title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย เตรียมมาตรการรับแรงงานไทยกลับจากเกาหลีใต้
|
วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563
ไทย เตรียมมาตรการรับแรงงานไทยกลับจากเกาหลีใต้
นายกรัฐมนตรีมอบหน่วยงานเตรียมมาตรการรับแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากเกาหลีใต้ โดยเฉพาะ 2 เมืองพื้นที่เสี่ยง ให้กักตัวควบคุมโรคทุกราย ประสานทางการเกาหลีหลังรับรายงานตัวให้แรงงานกักตัวเองที่เกาหลี 14 วัน และตรวจคัดกรองก่อนขึ้นเครื่อง
นายกรัฐมนตรีมอบหน่วยงานเตรียมมาตรการรับแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากเกาหลีใต้ โดยเฉพาะ 2 เมืองพื้นที่เสี่ยง ให้กักตัวควบคุมโรคทุกราย ประสานทางการเกาหลีหลังรับรายงานตัวให้แรงงานกักตัวเองที่เกาหลี 14 วัน และตรวจคัดกรองก่อนขึ้นเครื่อง
วันนี้ (4 มีนาคม 2563) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขพร้อมด้วย นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ร่วมประชุมหารือมาตรการเร่งด่วนรองรับแรงงานเดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยง โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง ผู้บริหารจากกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ คมนาคม แรงงาน กลาโหม มหาดไทย สาธารณสุข ผู้ว่าราชการกทม. การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ร่วมประชุม
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า หากแรงงานไทยมีความประสงค์จะเดินทางกลับไทย รัฐบาลยินดีรับกลับ แต่ต้องทําให้ประเทศเราปลอดภัยที่สุด ต้องมีการควบคุมเฝ้าระวังโรค 14 วัน เบื้องต้นจะตรวจร่างกายที่ต้นทางประเทศเกาหลีใต้ก่อนจะขึ้นเครื่องมาประเทศไทย หากพบมีไข้จะกักตัวที่ประเทศเกาหลีใต้ก่อน แต่ถ้าหากพบการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะทําการรักษาที่ประเทศเกาหลีใต้จนหาย รัฐบาลจะหาวิธีการดีที่สุด โดยจะปรับแผน เฝ้าระวัง คัดกรองโรคตามสถานการณ์ รวมถึงการจัดเตรียมเวชภัณฑ์ในการรักษา ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เน้นย้ําว่าต้องการช่วยเหลือคนไทยก่อน และย้ําว่าไม่มีการลอยแพแน่นอน ที่สําคัญเมื่อแรงงานไทยกลับเข้าประเทศต้องสร้างความมั่นใจให้กับคนในประเทศด้วยว่า คนเหล่านี้จะไม่แพร่เชื้อในวงกว้าง ส่วนเรื่องสถานที่ในการกักตัวต้องมีการประชุมหารืออีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ แรงงานไทยที่ผิดกฎหมายในเกาหลีใต้มีความประสงค์กลับประเทศต้องไปรายงานตัวที่สํานักงานตรวจคนเข้าเมืองเกาหลีใต้ใช้ระยะเวลาประมาณ 5-15 วัน โดยในช่วงรายงานตัวมีการประสานทางการเกาหลีใต้และสถานทูตไทย เพื่อให้ทางการสามารถตรวจสอบยอดแรงงานไทยที่แน่นอนว่าจะกลับประเทศไทย
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในการดําเนินการตามมาตรการรองรับแรงงานไทยที่ทยอยเดินทางกลับจากประเทศเกาหลีใต้ โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานผิดกฎหมาย ให้มีการคัดกรองทุกคนตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่อง เมื่อมาถึงประเทศไทยจะคัดกรอง และแยกกลุ่มการจัดการเป็น 3 กลุ่ม กรณีที่พบว่าป่วยหรือสงสัยว่าป่วย จะส่งตัวเข้าระบบการตรวจวินิจฉัย รับไว้รักษาที่โรงพยาบาลที่กําหนดไว้ สําหรับกลุ่มที่ไม่มีอาการป่วยแต่เดินทางมาจากพื้นที่ที่พบความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คือเมืองแทกูและคย็องซังเหนือ จะถูกนํามากักตัวควบคุมโรคไว้ในสถานที่ที่รัฐบาลกําหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน ซึ่งจะเน้นให้อยู่พื้นที่ภูมิลําเนาหรือใกล้เคียง ส่วนกลุ่มแรงงานที่เดินทางมาจากเมืองอื่น จะต้องกักกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน โดยอยู่ในกํากับของผู้ว่าราชการจังหวัด สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด โดยกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขจะหารือกันเพื่อหาสถานที่เหมาะสมต่อไป
********************************** 4 มีนาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย เตรียมมาตรการรับแรงงานไทยกลับจากเกาหลีใต้
วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563
ไทย เตรียมมาตรการรับแรงงานไทยกลับจากเกาหลีใต้
นายกรัฐมนตรีมอบหน่วยงานเตรียมมาตรการรับแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากเกาหลีใต้ โดยเฉพาะ 2 เมืองพื้นที่เสี่ยง ให้กักตัวควบคุมโรคทุกราย ประสานทางการเกาหลีหลังรับรายงานตัวให้แรงงานกักตัวเองที่เกาหลี 14 วัน และตรวจคัดกรองก่อนขึ้นเครื่อง
นายกรัฐมนตรีมอบหน่วยงานเตรียมมาตรการรับแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากเกาหลีใต้ โดยเฉพาะ 2 เมืองพื้นที่เสี่ยง ให้กักตัวควบคุมโรคทุกราย ประสานทางการเกาหลีหลังรับรายงานตัวให้แรงงานกักตัวเองที่เกาหลี 14 วัน และตรวจคัดกรองก่อนขึ้นเครื่อง
วันนี้ (4 มีนาคม 2563) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขพร้อมด้วย นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ร่วมประชุมหารือมาตรการเร่งด่วนรองรับแรงงานเดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยง โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง ผู้บริหารจากกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ คมนาคม แรงงาน กลาโหม มหาดไทย สาธารณสุข ผู้ว่าราชการกทม. การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ร่วมประชุม
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า หากแรงงานไทยมีความประสงค์จะเดินทางกลับไทย รัฐบาลยินดีรับกลับ แต่ต้องทําให้ประเทศเราปลอดภัยที่สุด ต้องมีการควบคุมเฝ้าระวังโรค 14 วัน เบื้องต้นจะตรวจร่างกายที่ต้นทางประเทศเกาหลีใต้ก่อนจะขึ้นเครื่องมาประเทศไทย หากพบมีไข้จะกักตัวที่ประเทศเกาหลีใต้ก่อน แต่ถ้าหากพบการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะทําการรักษาที่ประเทศเกาหลีใต้จนหาย รัฐบาลจะหาวิธีการดีที่สุด โดยจะปรับแผน เฝ้าระวัง คัดกรองโรคตามสถานการณ์ รวมถึงการจัดเตรียมเวชภัณฑ์ในการรักษา ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เน้นย้ําว่าต้องการช่วยเหลือคนไทยก่อน และย้ําว่าไม่มีการลอยแพแน่นอน ที่สําคัญเมื่อแรงงานไทยกลับเข้าประเทศต้องสร้างความมั่นใจให้กับคนในประเทศด้วยว่า คนเหล่านี้จะไม่แพร่เชื้อในวงกว้าง ส่วนเรื่องสถานที่ในการกักตัวต้องมีการประชุมหารืออีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ แรงงานไทยที่ผิดกฎหมายในเกาหลีใต้มีความประสงค์กลับประเทศต้องไปรายงานตัวที่สํานักงานตรวจคนเข้าเมืองเกาหลีใต้ใช้ระยะเวลาประมาณ 5-15 วัน โดยในช่วงรายงานตัวมีการประสานทางการเกาหลีใต้และสถานทูตไทย เพื่อให้ทางการสามารถตรวจสอบยอดแรงงานไทยที่แน่นอนว่าจะกลับประเทศไทย
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในการดําเนินการตามมาตรการรองรับแรงงานไทยที่ทยอยเดินทางกลับจากประเทศเกาหลีใต้ โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานผิดกฎหมาย ให้มีการคัดกรองทุกคนตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่อง เมื่อมาถึงประเทศไทยจะคัดกรอง และแยกกลุ่มการจัดการเป็น 3 กลุ่ม กรณีที่พบว่าป่วยหรือสงสัยว่าป่วย จะส่งตัวเข้าระบบการตรวจวินิจฉัย รับไว้รักษาที่โรงพยาบาลที่กําหนดไว้ สําหรับกลุ่มที่ไม่มีอาการป่วยแต่เดินทางมาจากพื้นที่ที่พบความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คือเมืองแทกูและคย็องซังเหนือ จะถูกนํามากักตัวควบคุมโรคไว้ในสถานที่ที่รัฐบาลกําหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน ซึ่งจะเน้นให้อยู่พื้นที่ภูมิลําเนาหรือใกล้เคียง ส่วนกลุ่มแรงงานที่เดินทางมาจากเมืองอื่น จะต้องกักกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน โดยอยู่ในกํากับของผู้ว่าราชการจังหวัด สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด โดยกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขจะหารือกันเพื่อหาสถานที่เหมาะสมต่อไป
********************************** 4 มีนาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26907
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วันวิสาขบูชา
|
วันพุธที่ 6 พฤษภาคม 2563
วันวิสาขบูชา
โควิด-19 รู้ทันป้องกันได้
ฝึกจิตใจให้สงบ เจริญสติภาวนะ อยู่กับบ้าน ถือเป็นการทําบุญอีกวิธี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วันวิสาขบูชา
วันพุธที่ 6 พฤษภาคม 2563
วันวิสาขบูชา
โควิด-19 รู้ทันป้องกันได้
ฝึกจิตใจให้สงบ เจริญสติภาวนะ อยู่กับบ้าน ถือเป็นการทําบุญอีกวิธี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30372
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
|
วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม 2563
ธพว. ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
ธพว. ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19
ธพว. ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย และบรรเทาผลกระทบให้ลูกค้าจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และปัจจัยเศรษฐกิจ โดย MLR ลดลงร้อยละ 0.125 และ MRR ลดลงร้อยละ 0.250 มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 63 เป็นต้นไป
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยตามนโยบายรัฐบาล รวมถึง ตอบสนองทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย บรรเทาความเดือดร้อนให้กับลูกค้าของธนาคารจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และปัจจัยทางเศรษฐกิจ ธพว.จึงได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (Minimum Lending Rate : MLR) ลดลงร้อยละ 0.125 จากร้อยละ 6.875 ต่อปี เป็นร้อยละ 6.750 ต่อปี และสําหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate : MRR) ลดลงร้อยละ 0.250 จากร้อยละ 8.300 ต่อปี เป็นร้อยละ 8.050 ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ธพว. ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภท ใบรับเงินฝากประจํา (Receipt of Deposit) และเงินฝากประจํา ประเภทสมุดคู่ฝาก เฉลี่ยร้อยละ 0.22 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไปเช่นกัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม 2563
ธพว. ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
ธพว. ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19
ธพว. ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย และบรรเทาผลกระทบให้ลูกค้าจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และปัจจัยเศรษฐกิจ โดย MLR ลดลงร้อยละ 0.125 และ MRR ลดลงร้อยละ 0.250 มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 63 เป็นต้นไป
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยตามนโยบายรัฐบาล รวมถึง ตอบสนองทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย บรรเทาความเดือดร้อนให้กับลูกค้าของธนาคารจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และปัจจัยทางเศรษฐกิจ ธพว.จึงได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (Minimum Lending Rate : MLR) ลดลงร้อยละ 0.125 จากร้อยละ 6.875 ต่อปี เป็นร้อยละ 6.750 ต่อปี และสําหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate : MRR) ลดลงร้อยละ 0.250 จากร้อยละ 8.300 ต่อปี เป็นร้อยละ 8.050 ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ธพว. ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภท ใบรับเงินฝากประจํา (Receipt of Deposit) และเงินฝากประจํา ประเภทสมุดคู่ฝาก เฉลี่ยร้อยละ 0.22 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไปเช่นกัน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31748
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตรวจราชการและประชุม ครม. นอกสถานที่ ระนอง-ชุมพร
|
วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม 2561
ตรวจราชการและประชุม ครม. นอกสถานที่ ระนอง-ชุมพร
นายกรัฐมนตรีเตรียมนําคณะรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจราชการและประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดระนองและชุมพร ในวันที่ 20 – 21 ส.ค.นี้
อาทิตย์ที่ 19 ส.ค.61
ตรวจราชการและประชุม ครม. นอกสถานที่ ระนอง-ชุมพร
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
นายกรัฐมนตรีเตรียมนําคณะรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจราชการและประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดระนองและชุมพร ในวันที่ 20 – 21 ส.ค.นี้ โดยจะพบประชาชนและมอบสมุดประจําตัวที่ดินทํากินให้แก่ผู้มีรายได้น้อย เยี่ยมชมศูนย์ฟื้นฟูสภาพด้วยการแพทย์ทางเลือกโรงพยาบาลระนอง แหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นในพื้นที่ เช่น บ่อน้ําพุร้อน และเยี่ยมชมการบริหารจัดการท่าเรือ นอกจากนี้ ยังจะเดินทางไปติดตามโครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดําริ ส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติด้วยการปล่อยปูม้า 10 ล้านตัวคืนสู่ทะเล เยี่ยมชมการดําเนินงานของวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร และประชุมร่วมกับส่วนราชการและภาคเอกชน 10 จังหวัดภาคใต้ เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้นต่อไป
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตรวจราชการและประชุม ครม. นอกสถานที่ ระนอง-ชุมพร
วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม 2561
ตรวจราชการและประชุม ครม. นอกสถานที่ ระนอง-ชุมพร
นายกรัฐมนตรีเตรียมนําคณะรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจราชการและประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดระนองและชุมพร ในวันที่ 20 – 21 ส.ค.นี้
อาทิตย์ที่ 19 ส.ค.61
ตรวจราชการและประชุม ครม. นอกสถานที่ ระนอง-ชุมพร
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
นายกรัฐมนตรีเตรียมนําคณะรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจราชการและประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดระนองและชุมพร ในวันที่ 20 – 21 ส.ค.นี้ โดยจะพบประชาชนและมอบสมุดประจําตัวที่ดินทํากินให้แก่ผู้มีรายได้น้อย เยี่ยมชมศูนย์ฟื้นฟูสภาพด้วยการแพทย์ทางเลือกโรงพยาบาลระนอง แหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นในพื้นที่ เช่น บ่อน้ําพุร้อน และเยี่ยมชมการบริหารจัดการท่าเรือ นอกจากนี้ ยังจะเดินทางไปติดตามโครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดําริ ส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติด้วยการปล่อยปูม้า 10 ล้านตัวคืนสู่ทะเล เยี่ยมชมการดําเนินงานของวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร และประชุมร่วมกับส่วนราชการและภาคเอกชน 10 จังหวัดภาคใต้ เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้นต่อไป
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14839
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรรมการผู้อำนวยการและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
|
วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม 2561
กรรมการผู้อํานวยการและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
กรรมการผู้อํานวยการและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (3 พ.ค. 2561) เวลา 09.30 น. นายทะดะชิ มะเอะดะ กรรมการผู้อํานวยการและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้
กรรมการผู้อํานวยการ JBIC รายงานเกี่ยวกับความคืบหน้าในการผลักดันโครงการต่าง ๆ ภายใต้ EEC เช่น โครงการระบบรางต่าง ๆ โดยเน้น triple win คือ ได้รับประโยชน์ร่วมกัน ทั้งไทย ญี่ปุ่น และจีน โดยจะเป็นโครงการแรกที่ญี่ปุ่นและจีนจะทํางานร่วมกัน และการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรียินดีที่ทราบว่าญี่ปุ่นและจีนมีความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกันในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่ 3 โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินเป็นโครงการแรก ซึ่งจะส่งผลดีต่อความร่วมมือในภูมิภาค
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณที่ JBIC จะช่วยทําการศึกษา Smart City ใน EEC ด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา EEC ในภาพรวม และขอให้ JBIC หารือกับกระทรวงคมนาคม และเลขาธิการ EEC อย่างใกล้ชิดต่อไปเพื่อให้ทั้ง 2 โครงการมีความคืบหน้า และย้ําว่าไทยยินดีสนับสนุนภาคเอกชนญี่ปุ่นให้เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการต่าง ๆ ของ EEC เพิ่มเติม
กรรมการผู้อํานวยการ JBIC กล่าวว่า ญี่ปุ่นจะส่งผู้แทนระดับสูงมาเข้าร่วมในการประชุมสุดยอด ACMECS ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในวันที่ 15-16 มิถุนายน 2561 ซึ่งนายกรัฐมนตรีหวังว่า ญี่ปุ่นจะเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ CLMVT ในสาขาต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่ออนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง โดยในการประชุมดังกล่าวจะมีการประกาศแผนแม่บท ACMECS ซึ่งประกอบด้วย 3 เสาหลัก ได้แก่ 1. การเสริมสร้างความเชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อในอนุภูมิภาค 2. การสอดประสานด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการระดมทุนเพื่อจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ACMECS และ 3. การพัฒนาภูมิภาคในลักษณะยั่งยืนและมีนวัตกรรม
นายกรัฐมนตรีได้ย้ําให้ JBIC แบ่งปันประสบการณ์และสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนเกี่ยวกับประโยชน์ที่จะได้รับในโครงการต่าง ๆ ที่ JBIC มาร่วมลงทุน เนื่องจากปัจจุบันการประชาสัมพันธ์และการรับรู้ของภาคประชาชนมีความสําคัญต่อความสําเร็จในทุกโครงการและการพัฒนาพื้นที่
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความขอบคุณที่ JBIC ที่ช่วยประสานงานการประชุม High Level Joint Commission (HLJC) ครั้งที่ 4 ในเดือนกรกฎาคม อีกทางหนึ่ง ซึ่งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะเข้าร่วม โดยไทยมีความสนใจที่จะศึกษาเกี่ยวกับ CPTPP โดยขอให้ทางญี่ปุ่นช่วยศึกษาผลกระทบที่อาจมีต่อประเทศไทย โดยเฉพาะภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมยา ตลอดจนช่วยติดตามความคืบหน้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง และการลงทุนในระบบขนส่งทางรางเส้นทางอื่น ๆ ในกรุงเทพมหานคร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรรมการผู้อำนวยการและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม 2561
กรรมการผู้อํานวยการและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
กรรมการผู้อํานวยการและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (3 พ.ค. 2561) เวลา 09.30 น. นายทะดะชิ มะเอะดะ กรรมการผู้อํานวยการและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้
กรรมการผู้อํานวยการ JBIC รายงานเกี่ยวกับความคืบหน้าในการผลักดันโครงการต่าง ๆ ภายใต้ EEC เช่น โครงการระบบรางต่าง ๆ โดยเน้น triple win คือ ได้รับประโยชน์ร่วมกัน ทั้งไทย ญี่ปุ่น และจีน โดยจะเป็นโครงการแรกที่ญี่ปุ่นและจีนจะทํางานร่วมกัน และการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรียินดีที่ทราบว่าญี่ปุ่นและจีนมีความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกันในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่ 3 โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินเป็นโครงการแรก ซึ่งจะส่งผลดีต่อความร่วมมือในภูมิภาค
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณที่ JBIC จะช่วยทําการศึกษา Smart City ใน EEC ด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา EEC ในภาพรวม และขอให้ JBIC หารือกับกระทรวงคมนาคม และเลขาธิการ EEC อย่างใกล้ชิดต่อไปเพื่อให้ทั้ง 2 โครงการมีความคืบหน้า และย้ําว่าไทยยินดีสนับสนุนภาคเอกชนญี่ปุ่นให้เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการต่าง ๆ ของ EEC เพิ่มเติม
กรรมการผู้อํานวยการ JBIC กล่าวว่า ญี่ปุ่นจะส่งผู้แทนระดับสูงมาเข้าร่วมในการประชุมสุดยอด ACMECS ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในวันที่ 15-16 มิถุนายน 2561 ซึ่งนายกรัฐมนตรีหวังว่า ญี่ปุ่นจะเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ CLMVT ในสาขาต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่ออนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง โดยในการประชุมดังกล่าวจะมีการประกาศแผนแม่บท ACMECS ซึ่งประกอบด้วย 3 เสาหลัก ได้แก่ 1. การเสริมสร้างความเชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อในอนุภูมิภาค 2. การสอดประสานด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการระดมทุนเพื่อจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ACMECS และ 3. การพัฒนาภูมิภาคในลักษณะยั่งยืนและมีนวัตกรรม
นายกรัฐมนตรีได้ย้ําให้ JBIC แบ่งปันประสบการณ์และสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนเกี่ยวกับประโยชน์ที่จะได้รับในโครงการต่าง ๆ ที่ JBIC มาร่วมลงทุน เนื่องจากปัจจุบันการประชาสัมพันธ์และการรับรู้ของภาคประชาชนมีความสําคัญต่อความสําเร็จในทุกโครงการและการพัฒนาพื้นที่
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความขอบคุณที่ JBIC ที่ช่วยประสานงานการประชุม High Level Joint Commission (HLJC) ครั้งที่ 4 ในเดือนกรกฎาคม อีกทางหนึ่ง ซึ่งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะเข้าร่วม โดยไทยมีความสนใจที่จะศึกษาเกี่ยวกับ CPTPP โดยขอให้ทางญี่ปุ่นช่วยศึกษาผลกระทบที่อาจมีต่อประเทศไทย โดยเฉพาะภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมยา ตลอดจนช่วยติดตามความคืบหน้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง และการลงทุนในระบบขนส่งทางรางเส้นทางอื่น ๆ ในกรุงเทพมหานคร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11936
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการดำเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ ประจำเดือนสิงหาคม 2561
|
วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2561
รายงานความคืบหน้าการดําเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ ประจําเดือนสิงหาคม 2561
รายงานความคืบหน้าการดําเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ (National Startup Committee: NSC) (คณะกรรมการฯ) ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานคณะกรรมการฯ ประจําเดือนสิงหาคม 2561
นายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะรองโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานความคืบหน้าการดําเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ (National Startup Committee: NSC) (คณะกรรมการฯ) ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานคณะกรรมการฯ ประจําเดือนสิงหาคม 2561 โดยมีรายละเอียด สรุปได้ ดังนี้
1. จํานวนวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ในประเทศไทย
1.1 จํานวน Startup ที่ลงทะเบียนกับ http://startupthailand.org ของสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ จํานวน 1,700 ราย
1.2 จํานวนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรายใหม่ (SMEs/New Startup) ที่ขอรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 658) พ.ศ. 2561 เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับกําไรสุทธิของ SMEs/New Startup เป็นระยะเวลา 5 รอบระยะเวลาบัญชี ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2561 มียอดรวมของ SMEs/New Startup เข้ามาจดทะเบียนและยื่นขอรับการรับรองกับสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แล้วจํานวน 157 ราย ได้รับการรับรองจาก สวทช. แล้วจํานวน 103 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 3 ราย และได้ขอใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับกรมสรรพากรแล้วจํานวน 83 ราย
1.3 จํานวน Startup ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ผ่านการร่วมลงทุนกับธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ณ สิ้นเดือนสิงหาคม2561 มียอดรวมของการอนุมัติการร่วมลงทุนใน Startup แล้ว 46 ราย วงเงินรวม 1,263.7 ล้านบาท โดยมี Startup 12 ราย ที่ได้มีการร่วมลงทุนแล้ว คิดเป็นเงินร่วมลงทุน 302.4 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับเดือนที่แล้ว มีกิจการ Startup ที่ได้รับอนุมัติการร่วมลงทุนเพิ่มจํานวน 2 ราย วงเงิน 51.4 ล้านบาท และมีการร่วมลงทุนเพิ่มขึ้น 26.4 ล้านบาท
2. จํานวนกลุ่มนักลงทุนในประเทศไทย
2.1 จํานวนกลุ่มนักลงทุนที่ลงทะเบียนกับ Web Portal ปัจจุบันมีกลุ่มนักลงทุนเข้าลงทะเบียนบนเว็บไซต์ http://startupthailand.org แล้วจํานวน 400 ราย
2.2 กิจการเงินร่วมลงทุน (Venture Capital: VC) และทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน (Private Equity Trust: PE Trust) ที่ขอรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 636) พ.ศ. 2560 เพื่อขอรับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้จากเงินปันผลและรายได้จากการโอนหุ้นของบริษัทเป้าหมาย เป็นระยะเวลา 10 รอบระยะเวลาบัญชี ในเดือนสิงหาคม 2561 พบว่า ผู้จดแจ้งการเป็น VC และ PE Trust กับสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มีจํานวนทั้งสิ้น 32 ราย
3. กิจกรรมสําคัญในเดือนสิงหาคม 2561
3.1 การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการโครงการการพัฒนาครูและบุคลากรในสถาบันการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษาด้านมายเซ็ตการประกอบการ ครั้งที่ 6
คณะกรรมการฯ ร่วมกับสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมบัญชีกลาง และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จัดการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการโครงการพัฒนาครูและบุคลากรในสถาบันการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษาด้านมายเซ็ตการประกอบการ (การฝึกอบรมฯ) ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 27 - 28 สิงหาคม 2561 ณ โรงแรม 42C เดอะ ชิค โฮเทล จังหวัดนครสวรรค์ โดยมีผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมทั้งหมด 74 ท่าน ประกอบด้วยคลังจังหวัด 3 ท่าน เจ้าหน้าที่คณะผู้บริหารการคลังประจําจังหวัด 17 ท่าน และครูจํานวน 54 ท่าน (จาก 25 โรงเรียน ในพื้นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง ทั้งหมด 11 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง ชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี อุทัยธานี นครสวรรค์ กําแพงเพชร พิจิตร และเพชรบูรณ์)
3.2 งาน CLMVT Forum 2018
กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ซึ่งประกอบด้วยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ําโขง และสมาคม
ที่เกี่ยวข้อง จัดงาน “CLMVT Forum 2018” ภายใต้แนวคิด “ทะยานสู่อนาคตด้วยการใช้เทคโนโลยี” (CLMVT Forum 2018 Taking - Off Through Technology) ระหว่างวันที่ 16 - 17 สิงหาคม 2561 โรงแรมเซ็นทารา
แกรนด์ และบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ โดยในงานดังกล่าวได้มีการเสวนาในหัวข้อการเพิ่มความสามารถในการใช้เทคโนโลยีของ SMEs และ Startup และการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการสนับสนุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ อีกทั้งมีการเปิดตัวกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (Young Enterpreneur chamber of commerce: YEC)
และแอปพลิเคชั่น Town Portal ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงการค้าและเศรษฐกิจท้องถิ่นใน CLMVT รวมถึงการสนทนาสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักธุรกิจ Startup นอกจากนี้ ภายในงานได้มีการจัดแสดงนิทรรศการช่องทางการค้ารูปแบบธุรกิจสมัยใหม่ รวมถึง Startup ภายใต้การสนับสนุนของสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ อาทิ (1) Tarad.com เว็บไซต์ซื้อขายสินค้าออนไลน์
(2) Builk โปรแกรมบริหารธุรกิจก่อสร้าง (3) Fixzy แอปพลิเคชันเพื่อค้นหาสารพัดช่าง (4) QueQ แอปพลิเคชั่นจองคิวร้านค้า และ (5) Kooup แอปพลิเคชั่นหาคู่ที่ใช้ระบบค้นหาหลากหลายช่องทาง ซึ่งเป็นหนึ่งใน Startup ที่เข้าร่วมโครงการบ่มเพาะ SPARK Global Accelerator Program Batch 2
3.3 ความคืบหน้าการยกร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาและส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น พ.ศ. .... (ร่างพระราชบัญญัติฯ)
สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติในฐานะหน่วยงานหลักในการยกร่างพระราชบัญญัติฯ ได้จัดให้มีการประชุมคณะทํางานจัดทําร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาและส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561 ณ โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส โดยมีนายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อํานวยการสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติเป็นประธาน และสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติได้เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวผ่านทางเว็บไซต์ของสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ เป็นระยะเวลา 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม - 14 กันยายน 2561
สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง สํานักนโยบายการออมและการลงทุน ส่วนนโยบายระบบการลงทุน
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3649, 3654
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการดำเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ ประจำเดือนสิงหาคม 2561
วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2561
รายงานความคืบหน้าการดําเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ ประจําเดือนสิงหาคม 2561
รายงานความคืบหน้าการดําเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ (National Startup Committee: NSC) (คณะกรรมการฯ) ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานคณะกรรมการฯ ประจําเดือนสิงหาคม 2561
นายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะรองโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานความคืบหน้าการดําเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ (National Startup Committee: NSC) (คณะกรรมการฯ) ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานคณะกรรมการฯ ประจําเดือนสิงหาคม 2561 โดยมีรายละเอียด สรุปได้ ดังนี้
1. จํานวนวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ในประเทศไทย
1.1 จํานวน Startup ที่ลงทะเบียนกับ http://startupthailand.org ของสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ จํานวน 1,700 ราย
1.2 จํานวนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรายใหม่ (SMEs/New Startup) ที่ขอรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 658) พ.ศ. 2561 เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับกําไรสุทธิของ SMEs/New Startup เป็นระยะเวลา 5 รอบระยะเวลาบัญชี ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2561 มียอดรวมของ SMEs/New Startup เข้ามาจดทะเบียนและยื่นขอรับการรับรองกับสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แล้วจํานวน 157 ราย ได้รับการรับรองจาก สวทช. แล้วจํานวน 103 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 3 ราย และได้ขอใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับกรมสรรพากรแล้วจํานวน 83 ราย
1.3 จํานวน Startup ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ผ่านการร่วมลงทุนกับธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ณ สิ้นเดือนสิงหาคม2561 มียอดรวมของการอนุมัติการร่วมลงทุนใน Startup แล้ว 46 ราย วงเงินรวม 1,263.7 ล้านบาท โดยมี Startup 12 ราย ที่ได้มีการร่วมลงทุนแล้ว คิดเป็นเงินร่วมลงทุน 302.4 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับเดือนที่แล้ว มีกิจการ Startup ที่ได้รับอนุมัติการร่วมลงทุนเพิ่มจํานวน 2 ราย วงเงิน 51.4 ล้านบาท และมีการร่วมลงทุนเพิ่มขึ้น 26.4 ล้านบาท
2. จํานวนกลุ่มนักลงทุนในประเทศไทย
2.1 จํานวนกลุ่มนักลงทุนที่ลงทะเบียนกับ Web Portal ปัจจุบันมีกลุ่มนักลงทุนเข้าลงทะเบียนบนเว็บไซต์ http://startupthailand.org แล้วจํานวน 400 ราย
2.2 กิจการเงินร่วมลงทุน (Venture Capital: VC) และทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน (Private Equity Trust: PE Trust) ที่ขอรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 636) พ.ศ. 2560 เพื่อขอรับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้จากเงินปันผลและรายได้จากการโอนหุ้นของบริษัทเป้าหมาย เป็นระยะเวลา 10 รอบระยะเวลาบัญชี ในเดือนสิงหาคม 2561 พบว่า ผู้จดแจ้งการเป็น VC และ PE Trust กับสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มีจํานวนทั้งสิ้น 32 ราย
3. กิจกรรมสําคัญในเดือนสิงหาคม 2561
3.1 การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการโครงการการพัฒนาครูและบุคลากรในสถาบันการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษาด้านมายเซ็ตการประกอบการ ครั้งที่ 6
คณะกรรมการฯ ร่วมกับสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมบัญชีกลาง และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จัดการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการโครงการพัฒนาครูและบุคลากรในสถาบันการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษาด้านมายเซ็ตการประกอบการ (การฝึกอบรมฯ) ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 27 - 28 สิงหาคม 2561 ณ โรงแรม 42C เดอะ ชิค โฮเทล จังหวัดนครสวรรค์ โดยมีผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมทั้งหมด 74 ท่าน ประกอบด้วยคลังจังหวัด 3 ท่าน เจ้าหน้าที่คณะผู้บริหารการคลังประจําจังหวัด 17 ท่าน และครูจํานวน 54 ท่าน (จาก 25 โรงเรียน ในพื้นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง ทั้งหมด 11 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง ชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี อุทัยธานี นครสวรรค์ กําแพงเพชร พิจิตร และเพชรบูรณ์)
3.2 งาน CLMVT Forum 2018
กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ซึ่งประกอบด้วยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ําโขง และสมาคม
ที่เกี่ยวข้อง จัดงาน “CLMVT Forum 2018” ภายใต้แนวคิด “ทะยานสู่อนาคตด้วยการใช้เทคโนโลยี” (CLMVT Forum 2018 Taking - Off Through Technology) ระหว่างวันที่ 16 - 17 สิงหาคม 2561 โรงแรมเซ็นทารา
แกรนด์ และบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ โดยในงานดังกล่าวได้มีการเสวนาในหัวข้อการเพิ่มความสามารถในการใช้เทคโนโลยีของ SMEs และ Startup และการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการสนับสนุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ อีกทั้งมีการเปิดตัวกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (Young Enterpreneur chamber of commerce: YEC)
และแอปพลิเคชั่น Town Portal ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงการค้าและเศรษฐกิจท้องถิ่นใน CLMVT รวมถึงการสนทนาสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักธุรกิจ Startup นอกจากนี้ ภายในงานได้มีการจัดแสดงนิทรรศการช่องทางการค้ารูปแบบธุรกิจสมัยใหม่ รวมถึง Startup ภายใต้การสนับสนุนของสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ อาทิ (1) Tarad.com เว็บไซต์ซื้อขายสินค้าออนไลน์
(2) Builk โปรแกรมบริหารธุรกิจก่อสร้าง (3) Fixzy แอปพลิเคชันเพื่อค้นหาสารพัดช่าง (4) QueQ แอปพลิเคชั่นจองคิวร้านค้า และ (5) Kooup แอปพลิเคชั่นหาคู่ที่ใช้ระบบค้นหาหลากหลายช่องทาง ซึ่งเป็นหนึ่งใน Startup ที่เข้าร่วมโครงการบ่มเพาะ SPARK Global Accelerator Program Batch 2
3.3 ความคืบหน้าการยกร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาและส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น พ.ศ. .... (ร่างพระราชบัญญัติฯ)
สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติในฐานะหน่วยงานหลักในการยกร่างพระราชบัญญัติฯ ได้จัดให้มีการประชุมคณะทํางานจัดทําร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาและส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561 ณ โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส โดยมีนายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อํานวยการสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติเป็นประธาน และสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติได้เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวผ่านทางเว็บไซต์ของสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ เป็นระยะเวลา 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม - 14 กันยายน 2561
สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง สํานักนโยบายการออมและการลงทุน ส่วนนโยบายระบบการลงทุน
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3649, 3654
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15223
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมการประชุม “Manufacturing Revolution to Promote Global Resilience” พร้อมหารือแนวทางการพัฒนาประเทศด้วยดิจิทัล ที่ประเทศอิตาลี
|
วันอังคารที่ 2 ตุลาคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมการประชุม “Manufacturing Revolution to Promote Global Resilience” พร้อมหารือแนวทางการพัฒนาประเทศด้วยดิจิทัล ที่ประเทศอิตาลี
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เดินทางเยือนสาธารณรัฐอิตาลี ตามคําเชิญขององค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) และ World Manufacturing Forum เพื่อเข้าร่วมการประชุมประจําปี “Manufacturing Revolution to Promote Global Resilience” เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2561 ณ เมืองโคโม่ (Province of Como) แคว้นลอมบาร์เดีย (Lombardy) โดย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ได้มีโอกาสเป็นผู้บรรยายแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์ ในหัวข้อ “Manufacturing as a Powerhouse of Emerging Countries” โดยได้กล่าวถึงความพยายามของรัฐบาลไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจะนําไปสู่การพัฒนาประเทศ ซึ่งงานฯ ดังกล่าว มีผู้เข้ารับฟังกว่า 800 คน และในวันที่ 29 ตุลาคม 2561 รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ร่วมหารือทวิภาคีกับ นาย Li Yong ผู้อํานวยการองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติยูนิโด (The United Nations Industrial Developments Organization : UNIDO) หน่วยงานหนึ่งขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งรับผิดชอบในการประสานงานกิจกรรมด้านอุตสาหกรรมของหน่วยงานและองค์การในเครือสหประชาชาติ ซึ่งจากการหารือพบว่า UNIDO มีความสนใจในโครงการที่เกี่ยวข้องกับเมืองอัจฉริยะ (Smart City) พร้อมกับการพัฒนาของเมือง และโครงการที่เกี่ยวข้องกับการนําเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่อยู่ในกลุ่มของ SME และวิสาหกิจชุมชน นอกจากนี้ ดร.พิเชฐฯ ยังได้หารือกับ นาย Alberto Ribolla ประธาน World Manufacturing Foundation เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางในการดําเนินงาน และบทบาทของกระทรวงดิจิทัลฯ ที่สนับสนุนให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล เพื่อลดความแตกต่างในการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลช่วยในการพัฒนาบุคลากรอีกด้วย
************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมการประชุม “Manufacturing Revolution to Promote Global Resilience” พร้อมหารือแนวทางการพัฒนาประเทศด้วยดิจิทัล ที่ประเทศอิตาลี
วันอังคารที่ 2 ตุลาคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมการประชุม “Manufacturing Revolution to Promote Global Resilience” พร้อมหารือแนวทางการพัฒนาประเทศด้วยดิจิทัล ที่ประเทศอิตาลี
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เดินทางเยือนสาธารณรัฐอิตาลี ตามคําเชิญขององค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) และ World Manufacturing Forum เพื่อเข้าร่วมการประชุมประจําปี “Manufacturing Revolution to Promote Global Resilience” เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2561 ณ เมืองโคโม่ (Province of Como) แคว้นลอมบาร์เดีย (Lombardy) โดย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ได้มีโอกาสเป็นผู้บรรยายแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์ ในหัวข้อ “Manufacturing as a Powerhouse of Emerging Countries” โดยได้กล่าวถึงความพยายามของรัฐบาลไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจะนําไปสู่การพัฒนาประเทศ ซึ่งงานฯ ดังกล่าว มีผู้เข้ารับฟังกว่า 800 คน และในวันที่ 29 ตุลาคม 2561 รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ร่วมหารือทวิภาคีกับ นาย Li Yong ผู้อํานวยการองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติยูนิโด (The United Nations Industrial Developments Organization : UNIDO) หน่วยงานหนึ่งขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งรับผิดชอบในการประสานงานกิจกรรมด้านอุตสาหกรรมของหน่วยงานและองค์การในเครือสหประชาชาติ ซึ่งจากการหารือพบว่า UNIDO มีความสนใจในโครงการที่เกี่ยวข้องกับเมืองอัจฉริยะ (Smart City) พร้อมกับการพัฒนาของเมือง และโครงการที่เกี่ยวข้องกับการนําเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่อยู่ในกลุ่มของ SME และวิสาหกิจชุมชน นอกจากนี้ ดร.พิเชฐฯ ยังได้หารือกับ นาย Alberto Ribolla ประธาน World Manufacturing Foundation เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางในการดําเนินงาน และบทบาทของกระทรวงดิจิทัลฯ ที่สนับสนุนให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล เพื่อลดความแตกต่างในการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลช่วยในการพัฒนาบุคลากรอีกด้วย
************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15803
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.3 มอบนโยบาย OTOP ทั่วไทย บูรณาการรัฐ เอกชน ผู้ผลิต เพิ่มช่องทางการจำหน่าย เพิ่มรายได้ให้ประชาชน
|
วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2562
มท.3 มอบนโยบาย OTOP ทั่วไทย บูรณาการรัฐ เอกชน ผู้ผลิต เพิ่มช่องทางการจําหน่าย เพิ่มรายได้ให้ประชาชน
มท.3 มอบนโยบาย OTOP ทั่วไทย บูรณาการรัฐ เอกชน ผู้ผลิต
เพิ่มช่องทางการจําหน่าย เพิ่มรายได้ให้ประชาชน
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน 2562นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.3)เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเชื่อมโยงและการขับเคลื่อนแผนการดําเนินงานOTOPในระดับพื้นที่ ณ ห้องประชุมศูนย์โอทอป คอมเพล็กซ์พุแค จ.สระบุรี โดยมีดร.วิเชียร จงชูวณิชย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุกรี มะเต๊ะ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะทํางานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยร่วมเป็นเกียรติ โอกาสนี้นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายเกียรติศักดิ์ ตรงศิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีพัฒนาการจังหวัด 76 จังหวัด ประธานบริษัทโอทอปอินเตอร์ เทรดเดอร์ (ประเทศไทย) จํากัด ประธานเครือข่ายOTOPระดับประเทศ ประธานเครือข่ายOTOPจังหวัด และโอทอปเทรดเดอร์ ตัวแทนจังหวัดทุกจังหวัด ร่วมรับฟัง
นายทรงศักดิ์ ทองศรีกล่าวว่า การทํางานร่วมกันเป็นสิ่งจําเป็น โดยต้องบูรณาการการทํางานให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ภาครัฐต้องเป็นผู้สนับสนุนทั้งข้อมูล ช่องทาง งบประมาณ การฝึกอบรม ส่วนภาคเอกชนต้องรู้เท่าทันเทคโนโลยี สร้างช่องทางจําหน่ายใหม่ให้เข้าถึงคนทุกวัย และให้การสนับสนุนผู้ผลิตสินค้าให้เจริญเติบโตไปด้วยกัน“กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว ความสําเร็จก็เช่นกัน ต้องทุ่มเท ผ่านการลองทําผิดถูก ต่อยอดจากผู้สําเร็จให้ดีและพัฒนายิ่งๆ ขึ้นไป ทั้งนี้ หากล้มเหลวก็ยังมีกําไรที่ได้เรียนรู้ร่วมกัน เกิดประสบการณ์ สังคมเปลี่ยนทุกวัน จึงควรรู้เท่าทันโลกรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง”
นายทรงศักดิ์ ทองศรีกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ช่องทางจําหน่ายสินค้าOTOPเป็นสิ่งสําคัญที่สุดของกระบวนการ“ขายใคร ขายที่ไหน ขายอย่างไร?”วันนี้ได้มารับผิดชอบหน่วยงานสําคัญในกระทรวงมหาดไทย รวมถึงภาคีเครือข่ายหน่วยภาคราชการก็จะใช้หน่วยงานดังกล่าวนี้ให้เป็นประโยชน์สูงสุดในการเข้ามาเป็นอีกช่องทางจําหน่ายที่สําคัญ เช่น องค์การตลาด (อต.) กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข หรือตลาดของโรงเรียน เป็นต้น ซึ่งจะทําให้เพิ่มมูลค่าของการจําหน่ายสินค้าOTOPได้ในอนาคต โดยโอทอปเทรดเดอร์ถือเป็นกลไกสําคัญที่ต้องส่งเสริมและบูรณาการทุกภาคส่วนไปสู่เป้าหมายความสําเร็จที่กรมการพัฒนาชุมชนตั้งไว้ คือ“กินอิ่ม หนี้ลด นอนอุ่น หมดจน”
จากนั้นนายทรงศักดิ์ ทองศรีได้เดินเยี่ยมชมตลาดหัวปลี พุแค พบปะกับผู้ค้าในตลาด รวมกว่า 100 ร้านค้า บนพื้นที่ 15 ไร่ หากนับรวมพื้นที่ทั้งหมดของโครงการทั้งสิ้นกว่า 60 ไร่ ถือเป็นการร่วมกันบริหารจัดการของชุมชนที่เข้มแข็ง สร้างรายได้หมุนเวียน กว่า 10 ล้านบาทต่อเดือน อันเป็นความสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรมที่เป็นตัวอย่างของการบูรณาการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในระดับฐานรากได้อย่างแท้จริง.
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 154/2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.3 มอบนโยบาย OTOP ทั่วไทย บูรณาการรัฐ เอกชน ผู้ผลิต เพิ่มช่องทางการจำหน่าย เพิ่มรายได้ให้ประชาชน
วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2562
มท.3 มอบนโยบาย OTOP ทั่วไทย บูรณาการรัฐ เอกชน ผู้ผลิต เพิ่มช่องทางการจําหน่าย เพิ่มรายได้ให้ประชาชน
มท.3 มอบนโยบาย OTOP ทั่วไทย บูรณาการรัฐ เอกชน ผู้ผลิต
เพิ่มช่องทางการจําหน่าย เพิ่มรายได้ให้ประชาชน
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน 2562นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.3)เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเชื่อมโยงและการขับเคลื่อนแผนการดําเนินงานOTOPในระดับพื้นที่ ณ ห้องประชุมศูนย์โอทอป คอมเพล็กซ์พุแค จ.สระบุรี โดยมีดร.วิเชียร จงชูวณิชย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุกรี มะเต๊ะ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะทํางานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยร่วมเป็นเกียรติ โอกาสนี้นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายเกียรติศักดิ์ ตรงศิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีพัฒนาการจังหวัด 76 จังหวัด ประธานบริษัทโอทอปอินเตอร์ เทรดเดอร์ (ประเทศไทย) จํากัด ประธานเครือข่ายOTOPระดับประเทศ ประธานเครือข่ายOTOPจังหวัด และโอทอปเทรดเดอร์ ตัวแทนจังหวัดทุกจังหวัด ร่วมรับฟัง
นายทรงศักดิ์ ทองศรีกล่าวว่า การทํางานร่วมกันเป็นสิ่งจําเป็น โดยต้องบูรณาการการทํางานให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ภาครัฐต้องเป็นผู้สนับสนุนทั้งข้อมูล ช่องทาง งบประมาณ การฝึกอบรม ส่วนภาคเอกชนต้องรู้เท่าทันเทคโนโลยี สร้างช่องทางจําหน่ายใหม่ให้เข้าถึงคนทุกวัย และให้การสนับสนุนผู้ผลิตสินค้าให้เจริญเติบโตไปด้วยกัน“กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว ความสําเร็จก็เช่นกัน ต้องทุ่มเท ผ่านการลองทําผิดถูก ต่อยอดจากผู้สําเร็จให้ดีและพัฒนายิ่งๆ ขึ้นไป ทั้งนี้ หากล้มเหลวก็ยังมีกําไรที่ได้เรียนรู้ร่วมกัน เกิดประสบการณ์ สังคมเปลี่ยนทุกวัน จึงควรรู้เท่าทันโลกรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง”
นายทรงศักดิ์ ทองศรีกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ช่องทางจําหน่ายสินค้าOTOPเป็นสิ่งสําคัญที่สุดของกระบวนการ“ขายใคร ขายที่ไหน ขายอย่างไร?”วันนี้ได้มารับผิดชอบหน่วยงานสําคัญในกระทรวงมหาดไทย รวมถึงภาคีเครือข่ายหน่วยภาคราชการก็จะใช้หน่วยงานดังกล่าวนี้ให้เป็นประโยชน์สูงสุดในการเข้ามาเป็นอีกช่องทางจําหน่ายที่สําคัญ เช่น องค์การตลาด (อต.) กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข หรือตลาดของโรงเรียน เป็นต้น ซึ่งจะทําให้เพิ่มมูลค่าของการจําหน่ายสินค้าOTOPได้ในอนาคต โดยโอทอปเทรดเดอร์ถือเป็นกลไกสําคัญที่ต้องส่งเสริมและบูรณาการทุกภาคส่วนไปสู่เป้าหมายความสําเร็จที่กรมการพัฒนาชุมชนตั้งไว้ คือ“กินอิ่ม หนี้ลด นอนอุ่น หมดจน”
จากนั้นนายทรงศักดิ์ ทองศรีได้เดินเยี่ยมชมตลาดหัวปลี พุแค พบปะกับผู้ค้าในตลาด รวมกว่า 100 ร้านค้า บนพื้นที่ 15 ไร่ หากนับรวมพื้นที่ทั้งหมดของโครงการทั้งสิ้นกว่า 60 ไร่ ถือเป็นการร่วมกันบริหารจัดการของชุมชนที่เข้มแข็ง สร้างรายได้หมุนเวียน กว่า 10 ล้านบาทต่อเดือน อันเป็นความสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรมที่เป็นตัวอย่างของการบูรณาการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในระดับฐานรากได้อย่างแท้จริง.
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 154/2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23284
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมนำคณะผู้แทนไทยร่วมประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติด สมัยที่ 62 ที่สาธารณรัฐออสเตรีย
|
วันอังคารที่ 12 มีนาคม 2562
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมนําคณะผู้แทนไทยร่วมประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติด สมัยที่ 62 ที่สาธารณรัฐออสเตรีย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมนําคณะผู้แทนไทยร่วมประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติด
สมัยที่ 62 ที่สาธารณรัฐออสเตรีย
ในระหว่างวันที่ 13 - 16 มีนาคม 2562 พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะเป็นหัวหน้าคณะนําคณะผู้แทนไทยจากส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในด้านการปราบปรามยาเสพติด
เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติด (Commission on Narcotic Drugs : CND) สมัยที่ 62 ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย ซึ่งจัดโดยสํานักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (Unted Nations Office on Drugs and Crime : UNODC)
สําหรับการประชุม ฯ ครั้งนี้ประกอบไปด้วยการประชุมระดับรัฐมนตรี (Ministerial Segment) และการประชุมสมัยปกติ (Regular Session)
ทั้งนี้การประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติดเป็นการประชุมสําคัญระดับโลกด้านนโยบายยาเสพติด มีกําหนดจัดขึ้นเป็นประจําในห้วงเดือนมีนาคมของทุกปี โดยเนื้อหาของการประชุมระดับรัฐมนตรีจะเน้นการติดตามการปฏิบัติตามปฏิญญาทางการเมือง พ.ศ.2552 และแผนปฏิบัติการว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศที่มีต่อยุทธศาสตร์เชิงบูรณาการและสมดุลเพื่อต่อต้านปัญหายาเสพติดโลก พ.ศ. 2552 (Political Declaration towards and Intergrated and Balanced Strategy to Counter the World Drug Problem) ระยะ 10 ปี (พ.ศ.2552 - 2562) ที่ครอบคลุมทั้งด้านการลดอุปสงค์และอุปทานยาเสพติด ส่วนการประชุมสมัยปกติซึ่งเป็นการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส จะเน้นการติดตามการปฏิบัติตามข้อกําหนดของอนุสัญญาควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ 3 ฉบับและติดตามการดําเนินงานแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐสมาชิกคณะกรรมาธิการยาเสพติดและสหประชาชาติ
ในการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยจะได้เข้าร่วมการอภิปรายโต๊ะกลมแบบมีส่วนร่วมของผู้ที่มีส่วนได้เสียหลายฝ่ายระดับรัฐมนตรี พร้อมทั้งร่วมกล่าวอภิปรายทั่วไป(ถ้อยแถลง) ในนามรัฐบาลไทยเกี่ยวกับนโยบายและการดําเนินงานแก้ไขปัญหายาเสพติดของไทย และการหารือข้อราชการหรือการประชุมทวิภาคีกับผู้บริหารระดับสูงจากต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศด้วย
.................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูลโดยพลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมนำคณะผู้แทนไทยร่วมประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติด สมัยที่ 62 ที่สาธารณรัฐออสเตรีย
วันอังคารที่ 12 มีนาคม 2562
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมนําคณะผู้แทนไทยร่วมประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติด สมัยที่ 62 ที่สาธารณรัฐออสเตรีย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมนําคณะผู้แทนไทยร่วมประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติด
สมัยที่ 62 ที่สาธารณรัฐออสเตรีย
ในระหว่างวันที่ 13 - 16 มีนาคม 2562 พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะเป็นหัวหน้าคณะนําคณะผู้แทนไทยจากส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในด้านการปราบปรามยาเสพติด
เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติด (Commission on Narcotic Drugs : CND) สมัยที่ 62 ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย ซึ่งจัดโดยสํานักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (Unted Nations Office on Drugs and Crime : UNODC)
สําหรับการประชุม ฯ ครั้งนี้ประกอบไปด้วยการประชุมระดับรัฐมนตรี (Ministerial Segment) และการประชุมสมัยปกติ (Regular Session)
ทั้งนี้การประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติดเป็นการประชุมสําคัญระดับโลกด้านนโยบายยาเสพติด มีกําหนดจัดขึ้นเป็นประจําในห้วงเดือนมีนาคมของทุกปี โดยเนื้อหาของการประชุมระดับรัฐมนตรีจะเน้นการติดตามการปฏิบัติตามปฏิญญาทางการเมือง พ.ศ.2552 และแผนปฏิบัติการว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศที่มีต่อยุทธศาสตร์เชิงบูรณาการและสมดุลเพื่อต่อต้านปัญหายาเสพติดโลก พ.ศ. 2552 (Political Declaration towards and Intergrated and Balanced Strategy to Counter the World Drug Problem) ระยะ 10 ปี (พ.ศ.2552 - 2562) ที่ครอบคลุมทั้งด้านการลดอุปสงค์และอุปทานยาเสพติด ส่วนการประชุมสมัยปกติซึ่งเป็นการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส จะเน้นการติดตามการปฏิบัติตามข้อกําหนดของอนุสัญญาควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ 3 ฉบับและติดตามการดําเนินงานแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐสมาชิกคณะกรรมาธิการยาเสพติดและสหประชาชาติ
ในการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยจะได้เข้าร่วมการอภิปรายโต๊ะกลมแบบมีส่วนร่วมของผู้ที่มีส่วนได้เสียหลายฝ่ายระดับรัฐมนตรี พร้อมทั้งร่วมกล่าวอภิปรายทั่วไป(ถ้อยแถลง) ในนามรัฐบาลไทยเกี่ยวกับนโยบายและการดําเนินงานแก้ไขปัญหายาเสพติดของไทย และการหารือข้อราชการหรือการประชุมทวิภาคีกับผู้บริหารระดับสูงจากต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศด้วย
.................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูลโดยพลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19282
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเน้นย้ำหนุนอาเซียนรวมเป็นหนึ่ง สานต่อแผนงานโครงการเพื่อความยั่งยืนภาคเกษตรและป่าไม้
|
วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน 2560
ไทยเน้นย้ําหนุนอาเซียนรวมเป็นหนึ่ง สานต่อแผนงานโครงการเพื่อความยั่งยืนภาคเกษตรและป่าไม้
ไทยเน้นย้ําหนุนอาเซียนรวมเป็นหนึ่ง สานต่อแผนงานโครงการเพื่อความยั่งยืนภาคเกษตรและป่าไม้ ในฐานะเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรที่สําคัญของโลก หวังกระตุ้นนักลงทุนและผู้ประกอบการลงทุนในภูมิภาคเพิ่มขึ้น
วันนี้ (28 ก.ย.60) เวลา 09.00 น. พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 39 ณ โรงแรมแชงกรีล่า จังหวัดเชียงใหม่ โดยผู้เข้าร่วมประกอบด้วย รัฐมนตรีที่กํากับดูแลด้านการเกษตรและป่าไม้ และเจ้าหน้าที่อาวุโสระดับปลัดกระทรวงและเจ้าหน้าที่อาวุโส ของประเทศอาเซียน 10 ประเทศ ได้แก่ บรูไน อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม รองเลขาธิการอาเซียน องค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ เอฟ เอ โอ ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เข้าร่วมงาน
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในปี 2560 เป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของการก่อตั้งประชาคมอาเซียนด้วย ซึ่งที่ผ่านมาสมาชิกอาเซียนได้ความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดอย่างมีเอกภาพท่ามกลางความหลากหลาย ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2560 คือ ประชาคมอาเซียน ซึ่งมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่การจะเป็นเช่นนี้ได้ เราจะต้องเพิ่มความพยายามและมุ่งมั่นมากยิ่งขึ้น เพื่อให้บรรลุเจตนารมณ์ดังกล่าว เราต้องช่วยกันทําให้ประชาคมอาเซียนดึงดูดนักลงทุนและผู้ประกอบการค้าจากต่างประเทศมากขึ้น พร้อมทั้งยังคงปกป้องผลประโยชน์ของภูมิภาคไปด้วย ในขณะเดียวกัน เราต้องร่วมกันส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน และพยายามไปให้ถึงการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน และเป้าหมายการขจัดความหิวโหยของสหประชาชาติ
“ภาคการเกษตรเป็นยุทธศาสตร์ที่สําคัญที่สุดของประเทศสมาชิกอาเซียน เนื่องจากเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตสินค้าเกษตรที่สําคัญ และเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่ที่สุดของโลก ดังนั้น การดําเนินงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของประชาคมอาเซียน ถือเป็นวาระสําคัญระดับชาติของสมาชิกอาเซียนทุกประเทศเราจึงจําเป็นต้องมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อให้สามารถเผชิญกับสิ่งท้าทายที่สําคัญ เช่น การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ซึ่งรวมถึงการขาดแคลนแรงงานในภาคการเกษตร เป็นต้น ในโอกาสนี้ เราควรกระชับความร่วมมือให้แน่นแฟ้น เพื่อนําไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2025 และเป็นไปตามวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่กําหนดไว้ว่า “ภาคอาหาร การเกษตร และป่าไม้ มีความสามารถในการแข่งขัน มีส่วนร่วมมีความแข็งแกร่ง และยั่งยืน เป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลก บนฐานของการตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน นําไปสู่ความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการ และความมั่งคั่ง ในประชาคมอาเซียน” พลเอก ฉัตรชัย กล่าว
ด้านพลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ เป็นการประชุมประจําปีของรัฐมนตรีที่กํากับดูแลด้านการเกษตร และป่าไม้ ของประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ได้แก่ บรูไน อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม โดยจะหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพตามลําดับตัวอักษรภาษาอังกฤษ โดยในปี 2560 นี้ เป็นวาระที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 39 ซึ่งกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 – 30 กันยายน 2560 โดยระหว่างวันที่ 25 – 27 กันยายน เป็นการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส และวันที่ 28 – 29 กันยายน เป็นการประชุมระดับรัฐมนตรี ส่วนวันที่ 30 กันยายน เป็นการศึกษาดูงานของคณะผู้แทนที่เข้าร่วมการประชุม ซึ่งกระทรวงเกษตรฯได้จัดศึกษาดูงาน ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดําริ ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการศึกษาทดลองด้านการเกษตรพื้นที่ภาคเหนือเพื่อเผยแพร่แก่ราษฎรนําไปปฏิบัติได้ด้วยตัวเอง
พลเอกฉัตรชัย กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สําหรับวาระการประชุมที่สําคัญครั้งนี้จะเป็นการติดตามผลการดําเนินงาน กําหนดนโยบายกําหนดแนวทางการดําเนินโครงการ ให้ความเห็นชอบมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติด้านการเกษตรต่าง ๆ ในสาขาเกษตรและป่าไม้ เพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนนําไปปรับใช้ภายในประเทศ จะมีความเชื่อมโยงและสนับสนุนนโยบายอาเซียนในการเป็นภูมิภาคที่มีสินค้าเกษตรและอาหารที่ปลอดภัยและเพียงพอ มีความเป็นเอกภาพ ทั้งด้านการผลิตและการค้า และปรับตัวได้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เช่น การร่วมกันกําหนดมาตรฐานความปลอดภัยสินค้าเกษตร ทั้งด้านพืช ประมง ปศุสัตว์ มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ การกําหนดค่าสารพิษตกค้าง ซึ่งเป็นเรื่องสําคัญที่รัฐบาลไทยโดยกระทรวงเกษตรฯ ให้ความสําคัญและส่งเสริมเกษตรกรผลิตสินค้าเกษตรที่ปลอดภัย รวมถึงการผลักดันแผนขับเคลื่อนนโยบายประมงร่วมประชาคมอาเซียนให้เกิดขึ้นอย่างจริงจังในเวทีนี้ด้วย
นอกเหนือจากการประชุมแล้ว ประเทศไทยยังใช้โอกาสนี้ เทิดพระเกียรติและเผยแพร่พระราชกรณียกิจและพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ที่ได้ทรงงานด้านการเกษตร จนทําให้ภาคการเกษตรของประเทศไทยมีการพัฒนาและมีความก้าวหน้า สามารถนําพาเกษตรกรไทยให้มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ให้แก่รัฐมนตรีและผู้แทนที่เข้าร่วมการประชุมได้รับทราบผ่านการจัดแสดงนิทรรศการภายใต้หัวข้อ 1) การพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน และ 2) ศาสตร์พระราชานําพาเกษตรไทย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเน้นย้ำหนุนอาเซียนรวมเป็นหนึ่ง สานต่อแผนงานโครงการเพื่อความยั่งยืนภาคเกษตรและป่าไม้
วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน 2560
ไทยเน้นย้ําหนุนอาเซียนรวมเป็นหนึ่ง สานต่อแผนงานโครงการเพื่อความยั่งยืนภาคเกษตรและป่าไม้
ไทยเน้นย้ําหนุนอาเซียนรวมเป็นหนึ่ง สานต่อแผนงานโครงการเพื่อความยั่งยืนภาคเกษตรและป่าไม้ ในฐานะเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรที่สําคัญของโลก หวังกระตุ้นนักลงทุนและผู้ประกอบการลงทุนในภูมิภาคเพิ่มขึ้น
วันนี้ (28 ก.ย.60) เวลา 09.00 น. พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 39 ณ โรงแรมแชงกรีล่า จังหวัดเชียงใหม่ โดยผู้เข้าร่วมประกอบด้วย รัฐมนตรีที่กํากับดูแลด้านการเกษตรและป่าไม้ และเจ้าหน้าที่อาวุโสระดับปลัดกระทรวงและเจ้าหน้าที่อาวุโส ของประเทศอาเซียน 10 ประเทศ ได้แก่ บรูไน อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม รองเลขาธิการอาเซียน องค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ เอฟ เอ โอ ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เข้าร่วมงาน
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในปี 2560 เป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของการก่อตั้งประชาคมอาเซียนด้วย ซึ่งที่ผ่านมาสมาชิกอาเซียนได้ความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดอย่างมีเอกภาพท่ามกลางความหลากหลาย ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2560 คือ ประชาคมอาเซียน ซึ่งมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่การจะเป็นเช่นนี้ได้ เราจะต้องเพิ่มความพยายามและมุ่งมั่นมากยิ่งขึ้น เพื่อให้บรรลุเจตนารมณ์ดังกล่าว เราต้องช่วยกันทําให้ประชาคมอาเซียนดึงดูดนักลงทุนและผู้ประกอบการค้าจากต่างประเทศมากขึ้น พร้อมทั้งยังคงปกป้องผลประโยชน์ของภูมิภาคไปด้วย ในขณะเดียวกัน เราต้องร่วมกันส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน และพยายามไปให้ถึงการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน และเป้าหมายการขจัดความหิวโหยของสหประชาชาติ
“ภาคการเกษตรเป็นยุทธศาสตร์ที่สําคัญที่สุดของประเทศสมาชิกอาเซียน เนื่องจากเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตสินค้าเกษตรที่สําคัญ และเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่ที่สุดของโลก ดังนั้น การดําเนินงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของประชาคมอาเซียน ถือเป็นวาระสําคัญระดับชาติของสมาชิกอาเซียนทุกประเทศเราจึงจําเป็นต้องมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อให้สามารถเผชิญกับสิ่งท้าทายที่สําคัญ เช่น การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ซึ่งรวมถึงการขาดแคลนแรงงานในภาคการเกษตร เป็นต้น ในโอกาสนี้ เราควรกระชับความร่วมมือให้แน่นแฟ้น เพื่อนําไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2025 และเป็นไปตามวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่กําหนดไว้ว่า “ภาคอาหาร การเกษตร และป่าไม้ มีความสามารถในการแข่งขัน มีส่วนร่วมมีความแข็งแกร่ง และยั่งยืน เป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลก บนฐานของการตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน นําไปสู่ความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการ และความมั่งคั่ง ในประชาคมอาเซียน” พลเอก ฉัตรชัย กล่าว
ด้านพลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ เป็นการประชุมประจําปีของรัฐมนตรีที่กํากับดูแลด้านการเกษตร และป่าไม้ ของประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ได้แก่ บรูไน อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม โดยจะหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพตามลําดับตัวอักษรภาษาอังกฤษ โดยในปี 2560 นี้ เป็นวาระที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 39 ซึ่งกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 – 30 กันยายน 2560 โดยระหว่างวันที่ 25 – 27 กันยายน เป็นการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส และวันที่ 28 – 29 กันยายน เป็นการประชุมระดับรัฐมนตรี ส่วนวันที่ 30 กันยายน เป็นการศึกษาดูงานของคณะผู้แทนที่เข้าร่วมการประชุม ซึ่งกระทรวงเกษตรฯได้จัดศึกษาดูงาน ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดําริ ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการศึกษาทดลองด้านการเกษตรพื้นที่ภาคเหนือเพื่อเผยแพร่แก่ราษฎรนําไปปฏิบัติได้ด้วยตัวเอง
พลเอกฉัตรชัย กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สําหรับวาระการประชุมที่สําคัญครั้งนี้จะเป็นการติดตามผลการดําเนินงาน กําหนดนโยบายกําหนดแนวทางการดําเนินโครงการ ให้ความเห็นชอบมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติด้านการเกษตรต่าง ๆ ในสาขาเกษตรและป่าไม้ เพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนนําไปปรับใช้ภายในประเทศ จะมีความเชื่อมโยงและสนับสนุนนโยบายอาเซียนในการเป็นภูมิภาคที่มีสินค้าเกษตรและอาหารที่ปลอดภัยและเพียงพอ มีความเป็นเอกภาพ ทั้งด้านการผลิตและการค้า และปรับตัวได้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เช่น การร่วมกันกําหนดมาตรฐานความปลอดภัยสินค้าเกษตร ทั้งด้านพืช ประมง ปศุสัตว์ มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ การกําหนดค่าสารพิษตกค้าง ซึ่งเป็นเรื่องสําคัญที่รัฐบาลไทยโดยกระทรวงเกษตรฯ ให้ความสําคัญและส่งเสริมเกษตรกรผลิตสินค้าเกษตรที่ปลอดภัย รวมถึงการผลักดันแผนขับเคลื่อนนโยบายประมงร่วมประชาคมอาเซียนให้เกิดขึ้นอย่างจริงจังในเวทีนี้ด้วย
นอกเหนือจากการประชุมแล้ว ประเทศไทยยังใช้โอกาสนี้ เทิดพระเกียรติและเผยแพร่พระราชกรณียกิจและพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ที่ได้ทรงงานด้านการเกษตร จนทําให้ภาคการเกษตรของประเทศไทยมีการพัฒนาและมีความก้าวหน้า สามารถนําพาเกษตรกรไทยให้มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ให้แก่รัฐมนตรีและผู้แทนที่เข้าร่วมการประชุมได้รับทราบผ่านการจัดแสดงนิทรรศการภายใต้หัวข้อ 1) การพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน และ 2) ศาสตร์พระราชานําพาเกษตรไทย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7047
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. รุกส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ในกิจการประมงทะเล
|
วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม 2561
กสร. รุกส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ในกิจการประมงทะเล
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เดินหน้าส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ในกิจการประมงทะเล สร้างความร่วมมือนายจ้าง ลูกจ้าง ลดข้อขัดแย้งด้านแรงงาน ช่วยลูกจ้างต่างด้าวเข้าถึงสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย เริ่มนําร่อง 5 จังหวัดติดชายทะเล
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่ากรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานให้ความสําคัญกับการคุ้มครองสิทธิแรงงานไทยและแรงงานต่างด้าวอย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ และการใช้แรงงานบังคับในกิจการประมงทะเล ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ โดยได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ตํารวจ ทหาร กรมประมง กรมการจัดหางาน ศรชล. และศปมผ. ในการตรวจแรงงานในเรือประมง ทั้งก่อนทําประมง ขณะทําประมง และหลังทําประมง โดยได้ดําเนินการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ กสร.ได้ริเริ่มให้มีการส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ในรูปแบบทวิภาคีสําหรับกิจการประมงทะเล ที่เปิดโอกาสให้ฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้างโดยเฉพาะลูกจ้างต่างด้าว ได้ปรึกษาหารือร่วมกันในรูปแบบของ ชมรม กลุ่มกิจกรรม หรือเครือข่าย เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์อันดี ลดข้อขัดแย้งด้านแรงงาน รวมทั้งเป็นการเปิดโอกาสให้แรงงานต่างด้าวได้เข้าถึงสิทธิตามกฎหมายมากยิ่งขึ้น
อธิบดี กสร.กล่าวเพิ่มเติมว่า การส่งเสริมระบบแรงงานสัมพันธ์ในรูปแบบทวิภาคีในกิจการประมงทะเลจะเริ่มนําร่องในพื้นที่ 5 จังหวัดติดชายทะเล ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ตรัง สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม และจะขยายผลให้ครอบคลุมไปยังกิจการประมงทะเลในจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. รุกส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ในกิจการประมงทะเล
วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม 2561
กสร. รุกส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ในกิจการประมงทะเล
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เดินหน้าส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ในกิจการประมงทะเล สร้างความร่วมมือนายจ้าง ลูกจ้าง ลดข้อขัดแย้งด้านแรงงาน ช่วยลูกจ้างต่างด้าวเข้าถึงสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย เริ่มนําร่อง 5 จังหวัดติดชายทะเล
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่ากรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานให้ความสําคัญกับการคุ้มครองสิทธิแรงงานไทยและแรงงานต่างด้าวอย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ และการใช้แรงงานบังคับในกิจการประมงทะเล ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ โดยได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ตํารวจ ทหาร กรมประมง กรมการจัดหางาน ศรชล. และศปมผ. ในการตรวจแรงงานในเรือประมง ทั้งก่อนทําประมง ขณะทําประมง และหลังทําประมง โดยได้ดําเนินการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ กสร.ได้ริเริ่มให้มีการส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ในรูปแบบทวิภาคีสําหรับกิจการประมงทะเล ที่เปิดโอกาสให้ฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้างโดยเฉพาะลูกจ้างต่างด้าว ได้ปรึกษาหารือร่วมกันในรูปแบบของ ชมรม กลุ่มกิจกรรม หรือเครือข่าย เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์อันดี ลดข้อขัดแย้งด้านแรงงาน รวมทั้งเป็นการเปิดโอกาสให้แรงงานต่างด้าวได้เข้าถึงสิทธิตามกฎหมายมากยิ่งขึ้น
อธิบดี กสร.กล่าวเพิ่มเติมว่า การส่งเสริมระบบแรงงานสัมพันธ์ในรูปแบบทวิภาคีในกิจการประมงทะเลจะเริ่มนําร่องในพื้นที่ 5 จังหวัดติดชายทะเล ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ตรัง สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม และจะขยายผลให้ครอบคลุมไปยังกิจการประมงทะเลในจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11016
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางแจ้งผู้มีสิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาล ยืนยันข้อมูลภายใน 30 มิ.ย. 60
|
วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2560
กรมบัญชีกลางแจ้งผู้มีสิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาล ยืนยันข้อมูลภายใน 30 มิ.ย. 60
กรมบัญชีกลาง แจ้งส่วนราชการเร่งประชาสัมพันธ์ให้ตรวจสอบ แก้ไข และยืนยันความถูกต้องของข้อมูลของผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว ภายใน 30 มิถุนายน 2560
นางสาวอรนุช ไวนุสิทธิ์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้แจ้งให้ส่วนราชการประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีสิทธิ (ข้าราชการ ลูกจ้างประจํา ผู้รับเบี้ยหวัดบํานาญ) ตรวจสอบข้อมูลของตนเองและบุคคลในครอบครัวที่ได้บันทึกไว้ในฐานข้อมูลบุคลากรภาครัฐให้ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นปัจจุบัน เพื่อนําข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในการปรับปรุงระบบการเบิกจ่ายตรง และพัฒนาสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวต่อไป
โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า ผู้มีสิทธิสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ด้วยตนเอง ผ่าน “ระบบการยื่นขอรับ บําเหน็จบํานาญด้วยตนเองทางอิเล็กทรอนิกส์” ในเว็บไซต์ http://pws.cgd.go.th/EFiling ซึ่งหากเป็นการเข้าใช้งานเป็นครั้งแรก จะต้องลงทะเบียนเพื่อขอรับรหัสผ่าน (Password) ในการเข้าใช้งานก่อน หลังจากได้รับรหัสผ่านเรียบร้อยแล้ว จึงจะสามารถเข้าสู่ระบบโดยกรอกรหัสผู้ใช้ คือ เลขประจําตัวประชาชน 13 หลัก และรหัสผ่านที่ได้รับจากการลงทะเบียน เมื่อเข้าระบบเรียบร้อยให้คลิกเลือกหัวข้อ “สอบถามข้อมูลทะเบียนประวัติ” เพื่อปรับปรุง แก้ไข หรือเพิ่มเติมข้อมูลที่อยู่ของตนเองให้เป็นปัจจุบัน จากนั้นกดบันทึกปรับปรุงที่อยู่
สําหรับการตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมของตนเอง และบุคคลในครอบครัว ให้เลือกที่หัวข้อ “ตรวจสอบทะเบียนประวัติ” ซึ่งแบ่งเป็น 2 กรณี คือ 1. กรณีที่ข้อมูลของตนเองหรือบุคคลในครอบครัวไม่ถูกต้องหรือต้องการแก้ไขเพิ่มเติม ให้พิมพ์ แบบคําขอ เพิ่ม/ปรับปรุงข้อมูลในฐานข้อมูลบุคลากรภาครัฐ (แบบ 7127) นํามากรอกรายละเอียดต่างๆ ที่ต้องการแก้ไข พร้อมแนบเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้ลงลายมือชื่อรับรองความถูกต้องแล้ว และนําไปยื่นแก่นายทะเบียนส่วนราชการต้นสังกัด ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2560 และ 2. กรณีที่ข้อมูลของตนเอง และบุคคลในครอบครัวมีความถูกต้อง ครบถ้วน มีสถานะสมบูรณ์ และไม่ต้องการแก้ไขข้อมูลใดๆ ขอให้กดปุ่ม ถูกต้อง เพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูล และข้อมูลดังกล่าวจะถูกบันทึกไว้ในฐานข้อมูลบุคลากรภาครัฐ เพื่อนําไปใช้งานต่อไป ทั้งนี้ หากต้องการศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม สามารถดาวน์โหลดคู่มือการใช้งานได้ที่ Website http://pws.cgd.go.th/EFiling/ หัวข้อ information หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่กรมบัญชีกลาง โทร.02-1277000 ต่อ 4100, 4684, 4371 และ 4318
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางแจ้งผู้มีสิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาล ยืนยันข้อมูลภายใน 30 มิ.ย. 60
วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2560
กรมบัญชีกลางแจ้งผู้มีสิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาล ยืนยันข้อมูลภายใน 30 มิ.ย. 60
กรมบัญชีกลาง แจ้งส่วนราชการเร่งประชาสัมพันธ์ให้ตรวจสอบ แก้ไข และยืนยันความถูกต้องของข้อมูลของผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว ภายใน 30 มิถุนายน 2560
นางสาวอรนุช ไวนุสิทธิ์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้แจ้งให้ส่วนราชการประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีสิทธิ (ข้าราชการ ลูกจ้างประจํา ผู้รับเบี้ยหวัดบํานาญ) ตรวจสอบข้อมูลของตนเองและบุคคลในครอบครัวที่ได้บันทึกไว้ในฐานข้อมูลบุคลากรภาครัฐให้ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นปัจจุบัน เพื่อนําข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในการปรับปรุงระบบการเบิกจ่ายตรง และพัฒนาสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวต่อไป
โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า ผู้มีสิทธิสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ด้วยตนเอง ผ่าน “ระบบการยื่นขอรับ บําเหน็จบํานาญด้วยตนเองทางอิเล็กทรอนิกส์” ในเว็บไซต์ http://pws.cgd.go.th/EFiling ซึ่งหากเป็นการเข้าใช้งานเป็นครั้งแรก จะต้องลงทะเบียนเพื่อขอรับรหัสผ่าน (Password) ในการเข้าใช้งานก่อน หลังจากได้รับรหัสผ่านเรียบร้อยแล้ว จึงจะสามารถเข้าสู่ระบบโดยกรอกรหัสผู้ใช้ คือ เลขประจําตัวประชาชน 13 หลัก และรหัสผ่านที่ได้รับจากการลงทะเบียน เมื่อเข้าระบบเรียบร้อยให้คลิกเลือกหัวข้อ “สอบถามข้อมูลทะเบียนประวัติ” เพื่อปรับปรุง แก้ไข หรือเพิ่มเติมข้อมูลที่อยู่ของตนเองให้เป็นปัจจุบัน จากนั้นกดบันทึกปรับปรุงที่อยู่
สําหรับการตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมของตนเอง และบุคคลในครอบครัว ให้เลือกที่หัวข้อ “ตรวจสอบทะเบียนประวัติ” ซึ่งแบ่งเป็น 2 กรณี คือ 1. กรณีที่ข้อมูลของตนเองหรือบุคคลในครอบครัวไม่ถูกต้องหรือต้องการแก้ไขเพิ่มเติม ให้พิมพ์ แบบคําขอ เพิ่ม/ปรับปรุงข้อมูลในฐานข้อมูลบุคลากรภาครัฐ (แบบ 7127) นํามากรอกรายละเอียดต่างๆ ที่ต้องการแก้ไข พร้อมแนบเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้ลงลายมือชื่อรับรองความถูกต้องแล้ว และนําไปยื่นแก่นายทะเบียนส่วนราชการต้นสังกัด ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2560 และ 2. กรณีที่ข้อมูลของตนเอง และบุคคลในครอบครัวมีความถูกต้อง ครบถ้วน มีสถานะสมบูรณ์ และไม่ต้องการแก้ไขข้อมูลใดๆ ขอให้กดปุ่ม ถูกต้อง เพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูล และข้อมูลดังกล่าวจะถูกบันทึกไว้ในฐานข้อมูลบุคลากรภาครัฐ เพื่อนําไปใช้งานต่อไป ทั้งนี้ หากต้องการศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม สามารถดาวน์โหลดคู่มือการใช้งานได้ที่ Website http://pws.cgd.go.th/EFiling/ หัวข้อ information หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่กรมบัญชีกลาง โทร.02-1277000 ต่อ 4100, 4684, 4371 และ 4318
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4624
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงคมนาคมขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ด้านการเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์
|
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560
กระทรวงคมนาคมขับเคลื่อนและเร่งรัดการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ด้านการเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์
กระทรวงคมนาคม ได้ให้ความสําคัญด้านการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งและระบบโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สําคัญทั้งในระดับชาติและระดับกระทรวงฯ ระบบขนส่งทางถนน ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันเชิงการค้าระหว่างประเทศ
ทําให้เกิดการเชื่อมโยงประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเข้าด้วยกัน โดยให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อการเดินทางและการขนส่ง รวมทั้งเพิ่มความเข้มแข็งให้กับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศสมาชิก
กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวง (ทล.) ดําเนินการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดําเนินงาน ตามนโยบายรัฐบาล (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 31 มกราคม 2560) ด้านการเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์จากฐานการผลิตในชุมชนสู่แหล่งแปรรูป เพื่อเพิ่มมูลค่าทั้งในประเทศและเชื่อมโยงกับอาเซียน ซึ่ง ทล. ได้ดําเนินการสานต่อโครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยงระหว่างประเทศ ดังนี้
1. ทางหลวงหมายเลข 212 อ.โพนพิสัย - บึงกาฬ ตอน 1 จ.หนองคาย ระยะทาง 30 กิโลเมตร วงเงินค่าก่อสร้าง 1,200 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างส่วนที่ 1 ผลงานร้อยละ 65.49 และส่วนที่ 2 ผลงานร้อยละ 98.14
2. ทางหลวงหมายเลข 12 ตาก - แม่สอด ตอน 3 จ.ตาก ระยะทาง 25.5 กิโลเมตร วงเงินค่าก่อสร้าง 1,400 ล้านบาท อยู่ระหว่างการก่อสร้างส่วนที่ 1 ผลงานร้อยละ 34.88 และส่วนที่ 2 ผลงานร้อยละ 39.98
3. ทางหลวงหมายเลข 12 กาฬสินธุ์ - อ.สมเด็จ ตอน 2 จ.กาฬสินธุ์ ระยะทาง 11 กิโลเมตร วงเงินค่าก่อสร้าง 326.667 ล้านบาท ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2559 และส่งมอบงานเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2559
4. ทางหลวงหมายเลข 3 ตราด - หาดเล็ก ตอน 2 จ.ตราด ระยะทาง 35 กิโลเมตร วงเงินค่าก่อสร้าง 1,400 ล้านบาท อยู่ระหว่างการก่อสร้างส่วนที่ 1 ผลงานร้อยละ 21.70 และส่วนที่ 2 ผลงานร้อยละ 24.79
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงคมนาคมขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ด้านการเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560
กระทรวงคมนาคมขับเคลื่อนและเร่งรัดการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ด้านการเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์
กระทรวงคมนาคม ได้ให้ความสําคัญด้านการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งและระบบโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สําคัญทั้งในระดับชาติและระดับกระทรวงฯ ระบบขนส่งทางถนน ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันเชิงการค้าระหว่างประเทศ
ทําให้เกิดการเชื่อมโยงประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเข้าด้วยกัน โดยให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อการเดินทางและการขนส่ง รวมทั้งเพิ่มความเข้มแข็งให้กับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศสมาชิก
กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวง (ทล.) ดําเนินการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดําเนินงาน ตามนโยบายรัฐบาล (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 31 มกราคม 2560) ด้านการเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์จากฐานการผลิตในชุมชนสู่แหล่งแปรรูป เพื่อเพิ่มมูลค่าทั้งในประเทศและเชื่อมโยงกับอาเซียน ซึ่ง ทล. ได้ดําเนินการสานต่อโครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยงระหว่างประเทศ ดังนี้
1. ทางหลวงหมายเลข 212 อ.โพนพิสัย - บึงกาฬ ตอน 1 จ.หนองคาย ระยะทาง 30 กิโลเมตร วงเงินค่าก่อสร้าง 1,200 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างส่วนที่ 1 ผลงานร้อยละ 65.49 และส่วนที่ 2 ผลงานร้อยละ 98.14
2. ทางหลวงหมายเลข 12 ตาก - แม่สอด ตอน 3 จ.ตาก ระยะทาง 25.5 กิโลเมตร วงเงินค่าก่อสร้าง 1,400 ล้านบาท อยู่ระหว่างการก่อสร้างส่วนที่ 1 ผลงานร้อยละ 34.88 และส่วนที่ 2 ผลงานร้อยละ 39.98
3. ทางหลวงหมายเลข 12 กาฬสินธุ์ - อ.สมเด็จ ตอน 2 จ.กาฬสินธุ์ ระยะทาง 11 กิโลเมตร วงเงินค่าก่อสร้าง 326.667 ล้านบาท ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2559 และส่งมอบงานเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2559
4. ทางหลวงหมายเลข 3 ตราด - หาดเล็ก ตอน 2 จ.ตราด ระยะทาง 35 กิโลเมตร วงเงินค่าก่อสร้าง 1,400 ล้านบาท อยู่ระหว่างการก่อสร้างส่วนที่ 1 ผลงานร้อยละ 21.70 และส่วนที่ 2 ผลงานร้อยละ 24.79
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3512
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ร่วมมือภาคี จัดทำคู่มือ 6 มิติ ก่อนเปิดภาคเรียน [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม 2563
สธ. ร่วมมือภาคี จัดทําคู่มือ 6 มิติ ก่อนเปิดภาคเรียน [กระทรวงสาธารณสุข]
สธ. ร่วมมือภาคี จัดทําคู่มือ 6 มิติ ก่อนเปิดภาคเรียน
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วางกรอบแนวทางพร้อมจัดทําคู่มือ 6 มิติ ตามข้อเสนอองค์การเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติและองค์กรภาคี เตรียมพร้อมก่อนเปิดภาคเรียน ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด 19
วันนี้ (29 พฤษภาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวถึงมาตรการเตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย องค์การอนามัยโลกประจําประเทศไทย (WHO Thailand) องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จัดทําคู่มือเตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนของสถานศึกษา ตามที่องค์การเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติและองค์กรภาคี ได้เสนอกรอบแนวทาง 6 มิติ เชื่อมโยงกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด 19 ของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) (ศบค.) เพื่อคุ้มครองสุขภาพและความปลอดภัยของนักเรียน
พญ.พรรณพิมล กล่าวต่อว่า รายละเอียดประเด็นสําคัญในแต่ละมิติ ประกอบด้วยมิติด้านความปลอดภัยจากการลดการแพร่เชื้อโรคมีมาตรการคัดกรองวัดไข้และอาการเสี่ยงก่อนเข้าสถานศึกษา สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา จัดจุดล้างมือหรือเจลแอลกอฮอล์อย่างเพียงพอ จัดระยะห่างระหว่างบุคคลอย่างน้อย 1-2 เมตร ทําความสะอาดห้องเรียน/พื้นผิวสัมผัสร่วม เปิดหน้าต่างประตู ระบายอากาศ ไม่จัดกิจกรรมรวมกลุ่มคนจํานวนมาก เหลื่อมเวลา ลดเวลาทํากิจกรรมมิติด้านการเรียนรู้จัดหาสื่อให้ความรู้การป้องกันโรคโควิด 19 เตรียมพร้อมการเรียนรู้ตามวัยและพัฒนาการ สร้างความเข้มแข็งระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน การจัดการความเครียด รับมือกับการเปลี่ยนแปลงมิติด้านการครอบคลุมถึงเด็กด้อยโอกาสเด็กพิเศษ เด็กในพื้นที่ห่างไกล จัดหาอุปกรณ์ล้างมือและหน้ากากผ้าให้เพียงพอ ปรับรูปแบบการเรียนการสอน รวมทั้งให้ได้รับบริการสุขภาพขั้นพื้นฐานอย่างทั่วถึง มีมาตรการดูแลนักเรียนที่มีความบกพร่องด้านพัฒนาการการเรียนรู้มิติด้านสวัสดิภาพและการคุ้มครองเตรียมแผนรองรับการเรียนสําหรับนักเรียนป่วย กักตัว หรือกรณีปิดสถานศึกษา แนวปฏิบัติการสื่อสารเพื่อลดการรังเกียจและการตีตราทางสังคม การจัดการความเครียดของครู ตรวจสอบประวัติเสี่ยงบุคลากร/นักเรียนมิติด้านนโยบายชี้แจงคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ตั้งคณะทํางานรับผิดชอบ และกําหนดบทบาทหน้าที่ชัดเจน มีแผนงานโครงการรองรับ สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ครู บุคลากร ผู้ปกครอง และนักเรียนให้มีทักษะการป้องกันโรค สถานศึกษาประเมินตนเองเตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนผ่านระบบออนไลน์ของกระทรวงศึกษาธิการ/ Thai STOP COVID กรมอนามัย เสริมสร้างวัคซีนชุมชนในสถานศึกษา และมิติด้านการบริหารการเงินพิจารณาการใช้งบประมาณของสถานศึกษาในการป้องกันการระบาดของโรคโควิด 19 ตามความจําเป็นและเหมาะสม จัดหาวัสดุอุปกรณ์ป้องกันโรค
“ขอเน้นย้ําหลักปฏิบัติ 6 ข้อในสถานศึกษา ทั้งการคัดกรองวัดไข้ สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ทําความสะอาด และลดแออัด เป็นสิ่งสําคัญ ที่จะต้องทําอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้นักเรียน ครู ผู้ปกครอง และชุมชน ปลอดภัย” แพทย์หญิงพรรณพิมลกล่าว
นอกจากนี้ ได้จัดทําแนวปฏิบัติการจัดการหอพักนักเรียนประจํา โดยผู้ดูแลหอพัก นักเรียนในหอพัก ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ เน้นการทําความสะอาดพื้นที่ส่วนกลาง ห้องส้วม จัดห้องนอน ห้องอาหาร เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล 1-2 เมตร เปิดประตูหน้าต่าง ห้องพัก ระบายอากาศทุกวัน และมีการกํากับติดตาม
**************************************** 29 พฤษภาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ร่วมมือภาคี จัดทำคู่มือ 6 มิติ ก่อนเปิดภาคเรียน [กระทรวงสาธารณสุข]
วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม 2563
สธ. ร่วมมือภาคี จัดทําคู่มือ 6 มิติ ก่อนเปิดภาคเรียน [กระทรวงสาธารณสุข]
สธ. ร่วมมือภาคี จัดทําคู่มือ 6 มิติ ก่อนเปิดภาคเรียน
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วางกรอบแนวทางพร้อมจัดทําคู่มือ 6 มิติ ตามข้อเสนอองค์การเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติและองค์กรภาคี เตรียมพร้อมก่อนเปิดภาคเรียน ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด 19
วันนี้ (29 พฤษภาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวถึงมาตรการเตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย องค์การอนามัยโลกประจําประเทศไทย (WHO Thailand) องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จัดทําคู่มือเตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนของสถานศึกษา ตามที่องค์การเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติและองค์กรภาคี ได้เสนอกรอบแนวทาง 6 มิติ เชื่อมโยงกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด 19 ของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) (ศบค.) เพื่อคุ้มครองสุขภาพและความปลอดภัยของนักเรียน
พญ.พรรณพิมล กล่าวต่อว่า รายละเอียดประเด็นสําคัญในแต่ละมิติ ประกอบด้วยมิติด้านความปลอดภัยจากการลดการแพร่เชื้อโรคมีมาตรการคัดกรองวัดไข้และอาการเสี่ยงก่อนเข้าสถานศึกษา สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา จัดจุดล้างมือหรือเจลแอลกอฮอล์อย่างเพียงพอ จัดระยะห่างระหว่างบุคคลอย่างน้อย 1-2 เมตร ทําความสะอาดห้องเรียน/พื้นผิวสัมผัสร่วม เปิดหน้าต่างประตู ระบายอากาศ ไม่จัดกิจกรรมรวมกลุ่มคนจํานวนมาก เหลื่อมเวลา ลดเวลาทํากิจกรรมมิติด้านการเรียนรู้จัดหาสื่อให้ความรู้การป้องกันโรคโควิด 19 เตรียมพร้อมการเรียนรู้ตามวัยและพัฒนาการ สร้างความเข้มแข็งระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน การจัดการความเครียด รับมือกับการเปลี่ยนแปลงมิติด้านการครอบคลุมถึงเด็กด้อยโอกาสเด็กพิเศษ เด็กในพื้นที่ห่างไกล จัดหาอุปกรณ์ล้างมือและหน้ากากผ้าให้เพียงพอ ปรับรูปแบบการเรียนการสอน รวมทั้งให้ได้รับบริการสุขภาพขั้นพื้นฐานอย่างทั่วถึง มีมาตรการดูแลนักเรียนที่มีความบกพร่องด้านพัฒนาการการเรียนรู้มิติด้านสวัสดิภาพและการคุ้มครองเตรียมแผนรองรับการเรียนสําหรับนักเรียนป่วย กักตัว หรือกรณีปิดสถานศึกษา แนวปฏิบัติการสื่อสารเพื่อลดการรังเกียจและการตีตราทางสังคม การจัดการความเครียดของครู ตรวจสอบประวัติเสี่ยงบุคลากร/นักเรียนมิติด้านนโยบายชี้แจงคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ตั้งคณะทํางานรับผิดชอบ และกําหนดบทบาทหน้าที่ชัดเจน มีแผนงานโครงการรองรับ สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ครู บุคลากร ผู้ปกครอง และนักเรียนให้มีทักษะการป้องกันโรค สถานศึกษาประเมินตนเองเตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนผ่านระบบออนไลน์ของกระทรวงศึกษาธิการ/ Thai STOP COVID กรมอนามัย เสริมสร้างวัคซีนชุมชนในสถานศึกษา และมิติด้านการบริหารการเงินพิจารณาการใช้งบประมาณของสถานศึกษาในการป้องกันการระบาดของโรคโควิด 19 ตามความจําเป็นและเหมาะสม จัดหาวัสดุอุปกรณ์ป้องกันโรค
“ขอเน้นย้ําหลักปฏิบัติ 6 ข้อในสถานศึกษา ทั้งการคัดกรองวัดไข้ สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ทําความสะอาด และลดแออัด เป็นสิ่งสําคัญ ที่จะต้องทําอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้นักเรียน ครู ผู้ปกครอง และชุมชน ปลอดภัย” แพทย์หญิงพรรณพิมลกล่าว
นอกจากนี้ ได้จัดทําแนวปฏิบัติการจัดการหอพักนักเรียนประจํา โดยผู้ดูแลหอพัก นักเรียนในหอพัก ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ เน้นการทําความสะอาดพื้นที่ส่วนกลาง ห้องส้วม จัดห้องนอน ห้องอาหาร เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล 1-2 เมตร เปิดประตูหน้าต่าง ห้องพัก ระบายอากาศทุกวัน และมีการกํากับติดตาม
**************************************** 29 พฤษภาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31689
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประเทศไทย มีความสุขเป็นอันดับที่ 3 ของเอเชีย
|
วันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2560
$("#video-player3").css("background-color", "#000000");
var container = document.getElementById("video-player3");
flowplayer.conf = {
share :false, // --> set share button
// facebook :true,
// ratio :9/16, // --> set ratio
// seekable :true,
// autoplay :false,
// splash : true,
// chromecast :true,
// auto quality
// hlsQualities:true,
poster :"https://media.thaigov.go.th/uploads/thumbnail/news/2017/04/3195_420.jpg", //poster
// swf :"flowplayer.swf",
// hlsQualities:[{level: -1, label: "ABR"},{level: 1, label: "SD"}, {level: 6, label: "HD"}],
};
flowplayer(container, {
clip: {
sources: [
{
// type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl
// src: "vod/testcar.mp4"
// type: "application/x-mpegurl",
// file: "smil.php?filename=hp_2.mp4/playlist.m3u8",
type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl
src: "https://media.thaigov.go.th/uploads/vod/155/2017/04/mp3/01_ประเทศไทย มีความสุขเป็นอันดับที่3 ของเอเชีย.mp3"
}
],
title: "ประเทศไทย มีความสุขเป็นอันดับที่ 3 ของเอเชีย",
// qualities: ["160p", "260p", "530p", "800p"],
// defaultQuality: "260p"
}
});
ประเทศไทย มีความสุขเป็นอันดับที่ 3 ของเอเชีย
รัฐบาลจะยังคงเดินหน้ายกระดับความสุขของคนไทย โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยให้ได้รับการดูแลอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกับผู้อื่น
จากความพยายามอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลที่จะยกระดับความสุขของคนไทยทั้งประเทศ ส่งผลให้ปีนี้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับจากองค์การสหประชาชาติให้เป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ เป็นอันดับที่ 3 ของเอเชีย และอันดับที่ 32 ของโลก โดยพิจารณาจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ เสรีภาพในการเลือกใช้ชีวิตและทํางาน ความเอื้อเฟื้อในสังคม ความโปร่งใส เป็นต้น โดยรัฐบาลจะยังคงเดินหน้ายกระดับความสุขของคนไทย โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยให้ได้รับการดูแลอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกับผู้อื่น สร้างกลไกการทํางานของภาครัฐให้มีความโปร่งใส ประชาชนมีส่วนร่วมและตรวจสอบได้ ให้เกิดการพัฒนาอย่างมั่นคงและยั่งยืนตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประเทศไทย มีความสุขเป็นอันดับที่ 3 ของเอเชีย
วันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2560
$("#video-player3").css("background-color", "#000000");
var container = document.getElementById("video-player3");
flowplayer.conf = {
share :false, // --> set share button
// facebook :true,
// ratio :9/16, // --> set ratio
// seekable :true,
// autoplay :false,
// splash : true,
// chromecast :true,
// auto quality
// hlsQualities:true,
poster :"https://media.thaigov.go.th/uploads/thumbnail/news/2017/04/3195_420.jpg", //poster
// swf :"flowplayer.swf",
// hlsQualities:[{level: -1, label: "ABR"},{level: 1, label: "SD"}, {level: 6, label: "HD"}],
};
flowplayer(container, {
clip: {
sources: [
{
// type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl
// src: "vod/testcar.mp4"
// type: "application/x-mpegurl",
// file: "smil.php?filename=hp_2.mp4/playlist.m3u8",
type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl
src: "https://media.thaigov.go.th/uploads/vod/155/2017/04/mp3/01_ประเทศไทย มีความสุขเป็นอันดับที่3 ของเอเชีย.mp3"
}
],
title: "ประเทศไทย มีความสุขเป็นอันดับที่ 3 ของเอเชีย",
// qualities: ["160p", "260p", "530p", "800p"],
// defaultQuality: "260p"
}
});
ประเทศไทย มีความสุขเป็นอันดับที่ 3 ของเอเชีย
รัฐบาลจะยังคงเดินหน้ายกระดับความสุขของคนไทย โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยให้ได้รับการดูแลอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกับผู้อื่น
จากความพยายามอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลที่จะยกระดับความสุขของคนไทยทั้งประเทศ ส่งผลให้ปีนี้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับจากองค์การสหประชาชาติให้เป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ เป็นอันดับที่ 3 ของเอเชีย และอันดับที่ 32 ของโลก โดยพิจารณาจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ เสรีภาพในการเลือกใช้ชีวิตและทํางาน ความเอื้อเฟื้อในสังคม ความโปร่งใส เป็นต้น โดยรัฐบาลจะยังคงเดินหน้ายกระดับความสุขของคนไทย โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยให้ได้รับการดูแลอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกับผู้อื่น สร้างกลไกการทํางานของภาครัฐให้มีความโปร่งใส ประชาชนมีส่วนร่วมและตรวจสอบได้ ให้เกิดการพัฒนาอย่างมั่นคงและยั่งยืนตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3195
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เปิดงานมหกรรมสุขภาพดีหาดใหญ่ไทยแลนด์ 4.0 ชื่นชมเทศบาลนครหาดใหญ่ สนองนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ ปลุกกระแสการดูแลสุขภาพของประชาชน
|
วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2563
รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เปิดงานมหกรรมสุขภาพดีหาดใหญ่ไทยแลนด์ 4.0 ชื่นชมเทศบาลนครหาดใหญ่ สนองนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ ปลุกกระแสการดูแลสุขภาพของประชาชน
รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เปิดงานมหกรรมสุขภาพดีหาดใหญ่ไทยแลนด์ 4.0 ชื่นชมเทศบาลนครหาดใหญ่ สนองนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ ปลุกกระแสการดูแลสุขภาพของประชาชน
วันนี้ (31 กรกฎาคม 2563) เวลา 15.20 น. ณ เวทีศาลากลางน้ํา สวนสาธารณะเทศบาลนครหาดใหญ่ อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิด “งานมหกรรมสุขภาพดีหาดใหญ่ไทยแลนด์ 4.0” โดยมีผู้บริหารส่วนราชการ ผู้นําส่วนท้องถิ่น และประชาชนเข้าร่วมงาน
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีที่ได้มาเป็นประธานเปิดงานฯ ว่า การระบาดใหญ่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในระยะเวลาประมาณ 5 เดือน นับตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันต้องยอมรับว่าประเทศไทยและคนไทยได้รับผลกระทบอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ จากการหยุดชะงัก และการชะลอตัวของกิจกรรมต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ และเกิดชีวิตวิถีใหม่ หรือ New Normal ที่ทําให้เราทุกคน ต้องปรับตัวกันในหลาย ๆ ด้าน องค์การอนามัยโลก ได้ประกาศให้การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็น “การระบาดใหญ่” หลังจากที่เชื้อลุกลามไปอย่างรวดเร็วในทุกภูมิภาคของโลก ซึ่งหมายความว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศเดียวในโลก ที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับการยอมรับในระดับต้น ๆ ว่า สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี นอกจากมาตรการหลายมาตรการที่รัฐบาลได้ออกมาในช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้ว สิ่งสําคัญอีกประการหนึ่ง ที่เป็นปัจจัยของความสําเร็จ คือความร่วมมือร่วมใจของพี่น้องคนไทย ขอขอบคุณผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายและพี่น้องประชาชนทุกคน วันนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของประเทศไทย ได้คลี่คลายลงในระดับที่น่าพอใจแล้ว รัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการเพื่อให้ประชาชน สามารถดําเนินชีวิตและประกอบกิจการได้มากขึ้น เพื่อให้มีการเร่งพัฒนาและฟื้นฟูสภาวการณ์ด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการท่องเที่ยว ให้กลับคืนสู่สภาพเดิมโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ ทุกฝ่ายยังจะต้องร่วมกันดําเนินการตามแนวทางและแผนการดําเนินงานอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดความรอบคอบ และเป็นไปอย่างระมัดระวัง
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมและขอบคุณเทศบาลนครหาดใหญ่ ที่สนองนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ ในฐานะที่หาดใหญ่เป็นแหล่งธุรกิจท่องเที่ยวที่สําคัญ สร้างรายได้ให้แก่จังหวัดสงขลา และประเทศไทยในแต่ละปีเป็นจํานวนมาก ซึ่งกิจกรรมนี้ ถือว่าเป็นการปลุกกระแสการดูแลสุขภาพของพี่น้องประชาชน ช่วยกันสร้างภูมิคุ้มกันด้านสุขภาพให้แก่ตนเองอีกทางหนึ่งด้วย หวังว่าทุกคนจะใช้ชีวิตต่อไปด้วยความไม่ประมาทระมัดระวังดูแลตนเองตามแนวทางที่ถูกต้อง จนกว่าสถานการณ์ของโรคโควิด-19 จะสิ้นสุดลงเข้าสู่ภาวะปกติ
จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะ นั่งรถกอล์ฟเยี่ยมชมบูธภายในงานก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร
------------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เปิดงานมหกรรมสุขภาพดีหาดใหญ่ไทยแลนด์ 4.0 ชื่นชมเทศบาลนครหาดใหญ่ สนองนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ ปลุกกระแสการดูแลสุขภาพของประชาชน
วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2563
รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เปิดงานมหกรรมสุขภาพดีหาดใหญ่ไทยแลนด์ 4.0 ชื่นชมเทศบาลนครหาดใหญ่ สนองนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ ปลุกกระแสการดูแลสุขภาพของประชาชน
รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เปิดงานมหกรรมสุขภาพดีหาดใหญ่ไทยแลนด์ 4.0 ชื่นชมเทศบาลนครหาดใหญ่ สนองนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ ปลุกกระแสการดูแลสุขภาพของประชาชน
วันนี้ (31 กรกฎาคม 2563) เวลา 15.20 น. ณ เวทีศาลากลางน้ํา สวนสาธารณะเทศบาลนครหาดใหญ่ อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิด “งานมหกรรมสุขภาพดีหาดใหญ่ไทยแลนด์ 4.0” โดยมีผู้บริหารส่วนราชการ ผู้นําส่วนท้องถิ่น และประชาชนเข้าร่วมงาน
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีที่ได้มาเป็นประธานเปิดงานฯ ว่า การระบาดใหญ่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในระยะเวลาประมาณ 5 เดือน นับตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันต้องยอมรับว่าประเทศไทยและคนไทยได้รับผลกระทบอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ จากการหยุดชะงัก และการชะลอตัวของกิจกรรมต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ และเกิดชีวิตวิถีใหม่ หรือ New Normal ที่ทําให้เราทุกคน ต้องปรับตัวกันในหลาย ๆ ด้าน องค์การอนามัยโลก ได้ประกาศให้การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็น “การระบาดใหญ่” หลังจากที่เชื้อลุกลามไปอย่างรวดเร็วในทุกภูมิภาคของโลก ซึ่งหมายความว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศเดียวในโลก ที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับการยอมรับในระดับต้น ๆ ว่า สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี นอกจากมาตรการหลายมาตรการที่รัฐบาลได้ออกมาในช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้ว สิ่งสําคัญอีกประการหนึ่ง ที่เป็นปัจจัยของความสําเร็จ คือความร่วมมือร่วมใจของพี่น้องคนไทย ขอขอบคุณผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายและพี่น้องประชาชนทุกคน วันนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของประเทศไทย ได้คลี่คลายลงในระดับที่น่าพอใจแล้ว รัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการเพื่อให้ประชาชน สามารถดําเนินชีวิตและประกอบกิจการได้มากขึ้น เพื่อให้มีการเร่งพัฒนาและฟื้นฟูสภาวการณ์ด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการท่องเที่ยว ให้กลับคืนสู่สภาพเดิมโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ ทุกฝ่ายยังจะต้องร่วมกันดําเนินการตามแนวทางและแผนการดําเนินงานอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดความรอบคอบ และเป็นไปอย่างระมัดระวัง
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมและขอบคุณเทศบาลนครหาดใหญ่ ที่สนองนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ ในฐานะที่หาดใหญ่เป็นแหล่งธุรกิจท่องเที่ยวที่สําคัญ สร้างรายได้ให้แก่จังหวัดสงขลา และประเทศไทยในแต่ละปีเป็นจํานวนมาก ซึ่งกิจกรรมนี้ ถือว่าเป็นการปลุกกระแสการดูแลสุขภาพของพี่น้องประชาชน ช่วยกันสร้างภูมิคุ้มกันด้านสุขภาพให้แก่ตนเองอีกทางหนึ่งด้วย หวังว่าทุกคนจะใช้ชีวิตต่อไปด้วยความไม่ประมาทระมัดระวังดูแลตนเองตามแนวทางที่ถูกต้อง จนกว่าสถานการณ์ของโรคโควิด-19 จะสิ้นสุดลงเข้าสู่ภาวะปกติ
จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะ นั่งรถกอล์ฟเยี่ยมชมบูธภายในงานก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร
------------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33831
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เริ่มจ่ายเงินประกันรายได้กว่า 899 ล้านบาท แก่เกษตรกร¬ผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63
|
วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2562
ธ.ก.ส. เริ่มจ่ายเงินประกันรายได้กว่า 899 ล้านบาท แก่เกษตรกร¬ผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63
ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดําเนิน “โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63” เพื่อให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีรายได้ที่แน่นอน
ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63 เพื่อสร้างความมั่นคงด้านรายได้แก่ผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั่วประเทศ โดยประกันรายได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ความชื้นไม่เกิน 14.5% กิโลกรัมละ 8.50 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ไร่ จํานวนกว่า 452,000 ครัวเรือน วงเงินประมาณกว่า 899 ล้านบาท เริ่มจ่ายเงินรอบแรกเข้าบัญชีเกษตรกรที่เปิดไว้กับ ธ.ก.ส. กว่า 72,000 ครัวเรือน เป็นเงินกว่า 215 ล้านบาท
นายศรายุทธ ยิ้มยวน รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดําเนิน “โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63” เพื่อให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีรายได้ที่แน่นอน ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตกต่ําและสร้างความมั่นคงในอาชีพ เป้าหมายเกษตรกร 452,000 ครัวเรือน วงเงินงบประมาณ 899,484,700 บาท ประกันรายได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เมล็ดที่ความชื้นไม่เกิน 14.5% กิโลกรัมละ 8.50 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ไร่ โดยหลังจากคณะกรรมการ ธ.ก.ส. ซึ่งมีนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลัง เป็นประธานกรรมการเห็นชอบแล้ว จะทําการจ่ายเงินประกันรายได้ดังกล่าว และในวันเดียวกัน (20 ธันวาคม 2562) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในงาน Kick off โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63 ณ กระทรวงพาณิชย์ อําเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี เพื่อเริ่มการจ่ายเงินประกันรายได้ในครั้งแรกให้เกษตรกร จํานวน 72,854 ครัวเรือน เป็นเงิน 215,639,823.18 บาท
สําหรับหลักเกณฑ์การจ่ายเงินประกันรายได้ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตร โดยมีวันเพาะปลูกตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 – 31 พฤษภาคม 2563 ทั้งนี้ กรมส่งเสริมการเกษตรจะทําการตรวจสอบข้อมูล แล้วส่งมายัง ธ.ก.ส. เพื่อให้โอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง ซึ่งเงินประกันรายได้ดังกล่าวเป็นส่วนต่างระหว่างราคาประกันรายได้กับราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงที่กําหนดโดยคณะอนุกรรมการกํากับดูแลและกําหนดเกณฑ์การอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยจะมีการจ่ายชดเชยส่วนต่างราคาครั้งแรก ในวันที่ 20 ธันวาคม 2562 สําหรับเกษตรกรที่มีการเก็บเกี่ยวตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 19 ธันวาคม 2562 และต่อไปเดือนละครั้ง ทุกวันที่ 20 ของเดือน จนถึงระยะเวลาสิ้นสุดการรับสิทธิ์ชดเชยตามโครงการฯ วันที่ 31 ตุลาคม 2563 ซึ่งเกษตรกรสามารถตรวจสอบการโอนเงินได้ผ่านทางแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ยังได้มีมาตรการคู่ขนานผ่านโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตร ปี 2562/63 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชนและสถาบันเกษตรกรที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และ/หรือใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ นําไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ในการรวบรวมหรือรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกรผู้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2562/63 กับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อจําหน่าย แปรรูป เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและช่วยดูดซับปริมาณผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงที่ผลผลิตออกมาก วงเงินสินเชื่อรวม 1,500 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 1 ต่อปี เป็นระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เริ่มจ่ายเงินประกันรายได้กว่า 899 ล้านบาท แก่เกษตรกร¬ผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63
วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2562
ธ.ก.ส. เริ่มจ่ายเงินประกันรายได้กว่า 899 ล้านบาท แก่เกษตรกร¬ผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63
ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดําเนิน “โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63” เพื่อให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีรายได้ที่แน่นอน
ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63 เพื่อสร้างความมั่นคงด้านรายได้แก่ผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั่วประเทศ โดยประกันรายได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ความชื้นไม่เกิน 14.5% กิโลกรัมละ 8.50 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ไร่ จํานวนกว่า 452,000 ครัวเรือน วงเงินประมาณกว่า 899 ล้านบาท เริ่มจ่ายเงินรอบแรกเข้าบัญชีเกษตรกรที่เปิดไว้กับ ธ.ก.ส. กว่า 72,000 ครัวเรือน เป็นเงินกว่า 215 ล้านบาท
นายศรายุทธ ยิ้มยวน รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดําเนิน “โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63” เพื่อให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีรายได้ที่แน่นอน ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตกต่ําและสร้างความมั่นคงในอาชีพ เป้าหมายเกษตรกร 452,000 ครัวเรือน วงเงินงบประมาณ 899,484,700 บาท ประกันรายได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เมล็ดที่ความชื้นไม่เกิน 14.5% กิโลกรัมละ 8.50 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ไร่ โดยหลังจากคณะกรรมการ ธ.ก.ส. ซึ่งมีนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลัง เป็นประธานกรรมการเห็นชอบแล้ว จะทําการจ่ายเงินประกันรายได้ดังกล่าว และในวันเดียวกัน (20 ธันวาคม 2562) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในงาน Kick off โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63 ณ กระทรวงพาณิชย์ อําเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี เพื่อเริ่มการจ่ายเงินประกันรายได้ในครั้งแรกให้เกษตรกร จํานวน 72,854 ครัวเรือน เป็นเงิน 215,639,823.18 บาท
สําหรับหลักเกณฑ์การจ่ายเงินประกันรายได้ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตร โดยมีวันเพาะปลูกตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 – 31 พฤษภาคม 2563 ทั้งนี้ กรมส่งเสริมการเกษตรจะทําการตรวจสอบข้อมูล แล้วส่งมายัง ธ.ก.ส. เพื่อให้โอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง ซึ่งเงินประกันรายได้ดังกล่าวเป็นส่วนต่างระหว่างราคาประกันรายได้กับราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงที่กําหนดโดยคณะอนุกรรมการกํากับดูแลและกําหนดเกณฑ์การอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยจะมีการจ่ายชดเชยส่วนต่างราคาครั้งแรก ในวันที่ 20 ธันวาคม 2562 สําหรับเกษตรกรที่มีการเก็บเกี่ยวตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 19 ธันวาคม 2562 และต่อไปเดือนละครั้ง ทุกวันที่ 20 ของเดือน จนถึงระยะเวลาสิ้นสุดการรับสิทธิ์ชดเชยตามโครงการฯ วันที่ 31 ตุลาคม 2563 ซึ่งเกษตรกรสามารถตรวจสอบการโอนเงินได้ผ่านทางแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ยังได้มีมาตรการคู่ขนานผ่านโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตร ปี 2562/63 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชนและสถาบันเกษตรกรที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และ/หรือใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ นําไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ในการรวบรวมหรือรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกรผู้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2562/63 กับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อจําหน่าย แปรรูป เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและช่วยดูดซับปริมาณผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงที่ผลผลิตออกมาก วงเงินสินเชื่อรวม 1,500 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 1 ต่อปี เป็นระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25381
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ๔ ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับ "กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา"
|
วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม 2561
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ๔ ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับ "กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา"
ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๑ เผยแพร่ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับ "กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา" จํานวน ๔ ฉบับ
ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๑ เผยแพร่ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับ"กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา" จํานวน ๔ ฉบับ คือ ๑) เพื่อใช้เป็นแนวทางดําเนินการในการบริหารงานบุคคล๒) การรักษาการและปฏิบัติการแทนผู้จัดการและนิติกรรม๓) หลักเกณฑ์การจัดสรรเงินกองทุน ๔)หลักเกณฑ์การตรวจสอบข้อมูลและการช่วยเหลือเด็กปฐมวัย เด็กและเยาวชน ซึ่งขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาส ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ผู้ด้อยโอกาส ครอบครัวที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และครู
๑.ระเบียบกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๑ซึ่งเป็นระเบียบที่ใช้ในการบริหารงานบุคคลของกองทุน เช่น การกําหนดอัตราเงินเดือน ค่าจ้าง ค่าตอบแทน การประเมินผลบุคลากร เป็นต้น(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
๒. ระเบียบกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ว่าด้วยการรักษาการแทนและการปฏิบัติการแทนผู้จัดการ และนิติกรรมที่ผู้จัดการต้องขออนุมัติต่อคณะกรรมการ พ.ศ. ๒๕๖๑ซึ่งเป็นระเบียบของกองทุนเกี่ยวกับการรักษาการแทนและการปฏิบัติการแทนผู้จัดการ และนิติกรรมที่ผู้จัดการต้องขออนุมัติต่อคณะกรรมการ(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
๓. ระเบียบกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ว่าดัวยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลําดับความสําคัญในการจัดสรรเงินกองทุน พ.ศ. ๒๕๖๑ซึ่งเป็นระเบียบเพื่อให้การจัดสรรเงินกองทุนเป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งกองทุนให้มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ และทั่วถึง โดยดําเนินการภายใต้แนวคิดหลักและลําดับความสําคัญ ดังนี้
๑) แนวคิดหลักของกองทุน
ก. การเพิ่มประสิทธิผลและคุณภาพของผลสัมฤทธิ์ในการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาและวัตถุประสงค์
ข. การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการดําเนินงานเพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา
ค. การช่วยเหลือทั้งรูปแบบการสนับสนุนค่าใช้จ่ายผ่านหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน หรือภาคประชาสังคม และรูปแบบการสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่อผู้รับประโยชน์โดยตรง
ง. การให้ความสําคัญกับการพัฒนาองค์ความรู้ ระบบสารสนเทศ และนวัตกรรม เพื่อเป็นฐานในการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาอย่างยั่งยืน และการดําเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้
จ. การติดตามผลการดําเนินงานอย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนระบบธรรมาภิบาลของกองทุน โดยมุ่งเน้นความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้
๒) ลําดับความสําคัญในการจัดสรรเงินกองทุน
ก. พิจารณาจัดสรรให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาสก่อน
ข. พิจารณาจัดสรรให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาสในระดับรุนแรงกว่าก่อน
ค. พิจารณาจัดสรรให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่มีปัญหาซ้ําซ้อนก่อน
ง. พิจารณาจัดสรรให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานใดก่อน
จ. พิจารณาจัดสรรให้แก่ครูที่ดูแลกลุ่มเป้าหมายที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาสก่อน
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
๔. ระเบียบกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ว่าด้วยหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบข้อมูลและการช่วยเหลือเด็กปฐมวัย เด็กและเยาวชน ซึ่งขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาส ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ผู้ด้อยโอกาส ครอบครัวที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และครู พ.ศ. ๒๕๖๑เพื่อให้เป็นแนวทางการพิจารณาช่วยเหลือตามเกณฑ์การขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส ดังนี้
๑) การขาดแคลนทุนทรัพย์และระดับความรุนแรงให้พิจารณาจากข้อมูลรายได้และข้อมูล สถานะครัวเรือน โดยให้นําข้อมูลค่าครองชีพในแต่ละพื้นที่มาประกอบการพิจารณาด้วย
๒) การด้อยโอกาสให้พิจารณาจากการประสบปัญหาความเดือดร้อนและได้รับผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา สาธารณสุข การเมือง กฎหมาย วัฒนธรรม ภัยธรรมชาติ หรืออยู่ในพื้นที่ความไม่สงบ หรือขาดโอกาสที่จะเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานของรัฐ หรือสมควรได้รับการช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรม ตลอดจนประสบปัญหาที่ยังไม่มีองค์กรหลักรับผิดชอบ อันจะส่งผลให้ไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่เสมอภาคกับผู้อื่น รวมถึงการด้อยโอกาสลักษณะอื่น ๆ ที่คณะกรรมการ ประกาศกําหนดเพิ่มเติม
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
อ่านเพิ่มเติมราชกิจจานุเบกษา
Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ๔ ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับ "กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา"
วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม 2561
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ๔ ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับ "กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา"
ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๑ เผยแพร่ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับ "กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา" จํานวน ๔ ฉบับ
ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๑ เผยแพร่ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับ"กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา" จํานวน ๔ ฉบับ คือ ๑) เพื่อใช้เป็นแนวทางดําเนินการในการบริหารงานบุคคล๒) การรักษาการและปฏิบัติการแทนผู้จัดการและนิติกรรม๓) หลักเกณฑ์การจัดสรรเงินกองทุน ๔)หลักเกณฑ์การตรวจสอบข้อมูลและการช่วยเหลือเด็กปฐมวัย เด็กและเยาวชน ซึ่งขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาส ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ผู้ด้อยโอกาส ครอบครัวที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และครู
๑.ระเบียบกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๑ซึ่งเป็นระเบียบที่ใช้ในการบริหารงานบุคคลของกองทุน เช่น การกําหนดอัตราเงินเดือน ค่าจ้าง ค่าตอบแทน การประเมินผลบุคลากร เป็นต้น(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
๒. ระเบียบกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ว่าด้วยการรักษาการแทนและการปฏิบัติการแทนผู้จัดการ และนิติกรรมที่ผู้จัดการต้องขออนุมัติต่อคณะกรรมการ พ.ศ. ๒๕๖๑ซึ่งเป็นระเบียบของกองทุนเกี่ยวกับการรักษาการแทนและการปฏิบัติการแทนผู้จัดการ และนิติกรรมที่ผู้จัดการต้องขออนุมัติต่อคณะกรรมการ(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
๓. ระเบียบกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ว่าดัวยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลําดับความสําคัญในการจัดสรรเงินกองทุน พ.ศ. ๒๕๖๑ซึ่งเป็นระเบียบเพื่อให้การจัดสรรเงินกองทุนเป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งกองทุนให้มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ และทั่วถึง โดยดําเนินการภายใต้แนวคิดหลักและลําดับความสําคัญ ดังนี้
๑) แนวคิดหลักของกองทุน
ก. การเพิ่มประสิทธิผลและคุณภาพของผลสัมฤทธิ์ในการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาและวัตถุประสงค์
ข. การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการดําเนินงานเพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา
ค. การช่วยเหลือทั้งรูปแบบการสนับสนุนค่าใช้จ่ายผ่านหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน หรือภาคประชาสังคม และรูปแบบการสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่อผู้รับประโยชน์โดยตรง
ง. การให้ความสําคัญกับการพัฒนาองค์ความรู้ ระบบสารสนเทศ และนวัตกรรม เพื่อเป็นฐานในการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาอย่างยั่งยืน และการดําเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้
จ. การติดตามผลการดําเนินงานอย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนระบบธรรมาภิบาลของกองทุน โดยมุ่งเน้นความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้
๒) ลําดับความสําคัญในการจัดสรรเงินกองทุน
ก. พิจารณาจัดสรรให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาสก่อน
ข. พิจารณาจัดสรรให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาสในระดับรุนแรงกว่าก่อน
ค. พิจารณาจัดสรรให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่มีปัญหาซ้ําซ้อนก่อน
ง. พิจารณาจัดสรรให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานใดก่อน
จ. พิจารณาจัดสรรให้แก่ครูที่ดูแลกลุ่มเป้าหมายที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาสก่อน
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
๔. ระเบียบกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ว่าด้วยหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบข้อมูลและการช่วยเหลือเด็กปฐมวัย เด็กและเยาวชน ซึ่งขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาส ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ผู้ด้อยโอกาส ครอบครัวที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และครู พ.ศ. ๒๕๖๑เพื่อให้เป็นแนวทางการพิจารณาช่วยเหลือตามเกณฑ์การขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส ดังนี้
๑) การขาดแคลนทุนทรัพย์และระดับความรุนแรงให้พิจารณาจากข้อมูลรายได้และข้อมูล สถานะครัวเรือน โดยให้นําข้อมูลค่าครองชีพในแต่ละพื้นที่มาประกอบการพิจารณาด้วย
๒) การด้อยโอกาสให้พิจารณาจากการประสบปัญหาความเดือดร้อนและได้รับผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา สาธารณสุข การเมือง กฎหมาย วัฒนธรรม ภัยธรรมชาติ หรืออยู่ในพื้นที่ความไม่สงบ หรือขาดโอกาสที่จะเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานของรัฐ หรือสมควรได้รับการช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรม ตลอดจนประสบปัญหาที่ยังไม่มีองค์กรหลักรับผิดชอบ อันจะส่งผลให้ไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่เสมอภาคกับผู้อื่น รวมถึงการด้อยโอกาสลักษณะอื่น ๆ ที่คณะกรรมการ ประกาศกําหนดเพิ่มเติม
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
อ่านเพิ่มเติมราชกิจจานุเบกษา
Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15927
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จัดรวมพลศูนย์ข้าวชุมชน เร่งเครื่องเพิ่มศักยภาพผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพดี 2 แสนตันภายในปี 63
|
วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2562
กระทรวงเกษตรฯ จัดรวมพลศูนย์ข้าวชุมชน เร่งเครื่องเพิ่มศักยภาพผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพดี 2 แสนตันภายในปี 63
กระทรวงเกษตรฯ จัดรวมพลศูนย์ข้าวชุมชน เร่งเครื่องเพิ่มศักยภาพผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพดี 2 แสนตันภายในปี 63 รองรับความต้องการใช้ในประเทศ พร้อมผนึกเครือข่ายเชื่อมโยงการทํางานอย่างมีประสิทธิภาพ
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนาเชื่อมโยงเครือข่ายประธานศูนย์ข้าวชุมชนระดับเขต พร้อมมอบนโยบายแนวทางการทํางาน ณ โรงแรม ดิ ไอเดิล เซอร์วิส เรสซิเดนซ์ จ.ปทุมธานี ว่า ศูนย์ข้าวชุมชนมีบทบาทสําคัญในการเป็นศูนย์กลางถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาการผลิตข้าวและชาวนา และผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวพันธุ์ดีไว้ใช้เองอย่างเพียงพอในชุมชน นับเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหาการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ดี ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสําคัญกับเรื่องข้าวมาโดยตลอด ชาวนาจึงเปรียบเสมือนผู้สร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศ อีกทั้ง กระทรวงเกษตรฯ ได้ให้ความสําคัญกับการพัฒนาและเพิ่มเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพ ซึ่งจะสามารถช่วยให้การเพาะปลูกได้ผลผลิตดียิ่งขึ้น ดังนั้นจึงต้องสร้างระบบการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของประเทศให้มีความเข้มแข็ง มั่นคง โดยศูนย์ข้าวชุมชนคือส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายดังกล่าวให้ประสบความสําเร็จ จึงต้องร่วมมือกันในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี ให้เพียงพอกับความต้องการใช้ในแต่ละปี โดยกระทรวงเกษตรฯ พร้อมจะสนับสนุนเครื่องมือต่างๆ อาทิ เครื่องคัดแยกเมล็ด เครื่องอบลดความชื้นข้าวเปลือก รวมไปถึงการสร้างแหล่งน้ําบาดาลเพื่อการทํานาให้กับศูนย์ข้าวชุมชนแต่ละพื้นที่ เป็นการช่วยลดความเสี่ยงจากภัยแล้งได้ รวมทั้งยังเป็นแหล่งน้ําอุปโภค บริโภคในหมู่บ้านได้อีกด้วย
นายประภัตร กล่าวต่อว่า ความต้องการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวของไทยมีปริมาณสูง ประมาณ 1.4 ล้านตันต่อปี เพื่อใช้เพาะปลูกในพื้นที่นาประมาณ 60 ล้านไร่ อย่างไรก็ตามเมล็ดพันธุ์ข้าวสามารถใช้ปลูกต่อเนื่องได้ประมาณ 3 ครั้ง จากนั้นต้องเปลี่ยนชุดใหม่จึงมีความต้องการเป็นจํานวนมากเกินศักยภาพของส่วนราชการที่จะผลิตได้ ดังนั้น กระทรวงเกษตรฯ จึงได้สนับสนุนและส่งเสริมให้ชาวนาในแต่ละท้องถิ่นรวมตัวกันตั้งเป็นศูนย์ข้าวชุมชนทําหน้าที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีบริการประชาชน รวมทั้งเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาข้าวและชาวนาในท้องถิ่นนั้นๆ โดยให้การสนับสนุนทางด้านวิชาการ และปัจจัยการผลิตที่จําเป็นแก่ศูนย์ฯ เริ่มดําเนินการมาตั้งแต่ปี 2543 โดยกรมส่งเสริมการเกษตร และต่อมาปี 2549 กรมการข้าวได้ดําเนินการต่อ ปัจจุบันมีการขึ้นทะเบียนศูนย์ข้าวชุมชนแล้วทั้งสิ้น 2,028 ศูนย์ กระจายอยู่ในแหล่งผลิตข้าวที่สําคัญทั่วประเทศ มีสมาชิกรวม 61,680 ราย สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีบริการชาวนาได้ปีละประมาณ 100,000 ตัน
“เมล็ดพันธุ์เปรียบเสมือนต้นน้ํา ดังนั้นจึงต้องให้ความสําคัญกับคุณภาพก่อนถึงมือเกษตกรเพื่อนําไปเพาะปลูก พร้อมกันนี้ได้ตั้งเป้าหมายการผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพให้เพิ่มขึ้นจากเดิม 85,000 ตันต่อปี เป็น 200,0000 ตันต่อปี ภายในปี 2563 โดยจะสนับสนุนเครื่องมือที่จําเป็น นอกจากนี้ต้องหาตลาดที่มีคุณภาพ สามารถติดต่อซื้อขายกับผู้ซื้อได้โดยตรง โดยการทําระบบซื้อขายออนไลน์ มีระบบตรวจสอบย้อนกลับเพื่อทราบแหล่งที่มา พร้อมกับติดโลโก้เครื่องหมาย Q บนสินค้าเพื่อเป็นการยกระดับเมล็ดพันธุ์ข้าวให้ได้มาตรฐานสินค้าเกษตรปลอดภัยผ่านการรับรองจากกระทรวงเกษตรฯ สร้างความน่าเชื่อถือ และสร้างมูลค่าให้กับสินค้าได้” นายประภัตร กล่าว
นายประสงค์ ประไพตระกูล อธิบดีกรมการข้าว กล่าวเพิ่มเติมว่า ศูนย์ข้าวชุมชนนับเป็นองค์กรชาวนาที่มีความเข้มแข็ง มั่นคงและมีความก้าวหน้ามาอย่างต่อเนื่อง มีการบริหารจัดการองค์กรอย่างเป็นระบบ โดยมีคณะกรรมการบริหารงานในทุกระดับ คือ ระดับจังหวัด เขต และประเทศ ซึ่งการสัมมนาในครั้งนี้ กรมการข้าวได้เชิญประธานศูนย์ข้าวชุมชนรวมทั้งสิ้น 8 เขต และเจ้าหน้าที่รวม 282 คน เข้าร่วมสัมมนาเพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายในการทํางานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-18 ก.ย. 62 ณ โรงแรมดิไอเดิล เซอร์วิส เรสซิเดนซ์ จ.ปทุมธานี โดยคาดหวังว่าการสัมมนาในครั้งนี้ศูนย์ข้าวชุมชนจะมีแผนและเป้าหมายที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมและมีความพร้อมที่จะเข้าร่วมโครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ รวมทั้งมีการเชื่อมโยงเครือข่ายในการทํางานอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป นอกจากนี้ ภายในงานประกอบด้วย การอภิปรายเรื่อง แนวทางการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีของศูนย์ข้าวชุมชนและการเตรียมความพร้อมสู่นาแปลงใหญ่ การบรรยายพิเศษโดยมีหัวข้อที่น่าสนใจ อาทิ เทคโนโลยีการเกษตรและระบบสารสนเทศทางการเกษตร แนวทางการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีของศูนย์ข้าวชุมชน และการสนับสนุนแหลล่งเงินทุนและปัจจัยการผลิต เป็นต้น
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จัดรวมพลศูนย์ข้าวชุมชน เร่งเครื่องเพิ่มศักยภาพผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพดี 2 แสนตันภายในปี 63
วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2562
กระทรวงเกษตรฯ จัดรวมพลศูนย์ข้าวชุมชน เร่งเครื่องเพิ่มศักยภาพผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพดี 2 แสนตันภายในปี 63
กระทรวงเกษตรฯ จัดรวมพลศูนย์ข้าวชุมชน เร่งเครื่องเพิ่มศักยภาพผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพดี 2 แสนตันภายในปี 63 รองรับความต้องการใช้ในประเทศ พร้อมผนึกเครือข่ายเชื่อมโยงการทํางานอย่างมีประสิทธิภาพ
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนาเชื่อมโยงเครือข่ายประธานศูนย์ข้าวชุมชนระดับเขต พร้อมมอบนโยบายแนวทางการทํางาน ณ โรงแรม ดิ ไอเดิล เซอร์วิส เรสซิเดนซ์ จ.ปทุมธานี ว่า ศูนย์ข้าวชุมชนมีบทบาทสําคัญในการเป็นศูนย์กลางถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาการผลิตข้าวและชาวนา และผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวพันธุ์ดีไว้ใช้เองอย่างเพียงพอในชุมชน นับเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหาการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ดี ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสําคัญกับเรื่องข้าวมาโดยตลอด ชาวนาจึงเปรียบเสมือนผู้สร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศ อีกทั้ง กระทรวงเกษตรฯ ได้ให้ความสําคัญกับการพัฒนาและเพิ่มเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพ ซึ่งจะสามารถช่วยให้การเพาะปลูกได้ผลผลิตดียิ่งขึ้น ดังนั้นจึงต้องสร้างระบบการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของประเทศให้มีความเข้มแข็ง มั่นคง โดยศูนย์ข้าวชุมชนคือส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายดังกล่าวให้ประสบความสําเร็จ จึงต้องร่วมมือกันในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี ให้เพียงพอกับความต้องการใช้ในแต่ละปี โดยกระทรวงเกษตรฯ พร้อมจะสนับสนุนเครื่องมือต่างๆ อาทิ เครื่องคัดแยกเมล็ด เครื่องอบลดความชื้นข้าวเปลือก รวมไปถึงการสร้างแหล่งน้ําบาดาลเพื่อการทํานาให้กับศูนย์ข้าวชุมชนแต่ละพื้นที่ เป็นการช่วยลดความเสี่ยงจากภัยแล้งได้ รวมทั้งยังเป็นแหล่งน้ําอุปโภค บริโภคในหมู่บ้านได้อีกด้วย
นายประภัตร กล่าวต่อว่า ความต้องการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวของไทยมีปริมาณสูง ประมาณ 1.4 ล้านตันต่อปี เพื่อใช้เพาะปลูกในพื้นที่นาประมาณ 60 ล้านไร่ อย่างไรก็ตามเมล็ดพันธุ์ข้าวสามารถใช้ปลูกต่อเนื่องได้ประมาณ 3 ครั้ง จากนั้นต้องเปลี่ยนชุดใหม่จึงมีความต้องการเป็นจํานวนมากเกินศักยภาพของส่วนราชการที่จะผลิตได้ ดังนั้น กระทรวงเกษตรฯ จึงได้สนับสนุนและส่งเสริมให้ชาวนาในแต่ละท้องถิ่นรวมตัวกันตั้งเป็นศูนย์ข้าวชุมชนทําหน้าที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีบริการประชาชน รวมทั้งเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาข้าวและชาวนาในท้องถิ่นนั้นๆ โดยให้การสนับสนุนทางด้านวิชาการ และปัจจัยการผลิตที่จําเป็นแก่ศูนย์ฯ เริ่มดําเนินการมาตั้งแต่ปี 2543 โดยกรมส่งเสริมการเกษตร และต่อมาปี 2549 กรมการข้าวได้ดําเนินการต่อ ปัจจุบันมีการขึ้นทะเบียนศูนย์ข้าวชุมชนแล้วทั้งสิ้น 2,028 ศูนย์ กระจายอยู่ในแหล่งผลิตข้าวที่สําคัญทั่วประเทศ มีสมาชิกรวม 61,680 ราย สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีบริการชาวนาได้ปีละประมาณ 100,000 ตัน
“เมล็ดพันธุ์เปรียบเสมือนต้นน้ํา ดังนั้นจึงต้องให้ความสําคัญกับคุณภาพก่อนถึงมือเกษตกรเพื่อนําไปเพาะปลูก พร้อมกันนี้ได้ตั้งเป้าหมายการผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพให้เพิ่มขึ้นจากเดิม 85,000 ตันต่อปี เป็น 200,0000 ตันต่อปี ภายในปี 2563 โดยจะสนับสนุนเครื่องมือที่จําเป็น นอกจากนี้ต้องหาตลาดที่มีคุณภาพ สามารถติดต่อซื้อขายกับผู้ซื้อได้โดยตรง โดยการทําระบบซื้อขายออนไลน์ มีระบบตรวจสอบย้อนกลับเพื่อทราบแหล่งที่มา พร้อมกับติดโลโก้เครื่องหมาย Q บนสินค้าเพื่อเป็นการยกระดับเมล็ดพันธุ์ข้าวให้ได้มาตรฐานสินค้าเกษตรปลอดภัยผ่านการรับรองจากกระทรวงเกษตรฯ สร้างความน่าเชื่อถือ และสร้างมูลค่าให้กับสินค้าได้” นายประภัตร กล่าว
นายประสงค์ ประไพตระกูล อธิบดีกรมการข้าว กล่าวเพิ่มเติมว่า ศูนย์ข้าวชุมชนนับเป็นองค์กรชาวนาที่มีความเข้มแข็ง มั่นคงและมีความก้าวหน้ามาอย่างต่อเนื่อง มีการบริหารจัดการองค์กรอย่างเป็นระบบ โดยมีคณะกรรมการบริหารงานในทุกระดับ คือ ระดับจังหวัด เขต และประเทศ ซึ่งการสัมมนาในครั้งนี้ กรมการข้าวได้เชิญประธานศูนย์ข้าวชุมชนรวมทั้งสิ้น 8 เขต และเจ้าหน้าที่รวม 282 คน เข้าร่วมสัมมนาเพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายในการทํางานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-18 ก.ย. 62 ณ โรงแรมดิไอเดิล เซอร์วิส เรสซิเดนซ์ จ.ปทุมธานี โดยคาดหวังว่าการสัมมนาในครั้งนี้ศูนย์ข้าวชุมชนจะมีแผนและเป้าหมายที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมและมีความพร้อมที่จะเข้าร่วมโครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ รวมทั้งมีการเชื่อมโยงเครือข่ายในการทํางานอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป นอกจากนี้ ภายในงานประกอบด้วย การอภิปรายเรื่อง แนวทางการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีของศูนย์ข้าวชุมชนและการเตรียมความพร้อมสู่นาแปลงใหญ่ การบรรยายพิเศษโดยมีหัวข้อที่น่าสนใจ อาทิ เทคโนโลยีการเกษตรและระบบสารสนเทศทางการเกษตร แนวทางการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีของศูนย์ข้าวชุมชน และการสนับสนุนแหลล่งเงินทุนและปัจจัยการผลิต เป็นต้น
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23129
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ให้ “คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจำตัว 3 คน”
|
วันพุธที่ 19 สิงหาคม 2563
อนุทิน ให้ “คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจําตัว 3 คน”
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผลักดันนโยบาย “คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจําตัว 3 คน” คือ หมอประจําบ้าน หมอสาธารณสุข และหมอครอบครัว ดูแล ให้ความรู้ สร้างเสริมสุขภาพ ให้ประชาชนเข้าถึงระบบบริการสาธารณสุข ช่วยลดการเดินทาง ลดความแออัด
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผลักดันนโยบาย “คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจําตัว 3 คน” คือ หมอประจําบ้าน หมอสาธารณสุข และหมอครอบครัว ดูแล ให้ความรู้ สร้างเสริมสุขภาพ ให้ประชาชนเข้าถึงระบบบริการสาธารณสุข ช่วยลดการเดินทาง ลดความแออัดของโรงพยาบาลขนาดใหญ่
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมระดมสมองเพื่อบูรณาการงานสาธารณสุขมูลฐานและระบบสุขภาพปฐมภูมิ โดยมี ผู้บริหาร ผู้ทรงคุณวุฒิ ตัวแทนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขภาคเอกชน ท้องถิ่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน และประชาชน เข้าร่วมประชุมจํานวน 100 คน
นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายสําคัญอันดับต้น คือ การพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิ ส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง โดยการระดมความคิดบูรณาการงานสาธารณสุขมูลฐานและระบบสุขภาพปฐมภูมิตามระบบสุขภาพชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ในครั้งนี้ นับเป็นการสร้างความเข้มแข็งระบบสุขภาพภาคประชาชน ตาม พ.ร.บ.ระบบสุขภาพปฐมภูมิ และต่อยอดโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค จึงเกิดเป็นนโยบาย “คนไทยทุกครอบครัวมีหมอประจําตัว 3 คน” โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
นายอนุทินกล่าวต่อว่า นโยบาย “คนไทยทุกครอบครัวมีหมอประจําตัว 3 คน” คือ ทุกครอบครัวจะมี 1. หมอประจําบ้าน (อสม.ระดับหมู่บ้าน) ซึ่ง อสม. 1 คนจะรับผิดชอบ 8-15 หลังคาเรือน 2.หมอสาธารณสุข (เจ้าหน้าที่สาธารณสุข/พยาบาลระดับตําบล) โดยบุคลากรสาธารณสุขระบบปฐมภูมิ (รพ.สต., หน่วยงานสาธารณสุข, เทศบาล, กทม.คลินิกอบอุ่น ฯลฯ) 1 คน รับผิดชอบประชาชน 1,250 คน หรือ 1-3 หมู่บ้าน และจะประสานการทํางานร่วมกับอสม. และ 3.หมอครอบครัว เป็นแพทย์ที่มีองค์ความรู้หรือจบด้านเวชศาสตร์ครอบครัว รับผิดชอบประชากร 1 คนต่อประชาชน 10,000 คน หรือ 1-3 ตําบล โดยหมอประจําตัวทั้ง 3 จะบูรณาการทํางานร่วมกันในการดูแล ให้ความรู้ ส่งเสริมสุขภาพ ให้ประชาชนในพื้นที่สามารถเข้าถึงระบบบริการสาธารณสุข มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและสานต่อแนวทาง “สร้าง นําซ่อม”
ทั้งนี้ การบูรณาการงานสาธารณสุขมูลฐานและระบบสุขภาพปฐมภูมิจะช่วยลดความแออัดของโรงพยาบาลระดับจังหวัด การแก้ปัญหาหรือพัฒนาระบบบริการการรักษา (Care) การสาธารณสุข (Public Health) การจัดการสภาพแวดล้อมและสังคม (Social Determinant of Health : SDH) โดยมีจุดมุ่งหมายให้คนไทยทุกครอบครัว มีคุณภาพชีวิติที่ดี ประชาชนและเจ้าหน้าที่มีความสุขร่วมกัน
******************************* 19 สิงหาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ให้ “คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจำตัว 3 คน”
วันพุธที่ 19 สิงหาคม 2563
อนุทิน ให้ “คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจําตัว 3 คน”
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผลักดันนโยบาย “คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจําตัว 3 คน” คือ หมอประจําบ้าน หมอสาธารณสุข และหมอครอบครัว ดูแล ให้ความรู้ สร้างเสริมสุขภาพ ให้ประชาชนเข้าถึงระบบบริการสาธารณสุข ช่วยลดการเดินทาง ลดความแออัด
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผลักดันนโยบาย “คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจําตัว 3 คน” คือ หมอประจําบ้าน หมอสาธารณสุข และหมอครอบครัว ดูแล ให้ความรู้ สร้างเสริมสุขภาพ ให้ประชาชนเข้าถึงระบบบริการสาธารณสุข ช่วยลดการเดินทาง ลดความแออัดของโรงพยาบาลขนาดใหญ่
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมระดมสมองเพื่อบูรณาการงานสาธารณสุขมูลฐานและระบบสุขภาพปฐมภูมิ โดยมี ผู้บริหาร ผู้ทรงคุณวุฒิ ตัวแทนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขภาคเอกชน ท้องถิ่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน และประชาชน เข้าร่วมประชุมจํานวน 100 คน
นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายสําคัญอันดับต้น คือ การพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิ ส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง โดยการระดมความคิดบูรณาการงานสาธารณสุขมูลฐานและระบบสุขภาพปฐมภูมิตามระบบสุขภาพชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ในครั้งนี้ นับเป็นการสร้างความเข้มแข็งระบบสุขภาพภาคประชาชน ตาม พ.ร.บ.ระบบสุขภาพปฐมภูมิ และต่อยอดโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค จึงเกิดเป็นนโยบาย “คนไทยทุกครอบครัวมีหมอประจําตัว 3 คน” โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
นายอนุทินกล่าวต่อว่า นโยบาย “คนไทยทุกครอบครัวมีหมอประจําตัว 3 คน” คือ ทุกครอบครัวจะมี 1. หมอประจําบ้าน (อสม.ระดับหมู่บ้าน) ซึ่ง อสม. 1 คนจะรับผิดชอบ 8-15 หลังคาเรือน 2.หมอสาธารณสุข (เจ้าหน้าที่สาธารณสุข/พยาบาลระดับตําบล) โดยบุคลากรสาธารณสุขระบบปฐมภูมิ (รพ.สต., หน่วยงานสาธารณสุข, เทศบาล, กทม.คลินิกอบอุ่น ฯลฯ) 1 คน รับผิดชอบประชาชน 1,250 คน หรือ 1-3 หมู่บ้าน และจะประสานการทํางานร่วมกับอสม. และ 3.หมอครอบครัว เป็นแพทย์ที่มีองค์ความรู้หรือจบด้านเวชศาสตร์ครอบครัว รับผิดชอบประชากร 1 คนต่อประชาชน 10,000 คน หรือ 1-3 ตําบล โดยหมอประจําตัวทั้ง 3 จะบูรณาการทํางานร่วมกันในการดูแล ให้ความรู้ ส่งเสริมสุขภาพ ให้ประชาชนในพื้นที่สามารถเข้าถึงระบบบริการสาธารณสุข มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและสานต่อแนวทาง “สร้าง นําซ่อม”
ทั้งนี้ การบูรณาการงานสาธารณสุขมูลฐานและระบบสุขภาพปฐมภูมิจะช่วยลดความแออัดของโรงพยาบาลระดับจังหวัด การแก้ปัญหาหรือพัฒนาระบบบริการการรักษา (Care) การสาธารณสุข (Public Health) การจัดการสภาพแวดล้อมและสังคม (Social Determinant of Health : SDH) โดยมีจุดมุ่งหมายให้คนไทยทุกครอบครัว มีคุณภาพชีวิติที่ดี ประชาชนและเจ้าหน้าที่มีความสุขร่วมกัน
******************************* 19 สิงหาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34317
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์จับมือเอกชนภาคตะวันออกประชุมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ผลไม้
|
วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561
พาณิชย์จับมือเอกชนภาคตะวันออกประชุมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ผลไม้
“สนธิรัตน์”นําทีมผู้บริหารพาณิชย์พบปะหารือผู้นําเศรษฐกิจภาคตะวันออก เตรียมจับมือทําแผนพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก ทั้งการทํายุทธศาสตร์ผลไม้ การพัฒนาจันทบุรีเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับ
การผลักดันการค้าชายแดน การส่งเสริมการค้า การลงทุน การเชื่อมโยงการท่องเที่ยว และ EEC
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2561 กระทรวงพาณิชย์ได้นําคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วมประชุมกับผู้นําเศรษฐกิจภาคเอกชนของ ภาคตะวันออก 8 จังหวัด ได้แก่ หอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรม สมาคมธุรกิจ ผู้ประกอบการ สภาเกษตรกร และสถาบันการศึกษา ที่ห้องประชุมมหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะการพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก การผลักดันยุทธศาสตร์ผลไม้ภาคตะวันออก การพัฒนาจันทบุรีให้เป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับ การผลักดันการค้าชายแดน การส่งเสริมการค้า การลงทุน การผลักดันการท่องเที่ยว เศรษฐกิจฐานราก และการส่งเสริมการค้าการลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ทั้งนี้ ในด้านการจัดทํายุทธศาสตร์ผลไม้ กระทรวงพาณิชย์จะนําเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นชาติมหาอํานาจด้านการค้าผลไม้เมืองร้อนของโลก โดยมีแผนที่จะพัฒนาผลไม้เกรดพรีเมียม เช่น ทุเรียน เพื่อเพิ่มมูลค่าและผลักดันให้ราคาสูงขึ้น การทําตลาดให้กับผลไม้เกรดรอง เช่น ทุเรียน มังคุด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น ลําไยทอดสูญญากาศ การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ผลไม้ไทย รวมถึงจะมีการพัฒนาช่องทางการจําหน่าย การกระจายผลไม้อย่างเป็นระบบ การเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ประกอบการ เช่น การจัดหาสินเชื่อให้ และการประชาสัมพันธ์ผลไม้เมืองร้อนของไทยให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่ต้องการเพิ่มมากขึ้น
ส่วนการผลักดันให้จันทบุรีเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับ กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าจะผลักดันให้จันทบุรีเป็นศูนย์กลางการค้าพลอยสี เพราะเป็นแหล่งวัตถุดิบสําคัญของประเทศ โดยจะโปรโมตและผลักดันให้ต่างชาติเข้ามาทําการซื้อขายเพิ่มมากขึ้น และยังจะร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดทําถนนสายอัญมณี เพื่อดึงดูดการท่องเที่ยว โดยจะมีการจัดทํารายละเอียดที่ตั้งร้านค้า สินค้าที่จําหน่าย เพื่อเป็นคู่มือให้กับนักท่องเที่ยว
ในด้านการค้าชายแดน จะเร่งผลักดันให้มีการค้าขายผ่านด่านถาวรบ้านแหลม และด่านบ้านผักกาดให้เพิ่มมากขึ้น โดยจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มสิ่งอํานวยความสะดวก และมีแผนที่จะเข้าไปส่งเสริมและผลักดันให้ผู้ประกอบการที่อยู่ตามแนวชายแดนมีความรู้ และเพิ่มการทําการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านให้เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ จะเข้าไปช่วยส่งเสริมและผลักดันการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคตะวันออก เพราะเป็นแหล่งวัตถุดิบสําคัญของประเทศ ทั้งผลไม้ อัญมณี และยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่สําคัญๆ อีกเป็นจํานวนมาก ซึ่งหากเชื่อมโยงกันได้ ก็จะทําให้เศรษฐกิจในภาคตะวันออกขยายตัวได้เพิ่มขึ้น
ส่วนการส่งเสริมและผลักดัน EEC กระทรวงพาณิชย์มีแผนที่จะเจรจากับประเทศคู่ค้าต่างๆ โดยใช้นโยบายหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ (Strategic Partnership) ในการดึงดูดและชักจูงให้เข้ามาลงทุนใน EEC ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ดําเนินการร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมในการดึงดูดนักลงทุนญี่ปุ่นให้เข้ามาลงทุนแล้ว และขณะนี้กําลังจะดึงนักลงทุนจีนและรัสเซียให้เข้ามาดูพื้นที่และเพิ่มการลงทุนใน EEC รวมถึงประเทศอื่นๆ ซึ่งหากทําได้สําเร็จตามเป้า ก็จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคตะวันออกได้อีกมาก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์จับมือเอกชนภาคตะวันออกประชุมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ผลไม้
วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561
พาณิชย์จับมือเอกชนภาคตะวันออกประชุมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ผลไม้
“สนธิรัตน์”นําทีมผู้บริหารพาณิชย์พบปะหารือผู้นําเศรษฐกิจภาคตะวันออก เตรียมจับมือทําแผนพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก ทั้งการทํายุทธศาสตร์ผลไม้ การพัฒนาจันทบุรีเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับ
การผลักดันการค้าชายแดน การส่งเสริมการค้า การลงทุน การเชื่อมโยงการท่องเที่ยว และ EEC
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2561 กระทรวงพาณิชย์ได้นําคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วมประชุมกับผู้นําเศรษฐกิจภาคเอกชนของ ภาคตะวันออก 8 จังหวัด ได้แก่ หอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรม สมาคมธุรกิจ ผู้ประกอบการ สภาเกษตรกร และสถาบันการศึกษา ที่ห้องประชุมมหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะการพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก การผลักดันยุทธศาสตร์ผลไม้ภาคตะวันออก การพัฒนาจันทบุรีให้เป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับ การผลักดันการค้าชายแดน การส่งเสริมการค้า การลงทุน การผลักดันการท่องเที่ยว เศรษฐกิจฐานราก และการส่งเสริมการค้าการลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ทั้งนี้ ในด้านการจัดทํายุทธศาสตร์ผลไม้ กระทรวงพาณิชย์จะนําเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นชาติมหาอํานาจด้านการค้าผลไม้เมืองร้อนของโลก โดยมีแผนที่จะพัฒนาผลไม้เกรดพรีเมียม เช่น ทุเรียน เพื่อเพิ่มมูลค่าและผลักดันให้ราคาสูงขึ้น การทําตลาดให้กับผลไม้เกรดรอง เช่น ทุเรียน มังคุด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น ลําไยทอดสูญญากาศ การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ผลไม้ไทย รวมถึงจะมีการพัฒนาช่องทางการจําหน่าย การกระจายผลไม้อย่างเป็นระบบ การเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ประกอบการ เช่น การจัดหาสินเชื่อให้ และการประชาสัมพันธ์ผลไม้เมืองร้อนของไทยให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่ต้องการเพิ่มมากขึ้น
ส่วนการผลักดันให้จันทบุรีเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับ กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าจะผลักดันให้จันทบุรีเป็นศูนย์กลางการค้าพลอยสี เพราะเป็นแหล่งวัตถุดิบสําคัญของประเทศ โดยจะโปรโมตและผลักดันให้ต่างชาติเข้ามาทําการซื้อขายเพิ่มมากขึ้น และยังจะร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดทําถนนสายอัญมณี เพื่อดึงดูดการท่องเที่ยว โดยจะมีการจัดทํารายละเอียดที่ตั้งร้านค้า สินค้าที่จําหน่าย เพื่อเป็นคู่มือให้กับนักท่องเที่ยว
ในด้านการค้าชายแดน จะเร่งผลักดันให้มีการค้าขายผ่านด่านถาวรบ้านแหลม และด่านบ้านผักกาดให้เพิ่มมากขึ้น โดยจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มสิ่งอํานวยความสะดวก และมีแผนที่จะเข้าไปส่งเสริมและผลักดันให้ผู้ประกอบการที่อยู่ตามแนวชายแดนมีความรู้ และเพิ่มการทําการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านให้เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ จะเข้าไปช่วยส่งเสริมและผลักดันการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคตะวันออก เพราะเป็นแหล่งวัตถุดิบสําคัญของประเทศ ทั้งผลไม้ อัญมณี และยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่สําคัญๆ อีกเป็นจํานวนมาก ซึ่งหากเชื่อมโยงกันได้ ก็จะทําให้เศรษฐกิจในภาคตะวันออกขยายตัวได้เพิ่มขึ้น
ส่วนการส่งเสริมและผลักดัน EEC กระทรวงพาณิชย์มีแผนที่จะเจรจากับประเทศคู่ค้าต่างๆ โดยใช้นโยบายหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ (Strategic Partnership) ในการดึงดูดและชักจูงให้เข้ามาลงทุนใน EEC ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ดําเนินการร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมในการดึงดูดนักลงทุนญี่ปุ่นให้เข้ามาลงทุนแล้ว และขณะนี้กําลังจะดึงนักลงทุนจีนและรัสเซียให้เข้ามาดูพื้นที่และเพิ่มการลงทุนใน EEC รวมถึงประเทศอื่นๆ ซึ่งหากทําได้สําเร็จตามเป้า ก็จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคตะวันออกได้อีกมาก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9909
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยและรัสเซียกระชับความสัมพันธ์ เดินหน้าขยายการค้าและการลงทุน ผลักดันมูลค่าการค้าเพิ่ม 5 เท่าภายในปี 2563
|
วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2560
ไทยและรัสเซียกระชับความสัมพันธ์ เดินหน้าขยายการค้าและการลงทุน ผลักดันมูลค่าการค้าเพิ่ม 5 เท่าภายในปี 2563
ไทยและรัสเซียประสบความสําเร็จในการประชุมหารือยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ลดอุปสรรค ส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน เพื่อบรรลุเป้าหมายการขยายมูลค่าการค้า 5 เท่าภายใน 5 ปี หรือ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2563
ตามที่ผู้นําทั้งสองฝ่ายได้ตั้งไว้ในโอกาสการเยือนสหพันธรัฐรัสเซียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) เมื่อเดือนพฤษภาคม 2559
เมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (Sub-Commission on Trade and Economic Cooperation) ระดับรัฐมนตรี ระหว่างไทยกับสหพันธรัฐรัสเซีย ครั้งที่ 3 ณ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางอภิรดี ตันตราภรณ์) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพัฒนาเศรษฐกิจ(นายอเล็กเซย์ กรูซเดียฟ) เป็นประธานร่วมในการประชุม
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ เปิดเผยว่า ไทยและรัสเซียได้เห็นพ้องกันว่าจะต้องเร่งขยายการค้าและการลงทุน ลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเพิ่มมูลค่าการค้า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563) ตามที่ผู้นําตั้งเป้าไว้ผ่านการดําเนินงานต่างๆ เช่น เร่งรัดกระบวนการตรวจสอบรับรองโรงงานผลิตสินค้าปศุสัตว์และประมงของไทยที่จะส่งออกไปรัสเซียให้เป็นไปอย่างรวดเร็วไม่ชักช้า เพิ่มการจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจของทั้งสองฝ่าย โดยไทยมีแผนจะจัดคณะธุรกิจเยือนกรุงมอสโก ในเดือนมิถุนายน 2560 และเมืองวลาดิวอสต็อก ในเดือนกันยายน 2560 เพิ่มความร่วมมือด้านโลจิสติกส์ระหว่างท่าเรือวลาดิวอสต็อกซึ่งเป็นท่าเรือสําคัญและมีศักยภาพของรัสเซียกับท่าเรือแหลมฉบังของไทย ตลอดจนเพิ่มช่องทางที่จะอํานวยความสะดวกการทําธุรกรรมทางการเงินในการนําเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างสองประเทศ เป็นต้น
ไทยยังได้ใช้โอกาสนี้เสนอที่จะสนับสนุนนโยบายความมั่นคงทางอาหารของรัสเซีย โดยไทยพร้อมส่งออกสินค้าอาหารและเกษตร เช่น ข้าว น้ําตาล อาหารทะเล ผลิตภัณฑ์จากปศุสัตว์ ผักและผลไม้แปรรูป เป็นต้นให้รัสเซีย ตลอดจนพร้อมส่งชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ เครื่องประดับยนต์ ยางรถยนต์และยางธรรมชาติ เพื่อสนับสนุนความมุ่งมั่นของรัสเซียในการเป็นผู้นําอุตสาหกรรมรถยนต์ของกลุ่มประเทศ CIS (Commonwealth of Independent State : CIS) รวมทั้งการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยที่มีคุณภาพและได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดรัสเซีย
ในโอกาสนี้ ฝ่ายไทยยังได้บรรยายสรุปและเชิญชวนให้นักธุรกิจของรัสเซียมาลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ของไทยที่มุ่งสร้างให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ ที่ทันสมัยของอาเซียน โดยไทยจะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในเขต EEC ดังกล่าว อาทิ ทางถนน ทางราง ทางเรือ และทางอากาศ แผนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และแผนการพัฒนาเมืองใหม่ พร้อมทั้งมีมาตรการดึงดูดการลงทุนที่รัฐบาลพร้อมให้สิทธิพิเศษส่งเสริมการลงทุนที่เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง จึงได้เชิญชวนรัสเซียเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะในสาขาที่รัสเซียมีความเชี่ยวชาญ อาทิ อุตสาหกรรมดิจิทัลด้านซอฟแวร์ อากาศยาน เครื่องจักร เทคโนโลยีชีวภาพ วิทยาศาสตร์ขั้นสูง และเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยที่จะพัฒนา พร้อมทั้งเน้นย้ําจุดแข็งของไทยที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ใจกลางภูมิภาคอาเซียน และเป็นประตูไปสู่ประเทศในอาเซียนและเอเชีย ซึ่งรัสเซียสามารถใช้ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าและเป็นแหล่งวัตถุดิบ นอกจากนี้ ไทยยังได้เชิญชวน นักธุรกิจรัสเซียเข้ามาลงทุนในโครงการ Rubber City อีกด้วย ในการนี้ ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะจัดตั้งคณะทํางานเพื่อหารือพัฒนาความร่วมมือด้านการลงทุนใน EEC ในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และการลงทุนด้านการวิจัยพัฒนาร่วมกัน
ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือถึงแนวทางในการพัฒนาความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว พลังงาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และโลจิสติกส์ ซึ่งรวมถึงการเริ่มกระบวนการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะเริ่มการเจรจา FTA ระหว่างไทยกับสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย (Eurasian Economic Union :EAEU ประกอบด้วยสมาชิก 5 ประเทศ คือ สหพันธรัฐรัสเซีย สาธารณรัฐคาซัคสถาน สาธารณรัฐเบลารุส สาธารณอาร์เมเนียและสาธารณรัฐคีร์กีซ มีประชากรกว่า 180 ล้านคน มูลค่า GDP ถึง 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ)
ไทยและรัสเซียมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมายาวนาน โดยในปี 2017 นี้ ยังเป็นปีครบรอบ 120 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-รัสเซีย ปัจจุบัน รัสเซียเป็นประเทศคู่ค้าอันดับที่ 33 ของไทยแต่เป็นคู่ค้าอันดับแรกในกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) โดยรัสเซียเป็นตลาดขนาดใหญ่ของภูมิภาคด้วยประชากรกว่า 142 ล้านคน มั่งคั่งด้วยแหล่งพลังงาน (น้ํามันดิบและก๊าซธรรมชาติ) และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ในปี 2559 การค้าไทย-รัสเซียมีมูลค่า 1,964 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสินค้าสําคัญที่ไทยส่งออกไปรัสเซีย ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ ผลไม้กระป๋อง เป็นต้น ในขณะที่สินค้าสําคัญที่ไทยนําเข้า ได้แก่ น้ํามันดิบ ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง เหล็กและผลิตภัณฑ์ ถ่านหิน เป็นต้น สําหรับนักธุรกิจที่ร่วมกิจกรรมดังกล่าวสามารถ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยและรัสเซียกระชับความสัมพันธ์ เดินหน้าขยายการค้าและการลงทุน ผลักดันมูลค่าการค้าเพิ่ม 5 เท่าภายในปี 2563
วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2560
ไทยและรัสเซียกระชับความสัมพันธ์ เดินหน้าขยายการค้าและการลงทุน ผลักดันมูลค่าการค้าเพิ่ม 5 เท่าภายในปี 2563
ไทยและรัสเซียประสบความสําเร็จในการประชุมหารือยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ลดอุปสรรค ส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน เพื่อบรรลุเป้าหมายการขยายมูลค่าการค้า 5 เท่าภายใน 5 ปี หรือ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2563
ตามที่ผู้นําทั้งสองฝ่ายได้ตั้งไว้ในโอกาสการเยือนสหพันธรัฐรัสเซียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) เมื่อเดือนพฤษภาคม 2559
เมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (Sub-Commission on Trade and Economic Cooperation) ระดับรัฐมนตรี ระหว่างไทยกับสหพันธรัฐรัสเซีย ครั้งที่ 3 ณ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางอภิรดี ตันตราภรณ์) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพัฒนาเศรษฐกิจ(นายอเล็กเซย์ กรูซเดียฟ) เป็นประธานร่วมในการประชุม
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ เปิดเผยว่า ไทยและรัสเซียได้เห็นพ้องกันว่าจะต้องเร่งขยายการค้าและการลงทุน ลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเพิ่มมูลค่าการค้า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563) ตามที่ผู้นําตั้งเป้าไว้ผ่านการดําเนินงานต่างๆ เช่น เร่งรัดกระบวนการตรวจสอบรับรองโรงงานผลิตสินค้าปศุสัตว์และประมงของไทยที่จะส่งออกไปรัสเซียให้เป็นไปอย่างรวดเร็วไม่ชักช้า เพิ่มการจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจของทั้งสองฝ่าย โดยไทยมีแผนจะจัดคณะธุรกิจเยือนกรุงมอสโก ในเดือนมิถุนายน 2560 และเมืองวลาดิวอสต็อก ในเดือนกันยายน 2560 เพิ่มความร่วมมือด้านโลจิสติกส์ระหว่างท่าเรือวลาดิวอสต็อกซึ่งเป็นท่าเรือสําคัญและมีศักยภาพของรัสเซียกับท่าเรือแหลมฉบังของไทย ตลอดจนเพิ่มช่องทางที่จะอํานวยความสะดวกการทําธุรกรรมทางการเงินในการนําเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างสองประเทศ เป็นต้น
ไทยยังได้ใช้โอกาสนี้เสนอที่จะสนับสนุนนโยบายความมั่นคงทางอาหารของรัสเซีย โดยไทยพร้อมส่งออกสินค้าอาหารและเกษตร เช่น ข้าว น้ําตาล อาหารทะเล ผลิตภัณฑ์จากปศุสัตว์ ผักและผลไม้แปรรูป เป็นต้นให้รัสเซีย ตลอดจนพร้อมส่งชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ เครื่องประดับยนต์ ยางรถยนต์และยางธรรมชาติ เพื่อสนับสนุนความมุ่งมั่นของรัสเซียในการเป็นผู้นําอุตสาหกรรมรถยนต์ของกลุ่มประเทศ CIS (Commonwealth of Independent State : CIS) รวมทั้งการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยที่มีคุณภาพและได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดรัสเซีย
ในโอกาสนี้ ฝ่ายไทยยังได้บรรยายสรุปและเชิญชวนให้นักธุรกิจของรัสเซียมาลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ของไทยที่มุ่งสร้างให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ ที่ทันสมัยของอาเซียน โดยไทยจะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในเขต EEC ดังกล่าว อาทิ ทางถนน ทางราง ทางเรือ และทางอากาศ แผนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และแผนการพัฒนาเมืองใหม่ พร้อมทั้งมีมาตรการดึงดูดการลงทุนที่รัฐบาลพร้อมให้สิทธิพิเศษส่งเสริมการลงทุนที่เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง จึงได้เชิญชวนรัสเซียเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะในสาขาที่รัสเซียมีความเชี่ยวชาญ อาทิ อุตสาหกรรมดิจิทัลด้านซอฟแวร์ อากาศยาน เครื่องจักร เทคโนโลยีชีวภาพ วิทยาศาสตร์ขั้นสูง และเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยที่จะพัฒนา พร้อมทั้งเน้นย้ําจุดแข็งของไทยที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ใจกลางภูมิภาคอาเซียน และเป็นประตูไปสู่ประเทศในอาเซียนและเอเชีย ซึ่งรัสเซียสามารถใช้ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าและเป็นแหล่งวัตถุดิบ นอกจากนี้ ไทยยังได้เชิญชวน นักธุรกิจรัสเซียเข้ามาลงทุนในโครงการ Rubber City อีกด้วย ในการนี้ ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะจัดตั้งคณะทํางานเพื่อหารือพัฒนาความร่วมมือด้านการลงทุนใน EEC ในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และการลงทุนด้านการวิจัยพัฒนาร่วมกัน
ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือถึงแนวทางในการพัฒนาความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว พลังงาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และโลจิสติกส์ ซึ่งรวมถึงการเริ่มกระบวนการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะเริ่มการเจรจา FTA ระหว่างไทยกับสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย (Eurasian Economic Union :EAEU ประกอบด้วยสมาชิก 5 ประเทศ คือ สหพันธรัฐรัสเซีย สาธารณรัฐคาซัคสถาน สาธารณรัฐเบลารุส สาธารณอาร์เมเนียและสาธารณรัฐคีร์กีซ มีประชากรกว่า 180 ล้านคน มูลค่า GDP ถึง 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ)
ไทยและรัสเซียมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมายาวนาน โดยในปี 2017 นี้ ยังเป็นปีครบรอบ 120 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-รัสเซีย ปัจจุบัน รัสเซียเป็นประเทศคู่ค้าอันดับที่ 33 ของไทยแต่เป็นคู่ค้าอันดับแรกในกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) โดยรัสเซียเป็นตลาดขนาดใหญ่ของภูมิภาคด้วยประชากรกว่า 142 ล้านคน มั่งคั่งด้วยแหล่งพลังงาน (น้ํามันดิบและก๊าซธรรมชาติ) และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ในปี 2559 การค้าไทย-รัสเซียมีมูลค่า 1,964 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสินค้าสําคัญที่ไทยส่งออกไปรัสเซีย ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ ผลไม้กระป๋อง เป็นต้น ในขณะที่สินค้าสําคัญที่ไทยนําเข้า ได้แก่ น้ํามันดิบ ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง เหล็กและผลิตภัณฑ์ ถ่านหิน เป็นต้น สําหรับนักธุรกิจที่ร่วมกิจกรรมดังกล่าวสามารถ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3243
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตร ฯ จัดการซ้อมใหญ่งานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ปีพุทธศักราช 2560
|
วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2560
กระทรวงเกษตร ฯ จัดการซ้อมใหญ่งานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ปีพุทธศักราช 2560
กระทรวงเกษตร ฯ จัดการซ้อมใหญ่งานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ปีพุทธศักราช 2560 ในวันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2560 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2560 เวลา 07.00 น. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดการซ้อมใหญ่งานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (วันไถหว่าน) ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยมี นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทําหน้าที่พระยาแรกนา เทพีคู่หาบทอง ได้แก่ นางสาวนันทินี ทองคงเหย้า นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชํานาญการ กรมส่งเสริมการเกษตร นางสาวฉมาพันธ์ สุพรมอินทร์ นักวิชาการตรวจสอบบัญชีปฏิบัติการ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ เทพีคู่หาบเงิน ได้แก่ นางสาวนันทวัน สุวรรณสถิตย์ นักวิชาการสิ่งแวดล้อมชํานาญการ กรมชลประทาน นางสาวพรพิมล ศิริการ นักวิชาการเกษตรชํานาญการ กรมส่งเสริมการเกษตร พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานฝ่ายต่าง ๆ เข้าร่วมในการซ้อมใหญ่ โดยขณะนี้ทุกฝ่ายมีความพร้อมในการจัดงานพระราชพิธี ฯ ซึ่งจะมีขึ้นในวันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม 2560 ที่จะถึงนี้ งานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพระราชพิธีที่สืบเนื่องมาแต่โบราณ มีความงดงาม และมีความหมายอย่างยิ่งต่อพสกนิกรชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม
ในปีพุทธศักราช 2560 นี้ ปฏิทินหลวงได้กําหนดวันพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งประกอบด้วยพระราชพิธี 2 พิธีรวมกัน คือ พระราชพิธีพืชมงคล อันเป็นพิธีสงฆ์ เป็นวันสวดมนต์เริ่มการพระราชพิธีพืชมงคล และถือเป็น ‘วันเกษตรกร’ ประกอบพระราชพิธี ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม 2560 ในการนี้ เวลาประมาณ 16.00 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรเสด็จพระราชดําเนินในการพระราชพิธีพืชมงคล ทรงหลั่งน้ําสังข์ ทรงเจิม พระราชทาน พระธํามรงค์กับพระแสงปฏักแก่ นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งทําหน้าที่พระยาแรกนา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง สําหรับวันถัดมาของการประกอบพระราชพิธี คือ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (วันไถหว่าน) อันเป็นพิธีพราหมณ์ จะประกอบพระราชพิธี ในวันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม 2560 ฤกษ์ไถหว่านระหว่างเวลา 08.19 - 08.59 น. ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้ทําหน้าที่พระยาแรกนา เปิดเผยว่า พระราชพิธี พืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ หรือที่นิยมเรียกว่า พิธีแรกนา กําหนดจัดขึ้นในราวเดือนหกของทุกปี ซึ่งเป็นระยะเหมาะสมที่จะเริ่มต้นการทํานาอันเป็นอาชีพหลักของประชาชนคนไทย เพื่อความเป็นสิริมงคล และบํารุงขวัญเกษตรกร ให้เกิดความมั่นใจในการเพาะปลูก ทั้งนี้ พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ได้สืบทอดมายาวนานตั้งแต่ ครั้งสมัยกรุงสุโขทัย และได้มีการจัดงานเต็มรูปแบบตามประเพณีครั้งสุดท้ายในปี 2479 แล้วว่างเว้นไปจนกระทั่ง ในปี 2503 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ฟื้นฟูพระราชประเพณีนี้ขึ้นมาใหม่ และได้กระทําติดต่อกันมาทุกปีจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ปี 2509 เป็นต้นมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้วันพระราชพิธีพืชมงคล เป็น
"วันเกษตรกร” ประจําปีด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้มีอาชีพทางการเกษตรร่วมกันประกอบพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่อาชีพทางเกษตรกรรม ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นอาชีพที่มีความสําคัญยิ่งต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศชาติ นอกจากนี้ ในงานพระราชพิธีฯ ยังมีการมอบรางวัลและยกย่องประกาศเกียรติคุณให้แก่เกษตรกร สถาบันเกษตรกร และสหกรณ์ดีเด่นประเภทต่าง ๆ และปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน ที่ผ่านการคัดเลือก พร้อมทั้งเผยแพร่ผลงานให้สาธารณชนทั่วไปได้รู้จักและยึดถือเป็นแบบอย่างในแนวทางการปฏิบัติอีกด้วย
---------------------------------------
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตร ฯ จัดการซ้อมใหญ่งานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ปีพุทธศักราช 2560
วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2560
กระทรวงเกษตร ฯ จัดการซ้อมใหญ่งานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ปีพุทธศักราช 2560
กระทรวงเกษตร ฯ จัดการซ้อมใหญ่งานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ปีพุทธศักราช 2560 ในวันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2560 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2560 เวลา 07.00 น. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดการซ้อมใหญ่งานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (วันไถหว่าน) ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยมี นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทําหน้าที่พระยาแรกนา เทพีคู่หาบทอง ได้แก่ นางสาวนันทินี ทองคงเหย้า นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชํานาญการ กรมส่งเสริมการเกษตร นางสาวฉมาพันธ์ สุพรมอินทร์ นักวิชาการตรวจสอบบัญชีปฏิบัติการ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ เทพีคู่หาบเงิน ได้แก่ นางสาวนันทวัน สุวรรณสถิตย์ นักวิชาการสิ่งแวดล้อมชํานาญการ กรมชลประทาน นางสาวพรพิมล ศิริการ นักวิชาการเกษตรชํานาญการ กรมส่งเสริมการเกษตร พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานฝ่ายต่าง ๆ เข้าร่วมในการซ้อมใหญ่ โดยขณะนี้ทุกฝ่ายมีความพร้อมในการจัดงานพระราชพิธี ฯ ซึ่งจะมีขึ้นในวันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม 2560 ที่จะถึงนี้ งานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพระราชพิธีที่สืบเนื่องมาแต่โบราณ มีความงดงาม และมีความหมายอย่างยิ่งต่อพสกนิกรชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม
ในปีพุทธศักราช 2560 นี้ ปฏิทินหลวงได้กําหนดวันพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งประกอบด้วยพระราชพิธี 2 พิธีรวมกัน คือ พระราชพิธีพืชมงคล อันเป็นพิธีสงฆ์ เป็นวันสวดมนต์เริ่มการพระราชพิธีพืชมงคล และถือเป็น ‘วันเกษตรกร’ ประกอบพระราชพิธี ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม 2560 ในการนี้ เวลาประมาณ 16.00 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรเสด็จพระราชดําเนินในการพระราชพิธีพืชมงคล ทรงหลั่งน้ําสังข์ ทรงเจิม พระราชทาน พระธํามรงค์กับพระแสงปฏักแก่ นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งทําหน้าที่พระยาแรกนา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง สําหรับวันถัดมาของการประกอบพระราชพิธี คือ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (วันไถหว่าน) อันเป็นพิธีพราหมณ์ จะประกอบพระราชพิธี ในวันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม 2560 ฤกษ์ไถหว่านระหว่างเวลา 08.19 - 08.59 น. ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้ทําหน้าที่พระยาแรกนา เปิดเผยว่า พระราชพิธี พืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ หรือที่นิยมเรียกว่า พิธีแรกนา กําหนดจัดขึ้นในราวเดือนหกของทุกปี ซึ่งเป็นระยะเหมาะสมที่จะเริ่มต้นการทํานาอันเป็นอาชีพหลักของประชาชนคนไทย เพื่อความเป็นสิริมงคล และบํารุงขวัญเกษตรกร ให้เกิดความมั่นใจในการเพาะปลูก ทั้งนี้ พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ได้สืบทอดมายาวนานตั้งแต่ ครั้งสมัยกรุงสุโขทัย และได้มีการจัดงานเต็มรูปแบบตามประเพณีครั้งสุดท้ายในปี 2479 แล้วว่างเว้นไปจนกระทั่ง ในปี 2503 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ฟื้นฟูพระราชประเพณีนี้ขึ้นมาใหม่ และได้กระทําติดต่อกันมาทุกปีจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ปี 2509 เป็นต้นมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้วันพระราชพิธีพืชมงคล เป็น
"วันเกษตรกร” ประจําปีด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้มีอาชีพทางการเกษตรร่วมกันประกอบพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่อาชีพทางเกษตรกรรม ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นอาชีพที่มีความสําคัญยิ่งต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศชาติ นอกจากนี้ ในงานพระราชพิธีฯ ยังมีการมอบรางวัลและยกย่องประกาศเกียรติคุณให้แก่เกษตรกร สถาบันเกษตรกร และสหกรณ์ดีเด่นประเภทต่าง ๆ และปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน ที่ผ่านการคัดเลือก พร้อมทั้งเผยแพร่ผลงานให้สาธารณชนทั่วไปได้รู้จักและยึดถือเป็นแบบอย่างในแนวทางการปฏิบัติอีกด้วย
---------------------------------------
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3589
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สธ. เผย พังงา เข้มมาตรการเฝ้าระวังคัดกรองโรคโควิด 19 ไม่พบผู้ติดเชื้อต่อเนื่อง 69 วัน [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันอังคารที่ 23 มิถุนายน 2563
รมช.สธ. เผย พังงา เข้มมาตรการเฝ้าระวังคัดกรองโรคโควิด 19 ไม่พบผู้ติดเชื้อต่อเนื่อง 69 วัน [กระทรวงสาธารณสุข]
“สาธิต” เผย พังงา เข้มมาตรการเฝ้าระวังคัดกรองโรคโควิด 19 ไม่พบผู้ติดเชื้อต่อเนื่อง 69 วัน
รมช.สาธิต เผย จังหวัดพังงาเข้มมาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรคโควิด 19 ในชุมชน ประชากรกลุ่มเสี่ยง และนักท่องเที่ยว คัดกรองผู้เดินทางเข้า-ออกพื้นที่ แล้วกว่า 5 ล้านคน พบผู้ติดเชื้อสะสมเพียง 2 ราย ขณะนี้รักษาหายกลับบ้านแล้ว ไม่มีการติดเชื้อในพื้นที่นานกว่า 69 วัน
วันนี้ (22 มิถุนายน 2563) ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายเรวัต อารีรอบ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นายแพทย์พิพักษ์พล บุณยมาลิก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 11 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมติดตามการดําเนินงานควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่จังหวัดพังงา
ดร.สาธิต กล่าวว่า พังงาเป็นจังหวัดท่องเที่ยวทางทะเลที่สําคัญของภาคใต้ ได้รับความนิยมทั้งชาวไทยและต่างชาติกว่าปีละ 5 ล้านคน ซึ่งในช่วงที่เกิดวิกฤติการระบาดของเชื้อโควิด 19 ถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงอาจเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อได้ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดตาม พรบ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 จึงได้ดําเนินการ เฝ้าระวัง ค้นหาผู้ติดเชื้อ อย่างเข้มงวด โดยการสุ่มตรวจที่คลินิกโรคระบบทางเดินหายใจ (ARI Clinic) ในทุกโรงพยาบาลของจังหวัด ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ําลายจากประชากรกลุ่มเสี่ยง/สถานที่เสี่ยง (Sentinel Surveillance) ตั้งแต่ 27 มกราคม 2563 -ปัจจุบัน ได้เก็บตัวอย่างส่งตรวจจํานวน 874 ราย ในจํานวนนี้พบผู้ติดเชื้อ จํานวน 2 ราย ซึ่งเป็นผู้ที่เดินทางมาจากจังหวัดอื่น และไม่พบการติดเชื้อในพื้นที่เป็นเวลากว่า 69 วันแล้ว นอกจากนี้มีผู้เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค (PUI) 196 ราย ผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยยืนยัน 39 ราย และทําการค้นหาในชุมชน 239 ราย ซึ่งทุกรายได้รับการดูแลและเฝ้าระวังตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข
ดร.สาธิต กล่าวต่อว่า การดําเนินงานป้องกันควบคุมโรคที่สําคัญของจังหวัดพังงา คือ มาตรการ SCAN - ค้นหาผู้ติดเชื้อ ป้องกันการแพร่ระบาดให้รวดเร็วที่สุดให้ อสม. เคาะประตูบ้าน สํารวจทั้งจังหวัด และร่วมกับ ผู้นําชุมชน กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าหน้าที่ รพ.สต. เฝ้าระวังคนเข้า-ออกในพื้นที่ รวมถึงตรวจคัดกรอง ค้นหาเชิงรุกในกลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ สังเกตอาการผู้ที่กักตัวในสถานที่รัฐจัดให้และที่บ้านจนครบ 14 วัน รวมจํานวน 2,853 คน มาตรการ SEAL- คัดกรอง ผู้เดินทางเข้าออกพื้นที่ ตั้งด่านตรวจตามช่องทางต่าง ๆ และจุดเสี่ยงสําคัญ เช่น โรงแรมที่พัก ท่าขนส่ง ท่าเรือ รวมจํานวน 5,059,175 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 20 มิถุนายน 2563) และมาตรการ CLEAN- สร้างความรู้ความเข้าให้ประชาชน พัฒนาสิ่งแวดล้อมเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ และเตรียมความพร้อมสถานประกอบการต่าง ๆ ก่อนเปิดกิจการตามมาตรการผ่อนปรนของรัฐบาลในแต่ละระยะ นอกจากนี้ ได้เปิดศูนย์ตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC) และสายด่วน COVID-19 พังงา โทร 09-8857-7330 และ 08-2292-2466 เพื่อให้คําปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้ โรงพยาบาลในจังหวัดพังงามีความพร้อมทั้งด้านบุลลากรทางการแพทย์ เครื่องมือแพทย์ เพื่อรักษาผู้ติดเชื้อโควิด 19 และได้เตรียมสถานที่รองรับผู้ติดเชื้อ และผู้เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค แบ่งเป็น ICU 11 เตียง ห้องความดันลบ 2 เตียง ห้องแยกโรคแบบ Modified 7 เตียง ห้องแยกเดี่ยว 68 เตียง ตึกผู้ป่วยแยกโรค 12 เตียง โรงพยาบาลเฉพาะโรค 44 เตียง (รพ.ทับปุด 18 เตียง รพ.กะปงชัยพัฒน์ 16 เตียง รพ.ฐานทัพเรือพังงา 10 เตียง) โรงพยาบาลสนาม 102 เตียง และมีห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ที่ โรงพยาบาลพังงา และโรงพยาบาลตะกั่วป่า
************************************** 22 มิถุนายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สธ. เผย พังงา เข้มมาตรการเฝ้าระวังคัดกรองโรคโควิด 19 ไม่พบผู้ติดเชื้อต่อเนื่อง 69 วัน [กระทรวงสาธารณสุข]
วันอังคารที่ 23 มิถุนายน 2563
รมช.สธ. เผย พังงา เข้มมาตรการเฝ้าระวังคัดกรองโรคโควิด 19 ไม่พบผู้ติดเชื้อต่อเนื่อง 69 วัน [กระทรวงสาธารณสุข]
“สาธิต” เผย พังงา เข้มมาตรการเฝ้าระวังคัดกรองโรคโควิด 19 ไม่พบผู้ติดเชื้อต่อเนื่อง 69 วัน
รมช.สาธิต เผย จังหวัดพังงาเข้มมาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรคโควิด 19 ในชุมชน ประชากรกลุ่มเสี่ยง และนักท่องเที่ยว คัดกรองผู้เดินทางเข้า-ออกพื้นที่ แล้วกว่า 5 ล้านคน พบผู้ติดเชื้อสะสมเพียง 2 ราย ขณะนี้รักษาหายกลับบ้านแล้ว ไม่มีการติดเชื้อในพื้นที่นานกว่า 69 วัน
วันนี้ (22 มิถุนายน 2563) ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายเรวัต อารีรอบ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นายแพทย์พิพักษ์พล บุณยมาลิก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 11 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมติดตามการดําเนินงานควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่จังหวัดพังงา
ดร.สาธิต กล่าวว่า พังงาเป็นจังหวัดท่องเที่ยวทางทะเลที่สําคัญของภาคใต้ ได้รับความนิยมทั้งชาวไทยและต่างชาติกว่าปีละ 5 ล้านคน ซึ่งในช่วงที่เกิดวิกฤติการระบาดของเชื้อโควิด 19 ถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงอาจเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อได้ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดตาม พรบ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 จึงได้ดําเนินการ เฝ้าระวัง ค้นหาผู้ติดเชื้อ อย่างเข้มงวด โดยการสุ่มตรวจที่คลินิกโรคระบบทางเดินหายใจ (ARI Clinic) ในทุกโรงพยาบาลของจังหวัด ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ําลายจากประชากรกลุ่มเสี่ยง/สถานที่เสี่ยง (Sentinel Surveillance) ตั้งแต่ 27 มกราคม 2563 -ปัจจุบัน ได้เก็บตัวอย่างส่งตรวจจํานวน 874 ราย ในจํานวนนี้พบผู้ติดเชื้อ จํานวน 2 ราย ซึ่งเป็นผู้ที่เดินทางมาจากจังหวัดอื่น และไม่พบการติดเชื้อในพื้นที่เป็นเวลากว่า 69 วันแล้ว นอกจากนี้มีผู้เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค (PUI) 196 ราย ผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยยืนยัน 39 ราย และทําการค้นหาในชุมชน 239 ราย ซึ่งทุกรายได้รับการดูแลและเฝ้าระวังตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข
ดร.สาธิต กล่าวต่อว่า การดําเนินงานป้องกันควบคุมโรคที่สําคัญของจังหวัดพังงา คือ มาตรการ SCAN - ค้นหาผู้ติดเชื้อ ป้องกันการแพร่ระบาดให้รวดเร็วที่สุดให้ อสม. เคาะประตูบ้าน สํารวจทั้งจังหวัด และร่วมกับ ผู้นําชุมชน กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าหน้าที่ รพ.สต. เฝ้าระวังคนเข้า-ออกในพื้นที่ รวมถึงตรวจคัดกรอง ค้นหาเชิงรุกในกลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ สังเกตอาการผู้ที่กักตัวในสถานที่รัฐจัดให้และที่บ้านจนครบ 14 วัน รวมจํานวน 2,853 คน มาตรการ SEAL- คัดกรอง ผู้เดินทางเข้าออกพื้นที่ ตั้งด่านตรวจตามช่องทางต่าง ๆ และจุดเสี่ยงสําคัญ เช่น โรงแรมที่พัก ท่าขนส่ง ท่าเรือ รวมจํานวน 5,059,175 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 20 มิถุนายน 2563) และมาตรการ CLEAN- สร้างความรู้ความเข้าให้ประชาชน พัฒนาสิ่งแวดล้อมเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ และเตรียมความพร้อมสถานประกอบการต่าง ๆ ก่อนเปิดกิจการตามมาตรการผ่อนปรนของรัฐบาลในแต่ละระยะ นอกจากนี้ ได้เปิดศูนย์ตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC) และสายด่วน COVID-19 พังงา โทร 09-8857-7330 และ 08-2292-2466 เพื่อให้คําปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้ โรงพยาบาลในจังหวัดพังงามีความพร้อมทั้งด้านบุลลากรทางการแพทย์ เครื่องมือแพทย์ เพื่อรักษาผู้ติดเชื้อโควิด 19 และได้เตรียมสถานที่รองรับผู้ติดเชื้อ และผู้เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค แบ่งเป็น ICU 11 เตียง ห้องความดันลบ 2 เตียง ห้องแยกโรคแบบ Modified 7 เตียง ห้องแยกเดี่ยว 68 เตียง ตึกผู้ป่วยแยกโรค 12 เตียง โรงพยาบาลเฉพาะโรค 44 เตียง (รพ.ทับปุด 18 เตียง รพ.กะปงชัยพัฒน์ 16 เตียง รพ.ฐานทัพเรือพังงา 10 เตียง) โรงพยาบาลสนาม 102 เตียง และมีห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ที่ โรงพยาบาลพังงา และโรงพยาบาลตะกั่วป่า
************************************** 22 มิถุนายน 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32649
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าหน้าด่าน กระตุ้นท่องเที่ยวปีใหม่ 62
|
วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2561
เว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าหน้าด่าน กระตุ้นท่องเที่ยวปีใหม่ 62
ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือ Visa on Arrival จํานวน 2,000 บาท ให้แก่นักท่องเที่ยวจาก 20 ประเทศ
ศุกร์ที่ 16 พ.ย.61
เว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าหน้าด่าน กระตุ้นท่องเที่ยวปีใหม่ 62
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือ Visa on Arrival จํานวน 2,000 บาท ให้แก่นักท่องเที่ยวจาก 20 ประเทศและ 1 เขตเศรษฐกิจ เช่น จีน อินเดีย มัลดีฟส์ โรมาเนีย ซาอุดิอาระเบีย และไต้หวัน เป็นเวลา 60 วัน ระหว่างเดือน พ.ย.61 – ม.ค.62 โดยนักท่องเที่ยวสามารถอยู่ในประเทศไทยได้นานสูงสุดถึง 15 วัน ทั้งนี้ คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 30 สําหรับในปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวขอ Visa on Arrival ราว 5.9 ล้านคน ช่วยสร้างเม็ดเงินสู่ภาคการท่องเที่ยวไทย และกระจายรายได้ลงสู่ท้องถิ่นชุมชนได้เป็นอย่างดี
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าหน้าด่าน กระตุ้นท่องเที่ยวปีใหม่ 62
วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2561
เว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าหน้าด่าน กระตุ้นท่องเที่ยวปีใหม่ 62
ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือ Visa on Arrival จํานวน 2,000 บาท ให้แก่นักท่องเที่ยวจาก 20 ประเทศ
ศุกร์ที่ 16 พ.ย.61
เว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าหน้าด่าน กระตุ้นท่องเที่ยวปีใหม่ 62
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือ Visa on Arrival จํานวน 2,000 บาท ให้แก่นักท่องเที่ยวจาก 20 ประเทศและ 1 เขตเศรษฐกิจ เช่น จีน อินเดีย มัลดีฟส์ โรมาเนีย ซาอุดิอาระเบีย และไต้หวัน เป็นเวลา 60 วัน ระหว่างเดือน พ.ย.61 – ม.ค.62 โดยนักท่องเที่ยวสามารถอยู่ในประเทศไทยได้นานสูงสุดถึง 15 วัน ทั้งนี้ คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 30 สําหรับในปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวขอ Visa on Arrival ราว 5.9 ล้านคน ช่วยสร้างเม็ดเงินสู่ภาคการท่องเที่ยวไทย และกระจายรายได้ลงสู่ท้องถิ่นชุมชนได้เป็นอย่างดี
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16840
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โหลดเลย ‘MONICA’ เกมฝึกสมอง ใครๆ ก็เล่นได้ ‘สูงวัย’ เล่นยิ่งดี
|
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563
โหลดเลย ‘MONICA’ เกมฝึกสมอง ใครๆ ก็เล่นได้ ‘สูงวัย’ เล่นยิ่งดี
โหลดเลย ‘MONICA’ เกมฝึกสมอง ใครๆ ก็เล่นได้ ‘สูงวัย’ เล่นยิ่งดี
ในภาวะที่สิ่งต่างๆ รอบตัวหยุดชะงักจากผลกระทบการระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากหลายคนต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตเป็นทํางานจากบ้าน (Work From Home) แล้ว กิจวัตรประจําวันทั้งการออกกําลังกาย งานอดิเรกของคนอีกหลายช่วงวัยยังคงสาละวนอยู่ไม่พ้นรั้วบ้านนัก คิดจะออกไปสวนสาธารณะใกล้บ้านก็ทําได้ยาก เพราะหลายสวนในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ก็ออกมาตรการปิดสวนเพื่อลดการทํากิจกรรมออกกําลังกายร่วมกับคนหมู่มาก
สิ่งแวดล้อมรอบตัวที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้สภาพทางสังคมของหลายคนเปลี่ยนแปลงด้วย ยิ่งกินระยะเวลานานนับเดือน อาจเกิดความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว ซึ่งจิตแพทย์ต่างมีคําแนะนําการปฏิบัติตัว ที่เน้นให้พยายามรักษากิจวัตรและตารางประจําให้เหมือนเดิมให้มากที่สุด หรืออาจลองทํากิจกรรมใหม่ ๆ ในสภาพแวดล้อมใหม่ เช่น ฝึกร้องเพลง หรือฝึกกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน เป็นต้น
ในยุคที่ทุกคนสามารถท่องโลกอินเทอร์เน็ตได้เพียงปลายนิ้ว หนึ่งในวิธีที่จะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะขึ้นในบ้านได้ อาจเป็นแค่วิธีง่าย ๆ เพียงโหลดเกมดี ๆ สักเกม ที่ทําให้ผู้คนทุกช่วงวัยในบ้านได้ฝึกสมองร่วมกัน โดยเฉพาะใน โอกาสวันผู้สูงอายุแห่งชาติ 13 เมษายนของทุกปี เวียนมาครบรอบอีกครั้ง
ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ และ ดร.สิทธา สุขกสิ ทีมวิจัยห้องปฏิบัติการการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้คิดค้นและออกแบบแอปพลิเคชันเกมฝึกสมอง หรือ MONICA (โมนิก้า) เพื่อเป็นอีกทางเลือกช่วยให้สมองถูกใช้งานผ่านรูปภาพ ไอคอนต่าง ๆ อยู่บนสีสันที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุได้ฝึกฝนด้านความจําอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการชะลอภาวะสมองเสื่อม
ดร.ศราวุธ เปิดเผยว่า ปัจจุบันโรคสมองเสื่อมเป็นโรคที่ยังไม่มียารักษาให้หายได้ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เกิดโรค หรือหากเกิดโรคแล้วผู้ดูแลต้องดูแลอย่างเข้าใจและมีความยืดหยุ่น ซึ่งทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. ได้ร่วมออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ สําหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยสมองเสื่อมโดยใช้กระบวนการการออกแบบ design thinking และ Human-centric design เน้นที่ความเข้าใจบริบทและความต้องการของผู้ใช้ในระหว่างการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยได้คําแนะนําจากผู้เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลรามาธิบดี และศูนย้ผู้สูงวัย สุขกายสุขใจ สถาบันประสาทวิทยา ซึ่งเป็นสถานดูแลผู้สูงอายุโรคสมองเสื่อม ประเภท Daycare มีรูปแบบวิธีการดูแลผู้สูงอายุด้วยการทํากิจกรรมบําบัด จนเกิดเป็นนวัตกรรม เกมฝึกสมอง ชื่อ MONICA สําหรับช่วยกระตุ้นและฝึกสมองผู้สูงอายุ ฝึกสมาธิความจํา การเรียนรู้ การมองเห็นและตอบสนอง การวางแผน การตัดสินใจ และยังช่วยเพิ่มความภูมิใจให้ผู้สูงอายุมั่นใจในความสามารถของตนเองด้วยการเอาชนะระดับความยากที่เพิ่มขึ้นของเกม
ดร.สิทธา กล่าวเสริมว่า ผู้สูงอายุและผู้ป่วยสมองเสื่อมควรได้รับการกระตุ้นและฝึกสมอง เพื่อพยายามรักษาระดับความสามารถของสมองในด้านต่าง ๆ รวมถึงสมาธิ ความจํา การเรียนรู้ การรับรู้และการตอบสนอง อย่างไรก็ตามแม้ในตลาดจะมีผลิตภัณฑ์เกมฝึกสมองอยู่เป็นจํานวนมาก แต่มักอยู่ในรูปแบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแทปเลต ซึ่งใช้งานยากสําหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยสมองเสื่อม
แต่สําหรับ MONICA เป็นเกมกระตุ้นสมองสําหรับผู้สูงอายุ ประกอบด้วยซอฟต์แวร์เกม และอุปกรณ์และฮาร์ดแวร์ที่ได้รับการออกแบบให้ใช้ควบคุมแบบไร้สาย ซึ่งมีส่วนประกอบคือ ปุ่มกด แท่นรองปุ่ม เบาะวางตัก และหูหิ้ว โดยที่อุปกรณ์ได้รับการออกแบบให้ผู้สูงอายุสามารถใช้งานได้ง่าย ปุ่มมีขนาดใหญ่ จับถนัดมือและกดง่าย ตัวเบาะเว้ารับกับลําตัวผู้สูงอายุ ทําให้สามารถวางอุปกรณ์บนตักได้อย่างมั่นคง ลดโอกาสเกิดการเมื่อยล้า เป็นเกมฝึกสมองเพื่อพัฒนาสมาธิและความจํา ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างผู้สูงอายุในฐานะผู้ใช้ ผู้ดูแลและครอบครัว สามารถใช้ได้ทั้งที่บ้าน สถานดูแลผู้สูงอายุและโรงพยาบาล
“เกมจะเน้นการใช้ภาพ หรือไอคอนง่ายๆ เพื่อให้ง่ายต่อการจดจํา"
"ตัวอย่างเกม เช่น การให้เปรียบเทียบภาพปัจจุบันกับภาพก่อนหน้าว่าเหมือนหรือต่างกัน หากเหมือนกันให้กดปุ่มเครื่องหมายถูกสีเขียว หากต่างกันให้กดปุ่มเครื่องหมายผิดสีแดง ซึ่งปุ่มกดออกแบบให้มองเห็นง่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสีที่เหมาะสม ขนาดและชนิดของตัวอักษรบนจอ และภาพไอคอนต่าง ๆ ให้ใช้งานได้ง่ายที่สุดแม้จะเป็นผู้สูงอายุที่ไม่มีประสบการณ์เล่นเกมมาก่อนก็ตาม โดยเมื่อผู้สูงอายุเล่นเกมผ่าน จะมีความรู้สึกภาคภูมิในตัวเอง รู้สึกมั่นใจในการทําหรือตัดสินใจอะไรได้ดีขึ้น”
นายธนพล จตุรงค์ธวัชชัย เจ้าหน้าที่พัฒนาธุกิจ (Business Development) บริษัท บริษัท ดิจิตอล ปิกนิก จํากัด (Digital Picnic Co., Ltd.) ในฐานะตัวแทนผู้ประกอบการที่ได้รับถ่ายทอดสิทธินวัตกรรมปุ่มกดในแอปพลิเคชันเกม MONICA จาก ทีมวิจัย เอ็มเทค สวทช. และได้พัฒนาเขียนโปรแกรมเกมให้เหมาะสมกับการฝึกสมองผู้สูงอายุตามคําแนะนําของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ กล่าวว่า เทคโนโลยีนี้เหมาะสมกับสถานการณ์ ที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แม้ในตลาดมีความต้องการอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะมาตอบโจทย์ผู้สูงอายุ ผู้ดูแล และสถานดูแลผู้สูงอายุอยู่บ้างแล้วก็ตาม แต่ถือว่ายังมีน้อยมากและไม่ตอบสนองต่อสิ่งที่ลูกค้าต้องการ
“แอปพลิเคชันเกม MONICA ตอบโจทย์ในการเล่นเกม ฝึกสมอง ฝึกการใช้ความคิด รวมทั้งฝึกการใช้กล้ามเนื้อของผู้สูงอายุได้ดี เนื่องจากแอปพลิเคชันนี้ สามารถเล่นได้ 2 รูปแบบ คือ 1.เล่นผ่านแอปพลิเคชันเกมบนสมาร์ทโฟน และแทปเลต 2.เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ซึ่งเป็นอุปกรณ์ปุ่มกดแยกชิ้น ที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุที่ต้องการฝึกการใช้กล้ามเนื้อ เมื่อเห็นภาพจากเกมแล้วสมองสั่งการให้มือเลือกกดปุ่มกดในคําตอบที่ผู้สูงอายุแต่ละคนต้องการ”
ธนพล บอกด้วยว่า นอกจากนั้นแล้วแอปพลิเคชันเกม MONICA ยังพัฒนาให้สามารถใช้ได้หลาย แอคเคานต์ผ่านไอดีโดยผู้เล่นแต่ละราย ซึ่งผู้เขียนโปรแกรมได้พัฒนาฟังก์ชันให้เก็บคะแนนของผู้เล่นแต่ละคนเอาไว้ในระบบเพื่อให้ง่ายต่อการติดตามผลด้วย โดยเฉพาะการนําไปประยุกต์ใช้กับสถานดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งมีผู้สูงอายุหลายคน การนําเกม MONICA มาเล่นฝึกสมอง ทําให้แพทย์สามารถเรียกดูข้อมูลพัฒนาการทางสมองของผู้สูงอายุได้แบบรายวัน รายสัปดาห์และรายเดือน พร้อมทั้งนําข้อมูลผลคะแนนการเล่นแต่ละครั้งไปเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินศักยภาพการฝึกสมอง การคิดและการตัดสินใจของผู้สูงอายุ เพื่อออกแบบโปรแกรมการดูแลผู้สูงอายุรายบุคคลได้อย่างเหมาะสม
ทั้งนี้ประชาชนสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเกม MONICA ได้ฟรีที่ App store ในระบบปฏิบัติการ IOSหรือดาวน์โหลดได้ที่ลิงก์ https://apps.apple.com/th/app/monica/id1260878586
Play store ในระบบปฏิบัติการ Android ค้นหาคําว่า Monica - concentration trainerหรือดาวน์โหลดได้ที่ลิงก์https://play.google.com/store/apps/details?id=th.co.digitalpicnic.monica
สําหรับใครที่อยากเพิ่มการใช้อุปกรณ์ปุ่มกดสําหรับเกม MONICA เพื่อให้ผู้สูงอายุได้ใช้ฝึกกล้ามเนื้อกับการเล่นเกมอดใจรอการผลิตในอีก 2 เดือนข้างหน้าพร้อมวางขายผ่านช่องทางhttps://digitalpicnic.co.th/monica/
ถ้าพร้อมฝึกสมองร่วมกับผู้สูงอายุกันแล้ว รีบไปโหลดแอปพลิเคชันเกม MONICA เตรียม ‘ลับสมอง’ ไปพร้อมๆ กันดีกว่า เพราะไม่เพียงจะช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้เท่านั้น ในวิกฤตการณ์โรคระบาดแบบนี้จะช่วยสร้างเสียงหัวเราะทําให้จิตใจผู้สูงอายุเบิกบาน มีภูมิต้านทานสู้โรคโควิด
ข้อมูลข่าวโดย : สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โหลดเลย ‘MONICA’ เกมฝึกสมอง ใครๆ ก็เล่นได้ ‘สูงวัย’ เล่นยิ่งดี
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563
โหลดเลย ‘MONICA’ เกมฝึกสมอง ใครๆ ก็เล่นได้ ‘สูงวัย’ เล่นยิ่งดี
โหลดเลย ‘MONICA’ เกมฝึกสมอง ใครๆ ก็เล่นได้ ‘สูงวัย’ เล่นยิ่งดี
ในภาวะที่สิ่งต่างๆ รอบตัวหยุดชะงักจากผลกระทบการระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากหลายคนต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตเป็นทํางานจากบ้าน (Work From Home) แล้ว กิจวัตรประจําวันทั้งการออกกําลังกาย งานอดิเรกของคนอีกหลายช่วงวัยยังคงสาละวนอยู่ไม่พ้นรั้วบ้านนัก คิดจะออกไปสวนสาธารณะใกล้บ้านก็ทําได้ยาก เพราะหลายสวนในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ก็ออกมาตรการปิดสวนเพื่อลดการทํากิจกรรมออกกําลังกายร่วมกับคนหมู่มาก
สิ่งแวดล้อมรอบตัวที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้สภาพทางสังคมของหลายคนเปลี่ยนแปลงด้วย ยิ่งกินระยะเวลานานนับเดือน อาจเกิดความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว ซึ่งจิตแพทย์ต่างมีคําแนะนําการปฏิบัติตัว ที่เน้นให้พยายามรักษากิจวัตรและตารางประจําให้เหมือนเดิมให้มากที่สุด หรืออาจลองทํากิจกรรมใหม่ ๆ ในสภาพแวดล้อมใหม่ เช่น ฝึกร้องเพลง หรือฝึกกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน เป็นต้น
ในยุคที่ทุกคนสามารถท่องโลกอินเทอร์เน็ตได้เพียงปลายนิ้ว หนึ่งในวิธีที่จะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะขึ้นในบ้านได้ อาจเป็นแค่วิธีง่าย ๆ เพียงโหลดเกมดี ๆ สักเกม ที่ทําให้ผู้คนทุกช่วงวัยในบ้านได้ฝึกสมองร่วมกัน โดยเฉพาะใน โอกาสวันผู้สูงอายุแห่งชาติ 13 เมษายนของทุกปี เวียนมาครบรอบอีกครั้ง
ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ และ ดร.สิทธา สุขกสิ ทีมวิจัยห้องปฏิบัติการการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้คิดค้นและออกแบบแอปพลิเคชันเกมฝึกสมอง หรือ MONICA (โมนิก้า) เพื่อเป็นอีกทางเลือกช่วยให้สมองถูกใช้งานผ่านรูปภาพ ไอคอนต่าง ๆ อยู่บนสีสันที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุได้ฝึกฝนด้านความจําอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการชะลอภาวะสมองเสื่อม
ดร.ศราวุธ เปิดเผยว่า ปัจจุบันโรคสมองเสื่อมเป็นโรคที่ยังไม่มียารักษาให้หายได้ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เกิดโรค หรือหากเกิดโรคแล้วผู้ดูแลต้องดูแลอย่างเข้าใจและมีความยืดหยุ่น ซึ่งทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. ได้ร่วมออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ สําหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยสมองเสื่อมโดยใช้กระบวนการการออกแบบ design thinking และ Human-centric design เน้นที่ความเข้าใจบริบทและความต้องการของผู้ใช้ในระหว่างการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยได้คําแนะนําจากผู้เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลรามาธิบดี และศูนย้ผู้สูงวัย สุขกายสุขใจ สถาบันประสาทวิทยา ซึ่งเป็นสถานดูแลผู้สูงอายุโรคสมองเสื่อม ประเภท Daycare มีรูปแบบวิธีการดูแลผู้สูงอายุด้วยการทํากิจกรรมบําบัด จนเกิดเป็นนวัตกรรม เกมฝึกสมอง ชื่อ MONICA สําหรับช่วยกระตุ้นและฝึกสมองผู้สูงอายุ ฝึกสมาธิความจํา การเรียนรู้ การมองเห็นและตอบสนอง การวางแผน การตัดสินใจ และยังช่วยเพิ่มความภูมิใจให้ผู้สูงอายุมั่นใจในความสามารถของตนเองด้วยการเอาชนะระดับความยากที่เพิ่มขึ้นของเกม
ดร.สิทธา กล่าวเสริมว่า ผู้สูงอายุและผู้ป่วยสมองเสื่อมควรได้รับการกระตุ้นและฝึกสมอง เพื่อพยายามรักษาระดับความสามารถของสมองในด้านต่าง ๆ รวมถึงสมาธิ ความจํา การเรียนรู้ การรับรู้และการตอบสนอง อย่างไรก็ตามแม้ในตลาดจะมีผลิตภัณฑ์เกมฝึกสมองอยู่เป็นจํานวนมาก แต่มักอยู่ในรูปแบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแทปเลต ซึ่งใช้งานยากสําหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยสมองเสื่อม
แต่สําหรับ MONICA เป็นเกมกระตุ้นสมองสําหรับผู้สูงอายุ ประกอบด้วยซอฟต์แวร์เกม และอุปกรณ์และฮาร์ดแวร์ที่ได้รับการออกแบบให้ใช้ควบคุมแบบไร้สาย ซึ่งมีส่วนประกอบคือ ปุ่มกด แท่นรองปุ่ม เบาะวางตัก และหูหิ้ว โดยที่อุปกรณ์ได้รับการออกแบบให้ผู้สูงอายุสามารถใช้งานได้ง่าย ปุ่มมีขนาดใหญ่ จับถนัดมือและกดง่าย ตัวเบาะเว้ารับกับลําตัวผู้สูงอายุ ทําให้สามารถวางอุปกรณ์บนตักได้อย่างมั่นคง ลดโอกาสเกิดการเมื่อยล้า เป็นเกมฝึกสมองเพื่อพัฒนาสมาธิและความจํา ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างผู้สูงอายุในฐานะผู้ใช้ ผู้ดูแลและครอบครัว สามารถใช้ได้ทั้งที่บ้าน สถานดูแลผู้สูงอายุและโรงพยาบาล
“เกมจะเน้นการใช้ภาพ หรือไอคอนง่ายๆ เพื่อให้ง่ายต่อการจดจํา"
"ตัวอย่างเกม เช่น การให้เปรียบเทียบภาพปัจจุบันกับภาพก่อนหน้าว่าเหมือนหรือต่างกัน หากเหมือนกันให้กดปุ่มเครื่องหมายถูกสีเขียว หากต่างกันให้กดปุ่มเครื่องหมายผิดสีแดง ซึ่งปุ่มกดออกแบบให้มองเห็นง่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสีที่เหมาะสม ขนาดและชนิดของตัวอักษรบนจอ และภาพไอคอนต่าง ๆ ให้ใช้งานได้ง่ายที่สุดแม้จะเป็นผู้สูงอายุที่ไม่มีประสบการณ์เล่นเกมมาก่อนก็ตาม โดยเมื่อผู้สูงอายุเล่นเกมผ่าน จะมีความรู้สึกภาคภูมิในตัวเอง รู้สึกมั่นใจในการทําหรือตัดสินใจอะไรได้ดีขึ้น”
นายธนพล จตุรงค์ธวัชชัย เจ้าหน้าที่พัฒนาธุกิจ (Business Development) บริษัท บริษัท ดิจิตอล ปิกนิก จํากัด (Digital Picnic Co., Ltd.) ในฐานะตัวแทนผู้ประกอบการที่ได้รับถ่ายทอดสิทธินวัตกรรมปุ่มกดในแอปพลิเคชันเกม MONICA จาก ทีมวิจัย เอ็มเทค สวทช. และได้พัฒนาเขียนโปรแกรมเกมให้เหมาะสมกับการฝึกสมองผู้สูงอายุตามคําแนะนําของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ กล่าวว่า เทคโนโลยีนี้เหมาะสมกับสถานการณ์ ที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แม้ในตลาดมีความต้องการอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะมาตอบโจทย์ผู้สูงอายุ ผู้ดูแล และสถานดูแลผู้สูงอายุอยู่บ้างแล้วก็ตาม แต่ถือว่ายังมีน้อยมากและไม่ตอบสนองต่อสิ่งที่ลูกค้าต้องการ
“แอปพลิเคชันเกม MONICA ตอบโจทย์ในการเล่นเกม ฝึกสมอง ฝึกการใช้ความคิด รวมทั้งฝึกการใช้กล้ามเนื้อของผู้สูงอายุได้ดี เนื่องจากแอปพลิเคชันนี้ สามารถเล่นได้ 2 รูปแบบ คือ 1.เล่นผ่านแอปพลิเคชันเกมบนสมาร์ทโฟน และแทปเลต 2.เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ซึ่งเป็นอุปกรณ์ปุ่มกดแยกชิ้น ที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุที่ต้องการฝึกการใช้กล้ามเนื้อ เมื่อเห็นภาพจากเกมแล้วสมองสั่งการให้มือเลือกกดปุ่มกดในคําตอบที่ผู้สูงอายุแต่ละคนต้องการ”
ธนพล บอกด้วยว่า นอกจากนั้นแล้วแอปพลิเคชันเกม MONICA ยังพัฒนาให้สามารถใช้ได้หลาย แอคเคานต์ผ่านไอดีโดยผู้เล่นแต่ละราย ซึ่งผู้เขียนโปรแกรมได้พัฒนาฟังก์ชันให้เก็บคะแนนของผู้เล่นแต่ละคนเอาไว้ในระบบเพื่อให้ง่ายต่อการติดตามผลด้วย โดยเฉพาะการนําไปประยุกต์ใช้กับสถานดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งมีผู้สูงอายุหลายคน การนําเกม MONICA มาเล่นฝึกสมอง ทําให้แพทย์สามารถเรียกดูข้อมูลพัฒนาการทางสมองของผู้สูงอายุได้แบบรายวัน รายสัปดาห์และรายเดือน พร้อมทั้งนําข้อมูลผลคะแนนการเล่นแต่ละครั้งไปเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินศักยภาพการฝึกสมอง การคิดและการตัดสินใจของผู้สูงอายุ เพื่อออกแบบโปรแกรมการดูแลผู้สูงอายุรายบุคคลได้อย่างเหมาะสม
ทั้งนี้ประชาชนสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเกม MONICA ได้ฟรีที่ App store ในระบบปฏิบัติการ IOSหรือดาวน์โหลดได้ที่ลิงก์ https://apps.apple.com/th/app/monica/id1260878586
Play store ในระบบปฏิบัติการ Android ค้นหาคําว่า Monica - concentration trainerหรือดาวน์โหลดได้ที่ลิงก์https://play.google.com/store/apps/details?id=th.co.digitalpicnic.monica
สําหรับใครที่อยากเพิ่มการใช้อุปกรณ์ปุ่มกดสําหรับเกม MONICA เพื่อให้ผู้สูงอายุได้ใช้ฝึกกล้ามเนื้อกับการเล่นเกมอดใจรอการผลิตในอีก 2 เดือนข้างหน้าพร้อมวางขายผ่านช่องทางhttps://digitalpicnic.co.th/monica/
ถ้าพร้อมฝึกสมองร่วมกับผู้สูงอายุกันแล้ว รีบไปโหลดแอปพลิเคชันเกม MONICA เตรียม ‘ลับสมอง’ ไปพร้อมๆ กันดีกว่า เพราะไม่เพียงจะช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้เท่านั้น ในวิกฤตการณ์โรคระบาดแบบนี้จะช่วยสร้างเสียงหัวเราะทําให้จิตใจผู้สูงอายุเบิกบาน มีภูมิต้านทานสู้โรคโควิด
ข้อมูลข่าวโดย : สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30065
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” พิจารณาแนวทางการปฏิรูปประเทศตามหลักธรรมาภิบาล
|
วันอังคารที่ 23 มกราคม 2561
“ยุติธรรม” พิจารณาแนวทางการปฏิรูปประเทศตามหลักธรรมาภิบาล
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเพื่อการประสานงานเชื่อมโยงกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ กระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑
ในวันอังคารที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๑.๐๐ น.
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเพื่อการประสานงานเชื่อมโยงกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ
และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ กระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑
เพื่อพิจารณาประเด็นและแนวทางการปฏิรูปประเทศในมิติของกระทรวงยุติธรรม
ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการกําหนดกรอบและจัดทําแผนพัฒนาประเทศที่มีความสอดคล้องและบูรณาการกัน
อันจะทําให้การพัฒนาประเทศตามหลักธรรมาภิบาลมีประสิทธิภาพ และเป็นไปในแนวทางเดียวกัน
โดยมีผู้บริหารและผู้แทนหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมฯ
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ชั้น ๙
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
ในการนี้ ที่ประชุมได้มีมติให้ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
พิจารณาและทบทวนแนวทางการปฏิรูปประเทศในมิติของแต่ละหน่วยงาน
เพื่อจะได้รวบรวมนําเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
และนําส่งสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดําเนินการต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” พิจารณาแนวทางการปฏิรูปประเทศตามหลักธรรมาภิบาล
วันอังคารที่ 23 มกราคม 2561
“ยุติธรรม” พิจารณาแนวทางการปฏิรูปประเทศตามหลักธรรมาภิบาล
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเพื่อการประสานงานเชื่อมโยงกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ กระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑
ในวันอังคารที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๑.๐๐ น.
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเพื่อการประสานงานเชื่อมโยงกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ
และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ กระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑
เพื่อพิจารณาประเด็นและแนวทางการปฏิรูปประเทศในมิติของกระทรวงยุติธรรม
ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการกําหนดกรอบและจัดทําแผนพัฒนาประเทศที่มีความสอดคล้องและบูรณาการกัน
อันจะทําให้การพัฒนาประเทศตามหลักธรรมาภิบาลมีประสิทธิภาพ และเป็นไปในแนวทางเดียวกัน
โดยมีผู้บริหารและผู้แทนหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมฯ
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ชั้น ๙
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
ในการนี้ ที่ประชุมได้มีมติให้ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
พิจารณาและทบทวนแนวทางการปฏิรูปประเทศในมิติของแต่ละหน่วยงาน
เพื่อจะได้รวบรวมนําเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
และนําส่งสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดําเนินการต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9572
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ มอบประกาศนียบัตรผู้ผ่านการสอบประเมินทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล นาวาอากาศเอกสมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)
|
วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2561
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ มอบประกาศนียบัตรผู้ผ่านการสอบประเมินทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล นาวาอากาศเอกสมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
นาวาอากาศเอกสมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมเป็นเกียรติในงาน พร้อมมอบประกาศนียบัตรผู้ผ่านการสอบประเมินทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy) ให้แก่นักเรียนเตรียมทหารที่สอบประเมินทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล สําหรับนักเรียนเตรียมทหาร ชั้นปีที่ 2 เมื่อวันที่ 24 – 25 กันยายน 2561 และชั้นปีที่ 3 เมื่อวันที่ 30 – 31 ตุลาคม 2561 ณ โรงเรียนเตรียมทหาร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ จังหวัดนครนายก เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2561 โดยการจัดอบรมพัฒนาสมรรถนะด้านดิจิทัลให้แก่นักเรียนเตรียมทหาร เพื่อเป็นการเตรียมกําลังพลให้เข้มแข็งด้านดิจิทัลพร้อมมุ่งสู่โรงเรียนเตรียมทหารดิจิทัลที่มีความสมาร์ทและรองรับยุทธศาสตร์ดิจิทัลไทยแลนด์ของรัฐบาลได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
***********************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ มอบประกาศนียบัตรผู้ผ่านการสอบประเมินทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล นาวาอากาศเอกสมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)
วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2561
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ มอบประกาศนียบัตรผู้ผ่านการสอบประเมินทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล นาวาอากาศเอกสมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
นาวาอากาศเอกสมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมเป็นเกียรติในงาน พร้อมมอบประกาศนียบัตรผู้ผ่านการสอบประเมินทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy) ให้แก่นักเรียนเตรียมทหารที่สอบประเมินทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล สําหรับนักเรียนเตรียมทหาร ชั้นปีที่ 2 เมื่อวันที่ 24 – 25 กันยายน 2561 และชั้นปีที่ 3 เมื่อวันที่ 30 – 31 ตุลาคม 2561 ณ โรงเรียนเตรียมทหาร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ จังหวัดนครนายก เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2561 โดยการจัดอบรมพัฒนาสมรรถนะด้านดิจิทัลให้แก่นักเรียนเตรียมทหาร เพื่อเป็นการเตรียมกําลังพลให้เข้มแข็งด้านดิจิทัลพร้อมมุ่งสู่โรงเรียนเตรียมทหารดิจิทัลที่มีความสมาร์ทและรองรับยุทธศาสตร์ดิจิทัลไทยแลนด์ของรัฐบาลได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
***********************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17051
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ร่าง พ.ร.บ.ประกันชีวิต (ฉบับที่..) พ.ศ. .... และร่าง พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย (ฉบับที่..) พ.ศ. .... กลุ่มที่ 3 บทบัญญัติเกี่ยวกับการส่งเสริมการควบโอนกิจการและความรับผิดของกรรมการ
|
วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน 2562
ร่าง พ.ร.บ.ประกันชีวิต (ฉบับที่..) พ.ศ. .... และร่าง พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย (ฉบับที่..) พ.ศ. .... กลุ่มที่ 3 บทบัญญัติเกี่ยวกับการส่งเสริมการควบโอนกิจการและความรับผิดของกรรมการ
ครม.ได้มีมติเมื่อวันที่ 19 พ.ย.2562 เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ประกันชีวิต (ฉบับที่..) พ.ศ. .... และร่าง พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย (ฉบับที่..) พ.ศ. .... กลุ่มที่ 3 บทบัญญัติเกี่ยวกับการส่งเสริมการควบโอนกิจการและความรับผิดของกรรมการ
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ได้เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่..) พ.ศ. .... กลุ่มที่ 3 บทบัญญัติเกี่ยวกับการส่งเสริมการควบโอนกิจการและความรับผิดของกรรมการ (ร่าง พ.ร.บ. ประกันชีวิตฯ และร่าง พ.ร.บ. ประกันวินาศภัยฯ กลุ่มที่ 3) ที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งมีสาระสําคัญในการแก้ไขเพิ่มเติม ดังนี้
1. เพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการโอนกิจการที่มีผลให้ต้องมีการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ผู้รับประกันภัย (บริษัทผู้รับประกันภัย) โดยเมื่อบริษัทผู้รับโอนกิจการมีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้เอาประกันภัย (ในฐานะเจ้าหนี้) พร้อมแจ้งสิทธิให้ผู้เอาประกันภัยคัดค้านแล้ว หากไม่มีการคัดค้านภายใน 1 เดือนให้ถือว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ผู้รับประกันภัย ซึ่งเดิมจะต้องทําเป็นสัญญาระหว่างลูกหนี้ผู้รับประกันภัยรายใหม่กับเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัยทุกรายตามมาตรา ๓๕๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงทําให้การโอนกิจการของบริษัทประกันภัยไม่เกิดความคล่องตัว ใช้ระยะเวลายาวนาน และมีต้นทุนสูง
2. เพิ่มเติมบทบัญญัติให้บริษัทสามารถจดทะเบียนควบรวมกิจการได้ทันทีหากได้รับหนังสือให้ความยินยอมจากเจ้าหนี้ (ผู้เอาประกันภัย) ครบทุกราย โดยไม่จําเป็นต้องรอให้พ้นระยะเวลาคัดค้าน (1 เดือน) ทั้งนี้ เพื่อให้กระบวนการควบรวมเป็นไปด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น
3. เพิ่มเติมบทบัญญัติให้บริษัทที่รับโอนกิจการสามารถเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนบริษัทที่โอนกิจการในคดีที่มีการฟ้องร้องในศาลได้ และสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ตามคําพิพากษาได้ ทั้งนี้ เพื่อให้บริษัทผู้รับโอนกิจการได้รับซึ่งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนกิจการเช่นเดียวกับการควบรวมกิจการ
4. เพิ่มเติมบทกําหนดโทษสําหรับกรณีที่กรรมการและผู้มีอํานาจในการจัดการของบริษัท พนักงานของบริษัท หรือบุคคลที่บริษัทมอบหมาย แสวงหาประโยชน์หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบริษัท ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน ให้มีความผิดตามร่างกฎหมายนี้ รวมทั้งบุคคลที่ก่อหรือให้การสนับสนุนให้มีกระทําการดังกล่าวข้างต้นด้วย
5. เพิ่มเติมบทกําหนดโทษสําหรับผู้ที่ก่อหรือให้การสนับสนุนให้ผู้สอบบัญชี หรือนักคณิตศาสตร์ประกันภัยปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ การให้ถ้อยคําอันเป็นเท็จต่อนายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ การทําลาย ทําให้เสียหาย ซึ่งตราหรือเครื่องหมายที่นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ประทับไว้
6. แก้ไขบทบัญญัติสําหรับความผิดที่คณะกรรมการเปรียบเทียบไม่อาจเปรียบเทียบปรับได้ ซึ่งทําให้ต้องรับโทษทางอาญาในกรณีการกระทําความผิดของกรรมการ ผู้มีอํานาจในการจัดการ พนักงานของบริษัท บุคคลที่บริษัทมอบหมาย บุคคลที่ก่อหรือสนับสนุนให้ผู้สอบบัญชีหรือนักคณิตศาสตร์ประกันภัยทําผิดกฎหมายและผู้ซึ่งกระทําความผิดต่อนายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมถึงผู้ที่กระทําความผิดเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลที่ไม่ควรเปิดเผย ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินที่กําหนดให้การกระทําผิดในลักษณะดังกล่าวไม่สามารถเปรียบเทียบปรับได้
ร่าง พ.ร.บ. ประกันชีวิตฯ และร่าง พ.ร.บ. ประกันวินาศภัยฯ ทั้ง 2 ฉบับ ดังกล่าว จะช่วยส่งเสริมให้การโอนกิจการและการควบรวมกิจการดําเนินการได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งในการประกอบธุรกิจประกันภัยให้มีศักยภาพในการแข่งขัน และป้องปรามการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของกรรมการหรือผู้มีอํานาจในการจัดการของบริษัท ตลอดจนคุ้มครองผลประโยชน์ของประชาชนผู้เอาประกันภัยและการบริหารธุรกิจของบริษัทประกันภัย ซึ่งกลไกดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนให้ภาคการประกันภัยมีเสถียรภาพและความมั่นคงมากยิ่งขึ้น อันจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นต่อไป
โดยหลังจากนี้ จะเป็นขั้นตอนการตรวจพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ประกันชีวิตฯ และร่าง พ.ร.บ. ประกันวินาศภัยฯ ของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จ จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของวุฒิสภา และนําขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ก่อนจะลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
สํานักนโยบายระบบการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
02 273 9020 ต่อ 3690
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ร่าง พ.ร.บ.ประกันชีวิต (ฉบับที่..) พ.ศ. .... และร่าง พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย (ฉบับที่..) พ.ศ. .... กลุ่มที่ 3 บทบัญญัติเกี่ยวกับการส่งเสริมการควบโอนกิจการและความรับผิดของกรรมการ
วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน 2562
ร่าง พ.ร.บ.ประกันชีวิต (ฉบับที่..) พ.ศ. .... และร่าง พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย (ฉบับที่..) พ.ศ. .... กลุ่มที่ 3 บทบัญญัติเกี่ยวกับการส่งเสริมการควบโอนกิจการและความรับผิดของกรรมการ
ครม.ได้มีมติเมื่อวันที่ 19 พ.ย.2562 เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ประกันชีวิต (ฉบับที่..) พ.ศ. .... และร่าง พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย (ฉบับที่..) พ.ศ. .... กลุ่มที่ 3 บทบัญญัติเกี่ยวกับการส่งเสริมการควบโอนกิจการและความรับผิดของกรรมการ
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ได้เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่..) พ.ศ. .... กลุ่มที่ 3 บทบัญญัติเกี่ยวกับการส่งเสริมการควบโอนกิจการและความรับผิดของกรรมการ (ร่าง พ.ร.บ. ประกันชีวิตฯ และร่าง พ.ร.บ. ประกันวินาศภัยฯ กลุ่มที่ 3) ที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งมีสาระสําคัญในการแก้ไขเพิ่มเติม ดังนี้
1. เพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการโอนกิจการที่มีผลให้ต้องมีการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ผู้รับประกันภัย (บริษัทผู้รับประกันภัย) โดยเมื่อบริษัทผู้รับโอนกิจการมีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้เอาประกันภัย (ในฐานะเจ้าหนี้) พร้อมแจ้งสิทธิให้ผู้เอาประกันภัยคัดค้านแล้ว หากไม่มีการคัดค้านภายใน 1 เดือนให้ถือว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ผู้รับประกันภัย ซึ่งเดิมจะต้องทําเป็นสัญญาระหว่างลูกหนี้ผู้รับประกันภัยรายใหม่กับเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัยทุกรายตามมาตรา ๓๕๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงทําให้การโอนกิจการของบริษัทประกันภัยไม่เกิดความคล่องตัว ใช้ระยะเวลายาวนาน และมีต้นทุนสูง
2. เพิ่มเติมบทบัญญัติให้บริษัทสามารถจดทะเบียนควบรวมกิจการได้ทันทีหากได้รับหนังสือให้ความยินยอมจากเจ้าหนี้ (ผู้เอาประกันภัย) ครบทุกราย โดยไม่จําเป็นต้องรอให้พ้นระยะเวลาคัดค้าน (1 เดือน) ทั้งนี้ เพื่อให้กระบวนการควบรวมเป็นไปด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น
3. เพิ่มเติมบทบัญญัติให้บริษัทที่รับโอนกิจการสามารถเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนบริษัทที่โอนกิจการในคดีที่มีการฟ้องร้องในศาลได้ และสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ตามคําพิพากษาได้ ทั้งนี้ เพื่อให้บริษัทผู้รับโอนกิจการได้รับซึ่งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนกิจการเช่นเดียวกับการควบรวมกิจการ
4. เพิ่มเติมบทกําหนดโทษสําหรับกรณีที่กรรมการและผู้มีอํานาจในการจัดการของบริษัท พนักงานของบริษัท หรือบุคคลที่บริษัทมอบหมาย แสวงหาประโยชน์หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบริษัท ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน ให้มีความผิดตามร่างกฎหมายนี้ รวมทั้งบุคคลที่ก่อหรือให้การสนับสนุนให้มีกระทําการดังกล่าวข้างต้นด้วย
5. เพิ่มเติมบทกําหนดโทษสําหรับผู้ที่ก่อหรือให้การสนับสนุนให้ผู้สอบบัญชี หรือนักคณิตศาสตร์ประกันภัยปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ การให้ถ้อยคําอันเป็นเท็จต่อนายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ การทําลาย ทําให้เสียหาย ซึ่งตราหรือเครื่องหมายที่นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ประทับไว้
6. แก้ไขบทบัญญัติสําหรับความผิดที่คณะกรรมการเปรียบเทียบไม่อาจเปรียบเทียบปรับได้ ซึ่งทําให้ต้องรับโทษทางอาญาในกรณีการกระทําความผิดของกรรมการ ผู้มีอํานาจในการจัดการ พนักงานของบริษัท บุคคลที่บริษัทมอบหมาย บุคคลที่ก่อหรือสนับสนุนให้ผู้สอบบัญชีหรือนักคณิตศาสตร์ประกันภัยทําผิดกฎหมายและผู้ซึ่งกระทําความผิดต่อนายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมถึงผู้ที่กระทําความผิดเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลที่ไม่ควรเปิดเผย ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินที่กําหนดให้การกระทําผิดในลักษณะดังกล่าวไม่สามารถเปรียบเทียบปรับได้
ร่าง พ.ร.บ. ประกันชีวิตฯ และร่าง พ.ร.บ. ประกันวินาศภัยฯ ทั้ง 2 ฉบับ ดังกล่าว จะช่วยส่งเสริมให้การโอนกิจการและการควบรวมกิจการดําเนินการได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งในการประกอบธุรกิจประกันภัยให้มีศักยภาพในการแข่งขัน และป้องปรามการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของกรรมการหรือผู้มีอํานาจในการจัดการของบริษัท ตลอดจนคุ้มครองผลประโยชน์ของประชาชนผู้เอาประกันภัยและการบริหารธุรกิจของบริษัทประกันภัย ซึ่งกลไกดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนให้ภาคการประกันภัยมีเสถียรภาพและความมั่นคงมากยิ่งขึ้น อันจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นต่อไป
โดยหลังจากนี้ จะเป็นขั้นตอนการตรวจพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ประกันชีวิตฯ และร่าง พ.ร.บ. ประกันวินาศภัยฯ ของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จ จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของวุฒิสภา และนําขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ก่อนจะลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
สํานักนโยบายระบบการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
02 273 9020 ต่อ 3690
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24706
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.วิวัฒน์” มอบนโยบายแก่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เตรียมบูรณาการแผนงานร่วม 10 หน่วยงานภายใต้การกำกับดูแล หวังใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันเดินหน้าทำงานเชิงรุก
|
วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม 2560
“รมช.วิวัฒน์” มอบนโยบายแก่สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เตรียมบูรณาการแผนงานร่วม 10 หน่วยงานภายใต้การกํากับดูแล หวังใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันเดินหน้าทํางานเชิงรุก
“รมช.วิวัฒน์” มอบนโยบายแก่สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เตรียมบูรณาการแผนงานร่วม 10 หน่วยงานภายใต้การกํากับดูแล หวังใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันเดินหน้าทํางานเชิงรุก พร้อมเร่งบริหารจัดการ 3 ลุ่มน้ํา เพื่อคืนพื้นที่ป่าต้นน้ําอย่างยั่งยืน
ดร.วิวัฒน์ ศัลยกําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการตรวจเยี่ยมและเป็นประธานการประชุมมอบนโยบายแก่สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การกํากับดูแล ว่า ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้นโยบาย “นโยบาย 3 ต.” เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นั้น ในส่วนแผนการดําเนินงานของสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่มีอยู่เดิม ล้วนเป็นแผนงานที่ดีที่ตอบสนองการแก้ไขปัญหาที่ดินทํากินของเกษตรกรและสนองแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ซึ่งจะได้เข้ามาดําเนินการสานต่องานที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรต่อไป อาทิ การจัดสรรที่ดินทํากินแก่เกษตรกร การพัฒนาศักยภาพของเกษตรกร และการพัฒนาแหล่งน้ําในพื้นที่ ส.ป.ก. เป็นต้น
ทั้งนี้ การดําเนินงานเชิงรุกจะสามารถดําเนินการได้อย่างถูกต้องแม่นยํา จะต้องมีพื้นฐานข้อมูลที่เป็นมาตรฐานและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทุกหน่วยงานสามารถนําไปบูรณาการใช้ร่วมกันได้โดยสะดวกรวดเร็ว มีความเข้าใจตรงกัน ซึ่งจะทําให้การทํางานมีประสิทธิภาพ โดยหลังจากนี้จะเชิญ 10 หน่วยงานภายใต้การกํากับดูแล รวมทั้งสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมบูรณาการแผนปฏิบัติงานดังกล่าว ให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน โดยกําหนดเป้าหมายของพื้นที่ และกลุ่มบุคคล รวมทั้งปรับปรุงแผนที่ที่มีความทับซ้อนให้มีความชัดเจนมากขึ้น เพื่อให้การดําเนินงานไม่มีความซ้ําซ้อนทั้งด้านงบประมาณ และแผนการดําเนินงาน รวมทั้งเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเดินหน้ามาตรการแก้ไขปัญหาของเกษตรกรต่อไป
นอกจากนี้ เตรียมเดินหน้ามาตรการบริหารจัดการพื้นที่ 3 ลุ่มน้ํา ได้แก่ 1) พื้นที่ลุ่มน้ําป่าสักฯ ครอบคลุม 7 จังหวัด พื้นที่ 10 ล้านไร่ ซึ่งมีปัญหาเกี่ยวกับป่าต้นน้ํา และการกักเก็บน้ําในอ่างฯ ซึ่งขณะนี้ กรมชลประทาน และกรมพัฒนาที่ดิน ได้เริ่มดําเนินการลงสํารวจพื้นที่ในเบื้องต้นแล้ว 2) พื้นที่ลุ่มน้ําห้วยโสมง จะเข้าไปบริหารจัดการพื้นที่ต้นน้ํา เพื่อให้มีปริมาณน้ําต้นทุนเก็บลงอ่างฯ มากขึ้น รวมทั้งบริหารจัดการน้ําในพื้นที่ส่งน้ํา 100,000 ไร่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และ 3) การแก้ไขปัญหาเกษตรกรรุกล้ําพื้นที่ป่าเพื่อทําการเกษตร ซึ่งจากการรายงานพบว่า จ.น่าน มีเกษตรกรรุกล้ําพื้นที่ป่าแล้วจํานวนล้านกว่าไร่ โดยกระทรวงเกษตรฯ จะเข้าไปช่วยเกษตรกรในพื้นที่ดังกล่าว โดยการจัดระบบใหม่ และคืนพื้นที่ป่าต้นน้ําต่อไป
ขณะเดียวกัน ได้มีการเตรียมแผนงานด้านอื่นๆ ด้วย อาทิ การเตรียมมาตรการรับมือภัยแล้ง การจัดงานวันดินโลกในปีต่อๆ ไป และการเตรียมรับมือกับความแปรปรวนของสภาพอากาศ เป็นต้น
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.วิวัฒน์” มอบนโยบายแก่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เตรียมบูรณาการแผนงานร่วม 10 หน่วยงานภายใต้การกำกับดูแล หวังใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันเดินหน้าทำงานเชิงรุก
วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม 2560
“รมช.วิวัฒน์” มอบนโยบายแก่สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เตรียมบูรณาการแผนงานร่วม 10 หน่วยงานภายใต้การกํากับดูแล หวังใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันเดินหน้าทํางานเชิงรุก
“รมช.วิวัฒน์” มอบนโยบายแก่สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เตรียมบูรณาการแผนงานร่วม 10 หน่วยงานภายใต้การกํากับดูแล หวังใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันเดินหน้าทํางานเชิงรุก พร้อมเร่งบริหารจัดการ 3 ลุ่มน้ํา เพื่อคืนพื้นที่ป่าต้นน้ําอย่างยั่งยืน
ดร.วิวัฒน์ ศัลยกําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการตรวจเยี่ยมและเป็นประธานการประชุมมอบนโยบายแก่สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การกํากับดูแล ว่า ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้นโยบาย “นโยบาย 3 ต.” เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นั้น ในส่วนแผนการดําเนินงานของสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่มีอยู่เดิม ล้วนเป็นแผนงานที่ดีที่ตอบสนองการแก้ไขปัญหาที่ดินทํากินของเกษตรกรและสนองแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ซึ่งจะได้เข้ามาดําเนินการสานต่องานที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรต่อไป อาทิ การจัดสรรที่ดินทํากินแก่เกษตรกร การพัฒนาศักยภาพของเกษตรกร และการพัฒนาแหล่งน้ําในพื้นที่ ส.ป.ก. เป็นต้น
ทั้งนี้ การดําเนินงานเชิงรุกจะสามารถดําเนินการได้อย่างถูกต้องแม่นยํา จะต้องมีพื้นฐานข้อมูลที่เป็นมาตรฐานและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทุกหน่วยงานสามารถนําไปบูรณาการใช้ร่วมกันได้โดยสะดวกรวดเร็ว มีความเข้าใจตรงกัน ซึ่งจะทําให้การทํางานมีประสิทธิภาพ โดยหลังจากนี้จะเชิญ 10 หน่วยงานภายใต้การกํากับดูแล รวมทั้งสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมบูรณาการแผนปฏิบัติงานดังกล่าว ให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน โดยกําหนดเป้าหมายของพื้นที่ และกลุ่มบุคคล รวมทั้งปรับปรุงแผนที่ที่มีความทับซ้อนให้มีความชัดเจนมากขึ้น เพื่อให้การดําเนินงานไม่มีความซ้ําซ้อนทั้งด้านงบประมาณ และแผนการดําเนินงาน รวมทั้งเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเดินหน้ามาตรการแก้ไขปัญหาของเกษตรกรต่อไป
นอกจากนี้ เตรียมเดินหน้ามาตรการบริหารจัดการพื้นที่ 3 ลุ่มน้ํา ได้แก่ 1) พื้นที่ลุ่มน้ําป่าสักฯ ครอบคลุม 7 จังหวัด พื้นที่ 10 ล้านไร่ ซึ่งมีปัญหาเกี่ยวกับป่าต้นน้ํา และการกักเก็บน้ําในอ่างฯ ซึ่งขณะนี้ กรมชลประทาน และกรมพัฒนาที่ดิน ได้เริ่มดําเนินการลงสํารวจพื้นที่ในเบื้องต้นแล้ว 2) พื้นที่ลุ่มน้ําห้วยโสมง จะเข้าไปบริหารจัดการพื้นที่ต้นน้ํา เพื่อให้มีปริมาณน้ําต้นทุนเก็บลงอ่างฯ มากขึ้น รวมทั้งบริหารจัดการน้ําในพื้นที่ส่งน้ํา 100,000 ไร่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และ 3) การแก้ไขปัญหาเกษตรกรรุกล้ําพื้นที่ป่าเพื่อทําการเกษตร ซึ่งจากการรายงานพบว่า จ.น่าน มีเกษตรกรรุกล้ําพื้นที่ป่าแล้วจํานวนล้านกว่าไร่ โดยกระทรวงเกษตรฯ จะเข้าไปช่วยเกษตรกรในพื้นที่ดังกล่าว โดยการจัดระบบใหม่ และคืนพื้นที่ป่าต้นน้ําต่อไป
ขณะเดียวกัน ได้มีการเตรียมแผนงานด้านอื่นๆ ด้วย อาทิ การเตรียมมาตรการรับมือภัยแล้ง การจัดงานวันดินโลกในปีต่อๆ ไป และการเตรียมรับมือกับความแปรปรวนของสภาพอากาศ เป็นต้น
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8763
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ (กอช.) ครั้งที่ 2/2561
|
วันพุธที่ 16 พฤษภาคม 2561
การประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ (กอช.) ครั้งที่ 2/2561
การประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ (กอช.) ครั้งที่ 2/2561
การประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ (กอช.) ครั้งที่ 2/2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ (กอช.) ครั้งที่ 2/2561
วันพุธที่ 16 พฤษภาคม 2561
การประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ (กอช.) ครั้งที่ 2/2561
การประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ (กอช.) ครั้งที่ 2/2561
การประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ (กอช.) ครั้งที่ 2/2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12264
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตือนระวังการใช้ยาแก้ปวดกลุ่มเอนเสด ลดความเสี่ยงไตวาย
|
วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2561
สธ. เตือนระวังการใช้ยาแก้ปวดกลุ่มเอนเสด ลดความเสี่ยงไตวาย
กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนระมัดระวังการใช้ยาแก้ปวด ลดอักเสบ กลุ่มเอนเสด ยาชุด ผลิตภัณฑ์ที่แอบอ้างสรรพคุณว่าบํารุงไตหรือล้างไต ลดความเสี่ยงโรคไตวาย
นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข พบว่า แต่ละปีมีผู้ป่วยที่ต้องล้างไตรายใหม่ประมาณ 15,000 – 20,000 คน แนวโน้มพบผู้ป่วยโรคไตเพิ่มขึ้นทุกปี โดยจากการศึกษาของสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยพบว่ามีผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังร้อยละ 17.6 ของประชากรที่อายุมากกว่าหรือเท่ากับ 20 ปี หรือเมื่อเทียบกับจํานวนประชากรปัจจุบันคาดการณ์ว่ามีประมาณ 8 ล้านคน ในจํานวนนี้ครึ่งหนึ่ง อยู่ในระยะ 3-5 ที่ใกล้จะต้องล้างไต และระยะสุดท้ายที่ต้องล้างไตประมาณ 100,000 คน สาเหตุส่วนใหญ่มาจากโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง รวมทั้งการใช้ยาที่ทําอันตรายต่อไต ที่พบปัญหามากที่สุดคือ เอ็นเสด (NSAIDs) ซึ่งเป็นกลุ่มยาแก้ปวด ลดการอักเสบ ที่คนไทยนิยมใช้เป็นจํานวนมาก ใช้เป็นประจํา เพราะช่วยลดไข้ แก้ปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอกได้ผลดี เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน นาโปรเซน เป็นต้น ยาต้านจุลชีพบางชนิด เช่น อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) สเตรปโตมัยซิน (Streptomycin) ไซโปรฟลอกซาซิน (Ciprofloxacin) ยาชุด และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน มักลักลอบใส่สารที่อันตรายที่มีพิษต่อไต ทําให้เกิดไตวายได้เช่นกัน รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่แอบอ้างสรรพคุณว่าบํารุงไตหรือล้างไต ซึ่งปัจจุบันยังไม่มียาสูตรใดที่พิสูจน์ได้ทางการแพทย์ว่าสามารถทําให้การทํางานของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังกลับมาเป็นปกติได้ ยาดังกล่าวแม้บางสูตรจะไม่ได้เป็นพิษต่อไตโดยตรง แต่อาจทําให้ผู้ป่วยละเลยการดูแลไตจนโรคลุกลามได้
นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า ได้ให้หน่วยงานในสังกัด รณรงค์ให้ความรู้ประชาชนในการใช้ยาอย่างสมเหตุผล หลีกเลี่ยงการใช้ยาโดยไม่จําเป็น ไม่ซื้อยากินเอง โดยเฉพาะยาแก้ปวดอักเสบกลุ่มเอ็นเสดและยาปฏิชีวนะ ก่อนใช้ยา ขอให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร ไม่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ยา อาหารเสริม หรือยาจากสมุนไพรที่ผิดกฎหมายไม่ได้ขึ้นทะเบียน โอ้อวดสรรพคุณ รวมถึงยาชุด เพื่อป้องกันเป็นโรคไตจากการใช้ยา เนื่องจากยาเหล่านี้ จะทําให้เลือดไปเลี้ยงไตลดลงและทําลายเนื้อไตโดยตรง ทําให้เนื้อไตอักเสบเฉียบพลันหรือเกิดไตวายเฉียบพลัน หากมีสัญญาณเตือนโรคไตคือ มีอาการเหนื่อยง่าย บวม ปวดสีข้างด้านหลัง ปัสสาวะน้อยลง ปัสสาวะเป็นสีน้ําล้างเนื้อ หรือปัสสาวะมีฟองมากผิดปกติ ขอให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจการทํางานของไต และดูแลรักษาอย่างถูกต้องก่อนที่เนื้อไตจะถูกทําลายอย่างถาวร เป็นโรคไตวายเรื้อรังและเข้าสู่ระยะสุดท้าย ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ต้องฟอกเลือดล้างไตหรือผ่าตัดปลูกถ่ายไตในที่สุด
************************************* 25 พฤศจิกายน 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตือนระวังการใช้ยาแก้ปวดกลุ่มเอนเสด ลดความเสี่ยงไตวาย
วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2561
สธ. เตือนระวังการใช้ยาแก้ปวดกลุ่มเอนเสด ลดความเสี่ยงไตวาย
กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนระมัดระวังการใช้ยาแก้ปวด ลดอักเสบ กลุ่มเอนเสด ยาชุด ผลิตภัณฑ์ที่แอบอ้างสรรพคุณว่าบํารุงไตหรือล้างไต ลดความเสี่ยงโรคไตวาย
นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข พบว่า แต่ละปีมีผู้ป่วยที่ต้องล้างไตรายใหม่ประมาณ 15,000 – 20,000 คน แนวโน้มพบผู้ป่วยโรคไตเพิ่มขึ้นทุกปี โดยจากการศึกษาของสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยพบว่ามีผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังร้อยละ 17.6 ของประชากรที่อายุมากกว่าหรือเท่ากับ 20 ปี หรือเมื่อเทียบกับจํานวนประชากรปัจจุบันคาดการณ์ว่ามีประมาณ 8 ล้านคน ในจํานวนนี้ครึ่งหนึ่ง อยู่ในระยะ 3-5 ที่ใกล้จะต้องล้างไต และระยะสุดท้ายที่ต้องล้างไตประมาณ 100,000 คน สาเหตุส่วนใหญ่มาจากโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง รวมทั้งการใช้ยาที่ทําอันตรายต่อไต ที่พบปัญหามากที่สุดคือ เอ็นเสด (NSAIDs) ซึ่งเป็นกลุ่มยาแก้ปวด ลดการอักเสบ ที่คนไทยนิยมใช้เป็นจํานวนมาก ใช้เป็นประจํา เพราะช่วยลดไข้ แก้ปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอกได้ผลดี เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน นาโปรเซน เป็นต้น ยาต้านจุลชีพบางชนิด เช่น อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) สเตรปโตมัยซิน (Streptomycin) ไซโปรฟลอกซาซิน (Ciprofloxacin) ยาชุด และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน มักลักลอบใส่สารที่อันตรายที่มีพิษต่อไต ทําให้เกิดไตวายได้เช่นกัน รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่แอบอ้างสรรพคุณว่าบํารุงไตหรือล้างไต ซึ่งปัจจุบันยังไม่มียาสูตรใดที่พิสูจน์ได้ทางการแพทย์ว่าสามารถทําให้การทํางานของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังกลับมาเป็นปกติได้ ยาดังกล่าวแม้บางสูตรจะไม่ได้เป็นพิษต่อไตโดยตรง แต่อาจทําให้ผู้ป่วยละเลยการดูแลไตจนโรคลุกลามได้
นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า ได้ให้หน่วยงานในสังกัด รณรงค์ให้ความรู้ประชาชนในการใช้ยาอย่างสมเหตุผล หลีกเลี่ยงการใช้ยาโดยไม่จําเป็น ไม่ซื้อยากินเอง โดยเฉพาะยาแก้ปวดอักเสบกลุ่มเอ็นเสดและยาปฏิชีวนะ ก่อนใช้ยา ขอให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร ไม่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ยา อาหารเสริม หรือยาจากสมุนไพรที่ผิดกฎหมายไม่ได้ขึ้นทะเบียน โอ้อวดสรรพคุณ รวมถึงยาชุด เพื่อป้องกันเป็นโรคไตจากการใช้ยา เนื่องจากยาเหล่านี้ จะทําให้เลือดไปเลี้ยงไตลดลงและทําลายเนื้อไตโดยตรง ทําให้เนื้อไตอักเสบเฉียบพลันหรือเกิดไตวายเฉียบพลัน หากมีสัญญาณเตือนโรคไตคือ มีอาการเหนื่อยง่าย บวม ปวดสีข้างด้านหลัง ปัสสาวะน้อยลง ปัสสาวะเป็นสีน้ําล้างเนื้อ หรือปัสสาวะมีฟองมากผิดปกติ ขอให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจการทํางานของไต และดูแลรักษาอย่างถูกต้องก่อนที่เนื้อไตจะถูกทําลายอย่างถาวร เป็นโรคไตวายเรื้อรังและเข้าสู่ระยะสุดท้าย ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ต้องฟอกเลือดล้างไตหรือผ่าตัดปลูกถ่ายไตในที่สุด
************************************* 25 พฤศจิกายน 2561
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17053
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ยุติธรรม" ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๓
|
วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน 2563
"ยุติธรรม" ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๓
"ยุติธรรม" ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๓
ในวันจันทร์ที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกฤษณะ ผลอนันต์ อาคาร ๓ ชั้น ๒ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เขตดินแดง กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๓ ซึ่งเป็นการดําเนินการตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยมี นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน พร้อมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เข้าร่วมฯ
เพื่อพิจารณากลั่นกรองผลการดําเนินการตรวจสอบทรัพย์สินของพนักงานเจ้าหน้าที่ ข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือของผู้อื่น ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการกระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดของผู้ต้องหา
ทั้งนี้ จากข้อมูลในวันที่ ๑ - ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ คณะอนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินภาค ๗ - ๘ ได้พิจารณากลั่นกรองตรวจสอบทรัพย์สินเสร็จสิ้นแล้ว จํานวน ๒๔ คดี ๕๑ รายการ มูลค่าทรัพย์สินรวมประมาณ ๔,๖๙๕,๐๐๐ บาท
สําหรับการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เป็นกระบวนการในการบังคับใช้กฎหมายการริบทรัพย์ เพื่อตัดโอกาสในการกลับมาเป็นผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดซ้ํา และไม่ให้ผู้กระทําความผิดดังกล่าว ได้รับประโยชน์ใดจากทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด นํามาซึ่งการสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้ประชาชนจากปัญหายาเสพติด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ยุติธรรม" ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๓
วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน 2563
"ยุติธรรม" ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๓
"ยุติธรรม" ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๓
ในวันจันทร์ที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกฤษณะ ผลอนันต์ อาคาร ๓ ชั้น ๒ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เขตดินแดง กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๓ ซึ่งเป็นการดําเนินการตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยมี นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน พร้อมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เข้าร่วมฯ
เพื่อพิจารณากลั่นกรองผลการดําเนินการตรวจสอบทรัพย์สินของพนักงานเจ้าหน้าที่ ข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือของผู้อื่น ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการกระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดของผู้ต้องหา
ทั้งนี้ จากข้อมูลในวันที่ ๑ - ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ คณะอนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินภาค ๗ - ๘ ได้พิจารณากลั่นกรองตรวจสอบทรัพย์สินเสร็จสิ้นแล้ว จํานวน ๒๔ คดี ๕๑ รายการ มูลค่าทรัพย์สินรวมประมาณ ๔,๖๙๕,๐๐๐ บาท
สําหรับการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เป็นกระบวนการในการบังคับใช้กฎหมายการริบทรัพย์ เพื่อตัดโอกาสในการกลับมาเป็นผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดซ้ํา และไม่ให้ผู้กระทําความผิดดังกล่าว ได้รับประโยชน์ใดจากทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด นํามาซึ่งการสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้ประชาชนจากปัญหายาเสพติด
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32058
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ "นโยบายยุทธศาสตร์ต้นไม้เพื่อแผ่นดิน"
|
วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม 2560
รมว.ทส. กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ "นโยบายยุทธศาสตร์ต้นไม้เพื่อแผ่นดิน"
พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมงานการสัมมนาเรื่อง "สานพลังขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ต้นไม้ สร้างเสริมชุมชนเข้มแข็ง สืบสานปณิธานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" ณ อาคารคอนแวนชั่น โรงแรมรามาการ์เด้น
พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมงานการสัมมนาเรื่อง "สานพลังขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ต้นไม้ สร้างเสริมชุมชนเข้มแข็ง สืบสานปณิธานพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" ณ อาคารคอนแวนชั่น โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร
ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ "นโยบายยุทธศาสตร์ต้นไม้เพื่อแผ่นดิน”ซึ่งการสัมมนาดังกล่าวฯ จัดโดยคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสังคม ร่วมกับคณะอนุกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูประบบสร้างเสริมชุมชนเข้มแข็ง มีวัตถุประสงค์ดังนี้
๑. เพื่อสานพลังขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ต้นไม้เพื่อแผ่นดินของทุกภาคส่วน และสนับสนุนมติการปฏิรูปการบริหารจัดการการปลูกป่าและดูแลต้นไม้ในชุมชน
๒. สร้างความร่วมมือการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ต้นไม้เพื่อแผ่นดิน ๕ ด้าน คือ ด้านนโยบาย โครงสร้าง มาตรากฎหมาย และกลไกการขับเคลื่อน ด้านวิชาการ บริการและฐานข้อมูล ด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมด้านการสื่อสารเพื่อสร้างจิตสํานึกในการปลูก ดุแลรักษา และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน และด้านการมรส่วนร่วมของชุมชน
๓. สร้างภาคีเครือข่ายความร่วมมือของหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง สร้างกระแสสังคม สร้างปณิธาน และจิตสํานึก ในการปลูกต้นไม้เพื่อแผ่นดิน เพื่อตามรอยเบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ "นโยบายยุทธศาสตร์ต้นไม้เพื่อแผ่นดิน"
วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม 2560
รมว.ทส. กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ "นโยบายยุทธศาสตร์ต้นไม้เพื่อแผ่นดิน"
พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมงานการสัมมนาเรื่อง "สานพลังขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ต้นไม้ สร้างเสริมชุมชนเข้มแข็ง สืบสานปณิธานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" ณ อาคารคอนแวนชั่น โรงแรมรามาการ์เด้น
พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมงานการสัมมนาเรื่อง "สานพลังขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ต้นไม้ สร้างเสริมชุมชนเข้มแข็ง สืบสานปณิธานพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" ณ อาคารคอนแวนชั่น โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร
ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ "นโยบายยุทธศาสตร์ต้นไม้เพื่อแผ่นดิน”ซึ่งการสัมมนาดังกล่าวฯ จัดโดยคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสังคม ร่วมกับคณะอนุกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูประบบสร้างเสริมชุมชนเข้มแข็ง มีวัตถุประสงค์ดังนี้
๑. เพื่อสานพลังขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ต้นไม้เพื่อแผ่นดินของทุกภาคส่วน และสนับสนุนมติการปฏิรูปการบริหารจัดการการปลูกป่าและดูแลต้นไม้ในชุมชน
๒. สร้างความร่วมมือการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ต้นไม้เพื่อแผ่นดิน ๕ ด้าน คือ ด้านนโยบาย โครงสร้าง มาตรากฎหมาย และกลไกการขับเคลื่อน ด้านวิชาการ บริการและฐานข้อมูล ด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมด้านการสื่อสารเพื่อสร้างจิตสํานึกในการปลูก ดุแลรักษา และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน และด้านการมรส่วนร่วมของชุมชน
๓. สร้างภาคีเครือข่ายความร่วมมือของหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง สร้างกระแสสังคม สร้างปณิธาน และจิตสํานึก ในการปลูกต้นไม้เพื่อแผ่นดิน เพื่อตามรอยเบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2189
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความเคลื่อนไหวผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซล สมัยที่ 13 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ 8 และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ 8
|
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560
ความเคลื่อนไหวผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซล สมัยที่ 13 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ 8 และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ 8
รมว.ทส. พร้อมด้วยคณะ ร่วมการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลฯ สมัยที่ 13 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ 8 และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ 8 (BRS 2017 COPs) ในระหว่างวันที่ 24 เมษายน - 5 พฤษภาคม 2560 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์) พร้อมด้วยอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (นายจตุพร บุรุษพัฒน์) รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (นายสุวรรณ นันทศรุต) เจ้าหน้าที่สํานักจัดการกากของเสียและสารอันตราย ผู้แทนกรมโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งประธานและผู้ทรงคุณวุฒิในคณะอนุกรรมการอนุสัญญาฯ ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลฯ สมัยที่ 13 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ 8 และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ 8 (BRS 2017 COPs) ในระหว่างวันที่ 24 เมษายน - 5 พฤษภาคม 2560 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมมากกว่า 1,600 คน เป็นผู้แทนจากภาคีสมาชิก 180 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งผู้สังเกตการณ์จากองค์กรภาคประชาสังคม และภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีและของเสีย
ทั้งนี้ คณะผู้แทนไทย ประสบความสําเร็จในการเจรจาให้มีข้อยกเว้นพิเศษสําหรับการใช้งานสาร คลอริเนทเตดพาราฟินสายสั้น (Short-chain chlorinated paraffin; SCCPs) ในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ อาทิ การใช้เป็นส่วนผสมน้ํามันหล่อลื่น และสีเคลือบ โดยประเทศไทยจะมีระยะเวลาเปลี่ยนผ่านอย่างน้อย 5 ปี เพื่อลดและเลิกใช้สารดังกล่าว ตามพันธกรณีของอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ ความสําเร็จในการเสนอชื่อผู้เชี่ยวชาญของประเทศไทย (ดร. นวลศรี ทยาพัชร ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะอนุกรรมการอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ) โดยได้รับเลือกให้เป็นผู้แทนภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ในคณะกรรมการพิจารณาทบทวนสารเคมี (Chemical Review Committee: CRC) ภายใต้อนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ ต่อเนื่องอีก 1 วาระ ระยะเวลาดํารงตําแหน่ง 4 ปี ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งบทบาทของประเทศไทย ในเวทีการดําเนินงานระหว่างประเทศด้านการจัดการสารเคมีและของเสียอย่างต่อเนื่องต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมรัฐภาคีฯ ได้รับข้อเสนอของประเทศไทยในการสนับสนุนให้สํานักเลขาธิการอนุสัญญาบาเซล ริเริ่มการดําเนินงานในประเด็นเกี่ยวกับวัสดุนาโนที่เป็นของเสียอันตราย (nanomaterials in waste streams) เพื่อพิจารณาให้เกิดการจัดการภายใต้กลไกอนุสัญญาบาเซลฯ ซึ่งประเด็นดังกล่าวมีความสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยและจริยธรรมนาโนเทคโนโลยีของประเทศไทย
*หมายเหตุ* สาร SCCPs มีคุณสมบัติเป็นสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน ตามหลักเกณฑ์การกลั่นกรองในภาคผนวกของอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ คือ 1.มีความเป็นพิษ 2.ถูกย่อยสลายได้ยากโดยแสง สารเคมี ชีวภาพ และตกค้างในสิ่งแวดล้อมเป็นเวลานาน 3.สามารถเคลื่อนย้ายได้ไกลมาก และ4.มีคุณสมบัติละลายน้ําได้น้อยมากแต่ละลายได้ดีในไขมัน จึงทําใหมีการสะสมในไขมันของสิ่งมีชีวิต
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความเคลื่อนไหวผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซล สมัยที่ 13 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ 8 และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ 8
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560
ความเคลื่อนไหวผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซล สมัยที่ 13 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ 8 และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ 8
รมว.ทส. พร้อมด้วยคณะ ร่วมการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลฯ สมัยที่ 13 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ 8 และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ 8 (BRS 2017 COPs) ในระหว่างวันที่ 24 เมษายน - 5 พฤษภาคม 2560 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์) พร้อมด้วยอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (นายจตุพร บุรุษพัฒน์) รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (นายสุวรรณ นันทศรุต) เจ้าหน้าที่สํานักจัดการกากของเสียและสารอันตราย ผู้แทนกรมโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งประธานและผู้ทรงคุณวุฒิในคณะอนุกรรมการอนุสัญญาฯ ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลฯ สมัยที่ 13 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ 8 และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ 8 (BRS 2017 COPs) ในระหว่างวันที่ 24 เมษายน - 5 พฤษภาคม 2560 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมมากกว่า 1,600 คน เป็นผู้แทนจากภาคีสมาชิก 180 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งผู้สังเกตการณ์จากองค์กรภาคประชาสังคม และภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีและของเสีย
ทั้งนี้ คณะผู้แทนไทย ประสบความสําเร็จในการเจรจาให้มีข้อยกเว้นพิเศษสําหรับการใช้งานสาร คลอริเนทเตดพาราฟินสายสั้น (Short-chain chlorinated paraffin; SCCPs) ในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ อาทิ การใช้เป็นส่วนผสมน้ํามันหล่อลื่น และสีเคลือบ โดยประเทศไทยจะมีระยะเวลาเปลี่ยนผ่านอย่างน้อย 5 ปี เพื่อลดและเลิกใช้สารดังกล่าว ตามพันธกรณีของอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ ความสําเร็จในการเสนอชื่อผู้เชี่ยวชาญของประเทศไทย (ดร. นวลศรี ทยาพัชร ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะอนุกรรมการอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ) โดยได้รับเลือกให้เป็นผู้แทนภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ในคณะกรรมการพิจารณาทบทวนสารเคมี (Chemical Review Committee: CRC) ภายใต้อนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ ต่อเนื่องอีก 1 วาระ ระยะเวลาดํารงตําแหน่ง 4 ปี ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งบทบาทของประเทศไทย ในเวทีการดําเนินงานระหว่างประเทศด้านการจัดการสารเคมีและของเสียอย่างต่อเนื่องต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมรัฐภาคีฯ ได้รับข้อเสนอของประเทศไทยในการสนับสนุนให้สํานักเลขาธิการอนุสัญญาบาเซล ริเริ่มการดําเนินงานในประเด็นเกี่ยวกับวัสดุนาโนที่เป็นของเสียอันตราย (nanomaterials in waste streams) เพื่อพิจารณาให้เกิดการจัดการภายใต้กลไกอนุสัญญาบาเซลฯ ซึ่งประเด็นดังกล่าวมีความสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยและจริยธรรมนาโนเทคโนโลยีของประเทศไทย
*หมายเหตุ* สาร SCCPs มีคุณสมบัติเป็นสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน ตามหลักเกณฑ์การกลั่นกรองในภาคผนวกของอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ คือ 1.มีความเป็นพิษ 2.ถูกย่อยสลายได้ยากโดยแสง สารเคมี ชีวภาพ และตกค้างในสิ่งแวดล้อมเป็นเวลานาน 3.สามารถเคลื่อนย้ายได้ไกลมาก และ4.มีคุณสมบัติละลายน้ําได้น้อยมากแต่ละลายได้ดีในไขมัน จึงทําใหมีการสะสมในไขมันของสิ่งมีชีวิต
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3520
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลขับเคลื่อนเดินหน้าด้านดิจิทัล ปรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้เชื่อมโยงกับบัตรโดยสารสาธารณะ
|
วันอังคารที่ 2 ตุลาคม 2561
รัฐบาลขับเคลื่อนเดินหน้าด้านดิจิทัล ปรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้เชื่อมโยงกับบัตรโดยสารสาธารณะ
นายกรัฐมนตรีขับเคลื่อนเดินหน้าด้านดิจิทัล ปรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้เชื่อมโยงกับบัตรโดยสารสาธารณะ พร้อมสั่งการให้กระทรวงดิจิทัลฯ เร่งให้ทุกหน่วยงานบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลกันเพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชน
วันนี้ (25 กันยายน 2561) เวลา 14.30 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวภายหลังการเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงเรื่องความก้าวหน้าด้านดิจิทัลบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ว่าการดําเนินการดังกล่าวมีความคืบหน้าในหลายเรื่อง เช่นที่ผ่านมาได้มีการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐซื้อของผ่านร้านค้าธงฟ้า แต่ปัจจุบันได้มีการปรับให้สามารถซื้อสินค้าที่อื่นได้ด้วย ทําให้เกิดการหมุนเวียนทางการเงินในเศรษฐกิจโดยรวม รวมทั้งปัจจุบันได้นําไปเชื่อมโยงกับบัตรโดยสารสาธารณะซึ่งรัฐบาลกํากังเร่งพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทุกอย่างที่รัฐบาลเร่งดําเนินการเพื่อสําหรับของอนาคตข้างหน้าของประเทศ
รวมถึงการพัฒนาการใช้ดิจิทัลทดแทนเอกสารในการติดต่อระบบราชการ โดยใช้เลขบัตรประชาชน 13 หลัก ในการทําธุรกรรมด้านต่าง ๆ ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกําลังเร่งดําเนินการอยู่ในขณะนี้ พร้อมทั้งได้ให้ทุกหน่วยงานบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันให้ได้ ซึ่งขณะนี้ พ.ร.บ. การอํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ และพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ ได้ประกาศและมีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งจะช่วยอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการขอใบอนุญาตต่าง ๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลขับเคลื่อนเดินหน้าด้านดิจิทัล ปรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้เชื่อมโยงกับบัตรโดยสารสาธารณะ
วันอังคารที่ 2 ตุลาคม 2561
รัฐบาลขับเคลื่อนเดินหน้าด้านดิจิทัล ปรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้เชื่อมโยงกับบัตรโดยสารสาธารณะ
นายกรัฐมนตรีขับเคลื่อนเดินหน้าด้านดิจิทัล ปรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้เชื่อมโยงกับบัตรโดยสารสาธารณะ พร้อมสั่งการให้กระทรวงดิจิทัลฯ เร่งให้ทุกหน่วยงานบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลกันเพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชน
วันนี้ (25 กันยายน 2561) เวลา 14.30 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวภายหลังการเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงเรื่องความก้าวหน้าด้านดิจิทัลบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ว่าการดําเนินการดังกล่าวมีความคืบหน้าในหลายเรื่อง เช่นที่ผ่านมาได้มีการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐซื้อของผ่านร้านค้าธงฟ้า แต่ปัจจุบันได้มีการปรับให้สามารถซื้อสินค้าที่อื่นได้ด้วย ทําให้เกิดการหมุนเวียนทางการเงินในเศรษฐกิจโดยรวม รวมทั้งปัจจุบันได้นําไปเชื่อมโยงกับบัตรโดยสารสาธารณะซึ่งรัฐบาลกํากังเร่งพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทุกอย่างที่รัฐบาลเร่งดําเนินการเพื่อสําหรับของอนาคตข้างหน้าของประเทศ
รวมถึงการพัฒนาการใช้ดิจิทัลทดแทนเอกสารในการติดต่อระบบราชการ โดยใช้เลขบัตรประชาชน 13 หลัก ในการทําธุรกรรมด้านต่าง ๆ ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกําลังเร่งดําเนินการอยู่ในขณะนี้ พร้อมทั้งได้ให้ทุกหน่วยงานบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันให้ได้ ซึ่งขณะนี้ พ.ร.บ. การอํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ และพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ ได้ประกาศและมีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งจะช่วยอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการขอใบอนุญาตต่าง ๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15808
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตฯ ลงพื้นที่เชียงใหม่ ดึงหน่วยงานเครือข่ายภาครัฐ-เอกชนภาคเหนือ ผุดไอเดียช่วยเหลือ SMEs ในพื้นที่
|
วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม 2562
กระทรวงอุตฯ ลงพื้นที่เชียงใหม่ ดึงหน่วยงานเครือข่ายภาครัฐ-เอกชนภาคเหนือ ผุดไอเดียช่วยเหลือ SMEs ในพื้นที่
กระทรวงอุตฯ ลงพื้นที่เชียงใหม่ ดึงหน่วยงานเครือข่ายภาครัฐ-เอกชนภาคเหนือ ผุดไอเดียช่วยเหลือ SMEs ในพื้นที่
จ.เชียงใหม่: วันนี้ (13 มกราคม 2562) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับกลุ่มเครือข่ายภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมี นางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม นางสาวสิริรัตน์ ไกรวณิช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายจารุพันธุ์ จารโยภาส รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นางจันทนรัตน์ ปิยพัทธไชย อุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้แทนจากหน่วยงานเครือข่ายภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ เข้าร่วมประชุมดังกล่าว ณ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 จ.เชียงใหม่
โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้รับฟังการนําเสนอจากเครือข่ายภาครัฐและเอกชนถึงแนวทางการดําเนินงานโครงการพี่เลี้ยงธุรกิจต้นแบบ SMEs ดาวเด่นเขตภาคเหนือ มุ่งเฟ้นหา STAR SME 10 กิจการ เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนธุรกิจ SMEs ดาวเด่นที่มีศักยภาพให้เติบโตอย่างไร้ขีดจํากัดและเป็นครั้งแรกที่ SMEs จะเข้าถึงการทํางานของทุกหน่วยงานของภาครัฐ รวมถึงสนับสนุนความแข็งแกร่งเศรษฐกิจไทยไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยโครงการดังกล่าวจะให้คําปรึกษาแนะนําในรูปแบบการเป็นพี่เลี้ยงธุรกิจ (Business Mentor) พร้อมแบ่งปันประสบการณ์และให้ความรู้แก่ SMEs ที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการให้ครอบคลุม 5 มิติ ที่สําคัญ ประกอบด้วย 1. ความเป็นผู้ประกอบการ การบริหารจัดการธุรกิจสมัยใหม่และการพัฒนาบุคลากร 2.กลยุทธ์การตลาด(Strategic Marketing) 3.นวัตกรรมผลิตภัณฑ์(Product Innovation) 4.การเงินธุรกิจ(Business Finance)/การบัญชี ภาษีธุรกิจ และกฎหมาย และ 5.เทคโนโลยีดิจิทัล (Technology Digital) นอกจากนี้ยังจะนําไปถอดบทเรียนและสร้าง STAR SMEs ต้นแบบจังหวัดเชียงใหม่ และเตรียมขยายผลไปยัง STAR SMEs จังหวัดอื่น ๆ ในเขตภาคเหนืออีกด้วย ทั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้เสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางที่นําเสนอดังกล่าว โดยให้เครือข่ายภาครัฐและเอกชนเน้นการจัดทํา Business Model ที่ชัดเจน เพื่อรองรับการให้บริการแก่ผู้ประกอบการ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสตาร์ กลุ่มทั่วไป และกลุ่มที่มีศักยภาพที่มีเข้มแข็ง รวมถึงการบูรณาการความร่วมมือในการดําเนินงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานเครือข่าย สถาบันการศึกษาต่าง ๆ และบริษัทเอกชนรายใหญ่ ผ่านแพลตฟอร์มใหญ่สําหรับการให้บริการ SMEs อย่างทั่วถึงให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยมอบหมายให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เป็นหน่วยงานหลักในการประสานความร่วมมือเพื่อดําเนินการดังกล่าว นอกจากนี้ยังได้วางแนวทางการดําเนินงานโครงการการบริหารจัดการศูนย์ ITC 4.0 โดยให้ตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการศูนย์ ให้มีเครือข่ายภาครัฐและบริษัทเอกชนเข้ามาร่วมดําเนินงาน อีกทั้งยังได้มอบหมายให้ กสอ. เร่งดําเนินการโครงการ consulting การให้คําปรึกษาแนะนําผู้ประกอบการ 3 Man-day ฟรี 3 วัน ต่อปี ทั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมจะนําเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตฯ ลงพื้นที่เชียงใหม่ ดึงหน่วยงานเครือข่ายภาครัฐ-เอกชนภาคเหนือ ผุดไอเดียช่วยเหลือ SMEs ในพื้นที่
วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม 2562
กระทรวงอุตฯ ลงพื้นที่เชียงใหม่ ดึงหน่วยงานเครือข่ายภาครัฐ-เอกชนภาคเหนือ ผุดไอเดียช่วยเหลือ SMEs ในพื้นที่
กระทรวงอุตฯ ลงพื้นที่เชียงใหม่ ดึงหน่วยงานเครือข่ายภาครัฐ-เอกชนภาคเหนือ ผุดไอเดียช่วยเหลือ SMEs ในพื้นที่
จ.เชียงใหม่: วันนี้ (13 มกราคม 2562) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับกลุ่มเครือข่ายภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมี นางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม นางสาวสิริรัตน์ ไกรวณิช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายจารุพันธุ์ จารโยภาส รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นางจันทนรัตน์ ปิยพัทธไชย อุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้แทนจากหน่วยงานเครือข่ายภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ เข้าร่วมประชุมดังกล่าว ณ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 จ.เชียงใหม่
โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้รับฟังการนําเสนอจากเครือข่ายภาครัฐและเอกชนถึงแนวทางการดําเนินงานโครงการพี่เลี้ยงธุรกิจต้นแบบ SMEs ดาวเด่นเขตภาคเหนือ มุ่งเฟ้นหา STAR SME 10 กิจการ เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนธุรกิจ SMEs ดาวเด่นที่มีศักยภาพให้เติบโตอย่างไร้ขีดจํากัดและเป็นครั้งแรกที่ SMEs จะเข้าถึงการทํางานของทุกหน่วยงานของภาครัฐ รวมถึงสนับสนุนความแข็งแกร่งเศรษฐกิจไทยไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยโครงการดังกล่าวจะให้คําปรึกษาแนะนําในรูปแบบการเป็นพี่เลี้ยงธุรกิจ (Business Mentor) พร้อมแบ่งปันประสบการณ์และให้ความรู้แก่ SMEs ที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการให้ครอบคลุม 5 มิติ ที่สําคัญ ประกอบด้วย 1. ความเป็นผู้ประกอบการ การบริหารจัดการธุรกิจสมัยใหม่และการพัฒนาบุคลากร 2.กลยุทธ์การตลาด(Strategic Marketing) 3.นวัตกรรมผลิตภัณฑ์(Product Innovation) 4.การเงินธุรกิจ(Business Finance)/การบัญชี ภาษีธุรกิจ และกฎหมาย และ 5.เทคโนโลยีดิจิทัล (Technology Digital) นอกจากนี้ยังจะนําไปถอดบทเรียนและสร้าง STAR SMEs ต้นแบบจังหวัดเชียงใหม่ และเตรียมขยายผลไปยัง STAR SMEs จังหวัดอื่น ๆ ในเขตภาคเหนืออีกด้วย ทั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้เสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางที่นําเสนอดังกล่าว โดยให้เครือข่ายภาครัฐและเอกชนเน้นการจัดทํา Business Model ที่ชัดเจน เพื่อรองรับการให้บริการแก่ผู้ประกอบการ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสตาร์ กลุ่มทั่วไป และกลุ่มที่มีศักยภาพที่มีเข้มแข็ง รวมถึงการบูรณาการความร่วมมือในการดําเนินงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานเครือข่าย สถาบันการศึกษาต่าง ๆ และบริษัทเอกชนรายใหญ่ ผ่านแพลตฟอร์มใหญ่สําหรับการให้บริการ SMEs อย่างทั่วถึงให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยมอบหมายให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เป็นหน่วยงานหลักในการประสานความร่วมมือเพื่อดําเนินการดังกล่าว นอกจากนี้ยังได้วางแนวทางการดําเนินงานโครงการการบริหารจัดการศูนย์ ITC 4.0 โดยให้ตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการศูนย์ ให้มีเครือข่ายภาครัฐและบริษัทเอกชนเข้ามาร่วมดําเนินงาน อีกทั้งยังได้มอบหมายให้ กสอ. เร่งดําเนินการโครงการ consulting การให้คําปรึกษาแนะนําผู้ประกอบการ 3 Man-day ฟรี 3 วัน ต่อปี ทั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมจะนําเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18100
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ขอบคุณคนไทยทุกคนร่วมต่อสู้ไวรัสโควิด-19 จนประเทศ “ฟื้นตัวดีสุด” ติดอันดับ 2 ของโลก
|
วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน 2563
นายกฯ ขอบคุณคนไทยทุกคนร่วมต่อสู้ไวรัสโควิด-19 จนประเทศ “ฟื้นตัวดีสุด” ติดอันดับ 2 ของโลก
นายกฯ ขอบคุณคนไทยทุกคนร่วมต่อสู้ไวรัสโควิด-19 จนประเทศ “ฟื้นตัวดีสุด” ติดอันดับ 2 ของโลก
วันที่ 14 มิ.ย.63 ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณพี่น้องคนไทยทุกคน ที่มีระเบียบวินัย เข้มแข็งและอดทน ร่วมกันต่อสู้ต่อและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา จนทําให้ประเทศไทยฟื้นตัวดีสุด ติดอันดับ 1 ของเอเชีย อันดับ 2 ของโลก โดยดัชนีโควิด-19 โลก หรือ Global COVID-19 Index (GCI) ซึ่งพัฒนาขึ้นมาโดยสมาคม PEMANDU ภายใต้ความร่วมมือกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาเลเซีย (MOSTI) และกลุ่มบริษัทซันเวย์ ดําเนินการจัดอันดับ 184 ประเทศ ที่มีการฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)ได้ดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม ผลการจัดอันดับดังกล่าว พบว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 1 ของเอเชีย และอันดับที่ 2 ของโลก การจัดอันดับจาก 184 ประเทศ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยได้คะแนนทั้งหมด 83.32 คะแนน จากทั้งหมด 100 คะแนน ส่วนอันดับ 1 เป็นของประเทศออสเตรเลียได้ 86.34 คะแนน
โฆษกรัฐบาลกล่าวว่าผลจากการจัดอันดับข้างต้น นายกรัฐมนตรีขอขอบคุณพี่น้องคนไทยทุกคน ทุกภาคส่วน ที่มีระเบียบวินัย เข้มแข็งและอดทน ร่วมกันต่อสู้ต่อและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา จนเป็นตัวอย่างประจักษ์แก่สายตาชาวโลก ทําให้ประเทศไทยได้คะแนนอันดับ 2 จากการการฟื้นตัวดีที่สุดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รัฐบาลทราบดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน แต่ทุกฝ่ายก็ได้ร่วมมือกันเป็นอย่างดีที่จะให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้
ทั้งนี้ GCI อธิบายว่าการจัดอันดับนี้ ให้น้ําหนักร้อยละ 70 กับการขับเคลื่อน และการเปลี่ยนแปลง ของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นรายวัน โดยพิจารณาจาก จํานวนผู้ป่วยที่ยังรักษาตัวอยู่ต่อประชากร, อัตราการหายป่วยต่อจํานวนผู้ติดเชื้อ, จํานวนการทดสอบหาเชื้อ ต่อผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยัน, จํานวนการตรวจสอบหาเชื้อต่อประชากรทั้งประเทศ
ส่วนอีกร้อยละ 30 พิจารณาจากข้อมูลทางสถิติ ที่เก็บรวบรวมมาจากดัชนีความมั่นคงทางด้านสุขภาพโลก (GHS) ที่เกิดขึ้นภายใต้การนําของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกิ้นส์ ภายใต้การสนับสนุนจากมูลนิธิบิล และเมลินดา เกตส์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ขอบคุณคนไทยทุกคนร่วมต่อสู้ไวรัสโควิด-19 จนประเทศ “ฟื้นตัวดีสุด” ติดอันดับ 2 ของโลก
วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน 2563
นายกฯ ขอบคุณคนไทยทุกคนร่วมต่อสู้ไวรัสโควิด-19 จนประเทศ “ฟื้นตัวดีสุด” ติดอันดับ 2 ของโลก
นายกฯ ขอบคุณคนไทยทุกคนร่วมต่อสู้ไวรัสโควิด-19 จนประเทศ “ฟื้นตัวดีสุด” ติดอันดับ 2 ของโลก
วันที่ 14 มิ.ย.63 ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณพี่น้องคนไทยทุกคน ที่มีระเบียบวินัย เข้มแข็งและอดทน ร่วมกันต่อสู้ต่อและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา จนทําให้ประเทศไทยฟื้นตัวดีสุด ติดอันดับ 1 ของเอเชีย อันดับ 2 ของโลก โดยดัชนีโควิด-19 โลก หรือ Global COVID-19 Index (GCI) ซึ่งพัฒนาขึ้นมาโดยสมาคม PEMANDU ภายใต้ความร่วมมือกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาเลเซีย (MOSTI) และกลุ่มบริษัทซันเวย์ ดําเนินการจัดอันดับ 184 ประเทศ ที่มีการฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)ได้ดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม ผลการจัดอันดับดังกล่าว พบว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 1 ของเอเชีย และอันดับที่ 2 ของโลก การจัดอันดับจาก 184 ประเทศ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยได้คะแนนทั้งหมด 83.32 คะแนน จากทั้งหมด 100 คะแนน ส่วนอันดับ 1 เป็นของประเทศออสเตรเลียได้ 86.34 คะแนน
โฆษกรัฐบาลกล่าวว่าผลจากการจัดอันดับข้างต้น นายกรัฐมนตรีขอขอบคุณพี่น้องคนไทยทุกคน ทุกภาคส่วน ที่มีระเบียบวินัย เข้มแข็งและอดทน ร่วมกันต่อสู้ต่อและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา จนเป็นตัวอย่างประจักษ์แก่สายตาชาวโลก ทําให้ประเทศไทยได้คะแนนอันดับ 2 จากการการฟื้นตัวดีที่สุดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รัฐบาลทราบดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน แต่ทุกฝ่ายก็ได้ร่วมมือกันเป็นอย่างดีที่จะให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้
ทั้งนี้ GCI อธิบายว่าการจัดอันดับนี้ ให้น้ําหนักร้อยละ 70 กับการขับเคลื่อน และการเปลี่ยนแปลง ของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นรายวัน โดยพิจารณาจาก จํานวนผู้ป่วยที่ยังรักษาตัวอยู่ต่อประชากร, อัตราการหายป่วยต่อจํานวนผู้ติดเชื้อ, จํานวนการทดสอบหาเชื้อ ต่อผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยัน, จํานวนการตรวจสอบหาเชื้อต่อประชากรทั้งประเทศ
ส่วนอีกร้อยละ 30 พิจารณาจากข้อมูลทางสถิติ ที่เก็บรวบรวมมาจากดัชนีความมั่นคงทางด้านสุขภาพโลก (GHS) ที่เกิดขึ้นภายใต้การนําของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกิ้นส์ ภายใต้การสนับสนุนจากมูลนิธิบิล และเมลินดา เกตส์
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32302
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 3/2560
|
วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน 2560
นายกรัฐมนตรีประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 3/2560
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงฯ ครั้งที่ 3/60 ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ มอบนโยบายการทํางานต้องให้ทันกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลง ขับเคลื่อนประเทศร่วมกับภาคเอกชนในรูปแบบประชารัฐ ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการทํางาน
วันนี้ (27 เม.ย.60) เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถนนพระราม 6 กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 3/2560 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมรับทราบผลการดําเนินงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และรายละเอียดโครงการต่าง ๆ ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้วิจัย พัฒนาและผลักดันโดยการนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน เพื่อก้าวไปสู่ Thailand 4.0 ตลอดจนแผนดําเนินงานของกระทรวงในอนาคต โดยมี นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นางเมธินี เทพมณี เลขาธิการ ก.พ. นายสรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้การต้อนรับ
ทั้งนี้ ก่อนการประชุมฯ นายกรัฐมนตรี ได้สักการะพระบรมรูปรัชกาลที่ 4 รวมทั้ง เยี่ยมชมนิทรรศการของหน่วยงานภายใต้สังกัดของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ที่ต้องการขับเคลื่อนในปี 2560 - 2561 ได้แก่ โครงการระบบดาวเทียมสํารวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) โครงการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECI) โครงการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมเกิดใหม่ที่มีการเติบโตสูง (Startup) เมืองนวัตกรรม (Food Innopolis) โครงการพัฒนาเกษตร เทคโนโลยีและนวัตกรรม (Inno Agri) บัญชีนวัตกรรม อาทิ นวัตกรรมด้านการแพทย์ ผลงานเยาวชน NSC และต่อกล้าให้ เติบโต มิวอาย เป็นต้น พร้อมถ่ายภาพร่วมกับคณะผู้บริหารกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จากนั้น เลขาธิการ ก.พ. ได้กล่าวแนะนําปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะเจ้าภาพการจัดประชุม โดยปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้กล่าวแนะนําคณะผู้บริหาร พร้อมรายงานภารกิจสําคัญและสรุปผลงานสําคัญของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ รวมทั้งนําเสนอประเด็นที่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีสนับสนุนและขอความร่วมมือจากส่วนราชการ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเปิดการประชุมว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ถือเป็นกระทรวงที่มีความสําคัญในการที่จะวางรากฐานแห่งอนาคตให้กับประเทศไทย จึงขอให้ทุกกระทรวงให้ความสําคัญและสนใจผลงานต่าง ๆ ของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ซึ่งได้มีการคิดค้น วิจัย พัฒนาไว้แล้วนําไปสู่การใช้งานและประโยชน์ให้ได้ภายในปีนี้ พร้อมขอบคุณการปฏิบัติงานของทุกกระทรวงตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมาที่กําลังจะครบ 3 ปีในเดือนพฤษภาคม 2560 นี้ ซึ่งต้องพยายามแก้ไขปัญหาอุปสรรคให้เกิดความยั่งยืนให้ได้โดยเร็วเพื่อเดินหน้าประเทศไปสู่อนาคต ขณะเดียวกันทุกคนต้องร่วมกันสร้างระบบราชการให้มีเกียรติยศและศักดิ์ศรี ให้ได้รับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นจากประชาชน ตลอดจนการทํางานต้องให้ทันกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลง และทํางานขับเคลื่อนประเทศร่วมกับภาคเอกชนในรูปแบบประชารัฐ ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการทํางานของหน่วยงานรัฐ รวมทั้งขอให้ทุกคนร่วมกันทําความดีและเป็นข้าราชการที่ดีของแผ่นดิน ช่วยกันกํากับดูแล ริเริ่มกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อตนเองและประเทศชาติ ตลอดจนใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างคุ้มค่าเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศอย่างแท้จริง
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมฯ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่าครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นการหารือที่เน้นในเรื่องการปรับรูปแบบการทํางานให้รวดเร็วและกระชับมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประชาชน รวมไปถึงเรื่องของการใช้จ่ายงบประมาณปี 2561 ที่กําลังจะนําเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติในระยะเวลาอันใกล้นี้ โดยเน้นในส่วนของแผนงานโครงการที่จะใช้จ่ายงบฯ ที่จะมีผลสัมฤทธิ์ภายใน 1 ปีเป็นหลัก เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนทุกกลุ่มในพื้นที่ได้เร็ว อันเป็นการนําไปสู่การแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนสอดคล้องและตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ขณะเดียวกันในการส่วนของการใช้จ่ายงบฯ เรื่องของแผนงานระยะยาวต้องมีการวางแผนงานให้ชัดเจน และจัดลําดับความสําคัญตามความเร่งด่วนของงาน ตลอดจนเน้นย้ําให้มีการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างคุ้มค่า ประหยัด โปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ ขณะที่เรื่องของการปรับรูปแบบการทํางานซึ่งตรงกับยุทธศาสตร์ชาติข้อที่ 6 การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ รวมถึงยุทธศาสตร์ฯ ในเรื่องของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นั้น นายกรัฐมนตรี ได้เร่งรัดให้หน่วยงานภาครัฐเร่งดําเนินการให้เกิดผลให้ได้โดยเร็ว
สําหรับแผนดําเนินงานของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ในอนาคตมีประเด็นสําคัญที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการวางอนาคตให้กับประเทศไทยในการเตรียมความพร้อมรองรับการปรับเปลี่ยนเรื่องรายได้ของประเทศ เพื่อให้สามารถเข้าไปดูแลประชาชนทุกคนกลุ่ม โดยเฉพาะประชาชนผู้มีรายได้น้อย ซึ่งปัจจุบันมีจํานวนประมาณ 10 ล้านคน รวมถึงกลุ่มประชาชนเกษตรกร จํานวนประมาณ 6 ล้านครอบครัว ให้สามารถมีรายได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยรัฐบาลได้พยายามที่จะดําเนินการให้ครอบคลุมในทุกมิติ และยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ทั้งนี้ สิ่งสําคัญที่จะมีการพัฒนาประเทศหรือดูแลประชาชนได้มากที่สุด คือหลักการของความมั่นคง ทั้งในเรื่องของการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน การสร้างความมีเสถียรภาพทางการเมืองและความมั่นคง ซึ่งจะสามารถนําไปสู่การสร้างความมั่นคงในด้านอื่น ๆ ต่อไป และแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้อย่างแท้จริง ตลอดจนการเดินหน้าเรื่องการเมืองก็เป็นไปตามแผนหรือ Road Map ที่ได้กําหนดไว้
----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 3/2560
วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน 2560
นายกรัฐมนตรีประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 3/2560
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงฯ ครั้งที่ 3/60 ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ มอบนโยบายการทํางานต้องให้ทันกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลง ขับเคลื่อนประเทศร่วมกับภาคเอกชนในรูปแบบประชารัฐ ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการทํางาน
วันนี้ (27 เม.ย.60) เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถนนพระราม 6 กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 3/2560 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมรับทราบผลการดําเนินงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และรายละเอียดโครงการต่าง ๆ ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้วิจัย พัฒนาและผลักดันโดยการนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน เพื่อก้าวไปสู่ Thailand 4.0 ตลอดจนแผนดําเนินงานของกระทรวงในอนาคต โดยมี นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นางเมธินี เทพมณี เลขาธิการ ก.พ. นายสรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้การต้อนรับ
ทั้งนี้ ก่อนการประชุมฯ นายกรัฐมนตรี ได้สักการะพระบรมรูปรัชกาลที่ 4 รวมทั้ง เยี่ยมชมนิทรรศการของหน่วยงานภายใต้สังกัดของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ที่ต้องการขับเคลื่อนในปี 2560 - 2561 ได้แก่ โครงการระบบดาวเทียมสํารวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) โครงการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECI) โครงการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมเกิดใหม่ที่มีการเติบโตสูง (Startup) เมืองนวัตกรรม (Food Innopolis) โครงการพัฒนาเกษตร เทคโนโลยีและนวัตกรรม (Inno Agri) บัญชีนวัตกรรม อาทิ นวัตกรรมด้านการแพทย์ ผลงานเยาวชน NSC และต่อกล้าให้ เติบโต มิวอาย เป็นต้น พร้อมถ่ายภาพร่วมกับคณะผู้บริหารกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จากนั้น เลขาธิการ ก.พ. ได้กล่าวแนะนําปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะเจ้าภาพการจัดประชุม โดยปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้กล่าวแนะนําคณะผู้บริหาร พร้อมรายงานภารกิจสําคัญและสรุปผลงานสําคัญของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ รวมทั้งนําเสนอประเด็นที่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีสนับสนุนและขอความร่วมมือจากส่วนราชการ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเปิดการประชุมว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ถือเป็นกระทรวงที่มีความสําคัญในการที่จะวางรากฐานแห่งอนาคตให้กับประเทศไทย จึงขอให้ทุกกระทรวงให้ความสําคัญและสนใจผลงานต่าง ๆ ของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ซึ่งได้มีการคิดค้น วิจัย พัฒนาไว้แล้วนําไปสู่การใช้งานและประโยชน์ให้ได้ภายในปีนี้ พร้อมขอบคุณการปฏิบัติงานของทุกกระทรวงตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมาที่กําลังจะครบ 3 ปีในเดือนพฤษภาคม 2560 นี้ ซึ่งต้องพยายามแก้ไขปัญหาอุปสรรคให้เกิดความยั่งยืนให้ได้โดยเร็วเพื่อเดินหน้าประเทศไปสู่อนาคต ขณะเดียวกันทุกคนต้องร่วมกันสร้างระบบราชการให้มีเกียรติยศและศักดิ์ศรี ให้ได้รับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นจากประชาชน ตลอดจนการทํางานต้องให้ทันกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลง และทํางานขับเคลื่อนประเทศร่วมกับภาคเอกชนในรูปแบบประชารัฐ ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการทํางานของหน่วยงานรัฐ รวมทั้งขอให้ทุกคนร่วมกันทําความดีและเป็นข้าราชการที่ดีของแผ่นดิน ช่วยกันกํากับดูแล ริเริ่มกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อตนเองและประเทศชาติ ตลอดจนใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างคุ้มค่าเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศอย่างแท้จริง
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมฯ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่าครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นการหารือที่เน้นในเรื่องการปรับรูปแบบการทํางานให้รวดเร็วและกระชับมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประชาชน รวมไปถึงเรื่องของการใช้จ่ายงบประมาณปี 2561 ที่กําลังจะนําเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติในระยะเวลาอันใกล้นี้ โดยเน้นในส่วนของแผนงานโครงการที่จะใช้จ่ายงบฯ ที่จะมีผลสัมฤทธิ์ภายใน 1 ปีเป็นหลัก เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนทุกกลุ่มในพื้นที่ได้เร็ว อันเป็นการนําไปสู่การแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนสอดคล้องและตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ขณะเดียวกันในการส่วนของการใช้จ่ายงบฯ เรื่องของแผนงานระยะยาวต้องมีการวางแผนงานให้ชัดเจน และจัดลําดับความสําคัญตามความเร่งด่วนของงาน ตลอดจนเน้นย้ําให้มีการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างคุ้มค่า ประหยัด โปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ ขณะที่เรื่องของการปรับรูปแบบการทํางานซึ่งตรงกับยุทธศาสตร์ชาติข้อที่ 6 การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ รวมถึงยุทธศาสตร์ฯ ในเรื่องของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นั้น นายกรัฐมนตรี ได้เร่งรัดให้หน่วยงานภาครัฐเร่งดําเนินการให้เกิดผลให้ได้โดยเร็ว
สําหรับแผนดําเนินงานของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ในอนาคตมีประเด็นสําคัญที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการวางอนาคตให้กับประเทศไทยในการเตรียมความพร้อมรองรับการปรับเปลี่ยนเรื่องรายได้ของประเทศ เพื่อให้สามารถเข้าไปดูแลประชาชนทุกคนกลุ่ม โดยเฉพาะประชาชนผู้มีรายได้น้อย ซึ่งปัจจุบันมีจํานวนประมาณ 10 ล้านคน รวมถึงกลุ่มประชาชนเกษตรกร จํานวนประมาณ 6 ล้านครอบครัว ให้สามารถมีรายได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยรัฐบาลได้พยายามที่จะดําเนินการให้ครอบคลุมในทุกมิติ และยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ทั้งนี้ สิ่งสําคัญที่จะมีการพัฒนาประเทศหรือดูแลประชาชนได้มากที่สุด คือหลักการของความมั่นคง ทั้งในเรื่องของการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน การสร้างความมีเสถียรภาพทางการเมืองและความมั่นคง ซึ่งจะสามารถนําไปสู่การสร้างความมั่นคงในด้านอื่น ๆ ต่อไป และแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้อย่างแท้จริง ตลอดจนการเดินหน้าเรื่องการเมืองก็เป็นไปตามแผนหรือ Road Map ที่ได้กําหนดไว้
----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3337
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องคมนตรี ส่งมอบ “เรือนสุขใจ” โครงการเฉลิมราชย์ราชา
|
วันอังคารที่ 10 ธันวาคม 2562
องคมนตรี ส่งมอบ “เรือนสุขใจ” โครงการเฉลิมราชย์ราชา
องคมนตรีเป็นประธาน การส่งมอบพื้นที่พักคอย “เรือนสุขใจ” โครงการเฉลิมราชย์ราชา จิตอาสาพัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทั่วไทย
วันนี้ (10 ธันวาคม 2562) ที่ จังหวัดอุดรธานี ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช พร้อมด้วย พลเรือเอกพงษ์เทพ หนูเทพ องคมนตรี ในฐานะกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส ประธานกรรมการมูลนิธิเอสซีจี นายแพทย์พิศิษฐ์ ศรีประเสริฐ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร ส่งมอบพื้นที่พักคอย“เรือนสุขใจ” สําหรับญาติและผู้ป่วย แก่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชนําร่อง 4 แห่ง
นายแพทย์พิศิษฐ์ ศรีประเสริฐ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช กลุ่มวิจัยสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างเพื่อสุขภาวะ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างเอสซีจี และเครือข่ายจิตอาสาทั่วประเทศ จัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทั่วไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติ และประโยชน์สุขให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ปรับปรุงพื้นที่ให้บริการภายในโรงพยาบาล โดยเก็บข้อมูลจากบุคลากรและผู้รับบริการ ถึงความต้องการในการปรับปรุงโรงพยาบาล ออกแบบคล้ายกับชานหรือระเบียงยื่นออกมา จนได้รูปแบบพื้นที่พักคอยชื่อว่า “เรือนสุขใจ” เริ่มก่อสร้างโดยนําเทคโนโลยี Building Information Modeling หรือ BIM มาใช้ในการก่อสร้าง เพื่อลดการสูญเสีย ลดเวลา และลดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง กําหนดแล้วเสร็จปี 2562 และส่งมอบในวันนี้ 4 แห่งได้แก่ รพร.กระนวน จ.ขอนแก่น รพร.นครไทย จ.พิษณุโลก รพร.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี และรพร.บ้านดุง จ.อุดรธานี จะขยายให้ครบทั้ง 21 แห่งทั่วประเทศ ในปี 2563 งบประมาณ 52 ล้านบาท
ทั้งนี้ พื้นที่ “เรือนสุขใจ” นอกจากเป็นพื้นที่พักคอยสําหรับญาติ หรือผู้ป่วย แล้วยังเป็นพื้นที่เอนกประสงค์สําหรับการให้ความรู้ผู้ป่วยญาติ และกิจกรรมจิตอาสาอื่น ๆ ด้วย เพื่ออํานวยความสะดวกให้ญาติผู้ป่วยที่มารอเป็นเวลานานมีที่พักคอยหรือทํากิจกรรมอื่น ๆ ได้
********************** 10 ธันวาคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องคมนตรี ส่งมอบ “เรือนสุขใจ” โครงการเฉลิมราชย์ราชา
วันอังคารที่ 10 ธันวาคม 2562
องคมนตรี ส่งมอบ “เรือนสุขใจ” โครงการเฉลิมราชย์ราชา
องคมนตรีเป็นประธาน การส่งมอบพื้นที่พักคอย “เรือนสุขใจ” โครงการเฉลิมราชย์ราชา จิตอาสาพัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทั่วไทย
วันนี้ (10 ธันวาคม 2562) ที่ จังหวัดอุดรธานี ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช พร้อมด้วย พลเรือเอกพงษ์เทพ หนูเทพ องคมนตรี ในฐานะกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส ประธานกรรมการมูลนิธิเอสซีจี นายแพทย์พิศิษฐ์ ศรีประเสริฐ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร ส่งมอบพื้นที่พักคอย“เรือนสุขใจ” สําหรับญาติและผู้ป่วย แก่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชนําร่อง 4 แห่ง
นายแพทย์พิศิษฐ์ ศรีประเสริฐ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช กลุ่มวิจัยสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างเพื่อสุขภาวะ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างเอสซีจี และเครือข่ายจิตอาสาทั่วประเทศ จัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทั่วไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติ และประโยชน์สุขให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ปรับปรุงพื้นที่ให้บริการภายในโรงพยาบาล โดยเก็บข้อมูลจากบุคลากรและผู้รับบริการ ถึงความต้องการในการปรับปรุงโรงพยาบาล ออกแบบคล้ายกับชานหรือระเบียงยื่นออกมา จนได้รูปแบบพื้นที่พักคอยชื่อว่า “เรือนสุขใจ” เริ่มก่อสร้างโดยนําเทคโนโลยี Building Information Modeling หรือ BIM มาใช้ในการก่อสร้าง เพื่อลดการสูญเสีย ลดเวลา และลดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง กําหนดแล้วเสร็จปี 2562 และส่งมอบในวันนี้ 4 แห่งได้แก่ รพร.กระนวน จ.ขอนแก่น รพร.นครไทย จ.พิษณุโลก รพร.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี และรพร.บ้านดุง จ.อุดรธานี จะขยายให้ครบทั้ง 21 แห่งทั่วประเทศ ในปี 2563 งบประมาณ 52 ล้านบาท
ทั้งนี้ พื้นที่ “เรือนสุขใจ” นอกจากเป็นพื้นที่พักคอยสําหรับญาติ หรือผู้ป่วย แล้วยังเป็นพื้นที่เอนกประสงค์สําหรับการให้ความรู้ผู้ป่วยญาติ และกิจกรรมจิตอาสาอื่น ๆ ด้วย เพื่ออํานวยความสะดวกให้ญาติผู้ป่วยที่มารอเป็นเวลานานมีที่พักคอยหรือทํากิจกรรมอื่น ๆ ได้
********************** 10 ธันวาคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25130
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กลุ่มอากาศยานฝรั่งเศสสนใจลงทุนไทย บีโอไอเล็งดึงลงทุนในเขตเมืองการบินภาคตะวันออก
|
วันพุธที่ 26 กันยายน 2561
กลุ่มอากาศยานฝรั่งเศสสนใจลงทุนไทย บีโอไอเล็งดึงลงทุนในเขตเมืองการบินภาคตะวันออก
นักธุรกิจกลุ่มอากาศยานฝรั่งเศสเยือนไทย รับฟังนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมการบินและอากาศยาน บีโอไอเน้นชวนลงทุนในเมืองการบินภาคตะวันออก (EECa ) พร้อมย้ํารัฐบาลมุ่งส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส ซึ่งนําคณะนักธุรกิจรายใหญ่ด้านอุตสาหกรรมอากาศยานจากประเทศฝรั่งเศส เดินทางมาเยือนประเทศไทย อาทิ ผู้ผลิตชิ้นส่วนอากาศยานที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และกิจการศูนย์ซ่อมอากาศยานและการบํารุงรักษา เป็นต้น ว่า นักธุรกิจฝรั่งเศสแสดงความสนใจการลงทุนในไทย โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) โดยบีโอไอได้ชี้แจงรายละเอียดของนโยบายส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมอากาศยาน ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ไทยส่งเสริม เพื่อมุ่งไปสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการบินและอากาศยานของภูมิภาค รวมถึงความพร้อมของประเทศไทยภายใต้การดําเนินงานของรัฐบาลเพื่อรองรับการลงทุน โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
นอกจากสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนแล้วยังมีปัจจัยสนับสนุนอีกหลายประการ เช่น ทิศทางของอุตสาหกรรมการบินและอากาศยาน ที่มีความสําคัญมากขึ้นเรื่อยๆ จากการขยายตัวของจํานวนเที่ยวบิน การขนส่งสินค้า และจํานวนผู้โดยสาร ตลอดจนจํานวนนักท่องเที่ยวในไทยที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเพิ่มความต้องการใช้ชิ้นส่วนอากาศยาน และธุรกิจด้าน MRO (Maintenance, repair and Overhaul) หรือศูนย์ซ่อมอากาศยานและการบํารุงรักษามากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันประเทศไทยโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สถาบันยานยนต์ ยังได้เริ่มดําเนินการพัฒนาผู้ประกอบการไทยที่มีความพร้อมและมีศักยภาพสูงในการก้าวเข้ามาเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอากาศยานเพื่อรองรับตลาดและการเติบโตของอุตสาหกรรมในอนาคต ซึ่งปัจจุบันมีผู้ผลิตไทยที่พัฒนาศักยภาพจนสามารถเดินหน้าไปสู่การผลิตชิ้นส่วนอากาศยานรองรับความต้องการของตลาดได้แล้ว
“นักธุรกิจฝรั่งเศสสอบถามถึงความชัดเจนทั้งด้านการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมถึงกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมอากาศยานซึ่ง บีโอไอได้ย้ําให้นักธุรกิจมั่นใจว่ารัฐบาลและบีโอไอให้ความสําคัญกับอุตสาหกรรมนี้ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ โดยมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเทคโนโลยีและสภาวะการแข่งขันทางธุรกิจ การผลักดันความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเพื่อพัฒนาบุคคลากร รวมถึงยังให้ความสําคัญกับการปรับปรุงการอํานวยความสะดวกในการดําเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น สมาร์ทวีซ่า ซึ่งจะทําให้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ เข้ามาทํางานในไทยได้สะดวกขึ้น” นางสาวดวงใจกล่าว
สําหรับ ประเทศฝรั่งเศสถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเทคโนโลยี และความเชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมอากาศยาน เป็นที่ตั้งสํานักงานใหญ่ของบริษัทแอร์บัส (Airbus) รวมถึงมีการผลิตและจําหน่ายเครื่องบินให้กับรัฐบาลและสายการบินทั่วโลก นอกจากนี้ฝรั่งเศสยังมีบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก อีกจํานวนมากที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมอากาศยานที่ทําให้ฝรั่งเศสมีสิ่งแวดล้อม (EcoSystem) ที่เอื้อต่อ การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ด้านอากาศยานมาโดยตลอด การเดินทางมาเยือนประเทศไทยครั้งนี้ของคณะนักธุรกิจรายใหญ่ด้านอากาศยานของประเทศฝรั่งเศส จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่ไทยจะแสดงศักยภาพของอุตสาหกรรม และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักธุรกิจฝรั่งเศสใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนต่อไป
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กลุ่มอากาศยานฝรั่งเศสสนใจลงทุนไทย บีโอไอเล็งดึงลงทุนในเขตเมืองการบินภาคตะวันออก
วันพุธที่ 26 กันยายน 2561
กลุ่มอากาศยานฝรั่งเศสสนใจลงทุนไทย บีโอไอเล็งดึงลงทุนในเขตเมืองการบินภาคตะวันออก
นักธุรกิจกลุ่มอากาศยานฝรั่งเศสเยือนไทย รับฟังนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมการบินและอากาศยาน บีโอไอเน้นชวนลงทุนในเมืองการบินภาคตะวันออก (EECa ) พร้อมย้ํารัฐบาลมุ่งส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส ซึ่งนําคณะนักธุรกิจรายใหญ่ด้านอุตสาหกรรมอากาศยานจากประเทศฝรั่งเศส เดินทางมาเยือนประเทศไทย อาทิ ผู้ผลิตชิ้นส่วนอากาศยานที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และกิจการศูนย์ซ่อมอากาศยานและการบํารุงรักษา เป็นต้น ว่า นักธุรกิจฝรั่งเศสแสดงความสนใจการลงทุนในไทย โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) โดยบีโอไอได้ชี้แจงรายละเอียดของนโยบายส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมอากาศยาน ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ไทยส่งเสริม เพื่อมุ่งไปสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการบินและอากาศยานของภูมิภาค รวมถึงความพร้อมของประเทศไทยภายใต้การดําเนินงานของรัฐบาลเพื่อรองรับการลงทุน โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
นอกจากสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนแล้วยังมีปัจจัยสนับสนุนอีกหลายประการ เช่น ทิศทางของอุตสาหกรรมการบินและอากาศยาน ที่มีความสําคัญมากขึ้นเรื่อยๆ จากการขยายตัวของจํานวนเที่ยวบิน การขนส่งสินค้า และจํานวนผู้โดยสาร ตลอดจนจํานวนนักท่องเที่ยวในไทยที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเพิ่มความต้องการใช้ชิ้นส่วนอากาศยาน และธุรกิจด้าน MRO (Maintenance, repair and Overhaul) หรือศูนย์ซ่อมอากาศยานและการบํารุงรักษามากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันประเทศไทยโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สถาบันยานยนต์ ยังได้เริ่มดําเนินการพัฒนาผู้ประกอบการไทยที่มีความพร้อมและมีศักยภาพสูงในการก้าวเข้ามาเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอากาศยานเพื่อรองรับตลาดและการเติบโตของอุตสาหกรรมในอนาคต ซึ่งปัจจุบันมีผู้ผลิตไทยที่พัฒนาศักยภาพจนสามารถเดินหน้าไปสู่การผลิตชิ้นส่วนอากาศยานรองรับความต้องการของตลาดได้แล้ว
“นักธุรกิจฝรั่งเศสสอบถามถึงความชัดเจนทั้งด้านการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมถึงกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมอากาศยานซึ่ง บีโอไอได้ย้ําให้นักธุรกิจมั่นใจว่ารัฐบาลและบีโอไอให้ความสําคัญกับอุตสาหกรรมนี้ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ โดยมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเทคโนโลยีและสภาวะการแข่งขันทางธุรกิจ การผลักดันความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเพื่อพัฒนาบุคคลากร รวมถึงยังให้ความสําคัญกับการปรับปรุงการอํานวยความสะดวกในการดําเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น สมาร์ทวีซ่า ซึ่งจะทําให้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ เข้ามาทํางานในไทยได้สะดวกขึ้น” นางสาวดวงใจกล่าว
สําหรับ ประเทศฝรั่งเศสถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเทคโนโลยี และความเชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมอากาศยาน เป็นที่ตั้งสํานักงานใหญ่ของบริษัทแอร์บัส (Airbus) รวมถึงมีการผลิตและจําหน่ายเครื่องบินให้กับรัฐบาลและสายการบินทั่วโลก นอกจากนี้ฝรั่งเศสยังมีบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก อีกจํานวนมากที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมอากาศยานที่ทําให้ฝรั่งเศสมีสิ่งแวดล้อม (EcoSystem) ที่เอื้อต่อ การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ด้านอากาศยานมาโดยตลอด การเดินทางมาเยือนประเทศไทยครั้งนี้ของคณะนักธุรกิจรายใหญ่ด้านอากาศยานของประเทศฝรั่งเศส จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่ไทยจะแสดงศักยภาพของอุตสาหกรรม และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักธุรกิจฝรั่งเศสใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนต่อไป
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15662
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สั่งหน่วยงานวิเคราะห์ข้อมูลน้ำท่วม- น้ำแล้ง เพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นส่วนการแก้ไขปัญหาหมอกควันให้ดำเนินการตามมาตรการอย่างเข้มงวดต่อไป
|
วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563
นายกฯ สั่งหน่วยงานวิเคราะห์ข้อมูลน้ําท่วม- น้ําแล้ง เพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นส่วนการแก้ไขปัญหาหมอกควันให้ดําเนินการตามมาตรการอย่างเข้มงวดต่อไป
นายกรัฐมนตรี สั่งหน่วยงานวิเคราะห์ข้อมูลน้ําท่วม- น้ําแล้ง เพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นส่วนการแก้ไขปัญหาหมอกควันให้ดําเนินการตามมาตรการอย่างเข้มงวดต่อไป
ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมห่วงสถานการณ์น้ําที่จะเกิดขึ้น โดยให้หน่วยงานภายใต้กองอํานวยการน้ําแห่งชาติ (กอนช.) เร่งเชื่อมโยงข้อมูลจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประเมินพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ําในฤดูฝน และเสี่ยงอุทกภัย โดยให้วิเคราะห์จากข้อมูลพื้นที่แก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งอย่างเป็นระบบ ของ สทนช. พร้อมสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้วางแผนเตรียมมาตรการป้องกัน เสนอ กอนช. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ กําหนดมาตรการรองรับสถานการณ์ในฤดูฝนนี้
ส่วนสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ นายกรัฐมนตรีรับทราบรายงาน สถานการณ์ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 ลดลงจากวันก่อนหน้าทุกสถานี มีค่าอยู่ในเกณฑ์มาตฐานเกือบทุกพื้นที่ คุณภาพอากาศในภาพรวมส่วนใหญ่อยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ใน 17 จังหวัดภาคเหนือ ช่วงเวลา 09.00 น. มีค่าระหว่าง 10 - 42 มคก./ลบ.ม. โดยมีค่าสูงสุดที่ จ.แม่ฮ่องสอน 42 มคก./ลบ.ม.
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จากรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยา ภาคเหนือยังคงได้รับอิทธิพลจากพายุฤดูร้อน และส่งผลให้ฝนตกต่อเนื่องไปถึงช่วงสัปดาห์หน้า สําหรับการดําเนินงานแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือ ยังคงต้องใช้มาตรการอย่างเข้มงวด ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมดําเนินการตามมาตรการหากเกิดปัญหาหมอกควัน
.......................
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สั่งหน่วยงานวิเคราะห์ข้อมูลน้ำท่วม- น้ำแล้ง เพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นส่วนการแก้ไขปัญหาหมอกควันให้ดำเนินการตามมาตรการอย่างเข้มงวดต่อไป
วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563
นายกฯ สั่งหน่วยงานวิเคราะห์ข้อมูลน้ําท่วม- น้ําแล้ง เพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นส่วนการแก้ไขปัญหาหมอกควันให้ดําเนินการตามมาตรการอย่างเข้มงวดต่อไป
นายกรัฐมนตรี สั่งหน่วยงานวิเคราะห์ข้อมูลน้ําท่วม- น้ําแล้ง เพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นส่วนการแก้ไขปัญหาหมอกควันให้ดําเนินการตามมาตรการอย่างเข้มงวดต่อไป
ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมห่วงสถานการณ์น้ําที่จะเกิดขึ้น โดยให้หน่วยงานภายใต้กองอํานวยการน้ําแห่งชาติ (กอนช.) เร่งเชื่อมโยงข้อมูลจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประเมินพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ําในฤดูฝน และเสี่ยงอุทกภัย โดยให้วิเคราะห์จากข้อมูลพื้นที่แก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งอย่างเป็นระบบ ของ สทนช. พร้อมสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้วางแผนเตรียมมาตรการป้องกัน เสนอ กอนช. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ กําหนดมาตรการรองรับสถานการณ์ในฤดูฝนนี้
ส่วนสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ นายกรัฐมนตรีรับทราบรายงาน สถานการณ์ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 ลดลงจากวันก่อนหน้าทุกสถานี มีค่าอยู่ในเกณฑ์มาตฐานเกือบทุกพื้นที่ คุณภาพอากาศในภาพรวมส่วนใหญ่อยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ใน 17 จังหวัดภาคเหนือ ช่วงเวลา 09.00 น. มีค่าระหว่าง 10 - 42 มคก./ลบ.ม. โดยมีค่าสูงสุดที่ จ.แม่ฮ่องสอน 42 มคก./ลบ.ม.
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จากรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยา ภาคเหนือยังคงได้รับอิทธิพลจากพายุฤดูร้อน และส่งผลให้ฝนตกต่อเนื่องไปถึงช่วงสัปดาห์หน้า สําหรับการดําเนินงานแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือ ยังคงต้องใช้มาตรการอย่างเข้มงวด ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมดําเนินการตามมาตรการหากเกิดปัญหาหมอกควัน
.......................
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29804
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- เปิดค่ายบูรณาการส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษ TSA Youth Camp
|
วันพุธที่ 26 เมษายน 2560
เปิดค่ายบูรณาการส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษ TSA Youth Camp
หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิดค่ายบูรณาการกิจกรรมส่งเสริมศักยภาพผู้มีความสามารถพิเศษ ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านกีฬา ด้านดนตรีและศิลปะ (Talented Science, Sport, Music and Art Youth Camp)
สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ร่วมกับมหาวิทยาศรีนครินทรวิโรฒ จัดโครงการค่ายบูรณาการกิจกรรมส่งเสริมศักยภาพผู้มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ ด้านกีฬา ด้านดนตรีและศิลปะ (TSA Youth Camp) นับเป็นขับเคลื่อนนโยบายพัฒนาการศึกษาสําหรับผู้ที่มีความสามารถพิเศษ ตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560 – 2574 เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาความเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานทางการศึกษาและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง สนับสนุน ส่งเสริม และพัฒนาอัจฉริยภาพของผู้มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ ด้านกีฬา ด้านดนตรีและศิลปะ ด้วยวิธีจัดการและรูปแบบที่หลากหลายตามความถนัดและความสนใจของแต่ละบุคคล ตลอดจนหลอมรวมคุณลักษณะที่พึงประสงค์ในด้านความเป็นผู้นํา มีความเสียสละ ตระหนักรู้และรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อพัฒนาให้เป็นกําลังสําคัญในการนําพาประเทศไปสู้ความก้าวหน้า
TSA Youth Campจัดขึ้นเป็นรุ่นแรก โดยคัดเลือกเรียนผู้มีความสามารถสูงหรือมีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ ด้านกีฬา ด้านดนตรีและศิลปะ ที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ จํานวน 60 คน มาร่วมกิจกรรมTSA Youth Campระหว่างวันที่ 26 เมษายน – 10 พฤษภาคม 2560 รวม 15 วัน ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ แบ่งกิจกรรมเป็น 2 รูปแบบ คือ 1) บรรยาย อภิปราย เสวนา และทํากิจกรรมกระตุ้น ส่งเสริมการเรียนรู้พัฒนาด้านวิชาการ ทักษะการเป็นผู้นํา การทํางานเป็นทีม ปรับทัศนคติและสร้างเสริมคุณลักษณะนิสัย เสียสละ ตระหนักรู้และรับผิดชอบต่อสังคม โดยวิทยากรชื่อดังหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ นักธุรกิจ นักดนตรี เป็นต้น 2) ฝึกประสบการณ์จริงแบบฝังตัวเพื่อเรียนรู้กับผู้เชี่ยวชาญหรือสิลปินต้นแบบ ในด้านวิทยาศาสตร์ กีฬา และศิลปะ รวมถึงศึกษาดูงานจริงนอกสถานที่ ทั้งนี้จะมีการประเมินผลทุกกิจกรรมเพื่อนําไปพัฒนาในรุ่นต่อไป
หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวให้โอวาทกับเยาวชนที่เข้าร่วมTSA Youth Campว่า ผู้ที่มีความสามารถพิเศษ จะเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศชาติ อย่างไรก็ตามความสามารถพิเศษในตัวเด็กนั้น สามารถสร้างขึ้นได้โดยผู้ปกครอง ครูอาจารย์ทํางานร่วมกัน ทั้งนี้เด็กที่เก่ง มีพรสวรรค์ มีความสามารถไม่ว่าทางใด จําเป็นต้องทํางานร่วมกับผู้อื่นเป็น อ่อนน้อมถ่อมตน รู้ผิดชอบชั่วดี มีน้ําใจ มีคุณธรรมนําใจ เพราะหากเป็นคนเก่งแต่ขาดสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ก็จะเป็นความเก่งโดยเปล่าประโยชน์
นอกจากนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ยังได้ฝากพรอันประเสริฐซึ่งเป็นคําสอนจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ให้ทุกคนยึดถือดํารงไว้ ได้แก่ ความพอเพียง ความกตัญญู กตเวทิตา ความซื่อสัตย์สุจริต ความรับผิดชอบ และอุดมการณ์คุณธรรมจริยธรรม ตลอดจนขอให้เยาวชนทุกคนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ความรู้ ความสนุกสนานจากค่ายนี้ เพื่อนําไปใช้ในชีวิตต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- เปิดค่ายบูรณาการส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษ TSA Youth Camp
วันพุธที่ 26 เมษายน 2560
เปิดค่ายบูรณาการส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษ TSA Youth Camp
หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิดค่ายบูรณาการกิจกรรมส่งเสริมศักยภาพผู้มีความสามารถพิเศษ ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านกีฬา ด้านดนตรีและศิลปะ (Talented Science, Sport, Music and Art Youth Camp)
สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ร่วมกับมหาวิทยาศรีนครินทรวิโรฒ จัดโครงการค่ายบูรณาการกิจกรรมส่งเสริมศักยภาพผู้มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ ด้านกีฬา ด้านดนตรีและศิลปะ (TSA Youth Camp) นับเป็นขับเคลื่อนนโยบายพัฒนาการศึกษาสําหรับผู้ที่มีความสามารถพิเศษ ตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560 – 2574 เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาความเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานทางการศึกษาและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง สนับสนุน ส่งเสริม และพัฒนาอัจฉริยภาพของผู้มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ ด้านกีฬา ด้านดนตรีและศิลปะ ด้วยวิธีจัดการและรูปแบบที่หลากหลายตามความถนัดและความสนใจของแต่ละบุคคล ตลอดจนหลอมรวมคุณลักษณะที่พึงประสงค์ในด้านความเป็นผู้นํา มีความเสียสละ ตระหนักรู้และรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อพัฒนาให้เป็นกําลังสําคัญในการนําพาประเทศไปสู้ความก้าวหน้า
TSA Youth Campจัดขึ้นเป็นรุ่นแรก โดยคัดเลือกเรียนผู้มีความสามารถสูงหรือมีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ ด้านกีฬา ด้านดนตรีและศิลปะ ที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ จํานวน 60 คน มาร่วมกิจกรรมTSA Youth Campระหว่างวันที่ 26 เมษายน – 10 พฤษภาคม 2560 รวม 15 วัน ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ แบ่งกิจกรรมเป็น 2 รูปแบบ คือ 1) บรรยาย อภิปราย เสวนา และทํากิจกรรมกระตุ้น ส่งเสริมการเรียนรู้พัฒนาด้านวิชาการ ทักษะการเป็นผู้นํา การทํางานเป็นทีม ปรับทัศนคติและสร้างเสริมคุณลักษณะนิสัย เสียสละ ตระหนักรู้และรับผิดชอบต่อสังคม โดยวิทยากรชื่อดังหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ นักธุรกิจ นักดนตรี เป็นต้น 2) ฝึกประสบการณ์จริงแบบฝังตัวเพื่อเรียนรู้กับผู้เชี่ยวชาญหรือสิลปินต้นแบบ ในด้านวิทยาศาสตร์ กีฬา และศิลปะ รวมถึงศึกษาดูงานจริงนอกสถานที่ ทั้งนี้จะมีการประเมินผลทุกกิจกรรมเพื่อนําไปพัฒนาในรุ่นต่อไป
หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวให้โอวาทกับเยาวชนที่เข้าร่วมTSA Youth Campว่า ผู้ที่มีความสามารถพิเศษ จะเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศชาติ อย่างไรก็ตามความสามารถพิเศษในตัวเด็กนั้น สามารถสร้างขึ้นได้โดยผู้ปกครอง ครูอาจารย์ทํางานร่วมกัน ทั้งนี้เด็กที่เก่ง มีพรสวรรค์ มีความสามารถไม่ว่าทางใด จําเป็นต้องทํางานร่วมกับผู้อื่นเป็น อ่อนน้อมถ่อมตน รู้ผิดชอบชั่วดี มีน้ําใจ มีคุณธรรมนําใจ เพราะหากเป็นคนเก่งแต่ขาดสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ก็จะเป็นความเก่งโดยเปล่าประโยชน์
นอกจากนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ยังได้ฝากพรอันประเสริฐซึ่งเป็นคําสอนจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ให้ทุกคนยึดถือดํารงไว้ ได้แก่ ความพอเพียง ความกตัญญู กตเวทิตา ความซื่อสัตย์สุจริต ความรับผิดชอบ และอุดมการณ์คุณธรรมจริยธรรม ตลอดจนขอให้เยาวชนทุกคนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ความรู้ ความสนุกสนานจากค่ายนี้ เพื่อนําไปใช้ในชีวิตต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3305
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์เชิญผู้ซื้อ ผู้นำเข้าข้าวและมัน ร่วมงานไทยเฟ็กซ์พร้อมจัดบิสสิเนสแมชชิ่ง กระตุ้นการซื้อข้าวและมันสำปะหลัง
|
วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2560
พาณิชย์เชิญผู้ซื้อ ผู้นําเข้าข้าวและมัน ร่วมงานไทยเฟ็กซ์พร้อมจัดบิสสิเนสแมชชิ่ง กระตุ้นการซื้อข้าวและมันสําปะหลัง
“อภิรดี” สั่งการทูตพาณิชย์เชิญผู้ซื้อ ผู้นําเข้าร่วมงานไทยเฟ็กซ์ พร้อมจัดบิสสิเนสแมชชิ่ง กระตุ้นการซื้อข้าว ผลิตภัณฑ์จากข้าว มันสําปะหลังและผลิตภัณฑ์มันแปรรูป พร้อมยืนยันมีแผนรองรับผลผลิตข้าวนาปรังที่กําลังออกสู่ตลาด
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ มอบหมายให้ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ หรือทูตพาณิชย์ เชิญผู้ซื้อ ผู้นําเข้าสินค้าที่เกี่ยวกับข้าว ผลิตภัณฑ์ที่ทําจากข้าว มันสําปะหลังและผลิตภัณฑ์มันแปรรูป ให้เดินทางมาร่วมชมงานแสดงสินค้าอาหาร 2560 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 31 พ.ค. - 4 มิ.ย. 2560 ณ อิมแพค เมืองทองธานี เพื่อผลักดันให้มีการส่งออกสินค้าอาหารได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าข้าว ผลิตภัณฑ์ที่ทําจากข้าว มันสําปะหลัง และผลิตภัณฑ์มันแปรรูป ที่จะมีการนํามาจัดแสดงในงานนี้เป็นจํานวนมาก
“ขอให้ทูตพาณิชย์ไปเชิญผู้ซื้อ ผู้นําเข้า ให้มาร่วมชมงาน เพราะงานไทยเฟ็กซ์ปีนี้ นอกจากเป็นการแสดงสินค้าอาหารและอาหารที่มีนวัตกรรมของไทยหลากหลายแล้ว ยังมีการจัดแสดงในส่วนของอาหารที่ทําจากข้าว ที่มีการใส่นวัตกรรมเข้าไปเป็นจํานวนมาก จึงอยากให้มีการขยายตลาดในส่วนนี้ให้ได้เพิ่มขึ้น โดยขอให้มีการจัดการเจรจาจับคู่ธุรกิจในช่วงการจัดงาน เพื่อผลักดันให้มีการส่งออกเพิ่มขึ้นด้วย”
นางอภิรดีกล่าวว่า กระทรวงฯ มีแผนที่จะขยายตลาดส่งออกข้าว รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ทําจากข้าว เพื่อหาตลาดรองรับให้กับผลผลิตข้าวนาปรังที่กําลังทยอยออกสู่ตลาดในขณะนี้ โดยจะมีการเจรจาให้จีนเร่งนําเข้าข้าวตามสัญญา รัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ในส่วนที่เหลือเพิ่มขึ้น การเข้าร่วมประมูลเพื่อขายข้าวให้กับรัฐบาลฟิลิปปินส์ ที่ขณะนี้มีแนวโน้ม ที่จะนําเข้าข้าวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะข้าวคุณภาพดี การผลักดันการส่งออกข้าวไปยังตลาดในอาเซียน ตะวันออกกลาง และแอฟริกาให้ได้เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ จะมีการจัดคณะผู้แทนการค้าข้าว เดินทางไปเจรจาและหารือกับประเทศเป้าหมายเป็นรายประเทศ ซึ่งขณะนี้กรมการค้าต่างประเทศกําลังอยู่ระหว่างการจัดทําแผนงาน ซึ่งคาดว่า หลังจากสงกรานต์ไปแล้ว จะมีความชัดเจนมากขึ้น ขณะเดียวกัน ในช่วงวันที่ 28-30 พฤษภาคม 2560 กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ ได้กําหนดจัดงาน Thailand Rice Convention 2017 โดยจะมีการเชิญผู้ซื้อ ผู้นําเข้า ผู้ประกอบการค้าข้าว ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมข้าวจากทั่วโลกให้เดินทางมาร่วมงาน ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายข้าวไทยอีกทางหนึ่งด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์เชิญผู้ซื้อ ผู้นำเข้าข้าวและมัน ร่วมงานไทยเฟ็กซ์พร้อมจัดบิสสิเนสแมชชิ่ง กระตุ้นการซื้อข้าวและมันสำปะหลัง
วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2560
พาณิชย์เชิญผู้ซื้อ ผู้นําเข้าข้าวและมัน ร่วมงานไทยเฟ็กซ์พร้อมจัดบิสสิเนสแมชชิ่ง กระตุ้นการซื้อข้าวและมันสําปะหลัง
“อภิรดี” สั่งการทูตพาณิชย์เชิญผู้ซื้อ ผู้นําเข้าร่วมงานไทยเฟ็กซ์ พร้อมจัดบิสสิเนสแมชชิ่ง กระตุ้นการซื้อข้าว ผลิตภัณฑ์จากข้าว มันสําปะหลังและผลิตภัณฑ์มันแปรรูป พร้อมยืนยันมีแผนรองรับผลผลิตข้าวนาปรังที่กําลังออกสู่ตลาด
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ มอบหมายให้ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ หรือทูตพาณิชย์ เชิญผู้ซื้อ ผู้นําเข้าสินค้าที่เกี่ยวกับข้าว ผลิตภัณฑ์ที่ทําจากข้าว มันสําปะหลังและผลิตภัณฑ์มันแปรรูป ให้เดินทางมาร่วมชมงานแสดงสินค้าอาหาร 2560 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 31 พ.ค. - 4 มิ.ย. 2560 ณ อิมแพค เมืองทองธานี เพื่อผลักดันให้มีการส่งออกสินค้าอาหารได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าข้าว ผลิตภัณฑ์ที่ทําจากข้าว มันสําปะหลัง และผลิตภัณฑ์มันแปรรูป ที่จะมีการนํามาจัดแสดงในงานนี้เป็นจํานวนมาก
“ขอให้ทูตพาณิชย์ไปเชิญผู้ซื้อ ผู้นําเข้า ให้มาร่วมชมงาน เพราะงานไทยเฟ็กซ์ปีนี้ นอกจากเป็นการแสดงสินค้าอาหารและอาหารที่มีนวัตกรรมของไทยหลากหลายแล้ว ยังมีการจัดแสดงในส่วนของอาหารที่ทําจากข้าว ที่มีการใส่นวัตกรรมเข้าไปเป็นจํานวนมาก จึงอยากให้มีการขยายตลาดในส่วนนี้ให้ได้เพิ่มขึ้น โดยขอให้มีการจัดการเจรจาจับคู่ธุรกิจในช่วงการจัดงาน เพื่อผลักดันให้มีการส่งออกเพิ่มขึ้นด้วย”
นางอภิรดีกล่าวว่า กระทรวงฯ มีแผนที่จะขยายตลาดส่งออกข้าว รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ทําจากข้าว เพื่อหาตลาดรองรับให้กับผลผลิตข้าวนาปรังที่กําลังทยอยออกสู่ตลาดในขณะนี้ โดยจะมีการเจรจาให้จีนเร่งนําเข้าข้าวตามสัญญา รัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ในส่วนที่เหลือเพิ่มขึ้น การเข้าร่วมประมูลเพื่อขายข้าวให้กับรัฐบาลฟิลิปปินส์ ที่ขณะนี้มีแนวโน้ม ที่จะนําเข้าข้าวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะข้าวคุณภาพดี การผลักดันการส่งออกข้าวไปยังตลาดในอาเซียน ตะวันออกกลาง และแอฟริกาให้ได้เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ จะมีการจัดคณะผู้แทนการค้าข้าว เดินทางไปเจรจาและหารือกับประเทศเป้าหมายเป็นรายประเทศ ซึ่งขณะนี้กรมการค้าต่างประเทศกําลังอยู่ระหว่างการจัดทําแผนงาน ซึ่งคาดว่า หลังจากสงกรานต์ไปแล้ว จะมีความชัดเจนมากขึ้น ขณะเดียวกัน ในช่วงวันที่ 28-30 พฤษภาคม 2560 กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ ได้กําหนดจัดงาน Thailand Rice Convention 2017 โดยจะมีการเชิญผู้ซื้อ ผู้นําเข้า ผู้ประกอบการค้าข้าว ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมข้าวจากทั่วโลกให้เดินทางมาร่วมงาน ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายข้าวไทยอีกทางหนึ่งด้วย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2993
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ฯ ร่วมงานเลี้ยงอำลาตำแหน่ง ฯพณฯนาย ชิโร ซะโดะชิมะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย
|
วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม 2562
รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ฯ ร่วมงานเลี้ยงอําลาตําแหน่ง ฯพณฯนาย ชิโร ซะโดะชิมะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจําประเทศไทย
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมงานเลี้ยงอําลาในโอกาสพ้นจากตําแหน่งหน้าที่ ณ BAB Box @ One Bangkok ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 เวลา 18.30 น. นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้แทนของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมงานเลี้ยงอําลาในโอกาสพ้นจากตําแหน่งหน้าที่ ของ ฯพณฯ นาย ชิโร ซะโดะชิมะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจําประเทศไทย ณ BAB Box @ One Bangkok ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ฯ ร่วมงานเลี้ยงอำลาตำแหน่ง ฯพณฯนาย ชิโร ซะโดะชิมะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย
วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม 2562
รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ฯ ร่วมงานเลี้ยงอําลาตําแหน่ง ฯพณฯนาย ชิโร ซะโดะชิมะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจําประเทศไทย
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมงานเลี้ยงอําลาในโอกาสพ้นจากตําแหน่งหน้าที่ ณ BAB Box @ One Bangkok ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 เวลา 18.30 น. นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้แทนของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมงานเลี้ยงอําลาในโอกาสพ้นจากตําแหน่งหน้าที่ ของ ฯพณฯ นาย ชิโร ซะโดะชิมะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจําประเทศไทย ณ BAB Box @ One Bangkok ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25168
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ลงพื้นที่พบปะผู้ประกอบการใน จ.ขอนแก่น สานต่อเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ สู่โครงการพัฒนาห่วงโซ่เกษตรอุตสาหกรรมแปรรูปออร์แกนิค
|
วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม 2562
ก.อุตฯ ลงพื้นที่พบปะผู้ประกอบการใน จ.ขอนแก่น สานต่อเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดําริ สู่โครงการพัฒนาห่วงโซ่เกษตรอุตสาหกรรมแปรรูปออร์แกนิค
ก.อุตฯ ลงพื้นที่พบปะผู้ประกอบการใน จ.ขอนแก่น สานต่อเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดําริ สู่โครงการพัฒนาห่วงโซ่เกษตรอุตสาหกรรมแปรรูปออร์แกนิค
จ.ขอนแก่น : วันนี้ (9 มีนาคม 2562) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น พบปะผู้ประกอบการ และเยี่ยมชมบริษัท สยามเฮอร์เบิลแคร์ จํากัด (วนพรรณ การ์เด้น) ผู้แปรรูปผลผลิตทางการเกษตรเป็นอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสําอางและผลิตภัณฑ์สปา โดยมีนายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายเดชา จาตุธนานันท์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงพื้นตรวจเยี่ยม มีนายปรีชา หงอกสิมมา และนางสาวณัฐปวีย์ โชคธนาพร ผู้ก่อตั้งบริษัท สยามเฮอร์เบิลแคร์ จํากัด ให้การต้อนรับและพาเยี่ยมชมการดําเนินการ
บริษัท สยามเฮอร์เบิลแคร์ จํากัด (วนพรรณ การ์เด้น) สวนเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดําริ ทําการเกษตรแบบผสมผสาน เริ่มจากการขุดสระน้ํา และปลูกต้นไม้ เช่นยางนา สัก ประดู่ และตะเคียน โดยไม่ใช้สารเคมี มีการบริหารจัดการทรัพยากรดิน น้ํา และป่า อย่างเหมาะสม ตามแนวพระราชดําริ “ปลูกป่า 3 อย่าง ให้ประโยชน์ 4 อย่าง และได้ก่อตั้งธนาคารต้นไม้บ้านท่าลี่ มีสมาชิก 58 คน มีต้นไม้ที่ปลูกกว่า 38,000 ต้น และเป็นชุมชนแรกของประเทศไทยที่สามารถขายคาร์บอนเครดิตให้แก่ธุรกิจที่ทําลายสิ่งแวดล้อมได้
นอกจากนี้ บริษัทฯได้นําผลผลิตทางการเกษตรมาแปรรูปเป็นอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสําอางและผลิตภัณฑ์สปา ตามรูปแบบโมเดลธุรกิจโครงการหลวง ร.9 ทรงวางแนวทางให้เกษตรกรแปรรูปผลผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าและยกระดับผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพ และมาตรฐานเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคด้วยการนําพืชสมุนไพรมาผลิตเป็นเครื่องสําอางออร์แกนิค ผ่านการสกัดด้วยวิธี Biological ทําให้ได้รับคุณค่าการบํารุงอย่างเต็มที่ เช่น แชมพูอัญชันลดผมร่วง สบู่และเซรั่มข้าวหอมมะลิ โดยบริษัทฯได้เข้ารับการอบรมการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ จากกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 5 และร่วมออกงานแสดงสินค้า Thailand Industry Expo ซึ่งจัดโดยกระทรวงอุตสาหกรรม ทําให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ(วนพรรณ) เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันบริษัทฯ ได้เข้าร่วมโครงการพัฒนาห่วงโซ่เกษตรอุตสาหกรรมแปรรูปออร์แกนิค ของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อพัฒนาศักยภาพในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค การพัฒนาสินค้าและโรงงานกลาง ระบบโลจิสติกส์ออร์แกนิคที่รักษาคุณภาพด้วยความเย็น และการขยายเครือข่ายไปสู่กลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคอื่น ๆ ต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ลงพื้นที่พบปะผู้ประกอบการใน จ.ขอนแก่น สานต่อเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ สู่โครงการพัฒนาห่วงโซ่เกษตรอุตสาหกรรมแปรรูปออร์แกนิค
วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม 2562
ก.อุตฯ ลงพื้นที่พบปะผู้ประกอบการใน จ.ขอนแก่น สานต่อเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดําริ สู่โครงการพัฒนาห่วงโซ่เกษตรอุตสาหกรรมแปรรูปออร์แกนิค
ก.อุตฯ ลงพื้นที่พบปะผู้ประกอบการใน จ.ขอนแก่น สานต่อเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดําริ สู่โครงการพัฒนาห่วงโซ่เกษตรอุตสาหกรรมแปรรูปออร์แกนิค
จ.ขอนแก่น : วันนี้ (9 มีนาคม 2562) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น พบปะผู้ประกอบการ และเยี่ยมชมบริษัท สยามเฮอร์เบิลแคร์ จํากัด (วนพรรณ การ์เด้น) ผู้แปรรูปผลผลิตทางการเกษตรเป็นอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสําอางและผลิตภัณฑ์สปา โดยมีนายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายเดชา จาตุธนานันท์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงพื้นตรวจเยี่ยม มีนายปรีชา หงอกสิมมา และนางสาวณัฐปวีย์ โชคธนาพร ผู้ก่อตั้งบริษัท สยามเฮอร์เบิลแคร์ จํากัด ให้การต้อนรับและพาเยี่ยมชมการดําเนินการ
บริษัท สยามเฮอร์เบิลแคร์ จํากัด (วนพรรณ การ์เด้น) สวนเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดําริ ทําการเกษตรแบบผสมผสาน เริ่มจากการขุดสระน้ํา และปลูกต้นไม้ เช่นยางนา สัก ประดู่ และตะเคียน โดยไม่ใช้สารเคมี มีการบริหารจัดการทรัพยากรดิน น้ํา และป่า อย่างเหมาะสม ตามแนวพระราชดําริ “ปลูกป่า 3 อย่าง ให้ประโยชน์ 4 อย่าง และได้ก่อตั้งธนาคารต้นไม้บ้านท่าลี่ มีสมาชิก 58 คน มีต้นไม้ที่ปลูกกว่า 38,000 ต้น และเป็นชุมชนแรกของประเทศไทยที่สามารถขายคาร์บอนเครดิตให้แก่ธุรกิจที่ทําลายสิ่งแวดล้อมได้
นอกจากนี้ บริษัทฯได้นําผลผลิตทางการเกษตรมาแปรรูปเป็นอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสําอางและผลิตภัณฑ์สปา ตามรูปแบบโมเดลธุรกิจโครงการหลวง ร.9 ทรงวางแนวทางให้เกษตรกรแปรรูปผลผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าและยกระดับผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพ และมาตรฐานเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคด้วยการนําพืชสมุนไพรมาผลิตเป็นเครื่องสําอางออร์แกนิค ผ่านการสกัดด้วยวิธี Biological ทําให้ได้รับคุณค่าการบํารุงอย่างเต็มที่ เช่น แชมพูอัญชันลดผมร่วง สบู่และเซรั่มข้าวหอมมะลิ โดยบริษัทฯได้เข้ารับการอบรมการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ จากกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 5 และร่วมออกงานแสดงสินค้า Thailand Industry Expo ซึ่งจัดโดยกระทรวงอุตสาหกรรม ทําให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ(วนพรรณ) เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันบริษัทฯ ได้เข้าร่วมโครงการพัฒนาห่วงโซ่เกษตรอุตสาหกรรมแปรรูปออร์แกนิค ของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อพัฒนาศักยภาพในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค การพัฒนาสินค้าและโรงงานกลาง ระบบโลจิสติกส์ออร์แกนิคที่รักษาคุณภาพด้วยความเย็น และการขยายเครือข่ายไปสู่กลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคอื่น ๆ ต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19223
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ 4/61 เห็นชอบกรอบการจัดทำแผนแม่บท ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
|
วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ 4/61 เห็นชอบกรอบการจัดทําแผนแม่บท ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
นายกฯ ประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เห็นชอบกรอบการจัดทําแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ มอบหมายข้าราชการกลุ่ม ป.ย.ป.แต่ละกระทรวงเข้าร่วมจัดทําแผนแม่บทฯ โดยจะเริ่ม Kick-off 6-8 ส.ค.61 เตรียมจัดทําแผนแม่บทฯ ส.ค.-ก.ย.61 คาดจะเสนอคณะกรรมการฯ-ครม.ต.ค.-พ.ย.61
วันนี้ (16 ก.ค.61) เวลา 13.00 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ 4/2561 โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ประธานคณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ และประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศทุกคณะ เข้าร่วมการประชุม โดยที่ประชุมได้รับทราบและพิจารณาวาระที่สําคัญดังนี้
ที่ประชุมได้รับทราบผลการพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างยุทธศาสตร์ชาติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2561 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการนําขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายตามขั้นตอนของกฎหมายว่าด้วยการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบผลการดําเนินงานของหน่วยงานรัฐภายใต้ร่างยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศเบื้องต้น ซึ่ง สศช. ได้ประมวลผลผ่านระบบ eMENSCR โดยพบว่า ณ วันที่ 26 มิถุนายน 2561 หน่วยงานต่าง ๆ ประกอบด้วยกระทรวงและเทียบเท่า จํานวน 19 หน่วยงาน รัฐสภาและหน่วยงานอื่น ๆ ที่ไม่ใช่กระทรวง จํานวน 5 หน่วยงาน ได้ส่งแผนงาน/โครงการรวมทั้งสิ้น 6,456 แผนงาน/โครงการ โดยเป็นแผนงาน/โครงการที่มีความสอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ รวมทั้งสิ้น 3,211 แผนงาน/โครงการ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ภายใต้แนวคิด “สร้างไทยไปด้วยกัน” ภายใต้ 6 กลุ่มเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน ได้แก่ (1) แก้จน สร้างความเข้มแข็งจากฐานราก (2) แก้เหลื่อมล้ํา รายได้ โอกาส อํานาจ สิทธิ และศักดิ์ศรี (3) แก้โกง ทําห้องให้สว่างและบังคับใช้กฎหมาย (4) ปฏิรูปราชการ กระจายอํานาจ ลดขนาด อัตโนมติ (5) สร้างการมีส่วนร่วม และ (6) สร้างอนาคต ซึ่งภาครัฐได้ดําเนินการกิจกรรม โครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
ที่ประชุมได้พิจารณาการเตรียมการจัดทําร่างแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อให้บรรลุ 20 เป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 ยุทธศาสตร์ ซึ่งจะจัดทํา 1 แผนแม่บทต่อยุทธศาสตร์ และมีกรอบระยะเวลาดําเนินการ 20 ปี โดยสามารถแบ่งช่วงระยะเวลาการพัฒนาตามแผนแม่บทเป็น 2 ช่วง ช่วงละ 10 ปี โดยคณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 คณะ ได้เสนอหัวข้อประเด็นสําคัญในการจัดทําแผนแม่บทแต่ละด้าน สรุปได้ ดังนี้
1. ด้านความมั่นคง ประกอบด้วย (1) การรักษาความสงบภายในประเทศ (2) การป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง (3) การพัฒนาศักยภาพของประเทศให้พร้อมเผชิญภัยคุกคามที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ (4) การบูรณาการความร่วมมือด้านความมั่นคงกับอาเซียนและนานาชาติ รวมถึงองค์กรภาครัฐและที่มิใช่ภาครัฐ และ (5) การพัฒนากลไกการบริหารจัดการความมั่นคงแบบองค์รวม
2. ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ประกอบด้วย (1) การเกษตรสร้างมูลค่า (2) อุตสาหกรรมและบริการ (3) การท่องเที่ยว (4) โครงสร้างพื้นฐาน และ (5) พัฒนาเศรษฐกิจบนพื้นฐานผู้ประกอบการยุคใหม่
3. ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ประกอบด้วย (1) การปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม (2) การพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต (3) การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 (4) การตระหนักถึงพหุปัญญาของมนุษย์ที่หลากหลาย (5) การเสริมสร้างให้คนไทยมีสุขภาวะที่ดี (6) การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ และ (7) การเสริมสร้างศักยภาพการกีฬาในการสร้างคุณค่าทางสังคมและพัฒนาประเทศ
4. ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม (1) การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจฐานราก (2). การปฏิรูประบบภาษีและการคุ้มครองผู้บริโภค (3) การสร้างหลักประกันสังคม (รวมประเด็นแรงงาน การศึกษา และสาธารณสุข) (4) เรื่องกระบวนการยุติธรรม (5) การกระจายศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี (6) การเสริมสร้างพลังทางสังคม และ (7) การเพิ่มขีดความสามารถของชุมชนท้องถิ่นในการพัฒนา การพึ่งพาตนและจัดการตนเอง
5. ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (1) สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมสีเขียว (2) สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมเศรษฐกิจภาคทะเล (3) สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ (4) พัฒนาพื้นที่เมือง ชนบท เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ มุ่งเน้นความเป็นเมืองที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง (5) พัฒนาความมั่นคงทางน้ํา พลังงาน และเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (6) ยกระดับกระบวนทัศน์เพื่อกําหนดอนาคตประเทศ
6. ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ (1) บุคลากรภาครัฐ (คน) (2) ระบบ/กลไก และโครงสร้างภาครัฐ (3) การกระจายอํานาจ (4) กระบวนการยุติธรรม (5) กฎหมาย และ (6) การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้เน้นย้ําว่าการจัดทําแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติจะเป็นส่วนสําคัญในการถ่ายทอดเป้าหมายและแนวทางของยุทธศาสตร์ชาติลงสู่แผนระดับที่ 2 และแผนงาน/โครงการในระดับต่าง ๆ ต่อไป โดยต้องคํานึงถึงประเด็นสําคัญ ได้แก่ แผนงาน/โครงการที่จะบรรจุไว้ในแผนแม่บทฯ ต้องเป็นแผนงาน/โครงการที่มีความสําคัญและต้องดําเนินการอย่างต่อเนื่อง ต้องกําหนดรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง หรือหน่วยงานรับผิดชอบหลักที่จะเป็นเจ้าภาพในการดําเนินการแต่ละกิจกรรม รวมทั้งต้องคํานึงถึงขีดความสามารถทางการเงินและการคลังของประเทศในการดําเนินการตามแผนแม่บทฯ และพิจารณาภาพรวมการจัดลําดับความสําคัญของกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้แผนแม่บทฯ สามารถนําไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบกรอบการจัดทําแผนแม่บทฯ และการกําหนด Program Structure เพื่อแสดงความเชื่อมโยงของยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นยุทธศาสตร์ แผนงานในระดับรองต่าง ๆ อาทิ แผนการปฏิรูประเทศ และหน่วยงานรับผิดชอบ รวมทั้งที่ประชุมได้เห็นชอบการมอบหมายให้ข้าราชการกลุ่ม ป.ย.ป. ของแต่ละกระทรวง เข้าร่วมการจัดทําแผนแม่บทฯ กับคณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ สศช. โดยจะดําเนินการร่วมกัน ซึ่งจะเริ่มดําเนินการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Kick-off) ในวันที่ 6-8 สิงหาคม 2561 และดําเนินการเตรียมการจัดทําแผนแม่บทฯ ในช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน 2561 และคาดว่าจะนําเสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะรัฐมนตรีได้ในช่วงเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2561 ตามลําดับต่อไป
--------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
(ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ 4/61 เห็นชอบกรอบการจัดทำแผนแม่บท ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ 4/61 เห็นชอบกรอบการจัดทําแผนแม่บท ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
นายกฯ ประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เห็นชอบกรอบการจัดทําแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ มอบหมายข้าราชการกลุ่ม ป.ย.ป.แต่ละกระทรวงเข้าร่วมจัดทําแผนแม่บทฯ โดยจะเริ่ม Kick-off 6-8 ส.ค.61 เตรียมจัดทําแผนแม่บทฯ ส.ค.-ก.ย.61 คาดจะเสนอคณะกรรมการฯ-ครม.ต.ค.-พ.ย.61
วันนี้ (16 ก.ค.61) เวลา 13.00 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ 4/2561 โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ประธานคณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ และประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศทุกคณะ เข้าร่วมการประชุม โดยที่ประชุมได้รับทราบและพิจารณาวาระที่สําคัญดังนี้
ที่ประชุมได้รับทราบผลการพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างยุทธศาสตร์ชาติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2561 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการนําขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายตามขั้นตอนของกฎหมายว่าด้วยการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบผลการดําเนินงานของหน่วยงานรัฐภายใต้ร่างยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศเบื้องต้น ซึ่ง สศช. ได้ประมวลผลผ่านระบบ eMENSCR โดยพบว่า ณ วันที่ 26 มิถุนายน 2561 หน่วยงานต่าง ๆ ประกอบด้วยกระทรวงและเทียบเท่า จํานวน 19 หน่วยงาน รัฐสภาและหน่วยงานอื่น ๆ ที่ไม่ใช่กระทรวง จํานวน 5 หน่วยงาน ได้ส่งแผนงาน/โครงการรวมทั้งสิ้น 6,456 แผนงาน/โครงการ โดยเป็นแผนงาน/โครงการที่มีความสอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ รวมทั้งสิ้น 3,211 แผนงาน/โครงการ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ภายใต้แนวคิด “สร้างไทยไปด้วยกัน” ภายใต้ 6 กลุ่มเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน ได้แก่ (1) แก้จน สร้างความเข้มแข็งจากฐานราก (2) แก้เหลื่อมล้ํา รายได้ โอกาส อํานาจ สิทธิ และศักดิ์ศรี (3) แก้โกง ทําห้องให้สว่างและบังคับใช้กฎหมาย (4) ปฏิรูปราชการ กระจายอํานาจ ลดขนาด อัตโนมติ (5) สร้างการมีส่วนร่วม และ (6) สร้างอนาคต ซึ่งภาครัฐได้ดําเนินการกิจกรรม โครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
ที่ประชุมได้พิจารณาการเตรียมการจัดทําร่างแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อให้บรรลุ 20 เป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 ยุทธศาสตร์ ซึ่งจะจัดทํา 1 แผนแม่บทต่อยุทธศาสตร์ และมีกรอบระยะเวลาดําเนินการ 20 ปี โดยสามารถแบ่งช่วงระยะเวลาการพัฒนาตามแผนแม่บทเป็น 2 ช่วง ช่วงละ 10 ปี โดยคณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 คณะ ได้เสนอหัวข้อประเด็นสําคัญในการจัดทําแผนแม่บทแต่ละด้าน สรุปได้ ดังนี้
1. ด้านความมั่นคง ประกอบด้วย (1) การรักษาความสงบภายในประเทศ (2) การป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง (3) การพัฒนาศักยภาพของประเทศให้พร้อมเผชิญภัยคุกคามที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ (4) การบูรณาการความร่วมมือด้านความมั่นคงกับอาเซียนและนานาชาติ รวมถึงองค์กรภาครัฐและที่มิใช่ภาครัฐ และ (5) การพัฒนากลไกการบริหารจัดการความมั่นคงแบบองค์รวม
2. ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ประกอบด้วย (1) การเกษตรสร้างมูลค่า (2) อุตสาหกรรมและบริการ (3) การท่องเที่ยว (4) โครงสร้างพื้นฐาน และ (5) พัฒนาเศรษฐกิจบนพื้นฐานผู้ประกอบการยุคใหม่
3. ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ประกอบด้วย (1) การปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม (2) การพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต (3) การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 (4) การตระหนักถึงพหุปัญญาของมนุษย์ที่หลากหลาย (5) การเสริมสร้างให้คนไทยมีสุขภาวะที่ดี (6) การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ และ (7) การเสริมสร้างศักยภาพการกีฬาในการสร้างคุณค่าทางสังคมและพัฒนาประเทศ
4. ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม (1) การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจฐานราก (2). การปฏิรูประบบภาษีและการคุ้มครองผู้บริโภค (3) การสร้างหลักประกันสังคม (รวมประเด็นแรงงาน การศึกษา และสาธารณสุข) (4) เรื่องกระบวนการยุติธรรม (5) การกระจายศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี (6) การเสริมสร้างพลังทางสังคม และ (7) การเพิ่มขีดความสามารถของชุมชนท้องถิ่นในการพัฒนา การพึ่งพาตนและจัดการตนเอง
5. ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (1) สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมสีเขียว (2) สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมเศรษฐกิจภาคทะเล (3) สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ (4) พัฒนาพื้นที่เมือง ชนบท เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ มุ่งเน้นความเป็นเมืองที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง (5) พัฒนาความมั่นคงทางน้ํา พลังงาน และเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (6) ยกระดับกระบวนทัศน์เพื่อกําหนดอนาคตประเทศ
6. ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ (1) บุคลากรภาครัฐ (คน) (2) ระบบ/กลไก และโครงสร้างภาครัฐ (3) การกระจายอํานาจ (4) กระบวนการยุติธรรม (5) กฎหมาย และ (6) การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้เน้นย้ําว่าการจัดทําแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติจะเป็นส่วนสําคัญในการถ่ายทอดเป้าหมายและแนวทางของยุทธศาสตร์ชาติลงสู่แผนระดับที่ 2 และแผนงาน/โครงการในระดับต่าง ๆ ต่อไป โดยต้องคํานึงถึงประเด็นสําคัญ ได้แก่ แผนงาน/โครงการที่จะบรรจุไว้ในแผนแม่บทฯ ต้องเป็นแผนงาน/โครงการที่มีความสําคัญและต้องดําเนินการอย่างต่อเนื่อง ต้องกําหนดรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง หรือหน่วยงานรับผิดชอบหลักที่จะเป็นเจ้าภาพในการดําเนินการแต่ละกิจกรรม รวมทั้งต้องคํานึงถึงขีดความสามารถทางการเงินและการคลังของประเทศในการดําเนินการตามแผนแม่บทฯ และพิจารณาภาพรวมการจัดลําดับความสําคัญของกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้แผนแม่บทฯ สามารถนําไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบกรอบการจัดทําแผนแม่บทฯ และการกําหนด Program Structure เพื่อแสดงความเชื่อมโยงของยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นยุทธศาสตร์ แผนงานในระดับรองต่าง ๆ อาทิ แผนการปฏิรูประเทศ และหน่วยงานรับผิดชอบ รวมทั้งที่ประชุมได้เห็นชอบการมอบหมายให้ข้าราชการกลุ่ม ป.ย.ป. ของแต่ละกระทรวง เข้าร่วมการจัดทําแผนแม่บทฯ กับคณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ สศช. โดยจะดําเนินการร่วมกัน ซึ่งจะเริ่มดําเนินการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Kick-off) ในวันที่ 6-8 สิงหาคม 2561 และดําเนินการเตรียมการจัดทําแผนแม่บทฯ ในช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน 2561 และคาดว่าจะนําเสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะรัฐมนตรีได้ในช่วงเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2561 ตามลําดับต่อไป
--------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
(ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13886
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ห่างกันสักพัก เพื่อรักษาชาติ
|
วันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2563
ห่างกันสักพัก เพื่อรักษาชาติ
ห่างกัน 2 เมตร จะดีกว่านะ
ใช้มาตรการ Social Distancing อย่างเคร่งครัดกันนะคะ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ห่างกันสักพัก เพื่อรักษาชาติ
วันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2563
ห่างกันสักพัก เพื่อรักษาชาติ
ห่างกัน 2 เมตร จะดีกว่านะ
ใช้มาตรการ Social Distancing อย่างเคร่งครัดกันนะคะ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28300
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ตรวจราชการจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดบุรีรัมย์ ติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง บูรณาการงานการจัดการน้ำทั้งระบบ
|
วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม 2562
นายกรัฐมนตรี ตรวจราชการจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดบุรีรัมย์ ติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง บูรณาการงานการจัดการน้ําทั้งระบบ
โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีตรวจราชการจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดบุรีรัมย์ 19 สิงหาคม 2562 ติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง บูรณาการงานการจัดการน้ําทั้งระบบ
วันนี้ (16 สิงหาคม 2562) ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เตรียมเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดบุรีรัมย์ ในวันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2562 เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและการขาดแคลนน้ํา บรรเทาความเดือดร้อนและบริหารจัดการน้ําอุปโภคบริโภคให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่ในครั้งนี้ด้วย อาทิ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กําหนดการ ดังนี้
ในช่วงเช้าวันที่ 19 สิงหาคม 2562 นายกรัฐมนตรีและคณะ จะออกเดินทางจากจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ ไปยังท่าอากาศยานบุรีรัมย์ตําบลร่อนทอง อําเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ โดยเครื่องบิน C-130 และเดินทางต่อโดยเฮลิคอปเตอร์ จากท่าอากาศยานบุรีรัมย์ไปยังท่าอากาศยานสุรินทร์ภักดี ตําบลนอกเมือง อําเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เพื่อตรวจเยี่ยมอ่างเก็บน้ําห้วยเสนงโครงการชลประทานสุรินทร์ ฟังบรรยายสรุปภาพรวมการบริหารจัดการน้ําและแนวทางการให้ความช่วยเหลือ พร้อมปล่อยขบวนรถบรรทุกน้ําเพื่อช่วยเหลือประชาชนด้านการอุปโภคบริโภค ณ บริเวณที่ทําการโครงการชลประทานสุรินทร์
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุมการแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ําในพื้นที่ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด ณ ศาลากลางจังหวัดสุรินทร์ ตําบลในเมือง อําเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์
จากนั้น ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีจะตรวจเยี่ยมอ่างเก็บน้ําห้วยจรเข้มากโครงการชลประทานบุรีรัมย์ อําเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ และฟังบรรยายสรุปภาพรวมสถานการณ์น้ําและการบริหารจัดการน้ําและแนวทางการแก้ไขปัญหาและสถานการณ์น้ําอุปโภคบริโภคในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ณ บริเวณที่ทําการโครงการชลประทานบุรีรัมย์ ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในเย็นวันเดียวกัน
---------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ตรวจราชการจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดบุรีรัมย์ ติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง บูรณาการงานการจัดการน้ำทั้งระบบ
วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม 2562
นายกรัฐมนตรี ตรวจราชการจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดบุรีรัมย์ ติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง บูรณาการงานการจัดการน้ําทั้งระบบ
โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีตรวจราชการจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดบุรีรัมย์ 19 สิงหาคม 2562 ติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง บูรณาการงานการจัดการน้ําทั้งระบบ
วันนี้ (16 สิงหาคม 2562) ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เตรียมเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดบุรีรัมย์ ในวันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2562 เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและการขาดแคลนน้ํา บรรเทาความเดือดร้อนและบริหารจัดการน้ําอุปโภคบริโภคให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่ในครั้งนี้ด้วย อาทิ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กําหนดการ ดังนี้
ในช่วงเช้าวันที่ 19 สิงหาคม 2562 นายกรัฐมนตรีและคณะ จะออกเดินทางจากจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ ไปยังท่าอากาศยานบุรีรัมย์ตําบลร่อนทอง อําเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ โดยเครื่องบิน C-130 และเดินทางต่อโดยเฮลิคอปเตอร์ จากท่าอากาศยานบุรีรัมย์ไปยังท่าอากาศยานสุรินทร์ภักดี ตําบลนอกเมือง อําเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เพื่อตรวจเยี่ยมอ่างเก็บน้ําห้วยเสนงโครงการชลประทานสุรินทร์ ฟังบรรยายสรุปภาพรวมการบริหารจัดการน้ําและแนวทางการให้ความช่วยเหลือ พร้อมปล่อยขบวนรถบรรทุกน้ําเพื่อช่วยเหลือประชาชนด้านการอุปโภคบริโภค ณ บริเวณที่ทําการโครงการชลประทานสุรินทร์
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุมการแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ําในพื้นที่ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด ณ ศาลากลางจังหวัดสุรินทร์ ตําบลในเมือง อําเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์
จากนั้น ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีจะตรวจเยี่ยมอ่างเก็บน้ําห้วยจรเข้มากโครงการชลประทานบุรีรัมย์ อําเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ และฟังบรรยายสรุปภาพรวมสถานการณ์น้ําและการบริหารจัดการน้ําและแนวทางการแก้ไขปัญหาและสถานการณ์น้ําอุปโภคบริโภคในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ณ บริเวณที่ทําการโครงการชลประทานบุรีรัมย์ ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในเย็นวันเดียวกัน
---------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22283
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-BKK covid-19 หรือระบบคัดกรองไวรัสโควิด-19 ของกรุงเทพมหานคร มีขั้นตอนในการตรวจแรงงานก่อสร้างตามแคมป์ในพื้นที่ต่างๆ อย่างไร ??
|
วันพุธที่ 5 สิงหาคม 2563
BKK covid-19 หรือระบบคัดกรองไวรัสโควิด-19 ของกรุงเทพมหานคร มีขั้นตอนในการตรวจแรงงานก่อสร้างตามแคมป์ในพื้นที่ต่างๆ อย่างไร ??
BKK covid-19 มีขั้นตอนในการตรวจแรงงาน อย่างไร ??
Q : BKK covid-19 หรือระบบคัดกรองไวรัสโควิด-19 ของกรุงเทพมหานคร มีขั้นตอนในการตรวจแรงงานก่อสร้างตามแคมป์ในพื้นที่ต่างๆ อย่างไร ??
A : ทางกรุงเทพมหานคร จะทําการติดต่อนายจ้างหรือที่เรียกว่าโฟร์แมน ซึ่งแต่ละเขตจะมีข้อมูลที่อยู่ของแต่ละแคมป์ เพื่อนําแรงงานทั้งหมดเข้ารับการตรวจตามระบบ BKK covid-19 โดยมีภาษารับรองในแต่ละกลุ่มแรงงาน อาทิ ภาษาพม่า ภาษาลาว ภาษากัมพูชา ทั้งนี้ทุกคนจะได้รับการประเมินความเสี่ยงด้วยการตรวจเชื้อทางโพรงจมูกและปาก หรือ SWAB แต่ในเบื้องต้นจะเป็นไปแบบสุ่มตรวจก่อน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-BKK covid-19 หรือระบบคัดกรองไวรัสโควิด-19 ของกรุงเทพมหานคร มีขั้นตอนในการตรวจแรงงานก่อสร้างตามแคมป์ในพื้นที่ต่างๆ อย่างไร ??
วันพุธที่ 5 สิงหาคม 2563
BKK covid-19 หรือระบบคัดกรองไวรัสโควิด-19 ของกรุงเทพมหานคร มีขั้นตอนในการตรวจแรงงานก่อสร้างตามแคมป์ในพื้นที่ต่างๆ อย่างไร ??
BKK covid-19 มีขั้นตอนในการตรวจแรงงาน อย่างไร ??
Q : BKK covid-19 หรือระบบคัดกรองไวรัสโควิด-19 ของกรุงเทพมหานคร มีขั้นตอนในการตรวจแรงงานก่อสร้างตามแคมป์ในพื้นที่ต่างๆ อย่างไร ??
A : ทางกรุงเทพมหานคร จะทําการติดต่อนายจ้างหรือที่เรียกว่าโฟร์แมน ซึ่งแต่ละเขตจะมีข้อมูลที่อยู่ของแต่ละแคมป์ เพื่อนําแรงงานทั้งหมดเข้ารับการตรวจตามระบบ BKK covid-19 โดยมีภาษารับรองในแต่ละกลุ่มแรงงาน อาทิ ภาษาพม่า ภาษาลาว ภาษากัมพูชา ทั้งนี้ทุกคนจะได้รับการประเมินความเสี่ยงด้วยการตรวจเชื้อทางโพรงจมูกและปาก หรือ SWAB แต่ในเบื้องต้นจะเป็นไปแบบสุ่มตรวจก่อน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33939
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจำประเทศไทย
|
วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2560
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจําประเทศไทย
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ H.E. Mrs.Satu Suikkari-Kleven เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจําประเทศไทย พร้อมคณะ
เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๔.๐๐ น.
ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ให้การต้อนรับ H.E. Mrs.Satu Suikkari-Kleven
เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจําประเทศไทย พร้อมคณะ
ในโอกาสหารือข้อราชการเกี่ยวกับการพัฒนาความร่วมมือด้านสิทธิมนุษยชน
และติดตามความคืบหน้าสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
โดยทั้งสองฝ่ายได้แสดงความพร้อมที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
และเกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจำประเทศไทย
วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2560
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจําประเทศไทย
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ H.E. Mrs.Satu Suikkari-Kleven เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจําประเทศไทย พร้อมคณะ
เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๔.๐๐ น.
ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ให้การต้อนรับ H.E. Mrs.Satu Suikkari-Kleven
เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจําประเทศไทย พร้อมคณะ
ในโอกาสหารือข้อราชการเกี่ยวกับการพัฒนาความร่วมมือด้านสิทธิมนุษยชน
และติดตามความคืบหน้าสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
โดยทั้งสองฝ่ายได้แสดงความพร้อมที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
และเกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4646
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เน้นบริหารจัดการเชิงรุก ทันการเปลี่ยนแปลงของสังคม
|
วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2562
สธ. เน้นบริหารจัดการเชิงรุก ทันการเปลี่ยนแปลงของสังคม
กระทรวงสาธารณสุข จัดพิธีลงนามคํารับรองการปฏิบัติงานผู้บริหารส่วนกลาง สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข มุ่งเน้นการบริหารจัดการ พัฒนาระบบสุขภาพเชิงรุก เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคม
กระทรวงสาธารณสุข จัดพิธีลงนามคํารับรองการปฏิบัติงานผู้บริหารส่วนกลาง สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข มุ่งเน้นการบริหารจัดการ พัฒนาระบบสุขภาพเชิงรุก เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคม
วันนี้ (26 พฤศจิกายน 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีลงนามคํารับรองการปฏิบัติงาน (Performance Agreement : PA) ประจําปี 2563 ระหว่างรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข สาธารณสุขนิเทศ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้อํานวยการกอง/สํานัก ในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ภายใต้กรอบ 15 แผนงาน 41 โครงการ และ 67 ตัวชี้วัด ให้หน่วยงานในสังกัดนําไปเป็นแนวทางการดําเนินงาน
นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการลงนามคํารับรองการปฏิบัติราชการ (Performance Agreement : PA) มาอย่างต่อเนื่อง และมีการติดตามและประเมินผลทุกไตรมาส ทําให้การดําเนินงานบรรลุเป้าหมาย ได้รับรางวัลทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ ในปีนี้สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้จัดทําแผนประจําปีเพื่อเป็นแนวทางดําเนินงานของหน่วยงานภายในสังกัด ให้มีการพัฒนาระบบสุขภาพที่มุ่งเน้นการบริหารจัดการเชิงรุก ขับเคลื่อนการดําเนินงานอย่างไร้รอยต่อ เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคม โดยมี 17 โครงการสําคัญที่ต้องดําเนินการเร่งด่วน ได้แก่ โครงการพัฒนาและสร้างศักยภาพคนไทยทุกกลุ่มวัย พัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชากร การพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.) การควบคุมโรคและภัยสุขภาพ พัฒนาระบบการแพทย์ปฐมภูมิ พัฒนาเครือข่ายกําลังคนด้านสุขภาพ และอสม. พัฒนาระบบบริการสุขภาพ สาขาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคติดต่อ โรคอุบัติใหม่ และโรคอุบัติซ้ํา การป้องกันและควบคุมการดื้อยาต้านจุลชีพและการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล กัญชาทางการแพทย์ ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินครบวงจรและระบบการส่งต่อ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการแพทย์ องค์กรคุณภาพ โครงการ Happy MOPH กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแห่งความสุข Smart Hospital การพัฒนางานวิจัย/นวัตกรรม ผลิตภัณฑ์สุขภาพ และเทคโนโลยีทางการแพทย์อาทิ Smart Hospital กัญชาทางการแพทย์
สําหรับการจัดทําคํารับรองการปฏิบัติงานจะช่วยให้รู้เป้าหมายในการทํางานร่วมกัน มาตรการในแต่ละแผนงาน/โครงการ รวมถึงแนวทางการขับเคลื่อนและการประเมินผลการดําเนินงาน เพื่อการกํากับติดตามผลการดําเนินงาน พร้อมทั้งจัดเก็บข้อมูลให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน สร้างความเข้าใจร่วมกันในการดําเนินงานด้านสาธารณสุข ก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่ดีของภารกิจ คุณภาพการให้บริการ สร้างความพึงพอใจของประชาชนผู้รับบริการ เพื่อบรรลุเป้าหมายในการดูแลสุขภาพประชาชนอย่างยั่งยืน
************************* 26 พฤศจิกายน 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เน้นบริหารจัดการเชิงรุก ทันการเปลี่ยนแปลงของสังคม
วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2562
สธ. เน้นบริหารจัดการเชิงรุก ทันการเปลี่ยนแปลงของสังคม
กระทรวงสาธารณสุข จัดพิธีลงนามคํารับรองการปฏิบัติงานผู้บริหารส่วนกลาง สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข มุ่งเน้นการบริหารจัดการ พัฒนาระบบสุขภาพเชิงรุก เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคม
กระทรวงสาธารณสุข จัดพิธีลงนามคํารับรองการปฏิบัติงานผู้บริหารส่วนกลาง สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข มุ่งเน้นการบริหารจัดการ พัฒนาระบบสุขภาพเชิงรุก เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคม
วันนี้ (26 พฤศจิกายน 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีลงนามคํารับรองการปฏิบัติงาน (Performance Agreement : PA) ประจําปี 2563 ระหว่างรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข สาธารณสุขนิเทศ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้อํานวยการกอง/สํานัก ในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ภายใต้กรอบ 15 แผนงาน 41 โครงการ และ 67 ตัวชี้วัด ให้หน่วยงานในสังกัดนําไปเป็นแนวทางการดําเนินงาน
นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการลงนามคํารับรองการปฏิบัติราชการ (Performance Agreement : PA) มาอย่างต่อเนื่อง และมีการติดตามและประเมินผลทุกไตรมาส ทําให้การดําเนินงานบรรลุเป้าหมาย ได้รับรางวัลทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ ในปีนี้สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้จัดทําแผนประจําปีเพื่อเป็นแนวทางดําเนินงานของหน่วยงานภายในสังกัด ให้มีการพัฒนาระบบสุขภาพที่มุ่งเน้นการบริหารจัดการเชิงรุก ขับเคลื่อนการดําเนินงานอย่างไร้รอยต่อ เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคม โดยมี 17 โครงการสําคัญที่ต้องดําเนินการเร่งด่วน ได้แก่ โครงการพัฒนาและสร้างศักยภาพคนไทยทุกกลุ่มวัย พัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชากร การพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.) การควบคุมโรคและภัยสุขภาพ พัฒนาระบบการแพทย์ปฐมภูมิ พัฒนาเครือข่ายกําลังคนด้านสุขภาพ และอสม. พัฒนาระบบบริการสุขภาพ สาขาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคติดต่อ โรคอุบัติใหม่ และโรคอุบัติซ้ํา การป้องกันและควบคุมการดื้อยาต้านจุลชีพและการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล กัญชาทางการแพทย์ ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินครบวงจรและระบบการส่งต่อ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการแพทย์ องค์กรคุณภาพ โครงการ Happy MOPH กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแห่งความสุข Smart Hospital การพัฒนางานวิจัย/นวัตกรรม ผลิตภัณฑ์สุขภาพ และเทคโนโลยีทางการแพทย์อาทิ Smart Hospital กัญชาทางการแพทย์
สําหรับการจัดทําคํารับรองการปฏิบัติงานจะช่วยให้รู้เป้าหมายในการทํางานร่วมกัน มาตรการในแต่ละแผนงาน/โครงการ รวมถึงแนวทางการขับเคลื่อนและการประเมินผลการดําเนินงาน เพื่อการกํากับติดตามผลการดําเนินงาน พร้อมทั้งจัดเก็บข้อมูลให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน สร้างความเข้าใจร่วมกันในการดําเนินงานด้านสาธารณสุข ก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่ดีของภารกิจ คุณภาพการให้บริการ สร้างความพึงพอใจของประชาชนผู้รับบริการ เพื่อบรรลุเป้าหมายในการดูแลสุขภาพประชาชนอย่างยั่งยืน
************************* 26 พฤศจิกายน 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24828
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดบีโอไอเห็นชอบนโยบายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรยกเว้นภาษีเงินได้ 5 -8 ปีพร้อมออกมาตรการส่งเสริมเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” พัฒนาเศรษฐกิจ-สังคม
|
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2559
บอร์ดบีโอไอเห็นชอบนโยบายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรยกเว้นภาษีเงินได้ 5 -8 ปีพร้อมออกมาตรการส่งเสริมเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” พัฒนาเศรษฐกิจ-สังคม
บอร์ดบีโอไอเห็นชอบนโยบายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรยกเว้นภาษีเงินได้ 5 -8 ปีพร้อมออกมาตรการส่งเสริมเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” พัฒนาเศรษฐกิจ-สังคมพื้นที่จ.ชายแดนภาคใต้
วันนี้ (29 ส.ค.59) เวลา 13.30 น. เกี่ยวข้อง ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 3/2559 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยภายหลังการประชุมฯ ว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาหารือในเรื่องของการส่งเสริมการลงทุนและรับทราบรายงานภาวะการส่งเสริมการลงทุน โดยมีการเปรียบเทียบการขอรับส่งเสริมการลงทุนรายไตรมาสของปี 2559 กับปี 2558 ซึ่งการลงทุนไม่ใช่ลงทุนทุก 3 เดือนแล้วเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะต้องพิจารณาและดูถึงจังหวะการลงทุนของประเทศต่างๆ ในต่างประเทศประกอบด้วยว่ามีนโยบายและทิศทางการลงทุนหรือภาวะเศรษฐกิจ ตลอดจนความมีเสถียรภาพทางด้านการเงินเป็นอย่างไร เพื่อจะได้เตรียมความพร้อมของประเทศรองรับกับสถานการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ สิ่งที่ได้เน้นย้ําและให้แนวทางกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือต้องพิจารณาทั้งการลงทุนจากต่างประเทศ และการลงทุนของภาคธุรกิจและเอกชนในประเทศไทย รวมถึงการลงทุนของภาคธุรกิจเอกชนที่มีอยู่เดิมในพื้นที่ โดยต้องประสานทั้ง 3 ส่วนเชื่อมโยงกันซึ่งจะสามารถลดปัญหาความเหลื่อมล้ําและความขัดแย้งในสังคมได้ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐบาลต้องการสนับสนุนส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจที่มีอยู่เดิมในพื้นที่ให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้นและส่งเสริมการลงทุนจากภายนอกโดยไม่ให้ส่งผลกระทบหรือขัดแย้งกับภายในพื้นที่ รวมทั้งการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งการดําเนินการทั้งหมดคือความมีเสถียรภาพทั้งทางด้านการเมืองและความมั่นคง อย่างไรก็ตามการที่จะทําให้เศรษฐกิจระดับฐานรากหรือระดับรากแก้วมีเงินเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจทางด้านการค้า การลงทุน การส่งออก-นําเข้า และภาคอุตสาหกรรม ฯลฯ ต้องดําเนินการให้เกิดความเชื่อมโยงกันทั้งระบบเพื่อที่จะขยายเชื่อมโยงไปสู่กลุ่มประเทศ CLMV และต่างประเทศอื่น ๆ ต่อไป
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวระบุว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยยังไม่ดีขึ้น ตรงนี้ต้องพิจารณาถึงสถานการณ์เศรษฐกิจของต่างประเทศอื่น ๆ ประกอบด้วยซึ่งขณะนี้ก็ยังประสบภาวะเศรษฐกิจเช่นเดียวกับประเทศไทย ทั้งนี้รัฐบาลชุดปัจจุบันตระหนักเรื่องดังกล่าวจึงได้เตรียมการและความพร้อมในเรื่องของการส่งเสริมการลงทุนในด้านต่าง ๆ รองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามการเข้ามาทํางานของรัฐบาลไม่ใช่เป็นการดําเนินการแล้วจะได้เงินทันทีหรือเกิดผลภายในระยะเวลาอันสั้น เพราะที่ผ่านมาโครงสร้างยังไม่พร้อม ไม่มีแผนงานและมาตรการรองรับ แต่รัฐบาลก็ได้มีการดําเนินการที่ประสบความสําเร็จในหลายเรื่องโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตรบางพื้นที่ เช่น การทําเกษตรแปลงใหญ่ การปรับเปลี่ยนการปลูกพืชบางส่วนให้เหมาะสมกับพื้นที่ ซึ่งสามารถทําให้ประชาชนในพื้นที่มีรายได้เพิ่มและมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
พร้อมกันนี้ นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอได้กล่าวถึงผลการประชุมว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบนโยบายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร หรือ เมดิคัล ฮับ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยจะให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมแก่กิจการผลิตยา และกิจการผลิตเครื่องมือแพทย์ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ครบวงจร รวมทั้งจะสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพของคนในประเทศ ช่วยให้คนไทยสามารถเข้าถึงยาและเครื่องมือแพทย์ และลดการขาดดุลการค้าจากการนําเข้ายาและเครื่องมือแพทย์จากต่างประเทศ
ทั้งนี้ ภายใต้นโยบายดังกล่าว จะเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่โครงการลงทุนในกลุ่มกิจการผลิตยา และกิจการผลิตเครื่องมือแพทย์ โดยกิจการผลิตยาในปัจจุบันไม่ได้รับการยกเว้นภาษี ก็จะเปลี่ยนเป็นให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 5 ปี และหากโครงการใดยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนภายในปี 2560 จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี เพื่อช่วยลดภาระผู้ผลิตยาที่จะต้องใช้เงินลงทุนจํานวนมากในการปรับปรุงโรงงานผลิตให้ได้มาตรฐาน GMP ตามแนวทาง PIC/S
ส่วนกิจการผลิตเครื่องมือแพทย์ ซึ่งปัจจุบันให้การส่งเสริมอยู่แล้ว แต่เพื่อสนับสนุนให้กิจการเอสเอ็มอีไทยสามารถลงทุนผลิตเครื่องมือแพทย์ได้ จึงเห็นชอบให้เพิ่มประเภทกิจการผลิตเครื่องมือแพทย์ในมาตรการส่งเสริมเอสเอ็มอีไทย (มาตรการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งจะช่วยให้กิจการเอสเอ็มอีที่ผลิตเครื่องมือแพทย์ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้นอีก 2 ปี จากเกณฑ์ปกติ เช่น กิจการเครื่องมือแพทย์ที่ได้ยกเว้นภาษี 5 ปี ก็จะได้ยกเว้น 7 ปี เป็นต้น
สําหรับการส่งเสริมกิจการสถานพยาบาล จําเป็นจะต้องรอรายละเอียดของธรรมนูญว่าด้วยเรื่องระบบสุขภาพแห่งชาติ และนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข จากนั้นบีโอไอจะดําเนินการจัดทําแนวทางการส่งเสริมการลงทุนในกิจการสถานพยาบาลเพื่อนําเสนอบอร์ดพิจารณาต่อไป
อีกทั้ง ที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนภายใต้โครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” เพื่อให้สอดรับกับนโยบายรัฐบาลในการจัดทําโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้กับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ใน 3 พื้นที่ได้แก่ 1.อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เป็นเมืองต้นแบบการพัฒนา “เกษตรอุตสาหกรรมก้าวหน้าผสมผสาน” (Agricultural Industry City) 2. อําเภอเบตง จังหวัดยะลา เป็นเมืองต้นแบบการพัฒนาที่พึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน (Sustainable Development City) และ 3. อําเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส เป็นเมืองต้นแบบการค้าชายแดนระหว่างประเทศ (International Border City) โดยให้เพิ่มสิทธิประโยชน์สําหรับโครงการลงทุนใหม่ใน 3 พื้นที่ดังกล่าว ให้สูงกว่าสิทธิประโยชน์ของมาตรการส่งเสริมการลงทุนใน 4 จังหวัดภาคใต้ และ 4 อําเภอ ของสงขลา ได้แก่ หักค่าขนส่ง ค่าไฟฟ้า และ ค่าประปา 2 เท่า เป็นเวลา 20 ปี (เพิ่มจาก 15 ปีเป็น 20 ปี) ลดหย่อนอากรขาเข้า 90% สําหรับวัตถุดิบนําเข้ามาผลิต เพื่อจําหน่ายในประเทศเป็นเวลา 10 ปี (เพิ่มจาก 5 เป็น 10) ยกเว้นอากรขาเข้าวัตถุดิบและวัสดุจําเป็นสําหรับการผลิตเพื่อการส่งออก เป็นระยะเวลา 10 ปี (เพิ่มจาก 5 เป็น 10)
นอกจากนี้ยังให้เพิ่มประเภทกิจการที่ยกเลิกการส่งเสริมไปแล้ว แต่เปิดให้การส่งเสริมใหม่เฉพาะในพื้นที่ 3 อําเภอ ประกอบด้วย 1 กิจการผลิตอาหารสัตว์หรือส่วนผสมอาหารสัตว์ 2 กิจการผลิตวัสดุก่อสร้าง และกิจการผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงสําหรับงานสาธารณูปโภค (ยกเว้นการผลิตกระเบื้องมุงหลังคาเซรามิกส์และการผลิตกระเบื้องปูพื้นหรือผนัง) 3กิจการผลิตสิ่งปรุงแต่งสําหรับประทินร่างกาย เช่น สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน (ยกเว้นเครื่องสําอาง) 4 กิจการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกสําหรับสินค้าอุปโภค เช่น บรรจุภัณฑ์พลาสติก 5 กิจการผลิตสิ่งของจากเยื่อหรือกระดาษ เช่น กล่องกระดาษ 6 กิจการพัฒนาอาคารสําหรับโรงงานอุตสาหกรรม และ/หรือ คลังสินค้า
พร้อมทั้ง ที่ประชุมได้อนุมัติให้ส่งเสริมการลงทุนแก่กิจการในกลุ่มต่างๆ จํานวน 34 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 266,387.7 ล้านบาท ประกอบด้วย 1) กลุ่มเกษตร เงินลงทุนรวม 30, 478.6 ล้านบาท ใช้วัตถุดิบในประเทศปีละประมาณ 45,053 ล้านบาท 2) กลุ่มแร่ เซรามิกส์ และโลหะขั้นมูลฐาน 3) อุตสาหกรรมเบา 4) กลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง เงินลงทุนรวม 6,566.1 ล้านบาท ใช้วัตถุดิบในประเทศประมาณ 32,909.4 ล้านบาทต่อปี 5)กลุ่มเคมีภัณฑ์ พลาสติก และกระดาษ เงินลงทุนรวม 82,728.6 ล้านบาท ใช้วัตถุดิบในประเทศประมาณ 77,662.5 ล้านบาทต่อปี 6) กลุ่มกิจการบริการและสาธารณูปโภค เงินลงทุนรวม 134,787.32 ล้านบาท
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูล : ศูนย์บริการส่งเสริมการลงทุนคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดบีโอไอเห็นชอบนโยบายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรยกเว้นภาษีเงินได้ 5 -8 ปีพร้อมออกมาตรการส่งเสริมเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” พัฒนาเศรษฐกิจ-สังคม
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2559
บอร์ดบีโอไอเห็นชอบนโยบายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรยกเว้นภาษีเงินได้ 5 -8 ปีพร้อมออกมาตรการส่งเสริมเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” พัฒนาเศรษฐกิจ-สังคม
บอร์ดบีโอไอเห็นชอบนโยบายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรยกเว้นภาษีเงินได้ 5 -8 ปีพร้อมออกมาตรการส่งเสริมเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” พัฒนาเศรษฐกิจ-สังคมพื้นที่จ.ชายแดนภาคใต้
วันนี้ (29 ส.ค.59) เวลา 13.30 น. เกี่ยวข้อง ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 3/2559 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยภายหลังการประชุมฯ ว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาหารือในเรื่องของการส่งเสริมการลงทุนและรับทราบรายงานภาวะการส่งเสริมการลงทุน โดยมีการเปรียบเทียบการขอรับส่งเสริมการลงทุนรายไตรมาสของปี 2559 กับปี 2558 ซึ่งการลงทุนไม่ใช่ลงทุนทุก 3 เดือนแล้วเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะต้องพิจารณาและดูถึงจังหวะการลงทุนของประเทศต่างๆ ในต่างประเทศประกอบด้วยว่ามีนโยบายและทิศทางการลงทุนหรือภาวะเศรษฐกิจ ตลอดจนความมีเสถียรภาพทางด้านการเงินเป็นอย่างไร เพื่อจะได้เตรียมความพร้อมของประเทศรองรับกับสถานการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ สิ่งที่ได้เน้นย้ําและให้แนวทางกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือต้องพิจารณาทั้งการลงทุนจากต่างประเทศ และการลงทุนของภาคธุรกิจและเอกชนในประเทศไทย รวมถึงการลงทุนของภาคธุรกิจเอกชนที่มีอยู่เดิมในพื้นที่ โดยต้องประสานทั้ง 3 ส่วนเชื่อมโยงกันซึ่งจะสามารถลดปัญหาความเหลื่อมล้ําและความขัดแย้งในสังคมได้ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐบาลต้องการสนับสนุนส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจที่มีอยู่เดิมในพื้นที่ให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้นและส่งเสริมการลงทุนจากภายนอกโดยไม่ให้ส่งผลกระทบหรือขัดแย้งกับภายในพื้นที่ รวมทั้งการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งการดําเนินการทั้งหมดคือความมีเสถียรภาพทั้งทางด้านการเมืองและความมั่นคง อย่างไรก็ตามการที่จะทําให้เศรษฐกิจระดับฐานรากหรือระดับรากแก้วมีเงินเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจทางด้านการค้า การลงทุน การส่งออก-นําเข้า และภาคอุตสาหกรรม ฯลฯ ต้องดําเนินการให้เกิดความเชื่อมโยงกันทั้งระบบเพื่อที่จะขยายเชื่อมโยงไปสู่กลุ่มประเทศ CLMV และต่างประเทศอื่น ๆ ต่อไป
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวระบุว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยยังไม่ดีขึ้น ตรงนี้ต้องพิจารณาถึงสถานการณ์เศรษฐกิจของต่างประเทศอื่น ๆ ประกอบด้วยซึ่งขณะนี้ก็ยังประสบภาวะเศรษฐกิจเช่นเดียวกับประเทศไทย ทั้งนี้รัฐบาลชุดปัจจุบันตระหนักเรื่องดังกล่าวจึงได้เตรียมการและความพร้อมในเรื่องของการส่งเสริมการลงทุนในด้านต่าง ๆ รองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามการเข้ามาทํางานของรัฐบาลไม่ใช่เป็นการดําเนินการแล้วจะได้เงินทันทีหรือเกิดผลภายในระยะเวลาอันสั้น เพราะที่ผ่านมาโครงสร้างยังไม่พร้อม ไม่มีแผนงานและมาตรการรองรับ แต่รัฐบาลก็ได้มีการดําเนินการที่ประสบความสําเร็จในหลายเรื่องโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตรบางพื้นที่ เช่น การทําเกษตรแปลงใหญ่ การปรับเปลี่ยนการปลูกพืชบางส่วนให้เหมาะสมกับพื้นที่ ซึ่งสามารถทําให้ประชาชนในพื้นที่มีรายได้เพิ่มและมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
พร้อมกันนี้ นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอได้กล่าวถึงผลการประชุมว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบนโยบายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร หรือ เมดิคัล ฮับ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยจะให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมแก่กิจการผลิตยา และกิจการผลิตเครื่องมือแพทย์ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ครบวงจร รวมทั้งจะสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพของคนในประเทศ ช่วยให้คนไทยสามารถเข้าถึงยาและเครื่องมือแพทย์ และลดการขาดดุลการค้าจากการนําเข้ายาและเครื่องมือแพทย์จากต่างประเทศ
ทั้งนี้ ภายใต้นโยบายดังกล่าว จะเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่โครงการลงทุนในกลุ่มกิจการผลิตยา และกิจการผลิตเครื่องมือแพทย์ โดยกิจการผลิตยาในปัจจุบันไม่ได้รับการยกเว้นภาษี ก็จะเปลี่ยนเป็นให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 5 ปี และหากโครงการใดยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนภายในปี 2560 จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี เพื่อช่วยลดภาระผู้ผลิตยาที่จะต้องใช้เงินลงทุนจํานวนมากในการปรับปรุงโรงงานผลิตให้ได้มาตรฐาน GMP ตามแนวทาง PIC/S
ส่วนกิจการผลิตเครื่องมือแพทย์ ซึ่งปัจจุบันให้การส่งเสริมอยู่แล้ว แต่เพื่อสนับสนุนให้กิจการเอสเอ็มอีไทยสามารถลงทุนผลิตเครื่องมือแพทย์ได้ จึงเห็นชอบให้เพิ่มประเภทกิจการผลิตเครื่องมือแพทย์ในมาตรการส่งเสริมเอสเอ็มอีไทย (มาตรการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งจะช่วยให้กิจการเอสเอ็มอีที่ผลิตเครื่องมือแพทย์ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้นอีก 2 ปี จากเกณฑ์ปกติ เช่น กิจการเครื่องมือแพทย์ที่ได้ยกเว้นภาษี 5 ปี ก็จะได้ยกเว้น 7 ปี เป็นต้น
สําหรับการส่งเสริมกิจการสถานพยาบาล จําเป็นจะต้องรอรายละเอียดของธรรมนูญว่าด้วยเรื่องระบบสุขภาพแห่งชาติ และนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข จากนั้นบีโอไอจะดําเนินการจัดทําแนวทางการส่งเสริมการลงทุนในกิจการสถานพยาบาลเพื่อนําเสนอบอร์ดพิจารณาต่อไป
อีกทั้ง ที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนภายใต้โครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” เพื่อให้สอดรับกับนโยบายรัฐบาลในการจัดทําโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้กับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ใน 3 พื้นที่ได้แก่ 1.อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เป็นเมืองต้นแบบการพัฒนา “เกษตรอุตสาหกรรมก้าวหน้าผสมผสาน” (Agricultural Industry City) 2. อําเภอเบตง จังหวัดยะลา เป็นเมืองต้นแบบการพัฒนาที่พึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน (Sustainable Development City) และ 3. อําเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส เป็นเมืองต้นแบบการค้าชายแดนระหว่างประเทศ (International Border City) โดยให้เพิ่มสิทธิประโยชน์สําหรับโครงการลงทุนใหม่ใน 3 พื้นที่ดังกล่าว ให้สูงกว่าสิทธิประโยชน์ของมาตรการส่งเสริมการลงทุนใน 4 จังหวัดภาคใต้ และ 4 อําเภอ ของสงขลา ได้แก่ หักค่าขนส่ง ค่าไฟฟ้า และ ค่าประปา 2 เท่า เป็นเวลา 20 ปี (เพิ่มจาก 15 ปีเป็น 20 ปี) ลดหย่อนอากรขาเข้า 90% สําหรับวัตถุดิบนําเข้ามาผลิต เพื่อจําหน่ายในประเทศเป็นเวลา 10 ปี (เพิ่มจาก 5 เป็น 10) ยกเว้นอากรขาเข้าวัตถุดิบและวัสดุจําเป็นสําหรับการผลิตเพื่อการส่งออก เป็นระยะเวลา 10 ปี (เพิ่มจาก 5 เป็น 10)
นอกจากนี้ยังให้เพิ่มประเภทกิจการที่ยกเลิกการส่งเสริมไปแล้ว แต่เปิดให้การส่งเสริมใหม่เฉพาะในพื้นที่ 3 อําเภอ ประกอบด้วย 1 กิจการผลิตอาหารสัตว์หรือส่วนผสมอาหารสัตว์ 2 กิจการผลิตวัสดุก่อสร้าง และกิจการผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงสําหรับงานสาธารณูปโภค (ยกเว้นการผลิตกระเบื้องมุงหลังคาเซรามิกส์และการผลิตกระเบื้องปูพื้นหรือผนัง) 3กิจการผลิตสิ่งปรุงแต่งสําหรับประทินร่างกาย เช่น สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน (ยกเว้นเครื่องสําอาง) 4 กิจการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกสําหรับสินค้าอุปโภค เช่น บรรจุภัณฑ์พลาสติก 5 กิจการผลิตสิ่งของจากเยื่อหรือกระดาษ เช่น กล่องกระดาษ 6 กิจการพัฒนาอาคารสําหรับโรงงานอุตสาหกรรม และ/หรือ คลังสินค้า
พร้อมทั้ง ที่ประชุมได้อนุมัติให้ส่งเสริมการลงทุนแก่กิจการในกลุ่มต่างๆ จํานวน 34 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 266,387.7 ล้านบาท ประกอบด้วย 1) กลุ่มเกษตร เงินลงทุนรวม 30, 478.6 ล้านบาท ใช้วัตถุดิบในประเทศปีละประมาณ 45,053 ล้านบาท 2) กลุ่มแร่ เซรามิกส์ และโลหะขั้นมูลฐาน 3) อุตสาหกรรมเบา 4) กลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง เงินลงทุนรวม 6,566.1 ล้านบาท ใช้วัตถุดิบในประเทศประมาณ 32,909.4 ล้านบาทต่อปี 5)กลุ่มเคมีภัณฑ์ พลาสติก และกระดาษ เงินลงทุนรวม 82,728.6 ล้านบาท ใช้วัตถุดิบในประเทศประมาณ 77,662.5 ล้านบาทต่อปี 6) กลุ่มกิจการบริการและสาธารณูปโภค เงินลงทุนรวม 134,787.32 ล้านบาท
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูล : ศูนย์บริการส่งเสริมการลงทุนคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/273
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เชิดชูเกียรติแก่คณะเยาวชนพิการไทย ที่คว้ารางวัลจากการแข่งขันด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในเวทีระดับสากล พร้อมยกย่องเป็นคนพิการต้นแบบของสังคม
|
วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน 2560
พม. เชิดชูเกียรติแก่คณะเยาวชนพิการไทย ที่คว้ารางวัลจากการแข่งขันด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในเวทีระดับสากล พร้อมยกย่องเป็นคนพิการต้นแบบของสังคม
พม. เชิดชูเกียรติแก่คณะเยาวชนพิการไทย ที่คว้ารางวัลจากการแข่งขันด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในเวทีระดับสากล พร้อมยกย่องเป็นคนพิการต้นแบบของสังคม
วันนี้ (23 พ.ย.60) เวลา 11.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานในพิธีเชิดชูเกียรติและให้โอวาทแก่เยาวชนพิการไทย ที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2560 (2017 Global IT Challenge for Youth with Disabilities) ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เมื่อวันที่ 18 - 22 กันยายน 2560 ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุม ชั้น 2 กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า ด้วยรัฐบาลมีนโยบายให้ความสําคัญกับการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะเยาวชนพิการ ซึ่งเป็นอนาคตของประเทศชาติและมีส่วนสําคัญในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ได้ผลักดันเยาวชนพิการไทยเข้าร่วมกิจกรรมและการแข่งขันทักษะด้านต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2560 ได้ส่งตัวแทนเยาวชนพิการเข้าร่วมการแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2560 (2017 Global IT Challenge for Youth with Disabilities) ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างวันที่ 18 - 22 กันยายน 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้เยาวชนพิการได้แสดงศักยภาพและทักษะ ความรู้ ความสามารถ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในเวทีการแข่งขันระดับสากล โดยมีตัวแทนเยาวชนพิการไทย จํานวน 8 คน เข้าร่วมในการแข่งขัน 4 ทักษะ ได้แก่ 1) e-Tool Challenge 2) e-Life Map Challenge 3) e-Design Challenge และ 4) e-Creative Challenge
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า สําหรับการเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ เยาวชนพิการไทยได้รับเหรียญรางวัลจํานวน 4 รางวัล ตามลําดับ ดังนี้ 1. เหรียญทอง 1 เหรียญ ประเภททีมในการแข่งขัน e-Creative Challenge ได้แก่ 1) นางสาวสุภาวดี มาเที่ยง พิการทางการได้ยินและสื่อความหมาย 2) นายสิรภพ เรียบสําเร็จ พิการทางการเห็น 3) นางสาวมุกรวี ปิ่นทอง พิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย และ 4) นายหิรัญ มณินทุ พิการทางสติปัญญา 2. เหรียญเงิน 1 เหรียญ ประเภทรายบุคคลในการแข่งขัน e-Tools Challenge จาก นางสาวมุกรวี ปิ่นทอง พิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย 3. เหรียญทองแดง 2 เหรียญ ประเภทรายบุคคลในการแข่งขัน e-Tools Challenge ได้แก่ 1) นายปณิธาน ภิธรรมา พิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย และ 2) นายวชิรวิทย์ ชมภิรมย์ พิการออทิสติก ทั้งนี้ นับว่าคณะเยาวชนพิการดังกล่าว ประสบความสําเร็จในการแข่งขันและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติในเวทีการแข่งขันระดับสากล ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงได้จัดพิธีเชิดชูเกียรติและให้โอวาทแก่เยาวชนพิการไทย ที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขันดังกล่าว โดยมีการมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ ใบประกาศนียบัตร และเสื้อสามารถ พร้อมเงินรางวัล นอกจากนี้ ยังมีการมอบเงินรางวัลชมเชยแก่เยาวชนพิการไทย จํานวน 2 คน ที่เข้าร่วมการแข่งขัน ได้แก่ 1) นางสาววชิราภรณ์ ทองจํานง พิการทางการได้ยินและสื่อความหมาย และ 2) นายณัชพล การวิวัฒน์ พิการทางการเห็น เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกําลังใจให้แก่คณะเยาวชนพิการไทย
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในนามของกระทรวง พม. ขอแสดงความยินดีกับคณะเยาวชนพิการไทยที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขันดังกล่าว และขอชื่นชมคณะเยาวชนพิการไทย คณะครูผู้ฝึกสอน และหน่วยงานสถานศึกษาที่เกี่ยวข้อง ในการแสดงศักยภาพจนประสบความสําเร็จในเวทีการแข่งขันระดับสากล ตนขอให้เยาวชนพิการไทยทุกคน มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีความมุ่งมั่นตั้งใจและความมานะพยายาม ในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยไม่นําความบกพร่องทางร่างกายมาเป็นอุปสรรค เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่คนพิการ รวมไปถึงทุกคนในสังคม ทั้งนี้ กระทรวง พม. พร้อมส่งเสริมและสนับสนุนในการสร้างโอกาส เกียรติ และกําลังใจให้แก่คนพิการทุกคน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เชิดชูเกียรติแก่คณะเยาวชนพิการไทย ที่คว้ารางวัลจากการแข่งขันด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในเวทีระดับสากล พร้อมยกย่องเป็นคนพิการต้นแบบของสังคม
วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน 2560
พม. เชิดชูเกียรติแก่คณะเยาวชนพิการไทย ที่คว้ารางวัลจากการแข่งขันด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในเวทีระดับสากล พร้อมยกย่องเป็นคนพิการต้นแบบของสังคม
พม. เชิดชูเกียรติแก่คณะเยาวชนพิการไทย ที่คว้ารางวัลจากการแข่งขันด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในเวทีระดับสากล พร้อมยกย่องเป็นคนพิการต้นแบบของสังคม
วันนี้ (23 พ.ย.60) เวลา 11.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานในพิธีเชิดชูเกียรติและให้โอวาทแก่เยาวชนพิการไทย ที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2560 (2017 Global IT Challenge for Youth with Disabilities) ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เมื่อวันที่ 18 - 22 กันยายน 2560 ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุม ชั้น 2 กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า ด้วยรัฐบาลมีนโยบายให้ความสําคัญกับการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะเยาวชนพิการ ซึ่งเป็นอนาคตของประเทศชาติและมีส่วนสําคัญในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ได้ผลักดันเยาวชนพิการไทยเข้าร่วมกิจกรรมและการแข่งขันทักษะด้านต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2560 ได้ส่งตัวแทนเยาวชนพิการเข้าร่วมการแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2560 (2017 Global IT Challenge for Youth with Disabilities) ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างวันที่ 18 - 22 กันยายน 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้เยาวชนพิการได้แสดงศักยภาพและทักษะ ความรู้ ความสามารถ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในเวทีการแข่งขันระดับสากล โดยมีตัวแทนเยาวชนพิการไทย จํานวน 8 คน เข้าร่วมในการแข่งขัน 4 ทักษะ ได้แก่ 1) e-Tool Challenge 2) e-Life Map Challenge 3) e-Design Challenge และ 4) e-Creative Challenge
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า สําหรับการเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ เยาวชนพิการไทยได้รับเหรียญรางวัลจํานวน 4 รางวัล ตามลําดับ ดังนี้ 1. เหรียญทอง 1 เหรียญ ประเภททีมในการแข่งขัน e-Creative Challenge ได้แก่ 1) นางสาวสุภาวดี มาเที่ยง พิการทางการได้ยินและสื่อความหมาย 2) นายสิรภพ เรียบสําเร็จ พิการทางการเห็น 3) นางสาวมุกรวี ปิ่นทอง พิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย และ 4) นายหิรัญ มณินทุ พิการทางสติปัญญา 2. เหรียญเงิน 1 เหรียญ ประเภทรายบุคคลในการแข่งขัน e-Tools Challenge จาก นางสาวมุกรวี ปิ่นทอง พิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย 3. เหรียญทองแดง 2 เหรียญ ประเภทรายบุคคลในการแข่งขัน e-Tools Challenge ได้แก่ 1) นายปณิธาน ภิธรรมา พิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย และ 2) นายวชิรวิทย์ ชมภิรมย์ พิการออทิสติก ทั้งนี้ นับว่าคณะเยาวชนพิการดังกล่าว ประสบความสําเร็จในการแข่งขันและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติในเวทีการแข่งขันระดับสากล ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงได้จัดพิธีเชิดชูเกียรติและให้โอวาทแก่เยาวชนพิการไทย ที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขันดังกล่าว โดยมีการมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ ใบประกาศนียบัตร และเสื้อสามารถ พร้อมเงินรางวัล นอกจากนี้ ยังมีการมอบเงินรางวัลชมเชยแก่เยาวชนพิการไทย จํานวน 2 คน ที่เข้าร่วมการแข่งขัน ได้แก่ 1) นางสาววชิราภรณ์ ทองจํานง พิการทางการได้ยินและสื่อความหมาย และ 2) นายณัชพล การวิวัฒน์ พิการทางการเห็น เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกําลังใจให้แก่คณะเยาวชนพิการไทย
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในนามของกระทรวง พม. ขอแสดงความยินดีกับคณะเยาวชนพิการไทยที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขันดังกล่าว และขอชื่นชมคณะเยาวชนพิการไทย คณะครูผู้ฝึกสอน และหน่วยงานสถานศึกษาที่เกี่ยวข้อง ในการแสดงศักยภาพจนประสบความสําเร็จในเวทีการแข่งขันระดับสากล ตนขอให้เยาวชนพิการไทยทุกคน มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีความมุ่งมั่นตั้งใจและความมานะพยายาม ในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยไม่นําความบกพร่องทางร่างกายมาเป็นอุปสรรค เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่คนพิการ รวมไปถึงทุกคนในสังคม ทั้งนี้ กระทรวง พม. พร้อมส่งเสริมและสนับสนุนในการสร้างโอกาส เกียรติ และกําลังใจให้แก่คนพิการทุกคน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8311
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเผย ร้านประชารัฐสุขใจได้รับความนิยมต่อเนื่อง รวมยอดขาย 1 ปีกว่า 30 ล้านบาท เตรียมแผนยกระดับธุรกิจผ่านระบบ E-commerce พร้อมเชิญชวนประชาชนเที่ยวงานผลไม้เมืองจันท์ 3-11 มิ.ย.นี้
|
วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2560
รัฐบาลเผย ร้านประชารัฐสุขใจได้รับความนิยมต่อเนื่อง รวมยอดขาย 1 ปีกว่า 30 ล้านบาท เตรียมแผนยกระดับธุรกิจผ่านระบบ E-commerce พร้อมเชิญชวนประชาชนเที่ยวงานผลไม้เมืองจันท์ 3-11 มิ.ย.นี้
รัฐบาลเผย ร้านประชารัฐสุขใจได้รับความนิยมต่อเนื่อง รวมยอดขาย 1 ปีกว่า 30 ล้านบาท เตรียมแผนยกระดับธุรกิจผ่านระบบ E-commerce พร้อมเชิญชวนประชาชนเที่ยวงานผลไม้เมืองจันท์ 3-11 มิ.ย.นี้
วันนี้ (28 พฤษภาคม 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่ารัฐบาลได้ดําเนินโครงการประชารัฐเพื่อวิสาหกิจชุมชน หรือร้านประชารัฐสุขใจ จํานวน 148 แห่งทั่วประเทศมาตั้งแต่เดือน เม.ย.59 เพื่อเป็นช่องทางจําหน่ายสินค้าโอท็อปของชุมชน และให้บริการข้อมูลการท่องเที่ยวในท้องถิ่น พบว่าได้รับความสนใจจากประชาชนจับจ่ายซื้อสินค้ามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 59 มียอดจําหน่ายตั้งแต่ เม.ย.-ธ.ค.รวมทั้งสิ้น 18,727,727.50 บาท เฉลี่ย 40,648.14 บาทต่อเดือน มีวิสาหกิจชุมชนได้รับประโยชน์กว่า 16,000 ชุมชน
“ส่วนในปีนี้เพียง 5 เดือน มียอดจําหน่ายรวมแล้วกว่า 12,290,000 บาท ตั้งเป้าทั้งปีสร้างรายได้ 50 ล้านบาท โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างมาก คือ อาหารแปรรูป ผักผลไม้ออแกนิค และของใช้ของฝากจากชุมชนแต่ละจังหวัด อย่างไรก็ตาม จากกรณีที่มีสื่อมวลชนนําเสนอข่าวร้านประชารัฐสุขใจใน กทม.ถูกปล่อยทิ้งโดยไม่เปิดจําหน่ายสินค้านั้น ความจริงรัฐบาลมุ่งหวังให้ประชาชนทั่วประเทศทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด มีโอกาสซื้อหาและจําหน่ายสินค้าของท้องถิ่นได้อย่างเท่าเทียมกัน
แต่จากการตรวจสอบพบว่า คน กทม.มีทางเลือกในการจับจ่ายซื้อสินค้ามากกว่าในต่างจังหวัด ทําให้บางร้านมียอดจําหน่ายน้อย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการย้ายไปยังที่ตั้งใหม่ เช่น จ.สมุทรสงคราม สมุทรสาคร นครปฐม สระบุรี รวมทั้งมีแผนจะยกระดับธุรกิจของร้านทั้งหมดโดยนําระบบขายหน้าร้าน (Point of Sale) มาช่วยในการเก็บข้อมูลการขายและการจ่ายเงิน และผลักดันสินค้าเข้าสู่ระบบตลาด E-commerce ให้ประชาชนสามารถสั่งซื้อสินค้าได้สะดวกมากยิ่งขึ้น”
โดยในเรื่องนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กําชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กรมการพัฒนาชุมชน ฯลฯ ให้ร่วมกันพิจารณาแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อชุมชน และชี้แจงทําความเข้าใจข้อเท็จจริงแก่สังคมอย่างต่อเนื่องด้วย
ทั้งนี้ ร้านประชารัฐสุขใจเป็นโครงการภายใต้มาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาล มีที่ตั้งอยู่ในปั๊ม ปตท.ในภาคเหนือ 34 แห่ง ภาคกลาง 36 แห่ง ภาคตะวันออก 14 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 37 แห่ง และภาคใต้ 27 แห่ง โดยแต่ละแห่งจะคัดสรรสินค้าโอท็อปเด่นของจังหวัด ทั้งอาหาร ผลผลิตทางการเกษตร สินค้าที่ระลึก ของใช้ของฝาก ของใช้ในครัวเรือนมาวางจําหน่าย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้เชิญชวนพี่น้องประชาชนช่วยกันสนับสนุนสินค้าไทย โดยเฉพาะผลไม้ที่มีคุณภาพดี รสชาติอร่อย ซึ่งมีปริมาณมากในขณะนี้ โดยระหว่างวันที่ 3-11 มิ.ย.60 จ.จันทบุรีกําหนดจัดงาน “มหานครผลไม้ภาคตะวันออก ประจําปี 2560” มีกิจกรรมการประกวดผลไม้ การจําหน่ายสินค้าโอท็อปของดีเมืองจันท์และสินค้าอุปโภคบริโภค มหกรรมบุฟเฟ่ผลไม้ นิทรรศการนวัตกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร ฯลฯ ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความสนใจจากทั้งชาวไทยและต่างประเทศจํานวนมาก
****************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเผย ร้านประชารัฐสุขใจได้รับความนิยมต่อเนื่อง รวมยอดขาย 1 ปีกว่า 30 ล้านบาท เตรียมแผนยกระดับธุรกิจผ่านระบบ E-commerce พร้อมเชิญชวนประชาชนเที่ยวงานผลไม้เมืองจันท์ 3-11 มิ.ย.นี้
วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2560
รัฐบาลเผย ร้านประชารัฐสุขใจได้รับความนิยมต่อเนื่อง รวมยอดขาย 1 ปีกว่า 30 ล้านบาท เตรียมแผนยกระดับธุรกิจผ่านระบบ E-commerce พร้อมเชิญชวนประชาชนเที่ยวงานผลไม้เมืองจันท์ 3-11 มิ.ย.นี้
รัฐบาลเผย ร้านประชารัฐสุขใจได้รับความนิยมต่อเนื่อง รวมยอดขาย 1 ปีกว่า 30 ล้านบาท เตรียมแผนยกระดับธุรกิจผ่านระบบ E-commerce พร้อมเชิญชวนประชาชนเที่ยวงานผลไม้เมืองจันท์ 3-11 มิ.ย.นี้
วันนี้ (28 พฤษภาคม 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่ารัฐบาลได้ดําเนินโครงการประชารัฐเพื่อวิสาหกิจชุมชน หรือร้านประชารัฐสุขใจ จํานวน 148 แห่งทั่วประเทศมาตั้งแต่เดือน เม.ย.59 เพื่อเป็นช่องทางจําหน่ายสินค้าโอท็อปของชุมชน และให้บริการข้อมูลการท่องเที่ยวในท้องถิ่น พบว่าได้รับความสนใจจากประชาชนจับจ่ายซื้อสินค้ามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 59 มียอดจําหน่ายตั้งแต่ เม.ย.-ธ.ค.รวมทั้งสิ้น 18,727,727.50 บาท เฉลี่ย 40,648.14 บาทต่อเดือน มีวิสาหกิจชุมชนได้รับประโยชน์กว่า 16,000 ชุมชน
“ส่วนในปีนี้เพียง 5 เดือน มียอดจําหน่ายรวมแล้วกว่า 12,290,000 บาท ตั้งเป้าทั้งปีสร้างรายได้ 50 ล้านบาท โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างมาก คือ อาหารแปรรูป ผักผลไม้ออแกนิค และของใช้ของฝากจากชุมชนแต่ละจังหวัด อย่างไรก็ตาม จากกรณีที่มีสื่อมวลชนนําเสนอข่าวร้านประชารัฐสุขใจใน กทม.ถูกปล่อยทิ้งโดยไม่เปิดจําหน่ายสินค้านั้น ความจริงรัฐบาลมุ่งหวังให้ประชาชนทั่วประเทศทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด มีโอกาสซื้อหาและจําหน่ายสินค้าของท้องถิ่นได้อย่างเท่าเทียมกัน
แต่จากการตรวจสอบพบว่า คน กทม.มีทางเลือกในการจับจ่ายซื้อสินค้ามากกว่าในต่างจังหวัด ทําให้บางร้านมียอดจําหน่ายน้อย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการย้ายไปยังที่ตั้งใหม่ เช่น จ.สมุทรสงคราม สมุทรสาคร นครปฐม สระบุรี รวมทั้งมีแผนจะยกระดับธุรกิจของร้านทั้งหมดโดยนําระบบขายหน้าร้าน (Point of Sale) มาช่วยในการเก็บข้อมูลการขายและการจ่ายเงิน และผลักดันสินค้าเข้าสู่ระบบตลาด E-commerce ให้ประชาชนสามารถสั่งซื้อสินค้าได้สะดวกมากยิ่งขึ้น”
โดยในเรื่องนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กําชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กรมการพัฒนาชุมชน ฯลฯ ให้ร่วมกันพิจารณาแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อชุมชน และชี้แจงทําความเข้าใจข้อเท็จจริงแก่สังคมอย่างต่อเนื่องด้วย
ทั้งนี้ ร้านประชารัฐสุขใจเป็นโครงการภายใต้มาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาล มีที่ตั้งอยู่ในปั๊ม ปตท.ในภาคเหนือ 34 แห่ง ภาคกลาง 36 แห่ง ภาคตะวันออก 14 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 37 แห่ง และภาคใต้ 27 แห่ง โดยแต่ละแห่งจะคัดสรรสินค้าโอท็อปเด่นของจังหวัด ทั้งอาหาร ผลผลิตทางการเกษตร สินค้าที่ระลึก ของใช้ของฝาก ของใช้ในครัวเรือนมาวางจําหน่าย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้เชิญชวนพี่น้องประชาชนช่วยกันสนับสนุนสินค้าไทย โดยเฉพาะผลไม้ที่มีคุณภาพดี รสชาติอร่อย ซึ่งมีปริมาณมากในขณะนี้ โดยระหว่างวันที่ 3-11 มิ.ย.60 จ.จันทบุรีกําหนดจัดงาน “มหานครผลไม้ภาคตะวันออก ประจําปี 2560” มีกิจกรรมการประกวดผลไม้ การจําหน่ายสินค้าโอท็อปของดีเมืองจันท์และสินค้าอุปโภคบริโภค มหกรรมบุฟเฟ่ผลไม้ นิทรรศการนวัตกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร ฯลฯ ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความสนใจจากทั้งชาวไทยและต่างประเทศจํานวนมาก
****************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4078
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องคมนตรี ตรวจเยี่ยม รพ.พระทองคำเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.นครราชสีมา
|
วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม 2562
องคมนตรี ตรวจเยี่ยม รพ.พระทองคําเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.นครราชสีมา
พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี ตรวจเยี่ยมให้กําลังใจการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลพระทองคําเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา และติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารที่ได้รับพระราชทานงบประมาณจากมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล
พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี ตรวจเยี่ยมให้กําลังใจการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลพระทองคําเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา และติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารที่ได้รับพระราชทานงบประมาณจากมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล
วันนี้ (16 สิงหาคม 2562) พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี พร้อมด้วยนายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 9 และคณะ ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลพระทองคําเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา ติดตามความก้าวหน้าการก่อสร้างอาคารระบบกรองน้ําประปา อาคารอบไอน้ําสมุนไพรและอุปกรณ์ และอาคารอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์แบบเรือนกระจก
นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 9 กล่าวว่า โรงพยาบาลพระทองคําเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ได้ดําเนินงานตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน อาทิ การปลูกผักสวนครัวสําหรับผู้ป่วยและชุมชน ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านอาหารของโรงพยาบาลได้ถึงร้อยละ 50 ปลูกพืชสมุนไพรใช้สําหรับงานแพทย์แผนไทย จัดตลาดนัดสีเขียว ส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ด้านการ ส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค ได้จัดโครงการ “โอบ ไออุ่น ทําความดีตามรอยพ่อของแผ่นดิน” โดยส่งมอบอุปกรณ์เครื่องใช้ในชีวิตประจําวันแก่ผู้ยากไร้ จัดสร้างบ้านให้ผู้ป่วยโดยความร่วมมือจากชุมชนปีละ 1 หลัง รวม 3 หลัง
นอกจากนี้ ได้ให้การดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังครบวงจร ทําให้ผู้ป่วยเบาหวานสามารถควบคุมระดับน้ําตาลได้ดี สูงที่สุดในจังหวัดนครราชสีมา มีการคัดกรองมะเร็งโดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ให้บริการโรคตาต้อกระจกโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เป็นโรงพยาบาล SMART Hospital บริการคิวออนไลน์ โดยจะพัฒนาให้ครบในทุกระบบ ขยายบริการเชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง ตา ไต และกายภาพบําบัด และได้ติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ เปลี่ยนหลอดไฟเป็นหลอด LED จัดทําระบบกระจายน้ําพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อประหยัดพลังงาน ป้องกันปัญหาภาวะวิกฤตการขาดแคลนน้ํา รวมทั้งได้ดําเนินการเพิ่มคุณภาพชีวิตแก่ผู้พิการและผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง โดยฝึกทักษะการดํารงชีวิตให้กับผู้มีปัญหาทางสายตา สอนการใช้ไม้เท้าขาวแก่คนตาบอด 175 ราย เป็นศูนย์บริการให้ยืมอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปใช้ที่บ้าน เช่น เตียง ที่นอนลม รถเข็นออกซิเจน บริการพาหมอไปหาผู้ป่วยให้การดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายในชุมชนพร้อมจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือ บริการหมอฟันเดินดินตรวจสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยที่บ้าน บริการแพทย์แผนไทยบริการฝังเข็มและครอบแก้วโดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว
นายแพทย์ณรงค์กล่าวต่อว่า สําหรับความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารที่ได้รับพระราชทานงบประมาณ 2562 จากมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล รวม 3 รายการ ได้แก่ อาคารอบไอน้ําสมุนไพรและอุปกรณ์ งบประมาณ 6.3 แสนบาท ดําเนินการแล้วเสร็จ พร้อมใช้งาน ส่วนอาคารระบบกรองน้ําประปา งบประมาณ 1 ล้านบาท และอาคารอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ งบประมาณ 4.99 แสนบาท กําหนดแล้วเสร็จในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2562
ทั้งนี้ โรงพยาบาลพระทองคําเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา เป็นโรงพยาบาลชุมชน 30 เตียง ให้บริการผู้ป่วยนอกเฉลี่ย 251 คนต่อวัน ผู้ป่วยในเฉลี่ย 26 คนต่อวัน โรคที่พบมาก 5 อันดับแรกของผู้ป่วยนอก ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคเยื่อจมูกและลําคออักเสบเฉียบพลัน โรคปวดกล้ามเนื้อและ อาหารไม่ย่อย โรคที่พบมาก 5 อันดับแรกของผู้ป่วยใน ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง ปอดบวม ไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ และโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง
************************* 16 สิงหาคม 2562
******************************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องคมนตรี ตรวจเยี่ยม รพ.พระทองคำเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.นครราชสีมา
วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม 2562
องคมนตรี ตรวจเยี่ยม รพ.พระทองคําเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.นครราชสีมา
พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี ตรวจเยี่ยมให้กําลังใจการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลพระทองคําเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา และติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารที่ได้รับพระราชทานงบประมาณจากมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล
พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี ตรวจเยี่ยมให้กําลังใจการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลพระทองคําเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา และติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารที่ได้รับพระราชทานงบประมาณจากมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล
วันนี้ (16 สิงหาคม 2562) พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี พร้อมด้วยนายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 9 และคณะ ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลพระทองคําเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา ติดตามความก้าวหน้าการก่อสร้างอาคารระบบกรองน้ําประปา อาคารอบไอน้ําสมุนไพรและอุปกรณ์ และอาคารอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์แบบเรือนกระจก
นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 9 กล่าวว่า โรงพยาบาลพระทองคําเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ได้ดําเนินงานตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน อาทิ การปลูกผักสวนครัวสําหรับผู้ป่วยและชุมชน ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านอาหารของโรงพยาบาลได้ถึงร้อยละ 50 ปลูกพืชสมุนไพรใช้สําหรับงานแพทย์แผนไทย จัดตลาดนัดสีเขียว ส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ด้านการ ส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค ได้จัดโครงการ “โอบ ไออุ่น ทําความดีตามรอยพ่อของแผ่นดิน” โดยส่งมอบอุปกรณ์เครื่องใช้ในชีวิตประจําวันแก่ผู้ยากไร้ จัดสร้างบ้านให้ผู้ป่วยโดยความร่วมมือจากชุมชนปีละ 1 หลัง รวม 3 หลัง
นอกจากนี้ ได้ให้การดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังครบวงจร ทําให้ผู้ป่วยเบาหวานสามารถควบคุมระดับน้ําตาลได้ดี สูงที่สุดในจังหวัดนครราชสีมา มีการคัดกรองมะเร็งโดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ให้บริการโรคตาต้อกระจกโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เป็นโรงพยาบาล SMART Hospital บริการคิวออนไลน์ โดยจะพัฒนาให้ครบในทุกระบบ ขยายบริการเชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง ตา ไต และกายภาพบําบัด และได้ติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ เปลี่ยนหลอดไฟเป็นหลอด LED จัดทําระบบกระจายน้ําพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อประหยัดพลังงาน ป้องกันปัญหาภาวะวิกฤตการขาดแคลนน้ํา รวมทั้งได้ดําเนินการเพิ่มคุณภาพชีวิตแก่ผู้พิการและผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง โดยฝึกทักษะการดํารงชีวิตให้กับผู้มีปัญหาทางสายตา สอนการใช้ไม้เท้าขาวแก่คนตาบอด 175 ราย เป็นศูนย์บริการให้ยืมอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปใช้ที่บ้าน เช่น เตียง ที่นอนลม รถเข็นออกซิเจน บริการพาหมอไปหาผู้ป่วยให้การดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายในชุมชนพร้อมจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือ บริการหมอฟันเดินดินตรวจสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยที่บ้าน บริการแพทย์แผนไทยบริการฝังเข็มและครอบแก้วโดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว
นายแพทย์ณรงค์กล่าวต่อว่า สําหรับความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารที่ได้รับพระราชทานงบประมาณ 2562 จากมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล รวม 3 รายการ ได้แก่ อาคารอบไอน้ําสมุนไพรและอุปกรณ์ งบประมาณ 6.3 แสนบาท ดําเนินการแล้วเสร็จ พร้อมใช้งาน ส่วนอาคารระบบกรองน้ําประปา งบประมาณ 1 ล้านบาท และอาคารอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ งบประมาณ 4.99 แสนบาท กําหนดแล้วเสร็จในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2562
ทั้งนี้ โรงพยาบาลพระทองคําเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา เป็นโรงพยาบาลชุมชน 30 เตียง ให้บริการผู้ป่วยนอกเฉลี่ย 251 คนต่อวัน ผู้ป่วยในเฉลี่ย 26 คนต่อวัน โรคที่พบมาก 5 อันดับแรกของผู้ป่วยนอก ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคเยื่อจมูกและลําคออักเสบเฉียบพลัน โรคปวดกล้ามเนื้อและ อาหารไม่ย่อย โรคที่พบมาก 5 อันดับแรกของผู้ป่วยใน ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง ปอดบวม ไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ และโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง
************************* 16 สิงหาคม 2562
******************************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22295
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เชิญชมนิทรรศการศิลปะแห่งศรัทธา “โพสพาญชลี”
|
วันพุธที่ 19 ธันวาคม 2561
ธ.ก.ส. เชิญชมนิทรรศการศิลปะแห่งศรัทธา “โพสพาญชลี”
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ เสด็จเป็นองค์ประธานในการเปิดนิทรรศการศิลปะแห่งศรัทธา “โพสพาญชลี” ในวันที่ 19 ธันวาคม 2561 จัดโดย ธ.ก.ส.
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ เสด็จเป็นองค์ประธานในการเปิดนิทรรศการศิลปะแห่งศรัทธา “โพสพาญชลี” ในวันที่ 19 ธันวาคม 2561 จัดโดย ธ.ก.ส. ไร่เชิญตะวัน และเรือนศิลป์ขัติยรัตน์ เพื่อเทิดคุณพระแม่โพสพศรีเทวนารีแห่งข้าว พบกับจิตรกรรมและประติมากรรมต้นแบบเมล็ดข้าว พร้อมเปิดให้เช่าบูชาเหรียญศิลปะมงคลพระแม่โพสพ เพื่อนํารายได้ไปสนับสนุนการดําเนินงานของโรงเรียนชาวนา จัดซื้อเครื่องมือแพทย์ให้โรงพยาบาลในถิ่นทุรกันดาร เปิดให้ชม ตั้งแต่วันที่ 19-28 ธันวาคม 2561 ณ หอศิลป์ ธ.ก.ส. สํานักงานใหญ่ บางเขน
ในวันที่ 19 ธันวาคม 2561 พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ทรงพระกรุณาเสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดนิทรรศการศิลปะแห่งศรัทธา “โพสพาญชลี” ซึ่ง ธ.ก.ส. ร่วมกับ ไร่เชิญตะวัน และเรือนศิลป์ขัติยรัตน์ จัดขึ้นเพื่อแสดงผลงานจิตรกรรมและประติมากรรมร่วม 40 ชิ้น ที่สะท้อนพลังแห่งความศรัทธาของเกษตรกรตลอดจนประชาชนชาวเอเชียอาคเนย์ที่มีต่อพระแม่โพสพ เทพีแห่งข้าว และเปิดให้ประชาชนที่สนใจเข้ารับชม ในระหว่างวันที่ 19-28 ธันวาคม 2561 เวลา 09.00 น. - 16.00 น. ณ หอศิลป์ ธ.ก.ส. สํานักงานใหญ่ บางเขน
นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า นับเป็นพระกรุณาต่อเกษตรกรและชาว ธ.ก.ส เป็นอย่างยิ่ง โดยการจัดนิทรรศการครั้งนี้ ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนทุนวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับพระแม่โพสพที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณธัญญาหารที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คน ทั้งมุมมองในด้านความคิด ความเชื่อ ความศรัทธา โดยได้รับความอนุเคราะห์จาก รศ.ดร.สุวัฒน์ แสนขัติยรัตน์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เป็นผู้ดําเนินโครงการและถ่ายทอดแรงบันดาลใจที่ได้จากงานวิจัยดังกล่าวมาสร้างสรรค์เป็นผลงานศิลปะ ทั้งประเภทจิตรกรรมและประติมากรรมในรูปแบบ “เมล็ดข้าว” สร้างด้วยวัสดุทองแดง สูง 3.5 เมตร ซึ่งผลงานที่นํามาจัดแสดงดังกล่าว จะนําไปติดตั้ง ณ ศูนย์เรียนรู้การเกษตรในพระดําริ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ “ซแรย์ อทิตยา” ต.เทนมีย์ อ.เมือง จ.สุรินทร์ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความเคารพศรัทธาและเป็นขวัญกําลังใจแก่ชาวนาไทยต่อไป
นอกจากนี้ยังได้เปิดให้ผู้สนใจร่วมบูชาเหรียญศิลปะมงคล โพสพาญชลี พระแม่โพสพ ยั่งยืน : มั่งมี ศรีสุข ซึ่งเป็นผลงานพุทธศิลป์ชิ้นสําคัญของ รศ.ดร.สุวัฒน์ แสนขัติยรัตน์ เพื่อจัดหาทุนสนับสนุนการดําเนินงานโรงเรียนชาวนาพุทธเศรษฐศาสตร์ สถานปฏิบัติธรรม ไร่เชิญตะวัน จังหวัดเชียงราย การจัดหาเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ มอบให้โรงพยาบาลที่ขาดแคลน และผู้ป่วยติดเตียงที่ยากไร้ในชนบท โดยเหรียญ “โพสพาญชลี” มีให้บูชา 5 ประเภท ได้แก่ เหรียญเนื้อทอง เหรียญเนื้อเงิน เหรียญเนื้อทองแดงรมดํา เหรียญเนื้อเงินพร้อมกรอบเข็มกลัดเงิน และเหรียญเนื้อทองแดงพร้อมกรอบเข็มกลัดทองแดง ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างบุญกุศล โดยสามารถเช่าบูชาได้ในบริเวณงานหรือที่ สมาคมสโมสรพนักงาน ธ.ก.ส.หมายเลขโทรศัพท์ 0-2558-6555 ต่อ 8950 – 8953 หรือที่เว็บไซต์ www.baacclub.me
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เชิญชมนิทรรศการศิลปะแห่งศรัทธา “โพสพาญชลี”
วันพุธที่ 19 ธันวาคม 2561
ธ.ก.ส. เชิญชมนิทรรศการศิลปะแห่งศรัทธา “โพสพาญชลี”
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ เสด็จเป็นองค์ประธานในการเปิดนิทรรศการศิลปะแห่งศรัทธา “โพสพาญชลี” ในวันที่ 19 ธันวาคม 2561 จัดโดย ธ.ก.ส.
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ เสด็จเป็นองค์ประธานในการเปิดนิทรรศการศิลปะแห่งศรัทธา “โพสพาญชลี” ในวันที่ 19 ธันวาคม 2561 จัดโดย ธ.ก.ส. ไร่เชิญตะวัน และเรือนศิลป์ขัติยรัตน์ เพื่อเทิดคุณพระแม่โพสพศรีเทวนารีแห่งข้าว พบกับจิตรกรรมและประติมากรรมต้นแบบเมล็ดข้าว พร้อมเปิดให้เช่าบูชาเหรียญศิลปะมงคลพระแม่โพสพ เพื่อนํารายได้ไปสนับสนุนการดําเนินงานของโรงเรียนชาวนา จัดซื้อเครื่องมือแพทย์ให้โรงพยาบาลในถิ่นทุรกันดาร เปิดให้ชม ตั้งแต่วันที่ 19-28 ธันวาคม 2561 ณ หอศิลป์ ธ.ก.ส. สํานักงานใหญ่ บางเขน
ในวันที่ 19 ธันวาคม 2561 พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ทรงพระกรุณาเสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดนิทรรศการศิลปะแห่งศรัทธา “โพสพาญชลี” ซึ่ง ธ.ก.ส. ร่วมกับ ไร่เชิญตะวัน และเรือนศิลป์ขัติยรัตน์ จัดขึ้นเพื่อแสดงผลงานจิตรกรรมและประติมากรรมร่วม 40 ชิ้น ที่สะท้อนพลังแห่งความศรัทธาของเกษตรกรตลอดจนประชาชนชาวเอเชียอาคเนย์ที่มีต่อพระแม่โพสพ เทพีแห่งข้าว และเปิดให้ประชาชนที่สนใจเข้ารับชม ในระหว่างวันที่ 19-28 ธันวาคม 2561 เวลา 09.00 น. - 16.00 น. ณ หอศิลป์ ธ.ก.ส. สํานักงานใหญ่ บางเขน
นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า นับเป็นพระกรุณาต่อเกษตรกรและชาว ธ.ก.ส เป็นอย่างยิ่ง โดยการจัดนิทรรศการครั้งนี้ ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนทุนวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับพระแม่โพสพที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณธัญญาหารที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คน ทั้งมุมมองในด้านความคิด ความเชื่อ ความศรัทธา โดยได้รับความอนุเคราะห์จาก รศ.ดร.สุวัฒน์ แสนขัติยรัตน์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เป็นผู้ดําเนินโครงการและถ่ายทอดแรงบันดาลใจที่ได้จากงานวิจัยดังกล่าวมาสร้างสรรค์เป็นผลงานศิลปะ ทั้งประเภทจิตรกรรมและประติมากรรมในรูปแบบ “เมล็ดข้าว” สร้างด้วยวัสดุทองแดง สูง 3.5 เมตร ซึ่งผลงานที่นํามาจัดแสดงดังกล่าว จะนําไปติดตั้ง ณ ศูนย์เรียนรู้การเกษตรในพระดําริ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ “ซแรย์ อทิตยา” ต.เทนมีย์ อ.เมือง จ.สุรินทร์ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความเคารพศรัทธาและเป็นขวัญกําลังใจแก่ชาวนาไทยต่อไป
นอกจากนี้ยังได้เปิดให้ผู้สนใจร่วมบูชาเหรียญศิลปะมงคล โพสพาญชลี พระแม่โพสพ ยั่งยืน : มั่งมี ศรีสุข ซึ่งเป็นผลงานพุทธศิลป์ชิ้นสําคัญของ รศ.ดร.สุวัฒน์ แสนขัติยรัตน์ เพื่อจัดหาทุนสนับสนุนการดําเนินงานโรงเรียนชาวนาพุทธเศรษฐศาสตร์ สถานปฏิบัติธรรม ไร่เชิญตะวัน จังหวัดเชียงราย การจัดหาเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ มอบให้โรงพยาบาลที่ขาดแคลน และผู้ป่วยติดเตียงที่ยากไร้ในชนบท โดยเหรียญ “โพสพาญชลี” มีให้บูชา 5 ประเภท ได้แก่ เหรียญเนื้อทอง เหรียญเนื้อเงิน เหรียญเนื้อทองแดงรมดํา เหรียญเนื้อเงินพร้อมกรอบเข็มกลัดเงิน และเหรียญเนื้อทองแดงพร้อมกรอบเข็มกลัดทองแดง ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างบุญกุศล โดยสามารถเช่าบูชาได้ในบริเวณงานหรือที่ สมาคมสโมสรพนักงาน ธ.ก.ส.หมายเลขโทรศัพท์ 0-2558-6555 ต่อ 8950 – 8953 หรือที่เว็บไซต์ www.baacclub.me
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17565
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งการปลัด ก.ทรัพย์ฯ ประชุมติดตามผลการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันรายวัน เน้นย้ำให้นำตัวผู้จุดไฟเผาป่ามาดำเนินคดีอย่างเคร่งครัด
|
วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2563
นายกรัฐมนตรีสั่งการปลัด ก.ทรัพย์ฯ ประชุมติดตามผลการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันรายวัน เน้นย้ําให้นําตัวผู้จุดไฟเผาป่ามาดําเนินคดีอย่างเคร่งครัด
นายกรัฐมนตรีสั่งการปลัด ก.ทรัพย์ฯ ประชุมติดตามผลการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันรายวัน เน้นย้ําให้นําตัวผู้จุดไฟเผาป่ามาดําเนินคดีอย่างเคร่งครัด
ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมห่วงใยสั่งการให้ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประชุมติดตามผลการดําเนินงานแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือประจําวัน เน้นย้ําให้ 17 จังหวัดภาคเหนือ และจังหวัดกาญจนบุรี เร่งจัดการปัญหาไฟป่าและการเผาอย่างเด็ดขาด โดยให้หน่วยงานต่างๆ บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ติดตามตัวผู้กระทําผิดมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้ และให้ดําเนินคดีอย่างเด็ดขาด ในกรณีที่จับกุมผู้กระทําความผิดได้แล้ว ให้เร่งส่งฟ้องและดําเนินคดีโดยเร็ว พร้อมทั้งให้ ผู้ว่าฯ แถลงข่าวการจับกุมและดําเนินคดี เพื่อเป็นการป้องปรามและเป็นตัวอย่างให้ประชาชนรับรู้ไม่กระทําความผิด
สําหรับสถานการณ์หมอกควันข้ามแดน โดยเฉพาะการพบแนวโน้มการเพิ่มสูงขึ้นของจุดความร้อน (Hotspot) ในเมียนมา และลาว นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ กรมควบคุมมลพิษ เร่งประสานงานกับทั้ง 2 ประเทศ เพื่อหารือการแก้ไขปัญหาแล้ว
ส่วนสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ ภาพรวมดีขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ยังมีจุดความร้อนจํานวนมากในเมียนมา ลาว และไทย ประกอบกับมีแนวปะทะของลมบริเวณภาคเหนือตอนบน ยังคงส่งผลให้ จังหวัดเชียงราย จังหวัดพะเยาจังหวัดแพร่ และจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีการสะสมของฝุ่นละออง PM2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง ระหว่าง 39-286 มคก./ลบ.ม.อยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงมีผลกระทบต่อสุขภาพ
โดยมีพื้นที่ ที่ฝุ่นละออง PM2.5 อยู่ในระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพ (สีแดง) ในพื้นที่ จังหวัดเชียงราย จังหวัดลําปาง จังหวัดลําพูน จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดน่าน จังหวัดแพร่ จังหวัดพะเยา จังหวัดตาก จังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดสุโขทัย จังหวัดกําแพงเพชร จังหวัดพิจิตร และจังหวัดพิษณุโลก ทั้งนี้ พบเฉลี่ย 24 ชั่วโมงสูงสุด 286 มคก./ลบ.ม. ที่ จังหวัดเชียงใหม่
------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งการปลัด ก.ทรัพย์ฯ ประชุมติดตามผลการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันรายวัน เน้นย้ำให้นำตัวผู้จุดไฟเผาป่ามาดำเนินคดีอย่างเคร่งครัด
วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2563
นายกรัฐมนตรีสั่งการปลัด ก.ทรัพย์ฯ ประชุมติดตามผลการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันรายวัน เน้นย้ําให้นําตัวผู้จุดไฟเผาป่ามาดําเนินคดีอย่างเคร่งครัด
นายกรัฐมนตรีสั่งการปลัด ก.ทรัพย์ฯ ประชุมติดตามผลการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันรายวัน เน้นย้ําให้นําตัวผู้จุดไฟเผาป่ามาดําเนินคดีอย่างเคร่งครัด
ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมห่วงใยสั่งการให้ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประชุมติดตามผลการดําเนินงานแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือประจําวัน เน้นย้ําให้ 17 จังหวัดภาคเหนือ และจังหวัดกาญจนบุรี เร่งจัดการปัญหาไฟป่าและการเผาอย่างเด็ดขาด โดยให้หน่วยงานต่างๆ บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ติดตามตัวผู้กระทําผิดมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้ และให้ดําเนินคดีอย่างเด็ดขาด ในกรณีที่จับกุมผู้กระทําความผิดได้แล้ว ให้เร่งส่งฟ้องและดําเนินคดีโดยเร็ว พร้อมทั้งให้ ผู้ว่าฯ แถลงข่าวการจับกุมและดําเนินคดี เพื่อเป็นการป้องปรามและเป็นตัวอย่างให้ประชาชนรับรู้ไม่กระทําความผิด
สําหรับสถานการณ์หมอกควันข้ามแดน โดยเฉพาะการพบแนวโน้มการเพิ่มสูงขึ้นของจุดความร้อน (Hotspot) ในเมียนมา และลาว นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ กรมควบคุมมลพิษ เร่งประสานงานกับทั้ง 2 ประเทศ เพื่อหารือการแก้ไขปัญหาแล้ว
ส่วนสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ ภาพรวมดีขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ยังมีจุดความร้อนจํานวนมากในเมียนมา ลาว และไทย ประกอบกับมีแนวปะทะของลมบริเวณภาคเหนือตอนบน ยังคงส่งผลให้ จังหวัดเชียงราย จังหวัดพะเยาจังหวัดแพร่ และจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีการสะสมของฝุ่นละออง PM2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง ระหว่าง 39-286 มคก./ลบ.ม.อยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงมีผลกระทบต่อสุขภาพ
โดยมีพื้นที่ ที่ฝุ่นละออง PM2.5 อยู่ในระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพ (สีแดง) ในพื้นที่ จังหวัดเชียงราย จังหวัดลําปาง จังหวัดลําพูน จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดน่าน จังหวัดแพร่ จังหวัดพะเยา จังหวัดตาก จังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดสุโขทัย จังหวัดกําแพงเพชร จังหวัดพิจิตร และจังหวัดพิษณุโลก ทั้งนี้ พบเฉลี่ย 24 ชั่วโมงสูงสุด 286 มคก./ลบ.ม. ที่ จังหวัดเชียงใหม่
------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28343
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐวิสาหกิจสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ตามเป้าหมายแม้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) [กระทรวงการคลัง]
|
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม 2563
รัฐวิสาหกิจสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ตามเป้าหมายแม้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) [กระทรวงการคลัง]
สคร. ได้ติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนในปี 2563 ของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง ที่ สคร. กํากับดูแลโดยตรงอย่างใกล้ชิด แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดของโรค COVID - 19 แต่ในภาพรวมรัฐวิสาหกิจยังสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดย ณ สิ้นเดือนเมษายน 2563
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า สคร. ได้ติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนในปี 2563 ของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง ที่ สคร. กํากับดูแลโดยตรงอย่างใกล้ชิด แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดของโรค COVID - 19 แต่ในภาพรวมรัฐวิสาหกิจยังสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดย ณ สิ้นเดือนเมษายน 2563 มีผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมจํานวน 89,134 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 101 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม ซึ่งรัฐวิสาหกิจสามารถเบิกจ่ายสะสมได้มากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยรัฐวิสาหกิจที่มีงบลงทุนขนาดใหญ่และสามารถเบิกจ่ายได้ตามเป้าหมายที่กําหนด ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) การประปาส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง
ผลการเบิกจ่ายสะสมของรัฐวิสาหกิจ 2563 ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2563
รัฐวิสาหกิจ เบิกจ่ายจริงสะสม (ล้านบาท) ร้อยละเบิกจ่ายจริงสะสม/แผนเบิกจ่ายสะสม
ปีงบประมาณ (ต.ค. 62 – ก.ย. 63)
จํานวน 34 แห่ง 55,640 98%
ปีปฏิทิน (ม.ค. 63 – ธ.ค. 63)
จํานวน 11 แห่ง 33,494 108%
รวม 45 แห่ง 89,134 101%
นางสาวปิยวรรณ ล่ามกิจจา รองผู้อํานวยการ สคร. รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง แบ่งเป็นการเบิกจ่ายของรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ 34 แห่ง จํานวน 55,640 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 98 ของแผนการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม 7 เดือน (ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – เมษายน 2563) และการเบิกจ่ายของรัฐวิสาหกิจปีปฏิทิน 11 แห่ง จํานวน 33,494 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 108 ของแผนการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม 4 เดือน (ตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน 2563) ทั้งนี้ มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สามารถเบิกจ่ายได้เกินกว่าเป้าหมาย เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม – มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต ของ รฟม. โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าภาคตะวันตกและภาคใต้เพื่อสร้างความมั่นคงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และแผนปรับปรุงและขยายระบบจําหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 12ปี 2560 – 2564 ของการไฟฟ้านครหลวง สําหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่เบิกจ่ายได้ต่ํากว่าเป้าหมาย เช่น โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ปีงบประมาณ 2554 – 2560) ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) และโครงการลงทุนโครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ตามแผนระบบรับส่งและโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อความมั่นคง (ระยะที่ 1 และ 2) และแผนระยะยาวพัฒนาอสังหาริมทรัพย์/อื่นๆ ของบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน)
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการ สคร. กล่าวสรุปว่า การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจณ สิ้นเดือนเมษายน 2563 ในภาพรวม รัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ยังคงสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ตามเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID - 19 ได้ส่งผลกระทบต่อโครงการลงทุนบางโครงการที่ต้องใช้บุคลากรและการนําเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศ รวมทั้งผู้รับเหมาไม่สามารถดําเนินการก่อสร้างได้อย่างต่อเนื่อง ทําให้ต้องปรับปรุงแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับการดําเนินงานจริงด้วย ทั้งนี้ กระทรวงการคลังโดย สคร. จะยังคงติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปี 2563 อย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถลงทุนโครงการต่างๆ ได้ตามเป้าหมาย รวมถึงช่วยผลักดันเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
http://www.sepo.go.th/news/1031
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐวิสาหกิจสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ตามเป้าหมายแม้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) [กระทรวงการคลัง]
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม 2563
รัฐวิสาหกิจสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ตามเป้าหมายแม้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) [กระทรวงการคลัง]
สคร. ได้ติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนในปี 2563 ของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง ที่ สคร. กํากับดูแลโดยตรงอย่างใกล้ชิด แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดของโรค COVID - 19 แต่ในภาพรวมรัฐวิสาหกิจยังสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดย ณ สิ้นเดือนเมษายน 2563
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า สคร. ได้ติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนในปี 2563 ของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง ที่ สคร. กํากับดูแลโดยตรงอย่างใกล้ชิด แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดของโรค COVID - 19 แต่ในภาพรวมรัฐวิสาหกิจยังสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดย ณ สิ้นเดือนเมษายน 2563 มีผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมจํานวน 89,134 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 101 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม ซึ่งรัฐวิสาหกิจสามารถเบิกจ่ายสะสมได้มากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยรัฐวิสาหกิจที่มีงบลงทุนขนาดใหญ่และสามารถเบิกจ่ายได้ตามเป้าหมายที่กําหนด ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) การประปาส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง
ผลการเบิกจ่ายสะสมของรัฐวิสาหกิจ 2563 ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2563
รัฐวิสาหกิจ เบิกจ่ายจริงสะสม (ล้านบาท) ร้อยละเบิกจ่ายจริงสะสม/แผนเบิกจ่ายสะสม
ปีงบประมาณ (ต.ค. 62 – ก.ย. 63)
จํานวน 34 แห่ง 55,640 98%
ปีปฏิทิน (ม.ค. 63 – ธ.ค. 63)
จํานวน 11 แห่ง 33,494 108%
รวม 45 แห่ง 89,134 101%
นางสาวปิยวรรณ ล่ามกิจจา รองผู้อํานวยการ สคร. รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง แบ่งเป็นการเบิกจ่ายของรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ 34 แห่ง จํานวน 55,640 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 98 ของแผนการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม 7 เดือน (ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – เมษายน 2563) และการเบิกจ่ายของรัฐวิสาหกิจปีปฏิทิน 11 แห่ง จํานวน 33,494 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 108 ของแผนการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม 4 เดือน (ตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน 2563) ทั้งนี้ มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สามารถเบิกจ่ายได้เกินกว่าเป้าหมาย เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม – มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต ของ รฟม. โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าภาคตะวันตกและภาคใต้เพื่อสร้างความมั่นคงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และแผนปรับปรุงและขยายระบบจําหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 12ปี 2560 – 2564 ของการไฟฟ้านครหลวง สําหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่เบิกจ่ายได้ต่ํากว่าเป้าหมาย เช่น โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ปีงบประมาณ 2554 – 2560) ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) และโครงการลงทุนโครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ตามแผนระบบรับส่งและโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อความมั่นคง (ระยะที่ 1 และ 2) และแผนระยะยาวพัฒนาอสังหาริมทรัพย์/อื่นๆ ของบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน)
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการ สคร. กล่าวสรุปว่า การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจณ สิ้นเดือนเมษายน 2563 ในภาพรวม รัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ยังคงสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ตามเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID - 19 ได้ส่งผลกระทบต่อโครงการลงทุนบางโครงการที่ต้องใช้บุคลากรและการนําเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศ รวมทั้งผู้รับเหมาไม่สามารถดําเนินการก่อสร้างได้อย่างต่อเนื่อง ทําให้ต้องปรับปรุงแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับการดําเนินงานจริงด้วย ทั้งนี้ กระทรวงการคลังโดย สคร. จะยังคงติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปี 2563 อย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถลงทุนโครงการต่างๆ ได้ตามเป้าหมาย รวมถึงช่วยผลักดันเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
http://www.sepo.go.th/news/1031
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31612
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. สนับสนุนการจัดกิจกรรมงานสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬบูชาและวันเข้าพรรษา ประจำปี 2560
|
วันอังคารที่ 4 กรกฎาคม 2560
นรม. สนับสนุนการจัดกิจกรรมงานสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬบูชาและวันเข้าพรรษา ประจําปี 2560
นรม. สนับสนุนการจัดกิจกรรมงานสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬบูชาและวันเข้าพรรษา ประจําปี 2560
วันนี้ (4 กรกฎาคม 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องโถงกลางชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นําคณะผู้บริหาร วธ. กรมการศาสนา (ศน.) องค์กรเครือข่ายพระพุทธศาสนา มาพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดกิจกรรมงานสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬบูชาและวันเข้าพรรษา ประจําปี พุทธศักราช 2560 ระหว่างวันที่ 3 - 9 กรกฎาคม 2560
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวรายงานว่า ในช่วงสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา ประจําปีพุทธศักราช 2560 ระหว่างวันที่ 3 - 9 กรกฎาคม 2560 โดยปีนี้ทางกระทรวงวัฒนธรรม และกรมการศาสนา ได้ร่วมกับหน่วยงานระดับกระทรวง 20 กระทรวง คณะสงฆ์ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายทางพระพุทธศาสนา ร่วมกันสืบทอดรักษาประเพณีอันดีงาม และสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืน โดยจะมีกิจกรรมในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ประกอบด้วย การจัดพิธีเจริญพระพุทธมนตร์ หล่อเทียนพรรษา ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพฯ และพิธีปล่อยขบวนรถแห่เทียนพรรษา 9 ต้น ในวันที่ 8 กรกฎาคม 2560 เวลา 8.00 น. ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เพื่อถวายพระอารามหลวง 9 พระอาราม คือ (1) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม (2) วัดบวรนิเวศวิหาร (3) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (4)วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม (5) วัดปทุมวนาราม (6) วัดสามพระยา (7) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ (8) วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม และ (9) วัดสุวรรณาราม
สําหรับกิจกรรมในส่วนภูมิภาค จะมีการจัดกิจกรรมสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลอาสาฬบูชาและเข้าพรรษา ณ วัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยจะมีการจัดงานอาสาฬหบูชาอาเซียนในจังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศ 16 จังหวัด เพื่อสานสัมพันธไมตรีในมิติพระพุทธศาสนา โดยน้อมนําหลักธรรมทางศาสนาไปประพฤติปฏิบัติและนําความเป็นวิถีถิ่น วิถีไทยและวัฒนธรรมไทย สู่วัฒนธรรมอาเซียนด้วย เชิญชวนให้พุทธศาสนิกชนแต่งกายด้วยชุดขาว รักษาศีล 5 ทั้งชุมชนหมู่บ้าน ตลอดเทศกาลอาสาฬบูชาและเข้าพรรษา
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวสนับสนุนการจัดงานกิจกรรมงานสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬบูชาและวันเข้าพรรษาประจําปี พุทธศักราช 2560 ดังกล่าวนี้ โดยขอให้พี่น้องประชาชนคนไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชนร่วมกันทําความดี เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา รักษาวัฒนธรรมไทย รักษาศีล ลด ละ เลิก อบายมุข ตลอดพรรษานี้ จากนั้น นายกรัฐมนตรี ร่วมรับฟังการขับร้องเพลงอาสาฬบูชาจากกลุ่มเด็กเยาวชนนักศึกษาจิตอาสา ชุมชนคุณธรรม พร้อมลงลายมือชื่อในบัตรอวยพรวันอาสาฬบูชา ประจําปี 2560 เพื่อส่งมอบความสุขและความเป็นสิริมงคลให้แก่พี่น้องประชาชน ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมเททองหล่อเทียนพรรษาเนื่องในเทศกาลวันเข้าพรรษา ถือว่าการหล่อเทียนพรรษาจะทําให้เป็นผู้มีปัญญาดีเจริญก้าวหน้า เสมือนดังแสงเทียนที่สว่างในยามค่ําคืน
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี เห็นด้วยกับโครงการลดบริโภคเค็ม (โซเดียม) ในประเทศไทย ของสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยเฉพาะอาหารที่ใช้ตักบาตรในช่วงเทศกาลวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา เห็นควรที่จะลดอาหารจําพวกโซเดียมลงให้ได้ครึ่งหนึ่ง เนื่องด้วยอาหารที่มีรสเค็มเป็นสาเหตุสําคัญที่ทําให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ซึ่งในปัจจุบันคนไทยมีพฤติกรรมการบริโภคเกลือ (โซเดียม) มีปริมาณสูง 2-3 เท่าของปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ดังนั้นทางโครงการลดบริโภคเค็ม (โซเดียม) ในประเทศไทย จึงเห็นควรสับสนุนการลดการกินเค็มลงครึ่งหนึ่ง เพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทยทุกคน
******************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. สนับสนุนการจัดกิจกรรมงานสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬบูชาและวันเข้าพรรษา ประจำปี 2560
วันอังคารที่ 4 กรกฎาคม 2560
นรม. สนับสนุนการจัดกิจกรรมงานสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬบูชาและวันเข้าพรรษา ประจําปี 2560
นรม. สนับสนุนการจัดกิจกรรมงานสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬบูชาและวันเข้าพรรษา ประจําปี 2560
วันนี้ (4 กรกฎาคม 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องโถงกลางชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นําคณะผู้บริหาร วธ. กรมการศาสนา (ศน.) องค์กรเครือข่ายพระพุทธศาสนา มาพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดกิจกรรมงานสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬบูชาและวันเข้าพรรษา ประจําปี พุทธศักราช 2560 ระหว่างวันที่ 3 - 9 กรกฎาคม 2560
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวรายงานว่า ในช่วงสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา ประจําปีพุทธศักราช 2560 ระหว่างวันที่ 3 - 9 กรกฎาคม 2560 โดยปีนี้ทางกระทรวงวัฒนธรรม และกรมการศาสนา ได้ร่วมกับหน่วยงานระดับกระทรวง 20 กระทรวง คณะสงฆ์ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายทางพระพุทธศาสนา ร่วมกันสืบทอดรักษาประเพณีอันดีงาม และสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืน โดยจะมีกิจกรรมในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ประกอบด้วย การจัดพิธีเจริญพระพุทธมนตร์ หล่อเทียนพรรษา ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพฯ และพิธีปล่อยขบวนรถแห่เทียนพรรษา 9 ต้น ในวันที่ 8 กรกฎาคม 2560 เวลา 8.00 น. ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เพื่อถวายพระอารามหลวง 9 พระอาราม คือ (1) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม (2) วัดบวรนิเวศวิหาร (3) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (4)วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม (5) วัดปทุมวนาราม (6) วัดสามพระยา (7) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ (8) วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม และ (9) วัดสุวรรณาราม
สําหรับกิจกรรมในส่วนภูมิภาค จะมีการจัดกิจกรรมสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลอาสาฬบูชาและเข้าพรรษา ณ วัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยจะมีการจัดงานอาสาฬหบูชาอาเซียนในจังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศ 16 จังหวัด เพื่อสานสัมพันธไมตรีในมิติพระพุทธศาสนา โดยน้อมนําหลักธรรมทางศาสนาไปประพฤติปฏิบัติและนําความเป็นวิถีถิ่น วิถีไทยและวัฒนธรรมไทย สู่วัฒนธรรมอาเซียนด้วย เชิญชวนให้พุทธศาสนิกชนแต่งกายด้วยชุดขาว รักษาศีล 5 ทั้งชุมชนหมู่บ้าน ตลอดเทศกาลอาสาฬบูชาและเข้าพรรษา
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวสนับสนุนการจัดงานกิจกรรมงานสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬบูชาและวันเข้าพรรษาประจําปี พุทธศักราช 2560 ดังกล่าวนี้ โดยขอให้พี่น้องประชาชนคนไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชนร่วมกันทําความดี เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา รักษาวัฒนธรรมไทย รักษาศีล ลด ละ เลิก อบายมุข ตลอดพรรษานี้ จากนั้น นายกรัฐมนตรี ร่วมรับฟังการขับร้องเพลงอาสาฬบูชาจากกลุ่มเด็กเยาวชนนักศึกษาจิตอาสา ชุมชนคุณธรรม พร้อมลงลายมือชื่อในบัตรอวยพรวันอาสาฬบูชา ประจําปี 2560 เพื่อส่งมอบความสุขและความเป็นสิริมงคลให้แก่พี่น้องประชาชน ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมเททองหล่อเทียนพรรษาเนื่องในเทศกาลวันเข้าพรรษา ถือว่าการหล่อเทียนพรรษาจะทําให้เป็นผู้มีปัญญาดีเจริญก้าวหน้า เสมือนดังแสงเทียนที่สว่างในยามค่ําคืน
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี เห็นด้วยกับโครงการลดบริโภคเค็ม (โซเดียม) ในประเทศไทย ของสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยเฉพาะอาหารที่ใช้ตักบาตรในช่วงเทศกาลวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา เห็นควรที่จะลดอาหารจําพวกโซเดียมลงให้ได้ครึ่งหนึ่ง เนื่องด้วยอาหารที่มีรสเค็มเป็นสาเหตุสําคัญที่ทําให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ซึ่งในปัจจุบันคนไทยมีพฤติกรรมการบริโภคเกลือ (โซเดียม) มีปริมาณสูง 2-3 เท่าของปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ดังนั้นทางโครงการลดบริโภคเค็ม (โซเดียม) ในประเทศไทย จึงเห็นควรสับสนุนการลดการกินเค็มลงครึ่งหนึ่ง เพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทยทุกคน
******************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4983
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบ "ชุดเครื่องอุปโภคบริโภค" ให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
|
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2563
สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบ "ชุดเครื่องอุปโภคบริโภค" ให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบ "ชุดเครื่องอุปโภคบริโภค" ให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ณ ห้องออกกําลังกาย ชั้น ๗ สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม
นางสาวรวิวรรณ์ ศรีวนาภิรมย์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานมอบ "ชุดเครื่องอุปโภคบริโภค" ให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบ
จากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ซึ่งปฏิบัติหน้าที่พนักงานทําความสะอาดส่วนกลาง ในสังกัดบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จํากัด
ซึ่งดูแลทําความสะอาดในบริเวณของ สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม จํานวน ๗ คน
ทั้งนี้ การจัดสรร "ชุดเครื่องอุปโภคบริโภค" ในส่วนงบประมาณ
จะมาจากเงินกองทุนสวัสดิการสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม
โดยทางสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม เล็งเห็นถึงความสําคัญ
และมีความห่วงใยบุคลากรและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์
การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19)
ซึ่งภายใน "ชุดเครื่องอุปโภคบริโภค" ๑ ชุด
ประกอบด้วย ข้าวสาร ๕ กิโลกรัม บะหมี่กึ่งสําเร็จรูป ๑๐ ซอง
ปลากระป๋อง ๕ กระป๋อง ผักกาดดอง ๖ กระป๋อง และหน้ากากอนามัยชนิดผ้า จํานวน ๑๐ ชิ้น
**********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบ "ชุดเครื่องอุปโภคบริโภค" ให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2563
สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบ "ชุดเครื่องอุปโภคบริโภค" ให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบ "ชุดเครื่องอุปโภคบริโภค" ให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ณ ห้องออกกําลังกาย ชั้น ๗ สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม
นางสาวรวิวรรณ์ ศรีวนาภิรมย์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานมอบ "ชุดเครื่องอุปโภคบริโภค" ให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบ
จากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ซึ่งปฏิบัติหน้าที่พนักงานทําความสะอาดส่วนกลาง ในสังกัดบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จํากัด
ซึ่งดูแลทําความสะอาดในบริเวณของ สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม จํานวน ๗ คน
ทั้งนี้ การจัดสรร "ชุดเครื่องอุปโภคบริโภค" ในส่วนงบประมาณ
จะมาจากเงินกองทุนสวัสดิการสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม
โดยทางสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม เล็งเห็นถึงความสําคัญ
และมีความห่วงใยบุคลากรและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์
การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19)
ซึ่งภายใน "ชุดเครื่องอุปโภคบริโภค" ๑ ชุด
ประกอบด้วย ข้าวสาร ๕ กิโลกรัม บะหมี่กึ่งสําเร็จรูป ๑๐ ซอง
ปลากระป๋อง ๕ กระป๋อง ผักกาดดอง ๖ กระป๋อง และหน้ากากอนามัยชนิดผ้า จํานวน ๑๐ ชิ้น
**********************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31121
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. รุกประกันภัยก้าวสู่นิวนอร์มัล เตรียมเปิดตัว “กูรูประกันภัย” ให้ประชาชนสืบค้น และเปรียบเทียบแบบประกันภัย ก่อนซื้อประกันออนไลน์ ดีเดย์เปิดระบบฯ 30 ก.ค.นี้
|
วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2563
คปภ. รุกประกันภัยก้าวสู่นิวนอร์มัล เตรียมเปิดตัว “กูรูประกันภัย” ให้ประชาชนสืบค้น และเปรียบเทียบแบบประกันภัย ก่อนซื้อประกันออนไลน์ ดีเดย์เปิดระบบฯ 30 ก.ค.นี้
“การพัฒนาระบบ “กูรูประกันภัย” นี้ ประชาชนสามารถเข้าใช้งานได้ ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนได้รับประโยชน์และเกิดความเชื่อมั่นในการทําธุรกรรมประกันภัยผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันสังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ทําให้เกิดโอกาสในการเข้าถึงผู้ทําประกันภัย และมีการทําธุรกรรมด้านการประกันภัยผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งการที่จะเลือกซื้อกรมธรรม์ประกันภัยให้เหมาะสมและตรงกับความต้องการของตนเอง ผู้เอาประกันภัยจึงควรต้องศึกษาเงื่อนไขความคุ้มครอง เงื่อนไขการรับประกันภัย และข้อยกเว้นต่างๆ ให้เข้าใจถูกต้องตรงกับแบบของกรมธรรม์ประกันภัยก่อนการตัดสินใจ ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนมีแหล่งข้อมูลในการพิจารณาตัดสินใจและมีระบบการสืบค้นที่มีประสิทธิภาพ สํานักงาน คปภ. จึงได้ออกประกาศ เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับกรมธรรม์ประกันภัยที่เสนอขายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ สําหรับบริษัทประกันชีวิต/บริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ.2563 เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2563 เพื่อให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับกรมธรรม์ประกันภัยที่เสนอขายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ลงในระบบเว็บไซต์ของสํานักงาน https://guruprakanphai.oic.or.th ตามรูปแบบและวิธีการที่กําหนดไว้ในประกาศให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ประกาศฉบับนี้มีผลบังคับ
โดยการดําเนินงานตามประกาศฉบับดังกล่าว จะช่วยให้ประชาชนมีแหล่งสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับกรมธรรม์ประกันภัย และสามารถเปรียบเทียบข้อมูลของแบบการประกันชีวิต การประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล และการประกันภัยอุบัติเหตุการเดินทางเช่น เงื่อนไขความคุ้มครอง การจ่ายเงินผลประโยชน์ อัตราเบี้ยประกันภัย ข้อยกเว้น เงื่อนไขที่สําคัญของกรมธรรม์ประกันภัย และเงื่อนไขการรับประกันภัยของแต่ละบริษัท เป็นต้น ซึ่งข้อมูลดังกล่าว จะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาในการตัดสินใจทําประกันภัยของประชาชน กรณีมีการเสนอขายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยสามารถสืบค้นข้อมูลผ่านเว็บไซด์ สํานักงาน คปภ. https://guruprakanphai.oic.or.th หรือเรียกว่า “กูรูประกันภัย” ในหัวข้อ “ค้นหาแบบประกันภัย” และ หัวข้อ “เปรียบเทียบแบบประกันภัย” ซึ่งเป็นระบบสืบค้นที่สามารถให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยและข้อมูลการทําธุรกรรมประกันภัยทางอิเล็กทรอนิกส์อย่างไรให้ปลอดภัย อันจะเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงระบบประกันภัยของประชาชน
นอกจากนี้ สํานักงาน คปภ. ยังได้มีการพัฒนาระบบตรวจสอบการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการที่เสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ผู้เอาประกันภัยสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบการที่ได้รับเห็นชอบจากนายทะเบียนให้มีการเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยผ่านระบบดังกล่าวเช่นเดียวกัน
“การพัฒนาระบบ “กูรูประกันภัย” นี้ ประชาชนสามารถเข้าใช้งานได้ ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนได้รับประโยชน์และเกิดความเชื่อมั่นในการทําธุรกรรมประกันภัยผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ และในขณะเดียวกันก็จะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไกทางการตลาดและพัฒนาช่องทางการเสนอขายของบริษัทประกันภัยแต่ละรายให้มีประสิทธิภาพ มีต้นทุนที่เหมาะสม สามารถแข่งขันได้ในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปในโลกไร้พรมแดน” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. รุกประกันภัยก้าวสู่นิวนอร์มัล เตรียมเปิดตัว “กูรูประกันภัย” ให้ประชาชนสืบค้น และเปรียบเทียบแบบประกันภัย ก่อนซื้อประกันออนไลน์ ดีเดย์เปิดระบบฯ 30 ก.ค.นี้
วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2563
คปภ. รุกประกันภัยก้าวสู่นิวนอร์มัล เตรียมเปิดตัว “กูรูประกันภัย” ให้ประชาชนสืบค้น และเปรียบเทียบแบบประกันภัย ก่อนซื้อประกันออนไลน์ ดีเดย์เปิดระบบฯ 30 ก.ค.นี้
“การพัฒนาระบบ “กูรูประกันภัย” นี้ ประชาชนสามารถเข้าใช้งานได้ ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนได้รับประโยชน์และเกิดความเชื่อมั่นในการทําธุรกรรมประกันภัยผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันสังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ทําให้เกิดโอกาสในการเข้าถึงผู้ทําประกันภัย และมีการทําธุรกรรมด้านการประกันภัยผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งการที่จะเลือกซื้อกรมธรรม์ประกันภัยให้เหมาะสมและตรงกับความต้องการของตนเอง ผู้เอาประกันภัยจึงควรต้องศึกษาเงื่อนไขความคุ้มครอง เงื่อนไขการรับประกันภัย และข้อยกเว้นต่างๆ ให้เข้าใจถูกต้องตรงกับแบบของกรมธรรม์ประกันภัยก่อนการตัดสินใจ ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนมีแหล่งข้อมูลในการพิจารณาตัดสินใจและมีระบบการสืบค้นที่มีประสิทธิภาพ สํานักงาน คปภ. จึงได้ออกประกาศ เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับกรมธรรม์ประกันภัยที่เสนอขายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ สําหรับบริษัทประกันชีวิต/บริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ.2563 เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2563 เพื่อให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับกรมธรรม์ประกันภัยที่เสนอขายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ลงในระบบเว็บไซต์ของสํานักงาน https://guruprakanphai.oic.or.th ตามรูปแบบและวิธีการที่กําหนดไว้ในประกาศให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ประกาศฉบับนี้มีผลบังคับ
โดยการดําเนินงานตามประกาศฉบับดังกล่าว จะช่วยให้ประชาชนมีแหล่งสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับกรมธรรม์ประกันภัย และสามารถเปรียบเทียบข้อมูลของแบบการประกันชีวิต การประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล และการประกันภัยอุบัติเหตุการเดินทางเช่น เงื่อนไขความคุ้มครอง การจ่ายเงินผลประโยชน์ อัตราเบี้ยประกันภัย ข้อยกเว้น เงื่อนไขที่สําคัญของกรมธรรม์ประกันภัย และเงื่อนไขการรับประกันภัยของแต่ละบริษัท เป็นต้น ซึ่งข้อมูลดังกล่าว จะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาในการตัดสินใจทําประกันภัยของประชาชน กรณีมีการเสนอขายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยสามารถสืบค้นข้อมูลผ่านเว็บไซด์ สํานักงาน คปภ. https://guruprakanphai.oic.or.th หรือเรียกว่า “กูรูประกันภัย” ในหัวข้อ “ค้นหาแบบประกันภัย” และ หัวข้อ “เปรียบเทียบแบบประกันภัย” ซึ่งเป็นระบบสืบค้นที่สามารถให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยและข้อมูลการทําธุรกรรมประกันภัยทางอิเล็กทรอนิกส์อย่างไรให้ปลอดภัย อันจะเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงระบบประกันภัยของประชาชน
นอกจากนี้ สํานักงาน คปภ. ยังได้มีการพัฒนาระบบตรวจสอบการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการที่เสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ผู้เอาประกันภัยสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบการที่ได้รับเห็นชอบจากนายทะเบียนให้มีการเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยผ่านระบบดังกล่าวเช่นเดียวกัน
“การพัฒนาระบบ “กูรูประกันภัย” นี้ ประชาชนสามารถเข้าใช้งานได้ ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนได้รับประโยชน์และเกิดความเชื่อมั่นในการทําธุรกรรมประกันภัยผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ และในขณะเดียวกันก็จะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไกทางการตลาดและพัฒนาช่องทางการเสนอขายของบริษัทประกันภัยแต่ละรายให้มีประสิทธิภาพ มีต้นทุนที่เหมาะสม สามารถแข่งขันได้ในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปในโลกไร้พรมแดน” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32587
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.รับทราบการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
|
วันอังคารที่ 30 มกราคม 2561
ครม.รับทราบการกําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการกําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินการตามมาตรการเพื่อลดผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ําต่อไป
วันนี้ (30 ม.ค. 61 ) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ชั้น 5 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการกําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา ตามมติคณะกรรมการค่าจ้าง (ชุดที่ 19) ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น) ดําเนินการตามมาตรการเพื่อลดผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ําต่อไป
ทั้งนี้ คณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 19 ได้ดําเนินการกําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา ปี 2561 โดยได้มีการศึกษาข้อมูลตามหลักเกณฑ์ที่กําหนด และได้มีการกําหนดสูตรคํานวณอัตราค่าจ้างขั้นต่ําที่เหมาะสมสําหรับประเทศไทย โดยเทียบเคียงกับสูตรการคํานวณอัตราค่าจ้างขั้นต่ําของต่างประเทศ เช่น ฝรั่งเศส มาเลเซีย บราซิล และคอสตาริกา ซึ่งองค์การแรงงานระหว่างประเทศ(International Labour Organization : ILO) ยอมรับว่าเป็นสูตรคํานวณอัตราค่าจ้างขั้นต่ําที่สามารถดูแลคุณภาพชีวิตของลูกจ้างได้
การขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา ปี 2561มีดังนี้
อัตราค่าจ้างขั้นต่ํา
(บาท/วัน)
จํานวน
(จังหวัด)
จังหวัด
นราธิวาส ปัตตานี และยะลา
กําแพงเพชร ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย ตรัง ตาก นครศรีธรรมราข พิจิตร แพร่ มหาสารคาม แม่ฮ่องสอน ระนอง ราชบุรี ลําปาง ลําพูน ศรีสะเกษ สตูล สิงห์บุรี สุโขทัย หนองบัวลําภู อํานาจเจริญ และอุทัยธานี
กาญจนบุรี ชัยนาท นครพนม นครสวรรค์ น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ พะเยา พัทลุง พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ยโสธร ร้อยเอ็ด เลย สระแก้ว สุรินทร์ อ่างทอง อุดรธานี และอุตรดิตถ์
กาฬสินธุ์ จันทบุรี นครนายก ปราจีนบุรี มุกดาหาร สกลนคร และสมุทรสาคร
กระบี่ ขอนแก่น เชียงใหม่ ตราด นครราขสีมา พระนครศรีอยุธยา พังงา ลพบุรี สงขลา สระบุรี สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี หนองคาย และอุบลราชธานี
กรุงเทพมหานครฉะเชิงเทรา นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร
ชลบุรี ภูเก็ต และระยอง
โดยให้มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 เป็นต้นไป
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.รับทราบการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
วันอังคารที่ 30 มกราคม 2561
ครม.รับทราบการกําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการกําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินการตามมาตรการเพื่อลดผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ําต่อไป
วันนี้ (30 ม.ค. 61 ) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ชั้น 5 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการกําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา ตามมติคณะกรรมการค่าจ้าง (ชุดที่ 19) ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น) ดําเนินการตามมาตรการเพื่อลดผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ําต่อไป
ทั้งนี้ คณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 19 ได้ดําเนินการกําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา ปี 2561 โดยได้มีการศึกษาข้อมูลตามหลักเกณฑ์ที่กําหนด และได้มีการกําหนดสูตรคํานวณอัตราค่าจ้างขั้นต่ําที่เหมาะสมสําหรับประเทศไทย โดยเทียบเคียงกับสูตรการคํานวณอัตราค่าจ้างขั้นต่ําของต่างประเทศ เช่น ฝรั่งเศส มาเลเซีย บราซิล และคอสตาริกา ซึ่งองค์การแรงงานระหว่างประเทศ(International Labour Organization : ILO) ยอมรับว่าเป็นสูตรคํานวณอัตราค่าจ้างขั้นต่ําที่สามารถดูแลคุณภาพชีวิตของลูกจ้างได้
การขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา ปี 2561มีดังนี้
อัตราค่าจ้างขั้นต่ํา
(บาท/วัน)
จํานวน
(จังหวัด)
จังหวัด
นราธิวาส ปัตตานี และยะลา
กําแพงเพชร ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย ตรัง ตาก นครศรีธรรมราข พิจิตร แพร่ มหาสารคาม แม่ฮ่องสอน ระนอง ราชบุรี ลําปาง ลําพูน ศรีสะเกษ สตูล สิงห์บุรี สุโขทัย หนองบัวลําภู อํานาจเจริญ และอุทัยธานี
กาญจนบุรี ชัยนาท นครพนม นครสวรรค์ น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ พะเยา พัทลุง พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ยโสธร ร้อยเอ็ด เลย สระแก้ว สุรินทร์ อ่างทอง อุดรธานี และอุตรดิตถ์
กาฬสินธุ์ จันทบุรี นครนายก ปราจีนบุรี มุกดาหาร สกลนคร และสมุทรสาคร
กระบี่ ขอนแก่น เชียงใหม่ ตราด นครราขสีมา พระนครศรีอยุธยา พังงา ลพบุรี สงขลา สระบุรี สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี หนองคาย และอุบลราชธานี
กรุงเทพมหานครฉะเชิงเทรา นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร
ชลบุรี ภูเก็ต และระยอง
โดยให้มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 เป็นต้นไป
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9714
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ร่วมประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 19 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์
|
วันพุธที่ 21 มีนาคม 2561
รมว.พม. ร่วมประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 19 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์
รมว.พม. ร่วมประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 19 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์
วันนี้ (21 มี.ค. 61) เวลา 09.00 น.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 19 (19th ASCC Council Meeting) พร้อมเป็นรองประธานการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนปี 2561 โดยมี นางสาวอุษณี กังวารจิตต์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รักษาการแทนรองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) ผู้แทนกระทรวง พม. และผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมประชุม ณ โรงแรมสวิสโซเทล สาธารณรัฐสิงคโปร์
สําหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 19 (19th ASCC Council Meeting) ในช่วงเช้าเป็นการหารืออย่างไม่เป็นทางการ เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและข้อคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นในเชิงกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมแห่งการป้องกัน รวมถึงการผลักดันในการนําปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยวัฒนธรรมการป้องกัน เพื่อมุ่งไปสู่สังคมที่มีสันติสุข ไม่แบ่งแยก มีภูมิคุ้มกัน สุขภาพดี และมีความกลมเกลียว โดยประเทศไทยได้เสนอให้มีการดําเนินการในลักษณะหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน (พีพีพี หรือประชารัฐ) ในการส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งการป้องกัน และควรมีการพัฒนาในระดับประเทศเพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการบูรณาการวัฒนธรรมแห่งการป้องกันไว้ในนโยบายและแผนงานของกระทรวงและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
จากนั้น จึงดําเนินการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 19 อย่างเป็นทางการ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้กล่าวแสดงความยินดีต่อสิงคโปร์สําหรับ การดํารงตําแหน่งประธานคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนปี 2561 และมั่นใจว่าภายใต้การนําและแนวทางของสิงคโปร์จะทําให้ภารกิจการขับเคลื่อนแผนงานหลักในปีนี้สามารถบรรลุผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งประเทศไทยมีความยินดีที่ได้รับทราบรายงานของประธานการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสสําหรับคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (SOCA Chair) เกี่ยวกับแผนงานหลักประจําปี 2561 ภายใต้การเป็นประธานอาเซียนของสาธารณรัฐสิงคโปร์ ตลอดจนความก้าวหน้าเกี่ยวกับการจัดทําเอกสารผลลัพธ์สําคัญที่จะมีการเสนอต่อการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 32 และครั้งที่ 33 ตามลําดับ
การดําเนินงานในอนาคต ประเทศไทยมีความเห็นว่าอาเซียนต้องเป็นประชาคมที่สามารถตอบสนองต่อ ความต้องการของประชาชนอาเซียนได้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยควรให้ความสําคัญกับ 3 ประเด็น ได้แก่ 1) อาเซียนต้องให้ความสําคัญกับการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออํานวยและครอบคลุมสําหรับทุกคน ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการของคนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับฐานราก 2) การแปลงข้อตกลงร่วมกันไปสู่ความเป็นจริง โดยการนําตราสารอาเซียนต่างๆ ไปสู่การปฏิบัติในระดับประเทศ ทั้งนี้ จะต้องได้รับการมี ส่วนร่วมที่เข้มแข็งจากประชาชนและมีการนําข้อคิดเห็นและข้อกังวลของประชาชนมาประกอบการดําเนินงานด้วย และ 3) ประเทศไทยมีความเชื่อมั่นว่า ประเด็นและข้อท้าทายร่วมจําเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากองค์กรเฉพาะสาขาทั้งภายในและภายนอกประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ดังนั้น จึงควรให้มีการพัฒนากลไกที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือและการประสานงานระหว่างสาขาและระหว่าง เสาหลักอาเซียน เพื่อให้สามารถจัดการกับประเด็นและข้อท้าทายร่วมต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ภายใต้อุดมการณ์ดังกล่าว
ทั้งนี้ การประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASCC Council Meeting) ครั้งต่อไป ที่ประชุมได้กําหนดจะจัดขึ้นในวันที่ 3 ตุลาคม 2561 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้ยืนยันเจตจํานง ที่แน่วแน่ในการร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างประชาคมอาเซียนที่มีสันติภาพ เสรีภาพ และความเจริญรุ่งเรืองต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ร่วมประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 19 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์
วันพุธที่ 21 มีนาคม 2561
รมว.พม. ร่วมประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 19 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์
รมว.พม. ร่วมประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 19 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์
วันนี้ (21 มี.ค. 61) เวลา 09.00 น.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 19 (19th ASCC Council Meeting) พร้อมเป็นรองประธานการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนปี 2561 โดยมี นางสาวอุษณี กังวารจิตต์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รักษาการแทนรองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) ผู้แทนกระทรวง พม. และผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมประชุม ณ โรงแรมสวิสโซเทล สาธารณรัฐสิงคโปร์
สําหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 19 (19th ASCC Council Meeting) ในช่วงเช้าเป็นการหารืออย่างไม่เป็นทางการ เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและข้อคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นในเชิงกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมแห่งการป้องกัน รวมถึงการผลักดันในการนําปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยวัฒนธรรมการป้องกัน เพื่อมุ่งไปสู่สังคมที่มีสันติสุข ไม่แบ่งแยก มีภูมิคุ้มกัน สุขภาพดี และมีความกลมเกลียว โดยประเทศไทยได้เสนอให้มีการดําเนินการในลักษณะหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน (พีพีพี หรือประชารัฐ) ในการส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งการป้องกัน และควรมีการพัฒนาในระดับประเทศเพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการบูรณาการวัฒนธรรมแห่งการป้องกันไว้ในนโยบายและแผนงานของกระทรวงและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
จากนั้น จึงดําเนินการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 19 อย่างเป็นทางการ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้กล่าวแสดงความยินดีต่อสิงคโปร์สําหรับ การดํารงตําแหน่งประธานคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนปี 2561 และมั่นใจว่าภายใต้การนําและแนวทางของสิงคโปร์จะทําให้ภารกิจการขับเคลื่อนแผนงานหลักในปีนี้สามารถบรรลุผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งประเทศไทยมีความยินดีที่ได้รับทราบรายงานของประธานการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสสําหรับคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (SOCA Chair) เกี่ยวกับแผนงานหลักประจําปี 2561 ภายใต้การเป็นประธานอาเซียนของสาธารณรัฐสิงคโปร์ ตลอดจนความก้าวหน้าเกี่ยวกับการจัดทําเอกสารผลลัพธ์สําคัญที่จะมีการเสนอต่อการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 32 และครั้งที่ 33 ตามลําดับ
การดําเนินงานในอนาคต ประเทศไทยมีความเห็นว่าอาเซียนต้องเป็นประชาคมที่สามารถตอบสนองต่อ ความต้องการของประชาชนอาเซียนได้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยควรให้ความสําคัญกับ 3 ประเด็น ได้แก่ 1) อาเซียนต้องให้ความสําคัญกับการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออํานวยและครอบคลุมสําหรับทุกคน ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการของคนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับฐานราก 2) การแปลงข้อตกลงร่วมกันไปสู่ความเป็นจริง โดยการนําตราสารอาเซียนต่างๆ ไปสู่การปฏิบัติในระดับประเทศ ทั้งนี้ จะต้องได้รับการมี ส่วนร่วมที่เข้มแข็งจากประชาชนและมีการนําข้อคิดเห็นและข้อกังวลของประชาชนมาประกอบการดําเนินงานด้วย และ 3) ประเทศไทยมีความเชื่อมั่นว่า ประเด็นและข้อท้าทายร่วมจําเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากองค์กรเฉพาะสาขาทั้งภายในและภายนอกประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ดังนั้น จึงควรให้มีการพัฒนากลไกที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือและการประสานงานระหว่างสาขาและระหว่าง เสาหลักอาเซียน เพื่อให้สามารถจัดการกับประเด็นและข้อท้าทายร่วมต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ภายใต้อุดมการณ์ดังกล่าว
ทั้งนี้ การประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASCC Council Meeting) ครั้งต่อไป ที่ประชุมได้กําหนดจะจัดขึ้นในวันที่ 3 ตุลาคม 2561 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้ยืนยันเจตจํานง ที่แน่วแน่ในการร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างประชาคมอาเซียนที่มีสันติภาพ เสรีภาพ และความเจริญรุ่งเรืองต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10944
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. เผยความก้าวหน้าโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ทุกขั้นตอนต้องโปร่งใส เน้นการมีส่วนร่วมแบบประชารัฐ
|
วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561
มท. เผยความก้าวหน้าโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ทุกขั้นตอนต้องโปร่งใส เน้นการมีส่วนร่วมแบบประชารัฐ
มท. เผยความก้าวหน้าโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ทุกขั้นตอนต้องโปร่งใส เน้นการมีส่วนร่วมแบบประชารัฐ
วันนี้ (19 มิ.ย. 2561) ที่ทําเนียบรัฐบาล นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ได้รายงานผลความก้าวหน้าการดําเนินโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ดังนี้
ทีมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ระดับตําบล ได้ลงพื้นที่รับฟังปัญหาความต้องการของพี่น้องประชาชนและสร้างการรับรู้ตามกรอบหลัก 10 เรื่องไปแล้ว 3 ครั้ง ครบทุกหมู่บ้าน/ชุมชน จํานวน 8.2 หมื่นแห่ง มีประชาชนเข้าร่วม 8.78 ล้านคน ขณะนี้ทีมขับเคลื่อนฯ ระดับตําบล อยู่ระหว่างการลงพื้นที่ครั้งที่4 ซึ่งได้ลงพื้นที่แล้ว 4.1 หมื่นแห่ง มีประชาชนเข้าร่วมเวทีประชาคม จํานวน 3.9 ล้านคน และจะเสร็จสิ้นการลงพื้นที่ทําประชาคมในวันที่ 30 มิถุนายน 2561 ทั้งนี้ การจัดทําแผนงาน/โครงการ ได้เชิญภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคการศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ข้อมูล และติดตามโครงการต่าง ๆ เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปด้วยความโปร่งใส รวมทั้งจ้างนักศึกษาช่วยปฏิบัติงานสนับสนุนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ซึ่งทุกอําเภอได้จ้างนักศึกษาไปแล้วทั้งสิ้น 5.7 พันอัตรา เพื่อสร้างรายได้ให้แก่นักศึกษาและส่งเสริมประสบการณ์ทํางานร่วมกับภาคราชการ
สําหรับความก้าวหน้าการดําเนินงานตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 วงเงิน 100,358.1 ล้านบาท มีดังนี้ 1) แผนงานยุทธศาสตร์เสริมสร้างศักยภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิต วงเงิน 2.1 หมื่นล้านบาท โครงการมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ดําเนินการโดยกระทรวงการคลัง มีกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 11.4 ล้านคน ขณะนี้ทีมดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (AO) ได้สัมภาษณ์ผู้มีบัตรสวัสดิการไปแล้วจํานวน 8.2 ล้านคน จากเป้าหมาย 8.6 ล้านคน มีผู้ประสงค์พัฒนาตนเอง 4.1 ล้านคน 3 ลําดับแรก คือ กลุ่มเกษตรกร 2.99 ล้านคน กลุ่มทํางานมีนายจ้าง 1.31 แสนคน และกลุ่มทํางานอิสระ 9.71 แสนคน และผู้ไม่ประสงค์ที่จะพัฒนา 3.1 ล้านคน ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มนักศึกษาที่เข้าสู่ช่วงปิดภาคเรียน และกลุ่มวัยทํางาน และอยู่ระหว่างการประมวลผลข้อมูลอีก 1 ล้านคน และจะประสานหน่วยงานในพื้นที่เพื่อดําเนินการพัฒนาเป็นรายบุคคลให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2561 นอกจากนี้ ยังเปิดให้กลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมาลงทะเบียนได้ในปี 2560 ลงทะเบียนเพิ่มเติมได้ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 2) แผนงานยุทธศาสตร์ปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตร วงเงิน 2.4 หมื่นล้านบาท โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดเมนูทางเลือก จํานวน 20 โครงการ ใน 4 ด้าน คือ โครงการด้านบริหารจัดการน้ํา โครงการด้านการแก้ไขปัญหาที่ดิน โครงการด้านการปศุสัตว์ และโครงการด้านผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งได้ส่งมอบให้กับหน่วยงานในพื้นที่รับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการตามลักษณะต่าง ๆ ทั้งรายกลุ่มหรือสหกรณ์และรายบุคคล ขณะนี้อยู่ในระหว่างดําเนินการ 3) แผนงานยุทธศาสตร์ส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาศักยภาพชุมชน วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท : โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน (หมู่บ้าน/ชุมชนละ 2 แสนบาท) โดย กรมการปกครอง มีหมู่บ้าน/ชุมชนเสนอโครงการทั้งสิ้น 8.1 หมื่นหมู่บ้าน/ชุมชน จํานวน 90,292 โครงการ อยู่ระหว่างเสนอโครงการ 1,119 หมู่บ้าน/ชุมชน และไม่ขอรับงบประมาณ 327 หมู่บ้าน/ชุมชน ในขณะนี้ อยู่ระหว่าง กบอ.อนุมัติโครงการ ส่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอนุมัติเห็นชอบแผน และเสนอสํานักงบประมาณให้ความเห็นชอบต่อไป โดยจะโอนเงินลงหมู่บ้าน/ชุมชน ภายในวันที่ 25 มิถุนายน 2561 ซึ่งหมู่บ้าน/ชุมชนต้องดําเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2561
สําหรับแผนงาน/โครงการที่เสนอขอรับงบประมาณ แบ่งเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วย
1. โครงการประเภทสร้างอาชีพ สร้างรายได้โดยตรง 3 ลําดับแรก ได้แก่ ลานตากผลผลิตทางการเกษตร 2,735 โครงการ การปรับปรุงภูมิทัศน์แหล่งท่องเที่ยว 454 โครงการ และโรงสี 412 โครงการ
2. โครงการประเภทสร้างอาชีพ สร้างรายได้โดยอ้อม 3 ลําดับแรก ได้แก่ ถนนเพื่อการเกษตร 1,710 โครงการ ขุดลอกสระ ห้วย หนอง คลอง บึง 1,472 โครงการ และลานอเนกประสงค์/สาธารณประโยชน์ 1,342 โครงการ
3. โครงการประเภทส่งเสริมคุณภาพชีวิต 3 ลําดับแรก ได้แก่ ถนนสัญจรภายในหมู่บ้าน 8,758 โครงการ ศาลากลางบ้าน/ศาลาประชาคม/อาคารอเนกประสงค์ 5,132 โครงการ และปรับปรุงซ่อมแซมประปาหมู่บ้าน 3,779 โครงการ ซึ่งทุกโครงการมาจากความต้องการของประชาชนจากการทําประชาคมอย่างแท้จริง
โครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี วงเงิน 9.3 พันล้านบาท โดย กรมการพัฒนาชุมชน ดําเนินการใน 3,273 หมู่บ้าน/ชุมชน ครอบคลุมทั้ง 76 จังหวัด ตามกรอบกระบวนงาน 5 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและสิ่งอํานวยความสะดวก การพัฒนาสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว การเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวแต่ละท้องถิ่น และการส่งเสริมการตลาดชุมชนท่องเที่ยว ขณะนี้อยู่ระหว่างดําเนินโครงการ
โครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนอย่างยั่งยืนโดยศาสตร์พระราชาตามแนวทางประชารัฐ วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท โดยสํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติสนับสนุนเงินทุนการประกอบอาชีพผ่านกองทุนหมู่บ้าน 65,670 กองทุน กองทุนละไม่เกิน 300,000 บาท ซึ่งได้ออกระเบียบคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติว่าด้วยการบริหารโครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนอย่างยั่งยืน โดยศาสตร์พระราชาตามแนวทางประชารัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ แล้ว และจะจัดสรรงบประมาณสนับสนุนโครงการในช่วงเดือนมิถุนายน – กันยายน 2561
โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ให้ความสําคัญและได้กํากับติดตามการดําเนินงานของทีมขับเคลื่อนฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเน้นย้ําการดําเนินงานทุกขั้นตอนต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ทุกโครงการต้องมาจากความต้องการของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง เกิดการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคราชการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคการศึกษา เพื่อให้การดําเนินโครงการไทยนิยม ยั่งยืน เกิดมรรคผลต่อการพัฒนาประเทศ ในทุกพื้นที่อย่างยั่งยืน.
ครั้งที่ 124/2561
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยฃ
โทร 0-22224131-2
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. เผยความก้าวหน้าโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ทุกขั้นตอนต้องโปร่งใส เน้นการมีส่วนร่วมแบบประชารัฐ
วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561
มท. เผยความก้าวหน้าโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ทุกขั้นตอนต้องโปร่งใส เน้นการมีส่วนร่วมแบบประชารัฐ
มท. เผยความก้าวหน้าโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ทุกขั้นตอนต้องโปร่งใส เน้นการมีส่วนร่วมแบบประชารัฐ
วันนี้ (19 มิ.ย. 2561) ที่ทําเนียบรัฐบาล นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ได้รายงานผลความก้าวหน้าการดําเนินโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ดังนี้
ทีมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ระดับตําบล ได้ลงพื้นที่รับฟังปัญหาความต้องการของพี่น้องประชาชนและสร้างการรับรู้ตามกรอบหลัก 10 เรื่องไปแล้ว 3 ครั้ง ครบทุกหมู่บ้าน/ชุมชน จํานวน 8.2 หมื่นแห่ง มีประชาชนเข้าร่วม 8.78 ล้านคน ขณะนี้ทีมขับเคลื่อนฯ ระดับตําบล อยู่ระหว่างการลงพื้นที่ครั้งที่4 ซึ่งได้ลงพื้นที่แล้ว 4.1 หมื่นแห่ง มีประชาชนเข้าร่วมเวทีประชาคม จํานวน 3.9 ล้านคน และจะเสร็จสิ้นการลงพื้นที่ทําประชาคมในวันที่ 30 มิถุนายน 2561 ทั้งนี้ การจัดทําแผนงาน/โครงการ ได้เชิญภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคการศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ข้อมูล และติดตามโครงการต่าง ๆ เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปด้วยความโปร่งใส รวมทั้งจ้างนักศึกษาช่วยปฏิบัติงานสนับสนุนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ซึ่งทุกอําเภอได้จ้างนักศึกษาไปแล้วทั้งสิ้น 5.7 พันอัตรา เพื่อสร้างรายได้ให้แก่นักศึกษาและส่งเสริมประสบการณ์ทํางานร่วมกับภาคราชการ
สําหรับความก้าวหน้าการดําเนินงานตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 วงเงิน 100,358.1 ล้านบาท มีดังนี้ 1) แผนงานยุทธศาสตร์เสริมสร้างศักยภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิต วงเงิน 2.1 หมื่นล้านบาท โครงการมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ดําเนินการโดยกระทรวงการคลัง มีกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 11.4 ล้านคน ขณะนี้ทีมดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (AO) ได้สัมภาษณ์ผู้มีบัตรสวัสดิการไปแล้วจํานวน 8.2 ล้านคน จากเป้าหมาย 8.6 ล้านคน มีผู้ประสงค์พัฒนาตนเอง 4.1 ล้านคน 3 ลําดับแรก คือ กลุ่มเกษตรกร 2.99 ล้านคน กลุ่มทํางานมีนายจ้าง 1.31 แสนคน และกลุ่มทํางานอิสระ 9.71 แสนคน และผู้ไม่ประสงค์ที่จะพัฒนา 3.1 ล้านคน ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มนักศึกษาที่เข้าสู่ช่วงปิดภาคเรียน และกลุ่มวัยทํางาน และอยู่ระหว่างการประมวลผลข้อมูลอีก 1 ล้านคน และจะประสานหน่วยงานในพื้นที่เพื่อดําเนินการพัฒนาเป็นรายบุคคลให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2561 นอกจากนี้ ยังเปิดให้กลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมาลงทะเบียนได้ในปี 2560 ลงทะเบียนเพิ่มเติมได้ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 2) แผนงานยุทธศาสตร์ปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตร วงเงิน 2.4 หมื่นล้านบาท โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดเมนูทางเลือก จํานวน 20 โครงการ ใน 4 ด้าน คือ โครงการด้านบริหารจัดการน้ํา โครงการด้านการแก้ไขปัญหาที่ดิน โครงการด้านการปศุสัตว์ และโครงการด้านผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งได้ส่งมอบให้กับหน่วยงานในพื้นที่รับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการตามลักษณะต่าง ๆ ทั้งรายกลุ่มหรือสหกรณ์และรายบุคคล ขณะนี้อยู่ในระหว่างดําเนินการ 3) แผนงานยุทธศาสตร์ส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาศักยภาพชุมชน วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท : โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน (หมู่บ้าน/ชุมชนละ 2 แสนบาท) โดย กรมการปกครอง มีหมู่บ้าน/ชุมชนเสนอโครงการทั้งสิ้น 8.1 หมื่นหมู่บ้าน/ชุมชน จํานวน 90,292 โครงการ อยู่ระหว่างเสนอโครงการ 1,119 หมู่บ้าน/ชุมชน และไม่ขอรับงบประมาณ 327 หมู่บ้าน/ชุมชน ในขณะนี้ อยู่ระหว่าง กบอ.อนุมัติโครงการ ส่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอนุมัติเห็นชอบแผน และเสนอสํานักงบประมาณให้ความเห็นชอบต่อไป โดยจะโอนเงินลงหมู่บ้าน/ชุมชน ภายในวันที่ 25 มิถุนายน 2561 ซึ่งหมู่บ้าน/ชุมชนต้องดําเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2561
สําหรับแผนงาน/โครงการที่เสนอขอรับงบประมาณ แบ่งเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วย
1. โครงการประเภทสร้างอาชีพ สร้างรายได้โดยตรง 3 ลําดับแรก ได้แก่ ลานตากผลผลิตทางการเกษตร 2,735 โครงการ การปรับปรุงภูมิทัศน์แหล่งท่องเที่ยว 454 โครงการ และโรงสี 412 โครงการ
2. โครงการประเภทสร้างอาชีพ สร้างรายได้โดยอ้อม 3 ลําดับแรก ได้แก่ ถนนเพื่อการเกษตร 1,710 โครงการ ขุดลอกสระ ห้วย หนอง คลอง บึง 1,472 โครงการ และลานอเนกประสงค์/สาธารณประโยชน์ 1,342 โครงการ
3. โครงการประเภทส่งเสริมคุณภาพชีวิต 3 ลําดับแรก ได้แก่ ถนนสัญจรภายในหมู่บ้าน 8,758 โครงการ ศาลากลางบ้าน/ศาลาประชาคม/อาคารอเนกประสงค์ 5,132 โครงการ และปรับปรุงซ่อมแซมประปาหมู่บ้าน 3,779 โครงการ ซึ่งทุกโครงการมาจากความต้องการของประชาชนจากการทําประชาคมอย่างแท้จริง
โครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี วงเงิน 9.3 พันล้านบาท โดย กรมการพัฒนาชุมชน ดําเนินการใน 3,273 หมู่บ้าน/ชุมชน ครอบคลุมทั้ง 76 จังหวัด ตามกรอบกระบวนงาน 5 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและสิ่งอํานวยความสะดวก การพัฒนาสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว การเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวแต่ละท้องถิ่น และการส่งเสริมการตลาดชุมชนท่องเที่ยว ขณะนี้อยู่ระหว่างดําเนินโครงการ
โครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนอย่างยั่งยืนโดยศาสตร์พระราชาตามแนวทางประชารัฐ วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท โดยสํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติสนับสนุนเงินทุนการประกอบอาชีพผ่านกองทุนหมู่บ้าน 65,670 กองทุน กองทุนละไม่เกิน 300,000 บาท ซึ่งได้ออกระเบียบคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติว่าด้วยการบริหารโครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนอย่างยั่งยืน โดยศาสตร์พระราชาตามแนวทางประชารัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ แล้ว และจะจัดสรรงบประมาณสนับสนุนโครงการในช่วงเดือนมิถุนายน – กันยายน 2561
โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ให้ความสําคัญและได้กํากับติดตามการดําเนินงานของทีมขับเคลื่อนฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเน้นย้ําการดําเนินงานทุกขั้นตอนต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ทุกโครงการต้องมาจากความต้องการของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง เกิดการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคราชการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคการศึกษา เพื่อให้การดําเนินโครงการไทยนิยม ยั่งยืน เกิดมรรคผลต่อการพัฒนาประเทศ ในทุกพื้นที่อย่างยั่งยืน.
ครั้งที่ 124/2561
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยฃ
โทร 0-22224131-2
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13159
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงกลาโหม สั่งเฝ้าติดตามสถานการณ์เขื่อนแตกในลาว โดยให้เตรียมความพร้อมช่วยเหลือทันที
|
วันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2561
กระทรวงกลาโหม สั่งเฝ้าติดตามสถานการณ์เขื่อนแตกในลาว โดยให้เตรียมความพร้อมช่วยเหลือทันที
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนรม.และรมว.กห. ได้สั่งการให้ทุกเหล่าทัพ ติดตามสถานการณ์อุทกภัย
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนรม.และรมว.กห. ได้สั่งการให้ทุกเหล่าทัพ ติดตามสถานการณ์อุทกภัย จากเหตุการณ์รอยร้าวของเขื่อนเซเปียน เซน้ําน้อยใน สปป.ลาว โดยให้ดํารงการติดต่อช่องทางการทูตทหารและประสานกระทรวงต่างประเทศ เพื่อประเมินสถานการณ์และเตรียมความพร้อมให้การช่วยเหลือทันที เมื่อได้รับการประสานจากรัฐบาลสปป.ลาว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงกลาโหม สั่งเฝ้าติดตามสถานการณ์เขื่อนแตกในลาว โดยให้เตรียมความพร้อมช่วยเหลือทันที
วันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2561
กระทรวงกลาโหม สั่งเฝ้าติดตามสถานการณ์เขื่อนแตกในลาว โดยให้เตรียมความพร้อมช่วยเหลือทันที
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนรม.และรมว.กห. ได้สั่งการให้ทุกเหล่าทัพ ติดตามสถานการณ์อุทกภัย
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนรม.และรมว.กห. ได้สั่งการให้ทุกเหล่าทัพ ติดตามสถานการณ์อุทกภัย จากเหตุการณ์รอยร้าวของเขื่อนเซเปียน เซน้ําน้อยใน สปป.ลาว โดยให้ดํารงการติดต่อช่องทางการทูตทหารและประสานกระทรวงต่างประเทศ เพื่อประเมินสถานการณ์และเตรียมความพร้อมให้การช่วยเหลือทันที เมื่อได้รับการประสานจากรัฐบาลสปป.ลาว
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14131
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บตท.เสนอขายพันธบัตรมูลค่าไม่เกิน 1,000 ล้านบาท
|
วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน 2560
บตท.เสนอขายพันธบัตรมูลค่าไม่เกิน 1,000 ล้านบาท
บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) รัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงการคลัง ได้เสนอขายพันธบัตร บตท. ครั้งที่ 1/2560 มูลค่ารวม 1,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี (ครบกําหนดไถ่ถอนปี 2563) อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.15 ต่อปี
บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) รัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงการคลัง ได้เสนอขายพันธบัตร บตท. ครั้งที่ 1/2560 มูลค่ารวม 1,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี (ครบกําหนดไถ่ถอนปี 2563) อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.15 ต่อปี เสนอขายต่อนักลงทุนสถาบัน และ / หรือนักลงทุนรายใหญ่ โดยมีธนาคารกสิกรไทยเป็นผู้จัดการการจัดจําหน่าย กําหนดออกพันธบัตรวันที่ 29 พฤศจิกายน 2560 วัตถุประสงค์ในการออกพันธบัตรครั้งนี้ เพื่อทดแทนพันธบัตรเดิมที่ครบกําหนด ตลอดจนนําไปใช้ในการดําเนินธุรกรรมการจัดซื้อสินเชื่อที่อยู่อาศัยและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของ บตท.
นางวสุกานต์ วิศาลสวัสดิ์ กรรมการและผู้จัดการ บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) เปิดเผยว่า "การเสนอขายพันธบัตรครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนแสดงความจํานงจองซื้อพันธบัตรมากเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึงประมาณ 2.6 เท่า ในช่วงการ bookbuild เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยกลุ่มนักลงทุนที่แสดงความสนใจมีทั้งนักลงทุนรายใหม่ที่ไม่เคยลงทุนในตราสารของ บตท. มาก่อน นักลงทุนเดิมที่ร่วมลงทุนในพันธบัตร บตท. รุ่นก่อนๆ อย่างสม่ําเสมอ และ นักลงทุนที่ให้ความสนใจลงทุนในพันธบัตร บตท. เป็นครั้งแรก นอกเหนือจากที่เคยลงทุนเฉพาะในหุ้นกู้โครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ที่หนุนหลังด้วยสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Mortgage-Backed Securities) ของ บตท. ทั้งนี้ พันธบัตรครั้งนี้ ได้รับการจัดอันดับเครดิตจากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาที่ระดับ AA- / Stable Outlooks ซึ่งเท่ากับอันดับเครดิตขององค์กร เช่นเดียวกับพันธบัตรรุ่นที่ผ่านๆ มา"
นางวสุกานต์ กล่าวเสริมว่า "ในอนาคต บตท. มีแผนจะจัดซื้อสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันที่มิใช่ธนาคาร แต่จะพิจารณาถึงการทําธุรกรรมกับผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ เช่น การเคหะแห่งชาติ เป็นการเอาจุดแข็งของ บตท.ในการจัดหาเงินทุนระยะยาว มาช่วยหล่อลื่นการขยายตัวของธุรกิจที่อยู่อาศัยให้กับหน่วยงานภาครัฐ โดยออกตราสารหนี้ที่เรียกว่า Asset-Backed Securities หรือ "ABS" เพื่อเป็นแหล่งทุนในการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองได้อย่างทั่วถึง เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านที่อยู่อาศัยให้กับคนไทย ตามวิสัยทัศน์ บตท. ที่กําหนดไว้ว่า “เป็นกลไกในการจัดหาเงินทุนระยะยาว รองรับการขยายตัวของระบบสินเชื่อที่อยู่อาศัย เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย” ซึ่งคาดว่าจะเห็นเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนในปีหน้านี้ค่ะ" และจากผลของการแก้ไขกฎหมาย บตท. ที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆ นี้ ต่อไปขอบเขตการทําธุรกรรมของ บตท. ก็จะกว้างขวางขึ้นอีก โดยจะสามารถขยายไปถึงกลุ่มผู้ทําธุรกิจให้สินเชื่อในรูปแบบให้จํานองที่อยู่อาศัย ให้เช่าซื้อ และให้เช่าแบบลิซซิ่ง ซึ่งยังจะต้องมีการพิจารณาหารูปแบบทางธุรกิจที่เหมาะสมต่อไป
บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ ประเภทสถาบันการเงินในสังกัดกระทรวงการคลัง มีวัตถุประสงค์หลักในการพัฒนาตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย ด้วยการนําหลักการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์มาใช้เพื่อให้สามารถระดมทุน เพื่อสนับสนุนผู้ที่ต้องการขยายสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้เพียงพอและสมํ่าเสมอ เพื่อสร้างเสถียรภาพด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัย
ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
สื่อมวลชนต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ
• ฝ่ายสื่อสารองค์กร บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) – ชิดขวัญ โทร. 02-018-3666 ต่อ 3627 หรือ E-mail : [email protected]
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บตท.เสนอขายพันธบัตรมูลค่าไม่เกิน 1,000 ล้านบาท
วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน 2560
บตท.เสนอขายพันธบัตรมูลค่าไม่เกิน 1,000 ล้านบาท
บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) รัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงการคลัง ได้เสนอขายพันธบัตร บตท. ครั้งที่ 1/2560 มูลค่ารวม 1,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี (ครบกําหนดไถ่ถอนปี 2563) อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.15 ต่อปี
บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) รัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงการคลัง ได้เสนอขายพันธบัตร บตท. ครั้งที่ 1/2560 มูลค่ารวม 1,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี (ครบกําหนดไถ่ถอนปี 2563) อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.15 ต่อปี เสนอขายต่อนักลงทุนสถาบัน และ / หรือนักลงทุนรายใหญ่ โดยมีธนาคารกสิกรไทยเป็นผู้จัดการการจัดจําหน่าย กําหนดออกพันธบัตรวันที่ 29 พฤศจิกายน 2560 วัตถุประสงค์ในการออกพันธบัตรครั้งนี้ เพื่อทดแทนพันธบัตรเดิมที่ครบกําหนด ตลอดจนนําไปใช้ในการดําเนินธุรกรรมการจัดซื้อสินเชื่อที่อยู่อาศัยและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของ บตท.
นางวสุกานต์ วิศาลสวัสดิ์ กรรมการและผู้จัดการ บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) เปิดเผยว่า "การเสนอขายพันธบัตรครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนแสดงความจํานงจองซื้อพันธบัตรมากเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึงประมาณ 2.6 เท่า ในช่วงการ bookbuild เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยกลุ่มนักลงทุนที่แสดงความสนใจมีทั้งนักลงทุนรายใหม่ที่ไม่เคยลงทุนในตราสารของ บตท. มาก่อน นักลงทุนเดิมที่ร่วมลงทุนในพันธบัตร บตท. รุ่นก่อนๆ อย่างสม่ําเสมอ และ นักลงทุนที่ให้ความสนใจลงทุนในพันธบัตร บตท. เป็นครั้งแรก นอกเหนือจากที่เคยลงทุนเฉพาะในหุ้นกู้โครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ที่หนุนหลังด้วยสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Mortgage-Backed Securities) ของ บตท. ทั้งนี้ พันธบัตรครั้งนี้ ได้รับการจัดอันดับเครดิตจากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาที่ระดับ AA- / Stable Outlooks ซึ่งเท่ากับอันดับเครดิตขององค์กร เช่นเดียวกับพันธบัตรรุ่นที่ผ่านๆ มา"
นางวสุกานต์ กล่าวเสริมว่า "ในอนาคต บตท. มีแผนจะจัดซื้อสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันที่มิใช่ธนาคาร แต่จะพิจารณาถึงการทําธุรกรรมกับผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ เช่น การเคหะแห่งชาติ เป็นการเอาจุดแข็งของ บตท.ในการจัดหาเงินทุนระยะยาว มาช่วยหล่อลื่นการขยายตัวของธุรกิจที่อยู่อาศัยให้กับหน่วยงานภาครัฐ โดยออกตราสารหนี้ที่เรียกว่า Asset-Backed Securities หรือ "ABS" เพื่อเป็นแหล่งทุนในการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองได้อย่างทั่วถึง เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านที่อยู่อาศัยให้กับคนไทย ตามวิสัยทัศน์ บตท. ที่กําหนดไว้ว่า “เป็นกลไกในการจัดหาเงินทุนระยะยาว รองรับการขยายตัวของระบบสินเชื่อที่อยู่อาศัย เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย” ซึ่งคาดว่าจะเห็นเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนในปีหน้านี้ค่ะ" และจากผลของการแก้ไขกฎหมาย บตท. ที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆ นี้ ต่อไปขอบเขตการทําธุรกรรมของ บตท. ก็จะกว้างขวางขึ้นอีก โดยจะสามารถขยายไปถึงกลุ่มผู้ทําธุรกิจให้สินเชื่อในรูปแบบให้จํานองที่อยู่อาศัย ให้เช่าซื้อ และให้เช่าแบบลิซซิ่ง ซึ่งยังจะต้องมีการพิจารณาหารูปแบบทางธุรกิจที่เหมาะสมต่อไป
บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ ประเภทสถาบันการเงินในสังกัดกระทรวงการคลัง มีวัตถุประสงค์หลักในการพัฒนาตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย ด้วยการนําหลักการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์มาใช้เพื่อให้สามารถระดมทุน เพื่อสนับสนุนผู้ที่ต้องการขยายสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้เพียงพอและสมํ่าเสมอ เพื่อสร้างเสถียรภาพด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัย
ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
สื่อมวลชนต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ
• ฝ่ายสื่อสารองค์กร บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) – ชิดขวัญ โทร. 02-018-3666 ต่อ 3627 หรือ E-mail : [email protected]
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8453
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย สั่งการผู้ว่าฯ - นายอำเภอ ดูแลพื้นที่ช่วงส่งท้ายเทศกาลสงกรานต์อย่างต่อเนื่อง กำชับเข้มงวดเรื่องป้องกันอุบัติเหตุทางถนนและความสงบเรียบร้อยในสังคม
|
วันอังคารที่ 18 เมษายน 2560
มหาดไทย สั่งการผู้ว่าฯ - นายอําเภอ ดูแลพื้นที่ช่วงส่งท้ายเทศกาลสงกรานต์อย่างต่อเนื่อง กําชับเข้มงวดเรื่องป้องกันอุบัติเหตุทางถนนและความสงบเรียบร้อยในสังคม
มหาดไทย สั่งการผู้ว่าฯ - นายอําเภอ ดูแลพื้นที่ช่วงส่งท้ายเทศกาลสงกรานต์อย่างต่อเนื่อง กําชับเข้มงวดเรื่องป้องกันอุบัติเหตุทางถนนและความสงบเรียบร้อยในสังคม
วันนี้ (15 เม.ย.60) นายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า จากการที่ศูนย์แก้ไขปัญหาความมั่นคงแบบบูรณาการ (ศมบ.) ได้ติดตามสถานการณ์ตามมาตรการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประกอบกับการติดตามผลการดําเนินงานด้านการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน พบว่าอุบัติเหตุทางถนนที่ทําให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ส่วนใหญ่เกิดจากการขับรถเร็วเกินกฎหมายกําหนด นอกจากนี้ยังพบปัญหาด้านความสงบเรียบร้อย เช่น เหตุทะเลาะวิวาท ทําร้ายร่างกายในท้องที่ต่าง ๆ ซึ่งมีที่มาจากการดื่มสุรา เป็นต้น
ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนซึ่งขณะนี้เริ่มมีประชาชนเดินทางกลับเข้ากรุงเทพมหานครแล้ว กระทรวงมหาดไทยจึงได้สั่งการให้กรมการปกครอง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดดําเนินการ ดังนี้
1. ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดทุกจังหวัด บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดทั้งในถนนสายหลักและสายรอง โดยตั้งจุดตรวจ จุดสกัด โดยเฉพาะในจุดเสี่ยงต่างๆ และเพิ่มความเข้มข้นในการเรียกตรวจ ตักเตือนผู้ขับขี่ให้ขับรถด้วยความระมัดระวัง และใช้อุปกรณ์นิรภัย อาทิ หมวกนิรภัย และการคาดเข็มขัดนิรภัย เป็นต้น รวมทั้งการตรวจสอบ ปรับปรุง และเพิ่มไฟฟ้าส่องสว่างในบริเวณที่เกิดเหตุและบริเวณจุดเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ
ในส่วนของการรายงานสถิติข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุให้จังหวัดและอําเภอแยกสาเหตุหรือระบุพฤติกรรมที่ทําให้เกิดอุบัติเหตุให้ชัดเจนแยกประเภทยานพานะพฤติกรรมความเสี่ยงที่ฝ่าฝืนกฎหมายเพื่อใช้วิเคราะห์แก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพอีกด้วย
2. ให้กําชับนายอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน เข้มงวด กวดขัน ดูแล ตักเตือน ตรวจสอบ และรักษาความปลอดภัยพื้นที่จุดเสี่ยง ที่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุ การกระทําผิดกฎหมาย การทะเลาะวิวาท การทําร้ายร่างกายประชาชนและนักท่องเที่ยว และเพิ่มความเข้มข้นในการดูแลความปลอดภัยในการสัญจรทางน้ําและแหล่งท่องเที่ยวทางน้ําเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจํานวนมาก เช่น จังหวัดชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี
3. ด้านการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูแล ตักเตือน รักษาความปลอดภัยในพื้นที่ ทั้งในเขตโซนนิ่ง และพื้นที่จัดงานของภาคเอกชนรวมถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการจัดงานสงกรานต์
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับในพื้นที่ที่ยังมีการเล่นน้ําสงกรานต์ ขอให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการตามมาตรการที่กําหนดอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุทางถนนและรณรงค์ ตักเตือนให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเล่นน้ําสงกรานต์อย่างปลอดภัยเป็นไปตามประเพณีวัฒนธรรมที่ดีงาม
และสําหรับพี่น้องประชาชนที่เดินทางกลับจากภูมิลําเนาเพื่อเตรียมพร้อมทํางานหลังวันหยุดต่อเนื่อง ขอให้ใช้รถใช้ถนนด้วยความระมัดระวัง และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการเรียกตรวจเพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้ หากพบเห็นจุดเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ การกระทําผิดกฎหมาย หรือพฤติกรรมของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่น่าสงสัย สามารถแจ้งจุดให้บริการประชาชนทุกแห่ง หรือทางสายด่วนศูนย์ดํารงธรรม 1567 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง.
ครั้งที่ 55/2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย สั่งการผู้ว่าฯ - นายอำเภอ ดูแลพื้นที่ช่วงส่งท้ายเทศกาลสงกรานต์อย่างต่อเนื่อง กำชับเข้มงวดเรื่องป้องกันอุบัติเหตุทางถนนและความสงบเรียบร้อยในสังคม
วันอังคารที่ 18 เมษายน 2560
มหาดไทย สั่งการผู้ว่าฯ - นายอําเภอ ดูแลพื้นที่ช่วงส่งท้ายเทศกาลสงกรานต์อย่างต่อเนื่อง กําชับเข้มงวดเรื่องป้องกันอุบัติเหตุทางถนนและความสงบเรียบร้อยในสังคม
มหาดไทย สั่งการผู้ว่าฯ - นายอําเภอ ดูแลพื้นที่ช่วงส่งท้ายเทศกาลสงกรานต์อย่างต่อเนื่อง กําชับเข้มงวดเรื่องป้องกันอุบัติเหตุทางถนนและความสงบเรียบร้อยในสังคม
วันนี้ (15 เม.ย.60) นายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า จากการที่ศูนย์แก้ไขปัญหาความมั่นคงแบบบูรณาการ (ศมบ.) ได้ติดตามสถานการณ์ตามมาตรการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประกอบกับการติดตามผลการดําเนินงานด้านการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน พบว่าอุบัติเหตุทางถนนที่ทําให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ส่วนใหญ่เกิดจากการขับรถเร็วเกินกฎหมายกําหนด นอกจากนี้ยังพบปัญหาด้านความสงบเรียบร้อย เช่น เหตุทะเลาะวิวาท ทําร้ายร่างกายในท้องที่ต่าง ๆ ซึ่งมีที่มาจากการดื่มสุรา เป็นต้น
ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนซึ่งขณะนี้เริ่มมีประชาชนเดินทางกลับเข้ากรุงเทพมหานครแล้ว กระทรวงมหาดไทยจึงได้สั่งการให้กรมการปกครอง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดดําเนินการ ดังนี้
1. ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดทุกจังหวัด บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดทั้งในถนนสายหลักและสายรอง โดยตั้งจุดตรวจ จุดสกัด โดยเฉพาะในจุดเสี่ยงต่างๆ และเพิ่มความเข้มข้นในการเรียกตรวจ ตักเตือนผู้ขับขี่ให้ขับรถด้วยความระมัดระวัง และใช้อุปกรณ์นิรภัย อาทิ หมวกนิรภัย และการคาดเข็มขัดนิรภัย เป็นต้น รวมทั้งการตรวจสอบ ปรับปรุง และเพิ่มไฟฟ้าส่องสว่างในบริเวณที่เกิดเหตุและบริเวณจุดเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ
ในส่วนของการรายงานสถิติข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุให้จังหวัดและอําเภอแยกสาเหตุหรือระบุพฤติกรรมที่ทําให้เกิดอุบัติเหตุให้ชัดเจนแยกประเภทยานพานะพฤติกรรมความเสี่ยงที่ฝ่าฝืนกฎหมายเพื่อใช้วิเคราะห์แก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพอีกด้วย
2. ให้กําชับนายอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน เข้มงวด กวดขัน ดูแล ตักเตือน ตรวจสอบ และรักษาความปลอดภัยพื้นที่จุดเสี่ยง ที่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุ การกระทําผิดกฎหมาย การทะเลาะวิวาท การทําร้ายร่างกายประชาชนและนักท่องเที่ยว และเพิ่มความเข้มข้นในการดูแลความปลอดภัยในการสัญจรทางน้ําและแหล่งท่องเที่ยวทางน้ําเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจํานวนมาก เช่น จังหวัดชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี
3. ด้านการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูแล ตักเตือน รักษาความปลอดภัยในพื้นที่ ทั้งในเขตโซนนิ่ง และพื้นที่จัดงานของภาคเอกชนรวมถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการจัดงานสงกรานต์
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับในพื้นที่ที่ยังมีการเล่นน้ําสงกรานต์ ขอให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการตามมาตรการที่กําหนดอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุทางถนนและรณรงค์ ตักเตือนให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเล่นน้ําสงกรานต์อย่างปลอดภัยเป็นไปตามประเพณีวัฒนธรรมที่ดีงาม
และสําหรับพี่น้องประชาชนที่เดินทางกลับจากภูมิลําเนาเพื่อเตรียมพร้อมทํางานหลังวันหยุดต่อเนื่อง ขอให้ใช้รถใช้ถนนด้วยความระมัดระวัง และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการเรียกตรวจเพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้ หากพบเห็นจุดเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ การกระทําผิดกฎหมาย หรือพฤติกรรมของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่น่าสงสัย สามารถแจ้งจุดให้บริการประชาชนทุกแห่ง หรือทางสายด่วนศูนย์ดํารงธรรม 1567 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง.
ครั้งที่ 55/2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3096
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดสธ. เผยผลการพัฒนาระบบบริการโรคหัวใจ ช่วยชีวิตประชาชนกว่า 20,000 ราย
|
วันอังคารที่ 27 มิถุนายน 2560
ปลัดสธ. เผยผลการพัฒนาระบบบริการโรคหัวใจ ช่วยชีวิตประชาชนกว่า 20,000 ราย
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยผลการพัฒนาระบบบริการสาขาโรคหัวใจ โรงพยาบาลชุมชนสามารถให้ยาลิ่มเลือดได้ทุกแห่ง ส่วนมีโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปให้บริการตรวจสวนหัวใจขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน และผ่าตัดหัวใจแบบเปิดครบทั้ง 12 เขตสุขภาพ ลดเวลารอคอยผ่าตัด
นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของคนไทย รองจากโรคมะเร็ง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ข้อมูลในปี 2558 มีผู้เสียชีวิต 61,871 ราย ในจํานวนนี้เสียชีวิตจากโรคหัวใจขาดเลือด 19,417 ราย กระทรวงสาธารณสุข ได้พัฒนาระบบการดูแลรักษาโรคหัวใจตามแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ(Service Plan)เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาอย่างรวดเร็ว ใกล้บ้าน มีระบบเครือข่ายการส่งต่อที่ชัดเจนในแต่ละเขตสุขภาพ เชื่อมโยงระหว่างโรงพยาบาลเล็กและโรงพยาบาลใหญ่ รวมทั้งมีการส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยกลับไปยังโรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลใกล้บ้านเพื่อให้ได้รับการดูแลต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ที่ต้องได้รับการขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนหรือยาละลายลิ่มเลือดทันเวลา
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า ในรอบ 3 ปี กระทรวงสาธารณสุขได้พัฒนาระบบบริการสาขาโรคหัวใจ ดังนี้ 1.พัฒนาให้โรงพยาบาลชุมชนตั้งแต่ 30 เตียงขึ้นไปทุกแห่งรวม 797 แห่ง สามารถให้ยาละลายลิ่มเลือดและจัดตั้งหน่วยดูแลผู้ป่วยที่ได้รับยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด 2.พัฒนาโรงพยาบาลศูนย์ที่ให้บริการตรวจสวนหัวใจและขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน 23 แห่ง สามารถผ่าตัดหัวใจแบบเปิดได้ 19 โรงพยาบาลครบทั้ง 12 เขตสุขภาพ ลดระยะเวลารอคอยการผ่าตัดหัวใจเหลือเฉลี่ยไม่เกิน 6 เดือน 3.จัดตั้งคลินิกหัวใจล้มเหลวในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปรวม 42 แห่งจากที่มีทั้งหมด 81 แห่ง 4.มีอายุรแพทย์โรคหัวใจประมาณ 1,000 คน เป็นแพทย์ที่ผ่าตัดรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary interventionists)ได้ประมาณ 280 คน ช่วยลดการสูญเสียชีวิตประชาชน 21,961 ราย
สําหรับในปีงบประมาณ 2560 กระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้า ลดอัตราการเสียชีวิตผู้ป่วยหลอดเลือดหัวใจให้เหลือไม่เกิน 28 คนต่อประชากรแสนคน และอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันในโรงพยาบาลไม่เกินร้อยละ 13.7 โดยจะพัฒนาให้โรงพยาบาลศูนย์ทุกเขตสุขภาพ มีระบบทางด่วนโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน(STEMI Fast Track)และมีบริการสวนหัวใจ ส่วนโรงพยาบาลชุมชนตั้งแต่ 30 เตียงขึ้นไปทุกแห่งสามารถให้ยาละลายลิ่มเลือดได้ผลการดําเนินงานรอบ 6 เดือนแรกปีงบประมาณ 2560 สามารถลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยหลอดเลือดหัวใจเหลือ 11.1 ต่อแสนประชากร ต่ํากว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้28 คนต่อประชากรแสนคนและผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน(STEMI)ที่เสียชีวิตในโรงพยาบาลเฉลี่ยร้อยละ 10.65 ต่ํากว่าเกณฑ์ที่กําหนดคือร้อยละ 13.7
*********************************** 27 มิถุนายน 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดสธ. เผยผลการพัฒนาระบบบริการโรคหัวใจ ช่วยชีวิตประชาชนกว่า 20,000 ราย
วันอังคารที่ 27 มิถุนายน 2560
ปลัดสธ. เผยผลการพัฒนาระบบบริการโรคหัวใจ ช่วยชีวิตประชาชนกว่า 20,000 ราย
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยผลการพัฒนาระบบบริการสาขาโรคหัวใจ โรงพยาบาลชุมชนสามารถให้ยาลิ่มเลือดได้ทุกแห่ง ส่วนมีโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปให้บริการตรวจสวนหัวใจขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน และผ่าตัดหัวใจแบบเปิดครบทั้ง 12 เขตสุขภาพ ลดเวลารอคอยผ่าตัด
นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของคนไทย รองจากโรคมะเร็ง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ข้อมูลในปี 2558 มีผู้เสียชีวิต 61,871 ราย ในจํานวนนี้เสียชีวิตจากโรคหัวใจขาดเลือด 19,417 ราย กระทรวงสาธารณสุข ได้พัฒนาระบบการดูแลรักษาโรคหัวใจตามแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ(Service Plan)เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาอย่างรวดเร็ว ใกล้บ้าน มีระบบเครือข่ายการส่งต่อที่ชัดเจนในแต่ละเขตสุขภาพ เชื่อมโยงระหว่างโรงพยาบาลเล็กและโรงพยาบาลใหญ่ รวมทั้งมีการส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยกลับไปยังโรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลใกล้บ้านเพื่อให้ได้รับการดูแลต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ที่ต้องได้รับการขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนหรือยาละลายลิ่มเลือดทันเวลา
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า ในรอบ 3 ปี กระทรวงสาธารณสุขได้พัฒนาระบบบริการสาขาโรคหัวใจ ดังนี้ 1.พัฒนาให้โรงพยาบาลชุมชนตั้งแต่ 30 เตียงขึ้นไปทุกแห่งรวม 797 แห่ง สามารถให้ยาละลายลิ่มเลือดและจัดตั้งหน่วยดูแลผู้ป่วยที่ได้รับยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด 2.พัฒนาโรงพยาบาลศูนย์ที่ให้บริการตรวจสวนหัวใจและขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน 23 แห่ง สามารถผ่าตัดหัวใจแบบเปิดได้ 19 โรงพยาบาลครบทั้ง 12 เขตสุขภาพ ลดระยะเวลารอคอยการผ่าตัดหัวใจเหลือเฉลี่ยไม่เกิน 6 เดือน 3.จัดตั้งคลินิกหัวใจล้มเหลวในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปรวม 42 แห่งจากที่มีทั้งหมด 81 แห่ง 4.มีอายุรแพทย์โรคหัวใจประมาณ 1,000 คน เป็นแพทย์ที่ผ่าตัดรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary interventionists)ได้ประมาณ 280 คน ช่วยลดการสูญเสียชีวิตประชาชน 21,961 ราย
สําหรับในปีงบประมาณ 2560 กระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้า ลดอัตราการเสียชีวิตผู้ป่วยหลอดเลือดหัวใจให้เหลือไม่เกิน 28 คนต่อประชากรแสนคน และอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันในโรงพยาบาลไม่เกินร้อยละ 13.7 โดยจะพัฒนาให้โรงพยาบาลศูนย์ทุกเขตสุขภาพ มีระบบทางด่วนโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน(STEMI Fast Track)และมีบริการสวนหัวใจ ส่วนโรงพยาบาลชุมชนตั้งแต่ 30 เตียงขึ้นไปทุกแห่งสามารถให้ยาละลายลิ่มเลือดได้ผลการดําเนินงานรอบ 6 เดือนแรกปีงบประมาณ 2560 สามารถลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยหลอดเลือดหัวใจเหลือ 11.1 ต่อแสนประชากร ต่ํากว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้28 คนต่อประชากรแสนคนและผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน(STEMI)ที่เสียชีวิตในโรงพยาบาลเฉลี่ยร้อยละ 10.65 ต่ํากว่าเกณฑ์ที่กําหนดคือร้อยละ 13.7
*********************************** 27 มิถุนายน 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4806
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลวอนอย่าเชื่อข่าวลือกำหนดวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ร.9 แนะใช้วิจารณญาณไม่ส่งต่อสร้างความสับสน พร้อมแจงทำเนียบงดออกกำลังกายประจำสัปดาห์ เหตุอากาศเริ่มร้อนจัด
|
วันพุธที่ 8 มีนาคม 2560
รัฐบาลวอนอย่าเชื่อข่าวลือกําหนดวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ร.9 แนะใช้วิจารณญาณไม่ส่งต่อสร้างความสับสน พร้อมแจงทําเนียบงดออกกําลังกายประจําสัปดาห์ เหตุอากาศเริ่มร้อนจัด
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่มีกระแสข่าวว่าจะมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในระหว่างวันที่ 25-30 ธ.ค.60 นั้น เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง
วันที่ 8 มีนาคม 2560 พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่มีกระแสข่าวว่าจะมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในระหว่างวันที่ 25-30 ธ.ค.60 นั้น เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยในการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดงานพระราชพิธีฯ เมื่อวันที่ 1 มี.ค.60 ที่ประชุมเห็นชอบช่วงเวลาการจัดงานพระราชพิธีดังกล่าวคือช่วงปลายเดือน ต.ค. 60 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการกราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อมีพระบรมราชวินิจฉัย ดังนั้น ประชาชนจึงควรใช้วิจารณญาณไม่ส่งต่อข่าวสารที่อาจสร้างความเข้าใจผิดแก่ผู้อื่น
นอกจากนี้ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวอีกว่า ในวันนี้สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้งดจัดกิจกรรมออกกําลังกายกลางแจ้งประจําสัปดาห์ที่ทําเนียบรัฐบาล เนื่องจากสภาพอากาศที่เริ่มร้อนจัด จึงเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อสุขภาพของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่ไปร่วมกิจกรรม แต่ในส่วนของหน่วยงานอื่น ๆ นั้น นายกรัฐมนตรีขอให้ใช้ดุลพินิจว่า ควรจัดกิจกรรม หรือไม่อย่างไรทั้งนี้หากจะจัด ควรเป็นบริเวณใดจึงจะเหมาะสม โดยให้คําถึงสุขภาพของบุคลากรภายในหน่วยงานเป็นสําคัญ
------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลวอนอย่าเชื่อข่าวลือกำหนดวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ร.9 แนะใช้วิจารณญาณไม่ส่งต่อสร้างความสับสน พร้อมแจงทำเนียบงดออกกำลังกายประจำสัปดาห์ เหตุอากาศเริ่มร้อนจัด
วันพุธที่ 8 มีนาคม 2560
รัฐบาลวอนอย่าเชื่อข่าวลือกําหนดวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ร.9 แนะใช้วิจารณญาณไม่ส่งต่อสร้างความสับสน พร้อมแจงทําเนียบงดออกกําลังกายประจําสัปดาห์ เหตุอากาศเริ่มร้อนจัด
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่มีกระแสข่าวว่าจะมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในระหว่างวันที่ 25-30 ธ.ค.60 นั้น เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง
วันที่ 8 มีนาคม 2560 พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่มีกระแสข่าวว่าจะมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในระหว่างวันที่ 25-30 ธ.ค.60 นั้น เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยในการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดงานพระราชพิธีฯ เมื่อวันที่ 1 มี.ค.60 ที่ประชุมเห็นชอบช่วงเวลาการจัดงานพระราชพิธีดังกล่าวคือช่วงปลายเดือน ต.ค. 60 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการกราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อมีพระบรมราชวินิจฉัย ดังนั้น ประชาชนจึงควรใช้วิจารณญาณไม่ส่งต่อข่าวสารที่อาจสร้างความเข้าใจผิดแก่ผู้อื่น
นอกจากนี้ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวอีกว่า ในวันนี้สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้งดจัดกิจกรรมออกกําลังกายกลางแจ้งประจําสัปดาห์ที่ทําเนียบรัฐบาล เนื่องจากสภาพอากาศที่เริ่มร้อนจัด จึงเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อสุขภาพของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่ไปร่วมกิจกรรม แต่ในส่วนของหน่วยงานอื่น ๆ นั้น นายกรัฐมนตรีขอให้ใช้ดุลพินิจว่า ควรจัดกิจกรรม หรือไม่อย่างไรทั้งนี้หากจะจัด ควรเป็นบริเวณใดจึงจะเหมาะสม โดยให้คําถึงสุขภาพของบุคลากรภายในหน่วยงานเป็นสําคัญ
------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2253
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจดีขึ้นต่อเนื่อง คาดปีหน้าขยายตัวร้อยละ 4 ย้ำรัฐมีเป้าหมายชัดเจน ไม่หวั่นไหวต่อคำวิจารณ์ พร้อมเร่งพัฒนาประเทศทุกรูปแบบ
|
วันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2560
โฆษกรัฐบาลเผย ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจดีขึ้นต่อเนื่อง คาดปีหน้าขยายตัวร้อยละ 4 ย้ํารัฐมีเป้าหมายชัดเจน ไม่หวั่นไหวต่อคําวิจารณ์ พร้อมเร่งพัฒนาประเทศทุกรูปแบบ
โฆษกรัฐบาลเผย ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจดีขึ้นต่อเนื่อง คาดปีหน้าขยายตัวร้อยละ 4 ย้ํารัฐมีเป้าหมายชัดเจน ไม่หวั่นไหวต่อคําวิจารณ์ พร้อมเร่งพัฒนาประเทศทุกรูปแบบ
วันนี้ (11 พฤศจิกายน 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงรายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางด้านเศรษฐกิจขณะนี้มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผลสํารวจของ ม.หอการค้าไทย เดือน ต.ค.60 พบว่า ประชาชนมองเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่ 6 มีระดับความเชื่อมั่นอยู่ที่ 64.1 ส่วนความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในอนาคตปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่ 3 อยู่ที่ระดับ 80.8
“ตัวเลขความเชื่อมั่นเกือบทั้งหมดเป็นไปทิศทางที่ดี ทั้งเรื่องการใช้จ่ายของผู้บริโภค โอกาสการหางานทํา การใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยว และการลงทุนทําธุรกิจของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งสะท้อนว่าประชาชนเริ่มเกิดความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอย รวมทั้งยังมีปัจจัยด้านบวกอื่น ๆ เข้ามาสนับสนุน เช่น ตัวเลขการส่งออกที่ดีขึ้น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ดัชนีหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นในรอบ 20 ปี ราคาน้ํามันขายปลีกที่ลดลง เป็นต้น”
ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ส่งข้อความมาเพื่อให้สร้างความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนว่า รัฐบาลจะทําทุกวิถีทางเพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น และลดปัญหาปากท้องให้ได้มากที่สุด โดยย้ําว่าเศรษฐกิจไทยมีพัฒนาการที่ดีขึ้น จากปี 2557 ที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.8 เพิ่มเป็นร้อยละ 3.2 ในปี 2559 และร้อยละ 3.7 ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ โดยคาดว่าตลอดทั้งปีน่าจะขยายตัวมากกว่าร้อยละ 3.8
ในปี 2561 รัฐบาลจะมุ่งเน้นสร้างความเข้มแข็งของประชาชนระดับฐานราก ส่งเสริม SMEs และสร้างอุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมดิจิทัล เพื่อยกระดับให้ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค รวมทั้งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งอย่างเต็มที่ เช่น รถไฟฟ้า มอเตอร์เวย์ สนามบิน และโครงสร้างพื้นฐานในอีอีซี นอกจากนี้ จะมีการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาทั้งจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง และสิงคโปร์ เสริมด้วยรายได้จากการท่องเที่ยว ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ถึงร้อยละ 4
“นายกฯ ยืนยันว่า แม้จะมีการปรับ ครม. แต่นโยบายเศรษฐกิจจะไม่เปลี่ยนแปลง เพราะรัฐบาลมีความชัดเจนต่อเป้าหมายในวันข้างหน้า โดยไม่หวั่นไหวต่อการวิพากษ์วิจารณ์เสียดสีใด ๆ จึงขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นในการทํางานของรัฐบาล”
นอกจากนี้ วันนี้เป็นวันแรกของมาตรการช้อปช่วยชาติ ซึ่งรัฐบาลมั่นใจว่ามาตรการช้อปช่วยชาติ จะก่อให้เกิดผลดีสําหรับทุกฝ่าย ทั้งส่วนของผู้จําหน่ายสินค้าและบริการที่จะมียอดจําหน่ายเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่รัฐบาลออกมาตรการ คือ ระหว่างวันที่ 11 พ.ย.- 3 ธ.ค.60 ส่วนประชาชนทั่วไปสามารถนําค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษีประจําปีได้ ในวงเงินไม่เกิน 15,000 บาท รวมทั้งมาตรการนี้ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ ส่งผลบวกตั้งแต่ผู้ผลิตต้นทางไปจนถึงผู้บริโภคปลายทาง
"เชื่อว่าบรรยากาศการซื้อขายสินค้าและบริการ ในช่วงที่มาตรการประกาศใช้จะคึกคักเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม อยากเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนจับจ่ายอย่างมีสติ เลือกซื้อสินค้าและบริการที่จําเป็น เพื่อได้รับประโยชน์สูงสุด"
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจดีขึ้นต่อเนื่อง คาดปีหน้าขยายตัวร้อยละ 4 ย้ำรัฐมีเป้าหมายชัดเจน ไม่หวั่นไหวต่อคำวิจารณ์ พร้อมเร่งพัฒนาประเทศทุกรูปแบบ
วันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2560
โฆษกรัฐบาลเผย ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจดีขึ้นต่อเนื่อง คาดปีหน้าขยายตัวร้อยละ 4 ย้ํารัฐมีเป้าหมายชัดเจน ไม่หวั่นไหวต่อคําวิจารณ์ พร้อมเร่งพัฒนาประเทศทุกรูปแบบ
โฆษกรัฐบาลเผย ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจดีขึ้นต่อเนื่อง คาดปีหน้าขยายตัวร้อยละ 4 ย้ํารัฐมีเป้าหมายชัดเจน ไม่หวั่นไหวต่อคําวิจารณ์ พร้อมเร่งพัฒนาประเทศทุกรูปแบบ
วันนี้ (11 พฤศจิกายน 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงรายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางด้านเศรษฐกิจขณะนี้มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผลสํารวจของ ม.หอการค้าไทย เดือน ต.ค.60 พบว่า ประชาชนมองเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่ 6 มีระดับความเชื่อมั่นอยู่ที่ 64.1 ส่วนความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในอนาคตปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่ 3 อยู่ที่ระดับ 80.8
“ตัวเลขความเชื่อมั่นเกือบทั้งหมดเป็นไปทิศทางที่ดี ทั้งเรื่องการใช้จ่ายของผู้บริโภค โอกาสการหางานทํา การใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยว และการลงทุนทําธุรกิจของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งสะท้อนว่าประชาชนเริ่มเกิดความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอย รวมทั้งยังมีปัจจัยด้านบวกอื่น ๆ เข้ามาสนับสนุน เช่น ตัวเลขการส่งออกที่ดีขึ้น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ดัชนีหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นในรอบ 20 ปี ราคาน้ํามันขายปลีกที่ลดลง เป็นต้น”
ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ส่งข้อความมาเพื่อให้สร้างความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนว่า รัฐบาลจะทําทุกวิถีทางเพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น และลดปัญหาปากท้องให้ได้มากที่สุด โดยย้ําว่าเศรษฐกิจไทยมีพัฒนาการที่ดีขึ้น จากปี 2557 ที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.8 เพิ่มเป็นร้อยละ 3.2 ในปี 2559 และร้อยละ 3.7 ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ โดยคาดว่าตลอดทั้งปีน่าจะขยายตัวมากกว่าร้อยละ 3.8
ในปี 2561 รัฐบาลจะมุ่งเน้นสร้างความเข้มแข็งของประชาชนระดับฐานราก ส่งเสริม SMEs และสร้างอุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมดิจิทัล เพื่อยกระดับให้ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค รวมทั้งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งอย่างเต็มที่ เช่น รถไฟฟ้า มอเตอร์เวย์ สนามบิน และโครงสร้างพื้นฐานในอีอีซี นอกจากนี้ จะมีการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาทั้งจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง และสิงคโปร์ เสริมด้วยรายได้จากการท่องเที่ยว ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ถึงร้อยละ 4
“นายกฯ ยืนยันว่า แม้จะมีการปรับ ครม. แต่นโยบายเศรษฐกิจจะไม่เปลี่ยนแปลง เพราะรัฐบาลมีความชัดเจนต่อเป้าหมายในวันข้างหน้า โดยไม่หวั่นไหวต่อการวิพากษ์วิจารณ์เสียดสีใด ๆ จึงขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นในการทํางานของรัฐบาล”
นอกจากนี้ วันนี้เป็นวันแรกของมาตรการช้อปช่วยชาติ ซึ่งรัฐบาลมั่นใจว่ามาตรการช้อปช่วยชาติ จะก่อให้เกิดผลดีสําหรับทุกฝ่าย ทั้งส่วนของผู้จําหน่ายสินค้าและบริการที่จะมียอดจําหน่ายเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่รัฐบาลออกมาตรการ คือ ระหว่างวันที่ 11 พ.ย.- 3 ธ.ค.60 ส่วนประชาชนทั่วไปสามารถนําค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษีประจําปีได้ ในวงเงินไม่เกิน 15,000 บาท รวมทั้งมาตรการนี้ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ ส่งผลบวกตั้งแต่ผู้ผลิตต้นทางไปจนถึงผู้บริโภคปลายทาง
"เชื่อว่าบรรยากาศการซื้อขายสินค้าและบริการ ในช่วงที่มาตรการประกาศใช้จะคึกคักเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม อยากเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนจับจ่ายอย่างมีสติ เลือกซื้อสินค้าและบริการที่จําเป็น เพื่อได้รับประโยชน์สูงสุด"
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8008
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความง่ายในการประกอบธุรกิจด้านการชำระภาษีไทย (paying taxes) ดีขึ้น 42 ลำดับ ขึ้นมาอยู่ลำดับ 2 ของอาเซียน
|
วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2560
ความง่ายในการประกอบธุรกิจด้านการชําระภาษีไทย (paying taxes) ดีขึ้น 42 ลําดับ ขึ้นมาอยู่ลําดับ 2 ของอาเซียน
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2560 ธนาคารโลกได้เผยแพร่รายงาน “Doing Business 2018: Reforming to Create Jobs” หรือรายงานความยากง่ายในการทําธุรกิจประจําปี 2561 โดยประเทศไทย มีอันดับที่ 26 จาก 190 ประเทศของโลกดีขึ้นกว่า 20 ลําดับจากลําดับที่ 46 ในปี 2560
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2560 ธนาคารโลกได้เผยแพร่รายงาน “Doing Business 2018: Reforming to Create Jobs” หรือรายงานความยากง่ายในการทําธุรกิจประจําปี 2561 โดยประเทศไทย มีอันดับที่ 26 จาก 190 ประเทศของโลกดีขึ้นกว่า 20 ลําดับจากลําดับที่ 46 ในปี 2560 โดยเฉพาะด้านความสะดวกในการชําระภาษี (Paying taxes) ของประเทศไทยดีขึ้นกว่า 42 ลําดับจากปีก่อน จากลําดับที่ 109 ในปี 2560 มาอยู่ที่ลําดับที่ 67 ของโลกในปี 2561 หรืออยู่ลําดับที่ 2 ของอาเซียน เป็นรองเพียงสิงคโปร์เท่านั้น
นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “เนื่องจากปีที่ผ่านมารัฐบาลได้มีนโยบายสนับสนุนส่งเสริมการประกอบธุรกิจในประเทศในหลายด้าน ประกอบกับกรมสรรพากรได้พัฒนาเครื่องมือ และนําเทคโนโลยีหลายๆ ด้านมาสนับสนุนและอํานวยความสะดวกให้แก่ผู้เสียภาษีตามนโยบาย Thailand 4.0 เช่น ระบบการตรวจสอบตามเกณฑ์ความเสี่ยง (Risk Based Audit Approach : RBA) ที่กรมสรรพากรได้เริ่มนํามาใช้ส่งผลให้ผู้เสียภาษีที่ปฏิบัติถูกต้อง เป็นผู้ประกอบการที่ดีตามนโยบายบัญชีเดียว ไม่เข้าเกณฑ์ความเสี่ยงก็จะได้คืนภาษีและได้รับบริการต่างๆ ที่รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยํายิ่งขึ้น รวมถึงกรมสรรพากรได้จัดทําคู่มือภาษีสําหรับผู้ประกอบการเป็นรายอุตสาหกรรม เช่น ร้านยา ร้านทอง รวมถึงการจัดอบรมสัมมนาภาษีตลอดทั้งปี เพื่อผู้เสียภาษีจะได้ปฏิบัติตามนโยบายภาษีได้อย่างถูกต้อง มั่นใจ และลดต้นทุนด้านการชําระภาษีให้แก่ผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก”
กรมสรรพากรคาดหมายว่าในอนาคตหากประเทศไทยสามารถนําระบบ E-tax Invoice, E-Withholding tax มาอํานวยความสะดวกให้แก่ผู้เสียภาษีในประเทศไทยได้อย่างสมบูรณ์ ต้นทุนการประกอบธุรกิจในประเทศไทยจะลดลงอย่างมีนัยสําคัญ ก็จะช่วยยกลําดับความสามารถในการแข่งขันด้านการชําระภาษีของประเทศจะดีขึ้นแบบก้าวกระโดด
ลําดับด้านการชําระภาษี (Paying Taxes) พ.ศ. 2560 พ.ศ. 2561
ประเทศ ลําดับโลก ลําดับในอาเซียน ลําดับโลก ลําดับในอาเซียน
สิงคโปร์ 8 1 7 1
ไทย 109 5 67 2
มาเลเซีย 61 2 73 3
เวียดนาม 167 10 86 4
บรูไน 89 3 104 5
อินโดนีเซีย 104 4 114 6
พม่า 119 6 125 7
กัมพูชา 124 7 136 8
ติมอร์-เลสเต 130 8 139 9
ลาว 146 9 156 10
สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์
เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความง่ายในการประกอบธุรกิจด้านการชำระภาษีไทย (paying taxes) ดีขึ้น 42 ลำดับ ขึ้นมาอยู่ลำดับ 2 ของอาเซียน
วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2560
ความง่ายในการประกอบธุรกิจด้านการชําระภาษีไทย (paying taxes) ดีขึ้น 42 ลําดับ ขึ้นมาอยู่ลําดับ 2 ของอาเซียน
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2560 ธนาคารโลกได้เผยแพร่รายงาน “Doing Business 2018: Reforming to Create Jobs” หรือรายงานความยากง่ายในการทําธุรกิจประจําปี 2561 โดยประเทศไทย มีอันดับที่ 26 จาก 190 ประเทศของโลกดีขึ้นกว่า 20 ลําดับจากลําดับที่ 46 ในปี 2560
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2560 ธนาคารโลกได้เผยแพร่รายงาน “Doing Business 2018: Reforming to Create Jobs” หรือรายงานความยากง่ายในการทําธุรกิจประจําปี 2561 โดยประเทศไทย มีอันดับที่ 26 จาก 190 ประเทศของโลกดีขึ้นกว่า 20 ลําดับจากลําดับที่ 46 ในปี 2560 โดยเฉพาะด้านความสะดวกในการชําระภาษี (Paying taxes) ของประเทศไทยดีขึ้นกว่า 42 ลําดับจากปีก่อน จากลําดับที่ 109 ในปี 2560 มาอยู่ที่ลําดับที่ 67 ของโลกในปี 2561 หรืออยู่ลําดับที่ 2 ของอาเซียน เป็นรองเพียงสิงคโปร์เท่านั้น
นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “เนื่องจากปีที่ผ่านมารัฐบาลได้มีนโยบายสนับสนุนส่งเสริมการประกอบธุรกิจในประเทศในหลายด้าน ประกอบกับกรมสรรพากรได้พัฒนาเครื่องมือ และนําเทคโนโลยีหลายๆ ด้านมาสนับสนุนและอํานวยความสะดวกให้แก่ผู้เสียภาษีตามนโยบาย Thailand 4.0 เช่น ระบบการตรวจสอบตามเกณฑ์ความเสี่ยง (Risk Based Audit Approach : RBA) ที่กรมสรรพากรได้เริ่มนํามาใช้ส่งผลให้ผู้เสียภาษีที่ปฏิบัติถูกต้อง เป็นผู้ประกอบการที่ดีตามนโยบายบัญชีเดียว ไม่เข้าเกณฑ์ความเสี่ยงก็จะได้คืนภาษีและได้รับบริการต่างๆ ที่รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยํายิ่งขึ้น รวมถึงกรมสรรพากรได้จัดทําคู่มือภาษีสําหรับผู้ประกอบการเป็นรายอุตสาหกรรม เช่น ร้านยา ร้านทอง รวมถึงการจัดอบรมสัมมนาภาษีตลอดทั้งปี เพื่อผู้เสียภาษีจะได้ปฏิบัติตามนโยบายภาษีได้อย่างถูกต้อง มั่นใจ และลดต้นทุนด้านการชําระภาษีให้แก่ผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก”
กรมสรรพากรคาดหมายว่าในอนาคตหากประเทศไทยสามารถนําระบบ E-tax Invoice, E-Withholding tax มาอํานวยความสะดวกให้แก่ผู้เสียภาษีในประเทศไทยได้อย่างสมบูรณ์ ต้นทุนการประกอบธุรกิจในประเทศไทยจะลดลงอย่างมีนัยสําคัญ ก็จะช่วยยกลําดับความสามารถในการแข่งขันด้านการชําระภาษีของประเทศจะดีขึ้นแบบก้าวกระโดด
ลําดับด้านการชําระภาษี (Paying Taxes) พ.ศ. 2560 พ.ศ. 2561
ประเทศ ลําดับโลก ลําดับในอาเซียน ลําดับโลก ลําดับในอาเซียน
สิงคโปร์ 8 1 7 1
ไทย 109 5 67 2
มาเลเซีย 61 2 73 3
เวียดนาม 167 10 86 4
บรูไน 89 3 104 5
อินโดนีเซีย 104 4 114 6
พม่า 119 6 125 7
กัมพูชา 124 7 136 8
ติมอร์-เลสเต 130 8 139 9
ลาว 146 9 156 10
สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์
เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7779
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยืนยันโครงการอีอีซี ไม่สะดุด ปรับครม. ไม่กระทบ เดินหน้าตามแผน รอลงนามเอกชนสร้างท่าเรืออุตสาหกรรมแหลมฉบังระยะ 3 เร็วๆนี้
|
วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2563
รัฐบาลยืนยันโครงการอีอีซี ไม่สะดุด ปรับครม. ไม่กระทบ เดินหน้าตามแผน รอลงนามเอกชนสร้างท่าเรืออุตสาหกรรมแหลมฉบังระยะ 3 เร็วๆนี้
รัฐบาลยืนยันโครงการอีอีซี ไม่สะดุด ปรับครม. ไม่กระทบ เดินหน้าตามแผน รอลงนามเอกชนสร้างท่าเรืออุตสาหกรรมแหลมฉบังระยะ 3 เร็วๆนี้
สืบเนื่องจากมีข้อกังวลว่าการปรับคณะรัฐมนตรีอาจมีผลต่อความต่อเนื่องของโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงว่า การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสําคัญในอีอีซี มีความคืบหน้าไปมาก โดยมีสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เป็นผู้ติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงาน โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสําคัญได้ลงนามกับคู่สัญญาไปเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างเดินหน้าต่ออย่างเดียวไม่ต้องมีข้อกังวลใดๆ ซึ่งรายละเอียด มีดังนี้
1. โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม3สนามบินลงนามสัญญาร่วมลงทุนวันที่24ต.ค.2562 ปัจจุบันการประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็น หน่วยงานเจ้าของสาธารณูปโภค อยู่ระหว่างเตรียมดําเนินการรื้อย้าย โดยรถไฟความเร็วสูงสายนี้ เข้าเชื่อมโยง 3 สนามบิน ยกระดับสนามบินอู่ตะเภา มาเป็นสนามบินนานาชาติแห่ง ที่ 3 อีกท้ังเป็นการสร้างพื้นที่ต่ออขยายของเมืองให้กับกรุงเทพ และ พื้นที่อีอีซี (ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง)
2. โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะ 3 ช่วงที่ 1 ลงนามสัญญาร่วมลงทุน วันที่ 1 ต.ค.2562 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดําเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการกํากับดูแล และคณะกรรมการบริหารสัญญา โดย สกพอ. และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อสนับสนุนคณะกรรมการบริหารสัญญาและหน่วยงานเจ้าของโครงการ ในการควบคุมและกํากับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเอกชนคู่สัญญาตามท่ีกําหนดไว้ในสัญญาร่วมลงทุน เพื่อดําเนินการก่อสร้าง
3. โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ลงนามสัญญาร่วมลงทุนกับภาคเอกชนเมื่อ 19 มิ.ย.2563 ถือเป็นหนึ่งในโครงการลงทุน โครงสร้างพื้นฐานหลักของอีอีซี เพื่อยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเป็น “สนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 ของกรุงเทพ” เชื่อมสนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิ ด้วยรถไฟความเร็วสูง ทําให้ 3 สนามบิน สามารถรองรับผู้โดยสาร รวมกันได้มากถึง 200 ล้านคนต่อปี เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation รวมทั้งเป็น “มหานครการบินภาคตะวันออก” ท่ีจะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการบินและประตูเศรษฐกิจสู่เอเชีย
4. โครงการท่าเรืออุตสาหกรรมแหลมฉบัง ระยะที่3 ท่าเทียบเรือ F ปัจจุบันคณะกรรมการคัดเลือก ได้เร่งเจรจาผลตอบแทน และร่างสัญญากับ กลุ่มกิจการร่วมค้า GPC (ประกอบด้วยบริษัท พีทีที แทงค์เทอร์มินัล จํากัด ในกลุ่มบมจ.ปตท (PTT) บมจ. กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวล ลอปเมนท์(GULF) บริษัท China Harbour Engineering Commpany Limited) ท่ีเป็นเอกชนผู้รับการคัดเลือก คาดว่าจะได้ผลการคัดเลือกเอกชน และลงนามสัญญาได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้
ทั้งนี้ ยังมีโครงการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทําร่างเอกสารคัดเลือกเอกชนเพื่อรับฟังความเห็นอีกครั้ง ก่อนสรุปผลการดําเนินงานต่อคณะกรรมการคัดเลือก เพื่อพิจารณาแนวทางการดําเนินงานโครงการต่อไป นางสาวรัชดา ยังกล่าวด้วยว่า แม้จะมีการยื่นขอการลงทุนในอีอีซีลดลงในช่วง เม.ย.-มิ.ย. เนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด19 แต่คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นจากนี้เป็นต้นไป เพราะยังมีนักลงทุนที่ต้องการย้ายการลงทุนสืบเนื่องจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐ และ 3 อันดับแรกของประเทศที่เข้ามาลงทุนประกอบด้วย จีน ญี่ปุ่น และสิงคโปร์
“ขอให้ประชาชนและภาคเอกชนสบายใจและมั่นใจได้ว่า ท่านนายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ให้ความสําคัญขับเคลื่อนการลงทุนในไทยและในพื้นที่ อีอีซี ผลักดันให้เกิดผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม โดยมี สกพอ. ที่เป็นหน่วยงานหลักในการติดตามดูแลการดําเนินงานโครงการอีอีซี การปรับครม.จึงไม่กระทบต่อความต่อเนื่องของโครงการแต่อย่างใด และนอกจากความก้าวหน้าของโครงการก่อสร้างพื้นฐาน สกพอ.ได้ เดินหน้าควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรร่วมกับสถาบันการศึกษาและเอกชน เพื่อรองรับการจ้างงานในอีอีซี เป้าหมาย จํานวนหลักแสนอัตรา ระยะเวลา 2562-2566” รองโฆษกฯกล่าว
...................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยืนยันโครงการอีอีซี ไม่สะดุด ปรับครม. ไม่กระทบ เดินหน้าตามแผน รอลงนามเอกชนสร้างท่าเรืออุตสาหกรรมแหลมฉบังระยะ 3 เร็วๆนี้
วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2563
รัฐบาลยืนยันโครงการอีอีซี ไม่สะดุด ปรับครม. ไม่กระทบ เดินหน้าตามแผน รอลงนามเอกชนสร้างท่าเรืออุตสาหกรรมแหลมฉบังระยะ 3 เร็วๆนี้
รัฐบาลยืนยันโครงการอีอีซี ไม่สะดุด ปรับครม. ไม่กระทบ เดินหน้าตามแผน รอลงนามเอกชนสร้างท่าเรืออุตสาหกรรมแหลมฉบังระยะ 3 เร็วๆนี้
สืบเนื่องจากมีข้อกังวลว่าการปรับคณะรัฐมนตรีอาจมีผลต่อความต่อเนื่องของโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงว่า การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสําคัญในอีอีซี มีความคืบหน้าไปมาก โดยมีสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เป็นผู้ติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงาน โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสําคัญได้ลงนามกับคู่สัญญาไปเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างเดินหน้าต่ออย่างเดียวไม่ต้องมีข้อกังวลใดๆ ซึ่งรายละเอียด มีดังนี้
1. โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม3สนามบินลงนามสัญญาร่วมลงทุนวันที่24ต.ค.2562 ปัจจุบันการประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็น หน่วยงานเจ้าของสาธารณูปโภค อยู่ระหว่างเตรียมดําเนินการรื้อย้าย โดยรถไฟความเร็วสูงสายนี้ เข้าเชื่อมโยง 3 สนามบิน ยกระดับสนามบินอู่ตะเภา มาเป็นสนามบินนานาชาติแห่ง ที่ 3 อีกท้ังเป็นการสร้างพื้นที่ต่ออขยายของเมืองให้กับกรุงเทพ และ พื้นที่อีอีซี (ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง)
2. โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะ 3 ช่วงที่ 1 ลงนามสัญญาร่วมลงทุน วันที่ 1 ต.ค.2562 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดําเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการกํากับดูแล และคณะกรรมการบริหารสัญญา โดย สกพอ. และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อสนับสนุนคณะกรรมการบริหารสัญญาและหน่วยงานเจ้าของโครงการ ในการควบคุมและกํากับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเอกชนคู่สัญญาตามท่ีกําหนดไว้ในสัญญาร่วมลงทุน เพื่อดําเนินการก่อสร้าง
3. โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ลงนามสัญญาร่วมลงทุนกับภาคเอกชนเมื่อ 19 มิ.ย.2563 ถือเป็นหนึ่งในโครงการลงทุน โครงสร้างพื้นฐานหลักของอีอีซี เพื่อยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเป็น “สนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 ของกรุงเทพ” เชื่อมสนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิ ด้วยรถไฟความเร็วสูง ทําให้ 3 สนามบิน สามารถรองรับผู้โดยสาร รวมกันได้มากถึง 200 ล้านคนต่อปี เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation รวมทั้งเป็น “มหานครการบินภาคตะวันออก” ท่ีจะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการบินและประตูเศรษฐกิจสู่เอเชีย
4. โครงการท่าเรืออุตสาหกรรมแหลมฉบัง ระยะที่3 ท่าเทียบเรือ F ปัจจุบันคณะกรรมการคัดเลือก ได้เร่งเจรจาผลตอบแทน และร่างสัญญากับ กลุ่มกิจการร่วมค้า GPC (ประกอบด้วยบริษัท พีทีที แทงค์เทอร์มินัล จํากัด ในกลุ่มบมจ.ปตท (PTT) บมจ. กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวล ลอปเมนท์(GULF) บริษัท China Harbour Engineering Commpany Limited) ท่ีเป็นเอกชนผู้รับการคัดเลือก คาดว่าจะได้ผลการคัดเลือกเอกชน และลงนามสัญญาได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้
ทั้งนี้ ยังมีโครงการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทําร่างเอกสารคัดเลือกเอกชนเพื่อรับฟังความเห็นอีกครั้ง ก่อนสรุปผลการดําเนินงานต่อคณะกรรมการคัดเลือก เพื่อพิจารณาแนวทางการดําเนินงานโครงการต่อไป นางสาวรัชดา ยังกล่าวด้วยว่า แม้จะมีการยื่นขอการลงทุนในอีอีซีลดลงในช่วง เม.ย.-มิ.ย. เนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด19 แต่คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นจากนี้เป็นต้นไป เพราะยังมีนักลงทุนที่ต้องการย้ายการลงทุนสืบเนื่องจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐ และ 3 อันดับแรกของประเทศที่เข้ามาลงทุนประกอบด้วย จีน ญี่ปุ่น และสิงคโปร์
“ขอให้ประชาชนและภาคเอกชนสบายใจและมั่นใจได้ว่า ท่านนายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ให้ความสําคัญขับเคลื่อนการลงทุนในไทยและในพื้นที่ อีอีซี ผลักดันให้เกิดผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม โดยมี สกพอ. ที่เป็นหน่วยงานหลักในการติดตามดูแลการดําเนินงานโครงการอีอีซี การปรับครม.จึงไม่กระทบต่อความต่อเนื่องของโครงการแต่อย่างใด และนอกจากความก้าวหน้าของโครงการก่อสร้างพื้นฐาน สกพอ.ได้ เดินหน้าควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรร่วมกับสถาบันการศึกษาและเอกชน เพื่อรองรับการจ้างงานในอีอีซี เป้าหมาย จํานวนหลักแสนอัตรา ระยะเวลา 2562-2566” รองโฆษกฯกล่าว
...................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33816
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม จัดประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางช่วยเหลือด้านกฎหมาย แก่กลุ่มเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์
|
วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม 2560
กระทรวงยุติธรรม จัดประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางช่วยเหลือด้านกฎหมาย แก่กลุ่มเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์
การประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางช่วยเหลือด้านกฎหมาย กรณีกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางช่วยเหลือด้านกฎหมาย
กรณีกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์
ขอความช่วยเหลือและขอความเป็นธรรมจากการถูกบริษัทผู้จําหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ฟ้องร้องดําเนินคดี
โดยมีนายเสาวภักดิ์ สกุลโรมวิลาส อุปนายกฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย
นายสมศักดิ์ อัจจิกุล กรรมการฝ่ายวิจัยและพัฒนาสภาทนายความ
พันตํารวจโท วิชัย สุวรรณประเสริฐ
เลขานุการศูนย์ลูกหนี้และช่วยเหลือประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม (ศนย.ยธ.)
และผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม 2 ชั้น 8 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม จัดประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางช่วยเหลือด้านกฎหมาย แก่กลุ่มเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์
วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม 2560
กระทรวงยุติธรรม จัดประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางช่วยเหลือด้านกฎหมาย แก่กลุ่มเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์
การประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางช่วยเหลือด้านกฎหมาย กรณีกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางช่วยเหลือด้านกฎหมาย
กรณีกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์
ขอความช่วยเหลือและขอความเป็นธรรมจากการถูกบริษัทผู้จําหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ฟ้องร้องดําเนินคดี
โดยมีนายเสาวภักดิ์ สกุลโรมวิลาส อุปนายกฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย
นายสมศักดิ์ อัจจิกุล กรรมการฝ่ายวิจัยและพัฒนาสภาทนายความ
พันตํารวจโท วิชัย สุวรรณประเสริฐ
เลขานุการศูนย์ลูกหนี้และช่วยเหลือประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม (ศนย.ยธ.)
และผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม 2 ชั้น 8 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1327
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ย้ำจัดโครงสร้างของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 เพื่อเร่งแก้ปัญหาในเชิงรุกและรับมือกับสถานการณ์ได้ทันที
|
วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563
นายกรัฐมนตรี ย้ําจัดโครงสร้างของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 เพื่อเร่งแก้ปัญหาในเชิงรุกและรับมือกับสถานการณ์ได้ทันที
นายกรัฐมนตรี ย้ําจัดโครงสร้างของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 เพื่อเร่งแก้ปัญหาในเชิงรุกและรับมือกับสถานการณ์ได้ทันที
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ลงนามแต่งตั้งหน่วยงานภายใต้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 และขณะนี้ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว โดยจุดประสงค์เพื่อให้ เจ้าหน้าที่ในแต่ละด้านภายในโครงสร้างกลุ่มต่างๆ สามารถปฏิบัติหน้าที่เพื่อช่วยเหลือประชาชน แก้ปัญหา รวมทั้งสะกัดกั้น หรือหยุดการแพร่ระบาดขอโควิด 19 เป็นไปด้วยความราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ซึ่งโครงสร้างดังกล่าวประกอบด้วย
1 สํานักเลขาธิการ
2 สํานักประสานงานกลาง
3 ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านก่รแพทย์และสาธารณสุข
4 ศูนย์ปฏิบัติการด้านมาตรการป้องกันและช่วยเหลือประชาชน
5 ศูนย์ปฏิบัติการกระจายหน้ากากและเวชภัณฑ์สําหรับประชาชน
6 ศูนย์ปฏิบัติการด้านการควบคุมสินค้า
7 ศูนย์ปฎิบัติการมาตรการเดินทางเข้าออกประเทศและการดูแลคนไทยในต่างประเทศ
8 ศูนย์ปฏิบัติการด้านการสื่อสารโทรคมนาคม
9 ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง
10 ศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อโควิด 19
โดยการปฏิบัติงานของศูนย์ดังกล่าวจะรายงานตรงสู่นายกรัฐมนตรีเพื่อติดตามสถานการณ์และสั่งการทันทีหากมีข้อติดขัด และให้ประชาชนมั่นใจและอุ่นใจว่ารัฐบาลดูแลตลอด 24 ชั่วโมงและแก้ปัญหาทุกปัญหา จะไม่ปล่อยให้ส่งผลกระทบกับประชาชน เพราะขณะนี้ เรากําลังเผชิญวิกฤตที่ส่งผลกับชีวิตของประชาชน นายกรัฐมนตรีจะดูแล แก้ปัญหาอย่างรอบด้านอย่างเต็มที่ด้วยกลไกทุกอย่างที่มีอยู่ แต่ทั้งนี้ ขอความร่วมมือจากประชาชนในการดูแลตนเอง และสังคม ตามมาตรการที่รัฐกําหนดและแนะนํา ซึ่งสําคัญยิ่งในการสะกัดการแพร่ระบาดโควิด 19
........................................
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ย้ำจัดโครงสร้างของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 เพื่อเร่งแก้ปัญหาในเชิงรุกและรับมือกับสถานการณ์ได้ทันที
วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563
นายกรัฐมนตรี ย้ําจัดโครงสร้างของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 เพื่อเร่งแก้ปัญหาในเชิงรุกและรับมือกับสถานการณ์ได้ทันที
นายกรัฐมนตรี ย้ําจัดโครงสร้างของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 เพื่อเร่งแก้ปัญหาในเชิงรุกและรับมือกับสถานการณ์ได้ทันที
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ลงนามแต่งตั้งหน่วยงานภายใต้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 และขณะนี้ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว โดยจุดประสงค์เพื่อให้ เจ้าหน้าที่ในแต่ละด้านภายในโครงสร้างกลุ่มต่างๆ สามารถปฏิบัติหน้าที่เพื่อช่วยเหลือประชาชน แก้ปัญหา รวมทั้งสะกัดกั้น หรือหยุดการแพร่ระบาดขอโควิด 19 เป็นไปด้วยความราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ซึ่งโครงสร้างดังกล่าวประกอบด้วย
1 สํานักเลขาธิการ
2 สํานักประสานงานกลาง
3 ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านก่รแพทย์และสาธารณสุข
4 ศูนย์ปฏิบัติการด้านมาตรการป้องกันและช่วยเหลือประชาชน
5 ศูนย์ปฏิบัติการกระจายหน้ากากและเวชภัณฑ์สําหรับประชาชน
6 ศูนย์ปฏิบัติการด้านการควบคุมสินค้า
7 ศูนย์ปฎิบัติการมาตรการเดินทางเข้าออกประเทศและการดูแลคนไทยในต่างประเทศ
8 ศูนย์ปฏิบัติการด้านการสื่อสารโทรคมนาคม
9 ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง
10 ศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อโควิด 19
โดยการปฏิบัติงานของศูนย์ดังกล่าวจะรายงานตรงสู่นายกรัฐมนตรีเพื่อติดตามสถานการณ์และสั่งการทันทีหากมีข้อติดขัด และให้ประชาชนมั่นใจและอุ่นใจว่ารัฐบาลดูแลตลอด 24 ชั่วโมงและแก้ปัญหาทุกปัญหา จะไม่ปล่อยให้ส่งผลกระทบกับประชาชน เพราะขณะนี้ เรากําลังเผชิญวิกฤตที่ส่งผลกับชีวิตของประชาชน นายกรัฐมนตรีจะดูแล แก้ปัญหาอย่างรอบด้านอย่างเต็มที่ด้วยกลไกทุกอย่างที่มีอยู่ แต่ทั้งนี้ ขอความร่วมมือจากประชาชนในการดูแลตนเอง และสังคม ตามมาตรการที่รัฐกําหนดและแนะนํา ซึ่งสําคัญยิ่งในการสะกัดการแพร่ระบาดโควิด 19
........................................
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28058
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. มอบเงินสนับสนุนจากกองทุนผู้พิทักษ์ป่าเพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานควบคุมไฟป่า อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่
|
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562
รมว.ทส. มอบเงินสนับสนุนจากกองทุนผู้พิทักษ์ป่าเพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานควบคุมไฟป่า อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้แทนมอบเงินสนับสนุนจากกองทุน ผู้พิทักษ์ป่าเพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานควบคุมไฟป่า อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ จํานวน 2 ราย
รมว.ทส. มอบเงินสนับสนุนจากกองทุนผู้พิทักษ์ป่าเพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานควบคุมไฟป่า อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้แทนมอบเงินสนับสนุนจากกองทุน ผู้พิทักษ์ป่าเพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานควบคุมไฟป่า อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ จํานวน 2 ราย
วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2562) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์) ประธานกรรมการมูลนิธิผู้พิทักษ์ป่า มอบเงินสนับสนุนจากกองทุนผู้พิทักษ์ป่าเพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานควบคุมไฟป่า อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ จํานวน 2 ราย เพื่อเป็นขวัญก้าลังใจให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานดับไฟป่า โดยมอบเงินสนับสนุนจากกองทุนผู้พิทักษ์ป่า จํานวน 10,000 บาท แก่ญาติของ นางวารี สถาพรประเทือง อายุ 39 ปี ชนเผ่ากะเหรี่ยง ราษฎรที่เสียชีวิตจากการถูกกิ่งไม้ขนาดใหญ่หล่นทับทําให้เสียชีวิตทันที เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2559 ขณะไปทําแนวกันไฟและดับไฟป่าที่ลุกไหม้ติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน และมอบเงินสนับสนุนจากกองทุนผู้พิทักษ์ป่า จํานวน 5,000 บาท แก่ นางขันทอง อินต๊ะเนตร จิตอาสาดับไฟป่าแม่แจ่มอายุ 47 ปีอาสาดับไฟกับชุดเสือไฟตาบลแม่นาจร ได้รับบาดเจ็บโดยพลัดตกเขา เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2561 ขณะร่วมปฏิบัติหน้าที่ควบคุมไฟป่าอย่างแข็งขันร่วมกับทีมเสือไฟตําบลแม่นาจร เป็นผลให้ขาข้างซ้ายกระดูกหักสองท่อน และต้องพักฟื้นอยู่บ้านเป็นเวลานาน ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้สั่งการให้กรมป่าไม้ด้าเนินการให้ความช่วยเหลือแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานป้องกันและควบคุมไฟป่า
โอกาสนี้ พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ได้พูดคุยให้กําลังใจแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานอีกด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. มอบเงินสนับสนุนจากกองทุนผู้พิทักษ์ป่าเพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานควบคุมไฟป่า อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562
รมว.ทส. มอบเงินสนับสนุนจากกองทุนผู้พิทักษ์ป่าเพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานควบคุมไฟป่า อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้แทนมอบเงินสนับสนุนจากกองทุน ผู้พิทักษ์ป่าเพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานควบคุมไฟป่า อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ จํานวน 2 ราย
รมว.ทส. มอบเงินสนับสนุนจากกองทุนผู้พิทักษ์ป่าเพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานควบคุมไฟป่า อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้แทนมอบเงินสนับสนุนจากกองทุน ผู้พิทักษ์ป่าเพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานควบคุมไฟป่า อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ จํานวน 2 ราย
วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2562) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์) ประธานกรรมการมูลนิธิผู้พิทักษ์ป่า มอบเงินสนับสนุนจากกองทุนผู้พิทักษ์ป่าเพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานควบคุมไฟป่า อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ จํานวน 2 ราย เพื่อเป็นขวัญก้าลังใจให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานดับไฟป่า โดยมอบเงินสนับสนุนจากกองทุนผู้พิทักษ์ป่า จํานวน 10,000 บาท แก่ญาติของ นางวารี สถาพรประเทือง อายุ 39 ปี ชนเผ่ากะเหรี่ยง ราษฎรที่เสียชีวิตจากการถูกกิ่งไม้ขนาดใหญ่หล่นทับทําให้เสียชีวิตทันที เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2559 ขณะไปทําแนวกันไฟและดับไฟป่าที่ลุกไหม้ติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน และมอบเงินสนับสนุนจากกองทุนผู้พิทักษ์ป่า จํานวน 5,000 บาท แก่ นางขันทอง อินต๊ะเนตร จิตอาสาดับไฟป่าแม่แจ่มอายุ 47 ปีอาสาดับไฟกับชุดเสือไฟตาบลแม่นาจร ได้รับบาดเจ็บโดยพลัดตกเขา เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2561 ขณะร่วมปฏิบัติหน้าที่ควบคุมไฟป่าอย่างแข็งขันร่วมกับทีมเสือไฟตําบลแม่นาจร เป็นผลให้ขาข้างซ้ายกระดูกหักสองท่อน และต้องพักฟื้นอยู่บ้านเป็นเวลานาน ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้สั่งการให้กรมป่าไม้ด้าเนินการให้ความช่วยเหลือแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานป้องกันและควบคุมไฟป่า
โอกาสนี้ พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ได้พูดคุยให้กําลังใจแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานอีกด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18804
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ชี้ช่องส่งออกสินค้าอาหารไปสหรัฐฯ หลังเกิดความกังวลภาวะขาดแคลนอาหารในประเทศ
|
วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562
พาณิชย์ชี้ช่องส่งออกสินค้าอาหารไปสหรัฐฯ หลังเกิดความกังวลภาวะขาดแคลนอาหารในประเทศ
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงผลพวงของสภาพอากาศที่เลวร้ายในสหรัฐฯ หลายพื้นที่กําลังประสบกับสภาพอากาศหนาวเย็นอย่างหนักที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วจํานวนหนึ่ง
และมีรายงานความเสียหายของพื้นที่ทางการเกษตรจํานวนมาก รวมทั้งการคมนาคมขนส่งสินค้าบางส่วนเกิดภาวะชะงักงัน และมีความกังวลว่าอาจเกิดภาวะขาดแคลนอาหารในประเทศในไม่ช้า ซึ่งกระทรวงพาณิชย์คาดว่าผลผลิตด้านการเกษตรของสหรัฐฯ จะลดลง และเพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาการขาดแคลนอาหารในอนาคต คาดว่าสหรัฐฯ อาจมีการนําเข้ามากขึ้น จึงเป็นช่องทางสําหรับผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไทย
ผลของสภาพอากาศที่หนาวเย็นในสหรัฐฯ เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สําหรับอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก ได้แก่ อุตสาหกรรมปศุสัตว์ที่แม้จะยังไม่มีปัญหาสัตว์ล้มตาย แต่กลับมีต้นทุนสูงในด้านการจัดการเพิ่มขึ้น จากการฉีดพ่นไอร้อน และเสริมอาหารพิเศษที่มีต้นทุนสูงให้กับสัตว์เพื่อใช้คลายความหนาว นอกจากนี้ ยังมีเกษตรกรผู้ปลูกพืชไร่ที่ต้องปิดตัวในหลายพื้นที่ โดยผู้เพาะปลูกคาดการณ์ว่าหากสภาพอากาศเลวร้ายลง หิมะอาจเปลี่ยนเป็นน้ําแข็งปกคลุม ซึ่งจะทําให้ต้นพืชไม่สามารถอยู่รอดได้
ปัจจุบันสถิติการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทยในปี 2561 มีมูลค่ารวม 3.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 14.8 ของการส่งออกทั้งหมดของไทยโดยการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ไปยังสหรัฐฯ มีมูลค่า 3,961.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯแบ่งเป็นสินค้าเกษตร 1,451.3 ล้านเหรียญสหรัฐสินค้าเกษตรที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ 5 อันดับแรก ได้แก่ ข้าว ยางพารา กุ้ง ผลิตภัณฑ์มันสําปะหลัง และผลไม้สดและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร 2,510.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ 5 อันดับแรก ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋อง ผลไม้กระป๋อง อาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลี และเครื่องปรุงรส
ทั้งนี้สินค้าเกษตรที่การส่งออกยังเติบโตได้ดีอาทิ ข้าว ร้อยละ 38.7 ผลิตภัณฑ์มันสําปะหลัง ร้อยละ 32.1 และผลไม้สด ร้อยละ 25.8 ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรที่ยังขยายตัวได้ดี อาทิ อาหารสัตว์ ร้อยละ 27.6 ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสําเร็จรูป ร้อยละ 8.1 เครื่องปรุงรส ร้อยละ 8.3 ผักกระป๋องและผักแปรรูป ร้อยละ 10.0 และผลิตภัณฑ์ข้าว ร้อยละ 18.1 เป็นต้น
นางสาวชุติมากล่าวเพิ่มเติมว่า ผลจากสภาพอากาศในสหรัฐฯอาจส่งผลให้สินค้าประเภทอาหาร โดยเฉพาะอาหารสดและแช่แข็ง และอาหารกึ่งสําเร็จรูปมีโอกาสการส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เนื่องจากประชาชนมีความต้องการเก็บสะสมอาหารมากขึ้นเพื่อรับมือกับภัยพิบัติสินค้าเช่น อาหารทะเลกระป๋อง ผักและผลไม้กระป๋อง มีโอกาสในการส่งออกเพิ่มขึ้น ขณะที่สินค้าปศุสัตว์ อย่างไก่สดแช่แข็ง คาดว่าจะไม่ได้รับอานิสงส์เท่าใดนักเนื่องจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ในสหรัฐฯ มีการเตรียมความพร้อมรับมืออยู่พอสมควร และสหรัฐฯ มีข้อตกลงกับประเทศในแถบอเมริกาใต้ และแอฟริกาในการนําเข้าสินค้าไก่สดแช่แข็งอยู่แล้ว จึงคาดว่าการส่งออกไก่สดจะไม่เพิ่มขึ้น ขณะที่สินค้าปศุสัตว์อื่นๆ เช่น เนื้อหมู และเนื้อวัว ไม่ใช่สินค้าส่งออกหลักของไทยไปสหรัฐฯ
นอกจากนี้คาดว่าสินค้าที่ไทยน่าจะส่งออกได้มากขึ้นคือสินค้าเกษตรที่ใช้เป็นอาหารสัตว์เนื่องจากผลผลิตการเกษตร เช่น ข้าวโพด และถั่วเหลือง เป็นสินค้าที่สหรัฐฯ ต้องการส่งออกไปจีนเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบอาหารสัตว์ และล่าสุดจีนตกลงที่จะนําเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ กว่า 5 ล้านตัน เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯซึ่งหากสหรัฐฯ ต้องส่งออกไปจีนและหากผลผลิตในประเทศลดลงด้วย ก็ย่อมจะส่งผลต่อปริมาณวัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศที่อาจมีไม่เพียงพอ และทําให้ต้องนําเข้ามากขึ้น สําหรับสินค้าประมงในตลาดสหรัฐฯ ที่กําลังอยู่ในช่วงชะลอตัวจากการสูญเสียตลาดส่วนหนึ่งให้คู่แข่งจากอเมริกาใต้ โดยเฉพาะสินค้ากุ้งจากเอกวาดอร์ อันมีสาเหตุมาจากต้นทุนสินค้ากุ้งของไทยสูง ก็อาจมีโอกาสส่งออกมากขึ้นในระยะถัดไป
กระทรวงพาณิชย์มองว่าสภาพอากาศดังกล่าวอาจเป็นปัจจัยสนับสนุนการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทย โดยเฉพาะอาหารกึ่งสําเร็จรูป เช่นอาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋อง ผักผลไม้กระป๋อง และผลิตภัณฑ์ข้าวสาลี เป็นต้นอย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นการส่งออกของไทยอาจยังไม่เพิ่มขึ้นมากนัก เนื่องจากสหรัฐฯ เพิ่งจะผ่านพ้นฤดูเก็บเกี่ยวไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน และธันวาคมที่ผ่านมา ทําให้สต็อกอาหารของประเทศยังมีเพียงพอแต่หากสภาพอากาศยังเลวร้ายต่อเนื่อง สหรัฐฯ ก็อาจพิจารณานําเข้าสินค้าอาหารเพิ่มขึ้น และจะเป็นโอกาสของสินค้าไทยที่จะเข้าไปขยายตลาดในสหรัฐฯทั้งในส่วนของสินค้าที่มีการขยายตัวดีอยู่แล้ว และสินค้าที่ก่อนหน้านี้มีภาวะการชะลอตัวของตลาด อันจะส่งผลให้การส่งออกของไทยขยายตัวมากขึ้นในช่วงถัดไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ชี้ช่องส่งออกสินค้าอาหารไปสหรัฐฯ หลังเกิดความกังวลภาวะขาดแคลนอาหารในประเทศ
วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562
พาณิชย์ชี้ช่องส่งออกสินค้าอาหารไปสหรัฐฯ หลังเกิดความกังวลภาวะขาดแคลนอาหารในประเทศ
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงผลพวงของสภาพอากาศที่เลวร้ายในสหรัฐฯ หลายพื้นที่กําลังประสบกับสภาพอากาศหนาวเย็นอย่างหนักที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วจํานวนหนึ่ง
และมีรายงานความเสียหายของพื้นที่ทางการเกษตรจํานวนมาก รวมทั้งการคมนาคมขนส่งสินค้าบางส่วนเกิดภาวะชะงักงัน และมีความกังวลว่าอาจเกิดภาวะขาดแคลนอาหารในประเทศในไม่ช้า ซึ่งกระทรวงพาณิชย์คาดว่าผลผลิตด้านการเกษตรของสหรัฐฯ จะลดลง และเพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาการขาดแคลนอาหารในอนาคต คาดว่าสหรัฐฯ อาจมีการนําเข้ามากขึ้น จึงเป็นช่องทางสําหรับผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไทย
ผลของสภาพอากาศที่หนาวเย็นในสหรัฐฯ เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สําหรับอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก ได้แก่ อุตสาหกรรมปศุสัตว์ที่แม้จะยังไม่มีปัญหาสัตว์ล้มตาย แต่กลับมีต้นทุนสูงในด้านการจัดการเพิ่มขึ้น จากการฉีดพ่นไอร้อน และเสริมอาหารพิเศษที่มีต้นทุนสูงให้กับสัตว์เพื่อใช้คลายความหนาว นอกจากนี้ ยังมีเกษตรกรผู้ปลูกพืชไร่ที่ต้องปิดตัวในหลายพื้นที่ โดยผู้เพาะปลูกคาดการณ์ว่าหากสภาพอากาศเลวร้ายลง หิมะอาจเปลี่ยนเป็นน้ําแข็งปกคลุม ซึ่งจะทําให้ต้นพืชไม่สามารถอยู่รอดได้
ปัจจุบันสถิติการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทยในปี 2561 มีมูลค่ารวม 3.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 14.8 ของการส่งออกทั้งหมดของไทยโดยการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ไปยังสหรัฐฯ มีมูลค่า 3,961.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯแบ่งเป็นสินค้าเกษตร 1,451.3 ล้านเหรียญสหรัฐสินค้าเกษตรที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ 5 อันดับแรก ได้แก่ ข้าว ยางพารา กุ้ง ผลิตภัณฑ์มันสําปะหลัง และผลไม้สดและสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร 2,510.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ 5 อันดับแรก ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋อง ผลไม้กระป๋อง อาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลี และเครื่องปรุงรส
ทั้งนี้สินค้าเกษตรที่การส่งออกยังเติบโตได้ดีอาทิ ข้าว ร้อยละ 38.7 ผลิตภัณฑ์มันสําปะหลัง ร้อยละ 32.1 และผลไม้สด ร้อยละ 25.8 ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรที่ยังขยายตัวได้ดี อาทิ อาหารสัตว์ ร้อยละ 27.6 ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสําเร็จรูป ร้อยละ 8.1 เครื่องปรุงรส ร้อยละ 8.3 ผักกระป๋องและผักแปรรูป ร้อยละ 10.0 และผลิตภัณฑ์ข้าว ร้อยละ 18.1 เป็นต้น
นางสาวชุติมากล่าวเพิ่มเติมว่า ผลจากสภาพอากาศในสหรัฐฯอาจส่งผลให้สินค้าประเภทอาหาร โดยเฉพาะอาหารสดและแช่แข็ง และอาหารกึ่งสําเร็จรูปมีโอกาสการส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เนื่องจากประชาชนมีความต้องการเก็บสะสมอาหารมากขึ้นเพื่อรับมือกับภัยพิบัติสินค้าเช่น อาหารทะเลกระป๋อง ผักและผลไม้กระป๋อง มีโอกาสในการส่งออกเพิ่มขึ้น ขณะที่สินค้าปศุสัตว์ อย่างไก่สดแช่แข็ง คาดว่าจะไม่ได้รับอานิสงส์เท่าใดนักเนื่องจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ในสหรัฐฯ มีการเตรียมความพร้อมรับมืออยู่พอสมควร และสหรัฐฯ มีข้อตกลงกับประเทศในแถบอเมริกาใต้ และแอฟริกาในการนําเข้าสินค้าไก่สดแช่แข็งอยู่แล้ว จึงคาดว่าการส่งออกไก่สดจะไม่เพิ่มขึ้น ขณะที่สินค้าปศุสัตว์อื่นๆ เช่น เนื้อหมู และเนื้อวัว ไม่ใช่สินค้าส่งออกหลักของไทยไปสหรัฐฯ
นอกจากนี้คาดว่าสินค้าที่ไทยน่าจะส่งออกได้มากขึ้นคือสินค้าเกษตรที่ใช้เป็นอาหารสัตว์เนื่องจากผลผลิตการเกษตร เช่น ข้าวโพด และถั่วเหลือง เป็นสินค้าที่สหรัฐฯ ต้องการส่งออกไปจีนเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบอาหารสัตว์ และล่าสุดจีนตกลงที่จะนําเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ กว่า 5 ล้านตัน เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯซึ่งหากสหรัฐฯ ต้องส่งออกไปจีนและหากผลผลิตในประเทศลดลงด้วย ก็ย่อมจะส่งผลต่อปริมาณวัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศที่อาจมีไม่เพียงพอ และทําให้ต้องนําเข้ามากขึ้น สําหรับสินค้าประมงในตลาดสหรัฐฯ ที่กําลังอยู่ในช่วงชะลอตัวจากการสูญเสียตลาดส่วนหนึ่งให้คู่แข่งจากอเมริกาใต้ โดยเฉพาะสินค้ากุ้งจากเอกวาดอร์ อันมีสาเหตุมาจากต้นทุนสินค้ากุ้งของไทยสูง ก็อาจมีโอกาสส่งออกมากขึ้นในระยะถัดไป
กระทรวงพาณิชย์มองว่าสภาพอากาศดังกล่าวอาจเป็นปัจจัยสนับสนุนการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทย โดยเฉพาะอาหารกึ่งสําเร็จรูป เช่นอาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋อง ผักผลไม้กระป๋อง และผลิตภัณฑ์ข้าวสาลี เป็นต้นอย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นการส่งออกของไทยอาจยังไม่เพิ่มขึ้นมากนัก เนื่องจากสหรัฐฯ เพิ่งจะผ่านพ้นฤดูเก็บเกี่ยวไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน และธันวาคมที่ผ่านมา ทําให้สต็อกอาหารของประเทศยังมีเพียงพอแต่หากสภาพอากาศยังเลวร้ายต่อเนื่อง สหรัฐฯ ก็อาจพิจารณานําเข้าสินค้าอาหารเพิ่มขึ้น และจะเป็นโอกาสของสินค้าไทยที่จะเข้าไปขยายตลาดในสหรัฐฯทั้งในส่วนของสินค้าที่มีการขยายตัวดีอยู่แล้ว และสินค้าที่ก่อนหน้านี้มีภาวะการชะลอตัวของตลาด อันจะส่งผลให้การส่งออกของไทยขยายตัวมากขึ้นในช่วงถัดไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18761
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. วิษณุ ฯ รับมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ กว่า 8 ล้านบาท
|
วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2560
รอง นรม. วิษณุ ฯ รับมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ กว่า 8 ล้านบาท
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้จากนางประดิษฐา จงวัฒนา กรรมการบริษัทเอส แอนด์ เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ไพรส์ จํากัด (มหาชน) และคณะผู้แทนจากบริษัทในเครือสหพัฒนพิบูล จํากัด (มหาชน) จํานวน 8,322,695 บาท เพื่อนําไปช่วยเหลือฟื้นฟูและเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติน้ําท่วมในหลายจังหวัดทางภาคใต้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. วิษณุ ฯ รับมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ กว่า 8 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2560
รอง นรม. วิษณุ ฯ รับมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ กว่า 8 ล้านบาท
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้จากนางประดิษฐา จงวัฒนา กรรมการบริษัทเอส แอนด์ เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ไพรส์ จํากัด (มหาชน) และคณะผู้แทนจากบริษัทในเครือสหพัฒนพิบูล จํากัด (มหาชน) จํานวน 8,322,695 บาท เพื่อนําไปช่วยเหลือฟื้นฟูและเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติน้ําท่วมในหลายจังหวัดทางภาคใต้
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2299
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เฉลิมชัยย้ำชัด “เราจะไม่ทิ้งกัน” พร้อมเปิดมาตรการคู่ขนานเพิ่มรายได้
|
วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2563
เฉลิมชัยย้ําชัด “เราจะไม่ทิ้งกัน” พร้อมเปิดมาตรการคู่ขนานเพิ่มรายได้
เฉลิมชัยย้ําชัด “เราจะไม่ทิ้งกัน” พร้อมเปิดมาตรการคู่ขนานเพิ่มรายได้
เฉลิมชัยย้ําชัด “เราจะไม่ทิ้งกัน” พร้อมเปิดมาตรการคู่ขนานเพิ่มรายได้
เฉลิมชัยย้ําชัด “เราจะไม่ทิ้งกัน” เร่งจัดทําทะเบียนเกษตรกรให้ครอบคลุมแล้วเสร็จตามกําหนด พร้อมมีมาตรการคู่ขนาน ผลิตอาหารบริโภคในครัวเรือนและเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง “อลงกรณ์” เคลียร์ชัดประเด็น เว็ปธกส.www.เยียวยาเกษตรกร.com เฉพาะเกษตรกรที่ไม่มีบัญชีกับ ธกส.
วันนี้ (8 พ.ค. 63) นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงข่าว ณ ห้องประชุม 112 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า จากกรณีที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เปิดเว็บไซต์ www.เยียวยาเกษตรกร.com โดยเปิดให้เกษตรกรลงทะเบียนเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2563 เวลา 20.00 น.ในโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 นั้น มีเกษตรกรจากหลายจังหวัดสอบถามมาด้วยความข้องใจว่าต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับ ธกส.ด้วยหรือไม่ จึงขอชี้แจงว่าเว็ป “เยียวยาเกษตรกร” ของ ธกส.ให้เกษตรกรลงทะเบียนว่าจะให้โอนเงินไปเข้าบัญชีธนาคารอะไรในกรณีที่ไม่มีบัญชีธนาคารกับ ธกส.
สําหรับความคืบหน้าล่าสุดจํานวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนซึ่งจะได้รับรายละ 15,000 บาท จ่าย 5,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ เดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม 2563 วงเงิน 150,000 ล้านบาท จํานวนไม่เกิน 10 ล้านราย ประกอบด้วย 1) เกษตรกรเป้าหมายกลุ่มแรก (ข้อมูลสรุป ณ 30 เม.ย. 63) จํานวนไม่เกิน 8.33 ล้านราย จ่ายเงินผ่าน ธ.ก.ส. และ 2) เกษตรกรเป้าหมายกลุ่มที่สอง ได้แก่ เกษตรกรที่อยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียน ซึ่งจะหมดเขต วันที่ 15พ.ค. 63 จํานวนไม่เกิน 1.67 ล้านราย
นายอลงกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้มีความห่วงใยและกําชับให้ดูแลพี่น้องเกษตรกร เพราะนอกเหนือจากสถานการณ์โควิด-19 แล้ว พี่น้องเกษตรกรยังประสบปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย กระทรวงเกษตรฯ จึงมีมาตรการต่าง ๆ เข้ามาช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรนอกเหนือจากมาตรการเยียวยาในช่วงโควิด-19 เช่น ในส่วนของกรมประมง จะมีการแจกจ่ายปลานิลแปลงเพศ ประมาณ 44,000 ราย รายละ 800 ตัว พร้อมอาหารปลาจํานวน 120 กิโลกรัม ซึ่งถือเป็นการเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่งให้กับเกษตรกร
นอกจากนี้ ยังมีการปล่อยกุ้งก้ามกร้าม ตามแหล่งน้ําสาธารณะ 1,436 แห่ง 129 อําเภอ แห่งละ 200,000 ตัว และให้มีการตั้งคณะกรรมการมาดูแลแหล่งน้ําชุมชน เพื่อให้เป็นระบบในการบริหารจัดการแหล่งน้ําร่วมกัน โดยวัตถุประสงค์หลักเพื่อต้องการให้เกษตรกรและคนในชุมชนมีอาหารไว้บริโภคในครัวเรือน และเมื่อเหลือแล้วถึงเอาไปขาย โดยดําเนินการในลักษณะของชุมชน นอกจากนี้ ในส่วนของกรมปศุสัตว์ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณในการมอบเป็ดไข่ ไก่ไข่ ไก่เนื้อ ประมาณ 77,000 ครอบครัว เพื่อให้เกิดรายได้อีกทางหนึ่งด้วย
“ในกรณีของชาวไร่ มีการสนับสนุนงบประมาณในการปลูกพืชใช้น้ําน้อย เช่น ถั่วเขียว ข้าวโพด มีการจัดสรรให้ 12,000 ครอบครัว เกือบ 100,000 ไร่ นอกจากนี้ ยังมีการจัดสรรเมล็ดพันธุ์ข้าว จํานวนหลายหมื่นตัน โดยให้กรมการข้าวและกรมส่งเสริมสหกรณ์เป็นผู้ผลิตและจัดสรรให้กับเกษตรกร ซึ่งการดําเนินการในลักษณะดังกล่าวจะทําให้เม็ดเงินกลับคืนไปสู่เกษตรกร” นายอลงกรณ์ กล่าวในที่สุด
ทั้งนี้ การขึ้นทะเบียนเกษตรกรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากเดิมที่มีการตรวจสอบเกษตรกรขึ้นทะเบียนกับ 3 กรม ได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมประมง และกรมปศุสัตว์ ปัจจุบันจะมีการเพิ่มเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมหม่อนไหมด้วย นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบทะเบียนเกษตรกรที่ไม่อยู่ภายใต้ระเบียบคณะกรรมการนโยบายและแผนฯ ว่าด้วยการขึ้นทะเบียนเกษตรกร พ.ศ. 2560 ได้แก่ เกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนไว้กับการยางแห่งประเทศไทย เกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ขึ้นทะเบียนไว้กับสํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย และเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ขึ้นทะเบียนไว้กับการยาสูบแห่งประเทศไทย ซึ่งในเบื้องต้นได้มีการหารือร่วมกับกระทรวงการคลังเพื่อกําหนดเป้าหมายที่จะดําเนินการช่วยเหลือเยียวยาในครั้งนี้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เฉลิมชัยย้ำชัด “เราจะไม่ทิ้งกัน” พร้อมเปิดมาตรการคู่ขนานเพิ่มรายได้
วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2563
เฉลิมชัยย้ําชัด “เราจะไม่ทิ้งกัน” พร้อมเปิดมาตรการคู่ขนานเพิ่มรายได้
เฉลิมชัยย้ําชัด “เราจะไม่ทิ้งกัน” พร้อมเปิดมาตรการคู่ขนานเพิ่มรายได้
เฉลิมชัยย้ําชัด “เราจะไม่ทิ้งกัน” พร้อมเปิดมาตรการคู่ขนานเพิ่มรายได้
เฉลิมชัยย้ําชัด “เราจะไม่ทิ้งกัน” เร่งจัดทําทะเบียนเกษตรกรให้ครอบคลุมแล้วเสร็จตามกําหนด พร้อมมีมาตรการคู่ขนาน ผลิตอาหารบริโภคในครัวเรือนและเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง “อลงกรณ์” เคลียร์ชัดประเด็น เว็ปธกส.www.เยียวยาเกษตรกร.com เฉพาะเกษตรกรที่ไม่มีบัญชีกับ ธกส.
วันนี้ (8 พ.ค. 63) นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงข่าว ณ ห้องประชุม 112 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า จากกรณีที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เปิดเว็บไซต์ www.เยียวยาเกษตรกร.com โดยเปิดให้เกษตรกรลงทะเบียนเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2563 เวลา 20.00 น.ในโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 นั้น มีเกษตรกรจากหลายจังหวัดสอบถามมาด้วยความข้องใจว่าต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับ ธกส.ด้วยหรือไม่ จึงขอชี้แจงว่าเว็ป “เยียวยาเกษตรกร” ของ ธกส.ให้เกษตรกรลงทะเบียนว่าจะให้โอนเงินไปเข้าบัญชีธนาคารอะไรในกรณีที่ไม่มีบัญชีธนาคารกับ ธกส.
สําหรับความคืบหน้าล่าสุดจํานวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนซึ่งจะได้รับรายละ 15,000 บาท จ่าย 5,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ เดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม 2563 วงเงิน 150,000 ล้านบาท จํานวนไม่เกิน 10 ล้านราย ประกอบด้วย 1) เกษตรกรเป้าหมายกลุ่มแรก (ข้อมูลสรุป ณ 30 เม.ย. 63) จํานวนไม่เกิน 8.33 ล้านราย จ่ายเงินผ่าน ธ.ก.ส. และ 2) เกษตรกรเป้าหมายกลุ่มที่สอง ได้แก่ เกษตรกรที่อยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียน ซึ่งจะหมดเขต วันที่ 15พ.ค. 63 จํานวนไม่เกิน 1.67 ล้านราย
นายอลงกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้มีความห่วงใยและกําชับให้ดูแลพี่น้องเกษตรกร เพราะนอกเหนือจากสถานการณ์โควิด-19 แล้ว พี่น้องเกษตรกรยังประสบปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย กระทรวงเกษตรฯ จึงมีมาตรการต่าง ๆ เข้ามาช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรนอกเหนือจากมาตรการเยียวยาในช่วงโควิด-19 เช่น ในส่วนของกรมประมง จะมีการแจกจ่ายปลานิลแปลงเพศ ประมาณ 44,000 ราย รายละ 800 ตัว พร้อมอาหารปลาจํานวน 120 กิโลกรัม ซึ่งถือเป็นการเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่งให้กับเกษตรกร
นอกจากนี้ ยังมีการปล่อยกุ้งก้ามกร้าม ตามแหล่งน้ําสาธารณะ 1,436 แห่ง 129 อําเภอ แห่งละ 200,000 ตัว และให้มีการตั้งคณะกรรมการมาดูแลแหล่งน้ําชุมชน เพื่อให้เป็นระบบในการบริหารจัดการแหล่งน้ําร่วมกัน โดยวัตถุประสงค์หลักเพื่อต้องการให้เกษตรกรและคนในชุมชนมีอาหารไว้บริโภคในครัวเรือน และเมื่อเหลือแล้วถึงเอาไปขาย โดยดําเนินการในลักษณะของชุมชน นอกจากนี้ ในส่วนของกรมปศุสัตว์ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณในการมอบเป็ดไข่ ไก่ไข่ ไก่เนื้อ ประมาณ 77,000 ครอบครัว เพื่อให้เกิดรายได้อีกทางหนึ่งด้วย
“ในกรณีของชาวไร่ มีการสนับสนุนงบประมาณในการปลูกพืชใช้น้ําน้อย เช่น ถั่วเขียว ข้าวโพด มีการจัดสรรให้ 12,000 ครอบครัว เกือบ 100,000 ไร่ นอกจากนี้ ยังมีการจัดสรรเมล็ดพันธุ์ข้าว จํานวนหลายหมื่นตัน โดยให้กรมการข้าวและกรมส่งเสริมสหกรณ์เป็นผู้ผลิตและจัดสรรให้กับเกษตรกร ซึ่งการดําเนินการในลักษณะดังกล่าวจะทําให้เม็ดเงินกลับคืนไปสู่เกษตรกร” นายอลงกรณ์ กล่าวในที่สุด
ทั้งนี้ การขึ้นทะเบียนเกษตรกรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากเดิมที่มีการตรวจสอบเกษตรกรขึ้นทะเบียนกับ 3 กรม ได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมประมง และกรมปศุสัตว์ ปัจจุบันจะมีการเพิ่มเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมหม่อนไหมด้วย นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบทะเบียนเกษตรกรที่ไม่อยู่ภายใต้ระเบียบคณะกรรมการนโยบายและแผนฯ ว่าด้วยการขึ้นทะเบียนเกษตรกร พ.ศ. 2560 ได้แก่ เกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนไว้กับการยางแห่งประเทศไทย เกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ขึ้นทะเบียนไว้กับสํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย และเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ขึ้นทะเบียนไว้กับการยาสูบแห่งประเทศไทย ซึ่งในเบื้องต้นได้มีการหารือร่วมกับกระทรวงการคลังเพื่อกําหนดเป้าหมายที่จะดําเนินการช่วยเหลือเยียวยาในครั้งนี้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30508
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตสาหกรรมฯ ตรวจรับหน้ากากผ้าล็อตแรก พร้อมส่งถึงมือประชาชน กลางเดือนเมษายนนี้ [กระทรวงอุตสาหกรรม]
|
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563
ก.อุตสาหกรรมฯ ตรวจรับหน้ากากผ้าล็อตแรก พร้อมส่งถึงมือประชาชน กลางเดือนเมษายนนี้ [กระทรวงอุตสาหกรรม]
ก.อุตสาหกรรมฯ ตรวจรับหน้ากากผ้าล็อตแรก พร้อมส่งถึงมือประชาชน กลางเดือนเมษายนนี้
วันที่ 9 เมษายน นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ รักษาการผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ โครงการผลิตหน้ากากผ้า เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย และป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID19) แก่ประชาชน นําคณะกรรมการตรวจรับฯลงพื้นที่ ณ จุดส่งสินค้า บริษัทไปรษณีย์ไทย จํากัด ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อตรวจสอบหน้ากากผ้าล็อตแรกจากผู้ผลิต โดยคณะกรรมการฯ ได้ทําการนับจํานวน พร้อมตรวจสอบรูปแบบ มาตรฐานผ้าและการตัดเย็บ พร้อมส่งตัวอย่างหน้ากากผ้าให้สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอตรวจสอบคุณภาพก่อน เพื่อให้มั่นใจว่า หน้ากากผ้าที่จะแจกจ่ายให้ประชาชนได้มาตรฐานตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมกําหนด ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ยืนยันว่า บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด จะดําเนินการทะยอยจัดส่งหน้ากากผ้าให้กับประชาชนประมาณกลางเดือนเมษายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตสาหกรรมฯ ตรวจรับหน้ากากผ้าล็อตแรก พร้อมส่งถึงมือประชาชน กลางเดือนเมษายนนี้ [กระทรวงอุตสาหกรรม]
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563
ก.อุตสาหกรรมฯ ตรวจรับหน้ากากผ้าล็อตแรก พร้อมส่งถึงมือประชาชน กลางเดือนเมษายนนี้ [กระทรวงอุตสาหกรรม]
ก.อุตสาหกรรมฯ ตรวจรับหน้ากากผ้าล็อตแรก พร้อมส่งถึงมือประชาชน กลางเดือนเมษายนนี้
วันที่ 9 เมษายน นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ รักษาการผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ โครงการผลิตหน้ากากผ้า เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย และป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID19) แก่ประชาชน นําคณะกรรมการตรวจรับฯลงพื้นที่ ณ จุดส่งสินค้า บริษัทไปรษณีย์ไทย จํากัด ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อตรวจสอบหน้ากากผ้าล็อตแรกจากผู้ผลิต โดยคณะกรรมการฯ ได้ทําการนับจํานวน พร้อมตรวจสอบรูปแบบ มาตรฐานผ้าและการตัดเย็บ พร้อมส่งตัวอย่างหน้ากากผ้าให้สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอตรวจสอบคุณภาพก่อน เพื่อให้มั่นใจว่า หน้ากากผ้าที่จะแจกจ่ายให้ประชาชนได้มาตรฐานตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมกําหนด ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ยืนยันว่า บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด จะดําเนินการทะยอยจัดส่งหน้ากากผ้าให้กับประชาชนประมาณกลางเดือนเมษายน 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28811
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. แจ้งทุกจังหวัดบูรณาการในพื้นที่สร้างการรับรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการพืชเกษตรแบบครบวงจร
|
วันพุธที่ 8 สิงหาคม 2561
มท. แจ้งทุกจังหวัดบูรณาการในพื้นที่สร้างการรับรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการพืชเกษตรแบบครบวงจร
มท. แจ้งทุกจังหวัดบูรณาการในพื้นที่สร้างการรับรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการพืชเกษตรแบบครบวงจร
เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 61 ที่กระทรวงมหาดไทย นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2561 มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม จัดทําข้อมูลเกี่ยวกับพืชเกษตรอย่างครบวงจร ซึ่ง พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องดําเนินการบูรณาการจัดทําข้อมูลการบริหารจัดการพืชเกษตรแบบครบวงจร โดยจัดทําข้อมูลอุปสงค์ อุปทาน และการคาดการณ์สถานการณ์ของพืชเกษตร สําหรับปีการผลิต 2561/62 จํานวน 6 ชนิด ได้แก่ ข้าว ปาล์มน้ํามัน อ้อย มันสําปะหลัง ยางพารา และข้าวโพด เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการจัดทําแผนการผลิตและการตลาด รวมทั้งวางกลไกการขับเคลื่อนบริหารจัดการพืชเกษตรแบบครบวงจรในระดับพื้นที่
เพื่อให้การสนับสนุนการบริหารจัดการพืชเกษตรอย่างครบวงจรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุวัตถุประสงค์ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าว นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้ทุกจังหวัดดําเนินการดังนี้
1. บูรณาการการดําเนินงานร่วมกับทุกส่วนราชการ และหน่วยงานในพื้นที่ ผ่านกลไกการขับเคลื่อน 3 ระดับ คือ ระดับจังหวัดผ่านคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ ระดับอําเภอผ่านคณะกรรมการบริหารงานอําเภอแบบบูรณาการ และระดับตําบลผ่านคณะกรรมการหมู่บ้าน เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับพืชเกษตรอย่างครบวงจรให้แก่เกษตรกรและประชาชนทั่วไปอย่างถูกต้องและทั่วถึง
2. จัดประชุมสร้างความเข้าใจให้กับคณะกรรมการฯ ตามกลไกการขับเคลื่อนทั้ง 3 ระดับ และเตรียมการลงพื้นที่สร้างการรับรู้ตามกระบวนการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนและเกษตรกร โดยให้บรรจุในวาระการประชุมกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นําชุมชน และสื่อสารข้อมูลผ่านทางหอกระจายข่าว หรือสร้างชุดความรู้เกี่ยวกับพืชเกษตรอย่างครบวงจรจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้ดําเนินการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องตามปฏิทินการเพาะปลูกพืชเกษตรแต่ละชนิด
โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยจะได้บูรณาการร่วมกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนการบริหารจัดการพืชเกษตรอย่างครบวงจรในระดับพื้นที่ เพื่อคุณภาพชีวิตและความอยู่ดีกินดีของพี่น้องเกษตรกร และเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. แจ้งทุกจังหวัดบูรณาการในพื้นที่สร้างการรับรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการพืชเกษตรแบบครบวงจร
วันพุธที่ 8 สิงหาคม 2561
มท. แจ้งทุกจังหวัดบูรณาการในพื้นที่สร้างการรับรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการพืชเกษตรแบบครบวงจร
มท. แจ้งทุกจังหวัดบูรณาการในพื้นที่สร้างการรับรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการพืชเกษตรแบบครบวงจร
เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 61 ที่กระทรวงมหาดไทย นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2561 มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม จัดทําข้อมูลเกี่ยวกับพืชเกษตรอย่างครบวงจร ซึ่ง พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องดําเนินการบูรณาการจัดทําข้อมูลการบริหารจัดการพืชเกษตรแบบครบวงจร โดยจัดทําข้อมูลอุปสงค์ อุปทาน และการคาดการณ์สถานการณ์ของพืชเกษตร สําหรับปีการผลิต 2561/62 จํานวน 6 ชนิด ได้แก่ ข้าว ปาล์มน้ํามัน อ้อย มันสําปะหลัง ยางพารา และข้าวโพด เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการจัดทําแผนการผลิตและการตลาด รวมทั้งวางกลไกการขับเคลื่อนบริหารจัดการพืชเกษตรแบบครบวงจรในระดับพื้นที่
เพื่อให้การสนับสนุนการบริหารจัดการพืชเกษตรอย่างครบวงจรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุวัตถุประสงค์ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าว นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้ทุกจังหวัดดําเนินการดังนี้
1. บูรณาการการดําเนินงานร่วมกับทุกส่วนราชการ และหน่วยงานในพื้นที่ ผ่านกลไกการขับเคลื่อน 3 ระดับ คือ ระดับจังหวัดผ่านคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ ระดับอําเภอผ่านคณะกรรมการบริหารงานอําเภอแบบบูรณาการ และระดับตําบลผ่านคณะกรรมการหมู่บ้าน เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับพืชเกษตรอย่างครบวงจรให้แก่เกษตรกรและประชาชนทั่วไปอย่างถูกต้องและทั่วถึง
2. จัดประชุมสร้างความเข้าใจให้กับคณะกรรมการฯ ตามกลไกการขับเคลื่อนทั้ง 3 ระดับ และเตรียมการลงพื้นที่สร้างการรับรู้ตามกระบวนการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนและเกษตรกร โดยให้บรรจุในวาระการประชุมกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นําชุมชน และสื่อสารข้อมูลผ่านทางหอกระจายข่าว หรือสร้างชุดความรู้เกี่ยวกับพืชเกษตรอย่างครบวงจรจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้ดําเนินการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องตามปฏิทินการเพาะปลูกพืชเกษตรแต่ละชนิด
โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยจะได้บูรณาการร่วมกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนการบริหารจัดการพืชเกษตรอย่างครบวงจรในระดับพื้นที่ เพื่อคุณภาพชีวิตและความอยู่ดีกินดีของพี่น้องเกษตรกร และเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14437
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรประกาศผลการประมูลขายทอดตลาดรถของกลาง ประจำปี 2563 (8 สิงหาคม 2563) รวมรายได้เข้ารัฐทั้งสิ้น 291,015,000 บาท
|
วันอังคารที่ 11 สิงหาคม 2563
กรมศุลกากรประกาศผลการประมูลขายทอดตลาดรถของกลาง ประจําปี 2563 (8 สิงหาคม 2563) รวมรายได้เข้ารัฐทั้งสิ้น 291,015,000 บาท
กรมศุลกากร ได้ทําการประมูลขายทอดตลาดรถของกลาง ประจําปี 2563 เมื่อวันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยกรมศุลกากรสามารถขายทอดตลาดรถของกลางได้จํานวน 165 คัน จากจํานวนรถทั้งหมด 201 คัน รวมรายได้เข้ารัฐทั้งสิ้น 291,015,000 บาท
นายชัยยุทธ คําคุณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า จากการที่กรมศุลกากร ได้ทําการประมูลขายทอดตลาดรถของกลาง ประจําปี 2563 เมื่อวันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา มีประชาชนสนใจเข้าร่วมการประมูลเป็นจํานวนมากเกินความคาดหมาย ทําให้การประมูลครั้งนี้ ประสบความสําเร็จไปได้ด้วยดี โดยกรมศุลกากรสามารถขายทอดตลาดรถของกลางได้จํานวน 165 คัน จากจํานวนรถทั้งหมด 201 คัน รวมรายได้เข้ารัฐทั้งสิ้น 291,015,000 บาท ในส่วนของรถที่ไม่สามารถจําหน่ายได้ในครั้งนี้ กรมศุลกากรจะเก็บรักษาไว้ เพื่อทําการประมูลในครั้งต่อไป สําหรับรถยนต์ของกลางที่มีผู้ประมูลในราคาสูงสุด 3 ลําดับแรก ได้แก่
1. รถยนต์ยี่ห้อ FERRARI รุ่น CALIFORNIA T ปี 2015 สี แดง เปิดประมูลในราคา 10.31 ล้านบาท สามารถจําหน่ายได้ในราคา 12.7 ล้านบาท
2. รถยนต์ยี่ห้อ FERRARI รุ่น TESTAROSSA ปี 1994 สี แดง เปิดประมูลในราคา 1.95 ล้านบาท สามารถจําหน่ายได้ในราคา 11 ล้านบาท
3. รถยนต์ยี่ห้อ BENTLEY รุ่น CONTINENTAL GT ปี 2013 สีเทา เปิดประมูลในราคา 5.39 ล้านบาท สามารถจําหน่ายได้ในราคา 9 ล้านบาท
ในส่วนของรถจักรยานยนต์ของกลางที่มีผู้ประมูลในราคาสูงสุด 3 ลําดับแรก ได้แก่
1. รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ BMW รุ่น R69 S ปี 1968 สีดํา เปิดประมูลในราคา 250,000 บาท สามารถจําหน่ายได้ในราคา 1.5 ล้านบาท
2. รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ LAMBRETTA สีขาว-แดง เปิดประมูลในราคา 80,000 บาท สามารถจําหน่ายได้ในราคา 910,000 บาท
3. รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ LAMBRETTA สีเทา เปิดประมูลในราคา 50,000 บาท สามารถจําหน่ายได้ในราคา 810,000 บาท
ทั้งนี้ ผู้ชนะการประมูลต้องชําระเงินค่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์ให้ครบเต็มจํานวนที่ประมูลได้ต่อกรมศุลกากร ภายในเวลา 16.30 น. ของวันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2563 ที่อาคาร 7 ส่วนของกลาง กองสืบสวนและปราบปราม กรมศุลกากร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรประกาศผลการประมูลขายทอดตลาดรถของกลาง ประจำปี 2563 (8 สิงหาคม 2563) รวมรายได้เข้ารัฐทั้งสิ้น 291,015,000 บาท
วันอังคารที่ 11 สิงหาคม 2563
กรมศุลกากรประกาศผลการประมูลขายทอดตลาดรถของกลาง ประจําปี 2563 (8 สิงหาคม 2563) รวมรายได้เข้ารัฐทั้งสิ้น 291,015,000 บาท
กรมศุลกากร ได้ทําการประมูลขายทอดตลาดรถของกลาง ประจําปี 2563 เมื่อวันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยกรมศุลกากรสามารถขายทอดตลาดรถของกลางได้จํานวน 165 คัน จากจํานวนรถทั้งหมด 201 คัน รวมรายได้เข้ารัฐทั้งสิ้น 291,015,000 บาท
นายชัยยุทธ คําคุณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า จากการที่กรมศุลกากร ได้ทําการประมูลขายทอดตลาดรถของกลาง ประจําปี 2563 เมื่อวันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา มีประชาชนสนใจเข้าร่วมการประมูลเป็นจํานวนมากเกินความคาดหมาย ทําให้การประมูลครั้งนี้ ประสบความสําเร็จไปได้ด้วยดี โดยกรมศุลกากรสามารถขายทอดตลาดรถของกลางได้จํานวน 165 คัน จากจํานวนรถทั้งหมด 201 คัน รวมรายได้เข้ารัฐทั้งสิ้น 291,015,000 บาท ในส่วนของรถที่ไม่สามารถจําหน่ายได้ในครั้งนี้ กรมศุลกากรจะเก็บรักษาไว้ เพื่อทําการประมูลในครั้งต่อไป สําหรับรถยนต์ของกลางที่มีผู้ประมูลในราคาสูงสุด 3 ลําดับแรก ได้แก่
1. รถยนต์ยี่ห้อ FERRARI รุ่น CALIFORNIA T ปี 2015 สี แดง เปิดประมูลในราคา 10.31 ล้านบาท สามารถจําหน่ายได้ในราคา 12.7 ล้านบาท
2. รถยนต์ยี่ห้อ FERRARI รุ่น TESTAROSSA ปี 1994 สี แดง เปิดประมูลในราคา 1.95 ล้านบาท สามารถจําหน่ายได้ในราคา 11 ล้านบาท
3. รถยนต์ยี่ห้อ BENTLEY รุ่น CONTINENTAL GT ปี 2013 สีเทา เปิดประมูลในราคา 5.39 ล้านบาท สามารถจําหน่ายได้ในราคา 9 ล้านบาท
ในส่วนของรถจักรยานยนต์ของกลางที่มีผู้ประมูลในราคาสูงสุด 3 ลําดับแรก ได้แก่
1. รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ BMW รุ่น R69 S ปี 1968 สีดํา เปิดประมูลในราคา 250,000 บาท สามารถจําหน่ายได้ในราคา 1.5 ล้านบาท
2. รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ LAMBRETTA สีขาว-แดง เปิดประมูลในราคา 80,000 บาท สามารถจําหน่ายได้ในราคา 910,000 บาท
3. รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ LAMBRETTA สีเทา เปิดประมูลในราคา 50,000 บาท สามารถจําหน่ายได้ในราคา 810,000 บาท
ทั้งนี้ ผู้ชนะการประมูลต้องชําระเงินค่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์ให้ครบเต็มจํานวนที่ประมูลได้ต่อกรมศุลกากร ภายในเวลา 16.30 น. ของวันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2563 ที่อาคาร 7 ส่วนของกลาง กองสืบสวนและปราบปราม กรมศุลกากร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34099
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2561
|
วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2561
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2561 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
ในยามที่บ้านเมืองของเราสงบเรียบร้อย ความเป็นปึกแผ่นของคนในชาติ ที่แสดงออกมานั้น สะท้อนออกมาอย่างเห็นได้ชัดจากการเชียร์และรับชมตัวแทนคนไทย นักกีฬาไทยที่ไปชิงชัย แสดงศักยภาพในเวทีระดับโลกบ ผมถือว่าอันนี้เป็นลักษณะเฉพาะของเราคนไทย ที่เรียกว่า“ไทยนิยม”ที่มีเลือดรักชาติ และมีความสามัคคีกันโดยสํานึก ล่าสุดผมขอเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนอีกครั้ง ในการแสดงความชื่นชมยินดี กับนักกีฬาไทยที่สร้างผลงานและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ หลายรายด้วยกัน
ลําดับแรก“เจ้าแหลม”ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่นนะครับ ที่สามารถชกเอาชนะผู้ท้าชิง ฮวน ฟรานซิสโก้ เอสตราด้า จากประเทศเม็กซิโก ทําให้รักษาเข็มขัดแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ ฟลายเวต ของสภามวยโลกWBCเป็นหนที่ 2 ได้สําเร็จ ในสังเวียนที่จัดขึ้นในต่างแดน ก็คงไม่ง่ายนัก ด้วยบรรยายกาศ กองเชียร์ และการปรับต้องตัวเข้ากับสภาพอากาศ สภาพแวดล้อมอื่นๆ เพราะไม่ใช่ในประเทศของเราเองเราควรจะยกย่องหัวใจนักสู้ที่แข็งแกร่งของเขา ในเรื่องของการมีความมุ่งมั่น มีไหวพริบ ในขณะแข่งขัน ย้อนไปถึงความทรหดอดทน ตั้งแต่การซักซ้อมและการเตรียมตัว มีบุคคลอีกหลายฝ่ายที่อยู่เบื้องหลังชัยชนะในครั้งนี้ เพราะผู้ท้าชิงรายนี้ ได้ชื่อว่าเป็นนักมวยฝีมือดีเช่นกัน สิ่งสําคัญ ที่ผมอยากจะกล่าวถึงคือ ความสุขของคนไทย“ทั้งประเทศ”จากความสําเร็จของเขาในครั้งนี้ ซึ่ง“หนทางสู่ความสําเร็จ”ของเจ้าแหลมในวันนี้ หากใครติดตามประวัติส่วนตัว ก็รู้ว่าต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายในชีวิต และผ่านความยากจนมานาน กว่าจะได้รับโอกาสด้วยความมุ่งมั่น และไม่ยอมแพ้ จึงได้พบกับคําว่า“ชนะ”ในวันนี้อยากยกให้เป็น“บุคคลตัวอย่าง”ด้วยเหตุและผลที่กล่าวมา
อยากให้ทุกคนโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนได้เรียนรู้ จากประสบการณ์ของเจ้าแหลม หรือผู้ที่ประสบความสําเร็จในชีวิตอื่นๆ อีกด้วย จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคนได้พบกับความสําเร็จเช่นกัน ไม่มีความสําเร็จใดที่ได้มาโดยง่าย เราต้องฝึกฝนพัฒนาตนเอง อดทนเลือกทําในสิ่งที่รัก ที่ถนัด และทําให้ดีที่สุดลําดับต่อมาผมขอแสดงความยินดีกับ“น้องจีน”อาฒยา ฐิติกุล สาวน้อยมหัศจรรย์วัย 15 ปี จากจังหวัดราชบุรี ที่ทําสําเร็จด้วยการเอาชนะ เพลย์ออฟ คว้าแชมป์กอล์ฟสมัครเล่นหญิง ชิงแชมป์“เอเชีย-แปซิฟิค 2018”ที่ประเทศสิงคโปร์ วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นการแข่งขันกอล์ฟสมัครเล่นหญิงที่มีนักกอล์ฟเข้าร่วมการแข่งทั้งสิ้น 83 ราย จาก17 ชาติสมาชิก ขอชื่นชม และเป็นกําลังใจ ให้กับน้องจีนได้มุ่งมั่น ตั้งใจและ ประสบความสําเร็จยิ่งๆ ขึ้นไปในอนาคต อายุยังน้อยอยู่
นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันกีฬาระดับโลก ณ ประเทศไทยเช่นกัน คือ การแข่งขัน“กอล์ฟHonda LPGA Thailand2018”แม้ว่านักกีฬาสาวไทย จะไม่ได้แชมป์ในรายการนี้ แต่ถือว่าทําผลงานได้ดี โดยติด“ท็อป เท็น”ถึง 3 คน ได้แก่“โปรโม”โมรียา จุฑานุกาล อันดับ 2“โปรเม”เอรียา จุฑานุกาล อันดับ 5 ร่วม และ“โปรแหวน”พรอนงค์ เพชรล้ํา อันดับ 7 ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่ายังมีนักกีฬากอล์ฟอาชีพสาวไทยอีกหลายท่าน ที่มีผลงานที่โดดเด่น และมีพัฒนาการที่ดีในการแข่งขันรายการนี้ ผมขอเป็นกําลังใจให้ทุกคนได้มุ่งมั่นฝึกซ้อม และประสบความสําเร็จต่อไป รวมทั้งนักกีฬา หรือผู้แทนประเทศท่านอื่นๆ ด้วย
พี่น้องประชาชนที่เคารพทุกท่าน ครับ
สําหรับแนวทางในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยมยั่งยืนนั้น ซึ่งจะทําในพื้นที่ทุกระดับ ตั้งแต่จังหวัด อําเภอ ตําบล และหมู่บ้านประกอบด้วย หลัก 9 ประการ ดังนี้
1.คนไทยรักกัน ด้วยการสร้างความสามัคคีปรองดอง ให้เกิดขึ้นให้ได้
2.คนไทยไม่ทิ้งกัน ด้วยการดูแลผู้มีรายได้น้อย
3.ชุมชนอยู่ดีมีสุข พัฒนาความเป็นอยู่ อาชีพ และรายได้
4.วิถีไทย วิถีพอเพียง ด้วยการน้อมนําปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดําเนินชีวิต
5.รู้สิทธิ์ รู้หน้าที่ ของการเป็นพลเมืองที่ดีนะครับ
6.รู้กลไกการบริหารราชการ ในแต่ละระดับ
7.รู้รักประชาธิปไตย โดยเฉพาะเกี่ยวกับหลักธรรมาภิบาล
8.รู้เท่าทันเทคโนโลยี
9.บูรณาการการทํางานของทุกภาคส่วนในการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติด
นอกจากนี้ ผมได้สั่งการให้เพิ่มเรื่องการขับเคลื่อน งานตามภารกิจของทุกหน่วยงาน ให้ประสานสอดคล้องกับโครงการไทยนิยมดังกล่าวข้างต้นด้วย ทั้งนี้จะมีคณะกรรมการในระดับต่างๆ แบ่งออกเป็น 4 ระดับ กับ 1 พื้นที่
1. คณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนฯ ระดับประเทศ มี นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
2. คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ระดับจังหวัด มี ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน
3. คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ระดับอําเภอ มี นายอําเภอ เป็นประธาน
4. ทีมขับเคลื่อนฯ ระดับตําบล ให้นายอําเภอแต่งตั้งทีม ประกอบด้วย ข้าราชการในพื้นที่ ปราชญ์ชาวบ้าน จิตอาสา อื่นๆ เป็นต้น
5. สําหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้ปลัดกรุงเทพมหานคร หรือผู้อํานวยการเขตเป็นผู้แต่งตั้ง คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ โครงการ
สําหรับกิจกรรม และผลการดําเนินโครงการ ขอให้พี่น้องประชาชนติดตามข่าวสารจากหน่วยงานราชการต่างๆ ภาครัฐ ที่ผมจะได้นํามาเล่าให้ฟัง เป็นระยะๆ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ 1 ซึ่งคณะกรรมการขับเคลื่อน จะลงพื้นที่ทั้งหมด พื้นที่ละประมาณ 4 ครั้ง แล้วก็จะสรุปความต้องการ ปัญหาอุปสรรค์อะไรต่างๆ มาเพื่อจะนําไปสู่การจัดทําโครงการ ระดับพื้นที่ ทั้งนี้เพื่อให้มีการใช้จ่ายงบประมาณที่ได้จัดสรรเพิ่มเติมลงไปนั้นอย่างมีประสิทธิภาพ แล้วเกิดความเข้มแข็งเชื่อมโยง จากงานฟังชั่น ตลอดระยะเวลาที่เราผ่านมาแล้วด้วย
ในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ผมได้เข้าร่วมการประชุมร่วม คณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค ที่เรียกว่า ก.บ.ภ. และคณะกรรมการนโยบายบริหารงานจังหวัด และกลุ่มจังหวัด แบบบูรณาการ ก.น.จ. เพื่อหารือเกี่ยวกับแผนพัฒนาจังหวัด และแผนพัฒนาภาค สําหรับในการจัดสรรงบประมาณลงพื้นที่ ให้ตรงกับความต้องการของชุมชน ผมถือว่าสิ่งที่ทํามานี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงแนวทางในการจัดทํางบประมาณของประเทศที่สําคัญ ที่จะต้องประกอบไปด้วย การจัดทํางบประมาณจากส่วนกลาง เพื่อให้กระจายลงไปในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศและ งบประมาณที่จังหวัด-ภาค จัดทําโครงการขึ้น คือข้างล่างขึ้นมาBottom upขึ้นมา เพื่อจะขอดําเนินการในสิ่งที่เหมาะสม จําเป็น คือเราต้องบริหาร 2 ทางในการใช้จ่ายงบประมาณTop Down แล้วBottom upขึ้นมา เพื่อจะตอบโจทย์คนในพื้นที่ โดยตรง ผมเชื่อว่าจะช่วยให้การจัดสรรงบประมาณของประเทศ มีประสิทธิภาพ และมีธรรมาภิบาล เป็นการใช้งบประมาณที่คุ้มค่า ให้ตรงความต้องการของพี่น้องประชาชน อย่างแท้จริง
สําหรับในส่วนของการจัดทําแผนพัฒนาจังหวัด และกลุ่มจังหวัดนั้น เราจะต้องยึดโยงกับ แผนพัฒนาประเทศ และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ของประเทศ ในภาพรวมได้ ขณะเดียวกันต้องตอบสนองความต้องการในการแก้ปัญหาของแต่ละจังหวัดเอง รวมถึงสอดคล้องทิศทางการพัฒนากลุ่มจังหวัดและภาค โดยมีข้อมูลในพื้นที่สนับสนุน แล้วก็จะต้องย้อนไปดูผลการพัฒนา หรือแก้ปัญหาในช่วงที่ผ่านมา ในการจัดทําแผนด้วยซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบแผนพัฒนาจังหวัด 76 จังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด 18 กลุ่มจังหวัด พ.ศ.2561-2564รวมทั้ง แผนปฏิบัติราชการ และคําของบประมาณ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2562 ของจังหวัด 76 จังหวัดและ ของกลุ่มจังหวัด 18 กลุ่มจังหวัด จํานวน 2,399 โครงการ วงเงินรวมกว่า 57,000 ล้านบาท ไปแล้ว
สําหรับแผนพัฒนาภาคจะต้องกําหนดให้มีทิศทางสอดคล้อง เชื่อมโยงกับ แผนระดับชาติ ต้องมีการบูรณาการของส่วนราชการ เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ลงไปยังพื้นที่ต่างๆ ด้วย โดยจะต้องช่วยตอบโจทย์ปัญหา ขจัดอุปสรรคต่างๆ แล้วรับมือกับความท้าทาย ของภาคได้ โดยแต่ละภาคควรมีโครงการสําคัญที่จะขับเคลื่อนเพื่อให้ได้ประโยชน์“คู่ขนาน”เติมเต็มกันไปด้วยซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบ แผนพัฒนาภาค และกรอบแผนงานโครงการสําคัญ ที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาภาค ปี พ.ศ.2560-2564จํานวนเกือบ 1,200 โครงการ วงเงินรวม กว่า 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งผมอยากถือโอกาสในวันนี้ ได้เล่าให้พี่น้องประชาชนได้รับฟังถึงแผนพัฒนาแต่ละภาค เพื่อให้ทุกท่านได้รับทราบถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลในการปรับแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง และครอบคลุมทุกพื้นที่ที่สําคัญให้เกิดความต่อเนื่อง แล้วเดินหน้ากันไปตามยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งมีความแตกต่างระดับพื้นที่ด้วย
สําหรับในภาคกลาง จะมีการพัฒนากรุงเทพฯ สู่ "มหานครทันสมัย" ซึ่งเราคงต้องมีการแก้ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมของเมือง และมีการพัฒนาคุณภาพชีวิต มีการป้องกันแก้ไขปัญหาน้ําท่วม อย่างจริงจัง นอกจากนี้ ภาคกลางจะเป็นฐานการผลิตสินค้าและบริการ ที่มีมูลค่าสูง ผ่านการยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรและ อุตสาหกรรมโดยใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ ทั้งนี้ก็เพื่อให้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้อย่างยั่งยืนมีการบริหารจัดการน้ํา แบบบูรณาการ เพื่อแก้ปัญหาน้ําท่วม-น้ําแล้ง คงความสมดุลของระบบนิเวศ และยกระดับคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวรวมถึงการสร้างความเชื่อมโยง ให้กระจายทั่วทั้งภาค มากขึ้น อีกทั้ง เรายังเน้นการเปิดประตูการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษในภาคกลางและEECอีกด้วย
กรณีเรื่องผังเมือง อันนี้เป็นปัญหามาก หลายท่านอาจจะไม่เข้าใจ หรือมีความเข้าใจที่ไม่เป็นไปในทางเดียวกันบ้าง การจัดทําผังเมืองนั้นเราได้มีการทํามาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทุกรัฐบาล ตามกฎหมายแล้ว จะต้องมีจะมีการปรับ จัดทําแผน ทุก 2 ปี แล้วประชาชนนั้น จะมีส่วนร่วมในการจัดทํา ปัญหาไม่ใช่ว่าเราไม่มีผังเมือง เรามี แล้วก็ปรับเปลี่ยนมาทุก 2 ปีอย่างที่ว่า แต่ปัญหาคือ การใช้ผังเมืองนั้น ไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชน เท่าที่ควร ละเมิดผังเมืองที่จัดทําไว้ ไปสร้างในสิ่งที่ไม่ควรจะสร้าง สร้างไม่ได้ ก็เลยทําให้เกิดปัญหาทางกฎหมายมากมาย ที่ผ่านมาจนทําให้เกิดปัญหาการจัดระเบียบ การระบายน้ําเสียต่างๆ เหล่านี้เป็นปัญหาที่ยางนานมาทั้งสิ้น และกรุงเทพฯ หรือว่าเมืองใหญ่ๆ นั้นก็เป็นเมืองที่มีความเป็นมาอย่างยาวนาน ปัญหาเกิดมาตั้งแต่แรก แออัดขึ้น คราวนี้การที่จะไปปรับเปลี่ยน ระบบระบายน้ํา หรือทําระบบระบายน้ําใหม่ ก็เกิดปัญหา เพราะว่าคนแอยูเต็มไปหมดแล้ว ทั้งๆ ที่แผนก็อาจจะวางไว้ว่าจะต้องเป็นนั้น เป็นนี่ เป็นถนนหนทางเป็นทางระบายน้ํา อะไรต่างๆ ปรากฏว่าทุกคนก็ไปฝ่าฝืนกัน แล้วก็ต้องมีการบังคับใช้กฎหมาย ในระหว่างบังคับใช้กฎหมาย ฟ้องศาล กระบวนการยุติธรรมอยู่ ก็บุกรุกกันไปเรื่อย เหมือนเดิม ก็ใช้ไปละเมิดไปมากกว่าเดิม ทําให้เกิดความยากในการบังคับใช้ผังเมือง ผมขอความร่วมมือในการบังคับใช้ผังเมือง อย่างเป็นที่ได้ออกมาแล้ว อยากเร่งรัดให้เป็นรูปธรรม ปัญหาเราจะได้แก้ไขได้ ตอนนี้เราต้องแก้ปัญหารอบนอก รอบในแออัด แน่นแล้วต้องรื้อกันทั้งหมด
เพราะฉะนั้นประชาชนจะว่าอย่างไร ถ้าต้องการที่จะให้น้ําแก้ปัญหาได้ก็ต้องขุดทางระบายน้ําใหม่ทั้งหมด ทําระบบระบายน้ําเสียใหม่ เพราะเดิมทําเฉพาะพื้นที่เล็กๆ กรุงเทพฯ ก็ยังไม่ขยายขนาดนี้ วันนี้ขยายกว้างขึ้นแออัดมากขึ้น ถนนหนทางก็แน่นขนัดไป การจราจรมีปัญหาทั้งหมดเลย เราจะต้องร่วมมือกันปฏิบัติตามผังเมืองที่ได้ออกมาแล้ว โดยความเห็นชอบของทุกภาคส่วน
สําหรับในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีเป้าหมายให้พื้นที่กลายเป็น "ศูนย์กลางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง" โดยจะมีการบริหารจัดการน้ํา ให้เพียงพอต่อเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตด้วยการบูรณาการ การดูแลน้ําในพื้นที่ การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ําและพัฒนาคุณภาพชีวิตพร้อมไปกับการจัดสรรที่ดินทํากินให้ชุมชน เพื่อเร่งสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายใน อีกทั้ง ยังเน้นการแก้ปัญหา ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการใช้โอกาสจากโครงข่ายคมนาคมขนส่งที่เชื่อมโยงมาจากEECเช่น ถนนและรถไฟทางคู่ เพื่อพัฒนาเมือง และพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ๆ ในภาครวมถึงขยายผลออกไป ทั้งนี้เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจตามแนวชายแดน และเขตเศรษฐกิจพิเศษอีกด้วย
ในส่วนของภาคตะวันออก เป้าหมายได้แก่การเป็น"ฐานเศรษฐกิจชั้นนํา" ของอาเซียน ทั้งการรักษาฐานเศรษฐกิจเดิม ให้เติบโตอย่างยั่งยืน และ สร้างฐานเศรษฐกิจใหม่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเน้นการพัฒนาพื้นที่EECให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่ทันสมัยที่สุดในอาเซียน และพัฒนาให้ภาคตะวันออก เป็นแหล่งผลิตอาหารโดยเฉพาะผลไม้เมืองร้อน ที่มีคุณภาพ และได้มาตรฐานสากล รวมถึงพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจชายแดน ให้เป็นประตูเศรษฐกิจเชื่อมโยงกับเพื่อนบ้าน รวมทั้งปรับปรุงมาตรฐาน ทั้งสินค้า และการท่องเที่ยวในท้องถิ่น เพื่อจะให้ภาคตะวันออกเป็นแหล่งท่องเที่ยวอารยธรรมขอม โดยจะต้องเร่งแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะการกัดเซาะชายฝั่ง และการบริหารจัดการมลพิษ ควบคู่ไปด้วย
สําหรับในภาคเหนือ เราจะมุ่งให้เป็น "ฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ มูลค่าสูง" มีการต่อยอดการผลิตสินค้าและบริการด้วยภูมิปัญญาเชิงสร้างสรรค์ และนวัตกรรม รวมทั้งยกระดับให้เป็นฐานการผลิตเกษตรอินทรีย์ และเกษตรปลอดภัย เพื่อเชื่อมโยงสู่อุตสาหกรรมการเกษตรแปรรูปที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น มีการพัฒนาการท่องเที่ยว และธุรกิจบริการ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ให้มีคุณภาพเพิ่มความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยว และสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างยั่งยืน เพื่อให้สามารถกระจายผลประโยชน์ได้ทั่วถึง นอกจากนี้ ด้วยความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง จะต้องใช้โอกาสนี้ ในการขยายฐานเศรษฐกิจออกไปผ่านการค้าและการลงทุนซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและ แก้ปัญหาความยากจน มีการยกระดับฝีมือแรงงานในภาคบริการ นอกจากนี้ จะต้องมีการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ําให้คงความสมบูรณ์ มีการจัดระบบบริหารจัดการน้ําอย่างเหมาะสม และแก้ไขปัญหาหมอกควันพิษให้ได้ อย่างยั่งยืนไปพร้อมกันด้วย
ในส่วนของภาคใต้ มีเป้าหมายจะพัฒนาให้เป็น"เมืองท่องเที่ยวตากอากาศ" ระดับโลก โดยมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน รวมทั้งเป็นศูนย์กลางผลิตภัณฑ์ยางพาราและปาล์มน้ํามัน ของประเทศโดยมีการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าผ่านการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมการผลิตภาคเกษตร แปรรูป สร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อสร้างความเข้มแข็ง ของสถาบันเกษตรกรรวมทั้ง เป็นเมืองเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงการค้า การลงทุนกับภูมิภาคอื่นของโลกด้วย โดยจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ให้สามารถสนับสนุน ภาคเกษตรและอุตสาหกรรมได้มากขึ้น รวมทั้งจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ได้อย่างทั่วถึงมากขึ้นด้วย รวมไปถึงการยกระดับอุตสาหกรรมประมง และการแปรรูปผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ เพื่อจะสร้างความมั่นคงให้กับภาคการผลิต และรายได้ของเกษตรกรอีกทั้ง การพัฒนาเมืองสุไหงโก-ลก และเมืองเบตงให้เป็นเมืองการค้าและเมืองท่องเที่ยวชายแดน ที่ปลอดภัย เชื่อมโยงไปยังเศรษฐกิจของประเทศมาเลเซีย และสิงคโปร์ เพิ่มเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนอย่างยั่งยืนอีกด้วย
ทั้งหมดนี้ เป็นภาพรวมของแผนพัฒนาภาคก็อยากจะเล่าให้ทุกท่านฟัง ทั้งนี้เพื่อเป็นการบูรณาการงานของส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาอย่างตรงจุดให้กับพี่น้องประชาชน นอกจากแผนพัฒนาภาค กลุ่มจังหวัดและจังหวัดแล้ว รัฐบาลยังมีโครงการที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และแก้ไขปัญหาในพื้นที่ต่าง ๆเป็นระยะๆเช่น โครงการไทยนิยมยั่งยืน ซึ่งจะเป็นการนําทีมลงไปยังพื้นที่อย่างที่กล่าวไปแล้ว เพื่อพูดคุยหารือกับพี่น้องประชาชนถึงปัญหา และความต้องการ โดยส่วนราชการต่าง ๆ มีหน้าที่ลงไปวางแผนเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาระยะสั้น และเก็บข้อมูลเพื่อมาหาแนวทางแก้ปัญหาที่ทําได้ยาก ในระยะยาว ไปสู่การบริหารราชการแผ่นดินในระยะต่อไป วันนี้เราต้องร่วมกันทําตามกลไก“ประชารัฐ”อีกด้วยซึ่งจะช่วยเสริมให้แผนพัฒนาพื้นที่เหล่านี้ ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้ดีขึ้น ส่งเสริมการ“ระเบิดจากข้างใน”ตามศาสตร์พระราชา อย่างแท้จริง
นอกจากโครงการต่างๆ จากส่วนกลางที่ทําให้การเข้าถึงพี่น้องประชาชนได้ดีขึ้นแล้ว ในการวางนโยบายลงไปให้ตรงกับความต้องการของพื้นที่มากขึ้น รัฐบาลได้นําเอาการวิเคราะห์Big Dataมาปรับใช้เป็นเครื่องมือให้กับการบริหารราชการ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะในการเพิ่มรายได้ ลดค่าครองชีพ และเพิ่มโอกาสด้านอาชีพซึ่งข้อมูลในระบบที่บูรณาการกัน และมีอยู่แล้วเดิม ท่านต้องจัดหาเพิ่มเติม อาทิ ข้อมูลความจําเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) ของกรมการพัฒนาชุมชน กว่า 35 ล้านราย และข้อมูลการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย กระทรวงการคลัง กว่า 14 ล้านราย รวมทั้งข้อมูลในมิติต่างๆ ของหลายหน่วยงาน หลายกระทรวง เช่นข้อมูลด้านสาธารณสุข ด้านการศึกษา และด้านอื่นๆ ด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้วยของพื้นที่ จะทําให้เราสามารถวิเคราะห์ และชี้เป้าผู้ที่มีรายได้น้อย หรือผู้ที่รอความช่วยเหลือ“เร่งด่วน”หรือที่มีปัญหาทับซ้อน หลายมิติ กว่า 1 ล้าน 4 แสนคน เป็นต้นโดยคุณสมบัติของBig Dataจะช่วยให้เราสามารถประมวลหารูปแบบของพฤติกรรมและ ความสัมพันธ์ระหว่างมิติต่างๆ ของข้อมูลได้ค่อนข้างดี ชี้ให้เห็นว่าประชาชนแต่ละกลุ่ม หรือในแต่ละพื้นที่ มีความต้องการอะไร ซึ่งจะทําให้นโยบายสามารถออกแบบให้ตรงกับความต้องการนั้นได้จริง ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดการสิ้นเปลืองงบประมาณลงไป ลดค่าใช้จ่ายในการใช้คน ใช้เจ้าหน้าที่ลงไปได้บ้างเพราะว่าเราขาดแคลนเจ้าหน้าที่อยู่พอสมควร ในขณะที่เราต้องทํางานในลักษณะใหม่ๆนี้ เราต้องประหยัดงบประมาณให้ได้ ปัจจุบัน เป็นเพียงการเริ่มต้น รัฐบาลต้องการนําการวิเคราะห์Big Dataมาใช้ให้ได้มากขึ้น เป็นเครื่องมือให้ได้อย่างแท้จริงอย่างต่อเนื่อง ของทุกหน่วยงาน ของทุกมิติ และขยายไปยังมิติอื่นๆ นอกเหนือจากเรื่องความยากจน เช่น เรื่องคนพิการ-ผู้ด้อยโอกาส เรื่องเกษตรกรรม ซึ่งAgrimap จะทําให้เห็นปัญหาภัยแล้ง หรืออุทกภัยที่เกิดขึ้นมากน้อยต่างกันไปในแต่ละพื้นที่รวมทั้งในที่สุดจะสามารถช่วยคาดการณ์พฤติกรรมหรือความรุนแรงของภัยธรรมชาติของพื้นที่ได้ด้วย สามารถนํามาใช้วางแนวทางมาตรการของภาครัฐ รวมไปถึง ยกระดับการประกันภัยพืชผลที่ปัจจุบันอาจ ยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควร ซึ่งจะเป็นหนึ่งในกลไกที่จะช่วยรองรับความเสี่ยงของพี่น้องเกษตรกรได้อีกด้วย
การมีแผนพัฒนาภาค กลุ่มจังหวัด และ รายจังหวัด ข้างต้นนั้นเป็นเรื่องที่รัฐบาลนี้ริเริ่มขึ้นมา เดิมมีแค่กลุ่มจังหวัด วันนี้เรามีแผนพัฒนาภาคไปด้วย มีคณะกรรมการระดับภาคไปด้วย ซึ่งจะต้องสอดคล้องไปทั้งภาค กลุ่มจังหวัด และรายจังหวัดข้างต้น ประกอบไปกับการลงพื้นที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ของภาครัฐ เพื่อช่วยจัดทําโครงการ ที่จะเป็นประโยชน์แก่ชุมชนเอง มีการทําประชาคมให้เห็นชอบร่วมกัน รวมถึงการนําข้อมูลจริงมาช่วยวิเคราะห์ปัญหาที่จะเกิดขึ้น องค์ประกอบทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่ผมพยายามนํามาใช้บูรณาการร่วมกันให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง ในการมองปัญหาและหาแนวทางแก้ไขร่วมกันเพื่อให้การทํางานของรัฐบาลมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขอให้ประชาชนร่วมมือกันให้ข้อมูล ชี้ให้เห็นถึงปัญหาช่วยกันให้ข้อเสนอแนะ ร่วมกันสร้างกระบวนการเรียนรู้ รับรู้ ให้ทุกคนได้เข้าใจในแนวทางแก้ไขกับภาครัฐมาได้ เพื่อให้ปัญหาในพื้นที่ถูกขจัดออกไปได้เร็วขึ้น และอาจนําไปสู่ทางแก้ที่ยั่งยืนด้วย
พี่น้องประชาชนที่รัก
ข่าวสารบ้านเมืองที่เราคนไทยควรติดตาม ศึกษา ทําความเข้าใจกันอย่างต่อเนื่องนอกจากเรื่องการปฏิรูปประเทศ การเลือกตั้งแล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องที่เป็นนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการสร้างความ“มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”เพียงแต่ขอให้ตรวจสอบความถูกต้อง ความเชื่อถือได้ของแหล่งข่าวด้วยผู้สื่อข่าว ผู้ประกาศ นักจัดรายการวิทยุ สื่อมวลชนทุกแขนง ท่านมีส่วนสําคัญอย่างมาก ในการสร้างความเข้าใจ และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนดังนั้น ผมจึงอยากจะขอร้องให้ช่วยกันช่วยภาครัฐบ้าง ช่วยไม่ให้พี่น้องประชาชนของเราตกข่าวข่าวที่ดี ๆ แล้วปล่อยให้ข่าวสารที่เป็นสาธารณประโยชน์ถูกกลบด้วยข่าวสารที่ไม่สร้างสรรค์สังคมอันนี้ต้องขอให้ช่วยกัน ผมไม่ได้ตําหนิใครทั้งสิ้น เพียงแต่ท่านต้องทบทวนแล้วว่า การเสนอข่าวอย่างมีจรรยาบรรณนั้นคืออะไร
วันนี้ ผมมีเรื่องของความคืบหน้าการดําเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ที่จะช่วยแก้ปัญหาในอดีตได้อย่างยั่งยืน มาเล่าให้ฟัง อีก 2 เรื่อง ดังนี้
1. เรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ปัจจุบัน เข้าสู่เฟส 2 คือการพัฒนาฝีมือแรงงาน การฝึกวิชาชีพ ผมได้รับรายงานว่า มีผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่แสดงความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตนี้ มากกว่า 5 ล้านคน หรือเกือบ“ครึ่ง”ของผู้มีบัตรทั้งหมดทั่วประเทศ 11.4 ล้านคนโดยจังหวัดที่มีประชาชนเข้าร่วมโครงการมากที่สุดเมื่อเทียบกับจํานวนผู้มีบัตรสวัสดิการ คือ กาฬสินธุ์ ศรีสะเกษ เลย ร้อยเอ็ด นครพนม ตามลําดับทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับเงินในบัตรสวัสดิการเพิ่มขึ้นอีกเดือนละ 100-200 บาท ภายในเดือนมีนาคมนี้ และจะได้รับโอกาสในการมีงานทํา มีความรู้ และทักษะอาชีพ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ และสิ่งจําเป็นพื้นฐานในการดํารงชีวิต ภายในเดือนเมษายนเป็นต้นไป
ขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นว่า รัฐบาลนี้มีความจริงใจที่จะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และยกระดับเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ ควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรม การค้า การลงทุน ที่มีแนวโน้มดีขึ้น ซึ่งจะไม่ยอมให้เป็นการ“ตําน้ําพริกละลายแม่น้ํา”อย่างที่บางคนพยายามจะ“ชักใบให้เรือเสีย”โดยผมได้กําชับให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับทํางานอย่างมุ่งมั่น มีอุดมการณ์ และซื่อสัตย์ โดยขอความร่วมมือประชาชนร่วมกัน“เป็นหู เป็นตา”หากพบความไม่โปร่งใส ขอให้แจ้งมายังรัฐบาล ผ่านสายด่วน 1111 หรือ 1567 ได้ทุกกรณี
2. เรื่องการลงทะเบียนแรงงานต่างด้าว โดยขอย้ําให้นายจ้างพาแรงงานต่างด้าว“3 สัญชาติ” (เมียนมา กัมพูชา ลาว) ไปตรวจสุขภาพ ณ โรงพยาบาลที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนดก่อนเข้าศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (OSS)และ นําใบรับรองแพทย์ หรือใบนัดหมายการตรวจสุขภาพมาเป็นหลักฐานในศูนย์ฯอีกทั้ง อย่าลืมพาแรงงานต่างด้าวไปจัดทําทะเบียนประวัติ และขออนุญาตทํางานที่ศูนย์OSSภายในวันที่ 31 มีนาคม 2561 นี้เท่านั้นซึ่งเหลือเวลาอีก 1 เดือน ปัจจุบันทราบว่า มีแรงงานมาดําเนินการแล้ว เกือบ 30,000 ราย (เมียนมา 15,000 คนกัมพูชา 12,000 คน และลาว 3,000 คน)โดยประมาณ
ผมไม่อยากให้รอจนใกล้กําหนดวันที่ 31 มีนาคม 2561 เพราะอาจไม่ได้รับความสะดวก รวดเร็ว คราวนี้จะมีปัญหาแน่ รัฐบาลก็ดูแลผ่อนผันมาพอสมควรแล้ว หากมีผู้มาใช้บริการเป็นจํานวนมากในตอนนั้นแล้วทําไม่ทัน ต้องถูกดําเนินคดี จับกุม แล้วผู้ประกอบการก็มาร้องเรียนรัฐบาลอีก ขอให้ร่วมมือกับรัฐบาลด้วย ทั้งแรงงาน ทั้งผู้ประกอบกิจการต่างๆที่มีการใช้แรงงานเหล่านั้น ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
พี่น้องประชาชนทุกท่านครับผมขอสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่ริเริ่มเองโดยสถาบันการศึกษา หรือทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นการสร้างสรรค์สังคม จิตอาสา หรือ ช่วยเหลือผู้ที่ด้อยโอกาส เป็นตัวอย่างของ“ไทยนิยม”ที่ไม่ต้องรอการดําเนินการจากภาครัฐ แต่เพียงฝ่ายเดียว อาทิ จากการอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ ผมได้เห็นโครงการช่วยเหลือเด็กที่ด้อยโอกาสทางด้านการศึกษา ซึ่งยังมีอยู่จํานวนมาก ด้วยขาดแคลนทุนทรัพย์ในการดํารงชีวิต หรือซื้ออุปกรณ์การเรียนต่างๆ ดังนั้น นักศึกษาปริญญาตรีชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปสุพรรณบุรี สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กรมศิลปากร จึงเกิดแนวคิดในการจัดทําโครงการเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนเด็กที่ด้อยโอกาสขึ้นโดยสถานที่ที่ผู้จัดโครงการเลือกที่จะดําเนินโครงการ คือ โรงเรียนประทีปศึกษา ต.สามชุก อ.สามชุกจ.พรรณบุรี ซึ่งเป็นโรงเรียนประจํา มีเด็กชาวไทยในพื้นที่สูงจากจังหวัดตาก เพชรบูรณ์ และกําแพงเพชร ทั้งเผ่าม้งและกะเหรี่ยง ตลอดจนเด็กในละแวก อ.สามชุก ที่ผู้ปกครองไม่มีทุนทรัพย์มากพอที่จะส่งเข้ารับการศึกษา ณ โรงเรียนนี้ ที่เป็นโรงเรียนเอกชน แต่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายทางการศึกษาทั้งนี้ ความมุ่งหวังของโครงการฯ นอกจากจะให้ความช่วยเหลือทางด้านอุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา และสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แล้ว
ที่สําคัญคือ การส่งเสริมความเป็นพลเมืองดีของชาติในอนาคต สํานึกความเป็นไทย รักชาติ รักสถาบัน คุณธรรม จริยธรรม เป็นต้นเป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่ผมนํามาเล่าให้ฟัง เชื่อว่ายังมีอีกหลายโครงการที่กําลังดําเนินการอยู่ ขอให้ทุกสถาบันการศึกษา ทุกโรงเรียนได้เอามาเป็นตัวอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนการสอน การแนะนํา การสร้างกระบวนการเรียนรู้ต่างๆของครู วันนี้ครูก็ต้องปรับตัว ต้องมีการสอนในแนวใหม่ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง จะสอนแบบเดิมๆไม่ได้อีกแล้ว วันนี้ต้องสอนทั้งในตํารา และการเรียนรู้นอกตําราด้วย เพื่อไปสู่การมีงานทําในอนาคตได้อย่างแท้จริง ที่น่าชื่นชมคือ เป็นโครงการที่สถาบันการศึกษา ทําเพื่อการศึกษา เพื่ออนาคตของชาติ ผมเห็นว่า หากเราร่วมมือกัน ในทุกโรงเรียน ในทุกพื้นที่ เป็นการทําเพื่ออนาคต หากเราร่วมมือกัน ด้วยกลไก“ประชารัฐ”ในทุกพื้นที่ของตน ภาคธุรกิจ เอกชน ประชาขนอาจจะมาร่วมมือกับโรงเรียน ให้ทุนการศึกษาเพิ่มก็ได้ ก็จะไม่มีพื้นที่ใดเป็น“จุดอ่อน”ของประเทศไทยในที่สุด
เรื่องสุดท้ายในช่วงเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งทุกคนต้องช่วยกันรักษาความสงบ ความมีเสถียรภาพของประเทศ ในทุกมิติครับเราต้องพัฒนาประเทศ พร้อมกับการเป็นประชาธิปไตยที่มีธรรมาภิบาลสําหรับเรื่องการช่วยกันขจัดปัญหาทุจริตขอให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการร้องทุกข์ กล่าวโทษ การใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่ลงไปในทุกกลุ่ม ทุกพื้นที่ ไม่ให้มีการทุจิตเกิดขึ้นในทุกโครงการ บางครั้งการตรวจสอบในขั้นตอนของราชการบางทีทําได้ไม่สมบูรณ์ เพราะว่าเอกสารไม่ถูกต้อง ดังนั้นขอเน้นย้ําข้าราชการทุกหน่วยงาน ทุกกระทรวง ทบวง กรม ต้องไปดูว่าเอกสารที่ได้มานั้นถูกต้องหรือไม่เช่นที่มีข่าวในปัจจุบันเรื่องของความไม่ปกติของการช่วยเหลือผู้ยากไร้ เพราะฉะนั้นเอกสารต้องดูให้ครบ แต่เมื่อมีคนร้องทุกข์กล่าวโทษมา หรือให้ข้อมูลมา เราก็นําไปสู่การพิสูจน์และวันนี้ก็มีข้อมูลการกระทําความผิดอยู่เราต้องช่วยกัน อย่าปล่อยให้เป็นภาระหน้าที่ของนายกฯคนเดียว เรื่องของระดับสูงอย่างเดียว ระดับล่างต้องช่วยกัน ประชาชนทุกคนไม่ต้องกลัว รัฐบาลจะดูแลปกป้องให้ อย่างเช่น น้อง 2 คน ที่ได้ดูแลไปแล้วขอให้เป็นตัวอย่างของคนทั้งประเทศ ขอให้ช่วยรัฐบาลในการทําหน้าที่ขจัดความไม่สุจริตให้ได้โดยเร็วในวิธีการที่ถูกต้อง ขั้นตอนที่ถูกต้อง โดยเรียนรู้ในเรื่องของกฎหมาย และทุกคนก็เรียนรู้ในสิทธิของแต่ละคน ตัวเองมีสิทธิอะไรอย่างไร อย่าให้ใครเข้ามาใช้สิทธิ์ของเราไปเพื่อเกิดประโยชน์ในทางไม่ถูกต้อง
ขอบคุณครับ ขอให้“ทุกคน ทุกครอบครัว”มีความสุข สวัสดีครับ
.................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2561
วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2561
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2561 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
ในยามที่บ้านเมืองของเราสงบเรียบร้อย ความเป็นปึกแผ่นของคนในชาติ ที่แสดงออกมานั้น สะท้อนออกมาอย่างเห็นได้ชัดจากการเชียร์และรับชมตัวแทนคนไทย นักกีฬาไทยที่ไปชิงชัย แสดงศักยภาพในเวทีระดับโลกบ ผมถือว่าอันนี้เป็นลักษณะเฉพาะของเราคนไทย ที่เรียกว่า“ไทยนิยม”ที่มีเลือดรักชาติ และมีความสามัคคีกันโดยสํานึก ล่าสุดผมขอเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนอีกครั้ง ในการแสดงความชื่นชมยินดี กับนักกีฬาไทยที่สร้างผลงานและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ หลายรายด้วยกัน
ลําดับแรก“เจ้าแหลม”ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่นนะครับ ที่สามารถชกเอาชนะผู้ท้าชิง ฮวน ฟรานซิสโก้ เอสตราด้า จากประเทศเม็กซิโก ทําให้รักษาเข็มขัดแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ ฟลายเวต ของสภามวยโลกWBCเป็นหนที่ 2 ได้สําเร็จ ในสังเวียนที่จัดขึ้นในต่างแดน ก็คงไม่ง่ายนัก ด้วยบรรยายกาศ กองเชียร์ และการปรับต้องตัวเข้ากับสภาพอากาศ สภาพแวดล้อมอื่นๆ เพราะไม่ใช่ในประเทศของเราเองเราควรจะยกย่องหัวใจนักสู้ที่แข็งแกร่งของเขา ในเรื่องของการมีความมุ่งมั่น มีไหวพริบ ในขณะแข่งขัน ย้อนไปถึงความทรหดอดทน ตั้งแต่การซักซ้อมและการเตรียมตัว มีบุคคลอีกหลายฝ่ายที่อยู่เบื้องหลังชัยชนะในครั้งนี้ เพราะผู้ท้าชิงรายนี้ ได้ชื่อว่าเป็นนักมวยฝีมือดีเช่นกัน สิ่งสําคัญ ที่ผมอยากจะกล่าวถึงคือ ความสุขของคนไทย“ทั้งประเทศ”จากความสําเร็จของเขาในครั้งนี้ ซึ่ง“หนทางสู่ความสําเร็จ”ของเจ้าแหลมในวันนี้ หากใครติดตามประวัติส่วนตัว ก็รู้ว่าต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายในชีวิต และผ่านความยากจนมานาน กว่าจะได้รับโอกาสด้วยความมุ่งมั่น และไม่ยอมแพ้ จึงได้พบกับคําว่า“ชนะ”ในวันนี้อยากยกให้เป็น“บุคคลตัวอย่าง”ด้วยเหตุและผลที่กล่าวมา
อยากให้ทุกคนโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนได้เรียนรู้ จากประสบการณ์ของเจ้าแหลม หรือผู้ที่ประสบความสําเร็จในชีวิตอื่นๆ อีกด้วย จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคนได้พบกับความสําเร็จเช่นกัน ไม่มีความสําเร็จใดที่ได้มาโดยง่าย เราต้องฝึกฝนพัฒนาตนเอง อดทนเลือกทําในสิ่งที่รัก ที่ถนัด และทําให้ดีที่สุดลําดับต่อมาผมขอแสดงความยินดีกับ“น้องจีน”อาฒยา ฐิติกุล สาวน้อยมหัศจรรย์วัย 15 ปี จากจังหวัดราชบุรี ที่ทําสําเร็จด้วยการเอาชนะ เพลย์ออฟ คว้าแชมป์กอล์ฟสมัครเล่นหญิง ชิงแชมป์“เอเชีย-แปซิฟิค 2018”ที่ประเทศสิงคโปร์ วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นการแข่งขันกอล์ฟสมัครเล่นหญิงที่มีนักกอล์ฟเข้าร่วมการแข่งทั้งสิ้น 83 ราย จาก17 ชาติสมาชิก ขอชื่นชม และเป็นกําลังใจ ให้กับน้องจีนได้มุ่งมั่น ตั้งใจและ ประสบความสําเร็จยิ่งๆ ขึ้นไปในอนาคต อายุยังน้อยอยู่
นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันกีฬาระดับโลก ณ ประเทศไทยเช่นกัน คือ การแข่งขัน“กอล์ฟHonda LPGA Thailand2018”แม้ว่านักกีฬาสาวไทย จะไม่ได้แชมป์ในรายการนี้ แต่ถือว่าทําผลงานได้ดี โดยติด“ท็อป เท็น”ถึง 3 คน ได้แก่“โปรโม”โมรียา จุฑานุกาล อันดับ 2“โปรเม”เอรียา จุฑานุกาล อันดับ 5 ร่วม และ“โปรแหวน”พรอนงค์ เพชรล้ํา อันดับ 7 ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่ายังมีนักกีฬากอล์ฟอาชีพสาวไทยอีกหลายท่าน ที่มีผลงานที่โดดเด่น และมีพัฒนาการที่ดีในการแข่งขันรายการนี้ ผมขอเป็นกําลังใจให้ทุกคนได้มุ่งมั่นฝึกซ้อม และประสบความสําเร็จต่อไป รวมทั้งนักกีฬา หรือผู้แทนประเทศท่านอื่นๆ ด้วย
พี่น้องประชาชนที่เคารพทุกท่าน ครับ
สําหรับแนวทางในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยมยั่งยืนนั้น ซึ่งจะทําในพื้นที่ทุกระดับ ตั้งแต่จังหวัด อําเภอ ตําบล และหมู่บ้านประกอบด้วย หลัก 9 ประการ ดังนี้
1.คนไทยรักกัน ด้วยการสร้างความสามัคคีปรองดอง ให้เกิดขึ้นให้ได้
2.คนไทยไม่ทิ้งกัน ด้วยการดูแลผู้มีรายได้น้อย
3.ชุมชนอยู่ดีมีสุข พัฒนาความเป็นอยู่ อาชีพ และรายได้
4.วิถีไทย วิถีพอเพียง ด้วยการน้อมนําปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดําเนินชีวิต
5.รู้สิทธิ์ รู้หน้าที่ ของการเป็นพลเมืองที่ดีนะครับ
6.รู้กลไกการบริหารราชการ ในแต่ละระดับ
7.รู้รักประชาธิปไตย โดยเฉพาะเกี่ยวกับหลักธรรมาภิบาล
8.รู้เท่าทันเทคโนโลยี
9.บูรณาการการทํางานของทุกภาคส่วนในการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติด
นอกจากนี้ ผมได้สั่งการให้เพิ่มเรื่องการขับเคลื่อน งานตามภารกิจของทุกหน่วยงาน ให้ประสานสอดคล้องกับโครงการไทยนิยมดังกล่าวข้างต้นด้วย ทั้งนี้จะมีคณะกรรมการในระดับต่างๆ แบ่งออกเป็น 4 ระดับ กับ 1 พื้นที่
1. คณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนฯ ระดับประเทศ มี นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
2. คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ระดับจังหวัด มี ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน
3. คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ระดับอําเภอ มี นายอําเภอ เป็นประธาน
4. ทีมขับเคลื่อนฯ ระดับตําบล ให้นายอําเภอแต่งตั้งทีม ประกอบด้วย ข้าราชการในพื้นที่ ปราชญ์ชาวบ้าน จิตอาสา อื่นๆ เป็นต้น
5. สําหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้ปลัดกรุงเทพมหานคร หรือผู้อํานวยการเขตเป็นผู้แต่งตั้ง คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ โครงการ
สําหรับกิจกรรม และผลการดําเนินโครงการ ขอให้พี่น้องประชาชนติดตามข่าวสารจากหน่วยงานราชการต่างๆ ภาครัฐ ที่ผมจะได้นํามาเล่าให้ฟัง เป็นระยะๆ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ 1 ซึ่งคณะกรรมการขับเคลื่อน จะลงพื้นที่ทั้งหมด พื้นที่ละประมาณ 4 ครั้ง แล้วก็จะสรุปความต้องการ ปัญหาอุปสรรค์อะไรต่างๆ มาเพื่อจะนําไปสู่การจัดทําโครงการ ระดับพื้นที่ ทั้งนี้เพื่อให้มีการใช้จ่ายงบประมาณที่ได้จัดสรรเพิ่มเติมลงไปนั้นอย่างมีประสิทธิภาพ แล้วเกิดความเข้มแข็งเชื่อมโยง จากงานฟังชั่น ตลอดระยะเวลาที่เราผ่านมาแล้วด้วย
ในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ผมได้เข้าร่วมการประชุมร่วม คณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค ที่เรียกว่า ก.บ.ภ. และคณะกรรมการนโยบายบริหารงานจังหวัด และกลุ่มจังหวัด แบบบูรณาการ ก.น.จ. เพื่อหารือเกี่ยวกับแผนพัฒนาจังหวัด และแผนพัฒนาภาค สําหรับในการจัดสรรงบประมาณลงพื้นที่ ให้ตรงกับความต้องการของชุมชน ผมถือว่าสิ่งที่ทํามานี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงแนวทางในการจัดทํางบประมาณของประเทศที่สําคัญ ที่จะต้องประกอบไปด้วย การจัดทํางบประมาณจากส่วนกลาง เพื่อให้กระจายลงไปในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศและ งบประมาณที่จังหวัด-ภาค จัดทําโครงการขึ้น คือข้างล่างขึ้นมาBottom upขึ้นมา เพื่อจะขอดําเนินการในสิ่งที่เหมาะสม จําเป็น คือเราต้องบริหาร 2 ทางในการใช้จ่ายงบประมาณTop Down แล้วBottom upขึ้นมา เพื่อจะตอบโจทย์คนในพื้นที่ โดยตรง ผมเชื่อว่าจะช่วยให้การจัดสรรงบประมาณของประเทศ มีประสิทธิภาพ และมีธรรมาภิบาล เป็นการใช้งบประมาณที่คุ้มค่า ให้ตรงความต้องการของพี่น้องประชาชน อย่างแท้จริง
สําหรับในส่วนของการจัดทําแผนพัฒนาจังหวัด และกลุ่มจังหวัดนั้น เราจะต้องยึดโยงกับ แผนพัฒนาประเทศ และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ของประเทศ ในภาพรวมได้ ขณะเดียวกันต้องตอบสนองความต้องการในการแก้ปัญหาของแต่ละจังหวัดเอง รวมถึงสอดคล้องทิศทางการพัฒนากลุ่มจังหวัดและภาค โดยมีข้อมูลในพื้นที่สนับสนุน แล้วก็จะต้องย้อนไปดูผลการพัฒนา หรือแก้ปัญหาในช่วงที่ผ่านมา ในการจัดทําแผนด้วยซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบแผนพัฒนาจังหวัด 76 จังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด 18 กลุ่มจังหวัด พ.ศ.2561-2564รวมทั้ง แผนปฏิบัติราชการ และคําของบประมาณ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2562 ของจังหวัด 76 จังหวัดและ ของกลุ่มจังหวัด 18 กลุ่มจังหวัด จํานวน 2,399 โครงการ วงเงินรวมกว่า 57,000 ล้านบาท ไปแล้ว
สําหรับแผนพัฒนาภาคจะต้องกําหนดให้มีทิศทางสอดคล้อง เชื่อมโยงกับ แผนระดับชาติ ต้องมีการบูรณาการของส่วนราชการ เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ลงไปยังพื้นที่ต่างๆ ด้วย โดยจะต้องช่วยตอบโจทย์ปัญหา ขจัดอุปสรรคต่างๆ แล้วรับมือกับความท้าทาย ของภาคได้ โดยแต่ละภาคควรมีโครงการสําคัญที่จะขับเคลื่อนเพื่อให้ได้ประโยชน์“คู่ขนาน”เติมเต็มกันไปด้วยซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบ แผนพัฒนาภาค และกรอบแผนงานโครงการสําคัญ ที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาภาค ปี พ.ศ.2560-2564จํานวนเกือบ 1,200 โครงการ วงเงินรวม กว่า 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งผมอยากถือโอกาสในวันนี้ ได้เล่าให้พี่น้องประชาชนได้รับฟังถึงแผนพัฒนาแต่ละภาค เพื่อให้ทุกท่านได้รับทราบถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลในการปรับแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง และครอบคลุมทุกพื้นที่ที่สําคัญให้เกิดความต่อเนื่อง แล้วเดินหน้ากันไปตามยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งมีความแตกต่างระดับพื้นที่ด้วย
สําหรับในภาคกลาง จะมีการพัฒนากรุงเทพฯ สู่ "มหานครทันสมัย" ซึ่งเราคงต้องมีการแก้ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมของเมือง และมีการพัฒนาคุณภาพชีวิต มีการป้องกันแก้ไขปัญหาน้ําท่วม อย่างจริงจัง นอกจากนี้ ภาคกลางจะเป็นฐานการผลิตสินค้าและบริการ ที่มีมูลค่าสูง ผ่านการยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรและ อุตสาหกรรมโดยใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ ทั้งนี้ก็เพื่อให้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้อย่างยั่งยืนมีการบริหารจัดการน้ํา แบบบูรณาการ เพื่อแก้ปัญหาน้ําท่วม-น้ําแล้ง คงความสมดุลของระบบนิเวศ และยกระดับคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวรวมถึงการสร้างความเชื่อมโยง ให้กระจายทั่วทั้งภาค มากขึ้น อีกทั้ง เรายังเน้นการเปิดประตูการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษในภาคกลางและEECอีกด้วย
กรณีเรื่องผังเมือง อันนี้เป็นปัญหามาก หลายท่านอาจจะไม่เข้าใจ หรือมีความเข้าใจที่ไม่เป็นไปในทางเดียวกันบ้าง การจัดทําผังเมืองนั้นเราได้มีการทํามาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทุกรัฐบาล ตามกฎหมายแล้ว จะต้องมีจะมีการปรับ จัดทําแผน ทุก 2 ปี แล้วประชาชนนั้น จะมีส่วนร่วมในการจัดทํา ปัญหาไม่ใช่ว่าเราไม่มีผังเมือง เรามี แล้วก็ปรับเปลี่ยนมาทุก 2 ปีอย่างที่ว่า แต่ปัญหาคือ การใช้ผังเมืองนั้น ไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชน เท่าที่ควร ละเมิดผังเมืองที่จัดทําไว้ ไปสร้างในสิ่งที่ไม่ควรจะสร้าง สร้างไม่ได้ ก็เลยทําให้เกิดปัญหาทางกฎหมายมากมาย ที่ผ่านมาจนทําให้เกิดปัญหาการจัดระเบียบ การระบายน้ําเสียต่างๆ เหล่านี้เป็นปัญหาที่ยางนานมาทั้งสิ้น และกรุงเทพฯ หรือว่าเมืองใหญ่ๆ นั้นก็เป็นเมืองที่มีความเป็นมาอย่างยาวนาน ปัญหาเกิดมาตั้งแต่แรก แออัดขึ้น คราวนี้การที่จะไปปรับเปลี่ยน ระบบระบายน้ํา หรือทําระบบระบายน้ําใหม่ ก็เกิดปัญหา เพราะว่าคนแอยูเต็มไปหมดแล้ว ทั้งๆ ที่แผนก็อาจจะวางไว้ว่าจะต้องเป็นนั้น เป็นนี่ เป็นถนนหนทางเป็นทางระบายน้ํา อะไรต่างๆ ปรากฏว่าทุกคนก็ไปฝ่าฝืนกัน แล้วก็ต้องมีการบังคับใช้กฎหมาย ในระหว่างบังคับใช้กฎหมาย ฟ้องศาล กระบวนการยุติธรรมอยู่ ก็บุกรุกกันไปเรื่อย เหมือนเดิม ก็ใช้ไปละเมิดไปมากกว่าเดิม ทําให้เกิดความยากในการบังคับใช้ผังเมือง ผมขอความร่วมมือในการบังคับใช้ผังเมือง อย่างเป็นที่ได้ออกมาแล้ว อยากเร่งรัดให้เป็นรูปธรรม ปัญหาเราจะได้แก้ไขได้ ตอนนี้เราต้องแก้ปัญหารอบนอก รอบในแออัด แน่นแล้วต้องรื้อกันทั้งหมด
เพราะฉะนั้นประชาชนจะว่าอย่างไร ถ้าต้องการที่จะให้น้ําแก้ปัญหาได้ก็ต้องขุดทางระบายน้ําใหม่ทั้งหมด ทําระบบระบายน้ําเสียใหม่ เพราะเดิมทําเฉพาะพื้นที่เล็กๆ กรุงเทพฯ ก็ยังไม่ขยายขนาดนี้ วันนี้ขยายกว้างขึ้นแออัดมากขึ้น ถนนหนทางก็แน่นขนัดไป การจราจรมีปัญหาทั้งหมดเลย เราจะต้องร่วมมือกันปฏิบัติตามผังเมืองที่ได้ออกมาแล้ว โดยความเห็นชอบของทุกภาคส่วน
สําหรับในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีเป้าหมายให้พื้นที่กลายเป็น "ศูนย์กลางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง" โดยจะมีการบริหารจัดการน้ํา ให้เพียงพอต่อเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตด้วยการบูรณาการ การดูแลน้ําในพื้นที่ การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ําและพัฒนาคุณภาพชีวิตพร้อมไปกับการจัดสรรที่ดินทํากินให้ชุมชน เพื่อเร่งสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายใน อีกทั้ง ยังเน้นการแก้ปัญหา ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการใช้โอกาสจากโครงข่ายคมนาคมขนส่งที่เชื่อมโยงมาจากEECเช่น ถนนและรถไฟทางคู่ เพื่อพัฒนาเมือง และพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ๆ ในภาครวมถึงขยายผลออกไป ทั้งนี้เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจตามแนวชายแดน และเขตเศรษฐกิจพิเศษอีกด้วย
ในส่วนของภาคตะวันออก เป้าหมายได้แก่การเป็น"ฐานเศรษฐกิจชั้นนํา" ของอาเซียน ทั้งการรักษาฐานเศรษฐกิจเดิม ให้เติบโตอย่างยั่งยืน และ สร้างฐานเศรษฐกิจใหม่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเน้นการพัฒนาพื้นที่EECให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่ทันสมัยที่สุดในอาเซียน และพัฒนาให้ภาคตะวันออก เป็นแหล่งผลิตอาหารโดยเฉพาะผลไม้เมืองร้อน ที่มีคุณภาพ และได้มาตรฐานสากล รวมถึงพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจชายแดน ให้เป็นประตูเศรษฐกิจเชื่อมโยงกับเพื่อนบ้าน รวมทั้งปรับปรุงมาตรฐาน ทั้งสินค้า และการท่องเที่ยวในท้องถิ่น เพื่อจะให้ภาคตะวันออกเป็นแหล่งท่องเที่ยวอารยธรรมขอม โดยจะต้องเร่งแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะการกัดเซาะชายฝั่ง และการบริหารจัดการมลพิษ ควบคู่ไปด้วย
สําหรับในภาคเหนือ เราจะมุ่งให้เป็น "ฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ มูลค่าสูง" มีการต่อยอดการผลิตสินค้าและบริการด้วยภูมิปัญญาเชิงสร้างสรรค์ และนวัตกรรม รวมทั้งยกระดับให้เป็นฐานการผลิตเกษตรอินทรีย์ และเกษตรปลอดภัย เพื่อเชื่อมโยงสู่อุตสาหกรรมการเกษตรแปรรูปที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น มีการพัฒนาการท่องเที่ยว และธุรกิจบริการ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ให้มีคุณภาพเพิ่มความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยว และสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างยั่งยืน เพื่อให้สามารถกระจายผลประโยชน์ได้ทั่วถึง นอกจากนี้ ด้วยความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง จะต้องใช้โอกาสนี้ ในการขยายฐานเศรษฐกิจออกไปผ่านการค้าและการลงทุนซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและ แก้ปัญหาความยากจน มีการยกระดับฝีมือแรงงานในภาคบริการ นอกจากนี้ จะต้องมีการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ําให้คงความสมบูรณ์ มีการจัดระบบบริหารจัดการน้ําอย่างเหมาะสม และแก้ไขปัญหาหมอกควันพิษให้ได้ อย่างยั่งยืนไปพร้อมกันด้วย
ในส่วนของภาคใต้ มีเป้าหมายจะพัฒนาให้เป็น"เมืองท่องเที่ยวตากอากาศ" ระดับโลก โดยมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน รวมทั้งเป็นศูนย์กลางผลิตภัณฑ์ยางพาราและปาล์มน้ํามัน ของประเทศโดยมีการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าผ่านการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมการผลิตภาคเกษตร แปรรูป สร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อสร้างความเข้มแข็ง ของสถาบันเกษตรกรรวมทั้ง เป็นเมืองเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงการค้า การลงทุนกับภูมิภาคอื่นของโลกด้วย โดยจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ให้สามารถสนับสนุน ภาคเกษตรและอุตสาหกรรมได้มากขึ้น รวมทั้งจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ได้อย่างทั่วถึงมากขึ้นด้วย รวมไปถึงการยกระดับอุตสาหกรรมประมง และการแปรรูปผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ เพื่อจะสร้างความมั่นคงให้กับภาคการผลิต และรายได้ของเกษตรกรอีกทั้ง การพัฒนาเมืองสุไหงโก-ลก และเมืองเบตงให้เป็นเมืองการค้าและเมืองท่องเที่ยวชายแดน ที่ปลอดภัย เชื่อมโยงไปยังเศรษฐกิจของประเทศมาเลเซีย และสิงคโปร์ เพิ่มเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนอย่างยั่งยืนอีกด้วย
ทั้งหมดนี้ เป็นภาพรวมของแผนพัฒนาภาคก็อยากจะเล่าให้ทุกท่านฟัง ทั้งนี้เพื่อเป็นการบูรณาการงานของส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาอย่างตรงจุดให้กับพี่น้องประชาชน นอกจากแผนพัฒนาภาค กลุ่มจังหวัดและจังหวัดแล้ว รัฐบาลยังมีโครงการที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และแก้ไขปัญหาในพื้นที่ต่าง ๆเป็นระยะๆเช่น โครงการไทยนิยมยั่งยืน ซึ่งจะเป็นการนําทีมลงไปยังพื้นที่อย่างที่กล่าวไปแล้ว เพื่อพูดคุยหารือกับพี่น้องประชาชนถึงปัญหา และความต้องการ โดยส่วนราชการต่าง ๆ มีหน้าที่ลงไปวางแผนเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาระยะสั้น และเก็บข้อมูลเพื่อมาหาแนวทางแก้ปัญหาที่ทําได้ยาก ในระยะยาว ไปสู่การบริหารราชการแผ่นดินในระยะต่อไป วันนี้เราต้องร่วมกันทําตามกลไก“ประชารัฐ”อีกด้วยซึ่งจะช่วยเสริมให้แผนพัฒนาพื้นที่เหล่านี้ ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้ดีขึ้น ส่งเสริมการ“ระเบิดจากข้างใน”ตามศาสตร์พระราชา อย่างแท้จริง
นอกจากโครงการต่างๆ จากส่วนกลางที่ทําให้การเข้าถึงพี่น้องประชาชนได้ดีขึ้นแล้ว ในการวางนโยบายลงไปให้ตรงกับความต้องการของพื้นที่มากขึ้น รัฐบาลได้นําเอาการวิเคราะห์Big Dataมาปรับใช้เป็นเครื่องมือให้กับการบริหารราชการ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะในการเพิ่มรายได้ ลดค่าครองชีพ และเพิ่มโอกาสด้านอาชีพซึ่งข้อมูลในระบบที่บูรณาการกัน และมีอยู่แล้วเดิม ท่านต้องจัดหาเพิ่มเติม อาทิ ข้อมูลความจําเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) ของกรมการพัฒนาชุมชน กว่า 35 ล้านราย และข้อมูลการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย กระทรวงการคลัง กว่า 14 ล้านราย รวมทั้งข้อมูลในมิติต่างๆ ของหลายหน่วยงาน หลายกระทรวง เช่นข้อมูลด้านสาธารณสุข ด้านการศึกษา และด้านอื่นๆ ด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้วยของพื้นที่ จะทําให้เราสามารถวิเคราะห์ และชี้เป้าผู้ที่มีรายได้น้อย หรือผู้ที่รอความช่วยเหลือ“เร่งด่วน”หรือที่มีปัญหาทับซ้อน หลายมิติ กว่า 1 ล้าน 4 แสนคน เป็นต้นโดยคุณสมบัติของBig Dataจะช่วยให้เราสามารถประมวลหารูปแบบของพฤติกรรมและ ความสัมพันธ์ระหว่างมิติต่างๆ ของข้อมูลได้ค่อนข้างดี ชี้ให้เห็นว่าประชาชนแต่ละกลุ่ม หรือในแต่ละพื้นที่ มีความต้องการอะไร ซึ่งจะทําให้นโยบายสามารถออกแบบให้ตรงกับความต้องการนั้นได้จริง ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดการสิ้นเปลืองงบประมาณลงไป ลดค่าใช้จ่ายในการใช้คน ใช้เจ้าหน้าที่ลงไปได้บ้างเพราะว่าเราขาดแคลนเจ้าหน้าที่อยู่พอสมควร ในขณะที่เราต้องทํางานในลักษณะใหม่ๆนี้ เราต้องประหยัดงบประมาณให้ได้ ปัจจุบัน เป็นเพียงการเริ่มต้น รัฐบาลต้องการนําการวิเคราะห์Big Dataมาใช้ให้ได้มากขึ้น เป็นเครื่องมือให้ได้อย่างแท้จริงอย่างต่อเนื่อง ของทุกหน่วยงาน ของทุกมิติ และขยายไปยังมิติอื่นๆ นอกเหนือจากเรื่องความยากจน เช่น เรื่องคนพิการ-ผู้ด้อยโอกาส เรื่องเกษตรกรรม ซึ่งAgrimap จะทําให้เห็นปัญหาภัยแล้ง หรืออุทกภัยที่เกิดขึ้นมากน้อยต่างกันไปในแต่ละพื้นที่รวมทั้งในที่สุดจะสามารถช่วยคาดการณ์พฤติกรรมหรือความรุนแรงของภัยธรรมชาติของพื้นที่ได้ด้วย สามารถนํามาใช้วางแนวทางมาตรการของภาครัฐ รวมไปถึง ยกระดับการประกันภัยพืชผลที่ปัจจุบันอาจ ยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควร ซึ่งจะเป็นหนึ่งในกลไกที่จะช่วยรองรับความเสี่ยงของพี่น้องเกษตรกรได้อีกด้วย
การมีแผนพัฒนาภาค กลุ่มจังหวัด และ รายจังหวัด ข้างต้นนั้นเป็นเรื่องที่รัฐบาลนี้ริเริ่มขึ้นมา เดิมมีแค่กลุ่มจังหวัด วันนี้เรามีแผนพัฒนาภาคไปด้วย มีคณะกรรมการระดับภาคไปด้วย ซึ่งจะต้องสอดคล้องไปทั้งภาค กลุ่มจังหวัด และรายจังหวัดข้างต้น ประกอบไปกับการลงพื้นที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ของภาครัฐ เพื่อช่วยจัดทําโครงการ ที่จะเป็นประโยชน์แก่ชุมชนเอง มีการทําประชาคมให้เห็นชอบร่วมกัน รวมถึงการนําข้อมูลจริงมาช่วยวิเคราะห์ปัญหาที่จะเกิดขึ้น องค์ประกอบทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่ผมพยายามนํามาใช้บูรณาการร่วมกันให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง ในการมองปัญหาและหาแนวทางแก้ไขร่วมกันเพื่อให้การทํางานของรัฐบาลมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขอให้ประชาชนร่วมมือกันให้ข้อมูล ชี้ให้เห็นถึงปัญหาช่วยกันให้ข้อเสนอแนะ ร่วมกันสร้างกระบวนการเรียนรู้ รับรู้ ให้ทุกคนได้เข้าใจในแนวทางแก้ไขกับภาครัฐมาได้ เพื่อให้ปัญหาในพื้นที่ถูกขจัดออกไปได้เร็วขึ้น และอาจนําไปสู่ทางแก้ที่ยั่งยืนด้วย
พี่น้องประชาชนที่รัก
ข่าวสารบ้านเมืองที่เราคนไทยควรติดตาม ศึกษา ทําความเข้าใจกันอย่างต่อเนื่องนอกจากเรื่องการปฏิรูปประเทศ การเลือกตั้งแล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องที่เป็นนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการสร้างความ“มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”เพียงแต่ขอให้ตรวจสอบความถูกต้อง ความเชื่อถือได้ของแหล่งข่าวด้วยผู้สื่อข่าว ผู้ประกาศ นักจัดรายการวิทยุ สื่อมวลชนทุกแขนง ท่านมีส่วนสําคัญอย่างมาก ในการสร้างความเข้าใจ และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนดังนั้น ผมจึงอยากจะขอร้องให้ช่วยกันช่วยภาครัฐบ้าง ช่วยไม่ให้พี่น้องประชาชนของเราตกข่าวข่าวที่ดี ๆ แล้วปล่อยให้ข่าวสารที่เป็นสาธารณประโยชน์ถูกกลบด้วยข่าวสารที่ไม่สร้างสรรค์สังคมอันนี้ต้องขอให้ช่วยกัน ผมไม่ได้ตําหนิใครทั้งสิ้น เพียงแต่ท่านต้องทบทวนแล้วว่า การเสนอข่าวอย่างมีจรรยาบรรณนั้นคืออะไร
วันนี้ ผมมีเรื่องของความคืบหน้าการดําเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ที่จะช่วยแก้ปัญหาในอดีตได้อย่างยั่งยืน มาเล่าให้ฟัง อีก 2 เรื่อง ดังนี้
1. เรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ปัจจุบัน เข้าสู่เฟส 2 คือการพัฒนาฝีมือแรงงาน การฝึกวิชาชีพ ผมได้รับรายงานว่า มีผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่แสดงความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตนี้ มากกว่า 5 ล้านคน หรือเกือบ“ครึ่ง”ของผู้มีบัตรทั้งหมดทั่วประเทศ 11.4 ล้านคนโดยจังหวัดที่มีประชาชนเข้าร่วมโครงการมากที่สุดเมื่อเทียบกับจํานวนผู้มีบัตรสวัสดิการ คือ กาฬสินธุ์ ศรีสะเกษ เลย ร้อยเอ็ด นครพนม ตามลําดับทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับเงินในบัตรสวัสดิการเพิ่มขึ้นอีกเดือนละ 100-200 บาท ภายในเดือนมีนาคมนี้ และจะได้รับโอกาสในการมีงานทํา มีความรู้ และทักษะอาชีพ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ และสิ่งจําเป็นพื้นฐานในการดํารงชีวิต ภายในเดือนเมษายนเป็นต้นไป
ขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นว่า รัฐบาลนี้มีความจริงใจที่จะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และยกระดับเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ ควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรม การค้า การลงทุน ที่มีแนวโน้มดีขึ้น ซึ่งจะไม่ยอมให้เป็นการ“ตําน้ําพริกละลายแม่น้ํา”อย่างที่บางคนพยายามจะ“ชักใบให้เรือเสีย”โดยผมได้กําชับให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับทํางานอย่างมุ่งมั่น มีอุดมการณ์ และซื่อสัตย์ โดยขอความร่วมมือประชาชนร่วมกัน“เป็นหู เป็นตา”หากพบความไม่โปร่งใส ขอให้แจ้งมายังรัฐบาล ผ่านสายด่วน 1111 หรือ 1567 ได้ทุกกรณี
2. เรื่องการลงทะเบียนแรงงานต่างด้าว โดยขอย้ําให้นายจ้างพาแรงงานต่างด้าว“3 สัญชาติ” (เมียนมา กัมพูชา ลาว) ไปตรวจสุขภาพ ณ โรงพยาบาลที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนดก่อนเข้าศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (OSS)และ นําใบรับรองแพทย์ หรือใบนัดหมายการตรวจสุขภาพมาเป็นหลักฐานในศูนย์ฯอีกทั้ง อย่าลืมพาแรงงานต่างด้าวไปจัดทําทะเบียนประวัติ และขออนุญาตทํางานที่ศูนย์OSSภายในวันที่ 31 มีนาคม 2561 นี้เท่านั้นซึ่งเหลือเวลาอีก 1 เดือน ปัจจุบันทราบว่า มีแรงงานมาดําเนินการแล้ว เกือบ 30,000 ราย (เมียนมา 15,000 คนกัมพูชา 12,000 คน และลาว 3,000 คน)โดยประมาณ
ผมไม่อยากให้รอจนใกล้กําหนดวันที่ 31 มีนาคม 2561 เพราะอาจไม่ได้รับความสะดวก รวดเร็ว คราวนี้จะมีปัญหาแน่ รัฐบาลก็ดูแลผ่อนผันมาพอสมควรแล้ว หากมีผู้มาใช้บริการเป็นจํานวนมากในตอนนั้นแล้วทําไม่ทัน ต้องถูกดําเนินคดี จับกุม แล้วผู้ประกอบการก็มาร้องเรียนรัฐบาลอีก ขอให้ร่วมมือกับรัฐบาลด้วย ทั้งแรงงาน ทั้งผู้ประกอบกิจการต่างๆที่มีการใช้แรงงานเหล่านั้น ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
พี่น้องประชาชนทุกท่านครับผมขอสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่ริเริ่มเองโดยสถาบันการศึกษา หรือทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นการสร้างสรรค์สังคม จิตอาสา หรือ ช่วยเหลือผู้ที่ด้อยโอกาส เป็นตัวอย่างของ“ไทยนิยม”ที่ไม่ต้องรอการดําเนินการจากภาครัฐ แต่เพียงฝ่ายเดียว อาทิ จากการอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ ผมได้เห็นโครงการช่วยเหลือเด็กที่ด้อยโอกาสทางด้านการศึกษา ซึ่งยังมีอยู่จํานวนมาก ด้วยขาดแคลนทุนทรัพย์ในการดํารงชีวิต หรือซื้ออุปกรณ์การเรียนต่างๆ ดังนั้น นักศึกษาปริญญาตรีชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนาฏศิลปสุพรรณบุรี สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กรมศิลปากร จึงเกิดแนวคิดในการจัดทําโครงการเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนเด็กที่ด้อยโอกาสขึ้นโดยสถานที่ที่ผู้จัดโครงการเลือกที่จะดําเนินโครงการ คือ โรงเรียนประทีปศึกษา ต.สามชุก อ.สามชุกจ.พรรณบุรี ซึ่งเป็นโรงเรียนประจํา มีเด็กชาวไทยในพื้นที่สูงจากจังหวัดตาก เพชรบูรณ์ และกําแพงเพชร ทั้งเผ่าม้งและกะเหรี่ยง ตลอดจนเด็กในละแวก อ.สามชุก ที่ผู้ปกครองไม่มีทุนทรัพย์มากพอที่จะส่งเข้ารับการศึกษา ณ โรงเรียนนี้ ที่เป็นโรงเรียนเอกชน แต่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายทางการศึกษาทั้งนี้ ความมุ่งหวังของโครงการฯ นอกจากจะให้ความช่วยเหลือทางด้านอุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา และสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แล้ว
ที่สําคัญคือ การส่งเสริมความเป็นพลเมืองดีของชาติในอนาคต สํานึกความเป็นไทย รักชาติ รักสถาบัน คุณธรรม จริยธรรม เป็นต้นเป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่ผมนํามาเล่าให้ฟัง เชื่อว่ายังมีอีกหลายโครงการที่กําลังดําเนินการอยู่ ขอให้ทุกสถาบันการศึกษา ทุกโรงเรียนได้เอามาเป็นตัวอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนการสอน การแนะนํา การสร้างกระบวนการเรียนรู้ต่างๆของครู วันนี้ครูก็ต้องปรับตัว ต้องมีการสอนในแนวใหม่ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง จะสอนแบบเดิมๆไม่ได้อีกแล้ว วันนี้ต้องสอนทั้งในตํารา และการเรียนรู้นอกตําราด้วย เพื่อไปสู่การมีงานทําในอนาคตได้อย่างแท้จริง ที่น่าชื่นชมคือ เป็นโครงการที่สถาบันการศึกษา ทําเพื่อการศึกษา เพื่ออนาคตของชาติ ผมเห็นว่า หากเราร่วมมือกัน ในทุกโรงเรียน ในทุกพื้นที่ เป็นการทําเพื่ออนาคต หากเราร่วมมือกัน ด้วยกลไก“ประชารัฐ”ในทุกพื้นที่ของตน ภาคธุรกิจ เอกชน ประชาขนอาจจะมาร่วมมือกับโรงเรียน ให้ทุนการศึกษาเพิ่มก็ได้ ก็จะไม่มีพื้นที่ใดเป็น“จุดอ่อน”ของประเทศไทยในที่สุด
เรื่องสุดท้ายในช่วงเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งทุกคนต้องช่วยกันรักษาความสงบ ความมีเสถียรภาพของประเทศ ในทุกมิติครับเราต้องพัฒนาประเทศ พร้อมกับการเป็นประชาธิปไตยที่มีธรรมาภิบาลสําหรับเรื่องการช่วยกันขจัดปัญหาทุจริตขอให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการร้องทุกข์ กล่าวโทษ การใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่ลงไปในทุกกลุ่ม ทุกพื้นที่ ไม่ให้มีการทุจิตเกิดขึ้นในทุกโครงการ บางครั้งการตรวจสอบในขั้นตอนของราชการบางทีทําได้ไม่สมบูรณ์ เพราะว่าเอกสารไม่ถูกต้อง ดังนั้นขอเน้นย้ําข้าราชการทุกหน่วยงาน ทุกกระทรวง ทบวง กรม ต้องไปดูว่าเอกสารที่ได้มานั้นถูกต้องหรือไม่เช่นที่มีข่าวในปัจจุบันเรื่องของความไม่ปกติของการช่วยเหลือผู้ยากไร้ เพราะฉะนั้นเอกสารต้องดูให้ครบ แต่เมื่อมีคนร้องทุกข์กล่าวโทษมา หรือให้ข้อมูลมา เราก็นําไปสู่การพิสูจน์และวันนี้ก็มีข้อมูลการกระทําความผิดอยู่เราต้องช่วยกัน อย่าปล่อยให้เป็นภาระหน้าที่ของนายกฯคนเดียว เรื่องของระดับสูงอย่างเดียว ระดับล่างต้องช่วยกัน ประชาชนทุกคนไม่ต้องกลัว รัฐบาลจะดูแลปกป้องให้ อย่างเช่น น้อง 2 คน ที่ได้ดูแลไปแล้วขอให้เป็นตัวอย่างของคนทั้งประเทศ ขอให้ช่วยรัฐบาลในการทําหน้าที่ขจัดความไม่สุจริตให้ได้โดยเร็วในวิธีการที่ถูกต้อง ขั้นตอนที่ถูกต้อง โดยเรียนรู้ในเรื่องของกฎหมาย และทุกคนก็เรียนรู้ในสิทธิของแต่ละคน ตัวเองมีสิทธิอะไรอย่างไร อย่าให้ใครเข้ามาใช้สิทธิ์ของเราไปเพื่อเกิดประโยชน์ในทางไม่ถูกต้อง
ขอบคุณครับ ขอให้“ทุกคน ทุกครอบครัว”มีความสุข สวัสดีครับ
.................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10454
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีปิดและมอบวุฒิบัตรการอบรมเชิงปฏิบัติการ "รวมพลังสร้างสรรค์ทีม" (MOE One Synergy Program : Transformational Leadership Workshop)
|
วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2560
พิธีปิดและมอบวุฒิบัตรการอบรมเชิงปฏิบัติการ "รวมพลังสร้างสรรค์ทีม" (MOE One Synergy Program : Transformational Leadership Workshop)
ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคุณธาดา เศวตศิลา ที่ปรึกษาบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ร่วมในพิธีมอบวุฒิบัตรและปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการโครงการเสริมสร้างศักยภาพการทํางานเป็นทีม "รวมพลังสร้างสรรค์ทีม"
และกลุ่มผู้บริหารระดับต้น ผู้อํานวยการสํานักของกระทรวงศึกษาธิการ และผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา/มัธยมศึกษาเมื่อวันเสาร์ที่9กันยายน 2560 ณ สถาบันพัฒนาผู้นําเครือเจริญโภคภัณฑ์ (C.P.Leadership Institute:CPLI) อําเภอปากช่อง
คุณธาดา เศวตศิลากล่าวว่า ในนามของC.P.Groupที่ได้ร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดการอบรมในครั้งนี้ ขอขอบคุณผู้เข้ารับการอบรมทั้ง128คนที่เข้ารับการอบรมตามหลักสูตรดังกล่าว ซึ่งได้นําหลักสูตรAction Learning มาใช้ในการฝึกอบรม พร้อมทั้งฝากข้อคิดแก่ผู้เข้ารับการอบรมด้วยว่าไม่ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใด แต่ในการทํางานขอให้ทําด้วยความรักในสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อเด็กและเยาวชน เพื่อนร่วมงาน และคนทุกคนที่จะก้าวไปพร้อมกันกับเรา
จากกิจกรรมในวันสุดท้ายที่ให้นักเรียนเข้ามามีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพูดคุยปัญหาร่วมกับนักเรียนทําให้เห็นว่าหากผู้บริหารทุกท่าน แม้จะอยู่ในตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาก็ตาม แต่เมื่อถอดหัวโขนหรือให้ลืมไปว่าเราอยู่ในตําแหน่งที่สูง ก็จะทําให้เรานั่งคุยและฟังเด็กนักเรียนด้วยความรัก ความอ่อนโยน ร่วมชี้แนะเพื่อต้องการให้นักเรียนประสบความสําเร็จ
เพราะฉะนั้น หากเราทํางานใด ๆ ด้วยความรัก มีความไว้วางใจกับเพื่อนร่วมงานซึ่งกันและกัน มีเครือข่ายการทํางานยิ่งจะทําให้งานประสบผลสําเร็จอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จึงฝากให้ท่านช่วยกันสร้างผู้นํารุ่นใหม่ให้เกิดขึ้น แม้เพียง10%ของประชากรชาวไทย หรือ7ล้านคน โดยเฉพาะผู้นํารุ่นใหม่ที่เป็นผู้บริหารและครู ก็จะยิ่งส่งผลต่อการพัฒนาประเทศชาติโดยเร็ว เพราะจะมีนักเรียนและผู้ปกครองเข้ามาเกี่ยวข้องอีกเป็นจํานวนมาก
จึงฝากให้ช่วยกันสร้างเด็กให้มีนิสัยที่ดีที่เกิดจากการกระทําที่ถูกต้อง โดยทําด้วยความรักและถอดหัวโขนในการทํางาน พร้อมทั้งน้อมนํากระแสพระราชดํารัสของในหลวงรัชกาลที่9ที่ต้องการให้ "ครูรักเด็กและเด็กรักครู" มาเป็นแนวทางปฏิบัติเพราะในหลวงของเรา "รัก" ประชาชนโดยไม่มีเงื่อนไข
ม.ล.ปริยดา ดิศกุลกล่าวว่า ในนามของกระทรวงศึกษาธิการ ขอขอบคุณคณะผู้บริหารC.P.Groupที่ให้ความร่วมมือร่วมใจกับกระทรวงศึกษาธิการจัดโครงการนี้มาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความอนุเคราะห์สนับสนุนค่าใช้จ่ายจํานวนมากในจัดการอบรมครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการจัดอบรมแบบข้ามแท่งที่นําผู้บริหารระดับ9ทุกองค์กรหลักในกระทรวงศึกษาธิการมาเข้ารับการอบรมร่วมกัน และมีผลที่ดีต่อการสร้างเครือข่ายการทํางานร่วมกัน ซึ่งหลักสูตรSynergyProgramของC.P.เป็นหลักสูตรที่ต้องการสร้างผู้นําองค์กรและเน้นการทํางานเป็นทีมเวิร์คส่วนการอบรมหลักสูตรดังกล่าวในครั้งต่อไป คาดว่าจะเป็นผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่ได้รับการแต่งตั้งรายใหม่ รวมทั้งศึกษาธิการภาค/ศึกษาธิการจังหวัดที่จะได้รับเกียรติเข้ารับการอบรมในสถานที่อบรมที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้
หวังว่าผู้เข้ารับการอบรมจะนําประโยชน์ที่ได้รับไปปรับใช้ในหน่วยงานหรือสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อให้เกิดการทํางานเป็นทีมเวิร์คที่เข้มแข็ง เป็นการ"รวมพลังสร้างสรรค์ทีม" ที่แท้จริง
ความคิดเห็นส่วนหนึ่งจากผู้เข้ารับการอบรม
ศิริพร ศิริพันธ์"รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้ารับการอบรมในหลักสูตรที่ดี ในสถานที่ใหญ่โต"
ชฎารัตน์ สิงหเดชากุล"ภูมิใจที่ได้มาเข้ารับการอบรมในCPLIซึ่งเป็นสถาบันฝึกอบรมที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในไทย ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้บริหารทุกแท่ง ทําให้รับทราบและเข้าใจเรื่องงานของเขตพื้นที่การศึกษามากขึ้น"
ยุพิน บัวคอม"ความรู้ที่ได้รับจากการอบรมครั้งนี้ จะนําไปขับเคลื่อนให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ รวมทั้งการสร้างเครือข่าย การทํางานเป็นทีมเดียวกัน เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ต่อไป"
พิสิษฐ์ ชดกิ่ง"ขอบคุณที่มีโอกาสได้มาเห็นการทํางานของCPซึ่งเป็นบริษัทชั้นนําของโลก ได้รับความรู้และประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญในการอบรมเป็นอย่างมาก จะได้นําประโยชน์ไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ ได้เครือข่ายทุกหน่วยงานไปปรับใช้ เพื่อเป็นการรวมพลังที่ยิ่งใหญ่ต่อการขับเคลื่อนประเทศไทยร่วมกันต่อไป"
ประยูร หรั่งทรัพย์"การอบรมครั้งนี้ ก่อให้เกิดVisionใหม่ ๆ ที่จะช่วยกันพัฒนาการศึกษาให้เด่นยิ่งขึ้น"
มงคลชัย สมอุดร"ขอบคุณCPและ สพฐ.ที่จัดการอบรมหลักสูตรในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่ดีที่สุดนับตั้งแต่รับราชการ ได้ชื่นชมวิธีคิด และจะนําประโยชน์เพื่อกลับไปทํางานร่วมกัน แชร์วิสัยทัศน์ร่วมกัน เพื่อการศึกษาต่อไป"
บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีปิดและมอบวุฒิบัตรการอบรมเชิงปฏิบัติการ "รวมพลังสร้างสรรค์ทีม" (MOE One Synergy Program : Transformational Leadership Workshop)
วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2560
พิธีปิดและมอบวุฒิบัตรการอบรมเชิงปฏิบัติการ "รวมพลังสร้างสรรค์ทีม" (MOE One Synergy Program : Transformational Leadership Workshop)
ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคุณธาดา เศวตศิลา ที่ปรึกษาบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ร่วมในพิธีมอบวุฒิบัตรและปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการโครงการเสริมสร้างศักยภาพการทํางานเป็นทีม "รวมพลังสร้างสรรค์ทีม"
และกลุ่มผู้บริหารระดับต้น ผู้อํานวยการสํานักของกระทรวงศึกษาธิการ และผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา/มัธยมศึกษาเมื่อวันเสาร์ที่9กันยายน 2560 ณ สถาบันพัฒนาผู้นําเครือเจริญโภคภัณฑ์ (C.P.Leadership Institute:CPLI) อําเภอปากช่อง
คุณธาดา เศวตศิลากล่าวว่า ในนามของC.P.Groupที่ได้ร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดการอบรมในครั้งนี้ ขอขอบคุณผู้เข้ารับการอบรมทั้ง128คนที่เข้ารับการอบรมตามหลักสูตรดังกล่าว ซึ่งได้นําหลักสูตรAction Learning มาใช้ในการฝึกอบรม พร้อมทั้งฝากข้อคิดแก่ผู้เข้ารับการอบรมด้วยว่าไม่ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใด แต่ในการทํางานขอให้ทําด้วยความรักในสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อเด็กและเยาวชน เพื่อนร่วมงาน และคนทุกคนที่จะก้าวไปพร้อมกันกับเรา
จากกิจกรรมในวันสุดท้ายที่ให้นักเรียนเข้ามามีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพูดคุยปัญหาร่วมกับนักเรียนทําให้เห็นว่าหากผู้บริหารทุกท่าน แม้จะอยู่ในตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาก็ตาม แต่เมื่อถอดหัวโขนหรือให้ลืมไปว่าเราอยู่ในตําแหน่งที่สูง ก็จะทําให้เรานั่งคุยและฟังเด็กนักเรียนด้วยความรัก ความอ่อนโยน ร่วมชี้แนะเพื่อต้องการให้นักเรียนประสบความสําเร็จ
เพราะฉะนั้น หากเราทํางานใด ๆ ด้วยความรัก มีความไว้วางใจกับเพื่อนร่วมงานซึ่งกันและกัน มีเครือข่ายการทํางานยิ่งจะทําให้งานประสบผลสําเร็จอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จึงฝากให้ท่านช่วยกันสร้างผู้นํารุ่นใหม่ให้เกิดขึ้น แม้เพียง10%ของประชากรชาวไทย หรือ7ล้านคน โดยเฉพาะผู้นํารุ่นใหม่ที่เป็นผู้บริหารและครู ก็จะยิ่งส่งผลต่อการพัฒนาประเทศชาติโดยเร็ว เพราะจะมีนักเรียนและผู้ปกครองเข้ามาเกี่ยวข้องอีกเป็นจํานวนมาก
จึงฝากให้ช่วยกันสร้างเด็กให้มีนิสัยที่ดีที่เกิดจากการกระทําที่ถูกต้อง โดยทําด้วยความรักและถอดหัวโขนในการทํางาน พร้อมทั้งน้อมนํากระแสพระราชดํารัสของในหลวงรัชกาลที่9ที่ต้องการให้ "ครูรักเด็กและเด็กรักครู" มาเป็นแนวทางปฏิบัติเพราะในหลวงของเรา "รัก" ประชาชนโดยไม่มีเงื่อนไข
ม.ล.ปริยดา ดิศกุลกล่าวว่า ในนามของกระทรวงศึกษาธิการ ขอขอบคุณคณะผู้บริหารC.P.Groupที่ให้ความร่วมมือร่วมใจกับกระทรวงศึกษาธิการจัดโครงการนี้มาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความอนุเคราะห์สนับสนุนค่าใช้จ่ายจํานวนมากในจัดการอบรมครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการจัดอบรมแบบข้ามแท่งที่นําผู้บริหารระดับ9ทุกองค์กรหลักในกระทรวงศึกษาธิการมาเข้ารับการอบรมร่วมกัน และมีผลที่ดีต่อการสร้างเครือข่ายการทํางานร่วมกัน ซึ่งหลักสูตรSynergyProgramของC.P.เป็นหลักสูตรที่ต้องการสร้างผู้นําองค์กรและเน้นการทํางานเป็นทีมเวิร์คส่วนการอบรมหลักสูตรดังกล่าวในครั้งต่อไป คาดว่าจะเป็นผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่ได้รับการแต่งตั้งรายใหม่ รวมทั้งศึกษาธิการภาค/ศึกษาธิการจังหวัดที่จะได้รับเกียรติเข้ารับการอบรมในสถานที่อบรมที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้
หวังว่าผู้เข้ารับการอบรมจะนําประโยชน์ที่ได้รับไปปรับใช้ในหน่วยงานหรือสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อให้เกิดการทํางานเป็นทีมเวิร์คที่เข้มแข็ง เป็นการ"รวมพลังสร้างสรรค์ทีม" ที่แท้จริง
ความคิดเห็นส่วนหนึ่งจากผู้เข้ารับการอบรม
ศิริพร ศิริพันธ์"รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้ารับการอบรมในหลักสูตรที่ดี ในสถานที่ใหญ่โต"
ชฎารัตน์ สิงหเดชากุล"ภูมิใจที่ได้มาเข้ารับการอบรมในCPLIซึ่งเป็นสถาบันฝึกอบรมที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในไทย ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้บริหารทุกแท่ง ทําให้รับทราบและเข้าใจเรื่องงานของเขตพื้นที่การศึกษามากขึ้น"
ยุพิน บัวคอม"ความรู้ที่ได้รับจากการอบรมครั้งนี้ จะนําไปขับเคลื่อนให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ รวมทั้งการสร้างเครือข่าย การทํางานเป็นทีมเดียวกัน เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ต่อไป"
พิสิษฐ์ ชดกิ่ง"ขอบคุณที่มีโอกาสได้มาเห็นการทํางานของCPซึ่งเป็นบริษัทชั้นนําของโลก ได้รับความรู้และประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญในการอบรมเป็นอย่างมาก จะได้นําประโยชน์ไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ ได้เครือข่ายทุกหน่วยงานไปปรับใช้ เพื่อเป็นการรวมพลังที่ยิ่งใหญ่ต่อการขับเคลื่อนประเทศไทยร่วมกันต่อไป"
ประยูร หรั่งทรัพย์"การอบรมครั้งนี้ ก่อให้เกิดVisionใหม่ ๆ ที่จะช่วยกันพัฒนาการศึกษาให้เด่นยิ่งขึ้น"
มงคลชัย สมอุดร"ขอบคุณCPและ สพฐ.ที่จัดการอบรมหลักสูตรในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่ดีที่สุดนับตั้งแต่รับราชการ ได้ชื่นชมวิธีคิด และจะนําประโยชน์เพื่อกลับไปทํางานร่วมกัน แชร์วิสัยทัศน์ร่วมกัน เพื่อการศึกษาต่อไป"
บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์รวมมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19
|
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563
ไอแบงก์รวมมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) โดย นายวุฒิชัย สุระรัตน์ชัย กรรมการและผู้จัดการธนาคาร ร่วมงานแถลงข่าว “การดําเนินมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจาก COVID-19 ของกระทรวงการคลัง” ที่มีนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้นําแถลง
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) โดย นายวุฒิชัย สุระรัตน์ชัย กรรมการและผู้จัดการธนาคาร ร่วมงานแถลงข่าว “การดําเนินมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจาก COVID-19 ของกระทรวงการคลัง” ที่มีนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้นําแถลง ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 4 กระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2563
ไอแบงก์ ได้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 มาตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ขณะนี้มาตรการช่วยเหลือจากธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยครอบคลุมทั้งลูกหนี้บุคคลและลูกหนี้ธุรกิจ แบ่งออกเป็น มาตรการผ่อนปรนการชําระหนี้ และ มาตรการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง รวม 7 โครงการแล้วดังนี้
มาตรการการผ่อนปรนการชําระหนี้
• มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยชั้นดี เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่มีคุณภาพประเภทสินเชื่อบุคคลและสินเชื่อธุรกิจรวมทั้งสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่เป็นลูกหนี้ที่ยังไม่เป็น NPFของธนาคาร ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจโดยลดภาระผ่อนชําระค่างวดระยะสั้นไม่เกิน 3 เดือน
• มาตรการพักชําระหนี้ 6 เดือน อัตโนมัติ ช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อ ไม่เกิน 100 ล้านบาท โดยธนาคารจะดําเนินการปรับให้อัตโนมัติ ลูกค้าไม่ต้องติดต่อใดๆ กับธนาคาร ซึ่งจะเริ่มมีผลตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 โดยไม่ถือเป็นการผิดนัดชําระหนี้ของลูกค้าและจะไม่เสียประวัติข้อมูลเครดิต
• มาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ปี 2563 เป็นการช่วยเหลือลูกหนี้เดิมที่มีศักยภาพซึ่งได้รับผลกระทบจากสถาณการณ์เศรษฐกิจ ด้วยการพักชําระหนี้เงินต้นและชําระเฉพาะกําไร ระยะเวลา 6 - 12 เดือน และขยายระยะเวลาสินเชื่อออกไปตามระยะเวลาที่พักชําระหนี้โดยกําหนดอัตรากําไรเดิม พร้อมให้ความช่วยเหลืออื่นๆเพิ่มเติมตามความรุนแรงของปัญหา เป็นรายกรณี
มาตรการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง
• โครงการสินเชื่อเพื่อสนับสนุนมาตรการ Soft Loan 2% ต่อปี เป็นการให้สินเชื่อใหม่กับลูกค้าเดิมของธนาคารที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่องสําหรับประกอบธุรกิจ ในรูปแบบ Term Financing และ Revolve Financing ระยะเวลาสัญญาไม่เกิน 2 ปี วงเงินสินเชื่อสูงสุดได้ไม่เกิน 20% ของยอดหนี้คงค้าง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 คิดอัตรากําไร 2% ต่อปี นาน 2 ปี พร้อมฟรี! กําไร 6 เดือนแรก กรณี Term Financing ปลอดชําระเงินต้นได้นานสูงสุด 12 เดือน ซึ่งลูกค้าสามารถใช้หลักประกันเดิมและไม่ต้องประเมินใหม่
• สินเชื่อมุสลิมและสินเชื่อสนับสนุนชายแดนภาคใต้ เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่เป็นมุสลิมและพี่น้องชายแดนใต้ วงเงินไม่เกิน 20 ล้านบาท
• โครงการสินเชื่อเสริมสร้างธุรกิจรายย่อยมุสลิม เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่เป็นนักธุรกิจมุสลิมรายย่อย วงเงินไม่เกิน 200,000 บาท
• โครงการสินเชื่อมุสลิมรายย่อยสู้ภัยโควิด เพื่อช่วยเหลือลูกค้ามุสลิมรายย่อยสําหรับไปสร้างหรือฟื้นฟูอาชีพ วงเงินต่อรายไม่เกิน 30,000 บาท ผ่อนชําระเดือนละเพียง 390 บาท หรือ วันละ 13 บาทต่อวงเงิน 10,000 บาท เท่านั้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์รวมมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563
ไอแบงก์รวมมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) โดย นายวุฒิชัย สุระรัตน์ชัย กรรมการและผู้จัดการธนาคาร ร่วมงานแถลงข่าว “การดําเนินมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจาก COVID-19 ของกระทรวงการคลัง” ที่มีนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้นําแถลง
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) โดย นายวุฒิชัย สุระรัตน์ชัย กรรมการและผู้จัดการธนาคาร ร่วมงานแถลงข่าว “การดําเนินมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจาก COVID-19 ของกระทรวงการคลัง” ที่มีนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้นําแถลง ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 4 กระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2563
ไอแบงก์ ได้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 มาตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ขณะนี้มาตรการช่วยเหลือจากธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยครอบคลุมทั้งลูกหนี้บุคคลและลูกหนี้ธุรกิจ แบ่งออกเป็น มาตรการผ่อนปรนการชําระหนี้ และ มาตรการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง รวม 7 โครงการแล้วดังนี้
มาตรการการผ่อนปรนการชําระหนี้
• มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยชั้นดี เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่มีคุณภาพประเภทสินเชื่อบุคคลและสินเชื่อธุรกิจรวมทั้งสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่เป็นลูกหนี้ที่ยังไม่เป็น NPFของธนาคาร ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจโดยลดภาระผ่อนชําระค่างวดระยะสั้นไม่เกิน 3 เดือน
• มาตรการพักชําระหนี้ 6 เดือน อัตโนมัติ ช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อ ไม่เกิน 100 ล้านบาท โดยธนาคารจะดําเนินการปรับให้อัตโนมัติ ลูกค้าไม่ต้องติดต่อใดๆ กับธนาคาร ซึ่งจะเริ่มมีผลตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 โดยไม่ถือเป็นการผิดนัดชําระหนี้ของลูกค้าและจะไม่เสียประวัติข้อมูลเครดิต
• มาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ปี 2563 เป็นการช่วยเหลือลูกหนี้เดิมที่มีศักยภาพซึ่งได้รับผลกระทบจากสถาณการณ์เศรษฐกิจ ด้วยการพักชําระหนี้เงินต้นและชําระเฉพาะกําไร ระยะเวลา 6 - 12 เดือน และขยายระยะเวลาสินเชื่อออกไปตามระยะเวลาที่พักชําระหนี้โดยกําหนดอัตรากําไรเดิม พร้อมให้ความช่วยเหลืออื่นๆเพิ่มเติมตามความรุนแรงของปัญหา เป็นรายกรณี
มาตรการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง
• โครงการสินเชื่อเพื่อสนับสนุนมาตรการ Soft Loan 2% ต่อปี เป็นการให้สินเชื่อใหม่กับลูกค้าเดิมของธนาคารที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่องสําหรับประกอบธุรกิจ ในรูปแบบ Term Financing และ Revolve Financing ระยะเวลาสัญญาไม่เกิน 2 ปี วงเงินสินเชื่อสูงสุดได้ไม่เกิน 20% ของยอดหนี้คงค้าง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 คิดอัตรากําไร 2% ต่อปี นาน 2 ปี พร้อมฟรี! กําไร 6 เดือนแรก กรณี Term Financing ปลอดชําระเงินต้นได้นานสูงสุด 12 เดือน ซึ่งลูกค้าสามารถใช้หลักประกันเดิมและไม่ต้องประเมินใหม่
• สินเชื่อมุสลิมและสินเชื่อสนับสนุนชายแดนภาคใต้ เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่เป็นมุสลิมและพี่น้องชายแดนใต้ วงเงินไม่เกิน 20 ล้านบาท
• โครงการสินเชื่อเสริมสร้างธุรกิจรายย่อยมุสลิม เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่เป็นนักธุรกิจมุสลิมรายย่อย วงเงินไม่เกิน 200,000 บาท
• โครงการสินเชื่อมุสลิมรายย่อยสู้ภัยโควิด เพื่อช่วยเหลือลูกค้ามุสลิมรายย่อยสําหรับไปสร้างหรือฟื้นฟูอาชีพ วงเงินต่อรายไม่เกิน 30,000 บาท ผ่อนชําระเดือนละเพียง 390 บาท หรือ วันละ 13 บาทต่อวงเงิน 10,000 บาท เท่านั้น
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31432
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส.เชิญร่วมงานแข่งขันจักรยาน “รวมใจภักดิ์ รักษ์ ซแรย์อทิตยา” ครั้งที่ 2 ชิงถ้วยประทาน พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ
|
วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม 2561
ธ.ก.ส.เชิญร่วมงานแข่งขันจักรยาน “รวมใจภักดิ์ รักษ์ ซแรย์อทิตยา” ครั้งที่ 2 ชิงถ้วยประทาน พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ
ธ.ก.ส. ร่วมกับจังหวัดสุรินทร์ จัดกิจกรรมแข่งขันจักรยาน “รวมใจภักดิ์ รักษ์ ซแรย์ อทิตยา” ครั้งที่ 2 ชิงถ้วยประทาน พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ 3 กุมภาพันธ์ 2562
ธ.ก.ส. ร่วมกับจังหวัดสุรินทร์ จัดกิจกรรมแข่งขันจักรยาน “รวมใจภักดิ์ รักษ์ ซแรย์ อทิตยา” ครั้งที่ 2 ชิงถ้วยประทาน พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ 3 กุมภาพันธ์ 2562 เพื่อส่งเสริมการออกกําลังกายและท่องเที่ยวชุมชนที่มีความงดงามทางธรรมชาติ เส้นทางปั่นจักรยานที่สะดวกปลอดภัยและการเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้ในโครงการเกษตรอทิตยาทร สมัครได้แล้ววันนี้ ถึง 3 มกราคม 2562
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ได้ประทานอนุญาตให้ชมรมจักรยานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และจังหวัดสุรินทร์ จัดกิจกรรมแข่งขันจักรยานตามโครงการ “รวมใจภักดิ์ รักษ์ ซแรย์อทิตยา” ครั้งที่ 2 ชิงถ้วยประทานพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ พร้อมเงินรางวัล ซึ่งการจัดกิจกรรมครั้งนี้ นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า นับเป็นพระกรุณาต่อชาวจังหวัดสุรินทร์ ธ.ก.ส. และชุมชนรอบๆ ซแรย์อทิตยา ที่ได้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่เป็นการส่งเสริมการออกอําลังกายเพื่อสุขภาพ ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวของชุมชน ที่มีเส้นทางปั่นจักรยาน Bike Route ที่มีความงดงามทางธรรมชาติ เช่น อ่างเก็บน้ําอําปึล อ่างเก็บน้ําห้วยเสนง และศูนย์เรียนรู้ด้านการเกษตรตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในโครงการเกษตรอทิตยาทร “ซแรย์อทิตยา” รวมถึงวิถีการดํารงชีวิตของคนในชุมชนรอบ ๆ ซแรย์ ที่มีเอกลักษณ์ มีเส้นทางที่สะดวกปลอดภัย โดยกําหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2562 ณ โครงการซแรย์อทิตยา ตําบลเทนมีย์ อําเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ รายได้สมทบทุนโครงการเกษตรอทิตยาทร เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ให้กับเกษตรกรไทย
การจัดกิจกรรมแข่งขันดังกล่าวแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ประเภทเสือหมอบ ประเภทเสือภูเขา ประเภทท่องเที่ยวใจเกินร้อย และประเภท VIP ชิงถ้วยประทานและรางวัลเงินสด นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้กับผู้เข้าร่วมการแข่งขันได้ร่วมทําความดีเพื่อสังคม อาทิ กิจกรรมโครงการทุนอาหารกลางวัน การมอบพันธุ์ปลา หว่านเมล็ดพันธุ์ การมอบจักรยาน และร่วมปลูกต้นไม้ ณ โรงเรียนบ้านระหาญ ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมการแข่งขันได้ที่เว็บไซต์ https://event.thaimtb.com/event.php?e=351 และ ธ.ก.ส. ทุกสาขาในจังหวัดสุรินทร์ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 3 มกราคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส.เชิญร่วมงานแข่งขันจักรยาน “รวมใจภักดิ์ รักษ์ ซแรย์อทิตยา” ครั้งที่ 2 ชิงถ้วยประทาน พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ
วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม 2561
ธ.ก.ส.เชิญร่วมงานแข่งขันจักรยาน “รวมใจภักดิ์ รักษ์ ซแรย์อทิตยา” ครั้งที่ 2 ชิงถ้วยประทาน พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ
ธ.ก.ส. ร่วมกับจังหวัดสุรินทร์ จัดกิจกรรมแข่งขันจักรยาน “รวมใจภักดิ์ รักษ์ ซแรย์ อทิตยา” ครั้งที่ 2 ชิงถ้วยประทาน พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ 3 กุมภาพันธ์ 2562
ธ.ก.ส. ร่วมกับจังหวัดสุรินทร์ จัดกิจกรรมแข่งขันจักรยาน “รวมใจภักดิ์ รักษ์ ซแรย์ อทิตยา” ครั้งที่ 2 ชิงถ้วยประทาน พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ 3 กุมภาพันธ์ 2562 เพื่อส่งเสริมการออกกําลังกายและท่องเที่ยวชุมชนที่มีความงดงามทางธรรมชาติ เส้นทางปั่นจักรยานที่สะดวกปลอดภัยและการเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้ในโครงการเกษตรอทิตยาทร สมัครได้แล้ววันนี้ ถึง 3 มกราคม 2562
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ได้ประทานอนุญาตให้ชมรมจักรยานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และจังหวัดสุรินทร์ จัดกิจกรรมแข่งขันจักรยานตามโครงการ “รวมใจภักดิ์ รักษ์ ซแรย์อทิตยา” ครั้งที่ 2 ชิงถ้วยประทานพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ พร้อมเงินรางวัล ซึ่งการจัดกิจกรรมครั้งนี้ นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า นับเป็นพระกรุณาต่อชาวจังหวัดสุรินทร์ ธ.ก.ส. และชุมชนรอบๆ ซแรย์อทิตยา ที่ได้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่เป็นการส่งเสริมการออกอําลังกายเพื่อสุขภาพ ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวของชุมชน ที่มีเส้นทางปั่นจักรยาน Bike Route ที่มีความงดงามทางธรรมชาติ เช่น อ่างเก็บน้ําอําปึล อ่างเก็บน้ําห้วยเสนง และศูนย์เรียนรู้ด้านการเกษตรตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในโครงการเกษตรอทิตยาทร “ซแรย์อทิตยา” รวมถึงวิถีการดํารงชีวิตของคนในชุมชนรอบ ๆ ซแรย์ ที่มีเอกลักษณ์ มีเส้นทางที่สะดวกปลอดภัย โดยกําหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2562 ณ โครงการซแรย์อทิตยา ตําบลเทนมีย์ อําเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ รายได้สมทบทุนโครงการเกษตรอทิตยาทร เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ให้กับเกษตรกรไทย
การจัดกิจกรรมแข่งขันดังกล่าวแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ประเภทเสือหมอบ ประเภทเสือภูเขา ประเภทท่องเที่ยวใจเกินร้อย และประเภท VIP ชิงถ้วยประทานและรางวัลเงินสด นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้กับผู้เข้าร่วมการแข่งขันได้ร่วมทําความดีเพื่อสังคม อาทิ กิจกรรมโครงการทุนอาหารกลางวัน การมอบพันธุ์ปลา หว่านเมล็ดพันธุ์ การมอบจักรยาน และร่วมปลูกต้นไม้ ณ โรงเรียนบ้านระหาญ ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมการแข่งขันได้ที่เว็บไซต์ https://event.thaimtb.com/event.php?e=351 และ ธ.ก.ส. ทุกสาขาในจังหวัดสุรินทร์ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 3 มกราคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17724
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ยินดีเรวัตร์ทำลายสถิติโลกวีลแชร์ พร้อมชวนคนไทยส่งกำลังใจให้นักตบลูกขนไก่ทะลุรอบตัดเชือก แบดมินตันทีมผสมชิงแชมป์โลก และเชียร์โปรเม ขึ้นมือ 1 กอล์ฟหญิงโลก
|
วันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม 2560
นายกฯ ยินดีเรวัตร์ทําลายสถิติโลกวีลแชร์ พร้อมชวนคนไทยส่งกําลังใจให้นักตบลูกขนไก่ทะลุรอบตัดเชือก แบดมินตันทีมผสมชิงแชมป์โลก และเชียร์โปรเม ขึ้นมือ 1 กอล์ฟหญิงโลก
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยินดีเรวัตร์ทําลายสถิติโลกวีลแชร์ พร้อมชวนคนไทยส่งกําลังใจให้นักตบลูกขนไก่ทะลุรอบตัดเชือก แบดมินตันทีมผสมชิงแชมป์โลก และเชียร์โปรเม ขึ้นมือ 1 กอล์ฟหญิงโลก
วันนี้ (27 พ.ค.60) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงความยินดีกับเรวัตร์ ต๋านะ นักกีฬาวีลแชร์ทีมชาติไทยที่สามารถเหรียญทองและทําลายสถิติโลกจากการแข่งขันวีลแชร์เรซซิ่งนานาชาติ ประเภท 5,000 เมตร ที 53-54 ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้สําเร็จ ถือเป็นข่าวดีของวงการกีฬาคนพิการ และเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคนพิการก็มีความสามารถไม่แพ้คนปกติ หากมีความมุ่งมั่นพยายามและฝึกฝนจนชํานาญ
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังแสดงความชื่นชมนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทยที่สามารถผ่านเข้าไปสู่รอบรองชนะเลิศในการแข่งขันแบดมินตันทีมผสมชิงแชมป์โลก ที่ประเทศออสเตรเลีย พร้อมทั้งขอเชิญชวนคนไทยร่วมส่งกําลังใจไปให้ทัพนักกีฬาแบดมินตันที่ลงแข่งขันรอบตัดเชือกกับนักกีฬาเกาหลีใต้ในวันนี้ โดยที่ผ่านมาทุกคนโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะความเป็นหนึ่งเดียวกันของนักกีฬาแต่ละคู่ และความมีสมาธิ ไหวพริบในการแก้เกมที่ดีของทุกคน รวมทั้งขอบคุณผู้ฝึกสอนที่วางแผนเลือกส่งผู้เล่นที่มีความสามารถไปร่วมแข่งขันในครั้งนี้
ขณะเดียวกันโปรเม หรือ น.ส.เอรียา จุฑานุกาล นักกีฬากอล์ฟหญิงไทย มือวางอันดับ 3 ของโลก ก็กําลังเข้าร่วมการแข่งขันกอล์ฟหญิงแอลพีจีเอทัวร์ ที่สหรัฐอเมริกา ในระหว่างวันที่ 25 – 28 พ.ค.60 โดยมีลุ้นก้าวขึ้นเป็นมือ 1 ของโลก หากสามารถป้องกันแชมป์รายการนี้ได้สําเร็จ
“ท่านนายกฯ จึงขอให้โปรเมตั้งใจทําผลงานอย่างเต็มที่และไม่กดดันตัวเอง พร้อมทั้งขอให้คนไทยส่งกําลังใจไปเชียร์เช่นเดียวกับนักกีฬาประเภทอื่น ๆ ด้วย”
-----------------
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ยินดีเรวัตร์ทำลายสถิติโลกวีลแชร์ พร้อมชวนคนไทยส่งกำลังใจให้นักตบลูกขนไก่ทะลุรอบตัดเชือก แบดมินตันทีมผสมชิงแชมป์โลก และเชียร์โปรเม ขึ้นมือ 1 กอล์ฟหญิงโลก
วันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม 2560
นายกฯ ยินดีเรวัตร์ทําลายสถิติโลกวีลแชร์ พร้อมชวนคนไทยส่งกําลังใจให้นักตบลูกขนไก่ทะลุรอบตัดเชือก แบดมินตันทีมผสมชิงแชมป์โลก และเชียร์โปรเม ขึ้นมือ 1 กอล์ฟหญิงโลก
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยินดีเรวัตร์ทําลายสถิติโลกวีลแชร์ พร้อมชวนคนไทยส่งกําลังใจให้นักตบลูกขนไก่ทะลุรอบตัดเชือก แบดมินตันทีมผสมชิงแชมป์โลก และเชียร์โปรเม ขึ้นมือ 1 กอล์ฟหญิงโลก
วันนี้ (27 พ.ค.60) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงความยินดีกับเรวัตร์ ต๋านะ นักกีฬาวีลแชร์ทีมชาติไทยที่สามารถเหรียญทองและทําลายสถิติโลกจากการแข่งขันวีลแชร์เรซซิ่งนานาชาติ ประเภท 5,000 เมตร ที 53-54 ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้สําเร็จ ถือเป็นข่าวดีของวงการกีฬาคนพิการ และเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคนพิการก็มีความสามารถไม่แพ้คนปกติ หากมีความมุ่งมั่นพยายามและฝึกฝนจนชํานาญ
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังแสดงความชื่นชมนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทยที่สามารถผ่านเข้าไปสู่รอบรองชนะเลิศในการแข่งขันแบดมินตันทีมผสมชิงแชมป์โลก ที่ประเทศออสเตรเลีย พร้อมทั้งขอเชิญชวนคนไทยร่วมส่งกําลังใจไปให้ทัพนักกีฬาแบดมินตันที่ลงแข่งขันรอบตัดเชือกกับนักกีฬาเกาหลีใต้ในวันนี้ โดยที่ผ่านมาทุกคนโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะความเป็นหนึ่งเดียวกันของนักกีฬาแต่ละคู่ และความมีสมาธิ ไหวพริบในการแก้เกมที่ดีของทุกคน รวมทั้งขอบคุณผู้ฝึกสอนที่วางแผนเลือกส่งผู้เล่นที่มีความสามารถไปร่วมแข่งขันในครั้งนี้
ขณะเดียวกันโปรเม หรือ น.ส.เอรียา จุฑานุกาล นักกีฬากอล์ฟหญิงไทย มือวางอันดับ 3 ของโลก ก็กําลังเข้าร่วมการแข่งขันกอล์ฟหญิงแอลพีจีเอทัวร์ ที่สหรัฐอเมริกา ในระหว่างวันที่ 25 – 28 พ.ค.60 โดยมีลุ้นก้าวขึ้นเป็นมือ 1 ของโลก หากสามารถป้องกันแชมป์รายการนี้ได้สําเร็จ
“ท่านนายกฯ จึงขอให้โปรเมตั้งใจทําผลงานอย่างเต็มที่และไม่กดดันตัวเอง พร้อมทั้งขอให้คนไทยส่งกําลังใจไปเชียร์เช่นเดียวกับนักกีฬาประเภทอื่น ๆ ด้วย”
-----------------
สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4073
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.แต่งตั้งรองกรรมการผู้จัดการคนใหม่
|
วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม 2560
ธอส.แต่งตั้งรองกรรมการผู้จัดการคนใหม่
ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แต่งตั้งรองกรรมการผู้จัดการ
ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แต่งตั้งนายพิษณุพร ขาวประเสริฐ ขึ้นดํารงตําแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร นายคนึง ครุธาโรจน์ ขึ้นดํารงตําแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานบริหารหนี้และปฏิบัติการ และนายเลอพงษ์ ชูประยูร ขึ้นดํารงตําแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานสาขาภูมิภาค และรักษาการ รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานสาขานครหลวง โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2560 เป็นต้นไป
นายพิษณุพร ขาวประเสริฐ ปัจจุบันอายุ 57 ปี สําเร็จการศึกษาปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโทรัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ มีประสบการณ์ทํางานที่ ธอส.มาเป็นระยะเวลานาน 33 ปี ในตําแหน่งผู้อํานวยการฝ่ายบริหารทรัพย์สิน ผู้อํานวยการฝ่ายบังคับคดีและหนี้ส่วนขาด ผู้อํานวยการฝ่ายบริหารหนี้/ฝ่ายบริหารหนี้ภูมิภาค ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานบริหารหนี้และบังคับคดี และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานปฏิบัติการและกฎหมาย รวมถึงผ่านการอบรมหลักสูตรชั้นนํา อาทิ หลักสูตรนักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามการทุจริตระดับสูง (นยปส.) รุ่นที่ 7 สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สําหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 18 สถาบันพระปกเกล้า และหลักสูตรนักปกครองระดับสูง รุ่นที่ 54 กระทรวงมหาดไทย
นายคนึง ครุธาโรจน์ ปัจจุบันอายุ 57 ปี สําเร็จการศึกษาปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคําแหง เนติบัณฑิตไทย และปริญญาโทนิติศาสตรมหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคําแหง มีประสบการณ์ทํางานที่ ธอส.มาเป็นระยะเวลานาน 33 ปี ในตําแหน่งผู้อํานวยการฝ่ายกฎหมาย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานปฏิบัติการสินเชื่อ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการและกฎหมาย และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานสาขาภูมิภาค 2 รวมถึงผ่านการอบรมหลักสูตรต่างๆ อาทิ หลักสูตร Leadership Succession Program (LSP) รุ่นที่ 5 มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาองค์กรภาครัฐ(IRDP) หลักสูตรนักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกัน และปราบปรามการทุจริต (นยปส.) รุ่นที่ 5 สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และหลักสูตร UW Pacific Rim Bankers Program จาก University of Washington ประเทศสหรัฐอเมริกา
นายเลอพงษ์ ชูประยูร ปัจจุบันอายุ 58 ปี สําเร็จการศึกษาปริญญาตรีนิติศาสตร์บัณฑิต และปริญญาโทเคหะพัฒนศาสตร์มหาบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีประสบการณ์ในการทํางานที่ ธอส.มาเป็นระยะเวลานาน 19 ปี ในตําแหน่งผู้อํานวยการฝ่ายบริหารหนี้ภูมิภาค ที่ปรึกษาด้านกิจการพิเศษ และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารหนี้และบังคับคดี รวมถึงผ่านการอบรมหลักสูตรต่างๆ อาทิ หลักสูตร Leadership Succession Program (LSP) รุ่นที่ 6 มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาองค์กรภาครัฐ (IRDP) หลักสูตรนักบริหารระดับสูง “ธรรมศาสตร์เพื่อสังคม” รุ่นที่ 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลักสูตร International Housing Finance Program จาก The Wharton School - University of Pennsylvania ประเทศสหรัฐอเมริกา และโครงการสัมมนาผู้บริหารธนาคารและสถาบันการเงิน FINEX รุ่นที่ 21 สมาคมสถาบันการศึกษาการธนาคารและการเงินไทย
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.แต่งตั้งรองกรรมการผู้จัดการคนใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม 2560
ธอส.แต่งตั้งรองกรรมการผู้จัดการคนใหม่
ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แต่งตั้งรองกรรมการผู้จัดการ
ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แต่งตั้งนายพิษณุพร ขาวประเสริฐ ขึ้นดํารงตําแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร นายคนึง ครุธาโรจน์ ขึ้นดํารงตําแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานบริหารหนี้และปฏิบัติการ และนายเลอพงษ์ ชูประยูร ขึ้นดํารงตําแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานสาขาภูมิภาค และรักษาการ รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานสาขานครหลวง โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2560 เป็นต้นไป
นายพิษณุพร ขาวประเสริฐ ปัจจุบันอายุ 57 ปี สําเร็จการศึกษาปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโทรัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ มีประสบการณ์ทํางานที่ ธอส.มาเป็นระยะเวลานาน 33 ปี ในตําแหน่งผู้อํานวยการฝ่ายบริหารทรัพย์สิน ผู้อํานวยการฝ่ายบังคับคดีและหนี้ส่วนขาด ผู้อํานวยการฝ่ายบริหารหนี้/ฝ่ายบริหารหนี้ภูมิภาค ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานบริหารหนี้และบังคับคดี และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานปฏิบัติการและกฎหมาย รวมถึงผ่านการอบรมหลักสูตรชั้นนํา อาทิ หลักสูตรนักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามการทุจริตระดับสูง (นยปส.) รุ่นที่ 7 สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สําหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 18 สถาบันพระปกเกล้า และหลักสูตรนักปกครองระดับสูง รุ่นที่ 54 กระทรวงมหาดไทย
นายคนึง ครุธาโรจน์ ปัจจุบันอายุ 57 ปี สําเร็จการศึกษาปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคําแหง เนติบัณฑิตไทย และปริญญาโทนิติศาสตรมหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคําแหง มีประสบการณ์ทํางานที่ ธอส.มาเป็นระยะเวลานาน 33 ปี ในตําแหน่งผู้อํานวยการฝ่ายกฎหมาย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานปฏิบัติการสินเชื่อ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการและกฎหมาย และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานสาขาภูมิภาค 2 รวมถึงผ่านการอบรมหลักสูตรต่างๆ อาทิ หลักสูตร Leadership Succession Program (LSP) รุ่นที่ 5 มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาองค์กรภาครัฐ(IRDP) หลักสูตรนักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกัน และปราบปรามการทุจริต (นยปส.) รุ่นที่ 5 สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และหลักสูตร UW Pacific Rim Bankers Program จาก University of Washington ประเทศสหรัฐอเมริกา
นายเลอพงษ์ ชูประยูร ปัจจุบันอายุ 58 ปี สําเร็จการศึกษาปริญญาตรีนิติศาสตร์บัณฑิต และปริญญาโทเคหะพัฒนศาสตร์มหาบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีประสบการณ์ในการทํางานที่ ธอส.มาเป็นระยะเวลานาน 19 ปี ในตําแหน่งผู้อํานวยการฝ่ายบริหารหนี้ภูมิภาค ที่ปรึกษาด้านกิจการพิเศษ และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารหนี้และบังคับคดี รวมถึงผ่านการอบรมหลักสูตรต่างๆ อาทิ หลักสูตร Leadership Succession Program (LSP) รุ่นที่ 6 มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาองค์กรภาครัฐ (IRDP) หลักสูตรนักบริหารระดับสูง “ธรรมศาสตร์เพื่อสังคม” รุ่นที่ 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลักสูตร International Housing Finance Program จาก The Wharton School - University of Pennsylvania ประเทศสหรัฐอเมริกา และโครงการสัมมนาผู้บริหารธนาคารและสถาบันการเงิน FINEX รุ่นที่ 21 สมาคมสถาบันการศึกษาการธนาคารและการเงินไทย
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2754
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมสมัครเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) กับกรมสรรพากร ตั้งแต่วันที่ 1 - 16 มกราคม 2561
|
วันอังคารที่ 19 ธันวาคม 2560
เตรียมสมัครเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) กับกรมสรรพากร ตั้งแต่วันที่ 1 - 16 มกราคม 2561
กรมสรรพากรเปิดรับสมัครผู้สําเร็จการศึกษาปริญญาตรี (สาขาทางการบัญชี) เข้ารับการทดสอบเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) สมัครผ่านอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th ระหว่างวันที่ 1 - 16 มกราคม 2561
กรมสรรพากรจะเปิดรับสมัครทดสอบความรู้เป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) ครั้งที่ 44 (1/2561) โดยผู้ประสงค์จะเข้ารับการทดสอบต้องสําเร็จการศึกษาไม่ต่ํากว่าปริญญาตรีทางการบัญชีหรือประกาศนียบัตรทางการบัญชี ผู้สนใจสามารถยื่นคําขอเข้ารับการทดสอบผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th เพียงช่องทางเดียวเท่านั้น ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ ระหว่างวันที่ 1 - 16 มกราคม 2561 โดยจะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการทดสอบในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 และดําเนินการทดสอบในวันที่ 17 - 18 กุมภาพันธ์ 2561 ณ โรงเรียนศรีอยุธยา ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ถนนศรีอยุธยา เขตราชเทวี กรุงเทพฯ จากนั้นจะประกาศผลการทดสอบเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร ในวันที่ 30 เมษายน 2561 ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th
หากมีข้อสงสัย สามารถติดต่อสอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2272 8188 ในวันและเวลาราชการ หรือที่กองมาตรฐานการสอบบัญชีภาษีอากร ชั้น 17 อาคารกรมสรรพากร เลขที่ 90 ซอยพหลโยธิน 7 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมสมัครเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) กับกรมสรรพากร ตั้งแต่วันที่ 1 - 16 มกราคม 2561
วันอังคารที่ 19 ธันวาคม 2560
เตรียมสมัครเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) กับกรมสรรพากร ตั้งแต่วันที่ 1 - 16 มกราคม 2561
กรมสรรพากรเปิดรับสมัครผู้สําเร็จการศึกษาปริญญาตรี (สาขาทางการบัญชี) เข้ารับการทดสอบเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) สมัครผ่านอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th ระหว่างวันที่ 1 - 16 มกราคม 2561
กรมสรรพากรจะเปิดรับสมัครทดสอบความรู้เป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) ครั้งที่ 44 (1/2561) โดยผู้ประสงค์จะเข้ารับการทดสอบต้องสําเร็จการศึกษาไม่ต่ํากว่าปริญญาตรีทางการบัญชีหรือประกาศนียบัตรทางการบัญชี ผู้สนใจสามารถยื่นคําขอเข้ารับการทดสอบผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th เพียงช่องทางเดียวเท่านั้น ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ ระหว่างวันที่ 1 - 16 มกราคม 2561 โดยจะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการทดสอบในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 และดําเนินการทดสอบในวันที่ 17 - 18 กุมภาพันธ์ 2561 ณ โรงเรียนศรีอยุธยา ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ถนนศรีอยุธยา เขตราชเทวี กรุงเทพฯ จากนั้นจะประกาศผลการทดสอบเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร ในวันที่ 30 เมษายน 2561 ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th
หากมีข้อสงสัย สามารถติดต่อสอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2272 8188 ในวันและเวลาราชการ หรือที่กองมาตรฐานการสอบบัญชีภาษีอากร ชั้น 17 อาคารกรมสรรพากร เลขที่ 90 ซอยพหลโยธิน 7 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8866
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทะลุเป้า!! 11 เดือนแรก ธอส.ขายทรัพย์ NPA ได้ 4,030 ล้านบาท ขนอีก 4,450 รายการ ออกประมูลทรัพย์ส่งท้ายปี เสาร์ที่ 15 ธ.ค. นี้
|
วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม 2561
ทะลุเป้า!! 11 เดือนแรก ธอส.ขายทรัพย์ NPA ได้ 4,030 ล้านบาท ขนอีก 4,450 รายการ ออกประมูลทรัพย์ส่งท้ายปี เสาร์ที่ 15 ธ.ค. นี้
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เผย 11 เดือนแรกลูกค้าประชาชนซื้อทรัพย์ NPA ถึง 4,030 ล้านบาท ทะลุเป้าหมายของปี 2561 ที่ตั้งไว้จํานวน 3,900 ล้านบาท
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เผย 11 เดือนแรกลูกค้าประชาชนซื้อทรัพย์ NPA ถึง 4,030 ล้านบาท ทะลุเป้าหมายของปี 2561 ที่ตั้งไว้จํานวน 3,900 ล้านบาท เหตุทําเลดี ราคาคุ้มค่า และมาตรการโดนใจ ให้ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นาน สูงสุดถึง 60 เดือน สําหรับผู้มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน ที่ซื้อทรัพย์มูลค่าไม่เกิน 2 ล้านบาท พร้อมกําหนดจัดงานประมูลทรัพย์สินธนาคาร ครั้งที่ 4/2561 วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม 2561 เปิดโอกาสสําหรับลูกค้าประชาชนที่อยากมีบ้านส่งท้ายปี โดยนําทรัพย์ จํานวนกว่า 4,450 รายการ จากทั่วประเทศ มาเปิดประมูลพร้อมกันในราคาพิเศษ มอบส่วนลดสูงสุด 60% จากราคาปกติ ราคาเริ่มต้นประมูลต่ําสุดเพียง 25,000 บาท เท่านั้น
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ทรัพย์สินรอการขาย หรือ ทรัพย์ NPA ของ ธอส. ยังถือเป็นที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าประชาชน สะท้อนได้จากผลการจําหน่ายทรัพย์ในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาของปี 2561 ธนาคารสามารถจําหน่ายทรัพย์ได้แล้ว 4,030 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย ในปี 2561 ซึ่งตั้งไว้ที่ 3,900 ล้านบาท โดยสาเหตุสําคัญที่ส่งผลให้การจําหน่ายทรัพย์ NPA ยังเป็นไปตามเป้าหมาย คือ ทรัพย์ของ ธอส. มีราคาจําหน่ายที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับบ้านใหม่ในบริเวณใกล้เคียงกัน รวมถึงธนาคารยังได้จัดทํามาตรการพิเศษสําหรับมาตรการผ่อนดาวน์ 50% ของราคาซื้อขาย ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุดถึง 60 เดือน สําหรับผู้มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน ที่ต้องการซื้อทรัพย์ NPA ของธนาคารมูลค่าไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นมาตรการที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้มีรายได้น้อยที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยได้อย่างแท้จริง และเพื่อเป็นการมอบโอกาสให้กับประชาชนที่ต้องการที่อยู่อาศัยราคาถูกส่งท้ายปี 2561 ธนาคารจึงได้กําหนด จัดงานประมูลทรัพย์สินธนาคาร ครั้งที่ 4/2561 หรือ ประมูลทรัพย์ NPA โดยคัดทรัพย์คุณภาพดี ทําเลเด่น จํานวนกว่า 4,450 รายการ มาเปิดประมูลในราคาพิเศษ แบ่งเป็นทรัพย์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จํานวนประมาณ 950 รายการ ซึ่งให้ส่วนลดสูงสุด 50% จากราคาปกติ จํานวน 33 รายการ ส่วนทรัพย์ที่มีราคาต่ําสุดเริ่มต้นที่ 40,000 บาท เป็นห้องชุดในโครงการปลาทอง เนื้อที่ 26.25 ตารางเมตร จังหวัดปทุมธานี ขณะที่ทรัพย์ในภูมิภาค ที่นําออกประมูลมีจํานวนประมาณ 3,500 รายการ เป็นทรัพย์ที่ให้ส่วนลดสูงสุดถึง 60% จํานวน 34 รายการ และทรัพย์ที่มีราคาต่ําสุดเริ่มต้นแค่ 25,000 บาทเท่านั้น โดยเป็นทรัพย์ประเภทที่ดินเปล่า เนื้อที่ขนาด 90 ตารางวา ขึ้นไปในโครงการห้วยดินโส จังหวัดกาญจนบุรี
สําหรับผู้ชนะการประมูลทรัพย์ NPA สามารถเลือกใช้มาตรการพิเศษ คือ ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นาน 12 เดือน 24 เดือน 48 เดือน และ 60 เดือน (เฉพาะรายการทรัพย์และรายได้ของผู้ซื้อตามที่ธนาคารกําหนด) สามารถเข้าอยู่อาศัยในช่วงผ่อนดาวน์ได้ทันทีเพียงชําระเงินประกันไม่ต่ํากว่า 1.5% ของราคาประมูลซื้อ กรณีเทเงินดาวน์ 20% ของราคาที่ประมูลซื้อทันที ส่วนที่เหลืออีก 80% รับสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือน โดยไม่เสียค่าประเมินราคาทรัพย์สิน ผ่อนชําระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี ทั้งนี้ ทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จัดประมูล ณ ห้องโถง ฝ่ายพิธีการสินเชื่อ อาคาร 2 ชั้น 1 ธอส. สํานักงานใหญ่ พระราม 9 ส่วนทรัพย์ในภูมิภาคจัดประมูล ณ ที่ทําการสาขาของ ธอส. ทั่วประเทศ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทะลุเป้า!! 11 เดือนแรก ธอส.ขายทรัพย์ NPA ได้ 4,030 ล้านบาท ขนอีก 4,450 รายการ ออกประมูลทรัพย์ส่งท้ายปี เสาร์ที่ 15 ธ.ค. นี้
วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม 2561
ทะลุเป้า!! 11 เดือนแรก ธอส.ขายทรัพย์ NPA ได้ 4,030 ล้านบาท ขนอีก 4,450 รายการ ออกประมูลทรัพย์ส่งท้ายปี เสาร์ที่ 15 ธ.ค. นี้
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เผย 11 เดือนแรกลูกค้าประชาชนซื้อทรัพย์ NPA ถึง 4,030 ล้านบาท ทะลุเป้าหมายของปี 2561 ที่ตั้งไว้จํานวน 3,900 ล้านบาท
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เผย 11 เดือนแรกลูกค้าประชาชนซื้อทรัพย์ NPA ถึง 4,030 ล้านบาท ทะลุเป้าหมายของปี 2561 ที่ตั้งไว้จํานวน 3,900 ล้านบาท เหตุทําเลดี ราคาคุ้มค่า และมาตรการโดนใจ ให้ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นาน สูงสุดถึง 60 เดือน สําหรับผู้มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน ที่ซื้อทรัพย์มูลค่าไม่เกิน 2 ล้านบาท พร้อมกําหนดจัดงานประมูลทรัพย์สินธนาคาร ครั้งที่ 4/2561 วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม 2561 เปิดโอกาสสําหรับลูกค้าประชาชนที่อยากมีบ้านส่งท้ายปี โดยนําทรัพย์ จํานวนกว่า 4,450 รายการ จากทั่วประเทศ มาเปิดประมูลพร้อมกันในราคาพิเศษ มอบส่วนลดสูงสุด 60% จากราคาปกติ ราคาเริ่มต้นประมูลต่ําสุดเพียง 25,000 บาท เท่านั้น
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ทรัพย์สินรอการขาย หรือ ทรัพย์ NPA ของ ธอส. ยังถือเป็นที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าประชาชน สะท้อนได้จากผลการจําหน่ายทรัพย์ในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาของปี 2561 ธนาคารสามารถจําหน่ายทรัพย์ได้แล้ว 4,030 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย ในปี 2561 ซึ่งตั้งไว้ที่ 3,900 ล้านบาท โดยสาเหตุสําคัญที่ส่งผลให้การจําหน่ายทรัพย์ NPA ยังเป็นไปตามเป้าหมาย คือ ทรัพย์ของ ธอส. มีราคาจําหน่ายที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับบ้านใหม่ในบริเวณใกล้เคียงกัน รวมถึงธนาคารยังได้จัดทํามาตรการพิเศษสําหรับมาตรการผ่อนดาวน์ 50% ของราคาซื้อขาย ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุดถึง 60 เดือน สําหรับผู้มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน ที่ต้องการซื้อทรัพย์ NPA ของธนาคารมูลค่าไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นมาตรการที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้มีรายได้น้อยที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยได้อย่างแท้จริง และเพื่อเป็นการมอบโอกาสให้กับประชาชนที่ต้องการที่อยู่อาศัยราคาถูกส่งท้ายปี 2561 ธนาคารจึงได้กําหนด จัดงานประมูลทรัพย์สินธนาคาร ครั้งที่ 4/2561 หรือ ประมูลทรัพย์ NPA โดยคัดทรัพย์คุณภาพดี ทําเลเด่น จํานวนกว่า 4,450 รายการ มาเปิดประมูลในราคาพิเศษ แบ่งเป็นทรัพย์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จํานวนประมาณ 950 รายการ ซึ่งให้ส่วนลดสูงสุด 50% จากราคาปกติ จํานวน 33 รายการ ส่วนทรัพย์ที่มีราคาต่ําสุดเริ่มต้นที่ 40,000 บาท เป็นห้องชุดในโครงการปลาทอง เนื้อที่ 26.25 ตารางเมตร จังหวัดปทุมธานี ขณะที่ทรัพย์ในภูมิภาค ที่นําออกประมูลมีจํานวนประมาณ 3,500 รายการ เป็นทรัพย์ที่ให้ส่วนลดสูงสุดถึง 60% จํานวน 34 รายการ และทรัพย์ที่มีราคาต่ําสุดเริ่มต้นแค่ 25,000 บาทเท่านั้น โดยเป็นทรัพย์ประเภทที่ดินเปล่า เนื้อที่ขนาด 90 ตารางวา ขึ้นไปในโครงการห้วยดินโส จังหวัดกาญจนบุรี
สําหรับผู้ชนะการประมูลทรัพย์ NPA สามารถเลือกใช้มาตรการพิเศษ คือ ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นาน 12 เดือน 24 เดือน 48 เดือน และ 60 เดือน (เฉพาะรายการทรัพย์และรายได้ของผู้ซื้อตามที่ธนาคารกําหนด) สามารถเข้าอยู่อาศัยในช่วงผ่อนดาวน์ได้ทันทีเพียงชําระเงินประกันไม่ต่ํากว่า 1.5% ของราคาประมูลซื้อ กรณีเทเงินดาวน์ 20% ของราคาที่ประมูลซื้อทันที ส่วนที่เหลืออีก 80% รับสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือน โดยไม่เสียค่าประเมินราคาทรัพย์สิน ผ่อนชําระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี ทั้งนี้ ทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จัดประมูล ณ ห้องโถง ฝ่ายพิธีการสินเชื่อ อาคาร 2 ชั้น 1 ธอส. สํานักงานใหญ่ พระราม 9 ส่วนทรัพย์ในภูมิภาคจัดประมูล ณ ที่ทําการสาขาของ ธอส. ทั่วประเทศ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17480
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. แนะวิธีสืบสานประเพณีสงกรานต์ไทยปลอดภัย ห่างไกล โควิด - 19
|
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563
สธ. แนะวิธีสืบสานประเพณีสงกรานต์ไทยปลอดภัย ห่างไกล โควิด - 19
กระทรวงสาธารณสุข แนะสงกรานต์ปีนี้ บอกรัก ขอพร อวยพร ออนไลน์ เน้น Social distancing ป้องกันผู้สูงอายุติดเชื้อโควิด – 19
กระทรวงสาธารณสุข แนะสงกรานต์ปีนี้ บอกรัก ขอพร อวยพร ออนไลน์ เน้น Social distancing ป้องกันผู้สูงอายุติดเชื้อโควิด – 19
วันนี้ (10 เมษายน 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข อยากให้สงกรานต์ปีนี้เป็นสงกรานต์ที่ทุกคนปลอดภัย ห่างไกลจากโรคโควิด-19 โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสติดเชื้อโควิด-19 ได้ง่าย และมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่ากลุ่มอื่น ส่วนใหญ่จะติดเชื้อมาจากบุตรหลานวัยทํางานที่มีอัตราการป่วยสูง สงกรานต์นี้แนะนําให้สรงน้ําพระพุทธรูปที่บ้าน แสดงความกตัญญูและขอพรต่อพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน ด้วยการกราบไหว้ขอพร โดยเว้นระยะห่างบุคคล 1-2 เมตร ทุกคนต้องสวมใส่หน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัย ส่วนบุตรหลานทุกคนที่มีภูมิลําเนาอยู่ไกล บอกรักและขอพรพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ผ่านทางโทรศัพท์หรือสื่อออนไลน์ต่างๆ แทนการเดินทางกลับบ้าน เพื่อลดความเสี่ยงที่นําเชื้อไปสู่ผู้สูงอายุได้
สําหรับผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่กับบุตรหลาน ควรได้รับการดูแลและป้องกันเป็นพิเศษ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองได้ ส่งเสริมให้ดูแลรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลด้วยการล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ําห้องสุขา หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า ตา ปาก จมูก และหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ที่เป็นหวัด มีไข้ ไอ จาม มีน้ํามูกหรือเสมหะ รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ สะอาด ลดหวาน มัน เค็ม ครบ 5 หมู่ ไม่รับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น และไม่ใช้ภาชนะร่วมกัน ดูแลสุขภาพจิตใจ และงดการออกจากบ้าน หากจําเป็นต้องออกนอกบ้านให้สวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ใช้เวลาให้น้อยที่สุด เว้นระยะห่างจากผู้อื่น (Social Distancing) อย่างน้อย 2 เมตร และเปลี่ยนการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นโดยใช้เทคโนโลยี เช่น โทรศัพท์ ไลน์ เป็นต้น
2.กลุ่มผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองได้บ้างและมีโรคประจําตัว ให้ดูแลตัวเอง ปฏิบัติกิจกรรมเช่นเดียวกันและ จัดเตรียมยารักษาโรคประจําตัวไว้ให้เพียงพออย่างน้อย 3 เดือนหรือภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ หากต้องไปพบแพทย์รับการรักษาพยาบาลต่อเนื่อง ต้องสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล เมื่อกลับถึงบ้านหรือที่พักต้องล้างมือ เปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ําทําความสะอาดร่างกาย สระผมทันที ส่วนผู้ที่ดูแลผู้สูงอายุควรสวมหน้ากากและล้างมือทุกครั้งก่อนที่จะไปสัมผัสตัวผู้สูงอายุ และต้องเว้นระยะห่าง 1 - 2 เมตร ไม่ควรเดินทางออกไปนอกบ้าน หรือไปในสถานที่ที่มีคนแออัดโดยไม่จําเป็น
************************ 10 เมษายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. แนะวิธีสืบสานประเพณีสงกรานต์ไทยปลอดภัย ห่างไกล โควิด - 19
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563
สธ. แนะวิธีสืบสานประเพณีสงกรานต์ไทยปลอดภัย ห่างไกล โควิด - 19
กระทรวงสาธารณสุข แนะสงกรานต์ปีนี้ บอกรัก ขอพร อวยพร ออนไลน์ เน้น Social distancing ป้องกันผู้สูงอายุติดเชื้อโควิด – 19
กระทรวงสาธารณสุข แนะสงกรานต์ปีนี้ บอกรัก ขอพร อวยพร ออนไลน์ เน้น Social distancing ป้องกันผู้สูงอายุติดเชื้อโควิด – 19
วันนี้ (10 เมษายน 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข อยากให้สงกรานต์ปีนี้เป็นสงกรานต์ที่ทุกคนปลอดภัย ห่างไกลจากโรคโควิด-19 โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสติดเชื้อโควิด-19 ได้ง่าย และมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่ากลุ่มอื่น ส่วนใหญ่จะติดเชื้อมาจากบุตรหลานวัยทํางานที่มีอัตราการป่วยสูง สงกรานต์นี้แนะนําให้สรงน้ําพระพุทธรูปที่บ้าน แสดงความกตัญญูและขอพรต่อพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน ด้วยการกราบไหว้ขอพร โดยเว้นระยะห่างบุคคล 1-2 เมตร ทุกคนต้องสวมใส่หน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัย ส่วนบุตรหลานทุกคนที่มีภูมิลําเนาอยู่ไกล บอกรักและขอพรพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ผ่านทางโทรศัพท์หรือสื่อออนไลน์ต่างๆ แทนการเดินทางกลับบ้าน เพื่อลดความเสี่ยงที่นําเชื้อไปสู่ผู้สูงอายุได้
สําหรับผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่กับบุตรหลาน ควรได้รับการดูแลและป้องกันเป็นพิเศษ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองได้ ส่งเสริมให้ดูแลรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลด้วยการล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ําห้องสุขา หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า ตา ปาก จมูก และหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ที่เป็นหวัด มีไข้ ไอ จาม มีน้ํามูกหรือเสมหะ รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ สะอาด ลดหวาน มัน เค็ม ครบ 5 หมู่ ไม่รับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น และไม่ใช้ภาชนะร่วมกัน ดูแลสุขภาพจิตใจ และงดการออกจากบ้าน หากจําเป็นต้องออกนอกบ้านให้สวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ใช้เวลาให้น้อยที่สุด เว้นระยะห่างจากผู้อื่น (Social Distancing) อย่างน้อย 2 เมตร และเปลี่ยนการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นโดยใช้เทคโนโลยี เช่น โทรศัพท์ ไลน์ เป็นต้น
2.กลุ่มผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองได้บ้างและมีโรคประจําตัว ให้ดูแลตัวเอง ปฏิบัติกิจกรรมเช่นเดียวกันและ จัดเตรียมยารักษาโรคประจําตัวไว้ให้เพียงพออย่างน้อย 3 เดือนหรือภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ หากต้องไปพบแพทย์รับการรักษาพยาบาลต่อเนื่อง ต้องสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล เมื่อกลับถึงบ้านหรือที่พักต้องล้างมือ เปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ําทําความสะอาดร่างกาย สระผมทันที ส่วนผู้ที่ดูแลผู้สูงอายุควรสวมหน้ากากและล้างมือทุกครั้งก่อนที่จะไปสัมผัสตัวผู้สูงอายุ และต้องเว้นระยะห่าง 1 - 2 เมตร ไม่ควรเดินทางออกไปนอกบ้าน หรือไปในสถานที่ที่มีคนแออัดโดยไม่จําเป็น
************************ 10 เมษายน 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28803
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-15 องค์กรลูกจ้างเข้าพบ‘จับกัง1’หารือแนวทางแก้ปัญหาสถานการณ์แรงงานในปัจจุบัน
|
วันพุธที่ 19 สิงหาคม 2563
15 องค์กรลูกจ้างเข้าพบ‘จับกัง1’หารือแนวทางแก้ปัญหาสถานการณ์แรงงานในปัจจุบัน
ผู้แทนสภาองค์การลูกจ้าง 15 แห่ง และสหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทย เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เสนอปัญหาและแนวทางแก้ไขผลกระทบจากโควิด – 19 และผลกระทบจากการเลิกจ้างลูกจ้าง รวมถึงการลดขนาดองค์กรในสถานประกอบกิจการ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมเพื่อปรึกษาหารือสถานการณ์ด้านแรงงาน ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย สําหรับการประชุมดังกล่าวเพื่อเป็นการรับฟังสภาพปัญหา ข้อเสนอ แนวคิด ในการร่วมกันแก้ไขปัญหาสถานการณ์ด้านแรงงานในปัจจุบัน โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ประธานและผู้แทนสภาองค์การลูกจ้าง 15 แห่ง และสหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทย องค์กรละ 3 คน รวม 48 คน โดยผู้แทนสภาองค์การลูกจ้าง และผู้แทนสหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทยได้เสนอปัญหาและแนวทางแก้ไขผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด – 19 และผลกระทบจากการเลิกจ้างลูกจ้าง รวมถึงการลดขนาดองค์กรในสถานประกอบกิจการ
นายสุชาติ กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรี ได้ฝากผมให้มาแก้ไขปัญหาแรงงานโดยเฉพาะ การที่ผู้แทนสภาองค์การลูกจ้างและสหพันธ์แรงงานรัรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทยมาขอเข้าพบในเมื่อวันนี้ เนื่องจากพวกเขาได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบโควิด - 19 จนทําให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานต้องตกงานจากการเลิกจ้างลูกจ้างและการปรับลดขนาดขององค์กรลง ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ เป็นหัวหน้าผู้ใช้แรงงาน จะต้องลงมารับฟังสภาพปัญหาและร่วมกันแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันของทุกฝ่าย สิ่งที่ผมกําลังทําวันนี้ คือ จัดตั้งศูนย์อํานวยการแรงงานแห่งชาติ ให้เป็นศูนย์ขับเคลื่อนด้านแรงงานทุกมิติ รวมถึงเดินสายของานจากผู้ประกอบการภาคเอกชน เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานได้มีงานทํา ได้กลับเข้าสู่ระบบการจ้างงานโดยเร็ว ซึ่งในเรื่องนี้ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านได้ให้ความห่วงใยให้ความสําคัญกับการขับเคลื่อนประเทศ โดยเฉพาะการเร่งฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด -19 คลี่คลายลง โดยนํานโยบาย “รวมไทยสร้างชาติ” เข้ามาดําเนินการ เพื่อมีเป้าหมายที่จะผนึกกําลังจากทุกภาคส่วนมาร่วมกันวางแผนเพื่อกําหนดอนาคตประเทศไทยไปด้วยกัน
นายพนัส ไทยล้วน ประธานแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ส่งรัฐมนตรีคนนี้มาแก้ไขปัญหาด้านแรงงาน เพราะท่านดูเป็นคนจริงจัง จริงใจ นักเลง ใจถึง พึ่งได้ เพราะท่านมาจากรากหญ้ารู้ปัญหาของผู้ใช้แรงงานอย่างแท้จริง ต่อจากนี้ผมจะรอดูผลงานอย่างที่ท่านได้กล่าวไว้ว่าทําได้อย่างที่พูดหรือไม่แต่เบื้องต้นผู้ใช้แรงงานมีความพึงพอใจต่อท่านรัฐมนตรีเป็นอย่างมาก เนื่องจากท่านรับฟังปัญหาจากผู้นําแรงงานด้วยตัวท่านเอง โดยไม่ได้รับฟังปัญหาจากตัวข้าราชการเพียงฝ่ายเดียว ผมจึงเชื่อมั่นว่า ท่านจะสามารถแก้ไขปัญหาแรงงานได้ในทุกมิติ
-----------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-15 องค์กรลูกจ้างเข้าพบ‘จับกัง1’หารือแนวทางแก้ปัญหาสถานการณ์แรงงานในปัจจุบัน
วันพุธที่ 19 สิงหาคม 2563
15 องค์กรลูกจ้างเข้าพบ‘จับกัง1’หารือแนวทางแก้ปัญหาสถานการณ์แรงงานในปัจจุบัน
ผู้แทนสภาองค์การลูกจ้าง 15 แห่ง และสหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทย เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เสนอปัญหาและแนวทางแก้ไขผลกระทบจากโควิด – 19 และผลกระทบจากการเลิกจ้างลูกจ้าง รวมถึงการลดขนาดองค์กรในสถานประกอบกิจการ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมเพื่อปรึกษาหารือสถานการณ์ด้านแรงงาน ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย สําหรับการประชุมดังกล่าวเพื่อเป็นการรับฟังสภาพปัญหา ข้อเสนอ แนวคิด ในการร่วมกันแก้ไขปัญหาสถานการณ์ด้านแรงงานในปัจจุบัน โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ประธานและผู้แทนสภาองค์การลูกจ้าง 15 แห่ง และสหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทย องค์กรละ 3 คน รวม 48 คน โดยผู้แทนสภาองค์การลูกจ้าง และผู้แทนสหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทยได้เสนอปัญหาและแนวทางแก้ไขผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด – 19 และผลกระทบจากการเลิกจ้างลูกจ้าง รวมถึงการลดขนาดองค์กรในสถานประกอบกิจการ
นายสุชาติ กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรี ได้ฝากผมให้มาแก้ไขปัญหาแรงงานโดยเฉพาะ การที่ผู้แทนสภาองค์การลูกจ้างและสหพันธ์แรงงานรัรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทยมาขอเข้าพบในเมื่อวันนี้ เนื่องจากพวกเขาได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบโควิด - 19 จนทําให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานต้องตกงานจากการเลิกจ้างลูกจ้างและการปรับลดขนาดขององค์กรลง ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ เป็นหัวหน้าผู้ใช้แรงงาน จะต้องลงมารับฟังสภาพปัญหาและร่วมกันแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันของทุกฝ่าย สิ่งที่ผมกําลังทําวันนี้ คือ จัดตั้งศูนย์อํานวยการแรงงานแห่งชาติ ให้เป็นศูนย์ขับเคลื่อนด้านแรงงานทุกมิติ รวมถึงเดินสายของานจากผู้ประกอบการภาคเอกชน เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานได้มีงานทํา ได้กลับเข้าสู่ระบบการจ้างงานโดยเร็ว ซึ่งในเรื่องนี้ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านได้ให้ความห่วงใยให้ความสําคัญกับการขับเคลื่อนประเทศ โดยเฉพาะการเร่งฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด -19 คลี่คลายลง โดยนํานโยบาย “รวมไทยสร้างชาติ” เข้ามาดําเนินการ เพื่อมีเป้าหมายที่จะผนึกกําลังจากทุกภาคส่วนมาร่วมกันวางแผนเพื่อกําหนดอนาคตประเทศไทยไปด้วยกัน
นายพนัส ไทยล้วน ประธานแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ส่งรัฐมนตรีคนนี้มาแก้ไขปัญหาด้านแรงงาน เพราะท่านดูเป็นคนจริงจัง จริงใจ นักเลง ใจถึง พึ่งได้ เพราะท่านมาจากรากหญ้ารู้ปัญหาของผู้ใช้แรงงานอย่างแท้จริง ต่อจากนี้ผมจะรอดูผลงานอย่างที่ท่านได้กล่าวไว้ว่าทําได้อย่างที่พูดหรือไม่แต่เบื้องต้นผู้ใช้แรงงานมีความพึงพอใจต่อท่านรัฐมนตรีเป็นอย่างมาก เนื่องจากท่านรับฟังปัญหาจากผู้นําแรงงานด้วยตัวท่านเอง โดยไม่ได้รับฟังปัญหาจากตัวข้าราชการเพียงฝ่ายเดียว ผมจึงเชื่อมั่นว่า ท่านจะสามารถแก้ไขปัญหาแรงงานได้ในทุกมิติ
-----------------------------
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34331
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ยกปลากัดไทยเป็นสัตว์น้ำประจำชาติไทย
|
วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ 2562
ครม. ยกปลากัดไทยเป็นสัตว์น้ําประจําชาติไทย
--
ความงดงามของปลากัดไทย ที่มีลักษณะโดดเด่นแตกต่างจากสัตว์น้ําชนิดอื่น ๆ มีความเกี่ยวพันกับวิถีชีวิตสังคมและวัฒนธรรมไทยมายาวนานกว่า 667 ปี จนถึงปัจจุบัน สามารถยืนยันชัดเจนว่ามีถิ่นกําเนิดมาจากประเทศไทย ซึ่งมีการบันทึกเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี
ปี 2556 ปลากัดไทยได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม สาขาความรู้และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล ประเภทการจัดการทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
ล่าสุดคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้ “ปลากัด" เป็นสัตว์น้ําประจําชาติ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และถ่ายทอดภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ผลักดันการเพาะเลี้ยง ซึ่งก่อให้เกิดผลดีในเชิงพาณิชย์ เพราะปลากัดถือเป็นสัตว์น้ําส่งออกที่สําคัญอย่างหนึ่งของไทย
เหตุผลสําคัญ 3 ด้าน ที่ทําให้ปลากัดได้รับการประกาศเป็นสัตว์น้ําประจําชาติ คือ
1. ด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ เนื่องจากคนไทยรู้จัก คุ้นเคย และมีความผูกพันกับปลากัดมาตั้งแต่โบราณ ซึ่งมีหลักฐานยืนยันว่าเรื่องปลากัดไทยปรากฏในวรรณคดีไทย รวมถึงประวัติศาสตร์ไทย
2. ด้านความเป็นเจ้าของ และความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยปลากัดไทย ที่เสนอให้เป็นสัตว์น้ําประจําชาติ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Betta splendens เป็นสายพันธุ์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ทั้งเรื่องความสวยงามและความสามารถในการต่อสู้ จนเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในระดับสากล
ชาวต่างชาติมักรู้จักในชื่อ “Siamese Fighting Fish” หรือ “Siamese Betta” ซึ่งถูกเรียกขานกันมายาวนาน สะท้อนให้เห็นว่ามีถิ่นกําเนิดในประเทศไทย และสามารถใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ความเป็นเจ้าของได้
3. ด้านประโยชน์ใช้สอย โดยเฉพาะด้านการส่งเสริมการเพาะเลี้ยง และการสร้างนวัตกรรมด้านการเพาะพันธุ์ปลากัดไทยให้ดียิ่งขึ้น จนเป็นอาชีพแก่เกษตรกร นําไปสู่การค้าเชิงพาณิชย์และก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
ที่ผ่านมา ปลากัดไทยเป็นสัตว์น้ําส่งออกที่ได้รับความนิยมในตลาดต่างชาติและกลายเป็นอีกหนึ่งทูตวัฒนธรรมที่สร้างชื่อให้กับประเทศ
โดยช่วงระหว่างปี 2556 - 2560 ประเทศไทยมีปริมาณการส่งออกปลากัดราว 20.85 ล้านตัวต่อปี เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 54.42% มูลค่าการส่งออกไม่ต่ํากว่า 115.45 ล้านบาทต่อปี เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 59.97% โดยราคาปลากัดไทย (ปี 2558) อยู่ที่ 5.42 บาท/ตัว ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี
ตลาดส่งออกปลากัดไทย 5 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส สิงคโปร์ จีน อิหร่าน และยังได้ส่งไปขายในอีกกว่า 90 ประเทศ
สําหรับจังหวัดนครปฐมถือเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลากัดไทยที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งความนิยมของปลากัดไทยประเภทกัดเก่งนั้นลดลงมาก โดยหันมาเน้นการพัฒนาสายพันธุ์ที่มีความสวยงาม ทําให้มีการเพาะเลี้ยงทั่วประเทศ
ปัจจุบันมีเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเลี้ยงปลากัดกับกรมประมง จํานวน 1,500 ราย และมีผู้ที่เลี้ยงรายย่อยที่ชื่นชอบการเลี้ยงปลากัดไทยอีกมากกว่า 100,000 ราย เนื่องจากปลากัดไทยสามารถสร้างอาชีพที่มั่นคงให้กับชุมชนได้ รวมทั้งมีการเพาะเลี้ยงปลากัดเพื่อเอาไว้กัดแข่งขันเป็นกีฬา หรือนิยมเลี้ยงไว้ดูเล่นเพื่อความเพลิดเพลิน และมอบเป็นของขวัญในวันพิเศษ
นอกจากการประกาศให้ปลากัดเป็นสัตว์น้ําประจําชาติแล้ว ยังสามารถนําไปใช้เป็นสัญลักษณ์การประมงของไทย และนําไปใช้ประกอบสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อสะท้อนความเป็นไทยได้อีกด้วย
หลังจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะแจ้งไปยังประเทศสมาชิกภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity: CBD) ให้ทราบว่า ปลากัดไทยเป็นสัตว์น้ําประจําชาติไทย เพื่อป้องกันการนําปลากัดไทยไปจดสิทธิบัตรโดยชาวต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม คําว่า “สัตว์น้ํา” มีความหมายครอบคลุมกว้างขวาง ในอนาคตอาจมีการศึกษาข้อมูลสัตว์น้ําประเภทอื่นที่มีความเหมาะสมที่จะประกาศเป็นสัญลักษณ์ประจําชาติเพิ่มเติมได้
นับจากนี้ปลากัดไทยจะเป็นที่รู้จักมากกว่าเพียงแค่ “ปลาสวยงาม” แต่ยังเป็น "ปลาเศรษฐกิจ" ให้กับประเทศอีกด้วย
----------------------
ภาพ / ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ยกปลากัดไทยเป็นสัตว์น้ำประจำชาติไทย
วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ 2562
ครม. ยกปลากัดไทยเป็นสัตว์น้ําประจําชาติไทย
--
ความงดงามของปลากัดไทย ที่มีลักษณะโดดเด่นแตกต่างจากสัตว์น้ําชนิดอื่น ๆ มีความเกี่ยวพันกับวิถีชีวิตสังคมและวัฒนธรรมไทยมายาวนานกว่า 667 ปี จนถึงปัจจุบัน สามารถยืนยันชัดเจนว่ามีถิ่นกําเนิดมาจากประเทศไทย ซึ่งมีการบันทึกเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี
ปี 2556 ปลากัดไทยได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม สาขาความรู้และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล ประเภทการจัดการทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
ล่าสุดคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้ “ปลากัด" เป็นสัตว์น้ําประจําชาติ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และถ่ายทอดภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ผลักดันการเพาะเลี้ยง ซึ่งก่อให้เกิดผลดีในเชิงพาณิชย์ เพราะปลากัดถือเป็นสัตว์น้ําส่งออกที่สําคัญอย่างหนึ่งของไทย
เหตุผลสําคัญ 3 ด้าน ที่ทําให้ปลากัดได้รับการประกาศเป็นสัตว์น้ําประจําชาติ คือ
1. ด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ เนื่องจากคนไทยรู้จัก คุ้นเคย และมีความผูกพันกับปลากัดมาตั้งแต่โบราณ ซึ่งมีหลักฐานยืนยันว่าเรื่องปลากัดไทยปรากฏในวรรณคดีไทย รวมถึงประวัติศาสตร์ไทย
2. ด้านความเป็นเจ้าของ และความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยปลากัดไทย ที่เสนอให้เป็นสัตว์น้ําประจําชาติ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Betta splendens เป็นสายพันธุ์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ทั้งเรื่องความสวยงามและความสามารถในการต่อสู้ จนเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในระดับสากล
ชาวต่างชาติมักรู้จักในชื่อ “Siamese Fighting Fish” หรือ “Siamese Betta” ซึ่งถูกเรียกขานกันมายาวนาน สะท้อนให้เห็นว่ามีถิ่นกําเนิดในประเทศไทย และสามารถใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ความเป็นเจ้าของได้
3. ด้านประโยชน์ใช้สอย โดยเฉพาะด้านการส่งเสริมการเพาะเลี้ยง และการสร้างนวัตกรรมด้านการเพาะพันธุ์ปลากัดไทยให้ดียิ่งขึ้น จนเป็นอาชีพแก่เกษตรกร นําไปสู่การค้าเชิงพาณิชย์และก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
ที่ผ่านมา ปลากัดไทยเป็นสัตว์น้ําส่งออกที่ได้รับความนิยมในตลาดต่างชาติและกลายเป็นอีกหนึ่งทูตวัฒนธรรมที่สร้างชื่อให้กับประเทศ
โดยช่วงระหว่างปี 2556 - 2560 ประเทศไทยมีปริมาณการส่งออกปลากัดราว 20.85 ล้านตัวต่อปี เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 54.42% มูลค่าการส่งออกไม่ต่ํากว่า 115.45 ล้านบาทต่อปี เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 59.97% โดยราคาปลากัดไทย (ปี 2558) อยู่ที่ 5.42 บาท/ตัว ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี
ตลาดส่งออกปลากัดไทย 5 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส สิงคโปร์ จีน อิหร่าน และยังได้ส่งไปขายในอีกกว่า 90 ประเทศ
สําหรับจังหวัดนครปฐมถือเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลากัดไทยที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งความนิยมของปลากัดไทยประเภทกัดเก่งนั้นลดลงมาก โดยหันมาเน้นการพัฒนาสายพันธุ์ที่มีความสวยงาม ทําให้มีการเพาะเลี้ยงทั่วประเทศ
ปัจจุบันมีเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเลี้ยงปลากัดกับกรมประมง จํานวน 1,500 ราย และมีผู้ที่เลี้ยงรายย่อยที่ชื่นชอบการเลี้ยงปลากัดไทยอีกมากกว่า 100,000 ราย เนื่องจากปลากัดไทยสามารถสร้างอาชีพที่มั่นคงให้กับชุมชนได้ รวมทั้งมีการเพาะเลี้ยงปลากัดเพื่อเอาไว้กัดแข่งขันเป็นกีฬา หรือนิยมเลี้ยงไว้ดูเล่นเพื่อความเพลิดเพลิน และมอบเป็นของขวัญในวันพิเศษ
นอกจากการประกาศให้ปลากัดเป็นสัตว์น้ําประจําชาติแล้ว ยังสามารถนําไปใช้เป็นสัญลักษณ์การประมงของไทย และนําไปใช้ประกอบสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อสะท้อนความเป็นไทยได้อีกด้วย
หลังจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะแจ้งไปยังประเทศสมาชิกภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity: CBD) ให้ทราบว่า ปลากัดไทยเป็นสัตว์น้ําประจําชาติไทย เพื่อป้องกันการนําปลากัดไทยไปจดสิทธิบัตรโดยชาวต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม คําว่า “สัตว์น้ํา” มีความหมายครอบคลุมกว้างขวาง ในอนาคตอาจมีการศึกษาข้อมูลสัตว์น้ําประเภทอื่นที่มีความเหมาะสมที่จะประกาศเป็นสัญลักษณ์ประจําชาติเพิ่มเติมได้
นับจากนี้ปลากัดไทยจะเป็นที่รู้จักมากกว่าเพียงแค่ “ปลาสวยงาม” แต่ยังเป็น "ปลาเศรษฐกิจ" ให้กับประเทศอีกด้วย
----------------------
ภาพ / ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18621
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563
|
วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2563
ก.อุตฯ ร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563
ก.อุตฯ ร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563
วันนี้ (28 กรกฎาคม 2563) เวลา 08.30 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุรพล ชามาตย์ นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563 ณ ศาลาสหทัยสมาคม พระบรมมหาราชวัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563
วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2563
ก.อุตฯ ร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563
ก.อุตฯ ร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563
วันนี้ (28 กรกฎาคม 2563) เวลา 08.30 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุรพล ชามาตย์ นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563 ณ ศาลาสหทัยสมาคม พระบรมมหาราชวัง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33708
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกล่าวสรุปเนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปี การดำเนินงานของรัฐบาล
|
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2559
นายกรัฐมนตรีกล่าวสรุปเนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปี การดําเนินงานของรัฐบาล
นายกรัฐมนตรีกล่าวสรุปเนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปี การดําเนินงานของรัฐบาล
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกล่าวสรุปเนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปี การดำเนินงานของรัฐบาล
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2559
นายกรัฐมนตรีกล่าวสรุปเนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปี การดําเนินงานของรัฐบาล
นายกรัฐมนตรีกล่าวสรุปเนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปี การดําเนินงานของรัฐบาล
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/361
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดตัวกิจการเพื่อสังคมที่ได้รับการรับรองเป็นครั้งแรกของประเทศไทย
|
วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561
รัฐบาล โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดตัวกิจการเพื่อสังคมที่ได้รับการรับรองเป็นครั้งแรกของประเทศไทย
รัฐบาล โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดตัวกิจการเพื่อสังคมที่ได้รับการรับรองเป็นครั้งแรกของประเทศไทย (Social Enterprise) พร้อมพัฒนาประเทศไทยอย่างเป็นองค์รวมในด้านเศรษฐกิจ สังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อม ให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
วันนี้ (28 สิงหาคม 2561) เวลา 08.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ บริเวณโถงกลางตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นําคณะผู้แทนสถานประกอบการที่ได้รับการรับรองกิจการเพื่อสังคม จํานวนทั้งสิ้น 15 กิจการ จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์สถานประกอบการที่ดําเนินกิจการเพื่อสังคม ที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ โดยมี นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ นางนภา เศรษฐกร อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) เข้าร่วมฯ
ทั้งนี้ ตามที่รัฐบาลเห็นความสําคัญกับการพัฒนาธุรกิจควบคู่กับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน จึงผลักดันนโยบายกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) โดยบูรณาการการทํางานระหว่างหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ให้เข้ามามีส่วนร่วมในรูปแบบของ “กิจการเพื่อสังคม” เพื่อการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน “ปรับเปลี่ยนวิธีคิด” จากองค์กรที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาและพัฒนาชุมชน สังคม หรือสิ่งแวดล้อม เป็นองค์กรที่มีวิธีการบริหารจัดการและมีธรรมาภิบาล โดยนําผลกําไรไปลงทุนกับมนุษย์และสังคมทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม สาธารณสุข และการมีส่วนร่วมของชุมชน
ปัจจุบันกระทรวง พม. โดย พส. ได้ดําเนินการขับเคลื่อนการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม ดังนี้ 1) ประกาศคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการยื่นคําขอหนังสือรับรองกิจการเพื่อสังคม พ.ศ. 2561 และได้เผยแพร่ทางเว็บไซต์ www.dsdw.go.th 2) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทําแผนการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม พ.ศ. 2561 – 2564 รับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และนําข้อคิดเห็นมาประกอบการจัดทําร่างแผนกิจการเพื่อสังคมต่อไป 3) จัดงาน Kick off Social Enterprise : SE เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2561 ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเป็นการส่งเสริม สนับสนุน เผยแพร่ และประชาสัมพันธ์ ให้ภาคธุรกิจที่สนใจได้รับทราบและยื่นคําขอหนังสือรับรองกิจการเพื่อสังคม 4) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “สร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมกับงานพัฒนาสังคม (Social Enterprise: SE) ภายใต้งาน Thailand Social Expo เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2561 ณ ห้องประชุมฟินิกซ์ 5 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ซึ่งมี นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมฯ โดยมีการจัดเวทีวิชาการได้สะท้อนแง่คิดที่สําคัญเกี่ยวกับการพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคมในประเทศไทย การรับรองกิจการเพื่อสังคม และการสนับสนุน Social Enterprise ในหลากหลายมิติ และ 5) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาคําขอหนังสือรับรองกิจการเพื่อสังคม ซึ่งมีผู้ยื่นขอรับรองและผ่านการรับรองคุณสมบัติเป็นครั้งแรกในประเทศไทย จํานวน 15 กิจการ ได้แก่
1) บริษัท ดอยคําผลิตภัณฑ์อาหาร จํากัด 2) บริษัท เรย์วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด 3) บริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด 4) บริษัท เเดรี่โฮม จํากัด 5) บริษัท กาแฟอาข่า อ่ามา จํากัด 6) บริษัท สยามออร์แกนิค จํากัด 7) บริษัท แจสเบอร์รี่ จํากัด 8) กลุ่มเกษตรกรทํานา นาโส่ 9) มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ 10) บริษัท เด็กพิเศษ วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด 11) บริษัท ลุมพินี พร็อพเพอร์ตี้ เซอร์วิส แอนด์ แคร์ จํากัด 12) บริษัท คิดคิด จํากัด 13) มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรในพระอุปถัมภ์ฯ 14) สหกรณ์กรีนเนท จํากัด และ 15) บริษัท โลเคิล อไลค์ จํากัด โดยสถานประกอบการที่ได้รับการอนุมัติรับรองจะได้รับการสร้างภาพลักษณ์ขององค์กรแล้ว ยังสามารถได้รับสิทธิประโยชน์อื่นๆ อาทิ การยกเว้นภาษีเงินได้ ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 621) พ.ศ. 2559
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมพร้อมสนับสนุนสถานประกอบการที่เข้ามามีบทบาทร่วมกันในการดําเนินกิจการเพื่อสังคม โดยให้ทุกภาคส่วนได้ขับเคลื่อนประเทศในการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและชุมชนร่วมกัน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ต่อไป
...................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดตัวกิจการเพื่อสังคมที่ได้รับการรับรองเป็นครั้งแรกของประเทศไทย
วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561
รัฐบาล โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดตัวกิจการเพื่อสังคมที่ได้รับการรับรองเป็นครั้งแรกของประเทศไทย
รัฐบาล โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดตัวกิจการเพื่อสังคมที่ได้รับการรับรองเป็นครั้งแรกของประเทศไทย (Social Enterprise) พร้อมพัฒนาประเทศไทยอย่างเป็นองค์รวมในด้านเศรษฐกิจ สังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อม ให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
วันนี้ (28 สิงหาคม 2561) เวลา 08.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ บริเวณโถงกลางตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นําคณะผู้แทนสถานประกอบการที่ได้รับการรับรองกิจการเพื่อสังคม จํานวนทั้งสิ้น 15 กิจการ จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์สถานประกอบการที่ดําเนินกิจการเพื่อสังคม ที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ โดยมี นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ นางนภา เศรษฐกร อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) เข้าร่วมฯ
ทั้งนี้ ตามที่รัฐบาลเห็นความสําคัญกับการพัฒนาธุรกิจควบคู่กับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน จึงผลักดันนโยบายกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) โดยบูรณาการการทํางานระหว่างหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ให้เข้ามามีส่วนร่วมในรูปแบบของ “กิจการเพื่อสังคม” เพื่อการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน “ปรับเปลี่ยนวิธีคิด” จากองค์กรที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาและพัฒนาชุมชน สังคม หรือสิ่งแวดล้อม เป็นองค์กรที่มีวิธีการบริหารจัดการและมีธรรมาภิบาล โดยนําผลกําไรไปลงทุนกับมนุษย์และสังคมทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม สาธารณสุข และการมีส่วนร่วมของชุมชน
ปัจจุบันกระทรวง พม. โดย พส. ได้ดําเนินการขับเคลื่อนการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม ดังนี้ 1) ประกาศคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการยื่นคําขอหนังสือรับรองกิจการเพื่อสังคม พ.ศ. 2561 และได้เผยแพร่ทางเว็บไซต์ www.dsdw.go.th 2) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทําแผนการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม พ.ศ. 2561 – 2564 รับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และนําข้อคิดเห็นมาประกอบการจัดทําร่างแผนกิจการเพื่อสังคมต่อไป 3) จัดงาน Kick off Social Enterprise : SE เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2561 ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเป็นการส่งเสริม สนับสนุน เผยแพร่ และประชาสัมพันธ์ ให้ภาคธุรกิจที่สนใจได้รับทราบและยื่นคําขอหนังสือรับรองกิจการเพื่อสังคม 4) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “สร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมกับงานพัฒนาสังคม (Social Enterprise: SE) ภายใต้งาน Thailand Social Expo เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2561 ณ ห้องประชุมฟินิกซ์ 5 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ซึ่งมี นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมฯ โดยมีการจัดเวทีวิชาการได้สะท้อนแง่คิดที่สําคัญเกี่ยวกับการพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคมในประเทศไทย การรับรองกิจการเพื่อสังคม และการสนับสนุน Social Enterprise ในหลากหลายมิติ และ 5) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาคําขอหนังสือรับรองกิจการเพื่อสังคม ซึ่งมีผู้ยื่นขอรับรองและผ่านการรับรองคุณสมบัติเป็นครั้งแรกในประเทศไทย จํานวน 15 กิจการ ได้แก่
1) บริษัท ดอยคําผลิตภัณฑ์อาหาร จํากัด 2) บริษัท เรย์วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด 3) บริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด 4) บริษัท เเดรี่โฮม จํากัด 5) บริษัท กาแฟอาข่า อ่ามา จํากัด 6) บริษัท สยามออร์แกนิค จํากัด 7) บริษัท แจสเบอร์รี่ จํากัด 8) กลุ่มเกษตรกรทํานา นาโส่ 9) มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ 10) บริษัท เด็กพิเศษ วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด 11) บริษัท ลุมพินี พร็อพเพอร์ตี้ เซอร์วิส แอนด์ แคร์ จํากัด 12) บริษัท คิดคิด จํากัด 13) มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรในพระอุปถัมภ์ฯ 14) สหกรณ์กรีนเนท จํากัด และ 15) บริษัท โลเคิล อไลค์ จํากัด โดยสถานประกอบการที่ได้รับการอนุมัติรับรองจะได้รับการสร้างภาพลักษณ์ขององค์กรแล้ว ยังสามารถได้รับสิทธิประโยชน์อื่นๆ อาทิ การยกเว้นภาษีเงินได้ ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 621) พ.ศ. 2559
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมพร้อมสนับสนุนสถานประกอบการที่เข้ามามีบทบาทร่วมกันในการดําเนินกิจการเพื่อสังคม โดยให้ทุกภาคส่วนได้ขับเคลื่อนประเทศในการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและชุมชนร่วมกัน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ต่อไป
...................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14957
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีกับสมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโชฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
|
วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน 2561
นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีกับสมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโชฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีกับสมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโชฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
วันนี้(5 เมษายน 2561) เวลา 8.30 น. ก่อนเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นําลุ่มน้ําโขงตอนล่าง ครั้งที่ 3 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าพบหารือทวิภาคีกับสมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน (Samdech Akka Moha Sena Padei Techo Hun Sen) นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ณ ห้องโบกอร์ สกขารีสอร์ท แอนด์ คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ (Sokha Siem Reap Resort & Convention Center) โดยภายหลังการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีกัมพูชารู้สึกยินดีที่ได้หารือกันอีกครั้ง หลังจากที่เคยพบปะกันเมื่อครั้งนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 2 ณ กรุงพนมเปญ พร้อมยินดีต่อความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างไทยและกัมพูชาที่มีความใกล้ชิดและแน่นแฟ้น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณต่อการต้อนรับที่อบอุ่นของกัมพูชา และเนื่องในโอกาส วันที่ 4 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา เป็นวันคล้ายวันเกิดของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายกรัฐมนตรีจึงได้กล่าวอวยพรในนามของรัฐบาลและตัวแทนประชาชนไทย ขอให้นายกรัฐมนตรีกัมพูชาและครอบครัวมีความสุข สุขภาพแข็งแรง ประสบความสําเร็จในหน้าที่การงาน และสมปรารถนาทุกประการ พร้อมขอให้การประชุมครั้งนี้ประสบความสําเร็จ เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้ประชาชนตามลุ่มน้ําโขง
ผู้นําทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะให้หารือร่วมกันอย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อเพิ่มพูนความร่วมมือทางด้านการค้า การลงทุน การเปิดจุดผ่านแดนระหว่างทั้งสองประเทศ และเส้นทางรถไฟ นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวว่า มูลค่าทางการค้าระหว่างไทยและกัมพูชาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประชาชนของทั้งประเทศต่างเดินทางไปมาหาสู่กันในปริมาณที่เพิ่มขึ้นทุกปี และความร่วมมือในปัจจุบันของทั้งสองประเทศมีความหลากหลายและครอบคลุมหลายประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องความร่วมมือด้านเส้นทางรถไฟระหว่างชายแดน ซึ่งไทยและกัมพูชาต้องร่วมมือกันต่อไปเพื่อประโยชน์ต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวถึง การประชุมสุดยอด ACMECS ครั้งที่ 8 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในปีนี้ และการจัดการประชุมสุดยอด CLMV ครั้งที่ 9 ซึ่งฝ่ายกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพในช่วงการประชุมสุดยอด ACMECS ที่ประเทศไทย นายกรัฐมนตรีหวังว่า กัมพูชาจะสนับสนุนร่างแผนแม่บท ACMECS (ACMECS Master Plan) และปฏิญญากรุงเทพฯ (Bangkok Declaration) ซึ่งจะเป็นเอกสารผลลัพธ์หลักของการประชุม ACMECS ครั้งที่ 8 นี้ สําหรับการประชุม CLMV ครั้งที่ 9 ซึ่งกัมพูชาเป็นเจ้าภาพนั้น ไทยยินดีประสานความร่วมมือในกรอบทั้งสองให้ส่งเสริมซึ่งกันและกันยิ่งขึ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีกับสมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโชฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน 2561
นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีกับสมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโชฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีกับสมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโชฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
วันนี้(5 เมษายน 2561) เวลา 8.30 น. ก่อนเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นําลุ่มน้ําโขงตอนล่าง ครั้งที่ 3 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าพบหารือทวิภาคีกับสมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน (Samdech Akka Moha Sena Padei Techo Hun Sen) นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ณ ห้องโบกอร์ สกขารีสอร์ท แอนด์ คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ (Sokha Siem Reap Resort & Convention Center) โดยภายหลังการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีกัมพูชารู้สึกยินดีที่ได้หารือกันอีกครั้ง หลังจากที่เคยพบปะกันเมื่อครั้งนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 2 ณ กรุงพนมเปญ พร้อมยินดีต่อความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างไทยและกัมพูชาที่มีความใกล้ชิดและแน่นแฟ้น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณต่อการต้อนรับที่อบอุ่นของกัมพูชา และเนื่องในโอกาส วันที่ 4 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา เป็นวันคล้ายวันเกิดของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายกรัฐมนตรีจึงได้กล่าวอวยพรในนามของรัฐบาลและตัวแทนประชาชนไทย ขอให้นายกรัฐมนตรีกัมพูชาและครอบครัวมีความสุข สุขภาพแข็งแรง ประสบความสําเร็จในหน้าที่การงาน และสมปรารถนาทุกประการ พร้อมขอให้การประชุมครั้งนี้ประสบความสําเร็จ เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้ประชาชนตามลุ่มน้ําโขง
ผู้นําทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะให้หารือร่วมกันอย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อเพิ่มพูนความร่วมมือทางด้านการค้า การลงทุน การเปิดจุดผ่านแดนระหว่างทั้งสองประเทศ และเส้นทางรถไฟ นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวว่า มูลค่าทางการค้าระหว่างไทยและกัมพูชาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประชาชนของทั้งประเทศต่างเดินทางไปมาหาสู่กันในปริมาณที่เพิ่มขึ้นทุกปี และความร่วมมือในปัจจุบันของทั้งสองประเทศมีความหลากหลายและครอบคลุมหลายประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องความร่วมมือด้านเส้นทางรถไฟระหว่างชายแดน ซึ่งไทยและกัมพูชาต้องร่วมมือกันต่อไปเพื่อประโยชน์ต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวถึง การประชุมสุดยอด ACMECS ครั้งที่ 8 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในปีนี้ และการจัดการประชุมสุดยอด CLMV ครั้งที่ 9 ซึ่งฝ่ายกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพในช่วงการประชุมสุดยอด ACMECS ที่ประเทศไทย นายกรัฐมนตรีหวังว่า กัมพูชาจะสนับสนุนร่างแผนแม่บท ACMECS (ACMECS Master Plan) และปฏิญญากรุงเทพฯ (Bangkok Declaration) ซึ่งจะเป็นเอกสารผลลัพธ์หลักของการประชุม ACMECS ครั้งที่ 8 นี้ สําหรับการประชุม CLMV ครั้งที่ 9 ซึ่งกัมพูชาเป็นเจ้าภาพนั้น ไทยยินดีประสานความร่วมมือในกรอบทั้งสองให้ส่งเสริมซึ่งกันและกันยิ่งขึ้น
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11349
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. แต่งตั้ง “นารถนารี รัฐปัตย์” ทำหน้าที่รักษาการกรรมการผู้จัดการ
|
วันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2562
ธพว. แต่งตั้ง “นารถนารี รัฐปัตย์” ทําหน้าที่รักษาการกรรมการผู้จัดการ
คณะกรรมการ ธพว. มีมติแต่งตั้ง “นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์” รองกรรมการผู้จัดการ ทําหน้าที่รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป
คณะกรรมการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) มีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ รองกรรมการผู้จัดการ เป็น รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ และธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความเห็นชอบแล้ว โดยให้มีอํานาจกระทําการแทนกรรมการผู้จัดการในกิจการของธนาคาร ตามความในมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย พ.ศ.2545 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ ปัจจุบัน อายุ 48 ปี
ประวัติการทํางาน
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) พ.ศ. 2546 – ปัจจุบัน
- รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ
- รองกรรมการผู้จัดการ รับผิดชอบเป้าหมายบริหารสินทรัพย์และNPLs กํากับดูแลสายงานบริหารคุณภาพสินเชื่อ กํากับดูแลสายงานบริหารสินทรัพย์ กํากับดูแลสายงานพัฒนาผู้ประกอบการและร่วมลงทุน และกํากับดูแลโครงการ Core Business Process System & ERP พ.ศ. 2561– ปัจจุบัน
- ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ รับผิดชอบสายงานพัฒนาผู้ประกอบการและร่วมลงทุน และรับผิดชอบสายงานสารสนเทศและสนับสนุนการบริหาร พ.ศ. 2558 – 2561
- ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ รับผิดชอบสายงานพัฒนาผู้ประกอบการและร่วมลงทุน และรับผิดชอบสายงาน ช่วยบริหาร พ.ศ. 2559 – 2560
- ผู้อํานวยการอาวุโส สํานักกรรมการผู้จัดการ พ.ศ. 2553 - 2558
- ผู้อํานวยการฝ่ายเร่งรัดหนี้ พ.ศ. 2550 - 2552
- รองผู้อํานวยการฝ่ายปรับโครงสร้างหนี้ พ.ศ. 2546 - 2549
ประวัติการศึกษา
1. นิติศาสตร์บัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2547-2549
2. บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (การเงิน), สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ พ.ศ. 2538-2540
3. วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต (วทบ.) Biotechnology, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2536-2539
4. วิทยาศาสตร์บัณฑิต (วทบ.) Bio-Chemistry, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2532-2535
ประวัติการฝึกอบรม
1. หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สําหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 22 (ปปร.22) วิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า พ.ศ.2561
2. Director Certification Program(DCP) 2017 #245/2017
3. Leadership Succession Program (LSP 6) year 2016
4. Thammasart Leadership Program (TLP 4) year 2014
5. Financial Executive Development Program (Finex21) from the Thai Institute of Banking and Finance Association.year 2010
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. แต่งตั้ง “นารถนารี รัฐปัตย์” ทำหน้าที่รักษาการกรรมการผู้จัดการ
วันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2562
ธพว. แต่งตั้ง “นารถนารี รัฐปัตย์” ทําหน้าที่รักษาการกรรมการผู้จัดการ
คณะกรรมการ ธพว. มีมติแต่งตั้ง “นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์” รองกรรมการผู้จัดการ ทําหน้าที่รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป
คณะกรรมการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) มีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ รองกรรมการผู้จัดการ เป็น รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ และธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความเห็นชอบแล้ว โดยให้มีอํานาจกระทําการแทนกรรมการผู้จัดการในกิจการของธนาคาร ตามความในมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย พ.ศ.2545 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ ปัจจุบัน อายุ 48 ปี
ประวัติการทํางาน
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) พ.ศ. 2546 – ปัจจุบัน
- รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ
- รองกรรมการผู้จัดการ รับผิดชอบเป้าหมายบริหารสินทรัพย์และNPLs กํากับดูแลสายงานบริหารคุณภาพสินเชื่อ กํากับดูแลสายงานบริหารสินทรัพย์ กํากับดูแลสายงานพัฒนาผู้ประกอบการและร่วมลงทุน และกํากับดูแลโครงการ Core Business Process System & ERP พ.ศ. 2561– ปัจจุบัน
- ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ รับผิดชอบสายงานพัฒนาผู้ประกอบการและร่วมลงทุน และรับผิดชอบสายงานสารสนเทศและสนับสนุนการบริหาร พ.ศ. 2558 – 2561
- ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ รับผิดชอบสายงานพัฒนาผู้ประกอบการและร่วมลงทุน และรับผิดชอบสายงาน ช่วยบริหาร พ.ศ. 2559 – 2560
- ผู้อํานวยการอาวุโส สํานักกรรมการผู้จัดการ พ.ศ. 2553 - 2558
- ผู้อํานวยการฝ่ายเร่งรัดหนี้ พ.ศ. 2550 - 2552
- รองผู้อํานวยการฝ่ายปรับโครงสร้างหนี้ พ.ศ. 2546 - 2549
ประวัติการศึกษา
1. นิติศาสตร์บัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2547-2549
2. บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (การเงิน), สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ พ.ศ. 2538-2540
3. วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต (วทบ.) Biotechnology, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2536-2539
4. วิทยาศาสตร์บัณฑิต (วทบ.) Bio-Chemistry, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2532-2535
ประวัติการฝึกอบรม
1. หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สําหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 22 (ปปร.22) วิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า พ.ศ.2561
2. Director Certification Program(DCP) 2017 #245/2017
3. Leadership Succession Program (LSP 6) year 2016
4. Thammasart Leadership Program (TLP 4) year 2014
5. Financial Executive Development Program (Finex21) from the Thai Institute of Banking and Finance Association.year 2010
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23516
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลแจงอย่าเชื่อข่าวลือปล่อยน้ำจากเขื่อนภูมิพลเข้ากรุงเทพฯ ชี้เป็นข้อมูลเก่าปี 54 แนะประชาชนตรวจสอบข่าวจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ป้องกันการบิดเบือน
|
วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม 2560
รัฐบาลแจงอย่าเชื่อข่าวลือปล่อยน้ําจากเขื่อนภูมิพลเข้ากรุงเทพฯ ชี้เป็นข้อมูลเก่าปี 54 แนะประชาชนตรวจสอบข่าวจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ป้องกันการบิดเบือน
กรณีที่มีการแชร์ข้อมูลในโซเชียลมีเดียว่า จะมีการปล่อยน้ําจากเขื่อนภูมิพลลงแม่น้ําเจ้าพระยา ผ่านคลองแสนแสบ เพื่อลงสู่แม่น้ําบางปะกง และจะทําให้น้ําท่วม กทม.
วันนี้ (14 ตุลาคม 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่มีการแชร์ข้อมูลในโซเชียลมีเดียว่า จะมีการปล่อยน้ําจากเขื่อนภูมิพลลงแม่น้ําเจ้าพระยา ผ่านคลองแสนแสบ เพื่อลงสู่แม่น้ําบางปะกง และจะทําให้น้ําท่วม กทม. ว่า
"เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยจากการตรวจสอบพบว่า เป็นข้อมูลที่มีการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ toptenthailand ตั้งแต่เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 54 จึงไม่ควรแชร์ส่งต่อกันจนเกิดความตื่นตระหนก ส่วนผู้ที่จงใจเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ อาจเข้าข่ายกระทําผิดกฎหมายได้"
ทั้งนี้ กรมชลประทานยืนยันว่าได้ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยปิดการระบายน้ําของเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ตั้งแต่วันที่ 5 ต.ค.60 เป็นต้นมา และขณะนี้ยังปิดอยู่ นอกจากนี้ เขื่อนภูมิพลยังสามารถรับน้ํา ได้อีกร้อยละ 30 ของความจุ จึงไม่ใช่เหตุผลที่จะปล่อยน้ําออกจากเขื่อนในช่วงนี้
ส่วนน้ําที่ปล่อยจากเขื่อนเจ้าพระยา เจ้าหน้าที่จะควบคุมปริมาณน้ํา และผันน้ําเข้าสู่พื้นที่เก็บน้ําทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกของแม่น้ําเจ้าพระยาอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะทําให้ระดับน้ําช่วง จ.ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา เพิ่มขึ้นไม่เกิน 5 ซม.เท่านั้น
"สําหรับเหตุการณ์น้ําท่วมขังในพื้นที่ กทม. หลายจุดในช่วงกลางดึกที่ผ่านมาจนถึงเช้าวันนี้นั้น เกิดจากฝนที่ตกหนักอันเนื่องมาจากอิทธิพลของร่องความกดอากาศต่ําหรือร่องฝนพาดผ่าน บริเวณภาคกลางตอนล่าง ภาคใต้ตอนบน และภาคตะวันออก ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้เร่งสูบน้ําออกจากพื้นที่เพื่อให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม ขอให้พี่น้องประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากทางราชการ หรือจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด หรือตื่นตระหนกกับข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง"
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลแจงอย่าเชื่อข่าวลือปล่อยน้ำจากเขื่อนภูมิพลเข้ากรุงเทพฯ ชี้เป็นข้อมูลเก่าปี 54 แนะประชาชนตรวจสอบข่าวจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ป้องกันการบิดเบือน
วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม 2560
รัฐบาลแจงอย่าเชื่อข่าวลือปล่อยน้ําจากเขื่อนภูมิพลเข้ากรุงเทพฯ ชี้เป็นข้อมูลเก่าปี 54 แนะประชาชนตรวจสอบข่าวจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ป้องกันการบิดเบือน
กรณีที่มีการแชร์ข้อมูลในโซเชียลมีเดียว่า จะมีการปล่อยน้ําจากเขื่อนภูมิพลลงแม่น้ําเจ้าพระยา ผ่านคลองแสนแสบ เพื่อลงสู่แม่น้ําบางปะกง และจะทําให้น้ําท่วม กทม.
วันนี้ (14 ตุลาคม 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่มีการแชร์ข้อมูลในโซเชียลมีเดียว่า จะมีการปล่อยน้ําจากเขื่อนภูมิพลลงแม่น้ําเจ้าพระยา ผ่านคลองแสนแสบ เพื่อลงสู่แม่น้ําบางปะกง และจะทําให้น้ําท่วม กทม. ว่า
"เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยจากการตรวจสอบพบว่า เป็นข้อมูลที่มีการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ toptenthailand ตั้งแต่เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 54 จึงไม่ควรแชร์ส่งต่อกันจนเกิดความตื่นตระหนก ส่วนผู้ที่จงใจเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ อาจเข้าข่ายกระทําผิดกฎหมายได้"
ทั้งนี้ กรมชลประทานยืนยันว่าได้ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยปิดการระบายน้ําของเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ตั้งแต่วันที่ 5 ต.ค.60 เป็นต้นมา และขณะนี้ยังปิดอยู่ นอกจากนี้ เขื่อนภูมิพลยังสามารถรับน้ํา ได้อีกร้อยละ 30 ของความจุ จึงไม่ใช่เหตุผลที่จะปล่อยน้ําออกจากเขื่อนในช่วงนี้
ส่วนน้ําที่ปล่อยจากเขื่อนเจ้าพระยา เจ้าหน้าที่จะควบคุมปริมาณน้ํา และผันน้ําเข้าสู่พื้นที่เก็บน้ําทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกของแม่น้ําเจ้าพระยาอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะทําให้ระดับน้ําช่วง จ.ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา เพิ่มขึ้นไม่เกิน 5 ซม.เท่านั้น
"สําหรับเหตุการณ์น้ําท่วมขังในพื้นที่ กทม. หลายจุดในช่วงกลางดึกที่ผ่านมาจนถึงเช้าวันนี้นั้น เกิดจากฝนที่ตกหนักอันเนื่องมาจากอิทธิพลของร่องความกดอากาศต่ําหรือร่องฝนพาดผ่าน บริเวณภาคกลางตอนล่าง ภาคใต้ตอนบน และภาคตะวันออก ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้เร่งสูบน้ําออกจากพื้นที่เพื่อให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม ขอให้พี่น้องประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากทางราชการ หรือจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด หรือตื่นตระหนกกับข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง"
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7408
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ร่วมงาน Thailand Smart Money สัญจรอุบลราชธานี ครั้งที่ 6
|
วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม 2561
ธ.ก.ส. ร่วมงาน Thailand Smart Money สัญจรอุบลราชธานี ครั้งที่ 6
ธ.ก.ส. เปิดรับฝาก สลากออมทรัพย์ทวีสิน ชุด “เกษตรมั่นคง 2” พร้อมนําผลิตภัณฑ์เงินฝากและสินเชื่อ ร่วมงาน Thailand Smart Money สัญจรอุบลราชธานี ครั้งที่ 6 ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น 1 ศูนย์การค้า เซ็นทรัล พลาซา จังหวัดอุบลราชธานี วันที่ 6 – 8 กรกฎาคม 2561
นายสมเกียรติ กิมาวหา ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ในงาน Thailand Smart Money สัญจรอุบลราชธานี ครั้งที่ 6 โดยจัดขึ้น ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น 1 ศูนย์การค้า เซ็นทรัลพลาซา จังหวัดอุบลราชธานี ธ.ก.ส. ได้นําผลิตภัณฑ์ทางการเงินและสินเชื่อต่าง ๆ เข้าให้บริการภายในงาน โดยมีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ คือ สลากออมทรัพย์ทวีสิน ชุด เกษตรมั่นคง 2 หน่วยละ 500 บาท อายุรับฝาก 3 ปี มีสิทธิ์ตรวจรางวัล 36 ครั้ง ฝากครบกําหนดรับดอกเบี้ยหน่วยละ 5 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.33 ต่อปี กรณีฝากตั้งแต่ 500,000 บาทขึ้นไป รับผลตอบแทนร้อยละ 1.293 ต่อปี ฝากตั้งแต่ 5,000,000 บาทขึ้นไป รับผลตอบแทน ร้อยละ 1.365 ต่อปี ลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 20 ล้านบาท มูลค่าเงินรางวัลรวม 75,850,000 บาท ต่องวด โปรโมชั่นพิเศษ ฝากภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2561 มีสิทธิ์ลุ้นเงินรางวัลและทองคําแท่ง ถึง 3 ครั้ง มูลค่ารวมกว่า 12 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมี เงินฝาก Senior Savings สําหรับผู้มีอายุ 50 ปีขึ้นไป เปิดบัญชี ได้คนละ 1 บัญชี ฝากได้สูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาท ยอดเงินคงเหลือตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป รับดอกเบี้ยร้อยละ 0.99 ต่อปี เงินฝาก A-Savings สะดวกและง่ายผ่าน Smart Phone ดอกเบี้ยทบต้นปีละ 2 ครั้ง เงินฝากประจําปลอดภาษี 24 เดือน ฝากตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน รับดอกเบี้ยร้อยละ 2.50 ต่อปี เงินฝากออมทรัพย์ทวีโชค ฝากเงินลุ้นรางวัล ระดับจังหวัดปีละ 2 ครั้ง และระดับประเทศอีกปีละ 1 ครั้ง
ด้านบริการสินเชื่อ มีบริการโครงการสินเชื่อ SMEs เกษตร (ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยร้อยละ 4% ต่อปี) สินเชื่อระยะสั้นประเภทตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) สินเชื่อเบิกเงินเกินบัญชี (O/D) สินเชื่อ Green Credit และสินเชื่อสานฝันเกษตรกรรุ่นใหม่ (Young Smart Farmer) และสินเชื่อเพื่อประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ของเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย พร้อมบริการด้านอื่น ๆ พิเศษ! สําหรับผู้ที่ทําธุรกรรมการเงินภายในบูธ ธ.ก.ส. รับของ
ที่ระลึกมากมาย ฟรีทันที เช่น กระเป๋า 3 in 1 หมอนรองคอแสนสบาย Mini Magic Fan ปิ่นโตอิ่มอร่อย กระเป๋าเป้เที่ยวเพลิน เป็นต้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ร่วมงาน Thailand Smart Money สัญจรอุบลราชธานี ครั้งที่ 6
วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม 2561
ธ.ก.ส. ร่วมงาน Thailand Smart Money สัญจรอุบลราชธานี ครั้งที่ 6
ธ.ก.ส. เปิดรับฝาก สลากออมทรัพย์ทวีสิน ชุด “เกษตรมั่นคง 2” พร้อมนําผลิตภัณฑ์เงินฝากและสินเชื่อ ร่วมงาน Thailand Smart Money สัญจรอุบลราชธานี ครั้งที่ 6 ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น 1 ศูนย์การค้า เซ็นทรัล พลาซา จังหวัดอุบลราชธานี วันที่ 6 – 8 กรกฎาคม 2561
นายสมเกียรติ กิมาวหา ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ในงาน Thailand Smart Money สัญจรอุบลราชธานี ครั้งที่ 6 โดยจัดขึ้น ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น 1 ศูนย์การค้า เซ็นทรัลพลาซา จังหวัดอุบลราชธานี ธ.ก.ส. ได้นําผลิตภัณฑ์ทางการเงินและสินเชื่อต่าง ๆ เข้าให้บริการภายในงาน โดยมีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ คือ สลากออมทรัพย์ทวีสิน ชุด เกษตรมั่นคง 2 หน่วยละ 500 บาท อายุรับฝาก 3 ปี มีสิทธิ์ตรวจรางวัล 36 ครั้ง ฝากครบกําหนดรับดอกเบี้ยหน่วยละ 5 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.33 ต่อปี กรณีฝากตั้งแต่ 500,000 บาทขึ้นไป รับผลตอบแทนร้อยละ 1.293 ต่อปี ฝากตั้งแต่ 5,000,000 บาทขึ้นไป รับผลตอบแทน ร้อยละ 1.365 ต่อปี ลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 20 ล้านบาท มูลค่าเงินรางวัลรวม 75,850,000 บาท ต่องวด โปรโมชั่นพิเศษ ฝากภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2561 มีสิทธิ์ลุ้นเงินรางวัลและทองคําแท่ง ถึง 3 ครั้ง มูลค่ารวมกว่า 12 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมี เงินฝาก Senior Savings สําหรับผู้มีอายุ 50 ปีขึ้นไป เปิดบัญชี ได้คนละ 1 บัญชี ฝากได้สูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาท ยอดเงินคงเหลือตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป รับดอกเบี้ยร้อยละ 0.99 ต่อปี เงินฝาก A-Savings สะดวกและง่ายผ่าน Smart Phone ดอกเบี้ยทบต้นปีละ 2 ครั้ง เงินฝากประจําปลอดภาษี 24 เดือน ฝากตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน รับดอกเบี้ยร้อยละ 2.50 ต่อปี เงินฝากออมทรัพย์ทวีโชค ฝากเงินลุ้นรางวัล ระดับจังหวัดปีละ 2 ครั้ง และระดับประเทศอีกปีละ 1 ครั้ง
ด้านบริการสินเชื่อ มีบริการโครงการสินเชื่อ SMEs เกษตร (ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยร้อยละ 4% ต่อปี) สินเชื่อระยะสั้นประเภทตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) สินเชื่อเบิกเงินเกินบัญชี (O/D) สินเชื่อ Green Credit และสินเชื่อสานฝันเกษตรกรรุ่นใหม่ (Young Smart Farmer) และสินเชื่อเพื่อประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ของเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย พร้อมบริการด้านอื่น ๆ พิเศษ! สําหรับผู้ที่ทําธุรกรรมการเงินภายในบูธ ธ.ก.ส. รับของ
ที่ระลึกมากมาย ฟรีทันที เช่น กระเป๋า 3 in 1 หมอนรองคอแสนสบาย Mini Magic Fan ปิ่นโตอิ่มอร่อย กระเป๋าเป้เที่ยวเพลิน เป็นต้น
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13651
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.