title
stringlengths
0
33.4k
context
stringlengths
0
133k
raw
stringlengths
39
133k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาชิก กอช. ที่เป็นแรงงานนอกระบบ หรือประกอบอาชีพอิสระไม่มีนายจ้าง ได้รับผลกระทบโควิด-19 ลงทะเบียนรับเงินเยียวยา 5,000 บาท เริ่ม 28 มีนาคมนี้! [กระทรวงการคลัง]
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563 สมาชิก กอช. ที่เป็นแรงงานนอกระบบ หรือประกอบอาชีพอิสระไม่มีนายจ้าง ได้รับผลกระทบโควิด-19 ลงทะเบียนรับเงินเยียวยา 5,000 บาท เริ่ม 28 มีนาคมนี้! [กระทรวงการคลัง] กอช. แนะสมาชิก กอช. ที่เป็นแรงงานนอกระบบ หรือประกอบอาชีพอิสระที่ไม่มีนายจ้าง ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกําหนด จะได้รับเงินช่วยเหลือรายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. แนะสมาชิก กอช. ที่เป็นแรงงานนอกระบบ หรือประกอบอาชีพอิสระที่ไม่มีนายจ้าง ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกําหนด จะได้รับเงินช่วยเหลือรายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน (เมษายน – มิถุนายน 2563) โดยเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม 2563 เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ผ่านเว็บไซต์ เราไม่ทิ้งกัน “www.เราไม่ทิ้งกัน.com” นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า จากมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 นั้น สมาชิก กอช. ที่เป็นแรงงานนอกระบบ หรือประกอบอาชีพอิสระที่ไม่มีนายจ้าง ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) สามารถลงทะเบียนได้ ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม 2563 เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ผ่านเว็บไซต์ เราไม่ทิ้งกัน “www.เราไม่ทิ้งกัน.com” โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือของตนเอง เพื่อระบบจะได้แจ้งผลการลงทะเบียนและสิทธิตามมาตรการให้ผู้ลงทะเบียนผ่านทางข้อความ SMS ในส่วนของการรับเงินเยียวยาจะสามารถรับได้ 2 ช่องทาง ได้แก่ ช่องทางแรก ผ่านบัญชีธนาคารที่มีชื่อและนามสกุลเจ้าของบัญชีตรงกับชื่อและนามสกุลที่นํามาลงทะเบียน หรือ ช่องทางพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขบัตรประจําตัวประชาชน เท่านั้น ทั้งนี้ ผู้ที่ลงทะเบียนและผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกําหนดจะได้รับเงินช่วยเหลือรายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน (เมษายน – มิถุนายน 2563) “คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บํานาญ”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาชิก กอช. ที่เป็นแรงงานนอกระบบ หรือประกอบอาชีพอิสระไม่มีนายจ้าง ได้รับผลกระทบโควิด-19 ลงทะเบียนรับเงินเยียวยา 5,000 บาท เริ่ม 28 มีนาคมนี้! [กระทรวงการคลัง] วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563 สมาชิก กอช. ที่เป็นแรงงานนอกระบบ หรือประกอบอาชีพอิสระไม่มีนายจ้าง ได้รับผลกระทบโควิด-19 ลงทะเบียนรับเงินเยียวยา 5,000 บาท เริ่ม 28 มีนาคมนี้! [กระทรวงการคลัง] กอช. แนะสมาชิก กอช. ที่เป็นแรงงานนอกระบบ หรือประกอบอาชีพอิสระที่ไม่มีนายจ้าง ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกําหนด จะได้รับเงินช่วยเหลือรายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. แนะสมาชิก กอช. ที่เป็นแรงงานนอกระบบ หรือประกอบอาชีพอิสระที่ไม่มีนายจ้าง ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกําหนด จะได้รับเงินช่วยเหลือรายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน (เมษายน – มิถุนายน 2563) โดยเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม 2563 เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ผ่านเว็บไซต์ เราไม่ทิ้งกัน “www.เราไม่ทิ้งกัน.com” นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า จากมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 นั้น สมาชิก กอช. ที่เป็นแรงงานนอกระบบ หรือประกอบอาชีพอิสระที่ไม่มีนายจ้าง ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) สามารถลงทะเบียนได้ ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม 2563 เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ผ่านเว็บไซต์ เราไม่ทิ้งกัน “www.เราไม่ทิ้งกัน.com” โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือของตนเอง เพื่อระบบจะได้แจ้งผลการลงทะเบียนและสิทธิตามมาตรการให้ผู้ลงทะเบียนผ่านทางข้อความ SMS ในส่วนของการรับเงินเยียวยาจะสามารถรับได้ 2 ช่องทาง ได้แก่ ช่องทางแรก ผ่านบัญชีธนาคารที่มีชื่อและนามสกุลเจ้าของบัญชีตรงกับชื่อและนามสกุลที่นํามาลงทะเบียน หรือ ช่องทางพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขบัตรประจําตัวประชาชน เท่านั้น ทั้งนี้ ผู้ที่ลงทะเบียนและผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกําหนดจะได้รับเงินช่วยเหลือรายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน (เมษายน – มิถุนายน 2563) “คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บํานาญ”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27996
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนสิงหาคม 2562
วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2562 ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจําเดือนสิงหาคม 2562 ดัชนี RSI เดือนสิงหาคม 2562 ชี้แนวโน้มอนาคตเศรษฐกิจที่ยังทรงตัว โดยควรเฝ้าระวังสถานการณ์เศรษฐกิจของภาคกลาง โดยเฉพาะในภาคเกษตร อย่างไรก็ดี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก ยังมีทิศทางขยายตัวจากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการเป็นปัจจัยสนับสนุน นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อํานวยการสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนสิงหาคม 2562 ว่า “การประมวลผลข้อมูลการสํารวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัดล่าสุด จากสํานักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ (คาดการณ์ 6 เดือนข้างหน้า) ยังทรงตัว โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก ยังมีทิศทางขยายตัวจากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการเป็นปัจจัยสนับสนุน ขณะที่ควรเฝ้าระวังสถานการณ์เศรษฐกิจของภาคกลาง โดยเฉพาะในภาคเกษตร” ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยังคงขยายตัวอยู่ที่ระดับ 67.8 โดยใน 6 เดือนข้างหน้า จะได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคบริการและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจพื้นฐาน เช่น สนามบิน เส้นทางการคมนาคมขนส่งที่สะดวกขึ้น ทําให้เมืองขยายตัว แต่คาดว่าจะมีผู้ประกอบการชะลอการลงทุนในอีกหลายจังหวัด ประกอบกับมีจํานวนนักท่องเที่ยวไทยเพิ่มเติมชดเชยกับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ขยายตัวน้อยกว่า สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออก ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ที่ระดับ 65.6 จากแนวโน้มภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการที่ดี เนื่องจากมีการส่งเสริมจากภาครัฐ และมีการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในภูมิภาค ในส่วนของภาคบริการ ถึงแม้จะมีการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง แต่เริ่มเข้าสู่ฤดูฝน ซึ่งอาจทําให้การท่องเที่ยวลดลงในบางจังหวัดของภาคตะวันออก สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคเหนือ ยังมีทิศทางการขยายตัวที่ดีอยู่ที่ 63.8 เนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนจากแนวโน้มของภาคบริการและภาคการลงทุน โดยภาคบริการคาดว่าขยายตัวเนื่องจากเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว แต่มีปัจจัยฉุดรั้งจากจํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่แข็งค่า ทําให้ค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้ามาท่องเที่ยว สําหรับภาคการลงทุน คาดว่ามีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคและการท่องเที่ยวภายในประเทศ แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนบางส่วนยังรอดูนโยบายของรัฐบาลที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคใต้ ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ที่ระดับ 63.2 โดยจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการบริการและภาคลงทุนเป็นหลัก ในส่วนของภาคการบริการ เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ส่งผลให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ในส่วนของภาคการลงทุน คาดว่าปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาล ประกอบกับนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐในทุกภาคส่วน อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ทําให้ในบางจังหวัดยังมีการชะลอการลงทุนอยู่บ้าง สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันตก ขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 62.2 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการบริการและภาคเกษตรเป็นหลัก โดยคาดว่าภาคบริการจะขยายตัวจากการท่องเที่ยวส่งผลให้การจ้างงานเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม นโยบายปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ําอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนเพิ่มของผู้ประกอบการเช่นกัน ส่วนภาคเกษตรคาดว่าจะเป็นผลมาจากการคาดการณ์แนวโน้มภาคเกษตรภาพรวม 6 เดือนข้างหน้ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เนื่องจากเข้าสู่ฤดูกาลเพาะปลูก ประกอบกับมีการดําเนินนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนด้านการเกษตรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อย่างต่อเนื่อง แต่ในส่วนของการลงทุนในภาคการประมง เกษตรกรยังคงรอดูการสนับสนุนจากรัฐบาล สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ กทม. และปริมณฑล ขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 61.1 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ โดยในส่วนของภาคอุตสาหกรรม ได้อานิสงส์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่ยังคงมีบางจังหวัดที่รายงานว่าจะมีแนวโน้มของภาคอุตสาหกรรมหดตัวลง เช่น จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดนนทบุรี ในส่วนของภาคบริการ คาดว่าจะขยายตัวจากนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล และในภาพรวมมีแนวโน้มจะขยายตัวเพิ่มขึ้น สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคกลาง ชะลอลงมาอยู่ที่ 56.3 โดยควรเฝ้าระวังสถานการณ์ในภาคเกษตร เนื่องจากคาดว่าปริมาณน้ําสําหรับการเกษตรน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ประกอบกับในบางจังหวัดเกิดการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืช ตารางสรุปดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ปี 2562 (ณ เดือนสิงหาคม 2562) กทม. และปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคตะวันออก เฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก ภาพรวม ดัชนีความเชื่อมั่น อนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค 61.1 65.6 67.8 63.2 56.3 63.8 62.2 ดัชนีแนวโน้มรายภาค 1) ภาคเกษตร 58.4 55.5 66.7 61.9 50.9 58.7 66.9 2) ภาคอุตสาหกรรม 68.4 80.0 69.1 55.4 52.2 61.8 56.4 3) ภาคบริการ 72.7 67.5 69.4 75.9 68.0 71.4 71.8 4) ภาคการจ้างงาน 55.3 59.3 65.4 57.7 55.0 62.6 56.4 5) ภาคการลงทุน 50.7 65.7 68.6 65.2 55.4 64.3 59.3
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนสิงหาคม 2562 วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2562 ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจําเดือนสิงหาคม 2562 ดัชนี RSI เดือนสิงหาคม 2562 ชี้แนวโน้มอนาคตเศรษฐกิจที่ยังทรงตัว โดยควรเฝ้าระวังสถานการณ์เศรษฐกิจของภาคกลาง โดยเฉพาะในภาคเกษตร อย่างไรก็ดี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก ยังมีทิศทางขยายตัวจากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการเป็นปัจจัยสนับสนุน นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อํานวยการสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนสิงหาคม 2562 ว่า “การประมวลผลข้อมูลการสํารวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัดล่าสุด จากสํานักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ (คาดการณ์ 6 เดือนข้างหน้า) ยังทรงตัว โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก ยังมีทิศทางขยายตัวจากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการเป็นปัจจัยสนับสนุน ขณะที่ควรเฝ้าระวังสถานการณ์เศรษฐกิจของภาคกลาง โดยเฉพาะในภาคเกษตร” ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยังคงขยายตัวอยู่ที่ระดับ 67.8 โดยใน 6 เดือนข้างหน้า จะได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคบริการและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจพื้นฐาน เช่น สนามบิน เส้นทางการคมนาคมขนส่งที่สะดวกขึ้น ทําให้เมืองขยายตัว แต่คาดว่าจะมีผู้ประกอบการชะลอการลงทุนในอีกหลายจังหวัด ประกอบกับมีจํานวนนักท่องเที่ยวไทยเพิ่มเติมชดเชยกับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ขยายตัวน้อยกว่า สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออก ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ที่ระดับ 65.6 จากแนวโน้มภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการที่ดี เนื่องจากมีการส่งเสริมจากภาครัฐ และมีการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในภูมิภาค ในส่วนของภาคบริการ ถึงแม้จะมีการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง แต่เริ่มเข้าสู่ฤดูฝน ซึ่งอาจทําให้การท่องเที่ยวลดลงในบางจังหวัดของภาคตะวันออก สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคเหนือ ยังมีทิศทางการขยายตัวที่ดีอยู่ที่ 63.8 เนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนจากแนวโน้มของภาคบริการและภาคการลงทุน โดยภาคบริการคาดว่าขยายตัวเนื่องจากเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว แต่มีปัจจัยฉุดรั้งจากจํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่แข็งค่า ทําให้ค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้ามาท่องเที่ยว สําหรับภาคการลงทุน คาดว่ามีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคและการท่องเที่ยวภายในประเทศ แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนบางส่วนยังรอดูนโยบายของรัฐบาลที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคใต้ ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ที่ระดับ 63.2 โดยจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการบริการและภาคลงทุนเป็นหลัก ในส่วนของภาคการบริการ เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ส่งผลให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ในส่วนของภาคการลงทุน คาดว่าปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาล ประกอบกับนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐในทุกภาคส่วน อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ทําให้ในบางจังหวัดยังมีการชะลอการลงทุนอยู่บ้าง สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันตก ขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 62.2 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการบริการและภาคเกษตรเป็นหลัก โดยคาดว่าภาคบริการจะขยายตัวจากการท่องเที่ยวส่งผลให้การจ้างงานเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม นโยบายปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ําอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนเพิ่มของผู้ประกอบการเช่นกัน ส่วนภาคเกษตรคาดว่าจะเป็นผลมาจากการคาดการณ์แนวโน้มภาคเกษตรภาพรวม 6 เดือนข้างหน้ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เนื่องจากเข้าสู่ฤดูกาลเพาะปลูก ประกอบกับมีการดําเนินนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนด้านการเกษตรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อย่างต่อเนื่อง แต่ในส่วนของการลงทุนในภาคการประมง เกษตรกรยังคงรอดูการสนับสนุนจากรัฐบาล สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ กทม. และปริมณฑล ขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 61.1 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ โดยในส่วนของภาคอุตสาหกรรม ได้อานิสงส์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่ยังคงมีบางจังหวัดที่รายงานว่าจะมีแนวโน้มของภาคอุตสาหกรรมหดตัวลง เช่น จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดนนทบุรี ในส่วนของภาคบริการ คาดว่าจะขยายตัวจากนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล และในภาพรวมมีแนวโน้มจะขยายตัวเพิ่มขึ้น สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคกลาง ชะลอลงมาอยู่ที่ 56.3 โดยควรเฝ้าระวังสถานการณ์ในภาคเกษตร เนื่องจากคาดว่าปริมาณน้ําสําหรับการเกษตรน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ประกอบกับในบางจังหวัดเกิดการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืช ตารางสรุปดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ปี 2562 (ณ เดือนสิงหาคม 2562) กทม. และปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคตะวันออก เฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก ภาพรวม ดัชนีความเชื่อมั่น อนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค 61.1 65.6 67.8 63.2 56.3 63.8 62.2 ดัชนีแนวโน้มรายภาค 1) ภาคเกษตร 58.4 55.5 66.7 61.9 50.9 58.7 66.9 2) ภาคอุตสาหกรรม 68.4 80.0 69.1 55.4 52.2 61.8 56.4 3) ภาคบริการ 72.7 67.5 69.4 75.9 68.0 71.4 71.8 4) ภาคการจ้างงาน 55.3 59.3 65.4 57.7 55.0 62.6 56.4 5) ภาคการลงทุน 50.7 65.7 68.6 65.2 55.4 64.3 59.3
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22584
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ออมสิน จัดโปรโมชั่นแรงในงาน Money Expo Udonthani 2018 ชูสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัย วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท ดอกเบี้ย 0% นาน 2 ปี สินเชื่อบ้าน ดอกเบี้ยต่ำ 0% 6 เดือน
วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม 2561 ธ.ออมสิน จัดโปรโมชั่นแรงในงาน Money Expo Udonthani 2018 ชูสินเชื่อที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงวัย วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท ดอกเบี้ย 0% นาน 2 ปี สินเชื่อบ้าน ดอกเบี้ยต่ํา 0% 6 เดือน ธนาคารออมสินเข้าร่วมงานมหกรรมการเงินอุดรธานี ครั้งที่ 6 Money Expo Udonthani 2018 จ.อุดรธานี ระหว่างวันที่ 5-7 ตุลาคม 2561 ณ อุดรธานีฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา อุดรธานี นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินเข้าร่วมงานมหกรรมการเงินอุดรธานี ครั้งที่ 6 Money Expo Udonthani 2018 จ.อุดรธานี ระหว่างวันที่ 5-7 ตุลาคม 2561 ณ อุดรธานีฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา อุดรธานี โดยธนาคารออมสินนําเสนอโปรโมชั่นพิเศษทางการเงิน ที่จะเชิญชวนให้ผู้เที่ยวชมงานร่วมก้าวสู่ความมั่งคั่ง มั่นคง ยั่งยืนกับธนาคารออมสิน ตอบโจทย์ของชีวิตคนไทยมิติใหม่ สู่ยุค 5.0 ด้วยการจัดดอกเบี้ยอัตราพิเศษเอาใจชาวอีสาน สินเชื่อที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงวัย (Reverse Mortgage) “เริ่มต้นชีวิตหลังเกษียณอย่างสบายใจ ให้บ้านตอบแทนคุณ” เงินกู้สําหรับนําไปเป็นค่าใช้จ่ายในการครองชีพ โดยนําที่อยู่อาศัย ได้แก่ บ้านพร้อมที่ดินหรือห้องชุด ที่ตนเองเป็นเจ้าของมาค้ําประกันสินเชื่อ คุณสมบัติผู้กู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 80 ปี วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท กําหนดอัตราดอกเบี้ยพิเศษสุด คือ 2 ปีแรก = 0% ปีที่ 3 เป็นต้นไป = MRR-1.00% หรือเฉลี่ย 3 ปี = 2.00% (อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารออมสินปัจจุบันอยู่ที่ 7.00% ต่อปี) สินเชื่อเคหะกตัญญูดูแลบุพการี เพื่อซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างหรืออาคารชุด รวมถึงปลูกสร้างต่อเติม ซ่อมแซมอาคารและไถ่ถอนจํานองที่ดินและอาคารหรือห้องชุดของผู้กู้หรือคู่สมรสโดยผู้กู้อาศัยอยู่ร่วมกับบิดามารดาและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน มีหลักฐานการลดหย่อนภาษีค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดา มารดา อันเป็นการตอบแทนบุญคุณบุพการี อัตราดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปี พร้อมกันนี้ นําเสนอ สินเชื่อเคหะ สําหรับผู้ต้องการซื้อ สร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจํานอง อัตราดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน และ สินเชื่อ GSB HOME LOAN สําหรับผู้มีรายได้ประจํา ผู้ประกอบวิชาชีพเฉพาะ ต้องการซื้อ สร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจํานองจากสถาบันการเงินอื่น ดอกเบี้ย คงที่ 3.50% นาน 5 ปี นอกจากนี้ ยังมี สินเชื่อ GSB SMEs Start-Up No.1 สําหรับผู้ประกอบการที่ต้องการก้าวสู่ธุรกิจรายย่อย เพียงมีไอเดียและนวัตกรรมใหม่ๆ น่าสนใจ วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย ปีแรก 2.99% ต่อปี สินเชื่อบัตรเงินสด Prima Card อนุมัติวงเงินสูงสุด 5 เท่าของรายได้ ดอกเบี้ยเพียง 19% ต่อปี ฟรี! ค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี สินเชื่อชีวิตสุขสันต์ อนุมัติไว วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาท(L/T) และ 10 ล้านบาท(O/D) ใช้สลากออมสินเป็นหลักประกัน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.50 ต่อปี สําหรับผู้รักการออม ธนาคารนําเสนอ เงินฝากเผื่อเรียกประชารัฐผู้สูงวัย เปิดรับฝากสําหรับบุคคลธรรมดา อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป อัตราดอกเบี้ย 1.00% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยยกเว้นภาษี เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษผู้สูงวัย 24 เดือน รับฝากเฉพาะบุคคลธรรมดาอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เปิดบัญชีขั้นต่ํา 10,000 บาท เปิดได้คนละ 1 บัญชี ฝากสูงสุดรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ระยะเวลารับฝาก 24 เดือน อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได (Step Up) เดือนที่ 1-6 = 1.00% ต่อปี เดือนที่ 7-12 = 1.50% ต่อปี เดือนที่ 13-18 = 2.00% ต่อปี และ เดือนที่ 19-24 = 3.00% ต่อปี คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.875% ต่อปี (เทียบเท่าเงินฝากประจํา 2.206% ต่อปี) นอกจากนี้ยังมีเงินฝากสําหรับเยาวชนอายุ 7-23 ปี ด้วย เงินฝาก Youth Savings ดอกเบี้ยสูงถึง 1.25 % ต่อปี เปิดบัญชีขั้นต่ํา 100 บาท เงินฝาก Digital Savings อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี เปิดบัญชีขั้นต่ํา 1,000 บาท เปิดรับฝากเฉพาะผู้ที่มีอายุ 15 ปี ขึ้นไป มีเงื่อนไขการรับฝากด้วยการใช้บริการบัตรเดบิต และบริการ MyMo “นอกเหนือจากบรรยากาศของบูธที่จะจูงใจให้ผู้ร่วมงานได้รับความอบอุ่นแล้ว ยังมีโปรโมชั่นพิเศษมากมายดังกล่าว ที่เป็นจุดเด่นของบูธธนาคารออมสิน อีกทั้งผู้เข้าชมบูธและใช้บริการ จะได้รับของที่ระลึกจากโปรโมชั่นผลิตภัณฑ์ทางการเงินทุกประเภทมากมาย พร้อมกับกิจกรรมที่น่าสนใจและความบันเทิงหลากหลายที่ธนาคารฯ ได้จัดเตรียมไว้ให้ลูกค้าและผู้เข้าชมงานได้ร่วมสนุกสนานเพลิดเพลินตลอดทั้งงาน” ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าวในที่สุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ออมสิน จัดโปรโมชั่นแรงในงาน Money Expo Udonthani 2018 ชูสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัย วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท ดอกเบี้ย 0% นาน 2 ปี สินเชื่อบ้าน ดอกเบี้ยต่ำ 0% 6 เดือน วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม 2561 ธ.ออมสิน จัดโปรโมชั่นแรงในงาน Money Expo Udonthani 2018 ชูสินเชื่อที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงวัย วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท ดอกเบี้ย 0% นาน 2 ปี สินเชื่อบ้าน ดอกเบี้ยต่ํา 0% 6 เดือน ธนาคารออมสินเข้าร่วมงานมหกรรมการเงินอุดรธานี ครั้งที่ 6 Money Expo Udonthani 2018 จ.อุดรธานี ระหว่างวันที่ 5-7 ตุลาคม 2561 ณ อุดรธานีฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา อุดรธานี นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินเข้าร่วมงานมหกรรมการเงินอุดรธานี ครั้งที่ 6 Money Expo Udonthani 2018 จ.อุดรธานี ระหว่างวันที่ 5-7 ตุลาคม 2561 ณ อุดรธานีฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา อุดรธานี โดยธนาคารออมสินนําเสนอโปรโมชั่นพิเศษทางการเงิน ที่จะเชิญชวนให้ผู้เที่ยวชมงานร่วมก้าวสู่ความมั่งคั่ง มั่นคง ยั่งยืนกับธนาคารออมสิน ตอบโจทย์ของชีวิตคนไทยมิติใหม่ สู่ยุค 5.0 ด้วยการจัดดอกเบี้ยอัตราพิเศษเอาใจชาวอีสาน สินเชื่อที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงวัย (Reverse Mortgage) “เริ่มต้นชีวิตหลังเกษียณอย่างสบายใจ ให้บ้านตอบแทนคุณ” เงินกู้สําหรับนําไปเป็นค่าใช้จ่ายในการครองชีพ โดยนําที่อยู่อาศัย ได้แก่ บ้านพร้อมที่ดินหรือห้องชุด ที่ตนเองเป็นเจ้าของมาค้ําประกันสินเชื่อ คุณสมบัติผู้กู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 80 ปี วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท กําหนดอัตราดอกเบี้ยพิเศษสุด คือ 2 ปีแรก = 0% ปีที่ 3 เป็นต้นไป = MRR-1.00% หรือเฉลี่ย 3 ปี = 2.00% (อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารออมสินปัจจุบันอยู่ที่ 7.00% ต่อปี) สินเชื่อเคหะกตัญญูดูแลบุพการี เพื่อซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างหรืออาคารชุด รวมถึงปลูกสร้างต่อเติม ซ่อมแซมอาคารและไถ่ถอนจํานองที่ดินและอาคารหรือห้องชุดของผู้กู้หรือคู่สมรสโดยผู้กู้อาศัยอยู่ร่วมกับบิดามารดาและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน มีหลักฐานการลดหย่อนภาษีค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดา มารดา อันเป็นการตอบแทนบุญคุณบุพการี อัตราดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปี พร้อมกันนี้ นําเสนอ สินเชื่อเคหะ สําหรับผู้ต้องการซื้อ สร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจํานอง อัตราดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน และ สินเชื่อ GSB HOME LOAN สําหรับผู้มีรายได้ประจํา ผู้ประกอบวิชาชีพเฉพาะ ต้องการซื้อ สร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจํานองจากสถาบันการเงินอื่น ดอกเบี้ย คงที่ 3.50% นาน 5 ปี นอกจากนี้ ยังมี สินเชื่อ GSB SMEs Start-Up No.1 สําหรับผู้ประกอบการที่ต้องการก้าวสู่ธุรกิจรายย่อย เพียงมีไอเดียและนวัตกรรมใหม่ๆ น่าสนใจ วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย ปีแรก 2.99% ต่อปี สินเชื่อบัตรเงินสด Prima Card อนุมัติวงเงินสูงสุด 5 เท่าของรายได้ ดอกเบี้ยเพียง 19% ต่อปี ฟรี! ค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี สินเชื่อชีวิตสุขสันต์ อนุมัติไว วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาท(L/T) และ 10 ล้านบาท(O/D) ใช้สลากออมสินเป็นหลักประกัน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.50 ต่อปี สําหรับผู้รักการออม ธนาคารนําเสนอ เงินฝากเผื่อเรียกประชารัฐผู้สูงวัย เปิดรับฝากสําหรับบุคคลธรรมดา อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป อัตราดอกเบี้ย 1.00% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยยกเว้นภาษี เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษผู้สูงวัย 24 เดือน รับฝากเฉพาะบุคคลธรรมดาอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เปิดบัญชีขั้นต่ํา 10,000 บาท เปิดได้คนละ 1 บัญชี ฝากสูงสุดรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ระยะเวลารับฝาก 24 เดือน อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได (Step Up) เดือนที่ 1-6 = 1.00% ต่อปี เดือนที่ 7-12 = 1.50% ต่อปี เดือนที่ 13-18 = 2.00% ต่อปี และ เดือนที่ 19-24 = 3.00% ต่อปี คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.875% ต่อปี (เทียบเท่าเงินฝากประจํา 2.206% ต่อปี) นอกจากนี้ยังมีเงินฝากสําหรับเยาวชนอายุ 7-23 ปี ด้วย เงินฝาก Youth Savings ดอกเบี้ยสูงถึง 1.25 % ต่อปี เปิดบัญชีขั้นต่ํา 100 บาท เงินฝาก Digital Savings อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี เปิดบัญชีขั้นต่ํา 1,000 บาท เปิดรับฝากเฉพาะผู้ที่มีอายุ 15 ปี ขึ้นไป มีเงื่อนไขการรับฝากด้วยการใช้บริการบัตรเดบิต และบริการ MyMo “นอกเหนือจากบรรยากาศของบูธที่จะจูงใจให้ผู้ร่วมงานได้รับความอบอุ่นแล้ว ยังมีโปรโมชั่นพิเศษมากมายดังกล่าว ที่เป็นจุดเด่นของบูธธนาคารออมสิน อีกทั้งผู้เข้าชมบูธและใช้บริการ จะได้รับของที่ระลึกจากโปรโมชั่นผลิตภัณฑ์ทางการเงินทุกประเภทมากมาย พร้อมกับกิจกรรมที่น่าสนใจและความบันเทิงหลากหลายที่ธนาคารฯ ได้จัดเตรียมไว้ให้ลูกค้าและผู้เข้าชมงานได้ร่วมสนุกสนานเพลิดเพลินตลอดทั้งงาน” ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าวในที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15901
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. หารือ วธ. เตรียมบูรณาการความร่วมมือ เพื่อขับเคลื่อนงานด้านสังคมและวัฒนธรรม
วันพุธที่ 27 มิถุนายน 2561 พม. หารือ วธ. เตรียมบูรณาการความร่วมมือ เพื่อขับเคลื่อนงานด้านสังคมและวัฒนธรรม พม. หารือ วธ. เตรียมบูรณาการความร่วมมือ เพื่อขับเคลื่อนงานด้านสังคมและวัฒนธรรม วันนี้ (27 มิ.ย. 61) เวลา 15.00 น. พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วย นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานการประชุมบูรณาการความร่วมมือระดับกระทรวงระหว่างกระทรวง พม. และ กระทรวง วธ. เพื่อร่วมขับเคลื่อนงานด้านสังคมและวัฒนธรรมสําหรับกลุ่มเด็ก เยาวชน สตรีและครอบครัว ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม โดยมีคณะผู้บริหารทั้งสองกระทรวงเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กรุงเทพฯ การประชุมหารือในครั้งนี้ มีการพิจารณาถึงความร่วมมือในด้านต่างๆ ได้แก่ 1) การบูรณาการความร่วมมือระดับกระทรวงเกี่ยวกับประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Culture Community หรือ ASCC) และการดําเนินงานในช่วงที่ไทยดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน ปี 2562 2) การส่งเสริมการเรียนรู้ในแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม 3) การส่งเสริมการเรียนรู้แก่คนพิการและผู้ด้อยโอกาส 4) แผนการรองรับสังคมผู้สูงอายุ 5) สนับสนุนให้คนพิการ และผู้สูงอายุเข้าทํางาน 6) การพัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่าย (ภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม) 7) สนับสนุนงานด้านวัฒนธรรมกับชนกลุ่มชาติพันธุ์ และ 8) การดําเนินงานตามแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2559 - 2564) และแผนแม่บทส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่านสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ของไทย พ.ศ. 2560 - 2564 ที่ประชุมได้ข้อตกลงร่วมกันดังนี้ 1) พม. และ วธ. จะร่วมกันบูรณาการการทํางานเพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานในช่วงที่ไทยดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน ปี 2562 ให้ครอบคลุมในมิติสังคมและวัฒนธรรม 2) การบูรณาการให้กลุ่มเป้าหมายของ พม. สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ในแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม และแหล่งภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ เช่น วัด โบราณสถาน พิพิธภัณฑ์ ฯลฯ 3) พม. และ วธ. จะมีการบูรณาการการทํางานร่วมกันและสนับสนุนการทํางานร่วมกัน เช่น ส่งเสริมอาชีพสร้างงานสร้างรายได้ให้กับผู้สูงอายุและคนพิการ สร้างความเท่าเทียมให้ทุกกลุ่มเป้าหมายในสังคม การส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิวัฒนธรรม การส่งเสริมให้ผู้แสดงความสามารถมีพื้นที่การแสดงออก ฯลฯ 4) ดําเนินงานตามแผนรองรับสังคมผู้สูงอายุ 10 ประเด็นเร่งด่วน 5) พม. ส่งเสริมให้ผู้แสดงความสามารถที่ พม. ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้ว ให้มีพื้นที่ในการแสดงออกด้านศิลปวัฒนธรรม เช่น นักร้อง นักดนตรีตาบอด ลิเก หมอลํา เป็นต้น โดยสามารถใช้พื้นที่ วธ. ได้ 6) วธ. จะสนับสนุนวิทยากร องค์ความรู้ การพัฒนาอาชีพในเชิงวัฒนธรรมให้กลุ่มเป้าหมายของ พม. เช่น ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ด้อยโอกาส เป็นต้น 7) การจัดอารยสถาปัตย์ สิ่งอํานวยความสะดวก ให้ผู้สูงอายุ คนพิการ ฯลฯ ทั้งสองกระทรวงจะให้การสนับสนุนและร่วมมือกัน โดยเฉพาะพื้นที่ในวัดจะจัดให้มีอารยสถาปัตย์ พม. จะประสาน วธ. ขอให้ออกประกาศความร่วมมือให้วัดต่างๆ มีการจัดอารยสถาปัตย์ให้กับผู้สูงอายุและคนพิการ 8) เครือข่ายของ พม. เช่น สภาเด็กและเยาวชน อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) อาสาสมัครพัฒนาสังคมฯช่วยเหลือคนพิการ อาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุจะเป็นเครือข่ายบูรณาการดําเนินการร่วมกันในพื้นที่กับเครือข่ายของ วธ. เช่น สภาวัฒนธรรม และ 9) พม. และ วธ. มีการบูรณการเพื่อร่วมสร้างครอบครัวอบอุ่น ทั้งนี้ ความร่วมมือทั้งสองกระทรวงจะนําไปสู่การขับเคลื่อนงานด้านสังคมและวัฒนธรรมที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะเด็ก เยาวชน สตรีและครอบครัว ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม ซึ่งจะมีการประชุมเพื่อเตรียมแผนการดําเนินงานให้เป็นรูปธรรมในครั้งต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. หารือ วธ. เตรียมบูรณาการความร่วมมือ เพื่อขับเคลื่อนงานด้านสังคมและวัฒนธรรม วันพุธที่ 27 มิถุนายน 2561 พม. หารือ วธ. เตรียมบูรณาการความร่วมมือ เพื่อขับเคลื่อนงานด้านสังคมและวัฒนธรรม พม. หารือ วธ. เตรียมบูรณาการความร่วมมือ เพื่อขับเคลื่อนงานด้านสังคมและวัฒนธรรม วันนี้ (27 มิ.ย. 61) เวลา 15.00 น. พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วย นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานการประชุมบูรณาการความร่วมมือระดับกระทรวงระหว่างกระทรวง พม. และ กระทรวง วธ. เพื่อร่วมขับเคลื่อนงานด้านสังคมและวัฒนธรรมสําหรับกลุ่มเด็ก เยาวชน สตรีและครอบครัว ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม โดยมีคณะผู้บริหารทั้งสองกระทรวงเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กรุงเทพฯ การประชุมหารือในครั้งนี้ มีการพิจารณาถึงความร่วมมือในด้านต่างๆ ได้แก่ 1) การบูรณาการความร่วมมือระดับกระทรวงเกี่ยวกับประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Culture Community หรือ ASCC) และการดําเนินงานในช่วงที่ไทยดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน ปี 2562 2) การส่งเสริมการเรียนรู้ในแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม 3) การส่งเสริมการเรียนรู้แก่คนพิการและผู้ด้อยโอกาส 4) แผนการรองรับสังคมผู้สูงอายุ 5) สนับสนุนให้คนพิการ และผู้สูงอายุเข้าทํางาน 6) การพัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่าย (ภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม) 7) สนับสนุนงานด้านวัฒนธรรมกับชนกลุ่มชาติพันธุ์ และ 8) การดําเนินงานตามแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2559 - 2564) และแผนแม่บทส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่านสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ของไทย พ.ศ. 2560 - 2564 ที่ประชุมได้ข้อตกลงร่วมกันดังนี้ 1) พม. และ วธ. จะร่วมกันบูรณาการการทํางานเพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานในช่วงที่ไทยดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน ปี 2562 ให้ครอบคลุมในมิติสังคมและวัฒนธรรม 2) การบูรณาการให้กลุ่มเป้าหมายของ พม. สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ในแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม และแหล่งภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ เช่น วัด โบราณสถาน พิพิธภัณฑ์ ฯลฯ 3) พม. และ วธ. จะมีการบูรณาการการทํางานร่วมกันและสนับสนุนการทํางานร่วมกัน เช่น ส่งเสริมอาชีพสร้างงานสร้างรายได้ให้กับผู้สูงอายุและคนพิการ สร้างความเท่าเทียมให้ทุกกลุ่มเป้าหมายในสังคม การส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิวัฒนธรรม การส่งเสริมให้ผู้แสดงความสามารถมีพื้นที่การแสดงออก ฯลฯ 4) ดําเนินงานตามแผนรองรับสังคมผู้สูงอายุ 10 ประเด็นเร่งด่วน 5) พม. ส่งเสริมให้ผู้แสดงความสามารถที่ พม. ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้ว ให้มีพื้นที่ในการแสดงออกด้านศิลปวัฒนธรรม เช่น นักร้อง นักดนตรีตาบอด ลิเก หมอลํา เป็นต้น โดยสามารถใช้พื้นที่ วธ. ได้ 6) วธ. จะสนับสนุนวิทยากร องค์ความรู้ การพัฒนาอาชีพในเชิงวัฒนธรรมให้กลุ่มเป้าหมายของ พม. เช่น ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ด้อยโอกาส เป็นต้น 7) การจัดอารยสถาปัตย์ สิ่งอํานวยความสะดวก ให้ผู้สูงอายุ คนพิการ ฯลฯ ทั้งสองกระทรวงจะให้การสนับสนุนและร่วมมือกัน โดยเฉพาะพื้นที่ในวัดจะจัดให้มีอารยสถาปัตย์ พม. จะประสาน วธ. ขอให้ออกประกาศความร่วมมือให้วัดต่างๆ มีการจัดอารยสถาปัตย์ให้กับผู้สูงอายุและคนพิการ 8) เครือข่ายของ พม. เช่น สภาเด็กและเยาวชน อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) อาสาสมัครพัฒนาสังคมฯช่วยเหลือคนพิการ อาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุจะเป็นเครือข่ายบูรณาการดําเนินการร่วมกันในพื้นที่กับเครือข่ายของ วธ. เช่น สภาวัฒนธรรม และ 9) พม. และ วธ. มีการบูรณการเพื่อร่วมสร้างครอบครัวอบอุ่น ทั้งนี้ ความร่วมมือทั้งสองกระทรวงจะนําไปสู่การขับเคลื่อนงานด้านสังคมและวัฒนธรรมที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะเด็ก เยาวชน สตรีและครอบครัว ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม ซึ่งจะมีการประชุมเพื่อเตรียมแผนการดําเนินงานให้เป็นรูปธรรมในครั้งต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13398
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยแจ้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด เชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต 13 ตุลาคม 2561 ในทุกจั
วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม 2561 มหาดไทยแจ้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด เชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมพิธีบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต 13 ตุลาคม 2561 ในทุกจั มหาดไทยแจ้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด เชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมพิธีบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต 13 ตุลาคม 2561 ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ เมื่อวันที่4 ต.ค. 61 ที่กระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2561 รับทราบตามที่สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเสนอการจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2561 เพื่อเชิญชวนทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ร่วมแสดงความจงรักภักดีและรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยการจัดกิจกรรมบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยยึดแนวทางปฏิบัติที่ได้ดําเนินการมาแล้วในปี 2560 เช่น พิธีทําบุญตักบาตร พิธีทางศาสนาของศาสนาต่างๆ หรือกิจกรรมอื่น ๆ ตามความเหมาะสม ในห้วงก่อนหรือหลังวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2561 ประกอบกับรัฐบาลได้เชิญชวนประชาชนแต่งกายด้วยเสื้อสีเหลืองในวันที่ 13 ตุลาคม 2561 อย่างพร้อมเพียง ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เพื่อให้การจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2561 เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สมพระเกียรติ และพร้อมเพียงกันทั่วประเทศ กระทรวงมหาดไทยจึงได้แจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดดําเนินการจัดพิธีบําเพ็ญกุศลเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2561 ในวันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม 2561 เวลา 07.00 น. หรือในวันเวลาอื่นตามที่เห็นสมควร ประกอบด้วย พิธีพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ และพิธีทําบุญตักบาตรณสถานที่เหมาะสม โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์เชิญชวนทุกภาคส่วนในจังหวัดเข้าร่วมพิธี และให้เชิญชวนส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และประชาชนในจังหวัด แต่งกายด้วยเสื้อสีเหลือง ในวันที่ 13 ตุลาคม 2561 โดยพร้อมเพียงกัน ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ทั่วประเทศ ร่วมสวมเสื้อสีเหลืองในวันที่ 13 ตุลาคม 2561 เข้าร่วมกิจกรรมบําเพ็ญกุศลทางศาสนาในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ โดยพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยแจ้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด เชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต 13 ตุลาคม 2561 ในทุกจั วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม 2561 มหาดไทยแจ้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด เชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมพิธีบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต 13 ตุลาคม 2561 ในทุกจั มหาดไทยแจ้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด เชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมพิธีบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต 13 ตุลาคม 2561 ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ เมื่อวันที่4 ต.ค. 61 ที่กระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2561 รับทราบตามที่สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเสนอการจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2561 เพื่อเชิญชวนทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ร่วมแสดงความจงรักภักดีและรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยการจัดกิจกรรมบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยยึดแนวทางปฏิบัติที่ได้ดําเนินการมาแล้วในปี 2560 เช่น พิธีทําบุญตักบาตร พิธีทางศาสนาของศาสนาต่างๆ หรือกิจกรรมอื่น ๆ ตามความเหมาะสม ในห้วงก่อนหรือหลังวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2561 ประกอบกับรัฐบาลได้เชิญชวนประชาชนแต่งกายด้วยเสื้อสีเหลืองในวันที่ 13 ตุลาคม 2561 อย่างพร้อมเพียง ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เพื่อให้การจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2561 เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สมพระเกียรติ และพร้อมเพียงกันทั่วประเทศ กระทรวงมหาดไทยจึงได้แจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดดําเนินการจัดพิธีบําเพ็ญกุศลเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2561 ในวันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม 2561 เวลา 07.00 น. หรือในวันเวลาอื่นตามที่เห็นสมควร ประกอบด้วย พิธีพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ และพิธีทําบุญตักบาตรณสถานที่เหมาะสม โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์เชิญชวนทุกภาคส่วนในจังหวัดเข้าร่วมพิธี และให้เชิญชวนส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และประชาชนในจังหวัด แต่งกายด้วยเสื้อสีเหลือง ในวันที่ 13 ตุลาคม 2561 โดยพร้อมเพียงกัน ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ทั่วประเทศ ร่วมสวมเสื้อสีเหลืองในวันที่ 13 ตุลาคม 2561 เข้าร่วมกิจกรรมบําเพ็ญกุศลทางศาสนาในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ โดยพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15893
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานรำลึก 250 ปี แห่งการสถาปนากรุงธนบุรี
วันพุธที่ 6 มิถุนายน 2561 รอง นรม. วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดงานรําลึก 250 ปี แห่งการสถาปนากรุงธนบุรี รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดงานรําลึก 250 ปี แห่งการสถาปนากรุงธนบุรี กําหนดเปิดนิทรรศการฯ ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 ณ หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี วันนี้ (6 มิถุนายน 2561 ) เวลา 11.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดงานรําลึก 250 ปี แห่งการสถาปนากรุงธนบุรี ครั้งที่ 1/2561 สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ การจัดนิทรรศการ “250 ปี ธนบุรีรําลึก” ณ หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี เพื่อให้การจัดงานรําลึก 250 ปี แห่งการสถาปนากรุงธนบุรี เป็นที่รับทราบอย่างกว้างขวาง และประชาชนชาวไทยได้มีส่วนร่วมในวาระสําคัญของชาติ โดยกรมศิลปากรเตรียมจัดนิทรรศการดังกล่าว ณ หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี ตลอดเดือนพฤศจิกายน 2561 และกําหนดกรอบเวลาเปิดนิทรรศการฯ วันแรกในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จฯ ยกกองทัพไปขับไล่พม่าและได้รับชัยชนะที่ค่ายโพธิ์สามต้น (6 พฤศจิกายน 2310) จากนั้นจึงเสด็จฯ ไปสร้างพระตําหนักที่กรุงธนบุรี ตามลําดับ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ การจัดพิมพ์หนังสือเนื่องในโอกาสการจัดงานรําลึก 250 ปี แห่งการสถาปนากรุงธนบุรี ซึ่งกรมศิลปากร ได้จัดพิมพ์หนังสือที่ระลึกฯ จํานวน 2 รายการ พร้อมทั้งจัดทํา E – Book เผยแพร่ในเว็บไซด์ของกรมศิลปากร ได้แก่ 1. “ประวัติศาสตร์ไทยสมัยธนบุรี” (ต้นฉบับแล้วเสร็จ จํานวน 470 หน้า) โดยเป็นงานค้นคว้าเรียบเรียงของคณะอนุกรรมการพิจารณาและเรียบเรียงประวัติศาสตร์ไทยสมัยธนบุรี ในคณะกรรมการชําระประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งกรมศิลปากรทําหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ พิมพ์จํานวน 5,000 เล่ม 2. “พระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ฉบับเยาวชน” พร้อมภาพ ประกอบ 4 สี (ต้นฉบับแล้วเสร็จ จํานวน 64 หน้า) พิมพ์จํานวน 5,000 เล่ม ตอนท้ายของการประชุมฯ ประธานกล่าวย้ําให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้ร่วมกันบูรณาการจัดงานเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองและให้จัดอย่างสมพระเกียรติ พร้อมเป็นการน้อมรําลึกถึงในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงกอบกู้เอกราชและสร้างความเป็นปึกแผ่นมั่นคงแก่ชาติบ้านเมืองสืบมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งได้ศึกษาประวัติศาสตร์ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ ตลอดจนทัศนศึกษาตามเส้นทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวเนื่องกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชและกรุงธนบุรี ซึ่งจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวสําคัญแก่คนไทยและชาวต่างชาติก่อให้เกิดรายได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ........................................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานรำลึก 250 ปี แห่งการสถาปนากรุงธนบุรี วันพุธที่ 6 มิถุนายน 2561 รอง นรม. วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดงานรําลึก 250 ปี แห่งการสถาปนากรุงธนบุรี รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดงานรําลึก 250 ปี แห่งการสถาปนากรุงธนบุรี กําหนดเปิดนิทรรศการฯ ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 ณ หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี วันนี้ (6 มิถุนายน 2561 ) เวลา 11.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดงานรําลึก 250 ปี แห่งการสถาปนากรุงธนบุรี ครั้งที่ 1/2561 สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ การจัดนิทรรศการ “250 ปี ธนบุรีรําลึก” ณ หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี เพื่อให้การจัดงานรําลึก 250 ปี แห่งการสถาปนากรุงธนบุรี เป็นที่รับทราบอย่างกว้างขวาง และประชาชนชาวไทยได้มีส่วนร่วมในวาระสําคัญของชาติ โดยกรมศิลปากรเตรียมจัดนิทรรศการดังกล่าว ณ หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี ตลอดเดือนพฤศจิกายน 2561 และกําหนดกรอบเวลาเปิดนิทรรศการฯ วันแรกในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จฯ ยกกองทัพไปขับไล่พม่าและได้รับชัยชนะที่ค่ายโพธิ์สามต้น (6 พฤศจิกายน 2310) จากนั้นจึงเสด็จฯ ไปสร้างพระตําหนักที่กรุงธนบุรี ตามลําดับ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ การจัดพิมพ์หนังสือเนื่องในโอกาสการจัดงานรําลึก 250 ปี แห่งการสถาปนากรุงธนบุรี ซึ่งกรมศิลปากร ได้จัดพิมพ์หนังสือที่ระลึกฯ จํานวน 2 รายการ พร้อมทั้งจัดทํา E – Book เผยแพร่ในเว็บไซด์ของกรมศิลปากร ได้แก่ 1. “ประวัติศาสตร์ไทยสมัยธนบุรี” (ต้นฉบับแล้วเสร็จ จํานวน 470 หน้า) โดยเป็นงานค้นคว้าเรียบเรียงของคณะอนุกรรมการพิจารณาและเรียบเรียงประวัติศาสตร์ไทยสมัยธนบุรี ในคณะกรรมการชําระประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งกรมศิลปากรทําหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ พิมพ์จํานวน 5,000 เล่ม 2. “พระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ฉบับเยาวชน” พร้อมภาพ ประกอบ 4 สี (ต้นฉบับแล้วเสร็จ จํานวน 64 หน้า) พิมพ์จํานวน 5,000 เล่ม ตอนท้ายของการประชุมฯ ประธานกล่าวย้ําให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้ร่วมกันบูรณาการจัดงานเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองและให้จัดอย่างสมพระเกียรติ พร้อมเป็นการน้อมรําลึกถึงในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงกอบกู้เอกราชและสร้างความเป็นปึกแผ่นมั่นคงแก่ชาติบ้านเมืองสืบมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งได้ศึกษาประวัติศาสตร์ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ ตลอดจนทัศนศึกษาตามเส้นทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวเนื่องกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชและกรุงธนบุรี ซึ่งจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวสําคัญแก่คนไทยและชาวต่างชาติก่อให้เกิดรายได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ........................................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12823
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมขับเคลื่อนนโยบายสำคัญด้านการเกษตร
วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2562 กระทรวงเกษตรฯ เตรียมขับเคลื่อนนโยบายสําคัญด้านการเกษตร กระทรวงเกษตรฯ เตรียมขับเคลื่อนนโยบายสําคัญด้านการเกษตร หวังแก้ปัญหาปากท้องของเกษตรกรอย่างยั่งยืน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎร โดยมีนางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ และนายประภัตรโพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า การประชุมร่วมกับคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้บรรยายสรุปเกี่ยวกับโครงสร้าง อํานาจหน้าที่ และแผนการดําเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประจําปีงบประมาณ 2563 พร้อมทั้งมีการหารือการพัฒนาการเกษตร ระหว่างคณะกรรมาธิการฯ และกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งมีการซักถามในประเด็นสําคัญ อาทิ การบริหารจัดการในระดับพื้นที่ การแก้ปัญหาวิกฤติน้ําท่วม-ภัยแล้ง การเยียวยาและให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบอุทกภัย การประกันรายได้ การส่งเสริมภาคการเกษตร และอุตสาหกรรมการเกษตรต่าง ๆ โดยภารกิจของกระทรวงเกษตรฯ ล้วนเป็นงานที่มีความสําคัญ เชื่อมโยงกับความเป็นอยู่ของเกษตรกร ในส่วนของงบประมาณที่ยื่นเสนอขอไปต้องรอพิจารณาเข้าสภาในวันที่ 17 ตุลาคม นี้ สําหรับมาตรการจํากัดการใช้สารเคมีในการเกษตรนั้น รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ ยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับการใช้สารเคมีในการทําการเกษตร เพราะต้องการให้ประชาชนได้รับสิ่งที่ดีและปลอดภัยมากที่สุด ซึ่งปัจจุบันมีการกํากับดูแลภายใต้คณะกรรมการวัตถุอันตราย และมี พรบ.วัตถุอันตรายควบคุมอยู่ ทั้งนี้ได้มอบหมายนางสาวมนัญญาไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กํากับดูแลและติดตามความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง เมื่อยังไม่มีมติยกเลิกการใช้สารเคมีดังกล่าวจากคณะกรรมการวัตถุอันตราย ทางกระทรวงเกษตรฯ จึงต้องบังคับใช้กฎหมายเท่าที่มี โดยคํานึงถึงความปลอดภัย ประโยชน์ของประชาชนที่อุปโภคบริโภค รวมถึงเกษตรกรด้วย. สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมขับเคลื่อนนโยบายสำคัญด้านการเกษตร วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2562 กระทรวงเกษตรฯ เตรียมขับเคลื่อนนโยบายสําคัญด้านการเกษตร กระทรวงเกษตรฯ เตรียมขับเคลื่อนนโยบายสําคัญด้านการเกษตร หวังแก้ปัญหาปากท้องของเกษตรกรอย่างยั่งยืน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎร โดยมีนางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ และนายประภัตรโพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า การประชุมร่วมกับคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้บรรยายสรุปเกี่ยวกับโครงสร้าง อํานาจหน้าที่ และแผนการดําเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประจําปีงบประมาณ 2563 พร้อมทั้งมีการหารือการพัฒนาการเกษตร ระหว่างคณะกรรมาธิการฯ และกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งมีการซักถามในประเด็นสําคัญ อาทิ การบริหารจัดการในระดับพื้นที่ การแก้ปัญหาวิกฤติน้ําท่วม-ภัยแล้ง การเยียวยาและให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบอุทกภัย การประกันรายได้ การส่งเสริมภาคการเกษตร และอุตสาหกรรมการเกษตรต่าง ๆ โดยภารกิจของกระทรวงเกษตรฯ ล้วนเป็นงานที่มีความสําคัญ เชื่อมโยงกับความเป็นอยู่ของเกษตรกร ในส่วนของงบประมาณที่ยื่นเสนอขอไปต้องรอพิจารณาเข้าสภาในวันที่ 17 ตุลาคม นี้ สําหรับมาตรการจํากัดการใช้สารเคมีในการเกษตรนั้น รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ ยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับการใช้สารเคมีในการทําการเกษตร เพราะต้องการให้ประชาชนได้รับสิ่งที่ดีและปลอดภัยมากที่สุด ซึ่งปัจจุบันมีการกํากับดูแลภายใต้คณะกรรมการวัตถุอันตราย และมี พรบ.วัตถุอันตรายควบคุมอยู่ ทั้งนี้ได้มอบหมายนางสาวมนัญญาไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กํากับดูแลและติดตามความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง เมื่อยังไม่มีมติยกเลิกการใช้สารเคมีดังกล่าวจากคณะกรรมการวัตถุอันตราย ทางกระทรวงเกษตรฯ จึงต้องบังคับใช้กฎหมายเท่าที่มี โดยคํานึงถึงความปลอดภัย ประโยชน์ของประชาชนที่อุปโภคบริโภค รวมถึงเกษตรกรด้วย. สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23581
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล "พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ลงพื้นที่พบปะนักเรียนสานฝันฯ ที่นาทวีวิทยาคม จ.สงขลา
วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม 2561 หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล "พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ลงพื้นที่พบปะนักเรียนสานฝันฯ ที่นาทวีวิทยาคม จ.สงขลา หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล และ รมช.ศึกษาธิการ "พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ลงพื้นที่พบปะให้กําลังใจนักเรียนโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่โรงเรียนนาทวีวิทยาคม จ. สงขลา หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล และรมช.ศึกษาธิการ "พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ลงพื้นที่พบปะให้กําลังใจนักเรียนโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่โรงเรียนนาทวีวิทยาคมจ. สงขลา ย้ําเด็กสานฝันฯ ทุกคนทั้ง12โรงเรียนคือความภาคภูมิใจของนายกรัฐมนตรี พร้อมชื่นชมโรงเรียนที่เป็นแบบอย่างในการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมส่วนนักเรียนดาวรุ่งวงการกรีฑาไทยของโรงเรียน"มูฮัมหมัดฟิตรี"ฝากขอบคุณผู้ที่มีส่วนทําให้โครงการนี้เกิดขึ้น เปรียบเหมือนของขวัญชิ้นดีในชีวิต เมื่อวันศุกร์ที่25พฤษภาคม2561พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วยพล.ต.ต.ธัมมศักดิ์ วาสะศิริ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ พล.ต.พงษ์ศักดิ์ มาอินทร์ นายกสมาคมสานฝันการศึกษาชายแดนใต้เดินทางลงพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เพื่อพบปะพูดคุยกับนักเรียนโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่โรงเรียนนาทวีวิทยาคม อําเภอนาทวี พล.อ.สุรเชษฐ์กล่าวว่า นักเรียนโครงการสานฝันฯ ทุกคนคือความภาคภูมิใจของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มโครงการด้วยเห็นว่าเด็กและเยาวชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จํานวนมากชอบเล่นกีฬา จึงได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการดําเนินการในเรื่องนี้ เพื่อนําระบบการกีฬาเข้าสู่ระบบการศึกษา ตนเองในฐานะที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ดูแลรับผิดชอบการจัดการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงได้มอบหมายให้สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดทําโปรแกรมการเรียน "วิทย์-กีฬา"และ"ศิลป์-กีฬา"โดยเริ่มต้นตั้งแต่ภาคเรียนที่1ปีการศึกษา 2558และต่อมาได้ขยายโรงเรียนสานฝันฯ เพิ่มเป็น12แห่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และขยายผลเป็นโครงการ "ห้องเรียนกีฬา" ทั่วทุกภูมิภาคอีก 8 แห่งจนถึงปัจจุบันซึ่งความก้าวหน้าดังกล่าวเกิดจากการสนับสนุนและความร่วมมือจากครู ผู้บริหาร ครูพี่เลี้ยง โค้ช พ่อแม่ผู้ปกครอง จนเกิดผลสําเร็จเป็นที่ปรากฏโดยทั่วไปและรัฐบาลมีแผนที่จะดําเนินการโครงการอย่างต่อเนื่อง สําหรับโรงเรียนนาทวีวิทยาคมตั้งอยู่ในอําเภอนาทวี ซึ่งเป็น1ใน4อําเภอของจังหวัดสงขลา(อําเภอจะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย)ที่อยู่ในพื้นที่พิเศษ5จังหวัดชายแดนภาคใต้(ปัตตานียะลา นราธิวาส สตูล และ4อําเภอของสงขลา)โดยได้เข้าร่วมโครงการสานฝันฯ เมื่อปีการศึกษา2559เป็น1ใน12โรงเรียนของโครงการสานฝันฯ ปัจจุบันมีนักเรียนในโครงการสานฝันฯ จํานวน194คน ซึ่งเรียนใน5ประเภทกีฬา ได้แก่ ฟุตบอล วอลเลย์บอล ตะกร้อ มวยไทย และกรีฑา โรงเรียนนาทวีวิทยาคม ถือเป็นแบบอย่างที่ดีในการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม “รู้ รัก สามัคคี” อย่างแท้จริง นักเรียน ครู และบุคลากรในโรงเรียนนี้มีทั้งนับถือศาสนาพุทธและศาสนาอิสลาม แต่ทุกคนมีเป้าหมายอันเดียวกัน คือ การพัฒนาประเทศชาติอย่างเต็มความสามารถ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลได้ส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ สร้างทางเลือกให้แก่เยาวชนในพื้นที่ผ่านโครงการต่าง ๆ อาทิ โรงเรียนประชารัฐจังหวัดชายแดนภาคใต้ ห้องเรียนดนตรี ห้องเรียนอาชีพ โครงการสานฝัน ฯลฯ ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของเยาวชน ผู้ปกครอง ชุมชนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี โอกาสนี้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ได้กล่าวให้กําลังใจนักเรียน รวมทั้งเน้นย้ําให้ทุกฝ่ายได้ร่วมมือกันปฏิบัติงานอย่างเต็มที่เต็มความสามารถ และขอให้นักเรียนในโครงการสานฝันฯ ทุกคนตั้งใจมุ่งมั่น ขยัน อดทน ตามคําขวัญของโครงการคือ "จุดประกายความฝัน มุ่งมั่นสู่อนาคต ปรากฏสู่ความสําเร็จ" นับเป็นโอกาสจากรัฐบาลที่มอบให้ และต่อไปทุกคนก็จะกลับมาพัฒนาพื้นที่ให้เข้มแข็ง ประเทศชาติก็จะพัฒนาเติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป นายมูฮัมหมัดฟิตรี อุเซ็งนักเรียนที่ได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนทีมชาติไทยเข้าร่วมแข่งขันกรีฑาในหลายรายการ อาทิ การแข่งขันCrossCountry นักเรียนชิงชนะเลิศแห่งเอเชีย ครั้งที่3ณ ฮ่องกง, การแข่งขันกรีฑานานาชาติ ครั้งที่2(2nd Asian Youth Athletics Championship 2017) และล่าสุดคือการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 34 "น่านเกมส์" ซึ่ง "มูฮัมหมัดฟิตรี" ก็ไม่พลาดในการคว้า2เหรียญทองจากการแข่งขัน10,000เมตร และ5,000เมตร ซึ่งเป็นการป้องกันแชมป์อีกด้วย ถือเป็นเยาวชนที่มีความโดดเด่นและดาวรุ่งของวงการกรีฑาไทย "ผมดีใจที่ได้มาเข้าร่วมโครงการสานฝันฯ ที่นี่ครับ พ่อแม่ก็ดีใจ โครงการให้อะไรมากมาย ทั้งประสบการณ์ต่าง ๆ ได้เรียนหนังสือ ได้เล่นกีฬาที่ตัวเองชอบ ได้อยู่ร่วมกันเพื่อน ๆ ทั้งไทยพุทธและมุสลิม เรามาจากต่างที่ แต่เราก็รักกันครับ ผมอยากขอบคุณทุก ๆ คนที่มีส่วนทําให้เกิดโครงการนี้ เป็นเหมือนของขวัญชิ้นดีที่มอบให้กับเราครับ"มูฮัมหมัดฟิตรี กล่าวถึงโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ Written byศธ.ส่วนหน้า Photo Creditศธ.ส่วนหน้า Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล "พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ลงพื้นที่พบปะนักเรียนสานฝันฯ ที่นาทวีวิทยาคม จ.สงขลา วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม 2561 หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล "พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ลงพื้นที่พบปะนักเรียนสานฝันฯ ที่นาทวีวิทยาคม จ.สงขลา หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล และ รมช.ศึกษาธิการ "พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ลงพื้นที่พบปะให้กําลังใจนักเรียนโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่โรงเรียนนาทวีวิทยาคม จ. สงขลา หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล และรมช.ศึกษาธิการ "พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" ลงพื้นที่พบปะให้กําลังใจนักเรียนโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่โรงเรียนนาทวีวิทยาคมจ. สงขลา ย้ําเด็กสานฝันฯ ทุกคนทั้ง12โรงเรียนคือความภาคภูมิใจของนายกรัฐมนตรี พร้อมชื่นชมโรงเรียนที่เป็นแบบอย่างในการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมส่วนนักเรียนดาวรุ่งวงการกรีฑาไทยของโรงเรียน"มูฮัมหมัดฟิตรี"ฝากขอบคุณผู้ที่มีส่วนทําให้โครงการนี้เกิดขึ้น เปรียบเหมือนของขวัญชิ้นดีในชีวิต เมื่อวันศุกร์ที่25พฤษภาคม2561พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วยพล.ต.ต.ธัมมศักดิ์ วาสะศิริ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ พล.ต.พงษ์ศักดิ์ มาอินทร์ นายกสมาคมสานฝันการศึกษาชายแดนใต้เดินทางลงพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เพื่อพบปะพูดคุยกับนักเรียนโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่โรงเรียนนาทวีวิทยาคม อําเภอนาทวี พล.อ.สุรเชษฐ์กล่าวว่า นักเรียนโครงการสานฝันฯ ทุกคนคือความภาคภูมิใจของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มโครงการด้วยเห็นว่าเด็กและเยาวชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จํานวนมากชอบเล่นกีฬา จึงได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการดําเนินการในเรื่องนี้ เพื่อนําระบบการกีฬาเข้าสู่ระบบการศึกษา ตนเองในฐานะที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ดูแลรับผิดชอบการจัดการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงได้มอบหมายให้สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดทําโปรแกรมการเรียน "วิทย์-กีฬา"และ"ศิลป์-กีฬา"โดยเริ่มต้นตั้งแต่ภาคเรียนที่1ปีการศึกษา 2558และต่อมาได้ขยายโรงเรียนสานฝันฯ เพิ่มเป็น12แห่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และขยายผลเป็นโครงการ "ห้องเรียนกีฬา" ทั่วทุกภูมิภาคอีก 8 แห่งจนถึงปัจจุบันซึ่งความก้าวหน้าดังกล่าวเกิดจากการสนับสนุนและความร่วมมือจากครู ผู้บริหาร ครูพี่เลี้ยง โค้ช พ่อแม่ผู้ปกครอง จนเกิดผลสําเร็จเป็นที่ปรากฏโดยทั่วไปและรัฐบาลมีแผนที่จะดําเนินการโครงการอย่างต่อเนื่อง สําหรับโรงเรียนนาทวีวิทยาคมตั้งอยู่ในอําเภอนาทวี ซึ่งเป็น1ใน4อําเภอของจังหวัดสงขลา(อําเภอจะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย)ที่อยู่ในพื้นที่พิเศษ5จังหวัดชายแดนภาคใต้(ปัตตานียะลา นราธิวาส สตูล และ4อําเภอของสงขลา)โดยได้เข้าร่วมโครงการสานฝันฯ เมื่อปีการศึกษา2559เป็น1ใน12โรงเรียนของโครงการสานฝันฯ ปัจจุบันมีนักเรียนในโครงการสานฝันฯ จํานวน194คน ซึ่งเรียนใน5ประเภทกีฬา ได้แก่ ฟุตบอล วอลเลย์บอล ตะกร้อ มวยไทย และกรีฑา โรงเรียนนาทวีวิทยาคม ถือเป็นแบบอย่างที่ดีในการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม “รู้ รัก สามัคคี” อย่างแท้จริง นักเรียน ครู และบุคลากรในโรงเรียนนี้มีทั้งนับถือศาสนาพุทธและศาสนาอิสลาม แต่ทุกคนมีเป้าหมายอันเดียวกัน คือ การพัฒนาประเทศชาติอย่างเต็มความสามารถ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลได้ส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ สร้างทางเลือกให้แก่เยาวชนในพื้นที่ผ่านโครงการต่าง ๆ อาทิ โรงเรียนประชารัฐจังหวัดชายแดนภาคใต้ ห้องเรียนดนตรี ห้องเรียนอาชีพ โครงการสานฝัน ฯลฯ ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของเยาวชน ผู้ปกครอง ชุมชนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี โอกาสนี้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ได้กล่าวให้กําลังใจนักเรียน รวมทั้งเน้นย้ําให้ทุกฝ่ายได้ร่วมมือกันปฏิบัติงานอย่างเต็มที่เต็มความสามารถ และขอให้นักเรียนในโครงการสานฝันฯ ทุกคนตั้งใจมุ่งมั่น ขยัน อดทน ตามคําขวัญของโครงการคือ "จุดประกายความฝัน มุ่งมั่นสู่อนาคต ปรากฏสู่ความสําเร็จ" นับเป็นโอกาสจากรัฐบาลที่มอบให้ และต่อไปทุกคนก็จะกลับมาพัฒนาพื้นที่ให้เข้มแข็ง ประเทศชาติก็จะพัฒนาเติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป นายมูฮัมหมัดฟิตรี อุเซ็งนักเรียนที่ได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนทีมชาติไทยเข้าร่วมแข่งขันกรีฑาในหลายรายการ อาทิ การแข่งขันCrossCountry นักเรียนชิงชนะเลิศแห่งเอเชีย ครั้งที่3ณ ฮ่องกง, การแข่งขันกรีฑานานาชาติ ครั้งที่2(2nd Asian Youth Athletics Championship 2017) และล่าสุดคือการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 34 "น่านเกมส์" ซึ่ง "มูฮัมหมัดฟิตรี" ก็ไม่พลาดในการคว้า2เหรียญทองจากการแข่งขัน10,000เมตร และ5,000เมตร ซึ่งเป็นการป้องกันแชมป์อีกด้วย ถือเป็นเยาวชนที่มีความโดดเด่นและดาวรุ่งของวงการกรีฑาไทย "ผมดีใจที่ได้มาเข้าร่วมโครงการสานฝันฯ ที่นี่ครับ พ่อแม่ก็ดีใจ โครงการให้อะไรมากมาย ทั้งประสบการณ์ต่าง ๆ ได้เรียนหนังสือ ได้เล่นกีฬาที่ตัวเองชอบ ได้อยู่ร่วมกันเพื่อน ๆ ทั้งไทยพุทธและมุสลิม เรามาจากต่างที่ แต่เราก็รักกันครับ ผมอยากขอบคุณทุก ๆ คนที่มีส่วนทําให้เกิดโครงการนี้ เป็นเหมือนของขวัญชิ้นดีที่มอบให้กับเราครับ"มูฮัมหมัดฟิตรี กล่าวถึงโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ Written byศธ.ส่วนหน้า Photo Creditศธ.ส่วนหน้า Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12573
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้งของคนพิการและผู้สูงอายุ ปี 62 พร้อมซักซ้อมคนพิการและผู้สูงอายุ สร้างความเข้าใจและรับรู้สิทธิก่อนเลือกตั้งล่วงหน้า 17 มี.ค. 62
วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562 พม. จัดกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้งของคนพิการและผู้สูงอายุ ปี 62 พร้อมซักซ้อมคนพิการและผู้สูงอายุ สร้างความเข้าใจและรับรู้สิทธิก่อนเลือกตั้งล่วงหน้า 17 มี.ค. 62 พม. จัดกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้งของคนพิการ และผู้สูงอายุ ปี 2562 พร้อมซักซ้อมคนพิการและผู้สูงอายุ สร้างความเข้าใจและรับรู้สิทธิก่อนเลือกตั้งล่วงหน้า 17 มีนาคม 2562 นี้ วันนี้ (5 ก.พ. 62) เวลา 14.00 น.นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้งของคนพิการ และผู้สูงอายุ ปี 2562 พร้อมทั้งซักซ้อมให้คนพิการในความอุปการะ และผุ้สูงอายุได้ออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง โดยมีนางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พร้อมด้วย ผู้แทนสํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจําจังหวัดสมุทรปราการ ผู้แทนจากองค์กรคนพิการ คนพิการจากสถานคุ้มครอง และพัฒนาคนพิการพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ และผู้สูงอายุในชุมชน รวมจํานวน 300 คน เข้าร่วมงาน ณ สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ พระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ นายปรเมธีกล่าวว่า รัฐบาล มีนโยบายให้ความสําคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และเสริมสร้างให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส โดยเฉพาะคนพิการ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ํา สร้างโอกาสในการเข้าถึงบริการของรัฐ อันเป็นสิทธิพื้นฐานและเครื่องหมายแสดงความเท่าเทียมของสังคม และได้มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ดําเนินการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 มาตรา 20 (4) การยอมรับและมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองอย่างเต็มที่ และมีประสิทธิภาพบนพื้นฐานแห่งความเท่าเทียมกับบุคคลทั่วไป ตลอดจนได้รับสิ่งอํานวยความสะดวกและบริการต่างๆที่จําเป็นสําหรับคนพิการ ทั้งนี้ พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 บัญญัติให้ดําเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จ ภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับแล้ว และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกประกาศกําหนดวันเลือกตั้ง ในวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2562 สําหรับการส่งเสริมการออกเสียงเลือกตั้งของคนพิการและผู้สูงอายุ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ.ศ. 2561 ซึ่งประกาศในราชกิจานุเบกษา เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2561 มาตรา 92 บัญญัติให้มีการอํานวยความสะดวกสําหรับการออกเสียงลงคะแนนของคนพิการ และผู้สูงอายุ หรือจัดให้มีการช่วยเหลือในการออกเสียง ลงคะแนนภายใต้การกํากับดูแลของคณะกรรมการประจําหน่วยเลือกตั้ง กรณีไม่สามารถทําเครื่องหมายลงในบัตรเลือกตั้งได้ให้บุคคลอื่น หรือกรรมการประจําหน่วยเลือกตั้งเป็นผู้กระทําการแทนโดยความยินยอมและเป็นไปตามเจตนาของคนพิการหรือผู้สูงอายุนั้น ให้ถือเป็นการออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ ทั้งนี้ จากข้อมูลคนพิการที่มาขึ้นทะเบียนเพื่อออกบัตรประจําตัวคนพิการ (ข้อมูล ณ วันที่ 1 มกราคม 2562) มีคนพิการที่อายุ 18 ปีขึ้นไป จํานวน 1,834,808 คนที่มีอายุอยู่ในเกณฑ์คุณสมบัติการออกเสียงเลือกตั้ง นายปรเมธีกล่าวต่อไปว่า คนพิการ และผู้สูงอายุ สามารถออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งได้ 2 ลักษณะ ได้แก่ 1.การเลือกตั้งล่วงหน้าในหน่วยเลือกตั้งพิเศษล่วงหน้า สามารถลงทะเบียน ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2562 โดยมี 3 ช่องทาง ดังนี้ 1) ยื่นด้วยตนเองโดยการยื่นคําขอต่อนายทะเบียนอําเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่น 2) ยื่นทางไปรษณีย์ จ่าหน้าซองถึงนายทะเบียนอําเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่น ระบุหมายเลขประจําตัวประชาชนและที่อยู่ตามหลักฐานทะเบียนบ้านให้ชัดเจน และระบุสถานที่เลือกตั้งที่ต้องการไปเลือกตั้งล่วงหน้า โดยถือวันประทับตราไปรษณีย์เป็นสําคัญ และ 3) ยื่นทางอินเทอร์เน็ต (เฉพาะการออกเสียงลงคะแนนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก่อนวันเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้ง และการออกเสียงลงคะแนนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนอกราชอาณาจักร) หรือมอบหมายผู้อื่นยื่นแทน ทั้งนี้ เมื่อลงทะเบียนแล้วสามารถใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าในวันที่ 17 มีนาคม 2562 โดยมีสถานที่ที่จัดให้เป็นสถานที่เลือกตั้งกลางสําหรับคนพิการและผู้สูงอายุ 9 แห่ง ได้แก่ 1) ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค เขตภาษีเจริญ 2) บ้านผู้สูงอายุบางแค 2 เขตบางแค 3) โรงพยาบาลทหารผ่านศึกเขตพญาไท 4) ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 5) ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุจังหวัดสงขลา 6) สถานสงเคราะห์คนชราวัยทองนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ 7) ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุจังหวัดนครพนม 8) ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางละมุง จังหวัดชลบุรี และ 9) มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี และการเลือกตั้งครั้งนี้ กระทรวง พม. โดย พก. ได้ส่งเสริมการดําเนินงานดังกล่าวร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อให้คนพิการสามารถออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งโดยมีการอํานวยความสะดวกสําหรับคนพิการในคูหาเลือกตั้ง ซึ่งได้มีการจัดหน่วยเลือกตั้งพิเศษ เพิ่มเติมในหน่วยงานสังกัด พก. จํานวน 5 แห่ง ได้แก่ 1) สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ2) สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการบ้านนนทภูมิ จังหวัดนนทบุรี 3) ศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการบ้านศรีวนาไล จังหวัดอุบลราชธานี 4) ศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการบ้านโมกุล จังหวัดลพบุรี และ 5) ศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการ จังหวัดหนองคาย สําหรับหน่วยเลือกตั้งพิเศษดังกล่าวมีการจัดสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับคนพิการ และผู้สูงอายุ ได้แก่ ที่นั่งรอสําหรับคนพิการ ช่องทางพิเศษ จุดจอดรถคนพิการ ผู้สูงอายุ ห้องน้ําและราวจับ เจ้าหน้าที่ที่จะคอยช่วยเหลือกรณีที่ผู้มีสิทธิไม่สามารถทําเครื่องหมายหรือลงคะแนนเสียงได้ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ ยังมีเครื่องช่วยอํานวยความสะดวกอื่นๆ เช่น 1) บัตรเลือกตั้ง มีการจัดทําอักษรเบลล์อธิบายรายละเอียดชื่อพรรคการเมือง แยกจากบัตรเลือกตั้ง 2) บัตรทาบบัตรเลือกตั้งสําหรับคนพิการทางการเห็น 3) แอปพลิเคชัน ฉลาดเลือก (SMART VOTE) และ 4) รถเข็น โคมไฟ แว่นขยาย หรืออื่นๆ ตามความจําเป็น และกรรมการประจําหน่วยเลือกตั้งอํานวยความสะดวกเป็นกรณีพิเศษ และ 2. เลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งปกติในวันที่ 24 มีนาคม 2562 ซึ่งทุกหน่วยเลือกตั้งมีการจัดสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับคนพิการ และผู้สูงอายุ นายปรเมธีกล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้งของคนพิการและผู้สูงอายุ ปี 2562 ในวันนี้ กระทรวง พม. โดย พก. ร่วมกับ กกต. จัดขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจและการรับรู้สิทธิในการเลือกตั้งของคนพิการและผู้สูงอายุ รวมถึงสร้างโอกาสในการมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยจัดให้มีสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับการออกเสียงลงคะแนนของคนพิการและผู้สูงอายุ รวมทั้งเป็นการสื่อสารสาธารณะ และมีการซักซ้อมให้คนพิการในความอุปการะ และผู้สูงอายุได้ออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม การจัดงานในครั้งนี้ นับเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองและกิจกรรมทางสังคม ซึ่งหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงของคนพิการจะเป็นส่วนสําคัญที่จะร่วมพัฒนาประเทศ ตลอดจนการสร้างความตระหนักให้ประชาชนทั่วไปให้ความสําคัญกับการใช้สิทธิเลือกตั้ง ทั้งนี้ ขอเชิญชวนคนพิการและผู้สูงอายุ ร่วมออกมาใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งล่วงหน้ากันโดยพร้อมเพรียงกัน ณ หน่วยเลือกตั้งพิเศษในวันอาทิตย์ที่17 มีนาคม 2562 และเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งปกติในวันที่ 24 มีนาคม 2562 ระหว่างเวลา 08.00-17.00 น.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้งของคนพิการและผู้สูงอายุ ปี 62 พร้อมซักซ้อมคนพิการและผู้สูงอายุ สร้างความเข้าใจและรับรู้สิทธิก่อนเลือกตั้งล่วงหน้า 17 มี.ค. 62 วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562 พม. จัดกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้งของคนพิการและผู้สูงอายุ ปี 62 พร้อมซักซ้อมคนพิการและผู้สูงอายุ สร้างความเข้าใจและรับรู้สิทธิก่อนเลือกตั้งล่วงหน้า 17 มี.ค. 62 พม. จัดกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้งของคนพิการ และผู้สูงอายุ ปี 2562 พร้อมซักซ้อมคนพิการและผู้สูงอายุ สร้างความเข้าใจและรับรู้สิทธิก่อนเลือกตั้งล่วงหน้า 17 มีนาคม 2562 นี้ วันนี้ (5 ก.พ. 62) เวลา 14.00 น.นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้งของคนพิการ และผู้สูงอายุ ปี 2562 พร้อมทั้งซักซ้อมให้คนพิการในความอุปการะ และผุ้สูงอายุได้ออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง โดยมีนางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พร้อมด้วย ผู้แทนสํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจําจังหวัดสมุทรปราการ ผู้แทนจากองค์กรคนพิการ คนพิการจากสถานคุ้มครอง และพัฒนาคนพิการพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ และผู้สูงอายุในชุมชน รวมจํานวน 300 คน เข้าร่วมงาน ณ สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ พระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ นายปรเมธีกล่าวว่า รัฐบาล มีนโยบายให้ความสําคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และเสริมสร้างให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส โดยเฉพาะคนพิการ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ํา สร้างโอกาสในการเข้าถึงบริการของรัฐ อันเป็นสิทธิพื้นฐานและเครื่องหมายแสดงความเท่าเทียมของสังคม และได้มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ดําเนินการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 มาตรา 20 (4) การยอมรับและมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองอย่างเต็มที่ และมีประสิทธิภาพบนพื้นฐานแห่งความเท่าเทียมกับบุคคลทั่วไป ตลอดจนได้รับสิ่งอํานวยความสะดวกและบริการต่างๆที่จําเป็นสําหรับคนพิการ ทั้งนี้ พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 บัญญัติให้ดําเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จ ภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับแล้ว และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกประกาศกําหนดวันเลือกตั้ง ในวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2562 สําหรับการส่งเสริมการออกเสียงเลือกตั้งของคนพิการและผู้สูงอายุ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ.ศ. 2561 ซึ่งประกาศในราชกิจานุเบกษา เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2561 มาตรา 92 บัญญัติให้มีการอํานวยความสะดวกสําหรับการออกเสียงลงคะแนนของคนพิการ และผู้สูงอายุ หรือจัดให้มีการช่วยเหลือในการออกเสียง ลงคะแนนภายใต้การกํากับดูแลของคณะกรรมการประจําหน่วยเลือกตั้ง กรณีไม่สามารถทําเครื่องหมายลงในบัตรเลือกตั้งได้ให้บุคคลอื่น หรือกรรมการประจําหน่วยเลือกตั้งเป็นผู้กระทําการแทนโดยความยินยอมและเป็นไปตามเจตนาของคนพิการหรือผู้สูงอายุนั้น ให้ถือเป็นการออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ ทั้งนี้ จากข้อมูลคนพิการที่มาขึ้นทะเบียนเพื่อออกบัตรประจําตัวคนพิการ (ข้อมูล ณ วันที่ 1 มกราคม 2562) มีคนพิการที่อายุ 18 ปีขึ้นไป จํานวน 1,834,808 คนที่มีอายุอยู่ในเกณฑ์คุณสมบัติการออกเสียงเลือกตั้ง นายปรเมธีกล่าวต่อไปว่า คนพิการ และผู้สูงอายุ สามารถออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งได้ 2 ลักษณะ ได้แก่ 1.การเลือกตั้งล่วงหน้าในหน่วยเลือกตั้งพิเศษล่วงหน้า สามารถลงทะเบียน ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2562 โดยมี 3 ช่องทาง ดังนี้ 1) ยื่นด้วยตนเองโดยการยื่นคําขอต่อนายทะเบียนอําเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่น 2) ยื่นทางไปรษณีย์ จ่าหน้าซองถึงนายทะเบียนอําเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่น ระบุหมายเลขประจําตัวประชาชนและที่อยู่ตามหลักฐานทะเบียนบ้านให้ชัดเจน และระบุสถานที่เลือกตั้งที่ต้องการไปเลือกตั้งล่วงหน้า โดยถือวันประทับตราไปรษณีย์เป็นสําคัญ และ 3) ยื่นทางอินเทอร์เน็ต (เฉพาะการออกเสียงลงคะแนนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก่อนวันเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้ง และการออกเสียงลงคะแนนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนอกราชอาณาจักร) หรือมอบหมายผู้อื่นยื่นแทน ทั้งนี้ เมื่อลงทะเบียนแล้วสามารถใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าในวันที่ 17 มีนาคม 2562 โดยมีสถานที่ที่จัดให้เป็นสถานที่เลือกตั้งกลางสําหรับคนพิการและผู้สูงอายุ 9 แห่ง ได้แก่ 1) ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค เขตภาษีเจริญ 2) บ้านผู้สูงอายุบางแค 2 เขตบางแค 3) โรงพยาบาลทหารผ่านศึกเขตพญาไท 4) ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 5) ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุจังหวัดสงขลา 6) สถานสงเคราะห์คนชราวัยทองนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ 7) ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุจังหวัดนครพนม 8) ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางละมุง จังหวัดชลบุรี และ 9) มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี และการเลือกตั้งครั้งนี้ กระทรวง พม. โดย พก. ได้ส่งเสริมการดําเนินงานดังกล่าวร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อให้คนพิการสามารถออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งโดยมีการอํานวยความสะดวกสําหรับคนพิการในคูหาเลือกตั้ง ซึ่งได้มีการจัดหน่วยเลือกตั้งพิเศษ เพิ่มเติมในหน่วยงานสังกัด พก. จํานวน 5 แห่ง ได้แก่ 1) สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ2) สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการบ้านนนทภูมิ จังหวัดนนทบุรี 3) ศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการบ้านศรีวนาไล จังหวัดอุบลราชธานี 4) ศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการบ้านโมกุล จังหวัดลพบุรี และ 5) ศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการ จังหวัดหนองคาย สําหรับหน่วยเลือกตั้งพิเศษดังกล่าวมีการจัดสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับคนพิการ และผู้สูงอายุ ได้แก่ ที่นั่งรอสําหรับคนพิการ ช่องทางพิเศษ จุดจอดรถคนพิการ ผู้สูงอายุ ห้องน้ําและราวจับ เจ้าหน้าที่ที่จะคอยช่วยเหลือกรณีที่ผู้มีสิทธิไม่สามารถทําเครื่องหมายหรือลงคะแนนเสียงได้ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ ยังมีเครื่องช่วยอํานวยความสะดวกอื่นๆ เช่น 1) บัตรเลือกตั้ง มีการจัดทําอักษรเบลล์อธิบายรายละเอียดชื่อพรรคการเมือง แยกจากบัตรเลือกตั้ง 2) บัตรทาบบัตรเลือกตั้งสําหรับคนพิการทางการเห็น 3) แอปพลิเคชัน ฉลาดเลือก (SMART VOTE) และ 4) รถเข็น โคมไฟ แว่นขยาย หรืออื่นๆ ตามความจําเป็น และกรรมการประจําหน่วยเลือกตั้งอํานวยความสะดวกเป็นกรณีพิเศษ และ 2. เลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งปกติในวันที่ 24 มีนาคม 2562 ซึ่งทุกหน่วยเลือกตั้งมีการจัดสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับคนพิการ และผู้สูงอายุ นายปรเมธีกล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้งของคนพิการและผู้สูงอายุ ปี 2562 ในวันนี้ กระทรวง พม. โดย พก. ร่วมกับ กกต. จัดขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจและการรับรู้สิทธิในการเลือกตั้งของคนพิการและผู้สูงอายุ รวมถึงสร้างโอกาสในการมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยจัดให้มีสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับการออกเสียงลงคะแนนของคนพิการและผู้สูงอายุ รวมทั้งเป็นการสื่อสารสาธารณะ และมีการซักซ้อมให้คนพิการในความอุปการะ และผู้สูงอายุได้ออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม การจัดงานในครั้งนี้ นับเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองและกิจกรรมทางสังคม ซึ่งหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงของคนพิการจะเป็นส่วนสําคัญที่จะร่วมพัฒนาประเทศ ตลอดจนการสร้างความตระหนักให้ประชาชนทั่วไปให้ความสําคัญกับการใช้สิทธิเลือกตั้ง ทั้งนี้ ขอเชิญชวนคนพิการและผู้สูงอายุ ร่วมออกมาใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งล่วงหน้ากันโดยพร้อมเพรียงกัน ณ หน่วยเลือกตั้งพิเศษในวันอาทิตย์ที่17 มีนาคม 2562 และเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งปกติในวันที่ 24 มีนาคม 2562 ระหว่างเวลา 08.00-17.00 น.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18592
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมประมงชี้แจงปัญหาการแพร่พันธุ์ ของปลาหมอสีคางดำ
วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม 2561 กรมประมงชี้แจงปัญหาการแพร่พันธุ์ ของปลาหมอสีคางดํา กรมประมงชี้แจงปัญหาการแพร่พันธุ์ของปลาหมอสีคางดํา เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2561 นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงปัญหาการแพร่พันธุ์ของปลาหมอสีคางดํา ตามที่มีการนําเสนอในสื่อ Voice TV ที่มีสาระสําคัญว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เผยแพร่มติ กสม. กรณีเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา ใน จ.สมุทรสงคราม และ จ.เพชรบุรี ได้รับผลกระทบจากการแพร่ขยายพันธุ์ของปลาหมอสีคางดํา ซึ่งกรมประมง (ผู้ถูกร้อง) อนุญาตให้ บ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน) นําเข้ามาทดลองเพาะเลี้ยง กระทั่งเกิดการแพร่ระบาดของพันธุ์ปลาดังกล่าวรุกรานปลาพื้นถิ่น สร้างความเดือดร้อนแก่เกษตรกรในวงกว้างมาตั้งแต่ปี 2555 นั้น กรมประมงขอชี้แจงการดําเนินการดังนี้ จากปัญหาดังกล่าวกรมประมงได้ดําเนินการตรวจสอบหาแหล่งที่มาการหลุดรอดของปลาหมอสีคางดํา และได้กําหนดมาตรการป้องกันแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง โดยได้ออกคําสั่งที่ 223/2561 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอสีคางดําโดยเฉพาะ นอกจากนี้ในพื้นที่จังหวัดที่พบมีการแพร่ระบาด ได้สั่งการให้หน่วยงานในพื้นที่ได้รับฟังข้อคิดเห็นของเกษตรกรชาวประมงและชุมชนเพื่อร่วมกันพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอสีคางดํา ซึ่งมีแนวทาง ดังนี้ 1. กําจัดปลาหมอสีคางดําในแหล่งน้ําที่มีการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง และให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสงค์กําจัดปลาหมอสีคางดําในบ่อเลี้ยง 2. ปล่อยพันธุ์ ปลากะพงขาว และปลาอีกง ซึ่งเป็นสัตว์น้ําพื้นเมืองลงในแหล่งน้ํา เพื่อควบคุมประชากรปลาหมอสีคางดํา อีกทั้งหาแนวทางในการกําจัดปลาหมอสีคางดําให้เกิดประโยชน์ เช่น การนํามาทําปุ๋ย หรือทําเป็นอาหารสัตว์น้ํา ฯลฯ 3. จัดสรรงบประมาณดําเนินโครงการวิจัยเร่งด่วน เพื่อหาแนวทางและวิธีการควบคุมและกําจัดปลาหมอสีคางดํา ทั้งในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ําและในแหล่งน้ําธรรมชาติ เช่น การศึกษาประสิทธิภาพเครื่องมือประมงในการกําจัดปลาหมอสีคางดําในบ่อเลี้ยงเกษตรกร ศึกษาเรื่องชนิดพันธุ์สัตว์น้ําพื้นเมืองที่เหมาะสมในการล่าเพื่อควบคุมประชากรปลาหมอสีคางดํา เป็นต้น 4. ขอรับการจัดสรรงบประมาณ เพื่อดําเนินโครงการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอสีคางดําที่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ําและระบบนิเวศในแหล่งน้ํา ประกอบด้วยกิจกรรมการรับซื้อเพื่อกําจัดปลาหมอสีคางดําออกจากวงจรบ่อเลี้ยงสัตว์น้ําและแหล่งน้ําธรรมชาติและการสนับสนุนกากชาเพื่อกําจัดปลาหมอสีคางดําที่หลงเหลือในบ่อเลี้ยงเพื่อมิให้แพร่ขยายพันธุ์ได้อีก 5. นําเสนอกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ออกประกาศ ฉบับลงวันที่ 9 มกราคม 2561 มีสาระสําคัญกําหนดห้ามมิให้บุคคลใดนําเข้า ส่งออก นําผ่าน หรือเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา 3 ชนิดพันธุ์ตามประกาศ ได้แก่ ปลาหมอสีคางดํา ปลาหมอมายัน ปลาหมอบัตเตอร์ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมประมง หรือเป็นผู้ซึ่งอธิบดีกรมประมงมอบหมาย ทั้งนี้ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํากรณีดังกล่าวจะไม่หมายความรวมถึงกรณีที่ มีปลาหมอสีคางดํา ปลาหมอมายัน ปลาหมอบัตเตอร์ จากธรรมชาติ หลุดรอดเข้าในบ่อเพาะเลี้ยงโดยไม่เจตนา โดย ประกาศฉบับดังกล่าวได้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา 6. ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับประชาชน ในเรื่องผลกระทบและวิธีการเลี้ยงเพื่อป้องกันการหลุดรอดของปลาหมอสีคางดํา รวมถึงสัตว์น้ําต่างถิ่นชนิดอื่นที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและสัตว์น้ําพื้นเมือง นอกจากแนวทางในการกําจัดปลาหมอสีคางดําตามที่กล่าวข้างต้น ในด้านการพิจารณานําเข้าสัตว์น้ําต่างถิ่นในภาพรวมทั้งหมด กรมประมงยังมีคณะกรรมการด้านความหลากหลายและด้านความปลอดภัยทางชีวภาพ (IBC) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นประกอบการขออนุญาตนําเข้าสัตว์น้ําต่างถิ่นอีกด้วย เพื่อป้องกันมิให้กระทบกับระบบนิเวศของแหล่งน้ํา และกําชับให้เจ้าหน้าที่ด่านตรวจสัตว์น้ําของกรมประมงทั่วประเทศสกัดกั้นทุกช่องทางการขนส่งสัตว์น้ําและผลิตภัณฑ์ทั้งทางเรือ ทางบก รวมทั้งทางอากาศ มิให้มีการลักลอบนําสัตว์น้ําต่างถิ่นเข้ามาในราชอาณาจักร โดยให้ปฏิบัติหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด สําหรับบทลงโทษหากพบผู้ใดฝ่าฝืน ลักลอบนําปลาหมอสีคางดํา ปลาหมอมายัน ปลาหมอบัตเตอร์ เข้ามาในราชอาณาจักร ต้องระวางโทษตามมาตรา 144 แห่งพระราชกําหนดการประมง พ.ศ. 2558 จําคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ และในกรณีที่ผู้กระทําความผิดนําสัตว์น้ําไปปล่อยในที่จับสัตว์น้ําต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสองล้านบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ ทั้งนี้ หากมีสัตว์น้ําต่างถิ่นในครอบครอง และไม่ต้องการเลี้ยงอีกต่อไปแล้ว อย่านําไปปล่อยลงในแหล่งน้ําสาธารณะ เพราะอาจมีความผิดตามกฎหมาย ให้นําสัตว์น้ําต่างถิ่นมามอบให้กับทางกรมประมง หรือสํานักงานประมงจังหวัดในพื้นที่ใกล้บ้าน -----------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมประมงชี้แจงปัญหาการแพร่พันธุ์ ของปลาหมอสีคางดำ วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม 2561 กรมประมงชี้แจงปัญหาการแพร่พันธุ์ ของปลาหมอสีคางดํา กรมประมงชี้แจงปัญหาการแพร่พันธุ์ของปลาหมอสีคางดํา เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2561 นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงปัญหาการแพร่พันธุ์ของปลาหมอสีคางดํา ตามที่มีการนําเสนอในสื่อ Voice TV ที่มีสาระสําคัญว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เผยแพร่มติ กสม. กรณีเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา ใน จ.สมุทรสงคราม และ จ.เพชรบุรี ได้รับผลกระทบจากการแพร่ขยายพันธุ์ของปลาหมอสีคางดํา ซึ่งกรมประมง (ผู้ถูกร้อง) อนุญาตให้ บ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน) นําเข้ามาทดลองเพาะเลี้ยง กระทั่งเกิดการแพร่ระบาดของพันธุ์ปลาดังกล่าวรุกรานปลาพื้นถิ่น สร้างความเดือดร้อนแก่เกษตรกรในวงกว้างมาตั้งแต่ปี 2555 นั้น กรมประมงขอชี้แจงการดําเนินการดังนี้ จากปัญหาดังกล่าวกรมประมงได้ดําเนินการตรวจสอบหาแหล่งที่มาการหลุดรอดของปลาหมอสีคางดํา และได้กําหนดมาตรการป้องกันแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง โดยได้ออกคําสั่งที่ 223/2561 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอสีคางดําโดยเฉพาะ นอกจากนี้ในพื้นที่จังหวัดที่พบมีการแพร่ระบาด ได้สั่งการให้หน่วยงานในพื้นที่ได้รับฟังข้อคิดเห็นของเกษตรกรชาวประมงและชุมชนเพื่อร่วมกันพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอสีคางดํา ซึ่งมีแนวทาง ดังนี้ 1. กําจัดปลาหมอสีคางดําในแหล่งน้ําที่มีการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง และให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสงค์กําจัดปลาหมอสีคางดําในบ่อเลี้ยง 2. ปล่อยพันธุ์ ปลากะพงขาว และปลาอีกง ซึ่งเป็นสัตว์น้ําพื้นเมืองลงในแหล่งน้ํา เพื่อควบคุมประชากรปลาหมอสีคางดํา อีกทั้งหาแนวทางในการกําจัดปลาหมอสีคางดําให้เกิดประโยชน์ เช่น การนํามาทําปุ๋ย หรือทําเป็นอาหารสัตว์น้ํา ฯลฯ 3. จัดสรรงบประมาณดําเนินโครงการวิจัยเร่งด่วน เพื่อหาแนวทางและวิธีการควบคุมและกําจัดปลาหมอสีคางดํา ทั้งในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ําและในแหล่งน้ําธรรมชาติ เช่น การศึกษาประสิทธิภาพเครื่องมือประมงในการกําจัดปลาหมอสีคางดําในบ่อเลี้ยงเกษตรกร ศึกษาเรื่องชนิดพันธุ์สัตว์น้ําพื้นเมืองที่เหมาะสมในการล่าเพื่อควบคุมประชากรปลาหมอสีคางดํา เป็นต้น 4. ขอรับการจัดสรรงบประมาณ เพื่อดําเนินโครงการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอสีคางดําที่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ําและระบบนิเวศในแหล่งน้ํา ประกอบด้วยกิจกรรมการรับซื้อเพื่อกําจัดปลาหมอสีคางดําออกจากวงจรบ่อเลี้ยงสัตว์น้ําและแหล่งน้ําธรรมชาติและการสนับสนุนกากชาเพื่อกําจัดปลาหมอสีคางดําที่หลงเหลือในบ่อเลี้ยงเพื่อมิให้แพร่ขยายพันธุ์ได้อีก 5. นําเสนอกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ออกประกาศ ฉบับลงวันที่ 9 มกราคม 2561 มีสาระสําคัญกําหนดห้ามมิให้บุคคลใดนําเข้า ส่งออก นําผ่าน หรือเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา 3 ชนิดพันธุ์ตามประกาศ ได้แก่ ปลาหมอสีคางดํา ปลาหมอมายัน ปลาหมอบัตเตอร์ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมประมง หรือเป็นผู้ซึ่งอธิบดีกรมประมงมอบหมาย ทั้งนี้ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํากรณีดังกล่าวจะไม่หมายความรวมถึงกรณีที่ มีปลาหมอสีคางดํา ปลาหมอมายัน ปลาหมอบัตเตอร์ จากธรรมชาติ หลุดรอดเข้าในบ่อเพาะเลี้ยงโดยไม่เจตนา โดย ประกาศฉบับดังกล่าวได้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา 6. ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับประชาชน ในเรื่องผลกระทบและวิธีการเลี้ยงเพื่อป้องกันการหลุดรอดของปลาหมอสีคางดํา รวมถึงสัตว์น้ําต่างถิ่นชนิดอื่นที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและสัตว์น้ําพื้นเมือง นอกจากแนวทางในการกําจัดปลาหมอสีคางดําตามที่กล่าวข้างต้น ในด้านการพิจารณานําเข้าสัตว์น้ําต่างถิ่นในภาพรวมทั้งหมด กรมประมงยังมีคณะกรรมการด้านความหลากหลายและด้านความปลอดภัยทางชีวภาพ (IBC) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นประกอบการขออนุญาตนําเข้าสัตว์น้ําต่างถิ่นอีกด้วย เพื่อป้องกันมิให้กระทบกับระบบนิเวศของแหล่งน้ํา และกําชับให้เจ้าหน้าที่ด่านตรวจสัตว์น้ําของกรมประมงทั่วประเทศสกัดกั้นทุกช่องทางการขนส่งสัตว์น้ําและผลิตภัณฑ์ทั้งทางเรือ ทางบก รวมทั้งทางอากาศ มิให้มีการลักลอบนําสัตว์น้ําต่างถิ่นเข้ามาในราชอาณาจักร โดยให้ปฏิบัติหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด สําหรับบทลงโทษหากพบผู้ใดฝ่าฝืน ลักลอบนําปลาหมอสีคางดํา ปลาหมอมายัน ปลาหมอบัตเตอร์ เข้ามาในราชอาณาจักร ต้องระวางโทษตามมาตรา 144 แห่งพระราชกําหนดการประมง พ.ศ. 2558 จําคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ และในกรณีที่ผู้กระทําความผิดนําสัตว์น้ําไปปล่อยในที่จับสัตว์น้ําต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสองล้านบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ ทั้งนี้ หากมีสัตว์น้ําต่างถิ่นในครอบครอง และไม่ต้องการเลี้ยงอีกต่อไปแล้ว อย่านําไปปล่อยลงในแหล่งน้ําสาธารณะ เพราะอาจมีความผิดตามกฎหมาย ให้นําสัตว์น้ําต่างถิ่นมามอบให้กับทางกรมประมง หรือสํานักงานประมงจังหวัดในพื้นที่ใกล้บ้าน -----------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12008
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์’ คิดไกล ดึง “นายกสมาคมการค้า” ร่วมเป็นแม่ทัพแถวหน้าพาเศรษฐกิจไทยรุดไปข้างหน้า พร้อมไขว้มือ “สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย”
วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2560 พาณิชย์’ คิดไกล ดึง “นายกสมาคมการค้า” ร่วมเป็นแม่ทัพแถวหน้าพาเศรษฐกิจไทยรุดไปข้างหน้า พร้อมไขว้มือ “สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย” เสริมแกร่งภาคธุรกิจรับมือกระแสโลกเปลี่ยนแปลง กระทรวงพาณิชย์ จับมือ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ชูบทบาท “นายกสมาคมการค้า” ยกให้เป็นแม่ทัพแถวหน้าร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยพร้อมภาครัฐ ภายใต้โครงการ Trade Association’s President Club (TAP Club) เชื่อมั่นในศักยภาพและเครือข่ายอันทรงพลังของสมาคมการค้าช่วยนําพาภาคธุรกิจให้รุดไปข้างหน้าด้วยความแข็งแกร่ง พร้อมรับมือสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกทุกด้านด้วยความมั่นใจ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการกล่าวปาฐกถาพิเศษ “โลกเปลี่ยน...ความท้าทายที่ไทยต้องเผชิญในอนาคต” ภายในงานอบรม Trade Association’s President Club (TAP Club) ครั้งที่ 1 เมื่อวันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2560 ว่า “ในทศวรรษนี้ ประเทศไทยต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ท้าทายของโลกหลายด้าน เช่น ด้านเทคโนโลยี : ที่มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและจะส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจและการดํารงชีวิตของคนในประเทศ ด้านสังคม : ที่ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยกําลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คนเกิดน้อยลงและมีแนวโน้มลดลงมาก ขณะที่เทคโนโลยีการแพทย์สมัยใหม่ทําให้คนอายุยืนมากขึ้น ส่งผลคนวัยทํางานในตลาดแรงงานลดลง ภาครัฐมีภาระค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมเพิ่มสูงขึ้น ด้านการเมือง : สังคมมีความเหลื่อมล้ําทางเศรษฐกิจทําให้เกิดกระแสการต่อต้านการเมืองแบบดั้งเดิม ด้านเศรษฐกิจ : เกิดกระแสธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น รวมทั้งนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของโลกเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะกลุ่มประเทศผู้นําเศรษฐกิจโลกที่เน้นการส่งเสริมพัฒนาความเข้มแข็งจากภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น นโยบายการค้าที่เน้นผลประโยชน์ภายในประเทศสหรัฐอเมริกา และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของยูโรโซนจากการที่ประเทศอังกฤษถอนตัวออกจาก EU (Brexit) ที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป” “กระทรวงพาณิชย์ ในบริบทของภาครัฐ ได้ดําเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการเชื่อมโยงการค้าทุกระดับทั้ง Local, Regional สู่ Global และได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกในอนาคต ซึ่งจะเป็นทั้งโอกาสและอุปสรรคทางการค้า ที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีความซับซ้อน จึงได้ประกาศยุทธศาสตร์กระทรวงพาณิชย์ 20 ปี (2559 - 2579) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก โดยตั้งเป้าผลักดันประเทศไทยเป็นผู้นําการค้าในระดับภูมิภาค และเป็นที่หนึ่งของโลกด้านการค้าขายสินค้าเกษตรนวัตกรรม สร้างความเข้มแข็งให้ทั้งธุรกิจและผู้บริโภค รองรับการดําเนินธุรกิจตามกลไกตลาดโลกและการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย” “ทั้งนี้ กระทรวงฯ ได้วางแนวทางการดําเนินการที่สําคัญ ได้แก่ 1) สร้างคลัสเตอร์เศรษฐกิจระดับจังหวัดและการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ผ่านกลไก Mini MOC ให้ร่วมพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากกับภาคเอกชน และชุมชนในพื้นที่ ซึ่งเป็นกลไกการทํางานแบบประชารัฐ 2) การส่งเสริมและสนับสนุน SMEs สู่การเป็น “สมาร์ท เอ็นเตอร์ไพร์ส” ประกอบด้วย - Idea Commercialization การสนับสนุนความคิดและผลงานวิจัยไปต่อยอดดําเนินธุรกิจ - Smart Business Solution สร้างการเชื่อมโยงระหว่าง SMEs และ Startup ในการยกระดับการดําเนินธุรกิจสู่ “สมาร์ท เอ็นเตอร์ไพร์ส - Global Expansion ขยายธุรกิจ Startup สู่ต่างประเทศ และ Relaxing Law & Regulation Constraints ปรับปรุงกฎหมายที่อํานวยความสะดวกในการดําเนินธุรกิจ Startup ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งบริษัทจํากัด (คนเดียว) และการพิจารณาทบทวนประมาณกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อเสริมสร้างสภาพแวดล้อมให้เกิดการแข่งขันที่มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล” “3) การส่งเสริมธุรกิจบริการ โดยส่งเสริมกลุ่มภาคธุรกิจบริการที่มีศักยภาพอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น (S-Curve) และกลุ่มธุรกิจบริการใหม่ (New S-Cueve) ประกอบด้วย 3.1) กลุ่มธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ ได้แก่ - ธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ เช่น ธุรกิจร้านอาหาร - ธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ - ธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ - ธุรกิจบริการด้านการศึกษา มุ่งสู่การเป็น Training Hub บุคลากรด้านการบริการของภูมิภาค - ธุรกิจบริการด้านนวัตกรรม - ธุรกิจก่อสร้าง และธุรกิจบันเทิง 3.2) กลุ่มธุรกิจบริการใหม่เพื่อรองรับอนาคต ได้แก่ - ธุรกิจบริการให้คําปรึกษา เช่น Social Media Consulting - ธุรกิจบริการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ธุรกิจกําจัดของเสีย และธุรกิจบริการดิจิตัล และ 4) จัดตั้งศูนย์บริการกระทรวงพาณิชย์ (MOC Business Solution Center) เน้นการบูรณาการของหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงพาณิชย์ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการดําเนินธุรกิจ เช่น ศูนย์ให้คําปรึกษาธุรกิจ (BAS) ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ศูนย์ให้คําปรึกษาด้านทรัพย์สินทางปัญญาและนวัตกรรม (IP IDE Center) ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา และสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการยุคใหม่ (NEA) ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ” “นโยบายต่างๆ ดังกล่าวจะไม่สามารถเกิดประสิทธิภาพ หากไม่ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน การจัดทําโครงการ Trade Association’s President Club (TAP Club) จึงเกิดขึ้น ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง กระทรวงพาณิชย์ กับ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดัน”นายกสมาคมการค้า” ไปสู่การเป็น “ผู้นําเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไทย” ผ่านกลไกของสมาคมการค้าและต่อยอดธุรกิจระหว่างสมาคมการค้าด้วยกันในลักษณะ Value Chain เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดเกื้อกูลกันในการทําธุรกิจของสมาชิกสมาคมการค้า และสร้างรากฐานธุรกิจไทยให้เข้มแข็งในระยะยาว” “TAP Club จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่แสดงถึงพลังความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจ โดยมีผู้นําการขับเคลื่อนที่เป็นบุคคลสําคัญในภาคธุรกิจ คือ นายกสมาคมการค้า มาช่วยผนึกกําลังเพื่อร่วมกันพัฒนาธุรกิจไทยให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง ในขณะที่ “สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย” พันธมิตรอันยาวนานของกระทรวงพาณิชย์ก็มีส่วนสําคัญที่ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง และช่วยให้หลายโครงการของกระทรวงพาณิชย์ประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี และครั้งนี้ก็เช่นกันที่ได้ร่วมมือกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ริเริ่มจัดทําโครงการ TAP Club ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มครั้งสําคัญของนายกสมาคมการค้า ที่ทุกท่านได้เสียสละเวลามาเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้มีความแข็งแกร่ง และสามารถรับมือได้กับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม พร้อมรองรับการดําเนินธุรกิจตามกลไกตลาดโลกและการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย โดยเฉพาะการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับ SME ไทย ในการสร้างผลงานใหม่ๆ เพื่อยกระดับขีดความสามารถ เสริมสร้างทักษะ และการเติมเต็มศักยภาพของ SME ให้เตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงจากภายนอก สู่การเป็น “สมาร์ท เอ็นเตอร์ไพร์ส” อย่างเต็มตัว” “ทั้งนี้ การอบรมโครงการ Trade Association’s President Club (TAP Club) ในวันนี้ ถือเป็นการอบรมครั้งแรก เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ เสริมสร้างบทบาทและเชื่อมโยงเครือข่ายผู้บริหารสมาคมการค้าในการขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีวิทยากรที่มีชื่อเสียงให้เกียรติร่วมบรรยาย ได้แก่ พ.อ.รศ.ดร.เศรษฐพงศ์ มะลิสุวรรณ ประธานกรรมการกิจการโทรคมนาคมและรองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ บรรยายหัวข้อ : Digital Economy และ ดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารทหารไทย จํากัด (มหาชน) บรรยายหัวข้อ : ทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2560” ครั้งที่ 2 จะเป็นกิจกรรม TAP Forum เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างนักธุรกิจชั้นนําของประเทศและผู้บริหารสมาคมการค้าให้สามารถนําความรู้หรือหลักวิชาการต่างๆ ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาสมาคมการค้าให้เป็นผู้แทนภาคธุรกิจที่เข้มแข็ง โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 20 เมษายน 2560 ณ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และครั้งที่ 3 จะจัดอบรม TAP Member (Together is Power) เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับมาตรการจากภาครัฐ ภาคเอกชน และเป็นเวทีกลางในการเสนอประเด็นปัญหาและอุปสรรคในการดําเนินงานของแต่ละสมาคม จะจัดขึ้นในวันที่ 30 พฤษภาคม 2560 ณ ศรีไทยเน็ทเวิร์ค ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2560) ประเทศไทยมีสมาคมการค้าจํานวนทั้งสิ้น 2,795 สมาคม โดยกลุ่มเป้าหมายในการพัฒนาของกระทรวงฯ เป็นสมาคมการค้าที่มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการประกอบธุรกิจและปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายซึ่งมีอยู่ 850 สมาคม ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โทร 0 2018 6888 ต่อ 2650 หรือ กองพัฒนาผู้ประกอบธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทร 0 2547 5970 หรือสายด่วน 1570
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์’ คิดไกล ดึง “นายกสมาคมการค้า” ร่วมเป็นแม่ทัพแถวหน้าพาเศรษฐกิจไทยรุดไปข้างหน้า พร้อมไขว้มือ “สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย” วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2560 พาณิชย์’ คิดไกล ดึง “นายกสมาคมการค้า” ร่วมเป็นแม่ทัพแถวหน้าพาเศรษฐกิจไทยรุดไปข้างหน้า พร้อมไขว้มือ “สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย” เสริมแกร่งภาคธุรกิจรับมือกระแสโลกเปลี่ยนแปลง กระทรวงพาณิชย์ จับมือ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ชูบทบาท “นายกสมาคมการค้า” ยกให้เป็นแม่ทัพแถวหน้าร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยพร้อมภาครัฐ ภายใต้โครงการ Trade Association’s President Club (TAP Club) เชื่อมั่นในศักยภาพและเครือข่ายอันทรงพลังของสมาคมการค้าช่วยนําพาภาคธุรกิจให้รุดไปข้างหน้าด้วยความแข็งแกร่ง พร้อมรับมือสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกทุกด้านด้วยความมั่นใจ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการกล่าวปาฐกถาพิเศษ “โลกเปลี่ยน...ความท้าทายที่ไทยต้องเผชิญในอนาคต” ภายในงานอบรม Trade Association’s President Club (TAP Club) ครั้งที่ 1 เมื่อวันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2560 ว่า “ในทศวรรษนี้ ประเทศไทยต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ท้าทายของโลกหลายด้าน เช่น ด้านเทคโนโลยี : ที่มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและจะส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจและการดํารงชีวิตของคนในประเทศ ด้านสังคม : ที่ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยกําลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คนเกิดน้อยลงและมีแนวโน้มลดลงมาก ขณะที่เทคโนโลยีการแพทย์สมัยใหม่ทําให้คนอายุยืนมากขึ้น ส่งผลคนวัยทํางานในตลาดแรงงานลดลง ภาครัฐมีภาระค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมเพิ่มสูงขึ้น ด้านการเมือง : สังคมมีความเหลื่อมล้ําทางเศรษฐกิจทําให้เกิดกระแสการต่อต้านการเมืองแบบดั้งเดิม ด้านเศรษฐกิจ : เกิดกระแสธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น รวมทั้งนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของโลกเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะกลุ่มประเทศผู้นําเศรษฐกิจโลกที่เน้นการส่งเสริมพัฒนาความเข้มแข็งจากภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น นโยบายการค้าที่เน้นผลประโยชน์ภายในประเทศสหรัฐอเมริกา และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของยูโรโซนจากการที่ประเทศอังกฤษถอนตัวออกจาก EU (Brexit) ที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป” “กระทรวงพาณิชย์ ในบริบทของภาครัฐ ได้ดําเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการเชื่อมโยงการค้าทุกระดับทั้ง Local, Regional สู่ Global และได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกในอนาคต ซึ่งจะเป็นทั้งโอกาสและอุปสรรคทางการค้า ที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีความซับซ้อน จึงได้ประกาศยุทธศาสตร์กระทรวงพาณิชย์ 20 ปี (2559 - 2579) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก โดยตั้งเป้าผลักดันประเทศไทยเป็นผู้นําการค้าในระดับภูมิภาค และเป็นที่หนึ่งของโลกด้านการค้าขายสินค้าเกษตรนวัตกรรม สร้างความเข้มแข็งให้ทั้งธุรกิจและผู้บริโภค รองรับการดําเนินธุรกิจตามกลไกตลาดโลกและการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย” “ทั้งนี้ กระทรวงฯ ได้วางแนวทางการดําเนินการที่สําคัญ ได้แก่ 1) สร้างคลัสเตอร์เศรษฐกิจระดับจังหวัดและการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ผ่านกลไก Mini MOC ให้ร่วมพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากกับภาคเอกชน และชุมชนในพื้นที่ ซึ่งเป็นกลไกการทํางานแบบประชารัฐ 2) การส่งเสริมและสนับสนุน SMEs สู่การเป็น “สมาร์ท เอ็นเตอร์ไพร์ส” ประกอบด้วย - Idea Commercialization การสนับสนุนความคิดและผลงานวิจัยไปต่อยอดดําเนินธุรกิจ - Smart Business Solution สร้างการเชื่อมโยงระหว่าง SMEs และ Startup ในการยกระดับการดําเนินธุรกิจสู่ “สมาร์ท เอ็นเตอร์ไพร์ส - Global Expansion ขยายธุรกิจ Startup สู่ต่างประเทศ และ Relaxing Law & Regulation Constraints ปรับปรุงกฎหมายที่อํานวยความสะดวกในการดําเนินธุรกิจ Startup ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งบริษัทจํากัด (คนเดียว) และการพิจารณาทบทวนประมาณกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อเสริมสร้างสภาพแวดล้อมให้เกิดการแข่งขันที่มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล” “3) การส่งเสริมธุรกิจบริการ โดยส่งเสริมกลุ่มภาคธุรกิจบริการที่มีศักยภาพอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น (S-Curve) และกลุ่มธุรกิจบริการใหม่ (New S-Cueve) ประกอบด้วย 3.1) กลุ่มธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ ได้แก่ - ธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ เช่น ธุรกิจร้านอาหาร - ธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ - ธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ - ธุรกิจบริการด้านการศึกษา มุ่งสู่การเป็น Training Hub บุคลากรด้านการบริการของภูมิภาค - ธุรกิจบริการด้านนวัตกรรม - ธุรกิจก่อสร้าง และธุรกิจบันเทิง 3.2) กลุ่มธุรกิจบริการใหม่เพื่อรองรับอนาคต ได้แก่ - ธุรกิจบริการให้คําปรึกษา เช่น Social Media Consulting - ธุรกิจบริการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ธุรกิจกําจัดของเสีย และธุรกิจบริการดิจิตัล และ 4) จัดตั้งศูนย์บริการกระทรวงพาณิชย์ (MOC Business Solution Center) เน้นการบูรณาการของหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงพาณิชย์ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการดําเนินธุรกิจ เช่น ศูนย์ให้คําปรึกษาธุรกิจ (BAS) ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ศูนย์ให้คําปรึกษาด้านทรัพย์สินทางปัญญาและนวัตกรรม (IP IDE Center) ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา และสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการยุคใหม่ (NEA) ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ” “นโยบายต่างๆ ดังกล่าวจะไม่สามารถเกิดประสิทธิภาพ หากไม่ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน การจัดทําโครงการ Trade Association’s President Club (TAP Club) จึงเกิดขึ้น ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง กระทรวงพาณิชย์ กับ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดัน”นายกสมาคมการค้า” ไปสู่การเป็น “ผู้นําเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไทย” ผ่านกลไกของสมาคมการค้าและต่อยอดธุรกิจระหว่างสมาคมการค้าด้วยกันในลักษณะ Value Chain เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดเกื้อกูลกันในการทําธุรกิจของสมาชิกสมาคมการค้า และสร้างรากฐานธุรกิจไทยให้เข้มแข็งในระยะยาว” “TAP Club จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่แสดงถึงพลังความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจ โดยมีผู้นําการขับเคลื่อนที่เป็นบุคคลสําคัญในภาคธุรกิจ คือ นายกสมาคมการค้า มาช่วยผนึกกําลังเพื่อร่วมกันพัฒนาธุรกิจไทยให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง ในขณะที่ “สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย” พันธมิตรอันยาวนานของกระทรวงพาณิชย์ก็มีส่วนสําคัญที่ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง และช่วยให้หลายโครงการของกระทรวงพาณิชย์ประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี และครั้งนี้ก็เช่นกันที่ได้ร่วมมือกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ริเริ่มจัดทําโครงการ TAP Club ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มครั้งสําคัญของนายกสมาคมการค้า ที่ทุกท่านได้เสียสละเวลามาเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้มีความแข็งแกร่ง และสามารถรับมือได้กับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม พร้อมรองรับการดําเนินธุรกิจตามกลไกตลาดโลกและการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย โดยเฉพาะการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับ SME ไทย ในการสร้างผลงานใหม่ๆ เพื่อยกระดับขีดความสามารถ เสริมสร้างทักษะ และการเติมเต็มศักยภาพของ SME ให้เตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงจากภายนอก สู่การเป็น “สมาร์ท เอ็นเตอร์ไพร์ส” อย่างเต็มตัว” “ทั้งนี้ การอบรมโครงการ Trade Association’s President Club (TAP Club) ในวันนี้ ถือเป็นการอบรมครั้งแรก เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ เสริมสร้างบทบาทและเชื่อมโยงเครือข่ายผู้บริหารสมาคมการค้าในการขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีวิทยากรที่มีชื่อเสียงให้เกียรติร่วมบรรยาย ได้แก่ พ.อ.รศ.ดร.เศรษฐพงศ์ มะลิสุวรรณ ประธานกรรมการกิจการโทรคมนาคมและรองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ บรรยายหัวข้อ : Digital Economy และ ดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารทหารไทย จํากัด (มหาชน) บรรยายหัวข้อ : ทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2560” ครั้งที่ 2 จะเป็นกิจกรรม TAP Forum เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างนักธุรกิจชั้นนําของประเทศและผู้บริหารสมาคมการค้าให้สามารถนําความรู้หรือหลักวิชาการต่างๆ ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาสมาคมการค้าให้เป็นผู้แทนภาคธุรกิจที่เข้มแข็ง โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 20 เมษายน 2560 ณ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และครั้งที่ 3 จะจัดอบรม TAP Member (Together is Power) เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับมาตรการจากภาครัฐ ภาคเอกชน และเป็นเวทีกลางในการเสนอประเด็นปัญหาและอุปสรรคในการดําเนินงานของแต่ละสมาคม จะจัดขึ้นในวันที่ 30 พฤษภาคม 2560 ณ ศรีไทยเน็ทเวิร์ค ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2560) ประเทศไทยมีสมาคมการค้าจํานวนทั้งสิ้น 2,795 สมาคม โดยกลุ่มเป้าหมายในการพัฒนาของกระทรวงฯ เป็นสมาคมการค้าที่มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการประกอบธุรกิจและปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายซึ่งมีอยู่ 850 สมาคม ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โทร 0 2018 6888 ต่อ 2650 หรือ กองพัฒนาผู้ประกอบธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทร 0 2547 5970 หรือสายด่วน 1570
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2351
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเผยผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 63 ไตรมาส 3 พร้อมเร่ง ! ส่วนราชการลงนามในสัญญาให้ทันภายใน พ.ค. 63
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563 กรมบัญชีกลางเผยผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจําปี 63 ไตรมาส 3 พร้อมเร่ง ! ส่วนราชการลงนามในสัญญาให้ทันภายใน พ.ค. 63 กรมบัญชีกลางเผยผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ใช้จ่ายแล้ว เป็นเงิน 2.1 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 66.37 พร้อมส่งทีมเร่งรัดการใช้จ่ายลงไปยังหน่วยงาน เพื่อเร่งให้ลงนามในสัญญาภายใน พ.ค. 63 นางสาววิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2563 เห็นชอบผลการพิจารณางบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่จะนํามาจัดทําร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ... ซึ่งรายการงบประมาณที่จะนํามาโอนประกอบด้วย (1) รายจ่ายประจําที่ยังมิได้เบิกจ่ายหรือยังไม่มีข้อผูกพัน หรือสามารถชะลอข้อผูกพันได้ ณ วันที่ 7 เมษายน 2563 (2) รายจ่ายลงทุน อาทิ รายการปีเดียวที่ยังไม่ประกาศดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างภายในวันที่ 7 เมษายน 2563 และ/หรือไม่สามารถลงนามได้ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 รายการที่สามารถชะลอการดําเนินการโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ หรือไม่สามารถดําเนินการได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และ (3) งบประมาณที่ไม่สามารถดําเนินการได้ตามวัตถุประสงค์ หรือมีเงินรายได้เพียงพอของหน่วยงานรัฐสภา หน่วยงานของศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ องค์กรอัยการ องค์การมหาชน หน่วยงานของรัฐและทุนหมุนเวียน ดังนั้น เพื่อให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการใช้จ่าย รายจ่ายลงทุนที่เหลือ ให้สามารถลงนามให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2563 กรมบัญชีกลางจึงได้ส่งคณะทํางานเฉพาะกิจลงไปยังหน่วยงาน เพื่อให้การใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เป็นไปตามเป้าหมาย ที่กําหนด “ซึ่งขณะนี้ผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 62 - 15 พ.ค. 63) งบประมาณภาพรวมใช้จ่ายแล้ว 2,123,781 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 3,200,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 66.37 โดยแบ่งเป็น (1) รายจ่ายลงทุน ใช้จ่ายแล้ว 293,523 ล้านบาท ของวงเงิน 597,091 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 49.16 (2) รายจ่ายประจําใช้จ่ายแล้ว 1,830,258 ล้านบาท ของวงเงิน 2,602,909 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 70.32 สําหรับเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี ใช้จ่ายแล้ว 257,415 ล้านบาท ของวงเงิน 259,024 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 99.38” โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเผยผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 63 ไตรมาส 3 พร้อมเร่ง ! ส่วนราชการลงนามในสัญญาให้ทันภายใน พ.ค. 63 วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563 กรมบัญชีกลางเผยผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจําปี 63 ไตรมาส 3 พร้อมเร่ง ! ส่วนราชการลงนามในสัญญาให้ทันภายใน พ.ค. 63 กรมบัญชีกลางเผยผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ใช้จ่ายแล้ว เป็นเงิน 2.1 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 66.37 พร้อมส่งทีมเร่งรัดการใช้จ่ายลงไปยังหน่วยงาน เพื่อเร่งให้ลงนามในสัญญาภายใน พ.ค. 63 นางสาววิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2563 เห็นชอบผลการพิจารณางบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่จะนํามาจัดทําร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ... ซึ่งรายการงบประมาณที่จะนํามาโอนประกอบด้วย (1) รายจ่ายประจําที่ยังมิได้เบิกจ่ายหรือยังไม่มีข้อผูกพัน หรือสามารถชะลอข้อผูกพันได้ ณ วันที่ 7 เมษายน 2563 (2) รายจ่ายลงทุน อาทิ รายการปีเดียวที่ยังไม่ประกาศดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างภายในวันที่ 7 เมษายน 2563 และ/หรือไม่สามารถลงนามได้ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 รายการที่สามารถชะลอการดําเนินการโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ หรือไม่สามารถดําเนินการได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และ (3) งบประมาณที่ไม่สามารถดําเนินการได้ตามวัตถุประสงค์ หรือมีเงินรายได้เพียงพอของหน่วยงานรัฐสภา หน่วยงานของศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ องค์กรอัยการ องค์การมหาชน หน่วยงานของรัฐและทุนหมุนเวียน ดังนั้น เพื่อให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการใช้จ่าย รายจ่ายลงทุนที่เหลือ ให้สามารถลงนามให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2563 กรมบัญชีกลางจึงได้ส่งคณะทํางานเฉพาะกิจลงไปยังหน่วยงาน เพื่อให้การใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เป็นไปตามเป้าหมาย ที่กําหนด “ซึ่งขณะนี้ผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 62 - 15 พ.ค. 63) งบประมาณภาพรวมใช้จ่ายแล้ว 2,123,781 ล้านบาท ของวงเงินงบประมาณ 3,200,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 66.37 โดยแบ่งเป็น (1) รายจ่ายลงทุน ใช้จ่ายแล้ว 293,523 ล้านบาท ของวงเงิน 597,091 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 49.16 (2) รายจ่ายประจําใช้จ่ายแล้ว 1,830,258 ล้านบาท ของวงเงิน 2,602,909 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 70.32 สําหรับเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี ใช้จ่ายแล้ว 257,415 ล้านบาท ของวงเงิน 259,024 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 99.38” โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31471
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน แถลง แรงงานไทยกลับจากเกาหลีใต้ มีมาตรการดูแล คุมเข้ม รัดกุม
วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2563 ก.แรงงาน แถลง แรงงานไทยกลับจากเกาหลีใต้ มีมาตรการดูแล คุมเข้ม รัดกุม ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แถลงมาตรการคัดกรองของทางการเกาหลีใต้ ก่อนส่งแรงงานไทยกลับประเทศ เผย รมว.แรงงาน สั่งทูตแรงงานใน สนร. 13 แห่ง ประสานนายจ้างช่วยดูแลคนงานไทย ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ผ่านสื่อออนไลน์ถึงวิธีป้องกันตนเองจากการติดเชื้อ วันนี้ (6 มี.ค.2563) รองศาสตราจารย์ ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับมาตรการรองรับแรงงานไทยจากสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด - 19 ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาลไวรัสสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล โดยกล่าวว่า ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ให้ติดตามและดูแลคนงานไทยที่พํานักอยู่ในประเทศที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) และประเทศเฝ้าระวังตามที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนดอย่างใกล้ชิด โดยดําเนินการร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ ในส่วนของกระทรวงแรงงาน หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ห่วงใยแรงงานไทยที่ไปทํางานในต่างประเทศทุกคน โดยได้สั่งการให้อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สํานักงานแรงงานในต่างประเทศ (สนร.) ทั้ง 13 แห่ง ประสานความร่วมมือกับนายจ้างในสถานประกอบการที่แรงงานไทยทํางานอยู่ เพื่อให้ขอความร่วมมือสถานประกอบการช่วยดูแลคนงานเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ขณะเดียวกันให้ประชาสัมพันธ์ข้อมูลแก่แรงงานผ่านสื่อออนไลน์ เช่น เฟสบุ๊ค ไลน์กลุ่ม วัดไทย ชุมชนไทย ร้านไทย อาสาสมัครแรงงาน ให้ทราบข้อมูลและมาตรการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รศ.ดร.จักษ์ฯ กล่าวต่อว่า ในกรณีที่พบว่า มีแรงงานไทยมีอาการเข้าข่ายสงสัยว่าจะติดเชื้อ เช่น มีไข้สูง 37.5 องศาขึ้นไป หรือมีปัญหาทางระบบทางเดินหายใจ ทางอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สํานักงานแรงงานในต่างประเทศ (สนร.) ก็จะเข้าไปดูแลแรงงานเพื่อประสานการส่งต่อให้สามารถเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล สําหรับสาธารณรัฐเกาหลี เป็นประเทศที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศให้เป็นท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID - 19) ซึ่งกระทรวงแรงงาน ได้บูรณาการประสานความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศ สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ของเกาหลี ในการอํานวยความสะดวกให้แรงงานไทยเดินทางกลับประเทศ กรณีแรงงานไทยที่เจ็บป่วยหรือผลการตรวจออกมาเป็นบวก(ติดเชื้อ) ทางการเกาหลีใต้จะส่งรถโรงพยาบาลมารับตัวผู้ป่วยไปเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลที่กําหนด โดยทางเกาหลีใต้จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลให้กับผู้ติดเชื้อทั้งหมด โดยไม่จํากัดว่าผู้ป่วยคนดังกล่าวพํานักอยู่ในเกาหลีใต้อย่างถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย และชาวไทยที่พํานักอยู่ในเกาหลีใต้อย่างผิดกฎหมายจะไม่ถูกจับกุมดําเนินคดีและไม่ถูกส่งตัวกลับประเทศ หากเข้ารับการตรวจทดสอบหาเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID - 19) เมื่อแรงงานไทยขึ้นเครื่องและเดินทางมาถึงประเทศไทยแล้ว กระทรวงแรงงาน จะร่วมบูรณาการส่งข้อมูลให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) โดยการดําเนินการจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มที่เดินทางจากเมืองแทกูและคย็องซังเหนือ ให้เฝ้าระวังอาการที่เกาหลีใต้ 14 วัน มีการคัดกรองก่อนขึ้นเครื่อง และ คัดกรองที่ด่านควบคุมโรคที่ท่าอากาศยาน หากตรวจพบว่ามีไข้ จะส่งตัวตามขั้นตอนของกระทรวงสาธารณสุข แต่หากตรวจแล้วไม่มีไข้ จะจัดรถส่งตัวไปพื้นที่ควบคุมโรคที่รัฐกําหนด 14 วัน 2) กลุ่มที่เดินทางจากเมืองอื่นๆ ในเกาหลีใต้ มีมาตรการ คือ เฝ้าระวังอาการที่เกาหลีใต้ 14 วัน คัดกรองก่อนขึ้นเครื่อง คัดกรองที่ด่านควบคุมโรคที่ท่าอากาศยาน หากตรวจพบว่ามีไข้ จะส่งตัวตามขั้นตอนของกระทรวงสาธารณสุข หากตรวจแล้วไม่มีไข้ จัดรถส่งตัวไปสถานที่ควบคุมโรคตามภูมิลําเนาโดยกระทรวงมหาดไทยจัดหาสถานที่รองรับในลักษณะพื้นที่จํากัด 14 วัน ---------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน แถลง แรงงานไทยกลับจากเกาหลีใต้ มีมาตรการดูแล คุมเข้ม รัดกุม วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2563 ก.แรงงาน แถลง แรงงานไทยกลับจากเกาหลีใต้ มีมาตรการดูแล คุมเข้ม รัดกุม ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แถลงมาตรการคัดกรองของทางการเกาหลีใต้ ก่อนส่งแรงงานไทยกลับประเทศ เผย รมว.แรงงาน สั่งทูตแรงงานใน สนร. 13 แห่ง ประสานนายจ้างช่วยดูแลคนงานไทย ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ผ่านสื่อออนไลน์ถึงวิธีป้องกันตนเองจากการติดเชื้อ วันนี้ (6 มี.ค.2563) รองศาสตราจารย์ ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับมาตรการรองรับแรงงานไทยจากสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด - 19 ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาลไวรัสสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล โดยกล่าวว่า ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ให้ติดตามและดูแลคนงานไทยที่พํานักอยู่ในประเทศที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) และประเทศเฝ้าระวังตามที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนดอย่างใกล้ชิด โดยดําเนินการร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ ในส่วนของกระทรวงแรงงาน หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ห่วงใยแรงงานไทยที่ไปทํางานในต่างประเทศทุกคน โดยได้สั่งการให้อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สํานักงานแรงงานในต่างประเทศ (สนร.) ทั้ง 13 แห่ง ประสานความร่วมมือกับนายจ้างในสถานประกอบการที่แรงงานไทยทํางานอยู่ เพื่อให้ขอความร่วมมือสถานประกอบการช่วยดูแลคนงานเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ขณะเดียวกันให้ประชาสัมพันธ์ข้อมูลแก่แรงงานผ่านสื่อออนไลน์ เช่น เฟสบุ๊ค ไลน์กลุ่ม วัดไทย ชุมชนไทย ร้านไทย อาสาสมัครแรงงาน ให้ทราบข้อมูลและมาตรการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รศ.ดร.จักษ์ฯ กล่าวต่อว่า ในกรณีที่พบว่า มีแรงงานไทยมีอาการเข้าข่ายสงสัยว่าจะติดเชื้อ เช่น มีไข้สูง 37.5 องศาขึ้นไป หรือมีปัญหาทางระบบทางเดินหายใจ ทางอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สํานักงานแรงงานในต่างประเทศ (สนร.) ก็จะเข้าไปดูแลแรงงานเพื่อประสานการส่งต่อให้สามารถเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล สําหรับสาธารณรัฐเกาหลี เป็นประเทศที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศให้เป็นท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID - 19) ซึ่งกระทรวงแรงงาน ได้บูรณาการประสานความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศ สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ของเกาหลี ในการอํานวยความสะดวกให้แรงงานไทยเดินทางกลับประเทศ กรณีแรงงานไทยที่เจ็บป่วยหรือผลการตรวจออกมาเป็นบวก(ติดเชื้อ) ทางการเกาหลีใต้จะส่งรถโรงพยาบาลมารับตัวผู้ป่วยไปเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลที่กําหนด โดยทางเกาหลีใต้จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลให้กับผู้ติดเชื้อทั้งหมด โดยไม่จํากัดว่าผู้ป่วยคนดังกล่าวพํานักอยู่ในเกาหลีใต้อย่างถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย และชาวไทยที่พํานักอยู่ในเกาหลีใต้อย่างผิดกฎหมายจะไม่ถูกจับกุมดําเนินคดีและไม่ถูกส่งตัวกลับประเทศ หากเข้ารับการตรวจทดสอบหาเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID - 19) เมื่อแรงงานไทยขึ้นเครื่องและเดินทางมาถึงประเทศไทยแล้ว กระทรวงแรงงาน จะร่วมบูรณาการส่งข้อมูลให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) โดยการดําเนินการจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มที่เดินทางจากเมืองแทกูและคย็องซังเหนือ ให้เฝ้าระวังอาการที่เกาหลีใต้ 14 วัน มีการคัดกรองก่อนขึ้นเครื่อง และ คัดกรองที่ด่านควบคุมโรคที่ท่าอากาศยาน หากตรวจพบว่ามีไข้ จะส่งตัวตามขั้นตอนของกระทรวงสาธารณสุข แต่หากตรวจแล้วไม่มีไข้ จะจัดรถส่งตัวไปพื้นที่ควบคุมโรคที่รัฐกําหนด 14 วัน 2) กลุ่มที่เดินทางจากเมืองอื่นๆ ในเกาหลีใต้ มีมาตรการ คือ เฝ้าระวังอาการที่เกาหลีใต้ 14 วัน คัดกรองก่อนขึ้นเครื่อง คัดกรองที่ด่านควบคุมโรคที่ท่าอากาศยาน หากตรวจพบว่ามีไข้ จะส่งตัวตามขั้นตอนของกระทรวงสาธารณสุข หากตรวจแล้วไม่มีไข้ จัดรถส่งตัวไปสถานที่ควบคุมโรคตามภูมิลําเนาโดยกระทรวงมหาดไทยจัดหาสถานที่รองรับในลักษณะพื้นที่จํากัด 14 วัน ---------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26971
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี
วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี วันพุธที่ 5 มกราคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไปขอเชิญ รับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลอนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี ระยะทางรวม 13.4 ก.ม. เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะของกรุงเทพมหานครระหว่างฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก ภายใต้แผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ใช้รูปแบบการลงทุนแบบ PPP NET COST โดยภาครัฐจะลงทุนค่างานจัดการกรรมสิทธิ์ที่ดิน ส่วนภาคเอกชนลงทุนค่าก่อสร้างงานโยธา คาดว่าจะเปิดประมูลและลงนามสัญญาได้ภายในเดือน ต.ค. นี้ และเริ่มก่อสร้างตั้งแต่เดือน พ.ย. 2563 ตั้งเป้าหมายเปิดให้บริการในปี 2569 นับเป็นการขยายเส้นทางการเดินรถไฟฟ้าช่วยอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี วันพุธที่ 5 มกราคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไปขอเชิญ รับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลอนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี ระยะทางรวม 13.4 ก.ม. เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะของกรุงเทพมหานครระหว่างฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก ภายใต้แผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ใช้รูปแบบการลงทุนแบบ PPP NET COST โดยภาครัฐจะลงทุนค่างานจัดการกรรมสิทธิ์ที่ดิน ส่วนภาคเอกชนลงทุนค่าก่อสร้างงานโยธา คาดว่าจะเปิดประมูลและลงนามสัญญาได้ภายในเดือน ต.ค. นี้ และเริ่มก่อสร้างตั้งแต่เดือน พ.ย. 2563 ตั้งเป้าหมายเปิดให้บริการในปี 2569 นับเป็นการขยายเส้นทางการเดินรถไฟฟ้าช่วยอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26304
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย ติวเข้มข้าราชการมหาดไทยบรรจุใหม่ เน้นย้ำเป็นข้าราชการที่ดี ต้องรู้งาน รู้หน้าที่ มีจิตสาธารณะ มุ่งมั่นทำงานเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน
วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2559 ปลัดกระทรวงมหาดไทย ติวเข้มข้าราชการมหาดไทยบรรจุใหม่ เน้นย้ําเป็นข้าราชการที่ดี ต้องรู้งาน รู้หน้าที่ มีจิตสาธารณะ มุ่งมั่นทํางานเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ปลัดกระทรวงมหาดไทย ติวเข้มข้าราชการมหาดไทยบรรจุใหม่ เน้นย้ําเป็นข้าราชการที่ดี ต้องรู้งาน รู้หน้าที่ มีจิตสาธารณะ มุ่งมั่นทํางานเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน วันนี้ (15 ส.ค. 59) ณ ห้องประชุม 3 ชั้น 5 อาคารสถาบันดํารงราชานุภาพ กระทรวงมหาดไทยนายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานพิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร“การเป็นข้าราชการที่ดี”รุ่นที่ 27 จัดขึ้นโดยสถาบันดํารงราชานุภาพ กระทรวงมหาดไทย เพื่อฝึกอบรมและพัฒนาข้าราชการของกระทรวงมหาดไทย และข้าราชการที่อยู่ระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ เพื่อให้ทราบถึงระเบียบแบบแผนของทางราชการและการเป็นข้าราชการที่ดี โดยมีผู้เข้ารับการอบรม จํานวน 90 คน ประกอบด้วย ข้าราชการในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กรมการปกครอง กรมโยธาธิการและผังเมือง และกรมที่ดิน ใช้ระยะเวลาการอบรม จํานวน 10 วัน ตั้งแต่วันที่ 15 - 24 สิงหาคม 2559 ณ วิทยาลัยมหาดไทย อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี โอกาสนี้ปลัดกระทรวงมหาดไทยได้กล่าวแสดงความยินดีกับข้าราชการที่ได้รับการบรรจุเข้าสังกัดในกระทรวงมหาดไทย พร้อมได้มอบโอวาทให้แก่ผู้เข้ารับการอบรม โดยกล่าวว่า การเป็นข้าราชการที่ดีต้องมีการเตรียมความพร้อมทั้งในหน้าที่ความรับผิดชอบและตนเอง โดยเฉพาะความเป็นข้าราชการใหม่ ที่ต้องเป็นผู้มีความละเอียด รอบคอบ ไม่บกพร่องในหน้าที่การงาน ซึ่งเปรียบเสมือนต้นกล้าที่พร้อมจะเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ในอนาคต จึงจะต้องได้รับความรู้ ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ และความสําคัญของการเป็น“ข้าราชการ”ที่มีหน้าที่ต่อแผ่นดิน และจะต้องก้าวเดินในเส้นทางที่ถูกต้องตั้งแต่จุดเริ่มต้น โดยได้รับการปลูกฝังจิตสํานึกที่ดี มีใจสาธารณะและอุดมการณ์ในการทํางาน สามารถครองตนเป็นข้าราชการที่ดีมีคุณธรรมจริยธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติงานโดยยึดหลักกฎหมาย กฎระเบียบ และประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสิ่งสําคัญ นอกจากนี้ ได้เน้นย้ําหลักการทํางานเพื่อให้ข้าราชการมหาดไทยได้นําไปปฏิบัติ คือ1.ต้องรู้งาน รู้หน้าที่ของตนเอง และหน่วยงานเนื่องจากงานของมหาดไทยมีความหลากหลายไม่เหมือนงานของกระทรวงอื่นๆ มีภารกิจที่เกี่ยวข้องมาก จึงจําเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในงานต่างๆ ทั้งในส่วนของหน้าที่ตนเองและหน่วยงาน โดยขอให้มีความตั้งใจ ตั้งมั่นในการทํางาน และหมั่นพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ก็จะสามารถปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นผลสําเร็จได้2.มีความซื่อสัตย์ สุจริต และเป็นคนดีในการทํางานต้องฝึกจิตใจให้เป็นคนเข้มแข็ง มั่นคง รู้จักผิดชอบ ชั่วดี มีจิตใจโอบอ้อมอารี และการทํางานราชการต้องไม่เอารัดเอาเปรียบเพื่อนร่วมงานมีความอดทนทํางานในหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ และหมั่นฝึกฝนตนเองให้มีความเข้มแข็งทางจิตใจมีความมั่นคงในการทําความดี3.มีความรักความสามัคคีโดยแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว ไม่แบ่งแยก แบ่งฝัก แบ่งฝ่าย ให้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยให้ยึดงานราชการเป็นสําคัญ และร่วมกันเป็นกําลังขับเคลื่อนงานและพัฒนาประเทศไปพร้อมๆ กัน ปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งสําคัญของการเป็นข้าราชการที่ดี ต้องรู้จักเรียนรู้ประสบการณ์จากรุ่นพี่ที่ประสบความสําเร็จในการปฏิบัติงานและการบริหารงานทั้งในระดับพื้นที่และในหน่วยงาน โดยให้“รู้จักฟัง รู้จักดู รู้จักคิด และรู้จักนําไปปฏิบัติ”และให้น้อมนํายุทธศาสตร์พระราชทาน“เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา”มาเป็นหลักในการคิดและปฏิบัติเพื่อให้การทํางานบรรลุตามเป้าหมาย และพร้อมเป็นแบบอย่างที่ดีเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประโยชน์สุขของประชาชนต่อไป.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย ติวเข้มข้าราชการมหาดไทยบรรจุใหม่ เน้นย้ำเป็นข้าราชการที่ดี ต้องรู้งาน รู้หน้าที่ มีจิตสาธารณะ มุ่งมั่นทำงานเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2559 ปลัดกระทรวงมหาดไทย ติวเข้มข้าราชการมหาดไทยบรรจุใหม่ เน้นย้ําเป็นข้าราชการที่ดี ต้องรู้งาน รู้หน้าที่ มีจิตสาธารณะ มุ่งมั่นทํางานเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ปลัดกระทรวงมหาดไทย ติวเข้มข้าราชการมหาดไทยบรรจุใหม่ เน้นย้ําเป็นข้าราชการที่ดี ต้องรู้งาน รู้หน้าที่ มีจิตสาธารณะ มุ่งมั่นทํางานเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน วันนี้ (15 ส.ค. 59) ณ ห้องประชุม 3 ชั้น 5 อาคารสถาบันดํารงราชานุภาพ กระทรวงมหาดไทยนายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานพิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร“การเป็นข้าราชการที่ดี”รุ่นที่ 27 จัดขึ้นโดยสถาบันดํารงราชานุภาพ กระทรวงมหาดไทย เพื่อฝึกอบรมและพัฒนาข้าราชการของกระทรวงมหาดไทย และข้าราชการที่อยู่ระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ เพื่อให้ทราบถึงระเบียบแบบแผนของทางราชการและการเป็นข้าราชการที่ดี โดยมีผู้เข้ารับการอบรม จํานวน 90 คน ประกอบด้วย ข้าราชการในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กรมการปกครอง กรมโยธาธิการและผังเมือง และกรมที่ดิน ใช้ระยะเวลาการอบรม จํานวน 10 วัน ตั้งแต่วันที่ 15 - 24 สิงหาคม 2559 ณ วิทยาลัยมหาดไทย อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี โอกาสนี้ปลัดกระทรวงมหาดไทยได้กล่าวแสดงความยินดีกับข้าราชการที่ได้รับการบรรจุเข้าสังกัดในกระทรวงมหาดไทย พร้อมได้มอบโอวาทให้แก่ผู้เข้ารับการอบรม โดยกล่าวว่า การเป็นข้าราชการที่ดีต้องมีการเตรียมความพร้อมทั้งในหน้าที่ความรับผิดชอบและตนเอง โดยเฉพาะความเป็นข้าราชการใหม่ ที่ต้องเป็นผู้มีความละเอียด รอบคอบ ไม่บกพร่องในหน้าที่การงาน ซึ่งเปรียบเสมือนต้นกล้าที่พร้อมจะเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ในอนาคต จึงจะต้องได้รับความรู้ ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ และความสําคัญของการเป็น“ข้าราชการ”ที่มีหน้าที่ต่อแผ่นดิน และจะต้องก้าวเดินในเส้นทางที่ถูกต้องตั้งแต่จุดเริ่มต้น โดยได้รับการปลูกฝังจิตสํานึกที่ดี มีใจสาธารณะและอุดมการณ์ในการทํางาน สามารถครองตนเป็นข้าราชการที่ดีมีคุณธรรมจริยธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติงานโดยยึดหลักกฎหมาย กฎระเบียบ และประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสิ่งสําคัญ นอกจากนี้ ได้เน้นย้ําหลักการทํางานเพื่อให้ข้าราชการมหาดไทยได้นําไปปฏิบัติ คือ1.ต้องรู้งาน รู้หน้าที่ของตนเอง และหน่วยงานเนื่องจากงานของมหาดไทยมีความหลากหลายไม่เหมือนงานของกระทรวงอื่นๆ มีภารกิจที่เกี่ยวข้องมาก จึงจําเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในงานต่างๆ ทั้งในส่วนของหน้าที่ตนเองและหน่วยงาน โดยขอให้มีความตั้งใจ ตั้งมั่นในการทํางาน และหมั่นพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ก็จะสามารถปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นผลสําเร็จได้2.มีความซื่อสัตย์ สุจริต และเป็นคนดีในการทํางานต้องฝึกจิตใจให้เป็นคนเข้มแข็ง มั่นคง รู้จักผิดชอบ ชั่วดี มีจิตใจโอบอ้อมอารี และการทํางานราชการต้องไม่เอารัดเอาเปรียบเพื่อนร่วมงานมีความอดทนทํางานในหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ และหมั่นฝึกฝนตนเองให้มีความเข้มแข็งทางจิตใจมีความมั่นคงในการทําความดี3.มีความรักความสามัคคีโดยแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว ไม่แบ่งแยก แบ่งฝัก แบ่งฝ่าย ให้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยให้ยึดงานราชการเป็นสําคัญ และร่วมกันเป็นกําลังขับเคลื่อนงานและพัฒนาประเทศไปพร้อมๆ กัน ปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งสําคัญของการเป็นข้าราชการที่ดี ต้องรู้จักเรียนรู้ประสบการณ์จากรุ่นพี่ที่ประสบความสําเร็จในการปฏิบัติงานและการบริหารงานทั้งในระดับพื้นที่และในหน่วยงาน โดยให้“รู้จักฟัง รู้จักดู รู้จักคิด และรู้จักนําไปปฏิบัติ”และให้น้อมนํายุทธศาสตร์พระราชทาน“เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา”มาเป็นหลักในการคิดและปฏิบัติเพื่อให้การทํางานบรรลุตามเป้าหมาย และพร้อมเป็นแบบอย่างที่ดีเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประโยชน์สุขของประชาชนต่อไป.
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/108
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐนตรีพร้อมภริยา และคณะรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบำเพ็ญพระราชกุศล และร่วมเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล
วันอังคารที่ 16 ตุลาคม 2561 นายกรัฐนตรีพร้อมภริยา และคณะรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศล และร่วมเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล นายกรัฐนตรีพร้อมภริยา และคณะรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศล และร่วมเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล วันนี้ (15 ตุลาคม 2561) เวลา 18.00 น. ณ พระลานพระราชวังดุสิต พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รศ. นราพร จันทร์โอชา ภริยา และคณะรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พร้อมทั้งร่วมเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และพระสงฆ์ร่วมเจริญพระพุทธมนต์จํานวน 207 รูป ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกตน้อย พระพุทธรูปสําคัญมาประดิษฐานเป็นพระประธานในพิธี เพื่อให้ประชาชนได้สักการะอันจะเป็นมงคลแก่ชีวิต ประเทศชาติ และสืบสานพระราชปณิธาน "ธรรมราชินี" ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ---------------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐนตรีพร้อมภริยา และคณะรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบำเพ็ญพระราชกุศล และร่วมเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล วันอังคารที่ 16 ตุลาคม 2561 นายกรัฐนตรีพร้อมภริยา และคณะรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศล และร่วมเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล นายกรัฐนตรีพร้อมภริยา และคณะรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศล และร่วมเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล วันนี้ (15 ตุลาคม 2561) เวลา 18.00 น. ณ พระลานพระราชวังดุสิต พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รศ. นราพร จันทร์โอชา ภริยา และคณะรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พร้อมทั้งร่วมเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และพระสงฆ์ร่วมเจริญพระพุทธมนต์จํานวน 207 รูป ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกตน้อย พระพุทธรูปสําคัญมาประดิษฐานเป็นพระประธานในพิธี เพื่อให้ประชาชนได้สักการะอันจะเป็นมงคลแก่ชีวิต ประเทศชาติ และสืบสานพระราชปณิธาน "ธรรมราชินี" ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ---------------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16087
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อิ่มท้องรับปีใหม่ !! ธอส. มอบข้าวออร์แกนิค ลูกค้าวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท ด้านผู้รักการออม ชวนออมเงินฝากประจำเจ้าสัวแสนล้าน
วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม 2561 อิ่มท้องรับปีใหม่ !! ธอส. มอบข้าวออร์แกนิค ลูกค้าวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท ด้านผู้รักการออม ชวนออมเงินฝากประจําเจ้าสัวแสนล้าน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ขอบคุณลูกค้าสินเชื่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อยในโอกาสส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2562 มอบข้าวออร์แกนิคให้แก่ลูกค้าของธนาคารทุกรายที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ขอบคุณลูกค้าสินเชื่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อยในโอกาสส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2562 มอบข้าวออร์แกนิคให้แก่ลูกค้าของธนาคารทุกรายที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งมีลูกค้าเข้าข่ายได้รับข้าวกว่า 600,000 ราย ติดต่อรับได้ที่สาขาทั่วประเทศระหว่างวันที่ 24 ธันวาคม 2561 จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 พร้อมส่งเสริมการออมให้แก่ลูกค้าในช่วงปีใหม่ เพียงเปิดบัญชีหรือฝากเงินเพิ่มกับบัญชีเงินฝากประจําเจ้าสัวแสนล้าน 8 เดือน และ 18 เดือน โดยมียอดฝากตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป ระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม 2561 ถึงวันที่ 15 มกราคม 2562 รับบัตรกาแฟอเมซอนมูลค่า 100 บาท นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าสินเชื่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อยในโอกาสส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2562 พร้อมสนับสนุนส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนและเกษตรกรไทย ธอส. จึงได้จัดทํา โครงการของขวัญปีใหม่ 2562 โดยธนาคารพร้อมส่งมอบข้าวออร์แกนิคให้แก่ลูกค้าของธนาคารทุกรายที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งมีลูกค้าที่เข้าข่ายได้รับข้าวกว่า 600,000 ราย เพียงผู้กู้นําบัตรประจําตัวประชาชนหรือบัตรประจําตัวข้าราชการ/พนักงานองค์การของรัฐ และใบเสร็จรับเงินที่ระบุข้อความเพิ่มเติมว่า “ของขวัญปีใหม่ 2562” (ถ้ามี) มาแสดงด้วยตนเองเพื่อขอรับข้าวออร์แกนิคได้ที่สาขาของธนาคารทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 24 ธันวาคม 2561 จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 ตรวจสอบสิทธิได้ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 ส่วนทางด้านลูกค้าเงินฝาก ธนาคารยังส่งเสริมการออมให้แก่ประชาชนในช่วงปีใหม่ เพียงเปิดบัญชีหรือฝากเงินเพิ่มกับบัญชี “เงินฝากประจําเจ้าสัวแสนล้าน 8 เดือน และ 18 เดือน” นอกจากจะมีโอกาสได้รับดอกเบี้ยตามจํานวนเงินฝากและระยะเวลาฝากเริ่มต้น 1.70 % ต่อปี และสูงสุด 1.85 % ต่อปี ยังมีสิทธิได้รับ บัตรกาแฟอเมซอนมูลค่า 100 บาท จํานวน 1 ใบ ต่อลูกค้า 1 ราย เพียงมียอดเปิดบัญชีหรือยอดฝากเพิ่ม ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป ระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม 2561 ถึงวันที่ 15 มกราคม 2562 ที่สาขาของธนาคารทั่วประเทศ ซึ่งเงินฝากทุกบาทของลูกค้าประชาชนยังมีส่วนช่วยให้ธนาคารนําไปสร้างโอกาสให้คนไทยมีบ้านได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อิ่มท้องรับปีใหม่ !! ธอส. มอบข้าวออร์แกนิค ลูกค้าวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท ด้านผู้รักการออม ชวนออมเงินฝากประจำเจ้าสัวแสนล้าน วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม 2561 อิ่มท้องรับปีใหม่ !! ธอส. มอบข้าวออร์แกนิค ลูกค้าวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท ด้านผู้รักการออม ชวนออมเงินฝากประจําเจ้าสัวแสนล้าน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ขอบคุณลูกค้าสินเชื่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อยในโอกาสส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2562 มอบข้าวออร์แกนิคให้แก่ลูกค้าของธนาคารทุกรายที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ขอบคุณลูกค้าสินเชื่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อยในโอกาสส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2562 มอบข้าวออร์แกนิคให้แก่ลูกค้าของธนาคารทุกรายที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งมีลูกค้าเข้าข่ายได้รับข้าวกว่า 600,000 ราย ติดต่อรับได้ที่สาขาทั่วประเทศระหว่างวันที่ 24 ธันวาคม 2561 จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 พร้อมส่งเสริมการออมให้แก่ลูกค้าในช่วงปีใหม่ เพียงเปิดบัญชีหรือฝากเงินเพิ่มกับบัญชีเงินฝากประจําเจ้าสัวแสนล้าน 8 เดือน และ 18 เดือน โดยมียอดฝากตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป ระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม 2561 ถึงวันที่ 15 มกราคม 2562 รับบัตรกาแฟอเมซอนมูลค่า 100 บาท นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าสินเชื่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อยในโอกาสส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2562 พร้อมสนับสนุนส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนและเกษตรกรไทย ธอส. จึงได้จัดทํา โครงการของขวัญปีใหม่ 2562 โดยธนาคารพร้อมส่งมอบข้าวออร์แกนิคให้แก่ลูกค้าของธนาคารทุกรายที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งมีลูกค้าที่เข้าข่ายได้รับข้าวกว่า 600,000 ราย เพียงผู้กู้นําบัตรประจําตัวประชาชนหรือบัตรประจําตัวข้าราชการ/พนักงานองค์การของรัฐ และใบเสร็จรับเงินที่ระบุข้อความเพิ่มเติมว่า “ของขวัญปีใหม่ 2562” (ถ้ามี) มาแสดงด้วยตนเองเพื่อขอรับข้าวออร์แกนิคได้ที่สาขาของธนาคารทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 24 ธันวาคม 2561 จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 ตรวจสอบสิทธิได้ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 ส่วนทางด้านลูกค้าเงินฝาก ธนาคารยังส่งเสริมการออมให้แก่ประชาชนในช่วงปีใหม่ เพียงเปิดบัญชีหรือฝากเงินเพิ่มกับบัญชี “เงินฝากประจําเจ้าสัวแสนล้าน 8 เดือน และ 18 เดือน” นอกจากจะมีโอกาสได้รับดอกเบี้ยตามจํานวนเงินฝากและระยะเวลาฝากเริ่มต้น 1.70 % ต่อปี และสูงสุด 1.85 % ต่อปี ยังมีสิทธิได้รับ บัตรกาแฟอเมซอนมูลค่า 100 บาท จํานวน 1 ใบ ต่อลูกค้า 1 ราย เพียงมียอดเปิดบัญชีหรือยอดฝากเพิ่ม ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป ระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม 2561 ถึงวันที่ 15 มกราคม 2562 ที่สาขาของธนาคารทั่วประเทศ ซึ่งเงินฝากทุกบาทของลูกค้าประชาชนยังมีส่วนช่วยให้ธนาคารนําไปสร้างโอกาสให้คนไทยมีบ้านได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17799
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชี้แจง การควบคุมตัวนักกิจกรรมทางการเมืองดำเนินการด้วยความถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย
วันอังคารที่ 17 เมษายน 2561 นายกรัฐมนตรีชี้แจง การควบคุมตัวนักกิจกรรมทางการเมืองดําเนินการด้วยความถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย นายกรัฐมนตรีชี้แจง การควบคุมตัวนักกิจกรรมทางการเมืองดําเนินการด้วยความถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย วันนี้ (17 เมษายน 2561) เวลา 15.15 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีการควบคุมตัวนักกิจกรรมทางการเมืองว่า เจ้าหน้าที่ยึดหลักความถูกต้องในการดําเนินการ พร้อมขอความร่วมมือทุกฝ่ายมองเหตุการณ์ในภาพรวม ทั้งนี้การจัดกิจกรรมดังกล่าวยังไม่ใช้ช่วงเวลาที่เหมาะสม อาจส่งผลกระทบกับการจราจร และการทํางานของเจ้าหน้าที่ และขอให้พิจารณาว่า การกระทําดังกล่าวเป็นการสร้างความเดือดร้อนหรือละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้อื่นหรือไม่ ขอให้มองสองด้านและคํานึงถึงความเหมาะสมในการจัดกิจกรรม ระมัดระวังการละเมิดสิทธิของผู้อื่น ในส่วนของภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่มีความจําเป็นในการดําเนินการเพื่อยุติกิจกรรมด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ตามขั้นตอนของกฎหมาย ทั้งนี้ พร้อมฝากให้สื่อมวลชนนําเสนอภาพข่าวที่ชัดเจน ถูกต้อง และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ............................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชี้แจง การควบคุมตัวนักกิจกรรมทางการเมืองดำเนินการด้วยความถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย วันอังคารที่ 17 เมษายน 2561 นายกรัฐมนตรีชี้แจง การควบคุมตัวนักกิจกรรมทางการเมืองดําเนินการด้วยความถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย นายกรัฐมนตรีชี้แจง การควบคุมตัวนักกิจกรรมทางการเมืองดําเนินการด้วยความถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย วันนี้ (17 เมษายน 2561) เวลา 15.15 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีการควบคุมตัวนักกิจกรรมทางการเมืองว่า เจ้าหน้าที่ยึดหลักความถูกต้องในการดําเนินการ พร้อมขอความร่วมมือทุกฝ่ายมองเหตุการณ์ในภาพรวม ทั้งนี้การจัดกิจกรรมดังกล่าวยังไม่ใช้ช่วงเวลาที่เหมาะสม อาจส่งผลกระทบกับการจราจร และการทํางานของเจ้าหน้าที่ และขอให้พิจารณาว่า การกระทําดังกล่าวเป็นการสร้างความเดือดร้อนหรือละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้อื่นหรือไม่ ขอให้มองสองด้านและคํานึงถึงความเหมาะสมในการจัดกิจกรรม ระมัดระวังการละเมิดสิทธิของผู้อื่น ในส่วนของภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่มีความจําเป็นในการดําเนินการเพื่อยุติกิจกรรมด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ตามขั้นตอนของกฎหมาย ทั้งนี้ พร้อมฝากให้สื่อมวลชนนําเสนอภาพข่าวที่ชัดเจน ถูกต้อง และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ............................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11544
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เร่งเสริมมาตรการแก้ปัญหาฝุ่นละออง วอนประชาชนจุดธูป เผากระดาษช่วงเทศกาลตรุษจีนอย่างเหมาะสม
วันอังคารที่ 29 มกราคม 2562 ครม. เร่งเสริมมาตรการแก้ปัญหาฝุ่นละออง วอนประชาชนจุดธูป เผากระดาษช่วงเทศกาลตรุษจีนอย่างเหมาะสม ครม. เร่งเสริมมาตรการแก้ปัญหาฝุ่นละออง วันนี้ (29 ม.ค 62) เวลา 15.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีว่าเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยปัญหาค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน โดยมอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งหารือกับผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ภายในวันนี้ เพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน รวมทั้ง ให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่มีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณเป็นประธาน ประชุมเร่งด่วนภายในสัปดาห์หน้า เพื่อร่วมกันกําหนดมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ในเทศกาลตรุษจีน ยังได้ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนพิจารณาการจุดธูปและเผากระดาษ ตามความเหมาะสม ............................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เร่งเสริมมาตรการแก้ปัญหาฝุ่นละออง วอนประชาชนจุดธูป เผากระดาษช่วงเทศกาลตรุษจีนอย่างเหมาะสม วันอังคารที่ 29 มกราคม 2562 ครม. เร่งเสริมมาตรการแก้ปัญหาฝุ่นละออง วอนประชาชนจุดธูป เผากระดาษช่วงเทศกาลตรุษจีนอย่างเหมาะสม ครม. เร่งเสริมมาตรการแก้ปัญหาฝุ่นละออง วันนี้ (29 ม.ค 62) เวลา 15.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีว่าเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยปัญหาค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน โดยมอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งหารือกับผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ภายในวันนี้ เพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน รวมทั้ง ให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่มีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณเป็นประธาน ประชุมเร่งด่วนภายในสัปดาห์หน้า เพื่อร่วมกันกําหนดมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ในเทศกาลตรุษจีน ยังได้ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนพิจารณาการจุดธูปและเผากระดาษ ตามความเหมาะสม ............................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18422
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมภาพรวมการดำเนินงานองค์การสะพานปลา พร้อมตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่คัดแยกประเภท และการขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำ
วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม 2561 นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมภาพรวมการดําเนินงานองค์การสะพานปลา พร้อมตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่คัดแยกประเภท และการขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ํา นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลมีความตั้งใจทํางานเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนและประเทศชาติ วันนี้ (5 มีนาคม 2561) เวลา 11.00 น. ณ องค์การสะพานปลา ตําบลมหาชัย อําเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับฟังบรรยายสรุปภาพรวมการดําเนินงานขององค์การสะพานปลา และผลการดําเนินการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service : OSS) จังหวัดสมุทรสาคร และชมการสาธิตระบบฐานข้อมูลการสแกนม่านตา (Iris Scan System) ระบบระบุตําแหน่งเรือประมงไทย (Vessel Monitoring System) และการตรวจควบคุมการแจ้งเข้า – ออกของเรือประมงพาณิชย์ พร้อมตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่คัดแยกประเภท และการขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ํา สําหรับองค์การสะพานปลา เป็นตลาดกลางสินค้าสัตว์น้ําทั้งทางเรือและทางบกในจังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงเป็นตลาดกลางรองรับสัตว์น้ําที่ขนถ่ายมาจากทางภาคใต้ ในส่วนผลการดําเนินการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ ปัจจุบันประเทศไทยมีแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ คือสัญชาติกัมพูชา เมียนมา และลาว จํานวนทั้งสิ้นกว่า 3.8 ล้านคน ซึ่งเป็นแรงงานที่เข้าเมืองและทํางานอย่างถูกกฎหมายประมาณ 2 ล้านคน และในส่วนที่เหลือคือแรงงานประเภททั่วไปที่ได้รับการผ่อนผันให้เข้ามาทํางานประมาณ 1.8 ล้านคน ปัจจุบันมีแรงงานมาดําเนินการขึ้นทะเบียนประวัติประมาณ 2 ล้านคน และยังมีแรงงานต่างด้าวประมาณ 8 แสนคนที่ไม่สามารถดําเนินการพิสูจน์สัญชาติให้แล้วเสร็จได้ตามระยะเวลาที่ผ่อนผัน ส่งผลให้แรงงานกลุ่มดังกล่าวเป็นแรงงานที่ทํางานอย่างผิดกฎหมาย แต่นายจ้างและผู้ประกอบการยังมีความจําเป็นจะต้องจ้างงานอยู่ ซึ่งถ้าให้แรงงานกลับประเทศต้นทางตามมาตรการทางกฎหมาย อาจส่งผลกระทบต่อสถานการณ์การขาดแคลนแรงงานในประเทศ ในส่วนของระบบฐานข้อมูลการสแกนม่านตา พบปัญหาอุปสรรคเนื่องจากแรงงานในกิจการประมง ไม่สามารถเข้ามาสแกนม่านตาได้ตามวันและเวลาที่นัดหมายได้ เพราะเรืออยู่กลางทะเล ไม่สามารถระบุวันที่จะเข้าได้ จึงทําให้การสแกนม่านตาล่าช้า สําหรับกิจการแปรรูปสัตว์น้ํานั้น นายจ้างไม่สามารถนําแรงงานต่างด้าวมาสแกนม่านตาที่ศูนย์ ฯ ได้เช่นกัน เนื่องการหากแรงงานหยุดงาน จะส่งผลกระทบต่อการผลิต การดําเนินการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้น สํานักงานจัดหางานจังหวัดได้ปรับวิธีการดําเนินการโดยการออกไปดําเนินการสแกนม่านตาตามสถานประกอบการแต่ละแห่งเพื่อให้กระทบต่อการผลิตน้อยที่สุด โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้พบปะกับประชาชนที่มาให้การต้อนรับ พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลมีความตั้งใจทํางานเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนทั้งประเทศ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้ทํางานเพื่อแก้ไขปัญหาที่สะสมมานาน พร้อมทํางานใหม่ ๆ เพื่อประชาชนและเพื่อประเทศชาติให้สามารถเดินไปข้างหน้าได้ โดยเฉพาะปัญหาความเป็นอยู่ของประชาชน จึงต้องสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศให้มากด้วยการลงทุน เพราะเมื่อมีการลงทุนเศรษฐกิจก็จะดีขึ้น นํารายได้สู่ประเทศ และจะสะท้อนกลับไปสู่ประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สําหรับแรงงานประมงนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ถ้ามีใครเรียกรับผลประโยชน์ ขอให้ร้องเรียนมายังหน่วยงานราชการ หรือร้องเรียนโดยตรงกับนายกรัฐมนตรี อย่าเกรงกลัวอิทธิพลใด ๆ ทั้งสิ้น ต้องทําทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมฝากให้ช่วยกันดูแลแรงงานทั้งคนไทยและแรงงานประเทศเพื่อนบ้านกลุ่ม CLMV ซึ่งจะต้องดูแลซึ่งกันและกัน เติบโตไปพร้อมกัน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พร้อมกล่าวยืนยันว่า ไม่ต้องการรังแกชาวประมง ซึ่งอาจจะได้รับผลกระทบบ้างในช่วงแรก แต่ขอให้อดทน ทําให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะรัฐบาลมีเจตนารมณ์ที่จะมุ่งมั่นแก้ไขปัญหา IUU อย่างจริงจัง เพื่อความยั่งยืน ขอทุกคนให้ความร่วมมือกัน อย่าต่อต้านรัฐบาลในการดําเนินการแก้ไขปัญหา ส่วนเจ้าหน้าที่ทุกคน ขอให้ทุ่มเททํางาน และมีความเสียสละ ส่วนระบบต่าง ๆ ที่นําเข้ามาช่วยเหลือการทํางานนั้น อะไรที่ดีอยู่แล้วก็ขอให้ทําดียิ่งๆ ขึ้นไปจะได้ประสบความสําเร็จ ส่วนสิ่งใดที่มีปัญหาขอให้ช่วยกันแก้ไขต่อไป นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการเลือกตั้งว่า ถือเป็นกลไกสําคัญของระบอบประชาธิปไตย จึงขอให้ทุกคนที่มีสิทธิ์เลือกแบบมีหลักคิด มีหลักการ ขอให้มองผลประโยชน์ระยะยาว และผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก อย่าเห็นแก่ผลประโยชน์ระยะสั้น พร้อมขอให้ทุกคนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง เลือกคนที่ทําเพื่อประเทศชาติให้สามารถเดินหน้าไปได้ทุก 5 ปี รวมทั้งฝากถึงผู้นําส่วนท้องถิ่นว่า ขอให้ภาคภูมิใจกับตําแหน่งหน้าที่ เพราะเป็นตําแหน่งที่สําคัญ ใกล้ชิดกับประชาชน และเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศในระดับท้องถิ่น ------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมภาพรวมการดำเนินงานองค์การสะพานปลา พร้อมตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่คัดแยกประเภท และการขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำ วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม 2561 นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมภาพรวมการดําเนินงานองค์การสะพานปลา พร้อมตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่คัดแยกประเภท และการขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ํา นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลมีความตั้งใจทํางานเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนและประเทศชาติ วันนี้ (5 มีนาคม 2561) เวลา 11.00 น. ณ องค์การสะพานปลา ตําบลมหาชัย อําเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับฟังบรรยายสรุปภาพรวมการดําเนินงานขององค์การสะพานปลา และผลการดําเนินการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service : OSS) จังหวัดสมุทรสาคร และชมการสาธิตระบบฐานข้อมูลการสแกนม่านตา (Iris Scan System) ระบบระบุตําแหน่งเรือประมงไทย (Vessel Monitoring System) และการตรวจควบคุมการแจ้งเข้า – ออกของเรือประมงพาณิชย์ พร้อมตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่คัดแยกประเภท และการขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ํา สําหรับองค์การสะพานปลา เป็นตลาดกลางสินค้าสัตว์น้ําทั้งทางเรือและทางบกในจังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงเป็นตลาดกลางรองรับสัตว์น้ําที่ขนถ่ายมาจากทางภาคใต้ ในส่วนผลการดําเนินการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ ปัจจุบันประเทศไทยมีแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ คือสัญชาติกัมพูชา เมียนมา และลาว จํานวนทั้งสิ้นกว่า 3.8 ล้านคน ซึ่งเป็นแรงงานที่เข้าเมืองและทํางานอย่างถูกกฎหมายประมาณ 2 ล้านคน และในส่วนที่เหลือคือแรงงานประเภททั่วไปที่ได้รับการผ่อนผันให้เข้ามาทํางานประมาณ 1.8 ล้านคน ปัจจุบันมีแรงงานมาดําเนินการขึ้นทะเบียนประวัติประมาณ 2 ล้านคน และยังมีแรงงานต่างด้าวประมาณ 8 แสนคนที่ไม่สามารถดําเนินการพิสูจน์สัญชาติให้แล้วเสร็จได้ตามระยะเวลาที่ผ่อนผัน ส่งผลให้แรงงานกลุ่มดังกล่าวเป็นแรงงานที่ทํางานอย่างผิดกฎหมาย แต่นายจ้างและผู้ประกอบการยังมีความจําเป็นจะต้องจ้างงานอยู่ ซึ่งถ้าให้แรงงานกลับประเทศต้นทางตามมาตรการทางกฎหมาย อาจส่งผลกระทบต่อสถานการณ์การขาดแคลนแรงงานในประเทศ ในส่วนของระบบฐานข้อมูลการสแกนม่านตา พบปัญหาอุปสรรคเนื่องจากแรงงานในกิจการประมง ไม่สามารถเข้ามาสแกนม่านตาได้ตามวันและเวลาที่นัดหมายได้ เพราะเรืออยู่กลางทะเล ไม่สามารถระบุวันที่จะเข้าได้ จึงทําให้การสแกนม่านตาล่าช้า สําหรับกิจการแปรรูปสัตว์น้ํานั้น นายจ้างไม่สามารถนําแรงงานต่างด้าวมาสแกนม่านตาที่ศูนย์ ฯ ได้เช่นกัน เนื่องการหากแรงงานหยุดงาน จะส่งผลกระทบต่อการผลิต การดําเนินการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้น สํานักงานจัดหางานจังหวัดได้ปรับวิธีการดําเนินการโดยการออกไปดําเนินการสแกนม่านตาตามสถานประกอบการแต่ละแห่งเพื่อให้กระทบต่อการผลิตน้อยที่สุด โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้พบปะกับประชาชนที่มาให้การต้อนรับ พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลมีความตั้งใจทํางานเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนทั้งประเทศ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้ทํางานเพื่อแก้ไขปัญหาที่สะสมมานาน พร้อมทํางานใหม่ ๆ เพื่อประชาชนและเพื่อประเทศชาติให้สามารถเดินไปข้างหน้าได้ โดยเฉพาะปัญหาความเป็นอยู่ของประชาชน จึงต้องสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศให้มากด้วยการลงทุน เพราะเมื่อมีการลงทุนเศรษฐกิจก็จะดีขึ้น นํารายได้สู่ประเทศ และจะสะท้อนกลับไปสู่ประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สําหรับแรงงานประมงนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ถ้ามีใครเรียกรับผลประโยชน์ ขอให้ร้องเรียนมายังหน่วยงานราชการ หรือร้องเรียนโดยตรงกับนายกรัฐมนตรี อย่าเกรงกลัวอิทธิพลใด ๆ ทั้งสิ้น ต้องทําทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมฝากให้ช่วยกันดูแลแรงงานทั้งคนไทยและแรงงานประเทศเพื่อนบ้านกลุ่ม CLMV ซึ่งจะต้องดูแลซึ่งกันและกัน เติบโตไปพร้อมกัน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พร้อมกล่าวยืนยันว่า ไม่ต้องการรังแกชาวประมง ซึ่งอาจจะได้รับผลกระทบบ้างในช่วงแรก แต่ขอให้อดทน ทําให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะรัฐบาลมีเจตนารมณ์ที่จะมุ่งมั่นแก้ไขปัญหา IUU อย่างจริงจัง เพื่อความยั่งยืน ขอทุกคนให้ความร่วมมือกัน อย่าต่อต้านรัฐบาลในการดําเนินการแก้ไขปัญหา ส่วนเจ้าหน้าที่ทุกคน ขอให้ทุ่มเททํางาน และมีความเสียสละ ส่วนระบบต่าง ๆ ที่นําเข้ามาช่วยเหลือการทํางานนั้น อะไรที่ดีอยู่แล้วก็ขอให้ทําดียิ่งๆ ขึ้นไปจะได้ประสบความสําเร็จ ส่วนสิ่งใดที่มีปัญหาขอให้ช่วยกันแก้ไขต่อไป นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการเลือกตั้งว่า ถือเป็นกลไกสําคัญของระบอบประชาธิปไตย จึงขอให้ทุกคนที่มีสิทธิ์เลือกแบบมีหลักคิด มีหลักการ ขอให้มองผลประโยชน์ระยะยาว และผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก อย่าเห็นแก่ผลประโยชน์ระยะสั้น พร้อมขอให้ทุกคนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง เลือกคนที่ทําเพื่อประเทศชาติให้สามารถเดินหน้าไปได้ทุก 5 ปี รวมทั้งฝากถึงผู้นําส่วนท้องถิ่นว่า ขอให้ภาคภูมิใจกับตําแหน่งหน้าที่ เพราะเป็นตําแหน่งที่สําคัญ ใกล้ชิดกับประชาชน และเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศในระดับท้องถิ่น ------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10503
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'ศาสตร์พระราชา จะดำรงอยู่กับลูกหลานตลอดไป' ณ ร.ร.สามเสนวิทยาลัย
วันอังคารที่ 31 ตุลาคม 2560 'ศาสตร์พระราชา จะดํารงอยู่กับลูกหลานตลอดไป' ณ ร.ร.สามเสนวิทยาลัย ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยี่ยมเยียนพบปะสนทนากับผู้บริหาร คณาจารย์ นักเรียน ร.ร.สามเสนวิทยาลัย และบรรยายพิเศษ เรื่อง 'ศาสตร์พระราชา จะดํารงอยู่กับลูกหลานตลอดไป' และการมีส่วนร่วมในการตอบคําถามของลูกหลานนักเรียน ณ หอประชุม ร.ร.สามเสนวิทยาลัย โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ถนนพระรามที่ 6 เขตพญาไท "รู้ รัก สามัคคี และ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ถือเป็นศาสตร์ที่นําพาความอยู่รอดปลอดภัย อันไม่ตั้งอยู่ในความประมาท สู่ประเทศชาติและประชาชนชาวไทย"ม.ล.ปลัดดา ดิศกุล
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'ศาสตร์พระราชา จะดำรงอยู่กับลูกหลานตลอดไป' ณ ร.ร.สามเสนวิทยาลัย วันอังคารที่ 31 ตุลาคม 2560 'ศาสตร์พระราชา จะดํารงอยู่กับลูกหลานตลอดไป' ณ ร.ร.สามเสนวิทยาลัย ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยี่ยมเยียนพบปะสนทนากับผู้บริหาร คณาจารย์ นักเรียน ร.ร.สามเสนวิทยาลัย และบรรยายพิเศษ เรื่อง 'ศาสตร์พระราชา จะดํารงอยู่กับลูกหลานตลอดไป' และการมีส่วนร่วมในการตอบคําถามของลูกหลานนักเรียน ณ หอประชุม ร.ร.สามเสนวิทยาลัย โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ถนนพระรามที่ 6 เขตพญาไท "รู้ รัก สามัคคี และ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ถือเป็นศาสตร์ที่นําพาความอยู่รอดปลอดภัย อันไม่ตั้งอยู่ในความประมาท สู่ประเทศชาติและประชาชนชาวไทย"ม.ล.ปลัดดา ดิศกุล
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7681
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงทรัพยากรฯ บูรณาการการดำเนินงานกับกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563 กระทรวงทรัพยากรฯ บูรณาการการดําเนินงานกับกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธาน ร่วมกับนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อการส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ครั้งที่ 1 กระทรวงทรัพยากรฯ บูรณาการการดําเนินงานกับกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน วันที่ 30 มกราคม 2563 ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคารกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธาน ร่วมกับนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อการส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ครั้งที่ 1/2563 โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เข้าร่วมการประชุมฯ โอกาสนี้ รมว.ทส. ได้กล่าวในที่ประชุมว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยินดีให้การสนับสนุนและส่งเสริมการดําเนินงานของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการพัฒนาการและยกระดับการท่องเที่ยว ทั้งนี้ หัวใจสําคัญในการดําเนินงาน คือ ให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์และมีส่วนร่วมในการพัฒนาการท่องเที่ยว โดยยังคงรักษาความสมดุลและความกลมกลืนกับธรรมชาติ ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวได้หารือและพิจารณาแนวทางในการดําเนินงานร่วมกันในเรื่องดังต่อไปนี้ 1. การจัดการแข่งขันวิ่งเทรลในประเทศไทย ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี 2. การอนุรักษ์โลมาอิรวดี ในทะเลสาบสงขลา และการท่องเที่ยวชมวาฬบรูด้าบริเวณอ่าวไทยตอนบน 3. การสนับสนุนการพัฒนา Sand dune ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว 4. ปัญหาแมงกะพรุนกล่อง และแนวทางการแก้ไข 5. การแก้ไขปัญหาจุดเสี่ยงภัยบริเวณแหล่งท่องเที่ยว เช่น บริเวณน้ําตกหน้าเมืองเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นต้น 6. มาตรการจัดการปัญหาขยะในแหล่งท่องเที่ยว และแนวทางการแก้ไข เช่น ปัญหา ณ บ่อขยะ ตําบลมะเร็ต อําเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี 7. มาตรการแก้ปัญหาลิงในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว 8. การปิดอ่าวมาหยา 9. การผลักดันการพัฒนา น้ําตกโผงโผง ตําบลปากล่อ อําเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงทรัพยากรฯ บูรณาการการดำเนินงานกับกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563 กระทรวงทรัพยากรฯ บูรณาการการดําเนินงานกับกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธาน ร่วมกับนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อการส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ครั้งที่ 1 กระทรวงทรัพยากรฯ บูรณาการการดําเนินงานกับกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน วันที่ 30 มกราคม 2563 ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคารกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธาน ร่วมกับนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อการส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ครั้งที่ 1/2563 โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เข้าร่วมการประชุมฯ โอกาสนี้ รมว.ทส. ได้กล่าวในที่ประชุมว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยินดีให้การสนับสนุนและส่งเสริมการดําเนินงานของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการพัฒนาการและยกระดับการท่องเที่ยว ทั้งนี้ หัวใจสําคัญในการดําเนินงาน คือ ให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์และมีส่วนร่วมในการพัฒนาการท่องเที่ยว โดยยังคงรักษาความสมดุลและความกลมกลืนกับธรรมชาติ ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวได้หารือและพิจารณาแนวทางในการดําเนินงานร่วมกันในเรื่องดังต่อไปนี้ 1. การจัดการแข่งขันวิ่งเทรลในประเทศไทย ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี 2. การอนุรักษ์โลมาอิรวดี ในทะเลสาบสงขลา และการท่องเที่ยวชมวาฬบรูด้าบริเวณอ่าวไทยตอนบน 3. การสนับสนุนการพัฒนา Sand dune ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว 4. ปัญหาแมงกะพรุนกล่อง และแนวทางการแก้ไข 5. การแก้ไขปัญหาจุดเสี่ยงภัยบริเวณแหล่งท่องเที่ยว เช่น บริเวณน้ําตกหน้าเมืองเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นต้น 6. มาตรการจัดการปัญหาขยะในแหล่งท่องเที่ยว และแนวทางการแก้ไข เช่น ปัญหา ณ บ่อขยะ ตําบลมะเร็ต อําเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี 7. มาตรการแก้ปัญหาลิงในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว 8. การปิดอ่าวมาหยา 9. การผลักดันการพัฒนา น้ําตกโผงโผง ตําบลปากล่อ อําเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26376
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ
วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม 2561 ผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ รอง นรม. พลเอก ฉัตรชัยฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ (สทพ.) ครั้งที่ 1/2561 วันนี้ ( 5 กรกฎาคม 2561) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ (สทพ.) ครั้งที่ 1/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุมเห็นชอบข้อเสนอแนะว่าด้วยแนวปฏิบัติด้านการส่งเสริมความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ตามพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนนําไปเป็นแนวทางในการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ และคุ้มครองไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาแผนการใช้จ่ายเงินของกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ ประจําปีงบประมาณ 2562 ซึ่งตามระเบียบคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ ว่าด้วยการบริหารกองทุน การรับ การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงินกองทุน การระดมทุน การลงทุนการจัดหาผลประโยชน์และการจัดการกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ 2559 ข้อ 25 วรรค 1 ซึ่งกําหนดว่า “ให้ผู้บริหารกองทุนจัดทําแผนการดําเนินงานประจําปี ซึ่งอย่างน้อยประกอบด้วย ผลการดําเนินงานของปีที่ผ่านมา แผนการปฏิบัติงาน ประมาณการรายรับรายจ่ายประจําปี และประมาณการกระแสเงินสด ตามแบบที่กระทรวงการคลังกําหนด เพื่อนําเสนอคณะกรรมการการบริหารกองทุนพิจารณา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ สทพ. อย่างน้อยหกสิบวันก่อนวันเริ่มต้นบัญชีของทุกปี” ..................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม 2561 ผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ รอง นรม. พลเอก ฉัตรชัยฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ (สทพ.) ครั้งที่ 1/2561 วันนี้ ( 5 กรกฎาคม 2561) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ (สทพ.) ครั้งที่ 1/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุมเห็นชอบข้อเสนอแนะว่าด้วยแนวปฏิบัติด้านการส่งเสริมความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ตามพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนนําไปเป็นแนวทางในการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ และคุ้มครองไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาแผนการใช้จ่ายเงินของกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ ประจําปีงบประมาณ 2562 ซึ่งตามระเบียบคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ ว่าด้วยการบริหารกองทุน การรับ การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงินกองทุน การระดมทุน การลงทุนการจัดหาผลประโยชน์และการจัดการกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ 2559 ข้อ 25 วรรค 1 ซึ่งกําหนดว่า “ให้ผู้บริหารกองทุนจัดทําแผนการดําเนินงานประจําปี ซึ่งอย่างน้อยประกอบด้วย ผลการดําเนินงานของปีที่ผ่านมา แผนการปฏิบัติงาน ประมาณการรายรับรายจ่ายประจําปี และประมาณการกระแสเงินสด ตามแบบที่กระทรวงการคลังกําหนด เพื่อนําเสนอคณะกรรมการการบริหารกองทุนพิจารณา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ สทพ. อย่างน้อยหกสิบวันก่อนวันเริ่มต้นบัญชีของทุกปี” ..................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13614
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สารแสดงความเสียใจของนายกรัฐมนตรีต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน
วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤศจิกายน 2560 สารแสดงความเสียใจของนายกรัฐมนตรีต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน สารแสดงความเสียใจของนายกรัฐมนตรีต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ตามที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวที่สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 ที่บริเวณจังหวัด Kermanshah ซึ่งมีพรมแดนติดกับอิรัก ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจํานวนมาก นั้น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีสารแสดงความเสียใจถึงนายฮัสซัน รูฮานี ประธานาธิบดีสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ดังนี้ Excellency, It is with profound sadness to learn of the powerful earthquake that had struck Iran, causing many loss of lives and injuries and massive damage to properties in Kermanshah province and its surrounding. On behalf of the Royal Thai Government and the people of Thailand, I have the honour to extend my heartfelt condolences and sincere sympathy to Your Excellency and, through you, to the families of the bereaved and those affected by this disaster. We are deeply grieved by the continuing rise in death toll and number of those injured. Our thoughts and prayers are with your people during this tough time. I am confident that under your strong leadership, rehabilitation and reconstruction efforts for those affected will be carried out effectively. In this time of grief, Thailand stands ready to assist Iran in mitigating the effects of this natural disaster. Accept, Excellency, the renewed assurances of my highest consideration. General Prayut Chan-o-cha (Ret.) Prime Minister of the Kingdom of Thailand
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สารแสดงความเสียใจของนายกรัฐมนตรีต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤศจิกายน 2560 สารแสดงความเสียใจของนายกรัฐมนตรีต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน สารแสดงความเสียใจของนายกรัฐมนตรีต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ตามที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวที่สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 ที่บริเวณจังหวัด Kermanshah ซึ่งมีพรมแดนติดกับอิรัก ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจํานวนมาก นั้น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีสารแสดงความเสียใจถึงนายฮัสซัน รูฮานี ประธานาธิบดีสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ดังนี้ Excellency, It is with profound sadness to learn of the powerful earthquake that had struck Iran, causing many loss of lives and injuries and massive damage to properties in Kermanshah province and its surrounding. On behalf of the Royal Thai Government and the people of Thailand, I have the honour to extend my heartfelt condolences and sincere sympathy to Your Excellency and, through you, to the families of the bereaved and those affected by this disaster. We are deeply grieved by the continuing rise in death toll and number of those injured. Our thoughts and prayers are with your people during this tough time. I am confident that under your strong leadership, rehabilitation and reconstruction efforts for those affected will be carried out effectively. In this time of grief, Thailand stands ready to assist Iran in mitigating the effects of this natural disaster. Accept, Excellency, the renewed assurances of my highest consideration. General Prayut Chan-o-cha (Ret.) Prime Minister of the Kingdom of Thailand
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8102
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุริยะ ร่วมเป็นเกียรติในงาน “ประชารัฐสร้างไทย”
วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562 รมว.สุริยะ ร่วมเป็นเกียรติในงาน “ประชารัฐสร้างไทย” นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติในการประชุมเชิงปฏิบัติการการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน “ประชารัฐสร้างไทย” ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ อิมแพค เมืองทองธานี วันนี้ (21 ก.ย. 62) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติในการประชุมเชิงปฏิบัติการการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน “ประชารัฐสร้างไทย” โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมฯ และมีนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมด้วย ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ อิมแพค เมืองทองธานี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุริยะ ร่วมเป็นเกียรติในงาน “ประชารัฐสร้างไทย” วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562 รมว.สุริยะ ร่วมเป็นเกียรติในงาน “ประชารัฐสร้างไทย” นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติในการประชุมเชิงปฏิบัติการการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน “ประชารัฐสร้างไทย” ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ อิมแพค เมืองทองธานี วันนี้ (21 ก.ย. 62) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติในการประชุมเชิงปฏิบัติการการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน “ประชารัฐสร้างไทย” โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมฯ และมีนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมด้วย ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ อิมแพค เมืองทองธานี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23303
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 25 ตุลาคม 2559
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 25 ตุลาคม 2559 วันนี้ (25 ตุลาคม 2559) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 25 ตุลาคม 2559 วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 25 ตุลาคม 2559 วันนี้ (25 ตุลาคม 2559) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/629
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ ฉัตรชัย ชี้ แผนปฏิบัติการระดับชาติด้านสาธารณสุขทางทะเล ช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยว
วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561 รองนายกฯ ฉัตรชัย ชี้ แผนปฏิบัติการระดับชาติด้านสาธารณสุขทางทะเล ช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยว รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ฉัตรชัย ชื่นชมแผนปฏิบัติการระดับชาติด้านสาธารณสุขทางทะเลไม่ถึง 3 เดือนช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอาการรุนแรงมีโอกาสเสียชีวิตสูงจากน้ําหนีบและจมน้ํา 6 คนรอดชีวิตกลับประเทศได้ สร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยว สนับสนุนมาตรฐานการท่องเที่ยวข พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ทําแผนปฏิบัติการบูรณาการระดับชาติการสาธารณสุขเขตสุขภาพพิเศษ สาธารณสุขทางทะเล ปี 2561-2564 โดยในระยะที่ 1 ระหว่างปี 2561-2562 ได้สร้างระบบกู้ชีพ/กู้ภัยทางทะเล และระบบบริการมาตรฐานสากล ใน 5 จังหวัดติดทะเลที่มีชาวต่างชาติมาท่องเที่ยวมากที่สุด ได้แก่ ภูเก็ต ชลบุรี กระบี่ พังงา และสุราษฎร์ธานี ด้วย 9 โครงการสําคัญ ได้แก่ 1.การจัดตั้งหน่วยการแพทย์บนพื้นที่อุทยานแห่งชาติ 5 แห่ง 2.สร้างระบบความปลอดภัยบนชายหาด นําร่อง 10 แห่ง 3.สร้างระบบความปลอดภัยบนเรือ จัดอบรมพนักงานบนเรือ 4.ตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุ/ศูนย์สั่งการระดับจังหวัด 5.ตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุ/ศูนย์สั่งการระดับภาค 6.พัฒนาอาสาสมัครสาธารณสุขทางทะเล 7.โครงการแพทย์ทางไกล 8.สร้างเครือข่ายและพัฒนามาตรฐานสถานบริการติดทะเล และ9.พัฒนาบุคลากรในสถานบริการติดทะเล ผลการดําเนินงานในระยะแรกของเรือกู้ชีพที่ได้ร่วมปฏิบัติการชุดเฉพาะกิจจังหวัดพังงา ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว ที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์และสิมิลัน วันที่ 19 กุมภาพันธ์ - 5 พฤษภาคม 2561 มีผู้รับบริการ 981 คน เป็นชาวต่างชาติร้อยละ 80 การบาดเจ็บร้อยละ 52 ได้แก่ จมน้ํา/น้ําหนีบ ลื่นล้ม มีบาดแผลจากใบพัดเรือ/ หิน /หอย ที่เหลือเป็นการเจ็บป่วยฉุกเฉิน โดยสามารถช่วยเหลือนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีอาการรุนแรงมีโอกาสเสียชีวิตสูงจากน้ําหนีบและจมน้ําจํานวน 6 คนรอดชีวิตกลับประเทศได้อย่างปลอดภัย “แผนสาธารณสุขทางทะเลเป็นเรื่องใหม่ที่น่าชื่นชม มีการทําแผนพร้อมการขับเคลื่อนงานอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งแผนพัฒนา นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะเป็นการดูแลสุขภาพของคนในประเทศ รวมทั้งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่ชื่นชอบทะเลอ่าวไทยและอันดามัน นํารายได้มหาศาลเข้าประเทศ การสร้างมาตรฐานความปลอดภัย เมื่อเกิดเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุขึ้นทางทะเลมีระบบมีหน่วยงานรองรับ จะสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยว และเป็นการช่วยสนับสนุนมาตรฐานการท่องเที่ยวของประเทศอีกทางหนึ่ง” พลเอก ฉัตรชัยกล่าว ทั้งนี้ แผนสาธารณสุขทางทะเลเป็น 1 ใน แผนปฏิบัติการสาธารณสุขเขตสุขภาพพิเศษ พ.ศ.2560-2564 ประกอบด้วย 4 แผนงาน ได้แก่ แผนสาธารณสุขเขตพื้นที่เฉพาะ : ประชากรต่างด้าว (Migrant Health) แผนสาธารณสุขชายแดน (Border Health) แผนสาธารณสุขระเบียงเศรษฐกิจ (EEC Health) และสาธารณสุขทางทะเล (Marine Health) รองรับนโยบายการพัฒนาของประเทศ ******************************** 15 มิถุนายน 2561​
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ ฉัตรชัย ชี้ แผนปฏิบัติการระดับชาติด้านสาธารณสุขทางทะเล ช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยว วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561 รองนายกฯ ฉัตรชัย ชี้ แผนปฏิบัติการระดับชาติด้านสาธารณสุขทางทะเล ช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยว รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ฉัตรชัย ชื่นชมแผนปฏิบัติการระดับชาติด้านสาธารณสุขทางทะเลไม่ถึง 3 เดือนช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอาการรุนแรงมีโอกาสเสียชีวิตสูงจากน้ําหนีบและจมน้ํา 6 คนรอดชีวิตกลับประเทศได้ สร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยว สนับสนุนมาตรฐานการท่องเที่ยวข พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ทําแผนปฏิบัติการบูรณาการระดับชาติการสาธารณสุขเขตสุขภาพพิเศษ สาธารณสุขทางทะเล ปี 2561-2564 โดยในระยะที่ 1 ระหว่างปี 2561-2562 ได้สร้างระบบกู้ชีพ/กู้ภัยทางทะเล และระบบบริการมาตรฐานสากล ใน 5 จังหวัดติดทะเลที่มีชาวต่างชาติมาท่องเที่ยวมากที่สุด ได้แก่ ภูเก็ต ชลบุรี กระบี่ พังงา และสุราษฎร์ธานี ด้วย 9 โครงการสําคัญ ได้แก่ 1.การจัดตั้งหน่วยการแพทย์บนพื้นที่อุทยานแห่งชาติ 5 แห่ง 2.สร้างระบบความปลอดภัยบนชายหาด นําร่อง 10 แห่ง 3.สร้างระบบความปลอดภัยบนเรือ จัดอบรมพนักงานบนเรือ 4.ตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุ/ศูนย์สั่งการระดับจังหวัด 5.ตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุ/ศูนย์สั่งการระดับภาค 6.พัฒนาอาสาสมัครสาธารณสุขทางทะเล 7.โครงการแพทย์ทางไกล 8.สร้างเครือข่ายและพัฒนามาตรฐานสถานบริการติดทะเล และ9.พัฒนาบุคลากรในสถานบริการติดทะเล ผลการดําเนินงานในระยะแรกของเรือกู้ชีพที่ได้ร่วมปฏิบัติการชุดเฉพาะกิจจังหวัดพังงา ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว ที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์และสิมิลัน วันที่ 19 กุมภาพันธ์ - 5 พฤษภาคม 2561 มีผู้รับบริการ 981 คน เป็นชาวต่างชาติร้อยละ 80 การบาดเจ็บร้อยละ 52 ได้แก่ จมน้ํา/น้ําหนีบ ลื่นล้ม มีบาดแผลจากใบพัดเรือ/ หิน /หอย ที่เหลือเป็นการเจ็บป่วยฉุกเฉิน โดยสามารถช่วยเหลือนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีอาการรุนแรงมีโอกาสเสียชีวิตสูงจากน้ําหนีบและจมน้ําจํานวน 6 คนรอดชีวิตกลับประเทศได้อย่างปลอดภัย “แผนสาธารณสุขทางทะเลเป็นเรื่องใหม่ที่น่าชื่นชม มีการทําแผนพร้อมการขับเคลื่อนงานอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งแผนพัฒนา นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะเป็นการดูแลสุขภาพของคนในประเทศ รวมทั้งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่ชื่นชอบทะเลอ่าวไทยและอันดามัน นํารายได้มหาศาลเข้าประเทศ การสร้างมาตรฐานความปลอดภัย เมื่อเกิดเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุขึ้นทางทะเลมีระบบมีหน่วยงานรองรับ จะสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยว และเป็นการช่วยสนับสนุนมาตรฐานการท่องเที่ยวของประเทศอีกทางหนึ่ง” พลเอก ฉัตรชัยกล่าว ทั้งนี้ แผนสาธารณสุขทางทะเลเป็น 1 ใน แผนปฏิบัติการสาธารณสุขเขตสุขภาพพิเศษ พ.ศ.2560-2564 ประกอบด้วย 4 แผนงาน ได้แก่ แผนสาธารณสุขเขตพื้นที่เฉพาะ : ประชากรต่างด้าว (Migrant Health) แผนสาธารณสุขชายแดน (Border Health) แผนสาธารณสุขระเบียงเศรษฐกิจ (EEC Health) และสาธารณสุขทางทะเล (Marine Health) รองรับนโยบายการพัฒนาของประเทศ ******************************** 15 มิถุนายน 2561​
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13064
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้การต้อนรับผู้อำนวยการบริหาร UNODC ในโอกาสหารือข้อราชการร่วมกัน
วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม 2561 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้การต้อนรับผู้อํานวยการบริหาร UNODC ในโอกาสหารือข้อราชการร่วมกัน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้การต้อนรับผู้อํานวยการบริหาร UNODC ในโอกาสหารือข้อราชการร่วมกัน ในวันจันทร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๑๕ น. ณ ห้องรับรอง ๑ ตึกบัญชาการ ๑ ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการ ป.ป.ส. ดร. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ให้การต้อนรับ นายยูริ เฟโดทอฟ ผู้อํานวยการบริหารสํานักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime: UNODC) และรองเลขาธิการสหประชาชาติ (United Nations Under-Secretary-General) พร้อมคณะ ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ พร้อมหารือข้อราชการร่วมกันในประเด็นความร่วมมือระหว่างประเทศไทย กับ UNODC ในแนวทางการสร้างสังคมปลอดภัย โดยเน้นถึงนโยบายในการแก้ไขปัญหายาเสพติด และอาชญากรรมโลก ความช่วยเหลือของ UNODC ต่อภูมิภาคอาเซียน และการให้ความสําคัญ กับการนําข้อกําหนดกรุงเทพ (Bangkok Rules) มาปรับใช้ในประเทศไทย ตลอดจนแนวทางการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น การปราบปรามการค้ามนุษย์ ซึ่งจะทําให้การพัฒนาแนวทางในการดูแลสังคมให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้การต้อนรับผู้อำนวยการบริหาร UNODC ในโอกาสหารือข้อราชการร่วมกัน วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม 2561 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้การต้อนรับผู้อํานวยการบริหาร UNODC ในโอกาสหารือข้อราชการร่วมกัน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้การต้อนรับผู้อํานวยการบริหาร UNODC ในโอกาสหารือข้อราชการร่วมกัน ในวันจันทร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๑๕ น. ณ ห้องรับรอง ๑ ตึกบัญชาการ ๑ ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการ ป.ป.ส. ดร. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ให้การต้อนรับ นายยูริ เฟโดทอฟ ผู้อํานวยการบริหารสํานักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime: UNODC) และรองเลขาธิการสหประชาชาติ (United Nations Under-Secretary-General) พร้อมคณะ ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ พร้อมหารือข้อราชการร่วมกันในประเด็นความร่วมมือระหว่างประเทศไทย กับ UNODC ในแนวทางการสร้างสังคมปลอดภัย โดยเน้นถึงนโยบายในการแก้ไขปัญหายาเสพติด และอาชญากรรมโลก ความช่วยเหลือของ UNODC ต่อภูมิภาคอาเซียน และการให้ความสําคัญ กับการนําข้อกําหนดกรุงเทพ (Bangkok Rules) มาปรับใช้ในประเทศไทย ตลอดจนแนวทางการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น การปราบปรามการค้ามนุษย์ ซึ่งจะทําให้การพัฒนาแนวทางในการดูแลสังคมให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10518
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-งดงาม! ภาพ "คุณธรรมแรก ชุมชนคุณธรรมวัดด่านเกวียน" คว้ารางวัลชนะเลิศประกวดภาพชุมชนคุณธรรม บ้านฉันของ วธ.
วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 งดงาม! ภาพ "คุณธรรมแรก ชุมชนคุณธรรมวัดด่านเกวียน" คว้ารางวัลชนะเลิศประกวดภาพชุมชนคุณธรรม บ้านฉันของ วธ. งดงาม! ภาพ "คุณธรรมแรก ชุมชนคุณธรรมวัดด่านเกวียน" คว้ารางวัลชนะเลิศประกวดภาพชุมชนคุณธรรม บ้านฉันของ วธ. จากแนวคิดคุณธรรมแรกเริ่มจากครอบครัว ด้วยการกตัญญูต่อบิดามารดา เมื่อมีแล้ว บ้านฉัน ชุมชนของฉันก็จะมีแต่ความสุข งดงาม!ภาพ "คุณธรรมแรก ชุมชนคุณธรรมวัดด่านเกวียน" คว้ารางวัลชนะเลิศประกวดภาพชุมชนคุณธรรม บ้านฉันของ วธ.จากแนวคิดคุณธรรมแรกเริ่มจากครอบครัว ด้วยการกตัญญูต่อบิดามารดา เมื่อมีแล้ว บ้านฉัน ชุมชนของฉันก็จะมีแต่ความสุข วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563 นายกฤษศญพงษ์ ศิริ เป็นประธานพิธีมอบรางวัลการประกวดภาพถ่าย "ชุมชนคุณธรรม บ้านฉัน" และการประชุมติดตามความคืบหน้าการนําเสนอการดําเนินงาน และปัญหา/ อุปสรรคในการสร้างความเข้มแข็งของ "บวร" เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ของชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ณ ศูนย์ประชุมชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.)ผลปรากฎว่ามีเด็ก เยาวชน ประชาชนทั่วไป พระภิกษุที่มีส่วนร่วมกิจกรรมในชุมชนคุณธรรมฯส่งผลงานภาพถ่ายมาเข้าร่วมประกวดเกือบ 500 ผลงาน ซึ่งผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศชื่อภาพ : คุณธรรมแรก ชุมชนคุณธรรมวัดด่านเกวียนจังหวัดนครราชสีมา ของนายณัฐชล นาคเพ็ชรพูลจากแนวคิด : คุณธรรมแรกเริ่มจากครอบครัว ด้วยการกตัญญูต่อบิดามารดา เมื่อมีแล้ว บ้านฉัน ชุมชนของฉันก็จะมีแต่ความสุข รองชนะเลิศอันดับที่ 1 ชื่อภาพ : พลังแห่งความศรัทธาชุมชนบ้านห้วยต้ม ชุมชนคุณธรรม บ้านห้วยต้ม จังหวัดลําพูน ของนายสุกฤษฎิ์หิรัญสารพงศ์จากแนวคิด : ชุมชนแห่งนักบุญเมืองลี้ หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งชื่อตามรอยพระพุทธบาทที่ตั้งอยู่บริเวณในวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่อันงดงามของ“ชาวปาเกอะญอ”ที่เชื้อเชิญให้เราเข้าไปสัมผัสกับความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้าของพวกเขา รางวัลชนะเลิศอันดับที่ 2 ชื่อภาพ ร่วมบุญ ชุมชนคุณธรรมวัดสิรินธรวรารามภูพร้าว จังหวัดอุบลราชธานี ของนางบุษยามาส สมเทพจากแนวคิด : วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว เป็นวัดที่มีอุโบสถที่มีความสวยงาม ด้านหลังพระอุโบสถมีภาพประติมากรรมเรืองแสงต้นกัลปพฤกษ์ ติดโมเสกที่ผสมสารเรืองแสงที่เรียกว่า ฟอสเฟอร์ คุณสมบัติของสารฟลูออเรสเซนต์จะรับแสงพระอาทิตย์ในตอนกลางวัน แล้วจะฉายแสงคายพลังงานออกมาในตอน ปลัด วธ. กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าวเพื่อให้ประชาชน ได้มีโอกาสแสดงความรัก ความภาคภูมิใจจากการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนคุณธรรมฯ ที่มีความงดงามทางศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต วิถีพอเพียง ผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญา และความงดงามทางธรรมชาติของชุมชน พร้อมส่งต่อภาพความประทับใจ เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ชุมชนคุณธรรมฯกว่า 20,000 แห่ง ให้ประชาชนได้รับทราบในวงกว้างเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการท่องเที่ยวชุมชน สร้างรายได้จากสินค้าและบริการทางวัฒนธรรมชุมชนอยู่ดีมีสุข ตามเป้าหมายของโครงการชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร ภายใต้วิสัยทัศน์ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี“ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และตามนโยบายนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในการสืบสาน รักษา ต่อยอดงานวัฒนธรรม ด้วยการนําคุณค่าของวัฒนธรรม มาสร้างสรรค์สินค้าและบริการ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้วัฒนธรรมสร้างมูลค่าและสร้างคุณค่า สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและบริการทางวัฒนธรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-งดงาม! ภาพ "คุณธรรมแรก ชุมชนคุณธรรมวัดด่านเกวียน" คว้ารางวัลชนะเลิศประกวดภาพชุมชนคุณธรรม บ้านฉันของ วธ. วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 งดงาม! ภาพ "คุณธรรมแรก ชุมชนคุณธรรมวัดด่านเกวียน" คว้ารางวัลชนะเลิศประกวดภาพชุมชนคุณธรรม บ้านฉันของ วธ. งดงาม! ภาพ "คุณธรรมแรก ชุมชนคุณธรรมวัดด่านเกวียน" คว้ารางวัลชนะเลิศประกวดภาพชุมชนคุณธรรม บ้านฉันของ วธ. จากแนวคิดคุณธรรมแรกเริ่มจากครอบครัว ด้วยการกตัญญูต่อบิดามารดา เมื่อมีแล้ว บ้านฉัน ชุมชนของฉันก็จะมีแต่ความสุข งดงาม!ภาพ "คุณธรรมแรก ชุมชนคุณธรรมวัดด่านเกวียน" คว้ารางวัลชนะเลิศประกวดภาพชุมชนคุณธรรม บ้านฉันของ วธ.จากแนวคิดคุณธรรมแรกเริ่มจากครอบครัว ด้วยการกตัญญูต่อบิดามารดา เมื่อมีแล้ว บ้านฉัน ชุมชนของฉันก็จะมีแต่ความสุข วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563 นายกฤษศญพงษ์ ศิริ เป็นประธานพิธีมอบรางวัลการประกวดภาพถ่าย "ชุมชนคุณธรรม บ้านฉัน" และการประชุมติดตามความคืบหน้าการนําเสนอการดําเนินงาน และปัญหา/ อุปสรรคในการสร้างความเข้มแข็งของ "บวร" เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ของชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ณ ศูนย์ประชุมชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.)ผลปรากฎว่ามีเด็ก เยาวชน ประชาชนทั่วไป พระภิกษุที่มีส่วนร่วมกิจกรรมในชุมชนคุณธรรมฯส่งผลงานภาพถ่ายมาเข้าร่วมประกวดเกือบ 500 ผลงาน ซึ่งผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศชื่อภาพ : คุณธรรมแรก ชุมชนคุณธรรมวัดด่านเกวียนจังหวัดนครราชสีมา ของนายณัฐชล นาคเพ็ชรพูลจากแนวคิด : คุณธรรมแรกเริ่มจากครอบครัว ด้วยการกตัญญูต่อบิดามารดา เมื่อมีแล้ว บ้านฉัน ชุมชนของฉันก็จะมีแต่ความสุข รองชนะเลิศอันดับที่ 1 ชื่อภาพ : พลังแห่งความศรัทธาชุมชนบ้านห้วยต้ม ชุมชนคุณธรรม บ้านห้วยต้ม จังหวัดลําพูน ของนายสุกฤษฎิ์หิรัญสารพงศ์จากแนวคิด : ชุมชนแห่งนักบุญเมืองลี้ หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งชื่อตามรอยพระพุทธบาทที่ตั้งอยู่บริเวณในวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่อันงดงามของ“ชาวปาเกอะญอ”ที่เชื้อเชิญให้เราเข้าไปสัมผัสกับความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้าของพวกเขา รางวัลชนะเลิศอันดับที่ 2 ชื่อภาพ ร่วมบุญ ชุมชนคุณธรรมวัดสิรินธรวรารามภูพร้าว จังหวัดอุบลราชธานี ของนางบุษยามาส สมเทพจากแนวคิด : วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว เป็นวัดที่มีอุโบสถที่มีความสวยงาม ด้านหลังพระอุโบสถมีภาพประติมากรรมเรืองแสงต้นกัลปพฤกษ์ ติดโมเสกที่ผสมสารเรืองแสงที่เรียกว่า ฟอสเฟอร์ คุณสมบัติของสารฟลูออเรสเซนต์จะรับแสงพระอาทิตย์ในตอนกลางวัน แล้วจะฉายแสงคายพลังงานออกมาในตอน ปลัด วธ. กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าวเพื่อให้ประชาชน ได้มีโอกาสแสดงความรัก ความภาคภูมิใจจากการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนคุณธรรมฯ ที่มีความงดงามทางศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต วิถีพอเพียง ผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญา และความงดงามทางธรรมชาติของชุมชน พร้อมส่งต่อภาพความประทับใจ เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ชุมชนคุณธรรมฯกว่า 20,000 แห่ง ให้ประชาชนได้รับทราบในวงกว้างเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการท่องเที่ยวชุมชน สร้างรายได้จากสินค้าและบริการทางวัฒนธรรมชุมชนอยู่ดีมีสุข ตามเป้าหมายของโครงการชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร ภายใต้วิสัยทัศน์ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี“ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และตามนโยบายนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในการสืบสาน รักษา ต่อยอดงานวัฒนธรรม ด้วยการนําคุณค่าของวัฒนธรรม มาสร้างสรรค์สินค้าและบริการ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้วัฒนธรรมสร้างมูลค่าและสร้างคุณค่า สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและบริการทางวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26468
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง ลธน.ม.เรณูฯ เป็นประธานในพิธีปิดงานตลาด “คลองผดุงสุขใจ คมนาคม เชื่อมไทย เชื่อมโลก” มีรายได้กระจายสู่ชุมชนกว่า 22 ล้านบาท
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559 รอง ลธน.ม.เรณูฯ เป็นประธานในพิธีปิดงานตลาด “คลองผดุงสุขใจ คมนาคม เชื่อมไทย เชื่อมโลก” มีรายได้กระจายสู่ชุมชนกว่า 22 ล้านบาท กระทรวงการต่างประเทศและกรมการพัฒนาชุมชนพร้อมจัดงานตลาดคลองผดุงฯ ภายใต้แนวคิด “OTOP ภูมิปัญญาไทย ก้าวไกลสู่สากล” 3 – 27 พ.ย. 59 ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล วันนี้ (25 ตุลาคม 2559) เวลา 15.00 น. ณ เวทีกลางตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาลพลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นประธานในพิธีปิดตลาด “คลองผดุงสุขใจ คมนาคม เชื่อมไทย เชื่อมโลก” โอกาสนี้ นายวิทยา ยาม่วง ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและการขนส่งทางน้ํา ได้กล่าวรายงานว่า กระทรวงคมนาคม โดยความร่วมมือของสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้จัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล ภายใต้แนวคิด “คลองผดุงสุขใจ คมนาคม เชื่อมไทย เชื่อมโลก” ระหว่างวันที่ 5 – 25 ตุลาคม 2559 ซึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชนมาชมงานกว่า 7 หมื่นคน พร้อมอุดหนุนสินค้าและใช้บริการต่าง ๆ ของกระทรวงคมนาคม เช่นการต่อภาษีทะเบียนรถ เป็นต้น ส่งผลให้มีรายได้กระจายสู่ชุมชนกว่า 22 ล้านบาท จากนั้น รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะประธานกรรมการดําเนินโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษมได้เป็นประธานในพิธีกล่าวปิดงานฯ ว่า การจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาลเป็นดําริของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยจากทั่วประเทศได้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาพบปะผู้บริโภคโดยตรง ด้วยการจําหน่ายสินค้าท้องถิ่นในราคาย่อมเยาโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง อีกทั้งเป็นการให้ทุกกระทรวงที่หมุนเวียนมาจัดงานภายในตลาดดังกล่าว ได้มีโอกาสใกล้ชิดประชาชนด้วยการจัดแสดงผลงานผ่านนิทรรศการ และมีบริการสวัสดิการต่าง ๆ ของกระทรวงฯ มาให้บริการประชาชนโดยตรงอีกด้วย ประการสําคัญนายกรัฐมนตรีปรารถนาให้ตลาดฯ นี้เป็นการลดความเหลื่อมล้ําในสังคมพร้อมเพิ่มรายได้และเพิ่มช่องทางในการจําหน่ายสินค้าแก่ผู้ประกอบการรายย่อยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามแนวทาง “ประชารัฐ” ของรัฐบาลอีกด้วย หลังจากนั้น ตัวแทนผู้บริหารกระทรวงคมนาคมได้มอบป้ายตลาดคลองผดุงกรุงเกษมแก่ประธานในพิธีฯ เพื่อมอบต่อให้กับตัวแทนผู้บริหารกระทรวงการต่างประเทศและกรมการพัฒนาชุมชนตามลําดับ อนึ่ง กระทรวงการต่างประเทศและกรมการพัฒนาชุมชนด้วยความร่วมมือของสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จะจัดงานตลาดคลองผดุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล ภายใต้แนวคิด “OTOP ภูมิปัญญาไทย ก้าวไกลสู่สากล” ระหว่างวันที่ 3 – 27 พฤศจิกายน 2559 ระหว่างเวลา 10.00 - 19.00 น. นอกจากจะมีสินค้าคุณภาพดีระดับ OTOP มาตรฐาน 5 ดาวมาจําหน่ายแล้ว สําหรับผู้ที่สนใจสินค้าของต่างประเทศจะมีร้านค้าของสถานทูตต่าง ๆ ประจําประเทศไทย ทั้งโซนยุโรปและเอเชียมาจําหน่าย พร้อมตั้งบู้ธจัดทํา พลาสปอร์ตแก่ประชาชนมาให้บริการที่ตลาดฯ อีกด้วย จึงขอเชิญชวนประชาชนมาร่วมชม ชิม ช้อป ตามวันและเวลาดังกล่าว ***************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง ลธน.ม.เรณูฯ เป็นประธานในพิธีปิดงานตลาด “คลองผดุงสุขใจ คมนาคม เชื่อมไทย เชื่อมโลก” มีรายได้กระจายสู่ชุมชนกว่า 22 ล้านบาท วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559 รอง ลธน.ม.เรณูฯ เป็นประธานในพิธีปิดงานตลาด “คลองผดุงสุขใจ คมนาคม เชื่อมไทย เชื่อมโลก” มีรายได้กระจายสู่ชุมชนกว่า 22 ล้านบาท กระทรวงการต่างประเทศและกรมการพัฒนาชุมชนพร้อมจัดงานตลาดคลองผดุงฯ ภายใต้แนวคิด “OTOP ภูมิปัญญาไทย ก้าวไกลสู่สากล” 3 – 27 พ.ย. 59 ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล วันนี้ (25 ตุลาคม 2559) เวลา 15.00 น. ณ เวทีกลางตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาลพลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นประธานในพิธีปิดตลาด “คลองผดุงสุขใจ คมนาคม เชื่อมไทย เชื่อมโลก” โอกาสนี้ นายวิทยา ยาม่วง ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและการขนส่งทางน้ํา ได้กล่าวรายงานว่า กระทรวงคมนาคม โดยความร่วมมือของสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้จัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล ภายใต้แนวคิด “คลองผดุงสุขใจ คมนาคม เชื่อมไทย เชื่อมโลก” ระหว่างวันที่ 5 – 25 ตุลาคม 2559 ซึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชนมาชมงานกว่า 7 หมื่นคน พร้อมอุดหนุนสินค้าและใช้บริการต่าง ๆ ของกระทรวงคมนาคม เช่นการต่อภาษีทะเบียนรถ เป็นต้น ส่งผลให้มีรายได้กระจายสู่ชุมชนกว่า 22 ล้านบาท จากนั้น รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะประธานกรรมการดําเนินโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษมได้เป็นประธานในพิธีกล่าวปิดงานฯ ว่า การจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาลเป็นดําริของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยจากทั่วประเทศได้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาพบปะผู้บริโภคโดยตรง ด้วยการจําหน่ายสินค้าท้องถิ่นในราคาย่อมเยาโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง อีกทั้งเป็นการให้ทุกกระทรวงที่หมุนเวียนมาจัดงานภายในตลาดดังกล่าว ได้มีโอกาสใกล้ชิดประชาชนด้วยการจัดแสดงผลงานผ่านนิทรรศการ และมีบริการสวัสดิการต่าง ๆ ของกระทรวงฯ มาให้บริการประชาชนโดยตรงอีกด้วย ประการสําคัญนายกรัฐมนตรีปรารถนาให้ตลาดฯ นี้เป็นการลดความเหลื่อมล้ําในสังคมพร้อมเพิ่มรายได้และเพิ่มช่องทางในการจําหน่ายสินค้าแก่ผู้ประกอบการรายย่อยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามแนวทาง “ประชารัฐ” ของรัฐบาลอีกด้วย หลังจากนั้น ตัวแทนผู้บริหารกระทรวงคมนาคมได้มอบป้ายตลาดคลองผดุงกรุงเกษมแก่ประธานในพิธีฯ เพื่อมอบต่อให้กับตัวแทนผู้บริหารกระทรวงการต่างประเทศและกรมการพัฒนาชุมชนตามลําดับ อนึ่ง กระทรวงการต่างประเทศและกรมการพัฒนาชุมชนด้วยความร่วมมือของสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จะจัดงานตลาดคลองผดุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล ภายใต้แนวคิด “OTOP ภูมิปัญญาไทย ก้าวไกลสู่สากล” ระหว่างวันที่ 3 – 27 พฤศจิกายน 2559 ระหว่างเวลา 10.00 - 19.00 น. นอกจากจะมีสินค้าคุณภาพดีระดับ OTOP มาตรฐาน 5 ดาวมาจําหน่ายแล้ว สําหรับผู้ที่สนใจสินค้าของต่างประเทศจะมีร้านค้าของสถานทูตต่าง ๆ ประจําประเทศไทย ทั้งโซนยุโรปและเอเชียมาจําหน่าย พร้อมตั้งบู้ธจัดทํา พลาสปอร์ตแก่ประชาชนมาให้บริการที่ตลาดฯ อีกด้วย จึงขอเชิญชวนประชาชนมาร่วมชม ชิม ช้อป ตามวันและเวลาดังกล่าว ***************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/605
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลตั้งเป้า ปี 60 ขยายพื้นที่ผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพดีและข้าวอินทรีย์ พร้อมผลักดันใช้นวัตกรรมเพิ่มมูลค่าสินค้า เน้นชูการตลาดนำการผลิตตอบโจทย์ผู้บริโภค
วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2560 รัฐบาลตั้งเป้า ปี 60 ขยายพื้นที่ผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพดีและข้าวอินทรีย์ พร้อมผลักดันใช้นวัตกรรมเพิ่มมูลค่าสินค้า เน้นชูการตลาดนําการผลิตตอบโจทย์ผู้บริโภค รัฐบาลมีนโยบายยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่ความยั่งยืนโดยกําหนดให้ปี 2560 เป็นปีแห่งการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรผ่านการดําเนินงาน 3 โครงการหลักต่อเนื่องกัน 5 ปี (วันนี้ 8 พฤษภาคม 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลมีนโยบายยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่ความยั่งยืนโดยกําหนดให้ปี 2560 เป็นปีแห่งการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรผ่านการดําเนินงาน 3 โครงการหลักต่อเนื่องกัน 5 ปี (2560-2564) งบประมาณรวม 25,871.14 ล้านบาท คือ โครงการส่งเสริมการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิคุณภาพดี โครงการส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ และโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ในปีที่ผ่านมารัฐบาลได้ส่งเสริมระบบเกษตรแปลงใหญ่ทั่วประเทศ โดยมีเกษตรแปลงใหญ่ที่ปลูกข้าวรวม 425 แปลงเนื้อที่ 1.05 ล้านไร่ และส่งเสริมให้เกษตรกรใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิได้ดําเนินแล้วใน 21 จังหวัด ครอบคลุมเกษตรกรกว่า 64,000 ครัวเรือน ๆ ละไม่เกิน 125 กก. ส่วนการปลูกข้าวอินทรีย์มีแหล่งผลิตข้าวที่ได้รับการรับรองแล้วใน 47 จังหวัด จํานวน 5,362 แปลง พื้นที่รวม 60,056 ไร่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เร่งรัดให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ในปี 2560 โดยเพิ่มพื้นที่เป็น 750 แปลง เนื้อที่เพิ่มขึ้นอีก 0.75 ล้านไร่ พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิคุณภาพดีใน 21 จังหวัด พื้นที่ 300,000 ไร่ และขยายพื้นที่ปลูกข้าวอินทรีย์ให้ได้ 1ล้านไร่ภายใน 3 ปี ครอบคลุมเกษตรกรจํานวน 66,670 ราย นอกจากนี้ ยังขอให้รณรงค์เพิ่มมูลค่าของผลผลิต โดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะงานวิจัยด้านเทคโนโลยีจากบัญชีนวัตกรรมไทยของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เป็นฐานข้อมูลในลําดับแรก และยึดความต้องการของตลาดหรือผู้บริโภคนําการผลิต รวมทั้งจัดหาตลาดรองรับผลผลิตจากพื้นที่แปลงใหญ่ให้มีราคาสูงกว่าท้องตลาดทั่วไปด้วย .......................... ​สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลตั้งเป้า ปี 60 ขยายพื้นที่ผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพดีและข้าวอินทรีย์ พร้อมผลักดันใช้นวัตกรรมเพิ่มมูลค่าสินค้า เน้นชูการตลาดนำการผลิตตอบโจทย์ผู้บริโภค วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2560 รัฐบาลตั้งเป้า ปี 60 ขยายพื้นที่ผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพดีและข้าวอินทรีย์ พร้อมผลักดันใช้นวัตกรรมเพิ่มมูลค่าสินค้า เน้นชูการตลาดนําการผลิตตอบโจทย์ผู้บริโภค รัฐบาลมีนโยบายยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่ความยั่งยืนโดยกําหนดให้ปี 2560 เป็นปีแห่งการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรผ่านการดําเนินงาน 3 โครงการหลักต่อเนื่องกัน 5 ปี (วันนี้ 8 พฤษภาคม 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลมีนโยบายยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่ความยั่งยืนโดยกําหนดให้ปี 2560 เป็นปีแห่งการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรผ่านการดําเนินงาน 3 โครงการหลักต่อเนื่องกัน 5 ปี (2560-2564) งบประมาณรวม 25,871.14 ล้านบาท คือ โครงการส่งเสริมการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิคุณภาพดี โครงการส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ และโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ในปีที่ผ่านมารัฐบาลได้ส่งเสริมระบบเกษตรแปลงใหญ่ทั่วประเทศ โดยมีเกษตรแปลงใหญ่ที่ปลูกข้าวรวม 425 แปลงเนื้อที่ 1.05 ล้านไร่ และส่งเสริมให้เกษตรกรใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิได้ดําเนินแล้วใน 21 จังหวัด ครอบคลุมเกษตรกรกว่า 64,000 ครัวเรือน ๆ ละไม่เกิน 125 กก. ส่วนการปลูกข้าวอินทรีย์มีแหล่งผลิตข้าวที่ได้รับการรับรองแล้วใน 47 จังหวัด จํานวน 5,362 แปลง พื้นที่รวม 60,056 ไร่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เร่งรัดให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ในปี 2560 โดยเพิ่มพื้นที่เป็น 750 แปลง เนื้อที่เพิ่มขึ้นอีก 0.75 ล้านไร่ พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิคุณภาพดีใน 21 จังหวัด พื้นที่ 300,000 ไร่ และขยายพื้นที่ปลูกข้าวอินทรีย์ให้ได้ 1ล้านไร่ภายใน 3 ปี ครอบคลุมเกษตรกรจํานวน 66,670 ราย นอกจากนี้ ยังขอให้รณรงค์เพิ่มมูลค่าของผลผลิต โดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะงานวิจัยด้านเทคโนโลยีจากบัญชีนวัตกรรมไทยของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เป็นฐานข้อมูลในลําดับแรก และยึดความต้องการของตลาดหรือผู้บริโภคนําการผลิต รวมทั้งจัดหาตลาดรองรับผลผลิตจากพื้นที่แปลงใหญ่ให้มีราคาสูงกว่าท้องตลาดทั่วไปด้วย .......................... ​สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3571
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รบ.เชิญผู้ประกอบการท่องเที่ยว ถก รับมือไวรัสโคโรนา 27 ม.ค.นี้ เช็คคนไทยไปเที่ยวอู่ฮั่น ยันพร้อมรับมือโรคระบาด แนะ ปชช.ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม 2563 รบ.เชิญผู้ประกอบการท่องเที่ยว ถก รับมือไวรัสโคโรนา 27 ม.ค.นี้ เช็คคนไทยไปเที่ยวอู่ฮั่น ยันพร้อมรับมือโรคระบาด แนะ ปชช.ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด รบ.เชิญผู้ประกอบการท่องเที่ยว ถก รับมือไวรัสโคโรนา 27 ม.ค.นี้ เช็คคนไทยไปเที่ยวอู่ฮั่น ยันพร้อมรับมือโรคระบาด แนะ ปชช.ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด วันที่ 25 มกราคม น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมพร้อมกับมือโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่กําลังแพร่ระบาดอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีนขณะนี้ ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ได้เตรียม 3 มาตรการเพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโคโรนาในกลุ่มนักท่องเที่ยว ประกอบด้วย 1.แจ้งไปยังผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่มีกลุ่มนักทัวร์ชาวจีนรวมถึงโรงแรม สถานที่ท่องเที่ยวที่ชาวจีนนิยมเดินทางไปท่องเที่ยว ให้ช่วยประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการป้องกันตนเองจากการติดเชื้อ อาการติดเชื้อ หากพบว่ามีอาการจะต้องไปพบแพทย์โดยด่วน โดยสามารถดาวน์โหลดเอกสารแจ้งเตือนต่างๆได้จากหน้าเว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค "2.เชิญผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม มาประชุมเพื่อชี้แจงแนวทางการเฝ้าระวังอาการป่วยในกลุ่มนักท่องเที่ยว แนวทางการรายงานผู้ป่วยไปยังกรมควบคุมโรค เพื่อประสานการดูแลผู้ป่วย ผู้สงสัยว่ามีอาการปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนา และแนวทางการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ทั้งนี้ มีกําหนดจัดการประชุมในวันที่ 27 มกราคมนี้ ที่โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ และ 3.สํารวจข้อมูลบริษัททัวร์ เพื่อให้ทราบจํานวนคนไทยที่ไปเที่ยวเมืองอู่ฮั่นแต่ละสัปดาห์ รวมถึงเมืองใหญ่อื่นๆที่มีโอกาสพบการระบาด เพื่อที่จะทราบข้อมูลและหาแนวทางการป้องกันอย่างรัดกุม" น.ส.ไตรศุลี กล่าว น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสฯอย่างเต็มที่ โดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ดําเนินหลายมาตรการ เช่น การเฝ้าระวังคัดกรองผู้โดยสารเครื่องบินในเส้นทางการบินจากเมืองอู่ฮั่นประเทศจีน เข้ามายังประเทศไทย , ประสานไปยังสถานทูตจีนเพื่อขอความร่วมมือให้เป็นสื่อกลางในการติดตามผู้ป่วยชาวจีน และสื่อสารกับคนจีนให้เข้าใจในมาตรการตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 , เปิดเผยสถานการณ์เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง ฯลฯ โดยกรมควบคุมโรคมีความพร้อมในการรับมือทุกด้าน แต่ประชาชนต้องใช้ความระมัดระวัง เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัส และขอให้ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด ................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รบ.เชิญผู้ประกอบการท่องเที่ยว ถก รับมือไวรัสโคโรนา 27 ม.ค.นี้ เช็คคนไทยไปเที่ยวอู่ฮั่น ยันพร้อมรับมือโรคระบาด แนะ ปชช.ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม 2563 รบ.เชิญผู้ประกอบการท่องเที่ยว ถก รับมือไวรัสโคโรนา 27 ม.ค.นี้ เช็คคนไทยไปเที่ยวอู่ฮั่น ยันพร้อมรับมือโรคระบาด แนะ ปชช.ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด รบ.เชิญผู้ประกอบการท่องเที่ยว ถก รับมือไวรัสโคโรนา 27 ม.ค.นี้ เช็คคนไทยไปเที่ยวอู่ฮั่น ยันพร้อมรับมือโรคระบาด แนะ ปชช.ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด วันที่ 25 มกราคม น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมพร้อมกับมือโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่กําลังแพร่ระบาดอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีนขณะนี้ ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ได้เตรียม 3 มาตรการเพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโคโรนาในกลุ่มนักท่องเที่ยว ประกอบด้วย 1.แจ้งไปยังผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่มีกลุ่มนักทัวร์ชาวจีนรวมถึงโรงแรม สถานที่ท่องเที่ยวที่ชาวจีนนิยมเดินทางไปท่องเที่ยว ให้ช่วยประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการป้องกันตนเองจากการติดเชื้อ อาการติดเชื้อ หากพบว่ามีอาการจะต้องไปพบแพทย์โดยด่วน โดยสามารถดาวน์โหลดเอกสารแจ้งเตือนต่างๆได้จากหน้าเว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค "2.เชิญผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม มาประชุมเพื่อชี้แจงแนวทางการเฝ้าระวังอาการป่วยในกลุ่มนักท่องเที่ยว แนวทางการรายงานผู้ป่วยไปยังกรมควบคุมโรค เพื่อประสานการดูแลผู้ป่วย ผู้สงสัยว่ามีอาการปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนา และแนวทางการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ทั้งนี้ มีกําหนดจัดการประชุมในวันที่ 27 มกราคมนี้ ที่โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ และ 3.สํารวจข้อมูลบริษัททัวร์ เพื่อให้ทราบจํานวนคนไทยที่ไปเที่ยวเมืองอู่ฮั่นแต่ละสัปดาห์ รวมถึงเมืองใหญ่อื่นๆที่มีโอกาสพบการระบาด เพื่อที่จะทราบข้อมูลและหาแนวทางการป้องกันอย่างรัดกุม" น.ส.ไตรศุลี กล่าว น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสฯอย่างเต็มที่ โดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ดําเนินหลายมาตรการ เช่น การเฝ้าระวังคัดกรองผู้โดยสารเครื่องบินในเส้นทางการบินจากเมืองอู่ฮั่นประเทศจีน เข้ามายังประเทศไทย , ประสานไปยังสถานทูตจีนเพื่อขอความร่วมมือให้เป็นสื่อกลางในการติดตามผู้ป่วยชาวจีน และสื่อสารกับคนจีนให้เข้าใจในมาตรการตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 , เปิดเผยสถานการณ์เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง ฯลฯ โดยกรมควบคุมโรคมีความพร้อมในการรับมือทุกด้าน แต่ประชาชนต้องใช้ความระมัดระวัง เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัส และขอให้ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด ................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26054
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บทบาทประกันภัยไทยผงาดในเวทีอาเซียน
วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน 2561 บทบาทประกันภัยไทยผงาดในเวทีอาเซียน • คปภ. ผลักดันให้มีผลิตภัณฑ์ประกันภัยของอาเซียนเป็นครั้งแรกของโลก ตั้งเป้าประกันภัยไมโครอินชัวรันซ์อุบัติเหตุ เคลมได้ทั่วอาเซียน • นําเข้าสู่ที่ประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 23 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในปี 2562 ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ในปี 2562 ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 23 ภายใต้แนวคิดหลัก (Theme) “การเสริมสร้างหุ้นส่วนเพื่อความยั่งยืน (Advancing Partnership for Sustainability)” โดยมี 3 ประเด็นหลัก (Chair’s priorities) ประกอบด้วย การเชื่อมโยง (Connectivity) ความยั่งยืน (Sustainability) และภูมิคุ้มกัน (Resilience) โดยสํานักงาน คปภ. ได้นําเสนอแผนงานที่มีความสอดคล้องกับแนวคิดหลักของการประชุมและเป็นประโยชน์ต่อประเทศในภูมิภาคอาเซียนต่อคณะกรรมการเตรียมการจัดประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 23 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการฯ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2561 ได้มีมติเห็นชอบให้บรรจุแผนงาน ASEAN micro insurance product เป็นข้อเสนอที่ต้องการผลักดันในการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลังอาเซียน ครั้งที่ 23 ภายใต้ประเด็นหลัก “ความยั่งยืน (Sustainability)” และสอดคล้องกับ AEC Blueprint 2025 ในส่วนยุทธศาสตร์ที่ A4: การรวมตัวภาคการเงินอีกด้วยและสํานักงาน คปภ. โดยสํานักงาน คปภ. ได้เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ คปภ. ครั้งที่ 13/2561 เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2561 ณ อําเภอแม่สอด จังหวัดตาก เรียบร้อยแล้ว สําหรับแผนงาน ASEAN micro insurance product เป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยมาตรฐาน สําหรับประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยมีเงื่อนไขความคุ้มครองเดียวกัน และเบี้ยประกันภัยเท่ากัน สามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้ทุกที่ในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งพัฒนาช่องทางการเสนอขายที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยสะดวกและทั่วถึง ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศใด เช่น Mobile Application และช่องทางออนไลน์ เป็นต้น ทั้งนี้ จะเริ่มต้นจากกรมธรรม์ประกันภัยไมโครอินชัวรันซ์อุบัติเหตุ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีราคาถูก ความคุ้มครองไม่ซับซ้อน การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนไม่ยุ่งยาก และสํานักงาน คปภ. ได้ดําเนินการผลักดันมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี และมีบทบาทในการสร้างความตระหนักถึงความสําคัญของการประกันภัยสามารถดําเนินการได้ โดยการผลักดันใน 2 ระดับควบคู่กัน คือ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและหน่วยงานกํากับดูแลธุรกิจประกันภัย และความร่วมมือระหว่างสมาคมประกันภัยและบริษัทประกันภัยในแต่ละประเทศ “แผนงาน ASEAN micro insurance product นี้ ถ้าสามารถผลักดันให้เกิดขึ้นได้ภูมิภาคอาเซียนรวมทั้งประเทศไทยจะได้รับประโยชน์ทั้งการเพิ่มมูลค่าเบี้ยประกันภัยรับรวมและอัตราส่วนเบี้ยประกันภัยต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (penetration rate) แก่ประเทศในภูมิภาคอาเซียน ขยายเครือข่ายการเชื่อมโยงระบบการประกันภัยและการประกันภัยต่อระหว่างกันในภูมิภาคอาเซียน ยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้มีความสามารถในการรองรับและบรรเทาความสูญเสียแก่บุคคลในครอบครัว ยกระดับความร่วมมือและการถ่ายทอดความรู้ด้านผลิตภัณฑ์ประกันภัยระหว่างประเทศไทยและประเทศในกลุ่ม CLMV โดยที่ผ่านมา หน่วยงานกํากับดูแลธุรกิจประกันภัยในภูมิภาคอาเซียนเคยมีการหารือร่วมกันเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนา ASEAN Insurance Product แต่มีข้อจํากัดเกี่ยวกับช่องทางการเสนอขาย ซึ่งในขณะนั้นสามารถเสนอขายผ่านช่องทางตัวแทนประกันภัยหรือนายหน้าประกันภัยเท่านั้น แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาช่องทางใหม่ เช่น ออนไลน์ หรือ Mobile Application จึงมีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้เป็นผลิตภัณฑ์ประกันภัยของอาเซียนฉบับแรกของโลก ถ้าสําเร็จก็จะสามารถต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ประกันภัยตัวอื่นๆของอาเซียนต่อไป สํานักงาน คปภ. จึงได้เสนอแผนงาน ASEAN micro insurance product เป็นข้อเสนอที่ต้องการผลักดันในการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 23 ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในปี 2562 นี้” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บทบาทประกันภัยไทยผงาดในเวทีอาเซียน วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน 2561 บทบาทประกันภัยไทยผงาดในเวทีอาเซียน • คปภ. ผลักดันให้มีผลิตภัณฑ์ประกันภัยของอาเซียนเป็นครั้งแรกของโลก ตั้งเป้าประกันภัยไมโครอินชัวรันซ์อุบัติเหตุ เคลมได้ทั่วอาเซียน • นําเข้าสู่ที่ประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 23 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในปี 2562 ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ในปี 2562 ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 23 ภายใต้แนวคิดหลัก (Theme) “การเสริมสร้างหุ้นส่วนเพื่อความยั่งยืน (Advancing Partnership for Sustainability)” โดยมี 3 ประเด็นหลัก (Chair’s priorities) ประกอบด้วย การเชื่อมโยง (Connectivity) ความยั่งยืน (Sustainability) และภูมิคุ้มกัน (Resilience) โดยสํานักงาน คปภ. ได้นําเสนอแผนงานที่มีความสอดคล้องกับแนวคิดหลักของการประชุมและเป็นประโยชน์ต่อประเทศในภูมิภาคอาเซียนต่อคณะกรรมการเตรียมการจัดประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 23 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการฯ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2561 ได้มีมติเห็นชอบให้บรรจุแผนงาน ASEAN micro insurance product เป็นข้อเสนอที่ต้องการผลักดันในการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลังอาเซียน ครั้งที่ 23 ภายใต้ประเด็นหลัก “ความยั่งยืน (Sustainability)” และสอดคล้องกับ AEC Blueprint 2025 ในส่วนยุทธศาสตร์ที่ A4: การรวมตัวภาคการเงินอีกด้วยและสํานักงาน คปภ. โดยสํานักงาน คปภ. ได้เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ คปภ. ครั้งที่ 13/2561 เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2561 ณ อําเภอแม่สอด จังหวัดตาก เรียบร้อยแล้ว สําหรับแผนงาน ASEAN micro insurance product เป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยมาตรฐาน สําหรับประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยมีเงื่อนไขความคุ้มครองเดียวกัน และเบี้ยประกันภัยเท่ากัน สามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้ทุกที่ในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งพัฒนาช่องทางการเสนอขายที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยสะดวกและทั่วถึง ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศใด เช่น Mobile Application และช่องทางออนไลน์ เป็นต้น ทั้งนี้ จะเริ่มต้นจากกรมธรรม์ประกันภัยไมโครอินชัวรันซ์อุบัติเหตุ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีราคาถูก ความคุ้มครองไม่ซับซ้อน การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนไม่ยุ่งยาก และสํานักงาน คปภ. ได้ดําเนินการผลักดันมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี และมีบทบาทในการสร้างความตระหนักถึงความสําคัญของการประกันภัยสามารถดําเนินการได้ โดยการผลักดันใน 2 ระดับควบคู่กัน คือ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและหน่วยงานกํากับดูแลธุรกิจประกันภัย และความร่วมมือระหว่างสมาคมประกันภัยและบริษัทประกันภัยในแต่ละประเทศ “แผนงาน ASEAN micro insurance product นี้ ถ้าสามารถผลักดันให้เกิดขึ้นได้ภูมิภาคอาเซียนรวมทั้งประเทศไทยจะได้รับประโยชน์ทั้งการเพิ่มมูลค่าเบี้ยประกันภัยรับรวมและอัตราส่วนเบี้ยประกันภัยต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (penetration rate) แก่ประเทศในภูมิภาคอาเซียน ขยายเครือข่ายการเชื่อมโยงระบบการประกันภัยและการประกันภัยต่อระหว่างกันในภูมิภาคอาเซียน ยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้มีความสามารถในการรองรับและบรรเทาความสูญเสียแก่บุคคลในครอบครัว ยกระดับความร่วมมือและการถ่ายทอดความรู้ด้านผลิตภัณฑ์ประกันภัยระหว่างประเทศไทยและประเทศในกลุ่ม CLMV โดยที่ผ่านมา หน่วยงานกํากับดูแลธุรกิจประกันภัยในภูมิภาคอาเซียนเคยมีการหารือร่วมกันเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนา ASEAN Insurance Product แต่มีข้อจํากัดเกี่ยวกับช่องทางการเสนอขาย ซึ่งในขณะนั้นสามารถเสนอขายผ่านช่องทางตัวแทนประกันภัยหรือนายหน้าประกันภัยเท่านั้น แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาช่องทางใหม่ เช่น ออนไลน์ หรือ Mobile Application จึงมีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้เป็นผลิตภัณฑ์ประกันภัยของอาเซียนฉบับแรกของโลก ถ้าสําเร็จก็จะสามารถต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ประกันภัยตัวอื่นๆของอาเซียนต่อไป สํานักงาน คปภ. จึงได้เสนอแผนงาน ASEAN micro insurance product เป็นข้อเสนอที่ต้องการผลักดันในการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 23 ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในปี 2562 นี้” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17145
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ยุติธรรม รับเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากญาตินักท่องเที่ยวชาวจีน
วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2560 ก.ยุติธรรม รับเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากญาตินักท่องเที่ยวชาวจีน พันตํารวจเอก ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องเรียนจากบิดาของ นางลิน ลิน อายุ ๓๔ ปี นักท่องเที่ยวชาวจีน เมื่อวันจันทร์ที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ พันตํารวจเอก ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องเรียนจากบิดาของ นางลิน ลิน อายุ ๓๔ ปี นักท่องเที่ยวชาวจีน เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับบุตรสาวกรณีเสียชีวิตปริศนาบริเวณสระน้ําภายในบ้านพักตากอากาศ บริเวณโรงแรมเกาะสมุย เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๖ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ยุติธรรม รับเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากญาตินักท่องเที่ยวชาวจีน วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2560 ก.ยุติธรรม รับเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากญาตินักท่องเที่ยวชาวจีน พันตํารวจเอก ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องเรียนจากบิดาของ นางลิน ลิน อายุ ๓๔ ปี นักท่องเที่ยวชาวจีน เมื่อวันจันทร์ที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ พันตํารวจเอก ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องเรียนจากบิดาของ นางลิน ลิน อายุ ๓๔ ปี นักท่องเที่ยวชาวจีน เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับบุตรสาวกรณีเสียชีวิตปริศนาบริเวณสระน้ําภายในบ้านพักตากอากาศ บริเวณโรงแรมเกาะสมุย เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๖ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2208
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงประเด็นปัญหาข้อวิจารณ์ การแก้ไขปัญหาที่ดินของภาครัฐ
วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2561 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงประเด็นปัญหาข้อวิจารณ์ การแก้ไขปัญหาที่ดินของภาครัฐ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงประเด็นปัญหาข้อวิจารณ์การแก้ไขปัญหาที่ดินของภาครัฐ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2561 นายประลอง ดํารงค์ไทย โฆษกกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงประเด็นปัญหาข้อวิจารณ์การแก้ไขปัญหาที่ดินของภาครัฐ ตามที่เครือข่ายภาคประชาชน 13 องค์กร จัดกิจกรรมมหกรรมโฉนดชุมชน “ที่ดินคือชีวิต ฝ่าวิกฤตที่ดิน” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โดยในงานมีการพูดถึงปัญหาที่ดิน มีประเด็นดังนี้ 1) นโยบายการทวงผืนป่าก่อให้เกิดปัญหา เนื่องจากคนไทยร้อยละ 76 ไม่สามารถเข้าถึงที่ดินที่ทํากินที่มีเอกสารสิทธิ์ ซึ่งเป็นปัญหาที่อยู่ในขั้นวิกฤตและรุนแรง 2) การแก้ไขปัญหาของรัฐบาล กลับทําให้เกิดปัญหาในภาพรวมมากขึ้น เช่น กรณีการตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือกลุ่มพีมูฟ การแก้ปัญหาของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ไม่ได้ตอบโจทย์ปัญหาสิทธิที่ดิน เพราะการจัดการที่ดินอยู่ที่จังหวัดซึ่งให้สิทธิผู้ว่าราชการจังหวัดตัดสินใจจึงไม่สอดคล้องสิทธิในการใช้ประโยชน์ของชุมชน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอชี้แจงข้อเท็จจริงการดําเนินงาน สรุปได้ดังนี้ 1.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดยศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (ศปก.พป./กปม.,อส.,และทช.) ได้ดําเนินการตามนโยบายรัฐบาลเรื่อง "ทวงคืนผืนป่า" ซึ่งจากสภาพปัญหาที่ผ่านมาในอดีตพื้นที่ป่าในประเทศไทยถูกบุกรุกทําลายอย่างต่อเนื่องมาตลอดดังนี้ - พ.ศ. 2519 มีพื้นที่ประมาณ 138 ล้านไร่ เวลาผ่านมา 37 ปี พื้นที่ป่าถูกบุกรุกทําลายไปจํานวนเกือบ 36 ล้านไร่ (เฉลี่ยปีละเกือบ 1 ล้านไร่) - พ.ศ. 2556 มีเนื้อที่ประมาณ 102.120ล้านไร่ - พ.ศ. 2561 มีเนื้อที่ประมาณ 102.156ล้านไร่ โดยเฉลี่ยจากข้อมูลปี 2519 -2556 เนื้อที่ป่าถูกทําลาย ปีละเฉลี่ย 1 ล้านไร่ จนถึงปี 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ และรัฐบาลก็เล็งเห็นถึงความสําคัญของการแก้ปัญหาดังกล่าว เพื่อหยุดยั้งการทําลายทรัพยากรป่าไม้ ป่าต้นน้ําลําธารที่มีความสําคัญต่อสิ่งแวดล้อม ในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศน์ตั้งแต่ต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ํา ให้ดีที่สุด จึงได้มีคําสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 64/2557 ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2557 และคําสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 66/2557 ลงวันที่ 17 มิถุนายน 2557 ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านป้องกันและปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุกทําลายทรัพยากรป่าไม้ และให้ผ่อนปรนชาวบ้านผู้ยากไร้ ไร้ที่ทํากิน ที่เคยทํากิน และอยู่อาศัยในเขตป่าไม้ได้ทํากิน อยู่อาศัยต่อไปได้โดยไม่มีผลกระทบ โดยมีเป้าหมายการทวงคืนผืนป่าการบังคับใช้กฎหมายโดยมีเป้าหมายสําคัญเพื่อหยุดวงจรการบุกรุกป่านําไปขายต่อแล้วบุกรุกใหม่ ดําเนินคดีต่อกลุ่มนายทุนในรูปแบบต่าง ๆ เท่านั้น ตามแผนงานหลักจะไม่มีการดําเนินการ ปฏิบัติการต่อกลุ่มประชาชนผู้ยากไร้ และที่ผ่านมาจะพบว่าในช่วงเวลาตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 จนถึงปัจจุบัน แผนงานตามนโยบายของรัฐบาลสามารถหยุดยั้งการบุกรุกทําลายป่าให้คงที่ได้ที่ 102 ล้านไร่โดยประมาณ (พื้นที่ป่าคงที่ในช่วงเวลา 2557-2561) โดยจะไม่ให้ถูกบุกรุกต่อไปกว่านี้ โดยแผนงานทวงคืนที่ดําเนินการทวงคืนได้พื้นที่จากกลุ่มทุนก็จะนําพื้นที่ดังกล่าวมาฟื้นฟูสภาพให้ฟื้นคืนสภาพป่า หรือพื้นที่ไหนที่เหมาะสมหรือจําเป็นก็จะนํามาดําเนินการจัดที่ทํากินให้แก่ราษฎรในรูปแบบแปลงรวม (คทช.) เพื่อเป็นการดูแลประชาชนที่มีคุณสมบัติให้สามารถดํารงชีพทํากิน อยู่อาศัยได้ในเขตป่าไม้อย่างปกติสุข เพื่อความยั่งยืนของระบบนิเวศน์ป่าไม้ และเศรษฐสังคม แนวทางการดําเนินการตามแผนงานทวงคืนผืนป่า เป้าหมาย คือ กลุ่มทุนที่เข้าไปบุกรุกยึดถือครอบครองพื้นที่ป่าแบบผิดกฎหมายเท่านั้น และเพื่อเป็นการตัดวงจรการของกลุ่มทุนที่จะเข้าไปแย่งการครอบครองที่ดินจากภาคประชาชนที่ทํากินและอยู่อาศัยในเขตป่าในรูปแบบต่าง ๆ แผนงานการทวงคืนดังกล่าวได้ยกเว้นการดําเนินต่อประชาชนที่ได้อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่ามาก่อน ตามที่มีคุณสมบัติตามคําสั่ง คสช. ที่ 66/2557 ให้ได้รับการผ่อนปรนให้ทํากินและอยู่อาศัยในพื้นที่ป่าได้โดยไม่มีผลกระทบ และประชาชนที่เคยอยู่อาศัยและทํากินในเขตป่ายังสามารถเข้าถึงและทําประโยชน์ในที่ดินได้เหมือนเดิม โดยมีกลไกของภาครัฐที่ดูแลอยู่ทุกภาคส่วน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ดําเนินการตามนโยบายของรัฐบาล โดยได้บูรณาการกับทุกภาคส่วนเข้าดําเนินคดีต่อกลุ่มนายทุนที่บุกรุกพื้นที่ป่าและตัดไม้โดยมีสถิติคดีตั้งแต่ปี 2557 - 2561 ดังนี้ - การดําเนินคดีบุกรุกพื้นที่ป่า จํานวน 25,857 คดี ,ได้พื้นที่คืนมาเนื้อที่ 726,366ไร่ - การดําเนินคดีการตัดไม้จํานวน 30,457คดี จํานวน 1,321,324ท่อน/แผ่น/เหลี่ยม ปริมาตร 63,061ลูกบาศก์เมตร ขยายผลกลุ่มขบวนการจนถึงที่สุดสามารถติดตามยึดทรัพย์สินในการกระทําผิดได้จํานวนมาก แนวทางการปฏิบัติของคณะเจ้าหน้าที่ ในการบังคับใช้กฎหมายต่อกลุ่มนายทุน จะมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานเพื่อคัดกรองกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อให้มั่นใจว่ากลุ่มที่บังคับใช้กฎหมายในการทวงคืนเป็นกลุ่มนายทุนเท่านั้น ซึ่งแผนงานการบังคับใช้กฎหมายต่อกลุ่มทุนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังมีความจําเป็นต้องดําเนินการต่อไป จากการที่มีกลุ่มผู้เดือดร้อนออกมาร้องเรียนว่าได้รับผลกระทบจากการดําเนินการตามแผนงานทวงคืนของภาครัฐ รัฐบาลได้เล็งเห็นปัญหาดังกล่าว จึงได้บูรณาการดําเนินการตั้งคณะทํางานขึ้นหลายชุด เพื่อติดตามรวบรวมแก้ไขปัญหาดังกล่าว ประกอบด้วย - คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 (กขป 5) ซึ่งมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะทํางาน - คณะอนุกรรมการติดตามและขับเคลื่อนการแก้ปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ซึ่งมี รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) เป็นประธานอนุกรรมการ - และในระดับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทําลายป่าแห่งชาติได้ออกคําสั่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทําลายป่าแห่งชาติ เรื่อง การจัดตั้งศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยมีหัวหน้าผู้ตรวจกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหัวหน้าคณะทํางาน ลงพื้นที่ติดตาม แก้ไขปัญหาพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแผนงานการทวงคืนผืนป่าทั่วประเทศ ซึ่งเห็นได้ว่าปัญหาที่มีการพิจารณาแก้ไขนั้นเป็นปัญหาที่ค้างสะสมมาทั้งก่อนและหลังที่จะมีคําสั่ง คณะรักษาความสงบที่ 64, 66 /2557 เป็นจํานวนมาก และภายหลังที่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (ศปก.พป.) ขึ้นมาเพื่อบูรณาการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติในภาพรวมของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แล้วนั้น แผนงานอีกอย่างหนึ่งของศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า คือ การรับเรื่องร้องทุกข์ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากแผนงานของภาครัฐ หรือปัญหาความเดือดร้อนจากกลุ่มนายทุนที่เข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินและเกิดผลกระทบต่อประชาชน โดยศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่าได้จัดตั้งชุดปฏิบัติการติดตามปัญหา ลงพื้นที่เพื่อพบปะประชาชนผู้เดือดร้อน และบูรณาการกับหน่วยงานทุกภาคส่วนช่วยกันแก้ไขปัญหาให้ประชาชนที่เดือดร้อนทั่วประเทศตลอดมา และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยังเปิดช่องทางให้ภาคประชาชนได้แจ้งร้องเรียนความเดือดร้อน หรือแจ้งเบาะแสการกระทําผิด ตาม พรบ.ป่าไม้ หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้ที่ สายด่วน 1362 หรือร้องเรียนถึง นายอรรถพล เจริญชันษา รองอธิบดีกรมป่าไม้ ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า ได้โดยตรง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคํานึงถึงการอยู่ร่วมกันของประชาชนผู้อยู่อาศัยในเขตป่า โดยมุ่งหวังให้เกิดความผาสุกของชีวิตในการดํารงชีพ และเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี บนพื้นฐานของความยั่งยืนในที่ทํากินและอาชีพโดยไม่กระทบต่อสิทธิหรือการครอบครองที่ดินที่ได้มาโดยถูกต้องตามกฎหมาย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้กําหนดเป็นแผนงานหลัก ได้แก่ - โครงการจัดที่ดินชุมชนในพื้นที่ป่าทุกประเภท รูปแบบแปลงรวม (คทช) - โครงการส่งเสริมการจัดตั้งป่าชุมชน รวมถึงสนับสนุนให้มีพระราชบัญญัติป่าชุมชน เพื่อการใช้สอยและได้ประโยชน์จากป่าภายใต้การอนุรักษ์อย่างยั่งยืน - โครงการจัดตั้งสวนป่าประชารัฐเพื่อความสุขของคนไทยหรือป่าในเมือง - การแก้ไข มาตรา 7 ตาม พรบ.ป่าไม้ เพื่ออํานวยความสะดวกต่อการใช้ประโยชน์จากต้นไม้ในที่ดินของประชาชน - โครงการนําร่องการขับเคลื่อนการดําเนินการปฏิรูปและแก้ไขปัญหาเร่งด่วนด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามนโยบายรัฐบาลในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ซึ่งได้ดําเนินการไปได้หลายจังหวัด และมีนโยบายที่จะทําให้ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ 2) การจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) "กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย สผ. ได้ชี้แจงว่า เป็นการจัดที่ดินทํากินในที่ดินของรัฐในรูปแบบแปลงรวมโดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ เพื่อลดความเหลื่อมล้ํา กระจายสิทธิการถือของที่ดิน ป้องกันการซื้อขายเปลี่ยนมือ เป็นการแก้ไขปัญหาที่ดินอย่างยั่งยืน รวมทั้งประชาชนจะได้รับการส่งเสริมพัฒนาอาชีพและการตลาดในรูปแบบชุมชน สหกรณ์หรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสม - พื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนในปัจจุบันมีจํานวน 6 ประเภท ประกอบด้วย 1) ป่าสงวนแห่งชาติ 2) ป่าชายเลน 3) ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน 4) ที่สาธารณประโยชน์ 5) ที่ราชพัสดุและ 6) ที่ดินสงวนในนิคมสร้างตนเอง โดยปัจจุบันมีพื้นที่เป้าหมายจํานวนกว่า 1 ล้านไร่ ออกหนังสืออนุญาตเข้าทําประโยชน์ไปแล้วมากกว่า 400,000 ไร่ ประชาชนได้รับการจัดที่ดินประมาณ 45,000 ราย และการส่งเสริมพัฒนาอาชีพภายใต้กรอบการดําเนินงาน 6 ด้าน ประกอบด้วย 1) การพัฒนาที่ดิน 2) การพัฒนาแหล่งน้ํา 3) การจัดทําเมนูอาชีพตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ 4) การส่งเสริมการรวมกลุ่มจัดตั้งสหกรณ์ 5) การสนับสนุนเข้าถึงแหล่งเงินทุน และ 6) การจัดทําบัญชีครัวเรือน ทั้งนี้ กรณีพื้นที่เป้าหมายป่าสงวนแห่งชาติ จะมอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานคณะอนุกรรมการนโยบายที่ดินจังหวัด (คทช. จังหวัด) เป็นผู้ยื่นขออนุญาตเข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ สําหรับการดําเนินการพัฒนาที่ดินทํากิน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค การใช้ประโยชน์ในพื้นที่ จะดําเนินการในรูปแบบของสหกรณ์หรือกลุ่มชุมชน โดยประชาชนที่ได้รับการจัดที่ดินจะสามารถร่วมกันบริหารจัดการในพื้นที่ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้ คทช. จังหวัด ----------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงประเด็นปัญหาข้อวิจารณ์ การแก้ไขปัญหาที่ดินของภาครัฐ วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2561 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงประเด็นปัญหาข้อวิจารณ์ การแก้ไขปัญหาที่ดินของภาครัฐ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงประเด็นปัญหาข้อวิจารณ์การแก้ไขปัญหาที่ดินของภาครัฐ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2561 นายประลอง ดํารงค์ไทย โฆษกกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงประเด็นปัญหาข้อวิจารณ์การแก้ไขปัญหาที่ดินของภาครัฐ ตามที่เครือข่ายภาคประชาชน 13 องค์กร จัดกิจกรรมมหกรรมโฉนดชุมชน “ที่ดินคือชีวิต ฝ่าวิกฤตที่ดิน” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โดยในงานมีการพูดถึงปัญหาที่ดิน มีประเด็นดังนี้ 1) นโยบายการทวงผืนป่าก่อให้เกิดปัญหา เนื่องจากคนไทยร้อยละ 76 ไม่สามารถเข้าถึงที่ดินที่ทํากินที่มีเอกสารสิทธิ์ ซึ่งเป็นปัญหาที่อยู่ในขั้นวิกฤตและรุนแรง 2) การแก้ไขปัญหาของรัฐบาล กลับทําให้เกิดปัญหาในภาพรวมมากขึ้น เช่น กรณีการตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือกลุ่มพีมูฟ การแก้ปัญหาของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ไม่ได้ตอบโจทย์ปัญหาสิทธิที่ดิน เพราะการจัดการที่ดินอยู่ที่จังหวัดซึ่งให้สิทธิผู้ว่าราชการจังหวัดตัดสินใจจึงไม่สอดคล้องสิทธิในการใช้ประโยชน์ของชุมชน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอชี้แจงข้อเท็จจริงการดําเนินงาน สรุปได้ดังนี้ 1.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดยศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (ศปก.พป./กปม.,อส.,และทช.) ได้ดําเนินการตามนโยบายรัฐบาลเรื่อง "ทวงคืนผืนป่า" ซึ่งจากสภาพปัญหาที่ผ่านมาในอดีตพื้นที่ป่าในประเทศไทยถูกบุกรุกทําลายอย่างต่อเนื่องมาตลอดดังนี้ - พ.ศ. 2519 มีพื้นที่ประมาณ 138 ล้านไร่ เวลาผ่านมา 37 ปี พื้นที่ป่าถูกบุกรุกทําลายไปจํานวนเกือบ 36 ล้านไร่ (เฉลี่ยปีละเกือบ 1 ล้านไร่) - พ.ศ. 2556 มีเนื้อที่ประมาณ 102.120ล้านไร่ - พ.ศ. 2561 มีเนื้อที่ประมาณ 102.156ล้านไร่ โดยเฉลี่ยจากข้อมูลปี 2519 -2556 เนื้อที่ป่าถูกทําลาย ปีละเฉลี่ย 1 ล้านไร่ จนถึงปี 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ และรัฐบาลก็เล็งเห็นถึงความสําคัญของการแก้ปัญหาดังกล่าว เพื่อหยุดยั้งการทําลายทรัพยากรป่าไม้ ป่าต้นน้ําลําธารที่มีความสําคัญต่อสิ่งแวดล้อม ในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศน์ตั้งแต่ต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ํา ให้ดีที่สุด จึงได้มีคําสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 64/2557 ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2557 และคําสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 66/2557 ลงวันที่ 17 มิถุนายน 2557 ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านป้องกันและปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุกทําลายทรัพยากรป่าไม้ และให้ผ่อนปรนชาวบ้านผู้ยากไร้ ไร้ที่ทํากิน ที่เคยทํากิน และอยู่อาศัยในเขตป่าไม้ได้ทํากิน อยู่อาศัยต่อไปได้โดยไม่มีผลกระทบ โดยมีเป้าหมายการทวงคืนผืนป่าการบังคับใช้กฎหมายโดยมีเป้าหมายสําคัญเพื่อหยุดวงจรการบุกรุกป่านําไปขายต่อแล้วบุกรุกใหม่ ดําเนินคดีต่อกลุ่มนายทุนในรูปแบบต่าง ๆ เท่านั้น ตามแผนงานหลักจะไม่มีการดําเนินการ ปฏิบัติการต่อกลุ่มประชาชนผู้ยากไร้ และที่ผ่านมาจะพบว่าในช่วงเวลาตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 จนถึงปัจจุบัน แผนงานตามนโยบายของรัฐบาลสามารถหยุดยั้งการบุกรุกทําลายป่าให้คงที่ได้ที่ 102 ล้านไร่โดยประมาณ (พื้นที่ป่าคงที่ในช่วงเวลา 2557-2561) โดยจะไม่ให้ถูกบุกรุกต่อไปกว่านี้ โดยแผนงานทวงคืนที่ดําเนินการทวงคืนได้พื้นที่จากกลุ่มทุนก็จะนําพื้นที่ดังกล่าวมาฟื้นฟูสภาพให้ฟื้นคืนสภาพป่า หรือพื้นที่ไหนที่เหมาะสมหรือจําเป็นก็จะนํามาดําเนินการจัดที่ทํากินให้แก่ราษฎรในรูปแบบแปลงรวม (คทช.) เพื่อเป็นการดูแลประชาชนที่มีคุณสมบัติให้สามารถดํารงชีพทํากิน อยู่อาศัยได้ในเขตป่าไม้อย่างปกติสุข เพื่อความยั่งยืนของระบบนิเวศน์ป่าไม้ และเศรษฐสังคม แนวทางการดําเนินการตามแผนงานทวงคืนผืนป่า เป้าหมาย คือ กลุ่มทุนที่เข้าไปบุกรุกยึดถือครอบครองพื้นที่ป่าแบบผิดกฎหมายเท่านั้น และเพื่อเป็นการตัดวงจรการของกลุ่มทุนที่จะเข้าไปแย่งการครอบครองที่ดินจากภาคประชาชนที่ทํากินและอยู่อาศัยในเขตป่าในรูปแบบต่าง ๆ แผนงานการทวงคืนดังกล่าวได้ยกเว้นการดําเนินต่อประชาชนที่ได้อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่ามาก่อน ตามที่มีคุณสมบัติตามคําสั่ง คสช. ที่ 66/2557 ให้ได้รับการผ่อนปรนให้ทํากินและอยู่อาศัยในพื้นที่ป่าได้โดยไม่มีผลกระทบ และประชาชนที่เคยอยู่อาศัยและทํากินในเขตป่ายังสามารถเข้าถึงและทําประโยชน์ในที่ดินได้เหมือนเดิม โดยมีกลไกของภาครัฐที่ดูแลอยู่ทุกภาคส่วน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ดําเนินการตามนโยบายของรัฐบาล โดยได้บูรณาการกับทุกภาคส่วนเข้าดําเนินคดีต่อกลุ่มนายทุนที่บุกรุกพื้นที่ป่าและตัดไม้โดยมีสถิติคดีตั้งแต่ปี 2557 - 2561 ดังนี้ - การดําเนินคดีบุกรุกพื้นที่ป่า จํานวน 25,857 คดี ,ได้พื้นที่คืนมาเนื้อที่ 726,366ไร่ - การดําเนินคดีการตัดไม้จํานวน 30,457คดี จํานวน 1,321,324ท่อน/แผ่น/เหลี่ยม ปริมาตร 63,061ลูกบาศก์เมตร ขยายผลกลุ่มขบวนการจนถึงที่สุดสามารถติดตามยึดทรัพย์สินในการกระทําผิดได้จํานวนมาก แนวทางการปฏิบัติของคณะเจ้าหน้าที่ ในการบังคับใช้กฎหมายต่อกลุ่มนายทุน จะมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานเพื่อคัดกรองกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อให้มั่นใจว่ากลุ่มที่บังคับใช้กฎหมายในการทวงคืนเป็นกลุ่มนายทุนเท่านั้น ซึ่งแผนงานการบังคับใช้กฎหมายต่อกลุ่มทุนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังมีความจําเป็นต้องดําเนินการต่อไป จากการที่มีกลุ่มผู้เดือดร้อนออกมาร้องเรียนว่าได้รับผลกระทบจากการดําเนินการตามแผนงานทวงคืนของภาครัฐ รัฐบาลได้เล็งเห็นปัญหาดังกล่าว จึงได้บูรณาการดําเนินการตั้งคณะทํางานขึ้นหลายชุด เพื่อติดตามรวบรวมแก้ไขปัญหาดังกล่าว ประกอบด้วย - คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 (กขป 5) ซึ่งมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะทํางาน - คณะอนุกรรมการติดตามและขับเคลื่อนการแก้ปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ซึ่งมี รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) เป็นประธานอนุกรรมการ - และในระดับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทําลายป่าแห่งชาติได้ออกคําสั่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทําลายป่าแห่งชาติ เรื่อง การจัดตั้งศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยมีหัวหน้าผู้ตรวจกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหัวหน้าคณะทํางาน ลงพื้นที่ติดตาม แก้ไขปัญหาพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแผนงานการทวงคืนผืนป่าทั่วประเทศ ซึ่งเห็นได้ว่าปัญหาที่มีการพิจารณาแก้ไขนั้นเป็นปัญหาที่ค้างสะสมมาทั้งก่อนและหลังที่จะมีคําสั่ง คณะรักษาความสงบที่ 64, 66 /2557 เป็นจํานวนมาก และภายหลังที่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (ศปก.พป.) ขึ้นมาเพื่อบูรณาการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติในภาพรวมของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แล้วนั้น แผนงานอีกอย่างหนึ่งของศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า คือ การรับเรื่องร้องทุกข์ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากแผนงานของภาครัฐ หรือปัญหาความเดือดร้อนจากกลุ่มนายทุนที่เข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินและเกิดผลกระทบต่อประชาชน โดยศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่าได้จัดตั้งชุดปฏิบัติการติดตามปัญหา ลงพื้นที่เพื่อพบปะประชาชนผู้เดือดร้อน และบูรณาการกับหน่วยงานทุกภาคส่วนช่วยกันแก้ไขปัญหาให้ประชาชนที่เดือดร้อนทั่วประเทศตลอดมา และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยังเปิดช่องทางให้ภาคประชาชนได้แจ้งร้องเรียนความเดือดร้อน หรือแจ้งเบาะแสการกระทําผิด ตาม พรบ.ป่าไม้ หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้ที่ สายด่วน 1362 หรือร้องเรียนถึง นายอรรถพล เจริญชันษา รองอธิบดีกรมป่าไม้ ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า ได้โดยตรง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคํานึงถึงการอยู่ร่วมกันของประชาชนผู้อยู่อาศัยในเขตป่า โดยมุ่งหวังให้เกิดความผาสุกของชีวิตในการดํารงชีพ และเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี บนพื้นฐานของความยั่งยืนในที่ทํากินและอาชีพโดยไม่กระทบต่อสิทธิหรือการครอบครองที่ดินที่ได้มาโดยถูกต้องตามกฎหมาย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้กําหนดเป็นแผนงานหลัก ได้แก่ - โครงการจัดที่ดินชุมชนในพื้นที่ป่าทุกประเภท รูปแบบแปลงรวม (คทช) - โครงการส่งเสริมการจัดตั้งป่าชุมชน รวมถึงสนับสนุนให้มีพระราชบัญญัติป่าชุมชน เพื่อการใช้สอยและได้ประโยชน์จากป่าภายใต้การอนุรักษ์อย่างยั่งยืน - โครงการจัดตั้งสวนป่าประชารัฐเพื่อความสุขของคนไทยหรือป่าในเมือง - การแก้ไข มาตรา 7 ตาม พรบ.ป่าไม้ เพื่ออํานวยความสะดวกต่อการใช้ประโยชน์จากต้นไม้ในที่ดินของประชาชน - โครงการนําร่องการขับเคลื่อนการดําเนินการปฏิรูปและแก้ไขปัญหาเร่งด่วนด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามนโยบายรัฐบาลในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ซึ่งได้ดําเนินการไปได้หลายจังหวัด และมีนโยบายที่จะทําให้ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ 2) การจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) "กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย สผ. ได้ชี้แจงว่า เป็นการจัดที่ดินทํากินในที่ดินของรัฐในรูปแบบแปลงรวมโดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ เพื่อลดความเหลื่อมล้ํา กระจายสิทธิการถือของที่ดิน ป้องกันการซื้อขายเปลี่ยนมือ เป็นการแก้ไขปัญหาที่ดินอย่างยั่งยืน รวมทั้งประชาชนจะได้รับการส่งเสริมพัฒนาอาชีพและการตลาดในรูปแบบชุมชน สหกรณ์หรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสม - พื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนในปัจจุบันมีจํานวน 6 ประเภท ประกอบด้วย 1) ป่าสงวนแห่งชาติ 2) ป่าชายเลน 3) ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน 4) ที่สาธารณประโยชน์ 5) ที่ราชพัสดุและ 6) ที่ดินสงวนในนิคมสร้างตนเอง โดยปัจจุบันมีพื้นที่เป้าหมายจํานวนกว่า 1 ล้านไร่ ออกหนังสืออนุญาตเข้าทําประโยชน์ไปแล้วมากกว่า 400,000 ไร่ ประชาชนได้รับการจัดที่ดินประมาณ 45,000 ราย และการส่งเสริมพัฒนาอาชีพภายใต้กรอบการดําเนินงาน 6 ด้าน ประกอบด้วย 1) การพัฒนาที่ดิน 2) การพัฒนาแหล่งน้ํา 3) การจัดทําเมนูอาชีพตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ 4) การส่งเสริมการรวมกลุ่มจัดตั้งสหกรณ์ 5) การสนับสนุนเข้าถึงแหล่งเงินทุน และ 6) การจัดทําบัญชีครัวเรือน ทั้งนี้ กรณีพื้นที่เป้าหมายป่าสงวนแห่งชาติ จะมอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานคณะอนุกรรมการนโยบายที่ดินจังหวัด (คทช. จังหวัด) เป็นผู้ยื่นขออนุญาตเข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ สําหรับการดําเนินการพัฒนาที่ดินทํากิน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค การใช้ประโยชน์ในพื้นที่ จะดําเนินการในรูปแบบของสหกรณ์หรือกลุ่มชุมชน โดยประชาชนที่ได้รับการจัดที่ดินจะสามารถร่วมกันบริหารจัดการในพื้นที่ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้ คทช. จังหวัด ----------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16914
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยกเว้น VAT นำเข้า ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ ต้าน COVID-19 เพื่อบริจาค
วันพุธที่ 1 เมษายน 2563 ยกเว้น VAT นําเข้า ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ ต้าน COVID-19 เพื่อบริจาค ครม.เห็นชอบหลักการมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนําเข้ายา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ต้าน COVID-19 สําหรับบริจาคเป็นสาธารณกุศล โดยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สําหรับการนําเข้าสินค้าที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรค COVID-19 คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบหลักการมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนําเข้ายา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ต้าน COVID-19 สําหรับบริจาคเป็นสาธารณกุศล โดยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สําหรับการนําเข้าสินค้าที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรค COVID-19 ได้แก่ ยา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ ต้าน COVID-19 เพื่อการบริจาคให้แก่สถานพยาบาลของทางราชการ หน่วยงานของรัฐ และองค์การหรือสถานสาธารณกุศล เพื่อดูแลรักษาวินิจฉัยหรือป้องกันบุคลากรทางการแพทย์และผู้ที่เกี่ยวข้องในการต่อสู้กับ COVID-19 ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรเข้าใจและตระหนักถึงความสําคัญของสถานการณ์ของโรค COVID-19 ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันว่าอุปกรณ์ทางการแพทย์มีความสําคัญต่อการรักษาและป้องกันโรค COVID-19 จึงได้นําเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนําเข้ายา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ต้าน COVID-19 สําหรับบริจาคเป็นสาธารณกุศล) เพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 โดยยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มในการนําเข้าสินค้าที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรค COVID-19 เช่น ยา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ จากต่างประเทศและบริจาคให้แก่สถานพยาบาลของทางราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2563 – 28 กุมภาพันธ์ 2564 ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวสรุปว่า กรมสรรพากรหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามาตรการภาษีข้างต้นจะจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรค COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที ช่วยสนับสนุนการรักษา การวินิจฉัย และการป้องกันโรค COVID-19 เป็นผลดีแก่สุขภาพของประชาชน ซึ่งจะมีส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมให้ยั่งยืนต่อไป กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์ โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยกเว้น VAT นำเข้า ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ ต้าน COVID-19 เพื่อบริจาค วันพุธที่ 1 เมษายน 2563 ยกเว้น VAT นําเข้า ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ ต้าน COVID-19 เพื่อบริจาค ครม.เห็นชอบหลักการมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนําเข้ายา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ต้าน COVID-19 สําหรับบริจาคเป็นสาธารณกุศล โดยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สําหรับการนําเข้าสินค้าที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรค COVID-19 คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบหลักการมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนําเข้ายา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ต้าน COVID-19 สําหรับบริจาคเป็นสาธารณกุศล โดยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สําหรับการนําเข้าสินค้าที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรค COVID-19 ได้แก่ ยา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ ต้าน COVID-19 เพื่อการบริจาคให้แก่สถานพยาบาลของทางราชการ หน่วยงานของรัฐ และองค์การหรือสถานสาธารณกุศล เพื่อดูแลรักษาวินิจฉัยหรือป้องกันบุคลากรทางการแพทย์และผู้ที่เกี่ยวข้องในการต่อสู้กับ COVID-19 ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรเข้าใจและตระหนักถึงความสําคัญของสถานการณ์ของโรค COVID-19 ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันว่าอุปกรณ์ทางการแพทย์มีความสําคัญต่อการรักษาและป้องกันโรค COVID-19 จึงได้นําเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนําเข้ายา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ต้าน COVID-19 สําหรับบริจาคเป็นสาธารณกุศล) เพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 โดยยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มในการนําเข้าสินค้าที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรค COVID-19 เช่น ยา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ จากต่างประเทศและบริจาคให้แก่สถานพยาบาลของทางราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2563 – 28 กุมภาพันธ์ 2564 ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวสรุปว่า กรมสรรพากรหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามาตรการภาษีข้างต้นจะจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรค COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที ช่วยสนับสนุนการรักษา การวินิจฉัย และการป้องกันโรค COVID-19 เป็นผลดีแก่สุขภาพของประชาชน ซึ่งจะมีส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมให้ยั่งยืนต่อไป กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์ โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28232
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ.เร่งรัดจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ถูกต้อง รวดเร็วและเป็นธรรม
วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม 2561 คปภ.เร่งรัดจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ถูกต้อง รวดเร็วและเป็นธรรม • บริษัทประกันภัยเด้งรับนัดจ่ายเช็คแก่ทายาทผู้เสียชีวิตทันควัน กรณีรถเก๋งพลิกคว่ํา 6 ศพ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดอุบัติเหตุรถยนต์หมายเลขทะเบียน กต 583 ชัยภูมิ เฉี่ยวชนราวสะพานพลิกคว่ําบริเวณก่อนถึงสะพานข้ามคลอง 1 ถนนพหลโยธิน ขาออกมุ่งหน้าอําเภอวังน้อย (กม.53+50) หมู่ 9 ตําบลเชียงรากน้อย อําเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต จํานวน 6 คน เป็นชาย 4 คน และหญิง 2 คน เมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยเบื้องต้นตนได้สั่งการให้สํานักงาน คปภ. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตรวจสอบและได้ลงพื้นที่เพื่ออํานวยด้านประกันภัย ตลอดจนติดตามเร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมทดแทนเพื่อเยียวยาความสูญเสียโดยเร็ว เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า สํานักงาน คปภ. มีความห่วงใยครอบครัวผู้เสียชีวิตเป็นอย่างยิ่ง ในการดําเนินการสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ได้บูรณาการร่วมกับสํานักงาน คปภ. ภาค 7 (นครปฐม) และสํานักงาน คปภ. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ติดตามและประสานงานกับบริษัทประกันภัยเพื่อเร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม พร้อมทั้งได้ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมว่าผู้เสียชีวิตมีการทําประกันชีวิตหรืออุบัติเหตุส่วนบุคคลประเภทอื่นๆ ไว้ด้วยหรือไม่ เพื่อใช้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง 6 คน อย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร ทั้งนี้ได้รับรายงานเบื้องต้นจากสํานักงาน คปภ. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่า รถยนต์หมายเลขทะเบียน กต 583 ชัยภูมิ ได้ทําประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ไว้กับบริษัท เคเอสเค ประกันภัย (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) กรมธรรม์ประกันภัยเลขที่ BKK-A-Col-18-086891 เริ่มความคุ้มครองเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2561 สิ้นสุดความคุ้มครอง 8 พฤษภาคม 2562 และทําประกันภัยภาคสมัครใจ ประเภท 2 ไว้กับบริษัท ธนชาตประกันภัย จํากัด (มหาชน) กรมธรรม์เลขที่ 203-18-2180-011774 เริ่มความคุ้มครอง 20 กรกฎาคม 2561 สิ้นสุดความคุ้มครอง 20 กรกฎาคม 2562 โดยให้ความคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก (ความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย เฉพาะส่วนเกินวงเงินสูงสุดตาม พ.ร.บ. จํานวน 1,000,000 บาทต่อคน และ 10,000,000 บาทต่อครั้ง ความเสียหายต่อทรัพย์สิน จํานวน 1,000,000 บาท ) ความเสียหายต่อรถยนต์กรณีสูญหายหรือไฟไหม้ จํานวน 400,000 บาท สําหรับความคุ้มครองตามเอกสารแนบท้าย (อุบัติเหตุส่วนบุคคล กรณี เสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพถาวร ผู้ขับขี่ 1 คน จํานวน 100,000 บาท ผู้โดยสาร 6 คน จํานวน 100,000 บาท ค่ารักษาพยาบาล จํานวน 100,000 บาทต่อคน การประกันตัวผู้ขับขี่ 200,000 บาท ต่อครั้ง) สําหรับความคืบหน้าล่าสุดในการติดตามการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง 6 คนนั้น สํานักงาน คปภ. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รายงานว่า บริษัทประกันภัยได้ติดต่อทายาทของผู้เสียชีวิต ทั้ง 6 คนแล้ว โดยในวันที่ 25 ตุลาคม 2561 จะมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับทายาทของผู้เสียชีวิตที่มีภูมิลําเนาอยู่ในพื้นที่จังหวัดสระบุรีจํานวน 2 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตอีก 4 คน จะนัดวันจ่ายค่าสินไหมทดแทนอย่างเร่งด่วนต่อไป “สํานักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวผู้เสียชีวิตในครั้งนี้ อุบัติเหตุนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา จึงควรให้ความสําคัญกับการทําประกันภัยเพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงภัย และขอฝากเตือนประชาชน ผู้ใช้รถใช้ถนนในช่วงนี้ เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน มีฝนตกหนักและเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทําให้เกิดอุบัติเหตุในหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย ดังนั้น จึงควรเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่รถจักรยานยนต์ รถยนต์ และหมั่นตรวจสอบวันหมดอายุกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ตามที่กฎหมายกําหนด รวมทั้งกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคสมัครใจ และกรมธรรม์ประกันภัยอื่นๆ ทั้งนี้เพื่อที่ระบบประกันภัยจะได้เข้ามาช่วยบริหารความเสี่ยงและเยียวยา ความสูญเสียต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร และหากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องประกันภัยสามารถติดต่อได้ที่สายด่วน คปภ. 1186” ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ.เร่งรัดจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ถูกต้อง รวดเร็วและเป็นธรรม วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม 2561 คปภ.เร่งรัดจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ถูกต้อง รวดเร็วและเป็นธรรม • บริษัทประกันภัยเด้งรับนัดจ่ายเช็คแก่ทายาทผู้เสียชีวิตทันควัน กรณีรถเก๋งพลิกคว่ํา 6 ศพ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดอุบัติเหตุรถยนต์หมายเลขทะเบียน กต 583 ชัยภูมิ เฉี่ยวชนราวสะพานพลิกคว่ําบริเวณก่อนถึงสะพานข้ามคลอง 1 ถนนพหลโยธิน ขาออกมุ่งหน้าอําเภอวังน้อย (กม.53+50) หมู่ 9 ตําบลเชียงรากน้อย อําเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต จํานวน 6 คน เป็นชาย 4 คน และหญิง 2 คน เมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยเบื้องต้นตนได้สั่งการให้สํานักงาน คปภ. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตรวจสอบและได้ลงพื้นที่เพื่ออํานวยด้านประกันภัย ตลอดจนติดตามเร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมทดแทนเพื่อเยียวยาความสูญเสียโดยเร็ว เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า สํานักงาน คปภ. มีความห่วงใยครอบครัวผู้เสียชีวิตเป็นอย่างยิ่ง ในการดําเนินการสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ได้บูรณาการร่วมกับสํานักงาน คปภ. ภาค 7 (นครปฐม) และสํานักงาน คปภ. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ติดตามและประสานงานกับบริษัทประกันภัยเพื่อเร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม พร้อมทั้งได้ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมว่าผู้เสียชีวิตมีการทําประกันชีวิตหรืออุบัติเหตุส่วนบุคคลประเภทอื่นๆ ไว้ด้วยหรือไม่ เพื่อใช้ระบบประกันภัยช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง 6 คน อย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร ทั้งนี้ได้รับรายงานเบื้องต้นจากสํานักงาน คปภ. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่า รถยนต์หมายเลขทะเบียน กต 583 ชัยภูมิ ได้ทําประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ไว้กับบริษัท เคเอสเค ประกันภัย (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) กรมธรรม์ประกันภัยเลขที่ BKK-A-Col-18-086891 เริ่มความคุ้มครองเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2561 สิ้นสุดความคุ้มครอง 8 พฤษภาคม 2562 และทําประกันภัยภาคสมัครใจ ประเภท 2 ไว้กับบริษัท ธนชาตประกันภัย จํากัด (มหาชน) กรมธรรม์เลขที่ 203-18-2180-011774 เริ่มความคุ้มครอง 20 กรกฎาคม 2561 สิ้นสุดความคุ้มครอง 20 กรกฎาคม 2562 โดยให้ความคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก (ความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย เฉพาะส่วนเกินวงเงินสูงสุดตาม พ.ร.บ. จํานวน 1,000,000 บาทต่อคน และ 10,000,000 บาทต่อครั้ง ความเสียหายต่อทรัพย์สิน จํานวน 1,000,000 บาท ) ความเสียหายต่อรถยนต์กรณีสูญหายหรือไฟไหม้ จํานวน 400,000 บาท สําหรับความคุ้มครองตามเอกสารแนบท้าย (อุบัติเหตุส่วนบุคคล กรณี เสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพถาวร ผู้ขับขี่ 1 คน จํานวน 100,000 บาท ผู้โดยสาร 6 คน จํานวน 100,000 บาท ค่ารักษาพยาบาล จํานวน 100,000 บาทต่อคน การประกันตัวผู้ขับขี่ 200,000 บาท ต่อครั้ง) สําหรับความคืบหน้าล่าสุดในการติดตามการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง 6 คนนั้น สํานักงาน คปภ. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รายงานว่า บริษัทประกันภัยได้ติดต่อทายาทของผู้เสียชีวิต ทั้ง 6 คนแล้ว โดยในวันที่ 25 ตุลาคม 2561 จะมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับทายาทของผู้เสียชีวิตที่มีภูมิลําเนาอยู่ในพื้นที่จังหวัดสระบุรีจํานวน 2 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตอีก 4 คน จะนัดวันจ่ายค่าสินไหมทดแทนอย่างเร่งด่วนต่อไป “สํานักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวผู้เสียชีวิตในครั้งนี้ อุบัติเหตุนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา จึงควรให้ความสําคัญกับการทําประกันภัยเพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงภัย และขอฝากเตือนประชาชน ผู้ใช้รถใช้ถนนในช่วงนี้ เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน มีฝนตกหนักและเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทําให้เกิดอุบัติเหตุในหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย ดังนั้น จึงควรเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่รถจักรยานยนต์ รถยนต์ และหมั่นตรวจสอบวันหมดอายุกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ตามที่กฎหมายกําหนด รวมทั้งกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคสมัครใจ และกรมธรรม์ประกันภัยอื่นๆ ทั้งนี้เพื่อที่ระบบประกันภัยจะได้เข้ามาช่วยบริหารความเสี่ยงและเยียวยา ความสูญเสียต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร และหากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องประกันภัยสามารถติดต่อได้ที่สายด่วน คปภ. 1186” ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16307
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ก.วิทย์ โดย สวทช. ผลักดัน EECi ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรกว่า 50 หน่วยงาน
วันอังคารที่ 11 เมษายน 2560 ก.วิทย์ โดย สวทช. ผลักดัน EECi ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรกว่า 50 หน่วยงาน ก.วิทย์ โดย สวทช. ผลักดัน EECi ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรกว่า 50 หน่วยงาน เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2560 / ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมเป็นสักขีพยานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการสนับสนุนการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยมี พอเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานในพธี ณ ห้องประชุม อาคาร ที่พักผู้โดยสาร การท่าอากาศยานอู่ตะเภา อําเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลในการจัดตั้งเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรจากทุกภาคส่วน เพื่อนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ไทยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ด้าน ที่มาของความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก และ สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากความร่วมมือ โดย ดร. ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าว สวทช. ได้รับมอบหมายจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในการพัฒนา เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EECi ให้มีระบบนิเวศน์นวัตกรรมที่สมบูรณ์ เป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ที่มีความเข้มข้นของงานวิจัยและนวัตกรรม ตลอดจนการวิเคราะห์ทดสอบที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในตลาดโลก สําหรับ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการสนับสนุนการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ร่วมกับภาคเอกชน สถาบันการศึกษาและสถานบันวิจัยทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวม 50 หน่วยงาน เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) และหนุนไทยแลนด์ 4.0 มีรายชื่อดังนี้ พิธีลงนาม ในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง กระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี โดยสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และหน่วยงานภาครัฐ 10 หน่วยงาน ได้แก่ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย, สํานักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ, ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน), สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน), สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน), กรมวิทยาศาสตร์บริการ, สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ, กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม, การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สถาบันยานยนต์ และสถาบันไทย-เยอรมัน พิธีลงนาม ในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และ หน่วยงานสถาบันการศึกษา 15 หน่วยงาน ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี, มหาวิทยาลัยนเรศวร, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, มหาวิทยาลัยขอนแก่น, มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย, มหาวิทยาลัยมหิดล, สถาบันวิทยสิริเมธี และโรงเรียนกําเนิดวิทย์ พิธีลงนาม ในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และหน่วยงานภาคเอกชน 20 หน่วยงาน ได้แก่ บริษัท สุพรีม โพรดักส์ จํากัด, บริษัท ปตท.จํากัด (มหาชน), บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน), บริษัท น้ําตาลมิตรผล จํากัด, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จํากัด (มหาชน), บริษัท คริสตอลลา จํากัด, บริษัท เบทาโกร จํากัด (มหาชน), บริษัท ไทวา จํากัด (มหาชน), บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จํากัด (มหาชน), บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จํากัด (มหาชน), บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน), บริษัท อูเอโนไฟน์เคมีคัลส์ อินดัสตรี (ประเทศไทย) จํากัด, บริษัท เอเชีย สตาร์ เทรด จํากัด, บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จํากัด, บริษัท แบ็กซ์เตอร์ เฮลธ์แคร์ ,(ประเทศไทย) จํากัด สมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน), และประชารัฐ กลุ่ม D5 การพัฒนาคลัสเตอร์ภาคอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และ พิธีลงนาม ในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และหน่วยงานต่างประเทศ 5 หน่วยงาน ได้แก่ Chinese Academy of Sciences (CAS), Korea Advanced Institute of Science & Technology (KAIST), Japan-ASEAN Science, Technology, and Innovation Platform , (JASTIP) Kyoto University และ Fraunhofer โดยสรุป เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi) เป็นสิ่งที่ส่งเสริมยกระดับอุตสาหกรรมเดิม สร้างให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ด้วยการทําวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมร่วมกันระหว่างภาคเอกชน มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และภาครัฐ รวมถึงชุมนุมในพื้นที่ อันจะนําประเทศไทยสู่การเป็นประเทศแห่งนวัตกรรม ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิต ของประชาชนด้วย วทน. และมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนต่อไปในอนาคต ข่าวโดย : นางสาว ศิริวรรณ หมิงหมัน ภาพและวีดีโอ : นางสาวศิริลักษณ์ สิกขะบูรณะ, นายภูมินทร์ ปั้นเล็ก กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 02 333 3728 - 3732 โทรสาร 02 333 3834 E-Mail :[email protected] Facebook : sciencethailand
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ก.วิทย์ โดย สวทช. ผลักดัน EECi ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรกว่า 50 หน่วยงาน วันอังคารที่ 11 เมษายน 2560 ก.วิทย์ โดย สวทช. ผลักดัน EECi ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรกว่า 50 หน่วยงาน ก.วิทย์ โดย สวทช. ผลักดัน EECi ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรกว่า 50 หน่วยงาน เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2560 / ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมเป็นสักขีพยานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการสนับสนุนการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยมี พอเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานในพธี ณ ห้องประชุม อาคาร ที่พักผู้โดยสาร การท่าอากาศยานอู่ตะเภา อําเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลในการจัดตั้งเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรจากทุกภาคส่วน เพื่อนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ไทยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ด้าน ที่มาของความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก และ สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากความร่วมมือ โดย ดร. ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าว สวทช. ได้รับมอบหมายจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในการพัฒนา เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EECi ให้มีระบบนิเวศน์นวัตกรรมที่สมบูรณ์ เป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ที่มีความเข้มข้นของงานวิจัยและนวัตกรรม ตลอดจนการวิเคราะห์ทดสอบที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในตลาดโลก สําหรับ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการสนับสนุนการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ร่วมกับภาคเอกชน สถาบันการศึกษาและสถานบันวิจัยทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวม 50 หน่วยงาน เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) และหนุนไทยแลนด์ 4.0 มีรายชื่อดังนี้ พิธีลงนาม ในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง กระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี โดยสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และหน่วยงานภาครัฐ 10 หน่วยงาน ได้แก่ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย, สํานักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ, ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน), สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน), สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน), กรมวิทยาศาสตร์บริการ, สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ, กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม, การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สถาบันยานยนต์ และสถาบันไทย-เยอรมัน พิธีลงนาม ในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และ หน่วยงานสถาบันการศึกษา 15 หน่วยงาน ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี, มหาวิทยาลัยนเรศวร, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, มหาวิทยาลัยขอนแก่น, มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย, มหาวิทยาลัยมหิดล, สถาบันวิทยสิริเมธี และโรงเรียนกําเนิดวิทย์ พิธีลงนาม ในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และหน่วยงานภาคเอกชน 20 หน่วยงาน ได้แก่ บริษัท สุพรีม โพรดักส์ จํากัด, บริษัท ปตท.จํากัด (มหาชน), บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน), บริษัท น้ําตาลมิตรผล จํากัด, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จํากัด (มหาชน), บริษัท คริสตอลลา จํากัด, บริษัท เบทาโกร จํากัด (มหาชน), บริษัท ไทวา จํากัด (มหาชน), บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จํากัด (มหาชน), บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จํากัด (มหาชน), บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน), บริษัท อูเอโนไฟน์เคมีคัลส์ อินดัสตรี (ประเทศไทย) จํากัด, บริษัท เอเชีย สตาร์ เทรด จํากัด, บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จํากัด, บริษัท แบ็กซ์เตอร์ เฮลธ์แคร์ ,(ประเทศไทย) จํากัด สมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน), และประชารัฐ กลุ่ม D5 การพัฒนาคลัสเตอร์ภาคอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และ พิธีลงนาม ในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และหน่วยงานต่างประเทศ 5 หน่วยงาน ได้แก่ Chinese Academy of Sciences (CAS), Korea Advanced Institute of Science & Technology (KAIST), Japan-ASEAN Science, Technology, and Innovation Platform , (JASTIP) Kyoto University และ Fraunhofer โดยสรุป เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi) เป็นสิ่งที่ส่งเสริมยกระดับอุตสาหกรรมเดิม สร้างให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ด้วยการทําวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมร่วมกันระหว่างภาคเอกชน มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และภาครัฐ รวมถึงชุมนุมในพื้นที่ อันจะนําประเทศไทยสู่การเป็นประเทศแห่งนวัตกรรม ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิต ของประชาชนด้วย วทน. และมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนต่อไปในอนาคต ข่าวโดย : นางสาว ศิริวรรณ หมิงหมัน ภาพและวีดีโอ : นางสาวศิริลักษณ์ สิกขะบูรณะ, นายภูมินทร์ ปั้นเล็ก กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 02 333 3728 - 3732 โทรสาร 02 333 3834 E-Mail :[email protected] Facebook : sciencethailand
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3024
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน 2560 เอกอัครราชทูตเมียนมาประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี เอกอัครราชทูตเมียนมาประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี วันนี้ (8 พฤศจิกายน 2560) เวลา 13.30 น. อู มโย มยินตาน (H.E. U Myo Myint Than) เอกอัครราชทูตเมียนมาประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณที่ประธานาธิบดีเมียนมาและภริยาได้เดินทางเข้าร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และขอแสดงความยินดีที่นายอู มโย มยินตาน เข้ามาดํารงตําแหน่งเอกอัครราชทูตเมียนมาประจําประเทศไทย เพื่อสานต่อการทํางานระหว่างไทย – เมียนมา ให้ดําเนินไปในทิศทางที่ดีต่อไป ความสัมพันธ์ทวิภาคี ทั้งสองฝ่ายยินดีกับความสัมพันธ์ระหว่างไทย –เมียนมา ที่มีพัฒนาการในเชิงบวกมาโดยตลอด เห็นได้จากการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงอย่างสม่ําเสมอ ซึ่งฝ่ายไทยยืนยันความพร้อมที่จะทํางานร่วมกับเมียนมาต่อไป เพื่อให้ทั้งสองประเทศเติบโตไปข้างหน้าร่วมกัน ทั้งนี้ ในปี 2561 จะครบรอบ 70 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ฝ่ายไทยจึงสนับสนุนให้จัดกิจกรรมเฉลิมฉลองที่สอดคล้องกับวาระครบรอบดังกล่าว โดยรัฐบาลไทยพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ด้านเศรษฐกิจ ฝ่ายไทยเน้นย้ําถึงความสําคัญในความร่วมมือด้านการค้าการลงทุน โดยเฉพาะการค้าชายแดน และการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ เพื่อสานต่อความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างทั้งสองประเทศ สถานการณ์ในรัฐยะไข่ เอกอัครราชทูตเมียนมาฯ แสดงความขอบคุณทางการไทยที่ให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ซึ่งฝ่ายไทยยินดีให้ความร่วมมือและความช่วยเหลือแก่เมียนมาต่อไป พร้อมเน้นย้ําว่าประชาคมโลกต่างให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าว นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังยืนยันความพร้อมที่จะร่วมมือกับอาเซียนและประชาคมระหว่างประเทศสนับสนุนให้เมียนมาแก้ไขปัญหาในรัฐยะไข่อย่างยั่งยืน ด้านแรงงาน ฝ่ายไทยแสดงความขอบคุณที่เมียนมาให้ความร่วมมือในการจัดระเบียบแรงงานต่างชาติ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกับการส่งเสริมการนําเข้าแรงงานมายังไทยผ่านความตกลงว่าด้วยการจ้างงาน เพื่อประโยชน์สูงสุดของทั้งสองประเทศ ในช่วงท้าย ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้ไทยและเมียนมารักษาปฏิสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเช่นนี้ เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม ให้พัฒนาก้าวหน้าต่อไป โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าเอกอัครราชทูตเมียนมาฯ จะประสบความสําเร็จในการส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีให้แนบแน่นกว่าที่ผ่านมา พร้อมเน้นย้ําว่ารัฐบาลไทยจะให้ความร่วมมือกับเอกอัครราชทูตเมียนมาฯ อย่างเต็มที่ เพื่อความเป็นปึกแผ่นของอาเซียนและความเจริญในภูมิภาคต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน 2560 เอกอัครราชทูตเมียนมาประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี เอกอัครราชทูตเมียนมาประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี วันนี้ (8 พฤศจิกายน 2560) เวลา 13.30 น. อู มโย มยินตาน (H.E. U Myo Myint Than) เอกอัครราชทูตเมียนมาประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณที่ประธานาธิบดีเมียนมาและภริยาได้เดินทางเข้าร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และขอแสดงความยินดีที่นายอู มโย มยินตาน เข้ามาดํารงตําแหน่งเอกอัครราชทูตเมียนมาประจําประเทศไทย เพื่อสานต่อการทํางานระหว่างไทย – เมียนมา ให้ดําเนินไปในทิศทางที่ดีต่อไป ความสัมพันธ์ทวิภาคี ทั้งสองฝ่ายยินดีกับความสัมพันธ์ระหว่างไทย –เมียนมา ที่มีพัฒนาการในเชิงบวกมาโดยตลอด เห็นได้จากการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงอย่างสม่ําเสมอ ซึ่งฝ่ายไทยยืนยันความพร้อมที่จะทํางานร่วมกับเมียนมาต่อไป เพื่อให้ทั้งสองประเทศเติบโตไปข้างหน้าร่วมกัน ทั้งนี้ ในปี 2561 จะครบรอบ 70 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ฝ่ายไทยจึงสนับสนุนให้จัดกิจกรรมเฉลิมฉลองที่สอดคล้องกับวาระครบรอบดังกล่าว โดยรัฐบาลไทยพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ด้านเศรษฐกิจ ฝ่ายไทยเน้นย้ําถึงความสําคัญในความร่วมมือด้านการค้าการลงทุน โดยเฉพาะการค้าชายแดน และการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ เพื่อสานต่อความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างทั้งสองประเทศ สถานการณ์ในรัฐยะไข่ เอกอัครราชทูตเมียนมาฯ แสดงความขอบคุณทางการไทยที่ให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ซึ่งฝ่ายไทยยินดีให้ความร่วมมือและความช่วยเหลือแก่เมียนมาต่อไป พร้อมเน้นย้ําว่าประชาคมโลกต่างให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าว นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังยืนยันความพร้อมที่จะร่วมมือกับอาเซียนและประชาคมระหว่างประเทศสนับสนุนให้เมียนมาแก้ไขปัญหาในรัฐยะไข่อย่างยั่งยืน ด้านแรงงาน ฝ่ายไทยแสดงความขอบคุณที่เมียนมาให้ความร่วมมือในการจัดระเบียบแรงงานต่างชาติ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกับการส่งเสริมการนําเข้าแรงงานมายังไทยผ่านความตกลงว่าด้วยการจ้างงาน เพื่อประโยชน์สูงสุดของทั้งสองประเทศ ในช่วงท้าย ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้ไทยและเมียนมารักษาปฏิสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเช่นนี้ เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม ให้พัฒนาก้าวหน้าต่อไป โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าเอกอัครราชทูตเมียนมาฯ จะประสบความสําเร็จในการส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีให้แนบแน่นกว่าที่ผ่านมา พร้อมเน้นย้ําว่ารัฐบาลไทยจะให้ความร่วมมือกับเอกอัครราชทูตเมียนมาฯ อย่างเต็มที่ เพื่อความเป็นปึกแผ่นของอาเซียนและความเจริญในภูมิภาคต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7928
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย ให้การต้อนรับและบรรยายพิเศษให้แก่ข้าราชการโครงการ International Center for Development Communication (ICDC) จากประเทศบังกลาเทศ
วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน 2560 กระทรวงมหาดไทย ให้การต้อนรับและบรรยายพิเศษให้แก่ข้าราชการโครงการ International Center for Development Communication (ICDC) จากประเทศบังกลาเทศ กระทรวงมหาดไทย ให้การต้อนรับและบรรยายพิเศษให้แก่ข้าราชการโครงการ International Center for Development Communication (ICDC) จากประเทศบังกลาเทศ วันนี้ (28 พ.ย.60) เวลา 10:00 น. นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกล่าวต้อนรับข้าราชการผู้เข้ารับการอบรมโครงการ International Center for Development Communication (ICDC) หลักสูตร Project Appraisal and Risk Management จากประเทศบังกลาเทศ โดยมี ผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย และผู้บริหารกรมการพัฒนาชุมชนร่วมให้การต้อนรับและบรรยายสรุป การอบรมในครั้งนี้ สํานักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จัดขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกอบรมและศึกษาดูงานด้านการบริหารจัดการภายในของภาครัฐให้แก่ข้าราชการของประเทศบังกลาเทศในโครงการ International Center for Development Communication (ICDC) หลักสูตร Project Appraisal and Risk Management โดยมุ่งเน้นเรียนรู้งานจากสถานที่ราชการที่เป็นหน่วยงานยุทธศาสตร์ของประเทศ จึงได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย จัดให้มีการศึกษาดูงานขึ้น ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และกรมการพัฒนาชุมชน ได้จัดบรรยายสรุปในหัวข้อ "การบริหารราชการของกระทรวงมหาดไทยในภาพรวมและการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาชุมชน" ให้แก่ผู้เข้ารับการอบรมฯ ดังกล่าว. ครั้งที่ 182/2560 กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โทร. 0-22224131-2
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย ให้การต้อนรับและบรรยายพิเศษให้แก่ข้าราชการโครงการ International Center for Development Communication (ICDC) จากประเทศบังกลาเทศ วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน 2560 กระทรวงมหาดไทย ให้การต้อนรับและบรรยายพิเศษให้แก่ข้าราชการโครงการ International Center for Development Communication (ICDC) จากประเทศบังกลาเทศ กระทรวงมหาดไทย ให้การต้อนรับและบรรยายพิเศษให้แก่ข้าราชการโครงการ International Center for Development Communication (ICDC) จากประเทศบังกลาเทศ วันนี้ (28 พ.ย.60) เวลา 10:00 น. นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกล่าวต้อนรับข้าราชการผู้เข้ารับการอบรมโครงการ International Center for Development Communication (ICDC) หลักสูตร Project Appraisal and Risk Management จากประเทศบังกลาเทศ โดยมี ผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย และผู้บริหารกรมการพัฒนาชุมชนร่วมให้การต้อนรับและบรรยายสรุป การอบรมในครั้งนี้ สํานักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จัดขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกอบรมและศึกษาดูงานด้านการบริหารจัดการภายในของภาครัฐให้แก่ข้าราชการของประเทศบังกลาเทศในโครงการ International Center for Development Communication (ICDC) หลักสูตร Project Appraisal and Risk Management โดยมุ่งเน้นเรียนรู้งานจากสถานที่ราชการที่เป็นหน่วยงานยุทธศาสตร์ของประเทศ จึงได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย จัดให้มีการศึกษาดูงานขึ้น ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และกรมการพัฒนาชุมชน ได้จัดบรรยายสรุปในหัวข้อ "การบริหารราชการของกระทรวงมหาดไทยในภาพรวมและการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาชุมชน" ให้แก่ผู้เข้ารับการอบรมฯ ดังกล่าว. ครั้งที่ 182/2560 กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โทร. 0-22224131-2
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8422
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ วอนเกษตรกรลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลดพื้นที่ทำนาปรังรอบ 2
วันพุธที่ 19 เมษายน 2560 ก.เกษตรฯ วอนเกษตรกรลุ่มน้ําเจ้าพระยา ลดพื้นที่ทํานาปรังรอบ 2 กระทรวงเกษตรฯ วอนเกษตรกรลุ่มน้ําเจ้าพระยา ลดพื้นที่ทํานาปรังรอบ 2 อดใจรอไปปลูกนาปีพร้อมกันทั้งระบบในช่วงฤดูฝนเดือน พ.ค. นี้ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การเพาะปลูกพืชฤดูแล้งในลุ่มน้ําเจ้าพระยา ว่า ปัจจุบัน (ณ 12 เม.ย. 60) มีการทํานาปรังไปแล้ว 5.35 ล้านไร่ มากกว่าแผนที่วางไว้ 2.68 ล้านไร่ (แผนกําหนดไว้ 2.67 ล้านไร่) ประกอบกับปัจจุบันมีการทํานาปรังรอบที่ 2 ไปแล้วกว่า 130,000 ไร่ ทําให้มีการดึงน้ําจากภาคการใช้น้ําอื่น ๆ ไปใช้ทําการเพาะปลูกมากขึ้น จึงขอความร่วมมือจากเกษตรกรให้ลดพื้นที่การทํานาปรังรอบที่ 2 โดยขอให้อดใจรอไปทํานาปีพร้อมกันทั้งระบบ ในช่วงต้นฤดูฝนเดือนพฤษภาคม 2560 นายสัญชัย เกตุวรชัย อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์น้ําในเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดกลางทั้งประเทศว่า ปัจจุบัน (18 เม.ย. 60) มีปริมาณน้ําในอ่างฯรวมกัน 42,295 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 56 ของความจุอ่างฯรวมกัน มากกว่าปี 2559 รวม 7,248 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นปริมาณน้ําที่ใช้การได้ 18,476 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 36 (ปี 2559 มีน้ําใช้การได้ 11,203 ล้านลูกบาศก์เมตร) เฉพาะลุ่มน้ําเจ้าพระยา มีปริมาณน้ําใน 4 เขื่อนหลัก (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยฯ และเขื่อนป่าสักฯ) รวมกันทั้งสิ้น 11,573 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 47 ของความจุอ่างฯรวมกัน ปริมาณน้ํามากกว่าปี 2559 รวม 2,848 ล้าน ลบ.ม. มีปริมาณน้ําที่ใช้การได้ 4,877 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 27 (ปี 2559 มีน้ําใช้การได้ 2,029 ล้านลูกบาศก์เมตร) ผลการจัดสรรน้ําฤดูแล้งในลุ่มน้ําเจ้าพระยา จนถึงขณะนี้มีการใช้น้ําไปแล้ว ใช้น้ําไปแล้ว 6,251 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 105 ของแผนจัดสรรน้ําฯ จากแผนการจัดสรรน้ําฤดูแล้งของลุ่มน้ําเจ้าพระยา ที่ได้กําหนดไว้ ณ 1 พ.ย. 59 จํานวนทั้งสิ้น 5,950 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่เนื่องจากมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรังเกินแผนไปมากถึง 2.68 ล้านไร่ ทําให้มีการดึงน้ําไปใช้มากเกินกว่าแผนที่วางไว้ ซึ่งคาดว่าการระบายน้ําตลอดฤดูแล้งนี้ จะอยู่ในเกณฑ์รวมกันประมาณ 6,650 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่เนื่องจากในช่วงฤดูแล้งอ่างเก็บน้ําต่างๆ ยังคงมีน้ําไหลลงอ่างฯอย่างต่อเนื่อง จึงคาดการณ์ได้ว่า ณ 1 พ.ค. 60 จะมีปริมาณน้ําคงเหลือใช้การได้ประมาณ 4,463 ล้านลูกบาศก์เมตร มากกว่าที่วางแผนไว้เดิมประมาณ 700 ล้านลูกบาศก์เมตร(เดิมเตรียมน้ําไว้ใช้ต้นฤดูฝน 3,754 ล้านลูกบาศก์เมตร) ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน ได้วางแผนจัดสรรน้ําในช่วงต้นฤดูฝนปี 2560 เพื่อสนับสนุนการใช้น้ําสําหรับอุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศวันละ 18 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนที่เหลือวางแผนสนับสนุนการเพาะปลูกในลุ่มน้ําเจ้าพระยา แบ่งเป็นพื้นที่ตอนบนตั้งแต่นครสวรรค์ขึ้นไป ได้แก่ พื้นที่ลุ่มต่ําทุ่งบางระกํา 265,000 ไร่ เริ่มส่งน้ําทําการเพาะปลูกตั้งแต่ 1 เม.ย. 60 เป็นต้นมา ส่วนพื้นที่ดอนอีกประมาณ 1.92 ล้านไร่ ให้เริ่มเพาะปลูกเมื่อ กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเข้าสู่ฤดูฝน เพื่อใช้น้ําฝนเป็นหลักและเสริมด้วยน้ําจากระบบชลประทาน สําหรับในพื้นที่ตอนล่างตั้งแต่นครสวรรค์ลงมา ซึ่งมีพื้นที่ลุ่มต่ําประมาณ 1.15 ล้านไร่ จะเริ่มส่งน้ําเพื่อการเพาะปลูกข้าวรอบที่ 1 (นาปี) ตั้งแต่ 1 พ.ค. 60 เป็นต้นไป ได้แก่บริเวณทุ่งท่าวุ้ง ทุ่งเชียงราก ทุ่งบางกุ่ม ทุ่งฝั่งซ้ายคลองชัยนาท-ป่าสัก ทุ่งผักไห่ ทุ่งป่าโมก ทุ่งบางบาล ทุ่งบางกุ้ง และทุ่งเจ้าเจ็ด เป็นต้น ส่วนในพื้นที่ดอนที่มีพื้นที่ประมาณ 4.27 ล้านไร่ ให้เริ่มทําการเพาะปลูกเมื่อกรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเข้าสู่ฤดูฝน เพื่อใช้น้ําฝนเป็นหลักและเสริมด้วยน้ําจากระบบชลประทานเช่นกัน ด้าน นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวว่า จากการดําเนินงานตั้งแต่วันที่ 13 -17 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา สภาพอากาศที่เอื้อต่อการทําฝนในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ กรมฝนหลวงและการบินเกษตรจึงปฏิบัติภารกิจการทําฝน ซึ่งพบว่า มีจังหวัดที่มีวันฝนตกรวม 31 จังหวัด มีน้ําไหลเข้า 36 อ่างเก็บน้ําสําคัญ รวม 123.63 ล้าน ลบ.ม. โดยสามารถแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ 42.19 ล้าน ลบ.ม. ภาคกลาง 11.30 ล้าน ลบ.ม. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 6.59 ล้าน ลบ.ม. ภาคตะวันออก 1.33 ล้าน ลบ.ม. และภาคใต้ 62.22 ล้าน ลบ.ม.รวมทั้งทําให้มีปริมาณน้ําไหลเข้า 4 เขื่อนหลักลุ่มเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบํารุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) เปรียบเทียบกับปริมาณน้ําในช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2559/60 มีปริมาณน้ํามากกว่าปี 2558/59 และจากรายงานสถานการณ์หมอกควันของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในพื้นที่ภาคเหนือ 9 จังหวัด (ณ วันที่ 18 เมษายน 2560) พบว่า ในแต่ละจังหวัดที่ประสบปัญหาหมอกควัน มีค่ามาตรฐานฝุ่นละอองในอากาศ หรือ PM10 ไม่เกิน 120 ไมโครกรัม/ลบ.ม. ซึ่งเป็นคุณภาพอากาศที่ดี ไม่มีผลต่อสุขภาพของประชาชน ส่วนในด้านการยับยั้งพายุลูกเห็บ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ก็ได้ช่วงชิงโอกาสในการปฏิบัติการฝนหลวง ปฏิบัติภารกิจจนเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติได้อีกเช่นกัน สามารถช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้ง ปัญหาหมอกควัน พายุลูกเห็บ และสามารถเติมน้ําในเขื่อน ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรและพื้นที่การเกษตร ได้อย่างประสบความสําเร็จ กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ วอนเกษตรกรลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลดพื้นที่ทำนาปรังรอบ 2 วันพุธที่ 19 เมษายน 2560 ก.เกษตรฯ วอนเกษตรกรลุ่มน้ําเจ้าพระยา ลดพื้นที่ทํานาปรังรอบ 2 กระทรวงเกษตรฯ วอนเกษตรกรลุ่มน้ําเจ้าพระยา ลดพื้นที่ทํานาปรังรอบ 2 อดใจรอไปปลูกนาปีพร้อมกันทั้งระบบในช่วงฤดูฝนเดือน พ.ค. นี้ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การเพาะปลูกพืชฤดูแล้งในลุ่มน้ําเจ้าพระยา ว่า ปัจจุบัน (ณ 12 เม.ย. 60) มีการทํานาปรังไปแล้ว 5.35 ล้านไร่ มากกว่าแผนที่วางไว้ 2.68 ล้านไร่ (แผนกําหนดไว้ 2.67 ล้านไร่) ประกอบกับปัจจุบันมีการทํานาปรังรอบที่ 2 ไปแล้วกว่า 130,000 ไร่ ทําให้มีการดึงน้ําจากภาคการใช้น้ําอื่น ๆ ไปใช้ทําการเพาะปลูกมากขึ้น จึงขอความร่วมมือจากเกษตรกรให้ลดพื้นที่การทํานาปรังรอบที่ 2 โดยขอให้อดใจรอไปทํานาปีพร้อมกันทั้งระบบ ในช่วงต้นฤดูฝนเดือนพฤษภาคม 2560 นายสัญชัย เกตุวรชัย อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์น้ําในเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดกลางทั้งประเทศว่า ปัจจุบัน (18 เม.ย. 60) มีปริมาณน้ําในอ่างฯรวมกัน 42,295 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 56 ของความจุอ่างฯรวมกัน มากกว่าปี 2559 รวม 7,248 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นปริมาณน้ําที่ใช้การได้ 18,476 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 36 (ปี 2559 มีน้ําใช้การได้ 11,203 ล้านลูกบาศก์เมตร) เฉพาะลุ่มน้ําเจ้าพระยา มีปริมาณน้ําใน 4 เขื่อนหลัก (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยฯ และเขื่อนป่าสักฯ) รวมกันทั้งสิ้น 11,573 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 47 ของความจุอ่างฯรวมกัน ปริมาณน้ํามากกว่าปี 2559 รวม 2,848 ล้าน ลบ.ม. มีปริมาณน้ําที่ใช้การได้ 4,877 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 27 (ปี 2559 มีน้ําใช้การได้ 2,029 ล้านลูกบาศก์เมตร) ผลการจัดสรรน้ําฤดูแล้งในลุ่มน้ําเจ้าพระยา จนถึงขณะนี้มีการใช้น้ําไปแล้ว ใช้น้ําไปแล้ว 6,251 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 105 ของแผนจัดสรรน้ําฯ จากแผนการจัดสรรน้ําฤดูแล้งของลุ่มน้ําเจ้าพระยา ที่ได้กําหนดไว้ ณ 1 พ.ย. 59 จํานวนทั้งสิ้น 5,950 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่เนื่องจากมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรังเกินแผนไปมากถึง 2.68 ล้านไร่ ทําให้มีการดึงน้ําไปใช้มากเกินกว่าแผนที่วางไว้ ซึ่งคาดว่าการระบายน้ําตลอดฤดูแล้งนี้ จะอยู่ในเกณฑ์รวมกันประมาณ 6,650 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่เนื่องจากในช่วงฤดูแล้งอ่างเก็บน้ําต่างๆ ยังคงมีน้ําไหลลงอ่างฯอย่างต่อเนื่อง จึงคาดการณ์ได้ว่า ณ 1 พ.ค. 60 จะมีปริมาณน้ําคงเหลือใช้การได้ประมาณ 4,463 ล้านลูกบาศก์เมตร มากกว่าที่วางแผนไว้เดิมประมาณ 700 ล้านลูกบาศก์เมตร(เดิมเตรียมน้ําไว้ใช้ต้นฤดูฝน 3,754 ล้านลูกบาศก์เมตร) ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน ได้วางแผนจัดสรรน้ําในช่วงต้นฤดูฝนปี 2560 เพื่อสนับสนุนการใช้น้ําสําหรับอุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศวันละ 18 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนที่เหลือวางแผนสนับสนุนการเพาะปลูกในลุ่มน้ําเจ้าพระยา แบ่งเป็นพื้นที่ตอนบนตั้งแต่นครสวรรค์ขึ้นไป ได้แก่ พื้นที่ลุ่มต่ําทุ่งบางระกํา 265,000 ไร่ เริ่มส่งน้ําทําการเพาะปลูกตั้งแต่ 1 เม.ย. 60 เป็นต้นมา ส่วนพื้นที่ดอนอีกประมาณ 1.92 ล้านไร่ ให้เริ่มเพาะปลูกเมื่อ กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเข้าสู่ฤดูฝน เพื่อใช้น้ําฝนเป็นหลักและเสริมด้วยน้ําจากระบบชลประทาน สําหรับในพื้นที่ตอนล่างตั้งแต่นครสวรรค์ลงมา ซึ่งมีพื้นที่ลุ่มต่ําประมาณ 1.15 ล้านไร่ จะเริ่มส่งน้ําเพื่อการเพาะปลูกข้าวรอบที่ 1 (นาปี) ตั้งแต่ 1 พ.ค. 60 เป็นต้นไป ได้แก่บริเวณทุ่งท่าวุ้ง ทุ่งเชียงราก ทุ่งบางกุ่ม ทุ่งฝั่งซ้ายคลองชัยนาท-ป่าสัก ทุ่งผักไห่ ทุ่งป่าโมก ทุ่งบางบาล ทุ่งบางกุ้ง และทุ่งเจ้าเจ็ด เป็นต้น ส่วนในพื้นที่ดอนที่มีพื้นที่ประมาณ 4.27 ล้านไร่ ให้เริ่มทําการเพาะปลูกเมื่อกรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเข้าสู่ฤดูฝน เพื่อใช้น้ําฝนเป็นหลักและเสริมด้วยน้ําจากระบบชลประทานเช่นกัน ด้าน นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวว่า จากการดําเนินงานตั้งแต่วันที่ 13 -17 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา สภาพอากาศที่เอื้อต่อการทําฝนในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ กรมฝนหลวงและการบินเกษตรจึงปฏิบัติภารกิจการทําฝน ซึ่งพบว่า มีจังหวัดที่มีวันฝนตกรวม 31 จังหวัด มีน้ําไหลเข้า 36 อ่างเก็บน้ําสําคัญ รวม 123.63 ล้าน ลบ.ม. โดยสามารถแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ 42.19 ล้าน ลบ.ม. ภาคกลาง 11.30 ล้าน ลบ.ม. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 6.59 ล้าน ลบ.ม. ภาคตะวันออก 1.33 ล้าน ลบ.ม. และภาคใต้ 62.22 ล้าน ลบ.ม.รวมทั้งทําให้มีปริมาณน้ําไหลเข้า 4 เขื่อนหลักลุ่มเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบํารุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) เปรียบเทียบกับปริมาณน้ําในช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2559/60 มีปริมาณน้ํามากกว่าปี 2558/59 และจากรายงานสถานการณ์หมอกควันของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในพื้นที่ภาคเหนือ 9 จังหวัด (ณ วันที่ 18 เมษายน 2560) พบว่า ในแต่ละจังหวัดที่ประสบปัญหาหมอกควัน มีค่ามาตรฐานฝุ่นละอองในอากาศ หรือ PM10 ไม่เกิน 120 ไมโครกรัม/ลบ.ม. ซึ่งเป็นคุณภาพอากาศที่ดี ไม่มีผลต่อสุขภาพของประชาชน ส่วนในด้านการยับยั้งพายุลูกเห็บ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ก็ได้ช่วงชิงโอกาสในการปฏิบัติการฝนหลวง ปฏิบัติภารกิจจนเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติได้อีกเช่นกัน สามารถช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้ง ปัญหาหมอกควัน พายุลูกเห็บ และสามารถเติมน้ําในเขื่อน ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรและพื้นที่การเกษตร ได้อย่างประสบความสําเร็จ กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3151
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พรุ่งนี้แล้ว ลงทะเบียน “ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย” รัฐบาลเชิญชวนประชาชน ท่องเที่ยวปลายปี
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2562 พรุ่งนี้แล้ว ลงทะเบียน “ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย” รัฐบาลเชิญชวนประชาชน ท่องเที่ยวปลายปี พรุ่งนี้แล้ว ลงทะเบียน “ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย” รัฐบาลเชิญชวนประชาชน ท่องเที่ยวปลายปี น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชน ร่วมโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว “ถึงเวลาทัวร์ให้ทั่วไทย” ใน 2 แคมเปญ คือ “ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย” และ “เที่ยววันธรรมดาราคาช็อกโลก” ตามนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี 2562 ซึ่งคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบให้ดําเนินโครงการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 สําหรับ “ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย” เป็นมาตรการจูงใจให้เดินทางออกไปท่องเที่ยว โดยเปิดให้ประชาชนรับสิทธิ์ใน 4 วัน คือ วันที่ 11 -12 พฤศจิกายน และวันที่ 11 - 12 ธันวาคม ตั้งแต่เวลา 06.00 – 24.00 น. สามารถลงทะเบียนได้ทาง www.tourismthailand.org/ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย หรือ www.ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย.com รับสิทธิ์ชําระเงินเพียง 100 บาท เลือกของขวัญใน 5 หมวด 1. หมวดการเดินทาง อาทิ บัตรโดยสารเครื่องบินและรถบัสปรับอากาศ 2. หมวดที่พัก 3. หมวดอาหารและเครื่องดื่ม 4. หมวดแพคเก็จทัวร์ และ 5. หมวดแหล่งท่องเที่ยว กิจกรรมนันทนาการ และอื่นๆ ซึ่งมีของขวัญทั้งหมด 40,000 ชิ้น(รายการ) ให้สิทธิ์วันละ 10,000 สิทธิ์ สิทธิ์ละ 1 รายการ น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ส่วน “เที่ยววันธรรมดาราคาช็อกโลก” เปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ผ่าน www.tourismthailand.org/เที่ยววันธรรมดา หรือ www.เที่ยววันธรรมดาราคาช็อกโลก.com นําเสนอโปรโมชั่นลดราคาสูงสุดถึง 80% เพื่อกระตุ้นการเดินทางสําหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย โดยมีสินค้า 9 กลุ่มให้เลือก ทั้งบัตรโดยสาร สายการบิน ที่พักระดับ 5 ดาว เช่น ศรีพันวา ภูเก็ตวิลล่า สินค้าด้านสุขภาพและความงาม สินค้าระดับพรีเมี่ยม กิจกรรมท่องเที่ยวชุมชน ฯลฯ ทั้งนี้ โครงการ “ถึงเวลาทัวร์ให้ทั่วไทย” เป็นมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในปลายปี จะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คาดการณ์ว่า จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ถึง 400 ล้านบาท ทําให้ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวโดยรวมเพิ่มขึ้น 10% ถือเป็นมาตรการภายใต้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพ ช่วยกระจายได้รายลงสูงชุมชน ส่งผลให้การจับจ่ายใช้สอยคล้องตัวมากขึ้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พรุ่งนี้แล้ว ลงทะเบียน “ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย” รัฐบาลเชิญชวนประชาชน ท่องเที่ยวปลายปี วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2562 พรุ่งนี้แล้ว ลงทะเบียน “ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย” รัฐบาลเชิญชวนประชาชน ท่องเที่ยวปลายปี พรุ่งนี้แล้ว ลงทะเบียน “ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย” รัฐบาลเชิญชวนประชาชน ท่องเที่ยวปลายปี น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชน ร่วมโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว “ถึงเวลาทัวร์ให้ทั่วไทย” ใน 2 แคมเปญ คือ “ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย” และ “เที่ยววันธรรมดาราคาช็อกโลก” ตามนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี 2562 ซึ่งคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบให้ดําเนินโครงการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 สําหรับ “ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย” เป็นมาตรการจูงใจให้เดินทางออกไปท่องเที่ยว โดยเปิดให้ประชาชนรับสิทธิ์ใน 4 วัน คือ วันที่ 11 -12 พฤศจิกายน และวันที่ 11 - 12 ธันวาคม ตั้งแต่เวลา 06.00 – 24.00 น. สามารถลงทะเบียนได้ทาง www.tourismthailand.org/ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย หรือ www.ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย.com รับสิทธิ์ชําระเงินเพียง 100 บาท เลือกของขวัญใน 5 หมวด 1. หมวดการเดินทาง อาทิ บัตรโดยสารเครื่องบินและรถบัสปรับอากาศ 2. หมวดที่พัก 3. หมวดอาหารและเครื่องดื่ม 4. หมวดแพคเก็จทัวร์ และ 5. หมวดแหล่งท่องเที่ยว กิจกรรมนันทนาการ และอื่นๆ ซึ่งมีของขวัญทั้งหมด 40,000 ชิ้น(รายการ) ให้สิทธิ์วันละ 10,000 สิทธิ์ สิทธิ์ละ 1 รายการ น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ส่วน “เที่ยววันธรรมดาราคาช็อกโลก” เปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ผ่าน www.tourismthailand.org/เที่ยววันธรรมดา หรือ www.เที่ยววันธรรมดาราคาช็อกโลก.com นําเสนอโปรโมชั่นลดราคาสูงสุดถึง 80% เพื่อกระตุ้นการเดินทางสําหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย โดยมีสินค้า 9 กลุ่มให้เลือก ทั้งบัตรโดยสาร สายการบิน ที่พักระดับ 5 ดาว เช่น ศรีพันวา ภูเก็ตวิลล่า สินค้าด้านสุขภาพและความงาม สินค้าระดับพรีเมี่ยม กิจกรรมท่องเที่ยวชุมชน ฯลฯ ทั้งนี้ โครงการ “ถึงเวลาทัวร์ให้ทั่วไทย” เป็นมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในปลายปี จะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คาดการณ์ว่า จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ถึง 400 ล้านบาท ทําให้ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวโดยรวมเพิ่มขึ้น 10% ถือเป็นมาตรการภายใต้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพ ช่วยกระจายได้รายลงสูงชุมชน ส่งผลให้การจับจ่ายใช้สอยคล้องตัวมากขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24462
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยว่าการ ก.อุตฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม บริษัทผลไม้แปรรูปวรพร
วันพุธที่ 16 มกราคม 2562 รัฐมนตรีช่วยว่าการ ก.อุตฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม บริษัทผลไม้แปรรูปวรพร นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่บริษัท ผลไม้แปรรูป ผลไม้ดอง ผลไม้กวน ผลไม้แช่อิ่ม ณ บริษัทผลไม้แปรรูปวรพร จํากัด อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา วันนี้ (16 มกราคม 2562) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่บริษัท ผลไม้แปรรูป ผลไม้ดอง ผลไม้กวน ผลไม้แช่อิ่ม ณ บริษัทผลไม้แปรรูปวรพร จํากัด อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา โดยมีนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมด้วย บริษัท ผลไม้แปรรูปวรพร จํากัด เป็นผู้ผลิตและจําหน่าย ผลไม้แปรรูป ผลไม้ดอง ผลไม้กวน ผลไม้แช่อิ่ม ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงคือมะม่วงดองโดยจัดจําหน่ายไปทั่วประเทศและส่งออกไปอีก 15 ประเทศทั่วโลก ทั้งนี้บริษัทผลไม้แปรรูปวรพรฯ ได้เข้ารับการปรึกษากับกระทรวงอุตสาหกรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ "ลูกอมมะม่วง" ซึ่งจะออกจําหน่ายเร็วๆนี้ ——-
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยว่าการ ก.อุตฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม บริษัทผลไม้แปรรูปวรพร วันพุธที่ 16 มกราคม 2562 รัฐมนตรีช่วยว่าการ ก.อุตฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม บริษัทผลไม้แปรรูปวรพร นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่บริษัท ผลไม้แปรรูป ผลไม้ดอง ผลไม้กวน ผลไม้แช่อิ่ม ณ บริษัทผลไม้แปรรูปวรพร จํากัด อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา วันนี้ (16 มกราคม 2562) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่บริษัท ผลไม้แปรรูป ผลไม้ดอง ผลไม้กวน ผลไม้แช่อิ่ม ณ บริษัทผลไม้แปรรูปวรพร จํากัด อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา โดยมีนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมด้วย บริษัท ผลไม้แปรรูปวรพร จํากัด เป็นผู้ผลิตและจําหน่าย ผลไม้แปรรูป ผลไม้ดอง ผลไม้กวน ผลไม้แช่อิ่ม ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงคือมะม่วงดองโดยจัดจําหน่ายไปทั่วประเทศและส่งออกไปอีก 15 ประเทศทั่วโลก ทั้งนี้บริษัทผลไม้แปรรูปวรพรฯ ได้เข้ารับการปรึกษากับกระทรวงอุตสาหกรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ "ลูกอมมะม่วง" ซึ่งจะออกจําหน่ายเร็วๆนี้ ——-
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18177
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เร่งช่วยเด็กชายวัย 5 เดือน หลังแม่ถูกจับยาเสพติด ที่ จ.สงขลา
วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563 พม. เร่งช่วยเด็กชายวัย 5 เดือน หลังแม่ถูกจับยาเสพติด ที่ จ.สงขลา พม. เร่งช่วยเด็กชายวัย 5 เดือน หลังแม่ถูกจับยาเสพติด ที่ จ.สงขลา วันนี้ (9 มิ.ย.63) เวลา 11.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า จากกรณีแก๊งวัยรุ่นเปิดห้องเพื่อเสพยาเสพติด ที่ จ.สงขลา โดยพบหญิงสาว 4 คน อายุ 23-26 ปี ซึ่งมีหญิงสาว 1 ราย กําลังตั้งครรภ์ 8 เดือน และหญิงสาวอีก 1 ราย ได้อุ้มลูกชายวัย 5 เดือน ไว้บนตักระหว่างเสพยา ซึ่งพ่อของเด็กถูกต้องโทษในเรือนจํา และแม่ของเด็กถูกคุมตัวไปดําเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดยพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสงขลา (พมจ.สงขลา) และบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสงขลา ได้ลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัวของเด็กชายวัย 5 เดือน เพื่อประเมินทางสังคมและตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมให้ความช่วยเหลือต่างๆ โดยมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็น นมผง และผ้าอ้อมสําเร็จรูป รวมทั้งมอบเงินสงเคราะห์เด็กในครอบครัวยากจน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น อีกทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อวางแนวทางความช่วยเหลือในระยะยาวต่อไป และติดตามสภาพความเป็นอยู่ของเด็กอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ความช่วยเหลือในระยะยาวต่อไป นางสาวสราญภัทร กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกรณีดังกล่าว นับเป็นปัญหาสังคม ซึ่งกระทรวง พม. โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) จะต้องบูรณาการความร่วมมือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็น หรือประสบปัญหาทางสังคม สามารถแจ้งขอความช่วยเหลือมาที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรีตลอด 24 ชม. ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมช่วยเหลืออย่างเต็มที่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เร่งช่วยเด็กชายวัย 5 เดือน หลังแม่ถูกจับยาเสพติด ที่ จ.สงขลา วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563 พม. เร่งช่วยเด็กชายวัย 5 เดือน หลังแม่ถูกจับยาเสพติด ที่ จ.สงขลา พม. เร่งช่วยเด็กชายวัย 5 เดือน หลังแม่ถูกจับยาเสพติด ที่ จ.สงขลา วันนี้ (9 มิ.ย.63) เวลา 11.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า จากกรณีแก๊งวัยรุ่นเปิดห้องเพื่อเสพยาเสพติด ที่ จ.สงขลา โดยพบหญิงสาว 4 คน อายุ 23-26 ปี ซึ่งมีหญิงสาว 1 ราย กําลังตั้งครรภ์ 8 เดือน และหญิงสาวอีก 1 ราย ได้อุ้มลูกชายวัย 5 เดือน ไว้บนตักระหว่างเสพยา ซึ่งพ่อของเด็กถูกต้องโทษในเรือนจํา และแม่ของเด็กถูกคุมตัวไปดําเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดยพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสงขลา (พมจ.สงขลา) และบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสงขลา ได้ลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัวของเด็กชายวัย 5 เดือน เพื่อประเมินทางสังคมและตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมให้ความช่วยเหลือต่างๆ โดยมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็น นมผง และผ้าอ้อมสําเร็จรูป รวมทั้งมอบเงินสงเคราะห์เด็กในครอบครัวยากจน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น อีกทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อวางแนวทางความช่วยเหลือในระยะยาวต่อไป และติดตามสภาพความเป็นอยู่ของเด็กอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ความช่วยเหลือในระยะยาวต่อไป นางสาวสราญภัทร กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกรณีดังกล่าว นับเป็นปัญหาสังคม ซึ่งกระทรวง พม. โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) จะต้องบูรณาการความร่วมมือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็น หรือประสบปัญหาทางสังคม สามารถแจ้งขอความช่วยเหลือมาที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรีตลอด 24 ชม. ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมช่วยเหลืออย่างเต็มที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32128
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้หรือไม่ ??
วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2563 การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้หรือไม่ ?? นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ลดความเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้หรือไม่ ?? Q : การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้หรือไม่ ?? A : ได้ เพราะการนอนหลับอย่างเพียงพอ สามารถช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทําให้สามารถป้องกันเชื้อไวรัสฯ ได้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้หรือไม่ ?? วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2563 การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้หรือไม่ ?? นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ลดความเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้หรือไม่ ?? Q : การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้หรือไม่ ?? A : ได้ เพราะการนอนหลับอย่างเพียงพอ สามารถช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทําให้สามารถป้องกันเชื้อไวรัสฯ ได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31277
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ให้การต้อนรับคณะเลขาธิการอาเซียนเยี่ยมคารวะ
วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2561 กระทรวงดิจิทัลฯ ให้การต้อนรับคณะเลขาธิการอาเซียนเยี่ยมคารวะ กระทรวงดิจิทัลฯ p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font: 18.0px Helvetica; font-kerning: none} span.s2 {font-kerning: none} ดร. พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้การต้อนรับ ดาโต๊ะ ปาดูกา ลิม จ็อก ฮอย เลขาธิการอาเซียน และคณะประกอบด้วยนายสุริยา จินดาวงษ์ อธิบดีกรมอาเซียน และนางสาวภาสพร สังฆสุบรรณ์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจําอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๑ ณ ห้องรับรองต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยเลขาธิการอาเซียนได้กล่าวขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ และแจ้งวัตถุประสงค์ของการมาเยือนประเทศไทย เพื่อเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ เพื่อหารือกับฝ่ายไทยเกี่ยวกับแนวทางการประสานงานเพื่อขับเคลื่อนประเด็นที่ไทยจะให้ความสําคัญในช่วงการดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ได้กล่าวถึงข้อเสนอแนวคิดของไทยเรื่อง ASEAN Digital Agility 2019 ที่ได้นําเสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (TELMIN) ครั้งที่ ๑๘ รวมถึงหารือแนวทางการดําเนินกิจกรรมต่อไป และการเสนอเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ASEAN Digital Ministers’ Retreat ช่วงเดือนเมษายน หรือพฤษภาคม ๒๕๖๒ รวมถึงการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ASEAN Smart City Network ในปี ๒๕๖๒ โครงการเน็ตประชารัฐของไทยและ การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในระดับหมู่บ้านที่สามารถต่อยอดทางธุรกิจ เป็นต้น ซึ่งเลขาธิการอาเซียนได้เน้นย้ําถึงประเด็นสําคัญที่อาเซียนควรตระหนักถึง เช่น ค่าบริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศแบบอัตราเดียว (International Mobile Roaming Single Tariff) เมืองอัจฉริยะ (ASEAN Smart City) และธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) *****************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ให้การต้อนรับคณะเลขาธิการอาเซียนเยี่ยมคารวะ วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2561 กระทรวงดิจิทัลฯ ให้การต้อนรับคณะเลขาธิการอาเซียนเยี่ยมคารวะ กระทรวงดิจิทัลฯ p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font: 18.0px Helvetica; font-kerning: none} span.s2 {font-kerning: none} ดร. พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้การต้อนรับ ดาโต๊ะ ปาดูกา ลิม จ็อก ฮอย เลขาธิการอาเซียน และคณะประกอบด้วยนายสุริยา จินดาวงษ์ อธิบดีกรมอาเซียน และนางสาวภาสพร สังฆสุบรรณ์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจําอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๑ ณ ห้องรับรองต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยเลขาธิการอาเซียนได้กล่าวขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ และแจ้งวัตถุประสงค์ของการมาเยือนประเทศไทย เพื่อเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ เพื่อหารือกับฝ่ายไทยเกี่ยวกับแนวทางการประสานงานเพื่อขับเคลื่อนประเด็นที่ไทยจะให้ความสําคัญในช่วงการดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ได้กล่าวถึงข้อเสนอแนวคิดของไทยเรื่อง ASEAN Digital Agility 2019 ที่ได้นําเสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (TELMIN) ครั้งที่ ๑๘ รวมถึงหารือแนวทางการดําเนินกิจกรรมต่อไป และการเสนอเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ASEAN Digital Ministers’ Retreat ช่วงเดือนเมษายน หรือพฤษภาคม ๒๕๖๒ รวมถึงการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ASEAN Smart City Network ในปี ๒๕๖๒ โครงการเน็ตประชารัฐของไทยและ การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในระดับหมู่บ้านที่สามารถต่อยอดทางธุรกิจ เป็นต้น ซึ่งเลขาธิการอาเซียนได้เน้นย้ําถึงประเด็นสําคัญที่อาเซียนควรตระหนักถึง เช่น ค่าบริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศแบบอัตราเดียว (International Mobile Roaming Single Tariff) เมืองอัจฉริยะ (ASEAN Smart City) และธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) *****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17692
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.จัดงาน “บ้าน ธอส. เอ็กซ์โป @ สงขลา” ปี 2562 2 - 4 ส.ค. ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่
วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม 2562 ธอส.จัดงาน “บ้าน ธอส. เอ็กซ์โป @ สงขลา” ปี 2562 2 - 4 ส.ค. ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ฉลองครบรอบ 66 ปี จัดงาน “บ้าน ธอส. เอ็กซ์โป @ สงขลา” ปี 2562 ณ ลานโปรโมชั่น ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ฉลองครบรอบ 66 ปี จัดงาน “บ้าน ธอส. เอ็กซ์โป @ สงขลา” ปี 2562 รวบรวมโปรโมชั่นพิเศษเพื่อทําให้คนไทยมีบ้าน นําโดย 3 โซนหลัก 1.โซนสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ํา ปีที่ 1 เท่ากับ 2.95% ต่อปี พร้อมพิเศษสุด ๆ กับ 4 ฟรี !!!ค่าธรรมเนียม (1) ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (2) ค่าประเมินราคาหลักประกัน (3) ค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (4) ค่าจดทะเบียนจํานอง 2.โซนผลิตภัณฑ์เงินฝากอัตราดอกเบี้ยบวกเพิ่ม รวมรับดอกเบี้ยสูงสุด 1.60% ต่อปี และ 3.โซนทรัพย์ NPA หรือ บ้านมือสอง ลดราคาทรัพย์สูงสุดถึง 51% จากราคาปกติ และให้ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% ได้นานสูงสุดถึง 60 เดือน พร้อมพบกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่กันนําโครงการที่อยู่อาศัยใหม่มาจัดทําโปรโมชั่นลดราคา โครงการที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติ บริการตรวจข้อมูลเครดิตกับ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จํากัด (เครดิตบูโร) รวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อลุ้นรับส่วนลด ของรางวัล ของที่ระลึก และการแสดงของเหล่าศิลปินดารามากมาย ระหว่างวันที่ 2 - 4 สิงหาคม 2562 ณ ลานโปรโมชั่น ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.จัดงาน “บ้าน ธอส. เอ็กซ์โป @ สงขลา” ปี 2562 2 - 4 ส.ค. ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม 2562 ธอส.จัดงาน “บ้าน ธอส. เอ็กซ์โป @ สงขลา” ปี 2562 2 - 4 ส.ค. ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ฉลองครบรอบ 66 ปี จัดงาน “บ้าน ธอส. เอ็กซ์โป @ สงขลา” ปี 2562 ณ ลานโปรโมชั่น ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ฉลองครบรอบ 66 ปี จัดงาน “บ้าน ธอส. เอ็กซ์โป @ สงขลา” ปี 2562 รวบรวมโปรโมชั่นพิเศษเพื่อทําให้คนไทยมีบ้าน นําโดย 3 โซนหลัก 1.โซนสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ํา ปีที่ 1 เท่ากับ 2.95% ต่อปี พร้อมพิเศษสุด ๆ กับ 4 ฟรี !!!ค่าธรรมเนียม (1) ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (2) ค่าประเมินราคาหลักประกัน (3) ค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (4) ค่าจดทะเบียนจํานอง 2.โซนผลิตภัณฑ์เงินฝากอัตราดอกเบี้ยบวกเพิ่ม รวมรับดอกเบี้ยสูงสุด 1.60% ต่อปี และ 3.โซนทรัพย์ NPA หรือ บ้านมือสอง ลดราคาทรัพย์สูงสุดถึง 51% จากราคาปกติ และให้ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% ได้นานสูงสุดถึง 60 เดือน พร้อมพบกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่กันนําโครงการที่อยู่อาศัยใหม่มาจัดทําโปรโมชั่นลดราคา โครงการที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติ บริการตรวจข้อมูลเครดิตกับ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จํากัด (เครดิตบูโร) รวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อลุ้นรับส่วนลด ของรางวัล ของที่ระลึก และการแสดงของเหล่าศิลปินดารามากมาย ระหว่างวันที่ 2 - 4 สิงหาคม 2562 ณ ลานโปรโมชั่น ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21928
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. เปิดงาน ศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ก้าวไกล ด้วยพระบารมี หวังกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ OTOP ของไทย คาดตลอดการจัดงาน 9 วัน เงินสะพัดกว่า 900 ล้านบาท
วันอังคารที่ 14 สิงหาคม 2561 มท. เปิดงาน ศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ก้าวไกล ด้วยพระบารมี หวังกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ OTOP ของไทย คาดตลอดการจัดงาน 9 วัน เงินสะพัดกว่า 900 ล้านบาท มท. เปิดงาน ศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ก้าวไกล ด้วยพระบารมี หวังกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ OTOP ของไทย คาดตลอดการจัดงาน 9 วัน เงินสะพัดกว่า 900 ล้านบาท เมื่อวันที่13 ส.ค. 2561 เวลา 17.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ก้าวไกล ด้วยพระบารมี ประจําปี พ.ศ 2561 ณ เวทีกลาง อาคารชาเลนเจอร์ 2 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยมี นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้กล่าวรายงาน พร้อมด้วยคณะทูตานุทูต คณะรัฐมนตรี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายอภิชาติ โตดิลกเวช์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน คณะกรรมการอํานวยการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด ภาคเอกชน และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมพิธีเปิดงานอย่างคับคั่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ตั้งใจจัดอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อให้ประชาชนคนไทยได้มีโอกาสเทิดพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และเลือกซื้อสินค้าชุมชนที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากชุมชนที่เป็นผลิตภัณฑ์ฝีมือคนไทย ทรงคุณค่าด้วยภูมิปัญญาไทย อีกทั้งยังตอบสนองต่อนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้ดียิ่งขึ้น และเพื่อสอดคล้องกับพระราชเสาวนีย์ของพระองค์ท่านที่ให้มีโครงการพระราชดําริในการส่งเสริมอาชีพ และสร้างรายได้ให้แก่พสกนิกรชาวไทยทั่วทั้งประเทศ ในการนี้ รัฐบาลจึงได้ให้ความสําคัญกับการสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ของประชาชน ตลอดจนขยายผล และสนับสนุนให้มีโครงการหนึ่งตําบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งการพัฒนาเพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ OTOP โดยการพัฒนาผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ยกระดับคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์ 1-3 ดาว และเพิ่มช่องทางการตลาดให้กว้างและก้าวไกลมากยิ่งขึ้น ทั้งตลาดต่างประเทศและตลาดออนไลน์ สําหรับการจัดงานดังกล่าวถือเป็นการจัดงานระดับประเทศ ซึ่งมีความพิเศษและมีกิจกรรมที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ในการสืบสานตํานานผ้าไทย เส้นทางผ้าไหม เส้นทางผ้าฝ้าย และหัตถศิลป์ถิ่นไทย และการแสดงและจัดจําหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ OTOP มากกว่า 2,500 บูท โดยรัฐบาลคาดหวังว่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่ประเทศไทยจะได้แสดงให้ชาวไทยและชาวต่างชาติได้เห็นถึงความก้าวหน้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP ที่เป็นสินค้าของชุมชน และจะได้ช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ตลอดจนสมาชิกกลุ่มต่างๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนสืบไป ด้าน นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย ได้มอบให้ กรมการพัฒนาชุมชน เป็นหน่วยงานหลักในการจัดงานภายใต้แนวคิด ศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ก้าวไกล ด้วยพระบารมี ระหว่าง วันที่ 11-19 สิงหาคม 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณและเทิดพระเกียรติในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เพิ่มช่องทางการจําหน่ายและส่งเสริมเผยแพร่การใช้ผลิตภัณฑ์ OTOP ซึ่งเป็นภูมิปัญญาไทยที่กําเนิดมาจากโครงการศิลปาชีพ ตลอดจนขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ ผ่านกลไกโครงการ หนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ของรัฐบาล ภายใต้การบูรณาการและอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้ชุมชนเข้มแข็งพึ่งตนเองได้ อันจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ สําหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย 6 ส่วน ดังนี้ (1) นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ (2) กิจกรรมสําคัญและโดดเด่นภายในงาน ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ 1) การจัดแสดงและจัดจําหน่ายผลงานของศิลปิน OTOP 100 ราย 2) การจัดแสดงและจําหน่ายเสน่ห์ผ้าไทย 3) การจัดแสดงและจําหน่าย “การขยายศิลปาชีพสู่ชุมชน” ของหมู่บ้านรอบพระตําหนัก 4 ภูมิภาค และ 4) การจัดแสดงและจําหน่ายOTOP Signature 40 จังหวัด (3) การจัดแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP ประกอบด้วย OTOP Classic ระดับ 3-5 ดาว, YOUNG OTOP, OTOP Trader, OTOP Premium และ OTOP ของที่ระลึกประจําจังหวัด (4) OTOP ชวนชิมและถนนอาหาร (Street Food (5) กิจกรรมการจัดนิทรรศการและการจําหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP ของหน่วยงานภาคี และ (6) Health & Spa นอกจากนี้ยังจัดให้มีกิจกรรมส่งเสริมการขาย ทั้งการแสดงดนตรี การแสดงศิลปวัฒนธรรมภาคต่างๆ การจัดช่วงเวลานาทีทอง และกิจกรรมชิงรางวัล ซึ่งคาดว่าจะมีประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเข้าชมงานอย่างหนาแน่น ตลอดระยะเวลา 9 วัน และมียอดจําหน่ายไม่ต่ํากว่า 900 ล้านบาท
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. เปิดงาน ศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ก้าวไกล ด้วยพระบารมี หวังกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ OTOP ของไทย คาดตลอดการจัดงาน 9 วัน เงินสะพัดกว่า 900 ล้านบาท วันอังคารที่ 14 สิงหาคม 2561 มท. เปิดงาน ศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ก้าวไกล ด้วยพระบารมี หวังกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ OTOP ของไทย คาดตลอดการจัดงาน 9 วัน เงินสะพัดกว่า 900 ล้านบาท มท. เปิดงาน ศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ก้าวไกล ด้วยพระบารมี หวังกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ OTOP ของไทย คาดตลอดการจัดงาน 9 วัน เงินสะพัดกว่า 900 ล้านบาท เมื่อวันที่13 ส.ค. 2561 เวลา 17.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ก้าวไกล ด้วยพระบารมี ประจําปี พ.ศ 2561 ณ เวทีกลาง อาคารชาเลนเจอร์ 2 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยมี นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้กล่าวรายงาน พร้อมด้วยคณะทูตานุทูต คณะรัฐมนตรี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายอภิชาติ โตดิลกเวช์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน คณะกรรมการอํานวยการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด ภาคเอกชน และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมพิธีเปิดงานอย่างคับคั่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ตั้งใจจัดอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อให้ประชาชนคนไทยได้มีโอกาสเทิดพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และเลือกซื้อสินค้าชุมชนที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากชุมชนที่เป็นผลิตภัณฑ์ฝีมือคนไทย ทรงคุณค่าด้วยภูมิปัญญาไทย อีกทั้งยังตอบสนองต่อนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้ดียิ่งขึ้น และเพื่อสอดคล้องกับพระราชเสาวนีย์ของพระองค์ท่านที่ให้มีโครงการพระราชดําริในการส่งเสริมอาชีพ และสร้างรายได้ให้แก่พสกนิกรชาวไทยทั่วทั้งประเทศ ในการนี้ รัฐบาลจึงได้ให้ความสําคัญกับการสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ของประชาชน ตลอดจนขยายผล และสนับสนุนให้มีโครงการหนึ่งตําบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งการพัฒนาเพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ OTOP โดยการพัฒนาผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ยกระดับคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์ 1-3 ดาว และเพิ่มช่องทางการตลาดให้กว้างและก้าวไกลมากยิ่งขึ้น ทั้งตลาดต่างประเทศและตลาดออนไลน์ สําหรับการจัดงานดังกล่าวถือเป็นการจัดงานระดับประเทศ ซึ่งมีความพิเศษและมีกิจกรรมที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ในการสืบสานตํานานผ้าไทย เส้นทางผ้าไหม เส้นทางผ้าฝ้าย และหัตถศิลป์ถิ่นไทย และการแสดงและจัดจําหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ OTOP มากกว่า 2,500 บูท โดยรัฐบาลคาดหวังว่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่ประเทศไทยจะได้แสดงให้ชาวไทยและชาวต่างชาติได้เห็นถึงความก้าวหน้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP ที่เป็นสินค้าของชุมชน และจะได้ช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ตลอดจนสมาชิกกลุ่มต่างๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนสืบไป ด้าน นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย ได้มอบให้ กรมการพัฒนาชุมชน เป็นหน่วยงานหลักในการจัดงานภายใต้แนวคิด ศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ก้าวไกล ด้วยพระบารมี ระหว่าง วันที่ 11-19 สิงหาคม 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณและเทิดพระเกียรติในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เพิ่มช่องทางการจําหน่ายและส่งเสริมเผยแพร่การใช้ผลิตภัณฑ์ OTOP ซึ่งเป็นภูมิปัญญาไทยที่กําเนิดมาจากโครงการศิลปาชีพ ตลอดจนขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ ผ่านกลไกโครงการ หนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ของรัฐบาล ภายใต้การบูรณาการและอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้ชุมชนเข้มแข็งพึ่งตนเองได้ อันจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ สําหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย 6 ส่วน ดังนี้ (1) นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ (2) กิจกรรมสําคัญและโดดเด่นภายในงาน ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ 1) การจัดแสดงและจัดจําหน่ายผลงานของศิลปิน OTOP 100 ราย 2) การจัดแสดงและจําหน่ายเสน่ห์ผ้าไทย 3) การจัดแสดงและจําหน่าย “การขยายศิลปาชีพสู่ชุมชน” ของหมู่บ้านรอบพระตําหนัก 4 ภูมิภาค และ 4) การจัดแสดงและจําหน่ายOTOP Signature 40 จังหวัด (3) การจัดแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP ประกอบด้วย OTOP Classic ระดับ 3-5 ดาว, YOUNG OTOP, OTOP Trader, OTOP Premium และ OTOP ของที่ระลึกประจําจังหวัด (4) OTOP ชวนชิมและถนนอาหาร (Street Food (5) กิจกรรมการจัดนิทรรศการและการจําหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP ของหน่วยงานภาคี และ (6) Health & Spa นอกจากนี้ยังจัดให้มีกิจกรรมส่งเสริมการขาย ทั้งการแสดงดนตรี การแสดงศิลปวัฒนธรรมภาคต่างๆ การจัดช่วงเวลานาทีทอง และกิจกรรมชิงรางวัล ซึ่งคาดว่าจะมีประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเข้าชมงานอย่างหนาแน่น ตลอดระยะเวลา 9 วัน และมียอดจําหน่ายไม่ต่ํากว่า 900 ล้านบาท
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14595
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดงานถ่ายทอดบทเรียน และร่วมแสดงความยินดีแก่ 10 สตรีไทย ที่ได้รับรางวัลสตรีผู้ประกอบการผู้มีผลงานโดดเด่นของอาเซียน ประจำปี 2560
วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน 2560 พม. จัดงานถ่ายทอดบทเรียน และร่วมแสดงความยินดีแก่ 10 สตรีไทย ที่ได้รับรางวัลสตรีผู้ประกอบการผู้มีผลงานโดดเด่นของอาเซียน ประจําปี 2560 พม. จัดงานถ่ายทอดบทเรียน และร่วมแสดงความยินดีแก่ 10 สตรีไทย ที่ได้รับรางวัลสตรีผู้ประกอบการผู้มีผลงานโดดเด่นของอาเซียน ประจําปี 2560 วันนี้ (22 พ.ย. 60) เวลา 11.30 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานในงานถ่ายทอดบทเรียน และแสดงความยินดีพร้อมทั้งมอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติให้กับผู้ประกอบการสตรีไทย ผู้มีผลงานโดดเด่นของอาเซียน ประจําปี 2560 ภายหลังจากที่ได้รับรางวัล Thailand’s Outstanding ASEAN Women Entrepreneurs 2017 จาก AWEN - ASEAN Women Entrepreneurs Network ในงาน ASEAN Women’s Business Conference ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ซึงเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดย กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กับสหพันธ์สมาคมนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ (BPW) จัดขึ้น โดยมีคณะผู้บริหารกระทรวง พม. เจ้าหน้าที่ ผู้แทนภาคเอกชน/ธุรกิจ และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ ห้องประชุมชั้น 2 กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า สตรีไทยมีศักยภาพที่สูงขึ้น ทั้งด้านการงาน ด้านอาชีพ และการดูแลครอบครัว อีกทั้ง ยังมีความสามารถในการบริหารจัดการ จะเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้มีสตรีเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่ประสบความสําเร็จในภาคธุรกิจ ตลอดจนวงการต่างๆ มากขึ้น และในฐานะที่กระทรวง พม. โดย สค. มีบทบาทเป็นหน่วยงานประสานหลัก (Focal Point) ในประเด็นความร่วมมืออาเซียนด้านสตรี จึงได้ร่วมมือกับสหพันธ์สมาคมนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ (BPW) จัดงานในวันนี้ขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบการสตรีผู้มีผลงานโดดเด่นของอาเซียน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และถ่ายทอดบทเรียนความสําเร็จในการดําเนินงานธุรกิจในฐานะสตรีนักธุรกิจ และแสดงความยินดีกับสตรีผู้ประกอบการดีเด่นที่ได้รับรางวัลในฐานะที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยได้มีการจัดตั้งเครือข่ายผู้ประกอบการสตรีอาเซียนประเทศไทย (AWEN Thailand) โดยมีกระทรวง พม. เป็นผู้ประสานงานหลักของ AWEN ครั้งแรกในปี 2553 โดยประเทศเวียดนามเป็นผู้เสนอแนวคิดให้จัดตั้ง AWEN ขึ้น ในการประชุมคณะกรรมการอาเซียนด้านสตรี ครั้งที่ 9 เพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการสตรีในภูมิภาคอาเซียน สร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี และการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในกลุ่มผู้ประกอบการอาเซียน รวมทั้งสนับสนุนการประสานความร่วมมือทางธุรกิจร่วมกับองค์กรหรือเครือข่ายผู้ประกอบการสตรีอื่นๆ ซึ่ง AWEN เป็นเครือข่ายที่ต้องการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจเอกชน โดยเฉพาะสตรีที่ประสบความสําเร็จได้เข้ามามีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์จากกระบวนการสร้างความเชื่อมโยงในประชาคมอาเซียนต่อไป พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา ทางกระทรวง พม. ได้มีการแสดงความยินดีให้แก่สตรีผู้ประกอบการผู้มีผลงานโดดเด่นของอาเซียน จํานวน 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 ในปี 2558 ณ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จํานวน 10 คน โดยมีการแสดงความยินดีแก่ผู้ประกอบการสตรีไทยที่ได้รับรางวัลเมื่อเดือนมีนาคม 2558 ณ โรงแรมรอยัล ปริ๊นเซส หลานหลวง และครั้งที่ 2 ปี 2559 ณ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จํานวน 10 คน มีการแสดงความยินดีแก่ผู้ประกอบการสตรีไทยที่ได้รับรางวัล เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2559 ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ และครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 3 ที่มีการแสดงความยินดีแก่ผู้ประกอบการสตรีไทยที่ได้รับรางวัลเมื่อปี 2558 ที่ยังไม่ได้รับมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ มาร่วมรับมอบรางวัลฯ กับผู้ประกอบการสตรีฯ ปี 2560 รวมจํานวนทั้งสิ้น 20 คน เพื่อเชิดชูเกียรติในฐานะที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดงานถ่ายทอดบทเรียน และร่วมแสดงความยินดีแก่ 10 สตรีไทย ที่ได้รับรางวัลสตรีผู้ประกอบการผู้มีผลงานโดดเด่นของอาเซียน ประจำปี 2560 วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน 2560 พม. จัดงานถ่ายทอดบทเรียน และร่วมแสดงความยินดีแก่ 10 สตรีไทย ที่ได้รับรางวัลสตรีผู้ประกอบการผู้มีผลงานโดดเด่นของอาเซียน ประจําปี 2560 พม. จัดงานถ่ายทอดบทเรียน และร่วมแสดงความยินดีแก่ 10 สตรีไทย ที่ได้รับรางวัลสตรีผู้ประกอบการผู้มีผลงานโดดเด่นของอาเซียน ประจําปี 2560 วันนี้ (22 พ.ย. 60) เวลา 11.30 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานในงานถ่ายทอดบทเรียน และแสดงความยินดีพร้อมทั้งมอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติให้กับผู้ประกอบการสตรีไทย ผู้มีผลงานโดดเด่นของอาเซียน ประจําปี 2560 ภายหลังจากที่ได้รับรางวัล Thailand’s Outstanding ASEAN Women Entrepreneurs 2017 จาก AWEN - ASEAN Women Entrepreneurs Network ในงาน ASEAN Women’s Business Conference ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ซึงเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดย กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กับสหพันธ์สมาคมนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ (BPW) จัดขึ้น โดยมีคณะผู้บริหารกระทรวง พม. เจ้าหน้าที่ ผู้แทนภาคเอกชน/ธุรกิจ และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ ห้องประชุมชั้น 2 กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า สตรีไทยมีศักยภาพที่สูงขึ้น ทั้งด้านการงาน ด้านอาชีพ และการดูแลครอบครัว อีกทั้ง ยังมีความสามารถในการบริหารจัดการ จะเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้มีสตรีเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่ประสบความสําเร็จในภาคธุรกิจ ตลอดจนวงการต่างๆ มากขึ้น และในฐานะที่กระทรวง พม. โดย สค. มีบทบาทเป็นหน่วยงานประสานหลัก (Focal Point) ในประเด็นความร่วมมืออาเซียนด้านสตรี จึงได้ร่วมมือกับสหพันธ์สมาคมนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ (BPW) จัดงานในวันนี้ขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบการสตรีผู้มีผลงานโดดเด่นของอาเซียน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และถ่ายทอดบทเรียนความสําเร็จในการดําเนินงานธุรกิจในฐานะสตรีนักธุรกิจ และแสดงความยินดีกับสตรีผู้ประกอบการดีเด่นที่ได้รับรางวัลในฐานะที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยได้มีการจัดตั้งเครือข่ายผู้ประกอบการสตรีอาเซียนประเทศไทย (AWEN Thailand) โดยมีกระทรวง พม. เป็นผู้ประสานงานหลักของ AWEN ครั้งแรกในปี 2553 โดยประเทศเวียดนามเป็นผู้เสนอแนวคิดให้จัดตั้ง AWEN ขึ้น ในการประชุมคณะกรรมการอาเซียนด้านสตรี ครั้งที่ 9 เพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการสตรีในภูมิภาคอาเซียน สร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี และการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในกลุ่มผู้ประกอบการอาเซียน รวมทั้งสนับสนุนการประสานความร่วมมือทางธุรกิจร่วมกับองค์กรหรือเครือข่ายผู้ประกอบการสตรีอื่นๆ ซึ่ง AWEN เป็นเครือข่ายที่ต้องการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจเอกชน โดยเฉพาะสตรีที่ประสบความสําเร็จได้เข้ามามีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์จากกระบวนการสร้างความเชื่อมโยงในประชาคมอาเซียนต่อไป พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา ทางกระทรวง พม. ได้มีการแสดงความยินดีให้แก่สตรีผู้ประกอบการผู้มีผลงานโดดเด่นของอาเซียน จํานวน 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 ในปี 2558 ณ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จํานวน 10 คน โดยมีการแสดงความยินดีแก่ผู้ประกอบการสตรีไทยที่ได้รับรางวัลเมื่อเดือนมีนาคม 2558 ณ โรงแรมรอยัล ปริ๊นเซส หลานหลวง และครั้งที่ 2 ปี 2559 ณ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จํานวน 10 คน มีการแสดงความยินดีแก่ผู้ประกอบการสตรีไทยที่ได้รับรางวัล เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2559 ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ และครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 3 ที่มีการแสดงความยินดีแก่ผู้ประกอบการสตรีไทยที่ได้รับรางวัลเมื่อปี 2558 ที่ยังไม่ได้รับมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ มาร่วมรับมอบรางวัลฯ กับผู้ประกอบการสตรีฯ ปี 2560 รวมจํานวนทั้งสิ้น 20 คน เพื่อเชิดชูเกียรติในฐานะที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8283
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบปะประชาชนจังหวัดปราจีนบุรี สนับสนุนงบประมาณก่อสร้างถนน 4 ช่องทางจราจร รองรับการขยายตัวภาคอุตสาหกรรม เชื่อมโยงการค้าการลงทุน
วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2560 นายกรัฐมนตรีพบปะประชาชนจังหวัดปราจีนบุรี สนับสนุนงบประมาณก่อสร้างถนน 4 ช่องทางจราจร รองรับการขยายตัวภาคอุตสาหกรรม เชื่อมโยงการค้าการลงทุน นายกรัฐมนตรีพบปะประชาชนในโอกาสตรวจราชการ จ.ปราจีนบุรี สนับสนุนงบประมาณก่อสร้างถนน 4 ช่องทางจราจรรองรับการขยายตัวภาคอุตสาหกรรม ระบุขอให้ช่วยกันรักษาธรรมชาติให้เป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยว-ให้พัฒนาอย่างสมดุลกับทรัพยากรธรรมชาติ วันนี้ (9 มีนาคม 2560) เวลา 09.30 น. ณ โรงเรียนปราจิณราษฎรอํารุง อําเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ พบปะประชาชนที่มาให้การต้อนรับในโอกาสที่เดินทางตรวจราชการ โดยมีนายสุริยะ อมรโรจน์วรวุฒิ ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี หัวหน้าส่วนราชการ ส่วนท้องถิ่น และประชาชนให้การต้อนรับเป็นจํานวนมาก โอกาสนี้ นายสุริยะ อมรโรจน์วรวุฒิ ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวต้อนรับและกล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและคณะ ที่เดินทางมาตรวจเยี่ยมพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี พร้อมกล่าวนําเสนอข้อมูลจังหวัดปราจีนบุรีโดยสังเขปว่า โครงสร้างหลักทางเศรษฐกิจของจังหวัดอยู่ที่สาขาอุตสาหกรรม มีมูลค่า 153,264 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 75 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์รวมจังหวัด ประชาชนมีรายได้ต่อคนต่อปีเท่ากับ 345,795 บาท เป็นอันดับที่ 13 ของประเทศ แต่ระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งยังไม่สามารถรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมได้อย่างเต็มศักยภาพ เนื่องจากถนนยังเป็น 2 ช่องทาง ทําให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัด และเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง จังหวัดปราจีนบุรีจึงมีความต้องการให้รัฐบาลปรับปรุงขยายถนนเป็น 4 ช่องจราจร โดยขอให้พิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้ดําเนินการเป็นกรณีพิเศษอย่างเร่งด่วนจํานวน 2 เส้นทาง ได้แก่ ทางหลวงหมายเลข 3079 ซึ่งเป็นสายหลักสู่นิคมอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี และทางหลวงหมายเลข 319 จากจังหวัดนครนายก - จังหวัดปราจีนบุรี – จังหวัดฉะเชิงเทราไปสู่ท่าเรือแหลมฉบัง ส่วนการพัฒนาแหล่งน้ําเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี ได้มีการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ําห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดําริ โดยได้ก่อสร้างไปแล้ว ร้อยละ 95 สามารถกักเก็บน้ําฝนได้ 230 ล้าน ลบ.ม. ทําให้แก้ไขปัญหาน้ําไม่ท่วมในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ําปราจีนบุรี แก้ไขปัญหาน้ําท่วมในพื้นที่ซ้ําซากที่ผ่านมา รวมถึงใช้น้ําในภาคอุตสาหกรรม และการเกษตรในฤดูแล้งอย่างพอเพียง จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวพบปะประชาชนจังหวัดปราจีนบุรีตอนหนึ่งว่า รู้สึกดีใจที่ได้เห็นความก้าวหน้าของการบริหารจัดการด้านสาธารณสุขในจังหวัด ที่ได้มีความร่วมมือกันเพื่อดูแลประชาชนให้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะการพัฒนานําสมุนไพรมาเป็นยารักษาโรค ซึ่งเป็นจังหวัดต้นแบบในการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนมีสุขภาพแข็งแรง มีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดต้นทุนด้านการดูแลรักษาสุขภาพของประชาชน แต่ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะตัดงบประมาณด้านสาธารณสุข ตรงกันข้ามมีแต่จะเพิ่มงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ สามารถดูแลประชาชนให้ได้รับการดูแลรักษาให้ดียิ่งขึ้น และในอนาคตจะต้องเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงจําเป็นต้องดูแลให้บุคคลเหล่านี้มีสุขภาพที่ดี เป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพ ทั้งนี้ จังหวัดปราจีนบุรีเป็นจังหวัดที่มีภูมิศาสตร์ที่อุดมสมบูรณ์ทางด้านทรัพยากรธรรมชาติ มีพื้นที่อุทยานแห่งชาติถึง 3 แห่งที่เป็นผืนป่ามรดกโลก จึงขอให้ช่วยกันรักษาความเป็นธรรมชาติคงไว้ ให้เป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยว และให้พัฒนาอย่างสมดุลกับทรัพยากรทางธรรมชาติ ใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ในด้านอุตสาหกรรม จังหวัดปราจีนบุรีมีรายได้จากภาคอุตสาหกรรม 75% ของจังหวัด รัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณพัฒนาระบบการขนส่งเชื่อมโยงทางการค้าการลงทุน และรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจทั้งในภาคอุตสาหกรรมและท่องเที่ยว โดยคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติจัดสรรงบประมาณประจําปี 2558 - 2560 ก่อสร้างขยายถนน 4 ช่องจราจรตามที่จังหวัดต้องการแล้ว พร้อมกับจะเร่งผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้เกิดเป็นรูปธรรม ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินพบปะประชาชนที่มาให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะเดินทางไปยังโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เพื่อติดตามความก้าวหน้า "โครงการเมืองสมุนไพร" พร้อมตรวจราชการระบบการดูแลรักษาพยาบาลของโรงพยาบาล ----------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบปะประชาชนจังหวัดปราจีนบุรี สนับสนุนงบประมาณก่อสร้างถนน 4 ช่องทางจราจร รองรับการขยายตัวภาคอุตสาหกรรม เชื่อมโยงการค้าการลงทุน วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2560 นายกรัฐมนตรีพบปะประชาชนจังหวัดปราจีนบุรี สนับสนุนงบประมาณก่อสร้างถนน 4 ช่องทางจราจร รองรับการขยายตัวภาคอุตสาหกรรม เชื่อมโยงการค้าการลงทุน นายกรัฐมนตรีพบปะประชาชนในโอกาสตรวจราชการ จ.ปราจีนบุรี สนับสนุนงบประมาณก่อสร้างถนน 4 ช่องทางจราจรรองรับการขยายตัวภาคอุตสาหกรรม ระบุขอให้ช่วยกันรักษาธรรมชาติให้เป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยว-ให้พัฒนาอย่างสมดุลกับทรัพยากรธรรมชาติ วันนี้ (9 มีนาคม 2560) เวลา 09.30 น. ณ โรงเรียนปราจิณราษฎรอํารุง อําเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ พบปะประชาชนที่มาให้การต้อนรับในโอกาสที่เดินทางตรวจราชการ โดยมีนายสุริยะ อมรโรจน์วรวุฒิ ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี หัวหน้าส่วนราชการ ส่วนท้องถิ่น และประชาชนให้การต้อนรับเป็นจํานวนมาก โอกาสนี้ นายสุริยะ อมรโรจน์วรวุฒิ ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวต้อนรับและกล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและคณะ ที่เดินทางมาตรวจเยี่ยมพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี พร้อมกล่าวนําเสนอข้อมูลจังหวัดปราจีนบุรีโดยสังเขปว่า โครงสร้างหลักทางเศรษฐกิจของจังหวัดอยู่ที่สาขาอุตสาหกรรม มีมูลค่า 153,264 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 75 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์รวมจังหวัด ประชาชนมีรายได้ต่อคนต่อปีเท่ากับ 345,795 บาท เป็นอันดับที่ 13 ของประเทศ แต่ระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งยังไม่สามารถรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมได้อย่างเต็มศักยภาพ เนื่องจากถนนยังเป็น 2 ช่องทาง ทําให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัด และเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง จังหวัดปราจีนบุรีจึงมีความต้องการให้รัฐบาลปรับปรุงขยายถนนเป็น 4 ช่องจราจร โดยขอให้พิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้ดําเนินการเป็นกรณีพิเศษอย่างเร่งด่วนจํานวน 2 เส้นทาง ได้แก่ ทางหลวงหมายเลข 3079 ซึ่งเป็นสายหลักสู่นิคมอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี และทางหลวงหมายเลข 319 จากจังหวัดนครนายก - จังหวัดปราจีนบุรี – จังหวัดฉะเชิงเทราไปสู่ท่าเรือแหลมฉบัง ส่วนการพัฒนาแหล่งน้ําเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี ได้มีการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ําห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดําริ โดยได้ก่อสร้างไปแล้ว ร้อยละ 95 สามารถกักเก็บน้ําฝนได้ 230 ล้าน ลบ.ม. ทําให้แก้ไขปัญหาน้ําไม่ท่วมในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ําปราจีนบุรี แก้ไขปัญหาน้ําท่วมในพื้นที่ซ้ําซากที่ผ่านมา รวมถึงใช้น้ําในภาคอุตสาหกรรม และการเกษตรในฤดูแล้งอย่างพอเพียง จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวพบปะประชาชนจังหวัดปราจีนบุรีตอนหนึ่งว่า รู้สึกดีใจที่ได้เห็นความก้าวหน้าของการบริหารจัดการด้านสาธารณสุขในจังหวัด ที่ได้มีความร่วมมือกันเพื่อดูแลประชาชนให้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะการพัฒนานําสมุนไพรมาเป็นยารักษาโรค ซึ่งเป็นจังหวัดต้นแบบในการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนมีสุขภาพแข็งแรง มีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดต้นทุนด้านการดูแลรักษาสุขภาพของประชาชน แต่ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะตัดงบประมาณด้านสาธารณสุข ตรงกันข้ามมีแต่จะเพิ่มงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ สามารถดูแลประชาชนให้ได้รับการดูแลรักษาให้ดียิ่งขึ้น และในอนาคตจะต้องเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงจําเป็นต้องดูแลให้บุคคลเหล่านี้มีสุขภาพที่ดี เป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพ ทั้งนี้ จังหวัดปราจีนบุรีเป็นจังหวัดที่มีภูมิศาสตร์ที่อุดมสมบูรณ์ทางด้านทรัพยากรธรรมชาติ มีพื้นที่อุทยานแห่งชาติถึง 3 แห่งที่เป็นผืนป่ามรดกโลก จึงขอให้ช่วยกันรักษาความเป็นธรรมชาติคงไว้ ให้เป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยว และให้พัฒนาอย่างสมดุลกับทรัพยากรทางธรรมชาติ ใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ในด้านอุตสาหกรรม จังหวัดปราจีนบุรีมีรายได้จากภาคอุตสาหกรรม 75% ของจังหวัด รัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณพัฒนาระบบการขนส่งเชื่อมโยงทางการค้าการลงทุน และรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจทั้งในภาคอุตสาหกรรมและท่องเที่ยว โดยคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติจัดสรรงบประมาณประจําปี 2558 - 2560 ก่อสร้างขยายถนน 4 ช่องจราจรตามที่จังหวัดต้องการแล้ว พร้อมกับจะเร่งผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้เกิดเป็นรูปธรรม ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินพบปะประชาชนที่มาให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะเดินทางไปยังโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เพื่อติดตามความก้าวหน้า "โครงการเมืองสมุนไพร" พร้อมตรวจราชการระบบการดูแลรักษาพยาบาลของโรงพยาบาล ----------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2279
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวผลงานการออกแบบเครื่องแต่งกายผ้าไทย ในโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และออกแบบลายผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้
วันพุธที่ 21 สิงหาคม 2562 วธ.จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวผลงานการออกแบบเครื่องแต่งกายผ้าไทย ในโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และออกแบบลายผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ร่วมกับเหล่าแฟชั่นดีไซเนอร์ไทย จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวผลงานการออกแบบเครื่องแต่งกายผ้าไทย ในโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และออกแบบลายผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้ (Contemporary Southern Batik by OCAC) กระทรวงวัฒนธรรม โดยสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ร่วมกับเหล่าแฟชั่นดีไซเนอร์ไทย จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวผลงานการออกแบบเครื่องแต่งกายผ้าไทย ในโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และออกแบบลายผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้ (Contemporary Southern Batik by OCAC) ......................................... จากความสําเร็จของโครงการผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้ เมื่อปี พ.ศ. 2561 กระทรวงวัฒนธรรม โดยสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ร่วมกับเหล่าแฟชั่นดีไซเนอร์ผู้มีชื่อเสียงของไทย ได้แก่ เอก ทองประเสริฐ, ธีระ ฉันทสวัสดิ์ และ ศรันรัตน์ พรรจิรเจริญ และนักออกแบบผลิตภัณฑ์ชาวไทยอีก 3 ท่าน ได้แก่ หิรัญกฤษฏิ์ ภัทรพิบูลย์กุล, ทรงวุฒิ ทองทั่ว และปฏิพัทธ์ ชัยวิเทศ ซึ่งเล็งเห็นถึงความสําคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยในงานฝีมือและงานหัตถกรรมท้องถิ่นแถบชายแดนใต้ จึงได้เดินหน้าสานต่อจนเกิดเป็น ‘โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และออกแบบลายผ้าไทยร่วมสมัย ชายแดนใต้’ (Contemporary Southern Batik by OCAC) ขึ้นในปี พ.ศ. 2562 เพื่อต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นผ่านกระบวนการคิดสร้างสรรค์ มุ่งยกระดับผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาสู่ระดับสากล พร้อมจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวผลงานการออกแบบเครื่องแต่งกายผ้าไทยคอลเลกชั่นล่าสุด จากความร่วมมือของเหล่าแฟชั่นดีไซเนอร์รุ่นใหม่จาก แบรนด์ EK Thongprasert (เอก ทองประเสริฐ), T-ra Chantasawasdee (ธีระ ฉันทสวัสดิ์), Sarunrat Panchiracharoen (ศรันรัตน์ พรรจิรเจริญ) และยังได้รับเกียรติจากดีไซเนอร์ผู้มีชื่อเสียงจากประเทศเพื่อนบ้าน อีก 2 ท่าน ได้แก่ Eric Choong (เอริค ชุง) จากประเทศมาเลเซีย และ Edwin Ao (เอ็ดวิน อาว) จากประเทศฟิลิปปินส์ ร่วมกับนักออกแบบผลิตภัณฑ์อีก 2 ท่าน ได้แก่ Daniel Tseu (แดเนียล ซู) จากประเทศมาเลเซีย และ Nonita Respati (โนนิตา เรสปาตี) จากประเทศอินโดนีเซีย ผ่านการออกแบบที่เน้นความเรียบง่ายแต่พิถีพิถันในรายละเอียดของเทคนิค โดยถือเอาความงามและความละเมียดละไมของงานบาติกบนผืนผ้าทั้งหลายเป็นหัวใจสําคัญ ซึ่งคอลเลกชั่นนี้รังสรรค์ลวดลายบาติกบนผืนผ้าร่วมกับผู้ประกอบการบาติก 15 ชุมชน จาก 4 จังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่ ปัตตานี, ยะลา, นราธิวาส และสงขลา อิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานงานแถลงข่าวแทน และได้กล่าวว่า “จากความสําเร็จของ ‘โครงการผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้’ ทางกระทรวงวัฒนธรรม โดยสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ได้เดินหน้าต่อยอดภูมิปัญญา ด้วยการจัดแสดงผลงานการออกแบบเครื่องแต่งกายผ่านนิทรรศการเชื่อมวัฒนธรรม วิถีชีวิต และอัตลักษณ์ของคนท้องถิ่นมาอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็น‘โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และออกแบบลายผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้’ (Contemporary Southern Batik by OCAC) ขึ้นในปีนี้ ซึ่งโครงการดังกล่าวได้ส่งนักออกแบบหลายท่านลงพื้นที่ศึกษาบริบทชุมชน การทํางาน และสร้างความคุ้นเคยกับผู้ประกอบการท้องถิ่นในจังหวัดชายแดนใต้ โดยตลอดระยะเวลาของโครงการได้ผลักดันให้เกิดการพัฒนาลายผ้าใหม่ๆ จากการพัฒนาลายผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้นี้ โดยสามารถสร้างรายได้ให้ชุมชนเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันยังขยายตลาดผ้าไทยออกสู่กลุ่มลูกค้าต่างชาติ จนผ้าบาติกไทยได้ความนิยมในพื้นที่แถบอาเซียน รวมถึงญี่ปุ่น ฮ่องกง และไต้หวัน ถือเป็นการยกระดับ ผ้าบาติกสู่ตลาดสากลมากยิ่งขึ้น และสําหรับผลงานการออกแบบในครั้งนี้เกิดขึ้นจากการทํางานร่วมกัน ระหว่างผู้ประกอบการบาติก 15 ชุมชน จากกลุ่มผู้ผลิตผ้า 4 จังหวัดชายแดนใต้ และดีไซเนอร์ชื่อดังของไทย 3 ท่าน ได้แก่ เอก ทองประเสริฐ, ธีระ ฉันทสวัสดิ์ และ ศรันรัตน์ พรรจิรเจริญ สร้างสรรค์เป็นผลงานที่มีความร่วมสมัยแต่ยังคง อัตลักษณ์ผ้าไทยชุมชนชาวใต้ไว้อย่างงดงาม” หนึ่งในดีไซเนอร์ที่ลงพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนใต้ เอก ทองประเสริฐ ผู้สร้างแบรนด์ Ek Thongprasert กล่าวถึงการทํางานในครั้งนี้ว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้อาศัยการเดินทางลงพื้นที่เพื่อทําความรู้จักและศึกษา จนเกิดความเข้าใจอัตลักษณ์และคุณค่าของแต่ละพื้นที่ แต่ละกลุ่มผู้ประกอบการ ซึ่งการเข้าถึงชุมชนทําให้เห็นรายละเอียดที่สามารถนํามาใช้ในการออกแบบลวดลาย และได้รับแรงบันดาลใจ ที่ลึกซึ้งกว่า ซึ่งสามารถใส่เข้าไปในผลงาน จนเกิดเป็นผลงานลวดลายผ้าใหม่ๆ ที่ถูกนํามาใช้ในการออกแบบและตัดเย็บเครื่องแต่งกาย และออกแบบผลิตภัณฑ์ผ่านมุมมองและเทคนิคของดีไซเนอร์ทั้ง 3 ท่าน จนเกิดเป็นผลงานที่มีความร่วมสมัย โดยคงความซื่อตรงต่ออัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ไว้อย่างงดงาม และผ้าบาติก มีความโดดเด่นตรงที่เหมาะกับการสวมใส่ในประเทศไทย และยังเป็นผ้าที่มีความสนุกสนานสะท้อนถึงสีสันของธรรมชาติ ซึ่งสามารถเป็นตัวแทนให้ชาวต่างชาติรู้จักประเทศไทยมากขึ้นผ่านผืนผ้า” ด้าน อานี ชูเมือง ผู้ประกอบการร้านรายาบาติก จังหวัดปัตตานี เปิดใจว่า “ชาวบ้านมีความเชี่ยวชาญและพรสวรรค์ในการทําผ้าบาติก แต่การร่วมโครงการนี้ทําให้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ เปิดมุมมองใหม่จากสิ่งที่เขาคุ้นชิน ดีไซเนอร์ไม่ได้เข้ามาเปลี่ยน แต่นําสิ่งที่มีอยู่มาเพิ่มความน่าสนใจ โดยดีไซเนอร์คอยแนะนําเรื่องการสร้างลวดลาย เทรนด์สีในกระแสแฟชั่น และการเลือกใช้วัตถุดิบ โดยนําสิ่งที่เราถนัดมาปรับให้ตรงกับความนิยม ซึ่งการทํางานกับดีไซเนอร์ทําให้เราได้เห็นว่า บางสิ่งที่เรามีอยู่และอาจมองข้ามไป กลับเป็นสิ่งที่น่าสนใจและตรงกับความต้องการของตลาด ที่สําคัญคือผู้ประกอบการแต่ละคนสามารถนําลายผ้าบาติกที่คิดร่วมกันไปต่อยอดในสินค้าของตัวเองได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวบ้านที่ไม่ได้เรียนดีไซน์มาเริ่มคิดตามและทําตาม และกลายเป็นเรื่องสนุกมากกว่าแค่ทําธุรกิจ” ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถติดตามการจัดการแสดงผลงานการออกแบบเครื่องแต่งกายและผลิตภัณฑ์ จากโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และออกแบบลายผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้ (Contemporary Southern Batik by OCAC) โดยเหล่าแฟชั่นดีไซเนอร์ไทยทั้ง 3 ท่าน ได้ในรูปแบบแฟชั่นโชว์ ในวันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2562 เวลา 16.00 น. ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และในรูปแบบนิทรรศการแสดงผลงานการออกแบบผลิตภัณฑ์ของนักออกแบบผลิตภัณฑ์ชาวไทยทั้ง 3 ท่าน ร่วมกับนักออกแบบชาวต่างชาติ ทั้ง 4 ท่าน ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม – วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2562 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เช่นเดียวกัน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวผลงานการออกแบบเครื่องแต่งกายผ้าไทย ในโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และออกแบบลายผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้ วันพุธที่ 21 สิงหาคม 2562 วธ.จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวผลงานการออกแบบเครื่องแต่งกายผ้าไทย ในโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และออกแบบลายผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ร่วมกับเหล่าแฟชั่นดีไซเนอร์ไทย จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวผลงานการออกแบบเครื่องแต่งกายผ้าไทย ในโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และออกแบบลายผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้ (Contemporary Southern Batik by OCAC) กระทรวงวัฒนธรรม โดยสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ร่วมกับเหล่าแฟชั่นดีไซเนอร์ไทย จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวผลงานการออกแบบเครื่องแต่งกายผ้าไทย ในโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และออกแบบลายผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้ (Contemporary Southern Batik by OCAC) ......................................... จากความสําเร็จของโครงการผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้ เมื่อปี พ.ศ. 2561 กระทรวงวัฒนธรรม โดยสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ร่วมกับเหล่าแฟชั่นดีไซเนอร์ผู้มีชื่อเสียงของไทย ได้แก่ เอก ทองประเสริฐ, ธีระ ฉันทสวัสดิ์ และ ศรันรัตน์ พรรจิรเจริญ และนักออกแบบผลิตภัณฑ์ชาวไทยอีก 3 ท่าน ได้แก่ หิรัญกฤษฏิ์ ภัทรพิบูลย์กุล, ทรงวุฒิ ทองทั่ว และปฏิพัทธ์ ชัยวิเทศ ซึ่งเล็งเห็นถึงความสําคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยในงานฝีมือและงานหัตถกรรมท้องถิ่นแถบชายแดนใต้ จึงได้เดินหน้าสานต่อจนเกิดเป็น ‘โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และออกแบบลายผ้าไทยร่วมสมัย ชายแดนใต้’ (Contemporary Southern Batik by OCAC) ขึ้นในปี พ.ศ. 2562 เพื่อต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นผ่านกระบวนการคิดสร้างสรรค์ มุ่งยกระดับผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาสู่ระดับสากล พร้อมจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวผลงานการออกแบบเครื่องแต่งกายผ้าไทยคอลเลกชั่นล่าสุด จากความร่วมมือของเหล่าแฟชั่นดีไซเนอร์รุ่นใหม่จาก แบรนด์ EK Thongprasert (เอก ทองประเสริฐ), T-ra Chantasawasdee (ธีระ ฉันทสวัสดิ์), Sarunrat Panchiracharoen (ศรันรัตน์ พรรจิรเจริญ) และยังได้รับเกียรติจากดีไซเนอร์ผู้มีชื่อเสียงจากประเทศเพื่อนบ้าน อีก 2 ท่าน ได้แก่ Eric Choong (เอริค ชุง) จากประเทศมาเลเซีย และ Edwin Ao (เอ็ดวิน อาว) จากประเทศฟิลิปปินส์ ร่วมกับนักออกแบบผลิตภัณฑ์อีก 2 ท่าน ได้แก่ Daniel Tseu (แดเนียล ซู) จากประเทศมาเลเซีย และ Nonita Respati (โนนิตา เรสปาตี) จากประเทศอินโดนีเซีย ผ่านการออกแบบที่เน้นความเรียบง่ายแต่พิถีพิถันในรายละเอียดของเทคนิค โดยถือเอาความงามและความละเมียดละไมของงานบาติกบนผืนผ้าทั้งหลายเป็นหัวใจสําคัญ ซึ่งคอลเลกชั่นนี้รังสรรค์ลวดลายบาติกบนผืนผ้าร่วมกับผู้ประกอบการบาติก 15 ชุมชน จาก 4 จังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่ ปัตตานี, ยะลา, นราธิวาส และสงขลา อิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานงานแถลงข่าวแทน และได้กล่าวว่า “จากความสําเร็จของ ‘โครงการผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้’ ทางกระทรวงวัฒนธรรม โดยสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ได้เดินหน้าต่อยอดภูมิปัญญา ด้วยการจัดแสดงผลงานการออกแบบเครื่องแต่งกายผ่านนิทรรศการเชื่อมวัฒนธรรม วิถีชีวิต และอัตลักษณ์ของคนท้องถิ่นมาอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็น‘โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และออกแบบลายผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้’ (Contemporary Southern Batik by OCAC) ขึ้นในปีนี้ ซึ่งโครงการดังกล่าวได้ส่งนักออกแบบหลายท่านลงพื้นที่ศึกษาบริบทชุมชน การทํางาน และสร้างความคุ้นเคยกับผู้ประกอบการท้องถิ่นในจังหวัดชายแดนใต้ โดยตลอดระยะเวลาของโครงการได้ผลักดันให้เกิดการพัฒนาลายผ้าใหม่ๆ จากการพัฒนาลายผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้นี้ โดยสามารถสร้างรายได้ให้ชุมชนเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันยังขยายตลาดผ้าไทยออกสู่กลุ่มลูกค้าต่างชาติ จนผ้าบาติกไทยได้ความนิยมในพื้นที่แถบอาเซียน รวมถึงญี่ปุ่น ฮ่องกง และไต้หวัน ถือเป็นการยกระดับ ผ้าบาติกสู่ตลาดสากลมากยิ่งขึ้น และสําหรับผลงานการออกแบบในครั้งนี้เกิดขึ้นจากการทํางานร่วมกัน ระหว่างผู้ประกอบการบาติก 15 ชุมชน จากกลุ่มผู้ผลิตผ้า 4 จังหวัดชายแดนใต้ และดีไซเนอร์ชื่อดังของไทย 3 ท่าน ได้แก่ เอก ทองประเสริฐ, ธีระ ฉันทสวัสดิ์ และ ศรันรัตน์ พรรจิรเจริญ สร้างสรรค์เป็นผลงานที่มีความร่วมสมัยแต่ยังคง อัตลักษณ์ผ้าไทยชุมชนชาวใต้ไว้อย่างงดงาม” หนึ่งในดีไซเนอร์ที่ลงพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนใต้ เอก ทองประเสริฐ ผู้สร้างแบรนด์ Ek Thongprasert กล่าวถึงการทํางานในครั้งนี้ว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้อาศัยการเดินทางลงพื้นที่เพื่อทําความรู้จักและศึกษา จนเกิดความเข้าใจอัตลักษณ์และคุณค่าของแต่ละพื้นที่ แต่ละกลุ่มผู้ประกอบการ ซึ่งการเข้าถึงชุมชนทําให้เห็นรายละเอียดที่สามารถนํามาใช้ในการออกแบบลวดลาย และได้รับแรงบันดาลใจ ที่ลึกซึ้งกว่า ซึ่งสามารถใส่เข้าไปในผลงาน จนเกิดเป็นผลงานลวดลายผ้าใหม่ๆ ที่ถูกนํามาใช้ในการออกแบบและตัดเย็บเครื่องแต่งกาย และออกแบบผลิตภัณฑ์ผ่านมุมมองและเทคนิคของดีไซเนอร์ทั้ง 3 ท่าน จนเกิดเป็นผลงานที่มีความร่วมสมัย โดยคงความซื่อตรงต่ออัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ไว้อย่างงดงาม และผ้าบาติก มีความโดดเด่นตรงที่เหมาะกับการสวมใส่ในประเทศไทย และยังเป็นผ้าที่มีความสนุกสนานสะท้อนถึงสีสันของธรรมชาติ ซึ่งสามารถเป็นตัวแทนให้ชาวต่างชาติรู้จักประเทศไทยมากขึ้นผ่านผืนผ้า” ด้าน อานี ชูเมือง ผู้ประกอบการร้านรายาบาติก จังหวัดปัตตานี เปิดใจว่า “ชาวบ้านมีความเชี่ยวชาญและพรสวรรค์ในการทําผ้าบาติก แต่การร่วมโครงการนี้ทําให้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ เปิดมุมมองใหม่จากสิ่งที่เขาคุ้นชิน ดีไซเนอร์ไม่ได้เข้ามาเปลี่ยน แต่นําสิ่งที่มีอยู่มาเพิ่มความน่าสนใจ โดยดีไซเนอร์คอยแนะนําเรื่องการสร้างลวดลาย เทรนด์สีในกระแสแฟชั่น และการเลือกใช้วัตถุดิบ โดยนําสิ่งที่เราถนัดมาปรับให้ตรงกับความนิยม ซึ่งการทํางานกับดีไซเนอร์ทําให้เราได้เห็นว่า บางสิ่งที่เรามีอยู่และอาจมองข้ามไป กลับเป็นสิ่งที่น่าสนใจและตรงกับความต้องการของตลาด ที่สําคัญคือผู้ประกอบการแต่ละคนสามารถนําลายผ้าบาติกที่คิดร่วมกันไปต่อยอดในสินค้าของตัวเองได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวบ้านที่ไม่ได้เรียนดีไซน์มาเริ่มคิดตามและทําตาม และกลายเป็นเรื่องสนุกมากกว่าแค่ทําธุรกิจ” ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถติดตามการจัดการแสดงผลงานการออกแบบเครื่องแต่งกายและผลิตภัณฑ์ จากโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และออกแบบลายผ้าไทยร่วมสมัยชายแดนใต้ (Contemporary Southern Batik by OCAC) โดยเหล่าแฟชั่นดีไซเนอร์ไทยทั้ง 3 ท่าน ได้ในรูปแบบแฟชั่นโชว์ ในวันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2562 เวลา 16.00 น. ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และในรูปแบบนิทรรศการแสดงผลงานการออกแบบผลิตภัณฑ์ของนักออกแบบผลิตภัณฑ์ชาวไทยทั้ง 3 ท่าน ร่วมกับนักออกแบบชาวต่างชาติ ทั้ง 4 ท่าน ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม – วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2562 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เช่นเดียวกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22415
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีสุริยะฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมหมู่บ้าน CIV ชุมชนบ้านหัวเขาจีน จ.ราชบุรี พบปะผู้นำชุมชนพร้อมยกระดับเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ชุมชน
วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2562 รัฐมนตรีสุริยะฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมหมู่บ้าน CIV ชุมชนบ้านหัวเขาจีน จ.ราชบุรี พบปะผู้นําชุมชนพร้อมยกระดับเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ชุมชน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เยี่ยมชมหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry Village : CIV) ชุมชนบ้านหัวเขาจีน ตําบลห้วยยางโทน อําเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี จังหวัดราชบุรี : วันนี้ (11 พฤศจิกายน 2562) เวลา 10.00 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่ากระทรวงอุตสาหกรรม นายภิรมย์ พลวิเศษ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล ณัฎฐสมบูรณ์ นายเอกภัทร วังสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เยี่ยมชมหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry Village : CIV) ชุมชนบ้านหัวเขาจีน ตําบลห้วยยางโทน อําเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี พร้อมมอบป้ายโครงการ CIV ให้กับผู้นําชุมชนและมอบป้ายสินเชื่อ Local Economy Loan จํานวน 5 ราย วงเงิน 27 ล้านบาทโดยมีนายอนันต์ ฟักสังข์ อุตสาหกรรมจังหวัดราชบุรี ให้การต้อนรับ ชุมชนบ้านหัวเขาจีน เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชนชาติพันธุ์เรียกว่า “ไทยทรงดํา” ชาวไทยทรงดําได้อพยพย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากเป็นหมู่บ้านยังคงรักษาและอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมการประกอบอาชีพและการดํารงชีวิตแบบดั้งเดิมของชาวบ้านไทยทรงดําไว้อย่างเหนียวแน่น โดยมีพื้นฐานการทอผ้าที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษไว้ใช้ในครัวเรือน โดยมีผ้าซิ่นลายแตงโมที่เป็นเอกลักษณ์สําคัญของชนเผ่าสืบทอดภูมิปัญญาสู่ชนรุ่นหลัง เกิดการพัฒนาการทอผ้าที่เหมาะกับการใช้ประโยชน์และความต้องการของผู้ที่สนใจ การทอผ้าขาวม้า คือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาการทอผ้าในชุมชนเพื่อใช้ประโยชน์ในกิจกรรมต่างๆ เช่น ทําเปลเด็ก คาดเอว โพกหัว เสาฉัตรในพิธีต่างๆ ดังนั้น ชุมชนจึงเกิดความคิดเพื่อรวมกลุ่มในการทอผ้าเพื่อเป็นอาชีพเสริมรายได้ให้กับครอบครัว โดยชุมชนมีการแปรรูปผลิตภัณฑ์เป็นแบบดั่งเดิมไม่โดดเด่น กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้เข้าไปส่งเสริมและพัฒนาให้ความรู้เรื่องการบริหารจัดการชุมชน การจัดทําโครงสร้างชุมชน การจัดทําเส้นทางท่องเที่ยว การนําเอกลักษณ์มาเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และบริการ การเข้าถึงช่องทางการตลาดแบบ Offlineและ Online การให้ความรู้ในเรื่องของผลิตภัณฑ์ เทคนิค วิธีการที่สามารถนําไปประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์ที่ชุมชนมีอยู่ให้มีความทันสมัย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของชุมชนจากผลิตภัณฑ์เดิมที่เคยผลิตปรับรูปแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและสามารถผลิตเองได้ในชุมชน ได้แก่ ชุดเครื่องประดับจากดอกหม่อน ของที่ระลึกจากดอกหม่อนพัฒนาเป็นเครื่องประดับ ชุดสร้อยคอ และต่างหู ชุดเครื่องแต่งกาย พัฒนาผลิตภัณฑ์จากผ้าทอเพื่อสวมใส่ในชีวิตประจ้าวัน เน้นกลุ่มวัยรุ่น วัยทํางาน กระเป๋าผ้า พัฒนารูปทรงของกระเป๋าผ้าใหม่ ให้เป็นรูปแบบแพทเทิร์นง่ายๆ แต่เก๋ ขายวัยรุ่นและนักท่องเที่ยว #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม #รัฐมนตรีสุริยะ #ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม #ปลัดกอบชัย #ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งที่1/2562 #หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ #หมู่บ้านCIV (PRMOI : สปอ. ภาพ/ข่าว)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีสุริยะฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมหมู่บ้าน CIV ชุมชนบ้านหัวเขาจีน จ.ราชบุรี พบปะผู้นำชุมชนพร้อมยกระดับเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ชุมชน วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2562 รัฐมนตรีสุริยะฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมหมู่บ้าน CIV ชุมชนบ้านหัวเขาจีน จ.ราชบุรี พบปะผู้นําชุมชนพร้อมยกระดับเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ชุมชน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เยี่ยมชมหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry Village : CIV) ชุมชนบ้านหัวเขาจีน ตําบลห้วยยางโทน อําเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี จังหวัดราชบุรี : วันนี้ (11 พฤศจิกายน 2562) เวลา 10.00 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่ากระทรวงอุตสาหกรรม นายภิรมย์ พลวิเศษ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล ณัฎฐสมบูรณ์ นายเอกภัทร วังสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เยี่ยมชมหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry Village : CIV) ชุมชนบ้านหัวเขาจีน ตําบลห้วยยางโทน อําเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี พร้อมมอบป้ายโครงการ CIV ให้กับผู้นําชุมชนและมอบป้ายสินเชื่อ Local Economy Loan จํานวน 5 ราย วงเงิน 27 ล้านบาทโดยมีนายอนันต์ ฟักสังข์ อุตสาหกรรมจังหวัดราชบุรี ให้การต้อนรับ ชุมชนบ้านหัวเขาจีน เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชนชาติพันธุ์เรียกว่า “ไทยทรงดํา” ชาวไทยทรงดําได้อพยพย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากเป็นหมู่บ้านยังคงรักษาและอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมการประกอบอาชีพและการดํารงชีวิตแบบดั้งเดิมของชาวบ้านไทยทรงดําไว้อย่างเหนียวแน่น โดยมีพื้นฐานการทอผ้าที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษไว้ใช้ในครัวเรือน โดยมีผ้าซิ่นลายแตงโมที่เป็นเอกลักษณ์สําคัญของชนเผ่าสืบทอดภูมิปัญญาสู่ชนรุ่นหลัง เกิดการพัฒนาการทอผ้าที่เหมาะกับการใช้ประโยชน์และความต้องการของผู้ที่สนใจ การทอผ้าขาวม้า คือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาการทอผ้าในชุมชนเพื่อใช้ประโยชน์ในกิจกรรมต่างๆ เช่น ทําเปลเด็ก คาดเอว โพกหัว เสาฉัตรในพิธีต่างๆ ดังนั้น ชุมชนจึงเกิดความคิดเพื่อรวมกลุ่มในการทอผ้าเพื่อเป็นอาชีพเสริมรายได้ให้กับครอบครัว โดยชุมชนมีการแปรรูปผลิตภัณฑ์เป็นแบบดั่งเดิมไม่โดดเด่น กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้เข้าไปส่งเสริมและพัฒนาให้ความรู้เรื่องการบริหารจัดการชุมชน การจัดทําโครงสร้างชุมชน การจัดทําเส้นทางท่องเที่ยว การนําเอกลักษณ์มาเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และบริการ การเข้าถึงช่องทางการตลาดแบบ Offlineและ Online การให้ความรู้ในเรื่องของผลิตภัณฑ์ เทคนิค วิธีการที่สามารถนําไปประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์ที่ชุมชนมีอยู่ให้มีความทันสมัย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของชุมชนจากผลิตภัณฑ์เดิมที่เคยผลิตปรับรูปแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและสามารถผลิตเองได้ในชุมชน ได้แก่ ชุดเครื่องประดับจากดอกหม่อน ของที่ระลึกจากดอกหม่อนพัฒนาเป็นเครื่องประดับ ชุดสร้อยคอ และต่างหู ชุดเครื่องแต่งกาย พัฒนาผลิตภัณฑ์จากผ้าทอเพื่อสวมใส่ในชีวิตประจ้าวัน เน้นกลุ่มวัยรุ่น วัยทํางาน กระเป๋าผ้า พัฒนารูปทรงของกระเป๋าผ้าใหม่ ให้เป็นรูปแบบแพทเทิร์นง่ายๆ แต่เก๋ ขายวัยรุ่นและนักท่องเที่ยว #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม #รัฐมนตรีสุริยะ #ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม #ปลัดกอบชัย #ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งที่1/2562 #หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ #หมู่บ้านCIV (PRMOI : สปอ. ภาพ/ข่าว)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24482
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ครั้งที่1/2561
วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561 รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ครั้งที่1/2561 รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พร้อมสร้างความมั่นใจในระบบการศึกษาสามารถลดความเหลื่อมล้ําในสังคม วันนี้ (19 มิถุนายน 2561) เวลา 14.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ครั้งที่1/2561 สรุปสาระการประชุมดังนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในหลักการและรับข้อเสนอแนะ ร่างยุทธศาสตร์และแผนการดําเนินงาน 5 ปี ของ กสศ ปีงบประมาณ 2561 – 2566 เพื่อสร้างความมั่นใจในระบบการศึกษาสามารถลดความเหลื่อมล้ําในสังคม ดังนี้ 1. การให้บริการกลุ่มเป้าหมาย สร้างความมั่นใจในศักยภาพและประสิทธิภาพหน่วยบริการทางการศึกษา เพื่อกระตุ้นการให้ทุนการศึกษาที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ 2. การทํางานร่วมกันของหุ้นส่วนภาคี และ กสศ. พร้อมเสริมสร้างระบบธรรมาภิบาล และยกระดับความสามารถในการพัฒนาครูทั้งในและนอกระบบโรงเรียน 3. การจัดสรรทรัพยากรของภาครัฐ เพื่อให้ทุกภาคส่วนร่วมสร้างสังคมแห่งโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษา ทั้งนี้ ประธานมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ปรับแผนให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและนําเสนอที่ประชุมในครั้งต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในหลักการ แนวทางการขอรับทุนประเดิมและเงินอุดหนุน ปีงบประมาณ 2561 – 2562 สําหรับงบประมาณตามแผนการใช้เงินปีงบประมาณ 2562 ให้ กสศ ยื่นคําขอแปรญัตติงบประมาณรายจ่ายในชั้นคณะกรรมาธิการฯ ทั้งนี้ เป็นไปตามเกณฑ์สนับสนุนที่ได้กําหนดไว้ โดยพิจารณาเฉลี่ยตามความเหมาะสม พร้อมกันนี้ประธานย้ําให้ฝ่ายเลขานุการฯ ได้บูรณาการแผนให้เชื่อมโยงกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อให้งบประมาณไม่เกิดความซ้ําซ้อนเมื่อปรับแผนแล้วเสร็จ จึงนําเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ........................................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ครั้งที่1/2561 วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561 รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ครั้งที่1/2561 รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พร้อมสร้างความมั่นใจในระบบการศึกษาสามารถลดความเหลื่อมล้ําในสังคม วันนี้ (19 มิถุนายน 2561) เวลา 14.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ครั้งที่1/2561 สรุปสาระการประชุมดังนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในหลักการและรับข้อเสนอแนะ ร่างยุทธศาสตร์และแผนการดําเนินงาน 5 ปี ของ กสศ ปีงบประมาณ 2561 – 2566 เพื่อสร้างความมั่นใจในระบบการศึกษาสามารถลดความเหลื่อมล้ําในสังคม ดังนี้ 1. การให้บริการกลุ่มเป้าหมาย สร้างความมั่นใจในศักยภาพและประสิทธิภาพหน่วยบริการทางการศึกษา เพื่อกระตุ้นการให้ทุนการศึกษาที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ 2. การทํางานร่วมกันของหุ้นส่วนภาคี และ กสศ. พร้อมเสริมสร้างระบบธรรมาภิบาล และยกระดับความสามารถในการพัฒนาครูทั้งในและนอกระบบโรงเรียน 3. การจัดสรรทรัพยากรของภาครัฐ เพื่อให้ทุกภาคส่วนร่วมสร้างสังคมแห่งโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษา ทั้งนี้ ประธานมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ปรับแผนให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและนําเสนอที่ประชุมในครั้งต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในหลักการ แนวทางการขอรับทุนประเดิมและเงินอุดหนุน ปีงบประมาณ 2561 – 2562 สําหรับงบประมาณตามแผนการใช้เงินปีงบประมาณ 2562 ให้ กสศ ยื่นคําขอแปรญัตติงบประมาณรายจ่ายในชั้นคณะกรรมาธิการฯ ทั้งนี้ เป็นไปตามเกณฑ์สนับสนุนที่ได้กําหนดไว้ โดยพิจารณาเฉลี่ยตามความเหมาะสม พร้อมกันนี้ประธานย้ําให้ฝ่ายเลขานุการฯ ได้บูรณาการแผนให้เชื่อมโยงกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อให้งบประมาณไม่เกิดความซ้ําซ้อนเมื่อปรับแผนแล้วเสร็จ จึงนําเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ........................................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13184
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“STUDYPLAN” ตัวช่วยวางแผนอ่านหนังสือให้สอบติด!
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563 “STUDYPLAN” ตัวช่วยวางแผนอ่านหนังสือให้สอบติด! “STUDYPLAN” ตัวช่วยวางแผนอ่านหนังสือให้สอบติด! ท่ามกลางการแพร่ระบาดของ COVID-19 แบบนี้ เชื่อว่าน้องๆ มัธยมปลายส่วนใหญ่คงเริ่มหาตําราต่าง ๆ มาอ่านเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยกันบ้างแล้ว แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าควรจะวางแผนการอ่านอย่างไร หรือเริ่มต้นฝึกทําข้อสอบที่บทไหนดี วันนี้ NIA มีตัวช่วยดี ๆ อย่าง “StudyPlan” มาช่วยให้การวางแผนอ่านหนังสือเตรียมสอบของน้องๆ นั้นง่ายขึ้นเป็นกอง! “StudyPlan” คือแอปพลิเคชันที่ช่วยวางแผนการทบทวนบทเรียนและฝึกทําโจทย์ข้อสอบ โดยแอปฯ นี้จะช่วยออกแบบตารางในการฝึกทําโจทย์ข้อสอบต่างๆ ในแต่ละวัน ซึ่งทุกครั้งที่ทําข้อสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว น้อง ๆ สามารถกลับมาบันทึกข้อผิดพลาดในการทําข้อสอบลงในแอปฯ แล้วระบบ AI จะนําไปวิเคราะห์และปรับเปลี่ยนตารางการอ่านหนังสือ ให้เหมาะกับระดับความเข้าใจในบทเรียนและสูตรต่าง ๆ ของน้องแต่ละคน เพื่อช่วยพัฒนาทักษะในการคิดหาคําตอบที่ซับซ้อนมากขึ้น และปิด STEP 1 | สแกน QR CODE จากหนังสือ เพื่อเข้าสู่แนวข้อสอบ ทําการสแกน QR Code จากหนังสือของ StudyPlan เพื่อเข้าเพิ่มแนวข้อสอบลงไปในแอปพลิเคชัน ซึ่งข้อแตกต่างที่ชัดเจนของแนวข้อสอบจาก StudyPlan กับแนวข้อสอบทั่วไป คือการเป็น “ข้อสอบ Mock-Up” ที่ทางผู้พัฒนาได้ปรับแต่งโจทย์ในแต่ละข้อใหม่ แต่ยังคงคอนเซ็ปต์หลักในการหาคําตอบไว้ให้เหมือนกับข้อสอบจริง รวมถึงยังแยกชุดข้อสอบไว้เป็นหัวข้ออย่างชัดเจน เช่น ชุดข้อสอบแคลคูลัส ชุดข้อสอบตรีโกณมิติ ฯลฯ หากใครที่ยังไม่มีหนังสือของ StudyPlanก็สามารถกดสั่งหนังสือได้ทันทีผ่านแอปฯ ในราคาเล่มละ 200 - 300 บาท ซึ่งปัจจุบัน ทาง StudyPlan ได้จัดทําหนังสือออกมาทั้งหมด 3 เล่ม ได้แก่ - “Mathematics” รวบรวมแนวข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ ม.ปลาย และข้อสอบความถนัดด้านคณิตศาสตร์ (PAT1) - “Engineering Sense” สรุปเนื้อหาและแนวข้อสอบความถนัดด้านวิศวกรรมศาสตร์ (PAT3) - “SAT Mathematics” รวบรวมโจทย์คณิตศาสตร์จากข้อสอบ SAT Math โดยเฉพาะ สําหรับการยื่นคะแนนในหลักสูตรนานาชาติของมหาวิทยาลัยต่างๆ3 STEP 2 | กําหนดระยะเวลาในการอ่านหนังสือ พร้อมลุยทําข้อสอบ เมื่อทําการสแกนหนังสือเรียบร้อยแล้ว แอปพลิเคชันจะให้กําหนดระยะเวลาที่วางแผนไว้ว่าจะอ่านหนังสือในแต่ละวัน โดยสามารถเลือกได้สูงสุดถึง 12 ชั่วโมง และจะช่วยออกแบบแผนการฝึกทําข้อสอบเบื้องต้น ที่สอดคล้องกับไทม์ไลน์ในการสอบแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น GAT/PAT 9 วิชาสามัญ หรือ SAT โดยแอปพลิเคชันจะแสดงข้อมูลของแผนการอ่านแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็น หัวข้อของข้อสอบชุดนั้นๆ โจทย์คําถามและตัวเลือกของโจทย์แต่ละข้อ รวมถึงหมายเลขหน้าในหนังสือ โดยไม่ต้องเสียเวลาพลิกหนังสือตามหาเอาเองให้ปวดหัว STEP 3 | FEEDBACK การทําโจทย์แต่ละข้อ เพื่อให้ AI ช่วยวิเคราะห์ หลังจากฝึกทําข้อสอบตามแผนที่แอปพลิเคชันวางไว้ให้แล้ว อย่าลืมกลับมาฟีดแบ็กระดับความยากง่ายในการทําโจทย์แต่ละข้อ เพราะระบบ AI จะนําข้อมูลในส่วนนี้ ไปวิเคราะห์ร่วมกับประวัติข้อสอบในปีที่ผ่านๆ มา เช่น ความถี่ของการออกข้อสอบในเรื่องดังกล่าว แนวคิดและสูตรต่างๆ เกี่ยวข้องกับข้อสอบชุดอื่นมากน้อยแค่ไหน เป็นต้น เพื่อปรับแผนการอ่านหนังสือในวันต่อ ๆ ไป ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด และเหมาะสมกับจุดอ่อน - จุดแข็งของแต่ละคน นอกจากนี้ ตัวแอปพลิเคชันยังรวบรวม Tip & Tricks ที่เป็นประโยชน์กับน้องๆ ทุกคนที่เตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย เช่น ข้อสอบบทไหนที่ออกบ่อย จุดที่มักทําผิดในแต่ละวิชา เทคนิคการอ่านหนังสือให้ถูกวิธี รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับคณะและสาขาวิชาในมหาวิทยาลัย ข้อมูลข่าวโดย : สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“STUDYPLAN” ตัวช่วยวางแผนอ่านหนังสือให้สอบติด! วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563 “STUDYPLAN” ตัวช่วยวางแผนอ่านหนังสือให้สอบติด! “STUDYPLAN” ตัวช่วยวางแผนอ่านหนังสือให้สอบติด! ท่ามกลางการแพร่ระบาดของ COVID-19 แบบนี้ เชื่อว่าน้องๆ มัธยมปลายส่วนใหญ่คงเริ่มหาตําราต่าง ๆ มาอ่านเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยกันบ้างแล้ว แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าควรจะวางแผนการอ่านอย่างไร หรือเริ่มต้นฝึกทําข้อสอบที่บทไหนดี วันนี้ NIA มีตัวช่วยดี ๆ อย่าง “StudyPlan” มาช่วยให้การวางแผนอ่านหนังสือเตรียมสอบของน้องๆ นั้นง่ายขึ้นเป็นกอง! “StudyPlan” คือแอปพลิเคชันที่ช่วยวางแผนการทบทวนบทเรียนและฝึกทําโจทย์ข้อสอบ โดยแอปฯ นี้จะช่วยออกแบบตารางในการฝึกทําโจทย์ข้อสอบต่างๆ ในแต่ละวัน ซึ่งทุกครั้งที่ทําข้อสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว น้อง ๆ สามารถกลับมาบันทึกข้อผิดพลาดในการทําข้อสอบลงในแอปฯ แล้วระบบ AI จะนําไปวิเคราะห์และปรับเปลี่ยนตารางการอ่านหนังสือ ให้เหมาะกับระดับความเข้าใจในบทเรียนและสูตรต่าง ๆ ของน้องแต่ละคน เพื่อช่วยพัฒนาทักษะในการคิดหาคําตอบที่ซับซ้อนมากขึ้น และปิด STEP 1 | สแกน QR CODE จากหนังสือ เพื่อเข้าสู่แนวข้อสอบ ทําการสแกน QR Code จากหนังสือของ StudyPlan เพื่อเข้าเพิ่มแนวข้อสอบลงไปในแอปพลิเคชัน ซึ่งข้อแตกต่างที่ชัดเจนของแนวข้อสอบจาก StudyPlan กับแนวข้อสอบทั่วไป คือการเป็น “ข้อสอบ Mock-Up” ที่ทางผู้พัฒนาได้ปรับแต่งโจทย์ในแต่ละข้อใหม่ แต่ยังคงคอนเซ็ปต์หลักในการหาคําตอบไว้ให้เหมือนกับข้อสอบจริง รวมถึงยังแยกชุดข้อสอบไว้เป็นหัวข้ออย่างชัดเจน เช่น ชุดข้อสอบแคลคูลัส ชุดข้อสอบตรีโกณมิติ ฯลฯ หากใครที่ยังไม่มีหนังสือของ StudyPlanก็สามารถกดสั่งหนังสือได้ทันทีผ่านแอปฯ ในราคาเล่มละ 200 - 300 บาท ซึ่งปัจจุบัน ทาง StudyPlan ได้จัดทําหนังสือออกมาทั้งหมด 3 เล่ม ได้แก่ - “Mathematics” รวบรวมแนวข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ ม.ปลาย และข้อสอบความถนัดด้านคณิตศาสตร์ (PAT1) - “Engineering Sense” สรุปเนื้อหาและแนวข้อสอบความถนัดด้านวิศวกรรมศาสตร์ (PAT3) - “SAT Mathematics” รวบรวมโจทย์คณิตศาสตร์จากข้อสอบ SAT Math โดยเฉพาะ สําหรับการยื่นคะแนนในหลักสูตรนานาชาติของมหาวิทยาลัยต่างๆ3 STEP 2 | กําหนดระยะเวลาในการอ่านหนังสือ พร้อมลุยทําข้อสอบ เมื่อทําการสแกนหนังสือเรียบร้อยแล้ว แอปพลิเคชันจะให้กําหนดระยะเวลาที่วางแผนไว้ว่าจะอ่านหนังสือในแต่ละวัน โดยสามารถเลือกได้สูงสุดถึง 12 ชั่วโมง และจะช่วยออกแบบแผนการฝึกทําข้อสอบเบื้องต้น ที่สอดคล้องกับไทม์ไลน์ในการสอบแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น GAT/PAT 9 วิชาสามัญ หรือ SAT โดยแอปพลิเคชันจะแสดงข้อมูลของแผนการอ่านแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็น หัวข้อของข้อสอบชุดนั้นๆ โจทย์คําถามและตัวเลือกของโจทย์แต่ละข้อ รวมถึงหมายเลขหน้าในหนังสือ โดยไม่ต้องเสียเวลาพลิกหนังสือตามหาเอาเองให้ปวดหัว STEP 3 | FEEDBACK การทําโจทย์แต่ละข้อ เพื่อให้ AI ช่วยวิเคราะห์ หลังจากฝึกทําข้อสอบตามแผนที่แอปพลิเคชันวางไว้ให้แล้ว อย่าลืมกลับมาฟีดแบ็กระดับความยากง่ายในการทําโจทย์แต่ละข้อ เพราะระบบ AI จะนําข้อมูลในส่วนนี้ ไปวิเคราะห์ร่วมกับประวัติข้อสอบในปีที่ผ่านๆ มา เช่น ความถี่ของการออกข้อสอบในเรื่องดังกล่าว แนวคิดและสูตรต่างๆ เกี่ยวข้องกับข้อสอบชุดอื่นมากน้อยแค่ไหน เป็นต้น เพื่อปรับแผนการอ่านหนังสือในวันต่อ ๆ ไป ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด และเหมาะสมกับจุดอ่อน - จุดแข็งของแต่ละคน นอกจากนี้ ตัวแอปพลิเคชันยังรวบรวม Tip & Tricks ที่เป็นประโยชน์กับน้องๆ ทุกคนที่เตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย เช่น ข้อสอบบทไหนที่ออกบ่อย จุดที่มักทําผิดในแต่ละวิชา เทคนิคการอ่านหนังสือให้ถูกวิธี รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับคณะและสาขาวิชาในมหาวิทยาลัย ข้อมูลข่าวโดย : สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30865
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนกรกฎาคม 2560
วันพุธที่ 30 สิงหาคม 2560 รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนกรกฎาคม 2560 เศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคม 2560 ได้รับแรงขับเคลื่อนสําคัญจากการส่งออกที่ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 10.4 ต่อปี ขณะที่การใช้จ่ายภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น ทั้งจากการบริโภคและการลงทุนโดยเฉพาะจากการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร “เศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคม 2560 ได้รับแรงขับเคลื่อนสําคัญจากการส่งออกที่ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 10.4 ต่อปี ขณะที่การใช้จ่ายภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น ทั้งจากการบริโภคและการลงทุนโดยเฉพาะจากการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยด้านการผลิต พบว่าดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและภาคการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ยังคงเติบโตได้ดี” นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนกรกฎาคม 2560 ว่า “เศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคม 2560 ได้รับแรงขับเคลื่อนสําคัญจากการส่งออกที่ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 10.4 ต่อปี ขณะที่การใช้จ่ายภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น ทั้งจากการบริโภคและการลงทุนโดยเฉพาะจากการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยด้านการผลิต พบว่าดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและภาคการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ยังคงเติบโตได้ดี” โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคภาคเอกชนในเดือนกรกฎาคม 2560 ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจาก ปริมาณการจําหน่ายรถยนต์นั่ง ที่ขยายตัวเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกันที่ร้อยละ 10.0 ต่อปี เช่นเดียวกับ ปริมาณนําเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ที่ร้อยละ 1.6 ต่อปี สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 62.2 เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนในเดือนกรกฎาคม 2560 มีสัญญาณดีขึ้นจากการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณนําเข้าสินค้าทุน ที่ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 7.8 ต่อปี และปริมาณจําหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ กลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 5.8 ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวร้อยละ -0.5 ต่อปี จากยอดจําหน่ายรถกระบะขนาด 1 ตัน ในเดือนกรกฎาคม 2560 ที่กลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 5.4 ต่อปี ในขณะที่ การลงทุนในหมวดก่อสร้างมีสัญญาณทรงตัว สะท้อนจากภาษีการทําธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ในเดือนกรกฎาคม 2560 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 25.5 ต่อปี ในขณะที่ปริมาณจําหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ หดตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ -0.5 ต่อปี ด้านมูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าในเดือนกรกฎาคม 2560 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 10.5 ต่อปี โดยหมวดสินค้าสําคัญที่สนับสนุนการส่งออก ได้แก่ เกษตรกรรม ยานพาหนะอุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นสําคัญ สําหรับประเทศที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ จีน CLMV และสหรัฐอเมริกา เป็นสําคัญ สําหรับมูลค่าการนําเข้าในเดือนกรกฎาคม 2560 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 18.5 ต่อปี โดยกลุ่มสินค้าที่สนับสนุนการขยายตัวของการนําเข้า ได้แก่ วัตถุดิบและกึ่งสําเร็จรูป สินค้าทุน เชื้อเพลิง และสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นสําคัญ ทั้งนี้ มูลค่าการนําเข้าที่ฟื้นตัวและการส่งออกที่ขยายตัวได้ดี ส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนกรกฎาคม 2560 ขาดดุลจํานวน -0.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านการผลิตได้รับปัจจัยสนับสนุนจาก ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและภาคการท่องเที่ยวต่างประเทศที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรในเดือนกรกฎาคม 2560 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 15.4 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวได้ดีของผลผลิตในหมวดพืชผลสําคัญ หมวดปศุสัตว์ หมวดประมง สําหรับจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยในเดือนกรกฎาคม 2560 มีจํานวน 3.0 ล้านคน ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 4.8 ต่อปี สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวต่างประเทศที่ 1.56 แสนล้านบาท ขยายตัว 6.2 ต่อปี โดยนักท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดีมาจากประเทศจีน ลาว กัมพูชา เกาหลี อินเดีย เวียดนาม และรัสเซีย เป็นหลัก ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี และเสถียรภาพภายนอกอยู่ในระดับที่มั่นคง สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนกรกฎาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 0.17 และ 0.5 ต่อปี ตามลําดับ สําหรับอัตราการว่างงานในเดือนกรกฎาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.2 ของกําลังแรงงานรวม ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2560 อยู่ที่ระดับร้อยละ 41.5 ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ไม่เกินร้อยละ 60 สําหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคงและสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสํารองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2560 อยู่ที่ระดับ 190.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 3.5 เท่าเมื่อเทียบกับหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนกรกฎาคม 2560 วันพุธที่ 30 สิงหาคม 2560 รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนกรกฎาคม 2560 เศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคม 2560 ได้รับแรงขับเคลื่อนสําคัญจากการส่งออกที่ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 10.4 ต่อปี ขณะที่การใช้จ่ายภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น ทั้งจากการบริโภคและการลงทุนโดยเฉพาะจากการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร “เศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคม 2560 ได้รับแรงขับเคลื่อนสําคัญจากการส่งออกที่ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 10.4 ต่อปี ขณะที่การใช้จ่ายภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น ทั้งจากการบริโภคและการลงทุนโดยเฉพาะจากการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยด้านการผลิต พบว่าดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและภาคการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ยังคงเติบโตได้ดี” นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนกรกฎาคม 2560 ว่า “เศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคม 2560 ได้รับแรงขับเคลื่อนสําคัญจากการส่งออกที่ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 10.4 ต่อปี ขณะที่การใช้จ่ายภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น ทั้งจากการบริโภคและการลงทุนโดยเฉพาะจากการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยด้านการผลิต พบว่าดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและภาคการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ยังคงเติบโตได้ดี” โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคภาคเอกชนในเดือนกรกฎาคม 2560 ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจาก ปริมาณการจําหน่ายรถยนต์นั่ง ที่ขยายตัวเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกันที่ร้อยละ 10.0 ต่อปี เช่นเดียวกับ ปริมาณนําเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ที่ร้อยละ 1.6 ต่อปี สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 62.2 เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนในเดือนกรกฎาคม 2560 มีสัญญาณดีขึ้นจากการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณนําเข้าสินค้าทุน ที่ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 7.8 ต่อปี และปริมาณจําหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ กลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 5.8 ต่อปี จากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวร้อยละ -0.5 ต่อปี จากยอดจําหน่ายรถกระบะขนาด 1 ตัน ในเดือนกรกฎาคม 2560 ที่กลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 5.4 ต่อปี ในขณะที่ การลงทุนในหมวดก่อสร้างมีสัญญาณทรงตัว สะท้อนจากภาษีการทําธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ในเดือนกรกฎาคม 2560 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 25.5 ต่อปี ในขณะที่ปริมาณจําหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ หดตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ -0.5 ต่อปี ด้านมูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าในเดือนกรกฎาคม 2560 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 10.5 ต่อปี โดยหมวดสินค้าสําคัญที่สนับสนุนการส่งออก ได้แก่ เกษตรกรรม ยานพาหนะอุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นสําคัญ สําหรับประเทศที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ จีน CLMV และสหรัฐอเมริกา เป็นสําคัญ สําหรับมูลค่าการนําเข้าในเดือนกรกฎาคม 2560 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 18.5 ต่อปี โดยกลุ่มสินค้าที่สนับสนุนการขยายตัวของการนําเข้า ได้แก่ วัตถุดิบและกึ่งสําเร็จรูป สินค้าทุน เชื้อเพลิง และสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นสําคัญ ทั้งนี้ มูลค่าการนําเข้าที่ฟื้นตัวและการส่งออกที่ขยายตัวได้ดี ส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนกรกฎาคม 2560 ขาดดุลจํานวน -0.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านการผลิตได้รับปัจจัยสนับสนุนจาก ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและภาคการท่องเที่ยวต่างประเทศที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรในเดือนกรกฎาคม 2560 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 15.4 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวได้ดีของผลผลิตในหมวดพืชผลสําคัญ หมวดปศุสัตว์ หมวดประมง สําหรับจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยในเดือนกรกฎาคม 2560 มีจํานวน 3.0 ล้านคน ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 4.8 ต่อปี สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวต่างประเทศที่ 1.56 แสนล้านบาท ขยายตัว 6.2 ต่อปี โดยนักท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดีมาจากประเทศจีน ลาว กัมพูชา เกาหลี อินเดีย เวียดนาม และรัสเซีย เป็นหลัก ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี และเสถียรภาพภายนอกอยู่ในระดับที่มั่นคง สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนกรกฎาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 0.17 และ 0.5 ต่อปี ตามลําดับ สําหรับอัตราการว่างงานในเดือนกรกฎาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.2 ของกําลังแรงงานรวม ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2560 อยู่ที่ระดับร้อยละ 41.5 ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ไม่เกินร้อยละ 60 สําหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคงและสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสํารองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2560 อยู่ที่ระดับ 190.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 3.5 เท่าเมื่อเทียบกับหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6300
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.แถลง ยืนยันการทำงานเชิงรุก ขอบคุณทุกภาคส่วนและประชาชนแต่ละจังหวัด ที่ให้ความร่วมมือทำให้จังหวัดปลอดโรค
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563 ศบค.แถลง ยืนยันการทํางานเชิงรุก ขอบคุณทุกภาคส่วนและประชาชนแต่ละจังหวัด ที่ให้ความร่วมมือทําให้จังหวัดปลอดโรค ศบค.แถลง ยืนยันการทํางานเชิงรุก ขอบคุณทุกภาคส่วนและประชาชนแต่ละจังหวัด ที่ให้ความร่วมมือทําให้จังหวัดปลอดโรค วันนี้ (24 เม.ย.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ 1. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ป่วยที่อาการดีขึ้นกลับบ้านได้ 60 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,490 ราย มีผู้ป่วยรายใหม่ 15 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 2,854 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ตัวเลขผู้เสียชีวิตคงเดิมที่ 50 ราย กลุ่มอายุของผู้ป่วยที่มากที่สุดคือ 20-29 ปี ด้านผู้ป่วยที่ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ลดลงเหลือ 314 ราย ต้องขอขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนที่ดูแลผู้ป่วยด้วย สําหรับผู้ป่วยใหม่ 15 รายนี้ จําแนกเป็น 11 รายเป็นผู้ป่วยจากระบบการเฝ้าระวังและระบบบริการ โดย 9 รายเกี่ยวข้องกับการสัมผัสกับผู้ป่วยที่ยืนยันก่อนหน้านี้ ซึ่ง 9 รายนี้พบที่กรุงเทพฯ 4 ราย ภูเก็ต 4 ราย สงขลา 1 ราย ส่วนที่ไปสถานที่ชุมนุมชน ห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด สถานที่ท่องเที่ยว พบที่ปทุมธานี ไปตลาดบางปะอิน ปทุมธานีคลองหนึ่ง จํานวน 1 ราย สมุทรปราการ 1 ราย ด้านการค้นหาเชิงรุกที่จังหวัดยะลา พบผู้ป่วย 4 คน รวมเป็น 15 คน โฆษก ศบค. กล่าวถึงการกระจายตัวของผู้ป่วยใน 10 จังหวัดแรกที่มีจํานวนมากที่สุด ยังเป็นกรุงเทพฯ 1,457 ราย ภูเก็ต 200 ราย นนทบุรี 152 ราย สมุทรปราการ 111 ราย ยะลา 99 รายซึ่งยะลามี State Quarantine 8 ราย สําหรับกรณีการเรียกเคสผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์การสอบสวนโรค หรือ PUI เข้ามารับการตรวจนั้น ขณะนี้กรุงเทพฯ ค้นหาผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์ PUI จํานวน 11,665 ราย รองลงมาคือยะลา 4,448 ราย นนทบุรี 3,600 กว่าราย ภูเก็ต 2,000 กว่าราย ชลบุรี 1,800 กว่าราย สมุทรปราการประมาณ 1,300 ราย ทั้งนี้ การพยายามเปิดเผยข้อมูลให้มากที่สุดก็เพื่อต้องการให้รับรู้ว่าต้องมีการค้นหาเชิงรุกให้มาก ๆ โดยจังหวัดที่เป็นสีแดงทั้งหลายล้วนแต่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการสแกนหาคนที่มีอาการให้เข้ามารับการรักษา ฉะนั้น ถ้าประชาชนอยู่ในจังหวัดที่มีการติดเชื้อสูงดังกล่าว แล้วมีอาการไข้ ไอ มีประวัติการป่วยอย่างใดอย่างหนึ่ง ขอให้เข้ามายังสถานพยาบาลใกล้บ้านเพื่อขอรับบริการตรวจได้ เมื่อดูกราฟจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่สีเขียว เหลือง แดง พบว่า ถ้าจังหวัดในพื้นที่สีแดงได้ลงมาอยู่ในพื้นที่สีเขียวจะดีที่สุด กลุ่มใหญ่ยังอยู่ในพื้นที่สีเหลืองและเขียว ส่วนสีแดงจะเป็นจังหวัดที่เกาะกลุ่มเฉพาะภาคกลาง ภาคตะวันออก กรุงเทพฯ จะเป็นสีแดงสองกลุ่มใหญ่ กับภาคใต้ ซึ่งรวมกระบี่ ชุมพร นราธิวาส ปัตตานี ภูเก็ต ยะลา สงขลา ที่พบการรายงานผู้ป่วยใน 7 วันที่ผ่านมา ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือกรุงเทพฯ พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม ชลบุรี สมุทรปราการ ทั้งนี้ ฉะเชิงเทราปรับจากสีส้มที่มีการรายงานผู้ป่วยในช่วง 7-14 วัน ลงมาอยู่ในกลุ่มที่มีการรายงานผู้ป่วยช่วง 14-28 วัน เช่นเดียวกับภาคเหนือ ที่ต้องชื่นชมนครสวรรค์ พะเยา ที่ลงมาอยู่ในกลุ่มที่สามารถยืนระยะออกไปได้ยาวขึ้นเป็น 14-28 วันที่ไม่มีผู้ป่วย ขณะที่สุราษฎร์ธานีก็ลงจากกลุ่มสีส้มมาสีเหลือง โดยต้องขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารทุกส่วน สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด และพี่น้องประชาชนที่อยู่ในจังหวัดนั้น ๆ ที่ให้ความร่วมมือทําให้จังหวัดของท่านปลอดโรค ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ของต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ มีแนวโน้มที่ทรงตัว ด้านการกระจายตัวของผู้ป่วยในกรุงเทพฯ ยังเป็นลูกคลื่นขึ้น ๆ ลง ๆ มียอดใหญ่อยู่ในช่วง 28 มีนาคม 63 ซึ่งการที่จะเป็นยอดขึ้นมาสูงหรือไม่ขึ้นอยู่กับประชาชนที่อยู่ในกรุงเทพฯ ต้องช่วยกัน ซึ่งกรุงเทพฯ มียอดสูงในช่วงแรกวันที่ 22 มีนาคม 63 ช่วงสอง วันที่ 29-30 มีนาคม 63 และช่วงสาม วันที่ 19 มีนาคม 63 โดยไม่อยากให้มียอดที่ 4-5 อีก โฆษก ศบค. กล่าวถึงวิธีการทํางานของทีมสอบสวนโรค โดยยกตัวอย่าง 1. จังหวัดภูเก็ตที่มีตัวเลขการติดเชื้อสูงสุดว่า มีการรับรายงานผู้ป่วย 34 รายตั้งแต่ 2 – 22 เมษายน 63 ในช่วงแรกพบว่าทํางานในสถานบันเทิง สัมผัสผู้ป่วยต่างชาติ 3 ราย แล้วไปทําให้เกิดปัจจัยเสี่ยงต่อผู้ป่วยรายต่อ ๆ มา คือร่วมบ้านหรืออยู่ในชุมชนเดียวกัน 28 รายและค้นหาเชิงรุกได้อีก 3 ราย 2. จังหวัดชุมพร ที่มีผู้ป่วยและเสียชีวิต โดยกลุ่มแรกพบผู้ป่วยที่อําเภอเมือง อําเภอท่าแซะ อําเภอทุ่งตะโก 20 ราย ช่วงวันที่ 6-22 เมษายน 63 โดยมีผู้เสียชีวิต 2 รายด้วยปอดอักเสบ ซึ่ง 2 รายนี้ทําให้มีผู้ที่ป่วยติดเชื้อจากโรคนี้ประกอบด้วยบุคลากรทางการแพทย์ 1 ราย ผู้ป่วยในหอผู้ป่วยเดียวกัน 5 ราย ผู้ที่มาดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาล 2 ราย และร่วมบ้านกับชุมชนอีก 10 ราย รวมทั้งหมด 20 ราย เป็นการสูญเสียอย่างมากที่เสียชีวิตแล้วทําให้ผู้อื่นและบุคลากรทางแพทย์ต้องติดโรคด้วย อย่างไรก็ตาม เป็นบทเรียนที่จะได้เรียนรู้ในเชิงของการสอบสวนโรคทางการแพทย์ เมื่อดูกราฟแสดงจํานวนผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค ขณะนี้มีการเรียกผู้ที่มีอาการไข้หรือมีประวัติมีไข้ รวมกับไอ น้ํามูก เข้ามาตรวจมากขึ้นวันละเกือบ 2,000 กว่าคน โดยจะต้องเพิ่มยอดนี้ขึ้นไปเรื่อย ๆ ทั้งนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่าศักยภาพการตรวจของกรุงเทพฯ สามารถตรวจได้ถึง 10,000 ตัวอย่างต่อวัน และต่างจังหวัดตรวจได้ 10,000 ตัวอย่างต่อวัน รวม 20,000 ตัวอย่างต่อวัน โดยขณะนี้มีห้องปฏิบัติการตรวจทั้งภาครัฐและเอกชนรวม 123 แห่ง แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ ภาครัฐ 29 แห่ง เอกชน 25 แห่ง ต่างจังหวัด ภาครัฐ 60 แห่ง เอกชน 9 แห่ง และมีเป้าหมายที่จะทําให้มีห้องปฏิบัติการตรวจให้ได้ 176 แห่ง กระจายตัวครบทุกจังหวัด ซึ่งจากต้นเดือนมกราคม 63 ที่ผ่านมามีห้องปฏิบัติการที่ตรวจได้ 2 แห่ง เพิ่มเป็น 16 แห่งในเดือนกุมภาพันธ์ 63 และเพิ่มเป็น 123 แห่งในขณะนี้ ซึ่งขอชื่นชมนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ช่วยกันทําให้ประเทศไทยมีระบบควบคุมป้องกันที่ดี 2. สถานการณ์โควิด-19 ของโลก โฆษก ศบค. กล่าวถึงสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลกว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยูที่ 2,700,000 กว่าคน อาการหนัก 58,000 กว่าคน คิดเป็นประมาณ 2.2% หายป่วยแล้ว 74,000 กว่าคน เสียชีวิต 190,000 กว่าคน คิดเป็นประมาณ 7% โดยขณะนี้อัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากเดิมประมาณ 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา คาดการณ์จะมีการเสียชีวิตประมาณ 4% แต่ปัจจุบันขึ้นมาอยู่ที่ 7% ดังนั้นการที่จะบอกเป็นตามฤดูกาลและพยายามจะลดความสําคัญลงจึงไม่ใช่ เพราะอัตราการเสียชีวิตสูงมากถึง 7% แล้ว ทั้งนี้ประเทศสหรัฐอเมริกายังเป็นอันดับที่ 1 ที่มีอัตราการเสียชีวิสูงที่สุดของโลก จํานวน 49,000 กว่าคน เพิ่มขึ้นภายในวันเดียวถึง 2,169 คน และคาดว่าพรุ่งนี้ (25 เมษายน 63) จํานวนผู้เสียชีวิตจะไปอยู่ที่ 50,000 คน ตัวเลขผู้ติดเชื้อยืนยันสะสม 800,000 กว่าคน และคาดว่าจะไปถึงหลักล้านในเร็วนี้ และประเทศที่เสียชีวิตรองลงมาคืออังกฤษ ฝรั่งเศส รวมทั้งสเปน อิตาลี เยอรมนี ก็ยังอยู่ในอันดับต้น ๆ เช่นกัน ส่วนประเทศที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ อันดับที่ 1 คือ สหรัฐอเมริกา ตามด้วยรัสเซีย (เพิ่มขึ้นวันเดียว 4,700 กว่าคน) และสเปน ส่วนเรื่องที่มีหลายคนห่วงใยกรณีที่ยังมีคนไทยที่เรียนหนังสืออยู่ในกลุ่มประเทศทางอเมริกาใต้จะได้เดินทางกลับประเทศไทยเมื่อไร โดยเฉพาะขณะนี้ประเทศเปรู มีผู้ติดเชื้อยืนยันสะสม 20,914 คน ผู้ป่วยรายใหม่วันเดียว 1,600 กว่าคน ทําให้พ่อ แม่ ผู้ปกครองมีความเป็นห่วงลูกหลานตนเองนั้น โฆษก ศบค. กล่าวชี้แจงว่าขณะนี้สถานทูตแต่ละแห่ง เอกอัครราชทูต และสถานกงสุล ต่าง ๆ ที่อยู่ในทุกประเทศ ทํางานอย่างหนัก และมีการประสานกับคนไทยทุกคน ขณะเดียวกันคนไทยและนักเรียนไทยที่อยู่ในต่างประเทศก็สามารถโทรศัพท์ประสานติดต่อมายังสถานทูตต่าง ๆ ตามเบอร์ที่ได้เคยแจ้งไว้แล้วในเว็บไซต์ ซึ่งมีเบอร์ฮอตไลน์ของเอกอัครราชทูตสามารถที่จะแจ้งมาได้ เพราะบางประเทศปิดสนามบิน ไม่สามารถที่จะมีการบินพาณิชย์ได้ ฉะนั้นจึงต้องรอให้เปิดสนามบินถึงจะเดินทางกลับประเทศไทยได้ แต่อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าคนไทยโดยเฉพาะเด็ก ๆ และคนที่มีภาวะที่ต้องพึ่งพิงสูงต้องได้รับการดูแลก่อน ซึ่งที่ประชุม ศบค. โดยรองผู้บัญชาการทหารบก ได้ย้ําถึงเรื่องนี้ว่าจะต้องพยายามดูแลทุกคนและนํากลับบ้านให้ได้ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับหลายสถานการณ์ รวมทั้งเรื่องของเครื่องบิน น่านฟ้าของประเทศนั้น ๆ ว่าเปิดหรือไม่ และการจัดการเรื่องของ State Quarantine ทั้งนี้ในส่วนของประเทศไทยได้มีการเตรียมการทุกอย่างรองรับไว้เรียบร้อยแล้ว จึงขอให้ประชาชนทุกคน พ่อแม่ ผู้ปกครอง ได้อุ่นใจและสบายใจได้ต่อการดําเนินการดังกล่าว สําหรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของเอเชียนั้น ญี่ปุ่นเมื่อวานนี้มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 418 คน สิงคโปร์รายใหม่เพิ่มขึ้น 1,037 คน ทําให้ตัวเลขรวมของผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 11,100 กว่าคน เกาหลีใต้ รา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.แถลง ยืนยันการทำงานเชิงรุก ขอบคุณทุกภาคส่วนและประชาชนแต่ละจังหวัด ที่ให้ความร่วมมือทำให้จังหวัดปลอดโรค วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563 ศบค.แถลง ยืนยันการทํางานเชิงรุก ขอบคุณทุกภาคส่วนและประชาชนแต่ละจังหวัด ที่ให้ความร่วมมือทําให้จังหวัดปลอดโรค ศบค.แถลง ยืนยันการทํางานเชิงรุก ขอบคุณทุกภาคส่วนและประชาชนแต่ละจังหวัด ที่ให้ความร่วมมือทําให้จังหวัดปลอดโรค วันนี้ (24 เม.ย.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ 1. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ป่วยที่อาการดีขึ้นกลับบ้านได้ 60 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,490 ราย มีผู้ป่วยรายใหม่ 15 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 2,854 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ตัวเลขผู้เสียชีวิตคงเดิมที่ 50 ราย กลุ่มอายุของผู้ป่วยที่มากที่สุดคือ 20-29 ปี ด้านผู้ป่วยที่ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ลดลงเหลือ 314 ราย ต้องขอขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนที่ดูแลผู้ป่วยด้วย สําหรับผู้ป่วยใหม่ 15 รายนี้ จําแนกเป็น 11 รายเป็นผู้ป่วยจากระบบการเฝ้าระวังและระบบบริการ โดย 9 รายเกี่ยวข้องกับการสัมผัสกับผู้ป่วยที่ยืนยันก่อนหน้านี้ ซึ่ง 9 รายนี้พบที่กรุงเทพฯ 4 ราย ภูเก็ต 4 ราย สงขลา 1 ราย ส่วนที่ไปสถานที่ชุมนุมชน ห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด สถานที่ท่องเที่ยว พบที่ปทุมธานี ไปตลาดบางปะอิน ปทุมธานีคลองหนึ่ง จํานวน 1 ราย สมุทรปราการ 1 ราย ด้านการค้นหาเชิงรุกที่จังหวัดยะลา พบผู้ป่วย 4 คน รวมเป็น 15 คน โฆษก ศบค. กล่าวถึงการกระจายตัวของผู้ป่วยใน 10 จังหวัดแรกที่มีจํานวนมากที่สุด ยังเป็นกรุงเทพฯ 1,457 ราย ภูเก็ต 200 ราย นนทบุรี 152 ราย สมุทรปราการ 111 ราย ยะลา 99 รายซึ่งยะลามี State Quarantine 8 ราย สําหรับกรณีการเรียกเคสผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์การสอบสวนโรค หรือ PUI เข้ามารับการตรวจนั้น ขณะนี้กรุงเทพฯ ค้นหาผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์ PUI จํานวน 11,665 ราย รองลงมาคือยะลา 4,448 ราย นนทบุรี 3,600 กว่าราย ภูเก็ต 2,000 กว่าราย ชลบุรี 1,800 กว่าราย สมุทรปราการประมาณ 1,300 ราย ทั้งนี้ การพยายามเปิดเผยข้อมูลให้มากที่สุดก็เพื่อต้องการให้รับรู้ว่าต้องมีการค้นหาเชิงรุกให้มาก ๆ โดยจังหวัดที่เป็นสีแดงทั้งหลายล้วนแต่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการสแกนหาคนที่มีอาการให้เข้ามารับการรักษา ฉะนั้น ถ้าประชาชนอยู่ในจังหวัดที่มีการติดเชื้อสูงดังกล่าว แล้วมีอาการไข้ ไอ มีประวัติการป่วยอย่างใดอย่างหนึ่ง ขอให้เข้ามายังสถานพยาบาลใกล้บ้านเพื่อขอรับบริการตรวจได้ เมื่อดูกราฟจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่สีเขียว เหลือง แดง พบว่า ถ้าจังหวัดในพื้นที่สีแดงได้ลงมาอยู่ในพื้นที่สีเขียวจะดีที่สุด กลุ่มใหญ่ยังอยู่ในพื้นที่สีเหลืองและเขียว ส่วนสีแดงจะเป็นจังหวัดที่เกาะกลุ่มเฉพาะภาคกลาง ภาคตะวันออก กรุงเทพฯ จะเป็นสีแดงสองกลุ่มใหญ่ กับภาคใต้ ซึ่งรวมกระบี่ ชุมพร นราธิวาส ปัตตานี ภูเก็ต ยะลา สงขลา ที่พบการรายงานผู้ป่วยใน 7 วันที่ผ่านมา ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือกรุงเทพฯ พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม ชลบุรี สมุทรปราการ ทั้งนี้ ฉะเชิงเทราปรับจากสีส้มที่มีการรายงานผู้ป่วยในช่วง 7-14 วัน ลงมาอยู่ในกลุ่มที่มีการรายงานผู้ป่วยช่วง 14-28 วัน เช่นเดียวกับภาคเหนือ ที่ต้องชื่นชมนครสวรรค์ พะเยา ที่ลงมาอยู่ในกลุ่มที่สามารถยืนระยะออกไปได้ยาวขึ้นเป็น 14-28 วันที่ไม่มีผู้ป่วย ขณะที่สุราษฎร์ธานีก็ลงจากกลุ่มสีส้มมาสีเหลือง โดยต้องขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารทุกส่วน สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด และพี่น้องประชาชนที่อยู่ในจังหวัดนั้น ๆ ที่ให้ความร่วมมือทําให้จังหวัดของท่านปลอดโรค ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ของต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ มีแนวโน้มที่ทรงตัว ด้านการกระจายตัวของผู้ป่วยในกรุงเทพฯ ยังเป็นลูกคลื่นขึ้น ๆ ลง ๆ มียอดใหญ่อยู่ในช่วง 28 มีนาคม 63 ซึ่งการที่จะเป็นยอดขึ้นมาสูงหรือไม่ขึ้นอยู่กับประชาชนที่อยู่ในกรุงเทพฯ ต้องช่วยกัน ซึ่งกรุงเทพฯ มียอดสูงในช่วงแรกวันที่ 22 มีนาคม 63 ช่วงสอง วันที่ 29-30 มีนาคม 63 และช่วงสาม วันที่ 19 มีนาคม 63 โดยไม่อยากให้มียอดที่ 4-5 อีก โฆษก ศบค. กล่าวถึงวิธีการทํางานของทีมสอบสวนโรค โดยยกตัวอย่าง 1. จังหวัดภูเก็ตที่มีตัวเลขการติดเชื้อสูงสุดว่า มีการรับรายงานผู้ป่วย 34 รายตั้งแต่ 2 – 22 เมษายน 63 ในช่วงแรกพบว่าทํางานในสถานบันเทิง สัมผัสผู้ป่วยต่างชาติ 3 ราย แล้วไปทําให้เกิดปัจจัยเสี่ยงต่อผู้ป่วยรายต่อ ๆ มา คือร่วมบ้านหรืออยู่ในชุมชนเดียวกัน 28 รายและค้นหาเชิงรุกได้อีก 3 ราย 2. จังหวัดชุมพร ที่มีผู้ป่วยและเสียชีวิต โดยกลุ่มแรกพบผู้ป่วยที่อําเภอเมือง อําเภอท่าแซะ อําเภอทุ่งตะโก 20 ราย ช่วงวันที่ 6-22 เมษายน 63 โดยมีผู้เสียชีวิต 2 รายด้วยปอดอักเสบ ซึ่ง 2 รายนี้ทําให้มีผู้ที่ป่วยติดเชื้อจากโรคนี้ประกอบด้วยบุคลากรทางการแพทย์ 1 ราย ผู้ป่วยในหอผู้ป่วยเดียวกัน 5 ราย ผู้ที่มาดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาล 2 ราย และร่วมบ้านกับชุมชนอีก 10 ราย รวมทั้งหมด 20 ราย เป็นการสูญเสียอย่างมากที่เสียชีวิตแล้วทําให้ผู้อื่นและบุคลากรทางแพทย์ต้องติดโรคด้วย อย่างไรก็ตาม เป็นบทเรียนที่จะได้เรียนรู้ในเชิงของการสอบสวนโรคทางการแพทย์ เมื่อดูกราฟแสดงจํานวนผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค ขณะนี้มีการเรียกผู้ที่มีอาการไข้หรือมีประวัติมีไข้ รวมกับไอ น้ํามูก เข้ามาตรวจมากขึ้นวันละเกือบ 2,000 กว่าคน โดยจะต้องเพิ่มยอดนี้ขึ้นไปเรื่อย ๆ ทั้งนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่าศักยภาพการตรวจของกรุงเทพฯ สามารถตรวจได้ถึง 10,000 ตัวอย่างต่อวัน และต่างจังหวัดตรวจได้ 10,000 ตัวอย่างต่อวัน รวม 20,000 ตัวอย่างต่อวัน โดยขณะนี้มีห้องปฏิบัติการตรวจทั้งภาครัฐและเอกชนรวม 123 แห่ง แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ ภาครัฐ 29 แห่ง เอกชน 25 แห่ง ต่างจังหวัด ภาครัฐ 60 แห่ง เอกชน 9 แห่ง และมีเป้าหมายที่จะทําให้มีห้องปฏิบัติการตรวจให้ได้ 176 แห่ง กระจายตัวครบทุกจังหวัด ซึ่งจากต้นเดือนมกราคม 63 ที่ผ่านมามีห้องปฏิบัติการที่ตรวจได้ 2 แห่ง เพิ่มเป็น 16 แห่งในเดือนกุมภาพันธ์ 63 และเพิ่มเป็น 123 แห่งในขณะนี้ ซึ่งขอชื่นชมนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ช่วยกันทําให้ประเทศไทยมีระบบควบคุมป้องกันที่ดี 2. สถานการณ์โควิด-19 ของโลก โฆษก ศบค. กล่าวถึงสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลกว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยูที่ 2,700,000 กว่าคน อาการหนัก 58,000 กว่าคน คิดเป็นประมาณ 2.2% หายป่วยแล้ว 74,000 กว่าคน เสียชีวิต 190,000 กว่าคน คิดเป็นประมาณ 7% โดยขณะนี้อัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากเดิมประมาณ 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา คาดการณ์จะมีการเสียชีวิตประมาณ 4% แต่ปัจจุบันขึ้นมาอยู่ที่ 7% ดังนั้นการที่จะบอกเป็นตามฤดูกาลและพยายามจะลดความสําคัญลงจึงไม่ใช่ เพราะอัตราการเสียชีวิตสูงมากถึง 7% แล้ว ทั้งนี้ประเทศสหรัฐอเมริกายังเป็นอันดับที่ 1 ที่มีอัตราการเสียชีวิสูงที่สุดของโลก จํานวน 49,000 กว่าคน เพิ่มขึ้นภายในวันเดียวถึง 2,169 คน และคาดว่าพรุ่งนี้ (25 เมษายน 63) จํานวนผู้เสียชีวิตจะไปอยู่ที่ 50,000 คน ตัวเลขผู้ติดเชื้อยืนยันสะสม 800,000 กว่าคน และคาดว่าจะไปถึงหลักล้านในเร็วนี้ และประเทศที่เสียชีวิตรองลงมาคืออังกฤษ ฝรั่งเศส รวมทั้งสเปน อิตาลี เยอรมนี ก็ยังอยู่ในอันดับต้น ๆ เช่นกัน ส่วนประเทศที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ อันดับที่ 1 คือ สหรัฐอเมริกา ตามด้วยรัสเซีย (เพิ่มขึ้นวันเดียว 4,700 กว่าคน) และสเปน ส่วนเรื่องที่มีหลายคนห่วงใยกรณีที่ยังมีคนไทยที่เรียนหนังสืออยู่ในกลุ่มประเทศทางอเมริกาใต้จะได้เดินทางกลับประเทศไทยเมื่อไร โดยเฉพาะขณะนี้ประเทศเปรู มีผู้ติดเชื้อยืนยันสะสม 20,914 คน ผู้ป่วยรายใหม่วันเดียว 1,600 กว่าคน ทําให้พ่อ แม่ ผู้ปกครองมีความเป็นห่วงลูกหลานตนเองนั้น โฆษก ศบค. กล่าวชี้แจงว่าขณะนี้สถานทูตแต่ละแห่ง เอกอัครราชทูต และสถานกงสุล ต่าง ๆ ที่อยู่ในทุกประเทศ ทํางานอย่างหนัก และมีการประสานกับคนไทยทุกคน ขณะเดียวกันคนไทยและนักเรียนไทยที่อยู่ในต่างประเทศก็สามารถโทรศัพท์ประสานติดต่อมายังสถานทูตต่าง ๆ ตามเบอร์ที่ได้เคยแจ้งไว้แล้วในเว็บไซต์ ซึ่งมีเบอร์ฮอตไลน์ของเอกอัครราชทูตสามารถที่จะแจ้งมาได้ เพราะบางประเทศปิดสนามบิน ไม่สามารถที่จะมีการบินพาณิชย์ได้ ฉะนั้นจึงต้องรอให้เปิดสนามบินถึงจะเดินทางกลับประเทศไทยได้ แต่อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าคนไทยโดยเฉพาะเด็ก ๆ และคนที่มีภาวะที่ต้องพึ่งพิงสูงต้องได้รับการดูแลก่อน ซึ่งที่ประชุม ศบค. โดยรองผู้บัญชาการทหารบก ได้ย้ําถึงเรื่องนี้ว่าจะต้องพยายามดูแลทุกคนและนํากลับบ้านให้ได้ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับหลายสถานการณ์ รวมทั้งเรื่องของเครื่องบิน น่านฟ้าของประเทศนั้น ๆ ว่าเปิดหรือไม่ และการจัดการเรื่องของ State Quarantine ทั้งนี้ในส่วนของประเทศไทยได้มีการเตรียมการทุกอย่างรองรับไว้เรียบร้อยแล้ว จึงขอให้ประชาชนทุกคน พ่อแม่ ผู้ปกครอง ได้อุ่นใจและสบายใจได้ต่อการดําเนินการดังกล่าว สําหรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของเอเชียนั้น ญี่ปุ่นเมื่อวานนี้มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 418 คน สิงคโปร์รายใหม่เพิ่มขึ้น 1,037 คน ทําให้ตัวเลขรวมของผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 11,100 กว่าคน เกาหลีใต้ รา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29678
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. นำทีมผู้บริหาร ร่วมประชาสัมพันธ์ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 พร้อมนำทีมผู้สร้างและนักแสดง “โปรเม อัจฉริยะต้องสร้าง” เข้าพบนายกรัฐมนตรี
วันอังคารที่ 20 สิงหาคม 2562 รมว.พม. นําทีมผู้บริหาร ร่วมประชาสัมพันธ์ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 พร้อมนําทีมผู้สร้างและนักแสดง “โปรเม อัจฉริยะต้องสร้าง” เข้าพบนายกรัฐมนตรี รมว.พม. นําทีมผู้บริหาร ร่วมประชาสัมพันธ์ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 พร้อมนําทีมผู้สร้างและนักแสดง “โปรเม อัจฉริยะต้องสร้าง” พบนายกรัฐมนตรี เชิญชวนชมภาพยนตร์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนไทย วันนี้ (20 ส.ค. 62) เวลา 09.00 น. ที่บริเวณด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) นําคณะผู้บริหารกระทรวง พม. พร้อมผู้บริหารบริษัท ทรานฟอร์มเมชั่นฟิล์ม จํากัด และนักแสดงจากภาพยนตร์ เรื่อง “โปรเม อัจฉริยะต้องสร้าง” เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อนําเสนอภารกิจศูนย์ช่วยเหลือสังคมกระทรวง พม. สายด่วน 1300 บริการ 24 ชั่วโมง และเชิญชวนประชาชนเข้าชมภาพยนตร์เรื่อง “โปรเม อัจฉริยะต้องสร้าง” ซึ่งสร้างจากชีวิตจริงของนางสาวเอรียา จุฑานุกาล สุดยอดนักกอล์ฟขวัญใจชาวไทย ที่เป็นบุคคลต้นแบบทีน่ายกย่องชื่นชมของเยาวชน เคยได้รับรางวัล ยอดเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ ประจําปี 2560 เนื่องในวันเยาวชนแห่งชาติ จากกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) นายจุติ กล่าวว่า ศูนย์ช่วยเหลือสังคม กระทรวง พม. สายด่วน 1300 บริการ 24 ชั่วโมง เป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. มีภารกิจหน้าที่ให้บริการประชาชน ผ่านโทรสายด่วน 1300 บริการทุกวัน 24 ชั่วโมง เป็นศูนย์กลางในการให้คําแนะนําปรึกษารับเรื่องราวร้องทุกข์แก่ประชาชนผู้ประสบปัญหาสังคมอย่างครอบคลุมทุกพื้นที่โดยไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่และนักสังคมสงเคราะห์วิชาชีพปฏิบัติงาน พร้อมให้คําแนะนําปรึกษาการช่วยเหลือและประสานส่งต่อ รวมทั้งมีหน่วยเคลื่อนที่เร็ว (Mobile Team) ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาสังคมในภาวะวิกฤต โดยมุ่งเน้นการสงเคราะห์ ช่วยเหลือ และคุ้มครองสวัสดิภาพ ภายใต้ระบบเชื่อมโยงกับหน่วยปฏิบัติระดับกรมในกระทรวง พม. และภาคีเครือข่ายทั้งภายในและต่างประเทศ อีกทั้งการติดตามการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมให้พ้นภาวะวิกฤตและคืนสู่สังคมได้อย่างปกติสุข อีกทั้ง การบูรณาการปฏิบัติงานร่วมกับจิตอาสาและ อพม. ในพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้บริการคําปรึกษาแนะนําแก่ผู้ประสบปัญหาทางสังคมทั่วประเทศผ่าน 4 ช่องทาง ได้แก่ 1) โทรศัพท์ภายในประเทศ โทร. สายด่วน 1300 2) สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) 3) ติดต่อด้วยตนเอง (walk in) ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ และ 4) โทรศัพท์ระหว่างประเทศ โทร. (00)66 99 130 1300 นายจุติ กล่าวต่อไปว่า ภาพยนตร์เรื่อง “โปรเม อัจฉริยะต้องสร้าง” เป็นเรื่องราวทั้งหมดของ “เม เอรียา จุฑานุกาล” นักกีฬากอล์ฟทีมชาติไทย อดีตมืออันดับ 1 ของโลก และครอบครัวของเธอ ที่เริ่มต้นจากการทิ้งโลกวัยเด็กของเธอไว้เบื้องหลัง และเริ่มเล่นกอล์ฟตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งที่ผ่านมา น้องเมต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักทั้งเรื่องกอล์ฟและบททดสอบความยากลําบากในการใช้ชีวิต ช่วงเวลาที่บาดเจ็บ การตกลงสู่จุดที่แทบจะเรียกได้ว่าต่ําที่สุดของชีวิตของเธอ และครอบครัวต้องแลกอะไรบ้างเพื่อความฝัน จนส่งผลให้น้องเมประสบความสําเร็จเป็นโปรกอล์ฟชั้นนําของโลก ซึ่งกระทรวง พม. เห็นว่าภาพยนตร์ดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ และสามารถสร้างแรงบัลดาลใจให้กับเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติ รวมทั้งเป็นภาพยนตร์ที่ช่วยส่งเสริมสถาบันครอบครัว การให้ความรักความเข้าใจระหว่างคนในครอบครัว ความรักความอดทน ความพยายาม ความเสียสละของน้องเม เอริยา จุฑานุกาล ที่ต้องเสียสละความเป็นส่วนตัวในสมัยเด็ก เพื่อมาฝึกฝนการตีกอล์ฟอย่างหนักกว่าจะประสบความสําเร็จ และที่สําคัญ คือ การมีสติ การไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงการส่งเสริมสังคมความเป็นครอบครัว การสร้างความเข้าใจกันของคนในครอบครัว การมีระเบียบวินัยต่อตนเอง ความมานะ อดทน ความเพียรพยายามไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และความกตัญญูต่อบุพการี ส่งผลให้ประสบความสําเร็จ “ทั้งนี้ ภาพยนตร์ดังกล่าวเป็นผลงานฝีมือจากคนไทย ที่ต้องการแสดงได้เห็นถึงความสําคัญของเยาวชน ซึ่งนอกจากจะเปิดโอกาสให้เด็กด้อยโอกาสในสถานสงเคราะห์ได้ชมฟรีในรอบการกุศลแล้ว โดยรายได้ส่วนหนึ่งจะนํามาสนับสนุนให้กับเด็กด้อยโอกาสต่อไป” นายจุติ กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. นำทีมผู้บริหาร ร่วมประชาสัมพันธ์ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 พร้อมนำทีมผู้สร้างและนักแสดง “โปรเม อัจฉริยะต้องสร้าง” เข้าพบนายกรัฐมนตรี วันอังคารที่ 20 สิงหาคม 2562 รมว.พม. นําทีมผู้บริหาร ร่วมประชาสัมพันธ์ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 พร้อมนําทีมผู้สร้างและนักแสดง “โปรเม อัจฉริยะต้องสร้าง” เข้าพบนายกรัฐมนตรี รมว.พม. นําทีมผู้บริหาร ร่วมประชาสัมพันธ์ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 พร้อมนําทีมผู้สร้างและนักแสดง “โปรเม อัจฉริยะต้องสร้าง” พบนายกรัฐมนตรี เชิญชวนชมภาพยนตร์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนไทย วันนี้ (20 ส.ค. 62) เวลา 09.00 น. ที่บริเวณด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) นําคณะผู้บริหารกระทรวง พม. พร้อมผู้บริหารบริษัท ทรานฟอร์มเมชั่นฟิล์ม จํากัด และนักแสดงจากภาพยนตร์ เรื่อง “โปรเม อัจฉริยะต้องสร้าง” เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อนําเสนอภารกิจศูนย์ช่วยเหลือสังคมกระทรวง พม. สายด่วน 1300 บริการ 24 ชั่วโมง และเชิญชวนประชาชนเข้าชมภาพยนตร์เรื่อง “โปรเม อัจฉริยะต้องสร้าง” ซึ่งสร้างจากชีวิตจริงของนางสาวเอรียา จุฑานุกาล สุดยอดนักกอล์ฟขวัญใจชาวไทย ที่เป็นบุคคลต้นแบบทีน่ายกย่องชื่นชมของเยาวชน เคยได้รับรางวัล ยอดเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ ประจําปี 2560 เนื่องในวันเยาวชนแห่งชาติ จากกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) นายจุติ กล่าวว่า ศูนย์ช่วยเหลือสังคม กระทรวง พม. สายด่วน 1300 บริการ 24 ชั่วโมง เป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. มีภารกิจหน้าที่ให้บริการประชาชน ผ่านโทรสายด่วน 1300 บริการทุกวัน 24 ชั่วโมง เป็นศูนย์กลางในการให้คําแนะนําปรึกษารับเรื่องราวร้องทุกข์แก่ประชาชนผู้ประสบปัญหาสังคมอย่างครอบคลุมทุกพื้นที่โดยไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่และนักสังคมสงเคราะห์วิชาชีพปฏิบัติงาน พร้อมให้คําแนะนําปรึกษาการช่วยเหลือและประสานส่งต่อ รวมทั้งมีหน่วยเคลื่อนที่เร็ว (Mobile Team) ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาสังคมในภาวะวิกฤต โดยมุ่งเน้นการสงเคราะห์ ช่วยเหลือ และคุ้มครองสวัสดิภาพ ภายใต้ระบบเชื่อมโยงกับหน่วยปฏิบัติระดับกรมในกระทรวง พม. และภาคีเครือข่ายทั้งภายในและต่างประเทศ อีกทั้งการติดตามการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมให้พ้นภาวะวิกฤตและคืนสู่สังคมได้อย่างปกติสุข อีกทั้ง การบูรณาการปฏิบัติงานร่วมกับจิตอาสาและ อพม. ในพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้บริการคําปรึกษาแนะนําแก่ผู้ประสบปัญหาทางสังคมทั่วประเทศผ่าน 4 ช่องทาง ได้แก่ 1) โทรศัพท์ภายในประเทศ โทร. สายด่วน 1300 2) สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) 3) ติดต่อด้วยตนเอง (walk in) ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ และ 4) โทรศัพท์ระหว่างประเทศ โทร. (00)66 99 130 1300 นายจุติ กล่าวต่อไปว่า ภาพยนตร์เรื่อง “โปรเม อัจฉริยะต้องสร้าง” เป็นเรื่องราวทั้งหมดของ “เม เอรียา จุฑานุกาล” นักกีฬากอล์ฟทีมชาติไทย อดีตมืออันดับ 1 ของโลก และครอบครัวของเธอ ที่เริ่มต้นจากการทิ้งโลกวัยเด็กของเธอไว้เบื้องหลัง และเริ่มเล่นกอล์ฟตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งที่ผ่านมา น้องเมต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักทั้งเรื่องกอล์ฟและบททดสอบความยากลําบากในการใช้ชีวิต ช่วงเวลาที่บาดเจ็บ การตกลงสู่จุดที่แทบจะเรียกได้ว่าต่ําที่สุดของชีวิตของเธอ และครอบครัวต้องแลกอะไรบ้างเพื่อความฝัน จนส่งผลให้น้องเมประสบความสําเร็จเป็นโปรกอล์ฟชั้นนําของโลก ซึ่งกระทรวง พม. เห็นว่าภาพยนตร์ดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ และสามารถสร้างแรงบัลดาลใจให้กับเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติ รวมทั้งเป็นภาพยนตร์ที่ช่วยส่งเสริมสถาบันครอบครัว การให้ความรักความเข้าใจระหว่างคนในครอบครัว ความรักความอดทน ความพยายาม ความเสียสละของน้องเม เอริยา จุฑานุกาล ที่ต้องเสียสละความเป็นส่วนตัวในสมัยเด็ก เพื่อมาฝึกฝนการตีกอล์ฟอย่างหนักกว่าจะประสบความสําเร็จ และที่สําคัญ คือ การมีสติ การไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงการส่งเสริมสังคมความเป็นครอบครัว การสร้างความเข้าใจกันของคนในครอบครัว การมีระเบียบวินัยต่อตนเอง ความมานะ อดทน ความเพียรพยายามไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และความกตัญญูต่อบุพการี ส่งผลให้ประสบความสําเร็จ “ทั้งนี้ ภาพยนตร์ดังกล่าวเป็นผลงานฝีมือจากคนไทย ที่ต้องการแสดงได้เห็นถึงความสําคัญของเยาวชน ซึ่งนอกจากจะเปิดโอกาสให้เด็กด้อยโอกาสในสถานสงเคราะห์ได้ชมฟรีในรอบการกุศลแล้ว โดยรายได้ส่วนหนึ่งจะนํามาสนับสนุนให้กับเด็กด้อยโอกาสต่อไป” นายจุติ กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22354
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ ร่วมมือ WEF จัดเวิร์คช้อปความสามารถทางการแข่งขันในไทยครั้งแรกในรอบหลายปี ดึงซีอีโอองค์กรใหญ่ พร้อม SMEs และผู้แทนภาคประชาสังคม ร่วมหารือแนวทางเดินหน้าไทย พร้อมรับปฏิวัติอุต
วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2560 พาณิชย์ ร่วมมือ WEF จัดเวิร์คช้อปความสามารถทางการแข่งขันในไทยครั้งแรกในรอบหลายปี ดึงซีอีโอองค์กรใหญ่ พร้อม SMEs และผู้แทนภาคประชาสังคม ร่วมหารือแนวทางเดินหน้าไทย พร้อมรับปฏิวัติอุต กระทรวงพาณิชย์ จับมือ World Economic Forum หรือ WEF และสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “Competitiveness and Inclusive Growth: Navigating towards Thailand 4.0” พร้อม SMEs และผู้แทนภาคประชาสังคม ร่วมถกเชิงนโยบาย เชื่อช่วยขยับอันดับขีดความสามารถการแข่งขันของไทยในเวทีโลก พร้อมรับมือการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ 4 หรือ 4IR (4th Industrial Revolution) การประชุมฯ ซึ่งจัดขึ้นวันนี้(จันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2560) ณ โรงแรม อนันตราสยาม กรุงเทพฯ ได้รับเกียรติจากผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐและเอกชน อาทิ ดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ดร. อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จํากัด นายศุภชัย เจียรวรานนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการ บริษัท เอสพีซีจี จํากัด (มหาชน) พร้อมตัวแทนจาก WEF ร่วมอภิปราย นางอภิรดี ตันตราภรณ์ เปิดเผยว่า“เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งที่ประเทศไทยได้พัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันมาอย่างต่อเนื่อง โดยผลการจัดอันดับ Global Competitiveness Index ปี 2017 - 2018 จาก WEFไทยขยับจากอันดับที่ 34 เมื่อปีก่อนหน้า มาอยู่ที่อันดับที่ 32 จาก 137 ประเทศทั่วโลกในปีนี้ โดยไทยมีคะแนนดีขึ้นในหลายหมวดใหญ่ โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจมหภาคและโครงสร้างพื้นฐาน แต่อย่างไรก็ดี การปฏิรูปภาครัฐและการสนับสนุนด้านนวัตกรรมยังคงต้องดําเนินการอย่างต่อเนื่องและครอบคลุมทั่วประเทศ” ด้าน นายจัสติน วู้ด หัวหน้าฝ่ายเอเชีย แปซิฟิก ของWEF กล่าวชื่นชมประเทศไทยที่เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้หลายด้านอย่างไรก็ตาม ในระยะยาว ไทยยังมีจุดอ่อนที่ต้องเร่งปรับปรุงอีกหลายด้าน ซึ่งการมาจัดการประชุมของ WEF ในครั้งนี้ จะนําเสนอประเด็นที่เห็นว่าไทยควรเดินหน้าพัฒนาให้เร็วขึ้น ได้แก่ (1) การพัฒนาด้านสถาบันเพื่อให้มีธรรมาภิบาล (2) การปรับ/ลดกฎระเบียบเพื่อสร้างความมีประสิทธิภาพของตลาดและสินค้า (3) การสร้างความพร้อมทางเทคโนโลยี (4) การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรม และ (5) การพัฒนาการศึกษาและทักษะ โดยทาง WEF ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญมานําเสนอประเด็นเหล่านี้อย่างลึกและตรงไปตรงมา และจะเสนอให้ไทยให้ความสําคัญกับการมีนโยบายเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วมและเติบโตอย่างทั่วถึง เพื่อลดความเหลื่อมล้ําในระยะยาว” นางอภิรดี ตันตราภรณ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า“ความสามารถในการแข่งขันเป็นสิ่งที่บ่งชี้ศักยภาพของประเทศ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักธุรกิจ บรรยากาศการค้าและการลงทุน ดังนั้น การจัดการประชุมเพื่อหารือระหว่างผู้บริหารและผู้แทนจากหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเกณฑ์ชี้วัดใหม่ที่คาดว่าจะปรับใช้ในปี 2561 จะช่วยให้เห็นประเด็นและปัญหาที่ต้องเร่งดําเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อนําข้อมูลและข้อเสนอแนะเหล่านี้ มาช่วยในการกําหนดนโยบาย วางรากฐานการพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศตามแผนปฏิรูป Thailand 4.0 ที่รัฐบาลให้ความสําคัญมาโดยตลอด”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ ร่วมมือ WEF จัดเวิร์คช้อปความสามารถทางการแข่งขันในไทยครั้งแรกในรอบหลายปี ดึงซีอีโอองค์กรใหญ่ พร้อม SMEs และผู้แทนภาคประชาสังคม ร่วมหารือแนวทางเดินหน้าไทย พร้อมรับปฏิวัติอุต วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2560 พาณิชย์ ร่วมมือ WEF จัดเวิร์คช้อปความสามารถทางการแข่งขันในไทยครั้งแรกในรอบหลายปี ดึงซีอีโอองค์กรใหญ่ พร้อม SMEs และผู้แทนภาคประชาสังคม ร่วมหารือแนวทางเดินหน้าไทย พร้อมรับปฏิวัติอุต กระทรวงพาณิชย์ จับมือ World Economic Forum หรือ WEF และสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “Competitiveness and Inclusive Growth: Navigating towards Thailand 4.0” พร้อม SMEs และผู้แทนภาคประชาสังคม ร่วมถกเชิงนโยบาย เชื่อช่วยขยับอันดับขีดความสามารถการแข่งขันของไทยในเวทีโลก พร้อมรับมือการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ 4 หรือ 4IR (4th Industrial Revolution) การประชุมฯ ซึ่งจัดขึ้นวันนี้(จันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2560) ณ โรงแรม อนันตราสยาม กรุงเทพฯ ได้รับเกียรติจากผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐและเอกชน อาทิ ดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ดร. อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จํากัด นายศุภชัย เจียรวรานนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการ บริษัท เอสพีซีจี จํากัด (มหาชน) พร้อมตัวแทนจาก WEF ร่วมอภิปราย นางอภิรดี ตันตราภรณ์ เปิดเผยว่า“เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งที่ประเทศไทยได้พัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันมาอย่างต่อเนื่อง โดยผลการจัดอันดับ Global Competitiveness Index ปี 2017 - 2018 จาก WEFไทยขยับจากอันดับที่ 34 เมื่อปีก่อนหน้า มาอยู่ที่อันดับที่ 32 จาก 137 ประเทศทั่วโลกในปีนี้ โดยไทยมีคะแนนดีขึ้นในหลายหมวดใหญ่ โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจมหภาคและโครงสร้างพื้นฐาน แต่อย่างไรก็ดี การปฏิรูปภาครัฐและการสนับสนุนด้านนวัตกรรมยังคงต้องดําเนินการอย่างต่อเนื่องและครอบคลุมทั่วประเทศ” ด้าน นายจัสติน วู้ด หัวหน้าฝ่ายเอเชีย แปซิฟิก ของWEF กล่าวชื่นชมประเทศไทยที่เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้หลายด้านอย่างไรก็ตาม ในระยะยาว ไทยยังมีจุดอ่อนที่ต้องเร่งปรับปรุงอีกหลายด้าน ซึ่งการมาจัดการประชุมของ WEF ในครั้งนี้ จะนําเสนอประเด็นที่เห็นว่าไทยควรเดินหน้าพัฒนาให้เร็วขึ้น ได้แก่ (1) การพัฒนาด้านสถาบันเพื่อให้มีธรรมาภิบาล (2) การปรับ/ลดกฎระเบียบเพื่อสร้างความมีประสิทธิภาพของตลาดและสินค้า (3) การสร้างความพร้อมทางเทคโนโลยี (4) การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรม และ (5) การพัฒนาการศึกษาและทักษะ โดยทาง WEF ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญมานําเสนอประเด็นเหล่านี้อย่างลึกและตรงไปตรงมา และจะเสนอให้ไทยให้ความสําคัญกับการมีนโยบายเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วมและเติบโตอย่างทั่วถึง เพื่อลดความเหลื่อมล้ําในระยะยาว” นางอภิรดี ตันตราภรณ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า“ความสามารถในการแข่งขันเป็นสิ่งที่บ่งชี้ศักยภาพของประเทศ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักธุรกิจ บรรยากาศการค้าและการลงทุน ดังนั้น การจัดการประชุมเพื่อหารือระหว่างผู้บริหารและผู้แทนจากหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเกณฑ์ชี้วัดใหม่ที่คาดว่าจะปรับใช้ในปี 2561 จะช่วยให้เห็นประเด็นและปัญหาที่ต้องเร่งดําเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อนําข้อมูลและข้อเสนอแนะเหล่านี้ มาช่วยในการกําหนดนโยบาย วางรากฐานการพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศตามแผนปฏิรูป Thailand 4.0 ที่รัฐบาลให้ความสําคัญมาโดยตลอด”
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8226
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank จับมือ ซีพี ออลล์ ช่วยเอสเอ็มอีสู้ภัยโควิด-19 ขายผ่านร้านเซเว่นฯ-ออนไลน์ 24 shopping
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563 SME D Bank จับมือ ซีพี ออลล์ ช่วยเอสเอ็มอีสู้ภัยโควิด-19 ขายผ่านร้านเซเว่นฯ-ออนไลน์ 24 shopping SME D Bank จับมือกับซีพี ออลล์ จัดโครงการ คัดสรรสุดยอดสินค้า SME จําหน่ายผ่านช่องทางร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และช่องทางออนไลน์ของบริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จํากัด เพิ่มโอกาสในการจําหน่ายสินค้าส่งตรงถึงมือผู้บริโภค สู้ภัยโควิด-19 ช่วยเพิ่มรายได้ให้ชุมชน SME D Bank จับมือกับซีพี ออลล์ จัดโครงการ คัดสรรสุดยอดสินค้า SME จําหน่ายผ่านช่องทางร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และช่องทางออนไลน์ของบริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จํากัด เพิ่มโอกาสในการจําหน่ายสินค้าส่งตรงถึงมือผู้บริโภค สู้ภัยโควิด-19 ช่วยเพิ่มรายได้ให้ชุมชน หนุน SME ให้เติบโตยั่งยืน นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ธพว.ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อการพัฒนา SMEs ไทย ให้เติบโตและยั่งยืน พร้อมเพิ่มศักยภาพและขยายช่องทางการจําหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ในช่วงสถานการณ์ไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 โดยร่วมกับบริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกประเภทร้านค้าสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น จัดโครงการ ปั้นสุดยอดสินค้า SME จําหน่าย ผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่นทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ www.ShopAt24.com และนิตยสารทเวนตี้โฟร์ แคตตาล็อก ถือเป็นการเพิ่มโอกาสในการจําหน่ายสินค้าของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในแต่ละพื้นที่ส่งตรงถึงมือผู้บริโภค และยังช่วยสร้างยอดขายสร้างรายได้กับชุมชน พัฒนาธุรกิจรายย่อยให้เติบโตอย่างยั่งยืน สําหรับโครงการดังกล่าวเปิดโอกาสให้กับลูกค้า SME D Bank ทั้งบุคคลธรรมดานิติบุคคล นําสินค้ามาจําหน่ายผ่านช่องทางของซีพี ออลล์ และทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง ประกอบด้วย ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น, เว็บไซต์ www.ShopAt24.com ที่มีจํานวนผู้เข้าชม 5,000,000 รายต่อเดือน และนิตยสารทเวนตี้โฟร์ แคตตาล็อก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เครื่องสําอาง หรือของกิน ของใช้ที่เป็นสินค้าที่มีจุดเด่นและเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงต้องมีกําลังการผลิตที่เพียงพอต่อความต้องการ และกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน เช่น มาตรฐานรับรองจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เครื่องหมายการผลิตปลอดภัยมาตรฐานระดับโลก GMP หรือเครื่องหมายมาตรฐานอาหารฮาลาล เป็นต้น ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้า “ความร่วมมือระหว่าง SME D Bank และ ซีพี ออลล์ ถือเป็นการสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการพัฒนาและยกระดับสินค้า เพื่อวางจําหน่ายผ่านช่องทางการขายที่มีประสิทธิภาพส่งตรงถึงมือผู้บริโภค ช่วยให้ธุรกิจมียอดขายและรายได้เติบโตแบบยั่งยืนโดยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถสมัครได้ตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม – 12 มิถุนายน 2563 จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกเป็นขั้นตอนต่อไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center โทร.1357” นางสาวนารถนารี กล่าว ด้าน นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว ที่ปรึกษาอาวุโสคณะเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ กล่าวว่า ซีพี ออลล์ มีนโยบายและความมุ่งมั่นในการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยบริษัทจะเป็นช่องทางการจําหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มีโอกาสส่งสินค้าตรงถึงมือผู้บริโภคโดยตรงผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทั่วประเทศ และผ่านช่องทางของบริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จํากัด ซึ่งจําหน่ายสินค้าบนเว็บไซต์ www.ShopAt24.com แอปพลิเคชั่น และนิตยสารทเวนตี้โฟร์ แคตตาล็อก และช่วยพัฒนาเอสเอ็มอีให้เติบโตเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามปณิธานองค์กร “ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสให้ทุกคน” “ความร่วมมือกับ SME D Bank ครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มรายได้และขยายช่องทางการจําหน่ายให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี ในช่วงสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 นอกจากนี้ บริษัทยังให้คําแนะนําการพัฒนาสินค้าในด้านต่าง ๆ ให้แก่ลูกค้าเอสเอ็มอีด้วย เพื่อให้มียอดขายเติบโตที่ดีต่อเนื่อง โดยผลจากการดําเนินงานที่ผ่านมา มีสินค้าเอสเอ็มอีในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นและทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง กว่า 20,000 รายการ และได้ช่วยเหลือเกษตรกรกว่า 50,000 ครอบครัว ให้มีช่องทางจําหน่ายสินค้ามากขึ้น” นายสุวิทย์ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank จับมือ ซีพี ออลล์ ช่วยเอสเอ็มอีสู้ภัยโควิด-19 ขายผ่านร้านเซเว่นฯ-ออนไลน์ 24 shopping วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563 SME D Bank จับมือ ซีพี ออลล์ ช่วยเอสเอ็มอีสู้ภัยโควิด-19 ขายผ่านร้านเซเว่นฯ-ออนไลน์ 24 shopping SME D Bank จับมือกับซีพี ออลล์ จัดโครงการ คัดสรรสุดยอดสินค้า SME จําหน่ายผ่านช่องทางร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และช่องทางออนไลน์ของบริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จํากัด เพิ่มโอกาสในการจําหน่ายสินค้าส่งตรงถึงมือผู้บริโภค สู้ภัยโควิด-19 ช่วยเพิ่มรายได้ให้ชุมชน SME D Bank จับมือกับซีพี ออลล์ จัดโครงการ คัดสรรสุดยอดสินค้า SME จําหน่ายผ่านช่องทางร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และช่องทางออนไลน์ของบริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จํากัด เพิ่มโอกาสในการจําหน่ายสินค้าส่งตรงถึงมือผู้บริโภค สู้ภัยโควิด-19 ช่วยเพิ่มรายได้ให้ชุมชน หนุน SME ให้เติบโตยั่งยืน นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ธพว.ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อการพัฒนา SMEs ไทย ให้เติบโตและยั่งยืน พร้อมเพิ่มศักยภาพและขยายช่องทางการจําหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ในช่วงสถานการณ์ไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 โดยร่วมกับบริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกประเภทร้านค้าสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น จัดโครงการ ปั้นสุดยอดสินค้า SME จําหน่าย ผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่นทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ www.ShopAt24.com และนิตยสารทเวนตี้โฟร์ แคตตาล็อก ถือเป็นการเพิ่มโอกาสในการจําหน่ายสินค้าของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในแต่ละพื้นที่ส่งตรงถึงมือผู้บริโภค และยังช่วยสร้างยอดขายสร้างรายได้กับชุมชน พัฒนาธุรกิจรายย่อยให้เติบโตอย่างยั่งยืน สําหรับโครงการดังกล่าวเปิดโอกาสให้กับลูกค้า SME D Bank ทั้งบุคคลธรรมดานิติบุคคล นําสินค้ามาจําหน่ายผ่านช่องทางของซีพี ออลล์ และทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง ประกอบด้วย ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น, เว็บไซต์ www.ShopAt24.com ที่มีจํานวนผู้เข้าชม 5,000,000 รายต่อเดือน และนิตยสารทเวนตี้โฟร์ แคตตาล็อก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เครื่องสําอาง หรือของกิน ของใช้ที่เป็นสินค้าที่มีจุดเด่นและเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงต้องมีกําลังการผลิตที่เพียงพอต่อความต้องการ และกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน เช่น มาตรฐานรับรองจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เครื่องหมายการผลิตปลอดภัยมาตรฐานระดับโลก GMP หรือเครื่องหมายมาตรฐานอาหารฮาลาล เป็นต้น ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้า “ความร่วมมือระหว่าง SME D Bank และ ซีพี ออลล์ ถือเป็นการสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการพัฒนาและยกระดับสินค้า เพื่อวางจําหน่ายผ่านช่องทางการขายที่มีประสิทธิภาพส่งตรงถึงมือผู้บริโภค ช่วยให้ธุรกิจมียอดขายและรายได้เติบโตแบบยั่งยืนโดยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถสมัครได้ตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม – 12 มิถุนายน 2563 จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกเป็นขั้นตอนต่อไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center โทร.1357” นางสาวนารถนารี กล่าว ด้าน นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว ที่ปรึกษาอาวุโสคณะเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ กล่าวว่า ซีพี ออลล์ มีนโยบายและความมุ่งมั่นในการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยบริษัทจะเป็นช่องทางการจําหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มีโอกาสส่งสินค้าตรงถึงมือผู้บริโภคโดยตรงผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทั่วประเทศ และผ่านช่องทางของบริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จํากัด ซึ่งจําหน่ายสินค้าบนเว็บไซต์ www.ShopAt24.com แอปพลิเคชั่น และนิตยสารทเวนตี้โฟร์ แคตตาล็อก และช่วยพัฒนาเอสเอ็มอีให้เติบโตเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามปณิธานองค์กร “ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสให้ทุกคน” “ความร่วมมือกับ SME D Bank ครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มรายได้และขยายช่องทางการจําหน่ายให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี ในช่วงสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 นอกจากนี้ บริษัทยังให้คําแนะนําการพัฒนาสินค้าในด้านต่าง ๆ ให้แก่ลูกค้าเอสเอ็มอีด้วย เพื่อให้มียอดขายเติบโตที่ดีต่อเนื่อง โดยผลจากการดําเนินงานที่ผ่านมา มีสินค้าเอสเอ็มอีในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นและทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง กว่า 20,000 รายการ และได้ช่วยเหลือเกษตรกรกว่า 50,000 ครอบครัว ให้มีช่องทางจําหน่ายสินค้ามากขึ้น” นายสุวิทย์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31502
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากฯ จัดประชาพิจารณ์สลากแบบรวมชุดที่จังหวัดเลย
วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561 สํานักงานสลากฯ จัดประชาพิจารณ์สลากแบบรวมชุดที่จังหวัดเลย สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จัดประชุมแผนการสร้างการรับรู้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย กลุ่มคู่ค้า โดยผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย เจ้าหน้าที่จังหวัดและคลังจังหวัด ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการจําหน่ายสลากให้กับตัวแทนจําหน่ายในส่วนภูมิภาค วันนี้ (๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๑) เวลา ๐๙.๓๐ น. ที่โรงแรมเลยพาเลซ จังหวัดเลย สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จัดประชุมแผนการสร้างการรับรู้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย กลุ่มคู่ค้า โดยผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย เจ้าหน้าที่จังหวัดและคลังจังหวัด ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการจําหน่ายสลากให้กับตัวแทนจําหน่ายในส่วนภูมิภาค ตลอดจนผู้แทน บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด และตัวแทนจําหน่ายสลากในพื้นที่จังหวัดเลย กาฬสินธุ์ ขอนแก่น นครพนม บึงกาฬ มุกดาหาร สกลนคร หนองคาย หนองบัวลําภู และอุดรธานี รวม ๑๐ จังหวัด หลังจากนั้น ได้เปิดเวทีสัมมนาประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นประชาชนเรื่องสลากรวมชุด โดยมีตัวแทนจําหน่ายจากสมาคมผู้พิการ ตัวแทนจําหน่ายรายย่อยและเครือข่ายภาคประชาชนร่วมเป็นวิทยากรด้วย นายทวีป วุฒิบาทุกาจิตต์ ผู้ช่วยผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า การประชุมในวันนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพบปะ พูดคุยรับฟังข้อเสนอแนะ และถ่ายทอดแนวทางการดําเนินงานของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของสลาก การเปลี่ยนแปลงจํานวนสลาก และความเคร่งครัดในการตรวจสอบตัวแทนจําหน่าย ให้จําหน่ายสลากตามราคาที่กําหนด คือ ๘๐ บาท ซึ่งภารกิจต่าง ๆ เหล่านี้ ต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในส่วนภูมิภาค ทั้งในส่วนของจังหวัด คลังจังหวัด บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด ตลอดจนตัวแทนจําหน่ายสลากในพื้นที่ และในโอกาสเดียวกันนี้ จะได้รับฟังความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับการจัดทําสลากรวมชุดไปพร้อมกันด้วย สําหรับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน จากเวทีประชาพิจารณ์ในครั้งนี้ นายธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ในฐานะโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลและผู้ดําเนินการสัมมนา เปิดเผยว่า การจัดสัมมนาในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมเป็นวิทยากรแสดงความคิดเห็นประกอบด้วย นายทนง สุวรรณสิงห์ อดีตหัวหน้ากลุ่มงานกิจกรรมมวลชน กอ.รมน.จังหวัด นายสีหนารถ อินทร์จา นายกสมาคมคนตาบอดจังหวัดเลย และนางสาวศรัญญา พิลามา ตัวแทนจําหน่ายสลากรายย่อย ร่วมเข้าแสดงความคิดเห็นด้วย ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมสัมมนาส่วนใหญ่มีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า ควรทําสลากแบบชุด ๕ ใบ ๔๐๐ บาท โดยสํานักงานสลากฯ และเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นไปตามความต้องการของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย อย่างไรก็ตาม เห็นว่าสํานักงานสลากฯ ควรเพิ่มปริมาณสลากให้มากขึ้นกว่ารายละ ๑๐ เล่ม เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด นายธนวรรธน์ฯ กล่าวว่า นอกจากการแสดงความคิดเห็นผ่านเวทีสัมมนาในภูมิภาคต่าง ๆ แล้ว มีประชาชนที่สนใจแสดงความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์กว่า ๑๐,๙๓๗ ราย ส่วนใหญ่เป็นตัวแทนจําหน่ายสลากรายย่อยส่วนกลาง โดยกว่าร้อยละ ๗๐ เห็นว่าควรทําสลากรวมชุด แบบชุด ๕ ใบ ราคาชุดละ ๔๐๐ บาท และต้องการซื้อสลากแบบรวมชุดจากผู้จําหน่ายที่มีจุดจําหน่ายประจํา และมีบัตรตัวแทนจําหน่าย เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ ท่านที่สนใจสามารถแสดงความเห็นผ่านเว็บไซต์ของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล www.glo.or.th และตู้ ปณ.๒๒ ปณ.นนทบุรี อ.เมือง จ.นนทบุรี ๑๑๐๐๐ จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน นี้ การจัดสัมมนาที่จังหวัดเลยในวันนี้ เป็นการจัดสัมมนาโครงการนี้ครั้งสุดท้าย หลังจากที่ดําเนินการมาแล้ว ๔ ครั้ง โดยครั้งแรกจัดที่สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล สนามบินน้ํา ต่อด้วยจังหวัดเชียงใหม่ นครศรีธรรมราช และนครสวรรค์ จากนี้ไป จะใช้เวลาที่เหลือก่อนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ รับฟังความคิดเห็นผ่านช่องทางต่าง ๆ ก่อนจะรวบรวมและกลั่นกรองนําเสนอคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อนําไปสู่การตัดสินใจอย่างรอบคอบ โปร่งใส รัดกุม ในการทําสลากชุดที่ สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและความเหมาะสมกับสังคมไทยต่อไป หากคณะกรรมการสลากฯ อนุมัติให้ดําเนินการ ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนของการจัดทําสลากรวมชุดในช่วงครึ่งปีหลัง โฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากฯ จัดประชาพิจารณ์สลากแบบรวมชุดที่จังหวัดเลย วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561 สํานักงานสลากฯ จัดประชาพิจารณ์สลากแบบรวมชุดที่จังหวัดเลย สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จัดประชุมแผนการสร้างการรับรู้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย กลุ่มคู่ค้า โดยผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย เจ้าหน้าที่จังหวัดและคลังจังหวัด ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการจําหน่ายสลากให้กับตัวแทนจําหน่ายในส่วนภูมิภาค วันนี้ (๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๑) เวลา ๐๙.๓๐ น. ที่โรงแรมเลยพาเลซ จังหวัดเลย สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จัดประชุมแผนการสร้างการรับรู้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย กลุ่มคู่ค้า โดยผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย เจ้าหน้าที่จังหวัดและคลังจังหวัด ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการจําหน่ายสลากให้กับตัวแทนจําหน่ายในส่วนภูมิภาค ตลอดจนผู้แทน บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด และตัวแทนจําหน่ายสลากในพื้นที่จังหวัดเลย กาฬสินธุ์ ขอนแก่น นครพนม บึงกาฬ มุกดาหาร สกลนคร หนองคาย หนองบัวลําภู และอุดรธานี รวม ๑๐ จังหวัด หลังจากนั้น ได้เปิดเวทีสัมมนาประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นประชาชนเรื่องสลากรวมชุด โดยมีตัวแทนจําหน่ายจากสมาคมผู้พิการ ตัวแทนจําหน่ายรายย่อยและเครือข่ายภาคประชาชนร่วมเป็นวิทยากรด้วย นายทวีป วุฒิบาทุกาจิตต์ ผู้ช่วยผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า การประชุมในวันนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพบปะ พูดคุยรับฟังข้อเสนอแนะ และถ่ายทอดแนวทางการดําเนินงานของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของสลาก การเปลี่ยนแปลงจํานวนสลาก และความเคร่งครัดในการตรวจสอบตัวแทนจําหน่าย ให้จําหน่ายสลากตามราคาที่กําหนด คือ ๘๐ บาท ซึ่งภารกิจต่าง ๆ เหล่านี้ ต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในส่วนภูมิภาค ทั้งในส่วนของจังหวัด คลังจังหวัด บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด ตลอดจนตัวแทนจําหน่ายสลากในพื้นที่ และในโอกาสเดียวกันนี้ จะได้รับฟังความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับการจัดทําสลากรวมชุดไปพร้อมกันด้วย สําหรับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน จากเวทีประชาพิจารณ์ในครั้งนี้ นายธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ในฐานะโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลและผู้ดําเนินการสัมมนา เปิดเผยว่า การจัดสัมมนาในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมเป็นวิทยากรแสดงความคิดเห็นประกอบด้วย นายทนง สุวรรณสิงห์ อดีตหัวหน้ากลุ่มงานกิจกรรมมวลชน กอ.รมน.จังหวัด นายสีหนารถ อินทร์จา นายกสมาคมคนตาบอดจังหวัดเลย และนางสาวศรัญญา พิลามา ตัวแทนจําหน่ายสลากรายย่อย ร่วมเข้าแสดงความคิดเห็นด้วย ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมสัมมนาส่วนใหญ่มีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า ควรทําสลากแบบชุด ๕ ใบ ๔๐๐ บาท โดยสํานักงานสลากฯ และเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นไปตามความต้องการของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย อย่างไรก็ตาม เห็นว่าสํานักงานสลากฯ ควรเพิ่มปริมาณสลากให้มากขึ้นกว่ารายละ ๑๐ เล่ม เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด นายธนวรรธน์ฯ กล่าวว่า นอกจากการแสดงความคิดเห็นผ่านเวทีสัมมนาในภูมิภาคต่าง ๆ แล้ว มีประชาชนที่สนใจแสดงความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์กว่า ๑๐,๙๓๗ ราย ส่วนใหญ่เป็นตัวแทนจําหน่ายสลากรายย่อยส่วนกลาง โดยกว่าร้อยละ ๗๐ เห็นว่าควรทําสลากรวมชุด แบบชุด ๕ ใบ ราคาชุดละ ๔๐๐ บาท และต้องการซื้อสลากแบบรวมชุดจากผู้จําหน่ายที่มีจุดจําหน่ายประจํา และมีบัตรตัวแทนจําหน่าย เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ ท่านที่สนใจสามารถแสดงความเห็นผ่านเว็บไซต์ของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล www.glo.or.th และตู้ ปณ.๒๒ ปณ.นนทบุรี อ.เมือง จ.นนทบุรี ๑๑๐๐๐ จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน นี้ การจัดสัมมนาที่จังหวัดเลยในวันนี้ เป็นการจัดสัมมนาโครงการนี้ครั้งสุดท้าย หลังจากที่ดําเนินการมาแล้ว ๔ ครั้ง โดยครั้งแรกจัดที่สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล สนามบินน้ํา ต่อด้วยจังหวัดเชียงใหม่ นครศรีธรรมราช และนครสวรรค์ จากนี้ไป จะใช้เวลาที่เหลือก่อนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ รับฟังความคิดเห็นผ่านช่องทางต่าง ๆ ก่อนจะรวบรวมและกลั่นกรองนําเสนอคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อนําไปสู่การตัดสินใจอย่างรอบคอบ โปร่งใส รัดกุม ในการทําสลากชุดที่ สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและความเหมาะสมกับสังคมไทยต่อไป หากคณะกรรมการสลากฯ อนุมัติให้ดําเนินการ ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนของการจัดทําสลากรวมชุดในช่วงครึ่งปีหลัง โฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13166
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รองโฆษก รบ.เผย ยอดจองโรงแรม เราเที่ยวด้วยกัน"
วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2563 รองโฆษก รบ.เผย ยอดจองโรงแรม เราเที่ยวด้วยกัน" รองโฆษก รบ.เผย ยอดจองโรงแรม "เราเที่ยวด้วยกัน" เตือน ผู้ประกอบการอย่าฉวยโอกาสอัพราคาห้องพัก เมื่อวันที่ 19 ก.ค.63 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ยอดการจองที่พักในโครงการเราเที่ยวด้วยกันวันแรก เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา พบว่ามีอัตราการจองของประชาชนแล้วอยู่ที่ 3.6 ล้านคน โดยนับจากการที่โรงแรมที่พักได้ส่งอัตราค่าห้องพักให้นักท่องเที่ยวได้ชําระเงิน โดยเมืองหลักยังคงได้รับความนิยมสูง ส่วนแหล่งท่องเที่ยวระยะใกล้มียอดจองสูงสุดในภาคตะวันออกและตะวันตก โดยประชาชนนิยมจองโรงแรมติดทะเล และส่วนใหญ่จะจองเพียง 1 คืน ส่วนแหล่งท่องเที่ยวระยะไกล ที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ ภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จังหวัดกระบี่ ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมจองที่พักจํานวน 2 คืน น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ทางด้านระบบสมัครรับสิทธ์ ระบบการแจ้งยอด และระบบชําระค่าห้องพักนั้นทุกอย่างถือว่าเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี คาดว่าช่วงวันเสาร์-อาทิตย์นี้ ประชาชนจะทยอยเข้าร่วมโครงการฯและจองห้องพักมากขึ้น โดยในช่วงสัปดาห์หน้าที่มีช่วงวันหยุดยาวชดเชยสงกรานต์ตามมติคณะรัฐมนตรี ที่จะเริ่มมีการเดินทางในช่วงวันศุกร์ที่ 24 ก.ค.เป็นต้นไป ในส่วนสิทธิพิเศษ ตามโครงการ"เราเที่ยวด้วยกัน" นั้น รัฐได้สนับสนุนค่าใช้จ่าย 40% ของราคาที่พักต่อห้องต่อคืน ซึ่งจองได้ไม่เกิน 5 คืน ซึ่งมีด้วยกัน 5 ล้านสิทธิ์ น.ส.ไตรศุลี ยังกล่าวอีกว่า รัฐบาลขอความร่วมมือและย้ําเตือนไปยังผู้ประกอบการโรงแรมที่พักว่าอย่าใช้โอกาสนี้ขึ้นราคาที่พัก หลังพบข้อมูลในโซเชียลมีเดียว่ามีการร้องเรียนเรื่องดังกล่าวเป็นจํานวนมาก โดยจะมีหน่วยงานเข้าไปตรวจสอบว่ามีการขึ้นราคาจริงหรือไม่ เพื่อป้องกันการเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว หากพบว่าโรงแรมมีการขึ้นราคาจริง โรงแรมจะถูกตัดสิทธิ์ในการเข้าร่วมโครงการทันที ซึ่งโครงการเราเที่ยวด้วยกันนี้ มุ่งหวังที่จะส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว เพื่อกระจายรายได้สู่พื้นที่ต่างๆ อันเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจในภาครวม จึงหวังว่าผู้ประกอบการจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ไม่ฉวยโอกาสกับประชาชน .... สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รองโฆษก รบ.เผย ยอดจองโรงแรม เราเที่ยวด้วยกัน" วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2563 รองโฆษก รบ.เผย ยอดจองโรงแรม เราเที่ยวด้วยกัน" รองโฆษก รบ.เผย ยอดจองโรงแรม "เราเที่ยวด้วยกัน" เตือน ผู้ประกอบการอย่าฉวยโอกาสอัพราคาห้องพัก เมื่อวันที่ 19 ก.ค.63 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ยอดการจองที่พักในโครงการเราเที่ยวด้วยกันวันแรก เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา พบว่ามีอัตราการจองของประชาชนแล้วอยู่ที่ 3.6 ล้านคน โดยนับจากการที่โรงแรมที่พักได้ส่งอัตราค่าห้องพักให้นักท่องเที่ยวได้ชําระเงิน โดยเมืองหลักยังคงได้รับความนิยมสูง ส่วนแหล่งท่องเที่ยวระยะใกล้มียอดจองสูงสุดในภาคตะวันออกและตะวันตก โดยประชาชนนิยมจองโรงแรมติดทะเล และส่วนใหญ่จะจองเพียง 1 คืน ส่วนแหล่งท่องเที่ยวระยะไกล ที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ ภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จังหวัดกระบี่ ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมจองที่พักจํานวน 2 คืน น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ทางด้านระบบสมัครรับสิทธ์ ระบบการแจ้งยอด และระบบชําระค่าห้องพักนั้นทุกอย่างถือว่าเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี คาดว่าช่วงวันเสาร์-อาทิตย์นี้ ประชาชนจะทยอยเข้าร่วมโครงการฯและจองห้องพักมากขึ้น โดยในช่วงสัปดาห์หน้าที่มีช่วงวันหยุดยาวชดเชยสงกรานต์ตามมติคณะรัฐมนตรี ที่จะเริ่มมีการเดินทางในช่วงวันศุกร์ที่ 24 ก.ค.เป็นต้นไป ในส่วนสิทธิพิเศษ ตามโครงการ"เราเที่ยวด้วยกัน" นั้น รัฐได้สนับสนุนค่าใช้จ่าย 40% ของราคาที่พักต่อห้องต่อคืน ซึ่งจองได้ไม่เกิน 5 คืน ซึ่งมีด้วยกัน 5 ล้านสิทธิ์ น.ส.ไตรศุลี ยังกล่าวอีกว่า รัฐบาลขอความร่วมมือและย้ําเตือนไปยังผู้ประกอบการโรงแรมที่พักว่าอย่าใช้โอกาสนี้ขึ้นราคาที่พัก หลังพบข้อมูลในโซเชียลมีเดียว่ามีการร้องเรียนเรื่องดังกล่าวเป็นจํานวนมาก โดยจะมีหน่วยงานเข้าไปตรวจสอบว่ามีการขึ้นราคาจริงหรือไม่ เพื่อป้องกันการเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว หากพบว่าโรงแรมมีการขึ้นราคาจริง โรงแรมจะถูกตัดสิทธิ์ในการเข้าร่วมโครงการทันที ซึ่งโครงการเราเที่ยวด้วยกันนี้ มุ่งหวังที่จะส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว เพื่อกระจายรายได้สู่พื้นที่ต่างๆ อันเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจในภาครวม จึงหวังว่าผู้ประกอบการจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ไม่ฉวยโอกาสกับประชาชน .... สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33483
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ปลื้มอันดับความสามารถ 4.0 ไทยดีขึ้น ติดโผ 1 ใน 40 ของโลก แม้รายได้ประชากรไม่สูง
วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม 2561 นายกฯ ปลื้มอันดับความสามารถ 4.0 ไทยดีขึ้น ติดโผ 1 ใน 40 ของโลก แม้รายได้ประชากรไม่สูง นายกฯ ปลื้มอันดับความสามารถ 4.0 ไทยดีขึ้น ติดโผ 1 ใน 40 ของโลก แม้รายได้ประชากรไม่สูง วันที่ 21 ตุลาคม 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พอใจผลการจัดอันดับความสามารถทางการแข่งขันระดับโลก 4.0 ประจําปี 2018 (Global Competitiveness Index 4.0) ของ WEF ที่ประเทศไทยมีอันดับและคะแนนดีขึ้น โดยอยู่ในอันดับที่ 38 จาก 140 ประเทศทั่วโลก มีคะแนน 67.5 เต็ม 100 จากเดิมอยู่ในอันดับที่ 40 คะแนน 66.3 เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งสะท้อนว่าประเทศไทยก้าวสู่ความเป็น 4.0 มากขึ้น "นายกฯ เน้นย้ําว่า จากการไปประชุมที่ต่างประเทศ ผู้นําหลายประเทศมีความเข้าใจและสนับสนุนแนวทางการพัฒนาของไทย ซึ่งรัฐบาลมีเป้าหมายสําคัญในการปฏิรูป เพื่อพลิกโฉมเมืองไทยให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วและประชาชนอยู่ดีกินดี ภายใน 20 ปี โดยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติด้วย" นายกรัฐมนตรีระบุว่า จากเกณฑ์การประเมิน 12 ด้าน 98 ตัวชี้วัด ประเทศไทยมีจุดแข็งด้านระบบการเงินที่อยู่ในอันดับ 14 ของโลก เพราะมีความพร้อมด้านเงินทุน เช่น วงเงินสินเชื่อที่ให้กับภาคเอกชน SMEs และสตาร์ทอัพ และเสถียรภาพของธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งด้านขนาดของตลาดที่อยู่ในอันดับ 18 ของโลก โดยมาจากการบริโภคภายในประเทศ การลงทุน และการส่งออก ที่บริษัทต่าง ๆ สามารถเข้าถึงได้ อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีกําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปรับปรุงจุดอ่อน เช่น ความเท่าเทียมในการแข่งขันของภาคเอกชน ความซับซ้อนของกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการทําธุรกิจและนําไปสู่การเกิดนวัตกรรมได้มากขึ้น รวมถึงด้าน การศึกษาและทักษะที่ต้องให้ความสําคัญเป็นพิเศษด้วย สําหรับอันดับในอาเซียนของไทยนั้นอยู่ที่ 3 รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย ส่วนในกลุ่มอาเซียน +3 ไทยอยู่อันดับที่ 6 จาก 12 ประเทศ รองจากสิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย และจีน ซึ่งเป็นอันดับคงที่มาหลายปี แสดงถึงสถานะทางการแข่งขันที่มั่นคงของไทยในเวทีนี้ได้อย่างชัดเจน "ไทยสามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งใน 40 อันดับแรกของโลกได้ แม้ไม่ได้เป็นประเทศที่รายได้ต่อประชากรอยู่ในระดับสูงก็ตาม"
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ปลื้มอันดับความสามารถ 4.0 ไทยดีขึ้น ติดโผ 1 ใน 40 ของโลก แม้รายได้ประชากรไม่สูง วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม 2561 นายกฯ ปลื้มอันดับความสามารถ 4.0 ไทยดีขึ้น ติดโผ 1 ใน 40 ของโลก แม้รายได้ประชากรไม่สูง นายกฯ ปลื้มอันดับความสามารถ 4.0 ไทยดีขึ้น ติดโผ 1 ใน 40 ของโลก แม้รายได้ประชากรไม่สูง วันที่ 21 ตุลาคม 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พอใจผลการจัดอันดับความสามารถทางการแข่งขันระดับโลก 4.0 ประจําปี 2018 (Global Competitiveness Index 4.0) ของ WEF ที่ประเทศไทยมีอันดับและคะแนนดีขึ้น โดยอยู่ในอันดับที่ 38 จาก 140 ประเทศทั่วโลก มีคะแนน 67.5 เต็ม 100 จากเดิมอยู่ในอันดับที่ 40 คะแนน 66.3 เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งสะท้อนว่าประเทศไทยก้าวสู่ความเป็น 4.0 มากขึ้น "นายกฯ เน้นย้ําว่า จากการไปประชุมที่ต่างประเทศ ผู้นําหลายประเทศมีความเข้าใจและสนับสนุนแนวทางการพัฒนาของไทย ซึ่งรัฐบาลมีเป้าหมายสําคัญในการปฏิรูป เพื่อพลิกโฉมเมืองไทยให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วและประชาชนอยู่ดีกินดี ภายใน 20 ปี โดยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติด้วย" นายกรัฐมนตรีระบุว่า จากเกณฑ์การประเมิน 12 ด้าน 98 ตัวชี้วัด ประเทศไทยมีจุดแข็งด้านระบบการเงินที่อยู่ในอันดับ 14 ของโลก เพราะมีความพร้อมด้านเงินทุน เช่น วงเงินสินเชื่อที่ให้กับภาคเอกชน SMEs และสตาร์ทอัพ และเสถียรภาพของธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งด้านขนาดของตลาดที่อยู่ในอันดับ 18 ของโลก โดยมาจากการบริโภคภายในประเทศ การลงทุน และการส่งออก ที่บริษัทต่าง ๆ สามารถเข้าถึงได้ อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีกําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปรับปรุงจุดอ่อน เช่น ความเท่าเทียมในการแข่งขันของภาคเอกชน ความซับซ้อนของกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการทําธุรกิจและนําไปสู่การเกิดนวัตกรรมได้มากขึ้น รวมถึงด้าน การศึกษาและทักษะที่ต้องให้ความสําคัญเป็นพิเศษด้วย สําหรับอันดับในอาเซียนของไทยนั้นอยู่ที่ 3 รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย ส่วนในกลุ่มอาเซียน +3 ไทยอยู่อันดับที่ 6 จาก 12 ประเทศ รองจากสิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย และจีน ซึ่งเป็นอันดับคงที่มาหลายปี แสดงถึงสถานะทางการแข่งขันที่มั่นคงของไทยในเวทีนี้ได้อย่างชัดเจน "ไทยสามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งใน 40 อันดับแรกของโลกได้ แม้ไม่ได้เป็นประเทศที่รายได้ต่อประชากรอยู่ในระดับสูงก็ตาม"
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16227
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กขร. ติดตามผลการดำเนินงานส่วนราชการต่าง ๆ มีความก้าวหน้าโดยลำดับ
วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม 2560 กขร. ติดตามผลการดําเนินงานส่วนราชการต่าง ๆ มีความก้าวหน้าโดยลําดับ นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 2/2560 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผลการดําเนินงานส่วนราชการมีความก้าวหน้าโดยลําดับ วันนี้ (4 พ.ค.60) เวลา 14.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ นางสาวเรณู ตังคจิวางกูรรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 2/2560 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมรับทราบข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2560 ให้ทุกส่วนราชการจัดทําแผนการปฏิบัติงานในกรอบระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2561 โดยให้ระบุแผนงานสําคัญต่าง ๆ ที่จะดําเนินการเพื่อการแก้ไขปัญหาหรือปรับปรุงพัฒนาในทุก ๆ ด้าน เช่น การคมนาคม การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เศรษฐกิจดิจิทัล การศึกษา การวิจัยและนวัตกรรม ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และประเด็นการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งให้กําหนดเป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ของการดําเนินการที่เป็นรูปธรรมในระยะทุก ๆ 3 เดือน และระยะ 1 ปี เพื่อให้สามารถติดตามและประเมินผลการดําเนินการได้ ทั้งนี้ หากแผนงานใดมีกําหนดเวลาการดําเนินการนานกว่ากรอบระยะเวลาที่กําหนดข้างต้น ให้จัดทําแผนงานสําหรับส่งต่อให้รัฐบาลชุดต่อไปตามรูปแบบที่สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวบรวมและนําเสนอนายกรัฐมนตรี เพื่อใช้ประโยชน์ในการปฏิรูปประเทศและการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรีรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 2/2560 เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2560 ตามที่ กขร. เสนอ ในการนี้ได้มีบัญชา “เห็นชอบ/ทําความเข้าใจการทํางานให้ไม่ซ้ําซ้อนกัน/ลดภาระ/ โดยให้หน่วยงานหลักรับผิดชอบโดยตรงร่วมกับหน่วยงานเสริม/บูรณาการ” อีกทั้งที่ประชุม ได้รับทราบรายงานผลงานเด่น (Highlight) ประจําปีในห้วงเดือนมีนาคม 2560 จากส่วนราชการ 11 ส่วนราชการ ได้แก่ สํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กระทรวงกลาโหม (กห.) กระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) กระทรวงแรงงาน (รง.) กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และ กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) ซึ่งการดําเนินงานของส่วนราชการดังกล่าวมีความคืบหน้าโดยลําดับ ดังนี้ สมช. มีผลงานเด่น เช่น มีการจัดทําฐานข้อมูลด้านความมั่นคง เร่งรัดการทดสอบระบบพร้อมกําหนดแนวทางการป้องกันความเสี่ยง ประเด็นการปฏิรูปกระทรวงกลาโหม การพัฒนายุทโธปกรณ์ การกําหนดแนวทางให้บุคลากรประสานการทํางานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงอื่น ๆ ประเด็นการปฏิรูปตํารวจ ให้สํานักงานตํารวจแห่งชาติเร่งปฏิรูปกิจการตํารวจให้เป็นไปตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในการทํางานของตํารวจ ประเด็นการปฏิรูประบบงานด้านข่าวกรองให้สํานักข่าวกรองแห่งชาติ การปฏิรูปโครงสร้างและระบบงานด้านการข่าว การพัฒนาระบบฐานข้อมูลให้เชื่อมโยง การกําหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัดประสิทธิภาพของงานข่าวกรอง การกําหนดภัยและระดับความรุนแรงของภัยที่ชัดเจน ตลอดจนการจัดทํานโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ กห. มีผลงานเด่น เช่น กองทัพเรือจัดการประชุม Navy to Navy Staff Talks ครั้งที่ 5 ระหว่างกองทัพเรือและกองทัพเรือเมียนมา เพื่อร่วมหารือในประเด็นความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกัน อาทิ ความมั่นคงทางทะเล ความร่วมมือด้านการศึกษาอบรม การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การแลกเปลี่ยนการเยือนของกําลังพล ฯลฯ การแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing) การดําเนินการตามแผนงานรองรับข้อเสนอแนะของผู้แทนจากสหภาพยุโรป และองค์กรพัฒนาเอกชน มีแผนงานรองรับข้อเสนอแนะของผู้แทนสหภาพยุโรปจากการหารือที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นแผนงานเดียว โดยมีงานรวมทั้งสิ้น จํานวน 155 แผนงาน มีความก้าวหน้าจึงถึง 18 มีนาคม 2560 คงเหลือ จํานวน 14 แผนงาน การตรวจเรือประมงในน่านน้ําของศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ดําเนินการตรวจเรือประมงในน่านน้ํา จํานวน 314 ลํา พบการกระทําความผิด จํานวน 14 ลํา พิธีส่งหน่วยบินปฏิบัติการฝนหลวงกองทัพอากาศ ประจําปี 2560 เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งให้กับประชาชน กค. มีผลงานเด่น เช่น การแก้ไขหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “ขจัดหนี้นอกระบบเป็นศูนย์” โดย กค. ได้นําเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาทั้งในส่วนของลูกหนี้และเจ้าหนี้ควบคู่กันไปอย่างเป็นระบบครบวงจรและต่อเนื่อง 5 มิติ ได้แก่ การดําเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหน้านี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย การเพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อในระบบให้กับลูกหนี้นอกระบบและประชาชนทั่วไป การลดภาระหนี้นอกระบบโดยการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้โดยภาครัฐได้จัดการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้โดยคณะกรรมการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ซึ่งมีอยู่ในทุกจังหวัดและจัดให้มีจุดให้คําปรึกษาหนี้นอกระบบที่ธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ได้อย่างทั่วถึง การเพิ่มศักยภาพของลูกหนี้นอกระบบโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การพัฒนาเครือข่ายองค์กรการเงินชุมชนให้ทําหน้าที่ทดแทนเจ้าหนี้นอกระบบ รายงานผลโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2559 มีผู้มาลงทะเบียนทั้งสิ้น จํานวน 8,375,383 คน เป็นผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินโอน จํานวน 7,715,359 คน โดยหลังสิ้นสุดมาตรการมีผู้ได้รับเงินโอนทั้งสิ้น 7,525,363 คน และไม่ได้รับเงินโอน จํานวน 189,996 คน เนื่องจากไม่มีบัญชีเงินฝากกับธนาคาร และโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 เปิดให้ลงทะเบียนระหว่างวันที่ 3 เมษายน 2560 – 15 พฤษภาคม 2560 กก. มีผลงานเด่น เช่น จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่องถอดรหัส “เสน่ห์เที่ยว-เสน่ห์ไทย” : ก้าวสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมสินค้าของที่ระลึกเพื่อการท่องเที่ยว เพื่อให้ผู้ประกอบการมีความเข้าใจก่อนการผลิตสินค้าเพื่อจําหน่ายจริงผ่านเครื่องมือทางการตลาดที่เรียกว่า Business Model Canvas หรือ BMC การกีฬาแห่งประเทศไทยมอบสิทธิผู้ให้การสนับสนุนสิทธิประโยชน์กลาง ประจําปี พ.ศ. 2560 – 2563 ดศ. มีผลงานเด่น เช่น งานสัมมนา “วิสัยทัศน์รัฐบาลดิจิทัลประเทศไทย : Thailand Digital Government Vision 2017 – 2021” เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐรับทราบวิสัยทัศน์รัฐบาลดิจิทัลประเทศไทย และนํามาเป็นแนวทางในการพัฒนางานตามแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม โครงการ “ความร่วมมือการส่งเสริมเศรษฐกิจผู้ประกอบการในชุมชนท้องถิ่น” ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนําภารกิจบูรณาการสู่ศูนย์ดิจิทัลชุมชน และเร่งขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีภาคประชาชน ซึ่งจะเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ และยังเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจชุมชน มุ่งสู่เป้าหมายไทยแลนด์ 4.0 ยธ. มีผลการเด่น เช่น การอบรมอาสาสมัครคุมประพฤติเพื่อนําไปสู่ความสําเร็จในการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทําผิดในชุมชน โครงการพัฒนาระบบศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน ที่มีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป เพื่อให้การดูแลแก้ไขบําบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนตรงตามสภาพปัญหาและความจําเป็น รวมทั้งเหมาะสมกับกายภาพและลักษณะความคิด พฤติกรรม ซึ่งจะส่งผลให้การดําเนินการระบบบําบัดเยาวชนที่มีอายุมากกว่า 20 ปี มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รง. ผลงานเด่น เช่น การลงนาม MOA ไทย-ลาว เพื่อการส่งเสริมการจ้างงาน จัดทําขึ้นเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการจ้างแรงงานระหว่างไทยและ สปป.ลาว เน้นการตอบสนองความต้องการด้านแรงงานในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ รวมถึงสกัดกั้นการค้ามนุษย์ โดยการดําเนินงานตามกรอบของกฎหมายและกฎระเบียบการจ้างงานบนพื้นฐานของความเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกปฏิบัติ การผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจําปี พ.ศ. 2560 วธ. มีผลงานเด่น เช่น จัดประชุมเชิงวิชาการ “ประชารัฐร่วมใจ ขับเคลื่อนสังคมไทยสู่สังคมคุณธรรม” ภายใต้แผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2559 – 2564) จัดงานสมัชชาคุณธรรมภาคกลาง “รวมพลังประชารัฐขับเคลื่อนคุณธรรมความดี ตามวิถีพอเพียง” จัดนิทรรศการเชิดชูเกียรติ “ศิลปินแห่งชาติพุทธศักราช 2559” จัดประชุมเชิงปฏิบัติการกําหนดแนวทางการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมในพื้นที่กรุงเทพฯ วท. มีผลงานเด่น เช่น การจัดงาน ASEAN Next 2017 ภายใต้แนวคิด Creating Smart Community through STI Collaboration เพื่อเป็นเวทีในการส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา และเป็นแนวทางในการพัฒนา วทน. ให้เกิดการใช้ประโยชน์ในระดับภูมิภาค การหารือเพื่อก่อตั้งศูนย์คลังข้อมูลน้ําและภูมิภาค (ASEAN Hydro Informatics and Climate Data Center) สธ. มีผลงานเด่น เช่น ปฏิรูประบบปฐมภูมิ ลดความเหลื่อมล้ํา เพิ่มการเข้าถึงบริการ สร้างโอกาสเข้าถึงบริการในทุกมิติสุขภาพ ดูแลสุขภาพตนเอง รวมถึงกระทรวงสาธารณสุขห่วงใยประชาชนวัย 40 ขึ้นไป ควรพบจักษุแพทย์ตรวจหาต้อหินลดความเสี่ยงตาบอด และเดินหน้านโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ ตลอดจนการคุ้มครองผู้บริโภค ความปลอดภัยด้านอาหารและผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดยแต่งตั้งคณะทํางานพัฒนาระบบเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สุขภาพ และทีมตระหนักรู้สถานการณ์ เป็นต้น อก. มีผลงานเด่น เช่น การขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ได้จัดทําโครงการเตรียมความพร้อมรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) จังหวัดระยอง เช่น โครงการจัดทําบ่อฝังกลบของเสียที่ไม่เป็นอันตรายจากโรงงานรองรับเข้าสู่ EEC โครงการศูนย์บริการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนเตรียมพร้อมเข้าสู่ EEC เพื่ออํานวยความสะดวกในการให้บริการ การบริหารจัดการทรัพย์สินของภาคอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง จํานวน 3,002 โรงงาน โครงการนวัตกรรมต้นแบบแห่งอนาคตสู่ Industry 4.0 เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการนําพลาสติกชีวภาพมาสร้างเป็นนวัตกรรมต้นแบบเพื่อทดแทนพลาสติกจากปิโตรเคมีในอนาคต ฯลฯ การขับเคลื่อนพัฒนาและส่งเสริม SMEs อาทิ การส่งเสริมสมุนไพรไทย จัดทําแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพร พ.ศ. 2560 – 2564 โดยมีแผนงานที่เกี่ยวข้องกับ กสอ. จํานวน 4 แผนงาน คือ เพิ่มผลิตภาพของสถานประกอบการผลิต ยกระดับคุณภาพและเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ยกระดับความรู้บุคลากร และพัฒนาอุตสาหกรรมสารสกัดสมุนไพร ตลอดจน การจัดงาน WORLD FOOD EXPO 2017 ระหว่างวันที่ 23 มีนาคม – 9 เมษายน 2560 ผลักดันให้ใช้งานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าอาหารแปรรูปเพื่อการส่งออก ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหาร เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้และผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านอาหารโลกในอนาคต เป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมภาคการผลิตอาหาร เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบการปฏิรูประบบราชการ ไปสู่ระบบราชการ 4.0 เพื่อรองรับต่อยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 โดยภาครัฐหรือระบบราชการจะต้องทํางานโดยยึดหลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน (Better Governance, Happier Citizens) หมายความว่าระบบราชการต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดและวิธีการทํางานใหม่เพื่อพลิกโฉม (transform) ให้สามารถเป็นที่เชื่อถือไว้วางใจและเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง (Credible and Trusted Government) ดังนี้ 1) เปิดกว้างและเชื่อมโยงกัน (Open & Connected Government) 2) ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง (Citizen-Centric Government) และ3) มีขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย (Smart & High Performance Government) --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กขร. ติดตามผลการดำเนินงานส่วนราชการต่าง ๆ มีความก้าวหน้าโดยลำดับ วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม 2560 กขร. ติดตามผลการดําเนินงานส่วนราชการต่าง ๆ มีความก้าวหน้าโดยลําดับ นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 2/2560 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผลการดําเนินงานส่วนราชการมีความก้าวหน้าโดยลําดับ วันนี้ (4 พ.ค.60) เวลา 14.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ นางสาวเรณู ตังคจิวางกูรรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 2/2560 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมรับทราบข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2560 ให้ทุกส่วนราชการจัดทําแผนการปฏิบัติงานในกรอบระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2561 โดยให้ระบุแผนงานสําคัญต่าง ๆ ที่จะดําเนินการเพื่อการแก้ไขปัญหาหรือปรับปรุงพัฒนาในทุก ๆ ด้าน เช่น การคมนาคม การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เศรษฐกิจดิจิทัล การศึกษา การวิจัยและนวัตกรรม ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และประเด็นการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งให้กําหนดเป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ของการดําเนินการที่เป็นรูปธรรมในระยะทุก ๆ 3 เดือน และระยะ 1 ปี เพื่อให้สามารถติดตามและประเมินผลการดําเนินการได้ ทั้งนี้ หากแผนงานใดมีกําหนดเวลาการดําเนินการนานกว่ากรอบระยะเวลาที่กําหนดข้างต้น ให้จัดทําแผนงานสําหรับส่งต่อให้รัฐบาลชุดต่อไปตามรูปแบบที่สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวบรวมและนําเสนอนายกรัฐมนตรี เพื่อใช้ประโยชน์ในการปฏิรูปประเทศและการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรีรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 2/2560 เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2560 ตามที่ กขร. เสนอ ในการนี้ได้มีบัญชา “เห็นชอบ/ทําความเข้าใจการทํางานให้ไม่ซ้ําซ้อนกัน/ลดภาระ/ โดยให้หน่วยงานหลักรับผิดชอบโดยตรงร่วมกับหน่วยงานเสริม/บูรณาการ” อีกทั้งที่ประชุม ได้รับทราบรายงานผลงานเด่น (Highlight) ประจําปีในห้วงเดือนมีนาคม 2560 จากส่วนราชการ 11 ส่วนราชการ ได้แก่ สํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กระทรวงกลาโหม (กห.) กระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) กระทรวงแรงงาน (รง.) กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และ กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) ซึ่งการดําเนินงานของส่วนราชการดังกล่าวมีความคืบหน้าโดยลําดับ ดังนี้ สมช. มีผลงานเด่น เช่น มีการจัดทําฐานข้อมูลด้านความมั่นคง เร่งรัดการทดสอบระบบพร้อมกําหนดแนวทางการป้องกันความเสี่ยง ประเด็นการปฏิรูปกระทรวงกลาโหม การพัฒนายุทโธปกรณ์ การกําหนดแนวทางให้บุคลากรประสานการทํางานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงอื่น ๆ ประเด็นการปฏิรูปตํารวจ ให้สํานักงานตํารวจแห่งชาติเร่งปฏิรูปกิจการตํารวจให้เป็นไปตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในการทํางานของตํารวจ ประเด็นการปฏิรูประบบงานด้านข่าวกรองให้สํานักข่าวกรองแห่งชาติ การปฏิรูปโครงสร้างและระบบงานด้านการข่าว การพัฒนาระบบฐานข้อมูลให้เชื่อมโยง การกําหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัดประสิทธิภาพของงานข่าวกรอง การกําหนดภัยและระดับความรุนแรงของภัยที่ชัดเจน ตลอดจนการจัดทํานโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ กห. มีผลงานเด่น เช่น กองทัพเรือจัดการประชุม Navy to Navy Staff Talks ครั้งที่ 5 ระหว่างกองทัพเรือและกองทัพเรือเมียนมา เพื่อร่วมหารือในประเด็นความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกัน อาทิ ความมั่นคงทางทะเล ความร่วมมือด้านการศึกษาอบรม การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การแลกเปลี่ยนการเยือนของกําลังพล ฯลฯ การแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing) การดําเนินการตามแผนงานรองรับข้อเสนอแนะของผู้แทนจากสหภาพยุโรป และองค์กรพัฒนาเอกชน มีแผนงานรองรับข้อเสนอแนะของผู้แทนสหภาพยุโรปจากการหารือที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นแผนงานเดียว โดยมีงานรวมทั้งสิ้น จํานวน 155 แผนงาน มีความก้าวหน้าจึงถึง 18 มีนาคม 2560 คงเหลือ จํานวน 14 แผนงาน การตรวจเรือประมงในน่านน้ําของศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ดําเนินการตรวจเรือประมงในน่านน้ํา จํานวน 314 ลํา พบการกระทําความผิด จํานวน 14 ลํา พิธีส่งหน่วยบินปฏิบัติการฝนหลวงกองทัพอากาศ ประจําปี 2560 เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งให้กับประชาชน กค. มีผลงานเด่น เช่น การแก้ไขหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “ขจัดหนี้นอกระบบเป็นศูนย์” โดย กค. ได้นําเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาทั้งในส่วนของลูกหนี้และเจ้าหนี้ควบคู่กันไปอย่างเป็นระบบครบวงจรและต่อเนื่อง 5 มิติ ได้แก่ การดําเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหน้านี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย การเพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อในระบบให้กับลูกหนี้นอกระบบและประชาชนทั่วไป การลดภาระหนี้นอกระบบโดยการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้โดยภาครัฐได้จัดการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้โดยคณะกรรมการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ซึ่งมีอยู่ในทุกจังหวัดและจัดให้มีจุดให้คําปรึกษาหนี้นอกระบบที่ธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ได้อย่างทั่วถึง การเพิ่มศักยภาพของลูกหนี้นอกระบบโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การพัฒนาเครือข่ายองค์กรการเงินชุมชนให้ทําหน้าที่ทดแทนเจ้าหนี้นอกระบบ รายงานผลโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2559 มีผู้มาลงทะเบียนทั้งสิ้น จํานวน 8,375,383 คน เป็นผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินโอน จํานวน 7,715,359 คน โดยหลังสิ้นสุดมาตรการมีผู้ได้รับเงินโอนทั้งสิ้น 7,525,363 คน และไม่ได้รับเงินโอน จํานวน 189,996 คน เนื่องจากไม่มีบัญชีเงินฝากกับธนาคาร และโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 เปิดให้ลงทะเบียนระหว่างวันที่ 3 เมษายน 2560 – 15 พฤษภาคม 2560 กก. มีผลงานเด่น เช่น จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่องถอดรหัส “เสน่ห์เที่ยว-เสน่ห์ไทย” : ก้าวสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมสินค้าของที่ระลึกเพื่อการท่องเที่ยว เพื่อให้ผู้ประกอบการมีความเข้าใจก่อนการผลิตสินค้าเพื่อจําหน่ายจริงผ่านเครื่องมือทางการตลาดที่เรียกว่า Business Model Canvas หรือ BMC การกีฬาแห่งประเทศไทยมอบสิทธิผู้ให้การสนับสนุนสิทธิประโยชน์กลาง ประจําปี พ.ศ. 2560 – 2563 ดศ. มีผลงานเด่น เช่น งานสัมมนา “วิสัยทัศน์รัฐบาลดิจิทัลประเทศไทย : Thailand Digital Government Vision 2017 – 2021” เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐรับทราบวิสัยทัศน์รัฐบาลดิจิทัลประเทศไทย และนํามาเป็นแนวทางในการพัฒนางานตามแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม โครงการ “ความร่วมมือการส่งเสริมเศรษฐกิจผู้ประกอบการในชุมชนท้องถิ่น” ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนําภารกิจบูรณาการสู่ศูนย์ดิจิทัลชุมชน และเร่งขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีภาคประชาชน ซึ่งจะเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ และยังเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจชุมชน มุ่งสู่เป้าหมายไทยแลนด์ 4.0 ยธ. มีผลการเด่น เช่น การอบรมอาสาสมัครคุมประพฤติเพื่อนําไปสู่ความสําเร็จในการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทําผิดในชุมชน โครงการพัฒนาระบบศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน ที่มีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป เพื่อให้การดูแลแก้ไขบําบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนตรงตามสภาพปัญหาและความจําเป็น รวมทั้งเหมาะสมกับกายภาพและลักษณะความคิด พฤติกรรม ซึ่งจะส่งผลให้การดําเนินการระบบบําบัดเยาวชนที่มีอายุมากกว่า 20 ปี มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รง. ผลงานเด่น เช่น การลงนาม MOA ไทย-ลาว เพื่อการส่งเสริมการจ้างงาน จัดทําขึ้นเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการจ้างแรงงานระหว่างไทยและ สปป.ลาว เน้นการตอบสนองความต้องการด้านแรงงานในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ รวมถึงสกัดกั้นการค้ามนุษย์ โดยการดําเนินงานตามกรอบของกฎหมายและกฎระเบียบการจ้างงานบนพื้นฐานของความเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกปฏิบัติ การผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจําปี พ.ศ. 2560 วธ. มีผลงานเด่น เช่น จัดประชุมเชิงวิชาการ “ประชารัฐร่วมใจ ขับเคลื่อนสังคมไทยสู่สังคมคุณธรรม” ภายใต้แผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2559 – 2564) จัดงานสมัชชาคุณธรรมภาคกลาง “รวมพลังประชารัฐขับเคลื่อนคุณธรรมความดี ตามวิถีพอเพียง” จัดนิทรรศการเชิดชูเกียรติ “ศิลปินแห่งชาติพุทธศักราช 2559” จัดประชุมเชิงปฏิบัติการกําหนดแนวทางการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมในพื้นที่กรุงเทพฯ วท. มีผลงานเด่น เช่น การจัดงาน ASEAN Next 2017 ภายใต้แนวคิด Creating Smart Community through STI Collaboration เพื่อเป็นเวทีในการส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา และเป็นแนวทางในการพัฒนา วทน. ให้เกิดการใช้ประโยชน์ในระดับภูมิภาค การหารือเพื่อก่อตั้งศูนย์คลังข้อมูลน้ําและภูมิภาค (ASEAN Hydro Informatics and Climate Data Center) สธ. มีผลงานเด่น เช่น ปฏิรูประบบปฐมภูมิ ลดความเหลื่อมล้ํา เพิ่มการเข้าถึงบริการ สร้างโอกาสเข้าถึงบริการในทุกมิติสุขภาพ ดูแลสุขภาพตนเอง รวมถึงกระทรวงสาธารณสุขห่วงใยประชาชนวัย 40 ขึ้นไป ควรพบจักษุแพทย์ตรวจหาต้อหินลดความเสี่ยงตาบอด และเดินหน้านโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ ตลอดจนการคุ้มครองผู้บริโภค ความปลอดภัยด้านอาหารและผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดยแต่งตั้งคณะทํางานพัฒนาระบบเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สุขภาพ และทีมตระหนักรู้สถานการณ์ เป็นต้น อก. มีผลงานเด่น เช่น การขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ได้จัดทําโครงการเตรียมความพร้อมรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) จังหวัดระยอง เช่น โครงการจัดทําบ่อฝังกลบของเสียที่ไม่เป็นอันตรายจากโรงงานรองรับเข้าสู่ EEC โครงการศูนย์บริการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนเตรียมพร้อมเข้าสู่ EEC เพื่ออํานวยความสะดวกในการให้บริการ การบริหารจัดการทรัพย์สินของภาคอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง จํานวน 3,002 โรงงาน โครงการนวัตกรรมต้นแบบแห่งอนาคตสู่ Industry 4.0 เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการนําพลาสติกชีวภาพมาสร้างเป็นนวัตกรรมต้นแบบเพื่อทดแทนพลาสติกจากปิโตรเคมีในอนาคต ฯลฯ การขับเคลื่อนพัฒนาและส่งเสริม SMEs อาทิ การส่งเสริมสมุนไพรไทย จัดทําแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพร พ.ศ. 2560 – 2564 โดยมีแผนงานที่เกี่ยวข้องกับ กสอ. จํานวน 4 แผนงาน คือ เพิ่มผลิตภาพของสถานประกอบการผลิต ยกระดับคุณภาพและเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ยกระดับความรู้บุคลากร และพัฒนาอุตสาหกรรมสารสกัดสมุนไพร ตลอดจน การจัดงาน WORLD FOOD EXPO 2017 ระหว่างวันที่ 23 มีนาคม – 9 เมษายน 2560 ผลักดันให้ใช้งานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าอาหารแปรรูปเพื่อการส่งออก ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหาร เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้และผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านอาหารโลกในอนาคต เป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมภาคการผลิตอาหาร เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบการปฏิรูประบบราชการ ไปสู่ระบบราชการ 4.0 เพื่อรองรับต่อยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 โดยภาครัฐหรือระบบราชการจะต้องทํางานโดยยึดหลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน (Better Governance, Happier Citizens) หมายความว่าระบบราชการต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดและวิธีการทํางานใหม่เพื่อพลิกโฉม (transform) ให้สามารถเป็นที่เชื่อถือไว้วางใจและเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง (Credible and Trusted Government) ดังนี้ 1) เปิดกว้างและเชื่อมโยงกัน (Open & Connected Government) 2) ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง (Citizen-Centric Government) และ3) มีขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย (Smart & High Performance Government) --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3524
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. แถลงเตรียมส่งคณะเยาวชนพิการไทย ร่วมแข่งขันเทคโนโลยีสารสนเทศระดับโลก ที่สาธารณรัฐเกาหลี และเตรียมจัดงานวันที่อยู่อาศัยโลก ภาคใต้ ปี 2562 ที่ จ.กระบี่
วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน 2562 พม. แถลงเตรียมส่งคณะเยาวชนพิการไทย ร่วมแข่งขันเทคโนโลยีสารสนเทศระดับโลก ที่สาธารณรัฐเกาหลี และเตรียมจัดงานวันที่อยู่อาศัยโลก ภาคใต้ ปี 2562 ที่ จ.กระบี่ พม. แถลงเตรียมส่งคณะเยาวชนพิการไทย ร่วมแข่งขันเทคโนโลยีสารสนเทศระดับโลก ที่สาธารณรัฐเกาหลี และเตรียมจัดงานวันที่อยู่อาศัยโลก ภาคใต้ ปี 2562 ที่ จ.กระบี่ วันนี้ (21 พ.ย. 62) เวลา 13.30 น. ที่บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายแฉล้ม ทองเกลา ผู้อํานวยการกองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ สํานักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในการแถลงข่าวการดําเนินงานตามภารกิจสําคัญของกระทรวง พม. ดังนี้ 1) ร่วมส่งแรงใจเชียร์ “พก. ส่งผู้แทนเยาวชนพิการไทย ร่วมแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2562” ณ เมืองปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี โดยนางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ และ 2) การจัดงานที่อยู่อาศัยโลก ภาคใต้ ประจําปี 2562 โดยนายสยาม นนท์คําจันทร์ โฆษกสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) นางธนาภรณ์ กล่าวว่า โครงการการแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล (Global IT Challenge for Youth with Disabilities) เป็นการแข่งขันของเยาวชนพิการเพื่อวัดความสามารถด้านเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากลระดับประเทศภายในทวีปเอเชีย โดย Rehabilitation International Korea (RI Korea) เป็นผู้จัดการแข่งขัน โดยจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2535 ณ สาธารณรัฐเกาหลี จากนั้นได้มีการขยายวงกว้างไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก จนกลายเป็นการแข่งขันระดับโลกเมื่อปี 2554 ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และมีการจัดการแข่งขันอย่างต่อเนื่องเป็นประจําทุกปี สําหรับปี 2562 กระทรวง พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ได้คัดเลือกเยาวชนพิการไทย เพื่อเตรียมความพร้อมสําหรับการแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2562 เมื่อวันที่ 2 – 7 มิถุนายนที่ผ่านมา ปรากฏว่า มีผู้ที่ผ่านการคัดเลือก อายุระหว่าง 14 – 22 ปี จํานวน 8 คน และเข้าค่ายเก็บตัวเตรียมความพร้อมร่วมกับคณะข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง จํานวน 9 คน รวมจํานวนทั้งสิ้น 17 คน ก่อนเข้าร่วมการแข่งขันฯ ระหว่างวันที่ 25 – 29 พฤศจิกายน 2562 ณ เมืองปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1) eTool challenge 2) eLifeMap challenge 3) eContent challenge และ 4) eCreative challenge นางธนาภรณ์ กล่าวต่อไปว่า วันพรุ่งนี้ (22 พ.ย. 62) นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ให้คณะเยาวชนพิการไทยดังกล่าวเข้าพบเพื่อเข้าเยี่ยมคารวะและรับโอวาท เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกําลังใจในฐานะตัวแทนประเทศไทย ก่อนเข้าร่วมการแข่งขันฯ พร้อมทั้งมอบทุนสนับสนุน ทั้งนี้ ขอเชิญชวนคนไทยช่วยส่งกําลังใจแรงเชียร์ให้คณะเยาวชนพิการไทย เพื่อแสดงศักยภาพและความสามารถในเวทีระดับโลก พร้อมคว้าชัยชนะและเหรียญรางวัลมาสู่ประเทศไทยด้วยความภาคภูมิใจ นายสยาม กล่าวว่า ตามที่องค์การสหประชาชาติ กําหนดให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปี เป็นวันที่อยู่อาศัยโลก เพื่อให้ทุกประเทศทั่วโลกตระหนักถึงความสําคัญในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของประชาชน โดยในปี 2562 กระทรวง พม. โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ร่วมกับเครือข่ายขบวนองค์กรชุมชนทั่วประเทศ กําหนดจัดกิจกรรมเนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลกตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ อาทิ กรุงเทพมหานคร จังหวัดขอนแก่น เชียงราย เพชรบุรี และสระแก้ว ตลอดเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2562 เพื่อรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนให้ความสําคัญและร่วมกันในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของประชาชนที่มีรายได้น้อย ซึ่งในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 พอช. ร่วมกับขบวนเครือข่ายองค์กรชุมชนภาคใต้ กําหนดจัดงาน “มหกรรมวันที่อยู่อาศัยโลก ภาคใต้ ปี 2562” ณ ชุมชนทับตะวัน เทศบาลตําบลแหลมสัก อําเภอ่าวลึก จังหวัดกระบี่ โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายที่อยู่อาศัยแห่งชาติ เป็นประธานในพิธี พร้อมมอบงบประมาณ 16 ล้านบาท สําหรับโครงการบ้านมั่นคงชนบท เทศบาลตําบลแหลมสัก จํานวน 3 ชุมชน จํานวน 390 ครัวเรือน อีกทั้งมอบบ้านที่ปรับปรุงเสร็จแล้ว จํานวน 183 หลัง และมอบบ้านพอเพียงชนบทภาคใต้ ปี 2562 จํานวน 2,203 ครัวเรือน ภายใต้งบประมาณรวม 41 ล้านบาท รวมมอบบ้านทั้งหมด 2,386 ครัวเรือ00น นอกจากนี้ มีการจัดกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ นิทรรศการกระบวนการทํางานของเครือข่ายขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดกระบี่ ปฏิบัติการลงมือ “สร้างบ้าน สร้างชุมชน 3 วันเสร็จ 7 วันอยู่” เวทีเสวนา “สร้างบ้าน สร้างชุมชน โดยทุกคนร่วมกันสร้าง” ตลาดนัดแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการจําหน่ายและจัดแสดงผลิตภัณฑ์สินค้าจากชุมชนในพื้นที่ นายสยาม กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับโครงการบ้านมั่นคงชนบท เทศบาลตําบลแหลมสัก อําเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ดําเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของชุมชนชาวประมงพื้นบ้าน 3 ชุมชน ประกอบด้วย ชุมชนทรายทอง ชุมชนแหลมทอง และชุมชนทับตะวันในเขตเทศบาลตําบลแหลมสัก เนื่องจากมีปัญหาความไม่มั่นคงเรื่องที่ดินและที่อยู่อาศัยเนื่องจากปลูกสร้างบ้านในที่ดินป่าชายเลน และบางส่วนอยู่ในที่ดินของกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ทั้งนี้ พอช. จึงได้สนับสนุนให้ชาวชุมชนรวมกลุ่มกันเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวตั้งแต่ปี 2559 และมีการแต่งตั้งคณะทํางานที่มาจากชาวชุมชน โดยเริ่มจากการสํารวจข้อมูลพื้นฐานต่างๆ ในชุมชน พบว่า มีผู้เดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัยทั้งหมด 427 ครัวเรือน แยกเป็นอยู่ในเขตที่ดินป่าชายเลน 358 ครัวเรือน อยู่ในเขตที่ดินของกรมเจ้าท่า 65 ครัวเรือน และอยู่ในที่ดินเอกชน 4 ครัวเรือน โดยที่อยู่อาศัยมีสภาพแออัด ชํารุดทรุดโทรม นอกจากนั้น ยังมีสภาพปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม อาทิ ปัญหาขยะ น้ําเสีย ไม่มีระบบการบําบัดจากครัวเรือน ปัญหาเรื่องสาธารณูปโภค อาทิ ถนน สะพานชํารุด โดย พอช. มีการสนับสนุนงบประมาณหลังละ 40,000 บาท ไม่รวมงบสาธารณูปโภค นอกจากการสนับสนุนงบประมาณของ พอช. แล้ว ชาวชุมชนที่เข้าร่วมโครงการฯ ยังได้ร่วมกันจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์และกองทุนที่อยู่อาศัยในเดือนเมษายน 2561 อีกทั้งร่วมกันสร้างบ้านให้ผู้ด้อยโอกาสในชุมชน เช่น ผู้สูงอายุ คนพิการ ที่ไม่มีรายได้ ไม่มีลูกหลานดูแล ด้วยงบประมาณสร้างบ้านหลังละ 40,000-60,000 บาท โดยชาวชุมชนจะช่วยกันลงแรงก่อสร้างบ้าน และใช้งบประมาณจากโครงการบ้านมั่นคงชนบทที่ พอช. สนับสนุน ขณะนี้ มีการสร้างบ้านให้ผู้ด้อยโอกาสในชุมชนแล้ว 6 หลัง นอกจากนี้ พอช. ยังสนับสนุนการแก้ไขปัญหาที่ดินและที่อยู่อาศัยใน เขตป่าชายเลนและกรมเจ้าท่าในพื้นที่อื่นๆ ในภาคใต้ จํานวน 9 จังหวัด รวม 56 ชุมชน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. แถลงเตรียมส่งคณะเยาวชนพิการไทย ร่วมแข่งขันเทคโนโลยีสารสนเทศระดับโลก ที่สาธารณรัฐเกาหลี และเตรียมจัดงานวันที่อยู่อาศัยโลก ภาคใต้ ปี 2562 ที่ จ.กระบี่ วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน 2562 พม. แถลงเตรียมส่งคณะเยาวชนพิการไทย ร่วมแข่งขันเทคโนโลยีสารสนเทศระดับโลก ที่สาธารณรัฐเกาหลี และเตรียมจัดงานวันที่อยู่อาศัยโลก ภาคใต้ ปี 2562 ที่ จ.กระบี่ พม. แถลงเตรียมส่งคณะเยาวชนพิการไทย ร่วมแข่งขันเทคโนโลยีสารสนเทศระดับโลก ที่สาธารณรัฐเกาหลี และเตรียมจัดงานวันที่อยู่อาศัยโลก ภาคใต้ ปี 2562 ที่ จ.กระบี่ วันนี้ (21 พ.ย. 62) เวลา 13.30 น. ที่บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายแฉล้ม ทองเกลา ผู้อํานวยการกองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ สํานักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในการแถลงข่าวการดําเนินงานตามภารกิจสําคัญของกระทรวง พม. ดังนี้ 1) ร่วมส่งแรงใจเชียร์ “พก. ส่งผู้แทนเยาวชนพิการไทย ร่วมแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2562” ณ เมืองปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี โดยนางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ และ 2) การจัดงานที่อยู่อาศัยโลก ภาคใต้ ประจําปี 2562 โดยนายสยาม นนท์คําจันทร์ โฆษกสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) นางธนาภรณ์ กล่าวว่า โครงการการแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล (Global IT Challenge for Youth with Disabilities) เป็นการแข่งขันของเยาวชนพิการเพื่อวัดความสามารถด้านเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากลระดับประเทศภายในทวีปเอเชีย โดย Rehabilitation International Korea (RI Korea) เป็นผู้จัดการแข่งขัน โดยจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2535 ณ สาธารณรัฐเกาหลี จากนั้นได้มีการขยายวงกว้างไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก จนกลายเป็นการแข่งขันระดับโลกเมื่อปี 2554 ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และมีการจัดการแข่งขันอย่างต่อเนื่องเป็นประจําทุกปี สําหรับปี 2562 กระทรวง พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ได้คัดเลือกเยาวชนพิการไทย เพื่อเตรียมความพร้อมสําหรับการแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2562 เมื่อวันที่ 2 – 7 มิถุนายนที่ผ่านมา ปรากฏว่า มีผู้ที่ผ่านการคัดเลือก อายุระหว่าง 14 – 22 ปี จํานวน 8 คน และเข้าค่ายเก็บตัวเตรียมความพร้อมร่วมกับคณะข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง จํานวน 9 คน รวมจํานวนทั้งสิ้น 17 คน ก่อนเข้าร่วมการแข่งขันฯ ระหว่างวันที่ 25 – 29 พฤศจิกายน 2562 ณ เมืองปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1) eTool challenge 2) eLifeMap challenge 3) eContent challenge และ 4) eCreative challenge นางธนาภรณ์ กล่าวต่อไปว่า วันพรุ่งนี้ (22 พ.ย. 62) นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ให้คณะเยาวชนพิการไทยดังกล่าวเข้าพบเพื่อเข้าเยี่ยมคารวะและรับโอวาท เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกําลังใจในฐานะตัวแทนประเทศไทย ก่อนเข้าร่วมการแข่งขันฯ พร้อมทั้งมอบทุนสนับสนุน ทั้งนี้ ขอเชิญชวนคนไทยช่วยส่งกําลังใจแรงเชียร์ให้คณะเยาวชนพิการไทย เพื่อแสดงศักยภาพและความสามารถในเวทีระดับโลก พร้อมคว้าชัยชนะและเหรียญรางวัลมาสู่ประเทศไทยด้วยความภาคภูมิใจ นายสยาม กล่าวว่า ตามที่องค์การสหประชาชาติ กําหนดให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปี เป็นวันที่อยู่อาศัยโลก เพื่อให้ทุกประเทศทั่วโลกตระหนักถึงความสําคัญในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของประชาชน โดยในปี 2562 กระทรวง พม. โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ร่วมกับเครือข่ายขบวนองค์กรชุมชนทั่วประเทศ กําหนดจัดกิจกรรมเนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลกตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ อาทิ กรุงเทพมหานคร จังหวัดขอนแก่น เชียงราย เพชรบุรี และสระแก้ว ตลอดเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2562 เพื่อรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนให้ความสําคัญและร่วมกันในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของประชาชนที่มีรายได้น้อย ซึ่งในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 พอช. ร่วมกับขบวนเครือข่ายองค์กรชุมชนภาคใต้ กําหนดจัดงาน “มหกรรมวันที่อยู่อาศัยโลก ภาคใต้ ปี 2562” ณ ชุมชนทับตะวัน เทศบาลตําบลแหลมสัก อําเภอ่าวลึก จังหวัดกระบี่ โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายที่อยู่อาศัยแห่งชาติ เป็นประธานในพิธี พร้อมมอบงบประมาณ 16 ล้านบาท สําหรับโครงการบ้านมั่นคงชนบท เทศบาลตําบลแหลมสัก จํานวน 3 ชุมชน จํานวน 390 ครัวเรือน อีกทั้งมอบบ้านที่ปรับปรุงเสร็จแล้ว จํานวน 183 หลัง และมอบบ้านพอเพียงชนบทภาคใต้ ปี 2562 จํานวน 2,203 ครัวเรือน ภายใต้งบประมาณรวม 41 ล้านบาท รวมมอบบ้านทั้งหมด 2,386 ครัวเรือ00น นอกจากนี้ มีการจัดกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ นิทรรศการกระบวนการทํางานของเครือข่ายขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดกระบี่ ปฏิบัติการลงมือ “สร้างบ้าน สร้างชุมชน 3 วันเสร็จ 7 วันอยู่” เวทีเสวนา “สร้างบ้าน สร้างชุมชน โดยทุกคนร่วมกันสร้าง” ตลาดนัดแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการจําหน่ายและจัดแสดงผลิตภัณฑ์สินค้าจากชุมชนในพื้นที่ นายสยาม กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับโครงการบ้านมั่นคงชนบท เทศบาลตําบลแหลมสัก อําเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ดําเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของชุมชนชาวประมงพื้นบ้าน 3 ชุมชน ประกอบด้วย ชุมชนทรายทอง ชุมชนแหลมทอง และชุมชนทับตะวันในเขตเทศบาลตําบลแหลมสัก เนื่องจากมีปัญหาความไม่มั่นคงเรื่องที่ดินและที่อยู่อาศัยเนื่องจากปลูกสร้างบ้านในที่ดินป่าชายเลน และบางส่วนอยู่ในที่ดินของกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ทั้งนี้ พอช. จึงได้สนับสนุนให้ชาวชุมชนรวมกลุ่มกันเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวตั้งแต่ปี 2559 และมีการแต่งตั้งคณะทํางานที่มาจากชาวชุมชน โดยเริ่มจากการสํารวจข้อมูลพื้นฐานต่างๆ ในชุมชน พบว่า มีผู้เดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัยทั้งหมด 427 ครัวเรือน แยกเป็นอยู่ในเขตที่ดินป่าชายเลน 358 ครัวเรือน อยู่ในเขตที่ดินของกรมเจ้าท่า 65 ครัวเรือน และอยู่ในที่ดินเอกชน 4 ครัวเรือน โดยที่อยู่อาศัยมีสภาพแออัด ชํารุดทรุดโทรม นอกจากนั้น ยังมีสภาพปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม อาทิ ปัญหาขยะ น้ําเสีย ไม่มีระบบการบําบัดจากครัวเรือน ปัญหาเรื่องสาธารณูปโภค อาทิ ถนน สะพานชํารุด โดย พอช. มีการสนับสนุนงบประมาณหลังละ 40,000 บาท ไม่รวมงบสาธารณูปโภค นอกจากการสนับสนุนงบประมาณของ พอช. แล้ว ชาวชุมชนที่เข้าร่วมโครงการฯ ยังได้ร่วมกันจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์และกองทุนที่อยู่อาศัยในเดือนเมษายน 2561 อีกทั้งร่วมกันสร้างบ้านให้ผู้ด้อยโอกาสในชุมชน เช่น ผู้สูงอายุ คนพิการ ที่ไม่มีรายได้ ไม่มีลูกหลานดูแล ด้วยงบประมาณสร้างบ้านหลังละ 40,000-60,000 บาท โดยชาวชุมชนจะช่วยกันลงแรงก่อสร้างบ้าน และใช้งบประมาณจากโครงการบ้านมั่นคงชนบทที่ พอช. สนับสนุน ขณะนี้ มีการสร้างบ้านให้ผู้ด้อยโอกาสในชุมชนแล้ว 6 หลัง นอกจากนี้ พอช. ยังสนับสนุนการแก้ไขปัญหาที่ดินและที่อยู่อาศัยใน เขตป่าชายเลนและกรมเจ้าท่าในพื้นที่อื่นๆ ในภาคใต้ จํานวน 9 จังหวัด รวม 56 ชุมชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24733
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ จับมือองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศเยอรมัน (GIZ) เสนอแนวคิดโครงการ Thai Rice NAMA
วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน 2560 ก.เกษตรฯ จับมือองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศเยอรมัน (GIZ) เสนอแนวคิดโครงการ Thai Rice NAMA กระทรวงเกษตรฯ จับมือองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศเยอรมัน (GIZ) เสนอแนวคิดโครงการ Thai Rice NAMA และได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 7 โครงการ ที่ได้รับเงินสนับสนุน มุ่งหวังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้ถึงร้อยละ 26 นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงความก้าวหน้าและสถานการณ์การผลิตข้าวคุณภาพมาตรฐานสากลของประเทศไทย ว่า รัฐบาลไทยโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตระหนักถึงความสําคัญในเรื่องดังกล่าว โดยมีการดําเนินงานพัฒนาการผลิตข้าวที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับอย่างต่อเนื่อง มีการผลิตข้าวคุณภาพมาตรฐานปลอดภัย (GAP) ในพื้นที่นาแปลงใหญ่ที่มีการดําเนินการในปี 2560 จํานวน 1,175 แปลง ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1.8 ล้านไร่ ชาวนาประมาณ 130,230 ราย ซึ่งมีการดําเนินงานอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 มีการนําร่องยกระดับการผลิตให้ได้ตามมาตรฐานสากลที่มีการพัฒนาระบบการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกรให้มีผลผลิตสูงขึ้น ด้วยต้นทุนการผลิตที่ลดลง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมการข้าว จึงร่วมกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศเยอรมัน (GIZ) และภาคีความร่วมมืออื่น ๆ สนับสนุนให้มีการผลิตข้าวมาตรฐานยั่งยืน (SRP = Sustainable Rice Production Standard) ในจังหวัดอุบลราชธานี และในปี 2560 จะมีการขยายการผลิตข้าวมาตรฐานยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และในภาคกลาง 6 จังหวัด ถือเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนและขยายผลการสนับสนุนการผลิตข้าวอย่างยั่งยืน ในปี 2560 กรมการข้าวร่วมกับ GIZ ได้เสนอแนวคิดโครงการ Thai Rice NAMA โดยจะเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการเพิ่มรายได้และยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของเกษตรกรอย่างแท้จริง ต่อ NAMA Facility ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาชาติ ซึ่งข้อเสนอของไทยได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 7 โครงการ เพื่อรับเงินสนับสนุน จากทั้งหมด 75 โครงการ มีประเทศอื่นที่ได้รับคัดเลือก ได้แก่ ประเทศบราซิล เม็กซิโก (2 โครงการ) ฟิลิปินส์ ตูนีเซีย และประเทศอุกันดา ซึ่งโครงการ Thai Rice NAMA ถือเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน และขยายผลการสนับสนุนการผลิตข้าวอย่างยั่งยืน ที่สอดคล้องกับนโยบายและยุทธศาสตร์ข้าวไทย อาทิ การลดต้นทุนการผลิต การเสริมสร้างศักยภาพชาวนาและศูนย์ข้าวชุมชน โครงการนาแปลงใหญ่ เป็นต้น โดยไทยจะต้องเสนอรายละเอียดโครงการ Thai Rice NAMA ภายในเดือนพฤศจิกายน 2560 หากได้รับคัดเลือกรอบสุดท้ายจะมีระยะเวลาดําเนินการ 5 ปี โครงการของไทยจะมุ่งเน้นให้เกษตรกรรายย่อย ปรับเปลี่ยนการทํานาให้สอดคล้องกับมาตรฐานการผลิตข้าวอย่างยั่งยืน ซึ่งมาตรฐานข้าวยั่งยืนนี้สอดคล้องกับมาตรฐาน GAP โดยเพิ่มวิธีการผลิตข้าวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสภาวะภูมิอากาศ โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme – UNEP) และสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (IRRI) ที่จะช่วยยกระดับมาตรฐาน GAP และสามารถพัฒนาต่อยอดสู่มาตรฐานอินทรีย์ สร้างทางเลือกให้เกษตรกรในการเชื่อมโยงตลาด โดยมีเป้าหมายที่จะทํางานกับเกษตรกรรายย่อย 100,000 ครัวเรือน ใน 6 จังหวัดภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดสุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี ชัยนาท สิงห์บุรี และจังหวัดอ่างทอง ซึ่งคาดการณ์ว่าการผลิตข้าวในเขตชลประทานจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้ถึง 1.664 ล้านเมตริกตัน (CO2eq) หรือร้อยละ 26 ตลอดระยะเวลาโครงการ 5 ปี โดยการประเมินจากสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (IRRI) ทั้งนี้ โครงการ Thai Rice NAMA จะเปิดโอกาสให้หน่วยงานต่าง ๆ และผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในการผลิตข้าว ได้สร้างความตระหนักรู้ และกําหนดมาตรการในการหาแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการผลิตข้าวร่วมกัน ซึ่งประกอบด้วย หน่วยงาน อาทิ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศเยอรมัน สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น และได้รับการสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ และภาคเอกชน ได้แก่ สถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (IRRI) สํานักงานเลขาธิการ SRP และบริษัท OLAMInternational ทั้งนี้ โครงการ Thai Rice NAMA อย่างเต็มรูปแบบ จะจัดทําขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงพฤศจิกายน 2560 เพื่อเสนอต่อ NAMA Facility เพื่อรับการเงินทุนสนับสนุนหากได้รับการอนุมัติ โครงการจะสามารถดําเนินการในปี 2561 เป็นต้นไป กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ จับมือองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศเยอรมัน (GIZ) เสนอแนวคิดโครงการ Thai Rice NAMA วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน 2560 ก.เกษตรฯ จับมือองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศเยอรมัน (GIZ) เสนอแนวคิดโครงการ Thai Rice NAMA กระทรวงเกษตรฯ จับมือองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศเยอรมัน (GIZ) เสนอแนวคิดโครงการ Thai Rice NAMA และได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 7 โครงการ ที่ได้รับเงินสนับสนุน มุ่งหวังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้ถึงร้อยละ 26 นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงความก้าวหน้าและสถานการณ์การผลิตข้าวคุณภาพมาตรฐานสากลของประเทศไทย ว่า รัฐบาลไทยโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตระหนักถึงความสําคัญในเรื่องดังกล่าว โดยมีการดําเนินงานพัฒนาการผลิตข้าวที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับอย่างต่อเนื่อง มีการผลิตข้าวคุณภาพมาตรฐานปลอดภัย (GAP) ในพื้นที่นาแปลงใหญ่ที่มีการดําเนินการในปี 2560 จํานวน 1,175 แปลง ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1.8 ล้านไร่ ชาวนาประมาณ 130,230 ราย ซึ่งมีการดําเนินงานอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 มีการนําร่องยกระดับการผลิตให้ได้ตามมาตรฐานสากลที่มีการพัฒนาระบบการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกรให้มีผลผลิตสูงขึ้น ด้วยต้นทุนการผลิตที่ลดลง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมการข้าว จึงร่วมกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศเยอรมัน (GIZ) และภาคีความร่วมมืออื่น ๆ สนับสนุนให้มีการผลิตข้าวมาตรฐานยั่งยืน (SRP = Sustainable Rice Production Standard) ในจังหวัดอุบลราชธานี และในปี 2560 จะมีการขยายการผลิตข้าวมาตรฐานยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และในภาคกลาง 6 จังหวัด ถือเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนและขยายผลการสนับสนุนการผลิตข้าวอย่างยั่งยืน ในปี 2560 กรมการข้าวร่วมกับ GIZ ได้เสนอแนวคิดโครงการ Thai Rice NAMA โดยจะเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการเพิ่มรายได้และยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของเกษตรกรอย่างแท้จริง ต่อ NAMA Facility ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาชาติ ซึ่งข้อเสนอของไทยได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 7 โครงการ เพื่อรับเงินสนับสนุน จากทั้งหมด 75 โครงการ มีประเทศอื่นที่ได้รับคัดเลือก ได้แก่ ประเทศบราซิล เม็กซิโก (2 โครงการ) ฟิลิปินส์ ตูนีเซีย และประเทศอุกันดา ซึ่งโครงการ Thai Rice NAMA ถือเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน และขยายผลการสนับสนุนการผลิตข้าวอย่างยั่งยืน ที่สอดคล้องกับนโยบายและยุทธศาสตร์ข้าวไทย อาทิ การลดต้นทุนการผลิต การเสริมสร้างศักยภาพชาวนาและศูนย์ข้าวชุมชน โครงการนาแปลงใหญ่ เป็นต้น โดยไทยจะต้องเสนอรายละเอียดโครงการ Thai Rice NAMA ภายในเดือนพฤศจิกายน 2560 หากได้รับคัดเลือกรอบสุดท้ายจะมีระยะเวลาดําเนินการ 5 ปี โครงการของไทยจะมุ่งเน้นให้เกษตรกรรายย่อย ปรับเปลี่ยนการทํานาให้สอดคล้องกับมาตรฐานการผลิตข้าวอย่างยั่งยืน ซึ่งมาตรฐานข้าวยั่งยืนนี้สอดคล้องกับมาตรฐาน GAP โดยเพิ่มวิธีการผลิตข้าวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสภาวะภูมิอากาศ โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme – UNEP) และสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (IRRI) ที่จะช่วยยกระดับมาตรฐาน GAP และสามารถพัฒนาต่อยอดสู่มาตรฐานอินทรีย์ สร้างทางเลือกให้เกษตรกรในการเชื่อมโยงตลาด โดยมีเป้าหมายที่จะทํางานกับเกษตรกรรายย่อย 100,000 ครัวเรือน ใน 6 จังหวัดภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดสุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี ชัยนาท สิงห์บุรี และจังหวัดอ่างทอง ซึ่งคาดการณ์ว่าการผลิตข้าวในเขตชลประทานจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้ถึง 1.664 ล้านเมตริกตัน (CO2eq) หรือร้อยละ 26 ตลอดระยะเวลาโครงการ 5 ปี โดยการประเมินจากสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (IRRI) ทั้งนี้ โครงการ Thai Rice NAMA จะเปิดโอกาสให้หน่วยงานต่าง ๆ และผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในการผลิตข้าว ได้สร้างความตระหนักรู้ และกําหนดมาตรการในการหาแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการผลิตข้าวร่วมกัน ซึ่งประกอบด้วย หน่วยงาน อาทิ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศเยอรมัน สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น และได้รับการสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ และภาคเอกชน ได้แก่ สถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (IRRI) สํานักงานเลขาธิการ SRP และบริษัท OLAMInternational ทั้งนี้ โครงการ Thai Rice NAMA อย่างเต็มรูปแบบ จะจัดทําขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงพฤศจิกายน 2560 เพื่อเสนอต่อ NAMA Facility เพื่อรับการเงินทุนสนับสนุนหากได้รับการอนุมัติ โครงการจะสามารถดําเนินการในปี 2561 เป็นต้นไป กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4703
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานปิดการฝึกอบรมหลักสูตร ‘พัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับ ACE สู่เขตเศรษฐกิจพิเศษ’
วันพุธที่ 27 ธันวาคม 2560 รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานปิดการฝึกอบรมหลักสูตร ‘พัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับ ACE สู่เขตเศรษฐกิจพิเศษ’ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานปิดการฝึกอบรมหลักสูตร ‘พัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับ ACE สู่เขตเศรษฐกิจพิเศษ’ ณ โรงแรมเดอะทวินทาวเวอร์ วันนี้ (27 ธันวาคม 2560) นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานปิดการฝึกอบรมหลักสูตร ‘พัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับ ACE สู่เขตเศรษฐกิจพิเศษ’ ของกระทรวงอุตสาหกรรม ณ โรงแรมเดอะทวินทาวเวอร์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานปิดการฝึกอบรมหลักสูตร ‘พัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับ ACE สู่เขตเศรษฐกิจพิเศษ’ วันพุธที่ 27 ธันวาคม 2560 รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานปิดการฝึกอบรมหลักสูตร ‘พัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับ ACE สู่เขตเศรษฐกิจพิเศษ’ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานปิดการฝึกอบรมหลักสูตร ‘พัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับ ACE สู่เขตเศรษฐกิจพิเศษ’ ณ โรงแรมเดอะทวินทาวเวอร์ วันนี้ (27 ธันวาคม 2560) นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานปิดการฝึกอบรมหลักสูตร ‘พัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับ ACE สู่เขตเศรษฐกิจพิเศษ’ ของกระทรวงอุตสาหกรรม ณ โรงแรมเดอะทวินทาวเวอร์
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9077
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ รับคนไทยเดินทางกลับจากออสเตรเลีย 207 คน พร้อมตรวจเยี่ยมการทำงานของเจ้าหน้าที่คัดกรองและระบบตรวจคนเข้าเมือง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563 นายกฯ รับคนไทยเดินทางกลับจากออสเตรเลีย 207 คน พร้อมตรวจเยี่ยมการทํางานของเจ้าหน้าที่คัดกรองและระบบตรวจคนเข้าเมือง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายกฯ รับคนไทยเดินทางกลับจากออสเตรเลีย 207 คน พร้อมตรวจเยี่ยมการทํางานของเจ้าหน้าที่คัดกรองและระบบตรวจคนเข้าเมือง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ วันนี้(26เมษายน2563)ช่วงบ่ายนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพื่อรอรับคนไทยที่เดินทางกลับจากออสเตรเลียจํานวน 207คนประกอบด้วยนักเรียนนักศึกษาคนงานนักท่องเที่ยวที่ตกค้างอยู่ซึ่งเดินทางถึงไทยเวลา16.20น.พร้อมตรวจเยี่ยมการทํางานของเจ้าหน้าที่การคัดกรองระบบตรวจคนเข้าเมืองทั้งนี้ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระชับเวลาการตรวจเข้าเมืองและการคัดกรองเพื่ออํานวยความสะดวกแก่ผู้เดินทางกลับซึ่งฝ่ายที่ดูแลและร่วมปฏิบัติการเช่นสาธารณสุขการท่าอากาศยานฯสํานักงานตํารวจตรวจคนเข้าเมืองและกลาโหมได้รับไปดําเนินการว่าสามารถดําเนินการให้เสร็จสิ้นภายในไม่เกิน1ชม ทั้งนี้สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยได้ประกาศห้ามอากาศยานทําการบินเข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราวจนถึงวันที่30เมษายน2563ยกเว้นอากาศยานบางประเภทซึ่งหนึ่งในข้อยกเว้นได้เครื่องบินเช่าเหมาลําที่นําคนไทยกลับประเทศ( Repatriation)และปฏิบัติตามมาตรการFit to Flyอย่างเข้มงวดโดยผู้ที่เดินทางกลับมาทั้งหมดนี้จะผ่านการตรวจคัดกรองหากพบมีไข้จะนําส่งโรงพยาบาลหากปกติไม่มีไข้จะต้องเข้าสู่ระบบกักกันโรคหรือState Quarantineทุกคนเป็นเวลา14วัน ในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้รอรับคนไทยที่เดินทางกลับมาถึงและสอบถามพูดคุยเกี่ยวกับการเดินทางและสุขภาพระหว่างรอขั้นตอนการคัดกรองและแจ้งว่าหากขาดเหลือมีปัญหาอะไรก็แจ้งเจ้าหน้าที่ได้ทันทีทุกคนพร้อมดูแลและช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ............................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ รับคนไทยเดินทางกลับจากออสเตรเลีย 207 คน พร้อมตรวจเยี่ยมการทำงานของเจ้าหน้าที่คัดกรองและระบบตรวจคนเข้าเมือง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563 นายกฯ รับคนไทยเดินทางกลับจากออสเตรเลีย 207 คน พร้อมตรวจเยี่ยมการทํางานของเจ้าหน้าที่คัดกรองและระบบตรวจคนเข้าเมือง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายกฯ รับคนไทยเดินทางกลับจากออสเตรเลีย 207 คน พร้อมตรวจเยี่ยมการทํางานของเจ้าหน้าที่คัดกรองและระบบตรวจคนเข้าเมือง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ วันนี้(26เมษายน2563)ช่วงบ่ายนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพื่อรอรับคนไทยที่เดินทางกลับจากออสเตรเลียจํานวน 207คนประกอบด้วยนักเรียนนักศึกษาคนงานนักท่องเที่ยวที่ตกค้างอยู่ซึ่งเดินทางถึงไทยเวลา16.20น.พร้อมตรวจเยี่ยมการทํางานของเจ้าหน้าที่การคัดกรองระบบตรวจคนเข้าเมืองทั้งนี้ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระชับเวลาการตรวจเข้าเมืองและการคัดกรองเพื่ออํานวยความสะดวกแก่ผู้เดินทางกลับซึ่งฝ่ายที่ดูแลและร่วมปฏิบัติการเช่นสาธารณสุขการท่าอากาศยานฯสํานักงานตํารวจตรวจคนเข้าเมืองและกลาโหมได้รับไปดําเนินการว่าสามารถดําเนินการให้เสร็จสิ้นภายในไม่เกิน1ชม ทั้งนี้สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยได้ประกาศห้ามอากาศยานทําการบินเข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราวจนถึงวันที่30เมษายน2563ยกเว้นอากาศยานบางประเภทซึ่งหนึ่งในข้อยกเว้นได้เครื่องบินเช่าเหมาลําที่นําคนไทยกลับประเทศ( Repatriation)และปฏิบัติตามมาตรการFit to Flyอย่างเข้มงวดโดยผู้ที่เดินทางกลับมาทั้งหมดนี้จะผ่านการตรวจคัดกรองหากพบมีไข้จะนําส่งโรงพยาบาลหากปกติไม่มีไข้จะต้องเข้าสู่ระบบกักกันโรคหรือState Quarantineทุกคนเป็นเวลา14วัน ในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้รอรับคนไทยที่เดินทางกลับมาถึงและสอบถามพูดคุยเกี่ยวกับการเดินทางและสุขภาพระหว่างรอขั้นตอนการคัดกรองและแจ้งว่าหากขาดเหลือมีปัญหาอะไรก็แจ้งเจ้าหน้าที่ได้ทันทีทุกคนพร้อมดูแลและช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ............................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29808
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กำลังใจแก่เด็ก เยาวชน และบุคลากร พร้อมทั้งปฏิบัติหน้าที่ครูพิเศษ ณ สถานพินิจฯ จ.สุราษฎร์ธานี
วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2561 ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กําลังใจแก่เด็ก เยาวชน และบุคลากร พร้อมทั้งปฏิบัติหน้าที่ครูพิเศษ ณ สถานพินิจฯ จ.สุราษฎร์ธานี ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กําลังใจแก่เด็ก เยาวชน และบุคลากร พร้อมทั้งปฏิบัติหน้าที่ครูพิเศษ ณ สถานพินิจฯ จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อวันอังคารที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐ น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยม ประชุม และพบปะกับผู้บริหาร ข้าราชการ ครูอาจารย์ นักสังคมสงเคราะห์ ฝ่ายปกครอง รวมทั้งปฏิบัติหน้าที่ครูพิเศษ วิชา 'สังคมศึกษา : การเป็นคนไทยที่ดีตามรอยพระยุคลบาท' แก่เยาวชนของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดสุราษฎร์ธานี ณ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดสุราษฎร์ธานี อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวว่า "การกระทําของบุคคลถือเป็นหัวใจของการดํารงชีวิต การครองตนให้เป็นคนดี ของประเทศ การถือกําเนิดเป็นเพียงส่วนหนึ่ง การอบรมสั่งสอนก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง สําคัญที่สุดคือผลลัพธ์ จากการนําคําอบรมสั่งสอนไปสู่การกระทํา ดีหรือไม่ดีเริ่มต้นจากตัวเราเองทั้งสิ้น ที่จะต้องควบคุมความคิดอันมีความสุขุมรอบคอบให้สอดคล้องกับเหตุการณ์อีกทั้งวิจารณญาณอันเหมาะสม เช่น การคิดอย่างมีสติ มีความรอบคอบ แม้อาจช้าไปบ้างก่อนพูดหรือก่อนทํา ย่อมจะก่อให้เกิดความผิดพลาดได้ยาก ต่างจาก การคิดเร็ว พูดเร็ว และกระทําในสิ่งที่อาจจะขาดความรอบคอบถี่ถ้วน สิ่งนี้ที่ลูกหลานเยาวชนต้องช่วยกันเสริมสร้างอุปนิสัยใจคอ มีอัธยาศัยไมตรีต่อกัน ไม่ประสงค์ร้ายต่อกัน ให้กลับกลายเป็นเรื่องธรรมชาติ ทางการปฏิบัติ สังคมจะมีความปลอดภัยและน่าอยู่ขึ้นเป็นอันมาก"
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กำลังใจแก่เด็ก เยาวชน และบุคลากร พร้อมทั้งปฏิบัติหน้าที่ครูพิเศษ ณ สถานพินิจฯ จ.สุราษฎร์ธานี วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2561 ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กําลังใจแก่เด็ก เยาวชน และบุคลากร พร้อมทั้งปฏิบัติหน้าที่ครูพิเศษ ณ สถานพินิจฯ จ.สุราษฎร์ธานี ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กําลังใจแก่เด็ก เยาวชน และบุคลากร พร้อมทั้งปฏิบัติหน้าที่ครูพิเศษ ณ สถานพินิจฯ จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อวันอังคารที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐ น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยม ประชุม และพบปะกับผู้บริหาร ข้าราชการ ครูอาจารย์ นักสังคมสงเคราะห์ ฝ่ายปกครอง รวมทั้งปฏิบัติหน้าที่ครูพิเศษ วิชา 'สังคมศึกษา : การเป็นคนไทยที่ดีตามรอยพระยุคลบาท' แก่เยาวชนของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดสุราษฎร์ธานี ณ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดสุราษฎร์ธานี อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวว่า "การกระทําของบุคคลถือเป็นหัวใจของการดํารงชีวิต การครองตนให้เป็นคนดี ของประเทศ การถือกําเนิดเป็นเพียงส่วนหนึ่ง การอบรมสั่งสอนก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง สําคัญที่สุดคือผลลัพธ์ จากการนําคําอบรมสั่งสอนไปสู่การกระทํา ดีหรือไม่ดีเริ่มต้นจากตัวเราเองทั้งสิ้น ที่จะต้องควบคุมความคิดอันมีความสุขุมรอบคอบให้สอดคล้องกับเหตุการณ์อีกทั้งวิจารณญาณอันเหมาะสม เช่น การคิดอย่างมีสติ มีความรอบคอบ แม้อาจช้าไปบ้างก่อนพูดหรือก่อนทํา ย่อมจะก่อให้เกิดความผิดพลาดได้ยาก ต่างจาก การคิดเร็ว พูดเร็ว และกระทําในสิ่งที่อาจจะขาดความรอบคอบถี่ถ้วน สิ่งนี้ที่ลูกหลานเยาวชนต้องช่วยกันเสริมสร้างอุปนิสัยใจคอ มีอัธยาศัยไมตรีต่อกัน ไม่ประสงค์ร้ายต่อกัน ให้กลับกลายเป็นเรื่องธรรมชาติ ทางการปฏิบัติ สังคมจะมีความปลอดภัยและน่าอยู่ขึ้นเป็นอันมาก"
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12984
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“Grants for Change กองทุนสร้างสรรค์สื่อ สื่อสร้างสรรค์สังคม”
วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563 “Grants for Change กองทุนสร้างสรรค์สื่อ สื่อสร้างสรรค์สังคม” “Grants for Change กองทุนสร้างสรรค์สื่อ สื่อสร้างสรรค์สังคม” (21 ส.ค.63) ห้องวิภาวดี บอลรูม เอ บี โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพฯ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดงาน Grants for Change แถลงข่าวเปิดรับข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนทุนประจําปี 2563 วงเงินไม่เกิน 300 ล้านบาท พร้อมกัน 5 ภูมิภาค ส่วนกลางกรุงเทพฯ ส่วนภูมิภาค เชียงใหม่ ,ขอนแก่น ,ชลบุรี, สงขลา โดยการจัดงานในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนมีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานเต็มจํานวนทุกภูมิภาค นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ประธานอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัย และสร้างสรรค์ ประธานเปิดงานกล่าวว่า คนไทยมีวัฒนธรรม มีความเอื้ออาทร ความห่วงใย มีน้ําใจ และมีความคิดสร้างสรรค์ ทุกคนไม่ใช่เป็นเพียงผู้รับสื่อแต่เป็นผู้ผลิตสื่อ วันนี้เรามีสิ่งดีๆ จากช่องทางของรัฐ คือกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จึงอยากให้คนที่มีความสนใจเข้ามายื่นข้อเสนอโครงการ มาร่วมผลิตสื่อ เพราะทุกท่านมีคุณค่า ที่จะมาช่วยสร้างความเข้มแข็ง อยากให้มาช่วยกันสร้างสรรค์สื่อที่ปลอดภัย ป้องกันสื่อร้ายเป็นวัคซีนให้กับสังคม ด้าน ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่าการจัดงานพร้อมกันใน 5 ภูมิภาคของประเทศในวันนี้ เจ้าหน้าที่ทุกคนของสํานักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ มีความตั้งใจเป็นหนึ่งเดียวที่จะให้บริการและดูแลผู้สนใจเสนอโครงการฯ การจัดงานในครั้งนี้เราอยากจะให้กองทุนสื่อกับช้างเผือกได้มาเจอกัน เราจะได้ค้นพบผู้ผลิตหน้าใหม่ หรือรายเดิม ที่จะมาช่วยกันสร้างสรรค์ผลงานใหม่ โดยกองทุนสื่อจะเป็นกลไกในการที่จะไปค้นพบผู้ผลิตสื่อที่ดีและมีคุณภาพ กองทุนสร้างสรรค์สื่อเพื่อให้สื่อไปสร้างสรรค์สังคม “ อยากให้ทุกคนฝันร่วมกันฝันว่างานนั้นจะเป็นมาสเตอร์พีซ ที่สร้างผลกระเทือนต่อสังคมไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยแต่ส่งผลกระเทือนไปยังนานาชาติได้ ทั่วโลกได้ และคอนเท้นต์หนึ่งคอนเท้นต์คลิปหนึ่งคลิปมันเปลี่ยนชีวิตเลย อยากขอเชิญชวนผู้ขอรับทุนทุกคน ให้คิดใหญ่ งานของท่านจะดังไกลไปทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย ” ดร.ธนกรกล่าว ซึ่งงานในวันนี้กองทุนสื่อ ได้เปิดเวทีเสวนา “เขียนโครงการอย่างไรให้ได้ทุน” โดยวิทยากร ผู้มีประสบการณ์และตัวแทนผู้รับทุน มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ รวมถึงการเปิดคลินิกให้คําแนะนํา วิธีคิดวิธีการเขียนโครงการ การทําความเข้าใจรายละเอียดในสัญญา และการบริหารโครงการและการประสานงานกับกองทุนฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวทีเปิดรับเปิดรับข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนทุนประจําปี 2563 วงเงินไม่เกิน 300 ล้านบาท ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค มีผู้สนใจเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง นอกจากนี้ยังมีผู้ติดตามรับชมการถ่ายทอดสดทางเฟซบุ๊กของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ อีกจํานวนมาก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“Grants for Change กองทุนสร้างสรรค์สื่อ สื่อสร้างสรรค์สังคม” วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563 “Grants for Change กองทุนสร้างสรรค์สื่อ สื่อสร้างสรรค์สังคม” “Grants for Change กองทุนสร้างสรรค์สื่อ สื่อสร้างสรรค์สังคม” (21 ส.ค.63) ห้องวิภาวดี บอลรูม เอ บี โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพฯ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดงาน Grants for Change แถลงข่าวเปิดรับข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนทุนประจําปี 2563 วงเงินไม่เกิน 300 ล้านบาท พร้อมกัน 5 ภูมิภาค ส่วนกลางกรุงเทพฯ ส่วนภูมิภาค เชียงใหม่ ,ขอนแก่น ,ชลบุรี, สงขลา โดยการจัดงานในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนมีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานเต็มจํานวนทุกภูมิภาค นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ประธานอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัย และสร้างสรรค์ ประธานเปิดงานกล่าวว่า คนไทยมีวัฒนธรรม มีความเอื้ออาทร ความห่วงใย มีน้ําใจ และมีความคิดสร้างสรรค์ ทุกคนไม่ใช่เป็นเพียงผู้รับสื่อแต่เป็นผู้ผลิตสื่อ วันนี้เรามีสิ่งดีๆ จากช่องทางของรัฐ คือกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จึงอยากให้คนที่มีความสนใจเข้ามายื่นข้อเสนอโครงการ มาร่วมผลิตสื่อ เพราะทุกท่านมีคุณค่า ที่จะมาช่วยสร้างความเข้มแข็ง อยากให้มาช่วยกันสร้างสรรค์สื่อที่ปลอดภัย ป้องกันสื่อร้ายเป็นวัคซีนให้กับสังคม ด้าน ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่าการจัดงานพร้อมกันใน 5 ภูมิภาคของประเทศในวันนี้ เจ้าหน้าที่ทุกคนของสํานักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ มีความตั้งใจเป็นหนึ่งเดียวที่จะให้บริการและดูแลผู้สนใจเสนอโครงการฯ การจัดงานในครั้งนี้เราอยากจะให้กองทุนสื่อกับช้างเผือกได้มาเจอกัน เราจะได้ค้นพบผู้ผลิตหน้าใหม่ หรือรายเดิม ที่จะมาช่วยกันสร้างสรรค์ผลงานใหม่ โดยกองทุนสื่อจะเป็นกลไกในการที่จะไปค้นพบผู้ผลิตสื่อที่ดีและมีคุณภาพ กองทุนสร้างสรรค์สื่อเพื่อให้สื่อไปสร้างสรรค์สังคม “ อยากให้ทุกคนฝันร่วมกันฝันว่างานนั้นจะเป็นมาสเตอร์พีซ ที่สร้างผลกระเทือนต่อสังคมไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยแต่ส่งผลกระเทือนไปยังนานาชาติได้ ทั่วโลกได้ และคอนเท้นต์หนึ่งคอนเท้นต์คลิปหนึ่งคลิปมันเปลี่ยนชีวิตเลย อยากขอเชิญชวนผู้ขอรับทุนทุกคน ให้คิดใหญ่ งานของท่านจะดังไกลไปทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย ” ดร.ธนกรกล่าว ซึ่งงานในวันนี้กองทุนสื่อ ได้เปิดเวทีเสวนา “เขียนโครงการอย่างไรให้ได้ทุน” โดยวิทยากร ผู้มีประสบการณ์และตัวแทนผู้รับทุน มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ รวมถึงการเปิดคลินิกให้คําแนะนํา วิธีคิดวิธีการเขียนโครงการ การทําความเข้าใจรายละเอียดในสัญญา และการบริหารโครงการและการประสานงานกับกองทุนฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวทีเปิดรับเปิดรับข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนทุนประจําปี 2563 วงเงินไม่เกิน 300 ล้านบาท ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค มีผู้สนใจเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง นอกจากนี้ยังมีผู้ติดตามรับชมการถ่ายทอดสดทางเฟซบุ๊กของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ อีกจํานวนมาก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34408
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เชิญนักคิด นักพัฒนา IT ส่งผลงานซอฟต์แวร์ด้านสุขภาพเข้าประกวด ชิงเงินรางวัลกว่า 5 แสนบาท
วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม 2561 สธ.เชิญนักคิด นักพัฒนา IT ส่งผลงานซอฟต์แวร์ด้านสุขภาพเข้าประกวด ชิงเงินรางวัลกว่า 5 แสนบาท กระทรวงสาธารณสุขเชิญนักคิดนักพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล ส่งผลงานซอฟต์แวร์/แอปพลิเคชั่น ร่วมประกวดนวัตกรรมซอฟต์แวร์ด้านสุขภาพ ที่เป็นเครื่องมือในการพัฒนาระบบสุขภาพ (eHealth) ชิงเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 5 แสนบาท สมัครและส่งผลงานที่ http://ict-contest.moph.go.th จนถึงวันที่ 28 พฤษภาคม 2561 วันนี้ (10 พฤษภาคม 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (พิเศษ) นายแพทย์พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร แถลงข่าว การประกวดนวัตกรรมซอฟต์แวร์ด้านสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ประจําปี 2561 ภายใต้หัวข้อ “ICT Innovations for eHealth” ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้นําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาระบบสาธารณสุข ตามนโยบายดิจิทัลไทยแลนด์ของรัฐบาล โดยพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารสุขภาพ (eHealthหรือHealth IT) มาเป็นเครื่องมือและบริการที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ในการดูแลสุขภาพเชื่อมโยงระหว่างผู้ป่วยผู้ให้บริการ และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ได้แก่ การรับส่งข้อมูลสุขภาพ ระบบใบสั่งยาบันทึกข้อมูลสุขภาพระบบการส่งต่อเครือข่ายบริการสุขภาพระบบตรวจรักษาทางไกล รวมถึงการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ เพื่อการเผยแพร่หรือให้บริการข้อมูลการดูแลสุขภาพประชาชน ซึ่งได้มีการพัฒนาแอปพลิเคชั่นสร้างองค์ความรู้ด้านสุขภาพ เช่น Oryor Smart Application,App. Tumdee Drug Alert แจ้งเตือนภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพด้านยา App. Samunprai First สืบค้นข้อมูลสมุนไพรใช้ดูแลรักษาโรคเบื้องต้นด้วยตนเอง และ App.GIS Health ค้นหาโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เป็นต้น นายแพทย์โอภาส กล่าวต่อว่า สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดการประกวดนวัตกรรมซอฟต์แวร์ด้านสุขภาพเพื่อนําวตกรรมดิจิทัลด้านสุขภาพไปต่อยอดให้ประชาชน ให้สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั่วถึง เป็นธรรมและปลอดภัยโดยได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคมหาวิทยาลัย เอกชน และองค์กรภาครัฐ รวมทั้งคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในวงการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทย ร่วมเป็นคณะกรรมการ กําหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาในมิติต่าง ๆ และเป็นผู้ตัดสินในทุกรอบการคัดเลือกโดยมีเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 5 แสนบาท ด้าน นายแพทย์พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวว่า ขอเชิญชวนประชาชน นิสิตนักศึกษา และบุคลากรกระทรวงสาธารณสุข สมัครเข้าร่วมโครงการฯ และส่งผลงานได้ในรูปแบบของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Software) หรือ โมบาย แอปพิเคชั่น (Mobile Application)หรือนวัตกรรมอื่นๆที่ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้อย่างง่ายและรวดเร็ว มีความเข้าใจเรื่องสุขภาพและการดูแลตนเองตรงกับความต้องการของประชาชน ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสาร รวมทั้งสร้างความเป็นธรรม ความเสมอภาคในการขอใช้บริการ “อยู่ที่ไหนก็รู้ข้อมูลได้” ที่ https://ict-contest.moph.go.th/ ภายในวันที่ 28 พฤษภาคม 2561นี้ โดยจะทําการตัดสินรอบแรกในวันที่ 30-31 พฤษภาคม 2561 และผลงานที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับการนําเสนอผลงานในเวทีการประชุมวิชาการเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสุขภาพประจําปี 2561ในวันที่ 19มิถุนายน 2561ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพมหานครสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่e-mail : [email protected]โทร 02 590 1204, 02 590 1207-8 ในวันเวลาราชการติดตามรายละเอียดโครงการและผลการตัดสินรอบต่าง ๆ ได้ที่ https://ict-contest.moph.go.th/ ******************************* 10 พฤษภาคม 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เชิญนักคิด นักพัฒนา IT ส่งผลงานซอฟต์แวร์ด้านสุขภาพเข้าประกวด ชิงเงินรางวัลกว่า 5 แสนบาท วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม 2561 สธ.เชิญนักคิด นักพัฒนา IT ส่งผลงานซอฟต์แวร์ด้านสุขภาพเข้าประกวด ชิงเงินรางวัลกว่า 5 แสนบาท กระทรวงสาธารณสุขเชิญนักคิดนักพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล ส่งผลงานซอฟต์แวร์/แอปพลิเคชั่น ร่วมประกวดนวัตกรรมซอฟต์แวร์ด้านสุขภาพ ที่เป็นเครื่องมือในการพัฒนาระบบสุขภาพ (eHealth) ชิงเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 5 แสนบาท สมัครและส่งผลงานที่ http://ict-contest.moph.go.th จนถึงวันที่ 28 พฤษภาคม 2561 วันนี้ (10 พฤษภาคม 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (พิเศษ) นายแพทย์พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร แถลงข่าว การประกวดนวัตกรรมซอฟต์แวร์ด้านสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ประจําปี 2561 ภายใต้หัวข้อ “ICT Innovations for eHealth” ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้นําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาระบบสาธารณสุข ตามนโยบายดิจิทัลไทยแลนด์ของรัฐบาล โดยพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารสุขภาพ (eHealthหรือHealth IT) มาเป็นเครื่องมือและบริการที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ในการดูแลสุขภาพเชื่อมโยงระหว่างผู้ป่วยผู้ให้บริการ และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ได้แก่ การรับส่งข้อมูลสุขภาพ ระบบใบสั่งยาบันทึกข้อมูลสุขภาพระบบการส่งต่อเครือข่ายบริการสุขภาพระบบตรวจรักษาทางไกล รวมถึงการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ เพื่อการเผยแพร่หรือให้บริการข้อมูลการดูแลสุขภาพประชาชน ซึ่งได้มีการพัฒนาแอปพลิเคชั่นสร้างองค์ความรู้ด้านสุขภาพ เช่น Oryor Smart Application,App. Tumdee Drug Alert แจ้งเตือนภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพด้านยา App. Samunprai First สืบค้นข้อมูลสมุนไพรใช้ดูแลรักษาโรคเบื้องต้นด้วยตนเอง และ App.GIS Health ค้นหาโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เป็นต้น นายแพทย์โอภาส กล่าวต่อว่า สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดการประกวดนวัตกรรมซอฟต์แวร์ด้านสุขภาพเพื่อนําวตกรรมดิจิทัลด้านสุขภาพไปต่อยอดให้ประชาชน ให้สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั่วถึง เป็นธรรมและปลอดภัยโดยได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคมหาวิทยาลัย เอกชน และองค์กรภาครัฐ รวมทั้งคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในวงการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทย ร่วมเป็นคณะกรรมการ กําหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาในมิติต่าง ๆ และเป็นผู้ตัดสินในทุกรอบการคัดเลือกโดยมีเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 5 แสนบาท ด้าน นายแพทย์พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวว่า ขอเชิญชวนประชาชน นิสิตนักศึกษา และบุคลากรกระทรวงสาธารณสุข สมัครเข้าร่วมโครงการฯ และส่งผลงานได้ในรูปแบบของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Software) หรือ โมบาย แอปพิเคชั่น (Mobile Application)หรือนวัตกรรมอื่นๆที่ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้อย่างง่ายและรวดเร็ว มีความเข้าใจเรื่องสุขภาพและการดูแลตนเองตรงกับความต้องการของประชาชน ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสาร รวมทั้งสร้างความเป็นธรรม ความเสมอภาคในการขอใช้บริการ “อยู่ที่ไหนก็รู้ข้อมูลได้” ที่ https://ict-contest.moph.go.th/ ภายในวันที่ 28 พฤษภาคม 2561นี้ โดยจะทําการตัดสินรอบแรกในวันที่ 30-31 พฤษภาคม 2561 และผลงานที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับการนําเสนอผลงานในเวทีการประชุมวิชาการเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสุขภาพประจําปี 2561ในวันที่ 19มิถุนายน 2561ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพมหานครสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่e-mail : [email protected]โทร 02 590 1204, 02 590 1207-8 ในวันเวลาราชการติดตามรายละเอียดโครงการและผลการตัดสินรอบต่าง ๆ ได้ที่ https://ict-contest.moph.go.th/ ******************************* 10 พฤษภาคม 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12130
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบร่างมาตรการผ่อนปรนคนต่างชาติเข้าประเทศไทย [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563 คกก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบร่างมาตรการผ่อนปรนคนต่างชาติเข้าประเทศไทย [กระทรวงสาธารณสุข] คกก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบร่างมาตรการผ่อนปรนคนต่างชาติเข้าประเทศไทย คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบร่าง “ระบบการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จากผู้เดินทางที่จะเข้าไทย โดยเริ่มจับคู่เจรจาประเทศที่มีความเสี่ยงต่ํา เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยแก่ประชาชน และส่งเสริมการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ เตรียมเสนอ ศบค. วันนี้ (24 มิถุนายน2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2563 โดยในวันนี้ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาและเห็นชอบ ร่าง “ระบบการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จากผู้เดินทางที่จะเข้ามาในราชอาณาจักร ภายใต้พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558” นายอนุทินกล่าวว่า ประเทศไทยได้รับความเชื่อมั่นจากนานาประเทศในความสําเร็จของการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทูตานุทูตหลายประเทศเข้ามาหารือเรื่องมาตรการผ่อนปรนการเดินทางระหว่างประเทศและขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยมาตรการที่คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเสนอ จะใช้วิธีการจับคู่เจรจาและทําข้อตกลงระหว่างประเทศคู่เจรจา ทั้งนี้ จะเริ่มจับคู่กับประเทศที่มีความเสี่ยงต่ําก่อน และจะมีการประเมินสถานการณ์เป็นระยะ เพื่อปรับกลุ่มประเทศและมาตรการได้ตลอด สําหรับกลุ่มคนที่เดินทางเข้ามาจากต่างประเทศจําแนกเป็น3กลุ่มกลุ่มแรกเป็นบุคคลที่นายกรัฐมนตรีอนุญาต เช่น คณะทูต คณะกงศุล องค์กรระหว่างประเทศหรือผู้แทนรัฐบาล ผู้ขนส่งสินค้าตามความจําเป็นกลุ่มที่สองคนไทยกลับบ้านที่ต้องเข้าสู่ระบบกักกันซึ่งดําเนินการอยู่แล้วกลุ่มที่สามคนต่างชาติ จะพิจารณาจากวัตถุประสงค์การเข้ามา ความจําเป็นด้านเศรษฐกิจและสังคม ระยะเวลาในการอยู่ในประเทศ โดยมีการเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุขรองรับ ส่วนในกลุ่มชาวต่างชาติจะแบ่งเป็น 3 ระยะของการผ่อนปรนดังนี้ระยะที่ 1คือ กลุ่มที่เข้ามาระยะสั้น อาทิ อาคันตุกะของรัฐบาล กลุ่มนักธุรกิจ/นักลงทุนที่ได้รับอนุญาตจากรัฐ กลุ่มที่เข้ามาอยู่ระยะยาว อาทิ กลุ่มแรงงานฝีมือ/ผู้เชี่ยวชาญ คนต่างชาติที่เป็นครอบครัวคนไทย ผู้มีเหตุจําเป็น เช่น ครู/นักเรียนจากต่างประเทศตามความจําเป็นด้านเศรษฐกิจและสังคมระยะที่ 2คือ กลุ่มที่มีผลต่อเศรษฐกิจและเข้ามาอยู่ในสถานที่เฉพาะคือโรงพยาบาล คือผู้ป่วยที่เข้ามารับบริการด้านสุขภาพ และระยะที่ 3คือ กลุ่มที่มีการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ มีผลต่อเศรษฐกิจและการผลิต คือกลุ่มนักท่องเที่ยว และแรงงาน ซึ่งจะเริ่มดําเนินการเมื่อพร้อมและสังคมมีความเชื่อมั่น ทั้งนี้ จะได้นําเสนอต่อศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 ต่อไป ทั้งนี้ ได้มีการกําหนดมาตรการในการดําเนินการ ตั้งแต่การเตรียมตัวก่อนเดินทางเข้าประเทศ อาทิ การลงทะเบียนและมีใบรับรองจากสถานทูตไทย การทําประกันภัยที่ครอบคลุมการตรวจ/รักษาโควิด19 ใบรับรองการบิน ระหว่างอยู่ในประเทศ อาทิ การคัดกรอง การตรวจหาเชื้อ การแยกกัก กักกัน และคุมไว้สังเกตตามระยะเวลาที่อยู่ในประเทศไทย โดยทีมติดตามด้านการแพทย์และสาธารณสุข และก่อนเดินทางกลับ อาทิ การรายงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ การตรวจหาเชื้อก่อนกลับ ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจในการดูแลความปลอดภัยแก่ประชาชน และเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบแผน การเฝ้าระวังประชากรกลุ่มเสี่ยงที่จะดําเนินการต่อเนื่อง ได้แก่ ผู้ให้บริการทางการแพทย์ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ผู้ต้องขังแรกรับ ผู้ต้องกักแรกรับ และอาชีพเสี่ยง เช่น พนักงานในโรงงานผลิตอาหาร พ่อค้าแม่ค้า บุคลากรที่ทํางานกับผู้สูงอายุ พนักงานนวด พนักงานสถานบันเทิง โดยระหว่างวันที่ 18 พฤษภาคม - 22 มิถุนายน 2563 ได้ดําเนินการตรวจเฝ้าระวังในกลุ่มเสี่ยงทั่วประเทศ 89,620 ราย ตรวจพบเชื้อ 1 รายเป็นผู้ป่วยเก่า รอผลตรวจ 8,257 ราย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบร่างมาตรการผ่อนปรนคนต่างชาติเข้าประเทศไทย [กระทรวงสาธารณสุข] วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563 คกก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบร่างมาตรการผ่อนปรนคนต่างชาติเข้าประเทศไทย [กระทรวงสาธารณสุข] คกก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบร่างมาตรการผ่อนปรนคนต่างชาติเข้าประเทศไทย คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบร่าง “ระบบการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จากผู้เดินทางที่จะเข้าไทย โดยเริ่มจับคู่เจรจาประเทศที่มีความเสี่ยงต่ํา เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยแก่ประชาชน และส่งเสริมการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ เตรียมเสนอ ศบค. วันนี้ (24 มิถุนายน2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2563 โดยในวันนี้ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาและเห็นชอบ ร่าง “ระบบการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จากผู้เดินทางที่จะเข้ามาในราชอาณาจักร ภายใต้พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558” นายอนุทินกล่าวว่า ประเทศไทยได้รับความเชื่อมั่นจากนานาประเทศในความสําเร็จของการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทูตานุทูตหลายประเทศเข้ามาหารือเรื่องมาตรการผ่อนปรนการเดินทางระหว่างประเทศและขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยมาตรการที่คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเสนอ จะใช้วิธีการจับคู่เจรจาและทําข้อตกลงระหว่างประเทศคู่เจรจา ทั้งนี้ จะเริ่มจับคู่กับประเทศที่มีความเสี่ยงต่ําก่อน และจะมีการประเมินสถานการณ์เป็นระยะ เพื่อปรับกลุ่มประเทศและมาตรการได้ตลอด สําหรับกลุ่มคนที่เดินทางเข้ามาจากต่างประเทศจําแนกเป็น3กลุ่มกลุ่มแรกเป็นบุคคลที่นายกรัฐมนตรีอนุญาต เช่น คณะทูต คณะกงศุล องค์กรระหว่างประเทศหรือผู้แทนรัฐบาล ผู้ขนส่งสินค้าตามความจําเป็นกลุ่มที่สองคนไทยกลับบ้านที่ต้องเข้าสู่ระบบกักกันซึ่งดําเนินการอยู่แล้วกลุ่มที่สามคนต่างชาติ จะพิจารณาจากวัตถุประสงค์การเข้ามา ความจําเป็นด้านเศรษฐกิจและสังคม ระยะเวลาในการอยู่ในประเทศ โดยมีการเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุขรองรับ ส่วนในกลุ่มชาวต่างชาติจะแบ่งเป็น 3 ระยะของการผ่อนปรนดังนี้ระยะที่ 1คือ กลุ่มที่เข้ามาระยะสั้น อาทิ อาคันตุกะของรัฐบาล กลุ่มนักธุรกิจ/นักลงทุนที่ได้รับอนุญาตจากรัฐ กลุ่มที่เข้ามาอยู่ระยะยาว อาทิ กลุ่มแรงงานฝีมือ/ผู้เชี่ยวชาญ คนต่างชาติที่เป็นครอบครัวคนไทย ผู้มีเหตุจําเป็น เช่น ครู/นักเรียนจากต่างประเทศตามความจําเป็นด้านเศรษฐกิจและสังคมระยะที่ 2คือ กลุ่มที่มีผลต่อเศรษฐกิจและเข้ามาอยู่ในสถานที่เฉพาะคือโรงพยาบาล คือผู้ป่วยที่เข้ามารับบริการด้านสุขภาพ และระยะที่ 3คือ กลุ่มที่มีการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ มีผลต่อเศรษฐกิจและการผลิต คือกลุ่มนักท่องเที่ยว และแรงงาน ซึ่งจะเริ่มดําเนินการเมื่อพร้อมและสังคมมีความเชื่อมั่น ทั้งนี้ จะได้นําเสนอต่อศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 ต่อไป ทั้งนี้ ได้มีการกําหนดมาตรการในการดําเนินการ ตั้งแต่การเตรียมตัวก่อนเดินทางเข้าประเทศ อาทิ การลงทะเบียนและมีใบรับรองจากสถานทูตไทย การทําประกันภัยที่ครอบคลุมการตรวจ/รักษาโควิด19 ใบรับรองการบิน ระหว่างอยู่ในประเทศ อาทิ การคัดกรอง การตรวจหาเชื้อ การแยกกัก กักกัน และคุมไว้สังเกตตามระยะเวลาที่อยู่ในประเทศไทย โดยทีมติดตามด้านการแพทย์และสาธารณสุข และก่อนเดินทางกลับ อาทิ การรายงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ การตรวจหาเชื้อก่อนกลับ ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจในการดูแลความปลอดภัยแก่ประชาชน และเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบแผน การเฝ้าระวังประชากรกลุ่มเสี่ยงที่จะดําเนินการต่อเนื่อง ได้แก่ ผู้ให้บริการทางการแพทย์ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ผู้ต้องขังแรกรับ ผู้ต้องกักแรกรับ และอาชีพเสี่ยง เช่น พนักงานในโรงงานผลิตอาหาร พ่อค้าแม่ค้า บุคลากรที่ทํางานกับผู้สูงอายุ พนักงานนวด พนักงานสถานบันเทิง โดยระหว่างวันที่ 18 พฤษภาคม - 22 มิถุนายน 2563 ได้ดําเนินการตรวจเฝ้าระวังในกลุ่มเสี่ยงทั่วประเทศ 89,620 ราย ตรวจพบเชื้อ 1 รายเป็นผู้ป่วยเก่า รอผลตรวจ 8,257 ราย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32702
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ยโสธรตรวจศูนย์ดิจิทัลชุมชน และเปิดโครงการยุติธรรมสู่หมู่บ้าน
วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2561 รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ยโสธรตรวจศูนย์ดิจิทัลชุมชน และเปิดโครงการยุติธรรมสู่หมู่บ้าน รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ยโสธรตรวจศูนย์ดิจิทัลชุมชนและเปิดโครงการยุติธรรมสู่หมู่บ้าน ตามที่กําหนดให้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 5/2561 ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 ที่จังหวัดอุบลราชธานี นั้น ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยคณะได้กําหนดที่จะเดินทางไปยังพื้นที่จังหวัดยโสธร เพื่อตรวจราชการหน่วยงานในกํากับด้านดิจิทัล และด้านยุติธรรม โดยภายหลังเป็นประธานเปิดงานสัมมนาวิชาการ Future Economy & Internet Governance: Big Change To Big Chance และปาฐกถาพิเศษเรื่อง Future Economy & Internet Governance ที่สยามพารากอนในช่วงเช้าแล้ว รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะได้เดินทางไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อ เดินทางไปยังท่าอากาศยานอุบลราชธานี และเดินทางต่อไปยังจังหวัดยโสธร ​ จากนั้นในเวลา 15.00 น. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะเดินทางไปตรวจเยี่ยมศูนย์ดิจิทัลชุมชนตําบลทุ่งแต้ วัดบูรพา ตําบลทุ่งแต้ อําเภอเมือง จังหวัดยโสธร ซึ่งเป็นศูนย์ดิจิทัลชุมชน 1 ใน 3 ศูนย์ ICT ชุมชน ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้อนุมัติให้จัดตั้งขึ้นในจังหวัดยโสธร เสร็จแล้วจึงเดินทางต่อไปยังธาตุก่องข้าวน้อย ตําบลตาดทอง อําเภอเมือง จังหวัดยโสธร ​​จากนั้นในเวลา 16.25 น. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นําบริการรัฐสู่ประชาชน ครั้งที่ 9/2561 และปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นําบริการรัฐสู่ประชาชน” เยี่ยมชมนิทรรศการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานภาคี พร้อมพบประชาชนเพื่อรับฟังปัญหาความเดือนร้อน และกลไกการบูรณาการทํางานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคประชาชน ที่ธาตุก่องข้าวน้อย ตําบลตาดทอง อําเภอเมือง จังหวัดยโสธร เสร็จแล้วจะได้เดินทางไปยังจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ต่อไป ​ ​​​ ........................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ยโสธรตรวจศูนย์ดิจิทัลชุมชน และเปิดโครงการยุติธรรมสู่หมู่บ้าน วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2561 รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ยโสธรตรวจศูนย์ดิจิทัลชุมชน และเปิดโครงการยุติธรรมสู่หมู่บ้าน รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ยโสธรตรวจศูนย์ดิจิทัลชุมชนและเปิดโครงการยุติธรรมสู่หมู่บ้าน ตามที่กําหนดให้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 5/2561 ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 ที่จังหวัดอุบลราชธานี นั้น ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยคณะได้กําหนดที่จะเดินทางไปยังพื้นที่จังหวัดยโสธร เพื่อตรวจราชการหน่วยงานในกํากับด้านดิจิทัล และด้านยุติธรรม โดยภายหลังเป็นประธานเปิดงานสัมมนาวิชาการ Future Economy & Internet Governance: Big Change To Big Chance และปาฐกถาพิเศษเรื่อง Future Economy & Internet Governance ที่สยามพารากอนในช่วงเช้าแล้ว รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะได้เดินทางไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อ เดินทางไปยังท่าอากาศยานอุบลราชธานี และเดินทางต่อไปยังจังหวัดยโสธร ​ จากนั้นในเวลา 15.00 น. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะเดินทางไปตรวจเยี่ยมศูนย์ดิจิทัลชุมชนตําบลทุ่งแต้ วัดบูรพา ตําบลทุ่งแต้ อําเภอเมือง จังหวัดยโสธร ซึ่งเป็นศูนย์ดิจิทัลชุมชน 1 ใน 3 ศูนย์ ICT ชุมชน ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้อนุมัติให้จัดตั้งขึ้นในจังหวัดยโสธร เสร็จแล้วจึงเดินทางต่อไปยังธาตุก่องข้าวน้อย ตําบลตาดทอง อําเภอเมือง จังหวัดยโสธร ​​จากนั้นในเวลา 16.25 น. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นําบริการรัฐสู่ประชาชน ครั้งที่ 9/2561 และปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นําบริการรัฐสู่ประชาชน” เยี่ยมชมนิทรรศการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานภาคี พร้อมพบประชาชนเพื่อรับฟังปัญหาความเดือนร้อน และกลไกการบูรณาการทํางานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคประชาชน ที่ธาตุก่องข้าวน้อย ตําบลตาดทอง อําเภอเมือง จังหวัดยโสธร เสร็จแล้วจะได้เดินทางไปยังจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ต่อไป ​ ​​​ ........................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14022
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยผลิตและคลังสินค้า ร้าน “ทอฝัน By พม.”
วันพุธที่ 1 มีนาคม 2560 รมว. พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยผลิตและคลังสินค้า ร้าน “ทอฝัน By พม.” รมว. พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยผลิตและคลังสินค้า ร้าน “ทอฝัน By พม.” พร้อมเชิญชวนร่วมสนับสนุนผลิตภัณฑ์คุณภาพ เพื่อร่วมสร้างโอกาส เกียรติ กําลังใจ ให้แก่กัน วันนี้ (1 มี.ค. 60) เวลา 14.00 น. พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) และคณะผู้บริหารกระทรวงฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยผลิตและคลังสินค้าของร้านจําหน่ายผลิตภัณฑ์คุณภาพของผู้รับบริการในหน่วยงานสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ภายใต้ชื่อ ร้าน "ทอฝัน By พม.” พร้อมทั้งเยี่ยมชมกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์คุณภาพจากฝีมือผู้พิการ ณ ศูนย์ส่งเสริมอาชีพคนพิการ (โรงงานปีคนพิการสากล) และศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง จังหวัดนนทบุรี พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีภารกิจในการคุ้มครองดูแลกลุ่มเป้าหมาย อาทิ เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในภาวะยากลําบาก รวมทั้งผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมทักษะอาชีพให้กลุ่มเป้าหมายได้มีเครื่องมือในการประกอบอาชีพ สามารถสร้างรายได้ที่เพียงพออย่างมั่นคงในระยะยาว เมื่อกลับคืนสู่สังคมได้อย่างมีคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน ทางกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ จึงได้ดําเนินโครงการ "ทอฝัน By พม.” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการฝึกทักษะอาชีพ ให้กับกลุ่มเป้าหมายผู้อยู่ในสภาวะยากลําบากของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ รวมทั้งผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ อย่างครบวงจรตั้งแต่การฝึกอบรม การผลิต การบรรจุภัณฑ์ การควบคุมคุณภาพสินค้า ระบบคลังสินค้า การขนส่ง การขาย และการปันส่วนคืนให้กับผู้ผลิตตามรูปแบบทางธุรกิจอย่างเหมาะสม เพื่อให้เกิดการเสริมพลังกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ ให้มีทักษะอาชีพในการสร้าง รายได้ที่เพียงพออย่างมั่นคงในระยะยาว เพื่อให้สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวด้วยความความเชื่อมั่น ความภาคภูมิใจ และอยู่ในสังคมได้อย่างคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า ปัจจุบัน โครงการ "ทอฝัน By พม.” ได้เปิดจําหน่ายผลิตภัณฑ์คุณภาพจํานวนทั้งสิ้น 3 ร้านหลัก โดยมีหน้าร้าน จํานวน 2 ร้าน คือ 1) ร้านวังสะพานขาว ณ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ สะพานขาว กรุงเทพฯ และ 2) ร้าน "ทอฝัน By พม.” ณ ที่ห้างสรรพสินค้า CENTRAL WORLD ชั้น 4 (ตรงข้ามร้านวัตสัน) และ อีก 1 ร้าน สั่งซื้อผ่านสื่อออนไลน์ ทาง Facebook "ทอฝัน By พม.” โดยมีการจําหน่ายผลิตภัณฑ์ "ทอฝัน By พม.” ที่น่าสนใจ อาทิ ผลิตภัณฑ์จากผ้าด้นมือ ผ้าปัก ผ้าขาวม้า ถ้วยเซรามิค เครื่องเป๋าสาน กระเป๋างานควิลท์ หมอนอิง ผ้าคลุมไหล่ ผ้าปูโต๊ะ และผลิตภัณฑ์สมุนไพร เป็นต้น พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับผลิตภัณฑ์ "ทอฝัน By พม.” มีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายจาก หน่วยผลิต 14 หน่วยงาน ที่ให้ความคุ้มครองดูแลกลุ่มเป้าหมายของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ประกอบด้วย 1) กรมกิจการสตรี และสถาบันครอบครัว (สค.) ได้แก่ 1.1) ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา จ.ขอนแก่น 1.2) ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.ศรีสะเกษ 1.3) ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง จ. นนทบุรี 1.4) ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ 36 พรรษา จ.ชลบุรี 1.5) ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัว จังหวัดเชียงราย 1.6) ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคเหนือ จังหวัดลําปาง 1.7) ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา บรมราชินีนาถ จังหวัดลําพูน 1.8) ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคใต้ จังหวัดสงขลา 2.) สํานักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ 2.1) สถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพบ้านนารีสวัสดิ์ 2.2) สถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ บ้านเกร็ดตระการ 2.3) สถานคุ้มครองและพัฒนาฯ บ้านสองแคว 2.4) สถานคุ้มครองและ พัฒนาฯ บ้านศรีสุราษฎร์ 3.) กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โดยศูนย์ส่งเสริมอาชีพคนพิการ (โรงงานปีคนพิการสากล) และ 4) กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ โดยสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพคนไร้ที่พึ่ง "ทั้งนี้ ขอเชิญชวนประชาชนร่วมสนับสนุนผลิตภัณฑ์คุณภาพจากฝีมือกลุ่มเป้าหมายของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ อาทิ เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในภาวะยากลําบาก รวมทั้งผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ที่ร้าน "ทอฝัน By พม.” ทั้ง 3 ร้านหลัก เพื่อร่วมทอฝัน ร่วมแบ่งปัน ร่วมสร้างโอกาส เกียรติ กําลังใจ ให้แก่กัน” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยผลิตและคลังสินค้า ร้าน “ทอฝัน By พม.” วันพุธที่ 1 มีนาคม 2560 รมว. พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยผลิตและคลังสินค้า ร้าน “ทอฝัน By พม.” รมว. พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยผลิตและคลังสินค้า ร้าน “ทอฝัน By พม.” พร้อมเชิญชวนร่วมสนับสนุนผลิตภัณฑ์คุณภาพ เพื่อร่วมสร้างโอกาส เกียรติ กําลังใจ ให้แก่กัน วันนี้ (1 มี.ค. 60) เวลา 14.00 น. พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) และคณะผู้บริหารกระทรวงฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยผลิตและคลังสินค้าของร้านจําหน่ายผลิตภัณฑ์คุณภาพของผู้รับบริการในหน่วยงานสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ภายใต้ชื่อ ร้าน "ทอฝัน By พม.” พร้อมทั้งเยี่ยมชมกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์คุณภาพจากฝีมือผู้พิการ ณ ศูนย์ส่งเสริมอาชีพคนพิการ (โรงงานปีคนพิการสากล) และศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง จังหวัดนนทบุรี พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีภารกิจในการคุ้มครองดูแลกลุ่มเป้าหมาย อาทิ เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในภาวะยากลําบาก รวมทั้งผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมทักษะอาชีพให้กลุ่มเป้าหมายได้มีเครื่องมือในการประกอบอาชีพ สามารถสร้างรายได้ที่เพียงพออย่างมั่นคงในระยะยาว เมื่อกลับคืนสู่สังคมได้อย่างมีคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน ทางกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ จึงได้ดําเนินโครงการ "ทอฝัน By พม.” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการฝึกทักษะอาชีพ ให้กับกลุ่มเป้าหมายผู้อยู่ในสภาวะยากลําบากของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ รวมทั้งผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ อย่างครบวงจรตั้งแต่การฝึกอบรม การผลิต การบรรจุภัณฑ์ การควบคุมคุณภาพสินค้า ระบบคลังสินค้า การขนส่ง การขาย และการปันส่วนคืนให้กับผู้ผลิตตามรูปแบบทางธุรกิจอย่างเหมาะสม เพื่อให้เกิดการเสริมพลังกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ ให้มีทักษะอาชีพในการสร้าง รายได้ที่เพียงพออย่างมั่นคงในระยะยาว เพื่อให้สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวด้วยความความเชื่อมั่น ความภาคภูมิใจ และอยู่ในสังคมได้อย่างคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า ปัจจุบัน โครงการ "ทอฝัน By พม.” ได้เปิดจําหน่ายผลิตภัณฑ์คุณภาพจํานวนทั้งสิ้น 3 ร้านหลัก โดยมีหน้าร้าน จํานวน 2 ร้าน คือ 1) ร้านวังสะพานขาว ณ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ สะพานขาว กรุงเทพฯ และ 2) ร้าน "ทอฝัน By พม.” ณ ที่ห้างสรรพสินค้า CENTRAL WORLD ชั้น 4 (ตรงข้ามร้านวัตสัน) และ อีก 1 ร้าน สั่งซื้อผ่านสื่อออนไลน์ ทาง Facebook "ทอฝัน By พม.” โดยมีการจําหน่ายผลิตภัณฑ์ "ทอฝัน By พม.” ที่น่าสนใจ อาทิ ผลิตภัณฑ์จากผ้าด้นมือ ผ้าปัก ผ้าขาวม้า ถ้วยเซรามิค เครื่องเป๋าสาน กระเป๋างานควิลท์ หมอนอิง ผ้าคลุมไหล่ ผ้าปูโต๊ะ และผลิตภัณฑ์สมุนไพร เป็นต้น พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับผลิตภัณฑ์ "ทอฝัน By พม.” มีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายจาก หน่วยผลิต 14 หน่วยงาน ที่ให้ความคุ้มครองดูแลกลุ่มเป้าหมายของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ประกอบด้วย 1) กรมกิจการสตรี และสถาบันครอบครัว (สค.) ได้แก่ 1.1) ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา จ.ขอนแก่น 1.2) ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.ศรีสะเกษ 1.3) ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคกลาง จ. นนทบุรี 1.4) ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ 36 พรรษา จ.ชลบุรี 1.5) ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัว จังหวัดเชียงราย 1.6) ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคเหนือ จังหวัดลําปาง 1.7) ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา บรมราชินีนาถ จังหวัดลําพูน 1.8) ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคใต้ จังหวัดสงขลา 2.) สํานักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ 2.1) สถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพบ้านนารีสวัสดิ์ 2.2) สถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ บ้านเกร็ดตระการ 2.3) สถานคุ้มครองและพัฒนาฯ บ้านสองแคว 2.4) สถานคุ้มครองและ พัฒนาฯ บ้านศรีสุราษฎร์ 3.) กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โดยศูนย์ส่งเสริมอาชีพคนพิการ (โรงงานปีคนพิการสากล) และ 4) กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ โดยสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพคนไร้ที่พึ่ง "ทั้งนี้ ขอเชิญชวนประชาชนร่วมสนับสนุนผลิตภัณฑ์คุณภาพจากฝีมือกลุ่มเป้าหมายของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ อาทิ เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในภาวะยากลําบาก รวมทั้งผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ที่ร้าน "ทอฝัน By พม.” ทั้ง 3 ร้านหลัก เพื่อร่วมทอฝัน ร่วมแบ่งปัน ร่วมสร้างโอกาส เกียรติ กําลังใจ ให้แก่กัน” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2148
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ประกาศปิดให้บริการห้องรับรองพระภิกษุสามเณร และห้องละหมาด บริเวณชั้น 3 อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ (อาคาร 2) เป็นการชั่วคราว [กระทรวงคมนาคม]
วันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2563 ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ประกาศปิดให้บริการห้องรับรองพระภิกษุสามเณร และห้องละหมาด บริเวณชั้น 3 อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ (อาคาร 2) เป็นการชั่วคราว [กระทรวงคมนาคม] ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ประกาศปิดให้บริการห้องรับรองพระภิกษุสามเณร และห้องละหมาด บริเวณชั้น 3 อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ (อาคาร 2) เป็นการชั่วคราว ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ประกาศปิดให้บริการห้องรับรองพระภิกษุสามเณร และห้องละหมาด บริเวณชั้น 3 อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ (อาคาร 2) เป็นการชั่วคราว เพื่อทําความสะอาดห้องและอุปกรณ์ต่างๆ โดยใช้น้ํายาฆ่าเชื้อโรค ระหว่างวันที่ 1-30 เม.ย.63 หรือจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 จะคลี่คลาย ทั้งนี้ เพื่อสอดคล้องกับข้อกําหนดประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และเป็นไปตามการยกระดับมาตรการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 จึงขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ หากพบเห็นปัญหาการให้บริการ หรือปัญหาอื่น ๆ สามารถแจ้งไปยัง AOT Contact Center 1722 หรือศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทดม.โทร 0 2535 1192 ตลอด 24 ชั่วโมง ************************ ส่วนกิจการพิเศษและมวลชนสัมพันธ์ ท่าอากาศยานดอนเมือง โทรศัพท์ 0 2535 1892 โทรสาร 0 2535 1065
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ประกาศปิดให้บริการห้องรับรองพระภิกษุสามเณร และห้องละหมาด บริเวณชั้น 3 อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ (อาคาร 2) เป็นการชั่วคราว [กระทรวงคมนาคม] วันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2563 ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ประกาศปิดให้บริการห้องรับรองพระภิกษุสามเณร และห้องละหมาด บริเวณชั้น 3 อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ (อาคาร 2) เป็นการชั่วคราว [กระทรวงคมนาคม] ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ประกาศปิดให้บริการห้องรับรองพระภิกษุสามเณร และห้องละหมาด บริเวณชั้น 3 อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ (อาคาร 2) เป็นการชั่วคราว ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ประกาศปิดให้บริการห้องรับรองพระภิกษุสามเณร และห้องละหมาด บริเวณชั้น 3 อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ (อาคาร 2) เป็นการชั่วคราว เพื่อทําความสะอาดห้องและอุปกรณ์ต่างๆ โดยใช้น้ํายาฆ่าเชื้อโรค ระหว่างวันที่ 1-30 เม.ย.63 หรือจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 จะคลี่คลาย ทั้งนี้ เพื่อสอดคล้องกับข้อกําหนดประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และเป็นไปตามการยกระดับมาตรการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 จึงขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ หากพบเห็นปัญหาการให้บริการ หรือปัญหาอื่น ๆ สามารถแจ้งไปยัง AOT Contact Center 1722 หรือศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทดม.โทร 0 2535 1192 ตลอด 24 ชั่วโมง ************************ ส่วนกิจการพิเศษและมวลชนสัมพันธ์ ท่าอากาศยานดอนเมือง โทรศัพท์ 0 2535 1892 โทรสาร 0 2535 1065
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28416
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เตือนประชาชน ฉลองรับปีใหม่ เลือกอาหารร้อน สุกใหม่ สะอาด ปลอดภัย
วันศุกร์ที่ 29 ธันวาคม 2560 สธ.เตือนประชาชน ฉลองรับปีใหม่ เลือกอาหารร้อน สุกใหม่ สะอาด ปลอดภัย กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนฉลองเทศกาลปีใหม่ เลือกอาหารที่ร้อน ปรุงสุก สะอาด เลือกซื้อจากร้านที่มีป้ายอาหารสะอาด รสชาติอร่อย เพื่อลดการเกิดโรคอุจจาระร่วง อาหารเสี่ยง ประเภทยํา ลาบ วันนี้ (29 ธันวาคม 2560) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด แนะนําประชาชนในการเลือกอาหารฉลองกับครอบครัว เพื่อนฝูงในช่วงวันหยุดเทศกาลส่งท้ายปีเก่า 2560 ต้อนรับปีใหม่2561 ซึ่งจะมีทั้งซื้อวัตถุดิบไปปรุงเองสั่งจากร้านอาหารหรือไปรับประทานอาหารนอกบ้านเมนูที่นิยมรับประทานคืออาหารทะเลยํา ลาบ ส้มตํา ขนมจีน โดยเฉพาะอาหารทะเล ระมัดระวังเรื่องการปรุง ขอให้ปรุงสุก รับประทานอาหารร้อน ผักผลไม้ล้างด้วยน้ําสะอาด เพื่อลดโรคอุจจาระร่วงและโรคอาหารเป็นพิษ นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า ขอให้ประชาชนยึดหลักกินร้อนช้อนกลางและล้างมือบ่อยๆอาหารต้องปรุงไม่เกิน4ชั่วโมงก่อนรับประทาน หากกินอาหารประเภทปิ้งย่างเช่นหมูกระทะกุ้งกระทะขอให้ปิ้งให้สุกก่อน สําหรับเมนูที่มักเป็นต้นเหตุของโรคอุจจาระร่วง10เมนูได้แก่ 1.ลาบก้อยดิบเช่นลาบหมูก้อยปลาดิบ 2.ยํากุ้งเต้น 3.ยําหอยแครง 4.ข้าวผัดโรยเนื้อปู โดยเฉพาะกรณีที่ทําปริมาณมาก 5.อาหารหรือขนมที่ราดด้วยกะทิสด 6.ขนมจีน 7.ข้าวมันไก่8.ส้มตํา9.สลัดผักและ10.น้ําแข็ง สําหรับผู้ที่เดินทางท่องเที่ยวขอให้เลือกร้านที่มีป้ายอาหารสะอาดรสชาติอร่อย ที่รับรองโดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขและควรนํายาแก้ท้องเสียเช่นยาธาตุน้ําขาวยาธาตุน้ําแดงผงน้ําตาลเกลือแร่ ยาลดกรดติดตัวไปด้วยเพื่อบรรเทาอาการท้องเสียที่อาจเกิดขึ้นได้ ในการดูแลเบื้องต้นให้ดื่มน้ําผสมผงน้ําตาลเกลือแร่โออาร์เอสแทนน้ําหรืออาจทําเองโดยใช้น้ําต้มสุก1ขวดน้ําปลาใหญ่หรือประมาณ750ซีซี.ผสมน้ําตาลทราย2ช้อนโต๊ะและเกลือแกงครึ่งช้อนชาผสมให้เข้ากันทิ้งให้เย็นและดื่มแทนน้ําแต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้นขอให้รีบพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้าน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เตือนประชาชน ฉลองรับปีใหม่ เลือกอาหารร้อน สุกใหม่ สะอาด ปลอดภัย วันศุกร์ที่ 29 ธันวาคม 2560 สธ.เตือนประชาชน ฉลองรับปีใหม่ เลือกอาหารร้อน สุกใหม่ สะอาด ปลอดภัย กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนฉลองเทศกาลปีใหม่ เลือกอาหารที่ร้อน ปรุงสุก สะอาด เลือกซื้อจากร้านที่มีป้ายอาหารสะอาด รสชาติอร่อย เพื่อลดการเกิดโรคอุจจาระร่วง อาหารเสี่ยง ประเภทยํา ลาบ วันนี้ (29 ธันวาคม 2560) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด แนะนําประชาชนในการเลือกอาหารฉลองกับครอบครัว เพื่อนฝูงในช่วงวันหยุดเทศกาลส่งท้ายปีเก่า 2560 ต้อนรับปีใหม่2561 ซึ่งจะมีทั้งซื้อวัตถุดิบไปปรุงเองสั่งจากร้านอาหารหรือไปรับประทานอาหารนอกบ้านเมนูที่นิยมรับประทานคืออาหารทะเลยํา ลาบ ส้มตํา ขนมจีน โดยเฉพาะอาหารทะเล ระมัดระวังเรื่องการปรุง ขอให้ปรุงสุก รับประทานอาหารร้อน ผักผลไม้ล้างด้วยน้ําสะอาด เพื่อลดโรคอุจจาระร่วงและโรคอาหารเป็นพิษ นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า ขอให้ประชาชนยึดหลักกินร้อนช้อนกลางและล้างมือบ่อยๆอาหารต้องปรุงไม่เกิน4ชั่วโมงก่อนรับประทาน หากกินอาหารประเภทปิ้งย่างเช่นหมูกระทะกุ้งกระทะขอให้ปิ้งให้สุกก่อน สําหรับเมนูที่มักเป็นต้นเหตุของโรคอุจจาระร่วง10เมนูได้แก่ 1.ลาบก้อยดิบเช่นลาบหมูก้อยปลาดิบ 2.ยํากุ้งเต้น 3.ยําหอยแครง 4.ข้าวผัดโรยเนื้อปู โดยเฉพาะกรณีที่ทําปริมาณมาก 5.อาหารหรือขนมที่ราดด้วยกะทิสด 6.ขนมจีน 7.ข้าวมันไก่8.ส้มตํา9.สลัดผักและ10.น้ําแข็ง สําหรับผู้ที่เดินทางท่องเที่ยวขอให้เลือกร้านที่มีป้ายอาหารสะอาดรสชาติอร่อย ที่รับรองโดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขและควรนํายาแก้ท้องเสียเช่นยาธาตุน้ําขาวยาธาตุน้ําแดงผงน้ําตาลเกลือแร่ ยาลดกรดติดตัวไปด้วยเพื่อบรรเทาอาการท้องเสียที่อาจเกิดขึ้นได้ ในการดูแลเบื้องต้นให้ดื่มน้ําผสมผงน้ําตาลเกลือแร่โออาร์เอสแทนน้ําหรืออาจทําเองโดยใช้น้ําต้มสุก1ขวดน้ําปลาใหญ่หรือประมาณ750ซีซี.ผสมน้ําตาลทราย2ช้อนโต๊ะและเกลือแกงครึ่งช้อนชาผสมให้เข้ากันทิ้งให้เย็นและดื่มแทนน้ําแต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้นขอให้รีบพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้าน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9112
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เตรียมจัดงาน “Thailand Social Expo 2018” วันที่ 3 – 5 ส.ค. นี้ ณ Hall 5 – 8 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี
วันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2561 พม. เตรียมจัดงาน “Thailand Social Expo 2018” วันที่ 3 – 5 ส.ค. นี้ ณ Hall 5 – 8 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พม. เตรียมจัดงาน “Thailand Social Expo 2018” วันที่ 3 – 5 ส.ค. นี้ ณ Hall 5 – 8 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี วันนี้ (25 ก.ค. 61) เวลา 08.30 น.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.)ครั้งที่ 103/2561 โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวง ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ รัฐบาล โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และองค์กรภาคีเครือข่ายด้านสังคมกว่า 80 หน่วยงาน เตรียมจัดงาน"Thailand Social Expo 2018” ระหว่างวันที่ 3 - 5 สิงหาคม 2561 ตั้งแต่เวลา 9.00 - 18.30 น. ณ Hall 5 – 8 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรีโดยภายในงานจะได้พบกับมหกรรมกรรมด้านสังคมครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศ ประกอบด้วย 4 โซนสําคัญ ได้แก่โซน 1การประชุมวิชาการเสวนาปาฐกถาการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการพัฒนาสังคมและการนําเสนอรายงานสถานการณ์ ทางสังคม อาทิ "พลังสตรีอาเซียนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” "เมืองทุกมิติ : การแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยในประเทศไทย และประเทศ ASEAN โดยชุมชนเป็นแกนหลัก” และ "Social Map กับการลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม” เป็นต้นโซน 2การแสดงผลงานนวัตกรรมด้านสังคมของประเทศไทย เป็นนวัตกรรมเพื่อพัฒนาสังคมต้นแบบที่ดีของการพัฒนาสังคมเทคโนโลยีเพื่อสังคม อาทิ การจําลองบ้านและที่อยู่อาศัยที่เอื้อต่อคนพิการ การให้บริการทางสังคม บริการรถทันตกรรมเคลื่อนที่ การทําบัตรประชาชนเคลื่อนที่ การนวดแผนไทย บริการวัดสายตา และบริการแว่นตา เป็นต้นโซน 3การแสดงผลิตผลด้านสังคมของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน อาทิ ผลิตภัณฑ์ทอฝัน By พม. ธงฟ้าราคาประหยัด ผลิตภัณฑ์ OTOP เป็นต้น และโซน 4การแสดงศักยภาพของกลุ่มเป้าหมายและภาคีเครือข่ายเพื่อเสริมสร้างเจตคติที่ดีและสร้างสรรค์ของคนในสังคม อาทิ การแสดงโขนรามเกียรติ์ของผู้พิการทางการได้ยิน ตอน "ยกรบ” การแสดง ของศิลปิน S2S การแสดง ของชนเผ่าอาข่า และการเดินแฟชั่นโชว์ของผู้สูงอายุ เป็นต้น ทั้งนี้ ขอเชิญชวนประชาชนผู้ที่สนใจ ภาคีเครือข่ายทางสังคม หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน NGOs หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง และสถาบันการศึกษา เข้าร่วมงาน"Thailand Social Expo 2018”ในวัน เวลา และสถานที่ดังกล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เตรียมจัดงาน “Thailand Social Expo 2018” วันที่ 3 – 5 ส.ค. นี้ ณ Hall 5 – 8 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี วันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2561 พม. เตรียมจัดงาน “Thailand Social Expo 2018” วันที่ 3 – 5 ส.ค. นี้ ณ Hall 5 – 8 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พม. เตรียมจัดงาน “Thailand Social Expo 2018” วันที่ 3 – 5 ส.ค. นี้ ณ Hall 5 – 8 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี วันนี้ (25 ก.ค. 61) เวลา 08.30 น.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.)ครั้งที่ 103/2561 โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวง ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ รัฐบาล โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และองค์กรภาคีเครือข่ายด้านสังคมกว่า 80 หน่วยงาน เตรียมจัดงาน"Thailand Social Expo 2018” ระหว่างวันที่ 3 - 5 สิงหาคม 2561 ตั้งแต่เวลา 9.00 - 18.30 น. ณ Hall 5 – 8 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรีโดยภายในงานจะได้พบกับมหกรรมกรรมด้านสังคมครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศ ประกอบด้วย 4 โซนสําคัญ ได้แก่โซน 1การประชุมวิชาการเสวนาปาฐกถาการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการพัฒนาสังคมและการนําเสนอรายงานสถานการณ์ ทางสังคม อาทิ "พลังสตรีอาเซียนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” "เมืองทุกมิติ : การแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยในประเทศไทย และประเทศ ASEAN โดยชุมชนเป็นแกนหลัก” และ "Social Map กับการลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม” เป็นต้นโซน 2การแสดงผลงานนวัตกรรมด้านสังคมของประเทศไทย เป็นนวัตกรรมเพื่อพัฒนาสังคมต้นแบบที่ดีของการพัฒนาสังคมเทคโนโลยีเพื่อสังคม อาทิ การจําลองบ้านและที่อยู่อาศัยที่เอื้อต่อคนพิการ การให้บริการทางสังคม บริการรถทันตกรรมเคลื่อนที่ การทําบัตรประชาชนเคลื่อนที่ การนวดแผนไทย บริการวัดสายตา และบริการแว่นตา เป็นต้นโซน 3การแสดงผลิตผลด้านสังคมของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน อาทิ ผลิตภัณฑ์ทอฝัน By พม. ธงฟ้าราคาประหยัด ผลิตภัณฑ์ OTOP เป็นต้น และโซน 4การแสดงศักยภาพของกลุ่มเป้าหมายและภาคีเครือข่ายเพื่อเสริมสร้างเจตคติที่ดีและสร้างสรรค์ของคนในสังคม อาทิ การแสดงโขนรามเกียรติ์ของผู้พิการทางการได้ยิน ตอน "ยกรบ” การแสดง ของศิลปิน S2S การแสดง ของชนเผ่าอาข่า และการเดินแฟชั่นโชว์ของผู้สูงอายุ เป็นต้น ทั้งนี้ ขอเชิญชวนประชาชนผู้ที่สนใจ ภาคีเครือข่ายทางสังคม หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน NGOs หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง และสถาบันการศึกษา เข้าร่วมงาน"Thailand Social Expo 2018”ในวัน เวลา และสถานที่ดังกล่าว
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14142
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. รุกเพิ่มการลงทุนต่างประเทศ หวังลดความเสี่ยงและขยายโอกาสการลงทุน
วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2562 กบข. รุกเพิ่มการลงทุนต่างประเทศ หวังลดความเสี่ยงและขยายโอกาสการลงทุน กบข. อยู่ระหว่างเร่งเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศ โดยการเพิ่มเพดานการลงทุนจากร้อยละ 30 เพิ่มเป็นร้อยละ 40 ของสินทรัพย์รวม ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จสามารถเริ่มดําเนินการได้ในช่วงต้นปี 2563 นายวิทัย รัตนากร เลขาธิการคณะกรรมการ กบข. เปิดเผยว่า กบข. อยู่ระหว่างเร่งเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศ โดยการเพิ่มเพดานการลงทุนจากร้อยละ 30 เพิ่มเป็นร้อยละ 40 ของสินทรัพย์รวม ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จสามารถเริ่มดําเนินการได้ในช่วงต้นปี 2563 ปัจจุบัน กบข. มีการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศอยู่ร้อยละ 28 ของสินทรัพย์รวม ซึ่งใกล้เพดานการลงทุนต่างประเทศตามที่กฎกระทรวงกําหนดไว้ที่ร้อยละ 30 ของสินทรัพย์รวม โดยส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 72 เป็นการลงทุนในประเทศ และเพื่อลดการกระจุกตัวของการลงทุนภายในประเทศ ลดความเสี่ยง และหาโอกาสลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนที่ดีขึ้นจากการลงทุนในตลาดต่างประเทศ จึงจําเป็นต้องปรับเพดานการลงทุนต่างประเทศเป็นร้อยละ 40 ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษา UBS Asset Management ที่เสนอให้ กบข. เพิ่มการลงทุนต่างประเทศมากขึ้นถึงร้อยละ 40 เช่นกัน ทั้งนี้ การลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้น จะเป็นการกระจายความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสการหาผลตอบแทนการลงทุนไปยังตลาดที่มีศักยภาพ ในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ที่หลากหลาย โดยมุ่งเน้นการลงทุนเพิ่มเติมในสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Assets) เช่น กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือ กองทุนไพรเวท อิควิตี้ และการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา รวมถึงการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่มีความมั่นคงสูง โดยในปี 2562 แม้ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น 7% แต่การลงทุนในต่างประเทศยังให้ผลตอบแทนสูง เช่น ตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว ให้ผลตอบแทนในรูปเงินบาทสูงถึง 18% เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นไทยที่ให้ผลตอบแทนเพียง 3% เท่านั้น ซึ่งการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา และแข็งค่าในสัดส่วนที่สูงกว่าค่าเงินของประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย ก็ถือเป็นโอกาสในการลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นได้ หากมีการบริหารจัดการความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสม สําหรับการดําเนินการหลังจากนี้ กบข. อยู่ระหว่างนําข้อเสนอการเพิ่มเพดานการลงทุนต่างประเทศจากร้อยละ 30 เป็น ร้อยละ 40 เสนอต่อคณะกรรมการ กบข. เพื่อพิจารณา และดําเนินการขั้นต่อไปเพื่อกําหนดเป็นกฎกระทรวง ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มดําเนินการได้ในช่วงต้นปี 2563 เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบําเหน็จบํานาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กําหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1.1 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 9.35 แสนล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 ต.ค. 2562) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสําหรับสื่อมวลชน : ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร: รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 , มือถือ 099-465-6249, [email protected]
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. รุกเพิ่มการลงทุนต่างประเทศ หวังลดความเสี่ยงและขยายโอกาสการลงทุน วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2562 กบข. รุกเพิ่มการลงทุนต่างประเทศ หวังลดความเสี่ยงและขยายโอกาสการลงทุน กบข. อยู่ระหว่างเร่งเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศ โดยการเพิ่มเพดานการลงทุนจากร้อยละ 30 เพิ่มเป็นร้อยละ 40 ของสินทรัพย์รวม ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จสามารถเริ่มดําเนินการได้ในช่วงต้นปี 2563 นายวิทัย รัตนากร เลขาธิการคณะกรรมการ กบข. เปิดเผยว่า กบข. อยู่ระหว่างเร่งเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศ โดยการเพิ่มเพดานการลงทุนจากร้อยละ 30 เพิ่มเป็นร้อยละ 40 ของสินทรัพย์รวม ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จสามารถเริ่มดําเนินการได้ในช่วงต้นปี 2563 ปัจจุบัน กบข. มีการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศอยู่ร้อยละ 28 ของสินทรัพย์รวม ซึ่งใกล้เพดานการลงทุนต่างประเทศตามที่กฎกระทรวงกําหนดไว้ที่ร้อยละ 30 ของสินทรัพย์รวม โดยส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 72 เป็นการลงทุนในประเทศ และเพื่อลดการกระจุกตัวของการลงทุนภายในประเทศ ลดความเสี่ยง และหาโอกาสลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนที่ดีขึ้นจากการลงทุนในตลาดต่างประเทศ จึงจําเป็นต้องปรับเพดานการลงทุนต่างประเทศเป็นร้อยละ 40 ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษา UBS Asset Management ที่เสนอให้ กบข. เพิ่มการลงทุนต่างประเทศมากขึ้นถึงร้อยละ 40 เช่นกัน ทั้งนี้ การลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้น จะเป็นการกระจายความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสการหาผลตอบแทนการลงทุนไปยังตลาดที่มีศักยภาพ ในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ที่หลากหลาย โดยมุ่งเน้นการลงทุนเพิ่มเติมในสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Assets) เช่น กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือ กองทุนไพรเวท อิควิตี้ และการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา รวมถึงการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่มีความมั่นคงสูง โดยในปี 2562 แม้ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น 7% แต่การลงทุนในต่างประเทศยังให้ผลตอบแทนสูง เช่น ตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว ให้ผลตอบแทนในรูปเงินบาทสูงถึง 18% เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นไทยที่ให้ผลตอบแทนเพียง 3% เท่านั้น ซึ่งการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา และแข็งค่าในสัดส่วนที่สูงกว่าค่าเงินของประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย ก็ถือเป็นโอกาสในการลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นได้ หากมีการบริหารจัดการความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสม สําหรับการดําเนินการหลังจากนี้ กบข. อยู่ระหว่างนําข้อเสนอการเพิ่มเพดานการลงทุนต่างประเทศจากร้อยละ 30 เป็น ร้อยละ 40 เสนอต่อคณะกรรมการ กบข. เพื่อพิจารณา และดําเนินการขั้นต่อไปเพื่อกําหนดเป็นกฎกระทรวง ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มดําเนินการได้ในช่วงต้นปี 2563 เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบําเหน็จบํานาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กําหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1.1 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 9.35 แสนล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 ต.ค. 2562) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสําหรับสื่อมวลชน : ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร: รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 , มือถือ 099-465-6249, [email protected]
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24930
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส คิกออฟ โครงการจิตอาสากระทรวงเกษตรและสหกรณ์
วันพุธที่ 16 ตุลาคม 2562 รมช.ธรรมนัส คิกออฟ โครงการจิตอาสากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รมช.ธรรมนัส คิกออฟ “โครงการจิตอาสากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ช่วยเหลือ ฟื้นฟู ดูแลเกษตรกรผู้ประสบภัย” โดยปลูกพืชเพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์สร้างรายได้ในพื้นที่นาหลังน้ําลด พร้อมมอบหนังสืออนุญาตเข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) จังหวัดอุบลราชธานี จํานวน ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิด “โครงการจิตอาสากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ช่วยเหลือ ฟื้นฟู ดูแลเกษตรกรผู้ประสบภัย” ณ หมู่ 11 บ้านศรีบัว ตําบลสร้างถ่อ อําเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมพัฒนาที่ดิน ได้จัด “โครงการจิตอาสากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ช่วยเหลือ ฟื้นฟู ดูแลเกษตรกรผู้ประสบภัย” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกหน่วยงานร่วมกันบูรณาการดําเนินการช่วยเหลือ ฟื้นฟู เกษตรกรผู้ประสบภัยหลังน้ําลด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกร รวมถึงสร้างการรับรู้การเตรียมการทําการเกษตรตามหลักวิชาการ สนับสนุนส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถกลับมาประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้อย่างรวดเร็ว โดยให้การสนับสนุนการปรับปรุงบํารุงดิน และบําบัดน้ําเสีย เพื่อยับยั้งความเสียหายของผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งหลังจากน้ําลดเกษตรกรมีความต้องการปลูกพืชที่สามารถทดแทนข้าว เพื่อสร้างรายได้ให้กับครัวเรือน จึงจัดโครงการปลูกพืชปุ๋ยสดเพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี โดยส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกหลังน้ําลดในพื้นที่นาข้าวที่ได้รับความเสียหายจากน้ําท่วม และเก็บเมล็ดพันธุ์จําหน่ายให้กับกรมพัฒนาที่ดิน ในราคากิโลกรัมละ 23 - 25 บาท เพื่อนําไปสนับสนุนและปรับปรุงดินในพื้นที่อื่นต่อไป ทั้งนี้ กรมพัฒนาที่ดินสนับสนุนเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสดให้กับเกษตรกร จํานวน 175 ราย ประกอบด้วย 1) เกษตรกรกลุ่ม PGS จํานวน 30 ราย 2) กลุ่มเกษตรพอเพียง จํานวน 30 ราย 3) กลุ่มผู้เลี้ยงปลาในนาข้าว จํานวน 60 ราย4) กลุ่มผู้เลี้ยงไหม จํานวน 15 ราย 5) กลุ่มสวนยาง จํานวน 40 ราย รวมเกษตรกร 175 ราย ครอบคลุมพื้นที่ 2,000 ไร่ รวมทั้งมอบข้าวสาร ให้แก่หมอดินอาสาและเกษตรกร จํานวน 400 ชุด เพื่อเป็นการช่วยเหลือเยียวยา ผู้ประสบอุทกภัยหลังจากน้ําลด ในโอกาสนี้ รมช.ธรรมนัส ได้เป็นประธานพิธีมอบหนังสืออนุญาตเข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) จํานวน 50 ราย ซึ่งในอําเภอเขื่องในทั้ง 18 ตําบล เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน 13 ตําบล ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 90,000 ไร่ ได้ดําเนินการจัดที่ดินไปแล้ว 53,000 ไร่ เกษตรกรได้รับประโยชน์ 9,251 ราย อีกด้วย สําหรับจังหวัดอุบลราชธานีเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ได้รับอิทธิพลจากพายุโซนร้อนโพดุล และคาจิกิ ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2562 และหลังจากพายุสงบลงก็ยังมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีน้ําหนุนจนถึงวันที่ 22 กันยายน 2562 ทําให้เกิดความเสียหายอย่างหนักในหลายในพื้นที่ของจังหวัดอุบลราชธานี ส่วนอําเภอเขื่องใน ได้รับผลกระทบจํานวน 17 ตําบล 126 หมู่บ้าน ประชาชน 3,559 ครัวเรือน จํานวนประชากร 14,136 คน ซึ่งพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายประกอบด้วย นาข้าว พืชไร่ ไม้ผล ไม้ยืนต้น ชุมชน และพื้นที่อื่น ๆ รวม เนื้อที่ 392,878 ไร่ ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายลง และหลายพื้นที่กลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติแล้ว สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส คิกออฟ โครงการจิตอาสากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วันพุธที่ 16 ตุลาคม 2562 รมช.ธรรมนัส คิกออฟ โครงการจิตอาสากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รมช.ธรรมนัส คิกออฟ “โครงการจิตอาสากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ช่วยเหลือ ฟื้นฟู ดูแลเกษตรกรผู้ประสบภัย” โดยปลูกพืชเพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์สร้างรายได้ในพื้นที่นาหลังน้ําลด พร้อมมอบหนังสืออนุญาตเข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) จังหวัดอุบลราชธานี จํานวน ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิด “โครงการจิตอาสากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ช่วยเหลือ ฟื้นฟู ดูแลเกษตรกรผู้ประสบภัย” ณ หมู่ 11 บ้านศรีบัว ตําบลสร้างถ่อ อําเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมพัฒนาที่ดิน ได้จัด “โครงการจิตอาสากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ช่วยเหลือ ฟื้นฟู ดูแลเกษตรกรผู้ประสบภัย” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกหน่วยงานร่วมกันบูรณาการดําเนินการช่วยเหลือ ฟื้นฟู เกษตรกรผู้ประสบภัยหลังน้ําลด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกร รวมถึงสร้างการรับรู้การเตรียมการทําการเกษตรตามหลักวิชาการ สนับสนุนส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถกลับมาประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้อย่างรวดเร็ว โดยให้การสนับสนุนการปรับปรุงบํารุงดิน และบําบัดน้ําเสีย เพื่อยับยั้งความเสียหายของผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งหลังจากน้ําลดเกษตรกรมีความต้องการปลูกพืชที่สามารถทดแทนข้าว เพื่อสร้างรายได้ให้กับครัวเรือน จึงจัดโครงการปลูกพืชปุ๋ยสดเพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี โดยส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกหลังน้ําลดในพื้นที่นาข้าวที่ได้รับความเสียหายจากน้ําท่วม และเก็บเมล็ดพันธุ์จําหน่ายให้กับกรมพัฒนาที่ดิน ในราคากิโลกรัมละ 23 - 25 บาท เพื่อนําไปสนับสนุนและปรับปรุงดินในพื้นที่อื่นต่อไป ทั้งนี้ กรมพัฒนาที่ดินสนับสนุนเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสดให้กับเกษตรกร จํานวน 175 ราย ประกอบด้วย 1) เกษตรกรกลุ่ม PGS จํานวน 30 ราย 2) กลุ่มเกษตรพอเพียง จํานวน 30 ราย 3) กลุ่มผู้เลี้ยงปลาในนาข้าว จํานวน 60 ราย4) กลุ่มผู้เลี้ยงไหม จํานวน 15 ราย 5) กลุ่มสวนยาง จํานวน 40 ราย รวมเกษตรกร 175 ราย ครอบคลุมพื้นที่ 2,000 ไร่ รวมทั้งมอบข้าวสาร ให้แก่หมอดินอาสาและเกษตรกร จํานวน 400 ชุด เพื่อเป็นการช่วยเหลือเยียวยา ผู้ประสบอุทกภัยหลังจากน้ําลด ในโอกาสนี้ รมช.ธรรมนัส ได้เป็นประธานพิธีมอบหนังสืออนุญาตเข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) จํานวน 50 ราย ซึ่งในอําเภอเขื่องในทั้ง 18 ตําบล เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน 13 ตําบล ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 90,000 ไร่ ได้ดําเนินการจัดที่ดินไปแล้ว 53,000 ไร่ เกษตรกรได้รับประโยชน์ 9,251 ราย อีกด้วย สําหรับจังหวัดอุบลราชธานีเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ได้รับอิทธิพลจากพายุโซนร้อนโพดุล และคาจิกิ ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2562 และหลังจากพายุสงบลงก็ยังมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีน้ําหนุนจนถึงวันที่ 22 กันยายน 2562 ทําให้เกิดความเสียหายอย่างหนักในหลายในพื้นที่ของจังหวัดอุบลราชธานี ส่วนอําเภอเขื่องใน ได้รับผลกระทบจํานวน 17 ตําบล 126 หมู่บ้าน ประชาชน 3,559 ครัวเรือน จํานวนประชากร 14,136 คน ซึ่งพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายประกอบด้วย นาข้าว พืชไร่ ไม้ผล ไม้ยืนต้น ชุมชน และพื้นที่อื่น ๆ รวม เนื้อที่ 392,878 ไร่ ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายลง และหลายพื้นที่กลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติแล้ว สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23849
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร.สุวิทย์ฯ ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม 2560 รมต.นร.สุวิทย์ฯ ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่ สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) รมต.นร.สุวิทย์ฯ ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่ สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) วันนี้ (16 มีนาคม 2560) เวลา 13.00 น. นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมสํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งมีสํานักงานอยู่ ณ ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กทม. พร้อมมอบนโยบายการปฏิบัติราชการและรับฟังความคิดเห็น โดยมี ศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ วช. ให้การต้อนรับ โอกาสนี้ เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้กล่าวรายงานถึงภารกิจและหน้าที่ของ สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) พร้อมสรุปแนวทางการดําเนินงานของ วช. ตามทิศทางการปฏิรูประบบวิจัย และนวัตกรรมของประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และ Thailand 4.0 ตามนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จากนั้น รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวมอบนโยบายว่า สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติมีหน้าที่และพันธกิจสําคัญโดยเป็นหน่วยงานหลักใน 2 ประเด็น ได้แก่ 1) การขับเคลื่อนนโยบายและนวัตกรรมของประเทศ 2) การปฏิรูประบบวิจัยและนวัตกรรม เพื่อตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ชาติและ Thailand 4.0 ซึ่งในตอนนี้มีมิติสําคัญในเรื่องการวิจัยอยู่ 3 มิติ คือ (1) การวิจัยและนวัตกรรมที่ไปตอบโจทย์ เรื่องทางความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ ที่สําคัญของประเทศ (2) การวิจัยและนวัตกรรมที่ต้องไปตอบโจทย์ เรื่องของสังคม โดยเฉพาะประเด็นท้าทายทางสังคม ดังนั้นจึงต้องบูรณาการกันทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ (3) การวิจัยและพัฒนาเพื่อความเป็นเลิศหรือเพิ่มขีดความสามารถทางเทคโนโลยี โดยมีเทคโนโลยีเป้าหมายที่จะพัฒนาในอีก 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า ภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 จํานวน 4 เรื่องหลัก ๆ ได้แก่เรื่อง 1.ไบโอเทคโนโลยี 2.ดิจิตอลเทคโนโลยี 3.วัสดุศาสตร์ และ 4.นาโนเทคโนโลยี ซึ่งส่วนนี้ สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ประกาศให้เทคโนโลยีเป็นเป้าหมายสําคัญที่จะให้การส่งเสริมด้วย นอนจากนี้ สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสํานักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) จะต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ทั้งในด้านยุทธศาสตร์ การจัดโครงสร้างและบริหารองค์กรวิจัยของประเทศทั้งระบบ ให้มีเป้าหมายที่ตรงกัน ทําให้มีพลังในการที่จะช่วยขับเคลื่อน สําหรับการวิจัยจะต้องจัดองค์ประกอบของหน่วยงานวิจัยในประเทศโดยเร็วเพื่อให้การวิจัยสามารถตอบโจทย์ของประเทศได้ ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชน ภาคสังคมเพื่อให้มีเป้าหมายที่ชัดเจนในเรื่องของการวิจัยมากยิ่งขึ้น หลังจากนั้น เลขาธิการ วช. ได้เชิญรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมการดําเนินงานศูนย์จัดการความรู้การวิจัย และระบบสารสนเทศการวิจัยระดับประเทศ ของ วช. ด้วยความสนใจ ******************************* กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร.สุวิทย์ฯ ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม 2560 รมต.นร.สุวิทย์ฯ ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่ สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) รมต.นร.สุวิทย์ฯ ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่ สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) วันนี้ (16 มีนาคม 2560) เวลา 13.00 น. นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมสํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งมีสํานักงานอยู่ ณ ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กทม. พร้อมมอบนโยบายการปฏิบัติราชการและรับฟังความคิดเห็น โดยมี ศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ วช. ให้การต้อนรับ โอกาสนี้ เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้กล่าวรายงานถึงภารกิจและหน้าที่ของ สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) พร้อมสรุปแนวทางการดําเนินงานของ วช. ตามทิศทางการปฏิรูประบบวิจัย และนวัตกรรมของประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และ Thailand 4.0 ตามนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จากนั้น รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวมอบนโยบายว่า สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติมีหน้าที่และพันธกิจสําคัญโดยเป็นหน่วยงานหลักใน 2 ประเด็น ได้แก่ 1) การขับเคลื่อนนโยบายและนวัตกรรมของประเทศ 2) การปฏิรูประบบวิจัยและนวัตกรรม เพื่อตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ชาติและ Thailand 4.0 ซึ่งในตอนนี้มีมิติสําคัญในเรื่องการวิจัยอยู่ 3 มิติ คือ (1) การวิจัยและนวัตกรรมที่ไปตอบโจทย์ เรื่องทางความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ ที่สําคัญของประเทศ (2) การวิจัยและนวัตกรรมที่ต้องไปตอบโจทย์ เรื่องของสังคม โดยเฉพาะประเด็นท้าทายทางสังคม ดังนั้นจึงต้องบูรณาการกันทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ (3) การวิจัยและพัฒนาเพื่อความเป็นเลิศหรือเพิ่มขีดความสามารถทางเทคโนโลยี โดยมีเทคโนโลยีเป้าหมายที่จะพัฒนาในอีก 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า ภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 จํานวน 4 เรื่องหลัก ๆ ได้แก่เรื่อง 1.ไบโอเทคโนโลยี 2.ดิจิตอลเทคโนโลยี 3.วัสดุศาสตร์ และ 4.นาโนเทคโนโลยี ซึ่งส่วนนี้ สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ประกาศให้เทคโนโลยีเป็นเป้าหมายสําคัญที่จะให้การส่งเสริมด้วย นอนจากนี้ สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสํานักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) จะต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ทั้งในด้านยุทธศาสตร์ การจัดโครงสร้างและบริหารองค์กรวิจัยของประเทศทั้งระบบ ให้มีเป้าหมายที่ตรงกัน ทําให้มีพลังในการที่จะช่วยขับเคลื่อน สําหรับการวิจัยจะต้องจัดองค์ประกอบของหน่วยงานวิจัยในประเทศโดยเร็วเพื่อให้การวิจัยสามารถตอบโจทย์ของประเทศได้ ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชน ภาคสังคมเพื่อให้มีเป้าหมายที่ชัดเจนในเรื่องของการวิจัยมากยิ่งขึ้น หลังจากนั้น เลขาธิการ วช. ได้เชิญรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมการดําเนินงานศูนย์จัดการความรู้การวิจัย และระบบสารสนเทศการวิจัยระดับประเทศ ของ วช. ด้วยความสนใจ ******************************* กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2446
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. คงอันดับเครดิตเรตติ้ง สูงสุดที่ 'AAA' / 'Stable' 5ปีต่อเนื่อง
วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม 2561 ธ.ก.ส. คงอันดับเครดิตเรตติ้ง สูงสุดที่ 'AAA' / 'Stable' 5ปีต่อเนื่อง 'ฟิทช์ เรทติ้งส์' คงมาตรฐานเครดิตเรตติ้ง ธ.ก.ส.ที่ระดับสูงสุด 'AAA(tha)' / 'Stable' ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 สะท้อนสถานะทางการเงินที่เข้มแข็งการบริหารจัดการที่ดีลูกค้าชําระหนี้ตรงกําหนด 'ฟิทช์ เรทติ้งส์' คงมาตรฐานเครดิตเรตติ้ง ธ.ก.ส.ที่ระดับสูงสุด 'AAA(tha)' / 'Stable' ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 สะท้อนสถานะทางการเงินที่เข้มแข็งการบริหารจัดการที่ดีลูกค้าชําระหนี้ตรงกําหนด ความเสี่ยงการผิดนัดชําระหนี้ต่ํา ช่วยลดต้นทุนทางการเงิน สามารถสนับสนุนการพัฒนาภาคการเกษตรได้อย่างยั่งยืนมีประสิทธิภาพ นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จํากัด ได้ประกาศผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของ ธ.ก.ส. โดยคง อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว(National Long - Term Rating) อยู่ที่ระดับ 'AAA (tha)' แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ 'Stable' และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short - Term Rating) ที่ 'F1+(tha)' ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ซึ่งเป็นอันดับเครดิตที่สูงสุดสําหรับการจัดอันดับเครดิตในประเทศสะท้อนถึงระดับความสามารถสูงสุดในการชําระหนี้ได้ตรงตามกําหนด และมีความเสี่ยงของการผิดนัดชําระหนี้ต่ําที่สุด ซึ่งจะส่งผลดีต่อ ธ.ก.ส. ในด้านการลดต้นทุนทางการเงินเพื่อนําไปใช้สนับสนุนภาคการเกษตรของประเทศได้เพิ่มขึ้น ในการจัดอันดับเครดิตของ ธ.ก.ส.นั้น ฟิทช์ระบุว่า มีปัจจัยสนับสนุนมาจากบทบาทสําคัญในเชิงนโยบายต่อรัฐบาลตามที่ได้กําหนดไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งของธนาคารและการที่รัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นเกือบทั้งหมดจึงมีสถานะทางกฎหมายเป็นธนาคารของรัฐที่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มเงินทุนให้กับธนาคาร และยังมีความเป็นไปได้อย่างสูงที่รัฐบาลจะให้การสนับสนุนแก่ธนาคารหากมีความจําเป็นในอนาคตอย่างไรก็ตามผลการดําเนินงานและสถานะทางการเงินของ ธ.ก.ส. ที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่ดีซึ่งส่งผลดีต่อการยกระดับและพัฒนาภาคเกษตรอย่างยั่งยืน นายอภิรมย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่ฟิทช์ได้จัดอันดับเครดิตของธนาคารในระดับสูงสุดอย่างต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 5 นั้นเนื่องจากรัฐบาลให้การสนับสนุน ธ.ก.ส. อย่างต่อเนื่อง ในฐานะผู้ปฏิบัติงานตามนโยบายรัฐบาล โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่เป็นพื้นฐานสําคัญของประเทศซึ่งการจัดอันดับเครดิตนี้ สามารถสะท้อนให้เห็นถึงการบริหารจัดการองค์กรอย่างมีระบบและได้นําเอาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการต้นทุนทางการเงินและยังมีมาตรฐานการบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่อและการให้บริการทางการเงินที่ทันสมัยภายใต้เกณฑ์การกํากับดูแลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตภาคการเกษตรโดยการพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตรสู่ภาคการเกษตรที่ยั่งยืน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. คงอันดับเครดิตเรตติ้ง สูงสุดที่ 'AAA' / 'Stable' 5ปีต่อเนื่อง วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม 2561 ธ.ก.ส. คงอันดับเครดิตเรตติ้ง สูงสุดที่ 'AAA' / 'Stable' 5ปีต่อเนื่อง 'ฟิทช์ เรทติ้งส์' คงมาตรฐานเครดิตเรตติ้ง ธ.ก.ส.ที่ระดับสูงสุด 'AAA(tha)' / 'Stable' ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 สะท้อนสถานะทางการเงินที่เข้มแข็งการบริหารจัดการที่ดีลูกค้าชําระหนี้ตรงกําหนด 'ฟิทช์ เรทติ้งส์' คงมาตรฐานเครดิตเรตติ้ง ธ.ก.ส.ที่ระดับสูงสุด 'AAA(tha)' / 'Stable' ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 สะท้อนสถานะทางการเงินที่เข้มแข็งการบริหารจัดการที่ดีลูกค้าชําระหนี้ตรงกําหนด ความเสี่ยงการผิดนัดชําระหนี้ต่ํา ช่วยลดต้นทุนทางการเงิน สามารถสนับสนุนการพัฒนาภาคการเกษตรได้อย่างยั่งยืนมีประสิทธิภาพ นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จํากัด ได้ประกาศผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของ ธ.ก.ส. โดยคง อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว(National Long - Term Rating) อยู่ที่ระดับ 'AAA (tha)' แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ 'Stable' และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short - Term Rating) ที่ 'F1+(tha)' ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ซึ่งเป็นอันดับเครดิตที่สูงสุดสําหรับการจัดอันดับเครดิตในประเทศสะท้อนถึงระดับความสามารถสูงสุดในการชําระหนี้ได้ตรงตามกําหนด และมีความเสี่ยงของการผิดนัดชําระหนี้ต่ําที่สุด ซึ่งจะส่งผลดีต่อ ธ.ก.ส. ในด้านการลดต้นทุนทางการเงินเพื่อนําไปใช้สนับสนุนภาคการเกษตรของประเทศได้เพิ่มขึ้น ในการจัดอันดับเครดิตของ ธ.ก.ส.นั้น ฟิทช์ระบุว่า มีปัจจัยสนับสนุนมาจากบทบาทสําคัญในเชิงนโยบายต่อรัฐบาลตามที่ได้กําหนดไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งของธนาคารและการที่รัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นเกือบทั้งหมดจึงมีสถานะทางกฎหมายเป็นธนาคารของรัฐที่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มเงินทุนให้กับธนาคาร และยังมีความเป็นไปได้อย่างสูงที่รัฐบาลจะให้การสนับสนุนแก่ธนาคารหากมีความจําเป็นในอนาคตอย่างไรก็ตามผลการดําเนินงานและสถานะทางการเงินของ ธ.ก.ส. ที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่ดีซึ่งส่งผลดีต่อการยกระดับและพัฒนาภาคเกษตรอย่างยั่งยืน นายอภิรมย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่ฟิทช์ได้จัดอันดับเครดิตของธนาคารในระดับสูงสุดอย่างต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 5 นั้นเนื่องจากรัฐบาลให้การสนับสนุน ธ.ก.ส. อย่างต่อเนื่อง ในฐานะผู้ปฏิบัติงานตามนโยบายรัฐบาล โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่เป็นพื้นฐานสําคัญของประเทศซึ่งการจัดอันดับเครดิตนี้ สามารถสะท้อนให้เห็นถึงการบริหารจัดการองค์กรอย่างมีระบบและได้นําเอาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการต้นทุนทางการเงินและยังมีมาตรฐานการบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่อและการให้บริการทางการเงินที่ทันสมัยภายใต้เกณฑ์การกํากับดูแลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตภาคการเกษตรโดยการพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตรสู่ภาคการเกษตรที่ยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17406
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำ การเรียนออนไลน์เฉพาะช่วงโควิด-19 เท่านั้น เพื่อไม่ให้การศึกษาได้รับผลกระทบ
วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม 2563 นายกรัฐมนตรีย้ํา การเรียนออนไลน์เฉพาะช่วงโควิด-19 เท่านั้น เพื่อไม่ให้การศึกษาได้รับผลกระทบ นายกรัฐมนตรีย้ํา การเรียนออนไลน์เฉพาะช่วงโควิด-19 เท่านั้น เพื่อไม่ให้การศึกษาได้รับผลกระทบ วันที่ 18 พ.ค.63 ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์นั้น เป็นการแก้ปัญหาในช่วงรอการเปิดเรียนในเดือนกรกฎาคมนี้ เมื่อสถานการณ์ COVID-19 ดีขึ้น ก็จะกลับมาเรียนในห้องเรียนตามปกติ ส่วนปัญหาต่าง ๆ เช่น การเข้าไม่ถึงระบบ ค่าใช้จ่ายด้านอุปกรณ์ ภาระการดูแลของผู้ปกครอง และความรับผิดชอบของผู้เรียนที่จะต้องมีวินัยติดตามการเรียนด้วยตนเองนั้น รัฐบาลจะได้นํามาพิจารณาและแก้ปัญหาอย่างละเอียดรอบคอบ โดยเบื้องต้นจะมุ่งไปที่การลดเวลาเรียนในห้องเรียน ความพร้อมของผู้ปกครอง รวมทั้งการลดภาระการส่งเด็กไปโรงเรียน ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการจราจรอีกทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้ ได้มอบหมายหน่วยงานด้านการศึกษาเร่งทําการชี้แจง ทําความเข้าใจต่อข้อกังวลของประชาชน และผู้ปกครอง ซึ่งต้องขอความร่วมมือช่วยกันผ่านช่วงนี้ไปก่อน จนกว่าสถานการณ์โควิด-19 ยุติลง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำ การเรียนออนไลน์เฉพาะช่วงโควิด-19 เท่านั้น เพื่อไม่ให้การศึกษาได้รับผลกระทบ วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม 2563 นายกรัฐมนตรีย้ํา การเรียนออนไลน์เฉพาะช่วงโควิด-19 เท่านั้น เพื่อไม่ให้การศึกษาได้รับผลกระทบ นายกรัฐมนตรีย้ํา การเรียนออนไลน์เฉพาะช่วงโควิด-19 เท่านั้น เพื่อไม่ให้การศึกษาได้รับผลกระทบ วันที่ 18 พ.ค.63 ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์นั้น เป็นการแก้ปัญหาในช่วงรอการเปิดเรียนในเดือนกรกฎาคมนี้ เมื่อสถานการณ์ COVID-19 ดีขึ้น ก็จะกลับมาเรียนในห้องเรียนตามปกติ ส่วนปัญหาต่าง ๆ เช่น การเข้าไม่ถึงระบบ ค่าใช้จ่ายด้านอุปกรณ์ ภาระการดูแลของผู้ปกครอง และความรับผิดชอบของผู้เรียนที่จะต้องมีวินัยติดตามการเรียนด้วยตนเองนั้น รัฐบาลจะได้นํามาพิจารณาและแก้ปัญหาอย่างละเอียดรอบคอบ โดยเบื้องต้นจะมุ่งไปที่การลดเวลาเรียนในห้องเรียน ความพร้อมของผู้ปกครอง รวมทั้งการลดภาระการส่งเด็กไปโรงเรียน ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการจราจรอีกทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้ ได้มอบหมายหน่วยงานด้านการศึกษาเร่งทําการชี้แจง ทําความเข้าใจต่อข้อกังวลของประชาชน และผู้ปกครอง ซึ่งต้องขอความร่วมมือช่วยกันผ่านช่วงนี้ไปก่อน จนกว่าสถานการณ์โควิด-19 ยุติลง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31034
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เดินหน้าโครงการธุรกิจชุมชนสร้างไทยทุกพื้นที่ทั่วไทย
วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม 2562 ธ.ก.ส. เดินหน้าโครงการธุรกิจชุมชนสร้างไทยทุกพื้นที่ทั่วไทย ธ.ก.ส.เดินหน้าขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืนตามแนวทางประชารัฐสร้างไทยผ่านโครงการธุรกิจชุมชนสร้างไทย เผยตั้งเป้าขยายผลการพัฒนาทุกอําเภอให้ได้ 928 ชุมชนภายใน 31 มีนาคม 2563 และ 4,500 ชุมชน ภายในปี 2564 พร้อมอํานวยสินเชื่อกว่า 100,000 ลบ. ธ.ก.ส. เดินหน้าขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืนตามแนวทางประชารัฐสร้างไทยผ่านโครงการธุรกิจชุมชนสร้างไทย โชว์ผลการดําเนินงานและความคืบหน้าโครงการธุรกิจชุมชนสร้างไทยทุกจังหวัด จํานวนกว่า 77 ชุมชนทั่วประเทศ เผยตั้งเป้าขยายผลการพัฒนาทุกอําเภอให้ได้ 928 ชุมชนภายใน 31 มีนาคม 2563 และ 4,500 ชุมชน ภายในปี 2564 พร้อมอํานวยสินเชื่อกว่า 100,000 ล้านบาท วันนี้ (27 ธันวาคม 2562) ณ ชุมชนบ้านสันทางหลวง ตําบลจันจว้าใต้ อําเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและประธานกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นประธานในการประชุมขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากประชารัฐสร้างไทยและติดตามความคืบหน้า พร้อมตรวจเยี่ยมให้กําลังใจเกษตรกรลูกค้าธุรกิจชุมชน โดยมีนายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. และผู้บริหารส่วนงานต่าง ๆ เข้าร่วมการประชุมและให้การต้อนรับ นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. เปิดเผยว่า โครงการธุรกิจชุมชนสร้างไทยของ ธ.ก.ส. สนับสนุนการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของคนในชุมชน ตั้งแต่เริ่มกิจกรรมการผลิตจนถึงการจําหน่ายในช่องทางการตลาดต่าง ๆ โดยมีแนวทางในการขับเคลื่อนจากการค้นหาและศึกษาความต้องการของชุมชน สู่การพัฒนาสร้างความเข้มแข็ง ยึดหลักตลาดนําการผลิตและมีการกําหนดแผนธุรกิจที่ชัดเจน ผสานความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชนในด้านความรู้และเทคโนโลยีนวัตกรรม เพื่อทําให้เกิดความมั่นคงของเศรษฐกิจฐานราก มีภูมิคุ้มกัน มีรายได้ สวัสดิการสังคม และโอกาสทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ในการดําเนินงาน ธ.ก.ส. ได้อบรมและสร้างความเข้าใจในโครงการดังกล่าวแก่พนักงานทั่วประเทศ โดยมอบหมายพนักงานพัฒนาลูกค้าดูแลรับผิดชอบธุรกิจชุมชนโดยตรง พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะทํางานขับเคลื่อนระดับจังหวัดและอําเภอ จัดตั้งศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจชุมชนทั้ง 77 จังหวัด เพื่อเป็นศูนย์กลางผสานความร่วมมือจากเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคมและภาคประชาชน พร้อมทั้งสนับสนุนด้านสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย วงเงิน 50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยที่ต่ําที่สุดเพียงร้อยละ 0.01 ต่อปี และสินเชื่ออื่น ๆ ตามแผนธุรกิจที่เหมาะสมตามความต้องการของแต่ละชุมชน เพื่อใช้ในการลงทุนและพัฒนารวมกว่า 100,000 ล้านบาท โดยมีกลุ่มเป้าหมายของโครงการ คือ กองทุนหมู่บ้าน กลุ่มเกษตรกร สถาบันการเงินชุมชน สถาบันการเงินประชาชน วิสาหกิจเพื่อสังคม วิสาหกิจชุมชน Smart Farmer SMEs เกษตร หัวขบวน และสหกรณ์การเกษตร โดย ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2562 ธ.ก.ส. ได้ขับเคลื่อนธุรกิจชุมชนไปแล้วกว่า 77 ชุมชนทั่วประเทศ กิจกรรมในชุมชน 93 กิจกรรม ประกอบด้วย ชุมชนท่องเที่ยว 20 แห่ง ผลิตข้าวคุณภาพ 22 แห่ง รวบรวมผลผลิตทางการเกษตร 8 แห่ง แปรรูปผลผลิตทางการเกษตร 12 แห่ง อาหารปลอดภัยหรือเกษตรอินทรีย์ 11 แห่ง ปศุสัตว์ (โคเนื้อ/โคนม) 7 แห่ง พืชสวนหรือพืชผล 6 แห่ง งานหัตถกรรม 5 แห่ง และอื่น ๆ อีก 2 แห่ง โดย ธ.ก.ส. มีเป้าหมายพัฒนาธุรกิจชุมชน จํานวน 928 ชุมชนภายใน 31 มีนาคม 2563 และเพิ่มเป็น 4,500 ชุมชน ภายในปี 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เดินหน้าโครงการธุรกิจชุมชนสร้างไทยทุกพื้นที่ทั่วไทย วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม 2562 ธ.ก.ส. เดินหน้าโครงการธุรกิจชุมชนสร้างไทยทุกพื้นที่ทั่วไทย ธ.ก.ส.เดินหน้าขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืนตามแนวทางประชารัฐสร้างไทยผ่านโครงการธุรกิจชุมชนสร้างไทย เผยตั้งเป้าขยายผลการพัฒนาทุกอําเภอให้ได้ 928 ชุมชนภายใน 31 มีนาคม 2563 และ 4,500 ชุมชน ภายในปี 2564 พร้อมอํานวยสินเชื่อกว่า 100,000 ลบ. ธ.ก.ส. เดินหน้าขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืนตามแนวทางประชารัฐสร้างไทยผ่านโครงการธุรกิจชุมชนสร้างไทย โชว์ผลการดําเนินงานและความคืบหน้าโครงการธุรกิจชุมชนสร้างไทยทุกจังหวัด จํานวนกว่า 77 ชุมชนทั่วประเทศ เผยตั้งเป้าขยายผลการพัฒนาทุกอําเภอให้ได้ 928 ชุมชนภายใน 31 มีนาคม 2563 และ 4,500 ชุมชน ภายในปี 2564 พร้อมอํานวยสินเชื่อกว่า 100,000 ล้านบาท วันนี้ (27 ธันวาคม 2562) ณ ชุมชนบ้านสันทางหลวง ตําบลจันจว้าใต้ อําเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและประธานกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นประธานในการประชุมขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากประชารัฐสร้างไทยและติดตามความคืบหน้า พร้อมตรวจเยี่ยมให้กําลังใจเกษตรกรลูกค้าธุรกิจชุมชน โดยมีนายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. และผู้บริหารส่วนงานต่าง ๆ เข้าร่วมการประชุมและให้การต้อนรับ นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. เปิดเผยว่า โครงการธุรกิจชุมชนสร้างไทยของ ธ.ก.ส. สนับสนุนการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของคนในชุมชน ตั้งแต่เริ่มกิจกรรมการผลิตจนถึงการจําหน่ายในช่องทางการตลาดต่าง ๆ โดยมีแนวทางในการขับเคลื่อนจากการค้นหาและศึกษาความต้องการของชุมชน สู่การพัฒนาสร้างความเข้มแข็ง ยึดหลักตลาดนําการผลิตและมีการกําหนดแผนธุรกิจที่ชัดเจน ผสานความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชนในด้านความรู้และเทคโนโลยีนวัตกรรม เพื่อทําให้เกิดความมั่นคงของเศรษฐกิจฐานราก มีภูมิคุ้มกัน มีรายได้ สวัสดิการสังคม และโอกาสทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ในการดําเนินงาน ธ.ก.ส. ได้อบรมและสร้างความเข้าใจในโครงการดังกล่าวแก่พนักงานทั่วประเทศ โดยมอบหมายพนักงานพัฒนาลูกค้าดูแลรับผิดชอบธุรกิจชุมชนโดยตรง พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะทํางานขับเคลื่อนระดับจังหวัดและอําเภอ จัดตั้งศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจชุมชนทั้ง 77 จังหวัด เพื่อเป็นศูนย์กลางผสานความร่วมมือจากเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคมและภาคประชาชน พร้อมทั้งสนับสนุนด้านสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย วงเงิน 50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยที่ต่ําที่สุดเพียงร้อยละ 0.01 ต่อปี และสินเชื่ออื่น ๆ ตามแผนธุรกิจที่เหมาะสมตามความต้องการของแต่ละชุมชน เพื่อใช้ในการลงทุนและพัฒนารวมกว่า 100,000 ล้านบาท โดยมีกลุ่มเป้าหมายของโครงการ คือ กองทุนหมู่บ้าน กลุ่มเกษตรกร สถาบันการเงินชุมชน สถาบันการเงินประชาชน วิสาหกิจเพื่อสังคม วิสาหกิจชุมชน Smart Farmer SMEs เกษตร หัวขบวน และสหกรณ์การเกษตร โดย ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2562 ธ.ก.ส. ได้ขับเคลื่อนธุรกิจชุมชนไปแล้วกว่า 77 ชุมชนทั่วประเทศ กิจกรรมในชุมชน 93 กิจกรรม ประกอบด้วย ชุมชนท่องเที่ยว 20 แห่ง ผลิตข้าวคุณภาพ 22 แห่ง รวบรวมผลผลิตทางการเกษตร 8 แห่ง แปรรูปผลผลิตทางการเกษตร 12 แห่ง อาหารปลอดภัยหรือเกษตรอินทรีย์ 11 แห่ง ปศุสัตว์ (โคเนื้อ/โคนม) 7 แห่ง พืชสวนหรือพืชผล 6 แห่ง งานหัตถกรรม 5 แห่ง และอื่น ๆ อีก 2 แห่ง โดย ธ.ก.ส. มีเป้าหมายพัฒนาธุรกิจชุมชน จํานวน 928 ชุมชนภายใน 31 มีนาคม 2563 และเพิ่มเป็น 4,500 ชุมชน ภายในปี 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25529
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ร่วมกับสมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย ช่วยฮาลาลไทย หนุนผู้ประกอบการสู้โควิด-19 [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์]
วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2563 กระทรวงเกษตรฯ ร่วมกับสมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย ช่วยฮาลาลไทย หนุนผู้ประกอบการสู้โควิด-19 [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์] กระทรวงเกษตรฯ ร่วมกับสมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย ช่วยฮาลาลไทย หนุนผู้ประกอบการสู้โควิด-19 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังมอบเงินสนับสนุนสํานักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับสมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย ได้สนับสนุนงบประมาณให้สํานักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยเพื่อฟื้นฟูประสิทธิภาพการทํางานกิจการฮาลาลของประเทศไทย ให้ผู้ประกอบการสามารถส่งออกสินค้าฮาลาลได้สะดวกและรวดเร็ว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 "กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย และสํานักงานคณะกรรมกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมสัตว์ปีกของประเทศไทยให้มีความเข้มแข็งในเวทีโลก โดยในปัจจุบันโรงเชือดสัตว์ปีกของประเทศไทยที่ผ่านการรับรองมาตรฐานส่งออกจากกรมปศุสัตว์ มีจํานวน 30 แห่ง และทั้งหมดได้รับรองมาตฐานฮาลาล ที่สามารถสร้างมูลค่าการส่งออกปีละมากกว่า 1 แสนล้านบาท ติดอันดับ 4 ของประเทศผู้ส่งออกเนื้อสัตว์ปีกของโลก" นายเฉลิมชัย กล่าว อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมุ่งหวังที่จะส่งออกเนื้อสัตว์ปีกให้ได้มากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากตลาดหลักคือประเทศญี่ปุ่น และประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปแล้ว ยังมุ่งหวังที่จะเจาะตลาดประเทศจีนและกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งประเทศซาอุดิอาระเบียจัดเป็นประเทศผู้นําเข้ารายใหญ่ติดอันดับ 3 ของโลก และประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จัดอยู่ในอันดับ 10 ของโลก ซึ่งในสถานการณ์โควิด-19 ถือเป็นโอกาสสําหรับประเทศไทยเนื่องจากหลายประเทศได้รับผลกระทบและมีความต้องการนําเข้าเนื้อสัตว์ปีกเป็นจํานวนมาก ดังนั้นการที่โรงงานไทยได้มาตรฐานฮาลาลจะมีส่วนช่วยให้สินค้าเนื้อสัตว์ปีกของประเทศไทยเป็นที่ต้องการของต่างประเทศมากขึ้น ด้าน นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมปศุสัตว์ ได้จัดทําโครงการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาลด้านปศุสัตว์ มาตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งดําเนินการร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยในการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการสินค้าฮาลาล ดําเนินการตรวจรับรองสถานประกอบการโรงเชือด สถานที่จําหน่ายเนื้อสัตว์ และสถานประกอบการอื่นด้านปศุสัตว์ เช่น ศูนย์รวบรวมนม ศูนย์รวบรวมไข่ สถานที่ตัดแต่งเนื้อสัตว์ เป็นต้น โดยกรมปศุสัตว์ได้อุดหนุนงบประมาณในการตรวจรับรองดังกล่าวให้กับสํานักงานคณะกรรมการกลางอิสลามทุกปี เพื่อช่วยลดหย่อนค่าธรรมเนียมการตรวจรับรองฮาลาลแก่ผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งความสําเร็จครั้งล่าสุดเมื่อปี 2562 มีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการมากกว่า 250 ราย และตั้งเป้าให้มีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นเป็น 300 ราย ภายในปี 2563 นี้ เพื่อเป็นการยกระดับผู้ประกอบการรายย่อยสู่มาตรฐานการผลิตสินค้าฮาลาล นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มมาตรการดําเนินการเฝ้าระวังการปนเปื้อนดีเอ็นเอสุกรในสินค้าปศุสัตว์ฮาลาล โดยให้สํานักงานปศุสัตว์จังหวัดทั่วประเทศสุ่มเก็บตัวอย่างสินค้าฮาลาล 800 ตัวอย่าง เพื่อเป็นการทวนสอบในมาตรฐานการผลิต และสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ร่วมกับสมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย ช่วยฮาลาลไทย หนุนผู้ประกอบการสู้โควิด-19 [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์] วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2563 กระทรวงเกษตรฯ ร่วมกับสมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย ช่วยฮาลาลไทย หนุนผู้ประกอบการสู้โควิด-19 [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์] กระทรวงเกษตรฯ ร่วมกับสมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย ช่วยฮาลาลไทย หนุนผู้ประกอบการสู้โควิด-19 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังมอบเงินสนับสนุนสํานักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับสมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย ได้สนับสนุนงบประมาณให้สํานักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยเพื่อฟื้นฟูประสิทธิภาพการทํางานกิจการฮาลาลของประเทศไทย ให้ผู้ประกอบการสามารถส่งออกสินค้าฮาลาลได้สะดวกและรวดเร็ว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 "กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย และสํานักงานคณะกรรมกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมสัตว์ปีกของประเทศไทยให้มีความเข้มแข็งในเวทีโลก โดยในปัจจุบันโรงเชือดสัตว์ปีกของประเทศไทยที่ผ่านการรับรองมาตรฐานส่งออกจากกรมปศุสัตว์ มีจํานวน 30 แห่ง และทั้งหมดได้รับรองมาตฐานฮาลาล ที่สามารถสร้างมูลค่าการส่งออกปีละมากกว่า 1 แสนล้านบาท ติดอันดับ 4 ของประเทศผู้ส่งออกเนื้อสัตว์ปีกของโลก" นายเฉลิมชัย กล่าว อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมุ่งหวังที่จะส่งออกเนื้อสัตว์ปีกให้ได้มากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากตลาดหลักคือประเทศญี่ปุ่น และประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปแล้ว ยังมุ่งหวังที่จะเจาะตลาดประเทศจีนและกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งประเทศซาอุดิอาระเบียจัดเป็นประเทศผู้นําเข้ารายใหญ่ติดอันดับ 3 ของโลก และประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จัดอยู่ในอันดับ 10 ของโลก ซึ่งในสถานการณ์โควิด-19 ถือเป็นโอกาสสําหรับประเทศไทยเนื่องจากหลายประเทศได้รับผลกระทบและมีความต้องการนําเข้าเนื้อสัตว์ปีกเป็นจํานวนมาก ดังนั้นการที่โรงงานไทยได้มาตรฐานฮาลาลจะมีส่วนช่วยให้สินค้าเนื้อสัตว์ปีกของประเทศไทยเป็นที่ต้องการของต่างประเทศมากขึ้น ด้าน นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมปศุสัตว์ ได้จัดทําโครงการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาลด้านปศุสัตว์ มาตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งดําเนินการร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยในการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการสินค้าฮาลาล ดําเนินการตรวจรับรองสถานประกอบการโรงเชือด สถานที่จําหน่ายเนื้อสัตว์ และสถานประกอบการอื่นด้านปศุสัตว์ เช่น ศูนย์รวบรวมนม ศูนย์รวบรวมไข่ สถานที่ตัดแต่งเนื้อสัตว์ เป็นต้น โดยกรมปศุสัตว์ได้อุดหนุนงบประมาณในการตรวจรับรองดังกล่าวให้กับสํานักงานคณะกรรมการกลางอิสลามทุกปี เพื่อช่วยลดหย่อนค่าธรรมเนียมการตรวจรับรองฮาลาลแก่ผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งความสําเร็จครั้งล่าสุดเมื่อปี 2562 มีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการมากกว่า 250 ราย และตั้งเป้าให้มีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นเป็น 300 ราย ภายในปี 2563 นี้ เพื่อเป็นการยกระดับผู้ประกอบการรายย่อยสู่มาตรฐานการผลิตสินค้าฮาลาล นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มมาตรการดําเนินการเฝ้าระวังการปนเปื้อนดีเอ็นเอสุกรในสินค้าปศุสัตว์ฮาลาล โดยให้สํานักงานปศุสัตว์จังหวัดทั่วประเทศสุ่มเก็บตัวอย่างสินค้าฮาลาล 800 ตัวอย่าง เพื่อเป็นการทวนสอบในมาตรฐานการผลิต และสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32770
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พอใจ สินค้าโอทอปทำรายได้ตามเป้า เร่งสร้างโอทอปเทรดเดอร์กระจายสินค้าชุมชน อุดช่องว่างการค้า
วันจันทร์ที่ 24 กันยายน 2561 นายกฯ พอใจ สินค้าโอทอปทํารายได้ตามเป้า เร่งสร้างโอทอปเทรดเดอร์กระจายสินค้าชุมชน อุดช่องว่างการค้า นายกรัฐมนตรี พอใจ สินค้าโอทอปทํารายได้ตามเป้า เร่งสร้างโอทอปเทรดเดอร์กระจายสินค้าชุมชน อุดช่องว่างการค้า วันนี้ (23 ก.ย.61) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พอใจภาพรวมตัวเลขรายได้ จากการจําหน่าย สินค้าโอทอปทั่วประเทศ ปี 2561 ที่มีมูลค่าสูงถึง 190,000 ล้านบาท และคาดว่าในปีหน้าจะทะลุ 200,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยรัฐบาลมีแผนจะเร่งสร้างโอทอปเทรดเดอร์ (ผู้ขาย/กระจายสินค้า) ในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อทําหน้าที่กระจายสินค้าโอทอปและผลิตภัณฑ์ชุมชนให้รวดเร็วและทั่วถึงมากขึ้น สําหรับแนวทางเสริมศักยภาพของโอทอป ประกอบด้วย 1) เพิ่มจํานวนผู้ประกอบการให้มากขึ้น 2) พัฒนาเทรดเดอร์ในพื้นที่คอยรวบรวมและกระจายสินค้าจากแหล่งผลิตไปยังจุดขาย หรือจากจุดค้าส่งไปยังจุดค้าปลีก 3) ขยายฐานเครือข่ายผู้สนับสนุนการพัฒนาสินค้าโอทอป 4) จัดกลุ่มผู้ประกอบการที่มีศักยภาพเพื่อพัฒนาต่อยอดผลิตสินค้าโอทอปมูลค่าสูง 5) เพิ่มมาตรฐานผลิตภัณฑ์โอทอป 6) ขยายช่องทางการตลาด และ 7) ใช้สินค้าโอทอปเป็นสิ่งดึงดูดของแหล่งท่องเที่ยวชุมชน นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับการสร้างโอทอปเทรดเดอร์ โดยอาจพัฒนากลุ่มเยาวชนหรือผู้ว่างงานในชุมชนเป็นผู้รวบรวมและกระจายสินค้า ซึ่งคนเหล่านี้จะต้องได้รับการพัฒนาองค์ความรู้อย่างรอบด้าน เช่น การขนส่งและกระจายสินค้า การรักษาคุณภาพของสินค้าขณะขนส่ง เป็นต้น เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพใหม่ ๆ ในห่วงโซ่ทางการค้าได้อีกด้วย “นายกฯ กล่าวว่า การจะสร้างศูนย์โอทอป ร้านค้าชุมชน หรือตลาดประชารัฐ ให้มีความเข้มแข็ง จะต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของคนในชุมชน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมโดยให้สมาชิกได้เสนอแนะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันว่า ชุมชนมีอะไรเป็นจุดแข็งหรือเป็นเอกลักษณ์ จะมุ่งเน้นการพัฒนาหรือเพิ่มมูลค่าของสินค้าชุมชนได้อย่างไร และจะระดมทรัพยากรหรือหาทุนจากที่ใด เป็นต้น ซึ่งหากทุกฝ่ายมีความมุ่งมั่นตั้งใจจริงก็จะทําให้ชุมชนก้าวไปข้างหน้าได้สําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม” ....................... สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พอใจ สินค้าโอทอปทำรายได้ตามเป้า เร่งสร้างโอทอปเทรดเดอร์กระจายสินค้าชุมชน อุดช่องว่างการค้า วันจันทร์ที่ 24 กันยายน 2561 นายกฯ พอใจ สินค้าโอทอปทํารายได้ตามเป้า เร่งสร้างโอทอปเทรดเดอร์กระจายสินค้าชุมชน อุดช่องว่างการค้า นายกรัฐมนตรี พอใจ สินค้าโอทอปทํารายได้ตามเป้า เร่งสร้างโอทอปเทรดเดอร์กระจายสินค้าชุมชน อุดช่องว่างการค้า วันนี้ (23 ก.ย.61) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พอใจภาพรวมตัวเลขรายได้ จากการจําหน่าย สินค้าโอทอปทั่วประเทศ ปี 2561 ที่มีมูลค่าสูงถึง 190,000 ล้านบาท และคาดว่าในปีหน้าจะทะลุ 200,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยรัฐบาลมีแผนจะเร่งสร้างโอทอปเทรดเดอร์ (ผู้ขาย/กระจายสินค้า) ในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อทําหน้าที่กระจายสินค้าโอทอปและผลิตภัณฑ์ชุมชนให้รวดเร็วและทั่วถึงมากขึ้น สําหรับแนวทางเสริมศักยภาพของโอทอป ประกอบด้วย 1) เพิ่มจํานวนผู้ประกอบการให้มากขึ้น 2) พัฒนาเทรดเดอร์ในพื้นที่คอยรวบรวมและกระจายสินค้าจากแหล่งผลิตไปยังจุดขาย หรือจากจุดค้าส่งไปยังจุดค้าปลีก 3) ขยายฐานเครือข่ายผู้สนับสนุนการพัฒนาสินค้าโอทอป 4) จัดกลุ่มผู้ประกอบการที่มีศักยภาพเพื่อพัฒนาต่อยอดผลิตสินค้าโอทอปมูลค่าสูง 5) เพิ่มมาตรฐานผลิตภัณฑ์โอทอป 6) ขยายช่องทางการตลาด และ 7) ใช้สินค้าโอทอปเป็นสิ่งดึงดูดของแหล่งท่องเที่ยวชุมชน นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับการสร้างโอทอปเทรดเดอร์ โดยอาจพัฒนากลุ่มเยาวชนหรือผู้ว่างงานในชุมชนเป็นผู้รวบรวมและกระจายสินค้า ซึ่งคนเหล่านี้จะต้องได้รับการพัฒนาองค์ความรู้อย่างรอบด้าน เช่น การขนส่งและกระจายสินค้า การรักษาคุณภาพของสินค้าขณะขนส่ง เป็นต้น เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพใหม่ ๆ ในห่วงโซ่ทางการค้าได้อีกด้วย “นายกฯ กล่าวว่า การจะสร้างศูนย์โอทอป ร้านค้าชุมชน หรือตลาดประชารัฐ ให้มีความเข้มแข็ง จะต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของคนในชุมชน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมโดยให้สมาชิกได้เสนอแนะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันว่า ชุมชนมีอะไรเป็นจุดแข็งหรือเป็นเอกลักษณ์ จะมุ่งเน้นการพัฒนาหรือเพิ่มมูลค่าของสินค้าชุมชนได้อย่างไร และจะระดมทรัพยากรหรือหาทุนจากที่ใด เป็นต้น ซึ่งหากทุกฝ่ายมีความมุ่งมั่นตั้งใจจริงก็จะทําให้ชุมชนก้าวไปข้างหน้าได้สําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม” ....................... สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15591
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความร่วมมือด้านกีฬากับภูฏาน
วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน 2560 รองนายกรัฐมนตรีร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความร่วมมือด้านกีฬากับภูฏาน รองนายกรัฐมนตรีร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความร่วมมือด้านกีฬากับภูฏาน วันที่ 9 มิ.ย.60 เวลา15.30 ได้มีการลงนาม mou ความร่วมมือด้านกีฬา โดยมี พระอนุชาของ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมีฯเป็นองค์สักขีพยานร่วมกับ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นเป็นการแสดงทางวัฒนธรรมพื้นเมืองภูฏาน ที่สนามกีฬาแห่งชาติ นับเป็นการจัดต้อนรับที่อบอุ่นและสมเกียรติ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความร่วมมือด้านกีฬากับภูฏาน วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน 2560 รองนายกรัฐมนตรีร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความร่วมมือด้านกีฬากับภูฏาน รองนายกรัฐมนตรีร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความร่วมมือด้านกีฬากับภูฏาน วันที่ 9 มิ.ย.60 เวลา15.30 ได้มีการลงนาม mou ความร่วมมือด้านกีฬา โดยมี พระอนุชาของ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมีฯเป็นองค์สักขีพยานร่วมกับ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นเป็นการแสดงทางวัฒนธรรมพื้นเมืองภูฏาน ที่สนามกีฬาแห่งชาติ นับเป็นการจัดต้อนรับที่อบอุ่นและสมเกียรติ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4433
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ บรรยายพิเศษแก่นายทหารนักเรียนวิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก เน้นย้ำการเป็นผู้นำต้องมีคุณธรรมจริยธรรม
วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม 2561 ม.ล.ปนัดดาฯ บรรยายพิเศษแก่นายทหารนักเรียนวิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก เน้นย้ําการเป็นผู้นําต้องมีคุณธรรมจริยธรรม ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษในหัวข้อ “ผู้นํากับคุณธรรมและจริยธรรม” แก่นายทหารและนักเรียนผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทาง เมื่อวันพุธที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๐๐ น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษในหัวข้อ “ผู้นํากับคุณธรรมและจริยธรรม” แก่นายทหาร และนักเรียนผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทาง สาขาการบริหารการพยาบาล รุ่นที่ ๑๔ ณ ห้องประชุมดอกปีบ (ชั้น ๕) กองการศึกษา วิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก ถนนราชวิถี เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวซึ่งมีใจความสําคัญตอนหนึ่งว่า ความเป็นองค์กรและสังคม ในเรื่องจริยธรรมถือเป็นองค์ประกอบสําคัญที่สุดทางการบริหาร หรือที่เรียกว่า “หัวใจของยุทธศาสตร์หลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี” ประชาชนโดยรวมต่างปรารถนาสิ่งหนึ่งที่ตรงกันในใจ คือ การยึดมั่น ถือมั่น ความถูกต้อง ความซื่อสัตย์สุจริตของผู้บริหาร และประโยชน์สุขของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่พูดอย่างแต่ทําอีกอย่าง เพราะหลักทางการปกครองไม่มีคําว่าเล่นละคร หรือเสแสร้งแกล้งทํา ตลอดจนการคุ้มครองสวัสดิภาพแก่ประชาชนตั้งแต่ปฐมวัย กระทั่งประชาชนอาวุโสที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ความคาดหวังของผู้คนพลเมืองล้วนปรารถนาสิ่งที่เป็นปัจจัยสําคัญ ในปฐมบทของการปกครองของทุกองค์กร คือ ความโปร่งใสทางการบริหาร เมื่อครั้งผมรับราชการอยู่กระทรวงศึกษาธิการ ลูกหลานมักชอบพูดถึงอุดมการณ์ที่ตนมีต่อประเทศชาติ ว่า “ใคร่อยากแลเห็นสังคมที่ยึดถือหลักสุจริตธรรม ไม่อวดรู้ อวดเบ่ง การวางอํานาจบาตรใหญ่ อยากแลเห็นการทําความดี การพูดจาตรงไปตรงมา มีสัมมาคารวะ ไม่หลอกลวงกัน ให้เป็นธรรมชาติของการดําเนินชีวิตของคนทุกคน” ทั้งนี้สังคมที่เข้มแข็งต้องมีความจริงจังในการตรวจสอบจริยธรรมของผู้นําโดยทางหนึ่งทางใด การปล่อยปละละเลยย่อมทําให้เกิดวิกฤตทางจริยธรรมนําไปสู่ปัญหาทางสังคม ปัญหาของชาติ ที่วนเวียนอยู่ในวัฏจักรแห่งปัญหาที่ซ้ําซาก แก้ไขอย่างไรก็ไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ได้สักครั้ง ศาสตราจารย์ชาวตะวันตกจึงกล่าวไว้ว่า ทุกๆ อารยสังคม จึงจําต้องมีการกําหนดมาตรฐาน และกระบวนการตรวจสอบจริยธรรมขั้นพื้นฐานของผู้นําในทุกระดับชั้นอย่างปราศจากการเลือกปฏิบัติ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ บรรยายพิเศษแก่นายทหารนักเรียนวิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก เน้นย้ำการเป็นผู้นำต้องมีคุณธรรมจริยธรรม วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม 2561 ม.ล.ปนัดดาฯ บรรยายพิเศษแก่นายทหารนักเรียนวิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก เน้นย้ําการเป็นผู้นําต้องมีคุณธรรมจริยธรรม ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษในหัวข้อ “ผู้นํากับคุณธรรมและจริยธรรม” แก่นายทหารและนักเรียนผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทาง เมื่อวันพุธที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๐๐ น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษในหัวข้อ “ผู้นํากับคุณธรรมและจริยธรรม” แก่นายทหาร และนักเรียนผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทาง สาขาการบริหารการพยาบาล รุ่นที่ ๑๔ ณ ห้องประชุมดอกปีบ (ชั้น ๕) กองการศึกษา วิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก ถนนราชวิถี เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวซึ่งมีใจความสําคัญตอนหนึ่งว่า ความเป็นองค์กรและสังคม ในเรื่องจริยธรรมถือเป็นองค์ประกอบสําคัญที่สุดทางการบริหาร หรือที่เรียกว่า “หัวใจของยุทธศาสตร์หลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี” ประชาชนโดยรวมต่างปรารถนาสิ่งหนึ่งที่ตรงกันในใจ คือ การยึดมั่น ถือมั่น ความถูกต้อง ความซื่อสัตย์สุจริตของผู้บริหาร และประโยชน์สุขของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่พูดอย่างแต่ทําอีกอย่าง เพราะหลักทางการปกครองไม่มีคําว่าเล่นละคร หรือเสแสร้งแกล้งทํา ตลอดจนการคุ้มครองสวัสดิภาพแก่ประชาชนตั้งแต่ปฐมวัย กระทั่งประชาชนอาวุโสที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ความคาดหวังของผู้คนพลเมืองล้วนปรารถนาสิ่งที่เป็นปัจจัยสําคัญ ในปฐมบทของการปกครองของทุกองค์กร คือ ความโปร่งใสทางการบริหาร เมื่อครั้งผมรับราชการอยู่กระทรวงศึกษาธิการ ลูกหลานมักชอบพูดถึงอุดมการณ์ที่ตนมีต่อประเทศชาติ ว่า “ใคร่อยากแลเห็นสังคมที่ยึดถือหลักสุจริตธรรม ไม่อวดรู้ อวดเบ่ง การวางอํานาจบาตรใหญ่ อยากแลเห็นการทําความดี การพูดจาตรงไปตรงมา มีสัมมาคารวะ ไม่หลอกลวงกัน ให้เป็นธรรมชาติของการดําเนินชีวิตของคนทุกคน” ทั้งนี้สังคมที่เข้มแข็งต้องมีความจริงจังในการตรวจสอบจริยธรรมของผู้นําโดยทางหนึ่งทางใด การปล่อยปละละเลยย่อมทําให้เกิดวิกฤตทางจริยธรรมนําไปสู่ปัญหาทางสังคม ปัญหาของชาติ ที่วนเวียนอยู่ในวัฏจักรแห่งปัญหาที่ซ้ําซาก แก้ไขอย่างไรก็ไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ได้สักครั้ง ศาสตราจารย์ชาวตะวันตกจึงกล่าวไว้ว่า ทุกๆ อารยสังคม จึงจําต้องมีการกําหนดมาตรฐาน และกระบวนการตรวจสอบจริยธรรมขั้นพื้นฐานของผู้นําในทุกระดับชั้นอย่างปราศจากการเลือกปฏิบัติ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10784
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PPP เห็นชอบโครงการทางหลวงพิเศษ 2 เส้นทาง มูลค่าลงทุนกว่า 1.4 แสนล้านบาท พร้อมเดินหน้าโครงการมาตรการ PPP Fast Track อีก 6 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 6 แสนล้านบาท
วันพุธที่ 28 มิถุนายน 2560 PPP เห็นชอบโครงการทางหลวงพิเศษ 2 เส้นทาง มูลค่าลงทุนกว่า 1.4 แสนล้านบาท พร้อมเดินหน้าโครงการมาตรการ PPP Fast Track อีก 6 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 6 แสนล้านบาท ผอ.สคร. เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการ PPP) ครั้งที่ 3/2560 ในวันพุธที่ 28 มิถุนายน 2560 ณ กระทรวงการคลัง โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผอ.สคร. กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการ PPP) ครั้งที่ 3/2560 ในวันพุธที่ 28 มิถุนายน 2560 ณ กระทรวงการคลัง โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ดังนี้ 1. คณะกรรมการ PPP ได้เห็นชอบในหลักการการให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการทางหลวงพิเศษสายบางปะอิน - นครราชสีมา (M6) มูลค่าเงินลงทุนรวม 85,970 ล้านบาท และสายบางใหญ่ - กาญจนบุรี (M81) มูลค่าเงินลงทุนรวม 56,567 ล้านบาท โดยให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนออกแบบ ลงทุนในงานก่อสร้างงานระบบ และเป็นผู้ดําเนินงานและบํารุงรักษา (Operation and Maintenance : O&M) และรัฐยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและรายได้ค่าธรรมเนียมผ่านทางทั้งหมด โดยมีระยะเวลาร่วมลงทุนไม่เกิน 30 ปี นับแต่เปิดให้บริการ ทั้งนี้ โครงการ M6 และ M81 เป็นโครงการภายใต้มาตรการ PPP Fast Track โดยคาดว่าจะประกาศเชิญชวนให้เอกชนยื่นข้อเสนอได้ภายในปี 2560 ทั้งนี้ การให้เอกชนร่วมลงทุน ในโครงการ M6 (O&M) และ M81 (O&M) เป็นโครงการ PPP แรกของกรมทางหลวงในรอบกว่า 20 ปี ซึ่งจะช่วยลดภาระการลงทุนของภาครัฐและเกิดประโยชน์กับประชาชนในการเดินทางสู่ภูมิภาคต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย 2. คณะกรรมการ PPP ได้ติดตามความคืบหน้าของโครงการภายใต้มาตรการ PPP Fast Track ใหม่ อีก 6 โครงการ ได้แก่ 2.1 โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - วงแหวนกาญจนาภิเษก ประมาณการมูลค่าเงินลงทุน 128,235 ล้านบาท 2.2 โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงตะวันตก และช่วงตะวันออก ประมาณการมูลค่าเงินลงทุน 220,618 ล้านบาท 2.3 โครงการรถไฟฟ้าสายภูเก็ต ช่วงท่าอากาศยานภูเก็ตฯ - ห้าแยกฉลอง ประมาณการมูลค่าเงินลงทุน 31,055 ล้านบาท 2.4 โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนของจังหวัดเชียงใหม่ ประมาณการมูลค่าเงินลงทุนอยู่ระหว่างทําการศึกษา 2.5 โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายนครปฐม - ชะอํา ประมาณการมูลค่าเงินลงทุน 80,600 ล้านบาท 2.6 โครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ - ระยอง ประมาณการมูลค่าเงินลงทุน 152,448 ล้านบาท โดยมีมูลค่าเงินลงทุนรวมประมาณ 613,000 ล้านบาท (ไม่รวมโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนของจังหวัดเชียงใหม่) ทั้งนี้ คณะกรรมการ PPP ได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมปรับปรุงแผนให้สอดคล้องกับระยะเวลาดําเนินการจริง และให้พิจารณาเพิ่มเติมโครงการท่าอากาศยานในส่วนภูมิภาคหากมีความพร้อม 3. คณะกรรมการ PPP ได้เห็นชอบกรอบแนวทางการรับฟังความคิดเห็นในการปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2558 – 2562 เพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 โดยได้เพิ่มกิจการภายใต้แผนยุทธศาสตร์ฯ จํานวน 3 กิจการ ได้แก่ กิจการพัฒนารถไฟฟ้าขนส่งสินค้าทางราง กิจการพัฒนาท่าอากาศยาน และกิจการพัฒนาท่าเรือขนส่งผู้โดยสาร 4. คณะกรรมการ PPP ได้เห็นชอบให้โครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในสิทธิการเช่าอาคารศูนย์ประชุมและโรงแรม ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ที่บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จํากัด เสนอ มูลค่าโครงการประมาณ 1,300 ล้านบาท ถือเป็นโครงการขนาดกลาง โดยให้ดําเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการของประกาศคณะกรรมการ PPP เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการที่มีวงเงินมูลค่าต่ํากว่าที่กําหนดในมาตรา 23 แห่ง พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556 พ.ศ. 2559 ตามที่อนุกรรมการกลั่นกรองโครงการเสนอ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กองส่งเสริมการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PPP เห็นชอบโครงการทางหลวงพิเศษ 2 เส้นทาง มูลค่าลงทุนกว่า 1.4 แสนล้านบาท พร้อมเดินหน้าโครงการมาตรการ PPP Fast Track อีก 6 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 6 แสนล้านบาท วันพุธที่ 28 มิถุนายน 2560 PPP เห็นชอบโครงการทางหลวงพิเศษ 2 เส้นทาง มูลค่าลงทุนกว่า 1.4 แสนล้านบาท พร้อมเดินหน้าโครงการมาตรการ PPP Fast Track อีก 6 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 6 แสนล้านบาท ผอ.สคร. เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการ PPP) ครั้งที่ 3/2560 ในวันพุธที่ 28 มิถุนายน 2560 ณ กระทรวงการคลัง โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผอ.สคร. กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการ PPP) ครั้งที่ 3/2560 ในวันพุธที่ 28 มิถุนายน 2560 ณ กระทรวงการคลัง โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ดังนี้ 1. คณะกรรมการ PPP ได้เห็นชอบในหลักการการให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการทางหลวงพิเศษสายบางปะอิน - นครราชสีมา (M6) มูลค่าเงินลงทุนรวม 85,970 ล้านบาท และสายบางใหญ่ - กาญจนบุรี (M81) มูลค่าเงินลงทุนรวม 56,567 ล้านบาท โดยให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนออกแบบ ลงทุนในงานก่อสร้างงานระบบ และเป็นผู้ดําเนินงานและบํารุงรักษา (Operation and Maintenance : O&M) และรัฐยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและรายได้ค่าธรรมเนียมผ่านทางทั้งหมด โดยมีระยะเวลาร่วมลงทุนไม่เกิน 30 ปี นับแต่เปิดให้บริการ ทั้งนี้ โครงการ M6 และ M81 เป็นโครงการภายใต้มาตรการ PPP Fast Track โดยคาดว่าจะประกาศเชิญชวนให้เอกชนยื่นข้อเสนอได้ภายในปี 2560 ทั้งนี้ การให้เอกชนร่วมลงทุน ในโครงการ M6 (O&M) และ M81 (O&M) เป็นโครงการ PPP แรกของกรมทางหลวงในรอบกว่า 20 ปี ซึ่งจะช่วยลดภาระการลงทุนของภาครัฐและเกิดประโยชน์กับประชาชนในการเดินทางสู่ภูมิภาคต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย 2. คณะกรรมการ PPP ได้ติดตามความคืบหน้าของโครงการภายใต้มาตรการ PPP Fast Track ใหม่ อีก 6 โครงการ ได้แก่ 2.1 โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - วงแหวนกาญจนาภิเษก ประมาณการมูลค่าเงินลงทุน 128,235 ล้านบาท 2.2 โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงตะวันตก และช่วงตะวันออก ประมาณการมูลค่าเงินลงทุน 220,618 ล้านบาท 2.3 โครงการรถไฟฟ้าสายภูเก็ต ช่วงท่าอากาศยานภูเก็ตฯ - ห้าแยกฉลอง ประมาณการมูลค่าเงินลงทุน 31,055 ล้านบาท 2.4 โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนของจังหวัดเชียงใหม่ ประมาณการมูลค่าเงินลงทุนอยู่ระหว่างทําการศึกษา 2.5 โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายนครปฐม - ชะอํา ประมาณการมูลค่าเงินลงทุน 80,600 ล้านบาท 2.6 โครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ - ระยอง ประมาณการมูลค่าเงินลงทุน 152,448 ล้านบาท โดยมีมูลค่าเงินลงทุนรวมประมาณ 613,000 ล้านบาท (ไม่รวมโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนของจังหวัดเชียงใหม่) ทั้งนี้ คณะกรรมการ PPP ได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมปรับปรุงแผนให้สอดคล้องกับระยะเวลาดําเนินการจริง และให้พิจารณาเพิ่มเติมโครงการท่าอากาศยานในส่วนภูมิภาคหากมีความพร้อม 3. คณะกรรมการ PPP ได้เห็นชอบกรอบแนวทางการรับฟังความคิดเห็นในการปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2558 – 2562 เพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 โดยได้เพิ่มกิจการภายใต้แผนยุทธศาสตร์ฯ จํานวน 3 กิจการ ได้แก่ กิจการพัฒนารถไฟฟ้าขนส่งสินค้าทางราง กิจการพัฒนาท่าอากาศยาน และกิจการพัฒนาท่าเรือขนส่งผู้โดยสาร 4. คณะกรรมการ PPP ได้เห็นชอบให้โครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในสิทธิการเช่าอาคารศูนย์ประชุมและโรงแรม ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ที่บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จํากัด เสนอ มูลค่าโครงการประมาณ 1,300 ล้านบาท ถือเป็นโครงการขนาดกลาง โดยให้ดําเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการของประกาศคณะกรรมการ PPP เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการที่มีวงเงินมูลค่าต่ํากว่าที่กําหนดในมาตรา 23 แห่ง พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556 พ.ศ. 2559 ตามที่อนุกรรมการกลั่นกรองโครงการเสนอ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กองส่งเสริมการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4849
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการ ศอ.ปส. ประชุมหัวหน้าส่วนราชการสำคัญ ๖ จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง บูรณาการงาน “สร้างพื้นที่ปลอดภัย” ในหมู่บ้าน/ชุมชน
วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการ ศอ.ปส. ประชุมหัวหน้าส่วนราชการสําคัญ ๖ จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง บูรณาการงาน “สร้างพื้นที่ปลอดภัย” ในหมู่บ้าน/ชุมชน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในหมู่บ้าน/ชุมชนนําร่องในพื้นที่ ๖ จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ในวันจันทร์ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในหมู่บ้าน/ชุมชนนําร่องในพื้นที่ ๖ จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการส่วนราชการในพื้นที่ดําเนินการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในหมู่บ้าน/ชุมชน ทุกหมู่บ้านชุมชนใน ๕ จังหวัด คือ ตาก สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ และ ๓ อําเภอในกําแพงเพชร ได้แก่ อําเภอพรานกระต่าย ไทรงาม และลานกระบือ ครอบคลุมพื้นที่ ๕,๒๘๐ หมู่บ้าน/ชุมชน ใน ๕๗ อําเภอ โดยมี​ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย​ ดร.วีริศ อัมระปาล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (ด้านวิชาการ) นายวิชัย ไชยมงคล ที่ปรึกษาการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด​ นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์​ ผู้ว่าราชการจังหวัด​พิษณุโลก​ นายไมตรี ไตรติลานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัด​สุโขทัย​ นายเชาวลิตร แสงอุทัยผู้ว่าราชการจังหวัด​กําแพงเพชร​ และผู้แทนหน่วยงานต่างๆ รวมจํานวนกว่า ๖๐ คน ณ โรงแรมท็อปแลนด์ อําเภอเมือง จังหวัด​พิษณุโลก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า “ศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ศอ.ปส.) มีหน้าที่นํานโยบาย ยุทธศาสตร์ ไปสู่การปฏิบัติ และอํานวยการ กํากับดูแลให้การปฏิบัติงานของส่วนราชการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการอํานวยการและประสานเพื่อขับเคลื่อนการปฏิบัติในพื้นที่สําคัญ อย่างภาคเหนือตอนล่างจะช่วยเสริมสร้างการนํานโยบาย ยุทธศาสตร์ และมาตรการต่าง ๆ ไปดําเนินการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จากสถานการณ์ในภาคเหนือตอนล่าง ซึ่งเป็นพื้นที่ลําเลียงผ่านของยาเสพติดจากภาคเหนือตอนบน โดยกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดจะหลีกเลี่ยงเส้นทางสายหลักที่มีด่าน/จุดตรวจที่เข้มงวด หันไปใช้เส้นทางสายรองแทน ดังนั้น การสร้างแนวป้องกันยาเสพติดในพื้นที่โดยใช้หมู่บ้าน/ชุมชน จึงเป็น “กลยุทธ์” ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหาในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ทั้งนี้ที่ผ่านมาโครงการฯ ได้เริ่มมาตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๖๒” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวทิ้งท้ายว่า “หัวใจหลักของแนวคิดพื้นที่ปลอดภัย คือ การมีส่วนร่วมของประชาชนในหมู่บ้านชุมชน และการสนับสนุนจากหน่วยราชการอย่างบูรณาการในทุกมาตรการ ทั้งการป้องกัน การบําบัดรักษา และการขยายผลสืบสวน จับกุมตัวการสําคัญและยึดทรัพย์สินเพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด” พร้อมเปิดช่องทางให้ประชาชนส่งข้อมูลสถานการณ์ปัญหายาเสพติดผ่านระบบรายงาน แบบ On Line ผ่านโทรศัพท์มือถือถึงสํานักงาน ป.ป.ส. โดยตรงเพื่อให้การบูรณาการของทุกหน่วยงานเข้าแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที สอดคล้องตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ทั้งนี้ ขอความร่วมมือประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชน หากพบเห็นผู้เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือเบาะแสยาเสพติด สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตํารวจ หรือแจ้งผ่านสายด่วน สํานักงาน ป.ป.ส. โทร. ๑๓๘๖ ตลอด ๒๔ ชั่วโมง หรือหากพบเห็นผู้ป่วยผู้ติดยาเสพติด ควรนําเข้ารับการบําบัดรักษาได้ที่สถานพยาบาลของรัฐได้ทุกแห่ง แจ้งเบาะแสยาเสพติด ผ่านสายด่วน ป.ป.ส. โทร. ๑๓๘๖ ****************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการ ศอ.ปส. ประชุมหัวหน้าส่วนราชการสำคัญ ๖ จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง บูรณาการงาน “สร้างพื้นที่ปลอดภัย” ในหมู่บ้าน/ชุมชน วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการ ศอ.ปส. ประชุมหัวหน้าส่วนราชการสําคัญ ๖ จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง บูรณาการงาน “สร้างพื้นที่ปลอดภัย” ในหมู่บ้าน/ชุมชน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในหมู่บ้าน/ชุมชนนําร่องในพื้นที่ ๖ จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ในวันจันทร์ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในหมู่บ้าน/ชุมชนนําร่องในพื้นที่ ๖ จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการส่วนราชการในพื้นที่ดําเนินการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในหมู่บ้าน/ชุมชน ทุกหมู่บ้านชุมชนใน ๕ จังหวัด คือ ตาก สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ และ ๓ อําเภอในกําแพงเพชร ได้แก่ อําเภอพรานกระต่าย ไทรงาม และลานกระบือ ครอบคลุมพื้นที่ ๕,๒๘๐ หมู่บ้าน/ชุมชน ใน ๕๗ อําเภอ โดยมี​ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย​ ดร.วีริศ อัมระปาล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (ด้านวิชาการ) นายวิชัย ไชยมงคล ที่ปรึกษาการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด​ นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์​ ผู้ว่าราชการจังหวัด​พิษณุโลก​ นายไมตรี ไตรติลานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัด​สุโขทัย​ นายเชาวลิตร แสงอุทัยผู้ว่าราชการจังหวัด​กําแพงเพชร​ และผู้แทนหน่วยงานต่างๆ รวมจํานวนกว่า ๖๐ คน ณ โรงแรมท็อปแลนด์ อําเภอเมือง จังหวัด​พิษณุโลก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า “ศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ศอ.ปส.) มีหน้าที่นํานโยบาย ยุทธศาสตร์ ไปสู่การปฏิบัติ และอํานวยการ กํากับดูแลให้การปฏิบัติงานของส่วนราชการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการอํานวยการและประสานเพื่อขับเคลื่อนการปฏิบัติในพื้นที่สําคัญ อย่างภาคเหนือตอนล่างจะช่วยเสริมสร้างการนํานโยบาย ยุทธศาสตร์ และมาตรการต่าง ๆ ไปดําเนินการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จากสถานการณ์ในภาคเหนือตอนล่าง ซึ่งเป็นพื้นที่ลําเลียงผ่านของยาเสพติดจากภาคเหนือตอนบน โดยกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดจะหลีกเลี่ยงเส้นทางสายหลักที่มีด่าน/จุดตรวจที่เข้มงวด หันไปใช้เส้นทางสายรองแทน ดังนั้น การสร้างแนวป้องกันยาเสพติดในพื้นที่โดยใช้หมู่บ้าน/ชุมชน จึงเป็น “กลยุทธ์” ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหาในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ทั้งนี้ที่ผ่านมาโครงการฯ ได้เริ่มมาตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๖๒” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวทิ้งท้ายว่า “หัวใจหลักของแนวคิดพื้นที่ปลอดภัย คือ การมีส่วนร่วมของประชาชนในหมู่บ้านชุมชน และการสนับสนุนจากหน่วยราชการอย่างบูรณาการในทุกมาตรการ ทั้งการป้องกัน การบําบัดรักษา และการขยายผลสืบสวน จับกุมตัวการสําคัญและยึดทรัพย์สินเพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด” พร้อมเปิดช่องทางให้ประชาชนส่งข้อมูลสถานการณ์ปัญหายาเสพติดผ่านระบบรายงาน แบบ On Line ผ่านโทรศัพท์มือถือถึงสํานักงาน ป.ป.ส. โดยตรงเพื่อให้การบูรณาการของทุกหน่วยงานเข้าแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที สอดคล้องตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ทั้งนี้ ขอความร่วมมือประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชน หากพบเห็นผู้เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือเบาะแสยาเสพติด สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตํารวจ หรือแจ้งผ่านสายด่วน สํานักงาน ป.ป.ส. โทร. ๑๓๘๖ ตลอด ๒๔ ชั่วโมง หรือหากพบเห็นผู้ป่วยผู้ติดยาเสพติด ควรนําเข้ารับการบําบัดรักษาได้ที่สถานพยาบาลของรัฐได้ทุกแห่ง แจ้งเบาะแสยาเสพติด ผ่านสายด่วน ป.ป.ส. โทร. ๑๓๘๖ ****************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26613
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมแรงงานนอกระบบ ร้อยเอ็ด พร้อมชูเป็นต้นแบบปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน
วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม 2561 กสร. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมแรงงานนอกระบบ ร้อยเอ็ด พร้อมชูเป็นต้นแบบปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมแรงงานนอกระบบกลุ่มทําวิกผม ทําพรมเช็ดเท้า เสื่อ ตําบลทุ่งกุลา อําเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด สร้างการรับรู้สิทธิหน้าที่ตามกฎหมาย พร้อมผลักดันเป็นต้นแบบแก่แรงงานในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง นายวิวัฒน์ ตังหงส์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่าในปีงบประมาณ 2562 พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้กําหนดให้นโยบายการส่งเสริม คุ้มครองและพัฒนาแรงงานนอกระบบเป็นหนึ่งในนโยบายเน้นหนักที่ต้องดําเนินการอย่างเร่งด่วน ซึ่งปัจจุบันมีจํานวน 20.8 ล้านคน เพื่อให้แรงงานนอกระบบได้เข้าถึงสิทธิทางกฎหมายรวมถึงบริการของภาครัฐมากยิ่งขึ้น กสร. จึงได้กําหนดนโยบายเร่งด่วนในการคุ้มครองแรงงานนอกระบบเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น ทั้งในเรื่องของการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ตามกฎหมาย ความปลอดภัยในการทํางาน รวมไปถึงการส่งเสริมการรวมกลุ่มหรือสร้างเครือข่ายให้เกิดความเข้มแข็ง และเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2561 ได้มอบหมายให้นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมแรงงานนอกระบบ กลุ่มทําวิกผม ทําพรมเช็ดเท้า เสื่อ ตําบลทุ่งกุลา อําเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้รับงานไปทําที่บ้าน พ.ศ. 2553 และรับฟังปัญหาอุปสรรคในการทํางานเพื่อนําไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด นายวิวัฒน์ กล่าวต่อว่า จากการตรวจเยี่ยมพบว่าแรงงานกลุ่มดังกล่าวสามารถดําเนินกิจการและปฏิบัติได้ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น การจัดทําเอกสารเกี่ยวกับการรับงาน ค่าตอบแทนการทํางาน การใช้อุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยในการทํางาน ทั้งนี้ กสร.จะเข้าไปเสริมความรู้เกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ตามกฎหมาย การป้องกันอันตรายและโรคจากการทํางาน การสร้างความเข้มแข็งในการรวมกลุ่มเพื่อให้มีศักยภาพในการเจรจาต่อรองกับผู้ว่าจ้างพร้อมผลักดันให้เป็นต้นแบบแก่กลุ่มแรงงานนอกระบบโดยเฉพาะกลุ่มผู้รับงานไปทําที่บ้านอื่น ๆ ในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียงต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมแรงงานนอกระบบ ร้อยเอ็ด พร้อมชูเป็นต้นแบบปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม 2561 กสร. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมแรงงานนอกระบบ ร้อยเอ็ด พร้อมชูเป็นต้นแบบปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมแรงงานนอกระบบกลุ่มทําวิกผม ทําพรมเช็ดเท้า เสื่อ ตําบลทุ่งกุลา อําเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด สร้างการรับรู้สิทธิหน้าที่ตามกฎหมาย พร้อมผลักดันเป็นต้นแบบแก่แรงงานในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง นายวิวัฒน์ ตังหงส์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่าในปีงบประมาณ 2562 พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้กําหนดให้นโยบายการส่งเสริม คุ้มครองและพัฒนาแรงงานนอกระบบเป็นหนึ่งในนโยบายเน้นหนักที่ต้องดําเนินการอย่างเร่งด่วน ซึ่งปัจจุบันมีจํานวน 20.8 ล้านคน เพื่อให้แรงงานนอกระบบได้เข้าถึงสิทธิทางกฎหมายรวมถึงบริการของภาครัฐมากยิ่งขึ้น กสร. จึงได้กําหนดนโยบายเร่งด่วนในการคุ้มครองแรงงานนอกระบบเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น ทั้งในเรื่องของการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ตามกฎหมาย ความปลอดภัยในการทํางาน รวมไปถึงการส่งเสริมการรวมกลุ่มหรือสร้างเครือข่ายให้เกิดความเข้มแข็ง และเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2561 ได้มอบหมายให้นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมแรงงานนอกระบบ กลุ่มทําวิกผม ทําพรมเช็ดเท้า เสื่อ ตําบลทุ่งกุลา อําเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้รับงานไปทําที่บ้าน พ.ศ. 2553 และรับฟังปัญหาอุปสรรคในการทํางานเพื่อนําไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด นายวิวัฒน์ กล่าวต่อว่า จากการตรวจเยี่ยมพบว่าแรงงานกลุ่มดังกล่าวสามารถดําเนินกิจการและปฏิบัติได้ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น การจัดทําเอกสารเกี่ยวกับการรับงาน ค่าตอบแทนการทํางาน การใช้อุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยในการทํางาน ทั้งนี้ กสร.จะเข้าไปเสริมความรู้เกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ตามกฎหมาย การป้องกันอันตรายและโรคจากการทํางาน การสร้างความเข้มแข็งในการรวมกลุ่มเพื่อให้มีศักยภาพในการเจรจาต่อรองกับผู้ว่าจ้างพร้อมผลักดันให้เป็นต้นแบบแก่กลุ่มแรงงานนอกระบบโดยเฉพาะกลุ่มผู้รับงานไปทําที่บ้านอื่น ๆ ในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียงต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16305
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยเดินหน้ามหาดไทยใสสะอาดต่อต้านการทุจริต ปี 2560 สั่งการทุกหน่วยงานในสังกัดยึด 5 มาตรการ ตั้งเป้าปัญหาการร้องเรียนเรื่องทุจริตลดลง
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 กระทรวงมหาดไทยเดินหน้ามหาดไทยใสสะอาดต่อต้านการทุจริต ปี 2560 สั่งการทุกหน่วยงานในสังกัดยึด 5 มาตรการ ตั้งเป้าปัญหาการร้องเรียนเรื่องทุจริตลดลง กระทรวงมหาดไทยเดินหน้ามหาดไทยใสสะอาดต่อต้านการทุจริต ปี 2560 สั่งการทุกหน่วยงานในสังกัดยึด 5 มาตรการ ตั้งเป้าปัญหาการร้องเรียนเรื่องทุจริตลดลง วันนี้(16ก.พ.60)ที่กระทรวงมหาดไทยนายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้กําหนดให้การป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบเป็นนโยบายสําคัญและถือเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกส่วนราชการจะต้องนําไปปฏิบัติให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมกระทรวงมหาดไทย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดาได้ให้ความสําคัญกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยได้เน้นย้ําให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยปฏิบัติงานด้วยความถูกต้องตามระเบียบ ข้อกฎหมาย และให้นํามาตรการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมาเป็นโครงการที่กระทรวงมหาดไทย มอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน พ.ศ.2560เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยได้กําหนดกรอบแนวทางการดําเนินงาน“มหาดไทยใสสะอาดต่อต้านการทุจริต”โดยให้ส่วนราชการในสังกัดทุกหน่วยงาน จังหวัดทุกจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ได้นําไปเป็นกรอบแนวทางในการดําเนินงานภายใต้5มาตรการสําคัญ คือ มาตรการที่1การบริหารงานและการปฏิบัติงานตามหลักธรรมาภิบาล โดยมุ่งตอบสนองความต้องการของประชาชนด้วยการบริการที่รวดเร็ว ถูกต้อง เสมอภาค โปร่งใส และเป็นธรรมมาตรการที่2การปลูกฝังค่านิยมและทัศนคติให้บุคลากรยึดหลักคุณธรรม จริยธรรมสร้างค่านิยมซื่อสัตย์สุจริต และน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการปฏิบัติงานและการดํารงชีวิตมาตรการที่3สร้างคุณธรรมในการดําเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ส่งเสริมการดําเนินการให้เกิดความโปร่งใสในทุกขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้างตามที่กฎหมายกําหนด และเปิดโอกาสให้ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการปฏิบัติงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยรวมทั้งการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารให้แก่ประชาชนได้รับทราบถึงการดําเนินงานทุกรูปแบบ เช่น งบประมาณที่หน่วยงานได้รับในปี พ.ศ.2560ผลการพิจารณาการจัดซื้อจัดจ้าง แนวทางในการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงาน โครงการใหญ่ หรือโครงการงบประมาณของกลุ่มจังหวัด เป็นต้น เพื่อสร้างความโปร่งใสทุกขั้นตอนของกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ก่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม สร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนที่เสนอราคา หรือเสนองานแก่ทางราชการ นอกจากนี้ จะได้ร่วมกับกรมบัญชีกลางเพื่อกําหนดแนวทางการดําเนินงานตามแนวทางข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact)เพื่อนํามาปรับใช้กับการดําเนินโครงการใหญ่ๆ ของส่วนราชการให้ถือปฏิบัติต่อไปมาตรการที่4การใช้ช่องทางการร้องเรียนร้องทุกข์ของกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ประชาชนได้แจ้งข้อมูลข่าวสาร การร้องเรียนร้องทุกข์ และแจ้งเบาะแสการกระทําทุจริต ซึ่งจะขับเคลื่อนโดยศูนย์ดํารงธรรมกระทรวงมหาดไทย ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด และศูนย์ดํารงธรรมอําเภอมาตรการที่5มุ่งต่อต้านและเฝ้าระวังการทุจริตคอรัปชั่นทุกรูปแบบ โดยการเฝ้าระวังอย่างรัดกุมและใช้มาตรการการลงโทษขั้นสูงกับผู้ทุจริตคอรัปชั่นและผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง รองปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยได้เน้นย้ําให้ทุกหน่วยงานในสังกัด จังหวัด อําเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ยึดหลักการบริหารราชการตามหลักธรรมาภิบาล และถือเป็นโยบายสําคัญที่ต้องปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการและเข้าถึงบริการได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง เสมอภาค โปร่งใสและเป็นธรรม และจะต้องลดปัญหาการร้องเรียนเรื่องทุจริตให้ลดลง. ครั้งที่25/2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยเดินหน้ามหาดไทยใสสะอาดต่อต้านการทุจริต ปี 2560 สั่งการทุกหน่วยงานในสังกัดยึด 5 มาตรการ ตั้งเป้าปัญหาการร้องเรียนเรื่องทุจริตลดลง วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 กระทรวงมหาดไทยเดินหน้ามหาดไทยใสสะอาดต่อต้านการทุจริต ปี 2560 สั่งการทุกหน่วยงานในสังกัดยึด 5 มาตรการ ตั้งเป้าปัญหาการร้องเรียนเรื่องทุจริตลดลง กระทรวงมหาดไทยเดินหน้ามหาดไทยใสสะอาดต่อต้านการทุจริต ปี 2560 สั่งการทุกหน่วยงานในสังกัดยึด 5 มาตรการ ตั้งเป้าปัญหาการร้องเรียนเรื่องทุจริตลดลง วันนี้(16ก.พ.60)ที่กระทรวงมหาดไทยนายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้กําหนดให้การป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบเป็นนโยบายสําคัญและถือเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกส่วนราชการจะต้องนําไปปฏิบัติให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมกระทรวงมหาดไทย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดาได้ให้ความสําคัญกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยได้เน้นย้ําให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยปฏิบัติงานด้วยความถูกต้องตามระเบียบ ข้อกฎหมาย และให้นํามาตรการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมาเป็นโครงการที่กระทรวงมหาดไทย มอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน พ.ศ.2560เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยได้กําหนดกรอบแนวทางการดําเนินงาน“มหาดไทยใสสะอาดต่อต้านการทุจริต”โดยให้ส่วนราชการในสังกัดทุกหน่วยงาน จังหวัดทุกจังหวัด กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ได้นําไปเป็นกรอบแนวทางในการดําเนินงานภายใต้5มาตรการสําคัญ คือ มาตรการที่1การบริหารงานและการปฏิบัติงานตามหลักธรรมาภิบาล โดยมุ่งตอบสนองความต้องการของประชาชนด้วยการบริการที่รวดเร็ว ถูกต้อง เสมอภาค โปร่งใส และเป็นธรรมมาตรการที่2การปลูกฝังค่านิยมและทัศนคติให้บุคลากรยึดหลักคุณธรรม จริยธรรมสร้างค่านิยมซื่อสัตย์สุจริต และน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการปฏิบัติงานและการดํารงชีวิตมาตรการที่3สร้างคุณธรรมในการดําเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ส่งเสริมการดําเนินการให้เกิดความโปร่งใสในทุกขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้างตามที่กฎหมายกําหนด และเปิดโอกาสให้ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการปฏิบัติงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยรวมทั้งการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารให้แก่ประชาชนได้รับทราบถึงการดําเนินงานทุกรูปแบบ เช่น งบประมาณที่หน่วยงานได้รับในปี พ.ศ.2560ผลการพิจารณาการจัดซื้อจัดจ้าง แนวทางในการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงาน โครงการใหญ่ หรือโครงการงบประมาณของกลุ่มจังหวัด เป็นต้น เพื่อสร้างความโปร่งใสทุกขั้นตอนของกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ก่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม สร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนที่เสนอราคา หรือเสนองานแก่ทางราชการ นอกจากนี้ จะได้ร่วมกับกรมบัญชีกลางเพื่อกําหนดแนวทางการดําเนินงานตามแนวทางข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact)เพื่อนํามาปรับใช้กับการดําเนินโครงการใหญ่ๆ ของส่วนราชการให้ถือปฏิบัติต่อไปมาตรการที่4การใช้ช่องทางการร้องเรียนร้องทุกข์ของกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ประชาชนได้แจ้งข้อมูลข่าวสาร การร้องเรียนร้องทุกข์ และแจ้งเบาะแสการกระทําทุจริต ซึ่งจะขับเคลื่อนโดยศูนย์ดํารงธรรมกระทรวงมหาดไทย ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด และศูนย์ดํารงธรรมอําเภอมาตรการที่5มุ่งต่อต้านและเฝ้าระวังการทุจริตคอรัปชั่นทุกรูปแบบ โดยการเฝ้าระวังอย่างรัดกุมและใช้มาตรการการลงโทษขั้นสูงกับผู้ทุจริตคอรัปชั่นและผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง รองปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยได้เน้นย้ําให้ทุกหน่วยงานในสังกัด จังหวัด อําเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ยึดหลักการบริหารราชการตามหลักธรรมาภิบาล และถือเป็นโยบายสําคัญที่ต้องปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการและเข้าถึงบริการได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง เสมอภาค โปร่งใสและเป็นธรรม และจะต้องลดปัญหาการร้องเรียนเรื่องทุจริตให้ลดลง. ครั้งที่25/2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1885
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมหารือแก้ไขปัญหาให้ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคใต้
วันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน 2560 ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมหารือแก้ไขปัญหาให้ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคใต้ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมหารือแก้ไขปัญหาให้ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคใต้ ณ ห้องประชุมหลาโอน ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 จังหวัดสงขลา วันนี้ (26 พฤศจิกายน 2560)/จ.สงขลา นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานประชุมหารือหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่ภาคใต้ และภาคใต้ชายแดน โดยมีนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ร้อยเอกธเนศ จันทกลิ่น รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ อุตสาหกรรมจังหวัด 14 จังหวัดภาคใต้ และผู้บริหารภาคเอกชน นําโดยนายอภินันท์ ศรีสมานุวัตร ประธานกิตติมศักดิ์ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดสงขลา นายมานะ ศรีพิทักษ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสงขลา นายกวิศพงศ์ สิริธนนท์สกุล ประธานหอการค้าจังหวัดสงขลา นายพิชัย จงไพรัตน์ ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีจังหวัดสงขลา รวมทั้งประธานสภาอุตสาหกรรมและประธานหอการค้าจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ ร่วมประชุมและรับฟังอุปสรรคต่างๆ เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาของผู้ประกอบการในพื้นที่ พร้อมสั่งการให้หน่วยงานรัฐ ทํางานร่วมกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด ณ ห้องประชุมหลาโอน ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 จังหวัดสงขลา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมหารือแก้ไขปัญหาให้ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคใต้ วันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน 2560 ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมหารือแก้ไขปัญหาให้ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคใต้ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมหารือแก้ไขปัญหาให้ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคใต้ ณ ห้องประชุมหลาโอน ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 จังหวัดสงขลา วันนี้ (26 พฤศจิกายน 2560)/จ.สงขลา นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานประชุมหารือหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่ภาคใต้ และภาคใต้ชายแดน โดยมีนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ร้อยเอกธเนศ จันทกลิ่น รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ อุตสาหกรรมจังหวัด 14 จังหวัดภาคใต้ และผู้บริหารภาคเอกชน นําโดยนายอภินันท์ ศรีสมานุวัตร ประธานกิตติมศักดิ์ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดสงขลา นายมานะ ศรีพิทักษ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสงขลา นายกวิศพงศ์ สิริธนนท์สกุล ประธานหอการค้าจังหวัดสงขลา นายพิชัย จงไพรัตน์ ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีจังหวัดสงขลา รวมทั้งประธานสภาอุตสาหกรรมและประธานหอการค้าจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ ร่วมประชุมและรับฟังอุปสรรคต่างๆ เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาของผู้ประกอบการในพื้นที่ พร้อมสั่งการให้หน่วยงานรัฐ ทํางานร่วมกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด ณ ห้องประชุมหลาโอน ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 จังหวัดสงขลา
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8359
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมหารือการกำหนดแผนงานการให้บริการระงับข้อพิพาท ของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560 ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมหารือการกําหนดแผนงานการให้บริการระงับข้อพิพาท ของสถาบันอนุญาโตตุลาการ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐ เมื่อวันอังคารที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐ เพื่อรับทราบความคืบหน้าผลการดําเนินงานของสถาบันอนุญาโตตุลาการ ในการบริหารจัดการระบบสารสนเทศด้านการจัดการข้อมูลลูกค้า (CRM) รวมทั้งรับทราบผลการบริหารทรัพยากรบุคคล งบประมาณ และการบริหารจัดการคดีประนอมข้อพิพาทตามภารกิจหลักในไตรมาสที่ ๔/๒๕๖๐ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแผนการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งแบ่งออกเป็น ๑) แผนพัฒนาระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนทั่วไป ในด้านการระงับข้อพิพาททางเลือก เพื่อให้มีการใช้การอนุญาโตตุลาการและการประนอมข้อพิพาท ในการระงับข้อพิพาทเพิ่มมากขึ้น และ ๒) แผนพัฒนาการให้บริการ โดยมีเป้าหมาย เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสถาบันอนุญาโตตุลาการ ทั้งนี้ ได้มีข้อเสนอแนะให้จัดทํารายละเอียดของโครงการภายใต้แผนงานต่าง ๆ ให้มีความชัดเจน โดยเน้นผลสัมฤทธิ์ของงานตามภารกิจหลัก และให้สอดคล้องกับเป้าประสงค์ในการสร้างการรับรู้ และสร้างความเชื่อมั่นในสถาบันอนุญาโตตุลาการ เพื่อให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายใช้การอนุญาโตตุลาการ และการประนอมข้อพิพาทในการระงับข้อพิพาทมากยิ่งขึ้น อีกทั้งเพื่อให้การบริการระงับข้อพิพาททางเลือกแก่ประชาชนทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมหารือการกำหนดแผนงานการให้บริการระงับข้อพิพาท ของสถาบันอนุญาโตตุลาการ วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560 ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมหารือการกําหนดแผนงานการให้บริการระงับข้อพิพาท ของสถาบันอนุญาโตตุลาการ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐ เมื่อวันอังคารที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐ เพื่อรับทราบความคืบหน้าผลการดําเนินงานของสถาบันอนุญาโตตุลาการ ในการบริหารจัดการระบบสารสนเทศด้านการจัดการข้อมูลลูกค้า (CRM) รวมทั้งรับทราบผลการบริหารทรัพยากรบุคคล งบประมาณ และการบริหารจัดการคดีประนอมข้อพิพาทตามภารกิจหลักในไตรมาสที่ ๔/๒๕๖๐ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแผนการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งแบ่งออกเป็น ๑) แผนพัฒนาระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนทั่วไป ในด้านการระงับข้อพิพาททางเลือก เพื่อให้มีการใช้การอนุญาโตตุลาการและการประนอมข้อพิพาท ในการระงับข้อพิพาทเพิ่มมากขึ้น และ ๒) แผนพัฒนาการให้บริการ โดยมีเป้าหมาย เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสถาบันอนุญาโตตุลาการ ทั้งนี้ ได้มีข้อเสนอแนะให้จัดทํารายละเอียดของโครงการภายใต้แผนงานต่าง ๆ ให้มีความชัดเจน โดยเน้นผลสัมฤทธิ์ของงานตามภารกิจหลัก และให้สอดคล้องกับเป้าประสงค์ในการสร้างการรับรู้ และสร้างความเชื่อมั่นในสถาบันอนุญาโตตุลาการ เพื่อให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายใช้การอนุญาโตตุลาการ และการประนอมข้อพิพาทในการระงับข้อพิพาทมากยิ่งขึ้น อีกทั้งเพื่อให้การบริการระงับข้อพิพาททางเลือกแก่ประชาชนทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7301
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ให้หน่วยบริการในสังกัด จัดระเบียบ ที่พักคนงาน-ไซต์ก่อสร้าง ป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563 สธ. ให้หน่วยบริการในสังกัด จัดระเบียบ ที่พักคนงาน-ไซต์ก่อสร้าง ป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 [กระทรวงสาธารณสุข] สธ. ให้หน่วยบริการในสังกัด จัดระเบียบ ที่พักคนงาน-ไซต์ก่อสร้าง ป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งการให้หน่วยบริการในสังกัดที่มีการก่อสร้าง จัดระเบียบไซต์งานและที่พักคนงาน สร้าง New Normal ในการทํางาน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 เตรียมสํารวจและวางแผนตรวจหาเชื้อโควิด 19 คนงานก่อสร้างทุกคน วันนี้ (26 พฤษภาคม 2563) ที่ประชุมสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดที่มีการก่อสร้าง เร่งสํารวจไซต์งาน พร้อมจัดให้มีการปฏิบัติงานในรูปแบบใหม่ (New Normal ) เพื่อเป็นต้นแบบให้หน่วยงานอื่น ๆ โดยเฉพาะการก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้เวลานาน คนงานจํานวนมาก รวมไปถึงบ้านพักคนงาน มีการอยู่อาศัยกันอย่างไร ถูกต้องตามสุขลักษณะ สุขอนามัยหรือไม่ พร้อมให้คําแนะนํา เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 สําหรับมาตรการความปลอดภัยในการควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 ผู้ประกอบการจะต้องควบคุมความสะอาดที่พัก ห้องน้ํา อุปกรณ์และสิ่งของที่ใช้ร่วมกัน จัดให้มีที่ล้างมือพร้อมสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล และต้องมีการคัดกรองตรวจไข้เบื้องต้นก่อนเข้าทํางาน ในส่วนของคนงานและคนในครอบครัวให้หมั่นสังเกตอาการ ล้างมือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการรับประทานหรือสังสรรค์เป็นกลุ่ม กินอาหารปรุงสุก ใช้ช้อนกลางส่วนตัว หรือแยกสํารับ สิ่งสําคัญต้องสวมหน้ากากอนามัยแบบผ้า และงดสัมผัสใบหน้า “ขอให้ทุกแห่ง ดูแลไซต์ก่อสร้างในโรงพยาบาลให้ได้มาตรฐาน มีความปลดอภัย ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 จากไซต์งาน เพื่อความปลอดภัยของบุคลากรทางการแพทย์และผู้เข้ามารับบริการในสถานพยาบาล โดยวางแผนให้มีการตรวจหาเชื้อโควิด 19 คนงานก่อสร้างทุกคน เพื่อเป็นต้นแบบมาตรฐานให้หน่วยงานอื่น ๆ ต่อไป” นายแพทย์สุขุมกล่าว ******************************** 26 พฤษภาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ให้หน่วยบริการในสังกัด จัดระเบียบ ที่พักคนงาน-ไซต์ก่อสร้าง ป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 [กระทรวงสาธารณสุข] วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563 สธ. ให้หน่วยบริการในสังกัด จัดระเบียบ ที่พักคนงาน-ไซต์ก่อสร้าง ป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 [กระทรวงสาธารณสุข] สธ. ให้หน่วยบริการในสังกัด จัดระเบียบ ที่พักคนงาน-ไซต์ก่อสร้าง ป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งการให้หน่วยบริการในสังกัดที่มีการก่อสร้าง จัดระเบียบไซต์งานและที่พักคนงาน สร้าง New Normal ในการทํางาน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 เตรียมสํารวจและวางแผนตรวจหาเชื้อโควิด 19 คนงานก่อสร้างทุกคน วันนี้ (26 พฤษภาคม 2563) ที่ประชุมสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดที่มีการก่อสร้าง เร่งสํารวจไซต์งาน พร้อมจัดให้มีการปฏิบัติงานในรูปแบบใหม่ (New Normal ) เพื่อเป็นต้นแบบให้หน่วยงานอื่น ๆ โดยเฉพาะการก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้เวลานาน คนงานจํานวนมาก รวมไปถึงบ้านพักคนงาน มีการอยู่อาศัยกันอย่างไร ถูกต้องตามสุขลักษณะ สุขอนามัยหรือไม่ พร้อมให้คําแนะนํา เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 สําหรับมาตรการความปลอดภัยในการควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 ผู้ประกอบการจะต้องควบคุมความสะอาดที่พัก ห้องน้ํา อุปกรณ์และสิ่งของที่ใช้ร่วมกัน จัดให้มีที่ล้างมือพร้อมสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล และต้องมีการคัดกรองตรวจไข้เบื้องต้นก่อนเข้าทํางาน ในส่วนของคนงานและคนในครอบครัวให้หมั่นสังเกตอาการ ล้างมือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการรับประทานหรือสังสรรค์เป็นกลุ่ม กินอาหารปรุงสุก ใช้ช้อนกลางส่วนตัว หรือแยกสํารับ สิ่งสําคัญต้องสวมหน้ากากอนามัยแบบผ้า และงดสัมผัสใบหน้า “ขอให้ทุกแห่ง ดูแลไซต์ก่อสร้างในโรงพยาบาลให้ได้มาตรฐาน มีความปลดอภัย ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 จากไซต์งาน เพื่อความปลอดภัยของบุคลากรทางการแพทย์และผู้เข้ามารับบริการในสถานพยาบาล โดยวางแผนให้มีการตรวจหาเชื้อโควิด 19 คนงานก่อสร้างทุกคน เพื่อเป็นต้นแบบมาตรฐานให้หน่วยงานอื่น ๆ ต่อไป” นายแพทย์สุขุมกล่าว ******************************** 26 พฤษภาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31549
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมควบคุมโรค เผยประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยกเลิกท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม 2563 กรมควบคุมโรค เผยประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยกเลิกท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 [กระทรวงสาธารณสุข] กรมควบคุมโรค เผยประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยกเลิกท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยกเลิกท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ลงนามในประกาศ ตามคําแนะนําของคณะกรรมการด้านวิชาการ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ให้ยกเลิกสาธารณรัฐเกาหลี และสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงเขตบริหารพิเศษมาเก๊า และเขตบริหารพิเศษฮ่องกง จากการเป็นท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วันนี้ (15 พฤษภาคม 2563) แพทย์หญิงวลัยรัตน์ ไชยฟู ผู้อํานวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ในฐานะเลขานุการของคณะกรรมการด้านวิชาการ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 กล่าวว่า การดําเนินงานด้านการป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ได้เกิดสถานการณ์โรคระบาดตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 เป็นต้นมา ขณะนี้ประเทศไทยเริ่มควบคุมสถานการณ์การระบาดได้ในระดับหนึ่ง และเริ่มเข้าสู่มาตรการผ่อนปรนทั้งนี้ กรมควบคุมโรค ได้เฝ้าติดตามสถานการณ์การระบาดของทั่วโลกอย่างใกล้ชิด และเพื่อให้การควบคุมโรคเป็นไปอย่างเหมาะสม ไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2563 คณะกรรมการด้านวิชาการ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 จึงได้มีคําแนะนํา ให้มีการยกเลิกประกาศ ท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เคยประกาศเป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย ได้แก่ สาธารณรัฐเกาหลี และสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงเขตบริหารพิเศษมาเก๊า และเขตบริหารพิเศษฮ่องกงโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามในประกาศฉบับดังกล่าวในวันนี้ สําหรับการพิจารณาการประกาศท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นั้น ที่ประชุมคณะกรรมด้านวิชาการ มีมติเห็นชอบในการเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยกเลิกประกาศท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จํานวน 2 ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงเขตบริหารพิเศษมาเก๊า และเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และสาธารณรัฐเกาหลี โดยมีเกณฑ์ในการยกเลิกประกาศ ดังนี้ 1.เป็นท้องที่ที่พบผู้ติดเชื้อที่เป็นการติดเชื้อภายในประเทศไม่เกิน 20 ราย เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 วันที่ผ่านมา ซึ่งบ่งบอกถึงการควบคุมการระบาดของประเทศนั้นๆ ได้ และ 2.เป็นท้องที่ที่มีความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข สําหรับประเทศจีนตั้งแต่ 23 เม.ย. เป็นต้นมา มีการรายงานผู้ป่วยรายใหม่น้อยกว่า 12 รายต่อวัน ยกเว้น 29 เม.ย. ที่พบผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากต่างประเทศ 21 ราย ในประเทศ 1 ราย ประเทศเกาหลี ตั้งแต่ 20 เม.ย.เป็นต้นมามีผู้ป่วยน้อยกว่า 14 รายต่อวัน เพิ่งมามีเหตุการณ์ระบาดกรณีสถานบันเทิงย่านอิแทวอน โดยมีผู้ป่วย 20-30 กว่ารายต่อวัน อันเนื่องมาจากการค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติม ส่วนในมาเก๊า ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ตั้งแต่ 9 เม.ย. เป็นต้นมา และฮ่องกงก็มีผู้ป่วยรายใหม่น้อยกว่า 5 รายต่อวัน ตั้งแต่ 12 เม.ย.สําหรับประเทศพม่า ลาว กัมพูชา มาเลเซีย และอินโดนีเซีย นั้น ยังไม่ประกาศยกเลิก เนื่องจากด่านพรมแดนทางบก ยังมีการเดินทางเข้า-ออกเป็นประจํา ถึงแม้บางประเทศไม่มีผู้ป่วยรายใหม่ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อได้ แพทย์หญิงวลัยรัตน์ กล่าวอีกว่า ประกาศดังกล่าว ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และมีผลบังคับใช้ในวันถัดไป (วันที่ 16 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป) อย่างไรก็ตาม ประกาศดังกล่าวจะไม่ส่งผลให้การเดินทางเข้า-ออก ระหว่างประเทศไทยกับประเทศทั้งสอง และ 2 เขตบริการพิเศษตามประกาศ เป็นไปโดยไม่มีการควบคุม เนื่องจากขณะนี้ช่องทางเข้า-ออกระหว่างประเทศยังถูกกํากับด้วยมาตรการตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และยังไม่มีสายการบินที่ได้รับอนุญาตให้ดําเนินการขนส่งคนระหว่างประเทศดังกล่าว ตามประกาศของสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนมั่นใจว่า กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ยังคงดําเนินการตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคอย่างเข้มข้น หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422 ******************************** วันที่ 15 พฤษภาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมควบคุมโรค เผยประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยกเลิกท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 [กระทรวงสาธารณสุข] วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม 2563 กรมควบคุมโรค เผยประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยกเลิกท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 [กระทรวงสาธารณสุข] กรมควบคุมโรค เผยประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยกเลิกท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยกเลิกท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ลงนามในประกาศ ตามคําแนะนําของคณะกรรมการด้านวิชาการ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ให้ยกเลิกสาธารณรัฐเกาหลี และสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงเขตบริหารพิเศษมาเก๊า และเขตบริหารพิเศษฮ่องกง จากการเป็นท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วันนี้ (15 พฤษภาคม 2563) แพทย์หญิงวลัยรัตน์ ไชยฟู ผู้อํานวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ในฐานะเลขานุการของคณะกรรมการด้านวิชาการ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 กล่าวว่า การดําเนินงานด้านการป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ได้เกิดสถานการณ์โรคระบาดตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 เป็นต้นมา ขณะนี้ประเทศไทยเริ่มควบคุมสถานการณ์การระบาดได้ในระดับหนึ่ง และเริ่มเข้าสู่มาตรการผ่อนปรนทั้งนี้ กรมควบคุมโรค ได้เฝ้าติดตามสถานการณ์การระบาดของทั่วโลกอย่างใกล้ชิด และเพื่อให้การควบคุมโรคเป็นไปอย่างเหมาะสม ไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2563 คณะกรรมการด้านวิชาการ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 จึงได้มีคําแนะนํา ให้มีการยกเลิกประกาศ ท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เคยประกาศเป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย ได้แก่ สาธารณรัฐเกาหลี และสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงเขตบริหารพิเศษมาเก๊า และเขตบริหารพิเศษฮ่องกงโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามในประกาศฉบับดังกล่าวในวันนี้ สําหรับการพิจารณาการประกาศท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นั้น ที่ประชุมคณะกรรมด้านวิชาการ มีมติเห็นชอบในการเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยกเลิกประกาศท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จํานวน 2 ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงเขตบริหารพิเศษมาเก๊า และเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และสาธารณรัฐเกาหลี โดยมีเกณฑ์ในการยกเลิกประกาศ ดังนี้ 1.เป็นท้องที่ที่พบผู้ติดเชื้อที่เป็นการติดเชื้อภายในประเทศไม่เกิน 20 ราย เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 วันที่ผ่านมา ซึ่งบ่งบอกถึงการควบคุมการระบาดของประเทศนั้นๆ ได้ และ 2.เป็นท้องที่ที่มีความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข สําหรับประเทศจีนตั้งแต่ 23 เม.ย. เป็นต้นมา มีการรายงานผู้ป่วยรายใหม่น้อยกว่า 12 รายต่อวัน ยกเว้น 29 เม.ย. ที่พบผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากต่างประเทศ 21 ราย ในประเทศ 1 ราย ประเทศเกาหลี ตั้งแต่ 20 เม.ย.เป็นต้นมามีผู้ป่วยน้อยกว่า 14 รายต่อวัน เพิ่งมามีเหตุการณ์ระบาดกรณีสถานบันเทิงย่านอิแทวอน โดยมีผู้ป่วย 20-30 กว่ารายต่อวัน อันเนื่องมาจากการค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติม ส่วนในมาเก๊า ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ตั้งแต่ 9 เม.ย. เป็นต้นมา และฮ่องกงก็มีผู้ป่วยรายใหม่น้อยกว่า 5 รายต่อวัน ตั้งแต่ 12 เม.ย.สําหรับประเทศพม่า ลาว กัมพูชา มาเลเซีย และอินโดนีเซีย นั้น ยังไม่ประกาศยกเลิก เนื่องจากด่านพรมแดนทางบก ยังมีการเดินทางเข้า-ออกเป็นประจํา ถึงแม้บางประเทศไม่มีผู้ป่วยรายใหม่ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อได้ แพทย์หญิงวลัยรัตน์ กล่าวอีกว่า ประกาศดังกล่าว ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และมีผลบังคับใช้ในวันถัดไป (วันที่ 16 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป) อย่างไรก็ตาม ประกาศดังกล่าวจะไม่ส่งผลให้การเดินทางเข้า-ออก ระหว่างประเทศไทยกับประเทศทั้งสอง และ 2 เขตบริการพิเศษตามประกาศ เป็นไปโดยไม่มีการควบคุม เนื่องจากขณะนี้ช่องทางเข้า-ออกระหว่างประเทศยังถูกกํากับด้วยมาตรการตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และยังไม่มีสายการบินที่ได้รับอนุญาตให้ดําเนินการขนส่งคนระหว่างประเทศดังกล่าว ตามประกาศของสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนมั่นใจว่า กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ยังคงดําเนินการตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคอย่างเข้มข้น หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422 ******************************** วันที่ 15 พฤษภาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30940
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ปลัดแรงงานลงนามบันทึกความร่วมมือ กับ ก.ยุติธรรม ก.การต่างประเทศ ก.สาธารณสุข แรงงานและสวัสดิการ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประเทศญี่ปุ่น ส่งเสริมโอกาสแรงงานไทยทำงาน
วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 ​ปลัดแรงงานลงนามบันทึกความร่วมมือ กับ ก.ยุติธรรม ก.การต่างประเทศ ก.สาธารณสุข แรงงานและสวัสดิการ และสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ประเทศญี่ปุ่น ส่งเสริมโอกาสแรงงานไทยทํางาน ​ปลัดกระทรวงแรงงานลงนามบันทึกความร่วมมือ กับ ก.ยุติธรรม ก.การต่างประเทศ ก.สาธารณสุข แรงงานและสวัสดิการ และสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ประเทศญี่ปุ่น ส่งเสริมโอกาสแรงงานไทยทํางานที่มีทักษะ 14 สาขาอาชีพ ในประเทศญี่ปุ่น วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน ลงนามบันทึกความร่วมมือด้านข้อมูลพื้นฐานเพื่อการจัดระบบและการพํานักของแรงงานที่มีทักษะเฉพาะ (MEMORANDUM OF COOPERATION ON A BASIC FRAMEWORK FOR INFORMATION PARTNERSHIP FOR PROPER OPERATION OF THE SYSTEM PERTAINING TO FOREIGN HUMAN RESOURCES WITH THE STATUS OF RESIDENCE OF “SPECIFIED SKILLED WORKER)ทั้งนี้สืบเนื่องจากจากการที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ปรับเปลี่ยนนโยบายการรับคนเข้าเมืองตามภาคเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งกําหนดสถานะของการพํานักอาศัยรูปแบบใหม่ให้แก่แรงงานต่างชาติในประเทศญี่ปุ่น โดยใช้ชื่อว่า “แรงงานที่มีทักษะเฉพาะ” เพื่อพยายามดึงดูดกําลังแรงงานต่างชาติให้เข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นให้ได้ตามเป้าหมายจํานวน 345,000 คน ภายในปี พ.ศ. 2568 เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานใน 14 สาขาอาชีพ อาทิ ภาคเกษตรกรรม ก่อสร้าง ภาคบริการโรงแรมและการบริบาลผู้สูงอายุ พร้อมกับเสนอให้มีการจัดทําบันทึกความร่วมมือกับหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ในโอกาสนี้ปลัดกระทรวงแรงงานได้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทยในการหารือข้อราชการกับ Ms. Shoko Sasaki ผู้บัญชาการสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่นเกี่ยวกับการส่งเสริมการจัดส่งและการรับแรงงานที่มีทักษะเฉพาะจากประเทศไทยไปทํางานในประเทศญี่ปุ่นให้เป็นไปอย่างราบรื่น แก้ไขปัญหาในการส่งและการรับแรงงาน และปัญหาของการพํานักอยู่ในญี่ปุ่นของแรงงานที่มีทักษะเฉพาะ จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการถ่ายทอดทักษะฝีมือทางเทคนิค รวมถึงการกระชับความสัมพันธ์ด้านแรงงานระหว่างกระทรวงแรงงานและหน่วยงานภาครัฐของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยผลักดันให้การเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างกันของทั้งสองประเทศบรรลุสู่จุดมุ่งหมาย ต่อไป +++++++++++++++++
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ปลัดแรงงานลงนามบันทึกความร่วมมือ กับ ก.ยุติธรรม ก.การต่างประเทศ ก.สาธารณสุข แรงงานและสวัสดิการ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประเทศญี่ปุ่น ส่งเสริมโอกาสแรงงานไทยทำงาน วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 ​ปลัดแรงงานลงนามบันทึกความร่วมมือ กับ ก.ยุติธรรม ก.การต่างประเทศ ก.สาธารณสุข แรงงานและสวัสดิการ และสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ประเทศญี่ปุ่น ส่งเสริมโอกาสแรงงานไทยทํางาน ​ปลัดกระทรวงแรงงานลงนามบันทึกความร่วมมือ กับ ก.ยุติธรรม ก.การต่างประเทศ ก.สาธารณสุข แรงงานและสวัสดิการ และสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ประเทศญี่ปุ่น ส่งเสริมโอกาสแรงงานไทยทํางานที่มีทักษะ 14 สาขาอาชีพ ในประเทศญี่ปุ่น วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน ลงนามบันทึกความร่วมมือด้านข้อมูลพื้นฐานเพื่อการจัดระบบและการพํานักของแรงงานที่มีทักษะเฉพาะ (MEMORANDUM OF COOPERATION ON A BASIC FRAMEWORK FOR INFORMATION PARTNERSHIP FOR PROPER OPERATION OF THE SYSTEM PERTAINING TO FOREIGN HUMAN RESOURCES WITH THE STATUS OF RESIDENCE OF “SPECIFIED SKILLED WORKER)ทั้งนี้สืบเนื่องจากจากการที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ปรับเปลี่ยนนโยบายการรับคนเข้าเมืองตามภาคเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งกําหนดสถานะของการพํานักอาศัยรูปแบบใหม่ให้แก่แรงงานต่างชาติในประเทศญี่ปุ่น โดยใช้ชื่อว่า “แรงงานที่มีทักษะเฉพาะ” เพื่อพยายามดึงดูดกําลังแรงงานต่างชาติให้เข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นให้ได้ตามเป้าหมายจํานวน 345,000 คน ภายในปี พ.ศ. 2568 เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานใน 14 สาขาอาชีพ อาทิ ภาคเกษตรกรรม ก่อสร้าง ภาคบริการโรงแรมและการบริบาลผู้สูงอายุ พร้อมกับเสนอให้มีการจัดทําบันทึกความร่วมมือกับหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ในโอกาสนี้ปลัดกระทรวงแรงงานได้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทยในการหารือข้อราชการกับ Ms. Shoko Sasaki ผู้บัญชาการสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่นเกี่ยวกับการส่งเสริมการจัดส่งและการรับแรงงานที่มีทักษะเฉพาะจากประเทศไทยไปทํางานในประเทศญี่ปุ่นให้เป็นไปอย่างราบรื่น แก้ไขปัญหาในการส่งและการรับแรงงาน และปัญหาของการพํานักอยู่ในญี่ปุ่นของแรงงานที่มีทักษะเฉพาะ จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการถ่ายทอดทักษะฝีมือทางเทคนิค รวมถึงการกระชับความสัมพันธ์ด้านแรงงานระหว่างกระทรวงแรงงานและหน่วยงานภาครัฐของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยผลักดันให้การเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างกันของทั้งสองประเทศบรรลุสู่จุดมุ่งหมาย ต่อไป +++++++++++++++++
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26303
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สอวช. เผยผลสำรวจผลกระทบที่ภาคเอกชนได้รับจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ปิ๊งไอเดีย ต่อยอดข้อมูลทำ SME TRANSFORMATION – ด้านแนวทาง RESKILL / UPSKILL ผ่านฉลุย พร้อมส่งต่อ สป.อว. เดินเครื
วันพุธที่ 1 เมษายน 2563 สอวช. เผยผลสํารวจผลกระทบที่ภาคเอกชนได้รับจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ปิ๊งไอเดีย ต่อยอดข้อมูลทํา SME TRANSFORMATION – ด้านแนวทาง RESKILL / UPSKILL ผ่านฉลุย พร้อมส่งต่อ สป.อว. เดินเครื สอวช. เผยผลสํารวจผลกระทบที่ภาคเอกชนได้รับจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ปิ๊งไอเดีย ต่อยอดข้อมูลทํา SME TRANSFORMATION – ด้านแนวทาง RESKILL / UPSKILL ผ่านฉลุย พร้อมส่งต่อ สป.อว. เดินเครื่องเต็มสูบ เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2563 สํานักงานปลัดกระทรวง อว. - สอวช. เผยผลสํารวจผลกระทบที่ภาคเอกชนได้รับจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า หรือ COVID-19 ในการประชุมคณะกรรมการอํานวยการ สอวช. ครั้งที่ 3/2563 โดยมี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นั่งเป็นประธาน ปิ๊ง ไอเดีย ต่อยอดข้อมูลจากผลสํารวจทําเรื่อง SME Transformation ปรับโฉม SMEs ยุคใหม่ ด้วยองค์ความรู้ด้าน อววน. สร้างความเข้มแข็งธุรกิจไทยรับมือกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และสถานการณ์โรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ในการคณะกรรมการอํานวยการ สอวช. ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อํานวยการ สอวช. ได้เปิดเผยผลสํารวจผลกระทบที่ภาคเอกชนได้รับจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า หรือ COVID-19 โดยในเบื้องต้นมีผู้ประกอบการตอบแบบสํารวจแล้วประมาณ 100 ราย โดยส่วนใหญ่พบว่า รายได้จากการประกอบธุรกิจลดลงกว่าร้อยละ 50 และมีการลดการจ้างงานเพื่อพยุงธุรกิจให้อยู่รอด ทั้งนี้ จากการสํารวจพบว่า ประเด็นที่เป็นอุปสรรคในการทําธุรกิจ คือ ด้านการตลาด เช่น การถูกยกเลิกสินค้า และจํานวนผู้บริโภคลดลง อุปสรรคด้านการเงิน เช่น เงินหมุนเวียนในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้ามีแนวโน้มไม่เพียงพอจากต้นทุนแรงงาน ต้นทุนการผลิตหรือรายได้ลดลง รวมถึงอุปสรรคด้าน Supplier ที่ไม่สามารถผลิตหรือส่งวัตถุดิบจากประเทศที่มีการแพร่ระบาดได้ และจากอุปสรรคในการประกอบธุรกิจข้างต้น ผู้ประกอบการเอกชนต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐ ทั้งทางด้านการเงิน เช่น เงินอุดหนุน เงินกู้ การสนับสนุนด้านการลดหย่อนภาษี เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีนําเข้าสินค้า เครื่องจักร เป็นต้น การสนับสนุนการเข้าถึงตลาด การสนับสนุนด้านเทคโนโลยี เช่น การนําระบบดิจิทัลไปช่วยธุรกิจ การสนับสนุนด้านการให้คําปรึกษาด้านธุรกิจ การผลิต การบริการ รวมถึงการฝึกอบรมพัฒนาทักษะของลูกจ้าง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงการพัฒนากําลังคนในสถานประกอบการผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือด้านกําลังคนหลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย พบว่า ผู้ประกอบการมีความต้องการพัฒนากําลังคนผ่านการอบรมหลักสูตรเกี่ยวกับการวิจัยตลาด การตลาดยุคใหม่ การบริหารสินค้าคงคลัง การพัฒนาสินค้าใหม่ให้เป็นไปตามความต้องการของตลาดและเทรนด์ใหม่ๆ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การขายออนไลน์ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงผลการสํารวจเบื้องต้นในระยะเวลาสั้น สอวช. จะดําเนินการเก็บข้อมูลต่อเนื่องเพื่อให้ได้จํานวนผู้ประกอบการที่สามารถอ้างอิงถึงความต้องการของผู้ประกอบการโดยรวมทั้งประเทศ เพื่อนํามาเป็นข้อมูลในการออกแบบนโยบายที่จะสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการไทยด้วยองค์ความรู้ด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) ต่อไป ด้าน ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า การสํารวจดังกล่าวเป็นแนวทางที่ดีที่จะไปสู่การทําเรื่อง SME Transformation แต่ต้องมีการเก็บข้อมูลอีกมาก เพื่ออ้างอิงการออกนโยบายสนับสนุน ซึ่งการทําเรื่อง SME Transformation จะช่วยในการปรับโฉม SMEs ยุคใหม่ ด้วยองค์ความรู้ด้าน อววน. ในการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี หรือแม้แต่สถานการณ์โรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ถือเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับภาคธุรกิจในการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อํานวยการ สอวช. ยังเปิดเผยถึงความก้าวหน้าในการดําเนินการจัดทําแผนส่งเสริมการพัฒนากําลังคนของประเทศ (Manpower Planning) ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ได้มีข้อสั่งการให้เร่งรัดจัดทําทักษะเพื่ออนาคต (Future Skill Mapping) ที่เป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมายให้ครบทั้ง 12 อุตสาหกรรม เพื่อเป็นแนวทางสําหรับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องใช้ในการพัฒนารูปแบบการสนับสนุนการยกระดับทักษะ รวมทั้งการจัดทําโปรแกรมพัฒนาความรู้และความสามารถของบุคลากรในรูปแบบที่เหมาะสมต่อไป เช่น คูปองสนับสนุนการฝึกอบรมสําหรับ SME รวมทั้งการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสําหรับการฝึกอบรมในสาขาที่เป็นไปตามความต้องการของประเทศ และการจ้างงานบุคลากรในสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโลโนยีและวิศวกรรม และในระยะต่อไปจะมีการพัฒนาระบบสนับสนุนเพื่อเตรียมความพร้อมสู่การจัดทําระบบธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank) เพื่อรองรับระบบการศึกษาตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ทั้งนี้ ในส่วนของการดําเนินการจัดทําทักษะเพื่ออนาคต สอวช. ได้ดําเนินการจัดทํารายละเอียดของทักษะเพื่ออนาคต (Future Skills Set) ของอุตสาหกรรม S-Curve แล้วเสร็จ 5 กลุ่ม คือ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร และอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ และอยู่ระหว่างจัดทํารายละเอียดทักษะเพื่ออนาคตของอุตสาหกรรม S-Curve เพิ่มเติมอีก 7 กลุ่ม คือ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหรรมแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และอุตสาหกรรมการศึกษาและพัฒนาทักษะ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนเมษายน โดย สอวช. จะประสานส่งต่อไปยังสํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทํามาตรการสนับสนุนในทางปฏิบัติต่อไป ข้อมูลข่าวโดย : สํานักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สอวช. เผยผลสำรวจผลกระทบที่ภาคเอกชนได้รับจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ปิ๊งไอเดีย ต่อยอดข้อมูลทำ SME TRANSFORMATION – ด้านแนวทาง RESKILL / UPSKILL ผ่านฉลุย พร้อมส่งต่อ สป.อว. เดินเครื วันพุธที่ 1 เมษายน 2563 สอวช. เผยผลสํารวจผลกระทบที่ภาคเอกชนได้รับจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ปิ๊งไอเดีย ต่อยอดข้อมูลทํา SME TRANSFORMATION – ด้านแนวทาง RESKILL / UPSKILL ผ่านฉลุย พร้อมส่งต่อ สป.อว. เดินเครื สอวช. เผยผลสํารวจผลกระทบที่ภาคเอกชนได้รับจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ปิ๊งไอเดีย ต่อยอดข้อมูลทํา SME TRANSFORMATION – ด้านแนวทาง RESKILL / UPSKILL ผ่านฉลุย พร้อมส่งต่อ สป.อว. เดินเครื่องเต็มสูบ เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2563 สํานักงานปลัดกระทรวง อว. - สอวช. เผยผลสํารวจผลกระทบที่ภาคเอกชนได้รับจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า หรือ COVID-19 ในการประชุมคณะกรรมการอํานวยการ สอวช. ครั้งที่ 3/2563 โดยมี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นั่งเป็นประธาน ปิ๊ง ไอเดีย ต่อยอดข้อมูลจากผลสํารวจทําเรื่อง SME Transformation ปรับโฉม SMEs ยุคใหม่ ด้วยองค์ความรู้ด้าน อววน. สร้างความเข้มแข็งธุรกิจไทยรับมือกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และสถานการณ์โรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ในการคณะกรรมการอํานวยการ สอวช. ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อํานวยการ สอวช. ได้เปิดเผยผลสํารวจผลกระทบที่ภาคเอกชนได้รับจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า หรือ COVID-19 โดยในเบื้องต้นมีผู้ประกอบการตอบแบบสํารวจแล้วประมาณ 100 ราย โดยส่วนใหญ่พบว่า รายได้จากการประกอบธุรกิจลดลงกว่าร้อยละ 50 และมีการลดการจ้างงานเพื่อพยุงธุรกิจให้อยู่รอด ทั้งนี้ จากการสํารวจพบว่า ประเด็นที่เป็นอุปสรรคในการทําธุรกิจ คือ ด้านการตลาด เช่น การถูกยกเลิกสินค้า และจํานวนผู้บริโภคลดลง อุปสรรคด้านการเงิน เช่น เงินหมุนเวียนในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้ามีแนวโน้มไม่เพียงพอจากต้นทุนแรงงาน ต้นทุนการผลิตหรือรายได้ลดลง รวมถึงอุปสรรคด้าน Supplier ที่ไม่สามารถผลิตหรือส่งวัตถุดิบจากประเทศที่มีการแพร่ระบาดได้ และจากอุปสรรคในการประกอบธุรกิจข้างต้น ผู้ประกอบการเอกชนต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐ ทั้งทางด้านการเงิน เช่น เงินอุดหนุน เงินกู้ การสนับสนุนด้านการลดหย่อนภาษี เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีนําเข้าสินค้า เครื่องจักร เป็นต้น การสนับสนุนการเข้าถึงตลาด การสนับสนุนด้านเทคโนโลยี เช่น การนําระบบดิจิทัลไปช่วยธุรกิจ การสนับสนุนด้านการให้คําปรึกษาด้านธุรกิจ การผลิต การบริการ รวมถึงการฝึกอบรมพัฒนาทักษะของลูกจ้าง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงการพัฒนากําลังคนในสถานประกอบการผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือด้านกําลังคนหลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย พบว่า ผู้ประกอบการมีความต้องการพัฒนากําลังคนผ่านการอบรมหลักสูตรเกี่ยวกับการวิจัยตลาด การตลาดยุคใหม่ การบริหารสินค้าคงคลัง การพัฒนาสินค้าใหม่ให้เป็นไปตามความต้องการของตลาดและเทรนด์ใหม่ๆ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การขายออนไลน์ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงผลการสํารวจเบื้องต้นในระยะเวลาสั้น สอวช. จะดําเนินการเก็บข้อมูลต่อเนื่องเพื่อให้ได้จํานวนผู้ประกอบการที่สามารถอ้างอิงถึงความต้องการของผู้ประกอบการโดยรวมทั้งประเทศ เพื่อนํามาเป็นข้อมูลในการออกแบบนโยบายที่จะสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการไทยด้วยองค์ความรู้ด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) ต่อไป ด้าน ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า การสํารวจดังกล่าวเป็นแนวทางที่ดีที่จะไปสู่การทําเรื่อง SME Transformation แต่ต้องมีการเก็บข้อมูลอีกมาก เพื่ออ้างอิงการออกนโยบายสนับสนุน ซึ่งการทําเรื่อง SME Transformation จะช่วยในการปรับโฉม SMEs ยุคใหม่ ด้วยองค์ความรู้ด้าน อววน. ในการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี หรือแม้แต่สถานการณ์โรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ถือเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับภาคธุรกิจในการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อํานวยการ สอวช. ยังเปิดเผยถึงความก้าวหน้าในการดําเนินการจัดทําแผนส่งเสริมการพัฒนากําลังคนของประเทศ (Manpower Planning) ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ได้มีข้อสั่งการให้เร่งรัดจัดทําทักษะเพื่ออนาคต (Future Skill Mapping) ที่เป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมายให้ครบทั้ง 12 อุตสาหกรรม เพื่อเป็นแนวทางสําหรับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องใช้ในการพัฒนารูปแบบการสนับสนุนการยกระดับทักษะ รวมทั้งการจัดทําโปรแกรมพัฒนาความรู้และความสามารถของบุคลากรในรูปแบบที่เหมาะสมต่อไป เช่น คูปองสนับสนุนการฝึกอบรมสําหรับ SME รวมทั้งการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสําหรับการฝึกอบรมในสาขาที่เป็นไปตามความต้องการของประเทศ และการจ้างงานบุคลากรในสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโลโนยีและวิศวกรรม และในระยะต่อไปจะมีการพัฒนาระบบสนับสนุนเพื่อเตรียมความพร้อมสู่การจัดทําระบบธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank) เพื่อรองรับระบบการศึกษาตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ทั้งนี้ ในส่วนของการดําเนินการจัดทําทักษะเพื่ออนาคต สอวช. ได้ดําเนินการจัดทํารายละเอียดของทักษะเพื่ออนาคต (Future Skills Set) ของอุตสาหกรรม S-Curve แล้วเสร็จ 5 กลุ่ม คือ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร และอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ และอยู่ระหว่างจัดทํารายละเอียดทักษะเพื่ออนาคตของอุตสาหกรรม S-Curve เพิ่มเติมอีก 7 กลุ่ม คือ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหรรมแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และอุตสาหกรรมการศึกษาและพัฒนาทักษะ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนเมษายน โดย สอวช. จะประสานส่งต่อไปยังสํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทํามาตรการสนับสนุนในทางปฏิบัติต่อไป ข้อมูลข่าวโดย : สํานักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28281
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. แจ้งเบี่ยงจราจรบนถนนพหลโยธิน บริเวณโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช – บริเวณซอยพหลโยธิน 54/4 เพื่อก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (เหนือ) ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต
วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2560 รฟม. แจ้งเบี่ยงจราจรบนถนนพหลโยธิน บริเวณโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช – บริเวณซอยพหลโยธิน 54/4 เพื่อก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (เหนือ) ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม แจ้งว่า กิจการร่วมค้ายูเอ็น – เอสเอช - ซีเอช ผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธา โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (เหนือ) ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต สัญญาที่ 2 จะดําเนินงานยกชิ้นส่วนสถานีและทางวิ่งรถไฟฟ้า บริเวณโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช – บริเวณซอยพหลโยธิน 54/4 จึงมีความจําเป็นต้องเบี่ยงช่องทางจราจรบนถนนพหลโยธิน ในวันที่ 14 มิถุนายน ถึงวันที่ 10 กรกฎาคม 2560 เวลา 22.00 - 05.00 น. โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. กรณีการดําเนินงานฝั่งขาเข้า จะทําการเบี่ยงจราจรบนถนนพหลโยธินฝั่งขาเข้าทุกช่องทาง ไปใช้ช่องทางฝั่งขาออกเป็นช่องทางฝั่งขาเข้า 1 ช่องทาง (ทดแทน) ทําให้มีช่องทางทั้งฝั่งขาเข้าและฝั่งขาออกคงเหลือฝั่งละ 1 ช่องทาง 2. กรณีการดําเนินงานฝั่งขาออก จะทําการเบี่ยงจราจรบนถนนพหลโยธินฝั่งขาออกทุกช่องทาง ไปใช้ช่องทางฝั่งขาเข้าเป็นช่องทางฝั่งขาออก 1 ช่องทาง (ทดแทน) ทําให้มีช่องทางทั้งฝั่งขาออกและฝั่งขาเข้าคงเหลือฝั่งละ 1 ช่องทาง ทั้งนี้ การเบี่ยงการจราจรเพื่อการดําเนินงานก่อสร้าง อาจทําให้ผู้ใช้เส้นทางไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทางและอาจมีเสียงดังรบกวนในวันเวลาดังกล่าว หากไม่มีความจําเป็น โปรดหลีกเลี่ยงเส้นทาง รฟม. จึงขออภัยมา ณ โอกาสนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2716 4044 หรือ 0 2115 6000 ตลอด 24 ชั่วโมง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. แจ้งเบี่ยงจราจรบนถนนพหลโยธิน บริเวณโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช – บริเวณซอยพหลโยธิน 54/4 เพื่อก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (เหนือ) ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2560 รฟม. แจ้งเบี่ยงจราจรบนถนนพหลโยธิน บริเวณโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช – บริเวณซอยพหลโยธิน 54/4 เพื่อก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (เหนือ) ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม แจ้งว่า กิจการร่วมค้ายูเอ็น – เอสเอช - ซีเอช ผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธา โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (เหนือ) ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต สัญญาที่ 2 จะดําเนินงานยกชิ้นส่วนสถานีและทางวิ่งรถไฟฟ้า บริเวณโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช – บริเวณซอยพหลโยธิน 54/4 จึงมีความจําเป็นต้องเบี่ยงช่องทางจราจรบนถนนพหลโยธิน ในวันที่ 14 มิถุนายน ถึงวันที่ 10 กรกฎาคม 2560 เวลา 22.00 - 05.00 น. โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. กรณีการดําเนินงานฝั่งขาเข้า จะทําการเบี่ยงจราจรบนถนนพหลโยธินฝั่งขาเข้าทุกช่องทาง ไปใช้ช่องทางฝั่งขาออกเป็นช่องทางฝั่งขาเข้า 1 ช่องทาง (ทดแทน) ทําให้มีช่องทางทั้งฝั่งขาเข้าและฝั่งขาออกคงเหลือฝั่งละ 1 ช่องทาง 2. กรณีการดําเนินงานฝั่งขาออก จะทําการเบี่ยงจราจรบนถนนพหลโยธินฝั่งขาออกทุกช่องทาง ไปใช้ช่องทางฝั่งขาเข้าเป็นช่องทางฝั่งขาออก 1 ช่องทาง (ทดแทน) ทําให้มีช่องทางทั้งฝั่งขาออกและฝั่งขาเข้าคงเหลือฝั่งละ 1 ช่องทาง ทั้งนี้ การเบี่ยงการจราจรเพื่อการดําเนินงานก่อสร้าง อาจทําให้ผู้ใช้เส้นทางไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทางและอาจมีเสียงดังรบกวนในวันเวลาดังกล่าว หากไม่มีความจําเป็น โปรดหลีกเลี่ยงเส้นทาง รฟม. จึงขออภัยมา ณ โอกาสนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2716 4044 หรือ 0 2115 6000 ตลอด 24 ชั่วโมง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4573
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. เผยทุกจังหวัดทั่วประเทศพร้อมใจทำกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาและกิจกรรมสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2562
วันอังคารที่ 13 สิงหาคม 2562 มท. เผยทุกจังหวัดทั่วประเทศพร้อมใจทํากิจกรรมจิตอาสาพัฒนาและกิจกรรมสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2562 มท. เผยทุกจังหวัดทั่วประเทศพร้อมใจทํากิจกรรมจิตอาสาพัฒนาและกิจกรรมสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2562 เมื่อวันที่ 12 ส.ค. 62พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้ทุกจังหวัดจัดกิจกรรมเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจําปี 2562 ซึ่งในช่วงเช้าวันนี้ ทุกจังหวัด ทุกอําเภอ ทั่วประเทศมีพี่น้องประชาชนพร้อมใจกันร่วมทําบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง กันอย่างเนืองแน่น พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า ตั้งแต่ช่วงสายของวันนี้และตลอดทั้งวัน ผู้ว่าราชการจังหวัด พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ประชาชน และจิตอาสา 904 วปร. ได้ร่วมกันทํากิจกรรมจิตอาสาพัฒนาลําน้ํา ลําคลอง กิจกรรมจิตอาสาพัฒนาถนนสายหลัก กิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสวนสาธารณะ และสถานที่สาธารณะต่าง ๆ ตลอดจนทํากิจกรรมบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งทุกภาคส่วนได้ดําเนินกิจกรรมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แสดงถึงพลังความรู้รักสามัคคี และความจงรักภักดีของปวงพสกนิกรชาวไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า โอกาสนี้ กระทรวงมหาดไทย ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ร่วมกันทําความดี และบําเพ็ญประโยชน์ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และขอเชิญชวนประชาชนทุกหมู่เหล่า ร่วมจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลในเวลา 19.30 น. ณ สถานที่ที่จังหวัด และอําเภอ กําหนด พร้อมกันทั่วประเทศ เพื่อแสดงความจงรักภักดีโดยพร้อมเพรียงกัน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. เผยทุกจังหวัดทั่วประเทศพร้อมใจทำกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาและกิจกรรมสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2562 วันอังคารที่ 13 สิงหาคม 2562 มท. เผยทุกจังหวัดทั่วประเทศพร้อมใจทํากิจกรรมจิตอาสาพัฒนาและกิจกรรมสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2562 มท. เผยทุกจังหวัดทั่วประเทศพร้อมใจทํากิจกรรมจิตอาสาพัฒนาและกิจกรรมสาธารณประโยชน์ถวายพระราชกุศล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2562 เมื่อวันที่ 12 ส.ค. 62พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้ทุกจังหวัดจัดกิจกรรมเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจําปี 2562 ซึ่งในช่วงเช้าวันนี้ ทุกจังหวัด ทุกอําเภอ ทั่วประเทศมีพี่น้องประชาชนพร้อมใจกันร่วมทําบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง กันอย่างเนืองแน่น พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า ตั้งแต่ช่วงสายของวันนี้และตลอดทั้งวัน ผู้ว่าราชการจังหวัด พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ประชาชน และจิตอาสา 904 วปร. ได้ร่วมกันทํากิจกรรมจิตอาสาพัฒนาลําน้ํา ลําคลอง กิจกรรมจิตอาสาพัฒนาถนนสายหลัก กิจกรรมจิตอาสาพัฒนาสวนสาธารณะ และสถานที่สาธารณะต่าง ๆ ตลอดจนทํากิจกรรมบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งทุกภาคส่วนได้ดําเนินกิจกรรมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แสดงถึงพลังความรู้รักสามัคคี และความจงรักภักดีของปวงพสกนิกรชาวไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า โอกาสนี้ กระทรวงมหาดไทย ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ร่วมกันทําความดี และบําเพ็ญประโยชน์ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และขอเชิญชวนประชาชนทุกหมู่เหล่า ร่วมจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลในเวลา 19.30 น. ณ สถานที่ที่จังหวัด และอําเภอ กําหนด พร้อมกันทั่วประเทศ เพื่อแสดงความจงรักภักดีโดยพร้อมเพรียงกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22178
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ เดินหน้าโครงการเน็ตประชารัฐ สร้างประโยชน์กับชุมชนที่บุรีรัมย์
วันอังคารที่ 4 ธันวาคม 2561 กระทรวงดิจิทัลฯ เดินหน้าโครงการเน็ตประชารัฐ สร้างประโยชน์กับชุมชนที่บุรีรัมย์ กระทรวงดิจิทัลฯ นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุมคณะทํางานร่วมติดตามและประเมินผลการดําเนินโครงการเน็ตประชารัฐ โดยมีนางคนึงนิจ คชศิลา ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายกรีฑา สพโชค ผู้ตรวจราชการสํานักนายกรัฐมนตรี เข้าร่วม เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 ณ ห้องประชุมศูนย์บริการลูกค้าโทรศัพท์ จ.บุรีรัมย์ บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ได้ดําเนินโครงการเน็ตประชารัฐ (Zone C) พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จํานวน 13,468 หมู่บ้าน บุรีรัมย์ 1,179 หมู่บ้าน และสุรินทร์ 984 หมู่บ้าน พร้อมจัดให้มีบริการอินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายกับผู้ใช้บริการ หมู่บ้านละ 1 จุดที่อัตราการรับส่งที่ความเร็ว 30/10 Mbps ขณะที่ประชาชนมีความพึงพอใจกับโครงการฯ อีกทั้งยังมีบริการ Wifi ที่เป็นประโยชน์กับชุมชนในการสร้างรายได้ของวิสาหกิจชุมชนและค้าขายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นออนไลน์ เพราะเป็นช่องทางในการกระจายข่าวสารและติดต่อของคนในหมู่บ้าน จุดมุ่งหมายหลักคือ เพื่อให้ประชาชนทุกครัวเรือนมีอินเทอร์เน็ตในราคาที่เหมาะสม โดยจะมีการอบรมการใช้งานเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์เน็ตประชารัฐได้อย่างเต็มที่ ********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ เดินหน้าโครงการเน็ตประชารัฐ สร้างประโยชน์กับชุมชนที่บุรีรัมย์ วันอังคารที่ 4 ธันวาคม 2561 กระทรวงดิจิทัลฯ เดินหน้าโครงการเน็ตประชารัฐ สร้างประโยชน์กับชุมชนที่บุรีรัมย์ กระทรวงดิจิทัลฯ นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุมคณะทํางานร่วมติดตามและประเมินผลการดําเนินโครงการเน็ตประชารัฐ โดยมีนางคนึงนิจ คชศิลา ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายกรีฑา สพโชค ผู้ตรวจราชการสํานักนายกรัฐมนตรี เข้าร่วม เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 ณ ห้องประชุมศูนย์บริการลูกค้าโทรศัพท์ จ.บุรีรัมย์ บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ได้ดําเนินโครงการเน็ตประชารัฐ (Zone C) พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จํานวน 13,468 หมู่บ้าน บุรีรัมย์ 1,179 หมู่บ้าน และสุรินทร์ 984 หมู่บ้าน พร้อมจัดให้มีบริการอินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายกับผู้ใช้บริการ หมู่บ้านละ 1 จุดที่อัตราการรับส่งที่ความเร็ว 30/10 Mbps ขณะที่ประชาชนมีความพึงพอใจกับโครงการฯ อีกทั้งยังมีบริการ Wifi ที่เป็นประโยชน์กับชุมชนในการสร้างรายได้ของวิสาหกิจชุมชนและค้าขายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นออนไลน์ เพราะเป็นช่องทางในการกระจายข่าวสารและติดต่อของคนในหมู่บ้าน จุดมุ่งหมายหลักคือ เพื่อให้ประชาชนทุกครัวเรือนมีอินเทอร์เน็ตในราคาที่เหมาะสม โดยจะมีการอบรมการใช้งานเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์เน็ตประชารัฐได้อย่างเต็มที่ ********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17295
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ยุติธรรม" ประชุมติดตามการขับเคลื่อนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน
วันอังคารที่ 10 เมษายน 2561 "ยุติธรรม" ประชุมติดตามการขับเคลื่อนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ผ่านระบบประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference System) ในวันอังคารที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ผ่านระบบประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference System) เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจระหว่างส่วนกลางและสํานักงานยุติธรรมจังหวัด และติดตามความคืบหน้าการทํางานตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้แทนจากสํานักงานยุติธรรมจังหวัดนําร่อง ๑๙ แห่ง เข้าร่วมประชุมฯ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี ให้บูรณาการขับเคลื่อนการทํางานตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมรวบรวมข้อมูลการรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ของประชาชน ในภาพรวมของประเทศ พร้อมทั้งให้คัดเลือกกลโกงหรือวิธีการแปลกใหม่ ที่มิจฉาชีพใช้ในการหลอกลวงประชาชน แล้วรายงานไปยังกระทรวงมหาดไทย เพื่อนําข้อมูลดังกล่าวไปเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ในการป้องกันไม่ให้ประชาชน ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าว สําหรับการขับเคลื่อนการทํางานตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ของสํานักงานยุติธรรมจังหวัดนําร่องทั้ง ๑๙ จังหวัด พบว่า ปัญหา วิธีการแก้ไข และวิธีการขับเคลื่อนโครงการของแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ สังคม และเศรษฐกิจ โดยส่วนใหญ่ประสบปัญหาการขาดแคลนบุคลากร จึงขอให้ทุกหน่วยงานทํางานบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ทั้งภายในและภายนอก พร้อมทั้ง รายงานสภาพปัญหาของประชาชนในพื้นที่ และปัญหาการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามโครงการดังกล่าว เพื่อนําไปสู่การกําหนดแนวทางการขับเคลื่อนงานที่มีประสิทธิภาพต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ยุติธรรม" ประชุมติดตามการขับเคลื่อนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน วันอังคารที่ 10 เมษายน 2561 "ยุติธรรม" ประชุมติดตามการขับเคลื่อนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ผ่านระบบประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference System) ในวันอังคารที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ผ่านระบบประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference System) เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจระหว่างส่วนกลางและสํานักงานยุติธรรมจังหวัด และติดตามความคืบหน้าการทํางานตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้แทนจากสํานักงานยุติธรรมจังหวัดนําร่อง ๑๙ แห่ง เข้าร่วมประชุมฯ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี ให้บูรณาการขับเคลื่อนการทํางานตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมรวบรวมข้อมูลการรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ของประชาชน ในภาพรวมของประเทศ พร้อมทั้งให้คัดเลือกกลโกงหรือวิธีการแปลกใหม่ ที่มิจฉาชีพใช้ในการหลอกลวงประชาชน แล้วรายงานไปยังกระทรวงมหาดไทย เพื่อนําข้อมูลดังกล่าวไปเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ในการป้องกันไม่ให้ประชาชน ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าว สําหรับการขับเคลื่อนการทํางานตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ของสํานักงานยุติธรรมจังหวัดนําร่องทั้ง ๑๙ จังหวัด พบว่า ปัญหา วิธีการแก้ไข และวิธีการขับเคลื่อนโครงการของแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ สังคม และเศรษฐกิจ โดยส่วนใหญ่ประสบปัญหาการขาดแคลนบุคลากร จึงขอให้ทุกหน่วยงานทํางานบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ทั้งภายในและภายนอก พร้อมทั้ง รายงานสภาพปัญหาของประชาชนในพื้นที่ และปัญหาการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามโครงการดังกล่าว เพื่อนําไปสู่การกําหนดแนวทางการขับเคลื่อนงานที่มีประสิทธิภาพต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11458