลสุขภาพระดับปฐมภูมิที่มีคุณภาพทัดเทียมกัน
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลต้องการเห็นพี่น้องประชาชนมีสุขภาพที่ดี วันนี้ประเทศกําลังพัฒนาไปสู่ การเป็นไทยแลนด์ 4.0 ไม่เพียงแต่พัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่สิ่งสําคัญคือการพัฒนาทรัพยากรกรมนุษย์ให้มีความสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ รวมถึงมีความเสมอภาคในการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐด้วย
จากนั้น ในช่วงบ่าย รองนายกรัฐมนตรี และคณะได้เดินทางไปโรงพยายาบาลส่งเสริมตําบล (รพ.สต) ตําบลปราสาท อําเภอบ้านด่าน จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ที่มีความตั้งใจ เสียสละ ทุ่มเทต่อการทํางานในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีตามนโยบายสําคัญด้านสาธารณสุข
ทั้งนี้ คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลปราสาท ตั้งเป้าพัฒนาให้ประชาชนมีอายุขัยเพิ่มขึ้นเป็น 80 ปี จากเดิมประมาณ 70.48 ปี พร้อมมีสุขภาวะที่ดีทั้งกายและใจโดยกําหนดประเด็นในการพัฒนา 2 ประเด็นที่สําคัญคือ 1) อาหารปลอดภัย พัฒนาด้วยการสร้างองค์ความรู้ให้ผู้ประกอบการอาหาร ร้านอาหาร แผงลอย ศึกษาการปลูกผักปลอดสารพิษ พัฒนาคุณภาพอาหารให้ปลอดภัยจากการปนเปื้อนสารเคมี และมีการตรวจสารเคมีในพืชผักของ อําเภอบ้านด่าน โดยมีหมู่บ้านต้นแบบปลูกผัก และ 2) การจัดการขยะ พัฒนาโดยคัดเลือกชุมชน ให้เป็นหมู่บ้านต้นแบบการจัดการขยะในชุมชน ใช้หลักการรณรงค์เรื่องการคัดแยกขยะ การใช้ถุงผ้า ลดการใช้ถุงพลาสติก ซึ่งการดําเนินการดังกล่าว ช่วยการพัฒนาการแก้ปัญหาของพื้นที่ ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์ด้านสาธารณสุข พบว่าประชากรส่วนใหญ่ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ และมีสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 จากโรคความดันโลหิตสูง
รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวให้กําลังใจและมอบโอวาทตอนหนึ่งว่า รัฐบาลให้ความสําคัญต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เร่งรัดดูแลประชาชนตั้งแต่แรกเกิดจนถึงผู้สูงอายุให้ความสําคัญต่อการดูแลสุขภาพประชาชนอย่างทั่วถึงให้สามารถเข้าถึงบริการของรัฐได้อย่างเท่าเทียม สร้างความเข้มแข็งในการดูแลสุขภาพประชาชนให้ห่างไกลจากการเจ็บป่วย การให้บริการทางการแพทย์ สามารถเข้าถึงได้อย่างเสมอภาค ทั้งในระดับพื้นที่และภูมิภาค รพ.สต. เป็นเครื่องมือที่สําคัญในการลดความแออัดในการรักษาพยาบาล โดยชุมชนบ้านด้านกําหนดเป้าหมายประเด็นในการพัฒนาด้านสุขภาพไว้ 2 หัวข้อหลักคือเรื่องอาหาร เและขยะ เป็นสิ่งที่สําคัญ แต่ควรเพิ่มอีก 2 เป้าหมาย คือการรักษาความปลอดภัยในท้องถนน เมาแล้วไม่ขับ เพื่อเป็นการลดอุบัติเหตุ การบาดเจ็บและเสียชีวิตของคนในชุมชน รวมถึงการออกกําลังกาย จึงต้องการให้เพิ่มเป้าหมายดังกล่าวเข้าไปในเป้าหมายเดิมของชุมชน เพื่อเป็นการสร้างเสริมสุขภาพ และลดอัตราการรักษาพยาบาล สุขภาพแข็งแรง มีคุณภาพชีวิตที่ดีและเกิดความยั่งยืนต่อไป
--------------------------------------------------
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16974
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทอท. ชี้แจงกรณีข่าวการขายบัตรผ่านช่องทางพิเศษ Premium Lane ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทอท.
|
วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม 2561
ทอท. ชี้แจงกรณีข่าวการขายบัตรผ่านช่องทางพิเศษ Premium Lane ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทอท.
ทอท. ชี้แจงกรณีข่าวการขายบัตรผ่านช่องทางพิเศษ Premium Lane ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทอท.
เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2561 นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) กระทรวงคมนาคม ชี้แจงกรณีหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน เผยแพร่ข่าว แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม ตั้งข้อสังเกตถึงกรณีการขายบัตรผ่านช่องทางพิเศษ (Premium Lane) ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (ทอท.)
1. แหล่งข่าวเปิดเผยว่า มีการขายบัตรดังกล่าวเพื่อให้ผู้โดยสารใช้ผ่านได้ในช่องทางพิเศษขาออก หรือ PRIORITY LANE โดยไม่ต้องเสียเวลาในการต่อคิว ทําให้ผู้โดยสารยอมจ่ายเงินเพื่อแลกกับความสะดวกรวดเร็วในการให้บริการ
ทอท. ขอเรียนชี้แจงว่า ทอท. ในฐานะเป็นผู้ดําเนินกิจการสนามบินสาธารณะได้มีการจัดช่องทางและสิ่งอํานวยความสะดวกให้ผู้โดยสารผู้ใช้บริการที่เป็นบุคคลต้องการความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษตามกฎหมาย เช่น เจ้าหน้าที่ทูต ลูกเรือ ผู้ที่ต้องการการช่วยเหลือเป็นพิเศษ ผู้พิการ เป็นต้น (ตามข้อกําหนดของสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 7) ซึ่ง ทสภ. ได้จัดช่องทาง Priority Lane ไว้ให้เป็นการเฉพาะ ซึ่ง ทสภ. มีช่อง Priority Lane จํานวน 2 ช่องทางในการให้บริการ ณ บริเวณช่องตรวจหนังสือเดินทางโซน 2 และ 3 ชั้น 4 อาคารผู้โดยสาร
2. ประเด็นดังกล่าวเป็นนโยบายของสนามบินหรือไม่ เนื่องจากเป็นการเอาเปรียบผู้โดยสารอื่น ๆ และอาจทําให้ถูกตั้งข้อสังเกตได้ว่า เป็นการจูงใจทําให้ขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองของสนามบินล่าช้าเพื่อให้เกิดระบบการขายบัตร
ทอท. ขอเรียนชี้แจงว่า ที่ผ่านมา ทอท. คณะกรรมการดําเนินธุรกิจการบินประเทศไทย (AOC) และกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 ได้มีข้อตกลงร่วมกันตามคําร้องขออํานวยความสะดวกจาก AOC โดยอนุญาตให้บริการบัตร Premium Lane สําหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจที่สามารถผ่านช่องทางตรวจหนังสือเดินทาง (Priority Lane) ได้ โดยให้ AOC เป็นผู้ดําเนินการจัดทําบัตรดังกล่าว ซึ่ง AOC ได้หาบริษัทเอกชนมารับทําบัตร priority pass โดยสายการบินจะเสียค่าใช้จ่ายใบละ 18 บาท และบริษัทเอกชนดังกล่าวจะเรียกเก็บเงินจากสายการบินตอนสิ้นเดือน ตามจํานวนที่แต่ละสายการบินใช้ไปในแต่ละเดือน ในส่วนของการดําเนินการสายการบินจะเป็นผู้แจกบัตร Premium Lane ให้กับผู้โดยสารที่เป็นผู้โดยสารชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจของแต่ละสายการบิน เพื่อนําไปใช้ผ่านช่องตรวจหนังสือเดินทาง (Priority Lane) ซึ่งเป็นบริการพิเศษที่มีให้บริการ ณ ท่าอากาศยานชั้นนําหลาย ๆ ประเทศ
3. ค่าใช้จ่ายและจํานวนรายได้จากการขายบัตรมีการจัดเก็บอย่างไร โดยพบว่ามีบริษัทเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในผลประโยชน์นี้ด้วยวงเงินกว่าร้อยล้านบาทในแต่ละปี
ทอท. ขอเรียนชี้แจงว่า ทสภ. ได้จัดให้มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยคอยตรวจสอบการผ่านเข้าช่อง Priority Lane ซึ่งผู้โดยสารที่สามารถผ่านช่องทางนี้ได้ จะต้องมีหนังสือเดินทาง, บัตรโดยสารชั้นหนึ่ง หรือชั้นธุรกิจ และบัตร Premium Lane ที่ต้องมีเที่ยวบิน และชื่อผู้โดยสารในบัตรที่นั่งตรงกับหนังสือดินทาง จึงจะสามารถผ่านช่องทางนี้ได้
ทสภ. ในฐานะผู้ให้บริการท่าอากาศยาน ทสภ. มีแนวทางในการปฏิบัติงานที่เป็นไปตามมาตรฐาน โดยจะเข้มงวดในการตรวจสอบผู้ที่เข้าใช้ช่องทาง (Priority Lane) รวมถึงผู้ถือบัตร Premium Lane อย่างเข้มงวดต่อไป ทั้งนี้ ทสภ., AOC และ ตม. มีการประสานการดําเนินงานอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันปัญหาการใช้บัตรผิดประเภทโดยมิชอบ ซึ่งหาก ทสภ. ตรวจพบการใช้บัตร Premium Lane ที่ไม่ถูกต้อง ทสภ. จะมีการแจ้งให้ AOC และ ตม. ทราบ ต่อไป
-----------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทอท. ชี้แจงกรณีข่าวการขายบัตรผ่านช่องทางพิเศษ Premium Lane ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทอท.
วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม 2561
ทอท. ชี้แจงกรณีข่าวการขายบัตรผ่านช่องทางพิเศษ Premium Lane ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทอท.
ทอท. ชี้แจงกรณีข่าวการขายบัตรผ่านช่องทางพิเศษ Premium Lane ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทอท.
เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2561 นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) กระทรวงคมนาคม ชี้แจงกรณีหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน เผยแพร่ข่าว แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม ตั้งข้อสังเกตถึงกรณีการขายบัตรผ่านช่องทางพิเศษ (Premium Lane) ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (ทอท.)
1. แหล่งข่าวเปิดเผยว่า มีการขายบัตรดังกล่าวเพื่อให้ผู้โดยสารใช้ผ่านได้ในช่องทางพิเศษขาออก หรือ PRIORITY LANE โดยไม่ต้องเสียเวลาในการต่อคิว ทําให้ผู้โดยสารยอมจ่ายเงินเพื่อแลกกับความสะดวกรวดเร็วในการให้บริการ
ทอท. ขอเรียนชี้แจงว่า ทอท. ในฐานะเป็นผู้ดําเนินกิจการสนามบินสาธารณะได้มีการจัดช่องทางและสิ่งอํานวยความสะดวกให้ผู้โดยสารผู้ใช้บริการที่เป็นบุคคลต้องการความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษตามกฎหมาย เช่น เจ้าหน้าที่ทูต ลูกเรือ ผู้ที่ต้องการการช่วยเหลือเป็นพิเศษ ผู้พิการ เป็นต้น (ตามข้อกําหนดของสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 7) ซึ่ง ทสภ. ได้จัดช่องทาง Priority Lane ไว้ให้เป็นการเฉพาะ ซึ่ง ทสภ. มีช่อง Priority Lane จํานวน 2 ช่องทางในการให้บริการ ณ บริเวณช่องตรวจหนังสือเดินทางโซน 2 และ 3 ชั้น 4 อาคารผู้โดยสาร
2. ประเด็นดังกล่าวเป็นนโยบายของสนามบินหรือไม่ เนื่องจากเป็นการเอาเปรียบผู้โดยสารอื่น ๆ และอาจทําให้ถูกตั้งข้อสังเกตได้ว่า เป็นการจูงใจทําให้ขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองของสนามบินล่าช้าเพื่อให้เกิดระบบการขายบัตร
ทอท. ขอเรียนชี้แจงว่า ที่ผ่านมา ทอท. คณะกรรมการดําเนินธุรกิจการบินประเทศไทย (AOC) และกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 ได้มีข้อตกลงร่วมกันตามคําร้องขออํานวยความสะดวกจาก AOC โดยอนุญาตให้บริการบัตร Premium Lane สําหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจที่สามารถผ่านช่องทางตรวจหนังสือเดินทาง (Priority Lane) ได้ โดยให้ AOC เป็นผู้ดําเนินการจัดทําบัตรดังกล่าว ซึ่ง AOC ได้หาบริษัทเอกชนมารับทําบัตร priority pass โดยสายการบินจะเสียค่าใช้จ่ายใบละ 18 บาท และบริษัทเอกชนดังกล่าวจะเรียกเก็บเงินจากสายการบินตอนสิ้นเดือน ตามจํานวนที่แต่ละสายการบินใช้ไปในแต่ละเดือน ในส่วนของการดําเนินการสายการบินจะเป็นผู้แจกบัตร Premium Lane ให้กับผู้โดยสารที่เป็นผู้โดยสารชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจของแต่ละสายการบิน เพื่อนําไปใช้ผ่านช่องตรวจหนังสือเดินทาง (Priority Lane) ซึ่งเป็นบริการพิเศษที่มีให้บริการ ณ ท่าอากาศยานชั้นนําหลาย ๆ ประเทศ
3. ค่าใช้จ่ายและจํานวนรายได้จากการขายบัตรมีการจัดเก็บอย่างไร โดยพบว่ามีบริษัทเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในผลประโยชน์นี้ด้วยวงเงินกว่าร้อยล้านบาทในแต่ละปี
ทอท. ขอเรียนชี้แจงว่า ทสภ. ได้จัดให้มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยคอยตรวจสอบการผ่านเข้าช่อง Priority Lane ซึ่งผู้โดยสารที่สามารถผ่านช่องทางนี้ได้ จะต้องมีหนังสือเดินทาง, บัตรโดยสารชั้นหนึ่ง หรือชั้นธุรกิจ และบัตร Premium Lane ที่ต้องมีเที่ยวบิน และชื่อผู้โดยสารในบัตรที่นั่งตรงกับหนังสือดินทาง จึงจะสามารถผ่านช่องทางนี้ได้
ทสภ. ในฐานะผู้ให้บริการท่าอากาศยาน ทสภ. มีแนวทางในการปฏิบัติงานที่เป็นไปตามมาตรฐาน โดยจะเข้มงวดในการตรวจสอบผู้ที่เข้าใช้ช่องทาง (Priority Lane) รวมถึงผู้ถือบัตร Premium Lane อย่างเข้มงวดต่อไป ทั้งนี้ ทสภ., AOC และ ตม. มีการประสานการดําเนินงานอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันปัญหาการใช้บัตรผิดประเภทโดยมิชอบ ซึ่งหาก ทสภ. ตรวจพบการใช้บัตร Premium Lane ที่ไม่ถูกต้อง ทสภ. จะมีการแจ้งให้ AOC และ ตม. ทราบ ต่อไป
-----------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13666
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กบี้”ห่วงใยประชาชน สั่ง ขรก.แรงงานเฝ้าระวังน้ำท่วม เตรียมการช่วยเหลือตามแผน
|
วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560
“บิ๊กบี้”ห่วงใยประชาชน สั่ง ขรก.แรงงานเฝ้าระวังน้ําท่วม เตรียมการช่วยเหลือตามแผน
“บิ๊กบี้” สั่งการให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานเฝ้าระวังและเตรียมการช่วยเหลือประชาชน ลูกจ้าง นายจ้างที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ประสบอุทกภัยตามแผนที่กําหนด โดยการสนับสนุนรถบรรทุกขนย้ายสิ่งของและประชาชน บริการสถานที่พักพิงชั่วคราว
“บิ๊กบี้” สั่งการให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานเฝ้าระวังและเตรียมการช่วยเหลือประชาชน ลูกจ้าง นายจ้างที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ประสบอุทกภัยตามแผนที่กําหนด โดยการสนับสนุนรถบรรทุกขนย้ายสิ่งของและประชาชน บริการสถานที่พักพิงชั่วคราว ขอความร่วมมือนายจ้างผ่อนผันเวลาทํางาน โดยไม่ถือเป็นวันลา พร้อมฟื้นฟูอาชีพ จ้างงานเร่งด่วนและพัฒนาทักษะฝีมือภายหลังน้ําลด
นายวิวัฒน์ จิระพันธุ์วานิช ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ. ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ติดตามสถานการณ์เนื่องจากหลายพื้นที่มีฝนตกอย่างต่อเนื่องจนทําให้เกิดอุทกภัย โดยมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ ได้มีข้อสั่งการให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานเฝ้าระวังและเตรียมการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ตามแผนที่กําหนดรวมทั้งสํารวจข้อมูลสถานประกอบกิจการ และลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน
นายวิวัฒน์ กล่าวต่อว่า มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยของกระทรวงแรงงาน ได้แก่ บริการอาหารและน้ําดื่มให้แก่พี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ สนับสนุนรถบรรทุกเพื่อขนย้ายสิ่งของและประชาชน บริการสถานที่พักพิงชั่วคราว ขอความร่วมมือจากนายจ้างให้ผ่อนผันเวลาทํางาน หรืออนุญาตให้ลูกจ้างที่ไม่สามารถมาทํางานได้ตามปกติ เนื่องจากที่พักอาศัยถูกน้ําท่วมหรือมีปัญหาเรื่องการเดินทางสามารถหยุดงานโดยไม่ถือเป็นวันลา จัดรถ Mobile Unit เพื่อประชาสัมพันธ์ตําแหน่งงานและรับสมัครงาน ฝึกอาชีพให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยจัดให้มีบริการฝึกอบรมฟื้นฟูอาชีพซ่อมรถจักรยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์เครื่องยนต์เล็กเครื่องมือทางการเกษตรที่เสียหายจากน้ําท่วม จัดทําสุขาลอยน้ําเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากภาวะน้ําท่วมขังติดต่อเป็นเวลาหลายวันเพื่อบรรเทาปัญหาด้านสุขอนามัย ตรวจสอบความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการ เพื่อแนะนําให้ปรับปรุงแก้ไขก่อนเริ่มทํางาน รวมทั้งจ้างงานเร่งด่วนและพัฒนาทักษะฝีมือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาชีพ เป็นต้น
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการ ลูกจ้าง ประชาชนทั่วไป สามารถขอรับบริการความช่วยเหลือ โดยสามารถติดต่อหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ได้ที่สํานักงานแรงงานจังหวัด สํานักงานจัดหางานจังหวัด สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด สถาบัน/สํานักงานพัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด และสํานักงานประกันสังคมทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่สายด่วนกรมการจัดหางาน 1694 สายด่วนกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน 1546
-----------------------------------
กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/
12 ตุลาคม 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กบี้”ห่วงใยประชาชน สั่ง ขรก.แรงงานเฝ้าระวังน้ำท่วม เตรียมการช่วยเหลือตามแผน
วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560
“บิ๊กบี้”ห่วงใยประชาชน สั่ง ขรก.แรงงานเฝ้าระวังน้ําท่วม เตรียมการช่วยเหลือตามแผน
“บิ๊กบี้” สั่งการให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานเฝ้าระวังและเตรียมการช่วยเหลือประชาชน ลูกจ้าง นายจ้างที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ประสบอุทกภัยตามแผนที่กําหนด โดยการสนับสนุนรถบรรทุกขนย้ายสิ่งของและประชาชน บริการสถานที่พักพิงชั่วคราว
“บิ๊กบี้” สั่งการให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานเฝ้าระวังและเตรียมการช่วยเหลือประชาชน ลูกจ้าง นายจ้างที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ประสบอุทกภัยตามแผนที่กําหนด โดยการสนับสนุนรถบรรทุกขนย้ายสิ่งของและประชาชน บริการสถานที่พักพิงชั่วคราว ขอความร่วมมือนายจ้างผ่อนผันเวลาทํางาน โดยไม่ถือเป็นวันลา พร้อมฟื้นฟูอาชีพ จ้างงานเร่งด่วนและพัฒนาทักษะฝีมือภายหลังน้ําลด
นายวิวัฒน์ จิระพันธุ์วานิช ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ. ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ติดตามสถานการณ์เนื่องจากหลายพื้นที่มีฝนตกอย่างต่อเนื่องจนทําให้เกิดอุทกภัย โดยมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ ได้มีข้อสั่งการให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานเฝ้าระวังและเตรียมการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ตามแผนที่กําหนดรวมทั้งสํารวจข้อมูลสถานประกอบกิจการ และลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน
นายวิวัฒน์ กล่าวต่อว่า มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยของกระทรวงแรงงาน ได้แก่ บริการอาหารและน้ําดื่มให้แก่พี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ สนับสนุนรถบรรทุกเพื่อขนย้ายสิ่งของและประชาชน บริการสถานที่พักพิงชั่วคราว ขอความร่วมมือจากนายจ้างให้ผ่อนผันเวลาทํางาน หรืออนุญาตให้ลูกจ้างที่ไม่สามารถมาทํางานได้ตามปกติ เนื่องจากที่พักอาศัยถูกน้ําท่วมหรือมีปัญหาเรื่องการเดินทางสามารถหยุดงานโดยไม่ถือเป็นวันลา จัดรถ Mobile Unit เพื่อประชาสัมพันธ์ตําแหน่งงานและรับสมัครงาน ฝึกอาชีพให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยจัดให้มีบริการฝึกอบรมฟื้นฟูอาชีพซ่อมรถจักรยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์เครื่องยนต์เล็กเครื่องมือทางการเกษตรที่เสียหายจากน้ําท่วม จัดทําสุขาลอยน้ําเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากภาวะน้ําท่วมขังติดต่อเป็นเวลาหลายวันเพื่อบรรเทาปัญหาด้านสุขอนามัย ตรวจสอบความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการ เพื่อแนะนําให้ปรับปรุงแก้ไขก่อนเริ่มทํางาน รวมทั้งจ้างงานเร่งด่วนและพัฒนาทักษะฝีมือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาชีพ เป็นต้น
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการ ลูกจ้าง ประชาชนทั่วไป สามารถขอรับบริการความช่วยเหลือ โดยสามารถติดต่อหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ได้ที่สํานักงานแรงงานจังหวัด สํานักงานจัดหางานจังหวัด สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด สถาบัน/สํานักงานพัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด และสํานักงานประกันสังคมทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่สายด่วนกรมการจัดหางาน 1694 สายด่วนกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน 1546
-----------------------------------
กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/
12 ตุลาคม 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7392
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ไทยเสนอจัดลำดับความสำคัญของความร่วมมือ เพื่อผลักดัน BIMSTEC สู่อนุภูมิภาคแห่งความมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืน
|
วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2561
ไทยเสนอจัดลําดับความสําคัญของความร่วมมือ เพื่อผลักดัน BIMSTEC สู่อนุภูมิภาคแห่งความมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืน
ไทยเสนอจัดลําดับความสําคัญของความร่วมมือ เพื่อผลักดัน BIMSTEC สู่อนุภูมิภาคแห่งความมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืน
วันนี้ (30 สิงหาคม 2561) เวลา 16.20 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ โรงแรม โซลธี คราวน์ พลาซ่า กาฐมาณฑุ (Soaltee Crowne Plaza Kathmandu) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาในการประชุมผู้นํา BIMSTEC ครั้งที่ 4 พร้อมผู้นํา BIMSTEC ได้แก่ ขัทคะ ปราสาท ศรรมะ โอลี นายกรัฐมนตรีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล ชีค ฮาสินา นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ เชริง วังชุก หัวหน้าคณะผู้บริหารชั่วคราวแห่งราชอาณาจักรภูฏาน นเรนทร โมที นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐอินเดีย วิน มินต์ ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และไมตรี ปาละ สิริเสนา ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรอบความร่วมมือ BIMSTEC กําลังเป็นที่สนใจของโลก โดยมีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้เป็นจุดยุทธศาสตร์เชื่อม มหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ตามนโยบาย Look West ของไทย และ Look East ของกลุ่มประเทศเอเชียใต้และนโบยาย Act East ของอินเดีย ศักยภาพของ BIMSTEC ประกอบด้วยประชากรวัยทํางานกว่า 1.6 พันล้านคน และ GDP รวมกันกว่า 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยในฐานะประเทศผู้ริเริ่มก่อตั้ง BIMSTEC และมีบทบาทที่แข็งขันในเวทีนี้มาโดยตลอด 21 ปีที่ผ่านมา ยืนยันที่จะขับเคลื่อนการเชื่อมโยงประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับประเทศเอเชียใต้เข้าด้วยกัน (connect the connectivities)
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ความสําเร็จของการประชุมครั้งนี้ จึงต้องอยู่บนพื้นฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจ (Mutual Trust) ความเคารพซึ่งกันและกัน (Mutual Respect) และผลประโยชน์ที่ร่วมกัน (Mutual Benefit) เพื่อมุ่งสู่ภูมิภาคอ่าว เบงกอลที่มีสันติภาพ เจริญรุ่งเรือง และยั่งยืน โดยเสนอข้อคิดเห็น 5 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นแรก การจัดลําดับความสําคัญของสาขาความร่วมมือ 14 สาขา ไทยเสนอความร่วมมือ ดังนี้ ความเชื่อมโยง/ การค้าการลงทุน /การปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชน/ ความมั่นคง และวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ไทยได้ให้ความสําคัญเพื่อการพัฒนาให้มีความยั่งยืน ต่อเนื่อง และมีการติดตามผล เพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและจับต้องได้
ประเด็นที่สอง “ความเชื่อมโยง” (Connectivity) นั้น เป็นนโยบายหลักภายในประเทศ โดยในกรอบของ BIMSTEC นั้น ต้องมีทั้งความเชื่อมโยงทางบกและทางทะเล ด้านความเชื่อมโยงทางบก ทั้งความเชื่อมโยงทางถนน โครงสร้างพื้นฐาน การอํานวยความสะดวกด้านกฎระเบียบ ความร่วมมือด้านโครงการพัฒนาด้านพลังงาน และดิจิทัล ไทยจะเป็นผู้จัดทําแผนแม่บทด้านความเชื่อมโยงของ BIMSTEC (BIMSTEC Master Plan on Transport Connectivity) ซึ่งโครงการถนนสามฝ่าย (Trilateral Highway) ระหว่างอินเดีย – เมียนมา – ไทย สามารถเชื่อมโยงกับระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก – ตะวันตก (East – West Economic Corridor) ของกลุ่มประเทศ ACMECS อย่างไร้รอยต่อ การลงนามในบันทึกความเข้าใจการจัดตั้งการเชื่อมโยงโครงข่ายระบบไฟฟ้าภายใต้กรอบ BIMSTEC ก่อให้เกิดการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงานที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งความมั่นคงพลังงานในอนุภูมิภาคนี้ ซึ่งไทยและเมียนมาในฐานะที่มีที่ตั้งเชื่อมอนุภูมิภาค BIMSTEC และ ACMECS จะเป็นสะพานเชื่อมอํานวยความสะดวกความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างสองอนุภูมิภาคนี้ ด้านความเชื่อมโยงทางน้ํา เป็นการขนส่งที่ต้นทุนต่ําที่สุด จึงเห็นควรเร่งกระบวนการเพื่อให้ BIMSTEC สามารถลงนามร่างความตกลงการเดินเรือตามชายฝั่งภายใต้กรอบ BIMSTEC (BIMSTEC Coastal Shipping Agreement) ให้แล้วเสร็จภายในปี 2019 ซึ่งความเชื่อมโยงระหว่างท่าเรือของประเทศในอ่าวเบงกอลอย่างมีประสิทธิภาพตามแนวทาง Ports – Connectivity รวมทั้งให้มีการเชื่อมโยงระหว่างท่าเรือของจังหวัดระนองทางตะวันตกของไทยกับท่าเรือจิตตะกองของบังกลาเทศ เป็นโครงการนําร่อง ซึ่งจะสามารถขยายสู่ท่าเรือกัลกัตตา เจนไน วิสาขปัตนัม ของอินเดีย และจนถึงท่าเรือฮัมบันทอตาของศรีลังกาในที่สุด ไทยในฐานะประเทศผู้ผลักดันนโยบาย และมีประสบกาณ์ที่จะเชื่อมโครงการ “ความเชื่อมโยง” หรือ “Connect the Connectivities” พร้อมที่จะให้ความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์แก่ประเทศสมาชิกเพื่อผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมโดยเร็ว
ประเด็นที่สาม ด้านการค้าการลงทุน หวังให้ BIMSTEC เป็นเขตการค้าเสรีที่สมบูรณ์ โดยเร่งลงนามความตกลงคั่งค้างที่เกี่ยวข้องทั้งสิ้น 6 ฉบับ ในลักษณะ Early Harvest Free Trade Agreement หรือการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ทําได้ง่าย (Low Hanging Fruits) เพื่อให้เกิดการไหลเวียนของคน พลังงาน สินค้าและบริการ ทําให้อนุภูมิภาคเข้าสู่ห่วงโซ่มูลค่าและอุปทานของโลก win – win สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและลดการแข่งขันระหว่างกัน ทําให้แข็งแกร่งและมีอํานาจต่อรองกับนอกภูมิภาคมากขึ้น
ประเด็นที่สี่ BIMSTEC มีความโดดเด่นเรื่อง “คน” คือหัวใจสําคัญของการดําเนินนโยบายต่าง ๆ ซึ่งไทยให้ความสําคัญมาโดยตลอด การปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชน (People to People Contact) เป็นหัวใจของทุกเสาความร่วมมือ เพื่อให้ BIMSTEC บรรลุเป้าหมาย “การเป็นประชาคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ทั้งนี้ TICA และกรมประมงได้ร่วมกันจัดโครงการฝึกอบรมด้านการเพาะเลี้ยงประมงน้ําจืดให้กับผู้แทนจากสมาชิก BIMSTEC เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําจืดของสมาชิก รวมทั้งด้านการพัฒนาศักยภาพธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดย่อม การประมง การพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถสตรี ด้านสาธารณสุขและการท่องเที่ยว
ประเด็นสุดท้าย ด้านความมั่นคง โดยการผลักดันอย่างแข็งขันของอินเดีย ซึ่งจะนําไปสู่ความมั่งคั่งที่ยั่งยืนทางเศรษฐกิจ และความสุขของประชาชน หวังว่าจะสามารถลงนามในอนุสัญญา BIMSTEC ว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้านอาญา (Mutual Legal Assistance in Criminal Matters - MLAT) ซึ่งไทยยินดีที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมการประชุมประจําปีของหัวหน้าฝ่ายความมั่นคงประเทศสมาชิก (BIMSTEC National Security Chief) ครั้งที่ 3 ในเดือนมีนาคม 2562
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียืนยันไทยพร้อมจะเป็นจักรกลที่จะทําให้ BIMSTEC ขับเคลื่อนไปข้างหน้าโดยนําประสบการณ์และนโยบายด้านการพัฒนาของไทย คือ นโยบาย Thailand 4.0 มาใช้เป็นโมเดลเศรษฐกิจเพื่อนําพาประเทศไทยให้หลุดพ้นจากประเทศกับดักรายได้ปานกลาง และความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม และแนวคิด “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการต่อยอดอุตสาหกรรมเดิมและส่งเสริมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และการสนับสนุนธุรกิจและวิสาหกิจขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งถือเป็นฐานการผลิตของโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เน้นด้านการวิจัยและการพัฒนา พร้อมกับพัฒนาศักยภาพของประชาชนเพื่อให้มีภูมิคุ้มกันและทันกับพลวัตจากภายนอก เพื่อสร้างความเข้มแข็งจากภายในที่เน้นคนและพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มั่งคง และควบคู่ไปกับการเชื่อมไทยเข้ากับประชาคมโลก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ไทยเสนอจัดลำดับความสำคัญของความร่วมมือ เพื่อผลักดัน BIMSTEC สู่อนุภูมิภาคแห่งความมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืน
วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2561
ไทยเสนอจัดลําดับความสําคัญของความร่วมมือ เพื่อผลักดัน BIMSTEC สู่อนุภูมิภาคแห่งความมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืน
ไทยเสนอจัดลําดับความสําคัญของความร่วมมือ เพื่อผลักดัน BIMSTEC สู่อนุภูมิภาคแห่งความมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืน
วันนี้ (30 สิงหาคม 2561) เวลา 16.20 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ โรงแรม โซลธี คราวน์ พลาซ่า กาฐมาณฑุ (Soaltee Crowne Plaza Kathmandu) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาในการประชุมผู้นํา BIMSTEC ครั้งที่ 4 พร้อมผู้นํา BIMSTEC ได้แก่ ขัทคะ ปราสาท ศรรมะ โอลี นายกรัฐมนตรีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล ชีค ฮาสินา นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ เชริง วังชุก หัวหน้าคณะผู้บริหารชั่วคราวแห่งราชอาณาจักรภูฏาน นเรนทร โมที นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐอินเดีย วิน มินต์ ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และไมตรี ปาละ สิริเสนา ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรอบความร่วมมือ BIMSTEC กําลังเป็นที่สนใจของโลก โดยมีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้เป็นจุดยุทธศาสตร์เชื่อม มหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ตามนโยบาย Look West ของไทย และ Look East ของกลุ่มประเทศเอเชียใต้และนโบยาย Act East ของอินเดีย ศักยภาพของ BIMSTEC ประกอบด้วยประชากรวัยทํางานกว่า 1.6 พันล้านคน และ GDP รวมกันกว่า 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยในฐานะประเทศผู้ริเริ่มก่อตั้ง BIMSTEC และมีบทบาทที่แข็งขันในเวทีนี้มาโดยตลอด 21 ปีที่ผ่านมา ยืนยันที่จะขับเคลื่อนการเชื่อมโยงประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับประเทศเอเชียใต้เข้าด้วยกัน (connect the connectivities)
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ความสําเร็จของการประชุมครั้งนี้ จึงต้องอยู่บนพื้นฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจ (Mutual Trust) ความเคารพซึ่งกันและกัน (Mutual Respect) และผลประโยชน์ที่ร่วมกัน (Mutual Benefit) เพื่อมุ่งสู่ภูมิภาคอ่าว เบงกอลที่มีสันติภาพ เจริญรุ่งเรือง และยั่งยืน โดยเสนอข้อคิดเห็น 5 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นแรก การจัดลําดับความสําคัญของสาขาความร่วมมือ 14 สาขา ไทยเสนอความร่วมมือ ดังนี้ ความเชื่อมโยง/ การค้าการลงทุน /การปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชน/ ความมั่นคง และวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ไทยได้ให้ความสําคัญเพื่อการพัฒนาให้มีความยั่งยืน ต่อเนื่อง และมีการติดตามผล เพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและจับต้องได้
ประเด็นที่สอง “ความเชื่อมโยง” (Connectivity) นั้น เป็นนโยบายหลักภายในประเทศ โดยในกรอบของ BIMSTEC นั้น ต้องมีทั้งความเชื่อมโยงทางบกและทางทะเล ด้านความเชื่อมโยงทางบก ทั้งความเชื่อมโยงทางถนน โครงสร้างพื้นฐาน การอํานวยความสะดวกด้านกฎระเบียบ ความร่วมมือด้านโครงการพัฒนาด้านพลังงาน และดิจิทัล ไทยจะเป็นผู้จัดทําแผนแม่บทด้านความเชื่อมโยงของ BIMSTEC (BIMSTEC Master Plan on Transport Connectivity) ซึ่งโครงการถนนสามฝ่าย (Trilateral Highway) ระหว่างอินเดีย – เมียนมา – ไทย สามารถเชื่อมโยงกับระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก – ตะวันตก (East – West Economic Corridor) ของกลุ่มประเทศ ACMECS อย่างไร้รอยต่อ การลงนามในบันทึกความเข้าใจการจัดตั้งการเชื่อมโยงโครงข่ายระบบไฟฟ้าภายใต้กรอบ BIMSTEC ก่อให้เกิดการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงานที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งความมั่นคงพลังงานในอนุภูมิภาคนี้ ซึ่งไทยและเมียนมาในฐานะที่มีที่ตั้งเชื่อมอนุภูมิภาค BIMSTEC และ ACMECS จะเป็นสะพานเชื่อมอํานวยความสะดวกความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างสองอนุภูมิภาคนี้ ด้านความเชื่อมโยงทางน้ํา เป็นการขนส่งที่ต้นทุนต่ําที่สุด จึงเห็นควรเร่งกระบวนการเพื่อให้ BIMSTEC สามารถลงนามร่างความตกลงการเดินเรือตามชายฝั่งภายใต้กรอบ BIMSTEC (BIMSTEC Coastal Shipping Agreement) ให้แล้วเสร็จภายในปี 2019 ซึ่งความเชื่อมโยงระหว่างท่าเรือของประเทศในอ่าวเบงกอลอย่างมีประสิทธิภาพตามแนวทาง Ports – Connectivity รวมทั้งให้มีการเชื่อมโยงระหว่างท่าเรือของจังหวัดระนองทางตะวันตกของไทยกับท่าเรือจิตตะกองของบังกลาเทศ เป็นโครงการนําร่อง ซึ่งจะสามารถขยายสู่ท่าเรือกัลกัตตา เจนไน วิสาขปัตนัม ของอินเดีย และจนถึงท่าเรือฮัมบันทอตาของศรีลังกาในที่สุด ไทยในฐานะประเทศผู้ผลักดันนโยบาย และมีประสบกาณ์ที่จะเชื่อมโครงการ “ความเชื่อมโยง” หรือ “Connect the Connectivities” พร้อมที่จะให้ความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์แก่ประเทศสมาชิกเพื่อผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมโดยเร็ว
ประเด็นที่สาม ด้านการค้าการลงทุน หวังให้ BIMSTEC เป็นเขตการค้าเสรีที่สมบูรณ์ โดยเร่งลงนามความตกลงคั่งค้างที่เกี่ยวข้องทั้งสิ้น 6 ฉบับ ในลักษณะ Early Harvest Free Trade Agreement หรือการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ทําได้ง่าย (Low Hanging Fruits) เพื่อให้เกิดการไหลเวียนของคน พลังงาน สินค้าและบริการ ทําให้อนุภูมิภาคเข้าสู่ห่วงโซ่มูลค่าและอุปทานของโลก win – win สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและลดการแข่งขันระหว่างกัน ทําให้แข็งแกร่งและมีอํานาจต่อรองกับนอกภูมิภาคมากขึ้น
ประเด็นที่สี่ BIMSTEC มีความโดดเด่นเรื่อง “คน” คือหัวใจสําคัญของการดําเนินนโยบายต่าง ๆ ซึ่งไทยให้ความสําคัญมาโดยตลอด การปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชน (People to People Contact) เป็นหัวใจของทุกเสาความร่วมมือ เพื่อให้ BIMSTEC บรรลุเป้าหมาย “การเป็นประชาคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ทั้งนี้ TICA และกรมประมงได้ร่วมกันจัดโครงการฝึกอบรมด้านการเพาะเลี้ยงประมงน้ําจืดให้กับผู้แทนจากสมาชิก BIMSTEC เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําจืดของสมาชิก รวมทั้งด้านการพัฒนาศักยภาพธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดย่อม การประมง การพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถสตรี ด้านสาธารณสุขและการท่องเที่ยว
ประเด็นสุดท้าย ด้านความมั่นคง โดยการผลักดันอย่างแข็งขันของอินเดีย ซึ่งจะนําไปสู่ความมั่งคั่งที่ยั่งยืนทางเศรษฐกิจ และความสุขของประชาชน หวังว่าจะสามารถลงนามในอนุสัญญา BIMSTEC ว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้านอาญา (Mutual Legal Assistance in Criminal Matters - MLAT) ซึ่งไทยยินดีที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมการประชุมประจําปีของหัวหน้าฝ่ายความมั่นคงประเทศสมาชิก (BIMSTEC National Security Chief) ครั้งที่ 3 ในเดือนมีนาคม 2562
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียืนยันไทยพร้อมจะเป็นจักรกลที่จะทําให้ BIMSTEC ขับเคลื่อนไปข้างหน้าโดยนําประสบการณ์และนโยบายด้านการพัฒนาของไทย คือ นโยบาย Thailand 4.0 มาใช้เป็นโมเดลเศรษฐกิจเพื่อนําพาประเทศไทยให้หลุดพ้นจากประเทศกับดักรายได้ปานกลาง และความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม และแนวคิด “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการต่อยอดอุตสาหกรรมเดิมและส่งเสริมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และการสนับสนุนธุรกิจและวิสาหกิจขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งถือเป็นฐานการผลิตของโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เน้นด้านการวิจัยและการพัฒนา พร้อมกับพัฒนาศักยภาพของประชาชนเพื่อให้มีภูมิคุ้มกันและทันกับพลวัตจากภายนอก เพื่อสร้างความเข้มแข็งจากภายในที่เน้นคนและพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มั่งคง และควบคู่ไปกับการเชื่อมไทยเข้ากับประชาคมโลก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15052
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้านโยบายลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า ลดภาระค่าครองชีพประชาชน
|
วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน 2562
รัฐบาลเดินหน้านโยบายลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า ลดภาระค่าครองชีพประชาชน
รัฐบาลเดินหน้านโยบายลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า ลดภาระค่าครองชีพประชาชน
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ศึกษาแนวทางการปรับลดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า โดยไม่มีผลกระทบต่อสัญญา เพื่ออํานวยความสะดวกในการเดินทาง บรรเทาความเดือดร้อนของผู้โดยสาร ลดภาระค่าครองชีพที่ใช้จ่ายประจําวัน ซึ่งนโยบายดังกล่าวนี้มีความคืบหน้าไปมาก โดยวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ บอร์ด รฟม. พิจารณาลดภาระค่าโดยสารรถไฟฟ้าเพื่อประชาชน
ทั้งนี้ บอร์ด รฟม. จะพิจารณาใน 2 มาตรการ 1. เปิดจําหน่ายตั๋วโดยสารร่วมระหว่างรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ําเงิน และสายสีม่วง คิดอัตราค่าโดยสารต่อเที่ยวถูกลง 2. ลดอัตราค่าโดยสารในช่วงนอกเวลาเร่งด่วน (Off Peak) ระหว่าง 9.00 - 15.30 น. และช่วงวันเสาร์ - อาทิตย์ ของรถไฟฟ้าสายสีม่วง โดยปัจจุบันเก็บอัตราค่าโดยสารอยู่ที่ 14 - 42 บาทต่อเที่ยว ส่วนมาตรการลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าทั้งระบบนั้น ขณะนี้ กรมการขนส่งทางราง กําลังเร่งหาแนวทางอยู่ โดยต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อไม่กระทบต่อสัญญา และให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด
“การลดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าลง จะทําให้ประชาชนหันมาเดินทางโดยรถไฟฟ้ามากขึ้น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คาดหวังจะให้นโยบายนี้ แล้วเสร็จก่อนสิ้นปี เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนชาวไทย และคาดหวังว่าจะเป็นที่น่าพอใจต่อประชาชน สามารถช่วยเหลือประชาชนในการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางได้เป็นอย่างดี” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้านโยบายลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า ลดภาระค่าครองชีพประชาชน
วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน 2562
รัฐบาลเดินหน้านโยบายลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า ลดภาระค่าครองชีพประชาชน
รัฐบาลเดินหน้านโยบายลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า ลดภาระค่าครองชีพประชาชน
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ศึกษาแนวทางการปรับลดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า โดยไม่มีผลกระทบต่อสัญญา เพื่ออํานวยความสะดวกในการเดินทาง บรรเทาความเดือดร้อนของผู้โดยสาร ลดภาระค่าครองชีพที่ใช้จ่ายประจําวัน ซึ่งนโยบายดังกล่าวนี้มีความคืบหน้าไปมาก โดยวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ บอร์ด รฟม. พิจารณาลดภาระค่าโดยสารรถไฟฟ้าเพื่อประชาชน
ทั้งนี้ บอร์ด รฟม. จะพิจารณาใน 2 มาตรการ 1. เปิดจําหน่ายตั๋วโดยสารร่วมระหว่างรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ําเงิน และสายสีม่วง คิดอัตราค่าโดยสารต่อเที่ยวถูกลง 2. ลดอัตราค่าโดยสารในช่วงนอกเวลาเร่งด่วน (Off Peak) ระหว่าง 9.00 - 15.30 น. และช่วงวันเสาร์ - อาทิตย์ ของรถไฟฟ้าสายสีม่วง โดยปัจจุบันเก็บอัตราค่าโดยสารอยู่ที่ 14 - 42 บาทต่อเที่ยว ส่วนมาตรการลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าทั้งระบบนั้น ขณะนี้ กรมการขนส่งทางราง กําลังเร่งหาแนวทางอยู่ โดยต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อไม่กระทบต่อสัญญา และให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด
“การลดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าลง จะทําให้ประชาชนหันมาเดินทางโดยรถไฟฟ้ามากขึ้น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คาดหวังจะให้นโยบายนี้ แล้วเสร็จก่อนสิ้นปี เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนชาวไทย และคาดหวังว่าจะเป็นที่น่าพอใจต่อประชาชน สามารถช่วยเหลือประชาชนในการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางได้เป็นอย่างดี” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24625
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กำลังใจแก่บุคลากร เจ้าหน้าที่ พร้อมบรรยายพิเศษ “กำเนิดไทยและสังคมคุณธรรม” แก่เด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ จังหวัดร้อยเอ็ด
|
วันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2561
ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กําลังใจแก่บุคลากร เจ้าหน้าที่ พร้อมบรรยายพิเศษ “กําเนิดไทยและสังคมคุณธรรม” แก่เด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ จังหวัดร้อยเอ็ด
ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กําลังใจแก่บุคลากร เจ้าหน้าที่ พร้อมบรรยายพิเศษ “กําเนิดไทยและสังคมคุณธรรม” แก่เด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ จังหวัดร้อยเอ็ด
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจในการปฏิบัติหน้าที่คณะผู้บริหาร ครูอาจารย์ นักสังคมสงเคราะห์ และฝ่ายปกครอง พร้อมทั้งปฏิบัติหน้าที่เป็นครูพิเศษบรรยายในวิชา “กําเนิดไทยและสังคมคุณธรรม” แก่เด็กและเยาวชนของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดร้อยเอ็ด ณ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน อําเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด
ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวว่า “การดําเนินการของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดร้อยเอ็ด นอกจากจะดําเนินการตามคําสั่งของศาลและนโยบายของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรมแล้ว ยังมีแนวทางการทํางานและกิจกรรมสนับสนุนต่างๆ ที่มีส่วนสําคัญในการอบรมกล่อมเกลาเด็กและเยาวชน อันได้แก่๑. การปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนตามมาตรฐานขององค์การสหประชาชาติ เช่น เขาจะได้รับการดูแลเอาใจใส่ตามสิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นเยาวชน 'กินอยู่หลับนอนอย่างเพียงพอ เจ็บป่วยได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงที มีบุคคลภายนอกมาตรวจสอบและติดตามประเมินผลทุกระยะเวลา ๓ เดือน ๒. มีการส่งต่อเด็กและเยาวชนโดยยึดระบบสัมพันธภาพบ้านและโรงเรียน มีพ่อบ้านทําหน้าที่ดูแลการกินอยู่หลับนอนส่งต่อเยาวชนให้ได้เรียนตามเกณฑ์ที่รัฐกําหนด ออกกําลังกาย สวดมนต์ไหว้พระ พิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ และทํากิจวัตรประจําวันให้เป็นไปด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย ๓. กิจกรรมทูบีนัมเบอร์วัน มุ่งให้เด็กๆ กลับตัวกลับใจเป็นคนดี ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด รู้จักตนเองมากขึ้นและมีความรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัวและส่วนรวม๔. ส่งเสริมกิจกรรมที่คณะกรรมการสงเคราะห์ประจําสถานพินิจฯ ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขฟื้นฟูเด็กและเยาวชนในมิติต่างๆ๕. เครือข่ายความร่วมมือ เข้ามามีส่วนร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีแก่เด็กและเยาวชน อาทิ ผู้พิพากษาสมทบ หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่ ๖. การฝึกอาชีพระยะสั้น มุ่งผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม อาทิ เกษตรอินทรีย์ตามแนวพระราชดําริ ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผลผลิตทางการเกษตร เป็นต้น ๗.การฝึกอบรมกิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรม อาทิ คีตะมวยไทย วงโปงลาง ทําให้เด็กและเยาวชน มีความรู้ความสามารถพิเศษที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของชาติ ให้เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากสังคม”
นอกจากนี้ ม.ล.ปนัดดาฯ ได้ให้โอวาทเพิ่มเติมว่า “ความเพียร ความสุขุมรอบคอบคัมภีรภาพ และความซื่อสัตย์สุจริต ถือเป็นเรื่องที่มีความสําคัญเป็นอันดับแรกในการดําเนินชีวิตปัจจุบันของใครก็ตาม เด็กหรือผู้ใหญ่ ผู้ที่ขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป ชีวิตจะกลับกลายเป็นความเสี่ยงภัยต่อการดํารงชีวิตอย่างไม่สมควรเสี่ยง และยากต่อการประสบความสําเร็จ อาทิ หากจะยกขึ้นเป็นกรณีศึกษาที่เป็นรูปธรรม เรื่องใดๆ อันเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างมากและมีผลกระทบต่อจิตใจของพุทธศาสนิกชน จําต้องมีความระมัดระวัง จะผิดถูกอย่างไร ต้องพูดจาด้วยความรอบคอบ ไม่ผลีผลามรีบเร่งจนกระทั่งขาดวิจารณญาณอันควร สถาบันศาสนามีความหมายและความสําคัญต่อประชาชนชาวไทย ต้องรักษาความถูกต้องกับอีกทั้งความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน ข้าราชการต้องช่วยกันเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ความอบอุ่นใจแก่สังคมและพี่น้องประชาชน”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กำลังใจแก่บุคลากร เจ้าหน้าที่ พร้อมบรรยายพิเศษ “กำเนิดไทยและสังคมคุณธรรม” แก่เด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ จังหวัดร้อยเอ็ด
วันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2561
ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กําลังใจแก่บุคลากร เจ้าหน้าที่ พร้อมบรรยายพิเศษ “กําเนิดไทยและสังคมคุณธรรม” แก่เด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ จังหวัดร้อยเอ็ด
ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กําลังใจแก่บุคลากร เจ้าหน้าที่ พร้อมบรรยายพิเศษ “กําเนิดไทยและสังคมคุณธรรม” แก่เด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ จังหวัดร้อยเอ็ด
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจในการปฏิบัติหน้าที่คณะผู้บริหาร ครูอาจารย์ นักสังคมสงเคราะห์ และฝ่ายปกครอง พร้อมทั้งปฏิบัติหน้าที่เป็นครูพิเศษบรรยายในวิชา “กําเนิดไทยและสังคมคุณธรรม” แก่เด็กและเยาวชนของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดร้อยเอ็ด ณ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน อําเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด
ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวว่า “การดําเนินการของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดร้อยเอ็ด นอกจากจะดําเนินการตามคําสั่งของศาลและนโยบายของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรมแล้ว ยังมีแนวทางการทํางานและกิจกรรมสนับสนุนต่างๆ ที่มีส่วนสําคัญในการอบรมกล่อมเกลาเด็กและเยาวชน อันได้แก่๑. การปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนตามมาตรฐานขององค์การสหประชาชาติ เช่น เขาจะได้รับการดูแลเอาใจใส่ตามสิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นเยาวชน 'กินอยู่หลับนอนอย่างเพียงพอ เจ็บป่วยได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงที มีบุคคลภายนอกมาตรวจสอบและติดตามประเมินผลทุกระยะเวลา ๓ เดือน ๒. มีการส่งต่อเด็กและเยาวชนโดยยึดระบบสัมพันธภาพบ้านและโรงเรียน มีพ่อบ้านทําหน้าที่ดูแลการกินอยู่หลับนอนส่งต่อเยาวชนให้ได้เรียนตามเกณฑ์ที่รัฐกําหนด ออกกําลังกาย สวดมนต์ไหว้พระ พิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ และทํากิจวัตรประจําวันให้เป็นไปด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย ๓. กิจกรรมทูบีนัมเบอร์วัน มุ่งให้เด็กๆ กลับตัวกลับใจเป็นคนดี ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด รู้จักตนเองมากขึ้นและมีความรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัวและส่วนรวม๔. ส่งเสริมกิจกรรมที่คณะกรรมการสงเคราะห์ประจําสถานพินิจฯ ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขฟื้นฟูเด็กและเยาวชนในมิติต่างๆ๕. เครือข่ายความร่วมมือ เข้ามามีส่วนร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีแก่เด็กและเยาวชน อาทิ ผู้พิพากษาสมทบ หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่ ๖. การฝึกอาชีพระยะสั้น มุ่งผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม อาทิ เกษตรอินทรีย์ตามแนวพระราชดําริ ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผลผลิตทางการเกษตร เป็นต้น ๗.การฝึกอบรมกิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรม อาทิ คีตะมวยไทย วงโปงลาง ทําให้เด็กและเยาวชน มีความรู้ความสามารถพิเศษที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของชาติ ให้เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากสังคม”
นอกจากนี้ ม.ล.ปนัดดาฯ ได้ให้โอวาทเพิ่มเติมว่า “ความเพียร ความสุขุมรอบคอบคัมภีรภาพ และความซื่อสัตย์สุจริต ถือเป็นเรื่องที่มีความสําคัญเป็นอันดับแรกในการดําเนินชีวิตปัจจุบันของใครก็ตาม เด็กหรือผู้ใหญ่ ผู้ที่ขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป ชีวิตจะกลับกลายเป็นความเสี่ยงภัยต่อการดํารงชีวิตอย่างไม่สมควรเสี่ยง และยากต่อการประสบความสําเร็จ อาทิ หากจะยกขึ้นเป็นกรณีศึกษาที่เป็นรูปธรรม เรื่องใดๆ อันเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างมากและมีผลกระทบต่อจิตใจของพุทธศาสนิกชน จําต้องมีความระมัดระวัง จะผิดถูกอย่างไร ต้องพูดจาด้วยความรอบคอบ ไม่ผลีผลามรีบเร่งจนกระทั่งขาดวิจารณญาณอันควร สถาบันศาสนามีความหมายและความสําคัญต่อประชาชนชาวไทย ต้องรักษาความถูกต้องกับอีกทั้งความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน ข้าราชการต้องช่วยกันเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ความอบอุ่นใจแก่สังคมและพี่น้องประชาชน”
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11668
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยติดอันดับ 8 ประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตด้านการค้ามากที่สุด
|
วันพุธที่ 16 ตุลาคม 2562
ไทยติดอันดับ 8 ประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตด้านการค้ามากที่สุด
วันพุธที่ 16 ตุลาคมม 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ประเทศไทยติดอันดับที่ 8 ใน 20 ประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตด้านการค้ามากที่สุด โดยวิเคราะห์ศักยภาพการเติบโตด้านการค้าของแต่ละตลาด ที่สํารวจจาก 66 ประเทศทั่วโลก ซึ่งมีตัววัด 12 ด้านภายใต้แกนหลัก 3 ด้าน คือ 1. พลวัตทางเศรษฐกิจ วัดจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในตลาดหลักทรัพย์ 2. ด้านการเติบโตของปริมาณการส่งออก คุณภาพของโครงสร้างพื้นฐานด้านต่าง ๆ สัดส่วนของประชากรที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต 3. ด้านอี-คอมเมิร์ซ วัดจากการชําระเงินผ่านระบบดิจิทัลในปีที่ผ่านมา และคะแนนความสะดวกในการทําธุรกิจ เป็นต้น ทั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อมในด้านการค้าและการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในด้าน อี-คอมเมิร์ซ
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยติดอันดับ 8 ประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตด้านการค้ามากที่สุด
วันพุธที่ 16 ตุลาคม 2562
ไทยติดอันดับ 8 ประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตด้านการค้ามากที่สุด
วันพุธที่ 16 ตุลาคมม 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ประเทศไทยติดอันดับที่ 8 ใน 20 ประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตด้านการค้ามากที่สุด โดยวิเคราะห์ศักยภาพการเติบโตด้านการค้าของแต่ละตลาด ที่สํารวจจาก 66 ประเทศทั่วโลก ซึ่งมีตัววัด 12 ด้านภายใต้แกนหลัก 3 ด้าน คือ 1. พลวัตทางเศรษฐกิจ วัดจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในตลาดหลักทรัพย์ 2. ด้านการเติบโตของปริมาณการส่งออก คุณภาพของโครงสร้างพื้นฐานด้านต่าง ๆ สัดส่วนของประชากรที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต 3. ด้านอี-คอมเมิร์ซ วัดจากการชําระเงินผ่านระบบดิจิทัลในปีที่ผ่านมา และคะแนนความสะดวกในการทําธุรกิจ เป็นต้น ทั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อมในด้านการค้าและการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในด้าน อี-คอมเมิร์ซ
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23845
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กองบัญชาการจราจร และตำรวจนครบาลจัดการจราจรพระราชพิธีถวายสักการะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ
|
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
กองบัญชาการจราจร และตํารวจนครบาลจัดการจราจรพระราชพิธีถวายสักการะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ
กองบัญชาการจราจร และตํารวจนครบาลจัดการจราจรพระราชพิธีถวายสักการะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ
วันนี้ (17 ตุลาคม 2559) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พล.ต.ท.จิรสันต์ แก้วแสงเอก ผู้บังคับการตํารวจจราจร แถลงข่าวเกี่ยวกับเส้นทางการจราจรที่สําคัญ ว่า เนื่องด้วยพระบรมราชานุญาตให้พี่น้องประชาชนสามารถร่วมพระราชพิธีถวายสักการะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ และถวายความเคารพพระศพ ทางศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ ได้มอบหมายให้กองบัญชาการจราจรและตํารวจนครบาล ให้ดําเนินการดูแลจัดระเบียบการจราจร รวมถึงการอํานวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน ที่ต้องการเดินทางมาร่วมพิธี ดังนี้
1. ปิดเส้นทางจราจร 8 สาย คือ ถนนราชดําเนินใน ถนนสนามไชย ถนนหน้าพระลาน (ถนนเส้นรอบสนามหลวง จนไปถึงวงเวียน รด.)
2. เปิดเส้นทางเดินรถทางเดียว oneway ตั้งแต่ ถนนท่าพระจันทร์ ถนนหน้าพระลาน ผ่านถนนท้ายวัง จนไปถึงวงเวียน รด.
3. กําหนดพื้นที่ห้ามจอดรถตลอดเวลา คือ ถนนเส้นล้อมรอบวัดพระศรีรัตนวราราม ถนนรอบสนามหลวง ตั้งแต่ถนนราชดําเนินใน ผ่านวงเวียน รด. วนรอบจนไปถึงถนนหน้าพระธาตุ
ทั้งนี้ กองบังคับการจราจรจะร่วมมือกับการขนส่งมวลชน จัดรถโดยสาร ขสมก. ให้พี่น้องประชาชน เพื่ออํานวยความสะดวกในการเดินทางไปร่วมพระราชพิธี กว่า 25 สาย ซึ่งจัดจุดบริการขึ้นรถกว่า 4 สาย คือ จุดสกายไฮย์ จุดกองสลากเก่า จุดหน้าสํานักงานการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งชาติ และจุดวงเวียน รด.
สําหรับ พี่น้องประชาชนให้หลีกเลี่ยงการนํารถยนต์ส่วนบุคคลมาร่วมพระราชพิธี เนื่องจากในบริเวณพระราชพิธี ไม่มีการจัดพื้นที่ในการจอดรถยนต์ส่วนบุคคลไว้ แต่หากประชาชนมีความจําเป็น เจ้าหน้าที่ได้จัดเตรียมพื้นที่จอดรถในบริเวณรอบนอกไว้จํานวน 5 จุด คือ อิมแพ็คอารีน่าเมืองทองธานี พุทธมณฑล สี่แยกบางนา เซ็นทรัลเวสต์เกต และสโมสรตํารวจ โดยจะจัดรถโดยสารรับ - ส่ง มายังสนามหลวง สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองบังคับการจราจร โทร. 02-515-3111 หรือ เว็บไซต์ www.trafficpolice.go.th
---------------------------------------------------------------
สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กองบัญชาการจราจร และตำรวจนครบาลจัดการจราจรพระราชพิธีถวายสักการะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
กองบัญชาการจราจร และตํารวจนครบาลจัดการจราจรพระราชพิธีถวายสักการะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ
กองบัญชาการจราจร และตํารวจนครบาลจัดการจราจรพระราชพิธีถวายสักการะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ
วันนี้ (17 ตุลาคม 2559) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พล.ต.ท.จิรสันต์ แก้วแสงเอก ผู้บังคับการตํารวจจราจร แถลงข่าวเกี่ยวกับเส้นทางการจราจรที่สําคัญ ว่า เนื่องด้วยพระบรมราชานุญาตให้พี่น้องประชาชนสามารถร่วมพระราชพิธีถวายสักการะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ และถวายความเคารพพระศพ ทางศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ ได้มอบหมายให้กองบัญชาการจราจรและตํารวจนครบาล ให้ดําเนินการดูแลจัดระเบียบการจราจร รวมถึงการอํานวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน ที่ต้องการเดินทางมาร่วมพิธี ดังนี้
1. ปิดเส้นทางจราจร 8 สาย คือ ถนนราชดําเนินใน ถนนสนามไชย ถนนหน้าพระลาน (ถนนเส้นรอบสนามหลวง จนไปถึงวงเวียน รด.)
2. เปิดเส้นทางเดินรถทางเดียว oneway ตั้งแต่ ถนนท่าพระจันทร์ ถนนหน้าพระลาน ผ่านถนนท้ายวัง จนไปถึงวงเวียน รด.
3. กําหนดพื้นที่ห้ามจอดรถตลอดเวลา คือ ถนนเส้นล้อมรอบวัดพระศรีรัตนวราราม ถนนรอบสนามหลวง ตั้งแต่ถนนราชดําเนินใน ผ่านวงเวียน รด. วนรอบจนไปถึงถนนหน้าพระธาตุ
ทั้งนี้ กองบังคับการจราจรจะร่วมมือกับการขนส่งมวลชน จัดรถโดยสาร ขสมก. ให้พี่น้องประชาชน เพื่ออํานวยความสะดวกในการเดินทางไปร่วมพระราชพิธี กว่า 25 สาย ซึ่งจัดจุดบริการขึ้นรถกว่า 4 สาย คือ จุดสกายไฮย์ จุดกองสลากเก่า จุดหน้าสํานักงานการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งชาติ และจุดวงเวียน รด.
สําหรับ พี่น้องประชาชนให้หลีกเลี่ยงการนํารถยนต์ส่วนบุคคลมาร่วมพระราชพิธี เนื่องจากในบริเวณพระราชพิธี ไม่มีการจัดพื้นที่ในการจอดรถยนต์ส่วนบุคคลไว้ แต่หากประชาชนมีความจําเป็น เจ้าหน้าที่ได้จัดเตรียมพื้นที่จอดรถในบริเวณรอบนอกไว้จํานวน 5 จุด คือ อิมแพ็คอารีน่าเมืองทองธานี พุทธมณฑล สี่แยกบางนา เซ็นทรัลเวสต์เกต และสโมสรตํารวจ โดยจะจัดรถโดยสารรับ - ส่ง มายังสนามหลวง สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองบังคับการจราจร โทร. 02-515-3111 หรือ เว็บไซต์ www.trafficpolice.go.th
---------------------------------------------------------------
สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/579
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ นำคณะผู้บริหารกระทรวงฯ ร่วมบันทึกเทปถวายพระพรเนื่องในโอกาส วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10
|
วันพุธที่ 27 มิถุนายน 2561
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ นําคณะผู้บริหารกระทรวงฯ ร่วมบันทึกเทปถวายพระพรเนื่องในโอกาส วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นําคณะผู้บริหารกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัด ร่วมบันทึกเทปถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร 28 กรกฎาคม 2561 เพื่อแสดงความจงรักภักดีและสํานึกใน พระมหากรุณาธิคุณ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2561 ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ถนนพหลโยธิน เขตพญาไท กรุงเทพฯ
*******************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ นำคณะผู้บริหารกระทรวงฯ ร่วมบันทึกเทปถวายพระพรเนื่องในโอกาส วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10
วันพุธที่ 27 มิถุนายน 2561
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ นําคณะผู้บริหารกระทรวงฯ ร่วมบันทึกเทปถวายพระพรเนื่องในโอกาส วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นําคณะผู้บริหารกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัด ร่วมบันทึกเทปถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร 28 กรกฎาคม 2561 เพื่อแสดงความจงรักภักดีและสํานึกใน พระมหากรุณาธิคุณ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2561 ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ถนนพหลโยธิน เขตพญาไท กรุงเทพฯ
*******************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13367
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/2561
|
วันอังคารที่ 18 กันยายน 2561
ผลประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/2561
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/2561 เห็นชอบโครงการขยายระยะเวลาการเพิ่มการผลิตและพัฒนาการจัดการศึกษา สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ ให้ดําเนินการปีการศึกษา 2561-2562
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/2561 เห็นชอบโครงการขยายระยะเวลาการเพิ่มการผลิตและพัฒนาการจัดการศึกษา สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ ให้ดําเนินการปีการศึกษา 2561-2562 เพื่อผลิตพยาบาลเพิ่ม 5,268 คน รวมทั้งรับทราบความคืบหน้าการดําเนินงานการปฏิรูปการศึกษาที่สําคัญใน 2 ส่วน ทั้งในส่วนของการดําเนินการในลักษณะของการเปลี่ยนแปลงครั้งสําคัญ (Disruption Reform) และการเพิ่มประสิทธิภาพในระบบจัดการศึกษา (Efficiency)
เมื่อวันจันทร์ที่ 10 กันยายน 2561 เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/2561 โดยมี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี, นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี, นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ และศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งผู้บริหารองค์กรหลักและหน่วยงานในกํากับ เข้าร่วมการประชุม สรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายแนวทางการพัฒนาการศึกษา ควรน้อมนําพระราชดํารัสของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 10 และต้องมุ่งผลลัพธ์ของผู้เรียน ทั้งนี้ ควรกําหนดจุดเน้นในการพัฒนาผู้เรียนในแต่ละช่วงวัยและระดับการศึกษาที่ชัดเจน อาทิ ระดับอนุบาล ประถมศึกษา ควรเน้นพัฒนาการ ทักษะความรู้ที่เหมาะสม ระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และระดับอุดมศึกษา เน้นการพัฒนาทักษะความรู้ ทักษะอาชีพที่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่และทิศทางการพัฒนาประเทศ
นอกจากนี้ การขับเคลื่อนการพัฒนาจะต้องให้ความสําคัญกับการสร้างความร่วมมือกับภาคีการพัฒนาทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในระดับพื้นที่ เพื่อยกระดับคุณภาพมาตรฐานการศึกษา อาทิ การพัฒนาโรงเรียนร่วมพัฒนา การพัฒนาโรงเรียน/ห้องเรียนกีฬา การพัฒนานวัตกรรมการศึกษา โดยควรมีการขยายผลให้ครอบคลุมทุกกลุ่มจังหวัด รวมทั้งต้องให้ความสําคัญกับการส่งเสริมให้นักเรียน/ประชาชนค้นคว้าหาความรู้ผ่านห้องสมุด เพื่อให้นําความรู้มาถกแถลงและต่อยอดองค์ความรู้ให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรมีการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจต่อสาธารณชนถึงประโยชน์ของการพัฒนาการศึกษาทั้งในมิติของนักเรียน ครู และสถานศึกษาให้ชัดเจน และที่สําคัญในการจัดทําแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ควรจัดทําแผนแม่บทที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาให้ชัดเจนด้วย
ที่ประชุมได้พิจารณาให้ความเห็นและมีมติใน 2 เรื่อง ดังนี้
1. โครงการขยายระยะเวลาการเพิ่มการผลิตและพัฒนาการจัดการศึกษา สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ (ปีการศึกษา 2561 – 2565) เพื่อพัฒนาสุขภาวะของประชาชนและตอบสนองยุทธศาสตร์ประเทศ ระยะที่ 1 (ปีการศึกษา 2561–2562) ของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เพื่อผลิตพยาบาลวิชาชีพในระดับปริญญาตรีรองรับการขยายศักยภาพการให้บริการด้านสาธารณสุข โดยเห็นชอบให้ดําเนินการในปีการศึกษา 2561-2562 เพื่อผลิตพยาบาลเพิ่มจํานวน 5,268 คน ทั้งนี้ เห็นควรพิจารณากําหนดเงื่อนไข/มาตรการให้ผู้สําเร็จการศึกษาอยู่กับภาครัฐได้ยาวนานขึ้น และหาแนวทางในการร่วมผลิตกับภาคเอกชน
2. โครงการพัฒนาระบบดิจิทัลแพลตฟอร์มการศึกษาแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงและบูรณาการข้อมูลระหว่างกระทรวง/หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการนําเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นควรให้นําโครงการดังกล่าวไปหารือร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เพื่อจัดทําโครงการในลักษณะภาพรวมของประเทศ ให้มีความครอบคลุมทั้งเรื่องทักษะความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy) นโยบาย (Policy) วิธีการสอน (Pedagogy) และโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) รวมทั้งคํานึงถึงการออกแบบและการบริหารจัดการข้อมูลโดยควรมีนักการศึกษาที่เชี่ยวชาญด้าน Big data ร่วมด้วย
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดําเนินงานการปฏิรูปการศึกษาที่สําคัญใน 2 ส่วน กล่าวคือ
(1) การดําเนินการในลักษณะของการเปลี่ยนแปลงครั้งสําคัญ (Disruption Reform) อาทิ การประกันคุณภาพการศึกษารูปแบบใหม่ การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของครู การเปิดให้ต่างชาติเข้ามาจัดการศึกษาในไทย การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
(2) การเพิ่มประสิทธิภาพในระบบจัดการศึกษา (Efficiency) อาทิ STEM โรงเรียนร่วมพัฒนา พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา การบริหารศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา การผลิตอาชีวะพันธุ์ใหม่และบัณฑิตพันธุ์ใหม่ โดยมีรายละเอียดสําคัญ ดังนี้
การประกันคุณภาพการศึกษารูปแบบใหม่ เพื่อปรับปรุงระบบประเมินให้ชัดเจน ไม่เป็นภาระแก่ครูและนักเรียน เป็นการประกันคุณภาพเพื่อการพัฒนา และให้หน่วยงานทําหน้าที่สอดคล้องและไม่ซ้ําซ้อนกัน โดยจะเริ่มการประเมินคุณภาพการศึกษาภายนอกรอบที่ 4 ในเดือนนี้
Boot Camp for English Teachers การเปลี่ยนวิธีฝึกครูให้มีพื้นฐานภาษาอังกฤษที่ดีขึ้น โดยการอบรมแบบมีประสิทธิภาพสูงครบวงจร ตั้งแต่เนื้อหา และการสอนนักเรียน ทั้งนี้จะให้มหาวิทยาลัยราชภัฏจํานวน 15 แห่ง รับเป็น Bootcamp Center โดยมี British Council ทําหน้าที่ประเมินผลต่อไป
การเปิดให้ต่างชาติเข้ามาจัดการศึกษาในไทย ปัจจุบันมี 4 แห่งชั้นนํา ได้แก่ 1) มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon พัฒนาหลักสูตรระดับปริญญาโทและปริญญาเอกในสาขาหุ่นยนต์และวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ 2) Pearson พัฒนาหลักสูตร BTEC ระดับ TVET สาขา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย 3) มหาวิทยาลัยอมตะ ร่วมกับ National Taiwanese University ในการจัดหลักสูตรระดับปริญญาโทสาขา Intelligent Manufacturing System 4) การก่อตั้งสถาบันการศึกษารูปแบบโคเซ็น (KOSEN) ในประเทศไทย เพื่อผลิตนวัตกรให้กับประเทศ โดย สสวท.ได้ดําเนินการร่วมกับญี่ปุ่น ขณะนี้ได้มีการลงนามความร่วมมือกับญี่ปุ่นเพื่อจัดตั้งสถาบัน KOSEN ในไทยแล้ว ซึ่งญี่ปุ่นจะให้การรับรองเมื่อเริ่มดําเนินการใน 2 วิทยาเขต
การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยจัดให้โรงเรียนมี High-Speed Internet และพัฒนาระบบ PISA Online เพื่อเตรียมความพร้อมในการสอบ PISA ให้กับนักเรียน รวมถึงพัฒนาการประเมินทักษะภาษาอังกฤษ (English Assessment) ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ British Council โดยใช้ AI ในการวัดทักษะการพูดและการเขียน รวมทั้งจัดระบบ Big Data สําหรับโรงเรียนทั่วประเทศ ซึ่งพัฒนาโดยมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon
โรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ในการบริหารจัดการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา โดยให้มีความอิสระ 3 ส่วน คือ 1) อิสระในการออกแบบหลักสูตรเอง ที่เชื่อมโยงและร่วมแก้ปัญหาของชุมชน 2) อิสระการออกแบบจัดการเรียนการสอนเอง ที่เน้นการเรียนจากประสบการณ์จริงเพิ่มขึ้น 3) อิสระในการบริหารจัดการเอง ให้มีความคล่องตัว มีประสิทธิภาพ และมุ่งผลสัมฤทธิ์เป็นสําคัญ ทั้งนี้ มีการดําเนินการแล้ว 34 จังหวัด จํานวน 50 แห่ง และมีแผนจะเปิดในภาคเรียนที่ 2 เพิ่มอีก 24 แห่ง
เขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เพื่อให้มีนวัตกรรมออกแบบการเรียนการสอนและการจัดหลักสูตรที่มีความคล่องตัวในการทํางาน มีโครงสร้างการบริหารในระดับพื้นที่ คือ คณะกรรมการบริหารเขตพื้นที่ มีอํานาจในการวางหลักเกณฑ์การกําหนดหลักสูตรการเรียนการสอนของสถานศึกษานําร่อง ขณะนี้มีการนําร่องเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาแล้วใน 3 จังหวัด คือ ภาคใต้ ที่สตูล, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ศรีสะเกษ และภาคตะวันออก ที่ระยอง และกระทรวงศึกษาธิการจะนําร่องเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาพิเศษให้ครอบคลุมทั้ง 6 ภาค ๆ ละ 1 จังหวัดทั่วประเทศ โดยเพิ่มภาคเหนือ ที่เชียงใหม่, ภาคกลาง ที่กาญจนบุรี และภาคใต้ชายแดน ที่ปัตตานี
การบริหารศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา มีการจัดทําฐานข้อมูลกลางความต้องการกําลังคนอาชีวะจําแนกรายสาขาที่เป็นที่นิยมและที่ขาด การเปิดหลักสูตร S-Curve และหลักสูตรพัฒนาครู ทั้งนี้ มีศูนย์ครบทุกภูมิภาคแล้ว โดยระบบบริหารจัดการในลักษณะ "1 ศูนย์กลาง 6 ศูนย์ภูมิภาค 18 ศูนย์กลุ่มจังหวัด"
โครงการผลิตอาชีวะพันธุ์ใหม่และบัณฑิตพันธุ์ใหม่ เพื่อสร้างกําลังคนสมรรถนะสูง เน้นกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบ Work Integrated Learning (WIL) แบบเข้มข้น มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะฝีมือควบคู่กับการทํางาน เพื่อให้มีสมรรถนะตรงตามความต้องการของสถานประกอบการ รวมถึงการฝึกทักษะระยะสั้น (6 เดือน – 1 ปี) มีสถานศึกษาอาชีวศึกษานําร่อง 24 แห่ง ใน 6 สาขาวิชา และสถาบันอุดมศึกษาที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ จํานวน 23 แห่ง ใน 99 หลักสูตร
โครงการคูปองพัฒนาครู เป็นการกําหนดกรอบวงเงินให้ครูรายบุคคล เพื่อใช้เป็นทุนในการพัฒนาตนเองรายละ 10,000 บาท/ปี โดยเป็นการลงทะเบียนออนไลน์ในหลักสูตรที่ผ่านการรับรองจากสถาบันคุรุพัฒนา ผลจากการดําเนินโครงการพบว่า ทําให้การใช้งบประมาณในการพัฒนาครูลดลงจาก 9,000 ล้านบาท เหลือ 2,000 ล้านบาท
โครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และห้องเรียนกีฬา เพื่อใช้กีฬาเป็นสื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา สนับสนุนความสนใจและความสามารถด้านกีฬาของเด็กและเยาวชนให้ควบคู่ไปกับการศึกษา ตอบสนองทางเลือกในการศึกษาต่อและการประกอบอาชีพในอนาคต
Written by กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
(ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา)
Photo Credit สํานักโฆษกรัฐบาล
Rewriter/Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/2561
วันอังคารที่ 18 กันยายน 2561
ผลประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/2561
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/2561 เห็นชอบโครงการขยายระยะเวลาการเพิ่มการผลิตและพัฒนาการจัดการศึกษา สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ ให้ดําเนินการปีการศึกษา 2561-2562
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/2561 เห็นชอบโครงการขยายระยะเวลาการเพิ่มการผลิตและพัฒนาการจัดการศึกษา สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ ให้ดําเนินการปีการศึกษา 2561-2562 เพื่อผลิตพยาบาลเพิ่ม 5,268 คน รวมทั้งรับทราบความคืบหน้าการดําเนินงานการปฏิรูปการศึกษาที่สําคัญใน 2 ส่วน ทั้งในส่วนของการดําเนินการในลักษณะของการเปลี่ยนแปลงครั้งสําคัญ (Disruption Reform) และการเพิ่มประสิทธิภาพในระบบจัดการศึกษา (Efficiency)
เมื่อวันจันทร์ที่ 10 กันยายน 2561 เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/2561 โดยมี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี, นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี, นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ และศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งผู้บริหารองค์กรหลักและหน่วยงานในกํากับ เข้าร่วมการประชุม สรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายแนวทางการพัฒนาการศึกษา ควรน้อมนําพระราชดํารัสของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 10 และต้องมุ่งผลลัพธ์ของผู้เรียน ทั้งนี้ ควรกําหนดจุดเน้นในการพัฒนาผู้เรียนในแต่ละช่วงวัยและระดับการศึกษาที่ชัดเจน อาทิ ระดับอนุบาล ประถมศึกษา ควรเน้นพัฒนาการ ทักษะความรู้ที่เหมาะสม ระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และระดับอุดมศึกษา เน้นการพัฒนาทักษะความรู้ ทักษะอาชีพที่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่และทิศทางการพัฒนาประเทศ
นอกจากนี้ การขับเคลื่อนการพัฒนาจะต้องให้ความสําคัญกับการสร้างความร่วมมือกับภาคีการพัฒนาทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในระดับพื้นที่ เพื่อยกระดับคุณภาพมาตรฐานการศึกษา อาทิ การพัฒนาโรงเรียนร่วมพัฒนา การพัฒนาโรงเรียน/ห้องเรียนกีฬา การพัฒนานวัตกรรมการศึกษา โดยควรมีการขยายผลให้ครอบคลุมทุกกลุ่มจังหวัด รวมทั้งต้องให้ความสําคัญกับการส่งเสริมให้นักเรียน/ประชาชนค้นคว้าหาความรู้ผ่านห้องสมุด เพื่อให้นําความรู้มาถกแถลงและต่อยอดองค์ความรู้ให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรมีการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจต่อสาธารณชนถึงประโยชน์ของการพัฒนาการศึกษาทั้งในมิติของนักเรียน ครู และสถานศึกษาให้ชัดเจน และที่สําคัญในการจัดทําแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ควรจัดทําแผนแม่บทที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาให้ชัดเจนด้วย
ที่ประชุมได้พิจารณาให้ความเห็นและมีมติใน 2 เรื่อง ดังนี้
1. โครงการขยายระยะเวลาการเพิ่มการผลิตและพัฒนาการจัดการศึกษา สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ (ปีการศึกษา 2561 – 2565) เพื่อพัฒนาสุขภาวะของประชาชนและตอบสนองยุทธศาสตร์ประเทศ ระยะที่ 1 (ปีการศึกษา 2561–2562) ของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เพื่อผลิตพยาบาลวิชาชีพในระดับปริญญาตรีรองรับการขยายศักยภาพการให้บริการด้านสาธารณสุข โดยเห็นชอบให้ดําเนินการในปีการศึกษา 2561-2562 เพื่อผลิตพยาบาลเพิ่มจํานวน 5,268 คน ทั้งนี้ เห็นควรพิจารณากําหนดเงื่อนไข/มาตรการให้ผู้สําเร็จการศึกษาอยู่กับภาครัฐได้ยาวนานขึ้น และหาแนวทางในการร่วมผลิตกับภาคเอกชน
2. โครงการพัฒนาระบบดิจิทัลแพลตฟอร์มการศึกษาแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงและบูรณาการข้อมูลระหว่างกระทรวง/หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการนําเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นควรให้นําโครงการดังกล่าวไปหารือร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เพื่อจัดทําโครงการในลักษณะภาพรวมของประเทศ ให้มีความครอบคลุมทั้งเรื่องทักษะความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy) นโยบาย (Policy) วิธีการสอน (Pedagogy) และโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) รวมทั้งคํานึงถึงการออกแบบและการบริหารจัดการข้อมูลโดยควรมีนักการศึกษาที่เชี่ยวชาญด้าน Big data ร่วมด้วย
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดําเนินงานการปฏิรูปการศึกษาที่สําคัญใน 2 ส่วน กล่าวคือ
(1) การดําเนินการในลักษณะของการเปลี่ยนแปลงครั้งสําคัญ (Disruption Reform) อาทิ การประกันคุณภาพการศึกษารูปแบบใหม่ การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของครู การเปิดให้ต่างชาติเข้ามาจัดการศึกษาในไทย การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
(2) การเพิ่มประสิทธิภาพในระบบจัดการศึกษา (Efficiency) อาทิ STEM โรงเรียนร่วมพัฒนา พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา การบริหารศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา การผลิตอาชีวะพันธุ์ใหม่และบัณฑิตพันธุ์ใหม่ โดยมีรายละเอียดสําคัญ ดังนี้
การประกันคุณภาพการศึกษารูปแบบใหม่ เพื่อปรับปรุงระบบประเมินให้ชัดเจน ไม่เป็นภาระแก่ครูและนักเรียน เป็นการประกันคุณภาพเพื่อการพัฒนา และให้หน่วยงานทําหน้าที่สอดคล้องและไม่ซ้ําซ้อนกัน โดยจะเริ่มการประเมินคุณภาพการศึกษาภายนอกรอบที่ 4 ในเดือนนี้
Boot Camp for English Teachers การเปลี่ยนวิธีฝึกครูให้มีพื้นฐานภาษาอังกฤษที่ดีขึ้น โดยการอบรมแบบมีประสิทธิภาพสูงครบวงจร ตั้งแต่เนื้อหา และการสอนนักเรียน ทั้งนี้จะให้มหาวิทยาลัยราชภัฏจํานวน 15 แห่ง รับเป็น Bootcamp Center โดยมี British Council ทําหน้าที่ประเมินผลต่อไป
การเปิดให้ต่างชาติเข้ามาจัดการศึกษาในไทย ปัจจุบันมี 4 แห่งชั้นนํา ได้แก่ 1) มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon พัฒนาหลักสูตรระดับปริญญาโทและปริญญาเอกในสาขาหุ่นยนต์และวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ 2) Pearson พัฒนาหลักสูตร BTEC ระดับ TVET สาขา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย 3) มหาวิทยาลัยอมตะ ร่วมกับ National Taiwanese University ในการจัดหลักสูตรระดับปริญญาโทสาขา Intelligent Manufacturing System 4) การก่อตั้งสถาบันการศึกษารูปแบบโคเซ็น (KOSEN) ในประเทศไทย เพื่อผลิตนวัตกรให้กับประเทศ โดย สสวท.ได้ดําเนินการร่วมกับญี่ปุ่น ขณะนี้ได้มีการลงนามความร่วมมือกับญี่ปุ่นเพื่อจัดตั้งสถาบัน KOSEN ในไทยแล้ว ซึ่งญี่ปุ่นจะให้การรับรองเมื่อเริ่มดําเนินการใน 2 วิทยาเขต
การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยจัดให้โรงเรียนมี High-Speed Internet และพัฒนาระบบ PISA Online เพื่อเตรียมความพร้อมในการสอบ PISA ให้กับนักเรียน รวมถึงพัฒนาการประเมินทักษะภาษาอังกฤษ (English Assessment) ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ British Council โดยใช้ AI ในการวัดทักษะการพูดและการเขียน รวมทั้งจัดระบบ Big Data สําหรับโรงเรียนทั่วประเทศ ซึ่งพัฒนาโดยมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon
โรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ในการบริหารจัดการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา โดยให้มีความอิสระ 3 ส่วน คือ 1) อิสระในการออกแบบหลักสูตรเอง ที่เชื่อมโยงและร่วมแก้ปัญหาของชุมชน 2) อิสระการออกแบบจัดการเรียนการสอนเอง ที่เน้นการเรียนจากประสบการณ์จริงเพิ่มขึ้น 3) อิสระในการบริหารจัดการเอง ให้มีความคล่องตัว มีประสิทธิภาพ และมุ่งผลสัมฤทธิ์เป็นสําคัญ ทั้งนี้ มีการดําเนินการแล้ว 34 จังหวัด จํานวน 50 แห่ง และมีแผนจะเปิดในภาคเรียนที่ 2 เพิ่มอีก 24 แห่ง
เขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เพื่อให้มีนวัตกรรมออกแบบการเรียนการสอนและการจัดหลักสูตรที่มีความคล่องตัวในการทํางาน มีโครงสร้างการบริหารในระดับพื้นที่ คือ คณะกรรมการบริหารเขตพื้นที่ มีอํานาจในการวางหลักเกณฑ์การกําหนดหลักสูตรการเรียนการสอนของสถานศึกษานําร่อง ขณะนี้มีการนําร่องเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาแล้วใน 3 จังหวัด คือ ภาคใต้ ที่สตูล, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ศรีสะเกษ และภาคตะวันออก ที่ระยอง และกระทรวงศึกษาธิการจะนําร่องเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาพิเศษให้ครอบคลุมทั้ง 6 ภาค ๆ ละ 1 จังหวัดทั่วประเทศ โดยเพิ่มภาคเหนือ ที่เชียงใหม่, ภาคกลาง ที่กาญจนบุรี และภาคใต้ชายแดน ที่ปัตตานี
การบริหารศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา มีการจัดทําฐานข้อมูลกลางความต้องการกําลังคนอาชีวะจําแนกรายสาขาที่เป็นที่นิยมและที่ขาด การเปิดหลักสูตร S-Curve และหลักสูตรพัฒนาครู ทั้งนี้ มีศูนย์ครบทุกภูมิภาคแล้ว โดยระบบบริหารจัดการในลักษณะ "1 ศูนย์กลาง 6 ศูนย์ภูมิภาค 18 ศูนย์กลุ่มจังหวัด"
โครงการผลิตอาชีวะพันธุ์ใหม่และบัณฑิตพันธุ์ใหม่ เพื่อสร้างกําลังคนสมรรถนะสูง เน้นกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบ Work Integrated Learning (WIL) แบบเข้มข้น มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะฝีมือควบคู่กับการทํางาน เพื่อให้มีสมรรถนะตรงตามความต้องการของสถานประกอบการ รวมถึงการฝึกทักษะระยะสั้น (6 เดือน – 1 ปี) มีสถานศึกษาอาชีวศึกษานําร่อง 24 แห่ง ใน 6 สาขาวิชา และสถาบันอุดมศึกษาที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ จํานวน 23 แห่ง ใน 99 หลักสูตร
โครงการคูปองพัฒนาครู เป็นการกําหนดกรอบวงเงินให้ครูรายบุคคล เพื่อใช้เป็นทุนในการพัฒนาตนเองรายละ 10,000 บาท/ปี โดยเป็นการลงทะเบียนออนไลน์ในหลักสูตรที่ผ่านการรับรองจากสถาบันคุรุพัฒนา ผลจากการดําเนินโครงการพบว่า ทําให้การใช้งบประมาณในการพัฒนาครูลดลงจาก 9,000 ล้านบาท เหลือ 2,000 ล้านบาท
โครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และห้องเรียนกีฬา เพื่อใช้กีฬาเป็นสื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา สนับสนุนความสนใจและความสามารถด้านกีฬาของเด็กและเยาวชนให้ควบคู่ไปกับการศึกษา ตอบสนองทางเลือกในการศึกษาต่อและการประกอบอาชีพในอนาคต
Written by กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
(ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา)
Photo Credit สํานักโฆษกรัฐบาล
Rewriter/Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15475
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตือนอย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้างขอรับเงินสนับสนุนทำหนังสือครบรอบวันสถาปนากระทรวง
|
วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม 2561
สธ. เตือนอย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้างขอรับเงินสนับสนุนทําหนังสือครบรอบวันสถาปนากระทรวง
กระทรวงสาธารณสุข เตือนบริษัท ห้างร้าน อย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้างขอรับการสนับสนุนค่าโฆษณาจัดทําหนังสือครบรอบ 76 ปีกระทรวงสาธารณสุข หากพบมีการแอบอ้าง ขอให้แจ้งมาที่ สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขหมายเลข 0 2590 1000
นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ช่วงวันสถาปนากระทรวงสาธารณสุขซึ่งตรงกับวันที่ 27 พฤศจิกายนของทุกปี โดยในปีนี้ครบรอบ 76 ปี ซึ่งทุกปีจะมีบริษัท ห้างร้าน สอบถามเข้าไปยังกระทรวงสาธารณสุขว่า มีผู้ทําหนังสืออ้างชื่อกระทรวงสาธารณสุขไปติดต่อขอรับการสนับสนุนค่าโฆษณาเพื่อลงในหนังสือครบรอบวันสถาปนากระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า กระทรวงสาธารณสุข ไม่มีนโยบายรับการสนับสนุนจัดทําหนังสือหรือเอกสารใดๆ และไม่เคยอนุญาตให้หน่วยงานหรือบุคคลจัดทําหนังสือดังกล่าว
“ขอให้ผู้ประกอบการบริษัท ห้างร้าน อย่าได้หลงเชื่อการแอบอ้างดังกล่าว และหากได้รับการติดต่อขอสนับสนุนจัดทําหนังสือดังกล่าว ขอให้สอบถามข้อเท็จจริงและแจ้งความความเพื่อดําเนินคดีรวมถึงขอความกรุณาแจ้งเบาะแสที่สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข หมายเลข 0 2590 1000 ขณะนี้ได้ให้ฝ่ายกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุขรวบรวมหลักฐานเพื่อดําเนินคดีทางกฎหมายกับผู้แอบอ้างต่อไป” นายแพทย์ไพศาล กล่าว
***************************************** 1 ธันวาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตือนอย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้างขอรับเงินสนับสนุนทำหนังสือครบรอบวันสถาปนากระทรวง
วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม 2561
สธ. เตือนอย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้างขอรับเงินสนับสนุนทําหนังสือครบรอบวันสถาปนากระทรวง
กระทรวงสาธารณสุข เตือนบริษัท ห้างร้าน อย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้างขอรับการสนับสนุนค่าโฆษณาจัดทําหนังสือครบรอบ 76 ปีกระทรวงสาธารณสุข หากพบมีการแอบอ้าง ขอให้แจ้งมาที่ สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขหมายเลข 0 2590 1000
นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ช่วงวันสถาปนากระทรวงสาธารณสุขซึ่งตรงกับวันที่ 27 พฤศจิกายนของทุกปี โดยในปีนี้ครบรอบ 76 ปี ซึ่งทุกปีจะมีบริษัท ห้างร้าน สอบถามเข้าไปยังกระทรวงสาธารณสุขว่า มีผู้ทําหนังสืออ้างชื่อกระทรวงสาธารณสุขไปติดต่อขอรับการสนับสนุนค่าโฆษณาเพื่อลงในหนังสือครบรอบวันสถาปนากระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า กระทรวงสาธารณสุข ไม่มีนโยบายรับการสนับสนุนจัดทําหนังสือหรือเอกสารใดๆ และไม่เคยอนุญาตให้หน่วยงานหรือบุคคลจัดทําหนังสือดังกล่าว
“ขอให้ผู้ประกอบการบริษัท ห้างร้าน อย่าได้หลงเชื่อการแอบอ้างดังกล่าว และหากได้รับการติดต่อขอสนับสนุนจัดทําหนังสือดังกล่าว ขอให้สอบถามข้อเท็จจริงและแจ้งความความเพื่อดําเนินคดีรวมถึงขอความกรุณาแจ้งเบาะแสที่สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข หมายเลข 0 2590 1000 ขณะนี้ได้ให้ฝ่ายกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุขรวบรวมหลักฐานเพื่อดําเนินคดีทางกฎหมายกับผู้แอบอ้างต่อไป” นายแพทย์ไพศาล กล่าว
***************************************** 1 ธันวาคม 2561
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17250
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญา กับสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐอเมริกา
|
วันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม 2560
พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญา กับสํานักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐอเมริกา
นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ให้เกียรติเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญา กับสํานักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐอเมริกา (USPTO)
ว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2560 โดย MOU ดังกล่าวมีสาระสําคัญเป็นการสานต่อความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงาน เพื่อปรับปรุงการบริหารจัดการและเพิ่มประสิทธิผลของระบบทรัพย์สินทางปัญญา ผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการจัดกิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพการทํางาน เช่น การจัดอบรมผู้ตรวจสอบสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า และการจัดอบรมเจ้าหน้าที่ด้านการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และการจัดประชุม/สัมมนาด้านการส่งเสริมนวัตกรรมเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นต้น ซึ่งกลไกความร่วมมือดังกล่าวจะมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและกระทรวงพาณชย์ในการปฏิรูประบบทรัพย์สินทางปัญญาของไทยสู่เป้าหมายประเทศไทย 4.0 ด้วย
ทั้งนี้ นอกจากการลงนาม MOU ข้างต้นแล้ว ปลัดกระทรวงพาณิชย์และอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ยังได้ให้ข้อมูลความคืบหน้าการดําเนินการด้านทรัพย์สินทางปัญญาของไทยแก่ USPTO หลายเรื่อง อาทิ การแก้ไขปัญหางานค้างการจดสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า การป้องปรามการละเมิดทั้งในท้องตลาดและบนอินเทอร์เน็ต การปรับปรุงกฏหมายสิทธิบัตรและกฎหมายลิขสิทธิ์ และการเข้าเป็นภาคีพิธีสารกรุงมาดริด ที่ไทยจะยื่นตราสารภาคยานุวัตภายในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งนายโจเซฟ มาทาล ปฏิบัติหน้าที่ปลัดกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ และผู้อํานวยการ USPTO ได้แสดงความชื่นชมและพร้อมที่จะให้การสนับสนุนการดําเนินการของไทยอย่างต่อเนื่องต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญา กับสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐอเมริกา
วันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม 2560
พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญา กับสํานักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐอเมริกา
นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ให้เกียรติเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญา กับสํานักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐอเมริกา (USPTO)
ว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2560 โดย MOU ดังกล่าวมีสาระสําคัญเป็นการสานต่อความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงาน เพื่อปรับปรุงการบริหารจัดการและเพิ่มประสิทธิผลของระบบทรัพย์สินทางปัญญา ผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการจัดกิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพการทํางาน เช่น การจัดอบรมผู้ตรวจสอบสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า และการจัดอบรมเจ้าหน้าที่ด้านการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และการจัดประชุม/สัมมนาด้านการส่งเสริมนวัตกรรมเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นต้น ซึ่งกลไกความร่วมมือดังกล่าวจะมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและกระทรวงพาณชย์ในการปฏิรูประบบทรัพย์สินทางปัญญาของไทยสู่เป้าหมายประเทศไทย 4.0 ด้วย
ทั้งนี้ นอกจากการลงนาม MOU ข้างต้นแล้ว ปลัดกระทรวงพาณิชย์และอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ยังได้ให้ข้อมูลความคืบหน้าการดําเนินการด้านทรัพย์สินทางปัญญาของไทยแก่ USPTO หลายเรื่อง อาทิ การแก้ไขปัญหางานค้างการจดสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า การป้องปรามการละเมิดทั้งในท้องตลาดและบนอินเทอร์เน็ต การปรับปรุงกฏหมายสิทธิบัตรและกฎหมายลิขสิทธิ์ และการเข้าเป็นภาคีพิธีสารกรุงมาดริด ที่ไทยจะยื่นตราสารภาคยานุวัตภายในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งนายโจเซฟ มาทาล ปฏิบัติหน้าที่ปลัดกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ และผู้อํานวยการ USPTO ได้แสดงความชื่นชมและพร้อมที่จะให้การสนับสนุนการดําเนินการของไทยอย่างต่อเนื่องต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5248
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดยธ. นำคณะผู้แทนไทย เสนอรายงานการปฏิบัติตามกติกา ICCPR เป็นวันที่สอง
|
วันพุธที่ 15 มีนาคม 2560
ปลัดยธ. นําคณะผู้แทนไทย เสนอรายงานการปฏิบัติตามกติกา ICCPR เป็นวันที่สอง
นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยนําเสนอรายงานการปฏิบัติตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ฉบับที่ ๒ ต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เป็นวันที่สอง
เมื่อวันอังคารที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๖.๐๐-๑๙.๐๐ น. (ตามเวลาในประเทศไทย)
นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยนําเสนอรายงานการปฏิบัติตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง
และสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ฉบับที่ ๒ ต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เป็นวันที่สอง
ณ Palais Wilson นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
โดยคณะผู้แทนไทยได้ตอบคําถามของคณะกรรมการฯ เพิ่มเติมจากวันแรก อาทิ
ประเด็นร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย พ.ศ. ....
การดําเนินงานของเรือนจํา ทัณฑสถาน และความเป็นอิสระของศาลยุติธรรม
การค้ามนุษย์ สิทธิของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ
การกระทําผิดทางคอมพิวเตอร์และกฎหมายหมิ่นประมาท เป็นต้น
ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวย้ําถึงนโยบายการให้ความสําคัญ
ในเรื่องของการสร้างวัฒนธรรมสิทธิมนุษยชนและการเคารพสิทธิของผู้อื่นตามกฎหมาย
พร้อมเตรียมนําข้อเสนอของคณะกรรมการฯ ที่ได้รับ ชี้แจงต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดยธ. นำคณะผู้แทนไทย เสนอรายงานการปฏิบัติตามกติกา ICCPR เป็นวันที่สอง
วันพุธที่ 15 มีนาคม 2560
ปลัดยธ. นําคณะผู้แทนไทย เสนอรายงานการปฏิบัติตามกติกา ICCPR เป็นวันที่สอง
นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยนําเสนอรายงานการปฏิบัติตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ฉบับที่ ๒ ต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เป็นวันที่สอง
เมื่อวันอังคารที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๖.๐๐-๑๙.๐๐ น. (ตามเวลาในประเทศไทย)
นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยนําเสนอรายงานการปฏิบัติตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง
และสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ฉบับที่ ๒ ต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เป็นวันที่สอง
ณ Palais Wilson นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
โดยคณะผู้แทนไทยได้ตอบคําถามของคณะกรรมการฯ เพิ่มเติมจากวันแรก อาทิ
ประเด็นร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย พ.ศ. ....
การดําเนินงานของเรือนจํา ทัณฑสถาน และความเป็นอิสระของศาลยุติธรรม
การค้ามนุษย์ สิทธิของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ
การกระทําผิดทางคอมพิวเตอร์และกฎหมายหมิ่นประมาท เป็นต้น
ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวย้ําถึงนโยบายการให้ความสําคัญ
ในเรื่องของการสร้างวัฒนธรรมสิทธิมนุษยชนและการเคารพสิทธิของผู้อื่นตามกฎหมาย
พร้อมเตรียมนําข้อเสนอของคณะกรรมการฯ ที่ได้รับ ชี้แจงต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2409
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สบน.ชี้แจงประเด็นข้อกังวลต่อการเตรียมกู้เงินของรัฐบาล
|
วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2562
สบน.ชี้แจงประเด็นข้อกังวลต่อการเตรียมกู้เงินของรัฐบาล
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ชี้แจงประเด็นข้อกังวลต่อการเตรียมกู้เงินของรัฐบาลที่อาจส่งผลต่อภาระหนี้และการบริหารจัดการในอนาคต
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ชี้แจงประเด็นข้อกังวลต่อการเตรียมกู้เงินของรัฐบาลที่อาจส่งผลต่อภาระหนี้และการบริหารจัดการในอนาคต
สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ขอชี้แจงว่า เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศกําลังพัฒนา รัฐบาลทั้งในอดีตและปัจจุบันจึงจัดทํานโยบายการคลังแบบขยายตัว (Fiscal expansionary policy) ผ่านการจัดทํางบประมาณแบบขาดดุลเพื่อยกระดับการพัฒนาของประเทศ ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ผันผวนในปัจจุบัน ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะเปราะบาง การดําเนินนโยบายของรัฐบาลจึงจําเป็นต้องสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจ (Counter-cyclical fiscal policy) โดยมุ่งการลงทุนเพื่อการพัฒนา สร้างรายได้ และรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเร่งรัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ และเพิ่มศักยภาพของภาคเอกชนในการลงทุนและการจ้างงาน
ทั้งนี้ ภายใต้พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐกําหนดให้การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณจะต้องใช้เพื่อการลงทุนเท่านั้น ซึ่งการลงทุนที่ผ่านมาก็ล้วนแต่มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนา ตัวอย่างโครงการลงทุนที่สําคัญของรัฐบาลปัจจุบัน ได้แก่ โครงการรถไฟทางคู่ โครงการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน เช่น รถเมล์ รถไฟฟ้า โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งโครงการพัฒนาเชิงสังคม เช่น โครงการพัฒนาระบบชลประทาน พัฒนาด้านการศึกษา และพัฒนาด้านสาธารณสุข เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นโครงการที่ยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งในเขตกรุงเทพมหานคร และภูมิภาคทั่วประเทศ นั่นหมายถึงว่าเงินกู้ทุกบาทของรัฐบาลก่อให้เกิดรายได้กลับคืนมายังประเทศ ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมด้วยเช่นกัน ดังจะเห็นได้ว่าในช่วงตั้งแต่ปี 2557-2561 ที่ผ่านมา GDP และรายได้ของรัฐบาลมีการเติบโตในอัตราที่สูงกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะ
พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ได้กําหนดให้มีกรอบวินัยการเงินการคลัง โดยมีการกําหนดสัดส่วนทางการเงินการคลังต่างๆ เพื่อใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะอย่างชัดเจน ซึ่งรวมถึงสัดส่วนงบประมาณเพื่อการชําระหนี้เพื่อเพิ่มวินัยในการชําระคืนต้นเงิน สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจําปีงบประมาณที่เป็นตัวชี้วัดความสามารถในการชําระหนี้ (Debt Affordability) และสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ได้กําหนดกลยุทธ์การบริหารหนี้สาธารณะระยะปานกลางเพื่อกํากับติดตามและประเมินความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด รวมถึงได้เพิ่มเติมการวิเคราะห์สัดส่วนภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจําปีงบประมาณ (Interest payment/Revenue) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่ธนาคารโลกได้แนะนําและใช้อย่างแพร่หลายในต่างประเทศเพื่อให้มั่นใจว่ารัฐบาลมีความสามารถในการชําระหนี้ทั้งในปัจจุบันและระยะปานกลาง นอกจากนั้น การประเมินขององค์กรระหว่างประเทศและบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับประเทศยืนยันฐานะการคลังที่มั่นคงของไทยในปัจจุบันและความสามารถในการชําระหนี้ที่อยู่ในเกณฑ์ดี สูงกว่ากลุ่มประเทศที่อยู่ในระดับเดียวกัน และจากการประมาณการเศรษฐกิจของกระทรวงการคลังในระยะปานกลางและระยะยาว การลงทุนของรัฐบาลจะสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจสะท้อนได้จากการเติบโตของ GDP การจัดเก็บรายได้ที่เพิ่มขึ้น การขาดดุลงบประมาณที่ลดลงในอนาคต และระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่ต่ําลงและไม่เกินร้อยละ 50 รวมทั้งภาระดอกเบี้ยต่อรายได้ของรัฐบาลในช่วงระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า ยังคงอยู่ในระดับเดียวกับปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นระดับที่มีเสถียรภาพ
คณะโฆษกสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 02 265 8050 ต่อ 5505
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สบน.ชี้แจงประเด็นข้อกังวลต่อการเตรียมกู้เงินของรัฐบาล
วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2562
สบน.ชี้แจงประเด็นข้อกังวลต่อการเตรียมกู้เงินของรัฐบาล
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ชี้แจงประเด็นข้อกังวลต่อการเตรียมกู้เงินของรัฐบาลที่อาจส่งผลต่อภาระหนี้และการบริหารจัดการในอนาคต
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ชี้แจงประเด็นข้อกังวลต่อการเตรียมกู้เงินของรัฐบาลที่อาจส่งผลต่อภาระหนี้และการบริหารจัดการในอนาคต
สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ขอชี้แจงว่า เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศกําลังพัฒนา รัฐบาลทั้งในอดีตและปัจจุบันจึงจัดทํานโยบายการคลังแบบขยายตัว (Fiscal expansionary policy) ผ่านการจัดทํางบประมาณแบบขาดดุลเพื่อยกระดับการพัฒนาของประเทศ ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ผันผวนในปัจจุบัน ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะเปราะบาง การดําเนินนโยบายของรัฐบาลจึงจําเป็นต้องสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจ (Counter-cyclical fiscal policy) โดยมุ่งการลงทุนเพื่อการพัฒนา สร้างรายได้ และรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเร่งรัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ และเพิ่มศักยภาพของภาคเอกชนในการลงทุนและการจ้างงาน
ทั้งนี้ ภายใต้พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐกําหนดให้การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณจะต้องใช้เพื่อการลงทุนเท่านั้น ซึ่งการลงทุนที่ผ่านมาก็ล้วนแต่มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนา ตัวอย่างโครงการลงทุนที่สําคัญของรัฐบาลปัจจุบัน ได้แก่ โครงการรถไฟทางคู่ โครงการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน เช่น รถเมล์ รถไฟฟ้า โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งโครงการพัฒนาเชิงสังคม เช่น โครงการพัฒนาระบบชลประทาน พัฒนาด้านการศึกษา และพัฒนาด้านสาธารณสุข เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นโครงการที่ยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งในเขตกรุงเทพมหานคร และภูมิภาคทั่วประเทศ นั่นหมายถึงว่าเงินกู้ทุกบาทของรัฐบาลก่อให้เกิดรายได้กลับคืนมายังประเทศ ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมด้วยเช่นกัน ดังจะเห็นได้ว่าในช่วงตั้งแต่ปี 2557-2561 ที่ผ่านมา GDP และรายได้ของรัฐบาลมีการเติบโตในอัตราที่สูงกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะ
พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ได้กําหนดให้มีกรอบวินัยการเงินการคลัง โดยมีการกําหนดสัดส่วนทางการเงินการคลังต่างๆ เพื่อใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะอย่างชัดเจน ซึ่งรวมถึงสัดส่วนงบประมาณเพื่อการชําระหนี้เพื่อเพิ่มวินัยในการชําระคืนต้นเงิน สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจําปีงบประมาณที่เป็นตัวชี้วัดความสามารถในการชําระหนี้ (Debt Affordability) และสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ได้กําหนดกลยุทธ์การบริหารหนี้สาธารณะระยะปานกลางเพื่อกํากับติดตามและประเมินความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด รวมถึงได้เพิ่มเติมการวิเคราะห์สัดส่วนภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจําปีงบประมาณ (Interest payment/Revenue) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่ธนาคารโลกได้แนะนําและใช้อย่างแพร่หลายในต่างประเทศเพื่อให้มั่นใจว่ารัฐบาลมีความสามารถในการชําระหนี้ทั้งในปัจจุบันและระยะปานกลาง นอกจากนั้น การประเมินขององค์กรระหว่างประเทศและบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับประเทศยืนยันฐานะการคลังที่มั่นคงของไทยในปัจจุบันและความสามารถในการชําระหนี้ที่อยู่ในเกณฑ์ดี สูงกว่ากลุ่มประเทศที่อยู่ในระดับเดียวกัน และจากการประมาณการเศรษฐกิจของกระทรวงการคลังในระยะปานกลางและระยะยาว การลงทุนของรัฐบาลจะสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจสะท้อนได้จากการเติบโตของ GDP การจัดเก็บรายได้ที่เพิ่มขึ้น การขาดดุลงบประมาณที่ลดลงในอนาคต และระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่ต่ําลงและไม่เกินร้อยละ 50 รวมทั้งภาระดอกเบี้ยต่อรายได้ของรัฐบาลในช่วงระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า ยังคงอยู่ในระดับเดียวกับปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นระดับที่มีเสถียรภาพ
คณะโฆษกสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 02 265 8050 ต่อ 5505
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22493
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำต้องการแก้ปัญหาฝุ่นและน้ำอย่างยั่งยืน มีแผนรองรับ แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย
|
วันอังคารที่ 14 มกราคม 2563
นายกรัฐมนตรีย้ําต้องการแก้ปัญหาฝุ่นและน้ําอย่างยั่งยืน มีแผนรองรับ แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย
นายกรัฐมนตรีย้ําให้ทุกภาคส่วนร่วมด้วยช่วยกันแก้ปัญหาฝุ่นควัน และเน้นหาแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต
วันนี้ (14 ม.ค. 63) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงแก่สื่อมวลชนถึงการแก้ไขและรับมือกับปัญหาฝุ่นควันในปัจจุบันว่า รัฐบาลหวังแก้ปัญหาทุกอย่างอย่างยั่งยืน ทั้งปัญหาภัยแล้ง ปัญหา PM 2.5 ซึ่งมีแผนเตรียมการต่างๆ ไว้แล้ว ไม่ว่าจะแผนการบริหารจัดการน้ํา 20 ปี แต่ทั้งนี้ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ซึ่งทุกคนก็ทราบดีทั้งการควบคุมรถที่มีควันดํา ทั้งรถส่วนบุคคลและรถสาธารณะ เนื่องจากปัญหาฝุ่นควันส่วนใหญ่นั้นมาจากการจราจรบนท้องถนนถึง 70% รวมทั้งที่มาจากสาเหตุอื่น ๆ อีก อาทิ เช่น จากโรงงานอุตสาหกรรม การเผา รัฐบาลมีหน้าที่กํากับดูแลขนส่งมวลชน ไม่ว่าจะรณรงค์ดูแลรักษาเครื่องยนต์ การเปลี่ยนไส้กรอง หรือการใช้เชื้อเพลิง B10 ซึ่งเผาไหม้ง่ายและเป็นพลังงานที่สะอาด ไม่ก่อให้เกิดควันและมลพิษ หรือการเริ่มใช้รถยนต์ไฟฟ้า ทุกอย่างดําเนินการเป็นขั้นเป็นตอน ท้ายที่สุด รัฐบาลจะใช้มาตรการทางกฎหมายเท่านั้น เช่น ห้ามรถยนต์วิ่ง หรือ ห้ามรถบรรทุกเข้าเมืองอาจทําเกิดผลกระทบ ซึ่งรัฐบาลเองก็ไม่ต้องการ วันนี้ ได้มีการพัฒนาและใช้แอพพลิเคชั่น (AirCMI) โดยนําร่องที่จังหวัดเชียงใหม่แล้ว และอยากให้สามารถใช้ได้ในจังหวัดอื่นด้วย ถือว่าเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน
............................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำต้องการแก้ปัญหาฝุ่นและน้ำอย่างยั่งยืน มีแผนรองรับ แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย
วันอังคารที่ 14 มกราคม 2563
นายกรัฐมนตรีย้ําต้องการแก้ปัญหาฝุ่นและน้ําอย่างยั่งยืน มีแผนรองรับ แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย
นายกรัฐมนตรีย้ําให้ทุกภาคส่วนร่วมด้วยช่วยกันแก้ปัญหาฝุ่นควัน และเน้นหาแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต
วันนี้ (14 ม.ค. 63) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงแก่สื่อมวลชนถึงการแก้ไขและรับมือกับปัญหาฝุ่นควันในปัจจุบันว่า รัฐบาลหวังแก้ปัญหาทุกอย่างอย่างยั่งยืน ทั้งปัญหาภัยแล้ง ปัญหา PM 2.5 ซึ่งมีแผนเตรียมการต่างๆ ไว้แล้ว ไม่ว่าจะแผนการบริหารจัดการน้ํา 20 ปี แต่ทั้งนี้ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ซึ่งทุกคนก็ทราบดีทั้งการควบคุมรถที่มีควันดํา ทั้งรถส่วนบุคคลและรถสาธารณะ เนื่องจากปัญหาฝุ่นควันส่วนใหญ่นั้นมาจากการจราจรบนท้องถนนถึง 70% รวมทั้งที่มาจากสาเหตุอื่น ๆ อีก อาทิ เช่น จากโรงงานอุตสาหกรรม การเผา รัฐบาลมีหน้าที่กํากับดูแลขนส่งมวลชน ไม่ว่าจะรณรงค์ดูแลรักษาเครื่องยนต์ การเปลี่ยนไส้กรอง หรือการใช้เชื้อเพลิง B10 ซึ่งเผาไหม้ง่ายและเป็นพลังงานที่สะอาด ไม่ก่อให้เกิดควันและมลพิษ หรือการเริ่มใช้รถยนต์ไฟฟ้า ทุกอย่างดําเนินการเป็นขั้นเป็นตอน ท้ายที่สุด รัฐบาลจะใช้มาตรการทางกฎหมายเท่านั้น เช่น ห้ามรถยนต์วิ่ง หรือ ห้ามรถบรรทุกเข้าเมืองอาจทําเกิดผลกระทบ ซึ่งรัฐบาลเองก็ไม่ต้องการ วันนี้ ได้มีการพัฒนาและใช้แอพพลิเคชั่น (AirCMI) โดยนําร่องที่จังหวัดเชียงใหม่แล้ว และอยากให้สามารถใช้ได้ในจังหวัดอื่นด้วย ถือว่าเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน
............................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25789
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 24 มกราคม 2560
|
วันพุธที่ 25 มกราคม 2560
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 24 มกราคม 2560
วันนี้ (24 มกราคม 2560) เวลา 09.00 น.ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1ทําเนียบรัฐบาล
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 24 มกราคม 2560
วันพุธที่ 25 มกราคม 2560
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 24 มกราคม 2560
วันนี้ (24 มกราคม 2560) เวลา 09.00 น.ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1ทําเนียบรัฐบาล
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1464
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมตีกลองนานาชาติในอาเซียนและญี่ปุ่น
|
วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560
ปลัดวธ.ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมตีกลองนานาชาติในอาเซียนและญี่ปุ่น
ปลัดวธ.ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมตีกลองนานาชาติในอาเซียนและญี่ปุ่น
วันที่ 2 มิถุนายน 2560 เวลา 13.00 น. นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมตีกลองนานาชาติในอาเซียนและญี่ปุ่น เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 50 ปี ประชาคมอาเซียน ในปี พ.ศ. 2560 และเนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 130 ปี การสถาปนาทางการทูตไทย-ญี่ปุ่น โดยมีดร.เตช บุนนาค ประธานกรรมการบริหาร APCD Mr.Hironobu Shibuya ที่ปรึกษาพิเศษ มูลนิธินิปปอน H.E. Mr. Shiro Saboshima เอกอัครราชทูตประเทศญี่ปุ่นประจําประเทศไทย นายวิทวัส ศรีวิหค รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศร่วมกล่าวในพิธีเปิด โดยประกอบไปด้วยมือกลองจาก 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงประเทศญี่ปุ่น ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการ ถนนเเจ้งวัฒนะ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมตีกลองนานาชาติในอาเซียนและญี่ปุ่น
วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560
ปลัดวธ.ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมตีกลองนานาชาติในอาเซียนและญี่ปุ่น
ปลัดวธ.ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมตีกลองนานาชาติในอาเซียนและญี่ปุ่น
วันที่ 2 มิถุนายน 2560 เวลา 13.00 น. นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมตีกลองนานาชาติในอาเซียนและญี่ปุ่น เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 50 ปี ประชาคมอาเซียน ในปี พ.ศ. 2560 และเนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 130 ปี การสถาปนาทางการทูตไทย-ญี่ปุ่น โดยมีดร.เตช บุนนาค ประธานกรรมการบริหาร APCD Mr.Hironobu Shibuya ที่ปรึกษาพิเศษ มูลนิธินิปปอน H.E. Mr. Shiro Saboshima เอกอัครราชทูตประเทศญี่ปุ่นประจําประเทศไทย นายวิทวัส ศรีวิหค รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศร่วมกล่าวในพิธีเปิด โดยประกอบไปด้วยมือกลองจาก 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงประเทศญี่ปุ่น ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการ ถนนเเจ้งวัฒนะ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4356
|
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2559 เวลา 20.15 น.
|
พิธีกร: (พลตรี วีรชน สุคนธปฏิภาค) สวัสดีครับ ผมพลตรีวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ขออนุญาตต้อนรับทุกท่านเข้าสู่รายการคืนความสุขให้กับคนในชาติ สําหรับวันนี้รายการของเรามาจัดกันพิเศษครับ ซึ่งผมได้มีโอกาสได้รับเกียรติให้มาสนทนากับท่านนายกฯ ที่นครนิวยอร์ก ของประเทศสหรัฐอเมริกา ในโอกาสที่ท่านนายกฯ เดินทางมาเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 71 ครับ และในขณะนี้ผมก็ได้อยู่กับท่านนายกฯ แล้วนะครับสวัสดีครับ
นายกรัฐมนตรี: สวัสดีครับ สวัสดีพ่อแม่พี่น้องคนไทยที่รับชมอยู่ทางบ้าน แล้วก็อาจจะชมอยู่ต่างประเทศด้วยครับ คนไทยทุกคน
พิธีกร: แน่นอนว่าในการมาเข้าร่วมประชุมครั้งนี้นี่ ท่านนายกฯ คงจะต้องมีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายมาเล่าให้เราฟัง แต่ว่าก่อนจะถึงช่วงนั้น ปกติแล้วในช่วงแรกของรายการ ท่านนายกฯ ก็ใช้โอกาสนี้เป็นการให้กําลังใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ใช้ขีดความสามารถของตัวเองจนกระทั่งประสบความสําเร็จได้อย่างงดงามในโอกาสนี้ ท่านนายกฯ จะมีใครในใจเป็นพิเศษไหมครับ
นายกรัฐมนตรี: ช่วงนี้ถ้าตรงกับเทรนด์ของเรานะ วันนี้ก็คงต้องพูดถึงการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ 2016 เราได้มีโอกาสติดตามชมกัน ทุกโอกาสที่มี ผมเองด้วยนะ ได้รับรายงานผลเป็นระยะๆ จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายนี่ ก็ทราบว่าของเราได้ทําผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมสามารถทําลายสถิติของประเทศไทยทุกครั้งผ่านๆ มา ได้เหรียญทองเหรียญรางวัลมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ เดิมเท่าที่ผมพบ เขาบอกว่าตั้งความหวังไว้เพียงแค่ 4 เหรียญทอง แต่สุดท้ายทําได้ถึง 6 เหรียญทอง 6 เหรียญเงิน และ 6 เหรียญทองแดงครับ ซึ่งผลงานครั้งนี้นั้น ทําให้คนไทยและนักกีฬาทั้งหมดมีความสุขและภาคภูมิใจ สิ่งที่ผมเคยบอกไว้แล้วว่า คงไม่ใช่เฉพาะเรื่องของเหรียญรางวัล เป็นของขวัญ เป็นเกียรติประวัติ ความภาคภูมิใจสําหรับนักกีฬา แต่สิ่งที่เราได้เพิ่มเติมมาก็คือศักยภาพของพวกเรากันเองครับ แล้วในการที่ผู้พิการไทยของเรานั้นได้รับการพัฒนา ทั้งในเรื่องของการกีฬา ในเรื่องของผู้ให้การสนับสนุน ประสิทธิภาพของทีมงาน ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่พร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ก็อยากจะเชิญชวนว่า โอกาสต่อไปก็อยากให้ภาคเอกชน ได้เข้ามาร่วมกันส่งเสริมวงการกีฬาคนพิการไทยให้มากยิ่งขึ้น เพื่อจะสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ด้อยโอกาส ไม่ให้ถูกทอดทิ้ง แล้วก็หลอมรวมพลังเขาขึ้นมาให้เป็นพลังในการพัฒนาชาติด้วยกันครับ
พิธีกร: แล้วในช่วงที่ผ่านมานอกจากในเรื่องของการให้กําลังใจ ในเรื่องของการสร้างสถานภาพของเขาในสังคมแล้วนี่ ทั้งในเวทีในประเทศแล้วก็เวทีระหว่างประเทศ รัฐบาลยังมีการให้กําลังใจ และให้โอกาสกับผู้พิการทางสายตา เช่น โครงการ From Street to Stars ในการให้พวกนักดนตรีคนพิการได้มีโอกาสมาใช้ความสามารถนอกเหนือจากเรื่องเหล่านี้แล้วนี่มีอย่างอื่นเพิ่มเติมไหมครับ อย่างเช่น เรื่องของสวัสดิการของคนเหล่านี้ครับ
นายกรัฐมนตรี: หลายอย่างเขาเริ่มต้นมาตั้งแต่คุณมณเฑียร บุญตัน ใช่ไหม แล้วเป็นเรื่องของดนตรีวณิพก ผมก็ให้มาขับเคลื่อนให้ไปสู่สากลให้มากยิ่งขึ้น มีการขึ้นทะเบียน มีอะไรต่างๆ เยอะแยะ ให้เขาได้มีโอกาสในการที่จะมีรายได้ของเขา แล้วก็ทราบว่าหลายบริษัทก็สนใจเหมือนกันในเรื่องของการร้องเพลงนี่นะ ในส่วนของคนพิการอื่นๆ เราก็ได้ให้มีการออกบัตรประจําตัวคนพิการ ทําให้รู้ว่ามีคนพิการในประเทศทั้งสิ้นประมาณ1.6 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 2.43 ของประชากรทั้งประเทศ ไม่ใช่น้อยนะครับ เพราะฉะนั้นเราต้องมีการบริหารจัดการข้อมูลคนพิการให้เหมาะสม ให้มีประสิทธิภาพ เราจะได้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ และการกําหนดนโยบายต่างๆ ของภาครัฐได้ สําหรับให้กับคนพิการที่ยังไม่ทั่วถึง ไม่สอดคล้องกับในส่วนของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย ที่เรียกว่า e-Government ปัจจุบันเราเห็น 3 อย่างด้วยกันคือ
เรื่องที่ 1 คือการจัดทําระบบฐานข้อมูลคนพิการที่กล่าวไปแล้ว ให้ครบถ้วนและเชื่อมโยง อํานวยความสะดวกในการจัดสวัสดิการและการพัฒนาอาชีพให้อย่างเหมาะสมทุกกลุ่มทุกฝ่าย
เรื่องที่ 2 คือการจ่ายเงินอุดหนุน “เบี้ยผู้พิการ” จะได้สบายขึ้น ผ่านระบบ“พร้อมเพย์ (PromptPay)” นะครับ ที่เราจัดทําภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติของรัฐบาล
ประการที่ 3 คือการ “จับคู่” คนพิการกับนายจ้าง มี 2 ประเภทครับ อันแรกคือ ผ่านระบบฐานข้อมูล Online โดยบูรณาการทั้งข้อมูลและการทํางาน ในลักษณะ “ประชารัฐ” เพื่อจะให้พี่น้องคนพิการมีงานทํามากขึ้น รวดเร็วขึ้น รายละเอียดตามจอภาพครับ ผมอยากให้ครอบครัวและชุมชนได้ช่วยเหลือกันดูแลผู้พิการ อย่างน้อยให้ได้รับรู้ข่าวสารเหล่านี้ ให้เข้าถึงโอกาสและการบริการภาครัฐ เขาจะได้รู้สึกว่าไม่ถูกทอดทิ้ง เราไม่เคยทอดทิ้งประชาชนกลุ่มใดเลยครับ
ปีนี้รัฐบาลส่งเสริมให้ผู้พิการได้รับการจ้างงานแล้ว 34,601 ราย ในหน่วยงานภาครัฐ และสถานประกอบการเอกชน รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่นายจ้างในการปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้พิการ มีสถานประกอบการได้ปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว 11,443 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 97.07 ของสถานประกอบการทั้งหมดที่มีลูกจ้าง 100 คนขึ้นไป ที่จะต้องรับคนงานตามสัดส่วนที่เป็นคนพิการสําหรับสถานประกอบการที่ลักษณะงานไม่เอื้อให้รับผู้พิการเข้าทํางาน ก็จะส่งเงินเข้า “กองทุนส่งเสริมคนพิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ” เป็นรายปีให้ เพื่อนําไปใช้ในทางอื่นๆ ให้กับคนพิการ เช่น โครงการส่งเสริมการรวมกลุ่มของคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการเพื่อประกอบอาชีพ ปัจจุบันมีผู้สมัครอยู่ในกลุ่มต่างๆ เหล่านั้น จํานวน 120 กลุ่ม 120 กลุ่มที่ผ่านการคัดเลือกจากพัฒนาสังคมฯ จังหวัด รัฐบาลก็ให้เงินสนับสนุนตามโครงการฯ แล้วกลุ่มละ 50,000 บาท มีผู้ได้รับประโยชน์ 3,015 คน เป็นต้น ทั้งนี้ ก็ยืนยันว่า“ทรัพยากรบุคคล” ทุกประเภทของเรา ถือว่าเป็นทรัพยากรบุคคลที่ทรงคุณค่าของประเทศชาติเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจะต้องส่งเสริมในแนวทางที่ถูกต้อง แล้วก็ทําให้เขาเป็นพลังของสังคมไม่ใช่ภาระของสังคมอีกต่อไปครับ
พิธีกร: อีกประเด็นหนึ่งที่อยากจะขออนุญาตเรียนถามท่านนายกฯ ครับว่าในช่วงก่อนจะเดินทางมาสหรัฐอเมริกามีประเด็นที่สําคัญมากก็คือในเรื่องของการพัฒนาระบบขนส่งทางอากาศของไทย ซึ่งท่านนายกฯก็ได้มีโอกาสไปร่วมกิจกรรม หรือว่าไปเปิดกิจกรรม 2 แห่ง ด้วยกัน ท่านนายกฯ พอจะพูดเรื่องราวเหล่านี้ ได้ไหมครับ
นายกรัฐมนตรี: ก็อยากจะกล่าวถึงว่าการที่เราจะพัฒนาในเรื่องของความเชื่อมโยง ที่เขาเรียกว่า Connectivity นั้นมีหลายอย่างด้วยกัน ก็คือในเรื่องของความเชื่อมโยงที่มีตัวตน กายภาพ สนามบิน ท่าเรืออะไรเหล่านี้ อีกอันก็คือไม่มีตัวตนคือความเชื่อมโยงของบุคลากร ของชุมชน ปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นก่อนมาผมได้ไปเยี่ยมชมโครงการพัฒนาท่าอากาศยานของไทย 2 แห่งด้วยกัน
อันแรกคือโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 ซึ่งจริงๆแล้วได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีตั้งแต่ปี 2553 แล้ว แต่ไม่ทราบว่าติดขัดอะไร รัฐบาลนี้ก็ผลักดันให้เกิดขึ้นมาได้ เพราะว่าหากเราจะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้เจริญเติบโตขึ้นเพื่อจะรองรับกิจการขนส่งทางอากาศซึ่งนับวันจะมากขึ้นเรื่อยๆ มีความจําเป็นนะครับ ช้าไม่ได้ เสียโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เรากําหนดว่าเราจะเป็น “ศูนย์กลางการบินในภูมิภาคอาเซียน” ก็เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาการเชื่อมโยงในอาเซียนแล้วก็จะไปสู่ช่องทางหรือเส้นทางอื่นๆอีกด้วย จะเชื่อมโยงกับทางอากาศ ทางน้ํา ทางบก ทางราง อีกด้วย สําหรับที่สุวรรณภูมินั้น โครงการ 2ประกอบด้วย การก่อสร้างส่วนขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออกอาคารเทียบเครื่องบินรอง และระบบสาธารณูปโภค คาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน 2562 อีก 3 ปีนะ ก็ไม่นานแล้วก็ไม่เร็วจนเกินไป ไม่นานจนเกินไป ก็ต้องใช้ความอดทน เราจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้น จาก 45 ล้านคนต่อปีเป็น 60 ล้านคนต่อปี
อันที่ 2 คือการเปิดอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศของท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต เป็นการพัฒนาเมืองในปีงบประมาณ 2553-2557 ก็มีในเรื่องของการปรับปรุงอาคารผู้โดยสารหลักให้ได้มาตรฐานสากล การก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ การขยายลานจอดอากาศยาน และการปรับปรุงสิ่งอํานวยความสะดวกอื่นๆ อีกด้วย ให้รองรับปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ให้เสริมการเป็น “ศูนย์กลางการบินในภูมิภาค” โครงการนี้จะทําให้ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตสามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจากเดิม 6.5 ล้านคนต่อปี เป็น 12.5 ล้านคนต่อปีครับ อันนี้ก็เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลเราที่ต้องส่งเสริมการท่องเที่ยวในเชิงรุก ซึ่งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เป็นกิจกรรมหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของที่จะอาจเรียกได้ว่าทั้งประเทศ และของจังหวัดภูเก็ตด้วยนะครับ เพราะเชื่อมโยงกัน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องการจะขยายกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวใหม่ๆ รวมทั้งกลุ่มประเทศอาเซียน ที่จะเปิดเสรีการบินกับเราเพิ่มขึ้น การเจริญเติบโตก็จะมากขึ้น ผมเองก็ได้กําชับให้การท่าอากาศยานฯ ได้เร่งพัฒนาสนามบินอื่นๆ คู่ขนานกันไปด้วย เช่น อู่ตะเภา ดอนเมือง และอีกหลายแห่งให้รองรับซึ่งกันและกัน ให้ได้มาตรฐานในการก่อสร้างทั้งหมด เพื่อความโปร่งใสก็ได้ให้ใช้หน่วยตรวจสอบ หรือการตรวจสอบ ที่เรียกว่า COST มาใช้ เหมือนทุกๆ โครงการก่อสร้างในประเทศไทย เพื่อป้องกันความเสียหายจากการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งผมก็ระวังไม่อยากให้เกิดขึ้นในรัฐบาลนี้ ทั้ง 2 โครงการเหล่านั้น เป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมของประเทศ นอกจากภายในแล้วก็ต้องเชื่อมโยงภายนอกด้วย เราอย่ามองแค่ในประเทศอย่างเดียว จัดระเบียบภายในประเทศให้ดีแล้วก็เชื่อมโยง CLMVT ข้างนอกเราให้ได้ จากนั้นก็จะไปประชาคมโลกอื่นๆ อีกด้วย ทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ํา และทางอากาศ
นอกจากนั้นแล้วก็จะได้มีโอกาสในการอํานวยความสะดวกของประชาชนคนไทยในประเทศ แล้วก็ยกระดับคุณภาพชีวิต เพราะว่าในการเพิ่มเติมอะไรก็แล้วแต่ จะเห็นว่ามีคนเข้ามา 12 ล้านบ้าง 6.5 ล้านบ้าง อะไรเหล่านี้ ต้องถามว่าคนที่เข้ามาขนาดนี้ เราพร้อมที่จะรองรับเขาไปที่ไหน อย่างไร ก็ตามไปสู่การพัฒนาพื้นที่ด้วย ก็จะสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างห่วงโซ่มูลค่า เยอะแยะมากมาย นั่นแหละคือเหตุผลที่เราต้องมีการลงทุน เดี๋ยวจะหาว่าเอ๊ะลงทุนแพงๆ ทําไปเพื่ออะไร จะทําให้คนในท้องถิ่นสามารถที่จะเกิดธุรกิจเชื่อมโยง มีรายได้เพิ่ม เตรียมตัวเองไว้เรื่องการท่องเที่ยวต่างๆ พร้อมอาหารการกิน สถานที่ที่น่าอยู่ น่าเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ อะไรก็แล้วแต่ เพราะแต่ละเมืองของเราน่าท่องเที่ยวทั้งสิ้น แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องไม่ให้มีผลกระทบกับคนในพื้นที่ ผมถึงบอกว่าเราขยายสนามบิน ขยายการขนส่งทางราง แล้วถามว่าคนในพื้นที่เขาได้ประโยชน์อะไรบ้าง นั่นแหละคือสิ่งที่ผมมอบภารกิจให้ท่าน ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่เฉพาะกระทรวงคมนาคมอย่างเดียวนะ ต้องมองว่าประชาชนจะได้รับประโยชน์อะไรด้วย และเศรษฐกิจถึงจะดีขึ้นนะ
พิธีกร: แล้วยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยด้วยนะครับ
นายกรัฐมนตรี: อันนี้ก็คือแข่งขันก็คือหมายความว่าถ้าเรามีสาธารณูปโภคพื้นฐาน หรือมี Logistic ที่ดีในประเทศ ใครก็อยากจะมาลงทุนกับเรา ใครก็อยากคบค้าสมาคม อันนี้เป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย รวมความไปถึงคนไทยด้วยนะ ที่สามารถจะไปผลิตได้ถึงต้นทางเลยที่วัตถุดิบ แล้วก็ขนส่งทางราง ทางรถ ทางอากาศบ้างอะไรบ้าง ก็สามารถที่จะลดเวลาลงไปได้ ใช่ไหม บางอย่างก็ลดต้นทุนลงไปได้อีก ภารกิจการลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต
พิธีกร: ท่านนายกฯ ครับ แล้วที่ภูเก็ตนี่ นอกเหนือจากการเปิดอาคารผู้โดยสารที่สนามบินแล้วนี่ ยังมีกิจกรรมสําคัญๆ อีก 2 กิจกรรม ก็คือ เรื่องของงาน Startup Thailand กับ Digital Thailand ตรงนี้มีแนวความคิดอย่างไรครับ ว่าทําไมต้องเลือกภูเก็ต แล้วก็Smart City นี่จากการที่เป็น Digital Thailand ทําให้ภูเก็ตเป็น Smart City ได้อย่างไรครับ
นายกรัฐมนตรี: วันนี้เราก็ทราบอยู่แล้วนะครับว่า จังหวัดภูเก็ตเป็นเกาะใช่ไหม เกาะขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย และขึ้นชื่อว่าเป็นไข่มุกแห่งอันดามันสวยงาม มีธรรมชาติที่สวยงาม วิถีการดําเนินชีวิต วัฒนธรรมประเพณี มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม มีอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ หลายอย่าง เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในระดับโลก คราวนี้การที่เราจะทําให้มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นตามจากนั้นมา จากที่ยูเนสโก (UNESCO) เขายกระดับให้เมืองภูเก็ตเป็น “เมืองสร้างสรรค์ด้านอาหาร” เราก็มองประเด็นนี้ก่อน เรามองไว้ทั้งหมด 10 เมือง 10Smart City ซึ่งแต่ละเมืองเขามีความแตกต่างกัน ที่ภูเก็ตเขามีความพร้อมในด้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว แล้วก็การลงทุนในเรื่องของการใช้ Digital มากอยู่แล้วในพื้นที่เหล่านั้นอาจจะเป็นเมืองดิจิตอลก็ได้ในอนาคต เราก็เอาศักยภาพของเขามาทําก่อน คือ 10 เมืองเราทําพร้อมกันไม่ได้ เราต้องเอาตรงไหนที่มีศักยภาพก่อน ดังนั้น จ.ภูเก็ต จึงได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 2 จังหวัด Super Cluster และ จ.เชียงใหม่ อีกเมืองหนึ่ง อีสานก็มีเมืองหนึ่งนะ ของแก่น ก็ขับเคลื่อนไปด้วยกัน แต่ทุกอย่างจะมีต้นทุนต่างกัน เราจะทําทั้งหมดนั่นแหละ ต่อไปก็ 10 จังหวัด ต่อไปก็จังหวัดที่เหลือให้ครบ 76+1 จังหวัด เพราะอย่างนั้นประเทศไทยก็จะเจริญเข้มแข็ง ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะทําให้เกิดได้เร็วขึ้น ผมก็มองว่ากลไกประชารัฐสําคัญที่สุด ในการขับเคลื่อนพัฒนาในกรอบไทยแลนด์ 4.0ประเทศเรามีทั้ง 4.0 มี 3.0, 2.0, 1.0 ทําอย่างไรทั้งหมดจะไป 3.0 เท่ากันทั้งหมด แล้วไป 4.0 ได้โดยเร็ว ภูเก็ตนี่เขาค่อนข้างจะพร้อมอยู่แล้ว ต้องผลักดันอีกนิดหน่อยก็สามารถที่จะพัฒนาศักยภาพ และความพร้อมในการพัฒนาเป็น “เมืองอัจฉริยะ (Smart City)” ตามนโยบายของรัฐบาล จุดแข็งของเขาก็ในเรื่องของการบริการภาครัฐร่วมกับภาคประชาสังคม ประชาชนในพื้นที่ ภาคเอกชนเหล่านี้ ที่เราเรียกว่าประชารัฐสามารถดําเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม ในการสร้างมูลค่าเพิ่มอาทิ ด้านการเกษตร มีสับปะรดภูเก็ต รสชาติอร่อย นมแพะ กุ้งมังกรเจ็ดสีภูเก็ต (Lobster)ต่อไปก็ด้านการแปรรูปมีผ้าบาติก และด้านการท่องเที่ยวมีท่องเที่ยวชุมชน
ทั้งนี้ เป็นการร่วมคิดร่วมทํา ผมก็บอกให้ไปทําไอ้นั่นสิ ถ้าเราเพิ่มคนเข้ามา โรงแรมอาจจะน้อยเกินไปไม่พอ ก็ไปทําที่พักแรมอยู่ตามหมู่บ้าน ชุมชน ใช่ไหม ที่เรียกว่าโฮมสเตย์ ก็จะเป็นการ “ระเบิดจากข้างใน” โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมทั้งหมด ก็เจริญเติบโตจากภายใน ข้างนอกก็เข้าไปเติม ก็เสริมกันทั้งคู่ อันนี้แนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่แล้วนะครับ จะเน้นการทํางานอย่างบูรณาการ ทุกวันนี้การแก้ไขปัญหาของรัฐบาลนี้ก็คือทุกกระทรวง ทุกหน่วยงานจะต้องแก้ปัญหาด้วยกัน ร่วมกับประชาชนไปด้วย บริหารทั้งแกน X และแกน Y บนลงข้างล่าง ข้างล่างขึ้นข้างบน แล้วทางระดับก็คือประชาชนในพื้นที่ประชารัฐด้วยกัน ก็จะเริ่มวางแผนทั้งฐานราก ตรงกลาง แล้วก็ข้างบนไปด้วย จะสร้างห่วงโซ่ใหม่ขึ้นมา มีคุณค่ามากขึ้น สร้างนวัตกรรม อันนี้ก็สอดคล้องไปกับเรื่องของการดําเนินการของรัฐบาลตามนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจ ในรูปแบบคลัสเตอร์ อันนี้ก็คงจะเป็นคลัสเตอร์ด้านอาหาร การท่องเที่ยว มีศักยภาพอยู่แล้วแล้วก็ใช้การขับเคลื่อนด้วยสังคมดิจิทัลของรัฐบาลในปัจจุบัน ก็จะมีการผลักดันให้เกิดโครงการต่าง ๆ มากมายทั้งโครงสร้างพื้นฐาน แล้วก็ด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ เพื่อจะรองรับการก้าวสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ 7 มิติ ได้แก่ มิติเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม สุขอนามัย การศึกษา และ ธรรมาภิบาล โดยเราให้กระทรวง ICT (เดิม) หรือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดท.) หรือกระทรวง DE ใหม่ ชื่อไทยๆ ย่อว่า ดท. เป็นเจ้าภาพหลักในการบูรณาการแผนปฏิบัติการทั้งหมดของ Phuket Smart City ให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งชาติ วันนี้เราต้องพัฒนาดิจิตอลไปด้วย เพราะลดต้นทุนหลายอย่างได้ ด้วยการใช้ดิจิตอลให้เข้าถึงข้อมูลต่างๆ จะได้เข้ามาดูแลเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทั้งในเรื่องการแปรรูปสินค้าเกษตร สร้างนวัตกรรมให้มีมูลค่าสูงขึ้น ไม่อย่างนั้นก็ราคาตกอยู่แบบนี้แหละ เราต้องทํางานร่วมกับ BOI ในการกําหนดแนวทางการส่งเสริมให้เอกชนเข้ามาลงทุนในโครงการดังกล่าวด้วย
พิธีกร: ท่านนายกฯครับ เมือสักครู่ท่านนายกฯ พูดถึงคลัสเตอร์ทางเศรษฐกิจ ขออนุญาตเรียนถามนิดหนึ่งครับว่า แนวความคิดนี่ ตอนนี้เราให้ความสําคัญกับภูเก็ตเป็นหลัก จังหวัดอื่นๆ ข้างๆ นี่เขาอาจจะสงสัยว่าเขาจะมีโอกาสได้รับประโยชน์จากการพัฒนาจังหวัดภูเก็ตให้เป็นเมืองอัจฉริยะSmart City ไหม ตรงนี้จะมีการดูแลจังหวัดข้างเคียงไหมครับ
นายกรัฐมนตรี: คงไม่อยากให้คิดแบบนั้นนะ เพราะประเทศไทยมี 76+1 กรุงเทพฯ ใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นผมได้บอกแล้วว่าการเจริญเติบโต จะเจริญเติบโตเป็นภูมิภาคก่อน ภาคใต้มีกี่จังหวัดล่ะ ในกี่จังหวัดนั้นเราก็กําหนดพื้นที่ไหนที่เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ในกลุ่มนั้นก็ต้องมีกลุ่มที่เป็นแกนกลางใช่ไหมเล่า เพราะฉะนั้นภูเก็ตก็เป็นแกนกลางของ 5 จังหวัด ก็มีทั้ง ภูเก็ต พังงา ระนอง กระบี่ และตรัง วันนั้นก็มีการประชุมร่วม กรอ.ส่วนกลางและภูมิภาคด้วย ว่าจะทําอย่างไรให้กลุ่มจังหวัดเขามีความเข้มแข็งขึ้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคใต้ใช่ไหม ถ้าในกลุ่มนี้ เพราะในภาคใต้ก็มีอยู่หลายกลุ่มด้วยกัน ทั้งประเทศมีอยู่ 4 ภาคแล้วทั้งหมดมี 18 กลุ่มจังหวัด ทั้งหมดก็คือ 76+1จังหวัด เพราะฉะนั้นถ้าเราไปเริ่มภูมิภาคก่อน ก็ต้องหาจุดศูนย์กลางก่อน จุดเริ่มต้นให้ได้ก่อน จากนั้นก็จะเกิดขึ้นมาโดยรอบ ต้องเชื่อมโยงด้วยLogisticทั้งหมด วันนั้นก็มีการประชุมร่วมกันด้วย เช่นในภาพรวมของกลุ่มจังหวัดเราก็ได้แก่การยกระดับเมือง สปา น้ําพุร้อนเค็ม ซึ่งมีเพียง 2 แห่งในโลก ก็การรักษาโรคได้ตามความเชื่อ แล้วการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ด้วย เป็นเกลือแร่ เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ แล้วก็สนับสนุนการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน ซึ่งจะตามมาด้วย
อันที่สองก็ต้องดูเรื่อง Logistic เส้นทาง “อันดามัน โรแมนติกโรด” ระยะทาง 40 กิโลเมตร มีเส้นทางจักรยานอีก 30 กิโลเมตร เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว สองโครงการดังกล่าวนั้นก็คาดว่าถ้าทําได้ จะเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว จาก 40 ล้านบาทต่อปีในปัจจุบัน เป็น 2,500 ล้านบาทต่อปีในอนาคต ถ้าเราพัฒนาอย่างครบวงจร อันที่ 3 คือการยกระดับเส้นทางเชื่อมโยงท่องเที่ยวอันดามันเป็น 4 ช่องทางจราจร หลายเส้นทางด้วยกันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เส้นทางสาย 4 เพชรเกษม ช่วงระนอง – ราชกรูด – ตะกั่วป่า – เขาหลัก ระยะทางประมาณ 270 กิโลเมตร แล้วก็สาย 4027 อีก 13 กิโลเมตร เป็นโครงข่ายคมนาคมสายหลัก แล้วก็สามารถสนับสนุนการท่องเที่ยวที่รองรับคนที่เข้ามามากขึ้น จะทําให้คนในเมือง คนในเมืองเขาก็การท่องเที่ยวเยอะ การจราจรติดขัด คนในเมืองเขาก็บ่นเอา ก็เราไม่ดูแลเขานี่ใช่ไหม ภาคการท่องเที่ยว การขนส่ง ภาคการเกษตร เชื่อมโยงอ่าวไทย – อันดามัน สามโครงการนี้ ในที่ประชุมผมก็ส่งให้ลงมติกันเห็นชอบร่วมกันในหลักการดังกล่าวนั้น ผมก็ต้องมาดูเรื่องงบประมาณใช่ไหมเล่า ที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน รายได้ประเทศอยู่ตรงไหน ผมก็ให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องไปศึกษารายละเอียดและกรอบงบประมาณ อันไหนที่มีอยู่ในแผนงานอยู่แล้ว อันที่ยังไม่อยู่ก็ไปปรับแผนงานดูสิได้ไหม หรือไม่ถ้ามีงบกลางเหลือจ่าย เราก็จะจัดสรรให้ ต้องใช้เวลาครับ สําหรับรายจังหวัดอื่น ๆ ก็มี จังหวัดพังงา มีถนนอยู่เส้นหนึ่งที่จะต้องเคลือบผิวจราจร เพราะว่าลื่นไถล อาจจะผิวถนนไม่ได้มาตรฐาน เส้นทางหมายเลข 4 และ 4311 ก็ให้กระทรวงคมนาคมรับเรื่องไปบรรจุในแผนงบประมาณปี 2560 เพราะว่าอันตราย ผมให้ก่อน ต่อไปคือโครงการก่อสร้างถนนและสะพานที่เกาะคอเขา อ.ตะกั่วป่า ก็ศึกษารายละเอียดความเป็นไปได้เพราะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไปดูความคุ้มค่าการลงทุนด้วย เพราะใช้งบประมาณสูง ในเรื่องจังหวัดกระบี่ ก็เสนอโครงการก่อสร้างสะพานลันตาช่วงแรก คือบ้านหิน – บ้านคลองหมาก ก็ให้ไปศึกษาเหมือนกันนะครับเร่งศึกษาโครงการ จังหวัดชุมพร ก็ได้เสนอโครงการศึกษาเส้นทางรถไฟ ชุมพร – ท่าเรือน้ําลึกระนอง ก็ให้ไปศึกษาความเป็นไปได้ระบบโลจิสติกส์ดังกล่าว อีกจังหวัดหนึ่งคือจังหวัดตรัง เสนอโครงการพัฒนาท่าอากาศยานตรัง ผมก็ได้สั่งการให้พิจารณาจัดทํางบประมาณในการจัดทําโครงการ และให้ไปศึกษาความเป็นไปได้เพราะบางทีก็ต้องดูความคุ้มค่าการลงทุนเหมือนกัน จังหวัดใกล้กันนี่
พิธีกร: ครับทีนี้ขออนุญาตเรียนถามท่านนายกฯเกี่ยวกับเรื่องของการเดินทางมาสหรัฐอเมริกาเพื่อเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญครั้งที่ 71 ซึ่งดูจากกําหนดการแล้ว ท่านนายกฯได้เข้าร่วมกิจกรรมค่อนข้างมากโดยเริ่มต้นตั้งแต่การประชุมสุดยอดผู้นําด้านผู้ลี้ภัย อยากให้ท่านนายกฯเล่าให้ฟังว่าในบทบาทของประเทศไทยเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย เราได้มีการดําเนินการอย่างไร และทําไมเราจึงได้รับเชิญมา และเราได้บอกอะไรกับกลุ่มประเทศที่เกี่ยวข้องในเรื่องราวเหล่านี้บ้างครับ
นายกรัฐมนตรี: ผมก็พูดให้เขารู้ว่าเราทําอะไรมาบ้างในเรื่องเหล่านี้ครับ หลายประเทศอาจจะไม่เข้าใจ อาจจะมองประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ แต่เราได้ทําทุกอย่างตามพันธะสัญญาโลก วันนี้ถ้าเรามองดูปัจจัยภายนอกนะ ในโลกนี้คนกว่า65 ล้านคนต้องพลัดถิ่น ในจํานวนนี้ กว่า 21 ล้านคน เป็นการโยกย้ายถิ่นฐานที่ไม่ปกติ ไม่สมัครใจ อาทิเช่น จากภัยสงคราม ความยากจน อะไรต่างๆ แล้วแต่ ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปสู่ถิ่นฐานใหม่ ทั้งยุโรปและภูมิภาคอื่นๆ ของโลก มันก็เป็นภาระหนักของประเทศนั่นแหละ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศแรกรับ (หรือประเทศกลางทาง) เราอยู่ในฐานะประเทศกลางทาง ซึ่งก็ต้องแรกรับจากที่อพยพผ่านเราไปที่อื่น เราตกอยู่ในสภาวะนั้นมากว่า 40 ปีมาแล้วนะ รัฐบาลไทย คนไทยเราก็มีความเอื้ออารีและให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมมาโดยตลอด อันแรกคือกลุ่มผู้ไร้ถิ่นฐาน คนไร้สัญชาติจํานวนกว่าล้านคน วันนี้ก็กลายเป็นคนไทยไปบ้างแล้ว ปัจจุบันเราได้ให้ที่พักพิงแก่ผู้หนีภัยการสู้รบจากชายแดนนอกบ้านเราประมาณ 1 แสนคน ที่ยังคงเหลืออยู่ในประเทศไทย เดิมเข้ามาเกือบ 5 ล้านคนใน 30 ปีที่ผ่านมา แล้วก็ค่อยๆลดไปเรื่อยๆ ไปประเทศที่สามบ้าง กลับประเทศต้นทางเองบ้าง ก็เหลือประมาณปัจจุบันเกือบแสนคน อันนี้เราไม่นับรวมผู้โยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติอีกกว่า 3 ล้านคนทั่วประเทศซึ่งรวมความไปถึงพวกที่เป็นแรงงานต่างด้าวด้วยที่ว่าสามล้าน ตรงกลางน่ะไม่มากนักหรอก ผู้โยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ เพราะมาแล้วก็ไป แต่เป็นภาระของเราถ้าหากว่าต้องดูแลนานๆ นะ วันนี้เราต้องจัดงบประมาณของประเทศไทยเราประมาณ 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เทียบแล้วก็ประมาณร้อยละ 0.05 ของ GDP เรา ให้เป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าสวัสดิการอื่น ๆ ที่จําเป็น ไม่ต่างจากคนไทยเลยรวมทั้งให้การศึกษาและฝึกอาชีพให้กับผู้หนีภัย ในพื้นที่พักพิง ให้มีความรู้ มีอาชีพ ถ้าเขามีโอกาสกลับคืนประเทศบ้านเกิด และจะได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขมีอาชีพมีรายได้ของเขา
นอกจากนั้นที่สําคัญก็คือเรื่องกฎหมาย ต้องมีการปรับปรุง บังคับใช้กฎหมาย อาทิเรื่องของการออกสูติบัตรรับรองการเกิดแก่เด็กที่เกิดใหม่ทุกคนในพื้นที่พักพิง ประมาณ 3,000 กว่ารายวันนี้ เพื่อขจัดปัญหาบุคคลไร้รัฐ ไร้สัญชาติ แล้วก็กําลังพิจารณา พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย อันนี้เป็นเรื่องสําคัญที่ในเวทีโลกเขาให้ความสําคัญอยู่ เพื่อไม่ส่งบุคคลกลับไปสู่อันตราย อันนี้ต้องแยกให้ออกที่เข้ามาพวกหนึ่ง อีกพวกหนึ่งเข้ามาแล้วก็ผิดกฎหมายคนเข้าเมือง เพราะเรามีกฎหมายคนเข้าเมืองอย่างเดียวเอง ฉะนั้นเราจะส่งกลับไปไหนมาไหน ก็ต้องดูต้นทาง มีการพิสูจน์สัญชาติอีก ก็กําลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่ครับ ไม่ฉะนั้นก็ไม่สอดคล้องกัน แล้วก็มีปัญหาความขัดแย้งเวลาจะส่งไปไหน ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะออกมาอย่างไร เป็นการพิจารณาของคณะผู้ร่างกฎหมายอยู่ครับ ก็ต้องดูประเทศเราด้วย ว่าเกิดผลกระทบอะไรหรือไม่
นอกจากการทํากฎหมายแล้ว เราก็กําลังพิจารณาจัดทําระบบคัดกรองให้เป็นมาตรฐานสากล ต้องแยกให้ออก สําคัญคืออย่าไปแยกครอบครัวเขา จะได้ลดความเสี่ยงของการตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ หรืออนุญาตให้เหยื่อค้ามนุษย์ที่จะต้องเป็นพยาน เดิมนี้ถ้าเป็นของประเทศไหนต้องส่งกลับไปเลย แต่คดียังไม่จบ เสร็จแล้วคดีก็ยุติไม่ได้ ก็อนุญาตให้เขาอยู่แล้วก็สามารถทํางานได้อย่างถูกกฎหมายจนกว่าคดีจะสิ้นสุด โดยให้มีการขยายเวลาไปเป็น 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปีเพื่อให้ยุติคดีให้ได้โดยเร็วนะครับ แล้วก็หารือกับประเทศเพื่อนบ้านเรา เพื่อจะส่งผู้หนีภัยกลุ่มนําร่องเกือบ 100 คน ที่มีความสมัครใจกลับบ้าน เดิมเขาคาดหวังที่จะไปประเทศที่สาม แต่เขาอยู่มานานแล้วไม่ได้ไปสักที ก็เหลืออยู่แสนกว่าคน เขาก็อยากกลับบ้านนะพูดถึงจริงๆ แล้วเราก็สร้างอาชีพให้เขามีรายได้ วันหน้าเขาก็กลับไปพัฒนาประเทศเขาสิ ให้ได้มีชีวิตอย่างปกติสุข ดีกว่ามาอยู่แบบหลบๆซ่อนๆหรืออถูกควบคุมอยู่ในศูนย์อยู่แบบนี้ ผมสงสารเขานะเห็นใจ จุดยืนของเราไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามอยู่ในแผ่นดินไทย เราก็ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ต้องดูแลเขาด้วยหลักสิทธิมนุษยชนต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ “ต้นทาง” ก็คือประเทศที่มีความยากลําบาก มีสงคราม ประชาชนเขาเดือดร้อน เขาต้องอพยพ นั่นคือประเทศต้นทาง เราจะแก้เขาอย่างไร ก็ต้องแก้ด้วยการพัฒนา ยุติความขัดแย้ง สร้างพื้นที่ปลอดภัย สร้างพื้นที่การพัฒนาให้เขาอยู่ ให้เขาดูแลกันเองให้ได้ไหม โดยประเทศภายนอกก็ส่งเงินทุนกองทุนไปให้เขา ให้เขาดูแลตัวเองให้ได้แล้วกัน
อันที่สองคือ ประเทศกลางทาง แบบประเทศไทย ก็ต้องมาช่วยดูแลเราสิว่า ระหว่างที่เขามาอยู่กับเรานี้เป็นภาระมากเกินไปหรือเปล่า ก็อาจจะมีการให้ความช่วยเหลือบ้างกับประเทศกลางทาง รวมถึงประเทศทางยุโรปด้วยนะ แล้วเราต้องมีระบบคัดกรองเพื่อคัดแยกผู้หนีภัย ให้ช่วยเหลือและคุ้มครองให้ได้ เรารองรับภาระมากในทุกวันนี้ ต้องได้รับความช่วยเหลือด้านงบประมาณอีกนะ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เราก็ใช้ไปเยอะแล้ว รวมความไปถึงในเรื่องของการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ถ้าเราเอาเขาอยู่นาน ๆ ก็จะเกิดธุรกิจการค้ามนุษย์ขึ้นมาทันที แล้วอีกหน่อยก็จะเป็นที่พักคอยของผู้ที่จะลักลอบออกนอกประเทศ มาสะสมเป็นที่พักคอยในประเทศไทย แล้วก็จะมีกระบวนการนําส่งไปโน่นไปนี่ ก็เป็นเรื่องของการค้ามนุษย์ เราก็แก้ไขไปแล้วนะ ในส่วนของประเทศปลายทาง สําคัญที่สุดก็คือว่าหลายประเทศเป็นที่น่ายินดี ในการประชุมเขาก็พร้อมที่จะรองรับผู้หนีภัยไปตั้งถิ่นฐานใหม่ เป็น 2 เท่า ประเทศทางยุโรป เพราะฉะนั้นต้องหางบประมาณ หา กองทุนไปดูแลด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ที่ประชุมพูดถึงเรื่องนี้อยู่ ว่าจะช่วยเหลือทั้งเงินทั้งการรองรับผู้หนีภัยเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ผมก็เลยเสนอไปว่าต้องดูเงินทุนเหล่านี้ด้วยนะ ประเทศต้นทาง ประเทศกลางทาง แล้วก็ประเทศปลายทางจะทํากันอย่างไรถ้าสมมติว่าเรายังแก้ปัญหาที่ปลายเหตุอยู่แบบนี้คือ รับคน รับคน โดยเราไม่ไปแก้ต้นทางเลย ก็จะไม่ลดปริมาณคนออกนอกประเทศ เราต้องทําอย่างที่เขาจะไม่เกิดสงคราม ระงับสงครามให้ได้โดยเร็ว แล้วก็พัฒนาเขาให้มีความรู้ มีการศึกษา จะได้ไม่มีความขัดแย้ง ความขัดแย้งสวนใหญ่เกิดจากความยากจน ถ้าเราพัฒนาตั้งแต่ต้นทางก็จะไม่เกิดอีก วันนี้เกิดหลายพื้นที่ ก็อพยพไปเรื่อยๆ แล้ววันหน้าทําอย่างไร ถ้าเราไม่แก้ทั้งระบบ ผมก็เสนอในที่ประชุมไปแบบนี้เขาก็รับฟังไป ในที่ประชุมหลายประเทศเห็นด้วยหลายอย่างนะ
พิธีกร: เห็นว่าปีนี้ให้ความสําคัญเรื่องนี้มากเลยใช่ไหมครับ เพราะว่าเป็นการจัดขึ้นครั้งแรก แล้วก็เป็นการจัดขึ้นโดยความริเริ่มของประธานาธิบดีบารักโอบามา
นายกรัฐมนตรี: เป็นความตั้งใจของท่าน แล้วครั้งนี้ก็ถือว่าให้เกียรติประเทศไทยนะ เพราะจากที่ทางสหรัฐฯ ได้ติดตามมานี้ จะเห็นว่าประเทศไทยทําหน้าที่นี้ได้ดี ก็ได้เชิญผมไปร่วมประชุมด้วย ในครั้งแรก ผมก็ได้เล่าให้เขาฟังอย่างที่ว่าเมื่อสักครู่นี้ แล้วก็เสนอหนทางปฏิบัติ ต้นทาง ปลายทาง กลางทาง ในที่ประชุมก็ตอบรับดีครับ ทางสหรัฐอเมริกา โดยคุณแดเนียลรัสเซลล์ ก็ได้กล่าว ขอบคุณประเทศไทยที่ดําเนินการใน 3 เรื่องจนเป็นรูปธรรมนะครับ ก็คือเรื่องที่ 1.มาตรการดูแลผู้ลี้ภัยไม่ปกติและได้เข้าร่วมประชุมสุดยอดระดับผู้นําด้านผู้ลี้ภัยของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เรื่องที่ 2. คือเรื่องของการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และประมง เรื่องที่ 3. ก็คือในการที่ประเทศไทยลงสัตยาบันสัญญาปารีสในการลดโลกร้อน
อีกประการหนึ่งก็คือในเรื่องของการร่วมกันรับรองแถลงการณ์นิวยอร์กสําหรับผู้หนีภัยและผู้โยกย้ายถิ่นฐาน ทุกประเทศต้องร่วมกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างแก้กันเอง แก้ไม่ได้หรอกครับทุกปัญหา ฉะนั้นต้องมีเวทีในเชิงนโยบาย หารือกันทั้ง 3 ส่วน เราต้องเข้มแข็งไปด้วยกัน แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คงไม่มีใครอยากออกจากบ้านตัวเองก็อยากอยู่ประเทศตัวเองทั้งหมดเป็นพื้นที่ ที่ดิน ผืนดินที่น่าภูมิใจ เกิดที่นี่ ตายที่นี่ ไม่มีใครอยากไปที่อื่นหรอกครับ ถ้าไม่เดือดร้อน เพราะฉะนั้นเราต้องกลับมามองใหม่ แก้ปัญหาที่ต้นเหตุก่อนให้ได้โดยเร็ว เพื่อจะลดปริมาณคนที่ออกมาให้มากขึ้น แล้วก็ที่อพยพไปแล้วก็ดูแลเขาให้ดีขึ้น ส่วนประเทศตรงกลางทางก็ต้องดูแลเขาหน่อย ไม่ใช่ทิ้งภาระไว้ให้เขานานๆ เขาก็ไม่อยากรับไว้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่ใช่หน้าที่ของประเทศใดประเทศหนึ่ง ของคนใดคนหนึ่ง ทุกๆคน ประชาคมโลกต้องให้ความสําคัญนะครับ เราพูดไว้แล้วว่าเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เหมือนที่รัฐบาลนี้กําลังทําอยู่
พิธีกร: และนอกเหนือจากเรื่องผู้ลี้ภัย ปีนี้ดูเหมือนว่าสหประชาชาติยังให้ความสําคัญเกี่ยวกับเรื่องการดูแลสุขภาพของประชาชนทั่วโลก โดยมี“การประชุมระดับสูงเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพ” ตรงนี้ทําไมประเทศไทยจึงได้มีบทบาทสําคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นพิเศษครับ
นายกรัฐมนตรี: บทบาทนี้เป็นบทบาทของ G77 ซึ่งเราก็เป็นประธานในปีนี้ ต้องขอบคุณท่านทูต ซึ่งก็เดินหน้าในเรื่องนี้มาจนกระทั่งเป็นผลสําเร็จ จริงๆ แล้วเราเป็นคนผลักดันเรื่องนี้ในกลุ่ม G77 จนสําเร็จลงมาได้ เรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพ (หรือ AMR) ที่พูดง่ายๆ คือ “การดื้อยาฆ่าเชื้อโรค – ยาแก้อักเสบ – ยาปฏิชีวนะ” หลายคนก็เรียกแตกต่างกันออกไปก็คือยาปฏิชีวนะนั่นแหละซึ่งเป็นประเด็นท้าทายของมนุษยชาติ คนส่วนใหญ่มักมองว่าไกลตัวซื้อยามากินแล้วก็หาย แต่ความจริงเป็นภัยเงียบที่ต้องการความร่วมมือระหว่างประเทศ ถ้าไม่สามารถจัดการกับปัญหาได้ มันอาจจะส่งผลกระทบในวงกว้าง ต่อระบบสุขภาพของโลกในอนาคตโลกก็จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะประเทศกําลังพัฒนา ที่มีรายได้ที่แตกต่าง ขีดความสามารถในการรับมือก็ไม่เหมือนกัน ระบบสุขภาพ การเข้าถึงยาและบริการก็ไม่เหมือนกัน การบริการทางการแพทย์ก็แตกต่างกันอยู่มาก ถึงแม้ว่าต้นตอของปัญหานั้น อาจไม่ได้เกิดในประเทศ แต่ก็อาจได้รับผลกระทบในทางอ้อมในที่สุดอยู่ดี ดังนั้น การสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนและประชาคมโลก เป็นเรื่องเร่งด่วนสําคัญที่สุด ฉะนั้นถึงทําให้เกิดการประชุมในครั้งนี้ ท่านเอกอัครราชทูตประจําสหประชาชาติท่านก็ดูแลเรื่องนี้อย่างเต็มที่ มีคณะทํางานมีอะไรต่างๆ เพื่อจะพูดคุยกับ 134 ประเทศ ก็เป็นผลสําเร็จออกมาแล้วก็ผลักดันให้มาสู่การประชุมครั้งนี้ได้ด้วย
พิธีกร: ซึ่งตรงนี้ก็ถือเป็นบทบาทหลักของไทยในฐานะเป็นประธานกลุ่ม G77 ใช่ไหมครับ
นายกรัฐมนตรี: ใช่ มีหลายอย่างด้วยกันนะ G77 ที่ประเทศเราเดินหน้า ปีเดียวนะก็เป็นผลสําเร็จได้มากพอสมควร ดื้อยานี่ถ้าสมมติเราใช้ไปมากเรื่อยๆ ไม่ควบคุม วันหน้าต้องใช้ยาแรงขึ้นๆ ราคาก็สูงขึ้น ค่าใช้จ่ายก็ไม่เพียงพอ บางคนกินยาปฏิชีวนะแล้วกินไม่ครบ พอหายก็เลิกกิน เลิกทาน เขามีระยะเวลาให้ทานต่อไปจนครบ ต้องกินให้ครบจํานวนและขนาด ตามเวลาที่แพทย์เขาสั่งไว้ ไม่ฉะนั้นจะดื้อยา พอคราวหน้าก็กินไม่หาย แนวโน้มของคนไทยในการใช้ยาฆ่าเชื้อมีมากกว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปี ถ้าลดตรงนี้ไปได้ ค่าใช้จ่ายจะลดลง เพราะยาฆ่าเชื้อตัวเก่าที่เคยใช้ก็ไม่ได้ผล มันดื้อไปแล้ว ต้องไปใช้ยาตัวใหม่ ราคาแพง และผมก็ฟังมาว่า ผู้ผลิตเขาลงทุนสูง ในเรื่องของการคิดค้นยาแต่ละชนิดขึ้นมามันแพง ก็ต้องขายของแพงแล้วถ้าเราต้องไปซื้อของแพงมาก ๆ ไหวไหมล่ะ อีกหน่อยก็ตายกันหมดเพราะเชื้อมันดื้อยา และไม่สามารถใช้ยารักษาที่มีในปัจจุบันได้อีกต่อไป และระหว่างรอเขาคิดค้นยาใหม่ก็ตายไปแล้ว ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้น โอกาสเสียชีวิตก็มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วโรคนี้ถ้าไม่กําจัดตั้งแต่ต้นตอมันก็แพร่กระจายไประบาดในชุมชน โรคติดต่อ เราเคยคุมได้ ก็คุมไม่ได้กลับมาอีกเพราะว่ายาปฏิชีวนะใช้ไม่ได้ผล และเชื้อบางเชื้อก็ถ่ายทอดไปรหัสพันธุกรรมดื้อยา ไปสู่เชื้อสายพันธุ์อื่นได้ใช่ไหม ทําให้เกิดปัญหาการดื้อยามันจะแรงขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งสําคัญวันนี้ ทุกคนก็ไม่ควรไปซื้อยามากินเอง ใช้ยาตามใบสั่งแพทย์ เภสัชกร สั่ง-แนะนําอย่างไรก็กินไปตามนั้นรับประทานยาให้ครบ แม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม ถ้าเจ็บป่วย บางครั้งก็ไม่จําเป็นต้องรับประทานยา เช่น ไข้หวัดทั่วๆไป ก็พักผ่อน ออกกําลังกาย รักษาสุขภาพ รับประทานอาหารถูกหลักอนามัย วันนี้ทุกคนเรียนรู้ทางโทรทัศน์บ้าง ทางโฆษณาโซเชียลมีเดีย ซื้อยากินเองกันหมด ก็เชื่อว่ามันดี เสร็จแล้วปรากฏว่าบางครั้งไม่ถูกต้อง จึงต้องระมัดระวังนะครับ การดําเนินการเหล่านี้ต้องเป็นการให้ความรู้แก่ประชาชน หลายคนเป็นหมอเอง รู้หมดตัวเองเป็นอะไร จะซื้อยาอย่างไร รู้หมด เพราะว่าอ่านหนังสือเยอะ ดูโฆษณา แล้วก็เอ๊ะเป็นโน่นหรือเปล่าเป็นนี่หรือเปล่า สงสัยไปเรื่อยแล้วก็ซื้อยามากินเอง วิตามิน บางทีก็ซื้อกินจนเกินความต้องการของร่างกาย แล้วมันก็แพงแสนแพง ต้องระมัดระวังนะครับศึกษาให้ดี
นายกรัฐมนตรี: อันนี้ต้องรวมความไปถึง คน สัตว์ พืช ด้วยนะ เพราะมันเชื่อมโยงกัน ต่างฝ่ายอยู่ในวงจรอาหารกัน เพราะฉะนั้นก็ติดต่อกันได้ ภาคการเกษตรก็ต้องเข้าไปดูแล วันนี้เราจัดให้มีระบบสุขภาพ และหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงยา วัคซีน สมุนไพร เครื่องมือการตรวจวินิจฉัย และบริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐานที่ราคาไม่สูงนักแต่ต้องมีประสิทธิภาพอย่างเท่าเทียม วันนี้ปัญหาเราคือรายได้ประเทศมันน้อย เพราะฉะนั้นเราต้องดูแลคนทุกคน มากขึ้นทุกปี คนเกิดมากขึ้น แล้วก็สูงวัยมากขึ้น ตายช้า เงินจํานวนนี้ก็ใช้สูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปีนะเพราะฉะนั้นเราจะต้องใช้ในการเพิ่มศักยภาพในการป้องกันการติดเชื้อก่อนดีกว่า ให้มีภูมิคุ้มกันแล้วก็สนับสนุนการวิจัยและพัฒนายาและการรักษาของเราเองภายในประเทศด้วย อันนี้สําคัญที่สุดครับการป้องกันย่อมดีกว่าการแก้ไข
พิธีกร: แน่นอนครับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสําคัญเพราะว่าที่ผ่านมาหลายๆคนอาจจะอาศัยการรักษาด้วยการเข้าไปดูในกูเกิ้ล แล้วก็ซื้อยามาทานเอง แล้วก็อย่างที่ท่านนายกฯได้กล่าวไปแล้ว ถือว่าเป็นภัยเงียบ ผมคิดว่าเป็นมหันตภัยเงียบเลยก็ว่าได้นะครับ เพิ่มเติมจากเรื่องที่เรากําลังคุยอยู่นี่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพของคนแล้ว ก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสําคัญ ซึ่งปีนี้และปีที่ผ่านมาสหประชาชาติให้ความสําคัญมาก ก็คือเรื่องการเปลี่ยนแปลงของ สภาพภูมิอากาศของโลกวันนี้เราได้มีบทบาทนี้อย่างไรเพิ่มเติมครับ ท่านนายกฯได้มีกิจกรรมสําคัญอีกหนึ่งกิจกรรมก็คือ ในเรื่องของการไปให้สัตยาบันความตกลงปารีส อยากให้ท่านนายกฯ เล่าให้ฟังสักนิดหนึ่งครับ
นายกรัฐมนตรี: อันนี้เป็นสิ่งที่มีความสําคัญมานานแล้วนะ หลายประเทศก็รู้ มันมีความสําคัญ แต่วันนี้การทําสัตยาบันก็ยังไม่ครบ ประเทศไทยก็เป็นที่น่าภาคภูมิใจ เขาก็ขอบคุณเราที่เราได้ร่วมลงสัตยาบันในเรื่องนี้ เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับหลายๆประเทศ เพราะมีผลกระทบทั้งสิ้น วันนี้ใน G77 เราก็ขับเคลื่อนเรื่องนี้ โดยใช้หลักการของเศรษฐกิจพอเพียงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้ามาด้วย เพราะหลายประเทศมีความแตกต่างกัน บางประเทศก็ภัยพิบัติ จากน้ําท่วม ฝนแล้วดินถล่ม อะไรเหล่านี้ โดยเฉพาะประเทศหมู่เกาะ วันนี้เราก็ใช้แนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้แนะนําไป ก็ประมาณสัก 20 ประเทศได้นําไปใช้แล้วโดยเฉพาะประเทศหมู่เกาะและวันนี้สิ่งสําคัญที่สุดก็คือการลงสัตยาบันครั้งนี้เป็นไปตามพันธะสัญญาของสหประชาชาติในช่วงศตวรรษหน้า ก็คือในช่วง 2015 – 2030 ที่จะต้องลดโลกร้อนลงให้ได้ 2 องศา ของเราเองก็ต้องไปลงสัตยาบันไว้ เราก็ต้องร่วมมือกับเขาเหมือนกัน การที่จะให้ลดลง ไม่ให้สูงขึ้นเกิน 2 องศาทั้งโลกนี้ หลายประเทศต้องรวมกัน ในอาเซียนก็รวมกับอาเซียน ไม่ใช่ประเทศไทยประเทศเดียว ตัวประเทศไทยลดให้ได้ภายใน 2030 เราก็สัญญากับเขาแล้วนะ เพราะฉะนั้นต้องไปทุกอย่าง ตั้งแต่การใช้เครื่องยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อจะลดก๊าซ Co2 ใช่ไหม ไม่ใช่ง่ายๆ อยู่ดี ๆ จะบอกว่าลดลงเท่านั้น 20-30 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 30 ปี มันลดด้วยอะไรล่ะ ต้องลดลงด้วยหลายๆ อย่าง ด้วยโรงงานอุตสาหกรรม ด้วยการใช้ยานพาหนะ ด้วยการเปลี่ยนเครื่องยนต์ ด้วยการใช้พลังงานที่เป็นไบโอดีเซล หรือ แก๊สโซฮอล์ อะไรอย่างนี้ ซึ่งมันแพงทั้งสิ้น ในปัจจุบันแต่เราก็พยายามทําเต็มที่ วันนี้ก็เป็นที่น่ายินดีที่จีน - สหรัฐฯ เป็น 2 ประเทศที่เขาก็รับได้ว่าเขาปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดของโลก ได้ให้สัตยาบันฯ แล้ว และอีก 60 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศลาว ที่ให้สัตยาบันฯ เช่นกัน ถ้าเราคิดเป็นอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมกัน ร้อยละ 47.76 นะ ทั้งหมดที่ว่ามาแล้วเมื่อสักครู่นี้ ประเทศไทยก็ได้ยื่นไปแล้วสัตยาบันฯดังกล่าว ในการประชุมในครั้งนี้เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2559 เราก็ไปแสดงความรับผิดชอบร่วมกับทุกประเทศในโลก เป็นสัญญาณว่าไทยมีความแน่วแน่ที่จะมุ่งสู่ความเป็นสังคมคาร์บอนต่ํา เราต้องร่วมกัน จัดทํา Roadmap หลายกระทรวงด้วยกันที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม เราจะต้องลดให้ได้ ร้อยละ 20 -25 ภายในปี ค.ศ. 2030 15 ปี ที่เหลือนี้ ทําอย่างไรเราจะใช้พลังงานทดแทนให้มากยิ่งขึ้น แต่ต้องไม่เกินสัดส่วนของแผนจีดีพี กําหนดไว้แล้ว 60 : 40 60 คือพลังงานเดิม 40 คือพลังงานทดแทน ก็มีปัญหาเรื่องระบบสายส่ง มีปัญหาเรื่องราคาค่าไฟฟ้ารับซื้อ มีปัญหาเรื่องความมีเสถียรภาพของไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ต้องค่อยๆ สร้างไป เรื่องการใช้โรงงานพลังงานไฟฟ้าที่เกิดจากขยะ ซึ่งสร้างได้บ้างไม่ได้บ้าง บางพื้นที่ก็ถูกต่อต้าน และขยะเราต้องไปดูสิว่าพอเพียงกันหรือเปล่า เพราะว่าหลาย ๆ แห่งก็ไม่ไหวเหมือนกัน เรื่องการใช้โรงงานพลังไฟฟ้าที่เกิดจากขยะ ซึ่งสร้างได้บ้างไม่ได้บ้าง บางท้องที่ก็ถูกต่อต้าน แล้วขยะเราก็ไม่รู้ว่าพอเพียงกันหรือเปล่า เพราะหลายๆแห่งก็ไม่ไหวเหมือนกัน แล้วเราก็ต้องลดการใช้ถุงพลาสติก ผมมีความคิดนะว่าทําอย่างไรจะลดได้ วันนี้เราลดเดือนละได้ไม่กี่ล้านตัน ถึงแม้จะให้ลดไม่กี่วัน วันนี้ผมก็มีกระทรวงทรัพย์ฯ เห็นบอกว่าถ้าจะมาเพิ่มได้มากขึ้น เป็นมากวันขึ้น ก็ลดได้อีกหลายล้านถุง แล้วก็ส่งเสริมการใช้ถุงผ้า เป็นไปได้ไหมว่าในส่วนของสถานประกอบการถ้าไม่เอาถุงผ้ามาจะต้องเสียค่าถุงพลาสติก
พิธีกร: หลายประเทศทํากันนะครับ
นายกรัฐมนตรี: เราก็น่าจะได้แบบนี้ อะไรที่เสียแล้วดีนะ น่าจะร่วมมือดี ถุงผ้าท่านก็มีอยู่แล้วที่บ้าน ก็ถือมา ขอเถิดครับลองดูนะ อย่าให้ผมต้องบังคับเลย เรื่องใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก เป็นภาระ เพราะว่าเป็นร้อยปี ไม่เสื่อมสลาย เสร็จแล้วก็ตกไปตามพื้นดิน ลงไปในน้ําทะเล สัตว์ก็กินเข้าไป ก็ตายอีก นี่เกิดซ้ําแล้วซ้ําอีก คนช่วยเถิดครับ ผมจะดูเลยนะ ตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป เป็นไปได้ไหม หรือไม่ก็ลดราคา บาทหนึ่งก็ได้ถ้าเขาเอาถุงผ้ามา ถ้าไม่เก็บเงินเขาล่ะก็ ไปหาวิธีการมานะ อย่าให้รัฐต้องสั่งทุกอันเลย เรื่องการบุกรุกป่าเหมือนกัน ไฟป่าจริงๆก็จุดทั้งนั้นล่ะ ก็ทําให้เกิดหมอกควัน ภาระหมอกควันของอาเซียนก็เยอะ ตอนนี้ก็หารือกับรอบบ้านไปแล้ว ขจัดหมอกควันให้ได้โดยเร็ว แล้วก็อาจจะต้องลดการขนส่งทางถนน เพราะสร้างแก๊ส สร้าง Co2 ออกมา เราก็ไปเร่งเรื่องการขนส่งทางราง วันนี้เราก็พัฒนาการขนส่งทางราง มีการสร้างทางคู่เพิ่มอะไรเหล่านี้ ราคาถูกเรื่องการขนส่ง เหลือปัญหาอย่างเดียว เร็วหรือเปล่า ก็ต้องมาทําทางคู่ ต่อให้มีรถไฟวิ่งได้เร็วกว่านี้ ก็วิ่งได้เท่านี้ เพราะต้องไปรอสถานีหน้า เพราะทางสวนกันไม่ได้ ต้องสร้างทางคู่ ที่นี้จะสร้างพร้อมกันหมดก็ไม่ได้อีก ระยะแรกเราก็สร้างไว้ 5 ที่ เพื่อจะอยู่ในแผนแม่บทของการพัฒนาระยะยาว ใครเป็นรัฐบาลก็มาทําต่อก็แล้วกันนะ ที่สําคัญที่สุดคือเราต้องทําทุกอย่างนี้ด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันนี้เราต้องให้ความสําคัญกับการพัฒนา แล้วก็ควบคู่ไปกับการรักษาสมดุลทางธรรมชาติด้วย ที่ผ่านมา 30 ปีที่ผ่านมาเราเปลี่ยนประเทศเราจากเกษตรอย่างเดียวมาเป็นเกษตรอุตสาหกรรม โรงงานอุตสาหกรรมเกิดขึ้นมากมายโดยบางทีก็หลงลืมความสมดุลทางธรรมชาติ วันนี้ต้องกลับมาสู่อันนั้นจะได้สอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0ยั่งยืน สมดุลในทุกมิติ หากจะพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรม ก็เป็นอุตสาหกรรมสีเขียวเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
พิธีกร: ครับ ก็เป็นอีกบทบาทหนึ่งของรัฐบาลไทยภายใต้การนําของท่านนายกรัฐมนตรี ที่แสดงให้ประชาคมระหว่างประเทศได้เห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความรับผิดชอบต่อโลก ถือว่าสําคัญมากๆ บทบาทหนึ่ง ทีนี้มาถึงการประชุมอีกอันหนึ่งซึ่งถือว่ามีความสําคัญนะครับ คือการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 71 ครั้งนี้ มีความสําคัญอะไรเป็นพิเศษ อย่างไรบ้างครับท่านนายกฯ ครับ
นายกรัฐมนตรี: อันแรกก็คือเป็นช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลง ผู้ดํารงตําแหน่งสําคัญ 2 ท่านด้วยกัน ท่านแรกคือเลขาธิการสหประชาชาติ ท่านที่สองคือ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2 ท่านเปลี่ยนแปลงในปีนี้พร้อมกัน อันที่สองประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม ทั้งในฐานะประเทศสมาชิก และมีบทบาทสําคัญคือการเป็นประธานกลุ่มประเทศ G77 ซึ่งเราก็ได้เสนออะไรไปบ้าง ในประเด็นนี้นะ อันที่สาม ประเทศไทยเป็นสมาชิกสหประชาชาติครบ 70 ปี เป็นปีแรกที่เริ่มต้นนําวาระสําคัญของโลกสู่การปฏิบัติ เช่น ในกรอบเซนไดเรื่องการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ความตกลงปารีสเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่เราเพิ่งร่วมให้สัตยาบันฯ ไป และที่สําคัญ คือวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งทั้งโลก ต้องช่วยกันผลักดันสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง แล้วเราต้องปรับแนวทางการพัฒนาประเทศของเรานั้น ทางรัฐบาลเราให้สอดคล้องแนวทางต่างๆเหล่านั้นของสหประชาชาติด้วย เพื่อจะนําประเทศเราไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน ในเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ผมให้ความสําคัญก็คือ อย่างน้อยเราก็ต้องทําตาม UN กําหนดไว้นะ แล้วเราก็มาพัฒนาเพิ่มเติมในส่วนกรอบของเราด้วย ทําให้ดีกว่า 3 เสาหลักที่ต้องรักษาอย่างสมดุลระหว่างกัน ก็คือในเรื่องของความมั่นคง สิทธิของประชาชน สันติภาพ สิ่งที่ต้องดูสําคัญที่สุดต่อไปคือ กรณีผู้โยกย้ายถิ่นฐานที่ไม่ปกติ ที่เราเห็นว่ามีทั้งทางบก ทางทะเล ลักลอบเข้ามา หรือไม่ก็มาทางเรือ จริงๆแล้วเขาไม่ได้อยากมาประเทศไทย เขาอยากไปประเทศอื่น แต่ทีนี้ก็มาถูกจับด้วยกฎหมายลักลอบเข้าเมือง เราก็มีกฎหมายนี้ ไม่จับก็ไม่ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นที่ผ่านมานั้นเป็นตัวอย่างความเชื่อมโยงของ 3 เสาหลักดังกล่าว ถ้ามั่นคงไม่ดี อย่างอื่นก็ไม่ดีตามไปหมด ความมั่นคงเกิดจากใครล่ะ ประชาชน มนุษย์ เราต้องดูแลเขาทุกคน ทุกหมู่ ทุกฝ่าย แล้วก็ประเทศในโลกนี้ทุกประเทศ จะต้องรับผิดชอบร่วมกัน เพราะว่าเกิดผลกระทบประเทศหนึ่ง ต้องไปสู่อีกประเทศหนึ่งแน่นอน เพราะโลกไร้พรมแดนแล้ว ก็อยากจะเตือนไปถึงสื่อต่าง ๆ ด้วย มีเดียต่าง ๆ ต้องระมัดระวังในการที่ท่านแพร่สิ่งที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง สิ่งที่บิดเบือนออกไป ทําให้ต่างชาติเขาเข้าใจประเทศไทยผิด แล้วก็เศรษฐกิจต่างๆ ก็จะแย่ลง เพราะเขาไม่มาลงทุนยัง เขาก็นึกว่าเป็นอย่างที่เขียนไป ไม่ว่าจะปัญหาภาคใต้ ไม่ว่าจะปัญหาเศรษฐกิจไทย การขัดแย้งทางการเมือง ก็เป็นเรื่องภายในของเรา แล้วเราก็ต้องแก้กันให้ได้ ทําไมต้องโวยวายให้คนอื่นเขาต้องมาเป็นห่วงเป็นใย แล้วท่านจะหวังอะไรให้เศรษฐกิจดีขึ้น เพราะเศรษฐกิจต้องเชื่อมโยงกันทั้งหมด ทั้งต่างประเทศ ในประเทศ แล้วก็ไปของชุมชน ข้างล่างที่เรียกว่าประชารัฐ เป็นต้นตอทั้งหมดที่จะทําให้เกิดปัญหาที่เรียกว่ารากเหง้าของปัญหา
เพราะฉะนั้น การพัฒนาที่ยั่งยืน ทําอย่างไรที่จะให้ปรัชญาเศรษฐกิจเพียงพอของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ควบคู่ไปกับเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนของ UN อันนี้สําคัญนะ เราจะต้องเป็นสะพานเชื่อมโยงเหล่านี้ให้ได้ หาจุดเชื่อมโยงให้ลงตัว ไม่มีประเทศไหนอยู่ได้เพียงลําพังหรอก ถ้าเราส่งเสริมเกื้อกูลกัน เข้มแข็งไปด้วยกัน เข้าใจถึงปัญหาที่มีความแตกต่างกัน แล้วเราใช้คําว่าไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ก็ไปด้วยกันทั้งประเทศ เศรษฐกิจต้องดีขึ้น ไม่ใช่ใครตก ไม่มีใครดีขึ้น แบบวันนี้หรอก หลายประเทศก็ตก หลายประเทศก็ดี ส่วนใหญ่จะตกมากกว่านะ เพราะฉะนั้นการเชื่อมโยงระดับโลกนี่สําคัญ แล้ววันนี้น่าภาคภูมิใจนะครับที่เราได้เป็นประธานกลุ่มประเทศ G77 ในครั้งนี้ แล้วก็ได้เข้าร่วมในการประชุมของกลุ่มประเทศ G20 เป็นครั้งแรก ที่นครหางโจว ที่ผ่านมา ไทยก็มีส่วนร่วมได้มีโอกาสในการแสดงความคิดเห็นเพื่อจะผลักดัน ขับเคลื่อนวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนปี 2030 ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ในลักษณะที่เรียกว่าหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ เราก็ทําตัวเป็นสะพานเชื่อมโยง G77 กับ G20 เป็นครั้งแรก อันนี้ก็เป็นตัวอย่างการเชื่อมโยงระดับชาติโดยใช้กลไกประชารัฐในประเทศ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของคนไทย อันนี้ก็เป็นความพยายามของรัฐบาลเรา แล้วก็ใช้โอกาสเหล่านี้ในการที่จะแลกเปลี่ยน เรียนรู้ประสบการณ์ซึ่งกันและกัน เพื่อให้ทั้งชาวไทยและชาวโลกได้รับการพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่ใช่เพียงเพื่อเราในวันนี้ แต่เพื่อเยาวชนรุ่นหลังในอนาคตด้วยครับ
พิธีกร: ท่านนายกฯ ครับ ดูเหมือนว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 1 ปีหลังนี้มีความคืบหน้า มากมายแสดงให้เห็นถึงบทบาทที่สําคัญของประเทศไทยที่ได้รับการ ต้องบอกว่าอย่างกว้างขวางเลย ในเวทีโลกเลยก็ว่าได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเราเป็นประเทศที่มีความรับผิดชอบต่อโลก ตรงนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรครับ นายกรัฐมนตรี: คือผมเคยพูดกับเขาไปแล้วนะ พูดกับทั้งในประเทศต่างประเทศ ไม่ว่าจะผืนดิน ผืนน้ํา อากาศ วันนี้ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ของคนไทย ไม่ใช่ของประเทศใดประเทศหนึ่ง เป็นของคนทั้งโลก เราควรให้ความสําคัญกับเรื่องเหล่านี้เพราะมีผลกระทบทุกประเทศ เพราะฉะนั้นในเรื่องที่มีความสําคัญ เรื่องน้ําใช่ไหม ซึ่งประเทศไทยปีนี้ก็โชคดี ทําไมไม่ชื่นชมประเทศ คนไทยไม่ชื่นชมรัฐบาลไทยในปีที่ผ่านมา 58 ถึง 59 บริหารจัดการน้ําจนกระทั่งไม่มีปัญหาแล้วในเรื่องน้ําแล้งมากนัก ทุกปีจะต้องจ่ายค่าเยียวยาเยอะแยะไปหมด บริหารน้ําอย่างเท่าที่เรามีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วก็ปี 59 ก็จากฝนตกใช่ไหม ตกมากตกน้อยก็แล้วแต่ เป็นสภาพภูมิอากาศอย่างไร ได้สั่งงานไว้หลายเรื่อง ในประเทศไทยผมก็ห่วงเรื่องการระบายน้ําออกนอกพื้นที่ แต่ไม่ใช่ระบายทิ้ง ต้องระบายไปหาที่กักเก็บให้ได้ ไม่อย่างนั้นวันหน้าก็แล้งน้ําเหมือนเดิม ดูแลประชาชนไม่ให้เดือดร้อน มีแผนเผชิญเหตุ จัดหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ทหาร ทั้งท้องถิ่น ออกไปช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย ในด้านอาหาร น้ําดื่ม ยารักษาโรค และฟื้นฟูความเสียหายโดยด่วน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันยามยากลําบาก ทุกคนต้องช่วยกัน ไม่ต้องร้องขอหรอก ใครเห็นก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือก็ดีขึ้นเอง
เรื่องภัยเงียบหรือที่ถามเมื่อสักครู่นี้ หลายคนอาจมองไม่เห็นเพราะไม่เดือดร้อนกับตัวเอง ท่านอาจจะเคยได้ยินชื่อนะ ด.ญ.จีรภัทร ทองชุม หรือ น้องจีจี้ เมื่อ 18 กันยายนที่ผ่านมานั้น ครบรอบ 6 ปีเต็มที่หายตัวไปจากอ้อมอกพ่อแม่ ใครไม่ใช่พ่อแม่ไม่รู้หรอก เราก็สงสัยว่าคาดว่าถูกลักพาตัว ปัญหาเด็กหายนี่สําคัญ เป็นปัญหาหนึ่งของประเทศไทย ที่เราต้องช่วยกันระมัดระวังนะครับ กลุ่มเด็กเล็กที่อายุระหว่าง 4-8 ขวบ เป็นกลุ่มเสี่ยงที่ถูกลักพาตัว เพราะฉะนั้นวิธีการที่จะลดปัญหาเหล่านี้ลงได้คือ พ่อแม่ต้องไม่ปล่อยบุตรหลานของท่านให้อยู่แต่เพียงลําพัง เพราะเด็กขนาดนี้ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวเท่าไรหรอก ก็ควรจะสอนลูก เตรียมทักษะให้ลูกในการที่ไม่รับของคนแปลกหน้า ไม่ไปไหนกับคนแหลกหน้า ต้องสั่งให้ชัดเจน แล้วก็ฝึกให้เป็นนิสัย ถ้าจะไปเที่ยวไหนก็ตาม เด็กเล็ก ๆ นี่ ควรจะมีชื่อที่อยู่ ติดใส่กระเป๋าเด็กไว้ สําหรับกลุ่มเด็กโตก็เหมือนกัน ประมาณสัก 95% ที่หายออกจากบ้านนี่เป็นการหนีไป เพราะว่าปัญหาความรุนแรงในครอบครัว พ่อแม่ก็ต้องมีบทบาทความสําคัญในการให้ความรัก และความอบอุ่นในช่องทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่ให้แต่ของ แต่ไม่ให้ความรัก บางทีพ่อแม่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการหาเงิน วันนี้ค่าครองชีพก็สูงขึ้น เหล่านี้เป็นภาพสะท้อนปัญหา แล้วก็ทําให้ปัญหาการค้ามนุษย์ทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ผู้หญิง เหล่านี้ อยากให้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา มีอะไรผิดปกติ ผิดสังเกตก็ช่วยบอกกันด้วย แจ้งเจ้าหน้าที่ เด็กขอทาน เด็กเร่ขายของ เด็กเร่ร่อน อาจจะเป็นเด็กที่หายไปก็ได้ เพราะฉะนั้นวันนี้เราได้สร้างศูนย์รับคนขอทานไปแล้ว ที่ธัญบุรี ของ พม. วันนี้ก็กรุณาแจ้งมาแล้วกัน ศูนย์ช่วยเหลือสังคม โทร. 1300 ได้ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง เรื่องกรณีน้องจีจี้ เสียใจนะครับ เห็นใจพ่อแม่ญาติพี่น้องขอให้ได้กลับมาเร็วๆ นะครับ แล้วก็เด็กทุกคนด้วยที่หายตัวไป มีหลายราย ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังไม่ล้มเลิกความพยายามในทุกวิถีทางหากใครทราบเบาะแสใดๆ ก็กรุณาแจ้งด้วย ทีนี้เด็กที่หายไปนานๆ เปลี่ยนไปอย่างไร จํากันไม่ได้ เป็นที่น่าเห็นใจ เพราะว่ากลับมาก็จําพ่อแม่ไม่ได้ กลายเป็นคนอื่นไปอีก เพราะฉะนั้นเราต้องระมัดระวังตั้งแต่ต้น อย่าปล่อยปละละเลยเขาก็แล้วกัน
อีกเรื่องหนึ่งเมื่อสองวันที่ผ่านมานี่ ผมก็เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่เรือล่ม ตายไปตั้ง 28 คน เกิดซ้ําแล้วซ้ําเล่า เพราะอาจจะด้วยความประมาท เท่าที่ผมตรวจสอบบรรทุกคนเกินอัตราจํานวนมาก แล้วน้ําก็เชี่ยว แล้วไปกระแทกโป๊ะ หรือเสาอะไรสักอย่าง เห็นว่าทะลุไปตั้ง 9 เมตรกว่า รูกว้าง 9.6 เมตร ขนาดใหญ่ เรือก็คว่ํา ก็จม แล้วคนอยู่ใต้ท้องเรือเยอะ ก็เสียใจด้วยนะครับ เป็นพี่น้องชาวมุสลิมส่วนใหญ่ ไปทําบุญ ไปอะไรสักอย่างด้วยกัน แล้วก็เหมาเรือกลับมา เรือเท่าที่ผมทราบบรรทุกได้ไม่ถึง 100 แต่ทราบว่าบรรทุกมา 200 กว่าคน มันเกินไปตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ บริษัทต่างๆ ผมสั่งงานไปแล้วว่าจะต้องรับผิดชอบดูแลค่าเสียหาย เยียวยา มีความผิดทางอาญาด้วย เรื่องอุปกรณ์การช่วยชีวิตมีพอเพียงหรือไม่ ปล่อยปละละเลยให้คนขึ้นอย่างไร ไม่ว่าเขาจะให้เงินเท่าไรก็ต้องไม่ไป คนจะจ้างถ้าเขาคิดถูกที่สุด แล้วไม่ปลอดภัยก็อย่าไปอีก ก็ไม่ตายทั้งคู่ ก็ไม่เดือดร้อนทั้งคู่ เป็นห่วงนะครับ
พิธีกร: ท่านนายกฯ เหนื่อยไหมครับ คือต้องคิดทุกเรื่อง
นายกรัฐมนตรี: ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงพูดว่าเหนื่อยนะ แต่วันนี้ผมไม่เหนื่อยหรอก 2 ปีที่เข้ามาผมไม่รู้สึกเหนื่อยเพราะผมมีกําลังใจที่จะทํางานให้กับพ่อแม่พี่น้องคนไทยเยอะแยะ ผมเห็นแววตาเขา ทุกคนที่มาพบผม เขาก็ฝากความหวังไว้ที่ผมเยอะพอสมควร ยิ่งเขามารักผมมากขึ้น หรือมารับรองผมมากขึ้น เวลาผมไปเยี่ยมเยือนเขา มันกดดันผมนะว่าผมต้องทําอะไรให้เขาให้สําเร็จ คําว่าสําเร็จของผมคือแก้ปัญหาเดิมไม่ให้กลับไปที่เดิม อันที่สองคือให้เดินไปข้างหน้า อันดับที่สามคือไม่ให้กลับที่เก่าใหม่ แล้วก็วางพื้นฐานประเทศให้เข้มแข็ง ด้วยความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน อันนี้เป็นทั้งของไทย และของสหประชาชาติด้วย นั่นแหละทําให้ผมไม่เหนื่อย ยังไงก็ไม่เหนื่อย ถึงจะโมโหบ้างผมก็ไม่เหนื่อย ธรรมดามนุษย์
พิธีกร: ท่านนายกฯ ครับ มาสหรัฐครั้งนี้ดูเหมือนว่าประเทศไทยจะมีภาพลักษณ์ที่เป็นเชิงบวกมากขึ้น ตรงนี้ท่านนายกฯ มองว่าเกิดขึ้นจากอะไรครับ
นายกรัฐมนตรี: ก็เกิดจากอันแรกคือบ้านเมืองปกติ ซึ่งที่ผ่านมาเขาก็ชื่นชมอยู่แล้ว เท่าที่ผมพบปะกับผู้นําหลายประเทศ ซึ่งวันนี้มีความคุ้นเคยกันมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งแรกที่ผมภูมิใจแล้วก็ตื้นตันใจก็คือเขาถามถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระอาการอย่างไร อะไรต่างๆ เหล่านี้นะ ผมก็บอกว่าท่านก็ทรงพระชนมายุมาก ท่านก็ทรงออกงานไม่ค่อยสะดวก ต้องอยู่ในความดูแลของหมอ แต่ท่านก็ทรงงานผ่านคณะองคมนตรีอยู่แล้ว เพราะท่านเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ พระราชอํานาจทั้งหมดทั้ง 3 อํานาจ ท่านพระราชทานให้กับรัฐบาล ทุกรัฐบาลก็ไปใช้ให้ดีแล้วกัน วันนี้ท่านก็ทรงคาดหวังมาโดยตลอดให้คนไทยมีความสุข วันนี้พวกเราช่วยกันทําให้พระองค์ท่านมีความสุขเถิด ทรงมีพระชนมายุมากแล้ว
อันที่สองที่เขาชื่นชมหรือ เขาบอกว่าประทับใจในความเป็นคนไทย มีรอยยิ้ม มีน้ําใจ มีความโอบอ้อมอารีอันที่สามคือเรื่องอาหาร ติดใจมากอาหารไทย วันนี้ผมนั่งเครื่องลุฟท์ฮันซ่ามา ผมเห็นมี ต้มข่าไก่ ถึงแม้จะรสชาติแปลก ๆ จากของเราบ้าง แต่ก็โอเคล่ะถือว่ามีชื่อเสียง ขึ้นเครื่องบินลุฟท์ฮันซ่า แล้วผมก็ถามเขาว่า แล้ววันนี้กับวันที่แล้ว เขาบอกพอใจวันนี้ สถานการณ์วันนี้ เพราะว่าบ้านเมืองสงบ ไม่มีการประท้วง เขาก็สามารถไปเที่ยวเล่นที่โน่นที่นี่ได้โดยสะดวก คนไทยก็ต้องอดทนนะ เพราะเราปล่อยให้สถานการณ์เหล่านั้นเป็นมายาวนาน ความขัดแย้งสูง ถ้าเราไม่ลดลงไป สิ่งเหล่านี้ก็ไม่เกิดขึ้น ประชาชนก็ไม่มีความสุข เศรษฐกิจก็เดินหน้าไม่ได้ เหล่านี้เป็นสิ่งสําคัญครับ
พิธีกร: นอกเหนือจากนโยบายที่รัฐบาลเป็นผู้กําหนดให้กับผู้ปฏิบัติได้ดําเนินการนะครับ ผมคิดว่า ประเด็นสําคัญก็คือน่าจะเป็นเรื่องของการปฏิบัติที่เกิดขึ้นทําให้เราได้รับการยอมรับจากประชาคมโลกเพิ่มมากขึ้น ท่านนายกฯ มองตรงนี้ไหมครับ
นายกรัฐมนตรี: สิ่งสําคัญผมคิดว่าไม่ต่างกันหรอกแต่ละประเทศ การที่เราเอาปัญหาทุกปัญหามากางออกมา แต่แตกต่างตรงไหนรู้ไหม แตกต่างตรงที่ทําอย่างไร เรารู้ว่าปัญหาเรามีอะไรทับซ้อนอยู่บ้าง เสร็จแล้วถึงไปดูว่า เราต้องการอะไรเป็นสิ่งสุดท้าย สุดท้ายก็มีเป้าหมายของแต่ละเรื่อง แต่ละกิจกรรม แต่นี่สําคัญสุดคือตรงกลาง คือกระบวนการ กระบวนการในการแก้ปัญหา การแก้ปัญหาเหล่านี้สําคัญ เพราะฉะนั้นจะต้องมีทั้งวิธีการ กระบวนการ มีทั้งกฎหมาย มีอะไรเยอะแยะไปหมด ท่านจะเห็นว่ารัฐบาลแก้ปัญหามา 2 ปี บางอย่างก็เสร็จไว บางอย่างก็ยังไม่เสร็จ เพราะต้องทําทั้งต้นทาง กลางทาง ปลายทาง ต้นทางก็คือการแก้ไขความขัดแย้งของเดิมให้ยุติเสียก่อน แล้วเราถึงจะได้ปัญหาออกมา เสร็จแล้วก็มาสู่การปฏิบัติ แล้วติดกฎหมายเข้าไปอีก ก็ต้องแก้กฎหมายอีก อะไรอีกใช่ไหม แล้วท้ายสุดก็คือสิ่งที่เราต้องการก็คือประชาชนมีความสุขใช่ไหม
วันนี้ต้องขอขอบคุณคณะทูตถาวรประจําสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ที่มาเตรียมงาน เตรียมการให้ผมอย่างเต็มที่ ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศทุกคน ทั้งอยู่ที่นี่และที่มาจากกรุงเทพฯ แล้วก็ต้องไม่ลืมคนไทยที่มาต้อนรับในวันแรกด้วย พวกนี้เขาก็เป็นห่วงใยประเทศชาติ ถึงแม้เขาจะมีถิ่นพํานักอยู่ที่นี่ก็ตาม เขาก็เป็นห่วงเป็นใย เขาฝากความหวังไว้กับผมนะ ผมก็รับไป ทุกครั้งที่มาเขาก็มารับผมทุกครั้ง แต่ผมก็บอกว่าเราขัดแย้งต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
อันที่สองคือสถานทูตด้านกรุงวอชิงตัน ก็มีส่วนร่วมในการเตรียมการเหล่านี้ไว้ด้วย มากี่ครั้งแล้วนะ มา 4 ครั้งแล้ว ผมได้รับการต้อนรับอย่างดียิ่งครับ ท่านประธานาธิบดีก็ได้ฝากบุคคลใกล้ชิดมาบอกว่าชื่นชมประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งครั้งนี้ 3 อย่างด้วยกัน ครั้งแรกก็คือเรื่องการดําเนินการต่อผู้ลี้ภัยของไทย ช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน อันที่สองคือการลงสัตยาบันอนุสัญญาปารีส สาม การแก้ปัญหา IUU เรื่องประมง 3-4 อย่างนี้ท่านประธานาธิบดีฝากขอบคุณมาถึงผมแล้วก็ถึงประเทศไทย ผมก็บอกว่าเป็นเรื่องของคนไทยทุกคน แล้วก็ให้เขารู้ว่ารัฐบาลผมทําทุกอย่างที่เป็นพันธะสัญญาโลก ไม่ได้บิดพลิ้วอะไรเลย สิ่งสําคัญคือ ถึงแม้ว่าคนไทยจะเดือดร้อนจากมาตรการต่างๆ เหล่านี้ แต่ผมคิดว่าวันหน้าเขาเข้าใจวันนี้ก็ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวประมงต้องเดือดร้อนแน่นอนครับ เพราะปล่อยปละละเลยมาเป็นเวลายาวนานจนกระทั่งหลายอย่างจากผิดกลายเป็นถูก แล้วก็เชื่อมั่นว่าถูกอยู่แล้ว แล้วก็บังคับใช้กฎหมายไม่ได้ อย่างเช่น การบุกรุกป่าอะไรต่างๆ เหล่านี้ ผิดมาตั้งนานแล้ว แล้วยิ่งปล่อยไป ความเสียหายก็มากขึ้น ๆ พอเรารื้อกลับมาที่เดิมก็เดือดร้อน แต่รัฐบาลนี้ก็พยายามจะแก้ปัญหาว่าจะแก้เขาได้อย่างไร การบุกรุกป่าไม่ใช่เอาเขาออกมาแล้วผลักไล่ไสส่งไปไหนก็ได้ ไม่ใช่ หาที่อยู่ให้เขา สิ่งนี้ยากแต่ผมก็พยายามคิดทุกอย่าง นอกกรอบบ้าง ในกรอบบ้าง แล้วอยู่ที่การปฏิบัติ ขับเคลื่อนให้เป็นผลสัมฤทธิ์ก็แล้วกัน
พิธีกร: ครับวันนี้ต้องกราบขอบพระคุณท่านนายกฯ เป็นอย่างสูงที่ได้กรุณาสละเวลามาเล่าเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ แล้วก็มีสาระให้ทุกท่านได้รับฟังกันนะครับ ขอบคุณมากครับ
นายกรัฐมนตรี: ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
|
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2559 เวลา 20.15 น.
พิธีกร: (พลตรี วีรชน สุคนธปฏิภาค) สวัสดีครับ ผมพลตรีวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ขออนุญาตต้อนรับทุกท่านเข้าสู่รายการคืนความสุขให้กับคนในชาติ สําหรับวันนี้รายการของเรามาจัดกันพิเศษครับ ซึ่งผมได้มีโอกาสได้รับเกียรติให้มาสนทนากับท่านนายกฯ ที่นครนิวยอร์ก ของประเทศสหรัฐอเมริกา ในโอกาสที่ท่านนายกฯ เดินทางมาเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 71 ครับ และในขณะนี้ผมก็ได้อยู่กับท่านนายกฯ แล้วนะครับสวัสดีครับ
นายกรัฐมนตรี: สวัสดีครับ สวัสดีพ่อแม่พี่น้องคนไทยที่รับชมอยู่ทางบ้าน แล้วก็อาจจะชมอยู่ต่างประเทศด้วยครับ คนไทยทุกคน
พิธีกร: แน่นอนว่าในการมาเข้าร่วมประชุมครั้งนี้นี่ ท่านนายกฯ คงจะต้องมีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายมาเล่าให้เราฟัง แต่ว่าก่อนจะถึงช่วงนั้น ปกติแล้วในช่วงแรกของรายการ ท่านนายกฯ ก็ใช้โอกาสนี้เป็นการให้กําลังใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ใช้ขีดความสามารถของตัวเองจนกระทั่งประสบความสําเร็จได้อย่างงดงามในโอกาสนี้ ท่านนายกฯ จะมีใครในใจเป็นพิเศษไหมครับ
นายกรัฐมนตรี: ช่วงนี้ถ้าตรงกับเทรนด์ของเรานะ วันนี้ก็คงต้องพูดถึงการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ 2016 เราได้มีโอกาสติดตามชมกัน ทุกโอกาสที่มี ผมเองด้วยนะ ได้รับรายงานผลเป็นระยะๆ จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายนี่ ก็ทราบว่าของเราได้ทําผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมสามารถทําลายสถิติของประเทศไทยทุกครั้งผ่านๆ มา ได้เหรียญทองเหรียญรางวัลมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ เดิมเท่าที่ผมพบ เขาบอกว่าตั้งความหวังไว้เพียงแค่ 4 เหรียญทอง แต่สุดท้ายทําได้ถึง 6 เหรียญทอง 6 เหรียญเงิน และ 6 เหรียญทองแดงครับ ซึ่งผลงานครั้งนี้นั้น ทําให้คนไทยและนักกีฬาทั้งหมดมีความสุขและภาคภูมิใจ สิ่งที่ผมเคยบอกไว้แล้วว่า คงไม่ใช่เฉพาะเรื่องของเหรียญรางวัล เป็นของขวัญ เป็นเกียรติประวัติ ความภาคภูมิใจสําหรับนักกีฬา แต่สิ่งที่เราได้เพิ่มเติมมาก็คือศักยภาพของพวกเรากันเองครับ แล้วในการที่ผู้พิการไทยของเรานั้นได้รับการพัฒนา ทั้งในเรื่องของการกีฬา ในเรื่องของผู้ให้การสนับสนุน ประสิทธิภาพของทีมงาน ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่พร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ก็อยากจะเชิญชวนว่า โอกาสต่อไปก็อยากให้ภาคเอกชน ได้เข้ามาร่วมกันส่งเสริมวงการกีฬาคนพิการไทยให้มากยิ่งขึ้น เพื่อจะสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ด้อยโอกาส ไม่ให้ถูกทอดทิ้ง แล้วก็หลอมรวมพลังเขาขึ้นมาให้เป็นพลังในการพัฒนาชาติด้วยกันครับ
พิธีกร: แล้วในช่วงที่ผ่านมานอกจากในเรื่องของการให้กําลังใจ ในเรื่องของการสร้างสถานภาพของเขาในสังคมแล้วนี่ ทั้งในเวทีในประเทศแล้วก็เวทีระหว่างประเทศ รัฐบาลยังมีการให้กําลังใจ และให้โอกาสกับผู้พิการทางสายตา เช่น โครงการ From Street to Stars ในการให้พวกนักดนตรีคนพิการได้มีโอกาสมาใช้ความสามารถนอกเหนือจากเรื่องเหล่านี้แล้วนี่มีอย่างอื่นเพิ่มเติมไหมครับ อย่างเช่น เรื่องของสวัสดิการของคนเหล่านี้ครับ
นายกรัฐมนตรี: หลายอย่างเขาเริ่มต้นมาตั้งแต่คุณมณเฑียร บุญตัน ใช่ไหม แล้วเป็นเรื่องของดนตรีวณิพก ผมก็ให้มาขับเคลื่อนให้ไปสู่สากลให้มากยิ่งขึ้น มีการขึ้นทะเบียน มีอะไรต่างๆ เยอะแยะ ให้เขาได้มีโอกาสในการที่จะมีรายได้ของเขา แล้วก็ทราบว่าหลายบริษัทก็สนใจเหมือนกันในเรื่องของการร้องเพลงนี่นะ ในส่วนของคนพิการอื่นๆ เราก็ได้ให้มีการออกบัตรประจําตัวคนพิการ ทําให้รู้ว่ามีคนพิการในประเทศทั้งสิ้นประมาณ1.6 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 2.43 ของประชากรทั้งประเทศ ไม่ใช่น้อยนะครับ เพราะฉะนั้นเราต้องมีการบริหารจัดการข้อมูลคนพิการให้เหมาะสม ให้มีประสิทธิภาพ เราจะได้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ และการกําหนดนโยบายต่างๆ ของภาครัฐได้ สําหรับให้กับคนพิการที่ยังไม่ทั่วถึง ไม่สอดคล้องกับในส่วนของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย ที่เรียกว่า e-Government ปัจจุบันเราเห็น 3 อย่างด้วยกันคือ
เรื่องที่ 1 คือการจัดทําระบบฐานข้อมูลคนพิการที่กล่าวไปแล้ว ให้ครบถ้วนและเชื่อมโยง อํานวยความสะดวกในการจัดสวัสดิการและการพัฒนาอาชีพให้อย่างเหมาะสมทุกกลุ่มทุกฝ่าย
เรื่องที่ 2 คือการจ่ายเงินอุดหนุน “เบี้ยผู้พิการ” จะได้สบายขึ้น ผ่านระบบ“พร้อมเพย์ (PromptPay)” นะครับ ที่เราจัดทําภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติของรัฐบาล
ประการที่ 3 คือการ “จับคู่” คนพิการกับนายจ้าง มี 2 ประเภทครับ อันแรกคือ ผ่านระบบฐานข้อมูล Online โดยบูรณาการทั้งข้อมูลและการทํางาน ในลักษณะ “ประชารัฐ” เพื่อจะให้พี่น้องคนพิการมีงานทํามากขึ้น รวดเร็วขึ้น รายละเอียดตามจอภาพครับ ผมอยากให้ครอบครัวและชุมชนได้ช่วยเหลือกันดูแลผู้พิการ อย่างน้อยให้ได้รับรู้ข่าวสารเหล่านี้ ให้เข้าถึงโอกาสและการบริการภาครัฐ เขาจะได้รู้สึกว่าไม่ถูกทอดทิ้ง เราไม่เคยทอดทิ้งประชาชนกลุ่มใดเลยครับ
ปีนี้รัฐบาลส่งเสริมให้ผู้พิการได้รับการจ้างงานแล้ว 34,601 ราย ในหน่วยงานภาครัฐ และสถานประกอบการเอกชน รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่นายจ้างในการปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้พิการ มีสถานประกอบการได้ปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว 11,443 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 97.07 ของสถานประกอบการทั้งหมดที่มีลูกจ้าง 100 คนขึ้นไป ที่จะต้องรับคนงานตามสัดส่วนที่เป็นคนพิการสําหรับสถานประกอบการที่ลักษณะงานไม่เอื้อให้รับผู้พิการเข้าทํางาน ก็จะส่งเงินเข้า “กองทุนส่งเสริมคนพิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ” เป็นรายปีให้ เพื่อนําไปใช้ในทางอื่นๆ ให้กับคนพิการ เช่น โครงการส่งเสริมการรวมกลุ่มของคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการเพื่อประกอบอาชีพ ปัจจุบันมีผู้สมัครอยู่ในกลุ่มต่างๆ เหล่านั้น จํานวน 120 กลุ่ม 120 กลุ่มที่ผ่านการคัดเลือกจากพัฒนาสังคมฯ จังหวัด รัฐบาลก็ให้เงินสนับสนุนตามโครงการฯ แล้วกลุ่มละ 50,000 บาท มีผู้ได้รับประโยชน์ 3,015 คน เป็นต้น ทั้งนี้ ก็ยืนยันว่า“ทรัพยากรบุคคล” ทุกประเภทของเรา ถือว่าเป็นทรัพยากรบุคคลที่ทรงคุณค่าของประเทศชาติเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจะต้องส่งเสริมในแนวทางที่ถูกต้อง แล้วก็ทําให้เขาเป็นพลังของสังคมไม่ใช่ภาระของสังคมอีกต่อไปครับ
พิธีกร: อีกประเด็นหนึ่งที่อยากจะขออนุญาตเรียนถามท่านนายกฯ ครับว่าในช่วงก่อนจะเดินทางมาสหรัฐอเมริกามีประเด็นที่สําคัญมากก็คือในเรื่องของการพัฒนาระบบขนส่งทางอากาศของไทย ซึ่งท่านนายกฯก็ได้มีโอกาสไปร่วมกิจกรรม หรือว่าไปเปิดกิจกรรม 2 แห่ง ด้วยกัน ท่านนายกฯ พอจะพูดเรื่องราวเหล่านี้ ได้ไหมครับ
นายกรัฐมนตรี: ก็อยากจะกล่าวถึงว่าการที่เราจะพัฒนาในเรื่องของความเชื่อมโยง ที่เขาเรียกว่า Connectivity นั้นมีหลายอย่างด้วยกัน ก็คือในเรื่องของความเชื่อมโยงที่มีตัวตน กายภาพ สนามบิน ท่าเรืออะไรเหล่านี้ อีกอันก็คือไม่มีตัวตนคือความเชื่อมโยงของบุคลากร ของชุมชน ปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นก่อนมาผมได้ไปเยี่ยมชมโครงการพัฒนาท่าอากาศยานของไทย 2 แห่งด้วยกัน
อันแรกคือโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 ซึ่งจริงๆแล้วได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีตั้งแต่ปี 2553 แล้ว แต่ไม่ทราบว่าติดขัดอะไร รัฐบาลนี้ก็ผลักดันให้เกิดขึ้นมาได้ เพราะว่าหากเราจะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้เจริญเติบโตขึ้นเพื่อจะรองรับกิจการขนส่งทางอากาศซึ่งนับวันจะมากขึ้นเรื่อยๆ มีความจําเป็นนะครับ ช้าไม่ได้ เสียโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เรากําหนดว่าเราจะเป็น “ศูนย์กลางการบินในภูมิภาคอาเซียน” ก็เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาการเชื่อมโยงในอาเซียนแล้วก็จะไปสู่ช่องทางหรือเส้นทางอื่นๆอีกด้วย จะเชื่อมโยงกับทางอากาศ ทางน้ํา ทางบก ทางราง อีกด้วย สําหรับที่สุวรรณภูมินั้น โครงการ 2ประกอบด้วย การก่อสร้างส่วนขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออกอาคารเทียบเครื่องบินรอง และระบบสาธารณูปโภค คาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน 2562 อีก 3 ปีนะ ก็ไม่นานแล้วก็ไม่เร็วจนเกินไป ไม่นานจนเกินไป ก็ต้องใช้ความอดทน เราจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้น จาก 45 ล้านคนต่อปีเป็น 60 ล้านคนต่อปี
อันที่ 2 คือการเปิดอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศของท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต เป็นการพัฒนาเมืองในปีงบประมาณ 2553-2557 ก็มีในเรื่องของการปรับปรุงอาคารผู้โดยสารหลักให้ได้มาตรฐานสากล การก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ การขยายลานจอดอากาศยาน และการปรับปรุงสิ่งอํานวยความสะดวกอื่นๆ อีกด้วย ให้รองรับปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ให้เสริมการเป็น “ศูนย์กลางการบินในภูมิภาค” โครงการนี้จะทําให้ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตสามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจากเดิม 6.5 ล้านคนต่อปี เป็น 12.5 ล้านคนต่อปีครับ อันนี้ก็เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลเราที่ต้องส่งเสริมการท่องเที่ยวในเชิงรุก ซึ่งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เป็นกิจกรรมหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของที่จะอาจเรียกได้ว่าทั้งประเทศ และของจังหวัดภูเก็ตด้วยนะครับ เพราะเชื่อมโยงกัน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องการจะขยายกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวใหม่ๆ รวมทั้งกลุ่มประเทศอาเซียน ที่จะเปิดเสรีการบินกับเราเพิ่มขึ้น การเจริญเติบโตก็จะมากขึ้น ผมเองก็ได้กําชับให้การท่าอากาศยานฯ ได้เร่งพัฒนาสนามบินอื่นๆ คู่ขนานกันไปด้วย เช่น อู่ตะเภา ดอนเมือง และอีกหลายแห่งให้รองรับซึ่งกันและกัน ให้ได้มาตรฐานในการก่อสร้างทั้งหมด เพื่อความโปร่งใสก็ได้ให้ใช้หน่วยตรวจสอบ หรือการตรวจสอบ ที่เรียกว่า COST มาใช้ เหมือนทุกๆ โครงการก่อสร้างในประเทศไทย เพื่อป้องกันความเสียหายจากการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งผมก็ระวังไม่อยากให้เกิดขึ้นในรัฐบาลนี้ ทั้ง 2 โครงการเหล่านั้น เป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมของประเทศ นอกจากภายในแล้วก็ต้องเชื่อมโยงภายนอกด้วย เราอย่ามองแค่ในประเทศอย่างเดียว จัดระเบียบภายในประเทศให้ดีแล้วก็เชื่อมโยง CLMVT ข้างนอกเราให้ได้ จากนั้นก็จะไปประชาคมโลกอื่นๆ อีกด้วย ทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ํา และทางอากาศ
นอกจากนั้นแล้วก็จะได้มีโอกาสในการอํานวยความสะดวกของประชาชนคนไทยในประเทศ แล้วก็ยกระดับคุณภาพชีวิต เพราะว่าในการเพิ่มเติมอะไรก็แล้วแต่ จะเห็นว่ามีคนเข้ามา 12 ล้านบ้าง 6.5 ล้านบ้าง อะไรเหล่านี้ ต้องถามว่าคนที่เข้ามาขนาดนี้ เราพร้อมที่จะรองรับเขาไปที่ไหน อย่างไร ก็ตามไปสู่การพัฒนาพื้นที่ด้วย ก็จะสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างห่วงโซ่มูลค่า เยอะแยะมากมาย นั่นแหละคือเหตุผลที่เราต้องมีการลงทุน เดี๋ยวจะหาว่าเอ๊ะลงทุนแพงๆ ทําไปเพื่ออะไร จะทําให้คนในท้องถิ่นสามารถที่จะเกิดธุรกิจเชื่อมโยง มีรายได้เพิ่ม เตรียมตัวเองไว้เรื่องการท่องเที่ยวต่างๆ พร้อมอาหารการกิน สถานที่ที่น่าอยู่ น่าเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ อะไรก็แล้วแต่ เพราะแต่ละเมืองของเราน่าท่องเที่ยวทั้งสิ้น แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องไม่ให้มีผลกระทบกับคนในพื้นที่ ผมถึงบอกว่าเราขยายสนามบิน ขยายการขนส่งทางราง แล้วถามว่าคนในพื้นที่เขาได้ประโยชน์อะไรบ้าง นั่นแหละคือสิ่งที่ผมมอบภารกิจให้ท่าน ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่เฉพาะกระทรวงคมนาคมอย่างเดียวนะ ต้องมองว่าประชาชนจะได้รับประโยชน์อะไรด้วย และเศรษฐกิจถึงจะดีขึ้นนะ
พิธีกร: แล้วยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยด้วยนะครับ
นายกรัฐมนตรี: อันนี้ก็คือแข่งขันก็คือหมายความว่าถ้าเรามีสาธารณูปโภคพื้นฐาน หรือมี Logistic ที่ดีในประเทศ ใครก็อยากจะมาลงทุนกับเรา ใครก็อยากคบค้าสมาคม อันนี้เป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย รวมความไปถึงคนไทยด้วยนะ ที่สามารถจะไปผลิตได้ถึงต้นทางเลยที่วัตถุดิบ แล้วก็ขนส่งทางราง ทางรถ ทางอากาศบ้างอะไรบ้าง ก็สามารถที่จะลดเวลาลงไปได้ ใช่ไหม บางอย่างก็ลดต้นทุนลงไปได้อีก ภารกิจการลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต
พิธีกร: ท่านนายกฯ ครับ แล้วที่ภูเก็ตนี่ นอกเหนือจากการเปิดอาคารผู้โดยสารที่สนามบินแล้วนี่ ยังมีกิจกรรมสําคัญๆ อีก 2 กิจกรรม ก็คือ เรื่องของงาน Startup Thailand กับ Digital Thailand ตรงนี้มีแนวความคิดอย่างไรครับ ว่าทําไมต้องเลือกภูเก็ต แล้วก็Smart City นี่จากการที่เป็น Digital Thailand ทําให้ภูเก็ตเป็น Smart City ได้อย่างไรครับ
นายกรัฐมนตรี: วันนี้เราก็ทราบอยู่แล้วนะครับว่า จังหวัดภูเก็ตเป็นเกาะใช่ไหม เกาะขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย และขึ้นชื่อว่าเป็นไข่มุกแห่งอันดามันสวยงาม มีธรรมชาติที่สวยงาม วิถีการดําเนินชีวิต วัฒนธรรมประเพณี มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม มีอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ หลายอย่าง เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในระดับโลก คราวนี้การที่เราจะทําให้มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นตามจากนั้นมา จากที่ยูเนสโก (UNESCO) เขายกระดับให้เมืองภูเก็ตเป็น “เมืองสร้างสรรค์ด้านอาหาร” เราก็มองประเด็นนี้ก่อน เรามองไว้ทั้งหมด 10 เมือง 10Smart City ซึ่งแต่ละเมืองเขามีความแตกต่างกัน ที่ภูเก็ตเขามีความพร้อมในด้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว แล้วก็การลงทุนในเรื่องของการใช้ Digital มากอยู่แล้วในพื้นที่เหล่านั้นอาจจะเป็นเมืองดิจิตอลก็ได้ในอนาคต เราก็เอาศักยภาพของเขามาทําก่อน คือ 10 เมืองเราทําพร้อมกันไม่ได้ เราต้องเอาตรงไหนที่มีศักยภาพก่อน ดังนั้น จ.ภูเก็ต จึงได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 2 จังหวัด Super Cluster และ จ.เชียงใหม่ อีกเมืองหนึ่ง อีสานก็มีเมืองหนึ่งนะ ของแก่น ก็ขับเคลื่อนไปด้วยกัน แต่ทุกอย่างจะมีต้นทุนต่างกัน เราจะทําทั้งหมดนั่นแหละ ต่อไปก็ 10 จังหวัด ต่อไปก็จังหวัดที่เหลือให้ครบ 76+1 จังหวัด เพราะอย่างนั้นประเทศไทยก็จะเจริญเข้มแข็ง ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะทําให้เกิดได้เร็วขึ้น ผมก็มองว่ากลไกประชารัฐสําคัญที่สุด ในการขับเคลื่อนพัฒนาในกรอบไทยแลนด์ 4.0ประเทศเรามีทั้ง 4.0 มี 3.0, 2.0, 1.0 ทําอย่างไรทั้งหมดจะไป 3.0 เท่ากันทั้งหมด แล้วไป 4.0 ได้โดยเร็ว ภูเก็ตนี่เขาค่อนข้างจะพร้อมอยู่แล้ว ต้องผลักดันอีกนิดหน่อยก็สามารถที่จะพัฒนาศักยภาพ และความพร้อมในการพัฒนาเป็น “เมืองอัจฉริยะ (Smart City)” ตามนโยบายของรัฐบาล จุดแข็งของเขาก็ในเรื่องของการบริการภาครัฐร่วมกับภาคประชาสังคม ประชาชนในพื้นที่ ภาคเอกชนเหล่านี้ ที่เราเรียกว่าประชารัฐสามารถดําเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม ในการสร้างมูลค่าเพิ่มอาทิ ด้านการเกษตร มีสับปะรดภูเก็ต รสชาติอร่อย นมแพะ กุ้งมังกรเจ็ดสีภูเก็ต (Lobster)ต่อไปก็ด้านการแปรรูปมีผ้าบาติก และด้านการท่องเที่ยวมีท่องเที่ยวชุมชน
ทั้งนี้ เป็นการร่วมคิดร่วมทํา ผมก็บอกให้ไปทําไอ้นั่นสิ ถ้าเราเพิ่มคนเข้ามา โรงแรมอาจจะน้อยเกินไปไม่พอ ก็ไปทําที่พักแรมอยู่ตามหมู่บ้าน ชุมชน ใช่ไหม ที่เรียกว่าโฮมสเตย์ ก็จะเป็นการ “ระเบิดจากข้างใน” โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมทั้งหมด ก็เจริญเติบโตจากภายใน ข้างนอกก็เข้าไปเติม ก็เสริมกันทั้งคู่ อันนี้แนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่แล้วนะครับ จะเน้นการทํางานอย่างบูรณาการ ทุกวันนี้การแก้ไขปัญหาของรัฐบาลนี้ก็คือทุกกระทรวง ทุกหน่วยงานจะต้องแก้ปัญหาด้วยกัน ร่วมกับประชาชนไปด้วย บริหารทั้งแกน X และแกน Y บนลงข้างล่าง ข้างล่างขึ้นข้างบน แล้วทางระดับก็คือประชาชนในพื้นที่ประชารัฐด้วยกัน ก็จะเริ่มวางแผนทั้งฐานราก ตรงกลาง แล้วก็ข้างบนไปด้วย จะสร้างห่วงโซ่ใหม่ขึ้นมา มีคุณค่ามากขึ้น สร้างนวัตกรรม อันนี้ก็สอดคล้องไปกับเรื่องของการดําเนินการของรัฐบาลตามนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจ ในรูปแบบคลัสเตอร์ อันนี้ก็คงจะเป็นคลัสเตอร์ด้านอาหาร การท่องเที่ยว มีศักยภาพอยู่แล้วแล้วก็ใช้การขับเคลื่อนด้วยสังคมดิจิทัลของรัฐบาลในปัจจุบัน ก็จะมีการผลักดันให้เกิดโครงการต่าง ๆ มากมายทั้งโครงสร้างพื้นฐาน แล้วก็ด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ เพื่อจะรองรับการก้าวสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ 7 มิติ ได้แก่ มิติเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม สุขอนามัย การศึกษา และ ธรรมาภิบาล โดยเราให้กระทรวง ICT (เดิม) หรือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดท.) หรือกระทรวง DE ใหม่ ชื่อไทยๆ ย่อว่า ดท. เป็นเจ้าภาพหลักในการบูรณาการแผนปฏิบัติการทั้งหมดของ Phuket Smart City ให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งชาติ วันนี้เราต้องพัฒนาดิจิตอลไปด้วย เพราะลดต้นทุนหลายอย่างได้ ด้วยการใช้ดิจิตอลให้เข้าถึงข้อมูลต่างๆ จะได้เข้ามาดูแลเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทั้งในเรื่องการแปรรูปสินค้าเกษตร สร้างนวัตกรรมให้มีมูลค่าสูงขึ้น ไม่อย่างนั้นก็ราคาตกอยู่แบบนี้แหละ เราต้องทํางานร่วมกับ BOI ในการกําหนดแนวทางการส่งเสริมให้เอกชนเข้ามาลงทุนในโครงการดังกล่าวด้วย
พิธีกร: ท่านนายกฯครับ เมือสักครู่ท่านนายกฯ พูดถึงคลัสเตอร์ทางเศรษฐกิจ ขออนุญาตเรียนถามนิดหนึ่งครับว่า แนวความคิดนี่ ตอนนี้เราให้ความสําคัญกับภูเก็ตเป็นหลัก จังหวัดอื่นๆ ข้างๆ นี่เขาอาจจะสงสัยว่าเขาจะมีโอกาสได้รับประโยชน์จากการพัฒนาจังหวัดภูเก็ตให้เป็นเมืองอัจฉริยะSmart City ไหม ตรงนี้จะมีการดูแลจังหวัดข้างเคียงไหมครับ
นายกรัฐมนตรี: คงไม่อยากให้คิดแบบนั้นนะ เพราะประเทศไทยมี 76+1 กรุงเทพฯ ใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นผมได้บอกแล้วว่าการเจริญเติบโต จะเจริญเติบโตเป็นภูมิภาคก่อน ภาคใต้มีกี่จังหวัดล่ะ ในกี่จังหวัดนั้นเราก็กําหนดพื้นที่ไหนที่เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ในกลุ่มนั้นก็ต้องมีกลุ่มที่เป็นแกนกลางใช่ไหมเล่า เพราะฉะนั้นภูเก็ตก็เป็นแกนกลางของ 5 จังหวัด ก็มีทั้ง ภูเก็ต พังงา ระนอง กระบี่ และตรัง วันนั้นก็มีการประชุมร่วม กรอ.ส่วนกลางและภูมิภาคด้วย ว่าจะทําอย่างไรให้กลุ่มจังหวัดเขามีความเข้มแข็งขึ้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคใต้ใช่ไหม ถ้าในกลุ่มนี้ เพราะในภาคใต้ก็มีอยู่หลายกลุ่มด้วยกัน ทั้งประเทศมีอยู่ 4 ภาคแล้วทั้งหมดมี 18 กลุ่มจังหวัด ทั้งหมดก็คือ 76+1จังหวัด เพราะฉะนั้นถ้าเราไปเริ่มภูมิภาคก่อน ก็ต้องหาจุดศูนย์กลางก่อน จุดเริ่มต้นให้ได้ก่อน จากนั้นก็จะเกิดขึ้นมาโดยรอบ ต้องเชื่อมโยงด้วยLogisticทั้งหมด วันนั้นก็มีการประชุมร่วมกันด้วย เช่นในภาพรวมของกลุ่มจังหวัดเราก็ได้แก่การยกระดับเมือง สปา น้ําพุร้อนเค็ม ซึ่งมีเพียง 2 แห่งในโลก ก็การรักษาโรคได้ตามความเชื่อ แล้วการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ด้วย เป็นเกลือแร่ เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ แล้วก็สนับสนุนการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน ซึ่งจะตามมาด้วย
อันที่สองก็ต้องดูเรื่อง Logistic เส้นทาง “อันดามัน โรแมนติกโรด” ระยะทาง 40 กิโลเมตร มีเส้นทางจักรยานอีก 30 กิโลเมตร เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว สองโครงการดังกล่าวนั้นก็คาดว่าถ้าทําได้ จะเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว จาก 40 ล้านบาทต่อปีในปัจจุบัน เป็น 2,500 ล้านบาทต่อปีในอนาคต ถ้าเราพัฒนาอย่างครบวงจร อันที่ 3 คือการยกระดับเส้นทางเชื่อมโยงท่องเที่ยวอันดามันเป็น 4 ช่องทางจราจร หลายเส้นทางด้วยกันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เส้นทางสาย 4 เพชรเกษม ช่วงระนอง – ราชกรูด – ตะกั่วป่า – เขาหลัก ระยะทางประมาณ 270 กิโลเมตร แล้วก็สาย 4027 อีก 13 กิโลเมตร เป็นโครงข่ายคมนาคมสายหลัก แล้วก็สามารถสนับสนุนการท่องเที่ยวที่รองรับคนที่เข้ามามากขึ้น จะทําให้คนในเมือง คนในเมืองเขาก็การท่องเที่ยวเยอะ การจราจรติดขัด คนในเมืองเขาก็บ่นเอา ก็เราไม่ดูแลเขานี่ใช่ไหม ภาคการท่องเที่ยว การขนส่ง ภาคการเกษตร เชื่อมโยงอ่าวไทย – อันดามัน สามโครงการนี้ ในที่ประชุมผมก็ส่งให้ลงมติกันเห็นชอบร่วมกันในหลักการดังกล่าวนั้น ผมก็ต้องมาดูเรื่องงบประมาณใช่ไหมเล่า ที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน รายได้ประเทศอยู่ตรงไหน ผมก็ให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องไปศึกษารายละเอียดและกรอบงบประมาณ อันไหนที่มีอยู่ในแผนงานอยู่แล้ว อันที่ยังไม่อยู่ก็ไปปรับแผนงานดูสิได้ไหม หรือไม่ถ้ามีงบกลางเหลือจ่าย เราก็จะจัดสรรให้ ต้องใช้เวลาครับ สําหรับรายจังหวัดอื่น ๆ ก็มี จังหวัดพังงา มีถนนอยู่เส้นหนึ่งที่จะต้องเคลือบผิวจราจร เพราะว่าลื่นไถล อาจจะผิวถนนไม่ได้มาตรฐาน เส้นทางหมายเลข 4 และ 4311 ก็ให้กระทรวงคมนาคมรับเรื่องไปบรรจุในแผนงบประมาณปี 2560 เพราะว่าอันตราย ผมให้ก่อน ต่อไปคือโครงการก่อสร้างถนนและสะพานที่เกาะคอเขา อ.ตะกั่วป่า ก็ศึกษารายละเอียดความเป็นไปได้เพราะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไปดูความคุ้มค่าการลงทุนด้วย เพราะใช้งบประมาณสูง ในเรื่องจังหวัดกระบี่ ก็เสนอโครงการก่อสร้างสะพานลันตาช่วงแรก คือบ้านหิน – บ้านคลองหมาก ก็ให้ไปศึกษาเหมือนกันนะครับเร่งศึกษาโครงการ จังหวัดชุมพร ก็ได้เสนอโครงการศึกษาเส้นทางรถไฟ ชุมพร – ท่าเรือน้ําลึกระนอง ก็ให้ไปศึกษาความเป็นไปได้ระบบโลจิสติกส์ดังกล่าว อีกจังหวัดหนึ่งคือจังหวัดตรัง เสนอโครงการพัฒนาท่าอากาศยานตรัง ผมก็ได้สั่งการให้พิจารณาจัดทํางบประมาณในการจัดทําโครงการ และให้ไปศึกษาความเป็นไปได้เพราะบางทีก็ต้องดูความคุ้มค่าการลงทุนเหมือนกัน จังหวัดใกล้กันนี่
พิธีกร: ครับทีนี้ขออนุญาตเรียนถามท่านนายกฯเกี่ยวกับเรื่องของการเดินทางมาสหรัฐอเมริกาเพื่อเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญครั้งที่ 71 ซึ่งดูจากกําหนดการแล้ว ท่านนายกฯได้เข้าร่วมกิจกรรมค่อนข้างมากโดยเริ่มต้นตั้งแต่การประชุมสุดยอดผู้นําด้านผู้ลี้ภัย อยากให้ท่านนายกฯเล่าให้ฟังว่าในบทบาทของประเทศไทยเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย เราได้มีการดําเนินการอย่างไร และทําไมเราจึงได้รับเชิญมา และเราได้บอกอะไรกับกลุ่มประเทศที่เกี่ยวข้องในเรื่องราวเหล่านี้บ้างครับ
นายกรัฐมนตรี: ผมก็พูดให้เขารู้ว่าเราทําอะไรมาบ้างในเรื่องเหล่านี้ครับ หลายประเทศอาจจะไม่เข้าใจ อาจจะมองประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ แต่เราได้ทําทุกอย่างตามพันธะสัญญาโลก วันนี้ถ้าเรามองดูปัจจัยภายนอกนะ ในโลกนี้คนกว่า65 ล้านคนต้องพลัดถิ่น ในจํานวนนี้ กว่า 21 ล้านคน เป็นการโยกย้ายถิ่นฐานที่ไม่ปกติ ไม่สมัครใจ อาทิเช่น จากภัยสงคราม ความยากจน อะไรต่างๆ แล้วแต่ ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปสู่ถิ่นฐานใหม่ ทั้งยุโรปและภูมิภาคอื่นๆ ของโลก มันก็เป็นภาระหนักของประเทศนั่นแหละ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศแรกรับ (หรือประเทศกลางทาง) เราอยู่ในฐานะประเทศกลางทาง ซึ่งก็ต้องแรกรับจากที่อพยพผ่านเราไปที่อื่น เราตกอยู่ในสภาวะนั้นมากว่า 40 ปีมาแล้วนะ รัฐบาลไทย คนไทยเราก็มีความเอื้ออารีและให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมมาโดยตลอด อันแรกคือกลุ่มผู้ไร้ถิ่นฐาน คนไร้สัญชาติจํานวนกว่าล้านคน วันนี้ก็กลายเป็นคนไทยไปบ้างแล้ว ปัจจุบันเราได้ให้ที่พักพิงแก่ผู้หนีภัยการสู้รบจากชายแดนนอกบ้านเราประมาณ 1 แสนคน ที่ยังคงเหลืออยู่ในประเทศไทย เดิมเข้ามาเกือบ 5 ล้านคนใน 30 ปีที่ผ่านมา แล้วก็ค่อยๆลดไปเรื่อยๆ ไปประเทศที่สามบ้าง กลับประเทศต้นทางเองบ้าง ก็เหลือประมาณปัจจุบันเกือบแสนคน อันนี้เราไม่นับรวมผู้โยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติอีกกว่า 3 ล้านคนทั่วประเทศซึ่งรวมความไปถึงพวกที่เป็นแรงงานต่างด้าวด้วยที่ว่าสามล้าน ตรงกลางน่ะไม่มากนักหรอก ผู้โยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ เพราะมาแล้วก็ไป แต่เป็นภาระของเราถ้าหากว่าต้องดูแลนานๆ นะ วันนี้เราต้องจัดงบประมาณของประเทศไทยเราประมาณ 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เทียบแล้วก็ประมาณร้อยละ 0.05 ของ GDP เรา ให้เป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าสวัสดิการอื่น ๆ ที่จําเป็น ไม่ต่างจากคนไทยเลยรวมทั้งให้การศึกษาและฝึกอาชีพให้กับผู้หนีภัย ในพื้นที่พักพิง ให้มีความรู้ มีอาชีพ ถ้าเขามีโอกาสกลับคืนประเทศบ้านเกิด และจะได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขมีอาชีพมีรายได้ของเขา
นอกจากนั้นที่สําคัญก็คือเรื่องกฎหมาย ต้องมีการปรับปรุง บังคับใช้กฎหมาย อาทิเรื่องของการออกสูติบัตรรับรองการเกิดแก่เด็กที่เกิดใหม่ทุกคนในพื้นที่พักพิง ประมาณ 3,000 กว่ารายวันนี้ เพื่อขจัดปัญหาบุคคลไร้รัฐ ไร้สัญชาติ แล้วก็กําลังพิจารณา พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย อันนี้เป็นเรื่องสําคัญที่ในเวทีโลกเขาให้ความสําคัญอยู่ เพื่อไม่ส่งบุคคลกลับไปสู่อันตราย อันนี้ต้องแยกให้ออกที่เข้ามาพวกหนึ่ง อีกพวกหนึ่งเข้ามาแล้วก็ผิดกฎหมายคนเข้าเมือง เพราะเรามีกฎหมายคนเข้าเมืองอย่างเดียวเอง ฉะนั้นเราจะส่งกลับไปไหนมาไหน ก็ต้องดูต้นทาง มีการพิสูจน์สัญชาติอีก ก็กําลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่ครับ ไม่ฉะนั้นก็ไม่สอดคล้องกัน แล้วก็มีปัญหาความขัดแย้งเวลาจะส่งไปไหน ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะออกมาอย่างไร เป็นการพิจารณาของคณะผู้ร่างกฎหมายอยู่ครับ ก็ต้องดูประเทศเราด้วย ว่าเกิดผลกระทบอะไรหรือไม่
นอกจากการทํากฎหมายแล้ว เราก็กําลังพิจารณาจัดทําระบบคัดกรองให้เป็นมาตรฐานสากล ต้องแยกให้ออก สําคัญคืออย่าไปแยกครอบครัวเขา จะได้ลดความเสี่ยงของการตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ หรืออนุญาตให้เหยื่อค้ามนุษย์ที่จะต้องเป็นพยาน เดิมนี้ถ้าเป็นของประเทศไหนต้องส่งกลับไปเลย แต่คดียังไม่จบ เสร็จแล้วคดีก็ยุติไม่ได้ ก็อนุญาตให้เขาอยู่แล้วก็สามารถทํางานได้อย่างถูกกฎหมายจนกว่าคดีจะสิ้นสุด โดยให้มีการขยายเวลาไปเป็น 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปีเพื่อให้ยุติคดีให้ได้โดยเร็วนะครับ แล้วก็หารือกับประเทศเพื่อนบ้านเรา เพื่อจะส่งผู้หนีภัยกลุ่มนําร่องเกือบ 100 คน ที่มีความสมัครใจกลับบ้าน เดิมเขาคาดหวังที่จะไปประเทศที่สาม แต่เขาอยู่มานานแล้วไม่ได้ไปสักที ก็เหลืออยู่แสนกว่าคน เขาก็อยากกลับบ้านนะพูดถึงจริงๆ แล้วเราก็สร้างอาชีพให้เขามีรายได้ วันหน้าเขาก็กลับไปพัฒนาประเทศเขาสิ ให้ได้มีชีวิตอย่างปกติสุข ดีกว่ามาอยู่แบบหลบๆซ่อนๆหรืออถูกควบคุมอยู่ในศูนย์อยู่แบบนี้ ผมสงสารเขานะเห็นใจ จุดยืนของเราไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามอยู่ในแผ่นดินไทย เราก็ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ต้องดูแลเขาด้วยหลักสิทธิมนุษยชนต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ “ต้นทาง” ก็คือประเทศที่มีความยากลําบาก มีสงคราม ประชาชนเขาเดือดร้อน เขาต้องอพยพ นั่นคือประเทศต้นทาง เราจะแก้เขาอย่างไร ก็ต้องแก้ด้วยการพัฒนา ยุติความขัดแย้ง สร้างพื้นที่ปลอดภัย สร้างพื้นที่การพัฒนาให้เขาอยู่ ให้เขาดูแลกันเองให้ได้ไหม โดยประเทศภายนอกก็ส่งเงินทุนกองทุนไปให้เขา ให้เขาดูแลตัวเองให้ได้แล้วกัน
อันที่สองคือ ประเทศกลางทาง แบบประเทศไทย ก็ต้องมาช่วยดูแลเราสิว่า ระหว่างที่เขามาอยู่กับเรานี้เป็นภาระมากเกินไปหรือเปล่า ก็อาจจะมีการให้ความช่วยเหลือบ้างกับประเทศกลางทาง รวมถึงประเทศทางยุโรปด้วยนะ แล้วเราต้องมีระบบคัดกรองเพื่อคัดแยกผู้หนีภัย ให้ช่วยเหลือและคุ้มครองให้ได้ เรารองรับภาระมากในทุกวันนี้ ต้องได้รับความช่วยเหลือด้านงบประมาณอีกนะ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เราก็ใช้ไปเยอะแล้ว รวมความไปถึงในเรื่องของการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ถ้าเราเอาเขาอยู่นาน ๆ ก็จะเกิดธุรกิจการค้ามนุษย์ขึ้นมาทันที แล้วอีกหน่อยก็จะเป็นที่พักคอยของผู้ที่จะลักลอบออกนอกประเทศ มาสะสมเป็นที่พักคอยในประเทศไทย แล้วก็จะมีกระบวนการนําส่งไปโน่นไปนี่ ก็เป็นเรื่องของการค้ามนุษย์ เราก็แก้ไขไปแล้วนะ ในส่วนของประเทศปลายทาง สําคัญที่สุดก็คือว่าหลายประเทศเป็นที่น่ายินดี ในการประชุมเขาก็พร้อมที่จะรองรับผู้หนีภัยไปตั้งถิ่นฐานใหม่ เป็น 2 เท่า ประเทศทางยุโรป เพราะฉะนั้นต้องหางบประมาณ หา กองทุนไปดูแลด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ที่ประชุมพูดถึงเรื่องนี้อยู่ ว่าจะช่วยเหลือทั้งเงินทั้งการรองรับผู้หนีภัยเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ผมก็เลยเสนอไปว่าต้องดูเงินทุนเหล่านี้ด้วยนะ ประเทศต้นทาง ประเทศกลางทาง แล้วก็ประเทศปลายทางจะทํากันอย่างไรถ้าสมมติว่าเรายังแก้ปัญหาที่ปลายเหตุอยู่แบบนี้คือ รับคน รับคน โดยเราไม่ไปแก้ต้นทางเลย ก็จะไม่ลดปริมาณคนออกนอกประเทศ เราต้องทําอย่างที่เขาจะไม่เกิดสงคราม ระงับสงครามให้ได้โดยเร็ว แล้วก็พัฒนาเขาให้มีความรู้ มีการศึกษา จะได้ไม่มีความขัดแย้ง ความขัดแย้งสวนใหญ่เกิดจากความยากจน ถ้าเราพัฒนาตั้งแต่ต้นทางก็จะไม่เกิดอีก วันนี้เกิดหลายพื้นที่ ก็อพยพไปเรื่อยๆ แล้ววันหน้าทําอย่างไร ถ้าเราไม่แก้ทั้งระบบ ผมก็เสนอในที่ประชุมไปแบบนี้เขาก็รับฟังไป ในที่ประชุมหลายประเทศเห็นด้วยหลายอย่างนะ
พิธีกร: เห็นว่าปีนี้ให้ความสําคัญเรื่องนี้มากเลยใช่ไหมครับ เพราะว่าเป็นการจัดขึ้นครั้งแรก แล้วก็เป็นการจัดขึ้นโดยความริเริ่มของประธานาธิบดีบารักโอบามา
นายกรัฐมนตรี: เป็นความตั้งใจของท่าน แล้วครั้งนี้ก็ถือว่าให้เกียรติประเทศไทยนะ เพราะจากที่ทางสหรัฐฯ ได้ติดตามมานี้ จะเห็นว่าประเทศไทยทําหน้าที่นี้ได้ดี ก็ได้เชิญผมไปร่วมประชุมด้วย ในครั้งแรก ผมก็ได้เล่าให้เขาฟังอย่างที่ว่าเมื่อสักครู่นี้ แล้วก็เสนอหนทางปฏิบัติ ต้นทาง ปลายทาง กลางทาง ในที่ประชุมก็ตอบรับดีครับ ทางสหรัฐอเมริกา โดยคุณแดเนียลรัสเซลล์ ก็ได้กล่าว ขอบคุณประเทศไทยที่ดําเนินการใน 3 เรื่องจนเป็นรูปธรรมนะครับ ก็คือเรื่องที่ 1.มาตรการดูแลผู้ลี้ภัยไม่ปกติและได้เข้าร่วมประชุมสุดยอดระดับผู้นําด้านผู้ลี้ภัยของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เรื่องที่ 2. คือเรื่องของการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และประมง เรื่องที่ 3. ก็คือในการที่ประเทศไทยลงสัตยาบันสัญญาปารีสในการลดโลกร้อน
อีกประการหนึ่งก็คือในเรื่องของการร่วมกันรับรองแถลงการณ์นิวยอร์กสําหรับผู้หนีภัยและผู้โยกย้ายถิ่นฐาน ทุกประเทศต้องร่วมกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างแก้กันเอง แก้ไม่ได้หรอกครับทุกปัญหา ฉะนั้นต้องมีเวทีในเชิงนโยบาย หารือกันทั้ง 3 ส่วน เราต้องเข้มแข็งไปด้วยกัน แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คงไม่มีใครอยากออกจากบ้านตัวเองก็อยากอยู่ประเทศตัวเองทั้งหมดเป็นพื้นที่ ที่ดิน ผืนดินที่น่าภูมิใจ เกิดที่นี่ ตายที่นี่ ไม่มีใครอยากไปที่อื่นหรอกครับ ถ้าไม่เดือดร้อน เพราะฉะนั้นเราต้องกลับมามองใหม่ แก้ปัญหาที่ต้นเหตุก่อนให้ได้โดยเร็ว เพื่อจะลดปริมาณคนที่ออกมาให้มากขึ้น แล้วก็ที่อพยพไปแล้วก็ดูแลเขาให้ดีขึ้น ส่วนประเทศตรงกลางทางก็ต้องดูแลเขาหน่อย ไม่ใช่ทิ้งภาระไว้ให้เขานานๆ เขาก็ไม่อยากรับไว้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่ใช่หน้าที่ของประเทศใดประเทศหนึ่ง ของคนใดคนหนึ่ง ทุกๆคน ประชาคมโลกต้องให้ความสําคัญนะครับ เราพูดไว้แล้วว่าเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เหมือนที่รัฐบาลนี้กําลังทําอยู่
พิธีกร: และนอกเหนือจากเรื่องผู้ลี้ภัย ปีนี้ดูเหมือนว่าสหประชาชาติยังให้ความสําคัญเกี่ยวกับเรื่องการดูแลสุขภาพของประชาชนทั่วโลก โดยมี“การประชุมระดับสูงเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพ” ตรงนี้ทําไมประเทศไทยจึงได้มีบทบาทสําคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นพิเศษครับ
นายกรัฐมนตรี: บทบาทนี้เป็นบทบาทของ G77 ซึ่งเราก็เป็นประธานในปีนี้ ต้องขอบคุณท่านทูต ซึ่งก็เดินหน้าในเรื่องนี้มาจนกระทั่งเป็นผลสําเร็จ จริงๆ แล้วเราเป็นคนผลักดันเรื่องนี้ในกลุ่ม G77 จนสําเร็จลงมาได้ เรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพ (หรือ AMR) ที่พูดง่ายๆ คือ “การดื้อยาฆ่าเชื้อโรค – ยาแก้อักเสบ – ยาปฏิชีวนะ” หลายคนก็เรียกแตกต่างกันออกไปก็คือยาปฏิชีวนะนั่นแหละซึ่งเป็นประเด็นท้าทายของมนุษยชาติ คนส่วนใหญ่มักมองว่าไกลตัวซื้อยามากินแล้วก็หาย แต่ความจริงเป็นภัยเงียบที่ต้องการความร่วมมือระหว่างประเทศ ถ้าไม่สามารถจัดการกับปัญหาได้ มันอาจจะส่งผลกระทบในวงกว้าง ต่อระบบสุขภาพของโลกในอนาคตโลกก็จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะประเทศกําลังพัฒนา ที่มีรายได้ที่แตกต่าง ขีดความสามารถในการรับมือก็ไม่เหมือนกัน ระบบสุขภาพ การเข้าถึงยาและบริการก็ไม่เหมือนกัน การบริการทางการแพทย์ก็แตกต่างกันอยู่มาก ถึงแม้ว่าต้นตอของปัญหานั้น อาจไม่ได้เกิดในประเทศ แต่ก็อาจได้รับผลกระทบในทางอ้อมในที่สุดอยู่ดี ดังนั้น การสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนและประชาคมโลก เป็นเรื่องเร่งด่วนสําคัญที่สุด ฉะนั้นถึงทําให้เกิดการประชุมในครั้งนี้ ท่านเอกอัครราชทูตประจําสหประชาชาติท่านก็ดูแลเรื่องนี้อย่างเต็มที่ มีคณะทํางานมีอะไรต่างๆ เพื่อจะพูดคุยกับ 134 ประเทศ ก็เป็นผลสําเร็จออกมาแล้วก็ผลักดันให้มาสู่การประชุมครั้งนี้ได้ด้วย
พิธีกร: ซึ่งตรงนี้ก็ถือเป็นบทบาทหลักของไทยในฐานะเป็นประธานกลุ่ม G77 ใช่ไหมครับ
นายกรัฐมนตรี: ใช่ มีหลายอย่างด้วยกันนะ G77 ที่ประเทศเราเดินหน้า ปีเดียวนะก็เป็นผลสําเร็จได้มากพอสมควร ดื้อยานี่ถ้าสมมติเราใช้ไปมากเรื่อยๆ ไม่ควบคุม วันหน้าต้องใช้ยาแรงขึ้นๆ ราคาก็สูงขึ้น ค่าใช้จ่ายก็ไม่เพียงพอ บางคนกินยาปฏิชีวนะแล้วกินไม่ครบ พอหายก็เลิกกิน เลิกทาน เขามีระยะเวลาให้ทานต่อไปจนครบ ต้องกินให้ครบจํานวนและขนาด ตามเวลาที่แพทย์เขาสั่งไว้ ไม่ฉะนั้นจะดื้อยา พอคราวหน้าก็กินไม่หาย แนวโน้มของคนไทยในการใช้ยาฆ่าเชื้อมีมากกว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปี ถ้าลดตรงนี้ไปได้ ค่าใช้จ่ายจะลดลง เพราะยาฆ่าเชื้อตัวเก่าที่เคยใช้ก็ไม่ได้ผล มันดื้อไปแล้ว ต้องไปใช้ยาตัวใหม่ ราคาแพง และผมก็ฟังมาว่า ผู้ผลิตเขาลงทุนสูง ในเรื่องของการคิดค้นยาแต่ละชนิดขึ้นมามันแพง ก็ต้องขายของแพงแล้วถ้าเราต้องไปซื้อของแพงมาก ๆ ไหวไหมล่ะ อีกหน่อยก็ตายกันหมดเพราะเชื้อมันดื้อยา และไม่สามารถใช้ยารักษาที่มีในปัจจุบันได้อีกต่อไป และระหว่างรอเขาคิดค้นยาใหม่ก็ตายไปแล้ว ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้น โอกาสเสียชีวิตก็มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วโรคนี้ถ้าไม่กําจัดตั้งแต่ต้นตอมันก็แพร่กระจายไประบาดในชุมชน โรคติดต่อ เราเคยคุมได้ ก็คุมไม่ได้กลับมาอีกเพราะว่ายาปฏิชีวนะใช้ไม่ได้ผล และเชื้อบางเชื้อก็ถ่ายทอดไปรหัสพันธุกรรมดื้อยา ไปสู่เชื้อสายพันธุ์อื่นได้ใช่ไหม ทําให้เกิดปัญหาการดื้อยามันจะแรงขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งสําคัญวันนี้ ทุกคนก็ไม่ควรไปซื้อยามากินเอง ใช้ยาตามใบสั่งแพทย์ เภสัชกร สั่ง-แนะนําอย่างไรก็กินไปตามนั้นรับประทานยาให้ครบ แม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม ถ้าเจ็บป่วย บางครั้งก็ไม่จําเป็นต้องรับประทานยา เช่น ไข้หวัดทั่วๆไป ก็พักผ่อน ออกกําลังกาย รักษาสุขภาพ รับประทานอาหารถูกหลักอนามัย วันนี้ทุกคนเรียนรู้ทางโทรทัศน์บ้าง ทางโฆษณาโซเชียลมีเดีย ซื้อยากินเองกันหมด ก็เชื่อว่ามันดี เสร็จแล้วปรากฏว่าบางครั้งไม่ถูกต้อง จึงต้องระมัดระวังนะครับ การดําเนินการเหล่านี้ต้องเป็นการให้ความรู้แก่ประชาชน หลายคนเป็นหมอเอง รู้หมดตัวเองเป็นอะไร จะซื้อยาอย่างไร รู้หมด เพราะว่าอ่านหนังสือเยอะ ดูโฆษณา แล้วก็เอ๊ะเป็นโน่นหรือเปล่าเป็นนี่หรือเปล่า สงสัยไปเรื่อยแล้วก็ซื้อยามากินเอง วิตามิน บางทีก็ซื้อกินจนเกินความต้องการของร่างกาย แล้วมันก็แพงแสนแพง ต้องระมัดระวังนะครับศึกษาให้ดี
นายกรัฐมนตรี: อันนี้ต้องรวมความไปถึง คน สัตว์ พืช ด้วยนะ เพราะมันเชื่อมโยงกัน ต่างฝ่ายอยู่ในวงจรอาหารกัน เพราะฉะนั้นก็ติดต่อกันได้ ภาคการเกษตรก็ต้องเข้าไปดูแล วันนี้เราจัดให้มีระบบสุขภาพ และหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงยา วัคซีน สมุนไพร เครื่องมือการตรวจวินิจฉัย และบริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐานที่ราคาไม่สูงนักแต่ต้องมีประสิทธิภาพอย่างเท่าเทียม วันนี้ปัญหาเราคือรายได้ประเทศมันน้อย เพราะฉะนั้นเราต้องดูแลคนทุกคน มากขึ้นทุกปี คนเกิดมากขึ้น แล้วก็สูงวัยมากขึ้น ตายช้า เงินจํานวนนี้ก็ใช้สูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปีนะเพราะฉะนั้นเราจะต้องใช้ในการเพิ่มศักยภาพในการป้องกันการติดเชื้อก่อนดีกว่า ให้มีภูมิคุ้มกันแล้วก็สนับสนุนการวิจัยและพัฒนายาและการรักษาของเราเองภายในประเทศด้วย อันนี้สําคัญที่สุดครับการป้องกันย่อมดีกว่าการแก้ไข
พิธีกร: แน่นอนครับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสําคัญเพราะว่าที่ผ่านมาหลายๆคนอาจจะอาศัยการรักษาด้วยการเข้าไปดูในกูเกิ้ล แล้วก็ซื้อยามาทานเอง แล้วก็อย่างที่ท่านนายกฯได้กล่าวไปแล้ว ถือว่าเป็นภัยเงียบ ผมคิดว่าเป็นมหันตภัยเงียบเลยก็ว่าได้นะครับ เพิ่มเติมจากเรื่องที่เรากําลังคุยอยู่นี่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพของคนแล้ว ก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสําคัญ ซึ่งปีนี้และปีที่ผ่านมาสหประชาชาติให้ความสําคัญมาก ก็คือเรื่องการเปลี่ยนแปลงของ สภาพภูมิอากาศของโลกวันนี้เราได้มีบทบาทนี้อย่างไรเพิ่มเติมครับ ท่านนายกฯได้มีกิจกรรมสําคัญอีกหนึ่งกิจกรรมก็คือ ในเรื่องของการไปให้สัตยาบันความตกลงปารีส อยากให้ท่านนายกฯ เล่าให้ฟังสักนิดหนึ่งครับ
นายกรัฐมนตรี: อันนี้เป็นสิ่งที่มีความสําคัญมานานแล้วนะ หลายประเทศก็รู้ มันมีความสําคัญ แต่วันนี้การทําสัตยาบันก็ยังไม่ครบ ประเทศไทยก็เป็นที่น่าภาคภูมิใจ เขาก็ขอบคุณเราที่เราได้ร่วมลงสัตยาบันในเรื่องนี้ เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับหลายๆประเทศ เพราะมีผลกระทบทั้งสิ้น วันนี้ใน G77 เราก็ขับเคลื่อนเรื่องนี้ โดยใช้หลักการของเศรษฐกิจพอเพียงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้ามาด้วย เพราะหลายประเทศมีความแตกต่างกัน บางประเทศก็ภัยพิบัติ จากน้ําท่วม ฝนแล้วดินถล่ม อะไรเหล่านี้ โดยเฉพาะประเทศหมู่เกาะ วันนี้เราก็ใช้แนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้แนะนําไป ก็ประมาณสัก 20 ประเทศได้นําไปใช้แล้วโดยเฉพาะประเทศหมู่เกาะและวันนี้สิ่งสําคัญที่สุดก็คือการลงสัตยาบันครั้งนี้เป็นไปตามพันธะสัญญาของสหประชาชาติในช่วงศตวรรษหน้า ก็คือในช่วง 2015 – 2030 ที่จะต้องลดโลกร้อนลงให้ได้ 2 องศา ของเราเองก็ต้องไปลงสัตยาบันไว้ เราก็ต้องร่วมมือกับเขาเหมือนกัน การที่จะให้ลดลง ไม่ให้สูงขึ้นเกิน 2 องศาทั้งโลกนี้ หลายประเทศต้องรวมกัน ในอาเซียนก็รวมกับอาเซียน ไม่ใช่ประเทศไทยประเทศเดียว ตัวประเทศไทยลดให้ได้ภายใน 2030 เราก็สัญญากับเขาแล้วนะ เพราะฉะนั้นต้องไปทุกอย่าง ตั้งแต่การใช้เครื่องยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อจะลดก๊าซ Co2 ใช่ไหม ไม่ใช่ง่ายๆ อยู่ดี ๆ จะบอกว่าลดลงเท่านั้น 20-30 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 30 ปี มันลดด้วยอะไรล่ะ ต้องลดลงด้วยหลายๆ อย่าง ด้วยโรงงานอุตสาหกรรม ด้วยการใช้ยานพาหนะ ด้วยการเปลี่ยนเครื่องยนต์ ด้วยการใช้พลังงานที่เป็นไบโอดีเซล หรือ แก๊สโซฮอล์ อะไรอย่างนี้ ซึ่งมันแพงทั้งสิ้น ในปัจจุบันแต่เราก็พยายามทําเต็มที่ วันนี้ก็เป็นที่น่ายินดีที่จีน - สหรัฐฯ เป็น 2 ประเทศที่เขาก็รับได้ว่าเขาปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดของโลก ได้ให้สัตยาบันฯ แล้ว และอีก 60 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศลาว ที่ให้สัตยาบันฯ เช่นกัน ถ้าเราคิดเป็นอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมกัน ร้อยละ 47.76 นะ ทั้งหมดที่ว่ามาแล้วเมื่อสักครู่นี้ ประเทศไทยก็ได้ยื่นไปแล้วสัตยาบันฯดังกล่าว ในการประชุมในครั้งนี้เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2559 เราก็ไปแสดงความรับผิดชอบร่วมกับทุกประเทศในโลก เป็นสัญญาณว่าไทยมีความแน่วแน่ที่จะมุ่งสู่ความเป็นสังคมคาร์บอนต่ํา เราต้องร่วมกัน จัดทํา Roadmap หลายกระทรวงด้วยกันที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม เราจะต้องลดให้ได้ ร้อยละ 20 -25 ภายในปี ค.ศ. 2030 15 ปี ที่เหลือนี้ ทําอย่างไรเราจะใช้พลังงานทดแทนให้มากยิ่งขึ้น แต่ต้องไม่เกินสัดส่วนของแผนจีดีพี กําหนดไว้แล้ว 60 : 40 60 คือพลังงานเดิม 40 คือพลังงานทดแทน ก็มีปัญหาเรื่องระบบสายส่ง มีปัญหาเรื่องราคาค่าไฟฟ้ารับซื้อ มีปัญหาเรื่องความมีเสถียรภาพของไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ต้องค่อยๆ สร้างไป เรื่องการใช้โรงงานพลังงานไฟฟ้าที่เกิดจากขยะ ซึ่งสร้างได้บ้างไม่ได้บ้าง บางพื้นที่ก็ถูกต่อต้าน และขยะเราต้องไปดูสิว่าพอเพียงกันหรือเปล่า เพราะว่าหลาย ๆ แห่งก็ไม่ไหวเหมือนกัน เรื่องการใช้โรงงานพลังไฟฟ้าที่เกิดจากขยะ ซึ่งสร้างได้บ้างไม่ได้บ้าง บางท้องที่ก็ถูกต่อต้าน แล้วขยะเราก็ไม่รู้ว่าพอเพียงกันหรือเปล่า เพราะหลายๆแห่งก็ไม่ไหวเหมือนกัน แล้วเราก็ต้องลดการใช้ถุงพลาสติก ผมมีความคิดนะว่าทําอย่างไรจะลดได้ วันนี้เราลดเดือนละได้ไม่กี่ล้านตัน ถึงแม้จะให้ลดไม่กี่วัน วันนี้ผมก็มีกระทรวงทรัพย์ฯ เห็นบอกว่าถ้าจะมาเพิ่มได้มากขึ้น เป็นมากวันขึ้น ก็ลดได้อีกหลายล้านถุง แล้วก็ส่งเสริมการใช้ถุงผ้า เป็นไปได้ไหมว่าในส่วนของสถานประกอบการถ้าไม่เอาถุงผ้ามาจะต้องเสียค่าถุงพลาสติก
พิธีกร: หลายประเทศทํากันนะครับ
นายกรัฐมนตรี: เราก็น่าจะได้แบบนี้ อะไรที่เสียแล้วดีนะ น่าจะร่วมมือดี ถุงผ้าท่านก็มีอยู่แล้วที่บ้าน ก็ถือมา ขอเถิดครับลองดูนะ อย่าให้ผมต้องบังคับเลย เรื่องใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก เป็นภาระ เพราะว่าเป็นร้อยปี ไม่เสื่อมสลาย เสร็จแล้วก็ตกไปตามพื้นดิน ลงไปในน้ําทะเล สัตว์ก็กินเข้าไป ก็ตายอีก นี่เกิดซ้ําแล้วซ้ําอีก คนช่วยเถิดครับ ผมจะดูเลยนะ ตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป เป็นไปได้ไหม หรือไม่ก็ลดราคา บาทหนึ่งก็ได้ถ้าเขาเอาถุงผ้ามา ถ้าไม่เก็บเงินเขาล่ะก็ ไปหาวิธีการมานะ อย่าให้รัฐต้องสั่งทุกอันเลย เรื่องการบุกรุกป่าเหมือนกัน ไฟป่าจริงๆก็จุดทั้งนั้นล่ะ ก็ทําให้เกิดหมอกควัน ภาระหมอกควันของอาเซียนก็เยอะ ตอนนี้ก็หารือกับรอบบ้านไปแล้ว ขจัดหมอกควันให้ได้โดยเร็ว แล้วก็อาจจะต้องลดการขนส่งทางถนน เพราะสร้างแก๊ส สร้าง Co2 ออกมา เราก็ไปเร่งเรื่องการขนส่งทางราง วันนี้เราก็พัฒนาการขนส่งทางราง มีการสร้างทางคู่เพิ่มอะไรเหล่านี้ ราคาถูกเรื่องการขนส่ง เหลือปัญหาอย่างเดียว เร็วหรือเปล่า ก็ต้องมาทําทางคู่ ต่อให้มีรถไฟวิ่งได้เร็วกว่านี้ ก็วิ่งได้เท่านี้ เพราะต้องไปรอสถานีหน้า เพราะทางสวนกันไม่ได้ ต้องสร้างทางคู่ ที่นี้จะสร้างพร้อมกันหมดก็ไม่ได้อีก ระยะแรกเราก็สร้างไว้ 5 ที่ เพื่อจะอยู่ในแผนแม่บทของการพัฒนาระยะยาว ใครเป็นรัฐบาลก็มาทําต่อก็แล้วกันนะ ที่สําคัญที่สุดคือเราต้องทําทุกอย่างนี้ด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันนี้เราต้องให้ความสําคัญกับการพัฒนา แล้วก็ควบคู่ไปกับการรักษาสมดุลทางธรรมชาติด้วย ที่ผ่านมา 30 ปีที่ผ่านมาเราเปลี่ยนประเทศเราจากเกษตรอย่างเดียวมาเป็นเกษตรอุตสาหกรรม โรงงานอุตสาหกรรมเกิดขึ้นมากมายโดยบางทีก็หลงลืมความสมดุลทางธรรมชาติ วันนี้ต้องกลับมาสู่อันนั้นจะได้สอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0ยั่งยืน สมดุลในทุกมิติ หากจะพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรม ก็เป็นอุตสาหกรรมสีเขียวเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
พิธีกร: ครับ ก็เป็นอีกบทบาทหนึ่งของรัฐบาลไทยภายใต้การนําของท่านนายกรัฐมนตรี ที่แสดงให้ประชาคมระหว่างประเทศได้เห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความรับผิดชอบต่อโลก ถือว่าสําคัญมากๆ บทบาทหนึ่ง ทีนี้มาถึงการประชุมอีกอันหนึ่งซึ่งถือว่ามีความสําคัญนะครับ คือการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 71 ครั้งนี้ มีความสําคัญอะไรเป็นพิเศษ อย่างไรบ้างครับท่านนายกฯ ครับ
นายกรัฐมนตรี: อันแรกก็คือเป็นช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลง ผู้ดํารงตําแหน่งสําคัญ 2 ท่านด้วยกัน ท่านแรกคือเลขาธิการสหประชาชาติ ท่านที่สองคือ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2 ท่านเปลี่ยนแปลงในปีนี้พร้อมกัน อันที่สองประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม ทั้งในฐานะประเทศสมาชิก และมีบทบาทสําคัญคือการเป็นประธานกลุ่มประเทศ G77 ซึ่งเราก็ได้เสนออะไรไปบ้าง ในประเด็นนี้นะ อันที่สาม ประเทศไทยเป็นสมาชิกสหประชาชาติครบ 70 ปี เป็นปีแรกที่เริ่มต้นนําวาระสําคัญของโลกสู่การปฏิบัติ เช่น ในกรอบเซนไดเรื่องการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ความตกลงปารีสเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่เราเพิ่งร่วมให้สัตยาบันฯ ไป และที่สําคัญ คือวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งทั้งโลก ต้องช่วยกันผลักดันสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง แล้วเราต้องปรับแนวทางการพัฒนาประเทศของเรานั้น ทางรัฐบาลเราให้สอดคล้องแนวทางต่างๆเหล่านั้นของสหประชาชาติด้วย เพื่อจะนําประเทศเราไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน ในเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ผมให้ความสําคัญก็คือ อย่างน้อยเราก็ต้องทําตาม UN กําหนดไว้นะ แล้วเราก็มาพัฒนาเพิ่มเติมในส่วนกรอบของเราด้วย ทําให้ดีกว่า 3 เสาหลักที่ต้องรักษาอย่างสมดุลระหว่างกัน ก็คือในเรื่องของความมั่นคง สิทธิของประชาชน สันติภาพ สิ่งที่ต้องดูสําคัญที่สุดต่อไปคือ กรณีผู้โยกย้ายถิ่นฐานที่ไม่ปกติ ที่เราเห็นว่ามีทั้งทางบก ทางทะเล ลักลอบเข้ามา หรือไม่ก็มาทางเรือ จริงๆแล้วเขาไม่ได้อยากมาประเทศไทย เขาอยากไปประเทศอื่น แต่ทีนี้ก็มาถูกจับด้วยกฎหมายลักลอบเข้าเมือง เราก็มีกฎหมายนี้ ไม่จับก็ไม่ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นที่ผ่านมานั้นเป็นตัวอย่างความเชื่อมโยงของ 3 เสาหลักดังกล่าว ถ้ามั่นคงไม่ดี อย่างอื่นก็ไม่ดีตามไปหมด ความมั่นคงเกิดจากใครล่ะ ประชาชน มนุษย์ เราต้องดูแลเขาทุกคน ทุกหมู่ ทุกฝ่าย แล้วก็ประเทศในโลกนี้ทุกประเทศ จะต้องรับผิดชอบร่วมกัน เพราะว่าเกิดผลกระทบประเทศหนึ่ง ต้องไปสู่อีกประเทศหนึ่งแน่นอน เพราะโลกไร้พรมแดนแล้ว ก็อยากจะเตือนไปถึงสื่อต่าง ๆ ด้วย มีเดียต่าง ๆ ต้องระมัดระวังในการที่ท่านแพร่สิ่งที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง สิ่งที่บิดเบือนออกไป ทําให้ต่างชาติเขาเข้าใจประเทศไทยผิด แล้วก็เศรษฐกิจต่างๆ ก็จะแย่ลง เพราะเขาไม่มาลงทุนยัง เขาก็นึกว่าเป็นอย่างที่เขียนไป ไม่ว่าจะปัญหาภาคใต้ ไม่ว่าจะปัญหาเศรษฐกิจไทย การขัดแย้งทางการเมือง ก็เป็นเรื่องภายในของเรา แล้วเราก็ต้องแก้กันให้ได้ ทําไมต้องโวยวายให้คนอื่นเขาต้องมาเป็นห่วงเป็นใย แล้วท่านจะหวังอะไรให้เศรษฐกิจดีขึ้น เพราะเศรษฐกิจต้องเชื่อมโยงกันทั้งหมด ทั้งต่างประเทศ ในประเทศ แล้วก็ไปของชุมชน ข้างล่างที่เรียกว่าประชารัฐ เป็นต้นตอทั้งหมดที่จะทําให้เกิดปัญหาที่เรียกว่ารากเหง้าของปัญหา
เพราะฉะนั้น การพัฒนาที่ยั่งยืน ทําอย่างไรที่จะให้ปรัชญาเศรษฐกิจเพียงพอของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ควบคู่ไปกับเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนของ UN อันนี้สําคัญนะ เราจะต้องเป็นสะพานเชื่อมโยงเหล่านี้ให้ได้ หาจุดเชื่อมโยงให้ลงตัว ไม่มีประเทศไหนอยู่ได้เพียงลําพังหรอก ถ้าเราส่งเสริมเกื้อกูลกัน เข้มแข็งไปด้วยกัน เข้าใจถึงปัญหาที่มีความแตกต่างกัน แล้วเราใช้คําว่าไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ก็ไปด้วยกันทั้งประเทศ เศรษฐกิจต้องดีขึ้น ไม่ใช่ใครตก ไม่มีใครดีขึ้น แบบวันนี้หรอก หลายประเทศก็ตก หลายประเทศก็ดี ส่วนใหญ่จะตกมากกว่านะ เพราะฉะนั้นการเชื่อมโยงระดับโลกนี่สําคัญ แล้ววันนี้น่าภาคภูมิใจนะครับที่เราได้เป็นประธานกลุ่มประเทศ G77 ในครั้งนี้ แล้วก็ได้เข้าร่วมในการประชุมของกลุ่มประเทศ G20 เป็นครั้งแรก ที่นครหางโจว ที่ผ่านมา ไทยก็มีส่วนร่วมได้มีโอกาสในการแสดงความคิดเห็นเพื่อจะผลักดัน ขับเคลื่อนวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนปี 2030 ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ในลักษณะที่เรียกว่าหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ เราก็ทําตัวเป็นสะพานเชื่อมโยง G77 กับ G20 เป็นครั้งแรก อันนี้ก็เป็นตัวอย่างการเชื่อมโยงระดับชาติโดยใช้กลไกประชารัฐในประเทศ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของคนไทย อันนี้ก็เป็นความพยายามของรัฐบาลเรา แล้วก็ใช้โอกาสเหล่านี้ในการที่จะแลกเปลี่ยน เรียนรู้ประสบการณ์ซึ่งกันและกัน เพื่อให้ทั้งชาวไทยและชาวโลกได้รับการพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่ใช่เพียงเพื่อเราในวันนี้ แต่เพื่อเยาวชนรุ่นหลังในอนาคตด้วยครับ
พิธีกร: ท่านนายกฯ ครับ ดูเหมือนว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 1 ปีหลังนี้มีความคืบหน้า มากมายแสดงให้เห็นถึงบทบาทที่สําคัญของประเทศไทยที่ได้รับการ ต้องบอกว่าอย่างกว้างขวางเลย ในเวทีโลกเลยก็ว่าได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเราเป็นประเทศที่มีความรับผิดชอบต่อโลก ตรงนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรครับ นายกรัฐมนตรี: คือผมเคยพูดกับเขาไปแล้วนะ พูดกับทั้งในประเทศต่างประเทศ ไม่ว่าจะผืนดิน ผืนน้ํา อากาศ วันนี้ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ของคนไทย ไม่ใช่ของประเทศใดประเทศหนึ่ง เป็นของคนทั้งโลก เราควรให้ความสําคัญกับเรื่องเหล่านี้เพราะมีผลกระทบทุกประเทศ เพราะฉะนั้นในเรื่องที่มีความสําคัญ เรื่องน้ําใช่ไหม ซึ่งประเทศไทยปีนี้ก็โชคดี ทําไมไม่ชื่นชมประเทศ คนไทยไม่ชื่นชมรัฐบาลไทยในปีที่ผ่านมา 58 ถึง 59 บริหารจัดการน้ําจนกระทั่งไม่มีปัญหาแล้วในเรื่องน้ําแล้งมากนัก ทุกปีจะต้องจ่ายค่าเยียวยาเยอะแยะไปหมด บริหารน้ําอย่างเท่าที่เรามีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วก็ปี 59 ก็จากฝนตกใช่ไหม ตกมากตกน้อยก็แล้วแต่ เป็นสภาพภูมิอากาศอย่างไร ได้สั่งงานไว้หลายเรื่อง ในประเทศไทยผมก็ห่วงเรื่องการระบายน้ําออกนอกพื้นที่ แต่ไม่ใช่ระบายทิ้ง ต้องระบายไปหาที่กักเก็บให้ได้ ไม่อย่างนั้นวันหน้าก็แล้งน้ําเหมือนเดิม ดูแลประชาชนไม่ให้เดือดร้อน มีแผนเผชิญเหตุ จัดหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ทหาร ทั้งท้องถิ่น ออกไปช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย ในด้านอาหาร น้ําดื่ม ยารักษาโรค และฟื้นฟูความเสียหายโดยด่วน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันยามยากลําบาก ทุกคนต้องช่วยกัน ไม่ต้องร้องขอหรอก ใครเห็นก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือก็ดีขึ้นเอง
เรื่องภัยเงียบหรือที่ถามเมื่อสักครู่นี้ หลายคนอาจมองไม่เห็นเพราะไม่เดือดร้อนกับตัวเอง ท่านอาจจะเคยได้ยินชื่อนะ ด.ญ.จีรภัทร ทองชุม หรือ น้องจีจี้ เมื่อ 18 กันยายนที่ผ่านมานั้น ครบรอบ 6 ปีเต็มที่หายตัวไปจากอ้อมอกพ่อแม่ ใครไม่ใช่พ่อแม่ไม่รู้หรอก เราก็สงสัยว่าคาดว่าถูกลักพาตัว ปัญหาเด็กหายนี่สําคัญ เป็นปัญหาหนึ่งของประเทศไทย ที่เราต้องช่วยกันระมัดระวังนะครับ กลุ่มเด็กเล็กที่อายุระหว่าง 4-8 ขวบ เป็นกลุ่มเสี่ยงที่ถูกลักพาตัว เพราะฉะนั้นวิธีการที่จะลดปัญหาเหล่านี้ลงได้คือ พ่อแม่ต้องไม่ปล่อยบุตรหลานของท่านให้อยู่แต่เพียงลําพัง เพราะเด็กขนาดนี้ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวเท่าไรหรอก ก็ควรจะสอนลูก เตรียมทักษะให้ลูกในการที่ไม่รับของคนแปลกหน้า ไม่ไปไหนกับคนแหลกหน้า ต้องสั่งให้ชัดเจน แล้วก็ฝึกให้เป็นนิสัย ถ้าจะไปเที่ยวไหนก็ตาม เด็กเล็ก ๆ นี่ ควรจะมีชื่อที่อยู่ ติดใส่กระเป๋าเด็กไว้ สําหรับกลุ่มเด็กโตก็เหมือนกัน ประมาณสัก 95% ที่หายออกจากบ้านนี่เป็นการหนีไป เพราะว่าปัญหาความรุนแรงในครอบครัว พ่อแม่ก็ต้องมีบทบาทความสําคัญในการให้ความรัก และความอบอุ่นในช่องทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่ให้แต่ของ แต่ไม่ให้ความรัก บางทีพ่อแม่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการหาเงิน วันนี้ค่าครองชีพก็สูงขึ้น เหล่านี้เป็นภาพสะท้อนปัญหา แล้วก็ทําให้ปัญหาการค้ามนุษย์ทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ผู้หญิง เหล่านี้ อยากให้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา มีอะไรผิดปกติ ผิดสังเกตก็ช่วยบอกกันด้วย แจ้งเจ้าหน้าที่ เด็กขอทาน เด็กเร่ขายของ เด็กเร่ร่อน อาจจะเป็นเด็กที่หายไปก็ได้ เพราะฉะนั้นวันนี้เราได้สร้างศูนย์รับคนขอทานไปแล้ว ที่ธัญบุรี ของ พม. วันนี้ก็กรุณาแจ้งมาแล้วกัน ศูนย์ช่วยเหลือสังคม โทร. 1300 ได้ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง เรื่องกรณีน้องจีจี้ เสียใจนะครับ เห็นใจพ่อแม่ญาติพี่น้องขอให้ได้กลับมาเร็วๆ นะครับ แล้วก็เด็กทุกคนด้วยที่หายตัวไป มีหลายราย ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังไม่ล้มเลิกความพยายามในทุกวิถีทางหากใครทราบเบาะแสใดๆ ก็กรุณาแจ้งด้วย ทีนี้เด็กที่หายไปนานๆ เปลี่ยนไปอย่างไร จํากันไม่ได้ เป็นที่น่าเห็นใจ เพราะว่ากลับมาก็จําพ่อแม่ไม่ได้ กลายเป็นคนอื่นไปอีก เพราะฉะนั้นเราต้องระมัดระวังตั้งแต่ต้น อย่าปล่อยปละละเลยเขาก็แล้วกัน
อีกเรื่องหนึ่งเมื่อสองวันที่ผ่านมานี่ ผมก็เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่เรือล่ม ตายไปตั้ง 28 คน เกิดซ้ําแล้วซ้ําเล่า เพราะอาจจะด้วยความประมาท เท่าที่ผมตรวจสอบบรรทุกคนเกินอัตราจํานวนมาก แล้วน้ําก็เชี่ยว แล้วไปกระแทกโป๊ะ หรือเสาอะไรสักอย่าง เห็นว่าทะลุไปตั้ง 9 เมตรกว่า รูกว้าง 9.6 เมตร ขนาดใหญ่ เรือก็คว่ํา ก็จม แล้วคนอยู่ใต้ท้องเรือเยอะ ก็เสียใจด้วยนะครับ เป็นพี่น้องชาวมุสลิมส่วนใหญ่ ไปทําบุญ ไปอะไรสักอย่างด้วยกัน แล้วก็เหมาเรือกลับมา เรือเท่าที่ผมทราบบรรทุกได้ไม่ถึง 100 แต่ทราบว่าบรรทุกมา 200 กว่าคน มันเกินไปตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ บริษัทต่างๆ ผมสั่งงานไปแล้วว่าจะต้องรับผิดชอบดูแลค่าเสียหาย เยียวยา มีความผิดทางอาญาด้วย เรื่องอุปกรณ์การช่วยชีวิตมีพอเพียงหรือไม่ ปล่อยปละละเลยให้คนขึ้นอย่างไร ไม่ว่าเขาจะให้เงินเท่าไรก็ต้องไม่ไป คนจะจ้างถ้าเขาคิดถูกที่สุด แล้วไม่ปลอดภัยก็อย่าไปอีก ก็ไม่ตายทั้งคู่ ก็ไม่เดือดร้อนทั้งคู่ เป็นห่วงนะครับ
พิธีกร: ท่านนายกฯ เหนื่อยไหมครับ คือต้องคิดทุกเรื่อง
นายกรัฐมนตรี: ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงพูดว่าเหนื่อยนะ แต่วันนี้ผมไม่เหนื่อยหรอก 2 ปีที่เข้ามาผมไม่รู้สึกเหนื่อยเพราะผมมีกําลังใจที่จะทํางานให้กับพ่อแม่พี่น้องคนไทยเยอะแยะ ผมเห็นแววตาเขา ทุกคนที่มาพบผม เขาก็ฝากความหวังไว้ที่ผมเยอะพอสมควร ยิ่งเขามารักผมมากขึ้น หรือมารับรองผมมากขึ้น เวลาผมไปเยี่ยมเยือนเขา มันกดดันผมนะว่าผมต้องทําอะไรให้เขาให้สําเร็จ คําว่าสําเร็จของผมคือแก้ปัญหาเดิมไม่ให้กลับไปที่เดิม อันที่สองคือให้เดินไปข้างหน้า อันดับที่สามคือไม่ให้กลับที่เก่าใหม่ แล้วก็วางพื้นฐานประเทศให้เข้มแข็ง ด้วยความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน อันนี้เป็นทั้งของไทย และของสหประชาชาติด้วย นั่นแหละทําให้ผมไม่เหนื่อย ยังไงก็ไม่เหนื่อย ถึงจะโมโหบ้างผมก็ไม่เหนื่อย ธรรมดามนุษย์
พิธีกร: ท่านนายกฯ ครับ มาสหรัฐครั้งนี้ดูเหมือนว่าประเทศไทยจะมีภาพลักษณ์ที่เป็นเชิงบวกมากขึ้น ตรงนี้ท่านนายกฯ มองว่าเกิดขึ้นจากอะไรครับ
นายกรัฐมนตรี: ก็เกิดจากอันแรกคือบ้านเมืองปกติ ซึ่งที่ผ่านมาเขาก็ชื่นชมอยู่แล้ว เท่าที่ผมพบปะกับผู้นําหลายประเทศ ซึ่งวันนี้มีความคุ้นเคยกันมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งแรกที่ผมภูมิใจแล้วก็ตื้นตันใจก็คือเขาถามถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระอาการอย่างไร อะไรต่างๆ เหล่านี้นะ ผมก็บอกว่าท่านก็ทรงพระชนมายุมาก ท่านก็ทรงออกงานไม่ค่อยสะดวก ต้องอยู่ในความดูแลของหมอ แต่ท่านก็ทรงงานผ่านคณะองคมนตรีอยู่แล้ว เพราะท่านเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ พระราชอํานาจทั้งหมดทั้ง 3 อํานาจ ท่านพระราชทานให้กับรัฐบาล ทุกรัฐบาลก็ไปใช้ให้ดีแล้วกัน วันนี้ท่านก็ทรงคาดหวังมาโดยตลอดให้คนไทยมีความสุข วันนี้พวกเราช่วยกันทําให้พระองค์ท่านมีความสุขเถิด ทรงมีพระชนมายุมากแล้ว
อันที่สองที่เขาชื่นชมหรือ เขาบอกว่าประทับใจในความเป็นคนไทย มีรอยยิ้ม มีน้ําใจ มีความโอบอ้อมอารีอันที่สามคือเรื่องอาหาร ติดใจมากอาหารไทย วันนี้ผมนั่งเครื่องลุฟท์ฮันซ่ามา ผมเห็นมี ต้มข่าไก่ ถึงแม้จะรสชาติแปลก ๆ จากของเราบ้าง แต่ก็โอเคล่ะถือว่ามีชื่อเสียง ขึ้นเครื่องบินลุฟท์ฮันซ่า แล้วผมก็ถามเขาว่า แล้ววันนี้กับวันที่แล้ว เขาบอกพอใจวันนี้ สถานการณ์วันนี้ เพราะว่าบ้านเมืองสงบ ไม่มีการประท้วง เขาก็สามารถไปเที่ยวเล่นที่โน่นที่นี่ได้โดยสะดวก คนไทยก็ต้องอดทนนะ เพราะเราปล่อยให้สถานการณ์เหล่านั้นเป็นมายาวนาน ความขัดแย้งสูง ถ้าเราไม่ลดลงไป สิ่งเหล่านี้ก็ไม่เกิดขึ้น ประชาชนก็ไม่มีความสุข เศรษฐกิจก็เดินหน้าไม่ได้ เหล่านี้เป็นสิ่งสําคัญครับ
พิธีกร: นอกเหนือจากนโยบายที่รัฐบาลเป็นผู้กําหนดให้กับผู้ปฏิบัติได้ดําเนินการนะครับ ผมคิดว่า ประเด็นสําคัญก็คือน่าจะเป็นเรื่องของการปฏิบัติที่เกิดขึ้นทําให้เราได้รับการยอมรับจากประชาคมโลกเพิ่มมากขึ้น ท่านนายกฯ มองตรงนี้ไหมครับ
นายกรัฐมนตรี: สิ่งสําคัญผมคิดว่าไม่ต่างกันหรอกแต่ละประเทศ การที่เราเอาปัญหาทุกปัญหามากางออกมา แต่แตกต่างตรงไหนรู้ไหม แตกต่างตรงที่ทําอย่างไร เรารู้ว่าปัญหาเรามีอะไรทับซ้อนอยู่บ้าง เสร็จแล้วถึงไปดูว่า เราต้องการอะไรเป็นสิ่งสุดท้าย สุดท้ายก็มีเป้าหมายของแต่ละเรื่อง แต่ละกิจกรรม แต่นี่สําคัญสุดคือตรงกลาง คือกระบวนการ กระบวนการในการแก้ปัญหา การแก้ปัญหาเหล่านี้สําคัญ เพราะฉะนั้นจะต้องมีทั้งวิธีการ กระบวนการ มีทั้งกฎหมาย มีอะไรเยอะแยะไปหมด ท่านจะเห็นว่ารัฐบาลแก้ปัญหามา 2 ปี บางอย่างก็เสร็จไว บางอย่างก็ยังไม่เสร็จ เพราะต้องทําทั้งต้นทาง กลางทาง ปลายทาง ต้นทางก็คือการแก้ไขความขัดแย้งของเดิมให้ยุติเสียก่อน แล้วเราถึงจะได้ปัญหาออกมา เสร็จแล้วก็มาสู่การปฏิบัติ แล้วติดกฎหมายเข้าไปอีก ก็ต้องแก้กฎหมายอีก อะไรอีกใช่ไหม แล้วท้ายสุดก็คือสิ่งที่เราต้องการก็คือประชาชนมีความสุขใช่ไหม
วันนี้ต้องขอขอบคุณคณะทูตถาวรประจําสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ที่มาเตรียมงาน เตรียมการให้ผมอย่างเต็มที่ ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศทุกคน ทั้งอยู่ที่นี่และที่มาจากกรุงเทพฯ แล้วก็ต้องไม่ลืมคนไทยที่มาต้อนรับในวันแรกด้วย พวกนี้เขาก็เป็นห่วงใยประเทศชาติ ถึงแม้เขาจะมีถิ่นพํานักอยู่ที่นี่ก็ตาม เขาก็เป็นห่วงเป็นใย เขาฝากความหวังไว้กับผมนะ ผมก็รับไป ทุกครั้งที่มาเขาก็มารับผมทุกครั้ง แต่ผมก็บอกว่าเราขัดแย้งต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
อันที่สองคือสถานทูตด้านกรุงวอชิงตัน ก็มีส่วนร่วมในการเตรียมการเหล่านี้ไว้ด้วย มากี่ครั้งแล้วนะ มา 4 ครั้งแล้ว ผมได้รับการต้อนรับอย่างดียิ่งครับ ท่านประธานาธิบดีก็ได้ฝากบุคคลใกล้ชิดมาบอกว่าชื่นชมประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งครั้งนี้ 3 อย่างด้วยกัน ครั้งแรกก็คือเรื่องการดําเนินการต่อผู้ลี้ภัยของไทย ช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน อันที่สองคือการลงสัตยาบันอนุสัญญาปารีส สาม การแก้ปัญหา IUU เรื่องประมง 3-4 อย่างนี้ท่านประธานาธิบดีฝากขอบคุณมาถึงผมแล้วก็ถึงประเทศไทย ผมก็บอกว่าเป็นเรื่องของคนไทยทุกคน แล้วก็ให้เขารู้ว่ารัฐบาลผมทําทุกอย่างที่เป็นพันธะสัญญาโลก ไม่ได้บิดพลิ้วอะไรเลย สิ่งสําคัญคือ ถึงแม้ว่าคนไทยจะเดือดร้อนจากมาตรการต่างๆ เหล่านี้ แต่ผมคิดว่าวันหน้าเขาเข้าใจวันนี้ก็ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวประมงต้องเดือดร้อนแน่นอนครับ เพราะปล่อยปละละเลยมาเป็นเวลายาวนานจนกระทั่งหลายอย่างจากผิดกลายเป็นถูก แล้วก็เชื่อมั่นว่าถูกอยู่แล้ว แล้วก็บังคับใช้กฎหมายไม่ได้ อย่างเช่น การบุกรุกป่าอะไรต่างๆ เหล่านี้ ผิดมาตั้งนานแล้ว แล้วยิ่งปล่อยไป ความเสียหายก็มากขึ้น ๆ พอเรารื้อกลับมาที่เดิมก็เดือดร้อน แต่รัฐบาลนี้ก็พยายามจะแก้ปัญหาว่าจะแก้เขาได้อย่างไร การบุกรุกป่าไม่ใช่เอาเขาออกมาแล้วผลักไล่ไสส่งไปไหนก็ได้ ไม่ใช่ หาที่อยู่ให้เขา สิ่งนี้ยากแต่ผมก็พยายามคิดทุกอย่าง นอกกรอบบ้าง ในกรอบบ้าง แล้วอยู่ที่การปฏิบัติ ขับเคลื่อนให้เป็นผลสัมฤทธิ์ก็แล้วกัน
พิธีกร: ครับวันนี้ต้องกราบขอบพระคุณท่านนายกฯ เป็นอย่างสูงที่ได้กรุณาสละเวลามาเล่าเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ แล้วก็มีสาระให้ทุกท่านได้รับฟังกันนะครับ ขอบคุณมากครับ
นายกรัฐมนตรี: ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะผู้บริหารสำนักงาน ศาลยุติธรรมนำคณะเยาวชน ของ “โครงการเยาวชนไทยหัวใจเดียวกัน รุ่นที่ 6” เข้าเยี่ยมาคารวะนายกรัฐมนตรี
|
วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2561
คณะผู้บริหารสํานักงาน ศาลยุติธรรมนําคณะเยาวชน ของ “โครงการเยาวชนไทยหัวใจเดียวกัน รุ่นที่ 6” เข้าเยี่ยมาคารวะนายกรัฐมนตรี
นรม. ได้ย้ําให้โอวาทโดยให้เยาวชนทุกคนตระหนักในเรื่องการเรียนรู้เพื่อสามารถนํามาต่อยอดในการพัฒนาคุณภาพชีวิตตนเอง
และครอบครัว ซึ่งนําไปสู่การพัฒนาชาติบ้านเมืองให้มีความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืนต่อไป
วันนี้ (6 กันยายน 2561) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล นาย สไลเกษ วัฒนพันธุ์ รองประธานศาลฎีกา พร้อมด้วยคณะผู้บริหารสํานักงานศาลยุติธรรมได้นําคณะเยาวชนของ “โครงการเยาวชนไทยหัวใจเดียวกัน รุ่นที่ 6” จํานวนประมาณ 200 คน เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
โอกาสนี้ นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสํานักงานศาลยุติธรรม กล่าวรายงานว่า สํานักงานศาลยุติธรรมตระหนักถึงความสําคัญของเยาวชน โดยเฉพาะเยาวชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ที่อาจได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ จําเป็นต้องสร้างจิตสํานึกให้แก่เยาวชน ให้มีคุณธรรม จริยธรรมและส่งเสริมให้ได้รับความรู้ความเข้าใจ ด้านกฎหมาย สิทธิและหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน รวมถึงกระบวนการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสันติสุข สามารถนําความรู้ที่ได้รับไปขยายผลสร้างเครือข่ายในท้องถิ่นของตนเอง อันจะเป็นประโยชน์และนําความสงบสุขสู่ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืน ดังนั้น จึงจัดทําโครงการเยาวชนไทยหัวใจเดียวกัน (Belia Thai Sejiwa Sehati) รุ่นที่ 6 ให้แก่เยาวชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 18 ปี ซึ่งกําลังศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเทียบเท่าในสถาบันการศึกษาปอเนาะ หรือ โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม หรือโรงเรียนในระดับมัธยมศึกษาของรัฐ ซึ่งมีภูมิลําเนาหรือสถาบันการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ 4 อําเภอของจังหวัดสงขลา ได้แก่ อําเภอจะนะ อําเภอเทพา อําเภอนาทวี และอําเภอสะบ้าย้อย เข้าร่วมโครงการ
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวให้โอวาทความตอนหนึ่งว่า รัฐบาลตระหนักถึงความสําคัญในการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้มีความมั่นคง โดยที่ผ่านมาได้มีการลงพื้นที่ไปตรวจราชการ และพบปะกับพี่น้องประชาชน ได้รับทราบปัญหาและความต้องการของประชาชน จนนําไปสู่แนวทางการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ผ่านโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” เพื่อต้องการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ส่งเสริมให้มีการลงทุนจากภาคเอกชนที่จะสามารถสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่ ตลอดจนการมุ่งแก้ไขปัญหาร่วมกันด้วยสันติวิธีภายใต้ยุทธศาสตร์พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ส่งเสริมความรู้แก่นแท้ของหลักการ และน้อมนํากระแสพระราชดํารัส ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้านจิตสาธารณะหรือจิตอาสาช่วยเหลือสังคมไปประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจังและกว้างขวางในทุกภาคส่วน สร้างกระบวนการให้ประชาชนมีส่วนร่วมเพื่อชี้ให้เห็นถึงความจริงใจของรัฐบาลในการมุ่งมั่นพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีความเจริญก้าวหน้า ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี
นายกรัฐมนตรีให้โอวาทเพิ่มเติมว่า เยาวชนเป็นอนาคตของชาติแต่ความจริงแล้วเยาวชนไม่เพียงเป็นและมีส่วนสําคัญอย่างมากในการช่วยสนับสนุนการแก้ไขปัญหาของสังคมด้วย การมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่จะช่วยนําพาในการพัฒนาประเทศชาติอีกทางหนึ่ง แต่การที่เยาวชนจะเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพนั้น ความรู้ทางด้านวิชาการเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอต้องได้รับการบ่มเพาะทางด้านคุณธรรม จริยธรรม และนําหลักธรรมคําสอนทางศาสนามาเป็นหลักในการดําเนินชีวิต รวมทั้งต้องได้รับการเสริมสร้างประสบการณ์ชีวิตที่ดี เพื่อให้มีมุมมองชีวิตที่กว้างขึ้น มีความรอบรู้ และก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ดังนั้นการอบรมของสํานักงานศาลยุติธรรมในโครงการนี้ นอกจากจะส่งเสริมทางด้านความรู้ ด้านคุณธรรม และเสริมสร้างประสบการณ์ชีวิตที่ดีแล้ว เยาวชนทุกคนยังมีโอกาสได้เรียนรู้ถึงหลักนิติธรรม ซึ่งเป็นหลักสําคัญที่ฝ่ายตุลาการใช้ในการพิจารณาตัดสินคดี เพื่ออํานวยความเป็นธรรมให้ทุกคนทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันด้วยความสงบเรียบร้อย และก่อให้เกิดสันติสุขขึ้นในสังคมได้อย่างแท้จริง
.................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะผู้บริหารสำนักงาน ศาลยุติธรรมนำคณะเยาวชน ของ “โครงการเยาวชนไทยหัวใจเดียวกัน รุ่นที่ 6” เข้าเยี่ยมาคารวะนายกรัฐมนตรี
วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2561
คณะผู้บริหารสํานักงาน ศาลยุติธรรมนําคณะเยาวชน ของ “โครงการเยาวชนไทยหัวใจเดียวกัน รุ่นที่ 6” เข้าเยี่ยมาคารวะนายกรัฐมนตรี
นรม. ได้ย้ําให้โอวาทโดยให้เยาวชนทุกคนตระหนักในเรื่องการเรียนรู้เพื่อสามารถนํามาต่อยอดในการพัฒนาคุณภาพชีวิตตนเอง
และครอบครัว ซึ่งนําไปสู่การพัฒนาชาติบ้านเมืองให้มีความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืนต่อไป
วันนี้ (6 กันยายน 2561) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล นาย สไลเกษ วัฒนพันธุ์ รองประธานศาลฎีกา พร้อมด้วยคณะผู้บริหารสํานักงานศาลยุติธรรมได้นําคณะเยาวชนของ “โครงการเยาวชนไทยหัวใจเดียวกัน รุ่นที่ 6” จํานวนประมาณ 200 คน เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
โอกาสนี้ นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสํานักงานศาลยุติธรรม กล่าวรายงานว่า สํานักงานศาลยุติธรรมตระหนักถึงความสําคัญของเยาวชน โดยเฉพาะเยาวชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ที่อาจได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ จําเป็นต้องสร้างจิตสํานึกให้แก่เยาวชน ให้มีคุณธรรม จริยธรรมและส่งเสริมให้ได้รับความรู้ความเข้าใจ ด้านกฎหมาย สิทธิและหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน รวมถึงกระบวนการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสันติสุข สามารถนําความรู้ที่ได้รับไปขยายผลสร้างเครือข่ายในท้องถิ่นของตนเอง อันจะเป็นประโยชน์และนําความสงบสุขสู่ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืน ดังนั้น จึงจัดทําโครงการเยาวชนไทยหัวใจเดียวกัน (Belia Thai Sejiwa Sehati) รุ่นที่ 6 ให้แก่เยาวชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 18 ปี ซึ่งกําลังศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเทียบเท่าในสถาบันการศึกษาปอเนาะ หรือ โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม หรือโรงเรียนในระดับมัธยมศึกษาของรัฐ ซึ่งมีภูมิลําเนาหรือสถาบันการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ 4 อําเภอของจังหวัดสงขลา ได้แก่ อําเภอจะนะ อําเภอเทพา อําเภอนาทวี และอําเภอสะบ้าย้อย เข้าร่วมโครงการ
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวให้โอวาทความตอนหนึ่งว่า รัฐบาลตระหนักถึงความสําคัญในการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้มีความมั่นคง โดยที่ผ่านมาได้มีการลงพื้นที่ไปตรวจราชการ และพบปะกับพี่น้องประชาชน ได้รับทราบปัญหาและความต้องการของประชาชน จนนําไปสู่แนวทางการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ผ่านโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” เพื่อต้องการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ส่งเสริมให้มีการลงทุนจากภาคเอกชนที่จะสามารถสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่ ตลอดจนการมุ่งแก้ไขปัญหาร่วมกันด้วยสันติวิธีภายใต้ยุทธศาสตร์พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ส่งเสริมความรู้แก่นแท้ของหลักการ และน้อมนํากระแสพระราชดํารัส ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้านจิตสาธารณะหรือจิตอาสาช่วยเหลือสังคมไปประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจังและกว้างขวางในทุกภาคส่วน สร้างกระบวนการให้ประชาชนมีส่วนร่วมเพื่อชี้ให้เห็นถึงความจริงใจของรัฐบาลในการมุ่งมั่นพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีความเจริญก้าวหน้า ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี
นายกรัฐมนตรีให้โอวาทเพิ่มเติมว่า เยาวชนเป็นอนาคตของชาติแต่ความจริงแล้วเยาวชนไม่เพียงเป็นและมีส่วนสําคัญอย่างมากในการช่วยสนับสนุนการแก้ไขปัญหาของสังคมด้วย การมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่จะช่วยนําพาในการพัฒนาประเทศชาติอีกทางหนึ่ง แต่การที่เยาวชนจะเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพนั้น ความรู้ทางด้านวิชาการเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอต้องได้รับการบ่มเพาะทางด้านคุณธรรม จริยธรรม และนําหลักธรรมคําสอนทางศาสนามาเป็นหลักในการดําเนินชีวิต รวมทั้งต้องได้รับการเสริมสร้างประสบการณ์ชีวิตที่ดี เพื่อให้มีมุมมองชีวิตที่กว้างขึ้น มีความรอบรู้ และก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ดังนั้นการอบรมของสํานักงานศาลยุติธรรมในโครงการนี้ นอกจากจะส่งเสริมทางด้านความรู้ ด้านคุณธรรม และเสริมสร้างประสบการณ์ชีวิตที่ดีแล้ว เยาวชนทุกคนยังมีโอกาสได้เรียนรู้ถึงหลักนิติธรรม ซึ่งเป็นหลักสําคัญที่ฝ่ายตุลาการใช้ในการพิจารณาตัดสินคดี เพื่ออํานวยความเป็นธรรมให้ทุกคนทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันด้วยความสงบเรียบร้อย และก่อให้เกิดสันติสุขขึ้นในสังคมได้อย่างแท้จริง
.................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15191
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันมีการเลือกตั้งแน่นอน ส่วนจะเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
|
วันอังคารที่ 23 มกราคม 2561
นายกรัฐมนตรียืนยันมีการเลือกตั้งแน่นอน ส่วนจะเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นายกรัฐมนตรียืนยันมีการเลือกตั้งแน่นอน ส่วนจะเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
วันนี้ (23 มกราคม 2560) เวลา 13.40 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึง พรบ.การเลือกตั้งว่า เป็นการทํางานของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) โดยส่วนตัวรับฟังเหตุผลมาตลอด แต่ทั้งนี้ ต้องมีขั้นตอนการพิจารณาอีกหลายขั้นตอน ซึ่งต้องตั้งคณะกรรมการ 3 ฝ่ายพิจารณาร่วมกัน พร้อมกล่าวยืนยันว่า จะมีการเลือกตั้งแน่นอน ส่วนจะเมื่อไหร่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า เราต้องทําให้สภามีความเข้มแข็ง ต้องเชื่อมั่น เพราะที่ผ่านมาเราไม่ค่อยเชื่อมั่นต่อสภามากนัก โดนตนเองต้องทําเป็นตัวอย่าง ต้องเชื่อมั่นใน สนช และ กรธ. และจะไม่เข้าไปก้าวล่วงการทํางาน เพราะการก้าวล่วงการทํางานเป็นสิ่งไม่ดี จะทําให้ทุกคนทํางานไม่ได้ พร้อมทั้งต้องรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
--------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันมีการเลือกตั้งแน่นอน ส่วนจะเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
วันอังคารที่ 23 มกราคม 2561
นายกรัฐมนตรียืนยันมีการเลือกตั้งแน่นอน ส่วนจะเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นายกรัฐมนตรียืนยันมีการเลือกตั้งแน่นอน ส่วนจะเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
วันนี้ (23 มกราคม 2560) เวลา 13.40 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึง พรบ.การเลือกตั้งว่า เป็นการทํางานของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) โดยส่วนตัวรับฟังเหตุผลมาตลอด แต่ทั้งนี้ ต้องมีขั้นตอนการพิจารณาอีกหลายขั้นตอน ซึ่งต้องตั้งคณะกรรมการ 3 ฝ่ายพิจารณาร่วมกัน พร้อมกล่าวยืนยันว่า จะมีการเลือกตั้งแน่นอน ส่วนจะเมื่อไหร่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า เราต้องทําให้สภามีความเข้มแข็ง ต้องเชื่อมั่น เพราะที่ผ่านมาเราไม่ค่อยเชื่อมั่นต่อสภามากนัก โดนตนเองต้องทําเป็นตัวอย่าง ต้องเชื่อมั่นใน สนช และ กรธ. และจะไม่เข้าไปก้าวล่วงการทํางาน เพราะการก้าวล่วงการทํางานเป็นสิ่งไม่ดี จะทําให้ทุกคนทํางานไม่ได้ พร้อมทั้งต้องรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
--------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9567
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.สุริยะฯ ร่วมพิธีทำบุญ 5 ศาสนา เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
|
วันพุธที่ 24 กรกฎาคม 2562
รมต.สุริยะฯ ร่วมพิธีทําบุญ 5 ศาสนา เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีทําบุญ 5 ศาสนา เนื่องในวันเฉลิม พระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
วันนี้ (24 กรกฎาคม 2562) เวลา 08.15 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีทําบุญ 5 ศาสนา เนื่องในวันเฉลิม พระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีการประกอบพิธีทางศาสนาของผู้นํา ทั้ง 5 ศาสนา ประกอบด้วยศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ - ฮินดูและซิกข์ ทําพิธีทางศาสนาตามลําดับ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งในงานพิธีมีคณะรัฐมนตรีพร้อมคู่สมรส ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภาประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ องค์กรอิสระ และข้าราชการเข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง ณ ทําเนียบรัฐบาล #กระทรวงอุตสาหกรรม #พิธีทําบุญ 5 ศาสนา
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.สุริยะฯ ร่วมพิธีทำบุญ 5 ศาสนา เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
วันพุธที่ 24 กรกฎาคม 2562
รมต.สุริยะฯ ร่วมพิธีทําบุญ 5 ศาสนา เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีทําบุญ 5 ศาสนา เนื่องในวันเฉลิม พระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
วันนี้ (24 กรกฎาคม 2562) เวลา 08.15 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีทําบุญ 5 ศาสนา เนื่องในวันเฉลิม พระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีการประกอบพิธีทางศาสนาของผู้นํา ทั้ง 5 ศาสนา ประกอบด้วยศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ - ฮินดูและซิกข์ ทําพิธีทางศาสนาตามลําดับ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งในงานพิธีมีคณะรัฐมนตรีพร้อมคู่สมรส ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภาประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ องค์กรอิสระ และข้าราชการเข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง ณ ทําเนียบรัฐบาล #กระทรวงอุตสาหกรรม #พิธีทําบุญ 5 ศาสนา
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21735
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ เยียวยา SMEs ตามมาตรการแบงก์ชาติ พักชำระหนี้ 6 เดือนอัตโนมัติ พร้อมอัดเงินเพิ่มเสริมสภาพคล่อง
|
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563
ไอแบงก์ เยียวยา SMEs ตามมาตรการแบงก์ชาติ พักชําระหนี้ 6 เดือนอัตโนมัติ พร้อมอัดเงินเพิ่มเสริมสภาพคล่อง
ไอแบงก์พร้อมเยียวยาลูกค้าผู้ประกอบการ SMEs ตามมาตรการของ ธปท. เพื่อช่วยเหลือ SMEs ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจาก COVID-19 ด้วยสองมาตรการช่วยเหลือ ทั้งการพักชําระหนี้เงินต้นและกําไร นาน 6 เดือน และการให้วงเงินสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) พร้อมเยียวยาลูกค้าผู้ประกอบการ SMEs ตามมาตรการของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อช่วยเหลือ SMEs ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจาก COVID-19 ด้วยสอง มาตรการช่วยเหลือ ทั้งการพักชําระหนี้เงินต้นและกําไร นาน 6 เดือน และการให้วงเงินสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง คิดอัตรากําไรต่ําพิเศษ 2% 2 ปี พร้อมฟรีกําไร 6 เดือนแรก
จากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจาก COVID-19 ส่งผลให้ผู้ประกอบการหลายรายประสบปัญหา ไอแบงก์ ขานรับเยียวยาลูกค้าตามมาตรการของ ธปท. ทันที 2 มาตรการ เพื่อช่วยเหลือลูกค้า SMEs ดังนี้
1. มาตรการพักชําระหนี้เงินต้นและกําไร ระยะเวลา นาน 6 เดือน เพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อ ไม่เกิน 100 ล้านบาท โดยธนาคารจะดําเนินการปรับให้อัตโนมัติ ลูกค้าไม่ต้องติดต่อใดๆ กับธนาคาร ซึ่งจะเริ่มมีผลตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 นี้ เป็นต้นไป จะไม่ถือเป็นการผิดนัดชําระหนี้ของลูกค้าและจะไม่เสียประวัติข้อมูลเครดิต
2. มาตรการสินเชื่อเสริมสภาพคล่อง เพื่อให้ความช่วยเหลือกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500 ล้านบาท โดยจะเป็นการให้สินเชื่อใหม่กับลูกค้าเดิมของธนาคาร วงเงินไม่เกิน 20% ของยอดหนี้คงค้าง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 ซึ่งจะคิดอัตรากําไรพิเศษ 2% ต่อปี นาน 2 ปี พร้อมฟรีกําไร 6 เดือนแรก ลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อแจ้งความประสงค์กับเจ้าหน้าที่สินเชื่อที่ดูแลบัญชีของท่าน หรือติดต่อที่ ไอแบงก์ ทุกสาขาทั่วประเทศ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ เยียวยา SMEs ตามมาตรการแบงก์ชาติ พักชำระหนี้ 6 เดือนอัตโนมัติ พร้อมอัดเงินเพิ่มเสริมสภาพคล่อง
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563
ไอแบงก์ เยียวยา SMEs ตามมาตรการแบงก์ชาติ พักชําระหนี้ 6 เดือนอัตโนมัติ พร้อมอัดเงินเพิ่มเสริมสภาพคล่อง
ไอแบงก์พร้อมเยียวยาลูกค้าผู้ประกอบการ SMEs ตามมาตรการของ ธปท. เพื่อช่วยเหลือ SMEs ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจาก COVID-19 ด้วยสองมาตรการช่วยเหลือ ทั้งการพักชําระหนี้เงินต้นและกําไร นาน 6 เดือน และการให้วงเงินสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) พร้อมเยียวยาลูกค้าผู้ประกอบการ SMEs ตามมาตรการของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อช่วยเหลือ SMEs ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจาก COVID-19 ด้วยสอง มาตรการช่วยเหลือ ทั้งการพักชําระหนี้เงินต้นและกําไร นาน 6 เดือน และการให้วงเงินสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง คิดอัตรากําไรต่ําพิเศษ 2% 2 ปี พร้อมฟรีกําไร 6 เดือนแรก
จากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจาก COVID-19 ส่งผลให้ผู้ประกอบการหลายรายประสบปัญหา ไอแบงก์ ขานรับเยียวยาลูกค้าตามมาตรการของ ธปท. ทันที 2 มาตรการ เพื่อช่วยเหลือลูกค้า SMEs ดังนี้
1. มาตรการพักชําระหนี้เงินต้นและกําไร ระยะเวลา นาน 6 เดือน เพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อ ไม่เกิน 100 ล้านบาท โดยธนาคารจะดําเนินการปรับให้อัตโนมัติ ลูกค้าไม่ต้องติดต่อใดๆ กับธนาคาร ซึ่งจะเริ่มมีผลตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 นี้ เป็นต้นไป จะไม่ถือเป็นการผิดนัดชําระหนี้ของลูกค้าและจะไม่เสียประวัติข้อมูลเครดิต
2. มาตรการสินเชื่อเสริมสภาพคล่อง เพื่อให้ความช่วยเหลือกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500 ล้านบาท โดยจะเป็นการให้สินเชื่อใหม่กับลูกค้าเดิมของธนาคาร วงเงินไม่เกิน 20% ของยอดหนี้คงค้าง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 ซึ่งจะคิดอัตรากําไรพิเศษ 2% ต่อปี นาน 2 ปี พร้อมฟรีกําไร 6 เดือนแรก ลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อแจ้งความประสงค์กับเจ้าหน้าที่สินเชื่อที่ดูแลบัญชีของท่าน หรือติดต่อที่ ไอแบงก์ ทุกสาขาทั่วประเทศ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28799
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยมุ่งกระชับความร่วมมือเพื่อรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่และการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี ในกรอบอาเซียน-ออสเตรเลีย
|
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2559
ไทยมุ่งกระชับความร่วมมือเพื่อรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่และการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี ในกรอบอาเซียน-ออสเตรเลีย
วันนี้ (7 ก.ย. 59) เวลา 16.15 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้นําสมาชิกอาเซียน และนายกรัฐมนตรีมัลคอล์ม เทิร์นบูลล์ (Hon. Malcolm Turnbull) นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย ครั้งที่ 2
วันนี้ (7 ก.ย. 59) เวลา 16.15 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้นําสมาชิกอาเซียน และนายกรัฐมนตรีมัลคอล์ม เทิร์นบูลล์ (Hon. Malcolm Turnbull) นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย ครั้งที่ 2 ณ ห้องประชุม 3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พลตรีวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ออสเตรเลียเป็นมิตรของอาเซียนมาอย่างยาวนาน จนความสัมพันธ์ได้พัฒนาขึ้นในทุกมิติจนกลายมาเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ซึ่งไทยชื่นชมบทบาทที่แข็งขันของออสเตรเลียในภูมิภาค ทั้งการมีส่วนร่วมรักษาเสถียรภาพ ส่งเสริมความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงการสนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในอาเซียนตลอดมา
ในที่ประชุม นายกรัฐมนตรีได้เสนอ 2 แนวทาง ที่จะช่วยขับเคลื่อนความร่วมมือแบบหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียนกับออสเตรเลีย
ประการแรกอาเซียนและออสเตรเลียควรเร่งเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันมากยิ่งขึ้นในการรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ และเสนอให้มีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างออสเตรเลียกับศูนย์อาเซียนนาร์โค (ASEANARCO) ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย เพื่อช่วยแก้ไขปัญหายาเสพติดในภูมิภาค รวมทั้ง พัฒนาโครงการความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ โดยผ่านกรอบความร่วมมือต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติระหว่างอาเซียนกับออสเตรเลีย
ประการที่สองนายกรัฐมนตรีเสนอให้มีความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของอาเซียน กับออสเตรเลีย ซึ่งถือเป็นกุญแจสําคัญที่จะนําไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนที่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนในอาเซียน
ไทยเห็นว่า ออสเตรเลียเป็นประเทศหนึ่งที่เป็นต้นแบบที่ดีในด้านความก้าวหน้าทางนวัตกรรม และการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเศรษฐกิจและสังคม ด้านการพัฒนาธุรกิจ การเกษตรที่ยั่งยืน การบริหารจัดการภัยพิบัติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสาธารณสุข และไทยพร้อมที่จะให้มีการจัด Workshop ระหว่างผู้ประกอบการ SMEs ในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมระหว่างอาเซียนกับออสเตรเลีย เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์มาสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืน
นอกจากนี้ ไทยยังสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนบุคลากรทางการศึกษา วิชาการ วิจัยในทุกมิติ ภายใต้แผนปฏิบัติการโคลัมโบฉบับใหม่ของออสเตรเลีย (พ.ศ. 2558-2563) และสภาออสเตรเลีย-อาเซียน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนแนวคิดและองค์ความรู้ อีกทั้งพัฒนาคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นพลังสําคัญในการเสริมสร้างศักยภาพของภูมิภาคต่อไป เพื่อเป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ควบคู่กันไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยมุ่งกระชับความร่วมมือเพื่อรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่และการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี ในกรอบอาเซียน-ออสเตรเลีย
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2559
ไทยมุ่งกระชับความร่วมมือเพื่อรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่และการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี ในกรอบอาเซียน-ออสเตรเลีย
วันนี้ (7 ก.ย. 59) เวลา 16.15 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้นําสมาชิกอาเซียน และนายกรัฐมนตรีมัลคอล์ม เทิร์นบูลล์ (Hon. Malcolm Turnbull) นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย ครั้งที่ 2
วันนี้ (7 ก.ย. 59) เวลา 16.15 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้นําสมาชิกอาเซียน และนายกรัฐมนตรีมัลคอล์ม เทิร์นบูลล์ (Hon. Malcolm Turnbull) นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย ครั้งที่ 2 ณ ห้องประชุม 3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พลตรีวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ออสเตรเลียเป็นมิตรของอาเซียนมาอย่างยาวนาน จนความสัมพันธ์ได้พัฒนาขึ้นในทุกมิติจนกลายมาเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ซึ่งไทยชื่นชมบทบาทที่แข็งขันของออสเตรเลียในภูมิภาค ทั้งการมีส่วนร่วมรักษาเสถียรภาพ ส่งเสริมความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงการสนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในอาเซียนตลอดมา
ในที่ประชุม นายกรัฐมนตรีได้เสนอ 2 แนวทาง ที่จะช่วยขับเคลื่อนความร่วมมือแบบหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียนกับออสเตรเลีย
ประการแรกอาเซียนและออสเตรเลียควรเร่งเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันมากยิ่งขึ้นในการรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ และเสนอให้มีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างออสเตรเลียกับศูนย์อาเซียนนาร์โค (ASEANARCO) ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย เพื่อช่วยแก้ไขปัญหายาเสพติดในภูมิภาค รวมทั้ง พัฒนาโครงการความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ โดยผ่านกรอบความร่วมมือต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติระหว่างอาเซียนกับออสเตรเลีย
ประการที่สองนายกรัฐมนตรีเสนอให้มีความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของอาเซียน กับออสเตรเลีย ซึ่งถือเป็นกุญแจสําคัญที่จะนําไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนที่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนในอาเซียน
ไทยเห็นว่า ออสเตรเลียเป็นประเทศหนึ่งที่เป็นต้นแบบที่ดีในด้านความก้าวหน้าทางนวัตกรรม และการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเศรษฐกิจและสังคม ด้านการพัฒนาธุรกิจ การเกษตรที่ยั่งยืน การบริหารจัดการภัยพิบัติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสาธารณสุข และไทยพร้อมที่จะให้มีการจัด Workshop ระหว่างผู้ประกอบการ SMEs ในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมระหว่างอาเซียนกับออสเตรเลีย เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์มาสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืน
นอกจากนี้ ไทยยังสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนบุคลากรทางการศึกษา วิชาการ วิจัยในทุกมิติ ภายใต้แผนปฏิบัติการโคลัมโบฉบับใหม่ของออสเตรเลีย (พ.ศ. 2558-2563) และสภาออสเตรเลีย-อาเซียน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนแนวคิดและองค์ความรู้ อีกทั้งพัฒนาคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นพลังสําคัญในการเสริมสร้างศักยภาพของภูมิภาคต่อไป เพื่อเป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ควบคู่กันไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/332
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนา เรื่องการจัดทำแผนหลัก (Master Plan) ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ
|
วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน 2559
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนา เรื่องการจัดทําแผนหลัก (Master Plan) ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนา เรื่องการจัดทําแผนหลัก (Master Plan) ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2559 นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนา เรื่องการจัดทําแผนหลัก (Master Plan) ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ณ ห้องเมย์แฟร์บอลรูม เอ-บี ชั้น 11 โรงแรมเดอะเบอร์เคลีย์ ประตูน้ํา กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนา เรื่องการจัดทำแผนหลัก (Master Plan) ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ
วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน 2559
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนา เรื่องการจัดทําแผนหลัก (Master Plan) ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนา เรื่องการจัดทําแผนหลัก (Master Plan) ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2559 นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนา เรื่องการจัดทําแผนหลัก (Master Plan) ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ณ ห้องเมย์แฟร์บอลรูม เอ-บี ชั้น 11 โรงแรมเดอะเบอร์เคลีย์ ประตูน้ํา กรุงเทพฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/804
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู่”จับมือ 2 เพื่อนบ้าน จัดระบบคิว มั่นใจพิสูจน์สัญชาติต่างด้าวทันกำหนด
|
วันพุธที่ 6 ธันวาคม 2560
“บิ๊กอู่”จับมือ 2 เพื่อนบ้าน จัดระบบคิว มั่นใจพิสูจน์สัญชาติต่างด้าวทันกําหนด
รมว.แรงงาน ให้การต้อนรับ ออท.เมียนมา และกัมพูชา หารือประเด็นการจัดระเบียบแรงงาน
ต่างด้าว ทบทวนการปฏิบัติและเพิ่มขีดความสามารถ พร้อมสนับสนุนเจ้าหน้าที่ให้เกิดความคล่องตัว สามารถพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวให้ทันภายใน 31 มีนาคม 2561
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังให้การต้อนรับ H.E.U Myo Myint Than เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาประจําประเทศไทย และ H.E.Mr.Long Visalo เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรกัมพูชาประจําประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการประเด็นการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว ณ ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยกล่าวว่า วันนี้ได้หารือร่วมกับ 2 ประเทศทั้งเมียนมาและกัมพูชา ประเด็นเร่งด่วนเรื่องการจัดระเบียบพิสูจน์สัญชาติ โดยได้หารือกับเมียนมาเพื่อร่วมกันจัดระบบงานให้มีความคล่องตัวขึ้นโดยการเพิ่มเจ้าหน้าที่ให้สามารถรองรับปริมาณงานได้ รวมทั้งการแก้ไขปัญหานายหน้าเถื่อน ในส่วนของกัมพูชาที่มีแรงงานอยู่ประมาณ 500,000 คน ในจํานวนนี้มีพาสปอร์ตแล้วประมาณ 100,000 คน ส่วนที่เหลือก็จะพยายามจัดระบบให้สามารถขับเคลื่อนได้เร็วขึ้น โดยการทบทวนการปฏิบัติและเพิ่มขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ในการทํางานร่วมกัน ซึ่งทั้งสองประเทศก็ให้ความร่วมมืออย่างแน่นแฟ้น เพื่อให้การดําเนินการแล้วเสร็จภายใน 31 มีนาคม 2561
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมายังไม่มีเจ้าภาพหลักดําเนินการอย่างเป็นระบบ ซึ่งจากการหารือในวันนี้ได้กําชับให้กรมการจัดหางานเป็นเจ้าภาพทุกศูนย์ฯ เพื่อบูรณาการทํางานระหว่างรัฐบาลฝ่ายเมียนมา ฝ่ายกัมพูชา และฝ่ายไทย ซึ่งมีกระทรวงสาธารณสุข สํานักงานตํารวจตรวจคนเข้าเมือง และกระทรวงแรงงาน ส่วนกรณีการจัดระบบคิวที่ยังไม่คล่องตัวนั้น พล.ต.อ.อดุลย์ฯ ได้กําชับว่าไม่ให้มีระบบสายนายหน้าเด็ดขาด โดยเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานจะจัดระบบคิวเพื่อให้การทํางานลื่นไหล รวดเร็ว ซึ่งได้สั่งการให้นําผลการหารือในวันนี้ไปวางแผนปรับระบบการทํางานให้เรียบร้อยเพื่อให้สามารถดําเนินการ
ได้ทันที
ทั้งนี้ ทางการกัมพูชาได้ดําเนินการออกหนังสือเดินทาง (Passport) ให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาไปแล้ว 100,000 เล่ม ส่วนที่เหลืออีก 400,000 เล่ม จะจัดเจ้าหน้าที่เพื่อดําเนินการแจกเล่มให้แล้วเสร็จภายในกําหนด ส่วนกรณีการออกหนังสือเดินทาง (Passport) ที่มีหลายขั้นตอนและมีค่าใช้จ่ายสูงนั้น ทางการกัมพูชาจะหาแนวทางที่เหมาะสมเพื่อปรับขั้นตอนและค่าใช้จ่ายให้เป็นไปในรูปแบบที่ดีขึ้น โดย พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในสัปดาห์หน้าจะลงพื้นที่ร่วมกัน ออท.กัมพูชา ไปตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของศูนย์ออกเอกสารรับรองบุคคลสัญชาติกัมพูชาในกรุงเทพมหานคร ณ อิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว เพื่อให้กําลังใจเจ้าหน้าที่และวางระบบการทํางานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
--------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/
6 ธันวาคม 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู่”จับมือ 2 เพื่อนบ้าน จัดระบบคิว มั่นใจพิสูจน์สัญชาติต่างด้าวทันกำหนด
วันพุธที่ 6 ธันวาคม 2560
“บิ๊กอู่”จับมือ 2 เพื่อนบ้าน จัดระบบคิว มั่นใจพิสูจน์สัญชาติต่างด้าวทันกําหนด
รมว.แรงงาน ให้การต้อนรับ ออท.เมียนมา และกัมพูชา หารือประเด็นการจัดระเบียบแรงงาน
ต่างด้าว ทบทวนการปฏิบัติและเพิ่มขีดความสามารถ พร้อมสนับสนุนเจ้าหน้าที่ให้เกิดความคล่องตัว สามารถพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวให้ทันภายใน 31 มีนาคม 2561
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังให้การต้อนรับ H.E.U Myo Myint Than เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาประจําประเทศไทย และ H.E.Mr.Long Visalo เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรกัมพูชาประจําประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการประเด็นการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว ณ ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยกล่าวว่า วันนี้ได้หารือร่วมกับ 2 ประเทศทั้งเมียนมาและกัมพูชา ประเด็นเร่งด่วนเรื่องการจัดระเบียบพิสูจน์สัญชาติ โดยได้หารือกับเมียนมาเพื่อร่วมกันจัดระบบงานให้มีความคล่องตัวขึ้นโดยการเพิ่มเจ้าหน้าที่ให้สามารถรองรับปริมาณงานได้ รวมทั้งการแก้ไขปัญหานายหน้าเถื่อน ในส่วนของกัมพูชาที่มีแรงงานอยู่ประมาณ 500,000 คน ในจํานวนนี้มีพาสปอร์ตแล้วประมาณ 100,000 คน ส่วนที่เหลือก็จะพยายามจัดระบบให้สามารถขับเคลื่อนได้เร็วขึ้น โดยการทบทวนการปฏิบัติและเพิ่มขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ในการทํางานร่วมกัน ซึ่งทั้งสองประเทศก็ให้ความร่วมมืออย่างแน่นแฟ้น เพื่อให้การดําเนินการแล้วเสร็จภายใน 31 มีนาคม 2561
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมายังไม่มีเจ้าภาพหลักดําเนินการอย่างเป็นระบบ ซึ่งจากการหารือในวันนี้ได้กําชับให้กรมการจัดหางานเป็นเจ้าภาพทุกศูนย์ฯ เพื่อบูรณาการทํางานระหว่างรัฐบาลฝ่ายเมียนมา ฝ่ายกัมพูชา และฝ่ายไทย ซึ่งมีกระทรวงสาธารณสุข สํานักงานตํารวจตรวจคนเข้าเมือง และกระทรวงแรงงาน ส่วนกรณีการจัดระบบคิวที่ยังไม่คล่องตัวนั้น พล.ต.อ.อดุลย์ฯ ได้กําชับว่าไม่ให้มีระบบสายนายหน้าเด็ดขาด โดยเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานจะจัดระบบคิวเพื่อให้การทํางานลื่นไหล รวดเร็ว ซึ่งได้สั่งการให้นําผลการหารือในวันนี้ไปวางแผนปรับระบบการทํางานให้เรียบร้อยเพื่อให้สามารถดําเนินการ
ได้ทันที
ทั้งนี้ ทางการกัมพูชาได้ดําเนินการออกหนังสือเดินทาง (Passport) ให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาไปแล้ว 100,000 เล่ม ส่วนที่เหลืออีก 400,000 เล่ม จะจัดเจ้าหน้าที่เพื่อดําเนินการแจกเล่มให้แล้วเสร็จภายในกําหนด ส่วนกรณีการออกหนังสือเดินทาง (Passport) ที่มีหลายขั้นตอนและมีค่าใช้จ่ายสูงนั้น ทางการกัมพูชาจะหาแนวทางที่เหมาะสมเพื่อปรับขั้นตอนและค่าใช้จ่ายให้เป็นไปในรูปแบบที่ดีขึ้น โดย พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในสัปดาห์หน้าจะลงพื้นที่ร่วมกัน ออท.กัมพูชา ไปตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของศูนย์ออกเอกสารรับรองบุคคลสัญชาติกัมพูชาในกรุงเทพมหานคร ณ อิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว เพื่อให้กําลังใจเจ้าหน้าที่และวางระบบการทํางานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
--------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/
6 ธันวาคม 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8580
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 7 กุมภาพันธ์ 2560
|
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2560
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 7 กุมภาพันธ์ 2560
วันนี้ (7 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 7 กุมภาพันธ์ 2560
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2560
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 7 กุมภาพันธ์ 2560
วันนี้ (7 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1761
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ เยือนเกาหลีใต้ ร่วมเป็น 1 ใน 7 ประเทศถกเวทีระดับผู้กำหนดนโยบายในภูมิภาคเอเชียแก้ไอยูยู
|
วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน 2559
รัฐมนตรีเกษตรฯ เยือนเกาหลีใต้ ร่วมเป็น 1 ใน 7 ประเทศถกเวทีระดับผู้กําหนดนโยบายในภูมิภาคเอเชียแก้ไอยูยู
รัฐมนตรีเกษตรฯ เยือนเกาหลีใต้ ร่วมเป็น 1 ใน 7 ประเทศถกเวทีระดับผู้กําหนดนโยบายในภูมิภาคเอเชียแก้ไอยูยู และการบริหารทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน ย้ําจุดยืนเป็นผู้นําในการจัดทํา “นโยบายประมงร่วมอาเซียน” มุ่งเป้ามีการทําประมงยั่งยืนในภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรมภ
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมประชุมระดับ
ผู้กําหนดนโยบายในภูมิภาคเอเชีย เกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืนและการแก้ไขปัญหาไอยูยูระดับภูมิภาค ซึ่งจัดขึ้นโดยกระทรวงมหาสมุทรและการประมง สาธารณรัฐเกาหลี ร่วมกับหน่วยงานเอ็นจีโอ ได้แก่ มูลนิธิความยุติธรรมสิ่งแวดล้อม (EJF) กลุ่มสิทธิมนุษยชนของอังกฤษและกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ร่วมกันจัดขึ้น ณ โรงแรมเวสอิน โชซัน กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลีว่าการประชุมครั้งนี้เป็นเวทีสําคัญที่ผู้จัดงานได้เชิญเจ้าหน้าที่ระดับสูง จากภูมิภาคเอเชีย รวม 7 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ไทย อินโดนีเซีย กัมพูชา ศรีลังกา และสาธารณรัฐเกาหลี (เจ้าภาพ) รวมทั้งองค์การระหว่างประเทศ และภาคเอกชนร่วมประชุม เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างภาครัฐในภูมิภาคเอเชียและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับแนวทางการขจัดการทําประมงที่ผิดกฎหมายขาดการรายงานและไร้การควบคุม (IUU) รวมทั้งแลกเปลี่ยนองค์ความรู้การจัดการทรัพยากรด้านประมงอย่างยั่งยืน
สําหรับประเทศไทยได้ใช้ประโยชน์จากเวทีนี้ในการแสดงถึงจุดยืนและความมุ่งมั่นในการร่วมเป็นหนึ่งในประเทศที่กําหนดนโยบายการจัดการความยั่งยืนของทะเลและทรัพยากรประมงซึ่งรัฐบาลไทยได้ให้ความสําคัญต่อการพัฒนาการประมงของไทยเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในอนาคตโดยได้กําหนดให้การแก้ไขปัญหาการประมงผิดกฎหมายและปัญหาแรงงานในภาคการประมงเป็นวาระแห่งชาติที่ได้เร่งรัดดําเนินการอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่นับว่าเป็นการปฏิรูปการประมงจากที่เคยปฏิบัติมาในอดีต ขณะเดียวกัน ยังได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาแรงงานทั้งระบบและในภาคการประมง ซึ่งสถานการณ์การค้ามนุษย์ “ทิพ รีพอร์ท” ของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศปรับสถานะประเทศไทยขณะนี้อยู่ใน “เทียร์ ทู วอชลิสต์” (Tier 2 Watch List)
อย่างไรก็ตาม การจัดการทรัพยากรทางทะเลไม่สามารถกระทําให้สําเร็จได้โดยประเทศใดประเทศหนึ่ง ประเทศไทยจึงเห็นความสําคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งกับมิตรประเทศในภูมิภาค ประเทศคู่ค้า และองค์การระหว่างประเทศ อาทิ อีเจเอฟ, กรีนพีซ, ไอแอลโอ, และองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ประชาคมอาเซียน ในฐานะที่เป็นแหล่งผลิตอาหารและสินค้าประมงที่สําคัญแห่งหนึ่งของโลก จึงควรมีการบริหารจัดการทรัพยากรในมิติต่างๆ ในทิศทางเดียวกัน ตามที่ได้ประกาศไว้ในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียน ด้านการเกษตรและป่าไม้ หรือ “อา-มาฟ” (AMAF) ครั้งที่ 38 ที่ประเทศสิงคโปร์เมื่อเดือนกันยายน 2016 ว่าประชาคมอาเซียน ควรกําหนดนโยบายประมงร่วมกัน เพื่อกําหนดเป้าหมายและแผนเป็นขั้นตอน โดยในปี 2560 ไทยจะจัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้แทนชาวประมงจากประเทศในภูมิภาคอาเซียน ประมาณเดือนมีนาคม 2560 พร้อมทั้งการประชุมวิชาการด้านการบริหารทรัพยากรประมง ระหว่างผู้กําหนดนโยบาย ผู้ปฏิบัติ และผู้เชี่ยวชาญจากทั่วทุกมุมโลก ประมาณเดือนกรกฎาคม 2017 เพื่อประชาคมอาเซียนจะสามารถนําผลที่ได้จากการประชุมทั้ง 2 ครั้ง จากภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน อันรวมถึงผู้ประกอบการประมงทั้งรายย่อยและรายใหญ่ในทุกระดับการผลิต
มาประกอบการร่างนโยบายประมงร่วมกัน ทั้งหมดนี้ เพื่อให้ทุกประเทศและทุกภาคส่วนในประชาคมอาเซียนก้าวเดินไปด้วยกัน
“การประชุมในระดับผู้กําหนดนโยบายในภูมิภาคเอเชียเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืนในครั้งนี้จึงสอดคล้องกับสิ่งที่ประเทศไทยได้มุ่งมั่นดําเนินการ และหวังว่าประชาคมอาเซียนจะร่วมกันผลักดันจุดยืนการทําประมงอย่างยั่งยืนให้เห็นผลเป็นรูปธรรมภายในปี 2562 และพร้อมที่จะทํางานร่วมกันในการจัดทํา “นโยบายประมงร่วมอาเซียน” โดยแสวงหาร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับสํานักเลขาธิการอาเซียนและประเทศสมาชิก องค์กรระดับภูมิภาค และองค์กรระหว่างประเทศ และพันธมิตรจากทั่วโลกและจะนําผลที่ได้จากการประชุมในครั้งนี้ไปใช้ประโยชน์เพื่อกําหนดนโยบายประมงสู่ความยั่งยืนต่อไป”พลเอก ฉัตรชัย กล่าว
------------------------------------
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ เยือนเกาหลีใต้ ร่วมเป็น 1 ใน 7 ประเทศถกเวทีระดับผู้กำหนดนโยบายในภูมิภาคเอเชียแก้ไอยูยู
วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน 2559
รัฐมนตรีเกษตรฯ เยือนเกาหลีใต้ ร่วมเป็น 1 ใน 7 ประเทศถกเวทีระดับผู้กําหนดนโยบายในภูมิภาคเอเชียแก้ไอยูยู
รัฐมนตรีเกษตรฯ เยือนเกาหลีใต้ ร่วมเป็น 1 ใน 7 ประเทศถกเวทีระดับผู้กําหนดนโยบายในภูมิภาคเอเชียแก้ไอยูยู และการบริหารทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน ย้ําจุดยืนเป็นผู้นําในการจัดทํา “นโยบายประมงร่วมอาเซียน” มุ่งเป้ามีการทําประมงยั่งยืนในภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรมภ
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมประชุมระดับ
ผู้กําหนดนโยบายในภูมิภาคเอเชีย เกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืนและการแก้ไขปัญหาไอยูยูระดับภูมิภาค ซึ่งจัดขึ้นโดยกระทรวงมหาสมุทรและการประมง สาธารณรัฐเกาหลี ร่วมกับหน่วยงานเอ็นจีโอ ได้แก่ มูลนิธิความยุติธรรมสิ่งแวดล้อม (EJF) กลุ่มสิทธิมนุษยชนของอังกฤษและกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ร่วมกันจัดขึ้น ณ โรงแรมเวสอิน โชซัน กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลีว่าการประชุมครั้งนี้เป็นเวทีสําคัญที่ผู้จัดงานได้เชิญเจ้าหน้าที่ระดับสูง จากภูมิภาคเอเชีย รวม 7 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ไทย อินโดนีเซีย กัมพูชา ศรีลังกา และสาธารณรัฐเกาหลี (เจ้าภาพ) รวมทั้งองค์การระหว่างประเทศ และภาคเอกชนร่วมประชุม เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างภาครัฐในภูมิภาคเอเชียและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับแนวทางการขจัดการทําประมงที่ผิดกฎหมายขาดการรายงานและไร้การควบคุม (IUU) รวมทั้งแลกเปลี่ยนองค์ความรู้การจัดการทรัพยากรด้านประมงอย่างยั่งยืน
สําหรับประเทศไทยได้ใช้ประโยชน์จากเวทีนี้ในการแสดงถึงจุดยืนและความมุ่งมั่นในการร่วมเป็นหนึ่งในประเทศที่กําหนดนโยบายการจัดการความยั่งยืนของทะเลและทรัพยากรประมงซึ่งรัฐบาลไทยได้ให้ความสําคัญต่อการพัฒนาการประมงของไทยเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในอนาคตโดยได้กําหนดให้การแก้ไขปัญหาการประมงผิดกฎหมายและปัญหาแรงงานในภาคการประมงเป็นวาระแห่งชาติที่ได้เร่งรัดดําเนินการอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่นับว่าเป็นการปฏิรูปการประมงจากที่เคยปฏิบัติมาในอดีต ขณะเดียวกัน ยังได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาแรงงานทั้งระบบและในภาคการประมง ซึ่งสถานการณ์การค้ามนุษย์ “ทิพ รีพอร์ท” ของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศปรับสถานะประเทศไทยขณะนี้อยู่ใน “เทียร์ ทู วอชลิสต์” (Tier 2 Watch List)
อย่างไรก็ตาม การจัดการทรัพยากรทางทะเลไม่สามารถกระทําให้สําเร็จได้โดยประเทศใดประเทศหนึ่ง ประเทศไทยจึงเห็นความสําคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งกับมิตรประเทศในภูมิภาค ประเทศคู่ค้า และองค์การระหว่างประเทศ อาทิ อีเจเอฟ, กรีนพีซ, ไอแอลโอ, และองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ประชาคมอาเซียน ในฐานะที่เป็นแหล่งผลิตอาหารและสินค้าประมงที่สําคัญแห่งหนึ่งของโลก จึงควรมีการบริหารจัดการทรัพยากรในมิติต่างๆ ในทิศทางเดียวกัน ตามที่ได้ประกาศไว้ในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียน ด้านการเกษตรและป่าไม้ หรือ “อา-มาฟ” (AMAF) ครั้งที่ 38 ที่ประเทศสิงคโปร์เมื่อเดือนกันยายน 2016 ว่าประชาคมอาเซียน ควรกําหนดนโยบายประมงร่วมกัน เพื่อกําหนดเป้าหมายและแผนเป็นขั้นตอน โดยในปี 2560 ไทยจะจัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้แทนชาวประมงจากประเทศในภูมิภาคอาเซียน ประมาณเดือนมีนาคม 2560 พร้อมทั้งการประชุมวิชาการด้านการบริหารทรัพยากรประมง ระหว่างผู้กําหนดนโยบาย ผู้ปฏิบัติ และผู้เชี่ยวชาญจากทั่วทุกมุมโลก ประมาณเดือนกรกฎาคม 2017 เพื่อประชาคมอาเซียนจะสามารถนําผลที่ได้จากการประชุมทั้ง 2 ครั้ง จากภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน อันรวมถึงผู้ประกอบการประมงทั้งรายย่อยและรายใหญ่ในทุกระดับการผลิต
มาประกอบการร่างนโยบายประมงร่วมกัน ทั้งหมดนี้ เพื่อให้ทุกประเทศและทุกภาคส่วนในประชาคมอาเซียนก้าวเดินไปด้วยกัน
“การประชุมในระดับผู้กําหนดนโยบายในภูมิภาคเอเชียเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืนในครั้งนี้จึงสอดคล้องกับสิ่งที่ประเทศไทยได้มุ่งมั่นดําเนินการ และหวังว่าประชาคมอาเซียนจะร่วมกันผลักดันจุดยืนการทําประมงอย่างยั่งยืนให้เห็นผลเป็นรูปธรรมภายในปี 2562 และพร้อมที่จะทํางานร่วมกันในการจัดทํา “นโยบายประมงร่วมอาเซียน” โดยแสวงหาร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับสํานักเลขาธิการอาเซียนและประเทศสมาชิก องค์กรระดับภูมิภาค และองค์กรระหว่างประเทศ และพันธมิตรจากทั่วโลกและจะนําผลที่ได้จากการประชุมในครั้งนี้ไปใช้ประโยชน์เพื่อกําหนดนโยบายประมงสู่ความยั่งยืนต่อไป”พลเอก ฉัตรชัย กล่าว
------------------------------------
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/921
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำข้าราชการทุกภาคส่วนต้องประพฤติตนให้เหมาะสม อย่าทำลายภาพลักษณ์ขององค์กร
|
วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําข้าราชการทุกภาคส่วนต้องประพฤติตนให้เหมาะสม อย่าทําลายภาพลักษณ์ขององค์กร
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําข้าราชการทุกภาคส่วนต้องประพฤติตนให้เหมาะสม อย่าทําลายภาพลักษณ์ขององค์กร
วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 13.40 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีการเผยแพร่คลิปภาพที่มีตํารวจเข้าแถวรับซองอั่งเปาว่า ได้สั่งการไปแล้ว ให้ตรวจสอบ หากพบกระทําความผิดต้องดําเนินการลงโทษ หากไม่เป็นการกระทําความผิดต้องลงโทษทางวินัย พร้อมกล่าวเน้นย้ําให้ข้าราชการทุกส่วนราชการ ต้องประพฤติตนให้เหมาะสมอย่าทําลายภาพลักษณ์ขององค์กร ซึ่งกรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้นเป็นความเสียหายส่วนบุคคล จึงแก้ไขที่ตัวบุคคล
----------------------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำข้าราชการทุกภาคส่วนต้องประพฤติตนให้เหมาะสม อย่าทำลายภาพลักษณ์ขององค์กร
วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําข้าราชการทุกภาคส่วนต้องประพฤติตนให้เหมาะสม อย่าทําลายภาพลักษณ์ขององค์กร
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําข้าราชการทุกภาคส่วนต้องประพฤติตนให้เหมาะสม อย่าทําลายภาพลักษณ์ขององค์กร
วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 13.40 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีการเผยแพร่คลิปภาพที่มีตํารวจเข้าแถวรับซองอั่งเปาว่า ได้สั่งการไปแล้ว ให้ตรวจสอบ หากพบกระทําความผิดต้องดําเนินการลงโทษ หากไม่เป็นการกระทําความผิดต้องลงโทษทางวินัย พร้อมกล่าวเน้นย้ําให้ข้าราชการทุกส่วนราชการ ต้องประพฤติตนให้เหมาะสมอย่าทําลายภาพลักษณ์ขององค์กร ซึ่งกรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้นเป็นความเสียหายส่วนบุคคล จึงแก้ไขที่ตัวบุคคล
----------------------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10217
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. เดินหน้าเชิญชวนประชาชน ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วและโฟม
|
วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2562
รมว.ทส. เดินหน้าเชิญชวนประชาชน ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วและโฟม
รมว.ทส. เดินหน้าเชิญชวนประชาชน
ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วและโฟม
รมว.ทส. เดินหน้าเชิญชวนประชาชน
ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วและโฟม
วันที่ 12 ตุลาคม 2562 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพรบุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายนิวัฒน์ ภาตะนันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมเดินรณรงค์
กิจกรรม “ทําความดี ด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ ถุงพลาสติก” ณ ตลาดโก้งโค้ง บ้านแสงโสม อําเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อเตรียมความพร้อมและเชิญชวนประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้ถุงผ้าหรือวัสดุทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แทนการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว รวมถึงให้ความรู้ความเข้าใจการทิ้งขยะให้ลงถัง ทิ้งให้ถูก แยกขยะให้เป็น และร่วมกัน ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วและโฟม เพื่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน
โอกาสนี้ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบกล้าไม้(มะค่าโมง, สัก, มะฮอกกานี, ยางนา)ให้กับผู้แทน
อาสาสมัครพิทักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน จํานวน 16 อําเภอ และมอบสื่อการเรียนการสอนให้กับโรงเรียน จํานวน 2 โรงเรียน ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อีกทั้งเยี่ยมชมนิทรรศการจากหน่วยงานสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นํามาจัดแสดง เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจการลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วให้แก่ประชาชน
ทั้งนี้ ตลาดสด ตลาดชุมชน ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายใหญ่ และเป็นแหล่งที่มาหลักของขยะพลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นถุงพลาสติกหูหิ้ว แก้วพลาสติก หลอดพลาสติก กล่องโฟม เป็นต้น โดยเฉพาะขยะถุงพลาสติกหูหิ้ว พบว่ามีที่มาจากตลาดสด มากกว่าปีละ 18,000 ล้านใบ จึงถึงเวลาที่คนไทยต้องมาช่วยกันแก้ปัญหานี้ร่วมกัน ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กระทรวงฯ ได้ขับเคลื่อนการลด ละ และเลิกใช้พลาสติกที่เกินความจําเป็น รวมทั้งที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง ภายใต้โครงการทําความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม ด้วยการสร้างความร่วมมือกับภาคธุรกิจเอกชน ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ และตลาดสดทั่วประเทศ โดยในวันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป ห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ 43 แห่งทั่วประเทศจะงดให้บริการถุงพลาสติกหูหิ้วแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งให้กับลูกค้า
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. เดินหน้าเชิญชวนประชาชน ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วและโฟม
วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2562
รมว.ทส. เดินหน้าเชิญชวนประชาชน ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วและโฟม
รมว.ทส. เดินหน้าเชิญชวนประชาชน
ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วและโฟม
รมว.ทส. เดินหน้าเชิญชวนประชาชน
ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วและโฟม
วันที่ 12 ตุลาคม 2562 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพรบุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายนิวัฒน์ ภาตะนันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมเดินรณรงค์
กิจกรรม “ทําความดี ด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ ถุงพลาสติก” ณ ตลาดโก้งโค้ง บ้านแสงโสม อําเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อเตรียมความพร้อมและเชิญชวนประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้ถุงผ้าหรือวัสดุทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แทนการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว รวมถึงให้ความรู้ความเข้าใจการทิ้งขยะให้ลงถัง ทิ้งให้ถูก แยกขยะให้เป็น และร่วมกัน ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วและโฟม เพื่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน
โอกาสนี้ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบกล้าไม้(มะค่าโมง, สัก, มะฮอกกานี, ยางนา)ให้กับผู้แทน
อาสาสมัครพิทักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน จํานวน 16 อําเภอ และมอบสื่อการเรียนการสอนให้กับโรงเรียน จํานวน 2 โรงเรียน ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อีกทั้งเยี่ยมชมนิทรรศการจากหน่วยงานสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นํามาจัดแสดง เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจการลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วให้แก่ประชาชน
ทั้งนี้ ตลาดสด ตลาดชุมชน ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายใหญ่ และเป็นแหล่งที่มาหลักของขยะพลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นถุงพลาสติกหูหิ้ว แก้วพลาสติก หลอดพลาสติก กล่องโฟม เป็นต้น โดยเฉพาะขยะถุงพลาสติกหูหิ้ว พบว่ามีที่มาจากตลาดสด มากกว่าปีละ 18,000 ล้านใบ จึงถึงเวลาที่คนไทยต้องมาช่วยกันแก้ปัญหานี้ร่วมกัน ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กระทรวงฯ ได้ขับเคลื่อนการลด ละ และเลิกใช้พลาสติกที่เกินความจําเป็น รวมทั้งที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง ภายใต้โครงการทําความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม ด้วยการสร้างความร่วมมือกับภาคธุรกิจเอกชน ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ และตลาดสดทั่วประเทศ โดยในวันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป ห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ 43 แห่งทั่วประเทศจะงดให้บริการถุงพลาสติกหูหิ้วแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งให้กับลูกค้า
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23792
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม Thailand Car Free Day 2017 พร้อมรับมอบรถเข็นไฟฟ้าสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ (Wheelchair) เพื่อนำไปใช้ประโยชน์แก่คนพิการและผู้สูงอายุ
|
วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2560
ปลัด พม. เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม Thailand Car Free Day 2017 พร้อมรับมอบรถเข็นไฟฟ้าสําหรับคนพิการและผู้สูงอายุ (Wheelchair) เพื่อนําไปใช้ประโยชน์แก่คนพิการและผู้สูงอายุ
ปลัด พม. เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม Thailand Car Free Day 2017 พร้อมรับมอบรถเข็นไฟฟ้าสําหรับคนพิการและผู้สูงอายุ (Wheelchair) เพื่อนําไปใช้ประโยชน์แก่คนพิการและผู้สูงอายุ
วันที่19 พ.ย.60เวลา 07.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่านายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม Thailand Car Free Day 2017 พร้อมทั้งรับมอบรถเข็นไฟฟ้าสําหรับคนพิการและผู้สูงอายุ (Wheelchair) จํานวน 5 คัน เพื่อนําไปใช้ประโยชน์แก่คนพิการและผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ทั้งนี้ งานดังกล่าวจัดโดยบริษัทกลุ่ม เซ็นทรัล จํากัด ร่วมกับสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสมาคมจักรยานเพื่อสุขภาพไทย โดยมีผู้แทนกระทรวง พม. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตํารวจตระเวนชายแดน คณะผู้บริหารกลุ่มเซ็นทรัล สมาคมจักรยานเพื่อสุขภาพไทย สสส. และคณะนักปั่นจักรยาน รวมจํานวนกว่า 200 คน เข้าร่วมงาน ณ ลานสแควร์ A ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
นายพุฒิพัฒน์กล่าวว่า กิจกรรม World Car Free Day หรือวันปลอดรถโลก นั้น ทุกประเทศทั่วโลกต่างตระหนักและเล็งเห็นถึงความสําคัญของการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม โดยพร้อมใจกันรณรงค์ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล เปลี่ยนมาใช้รถขนส่งมวลชนและจักรยานเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลไทยได้ร่วมจัดกิจกรรมต่อเนื่องเป็นประจําทุกปี พร้อมกับให้การส่งเสริมและสนับสนุน ร่วมกับภาคเอกชน และประชาสังคม ในรูปแบบประชารัฐ และปีนี้ได้จัดกิจกรรมภายใต้ชื่อโครงการ "Central Group - Thailand Car Free Day 2017” โดยมีหน่วยงานจากภาครัฐ พนักงานอาสากลุ่มเซ็นทรัล และสถานเอกอัครราชทูต เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งร่วมกันปั่นจักรยานไปยังเส้นทางเซ็นทรัลเวิลด์ - แยกประตูน้ํา - ถนนราชปรารภ - ถนนราชวิถี - อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ - โรงพยาบาลรามาธิบดี - ถนนเพชรบุรี- ถนนราชดําริ - เซ็นทรัลเวิล์ด รวมระยะทาง 7.9 กิโลเมตร เพื่อสร้างพลังมวลชนให้สังคมเห็นความสําคัญในการลดการใช้พลังงาน อันเป็นนโยบายสําคัญที่ทุกภาคส่วนถือปฏิบัติให้เห็นผลเป็นรูปธรรม
นายพุฒิพัฒน์กล่าวต่อไปว่า การจัดงานในปีนี้ นอกจากการปั่นจักรยานตามเส้นทางดังกล่าวแล้ว บริษัท กลุ่ม เซ็นทรัล จํากัด ยังได้บริจาครถเข็นไฟฟ้าสําหรับคนพิการและผู้สูงอายุ (Wheelchair) จํานวน 5 คัน ให้กระทรวง พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) เพื่อนําไปใช้ประโยชน์แก่คนพิการและผู้สูงอายุต่อไป สําหรับกิจกรรมดังกล่าว นอกจากจะเป็นการแสดงออกถึงการรวมพลังเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน ในการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พลังงานสิ่งแวดล้อม และเสริมสร้างสุขภาพพลานามัยแล้ว ยังได้ร่วมส่งมอบเงินบริจาคสมทบทุนสร้างอาคารศูนย์การแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี จังหวัดสมุทรปราการ จํานวนเงิน 800,000 บาท เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไป นอกจากนี้ ได้บริจาครถจักรยานจํานวน 200 คัน ให้แก่เด็กนักเรียนในสังกัดศูนย์การเรียนรู้ตํารวจตระเวนชายแดน เพื่อเป็นการปลูกฝังเยาวชนและส่งเสริมการใช้รถจักรยานอย่างจริงจัง พร้อมมอบให้กับเด็กในพื้นที่จังหวัดนครพนม อุดรธานี และประจวบคีรีขันธ์ ได้ใช้ประโยชน์ต่อไป
"ทั้งนี้ ในนามของกระทรวง พม. ขอชื่นชมทุกภาคส่วนที่ร่วมกันจัดงานในการรณรงค์เพื่ออนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม และขอขอบคุณ บริษัทกลุ่ม เซ็นทรัล จํากัด ที่ตระหนักถึงความสําคัญของคนพิการและผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ด้วยการมอบ Wheelchair เพื่อให้คนพิการและผู้สูงอายุได้นําไปใช้ประโยชน์ต่อไป”นายพุฒิพัฒน์กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม Thailand Car Free Day 2017 พร้อมรับมอบรถเข็นไฟฟ้าสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ (Wheelchair) เพื่อนำไปใช้ประโยชน์แก่คนพิการและผู้สูงอายุ
วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2560
ปลัด พม. เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม Thailand Car Free Day 2017 พร้อมรับมอบรถเข็นไฟฟ้าสําหรับคนพิการและผู้สูงอายุ (Wheelchair) เพื่อนําไปใช้ประโยชน์แก่คนพิการและผู้สูงอายุ
ปลัด พม. เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม Thailand Car Free Day 2017 พร้อมรับมอบรถเข็นไฟฟ้าสําหรับคนพิการและผู้สูงอายุ (Wheelchair) เพื่อนําไปใช้ประโยชน์แก่คนพิการและผู้สูงอายุ
วันที่19 พ.ย.60เวลา 07.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่านายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม Thailand Car Free Day 2017 พร้อมทั้งรับมอบรถเข็นไฟฟ้าสําหรับคนพิการและผู้สูงอายุ (Wheelchair) จํานวน 5 คัน เพื่อนําไปใช้ประโยชน์แก่คนพิการและผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ทั้งนี้ งานดังกล่าวจัดโดยบริษัทกลุ่ม เซ็นทรัล จํากัด ร่วมกับสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสมาคมจักรยานเพื่อสุขภาพไทย โดยมีผู้แทนกระทรวง พม. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตํารวจตระเวนชายแดน คณะผู้บริหารกลุ่มเซ็นทรัล สมาคมจักรยานเพื่อสุขภาพไทย สสส. และคณะนักปั่นจักรยาน รวมจํานวนกว่า 200 คน เข้าร่วมงาน ณ ลานสแควร์ A ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
นายพุฒิพัฒน์กล่าวว่า กิจกรรม World Car Free Day หรือวันปลอดรถโลก นั้น ทุกประเทศทั่วโลกต่างตระหนักและเล็งเห็นถึงความสําคัญของการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม โดยพร้อมใจกันรณรงค์ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล เปลี่ยนมาใช้รถขนส่งมวลชนและจักรยานเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลไทยได้ร่วมจัดกิจกรรมต่อเนื่องเป็นประจําทุกปี พร้อมกับให้การส่งเสริมและสนับสนุน ร่วมกับภาคเอกชน และประชาสังคม ในรูปแบบประชารัฐ และปีนี้ได้จัดกิจกรรมภายใต้ชื่อโครงการ "Central Group - Thailand Car Free Day 2017” โดยมีหน่วยงานจากภาครัฐ พนักงานอาสากลุ่มเซ็นทรัล และสถานเอกอัครราชทูต เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งร่วมกันปั่นจักรยานไปยังเส้นทางเซ็นทรัลเวิลด์ - แยกประตูน้ํา - ถนนราชปรารภ - ถนนราชวิถี - อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ - โรงพยาบาลรามาธิบดี - ถนนเพชรบุรี- ถนนราชดําริ - เซ็นทรัลเวิล์ด รวมระยะทาง 7.9 กิโลเมตร เพื่อสร้างพลังมวลชนให้สังคมเห็นความสําคัญในการลดการใช้พลังงาน อันเป็นนโยบายสําคัญที่ทุกภาคส่วนถือปฏิบัติให้เห็นผลเป็นรูปธรรม
นายพุฒิพัฒน์กล่าวต่อไปว่า การจัดงานในปีนี้ นอกจากการปั่นจักรยานตามเส้นทางดังกล่าวแล้ว บริษัท กลุ่ม เซ็นทรัล จํากัด ยังได้บริจาครถเข็นไฟฟ้าสําหรับคนพิการและผู้สูงอายุ (Wheelchair) จํานวน 5 คัน ให้กระทรวง พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) เพื่อนําไปใช้ประโยชน์แก่คนพิการและผู้สูงอายุต่อไป สําหรับกิจกรรมดังกล่าว นอกจากจะเป็นการแสดงออกถึงการรวมพลังเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน ในการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พลังงานสิ่งแวดล้อม และเสริมสร้างสุขภาพพลานามัยแล้ว ยังได้ร่วมส่งมอบเงินบริจาคสมทบทุนสร้างอาคารศูนย์การแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี จังหวัดสมุทรปราการ จํานวนเงิน 800,000 บาท เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไป นอกจากนี้ ได้บริจาครถจักรยานจํานวน 200 คัน ให้แก่เด็กนักเรียนในสังกัดศูนย์การเรียนรู้ตํารวจตระเวนชายแดน เพื่อเป็นการปลูกฝังเยาวชนและส่งเสริมการใช้รถจักรยานอย่างจริงจัง พร้อมมอบให้กับเด็กในพื้นที่จังหวัดนครพนม อุดรธานี และประจวบคีรีขันธ์ ได้ใช้ประโยชน์ต่อไป
"ทั้งนี้ ในนามของกระทรวง พม. ขอชื่นชมทุกภาคส่วนที่ร่วมกันจัดงานในการรณรงค์เพื่ออนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม และขอขอบคุณ บริษัทกลุ่ม เซ็นทรัล จํากัด ที่ตระหนักถึงความสําคัญของคนพิการและผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ด้วยการมอบ Wheelchair เพื่อให้คนพิการและผู้สูงอายุได้นําไปใช้ประโยชน์ต่อไป”นายพุฒิพัฒน์กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8211
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษกรัฐบาลเผย กรมอนามัยเตือนทำความสะอาด 10 สถานที่เสี่ยง แพร่เชื้อไวรัสโคโรนา
|
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563
รองโฆษกรัฐบาลเผย กรมอนามัยเตือนทําความสะอาด 10 สถานที่เสี่ยง แพร่เชื้อไวรัสโคโรนา
รองโฆษกรัฐบาลเผย กรมอนามัยเตือนทําความสะอาด 10 สถานที่เสี่ยง แพร่เชื้อไวรัสโคโรนา
วันที่ 12 ก.พ.63 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้เผยแพร่ข้อมูลสถานที่เสี่ยงการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จาก 10 สถานที่ ประกอบด้วย 1. สถานที่ราชการ และสถานที่ทํางาน ขอให้ทําความสะอาดบริเวณที่สัมผัสบ่อย ๆ อย่างสม่ําเสมอ เช่น โต๊ะทํางาน คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ที่ใช้ทํางาน ที่จับประตู และห้องสุขา 2.รถแท็กซี่ รถตู้โดยสาร รถจักรยานยนต์รับจ้าง ขอให้ทําความสะอาดภายหลังมีการให้บริการเน้นไปที่บริเวณพื้นผิวที่ผู้โดยสารสัมผัสบ่อย ๆ เช่น ที่จับประตู เบาะที่นั่ง 3. เรือโดยสาร ให้นําแอลกอฮอล์เจลล้างมือ วางไว้พื้นที่ส่วนกลาง เช่น ห้องจําหน่ายตั๋ว และหมั่นทําความสะอาดราวจับ เก้าอี้นั่งในเรือ ที่เท้าแขน ราวบันได และท่าเทียบเรือ 4. ระบบขนส่งมวลชนทางราง เช่น รถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรียลลิงค์ และรถไฟ ให้ทําความสะอาดหลังการให้บริการเน้นไปที่บริเวณที่ผู้โดยสารสัมผัสบ่อย ๆ เช่น บริเวณที่นั่ง ที่จับ และบริเวณเหนือหัวผู้โดยสาร 5.ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ฟิตเนส ให้นําแอลกอฮอล์เจลล้างมือวางไว้บริเวณประตูทางเข้าและทางออก บริเวณหน้าลิฟท์ รวมถึงทําความสะอาดที่จับประตู และห้องสุขขา
น.ส.ไตรศุลี กล่าวต่อว่า 6. ร้านอาหารขอให้หมั่นเช็ดทําความสะอาดที่บริเวณโต๊ะอาหารและเก้าอี้ด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อ 7. โรงพยาบาลให้นําแอลกอฮอล์เจลล้างมือวางไว้ในบริเวณที่มีผู้ใช้บริการเป็นจํานวนมาก และให้ทําความสะอาดที่นั่ง ที่จับประตู ห้องสุขา 8. ห้องน้ําสาธารณะขอให้ทําความสะอาดที่จับสายฉีดชําระ พื้นห้องส้วม ที่รองนั่งโถส้วม ที่กดโถส้วม โถปัสสาวะ ที่เปิดก๊อกอ่างล้างมือและกลอนประตูหรือลูกบิด 9. ปั๊มน้ํามันให้ทําความสะอาดห้องสุขา ซึ่งมีผู้ใช้บริการเป็นจํานวนมาก เน้นที่สายจับฉีดชําระ บริเวณพื้นที่ห้องส้วม ที่รองนั่งโถส้วม ที่กดโถส้วม โถปัสสาวะ ที่เปิดก๊อกอ่างล้างมือ และกลอนประตูหรือลูกบิด และ 10. สถานีขนส่งผู้โดยสาร และสนามบิน ให้นําแอลกอฮอล์เจลล้างมือ วางไว้ที่บริเวณประตูทางเข้าและทางออก รวมถึงทําความสะอาดที่จับประตูห้องสุขา
“สําหรับการป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่นั้น ขอให้พี่น้องประชาชนสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้งเมื่อต้องไปในพื้นที่เสี่ยงหรือมีคนแออัด รวมถึงรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ หากจําเป็นต้องร่วมรับประทานอาหารกับผู้อื่นขอให้ใช้ช้อนกลางในการตักอาหาร นอกจากนี้ให้หมั่นล้างมือเป็นประจําโดยใช้สบู่หรือเจลล้างมือ ที่สําคัญขอให้ออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอเพื่อให้ร่างกายแข็งแร” น.ส.ไตรศุลี ระบุ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษกรัฐบาลเผย กรมอนามัยเตือนทำความสะอาด 10 สถานที่เสี่ยง แพร่เชื้อไวรัสโคโรนา
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563
รองโฆษกรัฐบาลเผย กรมอนามัยเตือนทําความสะอาด 10 สถานที่เสี่ยง แพร่เชื้อไวรัสโคโรนา
รองโฆษกรัฐบาลเผย กรมอนามัยเตือนทําความสะอาด 10 สถานที่เสี่ยง แพร่เชื้อไวรัสโคโรนา
วันที่ 12 ก.พ.63 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้เผยแพร่ข้อมูลสถานที่เสี่ยงการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จาก 10 สถานที่ ประกอบด้วย 1. สถานที่ราชการ และสถานที่ทํางาน ขอให้ทําความสะอาดบริเวณที่สัมผัสบ่อย ๆ อย่างสม่ําเสมอ เช่น โต๊ะทํางาน คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ที่ใช้ทํางาน ที่จับประตู และห้องสุขา 2.รถแท็กซี่ รถตู้โดยสาร รถจักรยานยนต์รับจ้าง ขอให้ทําความสะอาดภายหลังมีการให้บริการเน้นไปที่บริเวณพื้นผิวที่ผู้โดยสารสัมผัสบ่อย ๆ เช่น ที่จับประตู เบาะที่นั่ง 3. เรือโดยสาร ให้นําแอลกอฮอล์เจลล้างมือ วางไว้พื้นที่ส่วนกลาง เช่น ห้องจําหน่ายตั๋ว และหมั่นทําความสะอาดราวจับ เก้าอี้นั่งในเรือ ที่เท้าแขน ราวบันได และท่าเทียบเรือ 4. ระบบขนส่งมวลชนทางราง เช่น รถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรียลลิงค์ และรถไฟ ให้ทําความสะอาดหลังการให้บริการเน้นไปที่บริเวณที่ผู้โดยสารสัมผัสบ่อย ๆ เช่น บริเวณที่นั่ง ที่จับ และบริเวณเหนือหัวผู้โดยสาร 5.ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ฟิตเนส ให้นําแอลกอฮอล์เจลล้างมือวางไว้บริเวณประตูทางเข้าและทางออก บริเวณหน้าลิฟท์ รวมถึงทําความสะอาดที่จับประตู และห้องสุขขา
น.ส.ไตรศุลี กล่าวต่อว่า 6. ร้านอาหารขอให้หมั่นเช็ดทําความสะอาดที่บริเวณโต๊ะอาหารและเก้าอี้ด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อ 7. โรงพยาบาลให้นําแอลกอฮอล์เจลล้างมือวางไว้ในบริเวณที่มีผู้ใช้บริการเป็นจํานวนมาก และให้ทําความสะอาดที่นั่ง ที่จับประตู ห้องสุขา 8. ห้องน้ําสาธารณะขอให้ทําความสะอาดที่จับสายฉีดชําระ พื้นห้องส้วม ที่รองนั่งโถส้วม ที่กดโถส้วม โถปัสสาวะ ที่เปิดก๊อกอ่างล้างมือและกลอนประตูหรือลูกบิด 9. ปั๊มน้ํามันให้ทําความสะอาดห้องสุขา ซึ่งมีผู้ใช้บริการเป็นจํานวนมาก เน้นที่สายจับฉีดชําระ บริเวณพื้นที่ห้องส้วม ที่รองนั่งโถส้วม ที่กดโถส้วม โถปัสสาวะ ที่เปิดก๊อกอ่างล้างมือ และกลอนประตูหรือลูกบิด และ 10. สถานีขนส่งผู้โดยสาร และสนามบิน ให้นําแอลกอฮอล์เจลล้างมือ วางไว้ที่บริเวณประตูทางเข้าและทางออก รวมถึงทําความสะอาดที่จับประตูห้องสุขา
“สําหรับการป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่นั้น ขอให้พี่น้องประชาชนสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้งเมื่อต้องไปในพื้นที่เสี่ยงหรือมีคนแออัด รวมถึงรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ หากจําเป็นต้องร่วมรับประทานอาหารกับผู้อื่นขอให้ใช้ช้อนกลางในการตักอาหาร นอกจากนี้ให้หมั่นล้างมือเป็นประจําโดยใช้สบู่หรือเจลล้างมือ ที่สําคัญขอให้ออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอเพื่อให้ร่างกายแข็งแร” น.ส.ไตรศุลี ระบุ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27228
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำ ทั้งปัญหาภัยแล้งและปัญหาน้ำท่วม
|
วันอังคารที่ 4 กันยายน 2561
นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังสถานการณ์น้ํา ทั้งปัญหาภัยแล้งและปัญหาน้ําท่วม
นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังสถานการณ์น้ํา ทั้งปัญหาภัยแล้งและปัญหาน้ําท่วม
วันนี้ (4 กันยายน 2561) เวลา 14.20 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรีถึงสถานการณ์น้ําว่า จากการติดตามข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มอบหมายให้สํานักบริหารจัดการน้ํา นําภาพรวมของสภาพดินฟ้าอากาศในภูมิภาคมาวิเคราะห์ถึงผลกระทบ เพื่อความประสานสอดคล้องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จากการรายงานพบว่าปริมาณฝนในเดือนกันยายนจะมีปริมาณลดลง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับมรสุม ซึ่งในปีนี้จะมีช่วงฝนทิ้งช่วง ส่งผลทําให้เกิดภัยแล้งในหลายพื้นที่ของภูมิภาคเอเชียรวมถึงในประเทศไทย จึงต้องระมัดระวังทั้งสองทางทั้งปัญหาภัยแล้ง และปัญหาน้ําท่วม
------------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำ ทั้งปัญหาภัยแล้งและปัญหาน้ำท่วม
วันอังคารที่ 4 กันยายน 2561
นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังสถานการณ์น้ํา ทั้งปัญหาภัยแล้งและปัญหาน้ําท่วม
นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังสถานการณ์น้ํา ทั้งปัญหาภัยแล้งและปัญหาน้ําท่วม
วันนี้ (4 กันยายน 2561) เวลา 14.20 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรีถึงสถานการณ์น้ําว่า จากการติดตามข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มอบหมายให้สํานักบริหารจัดการน้ํา นําภาพรวมของสภาพดินฟ้าอากาศในภูมิภาคมาวิเคราะห์ถึงผลกระทบ เพื่อความประสานสอดคล้องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จากการรายงานพบว่าปริมาณฝนในเดือนกันยายนจะมีปริมาณลดลง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับมรสุม ซึ่งในปีนี้จะมีช่วงฝนทิ้งช่วง ส่งผลทําให้เกิดภัยแล้งในหลายพื้นที่ของภูมิภาคเอเชียรวมถึงในประเทศไทย จึงต้องระมัดระวังทั้งสองทางทั้งปัญหาภัยแล้ง และปัญหาน้ําท่วม
------------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15139
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ นำคณะผู้บริหารของกระทรวง เข้าร่วมอวยพร รองนายกฯ ประวิตร วงษ์สุวรรณ เนื่องในโอกาสวาระดิถีวันขึ้นปีใหม่ 2563
|
วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม 2562
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ นําคณะผู้บริหารของกระทรวง เข้าร่วมอวยพร รองนายกฯ ประวิตร วงษ์สุวรรณ เนื่องในโอกาสวาระดิถีวันขึ้นปีใหม่ 2563
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ นําคณะผู้บริหารของกระทรวง เข้าร่วมอวยพร รองนายกฯ ประวิตร วงษ์สุวรรณ เนื่องในโอกาสวาระดิถีวันขึ้นปีใหม่ 2563
วันที่ 27 ธันวาคม 2562 (วันนี้) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นําคณะผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมสวัสดีปีใหม่ 2563 พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ณ มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด เขตพญาไท กรุงเทพฯ
********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ นำคณะผู้บริหารของกระทรวง เข้าร่วมอวยพร รองนายกฯ ประวิตร วงษ์สุวรรณ เนื่องในโอกาสวาระดิถีวันขึ้นปีใหม่ 2563
วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม 2562
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ นําคณะผู้บริหารของกระทรวง เข้าร่วมอวยพร รองนายกฯ ประวิตร วงษ์สุวรรณ เนื่องในโอกาสวาระดิถีวันขึ้นปีใหม่ 2563
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ นําคณะผู้บริหารของกระทรวง เข้าร่วมอวยพร รองนายกฯ ประวิตร วงษ์สุวรรณ เนื่องในโอกาสวาระดิถีวันขึ้นปีใหม่ 2563
วันที่ 27 ธันวาคม 2562 (วันนี้) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นําคณะผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมสวัสดีปีใหม่ 2563 พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ณ มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด เขตพญาไท กรุงเทพฯ
********************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25517
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ผนึกกำลังหน่วยงานเครือข่ายเดินหน้าขับเคลื่อนกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคเชิงรุก
|
วันพุธที่ 2 มกราคม 2562
คปภ. ผนึกกําลังหน่วยงานเครือข่ายเดินหน้าขับเคลื่อนกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคเชิงรุก
• นําระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการค่าสินไหมทดแทน
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า สํานักงาน คปภ. ให้ความสําคัญอย่างมากต่อภารกิจเดินหน้าเสริมสร้างความรู้ด้านประกันภัยที่มีความถูกต้องและทันต่อเหตุการณ์แก่ประชาชน รวมถึงการพัฒนาช่องทางการสื่อสารต่างๆ ให้เข้าถึงประชาชนในวงกว้างเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนผู้เอาประกันภัยให้ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งได้มีการดําเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่องมาโดยตลอด เนื่องจากขณะที่ธุรกิจประกันภัยมีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่องและการพัฒนาของดิจิทัลเทคโนโลยีทําให้ภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้นด้วยผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้หลากหลายมากขึ้น แต่ยังพบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจด้านประกันภัย ทําให้มีข้อพิพาทจากสัญญาประกันภัยเป็นจํานวนมาก ดังนั้น การรับฟังเสียงสะท้อนและข้อเสนอแนะจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ และภาคธุรกิจ ควบคู่ไปกับเสียงสะท้อนจากภาคประชาชนเพิ่มเติมจากที่ สํานักงาน คปภ. ได้มีการสร้างความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนด้านการประกันภัย (Insurance Literacy) ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันหรือมาตรการต้นน้ําเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ประชาชน ล้วนเป็นปัจจัยหลักที่ สํานักงาน คปภ. ได้ให้ความสําคัญอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2560 สํานักงาน คปภ. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคและการมีส่วนร่วมด้านการประกันภัยขึ้น ซึ่งมีองค์ประกอบที่มาจากทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน ได้แก่ สํานักงาน คปภ. สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กรมประชาสัมพันธ์ สมาคมส่งเสริมและคุ้มครองผู้บริโภค สมาพันธ์ชมรมคุ้มครองผู้บริโภคกรุงเทพมหานคร มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน และสมาคมนายหน้าประกันภัยไทย ฯลฯ เพื่อเพิ่มกระบวนการการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเป็นเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูลรับฟังสภาพปัญหา และระดมข้อคิดเห็นเพื่อนําไปปรับปรุงมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2560 โดยคณะกรรมการฯได้ร่วมกันกําหนดทิศทางนโยบาย 5 มาตรการสําคัญ ประกอบด้วย การเพิ่มประสิทธิภาพการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยให้กับประชาชน การกํากับดูแลโฆษณาที่เกี่ยวกับประกันภัยเกินจริง การแก้ไขปัญหาการร้องเรียนซ้ําซ้อน การคุ้มครองผู้พิการด้านการประกันภัย และการสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัย ซึ่งสํานักงานฯได้ดําเนินการตามนโยบายดังกล่าวอย่างต่อเนื่องและมีผลงานที่ปรากฏเป็นรูปธรรมในหลายๆเรื่อง
และล่าสุดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคและการมีส่วนร่วมด้านการประกันภัยได้รับทราบรายงานผลการดําเนินงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคของ สํานักงาน คปภ. ตาม 5 มาตรการสําคัญ โดยที่ประชุมได้แสดงความชื่นชมว่าการดําเนินงานตามมาตรการทั้ง 5 ด้าน ของ สํานักงาน คปภ. นั้นมีผลงานปรากฏเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนด้านการประกันภัยในทุกมิติ จึงควรที่จะดําเนินการต่อไป โดยเฉพาะโครงการที่เข้าถึงประชาชนในชนบท เช่น โครงการ คปภ. เพื่อชุมชน ควรจะต้องดําเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยอาจปรับปรุงรูปแบบเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาใหม่ๆที่เกิดขึ้นเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์มากขึ้น โดยควรมีการลงพื้นที่ล่วงหน้าเพื่อสํารวจความต้องการของประชาชนในพื้นที่ แนะนําผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เกี่ยวกับสุขภาพเพื่อให้ระบบประกันภัยเข้ามาเป็นภูมิคุ้มกันด้านการบริหารความเสี่ยงให้กับประชาชนในชุมชน และควรเผยแพร่ประชาสัมพันธ์งานล่วงหน้าผ่านสื่อต่างๆในพื้นที่ เพื่อให้คนในพื้นที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมซึ่งจะเป็นประโยชน์สูงสุดกับโครงการ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังให้ข้อเสนอแนะในด้านวิธีการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนในวงกว้างว่าควรจะใช้ช่องทางออนไลน์ให้หลากหลายมากขึ้น และมีรูปแบบที่เข้าใจง่าย เช่น ทําเป็นไลฟ์สด หรือทําเป็นคลิปสั้นๆเพื่อนํามาเผยแพร่ในยูทูป เป็นต้น รวมถึงการเร่งพัฒนาระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกในด้านประกันภัย อาทิเช่น การบริหารจัดการด้านค่าสินไหมทดแทน หรือการสืบค้นข้อมูลต่างๆ เป็นต้น
“สํานักงาน คปภ. จะได้นําเอาข้อแนะนําต่างๆของคณะกรรมการฯมาปรับปรุงแนวทางในการให้ความรู้ด้านประกันภัยแก่ประชาชนและการคุ้มครองผู้บริโภคด้านประกันภัยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งในปี 2562 สํานักงาน คปภ. จะยังคงเดินหน้าในทุกมิติเพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านการประกันภัย ทั้งการพัฒนาระบบสารสนเทศสนับสนุนงานคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัย การเพิ่มประสิทธิภาพระบบการบริหารจัดการค่าสินไหมทดแทน รวมทั้ง การส่งเสริมให้มีผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในทุกระดับ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบประกันภัยและได้รับการคุ้มครองด้านการประกันภัยอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม อันจะเป็นการส่งเสริมให้อุตสาหกรรมประกันภัยไทยทั้งระบบได้รับความน่าเชื่อถือและเป็นเสาหลักที่สําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างมั่นคง ยั่งยืนตลอดไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในที่สุด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ผนึกกำลังหน่วยงานเครือข่ายเดินหน้าขับเคลื่อนกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคเชิงรุก
วันพุธที่ 2 มกราคม 2562
คปภ. ผนึกกําลังหน่วยงานเครือข่ายเดินหน้าขับเคลื่อนกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคเชิงรุก
• นําระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการค่าสินไหมทดแทน
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า สํานักงาน คปภ. ให้ความสําคัญอย่างมากต่อภารกิจเดินหน้าเสริมสร้างความรู้ด้านประกันภัยที่มีความถูกต้องและทันต่อเหตุการณ์แก่ประชาชน รวมถึงการพัฒนาช่องทางการสื่อสารต่างๆ ให้เข้าถึงประชาชนในวงกว้างเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนผู้เอาประกันภัยให้ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งได้มีการดําเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่องมาโดยตลอด เนื่องจากขณะที่ธุรกิจประกันภัยมีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่องและการพัฒนาของดิจิทัลเทคโนโลยีทําให้ภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้นด้วยผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้หลากหลายมากขึ้น แต่ยังพบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจด้านประกันภัย ทําให้มีข้อพิพาทจากสัญญาประกันภัยเป็นจํานวนมาก ดังนั้น การรับฟังเสียงสะท้อนและข้อเสนอแนะจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ และภาคธุรกิจ ควบคู่ไปกับเสียงสะท้อนจากภาคประชาชนเพิ่มเติมจากที่ สํานักงาน คปภ. ได้มีการสร้างความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนด้านการประกันภัย (Insurance Literacy) ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันหรือมาตรการต้นน้ําเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ประชาชน ล้วนเป็นปัจจัยหลักที่ สํานักงาน คปภ. ได้ให้ความสําคัญอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2560 สํานักงาน คปภ. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคและการมีส่วนร่วมด้านการประกันภัยขึ้น ซึ่งมีองค์ประกอบที่มาจากทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน ได้แก่ สํานักงาน คปภ. สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กรมประชาสัมพันธ์ สมาคมส่งเสริมและคุ้มครองผู้บริโภค สมาพันธ์ชมรมคุ้มครองผู้บริโภคกรุงเทพมหานคร มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน และสมาคมนายหน้าประกันภัยไทย ฯลฯ เพื่อเพิ่มกระบวนการการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเป็นเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูลรับฟังสภาพปัญหา และระดมข้อคิดเห็นเพื่อนําไปปรับปรุงมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2560 โดยคณะกรรมการฯได้ร่วมกันกําหนดทิศทางนโยบาย 5 มาตรการสําคัญ ประกอบด้วย การเพิ่มประสิทธิภาพการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยให้กับประชาชน การกํากับดูแลโฆษณาที่เกี่ยวกับประกันภัยเกินจริง การแก้ไขปัญหาการร้องเรียนซ้ําซ้อน การคุ้มครองผู้พิการด้านการประกันภัย และการสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัย ซึ่งสํานักงานฯได้ดําเนินการตามนโยบายดังกล่าวอย่างต่อเนื่องและมีผลงานที่ปรากฏเป็นรูปธรรมในหลายๆเรื่อง
และล่าสุดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคและการมีส่วนร่วมด้านการประกันภัยได้รับทราบรายงานผลการดําเนินงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคของ สํานักงาน คปภ. ตาม 5 มาตรการสําคัญ โดยที่ประชุมได้แสดงความชื่นชมว่าการดําเนินงานตามมาตรการทั้ง 5 ด้าน ของ สํานักงาน คปภ. นั้นมีผลงานปรากฏเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนด้านการประกันภัยในทุกมิติ จึงควรที่จะดําเนินการต่อไป โดยเฉพาะโครงการที่เข้าถึงประชาชนในชนบท เช่น โครงการ คปภ. เพื่อชุมชน ควรจะต้องดําเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยอาจปรับปรุงรูปแบบเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาใหม่ๆที่เกิดขึ้นเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์มากขึ้น โดยควรมีการลงพื้นที่ล่วงหน้าเพื่อสํารวจความต้องการของประชาชนในพื้นที่ แนะนําผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เกี่ยวกับสุขภาพเพื่อให้ระบบประกันภัยเข้ามาเป็นภูมิคุ้มกันด้านการบริหารความเสี่ยงให้กับประชาชนในชุมชน และควรเผยแพร่ประชาสัมพันธ์งานล่วงหน้าผ่านสื่อต่างๆในพื้นที่ เพื่อให้คนในพื้นที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมซึ่งจะเป็นประโยชน์สูงสุดกับโครงการ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังให้ข้อเสนอแนะในด้านวิธีการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนในวงกว้างว่าควรจะใช้ช่องทางออนไลน์ให้หลากหลายมากขึ้น และมีรูปแบบที่เข้าใจง่าย เช่น ทําเป็นไลฟ์สด หรือทําเป็นคลิปสั้นๆเพื่อนํามาเผยแพร่ในยูทูป เป็นต้น รวมถึงการเร่งพัฒนาระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกในด้านประกันภัย อาทิเช่น การบริหารจัดการด้านค่าสินไหมทดแทน หรือการสืบค้นข้อมูลต่างๆ เป็นต้น
“สํานักงาน คปภ. จะได้นําเอาข้อแนะนําต่างๆของคณะกรรมการฯมาปรับปรุงแนวทางในการให้ความรู้ด้านประกันภัยแก่ประชาชนและการคุ้มครองผู้บริโภคด้านประกันภัยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งในปี 2562 สํานักงาน คปภ. จะยังคงเดินหน้าในทุกมิติเพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านการประกันภัย ทั้งการพัฒนาระบบสารสนเทศสนับสนุนงานคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัย การเพิ่มประสิทธิภาพระบบการบริหารจัดการค่าสินไหมทดแทน รวมทั้ง การส่งเสริมให้มีผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในทุกระดับ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบประกันภัยและได้รับการคุ้มครองด้านการประกันภัยอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม อันจะเป็นการส่งเสริมให้อุตสาหกรรมประกันภัยไทยทั้งระบบได้รับความน่าเชื่อถือและเป็นเสาหลักที่สําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างมั่นคง ยั่งยืนตลอดไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในที่สุด
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17864
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเยี่ยมร้านกระทรวงสาธารณสุข ในงานกาชาดประจำปี 2561
|
วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินมาทรงเยี่ยมร้านกระทรวงสาธารณสุข ในงานกาชาดประจําปี 2561
วันนี้ (23 พฤศจิกายน 2561) เวลา 17.00 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินไปทรงเปิดงานกาชาด ประจําปี 2561 ภายใต้แนวคิด “125 ปี สภากาชาดไทย ร้อยดวงใจส่งต่อการให้ที่งดงาม” ณ สวนลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร และเสด็จพระรา
วันนี้ (23 พฤศจิกายน 2561) เวลา 17.00 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
เสด็จพระราชดําเนินไปทรงเปิดงานกาชาด ประจําปี 2561 ภายใต้แนวคิด “125 ปี สภากาชาดไทย ร้อยดวงใจ
ส่งต่อการให้ที่งดงาม” ณ สวนลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร และเสด็จพระราชดําเนินมาทรงเยี่ยมร้านของกระทรวงสาธารณสุข โดยมีศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดี ผู้บริหาร ข้าราชการ บุคลากรกระทรวงสาธารณสุข เฝ้าฯ รับเสด็จ
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมออกร้านในงานกาชาดเป็นประจําทุกปี ในปีนี้ร้านของกระทรวงสาธารณสุขได้แบ่งเป็น 4 โซน คือ 1.โซนแสดงนิทรรศการ นําเสนอนิทรรศการภายใต้แนวคิด “125 ปี สภากาชาดไทยร้อยดวงใจ ส่งต่อการให้ที่งดงาม” แบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 องค์ ได้แก่ องค์ที่ 1 ประวัติการก่อตั้งสภากาชาดไทยทานมยูปถัมภก “ผู้บํารุงการอย่างสูงสุด สภากาชาดไทย รัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาล ที่ 10” องค์ที่ 2 สภานายิกา สภากาชาดไทย และอุปนายิกาผู้อํานวยการสภากาชาดไทย และองค์ที่ 3 พระมหากรุณาธิคุณ และพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ตลอด 125 ปี ของสภากาชาดไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และการดําเนินการของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นเนื้อหาที่น่าสนใจ หาชมได้ยาก
2.โซนกิจกรรมบริการด้านสุขภาพเป็นการให้บริการแก่ประชาชนที่มาร่วมงาน อาทิ บริการนวดแผนไทย บริการตรวจสุขภาพเบื้องต้นและให้คําปรึกษาด้านสุขภาพ ให้คําปรึกษาด้านสุขภาพจิต 3.การจําหน่ายยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพจากองค์การเภสัชกรรมและโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรในราคาย่อมเยา และ 4.กิจกรรมสร้างกุศลด้วยการจับสลากกัลปพฤกษ์ รับของรางวัลมากมาย
ทั้งนี้ งานกาชาด ประจําปี 2561 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 พฤศจิกายนถึง 1 ธันวาคม 2561 ตั้งแต่เวลา
10.30 น. ถึง 22.00 น. ณ สวนลุมพินี ซึ่งร้านของกระทรวงสาธารณสุขจัดในบริเวณลานกิจกรรม ด้านฝั่งถนนวิทยุ จึงขอเชิญประชาชนร่วมงานกาชาด และเยี่ยมชมร้านของกระทรวงสาธารณสุข ตามวันและเวลาดังกล่าว
****************************** 23 พฤศจิกายน 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเยี่ยมร้านกระทรวงสาธารณสุข ในงานกาชาดประจำปี 2561
วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินมาทรงเยี่ยมร้านกระทรวงสาธารณสุข ในงานกาชาดประจําปี 2561
วันนี้ (23 พฤศจิกายน 2561) เวลา 17.00 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินไปทรงเปิดงานกาชาด ประจําปี 2561 ภายใต้แนวคิด “125 ปี สภากาชาดไทย ร้อยดวงใจส่งต่อการให้ที่งดงาม” ณ สวนลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร และเสด็จพระรา
วันนี้ (23 พฤศจิกายน 2561) เวลา 17.00 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
เสด็จพระราชดําเนินไปทรงเปิดงานกาชาด ประจําปี 2561 ภายใต้แนวคิด “125 ปี สภากาชาดไทย ร้อยดวงใจ
ส่งต่อการให้ที่งดงาม” ณ สวนลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร และเสด็จพระราชดําเนินมาทรงเยี่ยมร้านของกระทรวงสาธารณสุข โดยมีศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดี ผู้บริหาร ข้าราชการ บุคลากรกระทรวงสาธารณสุข เฝ้าฯ รับเสด็จ
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมออกร้านในงานกาชาดเป็นประจําทุกปี ในปีนี้ร้านของกระทรวงสาธารณสุขได้แบ่งเป็น 4 โซน คือ 1.โซนแสดงนิทรรศการ นําเสนอนิทรรศการภายใต้แนวคิด “125 ปี สภากาชาดไทยร้อยดวงใจ ส่งต่อการให้ที่งดงาม” แบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 องค์ ได้แก่ องค์ที่ 1 ประวัติการก่อตั้งสภากาชาดไทยทานมยูปถัมภก “ผู้บํารุงการอย่างสูงสุด สภากาชาดไทย รัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาล ที่ 10” องค์ที่ 2 สภานายิกา สภากาชาดไทย และอุปนายิกาผู้อํานวยการสภากาชาดไทย และองค์ที่ 3 พระมหากรุณาธิคุณ และพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ตลอด 125 ปี ของสภากาชาดไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และการดําเนินการของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นเนื้อหาที่น่าสนใจ หาชมได้ยาก
2.โซนกิจกรรมบริการด้านสุขภาพเป็นการให้บริการแก่ประชาชนที่มาร่วมงาน อาทิ บริการนวดแผนไทย บริการตรวจสุขภาพเบื้องต้นและให้คําปรึกษาด้านสุขภาพ ให้คําปรึกษาด้านสุขภาพจิต 3.การจําหน่ายยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพจากองค์การเภสัชกรรมและโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรในราคาย่อมเยา และ 4.กิจกรรมสร้างกุศลด้วยการจับสลากกัลปพฤกษ์ รับของรางวัลมากมาย
ทั้งนี้ งานกาชาด ประจําปี 2561 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 พฤศจิกายนถึง 1 ธันวาคม 2561 ตั้งแต่เวลา
10.30 น. ถึง 22.00 น. ณ สวนลุมพินี ซึ่งร้านของกระทรวงสาธารณสุขจัดในบริเวณลานกิจกรรม ด้านฝั่งถนนวิทยุ จึงขอเชิญประชาชนร่วมงานกาชาด และเยี่ยมชมร้านของกระทรวงสาธารณสุข ตามวันและเวลาดังกล่าว
****************************** 23 พฤศจิกายน 2561
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17039
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผย รพร.เดชอุดม เปิดให้บริการได้ปกติ หลังได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อน
|
วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561
สธ. เผย รพร.เดชอุดม เปิดให้บริการได้ปกติ หลังได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อน
กระทรวงสาธารณสุข เผยหลังโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี ได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อน พบต้นไม้โค่นล้มทับหม้อแปลงไฟฟ้า หลังคาที่จอดรถ รถยนต์ของเจ้าหน้าที่จํานวน 5 คัน ไม่พบผู้บาดเจ็บ โรงพยาบาลสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ
กระทรวงสาธารณสุข เผยหลังโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานีได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อน พบต้นไม้โค่นล้มทับหม้อแปลงไฟฟ้า หลังคาที่จอดรถ รถยนต์ของเจ้าหน้าที่จํานวน 5 คัน ไม่พบผู้บาดเจ็บ โรงพยาบาลสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติตั้งแต่วันเกิดเหตุ
วันนี้ (22 มีนาคม 2561) แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากนายแพทย์ประเสริฐ ชัยวิรัตนะ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเดชอุดม อําเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี ว่า รพร.เดชอุดม ได้รับความเสียหายจากสถานการณ์พายุฤดูร้อน โดยหม้อแปลงไฟฟ้าได้รับความเสียหาย หลังคาที่จอดรถและรถยนต์ของเจ้าหน้า จํานวน 5 คัน ถูกต้นไม้ล้มทับเสียหาย และพบกระเบื้อง ฝ้าเพดาน กระจก บริเวณตึกตรวจผู้ป่วยนอก ได้รับความเสียหายบางส่วน
อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลสามารถรับมือกับปัญหาและแก้ไขสถานการณ์ได้ในทันที สามารถให้บริการได้ตามปกติ มีการใช้เครื่องปั่นไฟสํารองช่วยในบางจุด ไม่มีกระทบต่อการจัดบริการแต่อย่างใด ส่วนเรื่องความเสียหายของหลังคาที่จอดรถ กระเบื้องหลังคา ฝ้าเพดาน และกระจก ได้เร่งดําเนินการซ่อมแซมแล้ว โดยได้รับความช่วยเหลือจากเทศบาลและหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 56 ประจําจังหวัด ส่วนรถยนต์เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่ได้รับความเสียหาย จะพิจารณาช่วยเหลือค่าซ่อมแซมต่อไป นอกจากนี้ เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ได้กําชับให้เจ้าหน้าที่เร่งสํารวจอาคารสถานที่ ป้ายประชาสัมพันธ์ ต้นไม้ ให้อยู่ในความเรียบร้อยแข็งแรง รวมถึงซักซ้อมรับมือกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
แพทย์หญิงพรรณพิมลกล่าวเพิ่มเติมว่า ได้กําชับให้โรงพยาบาลทุกแห่ง เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ดังกล่าว โดยดําเนินการดังนี้ 1.เตรียมพร้อมอาคารสถานที่และครุภัณฑ์ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง โดยตรวจสอบให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง และขนย้ายครุภัณฑ์ เอกสารสําคัญไว้บนที่สูงเหนือระดับความเสี่ยงจากน้ําท่วม 2.จัดหาพื้นที่สํารอง ในกรณีที่สถานบริการไม่สามารถเปิดให้บริการได้ โดยจัดเตรียมที่สํารองหรือจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเมื่อจําเป็น เพื่อให้สามารถเปิดบริการฉุกเฉินได้ 3.สํารวจ ประมาณการ สํารองยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้เพียงพอต่อการให้บริการ และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผย รพร.เดชอุดม เปิดให้บริการได้ปกติ หลังได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อน
วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561
สธ. เผย รพร.เดชอุดม เปิดให้บริการได้ปกติ หลังได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อน
กระทรวงสาธารณสุข เผยหลังโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี ได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อน พบต้นไม้โค่นล้มทับหม้อแปลงไฟฟ้า หลังคาที่จอดรถ รถยนต์ของเจ้าหน้าที่จํานวน 5 คัน ไม่พบผู้บาดเจ็บ โรงพยาบาลสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ
กระทรวงสาธารณสุข เผยหลังโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานีได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อน พบต้นไม้โค่นล้มทับหม้อแปลงไฟฟ้า หลังคาที่จอดรถ รถยนต์ของเจ้าหน้าที่จํานวน 5 คัน ไม่พบผู้บาดเจ็บ โรงพยาบาลสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติตั้งแต่วันเกิดเหตุ
วันนี้ (22 มีนาคม 2561) แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากนายแพทย์ประเสริฐ ชัยวิรัตนะ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเดชอุดม อําเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี ว่า รพร.เดชอุดม ได้รับความเสียหายจากสถานการณ์พายุฤดูร้อน โดยหม้อแปลงไฟฟ้าได้รับความเสียหาย หลังคาที่จอดรถและรถยนต์ของเจ้าหน้า จํานวน 5 คัน ถูกต้นไม้ล้มทับเสียหาย และพบกระเบื้อง ฝ้าเพดาน กระจก บริเวณตึกตรวจผู้ป่วยนอก ได้รับความเสียหายบางส่วน
อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลสามารถรับมือกับปัญหาและแก้ไขสถานการณ์ได้ในทันที สามารถให้บริการได้ตามปกติ มีการใช้เครื่องปั่นไฟสํารองช่วยในบางจุด ไม่มีกระทบต่อการจัดบริการแต่อย่างใด ส่วนเรื่องความเสียหายของหลังคาที่จอดรถ กระเบื้องหลังคา ฝ้าเพดาน และกระจก ได้เร่งดําเนินการซ่อมแซมแล้ว โดยได้รับความช่วยเหลือจากเทศบาลและหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 56 ประจําจังหวัด ส่วนรถยนต์เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่ได้รับความเสียหาย จะพิจารณาช่วยเหลือค่าซ่อมแซมต่อไป นอกจากนี้ เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ได้กําชับให้เจ้าหน้าที่เร่งสํารวจอาคารสถานที่ ป้ายประชาสัมพันธ์ ต้นไม้ ให้อยู่ในความเรียบร้อยแข็งแรง รวมถึงซักซ้อมรับมือกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
แพทย์หญิงพรรณพิมลกล่าวเพิ่มเติมว่า ได้กําชับให้โรงพยาบาลทุกแห่ง เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ดังกล่าว โดยดําเนินการดังนี้ 1.เตรียมพร้อมอาคารสถานที่และครุภัณฑ์ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง โดยตรวจสอบให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง และขนย้ายครุภัณฑ์ เอกสารสําคัญไว้บนที่สูงเหนือระดับความเสี่ยงจากน้ําท่วม 2.จัดหาพื้นที่สํารอง ในกรณีที่สถานบริการไม่สามารถเปิดให้บริการได้ โดยจัดเตรียมที่สํารองหรือจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเมื่อจําเป็น เพื่อให้สามารถเปิดบริการฉุกเฉินได้ 3.สํารวจ ประมาณการ สํารองยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้เพียงพอต่อการให้บริการ และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10972
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม.แนะเหยื่อคนพิการถูกหักหัวคิว ถูกสวมสิทธิ์ แจ้งความร้องทุกข์ เอาผิดกับผู้กระทำผิดตามกฎหมาย
|
วันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2562
พม.แนะเหยื่อคนพิการถูกหักหัวคิว ถูกสวมสิทธิ์ แจ้งความร้องทุกข์ เอาผิดกับผู้กระทําผิดตามกฎหมาย
พม.แนะเหยื่อคนพิการถูกหักหัวคิว ถูกสวมสิทธิ์ แจ้งความร้องทุกข์ เอาผิดกับผู้กระทําผิดตามกฎหมาย
4 กันยายน พ.ศ. 2562 นางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ชี้แจง กรณีเครือข่ายพิทักษ์สิทธิคนพิการจัดกิจกรรมเดินทางไกลเรียกร้องสิทธิ กรณีถูกหักหัวคิวเงินช่วยเหลือคนพิการว่า กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงแรงงาน ดําเนินการส่งเสริมการจ้างงานคนพิการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และแก้ไขเพิ่มเติม หากสถานประกอบการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายการจ้างงานคนพิการ ให้เป็นไปตามมาตรา 35 ซึ่งคนพิการอาจร้องเรียนได้หลายช่องทาง ในส่วนที่กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว จะจัดส่งข้อมูลให้ พก. เพื่อดําเนินการแจ้งเตือนให้สถานประกอบการส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ภายใน 30 วัน หากพ้นกําหนดจะดําเนินการแจ้งอายัดทรัพย์และดําเนินคดีต่อไป โดยมีอายุความ 10 ปี ส่วนกรณีการหักหัวคิวการจ้างงานคนพิการตามมาตรา 35 ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้สอบข้อเท็จจริงแล้วผลปรากฎว่าเป็นความผิดฐานฉ้อโกง พก. จึงแนะนําให้ผู้ถูกละเมิดสิทธิ ไปแจ้งความร้องทุกข์เอาผิดกับผู้กระทําผิดตามกฎหมายแล้ว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม.แนะเหยื่อคนพิการถูกหักหัวคิว ถูกสวมสิทธิ์ แจ้งความร้องทุกข์ เอาผิดกับผู้กระทำผิดตามกฎหมาย
วันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2562
พม.แนะเหยื่อคนพิการถูกหักหัวคิว ถูกสวมสิทธิ์ แจ้งความร้องทุกข์ เอาผิดกับผู้กระทําผิดตามกฎหมาย
พม.แนะเหยื่อคนพิการถูกหักหัวคิว ถูกสวมสิทธิ์ แจ้งความร้องทุกข์ เอาผิดกับผู้กระทําผิดตามกฎหมาย
4 กันยายน พ.ศ. 2562 นางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ชี้แจง กรณีเครือข่ายพิทักษ์สิทธิคนพิการจัดกิจกรรมเดินทางไกลเรียกร้องสิทธิ กรณีถูกหักหัวคิวเงินช่วยเหลือคนพิการว่า กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงแรงงาน ดําเนินการส่งเสริมการจ้างงานคนพิการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และแก้ไขเพิ่มเติม หากสถานประกอบการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายการจ้างงานคนพิการ ให้เป็นไปตามมาตรา 35 ซึ่งคนพิการอาจร้องเรียนได้หลายช่องทาง ในส่วนที่กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว จะจัดส่งข้อมูลให้ พก. เพื่อดําเนินการแจ้งเตือนให้สถานประกอบการส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ภายใน 30 วัน หากพ้นกําหนดจะดําเนินการแจ้งอายัดทรัพย์และดําเนินคดีต่อไป โดยมีอายุความ 10 ปี ส่วนกรณีการหักหัวคิวการจ้างงานคนพิการตามมาตรา 35 ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้สอบข้อเท็จจริงแล้วผลปรากฎว่าเป็นความผิดฐานฉ้อโกง พก. จึงแนะนําให้ผู้ถูกละเมิดสิทธิ ไปแจ้งความร้องทุกข์เอาผิดกับผู้กระทําผิดตามกฎหมายแล้ว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22854
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว.ร่วมปลุกระแส อี-มาร์เก็ตติ้ง รับเทรนด์ก้าวสู่ไทยแลนด์ 4.0 จัดสัมมนา "ล้วงลับจับทาง สร้างธุรกิจออนไลน์ให้ติดลมบน”
|
วันพุธที่ 29 มีนาคม 2560
ธพว.ร่วมปลุกระแส อี-มาร์เก็ตติ้ง รับเทรนด์ก้าวสู่ไทยแลนด์ 4.0 จัดสัมมนา "ล้วงลับจับทาง สร้างธุรกิจออนไลน์ให้ติดลมบน”
ธพว.ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จัดสัมมนา "ล้วงลับจับทาง สร้างธุรกิจออนไลน์ให้ติดลมบน" ณ บริเวณพื้นที่ Co-Working Space ชั้น 1 SME Bank Tower
ในวันนี้ (28 มีนาคม 2560) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.หรือ SME Development Bank) ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จัดสัมมนา "ล้วงลับจับทาง สร้างธุรกิจออนไลน์ให้ติดลมบน" ณ บริเวณพื้นที่ Co-Working Space ชั้น 1 สํานักงานใหญ่ SME Bank Tower ติดสถานีรถไฟฟ้าอารีย์ โดยได้เชิญกูรูในวงการ E-marketing นายณัฐพัชญ์ วงษ์เหรียญทอง มาเป็นวิทยากร เพื่อสร้างแรงบันดาลใจเคล็ดลับการทําธุรกิจออนไลน์ให้ประสบความสําเร็จรองรับการเปลี่ยนแปลงกับการขับเคลื่อนประเทศสู่ไทยแลนด์4.0 เพื่อให้กลุ่มสตาร์ทอัพ และ เอสเอ็มอี ก้าวทันสถานการณ์และนําไปประยุกต์ใช้เกิดประโยชน์มีประสิทธิภาพกับธุรกิจ โดยการอบรมครั้งนี้ถ่ายทอดสดผ่าน Facebook Live ของ Innovation Center และ Facebook SME Development Bank ด้วย เพื่อให้ผู้สนใจรับชมเรียนรู้ทันสถานการณ์ไปพร้อมกับผู้เข้ารับการอบรมโดยตรง
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าวว่า การจัดสัมมนาของธนาคารให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการหลากหลายกลุ่มซึ่งดําเนินการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2560 เป็นไปตามเป้าหมาย SME D-Solution ที่ต้องการเป็นสถาบันการเงินด้านการพัฒนาที่เน้นบทบาทเพิ่มองค์ความรู้ด้านต่างๆให้กลุ่มสตาร์อัพ และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพื่อให้การดําเนินธุรกิจสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นกิจการเติบโตแข็งแรง และมีภูมิคุ้มกัน อีกทั้งผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงบริการทางการเงิน การบริหารจัดการ และการตลาด ณ จุดเดียวครบรอบด้าน ซึ่งวัตถุประสงค์การจัดกิจกรรมของธนาคารจะแตกต่างจากที่อื่น โดยเน้นการเชื่อมโยงให้ผู้ประกอบการทั้งความรู้ เงินทุน และสามารถต่อยอดเชิงธุรกิจ ที่ไม่ได้เน้นการขายประกันหรือมีเรื่องธุรกิจด้านอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้อง ธนาคารมุ่งหวังเป็น E- Knowledge เพื่อนําผู้ประกอบการก้าวสู่การตลาดยุคไทยแลนด์4.0 ยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงและประเทศไทยพร้อมก้าวไปข้างหน้า ภาคธุรกิจต้องพร้อมจะปรับตัวให้ฉับไวทันเหตุการณ์ สามารถเชื่อมนวัตกรรมเทคโนโลยีต่อกับคนทั้งโลกค้าขายก่อเกิดกระแสเปิดโอกาสทางการตลาดอย่างมหาศาลและพลิกบทบาทการสื่อสารระหว่างแบรนด์และผู้บริโภคจากช่องทางเดิมไปสู่เทคโนโลยีใหม่ที่จะมีบทบาทเข้ามามากขึ้น ใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมใหม่ อี-มาร์เก็ตติ้ง(E-marketing)ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดกับกิจการ สําหรับกิจกรรมสัมมนาด้านอี-มาร์เก็ตติ้ง ในครั้งนี้จะช่วยอัปเดตเทรนด์เป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการเห็นภาพชัดความสําคัญของการตลาดอิเล็กทรอนิกส์สร้างกระบวนการเรียนรู้การสร้างตลาดเพิ่มยอดขายเพิ่มรายได้และเรียนรู้เคล็ดลับที่จะทําให้ธุรกิจออนไลน์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและประสบความสําเร็จต่อไป
สําหรับนายณัฐพัชญ์ วงษ์เหรียญทอง กูรูด้านการทําE-Marketing เป็นนักการตลาดดิจิทัล ที่ปรึกษา เทรนเนอร์ และบล็อกเกอร์ด้านการตลาดดิจิทัล ผู้วางแผนการตลาดคอนเทนต์ให้กับแบรนด์ต่างๆมากกว่า 40 แบรนด์ และเจ้าของบล๊อก nuttaputch.com ซึ่งเป็นบล๊อกการตลาดและการพัฒนาตัวเองที่มีผู้ติดตามบนFacebook มากกว่า 200,000 คน เป็นคอลัมน์นิสต์ให้เว็บไซต์ชื่อดังและผู้แต่งหนังสือContent Marketing เล่าให้คลิ๊ก พลิกแบรนด์ให้ดังซึ่งเป็นหนังสือด้านการตลาดคอนเทนต์เล่มแรกของประเทศไทย
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : ฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 0-265-4574-5
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว.ร่วมปลุกระแส อี-มาร์เก็ตติ้ง รับเทรนด์ก้าวสู่ไทยแลนด์ 4.0 จัดสัมมนา "ล้วงลับจับทาง สร้างธุรกิจออนไลน์ให้ติดลมบน”
วันพุธที่ 29 มีนาคม 2560
ธพว.ร่วมปลุกระแส อี-มาร์เก็ตติ้ง รับเทรนด์ก้าวสู่ไทยแลนด์ 4.0 จัดสัมมนา "ล้วงลับจับทาง สร้างธุรกิจออนไลน์ให้ติดลมบน”
ธพว.ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จัดสัมมนา "ล้วงลับจับทาง สร้างธุรกิจออนไลน์ให้ติดลมบน" ณ บริเวณพื้นที่ Co-Working Space ชั้น 1 SME Bank Tower
ในวันนี้ (28 มีนาคม 2560) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.หรือ SME Development Bank) ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จัดสัมมนา "ล้วงลับจับทาง สร้างธุรกิจออนไลน์ให้ติดลมบน" ณ บริเวณพื้นที่ Co-Working Space ชั้น 1 สํานักงานใหญ่ SME Bank Tower ติดสถานีรถไฟฟ้าอารีย์ โดยได้เชิญกูรูในวงการ E-marketing นายณัฐพัชญ์ วงษ์เหรียญทอง มาเป็นวิทยากร เพื่อสร้างแรงบันดาลใจเคล็ดลับการทําธุรกิจออนไลน์ให้ประสบความสําเร็จรองรับการเปลี่ยนแปลงกับการขับเคลื่อนประเทศสู่ไทยแลนด์4.0 เพื่อให้กลุ่มสตาร์ทอัพ และ เอสเอ็มอี ก้าวทันสถานการณ์และนําไปประยุกต์ใช้เกิดประโยชน์มีประสิทธิภาพกับธุรกิจ โดยการอบรมครั้งนี้ถ่ายทอดสดผ่าน Facebook Live ของ Innovation Center และ Facebook SME Development Bank ด้วย เพื่อให้ผู้สนใจรับชมเรียนรู้ทันสถานการณ์ไปพร้อมกับผู้เข้ารับการอบรมโดยตรง
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าวว่า การจัดสัมมนาของธนาคารให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการหลากหลายกลุ่มซึ่งดําเนินการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2560 เป็นไปตามเป้าหมาย SME D-Solution ที่ต้องการเป็นสถาบันการเงินด้านการพัฒนาที่เน้นบทบาทเพิ่มองค์ความรู้ด้านต่างๆให้กลุ่มสตาร์อัพ และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพื่อให้การดําเนินธุรกิจสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นกิจการเติบโตแข็งแรง และมีภูมิคุ้มกัน อีกทั้งผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงบริการทางการเงิน การบริหารจัดการ และการตลาด ณ จุดเดียวครบรอบด้าน ซึ่งวัตถุประสงค์การจัดกิจกรรมของธนาคารจะแตกต่างจากที่อื่น โดยเน้นการเชื่อมโยงให้ผู้ประกอบการทั้งความรู้ เงินทุน และสามารถต่อยอดเชิงธุรกิจ ที่ไม่ได้เน้นการขายประกันหรือมีเรื่องธุรกิจด้านอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้อง ธนาคารมุ่งหวังเป็น E- Knowledge เพื่อนําผู้ประกอบการก้าวสู่การตลาดยุคไทยแลนด์4.0 ยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงและประเทศไทยพร้อมก้าวไปข้างหน้า ภาคธุรกิจต้องพร้อมจะปรับตัวให้ฉับไวทันเหตุการณ์ สามารถเชื่อมนวัตกรรมเทคโนโลยีต่อกับคนทั้งโลกค้าขายก่อเกิดกระแสเปิดโอกาสทางการตลาดอย่างมหาศาลและพลิกบทบาทการสื่อสารระหว่างแบรนด์และผู้บริโภคจากช่องทางเดิมไปสู่เทคโนโลยีใหม่ที่จะมีบทบาทเข้ามามากขึ้น ใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมใหม่ อี-มาร์เก็ตติ้ง(E-marketing)ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดกับกิจการ สําหรับกิจกรรมสัมมนาด้านอี-มาร์เก็ตติ้ง ในครั้งนี้จะช่วยอัปเดตเทรนด์เป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการเห็นภาพชัดความสําคัญของการตลาดอิเล็กทรอนิกส์สร้างกระบวนการเรียนรู้การสร้างตลาดเพิ่มยอดขายเพิ่มรายได้และเรียนรู้เคล็ดลับที่จะทําให้ธุรกิจออนไลน์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและประสบความสําเร็จต่อไป
สําหรับนายณัฐพัชญ์ วงษ์เหรียญทอง กูรูด้านการทําE-Marketing เป็นนักการตลาดดิจิทัล ที่ปรึกษา เทรนเนอร์ และบล็อกเกอร์ด้านการตลาดดิจิทัล ผู้วางแผนการตลาดคอนเทนต์ให้กับแบรนด์ต่างๆมากกว่า 40 แบรนด์ และเจ้าของบล๊อก nuttaputch.com ซึ่งเป็นบล๊อกการตลาดและการพัฒนาตัวเองที่มีผู้ติดตามบนFacebook มากกว่า 200,000 คน เป็นคอลัมน์นิสต์ให้เว็บไซต์ชื่อดังและผู้แต่งหนังสือContent Marketing เล่าให้คลิ๊ก พลิกแบรนด์ให้ดังซึ่งเป็นหนังสือด้านการตลาดคอนเทนต์เล่มแรกของประเทศไทย
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : ฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 0-265-4574-5
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2700
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ติดตามการจัดการน้ำโรงพยาบาลสุรินทร์
|
วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม 2562
สธ.ติดตามการจัดการน้ําโรงพยาบาลสุรินทร์
กระทรวงสาธารณสุข ติดตามความคืบหน้าการจัดการน้ําในสถานการณ์ภัยแล้งจากฝนทิ้งช่วง โรงพยาบาลสุรินทร์ เปิดให้บริการตามปกติ พร้อมเร่งตรวจสอบคุณภาพน้ําจากบ่อบาดาล ปรับให้ได้มาตรฐานใกล้เคียงน้ําประปา เพื่อให้มีน้ําใช้พอเพียง โดยมีภาครัฐ เอกชน และประชาชนในพื้
กระทรวงสาธารณสุข ติดตามความคืบหน้าการจัดการน้ําในสถานการณ์ภัยแล้งจากฝนทิ้งช่วง โรงพยาบาลสุรินทร์ เปิดให้บริการตามปกติ พร้อมเร่งตรวจสอบคุณภาพน้ําจากบ่อบาดาล ปรับให้ได้มาตรฐานใกล้เคียงน้ําประปา เพื่อให้มีน้ําใช้พอเพียง โดยมีภาครัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่ให้การสนับสนุนน้ําดื่มอย่างต่อเนื่อง
วันนี้ (17 สิงหาคม 2562) นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าสถานการณ์วิกฤตภัยแล้ง จากฝนทิ้งช่วงโรงพยาบาลสุรินทร์ ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้กําชับให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ได้รับรายงานว่าขณะนี้โรงพยาบาลสุรินทร์ สามารถให้บริการทางการแพทย์ตามปกติ ในส่วนที่มีความจําเป็นใช้น้ําประปาในการให้บริการ ได้แก่ ห้องผ่าตัด หน่วยไตเทียม หน่วยทันตกรรม ศูนย์ส่องกล้อง ห้องสวนหัวใจ ห้องปฏิบัติการ หน่วยโภชนาการ และหน่วยจ่ายกลาง มีน้ําประปาจากการประปาส่วนภูมิภาค จังหวัดสุรินทร์ สําหรับน้ําดื่มผู้ป่วย ญาติ และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานนั้นได้รับการสนับสนุนจากองค์กรภาครัฐ เอกชน และประชาชนอย่างต่อเนื่อง
นายแพทย์สุขุม กล่าวต่อว่า ด้านความคืบหน้าการจัดหาแหล่งน้ําสํารอง ได้ดําเนินการขุดเจาะแล้วเสร็จในวันที่ 14 สิงหาคม 2562 จํานวน 8 บ่อ เข้าสู่ระบบการกรองและอยู่ระหว่างการตรวจสอบคุณภาพน้ํา โดยส่งไปที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ เขต 9 จังหวัดนครราชสีมา และได้เร่งปรับคุณภาพน้ํา ให้เทียบเคียงน้ําประปาโดยเร็วที่สุดเพื่อบริการประชาชน ทั้งนี้ ข้อมูล ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2562 มีปริมาณน้ําสํารองในอาคาร รวม 1,040,185 ลิตร อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลสุรินทร์ยังคงมาตรการประหยัดน้ําในทุกหน่วยบริการ และติดตามเฝ้าระวังโรคภัยจากภาวะภัยแล้งขาดแคลนน้ําอย่างต่อเนื่อง
*******************17 สิงหาคม 2562
********************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ติดตามการจัดการน้ำโรงพยาบาลสุรินทร์
วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม 2562
สธ.ติดตามการจัดการน้ําโรงพยาบาลสุรินทร์
กระทรวงสาธารณสุข ติดตามความคืบหน้าการจัดการน้ําในสถานการณ์ภัยแล้งจากฝนทิ้งช่วง โรงพยาบาลสุรินทร์ เปิดให้บริการตามปกติ พร้อมเร่งตรวจสอบคุณภาพน้ําจากบ่อบาดาล ปรับให้ได้มาตรฐานใกล้เคียงน้ําประปา เพื่อให้มีน้ําใช้พอเพียง โดยมีภาครัฐ เอกชน และประชาชนในพื้
กระทรวงสาธารณสุข ติดตามความคืบหน้าการจัดการน้ําในสถานการณ์ภัยแล้งจากฝนทิ้งช่วง โรงพยาบาลสุรินทร์ เปิดให้บริการตามปกติ พร้อมเร่งตรวจสอบคุณภาพน้ําจากบ่อบาดาล ปรับให้ได้มาตรฐานใกล้เคียงน้ําประปา เพื่อให้มีน้ําใช้พอเพียง โดยมีภาครัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่ให้การสนับสนุนน้ําดื่มอย่างต่อเนื่อง
วันนี้ (17 สิงหาคม 2562) นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าสถานการณ์วิกฤตภัยแล้ง จากฝนทิ้งช่วงโรงพยาบาลสุรินทร์ ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้กําชับให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ได้รับรายงานว่าขณะนี้โรงพยาบาลสุรินทร์ สามารถให้บริการทางการแพทย์ตามปกติ ในส่วนที่มีความจําเป็นใช้น้ําประปาในการให้บริการ ได้แก่ ห้องผ่าตัด หน่วยไตเทียม หน่วยทันตกรรม ศูนย์ส่องกล้อง ห้องสวนหัวใจ ห้องปฏิบัติการ หน่วยโภชนาการ และหน่วยจ่ายกลาง มีน้ําประปาจากการประปาส่วนภูมิภาค จังหวัดสุรินทร์ สําหรับน้ําดื่มผู้ป่วย ญาติ และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานนั้นได้รับการสนับสนุนจากองค์กรภาครัฐ เอกชน และประชาชนอย่างต่อเนื่อง
นายแพทย์สุขุม กล่าวต่อว่า ด้านความคืบหน้าการจัดหาแหล่งน้ําสํารอง ได้ดําเนินการขุดเจาะแล้วเสร็จในวันที่ 14 สิงหาคม 2562 จํานวน 8 บ่อ เข้าสู่ระบบการกรองและอยู่ระหว่างการตรวจสอบคุณภาพน้ํา โดยส่งไปที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ เขต 9 จังหวัดนครราชสีมา และได้เร่งปรับคุณภาพน้ํา ให้เทียบเคียงน้ําประปาโดยเร็วที่สุดเพื่อบริการประชาชน ทั้งนี้ ข้อมูล ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2562 มีปริมาณน้ําสํารองในอาคาร รวม 1,040,185 ลิตร อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลสุรินทร์ยังคงมาตรการประหยัดน้ําในทุกหน่วยบริการ และติดตามเฝ้าระวังโรคภัยจากภาวะภัยแล้งขาดแคลนน้ําอย่างต่อเนื่อง
*******************17 สิงหาคม 2562
********************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22304
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563
|
วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563
1.สถานการณ์ ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 ณ เวลา 08.00 น. 1. ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 13 ราย กลับบ้านแล้ว 28 ราย รวมสะสม 41 ราย 2. ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม – 27 กุมภาพันธ์ 25
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)
ประจําวันที่28 กุมภาพันธ์ 2563
1.สถานการณ์ ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 ณ เวลา 08.00 น.
1. ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 13 ราย กลับบ้านแล้ว 28 ราย รวมสะสม 41 ราย
2. ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม – 27 กุมภาพันธ์ 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 2,437 ราย คัดกรองจากทุกด่าน 84 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 2,353 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 1,446 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 991 ราย
3. สถานการณ์ทั่วโลกใน 50 ประเทศ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 82,794 ราย เสียชีวิต 2,817 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 78,514 ราย เสียชีวิต 2,747 ราย
2.สธ.เผยมีผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รักษาหายเพิ่ม 1 ราย และพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม 1 ราย
กระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หายเป็นปกติ กลับบ้านได้อีก 1 ราย พบผู้ป่วยรายใหม่ 1 รายกลับจากเกาหลีใต้
นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรคและคณะผู้บริหาร แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า วันนี้มีข่าวดีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แพทย์รักษาหายอนุญาตให้กลับบ้านได้เพิ่มอีก 1 ราย เป็น ชายชาวจีน อายุ 30 ปี จากสถาบันโรคทรวงอก และได้รับรายงาน ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการทั้ง 2 แห่ง(กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ยืนยันพบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่ม 1 ราย เป็นชายไทยอายุ 25 ปี อาชีพ ไกด์นําเที่ยวมีประวัติเดินทางกลับมาจากประเทศเกาหลีใต้ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ด้วยอาการไข้ ไอ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบเชื้อ ขณะนี้ได้รับตัวไว้ในสถาบันบําราศนราดูร ติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดได้ 2 คน ส่วนเพื่อนร่วมทัวร์ และผู้สัมผัสบนเครื่องบินอยู่ในระหว่างการติดตาม ทั้งนี้ได้ส่งข้อมูลทั้งหมดให้ผู้เกี่ยวข้องดําเนินการแล้ว
ขณะนี้ มีผู้ป่วยยืนยันที่รักษาหายแล้ว 28 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 13 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสม 41ราย สําหรับผู้ป่วยอาการหนักทั้ง 2 ราย ที่สถาบันบําราศนราดูร ขณะนี้ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบเชื้อแล้ว รอร่างกายฟื้นตัว
ทั้งนี้ จากข้อมูลระบาดวิทยาทั้งของประเทศไทยและต่างประเทศพบว่า ผู้สัมผัสที่มีความเสี่ยงต่อการรับเชื้อ ส่วนใหญ่เป็นบุคคลในครอบครัว และบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่ใส่ PPE ตามมาตรฐาน ดังนั้นเรื่องมาตรการการเฝ้าระวังและคําแนะนําในการปฏิบัติตัว จึงต้องมีการกักกันตนเอง (Self-Quarantine at home) ตามมาตรฐานการป้องกันโรค โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ
กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่มีความจําเป็นต้อง แยกกัก กักกัน คุมไว้สังเกตอาการ (ตาม พ.ร.บ. โรคติดต่อ 2558) ได้แก่ 1. ผู้เข้าข่ายเกณฑ์สอบสวนโรค หรือ PUI ซึ่งกลุ่มนี้มีทั้งอาการและประวัติเสี่ยง ต้องแยกกักอย่างเข้มงวด 2. ผู้สัมผัสที่มีความเสี่ยงต่อการรับเชื้อสูง (High Risk Contact) กลุ่มนี้ไม่มีอาการ แต่มีความเสี่ยงสูงต่อการรับเชื้อสูงจากผู้ป่วย หรือผู้สงสัยว่าป่วย ได้แก่ ผู้สัมผัสในครัวเรือน เพื่อนร่วมชั้นเรียน เพื่อนร่วมทํางาน ร่วมยานพาหนะ ที่มีสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยตามนิยามของกรมควบคุมโรค รวมทั้ง บุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่ใส่ PPE ตามมาตรฐานในขณะที่ให้การดูแลผู้ป่วยบุคคลดังกล่าวในกลุ่มนี้ มีความจําเป็นต้องกักกันตนเอง(Self-Quarantine at home) อย่างเคร่งครัดเป็นเวลา 14 วัน ไม่คลุกคลีกับผู้อื่น งดกิจกรรมทางสังคม งดไปทํางาน งดไปโรงเรียนเรียน แยกของใช้ส่วนตัวกับผู้อื่น
กลุ่มที่ 2 กลุ่มไม่สัมผัสกับผู้ป่วยแต่มีความเสี่ยง คือ ผู้ที่เดินทางกลับจากพื้นที่ระบาดของโรค แต่ไม่มีอาการเจ็บป่วย ขอให้ปฏิบัติตัว ดังนี้ เพื่อการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ขอความร่วมมือลดกิจกรรมทางสังคม (Social Distancing) ให้สังเกตอาการป่วยอยู่ที่บ้าน/ที่พัก เฝ้าระวังตนเองเป็นเวลา 14 วัน หลีกเลี่ยงการไปในที่สาธารณะ ที่มีคนอยู่หนาแน่นโดยไม่จําเป็น แต่หากมีอาการ ไข้ไอ เจ็บคอ ต้องพบแพทย์ทันที
กลุ่มที่ 3 คือ ผู้ที่อยู่ในชุมชนเดียวกันกับผู้ป่วย และประชาชนทั่วไป ขอให้ปฏิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข คือ กินร้อน ใช้ช้อนกลาง หมั่นล้างมือ สวมหน้ากากอนามัยหากไปในที่ที่มีคนอยู่มาก
ขอทําความเข้าใจกับประชาชน ว่า ผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ระบาดของโรค ทุกคนไม่ใช่ผู้ป่วย หรือผู้ที่ถูกรับตัวเข้าไว้สังเกตอาการก็ไม่ใช่ผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทุกคน ขออย่ารังเกียจ อย่าตีตรา อย่าล้อเลียนผู้ป่วย ผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ระบาดของโรค ขอให้เห็นใจ ส่งกําลังใจให้หายป่วย ทุกคนที่ป่วยและเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงอยู่ในระบบเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อให้คนรอบข้างและสังคมมีโอกาสน้อย อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่พบถือว่าเป็นกรณีศึกษาให้ประชาชนตระหนักว่าการปกปิดข้อมูลเป็นผลเสียกับตัวผู้ป่วยเอง สังคมรอบข้าง และประเทศชาติ
3. คําแนะนําสําหรับประชาชน
3.1 ประชาชนที่มีประวัติเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่ที่มีการรายงานพบผู้ป่วย หลังเดินทางกลับประเทศไทยภายใน 14 วัน ถ้ามีอาการไข้ เจ็บคอ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น น้ํามูกไอ เสมหะ หายใจเร็ว หอบให้สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ และรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านหรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทาง เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนปอดบวม และมีอาการรุนแรง ถึงขั้นเสียชีวิตได้
3.2 ผู้ป่วยที่มีโรคประจําตัวให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปต่างประเทศที่มีการระบาด และหากจําเป็นต้องเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาด ขอให้หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย หลีกเลี่ยงไปตลาดค้าสัตว์มีชีวิตการสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่ป่วย หรือตาย
3.3 ประชาชนทั่วไป ขอให้ดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศแปรปรวน ใช้มาตรการ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ และสวมหน้ากากป้องกันโรค เวลาไอ จาม หลีกเลี่ยงอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการโรคระบบทางเดินหายใจ
******************** 28 กุมภาพันธ์ 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563
วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563
1.สถานการณ์ ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 ณ เวลา 08.00 น. 1. ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 13 ราย กลับบ้านแล้ว 28 ราย รวมสะสม 41 ราย 2. ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม – 27 กุมภาพันธ์ 25
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)
ประจําวันที่28 กุมภาพันธ์ 2563
1.สถานการณ์ ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 ณ เวลา 08.00 น.
1. ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 13 ราย กลับบ้านแล้ว 28 ราย รวมสะสม 41 ราย
2. ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม – 27 กุมภาพันธ์ 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 2,437 ราย คัดกรองจากทุกด่าน 84 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 2,353 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 1,446 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 991 ราย
3. สถานการณ์ทั่วโลกใน 50 ประเทศ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 82,794 ราย เสียชีวิต 2,817 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 78,514 ราย เสียชีวิต 2,747 ราย
2.สธ.เผยมีผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รักษาหายเพิ่ม 1 ราย และพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม 1 ราย
กระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หายเป็นปกติ กลับบ้านได้อีก 1 ราย พบผู้ป่วยรายใหม่ 1 รายกลับจากเกาหลีใต้
นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรคและคณะผู้บริหาร แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า วันนี้มีข่าวดีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แพทย์รักษาหายอนุญาตให้กลับบ้านได้เพิ่มอีก 1 ราย เป็น ชายชาวจีน อายุ 30 ปี จากสถาบันโรคทรวงอก และได้รับรายงาน ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการทั้ง 2 แห่ง(กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ยืนยันพบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่ม 1 ราย เป็นชายไทยอายุ 25 ปี อาชีพ ไกด์นําเที่ยวมีประวัติเดินทางกลับมาจากประเทศเกาหลีใต้ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ด้วยอาการไข้ ไอ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบเชื้อ ขณะนี้ได้รับตัวไว้ในสถาบันบําราศนราดูร ติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดได้ 2 คน ส่วนเพื่อนร่วมทัวร์ และผู้สัมผัสบนเครื่องบินอยู่ในระหว่างการติดตาม ทั้งนี้ได้ส่งข้อมูลทั้งหมดให้ผู้เกี่ยวข้องดําเนินการแล้ว
ขณะนี้ มีผู้ป่วยยืนยันที่รักษาหายแล้ว 28 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 13 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสม 41ราย สําหรับผู้ป่วยอาการหนักทั้ง 2 ราย ที่สถาบันบําราศนราดูร ขณะนี้ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบเชื้อแล้ว รอร่างกายฟื้นตัว
ทั้งนี้ จากข้อมูลระบาดวิทยาทั้งของประเทศไทยและต่างประเทศพบว่า ผู้สัมผัสที่มีความเสี่ยงต่อการรับเชื้อ ส่วนใหญ่เป็นบุคคลในครอบครัว และบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่ใส่ PPE ตามมาตรฐาน ดังนั้นเรื่องมาตรการการเฝ้าระวังและคําแนะนําในการปฏิบัติตัว จึงต้องมีการกักกันตนเอง (Self-Quarantine at home) ตามมาตรฐานการป้องกันโรค โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ
กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่มีความจําเป็นต้อง แยกกัก กักกัน คุมไว้สังเกตอาการ (ตาม พ.ร.บ. โรคติดต่อ 2558) ได้แก่ 1. ผู้เข้าข่ายเกณฑ์สอบสวนโรค หรือ PUI ซึ่งกลุ่มนี้มีทั้งอาการและประวัติเสี่ยง ต้องแยกกักอย่างเข้มงวด 2. ผู้สัมผัสที่มีความเสี่ยงต่อการรับเชื้อสูง (High Risk Contact) กลุ่มนี้ไม่มีอาการ แต่มีความเสี่ยงสูงต่อการรับเชื้อสูงจากผู้ป่วย หรือผู้สงสัยว่าป่วย ได้แก่ ผู้สัมผัสในครัวเรือน เพื่อนร่วมชั้นเรียน เพื่อนร่วมทํางาน ร่วมยานพาหนะ ที่มีสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยตามนิยามของกรมควบคุมโรค รวมทั้ง บุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่ใส่ PPE ตามมาตรฐานในขณะที่ให้การดูแลผู้ป่วยบุคคลดังกล่าวในกลุ่มนี้ มีความจําเป็นต้องกักกันตนเอง(Self-Quarantine at home) อย่างเคร่งครัดเป็นเวลา 14 วัน ไม่คลุกคลีกับผู้อื่น งดกิจกรรมทางสังคม งดไปทํางาน งดไปโรงเรียนเรียน แยกของใช้ส่วนตัวกับผู้อื่น
กลุ่มที่ 2 กลุ่มไม่สัมผัสกับผู้ป่วยแต่มีความเสี่ยง คือ ผู้ที่เดินทางกลับจากพื้นที่ระบาดของโรค แต่ไม่มีอาการเจ็บป่วย ขอให้ปฏิบัติตัว ดังนี้ เพื่อการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ขอความร่วมมือลดกิจกรรมทางสังคม (Social Distancing) ให้สังเกตอาการป่วยอยู่ที่บ้าน/ที่พัก เฝ้าระวังตนเองเป็นเวลา 14 วัน หลีกเลี่ยงการไปในที่สาธารณะ ที่มีคนอยู่หนาแน่นโดยไม่จําเป็น แต่หากมีอาการ ไข้ไอ เจ็บคอ ต้องพบแพทย์ทันที
กลุ่มที่ 3 คือ ผู้ที่อยู่ในชุมชนเดียวกันกับผู้ป่วย และประชาชนทั่วไป ขอให้ปฏิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข คือ กินร้อน ใช้ช้อนกลาง หมั่นล้างมือ สวมหน้ากากอนามัยหากไปในที่ที่มีคนอยู่มาก
ขอทําความเข้าใจกับประชาชน ว่า ผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ระบาดของโรค ทุกคนไม่ใช่ผู้ป่วย หรือผู้ที่ถูกรับตัวเข้าไว้สังเกตอาการก็ไม่ใช่ผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทุกคน ขออย่ารังเกียจ อย่าตีตรา อย่าล้อเลียนผู้ป่วย ผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ระบาดของโรค ขอให้เห็นใจ ส่งกําลังใจให้หายป่วย ทุกคนที่ป่วยและเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงอยู่ในระบบเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อให้คนรอบข้างและสังคมมีโอกาสน้อย อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่พบถือว่าเป็นกรณีศึกษาให้ประชาชนตระหนักว่าการปกปิดข้อมูลเป็นผลเสียกับตัวผู้ป่วยเอง สังคมรอบข้าง และประเทศชาติ
3. คําแนะนําสําหรับประชาชน
3.1 ประชาชนที่มีประวัติเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่ที่มีการรายงานพบผู้ป่วย หลังเดินทางกลับประเทศไทยภายใน 14 วัน ถ้ามีอาการไข้ เจ็บคอ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น น้ํามูกไอ เสมหะ หายใจเร็ว หอบให้สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ และรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านหรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทาง เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนปอดบวม และมีอาการรุนแรง ถึงขั้นเสียชีวิตได้
3.2 ผู้ป่วยที่มีโรคประจําตัวให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปต่างประเทศที่มีการระบาด และหากจําเป็นต้องเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาด ขอให้หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย หลีกเลี่ยงไปตลาดค้าสัตว์มีชีวิตการสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่ป่วย หรือตาย
3.3 ประชาชนทั่วไป ขอให้ดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศแปรปรวน ใช้มาตรการ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ และสวมหน้ากากป้องกันโรค เวลาไอ จาม หลีกเลี่ยงอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการโรคระบบทางเดินหายใจ
******************** 28 กุมภาพันธ์ 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26812
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คนร. เห็นชอบในหลักการแผนแก้ไขปัญหา ระยะสั้นและระยะยาว ของ บมจ.การบินไทย มอบ คค. นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563
คนร. เห็นชอบในหลักการแผนแก้ไขปัญหา ระยะสั้นและระยะยาว ของ บมจ.การบินไทย มอบ คค. นําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
คนร. เห็นชอบในหลักการแผนแก้ไขปัญหา ระยะสั้นและระยะยาว ของ บมจ.การบินไทย มอบ คค. นําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
วันนี้ (29 เม.ย.63) เวลา 10.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ 1/2563 โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้เปิดเผย ว่า การประชุม คนร. ครั้งนี้ถือเป็นการประชุมครั้งแรกของ คนร. ภายใต้พระราชบัญญัติการพัฒนาการกํากับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2562 (พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ) โดย คนร. ตาม พ.ร.บ.พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ นี้ มีหน้าที่สําคัญในการเสนอแนะนโยบายในการพัฒนา การกํากับดูแล และการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ รวมทั้งจัดทําแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจที่จะเป็นแผนที่กําหนดเป้าหมาย ทิศทาง และนโยบายให้แก่รัฐวิสาหกิจในภาพรวมฉบับแรกของประเทศไทย นอกจากนี้ คนร. ชุดนี้จะกํากับดูแล การดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจผ่านระบบประเมินผลการดําเนินงานรัฐวิสาหกิจ และกําหนดแนวทาง การกํากับดูแลกิจการที่ดีในรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้การดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล โปร่งใส และตรวจสอบได้ สําหรับการประชุม คนร. ครั้งที่ 1/2563 นี้ ได้พิจารณาในเรื่องดังนี้
1. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 2 ชุด เพื่อผลักดันงานเร่งด่วนของ คนร. ดังนี้
1.1 คณะอนุกรรมการจัดทําแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจ โดยมีนายเทวินทร์ วงศ์วานิช เป็นประธานอนุกรรมการ เพื่อจัดทําร่างแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจ
1.2 คณะอนุกรรมการกําหนดหลักเกณฑ์การประเมินผลการดําเนินงานรัฐวิสาหกิจ โดยมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานอนุกรรมการ เพื่อจัดทําร่างหลักเกณฑ์การประเมินผล การดําเนินงานรัฐวิสาหกิจ
2. พิจารณาแผนการแก้ไขปัญหาของบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) (บกท.) ที่ผ่านการพิจารณาของกระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังมาแล้ว ซึ่ง คนร. เห็นด้วยในหลักการของแผนดังกล่าวที่จะช่วยแก้ไขปัญหา ทั้งระยะสั้นและระยะยาวของ บกท. ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้ บกท. สามารถสนับสนุนยุทธศาสตร์ การท่องเที่ยว การค้า และการลงทุนของประเทศได้อย่างยั่งยืน และได้มอบให้กระทรวงคมนาคม (คค.) นําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
-------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
(ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการ คนร.)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คนร. เห็นชอบในหลักการแผนแก้ไขปัญหา ระยะสั้นและระยะยาว ของ บมจ.การบินไทย มอบ คค. นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563
คนร. เห็นชอบในหลักการแผนแก้ไขปัญหา ระยะสั้นและระยะยาว ของ บมจ.การบินไทย มอบ คค. นําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
คนร. เห็นชอบในหลักการแผนแก้ไขปัญหา ระยะสั้นและระยะยาว ของ บมจ.การบินไทย มอบ คค. นําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
วันนี้ (29 เม.ย.63) เวลา 10.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ 1/2563 โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้เปิดเผย ว่า การประชุม คนร. ครั้งนี้ถือเป็นการประชุมครั้งแรกของ คนร. ภายใต้พระราชบัญญัติการพัฒนาการกํากับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2562 (พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ) โดย คนร. ตาม พ.ร.บ.พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ นี้ มีหน้าที่สําคัญในการเสนอแนะนโยบายในการพัฒนา การกํากับดูแล และการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ รวมทั้งจัดทําแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจที่จะเป็นแผนที่กําหนดเป้าหมาย ทิศทาง และนโยบายให้แก่รัฐวิสาหกิจในภาพรวมฉบับแรกของประเทศไทย นอกจากนี้ คนร. ชุดนี้จะกํากับดูแล การดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจผ่านระบบประเมินผลการดําเนินงานรัฐวิสาหกิจ และกําหนดแนวทาง การกํากับดูแลกิจการที่ดีในรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้การดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล โปร่งใส และตรวจสอบได้ สําหรับการประชุม คนร. ครั้งที่ 1/2563 นี้ ได้พิจารณาในเรื่องดังนี้
1. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 2 ชุด เพื่อผลักดันงานเร่งด่วนของ คนร. ดังนี้
1.1 คณะอนุกรรมการจัดทําแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจ โดยมีนายเทวินทร์ วงศ์วานิช เป็นประธานอนุกรรมการ เพื่อจัดทําร่างแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจ
1.2 คณะอนุกรรมการกําหนดหลักเกณฑ์การประเมินผลการดําเนินงานรัฐวิสาหกิจ โดยมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานอนุกรรมการ เพื่อจัดทําร่างหลักเกณฑ์การประเมินผล การดําเนินงานรัฐวิสาหกิจ
2. พิจารณาแผนการแก้ไขปัญหาของบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) (บกท.) ที่ผ่านการพิจารณาของกระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังมาแล้ว ซึ่ง คนร. เห็นด้วยในหลักการของแผนดังกล่าวที่จะช่วยแก้ไขปัญหา ทั้งระยะสั้นและระยะยาวของ บกท. ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้ บกท. สามารถสนับสนุนยุทธศาสตร์ การท่องเที่ยว การค้า และการลงทุนของประเทศได้อย่างยั่งยืน และได้มอบให้กระทรวงคมนาคม (คค.) นําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
-------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
(ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการ คนร.)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29966
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม จับมือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมพัฒนาบุคลากรเสริมแกร่งด้านการวิเคราะห์ข้อมูลภาคอุตสาหกรรม
|
วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563
กระทรวงอุตสาหกรรม จับมือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมพัฒนาบุคลากรเสริมแกร่งด้านการวิเคราะห์ข้อมูลภาคอุตสาหกรรม
กระทรวงอุตสาหกรรม จับมือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมพัฒนาบุคลากรเสริมแกร่งด้านการวิเคราะห์ข้อมูลภาคอุตสาหกรรม
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมลงนาม MOU สานความร่วมมือ ขับเคลื่อนการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการวิเคราะห์และการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ภาคอุตสาหกรรม หวังให้บุคลากรสามารถใช้ประโยชน์สูงสุดจาก Big Data ตอบสนองความต้องการประชาชน เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างมีศักยภาพ
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า “ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 ได้รับทราบรายงานผลการดําเนินงานตามข้อสั่งการของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการขับเคลื่อนการดําเนินนโยบายเพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) โดยมีการดําเนินงานที่สําคัญคือ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์ข้อมูลและบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (GBDi) ในสังกัดของสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) จะพัฒนาความร่วมมือทางวิชาการเพื่อการยกระดับศักยภาพและขีดความสามารถของกระทรวงอุตสาหกรรม ในการนําข้อมูลด้านอุตสาหกรรมมาสร้างคุณค่าสําหรับการพัฒนาประเทศ รวมถึงการสร้างนวัตกรรมบริการสาธารณะที่ตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจ ประชาชน และทุกภาคส่วน ทั้งสองกระทรวง จึงมีเจตนารมณ์ร่วมกัน ที่จะมุ่งเน้นในการพัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มศักยภาพและสร้างขีดความสามารถของบุคลากรกระทรวงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ข้อมูลใน 5 ด้าน ได้แก่ 1.การขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ด้วยข้อมูล (Data-driven Policy and Strategy) 2.วิศวกรรมข้อมูล (Data Engineering) คือ การบริหารจัดการข้อมูลให้พร้อมสําหรับการใช้งาน เริ่มตั้งแต่การจัดเก็บข้อมูล การวางระบบเส้นทางการไหลของข้อมูล และการรวบรวมข้อมูลไปเก็บไว้ที่แหล่งต่าง ๆ 3.วิทยาการข้อมูล (Data Science) คือ การนําข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยเริ่มตั้งแต่การจัดเตรียมข้อมูล การตรวจสอบ การทําการทดลองวิจัย การสร้างโมเดลการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อหารูปแบบ หาปัจจัยต่าง ๆ หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการพยากรณ์หรือการวินิจฉัย ไปจนถึงการนําเสนอผลการวิเคราะห์ เพื่อสรุปผลมาช่วยในการตัดสินใจ และการวางแผนต่าง ๆ ได้ 4.การจัดการข้อมูลให้เหมาะสมกับมุมมองการวิเคราะห์ (Business Intelligent) 5.การฝึกอบรมและปฏิบัติงานในสถานที่จริง (On the job Training)
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “การลงนามในบันทึกความร่วมมือทางวิชาการฯ ในครั้งนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สําคัญ สําหรับการพัฒนาบุคลากรของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการวิเคราะห์ข้อมูลภาคอุตสาหกรรม และปรับเปลี่ยนกระบวนการ วิธีการทํางานในรูปแบบใหม่เพื่อให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญา (Intelligent Organization) อย่างแท้จริง ”
ด้านนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่าการลงนามในวันนี้จะเป็นอีกกลไกหนึ่งในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การผลิตและพัฒนากําลังคนเพื่อรองรับการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Big Data เพื่อพัฒนาประเทศ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ และบุคลากรสามารถบูรณาการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนประชาชนสามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้มากยิ่งขึ้น โดยความร่วมมือนี้เกิดขึ้นได้จากความมุ่งมั่น ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรด้วยการประยุกต์รูปแบบการนําข้อมูลมาใช้ในการรับรู้สถานะ ศึกษาแนวโน้มและเพื่อเข้าใจถึงปัญหาและโอกาส ในการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลขององค์กร โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะของบุคลากรด้านข้อมูลแบบครบวงจร ซึ่งกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มอบหมายให้ GBDi หรือสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ หน่วยงานภายในสังกัดของสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล(depa) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้ามาทําความร่วมมือทางวิชาการนี้กับกระทรวงอุตสาหกรรม เนื่องด้วย GBDi มีบุคลากรผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวิเคราะห์ข้อมูล Data Science และ Data Engineering และมีประสบการณ์ในการให้คําปรึกษา การวิเคราะห์ข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ จึงมีความพร้อมในการขับเคลื่อนให้ภารกิจนี้บรรลุเป้าหมายต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม จับมือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมพัฒนาบุคลากรเสริมแกร่งด้านการวิเคราะห์ข้อมูลภาคอุตสาหกรรม
วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563
กระทรวงอุตสาหกรรม จับมือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมพัฒนาบุคลากรเสริมแกร่งด้านการวิเคราะห์ข้อมูลภาคอุตสาหกรรม
กระทรวงอุตสาหกรรม จับมือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมพัฒนาบุคลากรเสริมแกร่งด้านการวิเคราะห์ข้อมูลภาคอุตสาหกรรม
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมลงนาม MOU สานความร่วมมือ ขับเคลื่อนการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการวิเคราะห์และการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ภาคอุตสาหกรรม หวังให้บุคลากรสามารถใช้ประโยชน์สูงสุดจาก Big Data ตอบสนองความต้องการประชาชน เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างมีศักยภาพ
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า “ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 ได้รับทราบรายงานผลการดําเนินงานตามข้อสั่งการของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการขับเคลื่อนการดําเนินนโยบายเพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) โดยมีการดําเนินงานที่สําคัญคือ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์ข้อมูลและบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (GBDi) ในสังกัดของสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) จะพัฒนาความร่วมมือทางวิชาการเพื่อการยกระดับศักยภาพและขีดความสามารถของกระทรวงอุตสาหกรรม ในการนําข้อมูลด้านอุตสาหกรรมมาสร้างคุณค่าสําหรับการพัฒนาประเทศ รวมถึงการสร้างนวัตกรรมบริการสาธารณะที่ตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจ ประชาชน และทุกภาคส่วน ทั้งสองกระทรวง จึงมีเจตนารมณ์ร่วมกัน ที่จะมุ่งเน้นในการพัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มศักยภาพและสร้างขีดความสามารถของบุคลากรกระทรวงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ข้อมูลใน 5 ด้าน ได้แก่ 1.การขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ด้วยข้อมูล (Data-driven Policy and Strategy) 2.วิศวกรรมข้อมูล (Data Engineering) คือ การบริหารจัดการข้อมูลให้พร้อมสําหรับการใช้งาน เริ่มตั้งแต่การจัดเก็บข้อมูล การวางระบบเส้นทางการไหลของข้อมูล และการรวบรวมข้อมูลไปเก็บไว้ที่แหล่งต่าง ๆ 3.วิทยาการข้อมูล (Data Science) คือ การนําข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยเริ่มตั้งแต่การจัดเตรียมข้อมูล การตรวจสอบ การทําการทดลองวิจัย การสร้างโมเดลการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อหารูปแบบ หาปัจจัยต่าง ๆ หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการพยากรณ์หรือการวินิจฉัย ไปจนถึงการนําเสนอผลการวิเคราะห์ เพื่อสรุปผลมาช่วยในการตัดสินใจ และการวางแผนต่าง ๆ ได้ 4.การจัดการข้อมูลให้เหมาะสมกับมุมมองการวิเคราะห์ (Business Intelligent) 5.การฝึกอบรมและปฏิบัติงานในสถานที่จริง (On the job Training)
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “การลงนามในบันทึกความร่วมมือทางวิชาการฯ ในครั้งนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สําคัญ สําหรับการพัฒนาบุคลากรของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการวิเคราะห์ข้อมูลภาคอุตสาหกรรม และปรับเปลี่ยนกระบวนการ วิธีการทํางานในรูปแบบใหม่เพื่อให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญา (Intelligent Organization) อย่างแท้จริง ”
ด้านนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่าการลงนามในวันนี้จะเป็นอีกกลไกหนึ่งในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การผลิตและพัฒนากําลังคนเพื่อรองรับการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Big Data เพื่อพัฒนาประเทศ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ และบุคลากรสามารถบูรณาการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนประชาชนสามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้มากยิ่งขึ้น โดยความร่วมมือนี้เกิดขึ้นได้จากความมุ่งมั่น ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรด้วยการประยุกต์รูปแบบการนําข้อมูลมาใช้ในการรับรู้สถานะ ศึกษาแนวโน้มและเพื่อเข้าใจถึงปัญหาและโอกาส ในการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลขององค์กร โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะของบุคลากรด้านข้อมูลแบบครบวงจร ซึ่งกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มอบหมายให้ GBDi หรือสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ หน่วยงานภายในสังกัดของสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล(depa) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้ามาทําความร่วมมือทางวิชาการนี้กับกระทรวงอุตสาหกรรม เนื่องด้วย GBDi มีบุคลากรผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวิเคราะห์ข้อมูล Data Science และ Data Engineering และมีประสบการณ์ในการให้คําปรึกษา การวิเคราะห์ข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ จึงมีความพร้อมในการขับเคลื่อนให้ภารกิจนี้บรรลุเป้าหมายต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34407
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนวันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561
|
วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561
สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนวันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561
สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนวันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวกับประชาชนผ่านรายการ“ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่19ตุลาคม2561
เวลา20.15น. ในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้
เนื่องด้วยวันที่23ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5ในรัชสมัยของพระองค์ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายในบ้านเมืองของเราที่สร้างความเจริญก้าวหน้า ให้ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศด้วยพระราชกรณียกิจที่ยังความผาสุกให้เกิดแก่ประชาชน ทวยราษฎร์ทั้งปวงจึงน้อมใจแสดงความจงรักภักดี ด้วยการถวายพระนามว่า“สมเด็จพระปิยมหาราช”หรือพระพุทธเจ้าหลวง โดยกําหนดให้ทุกวันที่23ตุลาคม เป็น“วันปิยมหาราช”พระราชกรณียกิจสําคัญถือว่าเป็นการปฏิรูปประเทศครั้งยิ่งใหญ่ คือ“การเลิกทาส”ที่ปราศจากการเสียเลือดเนื้อ หรือการต่อต้านที่รุนแรง เหมือนที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ โดยอาศัยมาตรการทางกฎหมายและด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ จนประสบความสําเร็จได้ นอกจากนี้ยังมีการปฏิรูประบบราชการให้ทันสมัย การปฏิรูประบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน อาทิ การไฟฟ้า การประปา การไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์ และการสาธารณสุข เป็นต้น
ในโอกาสเดียวกันนี้ เพื่อแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ทั้งนี้ รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรม ซึ่งประกอบด้วยพิธีทําบุญตักบาตร พิธีวางพวงมาลาและถวายบังคม หน้าพระบรมราชานุสรณ์ ณ พระลานพระราชวังดุสิต อีกทั้ง พิธีถวายบังคมและจุดเทียน เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ ท้องสนามหลวง โดยรัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนแต่งกายด้วย“เสื้อโทนสีชมพู”ในวันอังคารที่23ตุลาคมนี้อย่างพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการเข้าร่วมการประชุมในเวทีระหว่างประเทศว่า เมื่อวันที่11ตุลาคม ที่ผ่านมา ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซียได้ร่วมการประชุมระดับผู้นําอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ โดยมีผู้นําองค์การระหว่างประเทศที่สําคัญ ได้แก่ องค์การสหประชาชาติ (UN)กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)และธนาคารโลก ผู้นําอาเซียนได้ร่วมกันแสดงวิสัยทัศน์ และบทบาทที่สําคัญในความร่วมมือที่จะผลักดันการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) รวมถึงการลดช่องว่างการพัฒนาเพื่อส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค โดยใช้ประโยชน์จากความเป็นหุ้นส่วนระหว่างภูมิภาค และความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ การประชุมครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า องค์การระหว่างประเทศได้ให้ความสําคัญกับภูมิภาคอาเซียนและประเด็นเกี่ยวกับ“การพัฒนาที่ยั่งยืน”โดยที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนมุมมอง 3ประเด็น ได้แก่1)การส่งเสริมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินของภูมิภาค และของโลก ภายใต้ภาวะแวดล้อมที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจสูง โดยขอให้ทุกฝ่ายสนับสนุนนโยบายการค้าเสรีอย่างต่อเนื่อง และสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินตั้งแต่ในระดับประเทศ และระดับภูมิภาคผ่านความร่วมมือทางการเงินและความช่วยเหลือกันในด้านต่างๆ2)เชิญชวนให้World BankและUN
ทําการศึกษาวิจัย เพื่อจะเพิ่มความเชื่อมโยงระหว่างยุทธศาสตร์ความเชื่อมโยงเดิม ในภูมิภาค เช่นACMECSและIMT – GTรวมถึงการสร้างหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างWorld Bank ADBและAIIBในการระดมทุน และ3)การน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของUNหรือSEP for SDGในบริบทของภูมิภาค ซึ่งในปี2562อาเซียนจะจัดตั้งศูนย์อาเซียนเพื่อการหารือและการศึกษาวิจัยด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย จะเป็นปัจจัยส่งเสริมให้อาเซียนบรรลุSDGsและ เป็นประชาคมที่มีประชาชน เป็นศูนย์กลางมากยิ่งขึ้น พร้อมมีวิสัยทัศน์ สร้างอนาคตร่วมกันอย่างมียุทธศาสตร์
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเน้นย้ําถึงความสําคัญของการพัฒนามนุษย์ถือเป็นหัวใจของการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของธนาคารโลก ไทยพร้อมจะเป็นเจ้าภาพในการหารือเรื่องการพัฒนาทุนมนุษย์ระหว่างอาเซียน World Bank IMFและUN ระหว่างวันที่18 - 19ตุลาคม2561นายกรัฐมนตรียังได้เข้าร่วมการประชุมผู้นําเอเชีย - ยุโรป (ASEM)ครั้งที่12โดยเจ้าภาพ คือสหภาพยุโรปได้กําหนดหัวข้อหลักของการประชุมฯ ว่า“ยุโรปและเอเชียหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อความท้าทายระดับโลก”โดยมีผู้นําจากประเทศในเอเชียและยุโรป จํานวน51ประเทศ และอีก2องค์กรนานาชาติ ได้แก่ สหภาพยุโรป และสํานักเลขาธิการอาเซียน เข้าร่วมเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นต่อสถานการณ์ ฃและพัฒนาการทางด้านเมืองความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม ของโลก พร้อมกําหนดทิศทางและแนวนโยบายในการกระชับความสัมพันธ์ส่งเสริมความร่วมมือ ตลอดจนเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างกัน
สําหรับการประชุมในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีในการส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในเวทีASEMซึ่งนายกรัฐมนตรีได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อการเติบโตที่ครอบคลุมและความเชื่อมโยงอย่างยั่งยืน พร้อมสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG)โดยไทยสนับสนุนให้เอเชียและยุโรปเข้าร่วมเป็น“หุ้นส่วนเพื่อความยั่งยืน”และมีความเชื่อมโยงที่เป็นรูปธรรม เพื่อรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ทั้งจากธรรมชาติ จากน้ํามือมนุษย์และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี นอกจากนี้ในช่วงการประชุมหารืออย่างไม่เป็นทางการ ยังแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้นําอื่น ๆ ในการส่งเสริมความร่วมมือ“พหุภาคี”ต่อสถานการณ์ในภูมิภาค และของโลกอีกด้วย
ทั้งนี้ภายหลังการประชุมASEM นายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมการประชุมEU- ASEAN Leaders' Meetingซึ่งมีการหารือเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรปในด้านต่าง ๆ
ภายใต้แผนปฏิบัติการอาเซียน–อียู ค.ศ.2018ถึง2022เพื่อจะแก้ไขปัญหาระดับโลก รวมทั้งร่วมกันรับมือกับสงครามการค้าและการสร้างดุลยภาพใหม่ ทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก และอินโด - แปซิฟิก รวมถึงการยกระดับความเชื่อมโยงระหว่าง2ภูมิภาคไปสู่ความเชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเข้าสู่สังคมสูงวัย และการสร้างสมดุลระหว่างประเด็นด้านมนุษยธรรมกับการรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงต่อไป
ในช่วงท้ายของรายการ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการจัดกิจกรรมการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่าได้มีการจัดนิทรรศการ“สร้างความสุข”ให้ชาวจังหวัดกาฬสินธุ์ และแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นจังหวัดนําร่องการแก้ปัญหารายได้ให้กับประชาชนด้วยการแสวงหา“จุดแข็ง - จุดขาย”มาขยายผล โดยยกตัวอย่างการรวมกลุ่มของGirl groupชื่อ“แพรวา จีจี้”ที่มีจํานวนสมาชิกทั้งหมด18คน จาก18อําเภอของจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยนําเสนอผลงานเพลงเป็นภาษาถิ่น ด้วยท่าเต้นแบบพื้นบ้านประยุกต์ และมีการนํา“ผ้าไหมแพรวา”ซึ่งเป็นผ้าทอมือที่เป็นเอกลักษณ์ของ“ภูไท”มาตัดเย็บเป็นชุดสําหรับศิลปินมีการดัดแปลงออกแบบเสื้อผ้าให้แปลกใหม่ ทันสมัย เป็นผลงานของคนในท้องถิ่น ที่ยังคงเอกลักษณ์รูปแบบ สวยงาม สําหรับ“ผ้าพื้นบ้าน”ของไทยหากได้รับการพัฒนาการออกแบบเพื่อนําไปใช้ในรูปแบบอื่น ๆนอกจากจะเป็นการอนุรักษ์แล้ว ยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกด้วยเช่นกัน
.............................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนวันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561
วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561
สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนวันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561
สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนวันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวกับประชาชนผ่านรายการ“ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่19ตุลาคม2561
เวลา20.15น. ในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้
เนื่องด้วยวันที่23ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5ในรัชสมัยของพระองค์ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายในบ้านเมืองของเราที่สร้างความเจริญก้าวหน้า ให้ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศด้วยพระราชกรณียกิจที่ยังความผาสุกให้เกิดแก่ประชาชน ทวยราษฎร์ทั้งปวงจึงน้อมใจแสดงความจงรักภักดี ด้วยการถวายพระนามว่า“สมเด็จพระปิยมหาราช”หรือพระพุทธเจ้าหลวง โดยกําหนดให้ทุกวันที่23ตุลาคม เป็น“วันปิยมหาราช”พระราชกรณียกิจสําคัญถือว่าเป็นการปฏิรูปประเทศครั้งยิ่งใหญ่ คือ“การเลิกทาส”ที่ปราศจากการเสียเลือดเนื้อ หรือการต่อต้านที่รุนแรง เหมือนที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ โดยอาศัยมาตรการทางกฎหมายและด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ จนประสบความสําเร็จได้ นอกจากนี้ยังมีการปฏิรูประบบราชการให้ทันสมัย การปฏิรูประบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน อาทิ การไฟฟ้า การประปา การไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์ และการสาธารณสุข เป็นต้น
ในโอกาสเดียวกันนี้ เพื่อแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ทั้งนี้ รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรม ซึ่งประกอบด้วยพิธีทําบุญตักบาตร พิธีวางพวงมาลาและถวายบังคม หน้าพระบรมราชานุสรณ์ ณ พระลานพระราชวังดุสิต อีกทั้ง พิธีถวายบังคมและจุดเทียน เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ ท้องสนามหลวง โดยรัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนแต่งกายด้วย“เสื้อโทนสีชมพู”ในวันอังคารที่23ตุลาคมนี้อย่างพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการเข้าร่วมการประชุมในเวทีระหว่างประเทศว่า เมื่อวันที่11ตุลาคม ที่ผ่านมา ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซียได้ร่วมการประชุมระดับผู้นําอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ โดยมีผู้นําองค์การระหว่างประเทศที่สําคัญ ได้แก่ องค์การสหประชาชาติ (UN)กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)และธนาคารโลก ผู้นําอาเซียนได้ร่วมกันแสดงวิสัยทัศน์ และบทบาทที่สําคัญในความร่วมมือที่จะผลักดันการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) รวมถึงการลดช่องว่างการพัฒนาเพื่อส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค โดยใช้ประโยชน์จากความเป็นหุ้นส่วนระหว่างภูมิภาค และความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ การประชุมครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า องค์การระหว่างประเทศได้ให้ความสําคัญกับภูมิภาคอาเซียนและประเด็นเกี่ยวกับ“การพัฒนาที่ยั่งยืน”โดยที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนมุมมอง 3ประเด็น ได้แก่1)การส่งเสริมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินของภูมิภาค และของโลก ภายใต้ภาวะแวดล้อมที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจสูง โดยขอให้ทุกฝ่ายสนับสนุนนโยบายการค้าเสรีอย่างต่อเนื่อง และสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินตั้งแต่ในระดับประเทศ และระดับภูมิภาคผ่านความร่วมมือทางการเงินและความช่วยเหลือกันในด้านต่างๆ2)เชิญชวนให้World BankและUN
ทําการศึกษาวิจัย เพื่อจะเพิ่มความเชื่อมโยงระหว่างยุทธศาสตร์ความเชื่อมโยงเดิม ในภูมิภาค เช่นACMECSและIMT – GTรวมถึงการสร้างหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างWorld Bank ADBและAIIBในการระดมทุน และ3)การน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของUNหรือSEP for SDGในบริบทของภูมิภาค ซึ่งในปี2562อาเซียนจะจัดตั้งศูนย์อาเซียนเพื่อการหารือและการศึกษาวิจัยด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย จะเป็นปัจจัยส่งเสริมให้อาเซียนบรรลุSDGsและ เป็นประชาคมที่มีประชาชน เป็นศูนย์กลางมากยิ่งขึ้น พร้อมมีวิสัยทัศน์ สร้างอนาคตร่วมกันอย่างมียุทธศาสตร์
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเน้นย้ําถึงความสําคัญของการพัฒนามนุษย์ถือเป็นหัวใจของการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของธนาคารโลก ไทยพร้อมจะเป็นเจ้าภาพในการหารือเรื่องการพัฒนาทุนมนุษย์ระหว่างอาเซียน World Bank IMFและUN ระหว่างวันที่18 - 19ตุลาคม2561นายกรัฐมนตรียังได้เข้าร่วมการประชุมผู้นําเอเชีย - ยุโรป (ASEM)ครั้งที่12โดยเจ้าภาพ คือสหภาพยุโรปได้กําหนดหัวข้อหลักของการประชุมฯ ว่า“ยุโรปและเอเชียหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อความท้าทายระดับโลก”โดยมีผู้นําจากประเทศในเอเชียและยุโรป จํานวน51ประเทศ และอีก2องค์กรนานาชาติ ได้แก่ สหภาพยุโรป และสํานักเลขาธิการอาเซียน เข้าร่วมเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นต่อสถานการณ์ ฃและพัฒนาการทางด้านเมืองความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม ของโลก พร้อมกําหนดทิศทางและแนวนโยบายในการกระชับความสัมพันธ์ส่งเสริมความร่วมมือ ตลอดจนเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างกัน
สําหรับการประชุมในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีในการส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในเวทีASEMซึ่งนายกรัฐมนตรีได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อการเติบโตที่ครอบคลุมและความเชื่อมโยงอย่างยั่งยืน พร้อมสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG)โดยไทยสนับสนุนให้เอเชียและยุโรปเข้าร่วมเป็น“หุ้นส่วนเพื่อความยั่งยืน”และมีความเชื่อมโยงที่เป็นรูปธรรม เพื่อรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ทั้งจากธรรมชาติ จากน้ํามือมนุษย์และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี นอกจากนี้ในช่วงการประชุมหารืออย่างไม่เป็นทางการ ยังแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้นําอื่น ๆ ในการส่งเสริมความร่วมมือ“พหุภาคี”ต่อสถานการณ์ในภูมิภาค และของโลกอีกด้วย
ทั้งนี้ภายหลังการประชุมASEM นายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมการประชุมEU- ASEAN Leaders' Meetingซึ่งมีการหารือเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรปในด้านต่าง ๆ
ภายใต้แผนปฏิบัติการอาเซียน–อียู ค.ศ.2018ถึง2022เพื่อจะแก้ไขปัญหาระดับโลก รวมทั้งร่วมกันรับมือกับสงครามการค้าและการสร้างดุลยภาพใหม่ ทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก และอินโด - แปซิฟิก รวมถึงการยกระดับความเชื่อมโยงระหว่าง2ภูมิภาคไปสู่ความเชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเข้าสู่สังคมสูงวัย และการสร้างสมดุลระหว่างประเด็นด้านมนุษยธรรมกับการรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงต่อไป
ในช่วงท้ายของรายการ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการจัดกิจกรรมการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่าได้มีการจัดนิทรรศการ“สร้างความสุข”ให้ชาวจังหวัดกาฬสินธุ์ และแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นจังหวัดนําร่องการแก้ปัญหารายได้ให้กับประชาชนด้วยการแสวงหา“จุดแข็ง - จุดขาย”มาขยายผล โดยยกตัวอย่างการรวมกลุ่มของGirl groupชื่อ“แพรวา จีจี้”ที่มีจํานวนสมาชิกทั้งหมด18คน จาก18อําเภอของจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยนําเสนอผลงานเพลงเป็นภาษาถิ่น ด้วยท่าเต้นแบบพื้นบ้านประยุกต์ และมีการนํา“ผ้าไหมแพรวา”ซึ่งเป็นผ้าทอมือที่เป็นเอกลักษณ์ของ“ภูไท”มาตัดเย็บเป็นชุดสําหรับศิลปินมีการดัดแปลงออกแบบเสื้อผ้าให้แปลกใหม่ ทันสมัย เป็นผลงานของคนในท้องถิ่น ที่ยังคงเอกลักษณ์รูปแบบ สวยงาม สําหรับ“ผ้าพื้นบ้าน”ของไทยหากได้รับการพัฒนาการออกแบบเพื่อนําไปใช้ในรูปแบบอื่น ๆนอกจากจะเป็นการอนุรักษ์แล้ว ยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกด้วยเช่นกัน
.............................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16215
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในพื้นที่ จ.นราธิวาส พร้อมมอบนโยบายเพื่อการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
|
วันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2560
รมว.ยุติธรรม ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในพื้นที่ จ.นราธิวาส พร้อมมอบนโยบายเพื่อการอํานวยความยุติธรรมให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
นายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ของกระทรวงยุติธรรม ภายใต้โครงการยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นําบริการรัฐสู่ประชาชน ครั้งที่ ๔
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๓๐ น.
นายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ของกระทรวงยุติธรรม
ภายใต้โครงการยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นําบริการรัฐสู่ประชาชน ครั้งที่ ๔
ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยมีคณะผู้บริหารระดับสูง
และหัวหน้าหน่วยงานสังกัดกระทรวงยุติธรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ประกอบด้วย จังหวัดสงขลา ปัตตานี นราธิวาส และยะลา เข้าร่วมฯ
ณ โรงแรม ดิ อิมพีเรียล จังหวัดนราธิวาส
ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบนโยบายและเน้นย้ําให้หน่วยงานในพื้นที่
จะต้องขับเคลื่อนการทํางานทั้งในส่วนที่เป็นยุทธศาสตร์การทํางานของกระทรวง
และนโยบายที่สําคัญของรัฐบาล รวมทั้งการสนับสนุนการทํางานของจังหวัด และกระทรวงยุติธรรม
โดยจะต้องให้ความรู้ทางด้านกฎหมายแก่ประชาชน สร้างการรับรู้ให้ประชาชนได้รู้ถึงสิทธิที่พึงได้รับ
จนนําไปสู่การเข้าถึงงานบริการของกระทรวงยุติธรรม การให้ความคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
ตลอดจนการอํานวยความยุติธรรมให้กับประชาชนตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทางอย่างเป็นธรรม
รวดเร็วและเสียค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด นอกจากนี้จะต้องทํางานในมิติของการบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วน
เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ต่อจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะ
ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของเรือนจําจังหวัดนราธิวาสและสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนราธิวาส
พร้อมทั้งให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ ผู้ต้องขัง รวมทั้งเด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ
เพื่อให้การพัฒนาพฤตินิสัยผู้ที่ก้าวพลาดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถคืนคนดีสู่สังคมต่อไป
นอกจากนี้ได้เดินทางไปตรวจความคืบหน้าการก่อสร้างเรือนจําจังหวัดนราธิวาสแห่งใหม่อีกด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในพื้นที่ จ.นราธิวาส พร้อมมอบนโยบายเพื่อการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
วันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2560
รมว.ยุติธรรม ตรวจเยี่ยมหน่วยงานในพื้นที่ จ.นราธิวาส พร้อมมอบนโยบายเพื่อการอํานวยความยุติธรรมให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
นายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ของกระทรวงยุติธรรม ภายใต้โครงการยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นําบริการรัฐสู่ประชาชน ครั้งที่ ๔
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๓๐ น.
นายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ของกระทรวงยุติธรรม
ภายใต้โครงการยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นําบริการรัฐสู่ประชาชน ครั้งที่ ๔
ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยมีคณะผู้บริหารระดับสูง
และหัวหน้าหน่วยงานสังกัดกระทรวงยุติธรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ประกอบด้วย จังหวัดสงขลา ปัตตานี นราธิวาส และยะลา เข้าร่วมฯ
ณ โรงแรม ดิ อิมพีเรียล จังหวัดนราธิวาส
ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบนโยบายและเน้นย้ําให้หน่วยงานในพื้นที่
จะต้องขับเคลื่อนการทํางานทั้งในส่วนที่เป็นยุทธศาสตร์การทํางานของกระทรวง
และนโยบายที่สําคัญของรัฐบาล รวมทั้งการสนับสนุนการทํางานของจังหวัด และกระทรวงยุติธรรม
โดยจะต้องให้ความรู้ทางด้านกฎหมายแก่ประชาชน สร้างการรับรู้ให้ประชาชนได้รู้ถึงสิทธิที่พึงได้รับ
จนนําไปสู่การเข้าถึงงานบริการของกระทรวงยุติธรรม การให้ความคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
ตลอดจนการอํานวยความยุติธรรมให้กับประชาชนตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทางอย่างเป็นธรรม
รวดเร็วและเสียค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด นอกจากนี้จะต้องทํางานในมิติของการบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วน
เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ต่อจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะ
ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของเรือนจําจังหวัดนราธิวาสและสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนราธิวาส
พร้อมทั้งให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ ผู้ต้องขัง รวมทั้งเด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ
เพื่อให้การพัฒนาพฤตินิสัยผู้ที่ก้าวพลาดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถคืนคนดีสู่สังคมต่อไป
นอกจากนี้ได้เดินทางไปตรวจความคืบหน้าการก่อสร้างเรือนจําจังหวัดนราธิวาสแห่งใหม่อีกด้วย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4293
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครบรอบ 72 ปี วันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา
|
วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม 2560
ครบรอบ 72 ปี วันคล้ายวันสถาปนาสํานักงานเลขาธิการคุรุสภา
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานกรรมการคุรุสภา เป็นประธานพิธีจัดงานวันคล้ายวันสถาปนาสํานักงานเลขาธิการคุรุสภา ครบรอบ 72 ปี
โดยมีนายสมศักดิ์ ดลประสิทธิ์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา ปฏิบัติหน้าที่ในตําแหน่งเลขาธิการคุรุสภา รวมทั้งคณะกรรมการคุรุสภา คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ คณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ และผู้สนับสนุนกิจการสํานักงานเลขาธิการคุรุสภาเข้าร่วมงานกว่า 600 คน โดยม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้เกียรติเป็นประธานในพิธีบําเพ็ญกุศลเจริญพุทธมนต์ และพิธีมอบของที่ระลึกผู้สนับสนุนกิจการ และมอบเข็มยกย่องเชิดชูเกียรติ
เมื่อเวลา 7.09 น.นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีบวงสรวงองค์เทพพระพฤหัสบดี, พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6, พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) และนายทวี บุณยเกตุ อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
โอกาสนี้ รมว.ศึกษาธิการ ได้มอบสาร
เนื่องในโอกาสครบรอบ 72 ปี สํานักงานเลขาธิการคุรุสภา
เวลา 9.30 น.ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมช.ศึกษาธิการ ในฐานะกรรมการคุรุสภา เป็นประธานในพิธีบําเพ็ญกุศลเจริญพุทธมนต์ โดยพระสงฆ์จํานวน 10 รูป พิธีมอบของที่ระลึกผู้สนับสนุนกิจการสํานักงานเลขาธิการคุรุสภา จํานวน 144 คน มอบเข็มยกย่องเชิดชูเกียรติผู้เกษียณอายุราชการประจําปี 2559 จํานวน 6 คน พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ไม่มีวันลา/มาสาย จํานวน 158 คน เพื่อเป็นการยกย่องขวัญและกําลังใจ
โอกาสนี้ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล กล่าวว่าวิชาชีพครูเป็นวิชาชีพชั้นสูงในในสังคมอารยะ หลายประเทศสงวนอาชีพครูไว้สําหรับบุคคลที่มีความรู้ ความดีงาม และมีความเชี่ยวชาญเฉพาะ "ครู" ถือเป็นผู้ปิดทองหลังพระ เพราะนําพาความสําเร็จไปสู่ในตัวลูกศิษย์ ครูหลายท่านที่ตนไปได้ไปพบปะพูดคุย จะบอกว่าช่วงปิดเทอมใหญ่เป็นช่วงเวลาที่ใจหาย เพราะต้องจากลูกศิษย์เป็นเวลานานในช่วงปิดเทอม หรือจากลูกศิษย์ที่จบออกไป เมื่อเปิดเทอมในห้องเรียนเดิมก็จะเปลี่ยนเด็กรุ่นใหม่เข้ามา ครูจึงเปรียบเสมือนเรือจ้างที่ต้องพายพาเด็กขึ้นฝั่งไปด้วยความเสียสละ และพายกลับมาคนเดียว ดังนั้น การที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ตนเข้ามาดูแลกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับครู จึงถือเป็นเกียรติยศต่อตนเองและครอบครัวเป็นอย่างมาก และภูมิใจที่จะจบชีวิตราชการที่กระทรวงศึกษาธิการด้วยเกียรติยศอันยิ่งใหญ่แห่งนี้
เมื่อได้เข้ามาดูแลกระทรวงศึกษาธิการ จึงต้องการให้ทุกคน ทั้งครูบาอาจารย์ ผู้บริหาร นักเรียนนักศึกษาทุกคน ได้น้อมนํากระแสพระราชดํารัส รําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในหลวงรัชกาลที่ 9 และเป็นไปตามพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 10ที่ต้องการเห็นครูและปวงชนชาวไทยสืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ท่านเพราะตลอดระยะเวลา 70 ปี ในรัชสมัยของพระองค์นั้น ทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกาย และทรงนําพาประเทศชาติผ่านพ้นสถานการณ์ต่าง ๆ มาได้มากมาย จึงขอให้ทุกคนน้อมนําพระบรมราโชวาท กระแสพระราชดํารัส แบบอย่างคุณงามความดี ความพอเพียง และความยั่งยืน ที่พระองค์ทรงพระราชทานไว้ ใส่เกล้าใส่กระหม่อมและน้อมนําไปปฏิบัติเพื่อถวายเป็นประราชกุศล เช่น การเปลี่ยนทัศนคติในการทําความดี ควรมุ่งมั่นที่จะทําความดีที่มาจากหัวใจ ไม่ใช่กระทําด้วยเพราะกฎหมายบังคับ ซึ่งจะไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของบุคคลผู้นั้น
นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการให้ความสําคัญกับการดําเนินโครงการ "โรงเรียนคุณธรรม" ให้เกิดขึ้นกว่า 30,000 แห่งทั่วประเทศ ภายในปีการศึกษา 2560จึงขอให้ความอนุเคราะห์สถานศึกษาให้ความสําคัญกับกิจกรรมและตัวชี้วัดของการเป็นโรงเรียนคุณธรรม ซึ่งจะได้ประกาศใช้ในเร็ว ๆ นี้ โดยโรงเรียนอาจจัดละครเกี่ยวกับการส่งเสริมคุณธรรรมจริยธรรมให้เด็กเล่นและรับชมกันบ่อย ๆ เด็กก็จะติดนิสัยที่ดี ๆ จากการแสดงนําไปประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจําวันได้ แม้บางคนเลิกเล่นแต่ก็ยังคงจําบทละครนั้นได้ หรือการทําเวิร์คช็อปเรื่องศีลธรรมในห้องเรียนก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ควรเป็นกลุ่มใหญ่มากจนเกินไป เพราะจะไม่เกิดมรรคเกิดผลเท่าที่ควร
จึงฝากให้ช่วยกันสร้าง ช่วยกันเสริมให้เกิดโรงเรียนคุณธรรม ซึ่งจะช่วยให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่งดงามในวันข้างหน้า ไม่ทุจริต ไม่เอารัดเอาเปรียบ ยึดมั่นคุณธรรมจริยธรรมแล้ว ยังเป็นการถวายเป็นพระกุศลเพื่อพระองค์จะยังคงประทับสถิตเสถียรอยู่ในดวงใจของคนไทยทั้งชาติตราบนานแสนนาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครบรอบ 72 ปี วันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา
วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม 2560
ครบรอบ 72 ปี วันคล้ายวันสถาปนาสํานักงานเลขาธิการคุรุสภา
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานกรรมการคุรุสภา เป็นประธานพิธีจัดงานวันคล้ายวันสถาปนาสํานักงานเลขาธิการคุรุสภา ครบรอบ 72 ปี
โดยมีนายสมศักดิ์ ดลประสิทธิ์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา ปฏิบัติหน้าที่ในตําแหน่งเลขาธิการคุรุสภา รวมทั้งคณะกรรมการคุรุสภา คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ คณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ และผู้สนับสนุนกิจการสํานักงานเลขาธิการคุรุสภาเข้าร่วมงานกว่า 600 คน โดยม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้เกียรติเป็นประธานในพิธีบําเพ็ญกุศลเจริญพุทธมนต์ และพิธีมอบของที่ระลึกผู้สนับสนุนกิจการ และมอบเข็มยกย่องเชิดชูเกียรติ
เมื่อเวลา 7.09 น.นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีบวงสรวงองค์เทพพระพฤหัสบดี, พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6, พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) และนายทวี บุณยเกตุ อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
โอกาสนี้ รมว.ศึกษาธิการ ได้มอบสาร
เนื่องในโอกาสครบรอบ 72 ปี สํานักงานเลขาธิการคุรุสภา
เวลา 9.30 น.ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมช.ศึกษาธิการ ในฐานะกรรมการคุรุสภา เป็นประธานในพิธีบําเพ็ญกุศลเจริญพุทธมนต์ โดยพระสงฆ์จํานวน 10 รูป พิธีมอบของที่ระลึกผู้สนับสนุนกิจการสํานักงานเลขาธิการคุรุสภา จํานวน 144 คน มอบเข็มยกย่องเชิดชูเกียรติผู้เกษียณอายุราชการประจําปี 2559 จํานวน 6 คน พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ไม่มีวันลา/มาสาย จํานวน 158 คน เพื่อเป็นการยกย่องขวัญและกําลังใจ
โอกาสนี้ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล กล่าวว่าวิชาชีพครูเป็นวิชาชีพชั้นสูงในในสังคมอารยะ หลายประเทศสงวนอาชีพครูไว้สําหรับบุคคลที่มีความรู้ ความดีงาม และมีความเชี่ยวชาญเฉพาะ "ครู" ถือเป็นผู้ปิดทองหลังพระ เพราะนําพาความสําเร็จไปสู่ในตัวลูกศิษย์ ครูหลายท่านที่ตนไปได้ไปพบปะพูดคุย จะบอกว่าช่วงปิดเทอมใหญ่เป็นช่วงเวลาที่ใจหาย เพราะต้องจากลูกศิษย์เป็นเวลานานในช่วงปิดเทอม หรือจากลูกศิษย์ที่จบออกไป เมื่อเปิดเทอมในห้องเรียนเดิมก็จะเปลี่ยนเด็กรุ่นใหม่เข้ามา ครูจึงเปรียบเสมือนเรือจ้างที่ต้องพายพาเด็กขึ้นฝั่งไปด้วยความเสียสละ และพายกลับมาคนเดียว ดังนั้น การที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ตนเข้ามาดูแลกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับครู จึงถือเป็นเกียรติยศต่อตนเองและครอบครัวเป็นอย่างมาก และภูมิใจที่จะจบชีวิตราชการที่กระทรวงศึกษาธิการด้วยเกียรติยศอันยิ่งใหญ่แห่งนี้
เมื่อได้เข้ามาดูแลกระทรวงศึกษาธิการ จึงต้องการให้ทุกคน ทั้งครูบาอาจารย์ ผู้บริหาร นักเรียนนักศึกษาทุกคน ได้น้อมนํากระแสพระราชดํารัส รําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในหลวงรัชกาลที่ 9 และเป็นไปตามพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 10ที่ต้องการเห็นครูและปวงชนชาวไทยสืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ท่านเพราะตลอดระยะเวลา 70 ปี ในรัชสมัยของพระองค์นั้น ทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกาย และทรงนําพาประเทศชาติผ่านพ้นสถานการณ์ต่าง ๆ มาได้มากมาย จึงขอให้ทุกคนน้อมนําพระบรมราโชวาท กระแสพระราชดํารัส แบบอย่างคุณงามความดี ความพอเพียง และความยั่งยืน ที่พระองค์ทรงพระราชทานไว้ ใส่เกล้าใส่กระหม่อมและน้อมนําไปปฏิบัติเพื่อถวายเป็นประราชกุศล เช่น การเปลี่ยนทัศนคติในการทําความดี ควรมุ่งมั่นที่จะทําความดีที่มาจากหัวใจ ไม่ใช่กระทําด้วยเพราะกฎหมายบังคับ ซึ่งจะไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของบุคคลผู้นั้น
นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการให้ความสําคัญกับการดําเนินโครงการ "โรงเรียนคุณธรรม" ให้เกิดขึ้นกว่า 30,000 แห่งทั่วประเทศ ภายในปีการศึกษา 2560จึงขอให้ความอนุเคราะห์สถานศึกษาให้ความสําคัญกับกิจกรรมและตัวชี้วัดของการเป็นโรงเรียนคุณธรรม ซึ่งจะได้ประกาศใช้ในเร็ว ๆ นี้ โดยโรงเรียนอาจจัดละครเกี่ยวกับการส่งเสริมคุณธรรรมจริยธรรมให้เด็กเล่นและรับชมกันบ่อย ๆ เด็กก็จะติดนิสัยที่ดี ๆ จากการแสดงนําไปประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจําวันได้ แม้บางคนเลิกเล่นแต่ก็ยังคงจําบทละครนั้นได้ หรือการทําเวิร์คช็อปเรื่องศีลธรรมในห้องเรียนก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ควรเป็นกลุ่มใหญ่มากจนเกินไป เพราะจะไม่เกิดมรรคเกิดผลเท่าที่ควร
จึงฝากให้ช่วยกันสร้าง ช่วยกันเสริมให้เกิดโรงเรียนคุณธรรม ซึ่งจะช่วยให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่งดงามในวันข้างหน้า ไม่ทุจริต ไม่เอารัดเอาเปรียบ ยึดมั่นคุณธรรมจริยธรรมแล้ว ยังเป็นการถวายเป็นพระกุศลเพื่อพระองค์จะยังคงประทับสถิตเสถียรอยู่ในดวงใจของคนไทยทั้งชาติตราบนานแสนนาน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2171
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- EXIM BANK ชูนโยบายพัฒนาผลิตภัณฑ์ส่งเสริมการค้าการลงทุนใน CLMV
|
วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561
EXIM BANK ชูนโยบายพัฒนาผลิตภัณฑ์ส่งเสริมการค้าการลงทุนใน CLMV
EXIM BANK ชูนโยบายพัฒนาผลิตภัณฑ์ส่งเสริมการค้าการลงทุนใน CLMV และสร้างผู้ส่งออก SMEs ให้เข้มแข็ง พร้อมเปิดบริการ “สินเชื่อส่งออกสุขใจ” ช่วย SMEs ไม่มีหลักประกันให้เริ่มต้นส่งออกได้
EXIM BANK เดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรและเศรษฐกิจไทย เป้าหมายปี 61 เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ตอบรับทิศทางเศรษฐกิจการค้าโลกที่มุ่งสู่ตลาดใหม่ การลงทุนของไทยในต่างประเทศขยายตัวขึ้น และการเติบโตของภาคธุรกิจอย่างยั่งยืนต้องนําด้วยนวัตกรรม พร้อมนําผู้ประกอบการไทยรุกขยายการค้าการลงทุนในตลาด CLMV และต่อยอดพัฒนาผู้ส่งออกและนักลงทุน SMEs ไทยให้มีศักยภาพในการแข่งขัน พร้อมนําเสนอบริการใหม่สร้างผู้ส่งออก SMEs รายใหม่ ช่วย SMEs ที่ไม่มีหลักประกันให้เริ่มต้นส่งออกได้ด้วย “สินเชื่อส่งออกสุขใจ” วงเงินสูงสุด 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 4.50% ต่อปีในปีแรกสําหรับนิติบุคคลบัญชีเดียวตามนโยบายรัฐบาล
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การค้าโลกมุ่งสู่ตลาดใหม่ที่เรียกว่า New Frontiers โดยเศรษฐกิจตลาดใหม่ในปี 2560 มีสัดส่วนกว่า 50% เทียบกับประมาณ 20% ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา EXIM BANK จึงมีเป้าหมายขยายสินเชื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดใหม่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ CLMV ซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่สําคัญของไทย ด้วยมูลค่าส่งออกที่ขยายตัวเฉลี่ย 13% ต่อปี จาก 260,000 ล้านบาทในปี 2550 เป็น 850,000 ล้านบาทในปี 2560
ขณะเดียวกัน ทิศทางเศรษฐกิจโลกในปัจุบันใช้การลงทุนนําการค้า ทําให้เกิดการขยายการลงทุนในต่างประเทศเพื่อสร้างฐานการผลิตและตลาดการค้าแห่งใหม่ ผู้ประกอบการไทยจึงต้องปรับตัวให้ทัน EXIM BANK จึงพร้อมให้สินเชื่อขยายการลงทุนของผู้ประกอบการไทยใน CLMV ต่อยอดเม็ดเงินลงทุนของผู้ประกอบการไทยในตลาดดังกล่าว ซึ่งขยายตัวเฉลี่ย 30% ต่อปี จากยอดคงค้างเงินลงทุนของไทยใน CLMV ที่ 33,000 ล้านบาทในปี 2550 เป็น 470,000 ล้านบาทในไตรมาส 3 ของปี 2560
นอกจากนี้ เมื่อการเติบโตของภาคธุรกิจอย่างยั่งยืนต้องนําด้วยนวัตกรรม EXIM BANK จึงเร่งขยายเครือข่ายพันธมิตร ทํางานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดโครงการและช่องทางใหม่ๆ ที่จะสนับสนุนด้านข้อมูลความรู้และบริการทางการเงินให้ SMEs ที่มีศักยภาพสามารถพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตสินค้าและบริการ เพื่อต่อยอดการพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยและแข่งขันในเวทีการค้าระหว่างประเทศได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว รวมทั้งปิดช่องว่างในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ SMEs ที่พร้อมเริ่มต้นส่งออกให้สามารถเข้าสู่ ตลาดการค้าโลกได้ เพื่อสร้างฐานรากเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่ง ทั้งนี้ EXIM BANK มีโครงการนําร่องด้านนวัตกรรม อาทิ การให้บริการประกันการส่งออกออนไลน์ การทบทวนวงเงินสินเชื่อออนไลน์ และการพัฒนาธุรกรรมออนไลน์
ในปี 2561 EXIM BANK ได้พัฒนาบริการใหม่ “สินเชื่อส่งออกสุขใจ (EXIM Happy Credit)” เป็นบริการสินเชื่อหมุนเวียน พร้อมวงเงินสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contract) วงเงินสูงสุด 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 4.50% ต่อปีในปีแรกสําหรับนิติบุคคลบัญชีเดียวตามนโยบายรัฐบาล อนุมัติภายใน 7 วันทําการ ไม่ต้องมีหลักประกัน ใช้เพียงบุคคลค้ําประกันเท่านั้น เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่มีหลักประกันสามารถเริ่มต้นส่งออกได้ โดยมีเป้าหมายอนุมัติวงเงินให้แก่ผู้ส่งออก SMEs รายใหม่จํานวน 750 รายภายในปี 2561
นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า จากปี 2560 ที่ EXIM BANK ได้ดําเนินงานตามแผนแม่บท 10 ปี (ปี 2560-2570) โดยสอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 แผนยุทธศาสตร์ 20 ปีของประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (ปี 2560-2564) และแผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจสาขาสถาบันการเงิน ผลการดําเนินงานของ EXIM BANK ปี 2560 มีกําไรสุทธิ 1,360 ล้านบาท โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2560 มีเงินให้สินเชื่อคงค้างจํานวน 91,886 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2559 จํานวน 8,717 ล้านบาท เป็นสินเชื่อใหม่ที่เบิกจ่ายเพิ่มขึ้นในระหว่างปีจํานวน 27,331 ล้านบาท และมีการชําระคืนของสินเชื่อเดิมบางส่วน ทําให้เกิดปริมาณธุรกิจ (Business Turnover) 159,948 ล้านบาท
นอกจากนี้ EXIM BANK ได้ดําเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs ที่มีศักยภาพให้แข่งขันได้มากขึ้นทั้งทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ โดยมีปริมาณธุรกิจของ SMEs เท่ากับ 99,612 ล้านบาท และมีเงินให้สินเชื่อคงค้างแก่ SMEs เท่ากับ 37,141 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,110 ล้านบาท หรือ 6.02% เมื่อเทียบกับปีก่อน
อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคาร (NPL Ratio) ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2560 อยู่ที่ 3.57% เท่ากับปีก่อน โดยมีสินเชื่อด้อยคุณภาพ จํานวน 3,285 ล้านบาท และมีเงินสํารองหนี้สงสัยจะสูญจํานวน 7,949 ล้านบาท เป็นสํารองหนี้พึงกันตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจํานวน 3,493 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินสํารองที่กันไว้แล้วต่อสํารองหนี้พึงกัน 227.53% ทําให้ธนาคารยังคงดํารงฐานะการเงินที่มั่นคง
ในการทําหน้าที่องค์กรรับประกัน ให้บริการประกันการส่งออกเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชําระเงินจากคู่ค้าในต่างประเทศ ช่วยเพิ่มความมั่นใจและความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย ทั้งในตลาดการค้าเดิมและตลาดใหม่ ในปี 2560 EXIM BANK มีปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและประกันความเสี่ยงการลงทุน เท่ากับ 65,903 ล้านบาท โดย 12,883 ล้านบาทเป็นธุรกิจส่งออกของ SMEs หรือ 19.55% ของปริมาณธุรกิจสะสมรวม
สําหรับการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการขยายฐานการค้าและการลงทุนไปยังต่างประเทศ ปัจจุบัน EXIM BANK มีวงเงินที่ให้การสนับสนุนแก่สินเชื่อโครงการระหว่างประเทศรวมทั้งสิ้น 67,160 ล้านบาท และมีเงินให้สินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นปี 2560 จํานวน 36,216 ล้านบาท อีกทั้ง EXIM BANK ยังมุ่งเน้นการขยายฐานการค้าและการลงทุนในตลาดใหม่อย่าง CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) โดยในเดือนมิถุนายน 2560 EXIM BANK ได้เปิดสํานักงานผู้แทนในย่างกุ้ง เมียนมา และ EXIM BANK มีแผนจะเปิดสํานักงานตัวแทนใน สปป.ลาว และกัมพูชาต่อไป
“ในปี 2561 EXIM BANK ยังคงมีบทบาทในเชิงรุกขยายสินเชื่อเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายสินเชื่อคงค้างโต 9% เป็น 100,000 ล้านบาท และเร่งขยายบริการประกันส่งออกและการลงทุนเพื่อให้ผู้ส่งออกใช้เป็นเครื่องมือบุกตลาดอย่างมั่นใจ ผ่านช่องทางออนไลน์และช่องทางใหม่ๆ โดยความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องที่จะกระตุ้นให้เกิดปริมาณธุรกิจระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้น” นายพิศิษฐ์กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายเลขานุการและสื่อสารองค์กร EXIM BANK สํานักงานใหญ่
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141-9
EXIM Thailand Focuses on Product Development to Promote Trade and Investment in CLMV and Build Strong SME Exporters with “EXIM Happy Credit” for SME Export Start-ups without Collaterals
EXIM Thailand moves forward to drive the organization and Thai economy. To achieve its 2018 target, it will accelerate product development to cater to global trade and economy trend toward new frontiers. Viewing that Thai investment expansion overseas and sustainable business growth are brought about by innovations, EXIM Thailand is ready to lead Thai entrepreneurs in penetrating the CLMV for trade and investment and develop SME exporters and investors to enhance their competitiveness. It has come up with “EXIM Happy Credit” to build new SME exporters and assist those without collaterals to start their export endeavors, offering credit limit of 500,000 baht and interest rate of 4.50% p.a. in the first year for each single-account juristic person in line with the government policy.
Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), reveals that global trade has shifted toward new frontiers. In 2017, new frontier economy represented more than 50% of global economy, compared with around 20% in the past two decades. EXIM Thailand has thus targeted to expand loans to Thai entrepreneurs to facilitate their competition in new frontiers, particularly the CLMV, Thailand’s major markets with an average annual export growth of 13% from 260,000 million baht in 2007 to 850,000 million baht in 2017.
Amidst investment-induced trade in global economy today, active expansion is seen in investment beyond Thailand to build new production bases and tap new markets, Thai entrepreneurs have to adjust themselves to keep pace with the new global trend. EXIM Thailand has thus launched credit facilities for Thai entrepreneurs’ expansion of investment in the CLMV. Thai investment in such market had an average growth of outstanding investment of 30% per year from 33,000 million baht in 2007 to 470,000 million baht in quarter 3 of 2017.
As sustainable business growth needs to be driven by innovations, EXIM Thailand has accelerated expansion of partnership network, working in collaboration with relevant public and private entities. This has helped initiated new projects and channels that allow for access to financial knowledge and services so that SME entrepreneurs gain potential to develop product and service innovation and technology that will enhance Thailand’s industrial development and competitive edge in international trade front on a sustainable basis. Also, financial access gap will be filled up, thus enabling well-prepared SME entrepreneurs to enter the global market and in turn strengthen Thai economy. The Bank has in place several innovation pilot projects, such as online export credit insurance service, online credit limit review, and online transaction development.
For 2018, EXIM Thailand has launched a new revolving facility “EXIM Happy Credit” in conjunction with a forward contract facility of up to 500,000 baht for single-account juristic persons in line with the government policy, at a first-year interest rate of 4.50% p.a. and secured by only a personal guarantee. Loan approval is granted within seven business days. This aims to facilitate export start-up of SME entrepreneurs that have no collaterals. Credit line approval is targeted for 750 new SME exporters in 2018.
EXIM Thailand President said further that EXIM Thailand has since 2017 implemented its 10-year Master Plan (2017-2027) which responds to the government’s Thailand 4.0 initiative, 20-year National Strategies, the 12th National Economic and Social Development Plan (2017-2021) and State Owned Enterprise Plan in the category of financial institutions. In 2017, EXIM Thailand posted a net profit of 1,360 million baht. As of the end of December 2017, its outstanding loans accounted for 91,886 million baht, an 8,717 million baht growth from the end of 2016, with new loan drawdown of 27,331 million baht during the year and partial repayment of existing loans. This contributed to a business turnover of 159,948 million baht.
EXIM Thailand assisted entrepreneurs, particularly SMEs which have competitive potential in both international trade and investment, with SME business turnover of 99,612 million baht. Outstanding loans to SMEs amounted to 37,141 million baht, a 2,110 million baht or 6.02% year-on-year growth.
EXIM Thailand’s NPL ratio as of the end of December 2017 stood at 3.57%, the same as in the previous year, or 3,285 million baht in total NPL amount. Its allowance for doubtful accounts was 7,949 million baht, of which 3,490 million baht was minimum provisioning requirement by the Bank of Thailand, or a provision to provisioning requirement ratio of 227.53%, hence enabling the Bank to maintain a strong financial status.
Moreover, EXIM Thailand assisted exporters by performing as an export credit insurance agency to help mitigate risks of foreign counterparties’ non-payments and boost their confidence and competitive advantage in both existing and new frontier markets. In 2017, EXIM Thailand generated 65,903 million baht in export credit and investment insurance business turnover, of which 12,883 million baht came from SMEs’ exports, representing 19.55% of the accumulated export credit insurance business turnover.
As for support of Thai entrepreneurs’ international trade and investment, at present, EXIM Thailand has a total accumulated loan approval amount of 67,160 million baht for international projects, with outstanding loans accounting for 36,216 million baht as of the end of 2017. EXIM Thailand has remained steadfast in promoting trade and investment expansion to such new frontiers as the CLMV. In June 2017, it opened a representative office in Yangon City of Myanmar, and has planned to open more in Lao PDR and Cambodia.
“For 2018, we will carry on our proactive role in growing loans to further drive the Thai economy. We set our outstanding loan growth target at 9% to make up a total of 100,000 million baht and will keep accelerating export credit and investment insurance as a tool for exporters to penetrate markets with more confidence through online and new channels in partnership with relevant public and private sectors with an aim to grow Thailand’s international business turnover,” added Mr. Pisit.
For further information, please contact Corporate Communication Division, Secretary and Corporate Communication Department
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 1141-9
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- EXIM BANK ชูนโยบายพัฒนาผลิตภัณฑ์ส่งเสริมการค้าการลงทุนใน CLMV
วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561
EXIM BANK ชูนโยบายพัฒนาผลิตภัณฑ์ส่งเสริมการค้าการลงทุนใน CLMV
EXIM BANK ชูนโยบายพัฒนาผลิตภัณฑ์ส่งเสริมการค้าการลงทุนใน CLMV และสร้างผู้ส่งออก SMEs ให้เข้มแข็ง พร้อมเปิดบริการ “สินเชื่อส่งออกสุขใจ” ช่วย SMEs ไม่มีหลักประกันให้เริ่มต้นส่งออกได้
EXIM BANK เดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรและเศรษฐกิจไทย เป้าหมายปี 61 เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ตอบรับทิศทางเศรษฐกิจการค้าโลกที่มุ่งสู่ตลาดใหม่ การลงทุนของไทยในต่างประเทศขยายตัวขึ้น และการเติบโตของภาคธุรกิจอย่างยั่งยืนต้องนําด้วยนวัตกรรม พร้อมนําผู้ประกอบการไทยรุกขยายการค้าการลงทุนในตลาด CLMV และต่อยอดพัฒนาผู้ส่งออกและนักลงทุน SMEs ไทยให้มีศักยภาพในการแข่งขัน พร้อมนําเสนอบริการใหม่สร้างผู้ส่งออก SMEs รายใหม่ ช่วย SMEs ที่ไม่มีหลักประกันให้เริ่มต้นส่งออกได้ด้วย “สินเชื่อส่งออกสุขใจ” วงเงินสูงสุด 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 4.50% ต่อปีในปีแรกสําหรับนิติบุคคลบัญชีเดียวตามนโยบายรัฐบาล
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การค้าโลกมุ่งสู่ตลาดใหม่ที่เรียกว่า New Frontiers โดยเศรษฐกิจตลาดใหม่ในปี 2560 มีสัดส่วนกว่า 50% เทียบกับประมาณ 20% ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา EXIM BANK จึงมีเป้าหมายขยายสินเชื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดใหม่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ CLMV ซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่สําคัญของไทย ด้วยมูลค่าส่งออกที่ขยายตัวเฉลี่ย 13% ต่อปี จาก 260,000 ล้านบาทในปี 2550 เป็น 850,000 ล้านบาทในปี 2560
ขณะเดียวกัน ทิศทางเศรษฐกิจโลกในปัจุบันใช้การลงทุนนําการค้า ทําให้เกิดการขยายการลงทุนในต่างประเทศเพื่อสร้างฐานการผลิตและตลาดการค้าแห่งใหม่ ผู้ประกอบการไทยจึงต้องปรับตัวให้ทัน EXIM BANK จึงพร้อมให้สินเชื่อขยายการลงทุนของผู้ประกอบการไทยใน CLMV ต่อยอดเม็ดเงินลงทุนของผู้ประกอบการไทยในตลาดดังกล่าว ซึ่งขยายตัวเฉลี่ย 30% ต่อปี จากยอดคงค้างเงินลงทุนของไทยใน CLMV ที่ 33,000 ล้านบาทในปี 2550 เป็น 470,000 ล้านบาทในไตรมาส 3 ของปี 2560
นอกจากนี้ เมื่อการเติบโตของภาคธุรกิจอย่างยั่งยืนต้องนําด้วยนวัตกรรม EXIM BANK จึงเร่งขยายเครือข่ายพันธมิตร ทํางานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดโครงการและช่องทางใหม่ๆ ที่จะสนับสนุนด้านข้อมูลความรู้และบริการทางการเงินให้ SMEs ที่มีศักยภาพสามารถพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตสินค้าและบริการ เพื่อต่อยอดการพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยและแข่งขันในเวทีการค้าระหว่างประเทศได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว รวมทั้งปิดช่องว่างในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ SMEs ที่พร้อมเริ่มต้นส่งออกให้สามารถเข้าสู่ ตลาดการค้าโลกได้ เพื่อสร้างฐานรากเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่ง ทั้งนี้ EXIM BANK มีโครงการนําร่องด้านนวัตกรรม อาทิ การให้บริการประกันการส่งออกออนไลน์ การทบทวนวงเงินสินเชื่อออนไลน์ และการพัฒนาธุรกรรมออนไลน์
ในปี 2561 EXIM BANK ได้พัฒนาบริการใหม่ “สินเชื่อส่งออกสุขใจ (EXIM Happy Credit)” เป็นบริการสินเชื่อหมุนเวียน พร้อมวงเงินสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contract) วงเงินสูงสุด 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 4.50% ต่อปีในปีแรกสําหรับนิติบุคคลบัญชีเดียวตามนโยบายรัฐบาล อนุมัติภายใน 7 วันทําการ ไม่ต้องมีหลักประกัน ใช้เพียงบุคคลค้ําประกันเท่านั้น เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่มีหลักประกันสามารถเริ่มต้นส่งออกได้ โดยมีเป้าหมายอนุมัติวงเงินให้แก่ผู้ส่งออก SMEs รายใหม่จํานวน 750 รายภายในปี 2561
นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า จากปี 2560 ที่ EXIM BANK ได้ดําเนินงานตามแผนแม่บท 10 ปี (ปี 2560-2570) โดยสอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 แผนยุทธศาสตร์ 20 ปีของประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (ปี 2560-2564) และแผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจสาขาสถาบันการเงิน ผลการดําเนินงานของ EXIM BANK ปี 2560 มีกําไรสุทธิ 1,360 ล้านบาท โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2560 มีเงินให้สินเชื่อคงค้างจํานวน 91,886 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2559 จํานวน 8,717 ล้านบาท เป็นสินเชื่อใหม่ที่เบิกจ่ายเพิ่มขึ้นในระหว่างปีจํานวน 27,331 ล้านบาท และมีการชําระคืนของสินเชื่อเดิมบางส่วน ทําให้เกิดปริมาณธุรกิจ (Business Turnover) 159,948 ล้านบาท
นอกจากนี้ EXIM BANK ได้ดําเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs ที่มีศักยภาพให้แข่งขันได้มากขึ้นทั้งทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ โดยมีปริมาณธุรกิจของ SMEs เท่ากับ 99,612 ล้านบาท และมีเงินให้สินเชื่อคงค้างแก่ SMEs เท่ากับ 37,141 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,110 ล้านบาท หรือ 6.02% เมื่อเทียบกับปีก่อน
อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคาร (NPL Ratio) ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2560 อยู่ที่ 3.57% เท่ากับปีก่อน โดยมีสินเชื่อด้อยคุณภาพ จํานวน 3,285 ล้านบาท และมีเงินสํารองหนี้สงสัยจะสูญจํานวน 7,949 ล้านบาท เป็นสํารองหนี้พึงกันตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจํานวน 3,493 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินสํารองที่กันไว้แล้วต่อสํารองหนี้พึงกัน 227.53% ทําให้ธนาคารยังคงดํารงฐานะการเงินที่มั่นคง
ในการทําหน้าที่องค์กรรับประกัน ให้บริการประกันการส่งออกเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชําระเงินจากคู่ค้าในต่างประเทศ ช่วยเพิ่มความมั่นใจและความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย ทั้งในตลาดการค้าเดิมและตลาดใหม่ ในปี 2560 EXIM BANK มีปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและประกันความเสี่ยงการลงทุน เท่ากับ 65,903 ล้านบาท โดย 12,883 ล้านบาทเป็นธุรกิจส่งออกของ SMEs หรือ 19.55% ของปริมาณธุรกิจสะสมรวม
สําหรับการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการขยายฐานการค้าและการลงทุนไปยังต่างประเทศ ปัจจุบัน EXIM BANK มีวงเงินที่ให้การสนับสนุนแก่สินเชื่อโครงการระหว่างประเทศรวมทั้งสิ้น 67,160 ล้านบาท และมีเงินให้สินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นปี 2560 จํานวน 36,216 ล้านบาท อีกทั้ง EXIM BANK ยังมุ่งเน้นการขยายฐานการค้าและการลงทุนในตลาดใหม่อย่าง CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) โดยในเดือนมิถุนายน 2560 EXIM BANK ได้เปิดสํานักงานผู้แทนในย่างกุ้ง เมียนมา และ EXIM BANK มีแผนจะเปิดสํานักงานตัวแทนใน สปป.ลาว และกัมพูชาต่อไป
“ในปี 2561 EXIM BANK ยังคงมีบทบาทในเชิงรุกขยายสินเชื่อเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายสินเชื่อคงค้างโต 9% เป็น 100,000 ล้านบาท และเร่งขยายบริการประกันส่งออกและการลงทุนเพื่อให้ผู้ส่งออกใช้เป็นเครื่องมือบุกตลาดอย่างมั่นใจ ผ่านช่องทางออนไลน์และช่องทางใหม่ๆ โดยความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องที่จะกระตุ้นให้เกิดปริมาณธุรกิจระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้น” นายพิศิษฐ์กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายเลขานุการและสื่อสารองค์กร EXIM BANK สํานักงานใหญ่
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141-9
EXIM Thailand Focuses on Product Development to Promote Trade and Investment in CLMV and Build Strong SME Exporters with “EXIM Happy Credit” for SME Export Start-ups without Collaterals
EXIM Thailand moves forward to drive the organization and Thai economy. To achieve its 2018 target, it will accelerate product development to cater to global trade and economy trend toward new frontiers. Viewing that Thai investment expansion overseas and sustainable business growth are brought about by innovations, EXIM Thailand is ready to lead Thai entrepreneurs in penetrating the CLMV for trade and investment and develop SME exporters and investors to enhance their competitiveness. It has come up with “EXIM Happy Credit” to build new SME exporters and assist those without collaterals to start their export endeavors, offering credit limit of 500,000 baht and interest rate of 4.50% p.a. in the first year for each single-account juristic person in line with the government policy.
Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), reveals that global trade has shifted toward new frontiers. In 2017, new frontier economy represented more than 50% of global economy, compared with around 20% in the past two decades. EXIM Thailand has thus targeted to expand loans to Thai entrepreneurs to facilitate their competition in new frontiers, particularly the CLMV, Thailand’s major markets with an average annual export growth of 13% from 260,000 million baht in 2007 to 850,000 million baht in 2017.
Amidst investment-induced trade in global economy today, active expansion is seen in investment beyond Thailand to build new production bases and tap new markets, Thai entrepreneurs have to adjust themselves to keep pace with the new global trend. EXIM Thailand has thus launched credit facilities for Thai entrepreneurs’ expansion of investment in the CLMV. Thai investment in such market had an average growth of outstanding investment of 30% per year from 33,000 million baht in 2007 to 470,000 million baht in quarter 3 of 2017.
As sustainable business growth needs to be driven by innovations, EXIM Thailand has accelerated expansion of partnership network, working in collaboration with relevant public and private entities. This has helped initiated new projects and channels that allow for access to financial knowledge and services so that SME entrepreneurs gain potential to develop product and service innovation and technology that will enhance Thailand’s industrial development and competitive edge in international trade front on a sustainable basis. Also, financial access gap will be filled up, thus enabling well-prepared SME entrepreneurs to enter the global market and in turn strengthen Thai economy. The Bank has in place several innovation pilot projects, such as online export credit insurance service, online credit limit review, and online transaction development.
For 2018, EXIM Thailand has launched a new revolving facility “EXIM Happy Credit” in conjunction with a forward contract facility of up to 500,000 baht for single-account juristic persons in line with the government policy, at a first-year interest rate of 4.50% p.a. and secured by only a personal guarantee. Loan approval is granted within seven business days. This aims to facilitate export start-up of SME entrepreneurs that have no collaterals. Credit line approval is targeted for 750 new SME exporters in 2018.
EXIM Thailand President said further that EXIM Thailand has since 2017 implemented its 10-year Master Plan (2017-2027) which responds to the government’s Thailand 4.0 initiative, 20-year National Strategies, the 12th National Economic and Social Development Plan (2017-2021) and State Owned Enterprise Plan in the category of financial institutions. In 2017, EXIM Thailand posted a net profit of 1,360 million baht. As of the end of December 2017, its outstanding loans accounted for 91,886 million baht, an 8,717 million baht growth from the end of 2016, with new loan drawdown of 27,331 million baht during the year and partial repayment of existing loans. This contributed to a business turnover of 159,948 million baht.
EXIM Thailand assisted entrepreneurs, particularly SMEs which have competitive potential in both international trade and investment, with SME business turnover of 99,612 million baht. Outstanding loans to SMEs amounted to 37,141 million baht, a 2,110 million baht or 6.02% year-on-year growth.
EXIM Thailand’s NPL ratio as of the end of December 2017 stood at 3.57%, the same as in the previous year, or 3,285 million baht in total NPL amount. Its allowance for doubtful accounts was 7,949 million baht, of which 3,490 million baht was minimum provisioning requirement by the Bank of Thailand, or a provision to provisioning requirement ratio of 227.53%, hence enabling the Bank to maintain a strong financial status.
Moreover, EXIM Thailand assisted exporters by performing as an export credit insurance agency to help mitigate risks of foreign counterparties’ non-payments and boost their confidence and competitive advantage in both existing and new frontier markets. In 2017, EXIM Thailand generated 65,903 million baht in export credit and investment insurance business turnover, of which 12,883 million baht came from SMEs’ exports, representing 19.55% of the accumulated export credit insurance business turnover.
As for support of Thai entrepreneurs’ international trade and investment, at present, EXIM Thailand has a total accumulated loan approval amount of 67,160 million baht for international projects, with outstanding loans accounting for 36,216 million baht as of the end of 2017. EXIM Thailand has remained steadfast in promoting trade and investment expansion to such new frontiers as the CLMV. In June 2017, it opened a representative office in Yangon City of Myanmar, and has planned to open more in Lao PDR and Cambodia.
“For 2018, we will carry on our proactive role in growing loans to further drive the Thai economy. We set our outstanding loan growth target at 9% to make up a total of 100,000 million baht and will keep accelerating export credit and investment insurance as a tool for exporters to penetrate markets with more confidence through online and new channels in partnership with relevant public and private sectors with an aim to grow Thailand’s international business turnover,” added Mr. Pisit.
For further information, please contact Corporate Communication Division, Secretary and Corporate Communication Department
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 1141-9
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9945
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับ ATCI และ สพฐ. จัดโครงการ Thailand ICT Youth Challenge 2017 ปีที่ 4
|
วันพุธที่ 10 มกราคม 2561
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับ ATCI และ สพฐ. จัดโครงการ Thailand ICT Youth Challenge 2017 ปีที่ 4
กระทรวงดิจิทัลฯ
นางอาทิตยา สุธาธรรม รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานในพิธีเปิดค่ายเยาวชน โครงการ Thailand ICT Youth Challenge 2017 ปีที่ 4 โดยกระทรวงดิจิทัลฯ สมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย (ATCI) และสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ร่วมกันจัดขึ้นภายใต้แนวคิด Digital Literacy for 21 Century Education ซึ่งเป็นการแข่งขันแนวความคิด การใช้ การฝึกทักษะด้านดิจิทัลของเยาวชนไทย ตามวัตถุประสงค์ 3 ข้อหลัก คือ 1) เป้าหมายด้านสารสนเทศ (Information) มุ่งให้เยาวชนมีทักษะในการเข้าถึงและรู้แหล่งสารสนเทศได้อย่างรวดเร็ว มีทักษะในการประเมินความน่าเชื่อถือของสารสนเทศ และสามารถใช้สื่อสารสนเทศได้อย่างสร้างสรรค์ 2) เป้าหมายด้านสื่อ (Media) มุ่งให้เยาวชนมีทักษะในการเข้าถึง วิเคราะห์ ประเมิน และสร้างสารในรูปแบบของสื่อต่างๆ อาทิ มัลติมีเดีย กราฟิก แอนนิเมชั่น และเว็บไซต์ ได้อย่างมีคุณภาพ และ 3) เป้าหมายด้านสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มุ่งให้เยาวชนมีทักษะการใช้เครื่องมือของเทคโนโลยีสื่อสาร โดยเชื่อมโยงกับเครือข่ายต่างๆ เพื่อเข้าถึงฐานความรู้ในสังคมเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างมีคุณภาพและคุณธรรม อีกทั้งยังเป็นเวทีสําคัญในการเตรียมความพร้อมของเด็กและเยาวชนไทย ในการก้าวเข้าสู่ยุคศตวรรษที่ 21 อย่างเท่าทัน ทั่วถึง และเท่าเทียม เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2561 ณ ศูนย์สัมมนาและฝึกอบรม อาคารพิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
***************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับ ATCI และ สพฐ. จัดโครงการ Thailand ICT Youth Challenge 2017 ปีที่ 4
วันพุธที่ 10 มกราคม 2561
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับ ATCI และ สพฐ. จัดโครงการ Thailand ICT Youth Challenge 2017 ปีที่ 4
กระทรวงดิจิทัลฯ
นางอาทิตยา สุธาธรรม รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานในพิธีเปิดค่ายเยาวชน โครงการ Thailand ICT Youth Challenge 2017 ปีที่ 4 โดยกระทรวงดิจิทัลฯ สมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย (ATCI) และสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ร่วมกันจัดขึ้นภายใต้แนวคิด Digital Literacy for 21 Century Education ซึ่งเป็นการแข่งขันแนวความคิด การใช้ การฝึกทักษะด้านดิจิทัลของเยาวชนไทย ตามวัตถุประสงค์ 3 ข้อหลัก คือ 1) เป้าหมายด้านสารสนเทศ (Information) มุ่งให้เยาวชนมีทักษะในการเข้าถึงและรู้แหล่งสารสนเทศได้อย่างรวดเร็ว มีทักษะในการประเมินความน่าเชื่อถือของสารสนเทศ และสามารถใช้สื่อสารสนเทศได้อย่างสร้างสรรค์ 2) เป้าหมายด้านสื่อ (Media) มุ่งให้เยาวชนมีทักษะในการเข้าถึง วิเคราะห์ ประเมิน และสร้างสารในรูปแบบของสื่อต่างๆ อาทิ มัลติมีเดีย กราฟิก แอนนิเมชั่น และเว็บไซต์ ได้อย่างมีคุณภาพ และ 3) เป้าหมายด้านสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มุ่งให้เยาวชนมีทักษะการใช้เครื่องมือของเทคโนโลยีสื่อสาร โดยเชื่อมโยงกับเครือข่ายต่างๆ เพื่อเข้าถึงฐานความรู้ในสังคมเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างมีคุณภาพและคุณธรรม อีกทั้งยังเป็นเวทีสําคัญในการเตรียมความพร้อมของเด็กและเยาวชนไทย ในการก้าวเข้าสู่ยุคศตวรรษที่ 21 อย่างเท่าทัน ทั่วถึง และเท่าเทียม เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2561 ณ ศูนย์สัมมนาและฝึกอบรม อาคารพิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
***************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9295
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.ทบทวนมาตรการคุมเข้ม-มาตรการสอบสวนโรค ต้องครอบคลุมโรงแรมที่พัก ที่เป็นสถานที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ เพื่อตรวจสอบโดยละเอียด ถึงแม้ผู้ที่พบผลตรวจจะเดินทางกลับประเทศแล้ว
|
วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม 2563
ศบค.ทบทวนมาตรการคุมเข้ม-มาตรการสอบสวนโรค ต้องครอบคลุมโรงแรมที่พัก ที่เป็นสถานที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ เพื่อตรวจสอบโดยละเอียด ถึงแม้ผู้ที่พบผลตรวจจะเดินทางกลับประเทศแล้ว
ศบค.ทบทวนมาตรการคุมเข้ม-มาตรการสอบสวนโรคต้องครอบคลุมโรงแรมที่พัก ที่เป็นสถานที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ เพื่อตรวจสอบโดยละเอียด ถึงแม้ผู้ที่พบผลตรวจจะเดินทางกลับประเทศแล้ว
วันนี้ (13 ก.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในประเทศไทย
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 3,220 ราย เป็นผู้ที่อยู่ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 283 ราย มีผู้หายป่วยเพิ่มขึ้น 2 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้ว 3,090 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 72 ราย ไม่มีเสียชีวิตเพิ่ม ยังคงเดิมที่ 58 ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.63 ถึงปัจจุบันรวม 49 วันแล้วที่ไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศ สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้ง 3 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากประเทศคูเวต 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 48 ปี อาชีพรับจ้าง เดินทางถึงไทยเมื่อ 29 มิ.ย.เข้าพัก State Quarantine ที่กรุงเทพฯ ตรวจหาเชื้อ 11 ก.ค. ผลตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ จากอียิปต์ 1 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 22 ปี เดินทางถึงไทยเมื่อ 12 ก.ค. ผ่านการคัดกรอง ณ ด่านควบคุมโรค พบว่ามีอาการเข้าเกณฑ์ PUI มีไข้ จึงได้ส่งตรวจหาเชื้อวันที่ 12 ก.ค. ผลตรวจพบเชื้อ และจากบาร์เรน 1 ราย เป็นชายไทย สัญชาติอียิปต์ อายุ 43 ปี อาชีพทหาร เดินทางถึงไทยเมื่อ 8 ก.ค. เข้าพัก State Quarantine ที่จังหวัดระยอง ตรวจหาเชื้อวันที่ 10 ก.ค. ผลตรวจพบเชื้อ 12 ก.ค. แต่ไม่มีอาการ ส่วนอีก 30 รายเป็นลูกเรือที่เดินทางมาพร้อมกัน ยังไม่พบผลการติดเชื้อ
โฆษก ศบค. กล่าวถึง Timeline ของผู้ป่วยเพศชาย อายุ 43 ปี อาชีพทหาร (ลูกเรือเครื่องบินทหาร) จากประเทศในภูมิภาคแอฟริกา ในวันที่ 6 ก.ค. เดินทางออกจากสนามบินไคโร ประเทศอียิปต์ ไปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 7 ก.ค. เดินทางจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไปปากีสถาน 8 ก.ค. เดินทางถึงท่าอากาศยานอู่ตะเภา เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง 9 ก.ค. ออกจากโรงแรม จังหวัดระยองไปท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาเพื่อบินไปทําภารกิจทางทหารที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ไป-กลับวันเดียวกัน กลับเข้าที่พักในโรงแรมจังหวัดระยอง 10 ก.ค. ได้มีทีมเจ้าหน้าที่ CDCU เข้าคัดกรองอาการของคณะเดินทางและลูกเรือ เพื่อเก็บตัวอย่างส่งตรวจ จํานวน 31 ราย และในวันที่ 11 ก.ค. คณะเดินทางออกจากประเทศไทยกลับอียิปต์ ซึ่งผลตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่ชัดเจน จึงตรวจซ้ําอีกครั้ง จนกระทั่งวันที่ 12 ก.ค. ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการยืนยันพบเชื้อ ซึ่งที่ประชุม ศบค. ชุดเล็กมีการหารือว่า ถึงแม้จะเป็นคนที่เป็นลูกเรือที่มาจากต่างชาติเข้ามายังประเทศไทย ในข้อกําหนดที่เป็นลักษณะเฉพาะขึ้นมา และขณะนี้มีการเปิดสายการบินหลายสาย เดิมใช้สนามบินสุวรรณภูมิ แต่ในครั้งนี้ได้มาลงที่สนามบินอู่ตะเภา จึงทําให้มาตรการของการคุมเข้มในข้อดังกล่าวต้องมีการทบทวนและปฏิบัติกันใหม่ ซึ่งโรงแรมที่จังหวัดระยองแห่งนี้ถือเป็นสถานที่ที่สัมผัสกับผู้ที่พบเชื้อ ดังนั้น มาตรการการเข้าไปสอบสวนโรคจะต้องครอบคลุมโรงแรมนี้ทั้งหมด โดยอธิบดีกรมควบคุมโรคได้รับข้อสั่งการจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้ออกมาตรการคุมเข้มเรื่องดังกล่าว เพื่อการตรวจสอบโดยละเอียด ถึงแม้ผู้ที่พบผลตรวจจะเดินทางกลับไปแล้วก็ตาม นอกจากนี้ ทีมสอบสวนโรคจะเข้าไปสอบสวนโรคในพื้นที่สัมผัสที่ทางกลุ่มลูกเรือได้เดินทางไป อีกทั้งสํานักงานเขตสุขภาพจังหวัดระยองและทีมส่วนกลางจะเข้าไปร่วมสอบสวนโรคด้วย เพื่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่จังหวัดระยอง
นอกจากนี้ ยังมี Timeline ผู้ป่วยเด็กหญิงอายุ 9 ปี จากภูมิภาคแอฟริกา เดินทางมาพร้อมกับครอบครัว (คณะทูต) โดยในวันที่ 7 ก.ค. มารดานําผู้ป่วยและครอบครัว รวม 5 คน ไปตรวจหาเชื้อก่อนเดินทางที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ผลตรวจทุกคนไม่พบเชื้อ เดินทางถึงไทยวันที่ 10 ก.ค. เวลา 05.40 น. คัดกรองไม่มีอาการ เก็บตัวอย่างส่งตรวจผลพบเชื้อ แต่บิดานําส่งผู้ป่วยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีการตรวจซ้ํา ผลพบเชื้อ สมาชิกที่เหลือกักกันในที่พํานักแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และในวันที่ 11 ก.ค. ผลตรวจพบปอดอักเสบ จึงส่งต่อผู้ป่วยมารักษาต่อที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งรายดังกล่าวอยู่ในประเภทที่ 3 คือ คณะทูต คณะกงสุล องค์การระหว่างประเทศ หรือผู้แทนรัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐต่างประเทศที่มาปฏิบัติงานที่ประเทศไทย ซึ่งจะอยู่ในมาตรการข้อ 4 ให้เข้ารับการกักกันในที่พํานักของบุคคลดังกล่าว ภายใต้การดูแลของหน่วยงานต้นสังกัดเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน ซึ่งรัฐต้องกําหนดมาตรการโดยละเอียดและครอบคลุมเพราะเป็นความเสี่ยง
2. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 13,035,942 ราย จํานวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 193,906 ราย รวมจํานวนผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 571,571 ราย สหรัฐอเมริกายังคงมีผู้ป่วยยืนยันสะสมเป็นอันดับที่ 1 ของโลก รองลงมาคือบราซิลและอินเดียตามลําดับ ซึ่งปัจจุบัน ไทยอยู่อันดับที่ 100 ของโลก โดยประเด็นที่น่าสนใจในต่างประเทศ ได้แก่ ฮ่องกงประกาศให้โรงเรียนทุกแห่งในฮ่องกงปิดการเรียนการสอนตั้งแต่วันจันทร์ที่ 13 ก.ค. นี้ เป็นต้นไป หลังจากจํานวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในฮ่องกงเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทําให้ทางการฮ่องกงวิตกกังวลว่าจะเกิดการแพร่ระบาดอีกเป็นวงกว้าง โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นําสหรัฐอเมริกา สวมหน้ากากอนามัยระหว่างเยือนโรงพยาบาลทหารวอลเตอร์ รีด ชานกรุงวอชิงตันเมื่อวานนี้ และเป็นครั้งแรกที่ประธานาธิบดีทรัมป์ สวมหน้ากากอนามัยออกสื่อ นับตั้งแต่ที่โรคโควิด-19 เริ่มระบาดในสหรัฐ และนายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่ารัฐบาลอาจจําเป็นต้องออกกฎที่เข้มงวดขึ้นเกี่ยวกับการสวมหน้ากากอนามัย โดยเขาต้องการให้ชาวอังกฤษสวมหน้ากากอนามัยมากขึ้นในร้านค้าต่าง ๆ
3. การดําเนินการตามมาตรการ
รายงานความพร้อมในการเปิดภาคเรียนของโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ พบว่าสถานศึกษาจํานวน 35,155 แห่ง สามารถเปิดภาคเรียนได้ทั้งหมด คิดเป็นร้อยละ 100 แต่เป็นการเปิดเรียนในหลายรูปแบบ เช่น โรงเรียนในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีสถานศึกษาทั้งหมด 29,235 แห่ง เป็นการเปิดเรียนในรูปแบบ on-site 24,703 โรงเรียน และในรูปแบบผสมผสาน รูปแบบที่ 1 สลับชั้นมาเรียนแบบสลับวันเรียน 1,671 แห่ง รูปแบบที่ 2 สลับชั้นมาเรียนแบบสลับวันคู่วันคี่ 565 แห่ง รูปแบบที่ 3 สลับชั้นมาเรียนแบบสลับวันมาเรียน 5 วันหยุด 9 วัน 258 แห่ง รูปแบบที่ 4 สลับช่วงเวลามาเรียนทุกวัน 1,400 แห่ง รูปแบบที่ 5 สลับกลุ่มมาเรียนแบบแบ่งนักเรียนในห้องเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม 2,523 แห่ง และรูปแบบอื่น ๆ 1,997 แห่ง
แผนการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศ วันนี้มีคนไทยเดินทางกลับมาจากสิงคโปร์ 109 คน วันพรุ่งนี้จะมีผู้เดินทางกลับจากจอร์แดน 118 คน และเกาหลีใต้ 200 คน โดย แผนเที่ยวบินนําคนไทยที่ตกค้างกลับไทยในวันที่ 15 ก.ค. มี 4 เที่ยวบิน ได้แก่ จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น และบังกลาเทศ วันที่ 16 ก.ค. 4 เที่ยวบิน ได้แก่ อิหร่าน เยอรมนี โคลอมเบีย/เอกวาดอร์/ปานามา/เนเธอร์แลนด์ และไต้หวัน วันที่ 17 ก.ค. 3 เที่ยวบิน ได้แก่ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และอียิปต์ วันที่ 18 ก.ค. 4 เที่ยวบิน ได้แก่ ออสเตรีย เอธิโอเปีย เนเธอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา วันที่ 19 ก.ค. 3 เที่ยวบิน ได้แก่ นิวซีแลนด์ บาห์เรน และออสเตรเลีย และวันที่ 20 ก.ค. 5 เที่ยวบินได้แก่ เดนมาร์ก สหราชอาณาจักร รัสเซีย อินโดนีเซีย และฮ่องกง สําหรับรายงานผู้เดินทางกลับเข้าประเทศผ่านจุดผ่านแดนทางบกเดินทางจากมาเลเซีย 126 คน สปป.ลาว 35 คน และกัมพูชา 1 คน รวม 162 คน
ตั้งแต่ 3 เมษายน – 11 ก.ค. ยอดคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศที่ต้องกักกันตัวในที่กักกันของรัฐจัดให้ (State Quarantine และ Local Quarantine) มีจํานวน 56,216 ราย เพิ่มขึ้นวานนี้ 508 ราย กลับบ้านแล้ว 47,288 ราย เพิ่มขึ้นวานนี้ 408 ราย พบผู้ติดเชื้อจากสถานกักกันที่รัฐจัดให้ 280 ราย เพิ่มขึ้นวานนี้ 1 ราย รักษาหายและกลับบ้านได้แล้ว 209 ราย
รายงานข้อมูลสรุปการใช้งาน www.ไทยชนะ.com ยอดสะสมตั้งแต่เริ่มโครงการ มีผู้ใช้งาน 35,907,027 คน ร้านค้าลงทะเบียน 268,607 ร้าน โดยสัดส่วนการเช็คอิน/เช็คเอาท์ผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะอยู่ที่ร้อยละ 96.7 ผ่านแอปพลิเคชันไทยชนะร้อยละ 3.3 และจํานวนการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันไทยชนะ 695,662 ครั้ง ด้านรายงานการตรวจกิจการ/กิจกรรมตามมาตรการผ่อนคลายด้านการดําเนินชีวิต วันที่ 12 ก.ค. 63 ได้ทําการตรวจทั้งหมด 4,705 แห่ง พบกิจการ/กิจกรรมที่ปฏิบัติตามมาตรการไม่ครบ 69 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 1.47 และไม่มี “ไทยชนะ” 68 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 1.45 โดย มีชุดตรวจร่วม 90 ชุดตรวจ ชุดตรวจทั่วไป 1,846 ชุดตรวจ และชุดตรวจส่วนกลาง 148 ชุดตรวจ
----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.ทบทวนมาตรการคุมเข้ม-มาตรการสอบสวนโรค ต้องครอบคลุมโรงแรมที่พัก ที่เป็นสถานที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ เพื่อตรวจสอบโดยละเอียด ถึงแม้ผู้ที่พบผลตรวจจะเดินทางกลับประเทศแล้ว
วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม 2563
ศบค.ทบทวนมาตรการคุมเข้ม-มาตรการสอบสวนโรค ต้องครอบคลุมโรงแรมที่พัก ที่เป็นสถานที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ เพื่อตรวจสอบโดยละเอียด ถึงแม้ผู้ที่พบผลตรวจจะเดินทางกลับประเทศแล้ว
ศบค.ทบทวนมาตรการคุมเข้ม-มาตรการสอบสวนโรคต้องครอบคลุมโรงแรมที่พัก ที่เป็นสถานที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ เพื่อตรวจสอบโดยละเอียด ถึงแม้ผู้ที่พบผลตรวจจะเดินทางกลับประเทศแล้ว
วันนี้ (13 ก.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในประเทศไทย
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 3,220 ราย เป็นผู้ที่อยู่ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 283 ราย มีผู้หายป่วยเพิ่มขึ้น 2 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้ว 3,090 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 72 ราย ไม่มีเสียชีวิตเพิ่ม ยังคงเดิมที่ 58 ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.63 ถึงปัจจุบันรวม 49 วันแล้วที่ไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศ สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้ง 3 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากประเทศคูเวต 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 48 ปี อาชีพรับจ้าง เดินทางถึงไทยเมื่อ 29 มิ.ย.เข้าพัก State Quarantine ที่กรุงเทพฯ ตรวจหาเชื้อ 11 ก.ค. ผลตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ จากอียิปต์ 1 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 22 ปี เดินทางถึงไทยเมื่อ 12 ก.ค. ผ่านการคัดกรอง ณ ด่านควบคุมโรค พบว่ามีอาการเข้าเกณฑ์ PUI มีไข้ จึงได้ส่งตรวจหาเชื้อวันที่ 12 ก.ค. ผลตรวจพบเชื้อ และจากบาร์เรน 1 ราย เป็นชายไทย สัญชาติอียิปต์ อายุ 43 ปี อาชีพทหาร เดินทางถึงไทยเมื่อ 8 ก.ค. เข้าพัก State Quarantine ที่จังหวัดระยอง ตรวจหาเชื้อวันที่ 10 ก.ค. ผลตรวจพบเชื้อ 12 ก.ค. แต่ไม่มีอาการ ส่วนอีก 30 รายเป็นลูกเรือที่เดินทางมาพร้อมกัน ยังไม่พบผลการติดเชื้อ
โฆษก ศบค. กล่าวถึง Timeline ของผู้ป่วยเพศชาย อายุ 43 ปี อาชีพทหาร (ลูกเรือเครื่องบินทหาร) จากประเทศในภูมิภาคแอฟริกา ในวันที่ 6 ก.ค. เดินทางออกจากสนามบินไคโร ประเทศอียิปต์ ไปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 7 ก.ค. เดินทางจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไปปากีสถาน 8 ก.ค. เดินทางถึงท่าอากาศยานอู่ตะเภา เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง 9 ก.ค. ออกจากโรงแรม จังหวัดระยองไปท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาเพื่อบินไปทําภารกิจทางทหารที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ไป-กลับวันเดียวกัน กลับเข้าที่พักในโรงแรมจังหวัดระยอง 10 ก.ค. ได้มีทีมเจ้าหน้าที่ CDCU เข้าคัดกรองอาการของคณะเดินทางและลูกเรือ เพื่อเก็บตัวอย่างส่งตรวจ จํานวน 31 ราย และในวันที่ 11 ก.ค. คณะเดินทางออกจากประเทศไทยกลับอียิปต์ ซึ่งผลตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่ชัดเจน จึงตรวจซ้ําอีกครั้ง จนกระทั่งวันที่ 12 ก.ค. ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการยืนยันพบเชื้อ ซึ่งที่ประชุม ศบค. ชุดเล็กมีการหารือว่า ถึงแม้จะเป็นคนที่เป็นลูกเรือที่มาจากต่างชาติเข้ามายังประเทศไทย ในข้อกําหนดที่เป็นลักษณะเฉพาะขึ้นมา และขณะนี้มีการเปิดสายการบินหลายสาย เดิมใช้สนามบินสุวรรณภูมิ แต่ในครั้งนี้ได้มาลงที่สนามบินอู่ตะเภา จึงทําให้มาตรการของการคุมเข้มในข้อดังกล่าวต้องมีการทบทวนและปฏิบัติกันใหม่ ซึ่งโรงแรมที่จังหวัดระยองแห่งนี้ถือเป็นสถานที่ที่สัมผัสกับผู้ที่พบเชื้อ ดังนั้น มาตรการการเข้าไปสอบสวนโรคจะต้องครอบคลุมโรงแรมนี้ทั้งหมด โดยอธิบดีกรมควบคุมโรคได้รับข้อสั่งการจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้ออกมาตรการคุมเข้มเรื่องดังกล่าว เพื่อการตรวจสอบโดยละเอียด ถึงแม้ผู้ที่พบผลตรวจจะเดินทางกลับไปแล้วก็ตาม นอกจากนี้ ทีมสอบสวนโรคจะเข้าไปสอบสวนโรคในพื้นที่สัมผัสที่ทางกลุ่มลูกเรือได้เดินทางไป อีกทั้งสํานักงานเขตสุขภาพจังหวัดระยองและทีมส่วนกลางจะเข้าไปร่วมสอบสวนโรคด้วย เพื่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่จังหวัดระยอง
นอกจากนี้ ยังมี Timeline ผู้ป่วยเด็กหญิงอายุ 9 ปี จากภูมิภาคแอฟริกา เดินทางมาพร้อมกับครอบครัว (คณะทูต) โดยในวันที่ 7 ก.ค. มารดานําผู้ป่วยและครอบครัว รวม 5 คน ไปตรวจหาเชื้อก่อนเดินทางที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ผลตรวจทุกคนไม่พบเชื้อ เดินทางถึงไทยวันที่ 10 ก.ค. เวลา 05.40 น. คัดกรองไม่มีอาการ เก็บตัวอย่างส่งตรวจผลพบเชื้อ แต่บิดานําส่งผู้ป่วยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีการตรวจซ้ํา ผลพบเชื้อ สมาชิกที่เหลือกักกันในที่พํานักแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และในวันที่ 11 ก.ค. ผลตรวจพบปอดอักเสบ จึงส่งต่อผู้ป่วยมารักษาต่อที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งรายดังกล่าวอยู่ในประเภทที่ 3 คือ คณะทูต คณะกงสุล องค์การระหว่างประเทศ หรือผู้แทนรัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐต่างประเทศที่มาปฏิบัติงานที่ประเทศไทย ซึ่งจะอยู่ในมาตรการข้อ 4 ให้เข้ารับการกักกันในที่พํานักของบุคคลดังกล่าว ภายใต้การดูแลของหน่วยงานต้นสังกัดเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน ซึ่งรัฐต้องกําหนดมาตรการโดยละเอียดและครอบคลุมเพราะเป็นความเสี่ยง
2. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 13,035,942 ราย จํานวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 193,906 ราย รวมจํานวนผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 571,571 ราย สหรัฐอเมริกายังคงมีผู้ป่วยยืนยันสะสมเป็นอันดับที่ 1 ของโลก รองลงมาคือบราซิลและอินเดียตามลําดับ ซึ่งปัจจุบัน ไทยอยู่อันดับที่ 100 ของโลก โดยประเด็นที่น่าสนใจในต่างประเทศ ได้แก่ ฮ่องกงประกาศให้โรงเรียนทุกแห่งในฮ่องกงปิดการเรียนการสอนตั้งแต่วันจันทร์ที่ 13 ก.ค. นี้ เป็นต้นไป หลังจากจํานวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในฮ่องกงเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทําให้ทางการฮ่องกงวิตกกังวลว่าจะเกิดการแพร่ระบาดอีกเป็นวงกว้าง โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นําสหรัฐอเมริกา สวมหน้ากากอนามัยระหว่างเยือนโรงพยาบาลทหารวอลเตอร์ รีด ชานกรุงวอชิงตันเมื่อวานนี้ และเป็นครั้งแรกที่ประธานาธิบดีทรัมป์ สวมหน้ากากอนามัยออกสื่อ นับตั้งแต่ที่โรคโควิด-19 เริ่มระบาดในสหรัฐ และนายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่ารัฐบาลอาจจําเป็นต้องออกกฎที่เข้มงวดขึ้นเกี่ยวกับการสวมหน้ากากอนามัย โดยเขาต้องการให้ชาวอังกฤษสวมหน้ากากอนามัยมากขึ้นในร้านค้าต่าง ๆ
3. การดําเนินการตามมาตรการ
รายงานความพร้อมในการเปิดภาคเรียนของโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ พบว่าสถานศึกษาจํานวน 35,155 แห่ง สามารถเปิดภาคเรียนได้ทั้งหมด คิดเป็นร้อยละ 100 แต่เป็นการเปิดเรียนในหลายรูปแบบ เช่น โรงเรียนในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีสถานศึกษาทั้งหมด 29,235 แห่ง เป็นการเปิดเรียนในรูปแบบ on-site 24,703 โรงเรียน และในรูปแบบผสมผสาน รูปแบบที่ 1 สลับชั้นมาเรียนแบบสลับวันเรียน 1,671 แห่ง รูปแบบที่ 2 สลับชั้นมาเรียนแบบสลับวันคู่วันคี่ 565 แห่ง รูปแบบที่ 3 สลับชั้นมาเรียนแบบสลับวันมาเรียน 5 วันหยุด 9 วัน 258 แห่ง รูปแบบที่ 4 สลับช่วงเวลามาเรียนทุกวัน 1,400 แห่ง รูปแบบที่ 5 สลับกลุ่มมาเรียนแบบแบ่งนักเรียนในห้องเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม 2,523 แห่ง และรูปแบบอื่น ๆ 1,997 แห่ง
แผนการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศ วันนี้มีคนไทยเดินทางกลับมาจากสิงคโปร์ 109 คน วันพรุ่งนี้จะมีผู้เดินทางกลับจากจอร์แดน 118 คน และเกาหลีใต้ 200 คน โดย แผนเที่ยวบินนําคนไทยที่ตกค้างกลับไทยในวันที่ 15 ก.ค. มี 4 เที่ยวบิน ได้แก่ จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น และบังกลาเทศ วันที่ 16 ก.ค. 4 เที่ยวบิน ได้แก่ อิหร่าน เยอรมนี โคลอมเบีย/เอกวาดอร์/ปานามา/เนเธอร์แลนด์ และไต้หวัน วันที่ 17 ก.ค. 3 เที่ยวบิน ได้แก่ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และอียิปต์ วันที่ 18 ก.ค. 4 เที่ยวบิน ได้แก่ ออสเตรีย เอธิโอเปีย เนเธอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา วันที่ 19 ก.ค. 3 เที่ยวบิน ได้แก่ นิวซีแลนด์ บาห์เรน และออสเตรเลีย และวันที่ 20 ก.ค. 5 เที่ยวบินได้แก่ เดนมาร์ก สหราชอาณาจักร รัสเซีย อินโดนีเซีย และฮ่องกง สําหรับรายงานผู้เดินทางกลับเข้าประเทศผ่านจุดผ่านแดนทางบกเดินทางจากมาเลเซีย 126 คน สปป.ลาว 35 คน และกัมพูชา 1 คน รวม 162 คน
ตั้งแต่ 3 เมษายน – 11 ก.ค. ยอดคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศที่ต้องกักกันตัวในที่กักกันของรัฐจัดให้ (State Quarantine และ Local Quarantine) มีจํานวน 56,216 ราย เพิ่มขึ้นวานนี้ 508 ราย กลับบ้านแล้ว 47,288 ราย เพิ่มขึ้นวานนี้ 408 ราย พบผู้ติดเชื้อจากสถานกักกันที่รัฐจัดให้ 280 ราย เพิ่มขึ้นวานนี้ 1 ราย รักษาหายและกลับบ้านได้แล้ว 209 ราย
รายงานข้อมูลสรุปการใช้งาน www.ไทยชนะ.com ยอดสะสมตั้งแต่เริ่มโครงการ มีผู้ใช้งาน 35,907,027 คน ร้านค้าลงทะเบียน 268,607 ร้าน โดยสัดส่วนการเช็คอิน/เช็คเอาท์ผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะอยู่ที่ร้อยละ 96.7 ผ่านแอปพลิเคชันไทยชนะร้อยละ 3.3 และจํานวนการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันไทยชนะ 695,662 ครั้ง ด้านรายงานการตรวจกิจการ/กิจกรรมตามมาตรการผ่อนคลายด้านการดําเนินชีวิต วันที่ 12 ก.ค. 63 ได้ทําการตรวจทั้งหมด 4,705 แห่ง พบกิจการ/กิจกรรมที่ปฏิบัติตามมาตรการไม่ครบ 69 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 1.47 และไม่มี “ไทยชนะ” 68 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 1.45 โดย มีชุดตรวจร่วม 90 ชุดตรวจ ชุดตรวจทั่วไป 1,846 ชุดตรวจ และชุดตรวจส่วนกลาง 148 ชุดตรวจ
----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33332
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรเตือนถึงกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล
|
วันศุกร์ที่ 20 เมษายน 2561
กรมสรรพากรเตือนถึงกําหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล
บริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล มูลนิธิ สมาคม หรือนิติบุคคลอื่น ที่มีรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีเงินได้นิติบุคคลประจําปีตามแบบ ภ.ง.ด.50 ภ.ง.ด.52 หรือ ภ.ง.ด.55 แล้วแต่กรณี
นางแพตริเซีย มงคลวนิช รองอธิบดีกรมสรรพากร รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร แจ้งว่า “บริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล มูลนิธิ สมาคม หรือนิติบุคคลอื่น ที่มีรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 มีหน้าที่ต้อง ยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีเงินได้นิติบุคคลประจําปีตามแบบ ภ.ง.ด.50 ภ.ง.ด.52 หรือ ภ.ง.ด.55 แล้วแต่กรณี พร้อมชําระภาษีภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ซึ่งในปีนี้วันสุดท้ายของการยื่นแบบฯ ตรงกับวันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2561 อย่างไรก็ดี สําหรับผู้ที่ยื่นแบบฯ ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตที่ www.rd.go.th จะได้รับสิทธิขยายเวลาการยื่นแบบฯ และชําระภาษีออกไปถึงวันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน 2561”
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการยื่นแบบฯ ได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร. 1161 และหากพบเห็นการกระทําใดๆ ที่เป็นการหลีกเลี่ยงภาษี ขอให้แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลต่าง ๆ ที่ www.rd.go.th > เมนู “การแจ้งแหล่งภาษี” เพื่อที่กรมสรรพากรจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรเตือนถึงกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล
วันศุกร์ที่ 20 เมษายน 2561
กรมสรรพากรเตือนถึงกําหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล
บริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล มูลนิธิ สมาคม หรือนิติบุคคลอื่น ที่มีรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีเงินได้นิติบุคคลประจําปีตามแบบ ภ.ง.ด.50 ภ.ง.ด.52 หรือ ภ.ง.ด.55 แล้วแต่กรณี
นางแพตริเซีย มงคลวนิช รองอธิบดีกรมสรรพากร รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร แจ้งว่า “บริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล มูลนิธิ สมาคม หรือนิติบุคคลอื่น ที่มีรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 มีหน้าที่ต้อง ยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีเงินได้นิติบุคคลประจําปีตามแบบ ภ.ง.ด.50 ภ.ง.ด.52 หรือ ภ.ง.ด.55 แล้วแต่กรณี พร้อมชําระภาษีภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ซึ่งในปีนี้วันสุดท้ายของการยื่นแบบฯ ตรงกับวันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2561 อย่างไรก็ดี สําหรับผู้ที่ยื่นแบบฯ ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตที่ www.rd.go.th จะได้รับสิทธิขยายเวลาการยื่นแบบฯ และชําระภาษีออกไปถึงวันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน 2561”
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการยื่นแบบฯ ได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร. 1161 และหากพบเห็นการกระทําใดๆ ที่เป็นการหลีกเลี่ยงภาษี ขอให้แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลต่าง ๆ ที่ www.rd.go.th > เมนู “การแจ้งแหล่งภาษี” เพื่อที่กรมสรรพากรจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11643
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย ครั้งที่ 2 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ เกาะเชจู สาธารณรัฐเกาหลี
|
วันอังคารที่ 27 มิถุนายน 2560
ผลการประชุมประจําปีสภาผู้ว่าการธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย ครั้งที่ 2 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ เกาะเชจู สาธารณรัฐเกาหลี
รมว.คลัง เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมประจําปีสภาผู้ว่าการธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (AIIB) ครั้งที่ 2 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 16 - 18 มิถุนายน 2560 ณ เกาะเชจู สาธารณรัฐเกาหลี
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงว่า นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมประจําปีสภาผู้ว่าการธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank: AIIB) ครั้งที่ 2 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 16 - 18 มิถุนายน 2560 ณ เกาะเชจู สาธารณรัฐเกาหลี โดยมีสาระสําคัญ ดังนี้
1. การประชุมประจําปีสภาผู้ว่าการ AIIB ครั้งที่ 2 ได้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 - 18 มิถุนายน2560 ภายใต้หัวข้อ “Sustainable Infrastructure” โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้ว่าการของไทยใน AIIB ได้มีถ้อยแถลงถึงภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของไทย การดําเนินนโยบายเศรษฐกิจที่สําคัญๆ ของรัฐบาลเพื่อสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศทั้งโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ โครงสร้างพื้นฐานด้านระบบการเงิน และการลดกฎระเบียบที่ไม่จําเป็นและขาดความคล่องตัวลง ไม่ว่าจะเป็นการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnership Fast Track) การจัดตั้ง Thailand Future Fund การสร้างระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) การพัฒนาระบบชําระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (National e-Payment) และการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้อต่อการลงทุน เป็นต้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจของประเทศให้สูงขึ้นด้วยเศรษฐกิจที่เน้นนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มภายใต้แนวคิดประเทศไทย 4.0 นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ําถึงความเป็นหุ้นส่วนระหว่างไทยกับ AIIB เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน (Sustainable Infrastructures) และสนับสนุนความเชื่อมโยงในภูมิภาค (Regional Connectivity) โดยเฉพาะในภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง
2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เข้าร่วมประชุมสภาผู้ว่าการ AIIB (Governors’ Official Business Session) เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2560 ซึ่งที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบรับราชอาณาจักรตองกา สาธารณรัฐอาร์เจนตินา และมาดากัสการ์ เข้าเป็นสมาชิกใหม่ของ AIIB ทําให้ AIIB มีสมาชิกเพิ่มเป็น 80 ประเทศ นอกจากนี้ สภาผู้ว่าการ AIIB ยังได้ให้ความเห็นชอบรายงานทางการเงินของ AIIB ประจําปี 2559 และอนุมัติงบประมาณของ AIIB ปี 2560 จํานวน 87.151 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ฝ่ายบริหารโดยนาย Jin Liqun ประธาน AIIB ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่าในการประชุมคณะกรรมการ AIIB ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 - 15 มิถุนายน 2560 คณะกรรมการ AIIB ได้อนุมัติโครงการเงินกู้แก่ประเทศสมาชิกเพิ่มอีก 3 โครงการให้แก่ประเทศจอร์เจีย อินเดีย และทาจิกิสถาน รวมมูลค่า 324 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยโครงการของประเทศอินเดียเป็นการร่วมลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (India Infrastructure Fund) มูลค่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และถือเป็นโครงการลงทุนในตราสารทุน (Equity Investment) โครงการแรกของ AIIB
3. การประชุมโต๊ะกลมของผู้ว่าการ AIIB (Governors Roundtable) เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2560 มีการหารือเกี่ยวกับความจําเป็นที่ต้องมีการสนับสนุนทางการเงินสําหรับโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคเอเชีย (Financing Asia’s Infrastructure Priorities) และแนวทางระดมทุนจากภาคเอกชนเพื่อช่วยในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของเอเชีย (Mobilizing Private Capitals for Infrastructure) ซึ่งที่ประชุมตระหนักถึงความจําเป็นในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการส่งเสริมความเชื่อมโยงในภูมิภาค (Regional Connectivity) ทั้งทางบกและทางทะเล และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวกับความมั่นคงด้านพลังงาน (Energy Security) โดยเฉพาะในประเทศกําลังพัฒนา ซึ่งที่ประชุมเน้นย้ําว่าบทบาทของภาคเอกชนในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งในด้านการระดมทุน (Mobilizing Private Capitals) และด้านการบริหารจัดการ (Project Implementation) นับว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้และไม่ใช่แหล่งเงินทางเลือกอีกต่อไป เพราะภาคเอกชนมีทรัพยากรทางการเงินที่มากพอที่จะสนับสนุนโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ยังขาดแคลนเงินทุนอีกมาก ดังนั้น รัฐบาลของประเทศสมาชิกต้องปรับปรุงนโยบายและกฎเกณฑ์ในการให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมให้มีความชัดเจนและโปร่งใส ทั้งนี้ ผู้แทนจากภาคเอกชนเองก็ตระหนักถึงความสําคัญของการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และเห็นว่าปัจจัยที่สําคัญต่อการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนในโครงการที่สําคัญของรัฐ ได้แก่ ความชัดเจนและเสถียรภาพ ของนโยบายและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง (Certainty and Clarity of Regulations) สถานะทางเศรษฐกิจมหภาคและความสามารถในการชําระหนี้ของภาครัฐ (Sovereign Country Risk) และสภาพแวดล้อมความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business)
4. อนึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้หารือทวิภาคีกับนาย Jin Liqun ประธาน AIIB และนาย D.J. Pandian รองประธาน AIIB ถึงแนวทางที่ AIIB จะมีความร่วมมือกับประเทศไทยในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแจ้งว่าประเทศไทยมีความพร้อมที่จะร่วมมือกับ AIIB ทั้งในส่วนของประเทศไทยเองและความเชื่อมโยงในภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง ซึ่งประเทศไทยมีต้นทุนทางการเงินค่อนข้างต่ําในปัจจุบัน และมีเสถียรภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังได้หารือทวิภาคีกับนาย Michael Lawrence กรรมการบริหารของ Asia House ถึงบทบาทของ Asia House ในการเป็นองค์กรเชื่อมภาคเอกชนในภูมิภาคยุโรปโดยเฉพาะสหราชอาณาจักรเข้ามาลงทุนในภูมิภาคอาเซียน หรือให้การสนับสนุนในการเชิญชวนนักธุรกิจในยุโรปที่มีความสนใจเข้ามาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยต่อไป
สําหรับการประชุมประจําปีสภาผู้ว่าการ AIIB ครั้งที่ 3จะจัดขึ้น ณ เมืองมุมไบ สาธารณรัฐอินเดีย ระหว่างวันที่ 25 - 26 มิถุนายน 2561
สํานักนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3681
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย ครั้งที่ 2 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ เกาะเชจู สาธารณรัฐเกาหลี
วันอังคารที่ 27 มิถุนายน 2560
ผลการประชุมประจําปีสภาผู้ว่าการธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย ครั้งที่ 2 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ เกาะเชจู สาธารณรัฐเกาหลี
รมว.คลัง เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมประจําปีสภาผู้ว่าการธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (AIIB) ครั้งที่ 2 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 16 - 18 มิถุนายน 2560 ณ เกาะเชจู สาธารณรัฐเกาหลี
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงว่า นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมประจําปีสภาผู้ว่าการธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank: AIIB) ครั้งที่ 2 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 16 - 18 มิถุนายน 2560 ณ เกาะเชจู สาธารณรัฐเกาหลี โดยมีสาระสําคัญ ดังนี้
1. การประชุมประจําปีสภาผู้ว่าการ AIIB ครั้งที่ 2 ได้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 - 18 มิถุนายน2560 ภายใต้หัวข้อ “Sustainable Infrastructure” โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้ว่าการของไทยใน AIIB ได้มีถ้อยแถลงถึงภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของไทย การดําเนินนโยบายเศรษฐกิจที่สําคัญๆ ของรัฐบาลเพื่อสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศทั้งโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ โครงสร้างพื้นฐานด้านระบบการเงิน และการลดกฎระเบียบที่ไม่จําเป็นและขาดความคล่องตัวลง ไม่ว่าจะเป็นการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnership Fast Track) การจัดตั้ง Thailand Future Fund การสร้างระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) การพัฒนาระบบชําระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (National e-Payment) และการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้อต่อการลงทุน เป็นต้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจของประเทศให้สูงขึ้นด้วยเศรษฐกิจที่เน้นนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มภายใต้แนวคิดประเทศไทย 4.0 นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ําถึงความเป็นหุ้นส่วนระหว่างไทยกับ AIIB เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน (Sustainable Infrastructures) และสนับสนุนความเชื่อมโยงในภูมิภาค (Regional Connectivity) โดยเฉพาะในภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง
2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เข้าร่วมประชุมสภาผู้ว่าการ AIIB (Governors’ Official Business Session) เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2560 ซึ่งที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบรับราชอาณาจักรตองกา สาธารณรัฐอาร์เจนตินา และมาดากัสการ์ เข้าเป็นสมาชิกใหม่ของ AIIB ทําให้ AIIB มีสมาชิกเพิ่มเป็น 80 ประเทศ นอกจากนี้ สภาผู้ว่าการ AIIB ยังได้ให้ความเห็นชอบรายงานทางการเงินของ AIIB ประจําปี 2559 และอนุมัติงบประมาณของ AIIB ปี 2560 จํานวน 87.151 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ฝ่ายบริหารโดยนาย Jin Liqun ประธาน AIIB ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่าในการประชุมคณะกรรมการ AIIB ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 - 15 มิถุนายน 2560 คณะกรรมการ AIIB ได้อนุมัติโครงการเงินกู้แก่ประเทศสมาชิกเพิ่มอีก 3 โครงการให้แก่ประเทศจอร์เจีย อินเดีย และทาจิกิสถาน รวมมูลค่า 324 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยโครงการของประเทศอินเดียเป็นการร่วมลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (India Infrastructure Fund) มูลค่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และถือเป็นโครงการลงทุนในตราสารทุน (Equity Investment) โครงการแรกของ AIIB
3. การประชุมโต๊ะกลมของผู้ว่าการ AIIB (Governors Roundtable) เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2560 มีการหารือเกี่ยวกับความจําเป็นที่ต้องมีการสนับสนุนทางการเงินสําหรับโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคเอเชีย (Financing Asia’s Infrastructure Priorities) และแนวทางระดมทุนจากภาคเอกชนเพื่อช่วยในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของเอเชีย (Mobilizing Private Capitals for Infrastructure) ซึ่งที่ประชุมตระหนักถึงความจําเป็นในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการส่งเสริมความเชื่อมโยงในภูมิภาค (Regional Connectivity) ทั้งทางบกและทางทะเล และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวกับความมั่นคงด้านพลังงาน (Energy Security) โดยเฉพาะในประเทศกําลังพัฒนา ซึ่งที่ประชุมเน้นย้ําว่าบทบาทของภาคเอกชนในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งในด้านการระดมทุน (Mobilizing Private Capitals) และด้านการบริหารจัดการ (Project Implementation) นับว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้และไม่ใช่แหล่งเงินทางเลือกอีกต่อไป เพราะภาคเอกชนมีทรัพยากรทางการเงินที่มากพอที่จะสนับสนุนโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ยังขาดแคลนเงินทุนอีกมาก ดังนั้น รัฐบาลของประเทศสมาชิกต้องปรับปรุงนโยบายและกฎเกณฑ์ในการให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมให้มีความชัดเจนและโปร่งใส ทั้งนี้ ผู้แทนจากภาคเอกชนเองก็ตระหนักถึงความสําคัญของการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และเห็นว่าปัจจัยที่สําคัญต่อการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนในโครงการที่สําคัญของรัฐ ได้แก่ ความชัดเจนและเสถียรภาพ ของนโยบายและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง (Certainty and Clarity of Regulations) สถานะทางเศรษฐกิจมหภาคและความสามารถในการชําระหนี้ของภาครัฐ (Sovereign Country Risk) และสภาพแวดล้อมความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business)
4. อนึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้หารือทวิภาคีกับนาย Jin Liqun ประธาน AIIB และนาย D.J. Pandian รองประธาน AIIB ถึงแนวทางที่ AIIB จะมีความร่วมมือกับประเทศไทยในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแจ้งว่าประเทศไทยมีความพร้อมที่จะร่วมมือกับ AIIB ทั้งในส่วนของประเทศไทยเองและความเชื่อมโยงในภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง ซึ่งประเทศไทยมีต้นทุนทางการเงินค่อนข้างต่ําในปัจจุบัน และมีเสถียรภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังได้หารือทวิภาคีกับนาย Michael Lawrence กรรมการบริหารของ Asia House ถึงบทบาทของ Asia House ในการเป็นองค์กรเชื่อมภาคเอกชนในภูมิภาคยุโรปโดยเฉพาะสหราชอาณาจักรเข้ามาลงทุนในภูมิภาคอาเซียน หรือให้การสนับสนุนในการเชิญชวนนักธุรกิจในยุโรปที่มีความสนใจเข้ามาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยต่อไป
สําหรับการประชุมประจําปีสภาผู้ว่าการ AIIB ครั้งที่ 3จะจัดขึ้น ณ เมืองมุมไบ สาธารณรัฐอินเดีย ระหว่างวันที่ 25 - 26 มิถุนายน 2561
สํานักนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3681
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4820
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร.กอบศักดิ์ฯ ร่วมการเสวนา เรื่อง “นโยบายเพื่อการขับเคลื่อนการยกระดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของประเทศไทย”
|
วันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561
รมต.นร.กอบศักดิ์ฯ ร่วมการเสวนา เรื่อง “นโยบายเพื่อการขับเคลื่อนการยกระดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของประเทศไทย”
รมต.นร.กอบศักดิ์ฯ ร่วมการเสวนา เรื่อง “นโยบายเพื่อการขับเคลื่อนการยกระดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของประเทศไทย”
วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 14.30น. ณ ห้องกมลทิพย์ 3 โรงแรม เดอะ สุโกศล ถนนศรีอยุธยา เขตราชเทวี กรุงเทพฯ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ร่วมการเสวนา เรื่อง “นโยบายเพื่อการขับเคลื่อนการยกระดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุร กิจของประเทศไทย” ในการประชุมเรื่องการยกระดับประสิทธิภาพภาครัฐเพื่ออํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ โดยมีผู้เข้าร่วมฟังประกอบด้วยนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศพร้อมทั้งหัวหน้าส่วนราชการและเจ้าหน้าที่ภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกว่า 300 คน
โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า รัฐบาลโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสําคัญในการพัฒนาและปรับปรุงกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวประเทศด้วยการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการให้การบริการของเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง โดยผ่านพระราชบัญญัติการอํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 ซึ่งมีสาระสําคัญคือ
1.เน้นความโปร่งใสชัดเจน พร้อมรับรู้ขั้นตอนวิธีการ ระบุเวลา เอกสารประกอบ แบบฟอร์ม ค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่าย
2. เน้นความสะดวกรวดเร็วโดยเจ้าหน้าที่ตรวจเอกสารทันที หากไม่ครบต้องแจ้งให้ทราบและขอเพิ่มทันที
3. เน้นความถูกต้องและตรงเวลา เจ้าหน้าที่รับบริการตรงตามเวลาที่ให้สัญญาหากไม่แล้วเสร็จต้องได้รับการแจ้งเหตุผลที่ล่าช้าทุกๆ 7 วัน
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําว่า ประเทศสาธารณรัฐเกาหลีได้มีการปรับปรุงกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนส่งผลให้ประหยัดงบประมาณนับแสนล้านบาท
ดังนั้น ประเทศไทยจึงมีความจําเป็นต้องพัฒนากฎหมายที่อํานวยความสะดวกแก่นักลงทุนซึ่งขณะนี้ได้ดําเนินการครอบคลุมทุกมิติแล้ว ทําให้เวิลด์แบงก์จัดอันดับประเทศไทยเป็นประเทศ ที่น่าลงทุนในอันดับต้น ๆ และจะต้องมีการปรับปรุงและพัฒนากฎหมายต่างๆที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้อันดับของประเทศไทยดียิ่งขึ้นต่อไป ส่งผลให้เศรษฐกิจระดับมหภาคของประเทศโดยรวมขับเลื่อนไปในทิศทางที่ส่งผลดีต่อประชาชน มีการกระจายรายได้สู่ชุมชนทําให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้ภาครัฐได้เร่งพัฒนาคุณภาพการทํางานอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมการใช้ระบบให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Services) ที่ให้บริการอยู่ให้มากขึ้น ซึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจ ได้แก่
ด้านเริ่มต้นธุรกิจ ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้พัฒนาระบบการจดทะเบียนนิติบุคคล ทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) และระบบ e-Filing นอกจากนี้ ยังบูรณาการกระบวนการจองชื่อกับการจดทะเบียน พร้อมพัฒนาระบบการเชื่อมต่อระหว่างระบบการจองชื่อนิติบุคคลกับระบบจดทะเบียนนิติบุคคลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) ให้ทํางานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านจดทะเบียนทรัพย์สิน ที่กรมที่ดินได้พัฒนาแอพพลิเคชั่น LandsMaps ให้ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับที่ดินได้อย่างสะดวก ทั้งรูปแปลงที่ดิน ตําแหน่งและสภาพพื้นที่ ราคาประเมิน ค่าธรรมเนียม ภาษีอากร ค่าใช้จ่ายในการรังวัด คิวรังวัด รวมทั้งข้อมูลการเดินทางไปยังสํานักงานที่ดิน โดยไม่จําเป็นต้องใช้เลขที่โฉนดแล้ว
ด้านการค้าระหว่างประเทศ ที่กรมศุลกากร ท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือเอกชนร่วมกันพัฒนา NSW ใบกํากับการขนย้ายสินค้า และยังพัฒนาการให้บริการพิธีการศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์สําหรับของถ่ายลําและการขนส่งต่อเนื่องเปลี่ยนยานพาหนะ (e-Transition) รวมทั้ง พัฒนาระบบตัดบัญชีใบกํากับการขนย้ายสินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Matching) ด้วย
ด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง ที่ศาลยุติธรรมใช้ระบบ e-Filing เพื่อให้บริการประชาชนในการยื่นคําคู่ความผ่านระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ โดยศาลที่นําร่องเปิดให้บริการในขณะนี้ได้แก่ ศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี ในคดีซื้อขาย เช่าทรัพย์ จํานอง จํานํา ค้ําประกัน กู้ยืมเงิน เช่าซื้อ และบัตรเครดิต
ด้านการแก้ปัญหาการล้มละลาย ที่กรมบังคับคดีนําระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการทํางาน ได้แก่ระบบ e-Filing และ e-Payment ระบบ e-Insolvency Case Management System มาเริ่มใช้กับการทํางานในสํานวนกลางไม่มีทรัพย์โฆษณาคําสั่ง คําพิพากษา และประกาศต่าง ๆ รวมทั้งแอพพลิเคชั่น LED ABC (Application Bankruptcy Checking) เพื่อตรวจสอบบุคคลล้มละลาย
การพัฒนาในระยะต่อไป สํานักงาน ก.พ.ร. ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทําแผนการขับเคลื่อนการอํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 เพื่อผลักดันการดําเนินการตามข้อเสนอของธนาคารโลกในระยะกลางและระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้นจะเร่งเชิญชวนให้ผู้ประกอบการและภาคเอกชนใช้ระบบ e-Services ให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มความสะดวกในการรับบริการ เช่น จดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) ส่งเงินสมทบและนําส่งเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังได้จัดทําเว็บไซต์ Ease of Doing Business Thailand.info เว็บไซต์กลาง สําหรับการสื่อสารให้ข้อมูลแบบเบ็ดเสร็จครบวงจรเกี่ยวกับการปฏิรูปงานบริการภาครัฐและการจัดอันดับ
ความยาก – ง่ายในการประกอบธุรกิจ ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนเมษายน 2561 นี้
..............................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร.กอบศักดิ์ฯ ร่วมการเสวนา เรื่อง “นโยบายเพื่อการขับเคลื่อนการยกระดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของประเทศไทย”
วันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561
รมต.นร.กอบศักดิ์ฯ ร่วมการเสวนา เรื่อง “นโยบายเพื่อการขับเคลื่อนการยกระดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของประเทศไทย”
รมต.นร.กอบศักดิ์ฯ ร่วมการเสวนา เรื่อง “นโยบายเพื่อการขับเคลื่อนการยกระดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของประเทศไทย”
วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 14.30น. ณ ห้องกมลทิพย์ 3 โรงแรม เดอะ สุโกศล ถนนศรีอยุธยา เขตราชเทวี กรุงเทพฯ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ร่วมการเสวนา เรื่อง “นโยบายเพื่อการขับเคลื่อนการยกระดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุร กิจของประเทศไทย” ในการประชุมเรื่องการยกระดับประสิทธิภาพภาครัฐเพื่ออํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ โดยมีผู้เข้าร่วมฟังประกอบด้วยนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศพร้อมทั้งหัวหน้าส่วนราชการและเจ้าหน้าที่ภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกว่า 300 คน
โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า รัฐบาลโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสําคัญในการพัฒนาและปรับปรุงกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวประเทศด้วยการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการให้การบริการของเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง โดยผ่านพระราชบัญญัติการอํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 ซึ่งมีสาระสําคัญคือ
1.เน้นความโปร่งใสชัดเจน พร้อมรับรู้ขั้นตอนวิธีการ ระบุเวลา เอกสารประกอบ แบบฟอร์ม ค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่าย
2. เน้นความสะดวกรวดเร็วโดยเจ้าหน้าที่ตรวจเอกสารทันที หากไม่ครบต้องแจ้งให้ทราบและขอเพิ่มทันที
3. เน้นความถูกต้องและตรงเวลา เจ้าหน้าที่รับบริการตรงตามเวลาที่ให้สัญญาหากไม่แล้วเสร็จต้องได้รับการแจ้งเหตุผลที่ล่าช้าทุกๆ 7 วัน
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําว่า ประเทศสาธารณรัฐเกาหลีได้มีการปรับปรุงกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนส่งผลให้ประหยัดงบประมาณนับแสนล้านบาท
ดังนั้น ประเทศไทยจึงมีความจําเป็นต้องพัฒนากฎหมายที่อํานวยความสะดวกแก่นักลงทุนซึ่งขณะนี้ได้ดําเนินการครอบคลุมทุกมิติแล้ว ทําให้เวิลด์แบงก์จัดอันดับประเทศไทยเป็นประเทศ ที่น่าลงทุนในอันดับต้น ๆ และจะต้องมีการปรับปรุงและพัฒนากฎหมายต่างๆที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้อันดับของประเทศไทยดียิ่งขึ้นต่อไป ส่งผลให้เศรษฐกิจระดับมหภาคของประเทศโดยรวมขับเลื่อนไปในทิศทางที่ส่งผลดีต่อประชาชน มีการกระจายรายได้สู่ชุมชนทําให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้ภาครัฐได้เร่งพัฒนาคุณภาพการทํางานอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมการใช้ระบบให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Services) ที่ให้บริการอยู่ให้มากขึ้น ซึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจ ได้แก่
ด้านเริ่มต้นธุรกิจ ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้พัฒนาระบบการจดทะเบียนนิติบุคคล ทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) และระบบ e-Filing นอกจากนี้ ยังบูรณาการกระบวนการจองชื่อกับการจดทะเบียน พร้อมพัฒนาระบบการเชื่อมต่อระหว่างระบบการจองชื่อนิติบุคคลกับระบบจดทะเบียนนิติบุคคลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) ให้ทํางานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านจดทะเบียนทรัพย์สิน ที่กรมที่ดินได้พัฒนาแอพพลิเคชั่น LandsMaps ให้ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับที่ดินได้อย่างสะดวก ทั้งรูปแปลงที่ดิน ตําแหน่งและสภาพพื้นที่ ราคาประเมิน ค่าธรรมเนียม ภาษีอากร ค่าใช้จ่ายในการรังวัด คิวรังวัด รวมทั้งข้อมูลการเดินทางไปยังสํานักงานที่ดิน โดยไม่จําเป็นต้องใช้เลขที่โฉนดแล้ว
ด้านการค้าระหว่างประเทศ ที่กรมศุลกากร ท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือเอกชนร่วมกันพัฒนา NSW ใบกํากับการขนย้ายสินค้า และยังพัฒนาการให้บริการพิธีการศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์สําหรับของถ่ายลําและการขนส่งต่อเนื่องเปลี่ยนยานพาหนะ (e-Transition) รวมทั้ง พัฒนาระบบตัดบัญชีใบกํากับการขนย้ายสินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Matching) ด้วย
ด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง ที่ศาลยุติธรรมใช้ระบบ e-Filing เพื่อให้บริการประชาชนในการยื่นคําคู่ความผ่านระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ โดยศาลที่นําร่องเปิดให้บริการในขณะนี้ได้แก่ ศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี ในคดีซื้อขาย เช่าทรัพย์ จํานอง จํานํา ค้ําประกัน กู้ยืมเงิน เช่าซื้อ และบัตรเครดิต
ด้านการแก้ปัญหาการล้มละลาย ที่กรมบังคับคดีนําระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการทํางาน ได้แก่ระบบ e-Filing และ e-Payment ระบบ e-Insolvency Case Management System มาเริ่มใช้กับการทํางานในสํานวนกลางไม่มีทรัพย์โฆษณาคําสั่ง คําพิพากษา และประกาศต่าง ๆ รวมทั้งแอพพลิเคชั่น LED ABC (Application Bankruptcy Checking) เพื่อตรวจสอบบุคคลล้มละลาย
การพัฒนาในระยะต่อไป สํานักงาน ก.พ.ร. ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทําแผนการขับเคลื่อนการอํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 เพื่อผลักดันการดําเนินการตามข้อเสนอของธนาคารโลกในระยะกลางและระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้นจะเร่งเชิญชวนให้ผู้ประกอบการและภาคเอกชนใช้ระบบ e-Services ให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มความสะดวกในการรับบริการ เช่น จดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) ส่งเงินสมทบและนําส่งเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังได้จัดทําเว็บไซต์ Ease of Doing Business Thailand.info เว็บไซต์กลาง สําหรับการสื่อสารให้ข้อมูลแบบเบ็ดเสร็จครบวงจรเกี่ยวกับการปฏิรูปงานบริการภาครัฐและการจัดอันดับ
ความยาก – ง่ายในการประกอบธุรกิจ ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนเมษายน 2561 นี้
..............................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10098
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดห้องสมุดประชาชน "เฉลิมราชกุมารี" อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี
|
วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561
เปิดห้องสมุดประชาชน "เฉลิมราชกุมารี" อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินทรงเปิดห้องสมุดประชาชน "เฉลิมราชกุมารี" อําเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี และทรงเปิดสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ ณ สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ อําเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินทรงเปิดห้องสมุดประชาชน "เฉลิมราชกุมารี" อําเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี และทรงเปิดสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ ณ สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ อําเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี โดยนายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้กราบบังคมทูลรายงานการจัดงานในครั้งนี้
ในโอกาสเดียวกัน ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ได้กราบบังคมทูลเบิกผู้มีอุปการคุณเข้ารับพระราชทานของที่ระลึก จํานวน 120 รายทั้งนี้ มีข้าราชการในพื้นที่ บุคลากรทางการศึกษา ในสังกัดสํานักงาน กศน. พ่อค้าประชาชน นักเรียน นักศึกษาในพื้นที่เฝ้ารับเสด็จฯ เป็นจํานวนมาก
Written byประชาสัมพันธ์ สํานักงาน กศน.
Photoประชาสัมพันธ์ สํานักงาน กศน.
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดห้องสมุดประชาชน "เฉลิมราชกุมารี" อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี
วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561
เปิดห้องสมุดประชาชน "เฉลิมราชกุมารี" อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินทรงเปิดห้องสมุดประชาชน "เฉลิมราชกุมารี" อําเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี และทรงเปิดสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ ณ สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ อําเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินทรงเปิดห้องสมุดประชาชน "เฉลิมราชกุมารี" อําเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี และทรงเปิดสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ ณ สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ อําเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี โดยนายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้กราบบังคมทูลรายงานการจัดงานในครั้งนี้
ในโอกาสเดียวกัน ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ได้กราบบังคมทูลเบิกผู้มีอุปการคุณเข้ารับพระราชทานของที่ระลึก จํานวน 120 รายทั้งนี้ มีข้าราชการในพื้นที่ บุคลากรทางการศึกษา ในสังกัดสํานักงาน กศน. พ่อค้าประชาชน นักเรียน นักศึกษาในพื้นที่เฝ้ารับเสด็จฯ เป็นจํานวนมาก
Written byประชาสัมพันธ์ สํานักงาน กศน.
Photoประชาสัมพันธ์ สํานักงาน กศน.
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13123
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ชื่นชมชายพิการสู้ชีวิตวัย 51 ปี ฝึกช่วยเหลือตนเองจนสามารถทำอาหาร และงานบ้านได้ ที่ จ.ชัยนาท
|
วันอังคารที่ 19 ธันวาคม 2560
พม. ชื่นชมชายพิการสู้ชีวิตวัย 51 ปี ฝึกช่วยเหลือตนเองจนสามารถทําอาหาร และงานบ้านได้ ที่ จ.ชัยนาท
พม. ชื่นชมชายพิการสู้ชีวิตวัย 51 ปี ฝึกช่วยเหลือตนเองจนสามารถทําอาหาร และงานบ้านได้ ที่ จ.ชัยนาท พร้อมกําชับทีม One Home ทั่วประเทศ ช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ที่ประสบภัยหนาว
วันนี้ (19 ธ.ค. 60) เวลา 08.30 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า นางไพรวรรณ พลวัน รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 7/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขและป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีคณะผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ
นางไพรวรรณ กล่าวว่า จากกรณี ชายวัย 51 ปี ที่พิการทางการเคลื่อนไหว แขนและขาด้วน อาศัยอยู่เพียงลําพัง แต่สู้ชีวิต ด้วยการพยายามฝึกช่วยเหลือตนเองทุกอย่าง ทั้งทําอาหาร ทํางานบ้าน เขียนหนังสือ แต่ที่ยากลําบากที่สุด คือ การเดินทาง โดยอาศัยเพียงเบี้ยยังชีพคนพิการใช้ประทังชีวิต ด้านเจ้าตัวเผยว่าอยากได้รถวีลแชร์ไฟฟ้า เพื่อความสะดวกในการเดินทาง ไม่ต้องรบกวนเพื่อนบ้าน ที่อําเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท นั้น ตนขอชื่นชมชายคนดังกล่าว ที่มีความขยันหมั่นเพียร มุ่งมั่น เพื่อพัฒนาตนเอง ถึงแม้มีอุปสรรคทางร่างกายแต่ไม่ย่อท้อ และไม่นํามาเป็นอุปสรรคในการดําเนินชีวิต น่ายกย่องเป็นแบบอย่างที่ดีของคนพิการสู้ชีวิต ทั้งนี้ ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชัยนาท (พมจ.ชัยนาท) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของชายดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลชายคนดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือในเรื่องการหารถวีลแชร์ไฟฟ้า และการแนะนําให้คําปรึกษาในเรื่องของกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อใช้เป็นทุนสําหรับการประกอบอาชีพในระยะยาวต่อไป
นางไพรวรรณ กล่าวต่อไปว่า สําหรับกรณี เด็กชายวัย 11 ขวบ ป่วยหลายโรครุมเร้า ทั้งโรคไตอักเสบเฉียบพลัน และโรคแพ้ภูมิตัวเอง อาศัยอยู่เพียงลําพังกับผู้เป็นแม่ ที่ป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ บ่อยครั้งที่ต้องหยุดเรียนเพื่ออยู่ดูแลแม่ ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่จังหวัดสิงห์บุรี และกรณีชายวัย 38 ปี ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูลูกหลายคน อีกทั้งลูกชายคนเล็กวัย 9 ขวบ ยังมีสติไม่สมประกอบ ชอบเดินหนีหายออกจากบ้าน จึงจําเป็นต้องขังไว้ในกรงนานกว่า 5 ปี เนื่องจากชายคนดังกล่าวต้องออกไปรับจ้างทํางานหาเงินจุนเจือครอบครัวเพียงคนเดียว ด้านภรรยาได้ขอแยกทาง ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่จังหวัดกระบี่ นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทั้ง 2 จังหวัด ได้แก่ พมจ.สิงห์บุรี และ พมจ.กระบี่ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยของผู้ที่ป่วยอย่างต่อเนื่อง และช่วยเหลือในเรื่องการศึกษาของเด็กชายดังกล่าวในระยะยาว รวมทั้งให้คําแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคมเพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมาย และการให้คําแนะนําปรึกษาแก่ 2 ครอบครัวในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคง สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้
นางไพรวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ประเทศไทยกําลังเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว สภาพอากาศในหลายพื้นที่เริ่มเย็นลง ซึ่งอากาศที่เปลี่ยนแปลง อาจทําให้เกิดการเจ็บป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ได้แก่ เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม จึงได้กําชับทีม One Home ทุกจังหวัด เฝ้าระวังและให้ความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์แก่กลุ่มเป้าหมายของกระทรวง ทั้งนี้ หากประชาชนที่ประสบภัยหนาว ต้องการขอความช่วยเหลือ สามารถโทรแจ้ง ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ชื่นชมชายพิการสู้ชีวิตวัย 51 ปี ฝึกช่วยเหลือตนเองจนสามารถทำอาหาร และงานบ้านได้ ที่ จ.ชัยนาท
วันอังคารที่ 19 ธันวาคม 2560
พม. ชื่นชมชายพิการสู้ชีวิตวัย 51 ปี ฝึกช่วยเหลือตนเองจนสามารถทําอาหาร และงานบ้านได้ ที่ จ.ชัยนาท
พม. ชื่นชมชายพิการสู้ชีวิตวัย 51 ปี ฝึกช่วยเหลือตนเองจนสามารถทําอาหาร และงานบ้านได้ ที่ จ.ชัยนาท พร้อมกําชับทีม One Home ทั่วประเทศ ช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ที่ประสบภัยหนาว
วันนี้ (19 ธ.ค. 60) เวลา 08.30 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า นางไพรวรรณ พลวัน รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 7/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขและป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีคณะผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ
นางไพรวรรณ กล่าวว่า จากกรณี ชายวัย 51 ปี ที่พิการทางการเคลื่อนไหว แขนและขาด้วน อาศัยอยู่เพียงลําพัง แต่สู้ชีวิต ด้วยการพยายามฝึกช่วยเหลือตนเองทุกอย่าง ทั้งทําอาหาร ทํางานบ้าน เขียนหนังสือ แต่ที่ยากลําบากที่สุด คือ การเดินทาง โดยอาศัยเพียงเบี้ยยังชีพคนพิการใช้ประทังชีวิต ด้านเจ้าตัวเผยว่าอยากได้รถวีลแชร์ไฟฟ้า เพื่อความสะดวกในการเดินทาง ไม่ต้องรบกวนเพื่อนบ้าน ที่อําเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท นั้น ตนขอชื่นชมชายคนดังกล่าว ที่มีความขยันหมั่นเพียร มุ่งมั่น เพื่อพัฒนาตนเอง ถึงแม้มีอุปสรรคทางร่างกายแต่ไม่ย่อท้อ และไม่นํามาเป็นอุปสรรคในการดําเนินชีวิต น่ายกย่องเป็นแบบอย่างที่ดีของคนพิการสู้ชีวิต ทั้งนี้ ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชัยนาท (พมจ.ชัยนาท) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของชายดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลชายคนดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือในเรื่องการหารถวีลแชร์ไฟฟ้า และการแนะนําให้คําปรึกษาในเรื่องของกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อใช้เป็นทุนสําหรับการประกอบอาชีพในระยะยาวต่อไป
นางไพรวรรณ กล่าวต่อไปว่า สําหรับกรณี เด็กชายวัย 11 ขวบ ป่วยหลายโรครุมเร้า ทั้งโรคไตอักเสบเฉียบพลัน และโรคแพ้ภูมิตัวเอง อาศัยอยู่เพียงลําพังกับผู้เป็นแม่ ที่ป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ บ่อยครั้งที่ต้องหยุดเรียนเพื่ออยู่ดูแลแม่ ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่จังหวัดสิงห์บุรี และกรณีชายวัย 38 ปี ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูลูกหลายคน อีกทั้งลูกชายคนเล็กวัย 9 ขวบ ยังมีสติไม่สมประกอบ ชอบเดินหนีหายออกจากบ้าน จึงจําเป็นต้องขังไว้ในกรงนานกว่า 5 ปี เนื่องจากชายคนดังกล่าวต้องออกไปรับจ้างทํางานหาเงินจุนเจือครอบครัวเพียงคนเดียว ด้านภรรยาได้ขอแยกทาง ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่จังหวัดกระบี่ นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทั้ง 2 จังหวัด ได้แก่ พมจ.สิงห์บุรี และ พมจ.กระบี่ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยของผู้ที่ป่วยอย่างต่อเนื่อง และช่วยเหลือในเรื่องการศึกษาของเด็กชายดังกล่าวในระยะยาว รวมทั้งให้คําแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคมเพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมาย และการให้คําแนะนําปรึกษาแก่ 2 ครอบครัวในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคง สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้
นางไพรวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ประเทศไทยกําลังเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว สภาพอากาศในหลายพื้นที่เริ่มเย็นลง ซึ่งอากาศที่เปลี่ยนแปลง อาจทําให้เกิดการเจ็บป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ได้แก่ เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม จึงได้กําชับทีม One Home ทุกจังหวัด เฝ้าระวังและให้ความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์แก่กลุ่มเป้าหมายของกระทรวง ทั้งนี้ หากประชาชนที่ประสบภัยหนาว ต้องการขอความช่วยเหลือ สามารถโทรแจ้ง ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8865
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ไทยไต่อันดับ 27 ของโลกมีความคุ้มค่าด้านระบบดูแลสุขภาพ
|
วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน 2561
สธ.ไทยไต่อันดับ 27 ของโลกมีความคุ้มค่าด้านระบบดูแลสุขภาพ
กระทรวงสาธารณสุข เผยประเทศไทยถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่มีความคุ้มค่าด้านระบบดูแลสุขภาพอันดับ 27 ของโลก และเป็นอันดับที่ 9 ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพต่อประชากร 1 คน ประมาณ 7,086 บาท และอายุเฉลี่ย 75.1 ปี
กระทรวงสาธารณสุข เผยประเทศไทยถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่มีความคุ้มค่าด้านระบบดูแลสุขภาพอันดับ 27 ของโลก และเป็นอันดับที่ 9 ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพต่อประชากร 1 คน ประมาณ 7,086 บาท และอายุเฉลี่ย 75.1 ปี
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สํานักข่าว บลูมเบิร์กได้จัดทําดัชนีประสิทธิภาพระบบสุขภาพ (health care efficiency index) เพื่อจัดอันดับประเทศที่มีความคุ้มค่าด้านระบบดูแลสุขภาพ โดยคํานวณเปรียบเทียบระหว่างค่าใช้จ่ายกับอายุขัยโดยเฉลี่ยของคนในประเทศล่าสุดปี พ.ศ.2561 พบว่าไทยอยู่ในอันดับที่ 27 ของโลกจาก 56 ประเทศ เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ.2560 ซึ่งอยู่ในอันดับ 41 หรืออันดับดีขึ้นมากถึง 14 อันดับ นับเป็นประเทศที่สามารถพัฒนาอย่างก้าวกระโดดมากที่สุดในดัชนีนี้
โดยค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพต่อประชากร 1 คนนั้น ลดลงอยู่ที่ 219 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7,086 บาท และอายุเฉลี่ยของประชากรไทยในปีนี้ก็เพิ่มขึ้นเป็น 75.1 ปี นอกจากนี้ ในรายงานยังระบุด้วยว่าเรื่องการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของประเทศไทยมีความก้าวหน้าอย่างมากอีกด้วย ทั้งนี้ หากจัดอันดับภายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ไทยอยู่ในอันดับที่ 9 ตามหลังฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ไต้หวัน นิวซีแลนด์ และจีน
สําหรับประเทศที่มีดัชนีประสิทธิภาพระบบสุขภาพปัจจุบันที่ดีที่สุด 5 อันดับ คือ ฮ่องกง รองลงมาคือ สิงคโปร์ สเปน อิตาลี เกาหลีใต้ โดยฮ่องกงมีค่าใช้จ่ายการดูแลสุขภาพต่อประชากร 1 คนที่ 2,222 ดอลลาร์ หรือประมาณ 7.19 หมื่นบาท และมีอายุคาดเฉลี่ยที่ 84.3 ปี
************************************** 23 กันยายน 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ไทยไต่อันดับ 27 ของโลกมีความคุ้มค่าด้านระบบดูแลสุขภาพ
วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน 2561
สธ.ไทยไต่อันดับ 27 ของโลกมีความคุ้มค่าด้านระบบดูแลสุขภาพ
กระทรวงสาธารณสุข เผยประเทศไทยถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่มีความคุ้มค่าด้านระบบดูแลสุขภาพอันดับ 27 ของโลก และเป็นอันดับที่ 9 ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพต่อประชากร 1 คน ประมาณ 7,086 บาท และอายุเฉลี่ย 75.1 ปี
กระทรวงสาธารณสุข เผยประเทศไทยถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่มีความคุ้มค่าด้านระบบดูแลสุขภาพอันดับ 27 ของโลก และเป็นอันดับที่ 9 ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพต่อประชากร 1 คน ประมาณ 7,086 บาท และอายุเฉลี่ย 75.1 ปี
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สํานักข่าว บลูมเบิร์กได้จัดทําดัชนีประสิทธิภาพระบบสุขภาพ (health care efficiency index) เพื่อจัดอันดับประเทศที่มีความคุ้มค่าด้านระบบดูแลสุขภาพ โดยคํานวณเปรียบเทียบระหว่างค่าใช้จ่ายกับอายุขัยโดยเฉลี่ยของคนในประเทศล่าสุดปี พ.ศ.2561 พบว่าไทยอยู่ในอันดับที่ 27 ของโลกจาก 56 ประเทศ เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ.2560 ซึ่งอยู่ในอันดับ 41 หรืออันดับดีขึ้นมากถึง 14 อันดับ นับเป็นประเทศที่สามารถพัฒนาอย่างก้าวกระโดดมากที่สุดในดัชนีนี้
โดยค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพต่อประชากร 1 คนนั้น ลดลงอยู่ที่ 219 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7,086 บาท และอายุเฉลี่ยของประชากรไทยในปีนี้ก็เพิ่มขึ้นเป็น 75.1 ปี นอกจากนี้ ในรายงานยังระบุด้วยว่าเรื่องการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของประเทศไทยมีความก้าวหน้าอย่างมากอีกด้วย ทั้งนี้ หากจัดอันดับภายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ไทยอยู่ในอันดับที่ 9 ตามหลังฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ไต้หวัน นิวซีแลนด์ และจีน
สําหรับประเทศที่มีดัชนีประสิทธิภาพระบบสุขภาพปัจจุบันที่ดีที่สุด 5 อันดับ คือ ฮ่องกง รองลงมาคือ สิงคโปร์ สเปน อิตาลี เกาหลีใต้ โดยฮ่องกงมีค่าใช้จ่ายการดูแลสุขภาพต่อประชากร 1 คนที่ 2,222 ดอลลาร์ หรือประมาณ 7.19 หมื่นบาท และมีอายุคาดเฉลี่ยที่ 84.3 ปี
************************************** 23 กันยายน 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15590
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น ด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและสุขภาพโลก
|
วันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม 2560
การประชุมความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น ด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและสุขภาพโลก
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์ทาเคโอะ โทดะ (Dr.Takao Toda) รองประธานด้านความมั่นคงของมนุษย์และหลักประกันสุขภาพ องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์ทาเคโอะ โทดะ (Dr.Takao Toda)รองประธานด้านความมั่นคงของมนุษย์และหลักประกันสุขภาพ องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Vice President for Human Security and Global Health Japan JICA)นายแพทย์สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ ประธานมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (International Health Policy Program Foundation)ร่วมประชุมโครงการความร่วมมือทางวิชาการไทย-ญี่ปุ่น ด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและสุขภาพโลก (2nd Joint Coordination Committee Meeting :The Partnership project for Global health and Universal Health Coverage)เพื่อขับเคลื่อนภารกิจด้านสุขภาพโลก โดยความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขไทย สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น ที่ห้องประชุมชัยนาทนเรนทร สป.สธ.
****************************** 17สิงหาคม2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น ด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและสุขภาพโลก
วันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม 2560
การประชุมความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น ด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและสุขภาพโลก
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์ทาเคโอะ โทดะ (Dr.Takao Toda) รองประธานด้านความมั่นคงของมนุษย์และหลักประกันสุขภาพ องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์ทาเคโอะ โทดะ (Dr.Takao Toda)รองประธานด้านความมั่นคงของมนุษย์และหลักประกันสุขภาพ องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Vice President for Human Security and Global Health Japan JICA)นายแพทย์สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ ประธานมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (International Health Policy Program Foundation)ร่วมประชุมโครงการความร่วมมือทางวิชาการไทย-ญี่ปุ่น ด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและสุขภาพโลก (2nd Joint Coordination Committee Meeting :The Partnership project for Global health and Universal Health Coverage)เพื่อขับเคลื่อนภารกิจด้านสุขภาพโลก โดยความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขไทย สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น ที่ห้องประชุมชัยนาทนเรนทร สป.สธ.
****************************** 17สิงหาคม2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6007
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” หารือแนวทางการกำหนดหลักสูตรอบรมผู้ทำหน้าที่นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์
|
วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม 2560
“ยุติธรรม” หารือแนวทางการกําหนดหลักสูตรอบรมผู้ทําหน้าที่นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะทํางานกําหนดหลักสูตรการอบรมผู้ทําหน้าที่นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐
เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น.
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะทํางานกําหนดหลักสูตร
การอบรมผู้ทําหน้าที่นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐
โดยที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการกําหนดหลักสูตร
อบรมผู้ทําหน้าที่นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์
ให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบัน
เพื่อให้ผู้ผ่านการอบรมสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และรองรับการประกาศใช้กฎกระทรวงกําหนดคุณสมบัตินักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ. ๒๕๖๐
โดยมีผู้แทนจากสภาวิชาชีพสงเคราะห์
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข
สํานักงานตํารวจแห่งชาติ และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” หารือแนวทางการกำหนดหลักสูตรอบรมผู้ทำหน้าที่นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์
วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม 2560
“ยุติธรรม” หารือแนวทางการกําหนดหลักสูตรอบรมผู้ทําหน้าที่นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะทํางานกําหนดหลักสูตรการอบรมผู้ทําหน้าที่นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐
เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น.
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะทํางานกําหนดหลักสูตร
การอบรมผู้ทําหน้าที่นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐
โดยที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการกําหนดหลักสูตร
อบรมผู้ทําหน้าที่นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์
ให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบัน
เพื่อให้ผู้ผ่านการอบรมสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และรองรับการประกาศใช้กฎกระทรวงกําหนดคุณสมบัตินักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ. ๒๕๖๐
โดยมีผู้แทนจากสภาวิชาชีพสงเคราะห์
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข
สํานักงานตํารวจแห่งชาติ และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3917
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ผนึก กสทช.-ไอเอสพี สั่งลุยเว็บผิด กม. เปิดช่องทางให้ ปชช. แจ้งเบาะแส
|
วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2563
ดีอีเอส ผนึก กสทช.-ไอเอสพี สั่งลุยเว็บผิด กม. เปิดช่องทางให้ ปชช. แจ้งเบาะแส
ดีอีเอส ผนึก กสทช.-ไอเอสพี สั่งลุยเว็บผิด กม. เปิดช่องทางให้ ปชช. แจ้งเบาะแส
กระทรวงดิจิทัลฯ แถลงผลการดําเนินงานร่วมกับ กสทช. และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) ทํางานเชิงรุกเดินหน้านโยบายเพื่อความมั่นคงปลอดภัยทางออนไลน์ เปิดเพจ “อาสา จับตา ออนไลน์” และสายด่วน 02-141 6747 รับแจ้งข้อมูลเว็บไซต์ผิดกฎหมายจากประชาชน เผยรอบ 7 เดือนแรกปีนี้ ลุยปิดเว็บตามคําสั่งศาลไปแล้ว 7,164 ยูอาร์แอล
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า วันนี้ (30 กรกฎาคม 2563) เป็นการแถลงผลการดําเนินงานร่วมกันระหว่างกระทรวงดิจิทัลฯ สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) ถึงมาตรการเชิงรุกเกี่ยวกับเรื่อง “การกระทําความผิดทางออนไลน์ ที่ดําเนินการตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม” โดยในรอบ 7 เดือนแรกของปี 2563 กระทรวงดิจิทัลฯ ได้มีการทํางานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (สตช.) และประสานงานร่วมกับไอเอสพี จนนําไปสู่กระบวนการตรวจสอบ รวบรวมพยานหลักฐาน และยื่นคําร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคําสั่งปิดหรือลบข้อมูลในเว็บไซต์ผิดกฎหมายไปแล้ว จํานวน 7,164 ยูอาร์แอล (ขัอมูล ณ วันที่ 23 ก.ค.2563) จากจํานวนที่กระทรวงฯ ได้รับแจ้งทั้งสิ้น 8,715 ยูอาร์แอล และมีการส่งศาล 7,164 ยูอาร์แอล
สําหรับการกระทําผิดส่วนใหญ่ที่ได้รับข้อมูลจากการแจ้งข้อมูลเข้ามา พบว่าส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ และมีช่องทางอื่นๆ บ้าง ทั้งนี้ ดีอีเอส ได้ดําเนินการส่งข้อมูลให้กับบก.ปอท. จํานวน 7,164 ยูอาร์แอล พร้อมพยาน หลักฐาน และคําสั่งศาล เพื่อดําเนินการหาตัวผู้กระทําความผิดตามกฎหมายต่อไป
“ผมในฐานะ รมว.ดิจิทัลฯ ขอขอบคุณหน่วยงานต่างๆ ที่ได้ดําเนินการร่วมกัน โดยมีขั้นตอน เริ่มจากรับแจ้งเว็บไซต์จากประชาชน พร้อมทั้งตรวจสอบ รวบรวมหลักฐานพยานที่ครบถ้วน และมีขั้นตอนของการยื่นคําร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคําสั่งให้ปิดหรือลบข้อมูลต่อไป จากนั้นขั้นตอนสําคัญคือ หากได้คําสั่งศาลก็จะมีการส่งให้กับผู้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) และส่งคําสั่งศาลให้กับผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ (เฟซบุ๊ก /ยูทูบ /ทวิตเตอร์) เพื่อดําเนินการปิดหรือลบข้อมูลที่ผิดกฎหมายต่อไป โดยจะมีการแต่งตั้งคณะทํางานร่วมกับไอเอสพี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นับเป็นการทํางานเชิงรุกเพื่อให้ปัญหาการกระทําความผิดทางคอมพิวเตอร์ลดลง” นายพุทธิพงษ์กล่าว
พร้อมกันนี้ กระทรวงดิจิทัลฯ เห็นความสําคัญว่าต้องขอความช่วยเหลือจากประชาชน เพื่อร่วมช่วยกันสอดส่องดูแลเว็บไซต์ไม่เหมาะสม ที่มีการกระทําผิดกฎหมายทางออนไลน์ หรือผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ ล่าสุดจึงได้เปิดเพจเฟซบุ๊ก “อาสา จับตา ออนไลน์” เพื่อเป็นช่องทางรับแจ้งข้อมูลจากประชาชน โดยมีเจ้าหน้าที่รับเรื่องและตรวจสอบตลอด 24 ชม. และพิจารณาตามข้อกฎหมายและตอบกลับ และอีกช่องทางหนึ่งคือ หมายเลขโทรศัพท์ 02-141 6747
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายที่ให้ความสําคัญกับเกี่ยวกับเรื่องการกระทําความผิดทางคอมพิวเตอร์ หรือทางออนไลน์ คือ “พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560” ซึ่งมีบทบัญญัติที่มีการกําหนดความผิดและกําหนดโทษทางอาญา สําหรับการเผยแพร่ หรือสร้างข่าวปลอมในรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะในมาตรา 14 มาตร 15 และมาตรา 16 ที่บัญญัติถึงการนําเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ดังต่อไปนี้
มาตรา 14 ผู้ใดกระทําความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ (1) โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชน อันมิใช่การกระทําความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา (2) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิด ความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคง ในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิด ความตื่นตระหนกแก่ประชาชน (3) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง แห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา (4) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูล คอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ (5) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4) ถ้าการกระทําความผิดตามวรรคหนึ่ง (1) มิได้กระทําต่อประชาชน แต่เป็นการกระทําต่อบุคคลใด บุคคลหนึ่ง ผู้กระทํา ผู้เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้เป็นความผิดอันยอมความได้ มาตรา 15 ผู้ให้บริการผู้ใดให้ความร่วมมือ ยินยอม หรือรู้เห็นเป็นใจให้มีการกระทําความผิด ตามมาตรา 14 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทําความผิด ตามมาตรา 14
มาตรา 16 ผู้ใดนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ถ้าการกระทําตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทําต่อภาพของผู้ตาย และการกระทํานั้นน่าจะทําให้บิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
โดยที่ผ่านมา ได้มีการใช้มาตรา 14 และมาตรา 15 และมาตรา 16 จัดการกับปัญหา ผู้กระทําความผิดทางคอมพิวเตอร์ มาแล้วหลายคดี เช่น การกดแชร์ข้อมูลที่มีเนื้อหาเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ การตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีเจตนาทําให้ผู้อื่นนั้นเสียหายก็มีความผิดเช่นเดียวกัน แต่ก็มีข้อสังเกตบางประการว่ากฎหมายไทยก็ยังไม่ได้ให้อํานาจเจ้าหน้าที่ในการลบหรือสั่งให้ลบ หรือจัดการกับข้อมูลอันเป็นเท็จนั้นๆ เหมือนกฎหมายในต่างประเทศ
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ความผิดใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ตามมาตรา 14 และ 15 กับความผิดในประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยความผิดลักษณะหมิ่นประมาท มีความคล้ายคลึงกัน แต่ก็บังคับใช้กับกรณีที่ต่างกัน โดยความผิดใน พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ จะครอบคลุมถึงเพียงการใช้ข้อมูลอันเป็นเท็จในการก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชน ไม่รวมไปถึงข้อมูลที่เป็นจริง แต่มีลักษณะเป็นการให้ร้ายบุคคลอื่นแต่อย่างใด ในขณะที่ความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้นจะรวมถึงการใช้ข้อมูลที่เป็นความจริงและเท็จอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น
และที่สําคัญเมื่อส่งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ตามมาตรา 27 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของศาลหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่สั่งตามมาตรา 18 หรือมาตรา 20 หรือไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของศาลตามมาตรา 21 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาทและปรับเป็นรายวันอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง
“รัฐบาลมีความมุ่งมั่น และความพยายามที่จะจัดการกับปัญหาการกระทําความผิดทางคอมพิวเตอร์ในทุกรูปแบบ แม้กระทั่งเรื่องของข่าวปลอมโดยใช้เครื่องมือทางกฎหมายตามที่ได้กล่าวไปแล้ว เพื่อธํารงไว้ซึ่งประโยชน์ของประชาชนทุกคน โดยเราจะมุ่งเน้นไปยังข่าวปลอม เฉพาะที่สร้างความตื่นตระหนกและความเสียหายกับประชาชนในวงกว้าง แต่จะไม่เข้าไปจัดการกับข่าวที่เพียงกระทบต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง” นายพุทธิพงษ์กล่าว
ทั้งนี้ รมว.ดิจิทัลฯ ยังกล่าวฝากข้อห่วงใยเรื่องที่ห้ามทํา ผิดกฎหมาย พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ ได้แก่ 1. เข้าถึงระบบ หรือข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ชอบ 2. แก้ไข ดัดแปลง หรือทําให้ข้อมูลผู้อื่นเสียหาย 3. ส่งข้อมูลหรืออีเมล์ก่อกวนผู้อื่น หรือส่งอีเมล์สแปม 4. เข้าถึงระบบ หรือข้อมูลทางด้านความมั่นคงโดยมิชอบ 5. จําหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคําสั่งเพื่อนําไปใช้กระทําความผิด 6. ข้อมูลที่ผิด พ.ร.บ. เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ 7. ให้ความร่วมมือ ยินยอม รู้เห็นเป็นใจกับผู้ร่วมกระทําความผิด 8. ตัดต่อเติม หรือดัดแปลงภาพ 9. เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับเยาวชน ต้องกระทําโดยปกปิดไม่ให้ทราบตัวตน 10. เผยแพร่เนื้อหาลามก อนาจาร 11. กด Like & Share ถือเป็นวิธีหนึ่งในการเผยแพร่ข้อมูล 12. แสดงความคิดเห็นที่ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และ 13. ละเมิดลิขสิทธิ์ นําผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง
*****************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ผนึก กสทช.-ไอเอสพี สั่งลุยเว็บผิด กม. เปิดช่องทางให้ ปชช. แจ้งเบาะแส
วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2563
ดีอีเอส ผนึก กสทช.-ไอเอสพี สั่งลุยเว็บผิด กม. เปิดช่องทางให้ ปชช. แจ้งเบาะแส
ดีอีเอส ผนึก กสทช.-ไอเอสพี สั่งลุยเว็บผิด กม. เปิดช่องทางให้ ปชช. แจ้งเบาะแส
กระทรวงดิจิทัลฯ แถลงผลการดําเนินงานร่วมกับ กสทช. และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) ทํางานเชิงรุกเดินหน้านโยบายเพื่อความมั่นคงปลอดภัยทางออนไลน์ เปิดเพจ “อาสา จับตา ออนไลน์” และสายด่วน 02-141 6747 รับแจ้งข้อมูลเว็บไซต์ผิดกฎหมายจากประชาชน เผยรอบ 7 เดือนแรกปีนี้ ลุยปิดเว็บตามคําสั่งศาลไปแล้ว 7,164 ยูอาร์แอล
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า วันนี้ (30 กรกฎาคม 2563) เป็นการแถลงผลการดําเนินงานร่วมกันระหว่างกระทรวงดิจิทัลฯ สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) ถึงมาตรการเชิงรุกเกี่ยวกับเรื่อง “การกระทําความผิดทางออนไลน์ ที่ดําเนินการตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม” โดยในรอบ 7 เดือนแรกของปี 2563 กระทรวงดิจิทัลฯ ได้มีการทํางานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (สตช.) และประสานงานร่วมกับไอเอสพี จนนําไปสู่กระบวนการตรวจสอบ รวบรวมพยานหลักฐาน และยื่นคําร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคําสั่งปิดหรือลบข้อมูลในเว็บไซต์ผิดกฎหมายไปแล้ว จํานวน 7,164 ยูอาร์แอล (ขัอมูล ณ วันที่ 23 ก.ค.2563) จากจํานวนที่กระทรวงฯ ได้รับแจ้งทั้งสิ้น 8,715 ยูอาร์แอล และมีการส่งศาล 7,164 ยูอาร์แอล
สําหรับการกระทําผิดส่วนใหญ่ที่ได้รับข้อมูลจากการแจ้งข้อมูลเข้ามา พบว่าส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ และมีช่องทางอื่นๆ บ้าง ทั้งนี้ ดีอีเอส ได้ดําเนินการส่งข้อมูลให้กับบก.ปอท. จํานวน 7,164 ยูอาร์แอล พร้อมพยาน หลักฐาน และคําสั่งศาล เพื่อดําเนินการหาตัวผู้กระทําความผิดตามกฎหมายต่อไป
“ผมในฐานะ รมว.ดิจิทัลฯ ขอขอบคุณหน่วยงานต่างๆ ที่ได้ดําเนินการร่วมกัน โดยมีขั้นตอน เริ่มจากรับแจ้งเว็บไซต์จากประชาชน พร้อมทั้งตรวจสอบ รวบรวมหลักฐานพยานที่ครบถ้วน และมีขั้นตอนของการยื่นคําร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคําสั่งให้ปิดหรือลบข้อมูลต่อไป จากนั้นขั้นตอนสําคัญคือ หากได้คําสั่งศาลก็จะมีการส่งให้กับผู้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) และส่งคําสั่งศาลให้กับผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ (เฟซบุ๊ก /ยูทูบ /ทวิตเตอร์) เพื่อดําเนินการปิดหรือลบข้อมูลที่ผิดกฎหมายต่อไป โดยจะมีการแต่งตั้งคณะทํางานร่วมกับไอเอสพี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นับเป็นการทํางานเชิงรุกเพื่อให้ปัญหาการกระทําความผิดทางคอมพิวเตอร์ลดลง” นายพุทธิพงษ์กล่าว
พร้อมกันนี้ กระทรวงดิจิทัลฯ เห็นความสําคัญว่าต้องขอความช่วยเหลือจากประชาชน เพื่อร่วมช่วยกันสอดส่องดูแลเว็บไซต์ไม่เหมาะสม ที่มีการกระทําผิดกฎหมายทางออนไลน์ หรือผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ ล่าสุดจึงได้เปิดเพจเฟซบุ๊ก “อาสา จับตา ออนไลน์” เพื่อเป็นช่องทางรับแจ้งข้อมูลจากประชาชน โดยมีเจ้าหน้าที่รับเรื่องและตรวจสอบตลอด 24 ชม. และพิจารณาตามข้อกฎหมายและตอบกลับ และอีกช่องทางหนึ่งคือ หมายเลขโทรศัพท์ 02-141 6747
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายที่ให้ความสําคัญกับเกี่ยวกับเรื่องการกระทําความผิดทางคอมพิวเตอร์ หรือทางออนไลน์ คือ “พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560” ซึ่งมีบทบัญญัติที่มีการกําหนดความผิดและกําหนดโทษทางอาญา สําหรับการเผยแพร่ หรือสร้างข่าวปลอมในรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะในมาตรา 14 มาตร 15 และมาตรา 16 ที่บัญญัติถึงการนําเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ดังต่อไปนี้
มาตรา 14 ผู้ใดกระทําความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ (1) โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชน อันมิใช่การกระทําความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา (2) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิด ความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคง ในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิด ความตื่นตระหนกแก่ประชาชน (3) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง แห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา (4) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูล คอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ (5) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4) ถ้าการกระทําความผิดตามวรรคหนึ่ง (1) มิได้กระทําต่อประชาชน แต่เป็นการกระทําต่อบุคคลใด บุคคลหนึ่ง ผู้กระทํา ผู้เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้เป็นความผิดอันยอมความได้ มาตรา 15 ผู้ให้บริการผู้ใดให้ความร่วมมือ ยินยอม หรือรู้เห็นเป็นใจให้มีการกระทําความผิด ตามมาตรา 14 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทําความผิด ตามมาตรา 14
มาตรา 16 ผู้ใดนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ถ้าการกระทําตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทําต่อภาพของผู้ตาย และการกระทํานั้นน่าจะทําให้บิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
โดยที่ผ่านมา ได้มีการใช้มาตรา 14 และมาตรา 15 และมาตรา 16 จัดการกับปัญหา ผู้กระทําความผิดทางคอมพิวเตอร์ มาแล้วหลายคดี เช่น การกดแชร์ข้อมูลที่มีเนื้อหาเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ การตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีเจตนาทําให้ผู้อื่นนั้นเสียหายก็มีความผิดเช่นเดียวกัน แต่ก็มีข้อสังเกตบางประการว่ากฎหมายไทยก็ยังไม่ได้ให้อํานาจเจ้าหน้าที่ในการลบหรือสั่งให้ลบ หรือจัดการกับข้อมูลอันเป็นเท็จนั้นๆ เหมือนกฎหมายในต่างประเทศ
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ความผิดใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ตามมาตรา 14 และ 15 กับความผิดในประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยความผิดลักษณะหมิ่นประมาท มีความคล้ายคลึงกัน แต่ก็บังคับใช้กับกรณีที่ต่างกัน โดยความผิดใน พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ จะครอบคลุมถึงเพียงการใช้ข้อมูลอันเป็นเท็จในการก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชน ไม่รวมไปถึงข้อมูลที่เป็นจริง แต่มีลักษณะเป็นการให้ร้ายบุคคลอื่นแต่อย่างใด ในขณะที่ความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้นจะรวมถึงการใช้ข้อมูลที่เป็นความจริงและเท็จอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น
และที่สําคัญเมื่อส่งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ตามมาตรา 27 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของศาลหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่สั่งตามมาตรา 18 หรือมาตรา 20 หรือไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของศาลตามมาตรา 21 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาทและปรับเป็นรายวันอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง
“รัฐบาลมีความมุ่งมั่น และความพยายามที่จะจัดการกับปัญหาการกระทําความผิดทางคอมพิวเตอร์ในทุกรูปแบบ แม้กระทั่งเรื่องของข่าวปลอมโดยใช้เครื่องมือทางกฎหมายตามที่ได้กล่าวไปแล้ว เพื่อธํารงไว้ซึ่งประโยชน์ของประชาชนทุกคน โดยเราจะมุ่งเน้นไปยังข่าวปลอม เฉพาะที่สร้างความตื่นตระหนกและความเสียหายกับประชาชนในวงกว้าง แต่จะไม่เข้าไปจัดการกับข่าวที่เพียงกระทบต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง” นายพุทธิพงษ์กล่าว
ทั้งนี้ รมว.ดิจิทัลฯ ยังกล่าวฝากข้อห่วงใยเรื่องที่ห้ามทํา ผิดกฎหมาย พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ ได้แก่ 1. เข้าถึงระบบ หรือข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ชอบ 2. แก้ไข ดัดแปลง หรือทําให้ข้อมูลผู้อื่นเสียหาย 3. ส่งข้อมูลหรืออีเมล์ก่อกวนผู้อื่น หรือส่งอีเมล์สแปม 4. เข้าถึงระบบ หรือข้อมูลทางด้านความมั่นคงโดยมิชอบ 5. จําหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคําสั่งเพื่อนําไปใช้กระทําความผิด 6. ข้อมูลที่ผิด พ.ร.บ. เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ 7. ให้ความร่วมมือ ยินยอม รู้เห็นเป็นใจกับผู้ร่วมกระทําความผิด 8. ตัดต่อเติม หรือดัดแปลงภาพ 9. เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับเยาวชน ต้องกระทําโดยปกปิดไม่ให้ทราบตัวตน 10. เผยแพร่เนื้อหาลามก อนาจาร 11. กด Like & Share ถือเป็นวิธีหนึ่งในการเผยแพร่ข้อมูล 12. แสดงความคิดเห็นที่ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และ 13. ละเมิดลิขสิทธิ์ นําผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง
*****************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33826
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความร่วมมือ(MOU) โครงการสนับสนุนการเชื่อมโยงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์
|
วันพุธที่ 10 ตุลาคม 2561
ความร่วมมือ(MOU) โครงการสนับสนุนการเชื่อมโยงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์
นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU)โครงการสนับสนุนการเชื่อมโยงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานภาครัฐตามมาตรฐาน TH e – GIF(Thailand Electronic Government Interoperability Framework )
นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU)โครงการสนับสนุนการเชื่อมโยงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานภาครัฐตามมาตรฐาน TH e – GIF(Thailand Electronic Government Interoperability Framework )กับ ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ผู้อํานวยการสํานักพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เพื่อเชื่อมโยงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ของสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เข้ากับระบบสารบรรณกลางของหน่วยงานภาครัฐ
(e – CMS 2.0)
ปลัดกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า การลงนามความร่วมมือโครงการสนับสนุนการเชื่อมโยงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานภาครัฐตามมาตรฐาน TH e – GIF เป็นสิ่งที่สําคัญ เพราะจะสามารถเชื่อมโยงการทํางานของระบบสารบรรณกลางของหน่วยงานภาครัฐ รองรับการแลกเปลี่ยนหนังสือราชการระหว่างหน่วยงานภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ซึ่งสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการมีความมุ่งหวังในการปรับปรุงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานให้มีผลสัมฤทธิ์ตามมาตรฐาน TH e-GIF และขยายผลการเชื่อมโยงให้ครอบคลุมถึงหน่วยงานภายใต้การกํากับดูแลของสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ต่อไป
กลุ่มสารนิเทศ สอ.สป.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความร่วมมือ(MOU) โครงการสนับสนุนการเชื่อมโยงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์
วันพุธที่ 10 ตุลาคม 2561
ความร่วมมือ(MOU) โครงการสนับสนุนการเชื่อมโยงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์
นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU)โครงการสนับสนุนการเชื่อมโยงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานภาครัฐตามมาตรฐาน TH e – GIF(Thailand Electronic Government Interoperability Framework )
นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU)โครงการสนับสนุนการเชื่อมโยงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานภาครัฐตามมาตรฐาน TH e – GIF(Thailand Electronic Government Interoperability Framework )กับ ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ผู้อํานวยการสํานักพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เพื่อเชื่อมโยงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ของสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เข้ากับระบบสารบรรณกลางของหน่วยงานภาครัฐ
(e – CMS 2.0)
ปลัดกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า การลงนามความร่วมมือโครงการสนับสนุนการเชื่อมโยงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานภาครัฐตามมาตรฐาน TH e – GIF เป็นสิ่งที่สําคัญ เพราะจะสามารถเชื่อมโยงการทํางานของระบบสารบรรณกลางของหน่วยงานภาครัฐ รองรับการแลกเปลี่ยนหนังสือราชการระหว่างหน่วยงานภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ซึ่งสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการมีความมุ่งหวังในการปรับปรุงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานให้มีผลสัมฤทธิ์ตามมาตรฐาน TH e-GIF และขยายผลการเชื่อมโยงให้ครอบคลุมถึงหน่วยงานภายใต้การกํากับดูแลของสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ต่อไป
กลุ่มสารนิเทศ สอ.สป.
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15990
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพสามิตจับสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิตในเขตพื้นที่พังงา และผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 10 - 16 มกราคม 2563 พบการกระทำผิด จำนวน 877
|
วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563
สรรพสามิตจับสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิตในเขตพื้นที่พังงา และผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 10 - 16 มกราคม 2563 พบการกระทําผิด จํานวน 877
กรมสรรพสามิตดําเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต
สรรพสามิตจับสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิตในเขตพื้นที่พังงา และผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 10 - 16 มกราคม 2563 พบการกระทําผิด จํานวน 877 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 11.84 ล้านบาท
กรมสรรพสามิตดําเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต
นายวิวัฒน์ เขาสกุล รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
จากผลการตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําผิดตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2563 ภายใต้การนําของนายกฤติพงษ์ เวชนุเคราะห์ สรรพสามิตพื้นที่พังงา ทําการจับกุมในคดีตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 มาตรา 204(1) ในข้อหามีไว้เพื่อขายซึ่งสินค้าที่เป็นสินค้าที่มิได้เสียภาษี (ยาสูบ) ณ บ้านเลขที่ 18 และ 18/1 หมู่ที่ 7 ตําบลโคกกลอย อําเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ของกลางเป็นยาสูบชนิดบุหรี่ซิกาแรต ตรา Blue Range ชนิดซอง สีเขียวและซองสีแดง จํานวนของกลาง 74,327 ซอง ขนาดบรรจุซองละ 20 มวน รวมมูลค่าสินค้าทั้งสิ้น 5,946,160 บาท คิดเป็นค่าภาษีสรรพสามิต ทั้งสิ้นเป็นเงิน 4,162,312 บาท ประมาณการค่าปรับ 62,434,680 บาท และได้ดําเนินการส่งพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรตําบลโคกกลอย อําเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา ดําเนินคดีต่อไป
สําหรับผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2563 (ระหว่างวันที่ 10 - 16 มกราคม 2563) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 877 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 11.84 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 547 คดี ค่าปรับ 4.84 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 257 คดี ค่าปรับ 5.43 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 19 คดี ค่าปรับ 0.23 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 34 คดี ค่าปรับ 0.37 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 2 คดี ค่าปรับ 0.02 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 8 คดี ค่าปรับ จํานวน 0.45 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 10 คดี ค่าปรับ 0.50 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 2,998.175 ลิตร ยาสูบ จํานวน 82,576 ซอง ไพ่ จํานวน 1,033 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 70,455.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 460 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 12 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 – 16 มกราคม 2563 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 10,700 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 166.13 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 5,875 คดี ค่าปรับ 52.97 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 3,337 คดี ค่าปรับ 78.94 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 195 คดี ค่าปรับ 1.98 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 437 คดี ค่าปรับ 7.86 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 23 คดี ค่าปรับ 0.73 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 647 คดี ค่าปรับ จํานวน 11.94 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 186 คดี ค่าปรับ 11.71 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 120,851.021 ลิตร ยาสูบ จํานวน 196,805 ซอง ไพ่ จํานวน 15,326 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 541,313.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 5,694 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 731 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพสามิตจับสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิตในเขตพื้นที่พังงา และผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 10 - 16 มกราคม 2563 พบการกระทำผิด จำนวน 877
วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563
สรรพสามิตจับสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิตในเขตพื้นที่พังงา และผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 10 - 16 มกราคม 2563 พบการกระทําผิด จํานวน 877
กรมสรรพสามิตดําเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต
สรรพสามิตจับสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิตในเขตพื้นที่พังงา และผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 10 - 16 มกราคม 2563 พบการกระทําผิด จํานวน 877 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 11.84 ล้านบาท
กรมสรรพสามิตดําเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต
นายวิวัฒน์ เขาสกุล รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
จากผลการตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําผิดตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2563 ภายใต้การนําของนายกฤติพงษ์ เวชนุเคราะห์ สรรพสามิตพื้นที่พังงา ทําการจับกุมในคดีตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 มาตรา 204(1) ในข้อหามีไว้เพื่อขายซึ่งสินค้าที่เป็นสินค้าที่มิได้เสียภาษี (ยาสูบ) ณ บ้านเลขที่ 18 และ 18/1 หมู่ที่ 7 ตําบลโคกกลอย อําเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ของกลางเป็นยาสูบชนิดบุหรี่ซิกาแรต ตรา Blue Range ชนิดซอง สีเขียวและซองสีแดง จํานวนของกลาง 74,327 ซอง ขนาดบรรจุซองละ 20 มวน รวมมูลค่าสินค้าทั้งสิ้น 5,946,160 บาท คิดเป็นค่าภาษีสรรพสามิต ทั้งสิ้นเป็นเงิน 4,162,312 บาท ประมาณการค่าปรับ 62,434,680 บาท และได้ดําเนินการส่งพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรตําบลโคกกลอย อําเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา ดําเนินคดีต่อไป
สําหรับผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2563 (ระหว่างวันที่ 10 - 16 มกราคม 2563) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 877 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 11.84 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 547 คดี ค่าปรับ 4.84 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 257 คดี ค่าปรับ 5.43 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 19 คดี ค่าปรับ 0.23 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 34 คดี ค่าปรับ 0.37 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 2 คดี ค่าปรับ 0.02 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 8 คดี ค่าปรับ จํานวน 0.45 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 10 คดี ค่าปรับ 0.50 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 2,998.175 ลิตร ยาสูบ จํานวน 82,576 ซอง ไพ่ จํานวน 1,033 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 70,455.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 460 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 12 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 – 16 มกราคม 2563 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 10,700 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 166.13 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 5,875 คดี ค่าปรับ 52.97 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 3,337 คดี ค่าปรับ 78.94 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 195 คดี ค่าปรับ 1.98 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 437 คดี ค่าปรับ 7.86 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 23 คดี ค่าปรับ 0.73 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 647 คดี ค่าปรับ จํานวน 11.94 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 186 คดี ค่าปรับ 11.71 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 120,851.021 ลิตร ยาสูบ จํานวน 196,805 ซอง ไพ่ จํานวน 15,326 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 541,313.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 5,694 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 731 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25880
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแนะให้ขยายการดำเนินการจัดการขยะที่รักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชน ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ให้เกิดเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน
|
วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2560
นายกรัฐมนตรีแนะให้ขยายการดําเนินการจัดการขยะที่รักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชน ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ให้เกิดเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีรับฟังบรรยายสรุปการบริหารจัดการการกําจัดขยะในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อเป็นโครงการนําร่องการพัฒนารูปแบบของการดําเนินการจัดการขยะ
ที่รักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชน
วันนี้ (7 ส.ค. 60) เวลา 09.20 น.ณศูนย์การเรียนรู้บริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดพระนครศรีอยุธยาพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีรับฟังบรรยายสรุปการบริหารจัดการการกําจัดขยะในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อเป็นโครงการนําร่องการพัฒนารูปแบบของการดําเนินการจัดการขยะที่รักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชน โดยใช้พื้นที่ราชพัสดุ จํานวน 372 ไร่ 2 งาน 29 ตารางวา ใช้งบประมาณในการดําเนินงานของกระทรวงมหาดไทย จํานวน 368 ล้านบาท ก่อสร้างระบบฝังกลบขยะมูลฝอยอย่างถูกหลักวิชาการและขนย้ายขยะสะสม จํานวน 2 แสนตัน
กระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ปรึกษาการแปรรูปขยะมูลฝอยเป็นพลังงานตามโครงการก่อสร้างระบบกําจัดขยะมูลฝอย ด้วยเทคโนโลยีผลิตขยะเป็นเชื้อเพลิงและก่อสร้างระบบผลิตไฟฟ้าจากการกําจัดขยะด้วยเทคโนโลยีการเผา กําลังการผลิตไฟฟ้า ขนาด 3.8 เมกกะวัตต์ สําหรับแนวทางการบริหารจัดการขยะมูลฝอยแบบครบวงจรของจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีดังนี้การกําจัดขยะต้นทางได้แก่ 1. การสร้างจิตสํานึกและวินัยในการจัดการขยะมูลฝอยให้แก่นักเรียนและเยาวชนให้สถานศึกษาปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม 2. การรณรงค์ประชาสัมพันธ์และฝึกอบรมให้ความรู้ สร้างความตระหนักและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการลดคัดแยกขยะมูลฝอยที่ต้นทาง โดยใช้หลัก 3Rลดการใช้ และคัดแยกของเสียอันตรายจากชุมชนการจัดการขยะกลางทางได้แก่ 1. การส่งเสริมการนํากลับไปใช้ประโยชน์ เช่น การทําน้ําหมักชีวภาค 2. การคัดแยกและเก็บขนขยะแต่ละประเภทนําไปกําจัดอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการการกําจัดขยะมูลฝอยปลายทางได้แก่ 1. กําจัดขยะมูลฝอยอย่างครบวงจร มีประสิทธิภาพเกิดประโยชน์สูงสุด โดยการแปรรูปขยะมูลฝอยเป็นเชื้อเพลิงและผลิตพลังงาน 2. เป็นศูนย์รวบรวมของเสียอันตรายจากชุมชน 3. ติดตามตรวจสอบและเฝ้าระวังคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขอนามัยของประชาชนและสิ่งแวดล้อม
สําหรับการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มุ่งมั่นบริหารจัดการและพัฒนาพื้นที่มุ่งสู่คุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี เป็นศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบของประเทศ สร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ควบคู่กับอยุธยาเมืองมรดกโลกเป็นสวนป่ากลางเมือง ใช้สอยประโยชน์ร่วมกัน เป็นสวนป่าประชารัฐเพื่อความสุขของคนไทยใช้พักผ่อนหย่อนใจและออกกําลังกาย โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็นบ่อฝังกลบขยะมูลฝอย จํานวน 132 ไร่ พื้นที่ปลูกป่า 80 ไร่ โรงไฟฟ้า 73ไร่ และบ่อบําบัดน้ําเสีย เก็บกักน้ําจํานวน 10 ไร่
ภายหลังรับฟังบรรยายสรุปนายกรัฐมนตรีกล่าวตอนหนึ่งว่า การบริหารจัดการขยะจะต้องมีการจัดทําแผนแม่บทบริหารจัดการขยะทั้งประเทศ ซึ่งวันนี้ถือเป็นสิ่งที่ดีที่ได้มีการนําร่องรูปแบบการดําเนินการจัดการขยะที่รักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชน ต้องขยายการดําเนินการออกไปให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคและทุกพื้นที่เพื่อสร้างแผนบริหารจัดการจัดขยะ ให้เกิดเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ทุกภาคส่วน ภาครัฐ เอกชน และประชาชนต้องร่วมมือกันจึงจะประสบความสําเร็จ รวมถึงภาครัฐต้องสร้างแรงจูงใจให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการขยะ โดยออกมาตรการจูงใจต่าง ๆเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันปัญหาขยะถือเป็นปัญหาที่สําคัญของประเทศ ต้องแก้ไขปัญหาให้สอดคล้องกับพื้นที่ โดยเฉพาะขยะอุตสาหกรรมต้องมีวิธีการบริหารจัดการที่เหมาะสม รวมถึงปัญหาขยะในครัวเรือนจะต้องแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นทาง คือการคัดแยกขยะ พร้อมกับสร้างจิตสํานึก สร้างการรับรู้ ปลูกฝังตั้งแต่เด็กให้เกิดความเคยชินในการคัดแยกขยะ และนําขยะที่คัดแยกไปรีไซลเคิลในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อไป
...............................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแนะให้ขยายการดำเนินการจัดการขยะที่รักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชน ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ให้เกิดเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน
วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2560
นายกรัฐมนตรีแนะให้ขยายการดําเนินการจัดการขยะที่รักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชน ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ให้เกิดเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีรับฟังบรรยายสรุปการบริหารจัดการการกําจัดขยะในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อเป็นโครงการนําร่องการพัฒนารูปแบบของการดําเนินการจัดการขยะ
ที่รักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชน
วันนี้ (7 ส.ค. 60) เวลา 09.20 น.ณศูนย์การเรียนรู้บริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดพระนครศรีอยุธยาพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีรับฟังบรรยายสรุปการบริหารจัดการการกําจัดขยะในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อเป็นโครงการนําร่องการพัฒนารูปแบบของการดําเนินการจัดการขยะที่รักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชน โดยใช้พื้นที่ราชพัสดุ จํานวน 372 ไร่ 2 งาน 29 ตารางวา ใช้งบประมาณในการดําเนินงานของกระทรวงมหาดไทย จํานวน 368 ล้านบาท ก่อสร้างระบบฝังกลบขยะมูลฝอยอย่างถูกหลักวิชาการและขนย้ายขยะสะสม จํานวน 2 แสนตัน
กระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ปรึกษาการแปรรูปขยะมูลฝอยเป็นพลังงานตามโครงการก่อสร้างระบบกําจัดขยะมูลฝอย ด้วยเทคโนโลยีผลิตขยะเป็นเชื้อเพลิงและก่อสร้างระบบผลิตไฟฟ้าจากการกําจัดขยะด้วยเทคโนโลยีการเผา กําลังการผลิตไฟฟ้า ขนาด 3.8 เมกกะวัตต์ สําหรับแนวทางการบริหารจัดการขยะมูลฝอยแบบครบวงจรของจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีดังนี้การกําจัดขยะต้นทางได้แก่ 1. การสร้างจิตสํานึกและวินัยในการจัดการขยะมูลฝอยให้แก่นักเรียนและเยาวชนให้สถานศึกษาปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม 2. การรณรงค์ประชาสัมพันธ์และฝึกอบรมให้ความรู้ สร้างความตระหนักและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการลดคัดแยกขยะมูลฝอยที่ต้นทาง โดยใช้หลัก 3Rลดการใช้ และคัดแยกของเสียอันตรายจากชุมชนการจัดการขยะกลางทางได้แก่ 1. การส่งเสริมการนํากลับไปใช้ประโยชน์ เช่น การทําน้ําหมักชีวภาค 2. การคัดแยกและเก็บขนขยะแต่ละประเภทนําไปกําจัดอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการการกําจัดขยะมูลฝอยปลายทางได้แก่ 1. กําจัดขยะมูลฝอยอย่างครบวงจร มีประสิทธิภาพเกิดประโยชน์สูงสุด โดยการแปรรูปขยะมูลฝอยเป็นเชื้อเพลิงและผลิตพลังงาน 2. เป็นศูนย์รวบรวมของเสียอันตรายจากชุมชน 3. ติดตามตรวจสอบและเฝ้าระวังคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขอนามัยของประชาชนและสิ่งแวดล้อม
สําหรับการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มุ่งมั่นบริหารจัดการและพัฒนาพื้นที่มุ่งสู่คุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี เป็นศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบของประเทศ สร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ควบคู่กับอยุธยาเมืองมรดกโลกเป็นสวนป่ากลางเมือง ใช้สอยประโยชน์ร่วมกัน เป็นสวนป่าประชารัฐเพื่อความสุขของคนไทยใช้พักผ่อนหย่อนใจและออกกําลังกาย โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็นบ่อฝังกลบขยะมูลฝอย จํานวน 132 ไร่ พื้นที่ปลูกป่า 80 ไร่ โรงไฟฟ้า 73ไร่ และบ่อบําบัดน้ําเสีย เก็บกักน้ําจํานวน 10 ไร่
ภายหลังรับฟังบรรยายสรุปนายกรัฐมนตรีกล่าวตอนหนึ่งว่า การบริหารจัดการขยะจะต้องมีการจัดทําแผนแม่บทบริหารจัดการขยะทั้งประเทศ ซึ่งวันนี้ถือเป็นสิ่งที่ดีที่ได้มีการนําร่องรูปแบบการดําเนินการจัดการขยะที่รักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชน ต้องขยายการดําเนินการออกไปให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคและทุกพื้นที่เพื่อสร้างแผนบริหารจัดการจัดขยะ ให้เกิดเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ทุกภาคส่วน ภาครัฐ เอกชน และประชาชนต้องร่วมมือกันจึงจะประสบความสําเร็จ รวมถึงภาครัฐต้องสร้างแรงจูงใจให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการขยะ โดยออกมาตรการจูงใจต่าง ๆเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันปัญหาขยะถือเป็นปัญหาที่สําคัญของประเทศ ต้องแก้ไขปัญหาให้สอดคล้องกับพื้นที่ โดยเฉพาะขยะอุตสาหกรรมต้องมีวิธีการบริหารจัดการที่เหมาะสม รวมถึงปัญหาขยะในครัวเรือนจะต้องแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นทาง คือการคัดแยกขยะ พร้อมกับสร้างจิตสํานึก สร้างการรับรู้ ปลูกฝังตั้งแต่เด็กให้เกิดความเคยชินในการคัดแยกขยะ และนําขยะที่คัดแยกไปรีไซลเคิลในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อไป
...............................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5755
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวิทย์ฯ มุ่งสานต่อนโยบาย “วิทย์สร้างคน” ส่งเสริมเยาวชนใกล้ชิดวิทยาศาสตร์
|
วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน 2561
กระทรวงวิทย์ฯ มุ่งสานต่อนโยบาย “วิทย์สร้างคน” ส่งเสริมเยาวชนใกล้ชิดวิทยาศาสตร์
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ยกขบวนนิทรรศการแหล่งเรียนรู้ วทน. อย่างยิ่งใหญ่ มาจัดแสดงในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติระดับภูมิภาค จังหวัดขอนแก่น มุ่งสร้างโอกาสในการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ตามนโยบาย “วิทย์สร้างคน"
วันที่ (11 กรกฎาคม 2561) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ยกขบวนนิทรรศการแหล่งเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างยิ่งใหญ่ มาจัดแสดงในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติระดับภูมิภาค จังหวัดขอนแก่น มุ่งสร้างโอกาสในการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ตามนโยบาย “วิทย์สร้างคน” เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่เยาวชน ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติขอนแก่น (KICE) โดยมี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานในการเปิดงาน
ดร.สุวิทย์ฯ กล่าวว่า จากการจัดงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ระดับภูมิภาค ทั้งภาคเหนือและภาคใต้ที่ผ่านมา ได้รับผลตอบรับจากผู้เข้าร่วมเป็นอย่างดี และครั้งนี้ที่จังหวัดขอนแก่น ถือเป็นการจัดงานมหกรรมวิทย์ฯ ภูมิภาค ครั้งที่ 3 ที่มุ่งสร้างต่อนโยบาย “วิทย์สร้างคน” ที่ต้องการให้เด็กๆ เยาวชน ได้เข้าใจและเห็นถึงความสําคัญในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างสร้างสรรค์ นับเป็นการเสริมสร้างแรงบันดาลใจที่ดีให้แก่เยาวชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้พัฒนาความคิด ความรู้ ความสามารถ และพร้อมเติบโตไปกับการพัฒนาประเทศให้ก้าวไปสู่ศตวรรษที่ 21 ได้อย่างเข้มแข็งต่อไป
ด้าน รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวถึง นิทรรศการและกิจกรรมที่น่าสนใจภายในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ระดับภูมิภาค จังหวัดขอนแก่น อาทิ นิทรรศการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย” และนิทรรศการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีไทยและพระบิดาแห่งนวัตกรรมไทย” นําเสนอเรื่องราวหลักการทรงงานเพื่อประโยชน์สุขของชาวไทย โดยทรงใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาประเทศ จนทําให้เกิดเป็นนวัตกรรมอย่างหลากหลาย
ด้าน ดร.สมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า จังหวัดขอนแก่นเป็นหนึ่งใน Smart city เมืองอัจฉริยะที่จะพัฒนาการบริหารจัดการเมืองได้อย่างเป็นระบบและมีความทันสมัย ซึ่งจะส่งเสริมให้จังหวัดขอนแก่นเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ต่างๆ โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้แก่เยาวชน
สําหรับงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติระดับภูมิภาค จังหวัดขอนแก่น จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 – 17 กรกฎาคม 2561 โดยนักเรียน เยาวชน และผู้ที่สนใจ สามารถเข้าร่วมงานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดทั้งสิ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวิทย์ฯ มุ่งสานต่อนโยบาย “วิทย์สร้างคน” ส่งเสริมเยาวชนใกล้ชิดวิทยาศาสตร์
วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน 2561
กระทรวงวิทย์ฯ มุ่งสานต่อนโยบาย “วิทย์สร้างคน” ส่งเสริมเยาวชนใกล้ชิดวิทยาศาสตร์
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ยกขบวนนิทรรศการแหล่งเรียนรู้ วทน. อย่างยิ่งใหญ่ มาจัดแสดงในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติระดับภูมิภาค จังหวัดขอนแก่น มุ่งสร้างโอกาสในการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ตามนโยบาย “วิทย์สร้างคน"
วันที่ (11 กรกฎาคม 2561) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ยกขบวนนิทรรศการแหล่งเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างยิ่งใหญ่ มาจัดแสดงในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติระดับภูมิภาค จังหวัดขอนแก่น มุ่งสร้างโอกาสในการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ตามนโยบาย “วิทย์สร้างคน” เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่เยาวชน ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติขอนแก่น (KICE) โดยมี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานในการเปิดงาน
ดร.สุวิทย์ฯ กล่าวว่า จากการจัดงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ระดับภูมิภาค ทั้งภาคเหนือและภาคใต้ที่ผ่านมา ได้รับผลตอบรับจากผู้เข้าร่วมเป็นอย่างดี และครั้งนี้ที่จังหวัดขอนแก่น ถือเป็นการจัดงานมหกรรมวิทย์ฯ ภูมิภาค ครั้งที่ 3 ที่มุ่งสร้างต่อนโยบาย “วิทย์สร้างคน” ที่ต้องการให้เด็กๆ เยาวชน ได้เข้าใจและเห็นถึงความสําคัญในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างสร้างสรรค์ นับเป็นการเสริมสร้างแรงบันดาลใจที่ดีให้แก่เยาวชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้พัฒนาความคิด ความรู้ ความสามารถ และพร้อมเติบโตไปกับการพัฒนาประเทศให้ก้าวไปสู่ศตวรรษที่ 21 ได้อย่างเข้มแข็งต่อไป
ด้าน รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวถึง นิทรรศการและกิจกรรมที่น่าสนใจภายในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ระดับภูมิภาค จังหวัดขอนแก่น อาทิ นิทรรศการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย” และนิทรรศการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีไทยและพระบิดาแห่งนวัตกรรมไทย” นําเสนอเรื่องราวหลักการทรงงานเพื่อประโยชน์สุขของชาวไทย โดยทรงใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาประเทศ จนทําให้เกิดเป็นนวัตกรรมอย่างหลากหลาย
ด้าน ดร.สมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า จังหวัดขอนแก่นเป็นหนึ่งใน Smart city เมืองอัจฉริยะที่จะพัฒนาการบริหารจัดการเมืองได้อย่างเป็นระบบและมีความทันสมัย ซึ่งจะส่งเสริมให้จังหวัดขอนแก่นเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ต่างๆ โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้แก่เยาวชน
สําหรับงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติระดับภูมิภาค จังหวัดขอนแก่น จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 – 17 กรกฎาคม 2561 โดยนักเรียน เยาวชน และผู้ที่สนใจ สามารถเข้าร่วมงานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดทั้งสิ้น
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15703
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน หารือมาตรการช่วยเหลือลูกจ้างร่วมกับสมาคมโรงแรมไทย [กระทรวงแรงงาน]
|
วันพุธที่ 25 มีนาคม 2563
ก.แรงงาน หารือมาตรการช่วยเหลือลูกจ้างร่วมกับสมาคมโรงแรมไทย [กระทรวงแรงงาน]
ก.แรงงาน หารือมาตรการช่วยเหลือลูกจ้างร่วมกับสมาคมโรงแรมไทย
วันที่ 25 มีนาคม 2563 เวลา 15.30 น. ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับสมาคมโรงแรมไทย เกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือสําหรับโรงแรมที่ไม่สามารถดําเนินกิจการต่อไปและมีความจําเป็นที่ต้องปิดกิจการชั่วคราว อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของCOVID-19ณ ห้องประชุมแสงสิงแก้ว ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน หารือมาตรการช่วยเหลือลูกจ้างร่วมกับสมาคมโรงแรมไทย [กระทรวงแรงงาน]
วันพุธที่ 25 มีนาคม 2563
ก.แรงงาน หารือมาตรการช่วยเหลือลูกจ้างร่วมกับสมาคมโรงแรมไทย [กระทรวงแรงงาน]
ก.แรงงาน หารือมาตรการช่วยเหลือลูกจ้างร่วมกับสมาคมโรงแรมไทย
วันที่ 25 มีนาคม 2563 เวลา 15.30 น. ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับสมาคมโรงแรมไทย เกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือสําหรับโรงแรมที่ไม่สามารถดําเนินกิจการต่อไปและมีความจําเป็นที่ต้องปิดกิจการชั่วคราว อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของCOVID-19ณ ห้องประชุมแสงสิงแก้ว ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27853
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ม.ล.ปริยดา ดิศกุล" เป็นประธานปฐมนิเทศครูอาสาสมัครจีน รุ่นที่ 16 ประจำปี 2560
|
วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560
"ม.ล.ปริยดา ดิศกุล" เป็นประธานปฐมนิเทศครูอาสาสมัครจีน รุ่นที่ 16 ประจําปี 2560
ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมต้อนรับและปฐมนิเทศครูอาสาสมัครจีน รุ่นที่ 16 ปีการศึกษา 2560 จํานวน 553 คน
ที่เดินทางมาเพื่อเผยแพร่ประสบการณ์และองค์ความรู้ด้านวัฒนธรรมของจีนให้กับนักเรียนไทย โดยDr. Zhou Gaoyu (โจว เกายู่)เลขานุการเอกฝ่ายการศึกษา พร้อมด้วย Mr. Zhou Guangxu (โจว กวางยู่) กงสุลประจําสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทย Mr. Zhang Lizhi (จาง ลี่จื๊อ) ผู้ประสานงานโครงการครูอาสาสมัครจีนสํานักงาน HANBANประจําประเทศไทยและครูอาสาสมัครจีน รวมทั้งผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมกว่า600คน
ม.ล.ปริยดา ดิศกุลกล่าวในพิธีเปิดว่ามีความยินดีมากที่มีโอกาสมาร่วมงานต้อนรับและปฐมนิเทศครูอาสาสมัครจีนในวันนี้ซึ่งเป็นวันที่มีเหตุการณ์พิเศษที่ครูอาสาสมัครจํานวน 553 คน เดินทางมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน มาพร้อมความตั้งใจที่แน่วแน่ในการมาสอนภาษาจีน ตลอดจนเผยแพร่ประสบการณ์และองค์ความรู้ด้านวัฒนธรรมจีนให้กับนักเรียนไทย
การเดินทางมาของทุกท่านครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่จะทําให้นักเรียนไทยในทุกภูมิภาคได้เรียนรู้ภาษาจีนกับครูเจ้าของภาษาโดยตรงที่ผ่านการอบรมทั้งด้านการสอนและการปฏิบัติตนในประเทศไทยมาเป็นอย่างดี ซึ่งจะเป็นต้นแบบที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเรียนไทยจํานวนมากที่ต้องการศึกษาต่อด้านภาษาจีนทั้งในประเทศไทย และในประเทศจีน หรือนําเอาภาษาจีนไปประกอบอาชีพในอนาคต
คุณครูทุกท่านนับว่าเป็นบุคคลสําคัญในการส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีนของประเทศไทย เป็นกําลังสําคัญที่ทําให้การเรียนการสอนภาษาจีนเป็นที่นิยมมากที่สุดในบรรดาภาษาต่างประเทศภาษาที่สองครูอาสาสมัครที่ทํางานอย่างเข้มแข็งและเพียรพยายามให้งานสําเร็จลุล่วงไปด้วยดี ส่งผลให้ภาษาจีนเป็นภาษายอดนิยมในประเทศไทยในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ขอขอบคุณสํานักส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีนนานาชาติ (HANBAN)ที่ได้คัดเลือกครูที่มีคุณภาพมาเป็นอาสาสมัครสอนภาษาจีนในประเทศไทย ขอขอบคุณครูอาสาสมัครทุกคนที่เลือก มาสอนภาษาและวัฒนธรรมจีนในประเทศไทย
ดังนั้น ดิฉันขอเป็นตัวแทนประเทศไทย ครูไทย และนักเรียนไทย ขอบคุณทุกท่านที่เลือกรับหน้าที่ “ครู” อันทรงเกียรติ อีกทั้งเลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายในการปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้
ในโอกาสที่ครูอาสาสมัครจีนจะเริ่มงานสอนในประเทศไทยในปีการศึกษา 2560 นี้ ขออวยพรให้ทุกท่านมีความสุขในการทํางาน ใช้ความสามารถที่ได้เรียนมาอย่างเต็มที่ ทําหน้าที่ทั้งครูและทูตวัฒนธรรมจีนประจําทุกท้องถิ่นในประเทศไทย ทํางานที่ทรงเกียรติ และทรงคุณค่าของท่านอย่างมีความสุข
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ม.ล.ปริยดา ดิศกุล" เป็นประธานปฐมนิเทศครูอาสาสมัครจีน รุ่นที่ 16 ประจำปี 2560
วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560
"ม.ล.ปริยดา ดิศกุล" เป็นประธานปฐมนิเทศครูอาสาสมัครจีน รุ่นที่ 16 ประจําปี 2560
ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมต้อนรับและปฐมนิเทศครูอาสาสมัครจีน รุ่นที่ 16 ปีการศึกษา 2560 จํานวน 553 คน
ที่เดินทางมาเพื่อเผยแพร่ประสบการณ์และองค์ความรู้ด้านวัฒนธรรมของจีนให้กับนักเรียนไทย โดยDr. Zhou Gaoyu (โจว เกายู่)เลขานุการเอกฝ่ายการศึกษา พร้อมด้วย Mr. Zhou Guangxu (โจว กวางยู่) กงสุลประจําสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทย Mr. Zhang Lizhi (จาง ลี่จื๊อ) ผู้ประสานงานโครงการครูอาสาสมัครจีนสํานักงาน HANBANประจําประเทศไทยและครูอาสาสมัครจีน รวมทั้งผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมกว่า600คน
ม.ล.ปริยดา ดิศกุลกล่าวในพิธีเปิดว่ามีความยินดีมากที่มีโอกาสมาร่วมงานต้อนรับและปฐมนิเทศครูอาสาสมัครจีนในวันนี้ซึ่งเป็นวันที่มีเหตุการณ์พิเศษที่ครูอาสาสมัครจํานวน 553 คน เดินทางมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน มาพร้อมความตั้งใจที่แน่วแน่ในการมาสอนภาษาจีน ตลอดจนเผยแพร่ประสบการณ์และองค์ความรู้ด้านวัฒนธรรมจีนให้กับนักเรียนไทย
การเดินทางมาของทุกท่านครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่จะทําให้นักเรียนไทยในทุกภูมิภาคได้เรียนรู้ภาษาจีนกับครูเจ้าของภาษาโดยตรงที่ผ่านการอบรมทั้งด้านการสอนและการปฏิบัติตนในประเทศไทยมาเป็นอย่างดี ซึ่งจะเป็นต้นแบบที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเรียนไทยจํานวนมากที่ต้องการศึกษาต่อด้านภาษาจีนทั้งในประเทศไทย และในประเทศจีน หรือนําเอาภาษาจีนไปประกอบอาชีพในอนาคต
คุณครูทุกท่านนับว่าเป็นบุคคลสําคัญในการส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีนของประเทศไทย เป็นกําลังสําคัญที่ทําให้การเรียนการสอนภาษาจีนเป็นที่นิยมมากที่สุดในบรรดาภาษาต่างประเทศภาษาที่สองครูอาสาสมัครที่ทํางานอย่างเข้มแข็งและเพียรพยายามให้งานสําเร็จลุล่วงไปด้วยดี ส่งผลให้ภาษาจีนเป็นภาษายอดนิยมในประเทศไทยในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ขอขอบคุณสํานักส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีนนานาชาติ (HANBAN)ที่ได้คัดเลือกครูที่มีคุณภาพมาเป็นอาสาสมัครสอนภาษาจีนในประเทศไทย ขอขอบคุณครูอาสาสมัครทุกคนที่เลือก มาสอนภาษาและวัฒนธรรมจีนในประเทศไทย
ดังนั้น ดิฉันขอเป็นตัวแทนประเทศไทย ครูไทย และนักเรียนไทย ขอบคุณทุกท่านที่เลือกรับหน้าที่ “ครู” อันทรงเกียรติ อีกทั้งเลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายในการปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้
ในโอกาสที่ครูอาสาสมัครจีนจะเริ่มงานสอนในประเทศไทยในปีการศึกษา 2560 นี้ ขออวยพรให้ทุกท่านมีความสุขในการทํางาน ใช้ความสามารถที่ได้เรียนมาอย่างเต็มที่ ทําหน้าที่ทั้งครูและทูตวัฒนธรรมจีนประจําทุกท้องถิ่นในประเทศไทย ทํางานที่ทรงเกียรติ และทรงคุณค่าของท่านอย่างมีความสุข
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4328
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำ ศบค. ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการทำงานในรูปแบบ New Normal
|
วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน 2563
นายกรัฐมนตรี เน้นย้ํา ศบค. ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการทํางานในรูปแบบ New Normal
นายกรัฐมนตรี เน้นย้ํา ศบค. ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการทํางานในรูปแบบ New Normal
วันนี้ (29 มิ.ย.63) เวลา 12.20 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงผลการประชุม ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในฐานะผู้อํานวยการ ศบค. เป็นประธานการประชุม สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
โฆษก ศบค. เผยนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อํานวยการ ศบค. ย้ํา ศบค. ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการทํางานในรูปแบบ New Normal หรือการทํางานในชีวิตวิถีใหม่ รับฟังผู้ที่มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นนวดแผนโบราณ ศิลปินนักร้อง ห้างสรรพสินค้า ร้านเกม เพื่อนําสู่กระบวนการการพิจารณาตัดสินใจแนวทางต่างๆ โดยในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 36 ที่เชื่อมโยงกับโควิด-19 นายกรัฐมนตรี ได้ผลักดัน 3 แนวทาง ได้แก่ 1. ส่งเสริมอาเซียนให้เชื่อมโยงกันอย่างแท้จริง 2. สร้างความเข้มแข็งจากภายใน 3. สร้างภูมิคุ้มกันอาเซียนในระยะยาว ภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เน้นแก้ไขปัญหาในกลุ่มเปราะบาง นโยบายในการจัดตั้งกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือโควิด-19 เพื่อแสวงหาความร่วมมือในการทําวิจัยพัฒนาวัคซีน การทํางานที่บ้าน (Work from Home) การใช้แพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” รวมทั้งการช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจ เร่งกลั่นกรองแผนงานและเสริมโอกาส และศักยภาพไทยหลังภาวะวิกฤติโควิด-19 อันได้แก่ Medical Hub การเป็นแหล่งอาหารของโรค และการท่องเที่ยวแบบเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ
โฆษก ศบค. เผยรายละเอียดร่างมาตรการการผ่อนคลายในระยะที่ 5 ดังนี้
1. การใช้อาคารสถานที่ของโรงเรียน หรือสถาบันการศึกษา ให้เปิดดําเนินการได้โดยได้รับอนุญาตจากต้นสังกัด โดยลงทะเบียน ยืนยันปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่กําหนดไว้ และให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงสาธารณสุข ออกคู่มือเกณฑ์การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค รวมถึงให้ส่วนราชการหน่วยงานต้นสังกัด/หน่วยงานที่รับผิดชอบประเมินความพร้อมของโรงเรียน หรือสถาบันการศึกษา ก่อนเปิดการศึกษา/ดําเนินการ
2. ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมิวนิตี้มอลล์ ให้เวลาเปิด/ปิดการดําเนินกิจการได้ตามความเหมาะสมของพื้นที่ โดยที่ประชุมมีความคิดเห็นว่า ศูนย์การค้าควรปิดเวลา 22.00 น. และร้านสะดวกซื้อสามารถเปิดได้ 24 ชั่วโมง
3. สถานบริการ ผับ บาร์ คาราโอเกะ สถานประกอบการคล้ายสถานบริการ เช่น โรงเบียร์ โรงเหล้า ลานเบียร์ Pub & Restaurant ให้บริการได้ถึง 24.00 น. ทุกกรณี โดยให้มีระยะนั่ง/ยืน 1 ม. จํากัดผู้ใช้บริการตามขนาดพื้นที่ ไม่ต่ํากว่า 4 ตร.ม./คน และห้ามร่วมโต๊ะกับกลุ่มอื่น ระยะห่างโต๊ะไม่ต่ํากว่า 2 ม. หรือมีฉากกั้นสูงไม่ต่ํากว่า 1.5 ม. โดยให้มีระบบระบายอากาศ และระบบหมุนเวียนอากาศที่ดี มีพื้นที่สูบบุหรี่เฉพาะส่วนบุคคล รวมถึงให้ทุกคนลงทะเบียนเข้า-ออกสถานที่ ด้วยแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” โดยมอบให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พิจารณารายละเอียดบทลงโทษ สําหรับกรณีพบสถานประกอบการไม่ปฏิบัติตามแล้วเกิดการติดเชื้อ
4. ร้านเกม และร้านอินเตอร์เน็ต สําหรับเด็กอายุ ต่ํากว่า 15 ปี สามารถใช้บริการได้วันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 14.00 - 20.00 น. และวันหยุด เวลา 10.00 น. - 20.00 น. อายุ 15-18 ปี สามารถใช้บริการได้วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 14.00 - 22.00 น. และวันหยุด 10.00 - 22.00 น. และอายุ มากกว่า 18 ปี สามารถใช้ได้ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา จํากัดจํานวนผู้ใช้บริการ ในเกณฑ์ ไม่ต่ํากว่า 4 ตร.ม./คน และให้เว้นระยะห่าง นั่ง/ยืน/ทางเดิน ไม่ต่ํากว่า 1 เมตร รวมถึงจํากัดเวลาให้บริการในระบบ 2 ชม./รอบ เพื่อพักทําความสะอาด 15 นาที
5. สถานประกอบกิจการอาบ อบ นวด โรงน้ําชา จะต้องมีใบอนุญาตสถานบริการถูกกฎหมาย โดยทุกคนจะต้องลงทะเบียนเข้า-ออกสถานที่ด้วยแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” หรือจดบันทึกรายงานแทนได้ และต้องสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย/Face Shield ตลอดเวลา ยกเว้นขณะอาบน้ํา ให้ทําความสะอาดห้อง/อ่างอาบน้ํา ห้องสุขา พื้นผิวสัมผัสร่วมบ่อยๆ ก่อน-หลังบริการแต่ละครั้ง โดยให้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในกลุ่มพนักงานเป็นระยะ พร้อมทั้งเฝ้าระวังโรคอื่นด้วย โดยอาจพิจารณาให้ติดตั้งกล้องวงจรปิดในพื้นที่ส่วนรวมของร้าน
โดยต้องดําเนินการ ดังนี้ 1. ให้มีการลงทะเบียนกิจการและกิจกรรม โดยแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ก่อนผ่อนคลายกิจการและกิจกรรม เพื่อวางแผน กํากับ ติดตามของหน่วยงานภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ2. ทุกกิจการและกิจกรรม จัดลงทะเบียนก่อนเข้า-ออกสถานที่ และเพิ่มมาตรการใช้แอปพลิเคชัน “ผู้พิทักษ์ไทยชนะ” สําหรับเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในการตรวจประเมิน3. มาตรการคัดกรองไข้ และอาการไอ หอบเหนื่อย จาม หรือเป็นหวัด สําหรับพนักงานบริการ และผู้ใช้บริการ 4. พิจารณาพัฒนานวัตกรรม เช่น ลงทะเบียนเข้า-ออกสถานที่ ระบบการเรียนการสอน การจองคิวแบบออนไลน์ เพื่อให้บริการรูปแบบใหม่ในระยะยาว นําไปสู่การป้องกันควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพ5. รายงานผลการตรวจประเมิน ติดตาม กํากับ ตามมาตรการควบคุมหลัก ให้ศูนย์ปฏิบัติการจังหวัด ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง รายงานให้ ศบค. ทราบ
ทั้งนี้ ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบการขยายเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร เพิ่มอีก 1 เดือน โดยจะนําเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ นอกจากนี้ ยังมีการเสนอเพิ่มจุดผ่านแดนเพื่อการขนส่งสินค้าเพิ่มเติม 9 แห่ง ดังนี้ จุดผ่านแดนถาวรท่าเรือหนองคาย จ.หนองคาย จุดผ่านแดนถาวรบ้านคกไผ่ อ.ปากขม จ.เลย การผ่อนปรนเปิดช่องทาง/ท่าข้ามธรรมชาติ ตลอดแนวชายแดนไทย - เมียนมา จ.ตาก จุดผ่อนปรนการค้าบ้านห้วยต้นนุ่น อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน จุดผ่อนปรนการค้าบ้านแจมป๋อง อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย จุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด อ.โป่งน้ําร้อน จ.จันทบุรี กรณีนําเข้ามันสําปะหลัง จุดผ่านแดนถาวรปาดังเบซาร์และจุดผ่านแดนถาวรด่านบ้านประกอบ จ.สงขลา จุดผ่อนปรนพิเศษด่านสิงขร อ.เมือง จ. ประจวบคีรีขันธ์ และจุดผ่านแดนถาวร บ้านพุน้ําร้อน อ.เมืองฯ จ.กาญจนบุรี
สําหรับมาตรกรผ่อนคลายสําหรับผู้ที่เข้ามาในราชอาณาจักร ในการขยายกลุ่มชาวต่างชาติที่สามารถเดินทางเข้าไทย กระทรวงการต่างประเทศ ได้เสนอเพิ่มบุคคล 6 กลุ่ม ดังนี้1. คู่สมรส และบุตรของผู้มีใบอนุญาตทํางานหรือได้รับอนุญาตจากทางราชการให้ทํางานในราชอาณาจักรไทย 2. ผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งมีถิ่นฐานที่อยู่ในราชอาณาจักร3. คู่สมรสต่างชาติและบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้มีสัญชาติไทย4. ผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทยที่มีความจําเป็นต้องเข้ามารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทยและผู้ติดตาม 5. นักเรียน นักศึกษาต่างชาติและผู้ปกครอง 6. ผู้ไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับการอนุญาตให้เดินทางเข้าราชอาณาจักรตามข้อตกลงพิเศษ (Special Arrangement) กับประเทศเป้าหมาย เช่น นักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค โดยกําหนดโควตาที่สอดคล้องกับจํานวน ASQ และการเจรจากับประเทศที่ทําความตกลงพิเศษ (ในขั้นตอนอาจกําหนดจํานวนรวม 200 คนต่อวัน) ประเทศเป้าหมาย ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ จีน และฮ่องกงเกณฑ์พิจารณาคือมีความสําคัญทางเศรษฐกิจต่อไทย ควบคุมการระบาดได้ดีใกล้เคียงกับไทยมีระบบสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ และมีความพร้อมและความสนใจทําความตกลง โดยมี 2 รูปแบบในการเข้ามา ได้แก่ Normal Track ได้แก่ ชาวต่างชาติที่เข้ามาทํางานและพํานักอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นระยะเวลานาน ให้เข้ากักตัวในสถานที่ที่รัฐกําหนด (ASQ) 14 วัน (รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง) บุคคลเข้าข่าย ได้แก่ ชาวต่างชาติภายใต้ข้อ 3 (5) ของข้อกําหนดฯ เดิม และชาวต่างชาติในกลุ่มที่มีการตกลงกับประเทศเป้าหมายตามโควตาที่เห็นชอบร่วมกัน และ Fast Track ได้แก่นักธุรกิจ/ผู้เชี่ยวชาญที่มีความสําคัญกับเศรษฐกิจไทย เดินทางมาจากประเทศที่มีข้อตกลงพิเศษ (Special Arrangement) เข้ามาระยะสั้น (ต่ํากว่า 14 วัน) ให้ร่นระยะเวลาการกักตัว และเงื่อนไขบางอย่างเข้มงวดมากกว่าการเข้าประเทศแบบ Normal Track เช่น การตรวจ Double Negative ติดตั้ง Application มีการกําหนดการเดินทางชัดเจน
ทั้งนี้ การเดินทางของชาวต่างชาติที่จะเข้ามาในไทย แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มที่ได้รับการอนุมัติแล้ว และยังรอการเดินทาง ให้เดินทางพร้อมกับคนไทยในเที่ยวบินที่นําคนไทยกลับจากต่างประเทศ (Repatriation) และกลุ่มที่ 2 ผู้ที่กําลังจะขออนุมัติการเดินทาง ให้ผู้ที่มีใบอนุญาตทํางาน/ตท.3 จากกระทรวงแรงงาน ใบอนุญาต BOI สามารถขอรับหนังสือรับรองการเดินทางจาก สอท./สกญ. โดยตรง ให้กระทรวงแรงงาน/BOI อนุมัติการออกเอกสารการอนุญาตให้เข้ามาทํางานที่ไทยได้ โดยให้สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย อนุญาตเที่ยวบิน Cargo หรือ Repatriation รับผู้ที่เข้าข่าย 3 (5) เดินทางเข้าไทยได้ และอนุญาตให้คู่สมรสและบุตรของผู้เข้าข่าย 3 (5) เข้าประเทศได้ โดยหลักเกณฑ์เบื้องต้นในการรองรับการเดินทางของแขกของรัฐบาล ได้แก่ 1. เป็นคณะเล็กไม่เกิน 10 คน 2. เป็นการเดินทางระยะสั้น 3. มีการตรวจรับรองการปลอดเชื้อโควิด-19 ที่ประเทศต้นทางและเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย (Double Negative) 4. ให้หน่วยราชการที่เป็นเจ้าภาพเชิญแขกระดับสูง พิจารณาจัดเจ้าหน้าที่ประจําคณะในลักษณะ Liaison Officer (LO) ติดตาม 5. มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานความมั่นคงติดตามประจําคณะด้วย และ 6. ต้องจํากัดการเดินทางเฉพาะกําหนดการที่ได้ตกลงไว้ล่วงหน้าเท่านั้น ห้ามคณะเดินทางไปในที่สวนสาธารณะและห้ามใช้ขนส่งมวลชน
ช่วงท้าย โฆษก ศบค. ยังเผยว่ากระทรวงการคมนาคมขอยกเว้นการปฏิบัติตามข้อกําหนด การเว้นที่นั่งในบริการขนส่งสาธารณะ โดยให้มีการใส่หน้ากากผ้าหน้า กากอนามัย ตลอดเวลา และให้มีการเว้นระยะห่างในการยืน ซึ่งจะรักษาความหาแน่นสูงสุดที่ร้อยละ 70 ด้วย
--------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำ ศบค. ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการทำงานในรูปแบบ New Normal
วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน 2563
นายกรัฐมนตรี เน้นย้ํา ศบค. ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการทํางานในรูปแบบ New Normal
นายกรัฐมนตรี เน้นย้ํา ศบค. ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการทํางานในรูปแบบ New Normal
วันนี้ (29 มิ.ย.63) เวลา 12.20 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงผลการประชุม ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในฐานะผู้อํานวยการ ศบค. เป็นประธานการประชุม สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
โฆษก ศบค. เผยนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อํานวยการ ศบค. ย้ํา ศบค. ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการทํางานในรูปแบบ New Normal หรือการทํางานในชีวิตวิถีใหม่ รับฟังผู้ที่มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นนวดแผนโบราณ ศิลปินนักร้อง ห้างสรรพสินค้า ร้านเกม เพื่อนําสู่กระบวนการการพิจารณาตัดสินใจแนวทางต่างๆ โดยในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 36 ที่เชื่อมโยงกับโควิด-19 นายกรัฐมนตรี ได้ผลักดัน 3 แนวทาง ได้แก่ 1. ส่งเสริมอาเซียนให้เชื่อมโยงกันอย่างแท้จริง 2. สร้างความเข้มแข็งจากภายใน 3. สร้างภูมิคุ้มกันอาเซียนในระยะยาว ภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เน้นแก้ไขปัญหาในกลุ่มเปราะบาง นโยบายในการจัดตั้งกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือโควิด-19 เพื่อแสวงหาความร่วมมือในการทําวิจัยพัฒนาวัคซีน การทํางานที่บ้าน (Work from Home) การใช้แพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” รวมทั้งการช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจ เร่งกลั่นกรองแผนงานและเสริมโอกาส และศักยภาพไทยหลังภาวะวิกฤติโควิด-19 อันได้แก่ Medical Hub การเป็นแหล่งอาหารของโรค และการท่องเที่ยวแบบเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ
โฆษก ศบค. เผยรายละเอียดร่างมาตรการการผ่อนคลายในระยะที่ 5 ดังนี้
1. การใช้อาคารสถานที่ของโรงเรียน หรือสถาบันการศึกษา ให้เปิดดําเนินการได้โดยได้รับอนุญาตจากต้นสังกัด โดยลงทะเบียน ยืนยันปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่กําหนดไว้ และให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงสาธารณสุข ออกคู่มือเกณฑ์การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค รวมถึงให้ส่วนราชการหน่วยงานต้นสังกัด/หน่วยงานที่รับผิดชอบประเมินความพร้อมของโรงเรียน หรือสถาบันการศึกษา ก่อนเปิดการศึกษา/ดําเนินการ
2. ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมิวนิตี้มอลล์ ให้เวลาเปิด/ปิดการดําเนินกิจการได้ตามความเหมาะสมของพื้นที่ โดยที่ประชุมมีความคิดเห็นว่า ศูนย์การค้าควรปิดเวลา 22.00 น. และร้านสะดวกซื้อสามารถเปิดได้ 24 ชั่วโมง
3. สถานบริการ ผับ บาร์ คาราโอเกะ สถานประกอบการคล้ายสถานบริการ เช่น โรงเบียร์ โรงเหล้า ลานเบียร์ Pub & Restaurant ให้บริการได้ถึง 24.00 น. ทุกกรณี โดยให้มีระยะนั่ง/ยืน 1 ม. จํากัดผู้ใช้บริการตามขนาดพื้นที่ ไม่ต่ํากว่า 4 ตร.ม./คน และห้ามร่วมโต๊ะกับกลุ่มอื่น ระยะห่างโต๊ะไม่ต่ํากว่า 2 ม. หรือมีฉากกั้นสูงไม่ต่ํากว่า 1.5 ม. โดยให้มีระบบระบายอากาศ และระบบหมุนเวียนอากาศที่ดี มีพื้นที่สูบบุหรี่เฉพาะส่วนบุคคล รวมถึงให้ทุกคนลงทะเบียนเข้า-ออกสถานที่ ด้วยแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” โดยมอบให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พิจารณารายละเอียดบทลงโทษ สําหรับกรณีพบสถานประกอบการไม่ปฏิบัติตามแล้วเกิดการติดเชื้อ
4. ร้านเกม และร้านอินเตอร์เน็ต สําหรับเด็กอายุ ต่ํากว่า 15 ปี สามารถใช้บริการได้วันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 14.00 - 20.00 น. และวันหยุด เวลา 10.00 น. - 20.00 น. อายุ 15-18 ปี สามารถใช้บริการได้วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 14.00 - 22.00 น. และวันหยุด 10.00 - 22.00 น. และอายุ มากกว่า 18 ปี สามารถใช้ได้ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา จํากัดจํานวนผู้ใช้บริการ ในเกณฑ์ ไม่ต่ํากว่า 4 ตร.ม./คน และให้เว้นระยะห่าง นั่ง/ยืน/ทางเดิน ไม่ต่ํากว่า 1 เมตร รวมถึงจํากัดเวลาให้บริการในระบบ 2 ชม./รอบ เพื่อพักทําความสะอาด 15 นาที
5. สถานประกอบกิจการอาบ อบ นวด โรงน้ําชา จะต้องมีใบอนุญาตสถานบริการถูกกฎหมาย โดยทุกคนจะต้องลงทะเบียนเข้า-ออกสถานที่ด้วยแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” หรือจดบันทึกรายงานแทนได้ และต้องสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย/Face Shield ตลอดเวลา ยกเว้นขณะอาบน้ํา ให้ทําความสะอาดห้อง/อ่างอาบน้ํา ห้องสุขา พื้นผิวสัมผัสร่วมบ่อยๆ ก่อน-หลังบริการแต่ละครั้ง โดยให้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในกลุ่มพนักงานเป็นระยะ พร้อมทั้งเฝ้าระวังโรคอื่นด้วย โดยอาจพิจารณาให้ติดตั้งกล้องวงจรปิดในพื้นที่ส่วนรวมของร้าน
โดยต้องดําเนินการ ดังนี้ 1. ให้มีการลงทะเบียนกิจการและกิจกรรม โดยแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ก่อนผ่อนคลายกิจการและกิจกรรม เพื่อวางแผน กํากับ ติดตามของหน่วยงานภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ2. ทุกกิจการและกิจกรรม จัดลงทะเบียนก่อนเข้า-ออกสถานที่ และเพิ่มมาตรการใช้แอปพลิเคชัน “ผู้พิทักษ์ไทยชนะ” สําหรับเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในการตรวจประเมิน3. มาตรการคัดกรองไข้ และอาการไอ หอบเหนื่อย จาม หรือเป็นหวัด สําหรับพนักงานบริการ และผู้ใช้บริการ 4. พิจารณาพัฒนานวัตกรรม เช่น ลงทะเบียนเข้า-ออกสถานที่ ระบบการเรียนการสอน การจองคิวแบบออนไลน์ เพื่อให้บริการรูปแบบใหม่ในระยะยาว นําไปสู่การป้องกันควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพ5. รายงานผลการตรวจประเมิน ติดตาม กํากับ ตามมาตรการควบคุมหลัก ให้ศูนย์ปฏิบัติการจังหวัด ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง รายงานให้ ศบค. ทราบ
ทั้งนี้ ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบการขยายเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร เพิ่มอีก 1 เดือน โดยจะนําเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ นอกจากนี้ ยังมีการเสนอเพิ่มจุดผ่านแดนเพื่อการขนส่งสินค้าเพิ่มเติม 9 แห่ง ดังนี้ จุดผ่านแดนถาวรท่าเรือหนองคาย จ.หนองคาย จุดผ่านแดนถาวรบ้านคกไผ่ อ.ปากขม จ.เลย การผ่อนปรนเปิดช่องทาง/ท่าข้ามธรรมชาติ ตลอดแนวชายแดนไทย - เมียนมา จ.ตาก จุดผ่อนปรนการค้าบ้านห้วยต้นนุ่น อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน จุดผ่อนปรนการค้าบ้านแจมป๋อง อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย จุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด อ.โป่งน้ําร้อน จ.จันทบุรี กรณีนําเข้ามันสําปะหลัง จุดผ่านแดนถาวรปาดังเบซาร์และจุดผ่านแดนถาวรด่านบ้านประกอบ จ.สงขลา จุดผ่อนปรนพิเศษด่านสิงขร อ.เมือง จ. ประจวบคีรีขันธ์ และจุดผ่านแดนถาวร บ้านพุน้ําร้อน อ.เมืองฯ จ.กาญจนบุรี
สําหรับมาตรกรผ่อนคลายสําหรับผู้ที่เข้ามาในราชอาณาจักร ในการขยายกลุ่มชาวต่างชาติที่สามารถเดินทางเข้าไทย กระทรวงการต่างประเทศ ได้เสนอเพิ่มบุคคล 6 กลุ่ม ดังนี้1. คู่สมรส และบุตรของผู้มีใบอนุญาตทํางานหรือได้รับอนุญาตจากทางราชการให้ทํางานในราชอาณาจักรไทย 2. ผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งมีถิ่นฐานที่อยู่ในราชอาณาจักร3. คู่สมรสต่างชาติและบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้มีสัญชาติไทย4. ผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทยที่มีความจําเป็นต้องเข้ามารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทยและผู้ติดตาม 5. นักเรียน นักศึกษาต่างชาติและผู้ปกครอง 6. ผู้ไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับการอนุญาตให้เดินทางเข้าราชอาณาจักรตามข้อตกลงพิเศษ (Special Arrangement) กับประเทศเป้าหมาย เช่น นักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค โดยกําหนดโควตาที่สอดคล้องกับจํานวน ASQ และการเจรจากับประเทศที่ทําความตกลงพิเศษ (ในขั้นตอนอาจกําหนดจํานวนรวม 200 คนต่อวัน) ประเทศเป้าหมาย ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ จีน และฮ่องกงเกณฑ์พิจารณาคือมีความสําคัญทางเศรษฐกิจต่อไทย ควบคุมการระบาดได้ดีใกล้เคียงกับไทยมีระบบสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ และมีความพร้อมและความสนใจทําความตกลง โดยมี 2 รูปแบบในการเข้ามา ได้แก่ Normal Track ได้แก่ ชาวต่างชาติที่เข้ามาทํางานและพํานักอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นระยะเวลานาน ให้เข้ากักตัวในสถานที่ที่รัฐกําหนด (ASQ) 14 วัน (รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง) บุคคลเข้าข่าย ได้แก่ ชาวต่างชาติภายใต้ข้อ 3 (5) ของข้อกําหนดฯ เดิม และชาวต่างชาติในกลุ่มที่มีการตกลงกับประเทศเป้าหมายตามโควตาที่เห็นชอบร่วมกัน และ Fast Track ได้แก่นักธุรกิจ/ผู้เชี่ยวชาญที่มีความสําคัญกับเศรษฐกิจไทย เดินทางมาจากประเทศที่มีข้อตกลงพิเศษ (Special Arrangement) เข้ามาระยะสั้น (ต่ํากว่า 14 วัน) ให้ร่นระยะเวลาการกักตัว และเงื่อนไขบางอย่างเข้มงวดมากกว่าการเข้าประเทศแบบ Normal Track เช่น การตรวจ Double Negative ติดตั้ง Application มีการกําหนดการเดินทางชัดเจน
ทั้งนี้ การเดินทางของชาวต่างชาติที่จะเข้ามาในไทย แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มที่ได้รับการอนุมัติแล้ว และยังรอการเดินทาง ให้เดินทางพร้อมกับคนไทยในเที่ยวบินที่นําคนไทยกลับจากต่างประเทศ (Repatriation) และกลุ่มที่ 2 ผู้ที่กําลังจะขออนุมัติการเดินทาง ให้ผู้ที่มีใบอนุญาตทํางาน/ตท.3 จากกระทรวงแรงงาน ใบอนุญาต BOI สามารถขอรับหนังสือรับรองการเดินทางจาก สอท./สกญ. โดยตรง ให้กระทรวงแรงงาน/BOI อนุมัติการออกเอกสารการอนุญาตให้เข้ามาทํางานที่ไทยได้ โดยให้สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย อนุญาตเที่ยวบิน Cargo หรือ Repatriation รับผู้ที่เข้าข่าย 3 (5) เดินทางเข้าไทยได้ และอนุญาตให้คู่สมรสและบุตรของผู้เข้าข่าย 3 (5) เข้าประเทศได้ โดยหลักเกณฑ์เบื้องต้นในการรองรับการเดินทางของแขกของรัฐบาล ได้แก่ 1. เป็นคณะเล็กไม่เกิน 10 คน 2. เป็นการเดินทางระยะสั้น 3. มีการตรวจรับรองการปลอดเชื้อโควิด-19 ที่ประเทศต้นทางและเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย (Double Negative) 4. ให้หน่วยราชการที่เป็นเจ้าภาพเชิญแขกระดับสูง พิจารณาจัดเจ้าหน้าที่ประจําคณะในลักษณะ Liaison Officer (LO) ติดตาม 5. มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานความมั่นคงติดตามประจําคณะด้วย และ 6. ต้องจํากัดการเดินทางเฉพาะกําหนดการที่ได้ตกลงไว้ล่วงหน้าเท่านั้น ห้ามคณะเดินทางไปในที่สวนสาธารณะและห้ามใช้ขนส่งมวลชน
ช่วงท้าย โฆษก ศบค. ยังเผยว่ากระทรวงการคมนาคมขอยกเว้นการปฏิบัติตามข้อกําหนด การเว้นที่นั่งในบริการขนส่งสาธารณะ โดยให้มีการใส่หน้ากากผ้าหน้า กากอนามัย ตลอดเวลา และให้มีการเว้นระยะห่างในการยืน ซึ่งจะรักษาความหาแน่นสูงสุดที่ร้อยละ 70 ด้วย
--------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32892
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-มองโกเลียพร้อมสานต่อความร่วมมืออย่างรอบด้านให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
|
วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563
ไทย-มองโกเลียพร้อมสานต่อความร่วมมืออย่างรอบด้านให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
ไทย-มองโกเลียพร้อมสานต่อความร่วมมืออย่างรอบด้านให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
วันนี้ (17 เมษายน 2563) เวลา 13.30 น. นายทุกสบิลกูน ทูมูร์คูเลก (H.E. Mr. Tugsbilguun Tumurkhuleg) เอกอัครราชทูตมองโกเลียประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสพ้นจากหน้าที่ ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเอกอัครราชทูตฯ ที่มีบทบาทสําคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมองโกเลีย โดยเฉพาะความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ที่มูลค่าการค้าระหว่างไทย–มองโกเลียเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า ตามที่ได้ตั้งเป้าไว้ในการหารือเมื่อ 4 ปีที่แล้ว โดยนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวชื่นชมรัฐบาลมองโกเลียในมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างมีประสิทธิผล ทําให้มีผู้ติดเชื้อจํานวนน้อย พร้อมหวังว่าเอกอัครราชทูตฯ ท่านใหม่จะสานต่อความร่วมมือระหว่างกันให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
ด้านเอกอัครราชทูตฯ กล่าวขอบคุณรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีถึงความเป็นมิตรประเทศที่ใกล้ชิด พร้อมยืนยันว่าเอกอัครราชทูตฯ ท่านใหม่ จะดําเนินบทบาทอย่างแข็งขันและสร้างสรรค์ในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมองโกเลีย
ทั้งสองฝ่ายมองว่า ไทยและมองโกเลียมีโอกาสที่จะขยายความสัมพันธ์ระหว่างกันได้อีกมาก พร้อมยินดีที่มองโกเลียเปิดบริการเที่ยวบินตรงเส้นทางกรุงเทพฯ - กรุงอูลานบาตอร์ ซึ่งมีส่วนสําคัญในการส่งเสริมด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชนระหว่างสองประเทศ โดยหวังว่าหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ทั้งสองฝ่ายจะใช้ประโยชน์สายการบินดังกล่าวเพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนในระดับประชาชนระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น
************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-มองโกเลียพร้อมสานต่อความร่วมมืออย่างรอบด้านให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563
ไทย-มองโกเลียพร้อมสานต่อความร่วมมืออย่างรอบด้านให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
ไทย-มองโกเลียพร้อมสานต่อความร่วมมืออย่างรอบด้านให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
วันนี้ (17 เมษายน 2563) เวลา 13.30 น. นายทุกสบิลกูน ทูมูร์คูเลก (H.E. Mr. Tugsbilguun Tumurkhuleg) เอกอัครราชทูตมองโกเลียประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสพ้นจากหน้าที่ ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเอกอัครราชทูตฯ ที่มีบทบาทสําคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมองโกเลีย โดยเฉพาะความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ที่มูลค่าการค้าระหว่างไทย–มองโกเลียเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า ตามที่ได้ตั้งเป้าไว้ในการหารือเมื่อ 4 ปีที่แล้ว โดยนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวชื่นชมรัฐบาลมองโกเลียในมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างมีประสิทธิผล ทําให้มีผู้ติดเชื้อจํานวนน้อย พร้อมหวังว่าเอกอัครราชทูตฯ ท่านใหม่จะสานต่อความร่วมมือระหว่างกันให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
ด้านเอกอัครราชทูตฯ กล่าวขอบคุณรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีถึงความเป็นมิตรประเทศที่ใกล้ชิด พร้อมยืนยันว่าเอกอัครราชทูตฯ ท่านใหม่ จะดําเนินบทบาทอย่างแข็งขันและสร้างสรรค์ในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมองโกเลีย
ทั้งสองฝ่ายมองว่า ไทยและมองโกเลียมีโอกาสที่จะขยายความสัมพันธ์ระหว่างกันได้อีกมาก พร้อมยินดีที่มองโกเลียเปิดบริการเที่ยวบินตรงเส้นทางกรุงเทพฯ - กรุงอูลานบาตอร์ ซึ่งมีส่วนสําคัญในการส่งเสริมด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชนระหว่างสองประเทศ โดยหวังว่าหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ทั้งสองฝ่ายจะใช้ประโยชน์สายการบินดังกล่าวเพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนในระดับประชาชนระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น
************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29268
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. กำชับโรงพยาบาลพื้นที่เสี่ยงเตรียมแผนรับมือน้ำท่วม พร้อมช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง
|
วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม 2560
สธ. กําชับโรงพยาบาลพื้นที่เสี่ยงเตรียมแผนรับมือน้ําท่วม พร้อมช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง
กระทรวงสาธารณสุข เตรียมแผนป้องกันน้ําท่วม พร้อมจัดทีมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และทีมหมอครอบครัวช่วยเหลือประชาชน 24 ชั่วโมง ด้านโรงพยาบาลสุโขทัยเตรียมเครื่องสูบน้ําและบิ๊กแบ็ก 300 ใบ กั้นน้ําบริเวณรอบโรงพยาบาล
กระทรวงสาธารณสุข เตรียมแผนป้องกันน้ําท่วม พร้อมจัดทีมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และทีมหมอครอบครัวช่วยเหลือประชาชน 24 ชั่วโมง ด้านโรงพยาบาลสุโขทัยเตรียมเครื่องสูบน้ําและบิ๊กแบ็ก 300 ใบ กั้นน้ําบริเวณรอบโรงพยาบาล
ตามประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา ในช่วงวันที่ 9-11 ต.ค. 60 ประเทศไทยจะมีฝนตกหนัก อาจทําให้เกิดน้ําท่วมฉับพลัน นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมรับมือภาวะฝนตกหนัก ว่า ได้กําชับให้โรงพยาบาลในพื้นที่เสี่ยงภัยน้ําท่วมเตรียมแผนป้องกันน้ําท่วมโรงพยาบาล เตรียมขนย้ายอุปกรณ์การแพทย์ ยา-เวชภัณฑ์ ออกซิเจน อาหารและน้ําสําหรับผู้ป่วย ให้เพียงพอสํารวจระบบสํารองไฟฟ้า ให้พร้อมใช้งาน ทําความสะอาดท่อระบายน้ํา จัดเตรียมกระสอบทราย เครื่องสูบน้ํา สํารองน้ํามันนอกจากนี้ยังได้วางแผนบริการประชาชนในภาวะน้ําท่วม เช่น การขนย้ายผู้ป่วย การส่งต่อผู้ป่วย รวมทั้งการจัดบริการตรวจรักษานอกโรงพยาบาลและทีมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และทีมหมอครอบครัวดูแลถึงบ้าน เพื่อให้การดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง สํารวจกลุ่มเสี่ยงได้แก่ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุ ผู้พิการ หญิงตั้งครรภ์และหลังคลอด หากต้องการความช่วยเหลือ ทางส่วนกลางพร้อมสนับสนุนตลอด 24 ชั่วโมง
ด้านแพทย์หญิงภาวิณี เอี่ยมจันทร์ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลสุโขทัย กล่าวว่า โรงพยาบาลได้เตรียมความพร้อมโดยประสานกับชลประทานจังหวัดสุโขทัย ระดมติดเครื่องสูบน้ํา 8 เครื่องเตรียมพร้อมระบายน้ําได้ทันที พร้อมกันนี้ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการนําบิ๊กแบ็ก 300 ใบ หากมีน้ําเอ่อล้นเข้าท่วมภายในโรงพยาบาล
ขอเตือนประชาชนอยู่ในบริเวณที่มีน้ําท่วมหรือจะเดินทางไปในบริเวณที่มีน้ําท่วม ควรยึดหลัก “3 ห้าม 2 ให้” เพื่อป้องกันการจมน้ํา ดังนี้ 3 ห้าม คือ ห้ามหาปลา/เก็บผัก ในช่วงน้ําไหลหลากห้ามดื่มสุราแล้วลงเล่นน้ําและห้ามเด็กเล็กลงเล่นน้ํา เพราะน้ําอาจไหลแรงทําให้เด็กพลัดตกหรือถูกน้ําพัดได้ ส่วน 2 ให้ คือ ให้สวมเสื้อชูชีพ และให้เดินทางเป็นกลุ่มหากประสบอุบัติเหตุจะได้ช่วยเหลือกันได้ในเบื้องต้นประชาชนเจ็บป่วยฉุกเฉินโทรขอความช่วยเหลือ 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. กำชับโรงพยาบาลพื้นที่เสี่ยงเตรียมแผนรับมือน้ำท่วม พร้อมช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง
วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม 2560
สธ. กําชับโรงพยาบาลพื้นที่เสี่ยงเตรียมแผนรับมือน้ําท่วม พร้อมช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง
กระทรวงสาธารณสุข เตรียมแผนป้องกันน้ําท่วม พร้อมจัดทีมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และทีมหมอครอบครัวช่วยเหลือประชาชน 24 ชั่วโมง ด้านโรงพยาบาลสุโขทัยเตรียมเครื่องสูบน้ําและบิ๊กแบ็ก 300 ใบ กั้นน้ําบริเวณรอบโรงพยาบาล
กระทรวงสาธารณสุข เตรียมแผนป้องกันน้ําท่วม พร้อมจัดทีมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และทีมหมอครอบครัวช่วยเหลือประชาชน 24 ชั่วโมง ด้านโรงพยาบาลสุโขทัยเตรียมเครื่องสูบน้ําและบิ๊กแบ็ก 300 ใบ กั้นน้ําบริเวณรอบโรงพยาบาล
ตามประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา ในช่วงวันที่ 9-11 ต.ค. 60 ประเทศไทยจะมีฝนตกหนัก อาจทําให้เกิดน้ําท่วมฉับพลัน นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมรับมือภาวะฝนตกหนัก ว่า ได้กําชับให้โรงพยาบาลในพื้นที่เสี่ยงภัยน้ําท่วมเตรียมแผนป้องกันน้ําท่วมโรงพยาบาล เตรียมขนย้ายอุปกรณ์การแพทย์ ยา-เวชภัณฑ์ ออกซิเจน อาหารและน้ําสําหรับผู้ป่วย ให้เพียงพอสํารวจระบบสํารองไฟฟ้า ให้พร้อมใช้งาน ทําความสะอาดท่อระบายน้ํา จัดเตรียมกระสอบทราย เครื่องสูบน้ํา สํารองน้ํามันนอกจากนี้ยังได้วางแผนบริการประชาชนในภาวะน้ําท่วม เช่น การขนย้ายผู้ป่วย การส่งต่อผู้ป่วย รวมทั้งการจัดบริการตรวจรักษานอกโรงพยาบาลและทีมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และทีมหมอครอบครัวดูแลถึงบ้าน เพื่อให้การดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง สํารวจกลุ่มเสี่ยงได้แก่ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุ ผู้พิการ หญิงตั้งครรภ์และหลังคลอด หากต้องการความช่วยเหลือ ทางส่วนกลางพร้อมสนับสนุนตลอด 24 ชั่วโมง
ด้านแพทย์หญิงภาวิณี เอี่ยมจันทร์ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลสุโขทัย กล่าวว่า โรงพยาบาลได้เตรียมความพร้อมโดยประสานกับชลประทานจังหวัดสุโขทัย ระดมติดเครื่องสูบน้ํา 8 เครื่องเตรียมพร้อมระบายน้ําได้ทันที พร้อมกันนี้ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการนําบิ๊กแบ็ก 300 ใบ หากมีน้ําเอ่อล้นเข้าท่วมภายในโรงพยาบาล
ขอเตือนประชาชนอยู่ในบริเวณที่มีน้ําท่วมหรือจะเดินทางไปในบริเวณที่มีน้ําท่วม ควรยึดหลัก “3 ห้าม 2 ให้” เพื่อป้องกันการจมน้ํา ดังนี้ 3 ห้าม คือ ห้ามหาปลา/เก็บผัก ในช่วงน้ําไหลหลากห้ามดื่มสุราแล้วลงเล่นน้ําและห้ามเด็กเล็กลงเล่นน้ํา เพราะน้ําอาจไหลแรงทําให้เด็กพลัดตกหรือถูกน้ําพัดได้ ส่วน 2 ให้ คือ ให้สวมเสื้อชูชีพ และให้เดินทางเป็นกลุ่มหากประสบอุบัติเหตุจะได้ช่วยเหลือกันได้ในเบื้องต้นประชาชนเจ็บป่วยฉุกเฉินโทรขอความช่วยเหลือ 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7257
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก กค. เผย 13.4 ล้านคนที่ผ่านเกณท์ จะได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาทภายในสัปดาห์หน้า พร้อมหามาตรการช่วยเหลือ 1.7 ล้านคน ที่ลงทะเบียนไม่ผ่าน
|
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม 2563
โฆษก กค. เผย 13.4 ล้านคนที่ผ่านเกณท์ จะได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาทภายในสัปดาห์หน้า พร้อมหามาตรการช่วยเหลือ 1.7 ล้านคน ที่ลงทะเบียนไม่ผ่าน
โฆษก กค. เผย 13.4 ล้านคนที่ผ่านเกณท์ จะได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาทภายในสัปดาห์หน้า พร้อมหามาตรการช่วยเหลือ 1.7 ล้านคน ที่ลงทะเบียนไม่ผ่าน
วันนี้ (7 พ.ค. 63) เวลา 12.00 น. ณศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) (ศบค.)โถงกลางตึกสันติไมตรีทําเนียบรัฐบาล นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง รายงานความคืบหน้าโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” มาตรการเยียวยา 5,000 บาท ซึ่งได้มีการลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2563 มียอดผู้ลงทะเบียนทั้งสิ้น 28,800,000 ราย หักจากจํานวนที่มีการลงทะเบียนซ้ํา 4,800,000 ราย และ 1,700,000 รายที่ลงทะเบียนไม่ผ่าน ทั้งนี้ ข้อมูลประชาชนที่ลงทะเบียนจํานวน 22,300,000 ราย ได้ถูกนํามาเข้าสู่ระบบกระบวนการคัดกรอง โดยผู้ผ่านเกณฑ์รอบแรกมีจํานวน 4,400,000 ราย กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มผู้ที่ต้องขอข้อมูลเพิ่มเติมมี 6,500,000 ราย มีการพิจารณาผ่านเกณฑ์คัดกรองแล้วอีก 5,100,000 ราย กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มที่ไม่ผ่านเกณฑ์มี 10,400,000 ราย มีการขอทบทวนสิทธิแล้ว 5,600,000 ราย ซึ่งในจํานวนนี้พิจารณาผ่านเกณฑ์แล้ว 3,800,000 ราย เมื่อรวมตัวเลขเบื้องต้นรอบแรกผู้ที่ผ่านเกณฑ์จากการขอข้อมูลเพิ่มเติม 5.1 ล้านราย และผู้ที่ผ่านเกณฑ์จากกระบวนการขอทบทวนสิทธิอีก 3,800,000 ราย ข้อมูลล่าสุดมีผู้ที่ผ่านเกณฑ์ทั้งสิ้น 13,400,000 ราย ซึ่งจํานวนส่วนใหญ่คือจํานวน 11 ล้านราย จะมีการโอนให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 8 พฤษภาคม นี้ ส่วนที่เหลืออีก 2,400,000 ราย จะมีการโอนเงินให้เสร็จสิ้นภายในสัปดาห์หน้า ดังนั้น ประชาชน 13,400,000 ราย ที่ได้ผ่านเกณฑ์แล้ว สามารถเข้าไปตรวจสอบที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ไปที่ปุ่มสีเทา ตรวจสอบสถานะ ซึ่งจะได้ทราบข้อมูลที่เป็นปัจจุบันทันที โดยไม่จําเป็นต้องรอ SMS มายืนยัน
ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า ในช่วง 2- 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้เปิดช่องทางในการรับข้อร้องเรียน และผ่าน Call Center สรุป ข้อแรก คือ บัญชีที่ไม่ตรง โดยใน 13,400,000 ราย มีความพยายามโอนเงินเข้าบัญชีที่ลงทะเบียนไว้ แต่มีหลายคนที่บัญชีที่แจ้งไว้ไม่สามารถเข้าไปได้ ซึ่งจะได้รับแจ้งข้อความว่าเปลี่ยนข้อมูลช่องทางในการรับเงินแก้ไขบัญชีให้ถูกต้อง คนที่เข้ามาดําเนินการแก้ไขแล้ว และจะได้รับข้อความว่า อยู่ระหว่างการตรวจสอบวิธีการรับเงิน ถ้าท่านที่แก้ไขบัญชีแล้ว 1 ครั้งสําเร็จ บัญชีถูกต้อง เงินก็จะโอนเข้าในบัญชีของท่านที่แก้ไขในรอบต่อไปของการโอนเงิน กรณีการแก้ไขบัญชีครั้งที่ 1 ไม่สําเร็จแล้วมีการพยายามในการแก้ไขในครั้งที่ 2 3 4 แนะนําให้ไปสมัครพร้อมเพย์ที่ผูกบัตรกับประชาชน เพื่อให้การโอนเงินถูกต้องของตนเอง กรณีได้รับ sms ลงทะเบียนไม่สําเร็จเนื่องจากข้อมูลบัตรประชาชนไม่ถูกต้องอาจจะอยู่ในกลุ่ม 1.7 ล้านราย ที่ลงทะเบียนไม่ผ่าน ซึ่งจะยังไม่เข้าสู่กระบวนการคัดกรอง ซึ่งกระทรวงการคลังได้รับทราบปัญหาดังกล่าวแล้ว และจะพิจารณาดูแลมาตรการเยียวยาที่เหมาะสมรองรับกลับกลุ่มพี่น้องประชาชนกลุ่มนี้ต่อไป
ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า การลงทะเบียนปิดตั้งแต่วันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งจะพยายามคัดกรองผลออกมาให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด ซึ่งเชื่อว่า 13.4 ล้านราย เป็นตัวเลข ณ วันนี้ แต่ตัวเลขมีการเพิ่มขึ้นทุกวันซึ่งจะมาจาก 2 ส่วน คือ ส่วนที่ทําให้ข้อมูลเพิ่มเติมและคัดกรองแล้วผ่านเกณฑ์ สําหรับประชาชนประมาณ 5 แสนรายยังไม่ได้มาให้ข้อมูลเพิ่มเติม
โฆษกกระทรวงการคลังได้ชี้แจง กรณีผู้พิทักษ์ติดต่อมาหาผู้ที่ลงทะเบียนไว้ แต่ผู้ที่ลงทะเบียนไม่สามารถไปพบได้ตามสิทธิจะเสียสิทธิหรือไม่ โดยผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลังยืนยันว่า จะไม่มีการเสียสิทธิ หากไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่ได้แจ้งไว้ มีเหตุจําเป็นเคลื่อนย้ายสถานที่ ข้อมูลจะถูกส่งกลับมาที่ส่วนกลางแล้วจะมีการมอบมอบหมายทีมผู้พิทักษ์สิทธิที่อยู่ในพื้นที่ที่อยู่ในปัจจุบันลงไปพบประชาชน
ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวในตอนท้ายว่า กระทรวงการคลังตั้งเป้าไว้ว่า กระบวนการการคัดกรองทั้งหมดของมาตรการเราไม่ทิ้งกัน จะสิ้นสุดภายในวันที่ 17 พฤษภาคมนี้ เชื่อว่า อย่างน้อยร้อยละ 98 - 99 อาจตกหล่นอยู่บ้างเล็กน้อย แต่เชื่อว่าจะต้องสิ้นสุดภายในวันดังกล่าว
..........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก กค. เผย 13.4 ล้านคนที่ผ่านเกณท์ จะได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาทภายในสัปดาห์หน้า พร้อมหามาตรการช่วยเหลือ 1.7 ล้านคน ที่ลงทะเบียนไม่ผ่าน
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม 2563
โฆษก กค. เผย 13.4 ล้านคนที่ผ่านเกณท์ จะได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาทภายในสัปดาห์หน้า พร้อมหามาตรการช่วยเหลือ 1.7 ล้านคน ที่ลงทะเบียนไม่ผ่าน
โฆษก กค. เผย 13.4 ล้านคนที่ผ่านเกณท์ จะได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาทภายในสัปดาห์หน้า พร้อมหามาตรการช่วยเหลือ 1.7 ล้านคน ที่ลงทะเบียนไม่ผ่าน
วันนี้ (7 พ.ค. 63) เวลา 12.00 น. ณศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) (ศบค.)โถงกลางตึกสันติไมตรีทําเนียบรัฐบาล นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง รายงานความคืบหน้าโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” มาตรการเยียวยา 5,000 บาท ซึ่งได้มีการลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2563 มียอดผู้ลงทะเบียนทั้งสิ้น 28,800,000 ราย หักจากจํานวนที่มีการลงทะเบียนซ้ํา 4,800,000 ราย และ 1,700,000 รายที่ลงทะเบียนไม่ผ่าน ทั้งนี้ ข้อมูลประชาชนที่ลงทะเบียนจํานวน 22,300,000 ราย ได้ถูกนํามาเข้าสู่ระบบกระบวนการคัดกรอง โดยผู้ผ่านเกณฑ์รอบแรกมีจํานวน 4,400,000 ราย กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มผู้ที่ต้องขอข้อมูลเพิ่มเติมมี 6,500,000 ราย มีการพิจารณาผ่านเกณฑ์คัดกรองแล้วอีก 5,100,000 ราย กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มที่ไม่ผ่านเกณฑ์มี 10,400,000 ราย มีการขอทบทวนสิทธิแล้ว 5,600,000 ราย ซึ่งในจํานวนนี้พิจารณาผ่านเกณฑ์แล้ว 3,800,000 ราย เมื่อรวมตัวเลขเบื้องต้นรอบแรกผู้ที่ผ่านเกณฑ์จากการขอข้อมูลเพิ่มเติม 5.1 ล้านราย และผู้ที่ผ่านเกณฑ์จากกระบวนการขอทบทวนสิทธิอีก 3,800,000 ราย ข้อมูลล่าสุดมีผู้ที่ผ่านเกณฑ์ทั้งสิ้น 13,400,000 ราย ซึ่งจํานวนส่วนใหญ่คือจํานวน 11 ล้านราย จะมีการโอนให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 8 พฤษภาคม นี้ ส่วนที่เหลืออีก 2,400,000 ราย จะมีการโอนเงินให้เสร็จสิ้นภายในสัปดาห์หน้า ดังนั้น ประชาชน 13,400,000 ราย ที่ได้ผ่านเกณฑ์แล้ว สามารถเข้าไปตรวจสอบที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ไปที่ปุ่มสีเทา ตรวจสอบสถานะ ซึ่งจะได้ทราบข้อมูลที่เป็นปัจจุบันทันที โดยไม่จําเป็นต้องรอ SMS มายืนยัน
ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า ในช่วง 2- 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้เปิดช่องทางในการรับข้อร้องเรียน และผ่าน Call Center สรุป ข้อแรก คือ บัญชีที่ไม่ตรง โดยใน 13,400,000 ราย มีความพยายามโอนเงินเข้าบัญชีที่ลงทะเบียนไว้ แต่มีหลายคนที่บัญชีที่แจ้งไว้ไม่สามารถเข้าไปได้ ซึ่งจะได้รับแจ้งข้อความว่าเปลี่ยนข้อมูลช่องทางในการรับเงินแก้ไขบัญชีให้ถูกต้อง คนที่เข้ามาดําเนินการแก้ไขแล้ว และจะได้รับข้อความว่า อยู่ระหว่างการตรวจสอบวิธีการรับเงิน ถ้าท่านที่แก้ไขบัญชีแล้ว 1 ครั้งสําเร็จ บัญชีถูกต้อง เงินก็จะโอนเข้าในบัญชีของท่านที่แก้ไขในรอบต่อไปของการโอนเงิน กรณีการแก้ไขบัญชีครั้งที่ 1 ไม่สําเร็จแล้วมีการพยายามในการแก้ไขในครั้งที่ 2 3 4 แนะนําให้ไปสมัครพร้อมเพย์ที่ผูกบัตรกับประชาชน เพื่อให้การโอนเงินถูกต้องของตนเอง กรณีได้รับ sms ลงทะเบียนไม่สําเร็จเนื่องจากข้อมูลบัตรประชาชนไม่ถูกต้องอาจจะอยู่ในกลุ่ม 1.7 ล้านราย ที่ลงทะเบียนไม่ผ่าน ซึ่งจะยังไม่เข้าสู่กระบวนการคัดกรอง ซึ่งกระทรวงการคลังได้รับทราบปัญหาดังกล่าวแล้ว และจะพิจารณาดูแลมาตรการเยียวยาที่เหมาะสมรองรับกลับกลุ่มพี่น้องประชาชนกลุ่มนี้ต่อไป
ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า การลงทะเบียนปิดตั้งแต่วันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งจะพยายามคัดกรองผลออกมาให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด ซึ่งเชื่อว่า 13.4 ล้านราย เป็นตัวเลข ณ วันนี้ แต่ตัวเลขมีการเพิ่มขึ้นทุกวันซึ่งจะมาจาก 2 ส่วน คือ ส่วนที่ทําให้ข้อมูลเพิ่มเติมและคัดกรองแล้วผ่านเกณฑ์ สําหรับประชาชนประมาณ 5 แสนรายยังไม่ได้มาให้ข้อมูลเพิ่มเติม
โฆษกกระทรวงการคลังได้ชี้แจง กรณีผู้พิทักษ์ติดต่อมาหาผู้ที่ลงทะเบียนไว้ แต่ผู้ที่ลงทะเบียนไม่สามารถไปพบได้ตามสิทธิจะเสียสิทธิหรือไม่ โดยผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลังยืนยันว่า จะไม่มีการเสียสิทธิ หากไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่ได้แจ้งไว้ มีเหตุจําเป็นเคลื่อนย้ายสถานที่ ข้อมูลจะถูกส่งกลับมาที่ส่วนกลางแล้วจะมีการมอบมอบหมายทีมผู้พิทักษ์สิทธิที่อยู่ในพื้นที่ที่อยู่ในปัจจุบันลงไปพบประชาชน
ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวในตอนท้ายว่า กระทรวงการคลังตั้งเป้าไว้ว่า กระบวนการการคัดกรองทั้งหมดของมาตรการเราไม่ทิ้งกัน จะสิ้นสุดภายในวันที่ 17 พฤษภาคมนี้ เชื่อว่า อย่างน้อยร้อยละ 98 - 99 อาจตกหล่นอยู่บ้างเล็กน้อย แต่เชื่อว่าจะต้องสิ้นสุดภายในวันดังกล่าว
..........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30436
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน “การประกาศปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียน 2562”
|
วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562
นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน “การประกาศปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียน 2562”
นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน “การประกาศปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียน 2562”
วันนี้ (4 ก.พ. 62) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกล่าวสุนทรพจน์ในการจัดกิจกรรม “การประกาศปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Cultural Year)” สรุปสารสะสําคัญดังนี้
ในช่วงแรก นายกรัฐมนตรีและผู้ร่วมงานได้รับชมการแสดงชุดการเฉลิมฉลองปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียน ทั้ง 8 ชุด ได้แก่ การแสดงชุด Kelana Topeng การแสดงชุดรจนาเสียงพวงมาลัย การแสดงชุดระบําอาเซียน การแสดงดนตรีโดยวง Casean Consonant การแสดงงิ้วเปลี่ยนหน้ากาก การแสดงโขน ตอนพระรามข้ามสมุทร การแสดงหุ่น และการแสดงชุดฟินาเล่ โดยนายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมการแสดงอันน่าประทับใจ พร้อมกล่าวขอบคุณนักแสดงและผู้ฝึกสอนทุกคนที่ช่วยสืบสานและรักษาวัฒนธรรมอันหลากหลายเหล่านี้ไว้ ซึ่งนําไปสู่การเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันหลากหลายแก่สมาชิกอาเซียน
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ยินดีและเป็นเกียรติที่ไทยได้ดํารงตําแหน่งประธานอาเซียนในปี 2562 นี้ การเป็นประธานอาเซียนของไทยครั้งนี้มีแนวคิดหลัก คือ “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน (Advancing Partnership for Sustainability)” โดยสมาชิกอาเซียนต้อง มีความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจ กันเสริมสร้างความสัมพันธ์สู่การเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ บนพื้นฐานของหลักสามเอ็ม (3Ms) การไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ความเคารพซึ่งกันและกัน และผลประโยชน์ร่วมกัน (Mutual trust, Mutual respect, and Mutual benefit) นอกจากนี้ อาเซียนจะต้อง “ก้าวไกล” สู่ยุค 4.0 ให้ทันโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและความท้าทายอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อความอยู่ดีกินดีและสันติสุขของประชาชนอาเซียน รวมทั้งต้องส่งเสริมการพัฒนาอย่าง “ยั่งยืน” ซึ่งเป็นวาระของโลก เพื่อ “ขับเคลื่อนอาเซียนให้ก้าวหน้าไปด้วยกัน สร้างประชาคมอาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางและไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
นายกรัฐมนตรีย้ําถึง มิติด้านสังคมและวัฒนธรรมเป็นอีกหลักสําคัญของประชาคมอาเซียนไม่เพียงแต่มิติทางการเมืองและเศรษฐกิจ ที่ช่วยยึดโยงพลเมืองอาเซียนเข้าไว้ด้วยกัน ด้วยประเทศสมาชิกอาเซียนต่างมีความใกล้ชิดทางวัฒนธรรมที่โยงใยมาจากความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและยาวนาน มีความแตกต่าง หลากหลายแต่มีความเหมือนและอยู่ร่วมกันด้วยความเข้าใจ
นายกรัฐมนตรี แสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่กระทรวงวัฒนธรรมได้เสนอข้อริเริ่ม “ปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียน 2562” ภายใต้แนวคิด “หลากหลาย สร้างสรรค์ ยั่งยืน” เพื่อชูบทบาทของไทยด้วยมิติทางวัฒนธรรมในการเป็นประธานอาเซียน ปี 2562 โดยความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ผสานกลมกลืนเป็นอัตลักษณ์ของอาเซียนนี้จะส่งเสริมความเข้มแข็งของอาเซียน ทั้งนี้ จะมีการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่หลากหลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนความหลากหลายทางวัฒนธรรม อนุรักษ์ และพัฒนาต่อยอดมรดกทางวัฒนธรรมของอาเซียน ที่มีพลวัตให้กลายเป็นทุนของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry) ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่พร้อมเติบโตอย่างรวดเร็ว และต่อเนื่องของอาเซียน
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ประสานความร่วมมืออย่างเข้มแข็ง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ทั้งในและนอกประเทศ ที่มีสนับสนุนให้เกิดการขับเคลื่อนกิจกรรมโครงการปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียน 2562 นี้ พร้อมกล่าวเชิญชวนให้ประชาชนชาวไทยและประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมกันขับเคลื่อนการเผยแพร่วัฒนธรรมอาเซียนในเวทีโลก ในการประกาศปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียน 2562 ให้บรรลุแนวคิด “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน “การประกาศปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียน 2562”
วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562
นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน “การประกาศปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียน 2562”
นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน “การประกาศปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียน 2562”
วันนี้ (4 ก.พ. 62) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกล่าวสุนทรพจน์ในการจัดกิจกรรม “การประกาศปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Cultural Year)” สรุปสารสะสําคัญดังนี้
ในช่วงแรก นายกรัฐมนตรีและผู้ร่วมงานได้รับชมการแสดงชุดการเฉลิมฉลองปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียน ทั้ง 8 ชุด ได้แก่ การแสดงชุด Kelana Topeng การแสดงชุดรจนาเสียงพวงมาลัย การแสดงชุดระบําอาเซียน การแสดงดนตรีโดยวง Casean Consonant การแสดงงิ้วเปลี่ยนหน้ากาก การแสดงโขน ตอนพระรามข้ามสมุทร การแสดงหุ่น และการแสดงชุดฟินาเล่ โดยนายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมการแสดงอันน่าประทับใจ พร้อมกล่าวขอบคุณนักแสดงและผู้ฝึกสอนทุกคนที่ช่วยสืบสานและรักษาวัฒนธรรมอันหลากหลายเหล่านี้ไว้ ซึ่งนําไปสู่การเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันหลากหลายแก่สมาชิกอาเซียน
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ยินดีและเป็นเกียรติที่ไทยได้ดํารงตําแหน่งประธานอาเซียนในปี 2562 นี้ การเป็นประธานอาเซียนของไทยครั้งนี้มีแนวคิดหลัก คือ “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน (Advancing Partnership for Sustainability)” โดยสมาชิกอาเซียนต้อง มีความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจ กันเสริมสร้างความสัมพันธ์สู่การเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ บนพื้นฐานของหลักสามเอ็ม (3Ms) การไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ความเคารพซึ่งกันและกัน และผลประโยชน์ร่วมกัน (Mutual trust, Mutual respect, and Mutual benefit) นอกจากนี้ อาเซียนจะต้อง “ก้าวไกล” สู่ยุค 4.0 ให้ทันโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและความท้าทายอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อความอยู่ดีกินดีและสันติสุขของประชาชนอาเซียน รวมทั้งต้องส่งเสริมการพัฒนาอย่าง “ยั่งยืน” ซึ่งเป็นวาระของโลก เพื่อ “ขับเคลื่อนอาเซียนให้ก้าวหน้าไปด้วยกัน สร้างประชาคมอาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางและไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
นายกรัฐมนตรีย้ําถึง มิติด้านสังคมและวัฒนธรรมเป็นอีกหลักสําคัญของประชาคมอาเซียนไม่เพียงแต่มิติทางการเมืองและเศรษฐกิจ ที่ช่วยยึดโยงพลเมืองอาเซียนเข้าไว้ด้วยกัน ด้วยประเทศสมาชิกอาเซียนต่างมีความใกล้ชิดทางวัฒนธรรมที่โยงใยมาจากความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและยาวนาน มีความแตกต่าง หลากหลายแต่มีความเหมือนและอยู่ร่วมกันด้วยความเข้าใจ
นายกรัฐมนตรี แสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่กระทรวงวัฒนธรรมได้เสนอข้อริเริ่ม “ปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียน 2562” ภายใต้แนวคิด “หลากหลาย สร้างสรรค์ ยั่งยืน” เพื่อชูบทบาทของไทยด้วยมิติทางวัฒนธรรมในการเป็นประธานอาเซียน ปี 2562 โดยความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ผสานกลมกลืนเป็นอัตลักษณ์ของอาเซียนนี้จะส่งเสริมความเข้มแข็งของอาเซียน ทั้งนี้ จะมีการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่หลากหลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนความหลากหลายทางวัฒนธรรม อนุรักษ์ และพัฒนาต่อยอดมรดกทางวัฒนธรรมของอาเซียน ที่มีพลวัตให้กลายเป็นทุนของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry) ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่พร้อมเติบโตอย่างรวดเร็ว และต่อเนื่องของอาเซียน
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ประสานความร่วมมืออย่างเข้มแข็ง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ทั้งในและนอกประเทศ ที่มีสนับสนุนให้เกิดการขับเคลื่อนกิจกรรมโครงการปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียน 2562 นี้ พร้อมกล่าวเชิญชวนให้ประชาชนชาวไทยและประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมกันขับเคลื่อนการเผยแพร่วัฒนธรรมอาเซียนในเวทีโลก ในการประกาศปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียน 2562 ให้บรรลุแนวคิด “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน”
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18565
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกฯ เผยการแก้ไข พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 14 ประเด็น ไม่กระทบต่อสิทธิ - สวัสดิการของประชาชน เตือนกลุ่มบุคคลล้มประชาพิจารณ์ เจอดำเนินการตามกฎหมาย
|
วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน 2560
โฆษกฯ เผยการแก้ไข พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 14 ประเด็น ไม่กระทบต่อสิทธิ - สวัสดิการของประชาชน เตือนกลุ่มบุคคลล้มประชาพิจารณ์ เจอดําเนินการตามกฎหมาย
โฆษกฯ เผยการแก้ไข พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 14 ประเด็น ไม่กระทบต่อสิทธิ - สวัสดิการของประชาชน เตือนกลุ่มบุคคลล้มประชาพิจารณ์ เจอดําเนินการตามกฎหมาย
วันนี้ (22 มิถุนายน 2560) เวลา 12.45 น. ณ ทําเนียบรัฐบาล พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีการคัดค้าน การแก้ไข พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (30 บาทรักษาทุกโรค) ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่าการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายมีประเด็นที่แตกต่างจากฉบับเติมอยู่ 14 ประเด็น โดยไม่มีประเด็นใดส่งผลกระทบต่อสิทธิหรือสวัสดิการการดูแลประชาชนให้ลดน้อยลง ประชาชนทุกคนยังจะได้รับการบริการจากรัฐเหมือนเดิมตามกฎ กติกาของบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค โดยใน 14 ประเด็นมุ่งไปที่การแก้ไขการบริหารจัดการขององค์กร ทั้งกระทรวงสาธารณสุขและสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
“อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. ที่ผ่านมา หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผมได้ชี้แจงว่า เมื่อแก้ไขกฎหมายแล้วการซื้อยาของ สปสช. ในจํานวนมากจะได้ราคาที่ลดลง ซึ่งราคาที่ลดลงนี้จะนําไปสนับสนุนบทบาทภารกิจของเอ็นจีโอที่ร้องขอมา ส่งผลให้เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้โทรศัพท์มาคุยกับผม พร้อมเรียนเรื่องนี้กับนายกรัฐมนตรี โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่าไม่ได้พูดว่า เมื่อซื้อยาที่ได้ลดราคาแล้วจะนําเงินไปสนับสนุนงานของเอ็นจีโอ ผมได้ฟังเรื่องนี้จากหลายคนเพราะเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายให้ความสนใจ จึงจับประเด็นผิดพลาดของผมเอง จนทําให้คํานี้เหมือนจะออกมาจากปากของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และได้รับผลกระทบถูกกดดันพอสมควร จึงขออภัยที่ทําให้ได้รับผลกระทบด้วย” โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เวทีประชาพิจารณ์ที่มีปัญหานั้นกระทรวงสาธารณสุขจะเดินหน้าอย่างไร โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขยังไม่ได้ระบุถึงแนวทางต่อไป ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการทําประชาพิจารณ์ และรัฐบาลเองก็ไม่ควรออกความคิดเห็นอะไรมากเพราะจะกลายเป็นการตั้งธงไว้ตั้งแต่ต้น จึงต้องรอให้ทางกระทรวงสาธารณสุขได้คิดแก้ไขปัญหา ด้วยวิธีการของตัวเอง พร้อมทําความเข้าใจต่อประชาชน ซึ่งสุดท้ายรัฐบาลจะต้องฟังผลการทําประชาพิจารณ์ว่าความเห็นของประชาชนทั่วประเทศนั้นมีความเห็นใดบ้างที่จะต้องนํามาปรับแก้ให้ตรงกับความต้องการของประชาชน สามารถแก้ไขปัญหาได้จริง
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ส่วนการล้มเวทีประชาพิจารณ์ในหลายภาค ขอเรียนว่าเวลานี้เรากําลังเดินหน้าสู่การเลือกตั้งตามโรดแม็พ การเปิดใจยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นถือเป็นเรื่องสําคัญเป็นรากฐานของระบอบประชาธิปไตย แม้ว่ารัฐบาลนี้จะไม่ใช่รัฐบาลประชาธิปไตย แต่เราพร้อมจะรับฟังความเห็น จึงขอวิงวอนไปยังทุกภาคส่วนว่าเมื่อเปิดเวทีประชาพิจารณ์หรือให้ข้อมูลอะไรก็แล้วแต่ ทุกคนมีสิทธิเห็นต่าง สามารถนําเสนอได้ในมุมของตัวเอง แต่ไม่ควรจํากัดสิทธิของผู้อื่นและคิดว่าการล้มเวทีประชาพิจารณ์ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่กําลังรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่วนจะดําเนินการอย่างไรจะต้องยึดบรรทัดฐานของกฎหมายเป็นหลัก
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลคิดว่าที่พยายามล้มเวทีประชาพิจารณ์เป็นคนกลุ่มใด ใช่กลุ่ม NGO ที่เสียประโยชน์หรือไม่ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่กล้าบอกว่าเป็นใคร แต่เจ้าหน้าที่ตํารวจซึ่งอยู่ในพื้นที่ได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดไว้แล้ว จึงขอฝากผู้ที่กระทําการว่าเจ้าหน้าที่ตํารวจจะดําเนินเนินการไปตามกระบวนการกฎหมาย
----------------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกฯ เผยการแก้ไข พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 14 ประเด็น ไม่กระทบต่อสิทธิ - สวัสดิการของประชาชน เตือนกลุ่มบุคคลล้มประชาพิจารณ์ เจอดำเนินการตามกฎหมาย
วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน 2560
โฆษกฯ เผยการแก้ไข พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 14 ประเด็น ไม่กระทบต่อสิทธิ - สวัสดิการของประชาชน เตือนกลุ่มบุคคลล้มประชาพิจารณ์ เจอดําเนินการตามกฎหมาย
โฆษกฯ เผยการแก้ไข พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 14 ประเด็น ไม่กระทบต่อสิทธิ - สวัสดิการของประชาชน เตือนกลุ่มบุคคลล้มประชาพิจารณ์ เจอดําเนินการตามกฎหมาย
วันนี้ (22 มิถุนายน 2560) เวลา 12.45 น. ณ ทําเนียบรัฐบาล พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีการคัดค้าน การแก้ไข พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (30 บาทรักษาทุกโรค) ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่าการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายมีประเด็นที่แตกต่างจากฉบับเติมอยู่ 14 ประเด็น โดยไม่มีประเด็นใดส่งผลกระทบต่อสิทธิหรือสวัสดิการการดูแลประชาชนให้ลดน้อยลง ประชาชนทุกคนยังจะได้รับการบริการจากรัฐเหมือนเดิมตามกฎ กติกาของบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค โดยใน 14 ประเด็นมุ่งไปที่การแก้ไขการบริหารจัดการขององค์กร ทั้งกระทรวงสาธารณสุขและสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
“อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. ที่ผ่านมา หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผมได้ชี้แจงว่า เมื่อแก้ไขกฎหมายแล้วการซื้อยาของ สปสช. ในจํานวนมากจะได้ราคาที่ลดลง ซึ่งราคาที่ลดลงนี้จะนําไปสนับสนุนบทบาทภารกิจของเอ็นจีโอที่ร้องขอมา ส่งผลให้เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้โทรศัพท์มาคุยกับผม พร้อมเรียนเรื่องนี้กับนายกรัฐมนตรี โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่าไม่ได้พูดว่า เมื่อซื้อยาที่ได้ลดราคาแล้วจะนําเงินไปสนับสนุนงานของเอ็นจีโอ ผมได้ฟังเรื่องนี้จากหลายคนเพราะเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายให้ความสนใจ จึงจับประเด็นผิดพลาดของผมเอง จนทําให้คํานี้เหมือนจะออกมาจากปากของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และได้รับผลกระทบถูกกดดันพอสมควร จึงขออภัยที่ทําให้ได้รับผลกระทบด้วย” โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เวทีประชาพิจารณ์ที่มีปัญหานั้นกระทรวงสาธารณสุขจะเดินหน้าอย่างไร โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขยังไม่ได้ระบุถึงแนวทางต่อไป ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการทําประชาพิจารณ์ และรัฐบาลเองก็ไม่ควรออกความคิดเห็นอะไรมากเพราะจะกลายเป็นการตั้งธงไว้ตั้งแต่ต้น จึงต้องรอให้ทางกระทรวงสาธารณสุขได้คิดแก้ไขปัญหา ด้วยวิธีการของตัวเอง พร้อมทําความเข้าใจต่อประชาชน ซึ่งสุดท้ายรัฐบาลจะต้องฟังผลการทําประชาพิจารณ์ว่าความเห็นของประชาชนทั่วประเทศนั้นมีความเห็นใดบ้างที่จะต้องนํามาปรับแก้ให้ตรงกับความต้องการของประชาชน สามารถแก้ไขปัญหาได้จริง
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ส่วนการล้มเวทีประชาพิจารณ์ในหลายภาค ขอเรียนว่าเวลานี้เรากําลังเดินหน้าสู่การเลือกตั้งตามโรดแม็พ การเปิดใจยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นถือเป็นเรื่องสําคัญเป็นรากฐานของระบอบประชาธิปไตย แม้ว่ารัฐบาลนี้จะไม่ใช่รัฐบาลประชาธิปไตย แต่เราพร้อมจะรับฟังความเห็น จึงขอวิงวอนไปยังทุกภาคส่วนว่าเมื่อเปิดเวทีประชาพิจารณ์หรือให้ข้อมูลอะไรก็แล้วแต่ ทุกคนมีสิทธิเห็นต่าง สามารถนําเสนอได้ในมุมของตัวเอง แต่ไม่ควรจํากัดสิทธิของผู้อื่นและคิดว่าการล้มเวทีประชาพิจารณ์ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่กําลังรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่วนจะดําเนินการอย่างไรจะต้องยึดบรรทัดฐานของกฎหมายเป็นหลัก
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลคิดว่าที่พยายามล้มเวทีประชาพิจารณ์เป็นคนกลุ่มใด ใช่กลุ่ม NGO ที่เสียประโยชน์หรือไม่ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่กล้าบอกว่าเป็นใคร แต่เจ้าหน้าที่ตํารวจซึ่งอยู่ในพื้นที่ได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดไว้แล้ว จึงขอฝากผู้ที่กระทําการว่าเจ้าหน้าที่ตํารวจจะดําเนินเนินการไปตามกระบวนการกฎหมาย
----------------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4710
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วย รมว.ดิจิทัลฯ เข้าร่วมประชุม “Broadband Commission for Sustainable Development 2018” และงาน “Transform Africa Summit 2018”
|
วันพุธที่ 16 พฤษภาคม 2561
ผู้ช่วย รมว.ดิจิทัลฯ เข้าร่วมประชุม “Broadband Commission for Sustainable Development 2018” และงาน “Transform Africa Summit 2018”
ผู้ช่วย รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เข้าร่วมการประชุม “Broadband Commission for Sustainable Development 2018” เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2561 ณ กรุงคิกาลี สาธารณรัฐรวันดา ซึ่งเป็นเวทีการหารือของคณะกรรมการบรอดแบนด์ที่ประกอบด้วยผู้นําจากทั่วทุกภูมิภาค จํานวน 34 คน ทั้งจากภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม องค์การระหว่างประเทศ และภาคการศึกษา โดยมีเป้าหมายหลักในการหารือเรื่องการขยายโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์สนับสนุนการดําเนินงานด้านต่างๆ ให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะประเด็นแนวทางการลดช่องว่างดิจิทัล เพื่อให้ประชากรจํานวน 3.8 พันล้านคนทั่วโลก เข้าถึงเทคโนโลยีบรอดแบนด์ รวมถึงบริการต่างๆ ทั้งด้านการเงิน การค้าการลงทุน การศึกษา สุขภาพ และการปกครอง ทั้งนี้ สหประชาชาติได้จัดตั้งคณะกรรมการบรอดแบนด์ชุดปัจจุบัน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ของไทย ร่วมเป็นกรรมการด้วยนั้น มีภารกิจหลักในการทําให้ประชาชนกลุ่มผู้ด้อยโอกาสได้รับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมทั้งช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการจ้างงาน การคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และสร้างการเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจด้วยโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์ ในโอกาสนี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ยังได้เข้าร่วมพิธีเปิดงาน Transform Africa Summit 2018 เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2561 ซึ่งจัดต่อเนื่องกับการประชุม Broadband Commission ภายใต้หัวข้อหลักในการจัดงาน คือ “Accelerating Africa’s Single Digital Market” โดยมีประธานาธิบดีสาธารณรัฐรวันดา ประธานกลุ่ม Transform Africa Summit เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และมีผู้นําจากประเทศแอฟริกาเข้าร่วมจํานวนมาก
*********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วย รมว.ดิจิทัลฯ เข้าร่วมประชุม “Broadband Commission for Sustainable Development 2018” และงาน “Transform Africa Summit 2018”
วันพุธที่ 16 พฤษภาคม 2561
ผู้ช่วย รมว.ดิจิทัลฯ เข้าร่วมประชุม “Broadband Commission for Sustainable Development 2018” และงาน “Transform Africa Summit 2018”
ผู้ช่วย รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เข้าร่วมการประชุม “Broadband Commission for Sustainable Development 2018” เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2561 ณ กรุงคิกาลี สาธารณรัฐรวันดา ซึ่งเป็นเวทีการหารือของคณะกรรมการบรอดแบนด์ที่ประกอบด้วยผู้นําจากทั่วทุกภูมิภาค จํานวน 34 คน ทั้งจากภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม องค์การระหว่างประเทศ และภาคการศึกษา โดยมีเป้าหมายหลักในการหารือเรื่องการขยายโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์สนับสนุนการดําเนินงานด้านต่างๆ ให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะประเด็นแนวทางการลดช่องว่างดิจิทัล เพื่อให้ประชากรจํานวน 3.8 พันล้านคนทั่วโลก เข้าถึงเทคโนโลยีบรอดแบนด์ รวมถึงบริการต่างๆ ทั้งด้านการเงิน การค้าการลงทุน การศึกษา สุขภาพ และการปกครอง ทั้งนี้ สหประชาชาติได้จัดตั้งคณะกรรมการบรอดแบนด์ชุดปัจจุบัน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ของไทย ร่วมเป็นกรรมการด้วยนั้น มีภารกิจหลักในการทําให้ประชาชนกลุ่มผู้ด้อยโอกาสได้รับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมทั้งช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการจ้างงาน การคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และสร้างการเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจด้วยโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์ ในโอกาสนี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ยังได้เข้าร่วมพิธีเปิดงาน Transform Africa Summit 2018 เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2561 ซึ่งจัดต่อเนื่องกับการประชุม Broadband Commission ภายใต้หัวข้อหลักในการจัดงาน คือ “Accelerating Africa’s Single Digital Market” โดยมีประธานาธิบดีสาธารณรัฐรวันดา ประธานกลุ่ม Transform Africa Summit เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และมีผู้นําจากประเทศแอฟริกาเข้าร่วมจํานวนมาก
*********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12259
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. แสดงความยินดีกับเด็กพิการไทย คว้า 3 เหรียญ เวที IT Challenge 2019
|
วันจันทร์ที่ 13 มกราคม 2563
รมว.พม. แสดงความยินดีกับเด็กพิการไทย คว้า 3 เหรียญ เวที IT Challenge 2019
รมว.พม. แสดงความยินดีกับเด็กพิการไทย คว้า 3 เหรียญ เวที IT Challenge 2019
วันนี้ (13 ม.ค. 63) เวลา 11.30 น. ที่ห้องรับรอง ชั้น 9 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) มอบโล่ประกาศเกียรติคุณ พร้อมกล่าวให้โอวาทในพิธีเชิดชูเกียรติแก่คณะเยาวชนพิการไทยที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2562 (2019 Global IT Challenge for Youth with Disabilities) ระหว่างวันที่ 25 – 29 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา ณ เมืองปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี โดยคณะเยาวชนพิการไทยดังกล่าว ได้รับเหรียญรางวัล จํานวน 3 รางวัล ได้แก่ 1 เหรียญทอง ประเภททีม จากการแข่งขัน e-Creative Challenge 2 เหรียญเงิน ประเภทบุคคล จากการแข่งขัน e-Tools Challenge และ e-Lifemap Challenge
นายจุติ กล่าวว่า ในนามของรัฐบาล มีความยินดีที่ได้ต้อนรับและแสดงความยินดีกับคณะเยาวชนพิการไทย ที่ได้รับเหรียญรางวัลจากการแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2562 (2019 Global IT Challenge for Youth with Disabilities) ในวันนี้ ซึ่งคนพิการเป็นกลุ่มเป้าหมายที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ให้ความสําคัญในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพให้มีความสามารถในการดํารงชีวิต มีทักษะความรู้และความสามารถ รวมทั้งมีส่วนร่วมในสังคมได้เช่นเดียวกับคนทั่วไป ซึ่งส่งผลให้สามารถส่งเยาวชนพิการที่มีทักษะความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เข้าร่วมการแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2562 ระหว่างวันที่ 25 - 29 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา ณ เมืองปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี จํานวน 8 คน เป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขัน 4 ประเภท ได้แก่ e-Tool Challenge , e-Life Map Challenge , e-Content Challenge และ e-Creative Challenge ทั้งนี้ จากการเข้าร่วมการแข่งขันฯ ปรากฏว่าเยาวชนพิการไทยได้รับเหรียญรางวัล จํานวน 3 รางวัล ได้แก่ 1) เหรียญทอง ประเภทรายทีม จากการแข่งขัน e-Creative Challenge ได้แก่ นางสาวจิดาภา นิติวีระกุล อายุ 17 ปี พิการทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหว จากวิทยาลัยเทคโนโลยีพระมหาไถ่ พัทยา นางสาวสุชัญญา หองส่ํา อายุ 17 ปี พิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย จากโรงเรียนเศรษฐเสถียรในพระราชูปถัมภ์ นายศุภโชค สุขจําลอง อายุ 18 ปี พิการทางออทิสติก จากสมาคมออทิสติกสามัคคีไทย และนายทยากร แจ่มปัญญา อายุ 18 ปี พิการทางการเห็น จากโรงเรียนการศึกษาคนตาบอด จังหวัดนครราชสีมา 2) 2 เหรียญเงิน ประเภทรายบุคคล จากการแข่งขัน e-Tools Challenge และ e-Lifemap Challenge คือ นางสาวจิดาภา นิติวีระกุล อายุ 17 ปี พิการทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหว จากวิทยาลัยเทคโนโลยีพระมหาไถ่ พัทยา
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลได้ให้ความสําคัญกับเยาวชน ซึ่งเป็นอนาคตของประเทศชาติ จึงอยากให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงหน้าที่ของตนเอง ร่วมสร้างสังคมที่อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน อย่างไรก็ตาม นับเป็นโอกาสอันดีที่เยาวชนพิการไทยได้มีโอกาสเก็บเกี่ยวประสบการณ์และความรู้ เพื่อนํากลับมาพัฒนาตนเองและประเทศชาติ ซึ่งการแสดงศักยภาพของเยาวชนพิการไทย สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยได้อีกด้วย ในโอกาสนี้ได้มอบเงินรางวัล พร้อมร่วมเลี้ยงอาหารกลางวัน เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจให้แก่คณะเยาวชนพิการไทยต่อไป
“ในนามของกระทรวง พม. ขอขอบคุณหน่วยงานและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องที่มุ่งมั่นพัฒนาคนพิการจนสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างมีศักยภาพ ขอให้เยาวชนพิการไทยทุกคนจงมีความมานะพยายาม ขยันหมั่นเพียร มุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาตนเองต่อไปโดยไม่ย่อท้อ และไม่นําความบกพร่องทางร่างกายมาเป็นอุปสรรค และเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่คนพิการอื่นๆ รวมไปถึงคนปกติให้ได้ตระหนักถึงความสําคัญในการพัฒนาความรู้ และนําไปสู่การประกอบอาชีพและใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีเกียรติ และมีศักดิ์ศรี ทั้งนี้ กระทรวง พม. พร้อมให้โอกาสและให้กําลังใจแก่พิการทุกคน ต่อไป” นายจุติ กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. แสดงความยินดีกับเด็กพิการไทย คว้า 3 เหรียญ เวที IT Challenge 2019
วันจันทร์ที่ 13 มกราคม 2563
รมว.พม. แสดงความยินดีกับเด็กพิการไทย คว้า 3 เหรียญ เวที IT Challenge 2019
รมว.พม. แสดงความยินดีกับเด็กพิการไทย คว้า 3 เหรียญ เวที IT Challenge 2019
วันนี้ (13 ม.ค. 63) เวลา 11.30 น. ที่ห้องรับรอง ชั้น 9 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) มอบโล่ประกาศเกียรติคุณ พร้อมกล่าวให้โอวาทในพิธีเชิดชูเกียรติแก่คณะเยาวชนพิการไทยที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2562 (2019 Global IT Challenge for Youth with Disabilities) ระหว่างวันที่ 25 – 29 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา ณ เมืองปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี โดยคณะเยาวชนพิการไทยดังกล่าว ได้รับเหรียญรางวัล จํานวน 3 รางวัล ได้แก่ 1 เหรียญทอง ประเภททีม จากการแข่งขัน e-Creative Challenge 2 เหรียญเงิน ประเภทบุคคล จากการแข่งขัน e-Tools Challenge และ e-Lifemap Challenge
นายจุติ กล่าวว่า ในนามของรัฐบาล มีความยินดีที่ได้ต้อนรับและแสดงความยินดีกับคณะเยาวชนพิการไทย ที่ได้รับเหรียญรางวัลจากการแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2562 (2019 Global IT Challenge for Youth with Disabilities) ในวันนี้ ซึ่งคนพิการเป็นกลุ่มเป้าหมายที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ให้ความสําคัญในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพให้มีความสามารถในการดํารงชีวิต มีทักษะความรู้และความสามารถ รวมทั้งมีส่วนร่วมในสังคมได้เช่นเดียวกับคนทั่วไป ซึ่งส่งผลให้สามารถส่งเยาวชนพิการที่มีทักษะความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เข้าร่วมการแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2562 ระหว่างวันที่ 25 - 29 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา ณ เมืองปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี จํานวน 8 คน เป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขัน 4 ประเภท ได้แก่ e-Tool Challenge , e-Life Map Challenge , e-Content Challenge และ e-Creative Challenge ทั้งนี้ จากการเข้าร่วมการแข่งขันฯ ปรากฏว่าเยาวชนพิการไทยได้รับเหรียญรางวัล จํานวน 3 รางวัล ได้แก่ 1) เหรียญทอง ประเภทรายทีม จากการแข่งขัน e-Creative Challenge ได้แก่ นางสาวจิดาภา นิติวีระกุล อายุ 17 ปี พิการทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหว จากวิทยาลัยเทคโนโลยีพระมหาไถ่ พัทยา นางสาวสุชัญญา หองส่ํา อายุ 17 ปี พิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย จากโรงเรียนเศรษฐเสถียรในพระราชูปถัมภ์ นายศุภโชค สุขจําลอง อายุ 18 ปี พิการทางออทิสติก จากสมาคมออทิสติกสามัคคีไทย และนายทยากร แจ่มปัญญา อายุ 18 ปี พิการทางการเห็น จากโรงเรียนการศึกษาคนตาบอด จังหวัดนครราชสีมา 2) 2 เหรียญเงิน ประเภทรายบุคคล จากการแข่งขัน e-Tools Challenge และ e-Lifemap Challenge คือ นางสาวจิดาภา นิติวีระกุล อายุ 17 ปี พิการทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหว จากวิทยาลัยเทคโนโลยีพระมหาไถ่ พัทยา
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลได้ให้ความสําคัญกับเยาวชน ซึ่งเป็นอนาคตของประเทศชาติ จึงอยากให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงหน้าที่ของตนเอง ร่วมสร้างสังคมที่อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน อย่างไรก็ตาม นับเป็นโอกาสอันดีที่เยาวชนพิการไทยได้มีโอกาสเก็บเกี่ยวประสบการณ์และความรู้ เพื่อนํากลับมาพัฒนาตนเองและประเทศชาติ ซึ่งการแสดงศักยภาพของเยาวชนพิการไทย สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยได้อีกด้วย ในโอกาสนี้ได้มอบเงินรางวัล พร้อมร่วมเลี้ยงอาหารกลางวัน เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจให้แก่คณะเยาวชนพิการไทยต่อไป
“ในนามของกระทรวง พม. ขอขอบคุณหน่วยงานและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องที่มุ่งมั่นพัฒนาคนพิการจนสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างมีศักยภาพ ขอให้เยาวชนพิการไทยทุกคนจงมีความมานะพยายาม ขยันหมั่นเพียร มุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาตนเองต่อไปโดยไม่ย่อท้อ และไม่นําความบกพร่องทางร่างกายมาเป็นอุปสรรค และเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่คนพิการอื่นๆ รวมไปถึงคนปกติให้ได้ตระหนักถึงความสําคัญในการพัฒนาความรู้ และนําไปสู่การประกอบอาชีพและใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีเกียรติ และมีศักดิ์ศรี ทั้งนี้ กระทรวง พม. พร้อมให้โอกาสและให้กําลังใจแก่พิการทุกคน ต่อไป” นายจุติ กล่าวในตอนท้าย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25756
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. เปิดโครงการค้ำประกันสินเชื่อผู้ประกอบการ SMEs ประชารัฐ และนโยบายรัฐ ผ่านธนาคารกรุงไทย วงเงินค้ำฯ 10,000 ล้านบาท
|
วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน 2561
บสย. เปิดโครงการค้ําประกันสินเชื่อผู้ประกอบการ SMEs ประชารัฐ และนโยบายรัฐ ผ่านธนาคารกรุงไทย วงเงินค้ําฯ 10,000 ล้านบาท
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) สนับสนุนต่อยอดธุรกิจ SMEs ไทย เปิดตัว โครงการค้ําประกันสินเชื่อ ผู้ประกอบการ SMEs ประชารัฐ และนโยบายรัฐบาล ผ่าน ธนาคารกรุงไทย วงเงินค้ําฯ 10,000 ล้านบาท
นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล ประธานกรรมการ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า บสย. และ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ร่วมกันเปิดตัวโครงการค้ําประกันสินเชื่อผู้ประกอบการ SMEs ประชารัฐ และ นโยบายรัฐ เพื่อให้การสนับสนุนและต่อยอดธุรกิจ SMEs ไทย เปิดกว้างผู้ประกอบการ SMEs ที่อยู่ในภาคเศรษฐกิจเพื่อการขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ตามนโยบายประชารัฐ และ นโยบายรัฐบาล ผ่านโครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทรัพย์ (PGS7) ให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ทั้งประเภท บุคคลธรรมดา และ นิติบุคคล
โครงการค้ําประกันสินเชื่อ บสย. ผ่านธนาคารกรุงไทย ได้แก่ 1.โครงการค้ําประกันสินเชื่อกรุงไทย sSME ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ สําหรับผู้ประกอบการ ที่เข้าร่วมโครงการร้านค้าธงฟ้าประชารัฐและติดตั้งเครื่อง EDC 2.โครงการค้ําประกันสินเชื่อธุรกิจ กรุงไทย มินิบัส สําหรับผู้ประกอบการรถตู้โดยสาร ตามโครงการเปลี่ยนรถโดยสารประจําทางขนาดเล็กแทนรถตู้โดยสาร 3.โครงการค้ําประกันสินเชื่อธุรกิจ กรุงไทย sSME EEC 4.0 สําหรับผู้ประกอบการที่อยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดชลบุรี ระยอง และ ฉะเชิงเทรา รวมถึงคู่ค้าธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ธุรกิจต่อยอด หรือ Supply Chain กับธุรกิจในเขตพื้นที่ 3 จังหวัด
4. โครงการค้ําประกันสินเชื่อกรุงไทยเพื่อธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่อง สําหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อาทิ โรงแรม โฮสเทล ร้านอาหาร สปา รถเช่า เป็นต้น รวมถึงให้การสนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อและค้ําประกันสินเชื่อ แก่ผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายอื่นๆ ได้แก่ เกษตรแปรรูป โลจิสติกส์ และ S-Curve รวมวงเงินค้ําประกันสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท และ ฟรี ค่าธรรมเนียมค้ําประกัน 3 ปีแรก โดยรัฐบาลและธนาคารกรุงไทย สนับสนุนค่าธรรมเนียมค้ําประกันแทนผู้ประกอบการ
นายสุรชัย กล่าวว่า ความร่วมมือของทั้ง 2 หน่วยงานในครั้งนี้ จะช่วยขับเคลื่อนนโยบายรัฐเพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงแหล่งทุนได้เร็ว และง่ายขึ้น ซึ่งขณะนี้ บสย.ได้อนุมัติการค้ําประกันสินเชื่อ ในโครงการดังกล่าว รวม 477 ราย วงเงินค้ําประกันสินเชื่อกว่า 291 ล้านบาท (ณ 2 พ.ย. 2561) ทั้งนี้ บสย. ยังมีโครงการค้ําประกันสินเชื่ออื่นๆ ผ่านสินเชื่อธนาคารกรุงไทย อีก 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการค้ําประกันสินเชื่อ สําหรับ SMEs นิติบุคคลบัญชีเล่มเดียว 2.โครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs รายเล็ก วงเงินค้ําประกันสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 5 ล้านบาท และ 3. โครงการค้ําประกันสินเชื่อสําหรับ SMEs ทั่วไป
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ 0-2890-9999
ชนิญญา สันสมภาค 081-860-7477 [email protected] www.tcg.or.th
ศรัญยู ตันติเสรี 091-771-2885 [email protected] www.facebook.com/tcg.or.th
วิขุดา ก้องกีรติ 089-605-9870 [email protected]
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. เปิดโครงการค้ำประกันสินเชื่อผู้ประกอบการ SMEs ประชารัฐ และนโยบายรัฐ ผ่านธนาคารกรุงไทย วงเงินค้ำฯ 10,000 ล้านบาท
วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน 2561
บสย. เปิดโครงการค้ําประกันสินเชื่อผู้ประกอบการ SMEs ประชารัฐ และนโยบายรัฐ ผ่านธนาคารกรุงไทย วงเงินค้ําฯ 10,000 ล้านบาท
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) สนับสนุนต่อยอดธุรกิจ SMEs ไทย เปิดตัว โครงการค้ําประกันสินเชื่อ ผู้ประกอบการ SMEs ประชารัฐ และนโยบายรัฐบาล ผ่าน ธนาคารกรุงไทย วงเงินค้ําฯ 10,000 ล้านบาท
นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล ประธานกรรมการ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า บสย. และ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ร่วมกันเปิดตัวโครงการค้ําประกันสินเชื่อผู้ประกอบการ SMEs ประชารัฐ และ นโยบายรัฐ เพื่อให้การสนับสนุนและต่อยอดธุรกิจ SMEs ไทย เปิดกว้างผู้ประกอบการ SMEs ที่อยู่ในภาคเศรษฐกิจเพื่อการขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ตามนโยบายประชารัฐ และ นโยบายรัฐบาล ผ่านโครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทรัพย์ (PGS7) ให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ทั้งประเภท บุคคลธรรมดา และ นิติบุคคล
โครงการค้ําประกันสินเชื่อ บสย. ผ่านธนาคารกรุงไทย ได้แก่ 1.โครงการค้ําประกันสินเชื่อกรุงไทย sSME ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ สําหรับผู้ประกอบการ ที่เข้าร่วมโครงการร้านค้าธงฟ้าประชารัฐและติดตั้งเครื่อง EDC 2.โครงการค้ําประกันสินเชื่อธุรกิจ กรุงไทย มินิบัส สําหรับผู้ประกอบการรถตู้โดยสาร ตามโครงการเปลี่ยนรถโดยสารประจําทางขนาดเล็กแทนรถตู้โดยสาร 3.โครงการค้ําประกันสินเชื่อธุรกิจ กรุงไทย sSME EEC 4.0 สําหรับผู้ประกอบการที่อยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดชลบุรี ระยอง และ ฉะเชิงเทรา รวมถึงคู่ค้าธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ธุรกิจต่อยอด หรือ Supply Chain กับธุรกิจในเขตพื้นที่ 3 จังหวัด
4. โครงการค้ําประกันสินเชื่อกรุงไทยเพื่อธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่อง สําหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อาทิ โรงแรม โฮสเทล ร้านอาหาร สปา รถเช่า เป็นต้น รวมถึงให้การสนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อและค้ําประกันสินเชื่อ แก่ผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายอื่นๆ ได้แก่ เกษตรแปรรูป โลจิสติกส์ และ S-Curve รวมวงเงินค้ําประกันสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท และ ฟรี ค่าธรรมเนียมค้ําประกัน 3 ปีแรก โดยรัฐบาลและธนาคารกรุงไทย สนับสนุนค่าธรรมเนียมค้ําประกันแทนผู้ประกอบการ
นายสุรชัย กล่าวว่า ความร่วมมือของทั้ง 2 หน่วยงานในครั้งนี้ จะช่วยขับเคลื่อนนโยบายรัฐเพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงแหล่งทุนได้เร็ว และง่ายขึ้น ซึ่งขณะนี้ บสย.ได้อนุมัติการค้ําประกันสินเชื่อ ในโครงการดังกล่าว รวม 477 ราย วงเงินค้ําประกันสินเชื่อกว่า 291 ล้านบาท (ณ 2 พ.ย. 2561) ทั้งนี้ บสย. ยังมีโครงการค้ําประกันสินเชื่ออื่นๆ ผ่านสินเชื่อธนาคารกรุงไทย อีก 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการค้ําประกันสินเชื่อ สําหรับ SMEs นิติบุคคลบัญชีเล่มเดียว 2.โครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs รายเล็ก วงเงินค้ําประกันสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 5 ล้านบาท และ 3. โครงการค้ําประกันสินเชื่อสําหรับ SMEs ทั่วไป
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ 0-2890-9999
ชนิญญา สันสมภาค 081-860-7477 [email protected] www.tcg.or.th
ศรัญยู ตันติเสรี 091-771-2885 [email protected] www.facebook.com/tcg.or.th
วิขุดา ก้องกีรติ 089-605-9870 [email protected]
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16590
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สุรเชษฐ์" ตรวจเยี่ยมสถาบันศึกษาปอเนาะศอลาฮุดดีน จ.ปัตตานี
|
วันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2560
"สุรเชษฐ์" ตรวจเยี่ยมสถาบันศึกษาปอเนาะศอลาฮุดดีน จ.ปัตตานี
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่อําเภอโคกโพธิ์ เพื่อตรวจเยี่ยมสถาบันศึกษาปอเนาะศอลาฮุดดีน (SolaHuddeen)
โดยมีนายเศวต เพชรนุ้ย นายอําเภอโคกโพธิ์, นายเรวัฒน์ เพชรสงฆ์ ผอ.กศน.จังหวัดปัตตานี, นายนภดล พุฒสกุล ผอ.กศน.อําเภอโคกโพธิ์, บาบอ, คณะครูอาสาสมัครการศึกษานอกโรงเรียนประจําสถาบันศึกษาปอเนาะ และนักศึกษา กศน.โคกโพธิ์ประจําสถาบันศึกษาปอเนาะศอลาฮุดดีน ร่วมให้การต้อนรับและนําเยี่ยมชม
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า ตั้งใจมาเยี่ยมเยียนสถาบันศึกษาปอเนาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังจากที่ได้เคยไปเยี่ยมชมมาแล้วหลายแห่งซึ่งพบว่ามีคุณภาพทั้งสิ้นเช่น สถาบันศึกษาปอเนาะอัลฟาแตฮป่าพร้าว (Alfateh Islamic Institute) จ.ยะลา ส่วนภาพความประทับใจแรกที่ได้พบในสถาบันศึกษาปอเนาะศอลาฮุดดีนแห่งนี้คือ นักเรียนได้ยืนต้อนรับด้วยความอบอุ่น สัมผัสได้ว่าเด็ก ๆ ยิ้มแย้มแจ่มใส ต้อนรับให้เกียรติเป็นอย่างมาก จึงขอให้กําลังใจและสนับสนุนการทํางานของครูอาสาสมัครการศึกษานอกโรงเรียนประจําสถาบันศึกษาปอเนาะ2ท่าน ที่ได้ช่วยดูแลรับผิดชอบนักเรียนปอเนาะแห่งนี้ทั้ง68 คนให้ได้รับการศึกษาอย่างมีคุณภาพต่อไป
จากการพูดคุยกับครูอาสาสมัครและบาบอ ยิ่งทําให้เราได้เห็นความสําเร็จของนักเรียนที่จบออกไปศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาหลายแห่งมีอาชีพ มีงานทําจํานวนมาก และจากการตรวจเยี่ยมหอพัก สนามกีฬา มุมเรียนรู้ปอเนาะ ฯลฯ ทําให้เห็นถึงความสะอาด ความเอาใจใส่ ความเป็นระเบียบที่ดีของสถาบันศึกษาปอเนาะแห่งนี้ ที่เคยได้รับรางวัล"สถาบันศึกษาปอเนาะที่ร่วมจัด กศน.ดีเด่น ประจําปี2552"ของจังหวัดปัตตานี
ดังนั้น หากมีสิ่งใดที่ต้องการให้กระทรวงศึกษาธิการและรัฐบาลดูแลสนับสนุนเพิ่มเติมอย่างทั่วถึงมากขึ้น ก็พร้อมจะรับปัญหาความต้องการไปดําเนินการต่อไป เช่นปัญหาการขาดแคลนน้ําได้มอบให้คณะทํางานเร่งประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มาสํารวจพื้นที่เจาะน้ําบาดาลเพิ่มเติมแล้ว
นอกจากนี้ ได้ฝากให้ครูอาสาสมัคร กศน. ทํางานเป็นตัวแทนทุกหน่วยงานของภาครัฐ ไม่ใช่เป็นตัวแทนของหน่วยงานการศึกษาเท่านั้น เพื่อให้เกิดการประสานและร่วมพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะให้มีคุณภาพเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นต่อไป ทั้งยังขอให้สถาบันศึกษาปอเนาะช่วยสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนทุกหย่อมหญ้าในพื้นที่ เพื่อให้เข้าใจถึงความสําคัญของการศึกษา อันจะมีผลถึงความสงบสุขและสันติสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป
จากนั้นพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ และคณะ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยม"กศน.ตําบลโคกโพธิ์"ซึ่งดูแลรับผิดชอบภารกิจสําคัญ4ด้าน คือ การเป็นศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประจําตําบล ศูนย์ส่งเสริมพัฒนาประชาธิปไตยประจําตําบล (ศส.ปชต.) ศูนย์ดิจิทัลชุมชน และศูนย์การศึกษาตลอดชีวิตชุมชน โดยขอให้ทํางานให้เกิดความเชื่อมโยงกับสถานศึกษาหน่วยงาน และกระทรวงอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.) ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เพื่อที่จะร่วมกันส่งเสริมสนับสนุนภารกิจทั้ง4ด้านดังกล่าวของ กศน.ตําบล อย่างมีคุณภาพต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีคุณค่าอย่างมากที่สามารถนําไปใช้ในการดํารงชีพในชีวิตประจําวันได้ สามารถถ่ายทอดให้แก่ผู้เรียนและประชาชน ซึ่งถือเป็นหน้าที่สําคัญของครู กศน.ทุกคน
ปอเนาะ (ภาษามลายูปัตตานี เพี้ยนจาก pondok "ปนโดะก์" ในภาษามลายูกลาง
ยืมมาจากภาษาอาหรับ فندق "ฟุนดุก" แปลว่า โรงแรม)
หมายถึง สํานักสอนศาสนาอิสลามที่มีหอพักนักเรียนอยู่ในบริเวณสํานัก
ซึ่งโดยปกติจะเป็นกระท่อมเล็ก ๆ
ทุก ๆ ตําบลใน 3 จังหวัดภาคใต้ มีปอเนาะมากกว่า 1 ปอเนาะ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สุรเชษฐ์" ตรวจเยี่ยมสถาบันศึกษาปอเนาะศอลาฮุดดีน จ.ปัตตานี
วันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2560
"สุรเชษฐ์" ตรวจเยี่ยมสถาบันศึกษาปอเนาะศอลาฮุดดีน จ.ปัตตานี
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่อําเภอโคกโพธิ์ เพื่อตรวจเยี่ยมสถาบันศึกษาปอเนาะศอลาฮุดดีน (SolaHuddeen)
โดยมีนายเศวต เพชรนุ้ย นายอําเภอโคกโพธิ์, นายเรวัฒน์ เพชรสงฆ์ ผอ.กศน.จังหวัดปัตตานี, นายนภดล พุฒสกุล ผอ.กศน.อําเภอโคกโพธิ์, บาบอ, คณะครูอาสาสมัครการศึกษานอกโรงเรียนประจําสถาบันศึกษาปอเนาะ และนักศึกษา กศน.โคกโพธิ์ประจําสถาบันศึกษาปอเนาะศอลาฮุดดีน ร่วมให้การต้อนรับและนําเยี่ยมชม
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า ตั้งใจมาเยี่ยมเยียนสถาบันศึกษาปอเนาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังจากที่ได้เคยไปเยี่ยมชมมาแล้วหลายแห่งซึ่งพบว่ามีคุณภาพทั้งสิ้นเช่น สถาบันศึกษาปอเนาะอัลฟาแตฮป่าพร้าว (Alfateh Islamic Institute) จ.ยะลา ส่วนภาพความประทับใจแรกที่ได้พบในสถาบันศึกษาปอเนาะศอลาฮุดดีนแห่งนี้คือ นักเรียนได้ยืนต้อนรับด้วยความอบอุ่น สัมผัสได้ว่าเด็ก ๆ ยิ้มแย้มแจ่มใส ต้อนรับให้เกียรติเป็นอย่างมาก จึงขอให้กําลังใจและสนับสนุนการทํางานของครูอาสาสมัครการศึกษานอกโรงเรียนประจําสถาบันศึกษาปอเนาะ2ท่าน ที่ได้ช่วยดูแลรับผิดชอบนักเรียนปอเนาะแห่งนี้ทั้ง68 คนให้ได้รับการศึกษาอย่างมีคุณภาพต่อไป
จากการพูดคุยกับครูอาสาสมัครและบาบอ ยิ่งทําให้เราได้เห็นความสําเร็จของนักเรียนที่จบออกไปศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาหลายแห่งมีอาชีพ มีงานทําจํานวนมาก และจากการตรวจเยี่ยมหอพัก สนามกีฬา มุมเรียนรู้ปอเนาะ ฯลฯ ทําให้เห็นถึงความสะอาด ความเอาใจใส่ ความเป็นระเบียบที่ดีของสถาบันศึกษาปอเนาะแห่งนี้ ที่เคยได้รับรางวัล"สถาบันศึกษาปอเนาะที่ร่วมจัด กศน.ดีเด่น ประจําปี2552"ของจังหวัดปัตตานี
ดังนั้น หากมีสิ่งใดที่ต้องการให้กระทรวงศึกษาธิการและรัฐบาลดูแลสนับสนุนเพิ่มเติมอย่างทั่วถึงมากขึ้น ก็พร้อมจะรับปัญหาความต้องการไปดําเนินการต่อไป เช่นปัญหาการขาดแคลนน้ําได้มอบให้คณะทํางานเร่งประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มาสํารวจพื้นที่เจาะน้ําบาดาลเพิ่มเติมแล้ว
นอกจากนี้ ได้ฝากให้ครูอาสาสมัคร กศน. ทํางานเป็นตัวแทนทุกหน่วยงานของภาครัฐ ไม่ใช่เป็นตัวแทนของหน่วยงานการศึกษาเท่านั้น เพื่อให้เกิดการประสานและร่วมพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะให้มีคุณภาพเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นต่อไป ทั้งยังขอให้สถาบันศึกษาปอเนาะช่วยสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนทุกหย่อมหญ้าในพื้นที่ เพื่อให้เข้าใจถึงความสําคัญของการศึกษา อันจะมีผลถึงความสงบสุขและสันติสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป
จากนั้นพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ และคณะ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยม"กศน.ตําบลโคกโพธิ์"ซึ่งดูแลรับผิดชอบภารกิจสําคัญ4ด้าน คือ การเป็นศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ประจําตําบล ศูนย์ส่งเสริมพัฒนาประชาธิปไตยประจําตําบล (ศส.ปชต.) ศูนย์ดิจิทัลชุมชน และศูนย์การศึกษาตลอดชีวิตชุมชน โดยขอให้ทํางานให้เกิดความเชื่อมโยงกับสถานศึกษาหน่วยงาน และกระทรวงอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.) ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เพื่อที่จะร่วมกันส่งเสริมสนับสนุนภารกิจทั้ง4ด้านดังกล่าวของ กศน.ตําบล อย่างมีคุณภาพต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีคุณค่าอย่างมากที่สามารถนําไปใช้ในการดํารงชีพในชีวิตประจําวันได้ สามารถถ่ายทอดให้แก่ผู้เรียนและประชาชน ซึ่งถือเป็นหน้าที่สําคัญของครู กศน.ทุกคน
ปอเนาะ (ภาษามลายูปัตตานี เพี้ยนจาก pondok "ปนโดะก์" ในภาษามลายูกลาง
ยืมมาจากภาษาอาหรับ فندق "ฟุนดุก" แปลว่า โรงแรม)
หมายถึง สํานักสอนศาสนาอิสลามที่มีหอพักนักเรียนอยู่ในบริเวณสํานัก
ซึ่งโดยปกติจะเป็นกระท่อมเล็ก ๆ
ทุก ๆ ตําบลใน 3 จังหวัดภาคใต้ มีปอเนาะมากกว่า 1 ปอเนาะ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3181
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.ร่วมงานเปิดตัว "รร.สาธิตมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย" หลักสูตร HighScope เน้นพัฒนาสมองผ่านการลงมือทำ
|
วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562
รมว.ศธ.ร่วมงานเปิดตัว "รร.สาธิตมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย" หลักสูตร HighScope เน้นพัฒนาสมองผ่านการลงมือทํา
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปาฐกถาพิเศษในงานเปิดตัว "คณะการศึกษาปฐมวัยและโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย"
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปาฐกถาพิเศษในงานเปิดตัว "คณะการศึกษาปฐมวัยและโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย" เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม 2562 โดยมี รศ.ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, นายกลินท์ สารสิน นายกสภามหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, รศ.ดร. วีระชาติ กิเลนทอง หัวหน้าโครงการ Reducing Inequality through Early Childhood Education หรือ REICE, Mr. Andrew Mellor, Regional Business Development Manager, University of London, ผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษา และคณาจารย์ เข้าร่วมงาน ณ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า การจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทยมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งโรงเรียนอนุบาลในสังกัดของรัฐบาล เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งจากการวิจัยต่าง ๆ ทั่วโลกพบว่า การดูแลเด็กตั้งแต่ระดับปฐมวัยให้ดี จะทําให้เติบโตเป็นคนที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี ประกอบกับการวิจัยของศาสตราจารย์ James J. Heckman มหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐอเมริกา ยังพบว่า การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ตั้งแต่ปฐมวัย จะเกิดความคุ้มค่าและได้ผลตอบแทนมากที่สุด
สําหรับการจัดการเรียนการสอนแบบไฮสโคป (HighScope)ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นํามาปรับใช้กับจัดการเรียนการสอนเด็กปฐมวัยนั้น ช่วยฝึกความคิด ฝึกสมอง และทําให้เกิดการพัฒนาสมองอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปและพัฒนาการศึกษาในหลายเรื่อง ต้องอาศัยระยะเวลาจึงจะเห็นผล โดยเฉพาะการนําประเทศไปสู่ประเทศไทย 4.0 ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ต้องเปิดรับรูปแบบและแนวคิดที่ประสบความสําเร็จอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้เริ่มหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ถือเป็นการเริ่มต้นที่กล้าหาญ แม้ว่าในช่วงแรกอาจพบปัญหาและอุปสรรคในการดําเนินงานบ้าง แต่เชื่อว่าเป็นการดําเนินงานที่มาถูกทางแล้ว
รศ.ดร. เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยกล่าวว่า โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดการศึกษาชั้นเตรียมอนุบาลถึงอนุบาล 3 โดยใช้หลักสูตรไฮสโคป (HighScope) ซึ่งได้รับการพิสูจน์จากงานวิจัยของศาสตราจารย์ James J. Heckman มหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐอเมริกา และเป็นนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล โดยพบว่า การจัดการเรียนรู้แบบไฮสโคป ช่วยให้ผู้เรียนมีรายได้สูง ก่ออาชญากรรมและติดยาเสพติดน้อยกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กที่เรียนในรูปแบบปกติ และสามารถสรุปผลในเชิงเศรษฐศาสตร์ได้ว่า หลักสูตรไฮสโคปให้ผลประโยชน์ถึง 7 เท่าของต้นทุน โดยจะรับนักเรียนชั้นละไม่เกิน 25 คน เพื่อการดูแลอย่างทั่วถึง รวมทั้งสอนโดยครูปฐมวัยจริง ๆ ที่ได้รับการอบรมในสถานที่จริงอย่างเข้มข้นก่อนจะเริ่มสอน ทําให้มีความเชี่ยวชาญในการจัดการเรียนการสอนแบบไฮสโคปด้วย
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นําหลักสูตรไฮสโคป มาพัฒนาและทดลองใช้มาเป็นระยะเวลากว่า 5 ปีจนมีความเชี่ยวชาญในการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบนี้ โดยเน้นการพัฒนาเด็ก ด้วยกระบวนการวางแผน-ลงมือทํา-ทบทวน (Plan-Do-Review) ฝึกการตัดสินใจ การทํางานอย่างเป็นระบบ รู้จักการรอคอย ให้เด็กได้ลงมือทํากิจกรรมผ่านสื่อและวัสดุอุปกรณ์ที่มีความหลากหลายและเหมาะสมกับวัย รวมทั้งได้สะท้อนความคิดผ่านขั้นตอนการทบทวนต่อไป
สําหรับคณะการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยนักศึกษาจะได้ฝึกปฏิบัติจริง ทั้งในโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และศูนย์อบรมต้นแบบของโครงการ RIECE Thailand ภายใต้การสอนการดูแลของคณาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ ผ่านการลงมือปฏิบัติ (Active Learning) และมีประสบการณ์ในการสอนแบบไฮสโคป (HighScope) เน้นจิตวิทยาพัฒนาการเด็กปฐมวัย และการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ เมื่อจบการศึกษาจะได้รับปริญญาศึกษาศาสตรบัณฑิต (ศษ.บ.) สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ทั้งยังสามารถประกอบอาชีพได้หลากหลาย อาทิ ครูปฐมวัยหรือครูโรงเรียนอนุบาลในโรงเรียนของรัฐบาลและเอกชน, นักวิชาการด้านการศึกษาปฐมวัย, นักเขียน ผู้แต่งนิทาน, ผู้ผลิตสื่อการสอน นิทาน ของเล่น หรือสื่อการศึกษาปฐมวัย เป็นต้น
Written byอรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.ร่วมงานเปิดตัว "รร.สาธิตมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย" หลักสูตร HighScope เน้นพัฒนาสมองผ่านการลงมือทำ
วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562
รมว.ศธ.ร่วมงานเปิดตัว "รร.สาธิตมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย" หลักสูตร HighScope เน้นพัฒนาสมองผ่านการลงมือทํา
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปาฐกถาพิเศษในงานเปิดตัว "คณะการศึกษาปฐมวัยและโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย"
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปาฐกถาพิเศษในงานเปิดตัว "คณะการศึกษาปฐมวัยและโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย" เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม 2562 โดยมี รศ.ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, นายกลินท์ สารสิน นายกสภามหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, รศ.ดร. วีระชาติ กิเลนทอง หัวหน้าโครงการ Reducing Inequality through Early Childhood Education หรือ REICE, Mr. Andrew Mellor, Regional Business Development Manager, University of London, ผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษา และคณาจารย์ เข้าร่วมงาน ณ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า การจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทยมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งโรงเรียนอนุบาลในสังกัดของรัฐบาล เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งจากการวิจัยต่าง ๆ ทั่วโลกพบว่า การดูแลเด็กตั้งแต่ระดับปฐมวัยให้ดี จะทําให้เติบโตเป็นคนที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี ประกอบกับการวิจัยของศาสตราจารย์ James J. Heckman มหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐอเมริกา ยังพบว่า การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ตั้งแต่ปฐมวัย จะเกิดความคุ้มค่าและได้ผลตอบแทนมากที่สุด
สําหรับการจัดการเรียนการสอนแบบไฮสโคป (HighScope)ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นํามาปรับใช้กับจัดการเรียนการสอนเด็กปฐมวัยนั้น ช่วยฝึกความคิด ฝึกสมอง และทําให้เกิดการพัฒนาสมองอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปและพัฒนาการศึกษาในหลายเรื่อง ต้องอาศัยระยะเวลาจึงจะเห็นผล โดยเฉพาะการนําประเทศไปสู่ประเทศไทย 4.0 ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ต้องเปิดรับรูปแบบและแนวคิดที่ประสบความสําเร็จอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้เริ่มหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ถือเป็นการเริ่มต้นที่กล้าหาญ แม้ว่าในช่วงแรกอาจพบปัญหาและอุปสรรคในการดําเนินงานบ้าง แต่เชื่อว่าเป็นการดําเนินงานที่มาถูกทางแล้ว
รศ.ดร. เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยกล่าวว่า โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดการศึกษาชั้นเตรียมอนุบาลถึงอนุบาล 3 โดยใช้หลักสูตรไฮสโคป (HighScope) ซึ่งได้รับการพิสูจน์จากงานวิจัยของศาสตราจารย์ James J. Heckman มหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐอเมริกา และเป็นนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล โดยพบว่า การจัดการเรียนรู้แบบไฮสโคป ช่วยให้ผู้เรียนมีรายได้สูง ก่ออาชญากรรมและติดยาเสพติดน้อยกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กที่เรียนในรูปแบบปกติ และสามารถสรุปผลในเชิงเศรษฐศาสตร์ได้ว่า หลักสูตรไฮสโคปให้ผลประโยชน์ถึง 7 เท่าของต้นทุน โดยจะรับนักเรียนชั้นละไม่เกิน 25 คน เพื่อการดูแลอย่างทั่วถึง รวมทั้งสอนโดยครูปฐมวัยจริง ๆ ที่ได้รับการอบรมในสถานที่จริงอย่างเข้มข้นก่อนจะเริ่มสอน ทําให้มีความเชี่ยวชาญในการจัดการเรียนการสอนแบบไฮสโคปด้วย
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นําหลักสูตรไฮสโคป มาพัฒนาและทดลองใช้มาเป็นระยะเวลากว่า 5 ปีจนมีความเชี่ยวชาญในการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบนี้ โดยเน้นการพัฒนาเด็ก ด้วยกระบวนการวางแผน-ลงมือทํา-ทบทวน (Plan-Do-Review) ฝึกการตัดสินใจ การทํางานอย่างเป็นระบบ รู้จักการรอคอย ให้เด็กได้ลงมือทํากิจกรรมผ่านสื่อและวัสดุอุปกรณ์ที่มีความหลากหลายและเหมาะสมกับวัย รวมทั้งได้สะท้อนความคิดผ่านขั้นตอนการทบทวนต่อไป
สําหรับคณะการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยนักศึกษาจะได้ฝึกปฏิบัติจริง ทั้งในโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และศูนย์อบรมต้นแบบของโครงการ RIECE Thailand ภายใต้การสอนการดูแลของคณาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ ผ่านการลงมือปฏิบัติ (Active Learning) และมีประสบการณ์ในการสอนแบบไฮสโคป (HighScope) เน้นจิตวิทยาพัฒนาการเด็กปฐมวัย และการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ เมื่อจบการศึกษาจะได้รับปริญญาศึกษาศาสตรบัณฑิต (ศษ.บ.) สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ทั้งยังสามารถประกอบอาชีพได้หลากหลาย อาทิ ครูปฐมวัยหรือครูโรงเรียนอนุบาลในโรงเรียนของรัฐบาลและเอกชน, นักวิชาการด้านการศึกษาปฐมวัย, นักเขียน ผู้แต่งนิทาน, ผู้ผลิตสื่อการสอน นิทาน ของเล่น หรือสื่อการศึกษาปฐมวัย เป็นต้น
Written byอรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18071
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดป้ายศูนย์การเรียนรู้หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงโพธิ์ศรีสำราญ หนองบัวลำภู พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ พลังงานทดแทน ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มเกษตรกร
|
วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561
นายกรัฐมนตรีเปิดป้ายศูนย์การเรียนรู้หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงโพธิ์ศรีสําราญ หนองบัวลําภู พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ พลังงานทดแทน ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มเกษตรกร
นรม.เปิดป้ายศูนย์การเรียนรู้หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงโพธิ์ศรีสําราญ จ.หนองบัวลําภู พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ พลังงานทดแทน ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มเกษตรกร-แปลงปลูกผักอินทรีย์ ชื่นชมชุมชนหัวนาที่รวมกลุ่มกันทําให้พื้นที่สาธารณะเป็นแปลงเกษตรชุมชน
วันนี้ (22 มีนาคม 2561) เวลา 11.30 น. ณ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนปลูกผักอินทรีย์โพธิ์ศรีสําราญ ตําบลหัวนา อําเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลําภู พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทําพิธีเปิดป้ายศูนย์การเรียนรู้หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ พลังงานทดแทน ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มเกษตรกร และแปลงปลูกผักอินทรีย์
สําหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผักอินทรีย์โพธิ์ศรีสําราญ เกิดจากการรวมกลุ่มของสมาชิกในหมู่บ้านใช้พื้นที่สาธารณะกุดตาแมว ซึ่งเป็นพื้นที่บริเวณรอบ ๆ ขอบสระน้ําปลูกผักอินทรีย์เพื่อทําอาชีพเสริมให้กับคนในชุมชน โดยจัดสรรพื้นที่ปลูกคนละ 5 เมตร มีจํานวนสมาชิก 46 คน โดยเทศบาลตําบลหัวนาจัดทําท่อส่งน้ํา และติดตั้งก๊อกน้ําให้สมาชิก เบื้องต้นผลผลิตใช้บริโภคในครัวเรือนลดรายจ่าย และขายเป็นรายได้เสริม โดยได้จดทะเบียนเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผักอินทรีย์โพธิ์ศรีสําราญ เมื่อปี 2558 อย่างไรก็ตาม การอาศัยน้ําผิวดิน (อ่างเก็บน้ํา ห้วย หนอง) ยังเสี่ยงต่อการได้รับสารเคมีทางการเกษตร โดยเฉพาะสารเคมีกําจัดวัชพืชซึ่งใช้กันมากในไร่อ้อย ดังนั้น จึงพัฒนาโดยใช้น้ําบาดาลและสูบน้ําด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ มาผลิตผักอินทรีย์เพื่อบริโภคในครัวเรือน ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และแก้ปัญหาด้านสุขภาพและสารพิษทางการเกษตร
ต่อมาปี 2559 ได้ปรับพื้นที่บริเวณโคกดอนงู ซึ่งเป็นที่สาธารณะของหมู่บ้านโพธิ์ศรีสําราญ พื้นที่ 8 ไร่ 2 งาน เป็นสถานที่เพื่อปลูกผักอินทรีย์ โดยสํานักงานพลังงานจังหวัดหนองบัวลําภู ได้เจาะบ่อบาดาลและทําระบบสูบน้ําด้วยพลังงานแสงอาทิตย์มาพักไว้ที่ถังสํารอง แล้วปล่อยไปยังถังพักย่อย ณ แปลงผักของสมาชิกแต่ละราย มีจํานวนสมาชิก 38 ครัวเรือน ๆ ละประมาณ 120 - 130 ตารางเมตร โดยสมาชิกได้เรียนรู้ในการผลิตผักปลอดสารพิษ เช่น การควบคุมแมลงศัตรูพืชด้วยพืชสมุนไพร กับดักต่าง ๆ การใช้สารชีวภัณฑ์ (เชื้อราไตรโคเดอร์ม่าควบคุมโรค) การผลิตปุ๋ยอินทรีย์และน้ําหมักชีวภาพใช้เอง โดยมีพ่อค้ามารับซื้อที่แปลง และจําหน่ายที่ตลาดนัดสีเขียว หน้าหมู่บ้านโพธิ์ศรีสําราญ ทําให้ไม่มีปัญหาด้านการตลาด ได้รับรองมาตรฐานการผลิตพืชตามระบบเกษตรดีที่เหมาะสม (GAP) และเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม (PGS) สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้เกษตรกรผลิตพืชอินทรีย์ เพื่อให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคปลอดภัยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้น้ําบาดาลเพื่อลดการปนเปื้อนจากสารเคมีทางการเกษตร และสูบน้ําด้วยพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานที่สะอาด ลงทุนครั้งเดียวใช้ได้หลายปี สามารถทําการเกษตรได้ตลอดปี แก้ปัญหาความยากจน ทําให้สมาชิกมีรายได้จํานวน 33,630 บาท/คน/ปี
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวระหว่างเยี่ยมนิทรรศการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ พลังงานทดแทน ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มเกษตรกร และแปลงปลูกผักอินทรีย์ว่า ขอให้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี อาทิ แผนที่เกษตร (Agri map) เพื่อใช้เกิดผลผลิตสูงสุด รวมทั้งการเกษตรแปลงใหญ่ ที่จะช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งตลาดต่างประเทศให้ความสําคัญด้านอาหารปลอดภัย พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ยังชื่นชมชุมชนหัวนา ที่รวมกลุ่มกันใช้ประโยชน์พื้นที่สาธารณะ เป็นแปลงเกษตรชุมชน จากเดิมเคยเป็นพื้นที่รกร้าง เป็นตัวอย่างที่ดีที่อยากให้ชุมชนอื่นนําไปดําเนินการ สําหรับการใช้ประโยชน์จากน้ําบาดาลนั้น จะมอบหมายให้มีความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพลังงาน ไปช่วยกันพิจารณาขุดเจาะน้ําบาล เพื่อให้บ่อน้ําดาบาลสามารถใช้ได้จริง ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรียังได้อุดหนุนสินค้าปลาแปรรูป ปลาตากแห้งและปลาส้ม ของชาวโพธิ์ศรีสําราญ ตําบลหัวนา อําเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลําภู ด้วย
----------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดป้ายศูนย์การเรียนรู้หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงโพธิ์ศรีสำราญ หนองบัวลำภู พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ พลังงานทดแทน ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มเกษตรกร
วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561
นายกรัฐมนตรีเปิดป้ายศูนย์การเรียนรู้หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงโพธิ์ศรีสําราญ หนองบัวลําภู พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ พลังงานทดแทน ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มเกษตรกร
นรม.เปิดป้ายศูนย์การเรียนรู้หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงโพธิ์ศรีสําราญ จ.หนองบัวลําภู พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ พลังงานทดแทน ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มเกษตรกร-แปลงปลูกผักอินทรีย์ ชื่นชมชุมชนหัวนาที่รวมกลุ่มกันทําให้พื้นที่สาธารณะเป็นแปลงเกษตรชุมชน
วันนี้ (22 มีนาคม 2561) เวลา 11.30 น. ณ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนปลูกผักอินทรีย์โพธิ์ศรีสําราญ ตําบลหัวนา อําเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลําภู พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทําพิธีเปิดป้ายศูนย์การเรียนรู้หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ พลังงานทดแทน ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มเกษตรกร และแปลงปลูกผักอินทรีย์
สําหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผักอินทรีย์โพธิ์ศรีสําราญ เกิดจากการรวมกลุ่มของสมาชิกในหมู่บ้านใช้พื้นที่สาธารณะกุดตาแมว ซึ่งเป็นพื้นที่บริเวณรอบ ๆ ขอบสระน้ําปลูกผักอินทรีย์เพื่อทําอาชีพเสริมให้กับคนในชุมชน โดยจัดสรรพื้นที่ปลูกคนละ 5 เมตร มีจํานวนสมาชิก 46 คน โดยเทศบาลตําบลหัวนาจัดทําท่อส่งน้ํา และติดตั้งก๊อกน้ําให้สมาชิก เบื้องต้นผลผลิตใช้บริโภคในครัวเรือนลดรายจ่าย และขายเป็นรายได้เสริม โดยได้จดทะเบียนเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผักอินทรีย์โพธิ์ศรีสําราญ เมื่อปี 2558 อย่างไรก็ตาม การอาศัยน้ําผิวดิน (อ่างเก็บน้ํา ห้วย หนอง) ยังเสี่ยงต่อการได้รับสารเคมีทางการเกษตร โดยเฉพาะสารเคมีกําจัดวัชพืชซึ่งใช้กันมากในไร่อ้อย ดังนั้น จึงพัฒนาโดยใช้น้ําบาดาลและสูบน้ําด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ มาผลิตผักอินทรีย์เพื่อบริโภคในครัวเรือน ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และแก้ปัญหาด้านสุขภาพและสารพิษทางการเกษตร
ต่อมาปี 2559 ได้ปรับพื้นที่บริเวณโคกดอนงู ซึ่งเป็นที่สาธารณะของหมู่บ้านโพธิ์ศรีสําราญ พื้นที่ 8 ไร่ 2 งาน เป็นสถานที่เพื่อปลูกผักอินทรีย์ โดยสํานักงานพลังงานจังหวัดหนองบัวลําภู ได้เจาะบ่อบาดาลและทําระบบสูบน้ําด้วยพลังงานแสงอาทิตย์มาพักไว้ที่ถังสํารอง แล้วปล่อยไปยังถังพักย่อย ณ แปลงผักของสมาชิกแต่ละราย มีจํานวนสมาชิก 38 ครัวเรือน ๆ ละประมาณ 120 - 130 ตารางเมตร โดยสมาชิกได้เรียนรู้ในการผลิตผักปลอดสารพิษ เช่น การควบคุมแมลงศัตรูพืชด้วยพืชสมุนไพร กับดักต่าง ๆ การใช้สารชีวภัณฑ์ (เชื้อราไตรโคเดอร์ม่าควบคุมโรค) การผลิตปุ๋ยอินทรีย์และน้ําหมักชีวภาพใช้เอง โดยมีพ่อค้ามารับซื้อที่แปลง และจําหน่ายที่ตลาดนัดสีเขียว หน้าหมู่บ้านโพธิ์ศรีสําราญ ทําให้ไม่มีปัญหาด้านการตลาด ได้รับรองมาตรฐานการผลิตพืชตามระบบเกษตรดีที่เหมาะสม (GAP) และเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม (PGS) สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้เกษตรกรผลิตพืชอินทรีย์ เพื่อให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคปลอดภัยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้น้ําบาดาลเพื่อลดการปนเปื้อนจากสารเคมีทางการเกษตร และสูบน้ําด้วยพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานที่สะอาด ลงทุนครั้งเดียวใช้ได้หลายปี สามารถทําการเกษตรได้ตลอดปี แก้ปัญหาความยากจน ทําให้สมาชิกมีรายได้จํานวน 33,630 บาท/คน/ปี
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวระหว่างเยี่ยมนิทรรศการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ พลังงานทดแทน ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มเกษตรกร และแปลงปลูกผักอินทรีย์ว่า ขอให้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี อาทิ แผนที่เกษตร (Agri map) เพื่อใช้เกิดผลผลิตสูงสุด รวมทั้งการเกษตรแปลงใหญ่ ที่จะช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งตลาดต่างประเทศให้ความสําคัญด้านอาหารปลอดภัย พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ยังชื่นชมชุมชนหัวนา ที่รวมกลุ่มกันใช้ประโยชน์พื้นที่สาธารณะ เป็นแปลงเกษตรชุมชน จากเดิมเคยเป็นพื้นที่รกร้าง เป็นตัวอย่างที่ดีที่อยากให้ชุมชนอื่นนําไปดําเนินการ สําหรับการใช้ประโยชน์จากน้ําบาดาลนั้น จะมอบหมายให้มีความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพลังงาน ไปช่วยกันพิจารณาขุดเจาะน้ําบาล เพื่อให้บ่อน้ําดาบาลสามารถใช้ได้จริง ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรียังได้อุดหนุนสินค้าปลาแปรรูป ปลาตากแห้งและปลาส้ม ของชาวโพธิ์ศรีสําราญ ตําบลหัวนา อําเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลําภู ด้วย
----------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10958
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐในพื้นที่ชายแดนใต้
|
วันพุธที่ 2 มกราคม 2562
ผลการประชุมเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐในพื้นที่ชายแดนใต้
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐ ครั้งที่ 8/2561 จัดโดยสํานักงาน คปต.ส่วนหน้า
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐ ครั้งที่ 8/2561จัดโดยสํานักงาน คปต.ส่วนหน้าเมื่อวันพุธที่ 26 ธันวาคม 2561 ณ ห้องประชุมทักษิณา วิทยาลัยเทคนิคปัตตานี จังหวัดปัตตานี เพื่อติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของคณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ตามนโยบายการบริหารและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี 2560-2562 โดยมีผู้นําศาสนา ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน ตลอดจนผู้แทนหน่วยงานการศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าร่วมกว่า 200 คน
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า การประชุมนี้เกิดจากแนวคิดของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมคิด ร่วมทํา และร่วมแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมประสานงานกับภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน ตามกลไกประชารัฐ โดยมอบหมายให้หัวหน้าและผู้แทนพิเศษของรัฐบาลฯ อีก 12 ท่าน ทําหน้าที่ประสานเชื่อมโยงการทํางานไปยังคณะรัฐมนตรีและการบริหารราชการส่วนกลาง เพื่อช่วยคลี่คลายปัญหาและประสานงานให้เกิดความสําเร็จในการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้เป็นสังคมสันติสุขและประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ฝากความระลึกถึงมายังนักเรียนนักศึกษาและประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกคน หากมีโอกาสจะเดินทางมาเยี่ยมเยือนอีกครั้ง พร้อมยังได้มีข้อสั่งการในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมาว่า มีความห่วงใยเป็นพิเศษเกี่ยวกับอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ จึงขอให้ทุกภาคส่วนพยายามดําเนินงานอย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อให้ผู้ใช้รถใช้ถนนได้ตระหนักถึงอันตราย ความเสียหาย หรือผลเสียที่จะเกิดขึ้นตามมา เช่นเดียวกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ฝากความระลึกถึงประชาชนทุกคน และขอให้กระทรวงศึกษาธิการดูแลประชาชนอย่างเข้มแข็ง พร้อมย้ําถึงความปลอดภัยของประชาชนในการสัญจรทั้งบนถนนสายหลักและถนนสายรองในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้
ในส่วนของการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดคชายแดนภาคใต้ กระทรวงศึกษาธิการเตรียมที่จะให้ของขวัญแก่ประชาชน ตามนโยบายของรัฐบาล “สร้างความสุขสู่ชายแดนใต้” กล่าวคือ การเปิดโอกาสทางการศึกษาใน “โครงการโรงเรียนประชารัฐจังหวัดชายแดนภาคใต้”ซึ่งสืบเนื่องมาจากการสํารวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อนโยบายการพัฒนาการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่สามารถสร้างการรับรู้แก่ประชาชนในประเด็นความก้าวหน้าการทํางานด้านความมั่นคงในระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 68.33 ประกอบกับสามารถแก้ปัญหาประชากรวัยเรียนนอกระบบการศึกษาชายแดนใต้ นํากลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้กว่า 27,376 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 60
จึงต้องการที่จะเพิ่มโอกาสทางการศึกษาแก่บุตรหลานของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ให้ได้เข้าเรียนในสถานศึกษาประชารัฐ ในลักษณะอยู่ประจํา พร้อมจัดที่พักนอน ความปลอดภัย อาหารครบ 3 มื้อ และอุปกรณ์ความจําเป็นต่าง ๆซึ่งได้เริ่มดําเนินโครงการตั้งแต่ปีการศึกษา 2561 เป็นต้นมา ในโรงเรียนสังกัด สพฐ. ระดับประถมศึกษา 1 โรงเรียน และระดับมัธยมศึกษา 1 โรงเรียน รวมทั้งสิ้น 64 โรงเรียนใน 37 อําเภอของจังหวัดชายแดนภาคใต้ และสถานศึกษาอาชีวศึกษาประชารัฐสังกัด สอศ. 4 วิทยาลัย ใน 4 จังหวัด ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคจะนะ จ.สงขลา, วิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกปัตตานี, วิทยาลัยอาชีวศึกษายะลา และวิทยาลัยการอาชีพสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ซึ่งขณะนี้มีนักเรียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 4,000 คน
สําหรับการประชุมครั้งนี้มีความก้าวหน้าการปฏิบัติภารกิจและบูรณาการการทํางานร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ตามบทบาทหน้าที่ของผู้แทนพิเศษของรัฐบาลทั้ง 7 กลุ่มภารกิจที่สําคัญ แบ่งออกเป็น 3 ประเด็น ดังนี้
การเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาสถานการณ์โรคหัด
ดร.นพ.สุวิช ธรรมปาโล ผู้อํานวยการสํานักงานป้องกันควบคุมโรค (สคร.)ได้กล่าวรายงานถึงสถานการณ์โรคหัด (ไข้ออกผื่น) ในช่วงเดือนสิงหาคม 2561-ปัจจุบัน ว่าจํานวนผู้ป่วยและการระบาดส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มเด็กอายุ 7 เดือน - 2 ปี 6 เดือน ในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มีภาวะทุพโภชนาการและมีประวัติไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรค ซึ่งขณะนี้มีจํานวนผู้ป่วยลดลงมากแล้ว เหลือเพียงส่วนน้อยในบางอําเภอของจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการสร้างการรับรู้และทัศนคติที่ถูกต้องต่อการรับวัคซีนป้องกันโรค ทําให้มีอัตราการฉีดวัคซีนครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ มากขึ้น โดยต่อจากนี้มีข้อเสนอแผนงานและเป้าหมายที่จะฉีดวัคซีนให้กับประชากรกลุ่มเด็กอายุ 0 เดือน - 5 ปี ทุกรายในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ 4 อําเภอของจังหวัดสงขลา ทั้งวัคซีนโรคหัด วัคซีนโรคโปลิโอ และวัคซีนรวมอื่น ๆ เป็นต้น
การแก้ไขปัญหาราคายางและพืชผลทางการเกษตรตกต่ํา
นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดํารง ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวถึงภาพรวมพื้นที่ทางการเกษตรในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่ามีพื้นที่รวมทั้งหมด 13.2 ล้านไร่ และเป็นพื้นที่ทางการเกษตร 7.7 ล้านไร่ คิดเป็น 59.02 ของพื้นที่ทั้งหมด โดยมีครอบครัวที่ทําเกษตรกรรมกว่า 4 แสนครัวเรือน โดยมียางพารา ปาล์มน้ํามัน และข้าว เป็นพืชเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตระหนักถึงปัญหาราคายางและพืชผลทางการเกษตรตกต่ํา จึงได้มีโครงการส่งเสริมการใช้ยางพาราของหน่วยงานภาครัฐ โดยร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อนํายางพารามาเป็นส่วนหนึ่งในการทําถนน พร้อมเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางไร่ละ 1,800 บาท เพื่อสร้างความเข้มแข็งของเกษตรกรในเรื่องของปัจจัยการผลิตเพื่อเพิ่มคุณภาพ ใน 2 ส่วน คือ 1) เกษตรกรชาวสวนยาง 1,100 บาทต่อไร่ (รายละไม่เกิน 15 ไร่) แบ่งเป็นการสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปัจจัยการผลิต 800 บาทต่อไร่ และสนับสนุนปรับปรุงคุณภาพผลผลิต 300 บาทต่อไร่ และ 2) ค่าครองชีพคนกรีดยาง 700 บาทต่อไร่ (รายละไม่เกิน 15 ไร่)
นอกจากนี้ ยังได้แก้ไขปัญหาพืชผลทางการเกษตรตกต่ําอื่น ๆได้แก่ โครงการสร้างความเข้มแข็งชาวสวนปาล์ม โดยช่วยเหลือค่าครองชีพให้เกษตรกรชาวสวนปาล์ม ที่มีปาล์มน้ํามันให้ผลผลิตแล้วตามพื้นที่ปลูกจริงในอัตราไร่ละ 1,500 บาท (ครัวเรือนละไม่เกิน 15 ไร่) พร้อมส่งเสริมการปลูกปาล์มพันธุ์ดีเพื่อเพิ่มคุณภาพ, การสนับสนุนและช่วยเหลือเกษตรกรที่เลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไม โดยการช่วยลดต้นทุนปัจจัยการผลิตและการตลาด, มาตรการการช่วยเหลือในการกระจายสินค้าและแปรรูปปลากุเลา พร้อมเตรียมที่จะจัดตั้งกลุ่มและหาแหล่งทุนให้ด้วย, มาตรการช่วยเหลือกลุ่มผู้เลี้ยงปลากะพงในกระชัง เป็นต้น
ผลการดําเนินงานด้านการเกษตรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อื่น ๆดําเนินการภายใต้แนวคิด “การตลาดนําการผลิต” โดยมีความก้าวหน้าในหลายส่วน อาทิ การรวมกลุ่มของเกษตรกรแปลงใหญ่ เพื่อการเจรจาต่อรอง และการรวมกลุ่มพืชเศรษฐกิจ ปศุสัตว์ และการประมง พร้อมพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ ให้สามารถปรับตัวจากผู้ผลิตเป็นผู้ประกอบการ การจัดโซนนิ่งเพื่อเพาะปลูกพืชที่ช่วยเพิ่มมูลค่า การพัฒนาคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่มาตรฐาน GAP และสินค้าปลอดภัย การผลิตข้าวครบวงจร การบริหารจัดการน้ํา เป็นต้น
มาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันต์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษากล่าวถึงการดําเนินงานของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ได้ดําเนินการปล่อยกู้ให้กับนักเรียน นิสิต นักศึกษา ไปแล้วกว่า 5.4 ล้านราย คิดเป็นวงเงิน 5.7 แสนล้านบาท โดยมีการชําระและปิดบัญชีแล้วกว่า 8 แสนราย และยังเหลือผู้กู้ในระบบรวมทั้งสิ้น 4 ล้านคน แบ่งเป็นผู้กู้ยืมสถานะปกติกว่า 1 ล้านราย และผู้กู้ยืมสถานะผิดนัดชําระกว่า 2 ล้านราย คิดเป็นมูลหนี้ 6.8 หมื่นล้านบาท
ที่ผ่านมาได้มีความพยายามที่จะให้การดูแลผู้กู้ทุกคนทั้งผู้กู้ยืมที่ไม่เคยผิดนัดชําระและผู้กู้ยืมที่ค้างชําระหนี้ และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้ออกระเบียบเพื่อให้สิทธิสําหรับกลุ่มผู้กู้ยืมปกติที่ไม่เคยผิดนัดชําระหนี้ (ผู้กู้ยืมชั้นดีหรือผู้กู้ยืมที่อยู่ในช่วงปลอดหนี้) สามารถชําระหนี้ปิดบัญชีก่อนกําหนด เพื่อรับสิทธิ์ลดหย่อนเงินต้น 3% ณ วันที่ชําระหนี้ปิดบัญชี ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 เป็นต้นไป ในส่วนของผู้กู้ยืมที่ผิดนัดชําระหนี้ ได้ออกมาตรการจูงใจให้ผู้กู้ยืมมาชําระหนี้ปิดบัญชีเพิ่มเติมสําหรับผู้กู้ยืมที่ผิดนัดชําระหนี้ทุกราย โดยจะลดเบี้ยปรับให้ 85% ของเบี้ยปรับ ณ วันที่ชําระหนี้ปิดบัญชี ระหว่างวันที่ 1 ธ.ค. 2561 - 31 พ.ค. 2562 เนื่องจากกองทุนเห็นว่ามีผู้กู้ยืมและผู้ค้ําประกันจํานวนไม่น้อย ที่มีความต้องการจะปลดภาระหนี้ของตน แต่ไม่สามารถชําระหนี้ได้เพราะเบี้ยปรับที่เกิดจากการค้างชําระหนี้จํานวนมาก นอกจากนี้ กยศ. ยังได้ร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย เพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้กู้ยืม กยศ. และ กรอ. ด้วยระบบ QR Code เพื่อชําระเงินใน 2 รูปแบบ คือ แบบ Static QR โดยการสแกนคิวอาร์โค้ดผ่านบริการ KTB netbank และเลือกประเภทกองทุนที่ต้องการชําระหนี้คืน และแบบ Dynamic QR เป็นการสแกนคิวอาร์โค้ด ผ่าน www.studentloan.ktb.co.th หรือ www.studentloan.or.th ด้วยโมบายแบงก์กิ้งแอพลิเคชั่นทุกธนาคาร
ในส่วนของพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560ตามมาตรา 51 วรรคหนึ่ง ที่กําหนดให้ “องค์กรนายจ้างทั้งภาครัฐและเอกชน มีหน้าที่หักเงินได้ที่มาจากการจ้างแรงงานของพนักงานและลูกจ้างที่เป็นผู้กู้ยืมนําส่งกรมสรรพากร พร้อมกับการนําส่งภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่ายเพื่อชําระหนี้คืนกองทุน” นั้น จะเริ่มดําเนินการกับผู้กู้ทั้ง 3 กลุ่ม ได้แก่ ผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างการชําระหนี้ (ปกติ), ผู้กู้ยืมที่ทําสัญญาประนีประนอมยอมความก่อนฟ้องคดี และผู้กู้ยืมที่ทําสัญญาประนีประนอมความในศาล (พิพากษาตามยอม) โดยยอดหนี้ที่ผู้กู้ยืมจะต้องชําระในงวดวันที่ 5 กรกฎาคม 2562 ซึ่งต้องนํามาหักเงินเดือนนั้น กองทุนจะนับระยะเวลาการหักเงินเดือนตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 – มิถุนายน 2562 รวม 7 เดือน และในงวดปีถัดไป จะเริ่มหักเงินเดือนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมของทุกปี โดยกองทุนจะแจ้งหักเงินเดือนโดยใช้ยอดหนี้ตามตารางชําระรายปี หารด้วยจํานวนเดือน (12 เดือน) ทั้งนี้ การหักเงินเดือนทุกครั้ง ผู้กู้ยืมจะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมลดยอดหนี้
ยืนยันว่าที่ผ่านมา กยศ. พยายามที่จะดูแลและช่วยเหลือผู้กู้ที่ค้างชําระทุกคนอย่างละมุนละม่อมโดยมีขั้นตอนการติดตามหนี้สินเป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานเดียวกับสถาบันการเงินอื่น ๆ ทั้งของรัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็น การส่งหนังสือแจ้งภาระหนี้ การส่งหนังสือติดตามทวงถามหนี้ค้าง การส่งข้อความเสียงทางโทรศัพท์ การเจรจาให้ลูกหนี้ชําระหนี้ทางโทรศัพท์ หากยังไม่ชําระหนี้จนมีหนี้ค้างชําระหลายงวด จึงจะมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและดําเนินคดีกับผู้กู้ยืมและผู้ค้ําประกัน โดยผู้กู้สามารถทําสัญญาประนีประนอมยอมความ และได้โอกาสในการผ่อนชําระหนี้ต่อไปอีกเป็นเวลา 9 ปี จากนั้นยังไม่ชําระหนี้และศาลมีคําพิพากษาให้ชําระหนี้แล้ว กองทุนฯ ก็ยังจะดําเนินการติดตามให้ชําระหนี้ โดยสามารถขอผ่อนชําระหนี้ได้อีกครั้ง แต่หากไม่ชําระหนี้อีก กองทุนจึงจะขอศาลในการส่งคําบังคับไปยังภูมิลําเนาของลูกหนี้ตามคําพิพากษา เพื่อทําการยึดทรัพย์หรืออายัดทรัพย์สินของผู้กู้ยืมและผู้ค้ําประกันเพื่อนํามาขายทอดตลาดต่อไป
Written byนวรัตน์ รามสูต
Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐในพื้นที่ชายแดนใต้
วันพุธที่ 2 มกราคม 2562
ผลการประชุมเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐในพื้นที่ชายแดนใต้
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐ ครั้งที่ 8/2561 จัดโดยสํานักงาน คปต.ส่วนหน้า
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐ ครั้งที่ 8/2561จัดโดยสํานักงาน คปต.ส่วนหน้าเมื่อวันพุธที่ 26 ธันวาคม 2561 ณ ห้องประชุมทักษิณา วิทยาลัยเทคนิคปัตตานี จังหวัดปัตตานี เพื่อติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของคณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ตามนโยบายการบริหารและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี 2560-2562 โดยมีผู้นําศาสนา ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน ตลอดจนผู้แทนหน่วยงานการศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าร่วมกว่า 200 คน
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า การประชุมนี้เกิดจากแนวคิดของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมคิด ร่วมทํา และร่วมแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมประสานงานกับภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน ตามกลไกประชารัฐ โดยมอบหมายให้หัวหน้าและผู้แทนพิเศษของรัฐบาลฯ อีก 12 ท่าน ทําหน้าที่ประสานเชื่อมโยงการทํางานไปยังคณะรัฐมนตรีและการบริหารราชการส่วนกลาง เพื่อช่วยคลี่คลายปัญหาและประสานงานให้เกิดความสําเร็จในการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้เป็นสังคมสันติสุขและประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ฝากความระลึกถึงมายังนักเรียนนักศึกษาและประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกคน หากมีโอกาสจะเดินทางมาเยี่ยมเยือนอีกครั้ง พร้อมยังได้มีข้อสั่งการในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมาว่า มีความห่วงใยเป็นพิเศษเกี่ยวกับอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ จึงขอให้ทุกภาคส่วนพยายามดําเนินงานอย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อให้ผู้ใช้รถใช้ถนนได้ตระหนักถึงอันตราย ความเสียหาย หรือผลเสียที่จะเกิดขึ้นตามมา เช่นเดียวกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ฝากความระลึกถึงประชาชนทุกคน และขอให้กระทรวงศึกษาธิการดูแลประชาชนอย่างเข้มแข็ง พร้อมย้ําถึงความปลอดภัยของประชาชนในการสัญจรทั้งบนถนนสายหลักและถนนสายรองในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้
ในส่วนของการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดคชายแดนภาคใต้ กระทรวงศึกษาธิการเตรียมที่จะให้ของขวัญแก่ประชาชน ตามนโยบายของรัฐบาล “สร้างความสุขสู่ชายแดนใต้” กล่าวคือ การเปิดโอกาสทางการศึกษาใน “โครงการโรงเรียนประชารัฐจังหวัดชายแดนภาคใต้”ซึ่งสืบเนื่องมาจากการสํารวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อนโยบายการพัฒนาการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่สามารถสร้างการรับรู้แก่ประชาชนในประเด็นความก้าวหน้าการทํางานด้านความมั่นคงในระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 68.33 ประกอบกับสามารถแก้ปัญหาประชากรวัยเรียนนอกระบบการศึกษาชายแดนใต้ นํากลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้กว่า 27,376 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 60
จึงต้องการที่จะเพิ่มโอกาสทางการศึกษาแก่บุตรหลานของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ให้ได้เข้าเรียนในสถานศึกษาประชารัฐ ในลักษณะอยู่ประจํา พร้อมจัดที่พักนอน ความปลอดภัย อาหารครบ 3 มื้อ และอุปกรณ์ความจําเป็นต่าง ๆซึ่งได้เริ่มดําเนินโครงการตั้งแต่ปีการศึกษา 2561 เป็นต้นมา ในโรงเรียนสังกัด สพฐ. ระดับประถมศึกษา 1 โรงเรียน และระดับมัธยมศึกษา 1 โรงเรียน รวมทั้งสิ้น 64 โรงเรียนใน 37 อําเภอของจังหวัดชายแดนภาคใต้ และสถานศึกษาอาชีวศึกษาประชารัฐสังกัด สอศ. 4 วิทยาลัย ใน 4 จังหวัด ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคจะนะ จ.สงขลา, วิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกปัตตานี, วิทยาลัยอาชีวศึกษายะลา และวิทยาลัยการอาชีพสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ซึ่งขณะนี้มีนักเรียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 4,000 คน
สําหรับการประชุมครั้งนี้มีความก้าวหน้าการปฏิบัติภารกิจและบูรณาการการทํางานร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ตามบทบาทหน้าที่ของผู้แทนพิเศษของรัฐบาลทั้ง 7 กลุ่มภารกิจที่สําคัญ แบ่งออกเป็น 3 ประเด็น ดังนี้
การเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาสถานการณ์โรคหัด
ดร.นพ.สุวิช ธรรมปาโล ผู้อํานวยการสํานักงานป้องกันควบคุมโรค (สคร.)ได้กล่าวรายงานถึงสถานการณ์โรคหัด (ไข้ออกผื่น) ในช่วงเดือนสิงหาคม 2561-ปัจจุบัน ว่าจํานวนผู้ป่วยและการระบาดส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มเด็กอายุ 7 เดือน - 2 ปี 6 เดือน ในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มีภาวะทุพโภชนาการและมีประวัติไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรค ซึ่งขณะนี้มีจํานวนผู้ป่วยลดลงมากแล้ว เหลือเพียงส่วนน้อยในบางอําเภอของจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการสร้างการรับรู้และทัศนคติที่ถูกต้องต่อการรับวัคซีนป้องกันโรค ทําให้มีอัตราการฉีดวัคซีนครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ มากขึ้น โดยต่อจากนี้มีข้อเสนอแผนงานและเป้าหมายที่จะฉีดวัคซีนให้กับประชากรกลุ่มเด็กอายุ 0 เดือน - 5 ปี ทุกรายในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ 4 อําเภอของจังหวัดสงขลา ทั้งวัคซีนโรคหัด วัคซีนโรคโปลิโอ และวัคซีนรวมอื่น ๆ เป็นต้น
การแก้ไขปัญหาราคายางและพืชผลทางการเกษตรตกต่ํา
นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดํารง ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวถึงภาพรวมพื้นที่ทางการเกษตรในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่ามีพื้นที่รวมทั้งหมด 13.2 ล้านไร่ และเป็นพื้นที่ทางการเกษตร 7.7 ล้านไร่ คิดเป็น 59.02 ของพื้นที่ทั้งหมด โดยมีครอบครัวที่ทําเกษตรกรรมกว่า 4 แสนครัวเรือน โดยมียางพารา ปาล์มน้ํามัน และข้าว เป็นพืชเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตระหนักถึงปัญหาราคายางและพืชผลทางการเกษตรตกต่ํา จึงได้มีโครงการส่งเสริมการใช้ยางพาราของหน่วยงานภาครัฐ โดยร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อนํายางพารามาเป็นส่วนหนึ่งในการทําถนน พร้อมเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางไร่ละ 1,800 บาท เพื่อสร้างความเข้มแข็งของเกษตรกรในเรื่องของปัจจัยการผลิตเพื่อเพิ่มคุณภาพ ใน 2 ส่วน คือ 1) เกษตรกรชาวสวนยาง 1,100 บาทต่อไร่ (รายละไม่เกิน 15 ไร่) แบ่งเป็นการสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปัจจัยการผลิต 800 บาทต่อไร่ และสนับสนุนปรับปรุงคุณภาพผลผลิต 300 บาทต่อไร่ และ 2) ค่าครองชีพคนกรีดยาง 700 บาทต่อไร่ (รายละไม่เกิน 15 ไร่)
นอกจากนี้ ยังได้แก้ไขปัญหาพืชผลทางการเกษตรตกต่ําอื่น ๆได้แก่ โครงการสร้างความเข้มแข็งชาวสวนปาล์ม โดยช่วยเหลือค่าครองชีพให้เกษตรกรชาวสวนปาล์ม ที่มีปาล์มน้ํามันให้ผลผลิตแล้วตามพื้นที่ปลูกจริงในอัตราไร่ละ 1,500 บาท (ครัวเรือนละไม่เกิน 15 ไร่) พร้อมส่งเสริมการปลูกปาล์มพันธุ์ดีเพื่อเพิ่มคุณภาพ, การสนับสนุนและช่วยเหลือเกษตรกรที่เลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไม โดยการช่วยลดต้นทุนปัจจัยการผลิตและการตลาด, มาตรการการช่วยเหลือในการกระจายสินค้าและแปรรูปปลากุเลา พร้อมเตรียมที่จะจัดตั้งกลุ่มและหาแหล่งทุนให้ด้วย, มาตรการช่วยเหลือกลุ่มผู้เลี้ยงปลากะพงในกระชัง เป็นต้น
ผลการดําเนินงานด้านการเกษตรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อื่น ๆดําเนินการภายใต้แนวคิด “การตลาดนําการผลิต” โดยมีความก้าวหน้าในหลายส่วน อาทิ การรวมกลุ่มของเกษตรกรแปลงใหญ่ เพื่อการเจรจาต่อรอง และการรวมกลุ่มพืชเศรษฐกิจ ปศุสัตว์ และการประมง พร้อมพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ ให้สามารถปรับตัวจากผู้ผลิตเป็นผู้ประกอบการ การจัดโซนนิ่งเพื่อเพาะปลูกพืชที่ช่วยเพิ่มมูลค่า การพัฒนาคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่มาตรฐาน GAP และสินค้าปลอดภัย การผลิตข้าวครบวงจร การบริหารจัดการน้ํา เป็นต้น
มาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันต์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษากล่าวถึงการดําเนินงานของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ได้ดําเนินการปล่อยกู้ให้กับนักเรียน นิสิต นักศึกษา ไปแล้วกว่า 5.4 ล้านราย คิดเป็นวงเงิน 5.7 แสนล้านบาท โดยมีการชําระและปิดบัญชีแล้วกว่า 8 แสนราย และยังเหลือผู้กู้ในระบบรวมทั้งสิ้น 4 ล้านคน แบ่งเป็นผู้กู้ยืมสถานะปกติกว่า 1 ล้านราย และผู้กู้ยืมสถานะผิดนัดชําระกว่า 2 ล้านราย คิดเป็นมูลหนี้ 6.8 หมื่นล้านบาท
ที่ผ่านมาได้มีความพยายามที่จะให้การดูแลผู้กู้ทุกคนทั้งผู้กู้ยืมที่ไม่เคยผิดนัดชําระและผู้กู้ยืมที่ค้างชําระหนี้ และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้ออกระเบียบเพื่อให้สิทธิสําหรับกลุ่มผู้กู้ยืมปกติที่ไม่เคยผิดนัดชําระหนี้ (ผู้กู้ยืมชั้นดีหรือผู้กู้ยืมที่อยู่ในช่วงปลอดหนี้) สามารถชําระหนี้ปิดบัญชีก่อนกําหนด เพื่อรับสิทธิ์ลดหย่อนเงินต้น 3% ณ วันที่ชําระหนี้ปิดบัญชี ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 เป็นต้นไป ในส่วนของผู้กู้ยืมที่ผิดนัดชําระหนี้ ได้ออกมาตรการจูงใจให้ผู้กู้ยืมมาชําระหนี้ปิดบัญชีเพิ่มเติมสําหรับผู้กู้ยืมที่ผิดนัดชําระหนี้ทุกราย โดยจะลดเบี้ยปรับให้ 85% ของเบี้ยปรับ ณ วันที่ชําระหนี้ปิดบัญชี ระหว่างวันที่ 1 ธ.ค. 2561 - 31 พ.ค. 2562 เนื่องจากกองทุนเห็นว่ามีผู้กู้ยืมและผู้ค้ําประกันจํานวนไม่น้อย ที่มีความต้องการจะปลดภาระหนี้ของตน แต่ไม่สามารถชําระหนี้ได้เพราะเบี้ยปรับที่เกิดจากการค้างชําระหนี้จํานวนมาก นอกจากนี้ กยศ. ยังได้ร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย เพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้กู้ยืม กยศ. และ กรอ. ด้วยระบบ QR Code เพื่อชําระเงินใน 2 รูปแบบ คือ แบบ Static QR โดยการสแกนคิวอาร์โค้ดผ่านบริการ KTB netbank และเลือกประเภทกองทุนที่ต้องการชําระหนี้คืน และแบบ Dynamic QR เป็นการสแกนคิวอาร์โค้ด ผ่าน www.studentloan.ktb.co.th หรือ www.studentloan.or.th ด้วยโมบายแบงก์กิ้งแอพลิเคชั่นทุกธนาคาร
ในส่วนของพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560ตามมาตรา 51 วรรคหนึ่ง ที่กําหนดให้ “องค์กรนายจ้างทั้งภาครัฐและเอกชน มีหน้าที่หักเงินได้ที่มาจากการจ้างแรงงานของพนักงานและลูกจ้างที่เป็นผู้กู้ยืมนําส่งกรมสรรพากร พร้อมกับการนําส่งภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่ายเพื่อชําระหนี้คืนกองทุน” นั้น จะเริ่มดําเนินการกับผู้กู้ทั้ง 3 กลุ่ม ได้แก่ ผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างการชําระหนี้ (ปกติ), ผู้กู้ยืมที่ทําสัญญาประนีประนอมยอมความก่อนฟ้องคดี และผู้กู้ยืมที่ทําสัญญาประนีประนอมความในศาล (พิพากษาตามยอม) โดยยอดหนี้ที่ผู้กู้ยืมจะต้องชําระในงวดวันที่ 5 กรกฎาคม 2562 ซึ่งต้องนํามาหักเงินเดือนนั้น กองทุนจะนับระยะเวลาการหักเงินเดือนตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 – มิถุนายน 2562 รวม 7 เดือน และในงวดปีถัดไป จะเริ่มหักเงินเดือนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมของทุกปี โดยกองทุนจะแจ้งหักเงินเดือนโดยใช้ยอดหนี้ตามตารางชําระรายปี หารด้วยจํานวนเดือน (12 เดือน) ทั้งนี้ การหักเงินเดือนทุกครั้ง ผู้กู้ยืมจะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมลดยอดหนี้
ยืนยันว่าที่ผ่านมา กยศ. พยายามที่จะดูแลและช่วยเหลือผู้กู้ที่ค้างชําระทุกคนอย่างละมุนละม่อมโดยมีขั้นตอนการติดตามหนี้สินเป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานเดียวกับสถาบันการเงินอื่น ๆ ทั้งของรัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็น การส่งหนังสือแจ้งภาระหนี้ การส่งหนังสือติดตามทวงถามหนี้ค้าง การส่งข้อความเสียงทางโทรศัพท์ การเจรจาให้ลูกหนี้ชําระหนี้ทางโทรศัพท์ หากยังไม่ชําระหนี้จนมีหนี้ค้างชําระหลายงวด จึงจะมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและดําเนินคดีกับผู้กู้ยืมและผู้ค้ําประกัน โดยผู้กู้สามารถทําสัญญาประนีประนอมยอมความ และได้โอกาสในการผ่อนชําระหนี้ต่อไปอีกเป็นเวลา 9 ปี จากนั้นยังไม่ชําระหนี้และศาลมีคําพิพากษาให้ชําระหนี้แล้ว กองทุนฯ ก็ยังจะดําเนินการติดตามให้ชําระหนี้ โดยสามารถขอผ่อนชําระหนี้ได้อีกครั้ง แต่หากไม่ชําระหนี้อีก กองทุนจึงจะขอศาลในการส่งคําบังคับไปยังภูมิลําเนาของลูกหนี้ตามคําพิพากษา เพื่อทําการยึดทรัพย์หรืออายัดทรัพย์สินของผู้กู้ยืมและผู้ค้ําประกันเพื่อนํามาขายทอดตลาดต่อไป
Written byนวรัตน์ รามสูต
Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17857
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” หารือแนวทางด้านประชาสัมพันธ์ เน้นสร้างการรับรู้แก่ประชาชน
|
วันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2560
“ยุติธรรม” หารือแนวทางด้านประชาสัมพันธ์ เน้นสร้างการรับรู้แก่ประชาชน
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเพื่อหารือแนวทางการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลการดําเนินงานของกระทรวงยุติธรรม
เมื่อวันพุธที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๓.๓๐ น.
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมเพื่อหารือแนวทางการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลการดําเนินงานของกระทรวงยุติธรรม
รวมทั้งแนวทางการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับกฎหมายให้ประชาชนรับทราบ
อันจะเป็นการสร้างการรับรู้และอํานวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร
ด้านงานยุติธรรมได้โดยง่าย รวดเร็ว และเสมอภาค
โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” หารือแนวทางด้านประชาสัมพันธ์ เน้นสร้างการรับรู้แก่ประชาชน
วันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2560
“ยุติธรรม” หารือแนวทางด้านประชาสัมพันธ์ เน้นสร้างการรับรู้แก่ประชาชน
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเพื่อหารือแนวทางการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลการดําเนินงานของกระทรวงยุติธรรม
เมื่อวันพุธที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๓.๓๐ น.
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมเพื่อหารือแนวทางการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลการดําเนินงานของกระทรวงยุติธรรม
รวมทั้งแนวทางการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับกฎหมายให้ประชาชนรับทราบ
อันจะเป็นการสร้างการรับรู้และอํานวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร
ด้านงานยุติธรรมได้โดยง่าย รวดเร็ว และเสมอภาค
โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1518
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ ให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยด้านสินค้าเกษตร พร้อมมอบหมายหน่วยงานในสังกัดเร่งเข้าตรวจสอบและจับกุม
|
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2559
รัฐมนตรีเกษตรฯ ให้ความสําคัญในเรื่องความปลอดภัยด้านสินค้าเกษตร พร้อมมอบหมายหน่วยงานในสังกัดเร่งเข้าตรวจสอบและจับกุม
รัฐมนตรีเกษตรฯ ให้ความสําคัญในเรื่องความปลอดภัยด้านสินค้าเกษตร พร้อมมอบหมายหน่วยงานในสังกัดเร่งเข้าตรวจสอบและจับกุม หวังสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้ความสําคัญในเรื่องความปลอดภัยด้านสินค้าเกษตร โดยมีแผนการดําเนินงาน อาทิ การตรวจจับ การป้องกันในเรื่องการทําเกษตรที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นสินค้าปศุสัตว์ สินค้าประมง หรือแม้กระทั่งพืชไร่พืชสวน รวมถึงมาตรการป้องกันการใช้ปุ๋ยปลอม และการใช้สารเคมีที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการในทุกมิติ นอกจากนี้ ยังให้ความสําคัญกับสินค้าปศุสัตว์ โดยจะต้องสร้างความมั่นใจของผู้บริโภคภายในประเทศ โดยในปี 2559 มีผลการจับกุมมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา รวมถึงการติดตามสารเร่งเนื้อแดงที่มีปริมาณการจับกุมสูงขึ้นด้วย จึงได้เน้นย้ํากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการอย่างเข้มข้น และให้ดําเนินการอย่างจริงจัง รวมถึงให้ความสําคัญในการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรด้วย
นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมวิชาการเกษตรได้มีแนวทางปฏิบัติในการตรวจเข้มในเรื่องของผู้นําเข้า ผู้ผลิต ผู้จําหน่าย และผู้ครอบครองปัจจัยการผลิตทั้งหมด โดยเน้นไปที่ปุ๋ยและวัตถุอันตราย โดยในปี 2558 สามารถอายัดของกลางปุ๋ยและวัตถุอันตราย รวมจํานวน 271 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 73 ล้านบาท ปี 2559 อายัดของกลางปุ๋ยและวัตถุอันตราย รวมจํานวน 2,132 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 83 ล้านบาท และตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 59 เป็นต้นมา (ข้อมูล ณ วันที่ 9 ธ.ค. 59) กรมวิชาการเกษตรได้เข้าไปตรวจ รวมทั้งสิ้น 1,348 ครั้ง ทั้งโรงงานผู้ผลิตและร้านค้า โดยมีการสุ่มเก็บตัวอย่างและอายัดปุ๋ย รวมทั้งสิ้น 1,155 ตัน กับ 10,058 ลิตร อายัดวัตถุอันตราย รวมทั้งสิ้น 63 กิโลกรัม 301 ลิตร พันธุ์พืช 1,001 กิโลกรัม มูลค่า 28 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังได้สนับสนุนให้เกษตรกรเข้าสู่การรับรองแปลงตามมาตรฐาน GAP ในปี 2560 มีแผนการตรวจรับรอง คือ ตรวจรับรองแปลงของเกษตรกรที่สมัครเข้าสู่ระบบ GAP จํานวน 25,500 แปลง ตรวจต่ออายุแหล่งผลิตพืชที่ได้รับการรับรอง GAP จํานวน 65,113 แปลง ตรวจรับรองแปลงของเกษตรกรที่สมัครเข้าสู่ระบบเกษตรอินทรีย์จํานวน 1,008 แปลง และตรวจต่ออายุแหล่งผลิตพืชที่ได้รับการรับรองเกษตรอินทรีย์อีกจํานวน 1,192 แปลง ในขณะเดียวกัน ยังได้ลงไปสุ่มตรวจสินค้าเกษตร โดยเน้นในช่วงเทศกาลต่าง ๆ ซึ่งในช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ได้ลงพื้นที่ 7 จังหวัด เพื่อไปสุ่มตรวจสินค้าเกษตร ในพืชผัก 10 ชนิด ผลไม้ 9 ชนิด และได้ส่งตัวอย่างทั้งหมดเข้าไปตรวจสอบอยู่ คาดว่าจะทราบผลภายในต้นเดือน ม.ค. ปี 2560 นอกจากนี้ ยังได้ใช้เครือข่ายในภาคประชาชนเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล โดยเน้นเกษตรกรเป็นหลักและคํานึงถึงคุ้มครองผู้บริโภคด้วย
ด้าน นายอภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ในส่วนของกรมปศุสัตว์ ได้ขับเคลื่อนสินค้าเกษตรปลอดภัย โดยจะเน้นในเรื่องของโรงฆ่าสัตว์เถื่อน ซึ่งในปี 2559 ได้มีผลการจับกุม จํานวน 226 ครั้ง ในขณะเดียวกัน การขออนุญาตแบบถูกต้องก็มีจํานวนเพิ่มมากขึ้น มีจํานวนกว่า 2,200 แห่ง การดําเนินงานมีประสิทธิภาพและมีทางออกให้กับผู้ประกอบการ การลักลอบนําเข้าเนื้อเถื่อน ในปี 2559 ได้มีผลการจับกุม จํานวน 115 ครั้ง มูลค่าของกลาง 148,568,761 บาท เป็นเรื่องสําคัญที่จะส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ และการใช้สารเร่งเนื้อแดง ได้มีผลการจับกุม จํานวน 80 ครั้ง ได้ทําควบคู่ไปกับการตรวจรับรองสถานที่จําหน่ายที่ถูกสุขลักษณะ ตามโครงการ “ปศุสัตว์ OK” เพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตเนื้อสัตว์ โดยสถานที่จําหน่ายเนื้อสัตว์ “ปศุสัตว์ OK” ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่าเนื้อสัตว์มาจากโรงฆ่าสัตว์ที่มีมาตรฐาน และผลิตจากฟาร์มมาตรฐาน (GAP) ปัจจุบันได้รับรองสถานที่จําหน่ายเนื้อสัตว์ (ปศุสัตว์ OK) จํานวน 2,762 แห่ง
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ ให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยด้านสินค้าเกษตร พร้อมมอบหมายหน่วยงานในสังกัดเร่งเข้าตรวจสอบและจับกุม
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2559
รัฐมนตรีเกษตรฯ ให้ความสําคัญในเรื่องความปลอดภัยด้านสินค้าเกษตร พร้อมมอบหมายหน่วยงานในสังกัดเร่งเข้าตรวจสอบและจับกุม
รัฐมนตรีเกษตรฯ ให้ความสําคัญในเรื่องความปลอดภัยด้านสินค้าเกษตร พร้อมมอบหมายหน่วยงานในสังกัดเร่งเข้าตรวจสอบและจับกุม หวังสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้ความสําคัญในเรื่องความปลอดภัยด้านสินค้าเกษตร โดยมีแผนการดําเนินงาน อาทิ การตรวจจับ การป้องกันในเรื่องการทําเกษตรที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นสินค้าปศุสัตว์ สินค้าประมง หรือแม้กระทั่งพืชไร่พืชสวน รวมถึงมาตรการป้องกันการใช้ปุ๋ยปลอม และการใช้สารเคมีที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการในทุกมิติ นอกจากนี้ ยังให้ความสําคัญกับสินค้าปศุสัตว์ โดยจะต้องสร้างความมั่นใจของผู้บริโภคภายในประเทศ โดยในปี 2559 มีผลการจับกุมมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา รวมถึงการติดตามสารเร่งเนื้อแดงที่มีปริมาณการจับกุมสูงขึ้นด้วย จึงได้เน้นย้ํากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการอย่างเข้มข้น และให้ดําเนินการอย่างจริงจัง รวมถึงให้ความสําคัญในการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรด้วย
นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมวิชาการเกษตรได้มีแนวทางปฏิบัติในการตรวจเข้มในเรื่องของผู้นําเข้า ผู้ผลิต ผู้จําหน่าย และผู้ครอบครองปัจจัยการผลิตทั้งหมด โดยเน้นไปที่ปุ๋ยและวัตถุอันตราย โดยในปี 2558 สามารถอายัดของกลางปุ๋ยและวัตถุอันตราย รวมจํานวน 271 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 73 ล้านบาท ปี 2559 อายัดของกลางปุ๋ยและวัตถุอันตราย รวมจํานวน 2,132 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 83 ล้านบาท และตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 59 เป็นต้นมา (ข้อมูล ณ วันที่ 9 ธ.ค. 59) กรมวิชาการเกษตรได้เข้าไปตรวจ รวมทั้งสิ้น 1,348 ครั้ง ทั้งโรงงานผู้ผลิตและร้านค้า โดยมีการสุ่มเก็บตัวอย่างและอายัดปุ๋ย รวมทั้งสิ้น 1,155 ตัน กับ 10,058 ลิตร อายัดวัตถุอันตราย รวมทั้งสิ้น 63 กิโลกรัม 301 ลิตร พันธุ์พืช 1,001 กิโลกรัม มูลค่า 28 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังได้สนับสนุนให้เกษตรกรเข้าสู่การรับรองแปลงตามมาตรฐาน GAP ในปี 2560 มีแผนการตรวจรับรอง คือ ตรวจรับรองแปลงของเกษตรกรที่สมัครเข้าสู่ระบบ GAP จํานวน 25,500 แปลง ตรวจต่ออายุแหล่งผลิตพืชที่ได้รับการรับรอง GAP จํานวน 65,113 แปลง ตรวจรับรองแปลงของเกษตรกรที่สมัครเข้าสู่ระบบเกษตรอินทรีย์จํานวน 1,008 แปลง และตรวจต่ออายุแหล่งผลิตพืชที่ได้รับการรับรองเกษตรอินทรีย์อีกจํานวน 1,192 แปลง ในขณะเดียวกัน ยังได้ลงไปสุ่มตรวจสินค้าเกษตร โดยเน้นในช่วงเทศกาลต่าง ๆ ซึ่งในช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ได้ลงพื้นที่ 7 จังหวัด เพื่อไปสุ่มตรวจสินค้าเกษตร ในพืชผัก 10 ชนิด ผลไม้ 9 ชนิด และได้ส่งตัวอย่างทั้งหมดเข้าไปตรวจสอบอยู่ คาดว่าจะทราบผลภายในต้นเดือน ม.ค. ปี 2560 นอกจากนี้ ยังได้ใช้เครือข่ายในภาคประชาชนเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล โดยเน้นเกษตรกรเป็นหลักและคํานึงถึงคุ้มครองผู้บริโภคด้วย
ด้าน นายอภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ในส่วนของกรมปศุสัตว์ ได้ขับเคลื่อนสินค้าเกษตรปลอดภัย โดยจะเน้นในเรื่องของโรงฆ่าสัตว์เถื่อน ซึ่งในปี 2559 ได้มีผลการจับกุม จํานวน 226 ครั้ง ในขณะเดียวกัน การขออนุญาตแบบถูกต้องก็มีจํานวนเพิ่มมากขึ้น มีจํานวนกว่า 2,200 แห่ง การดําเนินงานมีประสิทธิภาพและมีทางออกให้กับผู้ประกอบการ การลักลอบนําเข้าเนื้อเถื่อน ในปี 2559 ได้มีผลการจับกุม จํานวน 115 ครั้ง มูลค่าของกลาง 148,568,761 บาท เป็นเรื่องสําคัญที่จะส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ และการใช้สารเร่งเนื้อแดง ได้มีผลการจับกุม จํานวน 80 ครั้ง ได้ทําควบคู่ไปกับการตรวจรับรองสถานที่จําหน่ายที่ถูกสุขลักษณะ ตามโครงการ “ปศุสัตว์ OK” เพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตเนื้อสัตว์ โดยสถานที่จําหน่ายเนื้อสัตว์ “ปศุสัตว์ OK” ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่าเนื้อสัตว์มาจากโรงฆ่าสัตว์ที่มีมาตรฐาน และผลิตจากฟาร์มมาตรฐาน (GAP) ปัจจุบันได้รับรองสถานที่จําหน่ายเนื้อสัตว์ (ปศุสัตว์ OK) จํานวน 2,762 แห่ง
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1085
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด ก.อุตฯ ร่วมงาน SD Symposium 2108: Circular Economy
|
วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม 2561
รองปลัด ก.อุตฯ ร่วมงาน SD Symposium 2108: Circular Economy
นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะ ร่วมงาน SD Symposium 2108: Circular Economy ณ โรงเเรม ดิ พลาซา แอทธินี กรุงเทพ
เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2561 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายบรรจง สุกรีฑา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ร่วมงาน SD Symposium 2108: Circular Economy ณ โรงเเรม ดิ พลาซา แอทธินี กรุงเทพ โดยมี ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ การงานจัดงานในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักและร่วมผลักดันให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงการบริโภค ซึ่งจะสามารถช่วยสร้างการเติบโตอย่างสมดุลของการดําเนินธุรกิจ การยกระดับคุณภาพชีวิต และอนาคตของโลกที่ยั่งยืน ในหัวข้อ Circular Economy (return / make / use) :the future we create และได้รับความสนใจจากหน่วยงานภาคเอกชน ภาครัฐ ประชาชน และสื่อมวลชนทั้งไทยเเละต่างชาติเข้าร่วมงาน กว่า 900 คน
โดยท่านรองนายกฯ ได้กล่าวขอบคุณ SCG ในฐานะภาคเอกชนที่ให้ความสําคัญกับการสร้าง กระตุ้นให้สังคมเกิดความตระหนักถึงการใช้ทรัพยากร สิ่งเเวดล้อมให้เกิดความคุ้มค่าเเละยั่งยืน จึงเกิดเป็นงาน Circular Economy ขึ้นมา โดยใช้ความรู้ด้าน innovation และใช้พลังหรือแบรนด์ที่เข้มเเข็งของ SCG ขับเคลื่อนให้คนในประเทศตื่นตัวในเรื่องการใช้ทรัพยากรและรักษาสิ่งเเวดล้อม Circular economy สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ ของรัฐบาลที่ได้กําหนดในแผนการพัฒนาประเทศ ซึ่งเรากําลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยการสร้าง พัฒนาภาคธุรกิจให้เกิดvalue มีนวัตกรรม เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ และในขณะเดียวกันก็ขับเคลื่อนไปพร้อมกับการรู้จักใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าเเละเกิดประโยชน์สูงสุด และทําอย่างไรให้มีทรัพยากรให้คนรุ่นหลังได้ใช้อย่างยั่งยืน
“ความสําเร็จในประเด็น circular economy ความยั่งยืนของทรัพยากร โดยทุกภาคส่วนจะต้องร่วมกันสร้างความตระหนัก สร้างการรับรู้ ให้ความรู้ ในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรให้คุ้มค่า และวิธีการรักษ์สิ่งเเวดล้อม โดยจะต้องผลักดันปลูกฝัง สร้างจิตสํานึกตั้งเเต่เยาวชน ประชาชน ผู้ประกอบการ และภาครัฐ ต้องร่วมมือกันอย่างเข้มเเข็ง เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต” ดร.สมคิดฯ กล่าวทิ้งท้าย
นอกจากนี้ภายในงานดังกล่าวยังมีการ บรรยายในหัวข้อ “CIRCULAR MINDSET” โดย Mr.Peter Bakker,President &CEO of WBCSD การเสวนาหัวข้อ กระบวนการดําเนินธุรกิจในรูปแบบ circular Economy โดย Dupont, Michelin, DOW และ SCG และการสัมมนาในหัวข้อย่อย ดังนี้ (1) GLOBAL SHARING (2) CIRCULAR COMMUNITY (3) DIGITAL FOR CIRCULAR ECONOMY และ (4) CIRCULAR WASTE VALUE CHAIN
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด ก.อุตฯ ร่วมงาน SD Symposium 2108: Circular Economy
วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม 2561
รองปลัด ก.อุตฯ ร่วมงาน SD Symposium 2108: Circular Economy
นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะ ร่วมงาน SD Symposium 2108: Circular Economy ณ โรงเเรม ดิ พลาซา แอทธินี กรุงเทพ
เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2561 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายบรรจง สุกรีฑา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ร่วมงาน SD Symposium 2108: Circular Economy ณ โรงเเรม ดิ พลาซา แอทธินี กรุงเทพ โดยมี ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ การงานจัดงานในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักและร่วมผลักดันให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงการบริโภค ซึ่งจะสามารถช่วยสร้างการเติบโตอย่างสมดุลของการดําเนินธุรกิจ การยกระดับคุณภาพชีวิต และอนาคตของโลกที่ยั่งยืน ในหัวข้อ Circular Economy (return / make / use) :the future we create และได้รับความสนใจจากหน่วยงานภาคเอกชน ภาครัฐ ประชาชน และสื่อมวลชนทั้งไทยเเละต่างชาติเข้าร่วมงาน กว่า 900 คน
โดยท่านรองนายกฯ ได้กล่าวขอบคุณ SCG ในฐานะภาคเอกชนที่ให้ความสําคัญกับการสร้าง กระตุ้นให้สังคมเกิดความตระหนักถึงการใช้ทรัพยากร สิ่งเเวดล้อมให้เกิดความคุ้มค่าเเละยั่งยืน จึงเกิดเป็นงาน Circular Economy ขึ้นมา โดยใช้ความรู้ด้าน innovation และใช้พลังหรือแบรนด์ที่เข้มเเข็งของ SCG ขับเคลื่อนให้คนในประเทศตื่นตัวในเรื่องการใช้ทรัพยากรและรักษาสิ่งเเวดล้อม Circular economy สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ ของรัฐบาลที่ได้กําหนดในแผนการพัฒนาประเทศ ซึ่งเรากําลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยการสร้าง พัฒนาภาคธุรกิจให้เกิดvalue มีนวัตกรรม เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ และในขณะเดียวกันก็ขับเคลื่อนไปพร้อมกับการรู้จักใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าเเละเกิดประโยชน์สูงสุด และทําอย่างไรให้มีทรัพยากรให้คนรุ่นหลังได้ใช้อย่างยั่งยืน
“ความสําเร็จในประเด็น circular economy ความยั่งยืนของทรัพยากร โดยทุกภาคส่วนจะต้องร่วมกันสร้างความตระหนัก สร้างการรับรู้ ให้ความรู้ ในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรให้คุ้มค่า และวิธีการรักษ์สิ่งเเวดล้อม โดยจะต้องผลักดันปลูกฝัง สร้างจิตสํานึกตั้งเเต่เยาวชน ประชาชน ผู้ประกอบการ และภาครัฐ ต้องร่วมมือกันอย่างเข้มเเข็ง เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต” ดร.สมคิดฯ กล่าวทิ้งท้าย
นอกจากนี้ภายในงานดังกล่าวยังมีการ บรรยายในหัวข้อ “CIRCULAR MINDSET” โดย Mr.Peter Bakker,President &CEO of WBCSD การเสวนาหัวข้อ กระบวนการดําเนินธุรกิจในรูปแบบ circular Economy โดย Dupont, Michelin, DOW และ SCG และการสัมมนาในหัวข้อย่อย ดังนี้ (1) GLOBAL SHARING (2) CIRCULAR COMMUNITY (3) DIGITAL FOR CIRCULAR ECONOMY และ (4) CIRCULAR WASTE VALUE CHAIN
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13812
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงสร้างไทยผ่านโครงการ “New Gen Hug บ้านเกิด” ค้นหาเกษตรกรรุ่นใหม่ ต่อยอดสู่ธุรกิจชุมชนอย่างยั่งยืน
|
วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563
ธ.ก.ส. ขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงสร้างไทยผ่านโครงการ “New Gen Hug บ้านเกิด” ค้นหาเกษตรกรรุ่นใหม่ ต่อยอดสู่ธุรกิจชุมชนอย่างยั่งยืน
ธ.ก.ส. เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากประชารัฐสร้างไทย ผุดโครงการ “New Gen Hug บ้านเกิด” เพื่อเฟ้นหาและสนับสนุนคนรุ่นใหม่ เข้าร่วมแข่งขันในแนวคิดการพัฒนาด้านการเกษตรสู่ธุรกิจชุมชนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ธ.ก.ส. เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากประชารัฐสร้างไทย ผุดโครงการ “New Gen Hug บ้านเกิด” เพื่อเฟ้นหาและสนับสนุนคนรุ่นใหม่ เข้าร่วมแข่งขันในแนวคิดการพัฒนาด้านการเกษตรสู่ธุรกิจชุมชนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ผสมผสานกับการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และเงินรางวัลกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งจะนําเสนอในรูปแบบรายการ Reality เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ โดยมีเนื้อหาที่เข้มข้นชวนติดตาม ผสมผสานความบันเทิงโดยมีดาราศิลปินมาร่วมสร้างสีสัน ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง ONE 31 พร้อมหนุนสินเชื่อเพื่อต่อยอดธุรกิจและฟื้นฟูเกษตรกรลูกค้าภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
วันนี้ (24 มิถุนายน 2563) ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมคอนราด แบงคอก ถนนวิทยุ กรุงเทพ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการเศรษฐกิจพอเพียงสร้างไทยและโครงการ New Gen Hug บ้านเกิด โดยมี ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นายถกลเกียรติ วีรวรรณ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จํากัด พร้อมด้วยเกษตรกรรุ่นใหม่ ผู้บริหาร พนักงาน ธ.ก.ส. และดารานักแสดงจากสถานีโทรทัศน์ช่อง ONE 31 เข้าร่วมงาน
นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากประชารัฐสร้างไทย ผ่านโครงการธุรกิจชุมชนสร้างไทย เพื่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจฐานรากที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนในชุมชน ทั้งในด้านการผลิต การซื้อ-ขายผลผลิต การแปรรูป และการบริโภคของคนในชุมชนอย่างมีส่วนร่วม โดยใช้ทรัพยากรของชุมชน มีการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเกื้อกูลและเป็นธรรม ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจถดถอย ธุรกิจต่างๆ เลิกจ้างงานและมีแรงงานบางส่วนย้ายกลับภูมิลําเนา ซึ่งคนกลุ่มนี้ถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถที่จะพัฒนาบ้านเกิดของตนเองได้ ธ.ก.ส. จึงได้จัดทําโครงการ “New Gen Hug บ้านเกิด” เพื่อค้นหาทายาทเกษตรกรและคนรุ่นใหม่ที่มีไอเดีย เชื่อมั่นในวิถีเกษตรสร้างสรรค์ เข้ามาร่วมคิด ร่วมสร้างธุรกิจชุมชนภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ควบคู่กับการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตรและต่อยอดสู่ธุรกิจในชุมชน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนและภาคีเครือข่าย การส่งเสริมการดําเนินธุรกิจเพื่อสังคมในรูปแบบ Social Enterprise (SE) อันนําไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็งและมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) ซึ่งจะนําเสนอโครงการในรูปแบบรายการ Reality เพื่อสร้างแนวคิด แรงบันดาลใจ โดยมีเนื้อหาที่เข้มข้นชวนติดตาม ผสมผสานความบันเทิงจากเหล่าดาราศิลปินที่มาร่วมสร้างสีสันในรายการ กําหนดออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง ONE 31
การแข่งขันสามารถเลือกได้ทั้งประเภท 1) เกษตรกรรมยั่งยืน (เกษตรธรรมชาติ เกษตรวิถีอินทรีย์วนเกษตร เกษตรผสมผสาน เกษตรทฤษฎีใหม่) 2) เกษตรเทคโนโลยี (เกษตรแปลงใหญ่ เกษตรอุตสาหกรรม เกษตรไฮเทค) 3) เกษตรแปรรูป (เกษตรบริการการเกษตร เกษตรแปรรูปเพิ่มมูลค่า) และ 4) เกษตรท่องเที่ยวชุมชน (เกษตรท่องเที่ยว เกษตรวิสาหกิจชุมชน) โดยผู้สมัครต้องเป็นนักศึกษา บุคคลทั่วไป เกษตรกรรุ่นใหม่ ผู้นําชุมชน กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจุชมชน กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง สถาบันการเงินประชาชน และสหกรณ์การเกษตรที่มีอายุ 17 - 45 ปี เลือกสมัครได้ทั้งแบบเดี่ยวและแบบทีม (3-5 คน) โดยมีรางวัลรวมกว่า 5 ล้านบาทแบ่งเป็นประเภทนําเสนอแนวคิด หรือ BAAC The Idea สําหรับผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ในการทําธุรกิจด้านการเกษตร จํานวน 24 รางวัล มูลค่ารวม 149,000 บาท และประเภทต้นแบบการทําธุรกิจ หรือ BAAC The Idol สําหรับผู้ที่ดําเนินธุรกิจด้านการเกษตรอยู่แล้ว และมีแนวคิดในการต่อยอดธุรกิจ จํานวน 104 รางวัล มูลค่า 4,854,000 บาท นอกจากนี้ รายการได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมคัดเลือกและตัดสิน อีกทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศที่มีประสบการณ์ตรงแต่ละสาขามาเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้แข่งขัน ทั้งนี้ เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ ถึง 20 กรกฎาคม 2563 www.newgenhugbaankerd.com ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook page : New Gen Hug บ้านเกิด Line Official : BAAC Family หรือสอบถามได้ที่ โทร. 091-7017012
เป้าหมายผู้เข้าร่วมการแข่งขัน 10,000 คน และทําการคัดเลือกเหลือ 500 คน และ 200 คน ในรอบที่ 2 และ 3 ตามลําดับ จนเหลือ 104 คน ในรอบสุดท้ายเพื่อเข้าสู่รอบการอบรมและเก็บตัว โดยผู้เข้าแข่งขันจะได้นําเสนอแนวคิดในการทําธุรกิจ การพัฒนาต่อยอด การเรียนรู้ระหว่างเข้าร่วมกิจกรรมในโครงการ และบูรณาการการทํางานร่วมกับเครือข่าย สู่การขับเคลื่อนโครงการให้เกิดขึ้นจริง พร้อมทั้งการนําข้อเสนอแนะจากผู้รู้ไปสู่การปฏิบัติและประยุกต์ใช้จริง
นายอภิรมย์ กล่าวต่อไปว่า เพื่อให้โครงการสามารถต่อยอดสู่ธุรกิจชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม ธ.ก.ส. พร้อมสนับสนุนสินเชื่อผ่อนปรน วงเงินรวม 260,000 ล้านบาท เช่น สินเชื่อพอเพียงเพื่อเลี้ยงชีพ สินเชื่อระยะสั้นฤดูกาลผลิตใหม่ เพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูเกษตรกรลูกค้าภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้กลับมาพัฒนาอาชีพที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและชุมชน มีรายได้ ควบคู่กับการร่วมดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชนอย่างยั่งยืน สินเชื่อ New Gen Hug บ้านเกิด สินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย และสินเชื่อ SMEs เกษตร เพื่อเป็นค่าลงทุนหรือค่าใช้จ่ายหมุนเวียนในการทําการเกษตรหรือประกอบธุรกิจการเกษตรสมัยใหม่ที่อาศัยเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิต ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ในชุมชน และสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงสร้างไทยผ่านโครงการ “New Gen Hug บ้านเกิด” ค้นหาเกษตรกรรุ่นใหม่ ต่อยอดสู่ธุรกิจชุมชนอย่างยั่งยืน
วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563
ธ.ก.ส. ขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงสร้างไทยผ่านโครงการ “New Gen Hug บ้านเกิด” ค้นหาเกษตรกรรุ่นใหม่ ต่อยอดสู่ธุรกิจชุมชนอย่างยั่งยืน
ธ.ก.ส. เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากประชารัฐสร้างไทย ผุดโครงการ “New Gen Hug บ้านเกิด” เพื่อเฟ้นหาและสนับสนุนคนรุ่นใหม่ เข้าร่วมแข่งขันในแนวคิดการพัฒนาด้านการเกษตรสู่ธุรกิจชุมชนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ธ.ก.ส. เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากประชารัฐสร้างไทย ผุดโครงการ “New Gen Hug บ้านเกิด” เพื่อเฟ้นหาและสนับสนุนคนรุ่นใหม่ เข้าร่วมแข่งขันในแนวคิดการพัฒนาด้านการเกษตรสู่ธุรกิจชุมชนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ผสมผสานกับการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และเงินรางวัลกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งจะนําเสนอในรูปแบบรายการ Reality เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ โดยมีเนื้อหาที่เข้มข้นชวนติดตาม ผสมผสานความบันเทิงโดยมีดาราศิลปินมาร่วมสร้างสีสัน ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง ONE 31 พร้อมหนุนสินเชื่อเพื่อต่อยอดธุรกิจและฟื้นฟูเกษตรกรลูกค้าภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
วันนี้ (24 มิถุนายน 2563) ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมคอนราด แบงคอก ถนนวิทยุ กรุงเทพ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการเศรษฐกิจพอเพียงสร้างไทยและโครงการ New Gen Hug บ้านเกิด โดยมี ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นายถกลเกียรติ วีรวรรณ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จํากัด พร้อมด้วยเกษตรกรรุ่นใหม่ ผู้บริหาร พนักงาน ธ.ก.ส. และดารานักแสดงจากสถานีโทรทัศน์ช่อง ONE 31 เข้าร่วมงาน
นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากประชารัฐสร้างไทย ผ่านโครงการธุรกิจชุมชนสร้างไทย เพื่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจฐานรากที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนในชุมชน ทั้งในด้านการผลิต การซื้อ-ขายผลผลิต การแปรรูป และการบริโภคของคนในชุมชนอย่างมีส่วนร่วม โดยใช้ทรัพยากรของชุมชน มีการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเกื้อกูลและเป็นธรรม ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจถดถอย ธุรกิจต่างๆ เลิกจ้างงานและมีแรงงานบางส่วนย้ายกลับภูมิลําเนา ซึ่งคนกลุ่มนี้ถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถที่จะพัฒนาบ้านเกิดของตนเองได้ ธ.ก.ส. จึงได้จัดทําโครงการ “New Gen Hug บ้านเกิด” เพื่อค้นหาทายาทเกษตรกรและคนรุ่นใหม่ที่มีไอเดีย เชื่อมั่นในวิถีเกษตรสร้างสรรค์ เข้ามาร่วมคิด ร่วมสร้างธุรกิจชุมชนภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ควบคู่กับการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตรและต่อยอดสู่ธุรกิจในชุมชน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนและภาคีเครือข่าย การส่งเสริมการดําเนินธุรกิจเพื่อสังคมในรูปแบบ Social Enterprise (SE) อันนําไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็งและมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) ซึ่งจะนําเสนอโครงการในรูปแบบรายการ Reality เพื่อสร้างแนวคิด แรงบันดาลใจ โดยมีเนื้อหาที่เข้มข้นชวนติดตาม ผสมผสานความบันเทิงจากเหล่าดาราศิลปินที่มาร่วมสร้างสีสันในรายการ กําหนดออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง ONE 31
การแข่งขันสามารถเลือกได้ทั้งประเภท 1) เกษตรกรรมยั่งยืน (เกษตรธรรมชาติ เกษตรวิถีอินทรีย์วนเกษตร เกษตรผสมผสาน เกษตรทฤษฎีใหม่) 2) เกษตรเทคโนโลยี (เกษตรแปลงใหญ่ เกษตรอุตสาหกรรม เกษตรไฮเทค) 3) เกษตรแปรรูป (เกษตรบริการการเกษตร เกษตรแปรรูปเพิ่มมูลค่า) และ 4) เกษตรท่องเที่ยวชุมชน (เกษตรท่องเที่ยว เกษตรวิสาหกิจชุมชน) โดยผู้สมัครต้องเป็นนักศึกษา บุคคลทั่วไป เกษตรกรรุ่นใหม่ ผู้นําชุมชน กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจุชมชน กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง สถาบันการเงินประชาชน และสหกรณ์การเกษตรที่มีอายุ 17 - 45 ปี เลือกสมัครได้ทั้งแบบเดี่ยวและแบบทีม (3-5 คน) โดยมีรางวัลรวมกว่า 5 ล้านบาทแบ่งเป็นประเภทนําเสนอแนวคิด หรือ BAAC The Idea สําหรับผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ในการทําธุรกิจด้านการเกษตร จํานวน 24 รางวัล มูลค่ารวม 149,000 บาท และประเภทต้นแบบการทําธุรกิจ หรือ BAAC The Idol สําหรับผู้ที่ดําเนินธุรกิจด้านการเกษตรอยู่แล้ว และมีแนวคิดในการต่อยอดธุรกิจ จํานวน 104 รางวัล มูลค่า 4,854,000 บาท นอกจากนี้ รายการได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมคัดเลือกและตัดสิน อีกทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศที่มีประสบการณ์ตรงแต่ละสาขามาเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้แข่งขัน ทั้งนี้ เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ ถึง 20 กรกฎาคม 2563 www.newgenhugbaankerd.com ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook page : New Gen Hug บ้านเกิด Line Official : BAAC Family หรือสอบถามได้ที่ โทร. 091-7017012
เป้าหมายผู้เข้าร่วมการแข่งขัน 10,000 คน และทําการคัดเลือกเหลือ 500 คน และ 200 คน ในรอบที่ 2 และ 3 ตามลําดับ จนเหลือ 104 คน ในรอบสุดท้ายเพื่อเข้าสู่รอบการอบรมและเก็บตัว โดยผู้เข้าแข่งขันจะได้นําเสนอแนวคิดในการทําธุรกิจ การพัฒนาต่อยอด การเรียนรู้ระหว่างเข้าร่วมกิจกรรมในโครงการ และบูรณาการการทํางานร่วมกับเครือข่าย สู่การขับเคลื่อนโครงการให้เกิดขึ้นจริง พร้อมทั้งการนําข้อเสนอแนะจากผู้รู้ไปสู่การปฏิบัติและประยุกต์ใช้จริง
นายอภิรมย์ กล่าวต่อไปว่า เพื่อให้โครงการสามารถต่อยอดสู่ธุรกิจชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม ธ.ก.ส. พร้อมสนับสนุนสินเชื่อผ่อนปรน วงเงินรวม 260,000 ล้านบาท เช่น สินเชื่อพอเพียงเพื่อเลี้ยงชีพ สินเชื่อระยะสั้นฤดูกาลผลิตใหม่ เพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูเกษตรกรลูกค้าภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้กลับมาพัฒนาอาชีพที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและชุมชน มีรายได้ ควบคู่กับการร่วมดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชนอย่างยั่งยืน สินเชื่อ New Gen Hug บ้านเกิด สินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย และสินเชื่อ SMEs เกษตร เพื่อเป็นค่าลงทุนหรือค่าใช้จ่ายหมุนเวียนในการทําการเกษตรหรือประกอบธุรกิจการเกษตรสมัยใหม่ที่อาศัยเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิต ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ในชุมชน และสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32694
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. เปิดให้ตรวจสอบสิทธิ “ผู้มีสิทธิรัฐสมทบเงินออม” ผ่านออนไลน์ได้แล้ว
|
วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561
กอช. เปิดให้ตรวจสอบสิทธิ “ผู้มีสิทธิรัฐสมทบเงินออม” ผ่านออนไลน์ได้แล้ว
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เพิ่มความสะดวกให้ประชาชนสามารถ “ตรวจสอบสิทธิสมัครสมาชิก” รับสิทธิรัฐสมทบเงินออมไว้ใช้ยามเกษียณ รู้ผลทันที ผ่านเว็บไซต์ กอช. www.nsf.or.th ได้แล้ว
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เพิ่มความสะดวกให้ประชาชนสามารถ “ตรวจสอบสิทธิสมัครสมาชิก” รับสิทธิรัฐสมทบเงินออมไว้ใช้ยามเกษียณ รู้ผลทันที ผ่านเว็บไซต์ กอช. www.nsf.or.th ได้แล้ว ทุกวันตั้งแต่เวลา 8.30-24.00 น. ช่วยเพิ่มความสะดวกให้ประชาชน จากเดิมต้องไปติดต่อที่สาขาธนาคารรัฐทั้ง 4 แห่ง หรือที่หน่วยรับสมัคร กอช. เท่านั้น พร้อมสามารถ “ดาวน์โหลด ใบสมัคร” ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อกรอกข้อมูลสมัครเป็นสมาชิก กอช. ก่อนนําไปยื่นที่หน่วยรับสมัคร
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า ประชาชนที่สนใจสมัครเป็นสมาชิก กอช. รับสิทธิรัฐสมทบเงินออมไว้ใช้ยามเกษียณ สามารถตรวจสอบด้วยตัวเองและรู้ผลทันทีว่าเป็นผู้มีสิทธิสมัครได้หรือไม่ ผ่านระบบ “ตรวจสอบสิทธิสมัครสมาชิก” ในเว็บไซต์ กอช. www.nsf.or.th เพียงระบุเลขประจําตัวประชาชน 13 หลัก และระบุหมายเลขโทรศัพท์มือถือของตนเองหรือผู้ที่สามารถติดต่อได้ โดยตรวจสอบสิทธิได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.30-24.00 น. ทําให้ได้รับความสะดวกมากขึ้น รู้ว่ามีสิทธิสมัครเป็นสมาชิก กอช. รับสิทธิรัฐสมทบเงินออมได้หรือไม่ ก่อนเดินทางไปสมัครที่หน่วยรับสมัคร และยังสามารถ “ดาวน์โหลดใบสมัครสมาชิก” ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านเว็บไซต์ กอช. www.nsf.or.th เพื่อกรอกข้อมูล ก่อนไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่หน่วยรับสมัคร จากเดิมการตรวจสอบสิทธิและการขอใบสมัครสมาชิก กอช. จะต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ที่หน่วยรับสมัครเท่านั้น
สําหรับผู้สมัครเป็นสมาชิก กอช. จะต้องผ่านการตรวจสอบสิทธิทุกคน ตามที่กําหนดใน “ประกาศคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ เรื่อง การสมัครเป็นสมาชิก การจ่ายเงินสะสม และการแสดงเจตนาต่อกองทุนกรณีสมาชิกถึงแก่ความตาย พ.ศ.2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม” เนื่องจากประชาชนทั่วประเทศที่มีสิทธิสมัครเป็นสมาชิก กอช. รับสิทธิรัฐสมทบเงินออม มีจํานวนกว่า 21 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบที่มีความหลากหลายด้านการประกอบอาชีพและสวัสดิการที่ได้รับ จะได้รู้ชัดเจนว่าตนเองเป็นผู้มีสิทธิสมัครเป็นสมาชิก กอช. หรือไม่ และเพื่อยืนยันว่าเป็นผู้มีสิทธิสมัครสมาชิก กอช. ได้จริง
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนเงินออม โทร.02-017-0789 เวลาทําการ วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30-17.30 น. เว็บไซต์ กอช. www.nsf.or.th / Facebook : กองทุนการออมแห่งชาติ-กอช. / Line: @nsf.th / E-mail: [email protected] หรือสมัครเป็นสมาชิก กอช. รับสิทธิ์รัฐสมทบเงินออม สามารถนําบัตรประจําตัวประชาชนไปติดต่อสมัครได้ที่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. ธอส. ทุกสาขา สํานักงานคลังจังหวัดทุกแห่ง สถาบันการเงินชุมชนที่เข้าร่วม และเครือข่ายรับสมัครสมาชิก กอช. ทั่วประเทศ ....กอช. คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บํานาญ.....
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. เปิดให้ตรวจสอบสิทธิ “ผู้มีสิทธิรัฐสมทบเงินออม” ผ่านออนไลน์ได้แล้ว
วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561
กอช. เปิดให้ตรวจสอบสิทธิ “ผู้มีสิทธิรัฐสมทบเงินออม” ผ่านออนไลน์ได้แล้ว
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เพิ่มความสะดวกให้ประชาชนสามารถ “ตรวจสอบสิทธิสมัครสมาชิก” รับสิทธิรัฐสมทบเงินออมไว้ใช้ยามเกษียณ รู้ผลทันที ผ่านเว็บไซต์ กอช. www.nsf.or.th ได้แล้ว
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เพิ่มความสะดวกให้ประชาชนสามารถ “ตรวจสอบสิทธิสมัครสมาชิก” รับสิทธิรัฐสมทบเงินออมไว้ใช้ยามเกษียณ รู้ผลทันที ผ่านเว็บไซต์ กอช. www.nsf.or.th ได้แล้ว ทุกวันตั้งแต่เวลา 8.30-24.00 น. ช่วยเพิ่มความสะดวกให้ประชาชน จากเดิมต้องไปติดต่อที่สาขาธนาคารรัฐทั้ง 4 แห่ง หรือที่หน่วยรับสมัคร กอช. เท่านั้น พร้อมสามารถ “ดาวน์โหลด ใบสมัคร” ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อกรอกข้อมูลสมัครเป็นสมาชิก กอช. ก่อนนําไปยื่นที่หน่วยรับสมัคร
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า ประชาชนที่สนใจสมัครเป็นสมาชิก กอช. รับสิทธิรัฐสมทบเงินออมไว้ใช้ยามเกษียณ สามารถตรวจสอบด้วยตัวเองและรู้ผลทันทีว่าเป็นผู้มีสิทธิสมัครได้หรือไม่ ผ่านระบบ “ตรวจสอบสิทธิสมัครสมาชิก” ในเว็บไซต์ กอช. www.nsf.or.th เพียงระบุเลขประจําตัวประชาชน 13 หลัก และระบุหมายเลขโทรศัพท์มือถือของตนเองหรือผู้ที่สามารถติดต่อได้ โดยตรวจสอบสิทธิได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.30-24.00 น. ทําให้ได้รับความสะดวกมากขึ้น รู้ว่ามีสิทธิสมัครเป็นสมาชิก กอช. รับสิทธิรัฐสมทบเงินออมได้หรือไม่ ก่อนเดินทางไปสมัครที่หน่วยรับสมัคร และยังสามารถ “ดาวน์โหลดใบสมัครสมาชิก” ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านเว็บไซต์ กอช. www.nsf.or.th เพื่อกรอกข้อมูล ก่อนไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่หน่วยรับสมัคร จากเดิมการตรวจสอบสิทธิและการขอใบสมัครสมาชิก กอช. จะต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ที่หน่วยรับสมัครเท่านั้น
สําหรับผู้สมัครเป็นสมาชิก กอช. จะต้องผ่านการตรวจสอบสิทธิทุกคน ตามที่กําหนดใน “ประกาศคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ เรื่อง การสมัครเป็นสมาชิก การจ่ายเงินสะสม และการแสดงเจตนาต่อกองทุนกรณีสมาชิกถึงแก่ความตาย พ.ศ.2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม” เนื่องจากประชาชนทั่วประเทศที่มีสิทธิสมัครเป็นสมาชิก กอช. รับสิทธิรัฐสมทบเงินออม มีจํานวนกว่า 21 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบที่มีความหลากหลายด้านการประกอบอาชีพและสวัสดิการที่ได้รับ จะได้รู้ชัดเจนว่าตนเองเป็นผู้มีสิทธิสมัครเป็นสมาชิก กอช. หรือไม่ และเพื่อยืนยันว่าเป็นผู้มีสิทธิสมัครสมาชิก กอช. ได้จริง
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนเงินออม โทร.02-017-0789 เวลาทําการ วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30-17.30 น. เว็บไซต์ กอช. www.nsf.or.th / Facebook : กองทุนการออมแห่งชาติ-กอช. / Line: @nsf.th / E-mail: [email protected] หรือสมัครเป็นสมาชิก กอช. รับสิทธิ์รัฐสมทบเงินออม สามารถนําบัตรประจําตัวประชาชนไปติดต่อสมัครได้ที่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. ธอส. ทุกสาขา สํานักงานคลังจังหวัดทุกแห่ง สถาบันการเงินชุมชนที่เข้าร่วม และเครือข่ายรับสมัครสมาชิก กอช. ทั่วประเทศ ....กอช. คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บํานาญ.....
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9868
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีส่งเสริมพัฒนาคนไทยยุคใหม่ แนะให้บ่มเพาะอาชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อร่วมขับเคลื่อนพัฒนาประเทศไปข้างหน้าอย่างเต็มศักยภาพ
|
วันจันทร์ที่ 13 มกราคม 2563
นายกรัฐมนตรีส่งเสริมพัฒนาคนไทยยุคใหม่ แนะให้บ่มเพาะอาชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อร่วมขับเคลื่อนพัฒนาประเทศไปข้างหน้าอย่างเต็มศักยภาพ
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดตัวโครงการยุวชนสร้างชาติ มอบโอวาทนิสิต นักศึกษา คณาจารย์ ระบุส่งเสริมพัฒนาคนไทยยุคใหม่ แนะให้บ่มเพาะอาชีพ ช่วยแก้ไขปัญหาในชุมชน ยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อร่วมขับเคลื่อนพัฒนาประเทศไปข้างหน้าอย่างเต็มศักยภาพ
วันนี้ (13 ม.ค. 63) เวลา 08.45 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในงานพิธีเปิดตัวโครงการยุวชนสร้างชาติ และให้โอวาทต่อนิสิต นักศึกษา และคณาจารย์ผู้เข้าร่วมโครงการยุวชนสร้างชาติ โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ผู้บริหารกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษา อาจารย์ นิสิต นักศึกษา สื่อมวลชน และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงานกว่า 500 คน โดยนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นผู้กล่าวรายงาน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดงาน ความว่า ขณะนี้ประเทศไทยกําลังเผชิญกับช่วงระยะเปลี่ยนผ่านและต้องต่อสู้กับกระแสความผันผวนในหลากหลายมิติ ทั้งปัญหาเศรษฐกิจโลก ปัญหาภัยพิบัติ ปัญหาความมั่นคง และปัญหาความเหลื่อมล้ําทางสังคม ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้คาดการณ์ถึงสิ่งที่ประเทศไทยจะต้องเผชิญและพิจารณาประเด็นความท้าทายเหล่านี้ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชนภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ดังนั้น รัฐบาลจึงกําหนดให้มียุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศในด้านต่าง ๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพคนไทย ให้มีทักษะทางวิชาการ ทักษะทางอารมณ์และสังคม รวมทั้งมีคุณธรรมจริยธรรม เป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม และพร้อมที่จะดําเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21 ซึ่งการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาคนให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ได้อย่างสมบูรณ์นั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า โครงการยุวชนสร้างชาติถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมโครงการ ในฐานะกําลังสําคัญของประเทศชาติในอนาคตได้เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ และถือเป็นโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เรียนรู้การทํางานร่วมกันด้วยความเข้าใจกัน เพื่อสร้างการพัฒนาสังคมเชิงคุณภาพ โดยอาศัยความรู้ความสามารถของนิสิตนักศึกษาและบัณฑิตใหม่ที่เข้าร่วมโครงการทุกคน ไปปรับใช้ในพื้นที่จริงตามชนบท และสร้างโอกาสในการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นจากชาวบ้าน เพื่อนํามาผสมผสานกันก่อให้เกิดนวัตกรรมที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวยังเปรียบเสมือนการปฏิรูปการเรียนการสอนเดิมที่เน้นการบรรยายและทฤษฎี ไปเป็นการเรียนรู้จากชุมชน รวมทั้งถือเป็นโอกาสในการฝึกฝนเรียนรู้การปฏิบัติงานในพื้นที่จริงเพื่อขัดเกลาทักษะให้มีความพร้อมเมื่อสําเร็จการศึกษาต่อไป จึงขอให้ทุกคนที่มีส่วนร่วมในโครงการ ทั้งนิสิตนักศึกษา สถาบันอุดมศึกษา และชุมชน ใช้โอกาสนี้ในการแบ่งปันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันอย่างเต็มที่ เพื่อให้ทุกภาคส่วนในสังคมสามารถก้าวเดินไปพร้อม ๆ กันอย่างมั่นคง
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีส่วนร่วมในโครงการยุวชนสร้างชาติ และกล่าวอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ทุกคนเคารพนับถือ ตลอดจนเดชะพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี โปรดบันดาลประทานพรให้ทุกคนประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีกําลังกาย กําลังใจและกําลังสติปัญญาที่สมบูรณ์พร้อม และขอให้โครงการดังกล่าวประสบความสําเร็จตามเจตจํานงทุกประการ
หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมการจัดแสดงผลงานการแก้ไขปัญหาชุมชน ได้แก่ โครงการพัฒนาศักยภาพชุมชนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากหนอนแมลงวันลาย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ การบริหารจัดการแหล่งน้ําชุมชนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนด้วยเทคโนโลยี 4.0 มหาวิทยาลัยศรีปทุม โครงการส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยีอบพริกแห้งด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม โครงการพัฒนาหมู่บ้านผ้าทอต้นแบบพื้นเมืองตามอัตลักษณ์ผู้ไทเพื่อสุขภาพ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ เครื่องช่วยวัดและวิเคราะห์สัญญาณสมอง วิเคราะห์ความเสี่ยงโรค มหาวิทยาลัยมหิดล โครงการพัฒนาเกมส์จิตวิทยาเชิงวางแผน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวแนะให้คํานึงถึงคุณภาพความปลอดภัย สินค้าและนวัตกรรมตอบโจทย์ผู้บริโภค และสามารถนําไปต่อยอดพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สําหรับโครงการยุวชนสร้างชาติ เป็นโครงการที่ส่งเสริมการผลิตคนไทยยุคใหม่แห่งศตวรรษที่ 21 ที่มีคุณลักษณะ 3 ประการ ประกอบด้วย 1) มีความสามารถต่อยอดอดีต ตระหนักรู้ในวัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิต และความหลากหลายทางทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทย 2) มีจิตสํานึกสาธารณะในการทํางานร่วมกับผู้อื่น เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ํา และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในมิติต่าง ๆ และ 3) มีศักยภาพเป็นผู้ประกอบการ ด้วยการนําเอาทฤษฎีความรู้ที่หลากหลายปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของประเทศไทย ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับคนไทยตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีส่งเสริมพัฒนาคนไทยยุคใหม่ แนะให้บ่มเพาะอาชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อร่วมขับเคลื่อนพัฒนาประเทศไปข้างหน้าอย่างเต็มศักยภาพ
วันจันทร์ที่ 13 มกราคม 2563
นายกรัฐมนตรีส่งเสริมพัฒนาคนไทยยุคใหม่ แนะให้บ่มเพาะอาชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อร่วมขับเคลื่อนพัฒนาประเทศไปข้างหน้าอย่างเต็มศักยภาพ
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดตัวโครงการยุวชนสร้างชาติ มอบโอวาทนิสิต นักศึกษา คณาจารย์ ระบุส่งเสริมพัฒนาคนไทยยุคใหม่ แนะให้บ่มเพาะอาชีพ ช่วยแก้ไขปัญหาในชุมชน ยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อร่วมขับเคลื่อนพัฒนาประเทศไปข้างหน้าอย่างเต็มศักยภาพ
วันนี้ (13 ม.ค. 63) เวลา 08.45 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในงานพิธีเปิดตัวโครงการยุวชนสร้างชาติ และให้โอวาทต่อนิสิต นักศึกษา และคณาจารย์ผู้เข้าร่วมโครงการยุวชนสร้างชาติ โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ผู้บริหารกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษา อาจารย์ นิสิต นักศึกษา สื่อมวลชน และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงานกว่า 500 คน โดยนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นผู้กล่าวรายงาน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดงาน ความว่า ขณะนี้ประเทศไทยกําลังเผชิญกับช่วงระยะเปลี่ยนผ่านและต้องต่อสู้กับกระแสความผันผวนในหลากหลายมิติ ทั้งปัญหาเศรษฐกิจโลก ปัญหาภัยพิบัติ ปัญหาความมั่นคง และปัญหาความเหลื่อมล้ําทางสังคม ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้คาดการณ์ถึงสิ่งที่ประเทศไทยจะต้องเผชิญและพิจารณาประเด็นความท้าทายเหล่านี้ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชนภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ดังนั้น รัฐบาลจึงกําหนดให้มียุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศในด้านต่าง ๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพคนไทย ให้มีทักษะทางวิชาการ ทักษะทางอารมณ์และสังคม รวมทั้งมีคุณธรรมจริยธรรม เป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม และพร้อมที่จะดําเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21 ซึ่งการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาคนให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ได้อย่างสมบูรณ์นั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า โครงการยุวชนสร้างชาติถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมโครงการ ในฐานะกําลังสําคัญของประเทศชาติในอนาคตได้เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ และถือเป็นโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เรียนรู้การทํางานร่วมกันด้วยความเข้าใจกัน เพื่อสร้างการพัฒนาสังคมเชิงคุณภาพ โดยอาศัยความรู้ความสามารถของนิสิตนักศึกษาและบัณฑิตใหม่ที่เข้าร่วมโครงการทุกคน ไปปรับใช้ในพื้นที่จริงตามชนบท และสร้างโอกาสในการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นจากชาวบ้าน เพื่อนํามาผสมผสานกันก่อให้เกิดนวัตกรรมที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวยังเปรียบเสมือนการปฏิรูปการเรียนการสอนเดิมที่เน้นการบรรยายและทฤษฎี ไปเป็นการเรียนรู้จากชุมชน รวมทั้งถือเป็นโอกาสในการฝึกฝนเรียนรู้การปฏิบัติงานในพื้นที่จริงเพื่อขัดเกลาทักษะให้มีความพร้อมเมื่อสําเร็จการศึกษาต่อไป จึงขอให้ทุกคนที่มีส่วนร่วมในโครงการ ทั้งนิสิตนักศึกษา สถาบันอุดมศึกษา และชุมชน ใช้โอกาสนี้ในการแบ่งปันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันอย่างเต็มที่ เพื่อให้ทุกภาคส่วนในสังคมสามารถก้าวเดินไปพร้อม ๆ กันอย่างมั่นคง
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีส่วนร่วมในโครงการยุวชนสร้างชาติ และกล่าวอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ทุกคนเคารพนับถือ ตลอดจนเดชะพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี โปรดบันดาลประทานพรให้ทุกคนประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีกําลังกาย กําลังใจและกําลังสติปัญญาที่สมบูรณ์พร้อม และขอให้โครงการดังกล่าวประสบความสําเร็จตามเจตจํานงทุกประการ
หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมการจัดแสดงผลงานการแก้ไขปัญหาชุมชน ได้แก่ โครงการพัฒนาศักยภาพชุมชนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากหนอนแมลงวันลาย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ การบริหารจัดการแหล่งน้ําชุมชนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนด้วยเทคโนโลยี 4.0 มหาวิทยาลัยศรีปทุม โครงการส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยีอบพริกแห้งด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม โครงการพัฒนาหมู่บ้านผ้าทอต้นแบบพื้นเมืองตามอัตลักษณ์ผู้ไทเพื่อสุขภาพ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ เครื่องช่วยวัดและวิเคราะห์สัญญาณสมอง วิเคราะห์ความเสี่ยงโรค มหาวิทยาลัยมหิดล โครงการพัฒนาเกมส์จิตวิทยาเชิงวางแผน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวแนะให้คํานึงถึงคุณภาพความปลอดภัย สินค้าและนวัตกรรมตอบโจทย์ผู้บริโภค และสามารถนําไปต่อยอดพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สําหรับโครงการยุวชนสร้างชาติ เป็นโครงการที่ส่งเสริมการผลิตคนไทยยุคใหม่แห่งศตวรรษที่ 21 ที่มีคุณลักษณะ 3 ประการ ประกอบด้วย 1) มีความสามารถต่อยอดอดีต ตระหนักรู้ในวัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิต และความหลากหลายทางทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทย 2) มีจิตสํานึกสาธารณะในการทํางานร่วมกับผู้อื่น เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ํา และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในมิติต่าง ๆ และ 3) มีศักยภาพเป็นผู้ประกอบการ ด้วยการนําเอาทฤษฎีความรู้ที่หลากหลายปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของประเทศไทย ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับคนไทยตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25739
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กระทรวงอุตฯ กำหนดมาตรการเข้มงวดรัดกุม อนุญาตเครื่องใช้ไฟฟ้ามือสอง เฉพาะผู้ประกอบการที่ดี ปฏิบัติถูกต้อง”
|
วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2561
“กระทรวงอุตฯ กําหนดมาตรการเข้มงวดรัดกุม อนุญาตเครื่องใช้ไฟฟ้ามือสอง เฉพาะผู้ประกอบการที่ดี ปฏิบัติถูกต้อง”
กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม อนุญาตให้ผู้ประกอบการที่ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายสามารถนําผ่านสินค้าอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้ามือสองและการนําเข้าอุปกรณ์ดังกล่าวได้ โดยออกมาตรการเข้มควบคุมทุกกระบวนการ เพิ่มความเข้มงวดและป้องกันอย่างจริงจัง
กรุงเทพฯ 23 กรกฎาคม 2561 – กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม อนุญาตให้ผู้ประกอบการที่ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายสามารถนําผ่านสินค้าอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้ามือสอง (Used Electrical/ Electronic Equipment for Refurbishment and Direct Reuse) และการนําเข้าอุปกรณ์ดังกล่าวได้ โดยออกมาตรการเข้มควบคุมทุกกระบวนการ เพิ่มความเข้มงวดและป้องกันอย่างจริงจัง เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายดําเนินการได้อย่างเหมาะสม โดยคํานึงถึงผลกระทบและความเสียหายที่จะเกิดกับประชาชน ชุมชน และสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก
นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหากากอุตสาหกรรม ได้มีมติเห็นชอบอนุญาตให้กับผู้ประกอบการที่ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายในกรณีการนําผ่านสินค้าอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าใช้มือสอง (Used Electrical/ Electronic Equipment for Refurbishment and Direct Reuse) และการนําเข้าอุปกรณ์ดังกล่าวเพื่อนํามาเป็นวัตถุดิบในโรงงานและใช้งานตามวัตถุประสงค์เท่านั้น โดยให้คํานึงถึงผลกระทบและความสําคัญต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน สิ่งแวดล้อม และชุมชนโดยรอบอย่างเคร่งครัด
ด้านนายมงคล พฤกษ์วัฒนา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้บูรณาการการปฎิบัติงานร่วมกับ กรมศุลกากร กําหนดมาตรการ หลักเกณฑ์การปฏิบัติ เข้มงวดรัดกุม ตลอดเส้นทาง ทั้งกรณี “นําผ่าน” และ “นําเข้า” ประกอบด้วย
1.มาตรการเข้มงวดกรณีนําผ่านสินค้า Used-E ต้องมีการขอใบอนุญาตนําผ่านสินค้าอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าใช้มือสอง (Used Electrical/ Electronic Equipment for Refurbishment and Direct Reuse) ตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 โดยผู้ประกอบการต้องแจ้งรายละเอียดสรุปการดําเนินการภายใน 15 วันหลังจากสินค้าออกนอกราชอาณาจักรแล้ว พร้อมทั้งเพิ่มความเข้มงวดต้องใช้รถขนส่งเฉพาะที่ติดตั้งระบบบันทึกข้อมูลการเดินทางของรถ (GPS) รวมถึงการติดตามตู้สินค้าตลอดเส้นทางตั้งแต่การขนส่งรวมถึงด่านศุลกากรโดยระบบติดตามทางศุลกากร (Tracking System) หรือที่เรียกว่า E-Lock ที่จะมีประสิทธิภาพการตรวจสอบควบคุมสินค้าผ่านแดน ภายใต้เทคโนโลยี Radio Frequency Identification: RFID และ Global Positioning System: GPS ซึ่งทํางานร่วมกันเป็นระบบ E-Lock สําหรับตรวจสอบการเคลื่อนที่ของตู้สินค้าได้ตลอดเส้นทางการขนส่งเพื่อป้องกันการลักลอบทิ้งสินค้าดังกล่าว รวมถึงการร่วมตรวจสอบของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดที่ด่านปลายทางร่วมกับศุลกากรเพื่อยืนยันว่าสินค้าได้ผ่านออกนอกราชอาณาจักรแล้ว
2.มาตรการเข้มงวดกรณีนําเข้าสินค้า Used-E ผู้ประกอบการจะต้องนําสินค้า Used-E ที่ได้ขออนุญาตมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงงานเท่านั้น ไม่มีสิทธิถ่ายโอนให้กับโรงงานอื่น ซึ่งกรมโรงงานอุตสาหกรรมจะกําหนดมาตรฐานอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้ามือสอง เช่น การกําหนดคุณสมบัติ และอายุการใช้งาน และจะนําเสนอมาตรการควบคุมร่วมกับกรมศุลกากรร่วมกันตรวจสินค้าทุกตู้ 100 % เพื่อเป็นการเข้มงวดและยืนยันสินค้าให้ถูกต้องตามที่ได้แจ้งขออนุญาตมา หากไม่ได้เป็นไปตามที่แจ้งมาสินค้าดังกล่าวจะถูกผลักดันกลับประเทศต้นทางทันที พร้อมขนส่งโดยรถที่ติดตั้งระบบบันทึกข้อมูลการเดินทางของรถ (GPS) และควบคุมการขนส่งตั้งแต่ท่าเรือไปจนถึงผู้ขออนุญาตนําเข้าโดยตรวจสอบร่วมกับสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตรวจสอบสินค้าอีกที
กองบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม กรมโรงงานอุตสาหกรรม ยินดีให้คําปรึกษาแนะนําแก่ผู้ประกอบการ โทรศัพท์ 0 2202 4166-7 หรือเข้าไปที่ www.diw.go.th หรืออีเมล [email protected]
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กระทรวงอุตฯ กำหนดมาตรการเข้มงวดรัดกุม อนุญาตเครื่องใช้ไฟฟ้ามือสอง เฉพาะผู้ประกอบการที่ดี ปฏิบัติถูกต้อง”
วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2561
“กระทรวงอุตฯ กําหนดมาตรการเข้มงวดรัดกุม อนุญาตเครื่องใช้ไฟฟ้ามือสอง เฉพาะผู้ประกอบการที่ดี ปฏิบัติถูกต้อง”
กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม อนุญาตให้ผู้ประกอบการที่ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายสามารถนําผ่านสินค้าอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้ามือสองและการนําเข้าอุปกรณ์ดังกล่าวได้ โดยออกมาตรการเข้มควบคุมทุกกระบวนการ เพิ่มความเข้มงวดและป้องกันอย่างจริงจัง
กรุงเทพฯ 23 กรกฎาคม 2561 – กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม อนุญาตให้ผู้ประกอบการที่ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายสามารถนําผ่านสินค้าอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้ามือสอง (Used Electrical/ Electronic Equipment for Refurbishment and Direct Reuse) และการนําเข้าอุปกรณ์ดังกล่าวได้ โดยออกมาตรการเข้มควบคุมทุกกระบวนการ เพิ่มความเข้มงวดและป้องกันอย่างจริงจัง เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายดําเนินการได้อย่างเหมาะสม โดยคํานึงถึงผลกระทบและความเสียหายที่จะเกิดกับประชาชน ชุมชน และสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก
นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหากากอุตสาหกรรม ได้มีมติเห็นชอบอนุญาตให้กับผู้ประกอบการที่ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายในกรณีการนําผ่านสินค้าอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าใช้มือสอง (Used Electrical/ Electronic Equipment for Refurbishment and Direct Reuse) และการนําเข้าอุปกรณ์ดังกล่าวเพื่อนํามาเป็นวัตถุดิบในโรงงานและใช้งานตามวัตถุประสงค์เท่านั้น โดยให้คํานึงถึงผลกระทบและความสําคัญต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน สิ่งแวดล้อม และชุมชนโดยรอบอย่างเคร่งครัด
ด้านนายมงคล พฤกษ์วัฒนา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้บูรณาการการปฎิบัติงานร่วมกับ กรมศุลกากร กําหนดมาตรการ หลักเกณฑ์การปฏิบัติ เข้มงวดรัดกุม ตลอดเส้นทาง ทั้งกรณี “นําผ่าน” และ “นําเข้า” ประกอบด้วย
1.มาตรการเข้มงวดกรณีนําผ่านสินค้า Used-E ต้องมีการขอใบอนุญาตนําผ่านสินค้าอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าใช้มือสอง (Used Electrical/ Electronic Equipment for Refurbishment and Direct Reuse) ตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 โดยผู้ประกอบการต้องแจ้งรายละเอียดสรุปการดําเนินการภายใน 15 วันหลังจากสินค้าออกนอกราชอาณาจักรแล้ว พร้อมทั้งเพิ่มความเข้มงวดต้องใช้รถขนส่งเฉพาะที่ติดตั้งระบบบันทึกข้อมูลการเดินทางของรถ (GPS) รวมถึงการติดตามตู้สินค้าตลอดเส้นทางตั้งแต่การขนส่งรวมถึงด่านศุลกากรโดยระบบติดตามทางศุลกากร (Tracking System) หรือที่เรียกว่า E-Lock ที่จะมีประสิทธิภาพการตรวจสอบควบคุมสินค้าผ่านแดน ภายใต้เทคโนโลยี Radio Frequency Identification: RFID และ Global Positioning System: GPS ซึ่งทํางานร่วมกันเป็นระบบ E-Lock สําหรับตรวจสอบการเคลื่อนที่ของตู้สินค้าได้ตลอดเส้นทางการขนส่งเพื่อป้องกันการลักลอบทิ้งสินค้าดังกล่าว รวมถึงการร่วมตรวจสอบของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดที่ด่านปลายทางร่วมกับศุลกากรเพื่อยืนยันว่าสินค้าได้ผ่านออกนอกราชอาณาจักรแล้ว
2.มาตรการเข้มงวดกรณีนําเข้าสินค้า Used-E ผู้ประกอบการจะต้องนําสินค้า Used-E ที่ได้ขออนุญาตมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงงานเท่านั้น ไม่มีสิทธิถ่ายโอนให้กับโรงงานอื่น ซึ่งกรมโรงงานอุตสาหกรรมจะกําหนดมาตรฐานอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้ามือสอง เช่น การกําหนดคุณสมบัติ และอายุการใช้งาน และจะนําเสนอมาตรการควบคุมร่วมกับกรมศุลกากรร่วมกันตรวจสินค้าทุกตู้ 100 % เพื่อเป็นการเข้มงวดและยืนยันสินค้าให้ถูกต้องตามที่ได้แจ้งขออนุญาตมา หากไม่ได้เป็นไปตามที่แจ้งมาสินค้าดังกล่าวจะถูกผลักดันกลับประเทศต้นทางทันที พร้อมขนส่งโดยรถที่ติดตั้งระบบบันทึกข้อมูลการเดินทางของรถ (GPS) และควบคุมการขนส่งตั้งแต่ท่าเรือไปจนถึงผู้ขออนุญาตนําเข้าโดยตรวจสอบร่วมกับสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตรวจสอบสินค้าอีกที
กองบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม กรมโรงงานอุตสาหกรรม ยินดีให้คําปรึกษาแนะนําแก่ผู้ประกอบการ โทรศัพท์ 0 2202 4166-7 หรือเข้าไปที่ www.diw.go.th หรืออีเมล [email protected]
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14055
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ.(ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร) ตรวจเยี่ยมโรงเรียนร่วมพัฒนา จ.กาฬสินธุ์
|
วันอังคารที่ 18 กันยายน 2561
รมช.ศธ.(ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร) ตรวจเยี่ยมโรงเรียนร่วมพัฒนา จ.กาฬสินธุ์
ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงเรียนในโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School)
ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงเรียนในโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน 2561 ที่โรงเรียนแก้วเสด็จพิทยาคม อําเภอสมเด็จ และวิทยาลัยการอาชีพคําม่วง อําเภอคําม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยมีนายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง จํากัด และนายบุญญาเกียรติ เนตรจรัสแสง ประธานที่ปรึกษา บริษัท อุตสาหกรรมน้ําตาลอีสาน จํากัด เป็นผู้สนับสนุนภาคเอกชน, พร้อมผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ผู้บริหารระดับจังหวัด ผู้อํานวยการโรงเรียน คณะครู ผู้ปกครอง นักเรียน ตลอดจนผู้นําชุมชน ให้การต้อนรับและร่วมรับฟังนโยบาย
● ที่โรงเรียนแก้วเสด็จพิทยาคม อําเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์
ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ปัจจัยสําคัญที่จะทําให้โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาประสบความสําเร็จ คือการที่โรงเรียนกําหนดเป้าหมายในการพัฒนานักเรียน เชื่อมโยงสู่การแก้ไขปัญหาชุมชนและสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิตกับคนทุกช่วงวัยในพื้นที่ ซึ่งทั้งหมดนี้ครูจะเป็นผู้ผลักดันสําคัญเพราะอยู่ใกล้ชิดเด็กมากที่สุด โดยครูอาจต้องปรับบทบาทเป็นการแนะนํา ให้คําปรึกษา หรือคอยตั้งคําถามเพื่อกระตุ้นการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จนเด็กเกิดทักษะคิดเป็นวิเคราะห์ได้ในที่สุด
สิ่งสําคัญนอกจากการกระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์ได้แล้ว ครูต้องช่วยสร้างแรงบันดาลใจหรือสนับสนุนให้เด็กได้พัฒนาในสิ่งที่ชอบและถนัด สามารถสร้างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ขึ้นมา ซึ่งแม้จะเป็นงานชิ้นเล็ก ๆ แต่หากได้รับการดูแลพัฒนาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ก็จะสามารถต่อยอดสิ่งประดิษฐ์ไปสู่นวัตกรรมที่เกิดประโยชน์ต่อชุมชนและพื้นที่ได้ พร้อมเชิญชวนมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยงและภาคเอกชนในพื้นที่ มาช่วยพัฒนาองค์ความรู้ องค์ประกอบสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ เพื่อสร้างมูลค่านําไปสู่เชิงพาณิชย์ต่อไป
ขอย้ําอีกครั้งว่า การจะทําให้เด็กเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่ดีและมีคุณภาพ จะต้องได้รับการปลูกฝังการศึกษาตั้งแต่ระดับเล็ก ๆ ส่งต่อไปแต่ละระดับชั้นจนถึงระดับสูงสุดคืออุดมศึกษา ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการได้ดําเนินงานในหลายส่วนควบคู่กันไป เพื่อหล่อหลอมให้เด็กเติบโตเป็นกําลังคนที่สําคัญต่อการพัฒนาพื้นที่ ชุมชน และประเทศ พร้อมที่จะไปสร้างการเปลี่ยนแปลงในทุกที่ที่ไปอยู่
นางกุสุมาวดี พลเรืองทอง ผู้อํานวยการโรงเรียนแก้วเสด็จพิทยาคม กล่าวรายงานว่าโรงเรียนแก้วเสด็จพิทยาคม เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา สังกัด สพม. 24 จัดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 โดยมีนักเรียน 185 คน มีครูและบุคลากรทางการศึกษา รวม 15 คน ซึ่งโรงเรียนมุ่งมั่นที่จะพัฒนาให้เด็กมีความรู้ มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามเป้าหมายที่วางไว้ กล่าวคือ มีทักษะชีวิต มีทักษะอาชีพ เป็นคนดีของสังคม และรักถิ่นฐาน
ที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือในการจัดการศึกษาเป็นอย่างดีจากชุมชน ผู้ปกครอง ตลอดจนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน รวมทั้งมหาวิทยาลัยสารคาม ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยงด้วย โดยได้วางแผนที่จะพัฒนาสถานศึกษาในปีการศึกษา 2562 ในหลายส่วน อาทิ ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา, ส่งเสริมการเรียนสองภาษา, พัฒนาแหล่งเรียนรู้ และมีความร่วมมือกับสถานประกอบการในการรับนักเรียนไปฝึกประสบการณ์วิชาชีพจากการปฏิบัติจริง เป็นต้น
● ที่วิทยาลัยการอาชีพคําม่วง อําเภอคําม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์
ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รมช.ศึกษาธิการ กล่าวแสดงความขอบคุณที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น และตนให้ความสําคัญกับการผลิตกําลังคนอาชีวศึกษา แม้ว่าวิทยาลัยการอาชีพคําม่วงจะเป็นสถานศึกษาสังกัด สอศ. เพียงแห่งเดียวใน 50 สถานศึกษาแรกที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา แต่ก็เป็นความหวังในการพัฒนากําลังคนที่มีสมรรถนะสูง สําหรับอุตสาหกรรม NEW Growth Engine ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี และ Thailand 4.0 ตลอดจนตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่
ซึ่งต้องยอมรับว่า ขณะนี้ภาคอุตสาหกรรมใหญ่หลายแห่ง ได้มีการปรับตัวตามความก้าวของเทคโนโลยีไปไกลมากแล้ว บางแห่งนําเครื่องจักรและวิทยาการที่ทันสมัยเข้ามาใช้งานแทนคน ไม่ว่าจะหุ่นยนต์แขนกลอุตสาหกรรม ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ AI เป็นต้น ดังนั้น การจัดการเรียนการสอนของอาชีวศึกษา ก็ต้องเร่งปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน เพราะถือเป็นกระดูกสันหลังสําคัญของการสร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศ และเพื่อความอยู่รอดของลูกหลานในอนาคต พร้อมขอฝากถึงกระทรวงมหาดไทยทําความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงนี้ถึงผู้ปฏิบัติงานที่ดูแลประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ และให้ศึกษาธิการจังหวัดเชื่อมโยงการทํางานในระดับจังหวัดให้เกิดประสิทธิผลและประสิทธิภาพ เพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขันด้านการศึกษาในภูมิภาคนี้ต่อไป
นายวาทิช ผ่านสําแดง ผู้อํานวยการวิทยาลัยการอาชีพคําม่วง กล่าวรายงานว่า วิทยาลัยการอาชีพคําม่วงเป็นสถานศึกษาที่มีนักเรียนนักศึกษาเพียง 878 คน โดยส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งมีฐานะยากจน มีความขาดแคลน และอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ส่งผลต่อจํานวนนักเรียนออกกลางคันอย่างต่อเนื่อง แต่วิทยาลัยก็พยายามที่จะดําเนินงานร่วมกับภาคประชาชนในรูปแบบคณะกรรมการภาคีสี่ฝ่าย เพื่อพัฒนานักเรียนนักศึกษาให้มีความรู้และทักษะอาชีพ ที่จะสามารถสร้างอาชีพ มีรายได้ดูแลตัวเองและช่วยเหลือครอบครัวได้
นอกจากนี้ ที่ผ่านมายังได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนในหลายส่วน อาทิ การสนับสนุนทุนการศึกษา การเรียนการสอนระบบทวิภาคี การพัฒนาหลักสูตรสาขาวิชาเทคนิคอุตสาหกรรมการผลิต การจัดหาครุภัณฑ์ ตลอดจนส่งวิทยากรมาช่วยพัฒนาด้านภาษา เป็นต้น
Written by นวรัตน์ รามสูต
Photo Credit อิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriter นวรัตน์ รามสูต
Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ.(ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร) ตรวจเยี่ยมโรงเรียนร่วมพัฒนา จ.กาฬสินธุ์
วันอังคารที่ 18 กันยายน 2561
รมช.ศธ.(ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร) ตรวจเยี่ยมโรงเรียนร่วมพัฒนา จ.กาฬสินธุ์
ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงเรียนในโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School)
ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงเรียนในโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน 2561 ที่โรงเรียนแก้วเสด็จพิทยาคม อําเภอสมเด็จ และวิทยาลัยการอาชีพคําม่วง อําเภอคําม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยมีนายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง จํากัด และนายบุญญาเกียรติ เนตรจรัสแสง ประธานที่ปรึกษา บริษัท อุตสาหกรรมน้ําตาลอีสาน จํากัด เป็นผู้สนับสนุนภาคเอกชน, พร้อมผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ผู้บริหารระดับจังหวัด ผู้อํานวยการโรงเรียน คณะครู ผู้ปกครอง นักเรียน ตลอดจนผู้นําชุมชน ให้การต้อนรับและร่วมรับฟังนโยบาย
● ที่โรงเรียนแก้วเสด็จพิทยาคม อําเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์
ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ปัจจัยสําคัญที่จะทําให้โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาประสบความสําเร็จ คือการที่โรงเรียนกําหนดเป้าหมายในการพัฒนานักเรียน เชื่อมโยงสู่การแก้ไขปัญหาชุมชนและสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิตกับคนทุกช่วงวัยในพื้นที่ ซึ่งทั้งหมดนี้ครูจะเป็นผู้ผลักดันสําคัญเพราะอยู่ใกล้ชิดเด็กมากที่สุด โดยครูอาจต้องปรับบทบาทเป็นการแนะนํา ให้คําปรึกษา หรือคอยตั้งคําถามเพื่อกระตุ้นการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จนเด็กเกิดทักษะคิดเป็นวิเคราะห์ได้ในที่สุด
สิ่งสําคัญนอกจากการกระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์ได้แล้ว ครูต้องช่วยสร้างแรงบันดาลใจหรือสนับสนุนให้เด็กได้พัฒนาในสิ่งที่ชอบและถนัด สามารถสร้างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ขึ้นมา ซึ่งแม้จะเป็นงานชิ้นเล็ก ๆ แต่หากได้รับการดูแลพัฒนาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ก็จะสามารถต่อยอดสิ่งประดิษฐ์ไปสู่นวัตกรรมที่เกิดประโยชน์ต่อชุมชนและพื้นที่ได้ พร้อมเชิญชวนมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยงและภาคเอกชนในพื้นที่ มาช่วยพัฒนาองค์ความรู้ องค์ประกอบสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ เพื่อสร้างมูลค่านําไปสู่เชิงพาณิชย์ต่อไป
ขอย้ําอีกครั้งว่า การจะทําให้เด็กเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่ดีและมีคุณภาพ จะต้องได้รับการปลูกฝังการศึกษาตั้งแต่ระดับเล็ก ๆ ส่งต่อไปแต่ละระดับชั้นจนถึงระดับสูงสุดคืออุดมศึกษา ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการได้ดําเนินงานในหลายส่วนควบคู่กันไป เพื่อหล่อหลอมให้เด็กเติบโตเป็นกําลังคนที่สําคัญต่อการพัฒนาพื้นที่ ชุมชน และประเทศ พร้อมที่จะไปสร้างการเปลี่ยนแปลงในทุกที่ที่ไปอยู่
นางกุสุมาวดี พลเรืองทอง ผู้อํานวยการโรงเรียนแก้วเสด็จพิทยาคม กล่าวรายงานว่าโรงเรียนแก้วเสด็จพิทยาคม เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา สังกัด สพม. 24 จัดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 โดยมีนักเรียน 185 คน มีครูและบุคลากรทางการศึกษา รวม 15 คน ซึ่งโรงเรียนมุ่งมั่นที่จะพัฒนาให้เด็กมีความรู้ มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามเป้าหมายที่วางไว้ กล่าวคือ มีทักษะชีวิต มีทักษะอาชีพ เป็นคนดีของสังคม และรักถิ่นฐาน
ที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือในการจัดการศึกษาเป็นอย่างดีจากชุมชน ผู้ปกครอง ตลอดจนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน รวมทั้งมหาวิทยาลัยสารคาม ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยพี่เลี้ยงด้วย โดยได้วางแผนที่จะพัฒนาสถานศึกษาในปีการศึกษา 2562 ในหลายส่วน อาทิ ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา, ส่งเสริมการเรียนสองภาษา, พัฒนาแหล่งเรียนรู้ และมีความร่วมมือกับสถานประกอบการในการรับนักเรียนไปฝึกประสบการณ์วิชาชีพจากการปฏิบัติจริง เป็นต้น
● ที่วิทยาลัยการอาชีพคําม่วง อําเภอคําม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์
ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รมช.ศึกษาธิการ กล่าวแสดงความขอบคุณที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น และตนให้ความสําคัญกับการผลิตกําลังคนอาชีวศึกษา แม้ว่าวิทยาลัยการอาชีพคําม่วงจะเป็นสถานศึกษาสังกัด สอศ. เพียงแห่งเดียวใน 50 สถานศึกษาแรกที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา แต่ก็เป็นความหวังในการพัฒนากําลังคนที่มีสมรรถนะสูง สําหรับอุตสาหกรรม NEW Growth Engine ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี และ Thailand 4.0 ตลอดจนตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่
ซึ่งต้องยอมรับว่า ขณะนี้ภาคอุตสาหกรรมใหญ่หลายแห่ง ได้มีการปรับตัวตามความก้าวของเทคโนโลยีไปไกลมากแล้ว บางแห่งนําเครื่องจักรและวิทยาการที่ทันสมัยเข้ามาใช้งานแทนคน ไม่ว่าจะหุ่นยนต์แขนกลอุตสาหกรรม ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ AI เป็นต้น ดังนั้น การจัดการเรียนการสอนของอาชีวศึกษา ก็ต้องเร่งปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน เพราะถือเป็นกระดูกสันหลังสําคัญของการสร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศ และเพื่อความอยู่รอดของลูกหลานในอนาคต พร้อมขอฝากถึงกระทรวงมหาดไทยทําความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงนี้ถึงผู้ปฏิบัติงานที่ดูแลประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ และให้ศึกษาธิการจังหวัดเชื่อมโยงการทํางานในระดับจังหวัดให้เกิดประสิทธิผลและประสิทธิภาพ เพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขันด้านการศึกษาในภูมิภาคนี้ต่อไป
นายวาทิช ผ่านสําแดง ผู้อํานวยการวิทยาลัยการอาชีพคําม่วง กล่าวรายงานว่า วิทยาลัยการอาชีพคําม่วงเป็นสถานศึกษาที่มีนักเรียนนักศึกษาเพียง 878 คน โดยส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งมีฐานะยากจน มีความขาดแคลน และอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ส่งผลต่อจํานวนนักเรียนออกกลางคันอย่างต่อเนื่อง แต่วิทยาลัยก็พยายามที่จะดําเนินงานร่วมกับภาคประชาชนในรูปแบบคณะกรรมการภาคีสี่ฝ่าย เพื่อพัฒนานักเรียนนักศึกษาให้มีความรู้และทักษะอาชีพ ที่จะสามารถสร้างอาชีพ มีรายได้ดูแลตัวเองและช่วยเหลือครอบครัวได้
นอกจากนี้ ที่ผ่านมายังได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนในหลายส่วน อาทิ การสนับสนุนทุนการศึกษา การเรียนการสอนระบบทวิภาคี การพัฒนาหลักสูตรสาขาวิชาเทคนิคอุตสาหกรรมการผลิต การจัดหาครุภัณฑ์ ตลอดจนส่งวิทยากรมาช่วยพัฒนาด้านภาษา เป็นต้น
Written by นวรัตน์ รามสูต
Photo Credit อิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriter นวรัตน์ รามสูต
Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15467
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลและเปิดนิทรรศการการประกวดภาพถ่ายทางวัฒนธรรม หัวข้อ “เทศกาล การแสดง ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี” ใต้ร่มพระบารมี ๒๓๕ ปี กรุงรัตนโกสินทร์
|
วันพฤหัสบดีที่ 6 กรกฎาคม 2560
รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลและเปิดนิทรรศการการประกวดภาพถ่ายทางวัฒนธรรม หัวข้อ “เทศกาล การแสดง ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี” ใต้ร่มพระบารมี ๒๓๕ ปี กรุงรัตนโกสินทร์
นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลและเปิดนิทรรศการการประกวดภาพถ่ายทางวัฒนธรรม หัวข้อ “เทศกาล การแสดง ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี” ใต้ร่มพระบารมี ๒๓๕ ปี กรุงรัตนโกสินทร์
วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๔.๐๐ น. นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลและเปิดนิทรรศการการประกวดภาพถ่ายทางวัฒนธรรม หัวข้อ “เทศกาล การแสดง ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี” ใต้ร่มพระบารมี ๒๓๕ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ โดยมีนายปรารพ เหล่าวานิช เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม น.ส.วิมลลักษณ์ ชูชาติ ผู้อํานวยการสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ศิลปินแห่งชาติ ช่างภาพและสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ ห้องออดิทอเรียม หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน กรุงเทพฯ
การจัดการประกวดในครั้งนี้ มีผู้ส่งผลงานเข้าประกวดทั้งสิ้นจํานวน ๑๙๑ คน มีรูปที่เข้าประกวด ๖๒๐ ภาพ จากทั่วประเทศ โดยสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านการ ถ่ายภาพมาเป็นคณะกรรมการดําเนินการคัดเลือกภาพถ่ายที่สะท้อนมุมมองทางศิลปวัฒนธรรมไทยในเชิงสร้างสรรค์และมีคุณค่าทางด้านความงาม จํานวน ๔ ท่าน ได้แก่ นายยรรยง โอฬาระชิน ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์(วิจิตรศิลป์) ภาพถ่าย ปี 2550 นายวรนันทน์ ชัชวาลทิพากร ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์(วิจิตรศิลป์) ภาพถ่าย ปี 2552 นายธีรภาพ โลหิตกุล ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์(สารคดี) ปี 2558 นายดาว วาสิกศิริ นายกสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ทั้งนี้สํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย เล็งเห็นถึงคุณค่าของผลงานการถ่ายภาพบันทึกประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ในครั้งนี้ ควรได้รับการเผยแพร่ให้ประชาชนได้มีโอกาสเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมผ่านภาพถ่าย จึงได้จัดนิทรรศการโครงการประกวดภาพถ่ายทางวัฒนธรรม หัวข้อ “เทศกาล การแสดง ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี” ใต้ร่มพระบารมี ๒๓๕ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นการจัดแสดงผลงานของผู้ที่ได้รับรางวัลและผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมแสดง และในโอกาสนี้ได้รับเกียรติจากคณะกรรมการตัดสิน การประกวดฯ อนุญาตให้นําผลงานมาร่วมจัดแสดงด้วย รวมทั้งสิ้นจํานวน ๙๐ ภาพ นิทรรศการจัดแสดงจะตั้งแต่วันที่ ๑ – ๒๐ กรกฏาคม ๒๕๖๐ ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลและเปิดนิทรรศการการประกวดภาพถ่ายทางวัฒนธรรม หัวข้อ “เทศกาล การแสดง ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี” ใต้ร่มพระบารมี ๒๓๕ ปี กรุงรัตนโกสินทร์
วันพฤหัสบดีที่ 6 กรกฎาคม 2560
รมว.วธ.เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลและเปิดนิทรรศการการประกวดภาพถ่ายทางวัฒนธรรม หัวข้อ “เทศกาล การแสดง ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี” ใต้ร่มพระบารมี ๒๓๕ ปี กรุงรัตนโกสินทร์
นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลและเปิดนิทรรศการการประกวดภาพถ่ายทางวัฒนธรรม หัวข้อ “เทศกาล การแสดง ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี” ใต้ร่มพระบารมี ๒๓๕ ปี กรุงรัตนโกสินทร์
วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๔.๐๐ น. นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลและเปิดนิทรรศการการประกวดภาพถ่ายทางวัฒนธรรม หัวข้อ “เทศกาล การแสดง ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี” ใต้ร่มพระบารมี ๒๓๕ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ โดยมีนายปรารพ เหล่าวานิช เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม น.ส.วิมลลักษณ์ ชูชาติ ผู้อํานวยการสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ศิลปินแห่งชาติ ช่างภาพและสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ ห้องออดิทอเรียม หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน กรุงเทพฯ
การจัดการประกวดในครั้งนี้ มีผู้ส่งผลงานเข้าประกวดทั้งสิ้นจํานวน ๑๙๑ คน มีรูปที่เข้าประกวด ๖๒๐ ภาพ จากทั่วประเทศ โดยสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านการ ถ่ายภาพมาเป็นคณะกรรมการดําเนินการคัดเลือกภาพถ่ายที่สะท้อนมุมมองทางศิลปวัฒนธรรมไทยในเชิงสร้างสรรค์และมีคุณค่าทางด้านความงาม จํานวน ๔ ท่าน ได้แก่ นายยรรยง โอฬาระชิน ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์(วิจิตรศิลป์) ภาพถ่าย ปี 2550 นายวรนันทน์ ชัชวาลทิพากร ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์(วิจิตรศิลป์) ภาพถ่าย ปี 2552 นายธีรภาพ โลหิตกุล ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์(สารคดี) ปี 2558 นายดาว วาสิกศิริ นายกสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ทั้งนี้สํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย เล็งเห็นถึงคุณค่าของผลงานการถ่ายภาพบันทึกประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ในครั้งนี้ ควรได้รับการเผยแพร่ให้ประชาชนได้มีโอกาสเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมผ่านภาพถ่าย จึงได้จัดนิทรรศการโครงการประกวดภาพถ่ายทางวัฒนธรรม หัวข้อ “เทศกาล การแสดง ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี” ใต้ร่มพระบารมี ๒๓๕ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นการจัดแสดงผลงานของผู้ที่ได้รับรางวัลและผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมแสดง และในโอกาสนี้ได้รับเกียรติจากคณะกรรมการตัดสิน การประกวดฯ อนุญาตให้นําผลงานมาร่วมจัดแสดงด้วย รวมทั้งสิ้นจํานวน ๙๐ ภาพ นิทรรศการจัดแสดงจะตั้งแต่วันที่ ๑ – ๒๐ กรกฏาคม ๒๕๖๐ ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5066
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- เปิดศูนย์ที่นี่มีงานทำ 11 จังหวัดทั่วประเทศ
|
วันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2561
เปิดศูนย์ที่นี่มีงานทํา 11 จังหวัดทั่วประเทศ
รัฐบาลเปิดศูนย์ที่นี่มีงานทําในพื้นที่ 11 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก พระนครศรีอยุธยา ปราจีนบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง สุราษฎร์ธานี สงขลา และกทม.
พุธที่ 25 ก.ค.61
เปิดศูนย์ที่นี่มีงานทํา 11 จังหวัดทั่วประเทศ
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเปิดศูนย์ที่นี่มีงานทําในพื้นที่ 11 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก พระนครศรีอยุธยา ปราจีนบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง สุราษฎร์ธานี สงขลา และกทม. เพื่อส่งเสริมให้บัณฑิตจบใหม่มีงานทําและช่วยให้สถานประกอบการได้แรงงานตรงกับความต้องการ โดยศูนย์ดังกล่าวจะบูรณาการความร่วมมือตามแนวทางประชารัฐ เช่น ให้สถานประกอบการส่งข้อมูลตําแหน่งงานที่ต้องการ ส่วนสถานศึกษาส่งข้อมูลผู้ที่กําลังจะจบการศึกษาให้แก่ศูนย์ เพื่อจับคู่ความต้องการ 2 ฝ่าย นอกจากนี้ จะจัดฝึกอบรมพัฒนาทักษะเพิ่มเติมให้แก่บัณฑิตและบริการแนะแนวอาชีพเป็นรายบุคคล เพื่อสร้างความพร้อมของบัณฑิตอย่างรอบด้าน
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- เปิดศูนย์ที่นี่มีงานทำ 11 จังหวัดทั่วประเทศ
วันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2561
เปิดศูนย์ที่นี่มีงานทํา 11 จังหวัดทั่วประเทศ
รัฐบาลเปิดศูนย์ที่นี่มีงานทําในพื้นที่ 11 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก พระนครศรีอยุธยา ปราจีนบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง สุราษฎร์ธานี สงขลา และกทม.
พุธที่ 25 ก.ค.61
เปิดศูนย์ที่นี่มีงานทํา 11 จังหวัดทั่วประเทศ
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเปิดศูนย์ที่นี่มีงานทําในพื้นที่ 11 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก พระนครศรีอยุธยา ปราจีนบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง สุราษฎร์ธานี สงขลา และกทม. เพื่อส่งเสริมให้บัณฑิตจบใหม่มีงานทําและช่วยให้สถานประกอบการได้แรงงานตรงกับความต้องการ โดยศูนย์ดังกล่าวจะบูรณาการความร่วมมือตามแนวทางประชารัฐ เช่น ให้สถานประกอบการส่งข้อมูลตําแหน่งงานที่ต้องการ ส่วนสถานศึกษาส่งข้อมูลผู้ที่กําลังจะจบการศึกษาให้แก่ศูนย์ เพื่อจับคู่ความต้องการ 2 ฝ่าย นอกจากนี้ จะจัดฝึกอบรมพัฒนาทักษะเพิ่มเติมให้แก่บัณฑิตและบริการแนะแนวอาชีพเป็นรายบุคคล เพื่อสร้างความพร้อมของบัณฑิตอย่างรอบด้าน
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14115
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ (รมว.อว.) เปิดการประชุมแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 20 พร้อมรับยุค DIGITAL TRANSFORMATION
|
วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2562
ดร.สุวิทย์ (รมว.อว.) เปิดการประชุมแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 20 พร้อมรับยุค DIGITAL TRANSFORMATION
ดร.สุวิทย์ (รมว.อว.) เปิดการประชุมแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 20 พร้อมรับยุค DIGITAL TRANSFORMATION
(11 ธันวาคม 2562) คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล จัดงานประชุมวิชาการแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 20 (Educational Disruption in medical schools) การศึกษายุคใหม่รองรับการเปลี่ยนแปลง โดยมี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) เป็นประธานเปิดงานและกล่าวสุนทรพจน์ ณ ห้องประชุมราชปนัดดาสิรินธร อาคารศรีสวรินธิรา โรงพยาบาลศิริราช
การประชุมแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 20 ภายใต้หัวข้อ “Educational Disruption in Medical Schools” เป็นการประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านแพทยศาสตร์ศึกษา จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 - 13 ธันวาคม 2562 ณ อาคารศรีสวรินธิรา โรงพยาบาลศิริราช เพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาด้านแพทยศาสตร์ได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ วางรากฐานระบบการศึกษาที่ทันต่อยุค Digital Transformation สําหรับแพทยศาสตร์ศึกษาในอนาคต ที่ไม่ใช่เฉพาะสถาบันการผลิตแพทย์แห่งประเทศไทย แต่รวมไปถึงสถาบันการผลิตแพทย์ในระดับอาเซียนด้วย
อีกทั้งการประชุมในครั้งนี้ มุ่งเน้นให้เข้าถึงบุคลากรที่หลากหลาย รวมถึงการประชุมแยกย่อยในเรื่องและหัวข้อที่สามารถเลือกเข้าร่วมประชุมได้ตามอัธยาศัย ทั้งในรูปแบบออนไลน์และประชุมด้วยตนเอง โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญทั้งจากยุโรป อเมริกา อาเซียนเข้าร่วม ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้สนใจในวงวิชาการศึกษาแพทย์ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาในศาสตร์อื่น ๆ สามารถเข้าร่วมประชุมได้
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ (รมว.อว.) เปิดการประชุมแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 20 พร้อมรับยุค DIGITAL TRANSFORMATION
วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2562
ดร.สุวิทย์ (รมว.อว.) เปิดการประชุมแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 20 พร้อมรับยุค DIGITAL TRANSFORMATION
ดร.สุวิทย์ (รมว.อว.) เปิดการประชุมแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 20 พร้อมรับยุค DIGITAL TRANSFORMATION
(11 ธันวาคม 2562) คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล จัดงานประชุมวิชาการแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 20 (Educational Disruption in medical schools) การศึกษายุคใหม่รองรับการเปลี่ยนแปลง โดยมี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) เป็นประธานเปิดงานและกล่าวสุนทรพจน์ ณ ห้องประชุมราชปนัดดาสิรินธร อาคารศรีสวรินธิรา โรงพยาบาลศิริราช
การประชุมแพทยศาสตร์ศึกษาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 20 ภายใต้หัวข้อ “Educational Disruption in Medical Schools” เป็นการประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านแพทยศาสตร์ศึกษา จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 - 13 ธันวาคม 2562 ณ อาคารศรีสวรินธิรา โรงพยาบาลศิริราช เพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาด้านแพทยศาสตร์ได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ วางรากฐานระบบการศึกษาที่ทันต่อยุค Digital Transformation สําหรับแพทยศาสตร์ศึกษาในอนาคต ที่ไม่ใช่เฉพาะสถาบันการผลิตแพทย์แห่งประเทศไทย แต่รวมไปถึงสถาบันการผลิตแพทย์ในระดับอาเซียนด้วย
อีกทั้งการประชุมในครั้งนี้ มุ่งเน้นให้เข้าถึงบุคลากรที่หลากหลาย รวมถึงการประชุมแยกย่อยในเรื่องและหัวข้อที่สามารถเลือกเข้าร่วมประชุมได้ตามอัธยาศัย ทั้งในรูปแบบออนไลน์และประชุมด้วยตนเอง โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญทั้งจากยุโรป อเมริกา อาเซียนเข้าร่วม ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้สนใจในวงวิชาการศึกษาแพทย์ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาในศาสตร์อื่น ๆ สามารถเข้าร่วมประชุมได้
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25222
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 5/2561
|
วันอังคารที่ 25 กันยายน 2561
รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 5/2561
รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมเห็นชอบพัฒนาระบบการเชื่อมโยงเพื่อจัดตั้งฐานข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแห่งชาติของสถาบันฐานนิติวิทยาศาสตร์
วันนี้ (25 กันยายน 2561) เวลา 14.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 5/2561 สรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการที่มีประเด็นสําคัญเพื่อขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้แก่โครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบการเชื่อมโยงเพื่อจัดตั้งฐานข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแห่งชาติของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ โครงการที่เกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพจุดคัดกรองเพื่อความปลอดภัยโดยกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โครงการที่สนับสนุนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อรองรับกิจกรรมด้านความปลอดภัยของสถาบันพระมหากษัตริย์และผู้บริหารประเทศของ บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน)
ทั้งนี้ เพื่อให้โครงการต่าง ๆ ดังกล่าวได้บูรณาการข้อมูลให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีความถูกต้องแน่นอนและปลอดภัยตลอดจนเป็นการรักษาความสงบเรียบร้อย ความมั่นคงของชาติและสนับสนุนกระบวนการยุติธรรมให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
...............................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 5/2561
วันอังคารที่ 25 กันยายน 2561
รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 5/2561
รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมเห็นชอบพัฒนาระบบการเชื่อมโยงเพื่อจัดตั้งฐานข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแห่งชาติของสถาบันฐานนิติวิทยาศาสตร์
วันนี้ (25 กันยายน 2561) เวลา 14.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 5/2561 สรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการที่มีประเด็นสําคัญเพื่อขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้แก่โครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบการเชื่อมโยงเพื่อจัดตั้งฐานข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแห่งชาติของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ โครงการที่เกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพจุดคัดกรองเพื่อความปลอดภัยโดยกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โครงการที่สนับสนุนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อรองรับกิจกรรมด้านความปลอดภัยของสถาบันพระมหากษัตริย์และผู้บริหารประเทศของ บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน)
ทั้งนี้ เพื่อให้โครงการต่าง ๆ ดังกล่าวได้บูรณาการข้อมูลให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีความถูกต้องแน่นอนและปลอดภัยตลอดจนเป็นการรักษาความสงบเรียบร้อย ความมั่นคงของชาติและสนับสนุนกระบวนการยุติธรรมให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
...............................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15650
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ ประชาสัมพันธ์เลิกใช้ถุงพลาสติก ลุยแจกถุงผ้าจังหวัดราชบุรี
|
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2562
วราวุธ ประชาสัมพันธ์เลิกใช้ถุงพลาสติก ลุยแจกถุงผ้าจังหวัดราชบุรี
วราวุธ ประชาสัมพันธ์เลิกใช้ถุงพลาสติก ลุยแจกถุงผ้าจังหวัดราชบุรี
วันนี้ (10 พฤศจิกายน 2562) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริห
วราวุธ ประชาสัมพันธ์เลิกใช้ถุงพลาสติก ลุยแจกถุงผ้าจังหวัดราชบุรี
วันนี้ (10 พฤศจิกายน 2562) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ ทส. ลงพื้นที่จังหวัดราชบุรี เร่งประชาสัมพันธ์ โครงการทําดีด้วยหัวใจ เลิกรับเลิกให้เลิกใช้ถุงพลาสติก Every Day Say No to Plastic Bags พร้อมนําถุงผ้าแจกประชาชน พ่อค้าแม่ค้า และนักท่องเที่ยวเลิกใช้ถุงพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง หันมาใช้ถุงผ้าแทน ณ ตลาดน้ําเหล่าตั๊กลัก อําเภอดําเนินสะดวก และตลาดเก่าโคยกี๊ อําเภอเมือง จังหวัดราชบุรี งานนี้ได้รับความร่วมจาก หน่วยงานราชการ ร้านค้า ประชาชน และนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวยังตลาดทั้งสองแห่งเป็นอย่างเป็นอย่างดี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ ประชาสัมพันธ์เลิกใช้ถุงพลาสติก ลุยแจกถุงผ้าจังหวัดราชบุรี
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2562
วราวุธ ประชาสัมพันธ์เลิกใช้ถุงพลาสติก ลุยแจกถุงผ้าจังหวัดราชบุรี
วราวุธ ประชาสัมพันธ์เลิกใช้ถุงพลาสติก ลุยแจกถุงผ้าจังหวัดราชบุรี
วันนี้ (10 พฤศจิกายน 2562) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริห
วราวุธ ประชาสัมพันธ์เลิกใช้ถุงพลาสติก ลุยแจกถุงผ้าจังหวัดราชบุรี
วันนี้ (10 พฤศจิกายน 2562) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ ทส. ลงพื้นที่จังหวัดราชบุรี เร่งประชาสัมพันธ์ โครงการทําดีด้วยหัวใจ เลิกรับเลิกให้เลิกใช้ถุงพลาสติก Every Day Say No to Plastic Bags พร้อมนําถุงผ้าแจกประชาชน พ่อค้าแม่ค้า และนักท่องเที่ยวเลิกใช้ถุงพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง หันมาใช้ถุงผ้าแทน ณ ตลาดน้ําเหล่าตั๊กลัก อําเภอดําเนินสะดวก และตลาดเก่าโคยกี๊ อําเภอเมือง จังหวัดราชบุรี งานนี้ได้รับความร่วมจาก หน่วยงานราชการ ร้านค้า ประชาชน และนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวยังตลาดทั้งสองแห่งเป็นอย่างเป็นอย่างดี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24466
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยพร้อมร่วมสมัชชารัฐสภาอาเซียนขับเคลื่อนอาเซียนไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
|
วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2562
ไทยพร้อมร่วมสมัชชารัฐสภาอาเซียนขับเคลื่อนอาเซียนไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
ไทยพร้อมร่วมสมัชชารัฐสภาอาเซียนขับเคลื่อนอาเซียนไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
วันนี้ (26 สิงหาคม 2562) เวลา 09.00 น. ณ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมสมัชชารัฐสภาอาเซียน ครั้งที่ 40 (AIPA) โดยในการประชุมครั้งนี้ มีบุคคลสําคัญเข้าร่วมหลายท่าน ได้แก่ ประธานสมัชชารัฐสภาอาเซียน เลขาธิการสมัชชารัฐสภาอาเซียน รองเลขาธิการอาเซียนด้านประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน คณะผู้แทนจากประเทศสมาชิกสมัชชารัฐสภาอาเซียน ตัวแทนจากประเทศผู้สังเกตการณ์ และตัวแทนจากองค์กรระหว่างประเทศ
นายกรัฐมนตรียินดีและเป็นเกียรติที่ได้เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุม AIPA ในครั้งนี้ เชื่อมั่นว่าทุกฝ่ายต่างมีส่วนช่วยขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนให้บรรลุผลสําเร็จตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ โดยเฉพาะตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ได้ก่อตั้ง AIPA ขึ้นมา ถือว่า AIPA เป็นองค์กรคู่ขนาน และมีบทบาทสําคัญในการสนับสนุนการทํางานของฝ่ายบริหาร และเสาหลักที่ 3 ของอาเซียน ด้านประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน พร้อมกล่าวขอบคุณทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมสนับสนุนองค์กรให้มีความก้าวหน้า ขอบคุณพลังขับเคลื่อนอาเซียนจากภาคนิติบัญญัติ ตลอดจนแลกเปลี่ยนประสบการณ์และให้คําแนะมาโดยตลอด
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียินดีที่ AIPA ได้มีส่วนช่วยผลักดันอาเซียนให้นําไปสู่ประชาคมที่ยั่งยืน โดยเฉพาะความมุ่งมั่นที่ต้องการให้อาเซียนปลอดยาเสพติด และกล่าวชื่นชมผลการประชุมคณะมนตรีที่ปรึกษาของสมัชชารัฐสภาอาเซียนว่าด้วยยาเสพติดอันตราย (AIPACODD) ครั้งที่ 2 เมื่อเดือนมีนาคม 2562 ที่ได้เห็นพ้องต่อแนวทางพัฒนาทางเลือก (Alternative Development) และตกลงร่วมกันที่จะบูรณาการการพัฒนาชุมชนในทุกด้านให้มีภูมิต้านทาน รวมถึงพัฒนามาตรการแก้ไข ป้องกัน ปราบปรามยาเสพติดให้หมดไปจากภูมิภาค
นอกจากนี้ ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประธานอาเซียน มุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 ที่ผ่านมา ได้มีการรับรองปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วยการต่อต้านขยะทางทะเลในภูมิภาคอาเซียน โดยมุ่งหวังว่า AIPA จะนําปฏิญญาดังกล่าวไปเป็นกรอบในการดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์แก่ชาวอาเซียนต่อไป
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความพร้อมของไทยในการสนับสนุนการทํางานของสํานักงานเลขาธิการอาเซียน และสํานักงานเลขาธิการสมัชชารัฐสภาอาเซียน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประชาคมอาเซียน และมุ่งหวังว่าการทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิด จะนําไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม และสร้างความก้าวหน้าอย่างยั่งยืนให้อาเซียนในทุกมิติ อันจะนําไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนที่มีศักยภาพในการแข่งขันพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยพร้อมร่วมสมัชชารัฐสภาอาเซียนขับเคลื่อนอาเซียนไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2562
ไทยพร้อมร่วมสมัชชารัฐสภาอาเซียนขับเคลื่อนอาเซียนไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
ไทยพร้อมร่วมสมัชชารัฐสภาอาเซียนขับเคลื่อนอาเซียนไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
วันนี้ (26 สิงหาคม 2562) เวลา 09.00 น. ณ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมสมัชชารัฐสภาอาเซียน ครั้งที่ 40 (AIPA) โดยในการประชุมครั้งนี้ มีบุคคลสําคัญเข้าร่วมหลายท่าน ได้แก่ ประธานสมัชชารัฐสภาอาเซียน เลขาธิการสมัชชารัฐสภาอาเซียน รองเลขาธิการอาเซียนด้านประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน คณะผู้แทนจากประเทศสมาชิกสมัชชารัฐสภาอาเซียน ตัวแทนจากประเทศผู้สังเกตการณ์ และตัวแทนจากองค์กรระหว่างประเทศ
นายกรัฐมนตรียินดีและเป็นเกียรติที่ได้เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุม AIPA ในครั้งนี้ เชื่อมั่นว่าทุกฝ่ายต่างมีส่วนช่วยขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนให้บรรลุผลสําเร็จตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ โดยเฉพาะตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ได้ก่อตั้ง AIPA ขึ้นมา ถือว่า AIPA เป็นองค์กรคู่ขนาน และมีบทบาทสําคัญในการสนับสนุนการทํางานของฝ่ายบริหาร และเสาหลักที่ 3 ของอาเซียน ด้านประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน พร้อมกล่าวขอบคุณทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมสนับสนุนองค์กรให้มีความก้าวหน้า ขอบคุณพลังขับเคลื่อนอาเซียนจากภาคนิติบัญญัติ ตลอดจนแลกเปลี่ยนประสบการณ์และให้คําแนะมาโดยตลอด
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียินดีที่ AIPA ได้มีส่วนช่วยผลักดันอาเซียนให้นําไปสู่ประชาคมที่ยั่งยืน โดยเฉพาะความมุ่งมั่นที่ต้องการให้อาเซียนปลอดยาเสพติด และกล่าวชื่นชมผลการประชุมคณะมนตรีที่ปรึกษาของสมัชชารัฐสภาอาเซียนว่าด้วยยาเสพติดอันตราย (AIPACODD) ครั้งที่ 2 เมื่อเดือนมีนาคม 2562 ที่ได้เห็นพ้องต่อแนวทางพัฒนาทางเลือก (Alternative Development) และตกลงร่วมกันที่จะบูรณาการการพัฒนาชุมชนในทุกด้านให้มีภูมิต้านทาน รวมถึงพัฒนามาตรการแก้ไข ป้องกัน ปราบปรามยาเสพติดให้หมดไปจากภูมิภาค
นอกจากนี้ ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประธานอาเซียน มุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 ที่ผ่านมา ได้มีการรับรองปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วยการต่อต้านขยะทางทะเลในภูมิภาคอาเซียน โดยมุ่งหวังว่า AIPA จะนําปฏิญญาดังกล่าวไปเป็นกรอบในการดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์แก่ชาวอาเซียนต่อไป
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความพร้อมของไทยในการสนับสนุนการทํางานของสํานักงานเลขาธิการอาเซียน และสํานักงานเลขาธิการสมัชชารัฐสภาอาเซียน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประชาคมอาเซียน และมุ่งหวังว่าการทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิด จะนําไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม และสร้างความก้าวหน้าอย่างยั่งยืนให้อาเซียนในทุกมิติ อันจะนําไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนที่มีศักยภาพในการแข่งขันพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22494
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.