title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม นบข. เห็นชอบชะลอการระบายข้าวในคลังเพื่อรองรับข้าวฤดูกาลผลิตใหม่
|
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2559
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม นบข. เห็นชอบชะลอการระบายข้าวในคลังเพื่อรองรับข้าวฤดูกาลผลิตใหม่
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม นบข.ครั้งที่ 5/59 เห็นชอบชะลอการระบายข้าวในคลัง เพื่อรองรับข้าวฤดูกาลผลิตใหม่ที่จะออกสู่ท้องตลาด พ.ย.นี้-ป้องกันราคาข้าวลดลง ยืนยันคําสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 56/2559 ตามมาตรา 44 เป็นการให้อํานาจกรมบังคับคดีดําเนินการเมื่อคดีถึง
วันนี้ (14 ก.ย.59) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 5/2559 ร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
ภายหลังการประชุม นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ประชุม นบข. ได้ติดตามความคืบหน้าของมาตรการการช่วยเหลือต่าง ๆ ทั้งในส่วนของเกษตรกร โครงการต่าง ๆ ที่ลดต้นทุนการผลิต มาตรการการดูแลการใช้เครื่องจักรเครื่องมือทั้งในส่วนที่ภาครัฐจัดหาให้ และในส่วนของภาคเอกชนจะมีมาตรการอย่างไรเพื่อให้เขามาร่วมโครงการ ซึ่งทั้งหมดจะต้องแก้ไขอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นทางการผลิต พิจารณาการลดต้นทุนการผลิต ดูแลการแปรรูปนวัตกรรม หามาตรการดูแลผู้ประกอบการ รวมทั้งจะต้องเน้นการเก็บข้าวไว้ในยุงฉางของเกษตรกรเพื่อไม่ให้ข้าวออกสู่ท้องตลาดมากเกินไป โดยจะต้องปลดเปลื้องภาระค่าเก็บรักษาข้าวของภาครัฐ ให้ไปอยู่กับเอกชนและเกษตรกรโดยตรง
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า นบข. มีมติให้ชะลอการระบายข้าวคงค้างในคลังของรัฐบาลในช่วงนี้ไว้ก่อน เพราะจะต้องรองรับผลผลิตข้าวในรอบใหม่ที่กําลังจะออกสู่ตลาดในเดือนพฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะต้องดูสถานการณ์ข้าว ถ้าระบายออกมากเกินไป ราคาในท้องตลาดก็จะตกลง ราคาในตลาดโลกก็ลดลงไปอีก จึงต้องดูในหลายมิติ และต้องหาทางบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรให้ได้มากที่สุด แต่จะทําอย่างไรในเมื่อมีงบประมาณจํากัด อีกทั้งภาระที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ยังมีอยู่อีกมาก และมีหนี้สินที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเรื่องคดีความต่าง ๆ ในโครงการรับจํานําข้าวที่สังคมกําลังติดตามอยู่ว่า ขอให้เป็นเรื่องของทางกระบวนการยุติธรรม อย่าเพิ่งพูดกันไปมา เพราะจะมีผลเสียต่อการตรวจสอบทางกระบวนการยุติธรรม ในส่วนของรัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบขึ้นมาสองคณะ คณะแรก ทําหน้าที่ตรวจสอบทางบัญชี อีกคณะทําหน้าที่ตรวจสอบความผิดทางละเมิด ที่มีกฎหมายในเรื่องนี้อยู่ ซึ่งจะต้องติดตามผลกันต่อไป อย่าเพิ่งไปพูดกันตอนนี้อาจจะเกิดความเสียหายได้ โดยกระบวนการทุกอย่าง จะดําเนินการได้ตามกรอบเวลาที่กฎหมายกําหนด และยืนยันว่าการออกคําสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 56/2559 ตามมาตรา 44 เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการของศาล รัฐบาลจะไม่ก้าวล่วงอํานาจศาล คําสั่งดังกล่าวเป็นเพียงการให้อํานาจกรมบังคับคดีเข้าไปดําเนินการ ในกรณีที่คดีถึงที่สุดแล้ว หรือเมื่อมีคําพิพากษาของศาลปกครองออกมาแล้ว
ด้าน นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวเพิ่มเติมถึงผลการประชุม นบข.ว่า ที่ประชุมเห็นชอบแผนรองรับการผลิตข้าวนาปีฤดูกาลผลิตปี 2559/2560 เนื่องจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์คาดการณ์ว่าปริมาณข้าวปีนี้จะเพิ่มจาก 22 ล้านตัน เป็น 23.55 ล้านตัน โดยเป็นข้าวหอมมะลิ 9.55 ล้านตัน ข้าวเปลือกเหนียว 5.29 ล้านตัน ข้าวหอมปทุมธานี 1.14 ล้านตัน และข้าวเปลือกเจ้า 6.27 ล้านตัน จึงได้ออกมาตรการรองรับการเก็บเกี่ยวข้าวที่จะออกสู่ระบบมากที่สุดในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม ปี 2559 จึงต้องจัดทําคลังข้อมูลข้าวครบวงจร รวมทั้งการจัดโกดังเก็บรวมข้าว การจัดเก็บเมล็ดพันธุ์ ควบคุมจํานวนเกษตรกรแต่ละพื้นที่เพาะปลูก
ทั้งนี้ เพื่อรองรับการเก็บเกี่ยวข้าวจํานวนมากพร้อมกันหลายพื้นที่ นบข.จึงให้จัดหารถเกี่ยวข้าวพร้อมผ่านการจัดทําแอพพลิเคชั่น รวบรวบข้อมูลรถเกี่ยวข้าวจากหลายจังหวัด เช่น ภาคเหนือ ภาคกลาง รองรับการเกี่ยวข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใช้ระบบไอทีมาใช้จองคิวเกี่ยวข้าวล่วงหน้า และเพื่อป้องกันปัญหาความชื้นจากการเกี่ยวข้าวจมน้ําหรือเกี่ยวข้าวเร็ว จึงต้องเชื่อมโยงโรงสีหลายจังหวัดช่วยอบข้าวให้รวดเร็ว เพราะขณะนี้ไซโลสมัยใหม่มีโรงอบที่ทันสมัย และยังส่งเสริมให้โรงสีข้าวช่วยรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บข้าวไว้ในสต็อก โดยสมาคมธนาคารไทยพร้อมปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา หากเก็บข้าวไว้ในโกดัง 3 เดือนแรก รัฐบาลชดเชยอัตราดอกเบี้ยให้ร้อยละ 3 และหากจัดเก็บข้าวไว้ในโกดังนาน 4-6 เดือน ชดเชยดอกเบี้ยให้ร้อยละ 4 กําหนดเป้าหมายให้โรงสีรับซื้อ 8 ล้านตัน โดยปีนี้ต้องใช้เงินเพิ่มอีก 360 ล้านบาทจึงต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวด้วยว่า ส่วนการดูแลเกษตรกร ยังคงนโยบายการให้เกษตรกรจัดเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางจํานวน 2 ล้านตัน โดยปีนี้ได้ปรับรูปแบบจากเดิมรัฐบาลจ่ายเงินค่าฝากข้าวไว้ในยุ้งฉาง จ่ายเงินเมื่อมีการระบายข้าวออกไปในระยะเวลากําหนด 1,500 บาท แต่ปีนี้รัฐบาลพร้อมจ่ายเงินให้ทันทีเมื่อเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉาง 1,000 บาทต่อตัน ส่วนที่เหลือ 500 บาท จ่ายเมื่อระบายข้าวออกไป นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการลดพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นแทน เช่น การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากโรงงานอาหารสัตว์มีความต้องการข้าวโพด 7-8 ล้านตัน แต่ผลิตได้เพียง 4 ล้านตัน จึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดหาตลาดรองรับการปลูกข้าวโพด สําหรับการส่งออกข้าวปีนี้กําหนดเป้าหมายที่ 9.5 ล้านตัน ปัจจุบันส่งออกได้แล้ว 6.57 ล้านตัน คาดว่าเวลาที่เหลือ 3 เดือนจะดําเนินการได้ตามเป้าหมาย
--------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม นบข. เห็นชอบชะลอการระบายข้าวในคลังเพื่อรองรับข้าวฤดูกาลผลิตใหม่
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2559
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม นบข. เห็นชอบชะลอการระบายข้าวในคลังเพื่อรองรับข้าวฤดูกาลผลิตใหม่
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม นบข.ครั้งที่ 5/59 เห็นชอบชะลอการระบายข้าวในคลัง เพื่อรองรับข้าวฤดูกาลผลิตใหม่ที่จะออกสู่ท้องตลาด พ.ย.นี้-ป้องกันราคาข้าวลดลง ยืนยันคําสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 56/2559 ตามมาตรา 44 เป็นการให้อํานาจกรมบังคับคดีดําเนินการเมื่อคดีถึง
วันนี้ (14 ก.ย.59) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 5/2559 ร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
ภายหลังการประชุม นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ประชุม นบข. ได้ติดตามความคืบหน้าของมาตรการการช่วยเหลือต่าง ๆ ทั้งในส่วนของเกษตรกร โครงการต่าง ๆ ที่ลดต้นทุนการผลิต มาตรการการดูแลการใช้เครื่องจักรเครื่องมือทั้งในส่วนที่ภาครัฐจัดหาให้ และในส่วนของภาคเอกชนจะมีมาตรการอย่างไรเพื่อให้เขามาร่วมโครงการ ซึ่งทั้งหมดจะต้องแก้ไขอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นทางการผลิต พิจารณาการลดต้นทุนการผลิต ดูแลการแปรรูปนวัตกรรม หามาตรการดูแลผู้ประกอบการ รวมทั้งจะต้องเน้นการเก็บข้าวไว้ในยุงฉางของเกษตรกรเพื่อไม่ให้ข้าวออกสู่ท้องตลาดมากเกินไป โดยจะต้องปลดเปลื้องภาระค่าเก็บรักษาข้าวของภาครัฐ ให้ไปอยู่กับเอกชนและเกษตรกรโดยตรง
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า นบข. มีมติให้ชะลอการระบายข้าวคงค้างในคลังของรัฐบาลในช่วงนี้ไว้ก่อน เพราะจะต้องรองรับผลผลิตข้าวในรอบใหม่ที่กําลังจะออกสู่ตลาดในเดือนพฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะต้องดูสถานการณ์ข้าว ถ้าระบายออกมากเกินไป ราคาในท้องตลาดก็จะตกลง ราคาในตลาดโลกก็ลดลงไปอีก จึงต้องดูในหลายมิติ และต้องหาทางบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรให้ได้มากที่สุด แต่จะทําอย่างไรในเมื่อมีงบประมาณจํากัด อีกทั้งภาระที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ยังมีอยู่อีกมาก และมีหนี้สินที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเรื่องคดีความต่าง ๆ ในโครงการรับจํานําข้าวที่สังคมกําลังติดตามอยู่ว่า ขอให้เป็นเรื่องของทางกระบวนการยุติธรรม อย่าเพิ่งพูดกันไปมา เพราะจะมีผลเสียต่อการตรวจสอบทางกระบวนการยุติธรรม ในส่วนของรัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบขึ้นมาสองคณะ คณะแรก ทําหน้าที่ตรวจสอบทางบัญชี อีกคณะทําหน้าที่ตรวจสอบความผิดทางละเมิด ที่มีกฎหมายในเรื่องนี้อยู่ ซึ่งจะต้องติดตามผลกันต่อไป อย่าเพิ่งไปพูดกันตอนนี้อาจจะเกิดความเสียหายได้ โดยกระบวนการทุกอย่าง จะดําเนินการได้ตามกรอบเวลาที่กฎหมายกําหนด และยืนยันว่าการออกคําสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 56/2559 ตามมาตรา 44 เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการของศาล รัฐบาลจะไม่ก้าวล่วงอํานาจศาล คําสั่งดังกล่าวเป็นเพียงการให้อํานาจกรมบังคับคดีเข้าไปดําเนินการ ในกรณีที่คดีถึงที่สุดแล้ว หรือเมื่อมีคําพิพากษาของศาลปกครองออกมาแล้ว
ด้าน นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวเพิ่มเติมถึงผลการประชุม นบข.ว่า ที่ประชุมเห็นชอบแผนรองรับการผลิตข้าวนาปีฤดูกาลผลิตปี 2559/2560 เนื่องจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์คาดการณ์ว่าปริมาณข้าวปีนี้จะเพิ่มจาก 22 ล้านตัน เป็น 23.55 ล้านตัน โดยเป็นข้าวหอมมะลิ 9.55 ล้านตัน ข้าวเปลือกเหนียว 5.29 ล้านตัน ข้าวหอมปทุมธานี 1.14 ล้านตัน และข้าวเปลือกเจ้า 6.27 ล้านตัน จึงได้ออกมาตรการรองรับการเก็บเกี่ยวข้าวที่จะออกสู่ระบบมากที่สุดในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม ปี 2559 จึงต้องจัดทําคลังข้อมูลข้าวครบวงจร รวมทั้งการจัดโกดังเก็บรวมข้าว การจัดเก็บเมล็ดพันธุ์ ควบคุมจํานวนเกษตรกรแต่ละพื้นที่เพาะปลูก
ทั้งนี้ เพื่อรองรับการเก็บเกี่ยวข้าวจํานวนมากพร้อมกันหลายพื้นที่ นบข.จึงให้จัดหารถเกี่ยวข้าวพร้อมผ่านการจัดทําแอพพลิเคชั่น รวบรวบข้อมูลรถเกี่ยวข้าวจากหลายจังหวัด เช่น ภาคเหนือ ภาคกลาง รองรับการเกี่ยวข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใช้ระบบไอทีมาใช้จองคิวเกี่ยวข้าวล่วงหน้า และเพื่อป้องกันปัญหาความชื้นจากการเกี่ยวข้าวจมน้ําหรือเกี่ยวข้าวเร็ว จึงต้องเชื่อมโยงโรงสีหลายจังหวัดช่วยอบข้าวให้รวดเร็ว เพราะขณะนี้ไซโลสมัยใหม่มีโรงอบที่ทันสมัย และยังส่งเสริมให้โรงสีข้าวช่วยรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บข้าวไว้ในสต็อก โดยสมาคมธนาคารไทยพร้อมปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา หากเก็บข้าวไว้ในโกดัง 3 เดือนแรก รัฐบาลชดเชยอัตราดอกเบี้ยให้ร้อยละ 3 และหากจัดเก็บข้าวไว้ในโกดังนาน 4-6 เดือน ชดเชยดอกเบี้ยให้ร้อยละ 4 กําหนดเป้าหมายให้โรงสีรับซื้อ 8 ล้านตัน โดยปีนี้ต้องใช้เงินเพิ่มอีก 360 ล้านบาทจึงต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวด้วยว่า ส่วนการดูแลเกษตรกร ยังคงนโยบายการให้เกษตรกรจัดเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางจํานวน 2 ล้านตัน โดยปีนี้ได้ปรับรูปแบบจากเดิมรัฐบาลจ่ายเงินค่าฝากข้าวไว้ในยุ้งฉาง จ่ายเงินเมื่อมีการระบายข้าวออกไปในระยะเวลากําหนด 1,500 บาท แต่ปีนี้รัฐบาลพร้อมจ่ายเงินให้ทันทีเมื่อเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉาง 1,000 บาทต่อตัน ส่วนที่เหลือ 500 บาท จ่ายเมื่อระบายข้าวออกไป นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการลดพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นแทน เช่น การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากโรงงานอาหารสัตว์มีความต้องการข้าวโพด 7-8 ล้านตัน แต่ผลิตได้เพียง 4 ล้านตัน จึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดหาตลาดรองรับการปลูกข้าวโพด สําหรับการส่งออกข้าวปีนี้กําหนดเป้าหมายที่ 9.5 ล้านตัน ปัจจุบันส่งออกได้แล้ว 6.57 ล้านตัน คาดว่าเวลาที่เหลือ 3 เดือนจะดําเนินการได้ตามเป้าหมาย
--------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/353
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมสุดยอดอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3
|
วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562
การประชุมสุดยอดอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3
วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ระหว่างวันที่ 24 - 27 พ.ย. นี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 ณ นครปูซาน เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นความเชื่อมโยงเพื่อส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองและความยั่งยืนในภูมิภาค ซึ่งรวมถึงในคาบสมุทรเกาหลี และการประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขง - สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยให้ความสําคัญกับความร่วมมือเพื่อพัฒนาลุ่มน้ําโขงอย่างยั่งยืน พร้อมกันนี้จะเข้าพบหารือทวิภาคีกับ ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อตอกย้ําความสัมพันธ์และความร่วมมือที่แนบแน่น ภายหลังจากที่เคยพบกันแล้วในประเทศไทยก่อนหน้านี้
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมสุดยอดอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3
วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562
การประชุมสุดยอดอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3
วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ระหว่างวันที่ 24 - 27 พ.ย. นี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 ณ นครปูซาน เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นความเชื่อมโยงเพื่อส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองและความยั่งยืนในภูมิภาค ซึ่งรวมถึงในคาบสมุทรเกาหลี และการประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขง - สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยให้ความสําคัญกับความร่วมมือเพื่อพัฒนาลุ่มน้ําโขงอย่างยั่งยืน พร้อมกันนี้จะเข้าพบหารือทวิภาคีกับ ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อตอกย้ําความสัมพันธ์และความร่วมมือที่แนบแน่น ภายหลังจากที่เคยพบกันแล้วในประเทศไทยก่อนหน้านี้
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24783
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘เฉลิมชัย’ นำทีมผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ เอกชน ชวนคนเมืองปลูกต้นไม้ในโครงการ “ปลูกเพื่อป(ล)อด ล้านต้น ลดPM2.5”
|
วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563
‘เฉลิมชัย’ นําทีมผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ เอกชน ชวนคนเมืองปลูกต้นไม้ในโครงการ “ปลูกเพื่อป(ล)อด ล้านต้น ลดPM2.5”
‘เฉลิมชัย’ นําทีมผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ เอกชน ชวนคนเมืองปลูกต้นไม้ในโครงการ “ปลูกเพื่อป(ล)อด ล้านต้น ลดPM2.5” หนุนล้านต้นสร้างพื้นที่สีเขียวทั่วกรุง
วันนี้ (9 ก.พ.63) เวลา 09.00 น. ณ บริเวณ PARC PARAGON ศูนย์การค้าสยาม พารากอน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบหมายให้ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีเปิดงาน “ปลูกเพื่อ ป(ล)อด ล้านต้น ลด PM2.5” ภายใต้โครงการ Green City by MOAC จัดโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมี นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งผู้บริหารจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ กรุงเทพมหานคร สํานักงานการวิจัยแห่งชาติ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ตลอดจนภาคเอกชน มหาวิทยาลัย และสื่อมวลชน เข้าร่วม โดย ปลัดกระทรวงเกษตรฯ เป็นผู้กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ความเป็นมาของโครงการ
โอกาสนี้ รมว.เกษตรฯ เป็นประธานในพิธีมอบต้นไม้ให้กับผู้แทนประชาชนจาก 6 เขตในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จํานวน 6 คณะ และผู้แทนภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยมี กรุงเทพมหานคร และสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ ร่วมเป็นสักขีพยานและถ่ายภาพร่วมกันบนเวที จากนั้นนําคณะผู้บริหารระดับสูงเดินทางไปยังบริเวณสวนกลางลาน Parc Paragon เพื่อนําต้นไม้ประดับตกแต่งสวนภายในงาน กิจกรรมดังกล่าวได้รับความสนใจเป็นอย่างดียิ่งจากประชาชน โดยได้เปิดให้มีการลงทะเบียนล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 4 – 8 ก.พ. 63 มียอดผู้ลงทะเบียนเป็นแล้วประมาณ 750 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 8 ก.พ.63) ซึ่งเดินทางมาขอรับต้นกล้าภายในงานวันนี้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กล่าวว่า จากปัญหาที่ประเทศไทยกําลังเผชิญกับฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน(PM2.5) ที่สูงเกินมาตรฐาน และพบในหลายจังหวัดของพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงจําเป็นต้องดําเนินการอย่างเร่งด่วน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงร่วมกับสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กรุงเทพมหานคร สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน ดําเนินโครงการ “ปลูกเพื่อป(ล)อดล้านต้น ลด PM2.5” ภายใต้โครงการ Green City by MOAC ขึ้น เพื่อเป็นการลดผลกระทบปัญหาฝุ่นละออง ขนาดเล็กกว่า2.5 ไมครอน (PM2.5) ที่สูงเกินมาตรฐานในพื้นที่กรุงเทพฯ รวมถึงพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ เสมือนการสร้างภูมิต้านทานในระยะยาว รวมทั้งเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนและเกษตรกรที่สนใจเพาะพันธุ์เพื่อจําหน่ายเป็นอาชีพเสริม โดยเป็นความร่วมมือระหว่างส่วนราชการและภาคส่วนต่าง ๆ ซึ่งจะนําร่องดําเนินการในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และขยายผลไปในทุกจังหวัดทั่วประเทศ เริ่มดําเนินการตั้งแต่เดือน ก.พ. 63 เป็นต้นไป จะแจกต้นกล้าที่มีประสิทธิภาพสูงในการดูดซับฝุ่น PM2.5 พร้อมกับคู่มือการดูแลต้นกล้าในรูปแบบออนไลน์ นอกจากนี้ หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน จะร่วมมือกันในการแจกจ่ายต้นกล้าล้านต้นให้กับประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร โดยกําหนดช่องทางการแจกจ่ายต้นไม้ไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชน อาทิ สํานักงานเขต 50 เขต ร้าน Fresh Mart 100 สาขาทั่วกรุงเทพฯ (CPF) โรงเรียน และวัดเป็นต้น
สําหรับประชาชนทั่วไปที่สนใจ สามารถลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์ www.green-city.online เพื่อขอรับต้นกล้าได้คนละ 5 คนโดยระบุสํานักงานเขตที่สะดวกเดินทางไปรับ ซึ่งมีต้นกล้ารวมทั้งสิ้นจํานวน 6 ชนิด ได้แก่ กระดุมทอง ไม้ตระกูลคล้า (คล้าหางนกยูง) ไม้ตระกูลว่าน (เศรษฐีเรือนใน) ไม้ตระกูลเฟิน (เฟินขนนก เฟินเจ้าฟ้า) ไม้เลื้อย (ตีนตุ๊กแก) และต้นสนไซเปรส เตรียมแจกจ่ายให้แก่ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปลูกต้นไม้ ทั้งบริเวณในและนอกบ้าน สถานที่ทํางาน ริมถนน และสวนสาธารณะ เพื่อเป็นการลดผลกระทบปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ในปีหน้าและปีต่อไป ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําให้ประชาชนที่นําต้นไปปลูกนั้นต้องช่วยกันดูแลรักษาต้นกล้าในระยะยาว ให้เจริญเติบโตเพื่อความยั่งยืนในการสร้างพื้นที่สีเขียวทั่วประเทศ โดยมีการติดตามและส่งเสริมการขยายผลในโครงการระยะยาวโดยแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อกํากับติดตามและขับเคลื่อนโครงการ
“รัฐบาลมีความกังวลและเป็นห่วงต่อสถานการณ์ปัญหาฝุ่น pm 2.5 โดยมีมาตรการที่กําลังดําเนินการเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวรวมถึงโครงการ “ปลูกเพื่อป(ล)อด” ที่ดําเนินการในวันนี้ จะทําการขยายผลไปสู่เมืองใหญ่ๆ ทุกภูมิภาคเพื่อแก้ปัญหามลภาวะอย่างยั่งยืน ขอยืนยันว่าโครงการนี้จะดําเนินการต่อเนื่องมีคณะกรรมการติดตาม เชื่อว่าหากทุกภาคส่วนร่วมมือร่วมใจกันจะสามารถผ่านวิกฤติไปได้ จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการปลูกจิตสํานึกเพิ่มพื้นที่สีเขียว” นายเฉลิมชัย กล่าว
ทั้งนี้ หากในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการร่วมกันปลูกได้เพียงร้อยละ 10 ของพื้นที่จะสามารถลดจํานวนวันที่ฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน ได้ถึง 1-3 วัน ผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม “ปลูกเพื่อป(ล)อด ล้านต้น ลดPM2.5” ภายใต้โครงการ Green City by MOAC โดยลงทะเบียนได้ที่ www.green-city.online และร่วมกันติดแฮชแท็ก #ปลูกเพื่อปอด #ล้านต้นลดPM2จุด5 ในสื่อโซเชียลต่างๆ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์โครงการไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ” นายเฉลิมชัย กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘เฉลิมชัย’ นำทีมผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ เอกชน ชวนคนเมืองปลูกต้นไม้ในโครงการ “ปลูกเพื่อป(ล)อด ล้านต้น ลดPM2.5”
วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563
‘เฉลิมชัย’ นําทีมผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ เอกชน ชวนคนเมืองปลูกต้นไม้ในโครงการ “ปลูกเพื่อป(ล)อด ล้านต้น ลดPM2.5”
‘เฉลิมชัย’ นําทีมผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ เอกชน ชวนคนเมืองปลูกต้นไม้ในโครงการ “ปลูกเพื่อป(ล)อด ล้านต้น ลดPM2.5” หนุนล้านต้นสร้างพื้นที่สีเขียวทั่วกรุง
วันนี้ (9 ก.พ.63) เวลา 09.00 น. ณ บริเวณ PARC PARAGON ศูนย์การค้าสยาม พารากอน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบหมายให้ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีเปิดงาน “ปลูกเพื่อ ป(ล)อด ล้านต้น ลด PM2.5” ภายใต้โครงการ Green City by MOAC จัดโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมี นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งผู้บริหารจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ กรุงเทพมหานคร สํานักงานการวิจัยแห่งชาติ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ตลอดจนภาคเอกชน มหาวิทยาลัย และสื่อมวลชน เข้าร่วม โดย ปลัดกระทรวงเกษตรฯ เป็นผู้กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ความเป็นมาของโครงการ
โอกาสนี้ รมว.เกษตรฯ เป็นประธานในพิธีมอบต้นไม้ให้กับผู้แทนประชาชนจาก 6 เขตในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จํานวน 6 คณะ และผู้แทนภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยมี กรุงเทพมหานคร และสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ ร่วมเป็นสักขีพยานและถ่ายภาพร่วมกันบนเวที จากนั้นนําคณะผู้บริหารระดับสูงเดินทางไปยังบริเวณสวนกลางลาน Parc Paragon เพื่อนําต้นไม้ประดับตกแต่งสวนภายในงาน กิจกรรมดังกล่าวได้รับความสนใจเป็นอย่างดียิ่งจากประชาชน โดยได้เปิดให้มีการลงทะเบียนล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 4 – 8 ก.พ. 63 มียอดผู้ลงทะเบียนเป็นแล้วประมาณ 750 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 8 ก.พ.63) ซึ่งเดินทางมาขอรับต้นกล้าภายในงานวันนี้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กล่าวว่า จากปัญหาที่ประเทศไทยกําลังเผชิญกับฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน(PM2.5) ที่สูงเกินมาตรฐาน และพบในหลายจังหวัดของพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงจําเป็นต้องดําเนินการอย่างเร่งด่วน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงร่วมกับสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กรุงเทพมหานคร สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน ดําเนินโครงการ “ปลูกเพื่อป(ล)อดล้านต้น ลด PM2.5” ภายใต้โครงการ Green City by MOAC ขึ้น เพื่อเป็นการลดผลกระทบปัญหาฝุ่นละออง ขนาดเล็กกว่า2.5 ไมครอน (PM2.5) ที่สูงเกินมาตรฐานในพื้นที่กรุงเทพฯ รวมถึงพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ เสมือนการสร้างภูมิต้านทานในระยะยาว รวมทั้งเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนและเกษตรกรที่สนใจเพาะพันธุ์เพื่อจําหน่ายเป็นอาชีพเสริม โดยเป็นความร่วมมือระหว่างส่วนราชการและภาคส่วนต่าง ๆ ซึ่งจะนําร่องดําเนินการในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และขยายผลไปในทุกจังหวัดทั่วประเทศ เริ่มดําเนินการตั้งแต่เดือน ก.พ. 63 เป็นต้นไป จะแจกต้นกล้าที่มีประสิทธิภาพสูงในการดูดซับฝุ่น PM2.5 พร้อมกับคู่มือการดูแลต้นกล้าในรูปแบบออนไลน์ นอกจากนี้ หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน จะร่วมมือกันในการแจกจ่ายต้นกล้าล้านต้นให้กับประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร โดยกําหนดช่องทางการแจกจ่ายต้นไม้ไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชน อาทิ สํานักงานเขต 50 เขต ร้าน Fresh Mart 100 สาขาทั่วกรุงเทพฯ (CPF) โรงเรียน และวัดเป็นต้น
สําหรับประชาชนทั่วไปที่สนใจ สามารถลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์ www.green-city.online เพื่อขอรับต้นกล้าได้คนละ 5 คนโดยระบุสํานักงานเขตที่สะดวกเดินทางไปรับ ซึ่งมีต้นกล้ารวมทั้งสิ้นจํานวน 6 ชนิด ได้แก่ กระดุมทอง ไม้ตระกูลคล้า (คล้าหางนกยูง) ไม้ตระกูลว่าน (เศรษฐีเรือนใน) ไม้ตระกูลเฟิน (เฟินขนนก เฟินเจ้าฟ้า) ไม้เลื้อย (ตีนตุ๊กแก) และต้นสนไซเปรส เตรียมแจกจ่ายให้แก่ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปลูกต้นไม้ ทั้งบริเวณในและนอกบ้าน สถานที่ทํางาน ริมถนน และสวนสาธารณะ เพื่อเป็นการลดผลกระทบปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ในปีหน้าและปีต่อไป ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําให้ประชาชนที่นําต้นไปปลูกนั้นต้องช่วยกันดูแลรักษาต้นกล้าในระยะยาว ให้เจริญเติบโตเพื่อความยั่งยืนในการสร้างพื้นที่สีเขียวทั่วประเทศ โดยมีการติดตามและส่งเสริมการขยายผลในโครงการระยะยาวโดยแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อกํากับติดตามและขับเคลื่อนโครงการ
“รัฐบาลมีความกังวลและเป็นห่วงต่อสถานการณ์ปัญหาฝุ่น pm 2.5 โดยมีมาตรการที่กําลังดําเนินการเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวรวมถึงโครงการ “ปลูกเพื่อป(ล)อด” ที่ดําเนินการในวันนี้ จะทําการขยายผลไปสู่เมืองใหญ่ๆ ทุกภูมิภาคเพื่อแก้ปัญหามลภาวะอย่างยั่งยืน ขอยืนยันว่าโครงการนี้จะดําเนินการต่อเนื่องมีคณะกรรมการติดตาม เชื่อว่าหากทุกภาคส่วนร่วมมือร่วมใจกันจะสามารถผ่านวิกฤติไปได้ จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการปลูกจิตสํานึกเพิ่มพื้นที่สีเขียว” นายเฉลิมชัย กล่าว
ทั้งนี้ หากในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการร่วมกันปลูกได้เพียงร้อยละ 10 ของพื้นที่จะสามารถลดจํานวนวันที่ฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน ได้ถึง 1-3 วัน ผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม “ปลูกเพื่อป(ล)อด ล้านต้น ลดPM2.5” ภายใต้โครงการ Green City by MOAC โดยลงทะเบียนได้ที่ www.green-city.online และร่วมกันติดแฮชแท็ก #ปลูกเพื่อปอด #ล้านต้นลดPM2จุด5 ในสื่อโซเชียลต่างๆ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์โครงการไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ” นายเฉลิมชัย กล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26420
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความเชื่อมั่นและไว้วางใจซึ่งกันและกัน ในการมุ่งทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติ สู่ “สัญญาประชาคม” จะเป็นทางออกร่วมกันจากความขัดแย้งที่ใช้ความรุนแรง
|
วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2560
ความเชื่อมั่นและไว้วางใจซึ่งกันและกัน ในการมุ่งทําเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติ สู่ “สัญญาประชาคม” จะเป็นทางออกร่วมกันจากความขัดแย้งที่ใช้ความรุนแรง
ความเชื่อมั่นและไว้วางใจซึ่งกันและกัน ในการมุ่งทําเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติ สู่ “สัญญาประชาคม” จะเป็นทางออกร่วมกันจากความขัดแย้งที่ใช้ความรุนแรง
ความเชื่อมั่นและไว้วางใจซึ่งกันและกัน ในการมุ่งทําเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติ สู่ “สัญญาประชาคม” จะเป็นทางออกร่วมกันจากความขัดแย้งที่ใช้ความรุนแรง
พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ ประธานอนุกรรมการด้านการประชาสัมพันธ์ เปิดเผย หลังการประชุมคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ครั้งที่ 4/60 เมื่อ 19 มิถุนายน 60 ณ ศาลาว่าการกลาโหม ที่ผ่านมา โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. เป็นประธาน ว่า
โดยที่ประชุมได้รับทราบถึงกระบวนการสร้างความสามัคคีปรองดองที่ผ่านมา และร่วมกันพิจารณาให้ความเห็นอย่างรอบด้านต่อ "เอกสารความเห็นร่วม" ที่จัดทําขึ้นและการใช้ประโยชน์ รวมทั้ง "ร่างสัญญาประชาคม" เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน โดย พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวย้ําว่า รัฐบาลมีความจริงใจและมีเจตจํานงที่แน่วแน่ ในการสร้างความสามัคคีปรองดองในครั้งนี้ และเน้นถึงเป้าหมาย คือ การรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน เพื่อนําไปสู่ การกําหนดกรอบแนวทางการอยู่ร่วมกันอย่างสงบและสันติสุขในอนาคต โดยประชาชนทั้งประเทศ ต้องได้รับประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง พร้อมย้ําให้ร่วมกันสร้างการรับรู้กับประชาชนและสร้างบรรยากาศของความร่วมมือ ให้เกิดความสามัคคีปรองดองของคนในชาติอย่างแท้จริง
พล.ต.คงชีพ กล่าวว่า ร่างสัญญาประชาคมที่ปรับแก้แล้ว จากข้อคิดเห็นของคณะกรรมการ จะสามารถเผยแพร่สู่สาธารณะ ในรูปแบบของการจัดเวทีสาธารณะทั่วทุกภาคได้ภายใน ปลาย มิ.ย.60 โดยจะจัด 4 ครั้งในพื้นที่จังหวัด พิษณุโลก นครราชสีมา นครราชสีมา และ กทม.
พล.ต.คงชีพ กล่าวสรุปภาพรวมว่า ความขัดแย้งในสังคมไทยตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา นํามาสู่การต่อต้านคัดค้านรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศในแต่ละช่วงเวลา ทําให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เกิดความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันจนลุกลามไปสู่การเผชิญหน้าที่รุนแรง ทั้งระหว่างรัฐกับประชาชน ประชาชนกับประชาชน และขยายวงกว้างไปสู่การใช้ความรุนแรง จนเกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างประมาณค่ามิได้ ซึ่งบั่นทอนศักยภาพและกลายเป็นอุปสรรคสําคัญในการพัฒนาประเทศไปสู่ความก้าวหน้าและมั่นคงอย่างมาก
หลังจากวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้ามายุติความขัดแย้งที่ใช้ความรุนแรงในสังคมทันที โดยใช้กฎหมายพิเศษและกําหนดมาตรการป้องกันการใช้ความรุนแรงทางสังคมที่เข้มข้น โดยเฉพาะการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยึดอาวุธสงครามทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สังคมสามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ร่วมกับการเสริมสร้างให้เกิดสภาวะที่เอื้อต่อการอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองสมานฉันท์ในหมู่ประชาชน
กว่าสองปีที่ผ่านมา รัฐบาลจําเป็นต้องแก้ปัญหาวิกฤตชาติและปัญหาฐานรากประเทศที่ถูกละเลย ควบคู่กับการวางรากฐานและอนาคตของประเทศ เพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม ขณะเดียวกันต้องบริหารขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า โดยมุ่งเน้นการผดุงหลักนิติธรรมอย่างจริงจัง ด้วยกลไกตามกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันและกฎหมายพิเศษตามความจําเป็น ร่วมกับการขอความร่วมมือจากสังคม โดยยังให้ความสําคัญหลักกับปัญหาพื้นฐานทางสังคม ที่มีรากเหง้าความขัดแย้งมานาน เช่น ความเหลื่อมล้ําทางเศรษฐกิจและสังคม การครอบครองทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียมกัน การกระจายอํานาจและรายได้ที่ไม่ทั่วถึงเป็นธรรม และปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น เป็นต้น ตามผลการปฏิบัติ ที่มีเป็นข่าวปรากฏอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมา
ในขณะที่ ประชาชนส่วนใหญ่เห็นสอดคล้องกันถึงความจําเป็นเร่งด่วน ที่ต้องปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ เพื่อยกระดับและวางรากฐานประเทศ ลดความเหลื่อมล้ําและสร้างความเป็นธรรมในสังคม นายกรัฐมนตรี จึงได้ตั้งคณะกรรมการจํานวน 4 คณะ ประกอบด้วย 1) คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ 2) คณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ 3) คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ 4) คณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง เพื่อร่วมกันทํางานตอบสนองความต้องการของประชาชน ในการปฏิรูปขับเคลื่อนประเทศ. ตามแนวทางและเป้าหมายที่ร่วมกันกําหนด โดยไม่นําความขัดแย้งที่ใช้ความรุนแรงกลับมาสู่สังคมอีกในอนาคต
ในส่วนของ คณะกรรมการเตรียมการสร้างความสามัคคีปรองดอง มีความมั่นใจว่า โอกาสความสําเร็จของการร่วมสร้างความสามัคคีปรองดองครั้งนี้ มีมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากรัฐบาล มีเจตจํานงที่ชัดเจนพร้อมทั้งได้ศึกษาบทเรียนและทยอยแก้ปัญหารากเหง้าความขัดแย้งที่มีมาอย่างต่อเนื่องตลอด 2 ปีที่ผ่านมา และเมื่อพิจารณาแล้วว่า สังคมเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นและไว้ใจกันมากขึ้น ประกอบกับอารมณ์ทางสังคมมีความสงบลง การเปิดโอกาสให้ประชาชนจากทุกภาคส่วนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นต่อทางออกและแนวทางป้องกันมิให้ความขัดแย้งกลับกลายเป็นความรุนแรงในอนาคตจึงเป็นเรื่องที่จําเป็น ทั้งนี้ เพื่อให้มั่นใจว่า แนวทางการสร้างความสามัคคีปรองดองที่รัฐบาลทํามา สามารถตอบสนองความคาดหวังและความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งกระบวนการรับฟังและตรวจทานความคิดเห็นที่ผ่านมา ได้รับความร่วมมือจากประชาชนทุกภาคส่วนอย่างดียิ่ง โดยข้อมูลที่ได้รับเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และมีคุณค่ายิ่ง
“เอกสารความเห็นร่วม” ได้จัดทําขึ้น ด้วยการวิเคราะห์และสังเคราะห์ตามหลักวิชาการ จากข้อมูล 2 ส่วน คือ 1) ข้อมูลการรวบรวมความเห็นร่วมของประชาชนทุกภาคส่วน ที่ร่วมแสดงความคิดเห็น ผ่านเวทีการรับฟังในการสร้างความสามัคคีปรองดองทั่วประเทศ ที่ผ่านการสอบทานแล้วที่ผ่านมา และ 2) ข้อมูลผลการศึกษาเกี่ยวกับการสร้างความสามัคคีปรองดองที่มีมา โดยจัดทําเป็นประเด็นความเห็นร่วมและความเห็นอื่นๆทั้ง 10 ด้านและจําแนกเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) ประเด็นที่คสช.และรัฐบาลได้ดําเนินการแล้วหรือกําลังดําเนินการ 2) ประเด็นที่สามารถดําเนินการได้และเกิดผลทันที 3) ประเด็นที่สามารถดําเนินการได้แต่ผลที่เกิดขึ้นอาจต้องใช้เวลา 4) ประเด็นที่ควรเร่งดําเนินการและสร้างความรับรู้ เพื่อมิให้ขยายไปสู่ความขัดแย้ง และ 5) ประเด็นที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อนําไปสู่การดําเนินการแก้ไขปัญหาต่อไป
ข้อมูลจาก “เอกสารความเห็นร่วม” จะถูกเสนอไปยังคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตาม กรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อใช้ประโยชน์ ทั้งด้านการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ การปฏิรูปประเทศ และการบริหารราชการแผ่นดิน พร้อมทั้ง เสนอให้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาปฏิรูปการขับเคลื่อนประเทศ ใช้ประโยชน์ควบคู่กันไป สําหรับประเด็นที่ 4 ซึ่งเป็นประเด็นที่ควรเร่งดําเนินการและสร้างความรับรู้ เพื่อมิให้ขยายไปสู่ความขัดแย้ง และประเด็นอื่นๆที่อ่อนไหวหรือถูกใช้เป็นเงื่อนไขของความขัดแย้งที่ผ่านมา จะถูกแยกไปจัดทําเป็น “สัญญาประชาคม” ต่อไป
สําหรับ “ร่างสัญญาประชาคม” ที่จัดทําขึ้นจากการสะท้อนความเห็นร่วมกันของประชาชน เป็นการกําหนดกําหนดความตกลงของการอยู่ร่วมกัน เพื่อมิให้เกิดเงื่อนไขที่สุ่มเสี่ยงต่อความขัดแย้งที่ขยายไปสู่ความรุนแรงในอนาคต ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดี ที่ประชาชนทุกคนจะได้เข้าใจและร่วมกันปฏิบัติ ด้วยสํานึกในหน้าที่ความรับผิดชอบที่มีต่อประเทศชาติ เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติสุขต่อไป
ทั้งนี้ แนวทางดําเนินการสร้างความสามัคคีปรองดองให้บรรลุความสําเร็จเป็นรูปธรรม จากสัญญาประชาคมที่จะเกิดขึ้นนี้ จะเกิดผลเป็นรูปธรรมได้ จากความเชื่อมั่นและไว้วางใจซึ่งกันและกัน รวมทั้งการมีส่วนร่วมและความร่วมมือกันของทุกภาคส่วน ในทุกมิติ ไม่เน้นเฉพาะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ต่อการมุ่งสู่เป้าหมายร่วมกัน คือ “ผลประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าถึงและมีส่วนร่วมของประชาชน การมีจิตสํานึกในการยอมรับกฎกติกา และเคารพกฎหมายต่างๆ รวมไปถึงการสร้างความเท่าเทียมกันในทุกด้าน ทั้งกฎหมาย เศรษฐกิจ สังคม การศึกษาและการเข้าถึงบริการภาครัฐ ตลอดจนบรรยากาศของความสมานฉันท์ ความเป็นพี่เป็นน้อง การช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน รวมทั้งความโปร่งใสในทุกกระบวนการ ซึ่งจัดเป็นปัจจัยสําคัญยิ่งที่จะทําให้ความสามัคคีปรองดองของคนในชาติเกิดขึ้นได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความเชื่อมั่นและไว้วางใจซึ่งกันและกัน ในการมุ่งทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติ สู่ “สัญญาประชาคม” จะเป็นทางออกร่วมกันจากความขัดแย้งที่ใช้ความรุนแรง
วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2560
ความเชื่อมั่นและไว้วางใจซึ่งกันและกัน ในการมุ่งทําเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติ สู่ “สัญญาประชาคม” จะเป็นทางออกร่วมกันจากความขัดแย้งที่ใช้ความรุนแรง
ความเชื่อมั่นและไว้วางใจซึ่งกันและกัน ในการมุ่งทําเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติ สู่ “สัญญาประชาคม” จะเป็นทางออกร่วมกันจากความขัดแย้งที่ใช้ความรุนแรง
ความเชื่อมั่นและไว้วางใจซึ่งกันและกัน ในการมุ่งทําเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติ สู่ “สัญญาประชาคม” จะเป็นทางออกร่วมกันจากความขัดแย้งที่ใช้ความรุนแรง
พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ ประธานอนุกรรมการด้านการประชาสัมพันธ์ เปิดเผย หลังการประชุมคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ครั้งที่ 4/60 เมื่อ 19 มิถุนายน 60 ณ ศาลาว่าการกลาโหม ที่ผ่านมา โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. เป็นประธาน ว่า
โดยที่ประชุมได้รับทราบถึงกระบวนการสร้างความสามัคคีปรองดองที่ผ่านมา และร่วมกันพิจารณาให้ความเห็นอย่างรอบด้านต่อ "เอกสารความเห็นร่วม" ที่จัดทําขึ้นและการใช้ประโยชน์ รวมทั้ง "ร่างสัญญาประชาคม" เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน โดย พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวย้ําว่า รัฐบาลมีความจริงใจและมีเจตจํานงที่แน่วแน่ ในการสร้างความสามัคคีปรองดองในครั้งนี้ และเน้นถึงเป้าหมาย คือ การรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน เพื่อนําไปสู่ การกําหนดกรอบแนวทางการอยู่ร่วมกันอย่างสงบและสันติสุขในอนาคต โดยประชาชนทั้งประเทศ ต้องได้รับประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง พร้อมย้ําให้ร่วมกันสร้างการรับรู้กับประชาชนและสร้างบรรยากาศของความร่วมมือ ให้เกิดความสามัคคีปรองดองของคนในชาติอย่างแท้จริง
พล.ต.คงชีพ กล่าวว่า ร่างสัญญาประชาคมที่ปรับแก้แล้ว จากข้อคิดเห็นของคณะกรรมการ จะสามารถเผยแพร่สู่สาธารณะ ในรูปแบบของการจัดเวทีสาธารณะทั่วทุกภาคได้ภายใน ปลาย มิ.ย.60 โดยจะจัด 4 ครั้งในพื้นที่จังหวัด พิษณุโลก นครราชสีมา นครราชสีมา และ กทม.
พล.ต.คงชีพ กล่าวสรุปภาพรวมว่า ความขัดแย้งในสังคมไทยตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา นํามาสู่การต่อต้านคัดค้านรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศในแต่ละช่วงเวลา ทําให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เกิดความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันจนลุกลามไปสู่การเผชิญหน้าที่รุนแรง ทั้งระหว่างรัฐกับประชาชน ประชาชนกับประชาชน และขยายวงกว้างไปสู่การใช้ความรุนแรง จนเกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างประมาณค่ามิได้ ซึ่งบั่นทอนศักยภาพและกลายเป็นอุปสรรคสําคัญในการพัฒนาประเทศไปสู่ความก้าวหน้าและมั่นคงอย่างมาก
หลังจากวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้ามายุติความขัดแย้งที่ใช้ความรุนแรงในสังคมทันที โดยใช้กฎหมายพิเศษและกําหนดมาตรการป้องกันการใช้ความรุนแรงทางสังคมที่เข้มข้น โดยเฉพาะการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยึดอาวุธสงครามทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สังคมสามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ร่วมกับการเสริมสร้างให้เกิดสภาวะที่เอื้อต่อการอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองสมานฉันท์ในหมู่ประชาชน
กว่าสองปีที่ผ่านมา รัฐบาลจําเป็นต้องแก้ปัญหาวิกฤตชาติและปัญหาฐานรากประเทศที่ถูกละเลย ควบคู่กับการวางรากฐานและอนาคตของประเทศ เพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม ขณะเดียวกันต้องบริหารขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า โดยมุ่งเน้นการผดุงหลักนิติธรรมอย่างจริงจัง ด้วยกลไกตามกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันและกฎหมายพิเศษตามความจําเป็น ร่วมกับการขอความร่วมมือจากสังคม โดยยังให้ความสําคัญหลักกับปัญหาพื้นฐานทางสังคม ที่มีรากเหง้าความขัดแย้งมานาน เช่น ความเหลื่อมล้ําทางเศรษฐกิจและสังคม การครอบครองทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียมกัน การกระจายอํานาจและรายได้ที่ไม่ทั่วถึงเป็นธรรม และปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น เป็นต้น ตามผลการปฏิบัติ ที่มีเป็นข่าวปรากฏอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมา
ในขณะที่ ประชาชนส่วนใหญ่เห็นสอดคล้องกันถึงความจําเป็นเร่งด่วน ที่ต้องปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ เพื่อยกระดับและวางรากฐานประเทศ ลดความเหลื่อมล้ําและสร้างความเป็นธรรมในสังคม นายกรัฐมนตรี จึงได้ตั้งคณะกรรมการจํานวน 4 คณะ ประกอบด้วย 1) คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ 2) คณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ 3) คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ 4) คณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง เพื่อร่วมกันทํางานตอบสนองความต้องการของประชาชน ในการปฏิรูปขับเคลื่อนประเทศ. ตามแนวทางและเป้าหมายที่ร่วมกันกําหนด โดยไม่นําความขัดแย้งที่ใช้ความรุนแรงกลับมาสู่สังคมอีกในอนาคต
ในส่วนของ คณะกรรมการเตรียมการสร้างความสามัคคีปรองดอง มีความมั่นใจว่า โอกาสความสําเร็จของการร่วมสร้างความสามัคคีปรองดองครั้งนี้ มีมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากรัฐบาล มีเจตจํานงที่ชัดเจนพร้อมทั้งได้ศึกษาบทเรียนและทยอยแก้ปัญหารากเหง้าความขัดแย้งที่มีมาอย่างต่อเนื่องตลอด 2 ปีที่ผ่านมา และเมื่อพิจารณาแล้วว่า สังคมเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นและไว้ใจกันมากขึ้น ประกอบกับอารมณ์ทางสังคมมีความสงบลง การเปิดโอกาสให้ประชาชนจากทุกภาคส่วนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นต่อทางออกและแนวทางป้องกันมิให้ความขัดแย้งกลับกลายเป็นความรุนแรงในอนาคตจึงเป็นเรื่องที่จําเป็น ทั้งนี้ เพื่อให้มั่นใจว่า แนวทางการสร้างความสามัคคีปรองดองที่รัฐบาลทํามา สามารถตอบสนองความคาดหวังและความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งกระบวนการรับฟังและตรวจทานความคิดเห็นที่ผ่านมา ได้รับความร่วมมือจากประชาชนทุกภาคส่วนอย่างดียิ่ง โดยข้อมูลที่ได้รับเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และมีคุณค่ายิ่ง
“เอกสารความเห็นร่วม” ได้จัดทําขึ้น ด้วยการวิเคราะห์และสังเคราะห์ตามหลักวิชาการ จากข้อมูล 2 ส่วน คือ 1) ข้อมูลการรวบรวมความเห็นร่วมของประชาชนทุกภาคส่วน ที่ร่วมแสดงความคิดเห็น ผ่านเวทีการรับฟังในการสร้างความสามัคคีปรองดองทั่วประเทศ ที่ผ่านการสอบทานแล้วที่ผ่านมา และ 2) ข้อมูลผลการศึกษาเกี่ยวกับการสร้างความสามัคคีปรองดองที่มีมา โดยจัดทําเป็นประเด็นความเห็นร่วมและความเห็นอื่นๆทั้ง 10 ด้านและจําแนกเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) ประเด็นที่คสช.และรัฐบาลได้ดําเนินการแล้วหรือกําลังดําเนินการ 2) ประเด็นที่สามารถดําเนินการได้และเกิดผลทันที 3) ประเด็นที่สามารถดําเนินการได้แต่ผลที่เกิดขึ้นอาจต้องใช้เวลา 4) ประเด็นที่ควรเร่งดําเนินการและสร้างความรับรู้ เพื่อมิให้ขยายไปสู่ความขัดแย้ง และ 5) ประเด็นที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อนําไปสู่การดําเนินการแก้ไขปัญหาต่อไป
ข้อมูลจาก “เอกสารความเห็นร่วม” จะถูกเสนอไปยังคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตาม กรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อใช้ประโยชน์ ทั้งด้านการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ การปฏิรูปประเทศ และการบริหารราชการแผ่นดิน พร้อมทั้ง เสนอให้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาปฏิรูปการขับเคลื่อนประเทศ ใช้ประโยชน์ควบคู่กันไป สําหรับประเด็นที่ 4 ซึ่งเป็นประเด็นที่ควรเร่งดําเนินการและสร้างความรับรู้ เพื่อมิให้ขยายไปสู่ความขัดแย้ง และประเด็นอื่นๆที่อ่อนไหวหรือถูกใช้เป็นเงื่อนไขของความขัดแย้งที่ผ่านมา จะถูกแยกไปจัดทําเป็น “สัญญาประชาคม” ต่อไป
สําหรับ “ร่างสัญญาประชาคม” ที่จัดทําขึ้นจากการสะท้อนความเห็นร่วมกันของประชาชน เป็นการกําหนดกําหนดความตกลงของการอยู่ร่วมกัน เพื่อมิให้เกิดเงื่อนไขที่สุ่มเสี่ยงต่อความขัดแย้งที่ขยายไปสู่ความรุนแรงในอนาคต ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดี ที่ประชาชนทุกคนจะได้เข้าใจและร่วมกันปฏิบัติ ด้วยสํานึกในหน้าที่ความรับผิดชอบที่มีต่อประเทศชาติ เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติสุขต่อไป
ทั้งนี้ แนวทางดําเนินการสร้างความสามัคคีปรองดองให้บรรลุความสําเร็จเป็นรูปธรรม จากสัญญาประชาคมที่จะเกิดขึ้นนี้ จะเกิดผลเป็นรูปธรรมได้ จากความเชื่อมั่นและไว้วางใจซึ่งกันและกัน รวมทั้งการมีส่วนร่วมและความร่วมมือกันของทุกภาคส่วน ในทุกมิติ ไม่เน้นเฉพาะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ต่อการมุ่งสู่เป้าหมายร่วมกัน คือ “ผลประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าถึงและมีส่วนร่วมของประชาชน การมีจิตสํานึกในการยอมรับกฎกติกา และเคารพกฎหมายต่างๆ รวมไปถึงการสร้างความเท่าเทียมกันในทุกด้าน ทั้งกฎหมาย เศรษฐกิจ สังคม การศึกษาและการเข้าถึงบริการภาครัฐ ตลอดจนบรรยากาศของความสมานฉันท์ ความเป็นพี่เป็นน้อง การช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน รวมทั้งความโปร่งใสในทุกกระบวนการ ซึ่งจัดเป็นปัจจัยสําคัญยิ่งที่จะทําให้ความสามัคคีปรองดองของคนในชาติเกิดขึ้นได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4638
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขสมก.ชี้แจงข้อร้องเรียนการจัดซื้อรถเมล์ NGV ไม่โปร่งใส ยืนยันดำเนินการตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างฯ และระเบียบ กค.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ พ.ศ.2560 อย่างถูกต้อง
|
วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2560
ขสมก.ชี้แจงข้อร้องเรียนการจัดซื้อรถเมล์ NGV ไม่โปร่งใส ยืนยันดําเนินการตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างฯ และระเบียบ กค.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ พ.ศ.2560 อย่างถูกต้อง
ขสมก.ชี้แจงข้อร้องเรียนการจัดซื้อรถเมล์ NGV ไม่โปร่งใส ยืนยันดําเนินการตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างฯ และระเบียบ กค.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ พ.ศ.2560 อย่างถูกต้อง ทั้งเชิญผู้สังเกตการณ์จากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ เข้าร่วมทุกครั้ง
วันที่ 16 ธันวาคม 2560 นายประยูร ช่วยแก้ว รองผู้อํานวยการฝ่ายการเดินรถองค์การ รักษาการในตําแหน่ง ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ชี้แจงข้อร้องเรียนการจัดซื้อรถเมล์ NGV ไม่โปร่งใส ตามที่นายกรณ์ รูโปบล ประธานเครือข่ายประชาชนเพื่อเฝ้าระวังการคอร์รัปชันในภาครัฐ ยื่นหนังสือถึงนายณัฐชาติ จารุจินดา ประธาน บอร์ด ขสมก. ขอให้ทบทวนโครงการจัดซื้อรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) พร้อมซ่อมบํารุงรักษา จํานวน 489 มีประเด็นดังนี้
1. โครงการจัดซื้อรถเมล์ NGV เริ่มมาตั้งแต่ปี 2558 ผู้ชนะการประมูล คือ บริษัท ช ทวี จํากัด (มหาชน) ในราคา 3,800 ล้านบาท แต่มีการร้องเรียนจนต้องล้มการประมูลและจัดให้มีการประมูลใหม่ได้ผู้ชนะ คือ บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จํากัด ในราคา 3,389 ล้านบาท แต่มีข้อติดขัดจนต้องยกเลิกสัญญา
2. การประมูลครั้งใหม่ บริษัทที่ชนะการประมูลเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.60 คือ บริษัท ช ทวี จํากัด (มหาชน) ที่ร่วมทุนกับบริษัท สแกนอินเตอร์ จํากัด (มหาชน) ในราคา 4,020 ล้านบาท เป็นการคัดเลือกโดยส่งข้อเสนอให้บริษัทเอกชนบางกลุ่มเข้ามาเสนอราคา อีกทั้งให้บริษัท สแกนอินเตอร์ จํากัด (มหาชน) ที่ไม่เคยเข้าร่วมการประกวดราคาของ ขสมก. มาก่อนเข้าร่วมเสนอราคาด้วย ซึ่งอาจเป็นวิธีการที่ไม่โปร่งใส เพราะไม่มีการประมูลแบบเปิด
3. ราคาการจัดซื้อครั้งนี้สูงกว่าราคาประมูลรอบก่อน ๆ หลายร้อยล้านบาท ทั้งที่ควรนําราคาเก่ามาเป็นราคากลางในการจัดซื้อ แต่ทาง ขสมก. เป็นผู้ปรับราคากลางขึ้นมาที่ 4,020 ล้านบาท โดยอ้างว่าไม่มีบริษัทใดเข้าเสนอราคาและมีการขยายเวลาส่งมอบรถที่ไม่สอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้เปิดให้บริการรถเมล์ NGV โดยเร็ว
4. บริษัท ช ทวี ฯ เป็นคู่สัญญาในการเช่าระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ (E-Ticket) พร้อมอุปกรณ์ ที่มีปัญหาในการจัดส่งงาน จนล่าสุดต้องยกเลิกโครงการ ทําให้ ขสมก. สูญเสียงบประมาณเป็นพันล้านบาทเหตุใดจึงยังเปิดโอกาสให้บริษัทดังกล่าวมาดําเนินโครงการที่มีมูลค่าสูงของ ขสมก. อีก
5.ก่อนการประมูลครั้งนี้รัฐวิสาหกิจของประเทศจีนได้เสนอขายรถในราคาที่ดีกว่า เหตุใด ขสมก.จึงไม่พิจารณาข้อเสนอดังกล่าว
ขสมก. ขอชี้แจงข้อเท็จจริง ว่า มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2556 อนุมัติให้ ขสมก. จัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จํานวน 3,183 คันเพื่อนํามาให้บริการทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ํามันดีเซล โดยเร่งรัดให้องค์การจัดหารถโดยสารในระยะแรก จํานวน 489 คัน เพื่อนํามาให้บริการประชาชนทดแทนรถโดยสารเดิมที่ชํารุด เสื่อมสภาพ ขสมก. ได้ดําเนินโครงการจัดหารถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) พร้อมซ่อมแซมและบํารุงรักษารถโดยสาร จํานวน 489 คัน ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ไปแล้ว จํานวน 6 ครั้ง และจัดหาด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) จํานวน 1 ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ 1 ประกาศระหว่างวันที่ 13-21 มกราคม 2558 มีผู้ซื้อเอกสาร 33 ราย มีผู้ยื่นข้อเสนอ จํานวน 3 ราย แต่ไม่ถูกต้องตรงตามเงื่อนไขที่องค์การกําหนดจึงยกเลิกการประกวดราคา
ครั้งที่ 2 ประกาศระหว่างวันที่ 19-27 กุมภาพันธ์ 2558 มีผู้ซื้อเอกสาร 21 ราย มีผู้ยื่นข้อเสนอ จํานวน 3 ราย แต่ไม่ถูกต้องตรงตามเงื่อนไขที่องค์การกําหนดจึงยกเลิกการประกวดราคา
ครั้งที่ 3 ประกาศระหว่างวันที่ 23-26 มีนาคม 2558 มีผู้มาซื้อเอกสาร 13 ราย มีผู้เข้ายื่นข้อเสนอ จํานวน 5 ราย มีคุณสมบัติถูกต้อง 2 ราย โดยกิจการร่วมค้า เจวีซีซี เป็นผู้ชนะการประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ต่อมามีการอุทธรณ์ผลการพิจารณาการเสนอราคาต่อคณะกรรมการ (กวพ.อ.) ซึ่งคณะกรรมการบริหารกิจการองค์การ ในคราวประชุม ครั้งที่ 12/2558 เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2558 พิจารณาแล้ว มีความเห็นว่าเพื่อให้การจัดซื้อรถตามโครงการถูกต้องตามกฎหมายและเพื่อให้การกําหนด TOR เป็นธรรมแก่ผู้เสนอราคาทุกราย จึงมีมติ ให้ยกเลิกการประกวดราคา
ครั้งที่ 4 ประกาศระหว่างวันที่ 23-27 พฤษภาคม 2559 มีผู้มาซื้อเอกสาร 11 ราย มีผู้มายื่นข้อเสนอ จํานวน 3 ราย มีคุณสมบัติถูกต้อง 2 ราย โดยบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จํากัด เป็นผู้ชนะการประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ขสมก. ลงนามสัญญาซื้อขายและจ้างซ่อมแซมบํารุงรักษารถยนต์โดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ NGV จํานวน 489 คัน กับ กลุ่มนิติบุคคลร่วมทํางาน โดย บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จํากัด โดยมีกําหนดส่งมอบรถโดยสารภายใน 90 วัน ซึ่งครบกําหนดในวันที่ 29 ธันวาคม 2559 แต่บริษัทฯได้ปฏิบัติผิดสัญญา ดังนี้
(1) ไม่สามารถส่งมอบรถโดยสารให้ ขสมก. ได้ครบจํานวน 489 คัน
(2) สําแดงภาษีเป็นเท็จในการนําเข้ารถโดยสาร ขสมก. จึงบอกเลิกสัญญาซื้อขายและจ้าง
ซ่อมแซมบํารุงรักษารถโดยสาร ตามสัญญาเลขที่ ร.50/2559 และนําเสนอปลัดกระทรวงการคลังให้พิจารณาเป็นผู้ทิ้งงาน ซึ่งปลัดกระทรวงการคลังได้สั่งให้เป็นผู้ทิ้งงานแล้ว เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 และบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จํากัด ได้ฟ้ององค์การต่อศาลปกครอง ซึ่งองค์การได้ฟ้องแย้งบริษัทฯ แล้ว ขณะนี้เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
ครั้งที่ 5 ประกาศระหว่างวันที่ 25-31 พฤษภาคม 2560 มีผู้มาซื้อเอกสาร 12 ราย ต่อมามีข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 30 พฤษภาคม 2560 คอลัมน์ สกู๊ปหน้าหนึ่ง พาดหัวข่าวสรุปได้ว่า การจัดทําราคากลางครั้งนี้ ขสมก. ไม่ยึดหลักเกณฑ์ของ ป.ป.ช. โดยไม่ใช้ราคาที่เคยทําสัญญาจัดซื้อจัดจ้างกับบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จํากัด ครั้งหลังสุดเมื่อปี 2559 มาเป็นราคากลาง ซึ่งคณะกรรมการบริหารกิจการองค์การในคราวประชุม เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 มีมติให้องค์การฯ นําเรื่องราคากลางเข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการฝ่ายกฎหมายและให้ทําหนังสือหารือไปยัง ป.ป.ช. และหารือกรมบัญชีกลาง แต่เนื่องจากระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2549 ข้อ 9(1) กําหนดให้วันที่รับซองเอกสารประกวดราคาต้องไม่เกิน 30 วัน นับแต่วันสุดท้ายของการแจกจ่าย ขสมก. พิจารณาแล้วจึงได้ยกเลิกการประกวดราคา
ครั้งที่ 6 ประกาศระหว่างวันที่ 7-11 สิงหาคม 2560 มีผู้มาซื้อเอกสาร 3 ราย ไม่มีบริษัทใดมายื่นข้อเสนอ จึงยกเลิกการประกวดราคา
ครั้งที่ 7 ในการจัดหาครั้งนี้ ขสมก. ได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 โดยดําเนินการด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) และประกาศระหว่างวันที่ 4 ตุลาคม 2560 ถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 มีผู้มาซื้อเอกสารในระบบ e-GP จํานวน 8 ราย แต่ไม่มีบริษัทใดมายื่นข้อเสนอและเสนอราคาจึงยกเลิกการประกวดราคาด้วย ขสมก. มีความจําเป็นเร่งด่วนตามนโยบายของรัฐในการจัดหารถโดยสารใหม่ทดแทนรถโดยสารเดิมอย่างรวดเร็วและถูกต้องตามระเบียบของทางราชการ ประกอบกับปัจจุบันกรมการขนส่งทางบกได้จัดสรรเส้นทางเดินรถให้ ขสมก. จัดรถโดยสารเข้าเดินรถตามเส้นทางที่ได้รับจัดสรร ซึ่ง ขสมก. มีรถโดยสารไม่เพียงพอที่จะนํามาวิ่งในเส้นทางดังกล่าว และ ขสมก. ได้ดําเนินการจัดหาโดยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์มาแล้วครั้งหนึ่ง มีผู้มาซื้อเอกสาร จํานวน 8 ราย แต่เมื่อถึงเวลาเสนอราคาทางระบบสารสนเทศของกรมบัญชีกลาง กลับไม่มีผู้ใดมายื่นข้อเสนอและเสนอราคาซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดหมายได้ว่าจะไม่มีผู้เข้ายื่นข้อเสนอและเสนอราคา ประกอบกับ ขสมก.ได้ดําเนินการจัดหามาแล้วประมาณ 7 ครั้ง มีผู้เข้ายื่นข้อเสนอที่มีคุณสมบัติถูกต้องเข้ามาเสนอราคาไม่เกิน 2 ราย จึงทําให้เห็นได้ว่ามีผู้ประกอบการเฉพาะกลุ่มน้อยราย หากใช้วิธีประกาศเชิญชวนทั่วไปจะทําให้ไม่ทันต่อความต้องการใช้รถโดยสาร อีกทั้ง TOR ของรถโดยสารดังกล่าวเป็นการกําหนดตามความต้องการของ ขสมก. ไม่มีจําหน่ายในท้องตลาด ต้องผลิตหรือประกอบโดยผู้ประกอบการที่มีฝีมือโดยเฉพาะ จากเหตุผลดังกล่าว หาก ขสมก. ไม่ได้รถโดยสารมาใช้งานโดยเร็วจะส่งผลกระทบกับการให้บริการประชาชนจึงดําเนินการจัดหาโดยวิธีคัดเลือก ตามมาตรา 56 วรรคหนึ่ง (1) โดยใช้เหตุผล (ค) ประกอบ (ข) แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560
1. ขสมก.ได้ดําเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ข้อ 74 โดยดําเนินการดังต่อไปนี้
1.1 พิจารณาคัดเลือกผู้ประกอบการที่จะทําหนังสือเชิญชวน โดย ขสมก. พิจารณาเห็นว่า เนื่องจากการดําเนินการจัดหาที่ผ่านมา 7 ครั้ง มีผู้ที่สนใจและเคยมาซื้อเอกสารประกวดราคาแต่มีการเข้าเสนอราคาไม่เกิน 2 ราย จึงพิจารณาคัดเลือกจากผู้ประกอบการที่สนใจจริง ๆ ครั้งล่าสุดที่มาซื้อเอกสารประกวดราคาด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) จํานวน 8 ราย และได้ลงทะเบียนในระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) แล้ว แต่มีคุณสมบัติเบื้องต้นตรงตามเงื่อนไข จํานวน 7 ราย ได้แก่
(1) บริษัท ไทยเทคโนโลยี แอนด์ เดเวลลอปเม้นท์ จํากัด
(2) บริษัท ซุปเปอร์เซ็นทรัลแก๊ส จํากัด
(3) บริษัท สยาม สแตนดาร์ด เอ็นเนอจี จํากัด
(4) บริษัท ล็อกซเล่ย์ จํากัด(มหาชน)
(5) บริษัท ช ทวี จํากัด(มหาชน)
(6) บริษัท อัพเดท ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด
(7) บริษัท วินโคสท์ ออโตโมทีฟ จํากัด
ส่วนกลุ่มนิติบุคคลร่วมทํางาน โดยบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จํากัด มีคุณสมบัติไม่ถูกต้อง เนื่องจากปลัดกระทรวงการคลังได้มีคําสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1653/2560 ลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 สั่งให้เป็นผู้ทิ้งงาน และได้แจ้งเวียนชื่อให้เป็นผู้ทิ้งงานแล้วจึงมีคุณสมบัติไม่ถูกต้องตามที่องค์การกําหนดต่อมามีผู้ประกอบการ จํานวน 6 ราย มีหนังสือถึง ขสมก.ขอเข้าร่วมยื่นข้อเสนอซึ่ง ขสมก.ได้ทําการตรวจสอบในเบื้องต้นแล้วมีคุณสมบัติเบื้องต้นตรงตามเงื่อนไขที่กําหนด จํานวน 4 ราย ดังนั้น เมื่อผู้ประกอบการทั้ง 4 รายดังกล่าวมีคุณสมบัติเบื้องต้นถูกต้องจึงเป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลังฯข้อ 74(1) เพื่อให้มีผู้เข้ายื่นข้อเสนอมากรายและเป็นไปตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 มาตรา 8 (2) เรื่องโปร่งใสที่ให้มีการปฏิบัติต่อผู้ประกอบการที่สนใจทุกรายโดยเท่าเทียมกันจึงได้จัดทําหนังสือเชิญชวนเพิ่มเติม ได้แก่
(1) บริษัท ยูพีพี พาวเวอร์ จํากัด
(2) บริษัท แสงเจริญ ทูลส์ เซ็นเตอร์ จํากัด
(3) บริษัท สแกน อินเตอร์ จํากัด (มหาชน)
(4) บริษัท เอ็นจีวี เอ ทรานสปอร์ต เซอร์วิส จํากัด
1.2 กําหนดยื่นข้อเสนอโดยวิธีคัดเลือก วันที่ 7 ธันวาคม 2560 เวลา 08.30-16.30 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 5 สํานักงานใหญ่ มีผู้ยื่นข้อเสนอ จํานวน 1 ราย คือ กลุ่มร่วมทํางาน SCN-CHO โดยบริษัท ช ทวี จํากัด (มหาชน) และบริษัท สแกน อินเตอร์ จํากัด (มหาชน) ซึ่งบริษัททั้ง 2 ราย เป็นผู้ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อผู้ประกอบการที่คณะกรรมการมีหนังสือเชิญชวน
2. เนื่องจากมีผู้เสนอราคาเพียงรายเดียวและ ขสมก.มีความจําเป็นเร่งด่วนตามนโยบายของรัฐให้เร่งจัดหารถโดยสารใหม่ทดแทนของเดิมอย่างรวดเร็ว ประกอบกับกรมการขนส่งทางบกได้จัดสรรเส้นทางเดินรถให้องค์การจัดรถโดยสารเข้าเดินรถตามเส้นทางที่ได้รับจัดสรร ซึ่ง ขสมก. มีรถโดยสารไม่เพียงพอที่จะนํามาวิ่งในเส้นทางและ ขสมก.ได้ดําเนินการจัดหามาแล้ว จํานวน 7 ครั้ง ไม่ประสบผลสําเร็จ จึงได้ดําเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ข้อ 75 กําหนดว่า “หากปรากฏว่ามีผู้ยื่นข้อเสนอเพียงรายเดียวหรือมีผู้ยื่นข้อเสนอหลายรายแต่ถูกต้องตรงตามเงื่อนไขที่กําหนดในหนังสือเชิญชวนเพียงรายเดียว ให้คณะกรรมการดําเนินการตามข้อ 56 โดยอนุโลม"
3. กลุ่มร่วมทํางาน SCN-CHO โดยบริษัท ช ทวี จํากัด(มหาชน) บริษัทหลัก เสนอราคาสูงกว่าราคากลางไม่เกิน 10% ซึ่งตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ข้อ 57 วรรคสอง กําหนดว่า “...ในกรณีที่ปรากฏว่าราคาของผู้ที่ชนะการเสนอราคายังสูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้างให้คณะกรรมการดําเนินการ ดังนี้” และข้อ 57 (1) กําหนดว่า “....หากผู้เสนอราคารายนั้นยอมลดราคา และราคาที่เสนอใหม่ไม่สูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้างหรือสูงกว่าแต่ส่วนที่สูงกว่านั้นไม่เกินร้อยละสิบของวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง หรือต่อรองราคาแล้วไม่ยอมลดราคาลงอีกแต่ส่วนที่สูงกว่านั้นไม่เกินร้อยละสิบของวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง ถ้าเห็นว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาที่เหมาะสม ก็ให้เสนอซื้อหรือจ้างจากผู้ที่เสนอราคารายนั้น”
4. การจัดทําราคากลางองค์การได้สอบถามราคาจากผู้ประกอบการ จํานวน 5 ราย เพื่อนํามากําหนดเป็นราคากลางและเป็นราคาอ้างอิงในการจัดหาครั้งนี้ อยู่ในช่วงราคา 3.549 - 5.000 ล้านบาท แต่เพื่อประโยชน์ขององค์การได้นําราคาของรายต่ําสุดมากําหนดเป็นราคากลางในขณะที่ตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 มาตรา 4 กําหนดความหมาย “ราคากลาง” ว่า “ราคาเพื่อใช้เป็นฐานสําหรับเปรียบเทียบราคาที่ผู้ยื่นข้อเสนอได้ยื่นเสนอไว้ซึ่งสามารถจัดซื้อจัดจ้างได้จริง” จึงทําให้ราคาที่องค์การใช้เป็นราคาต่ํากว่าที่ควร แต่อย่างไรก็ตามราคาที่ต่อรองได้นั้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่สอบถามราคาจากผู้ประกอบการทั้ง 5 ราย ยังอยู่ในเกณฑ์ราคาต่ําของช่วงราคานั้น
5. ในส่วนของเรื่องที่มีบริษัท Guizhou Guihang Yunma Automobile Industry จํากัด ซึ่งแจ้งว่าถือหุ้นโดยรัฐบาลจีนร้อยเปอร์เซ็นต์ยื่นเสนอโครงการจัดซื้อรถโดยสารปรับอากาศ จํานวน 489 คัน และรถโดยสารแบบให้เปล่าอีก 489 คัน รวมถึงการให้บริการซ่อมบํารุงตลอดระยะเวลาในสัญญา แบบรัฐต่อรัฐ (G to G) นั้น ขสมก. มีข้อสงสัยถึงความเป็นไปได้ของข้อเสนอดังกล่าว ซึ่ง รชค. ได้เชิญเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทยเข้าหารือเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2560 โดยเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนได้แจ้งยืนยันว่าบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทของรัฐบาลท้องถิ่น ไม่ได้เป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลจีน ซึ่งอาจไม่เข้าเกณฑ์ของรัฐบาลจีนในการเข้าร่วมโครงการ G to G ซึ่งฝ่ายจีนยินดีให้การสนับสนุนการดําเนินการโครงการแบบ G to G แต่เห็นว่าควรรอผลการดําเนินการจัดหาครั้งที่ 8 ในวันที่ 7 ธันวาคม 2560 เสียก่อน
ทั้งนี้ ขสมก. ได้ดําเนินการตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 อย่างถูกต้องแล้ว โดยได้เชิญผู้สังเกตการณ์จากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วยทุกครั้ง จึงทําให้มั่นใจได้ว่าการดําเนินการจัดหาขององค์การเป็นไปด้วยความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้
------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขสมก.ชี้แจงข้อร้องเรียนการจัดซื้อรถเมล์ NGV ไม่โปร่งใส ยืนยันดำเนินการตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างฯ และระเบียบ กค.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ พ.ศ.2560 อย่างถูกต้อง
วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2560
ขสมก.ชี้แจงข้อร้องเรียนการจัดซื้อรถเมล์ NGV ไม่โปร่งใส ยืนยันดําเนินการตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างฯ และระเบียบ กค.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ พ.ศ.2560 อย่างถูกต้อง
ขสมก.ชี้แจงข้อร้องเรียนการจัดซื้อรถเมล์ NGV ไม่โปร่งใส ยืนยันดําเนินการตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างฯ และระเบียบ กค.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ พ.ศ.2560 อย่างถูกต้อง ทั้งเชิญผู้สังเกตการณ์จากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ เข้าร่วมทุกครั้ง
วันที่ 16 ธันวาคม 2560 นายประยูร ช่วยแก้ว รองผู้อํานวยการฝ่ายการเดินรถองค์การ รักษาการในตําแหน่ง ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ชี้แจงข้อร้องเรียนการจัดซื้อรถเมล์ NGV ไม่โปร่งใส ตามที่นายกรณ์ รูโปบล ประธานเครือข่ายประชาชนเพื่อเฝ้าระวังการคอร์รัปชันในภาครัฐ ยื่นหนังสือถึงนายณัฐชาติ จารุจินดา ประธาน บอร์ด ขสมก. ขอให้ทบทวนโครงการจัดซื้อรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) พร้อมซ่อมบํารุงรักษา จํานวน 489 มีประเด็นดังนี้
1. โครงการจัดซื้อรถเมล์ NGV เริ่มมาตั้งแต่ปี 2558 ผู้ชนะการประมูล คือ บริษัท ช ทวี จํากัด (มหาชน) ในราคา 3,800 ล้านบาท แต่มีการร้องเรียนจนต้องล้มการประมูลและจัดให้มีการประมูลใหม่ได้ผู้ชนะ คือ บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จํากัด ในราคา 3,389 ล้านบาท แต่มีข้อติดขัดจนต้องยกเลิกสัญญา
2. การประมูลครั้งใหม่ บริษัทที่ชนะการประมูลเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.60 คือ บริษัท ช ทวี จํากัด (มหาชน) ที่ร่วมทุนกับบริษัท สแกนอินเตอร์ จํากัด (มหาชน) ในราคา 4,020 ล้านบาท เป็นการคัดเลือกโดยส่งข้อเสนอให้บริษัทเอกชนบางกลุ่มเข้ามาเสนอราคา อีกทั้งให้บริษัท สแกนอินเตอร์ จํากัด (มหาชน) ที่ไม่เคยเข้าร่วมการประกวดราคาของ ขสมก. มาก่อนเข้าร่วมเสนอราคาด้วย ซึ่งอาจเป็นวิธีการที่ไม่โปร่งใส เพราะไม่มีการประมูลแบบเปิด
3. ราคาการจัดซื้อครั้งนี้สูงกว่าราคาประมูลรอบก่อน ๆ หลายร้อยล้านบาท ทั้งที่ควรนําราคาเก่ามาเป็นราคากลางในการจัดซื้อ แต่ทาง ขสมก. เป็นผู้ปรับราคากลางขึ้นมาที่ 4,020 ล้านบาท โดยอ้างว่าไม่มีบริษัทใดเข้าเสนอราคาและมีการขยายเวลาส่งมอบรถที่ไม่สอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้เปิดให้บริการรถเมล์ NGV โดยเร็ว
4. บริษัท ช ทวี ฯ เป็นคู่สัญญาในการเช่าระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ (E-Ticket) พร้อมอุปกรณ์ ที่มีปัญหาในการจัดส่งงาน จนล่าสุดต้องยกเลิกโครงการ ทําให้ ขสมก. สูญเสียงบประมาณเป็นพันล้านบาทเหตุใดจึงยังเปิดโอกาสให้บริษัทดังกล่าวมาดําเนินโครงการที่มีมูลค่าสูงของ ขสมก. อีก
5.ก่อนการประมูลครั้งนี้รัฐวิสาหกิจของประเทศจีนได้เสนอขายรถในราคาที่ดีกว่า เหตุใด ขสมก.จึงไม่พิจารณาข้อเสนอดังกล่าว
ขสมก. ขอชี้แจงข้อเท็จจริง ว่า มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2556 อนุมัติให้ ขสมก. จัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จํานวน 3,183 คันเพื่อนํามาให้บริการทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ํามันดีเซล โดยเร่งรัดให้องค์การจัดหารถโดยสารในระยะแรก จํานวน 489 คัน เพื่อนํามาให้บริการประชาชนทดแทนรถโดยสารเดิมที่ชํารุด เสื่อมสภาพ ขสมก. ได้ดําเนินโครงการจัดหารถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) พร้อมซ่อมแซมและบํารุงรักษารถโดยสาร จํานวน 489 คัน ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ไปแล้ว จํานวน 6 ครั้ง และจัดหาด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) จํานวน 1 ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ 1 ประกาศระหว่างวันที่ 13-21 มกราคม 2558 มีผู้ซื้อเอกสาร 33 ราย มีผู้ยื่นข้อเสนอ จํานวน 3 ราย แต่ไม่ถูกต้องตรงตามเงื่อนไขที่องค์การกําหนดจึงยกเลิกการประกวดราคา
ครั้งที่ 2 ประกาศระหว่างวันที่ 19-27 กุมภาพันธ์ 2558 มีผู้ซื้อเอกสาร 21 ราย มีผู้ยื่นข้อเสนอ จํานวน 3 ราย แต่ไม่ถูกต้องตรงตามเงื่อนไขที่องค์การกําหนดจึงยกเลิกการประกวดราคา
ครั้งที่ 3 ประกาศระหว่างวันที่ 23-26 มีนาคม 2558 มีผู้มาซื้อเอกสาร 13 ราย มีผู้เข้ายื่นข้อเสนอ จํานวน 5 ราย มีคุณสมบัติถูกต้อง 2 ราย โดยกิจการร่วมค้า เจวีซีซี เป็นผู้ชนะการประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ต่อมามีการอุทธรณ์ผลการพิจารณาการเสนอราคาต่อคณะกรรมการ (กวพ.อ.) ซึ่งคณะกรรมการบริหารกิจการองค์การ ในคราวประชุม ครั้งที่ 12/2558 เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2558 พิจารณาแล้ว มีความเห็นว่าเพื่อให้การจัดซื้อรถตามโครงการถูกต้องตามกฎหมายและเพื่อให้การกําหนด TOR เป็นธรรมแก่ผู้เสนอราคาทุกราย จึงมีมติ ให้ยกเลิกการประกวดราคา
ครั้งที่ 4 ประกาศระหว่างวันที่ 23-27 พฤษภาคม 2559 มีผู้มาซื้อเอกสาร 11 ราย มีผู้มายื่นข้อเสนอ จํานวน 3 ราย มีคุณสมบัติถูกต้อง 2 ราย โดยบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จํากัด เป็นผู้ชนะการประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ขสมก. ลงนามสัญญาซื้อขายและจ้างซ่อมแซมบํารุงรักษารถยนต์โดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ NGV จํานวน 489 คัน กับ กลุ่มนิติบุคคลร่วมทํางาน โดย บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จํากัด โดยมีกําหนดส่งมอบรถโดยสารภายใน 90 วัน ซึ่งครบกําหนดในวันที่ 29 ธันวาคม 2559 แต่บริษัทฯได้ปฏิบัติผิดสัญญา ดังนี้
(1) ไม่สามารถส่งมอบรถโดยสารให้ ขสมก. ได้ครบจํานวน 489 คัน
(2) สําแดงภาษีเป็นเท็จในการนําเข้ารถโดยสาร ขสมก. จึงบอกเลิกสัญญาซื้อขายและจ้าง
ซ่อมแซมบํารุงรักษารถโดยสาร ตามสัญญาเลขที่ ร.50/2559 และนําเสนอปลัดกระทรวงการคลังให้พิจารณาเป็นผู้ทิ้งงาน ซึ่งปลัดกระทรวงการคลังได้สั่งให้เป็นผู้ทิ้งงานแล้ว เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 และบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จํากัด ได้ฟ้ององค์การต่อศาลปกครอง ซึ่งองค์การได้ฟ้องแย้งบริษัทฯ แล้ว ขณะนี้เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
ครั้งที่ 5 ประกาศระหว่างวันที่ 25-31 พฤษภาคม 2560 มีผู้มาซื้อเอกสาร 12 ราย ต่อมามีข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 30 พฤษภาคม 2560 คอลัมน์ สกู๊ปหน้าหนึ่ง พาดหัวข่าวสรุปได้ว่า การจัดทําราคากลางครั้งนี้ ขสมก. ไม่ยึดหลักเกณฑ์ของ ป.ป.ช. โดยไม่ใช้ราคาที่เคยทําสัญญาจัดซื้อจัดจ้างกับบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จํากัด ครั้งหลังสุดเมื่อปี 2559 มาเป็นราคากลาง ซึ่งคณะกรรมการบริหารกิจการองค์การในคราวประชุม เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 มีมติให้องค์การฯ นําเรื่องราคากลางเข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการฝ่ายกฎหมายและให้ทําหนังสือหารือไปยัง ป.ป.ช. และหารือกรมบัญชีกลาง แต่เนื่องจากระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2549 ข้อ 9(1) กําหนดให้วันที่รับซองเอกสารประกวดราคาต้องไม่เกิน 30 วัน นับแต่วันสุดท้ายของการแจกจ่าย ขสมก. พิจารณาแล้วจึงได้ยกเลิกการประกวดราคา
ครั้งที่ 6 ประกาศระหว่างวันที่ 7-11 สิงหาคม 2560 มีผู้มาซื้อเอกสาร 3 ราย ไม่มีบริษัทใดมายื่นข้อเสนอ จึงยกเลิกการประกวดราคา
ครั้งที่ 7 ในการจัดหาครั้งนี้ ขสมก. ได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 โดยดําเนินการด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) และประกาศระหว่างวันที่ 4 ตุลาคม 2560 ถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 มีผู้มาซื้อเอกสารในระบบ e-GP จํานวน 8 ราย แต่ไม่มีบริษัทใดมายื่นข้อเสนอและเสนอราคาจึงยกเลิกการประกวดราคาด้วย ขสมก. มีความจําเป็นเร่งด่วนตามนโยบายของรัฐในการจัดหารถโดยสารใหม่ทดแทนรถโดยสารเดิมอย่างรวดเร็วและถูกต้องตามระเบียบของทางราชการ ประกอบกับปัจจุบันกรมการขนส่งทางบกได้จัดสรรเส้นทางเดินรถให้ ขสมก. จัดรถโดยสารเข้าเดินรถตามเส้นทางที่ได้รับจัดสรร ซึ่ง ขสมก. มีรถโดยสารไม่เพียงพอที่จะนํามาวิ่งในเส้นทางดังกล่าว และ ขสมก. ได้ดําเนินการจัดหาโดยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์มาแล้วครั้งหนึ่ง มีผู้มาซื้อเอกสาร จํานวน 8 ราย แต่เมื่อถึงเวลาเสนอราคาทางระบบสารสนเทศของกรมบัญชีกลาง กลับไม่มีผู้ใดมายื่นข้อเสนอและเสนอราคาซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดหมายได้ว่าจะไม่มีผู้เข้ายื่นข้อเสนอและเสนอราคา ประกอบกับ ขสมก.ได้ดําเนินการจัดหามาแล้วประมาณ 7 ครั้ง มีผู้เข้ายื่นข้อเสนอที่มีคุณสมบัติถูกต้องเข้ามาเสนอราคาไม่เกิน 2 ราย จึงทําให้เห็นได้ว่ามีผู้ประกอบการเฉพาะกลุ่มน้อยราย หากใช้วิธีประกาศเชิญชวนทั่วไปจะทําให้ไม่ทันต่อความต้องการใช้รถโดยสาร อีกทั้ง TOR ของรถโดยสารดังกล่าวเป็นการกําหนดตามความต้องการของ ขสมก. ไม่มีจําหน่ายในท้องตลาด ต้องผลิตหรือประกอบโดยผู้ประกอบการที่มีฝีมือโดยเฉพาะ จากเหตุผลดังกล่าว หาก ขสมก. ไม่ได้รถโดยสารมาใช้งานโดยเร็วจะส่งผลกระทบกับการให้บริการประชาชนจึงดําเนินการจัดหาโดยวิธีคัดเลือก ตามมาตรา 56 วรรคหนึ่ง (1) โดยใช้เหตุผล (ค) ประกอบ (ข) แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560
1. ขสมก.ได้ดําเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ข้อ 74 โดยดําเนินการดังต่อไปนี้
1.1 พิจารณาคัดเลือกผู้ประกอบการที่จะทําหนังสือเชิญชวน โดย ขสมก. พิจารณาเห็นว่า เนื่องจากการดําเนินการจัดหาที่ผ่านมา 7 ครั้ง มีผู้ที่สนใจและเคยมาซื้อเอกสารประกวดราคาแต่มีการเข้าเสนอราคาไม่เกิน 2 ราย จึงพิจารณาคัดเลือกจากผู้ประกอบการที่สนใจจริง ๆ ครั้งล่าสุดที่มาซื้อเอกสารประกวดราคาด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) จํานวน 8 ราย และได้ลงทะเบียนในระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) แล้ว แต่มีคุณสมบัติเบื้องต้นตรงตามเงื่อนไข จํานวน 7 ราย ได้แก่
(1) บริษัท ไทยเทคโนโลยี แอนด์ เดเวลลอปเม้นท์ จํากัด
(2) บริษัท ซุปเปอร์เซ็นทรัลแก๊ส จํากัด
(3) บริษัท สยาม สแตนดาร์ด เอ็นเนอจี จํากัด
(4) บริษัท ล็อกซเล่ย์ จํากัด(มหาชน)
(5) บริษัท ช ทวี จํากัด(มหาชน)
(6) บริษัท อัพเดท ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด
(7) บริษัท วินโคสท์ ออโตโมทีฟ จํากัด
ส่วนกลุ่มนิติบุคคลร่วมทํางาน โดยบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จํากัด มีคุณสมบัติไม่ถูกต้อง เนื่องจากปลัดกระทรวงการคลังได้มีคําสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1653/2560 ลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 สั่งให้เป็นผู้ทิ้งงาน และได้แจ้งเวียนชื่อให้เป็นผู้ทิ้งงานแล้วจึงมีคุณสมบัติไม่ถูกต้องตามที่องค์การกําหนดต่อมามีผู้ประกอบการ จํานวน 6 ราย มีหนังสือถึง ขสมก.ขอเข้าร่วมยื่นข้อเสนอซึ่ง ขสมก.ได้ทําการตรวจสอบในเบื้องต้นแล้วมีคุณสมบัติเบื้องต้นตรงตามเงื่อนไขที่กําหนด จํานวน 4 ราย ดังนั้น เมื่อผู้ประกอบการทั้ง 4 รายดังกล่าวมีคุณสมบัติเบื้องต้นถูกต้องจึงเป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลังฯข้อ 74(1) เพื่อให้มีผู้เข้ายื่นข้อเสนอมากรายและเป็นไปตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 มาตรา 8 (2) เรื่องโปร่งใสที่ให้มีการปฏิบัติต่อผู้ประกอบการที่สนใจทุกรายโดยเท่าเทียมกันจึงได้จัดทําหนังสือเชิญชวนเพิ่มเติม ได้แก่
(1) บริษัท ยูพีพี พาวเวอร์ จํากัด
(2) บริษัท แสงเจริญ ทูลส์ เซ็นเตอร์ จํากัด
(3) บริษัท สแกน อินเตอร์ จํากัด (มหาชน)
(4) บริษัท เอ็นจีวี เอ ทรานสปอร์ต เซอร์วิส จํากัด
1.2 กําหนดยื่นข้อเสนอโดยวิธีคัดเลือก วันที่ 7 ธันวาคม 2560 เวลา 08.30-16.30 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 5 สํานักงานใหญ่ มีผู้ยื่นข้อเสนอ จํานวน 1 ราย คือ กลุ่มร่วมทํางาน SCN-CHO โดยบริษัท ช ทวี จํากัด (มหาชน) และบริษัท สแกน อินเตอร์ จํากัด (มหาชน) ซึ่งบริษัททั้ง 2 ราย เป็นผู้ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อผู้ประกอบการที่คณะกรรมการมีหนังสือเชิญชวน
2. เนื่องจากมีผู้เสนอราคาเพียงรายเดียวและ ขสมก.มีความจําเป็นเร่งด่วนตามนโยบายของรัฐให้เร่งจัดหารถโดยสารใหม่ทดแทนของเดิมอย่างรวดเร็ว ประกอบกับกรมการขนส่งทางบกได้จัดสรรเส้นทางเดินรถให้องค์การจัดรถโดยสารเข้าเดินรถตามเส้นทางที่ได้รับจัดสรร ซึ่ง ขสมก. มีรถโดยสารไม่เพียงพอที่จะนํามาวิ่งในเส้นทางและ ขสมก.ได้ดําเนินการจัดหามาแล้ว จํานวน 7 ครั้ง ไม่ประสบผลสําเร็จ จึงได้ดําเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ข้อ 75 กําหนดว่า “หากปรากฏว่ามีผู้ยื่นข้อเสนอเพียงรายเดียวหรือมีผู้ยื่นข้อเสนอหลายรายแต่ถูกต้องตรงตามเงื่อนไขที่กําหนดในหนังสือเชิญชวนเพียงรายเดียว ให้คณะกรรมการดําเนินการตามข้อ 56 โดยอนุโลม"
3. กลุ่มร่วมทํางาน SCN-CHO โดยบริษัท ช ทวี จํากัด(มหาชน) บริษัทหลัก เสนอราคาสูงกว่าราคากลางไม่เกิน 10% ซึ่งตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ข้อ 57 วรรคสอง กําหนดว่า “...ในกรณีที่ปรากฏว่าราคาของผู้ที่ชนะการเสนอราคายังสูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้างให้คณะกรรมการดําเนินการ ดังนี้” และข้อ 57 (1) กําหนดว่า “....หากผู้เสนอราคารายนั้นยอมลดราคา และราคาที่เสนอใหม่ไม่สูงกว่าวงเงินที่จะซื้อหรือจ้างหรือสูงกว่าแต่ส่วนที่สูงกว่านั้นไม่เกินร้อยละสิบของวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง หรือต่อรองราคาแล้วไม่ยอมลดราคาลงอีกแต่ส่วนที่สูงกว่านั้นไม่เกินร้อยละสิบของวงเงินที่จะซื้อหรือจ้าง ถ้าเห็นว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาที่เหมาะสม ก็ให้เสนอซื้อหรือจ้างจากผู้ที่เสนอราคารายนั้น”
4. การจัดทําราคากลางองค์การได้สอบถามราคาจากผู้ประกอบการ จํานวน 5 ราย เพื่อนํามากําหนดเป็นราคากลางและเป็นราคาอ้างอิงในการจัดหาครั้งนี้ อยู่ในช่วงราคา 3.549 - 5.000 ล้านบาท แต่เพื่อประโยชน์ขององค์การได้นําราคาของรายต่ําสุดมากําหนดเป็นราคากลางในขณะที่ตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 มาตรา 4 กําหนดความหมาย “ราคากลาง” ว่า “ราคาเพื่อใช้เป็นฐานสําหรับเปรียบเทียบราคาที่ผู้ยื่นข้อเสนอได้ยื่นเสนอไว้ซึ่งสามารถจัดซื้อจัดจ้างได้จริง” จึงทําให้ราคาที่องค์การใช้เป็นราคาต่ํากว่าที่ควร แต่อย่างไรก็ตามราคาที่ต่อรองได้นั้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่สอบถามราคาจากผู้ประกอบการทั้ง 5 ราย ยังอยู่ในเกณฑ์ราคาต่ําของช่วงราคานั้น
5. ในส่วนของเรื่องที่มีบริษัท Guizhou Guihang Yunma Automobile Industry จํากัด ซึ่งแจ้งว่าถือหุ้นโดยรัฐบาลจีนร้อยเปอร์เซ็นต์ยื่นเสนอโครงการจัดซื้อรถโดยสารปรับอากาศ จํานวน 489 คัน และรถโดยสารแบบให้เปล่าอีก 489 คัน รวมถึงการให้บริการซ่อมบํารุงตลอดระยะเวลาในสัญญา แบบรัฐต่อรัฐ (G to G) นั้น ขสมก. มีข้อสงสัยถึงความเป็นไปได้ของข้อเสนอดังกล่าว ซึ่ง รชค. ได้เชิญเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทยเข้าหารือเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2560 โดยเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนได้แจ้งยืนยันว่าบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทของรัฐบาลท้องถิ่น ไม่ได้เป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลจีน ซึ่งอาจไม่เข้าเกณฑ์ของรัฐบาลจีนในการเข้าร่วมโครงการ G to G ซึ่งฝ่ายจีนยินดีให้การสนับสนุนการดําเนินการโครงการแบบ G to G แต่เห็นว่าควรรอผลการดําเนินการจัดหาครั้งที่ 8 ในวันที่ 7 ธันวาคม 2560 เสียก่อน
ทั้งนี้ ขสมก. ได้ดําเนินการตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 อย่างถูกต้องแล้ว โดยได้เชิญผู้สังเกตการณ์จากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วยทุกครั้ง จึงทําให้มั่นใจได้ว่าการดําเนินการจัดหาขององค์การเป็นไปด้วยความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้
------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8818
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเปิดช่องทางรับแจ้งเหตุค้ามนุษย์ของคนไทยทั่วโลกผ่านระบบโทรศัพท์
|
วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560
รัฐบาลเปิดช่องทางรับแจ้งเหตุค้ามนุษย์ของคนไทยทั่วโลกผ่านระบบโทรศัพท์
เพื่อบูรณาการความช่วยเหลือคนไทยในต่างแดนที่ตกเป็นเหยื่อของกระบวนการค้ามนุษย์อย่างรวดเร็วฉับไว ได้ทั่วโลก
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเปิดสายด่วนรับแจ้งเหตุหรือเบาะแสการค้ามนุษย์ เพื่อช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศที่ประสบปัญหาถูกล่อลวงหรือจ้างงานผิดกฎหมายได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที โดยผู้แจ้งเหตุทั่วโลกสามารถโทรศัพท์หรือส่งข้อความสั้นผ่านทางโทรศัพท์หมายเลข +66 99 130 1300 โดยระบบจะมีเสียงตอบรับอัตโนมัติและบันทึกหมายเลขต้นทางที่แจ้งเหตุไว้ จากนั้นข้อมูลจะถูกส่งไปยังศูนย์ช่วยเหลือสังคม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และเจ้าหน้าที่จะติดต่อกลับไปยังหมายเลขที่ต้นทาง พร้อมทั้งประสานการให้ความช่วยเหลือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ การปราบปรามการค้ามนุษย์เป็นหนึ่งในนโยบายสําคัญของรัฐบาลที่ต้องการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและความเท่าเทียมกันของคนในสังคม
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเปิดช่องทางรับแจ้งเหตุค้ามนุษย์ของคนไทยทั่วโลกผ่านระบบโทรศัพท์
วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560
รัฐบาลเปิดช่องทางรับแจ้งเหตุค้ามนุษย์ของคนไทยทั่วโลกผ่านระบบโทรศัพท์
เพื่อบูรณาการความช่วยเหลือคนไทยในต่างแดนที่ตกเป็นเหยื่อของกระบวนการค้ามนุษย์อย่างรวดเร็วฉับไว ได้ทั่วโลก
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเปิดสายด่วนรับแจ้งเหตุหรือเบาะแสการค้ามนุษย์ เพื่อช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศที่ประสบปัญหาถูกล่อลวงหรือจ้างงานผิดกฎหมายได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที โดยผู้แจ้งเหตุทั่วโลกสามารถโทรศัพท์หรือส่งข้อความสั้นผ่านทางโทรศัพท์หมายเลข +66 99 130 1300 โดยระบบจะมีเสียงตอบรับอัตโนมัติและบันทึกหมายเลขต้นทางที่แจ้งเหตุไว้ จากนั้นข้อมูลจะถูกส่งไปยังศูนย์ช่วยเหลือสังคม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และเจ้าหน้าที่จะติดต่อกลับไปยังหมายเลขที่ต้นทาง พร้อมทั้งประสานการให้ความช่วยเหลือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ การปราบปรามการค้ามนุษย์เป็นหนึ่งในนโยบายสําคัญของรัฐบาลที่ต้องการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและความเท่าเทียมกันของคนในสังคม
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8156
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติ 264 เสียง รับหลักการร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ....
|
วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน 2563
ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติ 264 เสียง รับหลักการร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ....
ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติ 264 เสียง รับหลักการร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ....
วันนี้ (4 มิ.ย.63) เวลา18.55 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 2 (สมัยสามัญประจําปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... โดยที่ประชุมสภาฯ ได้ลงมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... ผลการลงมติ ผู้เข้าประชุม 454 เสียง รับหลักการร่างพระราชบัญญัติฯ (เห็นด้วย) 264 เสียง ไม่เห็นด้วย 4 เสียง งดออกเสียง 185 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง
----------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติ 264 เสียง รับหลักการร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ....
วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน 2563
ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติ 264 เสียง รับหลักการร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ....
ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติ 264 เสียง รับหลักการร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ....
วันนี้ (4 มิ.ย.63) เวลา18.55 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 2 (สมัยสามัญประจําปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... โดยที่ประชุมสภาฯ ได้ลงมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... ผลการลงมติ ผู้เข้าประชุม 454 เสียง รับหลักการร่างพระราชบัญญัติฯ (เห็นด้วย) 264 เสียง ไม่เห็นด้วย 4 เสียง งดออกเสียง 185 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง
----------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31947
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. มอบมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สำหรับบุคลากร และประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
|
วันอังคารที่ 17 มีนาคม 2563
รมว.พม. มอบมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สําหรับบุคลากร และประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
รมว.พม. มอบมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สําหรับบุคลากร และประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่
วันนี้ (17 มี.ค. 63) เวลา 14.15 น. ที่โรงแรมปริ้นพาเลซ กรุงเทพฯนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)มอนโยบายการขับเคลื่อนมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สําหรับบุคลากร และประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ แก่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) และสํานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ (สสว.) ในการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างสมรรถนะการบริหารจัดการในการตอบสนองและให้ความช่วยเหลือประชาชน
นายจุติกล่าวว่า ตามที่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 โดยกําหนดให้มีการปิดพื้นที่บางส่วนของกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นการชั่วคราวจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เป็นจํานวน 14 วัน โดยเริ่ม 18-31 มี.ค.63 เพื่อลดโอกาสการแพร่ระบาดของโรคในสถานที่ต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงสูง อาทิ สนามมวย สนามกีฬา สนามม้า ผับ สถานบันเทิง สถานบริการ นวดแผนโบราณ โรงเรียน มหาวิทยาลัย เป้นต้น และห้ามข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจเดินทางไปต่างประเทศ ยกเว้นมีเหตุจําเป็น และเตือนประชาชนให้งดการเดินทางไปในประเทศ ซึ่งเป็นพื้นที่เขตโรคติดต่ออันตราย และพื้นที่ระบาด ซึ่งตนได้มอบมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สําหรับบุคลากรสังกัดกระทรวง พม. และประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ โดยให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน จัดทีมออกเป็น 3 ทีม ผลัดกันออกปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ โดยให้ พมจ. เป็นผู้จัดทีมงาน โดยขอความร่วมมือจากหน่วยงานในสังกัด พม. ในพื้นที่มาร่วมปฏิบัติงาน และให้มีการคัดกรองผู้มารับบริการของหน่วยงานทุกครั้ง สําหรับด้านผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ทางกระทรวง พม. โดยสํานักงานธนานุเคราะห์ มีการขยายเวลาการจํานําออกไป 3 เดือน และไม่คิดดอกเบี้ย รวมทั้งได้หาแนวทางกับการเคหะแห่งชาติ ในการจัดหาที่พักสําหรับกักกันผู้ที่มีความเสี่ยง เพื่อช่วยลดภาระของโรงพยาบาลของรัฐ และที่สําคัญให้ทุกหน่วยงานมีการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อ ทําความสะอาดสถานที่ทํางานเป็นประจํา เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ
นายจุติกล่าวต่อว่า สําหรับการทําหน้ากากผ้าของกระทรวง พม. ตนได้ให้ทุกหน่วยงานรายงานจํานวนการผลิตหน้ากากผ้าอย่างต่อเนื่อง โดยเชิญชวนจิตอาสามาช่วยกันเย็บหน้ากากผ้า เพื่อส่งต่อให้กับคนที่ห่วงใยไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ญาติพี่น้อง หรือคนในชุมชนของท่าน ซึ่งหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ทุกจังหวัด พร้อมเปิดให้พี่น้องประชาชนทุกคนมาร่วมกิจกรรม และร่วมมือกันฝ่าวิกฤตินี้ไปให้ได้ นอกจากนี้ มติ ครม. ประกาศให้งดวันหยุด 13-15 เม.ย. 63 ช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยไม่เป็นวันหยุดราชการ และไม่เป็นวันหยุดงานของเอกชน โดยรัฐจะชดเชยให้ในโอกาสอื่นต่อไปภายในปีนี้เมื่อสถานการณ์บรรเทาลง ส่วนจะเป็นช่วงเวลาใด จะมีการประกาศให้ทราบล่วงหน้า เนื่องจากเทศกาลสงกรานต์ที่มีประชาชนเคลื่อนย้ายกันเป็นจํานวนมาก เป็นโอกาสเพิ่มความเสี่ยงในการติดโรค กระทรวงสาธารณสุขเกรงว่าจะมีคนติดโรคเป็นพาหะแบบไม่รู้ตัวไปแพร่เชื้อให้กับครอบครัว หรือติดเชื้อจากต่างจังหวัดกลับมา กทม. ซึ่งกระทรวง พม. มีความเป็นห่วงสถาบันครอบครัว จึงขอความร่วมมือบุคลากรในหน่วยงาน ไม่ให้เดินทางกลับภูมิลําเนาในช่วงนี้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไปสู่คนอื่นในครอบครัว และเพื่อไม่ให้มีการแพร่ระบาดขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. มอบมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สำหรับบุคลากร และประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
วันอังคารที่ 17 มีนาคม 2563
รมว.พม. มอบมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สําหรับบุคลากร และประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
รมว.พม. มอบมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สําหรับบุคลากร และประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่
วันนี้ (17 มี.ค. 63) เวลา 14.15 น. ที่โรงแรมปริ้นพาเลซ กรุงเทพฯนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)มอนโยบายการขับเคลื่อนมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สําหรับบุคลากร และประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ แก่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) และสํานักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ (สสว.) ในการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างสมรรถนะการบริหารจัดการในการตอบสนองและให้ความช่วยเหลือประชาชน
นายจุติกล่าวว่า ตามที่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 โดยกําหนดให้มีการปิดพื้นที่บางส่วนของกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นการชั่วคราวจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เป็นจํานวน 14 วัน โดยเริ่ม 18-31 มี.ค.63 เพื่อลดโอกาสการแพร่ระบาดของโรคในสถานที่ต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงสูง อาทิ สนามมวย สนามกีฬา สนามม้า ผับ สถานบันเทิง สถานบริการ นวดแผนโบราณ โรงเรียน มหาวิทยาลัย เป้นต้น และห้ามข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจเดินทางไปต่างประเทศ ยกเว้นมีเหตุจําเป็น และเตือนประชาชนให้งดการเดินทางไปในประเทศ ซึ่งเป็นพื้นที่เขตโรคติดต่ออันตราย และพื้นที่ระบาด ซึ่งตนได้มอบมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สําหรับบุคลากรสังกัดกระทรวง พม. และประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ โดยให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน จัดทีมออกเป็น 3 ทีม ผลัดกันออกปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ โดยให้ พมจ. เป็นผู้จัดทีมงาน โดยขอความร่วมมือจากหน่วยงานในสังกัด พม. ในพื้นที่มาร่วมปฏิบัติงาน และให้มีการคัดกรองผู้มารับบริการของหน่วยงานทุกครั้ง สําหรับด้านผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ทางกระทรวง พม. โดยสํานักงานธนานุเคราะห์ มีการขยายเวลาการจํานําออกไป 3 เดือน และไม่คิดดอกเบี้ย รวมทั้งได้หาแนวทางกับการเคหะแห่งชาติ ในการจัดหาที่พักสําหรับกักกันผู้ที่มีความเสี่ยง เพื่อช่วยลดภาระของโรงพยาบาลของรัฐ และที่สําคัญให้ทุกหน่วยงานมีการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อ ทําความสะอาดสถานที่ทํางานเป็นประจํา เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ
นายจุติกล่าวต่อว่า สําหรับการทําหน้ากากผ้าของกระทรวง พม. ตนได้ให้ทุกหน่วยงานรายงานจํานวนการผลิตหน้ากากผ้าอย่างต่อเนื่อง โดยเชิญชวนจิตอาสามาช่วยกันเย็บหน้ากากผ้า เพื่อส่งต่อให้กับคนที่ห่วงใยไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ญาติพี่น้อง หรือคนในชุมชนของท่าน ซึ่งหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ทุกจังหวัด พร้อมเปิดให้พี่น้องประชาชนทุกคนมาร่วมกิจกรรม และร่วมมือกันฝ่าวิกฤตินี้ไปให้ได้ นอกจากนี้ มติ ครม. ประกาศให้งดวันหยุด 13-15 เม.ย. 63 ช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยไม่เป็นวันหยุดราชการ และไม่เป็นวันหยุดงานของเอกชน โดยรัฐจะชดเชยให้ในโอกาสอื่นต่อไปภายในปีนี้เมื่อสถานการณ์บรรเทาลง ส่วนจะเป็นช่วงเวลาใด จะมีการประกาศให้ทราบล่วงหน้า เนื่องจากเทศกาลสงกรานต์ที่มีประชาชนเคลื่อนย้ายกันเป็นจํานวนมาก เป็นโอกาสเพิ่มความเสี่ยงในการติดโรค กระทรวงสาธารณสุขเกรงว่าจะมีคนติดโรคเป็นพาหะแบบไม่รู้ตัวไปแพร่เชื้อให้กับครอบครัว หรือติดเชื้อจากต่างจังหวัดกลับมา กทม. ซึ่งกระทรวง พม. มีความเป็นห่วงสถาบันครอบครัว จึงขอความร่วมมือบุคลากรในหน่วยงาน ไม่ให้เดินทางกลับภูมิลําเนาในช่วงนี้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไปสู่คนอื่นในครอบครัว และเพื่อไม่ให้มีการแพร่ระบาดขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27414
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี มอบคำขวัญวันครู “ชาติพัฒนา ด้วยครูดีมีคุณภาพ ศิษย์ซาบซึ้งในพระคุณครู” ย้ำ ครูดีประเทศชาติจะมั่งคง และยั่งยืน
|
วันอังคารที่ 10 มกราคม 2560
นายกรัฐมนตรี มอบคําขวัญวันครู “ชาติพัฒนา ด้วยครูดีมีคุณภาพ ศิษย์ซาบซึ้งในพระคุณครู” ย้ํา ครูดีประเทศชาติจะมั่งคง และยั่งยืน
นายกรัฐมนตรี มอบคําขวัญวันครู “ชาติพัฒนา ด้วยครูดีมีคุณภาพ ศิษย์ซาบซึ้งในพระคุณครู” ย้ํา ครูดีประเทศชาติจะมั่งคง และยั่งยืน
วันนี้ (10 มกราคม 2560) เวลา 09.00 น. ณ บริเวณด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ ดลประสิทธิ์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา ปฎิบัติหน้าที่ในตําแหน่งเลขาธิการคุรุสภา นําคณะนักเรียน นักศึกษา พร้อมศิลปินดาราเข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานวันครูโดยคุรุสภา ครั้งที่ 33 ในวันที่ 16 มกราคมของทุกปี พร้อมมอบดอกกล้วยไม้ ซึ่งเป็นดอกไม้ประจําวันครู เพื่อ รณรงค์ร่วมกันรักษาประเพณีไทย และวัฒนธรรมไทยที่ดีงาม ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานต่อไปในอนาคต
สําหรับงานวันครูในวันที่ 16 มกราคม ประจําปี พ.ศ. 2560 คุรุสภาจะดําเนินการจัดกิจกรรมโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช "พระผู้ทรงเป็นบูรพาจารย์แห่งแผ่นดิน" พร้อมกับระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ อีกทั้ง รณรงค์ให้ประชาชนทุกคนส่งเสริมยกย่องเชิดชูเกียรติครูและพัฒนาวิชาชีพครู อย่างเป็นสามัคคีธรรมด้วยการให้ความร่วมมือและสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษากับประชาชนในการพัฒนาศึกษาของชาติและสังคม ที่สําคัญคือ ร่วมมือกันปกป้องรักษาไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีไทย และวัฒนธรรมไทยอันดีงามของชาติเช่นนี้ต่อไป
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวคําขวัญวันครูว่า “ชาติพัฒนา ด้วยครูดีมีคุณภาพ ศิษย์ซาบซึ้งในพระคุณครู”ครูต้องเป็นบุคลากรที่ดีมีคุณภาพ สั่งสอนให้นักเรียนเป็นคนดีมีคุณภาพ นําความรู้ไปพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคง ทั้งนี้ นักเรียนจะต้องตั้งเป้าหมายด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ซึ่งรัฐบาลจะช่วยเป็นผู้นําร่องให้นักเรียนสามารถก้าวผ่านปัญหาไปให้ได้ เปรียบเสมือนดั่ง “สะพาน” ที่จะช่วยให้นักเรียนก้าวไปสู่เป้าหมายในอนาคต
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกับนักเรียนสาธิตละอออุทิศว่า โลกนี้มีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนอยู่ทั่วไป ครูจะคอยเป็นผู้ปกครอง และผู้อบรมสั่งสอน เป็นตัวอย่างของคนดี ไม่โกงกินคอรัปชัน อย่างไรก็ตาม นักเรียนจะต้องให้ความเคารพครู ที่สําคัญนักเรียนต้องเคารพพ่อ แม่ และผู้ปกครองที่อยู่ที่บ้านด้วย ควรนึกถึงความเหนื่อยยากในการทํางานหาสิ่งที่ดีให้กับบุตร ไม่ใช้ของฟุ่มเฟือย ไม่นําเทคโนโลยีไปใช้ในทางที่ผิด ไม่อยู่กับเทคโนโลยีแต่เพียงอย่างเดียว อีกทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกับนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิตว่า นักศึกษาควรตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่าต้องการประกอบอาชีพอะไร โดยให้คํานึงถึงอาชีพที่ประเทศไทยต้องการในอีก 5 ปีข้างหน้า เน้นหาประสบการณ์จริงมากกว่าการเรียนหนังสือ นักศึกษาที่มีความสามารถควรหาอาชีพเสริมเพื่อเป็นรายได้และประสบการณ์ให้กับตัวเอง ส่วนนักศึกษา ปวส. เมื่อสําเร็จการศึกษาแล้ว ควรจะทํางานเพื่อหาประสบการณ์ก่อน แล้วจึงค่อยกลับเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี
ตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ํากับนักศึกษาชายว่า จะต้องปกป้องและปฏิบัติต่อนักศึกษาหญิง ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษด้วย พร้อมรับมอบดอกกล้วยไม้ และร่วมกันถ่ายภาพหมู่เพื่อเป็นการร่วมรณรงค์ประชาสัมพันธ์กิจกรรมรําลึกถึงพระคุณครูต่อไป
---------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี มอบคำขวัญวันครู “ชาติพัฒนา ด้วยครูดีมีคุณภาพ ศิษย์ซาบซึ้งในพระคุณครู” ย้ำ ครูดีประเทศชาติจะมั่งคง และยั่งยืน
วันอังคารที่ 10 มกราคม 2560
นายกรัฐมนตรี มอบคําขวัญวันครู “ชาติพัฒนา ด้วยครูดีมีคุณภาพ ศิษย์ซาบซึ้งในพระคุณครู” ย้ํา ครูดีประเทศชาติจะมั่งคง และยั่งยืน
นายกรัฐมนตรี มอบคําขวัญวันครู “ชาติพัฒนา ด้วยครูดีมีคุณภาพ ศิษย์ซาบซึ้งในพระคุณครู” ย้ํา ครูดีประเทศชาติจะมั่งคง และยั่งยืน
วันนี้ (10 มกราคม 2560) เวลา 09.00 น. ณ บริเวณด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ ดลประสิทธิ์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา ปฎิบัติหน้าที่ในตําแหน่งเลขาธิการคุรุสภา นําคณะนักเรียน นักศึกษา พร้อมศิลปินดาราเข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานวันครูโดยคุรุสภา ครั้งที่ 33 ในวันที่ 16 มกราคมของทุกปี พร้อมมอบดอกกล้วยไม้ ซึ่งเป็นดอกไม้ประจําวันครู เพื่อ รณรงค์ร่วมกันรักษาประเพณีไทย และวัฒนธรรมไทยที่ดีงาม ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานต่อไปในอนาคต
สําหรับงานวันครูในวันที่ 16 มกราคม ประจําปี พ.ศ. 2560 คุรุสภาจะดําเนินการจัดกิจกรรมโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช "พระผู้ทรงเป็นบูรพาจารย์แห่งแผ่นดิน" พร้อมกับระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ อีกทั้ง รณรงค์ให้ประชาชนทุกคนส่งเสริมยกย่องเชิดชูเกียรติครูและพัฒนาวิชาชีพครู อย่างเป็นสามัคคีธรรมด้วยการให้ความร่วมมือและสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษากับประชาชนในการพัฒนาศึกษาของชาติและสังคม ที่สําคัญคือ ร่วมมือกันปกป้องรักษาไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีไทย และวัฒนธรรมไทยอันดีงามของชาติเช่นนี้ต่อไป
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวคําขวัญวันครูว่า “ชาติพัฒนา ด้วยครูดีมีคุณภาพ ศิษย์ซาบซึ้งในพระคุณครู”ครูต้องเป็นบุคลากรที่ดีมีคุณภาพ สั่งสอนให้นักเรียนเป็นคนดีมีคุณภาพ นําความรู้ไปพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคง ทั้งนี้ นักเรียนจะต้องตั้งเป้าหมายด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ซึ่งรัฐบาลจะช่วยเป็นผู้นําร่องให้นักเรียนสามารถก้าวผ่านปัญหาไปให้ได้ เปรียบเสมือนดั่ง “สะพาน” ที่จะช่วยให้นักเรียนก้าวไปสู่เป้าหมายในอนาคต
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกับนักเรียนสาธิตละอออุทิศว่า โลกนี้มีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนอยู่ทั่วไป ครูจะคอยเป็นผู้ปกครอง และผู้อบรมสั่งสอน เป็นตัวอย่างของคนดี ไม่โกงกินคอรัปชัน อย่างไรก็ตาม นักเรียนจะต้องให้ความเคารพครู ที่สําคัญนักเรียนต้องเคารพพ่อ แม่ และผู้ปกครองที่อยู่ที่บ้านด้วย ควรนึกถึงความเหนื่อยยากในการทํางานหาสิ่งที่ดีให้กับบุตร ไม่ใช้ของฟุ่มเฟือย ไม่นําเทคโนโลยีไปใช้ในทางที่ผิด ไม่อยู่กับเทคโนโลยีแต่เพียงอย่างเดียว อีกทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกับนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิตว่า นักศึกษาควรตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่าต้องการประกอบอาชีพอะไร โดยให้คํานึงถึงอาชีพที่ประเทศไทยต้องการในอีก 5 ปีข้างหน้า เน้นหาประสบการณ์จริงมากกว่าการเรียนหนังสือ นักศึกษาที่มีความสามารถควรหาอาชีพเสริมเพื่อเป็นรายได้และประสบการณ์ให้กับตัวเอง ส่วนนักศึกษา ปวส. เมื่อสําเร็จการศึกษาแล้ว ควรจะทํางานเพื่อหาประสบการณ์ก่อน แล้วจึงค่อยกลับเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี
ตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ํากับนักศึกษาชายว่า จะต้องปกป้องและปฏิบัติต่อนักศึกษาหญิง ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษด้วย พร้อมรับมอบดอกกล้วยไม้ และร่วมกันถ่ายภาพหมู่เพื่อเป็นการร่วมรณรงค์ประชาสัมพันธ์กิจกรรมรําลึกถึงพระคุณครูต่อไป
---------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1287
|
รัฐบาลไทย-รมช.มนัญญา มอบพันธุ์มะพร้าว หนุนเกษตรกรปลูกมะพร้าว ให้เพียงพอความต้องการของตลาด
|
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563
รมช.มนัญญา มอบพันธุ์มะพร้าว หนุนเกษตรกรปลูกมะพร้าว ให้เพียงพอความต้องการของตลาด
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบพันธุ์มะพร้าว หนุนเกษตรกรปลูกมะพร้าว ให้เพียงพอความต้องการของตลาด
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย คณะที่ปรึกษา และนางสาวอิงอร ปัญญากิจ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร รวมทั้งข้าราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตรวจเยี่ยมการดําเนินงาน ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชสุราษฎร์ธานี และศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชสุราษฎร์ธานี เขตที่7 ตําบลคันธุลี อําเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ เปิดเผยภายหลังการรับฟังผลการดําเนินงาน ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร และการทําเกษตรแปลงใหญ่ โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชสุราษฎร์ธานี เขตที่7 ได้วิจัยและพัฒนาด้านการเกษตร ภายใต้โครงการวิจัยและพัฒนาระบบการผลิตมะพร้าวเกาะพงันอินทรีย์ โดยมีการป้องกันกําจัดหนอนหัวดํามะพร้าวโดยใช้แตนเบียน และสนับสนุนการผลิตสินค้าคุณภาพโดยมีการตรวจรับรอง GAP, GMP ,ORGANIC เพื่อรองรับความต้องการของตลาด ลดการนําเข้าจากต่างประเทศ และส่งออกสินค้าคุณภาพ ปัจจุบันผลผลิตมะพร้าวของไทยสวนทางกับความต้องการคือ ปริมาณผลผลิตภายในประเทศผลิตได้น้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการ ในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งความต้องการในการบริโภคทั้งตลาดต่างประเทศ และภายในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากปริมาณ และมูลค่าการส่งออกในปี 2560 ปริมาณ 1,057,107 ตัน มูลค่า 16,155 ล้านบาท ในขณะที่ ปี 2562 มีปริมาณเพิ่มขึ้นถึง 1,167,176 ตัน มูลค่า 16,477 ล้านบาท ดังนั้นจึงต้องสนับสนุนการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการ ลดการนําเข้า และขยายตลาดส่งออกโดยเน้นสินค้าที่มีคุณภาพเพื่อความมั่นคงยั่งยืนของเกษตรกรไทยต่อไป
จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบต้นกล้ามะพร้าวให้แก่เกษตรกร และเยี่ยมชมนิทรรศการการทําเกษตรอินทรีย์ลดการใช้สารเคมีด้วยชีวภัณฑ์ พร้อมทั้งเยี่ยมชมการสาธิตการเก็บมะพร้าวโดยใช้อุปกรณ์สําหรับปีนเก็บมะพร้าวพันธุ์สูงชุมพร
"มะพร้าวมีหลากหลายพันธุ์ซึ่งการนําไปใช้หรือแปรรูปก็มีความแตกต่างกัน ซึ่งกรมวิชาการเกษตรได้มีการพัฒนาปรับปรุงลักษณะเด่นต่างๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการค้า ในตอนนี้เมื่อมีกระแสของการไม่เข้าใจมองว่าการใช้ลิงเก็บมะพร้าวเป็นการใช้แรงงานที่ทรมานสัตว์ ตรงนี้ต้องอธิบายว่า เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตชาวบ้าน เป็นส่วนเล็กน้อยเท่านั้นเสมือนกับการเลี้ยงสัตว์อื่นๆ ที่คนเลี้ยงก็รักและเอ็นดูเหมือนสมาชิกในครอบครัว สําหรับด้านอุตสาหกรรมนั้น มีระบบการเก็บและแปรรูปโดยใช้เครื่องจักรอยู่แล้ว ดังนั้นอยากให้เข้าใจและให้ความเป็นธรรมกับเกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าวในตอนนี้ได้รับผลกระทบราคามะพร้าวปรับลดราคาลง" รมช.เกษตรฯ กล่าว
|
รัฐบาลไทย-รมช.มนัญญา มอบพันธุ์มะพร้าว หนุนเกษตรกรปลูกมะพร้าว ให้เพียงพอความต้องการของตลาด
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563
รมช.มนัญญา มอบพันธุ์มะพร้าว หนุนเกษตรกรปลูกมะพร้าว ให้เพียงพอความต้องการของตลาด
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบพันธุ์มะพร้าว หนุนเกษตรกรปลูกมะพร้าว ให้เพียงพอความต้องการของตลาด
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย คณะที่ปรึกษา และนางสาวอิงอร ปัญญากิจ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร รวมทั้งข้าราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตรวจเยี่ยมการดําเนินงาน ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชสุราษฎร์ธานี และศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชสุราษฎร์ธานี เขตที่7 ตําบลคันธุลี อําเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ เปิดเผยภายหลังการรับฟังผลการดําเนินงาน ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร และการทําเกษตรแปลงใหญ่ โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชสุราษฎร์ธานี เขตที่7 ได้วิจัยและพัฒนาด้านการเกษตร ภายใต้โครงการวิจัยและพัฒนาระบบการผลิตมะพร้าวเกาะพงันอินทรีย์ โดยมีการป้องกันกําจัดหนอนหัวดํามะพร้าวโดยใช้แตนเบียน และสนับสนุนการผลิตสินค้าคุณภาพโดยมีการตรวจรับรอง GAP, GMP ,ORGANIC เพื่อรองรับความต้องการของตลาด ลดการนําเข้าจากต่างประเทศ และส่งออกสินค้าคุณภาพ ปัจจุบันผลผลิตมะพร้าวของไทยสวนทางกับความต้องการคือ ปริมาณผลผลิตภายในประเทศผลิตได้น้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการ ในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งความต้องการในการบริโภคทั้งตลาดต่างประเทศ และภายในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากปริมาณ และมูลค่าการส่งออกในปี 2560 ปริมาณ 1,057,107 ตัน มูลค่า 16,155 ล้านบาท ในขณะที่ ปี 2562 มีปริมาณเพิ่มขึ้นถึง 1,167,176 ตัน มูลค่า 16,477 ล้านบาท ดังนั้นจึงต้องสนับสนุนการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการ ลดการนําเข้า และขยายตลาดส่งออกโดยเน้นสินค้าที่มีคุณภาพเพื่อความมั่นคงยั่งยืนของเกษตรกรไทยต่อไป
จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบต้นกล้ามะพร้าวให้แก่เกษตรกร และเยี่ยมชมนิทรรศการการทําเกษตรอินทรีย์ลดการใช้สารเคมีด้วยชีวภัณฑ์ พร้อมทั้งเยี่ยมชมการสาธิตการเก็บมะพร้าวโดยใช้อุปกรณ์สําหรับปีนเก็บมะพร้าวพันธุ์สูงชุมพร
"มะพร้าวมีหลากหลายพันธุ์ซึ่งการนําไปใช้หรือแปรรูปก็มีความแตกต่างกัน ซึ่งกรมวิชาการเกษตรได้มีการพัฒนาปรับปรุงลักษณะเด่นต่างๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการค้า ในตอนนี้เมื่อมีกระแสของการไม่เข้าใจมองว่าการใช้ลิงเก็บมะพร้าวเป็นการใช้แรงงานที่ทรมานสัตว์ ตรงนี้ต้องอธิบายว่า เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตชาวบ้าน เป็นส่วนเล็กน้อยเท่านั้นเสมือนกับการเลี้ยงสัตว์อื่นๆ ที่คนเลี้ยงก็รักและเอ็นดูเหมือนสมาชิกในครอบครัว สําหรับด้านอุตสาหกรรมนั้น มีระบบการเก็บและแปรรูปโดยใช้เครื่องจักรอยู่แล้ว ดังนั้นอยากให้เข้าใจและให้ความเป็นธรรมกับเกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าวในตอนนี้ได้รับผลกระทบราคามะพร้าวปรับลดราคาลง" รมช.เกษตรฯ กล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33279
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปผลการประชุม ศตส. รมต.นร.สุวพันธุ์ฯ ชี้แจงการบริหารจัดการที่จอดรถยนต์ส่วนบุคคลแก่ประชาชนที่มาร่วมงานถวายความอาลัยฯ
|
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
สรุปผลการประชุม ศตส. รมต.นร.สุวพันธุ์ฯ ชี้แจงการบริหารจัดการที่จอดรถยนต์ส่วนบุคคลแก่ประชาชนที่มาร่วมงานถวายความอาลัยฯ
สรุปผลการประชุม ศตส. รมต.นร.สุวพันธุ์ฯ ชี้แจงการบริหารจัดการที่จอดรถยนต์ส่วนบุคคลแก่ประชาชนที่มาร่วมงานถวายความอาลัยฯ
วันนี้ (17 ตุลาคม 2559) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ (ศตส.) โดยมีตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อรายงานสถานการณ์และติดตามความคืบหน้าในการอํานวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งเดินทางมาถวายความอาลัยพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศตลอดการดูแลด้านความมั่นคง เพื่อความสงบเรียบรอยของบ้านเมือง ทั้งนี้โดยมีนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้แถลงข่าวผลการประชุม ศตส. สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ประเด็นของ คตส. ของการประชุมในเช้าวันนี้คือ การติดตามอํานวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งเรื่องแรกที่กําลังมีปัญหาคือเรื่องปัญหาการจราจร วันนี้ก็ได้ทําความชัดเจนกับกระทรวงคมนาคม ขสมก. และก็ทางตํารวจ หลักคือทําให้พี่น้องประชาชนสามารถที่จะเดินทางเข้าสู่พื้นที่ชั้นในบริเวณพระบรมมหาราชวังได้สะดวกที่สุดเท่าที่จะทําได้ แต่เนื่องจากปริมาณของรถยนต์ก็ดี และปริมาณของพี่น้องประชาชนมีจํานวนมากและซึ่งมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็ทําให้การบริหารจัดการค่อนข้างยากหน่อยแต่อย่างไรก็แล้วแต่จะดําเนินการโดย
1. ขสมก. จะมีรถอํานวยความสะดวก ซึ่งรายละเอียดตามที่แนบพร้อมข่าวฯ แต่จะมีรถบริการฟรีเพื่ออํานวยความสะดวกให้เข้ามาถึงในส่วนบริเวณพื้นที่ชั้นใน อย่างน้อยที่สุดก็ในส่วนของบริเวณโรงแรมรัตนโกสินทร์ หรือ สํานักงานสลากกินแบ่งเดิม
2. จะจัดที่จอดรถให้กับรถยนต์ส่วนบุคคลในพื้นที่ต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น บริเวณลานจอดรถใต้สะพานพระราม 8 และลาดจอดรถบริเวณถนนกําแพงเพชร 5 และ 6 สนามม้านางเลิ้ง โดยจะมีที่จอดรถให้กับรถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งมีบริการรถสาธารณะให้บริการเพื่อนําพี่น้องประชาชนเข้าสู่พื้นที่ชั้นใน
3. สําหรับพี่น้องที่มาจากต่างจังหวัด ซึ่งได้หารือกันแล้วกับผู้ว่าราชการจังหวัด กระทรวงมหาดไทย จะมีการจัดงานพิธีต่าง ๆ ในพื้นที่ซึ่งจะมีพื้นที่ให้มีการแสดงความอาลัยและพื้นที่สําหรับประกอบกิจกรรมทางศาสนาให้ แต่ในกรณีที่พี่น้องประสงค์จะเดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร จะจัดที่จอดรถให้ในลักษณะของพื้นที่ 4 มุมเมือง ถ้ามาจากภาคใต้ก็บริเวณพุทธมณฑลสาย 4 ส่วนฝั่งตะวันตกก็คือเซ็นทรัลเวสเกตตรงบางใหญ่ ทางภาคเหนือก็เมืองทอง ทางตะวันออกบริเวณแยกบางนาคือที่กําลังก่อสร้างบางกอกมอลล์อยู่ตอนนี้ ซึ่งทั้ง 4 มุมเมืองนี้จะเป็นที่จอดรถสําหรับคนที่มาจากต่างจังหวัดและ ขสมก. จะจัดรถบริการให้ประชาชนมาถึงบริเวณงานฯ ต่อไป
สถานที่จอดรถยนต์ รถตู้ ของผู้มาร่วมพระราชพิธี
1. ถนนดินสอ (จากสตรีวิทยา – แยกวิสุทธิ์กษัตริย์ จอดได้ 30 คัน)
2. ถนนพระสุเมรุ (จากแยกมหากาฬ -แยกวันชาติ จอดได้ 20 คัน)
3. ถนนกรุงเกษม (จากแยกประชาเกษม – แยกมัฆวาน จอดได้ 50 คัน)
4. ถนนพิษณุโลก (จากแยกมิสักวัน – แยกวังแดง จอดได้ 80 คัน)
5. สนามม้านางเลิ้ง (สนามม้านางเลิ้ง จอดได้ 150 คัน)
6. ถนนกําแพงเพชร 2 (ถนนกําแพงเพชร 2 จอดได้ 100 คัน)
7. ถนนกําแพงเพชร 5 (ถนนกําแพงเพชร 5 จอดได้ 100 คัน)
8. ถนนกําแพงเพชร 6 (ถนนกําแพงเพชร 6 จอดได้ 200 คัน)
9. ลานจอดรถโรงปูน (ลานจอดรถโรงปูน จอดได้ 80 คัน)
10. ถนนอรุณอัมรินทร์ (ลานจอดรถใต้สะพานพระราม 8 จอดได้ 100 คัน)
อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่มีจิตอาสานําอาหารนําเครื่องดื่มใส่รถมาแล้วมาแจกจ่ายฟรีให้พี่น้องประชาชนที่มาร่วมงาน ทั้งนี้จะประสานงานให้มีจุดรับที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้รถที่เข้ามาแต่ละคันซึ่งเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถตู้ก็ดีมาจอดและแจกจะทําให้การจราจรติดขัด ซึ่งมีคําแนะนําสําหรับพี่น้องประชาชนที่มีความประสงค์ในเรื่องการนําอาหารมาแจกจ่ายได้ 3 แนวทางได้แก่
1. คือให้ติดต่อมายังสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีหรือโทรศัพท์ 1111 สามารถนํามาบริจาคได้ที่สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีหรือต้องการคําแนะนําใดเกี่ยวกับเรื่องการบริจาคหรืออย่างอื่นก็สามารถสอบถามได้ 1111 เช่นกัน
2. พี่น้องประชาชนที่ประสงค์จะนําอาหารและน้ําดื่มไปมอบเพื่อบริการประชาชนทั่วไปฟรีสามารถนําไปยังกระทรวง ทบวง กรม ต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้บ้านหรือสถานที่ทํางานได้ ซึ่งได้ประสานกับกระทรวง ทบวง กรม ให้รับไว้แล้วในชั้นต้นและมีภาคเอกชนมีการติดต่อทํางานร่วมกับกระทรวง ทบวง กรม ต่าง ๆ ในการอํานวยความสะดวก
3. สามารถนําอาหารและน้ําดื่มมาให้บริเวณท้องสนามหลวง ซึ่งจะมีศูนย์อํานวยการใหญ่ 2 ศูนย์อํานวยการ ได้แก่
- ศูนย์อํานวยการร่วมของ คสช. ซึ่งจะดูในเรื่องของความเรียบร้อย และก็จะดูแลเรื่องการอํานวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน
- ศูนย์อํานวยการร่วมของกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะให้การดูแลในเรื่องที่เกี่ยวกับพี่น้องประชาชนที่เดินทางเข้ามา ซึ่งทั้ง 2 ศูนย์ประสานการติดต่อกับพี่น้องประชาชนที่ต้องการนําอาหารและเครื่องดื่มมาบริจาค ซึ่งมีทั้งหมด 3 ช่องทางดังกล่าวที่สามารถดําเนินการได้
นอกจากนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวย้ําว่า ในเรื่องของดินฟ้าอากาศซึ่งลงเว็บไซต์ต่าง ๆ และลงแผนที่ประกอบด้วยว่าจะมีพายุมา 2 ลูก ซึ่งทางผู้แทนของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ชี้แจงแล้วว่า การพยากรณ์อากาศของพายุทั้ง 2 ลูกตามข้อเท็จจริงแล้ว ไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทยแต่อย่างใด เว้นเสียแต่จะมีฝนตกทั่วไปในช่วงวันที่ 19 – 22 ตุลาคม 2559 ในเวลาบ่ายและค่ําของช่วงดังกล่าวเท่านั้นซึ่งเป็นไปตามปกติ
*************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปผลการประชุม ศตส. รมต.นร.สุวพันธุ์ฯ ชี้แจงการบริหารจัดการที่จอดรถยนต์ส่วนบุคคลแก่ประชาชนที่มาร่วมงานถวายความอาลัยฯ
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
สรุปผลการประชุม ศตส. รมต.นร.สุวพันธุ์ฯ ชี้แจงการบริหารจัดการที่จอดรถยนต์ส่วนบุคคลแก่ประชาชนที่มาร่วมงานถวายความอาลัยฯ
สรุปผลการประชุม ศตส. รมต.นร.สุวพันธุ์ฯ ชี้แจงการบริหารจัดการที่จอดรถยนต์ส่วนบุคคลแก่ประชาชนที่มาร่วมงานถวายความอาลัยฯ
วันนี้ (17 ตุลาคม 2559) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ (ศตส.) โดยมีตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อรายงานสถานการณ์และติดตามความคืบหน้าในการอํานวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งเดินทางมาถวายความอาลัยพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศตลอดการดูแลด้านความมั่นคง เพื่อความสงบเรียบรอยของบ้านเมือง ทั้งนี้โดยมีนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้แถลงข่าวผลการประชุม ศตส. สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ประเด็นของ คตส. ของการประชุมในเช้าวันนี้คือ การติดตามอํานวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งเรื่องแรกที่กําลังมีปัญหาคือเรื่องปัญหาการจราจร วันนี้ก็ได้ทําความชัดเจนกับกระทรวงคมนาคม ขสมก. และก็ทางตํารวจ หลักคือทําให้พี่น้องประชาชนสามารถที่จะเดินทางเข้าสู่พื้นที่ชั้นในบริเวณพระบรมมหาราชวังได้สะดวกที่สุดเท่าที่จะทําได้ แต่เนื่องจากปริมาณของรถยนต์ก็ดี และปริมาณของพี่น้องประชาชนมีจํานวนมากและซึ่งมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็ทําให้การบริหารจัดการค่อนข้างยากหน่อยแต่อย่างไรก็แล้วแต่จะดําเนินการโดย
1. ขสมก. จะมีรถอํานวยความสะดวก ซึ่งรายละเอียดตามที่แนบพร้อมข่าวฯ แต่จะมีรถบริการฟรีเพื่ออํานวยความสะดวกให้เข้ามาถึงในส่วนบริเวณพื้นที่ชั้นใน อย่างน้อยที่สุดก็ในส่วนของบริเวณโรงแรมรัตนโกสินทร์ หรือ สํานักงานสลากกินแบ่งเดิม
2. จะจัดที่จอดรถให้กับรถยนต์ส่วนบุคคลในพื้นที่ต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น บริเวณลานจอดรถใต้สะพานพระราม 8 และลาดจอดรถบริเวณถนนกําแพงเพชร 5 และ 6 สนามม้านางเลิ้ง โดยจะมีที่จอดรถให้กับรถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งมีบริการรถสาธารณะให้บริการเพื่อนําพี่น้องประชาชนเข้าสู่พื้นที่ชั้นใน
3. สําหรับพี่น้องที่มาจากต่างจังหวัด ซึ่งได้หารือกันแล้วกับผู้ว่าราชการจังหวัด กระทรวงมหาดไทย จะมีการจัดงานพิธีต่าง ๆ ในพื้นที่ซึ่งจะมีพื้นที่ให้มีการแสดงความอาลัยและพื้นที่สําหรับประกอบกิจกรรมทางศาสนาให้ แต่ในกรณีที่พี่น้องประสงค์จะเดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร จะจัดที่จอดรถให้ในลักษณะของพื้นที่ 4 มุมเมือง ถ้ามาจากภาคใต้ก็บริเวณพุทธมณฑลสาย 4 ส่วนฝั่งตะวันตกก็คือเซ็นทรัลเวสเกตตรงบางใหญ่ ทางภาคเหนือก็เมืองทอง ทางตะวันออกบริเวณแยกบางนาคือที่กําลังก่อสร้างบางกอกมอลล์อยู่ตอนนี้ ซึ่งทั้ง 4 มุมเมืองนี้จะเป็นที่จอดรถสําหรับคนที่มาจากต่างจังหวัดและ ขสมก. จะจัดรถบริการให้ประชาชนมาถึงบริเวณงานฯ ต่อไป
สถานที่จอดรถยนต์ รถตู้ ของผู้มาร่วมพระราชพิธี
1. ถนนดินสอ (จากสตรีวิทยา – แยกวิสุทธิ์กษัตริย์ จอดได้ 30 คัน)
2. ถนนพระสุเมรุ (จากแยกมหากาฬ -แยกวันชาติ จอดได้ 20 คัน)
3. ถนนกรุงเกษม (จากแยกประชาเกษม – แยกมัฆวาน จอดได้ 50 คัน)
4. ถนนพิษณุโลก (จากแยกมิสักวัน – แยกวังแดง จอดได้ 80 คัน)
5. สนามม้านางเลิ้ง (สนามม้านางเลิ้ง จอดได้ 150 คัน)
6. ถนนกําแพงเพชร 2 (ถนนกําแพงเพชร 2 จอดได้ 100 คัน)
7. ถนนกําแพงเพชร 5 (ถนนกําแพงเพชร 5 จอดได้ 100 คัน)
8. ถนนกําแพงเพชร 6 (ถนนกําแพงเพชร 6 จอดได้ 200 คัน)
9. ลานจอดรถโรงปูน (ลานจอดรถโรงปูน จอดได้ 80 คัน)
10. ถนนอรุณอัมรินทร์ (ลานจอดรถใต้สะพานพระราม 8 จอดได้ 100 คัน)
อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่มีจิตอาสานําอาหารนําเครื่องดื่มใส่รถมาแล้วมาแจกจ่ายฟรีให้พี่น้องประชาชนที่มาร่วมงาน ทั้งนี้จะประสานงานให้มีจุดรับที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้รถที่เข้ามาแต่ละคันซึ่งเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถตู้ก็ดีมาจอดและแจกจะทําให้การจราจรติดขัด ซึ่งมีคําแนะนําสําหรับพี่น้องประชาชนที่มีความประสงค์ในเรื่องการนําอาหารมาแจกจ่ายได้ 3 แนวทางได้แก่
1. คือให้ติดต่อมายังสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีหรือโทรศัพท์ 1111 สามารถนํามาบริจาคได้ที่สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีหรือต้องการคําแนะนําใดเกี่ยวกับเรื่องการบริจาคหรืออย่างอื่นก็สามารถสอบถามได้ 1111 เช่นกัน
2. พี่น้องประชาชนที่ประสงค์จะนําอาหารและน้ําดื่มไปมอบเพื่อบริการประชาชนทั่วไปฟรีสามารถนําไปยังกระทรวง ทบวง กรม ต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้บ้านหรือสถานที่ทํางานได้ ซึ่งได้ประสานกับกระทรวง ทบวง กรม ให้รับไว้แล้วในชั้นต้นและมีภาคเอกชนมีการติดต่อทํางานร่วมกับกระทรวง ทบวง กรม ต่าง ๆ ในการอํานวยความสะดวก
3. สามารถนําอาหารและน้ําดื่มมาให้บริเวณท้องสนามหลวง ซึ่งจะมีศูนย์อํานวยการใหญ่ 2 ศูนย์อํานวยการ ได้แก่
- ศูนย์อํานวยการร่วมของ คสช. ซึ่งจะดูในเรื่องของความเรียบร้อย และก็จะดูแลเรื่องการอํานวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน
- ศูนย์อํานวยการร่วมของกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะให้การดูแลในเรื่องที่เกี่ยวกับพี่น้องประชาชนที่เดินทางเข้ามา ซึ่งทั้ง 2 ศูนย์ประสานการติดต่อกับพี่น้องประชาชนที่ต้องการนําอาหารและเครื่องดื่มมาบริจาค ซึ่งมีทั้งหมด 3 ช่องทางดังกล่าวที่สามารถดําเนินการได้
นอกจากนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวย้ําว่า ในเรื่องของดินฟ้าอากาศซึ่งลงเว็บไซต์ต่าง ๆ และลงแผนที่ประกอบด้วยว่าจะมีพายุมา 2 ลูก ซึ่งทางผู้แทนของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ชี้แจงแล้วว่า การพยากรณ์อากาศของพายุทั้ง 2 ลูกตามข้อเท็จจริงแล้ว ไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทยแต่อย่างใด เว้นเสียแต่จะมีฝนตกทั่วไปในช่วงวันที่ 19 – 22 ตุลาคม 2559 ในเวลาบ่ายและค่ําของช่วงดังกล่าวเท่านั้นซึ่งเป็นไปตามปกติ
*************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/580
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน พลเอก ศิริชัยฯ นำคณะมาพบ รอง.นรม. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานแข่งขันฝีมือคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 8 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 เมษายน 60
|
วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2560
รมว.แรงงาน พลเอก ศิริชัยฯ นําคณะมาพบ รอง.นรม. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานแข่งขันฝีมือคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 8 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 เมษายน 60
รมว.กระทรวงแรงงาน พลเอก ศิริชัยฯ นําคณะมาพบ รอง.นรม. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานแข่งขันฝีมือคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 8 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 เมษายน 2560
วันนี้ (25 เมษายน 2560) เวลา 8.30 น. ณ บริเวณด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมหม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน นายธีรพล ขุนเมือง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และคณะมาพบ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานแข่งขันฝีมือคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 8 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 เมษายน 2560 ณ อาคาร 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวรายงานว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้กําหนดจัดงานแข่งขันฝีมือคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 8 ระหว่างวันที่ 26-28 เมษายน 2560 ณ อาคาร 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้คนพิการได้มีการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานฝีมือแรงงานให้สูงขึ้น เพื่อก้าวไปสู่ระดับมาตรฐานสากล อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้คนพิการได้แสดงความสามารถเป็นที่ยอมรับของประชาชนโดยทั่วไปอีกด้วย
ในวันนี้ได้นําคนพิการมาร่วมกิจกรรมและสาธิตในสาขาต่าง ๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความสามารถของคนพิการ ที่สามารถทํางานหรือประกอบอาชีพได้มากมายไม่แพ้คนปกติ ซึ่งสาขาที่นํามาแสดงได้แก่ สิ่งประดิษฐ์จากวัสดุเหลือใช้ งานปั้นเซรามิคการถ่ายภาพ Studio การระบายสีบนผ้าไหม การแต่งหน้า Cup Cake การออกแบบโปสเตอร์ การวาดภาพ และการแสดงร้องเพลง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวต่อไปว่า การแข่งขันฝีมือคนพิการแห่งชาติได้จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 30-31 สิงหาคม 2546 ณ อาคากีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ จัดงานแข่งขันฝีมือคนพิการแห่งชาติทุก 2 ปี ซึ่งการแข่งขันในครั้งนี้ถือเป็นการจัดงานครั้งที่ 8 ซึ่งมีจํานวน 20 สาขา ประกอบด้วย 1.สาขาถักนิตติ้ง 2.สาขาประดิษฐ์สิ่งของจากวัสดุเหลือใช้ 3.สาขาเย็บปักถักร้อย 4.สาขาออกแบบเอกสารสิ่งพิมพ์ 5.สาขาถักโครเชต์ 6.สาขาวาดภาพระบายสีน้ํา 7.สาขาออแบบเว็บเพจ 8.สาขาออกแบบโปสเตอร์ 9.สาขาตัดเย็บเสื้อผ้าสตรี ระดับพื้นฐาน 10.สาขาประกอบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ระดับพื้นฐาน 11.สาขาสานตะกร้า 12.สาขาประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ 13.สาขาพิมพ์เอกสารด้วยโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด 14.สาขาออกแบบสถาปัตยกรรมก่อสร้างด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 15.สาขาตัดเย็บเสื้อผ้าบุรุษ 16.สาขาประดิษฐ์เครื่องปั้นดินเผา 17.สาขาระบายสีบนผ้าไหม 18.สาขาออกแบบเพื่ออุตสาหกรรมด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 19.สาขาถ่ายภาพในสตูดิโอ 20.สาขาออกแบบคาแรคเตอร์
ทั้งนี้ ในการแข่งขันครั้งที่ 8 จะมีผู้เข้าแข่งขันร่วมทั้งสิ้น 209 คน โดยจะมีการแข่งขันในวันที่ 26-27 เมษายน 2560 ซึ่งจะประกาศผลการแข่งขันในวันที่ 28 เมษายน 2560 โดยผู้ชนะเลิศระดับเหรียญทอง จะได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท เหรียญเงิน 15,000 บาท เหรียญทองแดง 9,000 บาท และรางวัลชมเชย 3,000 บาท
โดยภายในงานนี้ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช ในพระราชกรณียกิจด้านคนพิการอีกด้วย เช่น การจัดแสดงสินค้าและการจําหน่ายสินค้า ซึ่งเป็นผลงานของคนพิการ กิจกรรมสอนอาชีพคนพิการ อาทิ การทําเดคูพาจ การร้อยลูกปัด การจัดทําดอกไม้ประดิษฐ์ การจัดสานกระเป๋า การเย็บปักถักร้อย กิจกรรมสอนภาษามือ กิจกรรมแสดงความสามารถของคนพิการ และกิจกรรมสันทนาการอื่น ๆ อีกมากมาย จึงขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าชมกิจกรรมและร่วมเป็นกําลังใจแก่ผู้เข้าแข่งขันในครั้งนี้ด้วย
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินเยี่ยมชมบู้ธกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยความสนใจ พร้อมกล่าวขอบคุณกระทรวงแรงงานและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดงานในครั้งนี้ ขอให้ดําเนินการจัดงานครั้งนี้ประสบความสําเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้มอบ Cup Cake ให้กับผู้สื่อข่าวที่มาร่วมทําข่าวด้วยอัธยาศัยอันดี ต่อจากนั้นได้ร่วมถ่ายภาพเป็นระลึกกับคณะผู้บริหารจากกระทรวงแรงงาน
อนึ่ง นางจุฑารัตน์ เจริญสุข เป็นผู้พิการทางได้ยินที่ได้รับการพัฒนาศักยภาพด้านการวาดภาพเหมือนจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเป็นระยะเวลา 3 เดือน จากนั้นได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงแรงงานเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันวาดภาพสาขาวาดภาพสีน้ําในงานแข่งขันฝีมือคนพิการนานาชาติที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2550 และที่ประเทศฝรั่งเศสในปี 2559 โดยได้รับรางวัลชนะเลิศทั้ง 2 ประเทศ และในวันนี้ได้มานั่งวาดภาพสีน้ํา ซึ่งเป็นภาพเหมือนของรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โดยได้รับคําชมเชยจากรองนายกรัฐมนตรีว่าวาดภาพได้เหมือนตัวจริงมาก
****************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน พลเอก ศิริชัยฯ นำคณะมาพบ รอง.นรม. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานแข่งขันฝีมือคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 8 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 เมษายน 60
วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2560
รมว.แรงงาน พลเอก ศิริชัยฯ นําคณะมาพบ รอง.นรม. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานแข่งขันฝีมือคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 8 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 เมษายน 60
รมว.กระทรวงแรงงาน พลเอก ศิริชัยฯ นําคณะมาพบ รอง.นรม. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานแข่งขันฝีมือคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 8 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 เมษายน 2560
วันนี้ (25 เมษายน 2560) เวลา 8.30 น. ณ บริเวณด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมหม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน นายธีรพล ขุนเมือง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และคณะมาพบ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานแข่งขันฝีมือคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 8 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 เมษายน 2560 ณ อาคาร 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวรายงานว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้กําหนดจัดงานแข่งขันฝีมือคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 8 ระหว่างวันที่ 26-28 เมษายน 2560 ณ อาคาร 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้คนพิการได้มีการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานฝีมือแรงงานให้สูงขึ้น เพื่อก้าวไปสู่ระดับมาตรฐานสากล อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้คนพิการได้แสดงความสามารถเป็นที่ยอมรับของประชาชนโดยทั่วไปอีกด้วย
ในวันนี้ได้นําคนพิการมาร่วมกิจกรรมและสาธิตในสาขาต่าง ๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความสามารถของคนพิการ ที่สามารถทํางานหรือประกอบอาชีพได้มากมายไม่แพ้คนปกติ ซึ่งสาขาที่นํามาแสดงได้แก่ สิ่งประดิษฐ์จากวัสดุเหลือใช้ งานปั้นเซรามิคการถ่ายภาพ Studio การระบายสีบนผ้าไหม การแต่งหน้า Cup Cake การออกแบบโปสเตอร์ การวาดภาพ และการแสดงร้องเพลง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวต่อไปว่า การแข่งขันฝีมือคนพิการแห่งชาติได้จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 30-31 สิงหาคม 2546 ณ อาคากีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ จัดงานแข่งขันฝีมือคนพิการแห่งชาติทุก 2 ปี ซึ่งการแข่งขันในครั้งนี้ถือเป็นการจัดงานครั้งที่ 8 ซึ่งมีจํานวน 20 สาขา ประกอบด้วย 1.สาขาถักนิตติ้ง 2.สาขาประดิษฐ์สิ่งของจากวัสดุเหลือใช้ 3.สาขาเย็บปักถักร้อย 4.สาขาออกแบบเอกสารสิ่งพิมพ์ 5.สาขาถักโครเชต์ 6.สาขาวาดภาพระบายสีน้ํา 7.สาขาออแบบเว็บเพจ 8.สาขาออกแบบโปสเตอร์ 9.สาขาตัดเย็บเสื้อผ้าสตรี ระดับพื้นฐาน 10.สาขาประกอบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ระดับพื้นฐาน 11.สาขาสานตะกร้า 12.สาขาประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ 13.สาขาพิมพ์เอกสารด้วยโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด 14.สาขาออกแบบสถาปัตยกรรมก่อสร้างด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 15.สาขาตัดเย็บเสื้อผ้าบุรุษ 16.สาขาประดิษฐ์เครื่องปั้นดินเผา 17.สาขาระบายสีบนผ้าไหม 18.สาขาออกแบบเพื่ออุตสาหกรรมด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 19.สาขาถ่ายภาพในสตูดิโอ 20.สาขาออกแบบคาแรคเตอร์
ทั้งนี้ ในการแข่งขันครั้งที่ 8 จะมีผู้เข้าแข่งขันร่วมทั้งสิ้น 209 คน โดยจะมีการแข่งขันในวันที่ 26-27 เมษายน 2560 ซึ่งจะประกาศผลการแข่งขันในวันที่ 28 เมษายน 2560 โดยผู้ชนะเลิศระดับเหรียญทอง จะได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท เหรียญเงิน 15,000 บาท เหรียญทองแดง 9,000 บาท และรางวัลชมเชย 3,000 บาท
โดยภายในงานนี้ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช ในพระราชกรณียกิจด้านคนพิการอีกด้วย เช่น การจัดแสดงสินค้าและการจําหน่ายสินค้า ซึ่งเป็นผลงานของคนพิการ กิจกรรมสอนอาชีพคนพิการ อาทิ การทําเดคูพาจ การร้อยลูกปัด การจัดทําดอกไม้ประดิษฐ์ การจัดสานกระเป๋า การเย็บปักถักร้อย กิจกรรมสอนภาษามือ กิจกรรมแสดงความสามารถของคนพิการ และกิจกรรมสันทนาการอื่น ๆ อีกมากมาย จึงขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าชมกิจกรรมและร่วมเป็นกําลังใจแก่ผู้เข้าแข่งขันในครั้งนี้ด้วย
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินเยี่ยมชมบู้ธกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยความสนใจ พร้อมกล่าวขอบคุณกระทรวงแรงงานและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดงานในครั้งนี้ ขอให้ดําเนินการจัดงานครั้งนี้ประสบความสําเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้มอบ Cup Cake ให้กับผู้สื่อข่าวที่มาร่วมทําข่าวด้วยอัธยาศัยอันดี ต่อจากนั้นได้ร่วมถ่ายภาพเป็นระลึกกับคณะผู้บริหารจากกระทรวงแรงงาน
อนึ่ง นางจุฑารัตน์ เจริญสุข เป็นผู้พิการทางได้ยินที่ได้รับการพัฒนาศักยภาพด้านการวาดภาพเหมือนจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเป็นระยะเวลา 3 เดือน จากนั้นได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงแรงงานเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันวาดภาพสาขาวาดภาพสีน้ําในงานแข่งขันฝีมือคนพิการนานาชาติที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2550 และที่ประเทศฝรั่งเศสในปี 2559 โดยได้รับรางวัลชนะเลิศทั้ง 2 ประเทศ และในวันนี้ได้มานั่งวาดภาพสีน้ํา ซึ่งเป็นภาพเหมือนของรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โดยได้รับคําชมเชยจากรองนายกรัฐมนตรีว่าวาดภาพได้เหมือนตัวจริงมาก
****************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3275
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. นายเทวัญ ฯ ย้ำความร่วมมือด้านสื่ออาเซียน-จีนแนบแน่น แม้ปีแห่งการแลกเปลี่ยนสื่อมวลชนอาเซียน – จีน ปิดฉากวันนี้
|
วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม 2562
รมต.นร. นายเทวัญ ฯ ย้ําความร่วมมือด้านสื่ออาเซียน-จีนแนบแน่น แม้ปีแห่งการแลกเปลี่ยนสื่อมวลชนอาเซียน – จีน ปิดฉากวันนี้
รมต.นร. นายเทวัญ ฯ ย้ําความร่วมมือด้านสื่ออาเซียน-จีนแนบแน่น แม้ปีแห่งการแลกเปลี่ยนสื่อมวลชนอาเซียน – จีน ปิดฉากวันนี้
วันนี้ (23 ธ.ค.62) นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีปิดปีแห่งการแลกเปลี่ยนสื่อมวลชนอาเซียน-จีน 2562 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ จัดโดยกรมประชาสัมพันธ์ ณ ห้องเวิลด์บอลรูม ชั้น 23 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ โดยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในการเสวนา High-level Forum หัวข้อ “เสริมสร้างความร่วมมือด้านสื่อเพื่ออนาคตร่วมกัน” (Fostering Media Partnership for a Shared Future) โดยผู้แทนระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสสารสนเทศจากประเทศสมาชิกอาเซียน จีน ผู้บริหารและผู้แทนสื่อมวลชนจากอาเซียน จีนและไทยเข้าร่วม
ปี 2562 นี้ถูกกําหนดให้เป็นปีแห่งการแลกเปลี่ยนสื่อมวลชน เกิดจากทางการจีนเสนอให้มีการจัดงาน ในช่วงของการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยให้ไทยในฐานะประธานอาเซียนเป็นผู้ดําเนินงาน การจัดงานประกอบด้วยการเสวนาในช่วงเช้า และการเลี้ยงอาคารค่ําและแสดงดนตรีในช่วงเย็น
สําหรับกิจกรรมภายใต้ปีแห่งการแลกเปลี่ยนสื่อมวลชนอาเซียน-จีน 2562 ประกอบด้วย การร่วมผลิต การแลกเปลี่ยนข่าวและรายการ การเยือนของสื่อมวลชน ช่วยส่งเสริมการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสาร การแลกเปลี่ยนความรู้และข้อมูล ก่อให้เกิดการสร้างโอกาสให้แก่ประชาชน การสร้างเครือข่ายและพัฒนาศักยภาพสื่อมวลชนที่นําไปสู่การสร้างความเข้าใจร่วมกันและความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากขึ้นระหว่างอาเซียนและจีน
นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสดีที่สื่อมวลชนของภูมิภาคอาเซียนและจีน เกิดความรู้ความเข้าใจ สื่อสารให้ประชาชนมีความรู้สามารถรับมือกับความท้าทายที่กระทบกับชีวิตประจํา เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดการภัยพิบัติสิ่งแวดล้อม และร่วมกันสะท้อนมุมมองจากสื่อมวลชนแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของภูมิภาคเอเชีย
............................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. นายเทวัญ ฯ ย้ำความร่วมมือด้านสื่ออาเซียน-จีนแนบแน่น แม้ปีแห่งการแลกเปลี่ยนสื่อมวลชนอาเซียน – จีน ปิดฉากวันนี้
วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม 2562
รมต.นร. นายเทวัญ ฯ ย้ําความร่วมมือด้านสื่ออาเซียน-จีนแนบแน่น แม้ปีแห่งการแลกเปลี่ยนสื่อมวลชนอาเซียน – จีน ปิดฉากวันนี้
รมต.นร. นายเทวัญ ฯ ย้ําความร่วมมือด้านสื่ออาเซียน-จีนแนบแน่น แม้ปีแห่งการแลกเปลี่ยนสื่อมวลชนอาเซียน – จีน ปิดฉากวันนี้
วันนี้ (23 ธ.ค.62) นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีปิดปีแห่งการแลกเปลี่ยนสื่อมวลชนอาเซียน-จีน 2562 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ จัดโดยกรมประชาสัมพันธ์ ณ ห้องเวิลด์บอลรูม ชั้น 23 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ โดยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในการเสวนา High-level Forum หัวข้อ “เสริมสร้างความร่วมมือด้านสื่อเพื่ออนาคตร่วมกัน” (Fostering Media Partnership for a Shared Future) โดยผู้แทนระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสสารสนเทศจากประเทศสมาชิกอาเซียน จีน ผู้บริหารและผู้แทนสื่อมวลชนจากอาเซียน จีนและไทยเข้าร่วม
ปี 2562 นี้ถูกกําหนดให้เป็นปีแห่งการแลกเปลี่ยนสื่อมวลชน เกิดจากทางการจีนเสนอให้มีการจัดงาน ในช่วงของการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยให้ไทยในฐานะประธานอาเซียนเป็นผู้ดําเนินงาน การจัดงานประกอบด้วยการเสวนาในช่วงเช้า และการเลี้ยงอาคารค่ําและแสดงดนตรีในช่วงเย็น
สําหรับกิจกรรมภายใต้ปีแห่งการแลกเปลี่ยนสื่อมวลชนอาเซียน-จีน 2562 ประกอบด้วย การร่วมผลิต การแลกเปลี่ยนข่าวและรายการ การเยือนของสื่อมวลชน ช่วยส่งเสริมการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสาร การแลกเปลี่ยนความรู้และข้อมูล ก่อให้เกิดการสร้างโอกาสให้แก่ประชาชน การสร้างเครือข่ายและพัฒนาศักยภาพสื่อมวลชนที่นําไปสู่การสร้างความเข้าใจร่วมกันและความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากขึ้นระหว่างอาเซียนและจีน
นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสดีที่สื่อมวลชนของภูมิภาคอาเซียนและจีน เกิดความรู้ความเข้าใจ สื่อสารให้ประชาชนมีความรู้สามารถรับมือกับความท้าทายที่กระทบกับชีวิตประจํา เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดการภัยพิบัติสิ่งแวดล้อม และร่วมกันสะท้อนมุมมองจากสื่อมวลชนแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของภูมิภาคเอเชีย
............................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25409
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย เดินหน้าพัฒนาศักยภาพ “สิงห์รุ่นใหม่” ขานรับนโยบายประเทศไทย 4.0 ให้กล้าคิด กล้าทำ และกล้านำเสนอ นวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์
|
วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม 2561
มหาดไทย เดินหน้าพัฒนาศักยภาพ “สิงห์รุ่นใหม่” ขานรับนโยบายประเทศไทย 4.0 ให้กล้าคิด กล้าทํา และกล้านําเสนอ นวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์
มหาดไทย เดินหน้าพัฒนาศักยภาพ “สิงห์รุ่นใหม่” ขานรับนโยบายประเทศไทย 4.0 ให้กล้าคิด กล้าทํา และกล้านําเสนอ นวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์
วันนี้ (1 พ.ค. 61) ที่กระทรวงมหาดไทยนายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่าในสภาพสังคมปัจจุบันในองค์กรมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะ“ทุนมนุษย์”ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญในการขับเคลื่อนองค์กร เนื่องจากสมรรถนะของคนที่มีศักยภาพสูง ก็จะสามารถผลิตผลงานที่สร้างสรรค์องค์กรได้อย่างต่อเนื่อง จนทําให้องค์กรเกิดการพัฒนาก้าวสู่ความเป็นเลิศ กระทรวงมหาดไทยในฐานะเป็นหน่วยงานที่มีบุคลากรปฏิบัติงานทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค มีหน้าที่ในการขับเคลื่อนนโยบายหลักของรัฐบาล เพื่อบําบัดทุกข์บํารุงสุข และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามความต้องการที่แท้จริงของพี่น้องประชาชน และเพื่อตอบสนองนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย นโยบายThailand4.0
กระทรวงมหาดไทย จึงได้จัดทํา โครงการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมของกระทรวงมหาดไทยสู่ความยั่งยืนตามนโยบายการพัฒนาประเทศไทย 4.0 ขึ้นเพื่อส่งเสริมให้บุคลากรมีความรู้ความเข้าใจในหลักการและหลักคิดเชิงนวัตกรรมเพื่อนําสู่ผลงานที่เป็นรูปธรรม ก่อให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ กล้าคิด กล้าทํา และกล้านําเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งสามารถต่อยอดการพัฒนานวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานได้ เพื่อให้การพัฒนาองค์กรก้าวสู่ความเป็นเลิศ โดยโครงการดังกล่าวเป็นการเปิดพื้นที่ให้ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทยคนรุ่นใหม่ได้มีเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในการทํางาน เพื่อให้มีหลักคิด (Mindset)และความคิดสร้างสรรค์ มีความเข้าใจความคิดเชิงนวัตกรรม (Innovation Thinking)เพื่อให้เกิดการคิดค้นและแสวงหาวิธีการแก้ไขปัญหาใหม่ๆ (Solutions)เพื่อเป็นฐานของการพัฒนาและขับเคลี่อนหน่วยงาน โดยการคัดเลือกข้าราชการรุ่นใหม่ที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ทํางานเชิงรุก กล้าคิดกล้าทํา และกล้านําเสนอ (ไม่เกินระดับชํานาญการ และอายุไม่เกิน 40 ปี) เข้าร่วมโครงการฯ ดังกล่าว ซึ่งจะจัดขึ้นจํานวน 2 รุ่นๆ ละ 30 คน รุ่นที่ 1 ดําเนินการในระหว่างวันที่ 1-3 พฤษภาคม 2561 และรุ่นที่ 2 ระหว่างวันที่ 20-22 มิถุนายน 2561 ณ โรงแรมเดอะคอนทิเน้นท์ กรุงเทพมหานคร โดยการฝึกอบรมมีทั้งการบรรยายพิเศษให้ความรู้ การซักถามแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การปฏิบัติการWorkshopและการนําเสนอผลงานที่เป็นนวัตกรรมที่สามารถสร้างสรรค์และนําไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานหรือพัฒนาองค์กร
โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่าการจัดกิจกรรมใครั้งนี้ นอกจากผู้เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับองค์ความรู้แล้ว ยังเป็นการสร้างเครือข่ายสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การทํางาน ตลอดจนรับทราบปัญหา/อุปสรรคในการดําเนินงานร่วมกัน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาและพัฒนารูปแบบการดําเนินงานให้ดียิ่งๆ ขึ้น และพร้อมเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนนโยบายสําคัญต่างๆ ของรัฐบาล และกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมายและเกิดผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม.
ครั้งที่ 92/2561วันที่1 พ.ค. 61
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
โทร. 0-22224131-2
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย เดินหน้าพัฒนาศักยภาพ “สิงห์รุ่นใหม่” ขานรับนโยบายประเทศไทย 4.0 ให้กล้าคิด กล้าทำ และกล้านำเสนอ นวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์
วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม 2561
มหาดไทย เดินหน้าพัฒนาศักยภาพ “สิงห์รุ่นใหม่” ขานรับนโยบายประเทศไทย 4.0 ให้กล้าคิด กล้าทํา และกล้านําเสนอ นวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์
มหาดไทย เดินหน้าพัฒนาศักยภาพ “สิงห์รุ่นใหม่” ขานรับนโยบายประเทศไทย 4.0 ให้กล้าคิด กล้าทํา และกล้านําเสนอ นวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์
วันนี้ (1 พ.ค. 61) ที่กระทรวงมหาดไทยนายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่าในสภาพสังคมปัจจุบันในองค์กรมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะ“ทุนมนุษย์”ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญในการขับเคลื่อนองค์กร เนื่องจากสมรรถนะของคนที่มีศักยภาพสูง ก็จะสามารถผลิตผลงานที่สร้างสรรค์องค์กรได้อย่างต่อเนื่อง จนทําให้องค์กรเกิดการพัฒนาก้าวสู่ความเป็นเลิศ กระทรวงมหาดไทยในฐานะเป็นหน่วยงานที่มีบุคลากรปฏิบัติงานทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค มีหน้าที่ในการขับเคลื่อนนโยบายหลักของรัฐบาล เพื่อบําบัดทุกข์บํารุงสุข และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามความต้องการที่แท้จริงของพี่น้องประชาชน และเพื่อตอบสนองนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย นโยบายThailand4.0
กระทรวงมหาดไทย จึงได้จัดทํา โครงการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมของกระทรวงมหาดไทยสู่ความยั่งยืนตามนโยบายการพัฒนาประเทศไทย 4.0 ขึ้นเพื่อส่งเสริมให้บุคลากรมีความรู้ความเข้าใจในหลักการและหลักคิดเชิงนวัตกรรมเพื่อนําสู่ผลงานที่เป็นรูปธรรม ก่อให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ กล้าคิด กล้าทํา และกล้านําเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งสามารถต่อยอดการพัฒนานวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานได้ เพื่อให้การพัฒนาองค์กรก้าวสู่ความเป็นเลิศ โดยโครงการดังกล่าวเป็นการเปิดพื้นที่ให้ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทยคนรุ่นใหม่ได้มีเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในการทํางาน เพื่อให้มีหลักคิด (Mindset)และความคิดสร้างสรรค์ มีความเข้าใจความคิดเชิงนวัตกรรม (Innovation Thinking)เพื่อให้เกิดการคิดค้นและแสวงหาวิธีการแก้ไขปัญหาใหม่ๆ (Solutions)เพื่อเป็นฐานของการพัฒนาและขับเคลี่อนหน่วยงาน โดยการคัดเลือกข้าราชการรุ่นใหม่ที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ทํางานเชิงรุก กล้าคิดกล้าทํา และกล้านําเสนอ (ไม่เกินระดับชํานาญการ และอายุไม่เกิน 40 ปี) เข้าร่วมโครงการฯ ดังกล่าว ซึ่งจะจัดขึ้นจํานวน 2 รุ่นๆ ละ 30 คน รุ่นที่ 1 ดําเนินการในระหว่างวันที่ 1-3 พฤษภาคม 2561 และรุ่นที่ 2 ระหว่างวันที่ 20-22 มิถุนายน 2561 ณ โรงแรมเดอะคอนทิเน้นท์ กรุงเทพมหานคร โดยการฝึกอบรมมีทั้งการบรรยายพิเศษให้ความรู้ การซักถามแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การปฏิบัติการWorkshopและการนําเสนอผลงานที่เป็นนวัตกรรมที่สามารถสร้างสรรค์และนําไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานหรือพัฒนาองค์กร
โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่าการจัดกิจกรรมใครั้งนี้ นอกจากผู้เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับองค์ความรู้แล้ว ยังเป็นการสร้างเครือข่ายสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การทํางาน ตลอดจนรับทราบปัญหา/อุปสรรคในการดําเนินงานร่วมกัน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาและพัฒนารูปแบบการดําเนินงานให้ดียิ่งๆ ขึ้น และพร้อมเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนนโยบายสําคัญต่างๆ ของรัฐบาล และกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมายและเกิดผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม.
ครั้งที่ 92/2561วันที่1 พ.ค. 61
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
โทร. 0-22224131-2
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11895
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. กำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงสาวตั้งครรภ์ 4 เดือน ถูกสามีสาดน้ำกรดใส่ใบหน้าและลำตัว ได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.บุรีรัมย์
|
วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2560
ปลัด พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงสาวตั้งครรภ์ 4 เดือน ถูกสามีสาดน้ํากรดใส่ใบหน้าและลําตัว ได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.บุรีรัมย์
ปลัด พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงสาวตั้งครรภ์ 4 เดือน ถูกสามีสาดน้ํากรดใส่ใบหน้าและลําตัว ได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.บุรีรัมย์ และหญิงวัย 40 ปี ป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านม และมีแผลขนาดใหญ่ทั่วทั้งหน้าอก ที่ จ.ฉะเชิงเทรา
วันนี้ (27 มี.ค. 60) เวลา 08.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯนายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 600/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม
นายไมตรี กล่าวว่า จากกรณีหญิงสาววัย 20 ปี ที่กําลังตั้งครรภ์ได้ 4 เดือน ถูกสามีที่มีอาการมึนเมาสุรา สาดน้ํากรดใส่ใบหน้าและลําตัว ได้รับบาดเจ็บสาหัส ตาข้างขวาเริ่มมองไม่เห็น เป็นแผลพุพองทั่วใบหน้า ลําคอ และแผ่นหลัง ทั้งยังต้องรับภาระเลี้ยงดูลูกชายอีก 2 คน วัย 1 ขวบ และ 4 ขวบ ครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาล ที่อําเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดบุรีรัมย์ (พมจ.บุรีรัมย์) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว พร้อมให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดยเฉพาะการรักษาพยาบาลของหญิงสาวดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และเร่งเยียวยาและฟื้นฟูสภาพจิตใจจากการถูกทําร้ายร่างกาย อีกทั้ง การศึกษาเล่าเรียนของเด็กชายทั้ง 2 คน ในระยะยาว และทางทีม พม. ในพื้นที่จะติดตามการให้ความช่วยเหลือเป็นระยะอย่างต่อเนื่องต่อไป
นายไมตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า จากกรณีหญิงวัย 40 ปี ป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านม เป็นแผลเน่าขนาดใหญ่ทั่วทั้งหน้าอก สร้างความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างมาก อาศัยอยู่กับสามี และลูกสาววัย 13 ปี ครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาล ที่อําเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดฉะเชิงเทรา (พมจ.ฉะเชิงเทรา) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว พร้อมให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ รวมทั้งมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การเรียน นอกจากนี้ ได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด และเรื่องการศึกษาเล่าเรียนของเด็กหญิงในระยะยาวของเด็กต่อไป อีกทั้งการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ต่างๆ เพื่อคุณภาพชีวิตที่เหมาะสมต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. กำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงสาวตั้งครรภ์ 4 เดือน ถูกสามีสาดน้ำกรดใส่ใบหน้าและลำตัว ได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.บุรีรัมย์
วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2560
ปลัด พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงสาวตั้งครรภ์ 4 เดือน ถูกสามีสาดน้ํากรดใส่ใบหน้าและลําตัว ได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.บุรีรัมย์
ปลัด พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือหญิงสาวตั้งครรภ์ 4 เดือน ถูกสามีสาดน้ํากรดใส่ใบหน้าและลําตัว ได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.บุรีรัมย์ และหญิงวัย 40 ปี ป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านม และมีแผลขนาดใหญ่ทั่วทั้งหน้าอก ที่ จ.ฉะเชิงเทรา
วันนี้ (27 มี.ค. 60) เวลา 08.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯนายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 600/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม
นายไมตรี กล่าวว่า จากกรณีหญิงสาววัย 20 ปี ที่กําลังตั้งครรภ์ได้ 4 เดือน ถูกสามีที่มีอาการมึนเมาสุรา สาดน้ํากรดใส่ใบหน้าและลําตัว ได้รับบาดเจ็บสาหัส ตาข้างขวาเริ่มมองไม่เห็น เป็นแผลพุพองทั่วใบหน้า ลําคอ และแผ่นหลัง ทั้งยังต้องรับภาระเลี้ยงดูลูกชายอีก 2 คน วัย 1 ขวบ และ 4 ขวบ ครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาล ที่อําเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดบุรีรัมย์ (พมจ.บุรีรัมย์) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว พร้อมให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดยเฉพาะการรักษาพยาบาลของหญิงสาวดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และเร่งเยียวยาและฟื้นฟูสภาพจิตใจจากการถูกทําร้ายร่างกาย อีกทั้ง การศึกษาเล่าเรียนของเด็กชายทั้ง 2 คน ในระยะยาว และทางทีม พม. ในพื้นที่จะติดตามการให้ความช่วยเหลือเป็นระยะอย่างต่อเนื่องต่อไป
นายไมตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า จากกรณีหญิงวัย 40 ปี ป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านม เป็นแผลเน่าขนาดใหญ่ทั่วทั้งหน้าอก สร้างความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างมาก อาศัยอยู่กับสามี และลูกสาววัย 13 ปี ครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาล ที่อําเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดฉะเชิงเทรา (พมจ.ฉะเชิงเทรา) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว พร้อมให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ รวมทั้งมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การเรียน นอกจากนี้ ได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด และเรื่องการศึกษาเล่าเรียนของเด็กหญิงในระยะยาวของเด็กต่อไป อีกทั้งการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ต่างๆ เพื่อคุณภาพชีวิตที่เหมาะสมต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2673
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงพลังงาน จับมือ ปตท. "รวมพลัง ช่วยเหลือผู้ประสบภัยภาคใต้"
|
วันพุธที่ 11 มกราคม 2560
กระทรวงพลังงาน จับมือ ปตท. "รวมพลัง ช่วยเหลือผู้ประสบภัยภาคใต้"
พลเอกอนันตพรกาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย นายเทวินทร์ วงศ์วาณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) ร่วมบรรจุถุงยังชีพร่วมกับอาสาสมัครกลุ่มพลังไทยใจอาสา
วันนี้ (10 มกราคม 2560) พลเอก อนันตพรกาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย นายเทวินทร์ วงศ์วาณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) ร่วมบรรจุถุงยังชีพร่วมกับอาสาสมัครกลุ่มพลังไทยใจอาสา พร้อมทั้ง เป็นประธานพิธีปล่อยรถ "รวมพลัง ช่วยผู้ประสบภัยภาคใต้" ซึ่งจะบรรทุกถุงยังชีพ จํานวน 2,000 ถุง ไปช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ณ บริเวณพื้นที่ลานเข็มทิศ อาคาร ปตท. สํานักงานใหญ่ ถนนวิภาวดี ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงพลังงาน ได้ติดตามสถานการณ์น้ําท่วมในพื้นที่ภาคใต้อย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือพร้อมกําชับบุคลากรในพื้นที่เข้าไปช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยอย่างทันทีและต่อเนื่อง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงพลังงาน จับมือ ปตท. "รวมพลัง ช่วยเหลือผู้ประสบภัยภาคใต้"
วันพุธที่ 11 มกราคม 2560
กระทรวงพลังงาน จับมือ ปตท. "รวมพลัง ช่วยเหลือผู้ประสบภัยภาคใต้"
พลเอกอนันตพรกาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย นายเทวินทร์ วงศ์วาณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) ร่วมบรรจุถุงยังชีพร่วมกับอาสาสมัครกลุ่มพลังไทยใจอาสา
วันนี้ (10 มกราคม 2560) พลเอก อนันตพรกาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย นายเทวินทร์ วงศ์วาณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) ร่วมบรรจุถุงยังชีพร่วมกับอาสาสมัครกลุ่มพลังไทยใจอาสา พร้อมทั้ง เป็นประธานพิธีปล่อยรถ "รวมพลัง ช่วยผู้ประสบภัยภาคใต้" ซึ่งจะบรรทุกถุงยังชีพ จํานวน 2,000 ถุง ไปช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ณ บริเวณพื้นที่ลานเข็มทิศ อาคาร ปตท. สํานักงานใหญ่ ถนนวิภาวดี ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงพลังงาน ได้ติดตามสถานการณ์น้ําท่วมในพื้นที่ภาคใต้อย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือพร้อมกําชับบุคลากรในพื้นที่เข้าไปช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยอย่างทันทีและต่อเนื่อง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1285
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษของนายกรัฐมนตรี
|
วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2561
พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษของนายกรัฐมนตรี
พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและประธานกรรมการที่ปรึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษของนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษของนายกรัฐมนตรี
วันนี้ เวลา 10.00 น. พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและประธานกรรมการที่ปรึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษของนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษของนายกรัฐมนตรี ณ ห้องประชุมอาคารรับรองเกษะโกมล บ้านเกษะโกมล
การประชุมในวันนี้ คณะกรรมการ ฯ เห็นว่าโดยที่ในปี 2560 ประเทศไทยมีประชากรผู้สูงอายุ 11.35 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 16.8 ของประชากรไทย และมีสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุนั้นทําให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนแปลงไป จึงต้องกําหนดมาตรการ โดยการร่วมมือของกระทรวง ส่วนราชการ และภาคเอกชน ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะด้านการดูแลผู้สูงอายุ ด้านแรงงาน ซึ่งผู้สูงอายุต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการทํางานเพิ่มเติม รวมทั้งจะต้องเตรียมการรองรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศและก้าวไปสู่ THAILAND 4.0 อย่างเป็นรูปธรรม คณะกรรมการ ฯ จึงสมควรเสนอให้มีการกําหนดเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ ในการเตรียมความพร้อมรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ อันจะทําให้ผู้สูงอายุเข้าถึง สิทธิประโยชน์ ความคุ้มครอง และความเป็นธรรมในการทํางานต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษของนายกรัฐมนตรี
วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2561
พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษของนายกรัฐมนตรี
พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและประธานกรรมการที่ปรึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษของนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษของนายกรัฐมนตรี
วันนี้ เวลา 10.00 น. พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและประธานกรรมการที่ปรึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษของนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษของนายกรัฐมนตรี ณ ห้องประชุมอาคารรับรองเกษะโกมล บ้านเกษะโกมล
การประชุมในวันนี้ คณะกรรมการ ฯ เห็นว่าโดยที่ในปี 2560 ประเทศไทยมีประชากรผู้สูงอายุ 11.35 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 16.8 ของประชากรไทย และมีสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุนั้นทําให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนแปลงไป จึงต้องกําหนดมาตรการ โดยการร่วมมือของกระทรวง ส่วนราชการ และภาคเอกชน ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะด้านการดูแลผู้สูงอายุ ด้านแรงงาน ซึ่งผู้สูงอายุต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการทํางานเพิ่มเติม รวมทั้งจะต้องเตรียมการรองรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศและก้าวไปสู่ THAILAND 4.0 อย่างเป็นรูปธรรม คณะกรรมการ ฯ จึงสมควรเสนอให้มีการกําหนดเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ ในการเตรียมความพร้อมรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ อันจะทําให้ผู้สูงอายุเข้าถึง สิทธิประโยชน์ ความคุ้มครอง และความเป็นธรรมในการทํางานต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10804
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ห่วงเด็ก ผู้สูงอายุ เป็นไข้หวัด หลังเล่นน้ำสงกรานต์ รีบรักษาป้องกันปอดบวม
|
วันจันทร์ที่ 16 เมษายน 2561
สธ.ห่วงเด็ก ผู้สูงอายุ เป็นไข้หวัด หลังเล่นน้ําสงกรานต์ รีบรักษาป้องกันปอดบวม
กระทรวงสาธารณสุข ห่วงประชาชนอาจป่วยเป็นไข้หวัด หลังเล่นน้ําช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยเฉพาะเด็กเล็ก ผู้สูงวัย หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน รีบพบแพทย์ทันทีป้องกันลุกลามเป็นปอดบวม
กระทรวงสาธารณสุข ห่วงประชาชนอาจป่วยเป็นไข้หวัด หลังเล่นน้ําช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยเฉพาะเด็กเล็ก ผู้สูงวัย หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน รีบพบแพทย์ทันทีป้องกันลุกลามเป็นปอดบวม
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข ห่วงสุขภาพประชาชน อาจเจ็บป่วยได้จากการเล่นน้ําช่วงสงกรานต์ ตัวเปียกชื้นทั้งวัน ประกอบกับสภาพอากาศร้อนและเปลี่ยนแปลงเร็ว ทําให้ร่างกายอาจปรับตัวไม่ทัน อาจมีอาการเจ็บป่วยตามมา เช่น ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว อ่อนเพลีย ร้อนๆหนาวๆ แสบตา น้ํามูกไหล มีความเสี่ยงทําให้ป่วยเป็นไข้หวัด หากไม่รักษาอย่างถูกต้องอาจลุกลามเป็นโรคปอดบวมได้
“หากมีอาการไข้หวัด ตัวร้อน อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ คัดจมูก หรือเจ็บคอเล็กน้อย ขอให้นอนพักอย่างเต็มที่ ใช้ผ้าปิดปากและจมูกเวลาไอ จาม ป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน ให้รีบพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้านทันที เพราะมีความเสี่ยงอาจลุกลามเป็นโรคปอดบวมได้”นายแพทย์โอภาส กล่าว
นอกจากนี้ โรคที่อาจพบหลังเล่นน้ําสงกรานต์ คือโรคตาแดง จะมีอาการคันในลูกตา เคืองตา ปวดลูกตา น้ําตาไหล มีขี้ตาเป็นเมือก ให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือใช้ของร่วมกับผู้อื่น เพื่อลดการแพร่เชื้อโรค หมั่นล้างมือบ่อยๆ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หากอาการไม่ดีขึ้น เช่น ตาแดงมากขึ้น ปวดตามากขึ้น อักเสบ บวม แดง ขี้ตาสีคล้ายหนอง ควรรีบพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที
**************************** 16 เมษายน 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ห่วงเด็ก ผู้สูงอายุ เป็นไข้หวัด หลังเล่นน้ำสงกรานต์ รีบรักษาป้องกันปอดบวม
วันจันทร์ที่ 16 เมษายน 2561
สธ.ห่วงเด็ก ผู้สูงอายุ เป็นไข้หวัด หลังเล่นน้ําสงกรานต์ รีบรักษาป้องกันปอดบวม
กระทรวงสาธารณสุข ห่วงประชาชนอาจป่วยเป็นไข้หวัด หลังเล่นน้ําช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยเฉพาะเด็กเล็ก ผู้สูงวัย หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน รีบพบแพทย์ทันทีป้องกันลุกลามเป็นปอดบวม
กระทรวงสาธารณสุข ห่วงประชาชนอาจป่วยเป็นไข้หวัด หลังเล่นน้ําช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยเฉพาะเด็กเล็ก ผู้สูงวัย หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน รีบพบแพทย์ทันทีป้องกันลุกลามเป็นปอดบวม
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข ห่วงสุขภาพประชาชน อาจเจ็บป่วยได้จากการเล่นน้ําช่วงสงกรานต์ ตัวเปียกชื้นทั้งวัน ประกอบกับสภาพอากาศร้อนและเปลี่ยนแปลงเร็ว ทําให้ร่างกายอาจปรับตัวไม่ทัน อาจมีอาการเจ็บป่วยตามมา เช่น ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว อ่อนเพลีย ร้อนๆหนาวๆ แสบตา น้ํามูกไหล มีความเสี่ยงทําให้ป่วยเป็นไข้หวัด หากไม่รักษาอย่างถูกต้องอาจลุกลามเป็นโรคปอดบวมได้
“หากมีอาการไข้หวัด ตัวร้อน อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ คัดจมูก หรือเจ็บคอเล็กน้อย ขอให้นอนพักอย่างเต็มที่ ใช้ผ้าปิดปากและจมูกเวลาไอ จาม ป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน ให้รีบพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้านทันที เพราะมีความเสี่ยงอาจลุกลามเป็นโรคปอดบวมได้”นายแพทย์โอภาส กล่าว
นอกจากนี้ โรคที่อาจพบหลังเล่นน้ําสงกรานต์ คือโรคตาแดง จะมีอาการคันในลูกตา เคืองตา ปวดลูกตา น้ําตาไหล มีขี้ตาเป็นเมือก ให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือใช้ของร่วมกับผู้อื่น เพื่อลดการแพร่เชื้อโรค หมั่นล้างมือบ่อยๆ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หากอาการไม่ดีขึ้น เช่น ตาแดงมากขึ้น ปวดตามากขึ้น อักเสบ บวม แดง ขี้ตาสีคล้ายหนอง ควรรีบพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที
**************************** 16 เมษายน 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11504
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ไอซีที จับมือ 11 หน่วยงานรัฐ-เอกชนจัดทำฐานข้อมูลและเชื่อมโยงข้อมูลสินค้าของประเทศ
|
วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2559
ก.ไอซีที จับมือ 11 หน่วยงานรัฐ-เอกชนจัดทําฐานข้อมูลและเชื่อมโยงข้อมูลสินค้าของประเทศ
ก.ไอซีที จับมือ 11 หน่วยงานรัฐ-เอกชนจัดทําฐานข้อมูลและเชื่อมโยงข้อมูลสินค้าของประเทศ
กระทรวงไอซีที เดินหน้าสานพลังประชารัฐ ลงนามกับ11 หน่วยงานรัฐและเอกชน ร่วมมือจัดเก็บฐานข้อมูลและการเชื่อมโยงข้อมูลสินค้าของประเทศ (National Product Catalogue) หวังจัดระเบียบข้อมูลสินค้า ลดปัญหาการลอกเลียนแบบสินค้า สร้างความน่าเชื่อถือให้ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ พร้อมกระตุ้นผู้ประกอบการให้ปรับตัวรองรับการแข่งขันเสรีทางการค้าโลก
ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดงาน “การจัดเก็บฐานข้อมูลและการเชื่อมโยงข้อมูลสินค้าของประเทศ (National Product Catalogue) และการลงนามบันทึกข้อตกลงภายใต้โครงการศึกษาแนวทางการเชื่อมโยงข้อมูลสินค้าและกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับสินค้า (Traceability) ว่า เพื่อให้ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และเจ้าของสินค้า เก็บข้อมูล และสามารถแลกเปลี่ยน เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างผู้ใช้งานกับเจ้าของสินค้าโดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการทําธุรกรรมต่าง ๆ เช่น ระบบค้าขายออนไลน์ (e-Commerce) ระบบ e-Payment ระบบการเก็บข้อมูลการขายและข้อมูลการจ่ายเงินที่เกิดขึ้นเมื่อมีการขายสินค้าหรือบริการ (Point of Sale : POS) เป็นต้น ให้สามารถนําข้อมูลในฐานข้อมูลกลางสินค้าของประเทศ (National Product Catalogue) ซึ่งเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง สามารถอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลไปใช้ทางธุรกิจได้ เนื่องจากปัจจุบันมีการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อจําหน่ายเป็นจํานวนมาก แต่ยังไม่มีหน่วยงานหรือองค์กรใดจับเก็บข้อมูลสินค้าให้เป็นระเบียบระบบอย่างชัดเจน ทําให้เกิดปัญหาสินค้าลอกเลียนแบบ สินค้าที่ไม่มีการรับรองจากหน่วยงานภาครัฐ ทําให้ผู้ประกอบการของไทยขาดโอกาสและสูญเสียรายได้จากการส่งออกสินค้าในแต่ละปีคิดเป็นเงินจํานวนมหาศาล
ดังนั้น การจัดทําฐานข้อมูลสินค้าแห่งชาติขึ้น เพื่อรวบรวมข้อมูลและรายละเอียดสินค้าต่างๆ เป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดเก็บสินค้า ด้วยกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับสินค้า (Product Traceability) เช่น กระบวนการผลิตอาหาร สินค้าอุปโภค-บริโภค โดยเฉพาะสินค้าอาหารทะเลที่อาจมีการใช้แรงงานประมงผิดกฎหมาย ตลอดจนระบบห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) หากนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาจัดทําข้อมูล เพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและความมั่นใจให้กับผู้บริโภค อีกทั้งเป็นการรองรับการค้าปกติ (Off Line) และการค้าขายออนไลน์ผ่านระบบอีคอมเมิร์ช รวมถึงระบบที่ผู้ซื้อเลือกและสั่งสินค้าบนโลกออนไลน์ แล้วรับสินค้าจากหน้าร้านที่กําหนด หรือผู้ซื้อเลือกสินค้าจากโชว์รูม ห้างสรรพสินค้า และสั่งซื้อผ่านระบบอีคอมเมิร์ชให้จัดส่งสินค้าที่บ้าน (Omni Channel) ได้อย่างมั่นใจในสินค้าไทย
“โครงการนี้เกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนตามนโยบายประชารัฐ ซึ่งจะทําให้เกิดประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน โดยผู้บริโภคจะสามารถตรวจสอบการรับรองมาตรฐานสินค้า และร้องเรียนกรณีสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ผู้ผลิตสินค้าเองก็ได้ประโยชน์จากการเผยแพร่ข้อมูลสินค้าที่เป็นประโยชน์ต่อการขายสินค้า การใช้งานสินค้าอย่างถูกวิธี การประชาสัมพันธ์มาตรฐานต่าง ๆ ที่สินค้าได้รับ ภาครัฐเองก็ได้ประโยชน์จากการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ผู้บริโภค ทําให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจก่อนการซื้อสินค้า ลดปัญหาการร้องเรียนในภายหลัง ซึ่งหน่วยงานรัฐและเอกชนดังกล่าวนี้ ประกอบด้วย กระทรวงไอซีที กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สํานักนายกรัฐมนตรี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) สํานักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย สมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย และสมาคมผู้ค้าปลีกไทย แนวทางดังกล่าวเป็นการดําเนินงานในลักษณะบูรณาการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ซึ่งต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป” ดร.อุตตม กล่าวในที่สุด
************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ไอซีที จับมือ 11 หน่วยงานรัฐ-เอกชนจัดทำฐานข้อมูลและเชื่อมโยงข้อมูลสินค้าของประเทศ
วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2559
ก.ไอซีที จับมือ 11 หน่วยงานรัฐ-เอกชนจัดทําฐานข้อมูลและเชื่อมโยงข้อมูลสินค้าของประเทศ
ก.ไอซีที จับมือ 11 หน่วยงานรัฐ-เอกชนจัดทําฐานข้อมูลและเชื่อมโยงข้อมูลสินค้าของประเทศ
กระทรวงไอซีที เดินหน้าสานพลังประชารัฐ ลงนามกับ11 หน่วยงานรัฐและเอกชน ร่วมมือจัดเก็บฐานข้อมูลและการเชื่อมโยงข้อมูลสินค้าของประเทศ (National Product Catalogue) หวังจัดระเบียบข้อมูลสินค้า ลดปัญหาการลอกเลียนแบบสินค้า สร้างความน่าเชื่อถือให้ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ พร้อมกระตุ้นผู้ประกอบการให้ปรับตัวรองรับการแข่งขันเสรีทางการค้าโลก
ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดงาน “การจัดเก็บฐานข้อมูลและการเชื่อมโยงข้อมูลสินค้าของประเทศ (National Product Catalogue) และการลงนามบันทึกข้อตกลงภายใต้โครงการศึกษาแนวทางการเชื่อมโยงข้อมูลสินค้าและกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับสินค้า (Traceability) ว่า เพื่อให้ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และเจ้าของสินค้า เก็บข้อมูล และสามารถแลกเปลี่ยน เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างผู้ใช้งานกับเจ้าของสินค้าโดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการทําธุรกรรมต่าง ๆ เช่น ระบบค้าขายออนไลน์ (e-Commerce) ระบบ e-Payment ระบบการเก็บข้อมูลการขายและข้อมูลการจ่ายเงินที่เกิดขึ้นเมื่อมีการขายสินค้าหรือบริการ (Point of Sale : POS) เป็นต้น ให้สามารถนําข้อมูลในฐานข้อมูลกลางสินค้าของประเทศ (National Product Catalogue) ซึ่งเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง สามารถอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลไปใช้ทางธุรกิจได้ เนื่องจากปัจจุบันมีการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อจําหน่ายเป็นจํานวนมาก แต่ยังไม่มีหน่วยงานหรือองค์กรใดจับเก็บข้อมูลสินค้าให้เป็นระเบียบระบบอย่างชัดเจน ทําให้เกิดปัญหาสินค้าลอกเลียนแบบ สินค้าที่ไม่มีการรับรองจากหน่วยงานภาครัฐ ทําให้ผู้ประกอบการของไทยขาดโอกาสและสูญเสียรายได้จากการส่งออกสินค้าในแต่ละปีคิดเป็นเงินจํานวนมหาศาล
ดังนั้น การจัดทําฐานข้อมูลสินค้าแห่งชาติขึ้น เพื่อรวบรวมข้อมูลและรายละเอียดสินค้าต่างๆ เป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดเก็บสินค้า ด้วยกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับสินค้า (Product Traceability) เช่น กระบวนการผลิตอาหาร สินค้าอุปโภค-บริโภค โดยเฉพาะสินค้าอาหารทะเลที่อาจมีการใช้แรงงานประมงผิดกฎหมาย ตลอดจนระบบห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) หากนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาจัดทําข้อมูล เพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและความมั่นใจให้กับผู้บริโภค อีกทั้งเป็นการรองรับการค้าปกติ (Off Line) และการค้าขายออนไลน์ผ่านระบบอีคอมเมิร์ช รวมถึงระบบที่ผู้ซื้อเลือกและสั่งสินค้าบนโลกออนไลน์ แล้วรับสินค้าจากหน้าร้านที่กําหนด หรือผู้ซื้อเลือกสินค้าจากโชว์รูม ห้างสรรพสินค้า และสั่งซื้อผ่านระบบอีคอมเมิร์ชให้จัดส่งสินค้าที่บ้าน (Omni Channel) ได้อย่างมั่นใจในสินค้าไทย
“โครงการนี้เกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนตามนโยบายประชารัฐ ซึ่งจะทําให้เกิดประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน โดยผู้บริโภคจะสามารถตรวจสอบการรับรองมาตรฐานสินค้า และร้องเรียนกรณีสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ผู้ผลิตสินค้าเองก็ได้ประโยชน์จากการเผยแพร่ข้อมูลสินค้าที่เป็นประโยชน์ต่อการขายสินค้า การใช้งานสินค้าอย่างถูกวิธี การประชาสัมพันธ์มาตรฐานต่าง ๆ ที่สินค้าได้รับ ภาครัฐเองก็ได้ประโยชน์จากการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ผู้บริโภค ทําให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจก่อนการซื้อสินค้า ลดปัญหาการร้องเรียนในภายหลัง ซึ่งหน่วยงานรัฐและเอกชนดังกล่าวนี้ ประกอบด้วย กระทรวงไอซีที กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สํานักนายกรัฐมนตรี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) สํานักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย สมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย และสมาคมผู้ค้าปลีกไทย แนวทางดังกล่าวเป็นการดําเนินงานในลักษณะบูรณาการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ซึ่งต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป” ดร.อุตตม กล่าวในที่สุด
************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/124
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ให้การต้อนรับและหารือกับประธานมูลนิธิ Nobel Charitable Trust สร้างความพร้อมและพัฒนาอัจฉริยภาพเยาวชนไทยสู่รางวัลโนเบล
|
วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562
ศธ.ให้การต้อนรับและหารือกับประธานมูลนิธิ Nobel Charitable Trust สร้างความพร้อมและพัฒนาอัจฉริยภาพเยาวชนไทยสู่รางวัลโนเบล
ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับ Mr David M. Matsumoto, ประธานมูลนิธิ Nobel Charitable Trust (NCT) และคณะ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ
ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับ Mr David M. Matsumoto, ประธานมูลนิธิ Nobel Charitable Trust (NCT) และคณะ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ
ม.ล.ปริยดา ดิศกุลกล่าวว่า ได้ให้การต้อนรับและหารือกับผู้แทนมูลนิธิ Nobel Charitable Trust Foundationจากประเทศสวีเดนรวมทั้งผู้แทนจากโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย มูลนิธิพัฒนามนุษย์นานาชาติโฟกัส และสถาบันโฟกัสอะคาเดมี่เพื่อสร้างความพร้อมและเป็นต้นแบบในการพัฒนาอัจฉริยภาพเยาวชนไทย สู่รางวัลโนเบลคนแรกของไทย และคนที่ 3 ของอาเซียน
โดยมีกิจกรรมที่ต้องดําเนินการคือ เตรียมคัดเลือกนักเรียนทุนของไทย 3 คน ไปร่วมงาน Polo Club และเข้าพบสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ในเดือนมิถุนายน 2562, และนักเรียนทุนอีก 3 คน ไปร่วมงาน Nobel Prize Ceremony Award และเข้าพบ Dr Michael Nobel ที่ประเทศสวีเดน ในเดือนธันวาคม 2562 รวมทั้งเตรียมศึกษาแนวทางการสร้างพิพิธภัณฑ์โนเบล(Nobel Inspiration Museum)เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน
ในการเดินทางครั้งนี้ มูลนิธิได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมชมโรงเรียนต้นแบบพัฒนาด้านการเรียนรู้ในจังหวัดกาญจนบุรีเพื่อสนับสนุนทุนในหลักสูตรต่าง ๆ ที่สามารถพัฒนาศักยภาพนักเรียนไทยไปสู่ระดับโลก โดยมูลนิธิพร้อมจะจัดตั้งศูนย์ Global Genius Center ประจําจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมทั้งขอรับการสนับสนุนจาก ศธ.ให้โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยเป็นศูนย์ต้นแบบ Global Genius Center
นอกจากนี้ มูลนิธิจะร่วมจัดงาน Nobel Inspiration Award เพื่อค้นหานักเรียนที่สร้างนวัตกรรมเพื่อมวลมนุษยชาติ ก่อนจะขยายผลโครงการนําร่อง 20 โรงเรียนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งดําเนินการโครงการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการสากล Global Entrepreneurship Center เน้นพัฒนาครูต้นแบบในระบบ Coaching ด้วยการฝึกลงมือทํา ติดตามผล และมีผลลัพธ์ที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถสร้างธุรกิจได้ด้วยตัวเอง (Start Up) หรือการเป็นผู้ประกอบการรุ่นเยาว์ ซึ่งจะช่วยสร้างผู้ประกอบการพันธุ์ใหม่ของไทยอีกด้วย
ด้านประธานมูลนิธิมูลนิธิพัฒนามนุษย์นานาชาติโฟกัส และสถาบันโฟกัสอะคาเดมี่(Focus Human Development International Foundation และ Focus Academy)กล่าวว่า มูลนิธิมีหลักสูตรการพัฒนาผู้ประกอบการสากล (Global Entrepreneurship Forum) ของ GPS. Dutch Model ที่เน้นการฝึกให้ผู้เรียนได้เรียนและทํางานร่วมกันตามความถนัดของแต่ละบุคคล ช่วยส่งเสริมให้เข้าใจวิธีการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างธุรกิจ และสร้างความสําเร็จร่วมกัน โดยหลักสูตรนี้พร้อมนํามาใช้ในระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และอุดมศึกษาของไทย
อนึ่ง ในการเดินทางมาไทยในครั้งนี้มูลนิธิNCTได้มอบเหรียญที่ระลึกตระกูลโนเบล 3 เหรียญ ให้แก่โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยถือเป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับรางวัลนี้ เพื่อที่จะได้เป็นแรงจูงใจและแรงขับเคลื่อนให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้สร้างสรรค์ผลงานวิจัยและความคิดสร้างสรรค์ที่จะเป็นประโยชน์แก่สังคมส่วนรวมในแต่ละปี ประกอบด้วย Coin of Alfred Nobel, Coin of Peter the Great และ Coin of Mikhail Lomonosov โดยเหรียญทั้งสามแสดงถึงสัญลักษณ์ 5 ประการ เป็นองค์ประกอบแห่งความสําเร็จ ได้แก่ ความมีปัญญา ความกล้าหาญ ความกตัญญู ความรัก และการสนับสนุนซึ่งกันและกัน โดยจัดพิธีมอบเมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมาณ ห้องประชุมนวมภูมินทร์ วชิราวุธวิทยาลัย โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุรวุธ กิจกุศล ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยเป็นผู้รับมอบ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร คณาจารย์ นักเรียน โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย และโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย รวมทั้งผู้มีเกียรติเข้าร่วมเป็นเกียรติกว่า 900 คน
Written byอรพรรณ ฤทธิ์มั่น
ขอบคุณข้อมูลมูลนิธิพัฒนามนุษย์นานาชาติโฟกัส
Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ให้การต้อนรับและหารือกับประธานมูลนิธิ Nobel Charitable Trust สร้างความพร้อมและพัฒนาอัจฉริยภาพเยาวชนไทยสู่รางวัลโนเบล
วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562
ศธ.ให้การต้อนรับและหารือกับประธานมูลนิธิ Nobel Charitable Trust สร้างความพร้อมและพัฒนาอัจฉริยภาพเยาวชนไทยสู่รางวัลโนเบล
ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับ Mr David M. Matsumoto, ประธานมูลนิธิ Nobel Charitable Trust (NCT) และคณะ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ
ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับ Mr David M. Matsumoto, ประธานมูลนิธิ Nobel Charitable Trust (NCT) และคณะ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ
ม.ล.ปริยดา ดิศกุลกล่าวว่า ได้ให้การต้อนรับและหารือกับผู้แทนมูลนิธิ Nobel Charitable Trust Foundationจากประเทศสวีเดนรวมทั้งผู้แทนจากโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย มูลนิธิพัฒนามนุษย์นานาชาติโฟกัส และสถาบันโฟกัสอะคาเดมี่เพื่อสร้างความพร้อมและเป็นต้นแบบในการพัฒนาอัจฉริยภาพเยาวชนไทย สู่รางวัลโนเบลคนแรกของไทย และคนที่ 3 ของอาเซียน
โดยมีกิจกรรมที่ต้องดําเนินการคือ เตรียมคัดเลือกนักเรียนทุนของไทย 3 คน ไปร่วมงาน Polo Club และเข้าพบสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ในเดือนมิถุนายน 2562, และนักเรียนทุนอีก 3 คน ไปร่วมงาน Nobel Prize Ceremony Award และเข้าพบ Dr Michael Nobel ที่ประเทศสวีเดน ในเดือนธันวาคม 2562 รวมทั้งเตรียมศึกษาแนวทางการสร้างพิพิธภัณฑ์โนเบล(Nobel Inspiration Museum)เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน
ในการเดินทางครั้งนี้ มูลนิธิได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมชมโรงเรียนต้นแบบพัฒนาด้านการเรียนรู้ในจังหวัดกาญจนบุรีเพื่อสนับสนุนทุนในหลักสูตรต่าง ๆ ที่สามารถพัฒนาศักยภาพนักเรียนไทยไปสู่ระดับโลก โดยมูลนิธิพร้อมจะจัดตั้งศูนย์ Global Genius Center ประจําจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมทั้งขอรับการสนับสนุนจาก ศธ.ให้โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยเป็นศูนย์ต้นแบบ Global Genius Center
นอกจากนี้ มูลนิธิจะร่วมจัดงาน Nobel Inspiration Award เพื่อค้นหานักเรียนที่สร้างนวัตกรรมเพื่อมวลมนุษยชาติ ก่อนจะขยายผลโครงการนําร่อง 20 โรงเรียนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งดําเนินการโครงการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการสากล Global Entrepreneurship Center เน้นพัฒนาครูต้นแบบในระบบ Coaching ด้วยการฝึกลงมือทํา ติดตามผล และมีผลลัพธ์ที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถสร้างธุรกิจได้ด้วยตัวเอง (Start Up) หรือการเป็นผู้ประกอบการรุ่นเยาว์ ซึ่งจะช่วยสร้างผู้ประกอบการพันธุ์ใหม่ของไทยอีกด้วย
ด้านประธานมูลนิธิมูลนิธิพัฒนามนุษย์นานาชาติโฟกัส และสถาบันโฟกัสอะคาเดมี่(Focus Human Development International Foundation และ Focus Academy)กล่าวว่า มูลนิธิมีหลักสูตรการพัฒนาผู้ประกอบการสากล (Global Entrepreneurship Forum) ของ GPS. Dutch Model ที่เน้นการฝึกให้ผู้เรียนได้เรียนและทํางานร่วมกันตามความถนัดของแต่ละบุคคล ช่วยส่งเสริมให้เข้าใจวิธีการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างธุรกิจ และสร้างความสําเร็จร่วมกัน โดยหลักสูตรนี้พร้อมนํามาใช้ในระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และอุดมศึกษาของไทย
อนึ่ง ในการเดินทางมาไทยในครั้งนี้มูลนิธิNCTได้มอบเหรียญที่ระลึกตระกูลโนเบล 3 เหรียญ ให้แก่โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยถือเป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับรางวัลนี้ เพื่อที่จะได้เป็นแรงจูงใจและแรงขับเคลื่อนให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้สร้างสรรค์ผลงานวิจัยและความคิดสร้างสรรค์ที่จะเป็นประโยชน์แก่สังคมส่วนรวมในแต่ละปี ประกอบด้วย Coin of Alfred Nobel, Coin of Peter the Great และ Coin of Mikhail Lomonosov โดยเหรียญทั้งสามแสดงถึงสัญลักษณ์ 5 ประการ เป็นองค์ประกอบแห่งความสําเร็จ ได้แก่ ความมีปัญญา ความกล้าหาญ ความกตัญญู ความรัก และการสนับสนุนซึ่งกันและกัน โดยจัดพิธีมอบเมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมาณ ห้องประชุมนวมภูมินทร์ วชิราวุธวิทยาลัย โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุรวุธ กิจกุศล ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยเป็นผู้รับมอบ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร คณาจารย์ นักเรียน โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย และโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย รวมทั้งผู้มีเกียรติเข้าร่วมเป็นเกียรติกว่า 900 คน
Written byอรพรรณ ฤทธิ์มั่น
ขอบคุณข้อมูลมูลนิธิพัฒนามนุษย์นานาชาติโฟกัส
Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18499
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.ประชุมคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ครั้งที่ 1/2563
|
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563
ทส.ประชุมคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ครั้งที่ 1/2563
ทส.ประชุมคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ครั้งที่ 1/2563
ทส.ประชุมคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ครั้งที่ 1/2563
วันที่ 8 เม.ย. 63 เวลา 13.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ครั้งที่ 1/2563 ติดตามผลการประชุมระเบียบกรมประมง ว่าด้วยการแจ้งครอบครองสัตว์ป่าสงวนและซากสัตว์ป่าสงวน การออกใบอนุญาตครอบครองสัตว์ป่าสงวนชั่วคราว และการออกใบรับรองการครอบครองซากสัตว์ป่าสงวนสําหรับสัตว์ป่าสงวนชนิดวาฬบรูด้า วาฬโอมูระ เต่ามะเฟือง และปลาฉลามวาฬ พ.ศ. 2562 รวมถึงพิจารณาเกี่ยวกับกฎหมายลําดับรองประกอบพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 การขยายพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และการประกาศพื้นที่เตรียมการกําหนดเป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่า โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะผู้บริหาร ทส. เข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุม 202 ชั้น 2 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.ประชุมคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ครั้งที่ 1/2563
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563
ทส.ประชุมคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ครั้งที่ 1/2563
ทส.ประชุมคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ครั้งที่ 1/2563
ทส.ประชุมคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ครั้งที่ 1/2563
วันที่ 8 เม.ย. 63 เวลา 13.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ครั้งที่ 1/2563 ติดตามผลการประชุมระเบียบกรมประมง ว่าด้วยการแจ้งครอบครองสัตว์ป่าสงวนและซากสัตว์ป่าสงวน การออกใบอนุญาตครอบครองสัตว์ป่าสงวนชั่วคราว และการออกใบรับรองการครอบครองซากสัตว์ป่าสงวนสําหรับสัตว์ป่าสงวนชนิดวาฬบรูด้า วาฬโอมูระ เต่ามะเฟือง และปลาฉลามวาฬ พ.ศ. 2562 รวมถึงพิจารณาเกี่ยวกับกฎหมายลําดับรองประกอบพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 การขยายพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และการประกาศพื้นที่เตรียมการกําหนดเป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่า โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะผู้บริหาร ทส. เข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุม 202 ชั้น 2 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28925
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ร่วมกับ C.P.Group จัดอบรมโครงการเสริมสร้างศักยภาพการทำงานเป็นทีม "รวมพลังสร้างสรรค์ทีม” (The Synergy Teamwork) กลุ่มผู้บริหารสถานศึกษาและทีมงาน ครั้งที่ 3
|
วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2560
ศธ.ร่วมกับ C.P.Group จัดอบรมโครงการเสริมสร้างศักยภาพการทํางานเป็นทีม "รวมพลังสร้างสรรค์ทีม” (The Synergy Teamwork) กลุ่มผู้บริหารสถานศึกษาและทีมงาน ครั้งที่ 3
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตรวจเยี่ยมติดตามการดําเนินการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ปี พ.ศ.2560
ณ โรงเรียนเทพศิรินทร์ และโรงเรียนราชวินิต มัธยมโดยนายปริญญา ธรเสนา ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ปฏิบัติหน้าที่ศึกษาธิการจังหวัดกรุงเทพมหานคร ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานกรรมการศึกษาธิการจังหวัดกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยว่าที่ร้อยตรี อานนท์ ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ปฏิบัติหน้าที่รองศึกษาธิการจังหวัดกรุงเทพมหานคร, นายอนันต์ ทรัพย์วารี ผู้อํานวยการโรงเรียนเทพศิรินทร์, นายเทพฤทธิ์ ยอดใส ผู้อํานวยการโรงเรียนราชวินิต มัธยม นําเยี่ยมชมสนามสอบ
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวว่ากระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ. ได้กําหนดมาตรการป้องกันในการสอบบรรจุแข่งขันตําแหน่งครูผู้ช่วยครั้งนี้อย่างเข้มข้นตั้งแต่ก่อนสอบ ระหว่างสอบ และหลังสอบ โดยอนุญาตให้ผู้เข้าสอบนําดินสอ บัตรประจําตัวผู้สอบ เข้าห้องสอบเท่านั้น และก่อนเข้าห้องสอบทุกคนต้องผ่านการสแกนร่างกาย ซึ่งผู้เข้าสอบที่สวมเสื้อแขนยาวต้องพับแขนเสื้อ และไม่ให้สวมนาฬิกาข้อมือดิจิตอล เข็มขัด ห้ามนําโทรศัพท์มือถือหรือเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด รวมถึงปากกาลบคําผิด ปากกาเน้นข้อความเข้าไปในห้องสอบเด็ดขาด และกําหนดให้ทุกวิชาผู้เข้าสอบต้องนั่งอยู่ในห้องจนกว่าจะหมดเวลา
จากการรายงานผลภาพรวมการจัดสอบในครั้งนี้ยังคงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยการสอบในวันที่ 22 เมษายน 2560 เป็นการสอบข้อเขียนภาค ก(ความรอบรู้ ความสามารถทั่วไป และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคุณธรรม จริยธรรม และอุดมการณ์ของความเป็นครู มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา และมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานส่วน ภาค ข(ความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตําแหน่ง ได้แก่ ความรู้ความสามารถเกี่ยวกับวิชาการศึกษา และความรู้ความสามารถเกี่ยวกับกลุ่มวิชาหรือทาง หรือสาขาวิชาเอก) จัดสอบในวันที่ 23 เมษายน 2560 จากนั้นจะทําการสอบสัมภาษณ์ในวันที่ 24 เมษายน 2560 ซึ่งตลอดการสอบครั้งนี้ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ จะแบ่งสายลงพื้นที่ติดตามการสอบทุกภาค และจะมีการประกาศรายชื่อผู้สอบแข่งขันได้ภายในวันที่ 28 เมษายน 2560
โดยการสอบในครั้งนี้ สพฐ. เปิดสอบทั้งสิ้น 61 สาขาวิชา มีผู้สมัครสอบทั้งหมด 190,000 คนมีอัตราบรรจุได้ 6,437 อัตรา ใน 64 จังหวัด และสํานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ (สศศ.) ซึ่งแนวปฏิบัติใหม่ในจํานวน 61 สาขาวิชาที่เปิดสอบนี้ กําหนดให้ผู้สมัครต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู หรือ ผ่านหลักสูตรครู 5 ปี จํานวน 36 สาขาวิชา ส่วนที่เหลืออีก 25 สาขาวิชาจะมีใบอนุญาตฯ หรือไม่มีใบอนุญาตฯ มาสมัคร ก็ได้
อีกประเด็นคือมีสาขาภาษาต่างประเทศบางสาขาที่ไม่มีผู้มาสมัครสอบเลยเช่น ภาษาประเทศเพื่อนบ้าน ก็ต้องมีการพิจารณารับสมัครสอบต่อไปซึ่งเรื่องภาษาเป็นเรื่องที่เราต้องผลักดันให้ลูกหลานเยาวชนให้ความสนใจในยุคของความเปลี่ยนแปลงของโลก คือต้องการให้พูดให้ไพเราะ ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ถึงจะพูดช้าแต่ก็ต้องถูกต้องตามหลัก ไม่ใช่พูดสลับไทยบ้างต่างประเทศบ้างทั้งนี้สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนสาขาภาษาประเทศเพื่อนบ้านมีน้อยและเป็นค่านิยมของลูกหลานเรา แต่ไม่ใช่เฉพาะภาษาประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆของเราเท่านั้นแม้แต่ภาษาเกาหลีที่ลูกหลานเยาวชนของเราชื่นชอบการแสดงของเกาหลีและอะไรอีกหลายอย่างแต่มีคนเรียนภาษาเหล่านี้ไม่มากนักจึงเห็นว่าผู้ที่เก่งด้านภาษามากๆในด้านอักษรศาสตร์หรือภาษาศาสตร์จํานวนมากที่ไม่ได้มาเข้ารับราชการ เราจึงอาจมีวิธีการเชิญชวนเข้ามารับราชการเป็นครูซึ่งเท่ากับท่านจะช่วยขยายผลจากท่านเดียวกลายเป็น 10 เป็น 100 เป็น 1,000คนต่อไปซึ่งในการสอบครั้งนี้ก็ได้มีข้อยกเว้นสําหรับการสมัครสอบภาษาต่างประเทศบางสาขาโดยไม่ต้องมีใบประกอบวิชาชีพครูก็สามารถสมัครสอบได้
ม.ล. ปนัดดากล่าวย้ําถึงความเป็นครูด้วยว่าเป็นอาชีพเกียรติยศเกียรติศักดิ์ การมีความรู้ความสามารถก็ส่วนหนึ่งการมีวิทยาการแตกฉานก็ส่วนหนึ่ง แต่ความเมตตากรุณา ความรัก ความมีใจเอื้ออาทรต่อศิษย์เป็นอีกเรื่องหนึ่งโดยสิ้นเชิงดังนั้นผู้ที่จะเข้ามารับราชการครูจะต้องมีสิ่งเหล่านี้ให้มาก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ร่วมกับ C.P.Group จัดอบรมโครงการเสริมสร้างศักยภาพการทำงานเป็นทีม "รวมพลังสร้างสรรค์ทีม” (The Synergy Teamwork) กลุ่มผู้บริหารสถานศึกษาและทีมงาน ครั้งที่ 3
วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2560
ศธ.ร่วมกับ C.P.Group จัดอบรมโครงการเสริมสร้างศักยภาพการทํางานเป็นทีม "รวมพลังสร้างสรรค์ทีม” (The Synergy Teamwork) กลุ่มผู้บริหารสถานศึกษาและทีมงาน ครั้งที่ 3
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตรวจเยี่ยมติดตามการดําเนินการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ปี พ.ศ.2560
ณ โรงเรียนเทพศิรินทร์ และโรงเรียนราชวินิต มัธยมโดยนายปริญญา ธรเสนา ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร ปฏิบัติหน้าที่ศึกษาธิการจังหวัดกรุงเทพมหานคร ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานกรรมการศึกษาธิการจังหวัดกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยว่าที่ร้อยตรี อานนท์ ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ปฏิบัติหน้าที่รองศึกษาธิการจังหวัดกรุงเทพมหานคร, นายอนันต์ ทรัพย์วารี ผู้อํานวยการโรงเรียนเทพศิรินทร์, นายเทพฤทธิ์ ยอดใส ผู้อํานวยการโรงเรียนราชวินิต มัธยม นําเยี่ยมชมสนามสอบ
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวว่ากระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ. ได้กําหนดมาตรการป้องกันในการสอบบรรจุแข่งขันตําแหน่งครูผู้ช่วยครั้งนี้อย่างเข้มข้นตั้งแต่ก่อนสอบ ระหว่างสอบ และหลังสอบ โดยอนุญาตให้ผู้เข้าสอบนําดินสอ บัตรประจําตัวผู้สอบ เข้าห้องสอบเท่านั้น และก่อนเข้าห้องสอบทุกคนต้องผ่านการสแกนร่างกาย ซึ่งผู้เข้าสอบที่สวมเสื้อแขนยาวต้องพับแขนเสื้อ และไม่ให้สวมนาฬิกาข้อมือดิจิตอล เข็มขัด ห้ามนําโทรศัพท์มือถือหรือเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด รวมถึงปากกาลบคําผิด ปากกาเน้นข้อความเข้าไปในห้องสอบเด็ดขาด และกําหนดให้ทุกวิชาผู้เข้าสอบต้องนั่งอยู่ในห้องจนกว่าจะหมดเวลา
จากการรายงานผลภาพรวมการจัดสอบในครั้งนี้ยังคงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยการสอบในวันที่ 22 เมษายน 2560 เป็นการสอบข้อเขียนภาค ก(ความรอบรู้ ความสามารถทั่วไป และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคุณธรรม จริยธรรม และอุดมการณ์ของความเป็นครู มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา และมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานส่วน ภาค ข(ความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตําแหน่ง ได้แก่ ความรู้ความสามารถเกี่ยวกับวิชาการศึกษา และความรู้ความสามารถเกี่ยวกับกลุ่มวิชาหรือทาง หรือสาขาวิชาเอก) จัดสอบในวันที่ 23 เมษายน 2560 จากนั้นจะทําการสอบสัมภาษณ์ในวันที่ 24 เมษายน 2560 ซึ่งตลอดการสอบครั้งนี้ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ จะแบ่งสายลงพื้นที่ติดตามการสอบทุกภาค และจะมีการประกาศรายชื่อผู้สอบแข่งขันได้ภายในวันที่ 28 เมษายน 2560
โดยการสอบในครั้งนี้ สพฐ. เปิดสอบทั้งสิ้น 61 สาขาวิชา มีผู้สมัครสอบทั้งหมด 190,000 คนมีอัตราบรรจุได้ 6,437 อัตรา ใน 64 จังหวัด และสํานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ (สศศ.) ซึ่งแนวปฏิบัติใหม่ในจํานวน 61 สาขาวิชาที่เปิดสอบนี้ กําหนดให้ผู้สมัครต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู หรือ ผ่านหลักสูตรครู 5 ปี จํานวน 36 สาขาวิชา ส่วนที่เหลืออีก 25 สาขาวิชาจะมีใบอนุญาตฯ หรือไม่มีใบอนุญาตฯ มาสมัคร ก็ได้
อีกประเด็นคือมีสาขาภาษาต่างประเทศบางสาขาที่ไม่มีผู้มาสมัครสอบเลยเช่น ภาษาประเทศเพื่อนบ้าน ก็ต้องมีการพิจารณารับสมัครสอบต่อไปซึ่งเรื่องภาษาเป็นเรื่องที่เราต้องผลักดันให้ลูกหลานเยาวชนให้ความสนใจในยุคของความเปลี่ยนแปลงของโลก คือต้องการให้พูดให้ไพเราะ ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ถึงจะพูดช้าแต่ก็ต้องถูกต้องตามหลัก ไม่ใช่พูดสลับไทยบ้างต่างประเทศบ้างทั้งนี้สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนสาขาภาษาประเทศเพื่อนบ้านมีน้อยและเป็นค่านิยมของลูกหลานเรา แต่ไม่ใช่เฉพาะภาษาประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆของเราเท่านั้นแม้แต่ภาษาเกาหลีที่ลูกหลานเยาวชนของเราชื่นชอบการแสดงของเกาหลีและอะไรอีกหลายอย่างแต่มีคนเรียนภาษาเหล่านี้ไม่มากนักจึงเห็นว่าผู้ที่เก่งด้านภาษามากๆในด้านอักษรศาสตร์หรือภาษาศาสตร์จํานวนมากที่ไม่ได้มาเข้ารับราชการ เราจึงอาจมีวิธีการเชิญชวนเข้ามารับราชการเป็นครูซึ่งเท่ากับท่านจะช่วยขยายผลจากท่านเดียวกลายเป็น 10 เป็น 100 เป็น 1,000คนต่อไปซึ่งในการสอบครั้งนี้ก็ได้มีข้อยกเว้นสําหรับการสมัครสอบภาษาต่างประเทศบางสาขาโดยไม่ต้องมีใบประกอบวิชาชีพครูก็สามารถสมัครสอบได้
ม.ล. ปนัดดากล่าวย้ําถึงความเป็นครูด้วยว่าเป็นอาชีพเกียรติยศเกียรติศักดิ์ การมีความรู้ความสามารถก็ส่วนหนึ่งการมีวิทยาการแตกฉานก็ส่วนหนึ่ง แต่ความเมตตากรุณา ความรัก ความมีใจเอื้ออาทรต่อศิษย์เป็นอีกเรื่องหนึ่งโดยสิ้นเชิงดังนั้นผู้ที่จะเข้ามารับราชการครูจะต้องมีสิ่งเหล่านี้ให้มาก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3232
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.นำหลักสูตร Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง) ส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการเงินในโรงเรียน
|
วันจันทร์ที่ 3 กันยายน 2561
ศธ.นําหลักสูตร Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง) ส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการเงินในโรงเรียน
ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ดร.วัฒนาพร ระงับทุกข์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมแถลงข่าวเปิดตัว "Cha-Ching Curriculum (ชะ-ชิ้ง)" หลักสูตรพัฒนาครูในระดับประถมศึกษา เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการเงิน
ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ดร.วัฒนาพร ระงับทุกข์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายมาร์ค แฟนซี ผู้อํานวยการบริหาร พรูเด็นซ์ ฟาวน์เดชั่น, นายอามัน โชวลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน), คุณวิเวียน เลา ประธานจูเนียร์ อะชีฟเม้นท์ ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก, คุณหญิงชดช้อย โสภณพนิช ประธานจูเนียร์ อะชีฟเม้นท์ ประเทศไทย ร่วมแถลงข่าวเปิดตัว "Cha-Ching Curriculum (ชะ-ชิ้ง)" หลักสูตรพัฒนาครูในระดับประถมศึกษา เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการเงิน (Financial Literacy)เมื่อวันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 2561 ณ ห้องประชุมจันทรเกษม กระทรวงศึกษาธิการ
ม.ล.ปริยดา ดิศกุลเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า ในนามของกระทรวงศึกษาธิการ ขอขอบคุณหน่วยงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ที่ร่วมกันจัดอบรมหลักสูตร Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง) ให้กับโรงเรียนในประเทศไทย เพื่อสอนเรื่องการใช้เงินอย่างถูกต้องให้กับเด็ก ซึ่งสอดคล้องกับการดําเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่พยายามผลักดันให้เด็กได้เรียนรู้ที่มาของเงิน พร้อมทั้งปลูกฝังการใช้เงินและออมเงินอย่างรู้คุณค่าโดย Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง) เป็นหลักสูตรที่ใช้มาแล้วในหลายประเทศทั่วโลก และในปี 2561 จะนํามาใช้ในประเทศไทยอันจะเป็นประโยชน์กับเด็กและเยาวชนไทยเป้นอย่างมาก
ดร.วัฒนาพร ระงับทุกข์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า พรูเด็นซ์ ฟาวน์เดชั่น มีวัตถุประสงค์ที่จะนําหลักสูตร Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง) เข้ามาช่วยเติมเต็มการจัดการศึกษาด้านทักษะการบริหารการเงินของประเทศไทยเนื่องจากหลักสูตรในโรงเรียนของไทยยังไม่มีการสอนเรื่องนี้จึงเป็นโอกาสที่สําคัญยิ่งของเด็กและเยาวชนที่จะได้เรียนรู้หลักสูตรดี ๆ เช่นนี้ นําไปสู่การเรียนรู้อย่างมีคุณภาพ และการเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศต่อไป
นายมาร์ค แฟนซี ผู้อํานวยการบริหาร พรูเด็นซ์ ฟาวน์เดชั่นกล่าวว่า การศึกษาเป็นหัวใจสําคัญในการวางรากฐานเพื่อการพัฒนาในทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรอบรู้ด้านการเงิน ที่เข้ามีบทบาทสําคัญอย่างมากในการสร้างอนาคตทางการเงินให้แก่เด็กและเยาวชนพรูเด็นซ์ ฟาวน์เดชั่น จึงได้ร่วมกับการ์ตูนเน็ตเวิร์ค เพื่อพัฒนาโครงการการ์ตูน Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง) ในการให้ความรู้แก่เด็กเกี่ยวกับพื้นฐานด้านการเงินโดยคาดว่าในปีนี้สื่อ Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง) จะเข้าถึงนักเรียนไทยได้จํานวนมากถึง 22,000 คน
นายวิเวียน เลา ประธานมูลนิธิจูเนียร์ อะชีฟเม้นท์ ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกกล่าวว่า โครงการต่าง ๆ ของจูเนียร์ อะชีฟเม้นท์ จะสอดคล้องเชื่อมโยงกับการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นความพร้อมในการทํางาน การเป็นเจ้าของกิจการ และความรอบรู้ด้านการเงิน จึงได้มีส่วนร่วมกับการจัดหลักสูตร Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง)ที่มีโรงเรียนกว่า 1,000 แห่ง ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก นําหลักสูตรนี้ไปปรับใช้ปัจจุบันหลักสูตร Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง) สามารถเข้าถึงนักเรียนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก มากกว่า 100,000 คนแล้ว
คุณหญิงชดช้อย โสภณพนิช ประธานจูเนียร์ อะชีฟเม้นท์ ประเทศไทยกล่าวว่า การบริหารจัดการเงินเป็นสิ่งสําคัญที่ควรปลูกฝังให้แก่เยาวชน ซึ่งจะส่งผลให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบทางการเงินในอนาคต นําไปสู่การสร้างรากฐานที่มั่นคงให้แก่เศรษฐกิจของประเทศ จูเนียร์ อะชีฟเม้นท์ ประเทศไทย จึงเข้ามามีส่วนร่วมกับโครงการ Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง)โดยร่วมกันพัฒนาหลักสูตรให้มีความเหมาะสมกับโรงเรียนในประเทศไทยเพื่อพัฒนาความคิดทางเศรษฐศาสตร์และสอนให้เด็กได้เรียนรู้ความพอเพียงตั้งแต่เยาว์วัย
"หลักสูตร Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง) คือ สื่อการเรียนการสอนความรู้ด้านการเงินให้กับเด็กที่มีอายุระหว่าง 7-12 ปี โดยเป็นการเรียนรู้ผ่านการ์ตูน ซึ่งใช้วิธีการเล่าเรื่องด้วยดนตรีที่เหมาะสมกับช่วงวัยและดึงดูดใจ เพื่อสอนเด็กเกี่ยวกับแนวคิดการบริหารเงินพื้นฐาน ได้แก่ "การหารายได้ การเก็บออม การใช้จ่าย และการแบ่งปัน" โดยที่ผ่านมาได้นําหลักสูตร Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง) ไปใช้ในประเทศต่าง ๆ แล้ว อาทิ ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น และในปี 2561 Prudence Foundation ร่วมกับมูลนิธิ Junior Achievement นําหลักสูตร Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง) มาจัดอบรมให้แก่ครูไทย จํานวน 600 คน ใน 4 จังหวัด ในภูมิภาคต่าง ๆ ของไทย คือ จังหวัดนครราชสีมา เชียงใหม่ สงขลา และขอนแก่น โดยครูที่ผ่านการอบรมสามารถนําความรู้และสื่อการสอนด้านการบริหารเงินที่ได้รับ ไปปรับใช้เป็นเครื่องมือสําหรับการเรียนการสอนในชั้นเรียน เพื่อให้เกิดความสนุกสนาน เข้าถึงได้ และนําไปปฏิบัติได้จริง"
Writtenbyอรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.นำหลักสูตร Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง) ส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการเงินในโรงเรียน
วันจันทร์ที่ 3 กันยายน 2561
ศธ.นําหลักสูตร Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง) ส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการเงินในโรงเรียน
ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ดร.วัฒนาพร ระงับทุกข์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมแถลงข่าวเปิดตัว "Cha-Ching Curriculum (ชะ-ชิ้ง)" หลักสูตรพัฒนาครูในระดับประถมศึกษา เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการเงิน
ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ดร.วัฒนาพร ระงับทุกข์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายมาร์ค แฟนซี ผู้อํานวยการบริหาร พรูเด็นซ์ ฟาวน์เดชั่น, นายอามัน โชวลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน), คุณวิเวียน เลา ประธานจูเนียร์ อะชีฟเม้นท์ ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก, คุณหญิงชดช้อย โสภณพนิช ประธานจูเนียร์ อะชีฟเม้นท์ ประเทศไทย ร่วมแถลงข่าวเปิดตัว "Cha-Ching Curriculum (ชะ-ชิ้ง)" หลักสูตรพัฒนาครูในระดับประถมศึกษา เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการเงิน (Financial Literacy)เมื่อวันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 2561 ณ ห้องประชุมจันทรเกษม กระทรวงศึกษาธิการ
ม.ล.ปริยดา ดิศกุลเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า ในนามของกระทรวงศึกษาธิการ ขอขอบคุณหน่วยงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ที่ร่วมกันจัดอบรมหลักสูตร Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง) ให้กับโรงเรียนในประเทศไทย เพื่อสอนเรื่องการใช้เงินอย่างถูกต้องให้กับเด็ก ซึ่งสอดคล้องกับการดําเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่พยายามผลักดันให้เด็กได้เรียนรู้ที่มาของเงิน พร้อมทั้งปลูกฝังการใช้เงินและออมเงินอย่างรู้คุณค่าโดย Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง) เป็นหลักสูตรที่ใช้มาแล้วในหลายประเทศทั่วโลก และในปี 2561 จะนํามาใช้ในประเทศไทยอันจะเป็นประโยชน์กับเด็กและเยาวชนไทยเป้นอย่างมาก
ดร.วัฒนาพร ระงับทุกข์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า พรูเด็นซ์ ฟาวน์เดชั่น มีวัตถุประสงค์ที่จะนําหลักสูตร Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง) เข้ามาช่วยเติมเต็มการจัดการศึกษาด้านทักษะการบริหารการเงินของประเทศไทยเนื่องจากหลักสูตรในโรงเรียนของไทยยังไม่มีการสอนเรื่องนี้จึงเป็นโอกาสที่สําคัญยิ่งของเด็กและเยาวชนที่จะได้เรียนรู้หลักสูตรดี ๆ เช่นนี้ นําไปสู่การเรียนรู้อย่างมีคุณภาพ และการเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศต่อไป
นายมาร์ค แฟนซี ผู้อํานวยการบริหาร พรูเด็นซ์ ฟาวน์เดชั่นกล่าวว่า การศึกษาเป็นหัวใจสําคัญในการวางรากฐานเพื่อการพัฒนาในทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรอบรู้ด้านการเงิน ที่เข้ามีบทบาทสําคัญอย่างมากในการสร้างอนาคตทางการเงินให้แก่เด็กและเยาวชนพรูเด็นซ์ ฟาวน์เดชั่น จึงได้ร่วมกับการ์ตูนเน็ตเวิร์ค เพื่อพัฒนาโครงการการ์ตูน Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง) ในการให้ความรู้แก่เด็กเกี่ยวกับพื้นฐานด้านการเงินโดยคาดว่าในปีนี้สื่อ Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง) จะเข้าถึงนักเรียนไทยได้จํานวนมากถึง 22,000 คน
นายวิเวียน เลา ประธานมูลนิธิจูเนียร์ อะชีฟเม้นท์ ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกกล่าวว่า โครงการต่าง ๆ ของจูเนียร์ อะชีฟเม้นท์ จะสอดคล้องเชื่อมโยงกับการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นความพร้อมในการทํางาน การเป็นเจ้าของกิจการ และความรอบรู้ด้านการเงิน จึงได้มีส่วนร่วมกับการจัดหลักสูตร Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง)ที่มีโรงเรียนกว่า 1,000 แห่ง ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก นําหลักสูตรนี้ไปปรับใช้ปัจจุบันหลักสูตร Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง) สามารถเข้าถึงนักเรียนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก มากกว่า 100,000 คนแล้ว
คุณหญิงชดช้อย โสภณพนิช ประธานจูเนียร์ อะชีฟเม้นท์ ประเทศไทยกล่าวว่า การบริหารจัดการเงินเป็นสิ่งสําคัญที่ควรปลูกฝังให้แก่เยาวชน ซึ่งจะส่งผลให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบทางการเงินในอนาคต นําไปสู่การสร้างรากฐานที่มั่นคงให้แก่เศรษฐกิจของประเทศ จูเนียร์ อะชีฟเม้นท์ ประเทศไทย จึงเข้ามามีส่วนร่วมกับโครงการ Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง)โดยร่วมกันพัฒนาหลักสูตรให้มีความเหมาะสมกับโรงเรียนในประเทศไทยเพื่อพัฒนาความคิดทางเศรษฐศาสตร์และสอนให้เด็กได้เรียนรู้ความพอเพียงตั้งแต่เยาว์วัย
"หลักสูตร Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง) คือ สื่อการเรียนการสอนความรู้ด้านการเงินให้กับเด็กที่มีอายุระหว่าง 7-12 ปี โดยเป็นการเรียนรู้ผ่านการ์ตูน ซึ่งใช้วิธีการเล่าเรื่องด้วยดนตรีที่เหมาะสมกับช่วงวัยและดึงดูดใจ เพื่อสอนเด็กเกี่ยวกับแนวคิดการบริหารเงินพื้นฐาน ได้แก่ "การหารายได้ การเก็บออม การใช้จ่าย และการแบ่งปัน" โดยที่ผ่านมาได้นําหลักสูตร Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง) ไปใช้ในประเทศต่าง ๆ แล้ว อาทิ ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น และในปี 2561 Prudence Foundation ร่วมกับมูลนิธิ Junior Achievement นําหลักสูตร Cha-Ching (ชะ-ชิ้ง) มาจัดอบรมให้แก่ครูไทย จํานวน 600 คน ใน 4 จังหวัด ในภูมิภาคต่าง ๆ ของไทย คือ จังหวัดนครราชสีมา เชียงใหม่ สงขลา และขอนแก่น โดยครูที่ผ่านการอบรมสามารถนําความรู้และสื่อการสอนด้านการบริหารเงินที่ได้รับ ไปปรับใช้เป็นเครื่องมือสําหรับการเรียนการสอนในชั้นเรียน เพื่อให้เกิดความสนุกสนาน เข้าถึงได้ และนําไปปฏิบัติได้จริง"
Writtenbyอรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15104
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ขอบคุณและชมเชยทุกฝ่ายร่วมใจช่วยภัยน้ำท่วม กำชับเร่งฟื้นฟู
|
วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562
นายกฯ ขอบคุณและชมเชยทุกฝ่ายร่วมใจช่วยภัยน้ําท่วม กําชับเร่งฟื้นฟู
นายกฯ ขอบคุณและชมเชยทุกฝ่ายร่วมใจช่วยภัยน้ําท่วม กําชับเร่งฟื้นฟู
ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายทั้งพลเรือน ตํารวจ ทหาร รวมถึงภาคเอกชนและจิตอาสา ที่มีส่วนร่วมช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมจากอิทธิพลของพายุโพดุลและคาจิกิ ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะที่ จ.อุบลราชธานี ซึ่งได้รับผลกระทบหนักและนานที่สุดเพราะเป็นพื้นที่ปลายน้ํา และขณะนี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้ว พร้อมกับฝากชมเชย ผวจ.อุบลฯ ในฐานะเจ้าภาพหลัก เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงบูรณาการให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่าง
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้รับรายงานว่าหลายอําเภอได้จัดกิจกรรม Kick Off ฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย เช่น สูบน้ําออกจากพื้นที่น้ําท่วมขัง ตรวจสอบความเสียหายของอาคารบ้านเรือน ซ่อมแซมทําความสะอาดบ้านเรือน วัด โรงเรียน ตรวจสอบระบบไฟฟ้าและประปา จัดระเบียบการจราจร เป็นต้น โดยนายกรัฐมนตรีกําชับให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องเร่งฟื้นฟูให้ทุกอย่างกลับสู่สภาพปกติโดยเร็ว และให้ความสําคัญกับการชดเชยเยียวยาประชาชนให้ครอบคลุมทุกมิติทั้งบ้านเรือนที่เสียหาย พื้นที่การเกษตร เครื่องมืออุปกรณ์ ประมง ปศุสัตว์เสียหาย ฯลฯ นอกจากนี้ ยังเป็นห่วงเรื่องขยะที่มากับน้ําท่วมทั้งขยะจากวัชพืช เศษไม้ สิ่งปลูกสร้าง ของใช้ ตะกอนดินทราย และขยะอันตราย ซึ่งอาจเป็นต้นเหตุของเชื้อโรค จึงขอให้ทุกจังหวัดดูแลเรื่องนี้ด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ขอบคุณและชมเชยทุกฝ่ายร่วมใจช่วยภัยน้ำท่วม กำชับเร่งฟื้นฟู
วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562
นายกฯ ขอบคุณและชมเชยทุกฝ่ายร่วมใจช่วยภัยน้ําท่วม กําชับเร่งฟื้นฟู
นายกฯ ขอบคุณและชมเชยทุกฝ่ายร่วมใจช่วยภัยน้ําท่วม กําชับเร่งฟื้นฟู
ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายทั้งพลเรือน ตํารวจ ทหาร รวมถึงภาคเอกชนและจิตอาสา ที่มีส่วนร่วมช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมจากอิทธิพลของพายุโพดุลและคาจิกิ ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะที่ จ.อุบลราชธานี ซึ่งได้รับผลกระทบหนักและนานที่สุดเพราะเป็นพื้นที่ปลายน้ํา และขณะนี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้ว พร้อมกับฝากชมเชย ผวจ.อุบลฯ ในฐานะเจ้าภาพหลัก เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงบูรณาการให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่าง
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้รับรายงานว่าหลายอําเภอได้จัดกิจกรรม Kick Off ฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย เช่น สูบน้ําออกจากพื้นที่น้ําท่วมขัง ตรวจสอบความเสียหายของอาคารบ้านเรือน ซ่อมแซมทําความสะอาดบ้านเรือน วัด โรงเรียน ตรวจสอบระบบไฟฟ้าและประปา จัดระเบียบการจราจร เป็นต้น โดยนายกรัฐมนตรีกําชับให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องเร่งฟื้นฟูให้ทุกอย่างกลับสู่สภาพปกติโดยเร็ว และให้ความสําคัญกับการชดเชยเยียวยาประชาชนให้ครอบคลุมทุกมิติทั้งบ้านเรือนที่เสียหาย พื้นที่การเกษตร เครื่องมืออุปกรณ์ ประมง ปศุสัตว์เสียหาย ฯลฯ นอกจากนี้ ยังเป็นห่วงเรื่องขยะที่มากับน้ําท่วมทั้งขยะจากวัชพืช เศษไม้ สิ่งปลูกสร้าง ของใช้ ตะกอนดินทราย และขยะอันตราย ซึ่งอาจเป็นต้นเหตุของเชื้อโรค จึงขอให้ทุกจังหวัดดูแลเรื่องนี้ด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23657
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยกำไรสุทธิไตรมาส 3 จำนวน 5,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82.25%
|
วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2560
กรุงไทยกําไรสุทธิไตรมาส 3 จํานวน 5,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82.25%
ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2560 ธนาคารกรุงไทยมีกําไรสุทธิ 5,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82.25% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2560 ปรับตัวดีขึ้นจากการตั้งสํารองหนี้สูญ หนี้สงสัยจะสูญลดลง 28.53% จากไตรมาส 2 ปี 2560
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2560 ธนาคารมีกําไรสุทธิ 5,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82.25% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2560 ปรับตัวดีขึ้นจากการตั้งสํารองหนี้สูญ หนี้สงสัยจะสูญลดลง 28.53% จากไตรมาส 2 ปี 2560 โดยธนาคารปรับกลยุทธ์เน้นการเติบโตสินเชื่ออย่างมีคุณภาพ ปรับเพิ่มความสมดุลของพอร์ตสินเชื่อ ดูแลแก้ไขสินเชื่อด้อยคุณภาพอย่างใกล้ชิด ขณะที่เงินกองทุนมีความแข็งแกร่ง อยู่ที่ระดับ 16.98% สูงกว่าเกณฑ์ธปท.
สําหรับกําไรสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2560 เทียบกับไตรมาส 3 ปี 2559 ลดลง 31.96% สาเหตุหลักจากการกันสํารองหนี้สูญ หนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น 29.88% โดยธนาคารได้ตั้งสํารองหนี้เพิ่มเติมบางส่วนเพื่อเสริมสร้างเงินสํารองตามหลักเกณฑ์ความระมัดระวังของธนาคาร ส่งผลให้อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) อยู่ที่ 115.37% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ปี 2560 ที่ 112.50% ตามนโยบายของธนาคารที่ต้องการให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม คือ ไม่ต่ํากว่า 110%
ธนาคารและบริษัทย่อยมีเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ (หลังหักรายได้รอตัดบัญชี) ณ ไตรมาส 3 ปี 2560 อยู่ที่ 1,875,807 ล้านบาท ลดลง 1.49% จากสิ้นปี 2559 โดยธนาคารได้มุ่งเน้นการเติบโตสินเชื่ออย่างยั่งยืน ทั้งนี้สินเชื่อภาครัฐของธนาคารขยายตัวได้ดีมาก สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งทดแทนการชะลอตัวในสินเชื่อภาคเอกชนบางส่วน ขณะที่เงินฝาก อยู่ที่ 1,950,085 ล้านบาท ลดลง 1.13% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2559 ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการบริหารต้นทุนทางการเงินของธนาคารที่มุ่งให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ ผลประกอบการจากการบริหารจัดการในธุรกิจหลักของธนาคารปรับตัวดีขึ้น โดยค่าธรรมเนียมและบริการ และค่าใช้จ่ายจากการดําเนินงานมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ทดแทนบางส่วนของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงเล็กน้อย ซึ่งได้รับผลกระทบจากการผันผวนทางตลาดด้วย
อย่างไรก็ดี นโยบายการบริหารต้นทุนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ (NIM) ในไตรมาส 3 ปี 2560 อยู่ที่ 3.29% เพิ่มขึ้นจาก 3.24% ในไตรมาส 3 ปี 2559 และธนาคารยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี ทําให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ อยู่ที่ 41.40% ลดลงจากไตรมาส 3 ปี 2559 ที่ 41.65% อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ(NPLs gross) อยู่ที่ 4.51% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2560 อยู่ที่ 4.33% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากสินเชื่อกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในบางอุตสาหกรรม
“ผลประกอบการของธนาคารในไตรมาส 3 นี้ ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี ฐานะทางการเงินของธนาคารยังคงแข็งแกร่ง โดยธนาคารได้ปรับกลยุทธ์และกระบวนการบริหารจัดการสินเชื่อใหม่ โดยเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามดูแลและแก้ไขสินเชื่อด้อยคุณภาพอย่างใกล้ชิด และรักษาระดับ Coverage Ratio ให้อยู่ระดับที่เหมาะสม ”
นายผยง ศรีวณิช กล่าวในตอนท้ายว่า ธนาคารคาดว่าสินเชื่อในไตรมาส 4 จะปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ธนาคารมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(BIS Ratio) ณ ไตรมาส 3 ปี 2560 อยู่ที่ 16.98% โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 13.33% สูงขึ้นเมื่อเทียบสิ้นปี 2559 ที่ 16.85%
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยกำไรสุทธิไตรมาส 3 จำนวน 5,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82.25%
วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2560
กรุงไทยกําไรสุทธิไตรมาส 3 จํานวน 5,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82.25%
ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2560 ธนาคารกรุงไทยมีกําไรสุทธิ 5,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82.25% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2560 ปรับตัวดีขึ้นจากการตั้งสํารองหนี้สูญ หนี้สงสัยจะสูญลดลง 28.53% จากไตรมาส 2 ปี 2560
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2560 ธนาคารมีกําไรสุทธิ 5,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82.25% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2560 ปรับตัวดีขึ้นจากการตั้งสํารองหนี้สูญ หนี้สงสัยจะสูญลดลง 28.53% จากไตรมาส 2 ปี 2560 โดยธนาคารปรับกลยุทธ์เน้นการเติบโตสินเชื่ออย่างมีคุณภาพ ปรับเพิ่มความสมดุลของพอร์ตสินเชื่อ ดูแลแก้ไขสินเชื่อด้อยคุณภาพอย่างใกล้ชิด ขณะที่เงินกองทุนมีความแข็งแกร่ง อยู่ที่ระดับ 16.98% สูงกว่าเกณฑ์ธปท.
สําหรับกําไรสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2560 เทียบกับไตรมาส 3 ปี 2559 ลดลง 31.96% สาเหตุหลักจากการกันสํารองหนี้สูญ หนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น 29.88% โดยธนาคารได้ตั้งสํารองหนี้เพิ่มเติมบางส่วนเพื่อเสริมสร้างเงินสํารองตามหลักเกณฑ์ความระมัดระวังของธนาคาร ส่งผลให้อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) อยู่ที่ 115.37% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ปี 2560 ที่ 112.50% ตามนโยบายของธนาคารที่ต้องการให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม คือ ไม่ต่ํากว่า 110%
ธนาคารและบริษัทย่อยมีเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ (หลังหักรายได้รอตัดบัญชี) ณ ไตรมาส 3 ปี 2560 อยู่ที่ 1,875,807 ล้านบาท ลดลง 1.49% จากสิ้นปี 2559 โดยธนาคารได้มุ่งเน้นการเติบโตสินเชื่ออย่างยั่งยืน ทั้งนี้สินเชื่อภาครัฐของธนาคารขยายตัวได้ดีมาก สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งทดแทนการชะลอตัวในสินเชื่อภาคเอกชนบางส่วน ขณะที่เงินฝาก อยู่ที่ 1,950,085 ล้านบาท ลดลง 1.13% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2559 ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการบริหารต้นทุนทางการเงินของธนาคารที่มุ่งให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ ผลประกอบการจากการบริหารจัดการในธุรกิจหลักของธนาคารปรับตัวดีขึ้น โดยค่าธรรมเนียมและบริการ และค่าใช้จ่ายจากการดําเนินงานมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ทดแทนบางส่วนของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงเล็กน้อย ซึ่งได้รับผลกระทบจากการผันผวนทางตลาดด้วย
อย่างไรก็ดี นโยบายการบริหารต้นทุนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ (NIM) ในไตรมาส 3 ปี 2560 อยู่ที่ 3.29% เพิ่มขึ้นจาก 3.24% ในไตรมาส 3 ปี 2559 และธนาคารยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี ทําให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ อยู่ที่ 41.40% ลดลงจากไตรมาส 3 ปี 2559 ที่ 41.65% อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ(NPLs gross) อยู่ที่ 4.51% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2560 อยู่ที่ 4.33% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากสินเชื่อกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในบางอุตสาหกรรม
“ผลประกอบการของธนาคารในไตรมาส 3 นี้ ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี ฐานะทางการเงินของธนาคารยังคงแข็งแกร่ง โดยธนาคารได้ปรับกลยุทธ์และกระบวนการบริหารจัดการสินเชื่อใหม่ โดยเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามดูแลและแก้ไขสินเชื่อด้อยคุณภาพอย่างใกล้ชิด และรักษาระดับ Coverage Ratio ให้อยู่ระดับที่เหมาะสม ”
นายผยง ศรีวณิช กล่าวในตอนท้ายว่า ธนาคารคาดว่าสินเชื่อในไตรมาส 4 จะปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ธนาคารมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(BIS Ratio) ณ ไตรมาส 3 ปี 2560 อยู่ที่ 16.98% โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 13.33% สูงขึ้นเมื่อเทียบสิ้นปี 2559 ที่ 16.85%
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7551
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วิเคราะห์ตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่ภาวะปรับสมดุลระหว่างอุปสงค์ – อุปทาน
|
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน 2563
วิเคราะห์ตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่ภาวะปรับสมดุลระหว่างอุปสงค์ – อุปทาน
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ รายงานสรุปผลการสํารวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2562 ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ รายงานสรุปผลการสํารวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2562 ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดขอนแก่น จังหวัดอุดรธานี จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดมหาสารคาม โดยนับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ํากว่า 6 หน่วย จากการสํารวจพบว่าในพื้นที่ 5 จังหวัด มีโครงการที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างการขายจํานวนรวมประมาณ 14,853 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 4.2 ของ 26 จังหวัดที่ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้สํารวจในช่วงครึ่งหลังปี 2562 โดยแบ่งเป็นจังหวัดนครราชสีมาจํานวน 6,876 หน่วย จังหวัดขอนแก่นจํานวน 4,031 หน่วย จังหวัดอุดรธานีจํานวน 1,727 หน่วย จังหวัดอุบลราชธานี จํานวน 1,464 หน่วย และจังหวัดมหาสารคามจํานวน 755 หน่วย
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์และรักษาการผู้อํานวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่าพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้ามามีบทบาทความสําคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างมากในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยเฉพาะในส่วนของการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย และช่วงปีที่ผ่านภาพรวมของตลาดยังคงเป็นของที่อยู่อาศัยแนวราบ
จังหวัดนครราชสีมาภาพรวมทรงตัวต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวม
จากการสํารวจตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยพบว่า ณ สิ้นปี 2562 มีจํานวนที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างเสนอขายจํานวนทั้งสิ้น 129 โครงการ จํานวน 6,876 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 24,805 ล้านบาท ลดลงจากช่วงครึ่งปีแรกร้อยละ -0.9 โดยมีโครงการที่เปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังเพียง 1,291 หน่วย แบ่งเป็นอาคารชุด 104 หน่วย และบ้านจัดสรร 1,187 หน่วย
เมื่อพิจารณาจากหน่วยขายได้ใหม่จากการสํารวจพบว่าในช่วงครึ่งหลังปี 2562 มีหน่วยขายได้ใหม่จํานวน 608 หน่วย ลดลงจากช่วงครึ่งปีแรกร้อยละ -52.7และมีหน่วยเหลือขายจํานวน 6,268 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.9 มูลค่ารวม 22,907 ล้านบาท โดยมีหน่วยเหลือขายประเภทโครงการอาคารชุดจํานวน 1,552 หน่วย บ้านจัดสรรจํานวน 4,716 หน่วย โดยแบ่งเป็นประเภทบ้านเดียวจํานวน 3,415 หน่วย ทาวน์เฮ้าส์จํานวน 631 หน่วย บ้านแฝดจํานวน 415 หน่วย และอาคารพาณิชย์จํานวน 255 หน่วย
โดยทําเลทีขายดี 5 อันดับแรกพิจารณาจากหน่วยที่ขายได้ใหม่ได้แก่ 1.ทําเลในเมืองนครราชสีมาจํานวน 268 หน่วย 2.ทําเลจอหอ จํานวน 148 หน่วย 3.ทําเลหัวทะเล จํานวน 69 หน่วย 4.ทําเลบ้านใหม่-โคกกรวด จํานวน 45 หน่วย และ 5.ทําเลเขาใหญ่ จํานวน 39 หน่วย แต่ทั้งนี้ในส่วนของทําเลขายดีมีเพียงทําเลเดียวที่อัตราดูดซับสูงกว่าร้อยละ 2 คือทําเลในเมืองซึ่งมีอัตราดูดซับร้อยละ 2.3
ด้านทําเลที่มีที่อยู่อาศัยเหลือขายมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ทําเลในเมืองนครราชสีมา จํานวน 1,673 หน่วย 2.ทําเลจอหอ จํานวน 1,391 หน่วย 3.ทําเลบ้านใหม่-โคกกรวด จํานวน 1,207 หน่วย 4.ทําเลหัวทะเล จํานวน 825 หน่วย และ 5.ทําเลเขาใหญ่ จํานวน 460 หน่วย ซึ่งทําเลที่เหลือขายก็ยังคงเกาะกลุ่มเดียวกับทําเลขายดี เนื่องจากมีจํานวนหน่วยเสนอขายมากกว่าทําเลอื่นๆ
โดยในพื้นที่สํารวจพบว่ามีจํานวนหน่วยสร้างเสร็จเหลือขาย(พร้อมโอน) หรือเป็น Inventory จํานวน 1,442 หน่วยมูลค่า 5,552 ล้านบาท ซึ่ง 5 อันดับแรกที่มีหน่วยสร้างเสร็จเหลือขายมากที่สุดได้แก่ 1.ทําเลบ้านใหม่-โคกกรวด จํานวน 494 หน่วย 2.ทําเลในเมืองนครราชสีมา จํานวน 337หน่วย 3.ทําเลเขาใหญ่ จํานวน 234 หน่วย 4.ทําเลจอหอ จํานวน 189 หน่วย 5.ทําเลสุรนารี-ปักธงชัย จํานวน 81หน่วย
อย่างไรก็ตามศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้ประมาณการว่าในปี 2563 จะมีการเปิดขายโครงการใหม่ประมาณ 1,100 หน่วย โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเปิดขายโครงการบ้านจัดสรร และคาดการณ์ว่าจะมีที่อยู่อาศัยเหลือขายอยู่ในตลาดจํานวน 6,755 หน่วย ประกอบด้วยอาคารชุดจํานวน 1,702 หน่วย ทาวน์เฮ้าส์จํานวน 687หน่วย บ้านเดี่ยวจํานวน 3,690 หน่วย บ้านแฝดจํานวน 427 หน่วย และอาคารพาณิชย์จํานวน 249 หน่วย
เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับอัตราดูดซับครึ่งหลังของปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 1.5 ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบันคาดการณ์ว่าในปี 2563 อัตราดูดซับจะลงต่ําลงกว่าปี 2562 โดยอัตราดูดซับสูงสุดประมาณร้อยละ 1.1 และคาดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยก็จะลดลงมาอยู่ที่ 5,942 หน่วย มูลค่าประมาณ 11,293 ล้านบาท จํานวนหน่วยลดลงร้อยละ -7.5 แต่มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 สูงกว่าค่าเฉลี่ยซึ่งมีมูลค่า 10,152 ล้านบาท
จังหวัดขอนแก่นเข้าสู่ภาวะชะลอตัว
จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสําคัญภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกจังหวัดหนึ่ง และมีทิศทางการพัฒนาเมืองที่ชัดเขนพื้นที่หนึ่ง โดยภาพรวมโครงการที่อยู่อาศัยจังหวัดขอนแก่น ณ ครึ่งหลังปี 2562 อุปทานภาพรวมมีที่อยู่อาศัยเสนอขายจํานวน 79 โครงการ รวม 4,031 หน่วย ในจํานวนดังกล่าวมีโครงการที่ขายได้ใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังจํานวน 435 หน่วย มูลค่า 1,268 ล้านบาท ลดลงจากครึ่งแรกของปี 2562 ร้อยละ -41.1 แต่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 10.4 มีหน่วยเหลือขายจํานวน 3,596 หน่วย มูลค่า 11,574 ล้านบาท และมีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเหลือขาย จํานวน 804 หน่วย มูลค่า 2,737 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการบ้านจัดสรร จํานวน 499 หน่วย มูลค่า 1,802 ล้านบาท โครงการอาคารชุด จํานวน 305 หน่วย มูลค่า 935 ล้านบาท
ทั้งนี้ ทําเลซึ่งมีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเหลือขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.ทําเลบึงแก่นนคร จํานวน 255 หน่วย 2.ทําเล ม.ขอนแก่น จํานวน 210 หน่วย และ 3.ทําเลบึงหนองโครต จํานวน 92 หน่วย
อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากภาพรวมพบว่าอัตราดูดซับลดต่ําลงจากครึ่งแรกของปี 2562 มาอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ซึ่งต่ํากว่าค่าเฉลี่ย 2 ปี ซึ่งลดลงจากช่วงครึ่งแรกของปี 2562 โดยมีอัตราดูดซับร้อยละ 3.1 ในปี 2563 คาดการณ์ว่าอัตราดูดซับจะลดต่ําลงต่อเนื่องมาอยู่ในอัตราร้อยละไม่เกินร้อยละ 1.0 ส่วนโครงการเปิดขายใหม่คาดว่าจะไม่เกิน 600 หน่วย แต่ด้วยจํานวนอุปทานสะสมรอการขายจะส่งผลให้ตลาดโดยรวมชะลอตัว
จังหวัดอุดรธานี จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดมหาสารคาม เข้าสู่สภาวะทรงตัว
สําหรับภาพรวมโครงการที่อยู่อาศัยจังหวัดอุดรธานี จากการสํารวจพบว่าในครึ่งหลังปี 2562 อุปทานภาพรวมมีที่อยู่อาศัยเสนอขายจํานวน 44 โครงการ รวม 1,727 หน่วย มีหน่วยขายได้ใหม่จํานวน 177 หน่วย และมีหน่วยเหลือขาย 1,550 หน่วย คิดเป็นมูลค่าหน่วยเหลือขาย 6,092 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร จํานวน 1,410 หน่วยมีมูลค่า 5,792 ล้านบาท โครงการอาคารชุด มีจํานวน 140 หน่วย มีมูลค่า 300 ล้านบาท
โดยทําเลขายดี 3 อันดับ ได้แก่ 1.ทําเลทางออกหนองบัวลําภู จํานวน 67 หน่วย 2.ทําเลทางออกหนองคาย จํานวน 36 หน่วย และ 3.ทําเลในเมืองอุดรธานี จํานวน 29 หน่วย ส่วนทําเลที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเหลือขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.ทําเลในเมืองอุดรธานี จํานวน 187 หน่วย 2.ทําเลบ้านเลื่อม จํานวน 74 หน่วย และ 3.ทําเลทางออกหนองบัวลําภู จํานวน 41 หน่วย
อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากภาพรวมของตลาดพบว่าอัตราดูดซับลดลงมาอยู่ในระดับร้อยละ 1.7 ซึ่งลดลงจากช่วงครึ่งแรกของปี 2562 โดยอัตราดูดซับในระดับร้อยละ 3.0 ส่วนในปี 2563 คาดการณ์ว่าอัตราดูดซับโดยภาพรวมที่อยู่อาศัยจะทรงตัวโดยมีที่อยู่อาศัยประเภทอาคารพาณิชย์เท่านั่นที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี คืออยู่ที่ร้อยละ 2.3 ในขณะที่หน่วยเหลือขายทุกประเภทจะมีจํานวนประมาณ 1,587 หน่วย
ภาพรวมโครงการที่อยู่อาศัยจังหวัดอุบลราชธานี จากการสํารวจพบว่าในครึ่งหลังปี 2562 อุปทานภาพรวมมีที่อยู่อาศัยเสนอขายจํานวน 42 โครงการ รวม 1,464 หน่วย มีหน่วยขายได้ใหม่จํานวน 201 หน่วย และมีหน่วยเหลือขาย 1,263 หน่วย คิดเป็นมูลค่าหน่วยเหลือขาย 3,727 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร จํานวน 972 หน่วยมีมูลค่า 3,276 ล้านบาท โครงการอาคารชุด มีจํานวน 291 หน่วย มีมูลค่า 451 ล้านบาท
โดยทําเลขายดี 3 อันดับ ได้แก่ 1.ทําเลวนารมย์-โนนหงษ์ทอง จํานวน 43 หน่วย 2.ทําเลเซ็นทรัล อุบลราชธานี จํานวน 35 หน่วย และ 3.ทําเลวารินชําราบ จํานวน 35 หน่วย ส่วนทําเลที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเหลือขาย สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.ทําเลอุบลสแควร์ จํานวน 144 หน่วย 2.ทําเลวารินชําราบ จํานวน 82 หน่วย และ 3.ทําเลวนารมย์-โนนหงษ์ทอง จํานวน 78 หน่วย
อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากภาพรวมอัตราดูดซับ ณ ครึ่งหลังปี 2562 ลดลงจากร้อยละ 3.3 ในครึ่งแรกของปี 2562 มาอยู่ที่ร้อยละ 2.3 ณ ช่วงครึ่งหลังปี 2562 โดยในปี 2563 คาดการณ์ว่าอัตราดูดซับ โดยภาพรวมที่อยู่อาศัยยังคงลดลงต่อเนื่องจากปี 2562 โดยมีหน่วยเหลือขายประมาณ 1,343 หน่วย ทั้งนี้คาดว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยจํานวน 1,992 หน่วย มูลค่า 3,303 ล้านบาท
ภาพรวมโครงการที่อยู่อาศัยจังหวัดมหาสารคาม จากการสํารวจพบว่าในครึ่งหลังปี 2562 อุปทานภาพรวมมีที่อยู่อาศัยเสนอขายจํานวน 21 โครงการ รวม 755 หน่วย มีหน่วยขายได้ใหม่จํานวน 88 หน่วย และมีหน่วยเหลือขาย 667 หน่วย คิดเป็นมูลค่าหน่วยเหลือขาย 1,786 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร จํานวน 577 หน่วยมีมูลค่า 1,678 ล้านบาท โครงการอาคารชุด มีจํานวน 90 หน่วย มีมูลค่า 108 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากภาพรวมแม้อัตราดูดซับจะเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจากปี 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.9 แต่อัตราดูดซับโดยภาพรวมก็ยังคงทรงตัว ซึ่งในปี 2563 คาดการณ์ว่าอัตราดูดซับที่อยู่อาศัยจะยังคงทรงตัวทุกประเภทยกเว้นอาคารพาณิชย์ ซึ่งลดจากร้อยละ 7.0 มาอยู่ที่ร้อยละ 1.9 ซึ่ง คาดการณ์ว่าจะมีที่อยู่อาศัยเหลือขายจํานวนประมาณ 688 หน่วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วิเคราะห์ตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่ภาวะปรับสมดุลระหว่างอุปสงค์ – อุปทาน
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน 2563
วิเคราะห์ตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่ภาวะปรับสมดุลระหว่างอุปสงค์ – อุปทาน
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ รายงานสรุปผลการสํารวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2562 ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ รายงานสรุปผลการสํารวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2562 ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดขอนแก่น จังหวัดอุดรธานี จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดมหาสารคาม โดยนับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ํากว่า 6 หน่วย จากการสํารวจพบว่าในพื้นที่ 5 จังหวัด มีโครงการที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างการขายจํานวนรวมประมาณ 14,853 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 4.2 ของ 26 จังหวัดที่ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้สํารวจในช่วงครึ่งหลังปี 2562 โดยแบ่งเป็นจังหวัดนครราชสีมาจํานวน 6,876 หน่วย จังหวัดขอนแก่นจํานวน 4,031 หน่วย จังหวัดอุดรธานีจํานวน 1,727 หน่วย จังหวัดอุบลราชธานี จํานวน 1,464 หน่วย และจังหวัดมหาสารคามจํานวน 755 หน่วย
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์และรักษาการผู้อํานวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่าพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้ามามีบทบาทความสําคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างมากในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยเฉพาะในส่วนของการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย และช่วงปีที่ผ่านภาพรวมของตลาดยังคงเป็นของที่อยู่อาศัยแนวราบ
จังหวัดนครราชสีมาภาพรวมทรงตัวต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวม
จากการสํารวจตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยพบว่า ณ สิ้นปี 2562 มีจํานวนที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างเสนอขายจํานวนทั้งสิ้น 129 โครงการ จํานวน 6,876 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 24,805 ล้านบาท ลดลงจากช่วงครึ่งปีแรกร้อยละ -0.9 โดยมีโครงการที่เปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังเพียง 1,291 หน่วย แบ่งเป็นอาคารชุด 104 หน่วย และบ้านจัดสรร 1,187 หน่วย
เมื่อพิจารณาจากหน่วยขายได้ใหม่จากการสํารวจพบว่าในช่วงครึ่งหลังปี 2562 มีหน่วยขายได้ใหม่จํานวน 608 หน่วย ลดลงจากช่วงครึ่งปีแรกร้อยละ -52.7และมีหน่วยเหลือขายจํานวน 6,268 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.9 มูลค่ารวม 22,907 ล้านบาท โดยมีหน่วยเหลือขายประเภทโครงการอาคารชุดจํานวน 1,552 หน่วย บ้านจัดสรรจํานวน 4,716 หน่วย โดยแบ่งเป็นประเภทบ้านเดียวจํานวน 3,415 หน่วย ทาวน์เฮ้าส์จํานวน 631 หน่วย บ้านแฝดจํานวน 415 หน่วย และอาคารพาณิชย์จํานวน 255 หน่วย
โดยทําเลทีขายดี 5 อันดับแรกพิจารณาจากหน่วยที่ขายได้ใหม่ได้แก่ 1.ทําเลในเมืองนครราชสีมาจํานวน 268 หน่วย 2.ทําเลจอหอ จํานวน 148 หน่วย 3.ทําเลหัวทะเล จํานวน 69 หน่วย 4.ทําเลบ้านใหม่-โคกกรวด จํานวน 45 หน่วย และ 5.ทําเลเขาใหญ่ จํานวน 39 หน่วย แต่ทั้งนี้ในส่วนของทําเลขายดีมีเพียงทําเลเดียวที่อัตราดูดซับสูงกว่าร้อยละ 2 คือทําเลในเมืองซึ่งมีอัตราดูดซับร้อยละ 2.3
ด้านทําเลที่มีที่อยู่อาศัยเหลือขายมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ทําเลในเมืองนครราชสีมา จํานวน 1,673 หน่วย 2.ทําเลจอหอ จํานวน 1,391 หน่วย 3.ทําเลบ้านใหม่-โคกกรวด จํานวน 1,207 หน่วย 4.ทําเลหัวทะเล จํานวน 825 หน่วย และ 5.ทําเลเขาใหญ่ จํานวน 460 หน่วย ซึ่งทําเลที่เหลือขายก็ยังคงเกาะกลุ่มเดียวกับทําเลขายดี เนื่องจากมีจํานวนหน่วยเสนอขายมากกว่าทําเลอื่นๆ
โดยในพื้นที่สํารวจพบว่ามีจํานวนหน่วยสร้างเสร็จเหลือขาย(พร้อมโอน) หรือเป็น Inventory จํานวน 1,442 หน่วยมูลค่า 5,552 ล้านบาท ซึ่ง 5 อันดับแรกที่มีหน่วยสร้างเสร็จเหลือขายมากที่สุดได้แก่ 1.ทําเลบ้านใหม่-โคกกรวด จํานวน 494 หน่วย 2.ทําเลในเมืองนครราชสีมา จํานวน 337หน่วย 3.ทําเลเขาใหญ่ จํานวน 234 หน่วย 4.ทําเลจอหอ จํานวน 189 หน่วย 5.ทําเลสุรนารี-ปักธงชัย จํานวน 81หน่วย
อย่างไรก็ตามศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้ประมาณการว่าในปี 2563 จะมีการเปิดขายโครงการใหม่ประมาณ 1,100 หน่วย โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเปิดขายโครงการบ้านจัดสรร และคาดการณ์ว่าจะมีที่อยู่อาศัยเหลือขายอยู่ในตลาดจํานวน 6,755 หน่วย ประกอบด้วยอาคารชุดจํานวน 1,702 หน่วย ทาวน์เฮ้าส์จํานวน 687หน่วย บ้านเดี่ยวจํานวน 3,690 หน่วย บ้านแฝดจํานวน 427 หน่วย และอาคารพาณิชย์จํานวน 249 หน่วย
เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับอัตราดูดซับครึ่งหลังของปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 1.5 ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบันคาดการณ์ว่าในปี 2563 อัตราดูดซับจะลงต่ําลงกว่าปี 2562 โดยอัตราดูดซับสูงสุดประมาณร้อยละ 1.1 และคาดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยก็จะลดลงมาอยู่ที่ 5,942 หน่วย มูลค่าประมาณ 11,293 ล้านบาท จํานวนหน่วยลดลงร้อยละ -7.5 แต่มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 สูงกว่าค่าเฉลี่ยซึ่งมีมูลค่า 10,152 ล้านบาท
จังหวัดขอนแก่นเข้าสู่ภาวะชะลอตัว
จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสําคัญภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกจังหวัดหนึ่ง และมีทิศทางการพัฒนาเมืองที่ชัดเขนพื้นที่หนึ่ง โดยภาพรวมโครงการที่อยู่อาศัยจังหวัดขอนแก่น ณ ครึ่งหลังปี 2562 อุปทานภาพรวมมีที่อยู่อาศัยเสนอขายจํานวน 79 โครงการ รวม 4,031 หน่วย ในจํานวนดังกล่าวมีโครงการที่ขายได้ใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังจํานวน 435 หน่วย มูลค่า 1,268 ล้านบาท ลดลงจากครึ่งแรกของปี 2562 ร้อยละ -41.1 แต่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 10.4 มีหน่วยเหลือขายจํานวน 3,596 หน่วย มูลค่า 11,574 ล้านบาท และมีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเหลือขาย จํานวน 804 หน่วย มูลค่า 2,737 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการบ้านจัดสรร จํานวน 499 หน่วย มูลค่า 1,802 ล้านบาท โครงการอาคารชุด จํานวน 305 หน่วย มูลค่า 935 ล้านบาท
ทั้งนี้ ทําเลซึ่งมีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเหลือขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.ทําเลบึงแก่นนคร จํานวน 255 หน่วย 2.ทําเล ม.ขอนแก่น จํานวน 210 หน่วย และ 3.ทําเลบึงหนองโครต จํานวน 92 หน่วย
อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากภาพรวมพบว่าอัตราดูดซับลดต่ําลงจากครึ่งแรกของปี 2562 มาอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ซึ่งต่ํากว่าค่าเฉลี่ย 2 ปี ซึ่งลดลงจากช่วงครึ่งแรกของปี 2562 โดยมีอัตราดูดซับร้อยละ 3.1 ในปี 2563 คาดการณ์ว่าอัตราดูดซับจะลดต่ําลงต่อเนื่องมาอยู่ในอัตราร้อยละไม่เกินร้อยละ 1.0 ส่วนโครงการเปิดขายใหม่คาดว่าจะไม่เกิน 600 หน่วย แต่ด้วยจํานวนอุปทานสะสมรอการขายจะส่งผลให้ตลาดโดยรวมชะลอตัว
จังหวัดอุดรธานี จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดมหาสารคาม เข้าสู่สภาวะทรงตัว
สําหรับภาพรวมโครงการที่อยู่อาศัยจังหวัดอุดรธานี จากการสํารวจพบว่าในครึ่งหลังปี 2562 อุปทานภาพรวมมีที่อยู่อาศัยเสนอขายจํานวน 44 โครงการ รวม 1,727 หน่วย มีหน่วยขายได้ใหม่จํานวน 177 หน่วย และมีหน่วยเหลือขาย 1,550 หน่วย คิดเป็นมูลค่าหน่วยเหลือขาย 6,092 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร จํานวน 1,410 หน่วยมีมูลค่า 5,792 ล้านบาท โครงการอาคารชุด มีจํานวน 140 หน่วย มีมูลค่า 300 ล้านบาท
โดยทําเลขายดี 3 อันดับ ได้แก่ 1.ทําเลทางออกหนองบัวลําภู จํานวน 67 หน่วย 2.ทําเลทางออกหนองคาย จํานวน 36 หน่วย และ 3.ทําเลในเมืองอุดรธานี จํานวน 29 หน่วย ส่วนทําเลที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเหลือขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.ทําเลในเมืองอุดรธานี จํานวน 187 หน่วย 2.ทําเลบ้านเลื่อม จํานวน 74 หน่วย และ 3.ทําเลทางออกหนองบัวลําภู จํานวน 41 หน่วย
อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากภาพรวมของตลาดพบว่าอัตราดูดซับลดลงมาอยู่ในระดับร้อยละ 1.7 ซึ่งลดลงจากช่วงครึ่งแรกของปี 2562 โดยอัตราดูดซับในระดับร้อยละ 3.0 ส่วนในปี 2563 คาดการณ์ว่าอัตราดูดซับโดยภาพรวมที่อยู่อาศัยจะทรงตัวโดยมีที่อยู่อาศัยประเภทอาคารพาณิชย์เท่านั่นที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี คืออยู่ที่ร้อยละ 2.3 ในขณะที่หน่วยเหลือขายทุกประเภทจะมีจํานวนประมาณ 1,587 หน่วย
ภาพรวมโครงการที่อยู่อาศัยจังหวัดอุบลราชธานี จากการสํารวจพบว่าในครึ่งหลังปี 2562 อุปทานภาพรวมมีที่อยู่อาศัยเสนอขายจํานวน 42 โครงการ รวม 1,464 หน่วย มีหน่วยขายได้ใหม่จํานวน 201 หน่วย และมีหน่วยเหลือขาย 1,263 หน่วย คิดเป็นมูลค่าหน่วยเหลือขาย 3,727 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร จํานวน 972 หน่วยมีมูลค่า 3,276 ล้านบาท โครงการอาคารชุด มีจํานวน 291 หน่วย มีมูลค่า 451 ล้านบาท
โดยทําเลขายดี 3 อันดับ ได้แก่ 1.ทําเลวนารมย์-โนนหงษ์ทอง จํานวน 43 หน่วย 2.ทําเลเซ็นทรัล อุบลราชธานี จํานวน 35 หน่วย และ 3.ทําเลวารินชําราบ จํานวน 35 หน่วย ส่วนทําเลที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเหลือขาย สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.ทําเลอุบลสแควร์ จํานวน 144 หน่วย 2.ทําเลวารินชําราบ จํานวน 82 หน่วย และ 3.ทําเลวนารมย์-โนนหงษ์ทอง จํานวน 78 หน่วย
อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากภาพรวมอัตราดูดซับ ณ ครึ่งหลังปี 2562 ลดลงจากร้อยละ 3.3 ในครึ่งแรกของปี 2562 มาอยู่ที่ร้อยละ 2.3 ณ ช่วงครึ่งหลังปี 2562 โดยในปี 2563 คาดการณ์ว่าอัตราดูดซับ โดยภาพรวมที่อยู่อาศัยยังคงลดลงต่อเนื่องจากปี 2562 โดยมีหน่วยเหลือขายประมาณ 1,343 หน่วย ทั้งนี้คาดว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยจํานวน 1,992 หน่วย มูลค่า 3,303 ล้านบาท
ภาพรวมโครงการที่อยู่อาศัยจังหวัดมหาสารคาม จากการสํารวจพบว่าในครึ่งหลังปี 2562 อุปทานภาพรวมมีที่อยู่อาศัยเสนอขายจํานวน 21 โครงการ รวม 755 หน่วย มีหน่วยขายได้ใหม่จํานวน 88 หน่วย และมีหน่วยเหลือขาย 667 หน่วย คิดเป็นมูลค่าหน่วยเหลือขาย 1,786 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร จํานวน 577 หน่วยมีมูลค่า 1,678 ล้านบาท โครงการอาคารชุด มีจํานวน 90 หน่วย มีมูลค่า 108 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากภาพรวมแม้อัตราดูดซับจะเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจากปี 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.9 แต่อัตราดูดซับโดยภาพรวมก็ยังคงทรงตัว ซึ่งในปี 2563 คาดการณ์ว่าอัตราดูดซับที่อยู่อาศัยจะยังคงทรงตัวทุกประเภทยกเว้นอาคารพาณิชย์ ซึ่งลดจากร้อยละ 7.0 มาอยู่ที่ร้อยละ 1.9 ซึ่ง คาดการณ์ว่าจะมีที่อยู่อาศัยเหลือขายจํานวนประมาณ 688 หน่วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32198
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๖๑
|
วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม 2561
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๖๑
ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ได้เผยแพร่ "พระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๖๑"
ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ได้เผยแพร่ "พระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๖๑"ซึ่งเป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นตามมาตรา ๕๔ วรรคหก ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อใช้ในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลดความเหลื่อมล้ําในการศึกษา และเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู โดยให้รัฐจัดสรรงบประมาณให้แก่กองทุน หรือใช้มาตรการหรือกลไกทางภาษี รวมทั้งการให้ผู้บริจาคทรัพย์สินเข้ากองทุนได้รับประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี โดยให้กองทุนมีการบริหารจัดการที่เป็นอิสระรัฐบาลจัดสรรให้เป็นทุนประเดิม ๑,๐๐๐ล้านบาทมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
พระราชบัญญัติ
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
พ.ศ. ๒๕๖๑
________
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
เป็นปีที่ ๓ ในรัชกาลปัจจุบัน
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลซึ่งมาตรา ๒๖ ประกอบกับมาตรา ๓๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
เหตุผลและความจําเป็นในการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามพระราชบัญญัตินี้เพื่อให้การดําเนินงานของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาบรรลุวัตถุประสงค์ จําเป็นต้องใช้ข้อมูลส่วนบุคคลบางประการ เพื่อประโยชน์ในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลดความเหลื่อมล้ําในการศึกษา และเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู ซึ่งการตราพระราชบัญญัตินี้สอดคล้องกับเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคําแนะนําและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติทําหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๖๑”
มาตรา ๒พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ในพระราชบัญญัตินี้
“ความเสมอภาคทางการศึกษา” หมายความว่า การที่ประชาชนมีสิทธิที่จะได้รับและเข้าถึงการศึกษาและพัฒนาอย่างเสมอภาคและทั่วถึง โดยให้ความช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลดความเหลื่อมล้ําในการศึกษา รวมทั้งเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู
“ความเหลื่อมล้ําในการศึกษา” หมายความว่า ความไม่เท่าเทียมกันทางการศึกษาอันเนื่องมาจากคุณภาพหรือมาตรฐานของสถานศึกษา คุณภาพหรือประสิทธิภาพของครู หรือฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม
“ครู” หมายความว่า ผู้ทําหน้าที่สอนในทุกระดับ
“บุคลากรทางการศึกษา” หมายความว่า บุคลากรทางการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ
“ค่าเล่าเรียน” หมายความว่า เงินค่าเล่าเรียน ค่าบํารุง และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่สถานศึกษาเรียกเก็บจากผู้เรียนในทุกระดับ
“สถานศึกษา” หมายความว่า สถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ และให้หมายความรวมถึงศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัยด้วย
“การฝึกอบรม” หมายความว่า การจัดหรือการรับการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาครู บุคลากรทางการศึกษา หรือผู้เรียนในทุกระดับ
“ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา” หมายความว่า ค่าใช้จ่ายอื่นที่มิใช่ค่าเล่าเรียนที่สถานศึกษาเรียกเก็บจากผู้เรียนในทุกระดับตามระเบียบ ประกาศ หรือคําสั่งของสถานศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา
“ค่าครองชีพ” หมายความว่า ค่าใช้จ่ายที่จําเป็นในการดํารงชีพระหว่างศึกษา
“เด็กปฐมวัย” หมายความว่า บุคคลซึ่งมีอายุต่ํากว่าหกปีซึ่งรวมถึงเด็กเล็กด้วย
“กองทุน” หมายความว่า กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
“สํานักงาน” หมายความว่า สํานักงานกองทุน
“คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการบริหารกองทุน
“คณะกรรมการประเมินผล” หมายความว่า คณะกรรมการประเมินผลการดําเนินงานของกองทุน
“ผู้จัดการ” หมายความว่า ผู้จัดการกองทุน
“พนักงาน” หมายความว่า พนักงานของสํานักงาน
“ลูกจ้าง” หมายความว่า ลูกจ้างของสํานักงาน
มาตรา ๔ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ทั้งนี้ พระราชบัญญัติดังกล่าว มี ๕ หมวด และบทเฉพาะกลาง รวมทั้งสิ้น ๕๕ มาตรา คือ
-หมวด ๑ การจัดตั้งกองทุน(มาตรา ๕ ถึงมาตรา ๑๗)
-หมวด ๒ การบริหารกิจการกองทุน(มาตรา ๑๘ ถึงมาตรา ๓๗)
-หมวด ๓ การบัญชีและการตรวจสอบ(มาตรา ๓๘ ถึงมาตรา ๔๓)
-หมวด ๔ การประเมินผลการดําเนินงานของกองทุน(มาตรา ๔๔ ถึงมาตรา ๔๕)
-หมวด ๕ การกํากับและดูแล(มาตรา ๔๖)
-บทเฉพาะกาล(มาตรา ๔๗ ถึงมาตรา ๕๕)
รายละเอียดเพิ่มเติม:ราชกิจจานุเบกษา
Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
ขอบคุณภาพประกอบสพป.ลพบุรี เขต ๑
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๖๑
วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม 2561
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๖๑
ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ได้เผยแพร่ "พระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๖๑"
ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ได้เผยแพร่ "พระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๖๑"ซึ่งเป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นตามมาตรา ๕๔ วรรคหก ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อใช้ในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลดความเหลื่อมล้ําในการศึกษา และเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู โดยให้รัฐจัดสรรงบประมาณให้แก่กองทุน หรือใช้มาตรการหรือกลไกทางภาษี รวมทั้งการให้ผู้บริจาคทรัพย์สินเข้ากองทุนได้รับประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี โดยให้กองทุนมีการบริหารจัดการที่เป็นอิสระรัฐบาลจัดสรรให้เป็นทุนประเดิม ๑,๐๐๐ล้านบาทมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
พระราชบัญญัติ
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
พ.ศ. ๒๕๖๑
________
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
เป็นปีที่ ๓ ในรัชกาลปัจจุบัน
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลซึ่งมาตรา ๒๖ ประกอบกับมาตรา ๓๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
เหตุผลและความจําเป็นในการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามพระราชบัญญัตินี้เพื่อให้การดําเนินงานของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาบรรลุวัตถุประสงค์ จําเป็นต้องใช้ข้อมูลส่วนบุคคลบางประการ เพื่อประโยชน์ในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลดความเหลื่อมล้ําในการศึกษา และเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู ซึ่งการตราพระราชบัญญัตินี้สอดคล้องกับเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคําแนะนําและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติทําหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๖๑”
มาตรา ๒พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ในพระราชบัญญัตินี้
“ความเสมอภาคทางการศึกษา” หมายความว่า การที่ประชาชนมีสิทธิที่จะได้รับและเข้าถึงการศึกษาและพัฒนาอย่างเสมอภาคและทั่วถึง โดยให้ความช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลดความเหลื่อมล้ําในการศึกษา รวมทั้งเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู
“ความเหลื่อมล้ําในการศึกษา” หมายความว่า ความไม่เท่าเทียมกันทางการศึกษาอันเนื่องมาจากคุณภาพหรือมาตรฐานของสถานศึกษา คุณภาพหรือประสิทธิภาพของครู หรือฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม
“ครู” หมายความว่า ผู้ทําหน้าที่สอนในทุกระดับ
“บุคลากรทางการศึกษา” หมายความว่า บุคลากรทางการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ
“ค่าเล่าเรียน” หมายความว่า เงินค่าเล่าเรียน ค่าบํารุง และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่สถานศึกษาเรียกเก็บจากผู้เรียนในทุกระดับ
“สถานศึกษา” หมายความว่า สถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ และให้หมายความรวมถึงศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัยด้วย
“การฝึกอบรม” หมายความว่า การจัดหรือการรับการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาครู บุคลากรทางการศึกษา หรือผู้เรียนในทุกระดับ
“ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา” หมายความว่า ค่าใช้จ่ายอื่นที่มิใช่ค่าเล่าเรียนที่สถานศึกษาเรียกเก็บจากผู้เรียนในทุกระดับตามระเบียบ ประกาศ หรือคําสั่งของสถานศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา
“ค่าครองชีพ” หมายความว่า ค่าใช้จ่ายที่จําเป็นในการดํารงชีพระหว่างศึกษา
“เด็กปฐมวัย” หมายความว่า บุคคลซึ่งมีอายุต่ํากว่าหกปีซึ่งรวมถึงเด็กเล็กด้วย
“กองทุน” หมายความว่า กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
“สํานักงาน” หมายความว่า สํานักงานกองทุน
“คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการบริหารกองทุน
“คณะกรรมการประเมินผล” หมายความว่า คณะกรรมการประเมินผลการดําเนินงานของกองทุน
“ผู้จัดการ” หมายความว่า ผู้จัดการกองทุน
“พนักงาน” หมายความว่า พนักงานของสํานักงาน
“ลูกจ้าง” หมายความว่า ลูกจ้างของสํานักงาน
มาตรา ๔ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ทั้งนี้ พระราชบัญญัติดังกล่าว มี ๕ หมวด และบทเฉพาะกลาง รวมทั้งสิ้น ๕๕ มาตรา คือ
-หมวด ๑ การจัดตั้งกองทุน(มาตรา ๕ ถึงมาตรา ๑๗)
-หมวด ๒ การบริหารกิจการกองทุน(มาตรา ๑๘ ถึงมาตรา ๓๗)
-หมวด ๓ การบัญชีและการตรวจสอบ(มาตรา ๓๘ ถึงมาตรา ๔๓)
-หมวด ๔ การประเมินผลการดําเนินงานของกองทุน(มาตรา ๔๔ ถึงมาตรา ๔๕)
-หมวด ๕ การกํากับและดูแล(มาตรา ๔๖)
-บทเฉพาะกาล(มาตรา ๔๗ ถึงมาตรา ๕๕)
รายละเอียดเพิ่มเติม:ราชกิจจานุเบกษา
Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
ขอบคุณภาพประกอบสพป.ลพบุรี เขต ๑
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12226
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.หารือความร่วมมือด้านการศึกษากับไอร์แลนด์
|
วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2561
รมว.ศธ.หารือความร่วมมือด้านการศึกษากับไอร์แลนด์
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับ H.E. Mr Ciaran Cannon รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการค้าไอร์แลนด์
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับ H.E. Mr Ciaran Cannon รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการค้าไอร์แลนด์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน 2561 ณ ห้องดํารงราชานุภาพ อาคารราชวัลลภ
รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า มีความยินดีเป็นอย่างมาก เพราะถือเป็นครั้งแรกที่ระดับรัฐมนตรีของไอร์แลนด์เดินทางมาเยือนกระทรวงศึกษาธิการไทย ซึ่งในอดีตเคยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการและทักษะมาก่อน และเมื่อมาดํารงตําแหน่งใหม่ในปัจจุบันก็ยังคงให้ความสําคัญกับการศึกษา จึงต้องการสานต่อความร่วมมือที่คุยกันไว้ เมื่อครั้งที่ รมว.ศธ.ไทยไปเยือนไอร์แลนด์ในเดือนมิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้ไอร์แลนด์กําลังเปิดประเทศในเรื่องการศึกษามากขึ้น และเป็นอีกประเทศที่มี "การปฏิรูปเศรษฐกิจ" ด้วย "การศึกษา"
นอกจากนี้ ได้มีการหารือเกี่ยวกับการจัดการอาชีวศึกษาของไอร์แลนด์ โดยเฉพาะด้านดิจิทัล ซึ่ง Mr Ciaran Cannon ได้เชิญ รมว.ศธ.ไทย และเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เดินทางไปเยือนไอร์แลนด์อีกครั้ง และขอให้ไทยสนับสนุนให้นักเรียนไปเรียนต่อที่ไอร์แลนด์เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันทางไอร์แลนด์ก็ต้องการที่จะรู้จักประเทศไทยมากขึ้นเช่นกัน
ในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ไอร์แลนด์ เมื่อปี 2558 ประเทศไทย-ไอร์แลนด์ได้ฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตครบรอบ 40 ปี โดยได้มีการก่อตั้งสถานเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ประจําประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรก พร้อมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการและทักษะของไอร์แลนด์ และกระทรวงศึกษาธิการไทย ในปีเดียวกัน โดยมีความร่วมมือครอบคลุมการศึกษาทุกระดับ ทั้งการฝึกอบรมภาษาอังกฤษ การแลกเปลี่ยนครู อาจารย์ นักเรียนนักศึกษา นักวิจัย ตลอดจนการเรียนรู้ระบบโครงสร้างทางการศึกษา การรับรองคุณภาพ การเทียบโอนหน่วยกิตในระดับอุดมศึกษา เป็นต้น
Written by นวรัตน์ รามสูต
Photo Credit ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี
Rewriter นวรัตน์ รามสูต
Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.หารือความร่วมมือด้านการศึกษากับไอร์แลนด์
วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2561
รมว.ศธ.หารือความร่วมมือด้านการศึกษากับไอร์แลนด์
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับ H.E. Mr Ciaran Cannon รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการค้าไอร์แลนด์
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับ H.E. Mr Ciaran Cannon รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการค้าไอร์แลนด์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน 2561 ณ ห้องดํารงราชานุภาพ อาคารราชวัลลภ
รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า มีความยินดีเป็นอย่างมาก เพราะถือเป็นครั้งแรกที่ระดับรัฐมนตรีของไอร์แลนด์เดินทางมาเยือนกระทรวงศึกษาธิการไทย ซึ่งในอดีตเคยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการและทักษะมาก่อน และเมื่อมาดํารงตําแหน่งใหม่ในปัจจุบันก็ยังคงให้ความสําคัญกับการศึกษา จึงต้องการสานต่อความร่วมมือที่คุยกันไว้ เมื่อครั้งที่ รมว.ศธ.ไทยไปเยือนไอร์แลนด์ในเดือนมิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้ไอร์แลนด์กําลังเปิดประเทศในเรื่องการศึกษามากขึ้น และเป็นอีกประเทศที่มี "การปฏิรูปเศรษฐกิจ" ด้วย "การศึกษา"
นอกจากนี้ ได้มีการหารือเกี่ยวกับการจัดการอาชีวศึกษาของไอร์แลนด์ โดยเฉพาะด้านดิจิทัล ซึ่ง Mr Ciaran Cannon ได้เชิญ รมว.ศธ.ไทย และเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เดินทางไปเยือนไอร์แลนด์อีกครั้ง และขอให้ไทยสนับสนุนให้นักเรียนไปเรียนต่อที่ไอร์แลนด์เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันทางไอร์แลนด์ก็ต้องการที่จะรู้จักประเทศไทยมากขึ้นเช่นกัน
ในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ไอร์แลนด์ เมื่อปี 2558 ประเทศไทย-ไอร์แลนด์ได้ฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตครบรอบ 40 ปี โดยได้มีการก่อตั้งสถานเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ประจําประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรก พร้อมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการและทักษะของไอร์แลนด์ และกระทรวงศึกษาธิการไทย ในปีเดียวกัน โดยมีความร่วมมือครอบคลุมการศึกษาทุกระดับ ทั้งการฝึกอบรมภาษาอังกฤษ การแลกเปลี่ยนครู อาจารย์ นักเรียนนักศึกษา นักวิจัย ตลอดจนการเรียนรู้ระบบโครงสร้างทางการศึกษา การรับรองคุณภาพ การเทียบโอนหน่วยกิตในระดับอุดมศึกษา เป็นต้น
Written by นวรัตน์ รามสูต
Photo Credit ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี
Rewriter นวรัตน์ รามสูต
Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16860
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.จัดทำสินเชื่อบ้านสบายใจ วงเงินกู้ไม่ต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท ดอกเบี้ย 3.60% ต่อปี นาน 3 ปีแรก ตอบโจทย์ทุกความต้องการที่อยู่อาศัย
|
วันพุธที่ 15 มีนาคม 2560
ธอส.จัดทําสินเชื่อบ้านสบายใจ วงเงินกู้ไม่ต่ํากว่า 2.5 ล้านบาท ดอกเบี้ย 3.60% ต่อปี นาน 3 ปีแรก ตอบโจทย์ทุกความต้องการที่อยู่อาศัย
ธอส. จัดทําโครงการสินเชื่อบ้านสบายใจ วงเงินกู้ไม่ต่ํากว่า 2.5 ล้านบาท ดอกเบี้ย MRR-3.15% ต่อปี นานถึง 3 ปีแรก และโครงการบ้าน ธอส. อุ่นใจ ปี 2560 โครงการบ้าน ธอส. อุ่นใจ ปี 2560 สําหรับวงเงินกู้ไม่ต่ํากว่า 1.5 ล้านบาท ดอกเบี้ยคงที่ 3.50% ต่อปี นาน 2 ปีแรก
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เดินหน้าทําให้คนไทยมีบ้าน เตรียมวงเงินรวม 25,000 ล้านบาท จัดทําโครงการสินเชื่อบ้านสบายใจ วงเงินกู้ไม่ต่ํากว่า 2.5 ล้านบาท ดอกเบี้ย MRR-3.15% ต่อปี นานถึง 3 ปีแรก (หรือปัจจุบันเท่ากับ 3.60% ต่อปี) และโครงการบ้าน ธอส. อุ่นใจ ปี 2560 สําหรับวงเงินกู้ไม่ต่ํากว่า 1.5 ล้านบาท ดอกเบี้ยคงที่ 3.50% ต่อปี นาน 2 ปีแรก หวังช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัยและผลักดันให้สินเชื่อปล่อยใหม่ปี 2560 ให้เป็นไปตามเป้าหมาย 178,224 ล้านบาท
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันประชาชนยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยในระดับราคา 2.5 ล้านบาทขึ้นไป และเพื่อเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มที่ยังมีกําลังซื้อ ธนาคารจึงได้เตรียมกรอบวงเงิน 20,000 ล้านบาท จัดทํา โครงการสินเชื่อบ้านสบายใจ สําหรับลูกค้าที่ต้องการขอสินเชื่อวงเงินขอกู้ไม่ต่ํากว่า 2.5 ล้านบาทขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-3 เท่ากับ MRR-3.15% ต่อปี (หรือปัจจุบันเท่ากับ 3.60% ต่อปี) ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อย อัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี(ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส.เท่ากับ 6.75% ต่อปี) ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม และไถ่ถอนจํานองจากสถาบันการเงินอื่น ยื่นคําขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2560 และทํานิติกรรมภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2560
นอกจากนี้ยังมี โครงการบ้าน ธอส. อุ่นใจ ปี 2560 (กรอบวงเงิน 5,000 ล้านบาท) สําหรับลูกค้าวงเงินขอกู้ไม่ต่ํากว่า 1.5 ล้านบาทขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-2 เท่ากับ 3.50% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ 4.75% ต่อปี ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี และกรณีซื้ออุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัยอัตราดอกเบี้ย MRR ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม และซื้ออุปกรณ์ฯ พร้อมกับวัตถุประสงค์เพื่อที่อยู่อาศัย ยื่นคําขอกู้และทํานิติกรรมภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2560
ผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ทั้ง 2 โครงการ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการดําเนินงานภายใต้กลไก Business Solution เพื่อเป็นทางเลือกสําหรับกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางขึ้นไป ทําให้ ธอส.สามารถเข้าไปดูแลลูกค้าได้ทุกกลุ่มเป้าหมาย ภายใต้พันธกิจ “ทําให้คนไทยมีบ้าน” และสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ตามเป้าหมายที่ 178,224 ล้านบาทในปีนี้ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.จัดทำสินเชื่อบ้านสบายใจ วงเงินกู้ไม่ต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท ดอกเบี้ย 3.60% ต่อปี นาน 3 ปีแรก ตอบโจทย์ทุกความต้องการที่อยู่อาศัย
วันพุธที่ 15 มีนาคม 2560
ธอส.จัดทําสินเชื่อบ้านสบายใจ วงเงินกู้ไม่ต่ํากว่า 2.5 ล้านบาท ดอกเบี้ย 3.60% ต่อปี นาน 3 ปีแรก ตอบโจทย์ทุกความต้องการที่อยู่อาศัย
ธอส. จัดทําโครงการสินเชื่อบ้านสบายใจ วงเงินกู้ไม่ต่ํากว่า 2.5 ล้านบาท ดอกเบี้ย MRR-3.15% ต่อปี นานถึง 3 ปีแรก และโครงการบ้าน ธอส. อุ่นใจ ปี 2560 โครงการบ้าน ธอส. อุ่นใจ ปี 2560 สําหรับวงเงินกู้ไม่ต่ํากว่า 1.5 ล้านบาท ดอกเบี้ยคงที่ 3.50% ต่อปี นาน 2 ปีแรก
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เดินหน้าทําให้คนไทยมีบ้าน เตรียมวงเงินรวม 25,000 ล้านบาท จัดทําโครงการสินเชื่อบ้านสบายใจ วงเงินกู้ไม่ต่ํากว่า 2.5 ล้านบาท ดอกเบี้ย MRR-3.15% ต่อปี นานถึง 3 ปีแรก (หรือปัจจุบันเท่ากับ 3.60% ต่อปี) และโครงการบ้าน ธอส. อุ่นใจ ปี 2560 สําหรับวงเงินกู้ไม่ต่ํากว่า 1.5 ล้านบาท ดอกเบี้ยคงที่ 3.50% ต่อปี นาน 2 ปีแรก หวังช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัยและผลักดันให้สินเชื่อปล่อยใหม่ปี 2560 ให้เป็นไปตามเป้าหมาย 178,224 ล้านบาท
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันประชาชนยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยในระดับราคา 2.5 ล้านบาทขึ้นไป และเพื่อเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มที่ยังมีกําลังซื้อ ธนาคารจึงได้เตรียมกรอบวงเงิน 20,000 ล้านบาท จัดทํา โครงการสินเชื่อบ้านสบายใจ สําหรับลูกค้าที่ต้องการขอสินเชื่อวงเงินขอกู้ไม่ต่ํากว่า 2.5 ล้านบาทขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-3 เท่ากับ MRR-3.15% ต่อปี (หรือปัจจุบันเท่ากับ 3.60% ต่อปี) ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อย อัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี(ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส.เท่ากับ 6.75% ต่อปี) ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม และไถ่ถอนจํานองจากสถาบันการเงินอื่น ยื่นคําขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2560 และทํานิติกรรมภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2560
นอกจากนี้ยังมี โครงการบ้าน ธอส. อุ่นใจ ปี 2560 (กรอบวงเงิน 5,000 ล้านบาท) สําหรับลูกค้าวงเงินขอกู้ไม่ต่ํากว่า 1.5 ล้านบาทขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-2 เท่ากับ 3.50% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ 4.75% ต่อปี ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี และกรณีซื้ออุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัยอัตราดอกเบี้ย MRR ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม และซื้ออุปกรณ์ฯ พร้อมกับวัตถุประสงค์เพื่อที่อยู่อาศัย ยื่นคําขอกู้และทํานิติกรรมภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2560
ผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ทั้ง 2 โครงการ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการดําเนินงานภายใต้กลไก Business Solution เพื่อเป็นทางเลือกสําหรับกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางขึ้นไป ทําให้ ธอส.สามารถเข้าไปดูแลลูกค้าได้ทุกกลุ่มเป้าหมาย ภายใต้พันธกิจ “ทําให้คนไทยมีบ้าน” และสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ตามเป้าหมายที่ 178,224 ล้านบาทในปีนี้ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2408
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขสมก.ผ่อนคลายมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ต้อนรับเปิดเทอม เริ่ม 1 ก.ค.นี้ [กระทรวงการคมนาคม]
|
วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน 2563
ขสมก.ผ่อนคลายมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ต้อนรับเปิดเทอม เริ่ม 1 ก.ค.นี้ [กระทรวงการคมนาคม]
ขสมก.ผ่อนคลายมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ต้อนรับเปิดเทอม เริ่ม 1 ก.ค.นี้
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จะผ่อนคลายมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) บนรถโดยสารประจําทาง เพื่อให้รถโดยสารแต่ละคัน สามารถรองรับผู้ใช้บริการได้เพิ่มขึ้นเป็น 70 % สอดรับกับมาตรการคลายการผ่อนคลาย มาตรการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด - 19 ระยะที่ 5 และต้อนรับการเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โดยอนุญาตให้ผู้ใช้บริการที่เดินทางมาด้วยกัน หรือ เดินทางมาเป็นครอบครัว สามารถนั่งติดกันได้ บนเบาะที่นั่งที่กําหนด ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป
นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่าตามที่รัฐบาลได้เตรียมผ่อนคลาย มาตรการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด - 19 ระยะที่ 5 โดยอนุญาตให้กิจการผับ บาร์ คาราโอเกะ และสถานบันเทิงต่าง ๆ สามารถเปิดให้บริการได้ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ซึ่งตรงกับวันเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โดยจะมีนักเรียน นิสิต นักศึกษา ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไป ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้น ประกอบกับกระทรวงคมนาคม มีนโยบาย ให้หน่วยงาน ในสังกัด เตรียมผ่อนคลายมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ในระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อให้สามารถ รองรับผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 70 % โดยอนุญาตให้ผู้ใช้บริการที่เดินทางมาด้วยกัน หรือ เดินทางมาเป็นครอบครัวสามารถนั่งติดกันได้ บนเบาะที่นั่งที่กําหนด ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ใช้บริการรถโดยสารของ ขสมก.เพิ่มขึ้นเป็น วันละ ประมาณ 900,000 คน ขสมก.จึงจัดแผนการเดินรถโดยสาร ในช่วงมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 5 และช่วงเปิดภาคเรียน ดังนี้
ด้านรถโดยสาร
1. จัดรถออกวิ่ง 100 % (3,000 คัน/วัน) หรือจัดรถออกวิ่งให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในแต่ละช่วงเวลา โดยมีเที่ยววิ่งเฉลี่ย วันละประมาณ 25,000 เที่ยว ซึ่งก่อนนํารถออกวิ่ง จะใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% ฉีดพ่นและเช็ดทําความสะอาดอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ผู้ใช้บริการต้องสัมผัส เช่น เบาะที่นั่ง ราวจับ กริ่งสัญญาณ เป็นต้น พร้อมทั้งติดตั้ง ขวดเจลแอลกอฮอล์ สําหรับให้ผู้ใช้บริการล้างมือ บริเวณประตูทางขึ้น
2. กําหนดจุดนั่ง (เบาะที่ไม่มีเครื่องหมายกากบาท) และจุดยืนให้มีระยะห่างกัน 1 เมตร ซึ่งรถโดยสาร 1 คัน อนุญาตให้ ผู้ใช้บริการ ยืนได้ไม่เกิน 10 คน กรณีผู้ใช้บริการเต็ม พนักงานเก็บค่าโดยสารจะติดป้ายข้อความ “ ผู้ใช้บริการเต็ม โปรดใช้บริการ รถคันถัดไป” บริเวณกระจกหน้ารถโดยสาร พร้อมประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้บริการรับทราบ เพื่อรอใช้บริการรถโดยสารคันถัดไป
3. กําหนดจุดนั่งเบาะคู่ (เบาะคู่ที่ไม่มีเครื่องหมายกากบาททั้ง 2 เบาะ) เพิ่มเติม สําหรับให้ผู้ใช้บริการที่เดินทางมาด้วยกัน หรือ ผู้ใช้บริการที่เป็นครอบครัวเดียวกัน สามารถนั่งติดกันได้
4. ตรวจเช็คสภาพ และตรวจสอบการซ่อมบํารุงอุปกรณ์ส่วนควบต่าง ๆของรถโดยสาร ให้มีความมั่นคงแข็งแรง พร้อมทั้งตรวจเช็คประตูเปิด-ปิดอัตโนมัติ ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน
5. ติดตั้ง QR Code แอปพลิเคชันไทยชนะ บริเวณหลังเบาะที่นั่ง และบริเวณผนังด้านข้างภายในรถโดยสาร สําหรับให้ผู้ใช้บริการสแกนผ่านโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟน เพื่อเก็บข้อมูลการเดินทาง กรณีตรวจพบผู้ติดเชื้อ
ใช้บริการรถโดยสารคันเดียว และเวลาเดียวกันกับผู้ใช้บริการ จะมีการแจ้งเตือนผ่านระบบ SMS ว่าผู้ใช้บริการมีความเสี่ยงให้รีบไปพบแพทย์
ด้านบุคลากร
1. กํากับดูแลพนักงานขับรถโดยสารให้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้พนักงานเก็บค่าโดยสาร คอยดูแลการขึ้น-ลงของผู้ใช้บริการอย่างใกล้ชิด ให้บริการด้วยความสุภาพเรียบร้อย
2. ตรวจวัดแอลกอฮอล์ ความดันโลหิต และอุณหภูมิร่างกายของพนักงานขับรถ และพนักงานเก็บค่าโดยสารทุกครั้ง ก่อนขึ้นปฏิบัติ หน้าที่บนรถโดยสาร พร้อมทั้งกําชับพนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสาร สวมหน้ากากอนามัย และถุงมือทุกครั้ง ขณะปฏิบัติ หน้าที่บนรถโดยสาร
3. จัดพนักงานนายตรวจ และเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษประจําจุด ณ บริเวณหน้าโรงเรียน และป้ายหยุด รถโดยสาร ที่มีผู้ใช้บริการ หนาแน่น เพื่ออํานวยความสะดวกด้านการจราจร และดูแลการขึ้น-ลงรถของผู้ใช้บริการ
ด้านผู้ใช้บริการ
1. ผู้ใช้บริการจะต้องสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง ขณะใช้บริการรถโดยสาร
2. ผู้ใช้บริการจะต้องนั่ง และยืนตามจุดที่กําหนด กรณีผู้ใช้บริการเต็มจะต้องรอใช้บริการรถโดยสารคันถัดไป
3. กรณีผู้ใช้บริการที่เดินทางมาด้วยกัน หรือ เดินทางมาเป็นครอบครัว สามารถนั่งบนเบาะที่นั่งคู่ที่กําหนดไว้ (เบาะคู่ ที่ไม่มี เครื่องหมายกากบาททั้ง 2 เบาะ) ส่วนผู้ใช้บริการที่เดินทางมาคนเดียว ขอความกรุณานั่งบนเบาะที่นั่งอื่น ๆที่ไม่มีเครื่องหมายกากบาท
4. เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้บริการ ควรสแกน QR Code แอปพลิเคชันไทยชนะ บนรถโดยสาร เพื่อเช็คอินเมื่อขึ้นรถ และเช็คเอาท์ ก่อนลงจากรถ
5. ผู้ใช้บริการจะต้องปฏิบัติตามคําแนะนําของพนักงานเก็บค่าโดยสาร นายตรวจ และเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษอย่างเคร่งครัด
..............................................
ต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้บริการ สอบถามเส้นทางรถเมล์ หรือ แนะนําบริการได้ที่ www.bmta.co.th , facebook [email protected] หรือ ศูนย์ Call Center 1348 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 05.00 - 22.00 น. เป็นต้นไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขสมก.ผ่อนคลายมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ต้อนรับเปิดเทอม เริ่ม 1 ก.ค.นี้ [กระทรวงการคมนาคม]
วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน 2563
ขสมก.ผ่อนคลายมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ต้อนรับเปิดเทอม เริ่ม 1 ก.ค.นี้ [กระทรวงการคมนาคม]
ขสมก.ผ่อนคลายมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ต้อนรับเปิดเทอม เริ่ม 1 ก.ค.นี้
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จะผ่อนคลายมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) บนรถโดยสารประจําทาง เพื่อให้รถโดยสารแต่ละคัน สามารถรองรับผู้ใช้บริการได้เพิ่มขึ้นเป็น 70 % สอดรับกับมาตรการคลายการผ่อนคลาย มาตรการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด - 19 ระยะที่ 5 และต้อนรับการเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โดยอนุญาตให้ผู้ใช้บริการที่เดินทางมาด้วยกัน หรือ เดินทางมาเป็นครอบครัว สามารถนั่งติดกันได้ บนเบาะที่นั่งที่กําหนด ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป
นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่าตามที่รัฐบาลได้เตรียมผ่อนคลาย มาตรการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด - 19 ระยะที่ 5 โดยอนุญาตให้กิจการผับ บาร์ คาราโอเกะ และสถานบันเทิงต่าง ๆ สามารถเปิดให้บริการได้ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ซึ่งตรงกับวันเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โดยจะมีนักเรียน นิสิต นักศึกษา ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไป ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้น ประกอบกับกระทรวงคมนาคม มีนโยบาย ให้หน่วยงาน ในสังกัด เตรียมผ่อนคลายมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ในระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อให้สามารถ รองรับผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 70 % โดยอนุญาตให้ผู้ใช้บริการที่เดินทางมาด้วยกัน หรือ เดินทางมาเป็นครอบครัวสามารถนั่งติดกันได้ บนเบาะที่นั่งที่กําหนด ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ใช้บริการรถโดยสารของ ขสมก.เพิ่มขึ้นเป็น วันละ ประมาณ 900,000 คน ขสมก.จึงจัดแผนการเดินรถโดยสาร ในช่วงมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 5 และช่วงเปิดภาคเรียน ดังนี้
ด้านรถโดยสาร
1. จัดรถออกวิ่ง 100 % (3,000 คัน/วัน) หรือจัดรถออกวิ่งให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในแต่ละช่วงเวลา โดยมีเที่ยววิ่งเฉลี่ย วันละประมาณ 25,000 เที่ยว ซึ่งก่อนนํารถออกวิ่ง จะใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% ฉีดพ่นและเช็ดทําความสะอาดอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ผู้ใช้บริการต้องสัมผัส เช่น เบาะที่นั่ง ราวจับ กริ่งสัญญาณ เป็นต้น พร้อมทั้งติดตั้ง ขวดเจลแอลกอฮอล์ สําหรับให้ผู้ใช้บริการล้างมือ บริเวณประตูทางขึ้น
2. กําหนดจุดนั่ง (เบาะที่ไม่มีเครื่องหมายกากบาท) และจุดยืนให้มีระยะห่างกัน 1 เมตร ซึ่งรถโดยสาร 1 คัน อนุญาตให้ ผู้ใช้บริการ ยืนได้ไม่เกิน 10 คน กรณีผู้ใช้บริการเต็ม พนักงานเก็บค่าโดยสารจะติดป้ายข้อความ “ ผู้ใช้บริการเต็ม โปรดใช้บริการ รถคันถัดไป” บริเวณกระจกหน้ารถโดยสาร พร้อมประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้บริการรับทราบ เพื่อรอใช้บริการรถโดยสารคันถัดไป
3. กําหนดจุดนั่งเบาะคู่ (เบาะคู่ที่ไม่มีเครื่องหมายกากบาททั้ง 2 เบาะ) เพิ่มเติม สําหรับให้ผู้ใช้บริการที่เดินทางมาด้วยกัน หรือ ผู้ใช้บริการที่เป็นครอบครัวเดียวกัน สามารถนั่งติดกันได้
4. ตรวจเช็คสภาพ และตรวจสอบการซ่อมบํารุงอุปกรณ์ส่วนควบต่าง ๆของรถโดยสาร ให้มีความมั่นคงแข็งแรง พร้อมทั้งตรวจเช็คประตูเปิด-ปิดอัตโนมัติ ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน
5. ติดตั้ง QR Code แอปพลิเคชันไทยชนะ บริเวณหลังเบาะที่นั่ง และบริเวณผนังด้านข้างภายในรถโดยสาร สําหรับให้ผู้ใช้บริการสแกนผ่านโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟน เพื่อเก็บข้อมูลการเดินทาง กรณีตรวจพบผู้ติดเชื้อ
ใช้บริการรถโดยสารคันเดียว และเวลาเดียวกันกับผู้ใช้บริการ จะมีการแจ้งเตือนผ่านระบบ SMS ว่าผู้ใช้บริการมีความเสี่ยงให้รีบไปพบแพทย์
ด้านบุคลากร
1. กํากับดูแลพนักงานขับรถโดยสารให้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้พนักงานเก็บค่าโดยสาร คอยดูแลการขึ้น-ลงของผู้ใช้บริการอย่างใกล้ชิด ให้บริการด้วยความสุภาพเรียบร้อย
2. ตรวจวัดแอลกอฮอล์ ความดันโลหิต และอุณหภูมิร่างกายของพนักงานขับรถ และพนักงานเก็บค่าโดยสารทุกครั้ง ก่อนขึ้นปฏิบัติ หน้าที่บนรถโดยสาร พร้อมทั้งกําชับพนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสาร สวมหน้ากากอนามัย และถุงมือทุกครั้ง ขณะปฏิบัติ หน้าที่บนรถโดยสาร
3. จัดพนักงานนายตรวจ และเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษประจําจุด ณ บริเวณหน้าโรงเรียน และป้ายหยุด รถโดยสาร ที่มีผู้ใช้บริการ หนาแน่น เพื่ออํานวยความสะดวกด้านการจราจร และดูแลการขึ้น-ลงรถของผู้ใช้บริการ
ด้านผู้ใช้บริการ
1. ผู้ใช้บริการจะต้องสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง ขณะใช้บริการรถโดยสาร
2. ผู้ใช้บริการจะต้องนั่ง และยืนตามจุดที่กําหนด กรณีผู้ใช้บริการเต็มจะต้องรอใช้บริการรถโดยสารคันถัดไป
3. กรณีผู้ใช้บริการที่เดินทางมาด้วยกัน หรือ เดินทางมาเป็นครอบครัว สามารถนั่งบนเบาะที่นั่งคู่ที่กําหนดไว้ (เบาะคู่ ที่ไม่มี เครื่องหมายกากบาททั้ง 2 เบาะ) ส่วนผู้ใช้บริการที่เดินทางมาคนเดียว ขอความกรุณานั่งบนเบาะที่นั่งอื่น ๆที่ไม่มีเครื่องหมายกากบาท
4. เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้บริการ ควรสแกน QR Code แอปพลิเคชันไทยชนะ บนรถโดยสาร เพื่อเช็คอินเมื่อขึ้นรถ และเช็คเอาท์ ก่อนลงจากรถ
5. ผู้ใช้บริการจะต้องปฏิบัติตามคําแนะนําของพนักงานเก็บค่าโดยสาร นายตรวจ และเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษอย่างเคร่งครัด
..............................................
ต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้บริการ สอบถามเส้นทางรถเมล์ หรือ แนะนําบริการได้ที่ www.bmta.co.th , facebook [email protected] หรือ ศูนย์ Call Center 1348 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 05.00 - 22.00 น. เป็นต้นไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32827
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ให้กำลังใจคนไทยที่กลับจากอู่ฮั่น ย้ำรัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหาทุกอย่าง อย่างเต็มที่เพื่อพี่น้องประชาชน
|
วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563
นายกรัฐมนตรี ให้กําลังใจคนไทยที่กลับจากอู่ฮั่น ย้ํารัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหาทุกอย่าง อย่างเต็มที่เพื่อพี่น้องประชาชน
นายกรัฐมนตรี ให้กําลังใจคนไทยที่กลับจากอู่ฮั่น ย้ํารัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหาทุกอย่าง อย่างเต็มที่เพื่อพี่น้องประชาชน
วันนี้ (5 กุมภาพันธ์2563) เวลา 18.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมพูดคุยกับ นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รศ.นพ สืบสาย คงแสงดาว และ นพ. เกรียงศักดิ์ อติพรวณิช คณะแพทย์จาก โรงพยาบาลราชวิถี ผู้หาวิธีรักษาเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อวงการสาธารณสุขไทยในการรับมือกับโรคระบาด และ Video Call พูดคุยกับตัวแทนคนไทยที่กลับจากอู่ฮั่น ในรายการ Government Weekly สรุปประเด็นดังนี้
คณะแพทย์ได้รายงานสถานการณ์ล่าสุดของไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ในประเทศไทยว่า ขณะนี้อยู่ในระยะที่สามารถควบคุมได้ โดยรัฐบาลได้ดําเนินการอย่างบูรณาการ ป้องกันการแพร่เชื้อ ให้มีผู้ป่วยน้อยที่สุด ซึ่งเป็นที่น่าภูมิใจที่สาธารณสุขไทยถือเป็นอันดับต้นของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาไข้อุบัติใหม่ และในขณะเดียวกัน ได้ให้กระทรวงพาณิชย์เข้าไปตรวจสอบและเร่งการผลิตหน้ากากอนามัย เนื่องจากมีความต้องการสูง โดยจะจัดให้มีการจําหน่ายในที่เหมาะสม หาซื้อได้สะดวก และผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งอย่างไรก็ตามประชาชนต้องดูแล รักษาสุขภาพของตนเองในเบื้องต้น ติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เพื่อป้องกันการรับรู้ข่าวสารที่อาจจะคลาดเคลื่อน หากมีข้อสงสัยสามารถโทรสายด่วน 1422
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีฝากถึงประชาชนทุกภาคส่วน ร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ไม่รังเกียจกัน ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ เมื่อมีความร่วมมือกัน มีระบบคัดกรองที่ดีแล้ว จะสามารถยุติการแพร่ระบาดได้ในอนาคต เชื่อว่าเราจะแก้ปัญหาได้เร็วขึ้น และไปสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในวันข้างหน้า ทั้งนี้ขอขอบคุณบุคลากรทั้งการแพทย์ สาธารณสุข ตลอดจนภาคเอกชนที่ร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ขอให้ประชาชนดูแลตนเองในเบื้องต้น สํารวจสุขภาพตนเองและคนรอบข้าง เรียนรู้ไปด้วยกัน ทําความเข้าใจอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันตนเองจากไวรัสโคโรนาหรือไข้หวัดอื่น ๆ
โดยก่อนหน้านั้น ช่วงเปิดรายการ นายกรัฐมนตรี Video Call พูดคุยและให้กําลังใจตัวแทนคนไทยที่กลับจากอู่ฮั่น พร้อมขอให้ประชาชนร่วมมือ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และย้ําว่ารัฐบาลให้ความสําคัญกับทุกปัญหา และจะดําเนินการแก้ไขทุกปัญหาอย่างเต็มที่ เพื่อพี่น้องประชาชน
...............................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ให้กำลังใจคนไทยที่กลับจากอู่ฮั่น ย้ำรัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหาทุกอย่าง อย่างเต็มที่เพื่อพี่น้องประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563
นายกรัฐมนตรี ให้กําลังใจคนไทยที่กลับจากอู่ฮั่น ย้ํารัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหาทุกอย่าง อย่างเต็มที่เพื่อพี่น้องประชาชน
นายกรัฐมนตรี ให้กําลังใจคนไทยที่กลับจากอู่ฮั่น ย้ํารัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหาทุกอย่าง อย่างเต็มที่เพื่อพี่น้องประชาชน
วันนี้ (5 กุมภาพันธ์2563) เวลา 18.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมพูดคุยกับ นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รศ.นพ สืบสาย คงแสงดาว และ นพ. เกรียงศักดิ์ อติพรวณิช คณะแพทย์จาก โรงพยาบาลราชวิถี ผู้หาวิธีรักษาเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อวงการสาธารณสุขไทยในการรับมือกับโรคระบาด และ Video Call พูดคุยกับตัวแทนคนไทยที่กลับจากอู่ฮั่น ในรายการ Government Weekly สรุปประเด็นดังนี้
คณะแพทย์ได้รายงานสถานการณ์ล่าสุดของไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ในประเทศไทยว่า ขณะนี้อยู่ในระยะที่สามารถควบคุมได้ โดยรัฐบาลได้ดําเนินการอย่างบูรณาการ ป้องกันการแพร่เชื้อ ให้มีผู้ป่วยน้อยที่สุด ซึ่งเป็นที่น่าภูมิใจที่สาธารณสุขไทยถือเป็นอันดับต้นของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาไข้อุบัติใหม่ และในขณะเดียวกัน ได้ให้กระทรวงพาณิชย์เข้าไปตรวจสอบและเร่งการผลิตหน้ากากอนามัย เนื่องจากมีความต้องการสูง โดยจะจัดให้มีการจําหน่ายในที่เหมาะสม หาซื้อได้สะดวก และผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งอย่างไรก็ตามประชาชนต้องดูแล รักษาสุขภาพของตนเองในเบื้องต้น ติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เพื่อป้องกันการรับรู้ข่าวสารที่อาจจะคลาดเคลื่อน หากมีข้อสงสัยสามารถโทรสายด่วน 1422
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีฝากถึงประชาชนทุกภาคส่วน ร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ไม่รังเกียจกัน ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ เมื่อมีความร่วมมือกัน มีระบบคัดกรองที่ดีแล้ว จะสามารถยุติการแพร่ระบาดได้ในอนาคต เชื่อว่าเราจะแก้ปัญหาได้เร็วขึ้น และไปสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในวันข้างหน้า ทั้งนี้ขอขอบคุณบุคลากรทั้งการแพทย์ สาธารณสุข ตลอดจนภาคเอกชนที่ร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ขอให้ประชาชนดูแลตนเองในเบื้องต้น สํารวจสุขภาพตนเองและคนรอบข้าง เรียนรู้ไปด้วยกัน ทําความเข้าใจอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันตนเองจากไวรัสโคโรนาหรือไข้หวัดอื่น ๆ
โดยก่อนหน้านั้น ช่วงเปิดรายการ นายกรัฐมนตรี Video Call พูดคุยและให้กําลังใจตัวแทนคนไทยที่กลับจากอู่ฮั่น พร้อมขอให้ประชาชนร่วมมือ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และย้ําว่ารัฐบาลให้ความสําคัญกับทุกปัญหา และจะดําเนินการแก้ไขทุกปัญหาอย่างเต็มที่ เพื่อพี่น้องประชาชน
...............................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26329
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เตรียมแพทย์ผ่าตัด แพทย์ -พยาบาลฉุกเฉินจากส่วนกลาง พร้อมสนับสนุนการดูแลผู้บาดเจ็บจากเหตุ กราดยิงที่ จ.นครราชสีมา
|
วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563
สธ.เตรียมแพทย์ผ่าตัด แพทย์ -พยาบาลฉุกเฉินจากส่วนกลาง พร้อมสนับสนุนการดูแลผู้บาดเจ็บจากเหตุ กราดยิงที่ จ.นครราชสีมา
กระทรวงสาธารณสุข ระดมแพทย์ผ่าตัด แพทย์-พยาบาลฉุกเฉิน กว่า 100 คนในพื้นที่จ.นครราชสีมา เตรียมห้องผ่าตัด ห้องไอซียู สํารองเลือด กว่า 1,700 ยูนิต ดูแลผู้บาดเจ็บจากเหตุ กราดยิง พร้อมเตรียมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านศัลยกรรม เวชศาสตร์ฉุกเฉิน วิสัญญี จิต
กระทรวงสาธารณสุข ระดมแพทย์ผ่าตัด แพทย์-พยาบาลฉุกเฉิน กว่า 100 คนในพื้นที่จ.นครราชสีมา เตรียมห้องผ่าตัด ห้องไอซียู สํารองเลือด กว่า 1,700 ยูนิต ดูแลผู้บาดเจ็บจากเหตุ กราดยิง พร้อมเตรียมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านศัลยกรรม เวชศาสตร์ฉุกเฉิน วิสัญญี จิตแพทย์จากส่วนกลางพร้อมเดินทางสนับสนุนทันที
วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2563) เวลา 23.00 น.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เดินทางไปติดตามสถานการณ์เหตุคนร้ายกราดยิงที่ จ.นครราชสีมาและให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับรายงานจากผู้ตรวจเขตสุขภาพที่ 9 ได้ประสานขอความร่วมมือโรงพยาบาลทุกแห่งทั้งรัฐและเอกชนใน จ.นครราชสีมา และใกล้เคียง ระดมทีมแพทย์ ทีมผ่าตัด พยาบาลกว่า 100คน และมีพยาบาลสํารองในโรงพยาบาลอีกกว่า 200 คน เตรียมห้องผ่าตัด หอผู้ป่วยหนัก สํารองเลือดไว้แล้ว กว่า 1,700 ยูนิต พร้อมดูแลผู้บาดเจ็บให้ดีที่สุด
นอกจากนี้ ยังได้สํารองเลือด หอผู้ป่วยหนัก ระดมทีมแพทย์ พยาบาลผู้เชี่ยวชาญ อาทิ ด้านศัลยกรรม เวชศาสตร์ฉุกเฉิน วิสัญญี จิตแพทย์ พยาบาล จากสังกัดกรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค กรมสุขภาพจิต พร้อมเดินทางสนับสนุนในพื้นที่ทันที
“กําชับให้ทีมรักษาทํางานเต็มที่ให้ผู้บาดเจ็บปลอดภัย และขอความร่วมมือประชาชน งดแชร์ภาพเหตุการณ์ ระงับการวิจารณ์ ”นายอนุทินกล่าว
ณ เวลา 23.00 น. ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา มีผู้เสียชีวิต 20 ราย (เสียชีวิตที่จุดเกิดเหตุ 16 ราย ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา 3 รายและโรงพยาบาลเอกชนอีก 1 ราย ) มีผู้บาดเจ็บ 31 คน กําลังผ่าตัด 4 คน และอยู่ไอซียู 6 คน
**************************** 8กุมภาพันธ์ 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เตรียมแพทย์ผ่าตัด แพทย์ -พยาบาลฉุกเฉินจากส่วนกลาง พร้อมสนับสนุนการดูแลผู้บาดเจ็บจากเหตุ กราดยิงที่ จ.นครราชสีมา
วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563
สธ.เตรียมแพทย์ผ่าตัด แพทย์ -พยาบาลฉุกเฉินจากส่วนกลาง พร้อมสนับสนุนการดูแลผู้บาดเจ็บจากเหตุ กราดยิงที่ จ.นครราชสีมา
กระทรวงสาธารณสุข ระดมแพทย์ผ่าตัด แพทย์-พยาบาลฉุกเฉิน กว่า 100 คนในพื้นที่จ.นครราชสีมา เตรียมห้องผ่าตัด ห้องไอซียู สํารองเลือด กว่า 1,700 ยูนิต ดูแลผู้บาดเจ็บจากเหตุ กราดยิง พร้อมเตรียมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านศัลยกรรม เวชศาสตร์ฉุกเฉิน วิสัญญี จิต
กระทรวงสาธารณสุข ระดมแพทย์ผ่าตัด แพทย์-พยาบาลฉุกเฉิน กว่า 100 คนในพื้นที่จ.นครราชสีมา เตรียมห้องผ่าตัด ห้องไอซียู สํารองเลือด กว่า 1,700 ยูนิต ดูแลผู้บาดเจ็บจากเหตุ กราดยิง พร้อมเตรียมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านศัลยกรรม เวชศาสตร์ฉุกเฉิน วิสัญญี จิตแพทย์จากส่วนกลางพร้อมเดินทางสนับสนุนทันที
วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2563) เวลา 23.00 น.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เดินทางไปติดตามสถานการณ์เหตุคนร้ายกราดยิงที่ จ.นครราชสีมาและให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับรายงานจากผู้ตรวจเขตสุขภาพที่ 9 ได้ประสานขอความร่วมมือโรงพยาบาลทุกแห่งทั้งรัฐและเอกชนใน จ.นครราชสีมา และใกล้เคียง ระดมทีมแพทย์ ทีมผ่าตัด พยาบาลกว่า 100คน และมีพยาบาลสํารองในโรงพยาบาลอีกกว่า 200 คน เตรียมห้องผ่าตัด หอผู้ป่วยหนัก สํารองเลือดไว้แล้ว กว่า 1,700 ยูนิต พร้อมดูแลผู้บาดเจ็บให้ดีที่สุด
นอกจากนี้ ยังได้สํารองเลือด หอผู้ป่วยหนัก ระดมทีมแพทย์ พยาบาลผู้เชี่ยวชาญ อาทิ ด้านศัลยกรรม เวชศาสตร์ฉุกเฉิน วิสัญญี จิตแพทย์ พยาบาล จากสังกัดกรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค กรมสุขภาพจิต พร้อมเดินทางสนับสนุนในพื้นที่ทันที
“กําชับให้ทีมรักษาทํางานเต็มที่ให้ผู้บาดเจ็บปลอดภัย และขอความร่วมมือประชาชน งดแชร์ภาพเหตุการณ์ ระงับการวิจารณ์ ”นายอนุทินกล่าว
ณ เวลา 23.00 น. ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา มีผู้เสียชีวิต 20 ราย (เสียชีวิตที่จุดเกิดเหตุ 16 ราย ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา 3 รายและโรงพยาบาลเอกชนอีก 1 ราย ) มีผู้บาดเจ็บ 31 คน กําลังผ่าตัด 4 คน และอยู่ไอซียู 6 คน
**************************** 8กุมภาพันธ์ 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26394
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 11 มิถุนายน 2563
|
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 11 มิถุนายน 2563
วันนี้ (11 มิถุนายน 2563) ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจําวันที่11 มิถุนายน 2563
วันนี้ (11 มิถุนายน 2563) ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 6 ราย ยอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,987 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.58 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 80 ราย หรือร้อยละ 2.56 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิต รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,125 ราย
กระทรวงสาธารณสุขขอความร่วมมือประชาชนยังคงรักษามาตรการสวมหน้ากากอนามัย/ หน้ากากผ้า ล้างมือ เว้นระยะห่าง ต่อเนื่องให้เป็นนิสัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อและแพร่ระบาด การสวมเฟซชิลล์ที่ถูกต้องคือต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าร่วมด้วย ซึ่งเหมาะสําหรับบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่ต้องทํางานพบปะผู้คนในระยะประชิดเป็นเวลานาน เช่น พนักงานบริการ เจ้าหน้าที่ธนาคาร พ่อค้า-แม่ค้า
สําหรับประชาชนทั่วไปการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า ล้างมือบ่อย และการเว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น 1-2 เมตร สามารถป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่กระจายของเชื้อโควิด 19 ได้ และควรปฏิบัติให้เป็นพฤติกรรมการป้องกันตนเองตลอดไป ซึ่งผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ พบว่า ความร่วมมือของประชาชนในการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าในที่สาธารณะร่วมกับมาตรการล็อกดาวน์ จะสามารถลดการแพร่เชื้อได้อย่างมีนัยสําคัญ สอดคล้องกับคําแนะนําขององค์การอนามัยโลกเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2563 ซึ่งแนะนําให้ประชาชนทุกคนสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า เมื่ออยู่ในที่สาธารณะ
****************************** 11 มิถุนายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 11 มิถุนายน 2563
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 11 มิถุนายน 2563
วันนี้ (11 มิถุนายน 2563) ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ประจําวันที่11 มิถุนายน 2563
วันนี้ (11 มิถุนายน 2563) ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 6 ราย ยอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,987 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.58 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 80 ราย หรือร้อยละ 2.56 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิต รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,125 ราย
กระทรวงสาธารณสุขขอความร่วมมือประชาชนยังคงรักษามาตรการสวมหน้ากากอนามัย/ หน้ากากผ้า ล้างมือ เว้นระยะห่าง ต่อเนื่องให้เป็นนิสัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อและแพร่ระบาด การสวมเฟซชิลล์ที่ถูกต้องคือต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าร่วมด้วย ซึ่งเหมาะสําหรับบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่ต้องทํางานพบปะผู้คนในระยะประชิดเป็นเวลานาน เช่น พนักงานบริการ เจ้าหน้าที่ธนาคาร พ่อค้า-แม่ค้า
สําหรับประชาชนทั่วไปการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า ล้างมือบ่อย และการเว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น 1-2 เมตร สามารถป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่กระจายของเชื้อโควิด 19 ได้ และควรปฏิบัติให้เป็นพฤติกรรมการป้องกันตนเองตลอดไป ซึ่งผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ พบว่า ความร่วมมือของประชาชนในการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าในที่สาธารณะร่วมกับมาตรการล็อกดาวน์ จะสามารถลดการแพร่เชื้อได้อย่างมีนัยสําคัญ สอดคล้องกับคําแนะนําขององค์การอนามัยโลกเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2563 ซึ่งแนะนําให้ประชาชนทุกคนสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า เมื่ออยู่ในที่สาธารณะ
****************************** 11 มิถุนายน 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32214
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ช้อปสินค้าเด็ดทั่วไทย ผ่านมาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” ด้วยการใช้จ่าย G-Wallet 2
|
วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2562
ช้อปสินค้าเด็ดทั่วไทย ผ่านมาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” ด้วยการใช้จ่าย G-Wallet 2
วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลชวนคนไทยช้อปสินค้าเด็ดทั่วไทย ผ่านมาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” ด้วยการใช้จ่าย G-Wallet 2 ที่เว็บไซต์ thailandpostmart.com ซึ่งมีสินค้าของดีของเด่นจากทั่วประเทศมากกว่า 17,000 รายการ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ และกระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการรายย่อย กลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยจะได้รับสิทธิพิเศษ 3 ต่อ คือ ต่อที่ 1 รับเงินคืน หรือแคชแบ็ค จากชิม ช้อป ใช้ 15 - 20% ต่อที่ 2 เมื่อซื้อสินค้าครบ 1,000 บาทขึ้นไป รับคูปองส่วนลด 5% สําหรับใช้ซื้อสินค้าอื่น ๆ ในครั้งถัดไป และต่อที่ 3 บริการขนส่งสินค้าด้วยบริการ EMS ผู้สนใจสามารถเลือกซื้อเลือกชมได้ตั้งแต่บัดนี้ – 31 ม.ค. 63
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ช้อปสินค้าเด็ดทั่วไทย ผ่านมาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” ด้วยการใช้จ่าย G-Wallet 2
วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2562
ช้อปสินค้าเด็ดทั่วไทย ผ่านมาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” ด้วยการใช้จ่าย G-Wallet 2
วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลชวนคนไทยช้อปสินค้าเด็ดทั่วไทย ผ่านมาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” ด้วยการใช้จ่าย G-Wallet 2 ที่เว็บไซต์ thailandpostmart.com ซึ่งมีสินค้าของดีของเด่นจากทั่วประเทศมากกว่า 17,000 รายการ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ และกระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการรายย่อย กลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยจะได้รับสิทธิพิเศษ 3 ต่อ คือ ต่อที่ 1 รับเงินคืน หรือแคชแบ็ค จากชิม ช้อป ใช้ 15 - 20% ต่อที่ 2 เมื่อซื้อสินค้าครบ 1,000 บาทขึ้นไป รับคูปองส่วนลด 5% สําหรับใช้ซื้อสินค้าอื่น ๆ ในครั้งถัดไป และต่อที่ 3 บริการขนส่งสินค้าด้วยบริการ EMS ผู้สนใจสามารถเลือกซื้อเลือกชมได้ตั้งแต่บัดนี้ – 31 ม.ค. 63
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25232
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเร่งพัฒนาศักยภาพศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังการทำประมง
|
วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม 2561
รัฐบาลเร่งพัฒนาศักยภาพศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังการทําประมง
โดยจัดส่งเจ้าหน้าที่ของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายไปให้ความรู้และประสบการณ์แก่บุคลากรของศูนย์ปฏิบัติการ
เสาร์ที่ 26 พ.ค.61
รัฐบาลเร่งพัฒนาศักยภาพศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังการทําประมง
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเร่งพัฒนาศักยภาพศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังการทําประมง โดยจัดส่งเจ้าหน้าที่ของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายไปให้ความรู้และประสบการณ์แก่บุคลากรของศูนย์ปฏิบัติการ เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานเฝ้าระวังการทําประมงได้อย่างครบวงจร เช่น การควบคุมเรือ การติดตามพฤติกรรมการทําประมงที่ถูกต้อง การควบคุมการใช้แรงงานบนเรือประมง เป็นต้น โดยศูนย์ปฏิบัติการดังกล่าวจะรวบรวมและตรวจสอบข้อมูลการทําประมงจากทุกหน่วยงาน เพื่อนําไปวิเคราะห์และกําหนดแนวทางแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ รัฐบาลตั้งเป้าว่าประเทศไทยจะปลอดจากสินค้าและการทําประมงที่ผิดกฎหมายอย่างถาวรภายในปี 2564
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเร่งพัฒนาศักยภาพศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังการทำประมง
วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม 2561
รัฐบาลเร่งพัฒนาศักยภาพศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังการทําประมง
โดยจัดส่งเจ้าหน้าที่ของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายไปให้ความรู้และประสบการณ์แก่บุคลากรของศูนย์ปฏิบัติการ
เสาร์ที่ 26 พ.ค.61
รัฐบาลเร่งพัฒนาศักยภาพศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังการทําประมง
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเร่งพัฒนาศักยภาพศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังการทําประมง โดยจัดส่งเจ้าหน้าที่ของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายไปให้ความรู้และประสบการณ์แก่บุคลากรของศูนย์ปฏิบัติการ เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานเฝ้าระวังการทําประมงได้อย่างครบวงจร เช่น การควบคุมเรือ การติดตามพฤติกรรมการทําประมงที่ถูกต้อง การควบคุมการใช้แรงงานบนเรือประมง เป็นต้น โดยศูนย์ปฏิบัติการดังกล่าวจะรวบรวมและตรวจสอบข้อมูลการทําประมงจากทุกหน่วยงาน เพื่อนําไปวิเคราะห์และกําหนดแนวทางแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ รัฐบาลตั้งเป้าว่าประเทศไทยจะปลอดจากสินค้าและการทําประมงที่ผิดกฎหมายอย่างถาวรภายในปี 2564
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12582
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-9 สถาบันการเงินของรัฐ ขานรับนโยบายรัฐบาล ผนึก PTTOR และไปรษณีย์ไทย ยกระดับบริการธุรกรรมทางการเงิน แบบ One Service มุ่งส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน ในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station
|
วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม 2561
9 สถาบันการเงินของรัฐ ขานรับนโยบายรัฐบาล ผนึก PTTOR และไปรษณีย์ไทย ยกระดับบริการธุรกรรมทางการเงิน แบบ One Service มุ่งส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน ในสถานีบริการน้ํามัน PTT Station
พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อให้บริการธุรกรรมทางการเงินและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนในสถานีบริการน้ํามัน PTT Station ระหว่างสมาชิกของสภาสถาบันการเงินของรัฐ 9 แห่ง กับบริษัท ปตท.น้ํามันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อให้บริการธุรกรรมทางการเงินและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน ในสถานีบริการน้ํามัน PTT Station ระหว่างสมาชิกของสภาสถาบันการเงินของรัฐทั้ง 9 แห่ง กับบริษัท ปตท.น้ํามันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) หรือ PTTOR และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด โดยร่วมกันจัดทําโครงการธุรกรรมทางการเงินแบบ One Service ณ สถานีบริการน้ํามัน PTT Station มุ่งขยายช่องทางให้ลูกค้าประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสถาบันการเงินของรัฐได้สะดวกและทั่วถึง ซึ่งสถาบันการเงินของรัฐมีลูกค้ารวมกว่า 46.5 ล้านราย พร้อมร่วมกันส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นลูกค้าของสถาบันการเงินของรัฐทั้ง 9 แห่ง สามารถนําสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนขึ้นจําหน่ายผ่าน Platform e-Market ในเบื้องต้นกําหนดให้ไปรษณีย์ไทยอํานวยความสะดวกในการจัดส่งสินค้า และ PTT Station เป็นจุด รับ - ส่งสินค้าในระยะแรก และจะศึกษาหาแนวทางกระจายสินค้าต่อไปในอนาคต จากความร่วมมือผนึกกําลังกันในครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมนโยบายสร้างอาชีพ สร้างรายได้สู่ชุมชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในฐานะประธานกรรมการสภาสถาบันการเงินของรัฐ กล่าวว่า จากนโยบายรัฐบาลที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ําของสังคม และสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ รวมถึงสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ สถาบันการเงินของรัฐทั้ง 9 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม และบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งมีสินทรัพย์รวมถึงกว่า 8.5 ล้านล้านบาท สินเชื่อคงค้างกว่า 7.1 ล้านล้านบาท และลูกค้า รวมกว่า 46.5 ล้านราย จึงได้ร่วมกับ PTTOR และไปรษณีย์ไทย จัดทําโครงการบริการธุรกรรมทางการเงินและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนในสถานีบริการน้ํามัน PTT Station โดยสถาบันการเงินของรัฐ จะจัดให้บริการธุรกรรมทางการเงิน แบบ One Service ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันการเงินของรัฐ และ PTTOR นอกจากนี้ยังได้ร่วมกันส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน สนับสนุนการกระจายสินค้า ลดต้นทุนการบริหารจัดการ อํานวยความสะดวกให้กับประชาชน โดยให้ PTT Station เป็นจุดรับส่งสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ซื้อขายผ่านช่องทาง Platform e-Market ในระยะแรก และจะศึกษาหาแนวทางกระจายสินค้าต่อไปในอนาคต
“จากความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สถาบันการเงินของรัฐ ซึ่งมีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและระบบการเงินของประเทศ ได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ผนึกกําลังเพื่ออํานวยความสะดวกส่งมอบบริการที่ดีให้ประชาชน และส่งเสริมผู้ประกอบการ SME ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้มแข็งในระบบเศรษฐกิจให้กับประเทศชาติได้อย่างยั่งยืน” นายฉัตรชัย กล่าว
นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.น้ํามันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) กล่าวถึงความร่วมมือ “ PTTOR มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุน ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน ในโครงการฯ ครั้งนี้ เนื่องจากโครงการฯ มีความสอดคล้องเป็นอย่างมากกับแนวคิด “ Living Community ” ซึ่ง PTTOR ได้ใช้เป็นกรอบการดําเนินธุรกิจสถานีบริการ PTT Station ที่เน้นการเป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตของชุมชน สร้างความผูกพัน ตอบสนองความต้องการที่แตกต่างของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ และสร้างโอกาสทางธุรกิจให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง โดยสนับสนุนให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนให้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราคนไทย เป็นสังคมเกษตรกรรม PTTOR จึงให้ความสําคัญกับการสนับสนุนสินค้าด้านเกษตรกรรมจากชุมชน เพื่อเป็นหนึ่งในพลังสนับสนุนการสร้างงานสร้างโอกาส ให้กับชุมชน สังคมไทย เพื่อการเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน ”
นางสมร เทิดธรรมพิบูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า ไปรษณีย์ไทยมีเครือข่ายที่ทําการไปรษณีย์กว่า 5,000 สาขา และมีระบบการขนส่งที่เข้าถึงและครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ จึงมีความพร้อมในการนําสินค้าจากชุมชนมายังสถานีน้ํามันที่กําหนดเพื่อจําหน่ายให้กับผู้เดินทางและ/หรือชุมชนโดยรอบสถานีน้ํามันได้ตามนโยบายของรัฐบาล นอกจากนี้ยังสามารถซื้อสินค้าชุมชนผ่านทางเว็บไซต์ www.thailandpostmart.com ได้อีกช่องทางหนึ่ง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-9 สถาบันการเงินของรัฐ ขานรับนโยบายรัฐบาล ผนึก PTTOR และไปรษณีย์ไทย ยกระดับบริการธุรกรรมทางการเงิน แบบ One Service มุ่งส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน ในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station
วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม 2561
9 สถาบันการเงินของรัฐ ขานรับนโยบายรัฐบาล ผนึก PTTOR และไปรษณีย์ไทย ยกระดับบริการธุรกรรมทางการเงิน แบบ One Service มุ่งส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน ในสถานีบริการน้ํามัน PTT Station
พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อให้บริการธุรกรรมทางการเงินและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนในสถานีบริการน้ํามัน PTT Station ระหว่างสมาชิกของสภาสถาบันการเงินของรัฐ 9 แห่ง กับบริษัท ปตท.น้ํามันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อให้บริการธุรกรรมทางการเงินและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน ในสถานีบริการน้ํามัน PTT Station ระหว่างสมาชิกของสภาสถาบันการเงินของรัฐทั้ง 9 แห่ง กับบริษัท ปตท.น้ํามันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) หรือ PTTOR และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด โดยร่วมกันจัดทําโครงการธุรกรรมทางการเงินแบบ One Service ณ สถานีบริการน้ํามัน PTT Station มุ่งขยายช่องทางให้ลูกค้าประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสถาบันการเงินของรัฐได้สะดวกและทั่วถึง ซึ่งสถาบันการเงินของรัฐมีลูกค้ารวมกว่า 46.5 ล้านราย พร้อมร่วมกันส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นลูกค้าของสถาบันการเงินของรัฐทั้ง 9 แห่ง สามารถนําสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนขึ้นจําหน่ายผ่าน Platform e-Market ในเบื้องต้นกําหนดให้ไปรษณีย์ไทยอํานวยความสะดวกในการจัดส่งสินค้า และ PTT Station เป็นจุด รับ - ส่งสินค้าในระยะแรก และจะศึกษาหาแนวทางกระจายสินค้าต่อไปในอนาคต จากความร่วมมือผนึกกําลังกันในครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมนโยบายสร้างอาชีพ สร้างรายได้สู่ชุมชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในฐานะประธานกรรมการสภาสถาบันการเงินของรัฐ กล่าวว่า จากนโยบายรัฐบาลที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ําของสังคม และสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ รวมถึงสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ สถาบันการเงินของรัฐทั้ง 9 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม และบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งมีสินทรัพย์รวมถึงกว่า 8.5 ล้านล้านบาท สินเชื่อคงค้างกว่า 7.1 ล้านล้านบาท และลูกค้า รวมกว่า 46.5 ล้านราย จึงได้ร่วมกับ PTTOR และไปรษณีย์ไทย จัดทําโครงการบริการธุรกรรมทางการเงินและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนในสถานีบริการน้ํามัน PTT Station โดยสถาบันการเงินของรัฐ จะจัดให้บริการธุรกรรมทางการเงิน แบบ One Service ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันการเงินของรัฐ และ PTTOR นอกจากนี้ยังได้ร่วมกันส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน สนับสนุนการกระจายสินค้า ลดต้นทุนการบริหารจัดการ อํานวยความสะดวกให้กับประชาชน โดยให้ PTT Station เป็นจุดรับส่งสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ซื้อขายผ่านช่องทาง Platform e-Market ในระยะแรก และจะศึกษาหาแนวทางกระจายสินค้าต่อไปในอนาคต
“จากความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สถาบันการเงินของรัฐ ซึ่งมีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและระบบการเงินของประเทศ ได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ผนึกกําลังเพื่ออํานวยความสะดวกส่งมอบบริการที่ดีให้ประชาชน และส่งเสริมผู้ประกอบการ SME ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้มแข็งในระบบเศรษฐกิจให้กับประเทศชาติได้อย่างยั่งยืน” นายฉัตรชัย กล่าว
นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.น้ํามันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) กล่าวถึงความร่วมมือ “ PTTOR มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุน ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน ในโครงการฯ ครั้งนี้ เนื่องจากโครงการฯ มีความสอดคล้องเป็นอย่างมากกับแนวคิด “ Living Community ” ซึ่ง PTTOR ได้ใช้เป็นกรอบการดําเนินธุรกิจสถานีบริการ PTT Station ที่เน้นการเป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตของชุมชน สร้างความผูกพัน ตอบสนองความต้องการที่แตกต่างของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ และสร้างโอกาสทางธุรกิจให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง โดยสนับสนุนให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนให้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราคนไทย เป็นสังคมเกษตรกรรม PTTOR จึงให้ความสําคัญกับการสนับสนุนสินค้าด้านเกษตรกรรมจากชุมชน เพื่อเป็นหนึ่งในพลังสนับสนุนการสร้างงานสร้างโอกาส ให้กับชุมชน สังคมไทย เพื่อการเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน ”
นางสมร เทิดธรรมพิบูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า ไปรษณีย์ไทยมีเครือข่ายที่ทําการไปรษณีย์กว่า 5,000 สาขา และมีระบบการขนส่งที่เข้าถึงและครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ จึงมีความพร้อมในการนําสินค้าจากชุมชนมายังสถานีน้ํามันที่กําหนดเพื่อจําหน่ายให้กับผู้เดินทางและ/หรือชุมชนโดยรอบสถานีน้ํามันได้ตามนโยบายของรัฐบาล นอกจากนี้ยังสามารถซื้อสินค้าชุมชนผ่านทางเว็บไซต์ www.thailandpostmart.com ได้อีกช่องทางหนึ่ง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15866
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอเร่งยกระดับ SMEs ไทย หนุนวิจัยและพัฒนาสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
|
วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2562
บีโอไอเร่งยกระดับ SMEs ไทย หนุนวิจัยและพัฒนาสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
บีโอไอเร่งยกระดับ SMEs ไทยหนุนวิจัยและพัฒนาสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
บีโอไอเร่งยกระดับ SMEs ไทยหนุนวิจัยและพัฒนาสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
บีโอไอมุ่งส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้วยการวิจัยและพัฒนา สร้างนวัตกรรมบุกตลาดโลก เผยตั้งแต่ปี 2558 – กันยายน 2562 มียอดขอรับการส่งเสริมลงทุนกิจการ SMEs ไทยรวมกว่า 2,000 โครงการ มูลค่าลงทุนกว่า 9.7 หมื่นล้าน พร้อมนําคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมกิจการวิจัยและพัฒนาของคนไทย
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยในโอกาสนําสื่อมวลชนเยี่ยมชมกิจการธุรกิจ SMEs ไทยที่ได้รับการส่งเสริมในกิจการวิจัยและพัฒนา ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นกิจการที่บีโอไอให้ความสําคัญและให้การส่งเสริมมาโดยตลอด โดยกว่าร้อยละ 60 ของโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนในแต่ละปีเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีมูลค่าเงินลงทุนไม่เกิน 200 ล้านบาท ทั้งนี้ ระหว่างปี 2558 – กันยายน 2562 มีโครงการ SMEs ไทย ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวม 2,222 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 97,912 ล้านบาท
“ที่ผ่านมา บีโอไอมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนสําหรับ SMEs ด้วยสิทธิประโยชน์ที่สูงและเงื่อนไขที่ผ่อนปรน พร้อมทั้งสนับสนุนการจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการรายใหญ่กับ SMEs ไทย เพื่อเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการ รวมทั้งมุ่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ผ่านการให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามคุณค่าของโครงการ (Merit-based Incentives) เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา เช่น การสนับสนุนกองทุนพัฒนาเทคโนโลยี การฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีขั้นสูง และการออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น โดยสามารถนําเงินลงทุนดังกล่าวมาลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลจากบีโอไอได้” นางสาวดวงใจกล่าว
วัตถุประสงค์ในการนําสื่อมวลชนมาเยี่ยมชมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในวันนี้ เพื่อให้สื่อมวลชนได้เห็นตัวอย่างของผู้ประกอบการไทยที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยมีการลงทุนด้านการวิจัยเฉพาะด้านโดยบริษัท โกลบอล บั๊กส์ เอเชีย จํากัด เป็นกิจการร่วมทุนไทยกับสวีเดน ดําเนินกิจการวิจัยและพัฒนาวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อาหารและอาหารเสริม เป็นต้น มีจุดเด่นที่การวิจัยและพัฒนาโปรตีนผงที่ได้จากแมลง เช่น จิ้งหรีด ซึ่งปัจจุบันได้รับความนิยมนํามาทําเป็นโปรตีนผงที่ใช้ในการประกอบการอาหาร เช่นเส้นพาสต้า และเป็นวัตถุดิบหลักสําหรับอาหารเสริม โดยได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มประเทศยุโรป นับเป็นตัวอย่างกิจการที่มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างกิจการไทยและต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันบีโอไอได้ให้การส่งเสริมกิจการลักษณะนี้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกิจการที่มีการวิจัยและพัฒนา
ส่วนบริษัท บุญ คอร์ปอเรชั่น จํากัด ได้รับการส่งเสริมในกิจการวิจัยและพัฒนาสารเติมแต่งกลิ่นรส (FLAVOR) เพื่อลดการนําเข้าสารเติมแต่งกลิ่นรสจากต่างประเทศ รวมทั้งช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบทางการเกษตรของไทย ซึ่งถือเป็นโครงการที่มีประโยชน์ต่อประเทศ
“ทั้งสองกิจการ ถือเป็นบริษัท SMEs ของคนไทย ที่มีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ด้วยการทําวิจัยและพัฒนา นําไปสู่การพัฒนาสินค้าใหม่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลก ซึ่งบีโอไอให้การส่งเสริมในหมวดกิจการวิจัยและพัฒนา โดยให้สิทธิประโยชน์สูงสุดยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 8 ปี โดยไม่กําหนดวงเงินในการยกเว้นภาษีอีกด้วย โดยตั้งแต่ปี 2558 – ก.ย. 2562 มีคําขอรับการส่งเสริมในกิจการวิจัยและพัฒนารวม 85 โครงการ คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 9,094.9 ล้านบาท” นางสาวดวงใจกล่าว
--------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอเร่งยกระดับ SMEs ไทย หนุนวิจัยและพัฒนาสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2562
บีโอไอเร่งยกระดับ SMEs ไทย หนุนวิจัยและพัฒนาสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
บีโอไอเร่งยกระดับ SMEs ไทยหนุนวิจัยและพัฒนาสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
บีโอไอเร่งยกระดับ SMEs ไทยหนุนวิจัยและพัฒนาสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
บีโอไอมุ่งส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้วยการวิจัยและพัฒนา สร้างนวัตกรรมบุกตลาดโลก เผยตั้งแต่ปี 2558 – กันยายน 2562 มียอดขอรับการส่งเสริมลงทุนกิจการ SMEs ไทยรวมกว่า 2,000 โครงการ มูลค่าลงทุนกว่า 9.7 หมื่นล้าน พร้อมนําคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมกิจการวิจัยและพัฒนาของคนไทย
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยในโอกาสนําสื่อมวลชนเยี่ยมชมกิจการธุรกิจ SMEs ไทยที่ได้รับการส่งเสริมในกิจการวิจัยและพัฒนา ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นกิจการที่บีโอไอให้ความสําคัญและให้การส่งเสริมมาโดยตลอด โดยกว่าร้อยละ 60 ของโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนในแต่ละปีเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีมูลค่าเงินลงทุนไม่เกิน 200 ล้านบาท ทั้งนี้ ระหว่างปี 2558 – กันยายน 2562 มีโครงการ SMEs ไทย ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวม 2,222 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 97,912 ล้านบาท
“ที่ผ่านมา บีโอไอมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนสําหรับ SMEs ด้วยสิทธิประโยชน์ที่สูงและเงื่อนไขที่ผ่อนปรน พร้อมทั้งสนับสนุนการจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการรายใหญ่กับ SMEs ไทย เพื่อเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการ รวมทั้งมุ่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ผ่านการให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามคุณค่าของโครงการ (Merit-based Incentives) เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา เช่น การสนับสนุนกองทุนพัฒนาเทคโนโลยี การฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีขั้นสูง และการออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น โดยสามารถนําเงินลงทุนดังกล่าวมาลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลจากบีโอไอได้” นางสาวดวงใจกล่าว
วัตถุประสงค์ในการนําสื่อมวลชนมาเยี่ยมชมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในวันนี้ เพื่อให้สื่อมวลชนได้เห็นตัวอย่างของผู้ประกอบการไทยที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยมีการลงทุนด้านการวิจัยเฉพาะด้านโดยบริษัท โกลบอล บั๊กส์ เอเชีย จํากัด เป็นกิจการร่วมทุนไทยกับสวีเดน ดําเนินกิจการวิจัยและพัฒนาวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อาหารและอาหารเสริม เป็นต้น มีจุดเด่นที่การวิจัยและพัฒนาโปรตีนผงที่ได้จากแมลง เช่น จิ้งหรีด ซึ่งปัจจุบันได้รับความนิยมนํามาทําเป็นโปรตีนผงที่ใช้ในการประกอบการอาหาร เช่นเส้นพาสต้า และเป็นวัตถุดิบหลักสําหรับอาหารเสริม โดยได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มประเทศยุโรป นับเป็นตัวอย่างกิจการที่มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างกิจการไทยและต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันบีโอไอได้ให้การส่งเสริมกิจการลักษณะนี้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกิจการที่มีการวิจัยและพัฒนา
ส่วนบริษัท บุญ คอร์ปอเรชั่น จํากัด ได้รับการส่งเสริมในกิจการวิจัยและพัฒนาสารเติมแต่งกลิ่นรส (FLAVOR) เพื่อลดการนําเข้าสารเติมแต่งกลิ่นรสจากต่างประเทศ รวมทั้งช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบทางการเกษตรของไทย ซึ่งถือเป็นโครงการที่มีประโยชน์ต่อประเทศ
“ทั้งสองกิจการ ถือเป็นบริษัท SMEs ของคนไทย ที่มีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ด้วยการทําวิจัยและพัฒนา นําไปสู่การพัฒนาสินค้าใหม่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลก ซึ่งบีโอไอให้การส่งเสริมในหมวดกิจการวิจัยและพัฒนา โดยให้สิทธิประโยชน์สูงสุดยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 8 ปี โดยไม่กําหนดวงเงินในการยกเว้นภาษีอีกด้วย โดยตั้งแต่ปี 2558 – ก.ย. 2562 มีคําขอรับการส่งเสริมในกิจการวิจัยและพัฒนารวม 85 โครงการ คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 9,094.9 ล้านบาท” นางสาวดวงใจกล่าว
--------------------------------------
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24624
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลงพื้นที่สุรินทร์
|
วันพุธที่ 18 กันยายน 2562
ลงพื้นที่สุรินทร์
นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการจัดการศึกษาในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน 2562 นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการจัดการศึกษาในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์
- เปิดอาคาร "พระวิเทศธรรมรังษี" มจร.สุรินทร์
เมื่อเวลา 9.39 น. รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดอาคาร "พระวิเทศธรรมรังษี" (หลวงตาชี) พร้อมทอดผ้าป่า เพื่อพัฒนาการศึกษาของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) วิทยาเขตสุรินทร์ อําเภอเมืองสุรินทร์ โดยมีนายศรีชัย พรประชาธรรม เลขาธิการ กศน. และผู้บริหาร ศธ. เข้าร่วม
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า มจร.วิทยาเขตสุรินทร์ เป็นมหาวิทยาลัยที่ให้บริการการศึกษาพระพุทธศาสนาในท้องถิ่นอย่างแท้จริง ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี-ปริญญาโท รวม 6 หลักสูตร อาทิ หลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต และหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา, หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา และสาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษ เป็นต้น
โดยในปีงบประมาณ 2562 มหาวิทยาลัยได้รับงบประมาณเพื่อปรับปรุงอาคารอเนกประสงค์ "พระวิเทศธรรมรังษี" ให้มีความสมบูรณ์พร้อม สําหรับจัดกิจกรรมตามพันธกิจของมหาวิทยาลัย ในการจัดการศึกษาแก่พระภิกษุ สามเณร และประชาชนในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ตลอดจนถึงใช้ประโยชน์ในชุมชนด้วย
"หลังจากได้เยี่ยมชมผลงานคณาจารย์และนักศึกษา ต้องขอแสดงความชื่นชมที่สร้างสรรค์งานวิชาการและการวิจัย บูรณาการเชื่อมโยงสู่แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นวิทยาทานและใช้ประโยชน์ในการพัฒนาตนเอง ตลอดจนการใช้ชีวิตและการทํางานในภายภาคหน้า และขออานิสงค์ผลบุญของการร่วมสร้างสิ่งดีงามร่วมกัน จงน้อมนําให้ทุกคนประสบความสําเร็จ มีแต่ความสุขความเจริญ" รมช.ศึกษาธิการ กล่าว.
- ติดตามการดําเนินงานของ สช.- กศน.-ศส.ปชต.
จากนั้นในเวลา 13.00 น. รมช.ศึกษาธิการ เดินทางต่อไปยังหอประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ เพื่อรับฟังผลการดําเนินงานของการศึกษาเอกชน และการศึกษานอกระบบของ กศน. ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ โดยมีนายศรีชัย พรประชาธรรม เลขาธิการ กศน. นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ รองเลขาธิการ กช. และผู้บริหาร ศธ. ผู้บริหารท้องถิ่น ครูอาจารย์ เจ้าหน้าที่ ตลอดจนนักศึกษา เข้าร่วม
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวตอนหนึ่งว่า ขอชื่นชมชาวสุรินทร์และชาว กศน. ที่ได้จัดการเรียนการสอนอย่างมีคุณภาพ โดยมีจํานวนนักศึกษาที่สอบวัดผลสัมฤทธิ์การศึกษาพื้นฐานปลายภาค ผ่านตามเกณฑ์สูงถึงร้อยละ 80.80 ถือเป็นอันดับ 1 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเป็นจํานวนที่สูงกว่าการสอบผ่านระดับประเทศ รวมทั้งผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ การศึกษานอกระบบโรงเรียน หรือ N-NET (Non-Formal National Education Test) ที่มีคะแนนเฉลี่ยทั้ง 5 สาระ 39.62 ซึ่งเป็นคะแนนที่สูงกว่าระดับภาค (37.96) และระดับประเทศ (38.86) อีกด้วย
และขอชื่นชมความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน ที่ช่วยส่งเสริมและอํานวยการสนับสนุน ให้ กศน.จัดการศึกษาได้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ทั้งการจัดการศึกษาให้กับคนพิการกว่า 200 คน งานพัฒนาสังคมและชุมชน ตลอดจนการศึกษาเพื่อพัฒนาชีวิต และส่งเสริมการเรียนรู้ในห้องสมุดประชาชนทั้ง 18 แห่ง ทั้งนี้ ขอฝากเกี่ยวกับหลักสูตรภาษาท้องถิ่น (ภาษาเขมร) ในการบูรณาการกับการสอนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อส่งเสริมการสื่อสารของประชาชน สามารถนําไปประกอบอาชีพ เพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว และสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ ขอทุกคนจงภาคภูมิใจ รักศักดิ์ศรีในตัวเอง และพยายามสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ผ่านการจัดการศึกษาเพื่อการมีอาชีพ เพื่อชุมชน และเพื่อประเทศ ให้สังคมได้เห็นโฉมใหม่เป็น "กศน.WOW" ที่มีคุณภาพในยุค 4.0 ต่อไป
รวมทั้งการดําเนินงานสร้างพลเมืองอาสาประชาธิปไตย ภายใต้ความร่วมมือระหว่างสํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กับสํานักงาน กศน. โดยมีศูนย์ส่งเสริมพัฒนาประชาธิปไตยตําบล (ศส.ปชต.) เป็นศูนย์กลางขับเคลื่อนการทํากิจกรรมประชาธิปไตยระดับตําบล ซึ่งล่าสุด ศส.ปชต.กุดหวาย อ.ศรีขรภูมิ ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศ ปี 2561 ด้วย
เช่นเดียวกับการจัดการศึกษาของโรงเรียนเอกชนในระบบและนอกระบบ ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ทั้ง 41 แห่ง ซึ่งมีนักเรียนกว่า 5,033 คน ที่มีผลการทดสอบ O-NET ปี 2561 คะแนนเฉลี่ยรวมเพิ่มขึ้นจากปี 2560 ในทุกกลุ่มสาระ ได้แก่ ชั้น ป.6 เพิ่มขึ้น 4.27, ชั้น ม.3 เพิ่มขึ้น 3.32 และชั้น ม.6 เพิ่มขึ้น 3.15 เป็นต้น
ในส่วนของข้อเสนอแนะในการพัฒนาการศึกษาเอกชน ขณะนี้มีหลายเรื่องที่ได้ดําเนินการจนมีผลสําเร็จชัดเจนแล้ว อาทิ การขยายเพดานค่ารักษาพยาบาลจากคนละ 1 แสนบาทต่อปี เป็น 1.5 แสนบาทต่อปี มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้น และยังมีอีกหลายเรื่องที่อยู่ระหว่างการดําเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการจัดสรรเงินอุดหนุนโครงการอาหารกลางวัน และอาหารเสริม (นม), การพัฒนาครู อยู่ระหว่างการจัดทําระบบออนไลน์ เพื่อนําการเรียนการสอนที่ดีให้โรงเรียนเอกชนได้นําไปใช้ ซึ่งเป็นอีกช่องทางที่ครูจะได้เรียนรู้ด้วย เป็นต้น
ท้ายสุดนี้ ขอขอบคุณที่ช่วยกันสะท้อนปัญหาและอุปสรรคของการจัดการศึกษา ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายในการลงพื้นที่ ต้องการมาดูให้เห็นสภาพการจัดการศึกษาจริงด้วยตัวเอง เพื่อ "ทลายทุกข้อจํากัด" ให้หมดไป ที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาทุกข์แก่ครูและบุคลากร ศธ.และสร้างความสุขแก่เเด็ก เยาวชน ผู้ปกครอง ตลอดจนประชาชนต่อไป
นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง
อิทธิพล รุ่งก่อน:ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลงพื้นที่สุรินทร์
วันพุธที่ 18 กันยายน 2562
ลงพื้นที่สุรินทร์
นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการจัดการศึกษาในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน 2562 นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการจัดการศึกษาในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์
- เปิดอาคาร "พระวิเทศธรรมรังษี" มจร.สุรินทร์
เมื่อเวลา 9.39 น. รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดอาคาร "พระวิเทศธรรมรังษี" (หลวงตาชี) พร้อมทอดผ้าป่า เพื่อพัฒนาการศึกษาของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) วิทยาเขตสุรินทร์ อําเภอเมืองสุรินทร์ โดยมีนายศรีชัย พรประชาธรรม เลขาธิการ กศน. และผู้บริหาร ศธ. เข้าร่วม
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า มจร.วิทยาเขตสุรินทร์ เป็นมหาวิทยาลัยที่ให้บริการการศึกษาพระพุทธศาสนาในท้องถิ่นอย่างแท้จริง ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี-ปริญญาโท รวม 6 หลักสูตร อาทิ หลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต และหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา, หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา และสาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษ เป็นต้น
โดยในปีงบประมาณ 2562 มหาวิทยาลัยได้รับงบประมาณเพื่อปรับปรุงอาคารอเนกประสงค์ "พระวิเทศธรรมรังษี" ให้มีความสมบูรณ์พร้อม สําหรับจัดกิจกรรมตามพันธกิจของมหาวิทยาลัย ในการจัดการศึกษาแก่พระภิกษุ สามเณร และประชาชนในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ตลอดจนถึงใช้ประโยชน์ในชุมชนด้วย
"หลังจากได้เยี่ยมชมผลงานคณาจารย์และนักศึกษา ต้องขอแสดงความชื่นชมที่สร้างสรรค์งานวิชาการและการวิจัย บูรณาการเชื่อมโยงสู่แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นวิทยาทานและใช้ประโยชน์ในการพัฒนาตนเอง ตลอดจนการใช้ชีวิตและการทํางานในภายภาคหน้า และขออานิสงค์ผลบุญของการร่วมสร้างสิ่งดีงามร่วมกัน จงน้อมนําให้ทุกคนประสบความสําเร็จ มีแต่ความสุขความเจริญ" รมช.ศึกษาธิการ กล่าว.
- ติดตามการดําเนินงานของ สช.- กศน.-ศส.ปชต.
จากนั้นในเวลา 13.00 น. รมช.ศึกษาธิการ เดินทางต่อไปยังหอประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ เพื่อรับฟังผลการดําเนินงานของการศึกษาเอกชน และการศึกษานอกระบบของ กศน. ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ โดยมีนายศรีชัย พรประชาธรรม เลขาธิการ กศน. นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ รองเลขาธิการ กช. และผู้บริหาร ศธ. ผู้บริหารท้องถิ่น ครูอาจารย์ เจ้าหน้าที่ ตลอดจนนักศึกษา เข้าร่วม
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวตอนหนึ่งว่า ขอชื่นชมชาวสุรินทร์และชาว กศน. ที่ได้จัดการเรียนการสอนอย่างมีคุณภาพ โดยมีจํานวนนักศึกษาที่สอบวัดผลสัมฤทธิ์การศึกษาพื้นฐานปลายภาค ผ่านตามเกณฑ์สูงถึงร้อยละ 80.80 ถือเป็นอันดับ 1 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเป็นจํานวนที่สูงกว่าการสอบผ่านระดับประเทศ รวมทั้งผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ การศึกษานอกระบบโรงเรียน หรือ N-NET (Non-Formal National Education Test) ที่มีคะแนนเฉลี่ยทั้ง 5 สาระ 39.62 ซึ่งเป็นคะแนนที่สูงกว่าระดับภาค (37.96) และระดับประเทศ (38.86) อีกด้วย
และขอชื่นชมความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน ที่ช่วยส่งเสริมและอํานวยการสนับสนุน ให้ กศน.จัดการศึกษาได้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ทั้งการจัดการศึกษาให้กับคนพิการกว่า 200 คน งานพัฒนาสังคมและชุมชน ตลอดจนการศึกษาเพื่อพัฒนาชีวิต และส่งเสริมการเรียนรู้ในห้องสมุดประชาชนทั้ง 18 แห่ง ทั้งนี้ ขอฝากเกี่ยวกับหลักสูตรภาษาท้องถิ่น (ภาษาเขมร) ในการบูรณาการกับการสอนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อส่งเสริมการสื่อสารของประชาชน สามารถนําไปประกอบอาชีพ เพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว และสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ ขอทุกคนจงภาคภูมิใจ รักศักดิ์ศรีในตัวเอง และพยายามสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ผ่านการจัดการศึกษาเพื่อการมีอาชีพ เพื่อชุมชน และเพื่อประเทศ ให้สังคมได้เห็นโฉมใหม่เป็น "กศน.WOW" ที่มีคุณภาพในยุค 4.0 ต่อไป
รวมทั้งการดําเนินงานสร้างพลเมืองอาสาประชาธิปไตย ภายใต้ความร่วมมือระหว่างสํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กับสํานักงาน กศน. โดยมีศูนย์ส่งเสริมพัฒนาประชาธิปไตยตําบล (ศส.ปชต.) เป็นศูนย์กลางขับเคลื่อนการทํากิจกรรมประชาธิปไตยระดับตําบล ซึ่งล่าสุด ศส.ปชต.กุดหวาย อ.ศรีขรภูมิ ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศ ปี 2561 ด้วย
เช่นเดียวกับการจัดการศึกษาของโรงเรียนเอกชนในระบบและนอกระบบ ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ทั้ง 41 แห่ง ซึ่งมีนักเรียนกว่า 5,033 คน ที่มีผลการทดสอบ O-NET ปี 2561 คะแนนเฉลี่ยรวมเพิ่มขึ้นจากปี 2560 ในทุกกลุ่มสาระ ได้แก่ ชั้น ป.6 เพิ่มขึ้น 4.27, ชั้น ม.3 เพิ่มขึ้น 3.32 และชั้น ม.6 เพิ่มขึ้น 3.15 เป็นต้น
ในส่วนของข้อเสนอแนะในการพัฒนาการศึกษาเอกชน ขณะนี้มีหลายเรื่องที่ได้ดําเนินการจนมีผลสําเร็จชัดเจนแล้ว อาทิ การขยายเพดานค่ารักษาพยาบาลจากคนละ 1 แสนบาทต่อปี เป็น 1.5 แสนบาทต่อปี มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้น และยังมีอีกหลายเรื่องที่อยู่ระหว่างการดําเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการจัดสรรเงินอุดหนุนโครงการอาหารกลางวัน และอาหารเสริม (นม), การพัฒนาครู อยู่ระหว่างการจัดทําระบบออนไลน์ เพื่อนําการเรียนการสอนที่ดีให้โรงเรียนเอกชนได้นําไปใช้ ซึ่งเป็นอีกช่องทางที่ครูจะได้เรียนรู้ด้วย เป็นต้น
ท้ายสุดนี้ ขอขอบคุณที่ช่วยกันสะท้อนปัญหาและอุปสรรคของการจัดการศึกษา ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายในการลงพื้นที่ ต้องการมาดูให้เห็นสภาพการจัดการศึกษาจริงด้วยตัวเอง เพื่อ "ทลายทุกข้อจํากัด" ให้หมดไป ที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาทุกข์แก่ครูและบุคลากร ศธ.และสร้างความสุขแก่เเด็ก เยาวชน ผู้ปกครอง ตลอดจนประชาชนต่อไป
นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง
อิทธิพล รุ่งก่อน:ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23197
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. นำเจ้าหน้าที่ทำเนียบรัฐบาล ออกกำลังกายประจำสัปดาห์ในแบบผ่อนคลาย พร้อมเชิญชวนสื่อมวลชนชมต้นมะขามป้อมข้างตึกไทยคู่ฟ้าที่เพิ่งปลูกใหม่
|
วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม 2560
นรม. นําเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาล ออกกําลังกายประจําสัปดาห์ในแบบผ่อนคลาย พร้อมเชิญชวนสื่อมวลชนชมต้นมะขามป้อมข้างตึกไทยคู่ฟ้าที่เพิ่งปลูกใหม่
นรม. นําเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาล ออกกําลังกายประจําสัปดาห์ในแบบผ่อนคลาย ซึ่งทุกคนสามารถนําไปต่อยอดสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้ พร้อมเชิญชวนสื่อมวลชนชมต้นมะขามป้อมข้างตึกไทยคู่ฟ้าที่เพิ่งปลูกใหม่
วันนี้ (15 มีนาคม2560)เวลา16.00น. ณ บริเวณด้านหน้าสนามหญ้าตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นําเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาลร่วมกันออกกําลังกายเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ รวมทั้งยังทําให้มีสุขภาพจิตใจที่ดี เกิดผลดีในการดําเนินชีวิตประจําวันให้มีความอย่างสดชื่น อารมณ์ดี อีกทั้งคนในครอบครัวและเพื่อนร่วมงานมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน โดยคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พร้อมหน่วยงานอื่นภายในทําเนียบรัฐบาล ร่วมออกกําลังกายด้วย
ในสัปดาห์นี้ นายกรัฐมนตรี ได้เต้นแอโรบิคตามจังหวะเพลงร่วมกับเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาลประมาณ 30 นาที เพื่อเสริมสร้างร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงสมบูรณ์ จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ออกกําลังกายร่วมกันในวันนี้ด้วย
อนึ่ง หลังเสร็จสิ้นการออกกําลังกาย ก่อนนายกรัฐมนตรีจะกลับไปทําภารกิจต่อ ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรีกล่าวเชิญชวนสื่อมวลชนให้ไปชมต้นมะขามป้อมที่เพิ่งปลูกใหม่ ณ บริเวณด้านข้างตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล โดย มะขามป้อมถือเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ และเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ โดยประโยชน์ของมะขามป้อมหรือสรรพคุณของมะขามป้อมนั้นมีมากมาย และยังเป็นยารักษาโรคบางชนิดได้ เช่นช่วยในการย่อยอาหาร ทําให้ชุ่มคอและช่วยละลายเสมหะอีกด้วย นอกจากนี้ มะขามป้อมนั้นยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี3วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส และธาตุเหล็ก เป็นต้น
*******************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. นำเจ้าหน้าที่ทำเนียบรัฐบาล ออกกำลังกายประจำสัปดาห์ในแบบผ่อนคลาย พร้อมเชิญชวนสื่อมวลชนชมต้นมะขามป้อมข้างตึกไทยคู่ฟ้าที่เพิ่งปลูกใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม 2560
นรม. นําเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาล ออกกําลังกายประจําสัปดาห์ในแบบผ่อนคลาย พร้อมเชิญชวนสื่อมวลชนชมต้นมะขามป้อมข้างตึกไทยคู่ฟ้าที่เพิ่งปลูกใหม่
นรม. นําเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาล ออกกําลังกายประจําสัปดาห์ในแบบผ่อนคลาย ซึ่งทุกคนสามารถนําไปต่อยอดสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้ พร้อมเชิญชวนสื่อมวลชนชมต้นมะขามป้อมข้างตึกไทยคู่ฟ้าที่เพิ่งปลูกใหม่
วันนี้ (15 มีนาคม2560)เวลา16.00น. ณ บริเวณด้านหน้าสนามหญ้าตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นําเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาลร่วมกันออกกําลังกายเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ รวมทั้งยังทําให้มีสุขภาพจิตใจที่ดี เกิดผลดีในการดําเนินชีวิตประจําวันให้มีความอย่างสดชื่น อารมณ์ดี อีกทั้งคนในครอบครัวและเพื่อนร่วมงานมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน โดยคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พร้อมหน่วยงานอื่นภายในทําเนียบรัฐบาล ร่วมออกกําลังกายด้วย
ในสัปดาห์นี้ นายกรัฐมนตรี ได้เต้นแอโรบิคตามจังหวะเพลงร่วมกับเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาลประมาณ 30 นาที เพื่อเสริมสร้างร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงสมบูรณ์ จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ออกกําลังกายร่วมกันในวันนี้ด้วย
อนึ่ง หลังเสร็จสิ้นการออกกําลังกาย ก่อนนายกรัฐมนตรีจะกลับไปทําภารกิจต่อ ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรีกล่าวเชิญชวนสื่อมวลชนให้ไปชมต้นมะขามป้อมที่เพิ่งปลูกใหม่ ณ บริเวณด้านข้างตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล โดย มะขามป้อมถือเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ และเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ โดยประโยชน์ของมะขามป้อมหรือสรรพคุณของมะขามป้อมนั้นมีมากมาย และยังเป็นยารักษาโรคบางชนิดได้ เช่นช่วยในการย่อยอาหาร ทําให้ชุ่มคอและช่วยละลายเสมหะอีกด้วย นอกจากนี้ มะขามป้อมนั้นยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี3วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส และธาตุเหล็ก เป็นต้น
*******************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2416
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เข้าพบเพื่อหารือแนวทางการดำเนินงาน
|
วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2561
เข้าพบเพื่อหารือแนวทางการดําเนินงาน
เข้าพบเพื่อหารือแนวทางการดําเนินงาน
วันนี้ (29 มิถุนายน 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนากรรมการผู้จัดการ EXIM BANK และนายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) นําคณะทํางานโครงการบริหารความเสี่ยง FX ของ SMEs เข้าพบเพื่อหารือแนวทางการดําเนินงานตามมาตรการเพิ่มขีดความสามารถและส่งเสริมความรู้ให้กับ SMEs ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อกระตุ้น
ให้ SMEs ไทยหันมาสนใจเรื่องความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมากยิ่งขึ้น ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ กระทรวงอุตสาหกรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เข้าพบเพื่อหารือแนวทางการดำเนินงาน
วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2561
เข้าพบเพื่อหารือแนวทางการดําเนินงาน
เข้าพบเพื่อหารือแนวทางการดําเนินงาน
วันนี้ (29 มิถุนายน 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนากรรมการผู้จัดการ EXIM BANK และนายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) นําคณะทํางานโครงการบริหารความเสี่ยง FX ของ SMEs เข้าพบเพื่อหารือแนวทางการดําเนินงานตามมาตรการเพิ่มขีดความสามารถและส่งเสริมความรู้ให้กับ SMEs ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อกระตุ้น
ให้ SMEs ไทยหันมาสนใจเรื่องความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมากยิ่งขึ้น ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ กระทรวงอุตสาหกรรม
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13470
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม2561
|
วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม 2561
สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม2561
สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับประชาชนผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม2561 เวลา 20.15 น. ในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้
เนื่องในโอกาสวันที่ 29 พฤษภาคม 2561 นี้ ตรงกับวันวิสาขบูชานับเป็นวันที่สําคัญที่สุดในพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สําคัญของพระพุทธศาสนามากถึง 3เหตุการณ์คือวันคล้ายวันประสูติตรัสรู้ และปรินิพพาน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นจึงเรียกวันนี้อีกอย่างหนึ่งว่า “วันพระพุทธเจ้า”โดยเกิดขึ้นตรงกัน ณ วันขึ้น 15 ค่ํา เดือน 6 ทั้งนี้ เพื่อเป็นการน้อมรําลึกถึงพระคุณของพระองค์ ซึ่งองค์การสหประชาชาติ ได้กําหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสําคัญสากลของโลก พร้อมทั้งยกย่องให้พระองค์ทรงเป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตาต่อหมู่มวลมนุษย์ โดยในปีนี้สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเตือนประชาชนอย่าขาดสติ รู้ทันกาย วาจา ใจ อันเป็นหนทางดับความทุกข์ อีกทั้ง ทรงสั่งสอนให้ประชาชนทั้งหลาย ละกิเลส ความโลภ โกรธ หลง อันเป็นบ่อเกิดแห่งความชั่ว ความเห็นแก่ตัว หากบุคคลใด ครอบครัวใด ชุมชนใด หรือ สังคมใด ปรารถนาจะประสบความสันติสุข จําเป็นต้องตื่นรู้ เพื่อรู้เท่าทันการคิด การกระทําด้วยสัมมาสติ อันเป็นหนทางสู่ปัญญา นํามาซึ่งความหลุดพ้นห้วงทุกข์ได้อย่างแท้จริง
นายกรัฐมนตรีจึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกคนร่วมงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา
เนื่องในเทศกาลวิสาขบูชา ระหว่างวันที่ 23 - 29 พฤษภาคม นี้ณ วัด และพุทธศาสนสถานใกล้บ้านด้วยการรักษาศีล 5 ทําบุญตักบาตร ปฏิบัติธรรม เวียนเทียน พร้อมร่วมประดับธงธรรมจักร เพื่อสร้างเสริมสิริมงคลทั้งแก่ตนเอง ครอบครัว และจรรโลงพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนสืบไปทั้งนี้ การรักษาศีล 5 และการครองสติเป็นนิจซึ่งรัฐบาลได้น้อมนําศาสตร์พระราชาเกี่ยวกับหลักการการปลูกต้นไม้ในใจคน มาประยุกต์เป็นหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา โดยชี้ให้เห็นโทษของการโกงต่อตนเองและส่วนรวม รวมทั้ง การปลูกจิตสํานึก “โตไปไม่โกง”ซึ่งจะให้บรรจุไว้ตั้งแต่หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานจนถึงระดับอุดมศึกษา และตลอดจนหลักสูตรตามแนวทางรับราชการของข้าราชการพลเรือน ตํารวจ ทหาร อีกด้วย ทั้งนี้ การปลูกต้นไม้ในใจคนยังเป็นวันต้นไม้แห่งชาติต้นไม้ประจํารัชกาลที่ 10 คือ “ต้นรวงผึ้ง”ซึ่งเป็นต้นไม้ประจําวันพระราชสมภพและผลิดอกเป็นสีเหลืองในช่วงวันพระราชสมภพ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีจึงขอเชิญชวนทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ร่วมกันปลูกต้นไม้ประจํารัชกาล ไม้มงคล หรือต้นไม้ประจําจังหวัด ตามโครงการประชารัฐร่วมใจปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ในพื้นที่ป่าชุมชน ป่าในเมือง หรือพื้นที่ของตนเอง รวมทั้ง การปลูกต้นไม้ตามเส้นทางหรือสวนสาธารณะต่าง ๆ
ด้านเศรษฐกิจของประเทศ จากตัวเลขที่ออกมาล่าสุด ใน 3 เดือนแรกของปี 2561 นี้
เศรษฐกิจไทยเติบโตจากช่วงเดียวกัน หรือ 3 เดือนแรกของปีก่อน ถึงร้อยละ 4.8 ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ดีที่สุดใน 20 ไตรมาส ที่ผ่านมา จากการใช้จ่ายปริมาณการส่งออกสินค้าขยายตัวได้ถึงร้อยละ 5 จากประเทศคู่ค้า และการลงทุนของภาคเอกชนที่ขยายตัวดีต่อเนื่องเช่นกัน โดยไตรมาสนี้มีอัตราการเติบโตที่ร้อยละ 3.1 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความสนใจที่จะลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศด้วยสําหรับการวางรากฐานสําคัญได้แก่ ด้านกายภาพ ด้านทักษะ และด้านกรอบความยั่งยืน คือ การจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนปฏิรูปประเทศ เพื่อกําหนดทิศทางในการผลักดันนโยบายต่างๆ ให้สอดคล้องและตอบโจทย์ความต้องการของประเทศและประชาชนในระยะยาว
ทั้งนี้ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและโทรคมนาคม โครงการเน็ตประชารัฐ ทุกหมู่บ้าน และโครงการระบบเคเบิลใต้น้ํา ระยะทาง 25,000 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระบบเคเบิลใต้น้ําเส้นแรกเสมือนเป็น land bridge ทางด้านโทรคมนาคมระหว่างประเทศที่จะทําให้ประเทศไทย มีวงจรเชื่อมต่อโดยตรงไปยังประเทศที่เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่สําคัญของโลก ตามนโยบายThailand4.0 ของรัฐบาล และการพัฒนาข้อมูลขนาดใหญ่ของภาครัฐ (Big data)สําหรับเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลในมิติต่างๆ ให้เกิดความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมอีกด้วย
ปัจจุบันนี้รัฐบาลมีมาตรการที่ครอบคลุมเพื่อดูแลและสนับสนุนการดํารงชีวิตของผู้สูงอายุ โดยมีแผนงานระยะยาวในการดูแลสุขภาพและพัฒนาทักษะผู้สูงอายุร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาทิแผนจัดหางานให้ผู้สูงอายุ พ.ศ. 2560 – 2564 และแผนสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2564 ขณะเดียวกันในด้านสวัสดิการ รัฐบาลมีการอุดหนุนเงินยังชีพของผู้สูงอายุ เดือนละ 600 – 1,000 บาท อย่างต่อเนื่อง โดยดูแลให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาแรงงานผู้สูงอายุ ในกรณีที่ประสงค์จะกลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน โดยเฉพาะในชนบทผ่านวิสาหกิจชุมชน พร้อมมาตรการจูงใจให้องค์กรต่างๆ เข้าร่วมสนับสนุนด้วย รวมทั้ง การเพิ่มจํานวนสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งมาตรการต่าง ๆ เหล่านี้ ถือเป็นการดูแลผู้สูงอายุอย่างครอบคลุมในทุกมิติดังนั้น จะเห็นว่าการปฏิรูปในภาพรวมของประเทศนี้ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ดิจิทัล กฎหมายและข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data)มีส่วนสําคัญต่อการกระจายความเจริญและรายได้สู่ท้องถิ่นทุกภูมิภาคอย่างต่อเนื่องแต่อาจต้องอาศัยเวลาและความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนด้วยเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศอย่างรอบด้าน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงอีกหนึ่งบทกลอนในช่วงสุดสัปดาห์ ดังนี้
จะมีไหม เมื่อไร ไทยสงบ
ทุกคนพบ ความสุข ตามที่หวัง
อย่าทําให้ ไทยทั้งชาติ ขาดพลัง
สิ้นความหวัง หมดสุข ให้ทุกคน
ทั้งการเมือง บริหาร ต้องสานต่อ
ให้เพียงพอ เพื่อประโยชน์ มหาศาล
หากเนิ่นช้า เกินไป จะเสียการ
ให้ทุกท่าน ทุกคน นั้นสุขใจ
ขอพี่น้อง ผองไทย ช่วยสร้างชาติ
ป่าวประกาศ ร่วมใจ ไทยเข้มแข็ง
.............................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม2561
วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม 2561
สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม2561
สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับประชาชนผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม2561 เวลา 20.15 น. ในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้
เนื่องในโอกาสวันที่ 29 พฤษภาคม 2561 นี้ ตรงกับวันวิสาขบูชานับเป็นวันที่สําคัญที่สุดในพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สําคัญของพระพุทธศาสนามากถึง 3เหตุการณ์คือวันคล้ายวันประสูติตรัสรู้ และปรินิพพาน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นจึงเรียกวันนี้อีกอย่างหนึ่งว่า “วันพระพุทธเจ้า”โดยเกิดขึ้นตรงกัน ณ วันขึ้น 15 ค่ํา เดือน 6 ทั้งนี้ เพื่อเป็นการน้อมรําลึกถึงพระคุณของพระองค์ ซึ่งองค์การสหประชาชาติ ได้กําหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสําคัญสากลของโลก พร้อมทั้งยกย่องให้พระองค์ทรงเป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตาต่อหมู่มวลมนุษย์ โดยในปีนี้สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเตือนประชาชนอย่าขาดสติ รู้ทันกาย วาจา ใจ อันเป็นหนทางดับความทุกข์ อีกทั้ง ทรงสั่งสอนให้ประชาชนทั้งหลาย ละกิเลส ความโลภ โกรธ หลง อันเป็นบ่อเกิดแห่งความชั่ว ความเห็นแก่ตัว หากบุคคลใด ครอบครัวใด ชุมชนใด หรือ สังคมใด ปรารถนาจะประสบความสันติสุข จําเป็นต้องตื่นรู้ เพื่อรู้เท่าทันการคิด การกระทําด้วยสัมมาสติ อันเป็นหนทางสู่ปัญญา นํามาซึ่งความหลุดพ้นห้วงทุกข์ได้อย่างแท้จริง
นายกรัฐมนตรีจึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกคนร่วมงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา
เนื่องในเทศกาลวิสาขบูชา ระหว่างวันที่ 23 - 29 พฤษภาคม นี้ณ วัด และพุทธศาสนสถานใกล้บ้านด้วยการรักษาศีล 5 ทําบุญตักบาตร ปฏิบัติธรรม เวียนเทียน พร้อมร่วมประดับธงธรรมจักร เพื่อสร้างเสริมสิริมงคลทั้งแก่ตนเอง ครอบครัว และจรรโลงพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนสืบไปทั้งนี้ การรักษาศีล 5 และการครองสติเป็นนิจซึ่งรัฐบาลได้น้อมนําศาสตร์พระราชาเกี่ยวกับหลักการการปลูกต้นไม้ในใจคน มาประยุกต์เป็นหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา โดยชี้ให้เห็นโทษของการโกงต่อตนเองและส่วนรวม รวมทั้ง การปลูกจิตสํานึก “โตไปไม่โกง”ซึ่งจะให้บรรจุไว้ตั้งแต่หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานจนถึงระดับอุดมศึกษา และตลอดจนหลักสูตรตามแนวทางรับราชการของข้าราชการพลเรือน ตํารวจ ทหาร อีกด้วย ทั้งนี้ การปลูกต้นไม้ในใจคนยังเป็นวันต้นไม้แห่งชาติต้นไม้ประจํารัชกาลที่ 10 คือ “ต้นรวงผึ้ง”ซึ่งเป็นต้นไม้ประจําวันพระราชสมภพและผลิดอกเป็นสีเหลืองในช่วงวันพระราชสมภพ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีจึงขอเชิญชวนทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ร่วมกันปลูกต้นไม้ประจํารัชกาล ไม้มงคล หรือต้นไม้ประจําจังหวัด ตามโครงการประชารัฐร่วมใจปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ในพื้นที่ป่าชุมชน ป่าในเมือง หรือพื้นที่ของตนเอง รวมทั้ง การปลูกต้นไม้ตามเส้นทางหรือสวนสาธารณะต่าง ๆ
ด้านเศรษฐกิจของประเทศ จากตัวเลขที่ออกมาล่าสุด ใน 3 เดือนแรกของปี 2561 นี้
เศรษฐกิจไทยเติบโตจากช่วงเดียวกัน หรือ 3 เดือนแรกของปีก่อน ถึงร้อยละ 4.8 ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ดีที่สุดใน 20 ไตรมาส ที่ผ่านมา จากการใช้จ่ายปริมาณการส่งออกสินค้าขยายตัวได้ถึงร้อยละ 5 จากประเทศคู่ค้า และการลงทุนของภาคเอกชนที่ขยายตัวดีต่อเนื่องเช่นกัน โดยไตรมาสนี้มีอัตราการเติบโตที่ร้อยละ 3.1 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความสนใจที่จะลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศด้วยสําหรับการวางรากฐานสําคัญได้แก่ ด้านกายภาพ ด้านทักษะ และด้านกรอบความยั่งยืน คือ การจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนปฏิรูปประเทศ เพื่อกําหนดทิศทางในการผลักดันนโยบายต่างๆ ให้สอดคล้องและตอบโจทย์ความต้องการของประเทศและประชาชนในระยะยาว
ทั้งนี้ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและโทรคมนาคม โครงการเน็ตประชารัฐ ทุกหมู่บ้าน และโครงการระบบเคเบิลใต้น้ํา ระยะทาง 25,000 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระบบเคเบิลใต้น้ําเส้นแรกเสมือนเป็น land bridge ทางด้านโทรคมนาคมระหว่างประเทศที่จะทําให้ประเทศไทย มีวงจรเชื่อมต่อโดยตรงไปยังประเทศที่เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่สําคัญของโลก ตามนโยบายThailand4.0 ของรัฐบาล และการพัฒนาข้อมูลขนาดใหญ่ของภาครัฐ (Big data)สําหรับเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลในมิติต่างๆ ให้เกิดความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมอีกด้วย
ปัจจุบันนี้รัฐบาลมีมาตรการที่ครอบคลุมเพื่อดูแลและสนับสนุนการดํารงชีวิตของผู้สูงอายุ โดยมีแผนงานระยะยาวในการดูแลสุขภาพและพัฒนาทักษะผู้สูงอายุร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาทิแผนจัดหางานให้ผู้สูงอายุ พ.ศ. 2560 – 2564 และแผนสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2564 ขณะเดียวกันในด้านสวัสดิการ รัฐบาลมีการอุดหนุนเงินยังชีพของผู้สูงอายุ เดือนละ 600 – 1,000 บาท อย่างต่อเนื่อง โดยดูแลให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาแรงงานผู้สูงอายุ ในกรณีที่ประสงค์จะกลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน โดยเฉพาะในชนบทผ่านวิสาหกิจชุมชน พร้อมมาตรการจูงใจให้องค์กรต่างๆ เข้าร่วมสนับสนุนด้วย รวมทั้ง การเพิ่มจํานวนสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งมาตรการต่าง ๆ เหล่านี้ ถือเป็นการดูแลผู้สูงอายุอย่างครอบคลุมในทุกมิติดังนั้น จะเห็นว่าการปฏิรูปในภาพรวมของประเทศนี้ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ดิจิทัล กฎหมายและข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data)มีส่วนสําคัญต่อการกระจายความเจริญและรายได้สู่ท้องถิ่นทุกภูมิภาคอย่างต่อเนื่องแต่อาจต้องอาศัยเวลาและความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนด้วยเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศอย่างรอบด้าน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงอีกหนึ่งบทกลอนในช่วงสุดสัปดาห์ ดังนี้
จะมีไหม เมื่อไร ไทยสงบ
ทุกคนพบ ความสุข ตามที่หวัง
อย่าทําให้ ไทยทั้งชาติ ขาดพลัง
สิ้นความหวัง หมดสุข ให้ทุกคน
ทั้งการเมือง บริหาร ต้องสานต่อ
ให้เพียงพอ เพื่อประโยชน์ มหาศาล
หากเนิ่นช้า เกินไป จะเสียการ
ให้ทุกท่าน ทุกคน นั้นสุขใจ
ขอพี่น้อง ผองไทย ช่วยสร้างชาติ
ป่าวประกาศ ร่วมใจ ไทยเข้มแข็ง
.............................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12556
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ สวนลุมพินี-หัวลำโพง เตรียมที่พักสะอาด ปลอดภัย พร้อมอาหารฟรีช่วยคนไร้บ้านห่างไกลเชื้อโควิด-19
|
วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2563
รมว.พม. ลงพื้นที่ สวนลุมพินี-หัวลําโพง เตรียมที่พักสะอาด ปลอดภัย พร้อมอาหารฟรีช่วยคนไร้บ้านห่างไกลเชื้อโควิด-19
รมว.พม. ลงพื้นที่ สวนลุมพินี-หัวลําโพง เตรียมที่พักสะอาด ปลอดภัย พร้อมอาหารฟรีช่วยคนไร้บ้านห่างไกลเชื้อโควิด-19
วันนี้ (5 เม.ย. 63) เวลา 19.30 น. ที่บริเวณสถานีรถไฟหัวลําโพง กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยภายหลังการลงพื้นที่ช่วยเหลือคนไร้บ้านและผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะบริเวณสวนลุมพินีและสถานีรถไฟหัวลําโพง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชนทุกคน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ทําให้กระทรวง พม. มีความห่วงใยคนไร้บ้านและผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ซึ่งมีจํานวนกว่า 1,000 คน ในพื้นที่ กทม. ทั้งนี้ กลุ่มคนดังกล่าวเป็นกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อและการแพร่ระบาดของโรค ประกอบกับรัฐบาลประกาศเคอร์ฟิว หรือห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถานทั่วประเทศในช่วงเวลาประมาณ 22.00 - 04.00 น. โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย. 2563 เป็นต้นมา ยิ่งส่งผลกระทบกลุ่มคนเหล่านี้ที่ไม่มีที่พักอาศัย
นายจุติ กล่าวต่ออีกว่า กระทรวง พม. โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ได้ออกมาตรการช่วยเหลือดูแลกลุ่มคนดังกล่าว และได้จัดสถานที่รองรับ 5 แห่ง ได้แก่ 1.บ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร (อ่อนนุช) 2.บ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร (ธนบุรี) 3.บ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร (ดินแดง) 4.บ้านสร้างโอกาส ปทุมธานี และ 5.บ้านสร้างโอกาส ปากเกร็ด พร้อมทั้งมีอาหารครบ 3 มื้อ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด นอกจากนี้ สถานที่รองรับทั้ง 5 แห่ง จะมีเจ้าหน้าที่พูดคุยให้คําแนะนําปรึกษาเพื่อทําความเข้าใจ พร้อมแจ้งสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับสวัสดิการสังคมต่างๆ จากรัฐ มีบริการทางการแพทย์ และการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายทั้งเช้าและเย็น ซึ่งได้รับความร่วมมือจากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อความมั่นใจถึงความปลอดภัยและการปลอดเชื้อ โดยจะมีรถของกระทรวง พม. พร้อมรับส่งไปยังที่พักทั้ง 5 แห่ง ทั้งนี้ ในระยะยาว จะมีการสอนฝึกอาชีพ เพื่อให้มีรายได้ที่เพียงพอในการพึ่งพาตนเอง จะได้ไม่ต้องกลับมาใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะอีก
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนได้พูดคุยกับคนไร้บ้านและผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะทั้ง 2 แห่ง โดยสอบถามถึงปัญหาและความต้องการความช่วยเหลือ อีกทั้งมอบหน้ากากผ้า ชุดทําความสะอาดร่างกาย อาหาร และน้ําดื่ม โดยเฉพาะได้เชิญชวนให้เข้ามาใช้บริการในสถานที่รองรับทั้ง 5 แห่ง เพื่อแสดงความห่วงใยจากรัฐบาล ทั้งนี้ มีคนไร้บ้านและผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ จํานวน 12 คน แบ่งเป็น ชาย 10 คน และ หญิง 2 คน สมัครใจเข้ารับบริการที่บ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร (อ่อนนุช) อย่างไรก็ตาม หากประชาชนพบเห็นคนไร้บ้านและผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ สามารถโทรแจ้ง ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้คําปรึกษาและช่วยเหลืออย่างเต็มที่
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ สวนลุมพินี-หัวลำโพง เตรียมที่พักสะอาด ปลอดภัย พร้อมอาหารฟรีช่วยคนไร้บ้านห่างไกลเชื้อโควิด-19
วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2563
รมว.พม. ลงพื้นที่ สวนลุมพินี-หัวลําโพง เตรียมที่พักสะอาด ปลอดภัย พร้อมอาหารฟรีช่วยคนไร้บ้านห่างไกลเชื้อโควิด-19
รมว.พม. ลงพื้นที่ สวนลุมพินี-หัวลําโพง เตรียมที่พักสะอาด ปลอดภัย พร้อมอาหารฟรีช่วยคนไร้บ้านห่างไกลเชื้อโควิด-19
วันนี้ (5 เม.ย. 63) เวลา 19.30 น. ที่บริเวณสถานีรถไฟหัวลําโพง กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยภายหลังการลงพื้นที่ช่วยเหลือคนไร้บ้านและผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะบริเวณสวนลุมพินีและสถานีรถไฟหัวลําโพง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชนทุกคน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ทําให้กระทรวง พม. มีความห่วงใยคนไร้บ้านและผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ซึ่งมีจํานวนกว่า 1,000 คน ในพื้นที่ กทม. ทั้งนี้ กลุ่มคนดังกล่าวเป็นกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อและการแพร่ระบาดของโรค ประกอบกับรัฐบาลประกาศเคอร์ฟิว หรือห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถานทั่วประเทศในช่วงเวลาประมาณ 22.00 - 04.00 น. โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย. 2563 เป็นต้นมา ยิ่งส่งผลกระทบกลุ่มคนเหล่านี้ที่ไม่มีที่พักอาศัย
นายจุติ กล่าวต่ออีกว่า กระทรวง พม. โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ได้ออกมาตรการช่วยเหลือดูแลกลุ่มคนดังกล่าว และได้จัดสถานที่รองรับ 5 แห่ง ได้แก่ 1.บ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร (อ่อนนุช) 2.บ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร (ธนบุรี) 3.บ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร (ดินแดง) 4.บ้านสร้างโอกาส ปทุมธานี และ 5.บ้านสร้างโอกาส ปากเกร็ด พร้อมทั้งมีอาหารครบ 3 มื้อ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด นอกจากนี้ สถานที่รองรับทั้ง 5 แห่ง จะมีเจ้าหน้าที่พูดคุยให้คําแนะนําปรึกษาเพื่อทําความเข้าใจ พร้อมแจ้งสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับสวัสดิการสังคมต่างๆ จากรัฐ มีบริการทางการแพทย์ และการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายทั้งเช้าและเย็น ซึ่งได้รับความร่วมมือจากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อความมั่นใจถึงความปลอดภัยและการปลอดเชื้อ โดยจะมีรถของกระทรวง พม. พร้อมรับส่งไปยังที่พักทั้ง 5 แห่ง ทั้งนี้ ในระยะยาว จะมีการสอนฝึกอาชีพ เพื่อให้มีรายได้ที่เพียงพอในการพึ่งพาตนเอง จะได้ไม่ต้องกลับมาใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะอีก
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนได้พูดคุยกับคนไร้บ้านและผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะทั้ง 2 แห่ง โดยสอบถามถึงปัญหาและความต้องการความช่วยเหลือ อีกทั้งมอบหน้ากากผ้า ชุดทําความสะอาดร่างกาย อาหาร และน้ําดื่ม โดยเฉพาะได้เชิญชวนให้เข้ามาใช้บริการในสถานที่รองรับทั้ง 5 แห่ง เพื่อแสดงความห่วงใยจากรัฐบาล ทั้งนี้ มีคนไร้บ้านและผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ จํานวน 12 คน แบ่งเป็น ชาย 10 คน และ หญิง 2 คน สมัครใจเข้ารับบริการที่บ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร (อ่อนนุช) อย่างไรก็ตาม หากประชาชนพบเห็นคนไร้บ้านและผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ สามารถโทรแจ้ง ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้คําปรึกษาและช่วยเหลืออย่างเต็มที่
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28492
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-TIJ จัดการเสวนาวิชาการ “มาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการจำแนกประเภทอาชญากรรม”
|
วันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2562
TIJ จัดการเสวนาวิชาการ “มาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการจําแนกประเภทอาชญากรรม”
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานงานเสวนาวิชาการ เรื่อง “มาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการจําแนกประเภทอาชญากรรม”
ในวันพุธที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ ห้องประชุมชั้น ๑๕ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานงานเสวนาวิชาการ เรื่อง “มาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการจําแนกประเภทอาชญากรรม” เพื่อประโยชน์ทางสถิติกับการบูรณาการข้อมูลและการพัฒนางานยุติธรรม โดยมีศาสตราจารย์พิเศษกิตติพงษ์ กิตติพงษ์ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย ดร.พิเศษ สอาดเย็น ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศฯ สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม และคุณอุษา จั่นพลอย บุญเปี่ยม ผู้อํานวยการกองนโยบายและประสานแผนฯ สํานักงานกิจการยุติธรรม เข้าร่วมงานฯ
ในโอกาสนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า มาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการจําแนกประเภทอาชญากรรมเพื่อประโยชน์ทางสถิติ หรือ The International Classification of Crime for Statistical Purposes (ICCS) เป็นเรื่องที่จะเป็นประโยชน์มากสําหรับการประมวลข้อมูลอาชญากรรม เปรียบเทียบกับผลการศึกษาระหว่างแหล่งข้อมูลระดับนึงองค์กรและระดับประเทศ รวมทั้งเป็นข้อมูลสําหรับการวางแผนกําหนดนโยบายอาชญากรรมและความยุติธรรมของประเทศไทยให้เป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพมากขึ้นภายใต้ระบบข้อมูลสถิติที่ครบถ้วนและมาตรฐานเดียวกัน เนื่องจาก ICCS เป็นการจัดหมวดหมู่อาชญากรรมตามลักษณะของการกระทําความผิดอาญาทุกรูปแบบตามรหัสนิยามและหลักเกณฑ์ที่สมาชิกสหประชาชาติตกลงร่วมกัน เพื่อให้แต่ละประเทศที่มีระบบกฎหมายแตกต่างกันสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่สอดคล้องกันและเปรียบเทียบกันได้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-TIJ จัดการเสวนาวิชาการ “มาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการจำแนกประเภทอาชญากรรม”
วันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2562
TIJ จัดการเสวนาวิชาการ “มาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการจําแนกประเภทอาชญากรรม”
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานงานเสวนาวิชาการ เรื่อง “มาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการจําแนกประเภทอาชญากรรม”
ในวันพุธที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ ห้องประชุมชั้น ๑๕ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานงานเสวนาวิชาการ เรื่อง “มาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการจําแนกประเภทอาชญากรรม” เพื่อประโยชน์ทางสถิติกับการบูรณาการข้อมูลและการพัฒนางานยุติธรรม โดยมีศาสตราจารย์พิเศษกิตติพงษ์ กิตติพงษ์ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย ดร.พิเศษ สอาดเย็น ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศฯ สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม และคุณอุษา จั่นพลอย บุญเปี่ยม ผู้อํานวยการกองนโยบายและประสานแผนฯ สํานักงานกิจการยุติธรรม เข้าร่วมงานฯ
ในโอกาสนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า มาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการจําแนกประเภทอาชญากรรมเพื่อประโยชน์ทางสถิติ หรือ The International Classification of Crime for Statistical Purposes (ICCS) เป็นเรื่องที่จะเป็นประโยชน์มากสําหรับการประมวลข้อมูลอาชญากรรม เปรียบเทียบกับผลการศึกษาระหว่างแหล่งข้อมูลระดับนึงองค์กรและระดับประเทศ รวมทั้งเป็นข้อมูลสําหรับการวางแผนกําหนดนโยบายอาชญากรรมและความยุติธรรมของประเทศไทยให้เป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพมากขึ้นภายใต้ระบบข้อมูลสถิติที่ครบถ้วนและมาตรฐานเดียวกัน เนื่องจาก ICCS เป็นการจัดหมวดหมู่อาชญากรรมตามลักษณะของการกระทําความผิดอาญาทุกรูปแบบตามรหัสนิยามและหลักเกณฑ์ที่สมาชิกสหประชาชาติตกลงร่วมกัน เพื่อให้แต่ละประเทศที่มีระบบกฎหมายแตกต่างกันสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่สอดคล้องกันและเปรียบเทียบกันได้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21905
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยสั่งการด่วน 6 มาตรการเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาผลกระทบจากน้ำท่วมพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑล
|
วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2560
มหาดไทยสั่งการด่วน 6 มาตรการเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาผลกระทบจากน้ําท่วมพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑล
กระทรวงมหาดไทยสั่งการด่วน 6 มาตรการเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาผลกระทบจากน้ําท่วมพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑล
วันนี้ (28 พ.ค.) เวลา 11.00 น. ที่กระทรวงมหาดไทยนายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดพายุฝนตกในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) และจังหวัดใกล้เคียงติดต่อกัน และมีพื้นที่บางแห่งถูกน้ําท่วม ทําให้เกิดปัญหาการระบายน้ําและการจราจร ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่ต้องเผชิญความลําบากเดือดร้อนนั้น
กระทรวงมหาดไทย มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว ดังนั้นเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ กระทรวงมหาดไทยจึงได้สั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ว่าราชการจังหวัดปริมณฑลหรือเป็นพื้นที่รองรับการระบายน้ําจากกทม. ดําเนินการ ดังนี้
1. มอบหมายให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นผู้ประสานงานหลักระหว่างกระทรวงมหาดไทยและจังหวัด กับ กทม. รวมทั้งหน่วยงานต่างๆ ที่เข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่กรุงทพมหานครและจังหวัดปริมณฑลเพื่อแก้ไขปัญหาในครั้งนี้
2. ให้จังหวัดจัดตั้งกองอํานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด (กอ.ปภ.จังหวัด) ขึ้น เพื่อทําหน้าที่บริหารจัดการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ําท่วมพร้อมทั้งทําหน้าที่ประสานงานกับกทม.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดจากภาวะฝนตก เช่น การระบายน้ําและการจราจรตลอดจนปัญหาอื่นๆ ที่มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่
3. ให้จังหวัดเร่งประสานงานในการกําหนดช่องทางระบายน้ําหรือพื้นที่รองรับการระบายน้ําและการจราจร รวมทั้งการทําความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากการบริหารระบบระบายน้ําของกรุงเทพมหานคร
4. ให้จังหวัดดําเนินการตามขั้นตอนการบริหารสถานการณ์ในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบสาธารณภัยตามที่กระทรวงมหาดไทยกําหนด ได้แก่ 1. พิจารณากําหนดพื้นที่ปัญหาหรือพื้นที่สําคัญ 2. กําหนดผู้รับผิดชอบบริหารสถานการณ์หรือแก้ไขปัญหาประจําพื้นที่ 3. พิจารณากําหนดวิธีการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนตลอดจนพิจารณาการใช้เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ที่เหมาะสมกับพื้นที่และสถานการณ์ในห้วงเวลาต่างๆ โดยขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งผู้ติดตามผลการปฏิบัติงานตามขั้นตอนข้างต้นเพื่อรายงานผลการปฏิบัติงานหรือปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นระหว่างปฏิบัติงาน เพื่อจังหวัดสามารถอํานวยการแก้ไขปัญหาในพื้นที่หรือพิจารณาขอรับการสนับสนุนมายังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยหรือส่วนราชการอื่นๆ ในส่วนกลาง
นอกจากนี้ ให้ทุกจังหวัดเร่งประชาสัมพันธ์หรือชี้แจงทําความเข้าใจ และสร้างการรับรู้กับประชาชนในพื้นที่ที่มีสถานการณ์ให้ได้รับทราบถึงการทํางานช่วยเหลือประชาชนของเจ้าหน้าที่รัฐหน่วยต่าง ๆ อย่างกว้างขวางทุกช่องทางตามแนวทางที่ได้แจ้งไปแล้วด้วย
5. ให้จังหวัดกําชับนายอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้งผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ ให้ติดตามสถานการณ์น้ําท่วมและสภาวะพายุฤดูฝนที่อาจมีฝนตกติดต่อไปอีก เพื่อเตรียมเข้าช่วยเหลือประชาชนทันทีที่ได้รับผลกระทบจากน้ําท่วมอย่างต่อเนื่องตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติและระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอย่างใกล้ชิด
6. สําหรับจังหวัดที่อยู่ในเขตชลประทานลุ่มน้ําเจ้าพระยา ขอให้ประสานงานกับหน่วยชลประทานพื้นที่โดยใกล้ชิดเพื่อร่วมกันบริหารจัดการระบบระบายน้ําออกไปเก็บไว้ในพื้นที่รับน้ําที่กําหนดไว้แล้วด้วย ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ระบบการระบายน้ํามีผลต่อพื้นที่จังหวัดปริมณฑล ส่วนจังหวัดที่อยู่เหนือเขื่อนเจ้าพระยา ก็ให้ประสานงานกับหน่วยงานชลประทานในพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบริหารจัดการระบายน้ําไปกักเก็บไว้ในพื้นที่ที่กําหนดสําหรับใช้ในฤดูขาดแคลน
สุดท้ายปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งบูรณาการการทํางานร่วมกับกรุงเทพมหานครและทุกหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาพบว่าในช่วงเวลานี้ยังคงมีพายุฝนตกหนักกว่าร้อยละ 80 ของพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ดังนั้น จึงขอให้พี่น้องประชาชนได้วางแผนการเดินทางไปทํางานหรือทํากิจวัตรประจําวันเป็นการล่วงหน้า รวมทั้งติดตามรับฟังข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด และอย่าหลงเชื่อข่าวลือของบุคคลบางจําพวกที่ต้องการบิดเบือนข้อเท็จจริง ทั้งนี้ สามารถแจ้งเหตุสาธารณภัยได้ทางสายด่วน 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง
ครั้งที่ 81/2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยสั่งการด่วน 6 มาตรการเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาผลกระทบจากน้ำท่วมพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑล
วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2560
มหาดไทยสั่งการด่วน 6 มาตรการเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาผลกระทบจากน้ําท่วมพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑล
กระทรวงมหาดไทยสั่งการด่วน 6 มาตรการเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาผลกระทบจากน้ําท่วมพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑล
วันนี้ (28 พ.ค.) เวลา 11.00 น. ที่กระทรวงมหาดไทยนายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดพายุฝนตกในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) และจังหวัดใกล้เคียงติดต่อกัน และมีพื้นที่บางแห่งถูกน้ําท่วม ทําให้เกิดปัญหาการระบายน้ําและการจราจร ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่ต้องเผชิญความลําบากเดือดร้อนนั้น
กระทรวงมหาดไทย มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว ดังนั้นเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ กระทรวงมหาดไทยจึงได้สั่งการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ว่าราชการจังหวัดปริมณฑลหรือเป็นพื้นที่รองรับการระบายน้ําจากกทม. ดําเนินการ ดังนี้
1. มอบหมายให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นผู้ประสานงานหลักระหว่างกระทรวงมหาดไทยและจังหวัด กับ กทม. รวมทั้งหน่วยงานต่างๆ ที่เข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่กรุงทพมหานครและจังหวัดปริมณฑลเพื่อแก้ไขปัญหาในครั้งนี้
2. ให้จังหวัดจัดตั้งกองอํานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด (กอ.ปภ.จังหวัด) ขึ้น เพื่อทําหน้าที่บริหารจัดการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ําท่วมพร้อมทั้งทําหน้าที่ประสานงานกับกทม.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดจากภาวะฝนตก เช่น การระบายน้ําและการจราจรตลอดจนปัญหาอื่นๆ ที่มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่
3. ให้จังหวัดเร่งประสานงานในการกําหนดช่องทางระบายน้ําหรือพื้นที่รองรับการระบายน้ําและการจราจร รวมทั้งการทําความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากการบริหารระบบระบายน้ําของกรุงเทพมหานคร
4. ให้จังหวัดดําเนินการตามขั้นตอนการบริหารสถานการณ์ในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบสาธารณภัยตามที่กระทรวงมหาดไทยกําหนด ได้แก่ 1. พิจารณากําหนดพื้นที่ปัญหาหรือพื้นที่สําคัญ 2. กําหนดผู้รับผิดชอบบริหารสถานการณ์หรือแก้ไขปัญหาประจําพื้นที่ 3. พิจารณากําหนดวิธีการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนตลอดจนพิจารณาการใช้เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ที่เหมาะสมกับพื้นที่และสถานการณ์ในห้วงเวลาต่างๆ โดยขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งผู้ติดตามผลการปฏิบัติงานตามขั้นตอนข้างต้นเพื่อรายงานผลการปฏิบัติงานหรือปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นระหว่างปฏิบัติงาน เพื่อจังหวัดสามารถอํานวยการแก้ไขปัญหาในพื้นที่หรือพิจารณาขอรับการสนับสนุนมายังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยหรือส่วนราชการอื่นๆ ในส่วนกลาง
นอกจากนี้ ให้ทุกจังหวัดเร่งประชาสัมพันธ์หรือชี้แจงทําความเข้าใจ และสร้างการรับรู้กับประชาชนในพื้นที่ที่มีสถานการณ์ให้ได้รับทราบถึงการทํางานช่วยเหลือประชาชนของเจ้าหน้าที่รัฐหน่วยต่าง ๆ อย่างกว้างขวางทุกช่องทางตามแนวทางที่ได้แจ้งไปแล้วด้วย
5. ให้จังหวัดกําชับนายอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้งผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ ให้ติดตามสถานการณ์น้ําท่วมและสภาวะพายุฤดูฝนที่อาจมีฝนตกติดต่อไปอีก เพื่อเตรียมเข้าช่วยเหลือประชาชนทันทีที่ได้รับผลกระทบจากน้ําท่วมอย่างต่อเนื่องตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติและระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอย่างใกล้ชิด
6. สําหรับจังหวัดที่อยู่ในเขตชลประทานลุ่มน้ําเจ้าพระยา ขอให้ประสานงานกับหน่วยชลประทานพื้นที่โดยใกล้ชิดเพื่อร่วมกันบริหารจัดการระบบระบายน้ําออกไปเก็บไว้ในพื้นที่รับน้ําที่กําหนดไว้แล้วด้วย ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ระบบการระบายน้ํามีผลต่อพื้นที่จังหวัดปริมณฑล ส่วนจังหวัดที่อยู่เหนือเขื่อนเจ้าพระยา ก็ให้ประสานงานกับหน่วยงานชลประทานในพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบริหารจัดการระบายน้ําไปกักเก็บไว้ในพื้นที่ที่กําหนดสําหรับใช้ในฤดูขาดแคลน
สุดท้ายปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งบูรณาการการทํางานร่วมกับกรุงเทพมหานครและทุกหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาพบว่าในช่วงเวลานี้ยังคงมีพายุฝนตกหนักกว่าร้อยละ 80 ของพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ดังนั้น จึงขอให้พี่น้องประชาชนได้วางแผนการเดินทางไปทํางานหรือทํากิจวัตรประจําวันเป็นการล่วงหน้า รวมทั้งติดตามรับฟังข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด และอย่าหลงเชื่อข่าวลือของบุคคลบางจําพวกที่ต้องการบิดเบือนข้อเท็จจริง ทั้งนี้ สามารถแจ้งเหตุสาธารณภัยได้ทางสายด่วน 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง
ครั้งที่ 81/2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4079
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2563
|
วันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2563
มหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2563
มหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2563
วันนี้ (1 ก.ค. 63) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ด้วยสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีแจ้งว่าวันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2563 เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐได้ร่วมแสดงความจงรักภักดีและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎร รัฐบาลเห็นสมควรดําเนินการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2563
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า เพื่อให้การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2563 เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ จึงได้แจ้งให้ทุกจังหวัดดําเนินการ 1) ประดับพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บริเวณด้านหน้าศาลากลางจังหวัด ประดับธงชาติไทยร่วมกับธงอักษรพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. พร้อมประดับผ้าระบายสีเหลืองและผ้าระบายสีขาว บริเวณรั้วศาลากลางจังหวัด ตั้งแต่วันที่ 1-31 กรกฎาคม 2563 รวมทั้งตกแต่งซุ้มและประดับไฟบริเวณศาลากลางจังหวัดและถนนสายสําคัญให้สวยงาม 2) จัดสถานที่ลงนามถวายพระพรชัยมงคล ณ บริเวณศาลากลางจังหวัดที่เหมาะสม โดยประดับพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โต๊ะหมู่บูชา สมุดลงนามถวายพระพรชัยมงคล พร้อมโต๊ะและเก้าอี้ลงนามถวายพระพรชัยมงคล สําหรับบุคลากรในสังกัดและผู้มาติดต่อราชการ ได้ร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคล ตั้งแต่วันที่ 1-31 กรกฎาคม 2563 และเชิญชวนบริษัท ห้างร้าน และประชาชนในจังหวัด ประดับพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บริเวณด้านหน้าอาคารสํานักงานและที่พักอาศัย ประดับธงชาติไทยร่วมกับธงอักษรพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. ตั้งแต่วันที่ 1-31 กรกฎาคม 2563 รวมทั้งประดับไฟบริเวณอาคารสํานักงานและที่พักอาศัยให้สวยงามตามระยะเวลาที่เห็นสมควร
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย ได้เน้นย้ําให้ทุกจังหวัดจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2563 ให้เป็นไปอย่างสมพระเกียรติ พร้อมทั้งเชิญชวนบุคลากรทุกภาคส่วนในจังหวัดและประชาชน ร่วมแต่งกายด้วยเสื้อสีเหลือง (ตามความสมัครใจ) ตั้งแต่วันที่ 1-31 กรกฎาคม 2563 เพื่อแสดงความจงรักภักดีร่วมกัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2563
วันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2563
มหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2563
มหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2563
วันนี้ (1 ก.ค. 63) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ด้วยสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีแจ้งว่าวันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2563 เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐได้ร่วมแสดงความจงรักภักดีและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎร รัฐบาลเห็นสมควรดําเนินการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2563
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า เพื่อให้การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2563 เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ จึงได้แจ้งให้ทุกจังหวัดดําเนินการ 1) ประดับพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บริเวณด้านหน้าศาลากลางจังหวัด ประดับธงชาติไทยร่วมกับธงอักษรพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. พร้อมประดับผ้าระบายสีเหลืองและผ้าระบายสีขาว บริเวณรั้วศาลากลางจังหวัด ตั้งแต่วันที่ 1-31 กรกฎาคม 2563 รวมทั้งตกแต่งซุ้มและประดับไฟบริเวณศาลากลางจังหวัดและถนนสายสําคัญให้สวยงาม 2) จัดสถานที่ลงนามถวายพระพรชัยมงคล ณ บริเวณศาลากลางจังหวัดที่เหมาะสม โดยประดับพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โต๊ะหมู่บูชา สมุดลงนามถวายพระพรชัยมงคล พร้อมโต๊ะและเก้าอี้ลงนามถวายพระพรชัยมงคล สําหรับบุคลากรในสังกัดและผู้มาติดต่อราชการ ได้ร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคล ตั้งแต่วันที่ 1-31 กรกฎาคม 2563 และเชิญชวนบริษัท ห้างร้าน และประชาชนในจังหวัด ประดับพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บริเวณด้านหน้าอาคารสํานักงานและที่พักอาศัย ประดับธงชาติไทยร่วมกับธงอักษรพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. ตั้งแต่วันที่ 1-31 กรกฎาคม 2563 รวมทั้งประดับไฟบริเวณอาคารสํานักงานและที่พักอาศัยให้สวยงามตามระยะเวลาที่เห็นสมควร
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย ได้เน้นย้ําให้ทุกจังหวัดจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2563 ให้เป็นไปอย่างสมพระเกียรติ พร้อมทั้งเชิญชวนบุคลากรทุกภาคส่วนในจังหวัดและประชาชน ร่วมแต่งกายด้วยเสื้อสีเหลือง (ตามความสมัครใจ) ตั้งแต่วันที่ 1-31 กรกฎาคม 2563 เพื่อแสดงความจงรักภักดีร่วมกัน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32981
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ครั้งที่ 1/2560
|
วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม 2560
รอง นรม.พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ครั้งที่ 1/2560
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ครั้งที่ 1/2560 ซึ่งมีสาระสําคัญของการประชุมฯ ดังนี้
วันนี้ (18 มกราคม 2560) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) ชั้น 2 อาคารสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ครั้งที่ 1/2560 ซึ่งมีสาระสําคัญของการประชุมฯ ดังนี้
ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า การประชุมในวันนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีในการช่วยแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรทุกกลุ่มให้สามารถได้รับการช่วยเหลือผ่านระบบและหลักเกณฑ์ของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรพร้อมกล่าวขอบคุณคณะกรรมการทุกคนที่มีบทบาทสําคัญในการแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ในการสนับสนุนและช่วยเหลือและพัฒนาเกษตรกรโดยผ่านกองทุนฟื้นฟูฯ ให้สามารถช่วยเหลือตนเองได้เพื่อความมั่นคงในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนต่อไป
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบร่างระเบียบคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการโอนทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันการชําระหนี้ และการเช่า เช่าซื้อ หรือซื้อทรัพย์คืนไปจากกองทุน พ.ศ. .... ตลอดจนมีมติเห็นชอบร่างระเบียบคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการชําระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ของเกษตรกร พ.ศ. .... โดยทั้ง 2 ร่างระเบียบดังกล่าวจะทําให้การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรโดยเฉพาะด้านหนี้สินจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้รับการพัฒนาศักยภาพให้มีความมั่นคงตลอดจนสามารถบริหารจัดการหนี้สินได้อย่างเป็นระบบ โดยมีสํานักงานคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรกํากับดูแลอย่างใกล้ชิด
ตอนท้ายของการประชุม ได้มีมติเห็นชอบรายชื่อทะเบียนหนี้เกษตรกรที่ยื่นขอขึ้นทะเบียนฯ จํานวน 67 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 2,924 ราย (6,134 บัญชี) คิดเป็นวงเงิน 2,368,688,114 บาท ตามที่คณะกรรมการจัดการหนี้ของเกษตรกรได้อนุมัติรับรองแล้ว ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2544
---------------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ครั้งที่ 1/2560
วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม 2560
รอง นรม.พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ครั้งที่ 1/2560
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ครั้งที่ 1/2560 ซึ่งมีสาระสําคัญของการประชุมฯ ดังนี้
วันนี้ (18 มกราคม 2560) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) ชั้น 2 อาคารสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ครั้งที่ 1/2560 ซึ่งมีสาระสําคัญของการประชุมฯ ดังนี้
ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า การประชุมในวันนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีในการช่วยแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรทุกกลุ่มให้สามารถได้รับการช่วยเหลือผ่านระบบและหลักเกณฑ์ของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรพร้อมกล่าวขอบคุณคณะกรรมการทุกคนที่มีบทบาทสําคัญในการแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ในการสนับสนุนและช่วยเหลือและพัฒนาเกษตรกรโดยผ่านกองทุนฟื้นฟูฯ ให้สามารถช่วยเหลือตนเองได้เพื่อความมั่นคงในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนต่อไป
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบร่างระเบียบคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการโอนทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันการชําระหนี้ และการเช่า เช่าซื้อ หรือซื้อทรัพย์คืนไปจากกองทุน พ.ศ. .... ตลอดจนมีมติเห็นชอบร่างระเบียบคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการชําระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ของเกษตรกร พ.ศ. .... โดยทั้ง 2 ร่างระเบียบดังกล่าวจะทําให้การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรโดยเฉพาะด้านหนี้สินจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้รับการพัฒนาศักยภาพให้มีความมั่นคงตลอดจนสามารถบริหารจัดการหนี้สินได้อย่างเป็นระบบ โดยมีสํานักงานคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรกํากับดูแลอย่างใกล้ชิด
ตอนท้ายของการประชุม ได้มีมติเห็นชอบรายชื่อทะเบียนหนี้เกษตรกรที่ยื่นขอขึ้นทะเบียนฯ จํานวน 67 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 2,924 ราย (6,134 บัญชี) คิดเป็นวงเงิน 2,368,688,114 บาท ตามที่คณะกรรมการจัดการหนี้ของเกษตรกรได้อนุมัติรับรองแล้ว ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2544
---------------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1404
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เผย บอร์ดค่าจ้างใช้เกณฑ์พิจารณาจากปัจจัยรอบด้านอย่างรอบคอบ
|
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561
ก.แรงงาน เผย บอร์ดค่าจ้างใช้เกณฑ์พิจารณาจากปัจจัยรอบด้านอย่างรอบคอบ
“โฆษกแรงงาน” เปิดเผย หลักเกณฑ์การพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ําปี 2561 อาทิ ผลิตภาพแรงงาน สัดส่วนต้นทุนด้านแรงงานของ GDP แต่ละจังหวัด คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อและอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ปี 2561 เป็นต้น ชี้ ต้นทุนด้านแรงงานอยู่ที่ร้อยละ 7 - 10 ของค่าจ้าง
“โฆษกแรงงาน” เปิดเผย หลักเกณฑ์การพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ําปี 2561 อาทิ ผลิตภาพแรงงาน สัดส่วนต้นทุนด้านแรงงานของ GDP แต่ละจังหวัด คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อและอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ปี 2561 เป็นต้น ชี้ ต้นทุนด้านแรงงานอยู่ที่ร้อยละ 7 - 10 ของค่าจ้าง ย้ํา แรงงานกว่า 14 ล้านคน รวมทั้งแรงงานภาคเกษตรบางส่วนรับอานิสงส์ค่าจ้างขั้นต่ําด้วย
นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงหลักเกณฑ์การพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ําปี 2561 ณ ห้องรับรองสํานักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงานว่า คณะกรรมการค่าจ้างได้ใช้สูตรคํานวณที่นํามาพิจารณาการปรับค่าจ้างขั้นต่ําในครั้งนี้จากปัจจัยที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผลิตภาพแรงงานเฉลี่ย 5 ปีของแต่ละจังหวัด สัดส่วนต้นทุนด้านแรงงานของผลิตภาพมวลรวมของแต่ละจังหวัด (GPP) อัตราเงินเฟ้อของแต่ละจังหวัด ซึ่งคณะกรรมการค่าจ้างจะนําไปพิจารณารวมอยู่ด้วย นอกจากนี้ ยังพิจารณาถึงอัตราเงินเฟ้อจากการคาดการณ์ของปี 2561 อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของปี 2561 จากนั้นนําผลที่ได้มาจัดกลุ่มให้อัตราค่าจ้างของจังหวัดที่ใกล้เคียงกันไม่ให้มีความแตกต่างกันมากนัก เพื่อไม่ให้กระทบต่อการเคลื่อนย้ายแรงงานและขาดแคลนแรงงาน ทั้งนี้ ทั่วไปแล้วต้นทุนด้านแรงงานจะอยู่ที่ 7 - 10% ของค่าจ้าง โดยขึ้นอยู่กับแต่ละประเภทอุตสาหกรรมว่ามีการใช้แรงงานเข้มข้นหรือไม่ หากเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยจะใช้ทุนต้นด้านแรงงานสูงถึง 90 % ที่เหลือจะเป็นต้นทุนด้านการบริหารจัดการและไอที เป็นต้น
นางเพชรรัตน์ฯ กล่าวต่อว่า แนวทางที่คณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 19 วางแผนไว้เพื่อส่งต่อให้คณะกรรมการชุดใหม่ คือ ขอให้มีการผลักดันให้สถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไปจัดทําโครงสร้างค่าจ้าง โดยต้องแก้ไขกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เพื่อให้โครงสร้างค่าจ้างอยู่ในกฎหมาย และออกประกาศไว้ในสถานประกอบการเพื่อให้ลูกจ้างได้ทราบการขึ้นค่าจ้างในแต่ละครั้ง ส่วนการขึ้นค่าจ้างในแต่ละปีจะขึ้นอยู่กับการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานลูกจ้าง โดยคณะกรรมการค่าจ้างเห็นว่ามีความสําคัญ ทั้งนี้ ในอนาคตการกําหนดค่าจ้างขั้นต่ําจะมีวิวัฒนาการไปถึงการกําหนดอัตราค่าจ้างรายชั่วโมงตามลักษณะของการจ้างงานในแต่ละประเภทกิจการ โดยเฉพาะงานพาร์ทไทม์ในภาคบริการอีกด้วย
“การปรับค่าจ้างขั้นต่ําในครั้งนี้มีแรงงานที่ได้รับประโยชน์จากค่าจ้างขั้นต่ํากว่า 14 ล้านคน ซึ่งรวมถึงแรงงานในภาคเกษตรบางส่วนด้วย”นางเพชรรัตน์ฯ กล่าวในท้ายสุด
--------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ-ข่าว/
ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร – ภาพ/
19 ม.ค.2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เผย บอร์ดค่าจ้างใช้เกณฑ์พิจารณาจากปัจจัยรอบด้านอย่างรอบคอบ
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561
ก.แรงงาน เผย บอร์ดค่าจ้างใช้เกณฑ์พิจารณาจากปัจจัยรอบด้านอย่างรอบคอบ
“โฆษกแรงงาน” เปิดเผย หลักเกณฑ์การพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ําปี 2561 อาทิ ผลิตภาพแรงงาน สัดส่วนต้นทุนด้านแรงงานของ GDP แต่ละจังหวัด คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อและอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ปี 2561 เป็นต้น ชี้ ต้นทุนด้านแรงงานอยู่ที่ร้อยละ 7 - 10 ของค่าจ้าง
“โฆษกแรงงาน” เปิดเผย หลักเกณฑ์การพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ําปี 2561 อาทิ ผลิตภาพแรงงาน สัดส่วนต้นทุนด้านแรงงานของ GDP แต่ละจังหวัด คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อและอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ปี 2561 เป็นต้น ชี้ ต้นทุนด้านแรงงานอยู่ที่ร้อยละ 7 - 10 ของค่าจ้าง ย้ํา แรงงานกว่า 14 ล้านคน รวมทั้งแรงงานภาคเกษตรบางส่วนรับอานิสงส์ค่าจ้างขั้นต่ําด้วย
นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงหลักเกณฑ์การพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ําปี 2561 ณ ห้องรับรองสํานักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงานว่า คณะกรรมการค่าจ้างได้ใช้สูตรคํานวณที่นํามาพิจารณาการปรับค่าจ้างขั้นต่ําในครั้งนี้จากปัจจัยที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผลิตภาพแรงงานเฉลี่ย 5 ปีของแต่ละจังหวัด สัดส่วนต้นทุนด้านแรงงานของผลิตภาพมวลรวมของแต่ละจังหวัด (GPP) อัตราเงินเฟ้อของแต่ละจังหวัด ซึ่งคณะกรรมการค่าจ้างจะนําไปพิจารณารวมอยู่ด้วย นอกจากนี้ ยังพิจารณาถึงอัตราเงินเฟ้อจากการคาดการณ์ของปี 2561 อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของปี 2561 จากนั้นนําผลที่ได้มาจัดกลุ่มให้อัตราค่าจ้างของจังหวัดที่ใกล้เคียงกันไม่ให้มีความแตกต่างกันมากนัก เพื่อไม่ให้กระทบต่อการเคลื่อนย้ายแรงงานและขาดแคลนแรงงาน ทั้งนี้ ทั่วไปแล้วต้นทุนด้านแรงงานจะอยู่ที่ 7 - 10% ของค่าจ้าง โดยขึ้นอยู่กับแต่ละประเภทอุตสาหกรรมว่ามีการใช้แรงงานเข้มข้นหรือไม่ หากเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยจะใช้ทุนต้นด้านแรงงานสูงถึง 90 % ที่เหลือจะเป็นต้นทุนด้านการบริหารจัดการและไอที เป็นต้น
นางเพชรรัตน์ฯ กล่าวต่อว่า แนวทางที่คณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 19 วางแผนไว้เพื่อส่งต่อให้คณะกรรมการชุดใหม่ คือ ขอให้มีการผลักดันให้สถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไปจัดทําโครงสร้างค่าจ้าง โดยต้องแก้ไขกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เพื่อให้โครงสร้างค่าจ้างอยู่ในกฎหมาย และออกประกาศไว้ในสถานประกอบการเพื่อให้ลูกจ้างได้ทราบการขึ้นค่าจ้างในแต่ละครั้ง ส่วนการขึ้นค่าจ้างในแต่ละปีจะขึ้นอยู่กับการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานลูกจ้าง โดยคณะกรรมการค่าจ้างเห็นว่ามีความสําคัญ ทั้งนี้ ในอนาคตการกําหนดค่าจ้างขั้นต่ําจะมีวิวัฒนาการไปถึงการกําหนดอัตราค่าจ้างรายชั่วโมงตามลักษณะของการจ้างงานในแต่ละประเภทกิจการ โดยเฉพาะงานพาร์ทไทม์ในภาคบริการอีกด้วย
“การปรับค่าจ้างขั้นต่ําในครั้งนี้มีแรงงานที่ได้รับประโยชน์จากค่าจ้างขั้นต่ํากว่า 14 ล้านคน ซึ่งรวมถึงแรงงานในภาคเกษตรบางส่วนด้วย”นางเพชรรัตน์ฯ กล่าวในท้ายสุด
--------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ-ข่าว/
ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร – ภาพ/
19 ม.ค.2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9510
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.- กษ. เดินหน้าเร่งมาตรการกำจัดโรคพิษสุนัขบ้า พร้อมติดตามผู้สัมผัสทุกคนให้รับวัคซีน
|
วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2561
สธ.- กษ. เดินหน้าเร่งมาตรการกําจัดโรคพิษสุนัขบ้า พร้อมติดตามผู้สัมผัสทุกคนให้รับวัคซีน
กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดินหน้าเร่งรัดมาตรการควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า ภายใต้โครงการ “สัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า”
กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดินหน้าเร่งรัดมาตรการควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า ภายใต้โครงการ “สัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า” ตามพระปณิธาน ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ค้นหาติดตามผู้สัมผัสทุกคน ให้ได้รับวัคซีนครบ 100% และสามารถลดจํานวนคนถูกกัดในพื้นที่เสี่ยง
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจากนายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์ที่ 3 ด้านการป้องกันควบคุมและดูแลรักษาโรคพิษสุนัขบ้าในคน ภายใต้โครงการสัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย จากโรคพิษสุนัขบ้า ตามพระปณิธาน ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ครั้งที่ 1/2561 ที่ทรงห่วงใยและมีพระประสงค์ลดปัญหาสุนัขจรจัด กวาดล้างโรคพิษสุนัขบ้าให้หมดไปจากประเทศไทย และเพิ่มการฉีดวัคซีนในสัตว์เลี้ยงมากกว่าร้อยละ 80
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า ข้อมูลจากกรมปศุสัตว์ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2561-กุมภาพันธ์ 2561 พบสุนัข-แมวเป็นพิษสุนัขบ้า จํานวน 247 ตัว สูงกว่าระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 1.5 เท่าและพบผู้เสียชีวิต จํานวน 2 ราย ที่จังหวัดสุรินทร์และสงขลา ทั้งสองรายถูกลูกสุนัขกัด เห็นว่าเป็นแผลเล็กน้อย และไม่ไปพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีน จึงได้กําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดมาตรการป้องกันควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าในปี 2561 ให้ดําเนินการตาม “มาตรการ 1-2-3” ดังนี้ (1) กรณีที่พบสัตว์ป่วย ให้กรมปศุสัตว์และกระทรวงสาธารณสุข แจ้งข่าว สอบสวน ควบคุมโรคร่วมกัน (2) ติดตามผู้สัมผัสโรคมารับวัคซีน ภายใน 2 วัน (3) สอบสวนและควบคุมโรคในพื้นที่ แจ้งข้อมูล และฉีดวัคซีนรอบจุดเกิดเหตุ ในรัศมีอย่างน้อย 3 กิโลเมตร และให้เพิ่มความเข้มข้นหากพบผู้เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้า โดยในระดับจังหวัดใช้กลไกคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด สอบสวน ค้นหา ติดตาม ทั้งคนและสัตว์ในทุกอําเภอ เพื่อลดจํานวนคนถูกกัดในพื้นที่เสี่ยง ส่งทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว (SRRT) ส่ง อสม. เคาะประตูบ้าน ทําการสื่อสารความเสี่ยงในวงกว้าง และให้วัคซีนรอบจุดเกิดโรค ในส่วนของระดับอําเภอและตําบลใช้กลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.) ดําเนินการ
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า เป้าหมายของมาตรการเร่งรัดการป้องกันควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าคือ ค้นหาติดตามผู้สัมผัสทุกคนมารับวัคซีนได้ครบ 100% ลดจํานวนคนถูกกัดในพื้นที่เสี่ยง ทั้งนี้ได้ร่วมมือกับกรมปศุสัตว์ เร่งรัดการควบคุมโรคในพื้นที่โรคเกิดโรคในสัตว์อย่างเข้มข้น โดยขอร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ นําสุนัข-แมวไปรับวัคซีนเป็นประจําทุกปี ทําหมัน และเลี้ยงสัตว์อย่างมีความรับผิดชอบ ไม่นําไปทิ้งในที่สาธารณะเพิ่มภาระให้สังคม
“สิ่งที่สําคัญที่สุด คือการร่วมมือป้องกัน โดยเริ่มตั้งแต่การเลี้ยงสุนัข-แมวในจํานวนที่พอเหมาะ คุมกําเนิดด้วยการทําหมัน พาไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าทุกปี เลี้ยงในบ้าน อย่าปล่อยออกไปนอกบ้านเพราะหากถูกหมาบ้ากัดก็อาจติดโรคพิษสุนัขบ้าได้ หากทุกคนช่วยกัน จะลดการเสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าได้อย่างแน่นอน ขอย้ําว่า เมื่อถูกสุนัขแมวกัดหรือข่วน ให้รีบล้างบาดแผลด้วยสบู่และน้ําสะอาดหลาย ๆ ครั้ง จากนั้นให้รีบมาพบแพทย์เพื่อประเมินว่าต้องรับวัคซีนหรือไม่ และต้องมาฉีดวัคซีนให้ตรงตามนัดทุกครั้ง เพราะวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าต้องฉีดให้ครบชุดจึงจะได้ผล ไม่เช่นนั้นจะเป็นโรคพิษสุนัขบ้า และเสียชีวิตทุกราย” นายแพทย์โอภาสกล่าวเพิ่มเติม
******************************************* 24 กุมภาพันธ์ 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.- กษ. เดินหน้าเร่งมาตรการกำจัดโรคพิษสุนัขบ้า พร้อมติดตามผู้สัมผัสทุกคนให้รับวัคซีน
วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2561
สธ.- กษ. เดินหน้าเร่งมาตรการกําจัดโรคพิษสุนัขบ้า พร้อมติดตามผู้สัมผัสทุกคนให้รับวัคซีน
กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดินหน้าเร่งรัดมาตรการควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า ภายใต้โครงการ “สัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า”
กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดินหน้าเร่งรัดมาตรการควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า ภายใต้โครงการ “สัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า” ตามพระปณิธาน ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ค้นหาติดตามผู้สัมผัสทุกคน ให้ได้รับวัคซีนครบ 100% และสามารถลดจํานวนคนถูกกัดในพื้นที่เสี่ยง
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจากนายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์ที่ 3 ด้านการป้องกันควบคุมและดูแลรักษาโรคพิษสุนัขบ้าในคน ภายใต้โครงการสัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย จากโรคพิษสุนัขบ้า ตามพระปณิธาน ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ครั้งที่ 1/2561 ที่ทรงห่วงใยและมีพระประสงค์ลดปัญหาสุนัขจรจัด กวาดล้างโรคพิษสุนัขบ้าให้หมดไปจากประเทศไทย และเพิ่มการฉีดวัคซีนในสัตว์เลี้ยงมากกว่าร้อยละ 80
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า ข้อมูลจากกรมปศุสัตว์ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2561-กุมภาพันธ์ 2561 พบสุนัข-แมวเป็นพิษสุนัขบ้า จํานวน 247 ตัว สูงกว่าระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 1.5 เท่าและพบผู้เสียชีวิต จํานวน 2 ราย ที่จังหวัดสุรินทร์และสงขลา ทั้งสองรายถูกลูกสุนัขกัด เห็นว่าเป็นแผลเล็กน้อย และไม่ไปพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีน จึงได้กําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดมาตรการป้องกันควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าในปี 2561 ให้ดําเนินการตาม “มาตรการ 1-2-3” ดังนี้ (1) กรณีที่พบสัตว์ป่วย ให้กรมปศุสัตว์และกระทรวงสาธารณสุข แจ้งข่าว สอบสวน ควบคุมโรคร่วมกัน (2) ติดตามผู้สัมผัสโรคมารับวัคซีน ภายใน 2 วัน (3) สอบสวนและควบคุมโรคในพื้นที่ แจ้งข้อมูล และฉีดวัคซีนรอบจุดเกิดเหตุ ในรัศมีอย่างน้อย 3 กิโลเมตร และให้เพิ่มความเข้มข้นหากพบผู้เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้า โดยในระดับจังหวัดใช้กลไกคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด สอบสวน ค้นหา ติดตาม ทั้งคนและสัตว์ในทุกอําเภอ เพื่อลดจํานวนคนถูกกัดในพื้นที่เสี่ยง ส่งทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว (SRRT) ส่ง อสม. เคาะประตูบ้าน ทําการสื่อสารความเสี่ยงในวงกว้าง และให้วัคซีนรอบจุดเกิดโรค ในส่วนของระดับอําเภอและตําบลใช้กลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.) ดําเนินการ
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า เป้าหมายของมาตรการเร่งรัดการป้องกันควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าคือ ค้นหาติดตามผู้สัมผัสทุกคนมารับวัคซีนได้ครบ 100% ลดจํานวนคนถูกกัดในพื้นที่เสี่ยง ทั้งนี้ได้ร่วมมือกับกรมปศุสัตว์ เร่งรัดการควบคุมโรคในพื้นที่โรคเกิดโรคในสัตว์อย่างเข้มข้น โดยขอร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ นําสุนัข-แมวไปรับวัคซีนเป็นประจําทุกปี ทําหมัน และเลี้ยงสัตว์อย่างมีความรับผิดชอบ ไม่นําไปทิ้งในที่สาธารณะเพิ่มภาระให้สังคม
“สิ่งที่สําคัญที่สุด คือการร่วมมือป้องกัน โดยเริ่มตั้งแต่การเลี้ยงสุนัข-แมวในจํานวนที่พอเหมาะ คุมกําเนิดด้วยการทําหมัน พาไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าทุกปี เลี้ยงในบ้าน อย่าปล่อยออกไปนอกบ้านเพราะหากถูกหมาบ้ากัดก็อาจติดโรคพิษสุนัขบ้าได้ หากทุกคนช่วยกัน จะลดการเสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าได้อย่างแน่นอน ขอย้ําว่า เมื่อถูกสุนัขแมวกัดหรือข่วน ให้รีบล้างบาดแผลด้วยสบู่และน้ําสะอาดหลาย ๆ ครั้ง จากนั้นให้รีบมาพบแพทย์เพื่อประเมินว่าต้องรับวัคซีนหรือไม่ และต้องมาฉีดวัคซีนให้ตรงตามนัดทุกครั้ง เพราะวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าต้องฉีดให้ครบชุดจึงจะได้ผล ไม่เช่นนั้นจะเป็นโรคพิษสุนัขบ้า และเสียชีวิตทุกราย” นายแพทย์โอภาสกล่าวเพิ่มเติม
******************************************* 24 กุมภาพันธ์ 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10335
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยก“ปัตตานีโมเดล”นำร่องรูปแบบการแพทย์วิถีใหม่ [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน 2563
สธ.ยก“ปัตตานีโมเดล”นําร่องรูปแบบการแพทย์วิถีใหม่ [กระทรวงสาธารณสุข]
สธ.ยก“ปัตตานีโมเดล”นําร่องรูปแบบการแพทย์วิถีใหม่
กระทรวงสาธารณสุข ปรับระบบบริการทางการแพทย์วิถีใหม่ เชื่อมโยงข้อมูลทั้งระบบเพื่อจัดคัดกรองจัดคิวให้บริการ รวมทั้งการใช้งานห้องฉุกเฉิน ห้องผ่าตัด งานทันตกรรม โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง นําร่องที่จังหวัดปัตตานี ยกระดับนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ พร้อมผนึกกําลัง อสม.ติดตามผู้ป่วยเพื่อนําข้อมูลมาใช้ในการบริการประชาชนอย่างสูงสุด ท่ามกลางสถานการณ์โควิด 19 ระบาดขณะที่องค์การอนามัยโลกชื่นชม และพร้อมสนับสนุนทุนผลักดันการต่อสู้โควิด 19 ต่อไป
บ่ายวันนี้ (17 มิถุนายน 2563) ที่โรงพยาบาลปัตตานี อ.เมือง จ.ปัตตานี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ นายแพทย์ธเรศกรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และดร.แดเนียล เคอร์เทซ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจําประเทศไทย แถลงข่าวการพัฒนารูปแบบระบบบริการทางการแพทย์วิถีใหม่ (New Normal Medical Service) ในสถานพยาบาลแต่ละระดับในจังหวัดปัตตานี
ดร.สาธิต กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด 19 กระทรวงสาธารณสุขได้พัฒนารูปแบบการให้บริการการแพทย์วิถีใหม่ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์อย่างยั่งยืน นําร่องที่จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 มีเป้าหมาย คือ 1.ให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ (2P Safety) เช่น การผ่าตัดวิถีใหม่ การแพทย์ฉุกเฉินวิถีใหม่ การทําทันตกรรมปลอดภัย 2.การลดความแออัด เน้น 2 กลวิธี คือ จัดระบบการบริการใหม่ เริ่มนําร่องในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง แยกผู้ป่วยเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มควบคุมได้ดี พบแพทย์ครั้งเว้นครั้ง โดยเลือกว่ามาที่โรงพยาบาลหรือผ่านระบบการรักษาทางไกล (Telemedicine) กลุ่มควบคุมได้ปานกลาง ที่มีปัญหาแต่ไม่รุนแรง มาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลครั้งเว้นครั้ง และมี อสม. ไปเยี่ยมบ้าน ทั้งกลุ่มควบคุมได้ดีและปานกลางสามารถรับยาผ่านช่องทางด่วนในรอบที่ไม่ต้องพบแพทย์ได้ และกลุ่มที่ควบคุมได้ไม่ดี ยังมีปัญหารุนแรง ต้องมาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทุกครั้ง และมีอสม. เยี่ยมบ้าน และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยบริหารจัดการ คัดกรองและลดผู้ป่วยไม่จําเป็นต้องมาโรงพยาบาล และ 3.เพิ่มการเข้าถึงบริการ ลดความเหลื่อมล้ําทางสังคมโดยจะขยายการดําเนินงานไปยังระดับภูมิภาคทั่วประเทศต่อไป
ด้าน นายแพทย์สมศักดิ์ กล่าวว่า โครงการพัฒนารูปแบบระบบบริการทางการแพทย์วิถีใหม่ จังหวัดปัตตานี มุ่งให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและสามารถปรับตัวให้เข้ากับฐานวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ในช่วงที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์โรคโควิด 19 รวมทั้งพัฒนาการให้บริการของโรงพยาบาลด้วยการนําระบบบริหารจัดการการให้บริการทางการแพทย์ (Model Implementation) ตั้งแต่การคัดกรอง จัดคิวผู้มารับบริการ เพื่อลดความแออัด รวมถึงการให้บริการห้องผ่าตัด ห้องฉุกเฉิน ด้วยการนําระบบเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนการทํางาน ช่วยให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุด
ขณะที่ นายแพทย์ธเรศ กล่าวว่า อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน หรือ อสม. มีบทบาทสําคัญในการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการติดตามดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังวิถีใหม่ ที่สามารถเคาะประตูบ้านเก็บข้อมูลผู้ป่วยเพื่อส่งเข้าสู่ระบบการติดตาม ทั้งยังช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการให้ความรู้และสร้างความตระหนักในการประเมินตัวเองของผู้ป่วยผ่านระบบไอที โปรแกรม/ แอปพลิเคชัน ที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับระบบคัดกรองนัดหมาย และจัดคิวรักษาอย่างเป็นระบบได้ต่อไป ถือว่าเป็นแนวการทํางานภายใต้ระบบการแพทย์วิถีใหม่อย่างเป็นระบบร่วมกัน
ส่วน ดร.แดเนียล เคอเทสซ์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลก ประจําประเทศไทย กล่าวว่า ขอชื่นชมบุคลากรทางการแพทย์ของประเทศไทยทุกคนที่ทุ่มเทการทํางานท่ามกลางการระบาดของโควิด 19 โดยสามารถปรับเปลี่ยนการให้บริการด้วยการแพทย์วิถีใหม่ สะท้อนถึงระบบรากฐานทางสาธารณสุขที่เข้มแข็งของประเทศไทย ทั้งนี้ ทางองค์การอนามัยโลกจะผลักดันแนวทางการแพทย์วิถีใหม่ของประเทศไทยให้เป็นแบบอย่าง และพร้อมสนับสนุนงบประมาณให้กับประเทศไทยในการต่อสู้กับโควิด 19 อย่างเข้มแข็งต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยก“ปัตตานีโมเดล”นำร่องรูปแบบการแพทย์วิถีใหม่ [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน 2563
สธ.ยก“ปัตตานีโมเดล”นําร่องรูปแบบการแพทย์วิถีใหม่ [กระทรวงสาธารณสุข]
สธ.ยก“ปัตตานีโมเดล”นําร่องรูปแบบการแพทย์วิถีใหม่
กระทรวงสาธารณสุข ปรับระบบบริการทางการแพทย์วิถีใหม่ เชื่อมโยงข้อมูลทั้งระบบเพื่อจัดคัดกรองจัดคิวให้บริการ รวมทั้งการใช้งานห้องฉุกเฉิน ห้องผ่าตัด งานทันตกรรม โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง นําร่องที่จังหวัดปัตตานี ยกระดับนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ พร้อมผนึกกําลัง อสม.ติดตามผู้ป่วยเพื่อนําข้อมูลมาใช้ในการบริการประชาชนอย่างสูงสุด ท่ามกลางสถานการณ์โควิด 19 ระบาดขณะที่องค์การอนามัยโลกชื่นชม และพร้อมสนับสนุนทุนผลักดันการต่อสู้โควิด 19 ต่อไป
บ่ายวันนี้ (17 มิถุนายน 2563) ที่โรงพยาบาลปัตตานี อ.เมือง จ.ปัตตานี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ นายแพทย์ธเรศกรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และดร.แดเนียล เคอร์เทซ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจําประเทศไทย แถลงข่าวการพัฒนารูปแบบระบบบริการทางการแพทย์วิถีใหม่ (New Normal Medical Service) ในสถานพยาบาลแต่ละระดับในจังหวัดปัตตานี
ดร.สาธิต กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด 19 กระทรวงสาธารณสุขได้พัฒนารูปแบบการให้บริการการแพทย์วิถีใหม่ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์อย่างยั่งยืน นําร่องที่จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 มีเป้าหมาย คือ 1.ให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ (2P Safety) เช่น การผ่าตัดวิถีใหม่ การแพทย์ฉุกเฉินวิถีใหม่ การทําทันตกรรมปลอดภัย 2.การลดความแออัด เน้น 2 กลวิธี คือ จัดระบบการบริการใหม่ เริ่มนําร่องในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง แยกผู้ป่วยเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มควบคุมได้ดี พบแพทย์ครั้งเว้นครั้ง โดยเลือกว่ามาที่โรงพยาบาลหรือผ่านระบบการรักษาทางไกล (Telemedicine) กลุ่มควบคุมได้ปานกลาง ที่มีปัญหาแต่ไม่รุนแรง มาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลครั้งเว้นครั้ง และมี อสม. ไปเยี่ยมบ้าน ทั้งกลุ่มควบคุมได้ดีและปานกลางสามารถรับยาผ่านช่องทางด่วนในรอบที่ไม่ต้องพบแพทย์ได้ และกลุ่มที่ควบคุมได้ไม่ดี ยังมีปัญหารุนแรง ต้องมาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทุกครั้ง และมีอสม. เยี่ยมบ้าน และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยบริหารจัดการ คัดกรองและลดผู้ป่วยไม่จําเป็นต้องมาโรงพยาบาล และ 3.เพิ่มการเข้าถึงบริการ ลดความเหลื่อมล้ําทางสังคมโดยจะขยายการดําเนินงานไปยังระดับภูมิภาคทั่วประเทศต่อไป
ด้าน นายแพทย์สมศักดิ์ กล่าวว่า โครงการพัฒนารูปแบบระบบบริการทางการแพทย์วิถีใหม่ จังหวัดปัตตานี มุ่งให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและสามารถปรับตัวให้เข้ากับฐานวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ในช่วงที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์โรคโควิด 19 รวมทั้งพัฒนาการให้บริการของโรงพยาบาลด้วยการนําระบบบริหารจัดการการให้บริการทางการแพทย์ (Model Implementation) ตั้งแต่การคัดกรอง จัดคิวผู้มารับบริการ เพื่อลดความแออัด รวมถึงการให้บริการห้องผ่าตัด ห้องฉุกเฉิน ด้วยการนําระบบเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนการทํางาน ช่วยให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุด
ขณะที่ นายแพทย์ธเรศ กล่าวว่า อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน หรือ อสม. มีบทบาทสําคัญในการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการติดตามดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังวิถีใหม่ ที่สามารถเคาะประตูบ้านเก็บข้อมูลผู้ป่วยเพื่อส่งเข้าสู่ระบบการติดตาม ทั้งยังช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการให้ความรู้และสร้างความตระหนักในการประเมินตัวเองของผู้ป่วยผ่านระบบไอที โปรแกรม/ แอปพลิเคชัน ที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับระบบคัดกรองนัดหมาย และจัดคิวรักษาอย่างเป็นระบบได้ต่อไป ถือว่าเป็นแนวการทํางานภายใต้ระบบการแพทย์วิถีใหม่อย่างเป็นระบบร่วมกัน
ส่วน ดร.แดเนียล เคอเทสซ์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลก ประจําประเทศไทย กล่าวว่า ขอชื่นชมบุคลากรทางการแพทย์ของประเทศไทยทุกคนที่ทุ่มเทการทํางานท่ามกลางการระบาดของโควิด 19 โดยสามารถปรับเปลี่ยนการให้บริการด้วยการแพทย์วิถีใหม่ สะท้อนถึงระบบรากฐานทางสาธารณสุขที่เข้มแข็งของประเทศไทย ทั้งนี้ ทางองค์การอนามัยโลกจะผลักดันแนวทางการแพทย์วิถีใหม่ของประเทศไทยให้เป็นแบบอย่าง และพร้อมสนับสนุนงบประมาณให้กับประเทศไทยในการต่อสู้กับโควิด 19 อย่างเข้มแข็งต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32458
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.- ก.ท่องเที่ยวและกีฬา -ททท. จัดทำมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย เพื่อการท่องเที่ยวไทย [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563
สธ.- ก.ท่องเที่ยวและกีฬา -ททท. จัดทํามาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย เพื่อการท่องเที่ยวไทย [กระทรวงสาธารณสุข]
สธ.- ก.ท่องเที่ยวและกีฬา -ททท. จัดทํามาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย เพื่อการท่องเที่ยวไทย
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดทําคู่มือมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยในสถานประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย 10 ประเภท สร้างความมั่นใจของนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ ฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ เชิญชวนสถานประกอบการ และมอบตราสัญลักษณ์ SHA แก่ที่ผ่านมาตรฐาน
บ่ายวันนี้ (1 มิถุนายน 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย และนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มอบตราสัญลักษณ์มาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย Amazing Thailand Safety & Health Administration (SHA) แก่ผู้แทนศูนย์การค้าสยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ ไอคอนสยาม และศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์
นายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 เริ่มคลี่คลาย และมีการผ่อนปรนให้เปิดกิจการต่าง ๆ ได้มากขึ้น ซึ่งการเปิดให้บริการของกิจการต่าง ๆ จะต้องปฏิบัติตามแนวทางป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด ยกระดับด้านสุขอนามัยและสุขาภิบาล ส่งเสริมให้มีสิ่งอํานวยความสะดวกที่เอื้อต่อใช้ชีวิตวิถีใหม่ (New normal) เพื่อสร้างความมั่นใจของนักท่องเที่ยวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวและการกีฬากลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น โดยกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันจัดทํามาตรฐานหลักเกณฑ์ความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยในสถานประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย และมีคู่มือและแนวทางของกรมอนามัย สนับสนุนสถานประกอบการในภาคการท่องเที่ยวและการกีฬา รวมทั้งมีทีมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั้งระดับเขต จังหวัด อําเภอ ให้คําแนะนําการป้องกันโรค สุขลักษณะ สุขาภิบาลและอนามัยสิ่งแวดล้อม และมีคณะกรรมการร่วม 2 กระทรวง ร่วมกันจัดทําแผนการขับเคลื่อนการดําเนินงานให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ กิจการและกิจกรรมที่สามารถขอรับมาตรฐาน SHA แบ่งเป็น 10 ประเภท ดังนี้ 1.ภัตตาคาร/ร้านอาหาร 2.โรงแรม/ที่พักและสถานที่จัดประชุม 3.นันทนาการและสถานที่ท่องเที่ยว 4.ยานพาหนะ 5.บริษัทนําเที่ยว 6.สุขภาพและความงาม 7.ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า 8.กีฬาเพื่อการท่องเที่ยว 9.การจัดกิจกรรม การจัดประชุม (MICE) โรงละคร โรงมหรสพ และ10.ร้านค้าของที่ระลึกและร้านค้าอื่นๆ โดยเปิดให้นักท่องเที่ยวหรือผู้รับบริการมีส่วนร่วมตรวจสอบสถานประกอบการหรือกิจการที่ได้รับการอนุญาตให้เปิดบริการแล้ว ผ่านระบบออนไลน์ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดทําขึ้น รวมทั้งสุ่มตรวจสถานประกอบการโดยคณะกรรมการตรวจประเมิน ตามมาตรฐานเบื้องต้นกรมควบคุมโรค 3 องค์ประกอบ คือ สุขลักษณะอาคารและอุปกรณ์เครื่องใช้ที่มีอยู่ในอาคาร, การจัดอุปกรณ์ทําความสะอาดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค และการป้องกันสําหรับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน รวมทั้งมาตรฐานที่เป็นรายละเอียดเฉพาะของแต่ละประเภทกิจการ/กิจกรรม
************************** 1 มิถุนายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.- ก.ท่องเที่ยวและกีฬา -ททท. จัดทำมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย เพื่อการท่องเที่ยวไทย [กระทรวงสาธารณสุข]
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563
สธ.- ก.ท่องเที่ยวและกีฬา -ททท. จัดทํามาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย เพื่อการท่องเที่ยวไทย [กระทรวงสาธารณสุข]
สธ.- ก.ท่องเที่ยวและกีฬา -ททท. จัดทํามาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย เพื่อการท่องเที่ยวไทย
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดทําคู่มือมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยในสถานประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย 10 ประเภท สร้างความมั่นใจของนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ ฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ เชิญชวนสถานประกอบการ และมอบตราสัญลักษณ์ SHA แก่ที่ผ่านมาตรฐาน
บ่ายวันนี้ (1 มิถุนายน 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย และนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มอบตราสัญลักษณ์มาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย Amazing Thailand Safety & Health Administration (SHA) แก่ผู้แทนศูนย์การค้าสยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ ไอคอนสยาม และศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์
นายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 เริ่มคลี่คลาย และมีการผ่อนปรนให้เปิดกิจการต่าง ๆ ได้มากขึ้น ซึ่งการเปิดให้บริการของกิจการต่าง ๆ จะต้องปฏิบัติตามแนวทางป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด ยกระดับด้านสุขอนามัยและสุขาภิบาล ส่งเสริมให้มีสิ่งอํานวยความสะดวกที่เอื้อต่อใช้ชีวิตวิถีใหม่ (New normal) เพื่อสร้างความมั่นใจของนักท่องเที่ยวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวและการกีฬากลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น โดยกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันจัดทํามาตรฐานหลักเกณฑ์ความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยในสถานประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย และมีคู่มือและแนวทางของกรมอนามัย สนับสนุนสถานประกอบการในภาคการท่องเที่ยวและการกีฬา รวมทั้งมีทีมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั้งระดับเขต จังหวัด อําเภอ ให้คําแนะนําการป้องกันโรค สุขลักษณะ สุขาภิบาลและอนามัยสิ่งแวดล้อม และมีคณะกรรมการร่วม 2 กระทรวง ร่วมกันจัดทําแผนการขับเคลื่อนการดําเนินงานให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ กิจการและกิจกรรมที่สามารถขอรับมาตรฐาน SHA แบ่งเป็น 10 ประเภท ดังนี้ 1.ภัตตาคาร/ร้านอาหาร 2.โรงแรม/ที่พักและสถานที่จัดประชุม 3.นันทนาการและสถานที่ท่องเที่ยว 4.ยานพาหนะ 5.บริษัทนําเที่ยว 6.สุขภาพและความงาม 7.ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า 8.กีฬาเพื่อการท่องเที่ยว 9.การจัดกิจกรรม การจัดประชุม (MICE) โรงละคร โรงมหรสพ และ10.ร้านค้าของที่ระลึกและร้านค้าอื่นๆ โดยเปิดให้นักท่องเที่ยวหรือผู้รับบริการมีส่วนร่วมตรวจสอบสถานประกอบการหรือกิจการที่ได้รับการอนุญาตให้เปิดบริการแล้ว ผ่านระบบออนไลน์ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดทําขึ้น รวมทั้งสุ่มตรวจสถานประกอบการโดยคณะกรรมการตรวจประเมิน ตามมาตรฐานเบื้องต้นกรมควบคุมโรค 3 องค์ประกอบ คือ สุขลักษณะอาคารและอุปกรณ์เครื่องใช้ที่มีอยู่ในอาคาร, การจัดอุปกรณ์ทําความสะอาดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค และการป้องกันสําหรับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน รวมทั้งมาตรฐานที่เป็นรายละเอียดเฉพาะของแต่ละประเภทกิจการ/กิจกรรม
************************** 1 มิถุนายน 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31816
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ เข้าร่วมพิธีเปิดสำนักงานใหญ่ Guardian Industries Corp., Ltd.
|
วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2562
รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ เข้าร่วมพิธีเปิดสํานักงานใหญ่ Guardian Industries Corp., Ltd.
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นตัวแทนภาครัฐไทย เข้าร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดสํานักงานใหญ่แห่งใหม่ในต่างแดนของ Guardian Industries Corp., Ltd. ประจําภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ณ ชั้น 21 อาคารเอ็มโพเรียม ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ
18 ธันวาคม 2562 นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นตัวแทนภาครัฐไทย เข้าร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดสํานักงานใหญ่แห่งใหม่ในต่างแดนของ Guardian Industries Corp., Ltd. ประจําภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมี นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นประธานร่วมในพิธี กับ H.E. Mr. Etienne Schneider, Deputy Prime Minister, Minister of the Economy of Luxembourg , Mr. John D. Breidenstine, Minister Counselor for Commercial Affairs, ASEAN Regional Senior Commercial Officer, Embassy of the United States of America ณ ชั้น 21 อาคารเอ็มโพเรียม ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ
Guardian Industries Corp., Ltd. มีธุรกิจหลักในเครือ คือ Guardian Glass เป็นผู้นําระดับโลกด้านการผลิตกระจกโฟลตเคลือบและกระจกอุตสาหกรรม รู้จักในประเทศไทยมานานกว่า 25 ปี โดยตั้งโรงงานอยู่ในจังหวัดระยอง เริ่มเดินสายการผลิตในปี 2540 ในลักษณะของการร่วมทุน หลังจากที่ได้มีการตั้งโรงงานผลิตกระจกโฟลตที่อําเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี ในปี 2535 โดยโรงงานทั้งสองแห่งผลิตกระจกเพื่อการพาณิชย์ ที่อยู่อาศัย และใช้ในอุตสาหกรรมการขนส่ง และมีการส่งออกนอกประเทศไทยมากกว่า 50%
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ เข้าร่วมพิธีเปิดสำนักงานใหญ่ Guardian Industries Corp., Ltd.
วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2562
รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ เข้าร่วมพิธีเปิดสํานักงานใหญ่ Guardian Industries Corp., Ltd.
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นตัวแทนภาครัฐไทย เข้าร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดสํานักงานใหญ่แห่งใหม่ในต่างแดนของ Guardian Industries Corp., Ltd. ประจําภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ณ ชั้น 21 อาคารเอ็มโพเรียม ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ
18 ธันวาคม 2562 นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นตัวแทนภาครัฐไทย เข้าร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดสํานักงานใหญ่แห่งใหม่ในต่างแดนของ Guardian Industries Corp., Ltd. ประจําภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมี นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นประธานร่วมในพิธี กับ H.E. Mr. Etienne Schneider, Deputy Prime Minister, Minister of the Economy of Luxembourg , Mr. John D. Breidenstine, Minister Counselor for Commercial Affairs, ASEAN Regional Senior Commercial Officer, Embassy of the United States of America ณ ชั้น 21 อาคารเอ็มโพเรียม ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ
Guardian Industries Corp., Ltd. มีธุรกิจหลักในเครือ คือ Guardian Glass เป็นผู้นําระดับโลกด้านการผลิตกระจกโฟลตเคลือบและกระจกอุตสาหกรรม รู้จักในประเทศไทยมานานกว่า 25 ปี โดยตั้งโรงงานอยู่ในจังหวัดระยอง เริ่มเดินสายการผลิตในปี 2540 ในลักษณะของการร่วมทุน หลังจากที่ได้มีการตั้งโรงงานผลิตกระจกโฟลตที่อําเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี ในปี 2535 โดยโรงงานทั้งสองแห่งผลิตกระจกเพื่อการพาณิชย์ ที่อยู่อาศัย และใช้ในอุตสาหกรรมการขนส่ง และมีการส่งออกนอกประเทศไทยมากกว่า 50%
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25325
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรประกาศยุทธศาสตร์ D2RIVE ยกระดับการเก็บภาษีและบริการประชาชนให้ทันสมัย รวดเร็ว และเป็นธรรม
|
วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน 2561
สรรพากรประกาศยุทธศาสตร์ D2RIVE ยกระดับการเก็บภาษีและบริการประชาชนให้ทันสมัย รวดเร็ว และเป็นธรรม
การจัดประชุมสัมมนาผู้บริหารกรมสรรพากรทั่วราชอาณาจักร ในวันที่ 29 – 30 พ.ย. 61 เป็นการเปิดตัวยุทธศาสตร์ D2RIVE (Digital Transformation, Data Analytics, Revenue Collection, Innovation, Values และ Efficiency) เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการจัดเก็บให้ทันสมัย
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวถึงการจัดประชุมสัมมนาผู้บริหารกรมสรรพากรทั่วราชอาณาจักร ในวันที่ 29 – 30 พ.ย. 61 เป็นการเปิดตัวยุทธศาสตร์ D2RIVE (Digital Transformation, Data Analytics, Revenue Collection, Innovation, Values และ Efficiency) เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการจัดเก็บให้ทันสมัย รวดเร็ว และเป็นธรรม ด้วยการเชื่อมโยงฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ของผู้เสียภาษีผ่านระบบดิจิทัล รวมทั้งอํานวยความสะดวกให้ประชาชนผู้เสียภาษีอย่างรวดเร็ว
ยุทธศาสตร์ D2RIVEของกรมสรรพากร ประกอบด้วย
D - Digital Transformation – การปรับเปลี่ยนกระบวนงานเพื่อนําไปสู่การเป็นองค์กรดิจิทัลโดยจะเน้นที่การปรับปรุงบริการของกรมสรรพากรที่ยึดผู้เสียภาษีเป็นศูนย์กลาง และสอดคล้องกับพลวัตของเทคโนโลยี (Taxpayer - Centric Solutions) เช่น การพัฒนาระบบ e – Donation เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้บริจาคสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ โดยไม่ต้องนําหลักฐานการบริจาคมาแสดงแก่กรมสรรพากร และการเชื่อมโยงกับหน่วยงานเจ้าของข้อมูลการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่างๆ ผ่านระบบ Open API เพื่อลดภาระในการจัดเก็บและนําส่งเอกสารของผู้เสียภาษีให้กับกรมสรรพากร นอกจากนี้กรมสรรพากรได้พัฒนาระบบการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทางอิเล็กทรอนิกส์ สําหรับปีภาษี 2561 ที่จะยื่นแบบฯ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2562 ให้สามารถ Upload เอกสาร ที่ใช้ประกอบการขอคืนภาษีได้ เพื่อลดภาระในการจัดเก็บเอกสาร และนําส่งเอกสารให้กรมสรรพากร
D - Data Analytics – การเพิ่มประสิทธิภาพการวิเคราะห์ข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) โดยเน้นการนําข้อมูลทั้งภายใน และข้อมูลภายนอกมาใช้ในการวิเคราะห์เพื่อให้การออกแบบนโยบายภาษีตรงกับกลุ่มเป้าหมายและการแยกผู้เสียภาษีกลุ่มดีและกลุ่มไม่ดี ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการผู้เสียภาษี กลุ่มดีและนําผู้เสียภาษีกลุ่มไม่ดีที่กระทําผิดโกงภาษีมาดําเนินการตามกฎหมาย เช่น การพบข้อมูลน่าสงสัยเกี่ยวกับการใช้ชื่อบุคคลอื่นมาสร้างรายจ่ายเท็จของนิติบุคคล และเครือข่ายที่น่าสงสัยในการออกใบกํากับภาษีปลอม เป็นต้น
R - Revenue Collection – การเก็บภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ ถูกต้อง และเป็นธรรม โดยสรรพากรได้เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีใหไดตามประมาณการ 2 ลานลานบาท ผ่านกระบวนงานต่างๆ เช่น การสํารวจการตรวจสอบเร่งรัดหนี้ และได้มีการตั้งทีมวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการเก็บภาษีซึ่งสามารถดูรายละเอียดของการเก็บภาษีได้หลายมิติ เช่น มิติพื้นที่ มิติอุตสากรรม มิติประเภทภาษี เป็นต้น
I – Innovation – การสร้างนวัตกรรม โดยสรรพากรมุ่งเป้าหมายการเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยมีการเลือกใช้กระบวนการ Design Thinking ในการจัดทํานวัตกรรม และมีการพัฒนาสภาพแวดล้อมเพื่อก่อให้เกิดนวัตกรรมไม่ว่าจะเป็นการจัดประกวดนวัตกรรมการจัดตั้ง Tax Innovation Lab เพื่อให้มีการทดลองเทคโนโลยีใหม่ๆก่อนนําไปใช้จริงอีกด้วยซึ่งในปัจจุบันมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการนํา Blockchain มาใช้กับระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม และการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับนักท่องเที่ยว
V – Values – การพัฒนากรมสรรพากรให้เป็นองค์กรคุณธรรมและสร้างอัตลักษณ์ HAS ซึ่งประกอบด้วย 1) Honest ซื่อสัตย์ ให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติราชการตามกฎหมาย ระเบียบ และแนวทางปฏิบัติ อย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ไม่รับผลประโยชน์ใดๆ 2) Accountability รับผิดชอบต่อหน้าที่กระตือรือร้นในการปฎิบัติงานและอุทิศเวลาให้แก่ทางราชการ 3) Service mind มอบใจบริการ เต็มที่ เต็มใจ ให้บริการอย่างเต็มความสามารถ
E – Efficiency – การยกระดับประสิทธิภาพของคนและงาน โดยสรรพากรเร่งผลักดันการเพิ่มประสิทธิภาพ โดยการสร้างคนเก่ง คนดี และมีความสุขรวมทั้งการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทํางาน และการปรับปรุงระบบงาน โดยการนําเทคโนโลยีมาใช้ ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาการทํางานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวสรุปว่าในการจัดประชุมสัมมนาผู้บริหารกรมสรรพากรทั่วราชอาณาจักรในวันนี้ นอกจากจะมีการมอบนโยบายให้ผู้บริหารกรมสรรพากรขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ D2RIVE แล้ว กรมสรรพากรได้เชิญผู้เชี่ยวชาญทั้งภาครัฐและเอกชนได้แก่ ดร.ภูมิ ภูมิรัตน ในหัวข้อ Blockchain & Digital Transformation ดร.ธีรวัฒน์ อัศวโภคี ในหัวข้อมูล Data Analytics และ ดร.เอกก์ ภทรธนกุล ในหัวข้อ Innovation เพื่อจุดประกายความคิดให้กับบุคลากรของสรรพากรให้สามารถดําเนินการยกระดับประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีที่เป็นธรรมและการบริการประชาชนที่ทันสมัย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็นกรมสรรพากรดิจิทัลอย่างแท้จริง
กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์
เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรประกาศยุทธศาสตร์ D2RIVE ยกระดับการเก็บภาษีและบริการประชาชนให้ทันสมัย รวดเร็ว และเป็นธรรม
วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน 2561
สรรพากรประกาศยุทธศาสตร์ D2RIVE ยกระดับการเก็บภาษีและบริการประชาชนให้ทันสมัย รวดเร็ว และเป็นธรรม
การจัดประชุมสัมมนาผู้บริหารกรมสรรพากรทั่วราชอาณาจักร ในวันที่ 29 – 30 พ.ย. 61 เป็นการเปิดตัวยุทธศาสตร์ D2RIVE (Digital Transformation, Data Analytics, Revenue Collection, Innovation, Values และ Efficiency) เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการจัดเก็บให้ทันสมัย
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวถึงการจัดประชุมสัมมนาผู้บริหารกรมสรรพากรทั่วราชอาณาจักร ในวันที่ 29 – 30 พ.ย. 61 เป็นการเปิดตัวยุทธศาสตร์ D2RIVE (Digital Transformation, Data Analytics, Revenue Collection, Innovation, Values และ Efficiency) เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการจัดเก็บให้ทันสมัย รวดเร็ว และเป็นธรรม ด้วยการเชื่อมโยงฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ของผู้เสียภาษีผ่านระบบดิจิทัล รวมทั้งอํานวยความสะดวกให้ประชาชนผู้เสียภาษีอย่างรวดเร็ว
ยุทธศาสตร์ D2RIVEของกรมสรรพากร ประกอบด้วย
D - Digital Transformation – การปรับเปลี่ยนกระบวนงานเพื่อนําไปสู่การเป็นองค์กรดิจิทัลโดยจะเน้นที่การปรับปรุงบริการของกรมสรรพากรที่ยึดผู้เสียภาษีเป็นศูนย์กลาง และสอดคล้องกับพลวัตของเทคโนโลยี (Taxpayer - Centric Solutions) เช่น การพัฒนาระบบ e – Donation เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้บริจาคสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ โดยไม่ต้องนําหลักฐานการบริจาคมาแสดงแก่กรมสรรพากร และการเชื่อมโยงกับหน่วยงานเจ้าของข้อมูลการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่างๆ ผ่านระบบ Open API เพื่อลดภาระในการจัดเก็บและนําส่งเอกสารของผู้เสียภาษีให้กับกรมสรรพากร นอกจากนี้กรมสรรพากรได้พัฒนาระบบการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทางอิเล็กทรอนิกส์ สําหรับปีภาษี 2561 ที่จะยื่นแบบฯ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2562 ให้สามารถ Upload เอกสาร ที่ใช้ประกอบการขอคืนภาษีได้ เพื่อลดภาระในการจัดเก็บเอกสาร และนําส่งเอกสารให้กรมสรรพากร
D - Data Analytics – การเพิ่มประสิทธิภาพการวิเคราะห์ข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) โดยเน้นการนําข้อมูลทั้งภายใน และข้อมูลภายนอกมาใช้ในการวิเคราะห์เพื่อให้การออกแบบนโยบายภาษีตรงกับกลุ่มเป้าหมายและการแยกผู้เสียภาษีกลุ่มดีและกลุ่มไม่ดี ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการผู้เสียภาษี กลุ่มดีและนําผู้เสียภาษีกลุ่มไม่ดีที่กระทําผิดโกงภาษีมาดําเนินการตามกฎหมาย เช่น การพบข้อมูลน่าสงสัยเกี่ยวกับการใช้ชื่อบุคคลอื่นมาสร้างรายจ่ายเท็จของนิติบุคคล และเครือข่ายที่น่าสงสัยในการออกใบกํากับภาษีปลอม เป็นต้น
R - Revenue Collection – การเก็บภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ ถูกต้อง และเป็นธรรม โดยสรรพากรได้เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีใหไดตามประมาณการ 2 ลานลานบาท ผ่านกระบวนงานต่างๆ เช่น การสํารวจการตรวจสอบเร่งรัดหนี้ และได้มีการตั้งทีมวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการเก็บภาษีซึ่งสามารถดูรายละเอียดของการเก็บภาษีได้หลายมิติ เช่น มิติพื้นที่ มิติอุตสากรรม มิติประเภทภาษี เป็นต้น
I – Innovation – การสร้างนวัตกรรม โดยสรรพากรมุ่งเป้าหมายการเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยมีการเลือกใช้กระบวนการ Design Thinking ในการจัดทํานวัตกรรม และมีการพัฒนาสภาพแวดล้อมเพื่อก่อให้เกิดนวัตกรรมไม่ว่าจะเป็นการจัดประกวดนวัตกรรมการจัดตั้ง Tax Innovation Lab เพื่อให้มีการทดลองเทคโนโลยีใหม่ๆก่อนนําไปใช้จริงอีกด้วยซึ่งในปัจจุบันมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการนํา Blockchain มาใช้กับระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม และการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับนักท่องเที่ยว
V – Values – การพัฒนากรมสรรพากรให้เป็นองค์กรคุณธรรมและสร้างอัตลักษณ์ HAS ซึ่งประกอบด้วย 1) Honest ซื่อสัตย์ ให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติราชการตามกฎหมาย ระเบียบ และแนวทางปฏิบัติ อย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ไม่รับผลประโยชน์ใดๆ 2) Accountability รับผิดชอบต่อหน้าที่กระตือรือร้นในการปฎิบัติงานและอุทิศเวลาให้แก่ทางราชการ 3) Service mind มอบใจบริการ เต็มที่ เต็มใจ ให้บริการอย่างเต็มความสามารถ
E – Efficiency – การยกระดับประสิทธิภาพของคนและงาน โดยสรรพากรเร่งผลักดันการเพิ่มประสิทธิภาพ โดยการสร้างคนเก่ง คนดี และมีความสุขรวมทั้งการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทํางาน และการปรับปรุงระบบงาน โดยการนําเทคโนโลยีมาใช้ ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาการทํางานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวสรุปว่าในการจัดประชุมสัมมนาผู้บริหารกรมสรรพากรทั่วราชอาณาจักรในวันนี้ นอกจากจะมีการมอบนโยบายให้ผู้บริหารกรมสรรพากรขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ D2RIVE แล้ว กรมสรรพากรได้เชิญผู้เชี่ยวชาญทั้งภาครัฐและเอกชนได้แก่ ดร.ภูมิ ภูมิรัตน ในหัวข้อ Blockchain & Digital Transformation ดร.ธีรวัฒน์ อัศวโภคี ในหัวข้อมูล Data Analytics และ ดร.เอกก์ ภทรธนกุล ในหัวข้อ Innovation เพื่อจุดประกายความคิดให้กับบุคลากรของสรรพากรให้สามารถดําเนินการยกระดับประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีที่เป็นธรรมและการบริการประชาชนที่ทันสมัย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็นกรมสรรพากรดิจิทัลอย่างแท้จริง
กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์
เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17181
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นวัตกรรม! NU Bio Bag ถุงพลาสติกย่อยสลายได้ ผลิตจากกากกาแฟ ไม่ก่อมลพิษ
|
วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2563
นวัตกรรม! NU Bio Bag ถุงพลาสติกย่อยสลายได้ ผลิตจากกากกาแฟ ไม่ก่อมลพิษ
วันที่ 1 ตุลาคม 2563
ในภาคเกษตรไทย “ถุงเพาะชํา” ถือเป็นวัสดุสําคัญในการเพาะปลูก แต่เมื่อพืชเหล่านั้นโตขึ้นมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะอยู่ในถุงได้ ถุงเพาะชําจึงกลายเป็นขยะทําลายสิ่งแวดล้อม ด้วยความตั้งใจอยากลดปริมาณขยะ มหาวิทยาลัยนเรศวรจึงได้คิดค้นนวัตกรรมNU Bio Bags หรือ ถุงปลูกย่อยสลายทางชีวภาพจากพลาสติกพีแอลเอผสมกากกาแฟย่อยสลายได้ทางธรรมชาติ
ผศ.ดร.ศรารัตน์ มหาศรานนท์ อาจารย์ประจําภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ ม.นเรศวร เปิดเผยว่างานวิจัยถุงปลูกย่อยสลายทางชีวภาพจากพลาสติกพีแอลเอผสมกากกาแฟ เกิดจากแนวคิดอยากลดปริมาณขยะซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของโลก ซึ่งใช้เวลาทดลอง และวิจัยเข้าสู่ปีที่ 3
ซึ่งกระบวนการผลิตมีความสะดวกรวดเร็ว ราคาค่าใช้จ่ายไม่แพง และผลิตภัณฑ์ฟิล์มพีแอลเอผสมกากกาแฟนี้ จัดเป็นพลาสติกที่มีความสะอาดปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน เนื่องจากไม่มีการใช้สารเคมีเข้ามาเจือปนในผลิตภัณฑ์ จนได้เป็นถุงปลูกที่สามารถย่อยสลายได้ ไม่ก่อมลพิษ
“กากกาแฟเป็นปุ๋ย โดยทั่วไปใช้ดูดความชื้น เมื่อนําไปผสมกับพลาสติกชีวภาพจะทําให้ถุงปลูกย่อยสลายได้ เมื่อเกษตรกรนําไปใช้ถุงนี้จะย่อยสลายทางชีวภาพโดยไม่ต้องถอดถุงทิ้ง”
สําหรับกระบวนการย่อยสลาย “เมื่อนําถุงไปปลูกต้นไม้ ถุงจะย่อยสลายตามธรรมชาติ ประมาณหนึ่งเดือนครึ่งถุงจะเริ่มมีรอยแตก เมื่อเข้าสู่เดือนที่สาม เดือนที่หก เดือนที่เก้า ถุงจะแตกจนใช้งานไม่ได้ จากนั้นจะค่อยๆ ย่อยสลายอาจใช้เวลาราว 1-2 ปี หากเกษตรกรนําถุงชนิดนี้ไปใช้ จะเป็นการช่วยสิ่งแวดล้อมลดปริมาณขยะ ดีต่อสุขภาพ เพราะไม่มีสารเคมีใดๆ นวัตกรรมตัวนี้จะช่วยเสริมสร้างให้ชีวิตคนไทยมีความสุข”
นอกจากด้านการเกษตรแล้ว ถุงปลูกย่อยสลายทางชีวภาพจากพลาสติกพีแอลเอผสมกากกาแฟ ยังสามารถนําไปใช้ในธุรกิจโรงแรม และสปาได้
“ในโรงแรมจะมีถุงบรรจุอุปกรณ์ต่างๆ เมื่อเปิดใช้คนส่วนใหญ่จะทิ้งลงถังขยะในห้องน้ํา ไม่มีใครนํากลับมารีไซเคิลแน่นอน เราเลยนําไปประยุกต์ใช้เป็นถุงใส่หมวกคลุมผม ถุงใส่คัตตอนบัด ในโรงแรมสุโขทัยเทรเชอร์ รีสอร์ท แอนด์ สปา จังหวัดสุโขทัย และโรงแรมแลดูปราณ รีสอร์ท จ.ประจวบคีรีขันธ์”
คุณสมบัติอีกอย่างของถุงปลูกย่อยสลายทางชีวภาพจากพลาสติกพีแอลเอผสมกากกาแฟ คือ สามารถกันแสงยูวีได้
“เราทดสอบด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ พบว่า แสงยูวีในช่วงต่างๆ ไม่สามารถส่องผ่านถุงได้ 90 เปอร์เซ็นต์ เรามองว่าน่าจะนําไปใช้เป็นถุงเก็บสิ่งของที่ไม่อยากให้ถูกแสงแดด เป็นการยืดอายุได้ดีด้วย” ผศ.ดร.ศรารัตน์ กล่าวทิ้งท้าย
จําหน่ายผ่าน สหกรณ์บริการและส่งเสริมนวัตกรรม มหาวิทยาลัยนเรศวร ราคาขึ้นอยู่กับไซซ์ และความหนาของพลาสติก ทั้งนี้ สามารถติดต่อสั่งซื้อได้ที่ ผศ.ดร.ศรารัตน์ มหาศรานนท์[email protected]โทร. 089-708-9494 ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ ม.นเรศวร 99 หมู่ 9 ต.ท่าโพธิ์ อ.เมือง จ.พิษณุโลก 65000
ข้อมูลจากเว็บไซต์ :https://www.sentangsedtee.com/exclusive/article_130241
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นวัตกรรม! NU Bio Bag ถุงพลาสติกย่อยสลายได้ ผลิตจากกากกาแฟ ไม่ก่อมลพิษ
วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2563
นวัตกรรม! NU Bio Bag ถุงพลาสติกย่อยสลายได้ ผลิตจากกากกาแฟ ไม่ก่อมลพิษ
วันที่ 1 ตุลาคม 2563
ในภาคเกษตรไทย “ถุงเพาะชํา” ถือเป็นวัสดุสําคัญในการเพาะปลูก แต่เมื่อพืชเหล่านั้นโตขึ้นมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะอยู่ในถุงได้ ถุงเพาะชําจึงกลายเป็นขยะทําลายสิ่งแวดล้อม ด้วยความตั้งใจอยากลดปริมาณขยะ มหาวิทยาลัยนเรศวรจึงได้คิดค้นนวัตกรรมNU Bio Bags หรือ ถุงปลูกย่อยสลายทางชีวภาพจากพลาสติกพีแอลเอผสมกากกาแฟย่อยสลายได้ทางธรรมชาติ
ผศ.ดร.ศรารัตน์ มหาศรานนท์ อาจารย์ประจําภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ ม.นเรศวร เปิดเผยว่างานวิจัยถุงปลูกย่อยสลายทางชีวภาพจากพลาสติกพีแอลเอผสมกากกาแฟ เกิดจากแนวคิดอยากลดปริมาณขยะซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของโลก ซึ่งใช้เวลาทดลอง และวิจัยเข้าสู่ปีที่ 3
ซึ่งกระบวนการผลิตมีความสะดวกรวดเร็ว ราคาค่าใช้จ่ายไม่แพง และผลิตภัณฑ์ฟิล์มพีแอลเอผสมกากกาแฟนี้ จัดเป็นพลาสติกที่มีความสะอาดปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน เนื่องจากไม่มีการใช้สารเคมีเข้ามาเจือปนในผลิตภัณฑ์ จนได้เป็นถุงปลูกที่สามารถย่อยสลายได้ ไม่ก่อมลพิษ
“กากกาแฟเป็นปุ๋ย โดยทั่วไปใช้ดูดความชื้น เมื่อนําไปผสมกับพลาสติกชีวภาพจะทําให้ถุงปลูกย่อยสลายได้ เมื่อเกษตรกรนําไปใช้ถุงนี้จะย่อยสลายทางชีวภาพโดยไม่ต้องถอดถุงทิ้ง”
สําหรับกระบวนการย่อยสลาย “เมื่อนําถุงไปปลูกต้นไม้ ถุงจะย่อยสลายตามธรรมชาติ ประมาณหนึ่งเดือนครึ่งถุงจะเริ่มมีรอยแตก เมื่อเข้าสู่เดือนที่สาม เดือนที่หก เดือนที่เก้า ถุงจะแตกจนใช้งานไม่ได้ จากนั้นจะค่อยๆ ย่อยสลายอาจใช้เวลาราว 1-2 ปี หากเกษตรกรนําถุงชนิดนี้ไปใช้ จะเป็นการช่วยสิ่งแวดล้อมลดปริมาณขยะ ดีต่อสุขภาพ เพราะไม่มีสารเคมีใดๆ นวัตกรรมตัวนี้จะช่วยเสริมสร้างให้ชีวิตคนไทยมีความสุข”
นอกจากด้านการเกษตรแล้ว ถุงปลูกย่อยสลายทางชีวภาพจากพลาสติกพีแอลเอผสมกากกาแฟ ยังสามารถนําไปใช้ในธุรกิจโรงแรม และสปาได้
“ในโรงแรมจะมีถุงบรรจุอุปกรณ์ต่างๆ เมื่อเปิดใช้คนส่วนใหญ่จะทิ้งลงถังขยะในห้องน้ํา ไม่มีใครนํากลับมารีไซเคิลแน่นอน เราเลยนําไปประยุกต์ใช้เป็นถุงใส่หมวกคลุมผม ถุงใส่คัตตอนบัด ในโรงแรมสุโขทัยเทรเชอร์ รีสอร์ท แอนด์ สปา จังหวัดสุโขทัย และโรงแรมแลดูปราณ รีสอร์ท จ.ประจวบคีรีขันธ์”
คุณสมบัติอีกอย่างของถุงปลูกย่อยสลายทางชีวภาพจากพลาสติกพีแอลเอผสมกากกาแฟ คือ สามารถกันแสงยูวีได้
“เราทดสอบด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ พบว่า แสงยูวีในช่วงต่างๆ ไม่สามารถส่องผ่านถุงได้ 90 เปอร์เซ็นต์ เรามองว่าน่าจะนําไปใช้เป็นถุงเก็บสิ่งของที่ไม่อยากให้ถูกแสงแดด เป็นการยืดอายุได้ดีด้วย” ผศ.ดร.ศรารัตน์ กล่าวทิ้งท้าย
จําหน่ายผ่าน สหกรณ์บริการและส่งเสริมนวัตกรรม มหาวิทยาลัยนเรศวร ราคาขึ้นอยู่กับไซซ์ และความหนาของพลาสติก ทั้งนี้ สามารถติดต่อสั่งซื้อได้ที่ ผศ.ดร.ศรารัตน์ มหาศรานนท์[email protected]โทร. 089-708-9494 ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ ม.นเรศวร 99 หมู่ 9 ต.ท่าโพธิ์ อ.เมือง จ.พิษณุโลก 65000
ข้อมูลจากเว็บไซต์ :https://www.sentangsedtee.com/exclusive/article_130241
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27013
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัยและพัฒนาธ.ก.สคาดราคาสินค้าเกษตรขยับตัวสูงขึ้นรับปีใหม่ 2561
|
วันอังคารที่ 2 มกราคม 2561
ศูนย์วิจัยและพัฒนาธ.ก.สคาดราคาสินค้าเกษตรขยับตัวสูงขึ้นรับปีใหม่ 2561
ธ.ก.ส. เผยสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้นต้อนรับปีใหม่ 2561จากอานิสงค์นโยบายกระตุ้นของภาครัฐทั้งข้าวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยางพารา มันสําปะหลังปาล์ม น้ํามันสุกร และกุ้งส่วนสินค้าที่มีแนวโน้มราคาลดต่ําลงน้ําตาลทรายดิบ
ศูนย์วิจัยและพัฒนา ธ.ก.ส. เผยสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้นต้อนรับปีใหม่ 2561จากอานิสงค์นโยบายกระตุ้นของภาครัฐทั้งข้าวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยางพารา มันสําปะหลังปาล์ม น้ํามันสุกร และกุ้งส่วนสินค้าที่มีแนวโน้มราคาลดต่ําลงน้ําตาลทรายดิบ
นายสมศักดิ์ กังธีระวัฒน์ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส.คาดการณ์สถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต้อนรับปีใหม่ 2561 ได้แก่ข้าวเปลือกเจ้า 5%คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.52-4.87 อยู่ที่ราคา 8,440-8,719 บาท/ตันข้าวเปลือกหอมมะลิเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 2.30-3.85 อยู่ที่ราคา 12,470-12,658 บาท/ตันและข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.20-4.32 อยู่ที่ราคา 9,515-9,810 บาท/ตันเนื่องจากยังมีความต้องการของตลาดต่างประเทศและมาตรการโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี 2560/61 ที่ช่วยชะลอผลผลิตออกสู่ตลาดและมาตรการภาครัฐโดยกระทรวงพาณิชย์ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายตลาดข้าวเหนียวและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวเหนียวเพื่อช่วยสนับสนุนราคาให้สูงขึ้นส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ความชื้นไม่เกิน 14.5% จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.10-0.30 อยู่ที่ราคา 6.79-6.93 บาท/กก. เนื่องจากเข้าสู่การปลูกข้าวโพดช่วงฤดูแล้ง (เริ่มปลูกเดือนธันวาคม) ประกอบกับมาตรการดําเนินการเชื่อมโยงตลาดสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของภาครัฐที่ได้เริ่มขยายผลจากจังหวัดเพชรบูรณ์ไปในจังหวัดอื่นที่มีการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ซึ่งจะช่วยยกระดับราคารับซื้อให้เพิ่มขึ้น
ยางพาราคาดว่าสถานการณ์ราคายางพาราแผ่นดิบจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.00-6.30 อยู่ที่ราคา 42.32-44.54 บาท/กก. เนื่องจากโครงการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของภาครัฐจะช่วยสนับสนุนความต้องการใช้ยางพาราภายในประเทศของผู้ประกอบการและหน่วยงานของรัฐเพิ่มขึ้นรวมทั้งมาตรการรักษาความสมดุลระหว่างปริมาณและความต้องการใช้เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในราคายางพารามันสําปะหลังคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 2.20-4.97 อยู่ที่ราคา 1.85-1.90 บาท/กก. เนื่องจากปริมาณมันสําปะหลังที่ออกสู่ตลาดยังน้อยกว่าความต้องการประกอบกับมาตรการนําเข้ามันสําปะหลังจากต่างประเทศของภาครัฐที่เข้มงวดโดยเพิ่มขั้นตอนแสดงหนังสือรับรองสุขอนามัยพืชหนังสือรับรองถิ่นกําเนิดพืชและหนังสือรับรองมาตรฐานสินค้ารวมทั้งต้องมีการนําเข้าโดยผ่านด่านตรวจโดยเฉพาะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 จะทําให้ผลิตภัณฑ์มันสําปะหลังจากต่างประเทศเข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดไทยยากขึ้นปาล์มน้ํามันคาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 3.57 – 21.42 อยู่ที่ราคา 2.90 – 3.40 บาท/กก. เนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดในปริมาณที่ลดลงประกอบกับภาครัฐเร่งดําเนินการระบายปริมาณสต๊อกน้ํามันปาล์มดิบให้กลับสู่ระดับปกติจะส่งผลให้แนวโน้มราคาปาล์มน้ํามันมีทิศทางดีขึ้น
สุกรคาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 2.09-5.50 อยู่ที่ราคา 52.30-54.05 บาท/กก. เนื่องจากเข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่และเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวทําให้แนวโน้มความต้องการบริโภคเนื้อสุกรเพิ่มขึ้นประกอบกับสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติได้ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์กําหนดแนวทางแก้ไขปัญหาราคา
สุกรตกต่ําในระยะสั้นโดยให้มีการชําแหละจําหน่ายให้มากขึ้นจากเดิมในหลายจังหวัดมีเพียงจังหวัดราชบุรีและจังหวัดลําพูนเท่านั้นรวมทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการบริโภคสุกรให้กระจายไปยังแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆในช่วงเทศกาลให้เพิ่มมากขึ้นกุ้งขาวแวนนาไมคาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.25-2.91 อยู่ที่ราคา 188.00 -193.00 บาท/กก. เนื่องจากเป็นช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดลดลงจึงส่งผลให้ราคากุ้งขาวแวนนาไมปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนสินค้าที่มีแนวโน้มลดลงคือน้ําตาลทรายดิบซึ่งคาดว่าราคาเฉลี่ยน้ําตาลทรายดิบนิวยอร์กในตลาดโลกจะลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.50-2.00 อยู่ที่ราคา 13.39-13.59 เซนต์/ปอนด์ (9.67-9.81
บาท/กก.) เนื่องจากแรงขายของกลุ่มกองทุนและนักเก็งกําไรจากการคาดการณ์เกี่ยวกับภาวะผลผลิตน้ําตาลโลกส่วนเกินในปีการผลิต 2561/62 ประกอบกับราคาน้ําตาลถูกกดดันจากค่าเงินเรียลของบราซิลที่อ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯซึ่งกระตุ้นให้ผู้ผลิตทยอยขายน้ําตาลออกมากขึ้นส่งผลให้ปริมาณผลผลิตน้ําตาลในตลาดโลกมีเพิ่มขึ้นและราคาจะลดลง
ที่มา:ศูนย์วิจัยและพัฒนาธ.ก.ส. กลุ่มงานวิจัยและพยากรณ์เศรษฐกิจการเกษตรโทร. 02 2800 180 ต่อ 2637
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัยและพัฒนาธ.ก.สคาดราคาสินค้าเกษตรขยับตัวสูงขึ้นรับปีใหม่ 2561
วันอังคารที่ 2 มกราคม 2561
ศูนย์วิจัยและพัฒนาธ.ก.สคาดราคาสินค้าเกษตรขยับตัวสูงขึ้นรับปีใหม่ 2561
ธ.ก.ส. เผยสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้นต้อนรับปีใหม่ 2561จากอานิสงค์นโยบายกระตุ้นของภาครัฐทั้งข้าวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยางพารา มันสําปะหลังปาล์ม น้ํามันสุกร และกุ้งส่วนสินค้าที่มีแนวโน้มราคาลดต่ําลงน้ําตาลทรายดิบ
ศูนย์วิจัยและพัฒนา ธ.ก.ส. เผยสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้นต้อนรับปีใหม่ 2561จากอานิสงค์นโยบายกระตุ้นของภาครัฐทั้งข้าวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยางพารา มันสําปะหลังปาล์ม น้ํามันสุกร และกุ้งส่วนสินค้าที่มีแนวโน้มราคาลดต่ําลงน้ําตาลทรายดิบ
นายสมศักดิ์ กังธีระวัฒน์ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส.คาดการณ์สถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต้อนรับปีใหม่ 2561 ได้แก่ข้าวเปลือกเจ้า 5%คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.52-4.87 อยู่ที่ราคา 8,440-8,719 บาท/ตันข้าวเปลือกหอมมะลิเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 2.30-3.85 อยู่ที่ราคา 12,470-12,658 บาท/ตันและข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.20-4.32 อยู่ที่ราคา 9,515-9,810 บาท/ตันเนื่องจากยังมีความต้องการของตลาดต่างประเทศและมาตรการโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี 2560/61 ที่ช่วยชะลอผลผลิตออกสู่ตลาดและมาตรการภาครัฐโดยกระทรวงพาณิชย์ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายตลาดข้าวเหนียวและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวเหนียวเพื่อช่วยสนับสนุนราคาให้สูงขึ้นส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ความชื้นไม่เกิน 14.5% จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.10-0.30 อยู่ที่ราคา 6.79-6.93 บาท/กก. เนื่องจากเข้าสู่การปลูกข้าวโพดช่วงฤดูแล้ง (เริ่มปลูกเดือนธันวาคม) ประกอบกับมาตรการดําเนินการเชื่อมโยงตลาดสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของภาครัฐที่ได้เริ่มขยายผลจากจังหวัดเพชรบูรณ์ไปในจังหวัดอื่นที่มีการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ซึ่งจะช่วยยกระดับราคารับซื้อให้เพิ่มขึ้น
ยางพาราคาดว่าสถานการณ์ราคายางพาราแผ่นดิบจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.00-6.30 อยู่ที่ราคา 42.32-44.54 บาท/กก. เนื่องจากโครงการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของภาครัฐจะช่วยสนับสนุนความต้องการใช้ยางพาราภายในประเทศของผู้ประกอบการและหน่วยงานของรัฐเพิ่มขึ้นรวมทั้งมาตรการรักษาความสมดุลระหว่างปริมาณและความต้องการใช้เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในราคายางพารามันสําปะหลังคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 2.20-4.97 อยู่ที่ราคา 1.85-1.90 บาท/กก. เนื่องจากปริมาณมันสําปะหลังที่ออกสู่ตลาดยังน้อยกว่าความต้องการประกอบกับมาตรการนําเข้ามันสําปะหลังจากต่างประเทศของภาครัฐที่เข้มงวดโดยเพิ่มขั้นตอนแสดงหนังสือรับรองสุขอนามัยพืชหนังสือรับรองถิ่นกําเนิดพืชและหนังสือรับรองมาตรฐานสินค้ารวมทั้งต้องมีการนําเข้าโดยผ่านด่านตรวจโดยเฉพาะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 จะทําให้ผลิตภัณฑ์มันสําปะหลังจากต่างประเทศเข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดไทยยากขึ้นปาล์มน้ํามันคาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 3.57 – 21.42 อยู่ที่ราคา 2.90 – 3.40 บาท/กก. เนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดในปริมาณที่ลดลงประกอบกับภาครัฐเร่งดําเนินการระบายปริมาณสต๊อกน้ํามันปาล์มดิบให้กลับสู่ระดับปกติจะส่งผลให้แนวโน้มราคาปาล์มน้ํามันมีทิศทางดีขึ้น
สุกรคาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 2.09-5.50 อยู่ที่ราคา 52.30-54.05 บาท/กก. เนื่องจากเข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่และเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวทําให้แนวโน้มความต้องการบริโภคเนื้อสุกรเพิ่มขึ้นประกอบกับสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติได้ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์กําหนดแนวทางแก้ไขปัญหาราคา
สุกรตกต่ําในระยะสั้นโดยให้มีการชําแหละจําหน่ายให้มากขึ้นจากเดิมในหลายจังหวัดมีเพียงจังหวัดราชบุรีและจังหวัดลําพูนเท่านั้นรวมทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการบริโภคสุกรให้กระจายไปยังแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆในช่วงเทศกาลให้เพิ่มมากขึ้นกุ้งขาวแวนนาไมคาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.25-2.91 อยู่ที่ราคา 188.00 -193.00 บาท/กก. เนื่องจากเป็นช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดลดลงจึงส่งผลให้ราคากุ้งขาวแวนนาไมปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนสินค้าที่มีแนวโน้มลดลงคือน้ําตาลทรายดิบซึ่งคาดว่าราคาเฉลี่ยน้ําตาลทรายดิบนิวยอร์กในตลาดโลกจะลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.50-2.00 อยู่ที่ราคา 13.39-13.59 เซนต์/ปอนด์ (9.67-9.81
บาท/กก.) เนื่องจากแรงขายของกลุ่มกองทุนและนักเก็งกําไรจากการคาดการณ์เกี่ยวกับภาวะผลผลิตน้ําตาลโลกส่วนเกินในปีการผลิต 2561/62 ประกอบกับราคาน้ําตาลถูกกดดันจากค่าเงินเรียลของบราซิลที่อ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯซึ่งกระตุ้นให้ผู้ผลิตทยอยขายน้ําตาลออกมากขึ้นส่งผลให้ปริมาณผลผลิตน้ําตาลในตลาดโลกมีเพิ่มขึ้นและราคาจะลดลง
ที่มา:ศูนย์วิจัยและพัฒนาธ.ก.ส. กลุ่มงานวิจัยและพยากรณ์เศรษฐกิจการเกษตรโทร. 02 2800 180 ต่อ 2637
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9141
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. แจงการผลิตวัคซีนโควิด-19 ของไทยคืบหน้า เผยโครงการวิจัย Hero COVID-19 เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันในสังคม พร้อมเชิญชวนอาสาสมัครบริจาคโลหิตให้โครงการฯ 500 คน
|
วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563
สธ. แจงการผลิตวัคซีนโควิด-19 ของไทยคืบหน้า เผยโครงการวิจัย Hero COVID-19 เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันในสังคม พร้อมเชิญชวนอาสาสมัครบริจาคโลหิตให้โครงการฯ 500 คน
สธ. แจงการผลิตวัคซีนโควิด-19 ของไทยคืบหน้า เผยโครงการวิจัย Hero COVID-19 เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันในสังคม พร้อมเชิญชวนอาสาสมัครบริจาคโลหิตให้โครงการฯ 500 คน
วันนี้ (24 มิ.ย. 63) เวลา 12.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะ แถลงเรื่องโครงการวิจัยภาวะภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยโรคโควิด-19 และผู้มีความเสี่ยงในคนไทย สรุปสาระสําคัญดังนี้
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ทําการต่อสู้กับโรคติดเชื้อโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง ทําให้ตัวเลขผู้ติดเชื้ออยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ซึ่งความสําเร็จจะสมบูรณ์ได้นั้น ขึ้นอยู่กับความสําเร็จในการผลิตวัคซีน ที่ขณะนี้มีความคืบหน้าเป็นลําดับ คาดว่าจะสามารถทดลองวัคซีนในมนุษย์ได้ประมาณปลายปีนี้ ซึ่งในขณะที่เรากําลังรอคอยวัคซีนนี้ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ของกระทรวงสาธารณสุข (สวรส.) ได้สนับสนุนการทําวิจัย โดยจะมอบทุนให้จุฬาฯ ซึ่งร่วมมือกับกรมควบคุมโรค และกรมการแพทย์ เพื่อศึกษาวิจัยว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อที่ได้รักษาหายแล้ว จะมีภูมิคุ้มกันโรค เหมือนโรคระบาดอื่น ๆ หรือไม่ มีโอกาสกลับมาติดเชื้อหรือไม่ และภูมิคุ้มกันโรคจะมีระยะเวลานานเท่าใด โดยจะทําการวิจัยจากเลือดของผู้ติดเชื้อที่รักษาหายแล้ว ซึ่งตอนนี้มีจํานวนกว่า 3,000 คน เพื่อให้ผลงานวิจัยนี้เป็นประโยชน์ต่อสังคมสังคม
พร้อมกันนี้ นายแพทย์คณวัฒน์ จันทรลาวัณย์ ในฐานะคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเพิ่มเติมถึงที่มาของ “โครงการวิจัย Hero COVID-19” เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันในสังคม (Herd Immunity) ซึ่งมี 2 วิธีด้วยกัน ได้แก่ การค้นคว้าวิจัยวัคซีน และการเกิดภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติจากผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และรักษาหายแล้ว จึงเป็นที่มาของ “โครงการวิจัย Hero COVID-19” โอกาสนี้ นายแพทย์คณวัฒน์ได้เชิญชวนผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่รักษาหายแล้ว หรือ Hero COVID-19 รวมถึงผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยแต่ไม่ติดเชื้อ ร่วมบริจาคเลือด เพื่อตอบข้อสงสัยกรณีผู้ป่วยติดเชื้อสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เองหรือไม่ หากสามารถสร้างได้ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้จริงหรือไม่ การเกิดภูมิคุ้มกันใช้ระยะเวลาเท่าไร และภูมิคุ้มกันดังกล่าวสามารถอยู่ในร่างกายได้นานแค่ไหน ทั้งนี้ หาก “โครงการวิจัย Hero COVID-19” ประสบความสําเร็จอาจนําไปสู่การต่อยอดการพัฒนาวิจัยวัคซีน หรือนําไปสู่การผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ เพิ่มขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยกลับสู่สภาวะปกติได้เร็วที่สุด
ในตอนท้าย ผศ.นายแพทย์ปกรัฐ หังสสูต หัวหน้าหน่วยไวรัสวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยว่า ภูมิคุ้มกันนั้นมีหลายชนิด อาทิ ภูมิคุ้มกันที่สามารถอยู่ในร่างกายตลอดชีวิต หรือ ภูมิคุ้มกันที่อยู่ได้แค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทั้งนี้ เชื้อไวรัสโควิด-19 ถือว่าเป็นเชื้อโรคชนิดใหม่ที่ยังต้องค้นคว้าและวิจัยวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันในการป้องกันการติดเชื้อ รวมถึงการใช้ยาในการรักษา โดย “โครงการวิจัย Hero COVID-19” ต้องการอาสาสมัครในการบริจาคโลหิต จํานวน 500 คน อายุไม่ต่ํากว่า 18 ปี และสามารถติดต่อขอเป็นอาสาสมัครได้ที่ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. แจงการผลิตวัคซีนโควิด-19 ของไทยคืบหน้า เผยโครงการวิจัย Hero COVID-19 เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันในสังคม พร้อมเชิญชวนอาสาสมัครบริจาคโลหิตให้โครงการฯ 500 คน
วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563
สธ. แจงการผลิตวัคซีนโควิด-19 ของไทยคืบหน้า เผยโครงการวิจัย Hero COVID-19 เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันในสังคม พร้อมเชิญชวนอาสาสมัครบริจาคโลหิตให้โครงการฯ 500 คน
สธ. แจงการผลิตวัคซีนโควิด-19 ของไทยคืบหน้า เผยโครงการวิจัย Hero COVID-19 เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันในสังคม พร้อมเชิญชวนอาสาสมัครบริจาคโลหิตให้โครงการฯ 500 คน
วันนี้ (24 มิ.ย. 63) เวลา 12.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะ แถลงเรื่องโครงการวิจัยภาวะภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยโรคโควิด-19 และผู้มีความเสี่ยงในคนไทย สรุปสาระสําคัญดังนี้
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ทําการต่อสู้กับโรคติดเชื้อโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง ทําให้ตัวเลขผู้ติดเชื้ออยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ซึ่งความสําเร็จจะสมบูรณ์ได้นั้น ขึ้นอยู่กับความสําเร็จในการผลิตวัคซีน ที่ขณะนี้มีความคืบหน้าเป็นลําดับ คาดว่าจะสามารถทดลองวัคซีนในมนุษย์ได้ประมาณปลายปีนี้ ซึ่งในขณะที่เรากําลังรอคอยวัคซีนนี้ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ของกระทรวงสาธารณสุข (สวรส.) ได้สนับสนุนการทําวิจัย โดยจะมอบทุนให้จุฬาฯ ซึ่งร่วมมือกับกรมควบคุมโรค และกรมการแพทย์ เพื่อศึกษาวิจัยว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อที่ได้รักษาหายแล้ว จะมีภูมิคุ้มกันโรค เหมือนโรคระบาดอื่น ๆ หรือไม่ มีโอกาสกลับมาติดเชื้อหรือไม่ และภูมิคุ้มกันโรคจะมีระยะเวลานานเท่าใด โดยจะทําการวิจัยจากเลือดของผู้ติดเชื้อที่รักษาหายแล้ว ซึ่งตอนนี้มีจํานวนกว่า 3,000 คน เพื่อให้ผลงานวิจัยนี้เป็นประโยชน์ต่อสังคมสังคม
พร้อมกันนี้ นายแพทย์คณวัฒน์ จันทรลาวัณย์ ในฐานะคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเพิ่มเติมถึงที่มาของ “โครงการวิจัย Hero COVID-19” เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันในสังคม (Herd Immunity) ซึ่งมี 2 วิธีด้วยกัน ได้แก่ การค้นคว้าวิจัยวัคซีน และการเกิดภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติจากผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และรักษาหายแล้ว จึงเป็นที่มาของ “โครงการวิจัย Hero COVID-19” โอกาสนี้ นายแพทย์คณวัฒน์ได้เชิญชวนผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่รักษาหายแล้ว หรือ Hero COVID-19 รวมถึงผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยแต่ไม่ติดเชื้อ ร่วมบริจาคเลือด เพื่อตอบข้อสงสัยกรณีผู้ป่วยติดเชื้อสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เองหรือไม่ หากสามารถสร้างได้ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้จริงหรือไม่ การเกิดภูมิคุ้มกันใช้ระยะเวลาเท่าไร และภูมิคุ้มกันดังกล่าวสามารถอยู่ในร่างกายได้นานแค่ไหน ทั้งนี้ หาก “โครงการวิจัย Hero COVID-19” ประสบความสําเร็จอาจนําไปสู่การต่อยอดการพัฒนาวิจัยวัคซีน หรือนําไปสู่การผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ เพิ่มขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยกลับสู่สภาวะปกติได้เร็วที่สุด
ในตอนท้าย ผศ.นายแพทย์ปกรัฐ หังสสูต หัวหน้าหน่วยไวรัสวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยว่า ภูมิคุ้มกันนั้นมีหลายชนิด อาทิ ภูมิคุ้มกันที่สามารถอยู่ในร่างกายตลอดชีวิต หรือ ภูมิคุ้มกันที่อยู่ได้แค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทั้งนี้ เชื้อไวรัสโควิด-19 ถือว่าเป็นเชื้อโรคชนิดใหม่ที่ยังต้องค้นคว้าและวิจัยวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันในการป้องกันการติดเชื้อ รวมถึงการใช้ยาในการรักษา โดย “โครงการวิจัย Hero COVID-19” ต้องการอาสาสมัครในการบริจาคโลหิต จํานวน 500 คน อายุไม่ต่ํากว่า 18 ปี และสามารถติดต่อขอเป็นอาสาสมัครได้ที่ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32709
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร่วมหารือผู้ประกอบการรายใหญ่สินค้าอุปโภค บริโภค ย้ำ ความพร้อมรับมือสถานการณ์โควิด – 19 มั่นใจไทยไม่ขาดแคลน
|
วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563
ก.อุตฯ ร่วมหารือผู้ประกอบการรายใหญ่สินค้าอุปโภค บริโภค ย้ํา ความพร้อมรับมือสถานการณ์โควิด – 19 มั่นใจไทยไม่ขาดแคลน
กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมหารือผู้ประกอบการรายใหญ่สินค้าอุปโภค บริโภค ย้ํา ความพร้อมรับมือสถานการณ์โควิด – 19 มั่นใจไทยไม่ขาดแคลน
(18 มีนาคม 2563) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานและผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่ สินค้าอุปโภค บริโภค อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน) บริษัท สหพัฒนพิบูล จํากัด (มหาชน) บริษัท ยูนิลิเวอร์ ประเทศไทย บริษัทในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป บริษัท ดัชมิลล์ จํากัด บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จํากัด บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จํากัด บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จํากัด บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จํากัด บิ๊กซี ท็อปส์ แม็คโคร 7-ELEVEN และผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ จากผลกระทบโควิด – 19 พร้อมสร้างความมั่นใจให้กับภาคประชาชน ทั้งด้านการผลิต และกระจายสินค้า เน้นย้ํา ประชาชนไม่ต้องกักตุนสินค้า เชื่อ ประเทศไทยเป็นแหล่งวัตถุดิบอาหารของโลก สินค้าอุปโภค บริโภคมีเพียงพออย่างแน่นอน
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ที่สร้างความวิตกกังวลกับภาคประชาชน จนเป็นสาเหตุให้ประชาชนจํานวนมากเดินทางไปซื้อสินค้าเพื่อกักตุน โดยเฉพาะ ข้าวถุง อาหารสําเร็จรูปและสินค้าอื่นๆ เช่น ซอสปรุงรส กระดาษทิชชู จนห้างค้าปลีกต้องทยอยเติมสินค้าเข้าชั้นอย่างต่อเนื่อง สินค้าบางอย่างที่เติมสินค้าไม่ทัน ส่งผลให้เกิดเป็นภาพในกระแสโซเชียลมีเดียว่า สินค้าอุปโภค บริโภคไม่เพียงพอ ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการจัดประชุมหารือร่วมกับร่วมกับหน่วยงานและผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่ สินค้าอุปโภค บริโภค อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน) บริษัท สหพัฒนพิบูล จํากัด (มหาชน) บริษัท ยูนิลิเวอร์ ประเทศไทย บริษัทในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป บริษัท ดัชมิลล์ จํากัด บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จํากัด บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จํากัด บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จํากัด บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จํากัด บิ๊กซี ท็อปส์ แม็คโคร 7-ELEVEN ฯลฯ เพื่อแสดงศักยภาพในการรับมือกับสถานการณ์ทุกรูปแบบ ทั้งในด้านวัตถุดิบ กําลังการผลิต และการกระจายสินค้า โดยสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 11 ของโลก และอันดับที่ 2 ของเอเชีย (รองจากประเทศจีน)
ทั้งนี้ ปริมาณ อุตสาหกรรมแปรรูปอาหารและเครื่องดื่มในประเทศมีจํานวน 53,642 โรงงาน แบ่งออกเป็น โรงงานแปรรูปผลิตผลทางเกษตรเบื้องต้น 43,725 โรงงาน โรงงานแปรรูปอาหาร 9,102 โรงงาน โรงงานผลิตเครื่องดื่ม 815 โรงงาน มีมูลค่าการผลิตอาหารราว 3,000,000 ล้านบาท / ปี และหากแยกประเภทผลิตภัณฑ์ที่ประชาชนมีความต้องการในช่วงสภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ประกอบด้วย 1.ข้าวสาร ผลผลิตข้าวในประเทศปริมาณ 18.72 ล้านตันข้าวสาร โดยมีความต้องการใช้ในประเทศ 11.5 ล้านตัน แบ่งออกเป็น
การใช้บริโภคในประเทศ 8.66 ล้านตันข้าวสาร ใช้ในอุตสาหกรรมแปรรูป 1.56 ล้านตันข้าวสาร ซึ่งนับว่ามีสัดส่วนการผลิต และความต้องการใช้มีปริมาณเพียงพอ 2. บะหมี่กึ่งสําเร็จรูป กําลังการผลิต 10 ล้านซอง/วัน และสามารถผลิตเพิ่มได้ถึง 15 ล้านซอง/วัน กําลังการผลิต (ต่อเดือน) 2.95 หมื่นตัน กําลังการผลิตที่ใช้ไป 79% 3. ปลากระป๋อง กําลังการผลิต (ต่อเดือน) 22,679 ตัน กําลังการผลิตที่ใช้ไป 50% 4. น้ําดื่ม กําลังการผลิต (ต่อเดือน) 444 ล้านลิตร กําลังการผลิตที่ใช้ไป 67% 5.ซอสปรุงรสต่าง ๆ กําลังการผลิต (ต่อเดือน) 7.9 ล้านลิตร กําลังการผลิตที่ใช้ไป 96% ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่า “ประเทศมีศักยภาพเพียงพอ และเป็นแหล่งผลิตอาหาร ระดับโลก”
นอกจากนี้ ในเรื่องของหน้ากากอนามัยทางเลือกชนิดผ้า คณะรัฐมนตรีได้มีการอนุมัติให้กระทรวงอุตสาหกรรม การผลิตหน้ากากผ้าจํานวน 10 ล้านชิ้น โดยกระทรวง ฯ ได้มีการประสานงานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสิ่งทอ โดยจะใช้ผ้าที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมเร่งรัดกระบวนการผลิตให้เร็วที่สุด พร้อมเตรียมแจกจ่ายแก่ประชาชนที่ขาดแคลน โดยจะทยอยภายในเดือนสัปดาห์ถัดไป ตลอดจน ปริมาณแอลกอฮอล์ และเจลล้างมือ ก็ได้รับความมั่นใจจากผู้ประกอบการว่า สามารถดําเนินการผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนอย่างแน่นอน วอนประชาชน ไม่ต้องตระหนก สินค้ามีเพียงพอต่อความต้องการของประชาชนในประเทศอย่างแน่นอน
................................................
18 มีนาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร่วมหารือผู้ประกอบการรายใหญ่สินค้าอุปโภค บริโภค ย้ำ ความพร้อมรับมือสถานการณ์โควิด – 19 มั่นใจไทยไม่ขาดแคลน
วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563
ก.อุตฯ ร่วมหารือผู้ประกอบการรายใหญ่สินค้าอุปโภค บริโภค ย้ํา ความพร้อมรับมือสถานการณ์โควิด – 19 มั่นใจไทยไม่ขาดแคลน
กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมหารือผู้ประกอบการรายใหญ่สินค้าอุปโภค บริโภค ย้ํา ความพร้อมรับมือสถานการณ์โควิด – 19 มั่นใจไทยไม่ขาดแคลน
(18 มีนาคม 2563) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานและผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่ สินค้าอุปโภค บริโภค อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน) บริษัท สหพัฒนพิบูล จํากัด (มหาชน) บริษัท ยูนิลิเวอร์ ประเทศไทย บริษัทในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป บริษัท ดัชมิลล์ จํากัด บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จํากัด บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จํากัด บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จํากัด บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จํากัด บิ๊กซี ท็อปส์ แม็คโคร 7-ELEVEN และผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ จากผลกระทบโควิด – 19 พร้อมสร้างความมั่นใจให้กับภาคประชาชน ทั้งด้านการผลิต และกระจายสินค้า เน้นย้ํา ประชาชนไม่ต้องกักตุนสินค้า เชื่อ ประเทศไทยเป็นแหล่งวัตถุดิบอาหารของโลก สินค้าอุปโภค บริโภคมีเพียงพออย่างแน่นอน
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ที่สร้างความวิตกกังวลกับภาคประชาชน จนเป็นสาเหตุให้ประชาชนจํานวนมากเดินทางไปซื้อสินค้าเพื่อกักตุน โดยเฉพาะ ข้าวถุง อาหารสําเร็จรูปและสินค้าอื่นๆ เช่น ซอสปรุงรส กระดาษทิชชู จนห้างค้าปลีกต้องทยอยเติมสินค้าเข้าชั้นอย่างต่อเนื่อง สินค้าบางอย่างที่เติมสินค้าไม่ทัน ส่งผลให้เกิดเป็นภาพในกระแสโซเชียลมีเดียว่า สินค้าอุปโภค บริโภคไม่เพียงพอ ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการจัดประชุมหารือร่วมกับร่วมกับหน่วยงานและผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่ สินค้าอุปโภค บริโภค อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน) บริษัท สหพัฒนพิบูล จํากัด (มหาชน) บริษัท ยูนิลิเวอร์ ประเทศไทย บริษัทในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป บริษัท ดัชมิลล์ จํากัด บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จํากัด บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จํากัด บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จํากัด บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จํากัด บิ๊กซี ท็อปส์ แม็คโคร 7-ELEVEN ฯลฯ เพื่อแสดงศักยภาพในการรับมือกับสถานการณ์ทุกรูปแบบ ทั้งในด้านวัตถุดิบ กําลังการผลิต และการกระจายสินค้า โดยสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 11 ของโลก และอันดับที่ 2 ของเอเชีย (รองจากประเทศจีน)
ทั้งนี้ ปริมาณ อุตสาหกรรมแปรรูปอาหารและเครื่องดื่มในประเทศมีจํานวน 53,642 โรงงาน แบ่งออกเป็น โรงงานแปรรูปผลิตผลทางเกษตรเบื้องต้น 43,725 โรงงาน โรงงานแปรรูปอาหาร 9,102 โรงงาน โรงงานผลิตเครื่องดื่ม 815 โรงงาน มีมูลค่าการผลิตอาหารราว 3,000,000 ล้านบาท / ปี และหากแยกประเภทผลิตภัณฑ์ที่ประชาชนมีความต้องการในช่วงสภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ประกอบด้วย 1.ข้าวสาร ผลผลิตข้าวในประเทศปริมาณ 18.72 ล้านตันข้าวสาร โดยมีความต้องการใช้ในประเทศ 11.5 ล้านตัน แบ่งออกเป็น
การใช้บริโภคในประเทศ 8.66 ล้านตันข้าวสาร ใช้ในอุตสาหกรรมแปรรูป 1.56 ล้านตันข้าวสาร ซึ่งนับว่ามีสัดส่วนการผลิต และความต้องการใช้มีปริมาณเพียงพอ 2. บะหมี่กึ่งสําเร็จรูป กําลังการผลิต 10 ล้านซอง/วัน และสามารถผลิตเพิ่มได้ถึง 15 ล้านซอง/วัน กําลังการผลิต (ต่อเดือน) 2.95 หมื่นตัน กําลังการผลิตที่ใช้ไป 79% 3. ปลากระป๋อง กําลังการผลิต (ต่อเดือน) 22,679 ตัน กําลังการผลิตที่ใช้ไป 50% 4. น้ําดื่ม กําลังการผลิต (ต่อเดือน) 444 ล้านลิตร กําลังการผลิตที่ใช้ไป 67% 5.ซอสปรุงรสต่าง ๆ กําลังการผลิต (ต่อเดือน) 7.9 ล้านลิตร กําลังการผลิตที่ใช้ไป 96% ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่า “ประเทศมีศักยภาพเพียงพอ และเป็นแหล่งผลิตอาหาร ระดับโลก”
นอกจากนี้ ในเรื่องของหน้ากากอนามัยทางเลือกชนิดผ้า คณะรัฐมนตรีได้มีการอนุมัติให้กระทรวงอุตสาหกรรม การผลิตหน้ากากผ้าจํานวน 10 ล้านชิ้น โดยกระทรวง ฯ ได้มีการประสานงานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสิ่งทอ โดยจะใช้ผ้าที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมเร่งรัดกระบวนการผลิตให้เร็วที่สุด พร้อมเตรียมแจกจ่ายแก่ประชาชนที่ขาดแคลน โดยจะทยอยภายในเดือนสัปดาห์ถัดไป ตลอดจน ปริมาณแอลกอฮอล์ และเจลล้างมือ ก็ได้รับความมั่นใจจากผู้ประกอบการว่า สามารถดําเนินการผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนอย่างแน่นอน วอนประชาชน ไม่ต้องตระหนก สินค้ามีเพียงพอต่อความต้องการของประชาชนในประเทศอย่างแน่นอน
................................................
18 มีนาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27474
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยและเนเธอร์แลนด์ ยืนยันจะกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคี และพหุภาคีระหว่างกัน
|
วันศุกร์ที่ 21 กันยายน 2561
ไทยและเนเธอร์แลนด์ ยืนยันจะกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคี และพหุภาคีระหว่างกัน
ไทยและเนเธอร์แลนด์ ยืนยันจะกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคี และพหุภาคีระหว่างกัน
วันนี้ (21 กันยายน 2561) เวลา 13.30 น. นายเกส ปีเตอร์ ราเดอ (Mr. Kees Pieter Rade) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเข้ารับตําแหน่งใหม่ ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล โดยภายหลังการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญ การหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทย แสดงความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระราชินีมักซิมาแห่งเนเธอร์แลนด์ เสด็จฯ เยือนประเทศไทย เพื่อทรงเข้าร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2560 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวประทับใจขอบคุณที่ภาคเอกชนของเนเธอร์แลนด์ได้เสนอส่งเครื่องสูบน้ํากําลังสูงมาช่วยเหลือในภารกิจปฏิบัติการช่วยเหลือนักฟุตบอลเยาวชนทีม หมูป่าอะคาเดมี และผู้ฝึกสอน ที่ติดอยู่ภายในวนอุทยานถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน จังหวัดเชียงราย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความเชื่อมั่นว่าด้วยประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญของเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจําประเทศไทย ซึ่งเคยปฏิบัติงานในหลายภูมิภาค ทั้ง อเมริกาใต้ และ แอฟริกา จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการขับเคลื่อน และพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกันให้ แน่นแฟ้น และเพิ่มพูนในหลากหลายมิติ
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงนโยบายเพื่อปฏิรูปและพัฒนาเศรษฐกิจของไทย ได้แก่ EEC Thailand 4.0 และ Thailand+1 เห็นว่าเป็นนโยบายที่เป็นประโยชน์ และได้รับความสนใจจากนักลงทุนเนเธอร์แลนด์ ไทยมีความพร้อมและศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการค้า และการลงทุนของอาเซียน นอกจากนี้ ไทยยังมีความประสงค์ที่จะมีความร่วมมือด้านการเกษตร โดยเฉพาะข้าว และยาง ซึ่งเป็นสินค้าที่มีคุณภาพของไทย นอกจากนี้ พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปราชการที่เนเธอร์แลนด์ เพื่อหารือในการที่จะขยายความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ํา ด้วย
โอกาสนี้ เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ ได้กล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองประเทศที่ดําเนินไปอย่างราบรื่นมายาวนานกว่า 400 ปี ทั้งนี้ ไทยและเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศเกษตรกรรมเช่นเดียวกัน จึงสามารถขยายความร่วมมือ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหารระหว่างกัน รวมทั้งความร่วมมือด้านการศึกษา ซึ่งเห็นได้จากการที่นักเรียนนักศึกษาไทยสนใจไปศึกษาต่อที่เนเธอร์แลนด์จํานวนมากขึ้น พร้อมชื่นชมตัวเลขทางการค้าระหว่างไทย-เนเธอร์แลนด์ โดยเนเธอร์แลนด์เป็นคู่ค้าอันดับที่ 3 ของไทยในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปเพราะไทยเป็นเสมือนประตูการค้าสู่ภูมิภาคอาเซียน
ในช่วงท้ายการหารือ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ามีกําหนดการเดินทางจะเข้าร่วมการประชุม ASEM Summit ในเดือนตุลาคม 2561 และหวังว่าจะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้พบหารือกับนายมาร์ก รึตเตอ นายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเชื่อมั่นว่าการพบหารือกันจะเป็นโอกาสในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทยกับเนเธอร์แลนด์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไป พร้อมยืนยันถึงกระบวนการปฏิรูปประชาธิปไตยของไทยว่า ได้บริหารประเทศโดยยึดตาม Roadmap และพร้อมที่จะจัดการเลือกตั้งทั่วไปในช่วงต้นปี 2562 ด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยและเนเธอร์แลนด์ ยืนยันจะกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคี และพหุภาคีระหว่างกัน
วันศุกร์ที่ 21 กันยายน 2561
ไทยและเนเธอร์แลนด์ ยืนยันจะกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคี และพหุภาคีระหว่างกัน
ไทยและเนเธอร์แลนด์ ยืนยันจะกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคี และพหุภาคีระหว่างกัน
วันนี้ (21 กันยายน 2561) เวลา 13.30 น. นายเกส ปีเตอร์ ราเดอ (Mr. Kees Pieter Rade) เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเข้ารับตําแหน่งใหม่ ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล โดยภายหลังการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญ การหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทย แสดงความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระราชินีมักซิมาแห่งเนเธอร์แลนด์ เสด็จฯ เยือนประเทศไทย เพื่อทรงเข้าร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2560 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวประทับใจขอบคุณที่ภาคเอกชนของเนเธอร์แลนด์ได้เสนอส่งเครื่องสูบน้ํากําลังสูงมาช่วยเหลือในภารกิจปฏิบัติการช่วยเหลือนักฟุตบอลเยาวชนทีม หมูป่าอะคาเดมี และผู้ฝึกสอน ที่ติดอยู่ภายในวนอุทยานถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน จังหวัดเชียงราย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความเชื่อมั่นว่าด้วยประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญของเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจําประเทศไทย ซึ่งเคยปฏิบัติงานในหลายภูมิภาค ทั้ง อเมริกาใต้ และ แอฟริกา จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการขับเคลื่อน และพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกันให้ แน่นแฟ้น และเพิ่มพูนในหลากหลายมิติ
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงนโยบายเพื่อปฏิรูปและพัฒนาเศรษฐกิจของไทย ได้แก่ EEC Thailand 4.0 และ Thailand+1 เห็นว่าเป็นนโยบายที่เป็นประโยชน์ และได้รับความสนใจจากนักลงทุนเนเธอร์แลนด์ ไทยมีความพร้อมและศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการค้า และการลงทุนของอาเซียน นอกจากนี้ ไทยยังมีความประสงค์ที่จะมีความร่วมมือด้านการเกษตร โดยเฉพาะข้าว และยาง ซึ่งเป็นสินค้าที่มีคุณภาพของไทย นอกจากนี้ พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปราชการที่เนเธอร์แลนด์ เพื่อหารือในการที่จะขยายความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ํา ด้วย
โอกาสนี้ เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ฯ ได้กล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองประเทศที่ดําเนินไปอย่างราบรื่นมายาวนานกว่า 400 ปี ทั้งนี้ ไทยและเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศเกษตรกรรมเช่นเดียวกัน จึงสามารถขยายความร่วมมือ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหารระหว่างกัน รวมทั้งความร่วมมือด้านการศึกษา ซึ่งเห็นได้จากการที่นักเรียนนักศึกษาไทยสนใจไปศึกษาต่อที่เนเธอร์แลนด์จํานวนมากขึ้น พร้อมชื่นชมตัวเลขทางการค้าระหว่างไทย-เนเธอร์แลนด์ โดยเนเธอร์แลนด์เป็นคู่ค้าอันดับที่ 3 ของไทยในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปเพราะไทยเป็นเสมือนประตูการค้าสู่ภูมิภาคอาเซียน
ในช่วงท้ายการหารือ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ามีกําหนดการเดินทางจะเข้าร่วมการประชุม ASEM Summit ในเดือนตุลาคม 2561 และหวังว่าจะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้พบหารือกับนายมาร์ก รึตเตอ นายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเชื่อมั่นว่าการพบหารือกันจะเป็นโอกาสในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทยกับเนเธอร์แลนด์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไป พร้อมยืนยันถึงกระบวนการปฏิรูปประชาธิปไตยของไทยว่า ได้บริหารประเทศโดยยึดตาม Roadmap และพร้อมที่จะจัดการเลือกตั้งทั่วไปในช่วงต้นปี 2562 ด้วย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15578
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลกของ THE และ QS
|
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2559
ผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลกของ THE และ QS
สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เผยผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลก ประจําปี 2016-2017 ของสองสถาบันชั้นนํา
โดยTimes Higher Education(THE) ยกให้University of Oxfordจากสหราชอาณาจักร ติดอันดับ1ของโลกส่วนQuacquarelli Symonds (QS) ให้Massachusetts Institute ofTechnology (MIT) จากสหรัฐอเมริกา ติดอันดับ1ของโลกโดยมหาวิทยาลัยมหิดล และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สลับกันติดอันดับดีที่สุดของมหาวิทยาลัยไทย
เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานการประชุมได้รับทราบข้อมูลผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลก ปี2016-2017ของสองสถาบันคือTHEและQSดังนี้
1. Times Higher Education(THE)ซึ่งเป็นสถาบันการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลกของประเทศอังกฤษ ได้ประกาศผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลก จํานวน990อันดับ ประจําปี ค.ศ.2016-2017เมื่อเดือนกันยายน2559โดยมีเกณฑ์ในการจัดอันดับด้วย5ตัวชี้วัดคือ1) จากการสํารวจคุณภาพการสอนและสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ของผู้เรียน2) จากการสํารวจคุณภาพงานวิจัย ปริมาณ รายได้ และชื่อเสียงของงานวิจัย3) จากการสํารวจข้อมูลการอ้างอิงในงานวิจัย การนํางานวิจัยของสถาบันไปใช้อ้างอิง4)จากการสํารวจความเป็นนานาชาติจากสายตาภายนอก เจ้าหน้าที่,นักศึกษาและงานวิจัยนานาชาติ5)จากการสํารวจข้อมูลรายได้ทางอุตสาหกรรม นวัตกรรมที่เป็นสิ่งใหม่ในวงวิชาการที่มหาวิทยาลัยได้คิดค้นขึ้น
โดยผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลก ปี 2016-2017 (Times Higher Education World University Rankings 2016-17) พบว่ามหาวิทยาลัยที่ถูกจัดให้อยู่ใน 10 อันดับแรกของโลก เป็นมหาวิทยาลัยจากสหรัฐอเมริกามากที่สุด จํานวน 7 แห่ง (อันดับ 10 มีมหาวิทยาลัยจํานวน 2 แห่ง คะแนนเท่ากัน) รองลงมาได้แก่ สหราชอาณาจักร จํานวน 3 แห่ง และประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จํานวน 1 แห่งโดยจัดอันดับให้University of Oxfordจากสหราชอาณาจักร ติดอันดับ1เบียดCaliforniaInstitute of Technologyจากสหรัฐอเมริกา ลงมาอันดับ2
สําหรับผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลกของกลุ่มมหาวิทยาลัยในภูมิภาคเอเชีย พบว่า มหาวิทยาลัยที่ถูกจัดให้อยู่ใน10อันดับแรกของเอเชีย เป็นมหาวิทยาลัยจากฮ่องกงมากที่สุด จํานวน3แห่ง รองลงมาได้แก่ สิงคโปร์ จีน และเกาหลีใต้ ประเทศละ2แห่ง และญี่ปุ่น จํานวน1แห่ง โดยNational University of Singapore (NUS)จากสิงคโปร์ ติดอันดับที่ดีที่สุดของมหาวิทยาลัยในเอเชีย
ในขณะที่ผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลกของกลุ่มมหาวิทยาลัยของไทย พบว่า มีมหาวิทยาลัยของไทย จํานวน9แห่ง ที่ได้รับการจัดอันดับในปี2016-2017โดยมีมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับอยู่ใน800อันดับแรกของโลก จํานวน5แห่งอันดับดีที่สุด คือมหาวิทยาลัยมหิดลรองลงมาเป็นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ทั้งนี้ กลุ่มมหาวิทยาลัยของไทยที่ได้รับการจัดอันดับในปี2016-2017มีรายละเอียดคะแนนตามตัวชี้วัด ดังนี้
Quacquarelli Symonds (QS)เป็นอีกสถาบันหนึ่งของประเทศอังกฤษ ที่ได้จัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลก โดยได้ประกาศผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลก จํานวน916อันดับ เมื่อเดือนกันยายน2559โดยใช้ข้อมูลจากสถาบันอุดมศึกษามากกว่า3,800สถาบัน จาก81ประเทศทั่วโลก ซึ่งพิจารณาจากเกณฑ์ในการจัดอันดับ จํานวน6ตัวชี้วัดต่างจากTimes Higher Educationดังนี้1)จากการสํารวจความมีชื่อเสียงทางวิชาการของQS Global Academic Surveyจํานวนกว่า74,651แบบสํารวจ จากนักวิชาการทั่วโลก2)จากการสํารวจความมีชื่อเสียงจากผู้จ้างงานของQS Global Employer Surveyจํานวนกว่า37,781แบบสํารวจ จากนักวิชาการทั่วโลก3)จากการสํารวจข้อมูลอัตราส่วนจํานวนนักศึกษาต่อจํานวนอาจารย์ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ4)จากการสํารวจจํานวนงานวิจัยที่ถูกนําไปใช้อ้างถึง ในรอบ5ปี โดยใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลScopus5)จากการสํารวจข้อมูลอัตราส่วนจํานวนอาจารย์ต่างประเทศ/นานาชาติของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ6)จากการสํารวจข้อมูลอัตราส่วนจํานวนนักศึกษาต่างประเทศ/นานาชาติของมหาวิทยาลัยต่าง ๆโดยพบว่าMassachusetts Institute ofTechnology (MIT)จากสหรัฐอเมริกา ติดอันดับ1ของโลก
โดยNational University of Singapore (NUS)จากสิงคโปร์ ติดอันดับ1ของมหาวิทยาลัยในทวีปเอเชีย เช่นเดียวกันการประเมินโดยสถาบันTHE
ในขณะที่ผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยของกลุ่มมหาวิทยาลัยของไทย พบว่า มีมหาวิทยาลัยของไทย จํานวน8แห่ง ที่ติดอันดับอยู่ใน916อันดับแรกของโลก โดยมหาวิทยาลัยของไทยที่ได้รับการจัดอันดับที่ดีที่สุด3อันดับแรก ได้แก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(อันดับที่252) มหาวิทยาลัยมหิดล (อันดับที่283) และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (อันดับที่551-600)
ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อวิเคราะห์การจัดอันดับมหาวิทยาลัยและเสนอแนะตัวชี้วัดที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศ ของ ก.พ.อ. อยู่ระหว่างการวิเคราะห์ตัวชี้วัดที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศ เพื่อกําหนดแนวทางการพัฒนามหาวิทยาลัยของไทยต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลกของ THE และ QS
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2559
ผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลกของ THE และ QS
สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เผยผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลก ประจําปี 2016-2017 ของสองสถาบันชั้นนํา
โดยTimes Higher Education(THE) ยกให้University of Oxfordจากสหราชอาณาจักร ติดอันดับ1ของโลกส่วนQuacquarelli Symonds (QS) ให้Massachusetts Institute ofTechnology (MIT) จากสหรัฐอเมริกา ติดอันดับ1ของโลกโดยมหาวิทยาลัยมหิดล และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สลับกันติดอันดับดีที่สุดของมหาวิทยาลัยไทย
เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานการประชุมได้รับทราบข้อมูลผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลก ปี2016-2017ของสองสถาบันคือTHEและQSดังนี้
1. Times Higher Education(THE)ซึ่งเป็นสถาบันการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลกของประเทศอังกฤษ ได้ประกาศผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลก จํานวน990อันดับ ประจําปี ค.ศ.2016-2017เมื่อเดือนกันยายน2559โดยมีเกณฑ์ในการจัดอันดับด้วย5ตัวชี้วัดคือ1) จากการสํารวจคุณภาพการสอนและสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ของผู้เรียน2) จากการสํารวจคุณภาพงานวิจัย ปริมาณ รายได้ และชื่อเสียงของงานวิจัย3) จากการสํารวจข้อมูลการอ้างอิงในงานวิจัย การนํางานวิจัยของสถาบันไปใช้อ้างอิง4)จากการสํารวจความเป็นนานาชาติจากสายตาภายนอก เจ้าหน้าที่,นักศึกษาและงานวิจัยนานาชาติ5)จากการสํารวจข้อมูลรายได้ทางอุตสาหกรรม นวัตกรรมที่เป็นสิ่งใหม่ในวงวิชาการที่มหาวิทยาลัยได้คิดค้นขึ้น
โดยผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลก ปี 2016-2017 (Times Higher Education World University Rankings 2016-17) พบว่ามหาวิทยาลัยที่ถูกจัดให้อยู่ใน 10 อันดับแรกของโลก เป็นมหาวิทยาลัยจากสหรัฐอเมริกามากที่สุด จํานวน 7 แห่ง (อันดับ 10 มีมหาวิทยาลัยจํานวน 2 แห่ง คะแนนเท่ากัน) รองลงมาได้แก่ สหราชอาณาจักร จํานวน 3 แห่ง และประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จํานวน 1 แห่งโดยจัดอันดับให้University of Oxfordจากสหราชอาณาจักร ติดอันดับ1เบียดCaliforniaInstitute of Technologyจากสหรัฐอเมริกา ลงมาอันดับ2
สําหรับผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลกของกลุ่มมหาวิทยาลัยในภูมิภาคเอเชีย พบว่า มหาวิทยาลัยที่ถูกจัดให้อยู่ใน10อันดับแรกของเอเชีย เป็นมหาวิทยาลัยจากฮ่องกงมากที่สุด จํานวน3แห่ง รองลงมาได้แก่ สิงคโปร์ จีน และเกาหลีใต้ ประเทศละ2แห่ง และญี่ปุ่น จํานวน1แห่ง โดยNational University of Singapore (NUS)จากสิงคโปร์ ติดอันดับที่ดีที่สุดของมหาวิทยาลัยในเอเชีย
ในขณะที่ผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลกของกลุ่มมหาวิทยาลัยของไทย พบว่า มีมหาวิทยาลัยของไทย จํานวน9แห่ง ที่ได้รับการจัดอันดับในปี2016-2017โดยมีมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับอยู่ใน800อันดับแรกของโลก จํานวน5แห่งอันดับดีที่สุด คือมหาวิทยาลัยมหิดลรองลงมาเป็นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ทั้งนี้ กลุ่มมหาวิทยาลัยของไทยที่ได้รับการจัดอันดับในปี2016-2017มีรายละเอียดคะแนนตามตัวชี้วัด ดังนี้
Quacquarelli Symonds (QS)เป็นอีกสถาบันหนึ่งของประเทศอังกฤษ ที่ได้จัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลก โดยได้ประกาศผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลก จํานวน916อันดับ เมื่อเดือนกันยายน2559โดยใช้ข้อมูลจากสถาบันอุดมศึกษามากกว่า3,800สถาบัน จาก81ประเทศทั่วโลก ซึ่งพิจารณาจากเกณฑ์ในการจัดอันดับ จํานวน6ตัวชี้วัดต่างจากTimes Higher Educationดังนี้1)จากการสํารวจความมีชื่อเสียงทางวิชาการของQS Global Academic Surveyจํานวนกว่า74,651แบบสํารวจ จากนักวิชาการทั่วโลก2)จากการสํารวจความมีชื่อเสียงจากผู้จ้างงานของQS Global Employer Surveyจํานวนกว่า37,781แบบสํารวจ จากนักวิชาการทั่วโลก3)จากการสํารวจข้อมูลอัตราส่วนจํานวนนักศึกษาต่อจํานวนอาจารย์ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ4)จากการสํารวจจํานวนงานวิจัยที่ถูกนําไปใช้อ้างถึง ในรอบ5ปี โดยใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลScopus5)จากการสํารวจข้อมูลอัตราส่วนจํานวนอาจารย์ต่างประเทศ/นานาชาติของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ6)จากการสํารวจข้อมูลอัตราส่วนจํานวนนักศึกษาต่างประเทศ/นานาชาติของมหาวิทยาลัยต่าง ๆโดยพบว่าMassachusetts Institute ofTechnology (MIT)จากสหรัฐอเมริกา ติดอันดับ1ของโลก
โดยNational University of Singapore (NUS)จากสิงคโปร์ ติดอันดับ1ของมหาวิทยาลัยในทวีปเอเชีย เช่นเดียวกันการประเมินโดยสถาบันTHE
ในขณะที่ผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยของกลุ่มมหาวิทยาลัยของไทย พบว่า มีมหาวิทยาลัยของไทย จํานวน8แห่ง ที่ติดอันดับอยู่ใน916อันดับแรกของโลก โดยมหาวิทยาลัยของไทยที่ได้รับการจัดอันดับที่ดีที่สุด3อันดับแรก ได้แก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(อันดับที่252) มหาวิทยาลัยมหิดล (อันดับที่283) และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (อันดับที่551-600)
ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อวิเคราะห์การจัดอันดับมหาวิทยาลัยและเสนอแนะตัวชี้วัดที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศ ของ ก.พ.อ. อยู่ระหว่างการวิเคราะห์ตัวชี้วัดที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศ เพื่อกําหนดแนวทางการพัฒนามหาวิทยาลัยของไทยต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1161
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เผย อุบัติเหตุ 2 วัน ช่วงเทศกาลปีใหม่จากดื่มแล้วขับมากที่สุด
|
วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2562
“อนุทิน” เผย อุบัติเหตุ 2 วัน ช่วงเทศกาลปีใหม่จากดื่มแล้วขับมากที่สุด
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเผยอุบัติเหตุ 2 วันแรก ในช่วง 7 วันอันตรายเทศกาลปีใหม่ 2563 จากดื่มแล้วขับมากที่สุด หากตรวจพบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด โทษจําคุก 10 ปี ปรับสูงสุด 2 แสนบาท เข้มกรณีเด็กอายุต่ํากว่า 18
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเผยอุบัติเหตุ 2 วันแรก ในช่วง 7 วันอันตรายเทศกาลปีใหม่ 2563 จากดื่มแล้วขับมากที่สุด หากตรวจพบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด โทษจําคุก 10 ปี ปรับสูงสุด 2 แสนบาท เข้มกรณีเด็กอายุต่ํากว่า 18 ผู้ขาย/ ผู้ให้ มีความผิดร่วม
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับรายงานข้อมูลอุบัติเหตุ ในช่วง 7 วันอันตราย ปีใหม่ 2563 สาเหตุของอุบัติจากการดื่มแล้วขับสูงสุดถึงร้อยละ 33 จึงขอย้ําให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลทุกแห่งร่วมมือกับตํารวจในพื้นที่บังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่อย่างเข้มงวด หากเกิดอุบัติเหตุหรือทําให้มีผู้บาดเจ็บมีโทษจําคุก 10 ปี และปรับสูงสุด 2 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ํากว่า 18 ปี จะสืบถึงต้นตอ ผู้จําหน่าย ผู้ให้ หรือผู้ปกครองรู้เห็นเป็นใจ จะมีความผิดร่วม
นายอนุทินกล่าวต่อว่า สําหรับในกรณีที่จังหวัดน่านเด็กอายุต่ํากว่า 18 เกิดอุบัติเหตุ โรงพยาบาลน่านได้รับรักษาพร้อมดําเนินการตรวจหาแอลกอฮอล์ในเลือด พบมีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกฎหมายกําหนด จึงประสานเจ้าหน้าที่ตํารวจในการ ดําเนินคดีข้อหาเมาแล้วขับกับตัวเยาวชนรวมถึงผู้ที่ให้เยาวชนดื่มสุรา ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก
**************************************** 29 ธันวาคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” เผย อุบัติเหตุ 2 วัน ช่วงเทศกาลปีใหม่จากดื่มแล้วขับมากที่สุด
วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2562
“อนุทิน” เผย อุบัติเหตุ 2 วัน ช่วงเทศกาลปีใหม่จากดื่มแล้วขับมากที่สุด
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเผยอุบัติเหตุ 2 วันแรก ในช่วง 7 วันอันตรายเทศกาลปีใหม่ 2563 จากดื่มแล้วขับมากที่สุด หากตรวจพบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด โทษจําคุก 10 ปี ปรับสูงสุด 2 แสนบาท เข้มกรณีเด็กอายุต่ํากว่า 18
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเผยอุบัติเหตุ 2 วันแรก ในช่วง 7 วันอันตรายเทศกาลปีใหม่ 2563 จากดื่มแล้วขับมากที่สุด หากตรวจพบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด โทษจําคุก 10 ปี ปรับสูงสุด 2 แสนบาท เข้มกรณีเด็กอายุต่ํากว่า 18 ผู้ขาย/ ผู้ให้ มีความผิดร่วม
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับรายงานข้อมูลอุบัติเหตุ ในช่วง 7 วันอันตราย ปีใหม่ 2563 สาเหตุของอุบัติจากการดื่มแล้วขับสูงสุดถึงร้อยละ 33 จึงขอย้ําให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลทุกแห่งร่วมมือกับตํารวจในพื้นที่บังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่อย่างเข้มงวด หากเกิดอุบัติเหตุหรือทําให้มีผู้บาดเจ็บมีโทษจําคุก 10 ปี และปรับสูงสุด 2 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ํากว่า 18 ปี จะสืบถึงต้นตอ ผู้จําหน่าย ผู้ให้ หรือผู้ปกครองรู้เห็นเป็นใจ จะมีความผิดร่วม
นายอนุทินกล่าวต่อว่า สําหรับในกรณีที่จังหวัดน่านเด็กอายุต่ํากว่า 18 เกิดอุบัติเหตุ โรงพยาบาลน่านได้รับรักษาพร้อมดําเนินการตรวจหาแอลกอฮอล์ในเลือด พบมีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกฎหมายกําหนด จึงประสานเจ้าหน้าที่ตํารวจในการ ดําเนินคดีข้อหาเมาแล้วขับกับตัวเยาวชนรวมถึงผู้ที่ให้เยาวชนดื่มสุรา ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก
**************************************** 29 ธันวาคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25545
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ให้ความมั่นใจกระบวนการผลิตวัคซีนโควิด 19 ของประเทศไทยคืบหน้า [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563
ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ให้ความมั่นใจกระบวนการผลิตวัคซีนโควิด 19 ของประเทศไทยคืบหน้า [กระทรวงสาธารณสุข]
ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ให้ความมั่นใจกระบวนการผลิตวัคซีนโควิด 19 ของประเทศไทยคืบหน้า
ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ให้ความมั่นใจกระบวนการผลิตวัคซีนโควิด 19 ของประเทศไทยคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ผนึกกําลังหลายหน่วยงานได้ผลก้าวหน้าทัดเทียมกับนานาชาติ เชื่อว่าหากการทดสอบในแต่ละขั้นตอนประสบผลสําเร็จจะได้วัคซีนที่มีคุณภาพให้คนไทยได้ใช้ในกรอบระยะเวลา 12-18 เดือน เผยต้องคิดค้นวิจัยเองเพื่อให้คนไทยมีใช้รวดเร็ว หากรอซื้อจากต่างประเทศอาจไม่ได้ใช้ทันเวลา ส่วนภาคการผลิตพร้อมขยายกําลังการผลิตจํานวนมาก รอแค่ผลวิจัยวัคซีนตัวไหนดีที่สุด
วันนี้ (24 พฤษภาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ความก้าวหน้าวัคซีนโควิด-19 โดยนายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อํานวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าการพัฒนาวิจัยวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด 19 ว่า ประเทศไทยภายใต้ความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทําวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ประกอบด้วย กระทรวงสาธารณสุข, กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม, สถาบันการศึกษาอีกหลายแห่ง รวมทั้งไบโอเทค สวทช. และบริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จํากัด ขณะนี้มีความก้าวหน้าอย่างมีนัยสําคัญ โดยเฉพาะคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ผลการวิจัยในรูปแบบวัคซีน mRNA ประสบความสําเร็จในการทดลองในหนูและเริ่มทดลองในลิง ขณะที่นานาชาติมีการวิจัยวัคซีนอีก 114 ชนิด ที่กําลังอยู่ในขั้นตอนการทดลองในสัตว์ทดลอง และมีวัคซีนอีก 10 ชนิด ที่มีการทดลองในคน ประเทศที่มีความก้าวหน้าอย่างมากในเวลานี้ ได้แก่ จีน สหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมัน และออสเตรเลียทั้งนี้ การจะผลิตวัคซีนป้องกันโควิด 19ให้คนไทยเข้าถึง ต้องนําศักยภาพของแต่ละหน่วยงานมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศรวมทั้งการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานวิจัยและผู้ผลิตทั้งในและนอกประเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์ร่วมด้วย ถ้าได้ผลการวิจัยออกมาดีและเป็นไปตามแผน คาดว่าจะได้วัคซีนที่ดีและเหมาะสมกับคนไทยและผลิตในเชิงอุตสาหกรรมได้ ภายในเวลา 12-18 เดือน
ขณะที่ศาสตราจารย์ นายแพทย์เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อํานวยการโครงการวิจัยวัคซีนโควิด 19 ของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การเตรียมวัคซีนให้กับประชากรโลกนั้น หากมีประเทศใดที่ผลิตได้สําเร็จ แน่นอนว่าต้องให้ประชากรของประเทศตัวเองก่อน ตอนนี้มีจีนและสหรัฐฯที่มี่ความก้าวหน้าไปมาก 2 ประเทศนี้ประชากรรวมกันประมาณ 1.8 พันล้านคน แค่ผลิตเพียงครึ่งเดียวอาจมากถึง 800-900 ล้านโด๊ส กว่าจะส่งให้ประเทศอื่นจึงต้องรอเวลา สําหรับประเทศไทยมีนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย ที่มีความสามารถสูง มีความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเพลซิวาเนียที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีล่าสุด และการได้เห็นตัวอย่างของเทคโนโลยีการวิจัยจากประเทศต่าง ๆ ที่ประสบความสําเร็จ จึงมั่นใจว่าเราจะวิจัยและพัฒนาวัคซีนได้ไม่ช้าไปกว่าประเทศอื่น ๆ มากนัก และอยู่ในกรอบเวลาที่ประมาณ 1 ปี หรือ 1 ปีครึ่ง ขณะนี้จึงได้ประสานโรงงานขนาดเล็กเพื่อผลิตวัคซีนที่ได้มาตรฐานสําหรับการวิจัยในคนเอาไว้แล้ว พร้อมกับการเจรจาเพื่อการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบริษัทวัคซีนในประเทศไทยหากผลการทดสอบวัคซีนในแต่ละขั้นตอนประสบความสําเร็จ
ส่วนนายวิฑูรย์ วงศ์หาญกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จํากัด กล่าวว่า เทคโนโลยีการผลิตวัคซีนของบริษัทฯ มีประสบการณ์ มีนักวิจัยที่มีความสามารถและมีความพร้อมที่จะรองรับการผลิตวัคซีนโควิด19 ในระดับอุตสาหกรรมได้หลากหลายรูปแบบตามผลสําเร็จของการวิจัย และพร้อมทําความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศเพื่อการถ่ายทอดเทคโนโลยี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลการวิจัยว่าจะได้วัคซีนตัวไหนที่ดีและเหมาะสมที่สุด ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่าขณะนี้บริษัทสามารถดําเนินการการวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ขึ้นมาได้เองได้อย่างรวดเร็วกว่าวัคซีนปกติทั่วไป และเริ่มทําการทดสอบในหนูไปแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างการรอผล อีกทั้งยังมีความร่วมมือกับหลายหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนเพื่อวางแผนความร่วมมือกันถือว่าระบบการผลิตเรามีความพร้อมที่จะสามารถขยายกําลังการผลิตได้เพิ่มขึ้นสําหรับวัคซีนที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าสามารถป้องกันโรคได้ให้เพียงพอต่อความต้องการของประเทศไทยได้เมื่อถึงเวลานั้น
**********************
24 พฤษภาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ให้ความมั่นใจกระบวนการผลิตวัคซีนโควิด 19 ของประเทศไทยคืบหน้า [กระทรวงสาธารณสุข]
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563
ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ให้ความมั่นใจกระบวนการผลิตวัคซีนโควิด 19 ของประเทศไทยคืบหน้า [กระทรวงสาธารณสุข]
ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ให้ความมั่นใจกระบวนการผลิตวัคซีนโควิด 19 ของประเทศไทยคืบหน้า
ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ให้ความมั่นใจกระบวนการผลิตวัคซีนโควิด 19 ของประเทศไทยคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ผนึกกําลังหลายหน่วยงานได้ผลก้าวหน้าทัดเทียมกับนานาชาติ เชื่อว่าหากการทดสอบในแต่ละขั้นตอนประสบผลสําเร็จจะได้วัคซีนที่มีคุณภาพให้คนไทยได้ใช้ในกรอบระยะเวลา 12-18 เดือน เผยต้องคิดค้นวิจัยเองเพื่อให้คนไทยมีใช้รวดเร็ว หากรอซื้อจากต่างประเทศอาจไม่ได้ใช้ทันเวลา ส่วนภาคการผลิตพร้อมขยายกําลังการผลิตจํานวนมาก รอแค่ผลวิจัยวัคซีนตัวไหนดีที่สุด
วันนี้ (24 พฤษภาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ความก้าวหน้าวัคซีนโควิด-19 โดยนายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อํานวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าการพัฒนาวิจัยวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด 19 ว่า ประเทศไทยภายใต้ความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทําวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ประกอบด้วย กระทรวงสาธารณสุข, กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม, สถาบันการศึกษาอีกหลายแห่ง รวมทั้งไบโอเทค สวทช. และบริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จํากัด ขณะนี้มีความก้าวหน้าอย่างมีนัยสําคัญ โดยเฉพาะคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ผลการวิจัยในรูปแบบวัคซีน mRNA ประสบความสําเร็จในการทดลองในหนูและเริ่มทดลองในลิง ขณะที่นานาชาติมีการวิจัยวัคซีนอีก 114 ชนิด ที่กําลังอยู่ในขั้นตอนการทดลองในสัตว์ทดลอง และมีวัคซีนอีก 10 ชนิด ที่มีการทดลองในคน ประเทศที่มีความก้าวหน้าอย่างมากในเวลานี้ ได้แก่ จีน สหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมัน และออสเตรเลียทั้งนี้ การจะผลิตวัคซีนป้องกันโควิด 19ให้คนไทยเข้าถึง ต้องนําศักยภาพของแต่ละหน่วยงานมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศรวมทั้งการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานวิจัยและผู้ผลิตทั้งในและนอกประเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์ร่วมด้วย ถ้าได้ผลการวิจัยออกมาดีและเป็นไปตามแผน คาดว่าจะได้วัคซีนที่ดีและเหมาะสมกับคนไทยและผลิตในเชิงอุตสาหกรรมได้ ภายในเวลา 12-18 เดือน
ขณะที่ศาสตราจารย์ นายแพทย์เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อํานวยการโครงการวิจัยวัคซีนโควิด 19 ของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การเตรียมวัคซีนให้กับประชากรโลกนั้น หากมีประเทศใดที่ผลิตได้สําเร็จ แน่นอนว่าต้องให้ประชากรของประเทศตัวเองก่อน ตอนนี้มีจีนและสหรัฐฯที่มี่ความก้าวหน้าไปมาก 2 ประเทศนี้ประชากรรวมกันประมาณ 1.8 พันล้านคน แค่ผลิตเพียงครึ่งเดียวอาจมากถึง 800-900 ล้านโด๊ส กว่าจะส่งให้ประเทศอื่นจึงต้องรอเวลา สําหรับประเทศไทยมีนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย ที่มีความสามารถสูง มีความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเพลซิวาเนียที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีล่าสุด และการได้เห็นตัวอย่างของเทคโนโลยีการวิจัยจากประเทศต่าง ๆ ที่ประสบความสําเร็จ จึงมั่นใจว่าเราจะวิจัยและพัฒนาวัคซีนได้ไม่ช้าไปกว่าประเทศอื่น ๆ มากนัก และอยู่ในกรอบเวลาที่ประมาณ 1 ปี หรือ 1 ปีครึ่ง ขณะนี้จึงได้ประสานโรงงานขนาดเล็กเพื่อผลิตวัคซีนที่ได้มาตรฐานสําหรับการวิจัยในคนเอาไว้แล้ว พร้อมกับการเจรจาเพื่อการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบริษัทวัคซีนในประเทศไทยหากผลการทดสอบวัคซีนในแต่ละขั้นตอนประสบความสําเร็จ
ส่วนนายวิฑูรย์ วงศ์หาญกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จํากัด กล่าวว่า เทคโนโลยีการผลิตวัคซีนของบริษัทฯ มีประสบการณ์ มีนักวิจัยที่มีความสามารถและมีความพร้อมที่จะรองรับการผลิตวัคซีนโควิด19 ในระดับอุตสาหกรรมได้หลากหลายรูปแบบตามผลสําเร็จของการวิจัย และพร้อมทําความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศเพื่อการถ่ายทอดเทคโนโลยี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลการวิจัยว่าจะได้วัคซีนตัวไหนที่ดีและเหมาะสมที่สุด ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่าขณะนี้บริษัทสามารถดําเนินการการวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ขึ้นมาได้เองได้อย่างรวดเร็วกว่าวัคซีนปกติทั่วไป และเริ่มทําการทดสอบในหนูไปแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างการรอผล อีกทั้งยังมีความร่วมมือกับหลายหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนเพื่อวางแผนความร่วมมือกันถือว่าระบบการผลิตเรามีความพร้อมที่จะสามารถขยายกําลังการผลิตได้เพิ่มขึ้นสําหรับวัคซีนที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าสามารถป้องกันโรคได้ให้เพียงพอต่อความต้องการของประเทศไทยได้เมื่อถึงเวลานั้น
**********************
24 พฤษภาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31395
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ป้องกันปัญหาการเอาเปรียบนักท่องเที่ยวต่างชาติ
|
วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม 2562
ป้องกันปัญหาการเอาเปรียบนักท่องเที่ยวต่างชาติ
วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงความเป็นห่วงเรื่องปัญหาการเอาเปรียบนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น กรณีรถตู้โดยสารเรียกเก็บค่าบริการสูงเกินจริง โดยกําชับให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองคอยสอดส่องดูแลอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก รวมทั้งขอความร่วมมือผู้ประกอบการช่วยกันดูแลเป็นหูเป็นตาตรวจสอบซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ รัฐบาลพยายามใช้ทุกมาตรการเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทําให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของโลก ซึ่งนอกจากจะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามแล้ว น้ําใจไมตรีของคนไทยยังเป็นสิ่งที่คนทั่วโลกชื่นชมและประทับใจในความเป็นไทย ดังนั้น คนไทยทุกคนจึงควรเป็นเจ้าบ้านที่ดีต้อนรับผู้มาเยือนอย่างอบอุ่น และไม่เอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวอย่างเด็ดขาด
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ป้องกันปัญหาการเอาเปรียบนักท่องเที่ยวต่างชาติ
วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม 2562
ป้องกันปัญหาการเอาเปรียบนักท่องเที่ยวต่างชาติ
วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงความเป็นห่วงเรื่องปัญหาการเอาเปรียบนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น กรณีรถตู้โดยสารเรียกเก็บค่าบริการสูงเกินจริง โดยกําชับให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองคอยสอดส่องดูแลอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก รวมทั้งขอความร่วมมือผู้ประกอบการช่วยกันดูแลเป็นหูเป็นตาตรวจสอบซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ รัฐบาลพยายามใช้ทุกมาตรการเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทําให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของโลก ซึ่งนอกจากจะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามแล้ว น้ําใจไมตรีของคนไทยยังเป็นสิ่งที่คนทั่วโลกชื่นชมและประทับใจในความเป็นไทย ดังนั้น คนไทยทุกคนจึงควรเป็นเจ้าบ้านที่ดีต้อนรับผู้มาเยือนอย่างอบอุ่น และไม่เอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวอย่างเด็ดขาด
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21671
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. นำหลักกัลยาณมิตร บูรณาการเร่งขับเคลื่อนงานด้านการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์
|
วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2560
ปลัด พม. นําหลักกัลยาณมิตร บูรณาการเร่งขับเคลื่อนงานด้านการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์
ปลัด พม. นําหลักกัลยาณมิตร บูรณาการเร่งขับเคลื่อนงานด้านการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์
วันนี้ (10 พ.ย. 60) เวลา 11.45 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่านายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ร่วมประชุมหารือการดําเนินงานด้านการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ โดยมีพลเอกมงคล เผ่าพงษ์คล้าย ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมการจัดหางาน กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมการกงสุล กรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ กรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง และศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) เข้าร่วมหารือ ซึ่งบรรยากาศเป็นแบบเรียบง่ายและเป็นกันเอง จากนั้นได้รับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างการดําเนินงาน ณ ห้องรับรอง ชั้น 9 กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ
นายพุฒิพัฒน์กล่าวว่า สําหรับการหารือในวันนี้ ได้หารือถึงการดําเนินงานด้านการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ในประเด็นปัญหา ข้อขัดข้อง และความร่วมมือในการทํางานโดยเฉพาะด้านแรงงาน อีกทั้ง ในเรื่องข้อเสนอแนะของสหรัฐอเมริกา ในรายงาน Tip Report ประจําปี 2560 ด้านการป้องกัน เช่น การฝึกอบรมทีมสหวิชาชีพ และพนักงานตรวจแรงงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจเรือประมง ซึ่งจะนําไปสู่การคัดแยกผู้เสียหายและการคุ้มครองช่วยเหลือ การดําเนินคดีกับผู้กระทําผิด นอกจากนี้ กระทรวง พม. ยังได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์ เพื่อขับเคลื่อนงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
"ทั้งนี้ กระทรวง พม. พร้อมบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์อย่างเต็มที่ เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาดังกล่าวซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ และมีความมุ่งมั่นในการดําเนินงานเกี่ยวกับการคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ตามมาตรฐานสากล โดยคํานึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์เป็นสําคัญ”นายพุฒิพัฒน์กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. นำหลักกัลยาณมิตร บูรณาการเร่งขับเคลื่อนงานด้านการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์
วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2560
ปลัด พม. นําหลักกัลยาณมิตร บูรณาการเร่งขับเคลื่อนงานด้านการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์
ปลัด พม. นําหลักกัลยาณมิตร บูรณาการเร่งขับเคลื่อนงานด้านการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์
วันนี้ (10 พ.ย. 60) เวลา 11.45 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่านายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ร่วมประชุมหารือการดําเนินงานด้านการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ โดยมีพลเอกมงคล เผ่าพงษ์คล้าย ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมการจัดหางาน กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมการกงสุล กรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ กรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง และศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) เข้าร่วมหารือ ซึ่งบรรยากาศเป็นแบบเรียบง่ายและเป็นกันเอง จากนั้นได้รับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างการดําเนินงาน ณ ห้องรับรอง ชั้น 9 กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ
นายพุฒิพัฒน์กล่าวว่า สําหรับการหารือในวันนี้ ได้หารือถึงการดําเนินงานด้านการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ในประเด็นปัญหา ข้อขัดข้อง และความร่วมมือในการทํางานโดยเฉพาะด้านแรงงาน อีกทั้ง ในเรื่องข้อเสนอแนะของสหรัฐอเมริกา ในรายงาน Tip Report ประจําปี 2560 ด้านการป้องกัน เช่น การฝึกอบรมทีมสหวิชาชีพ และพนักงานตรวจแรงงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจเรือประมง ซึ่งจะนําไปสู่การคัดแยกผู้เสียหายและการคุ้มครองช่วยเหลือ การดําเนินคดีกับผู้กระทําผิด นอกจากนี้ กระทรวง พม. ยังได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์ เพื่อขับเคลื่อนงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
"ทั้งนี้ กระทรวง พม. พร้อมบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์อย่างเต็มที่ เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาดังกล่าวซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ และมีความมุ่งมั่นในการดําเนินงานเกี่ยวกับการคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ตามมาตรฐานสากล โดยคํานึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์เป็นสําคัญ”นายพุฒิพัฒน์กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7988
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา สั่งการมาตรการช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์ สู้วิกฤตไวรัสโควิค – 19 [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์]
|
วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2563
รมช.มนัญญา สั่งการมาตรการช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์ สู้วิกฤตไวรัสโควิค – 19 [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์]
รมช.มนัญญา สั่งการมาตรการช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์ สู้วิกฤตไวรัสโควิค – 19
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานแถลงข่าว เรื่อง มาตรการช่วยเหลือและบรรเทาปัญหาหนี้สินให้กับสมาชิกสหกรณ์และสหกรณ์ทั่วประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโควิค – 19 ระบาด ณ กรมส่งเสริมสหกรณ์
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตระหนักถึงความเดือดร้อนของสมาชิกสหกรณ์ และการดําเนินธุรกิจของสหกรณ์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโควิค – 19 ระบาด ส่งผลให้รายได้ของสมาชิกสหกรณ์ลดลง ธุรกิจสหกรณ์หยุดชะงัก จึงได้กําหนดมาตรการช่วยเหลือเพื่อนบรรเทาภาระหนี้สิน ได้แก่ การขยายเวลาการชําระหนี้ การพักชําระหนี้เป็นการชั่วคราว การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในส่วนการชําระค่าหุ้นของสมาชิก ขอให้ปรับลดหรืองดส่งค่าหุ้นรายเดือนเป็นการชั่วคราว หรืองดหักส่งค่าหุ้น ตามส่วนของเงินกู้จนกว่าจะเข้าสู่สถานการณ์ปกติ
โดยมาตรการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาภาระหนี้สินของสหกรณ์ดังกล่าว มี 3 แนวทาง คือ
1. สหกรณ์ที่เป็นลูกหนี้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ประสานขอความร่วมมือ ธ.ก.ส. ผ่อนผันการชําระหนี้ให้แก่สหกรณ์ที่ได้รับผลกระทบ โดยขอขยายระยะเวลาการชําระหนี้ให้สหกรณ์ ไม่เกิน 20 ปี ปลอดชําระต้นเงิน 3 ปีแรก และขอสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูการดําเนินธุรกิจของสหกรณ์ โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราไม่ต่ํากว่า MLR-1 ต่อปี ซึ่งหากสหกรณ์ใดมีความประสงค์จะเข้าร่วมมาตรการดังกล่าว สามารถติดต่อ ธ.ก.ส. สาขาที่สหกรณ์กู้ยืมเงิน
2. สหกรณ์ที่เป็นลูกหนี้กองทุนพัฒนาสหกรณ์ (กพส.) ให้ขยายเวลาการชําระหนี้ได้ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ซึ่งสหกรณ์จะต้องผ่อนผันขยายระยะเวลาการชําระหนี้ให้แก่สมาชิกผู้กู้เงินจากสหกรณ์เช่นเดียวกัน
3.กลุ่มเกษตรกรที่เป็นลูกหนี้กองทุนสงเคราะห์เกษตรกร จะได้รับการขยายระยะเวลาการชําระหนี้ที่จะครบกําหนดชําระออกไปอีก 1 ปี โดยขยายเวลาชําระหนี้ไปจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 และกลุ่มเกษตรกรจะต้องขยายระยะเวลาการชําระหนี้ งดคิดดอกเบี้ยและค่าปรับกับสมาชิกด้วย ซึ่งสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่จะขอขยายเวลาการชําระหนี้จากกองทุนพัฒนาสหกรณ์และกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร สามารถยื่นคําร้องได้ที่สํานักงานสหกรณ์จังหวัดทุกจังหวัดทั้งนี้ คาดว่าทุกมาตรการจะช่วยบรรเทาปัญหาภาระหนี้สินให้กับสหกรณ์และสมาชิกสหกรณ์ในช่วงสถานการณ์ไวรัสโควิค – 19 ระบาด ต่อไป
ทั้งนี้การมาตรการดังกล่าวจะสามารถบรรเทาภาระหนี้สินของสหกรณ์และสมาชิกสหกรณ์ ในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ประชาชนมีรายได้ลดลง และไม่เพียงพอต่อการครองชีพ ซึ่งสหกรณ์ซึ่งเป็นองค์กรธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับประชาชนทุกภาคส่วน ปัจจุบันมีสหกรณ์ 6,579 แห่ง สมาชิกกว่า 11 ล้านคน เป็นสหกรณ์ภาคการเกษตร จํานวน 3,453 สหกรณ์ มีสมาชิกที่กู้ยืมเงินจากสหกรณ์เพื่อไปประกอบอาชีพทางการเกษตร 1.035 ล้านคน จํานวนเงิน 178,473.04 ล้านบาท ซึ่งเงินที่ให้สมาชิกกู้ยืม ส่วนหนึ่งมาจากทุนของสหกรณ์เอง และบางสหกรณ์กู้ยืมมาจากแหล่งเงินทุนภายนอก ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) กองทุนพัฒนาสหกรณ์ และสถาบันการเงินอื่น สหกรณ์นอกภาคการเกษตร (ออมทรัพย์ เครดิตยูเนี่ยน บริการ และร้านค้า) 3,126 สหกรณ์ มีสหกรณ์ที่ได้รับผลกระทบประมาณ 600 แห่ง เป็นสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบการณ์และรัฐวิสาหกิจ สมาชิก 188,700 ราย วงเงินกู้ 122,807 ล้านบาท สําหรับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ มีจํานวน 36 แห่ง สมาชิก 36,500 ราย วงเงินกู้ 600 ล้านบาท และสหกรณ์เดินรถซึ่งเป็นสหกรณ์บริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจภาคการท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ซึ่งมีจํานวน 230 แห่ง สมาชิก 100,207 ราย มีการให้เงินกู้ยืมแก่สมาชิกรวม 1,444.85 ล้านบาท
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา สั่งการมาตรการช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์ สู้วิกฤตไวรัสโควิค – 19 [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์]
วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2563
รมช.มนัญญา สั่งการมาตรการช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์ สู้วิกฤตไวรัสโควิค – 19 [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์]
รมช.มนัญญา สั่งการมาตรการช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์ สู้วิกฤตไวรัสโควิค – 19
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานแถลงข่าว เรื่อง มาตรการช่วยเหลือและบรรเทาปัญหาหนี้สินให้กับสมาชิกสหกรณ์และสหกรณ์ทั่วประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโควิค – 19 ระบาด ณ กรมส่งเสริมสหกรณ์
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตระหนักถึงความเดือดร้อนของสมาชิกสหกรณ์ และการดําเนินธุรกิจของสหกรณ์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโควิค – 19 ระบาด ส่งผลให้รายได้ของสมาชิกสหกรณ์ลดลง ธุรกิจสหกรณ์หยุดชะงัก จึงได้กําหนดมาตรการช่วยเหลือเพื่อนบรรเทาภาระหนี้สิน ได้แก่ การขยายเวลาการชําระหนี้ การพักชําระหนี้เป็นการชั่วคราว การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในส่วนการชําระค่าหุ้นของสมาชิก ขอให้ปรับลดหรืองดส่งค่าหุ้นรายเดือนเป็นการชั่วคราว หรืองดหักส่งค่าหุ้น ตามส่วนของเงินกู้จนกว่าจะเข้าสู่สถานการณ์ปกติ
โดยมาตรการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาภาระหนี้สินของสหกรณ์ดังกล่าว มี 3 แนวทาง คือ
1. สหกรณ์ที่เป็นลูกหนี้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ประสานขอความร่วมมือ ธ.ก.ส. ผ่อนผันการชําระหนี้ให้แก่สหกรณ์ที่ได้รับผลกระทบ โดยขอขยายระยะเวลาการชําระหนี้ให้สหกรณ์ ไม่เกิน 20 ปี ปลอดชําระต้นเงิน 3 ปีแรก และขอสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูการดําเนินธุรกิจของสหกรณ์ โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราไม่ต่ํากว่า MLR-1 ต่อปี ซึ่งหากสหกรณ์ใดมีความประสงค์จะเข้าร่วมมาตรการดังกล่าว สามารถติดต่อ ธ.ก.ส. สาขาที่สหกรณ์กู้ยืมเงิน
2. สหกรณ์ที่เป็นลูกหนี้กองทุนพัฒนาสหกรณ์ (กพส.) ให้ขยายเวลาการชําระหนี้ได้ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ซึ่งสหกรณ์จะต้องผ่อนผันขยายระยะเวลาการชําระหนี้ให้แก่สมาชิกผู้กู้เงินจากสหกรณ์เช่นเดียวกัน
3.กลุ่มเกษตรกรที่เป็นลูกหนี้กองทุนสงเคราะห์เกษตรกร จะได้รับการขยายระยะเวลาการชําระหนี้ที่จะครบกําหนดชําระออกไปอีก 1 ปี โดยขยายเวลาชําระหนี้ไปจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 และกลุ่มเกษตรกรจะต้องขยายระยะเวลาการชําระหนี้ งดคิดดอกเบี้ยและค่าปรับกับสมาชิกด้วย ซึ่งสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่จะขอขยายเวลาการชําระหนี้จากกองทุนพัฒนาสหกรณ์และกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร สามารถยื่นคําร้องได้ที่สํานักงานสหกรณ์จังหวัดทุกจังหวัดทั้งนี้ คาดว่าทุกมาตรการจะช่วยบรรเทาปัญหาภาระหนี้สินให้กับสหกรณ์และสมาชิกสหกรณ์ในช่วงสถานการณ์ไวรัสโควิค – 19 ระบาด ต่อไป
ทั้งนี้การมาตรการดังกล่าวจะสามารถบรรเทาภาระหนี้สินของสหกรณ์และสมาชิกสหกรณ์ ในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ประชาชนมีรายได้ลดลง และไม่เพียงพอต่อการครองชีพ ซึ่งสหกรณ์ซึ่งเป็นองค์กรธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับประชาชนทุกภาคส่วน ปัจจุบันมีสหกรณ์ 6,579 แห่ง สมาชิกกว่า 11 ล้านคน เป็นสหกรณ์ภาคการเกษตร จํานวน 3,453 สหกรณ์ มีสมาชิกที่กู้ยืมเงินจากสหกรณ์เพื่อไปประกอบอาชีพทางการเกษตร 1.035 ล้านคน จํานวนเงิน 178,473.04 ล้านบาท ซึ่งเงินที่ให้สมาชิกกู้ยืม ส่วนหนึ่งมาจากทุนของสหกรณ์เอง และบางสหกรณ์กู้ยืมมาจากแหล่งเงินทุนภายนอก ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) กองทุนพัฒนาสหกรณ์ และสถาบันการเงินอื่น สหกรณ์นอกภาคการเกษตร (ออมทรัพย์ เครดิตยูเนี่ยน บริการ และร้านค้า) 3,126 สหกรณ์ มีสหกรณ์ที่ได้รับผลกระทบประมาณ 600 แห่ง เป็นสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบการณ์และรัฐวิสาหกิจ สมาชิก 188,700 ราย วงเงินกู้ 122,807 ล้านบาท สําหรับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ มีจํานวน 36 แห่ง สมาชิก 36,500 ราย วงเงินกู้ 600 ล้านบาท และสหกรณ์เดินรถซึ่งเป็นสหกรณ์บริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจภาคการท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ซึ่งมีจํานวน 230 แห่ง สมาชิก 100,207 ราย มีการให้เงินกู้ยืมแก่สมาชิกรวม 1,444.85 ล้านบาท
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28327
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐ ครั้งที่ 1/2560
|
วันอังคารที่ 3 ตุลาคม 2560
รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐ ครั้งที่ 1/2560
ที่ประชุมเห็นชอบในเรื่องขับเคลื่อนการดําเนินงานจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และศูนย์บริการร่วม ณ จุดเดียว (One Stop Service) เพื่อให้มีประสิทธิภาพและเกิดผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นรวมทั้งให้ดําเนินการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลภาครัฐ (Government Data Center)
วันนี้ (3 ตุลาคม 2560) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐ ครั้งที่ 1/2560 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแนวทางการดําเนินงานตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีในการขับเคลื่อนการดําเนินงานในเรื่องการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และศูนย์บริการร่วม ณ จุดเดียว (One Stop Service) ให้มีประสิทธิภาพและเกิดผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น รวมทั้งให้ดําเนินการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลภาครัฐ (Government Data Center) โดยประสานหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ นําข้อมูลที่พร้อมให้บริการมาดําเนินการเป็นโครงการนําร่องให้แล้วเสร็จภายในปี 2560
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการขับเคลื่อนบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการบูรณาการทั้ง 4 คณะ เพื่อเร่งดําเนินการให้บูรณาการฐานข้อมมูลภาครัฐด้านต่าง ๆ ให้เห็นผลเป็นรูปธรรม และนําเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐภายในเดือนธันวาคม 2560 ทั้งนี้มอบหมายให้ทุกกระทรวง ส่วนราชการที่ไม่สังกัดสํานักนายกรัฐมนตรีรวมทั้งหน่วยงานของรัฐอื่น ๆ ตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนของข้อมูลตามตารางที่สํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) นําเสนอ จากนั้นมอบหมายให้ทุกกระทรวงและส่วนราชการที่ไม่สังกัดสํานักนายกรัฐมนตรีรวมทั้งหน่วยงานของรัฐอื่น ๆ สํารวจสภาพความพร้อมฐานข้อมูลของหน่วยงานของตนและส่งผลการสํารวจให้แก่สํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) และในกรณีที่หน่วยงานของรัฐต้องการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อประโยชน์ในการดําเนินงานและการบริการประชาชน ให้แจ้งความต้องการดังกล่าว มายังสํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เพื่อรวบรวมข้อมมูลนําเสนอตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีต่อไป
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนบูรณาการข้อมูลด้านอื่น ๆ เช่น ด้านการจัดการภัยพิบัติและภัยธรรมชาติ ด้านการอํานวยความสะดวกในการทําธุรกิจ (Ease of Doing Business) และด้านการท่องเที่ยว โดยการดําเนินงานทั้ง 3 ด้าน ให้มีความก้าวหน้าโดยมีการจัดทําระบบสนับสนุนการใช้ข้อมูลสารสนเทศระบบข้อมูลสาธารณภัยแห่งชาติ ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการสิ่งของสํารองจ่าย (e-Stock) มีกฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มีคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติภายใต้พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณถัย พ.ศ. 2560 มีการจัดทําโครงการศูนย์บริการภาครัฐเพื่อภาคธุรกิจ (Biz Portal) มีคณะทํางานเตรียมความพร้อมการพัฒนาระบบอํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจแบบครบวงจร มีโครงการ Tourism Intelligence Center (TIC) เพื่อทําหน้าที่ในการบูรณาการข้อมูลการท่องเที่ยวจากหน่วยงานต่าง ๆ และโครงการ Thailand Tourism Directory เพื่อจัดทําระบบบริการข้อมูลดิจิทัลด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยทั้งข้อมูลจากภาครัฐและเอกชน เพื่อมาให้บริการแก่นักท่องเที่ยว ณ จุดเดียวเพื่อความสะดวกมากขึ้น
ตอนท้าย ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการข้อมูล (Data Center) ภาครัฐ รวมทั้งการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างศูนย์ต่าง ๆ โดยมีความก้าวหน้าในการดําเนินงาน ดังนี้ (1) (ร่าง) ยุทธศาสตร์การพัฒนาศูนย์ข้อมูลภาครัฐ (2) (ร่าง) มาตรฐานบริการข้อมูลภาครัฐ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณา (ร่าง) ทั้ง 2 แล้วจึงมอบหมายให้สํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ร่วมกับทุกหน่วยงานดําเนินการตามแผนการดําเนินงานพัฒนาศูนย์ข้อมูลภาครัฐระยะ 3 เดือนด้วย
**************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐ ครั้งที่ 1/2560
วันอังคารที่ 3 ตุลาคม 2560
รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐ ครั้งที่ 1/2560
ที่ประชุมเห็นชอบในเรื่องขับเคลื่อนการดําเนินงานจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และศูนย์บริการร่วม ณ จุดเดียว (One Stop Service) เพื่อให้มีประสิทธิภาพและเกิดผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นรวมทั้งให้ดําเนินการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลภาครัฐ (Government Data Center)
วันนี้ (3 ตุลาคม 2560) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐ ครั้งที่ 1/2560 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแนวทางการดําเนินงานตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีในการขับเคลื่อนการดําเนินงานในเรื่องการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และศูนย์บริการร่วม ณ จุดเดียว (One Stop Service) ให้มีประสิทธิภาพและเกิดผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น รวมทั้งให้ดําเนินการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลภาครัฐ (Government Data Center) โดยประสานหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ นําข้อมูลที่พร้อมให้บริการมาดําเนินการเป็นโครงการนําร่องให้แล้วเสร็จภายในปี 2560
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการขับเคลื่อนบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการบูรณาการทั้ง 4 คณะ เพื่อเร่งดําเนินการให้บูรณาการฐานข้อมมูลภาครัฐด้านต่าง ๆ ให้เห็นผลเป็นรูปธรรม และนําเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐภายในเดือนธันวาคม 2560 ทั้งนี้มอบหมายให้ทุกกระทรวง ส่วนราชการที่ไม่สังกัดสํานักนายกรัฐมนตรีรวมทั้งหน่วยงานของรัฐอื่น ๆ ตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนของข้อมูลตามตารางที่สํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) นําเสนอ จากนั้นมอบหมายให้ทุกกระทรวงและส่วนราชการที่ไม่สังกัดสํานักนายกรัฐมนตรีรวมทั้งหน่วยงานของรัฐอื่น ๆ สํารวจสภาพความพร้อมฐานข้อมูลของหน่วยงานของตนและส่งผลการสํารวจให้แก่สํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) และในกรณีที่หน่วยงานของรัฐต้องการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อประโยชน์ในการดําเนินงานและการบริการประชาชน ให้แจ้งความต้องการดังกล่าว มายังสํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เพื่อรวบรวมข้อมมูลนําเสนอตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีต่อไป
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนบูรณาการข้อมูลด้านอื่น ๆ เช่น ด้านการจัดการภัยพิบัติและภัยธรรมชาติ ด้านการอํานวยความสะดวกในการทําธุรกิจ (Ease of Doing Business) และด้านการท่องเที่ยว โดยการดําเนินงานทั้ง 3 ด้าน ให้มีความก้าวหน้าโดยมีการจัดทําระบบสนับสนุนการใช้ข้อมูลสารสนเทศระบบข้อมูลสาธารณภัยแห่งชาติ ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการสิ่งของสํารองจ่าย (e-Stock) มีกฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มีคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติภายใต้พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณถัย พ.ศ. 2560 มีการจัดทําโครงการศูนย์บริการภาครัฐเพื่อภาคธุรกิจ (Biz Portal) มีคณะทํางานเตรียมความพร้อมการพัฒนาระบบอํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจแบบครบวงจร มีโครงการ Tourism Intelligence Center (TIC) เพื่อทําหน้าที่ในการบูรณาการข้อมูลการท่องเที่ยวจากหน่วยงานต่าง ๆ และโครงการ Thailand Tourism Directory เพื่อจัดทําระบบบริการข้อมูลดิจิทัลด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยทั้งข้อมูลจากภาครัฐและเอกชน เพื่อมาให้บริการแก่นักท่องเที่ยว ณ จุดเดียวเพื่อความสะดวกมากขึ้น
ตอนท้าย ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการข้อมูล (Data Center) ภาครัฐ รวมทั้งการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างศูนย์ต่าง ๆ โดยมีความก้าวหน้าในการดําเนินงาน ดังนี้ (1) (ร่าง) ยุทธศาสตร์การพัฒนาศูนย์ข้อมูลภาครัฐ (2) (ร่าง) มาตรฐานบริการข้อมูลภาครัฐ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณา (ร่าง) ทั้ง 2 แล้วจึงมอบหมายให้สํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ร่วมกับทุกหน่วยงานดําเนินการตามแผนการดําเนินงานพัฒนาศูนย์ข้อมูลภาครัฐระยะ 3 เดือนด้วย
**************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7156
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. เน้นพัฒนาคนกลางประกันภัยในเชิงคุณภาพ ติวเข้มผ่าน “โครงการเพิ่มศักยภาพวิทยากรหลักสูตรตัวแทน/นายหน้าประกันภัย”
|
วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2561
คปภ. เน้นพัฒนาคนกลางประกันภัยในเชิงคุณภาพ ติวเข้มผ่าน “โครงการเพิ่มศักยภาพวิทยากรหลักสูตรตัวแทน/นายหน้าประกันภัย”
สํานักงาน คปภ. จัดให้มี “โครงการเพิ่มศักยภาพวิทยากรหลักสูตรตัวแทน/นายหน้าประกันภัย” ขึ้น เมื่อวันที่ 14-15 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่าปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสําคัญในการทํางานของทุกสาขาวิชาชีพ และกลายเป็นความท้าทายสําคัญที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของทุกอุตสาหกรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สภาพสังคมของเราในปัจจุบันมีการเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่สังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ จึงถือเป็นภารกิจสําคัญอย่างยิ่งของทั้งสํานักงาน คปภ. และภาคอุตสาหกรรมประกันภัย รวมถึงคนกลางประกันภัยที่จะต้องมีการปรับปรุงกระบวนงานให้มีความทันสมัยสอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนกลางประกันภัย ทั้งตัวแทนประกันภัย นายหน้าประกันภัย และที่ปรึกษาด้านการประกันภัย ซึ่งถือเป็นหัวใจสําคัญของธุรกิจประกันภัย เนื่องจากเป็นช่องทางการขายที่ประชาชนผู้เอาประกันภัยให้การยอมรับมากที่สุดช่องทางหนึ่ง ดังจะเห็นได้จากตัวเลขเมื่อปี 2560 ช่องทางตัวแทนและนายหน้าประกันชีวิต มีจํานวนเบี้ยประกันชีวิตรับรวมถึง 319,028 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 52.41 ของเบี้ยประกันชีวิตรับรวมทุกช่องทาง และช่องทางตัวแทนและนายหน้าประกันวินาศภัย มีจํานวนเบี้ยประกันวินาศภัยรับรวมถึง 158,233 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 72.27 ของเบี้ยประกันวินาศภัยรับรวมทุกช่องทาง
ทั้งนี้ สํานักงาน คปภ. มีนโยบายส่งเสริม สนับสนุนให้ตัวแทนและนายหน้าประกันภัย ต้องมีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงระยะเวลาที่ประกอบอาชีพ ด้วยมุ่งหวังให้ตัวแทนและนายหน้าประกันภัยได้เพิ่มพูนความรู้ด้านประกันภัยที่ถูกต้องและทันสมัย ซึ่งการจะบรรลุผลตามความมุ่งหวังดังกล่าวนั้น ปัจจัยหลักที่สําคัญยิ่งประการหนึ่ง คือ การถ่ายทอดความรู้ ซึ่งก็คือวิทยากรต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเนื้อหาด้านประกันภัย ที่จะนําพาให้ตัวแทนประกันภัยและนายหน้าประกันภัย ที่เข้ารับการอบรมหลักสูตรขอรับและขอต่ออายุใบอนุญาต ได้รับความรู้และประสบการณ์ด้านประกันภัย และสร้างรายได้ให้กับธุรกิจประกันภัย รวมถึงส่งเสริมภาพลักษณ์ ทัศนคติที่ดีให้ประชาชนเกิดการยอมรับและเชื่อมั่นต่อธุรกิจประกันภัย ดังนั้นจึงได้จัดให้มี “โครงการเพิ่มศักยภาพวิทยากรหลักสูตรตัวแทน/นายหน้าประกันภัย” ขึ้น เมื่อวันที่ 14-15 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา เพื่อถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ที่ทันต่อเหตุการณ์ สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบันให้เหล่าวิทยากร ทั้งนี้ ได้รับเกียรติจากทั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิของสํานักงาน คปภ. และผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรชั้นนําร่วมให้ความรู้แบ่งปันประสบการณ์ ซึ่งการ
อบรมในครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 วัน ในวันแรกมีการอบรมในวิชา สาระสําคัญของการแก้ไขพระราชบัญญัติประกันชีวิต พระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมฯ วิชามาตรฐานการกํากับดูแลธุรกิจประกันภัย (Insurance core principles) วิชาบทบาทกองทุนที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเกี่ยวกับประกันภัย และในวันที่สองมีการแบ่งการอบรมออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มการประกันภัยชีวิต ซึ่งมีการบรรยายในวิชาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตในยุคดิจิตอล และวิชาการวางแผนทางการเงิน และกลุ่มการประกันวินาศภัยมีการบรรยายให้ความรู้ในวิชาความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ และวิชาการวางแผนธุรกิจประกันภัยสําหรับตัวแทนและนายหน้า
โดยในปีนี้สํานักงาน คปภ. มีแผนที่จะยกระดับการกํากับดูแลเกี่ยวกับการให้บริการและพฤติกรรมในการดําเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านระบบตรวจสอบการปฏิบัติงานของคนกลางประกันภัยเพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในกระบวนการขายและการดูแลกรณีเกิดปัญหาในเรื่องประกันภัย ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบและออกสุ่มตรวจสํานักงานตัวแทนประกันภัย สํานักงานนายหน้าประกันภัย รวมถึงสาขาธนาคารพาณิชย์ที่มีการขายกรมธรรม์ประกันภัย โดยจะมีการบูรณาการการทํางานร่วมกับสํานักงาน คปภ. ในส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ และดําเนินการตามแผนการเข้าตรวจสอบเพื่อตรวจสอบติดตามการดําเนินงานของตัวแทนประกันภัย นายหน้าประกันภัยและบริษัทประกันภัย เพื่อป้องกันหรือลดความเสี่ยง ที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน ผู้เอาประกันภัยในอนาคต
“ในด้านของการพัฒนาตัวแทนนายหน้าประกันภัยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สํานักงาน คปภ.ได้ส่งเสริมบทบาทของภาคธุรกิจผ่านสมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย สถาบันประกันภัยไทย โดยให้เป็นหน่วยงานจัดสอบเพื่อขอรับใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิต ตัวแทนประกันวินาศภัย ตลอดจนการให้ความร่วมมือและสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งสมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน สมาคมนายหน้าประกันภัยไทย ในรูปแบบการจัดตั้งคณะทํางาน คณะกรรมการต่าง ๆ เช่น การจัดทําคู่มือปฏิบัติงานสําหรับตัวแทนประกันชีวิต นายหน้าประกันชีวิตแล้วเสร็จและได้ลงเผยแพร่ ในเว็บไซต์ของสํานักงาน คปภ. เพื่อตัวแทนประกันภัย นายหน้าประกันภัย ตลอดจนผู้ที่สนใจได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม และขณะนี้สํานักงาน คปภ.กําลังพัฒนาคู่มือปฏิบัติงานสําหรับตัวแทนประกันวินาศภัย นายหน้าประกันวินาศภัย ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ และจะลงเผยแพร่ผ่านเว็ปไซต์ของสํานักงาน คปภ. เช่นกัน” เลขาธิการกล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. เน้นพัฒนาคนกลางประกันภัยในเชิงคุณภาพ ติวเข้มผ่าน “โครงการเพิ่มศักยภาพวิทยากรหลักสูตรตัวแทน/นายหน้าประกันภัย”
วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2561
คปภ. เน้นพัฒนาคนกลางประกันภัยในเชิงคุณภาพ ติวเข้มผ่าน “โครงการเพิ่มศักยภาพวิทยากรหลักสูตรตัวแทน/นายหน้าประกันภัย”
สํานักงาน คปภ. จัดให้มี “โครงการเพิ่มศักยภาพวิทยากรหลักสูตรตัวแทน/นายหน้าประกันภัย” ขึ้น เมื่อวันที่ 14-15 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่าปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสําคัญในการทํางานของทุกสาขาวิชาชีพ และกลายเป็นความท้าทายสําคัญที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของทุกอุตสาหกรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สภาพสังคมของเราในปัจจุบันมีการเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่สังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ จึงถือเป็นภารกิจสําคัญอย่างยิ่งของทั้งสํานักงาน คปภ. และภาคอุตสาหกรรมประกันภัย รวมถึงคนกลางประกันภัยที่จะต้องมีการปรับปรุงกระบวนงานให้มีความทันสมัยสอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนกลางประกันภัย ทั้งตัวแทนประกันภัย นายหน้าประกันภัย และที่ปรึกษาด้านการประกันภัย ซึ่งถือเป็นหัวใจสําคัญของธุรกิจประกันภัย เนื่องจากเป็นช่องทางการขายที่ประชาชนผู้เอาประกันภัยให้การยอมรับมากที่สุดช่องทางหนึ่ง ดังจะเห็นได้จากตัวเลขเมื่อปี 2560 ช่องทางตัวแทนและนายหน้าประกันชีวิต มีจํานวนเบี้ยประกันชีวิตรับรวมถึง 319,028 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 52.41 ของเบี้ยประกันชีวิตรับรวมทุกช่องทาง และช่องทางตัวแทนและนายหน้าประกันวินาศภัย มีจํานวนเบี้ยประกันวินาศภัยรับรวมถึง 158,233 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 72.27 ของเบี้ยประกันวินาศภัยรับรวมทุกช่องทาง
ทั้งนี้ สํานักงาน คปภ. มีนโยบายส่งเสริม สนับสนุนให้ตัวแทนและนายหน้าประกันภัย ต้องมีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงระยะเวลาที่ประกอบอาชีพ ด้วยมุ่งหวังให้ตัวแทนและนายหน้าประกันภัยได้เพิ่มพูนความรู้ด้านประกันภัยที่ถูกต้องและทันสมัย ซึ่งการจะบรรลุผลตามความมุ่งหวังดังกล่าวนั้น ปัจจัยหลักที่สําคัญยิ่งประการหนึ่ง คือ การถ่ายทอดความรู้ ซึ่งก็คือวิทยากรต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเนื้อหาด้านประกันภัย ที่จะนําพาให้ตัวแทนประกันภัยและนายหน้าประกันภัย ที่เข้ารับการอบรมหลักสูตรขอรับและขอต่ออายุใบอนุญาต ได้รับความรู้และประสบการณ์ด้านประกันภัย และสร้างรายได้ให้กับธุรกิจประกันภัย รวมถึงส่งเสริมภาพลักษณ์ ทัศนคติที่ดีให้ประชาชนเกิดการยอมรับและเชื่อมั่นต่อธุรกิจประกันภัย ดังนั้นจึงได้จัดให้มี “โครงการเพิ่มศักยภาพวิทยากรหลักสูตรตัวแทน/นายหน้าประกันภัย” ขึ้น เมื่อวันที่ 14-15 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา เพื่อถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ที่ทันต่อเหตุการณ์ สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบันให้เหล่าวิทยากร ทั้งนี้ ได้รับเกียรติจากทั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิของสํานักงาน คปภ. และผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรชั้นนําร่วมให้ความรู้แบ่งปันประสบการณ์ ซึ่งการ
อบรมในครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 วัน ในวันแรกมีการอบรมในวิชา สาระสําคัญของการแก้ไขพระราชบัญญัติประกันชีวิต พระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมฯ วิชามาตรฐานการกํากับดูแลธุรกิจประกันภัย (Insurance core principles) วิชาบทบาทกองทุนที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเกี่ยวกับประกันภัย และในวันที่สองมีการแบ่งการอบรมออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มการประกันภัยชีวิต ซึ่งมีการบรรยายในวิชาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตในยุคดิจิตอล และวิชาการวางแผนทางการเงิน และกลุ่มการประกันวินาศภัยมีการบรรยายให้ความรู้ในวิชาความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ และวิชาการวางแผนธุรกิจประกันภัยสําหรับตัวแทนและนายหน้า
โดยในปีนี้สํานักงาน คปภ. มีแผนที่จะยกระดับการกํากับดูแลเกี่ยวกับการให้บริการและพฤติกรรมในการดําเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านระบบตรวจสอบการปฏิบัติงานของคนกลางประกันภัยเพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในกระบวนการขายและการดูแลกรณีเกิดปัญหาในเรื่องประกันภัย ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบและออกสุ่มตรวจสํานักงานตัวแทนประกันภัย สํานักงานนายหน้าประกันภัย รวมถึงสาขาธนาคารพาณิชย์ที่มีการขายกรมธรรม์ประกันภัย โดยจะมีการบูรณาการการทํางานร่วมกับสํานักงาน คปภ. ในส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ และดําเนินการตามแผนการเข้าตรวจสอบเพื่อตรวจสอบติดตามการดําเนินงานของตัวแทนประกันภัย นายหน้าประกันภัยและบริษัทประกันภัย เพื่อป้องกันหรือลดความเสี่ยง ที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน ผู้เอาประกันภัยในอนาคต
“ในด้านของการพัฒนาตัวแทนนายหน้าประกันภัยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สํานักงาน คปภ.ได้ส่งเสริมบทบาทของภาคธุรกิจผ่านสมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย สถาบันประกันภัยไทย โดยให้เป็นหน่วยงานจัดสอบเพื่อขอรับใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิต ตัวแทนประกันวินาศภัย ตลอดจนการให้ความร่วมมือและสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งสมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน สมาคมนายหน้าประกันภัยไทย ในรูปแบบการจัดตั้งคณะทํางาน คณะกรรมการต่าง ๆ เช่น การจัดทําคู่มือปฏิบัติงานสําหรับตัวแทนประกันชีวิต นายหน้าประกันชีวิตแล้วเสร็จและได้ลงเผยแพร่ ในเว็บไซต์ของสํานักงาน คปภ. เพื่อตัวแทนประกันภัย นายหน้าประกันภัย ตลอดจนผู้ที่สนใจได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม และขณะนี้สํานักงาน คปภ.กําลังพัฒนาคู่มือปฏิบัติงานสําหรับตัวแทนประกันวินาศภัย นายหน้าประกันวินาศภัย ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ และจะลงเผยแพร่ผ่านเว็ปไซต์ของสํานักงาน คปภ. เช่นกัน” เลขาธิการกล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10818
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ขอบคุณนายจ้าง-แรงงานต่างด้าวร่วมมือลงทะเบียน ย้ำผู้ฝ่าฝืนมีความผิดตามกฎหมาย พร้อมยืนยันรัฐให้ความสำคัญกับผู้ใช้แรงงาน ดีเดย์บังคับใช้อัตราค่าจ้างใหม่ทั่วประเทศวันนี้วันแรก
|
วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561
นายกฯ ขอบคุณนายจ้าง-แรงงานต่างด้าวร่วมมือลงทะเบียน ย้ําผู้ฝ่าฝืนมีความผิดตามกฎหมาย พร้อมยืนยันรัฐให้ความสําคัญกับผู้ใช้แรงงาน ดีเดย์บังคับใช้อัตราค่าจ้างใหม่ทั่วประเทศวันนี้วันแรก
นายกฯ ขอบคุณนายจ้าง-แรงงานต่างด้าวร่วมมือลงทะเบียน ย้ําผู้ฝ่าฝืนมีความผิดตามกฎหมาย พร้อมยืนยันรัฐให้ความสําคัญกับผู้ใช้แรงงาน ดีเดย์บังคับใช้อัตราค่าจ้างใหม่ทั่วประเทศวันนี้วันแรก
วันนี้(1เมษายน2561)พลโทสรรเสริญแก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีรับทราบข้อมูลการลงทะเบียนแรงงานต่างด้าวเบื้องต้นหลังจากปิดรับลงทะเบียนเมื่อเวลา24.00น.วานนี้(31มี.ค.61)โดยตัวเลขล่าสุดที่มีการรวบรวมไว้ณเวลา12.00น.วันนี้มีแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาลาวและเมียนมาลงทะเบียนที่ศูนย์บริการOSSและผ่านระบบออนไลน์รวม1,304,269คนจากจํานวนแรงงานต่างด้าวทั้งหมด1,379,252คนคงเหลือ74,983คน
“นายกฯขอบคุณนายจ้างและแรงงานต่างด้าวที่ให้ความร่วมมือไปลงทะเบียนแสดงตนเพื่อให้สามารถดูแลคุณภาพชีวิตของทุกคนได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยย้ําว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลใส่ใจมาโดยตลอดรวมทั้งขอบคุณเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานทั่วประเทศที่ทํางานอย่างเต็มที่โดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้ายของการลงทะเบียน”
หลังจากนี้กระทรวงแรงงานจะรวบรวมรวมรายชื่อและจํานวนผู้ลงทะเบียนทั้งหมดและประมวลผลวางแผนกําหนดสถานที่และวันเวลาเพื่อให้นายจ้างพาแรงงานต่างด้าวไปดําเนินการทุกขั้นตอนให้แล้วเสร็จภายใน30มิ.ย.61โดยจะส่งSMSแจ้งไปยังนายจ้างต่อไป
ส่วนแรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ดําเนินการตามกําหนดนั้นจะไม่สามารถอยู่อาศัยและทํางานในประเทศไทยได้และมีความผิดต้องรับโทษหากฝ่าฝืนกฎหมายเช่นเดียวกับนายจ้างที่รับคนต่างด้าวเข้าทํางานโดยไม่มีใบอนุญาตทํางานด้วย
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังกล่าวด้วยว่าวันนี้เป็นวันแรกที่อัตราค่าจ้างขั้นต่ําใหม่ที่อยู่ระหว่าง308 – 330บาทต่อวันมีผลบังคับใช้ทั่วประเทศแล้วซึ่งจะช่วยให้นายจ้างและลูกจ้างอยู่ได้ในสภาพปัจจุบันและยังเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยได้กําชับให้กระทรวงแรงงานกํากับดูแลสถานประกอบการให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดรวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานควบคู่กันไปเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศด้วย
“รัฐบาลให้ความสําคัญกับพี่น้องแรงงานทั้งแรงงานไทยและต่างด้าวเพราะเป็นทรัพยากรบุคคลที่อยู่เบื้องหลังความเจริญเติบโตของประเทศจึงอยากให้มีความสุขสามารถดูแลตนเองและครอบครัวได้โดยขอให้หมั่นพัฒนาตัวเองเพื่อให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ขอบคุณนายจ้าง-แรงงานต่างด้าวร่วมมือลงทะเบียน ย้ำผู้ฝ่าฝืนมีความผิดตามกฎหมาย พร้อมยืนยันรัฐให้ความสำคัญกับผู้ใช้แรงงาน ดีเดย์บังคับใช้อัตราค่าจ้างใหม่ทั่วประเทศวันนี้วันแรก
วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561
นายกฯ ขอบคุณนายจ้าง-แรงงานต่างด้าวร่วมมือลงทะเบียน ย้ําผู้ฝ่าฝืนมีความผิดตามกฎหมาย พร้อมยืนยันรัฐให้ความสําคัญกับผู้ใช้แรงงาน ดีเดย์บังคับใช้อัตราค่าจ้างใหม่ทั่วประเทศวันนี้วันแรก
นายกฯ ขอบคุณนายจ้าง-แรงงานต่างด้าวร่วมมือลงทะเบียน ย้ําผู้ฝ่าฝืนมีความผิดตามกฎหมาย พร้อมยืนยันรัฐให้ความสําคัญกับผู้ใช้แรงงาน ดีเดย์บังคับใช้อัตราค่าจ้างใหม่ทั่วประเทศวันนี้วันแรก
วันนี้(1เมษายน2561)พลโทสรรเสริญแก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีรับทราบข้อมูลการลงทะเบียนแรงงานต่างด้าวเบื้องต้นหลังจากปิดรับลงทะเบียนเมื่อเวลา24.00น.วานนี้(31มี.ค.61)โดยตัวเลขล่าสุดที่มีการรวบรวมไว้ณเวลา12.00น.วันนี้มีแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาลาวและเมียนมาลงทะเบียนที่ศูนย์บริการOSSและผ่านระบบออนไลน์รวม1,304,269คนจากจํานวนแรงงานต่างด้าวทั้งหมด1,379,252คนคงเหลือ74,983คน
“นายกฯขอบคุณนายจ้างและแรงงานต่างด้าวที่ให้ความร่วมมือไปลงทะเบียนแสดงตนเพื่อให้สามารถดูแลคุณภาพชีวิตของทุกคนได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยย้ําว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลใส่ใจมาโดยตลอดรวมทั้งขอบคุณเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานทั่วประเทศที่ทํางานอย่างเต็มที่โดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้ายของการลงทะเบียน”
หลังจากนี้กระทรวงแรงงานจะรวบรวมรวมรายชื่อและจํานวนผู้ลงทะเบียนทั้งหมดและประมวลผลวางแผนกําหนดสถานที่และวันเวลาเพื่อให้นายจ้างพาแรงงานต่างด้าวไปดําเนินการทุกขั้นตอนให้แล้วเสร็จภายใน30มิ.ย.61โดยจะส่งSMSแจ้งไปยังนายจ้างต่อไป
ส่วนแรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ดําเนินการตามกําหนดนั้นจะไม่สามารถอยู่อาศัยและทํางานในประเทศไทยได้และมีความผิดต้องรับโทษหากฝ่าฝืนกฎหมายเช่นเดียวกับนายจ้างที่รับคนต่างด้าวเข้าทํางานโดยไม่มีใบอนุญาตทํางานด้วย
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังกล่าวด้วยว่าวันนี้เป็นวันแรกที่อัตราค่าจ้างขั้นต่ําใหม่ที่อยู่ระหว่าง308 – 330บาทต่อวันมีผลบังคับใช้ทั่วประเทศแล้วซึ่งจะช่วยให้นายจ้างและลูกจ้างอยู่ได้ในสภาพปัจจุบันและยังเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยได้กําชับให้กระทรวงแรงงานกํากับดูแลสถานประกอบการให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดรวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานควบคู่กันไปเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศด้วย
“รัฐบาลให้ความสําคัญกับพี่น้องแรงงานทั้งแรงงานไทยและต่างด้าวเพราะเป็นทรัพยากรบุคคลที่อยู่เบื้องหลังความเจริญเติบโตของประเทศจึงอยากให้มีความสุขสามารถดูแลตนเองและครอบครัวได้โดยขอให้หมั่นพัฒนาตัวเองเพื่อให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน”
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11236
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยอำนวยความสะดวกแก่พี่น้องชาวมุสลิมในการเดินทาง ไปประกอบพิธีฮัจย์ ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย
|
วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561
กระทรวงมหาดไทยอํานวยความสะดวกแก่พี่น้องชาวมุสลิมในการเดินทาง ไปประกอบพิธีฮัจย์ ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย
กระทรวงมหาดไทยอํานวยความสะดวกแก่พี่น้องชาวมุสลิมในการเดินทาง
ไปประกอบพิธีฮัจย์ ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย
วันนี้ (16 ก.ค. 61) เวลา 09.00 น.นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีส่งและอํานวยพรแก่คณะผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ประจําปี 2561 ณ อาคารอเนกประสงค์ ท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาโดยมีนายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี นายศักดิ์ชัย แตงฮ่อ รองอธิบดีกรมการปกครอง นายราชิต สุดพุ่ม รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา พร้อมด้วย ประธานกรรมการอิสลามประจําจังหวัดสงขลา ผู้นําศาสนา ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ และพี่น้องประชาชน ให้การต้อนรับ
โอกาสนี้นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่าในทุกๆ ปี ในเทศกาลฮัจย์
จะมีพี่น้องชาวมุสลิมทั่วทุกมุมโลกเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ที่นครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดิอาราเบีย ซึ่งจะได้เห็นความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวของพี่น้องชาวมุสลิมที่ต่างต้องใช้ความมานะอุตสาหะ เสียสละทั้งกําลังกายและกําลังทรัพย์ เพื่อเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้ให้การสนับสนุนและส่งเสริมการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์มาโดยตลอด เพื่อให้พี่น้องชาวไทยมุสลิมได้รับความสะดวกสบาย ปลอดภัย และได้ประกอบศาสนกิจอย่างสมบูรณ์ สําหรับในปีนี้กระทรวงมหาดไทยโดยกรมการปกครอง ในฐานะสํานักเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้อํานวยความสะดวกแก่ผู้ที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ อาทิ การรับลงทะเบียนในระบบออนไลน์ ซึ่งมีผู้มาลงทะเบียนกว่า 7,800 คน การจัดเช่าพื้นที่พักสําหรับผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ การติดต่อประสานสายการบินแห่งชาติของทั้ง 2 ประเทศ การเตรียมความพร้อมด้านสุขภาพ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคกาฬหลังแอ่นและไข้หวัดใหญ่ การบันทึกข้อมูลผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์ และการประสานเพื่อขอออกหนังสือตรวจตรา (VISA)กับสถานเอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบียประจําประเทศไทย การอบรมผู้นํากลุ่มและผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์ และการจัดตั้งศูนย์อํานวยความสะดวกแก่ผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ ท่าอากาศยาน
ที่ใช้ในการเดินทางจํานวน 4 แห่ง พร้อมขอให้พี่น้องชาวไทยมุสลิมที่ไปประกอบพิธีฮัจย์ ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด เพื่อแสดงเอกลักษณ์ความเป็นไทยมุสลิมที่ดีงามอย่างโดดเด่นให้กับพี่น้องมุสลิมประเทศอื่นๆ เพื่อเป็นผู้แทนประเทศไทยที่เป็นทูตสันติภาพ ในการสร้างสันถวไมตรีกับประชาคมโลกต่อไป
การทําฮัจย์ เป็นอิบาดะห์หลักต่อ อัลลอฮฺซึ่งมีเป้าหมายในการขัดเกลาจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ผู้ที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ต้องใช้ความอุตสาหะ เสียสละทั้งกําลังกาย ทรัพย์ กําลังสติปัญญา และมีความสามารถอดทนต่อความยากลําบาก และมีความสามารถที่จะไปได้ โดยไม่ต้องกู้หนี้ยืมสินของบุคคลอื่น พิธีฮัจย์จะทําในเดือน ซุล-ฮิจยะห์(เดือนที่ 12 ของปีฮิจเราะห์ศักราช) ของแต่ละปี การกําหนดพิธีฮัจย์นั้น จะใช้การดูเดือน เพื่อกําหนดวันต่างๆ โดยจะดูเดือนกันในวันที่ 29 เดือน ซุลเกี๊ยะดะห์ เพื่อกําหนด วันที่ 1 เดือนซุลฮิจยะห์ และวันที่ 10 เดือนซุลฮิจยะห์ จะเป็นวันอีดิ้ลอัฎฮา หรือ อีดใหญ่ (รายอ) ที่บ้านเรา ผู้ที่ไม่ได้ไปประกอบพิธีฮัจย์จะทํากรุบาน (เชือดสัตว์ และแบ่งปันเนื้อให้กับผู้ยากไร้)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยอำนวยความสะดวกแก่พี่น้องชาวมุสลิมในการเดินทาง ไปประกอบพิธีฮัจย์ ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย
วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561
กระทรวงมหาดไทยอํานวยความสะดวกแก่พี่น้องชาวมุสลิมในการเดินทาง ไปประกอบพิธีฮัจย์ ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย
กระทรวงมหาดไทยอํานวยความสะดวกแก่พี่น้องชาวมุสลิมในการเดินทาง
ไปประกอบพิธีฮัจย์ ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย
วันนี้ (16 ก.ค. 61) เวลา 09.00 น.นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีส่งและอํานวยพรแก่คณะผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ประจําปี 2561 ณ อาคารอเนกประสงค์ ท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาโดยมีนายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี นายศักดิ์ชัย แตงฮ่อ รองอธิบดีกรมการปกครอง นายราชิต สุดพุ่ม รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา พร้อมด้วย ประธานกรรมการอิสลามประจําจังหวัดสงขลา ผู้นําศาสนา ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ และพี่น้องประชาชน ให้การต้อนรับ
โอกาสนี้นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่าในทุกๆ ปี ในเทศกาลฮัจย์
จะมีพี่น้องชาวมุสลิมทั่วทุกมุมโลกเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ที่นครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดิอาราเบีย ซึ่งจะได้เห็นความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวของพี่น้องชาวมุสลิมที่ต่างต้องใช้ความมานะอุตสาหะ เสียสละทั้งกําลังกายและกําลังทรัพย์ เพื่อเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้ให้การสนับสนุนและส่งเสริมการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์มาโดยตลอด เพื่อให้พี่น้องชาวไทยมุสลิมได้รับความสะดวกสบาย ปลอดภัย และได้ประกอบศาสนกิจอย่างสมบูรณ์ สําหรับในปีนี้กระทรวงมหาดไทยโดยกรมการปกครอง ในฐานะสํานักเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้อํานวยความสะดวกแก่ผู้ที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ อาทิ การรับลงทะเบียนในระบบออนไลน์ ซึ่งมีผู้มาลงทะเบียนกว่า 7,800 คน การจัดเช่าพื้นที่พักสําหรับผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ การติดต่อประสานสายการบินแห่งชาติของทั้ง 2 ประเทศ การเตรียมความพร้อมด้านสุขภาพ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคกาฬหลังแอ่นและไข้หวัดใหญ่ การบันทึกข้อมูลผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์ และการประสานเพื่อขอออกหนังสือตรวจตรา (VISA)กับสถานเอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบียประจําประเทศไทย การอบรมผู้นํากลุ่มและผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์ และการจัดตั้งศูนย์อํานวยความสะดวกแก่ผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ ท่าอากาศยาน
ที่ใช้ในการเดินทางจํานวน 4 แห่ง พร้อมขอให้พี่น้องชาวไทยมุสลิมที่ไปประกอบพิธีฮัจย์ ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด เพื่อแสดงเอกลักษณ์ความเป็นไทยมุสลิมที่ดีงามอย่างโดดเด่นให้กับพี่น้องมุสลิมประเทศอื่นๆ เพื่อเป็นผู้แทนประเทศไทยที่เป็นทูตสันติภาพ ในการสร้างสันถวไมตรีกับประชาคมโลกต่อไป
การทําฮัจย์ เป็นอิบาดะห์หลักต่อ อัลลอฮฺซึ่งมีเป้าหมายในการขัดเกลาจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ผู้ที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ต้องใช้ความอุตสาหะ เสียสละทั้งกําลังกาย ทรัพย์ กําลังสติปัญญา และมีความสามารถอดทนต่อความยากลําบาก และมีความสามารถที่จะไปได้ โดยไม่ต้องกู้หนี้ยืมสินของบุคคลอื่น พิธีฮัจย์จะทําในเดือน ซุล-ฮิจยะห์(เดือนที่ 12 ของปีฮิจเราะห์ศักราช) ของแต่ละปี การกําหนดพิธีฮัจย์นั้น จะใช้การดูเดือน เพื่อกําหนดวันต่างๆ โดยจะดูเดือนกันในวันที่ 29 เดือน ซุลเกี๊ยะดะห์ เพื่อกําหนด วันที่ 1 เดือนซุลฮิจยะห์ และวันที่ 10 เดือนซุลฮิจยะห์ จะเป็นวันอีดิ้ลอัฎฮา หรือ อีดใหญ่ (รายอ) ที่บ้านเรา ผู้ที่ไม่ได้ไปประกอบพิธีฮัจย์จะทํากรุบาน (เชือดสัตว์ และแบ่งปันเนื้อให้กับผู้ยากไร้)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13890
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลโดยกองทุนหมู่บ้านฯ ร่วมลงนาม MOU ม.ราชภัฏทั่วประเทศ รุกพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน ชูแนวคิดศาสตร์พระราชาตามแนวประชารัฐ
|
วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม 2561
รัฐบาลโดยกองทุนหมู่บ้านฯ ร่วมลงนาม MOU ม.ราชภัฏทั่วประเทศ รุกพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน ชูแนวคิดศาสตร์พระราชาตามแนวประชารัฐ
รัฐบาลโดย กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จับมือมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อติดตามสนับสนุนโครงการ“การพัฒนาการดําเนินงานของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
วันนี้ (2กรกฎาคม 2561) เวลา 13.00 น. ณ ห้องวายุภักษ์ แกรนด์ บอลรูม ชั้น 4 โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กับมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศเพื่อร่วมกันพัฒนาการดําเนินงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองให้เกิดการยกระดับคุณภาพชีวิตให้ความยั่งยืน
นายนที ขลิบทอง ผู้อํานวยการสํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กล่าวรายงานว่าโครงการความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศกับสํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองนี้ มหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศจะเป็นที่ปรึกษาทางวิชาการให้กับสถาบันการเรียนรู้ของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ช่วยติดตามและสนับสนุนการดําเนินโครงการของกองทุนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อทําให้โครงการเกิดเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและหมู่บ้านหรือชุมชนอย่างกว้างขวาง ซึ่งสิ่งสําคัญคือคาดหวังว่าพลังคณาจารย์และที่ปรึกษาตลอดจนมอบความรู้ใหม่ๆจากมหาวิทยาลัยราชภัฏจะช่วยพัฒนาศักยภาพชาวกองทุนให้มีความพร้อมและความสามารถในการดําเนินงานต่างๆของกองทุนให้มีความเข้มแข็งโดยน้อมนําความรู้เกี่ยวกับศาสตร์พระราชาที่จะทําให้กองทุนมีความมั่นคงและมีความพัฒนาอย่างยั่งยืน
จากนั้น รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดในฐานะประธานกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ความตอนหนึ่งว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง และมหาวิทยาลัยราชภัฏในครั้งนี้ เนื่องจากตระหนักความสําคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะบทบาทของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองในการส่งเสริมกระบวนการพึ่งพาตนเองของหมู่บ้านและชุมชนเมือง ด้วยการเสริมสร้างสํานึกและความเป็นชุมชนในท้องถิ่น โดยให้ชุมชนนั้นๆ เป็นผู้กําหนดอนาคตและจัดการหมู่บ้านและชุมชนด้วยคุณค่าและภูมิปัญญาของตนเอง รวมทั้งเกื้อกูลประโยชน์ต่อประชนชนในหมู่บ้านและชุมชน จึงได้ให้ความร่วมมือกันติดตามสนับสนุนโครงการ “การพัฒนาการดําเนินงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยศาสตร์พระราชาตามแนวทางประชารัฐ” เพื่ออํานวยความสะดวกและประสานงานโครงการดังกล่าว ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ เพื่อให้โครงการมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลต่อการดําเนินงานของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ต่อไป
พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานสักขีพยานในพิธีการลงนามข้อตกลง MOU ระหว่างกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง กับมหาวิทยาลัยราชภัฏ 38 แห่งทั่วประเทศ และถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกัน
.........................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลโดยกองทุนหมู่บ้านฯ ร่วมลงนาม MOU ม.ราชภัฏทั่วประเทศ รุกพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน ชูแนวคิดศาสตร์พระราชาตามแนวประชารัฐ
วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม 2561
รัฐบาลโดยกองทุนหมู่บ้านฯ ร่วมลงนาม MOU ม.ราชภัฏทั่วประเทศ รุกพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน ชูแนวคิดศาสตร์พระราชาตามแนวประชารัฐ
รัฐบาลโดย กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จับมือมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อติดตามสนับสนุนโครงการ“การพัฒนาการดําเนินงานของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
วันนี้ (2กรกฎาคม 2561) เวลา 13.00 น. ณ ห้องวายุภักษ์ แกรนด์ บอลรูม ชั้น 4 โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กับมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศเพื่อร่วมกันพัฒนาการดําเนินงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองให้เกิดการยกระดับคุณภาพชีวิตให้ความยั่งยืน
นายนที ขลิบทอง ผู้อํานวยการสํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กล่าวรายงานว่าโครงการความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศกับสํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองนี้ มหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศจะเป็นที่ปรึกษาทางวิชาการให้กับสถาบันการเรียนรู้ของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ช่วยติดตามและสนับสนุนการดําเนินโครงการของกองทุนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อทําให้โครงการเกิดเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและหมู่บ้านหรือชุมชนอย่างกว้างขวาง ซึ่งสิ่งสําคัญคือคาดหวังว่าพลังคณาจารย์และที่ปรึกษาตลอดจนมอบความรู้ใหม่ๆจากมหาวิทยาลัยราชภัฏจะช่วยพัฒนาศักยภาพชาวกองทุนให้มีความพร้อมและความสามารถในการดําเนินงานต่างๆของกองทุนให้มีความเข้มแข็งโดยน้อมนําความรู้เกี่ยวกับศาสตร์พระราชาที่จะทําให้กองทุนมีความมั่นคงและมีความพัฒนาอย่างยั่งยืน
จากนั้น รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดในฐานะประธานกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ความตอนหนึ่งว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง และมหาวิทยาลัยราชภัฏในครั้งนี้ เนื่องจากตระหนักความสําคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะบทบาทของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองในการส่งเสริมกระบวนการพึ่งพาตนเองของหมู่บ้านและชุมชนเมือง ด้วยการเสริมสร้างสํานึกและความเป็นชุมชนในท้องถิ่น โดยให้ชุมชนนั้นๆ เป็นผู้กําหนดอนาคตและจัดการหมู่บ้านและชุมชนด้วยคุณค่าและภูมิปัญญาของตนเอง รวมทั้งเกื้อกูลประโยชน์ต่อประชนชนในหมู่บ้านและชุมชน จึงได้ให้ความร่วมมือกันติดตามสนับสนุนโครงการ “การพัฒนาการดําเนินงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยศาสตร์พระราชาตามแนวทางประชารัฐ” เพื่ออํานวยความสะดวกและประสานงานโครงการดังกล่าว ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ เพื่อให้โครงการมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผลต่อการดําเนินงานของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ต่อไป
พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานสักขีพยานในพิธีการลงนามข้อตกลง MOU ระหว่างกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง กับมหาวิทยาลัยราชภัฏ 38 แห่งทั่วประเทศ และถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกัน
.........................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13530
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุม ก.พ.อ. 10/2560
|
วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2560
ผลประชุม ก.พ.อ. 10/2560
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) ครั้งที่ 10/2560 เมื่อวันพุธที่ 18 ตุลาคม 2560 ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์วิจิตร ศรีสอ้าน
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) ครั้งที่ 10/2560 เมื่อวันพุธที่ 18 ตุลาคม 2560 ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์วิจิตร ศรีสอ้าน ชั้น 5 สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
●พิจารณาเห็นชอบคุณสมบัติและผลงานทางวิชาการของผู้เสนอขอตําแหน่งศาสตราจารย์ จํานวน 2 ราย
ที่ประชุมให้ความเห็นชอบเพื่อนําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาให้ดํารงตําแหน่งศาสตราจารย์ จํานวน 2 ราย ดังนี้
รองศาสตราจารย์วิปร วิประกษิต
ให้ดํารงตําแหน่งศาสตราจารย์ ในสาขาวิชากุมารเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
รองศาสตราจารย์สุเนตร ชุตินธรานนท์
ให้ดํารงตําแหน่งศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
●เห็นชอบ (ร่าง) ประกาศ ก.พ.อ.วิธีการพิจารณากลั่นกรองคุณสมบัติและผลงานทางวิชาการ
ที่ประชุมเห็นชอบ (ร่าง) ประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง วิธีการพิจารณากลั่นกรองคุณสมบัติและผลงานทางวิชาการของผู้เสนอขอกําหนดตําแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ และรองศาสตราจารย์ ซึ่งมีการปรับปรุงอํานาจหน้าที่ให้คณะอนุกรรมการเกี่ยวกับตําแหน่งทางวิชาการฯ พิจารณากลั่นกรองการแต่งตั้งตําแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์และรองศาสตราจารย์ ให้มีความสอดคล้องกับประกาศ ก.พ.อ. ดังกล่าว
●เห็นชอบโครงการจัดทําแหล่งเผยแพร่ผลงานและบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณางานวิชาการเพื่ออุตสาหกรรม
ที่ประชุมเห็นชอบการนําโครงการจัดทําแหล่งเผยแพร่ผลงานและบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณางานวิชาการเพื่ออุตสาหกรรมของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เพื่อให้คณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนางานวิจัย (อกพอ.วิจัย) นําไปปรับใช้ โดยมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเผยแพร่ผลงาน บทความในวารสารวิชาการระดับชาติ และกําหนดรูปแบบในการเขียนบทความให้สอดคล้องกันระหว่างแหล่งเผยแพร่ผลงานกับเนื้อหาสถานการณ์ ปัญหา ข้อมูล ผลลัพธ์ หรือผลกระทบที่ต้องการเผยแพร่ รวมถึงเสนอให้มี การปรับปรุงการจัดทําบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิที่จะต้องแก้ไขให้มีหลักเกณฑ์ที่ครอบคลุมและเหมาะสม
●รับทราบสรุปผลการพิจารณากลั่นกรองคุณสมบัติและผลงานทางวิชาการของผู้เสนอขอกําหนดตําแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ได้รับเงินเดือนขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา
ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของ ก.พ.อ. ระหว่างเดือนกันยายน-ตุลาคม 2560 มีจํานวนทั้งสิ้น 33 ราย แยกเป็นตําแหน่งศาสตราจารย์และศาสตราจารย์ได้รับเงินเดือนขั้นสูง 5 ราย ตําแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์และรองศาสตราจารย์ จํานวน 28 ราย
●รับทราบแนวทางการเก็บข้อมูลและการวัดขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการวิจัยและพัฒนาในระดับสากล : จัดอันดับความสามารถด้านนวัตกรรมของโลก โดย The Global Innovation Index (GII)
ที่ประชุมรับทราบการเก็บข้อมูลและการวัดขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการวิจัยและพัฒนาในระดับสากล โดยใช้ GII หรือดัชนีนวัตกรรมโลก เพื่อเป็นตัวชี้วัดความสามารถในการสร้างผลผลิตของแต่ละประเทศ จากการลงทุนทางด้านปัจจัยต่างๆ (Input/Output) โดยแบ่งออกเป็น
ปัจจัยการผลิต (Innovation Input Sub Index)5 หมวด ได้แก่ 1) สถาบัน 2) ทุนมนุษย์และการวิจัย 3) โครงสร้างพื้นฐาน 4) ความก้าวหน้าทางการตลาด 5) ความก้าวหน้าทางการผลิต
ผลผลิตของนวัตกรรม (Innovation Output Sub Index)แบ่งเป็น 2 หมวดคือ 1) องค์ความรู้และผลผลิตทางเทคโนโลยี 2) ผลผลิตเชิงสร้างสรรค์
ทั้งนี้ การเก็บข้อมูลจะต้องเน้นความถูกต้อง และครบถ้วน มีความทันสมัยของข้อมูล ที่ประชุมเห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการมีการบูรณาการข้อมูลให้อยู่ในฐานข้อมูลเดียวกัน (Big Data) โดยมอบเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เป็นผู้ดูแลและเก็บข้อมูลเพื่อให้มีความเป็นเอกภาพต่อไป
กุลวดี ใจยวน, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สํานักงานรัฐมนตรี: รายงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุม ก.พ.อ. 10/2560
วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2560
ผลประชุม ก.พ.อ. 10/2560
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) ครั้งที่ 10/2560 เมื่อวันพุธที่ 18 ตุลาคม 2560 ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์วิจิตร ศรีสอ้าน
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) ครั้งที่ 10/2560 เมื่อวันพุธที่ 18 ตุลาคม 2560 ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์วิจิตร ศรีสอ้าน ชั้น 5 สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
●พิจารณาเห็นชอบคุณสมบัติและผลงานทางวิชาการของผู้เสนอขอตําแหน่งศาสตราจารย์ จํานวน 2 ราย
ที่ประชุมให้ความเห็นชอบเพื่อนําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาให้ดํารงตําแหน่งศาสตราจารย์ จํานวน 2 ราย ดังนี้
รองศาสตราจารย์วิปร วิประกษิต
ให้ดํารงตําแหน่งศาสตราจารย์ ในสาขาวิชากุมารเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
รองศาสตราจารย์สุเนตร ชุตินธรานนท์
ให้ดํารงตําแหน่งศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
●เห็นชอบ (ร่าง) ประกาศ ก.พ.อ.วิธีการพิจารณากลั่นกรองคุณสมบัติและผลงานทางวิชาการ
ที่ประชุมเห็นชอบ (ร่าง) ประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง วิธีการพิจารณากลั่นกรองคุณสมบัติและผลงานทางวิชาการของผู้เสนอขอกําหนดตําแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ และรองศาสตราจารย์ ซึ่งมีการปรับปรุงอํานาจหน้าที่ให้คณะอนุกรรมการเกี่ยวกับตําแหน่งทางวิชาการฯ พิจารณากลั่นกรองการแต่งตั้งตําแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์และรองศาสตราจารย์ ให้มีความสอดคล้องกับประกาศ ก.พ.อ. ดังกล่าว
●เห็นชอบโครงการจัดทําแหล่งเผยแพร่ผลงานและบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณางานวิชาการเพื่ออุตสาหกรรม
ที่ประชุมเห็นชอบการนําโครงการจัดทําแหล่งเผยแพร่ผลงานและบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณางานวิชาการเพื่ออุตสาหกรรมของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เพื่อให้คณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนางานวิจัย (อกพอ.วิจัย) นําไปปรับใช้ โดยมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเผยแพร่ผลงาน บทความในวารสารวิชาการระดับชาติ และกําหนดรูปแบบในการเขียนบทความให้สอดคล้องกันระหว่างแหล่งเผยแพร่ผลงานกับเนื้อหาสถานการณ์ ปัญหา ข้อมูล ผลลัพธ์ หรือผลกระทบที่ต้องการเผยแพร่ รวมถึงเสนอให้มี การปรับปรุงการจัดทําบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิที่จะต้องแก้ไขให้มีหลักเกณฑ์ที่ครอบคลุมและเหมาะสม
●รับทราบสรุปผลการพิจารณากลั่นกรองคุณสมบัติและผลงานทางวิชาการของผู้เสนอขอกําหนดตําแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ได้รับเงินเดือนขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา
ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของ ก.พ.อ. ระหว่างเดือนกันยายน-ตุลาคม 2560 มีจํานวนทั้งสิ้น 33 ราย แยกเป็นตําแหน่งศาสตราจารย์และศาสตราจารย์ได้รับเงินเดือนขั้นสูง 5 ราย ตําแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์และรองศาสตราจารย์ จํานวน 28 ราย
●รับทราบแนวทางการเก็บข้อมูลและการวัดขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการวิจัยและพัฒนาในระดับสากล : จัดอันดับความสามารถด้านนวัตกรรมของโลก โดย The Global Innovation Index (GII)
ที่ประชุมรับทราบการเก็บข้อมูลและการวัดขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการวิจัยและพัฒนาในระดับสากล โดยใช้ GII หรือดัชนีนวัตกรรมโลก เพื่อเป็นตัวชี้วัดความสามารถในการสร้างผลผลิตของแต่ละประเทศ จากการลงทุนทางด้านปัจจัยต่างๆ (Input/Output) โดยแบ่งออกเป็น
ปัจจัยการผลิต (Innovation Input Sub Index)5 หมวด ได้แก่ 1) สถาบัน 2) ทุนมนุษย์และการวิจัย 3) โครงสร้างพื้นฐาน 4) ความก้าวหน้าทางการตลาด 5) ความก้าวหน้าทางการผลิต
ผลผลิตของนวัตกรรม (Innovation Output Sub Index)แบ่งเป็น 2 หมวดคือ 1) องค์ความรู้และผลผลิตทางเทคโนโลยี 2) ผลผลิตเชิงสร้างสรรค์
ทั้งนี้ การเก็บข้อมูลจะต้องเน้นความถูกต้อง และครบถ้วน มีความทันสมัยของข้อมูล ที่ประชุมเห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการมีการบูรณาการข้อมูลให้อยู่ในฐานข้อมูลเดียวกัน (Big Data) โดยมอบเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เป็นผู้ดูแลและเก็บข้อมูลเพื่อให้มีความเป็นเอกภาพต่อไป
กุลวดี ใจยวน, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สํานักงานรัฐมนตรี: รายงาน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7535
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย จัดเสวนาฯ หัวข้อ “การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในยุค digital disruptive world” หวังกระตุ้นบุคลากรให้พร้อมรับมือกับการบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัล
|
วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562
มหาดไทย จัดเสวนาฯ หัวข้อ “การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในยุค digital disruptive world” หวังกระตุ้นบุคลากรให้พร้อมรับมือกับการบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัล
มหาดไทย จัดเสวนาฯ หัวข้อ “การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในยุค digital disruptive world” หวังกระตุ้นบุคลากรให้พร้อมรับมือกับการบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัล
วันที่ 29ต.ค.2562 เวลา08.45น.ณ ห้องประชุมราชสีห์ ชั้น2อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทยนายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทยได้รับมอบหมายจากนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานเปิดโครงการเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในรูปแบบชุมชนนักปฏิบัติ (CoPs)ของสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ครั้งที่1ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2563ในหัวข้อ“การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในยุคdigital disruptive world”จัดโดย สถาบันดํารงราชานุภาพกระทรวงมหาดไทยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องการบริหารและพัฒนาบุคคลภาครัฐรวมถึงการปรับบทบาทแนวคิดเพื่อให้ทันต่อบริบทต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไปและการรับมือกับความท้าทายในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสําหรับการบริหารทรัพยากรมนุษย์เพื่อนําความรู้ที่ได้ไปพัฒนาการทํางานให้มีประสิทธิภาพประสิทธิผลและนําไปสู่การทํางานในระดับมืออาชีพต่อไปโอกาสนี้ได้เรียนเชิญนายพงศ์โพยม วาศภูติ ประธาน อ.ก.พ.วิสามัญเกี่ยวกับการสร้างประสิทธิภาพด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลพร้อมด้วยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒินายมนูญ สรรค์คุณากรอดีตผู้อํานวยการสํานักงานการบุคคลกลาง บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน)เข้าร่วมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ด้านการบริหารและพัฒนางานบุคคลโดยมีเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและผู้สนใจ ทั้งในส่วนของสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กรม และรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมกิจกรรม รวม60คน พร้อมกันนี้ได้มีการถ่ายทอดสดผ่านระบบVideo Conferenceไปยังศาลากลางจังหวัด ทั้ง76แห่งทั่วประเทศ ด้วย
นายสมคิดจันทมฤกรองปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวว่าปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวหน้าอย่างมากโครงสร้างของสิ่งต่างๆรอบตัวมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากการนําเทคโนโลยีเข้ามาใช้ใครที่สามารถนําเทคโนโลยีมาใช้ได้ก่อนย่อมเกิดประโยชน์และได้เปรียบมากกว่าสําหรับใน“ยุคดิจิทัล”สิ่งต่างๆเหล่านี้ได้เข้าไปมีบทบาทกับมนุษย์ในทุกเรื่องเพราะดิจิทัลสามารถทําสิ่งที่ยากให้ง่ายขึ้นสร้างความสะดวกสบายในชีวิตได้เป็นอย่างดีซึ่งในระดับขององค์กรแล้วผู้บริหารส่วนใหญ่ได้ให้ความสําคัญกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวข้างต้นว่าจะต้องดําเนินการขับเคลื่อนองค์กรอย่างไรให้สอดรับกับสิ่งที่กําลังจะเกิดขึ้นรวมทั้งระบบบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคลภาครัฐที่จะต้องปรับตัวโดยการสร้างบุคลากรคุณภาพอย่างเป็นระบบมีเป้าหมายคุ้มค่าและทันการณ์พร้อมปรับกระบวนการทํางานให้มีประสิทธิภาพพัฒนาความก้าวหน้าให้กับองค์กรเพื่อยกระดับให้เป็นองค์กรชั้นนํา และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการปฏิบัติราชการอันจะก่อให้เกิดประโยชน์สุขต่อประชาชนอย่างแท้จริง
นายพงศ์โพยม วาศภูติ ประธาน อ.ก.พ.วิสามัญเกี่ยวกับการสร้างประสิทธิภาพด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลกล่าวว่า การบริหารและพัฒนางานบุคคลภาครัฐในปัจจุบันจะต้องก้าวให้ทันกับบริบทของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับเปลี่ยนกระบวนการทํางานผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล นอกจากนี้ การการวางแผนเพื่อพิจารณากําหนดอัตรากําลังให้มีความเหมาะสม รวมถึงการเพิ่มพูนทักษะวิชาชีพ และต่อยอดองค์ความรู้ให้แก่บุคลากรย่อมถือเป็นสิ่งสําคัญเช่นเดียวกัน
นายมนูญ สรรค์คุณากรอดีตผู้อํานวยการสํานักงานการบุคคลกลาง บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน)กล่าวว่า การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในยุคสมัยใหม่ นอกจากการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับการทํางานแล้ว การลดค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน การสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับประชาชน และการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ภาครัฐควรตระหนักถึง อีกทั้งการให้ความสําคัญกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
กลุ่มงานเผยแพร่การประชาสัมพันธ์ กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 180/2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย จัดเสวนาฯ หัวข้อ “การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในยุค digital disruptive world” หวังกระตุ้นบุคลากรให้พร้อมรับมือกับการบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัล
วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562
มหาดไทย จัดเสวนาฯ หัวข้อ “การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในยุค digital disruptive world” หวังกระตุ้นบุคลากรให้พร้อมรับมือกับการบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัล
มหาดไทย จัดเสวนาฯ หัวข้อ “การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในยุค digital disruptive world” หวังกระตุ้นบุคลากรให้พร้อมรับมือกับการบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัล
วันที่ 29ต.ค.2562 เวลา08.45น.ณ ห้องประชุมราชสีห์ ชั้น2อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทยนายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทยได้รับมอบหมายจากนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานเปิดโครงการเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในรูปแบบชุมชนนักปฏิบัติ (CoPs)ของสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ครั้งที่1ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2563ในหัวข้อ“การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในยุคdigital disruptive world”จัดโดย สถาบันดํารงราชานุภาพกระทรวงมหาดไทยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องการบริหารและพัฒนาบุคคลภาครัฐรวมถึงการปรับบทบาทแนวคิดเพื่อให้ทันต่อบริบทต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไปและการรับมือกับความท้าทายในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสําหรับการบริหารทรัพยากรมนุษย์เพื่อนําความรู้ที่ได้ไปพัฒนาการทํางานให้มีประสิทธิภาพประสิทธิผลและนําไปสู่การทํางานในระดับมืออาชีพต่อไปโอกาสนี้ได้เรียนเชิญนายพงศ์โพยม วาศภูติ ประธาน อ.ก.พ.วิสามัญเกี่ยวกับการสร้างประสิทธิภาพด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลพร้อมด้วยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒินายมนูญ สรรค์คุณากรอดีตผู้อํานวยการสํานักงานการบุคคลกลาง บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน)เข้าร่วมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ด้านการบริหารและพัฒนางานบุคคลโดยมีเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและผู้สนใจ ทั้งในส่วนของสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กรม และรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมกิจกรรม รวม60คน พร้อมกันนี้ได้มีการถ่ายทอดสดผ่านระบบVideo Conferenceไปยังศาลากลางจังหวัด ทั้ง76แห่งทั่วประเทศ ด้วย
นายสมคิดจันทมฤกรองปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวว่าปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวหน้าอย่างมากโครงสร้างของสิ่งต่างๆรอบตัวมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากการนําเทคโนโลยีเข้ามาใช้ใครที่สามารถนําเทคโนโลยีมาใช้ได้ก่อนย่อมเกิดประโยชน์และได้เปรียบมากกว่าสําหรับใน“ยุคดิจิทัล”สิ่งต่างๆเหล่านี้ได้เข้าไปมีบทบาทกับมนุษย์ในทุกเรื่องเพราะดิจิทัลสามารถทําสิ่งที่ยากให้ง่ายขึ้นสร้างความสะดวกสบายในชีวิตได้เป็นอย่างดีซึ่งในระดับขององค์กรแล้วผู้บริหารส่วนใหญ่ได้ให้ความสําคัญกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวข้างต้นว่าจะต้องดําเนินการขับเคลื่อนองค์กรอย่างไรให้สอดรับกับสิ่งที่กําลังจะเกิดขึ้นรวมทั้งระบบบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคลภาครัฐที่จะต้องปรับตัวโดยการสร้างบุคลากรคุณภาพอย่างเป็นระบบมีเป้าหมายคุ้มค่าและทันการณ์พร้อมปรับกระบวนการทํางานให้มีประสิทธิภาพพัฒนาความก้าวหน้าให้กับองค์กรเพื่อยกระดับให้เป็นองค์กรชั้นนํา และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการปฏิบัติราชการอันจะก่อให้เกิดประโยชน์สุขต่อประชาชนอย่างแท้จริง
นายพงศ์โพยม วาศภูติ ประธาน อ.ก.พ.วิสามัญเกี่ยวกับการสร้างประสิทธิภาพด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลกล่าวว่า การบริหารและพัฒนางานบุคคลภาครัฐในปัจจุบันจะต้องก้าวให้ทันกับบริบทของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับเปลี่ยนกระบวนการทํางานผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล นอกจากนี้ การการวางแผนเพื่อพิจารณากําหนดอัตรากําลังให้มีความเหมาะสม รวมถึงการเพิ่มพูนทักษะวิชาชีพ และต่อยอดองค์ความรู้ให้แก่บุคลากรย่อมถือเป็นสิ่งสําคัญเช่นเดียวกัน
นายมนูญ สรรค์คุณากรอดีตผู้อํานวยการสํานักงานการบุคคลกลาง บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน)กล่าวว่า การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในยุคสมัยใหม่ นอกจากการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับการทํางานแล้ว การลดค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน การสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับประชาชน และการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ภาครัฐควรตระหนักถึง อีกทั้งการให้ความสําคัญกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
กลุ่มงานเผยแพร่การประชาสัมพันธ์ กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 180/2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24147
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดอุดตันเฉียบพลัน อัตราการเสียชีวิตลดลงเหลือน้อยกว่าร้อยละ 10
|
วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2559
สธ.เผยผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดอุดตันเฉียบพลัน อัตราการเสียชีวิตลดลงเหลือน้อยกว่าร้อยละ 10
กระทรวงสาธารณสุข เตรียมจัดตั้งคลินิกผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว คลินิกผู้ป่วยที่ได้รับยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด ครอบคลุมทุกเขตบริการสุขภาพ หลังโครงการ “วิกฤตโรคหัวใจ ปลอดภัยทั่วไทย”
วันนี้ (19 สิงหาคม 2559) ที่ สถาบันโรคทรวงอก จ.นนทบุรี นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ปานเนตร ปางพุฒิพงศ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดประชุมวิชาการและสรุปผลการดําเนินงานโครงการ “วิกฤตโรคหัวใจ ปลอดภัยทั่วไทย (Save Thais from Heart Diseases)” ผู้ร่วมประชุมประกอบด้วย นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อํานวยการโรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลทั่วไป/ โรงพยาบาลชุมชน ในและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลเอกชนรวม 550 คน
นายแพทย์โสภณ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทําแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) สาขาโรคหัวใจ เพื่อตอบสนองนโยบายกระทรวงสาธารณสุข ในการลดอัตราเพิ่มการเสียชีวิตและการเจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจ จึงได้เร่งรัดการพัฒนาเครือข่ายโรคหัวใจ จัดทําโครงการ “วิกฤตโรคหัวใจ ปลอดภัยทั่วไทย (Save Thais from Heart Diseases)” มีโรงพยาบาล 359 แห่งทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการ ตั้งเป้าเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลศูนย์ /โรงพยาบาลทั่วไปในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดที่เฉียบพลันรุนแรง ผู้ป่วยหัวใจล้มเหลว และผู้ป่วยหัวใจเต้นผิดจังหวะ มีผลเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนคือ มีการรักษา ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดอุดตันเฉียบพลันอย่างทันท่วงที
ผลการดําเนินงานตั้งแต่ตุลาคม 2558 – สิงหาคม 2559 จากโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ 359 แห่ง มีผู้ป่วยเข้ารับบริการจํานวน 16,782 ราย เป็นผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดอุดตันเฉียบพลัน 6,553 ราย สามารถเข้าถึงบริการโดยการได้ยาละลายลิ่มเลือด หรือการขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 63 ในปี 2556 เป็น 75 ในปี 2559 อัตราการเสียชีวิตลดลงเหลือน้อยกว่าร้อยละ 10 โดยเฉพาะการให้ยาละลายลิ่มเลือดโรงพยาบาลชุมชนขนาดกลางขึ้นไป ทําได้ 100 เปอร์เซ็นต์
ด้านนายแพทย์ปานเนตร ปางพุฒิพงศ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคทรวงอก ได้ดําเนินการโครงการนี้ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยจัดอบรมให้ความรู้ จัดทําคู่มือมาตรฐานการรักษา การอ่านคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การบริหารจัดการข้อมูลระดับประเทศ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ รับฟังปัญหาอุปสรรคการดําเนินงาน สําหรับการพัฒนาต่อไป มีเป้าหมายเพิ่มการจัดตั้งคลินิกรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว, คลินิกให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ให้ครอบคลุมทุกเขตสุขภาพรวมทั้งสนับสนุนให้มีการป้องกันและควบคุม ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ เช่น โรคเบาหวาน, ไขมันในเลือด, ความดันโลหิตสูง ,การบุหรี่ เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการและมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดอุดตันเฉียบพลัน อัตราการเสียชีวิตลดลงเหลือน้อยกว่าร้อยละ 10
วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2559
สธ.เผยผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดอุดตันเฉียบพลัน อัตราการเสียชีวิตลดลงเหลือน้อยกว่าร้อยละ 10
กระทรวงสาธารณสุข เตรียมจัดตั้งคลินิกผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว คลินิกผู้ป่วยที่ได้รับยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด ครอบคลุมทุกเขตบริการสุขภาพ หลังโครงการ “วิกฤตโรคหัวใจ ปลอดภัยทั่วไทย”
วันนี้ (19 สิงหาคม 2559) ที่ สถาบันโรคทรวงอก จ.นนทบุรี นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ปานเนตร ปางพุฒิพงศ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดประชุมวิชาการและสรุปผลการดําเนินงานโครงการ “วิกฤตโรคหัวใจ ปลอดภัยทั่วไทย (Save Thais from Heart Diseases)” ผู้ร่วมประชุมประกอบด้วย นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อํานวยการโรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลทั่วไป/ โรงพยาบาลชุมชน ในและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลเอกชนรวม 550 คน
นายแพทย์โสภณ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทําแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) สาขาโรคหัวใจ เพื่อตอบสนองนโยบายกระทรวงสาธารณสุข ในการลดอัตราเพิ่มการเสียชีวิตและการเจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจ จึงได้เร่งรัดการพัฒนาเครือข่ายโรคหัวใจ จัดทําโครงการ “วิกฤตโรคหัวใจ ปลอดภัยทั่วไทย (Save Thais from Heart Diseases)” มีโรงพยาบาล 359 แห่งทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการ ตั้งเป้าเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลศูนย์ /โรงพยาบาลทั่วไปในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดที่เฉียบพลันรุนแรง ผู้ป่วยหัวใจล้มเหลว และผู้ป่วยหัวใจเต้นผิดจังหวะ มีผลเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนคือ มีการรักษา ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดอุดตันเฉียบพลันอย่างทันท่วงที
ผลการดําเนินงานตั้งแต่ตุลาคม 2558 – สิงหาคม 2559 จากโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ 359 แห่ง มีผู้ป่วยเข้ารับบริการจํานวน 16,782 ราย เป็นผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดอุดตันเฉียบพลัน 6,553 ราย สามารถเข้าถึงบริการโดยการได้ยาละลายลิ่มเลือด หรือการขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 63 ในปี 2556 เป็น 75 ในปี 2559 อัตราการเสียชีวิตลดลงเหลือน้อยกว่าร้อยละ 10 โดยเฉพาะการให้ยาละลายลิ่มเลือดโรงพยาบาลชุมชนขนาดกลางขึ้นไป ทําได้ 100 เปอร์เซ็นต์
ด้านนายแพทย์ปานเนตร ปางพุฒิพงศ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคทรวงอก ได้ดําเนินการโครงการนี้ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยจัดอบรมให้ความรู้ จัดทําคู่มือมาตรฐานการรักษา การอ่านคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การบริหารจัดการข้อมูลระดับประเทศ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ รับฟังปัญหาอุปสรรคการดําเนินงาน สําหรับการพัฒนาต่อไป มีเป้าหมายเพิ่มการจัดตั้งคลินิกรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว, คลินิกให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ให้ครอบคลุมทุกเขตสุขภาพรวมทั้งสนับสนุนให้มีการป้องกันและควบคุม ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ เช่น โรคเบาหวาน, ไขมันในเลือด, ความดันโลหิตสูง ,การบุหรี่ เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการและมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/133
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ รมว.อว. กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “พลิกโฉมการอุดมศึกษาไทยในยุค DISRUPTION TECHNOLOGY”
|
วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน 2562
ดร.สุวิทย์ รมว.อว. กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “พลิกโฉมการอุดมศึกษาไทยในยุค DISRUPTION TECHNOLOGY”
ดร.สุวิทย์ รมว.อว. กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “พลิกโฉมการอุดมศึกษาไทยในยุค DISRUPTION TECHNOLOGY”
วันที่ 18 พฤศจิกายน 2562 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ โปรดให้ หม่อมหลวงสราลี กิติยากร เป็นผู้แทนพระองค์เปิดการประชุมพยาบาลแห่งชาติ ครั้งที่ 16 “พลิกโฉมวิชาชีพการพยาบาล สู่สุขภาวะถ้วนหน้าอย่างยั่งยืน” เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาพิเษก พุทธศุกราช 2562 โดยมี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “พลิกโฉมการอุดมศึกษาไทยในยุค disruption technology” ณ โรงแรม เดอะ เบอร์เคลีย์ เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร
ดร.สุวิทย์ รมว.อว. กล่าวว่า โลกของเรากําลังเผชิญกับเทคโนโลยีป่วนโลกหรือ disruption ซึ่งคนในประเทศจําเป็นต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้เพื่อให้สอดคล้องต่อการดําเนินชีวิตในปัจจุบัน สําหรับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้เตรียมความพร้อมไปสู่ศตวรรษที่ 21 ภารกิจของกระทรวงที่สําคัญ 3 ประการ คือ 1. การสร้างและพัฒนาคน 2. การวิจัยเพื่อสร้างความรู้ และ 3.การสร้างและพัฒนานวัตกรรม โดยกระทรวงการอุดมศึกษาฯ จะต้องทําหน้าที่ขับเคลื่อนประเทศไทยให้พร้อมไปสู่ Ai และ Data Economy เพราะในอนาคตสิ่งเหล่านี้จะเป็นเรื่องพื้นฐานของประเทศ
เช่นเดียวกับวิชาชีพพยาบาล เป็นวิชาชีพที่มีส่วนสําคัญ ในการดูแลสุขภาพของประชาชนผู้ประกอบวิชาชีพพยาบาล จําเป็นต้องพัฒนาตน ให้มีความรู้ทางการพยาบาลที่ก้าวหน้าทันการณ์ ทันโลกอยู่ตลอดเวลา อาทิ การรักษาด้วยการยืนบําบัด วัคซีนและยาชีววัตถุ วัสดุและอุปกรณ์ทางการแพทย์ การเก็บข้อมูลจีโนมเพื่อการรักษาส่วนบุคคล สารสกัดจากสมุนไพรเพื่อผลิตยาและเวชสําอาง การแพทย์ทางไกล และการวิจัยทางคลินิก
เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า
ส่วนสื่อสารองค์กร สํานักบริหารกลาง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ รมว.อว. กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “พลิกโฉมการอุดมศึกษาไทยในยุค DISRUPTION TECHNOLOGY”
วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน 2562
ดร.สุวิทย์ รมว.อว. กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “พลิกโฉมการอุดมศึกษาไทยในยุค DISRUPTION TECHNOLOGY”
ดร.สุวิทย์ รมว.อว. กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “พลิกโฉมการอุดมศึกษาไทยในยุค DISRUPTION TECHNOLOGY”
วันที่ 18 พฤศจิกายน 2562 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ โปรดให้ หม่อมหลวงสราลี กิติยากร เป็นผู้แทนพระองค์เปิดการประชุมพยาบาลแห่งชาติ ครั้งที่ 16 “พลิกโฉมวิชาชีพการพยาบาล สู่สุขภาวะถ้วนหน้าอย่างยั่งยืน” เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาพิเษก พุทธศุกราช 2562 โดยมี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “พลิกโฉมการอุดมศึกษาไทยในยุค disruption technology” ณ โรงแรม เดอะ เบอร์เคลีย์ เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร
ดร.สุวิทย์ รมว.อว. กล่าวว่า โลกของเรากําลังเผชิญกับเทคโนโลยีป่วนโลกหรือ disruption ซึ่งคนในประเทศจําเป็นต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้เพื่อให้สอดคล้องต่อการดําเนินชีวิตในปัจจุบัน สําหรับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้เตรียมความพร้อมไปสู่ศตวรรษที่ 21 ภารกิจของกระทรวงที่สําคัญ 3 ประการ คือ 1. การสร้างและพัฒนาคน 2. การวิจัยเพื่อสร้างความรู้ และ 3.การสร้างและพัฒนานวัตกรรม โดยกระทรวงการอุดมศึกษาฯ จะต้องทําหน้าที่ขับเคลื่อนประเทศไทยให้พร้อมไปสู่ Ai และ Data Economy เพราะในอนาคตสิ่งเหล่านี้จะเป็นเรื่องพื้นฐานของประเทศ
เช่นเดียวกับวิชาชีพพยาบาล เป็นวิชาชีพที่มีส่วนสําคัญ ในการดูแลสุขภาพของประชาชนผู้ประกอบวิชาชีพพยาบาล จําเป็นต้องพัฒนาตน ให้มีความรู้ทางการพยาบาลที่ก้าวหน้าทันการณ์ ทันโลกอยู่ตลอดเวลา อาทิ การรักษาด้วยการยืนบําบัด วัคซีนและยาชีววัตถุ วัสดุและอุปกรณ์ทางการแพทย์ การเก็บข้อมูลจีโนมเพื่อการรักษาส่วนบุคคล สารสกัดจากสมุนไพรเพื่อผลิตยาและเวชสําอาง การแพทย์ทางไกล และการวิจัยทางคลินิก
เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า
ส่วนสื่อสารองค์กร สํานักบริหารกลาง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24732
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมประชุมเตรียมการในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาว่าด้วยการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อกลุ่มเปราะบาง [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
|
วันพุธที่ 10 มิถุนายน 2563
พม. ร่วมประชุมเตรียมการในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาว่าด้วยการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อกลุ่มเปราะบาง [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
พม. ร่วมประชุมเตรียมการในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาว่าด้วยการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อกลุ่มเปราะบางในอาเซียน
วันนี้ (9 มิ.ย. 63) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม ศปก. ชั้น 2 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถ.กรุงเกษม กทม.นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)มอบหมายให้ นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมเตรียมการในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ว่าด้วยการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อกลุ่มเปราะบางในอาเซียน ในรูปแบบการประชุมออนไลน์ ผ่านระบบ Video Conference ซึ่งจัดโดยกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุม ประกอบด้วย หัวหน้าเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาและคณะผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวมีระเบียบวาระสําคัญเกี่ยวกับความร่วมมือในการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อกลุ่มเปราะบางในอาเซียน ตลอดจนเตรียมการสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา สมัยพิเศษ ว่าด้วยการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อกลุ่มเปราะบางในอาเซียน (Special Online ASEAN Ministerial Meeting on Social Welfare and Development (AMMSWD) on Mitigating Impacts of COVID-19 on Vulnerable Groups in ASEAN) ซึ่งกําหนดจัดขึ้นในวันที่ 10 มิถุนายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมประชุมเตรียมการในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาว่าด้วยการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อกลุ่มเปราะบาง [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
วันพุธที่ 10 มิถุนายน 2563
พม. ร่วมประชุมเตรียมการในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาว่าด้วยการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อกลุ่มเปราะบาง [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
พม. ร่วมประชุมเตรียมการในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาว่าด้วยการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อกลุ่มเปราะบางในอาเซียน
วันนี้ (9 มิ.ย. 63) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม ศปก. ชั้น 2 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถ.กรุงเกษม กทม.นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)มอบหมายให้ นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมเตรียมการในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ว่าด้วยการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อกลุ่มเปราะบางในอาเซียน ในรูปแบบการประชุมออนไลน์ ผ่านระบบ Video Conference ซึ่งจัดโดยกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุม ประกอบด้วย หัวหน้าเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาและคณะผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวมีระเบียบวาระสําคัญเกี่ยวกับความร่วมมือในการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อกลุ่มเปราะบางในอาเซียน ตลอดจนเตรียมการสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา สมัยพิเศษ ว่าด้วยการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อกลุ่มเปราะบางในอาเซียน (Special Online ASEAN Ministerial Meeting on Social Welfare and Development (AMMSWD) on Mitigating Impacts of COVID-19 on Vulnerable Groups in ASEAN) ซึ่งกําหนดจัดขึ้นในวันที่ 10 มิถุนายน 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32132
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. กำชับโรงพยาบาลปฏิบัติตามมาตรฐานการรับ-จำหน่ายผู้ป่วย
|
วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม 2561
สธ. กําชับโรงพยาบาลปฏิบัติตามมาตรฐานการรับ-จําหน่ายผู้ป่วย
ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 5 กําชับโรงพยาบาล ปฏิบัติตามมาตรฐานการรับ - จําหน่ายผู้ป่วย ป้องกันรับผู้ป่วยกลับบ้านผิดคน
ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 5 กําชับโรงพยาบาล ปฏิบัติตามมาตรฐานการรับ - จําหน่ายผู้ป่วย ป้องกันรับผู้ป่วยกลับบ้านผิดคน
วันนี้ (3 พฤษภาคม 2561) นายแพทย์พิศิษฐ์ ศรีประเสริฐ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 5 ให้สัมภาษณ์กรณีญาติรับผู้ป่วยจากโรงพยาบาลนครปฐมกลับบ้านผิดคน เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา เบื้องต้นได้รับรายงานจากนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครปฐมว่า ผู้ป่วยรายนี้เป็นหญิงอายุ 83ปี รับไว้รักษาตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2561 ด้วยอาการไข้ เหนื่อยซึม อ่อนเพลียมาก ตรวจพบภาวะสมองฝ่อ ติดเชื้อในกระแสเลือด และทางเดินปัสสาวะ ภาวะไตวาย ได้รับการรักษาภาวะติดเชื้อ ให้ออกซิเจน ต่อมาวันที่ 26 เมษายน 2561 เวลา 07.00 น. มีญาติมาเยี่ยมผู้ป่วย 3 คน แจ้งพยาบาลว่าเป็นลูกชายและลูกสาวของผู้ป่วยรายนี้ ได้หารือเรื่องการใส่ท่อช่วยหายใจ แต่ญาติไม่ยินยอมและขอรับผู้ป่วยกลับไปดูแลต่อที่บ้าน จึงให้ลงชื่อไม่สมัครใจรักษาต่อ พร้อมให้คําแนะนําการดูแลต่อที่บ้าน และประสานรถส่งกลับบ้านเมื่อเวลา 07.30 น.
ต่อมาเวลา 09.40 น. ตรวจสอบพบมีการขอรับผู้ป่วยผิดคน จึงได้ประสานญาติและผู้ขอรับตัวผู้ป่วย นํารถพยาบาลไปรับผู้ป่วยกลับมารักษาที่โรงพยาบาล ดูแลอย่างใกล้ชิด พร้อมขอโทษญาติผู้ป่วยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งโรงพยาบาลไม่ได้มีเจตนาจะละทิ้งผู้ป่วย และให้การช่วยเหลือมาโดยตลอด โดยผู้ป่วยรายนี้ได้เสียชีวิตด้วยภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2561 เวลา 17.10 น. โรงพยาบาลได้จัดรถส่งกลับบ้าน ให้การดูแลเรื่องงานฌาปนกิจศพ
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ได้กําชับให้โรงพยาบาล ปฏิบัติตามมาตรฐานการดูแลผู้ป่วย การรับ การจําหน่ายผู้ป่วยกลับบ้านอย่างเคร่งครัด ป้องกันกรณีญาติรับผู้ป่วยกลับบ้านผิดคน และได้ตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
พฤษภาคม/6 ************************* 3 พฤษภาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. กำชับโรงพยาบาลปฏิบัติตามมาตรฐานการรับ-จำหน่ายผู้ป่วย
วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม 2561
สธ. กําชับโรงพยาบาลปฏิบัติตามมาตรฐานการรับ-จําหน่ายผู้ป่วย
ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 5 กําชับโรงพยาบาล ปฏิบัติตามมาตรฐานการรับ - จําหน่ายผู้ป่วย ป้องกันรับผู้ป่วยกลับบ้านผิดคน
ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 5 กําชับโรงพยาบาล ปฏิบัติตามมาตรฐานการรับ - จําหน่ายผู้ป่วย ป้องกันรับผู้ป่วยกลับบ้านผิดคน
วันนี้ (3 พฤษภาคม 2561) นายแพทย์พิศิษฐ์ ศรีประเสริฐ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 5 ให้สัมภาษณ์กรณีญาติรับผู้ป่วยจากโรงพยาบาลนครปฐมกลับบ้านผิดคน เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา เบื้องต้นได้รับรายงานจากนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครปฐมว่า ผู้ป่วยรายนี้เป็นหญิงอายุ 83ปี รับไว้รักษาตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2561 ด้วยอาการไข้ เหนื่อยซึม อ่อนเพลียมาก ตรวจพบภาวะสมองฝ่อ ติดเชื้อในกระแสเลือด และทางเดินปัสสาวะ ภาวะไตวาย ได้รับการรักษาภาวะติดเชื้อ ให้ออกซิเจน ต่อมาวันที่ 26 เมษายน 2561 เวลา 07.00 น. มีญาติมาเยี่ยมผู้ป่วย 3 คน แจ้งพยาบาลว่าเป็นลูกชายและลูกสาวของผู้ป่วยรายนี้ ได้หารือเรื่องการใส่ท่อช่วยหายใจ แต่ญาติไม่ยินยอมและขอรับผู้ป่วยกลับไปดูแลต่อที่บ้าน จึงให้ลงชื่อไม่สมัครใจรักษาต่อ พร้อมให้คําแนะนําการดูแลต่อที่บ้าน และประสานรถส่งกลับบ้านเมื่อเวลา 07.30 น.
ต่อมาเวลา 09.40 น. ตรวจสอบพบมีการขอรับผู้ป่วยผิดคน จึงได้ประสานญาติและผู้ขอรับตัวผู้ป่วย นํารถพยาบาลไปรับผู้ป่วยกลับมารักษาที่โรงพยาบาล ดูแลอย่างใกล้ชิด พร้อมขอโทษญาติผู้ป่วยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งโรงพยาบาลไม่ได้มีเจตนาจะละทิ้งผู้ป่วย และให้การช่วยเหลือมาโดยตลอด โดยผู้ป่วยรายนี้ได้เสียชีวิตด้วยภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2561 เวลา 17.10 น. โรงพยาบาลได้จัดรถส่งกลับบ้าน ให้การดูแลเรื่องงานฌาปนกิจศพ
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ได้กําชับให้โรงพยาบาล ปฏิบัติตามมาตรฐานการดูแลผู้ป่วย การรับ การจําหน่ายผู้ป่วยกลับบ้านอย่างเคร่งครัด ป้องกันกรณีญาติรับผู้ป่วยกลับบ้านผิดคน และได้ตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
พฤษภาคม/6 ************************* 3 พฤษภาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11953
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดการประชุมนานาชาติ “ครอบครัวปลอดภัยในยุคดิจิทัล”
|
วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561
รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดการประชุมนานาชาติ “ครอบครัวปลอดภัยในยุคดิจิทัล”
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดงานประชุมนานาชาติ ในหัวข้อ “ครอบครัวปลอดภัยในยุคดิจิทัล : Building a Safe Online Environment for Children” พร้อมกล่าวปาฐากถาพิเศษ ซึ่งสํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ./ETDA ร่วมกับ สถาบันวิชาการนโยบายกิจการสาธารณะกับธุรกิจและการกํากับดูแล (APaR) คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยความร่วมมือของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จัดขึ้น เพื่อสร้างความตระหนักให้กับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องถึงภัยคุกคามบนสื่อออนไลน์ในยุคดิจิทัล ซึ่งเยาวชนสามารถเข้าถึงสื่อดังกล่าวได้ทุกที่ทุกเวลา แต่เนื้อหาของสื่อในโลกอินเทอร์เน็ตบางอย่างไม่เหมาะสมกับเยาวชน อาทิ เนื้อหาที่มีความรุนแรง เรื่องเพศ และการใช้ภาษา การประชุมในครั้งนี้จึงมีความสําคัญในการรับฟังนโยบาย รวมถึงแนวปฏิบัติเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวจากหลายประเทศ เพื่อนํามาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับประเทศไทย สําหรับสร้างมาตรการระวัง ป้องกันภัย และรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยการประชุมระดับนานาชาติดังกล่าว มีขึ้นระหว่างวันที่ 8-9 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ห้อง Open Forum ชั้น 21 สํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) อาคารเดอะไนน์ ทาวเวอร์ส แกรนด์ พระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ
********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดการประชุมนานาชาติ “ครอบครัวปลอดภัยในยุคดิจิทัล”
วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561
รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดการประชุมนานาชาติ “ครอบครัวปลอดภัยในยุคดิจิทัล”
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดงานประชุมนานาชาติ ในหัวข้อ “ครอบครัวปลอดภัยในยุคดิจิทัล : Building a Safe Online Environment for Children” พร้อมกล่าวปาฐากถาพิเศษ ซึ่งสํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ./ETDA ร่วมกับ สถาบันวิชาการนโยบายกิจการสาธารณะกับธุรกิจและการกํากับดูแล (APaR) คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยความร่วมมือของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จัดขึ้น เพื่อสร้างความตระหนักให้กับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องถึงภัยคุกคามบนสื่อออนไลน์ในยุคดิจิทัล ซึ่งเยาวชนสามารถเข้าถึงสื่อดังกล่าวได้ทุกที่ทุกเวลา แต่เนื้อหาของสื่อในโลกอินเทอร์เน็ตบางอย่างไม่เหมาะสมกับเยาวชน อาทิ เนื้อหาที่มีความรุนแรง เรื่องเพศ และการใช้ภาษา การประชุมในครั้งนี้จึงมีความสําคัญในการรับฟังนโยบาย รวมถึงแนวปฏิบัติเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวจากหลายประเทศ เพื่อนํามาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับประเทศไทย สําหรับสร้างมาตรการระวัง ป้องกันภัย และรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยการประชุมระดับนานาชาติดังกล่าว มีขึ้นระหว่างวันที่ 8-9 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ห้อง Open Forum ชั้น 21 สํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) อาคารเดอะไนน์ ทาวเวอร์ส แกรนด์ พระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ
********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10016
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในน้ำลาย ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก ผลแม่นยำ
|
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563
สธ.ตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในน้ําลาย ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก ผลแม่นยํา
กระทรวงสาธารณสุขพัฒนาวิธีการ ตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในน้ําลาย ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก ตรวจหาในกลุ่มคนจํานวนมากเป็นกลุ่มก้อน ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ราคาถูก ผลแม่นยํา
กระทรวงสาธารณสุขพัฒนาวิธีการ ตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในน้ําลาย ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก ตรวจหาในกลุ่มคนจํานวนมากเป็นกลุ่มก้อน ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ราคาถูก ผลแม่นยํา
วันนี้ (24 เมษายน 2563) ที่สถาบันบําราศนราดูร จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และนายแพทย์อภิชาต วชิรพันธ์ ผู้อํานวยการสถาบันบําราศนราดูร ร่วมกันแถลงข่าว การตรวจเชื้อโควิด 19 ในน้ําลาย ว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสถาบันบําราศนราดูร ได้ร่วมกันพัฒนาวิธีการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในน้ําลาย ซึ่งวิธีการตรวจดังกล่าวโรงพยาบาลรามาธิบดีได้ทําการวิจัยพบว่าได้ผลแม่นยํา มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับวิธีการตรวจจากสารคัดหลั่งหลังจากจมูกและคอหรือวิธีการตรวจหาสารพันธุกรรม (RT-PCR) ซึ่งวิธีการตรวจหาเชื้อในน้ําลายนี้ได้รับการยอมรับในหลายประเทศ ส่วนข้อดีของตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในน้ําลาย คือ ราคาถูก เก็บตัวอย่างง่ายกว่า สามารถเก็บได้ด้วยตัวเอง ทําให้บุคลากรปลอดภัยมากขึ้น ไม่ต้องใช้หรือลดการใช้ชุดป้องกัน PPE
กระทรวงสาธารณสุขใช้การตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในน้ําลาย ในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ํา ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก และการค้นหาผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการในชุมชน ทําให้ค้นหาผู้ป่วย/ผู้ติดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว นําเข้าสู่ระบบการรักษา ป้องกันการแพร่ระบาดของโรค สามารถเริ่มดําเนินการได้ทันทีทุกพื้นที่ที่มีการระบาด ชุมชนแออัด หรือจุดเข้า-ออกของประเทศ ส่วนผู้เข้าเกณฑ์สอบสวนโรคหรือ PUI คือ มีไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจที่มาตรวจรักษาในสถานพยาบาล จะใช้วิธีเก็บสิ่งส่งตรวจจากสารคัดหลั่งหลังจมูกและคอเป็นหลัก
สําหรับวิธีการเก็บน้ําลาย สามารถนํากระป๋องไปเก็บเองได้ที่บ้าน โดยต้องล้างมือให้สะอาด เทอาหารสําหรับเก็บตัวอย่างไวรัสลงในกระป๋องเก็บน้ําลาย ขากน้ําลายที่อยู่ในลําคอส่วนลึกเหมือนขากเสมหะปิดฝากระป๋องพันด้วยพาราฟิลม์และใส่ถุงซิปล๊อค 3 ชั้น และนําส่งห้องปฏิบัติการภายใน 5 ชั่วโมง ทั้งนี้ จะต้องไม่แปรงฟัน ใช้น้ํายาบ้วนปาก ดื่มน้ํา หรือเคี้ยวหมากฝรั่งก่อนเก็บน้ําลาย
************************************** 24 เมษายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในน้ำลาย ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก ผลแม่นยำ
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563
สธ.ตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในน้ําลาย ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก ผลแม่นยํา
กระทรวงสาธารณสุขพัฒนาวิธีการ ตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในน้ําลาย ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก ตรวจหาในกลุ่มคนจํานวนมากเป็นกลุ่มก้อน ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ราคาถูก ผลแม่นยํา
กระทรวงสาธารณสุขพัฒนาวิธีการ ตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในน้ําลาย ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก ตรวจหาในกลุ่มคนจํานวนมากเป็นกลุ่มก้อน ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ราคาถูก ผลแม่นยํา
วันนี้ (24 เมษายน 2563) ที่สถาบันบําราศนราดูร จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และนายแพทย์อภิชาต วชิรพันธ์ ผู้อํานวยการสถาบันบําราศนราดูร ร่วมกันแถลงข่าว การตรวจเชื้อโควิด 19 ในน้ําลาย ว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสถาบันบําราศนราดูร ได้ร่วมกันพัฒนาวิธีการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในน้ําลาย ซึ่งวิธีการตรวจดังกล่าวโรงพยาบาลรามาธิบดีได้ทําการวิจัยพบว่าได้ผลแม่นยํา มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับวิธีการตรวจจากสารคัดหลั่งหลังจากจมูกและคอหรือวิธีการตรวจหาสารพันธุกรรม (RT-PCR) ซึ่งวิธีการตรวจหาเชื้อในน้ําลายนี้ได้รับการยอมรับในหลายประเทศ ส่วนข้อดีของตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในน้ําลาย คือ ราคาถูก เก็บตัวอย่างง่ายกว่า สามารถเก็บได้ด้วยตัวเอง ทําให้บุคลากรปลอดภัยมากขึ้น ไม่ต้องใช้หรือลดการใช้ชุดป้องกัน PPE
กระทรวงสาธารณสุขใช้การตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในน้ําลาย ในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ํา ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก และการค้นหาผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการในชุมชน ทําให้ค้นหาผู้ป่วย/ผู้ติดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว นําเข้าสู่ระบบการรักษา ป้องกันการแพร่ระบาดของโรค สามารถเริ่มดําเนินการได้ทันทีทุกพื้นที่ที่มีการระบาด ชุมชนแออัด หรือจุดเข้า-ออกของประเทศ ส่วนผู้เข้าเกณฑ์สอบสวนโรคหรือ PUI คือ มีไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจที่มาตรวจรักษาในสถานพยาบาล จะใช้วิธีเก็บสิ่งส่งตรวจจากสารคัดหลั่งหลังจมูกและคอเป็นหลัก
สําหรับวิธีการเก็บน้ําลาย สามารถนํากระป๋องไปเก็บเองได้ที่บ้าน โดยต้องล้างมือให้สะอาด เทอาหารสําหรับเก็บตัวอย่างไวรัสลงในกระป๋องเก็บน้ําลาย ขากน้ําลายที่อยู่ในลําคอส่วนลึกเหมือนขากเสมหะปิดฝากระป๋องพันด้วยพาราฟิลม์และใส่ถุงซิปล๊อค 3 ชั้น และนําส่งห้องปฏิบัติการภายใน 5 ชั่วโมง ทั้งนี้ จะต้องไม่แปรงฟัน ใช้น้ํายาบ้วนปาก ดื่มน้ํา หรือเคี้ยวหมากฝรั่งก่อนเก็บน้ําลาย
************************************** 24 เมษายน 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29708
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ย้ำ กคช. เร่งสร้างบ้านเช่าราคาถูก 100,000 หน่วยใน 5 ปี พร้อมนำนวัตกรรมสร้างบ้านเพื่อผู้มีรายได้น้อย
|
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563
รมว.พม. ย้ํา กคช. เร่งสร้างบ้านเช่าราคาถูก 100,000 หน่วยใน 5 ปี พร้อมนํานวัตกรรมสร้างบ้านเพื่อผู้มีรายได้น้อย
รมว.พม. ย้ํา กคช. เร่งสร้างบ้านเช่าราคาถูก 100,000 หน่วยใน 5 ปี พร้อมนํานวัตกรรมสร้างบ้านเพื่อผู้มีรายได้น้อย
วันนี้ (10 ส.ค. 63) เวลา 09.00 น.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการการขับเคลื่อนแผนงานโครงการสําคัญของการเคหะแห่งชาติ อาทิ โครงการบ้านเช่าสําหรับผู้มีรายได้น้อย บ้านสุขประชา และโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุและคนพิการ เป็นต้น พร้อมทั้งมอบนโยบายการขับเคลื่อนงานพัฒนาที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) โดยมีหัวหน้ามีคณะผู้บริหารและหัวหน้าหน่วยงาน เข้าร่วม ณ ห้องประชุมชั้น 3 อาคารสันทนาการ สํานักงานใหญ่ การเคหะแห่งชาติ เขตบางกะปิ กทม.
นายจุติกล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ ตนได้มอบแนวทางการขับเคลื่อนงานให้ กคช. ปรับทิศทาง ปรับองค์ความคิด และปรับวิธีการทํางาน โดยให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางเพื่อให้สมกับความไว้วางใจที่ได้รับจากประชาชน ซึ่งปัจจุบันได้เกิดความเปลี่ยนแปลงในหลายๆ เรื่อง จึงจําเป็นต้องมีการพัฒนารูปแบบของโครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ด้วยการนํานวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการก่อสร้างโครงการ และนําเทคโนโลยี ดิจิทัลมาช่วยในการบริหารจัดการ ซึ่งต้องการให้ทุกคนร่วมกันขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นหน่วยงานที่เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะการจัดทําโครงการบ้านเช่าสําหรับผู้มีรายได้น้อย บ้านสุขประชา 100,000 หน่วย ภายใน 5 ปี ซึ่งจะต้องเร่งดําเนินการให้เป็นโครงการที่มีคุณภาพ และต้องทําให้โปร่งใส เท่าเทียม ทั่วถึง และเป็นธรรม
นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า ตนได้เน้นย้ําให้ กคช. ต้องเป็นหน่วยงานที่ช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัยอย่างทั่วถึง เพื่อลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม โดยให้ Rebranding เพื่อสร้าง กคช. ให้เป็นองค์กรที่ทําให้ประชาชนเชื่อมั่น นํานวัตกรรมใหม่มาใช้ในการก่อสร้างให้เกิดประโยชน์ พร้อมทั้งศึกษาองค์กรที่ประสบความสําเร็จมาปรับใช้ในหน่วยงานของ กคช. และหากลดขั้นตอนการทํางานได้ แต่ยังอยู่ในระบบธรรมาภิบาล จะนําไปสู่การดําเนินงานที่ดีและรวดเร็วขึ้น โดยต้องยึดหลักการดําเนินงานดังนี้ 1. ทําให้สิ่งที่ตนเองเชื่อ 2. ข้อเท็จจริงและมีความเห็นใจลูกบ้าน 3. ต้องมีความหวังและความเพียร 4. มีเครือข่ายในชุมชนและเครือข่ายระดับประเทศ เพื่อสร้างความก้าวหน้า และ 5. มีความยืดหยุ่นที่จะทําให้องค์กรอยู่รอด และเลือกใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้เกิดรายได้ให้มากขึ้น ทั้งนี้ เชื่อว่า กคช. จะร่วมกันดําเนินงานให้ประสบความสําเร็จ ด้วยความอดทนและยอมรับการเปลี่ยนแปลงในองค์กร เพื่อให้องค์กรขับเคลื่อนงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ย้ำ กคช. เร่งสร้างบ้านเช่าราคาถูก 100,000 หน่วยใน 5 ปี พร้อมนำนวัตกรรมสร้างบ้านเพื่อผู้มีรายได้น้อย
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563
รมว.พม. ย้ํา กคช. เร่งสร้างบ้านเช่าราคาถูก 100,000 หน่วยใน 5 ปี พร้อมนํานวัตกรรมสร้างบ้านเพื่อผู้มีรายได้น้อย
รมว.พม. ย้ํา กคช. เร่งสร้างบ้านเช่าราคาถูก 100,000 หน่วยใน 5 ปี พร้อมนํานวัตกรรมสร้างบ้านเพื่อผู้มีรายได้น้อย
วันนี้ (10 ส.ค. 63) เวลา 09.00 น.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการการขับเคลื่อนแผนงานโครงการสําคัญของการเคหะแห่งชาติ อาทิ โครงการบ้านเช่าสําหรับผู้มีรายได้น้อย บ้านสุขประชา และโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุและคนพิการ เป็นต้น พร้อมทั้งมอบนโยบายการขับเคลื่อนงานพัฒนาที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) โดยมีหัวหน้ามีคณะผู้บริหารและหัวหน้าหน่วยงาน เข้าร่วม ณ ห้องประชุมชั้น 3 อาคารสันทนาการ สํานักงานใหญ่ การเคหะแห่งชาติ เขตบางกะปิ กทม.
นายจุติกล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ ตนได้มอบแนวทางการขับเคลื่อนงานให้ กคช. ปรับทิศทาง ปรับองค์ความคิด และปรับวิธีการทํางาน โดยให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางเพื่อให้สมกับความไว้วางใจที่ได้รับจากประชาชน ซึ่งปัจจุบันได้เกิดความเปลี่ยนแปลงในหลายๆ เรื่อง จึงจําเป็นต้องมีการพัฒนารูปแบบของโครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ด้วยการนํานวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการก่อสร้างโครงการ และนําเทคโนโลยี ดิจิทัลมาช่วยในการบริหารจัดการ ซึ่งต้องการให้ทุกคนร่วมกันขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นหน่วยงานที่เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะการจัดทําโครงการบ้านเช่าสําหรับผู้มีรายได้น้อย บ้านสุขประชา 100,000 หน่วย ภายใน 5 ปี ซึ่งจะต้องเร่งดําเนินการให้เป็นโครงการที่มีคุณภาพ และต้องทําให้โปร่งใส เท่าเทียม ทั่วถึง และเป็นธรรม
นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า ตนได้เน้นย้ําให้ กคช. ต้องเป็นหน่วยงานที่ช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัยอย่างทั่วถึง เพื่อลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม โดยให้ Rebranding เพื่อสร้าง กคช. ให้เป็นองค์กรที่ทําให้ประชาชนเชื่อมั่น นํานวัตกรรมใหม่มาใช้ในการก่อสร้างให้เกิดประโยชน์ พร้อมทั้งศึกษาองค์กรที่ประสบความสําเร็จมาปรับใช้ในหน่วยงานของ กคช. และหากลดขั้นตอนการทํางานได้ แต่ยังอยู่ในระบบธรรมาภิบาล จะนําไปสู่การดําเนินงานที่ดีและรวดเร็วขึ้น โดยต้องยึดหลักการดําเนินงานดังนี้ 1. ทําให้สิ่งที่ตนเองเชื่อ 2. ข้อเท็จจริงและมีความเห็นใจลูกบ้าน 3. ต้องมีความหวังและความเพียร 4. มีเครือข่ายในชุมชนและเครือข่ายระดับประเทศ เพื่อสร้างความก้าวหน้า และ 5. มีความยืดหยุ่นที่จะทําให้องค์กรอยู่รอด และเลือกใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้เกิดรายได้ให้มากขึ้น ทั้งนี้ เชื่อว่า กคช. จะร่วมกันดําเนินงานให้ประสบความสําเร็จ ด้วยความอดทนและยอมรับการเปลี่ยนแปลงในองค์กร เพื่อให้องค์กรขับเคลื่อนงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34108
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เร่งช่วยเหลือคนพิการ และผู้สูงอายุที่ประสบอุทกภัย พร้อมบูรณาการทำงานร่วมกับทุกภาคีเครือข่ายตามแนวทางประชารัฐ
|
วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2560
รมว.พม. พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เร่งช่วยเหลือคนพิการ และผู้สูงอายุที่ประสบอุทกภัย พร้อมบูรณาการทํางานร่วมกับทุกภาคีเครือข่ายตามแนวทางประชารัฐ
รมว.พม. พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เร่งช่วยเหลือคนพิการ และผู้สูงอายุที่ประสบอุทกภัย พร้อมบูรณาการทํางานร่วมกับทุกภาคีเครือข่ายตามแนวทางประชารัฐ
วันนี้ (3 พ.ย. 60) เวลา 09.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่องค์การบริหารส่วนตําบลบ้านคลัง (อบต.บ้านคลัง) อําเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีนายเรวัต ประสงค์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้การต้อนรับ พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน อาทิ ถุงยังชีพ เครื่องอุปโภคบริโภค เงินสงเคราะห์เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส และเงินสงเคราะห์ครอบครัวช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉิน การซ่อมบ้านผู้สูงอายุและคนพิการ กายอุปกรณ์คนพิการ ทุนประกอบอาชีพคนพิการ และบริการศูนย์อพยพหรือพักพิงชั่วคราว ณ หน่วยงานกระทรวง พม. ในพื้นที่
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า ตามที่รัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ต่างๆ อย่างใกล้ชิด โดยได้รับรายงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า พื้นที่ในภาคกลางยังคงมีน้ําท่วมขัง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในบางพื้นที่ โดยเฉพาะจังหวัดที่มีพื้นที่ติดริมแม่น้ําเจ้าพระยา อาทิ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และนนทบุรี ส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นจํานวนมาก ทั้งนี้ ได้กําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย และจัดตั้งศูนย์อพยพหรือพักพิงชั่วคราวตามแผนเผชิญภัยพิบัติ เพื่อให้สามารถออกปฏิบัติการป้องกันแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอย่างทันท่วงที
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีภารกิจในการช่วยเหลือดูแลกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส โดยเฉพาะที่อยู่ในภาวะยากลําบาก ซึ่งขณะนี้ กําลังได้รับความเดือดร้อนจากภาวะน้ําท่วมในพื้นที่ต่างๆ โดยจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่า สถานการณ์น้ําท่วมจนถึงวันที่ 30 ต.ค. ที่ผ่านมา มีประชาชนในพื้นที่ทุกอําเภอได้รับผลกระทบในวงกว้าง รวมทั้งสิ้น 49,371 ครัวเรือน โดยอําเภอเสนา มีประชาชนได้รับผลกระทบมากที่สุดถึง 10,116 ครัวเรือน รองลงมา ได้แก่ อําเภอผักไห่ 9,431 ครัวเรือน อําเภอบางบาล 8,963 ครัวเรือน อําเภอพระนครศรีอยุธยา 8,266 ครัวเรือน อําเภอบางปะอิน 5,949 ครัวเรือน และอําเภอบางไทร 4,726 ครัวเรือน ตามลําดับ ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ตนได้กําชับทีม One Home จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งประกอบด้วยทุกหน่วยงานในพื้นที่สังกัดกระทรวง พม. เร่งลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งขณะนี้อยู่ในภาวะยากลําบาก เนื่องจากประสบอุทกภัย โดยได้ให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ได้แก่ การมอบเครื่องอุปโภคบริโภคและเงินช่วยเหลือ พร้อมทั้งประชุมหารือร่วมกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอย่างต่อเนื่อง
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า จากสถานการณ์น้ําท่วมดังกล่าว วันนี้ ตน พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวง พม. จึงได้ลงพื้นที่องค์การบริหารส่วนตําบลบ้านคลัง (อบต.บ้านคลัง) อําเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจผู้ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย พร้อมให้ความช่วยเหลือต่างๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประสบอุทกภัย อาทิ 1) มอบเงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ด้อยโอกาส และเงินสงเคราะห์เด็ก จํานวน 480 ราย 2) มอบป้ายซ่อมบ้านผู้สูงอายุ จํานวน 10 หลัง 3) มอบป้ายซ่อมบ้านคนพิการ จํานวน 5 หลัง 4) มอบป้ายกายอุปกรณ์คนพิการ จํานวน 10 ชุด และ 5) มอบทุนประกอบอาชีพสําหรับคนพิการ จํานวน 10 ราย อีกทั้ง ได้เยี่ยมบ้านและให้กําลังใจแก่คนพิการและผู้สูงอายุ จํานวน 3 ราย ที่บ้านถูกน้ําท่วมสูง และไม่สามารถเดินทางออกมาขอความช่วยเหลือได้ พร้อมมอบถุงยังชีพและเงินสงเคราะห์คนพิการและผู้สูงอายุ นอกจากนี้ ได้เยี่ยมครัว พม. และให้กําลังใจเจ้าหน้าที่และจิตอาสา ซึ่งคอยทําอาหารที่ปรุงสุกใหม่ สะอาด และถูกสุขอนามัย เพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนผู้ประสบอุทกภัย
"ทั้งนี้ ตนได้กําชับ ทีม One Home จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เร่งบูรณาการทํางานอย่างเต็มกําลังร่วมกับทุกภาคีเครือข่าย ตามแนวทางประชารัฐ เพื่อให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างทันท่วงทีและทั่วถึง หากประชาชน ที่ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ต้องการขอความช่วยเหลือ กรุณาโทรแจ้ง ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่”พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เร่งช่วยเหลือคนพิการ และผู้สูงอายุที่ประสบอุทกภัย พร้อมบูรณาการทำงานร่วมกับทุกภาคีเครือข่ายตามแนวทางประชารัฐ
วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2560
รมว.พม. พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เร่งช่วยเหลือคนพิการ และผู้สูงอายุที่ประสบอุทกภัย พร้อมบูรณาการทํางานร่วมกับทุกภาคีเครือข่ายตามแนวทางประชารัฐ
รมว.พม. พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เร่งช่วยเหลือคนพิการ และผู้สูงอายุที่ประสบอุทกภัย พร้อมบูรณาการทํางานร่วมกับทุกภาคีเครือข่ายตามแนวทางประชารัฐ
วันนี้ (3 พ.ย. 60) เวลา 09.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่องค์การบริหารส่วนตําบลบ้านคลัง (อบต.บ้านคลัง) อําเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีนายเรวัต ประสงค์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้การต้อนรับ พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน อาทิ ถุงยังชีพ เครื่องอุปโภคบริโภค เงินสงเคราะห์เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส และเงินสงเคราะห์ครอบครัวช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉิน การซ่อมบ้านผู้สูงอายุและคนพิการ กายอุปกรณ์คนพิการ ทุนประกอบอาชีพคนพิการ และบริการศูนย์อพยพหรือพักพิงชั่วคราว ณ หน่วยงานกระทรวง พม. ในพื้นที่
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า ตามที่รัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ต่างๆ อย่างใกล้ชิด โดยได้รับรายงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า พื้นที่ในภาคกลางยังคงมีน้ําท่วมขัง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในบางพื้นที่ โดยเฉพาะจังหวัดที่มีพื้นที่ติดริมแม่น้ําเจ้าพระยา อาทิ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และนนทบุรี ส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นจํานวนมาก ทั้งนี้ ได้กําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย และจัดตั้งศูนย์อพยพหรือพักพิงชั่วคราวตามแผนเผชิญภัยพิบัติ เพื่อให้สามารถออกปฏิบัติการป้องกันแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอย่างทันท่วงที
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีภารกิจในการช่วยเหลือดูแลกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส โดยเฉพาะที่อยู่ในภาวะยากลําบาก ซึ่งขณะนี้ กําลังได้รับความเดือดร้อนจากภาวะน้ําท่วมในพื้นที่ต่างๆ โดยจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่า สถานการณ์น้ําท่วมจนถึงวันที่ 30 ต.ค. ที่ผ่านมา มีประชาชนในพื้นที่ทุกอําเภอได้รับผลกระทบในวงกว้าง รวมทั้งสิ้น 49,371 ครัวเรือน โดยอําเภอเสนา มีประชาชนได้รับผลกระทบมากที่สุดถึง 10,116 ครัวเรือน รองลงมา ได้แก่ อําเภอผักไห่ 9,431 ครัวเรือน อําเภอบางบาล 8,963 ครัวเรือน อําเภอพระนครศรีอยุธยา 8,266 ครัวเรือน อําเภอบางปะอิน 5,949 ครัวเรือน และอําเภอบางไทร 4,726 ครัวเรือน ตามลําดับ ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ตนได้กําชับทีม One Home จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งประกอบด้วยทุกหน่วยงานในพื้นที่สังกัดกระทรวง พม. เร่งลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งขณะนี้อยู่ในภาวะยากลําบาก เนื่องจากประสบอุทกภัย โดยได้ให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ได้แก่ การมอบเครื่องอุปโภคบริโภคและเงินช่วยเหลือ พร้อมทั้งประชุมหารือร่วมกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอย่างต่อเนื่อง
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า จากสถานการณ์น้ําท่วมดังกล่าว วันนี้ ตน พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวง พม. จึงได้ลงพื้นที่องค์การบริหารส่วนตําบลบ้านคลัง (อบต.บ้านคลัง) อําเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจผู้ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย พร้อมให้ความช่วยเหลือต่างๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประสบอุทกภัย อาทิ 1) มอบเงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ด้อยโอกาส และเงินสงเคราะห์เด็ก จํานวน 480 ราย 2) มอบป้ายซ่อมบ้านผู้สูงอายุ จํานวน 10 หลัง 3) มอบป้ายซ่อมบ้านคนพิการ จํานวน 5 หลัง 4) มอบป้ายกายอุปกรณ์คนพิการ จํานวน 10 ชุด และ 5) มอบทุนประกอบอาชีพสําหรับคนพิการ จํานวน 10 ราย อีกทั้ง ได้เยี่ยมบ้านและให้กําลังใจแก่คนพิการและผู้สูงอายุ จํานวน 3 ราย ที่บ้านถูกน้ําท่วมสูง และไม่สามารถเดินทางออกมาขอความช่วยเหลือได้ พร้อมมอบถุงยังชีพและเงินสงเคราะห์คนพิการและผู้สูงอายุ นอกจากนี้ ได้เยี่ยมครัว พม. และให้กําลังใจเจ้าหน้าที่และจิตอาสา ซึ่งคอยทําอาหารที่ปรุงสุกใหม่ สะอาด และถูกสุขอนามัย เพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนผู้ประสบอุทกภัย
"ทั้งนี้ ตนได้กําชับ ทีม One Home จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เร่งบูรณาการทํางานอย่างเต็มกําลังร่วมกับทุกภาคีเครือข่าย ตามแนวทางประชารัฐ เพื่อให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างทันท่วงทีและทั่วถึง หากประชาชน ที่ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ต้องการขอความช่วยเหลือ กรุณาโทรแจ้ง ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่”พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7792
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานประชุมความร่วมมือการจัดการระบบสารสนเทศเพื่อการเชื่อมโยงข้อมูล ผู้เข้ารับการรักษาพยาบาล ครั้งที่ 1/2562
|
วันอังคารที่ 3 ธันวาคม 2562
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานประชุมความร่วมมือการจัดการระบบสารสนเทศเพื่อการเชื่อมโยงข้อมูล ผู้เข้ารับการรักษาพยาบาล ครั้งที่ 1/2562
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานประชุมความร่วมมือการจัดการระบบสารสนเทศเพื่อการเชื่อมโยงข้อมูล ผู้เข้ารับการรักษาพยาบาล ครั้งที่ 1/2562
เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ให้เกียรติเป็นประธานในการประชุมความร่วมมือการจัดการระบบสารสนเทศเพื่อการเชื่อมโยงข้อมูลผู้เข้ารับการรักษาพยาบาล ครั้งที่ 1/2562 ซึ่งจัดโดยสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (GBDi) หน่วยงานภายในภายใต้สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล โดยได้มีตัวแทนจากหน่วยงานกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลรัฐ และเอกชน จํานวนมากกว่า 30 แห่งทั่วประเทศเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความร่วมมือในการออกแบบระบบสารสนเทศและแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลประวัติ การรักษาพยาบาลของตนเองได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานประชุมความร่วมมือการจัดการระบบสารสนเทศเพื่อการเชื่อมโยงข้อมูล ผู้เข้ารับการรักษาพยาบาล ครั้งที่ 1/2562
วันอังคารที่ 3 ธันวาคม 2562
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานประชุมความร่วมมือการจัดการระบบสารสนเทศเพื่อการเชื่อมโยงข้อมูล ผู้เข้ารับการรักษาพยาบาล ครั้งที่ 1/2562
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานประชุมความร่วมมือการจัดการระบบสารสนเทศเพื่อการเชื่อมโยงข้อมูล ผู้เข้ารับการรักษาพยาบาล ครั้งที่ 1/2562
เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ให้เกียรติเป็นประธานในการประชุมความร่วมมือการจัดการระบบสารสนเทศเพื่อการเชื่อมโยงข้อมูลผู้เข้ารับการรักษาพยาบาล ครั้งที่ 1/2562 ซึ่งจัดโดยสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (GBDi) หน่วยงานภายในภายใต้สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล โดยได้มีตัวแทนจากหน่วยงานกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลรัฐ และเอกชน จํานวนมากกว่า 30 แห่งทั่วประเทศเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความร่วมมือในการออกแบบระบบสารสนเทศและแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลประวัติ การรักษาพยาบาลของตนเองได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
********************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24987
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรขยายเวลาการให้บริการโทร. 1161 รองรับผู้เสียภาษียื่นแบบ ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91
|
วันพุธที่ 30 มกราคม 2562
กรมสรรพากรขยายเวลาการให้บริการโทร. 1161 รองรับผู้เสียภาษียื่นแบบ ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91
กรมสรรพากรขยายเวลาการให้บริการสอบถามปัญหาทางโทรศัพท์ 1161 จากเดิมทุกวันทําการปกติ (จันทร์ - ศุกร์) เวลา 08.30 - 18.00 น. เป็นเวลา 08.30 - 20.00 น. ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 9 เมษายน 2562 รวมทั้งได้เพิ่มการให้บริการในทุกวันเสาร์ของเดือนมีนาคม 25
นายปิ่นสาย สุรัสวดี รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “ด้วยขณะนี้เป็นช่วงเวลาของการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประจําปีภาษี 2561 (ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91) ซึ่งในแต่ละปีจะมีผู้เสียภาษีและประชาชนใช้บริการสอบถามปัญหาภาษีทางโทรศัพท์เป็นจํานวนมาก ดังนั้น เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกให้แก่ผู้เสียภาษีและประชาชน กรมสรรพากร จึงได้ขยายเวลาการให้บริการสอบถามปัญหาทางโทรศัพท์ 1161 จากเดิมทุกวันทําการปกติ (จันทร์ - ศุกร์) เวลา 08.30 - 18.00 น. เป็นเวลา 08.30 - 20.00 น. ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 9 เมษายน 2562 รวมทั้งได้เพิ่มการให้บริการในทุกวันเสาร์ของเดือนมีนาคม 2562 โดยจะเปิดให้บริการตั้งแต่ เวลา 08.30 - 16.00 น. ทั้งนี้ เพื่อมุ่งหวังให้ผู้เสียภาษีและประชาชนได้รับบริการที่สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้ใช้บริการยังสามารถรับฟังข้อมูลอัตโนมัติและขอรับเอกสารทางโทรสารได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย”
สําหรับผู้ที่มีข้อสงสัยขอให้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร. 1161 และหากพบเห็นการกระทําใดๆ ที่เป็นการหลีกเลี่ยงภาษี ขอให้แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลต่าง ๆ ที่ www.rd.go.th > เมนู “การแจ้งแหล่งภาษี” เพื่อที่กรมสรรพากรจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป
กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์
เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรขยายเวลาการให้บริการโทร. 1161 รองรับผู้เสียภาษียื่นแบบ ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91
วันพุธที่ 30 มกราคม 2562
กรมสรรพากรขยายเวลาการให้บริการโทร. 1161 รองรับผู้เสียภาษียื่นแบบ ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91
กรมสรรพากรขยายเวลาการให้บริการสอบถามปัญหาทางโทรศัพท์ 1161 จากเดิมทุกวันทําการปกติ (จันทร์ - ศุกร์) เวลา 08.30 - 18.00 น. เป็นเวลา 08.30 - 20.00 น. ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 9 เมษายน 2562 รวมทั้งได้เพิ่มการให้บริการในทุกวันเสาร์ของเดือนมีนาคม 25
นายปิ่นสาย สุรัสวดี รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “ด้วยขณะนี้เป็นช่วงเวลาของการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประจําปีภาษี 2561 (ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91) ซึ่งในแต่ละปีจะมีผู้เสียภาษีและประชาชนใช้บริการสอบถามปัญหาภาษีทางโทรศัพท์เป็นจํานวนมาก ดังนั้น เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกให้แก่ผู้เสียภาษีและประชาชน กรมสรรพากร จึงได้ขยายเวลาการให้บริการสอบถามปัญหาทางโทรศัพท์ 1161 จากเดิมทุกวันทําการปกติ (จันทร์ - ศุกร์) เวลา 08.30 - 18.00 น. เป็นเวลา 08.30 - 20.00 น. ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 9 เมษายน 2562 รวมทั้งได้เพิ่มการให้บริการในทุกวันเสาร์ของเดือนมีนาคม 2562 โดยจะเปิดให้บริการตั้งแต่ เวลา 08.30 - 16.00 น. ทั้งนี้ เพื่อมุ่งหวังให้ผู้เสียภาษีและประชาชนได้รับบริการที่สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้ใช้บริการยังสามารถรับฟังข้อมูลอัตโนมัติและขอรับเอกสารทางโทรสารได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย”
สําหรับผู้ที่มีข้อสงสัยขอให้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร. 1161 และหากพบเห็นการกระทําใดๆ ที่เป็นการหลีกเลี่ยงภาษี ขอให้แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลต่าง ๆ ที่ www.rd.go.th > เมนู “การแจ้งแหล่งภาษี” เพื่อที่กรมสรรพากรจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป
กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์
เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18435
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) จัดกิจกรรมเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ครบ 66 พรรษา
|
วันพุธที่ 18 กรกฎาคม 2561
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) จัดกิจกรรมเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ครบ 66 พรรษา
กระทรวงพลังงาน จัดกิจกรรมเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ครบ 66 พรรษา
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) จัดกิจกรรมเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ครบ 66 พรรษา
โดยมี นายธรรมยศ ศรีช่วย ปลัดกระทรวงพลังงาน นายประพนธ์ วงษ์ท่าเรือ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน พร้อมคณะผู้บริหาร ข้าราชการ พพ. ร่วมถวายภัตตาหารเพล พร้อมเครื่องไทยธรรมแด่พระภิกษุ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2561 ณ โรงพยาบาลสงฆ์ อาคารมูลนิธิ ชั้น 2 ห้อง 3
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) จัดกิจกรรมเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ครบ 66 พรรษา
วันพุธที่ 18 กรกฎาคม 2561
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) จัดกิจกรรมเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ครบ 66 พรรษา
กระทรวงพลังงาน จัดกิจกรรมเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ครบ 66 พรรษา
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) จัดกิจกรรมเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ครบ 66 พรรษา
โดยมี นายธรรมยศ ศรีช่วย ปลัดกระทรวงพลังงาน นายประพนธ์ วงษ์ท่าเรือ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน พร้อมคณะผู้บริหาร ข้าราชการ พพ. ร่วมถวายภัตตาหารเพล พร้อมเครื่องไทยธรรมแด่พระภิกษุ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2561 ณ โรงพยาบาลสงฆ์ อาคารมูลนิธิ ชั้น 2 ห้อง 3
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13936
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 30 สิงหาคม 2559
|
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 30 สิงหาคม 2559
วันนี้ (30 สิงหาคม 2559) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 30 สิงหาคม 2559
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 30 สิงหาคม 2559
วันนี้ (30 สิงหาคม 2559) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/621
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบผู้นำท้องถิ่นภาคตะวันออก ย้ำขอให้ร่วมกันทำงานเพื่อบ้านเมือง พร้อมขอบคุณที่ช่วยกันคิดทำให้บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย
|
วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561
นายกรัฐมนตรีพบผู้นําท้องถิ่นภาคตะวันออก ย้ําขอให้ร่วมกันทํางานเพื่อบ้านเมือง พร้อมขอบคุณที่ช่วยกันคิดทําให้บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย
นายกรัฐมนตรีพบผู้นําท้องถิ่นภาคตะวันออก ย้ําขอให้ร่วมกันทํางานเพื่อบ้านเมือง พร้อมขอบคุณที่ช่วยกันคิดทําให้บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย
วันนี้ (5 ก.พ.61) เวลา 15.55 น. ณ หอจดหมายเหตุแห่งชาติจันทบุรี ต.วัดใหม่ อ.เมือง จ.จันทบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบผู้นําท้องถิ่นและผู้แทนประชาชนภาคส่วนต่าง ๆ ของภาคตะวันออก ซึ่งประกอบด้วย อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อดีตสมาชิกวุฒิสภา นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกสมาคมกํานันผู้ใหญ่บ้าน ผู้แทนภาคธุรกิจเอกชน ผู้นําศาสนา ผู้นํากลุ่มสตรี นักอนุรักษ์ และนักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในภาคตะวันออก โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับพบปะกับคณะผู้นําท้องถิ่นของภาคตะวันออก ว่า ในโอกาสที่วันนี้นายกรัฐมนตรีเดินทางมาพบกับผู้นําท้องถิ่นภาคตะวันออก ต้องขอขอบคุณผู้นําทุกคนที่ได้ช่วยกันคิดทําเพื่อให้บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย นายกรัฐมนตรีเข้ามาทํางานก็ตั้งใจเข้ามาวางพื้นฐานให้กับทุกคน สิ่งที่ทําให้เป็นปัญหาที่สุดคือความขัดแย้งระหว่างกัน ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกําลังดําเนินการเรื่องความปรองดองอยู่ แต่จะสั่งให้คนที่ขัดแย้งกันหยุดการขัดแย้งกันก็ทําไม่ได้ ขอให้อย่าคิดว่านายกฯ อยู่เพื่อสืบทอดอํานาจ ขอให้ทุกฝ่ายคุยกันว่าจะทําอย่างไรเพื่อบ้านเมือง อยากให้มองว่าจะเดินหน้าประเทศอย่างไร วันนี้รัฐบาลได้เริ่มให้ทั้งหมดแล้ว และรัฐบาลสนับสนุนทุกพรรคการเมืองที่ทําเพื่อชาติบ้านเมือง รวมทั้งมีความจริงใจให้กับนักการเมืองเพราะเป็นคนไทยด้วยกัน ทั้งนี้ เรื่องใดที่เป็นปัญหาต้องแก้ไขขอให้บอกมายังรัฐบาล ผู้นําท้องถิ่นต้องทําตัวให้เป็นที่พึ่งของประชาชนในวันหน้า มีเรื่องใดขอให้คุยกัน ต้องทําให้ต่างชาติมีความเชื่อมั่นที่จะเข้ามาลงทุนในบ้านเรา และก็ต้องขอให้ทุกคนช่วยกันสานต่อสิ่งที่รัฐบาลได้ทําไว้ให้
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้รับฟังข้อเสนอแนวทางการพัฒนาด้านต่าง ๆ จากผู้นําท้องถิ่นของภาคตะวันออก ได้แก่ การพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนภาคตะวันออก น้ําเพื่อการอุปโภคบริโภคของประชาชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก ความสมดุลเรื่องการพัฒนาสิ่งแวดล้อม ปัญหาการจัดการขยะ การพัฒนาด้านการสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์ ความชัดเจนในการกระจายอํานาจของส่วนท้องถิ่น การพัฒนาการศึกษาพิเศษ มหานครทางผลไม้ เส้นทางรถไฟทางคู่ ถนนมอเตอร์เวย์ การสร้างอ่างเก็บน้ําเพื่อแก้ไขปัญหาน้ําท่วมน้ําแล้ง การแก้ไขปัญหาโฉนดที่ดิน การบูรณะปฏิสังขรณ์โบราณสถานเก่าแก่ที่สําคัญของจังหวัดจันทบุรี เป็นต้น
ภายหลังการรับฟังข้อเสนอ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การพบปะวันนี้คือการปรองดอง ทั้งหมดคือปัญหาที่ทับซ้อนมาเป็นเวลายาวนาน ประเทศไทยต้องบริหารด้วย Big Data ข้อมูลทุกอย่างต้องมาจากภาคประชาชน ต้องมีการบริหารจัดการโดยใช้ข้อมูลจริงจากพื้นที่ ซึ่งขณะนี้กําลังอยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการบริหารเรื่อง Big Data ทั้งนี้ ในการดําเนินการทุกเรื่อง อย่าทําให้ประชาชนรู้สึกว่าไม่ได้รับการดูแล ขณะที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างประเทศ ก็จะต้องดูแลคนไทยด้วย สําหรับโครงการรถไฟทางคู่ของจังหวัดภาคตะวันออก ได้อยู่ในแผนงานโครงการของรัฐบาลที่จะดําเนินการอยู่แล้ว ขณะที่เรื่องน้ํา ระบบการคมนาคม จะวางระบบให้ใหม่ทั้งหมด โดยสิ่งที่ผู้นําท้องถิ่นและตัวแทนภาคประชาชนจังหวัดภาคตะวันออกเสนอมาวันนี้ นายกรัฐมนตรียินดีรับทั้งหมดไปพิจารณาเพื่อให้มาเชื่อมโยงกับงานของรัฐบาล ซึ่งต้องขอให้ทุกคนร่วมกันคิดร่วมกันทําให้มีกลไกความร่วมมือขึ้นมา ไม่มีอะไรที่แก้ปัญหาได้ 100% ในการทํางานของรัฐบาลจึงต้องมียุทธศาสตร์ชาติขึ้นมา ทั้งนี้ สําหรับปัญหาเรื่องระบบเปิด-ปิดทางเข้า-ออกมอเตอร์เวย์ สาย 7 ที่ไม่มีทางเข้า-ออกศรีราชา ทําให้การจราจรของรถที่จะไปท่าเรือแหลมฉบังมีปัญหาการจราจรติดขัดสะสม รวมทั้งส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการขนส่งทางเรือ ทางผู้นําท้องถิ่นเสนอให้มีจุดเข้าออกทางเปิด-ปิดเข้ามอเตอร์เวย์ เพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 2 จุด เพื่อช่วยเรื่องการคมนาคม นั้น นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับเรื่องไปพิจารณา
-----------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบผู้นำท้องถิ่นภาคตะวันออก ย้ำขอให้ร่วมกันทำงานเพื่อบ้านเมือง พร้อมขอบคุณที่ช่วยกันคิดทำให้บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย
วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561
นายกรัฐมนตรีพบผู้นําท้องถิ่นภาคตะวันออก ย้ําขอให้ร่วมกันทํางานเพื่อบ้านเมือง พร้อมขอบคุณที่ช่วยกันคิดทําให้บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย
นายกรัฐมนตรีพบผู้นําท้องถิ่นภาคตะวันออก ย้ําขอให้ร่วมกันทํางานเพื่อบ้านเมือง พร้อมขอบคุณที่ช่วยกันคิดทําให้บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย
วันนี้ (5 ก.พ.61) เวลา 15.55 น. ณ หอจดหมายเหตุแห่งชาติจันทบุรี ต.วัดใหม่ อ.เมือง จ.จันทบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบผู้นําท้องถิ่นและผู้แทนประชาชนภาคส่วนต่าง ๆ ของภาคตะวันออก ซึ่งประกอบด้วย อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อดีตสมาชิกวุฒิสภา นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกสมาคมกํานันผู้ใหญ่บ้าน ผู้แทนภาคธุรกิจเอกชน ผู้นําศาสนา ผู้นํากลุ่มสตรี นักอนุรักษ์ และนักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในภาคตะวันออก โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับพบปะกับคณะผู้นําท้องถิ่นของภาคตะวันออก ว่า ในโอกาสที่วันนี้นายกรัฐมนตรีเดินทางมาพบกับผู้นําท้องถิ่นภาคตะวันออก ต้องขอขอบคุณผู้นําทุกคนที่ได้ช่วยกันคิดทําเพื่อให้บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย นายกรัฐมนตรีเข้ามาทํางานก็ตั้งใจเข้ามาวางพื้นฐานให้กับทุกคน สิ่งที่ทําให้เป็นปัญหาที่สุดคือความขัดแย้งระหว่างกัน ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกําลังดําเนินการเรื่องความปรองดองอยู่ แต่จะสั่งให้คนที่ขัดแย้งกันหยุดการขัดแย้งกันก็ทําไม่ได้ ขอให้อย่าคิดว่านายกฯ อยู่เพื่อสืบทอดอํานาจ ขอให้ทุกฝ่ายคุยกันว่าจะทําอย่างไรเพื่อบ้านเมือง อยากให้มองว่าจะเดินหน้าประเทศอย่างไร วันนี้รัฐบาลได้เริ่มให้ทั้งหมดแล้ว และรัฐบาลสนับสนุนทุกพรรคการเมืองที่ทําเพื่อชาติบ้านเมือง รวมทั้งมีความจริงใจให้กับนักการเมืองเพราะเป็นคนไทยด้วยกัน ทั้งนี้ เรื่องใดที่เป็นปัญหาต้องแก้ไขขอให้บอกมายังรัฐบาล ผู้นําท้องถิ่นต้องทําตัวให้เป็นที่พึ่งของประชาชนในวันหน้า มีเรื่องใดขอให้คุยกัน ต้องทําให้ต่างชาติมีความเชื่อมั่นที่จะเข้ามาลงทุนในบ้านเรา และก็ต้องขอให้ทุกคนช่วยกันสานต่อสิ่งที่รัฐบาลได้ทําไว้ให้
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้รับฟังข้อเสนอแนวทางการพัฒนาด้านต่าง ๆ จากผู้นําท้องถิ่นของภาคตะวันออก ได้แก่ การพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนภาคตะวันออก น้ําเพื่อการอุปโภคบริโภคของประชาชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก ความสมดุลเรื่องการพัฒนาสิ่งแวดล้อม ปัญหาการจัดการขยะ การพัฒนาด้านการสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์ ความชัดเจนในการกระจายอํานาจของส่วนท้องถิ่น การพัฒนาการศึกษาพิเศษ มหานครทางผลไม้ เส้นทางรถไฟทางคู่ ถนนมอเตอร์เวย์ การสร้างอ่างเก็บน้ําเพื่อแก้ไขปัญหาน้ําท่วมน้ําแล้ง การแก้ไขปัญหาโฉนดที่ดิน การบูรณะปฏิสังขรณ์โบราณสถานเก่าแก่ที่สําคัญของจังหวัดจันทบุรี เป็นต้น
ภายหลังการรับฟังข้อเสนอ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การพบปะวันนี้คือการปรองดอง ทั้งหมดคือปัญหาที่ทับซ้อนมาเป็นเวลายาวนาน ประเทศไทยต้องบริหารด้วย Big Data ข้อมูลทุกอย่างต้องมาจากภาคประชาชน ต้องมีการบริหารจัดการโดยใช้ข้อมูลจริงจากพื้นที่ ซึ่งขณะนี้กําลังอยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการบริหารเรื่อง Big Data ทั้งนี้ ในการดําเนินการทุกเรื่อง อย่าทําให้ประชาชนรู้สึกว่าไม่ได้รับการดูแล ขณะที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างประเทศ ก็จะต้องดูแลคนไทยด้วย สําหรับโครงการรถไฟทางคู่ของจังหวัดภาคตะวันออก ได้อยู่ในแผนงานโครงการของรัฐบาลที่จะดําเนินการอยู่แล้ว ขณะที่เรื่องน้ํา ระบบการคมนาคม จะวางระบบให้ใหม่ทั้งหมด โดยสิ่งที่ผู้นําท้องถิ่นและตัวแทนภาคประชาชนจังหวัดภาคตะวันออกเสนอมาวันนี้ นายกรัฐมนตรียินดีรับทั้งหมดไปพิจารณาเพื่อให้มาเชื่อมโยงกับงานของรัฐบาล ซึ่งต้องขอให้ทุกคนร่วมกันคิดร่วมกันทําให้มีกลไกความร่วมมือขึ้นมา ไม่มีอะไรที่แก้ปัญหาได้ 100% ในการทํางานของรัฐบาลจึงต้องมียุทธศาสตร์ชาติขึ้นมา ทั้งนี้ สําหรับปัญหาเรื่องระบบเปิด-ปิดทางเข้า-ออกมอเตอร์เวย์ สาย 7 ที่ไม่มีทางเข้า-ออกศรีราชา ทําให้การจราจรของรถที่จะไปท่าเรือแหลมฉบังมีปัญหาการจราจรติดขัดสะสม รวมทั้งส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการขนส่งทางเรือ ทางผู้นําท้องถิ่นเสนอให้มีจุดเข้าออกทางเปิด-ปิดเข้ามอเตอร์เวย์ เพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 2 จุด เพื่อช่วยเรื่องการคมนาคม นั้น นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับเรื่องไปพิจารณา
-----------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9867
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ รับมอบเกียรติบัตร "อุทยานธรณีสตูล" เป็นอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก
|
วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม 2561
นายกฯ รับมอบเกียรติบัตร "อุทยานธรณีสตูล" เป็นอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีรับมอบเกียรติบัตร "อุทยานธรณีสตูล" เป็นอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก (UNESCO Global Geoparks) จากยูเนสโก เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 ณ ตึกบัญชาการ ทําเนียบรัฐบาล
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีรับมอบเกียรติบัตร "อุทยานธรณีสตูล" เป็นอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก (UNESCO Global Geoparks) จากยูเนสโกเมื่อวันที่1พฤษภาคม2561ณ ตึกบัญชาการ ทําเนียบรัฐบาล โดยมีผู้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธี อาทิรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ,รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, ผู้แทน UNESCO ประเทศไทย, ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล, ผู้อํานวยการอุทยานธรณีสตูล, องค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล, สํานักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสตูล เป็นต้น
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการกล่าวถึงการรับรองอุทยานธรณีสตูล (Satun Geopark) เป็นอุทยานธรณีโลกของยูเนสโกว่า สืบเนื่องจากการที่กระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะสํานักเลขาธิการคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCOหรือยูเนสโก) ได้ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 ที่เห็นชอบให้ประเทศไทยเสนออุทยานธรณีสตูลเป็นอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก
จากนั้น ยูเนสโกได้เข้ามาประเมินพื้นที่เพื่อจัดทํารายงานเสนอในการประชุม UNESCO Global Geoparks Council เมื่อเดือนกันยายน 2560 ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้อุทยานธรณีสตูลมีคุณสมบัติครบถ้วน พร้อมได้นํามติดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหารของยูเนสโก ครั้งที่ 204 เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2561 ลงมติให้การรับรองอุทยานธรณีใหม่ จํานวน 13 แห่ง รวมอุทยานธรณีสตูลด้วย
ปัจจุบันมีอุทยานธรณีระดับโลก จํานวน 140 แห่งใน 38 ประเทศทั่วโลกสําหรับในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก รวม 8 แห่ง ได้แก่ มาเลเซีย 1 แห่ง, อินโดนีเซีย 4 แห่ง, เวียดนาม 2 แห่ง และไทย 1 แห่ง
ในส่วนของอุทยานธรณีสตูล มีพื้นที่ครอบคลุม 4 อําเภอของจังหวัดสตูล คือ อําเภอทุ่งหว้า อําเภอมะนัง อําเภอละงู และอําเภอเมืองสตูลโดยมีลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขาหินปูน มีเกาะน้อยใหญ่ และชายหาดที่สวยงาม ทําให้นักท่องเที่ยวสามารถร่วมกิจกรรมทางธรรมชาติได้หลากหลายประเภท อาทิ ล่องแก่ง ดําน้ํา เที่ยวถ้ํา น้ําตก ชายหาด เป็นต้น
นอกจากนี้ กรมทรัพยากรธรณีได้ร่วมกับโรงเรียนทุ่งหว้าวรวิทย์ (โรงเรียนอุทยานธรณี) จัดตั้งศูนย์เรียนรู้ธรณีวิทยาขึ้นเมื่อปี 2554 โดยได้มีการปรับปรุงพื้นที่อาคาร และการจัดแสดงนิทรรศการเพื่อนําเสนอข้อมูลเรื่องราวเกี่ยวกับหิน แร่ และฟอสซิล ที่จะเป็นแหล่งเรียนรู้ให้นักเรียนนักศึกษา ครู ผู้ปกครอง และคนในชุมชนได้มาเยี่ยมชม พร้อมกับโรงเรียนทุ่งหว้าวรวิทย์ยังได้จัดการเรียนการสอนและจัดค่ายวิทยาศาสตร์เพื่อสนับสนุนอุทยานธรณีสตูลมาอย่างต่อเนื่องด้วย
ค้นหารายละเอียดเพิ่มเติม "SatunUNESCO Global Geopark"
ได้ที่www.satun-geopark.com
Written byอรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ รับมอบเกียรติบัตร "อุทยานธรณีสตูล" เป็นอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก
วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม 2561
นายกฯ รับมอบเกียรติบัตร "อุทยานธรณีสตูล" เป็นอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีรับมอบเกียรติบัตร "อุทยานธรณีสตูล" เป็นอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก (UNESCO Global Geoparks) จากยูเนสโก เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 ณ ตึกบัญชาการ ทําเนียบรัฐบาล
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีรับมอบเกียรติบัตร "อุทยานธรณีสตูล" เป็นอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก (UNESCO Global Geoparks) จากยูเนสโกเมื่อวันที่1พฤษภาคม2561ณ ตึกบัญชาการ ทําเนียบรัฐบาล โดยมีผู้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธี อาทิรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ,รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, ผู้แทน UNESCO ประเทศไทย, ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล, ผู้อํานวยการอุทยานธรณีสตูล, องค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล, สํานักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสตูล เป็นต้น
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการกล่าวถึงการรับรองอุทยานธรณีสตูล (Satun Geopark) เป็นอุทยานธรณีโลกของยูเนสโกว่า สืบเนื่องจากการที่กระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะสํานักเลขาธิการคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCOหรือยูเนสโก) ได้ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 ที่เห็นชอบให้ประเทศไทยเสนออุทยานธรณีสตูลเป็นอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก
จากนั้น ยูเนสโกได้เข้ามาประเมินพื้นที่เพื่อจัดทํารายงานเสนอในการประชุม UNESCO Global Geoparks Council เมื่อเดือนกันยายน 2560 ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้อุทยานธรณีสตูลมีคุณสมบัติครบถ้วน พร้อมได้นํามติดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหารของยูเนสโก ครั้งที่ 204 เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2561 ลงมติให้การรับรองอุทยานธรณีใหม่ จํานวน 13 แห่ง รวมอุทยานธรณีสตูลด้วย
ปัจจุบันมีอุทยานธรณีระดับโลก จํานวน 140 แห่งใน 38 ประเทศทั่วโลกสําหรับในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก รวม 8 แห่ง ได้แก่ มาเลเซีย 1 แห่ง, อินโดนีเซีย 4 แห่ง, เวียดนาม 2 แห่ง และไทย 1 แห่ง
ในส่วนของอุทยานธรณีสตูล มีพื้นที่ครอบคลุม 4 อําเภอของจังหวัดสตูล คือ อําเภอทุ่งหว้า อําเภอมะนัง อําเภอละงู และอําเภอเมืองสตูลโดยมีลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขาหินปูน มีเกาะน้อยใหญ่ และชายหาดที่สวยงาม ทําให้นักท่องเที่ยวสามารถร่วมกิจกรรมทางธรรมชาติได้หลากหลายประเภท อาทิ ล่องแก่ง ดําน้ํา เที่ยวถ้ํา น้ําตก ชายหาด เป็นต้น
นอกจากนี้ กรมทรัพยากรธรณีได้ร่วมกับโรงเรียนทุ่งหว้าวรวิทย์ (โรงเรียนอุทยานธรณี) จัดตั้งศูนย์เรียนรู้ธรณีวิทยาขึ้นเมื่อปี 2554 โดยได้มีการปรับปรุงพื้นที่อาคาร และการจัดแสดงนิทรรศการเพื่อนําเสนอข้อมูลเรื่องราวเกี่ยวกับหิน แร่ และฟอสซิล ที่จะเป็นแหล่งเรียนรู้ให้นักเรียนนักศึกษา ครู ผู้ปกครอง และคนในชุมชนได้มาเยี่ยมชม พร้อมกับโรงเรียนทุ่งหว้าวรวิทย์ยังได้จัดการเรียนการสอนและจัดค่ายวิทยาศาสตร์เพื่อสนับสนุนอุทยานธรณีสตูลมาอย่างต่อเนื่องด้วย
ค้นหารายละเอียดเพิ่มเติม "SatunUNESCO Global Geopark"
ได้ที่www.satun-geopark.com
Written byอรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11932
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมการจัดงานมหกรรมโลก “World Expo 2020 Dubai”
|
วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2561
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมการจัดงานมหกรรมโลก “World Expo 2020 Dubai”
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมการจัดงานมหกรรมโลก “World Expo 2020 Dubai” ณ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2561 โดยงานมหกรรมดังกล่าว จะจัดขึ้นระหว่างเดือนตุลาคม 2563 – เดือนเมษายน 2564 รวมระยะเวลาการแสดงงาน 6 เดือน ภายใต้หัวข้อหลัก “CONNECTING MIND CREATING THE FUTURE” หรือ "เชื่อมความคิด สร้างอนาคต” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งปันความรู้ความก้าวหน้าทางนวัตกรรมและกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจในการร่วมมือกันสร้างสรรค์อนาคตอันยั่งยืน ทั้งนี้ รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นหน่วยงานเจ้าภาพและเป็นตัวแทนประเทศไทยในการดําเนินโครงการฯ ซึ่งกระทรวงฯ ได้มอบหมายให้สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) เป็นผู้ดําเนินการหลัก โดยประสานงานกับภาครัฐและเอกชน จนจบงานในปี ค.ศ.2021 หรือ พ.ศ. 2564 ทั้งนี้ประเทศไทยจะเข้าร่วมแสดงนิทรรศการในมหกรรมระดับโลกนี้ในพื้นที่โซน Mobility บนพื้นที่กว่า 3,600 ตารางเมตร
***********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมการจัดงานมหกรรมโลก “World Expo 2020 Dubai”
วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2561
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมการจัดงานมหกรรมโลก “World Expo 2020 Dubai”
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมการจัดงานมหกรรมโลก “World Expo 2020 Dubai” ณ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2561 โดยงานมหกรรมดังกล่าว จะจัดขึ้นระหว่างเดือนตุลาคม 2563 – เดือนเมษายน 2564 รวมระยะเวลาการแสดงงาน 6 เดือน ภายใต้หัวข้อหลัก “CONNECTING MIND CREATING THE FUTURE” หรือ "เชื่อมความคิด สร้างอนาคต” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งปันความรู้ความก้าวหน้าทางนวัตกรรมและกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจในการร่วมมือกันสร้างสรรค์อนาคตอันยั่งยืน ทั้งนี้ รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นหน่วยงานเจ้าภาพและเป็นตัวแทนประเทศไทยในการดําเนินโครงการฯ ซึ่งกระทรวงฯ ได้มอบหมายให้สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) เป็นผู้ดําเนินการหลัก โดยประสานงานกับภาครัฐและเอกชน จนจบงานในปี ค.ศ.2021 หรือ พ.ศ. 2564 ทั้งนี้ประเทศไทยจะเข้าร่วมแสดงนิทรรศการในมหกรรมระดับโลกนี้ในพื้นที่โซน Mobility บนพื้นที่กว่า 3,600 ตารางเมตร
***********************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16383
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประธานมอบรางวัลวิสาหกิจดีเด่นประจำปี 2559 เพื่อส่งเสริมการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง
|
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2559
นายกรัฐมนตรีประธานมอบรางวัลวิสาหกิจดีเด่นประจําปี 2559 เพื่อส่งเสริมการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง
นายกรัฐมนตรีประธานมอบรางวัลวิสาหกิจดีเด่นประจําปี 2559 เพื่อส่งเสริมการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง
วันนี้ (วันที่ 14 กันยายน 2559) เวลา 18.00 น. ณ ห้องคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจําปี 2559 จํานวน 23 รางวัล จัดโดย สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง มีผู้ร่วมงานประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้บริหารกระทรวงการคลัง ผู้บริหารสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชน ประมาณ 800 คน
นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ได้กล่าวรายงานว่า กระทรวงการคลังได้จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจําปี 2559 โดยงานดังกล่าวได้มีการจัดขึ้นเป็นประจําทุกปี ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา โดยในปีนี้ การจัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น มีวัตถุประสงค์ทั้งนี้เพื่อประกาศให้สาธารณชนได้รับทราบถึงผลการดําเนินงานของรัฐวิสากิจที่มีผลดําเนินงานดีเด่นในด้านต่าง ๆ อีกทั้งเพื่อจะเป็นการสร้างขวัญกําลังใจให้พนักงานรัฐวิสากิจ และช่วยส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจมีความมุ่งมั่นในการดําเนินงานเพื่อพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบรางวัลวิสาหกิจดีเด่นในสาขาต่าง ๆ จํานวน 23 รางวัล อาทิเช่น รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น รางวัลการพัฒนาองค์กรดีเด่นด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ รางวัลผู้นําองค์กรดีเด่น รางวัลการพัฒนาองค์กรดีเด่นในภาพรวม พร้อมกล่าวว่า รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นประธานในงานมอบรางวัลวิสาหกิจดีเด่นครั้งนี้ รัฐวิสาหกิจ ถือเป็นกลไกสําคัญอย่างหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของการบริการสาธารณะ สร้างรายได้และความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจให้กับประเทศเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องโครงการบ้านประชารัฐว่า การนําที่ดินคืนทั้งในทางพฤตินัยและทางนิตินัยนั้น รัฐบาลเน้นประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก จะต้องดําเนินการโดยให้ประชาชนความเดือดร้อนน้อยที่สุด ยกเว้นพื้นที่ต้องห้าม ที่จะต้องดําเนินตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันการค้าการลงทุนมีอัตราเพิ่มขึ้นมากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องมาจากการให้ความร่วมมือจากทางเอกชนและภาครัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการคมนาคม สาธารณูปโภค นั่นเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม อย่างไรก็ตาม สิ่งสําคัญคือ ทําอย่างไรให้ประชาชนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ ลดความหวาดระแวง สร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างรัฐบาลและประชาชน เจ้าหน้าที่จะต้องดูแลประชาชนด้วยธรรมาภิบาลให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์สูงสุด ซึ่งจะสร้างความแข็งอย่างสมดุลรวมไปถึงเศรษฐกิจฐานรากที่ดีต่อไป
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ําการพัฒนาตนเอง และการพัฒนาทรัพยากรที่เป็นสิ่งสําคัญประการ ที่จะทําให้ประเทศไปสู่จุดมุ่งหมายอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยังยืน ซึ่งรวมไปถึงการพัฒนาใน 20 ปีข้างหน้าอย่างเชื่อมโยงในทุกเส้นทาง ทั้งทางบก ทางน้ํา และทางอากาศ เน้นจากการจัดกลุ่มเป็นภูมิภาค ลงมาสู่จังหวัด อําเภอ และชุมชน ร่วมกันวางแผนและพัฒนาทั้ง การไฟฟ้าและการประปา กําหนดยุทธศาสตร์ร่วมกัน เพื่อเดินหน้าไปสู่จุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ได้ รวมไปถึงการเพื่อกูลซึ่งกันและกันของรัฐวิสาหกิจให้ประเทศเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ฝากหน่วยงานรัฐวิสากิจ ร่วมมือกันสร้างความเชื่อมโยงให้กับทุกระดับ ขับเคลื่อนกันพัฒนากันยังเป็นประชารัฐ ดําเนินการด้านสาธารณูปโภคให้ประชาชนอย่างทั่วถึง และที่สําคัญ สร้างความเข้าใจให้กับประชาชน ดูแลดีเจ้าหน้าที่และครอบครัวในทุกระดับชั้น ให้มีความเป็นอยู่ที่ดี สร้างกําลังกายและกําลังใจที่เข็มแข็ง เพื่อเป็นกําลัง สําคัญในการพัฒนาประเทศให้มั่นคง มั่งคั่ง และยังยืนต่อไป
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมนิทรรศการการแสดงผลงานของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ พร้อมกล่าวชื่นชมถึงความร่วมมือตามแนวทางประชารัฐ และเชิญชวนให้นําสินค้าภายในนิทรรศการไปจัดแสดงในทําเนียบรัฐบาล
โดยในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้ทําพิธีแสดงพันธสัญญาร่วมกับรัฐมนตรีและผู้บริหารโดยการวางตุ๊กตามาสคอตลงบนแท่ง พร้อมถ่ายภาพหมู่ร่วมกับผู้ได้รับรางวัลเพื่อเป็นขวัญและกําลังใจอีกด้วย
---------------------------------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประธานมอบรางวัลวิสาหกิจดีเด่นประจำปี 2559 เพื่อส่งเสริมการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2559
นายกรัฐมนตรีประธานมอบรางวัลวิสาหกิจดีเด่นประจําปี 2559 เพื่อส่งเสริมการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง
นายกรัฐมนตรีประธานมอบรางวัลวิสาหกิจดีเด่นประจําปี 2559 เพื่อส่งเสริมการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง
วันนี้ (วันที่ 14 กันยายน 2559) เวลา 18.00 น. ณ ห้องคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจําปี 2559 จํานวน 23 รางวัล จัดโดย สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง มีผู้ร่วมงานประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้บริหารกระทรวงการคลัง ผู้บริหารสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชน ประมาณ 800 คน
นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ได้กล่าวรายงานว่า กระทรวงการคลังได้จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจําปี 2559 โดยงานดังกล่าวได้มีการจัดขึ้นเป็นประจําทุกปี ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา โดยในปีนี้ การจัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น มีวัตถุประสงค์ทั้งนี้เพื่อประกาศให้สาธารณชนได้รับทราบถึงผลการดําเนินงานของรัฐวิสากิจที่มีผลดําเนินงานดีเด่นในด้านต่าง ๆ อีกทั้งเพื่อจะเป็นการสร้างขวัญกําลังใจให้พนักงานรัฐวิสากิจ และช่วยส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจมีความมุ่งมั่นในการดําเนินงานเพื่อพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบรางวัลวิสาหกิจดีเด่นในสาขาต่าง ๆ จํานวน 23 รางวัล อาทิเช่น รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น รางวัลการพัฒนาองค์กรดีเด่นด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ รางวัลผู้นําองค์กรดีเด่น รางวัลการพัฒนาองค์กรดีเด่นในภาพรวม พร้อมกล่าวว่า รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นประธานในงานมอบรางวัลวิสาหกิจดีเด่นครั้งนี้ รัฐวิสาหกิจ ถือเป็นกลไกสําคัญอย่างหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของการบริการสาธารณะ สร้างรายได้และความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจให้กับประเทศเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องโครงการบ้านประชารัฐว่า การนําที่ดินคืนทั้งในทางพฤตินัยและทางนิตินัยนั้น รัฐบาลเน้นประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก จะต้องดําเนินการโดยให้ประชาชนความเดือดร้อนน้อยที่สุด ยกเว้นพื้นที่ต้องห้าม ที่จะต้องดําเนินตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันการค้าการลงทุนมีอัตราเพิ่มขึ้นมากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องมาจากการให้ความร่วมมือจากทางเอกชนและภาครัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการคมนาคม สาธารณูปโภค นั่นเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม อย่างไรก็ตาม สิ่งสําคัญคือ ทําอย่างไรให้ประชาชนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ ลดความหวาดระแวง สร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างรัฐบาลและประชาชน เจ้าหน้าที่จะต้องดูแลประชาชนด้วยธรรมาภิบาลให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์สูงสุด ซึ่งจะสร้างความแข็งอย่างสมดุลรวมไปถึงเศรษฐกิจฐานรากที่ดีต่อไป
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ําการพัฒนาตนเอง และการพัฒนาทรัพยากรที่เป็นสิ่งสําคัญประการ ที่จะทําให้ประเทศไปสู่จุดมุ่งหมายอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยังยืน ซึ่งรวมไปถึงการพัฒนาใน 20 ปีข้างหน้าอย่างเชื่อมโยงในทุกเส้นทาง ทั้งทางบก ทางน้ํา และทางอากาศ เน้นจากการจัดกลุ่มเป็นภูมิภาค ลงมาสู่จังหวัด อําเภอ และชุมชน ร่วมกันวางแผนและพัฒนาทั้ง การไฟฟ้าและการประปา กําหนดยุทธศาสตร์ร่วมกัน เพื่อเดินหน้าไปสู่จุดมุ่งหมายที่ต้องการให้ได้ รวมไปถึงการเพื่อกูลซึ่งกันและกันของรัฐวิสาหกิจให้ประเทศเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ฝากหน่วยงานรัฐวิสากิจ ร่วมมือกันสร้างความเชื่อมโยงให้กับทุกระดับ ขับเคลื่อนกันพัฒนากันยังเป็นประชารัฐ ดําเนินการด้านสาธารณูปโภคให้ประชาชนอย่างทั่วถึง และที่สําคัญ สร้างความเข้าใจให้กับประชาชน ดูแลดีเจ้าหน้าที่และครอบครัวในทุกระดับชั้น ให้มีความเป็นอยู่ที่ดี สร้างกําลังกายและกําลังใจที่เข็มแข็ง เพื่อเป็นกําลัง สําคัญในการพัฒนาประเทศให้มั่นคง มั่งคั่ง และยังยืนต่อไป
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมนิทรรศการการแสดงผลงานของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ พร้อมกล่าวชื่นชมถึงความร่วมมือตามแนวทางประชารัฐ และเชิญชวนให้นําสินค้าภายในนิทรรศการไปจัดแสดงในทําเนียบรัฐบาล
โดยในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้ทําพิธีแสดงพันธสัญญาร่วมกับรัฐมนตรีและผู้บริหารโดยการวางตุ๊กตามาสคอตลงบนแท่ง พร้อมถ่ายภาพหมู่ร่วมกับผู้ได้รับรางวัลเพื่อเป็นขวัญและกําลังใจอีกด้วย
---------------------------------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/358
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ ภานุวัฒน์ ร่วมงานสัมมนา 2019 Shell Forum
|
วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม 2562
ผู้ตรวจฯ ภานุวัฒน์ ร่วมงานสัมมนา 2019 Shell Forum
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมงานสัมมนา 2019 Shell Forum ภายใต้แนวคิด “Vision 2050: Energy Transition for the Future” ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ
วันนี้ (21 สิงหาคม 2562) นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมงานสัมมนา 2019 Shell Forum ภายใต้แนวคิด “Vision 2050: Energy Transition for the Future” เป็นการระดมความคิดเพื่อมองไปข้างหน้าเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านพลังงานในปี ค.ศ. 2050 ที่การเดินทาง การใช้ชีวิต และเทคโนโลยีในประเทศไทยกําลังจะเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคต ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ
นอกจากนี้ งานสัมมนา 2019 Shell Forum ได้มีการกล่าวปาฐกถาพิเศษ โดยได้รับเกียรติจากผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคการศึกษา อาทิ นายเคส พิเทอร์ ราเดอ เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจําประเทศไทย นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน ดร. มัลลิกา อิชวารัน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสและที่ปรึกษาด้านนโยบาย เชลล์ กรุ๊ป สแตรทิจี้ นายอัษฎา หะรินสุต ประธานกรรมการ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จํากัด และเวทีเสวนา โดย วิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา อาทิ พลังงานใหม่ การเดินทาง ความเป็นเมืองและเทคโนโลยี เป็นต้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ ภานุวัฒน์ ร่วมงานสัมมนา 2019 Shell Forum
วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม 2562
ผู้ตรวจฯ ภานุวัฒน์ ร่วมงานสัมมนา 2019 Shell Forum
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมงานสัมมนา 2019 Shell Forum ภายใต้แนวคิด “Vision 2050: Energy Transition for the Future” ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ
วันนี้ (21 สิงหาคม 2562) นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมงานสัมมนา 2019 Shell Forum ภายใต้แนวคิด “Vision 2050: Energy Transition for the Future” เป็นการระดมความคิดเพื่อมองไปข้างหน้าเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านพลังงานในปี ค.ศ. 2050 ที่การเดินทาง การใช้ชีวิต และเทคโนโลยีในประเทศไทยกําลังจะเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคต ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ
นอกจากนี้ งานสัมมนา 2019 Shell Forum ได้มีการกล่าวปาฐกถาพิเศษ โดยได้รับเกียรติจากผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคการศึกษา อาทิ นายเคส พิเทอร์ ราเดอ เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจําประเทศไทย นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน ดร. มัลลิกา อิชวารัน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสและที่ปรึกษาด้านนโยบาย เชลล์ กรุ๊ป สแตรทิจี้ นายอัษฎา หะรินสุต ประธานกรรมการ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จํากัด และเวทีเสวนา โดย วิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา อาทิ พลังงานใหม่ การเดินทาง ความเป็นเมืองและเทคโนโลยี เป็นต้น
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22436
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดโครงการบ้านพัก 60 หลัง จ.กาญจนบุรี ขอคนไทยช่วยกันสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศไทย อยู่กันด้วยความรักความสามัคคี
|
วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2562
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดโครงการบ้านพัก 60 หลัง จ.กาญจนบุรี ขอคนไทยช่วยกันสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศไทย อยู่กันด้วยความรักความสามัคคี
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดโครงการบ้านพัก 60 หลัง จ.กาญจนบุรี และมอบกุญแจบ้านให้ผู้เข้าอาศัย ขอคนไทยช่วยกันสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศไทย อยู่กันด้วยความรักความสามัคคี
วันนี้ (11 พ.ย.62) เวลา 16.40 น. ณ บริเวณบ้านพัก 60 หลัง (บ้านแม่ลําใย) เกาะรัตนกาญจน์ ต.ปากแพรก อ.เมืองกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจเยี่ยมโครงการจัดระเบียบแพ พร้อมเป็นประธานเปิดโครงการบ้านพัก 60 หลัง มอบกุญแจบ้านให้ผู้เข้าอาศัย และเยี่ยมชมบริเวณบ้านพัก โดยมีหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน 500 คนให้การต้อนรับ ซึ่งมีนายสมยศ ศิลปีโยดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรีกล่าวต้อนรับและรายงานความเป็นมาของโครงการ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเปิดโครงการบ้านพัก 60 หลังและมอบกุญแจบ้านให้ตัวแทนผู้เข้าพักอาศัย ตามโครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากที่อยู่อาศัยบริเวณริมแม่น้ําแควใหญ่จ.กาญจนบุรี และมอบของที่ระลึกให้กับคุณแม่ลําใย สิริเวชชภัณฑ์ อดีตผู้อํานวยการโรงเรียนกาญจนานุเคราะห์ ผู้นําจิตอาสาสนับสนุนการก่อสร้างบ้านพัก 60 หลัง
จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวกับประชาชนที่มาให้การต้อนรับ โดยนายกฯ แสดงความยินดีกับผู้ที่ได้เข้าพักอาศัยในบ้านทั้ง 60 หลัง ซึ่งนายกฯ ต้องการให้มีการแก้ไขปัญหาในลักษณะเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง ขอให้ผู้ที่ได้เข้าพักอาศัยแล้ว ไปพูดคุยบอกต่อชวนผู้ที่ยังไม่ได้มา ให้ขึ้นมาอยู่ด้วยกัน โดยนายกฯ และภาครัฐพร้อมให้การสนับสนุนแก้ไขปัญหาให้ผู้ที่จอดแพอยู่ในแม่น้ํา เพราะหากยังแก้ปัญหาในลักษณะเดิม ๆ เช่นที่ผ่านมาก็จะทําให้เกิดความทรุดโทรม เกิดปัญหาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม ซึ่งขณะนี้โลกกําลังให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาขยะในทะเล และนายกฯ จะทําทุกอย่างให้เกิดความสมดุล ให้เกิดความเท่าเทียมเป็นธรรมกับผู้ที่ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้น ขอให้ประชาชนฟังในสิ่งที่รัฐบาลชี้แจงบ้าง เพราะประเทศไทยจะเดินหน้าได้ต้องอาศัยกฎ ระเบียบ กติกา ทั้งนี้ ยังมีอีกหลายอย่างที่ภาครัฐจะต้องทําร่วมกับชาวกาญจนบุรีอีก
นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า ทุกคนต้องช่วยกันสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศไทย ร่วมสร้างความเข้มแข็งไปด้วยกัน Stronger together ไม่ให้มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลทํามาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งคนไทยต้องอยู่กันด้วยความรักความสามัคคีให้มากขึ้นกว่าเดิม ประเทศไทยจะไม่เป็นรองใคร ขอให้เวลานี้เป็นเวลาแห่งความร่วมมือร่วมใจซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ร้องเพลงบ้านเรา ร่วมกับประชาชนที่มารอให้การต้อนรับด้วย
ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีชมนิทรรศการและเยี่ยมชมบริเวณบ้านพัก ก่อนออกเดินทางไปปฏิบัติภารกิจต่อไปที่โรงงานกระดาษไทย ต.บ้านเหนือ อ.เมืองกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี
ทั้งนี้ โครงการจัดระเบียบแพ สืบเนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นจากการขาดความเป็นระเบียบเรียบร้อย และการปลูกบ้านเรือนรุกล้ําบริเวณริมแม่น้ําแควใหญ่ รวมทั้งปัญหาการบดบังทัศนียภาพจุดบรรจบของ แม่น้ําแควน้อย แม่น้ําแควใหญ่ และแม่น้ําแม่กลองในพื้นที่อําเภอเมืองกาญจนบุรี และเพื่อให้เป็นไปตามบัญชาของนายกรัฐมนตรีเมื่อคราวตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีเมื่อวันที่ 7 พ.ย.61 ที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว จังหวัดกาญจนบุรีจึงได้ดําเนินการก่อสร้างที่พักอาศัยบนพื้นที่ราชพัสดุ เพื่อรองรับผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านเรือนที่รุกล้ําริมแม่น้ําแควใหญ่ มีลักษณะเป็นที่พักอาศัย อาคารชั้นเดียว จํานวน 6 คูหา ๆ ละ 10 ห้อง รวม 60 ห้อง พร้อมทั้งจัดให้มีสาธารณูปโภคต่าง ๆ โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนหลายแห่ง โดยเฉพาะการก่อสร้างที่ไม่คิดค่าแรงงาน และการสนับสนุนอาหารน้ําดื่มจากผู้มีจิตศรัทธา นอกจากนี้ จังหวัดยังได้เตรียมจัดหาจุดจอดแพใหม่ สําหรับผู้ประกอบการและเตรียมพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ด้วย
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดโครงการบ้านพัก 60 หลัง จ.กาญจนบุรี ขอคนไทยช่วยกันสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศไทย อยู่กันด้วยความรักความสามัคคี
วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2562
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดโครงการบ้านพัก 60 หลัง จ.กาญจนบุรี ขอคนไทยช่วยกันสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศไทย อยู่กันด้วยความรักความสามัคคี
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดโครงการบ้านพัก 60 หลัง จ.กาญจนบุรี และมอบกุญแจบ้านให้ผู้เข้าอาศัย ขอคนไทยช่วยกันสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศไทย อยู่กันด้วยความรักความสามัคคี
วันนี้ (11 พ.ย.62) เวลา 16.40 น. ณ บริเวณบ้านพัก 60 หลัง (บ้านแม่ลําใย) เกาะรัตนกาญจน์ ต.ปากแพรก อ.เมืองกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจเยี่ยมโครงการจัดระเบียบแพ พร้อมเป็นประธานเปิดโครงการบ้านพัก 60 หลัง มอบกุญแจบ้านให้ผู้เข้าอาศัย และเยี่ยมชมบริเวณบ้านพัก โดยมีหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน 500 คนให้การต้อนรับ ซึ่งมีนายสมยศ ศิลปีโยดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรีกล่าวต้อนรับและรายงานความเป็นมาของโครงการ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเปิดโครงการบ้านพัก 60 หลังและมอบกุญแจบ้านให้ตัวแทนผู้เข้าพักอาศัย ตามโครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากที่อยู่อาศัยบริเวณริมแม่น้ําแควใหญ่จ.กาญจนบุรี และมอบของที่ระลึกให้กับคุณแม่ลําใย สิริเวชชภัณฑ์ อดีตผู้อํานวยการโรงเรียนกาญจนานุเคราะห์ ผู้นําจิตอาสาสนับสนุนการก่อสร้างบ้านพัก 60 หลัง
จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวกับประชาชนที่มาให้การต้อนรับ โดยนายกฯ แสดงความยินดีกับผู้ที่ได้เข้าพักอาศัยในบ้านทั้ง 60 หลัง ซึ่งนายกฯ ต้องการให้มีการแก้ไขปัญหาในลักษณะเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง ขอให้ผู้ที่ได้เข้าพักอาศัยแล้ว ไปพูดคุยบอกต่อชวนผู้ที่ยังไม่ได้มา ให้ขึ้นมาอยู่ด้วยกัน โดยนายกฯ และภาครัฐพร้อมให้การสนับสนุนแก้ไขปัญหาให้ผู้ที่จอดแพอยู่ในแม่น้ํา เพราะหากยังแก้ปัญหาในลักษณะเดิม ๆ เช่นที่ผ่านมาก็จะทําให้เกิดความทรุดโทรม เกิดปัญหาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม ซึ่งขณะนี้โลกกําลังให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาขยะในทะเล และนายกฯ จะทําทุกอย่างให้เกิดความสมดุล ให้เกิดความเท่าเทียมเป็นธรรมกับผู้ที่ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้น ขอให้ประชาชนฟังในสิ่งที่รัฐบาลชี้แจงบ้าง เพราะประเทศไทยจะเดินหน้าได้ต้องอาศัยกฎ ระเบียบ กติกา ทั้งนี้ ยังมีอีกหลายอย่างที่ภาครัฐจะต้องทําร่วมกับชาวกาญจนบุรีอีก
นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า ทุกคนต้องช่วยกันสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศไทย ร่วมสร้างความเข้มแข็งไปด้วยกัน Stronger together ไม่ให้มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลทํามาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งคนไทยต้องอยู่กันด้วยความรักความสามัคคีให้มากขึ้นกว่าเดิม ประเทศไทยจะไม่เป็นรองใคร ขอให้เวลานี้เป็นเวลาแห่งความร่วมมือร่วมใจซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ร้องเพลงบ้านเรา ร่วมกับประชาชนที่มารอให้การต้อนรับด้วย
ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีชมนิทรรศการและเยี่ยมชมบริเวณบ้านพัก ก่อนออกเดินทางไปปฏิบัติภารกิจต่อไปที่โรงงานกระดาษไทย ต.บ้านเหนือ อ.เมืองกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี
ทั้งนี้ โครงการจัดระเบียบแพ สืบเนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นจากการขาดความเป็นระเบียบเรียบร้อย และการปลูกบ้านเรือนรุกล้ําบริเวณริมแม่น้ําแควใหญ่ รวมทั้งปัญหาการบดบังทัศนียภาพจุดบรรจบของ แม่น้ําแควน้อย แม่น้ําแควใหญ่ และแม่น้ําแม่กลองในพื้นที่อําเภอเมืองกาญจนบุรี และเพื่อให้เป็นไปตามบัญชาของนายกรัฐมนตรีเมื่อคราวตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีเมื่อวันที่ 7 พ.ย.61 ที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว จังหวัดกาญจนบุรีจึงได้ดําเนินการก่อสร้างที่พักอาศัยบนพื้นที่ราชพัสดุ เพื่อรองรับผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านเรือนที่รุกล้ําริมแม่น้ําแควใหญ่ มีลักษณะเป็นที่พักอาศัย อาคารชั้นเดียว จํานวน 6 คูหา ๆ ละ 10 ห้อง รวม 60 ห้อง พร้อมทั้งจัดให้มีสาธารณูปโภคต่าง ๆ โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนหลายแห่ง โดยเฉพาะการก่อสร้างที่ไม่คิดค่าแรงงาน และการสนับสนุนอาหารน้ําดื่มจากผู้มีจิตศรัทธา นอกจากนี้ จังหวัดยังได้เตรียมจัดหาจุดจอดแพใหม่ สําหรับผู้ประกอบการและเตรียมพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ด้วย
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24492
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ครั้งที่ 1/2561
|
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561
รอง นรม. พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ครั้งที่ 1/2561
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบร่างรายงานสถานภาพการอนุรักษ์พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น – เขาใหญ่ และการสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นกรรมการมรดกโลกของประเทศไทย
วันนี้ (19 มกราคม 2561) เวลา 9.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ครั้งที่ 1/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบร่างรายงานสถานภาพการอนุรักษ์พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ของการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมันสามัญ ครั้งที่ 41 ที่ มีมติขอให้ราชอาณาจักรไทยดําเนินการในด้านต่างๆ โดยให้ดําเนินการอย่างต่อเนื่องตามแผนปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดและค้าไม้พะยูงในพื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ปีพ.ศ. 2557 - 2562 พร้อมให้ไทยเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งการบังคับใช้กฎหมายและการดําเนินการฟ้องร้องรวมทั้งให้ดําเนินการปรับปรุงข้อมูลสถานการณ์การลับลอบตัดไม้พะยูงและให้ดําเนินการตามคําแนะนําของภารกิจติดตามตรวจสอบเมื่อปี พ.ศ. 2557 เกี่ยวกับเรื่องการบุกรุกอย่างต่อเนื่องพร้อมรายงานความก้าวหน้าการดําเนินการตลอดจนให้ประเมินทางเลือกอื่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบทางลบที่อาจเกิดขึ้นต่อคุณค่าและความโดดเด่นอันเป็นสากล (OUV) ในการขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 348
รวมทั้งให้ยกเลิกแผนการก่อสร้างเขื่อนรวมถึงอ่างเก็บน้ําในพื้นที่แหล่งทรัพย์สินอย่างถาวร รวมถึงโครงการก่อสร้างเขื่อนห้วยสะโตและเขื่อนลําพระยาธาร โดยให้ปฏิยัติตามข้อเสนอแนะทั้งหมดจากภารกิจติดตามตรวจสอบในปี พ.ศ. 2559 ทั้งนี้ให้จัดส่งรายงานสถานภาพการอนุรักษ์ที่เป็นปัจจุบัน และรายงานการดําเนินงานต่อศูนย์มรดกโลก ภายในวันที่ 1 กุมพาพันธ์ พ.ศ. 2561
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นกรรมการมรดกโลกของประเทศไทย ทั้งนี้ การสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นกรรมการมรดกโลก นั้น นอกจากจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในเวทีโลกแล้ว ยังเป็นการเปิดโอกาสในการเสริมสร้างสัมพันธภาพความร่วมมือ และความช่วยเหลือ ในการดําเนินงานในด้านต่าง ๆ ร่วมกับรัฐภาคีสมาชิก ศูนย์มรดกโลก และองค์กรที่ปรึกษา รวมทั้งเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยจะได้มีส่วนร่วมในการกําหนดทิศทางการดําเนินงานของอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ในการคุ้มครองแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมและมรดกโลกทางธรรมชาติ
******************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ครั้งที่ 1/2561
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561
รอง นรม. พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ครั้งที่ 1/2561
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบร่างรายงานสถานภาพการอนุรักษ์พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น – เขาใหญ่ และการสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นกรรมการมรดกโลกของประเทศไทย
วันนี้ (19 มกราคม 2561) เวลา 9.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ครั้งที่ 1/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบร่างรายงานสถานภาพการอนุรักษ์พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ของการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมันสามัญ ครั้งที่ 41 ที่ มีมติขอให้ราชอาณาจักรไทยดําเนินการในด้านต่างๆ โดยให้ดําเนินการอย่างต่อเนื่องตามแผนปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดและค้าไม้พะยูงในพื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ปีพ.ศ. 2557 - 2562 พร้อมให้ไทยเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งการบังคับใช้กฎหมายและการดําเนินการฟ้องร้องรวมทั้งให้ดําเนินการปรับปรุงข้อมูลสถานการณ์การลับลอบตัดไม้พะยูงและให้ดําเนินการตามคําแนะนําของภารกิจติดตามตรวจสอบเมื่อปี พ.ศ. 2557 เกี่ยวกับเรื่องการบุกรุกอย่างต่อเนื่องพร้อมรายงานความก้าวหน้าการดําเนินการตลอดจนให้ประเมินทางเลือกอื่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบทางลบที่อาจเกิดขึ้นต่อคุณค่าและความโดดเด่นอันเป็นสากล (OUV) ในการขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 348
รวมทั้งให้ยกเลิกแผนการก่อสร้างเขื่อนรวมถึงอ่างเก็บน้ําในพื้นที่แหล่งทรัพย์สินอย่างถาวร รวมถึงโครงการก่อสร้างเขื่อนห้วยสะโตและเขื่อนลําพระยาธาร โดยให้ปฏิยัติตามข้อเสนอแนะทั้งหมดจากภารกิจติดตามตรวจสอบในปี พ.ศ. 2559 ทั้งนี้ให้จัดส่งรายงานสถานภาพการอนุรักษ์ที่เป็นปัจจุบัน และรายงานการดําเนินงานต่อศูนย์มรดกโลก ภายในวันที่ 1 กุมพาพันธ์ พ.ศ. 2561
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นกรรมการมรดกโลกของประเทศไทย ทั้งนี้ การสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นกรรมการมรดกโลก นั้น นอกจากจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในเวทีโลกแล้ว ยังเป็นการเปิดโอกาสในการเสริมสร้างสัมพันธภาพความร่วมมือ และความช่วยเหลือ ในการดําเนินงานในด้านต่าง ๆ ร่วมกับรัฐภาคีสมาชิก ศูนย์มรดกโลก และองค์กรที่ปรึกษา รวมทั้งเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยจะได้มีส่วนร่วมในการกําหนดทิศทางการดําเนินงานของอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ในการคุ้มครองแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมและมรดกโลกทางธรรมชาติ
******************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9496
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ว่า กยท.ชี้แจง กรณีคอลัมน์คาบลูกคาบดอก ไทยรัฐ กล่าวหามีขบวนการจำหน่ายยาง ในลักษณะเลี่ยงภาษี-มีขบวนการร่วมมือระหว่างคนนอกและคนใน กยท. ทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐและกระทบเกษตรกร
|
วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม 2561
ผู้ว่า กยท.ชี้แจง กรณีคอลัมน์คาบลูกคาบดอก ไทยรัฐ กล่าวหามีขบวนการจําหน่ายยาง ในลักษณะเลี่ยงภาษี-มีขบวนการร่วมมือระหว่างคนนอกและคนใน กยท. ทําให้เกิดความเสียหายต่อรัฐและกระทบเกษตรกร
ผู้ว่า กยท.ชี้แจง กรณีคอลัมน์คาบลูกคาบดอก ไทยรัฐ กล่าวหามีขบวนการจําหน่ายยางในลักษณะเลี่ยงภาษี-มีขบวนการร่วมมือระหว่างคนนอกและคนใน กยท. ทําให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ กระทบเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา
วันที่ 7 มีนาคม 2561 นายธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงตามที่ นสพ.ไทยรัฐ คอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” กล่าวหาว่ามีขบวนการจําหน่ายยางในลักษณะเลี่ยงภาษีผ่านศุลกากรไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และจํานวนยางที่ส่งออกกับจํานวนยางที่ประเทศเพื่อนบ้านรับซื้อจํานวนไม่ตรงกัน และกล่าวหามีขบวนการร่วมมือระหว่างบุคคลภายนอกและคนในการยางแห่งประเทศไทย ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อรัฐและกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา โดยผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้
เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 60 คณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) โดยพลเอกฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข ประธานกรรมการ ได้เคยเห็นชอบให้ปรับปรุงระบบการเก็บค่าธรรมเนียมการส่งออกยางพารา (CESS) ให้มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบความถูกต้อง เชื่อมโยงทุกส่วนราชการ หลังตรวจสอบพบ สถิติพื้นที่ปลูกยางในประเทศ จากฐานข้อมูลเดิมปี 2560 มีพื้นที่ปลูกยางพาราประมาณ 20.5 ล้านไร่ จะให้ปริมาณผลผลิตประมาณ 4.5 ล้านตัน ต่างจากข้อมูลสํารวจจากดาวเทียมของ Gistda ในปีเดียวกัน ที่มีพื้นที่ปลูกยางมากกว่า 32 ล้านไร่ ต่างกันเกือบ 11.5 ล้านไร่ ซึ่งทําให้มีปริมาณผลผลิตยางที่แท้จริงคลาดเคลื่อนไปมาก และตัวเลขการส่งออกที่แท้จริงอาจสูงกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งโครงการพัฒนาระบบการจัดเก็บ CESS แบบใหม่นี้ มีกระแสแรงต้าน เป็นความจริงตามข่าว เพราะการจะปรับปรุงเพื่อให้ระบบสมบูรณ์ ต้องใช้งบประมาณมาก บอร์ด กยท. จึงให้ใช้เทคโนโลยีจากเอกชนเข้ามาร่วมพัฒนา แต่ไม่ใช่การให้เอกชนมาเป็นผู้จัดเก็บค่าธรรมเนียมตามที่มีความพยายามบิดเบือนข้อมูล
ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ดร.ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการ กยท. จึงตั้งคณะกรรมการเพื่อสืบหาข้อเท็จจริง ในเรื่องการหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมการส่งออกยาง โดยขอความร่วมมือจากกรมศุลกากร และนําแนวทางข้อเสนอแนะจากทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มาปรับใช้ ซึ่งตอนนี้อยู่ในขั้นตอนสืบหาและรวบรวมข้อมูล เพื่อให้การดําเนินงานที่ชัดเจน และโปร่งใสตรวจสอบได้ทั้งระบบ หากพบว่ามีการทุจริตจริง กยท. จะดําเนินการตามระเบียบข้อกฎหมายอย่างแน่นอน
-------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ว่า กยท.ชี้แจง กรณีคอลัมน์คาบลูกคาบดอก ไทยรัฐ กล่าวหามีขบวนการจำหน่ายยาง ในลักษณะเลี่ยงภาษี-มีขบวนการร่วมมือระหว่างคนนอกและคนใน กยท. ทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐและกระทบเกษตรกร
วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม 2561
ผู้ว่า กยท.ชี้แจง กรณีคอลัมน์คาบลูกคาบดอก ไทยรัฐ กล่าวหามีขบวนการจําหน่ายยาง ในลักษณะเลี่ยงภาษี-มีขบวนการร่วมมือระหว่างคนนอกและคนใน กยท. ทําให้เกิดความเสียหายต่อรัฐและกระทบเกษตรกร
ผู้ว่า กยท.ชี้แจง กรณีคอลัมน์คาบลูกคาบดอก ไทยรัฐ กล่าวหามีขบวนการจําหน่ายยางในลักษณะเลี่ยงภาษี-มีขบวนการร่วมมือระหว่างคนนอกและคนใน กยท. ทําให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ กระทบเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา
วันที่ 7 มีนาคม 2561 นายธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงตามที่ นสพ.ไทยรัฐ คอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” กล่าวหาว่ามีขบวนการจําหน่ายยางในลักษณะเลี่ยงภาษีผ่านศุลกากรไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และจํานวนยางที่ส่งออกกับจํานวนยางที่ประเทศเพื่อนบ้านรับซื้อจํานวนไม่ตรงกัน และกล่าวหามีขบวนการร่วมมือระหว่างบุคคลภายนอกและคนในการยางแห่งประเทศไทย ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อรัฐและกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา โดยผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้
เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 60 คณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) โดยพลเอกฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข ประธานกรรมการ ได้เคยเห็นชอบให้ปรับปรุงระบบการเก็บค่าธรรมเนียมการส่งออกยางพารา (CESS) ให้มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบความถูกต้อง เชื่อมโยงทุกส่วนราชการ หลังตรวจสอบพบ สถิติพื้นที่ปลูกยางในประเทศ จากฐานข้อมูลเดิมปี 2560 มีพื้นที่ปลูกยางพาราประมาณ 20.5 ล้านไร่ จะให้ปริมาณผลผลิตประมาณ 4.5 ล้านตัน ต่างจากข้อมูลสํารวจจากดาวเทียมของ Gistda ในปีเดียวกัน ที่มีพื้นที่ปลูกยางมากกว่า 32 ล้านไร่ ต่างกันเกือบ 11.5 ล้านไร่ ซึ่งทําให้มีปริมาณผลผลิตยางที่แท้จริงคลาดเคลื่อนไปมาก และตัวเลขการส่งออกที่แท้จริงอาจสูงกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งโครงการพัฒนาระบบการจัดเก็บ CESS แบบใหม่นี้ มีกระแสแรงต้าน เป็นความจริงตามข่าว เพราะการจะปรับปรุงเพื่อให้ระบบสมบูรณ์ ต้องใช้งบประมาณมาก บอร์ด กยท. จึงให้ใช้เทคโนโลยีจากเอกชนเข้ามาร่วมพัฒนา แต่ไม่ใช่การให้เอกชนมาเป็นผู้จัดเก็บค่าธรรมเนียมตามที่มีความพยายามบิดเบือนข้อมูล
ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ดร.ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการ กยท. จึงตั้งคณะกรรมการเพื่อสืบหาข้อเท็จจริง ในเรื่องการหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมการส่งออกยาง โดยขอความร่วมมือจากกรมศุลกากร และนําแนวทางข้อเสนอแนะจากทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มาปรับใช้ ซึ่งตอนนี้อยู่ในขั้นตอนสืบหาและรวบรวมข้อมูล เพื่อให้การดําเนินงานที่ชัดเจน และโปร่งใสตรวจสอบได้ทั้งระบบ หากพบว่ามีการทุจริตจริง กยท. จะดําเนินการตามระเบียบข้อกฎหมายอย่างแน่นอน
-------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10658
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ จัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับ Blockchain หวังนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
|
วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม 2562
กระทรวงดิจิทัลฯ จัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับ Blockchain หวังนําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการทํางานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
กระทรวงดิจิทัลฯ จัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับ Blockchain หวังนําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการทํางานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นางคนึงนิจ คชศิลา ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานเปิดการสัมมนากิจกรรม KM Forum ครั้งที่ 10 ในหัวข้อ “Blockchain in Enterprise and Government” เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2562 ณ ห้องประชุม BB 201 ชั้น 2 ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ กรุงเทพฯ โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้จัดกิจกรรมเสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่บุคลากรคือ กิจกรรม KM Forum ในครั้งนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทําความรู้จัก “Blockchain” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทและเป็นเครื่องมือสําคัญในการบันทึกจัดเก็บข้อมูล การตรวจสอบ ติดตามเพื่อความโปร่งใส เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารองค์กรยุคใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อสร้างความเข้าใจต่อผลกระทบจากเทคโนโลยีใหม่ที่อาจเกิดขึ้นกับองค์กร รวมถึงการสร้างแนวคิดในการนําเทคโนโลยี Blockchain ไปประยุกต์ใช้ในองค์กร สําหรับ Blockchain เป็นเทคโนโลยีดิจิทัลที่สําคัญเหมาะสมในการนํามาใช้ในงานบริการภาครัฐในด้านการจัดเก็บข้อมูล เนื่องจากมีคุณลักษณะที่มีความถูกต้องเที่ยงตรงของข้อมูล ความโปร่งใสในการเข้าถึงข้อมูล และมีความสามารถในการทํางานได้อย่างต่อเนื่องของระบบ สามารถใช้ในการจัดเก็บข้อมูลภาครัฐ
***********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ จัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับ Blockchain หวังนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม 2562
กระทรวงดิจิทัลฯ จัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับ Blockchain หวังนําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการทํางานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
กระทรวงดิจิทัลฯ จัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับ Blockchain หวังนําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการทํางานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นางคนึงนิจ คชศิลา ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานเปิดการสัมมนากิจกรรม KM Forum ครั้งที่ 10 ในหัวข้อ “Blockchain in Enterprise and Government” เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2562 ณ ห้องประชุม BB 201 ชั้น 2 ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ กรุงเทพฯ โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้จัดกิจกรรมเสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่บุคลากรคือ กิจกรรม KM Forum ในครั้งนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทําความรู้จัก “Blockchain” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทและเป็นเครื่องมือสําคัญในการบันทึกจัดเก็บข้อมูล การตรวจสอบ ติดตามเพื่อความโปร่งใส เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารองค์กรยุคใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อสร้างความเข้าใจต่อผลกระทบจากเทคโนโลยีใหม่ที่อาจเกิดขึ้นกับองค์กร รวมถึงการสร้างแนวคิดในการนําเทคโนโลยี Blockchain ไปประยุกต์ใช้ในองค์กร สําหรับ Blockchain เป็นเทคโนโลยีดิจิทัลที่สําคัญเหมาะสมในการนํามาใช้ในงานบริการภาครัฐในด้านการจัดเก็บข้อมูล เนื่องจากมีคุณลักษณะที่มีความถูกต้องเที่ยงตรงของข้อมูล ความโปร่งใสในการเข้าถึงข้อมูล และมีความสามารถในการทํางานได้อย่างต่อเนื่องของระบบ สามารถใช้ในการจัดเก็บข้อมูลภาครัฐ
***********************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21778
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋” Kick off เพิ่มศักยภาพผู้มีรายได้น้อยฯ กว่า 6 แสนคน ตั้งเป้า 65 % มีงานทำ
|
วันพุธที่ 23 พฤษภาคม 2561
“บิ๊กอู๋” Kick off เพิ่มศักยภาพผู้มีรายได้น้อยฯ กว่า 6 แสนคน ตั้งเป้า 65 % มีงานทํา
รมว.แรงงาน แถลง Kick off โครงการเพิ่มศักยภาพผู้มีรายได้น้อยฯ ฝึกช่างชุมชนและอาชีพอิสระตั้งเป้า 6 แสนคน มีงานทํา มีอาชีพ เพิ่มรายได้ ขับเคลื่อนไทยนิยมยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
วันนี้ (23 พ.ค.61) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธี Kick off โครงการเพิ่มศักยภาพผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อสร้างงานสร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ และความมั่นคงในชีวิต ณ บริเวณ บริเวณห้องแซฟไฟร์ ๒๐๔ - ๒๐๖ อิมแพ็คฟอรั่ม เมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี โดยกล่าวว่า โครงการนี้รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะสร้างงานให้กับผู้มีรายได้น้อยกว่า 600,000 คน ภายใต้งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรประมาณ 2,000 กว่าล้านบาท โดยเริ่มดําเนินการได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงเดือนกันยายน 2561 จํานวน 56 หลักสูตร อาทิ สาขาช่างชุมชน ก่อสร้างการทําอาหาร เย็บผ้า ทําดอกไม้ประดิษฐ์ เป็นต้น โดยจะใช้สถานที่ที่ได้บูรณาการกับหน่วยงานในระดับชุมชน ระดับอําเภอในการฝึก นอกจากนี้ ยังได้สัมมนาผู้บริหารการฝึกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สํานักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และ สํานักงาน ป.ป.ช. เป็นต้น เพื่อให้คําแนะนําเกี่ยวกับแนวทางที่ถูกต้องและมีกลไกในการตรวจสอบได้ โดยมอบหมายให้ปลัดกระทรวงแรงงานวางระบบในการใช้จ่ายงบประมาณของพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้มีความโปร่งใสมากที่สุด
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวต่อว่า โครงการเพิ่มศักยภาพผู้มีรายได้น้อยฯ เป็นการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน โดยจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนตามแนวทางประชารัฐ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสถานประกอบการที่จะต้องมีส่วนร่วมในการสร้างโอกาสให้แก่ผู้มีรายได้น้อยได้ประกอบอาชีพ โดยจัดหางานให้ทํา ส่งเสริมการรับงานไปทําที่บ้าน และฝึกทักษะอาชีพ ตลอดจนเข้าไปคุ้มครองแรงงาน และส่งเสริมการเข้าสู่ระบบประกันสังคม การดําเนินโครงการนี้จะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อยได้อย่างแท้จริงและเห็นผลเป็นรูปธรรม ซึ่งรัฐบาลต้องการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยอย่างยั่งยืน
สําหรับการสัมมนาในครั้งนี้ มีบุคลากรของกระทรวงแรงงานกว่า 700 คน เข้าร่วมเพื่อรับทราบนโยบาย แนวทาง และขั้นตอนการดําเนินงานขับเคลื่อนโครงการฯ โดยมีประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้ต่ํากว่า ๓๐,๐๐๐บาท/คน/ปี จํานวน ๖๒๕,๑๒๐ คน ที่จะดําเนินการใน 2 กิจกรรม ได้แก่ ๑) กิจกรรมการส่งเสริมและฝึกอาชีพหลักสูตรฝึกอาชีพเร่งด่วนช่างอเนกประสงค์ (ช่างชุมชน)มีเป้าหมายดําเนินการ ๘๑,๐๐๐ คน โดยผู้ผ่านการฝึกสามารถปฏิบัติงานซ่อมไฟฟ้า ประปา ประตูหน้าต่างผนัง - กระเบื้องได้ พร้อมทั้งมอบเครื่องมือประกอบอาชีพให้แก่ผู้สําเร็จการฝึกด้วย และ 2) กิจกรรมการฝึกอาชีพเสริมเพื่อการมีงานทําหรือการประกอบอาชีพอิสระ มีเป้าหมายดําเนินการ ๕๔๔,๑๒๐ คน
“การดําเนินงานในทุกขั้นตอนจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยมีกลไกการตรวจสอบจากทุกภาคส่วน และเกิดประโยชน์สูงสุด ตั้งเป้าประชาชนผู้มีรายได้น้อยกว่าร้อยละ 65 มีงานทํา มีอาชีพ มีรายได้เพิ่ม”พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวในท้ายสุด
-----------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/
23 พฤษภาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋” Kick off เพิ่มศักยภาพผู้มีรายได้น้อยฯ กว่า 6 แสนคน ตั้งเป้า 65 % มีงานทำ
วันพุธที่ 23 พฤษภาคม 2561
“บิ๊กอู๋” Kick off เพิ่มศักยภาพผู้มีรายได้น้อยฯ กว่า 6 แสนคน ตั้งเป้า 65 % มีงานทํา
รมว.แรงงาน แถลง Kick off โครงการเพิ่มศักยภาพผู้มีรายได้น้อยฯ ฝึกช่างชุมชนและอาชีพอิสระตั้งเป้า 6 แสนคน มีงานทํา มีอาชีพ เพิ่มรายได้ ขับเคลื่อนไทยนิยมยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
วันนี้ (23 พ.ค.61) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธี Kick off โครงการเพิ่มศักยภาพผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อสร้างงานสร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ และความมั่นคงในชีวิต ณ บริเวณ บริเวณห้องแซฟไฟร์ ๒๐๔ - ๒๐๖ อิมแพ็คฟอรั่ม เมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี โดยกล่าวว่า โครงการนี้รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะสร้างงานให้กับผู้มีรายได้น้อยกว่า 600,000 คน ภายใต้งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรประมาณ 2,000 กว่าล้านบาท โดยเริ่มดําเนินการได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงเดือนกันยายน 2561 จํานวน 56 หลักสูตร อาทิ สาขาช่างชุมชน ก่อสร้างการทําอาหาร เย็บผ้า ทําดอกไม้ประดิษฐ์ เป็นต้น โดยจะใช้สถานที่ที่ได้บูรณาการกับหน่วยงานในระดับชุมชน ระดับอําเภอในการฝึก นอกจากนี้ ยังได้สัมมนาผู้บริหารการฝึกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สํานักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และ สํานักงาน ป.ป.ช. เป็นต้น เพื่อให้คําแนะนําเกี่ยวกับแนวทางที่ถูกต้องและมีกลไกในการตรวจสอบได้ โดยมอบหมายให้ปลัดกระทรวงแรงงานวางระบบในการใช้จ่ายงบประมาณของพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้มีความโปร่งใสมากที่สุด
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวต่อว่า โครงการเพิ่มศักยภาพผู้มีรายได้น้อยฯ เป็นการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน โดยจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนตามแนวทางประชารัฐ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสถานประกอบการที่จะต้องมีส่วนร่วมในการสร้างโอกาสให้แก่ผู้มีรายได้น้อยได้ประกอบอาชีพ โดยจัดหางานให้ทํา ส่งเสริมการรับงานไปทําที่บ้าน และฝึกทักษะอาชีพ ตลอดจนเข้าไปคุ้มครองแรงงาน และส่งเสริมการเข้าสู่ระบบประกันสังคม การดําเนินโครงการนี้จะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อยได้อย่างแท้จริงและเห็นผลเป็นรูปธรรม ซึ่งรัฐบาลต้องการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยอย่างยั่งยืน
สําหรับการสัมมนาในครั้งนี้ มีบุคลากรของกระทรวงแรงงานกว่า 700 คน เข้าร่วมเพื่อรับทราบนโยบาย แนวทาง และขั้นตอนการดําเนินงานขับเคลื่อนโครงการฯ โดยมีประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้ต่ํากว่า ๓๐,๐๐๐บาท/คน/ปี จํานวน ๖๒๕,๑๒๐ คน ที่จะดําเนินการใน 2 กิจกรรม ได้แก่ ๑) กิจกรรมการส่งเสริมและฝึกอาชีพหลักสูตรฝึกอาชีพเร่งด่วนช่างอเนกประสงค์ (ช่างชุมชน)มีเป้าหมายดําเนินการ ๘๑,๐๐๐ คน โดยผู้ผ่านการฝึกสามารถปฏิบัติงานซ่อมไฟฟ้า ประปา ประตูหน้าต่างผนัง - กระเบื้องได้ พร้อมทั้งมอบเครื่องมือประกอบอาชีพให้แก่ผู้สําเร็จการฝึกด้วย และ 2) กิจกรรมการฝึกอาชีพเสริมเพื่อการมีงานทําหรือการประกอบอาชีพอิสระ มีเป้าหมายดําเนินการ ๕๔๔,๑๒๐ คน
“การดําเนินงานในทุกขั้นตอนจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยมีกลไกการตรวจสอบจากทุกภาคส่วน และเกิดประโยชน์สูงสุด ตั้งเป้าประชาชนผู้มีรายได้น้อยกว่าร้อยละ 65 มีงานทํา มีอาชีพ มีรายได้เพิ่ม”พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวในท้ายสุด
-----------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/
23 พฤษภาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12463
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจนิรันดร์ฯ นำคณะข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม มอบถุงยังชีพให้แก่มูลนิธิช่วยคนตาบอดเแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ และสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี
|
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน 2563
ผู้ตรวจนิรันดร์ฯ นําคณะข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม มอบถุงยังชีพให้แก่มูลนิธิช่วยคนตาบอดเแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ และสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี
นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม มอบถุงยังชีพ ให้แก่ 2 หน่วยงาน คือ มูลนิธิช่วยคนตาบอดเแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ และสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี
วันนี้ (18 มิถุนายน 2563) เวลา 9.00 น. นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม มอบถุงยังชีพ ให้แก่ 2 หน่วยงาน คือ มูลนิธิช่วยคนตาบอดเแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ และสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี หน่วยงานละ 250 ชุด รวม 500 ชุด โดยมูลนิธิช่วยคนตาบอดเแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ มีคุณรสพร นิวาตวงศ์ รองประธานกรรมการมูลนิธิช่วยคนตาบอดเแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ และคุณบัณฑิต พัดเย็น ผู้อํานวยการโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ เป็นผู้รับมอบ และสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี มีนางสาวณัฐติยาภรณ์ พิทักษ์ หัวหน้าฝ่ายบริหารงานสถานสงเคราะห์ เป็นผู้รับมอบ เพื่อแจกจ่ายให้กับแก่เด็กนักเรียนโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ และเด็กหญิงในบ้านราชวิถีต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจนิรันดร์ฯ นำคณะข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม มอบถุงยังชีพให้แก่มูลนิธิช่วยคนตาบอดเแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ และสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน 2563
ผู้ตรวจนิรันดร์ฯ นําคณะข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม มอบถุงยังชีพให้แก่มูลนิธิช่วยคนตาบอดเแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ และสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี
นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม มอบถุงยังชีพ ให้แก่ 2 หน่วยงาน คือ มูลนิธิช่วยคนตาบอดเแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ และสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี
วันนี้ (18 มิถุนายน 2563) เวลา 9.00 น. นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม มอบถุงยังชีพ ให้แก่ 2 หน่วยงาน คือ มูลนิธิช่วยคนตาบอดเแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ และสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี หน่วยงานละ 250 ชุด รวม 500 ชุด โดยมูลนิธิช่วยคนตาบอดเแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ มีคุณรสพร นิวาตวงศ์ รองประธานกรรมการมูลนิธิช่วยคนตาบอดเแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ และคุณบัณฑิต พัดเย็น ผู้อํานวยการโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ เป็นผู้รับมอบ และสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี มีนางสาวณัฐติยาภรณ์ พิทักษ์ หัวหน้าฝ่ายบริหารงานสถานสงเคราะห์ เป็นผู้รับมอบ เพื่อแจกจ่ายให้กับแก่เด็กนักเรียนโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ และเด็กหญิงในบ้านราชวิถีต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32462
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเผย ผลใช้จ่ายเงินปี 63 สิ้นไตรมาสแรก 7.65 แสนล้านบาท
|
วันอังคารที่ 14 มกราคม 2563
กรมบัญชีกลางเผย ผลใช้จ่ายเงินปี 63 สิ้นไตรมาสแรก 7.65 แสนล้านบาท
กรมบัญชีกลาง รายงานผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณประจําปี 2563 ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 (1 ต.ค. - 31 ธ.ค. 62) ใช้จ่ายแล้ว 765,740 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 25.52
นางสาววิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2563 ณ สิ้นไตรมาสแรก (ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. - 31 ธ.ค. 62) งบประมาณภาพรวมใช้จ่ายแล้ว จํานวน 765,740 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 3,000,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 25.52 จําแนกเป็น 1) รายจ่ายลงทุนมีการใช้จ่าย จํานวน 51,835 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 593,868 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 8.73 2) รายจ่ายประจํามีการใช้จ่าย จํานวน 713,905 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 2,406,132 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 29.67 สําหรับเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี มีการใช้จ่าย จํานวน 257,196 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 263,329 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 97.67
โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2563 เป็นการใช้จ่ายงบประมาณ ปี 62 ไปพลางก่อน ซึ่งเป็นการใช้จ่ายรายจ่ายประจําและโครงการที่มีความต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามในส่วนของการจัดซื้อจัดจ้างของโครงการที่เกิดขึ้นใหม่ หน่วยงานของรัฐสามารถดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างไปก่อนได้ แต่จะลงนามในสัญญาต่อเมื่องบประมาณรายจ่ายประจําปี 2563 มีผลบังคับใช้ และได้รับการจัดสรรงบประมาณจากสํานักงบประมาณแล้ว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเผย ผลใช้จ่ายเงินปี 63 สิ้นไตรมาสแรก 7.65 แสนล้านบาท
วันอังคารที่ 14 มกราคม 2563
กรมบัญชีกลางเผย ผลใช้จ่ายเงินปี 63 สิ้นไตรมาสแรก 7.65 แสนล้านบาท
กรมบัญชีกลาง รายงานผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณประจําปี 2563 ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 (1 ต.ค. - 31 ธ.ค. 62) ใช้จ่ายแล้ว 765,740 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 25.52
นางสาววิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2563 ณ สิ้นไตรมาสแรก (ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. - 31 ธ.ค. 62) งบประมาณภาพรวมใช้จ่ายแล้ว จํานวน 765,740 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 3,000,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 25.52 จําแนกเป็น 1) รายจ่ายลงทุนมีการใช้จ่าย จํานวน 51,835 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 593,868 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 8.73 2) รายจ่ายประจํามีการใช้จ่าย จํานวน 713,905 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 2,406,132 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 29.67 สําหรับเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี มีการใช้จ่าย จํานวน 257,196 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 263,329 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 97.67
โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2563 เป็นการใช้จ่ายงบประมาณ ปี 62 ไปพลางก่อน ซึ่งเป็นการใช้จ่ายรายจ่ายประจําและโครงการที่มีความต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามในส่วนของการจัดซื้อจัดจ้างของโครงการที่เกิดขึ้นใหม่ หน่วยงานของรัฐสามารถดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างไปก่อนได้ แต่จะลงนามในสัญญาต่อเมื่องบประมาณรายจ่ายประจําปี 2563 มีผลบังคับใช้ และได้รับการจัดสรรงบประมาณจากสํานักงบประมาณแล้ว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25787
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 สั่งการผู้ว่าฯ 14 จังหวัดภาคใต้ เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ เตรียมพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัย ดินถล่ม และคลื่นลมแรง แจ้งเตือน ปชช. ก่อนเกิดสถานการณ์
|
วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2562
มท.1 สั่งการผู้ว่าฯ 14 จังหวัดภาคใต้ เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ เตรียมพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัย ดินถล่ม และคลื่นลมแรง แจ้งเตือน ปชช. ก่อนเกิดสถานการณ์
มท.1 สั่งการผู้ว่าฯ 14 จังหวัดภาคใต้ เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ เตรียมพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัย ดินถล่ม และคลื่นลมแรง แจ้งเตือน ปชช. ก่อนเกิดสถานการณ์
วันนี้ (26 ต.ค.62) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) ได้ติดตามการคาดหมายลักษณะอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาพบว่าช่วงกลางเดือนตุลาคมจนถึงเดือนธันวาคม บริเวณภาคใต้จะได้รับอิทธิพลของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทย ส่งผลให้มีฝนตกชุกหนาแน่น และอาจมีพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนเข้ามาใกล้ หรือเข้าสู่ประเทศไทยบริเวณภาคใต้ได้
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ดังกล่าว บกปภ.ช. ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้อํานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด 14 จังหวัดภาคใต้ จังหวัดเพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ เตรียมพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย ดินถล่ม และคลื่นลมแรงที่อาจเกิดขึ้น โดยต้องให้ความสําคัญกับการแจ้งเตือนประชาชนอย่างรวดเร็ว ต่อเนื่อง ทั่วถึงในทุกช่องทาง เพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูลการเตรียมความพร้อมของภาครัฐ ช่องทางการรับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง แนวทางปฏิบัติตนและช่องทางการแจ้งข้อมูลหรือขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ นอกจากนี้ ให้ติดตาม วิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์สภาวะอากาศ สภาพน้ําท่า น้ําหลาก และคลื่นลมในทะเลตลอด 24 ชั่วโมง หากเห็นว่ามีแนวโน้มสูงที่จะเกิดเหตุสาธารณภัยขึ้นในพื้นที่ ให้เสนอผู้มีอํานาจตามกฎหมายแจ้งเตือนภัยประชาชนได้ก่อนที่จะเกิดสถานการณ์ พร้อมสั่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยไปอยู่ในจุดปลอดภัยในทันที โดยให้พิจารณากําหนดจุด/พื้นที่ปลอดภัย จัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ เต็นท์สนาม ให้มีความพร้อมรองรับการอพยพประชาชนก่อนที่จะเกิดสถานการณ์ในพื้นที่ พร้อมกําหนดพื้นที่ที่มีความปลอดภัยสูงจัดตั้งเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวที่มีความปลอดภัย ในส่วนของสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งทางธรรมชาติและพื้นที่ติดชายฝั่งทะเล ให้วางมาตรการร่วมกับหน่วยงานที่รับผิดชอบพื้นที่ กําหนดมาตรการ การแจ้งเตือน การปิดกั้น และห้ามนักท่องเที่ยวหรือบุคคลเข้าพื้นที่ที่กําหนด พร้อมจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง โดยพื้นที่ติดชายฝั่งทะเล ให้กําหนดมาตรการประกาศห้ามการเดินเรือกรณีที่มีความเสี่ยงภัย พร้อมกําหนดแนวทาง วิธีการ และระบบในการบังคับ ควบคุม นําเรือที่ฝ่าฝืนซึ่งอยู่ในภาวะเสี่ยงภัยกลับเข้าสู่ฝั่ง หากฝ่าฝืนให้ดําเนินการทางกฎหมายในทุกกรณี
สําหรับในด้านการเผชิญเหตุ ได้เน้นย้ําให้ยึดแนวทางการจัดการสาธารณภัยตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2558 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยต้องแบ่งมอบภารกิจ พื้นที่ปฏิบัติงาน และผู้รับผิดชอบให้ชัดเจนตามสถานการณ์ความรุนแรงและความซับซ้อนของภัย พร้อมกําหนดขั้นตอน วิธีการที่เป็นรูปธรรม ชัดเจน ได้แก่ ด้านการสื่อสาร ให้จัดระบบการสื่อสารระหว่างหน่วยงานภาครัฐ หน่วยทหาร เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเครือข่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้มีประสิทธิภาพ และเพิ่มช่องทางระบบการสื่อสารสําหรับแจ้งข้อมูลข่าวสาร รับเรื่องราวร้องทุกข์ ขอรับความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ จากประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง ด้านการจัดการทรัพยากร ให้กําหนดหน่วยงานรับผิดชอบ ช่องทางการประสานงาน ผู้มีอํานาจสั่งการเคลื่อนย้ายยานพาหนะ เครื่องจักรกลสาธารณภัย ให้พร้อมเผชิญเหตุได้อย่างรวดเร็ว ทันท่วงที และด้านการดํารงชีพ และการบรรเทาทุกข์ ให้จัดเตรียมคลังเสบียงอาหารให้มีความพร้อมในการจัดตั้งโรงครัวพระราชทาน เพื่อช่วยเหลือประชาชนด้านการดํารงชีพ อาหาร และน้ําดื่มได้ทันที โดยให้ฝ่ายปกครอง หน่วยทหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งให้ความช่วยเหลือด้านการดํารงชีพแก่ประชาชนที่ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง พร้อมเชิญชวนประชาชนจิตอาสามีส่วนร่วมกับภาครัฐตามทักษะความถนัดในการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า บกปภ.ช. ได้เน้นย้ําให้ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น และรายงานสถานการณ์มายังกองอํานวยการกลางอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ พี่น้องประชาชนสามารถประสานงานขอรับความช่วยเหลือได้ทางสายด่วนสาธารณภัย โทร. 1784 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง.
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 178/2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 สั่งการผู้ว่าฯ 14 จังหวัดภาคใต้ เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ เตรียมพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัย ดินถล่ม และคลื่นลมแรง แจ้งเตือน ปชช. ก่อนเกิดสถานการณ์
วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2562
มท.1 สั่งการผู้ว่าฯ 14 จังหวัดภาคใต้ เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ เตรียมพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัย ดินถล่ม และคลื่นลมแรง แจ้งเตือน ปชช. ก่อนเกิดสถานการณ์
มท.1 สั่งการผู้ว่าฯ 14 จังหวัดภาคใต้ เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ เตรียมพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัย ดินถล่ม และคลื่นลมแรง แจ้งเตือน ปชช. ก่อนเกิดสถานการณ์
วันนี้ (26 ต.ค.62) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) ได้ติดตามการคาดหมายลักษณะอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาพบว่าช่วงกลางเดือนตุลาคมจนถึงเดือนธันวาคม บริเวณภาคใต้จะได้รับอิทธิพลของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทย ส่งผลให้มีฝนตกชุกหนาแน่น และอาจมีพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนเข้ามาใกล้ หรือเข้าสู่ประเทศไทยบริเวณภาคใต้ได้
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ดังกล่าว บกปภ.ช. ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้อํานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด 14 จังหวัดภาคใต้ จังหวัดเพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ เตรียมพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย ดินถล่ม และคลื่นลมแรงที่อาจเกิดขึ้น โดยต้องให้ความสําคัญกับการแจ้งเตือนประชาชนอย่างรวดเร็ว ต่อเนื่อง ทั่วถึงในทุกช่องทาง เพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูลการเตรียมความพร้อมของภาครัฐ ช่องทางการรับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง แนวทางปฏิบัติตนและช่องทางการแจ้งข้อมูลหรือขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ นอกจากนี้ ให้ติดตาม วิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์สภาวะอากาศ สภาพน้ําท่า น้ําหลาก และคลื่นลมในทะเลตลอด 24 ชั่วโมง หากเห็นว่ามีแนวโน้มสูงที่จะเกิดเหตุสาธารณภัยขึ้นในพื้นที่ ให้เสนอผู้มีอํานาจตามกฎหมายแจ้งเตือนภัยประชาชนได้ก่อนที่จะเกิดสถานการณ์ พร้อมสั่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยไปอยู่ในจุดปลอดภัยในทันที โดยให้พิจารณากําหนดจุด/พื้นที่ปลอดภัย จัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ เต็นท์สนาม ให้มีความพร้อมรองรับการอพยพประชาชนก่อนที่จะเกิดสถานการณ์ในพื้นที่ พร้อมกําหนดพื้นที่ที่มีความปลอดภัยสูงจัดตั้งเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวที่มีความปลอดภัย ในส่วนของสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งทางธรรมชาติและพื้นที่ติดชายฝั่งทะเล ให้วางมาตรการร่วมกับหน่วยงานที่รับผิดชอบพื้นที่ กําหนดมาตรการ การแจ้งเตือน การปิดกั้น และห้ามนักท่องเที่ยวหรือบุคคลเข้าพื้นที่ที่กําหนด พร้อมจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง โดยพื้นที่ติดชายฝั่งทะเล ให้กําหนดมาตรการประกาศห้ามการเดินเรือกรณีที่มีความเสี่ยงภัย พร้อมกําหนดแนวทาง วิธีการ และระบบในการบังคับ ควบคุม นําเรือที่ฝ่าฝืนซึ่งอยู่ในภาวะเสี่ยงภัยกลับเข้าสู่ฝั่ง หากฝ่าฝืนให้ดําเนินการทางกฎหมายในทุกกรณี
สําหรับในด้านการเผชิญเหตุ ได้เน้นย้ําให้ยึดแนวทางการจัดการสาธารณภัยตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2558 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยต้องแบ่งมอบภารกิจ พื้นที่ปฏิบัติงาน และผู้รับผิดชอบให้ชัดเจนตามสถานการณ์ความรุนแรงและความซับซ้อนของภัย พร้อมกําหนดขั้นตอน วิธีการที่เป็นรูปธรรม ชัดเจน ได้แก่ ด้านการสื่อสาร ให้จัดระบบการสื่อสารระหว่างหน่วยงานภาครัฐ หน่วยทหาร เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเครือข่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้มีประสิทธิภาพ และเพิ่มช่องทางระบบการสื่อสารสําหรับแจ้งข้อมูลข่าวสาร รับเรื่องราวร้องทุกข์ ขอรับความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ จากประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง ด้านการจัดการทรัพยากร ให้กําหนดหน่วยงานรับผิดชอบ ช่องทางการประสานงาน ผู้มีอํานาจสั่งการเคลื่อนย้ายยานพาหนะ เครื่องจักรกลสาธารณภัย ให้พร้อมเผชิญเหตุได้อย่างรวดเร็ว ทันท่วงที และด้านการดํารงชีพ และการบรรเทาทุกข์ ให้จัดเตรียมคลังเสบียงอาหารให้มีความพร้อมในการจัดตั้งโรงครัวพระราชทาน เพื่อช่วยเหลือประชาชนด้านการดํารงชีพ อาหาร และน้ําดื่มได้ทันที โดยให้ฝ่ายปกครอง หน่วยทหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งให้ความช่วยเหลือด้านการดํารงชีพแก่ประชาชนที่ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง พร้อมเชิญชวนประชาชนจิตอาสามีส่วนร่วมกับภาครัฐตามทักษะความถนัดในการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า บกปภ.ช. ได้เน้นย้ําให้ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น และรายงานสถานการณ์มายังกองอํานวยการกลางอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ พี่น้องประชาชนสามารถประสานงานขอรับความช่วยเหลือได้ทางสายด่วนสาธารณภัย โทร. 1784 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง.
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 178/2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24080
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม 2561
|
วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม 2561
สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับประชาชนผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”
ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 9 มีนาคม 2561 เวลา 20.15 น.
ความจริงของโลกที่ไม่อาจปฏิเสธได้ คือ มนุษย์ทุกคนมีตาอยู่ข้างหน้า ย่อมหมายถึง ธรรมชาติต้องการให้มองไปข้างหน้า เดินไปข้างหน้า ได้แก่ การพัฒนาตนเองอยู่เสมอ แต่หนทางเดินย่อมมีอุปสรรค มีขวางหนามก็ต้องไม่เพียงใช้ตามอง แต่ต้องใช้ปัญญานําทางด้วย การที่จะยกระดับศักยภาพของประเทศ รวมถึงเร่งการพัฒนาให้สามารถเดินไปข้างหน้าได้พร้อมๆ กันได้อย่างยั่งยืนนั้น จําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตระหนักถึงปัญหาและความท้าทายสําคัญ ที่ประเทศจะต้องเผชิญในอนาคต เพื่อที่จะสามารถเตรียมการ คิดค้นกลไก สําหรับบริหารจัดการและวางแนวทางต่าง ๆ ที่สามารถรับมือกับทุก ๆ ปัญหาได้อย่างเหมาะสม โดยในการจัดทําแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่กําลังดําเนินอยู่ ได้มีการพิจารณาถึงความท้าทายของประเทศในอนาคตเช่นกัน
หนึ่งในความท้าทายที่กําลังจะต้องเผชิญอย่างเต็มรูปแบบ คือ การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย โดยคาดว่าในปี 2563 ไทยจะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด หมายถึง สัดส่วนของประชากร วัยแรงงานจะลดลงต่ออย่างเนื่อง ปัญหาที่ประเทศไทยต้องเจอ ประกอบด้วย (1) ประชากรวัยทํางานต้องรับภาระดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น (2) รัฐบาลมีภาระด้านงบประมาณมากขึ้นในการดูแลผู้สูงอายุ หากไม่มีการสนับสนุนการออม หรือมีสวัสดิการที่เหมาะสม (3) จํานวนแรงงานสําหรับป้อนภาคการผลิต ทั้งเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และบริการ ไม่เพียงพอต่อเศรษฐกิจที่กําลังขยายตัวในอนาคต และ (4) แรงงานต่างด้าว กลับถิ่นฐาน เนื่องจากถึงจุดอิ่มตัว รวมถึงประเทศไทยจะขาดแคลนทั้งประชากรวัยทํางานในประเทศ และแรงงานต่างด้าว แม้ว่าในอนาคตจะมีการนําเทคโนโลยีมาปรับใช้ประโยชน์มากขึ้น เพื่ออํานวยความสะดวก ลดต้นทุนการผลิต หรือทดแทนแรงงานได้
ปัญหาโลกร้อนและความไม่แน่นอนของสภาพอากาศ แปรปรวนมากขึ้น โดยในช่วงสัปดาห์ ที่ผ่านมาส่งผลกระทบที่หลากหลาย เช่น น้ําท่วม ฝนแล้ง ทําให้เกิดความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สิน การเกษตรกรรม ซึ่งเป็นภาคการผลิตหลักของประเทศ รวมทั้งระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง ทั้งนี้ ทุกภาคส่วนในกลไกประชารัฐ ทั้งภาคเอกชน ต้องเตรียมความพร้อมสร้างความเข้มแข็งและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการลดต้นทุนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งมีบทบาทสําคัญในการสร้างกฎเกณฑ์ เพื่อสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเอกชนและภาคประชาชน สามารถได้รับโอกาสที่จะพัฒนาตนเองอย่างเต็มที่โดยเป้าหมายของการพัฒนาคนไทยตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีนั้น คือ การทําให้ประชาชนทุกคน ทุกกลุ่มเป็นคนที่สมบูรณ์ มีสมรรถนะทางกายมีจิตใจและจิตสํานึกที่ดีงาม พร้อมมีสติปัญญามีการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยรัฐบาลสร้างอนาคตและหัวใจของการเตรียมคน การสร้างหลักคิดและกระบวนทัศน์ที่เหมาะสมสําหรับคนไทย ในสังคมวันนี้ และโลกในวันข้างหน้า
คณะอนุกรรมการเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 จึงร่วมกับองค์กรภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน จัดงานสร้างกระบวนทัศน์และหลักคิดที่เหมาะสมสําหรับคนไทย เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมา ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ถือเป็นเวทีแรกของการตกลงพันธะสัญญาเพื่อสร้างความร่วมมือและความมุ่งมั่นในการดําเนินงาน สร้างกระบวนทัศน์ และหลักคิดที่เหมาะสมสําหรับคนไทยร่วมกันซึ่งมีภาคีเครือข่ายมาร่วมงาน เกือบ 300 เครือข่ายจะร่วมกันสร้างกระบวนทัศน์และหลักคิดคนไทย ให้ครอบคลุมอย่างทั่วถึงต่อไป ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเห็นความสําคัญ และทรงย้ําเตือนอยู่เสมอ ในเรื่องการทําเพื่อชาติบ้านเมือง โดยมีทัศนคติที่ถูกต้อง มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคงเข้มแข็ง และการเป็นพลเมืองที่ดีของชาติบ้านเมือง
นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้มีโอกาสลงพื้นที่ ไปยังจังหวัดสมุทรสาครและเพชรบุรี ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยได้ติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานในหลายเรื่อง เช่น เรื่องแรงงานต่างด้าว เพื่อดูแลผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ รวมถึงการดูแลความปลอดภัยในการทํางานและสิทธิ พร้อมสวัสดิการของผู้ใช้แรงงาน พร้อมยังได้เดินทางไปยังองค์การสะพานปลา จ.สมุทรสาคร เพื่อติดตามการแก้ปัญหาแรงงาน ปัญหาด้านประมง ซึ่งต้องการแสดงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการแก้ปัญหาแรงงานภาคประมง และเรื่องของ IUU อย่างจริงจัง โดยได้ดําเนินการมานานกว่า 4 ปีแล้ว และต้องการเห็นความสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในเรื่องการขึ้นทะเบียนและพิสูจน์อัตลักษณ์แรงงานข้ามชาติ การติดตั้งระบบ VMS ในเรือประมง รวมถึงการทําความเข้าใจกับต่างชาติ ซึ่งรัฐบาลคุ้มครองแรงงานตามหลักมนุษยธรรมอย่างเป็นระบบ
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้มีการหารือร่วมกับภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่เกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ และแนวทางแก้ไข ได้แก่ ด้านการบริหารจัดการน้ํา ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยดําเนินโครงการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง รวมทั้งจะต้องสร้างความเข้าใจและเร่งสร้างการรับรู้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ควบคู่ไปด้วย ด้านการท่องเที่ยว สร้างกลไกเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวชุมชน และการท่องเที่ยวแบบพํานักระยะยาว เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวควบคู่ไปกับการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ OTOP รวมทั้ง ด้านการค้า การลงทุน และการค้าชายแดน ในการยกระดับพื้นที่ให้เป็นนครแห่งครัวโลก และแนวทางพัฒนาตลาดทะเลไทยให้เป็นศูนย์แสดงสินค้าและบริการด้านอาหารแบบครบวงจร พร้อมให้ดําเนินการโครงการเพาะพันธุ์ปูทะเลเพื่อก่อสร้างโรงเพาะเลี้ยงปูทะเลและบ่อเลี้ยงแพลงตอนและขยายผลของธนาคารปูม้าที่ดําเนินการอยู่ ณ ชุมชนแหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรี สามารถช่วยคืนปูม้าสู่ทะเลไทยได้ เป็นผลความสําเร็จ และเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยอาศัยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง นอกจากนี้ในปัจจุบัน ธนาคารปูม้าได้มีการดําเนินการแล้วที่จังหวัดสงขลา ตรัง สุราษฎร์ธานีประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด เพื่อขยายผลธนาคารปูม้าไปสู่ชุมชนรอบอ่าวไทยและฝั่งอันดามันทั่วประเทศ โดยเน้นหลักความร่วมมือของชุมชน พร้อมกันนี้ รัฐบาลได้เตรียมงบประมาณ เพื่อขยายผลธนาคารปูม้าไปทั่วประเทศ ซึ่งเมื่อทําเสร็จแล้วจะมีจํานวนลูกปูม้าในธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของท้องถิ่น เมื่อผนวกเข้ากับกลไกประชารัฐในระดับชาติขยายผลสําเร็จสู่วงกว้างให้ครอบคลุมอย่างทั่วถึง
นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ําในตอนท้ายอีกว่า มีเรื่องที่น่ายินดี CNN ได้จัดอันดับ 50 สุดยอดอาหารเด็ดจากทั่วโลก ปรากฏว่าแกงมัสมั่นคว้าอันดับ 1 ลักษณะเด่น คือ การเคี่ยวเนื้อวัวกับน้ําพริกแกงมัสมั่นและกะทิ เพิ่มกลิ่นหอมจากเม็ดและใบกระวาน ต้มยํากุ้ง อันดับที่ 8 โดยเฉพาะสูตรน้ําข้น หอมกะทิและเครื่องสมุนไพร และส้มตําอันดับที่ 46 ที่มีความหลากหลาย ทั้งส้มตําปู ไม่หรือไม่ใส่ปลาร้า ก็สามารถปรุงรสจัดจ้าน ได้ตามชอบใจ กินกับข้าวเหนียว ไก่ย่าง และผักสด สําหรับอาหารไทยแล้ว นายกรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นมากกว่าของกินเพื่อสุขภาพ เพื่อประทังความหิว หรือเพื่อมีชีวิตรอด แต่มีจิตวิญญาณ ความเชื่อ อุดมคติ และวัฒนธรรมการทําอาหารแฝงอยู่แสดงออกถึงความเป็นไทย ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากร เครื่องเทศ พืชพันธุ์ธัญญาหาร การเกษตรกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมพร้อม สะท้อนวัฒนธรรมการกินของคนไทยอย่างลุ่มลึกผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาที่สั่งสมมาช้านานเป็นวัฒนธรรมการกิน การทําอาหารที่มีประวัติศาสตร์และเรื่องราวอันเป็นอีกหนึ่งไทยนิยมจากรุ่นสู่รุ่น จากท้องถิ่นสู่สากล พร้อมกล่าวเชิญชวนคนไทยทุกคนไปร่วมงาน “อุ่นไอรัก คลายความหนาว” ซึ่งในวันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคมนี้ เป็นวันสุดท้ายของงาน โดยจัดขึ้น ณ พระลานพระราชวังดุสิต และสนามเสือป่า เพื่อให้คนไทยทุกคนได้ร่วมภาคภูมิใจในความเป็นไทย พร้อมพาลูกหลานร่วมแต่งกายย้อนยุค หรือชุดสุภาพ มาศึกษาประวัติศาสตร์ และเก็บภาพบักทึกความทรงจําดี ๆ ภายในงาน อีกด้วย
.....................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม 2561
วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม 2561
สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับประชาชนผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”
ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 9 มีนาคม 2561 เวลา 20.15 น.
ความจริงของโลกที่ไม่อาจปฏิเสธได้ คือ มนุษย์ทุกคนมีตาอยู่ข้างหน้า ย่อมหมายถึง ธรรมชาติต้องการให้มองไปข้างหน้า เดินไปข้างหน้า ได้แก่ การพัฒนาตนเองอยู่เสมอ แต่หนทางเดินย่อมมีอุปสรรค มีขวางหนามก็ต้องไม่เพียงใช้ตามอง แต่ต้องใช้ปัญญานําทางด้วย การที่จะยกระดับศักยภาพของประเทศ รวมถึงเร่งการพัฒนาให้สามารถเดินไปข้างหน้าได้พร้อมๆ กันได้อย่างยั่งยืนนั้น จําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตระหนักถึงปัญหาและความท้าทายสําคัญ ที่ประเทศจะต้องเผชิญในอนาคต เพื่อที่จะสามารถเตรียมการ คิดค้นกลไก สําหรับบริหารจัดการและวางแนวทางต่าง ๆ ที่สามารถรับมือกับทุก ๆ ปัญหาได้อย่างเหมาะสม โดยในการจัดทําแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่กําลังดําเนินอยู่ ได้มีการพิจารณาถึงความท้าทายของประเทศในอนาคตเช่นกัน
หนึ่งในความท้าทายที่กําลังจะต้องเผชิญอย่างเต็มรูปแบบ คือ การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย โดยคาดว่าในปี 2563 ไทยจะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด หมายถึง สัดส่วนของประชากร วัยแรงงานจะลดลงต่ออย่างเนื่อง ปัญหาที่ประเทศไทยต้องเจอ ประกอบด้วย (1) ประชากรวัยทํางานต้องรับภาระดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น (2) รัฐบาลมีภาระด้านงบประมาณมากขึ้นในการดูแลผู้สูงอายุ หากไม่มีการสนับสนุนการออม หรือมีสวัสดิการที่เหมาะสม (3) จํานวนแรงงานสําหรับป้อนภาคการผลิต ทั้งเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และบริการ ไม่เพียงพอต่อเศรษฐกิจที่กําลังขยายตัวในอนาคต และ (4) แรงงานต่างด้าว กลับถิ่นฐาน เนื่องจากถึงจุดอิ่มตัว รวมถึงประเทศไทยจะขาดแคลนทั้งประชากรวัยทํางานในประเทศ และแรงงานต่างด้าว แม้ว่าในอนาคตจะมีการนําเทคโนโลยีมาปรับใช้ประโยชน์มากขึ้น เพื่ออํานวยความสะดวก ลดต้นทุนการผลิต หรือทดแทนแรงงานได้
ปัญหาโลกร้อนและความไม่แน่นอนของสภาพอากาศ แปรปรวนมากขึ้น โดยในช่วงสัปดาห์ ที่ผ่านมาส่งผลกระทบที่หลากหลาย เช่น น้ําท่วม ฝนแล้ง ทําให้เกิดความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สิน การเกษตรกรรม ซึ่งเป็นภาคการผลิตหลักของประเทศ รวมทั้งระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง ทั้งนี้ ทุกภาคส่วนในกลไกประชารัฐ ทั้งภาคเอกชน ต้องเตรียมความพร้อมสร้างความเข้มแข็งและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการลดต้นทุนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งมีบทบาทสําคัญในการสร้างกฎเกณฑ์ เพื่อสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเอกชนและภาคประชาชน สามารถได้รับโอกาสที่จะพัฒนาตนเองอย่างเต็มที่โดยเป้าหมายของการพัฒนาคนไทยตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีนั้น คือ การทําให้ประชาชนทุกคน ทุกกลุ่มเป็นคนที่สมบูรณ์ มีสมรรถนะทางกายมีจิตใจและจิตสํานึกที่ดีงาม พร้อมมีสติปัญญามีการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยรัฐบาลสร้างอนาคตและหัวใจของการเตรียมคน การสร้างหลักคิดและกระบวนทัศน์ที่เหมาะสมสําหรับคนไทย ในสังคมวันนี้ และโลกในวันข้างหน้า
คณะอนุกรรมการเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 จึงร่วมกับองค์กรภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน จัดงานสร้างกระบวนทัศน์และหลักคิดที่เหมาะสมสําหรับคนไทย เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมา ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ถือเป็นเวทีแรกของการตกลงพันธะสัญญาเพื่อสร้างความร่วมมือและความมุ่งมั่นในการดําเนินงาน สร้างกระบวนทัศน์ และหลักคิดที่เหมาะสมสําหรับคนไทยร่วมกันซึ่งมีภาคีเครือข่ายมาร่วมงาน เกือบ 300 เครือข่ายจะร่วมกันสร้างกระบวนทัศน์และหลักคิดคนไทย ให้ครอบคลุมอย่างทั่วถึงต่อไป ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเห็นความสําคัญ และทรงย้ําเตือนอยู่เสมอ ในเรื่องการทําเพื่อชาติบ้านเมือง โดยมีทัศนคติที่ถูกต้อง มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคงเข้มแข็ง และการเป็นพลเมืองที่ดีของชาติบ้านเมือง
นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้มีโอกาสลงพื้นที่ ไปยังจังหวัดสมุทรสาครและเพชรบุรี ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยได้ติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานในหลายเรื่อง เช่น เรื่องแรงงานต่างด้าว เพื่อดูแลผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ รวมถึงการดูแลความปลอดภัยในการทํางานและสิทธิ พร้อมสวัสดิการของผู้ใช้แรงงาน พร้อมยังได้เดินทางไปยังองค์การสะพานปลา จ.สมุทรสาคร เพื่อติดตามการแก้ปัญหาแรงงาน ปัญหาด้านประมง ซึ่งต้องการแสดงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการแก้ปัญหาแรงงานภาคประมง และเรื่องของ IUU อย่างจริงจัง โดยได้ดําเนินการมานานกว่า 4 ปีแล้ว และต้องการเห็นความสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในเรื่องการขึ้นทะเบียนและพิสูจน์อัตลักษณ์แรงงานข้ามชาติ การติดตั้งระบบ VMS ในเรือประมง รวมถึงการทําความเข้าใจกับต่างชาติ ซึ่งรัฐบาลคุ้มครองแรงงานตามหลักมนุษยธรรมอย่างเป็นระบบ
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้มีการหารือร่วมกับภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่เกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ และแนวทางแก้ไข ได้แก่ ด้านการบริหารจัดการน้ํา ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยดําเนินโครงการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง รวมทั้งจะต้องสร้างความเข้าใจและเร่งสร้างการรับรู้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ควบคู่ไปด้วย ด้านการท่องเที่ยว สร้างกลไกเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวชุมชน และการท่องเที่ยวแบบพํานักระยะยาว เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวควบคู่ไปกับการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ OTOP รวมทั้ง ด้านการค้า การลงทุน และการค้าชายแดน ในการยกระดับพื้นที่ให้เป็นนครแห่งครัวโลก และแนวทางพัฒนาตลาดทะเลไทยให้เป็นศูนย์แสดงสินค้าและบริการด้านอาหารแบบครบวงจร พร้อมให้ดําเนินการโครงการเพาะพันธุ์ปูทะเลเพื่อก่อสร้างโรงเพาะเลี้ยงปูทะเลและบ่อเลี้ยงแพลงตอนและขยายผลของธนาคารปูม้าที่ดําเนินการอยู่ ณ ชุมชนแหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรี สามารถช่วยคืนปูม้าสู่ทะเลไทยได้ เป็นผลความสําเร็จ และเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยอาศัยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง นอกจากนี้ในปัจจุบัน ธนาคารปูม้าได้มีการดําเนินการแล้วที่จังหวัดสงขลา ตรัง สุราษฎร์ธานีประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด เพื่อขยายผลธนาคารปูม้าไปสู่ชุมชนรอบอ่าวไทยและฝั่งอันดามันทั่วประเทศ โดยเน้นหลักความร่วมมือของชุมชน พร้อมกันนี้ รัฐบาลได้เตรียมงบประมาณ เพื่อขยายผลธนาคารปูม้าไปทั่วประเทศ ซึ่งเมื่อทําเสร็จแล้วจะมีจํานวนลูกปูม้าในธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของท้องถิ่น เมื่อผนวกเข้ากับกลไกประชารัฐในระดับชาติขยายผลสําเร็จสู่วงกว้างให้ครอบคลุมอย่างทั่วถึง
นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ําในตอนท้ายอีกว่า มีเรื่องที่น่ายินดี CNN ได้จัดอันดับ 50 สุดยอดอาหารเด็ดจากทั่วโลก ปรากฏว่าแกงมัสมั่นคว้าอันดับ 1 ลักษณะเด่น คือ การเคี่ยวเนื้อวัวกับน้ําพริกแกงมัสมั่นและกะทิ เพิ่มกลิ่นหอมจากเม็ดและใบกระวาน ต้มยํากุ้ง อันดับที่ 8 โดยเฉพาะสูตรน้ําข้น หอมกะทิและเครื่องสมุนไพร และส้มตําอันดับที่ 46 ที่มีความหลากหลาย ทั้งส้มตําปู ไม่หรือไม่ใส่ปลาร้า ก็สามารถปรุงรสจัดจ้าน ได้ตามชอบใจ กินกับข้าวเหนียว ไก่ย่าง และผักสด สําหรับอาหารไทยแล้ว นายกรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นมากกว่าของกินเพื่อสุขภาพ เพื่อประทังความหิว หรือเพื่อมีชีวิตรอด แต่มีจิตวิญญาณ ความเชื่อ อุดมคติ และวัฒนธรรมการทําอาหารแฝงอยู่แสดงออกถึงความเป็นไทย ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากร เครื่องเทศ พืชพันธุ์ธัญญาหาร การเกษตรกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมพร้อม สะท้อนวัฒนธรรมการกินของคนไทยอย่างลุ่มลึกผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาที่สั่งสมมาช้านานเป็นวัฒนธรรมการกิน การทําอาหารที่มีประวัติศาสตร์และเรื่องราวอันเป็นอีกหนึ่งไทยนิยมจากรุ่นสู่รุ่น จากท้องถิ่นสู่สากล พร้อมกล่าวเชิญชวนคนไทยทุกคนไปร่วมงาน “อุ่นไอรัก คลายความหนาว” ซึ่งในวันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคมนี้ เป็นวันสุดท้ายของงาน โดยจัดขึ้น ณ พระลานพระราชวังดุสิต และสนามเสือป่า เพื่อให้คนไทยทุกคนได้ร่วมภาคภูมิใจในความเป็นไทย พร้อมพาลูกหลานร่วมแต่งกายย้อนยุค หรือชุดสุภาพ มาศึกษาประวัติศาสตร์ และเก็บภาพบักทึกความทรงจําดี ๆ ภายในงาน อีกด้วย
.....................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10667
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีวัฒนธรรมของไทย-ฮ่องกง ลงนามบันทึกร่วมมือด้านวัฒนธรรมฉบับแรก เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้-กิจกรรมทางวัฒนธรรมในระยะ 3 ปี มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์-ภาพยนตร์-บริหารงานวัฒนธรรม
|
วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561
รัฐมนตรีวัฒนธรรมของไทย-ฮ่องกง ลงนามบันทึกร่วมมือด้านวัฒนธรรมฉบับแรก เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้-กิจกรรมทางวัฒนธรรมในระยะ 3 ปี มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์-ภาพยนตร์-บริหารงานวัฒนธรรม
รัฐมนตรีวัฒนธรรมของไทย-ฮ่องกง ลงนามบันทึกร่วมมือด้านวัฒนธรรมฉบับแรก เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้-กิจกรรมทางวัฒนธรรมในระยะ 3 ปี
มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์-ภาพยนตร์-บริหารงานวัฒนธรรม
วันที่28กุมภาพันธ์ 2561 ที่โรงแรมรอยัล ปริ๊นเซส หลานหลวง กรุงเทพฯ กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)จัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกิจการภายในแห่งรัฐบาลแห่งเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และนายLau Kong-wahรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายในแห่งรัฐบาลแห่งเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ลงนามร่วมกันในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว โดยมีผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศ และนายสิงห์ทองลาภพิเศษพันธุ์ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน
นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวว่ากระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) มีนโยบายและยุทธศาสตร์ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมวัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ การพัฒนาสินค้า ผลิตภัณฑ์และบริการทางวัฒนธรรม รวมทั้งการพัฒนากลไกลและยกระดับการบริหารจัดการงานวัฒนธรรม โดยบูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงและหน่วยงานต่างๆในไทย รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนและร่วมมือด้านศิลปวัฒนธรรมกับนานาประเทศ เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดผลสําเร็จตามนโยบายที่วางไว้ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติเห็นชอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่าง กระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกิจการภายในแห่งรัฐบาลแห่งเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน และได้เห็นชอบให้รมว.วธ. เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าว ในโอกาสที่นายLau Kong-wahรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายในแห่งรัฐบาลแห่งเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน มาเยือนประเทศไทย ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2561เนื่องจากเมื่อปี 2559 กระทรวงกิจการภายในแห่งรัฐบาลแห่งเขตบริหารพิเศษฮ่องกงฯ มีหนังสือแจ้งความประสงค์จัดทําร่างบันทึกความเข้าใจฯมายังวธ. เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนด้านศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับฮ่องกง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สําหรับบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ถือเป็นฉบับแรก โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมและเสริมสร้างความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและศิลปะ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความรู้ ความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ เนื่องจากไทยและฮ่องกงมีศักยภาพในการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ วัฒนธรรมและบริการที่มีมูลค่าสูง อาทิ ภาพยนตร์และการบริหารจัดการด้านวัฒนธรรม ส่วนเนื้อหาของบันทึกความเข้าใจฯมีทั้งหมด 7 ข้อ โดยมีสาระสําคัญอาทิ การส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์ที่เอื้อประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายในด้านวัฒนธรรมและศิลปะ การพยายามพัฒนาความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของกันและกัน และส่งเสริมความเข้าใจและสนับสนุนการแลกเปลี่ยนเท่าที่จะสามารถดําเนินการได้ในด้านวัฒนธรรมและศิลปะ อาทิ การแสดง วิจิตรศิลป์และศิลปะประยุกต์ พิพิธภัณฑ์ และมรดกทางประวัติศาสตร์ วรรณกรรมและสื่อสร้างสรรค์
การพยายามสนับสนุนและส่งเสริมกิจกรรมและการแลกเปลี่ยนระหว่างกันและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมและศิลปะ รวมทั้งพยายามกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมและศิลปะและการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและศิลปะและกําหนดให้บันทึกความเข้าใจนี้มีกรอบระยะเวลา 3 ปีนับตั้งแต่วันที่ลงนามร่วมกัน เป็นต้น
นายวีระ กล่าวด้วยว่าการลงนามบันทึกความเข้าใจนี้ เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศเป็นอย่างมาก เนื่องจากฮ่องกงเป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่สําคัญของภูมิภาค และเป็นหนึ่งในตลาดภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียรวมทั้งมีพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง และมีศูนย์การแสดงศิลปวัฒนธรรมที่ได้มาตรฐานสากล ตลอดจนมีย่านวัฒนธรรมเกาลูน ตะวันตกที่เป็นศูนย์บริการด้านวัฒนธรรมระดับโลก ที่สําคัญปัจจุบันฮ่องกงให้ความสําคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ภายใต้นโยบายประเทศไทย 4.0 อย่างไรก็ตาม นอกจากมีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจฯร่วมกันแล้วในวันนี้แล้วยังมีการนําการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม“Beyond Boundary Beyond Time”โดยศิลปินจากเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน มาจัดแสดงให้คนไทยได้รับชม ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศจีน ถนนวัฒนธรรม เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ อีกด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีวัฒนธรรมของไทย-ฮ่องกง ลงนามบันทึกร่วมมือด้านวัฒนธรรมฉบับแรก เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้-กิจกรรมทางวัฒนธรรมในระยะ 3 ปี มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์-ภาพยนตร์-บริหารงานวัฒนธรรม
วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561
รัฐมนตรีวัฒนธรรมของไทย-ฮ่องกง ลงนามบันทึกร่วมมือด้านวัฒนธรรมฉบับแรก เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้-กิจกรรมทางวัฒนธรรมในระยะ 3 ปี มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์-ภาพยนตร์-บริหารงานวัฒนธรรม
รัฐมนตรีวัฒนธรรมของไทย-ฮ่องกง ลงนามบันทึกร่วมมือด้านวัฒนธรรมฉบับแรก เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้-กิจกรรมทางวัฒนธรรมในระยะ 3 ปี
มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์-ภาพยนตร์-บริหารงานวัฒนธรรม
วันที่28กุมภาพันธ์ 2561 ที่โรงแรมรอยัล ปริ๊นเซส หลานหลวง กรุงเทพฯ กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)จัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกิจการภายในแห่งรัฐบาลแห่งเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และนายLau Kong-wahรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายในแห่งรัฐบาลแห่งเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ลงนามร่วมกันในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว โดยมีผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศ และนายสิงห์ทองลาภพิเศษพันธุ์ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน
นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวว่ากระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) มีนโยบายและยุทธศาสตร์ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมวัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ การพัฒนาสินค้า ผลิตภัณฑ์และบริการทางวัฒนธรรม รวมทั้งการพัฒนากลไกลและยกระดับการบริหารจัดการงานวัฒนธรรม โดยบูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงและหน่วยงานต่างๆในไทย รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนและร่วมมือด้านศิลปวัฒนธรรมกับนานาประเทศ เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดผลสําเร็จตามนโยบายที่วางไว้ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติเห็นชอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่าง กระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกิจการภายในแห่งรัฐบาลแห่งเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน และได้เห็นชอบให้รมว.วธ. เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าว ในโอกาสที่นายLau Kong-wahรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายในแห่งรัฐบาลแห่งเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน มาเยือนประเทศไทย ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2561เนื่องจากเมื่อปี 2559 กระทรวงกิจการภายในแห่งรัฐบาลแห่งเขตบริหารพิเศษฮ่องกงฯ มีหนังสือแจ้งความประสงค์จัดทําร่างบันทึกความเข้าใจฯมายังวธ. เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนด้านศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับฮ่องกง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สําหรับบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ถือเป็นฉบับแรก โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมและเสริมสร้างความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและศิลปะ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความรู้ ความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ เนื่องจากไทยและฮ่องกงมีศักยภาพในการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ วัฒนธรรมและบริการที่มีมูลค่าสูง อาทิ ภาพยนตร์และการบริหารจัดการด้านวัฒนธรรม ส่วนเนื้อหาของบันทึกความเข้าใจฯมีทั้งหมด 7 ข้อ โดยมีสาระสําคัญอาทิ การส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์ที่เอื้อประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายในด้านวัฒนธรรมและศิลปะ การพยายามพัฒนาความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของกันและกัน และส่งเสริมความเข้าใจและสนับสนุนการแลกเปลี่ยนเท่าที่จะสามารถดําเนินการได้ในด้านวัฒนธรรมและศิลปะ อาทิ การแสดง วิจิตรศิลป์และศิลปะประยุกต์ พิพิธภัณฑ์ และมรดกทางประวัติศาสตร์ วรรณกรรมและสื่อสร้างสรรค์
การพยายามสนับสนุนและส่งเสริมกิจกรรมและการแลกเปลี่ยนระหว่างกันและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมและศิลปะ รวมทั้งพยายามกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมและศิลปะและการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและศิลปะและกําหนดให้บันทึกความเข้าใจนี้มีกรอบระยะเวลา 3 ปีนับตั้งแต่วันที่ลงนามร่วมกัน เป็นต้น
นายวีระ กล่าวด้วยว่าการลงนามบันทึกความเข้าใจนี้ เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศเป็นอย่างมาก เนื่องจากฮ่องกงเป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่สําคัญของภูมิภาค และเป็นหนึ่งในตลาดภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียรวมทั้งมีพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง และมีศูนย์การแสดงศิลปวัฒนธรรมที่ได้มาตรฐานสากล ตลอดจนมีย่านวัฒนธรรมเกาลูน ตะวันตกที่เป็นศูนย์บริการด้านวัฒนธรรมระดับโลก ที่สําคัญปัจจุบันฮ่องกงให้ความสําคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ภายใต้นโยบายประเทศไทย 4.0 อย่างไรก็ตาม นอกจากมีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจฯร่วมกันแล้วในวันนี้แล้วยังมีการนําการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม“Beyond Boundary Beyond Time”โดยศิลปินจากเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน มาจัดแสดงให้คนไทยได้รับชม ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศจีน ถนนวัฒนธรรม เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ อีกด้วย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10428
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการลงทุน เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
|
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560
คณะที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการลงทุน เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
คณะที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการลงทุน เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (16 ก.พ. 2560) เวลา 14.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล คณะที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการลงทุน (Honorary Investment Advisor: HIA) จํานวน 34 คน เข้าเยี่ยมคารวะพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรี ในนามของรัฐบาล กล่าวต้อนรับคณะที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการลงทุน โดยยินดีที่ทราบว่า ผลการประชุมที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการลงทุน ครั้งที่ 2 เช้านี้มีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจไทย รวมถึงมีแนวทางการปรับปรุงบรรยากาศการลงทุนของไทยให้ดีขึ้น ซึ่งรัฐบาลพร้อมนํามาปรับใช้ในการปฏิบัติงานต่อไป
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวขอบคุณคณะที่ปรึกษาที่เชื่อมั่นลงทุนในประเทศไทยมาโดยตลอด พร้อมย้ําว่ารัฐบาลเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ รวมทั้งได้ดําเนินการปรับปรุงสภาพแวดล้อมด้านการลงทุน และดําเนินมาตรการทุกอย่างด้วยความโปร่งใส มุ่งมั่นลดปัญหาอุปสรรค ทั้งนี้รัฐบาลเชื่อว่า การลงทุนจากต่างประเทศเป็นปัจจัยสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเสริมสร้างขีดความสามารถทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมของไทย
ทั้งนี้ ไทยมุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน โดยรัฐบาลกําลังเร่งดําเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจัง และยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งการปฏิรูปเศรษฐกิจของไทยนี้ รัฐบาลตระหนักถึงความสําคัญและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการลงทุนของภาคเอกชนทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ภาคเอกชนมีส่วนสาคัญยิ่งในการขับเคลื่อนการปฏิรูปเศรษฐกิจของไทย โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวเชิญ HIA ให้เข้ามาร่วมลงทุนในกิจการที่เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือลงทุนต่อยอดในอุตสาหกรรมที่ได้ลงทุนอยู่แล้ว โดยการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ให้มากขึ้น รวมถึงการวิจัยและพัฒนา ในสาขาต่างๆ ซึ่งแต่ละบริษัทมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเล็งเห็นถึงความสําคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยี หรือการฝึกอบรม เพื่อเพิ่มความรู้และประสบการณ์ อันจะนําไปสู่การส่งเสริมศักยภาพด้านความสามารถในการแข่งขันของแต่ละบริษัทเอง รวมถึงต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยด้วย
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติจากทุกภูมิภาคเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้สามารถพัฒนามาได้จนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในช่วง 50 ปีที่ผ่านมาที่อุตสาหกรรมไทยรุดหน้าเป็นอย่างมาก ซึ่งนายกรัฐมนตรีหวังว่า ขณะนี้ซึ่งเป็นช่วงเวลาการปฏิรูปครั้งสําคัญของไทย โดยเฉพาะการปฏิรูปเศรษฐกิจ นักลงทุนจะเข้ามามีส่วนร่วมพัฒนาไปพร้อมๆกัน
****************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการลงทุน เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560
คณะที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการลงทุน เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
คณะที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการลงทุน เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (16 ก.พ. 2560) เวลา 14.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล คณะที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการลงทุน (Honorary Investment Advisor: HIA) จํานวน 34 คน เข้าเยี่ยมคารวะพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรี ในนามของรัฐบาล กล่าวต้อนรับคณะที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการลงทุน โดยยินดีที่ทราบว่า ผลการประชุมที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการลงทุน ครั้งที่ 2 เช้านี้มีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจไทย รวมถึงมีแนวทางการปรับปรุงบรรยากาศการลงทุนของไทยให้ดีขึ้น ซึ่งรัฐบาลพร้อมนํามาปรับใช้ในการปฏิบัติงานต่อไป
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวขอบคุณคณะที่ปรึกษาที่เชื่อมั่นลงทุนในประเทศไทยมาโดยตลอด พร้อมย้ําว่ารัฐบาลเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ รวมทั้งได้ดําเนินการปรับปรุงสภาพแวดล้อมด้านการลงทุน และดําเนินมาตรการทุกอย่างด้วยความโปร่งใส มุ่งมั่นลดปัญหาอุปสรรค ทั้งนี้รัฐบาลเชื่อว่า การลงทุนจากต่างประเทศเป็นปัจจัยสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเสริมสร้างขีดความสามารถทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมของไทย
ทั้งนี้ ไทยมุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน โดยรัฐบาลกําลังเร่งดําเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจัง และยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งการปฏิรูปเศรษฐกิจของไทยนี้ รัฐบาลตระหนักถึงความสําคัญและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการลงทุนของภาคเอกชนทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ภาคเอกชนมีส่วนสาคัญยิ่งในการขับเคลื่อนการปฏิรูปเศรษฐกิจของไทย โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวเชิญ HIA ให้เข้ามาร่วมลงทุนในกิจการที่เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือลงทุนต่อยอดในอุตสาหกรรมที่ได้ลงทุนอยู่แล้ว โดยการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ให้มากขึ้น รวมถึงการวิจัยและพัฒนา ในสาขาต่างๆ ซึ่งแต่ละบริษัทมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเล็งเห็นถึงความสําคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยี หรือการฝึกอบรม เพื่อเพิ่มความรู้และประสบการณ์ อันจะนําไปสู่การส่งเสริมศักยภาพด้านความสามารถในการแข่งขันของแต่ละบริษัทเอง รวมถึงต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยด้วย
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติจากทุกภูมิภาคเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้สามารถพัฒนามาได้จนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในช่วง 50 ปีที่ผ่านมาที่อุตสาหกรรมไทยรุดหน้าเป็นอย่างมาก ซึ่งนายกรัฐมนตรีหวังว่า ขณะนี้ซึ่งเป็นช่วงเวลาการปฏิรูปครั้งสําคัญของไทย โดยเฉพาะการปฏิรูปเศรษฐกิจ นักลงทุนจะเข้ามามีส่วนร่วมพัฒนาไปพร้อมๆกัน
****************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1886
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.ลงพื้นที่ ครม.สัญจร ที่พิษณุโลก
|
วันอังคารที่ 18 กันยายน 2561
รมว.ศธ.ลงพื้นที่ ครม.สัญจร ที่พิษณุโลก
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ติดตามผลการดําเนินงานตามโครงการ/นโยบายสําคัญของกระทรวงศึกษาธิการ และตรวจเยี่ยมสถานศึกษาในจังหวัดพิษณุโลก
จังหวัดพิษณุโลก - นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ติดตามผลการดําเนินงานตามโครงการ/นโยบายสําคัญของกระทรวงศึกษาธิการ และตรวจเยี่ยมสถานศึกษาในจังหวัดพิษณุโลก ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 7/2561 เมื่อวันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2561 ณ โรงเรียนสะพานที่ 3 และโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย พิษณุโลก อําเภอเมืองพิษณุโลก
ติดตาม "English for All" เป็นครั้งที่ 2 ที่โรงเรียนสะพานที่ 3
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การตรวจเยี่ยมโรงเรียนแห่งนี้ เพื่อติดตามผลการดําเนินงานโครงการ English for All ซึ่งเป็นโครงการที่ดีสําหรับการสอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กในครอบครัวที่มีฐานะยากจน ให้ได้มีโอกาสพัฒนาภาษาอังกฤษเช่นเดียวกับเด็กในเมือง ถือเป็นการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติในเรื่องของการลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา ซึ่งต่อเนื่องจากการตรวจเยี่ยมโรงเรียนแห่งนี้เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา
จากนั้นกระทรวงศึกษาธิการได้ขยายผลโครงการไปยังโรงเรียนอื่นอีก 4 แห่ง ที่มีลักษณะคล้ายกับโรงเรียนนี้ และเป็นโรงเรียนที่มีความพร้อมด้านบุคลากร ผลปรากฏว่านักเรียนมีทักษะภาษาอังกฤษที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในระดับอนุบาลที่มีระดับพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก สื่อสารภาษาอังกฤษได้มากขึ้น อีกทั้งผลการเรียนวิชาอื่นก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน ส่วนครูก็กล้าที่จะพูดภาษาอังกฤษมากขึ้น รวมทั้งปรับเปลี่ยนวิธีการสอนเป็น Active Learning นอกจากนี้ นักเรียนสามารถนําสิ่งที่ได้เรียนไปบอกกล่าวกับพ่อแม่ผู้ปกครอง ทําให้ผู้ปกครองมีความสุขที่ได้เห็นบุตรหลานมีความสุขกับการเรียน จึงยินดีส่งบุตรหลานมาเข้าเรียนเพื่อให้ได้ฝึกฝนภาษาอังกฤษตามโครงการ English for All "สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยที่ทําให้โครงการนี้ประสบผลสําเร็จ"
การได้เห็นรอยยิ้มของผู้ปกครองที่เกิดจากความภูมิใจที่บุตรหลานได้เรียนภาษาอังกฤษ แสดงให้เห็นถึงผลกระทบในเชิงบวกของโครงการที่มีต่อคนในชุมชน จึงยืนยันว่าจะผลักดัน "โครงการ" ให้เป็น "นโยบาย" และขยายผลไปยังโรงเรียนอีกกว่า 70 แห่งทั่วประเทศ ที่สําคัญจะให้ความสําคัญกับการคัดเลือกครูชาวต่างชาติที่จะเข้ามาสอนด้วย
นางดลนภา ท้วมยัง ผู้อํานวยการโรงเรียนสะพานที่ 3 กล่าวว่า "English for All คือ โครงการที่ส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล โดยมีชาวต่างชาติเป็นผู้สอนร่วมกับครูชาวไทย ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ และนําเทคนิคการสอน Boot Camp มาผสมผสาน" เพื่อสอนให้เด็กสามารถโต้ตอบภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งผลการดําเนินโครงการทําให้โรงเรียนสะพานที่ 3 มีผลการสอบ O-NET เป็นอันดับที่ 1 ของจังหวัดพิษณุโลก อีกทั้งผู้ปกครองมีความเชื่อมั่นในการจัดการศึกษาของโรงเรียน และส่งบุตรหลานเข้ามาเรียนเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนได้รับเลือกให้เป็นโรงเรียนตัวอย่าง English for All ในภาคเหนือ
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ผู้บริหารโครงการ English for All กล่าวว่า โครงการ English for All ถือเป็นการเปิดโอกาสของลูกหลานผู้ปกครองที่มีฐานะยากจน ได้เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ระดับอนุบาล โดยที่ไม่ต้องเข้าไปเรียนในเมืองและเสียค่าใช้จ่ายจํานวนมาก การขยายผลโครงการ English for All จึงเป็นเรื่องที่สําคัญ และควรส่งเสริมให้สถานศึกษาในระดับมัธยมศึกษาเตรียมความพร้อมปรับระบบการเรียนการสอนให้รองรับเด็กในโครงการด้วย เพื่อให้เด็กต่อยอดทักษะด้านภาษาได้ โดยคาดหวังว่าในอนาคตอีก 20 ปี เด็กไทยจะพูดได้อย่างน้อย 2 ภาษา
มอบนโยบายสําคัญที่ลดภาระครูและสถานศึกษา "ประกันคุณภาพ-จัดจ้างธุรการภารโรง" และจิตอาสาลดขยะ ที่โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย พิษณุโลก
จากนั้น รมว.ศึกษาธิการ และคณะ ได้เดินทางต่อไปยังโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย พิษณุโลก โดยได้มอบนโยบายด้านต่าง ๆ ดังนี้
1) การประกันคุณภาพการศึกษาแนวใหม่ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในแนวปฏิบัติ เกี่ยวกับระบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษา ตามกฎกระทรวงการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ.2561 โดยสรุปดังนี้
การประกันคุณภาพการศึกษาแนวใหม่ เป็นการสร้างระบบความเชื่อมโยง 3 องค์ประกอบหลัก คือ สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ต้นสังกัดของสถานศึกษา และสถานศึกษา ซึ่งจะส่งผลดีต่อสถานศึกษา คือ 1) สถานศึกษาไม่ต้องส่งตัวชี้วัดอีกต่อไป 2) สถานศึกษาแต่ละแห่งต้องสร้างมาตรฐานคุณภาพการศึกษาของตนเอง 3) สถานศึกษาสามารถวางแนวทางพัฒนาและยกระดับการพัฒนาได้เอง
การประเมินคุณภาพรอบนี้ ได้กําหนดกฎกติกาใหม่ เพื่อกํากับทิศทางการประเมินคุณภาพการศึกษาที่ทุกฝ่ายต้องยอมรับ และถือว่าได้ผ่านกระบวนการคิดและกลั่นกรองอย่างรอบคอบมาแล้วในการยกร่าง 4 ปี โดยสถานศึกษาต้องตอบคําถาม 3 ข้อให้ได้ คือ 1) มาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาอยู่ระดับใด 2. หลักฐานสนับสนุนผลการประเมินที่สามารถแสดงการยืนยันข้อมูล 3) แผนการพัฒนาสถานศึกษาเพื่อนําไปสู่การพัฒนาคุณภาพในขั้นที่ดีขึ้นมีแผนดําเนินการอย่างไร”
2) เตรียม 3 พันล้าน จัดจ้างธุรการ-ภารโรง เพื่อลดภาระครู เริ่มตุลาคมนี้ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า จากที่เคยได้ประกาศเมื่อเดือนที่ผ่านมาว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป ครูไม่ต้องทํางานธุรการ โดย สพฐ.ได้เตรียมงบประมาณไว้กว่า 3 พันล้านบาท ซึ่งไม่ได้เป็นการของบประมาณเพิ่ม แต่เป็นงานบริหารจัดการงบประมาณที่มีอยู่ โดยนายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการ กพฐ. และนายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้ยืนยันแล้วว่าจะดําเนินการตามนโยบายลดภาระครู โดยจัดจ้างเจ้าหน้าที่ธุรการและนักการภารโรงเข้ามาเติมเต็มในระบบให้สมบูรณ์
นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวถึงงบประมาณที่เตรียมไว้สําหรับจัดจ้างเจ้าหน้าที่ธุรการและนักการภารโรงประมาณ 3 พันล้านบาท ว่าจะนํามาจากงบนโยบายซึ่งได้มีการเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ยืนยันว่า 1 ตุลาคม 2561 นี้ครูจะได้ทําหน้าที่ครูอย่างเข้มข้น ทั้งภารกิจก่อนสอน ระหว่างสอน และหลังการสอน
ส่วนงานอื่น ๆ ที่ไม่ใช่งานสอนจะเป็นภาระของผู้อํานวยการสถานศึกษา และเขตพื้นที่การศึกษา ในส่วนของงานพัสดุที่ต้องดําเนินการจัดซื้อจัดจ้าง หากเป็นโรงเรียนขนาดเล็กให้เป็นหน้าที่ของเขตพื้นที่การศึกษาดําเนินการ โดยจะทําเป็นรูปแบบการเสนอราคาด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-Bidding) ส่วนโรงเรียนขนาดใหญ่หากมีความพร้อมก็สามารถดําเนินการได้เองตามความเหมาะสม
3) สร้างจิตอาสาลดขยะ ใช้น้อย-ใช้ซ้ํา-ใช้ใหม่ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาพูดถึงเรื่องขยะอยู่บ่อย ๆ โดยสถิติการทิ้งขยะอยู่ที่ 1.4 กิโลกรัม/คน/วัน ขณะที่ตัวเลขการทิ้งขยะรวมทั้งประเทศมีจํานวน 27 ล้านตัน/เดือน แบ่งเป็นขยะประเภทพลาสติกถึงร้อยละ 20 ซึ่งถุงพลาสติก 1 ใบจะใช้เวลาย่อยสลาย 450 ปี ดังนั้นเราจึงควรร่วมกันคิดว่าจะทําอย่างไรอย่างจริงจังเพื่อให้ปริมาณขยะลดลง
ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการจึงขอความร่วมมือสถานศึกษาทั่วประเทศ ช่วยกันสร้างจิตอาสาให้เด็กสอนผู้ใหญ่ โดยรณรงค์ 3 ใช้ ได้แก่ ใช้น้อย (Reduce) ใช้ซ้ํา (Reuse) และใช้ใหม่ (Recycle) โดยเน้นหลักการให้ปฏิบัติง่าย ทําให้เด็กสามารถช่วยพ่อแม่ลดปริมาณขยะและปฏิบัติในชีวิตประจําวันได้จริง
โอกาสนี้ รมว.ศึกษาธิการ ได้เยี่ยมชมนิทรรศการจากโรงเรียนต่าง ๆ เช่น
• โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี อําเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก นําเสนอโครงการ “พัฒนาครูรูปแบบครบวงจร” โดยให้ครูเข้ารับการอบรมพัฒนาตนเองตามความสนใจและความต้องการ แล้วจึงต่อยอดความรู้จากการพัฒนาสู่ห้องเรียน
• โรงเรียนบ้านหินประกาย อําเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก นําเสนอ “ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning community : PLC)” โดยได้นํานวัตกรรมการสอนวิชาภาษาไทยของมหาวิทยาลัยนเรศวรมาปรับใช้และนํามาขยายผลกับครูด้วยกัน ส่งผลสามารถนําไปพัฒนานักเรียนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
• โรงเรียนไทรย้อยพิทยาคม อําเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก นําเสนอโครงการ “Boot Camp SESAO19” โดยส่งครูภาษาอังกฤษเข้ารับการอบรมและนําประสบการณ์มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียน ซึ่งพฤติกรรมการสอนของครูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ครูใช้ภาษาอังกฤษในห้องเรียนเพิ่มมากขึ้น มีการใช้เทคนิควิธีการที่หลากหลาย ใช้สื่อและเกมที่มีความน่าสนใจ ส่งผลให้นักเรียนเกิดความสนุกสนานขณะเรียนวิชาภาษาอังกฤษ นักเรียนส่วนใหญ่สามารถโต้ตอบเป็นภาษาอังกฤษได้ นอกจากนี้ยังได้จัดกิจกรรม English Market เพื่อฝึกการใช้ภาษาในชีวิตประจําวัน โดยให้นักเรียนผลิตสินค้ามาขายและมีการพูดคุยสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษตลอดงาน
• โรงเรียนบ้านพร้าว อําเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก เสนอ “ระบบงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา” โดยมาตรฐานของสถานศึกษาอยู่ในระดับดี มีการนําเสนอข้อมูลการประเมินคุณภาพอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งด้านกระบวนการบริหารจัดการ ด้านคุณภาพผู้เรียน และด้านกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ ตลอดจนมีการวางแนวทางการพัฒนาเพื่อให้ได้มาตรฐานที่สูงขึ้น
• โรงเรียนบ้านท่าไม้งาม อําเภอบางระกํา จังหวัดพิษณุโลก เสนอโครงการลดภาระครู “คืนครูสู่ห้องเรียน” โดยมีการส่งเสริมให้ครูจัดการเรียนการสอนโดยใช้การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (New DLTV) นําระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการบริหารงาน จัดหาวิทยากรท้องถิ่น, ปราชญ์ชาวบ้าน, ตํารวจและพระมาช่วยสนับสนุนการจัดการ ตลอดจนผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ธุรการดําเนินงานในหน้าที่สนับสนุนงานธุรการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดําเนินของงานของโรงเรียนรวดเร็ว
• โรงเรียนบ้านน้ําตาก และโรงเรียนภูขัดรวมไทยพัฒนา อําเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก เสนอโครงการ “Internet โรงเรียน ใช้การเรียนการสอนครบทุกห้องเรียน” โดยโรงเรียนได้นํา 4G Router มาใช้ในโรงเรียน ส่งผลให้ครูและนักเรียนได้มีโอกาสใช้อินเตอร์เน็ตในการจัดการเรียนการสอน การสืบค้นข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการจัดการเรียนการสอน ลดจํานวนเอกสารงานธุรการในชั้นเรียนให้เหลือเท่าที่จําเป็น สามารถทํางานได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เกิดประสิทธิภาพ และทันเวลา
• โรงเรียนบ้านคลองน้ําเย็น อําเภอบางระกํา จังหวัดพิษณุโลก เสนอโครงการ “อาหารกลางวันคุณภาพแบบมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน” มีการดําเนินงานร่วมกับผู้ปกครองและเครือข่ายในพื้นที่ ส่งผลให้โรงเรียนได้รับการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ก่อสร้าง เพื่อนํามาสร้างอาคารเรียน สร้างเล้าไก่ไข่ โรงปุ๋ย โรงเห็ด ธนาคารขยะ นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมให้นักเรียนปลูกพืชผักสวนครัว เพาะเห็ดนางฟ้า เลี้ยงไข่ไก่ เพื่อนําผลผลิตมาทําเป็นอาหารกลางวัน ตลอดจนนําผลผลิตที่เหลือไปขายเพื่อเป็นรายได้หมุนเวียนกลับมาใช้ในโครงการอาหารกลางวันต่อไป
• โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย พิษณุโลก นําเสนอเกี่ยวกับระบบการศึกษาโคเซน (KOSEN) ซึ่งปีนี้โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย พิษณุโลก มีนักเรียนที่สอบเข้าเรียนโคเซนได้จํานวน 3 คน ซึ่ง รมว.ศึกษาธิการขอให้โรงเรียนช่วยประชาสัมพันธ์ให้กับนักเรียนที่จะมาสอบเข้า เพื่อเป็นข้อมูลและส่งเสริมให้เด็กที่มีศักยภาพ หรือมีความสนใจเข้าสู่ระบบการศึกษาโคเซนต่อไป
จากนั้น รมว.ศึกษาธิการ ได้มอบงบประมาณให้แก่โรงเรียนต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงระบบไฟฟ้า คือ โรงเรียนวัดจอมทอง โรงเรียนบ้านหนองหัวยาง โรงเรียนบ้านเสวยซุง โรงเรียนวัดวังเป็ด โรงเรียนสะพานที่ 3 โรงเรียนบ้านตอเรือ โรงเรียนบ้านหนองงา โรงเรียนบ้านวังนกแอ่น โรงเรียนบ้านสะเดา และโรงเรียนชุมชน 3 บ้านเนินกุ่ม (ประชานุกูล) และมอบงบประมาณซ่อมแซมบ้านพักครู ให้แก่โรงเรียนบ้านปลักแรด โรงเรียนท่าไม้งาม โรงเรียนบ้านทุ่งยาว โรงเรียนวัดพันชาลี และโรงเรียนบ้านใหม่สามัคคี
การตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ มีคณะผู้บริหารจากส่วนกลางและในพื้นที่เข้าร่วม เช่น นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, นายประเสริฐ บุญเรือง รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายชัยยศ อิ่มสุวรรณ์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา, นายพิธาน พื้นทอง ศึกษาธิการภาค 17, นายไพบูลย์ ณะบุตรจอม รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก, นายพงษ์ชัย ไทยวรรณศรี ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1, ผู้บริหารสถานศึกษา, นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ผู้บริหารโครงการ English for All, นายกรณ์ จาติกวณิช ผู้อํานวยการโครงการ English for All ฯลฯ
Written by อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, ปารัชญ์ ไชยเวช
Photo Credit ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี, ธนภัทร จันทร์ห้างหว้า (Video)
Rewriter นวรัตน์ รามสูต
Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.ลงพื้นที่ ครม.สัญจร ที่พิษณุโลก
วันอังคารที่ 18 กันยายน 2561
รมว.ศธ.ลงพื้นที่ ครม.สัญจร ที่พิษณุโลก
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ติดตามผลการดําเนินงานตามโครงการ/นโยบายสําคัญของกระทรวงศึกษาธิการ และตรวจเยี่ยมสถานศึกษาในจังหวัดพิษณุโลก
จังหวัดพิษณุโลก - นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ติดตามผลการดําเนินงานตามโครงการ/นโยบายสําคัญของกระทรวงศึกษาธิการ และตรวจเยี่ยมสถานศึกษาในจังหวัดพิษณุโลก ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 7/2561 เมื่อวันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2561 ณ โรงเรียนสะพานที่ 3 และโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย พิษณุโลก อําเภอเมืองพิษณุโลก
ติดตาม "English for All" เป็นครั้งที่ 2 ที่โรงเรียนสะพานที่ 3
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การตรวจเยี่ยมโรงเรียนแห่งนี้ เพื่อติดตามผลการดําเนินงานโครงการ English for All ซึ่งเป็นโครงการที่ดีสําหรับการสอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กในครอบครัวที่มีฐานะยากจน ให้ได้มีโอกาสพัฒนาภาษาอังกฤษเช่นเดียวกับเด็กในเมือง ถือเป็นการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติในเรื่องของการลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา ซึ่งต่อเนื่องจากการตรวจเยี่ยมโรงเรียนแห่งนี้เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา
จากนั้นกระทรวงศึกษาธิการได้ขยายผลโครงการไปยังโรงเรียนอื่นอีก 4 แห่ง ที่มีลักษณะคล้ายกับโรงเรียนนี้ และเป็นโรงเรียนที่มีความพร้อมด้านบุคลากร ผลปรากฏว่านักเรียนมีทักษะภาษาอังกฤษที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในระดับอนุบาลที่มีระดับพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก สื่อสารภาษาอังกฤษได้มากขึ้น อีกทั้งผลการเรียนวิชาอื่นก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน ส่วนครูก็กล้าที่จะพูดภาษาอังกฤษมากขึ้น รวมทั้งปรับเปลี่ยนวิธีการสอนเป็น Active Learning นอกจากนี้ นักเรียนสามารถนําสิ่งที่ได้เรียนไปบอกกล่าวกับพ่อแม่ผู้ปกครอง ทําให้ผู้ปกครองมีความสุขที่ได้เห็นบุตรหลานมีความสุขกับการเรียน จึงยินดีส่งบุตรหลานมาเข้าเรียนเพื่อให้ได้ฝึกฝนภาษาอังกฤษตามโครงการ English for All "สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยที่ทําให้โครงการนี้ประสบผลสําเร็จ"
การได้เห็นรอยยิ้มของผู้ปกครองที่เกิดจากความภูมิใจที่บุตรหลานได้เรียนภาษาอังกฤษ แสดงให้เห็นถึงผลกระทบในเชิงบวกของโครงการที่มีต่อคนในชุมชน จึงยืนยันว่าจะผลักดัน "โครงการ" ให้เป็น "นโยบาย" และขยายผลไปยังโรงเรียนอีกกว่า 70 แห่งทั่วประเทศ ที่สําคัญจะให้ความสําคัญกับการคัดเลือกครูชาวต่างชาติที่จะเข้ามาสอนด้วย
นางดลนภา ท้วมยัง ผู้อํานวยการโรงเรียนสะพานที่ 3 กล่าวว่า "English for All คือ โครงการที่ส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล โดยมีชาวต่างชาติเป็นผู้สอนร่วมกับครูชาวไทย ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ และนําเทคนิคการสอน Boot Camp มาผสมผสาน" เพื่อสอนให้เด็กสามารถโต้ตอบภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งผลการดําเนินโครงการทําให้โรงเรียนสะพานที่ 3 มีผลการสอบ O-NET เป็นอันดับที่ 1 ของจังหวัดพิษณุโลก อีกทั้งผู้ปกครองมีความเชื่อมั่นในการจัดการศึกษาของโรงเรียน และส่งบุตรหลานเข้ามาเรียนเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนได้รับเลือกให้เป็นโรงเรียนตัวอย่าง English for All ในภาคเหนือ
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ผู้บริหารโครงการ English for All กล่าวว่า โครงการ English for All ถือเป็นการเปิดโอกาสของลูกหลานผู้ปกครองที่มีฐานะยากจน ได้เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ระดับอนุบาล โดยที่ไม่ต้องเข้าไปเรียนในเมืองและเสียค่าใช้จ่ายจํานวนมาก การขยายผลโครงการ English for All จึงเป็นเรื่องที่สําคัญ และควรส่งเสริมให้สถานศึกษาในระดับมัธยมศึกษาเตรียมความพร้อมปรับระบบการเรียนการสอนให้รองรับเด็กในโครงการด้วย เพื่อให้เด็กต่อยอดทักษะด้านภาษาได้ โดยคาดหวังว่าในอนาคตอีก 20 ปี เด็กไทยจะพูดได้อย่างน้อย 2 ภาษา
มอบนโยบายสําคัญที่ลดภาระครูและสถานศึกษา "ประกันคุณภาพ-จัดจ้างธุรการภารโรง" และจิตอาสาลดขยะ ที่โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย พิษณุโลก
จากนั้น รมว.ศึกษาธิการ และคณะ ได้เดินทางต่อไปยังโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย พิษณุโลก โดยได้มอบนโยบายด้านต่าง ๆ ดังนี้
1) การประกันคุณภาพการศึกษาแนวใหม่ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในแนวปฏิบัติ เกี่ยวกับระบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษา ตามกฎกระทรวงการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ.2561 โดยสรุปดังนี้
การประกันคุณภาพการศึกษาแนวใหม่ เป็นการสร้างระบบความเชื่อมโยง 3 องค์ประกอบหลัก คือ สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ต้นสังกัดของสถานศึกษา และสถานศึกษา ซึ่งจะส่งผลดีต่อสถานศึกษา คือ 1) สถานศึกษาไม่ต้องส่งตัวชี้วัดอีกต่อไป 2) สถานศึกษาแต่ละแห่งต้องสร้างมาตรฐานคุณภาพการศึกษาของตนเอง 3) สถานศึกษาสามารถวางแนวทางพัฒนาและยกระดับการพัฒนาได้เอง
การประเมินคุณภาพรอบนี้ ได้กําหนดกฎกติกาใหม่ เพื่อกํากับทิศทางการประเมินคุณภาพการศึกษาที่ทุกฝ่ายต้องยอมรับ และถือว่าได้ผ่านกระบวนการคิดและกลั่นกรองอย่างรอบคอบมาแล้วในการยกร่าง 4 ปี โดยสถานศึกษาต้องตอบคําถาม 3 ข้อให้ได้ คือ 1) มาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาอยู่ระดับใด 2. หลักฐานสนับสนุนผลการประเมินที่สามารถแสดงการยืนยันข้อมูล 3) แผนการพัฒนาสถานศึกษาเพื่อนําไปสู่การพัฒนาคุณภาพในขั้นที่ดีขึ้นมีแผนดําเนินการอย่างไร”
2) เตรียม 3 พันล้าน จัดจ้างธุรการ-ภารโรง เพื่อลดภาระครู เริ่มตุลาคมนี้ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า จากที่เคยได้ประกาศเมื่อเดือนที่ผ่านมาว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป ครูไม่ต้องทํางานธุรการ โดย สพฐ.ได้เตรียมงบประมาณไว้กว่า 3 พันล้านบาท ซึ่งไม่ได้เป็นการของบประมาณเพิ่ม แต่เป็นงานบริหารจัดการงบประมาณที่มีอยู่ โดยนายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการ กพฐ. และนายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้ยืนยันแล้วว่าจะดําเนินการตามนโยบายลดภาระครู โดยจัดจ้างเจ้าหน้าที่ธุรการและนักการภารโรงเข้ามาเติมเต็มในระบบให้สมบูรณ์
นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวถึงงบประมาณที่เตรียมไว้สําหรับจัดจ้างเจ้าหน้าที่ธุรการและนักการภารโรงประมาณ 3 พันล้านบาท ว่าจะนํามาจากงบนโยบายซึ่งได้มีการเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ยืนยันว่า 1 ตุลาคม 2561 นี้ครูจะได้ทําหน้าที่ครูอย่างเข้มข้น ทั้งภารกิจก่อนสอน ระหว่างสอน และหลังการสอน
ส่วนงานอื่น ๆ ที่ไม่ใช่งานสอนจะเป็นภาระของผู้อํานวยการสถานศึกษา และเขตพื้นที่การศึกษา ในส่วนของงานพัสดุที่ต้องดําเนินการจัดซื้อจัดจ้าง หากเป็นโรงเรียนขนาดเล็กให้เป็นหน้าที่ของเขตพื้นที่การศึกษาดําเนินการ โดยจะทําเป็นรูปแบบการเสนอราคาด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-Bidding) ส่วนโรงเรียนขนาดใหญ่หากมีความพร้อมก็สามารถดําเนินการได้เองตามความเหมาะสม
3) สร้างจิตอาสาลดขยะ ใช้น้อย-ใช้ซ้ํา-ใช้ใหม่ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาพูดถึงเรื่องขยะอยู่บ่อย ๆ โดยสถิติการทิ้งขยะอยู่ที่ 1.4 กิโลกรัม/คน/วัน ขณะที่ตัวเลขการทิ้งขยะรวมทั้งประเทศมีจํานวน 27 ล้านตัน/เดือน แบ่งเป็นขยะประเภทพลาสติกถึงร้อยละ 20 ซึ่งถุงพลาสติก 1 ใบจะใช้เวลาย่อยสลาย 450 ปี ดังนั้นเราจึงควรร่วมกันคิดว่าจะทําอย่างไรอย่างจริงจังเพื่อให้ปริมาณขยะลดลง
ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการจึงขอความร่วมมือสถานศึกษาทั่วประเทศ ช่วยกันสร้างจิตอาสาให้เด็กสอนผู้ใหญ่ โดยรณรงค์ 3 ใช้ ได้แก่ ใช้น้อย (Reduce) ใช้ซ้ํา (Reuse) และใช้ใหม่ (Recycle) โดยเน้นหลักการให้ปฏิบัติง่าย ทําให้เด็กสามารถช่วยพ่อแม่ลดปริมาณขยะและปฏิบัติในชีวิตประจําวันได้จริง
โอกาสนี้ รมว.ศึกษาธิการ ได้เยี่ยมชมนิทรรศการจากโรงเรียนต่าง ๆ เช่น
• โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี อําเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก นําเสนอโครงการ “พัฒนาครูรูปแบบครบวงจร” โดยให้ครูเข้ารับการอบรมพัฒนาตนเองตามความสนใจและความต้องการ แล้วจึงต่อยอดความรู้จากการพัฒนาสู่ห้องเรียน
• โรงเรียนบ้านหินประกาย อําเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก นําเสนอ “ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning community : PLC)” โดยได้นํานวัตกรรมการสอนวิชาภาษาไทยของมหาวิทยาลัยนเรศวรมาปรับใช้และนํามาขยายผลกับครูด้วยกัน ส่งผลสามารถนําไปพัฒนานักเรียนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
• โรงเรียนไทรย้อยพิทยาคม อําเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก นําเสนอโครงการ “Boot Camp SESAO19” โดยส่งครูภาษาอังกฤษเข้ารับการอบรมและนําประสบการณ์มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียน ซึ่งพฤติกรรมการสอนของครูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ครูใช้ภาษาอังกฤษในห้องเรียนเพิ่มมากขึ้น มีการใช้เทคนิควิธีการที่หลากหลาย ใช้สื่อและเกมที่มีความน่าสนใจ ส่งผลให้นักเรียนเกิดความสนุกสนานขณะเรียนวิชาภาษาอังกฤษ นักเรียนส่วนใหญ่สามารถโต้ตอบเป็นภาษาอังกฤษได้ นอกจากนี้ยังได้จัดกิจกรรม English Market เพื่อฝึกการใช้ภาษาในชีวิตประจําวัน โดยให้นักเรียนผลิตสินค้ามาขายและมีการพูดคุยสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษตลอดงาน
• โรงเรียนบ้านพร้าว อําเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก เสนอ “ระบบงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา” โดยมาตรฐานของสถานศึกษาอยู่ในระดับดี มีการนําเสนอข้อมูลการประเมินคุณภาพอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งด้านกระบวนการบริหารจัดการ ด้านคุณภาพผู้เรียน และด้านกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ ตลอดจนมีการวางแนวทางการพัฒนาเพื่อให้ได้มาตรฐานที่สูงขึ้น
• โรงเรียนบ้านท่าไม้งาม อําเภอบางระกํา จังหวัดพิษณุโลก เสนอโครงการลดภาระครู “คืนครูสู่ห้องเรียน” โดยมีการส่งเสริมให้ครูจัดการเรียนการสอนโดยใช้การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (New DLTV) นําระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการบริหารงาน จัดหาวิทยากรท้องถิ่น, ปราชญ์ชาวบ้าน, ตํารวจและพระมาช่วยสนับสนุนการจัดการ ตลอดจนผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ธุรการดําเนินงานในหน้าที่สนับสนุนงานธุรการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดําเนินของงานของโรงเรียนรวดเร็ว
• โรงเรียนบ้านน้ําตาก และโรงเรียนภูขัดรวมไทยพัฒนา อําเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก เสนอโครงการ “Internet โรงเรียน ใช้การเรียนการสอนครบทุกห้องเรียน” โดยโรงเรียนได้นํา 4G Router มาใช้ในโรงเรียน ส่งผลให้ครูและนักเรียนได้มีโอกาสใช้อินเตอร์เน็ตในการจัดการเรียนการสอน การสืบค้นข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการจัดการเรียนการสอน ลดจํานวนเอกสารงานธุรการในชั้นเรียนให้เหลือเท่าที่จําเป็น สามารถทํางานได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เกิดประสิทธิภาพ และทันเวลา
• โรงเรียนบ้านคลองน้ําเย็น อําเภอบางระกํา จังหวัดพิษณุโลก เสนอโครงการ “อาหารกลางวันคุณภาพแบบมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน” มีการดําเนินงานร่วมกับผู้ปกครองและเครือข่ายในพื้นที่ ส่งผลให้โรงเรียนได้รับการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ก่อสร้าง เพื่อนํามาสร้างอาคารเรียน สร้างเล้าไก่ไข่ โรงปุ๋ย โรงเห็ด ธนาคารขยะ นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมให้นักเรียนปลูกพืชผักสวนครัว เพาะเห็ดนางฟ้า เลี้ยงไข่ไก่ เพื่อนําผลผลิตมาทําเป็นอาหารกลางวัน ตลอดจนนําผลผลิตที่เหลือไปขายเพื่อเป็นรายได้หมุนเวียนกลับมาใช้ในโครงการอาหารกลางวันต่อไป
• โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย พิษณุโลก นําเสนอเกี่ยวกับระบบการศึกษาโคเซน (KOSEN) ซึ่งปีนี้โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย พิษณุโลก มีนักเรียนที่สอบเข้าเรียนโคเซนได้จํานวน 3 คน ซึ่ง รมว.ศึกษาธิการขอให้โรงเรียนช่วยประชาสัมพันธ์ให้กับนักเรียนที่จะมาสอบเข้า เพื่อเป็นข้อมูลและส่งเสริมให้เด็กที่มีศักยภาพ หรือมีความสนใจเข้าสู่ระบบการศึกษาโคเซนต่อไป
จากนั้น รมว.ศึกษาธิการ ได้มอบงบประมาณให้แก่โรงเรียนต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงระบบไฟฟ้า คือ โรงเรียนวัดจอมทอง โรงเรียนบ้านหนองหัวยาง โรงเรียนบ้านเสวยซุง โรงเรียนวัดวังเป็ด โรงเรียนสะพานที่ 3 โรงเรียนบ้านตอเรือ โรงเรียนบ้านหนองงา โรงเรียนบ้านวังนกแอ่น โรงเรียนบ้านสะเดา และโรงเรียนชุมชน 3 บ้านเนินกุ่ม (ประชานุกูล) และมอบงบประมาณซ่อมแซมบ้านพักครู ให้แก่โรงเรียนบ้านปลักแรด โรงเรียนท่าไม้งาม โรงเรียนบ้านทุ่งยาว โรงเรียนวัดพันชาลี และโรงเรียนบ้านใหม่สามัคคี
การตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ มีคณะผู้บริหารจากส่วนกลางและในพื้นที่เข้าร่วม เช่น นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, นายประเสริฐ บุญเรือง รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายชัยยศ อิ่มสุวรรณ์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา, นายพิธาน พื้นทอง ศึกษาธิการภาค 17, นายไพบูลย์ ณะบุตรจอม รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก, นายพงษ์ชัย ไทยวรรณศรี ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1, ผู้บริหารสถานศึกษา, นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ผู้บริหารโครงการ English for All, นายกรณ์ จาติกวณิช ผู้อํานวยการโครงการ English for All ฯลฯ
Written by อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, ปารัชญ์ ไชยเวช
Photo Credit ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี, ธนภัทร จันทร์ห้างหว้า (Video)
Rewriter นวรัตน์ รามสูต
Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15486
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เยี่ยมชมการสาธิตการผลิตหลักนำทาง สวนยางบ้านสะท้อน มุ่งยกระดับราคายาง ก้าวแรกที่จันทบุรี
|
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน 2563
เยี่ยมชมการสาธิตการผลิตหลักนําทาง สวนยางบ้านสะท้อน มุ่งยกระดับราคายาง ก้าวแรกที่จันทบุรี
รมช.มนัญญา เยี่ยมชมการสาธิตการผลิตหลักนําทาง สวนยางบ้านสะท้อน มุ่งยกระดับราคายาง ก้าวแรกที่จันทบุรี
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมด้วยคณะที่ปรึกษาและนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์รวมทั้งข้าราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เยี่ยมชมกระบวนการสาธิตการผลิตหลักนําทางของสหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านสะท้อนจํากัดต.จันทเขลมอ.เขาคิชฌกูฏจังหวัดจันทบุรี
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังการเยี่ยมชมกระบวนการสาธิตการผลิตหลักนําทางของสหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านสะท้อนจํากัด ถึงการริเริ่มโครงการดังกล่าวตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยเป็นความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมทางหลวงชนบทภายใต้โครงการส่งเสริมการใช้ยางพาราของภาครัฐซึ่งการดําเนินการในครั้งนี้จะเป็นการซื้อน้ํายางพาราจากเกษตรกรชาวสวนยางผ่านสหกรณ์การเกษตรเพื่อร่วมมือในการนําอุปกรณ์ทางด้านการจราจรและอํานวยความปลอดภัยทางถนนที่ผลิตจากยางพาราได้แก่แผ่นธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต(Rubber Fender Barrier : RFB)และหลักนําทางจากยางธรรมชาติ(Rubber Guide Post : RGP)สําหรับนําไปใช้ประโยชน์เป็นอุปกรณ์ทางด้านการจราจรและอํานวยความปลอดภัยในหน่วยงานของกระทรวงคมนาคมเพื่อยกระดับความปลอดภัยทางถนนและส่งเสริมสนับสนุนเกษตรกรชาวสวนยางโดยตรงมุ่งหวังอย่างยิ่งว่าจะเป็นส่วนช่วยเหลือที่สําคัญในการผลักดันให้ราคาและกลไกลตลาดยางเพื่อยกกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรชาวสวนยางไทยให้สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองและสร้างความมั่นคงทางอาชีพอย่างยั่งยืน ซึ่งเบื้อต้นได้รับข่าวที่น่ายินดีว่าราคามีการปรับราคาดีขึ้นถือว่าเป็นก้าวแรกที่สําคัญและสร้างกําลังใจให้กับเกษตรกรชาวสวนยางทั่วประเทศ
ทั้งนี้สหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านสะท้อนจํากัดมีกําลังการผลิตเฉลี่ยวันละ19ต้นต่อวันสหกรณ์ฯดําเนินการผลิตไปแล้วประมาณ200ต้นต้นทุนการผลิตประมาณ1,200บาท/ต้นใช้น้ํายางข้นในการผลิตประมาณ19กิโลกรัม/ต้นโดยมีขั้นตอนดังนี้1.ผสมน้ํายางข้นขึ้นและสารเคมีภัณฑ์ขึ้นรูป2.นําน้ํายางพาราใส่แบบพิมพ์3.นําเสายางพารางเข้าตู้นึ่ง4.นําเข้าตู้อบแห้งผลิตภัณฑ์และ
5.นําเสายางเข้าสู่พาราโบล่าโดมโดยขั้นตอนกระบวนการผลิตจะนําน้ํายางข้นเข้าเครื่องผสมกับสารเคมีตามสูตรการผลิตเป็นการผสมเพื่ออัดแน่นฉีดเข้าแม่พิมพ์นําเข้าเตานึ่งประมาณ1ชั่วโมงกว่าแล้วนําเข้าเครื่องอบแห้ง25ชั่วโมงซึ่งมีตลาดปลายทางที่สําคัญคือกรมทางหลวงชนบทโดยกระทรวงคมนาคมดําเนินการรับซื้อผลิตภัณฑ์และนําไปติดตั้งในพื้นที่ต่างๆต่อไปปัจจุบันมีสถาบันเกษตรกรที่ดําเนินธุรกิจยางพารา661แห่งมีสมาชิกสหกรณ์ที่ประกอบอาชีพสวนยางพารารวม355,181รายมีสมาชิกในครัวเรือนที่ได้รับผลประโยชน์จํานวน1.42ล้านรายในปีการผลิต2562/63มีปริมาณน้ํายางพารารวม475,058ตันมูลค่า16,998ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ57จากผลผลิตทั้งหมดของสมาชิก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เยี่ยมชมการสาธิตการผลิตหลักนำทาง สวนยางบ้านสะท้อน มุ่งยกระดับราคายาง ก้าวแรกที่จันทบุรี
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน 2563
เยี่ยมชมการสาธิตการผลิตหลักนําทาง สวนยางบ้านสะท้อน มุ่งยกระดับราคายาง ก้าวแรกที่จันทบุรี
รมช.มนัญญา เยี่ยมชมการสาธิตการผลิตหลักนําทาง สวนยางบ้านสะท้อน มุ่งยกระดับราคายาง ก้าวแรกที่จันทบุรี
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมด้วยคณะที่ปรึกษาและนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์รวมทั้งข้าราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เยี่ยมชมกระบวนการสาธิตการผลิตหลักนําทางของสหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านสะท้อนจํากัดต.จันทเขลมอ.เขาคิชฌกูฏจังหวัดจันทบุรี
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังการเยี่ยมชมกระบวนการสาธิตการผลิตหลักนําทางของสหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านสะท้อนจํากัด ถึงการริเริ่มโครงการดังกล่าวตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยเป็นความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมทางหลวงชนบทภายใต้โครงการส่งเสริมการใช้ยางพาราของภาครัฐซึ่งการดําเนินการในครั้งนี้จะเป็นการซื้อน้ํายางพาราจากเกษตรกรชาวสวนยางผ่านสหกรณ์การเกษตรเพื่อร่วมมือในการนําอุปกรณ์ทางด้านการจราจรและอํานวยความปลอดภัยทางถนนที่ผลิตจากยางพาราได้แก่แผ่นธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต(Rubber Fender Barrier : RFB)และหลักนําทางจากยางธรรมชาติ(Rubber Guide Post : RGP)สําหรับนําไปใช้ประโยชน์เป็นอุปกรณ์ทางด้านการจราจรและอํานวยความปลอดภัยในหน่วยงานของกระทรวงคมนาคมเพื่อยกระดับความปลอดภัยทางถนนและส่งเสริมสนับสนุนเกษตรกรชาวสวนยางโดยตรงมุ่งหวังอย่างยิ่งว่าจะเป็นส่วนช่วยเหลือที่สําคัญในการผลักดันให้ราคาและกลไกลตลาดยางเพื่อยกกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรชาวสวนยางไทยให้สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองและสร้างความมั่นคงทางอาชีพอย่างยั่งยืน ซึ่งเบื้อต้นได้รับข่าวที่น่ายินดีว่าราคามีการปรับราคาดีขึ้นถือว่าเป็นก้าวแรกที่สําคัญและสร้างกําลังใจให้กับเกษตรกรชาวสวนยางทั่วประเทศ
ทั้งนี้สหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านสะท้อนจํากัดมีกําลังการผลิตเฉลี่ยวันละ19ต้นต่อวันสหกรณ์ฯดําเนินการผลิตไปแล้วประมาณ200ต้นต้นทุนการผลิตประมาณ1,200บาท/ต้นใช้น้ํายางข้นในการผลิตประมาณ19กิโลกรัม/ต้นโดยมีขั้นตอนดังนี้1.ผสมน้ํายางข้นขึ้นและสารเคมีภัณฑ์ขึ้นรูป2.นําน้ํายางพาราใส่แบบพิมพ์3.นําเสายางพารางเข้าตู้นึ่ง4.นําเข้าตู้อบแห้งผลิตภัณฑ์และ
5.นําเสายางเข้าสู่พาราโบล่าโดมโดยขั้นตอนกระบวนการผลิตจะนําน้ํายางข้นเข้าเครื่องผสมกับสารเคมีตามสูตรการผลิตเป็นการผสมเพื่ออัดแน่นฉีดเข้าแม่พิมพ์นําเข้าเตานึ่งประมาณ1ชั่วโมงกว่าแล้วนําเข้าเครื่องอบแห้ง25ชั่วโมงซึ่งมีตลาดปลายทางที่สําคัญคือกรมทางหลวงชนบทโดยกระทรวงคมนาคมดําเนินการรับซื้อผลิตภัณฑ์และนําไปติดตั้งในพื้นที่ต่างๆต่อไปปัจจุบันมีสถาบันเกษตรกรที่ดําเนินธุรกิจยางพารา661แห่งมีสมาชิกสหกรณ์ที่ประกอบอาชีพสวนยางพารารวม355,181รายมีสมาชิกในครัวเรือนที่ได้รับผลประโยชน์จํานวน1.42ล้านรายในปีการผลิต2562/63มีปริมาณน้ํายางพารารวม475,058ตันมูลค่า16,998ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ57จากผลผลิตทั้งหมดของสมาชิก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32490
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.