title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง.นรม.พลเอก ธนะศักดิ์ฯให้โอวาทกลุ่มคณะนักแสดงที่ไปได้รับรางวัลการแข่งขันศิลปวัฒนธรรมในระดับเวทีนานาชาติ
|
วันอังคารที่ 18 ตุลาคม 2559
รอง.นรม.พลเอก ธนะศักดิ์ฯให้โอวาทกลุ่มคณะนักแสดงที่ไปได้รับรางวัลการแข่งขันศิลปวัฒนธรรมในระดับเวทีนานาชาติ
รอง.นรม.พลเอก ธนะศักดิ์ฯให้โอวาทกลุ่มคณะนักแสดงที่ไปได้รับรางวัลการแข่งขันศิลปวัฒนธรรมในระดับเวทีนานาชาติ
วันนี้ (22 สิงหาคม 2559) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสีฟ่า ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมคณะนําคณะเยาวชน 4 กลุ่มรวม 32 คน เข้าพบ พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่กลุ่มเยาวชนไทดังกล่าวซึ่งได้ไปสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยพร้อมทั้งได้รับรางวัลชนะเลิศจากเวทีการแข่งขันทางศิลปวัฒนธรรมระดับโลก
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้กล่าวรายงานพร้อมแนะนํากลุ่มเยาวชนไทยทั้ง 4 กลุ่ม ที่ได้ไปสร้างผลงานและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ ได้แก่
- คณะนักร้องประสานเสียงเยาวชนไทย จํานวน 25 คน (Thai Youth Choir) หรือ TYC เดินทางทางไปแข่งขัน World Choir Games 2016 ได้รับรางวัล 2 เหรียญทองในสาขา Youth Choir of Equal voices หรือสาขาคณะนักร้องประสานเสียงเยาวชนหญิง อายุระหว่าง 12 - 21 ปี และสาขา Musica Sacara With accompaniment หรือบทเพลงศาสนามีเครื่องดนตรีประกอบ โดยนายอธิชัย ตระกูลเดช เป็นผู้อํานวยเพลง
- คณะเยาวชนจากการแข่งขัน World Championships of Performing Arts (WCOPA) ครั้งที่ 20 มีการแข่งขันเมื่อวันที่ 7 – 17 กรกฎาคม 2559 ณ ลองบีช เพอร์ฟอร์มมิ่งอาร์ต เซ็นเตอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา นั้น ในปีนี้มีตัวแทนจาก 61 ประเทศเข้าร่วมชิงเหรียญทอง และเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 450,000 ดอลลาร์ โดย คณะของนาย ธชย ประทุมวรรณ หรือ เก่ง The Voice ได้รับรางวัลชนะเลิศจาการประกวดดังกล่าว
- คณะเยาวชนจากการแข่งขัน WCOPA ครั้งที่ 20 จํานวน 4 คน ได้นําชุดที่ได้รับรางวัลมาแสดง ประกอบด้วย เด็กหญิงเอวิตา จันดาวงค์ ผู้ได้รับรางวัลจากการแข่งขัน World Championships of Performing Arts 2016 จํานวน 1 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน และเหรียญ Team Spirit (เหรียญรวมของทีมชาติไทย)
นางศรินภัสร์ จันดาวงค์ ผู้ออกแบบชุดที่ได้รับรางวัล WCOPA’s 2016 Exceptional Designer
นางพิกุล ชุมพล ผู้ออกแบบชุด ที่ได้รับรางวัล WCOPA’s 2016 Exceptional Designer
นางสาวรัตติกาล โชควิทยานุกูล ผู้ช่วยผู้อํานวยการ World Championships of Performing Arts ประจําประเทศไทย (ทําหน้าที่แทน ผู้อํานวยการ World Championships of Performing Arts ประจําประเทศไทย
- คณะนาฏยบูรพา มี อาจารย์เด่น หาเลิศ เป็นประธานชมรมนาฏบูรพา สมาชิกประกอบด้วยเยาวชนที่มีใจรักหุ่นละครเล็ก อายุระหว่าง 7 – 25 ปี ทั้งในระดับ ประถม มัธยม มหาวิทยาลัย หลากหลายสถาบันกว่า 70 คน ได้รับคัดเลือกจาก 500 ทีมทั่วโลกให้เป็น 1 ใน 50 ทีมที่เข้ารอบรายการ World Puppet Carnival ซึ่งเป็นรายการประกวดหุ่นระดับโลกเพื่อจัดสุดยอดการแสดงหุ่นของโลกว่าใครเป็น The Best ซึ่งละครหุ่นละครเล็กโจหลุยย์ได้รับรางวัลนี้เมื่อปี 2551 และในปีนี้ ทีม “นาฏยบูรพา” ได้ส่งคลิปเข้าร่วมและผ่านการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 50 ทีมที่ร่วมแสดงแข่งขันที่ประเทศโปแลนด์ ในวันที่ 24 – 30 กันยายน ศกนี้ ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมให้การช่วยเหลือจํานวน 400,000 บาท
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวให้โอวาทสรุปความว่า รัฐบาลขอชื่นชมในความพยายามและความมุ่งมั่นตั้งใจของทุกคน ในการฝึกซ้อมและการแข่งขัน ซึ่งประสบความสําเร็จเป็นที่น่าพึงพอใจของทุกฝ่ายและเป็นเรื่องที่ต้องขอชื่นชม ในนามของรัฐบาล รองนายกรัฐมนตรีขอแสดงความยินดีกับคณะเยาวชนผู้ได้รับรางวัลทุกคน และขอเป็นกําลังใจให้กับคณะนักแสดงตลอดจนผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสําเร็จทั้ง ผู้ปกครอง ครู อาจารย์ ผู้ฝึกสอน และหน่วยงานที่ให้การสนับสนุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงวัฒนธรรมและขอให้ตั้งใจสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยต่อไป พร้อมชื่นชมคณะนักแสดงที่ใช้ทุนของตัวเองจนกระทั่งประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี พร้อมขอให้ใส่ใจในการศึกษาอย่างต่อเนื่องเพื่ออนาคตที่ดีและเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป
********************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
อภิวัฒน์/รายงาน
ดวงใจ/ตรวจ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง.นรม.พลเอก ธนะศักดิ์ฯให้โอวาทกลุ่มคณะนักแสดงที่ไปได้รับรางวัลการแข่งขันศิลปวัฒนธรรมในระดับเวทีนานาชาติ
วันอังคารที่ 18 ตุลาคม 2559
รอง.นรม.พลเอก ธนะศักดิ์ฯให้โอวาทกลุ่มคณะนักแสดงที่ไปได้รับรางวัลการแข่งขันศิลปวัฒนธรรมในระดับเวทีนานาชาติ
รอง.นรม.พลเอก ธนะศักดิ์ฯให้โอวาทกลุ่มคณะนักแสดงที่ไปได้รับรางวัลการแข่งขันศิลปวัฒนธรรมในระดับเวทีนานาชาติ
วันนี้ (22 สิงหาคม 2559) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสีฟ่า ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมคณะนําคณะเยาวชน 4 กลุ่มรวม 32 คน เข้าพบ พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่กลุ่มเยาวชนไทดังกล่าวซึ่งได้ไปสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยพร้อมทั้งได้รับรางวัลชนะเลิศจากเวทีการแข่งขันทางศิลปวัฒนธรรมระดับโลก
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้กล่าวรายงานพร้อมแนะนํากลุ่มเยาวชนไทยทั้ง 4 กลุ่ม ที่ได้ไปสร้างผลงานและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ ได้แก่
- คณะนักร้องประสานเสียงเยาวชนไทย จํานวน 25 คน (Thai Youth Choir) หรือ TYC เดินทางทางไปแข่งขัน World Choir Games 2016 ได้รับรางวัล 2 เหรียญทองในสาขา Youth Choir of Equal voices หรือสาขาคณะนักร้องประสานเสียงเยาวชนหญิง อายุระหว่าง 12 - 21 ปี และสาขา Musica Sacara With accompaniment หรือบทเพลงศาสนามีเครื่องดนตรีประกอบ โดยนายอธิชัย ตระกูลเดช เป็นผู้อํานวยเพลง
- คณะเยาวชนจากการแข่งขัน World Championships of Performing Arts (WCOPA) ครั้งที่ 20 มีการแข่งขันเมื่อวันที่ 7 – 17 กรกฎาคม 2559 ณ ลองบีช เพอร์ฟอร์มมิ่งอาร์ต เซ็นเตอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา นั้น ในปีนี้มีตัวแทนจาก 61 ประเทศเข้าร่วมชิงเหรียญทอง และเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 450,000 ดอลลาร์ โดย คณะของนาย ธชย ประทุมวรรณ หรือ เก่ง The Voice ได้รับรางวัลชนะเลิศจาการประกวดดังกล่าว
- คณะเยาวชนจากการแข่งขัน WCOPA ครั้งที่ 20 จํานวน 4 คน ได้นําชุดที่ได้รับรางวัลมาแสดง ประกอบด้วย เด็กหญิงเอวิตา จันดาวงค์ ผู้ได้รับรางวัลจากการแข่งขัน World Championships of Performing Arts 2016 จํานวน 1 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน และเหรียญ Team Spirit (เหรียญรวมของทีมชาติไทย)
นางศรินภัสร์ จันดาวงค์ ผู้ออกแบบชุดที่ได้รับรางวัล WCOPA’s 2016 Exceptional Designer
นางพิกุล ชุมพล ผู้ออกแบบชุด ที่ได้รับรางวัล WCOPA’s 2016 Exceptional Designer
นางสาวรัตติกาล โชควิทยานุกูล ผู้ช่วยผู้อํานวยการ World Championships of Performing Arts ประจําประเทศไทย (ทําหน้าที่แทน ผู้อํานวยการ World Championships of Performing Arts ประจําประเทศไทย
- คณะนาฏยบูรพา มี อาจารย์เด่น หาเลิศ เป็นประธานชมรมนาฏบูรพา สมาชิกประกอบด้วยเยาวชนที่มีใจรักหุ่นละครเล็ก อายุระหว่าง 7 – 25 ปี ทั้งในระดับ ประถม มัธยม มหาวิทยาลัย หลากหลายสถาบันกว่า 70 คน ได้รับคัดเลือกจาก 500 ทีมทั่วโลกให้เป็น 1 ใน 50 ทีมที่เข้ารอบรายการ World Puppet Carnival ซึ่งเป็นรายการประกวดหุ่นระดับโลกเพื่อจัดสุดยอดการแสดงหุ่นของโลกว่าใครเป็น The Best ซึ่งละครหุ่นละครเล็กโจหลุยย์ได้รับรางวัลนี้เมื่อปี 2551 และในปีนี้ ทีม “นาฏยบูรพา” ได้ส่งคลิปเข้าร่วมและผ่านการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 50 ทีมที่ร่วมแสดงแข่งขันที่ประเทศโปแลนด์ ในวันที่ 24 – 30 กันยายน ศกนี้ ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมให้การช่วยเหลือจํานวน 400,000 บาท
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวให้โอวาทสรุปความว่า รัฐบาลขอชื่นชมในความพยายามและความมุ่งมั่นตั้งใจของทุกคน ในการฝึกซ้อมและการแข่งขัน ซึ่งประสบความสําเร็จเป็นที่น่าพึงพอใจของทุกฝ่ายและเป็นเรื่องที่ต้องขอชื่นชม ในนามของรัฐบาล รองนายกรัฐมนตรีขอแสดงความยินดีกับคณะเยาวชนผู้ได้รับรางวัลทุกคน และขอเป็นกําลังใจให้กับคณะนักแสดงตลอดจนผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสําเร็จทั้ง ผู้ปกครอง ครู อาจารย์ ผู้ฝึกสอน และหน่วยงานที่ให้การสนับสนุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงวัฒนธรรมและขอให้ตั้งใจสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยต่อไป พร้อมชื่นชมคณะนักแสดงที่ใช้ทุนของตัวเองจนกระทั่งประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี พร้อมขอให้ใส่ใจในการศึกษาอย่างต่อเนื่องเพื่ออนาคตที่ดีและเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป
********************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
อภิวัฒน์/รายงาน
ดวงใจ/ตรวจ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/248
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กป้อม” ตรวจเยี่ยม ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เน้นสร้างการรับรู้ ลดผลกระทบ fake news ในช่วงโควิด-19
|
วันพุธที่ 22 เมษายน 2563
“บิ๊กป้อม” ตรวจเยี่ยม ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เน้นสร้างการรับรู้ ลดผลกระทบ fake news ในช่วงโควิด-19
“บิ๊กป้อม” ตรวจเยี่ยม ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เน้นสร้างการรับรู้ ลดผลกระทบ fake news ในช่วงโควิด-19
วันนี้ (22 เมษายน) เวลา 10.00 น.พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางตรวจเยี่ยมศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti Fake News Center) พร้อมทั้งมอบนโยบาย ณ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม อาคาร 20 ชั้น 8บมจ.ทีโอที ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯโดยมีนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้การต้อนรับ
พลเอกประวิตร กล่าวว่า กระบวนการทํางานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม และศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (PCT) ซึ่งเป็นความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (สตช.) ซึ่งถือเป็นการทํางานที่มีความสําคัญอย่างยิ่งในภาวะวิกฤติที่ทั่วโลกและประเทศไทย ต้องเผชิญกับสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เพื่อปกป้องประชาชนและสังคมจากผลกระทบด้านลบของข่าวปลอมในภาวะนี้
พลเอกประวิตร กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากข่าวปลอมในช่วงระยะหลังนี้ หลายข่าวสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนที่อยู่ในภาวะหวั่นวิตกเกี่ยวกับปัญหาด้านเศรษฐกิจและปากท้อง ดังนั้น อีกหนึ่งบทบาทสําคัญของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมในสถานการณ์นี้ คือ การเป็นช่องทางประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับโควิด-19 เพื่อให้สังคมได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเที่ยงตรง
นอกจากนี้ รองนายกฯ ยังกล่าว ขอบคุณกระทรวงดิจิทัลฯ ที่ได้มีนโยบายและดูแลและมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะการนําเทคโนโลยี เข้ามาช่วยอํานวยความสะดวกตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รวมทั้ง บมจ. ทีโอที ที่ได้ดําเนินการตามนโยบายไว้อย่างดีด้วย โดยขอชื่นชมในความตั้งใจจริงในการทํางาน เสียสละ ของเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่ยังปฏิบัติหน้าที่กันอย่างเต็มที่ในสถานการณ์เช่นนี้
ข่าวปลอมนั้นส่งผลกระทบทางด้านลบ และขณะนี้ก็เป็นประเด็นที่ทั่วโลกต่างให้ความสนใจก็คือ ข่าวปลอม (Fake News) มักถูกเผยแพร่หรือส่งต่อในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อส่วนตัวและสังคมในวงกว้างอย่างมาก และขอฝากงานอีกด้านหนึ่งที่ต้องดําเนินการคือ การเสริมสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีที่ปลอดภัยแก่ประชาชนและสังคม รู้จักวิธีตอบโต้ข่าวปลอม มีความรับผิดชอบต่อสังคม ในการเผยแพร่และแบ่งปันข้อมูล ควรจะเป็นการบรรจุหลักสูตรการรู้เท่าทันสื่อในโรงเรียนในการรู้เท่าทันข่าวปลอม อย่างมีวิจารณญาณไตร่ตรองก่อนการแชร์ต่อ เพื่อสร้างความสุขให้กับสังคมและประชาชนอย่างยั่งยืน” รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ภาพรวมผลการดําเนินงานตรวจสอบของศูนย์ฯ ในส่วนที่เกี่ยวกับกระแสไวรัสโควิด-19 ระหว่างวันที่ 25 มกราคม-เมษายน 2563 อย่างต่อเนื่อง 83 วัน ทั้งจากการรับแจ้งเบาะแสและติดตามการสนทนาบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 พบจํานวนข้อความที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 2,428,621 ข้อความ มีข้อความข่าวที่เข้าเกณฑ์ที่ต้องดําเนินการ 2,870 ข้อความ คัดกรองแล้วพบว่ามีข่าวที่ต้องดําเนินการตรวจสอบ 821 เรื่อง โดยมีข่าวที่ผ่านกระบวนการตรวจสอบและเผยแพร่แล้ว 244 เรื่อง แบ่งเป็น ข่าวปลอม 192 เรื่อง ข่าวจริง 24 เรื่อง และข่าวบิดเบือน 28 เรื่อง คิดเป็นสัดส่วน 8 : 1 : 1 ตามลําดับทั้งนี้ มีข้อน่าสังเกตว่าในช่วงที่มีสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ข่าวปลอมส่วนใหญ่ที่มีการแพร่กระจายบนออนไลน์และโซเชียลหลักๆ กว่า 60% จะเป็นข่าวในกลุ่มนโยบายรัฐบาล /ข่าวสารทางราชการ/ความสงบเรียบร้อยของสังคม / ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในประเทศ ขณะที่ ข่าวกลุ่มสุขภาพซึ่งเคยครองพื้นที่ข่าวปลอม ลดสัดส่วนลงไปอยู่ที่กว่า 30% และสรุปภาพรวมผลการดําเนินการของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ตลอดช่วงระยะเวลาเกือบ 6 เดือนที่ผ่านมาว่า จากการรับแจ้งเบาะแสและติดตามการสนทนาบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับข่าวปลอม ตั้งแต่เริ่มเปิดศูนย์จนถึงปัจจุบัน มีจํานวนข้อความเข้ามาทั้งหมด 5,904,637 ข้อความ หลังจากคัดกรองแล้วพบข้อความที่เข้าเกณฑ์ดําเนินการตรวจสอบ 10,611 ข้อความ จํานวนเรื่องที่ต้องดําเนินการตรวจสอบทั้งหมด 3,127 เรื่อง และได้รับการเผยแพร่แล้ว 565 เรื่อง แบ่งเป็น ข่าวปลอม 399 เรื่อง ข่าวจริง 114 เรื่อง และข่าวบิดเบือน 52 เรื่อง คิดเป็นสัดส่วน 7 : 2 : 1 ตามลําดับ สําหรับผลจากการทํางานอย่างทุ่มเทของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม และการดําเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย มีการดําเนินคดีกับผู้สร้างข่าวปลอม ในช่วงที่ผ่านมาจึงเริ่มเห็นแนวโน้มกระแสและข่าวปลอมลดลงอย่างต่อเนื่อง
***************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กป้อม” ตรวจเยี่ยม ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เน้นสร้างการรับรู้ ลดผลกระทบ fake news ในช่วงโควิด-19
วันพุธที่ 22 เมษายน 2563
“บิ๊กป้อม” ตรวจเยี่ยม ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เน้นสร้างการรับรู้ ลดผลกระทบ fake news ในช่วงโควิด-19
“บิ๊กป้อม” ตรวจเยี่ยม ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เน้นสร้างการรับรู้ ลดผลกระทบ fake news ในช่วงโควิด-19
วันนี้ (22 เมษายน) เวลา 10.00 น.พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางตรวจเยี่ยมศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti Fake News Center) พร้อมทั้งมอบนโยบาย ณ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม อาคาร 20 ชั้น 8บมจ.ทีโอที ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯโดยมีนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้การต้อนรับ
พลเอกประวิตร กล่าวว่า กระบวนการทํางานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม และศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (PCT) ซึ่งเป็นความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (สตช.) ซึ่งถือเป็นการทํางานที่มีความสําคัญอย่างยิ่งในภาวะวิกฤติที่ทั่วโลกและประเทศไทย ต้องเผชิญกับสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เพื่อปกป้องประชาชนและสังคมจากผลกระทบด้านลบของข่าวปลอมในภาวะนี้
พลเอกประวิตร กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากข่าวปลอมในช่วงระยะหลังนี้ หลายข่าวสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนที่อยู่ในภาวะหวั่นวิตกเกี่ยวกับปัญหาด้านเศรษฐกิจและปากท้อง ดังนั้น อีกหนึ่งบทบาทสําคัญของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมในสถานการณ์นี้ คือ การเป็นช่องทางประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับโควิด-19 เพื่อให้สังคมได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเที่ยงตรง
นอกจากนี้ รองนายกฯ ยังกล่าว ขอบคุณกระทรวงดิจิทัลฯ ที่ได้มีนโยบายและดูแลและมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะการนําเทคโนโลยี เข้ามาช่วยอํานวยความสะดวกตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รวมทั้ง บมจ. ทีโอที ที่ได้ดําเนินการตามนโยบายไว้อย่างดีด้วย โดยขอชื่นชมในความตั้งใจจริงในการทํางาน เสียสละ ของเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่ยังปฏิบัติหน้าที่กันอย่างเต็มที่ในสถานการณ์เช่นนี้
ข่าวปลอมนั้นส่งผลกระทบทางด้านลบ และขณะนี้ก็เป็นประเด็นที่ทั่วโลกต่างให้ความสนใจก็คือ ข่าวปลอม (Fake News) มักถูกเผยแพร่หรือส่งต่อในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อส่วนตัวและสังคมในวงกว้างอย่างมาก และขอฝากงานอีกด้านหนึ่งที่ต้องดําเนินการคือ การเสริมสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีที่ปลอดภัยแก่ประชาชนและสังคม รู้จักวิธีตอบโต้ข่าวปลอม มีความรับผิดชอบต่อสังคม ในการเผยแพร่และแบ่งปันข้อมูล ควรจะเป็นการบรรจุหลักสูตรการรู้เท่าทันสื่อในโรงเรียนในการรู้เท่าทันข่าวปลอม อย่างมีวิจารณญาณไตร่ตรองก่อนการแชร์ต่อ เพื่อสร้างความสุขให้กับสังคมและประชาชนอย่างยั่งยืน” รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ภาพรวมผลการดําเนินงานตรวจสอบของศูนย์ฯ ในส่วนที่เกี่ยวกับกระแสไวรัสโควิด-19 ระหว่างวันที่ 25 มกราคม-เมษายน 2563 อย่างต่อเนื่อง 83 วัน ทั้งจากการรับแจ้งเบาะแสและติดตามการสนทนาบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 พบจํานวนข้อความที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 2,428,621 ข้อความ มีข้อความข่าวที่เข้าเกณฑ์ที่ต้องดําเนินการ 2,870 ข้อความ คัดกรองแล้วพบว่ามีข่าวที่ต้องดําเนินการตรวจสอบ 821 เรื่อง โดยมีข่าวที่ผ่านกระบวนการตรวจสอบและเผยแพร่แล้ว 244 เรื่อง แบ่งเป็น ข่าวปลอม 192 เรื่อง ข่าวจริง 24 เรื่อง และข่าวบิดเบือน 28 เรื่อง คิดเป็นสัดส่วน 8 : 1 : 1 ตามลําดับทั้งนี้ มีข้อน่าสังเกตว่าในช่วงที่มีสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ข่าวปลอมส่วนใหญ่ที่มีการแพร่กระจายบนออนไลน์และโซเชียลหลักๆ กว่า 60% จะเป็นข่าวในกลุ่มนโยบายรัฐบาล /ข่าวสารทางราชการ/ความสงบเรียบร้อยของสังคม / ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในประเทศ ขณะที่ ข่าวกลุ่มสุขภาพซึ่งเคยครองพื้นที่ข่าวปลอม ลดสัดส่วนลงไปอยู่ที่กว่า 30% และสรุปภาพรวมผลการดําเนินการของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ตลอดช่วงระยะเวลาเกือบ 6 เดือนที่ผ่านมาว่า จากการรับแจ้งเบาะแสและติดตามการสนทนาบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับข่าวปลอม ตั้งแต่เริ่มเปิดศูนย์จนถึงปัจจุบัน มีจํานวนข้อความเข้ามาทั้งหมด 5,904,637 ข้อความ หลังจากคัดกรองแล้วพบข้อความที่เข้าเกณฑ์ดําเนินการตรวจสอบ 10,611 ข้อความ จํานวนเรื่องที่ต้องดําเนินการตรวจสอบทั้งหมด 3,127 เรื่อง และได้รับการเผยแพร่แล้ว 565 เรื่อง แบ่งเป็น ข่าวปลอม 399 เรื่อง ข่าวจริง 114 เรื่อง และข่าวบิดเบือน 52 เรื่อง คิดเป็นสัดส่วน 7 : 2 : 1 ตามลําดับ สําหรับผลจากการทํางานอย่างทุ่มเทของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม และการดําเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย มีการดําเนินคดีกับผู้สร้างข่าวปลอม ในช่วงที่ผ่านมาจึงเริ่มเห็นแนวโน้มกระแสและข่าวปลอมลดลงอย่างต่อเนื่อง
***************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29546
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ หารือรองผู้ว่าการมณฑลกวางตุ้ง เพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกัน
|
วันพุธที่ 26 กรกฎาคม 2560
รมว.ดิจิทัลฯ หารือรองผู้ว่าการมณฑลกวางตุ้ง เพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกัน
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) หารือทวิภาคีร่วมกับ นายลิน เฉาชุน (Mr.Lin Shaochun) รองผู้ว่าการมณฑลกวางตุ้ง พร้อมคณะนักธุรกิจจากมณฑลกวางตุ้งและฮ่องกง โดยทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือเกี่ยวกับแนวทางการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยและจีน ซึ่งปัจจุบันมูลค่าทางการค้าระหว่างไทยกับมณฑลกวางตุ้งเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และฝ่ายจีนก็มีความต้องการที่จะผลักดันให้มูลค่าการค้าส่วนนี้เพิ่มมากขึ้น โดยมณฑลกวางตุ้งมีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจไปอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 จนได้รับการขนานนามว่าเป็น Manufacturing Power house ที่มีปัจจัยสําคัญมาจากนโยบายส่งเสริมให้ภาคเอกชนลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศที่มีศักยภาพด้านต่างๆ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลไทยมีแผนสนับสนุนการลงทุนในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC และโครงการ Digital Park Thailand โดยจะกําหนดมาตรการต่างๆ เพื่อเป็นกลไกและเครื่องมือสําคัญในการส่งเสริมการลงทุน รวมทั้งความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีนต่อไป การหารือดังกล่าวมีขึ้น เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2560 ณ โรงแรมคอนราด ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ
*************************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ หารือรองผู้ว่าการมณฑลกวางตุ้ง เพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกัน
วันพุธที่ 26 กรกฎาคม 2560
รมว.ดิจิทัลฯ หารือรองผู้ว่าการมณฑลกวางตุ้ง เพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกัน
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) หารือทวิภาคีร่วมกับ นายลิน เฉาชุน (Mr.Lin Shaochun) รองผู้ว่าการมณฑลกวางตุ้ง พร้อมคณะนักธุรกิจจากมณฑลกวางตุ้งและฮ่องกง โดยทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือเกี่ยวกับแนวทางการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยและจีน ซึ่งปัจจุบันมูลค่าทางการค้าระหว่างไทยกับมณฑลกวางตุ้งเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และฝ่ายจีนก็มีความต้องการที่จะผลักดันให้มูลค่าการค้าส่วนนี้เพิ่มมากขึ้น โดยมณฑลกวางตุ้งมีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจไปอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 จนได้รับการขนานนามว่าเป็น Manufacturing Power house ที่มีปัจจัยสําคัญมาจากนโยบายส่งเสริมให้ภาคเอกชนลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศที่มีศักยภาพด้านต่างๆ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลไทยมีแผนสนับสนุนการลงทุนในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC และโครงการ Digital Park Thailand โดยจะกําหนดมาตรการต่างๆ เพื่อเป็นกลไกและเครื่องมือสําคัญในการส่งเสริมการลงทุน รวมทั้งความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีนต่อไป การหารือดังกล่าวมีขึ้น เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2560 ณ โรงแรมคอนราด ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ
*************************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5471
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. แจง เร่งรัดการซ่อมบำรุงรถไฟชั้น 3 ให้พร้อมกลับมาใช้งานเพิ่มมากขึ้นโดยเร็ว
|
วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2561
รฟท. แจง เร่งรัดการซ่อมบํารุงรถไฟชั้น 3 ให้พร้อมกลับมาใช้งานเพิ่มมากขึ้นโดยเร็ว
รฟท. แจง เร่งรัดการซ่อมบํารุงรถไฟชั้น 3 ให้พร้อมกลับมาใช้งานเพิ่มมากขึ้นโดยเร็ว
นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตําแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ชี้แจงประเด็น 1) กรณี Facebook ของ คุณ Athikhom Khoms Khunawut ได้โพสต์รูปภาพรถไฟขบวน 141 กรุงเทพฯ-อุบลราชธานี ซึ่งมีสภาพของผู้ที่ใช้บริการขนส่งด้วยรถไฟ ที่ผู้โดยสารบางคนต้องหอบข้าวของจํานวนมากไปนอนหลับอยู่บริเวณหน้าห้องน้ําบนขบวนรถไฟ หรือตามมุมต่าง ๆ 2) กรณี Facebook ของ คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แชร์โพสต์ของอธิคม คุณาวุฒิ โดยระบุว่าเมื่อเห็นข่าวการประมูลรถไฟฟ้าความเร็วสูง เชื่อมสนามบินมูลค่านับแสนล้านบาท และเห็นภาพดังกล่าว นับว่าเป็นความแตกต่างกัน ราวนรกกับสวรรค์ ขณะที่เราตื่นเต้นไปกับการลงทุนรถไฟฟ้าหลากหลายสี มูลค่านับแสนล้านบาท แต่เราต้องไม่ลืมการดูแล ประชาชนที่ยังต้องใช้รถเมล์ รถสาธารณะ ในการเดินทาง โดยหัวใจของการคมนาคม คือ การดูแลการให้บริการประชาชนด้วย ไม่ใช่มุ่งแต่การลงทุนขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว
ขอชี้แจงในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
ตามที่มีประเด็นสื่อโซเชียล ใน Facebook ของคุณอธิคม คุณาวุฒิ ซึ่งได้โพสต์รูปภาพผู้โดยสารที่นั่งหลับที่พื้นบริเวณหน้าห้องน้ําบนตู้รถไฟ ขบวนที่ 141 กรุงเทพ – อุบลราชธานี รวมทั้งพบพฤติกรรมของพนักงานรถไฟที่ปฏิบัติตัวไม่เหมาะสมกับผู้โดยสาร อีกทั้ง Facebook ของคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ต้องการให้ไม่ลืมที่จะดูแล ประชาชนที่ยังต้องใช้รถเมล์ รถสาธารณะในการเดินทาง ซึ่งหัวใจของการคมนาคม คือ การดูแลการให้บริการประชาชนด้วย ไม่ใช่มุ่งแต่การลงทุนขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว
ข้อชี้แจง ตามเรื่องดังกล่าว การรถไฟแห่งประเทศไทยต้องกราบขอโทษ และขอเรียนชี้แจงว่า ผู้โดยสารดังกล่าวได้มีการซื้อตั๋วรถไฟชั้น 3 ซึ่งปกติแล้วจะมีหมายเลขที่นั่งระบุไว้ชัดเจนสําหรับผู้โดยสารทุกท่าน แต่หากกรณีที่นั่งในขบวนเต็ม และผู้โดยสารมีความประสงค์ต้องการเดินทางในขบวนรถดังกล่าวก็สามารถขอซื้อตั๋วแบบไม่มีที่นั่งได้ ซึ่งในกรณีที่การเดินทางในขบวนรถระยะไกล อาจทําให้ผู้โดยสารบางรายเมื่อยล้า และเลือกที่จะนั่งพักลงกับพื้น หรือบางรายก็เลือกที่จะนั่งบริเวณที่ว่าง เช่น พื้นที่เว้าเข้าไปยังจุดล้างมือ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ไม่กีดขวางทางเดินของผู้โดยสารท่านอื่น อย่างไรก็ตาม การรถไฟฯ ได้ตระหนักถึงการให้บริการที่ดีที่สุดแก่ผู้โดยสารทุกราย แม้ด้วยสภาพปัญหาดังกล่าวจะเกิดจากที่นั่งเต็มเนื่องจากมีจํานวนรถพ่วงที่จํากัด และผู้โดยสารมีความต้องการเดินทางจํานวนมาก
ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหา และทําให้ผู้โดยสารรถไฟชั้น 3 มีที่นั่งเพิ่มขึ้น จึงมอบนโยบายเร่งด่วนไปยังฝ่ายปฏิบัติการเดินรถ และฝ่ายการช่างกล เพื่อเร่งรัดการซ่อมบํารุงรถไฟชั้น 3 ให้พร้อมกลับมาใช้งานเพิ่มมากขึ้นโดยเร็ว ปัจจุบันการรถไฟฯ มีตู้รถไฟ ชั้น 3 ให้บริการจํานวนจํากัด มีอายุการใช้งานมานาน ซึ่งการรถไฟฯ อยู่ระหว่างดําเนินการปรับปรุงให้มีสภาพดีขึ้นอีก จํานวน 49 คัน ภายในปี 2562 ซึ่งจะสามารถรองรับการเดินทางของผู้โดยสารในภาวะปกติ รวมถึงการเดินทางกลับภูมิลําเนาในช่วงเทศกาลต่าง ๆ ให้เพิ่มขึ้น
สําหรับประเด็นที่เจ้าหน้าที่รถไฟปฏิบัติหน้าที่ไม่สุภาพ และมีการตวาดเสียงดังกับผู้โดยสารขณะกําลังยกรถจักรยานขึ้นตู้สัมภาระ ซึ่งการรถไฟฯ ได้สั่งกําชับไปยังผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการเดินรถ ช่วยกันเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบและกวดขันการให้บริการของเจ้าหน้าที่รถไฟที่ประจําอยู่บนขบวน และสถานีรถไฟต่าง ๆ ให้มีความสุภาพและเป็นมิตรแก่ผู้โดยสาร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นอีก
------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. แจง เร่งรัดการซ่อมบำรุงรถไฟชั้น 3 ให้พร้อมกลับมาใช้งานเพิ่มมากขึ้นโดยเร็ว
วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2561
รฟท. แจง เร่งรัดการซ่อมบํารุงรถไฟชั้น 3 ให้พร้อมกลับมาใช้งานเพิ่มมากขึ้นโดยเร็ว
รฟท. แจง เร่งรัดการซ่อมบํารุงรถไฟชั้น 3 ให้พร้อมกลับมาใช้งานเพิ่มมากขึ้นโดยเร็ว
นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตําแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ชี้แจงประเด็น 1) กรณี Facebook ของ คุณ Athikhom Khoms Khunawut ได้โพสต์รูปภาพรถไฟขบวน 141 กรุงเทพฯ-อุบลราชธานี ซึ่งมีสภาพของผู้ที่ใช้บริการขนส่งด้วยรถไฟ ที่ผู้โดยสารบางคนต้องหอบข้าวของจํานวนมากไปนอนหลับอยู่บริเวณหน้าห้องน้ําบนขบวนรถไฟ หรือตามมุมต่าง ๆ 2) กรณี Facebook ของ คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แชร์โพสต์ของอธิคม คุณาวุฒิ โดยระบุว่าเมื่อเห็นข่าวการประมูลรถไฟฟ้าความเร็วสูง เชื่อมสนามบินมูลค่านับแสนล้านบาท และเห็นภาพดังกล่าว นับว่าเป็นความแตกต่างกัน ราวนรกกับสวรรค์ ขณะที่เราตื่นเต้นไปกับการลงทุนรถไฟฟ้าหลากหลายสี มูลค่านับแสนล้านบาท แต่เราต้องไม่ลืมการดูแล ประชาชนที่ยังต้องใช้รถเมล์ รถสาธารณะ ในการเดินทาง โดยหัวใจของการคมนาคม คือ การดูแลการให้บริการประชาชนด้วย ไม่ใช่มุ่งแต่การลงทุนขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว
ขอชี้แจงในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
ตามที่มีประเด็นสื่อโซเชียล ใน Facebook ของคุณอธิคม คุณาวุฒิ ซึ่งได้โพสต์รูปภาพผู้โดยสารที่นั่งหลับที่พื้นบริเวณหน้าห้องน้ําบนตู้รถไฟ ขบวนที่ 141 กรุงเทพ – อุบลราชธานี รวมทั้งพบพฤติกรรมของพนักงานรถไฟที่ปฏิบัติตัวไม่เหมาะสมกับผู้โดยสาร อีกทั้ง Facebook ของคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ต้องการให้ไม่ลืมที่จะดูแล ประชาชนที่ยังต้องใช้รถเมล์ รถสาธารณะในการเดินทาง ซึ่งหัวใจของการคมนาคม คือ การดูแลการให้บริการประชาชนด้วย ไม่ใช่มุ่งแต่การลงทุนขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว
ข้อชี้แจง ตามเรื่องดังกล่าว การรถไฟแห่งประเทศไทยต้องกราบขอโทษ และขอเรียนชี้แจงว่า ผู้โดยสารดังกล่าวได้มีการซื้อตั๋วรถไฟชั้น 3 ซึ่งปกติแล้วจะมีหมายเลขที่นั่งระบุไว้ชัดเจนสําหรับผู้โดยสารทุกท่าน แต่หากกรณีที่นั่งในขบวนเต็ม และผู้โดยสารมีความประสงค์ต้องการเดินทางในขบวนรถดังกล่าวก็สามารถขอซื้อตั๋วแบบไม่มีที่นั่งได้ ซึ่งในกรณีที่การเดินทางในขบวนรถระยะไกล อาจทําให้ผู้โดยสารบางรายเมื่อยล้า และเลือกที่จะนั่งพักลงกับพื้น หรือบางรายก็เลือกที่จะนั่งบริเวณที่ว่าง เช่น พื้นที่เว้าเข้าไปยังจุดล้างมือ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ไม่กีดขวางทางเดินของผู้โดยสารท่านอื่น อย่างไรก็ตาม การรถไฟฯ ได้ตระหนักถึงการให้บริการที่ดีที่สุดแก่ผู้โดยสารทุกราย แม้ด้วยสภาพปัญหาดังกล่าวจะเกิดจากที่นั่งเต็มเนื่องจากมีจํานวนรถพ่วงที่จํากัด และผู้โดยสารมีความต้องการเดินทางจํานวนมาก
ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหา และทําให้ผู้โดยสารรถไฟชั้น 3 มีที่นั่งเพิ่มขึ้น จึงมอบนโยบายเร่งด่วนไปยังฝ่ายปฏิบัติการเดินรถ และฝ่ายการช่างกล เพื่อเร่งรัดการซ่อมบํารุงรถไฟชั้น 3 ให้พร้อมกลับมาใช้งานเพิ่มมากขึ้นโดยเร็ว ปัจจุบันการรถไฟฯ มีตู้รถไฟ ชั้น 3 ให้บริการจํานวนจํากัด มีอายุการใช้งานมานาน ซึ่งการรถไฟฯ อยู่ระหว่างดําเนินการปรับปรุงให้มีสภาพดีขึ้นอีก จํานวน 49 คัน ภายในปี 2562 ซึ่งจะสามารถรองรับการเดินทางของผู้โดยสารในภาวะปกติ รวมถึงการเดินทางกลับภูมิลําเนาในช่วงเทศกาลต่าง ๆ ให้เพิ่มขึ้น
สําหรับประเด็นที่เจ้าหน้าที่รถไฟปฏิบัติหน้าที่ไม่สุภาพ และมีการตวาดเสียงดังกับผู้โดยสารขณะกําลังยกรถจักรยานขึ้นตู้สัมภาระ ซึ่งการรถไฟฯ ได้สั่งกําชับไปยังผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการเดินรถ ช่วยกันเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบและกวดขันการให้บริการของเจ้าหน้าที่รถไฟที่ประจําอยู่บนขบวน และสถานีรถไฟต่าง ๆ ให้มีความสุภาพและเป็นมิตรแก่ผู้โดยสาร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นอีก
------------------------
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16911
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. พม. กำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.อ่างทอง และเพชรบูรณ์
|
วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน 2560
รมว. พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.อ่างทอง และเพชรบูรณ์
รมว. พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.อ่างทอง และเพชรบูรณ์
วันนี้ (27 เม.ย. 60) เวลา 08.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)
เปิดเผยภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 618/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ว่า จากกรณีหญิงรายหนึ่ง ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูลูกสาววัย 21 ปี ที่ประสบอุบัติเหตุทําให้พิการทางสมอง ต้องให้อาหารทางสายยาง นอนป่วยติดเตียง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ด้านผู้เป็นแม่ต้องลาออกจากงาน เพื่อมาอยู่ดูแลลูกสาวอย่างใกล้ชิด จึงทําให้ไม่มีรายได้จุนเจือครอบครัว ที่อําเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง และกรณีชายชราวัย 63 ปี พิการเป็นอัมพฤกษ์ ไม่สามารถเดินได้ อาศัยอยู่กับลูกชายและลูกสะใภ้ ที่มีอาชีพรับจ้างทั่วไป ต้องผลัดกันออกไปทํางาน เนื่องจากต้องมีคนอยู่ดูแลชายชรา ทั้ง 3 ชีวิต อาศัยในกระท่อมสภาพเก่าใกล้ผุพัง ไม่สามารถบังฝนได้ และไม่มีไฟฟ้าใช้ ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่อําเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ทั้ง 2 จังหวัด คือ พมจ.อ่างทอง และ พมจ.เพชรบูรณ์ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว พร้อมให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้ง ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยอย่างต่อเนื่อง และการดูแลเรื่องการปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้อยู่สภาพที่มั่นคง ถูกสุขลักษณะ และเหมาะสม รวมทั้ง การแนะนําให้คําปรึกษาในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงและเพียงพอ สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. พม. กำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.อ่างทอง และเพชรบูรณ์
วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน 2560
รมว. พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.อ่างทอง และเพชรบูรณ์
รมว. พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.อ่างทอง และเพชรบูรณ์
วันนี้ (27 เม.ย. 60) เวลา 08.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)
เปิดเผยภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 618/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ว่า จากกรณีหญิงรายหนึ่ง ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูลูกสาววัย 21 ปี ที่ประสบอุบัติเหตุทําให้พิการทางสมอง ต้องให้อาหารทางสายยาง นอนป่วยติดเตียง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ด้านผู้เป็นแม่ต้องลาออกจากงาน เพื่อมาอยู่ดูแลลูกสาวอย่างใกล้ชิด จึงทําให้ไม่มีรายได้จุนเจือครอบครัว ที่อําเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง และกรณีชายชราวัย 63 ปี พิการเป็นอัมพฤกษ์ ไม่สามารถเดินได้ อาศัยอยู่กับลูกชายและลูกสะใภ้ ที่มีอาชีพรับจ้างทั่วไป ต้องผลัดกันออกไปทํางาน เนื่องจากต้องมีคนอยู่ดูแลชายชรา ทั้ง 3 ชีวิต อาศัยในกระท่อมสภาพเก่าใกล้ผุพัง ไม่สามารถบังฝนได้ และไม่มีไฟฟ้าใช้ ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่อําเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ทั้ง 2 จังหวัด คือ พมจ.อ่างทอง และ พมจ.เพชรบูรณ์ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว พร้อมให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้ง ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยอย่างต่อเนื่อง และการดูแลเรื่องการปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้อยู่สภาพที่มั่นคง ถูกสุขลักษณะ และเหมาะสม รวมทั้ง การแนะนําให้คําปรึกษาในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงและเพียงพอ สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3340
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แนะผู้ปกครองดูแลสุขอนามัยและความปลอดภัยเด็ก ร่วมงานวันเด็ก
|
วันศุกร์ที่ 10 มกราคม 2563
สธ.แนะผู้ปกครองดูแลสุขอนามัยและความปลอดภัยเด็ก ร่วมงานวันเด็ก
กระทรวงสาธารณสุข แนะผู้ปกครองพาเด็กเล็กร่วมงานวันเด็กสถานที่ต่าง ๆ เตรียมน้ําดื่ม เจลล้างมือ ติดป้ายชื่อและเบอร์โทรติดต่อผู้ปกครอง
กระทรวงสาธารณสุข แนะผู้ปกครองพาเด็กเล็กร่วมงานวันเด็กสถานที่ต่าง ๆ เตรียมน้ําดื่ม เจลล้างมือ ติดป้ายชื่อและเบอร์โทรติดต่อผู้ปกครอง
วันนี้ (10 มกราคม 2563) นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวงและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วันเสาร์ที่ 11 มกราคมนี้เป็นวันเด็กแห่งชาติ พ่อ แม่ ผู้ปกครองที่พาบุตรหลานไปร่วมกิจกรรมที่หน่วยงานต่างๆ จัดขึ้น ขอแนะนําให้ผู้ปกครองเตรียมน้ําดื่ม ทิชชู่เปียก เจลล้างมือ หมวก ร่ม และหน้ากากอนามัยติดไปด้วย รวมทั้งจัดทําป้ายชื่อของเด็กและเบอร์โทรศัพท์ติดต่อผู้ปกครองติดตัวเด็กไว้ ให้สามารถติดต่อได้หากเกิดการพลัดหลง เมื่อไปร่วมกิจกรรมขอให้ล้างมือเด็กบ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังจากจับของเล่น ก่อนหยิบจับขนม ก่อนรับประทานอาหาร เมื่อได้รับอาหารกล่องที่แจกในงาน ขอให้สังเกตอาหารว่ามีกลิ่นผิดปกติ บูดเสียหรือไม่ และควรเลือกอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ จากร้านที่ถูกสุขลักษณะ ยึดหลัก “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยโรคระบบทางเดินอาหารและระบบทางเดินหายใจ รวมถึงต้องระมัดระวังการเล่นลูกโป่งอัดไฮโดรเจนซึ่งเป็นแก๊สที่ไวต่อประกายไฟ อาจเกิดอันตราย หากลูกโป่งแตกควรเก็บเศษทิ้งเพื่อป้องกันเด็กหยิบมาอมหรือกัดเล่น อาจลื่นเข้าไปในลําคออุดกั้นทางเดินหายใจได้ หากเด็กป่วยเป็นไข้หวัด ควรพักผ่อนที่บ้าน ไม่ควรไปร่วมกิจกรรม เพราะอาจแพร่เชื้อไปสู่เด็กคนอื่น ๆ
นายแพทย์รุ่งเรืองกล่าวต่อว่า หลังกลับจากเที่ยวงานวันเด็กแล้วเด็กป่วยมีอาการไข้ ไอ มีน้ํามูก พ่อแม่สามารถให้การดูแลได้เองโดยให้พักผ่อนที่บ้าน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ สวมเสื้อผ้าให้ความอบอุ่น เช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ําธรรมดา หากมีไข้สูงให้รับประทานยาลดไข้พาราเซตามอล และยารักษาตามอาการ เช่น ยาแก้ไอ ยาลดน้ํามูก อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น และหายป่วยใน 1 สัปดาห์ แต่หากอาการไม่ดีขึ้น สังเกตได้ง่ายก็คือ หายใจเร็ว หอบ เหนื่อย มีไข้สูงเกิน 3 วัน ขอให้รีบพาไปพบแพทย์ทันที
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แนะผู้ปกครองดูแลสุขอนามัยและความปลอดภัยเด็ก ร่วมงานวันเด็ก
วันศุกร์ที่ 10 มกราคม 2563
สธ.แนะผู้ปกครองดูแลสุขอนามัยและความปลอดภัยเด็ก ร่วมงานวันเด็ก
กระทรวงสาธารณสุข แนะผู้ปกครองพาเด็กเล็กร่วมงานวันเด็กสถานที่ต่าง ๆ เตรียมน้ําดื่ม เจลล้างมือ ติดป้ายชื่อและเบอร์โทรติดต่อผู้ปกครอง
กระทรวงสาธารณสุข แนะผู้ปกครองพาเด็กเล็กร่วมงานวันเด็กสถานที่ต่าง ๆ เตรียมน้ําดื่ม เจลล้างมือ ติดป้ายชื่อและเบอร์โทรติดต่อผู้ปกครอง
วันนี้ (10 มกราคม 2563) นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวงและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วันเสาร์ที่ 11 มกราคมนี้เป็นวันเด็กแห่งชาติ พ่อ แม่ ผู้ปกครองที่พาบุตรหลานไปร่วมกิจกรรมที่หน่วยงานต่างๆ จัดขึ้น ขอแนะนําให้ผู้ปกครองเตรียมน้ําดื่ม ทิชชู่เปียก เจลล้างมือ หมวก ร่ม และหน้ากากอนามัยติดไปด้วย รวมทั้งจัดทําป้ายชื่อของเด็กและเบอร์โทรศัพท์ติดต่อผู้ปกครองติดตัวเด็กไว้ ให้สามารถติดต่อได้หากเกิดการพลัดหลง เมื่อไปร่วมกิจกรรมขอให้ล้างมือเด็กบ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังจากจับของเล่น ก่อนหยิบจับขนม ก่อนรับประทานอาหาร เมื่อได้รับอาหารกล่องที่แจกในงาน ขอให้สังเกตอาหารว่ามีกลิ่นผิดปกติ บูดเสียหรือไม่ และควรเลือกอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ จากร้านที่ถูกสุขลักษณะ ยึดหลัก “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยโรคระบบทางเดินอาหารและระบบทางเดินหายใจ รวมถึงต้องระมัดระวังการเล่นลูกโป่งอัดไฮโดรเจนซึ่งเป็นแก๊สที่ไวต่อประกายไฟ อาจเกิดอันตราย หากลูกโป่งแตกควรเก็บเศษทิ้งเพื่อป้องกันเด็กหยิบมาอมหรือกัดเล่น อาจลื่นเข้าไปในลําคออุดกั้นทางเดินหายใจได้ หากเด็กป่วยเป็นไข้หวัด ควรพักผ่อนที่บ้าน ไม่ควรไปร่วมกิจกรรม เพราะอาจแพร่เชื้อไปสู่เด็กคนอื่น ๆ
นายแพทย์รุ่งเรืองกล่าวต่อว่า หลังกลับจากเที่ยวงานวันเด็กแล้วเด็กป่วยมีอาการไข้ ไอ มีน้ํามูก พ่อแม่สามารถให้การดูแลได้เองโดยให้พักผ่อนที่บ้าน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ สวมเสื้อผ้าให้ความอบอุ่น เช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ําธรรมดา หากมีไข้สูงให้รับประทานยาลดไข้พาราเซตามอล และยารักษาตามอาการ เช่น ยาแก้ไอ ยาลดน้ํามูก อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น และหายป่วยใน 1 สัปดาห์ แต่หากอาการไม่ดีขึ้น สังเกตได้ง่ายก็คือ หายใจเร็ว หอบ เหนื่อย มีไข้สูงเกิน 3 วัน ขอให้รีบพาไปพบแพทย์ทันที
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25710
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ นำเสนอแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดพื้นที่เฉพาะโรงงานฯในห้วง 3 เดือน
|
วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2561
ก.อุตฯ นําเสนอแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดพื้นที่เฉพาะโรงงานฯในห้วง 3 เดือน
นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหายาเสพติด ครั้งที่ 2/2561 ณ ห้องประชุม กอ.รมน.ชั้น 3 อาคารรื่นฤด
วันนี้ (19 พ.ย.61) นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหายาเสพติด ครั้งที่ 2/2561 ซึ่งกระทรวงฯ ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพฯ ในพื้นที่เฉพาะโรงงานอุตสาหกรรม ห้วงเวลาเร่งด่วน 3 เดือน (พ.ย.61-ม.ค.62) โดยได้นําเสนอโครงการโรงงานทั่วไทยร่วมใจต้านภัยยาเสพติด ซึ่งมี 3 กิจกรรมหลัก คือ 1) การควบคุมการนําเข้าและส่งออกสารตั้งต้นผลิตยาเสพติด 2) การให้โรงงานจัดกิจกรรมรณรงค์ 1,000 โรง/50,000 คน และ 3) การบูรณาการตรวจค้นยาเสพติดในโรงงาน (กลุ่มเสี่ยง) โดยมี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม(พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล) เป็นประธาน และฝ่ายความมั่นคง รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมด้วย ณ ห้องประชุม กอ.รมน.ชั้น 3 อาคารรื่นฤด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ นำเสนอแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดพื้นที่เฉพาะโรงงานฯในห้วง 3 เดือน
วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2561
ก.อุตฯ นําเสนอแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดพื้นที่เฉพาะโรงงานฯในห้วง 3 เดือน
นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหายาเสพติด ครั้งที่ 2/2561 ณ ห้องประชุม กอ.รมน.ชั้น 3 อาคารรื่นฤด
วันนี้ (19 พ.ย.61) นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหายาเสพติด ครั้งที่ 2/2561 ซึ่งกระทรวงฯ ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพฯ ในพื้นที่เฉพาะโรงงานอุตสาหกรรม ห้วงเวลาเร่งด่วน 3 เดือน (พ.ย.61-ม.ค.62) โดยได้นําเสนอโครงการโรงงานทั่วไทยร่วมใจต้านภัยยาเสพติด ซึ่งมี 3 กิจกรรมหลัก คือ 1) การควบคุมการนําเข้าและส่งออกสารตั้งต้นผลิตยาเสพติด 2) การให้โรงงานจัดกิจกรรมรณรงค์ 1,000 โรง/50,000 คน และ 3) การบูรณาการตรวจค้นยาเสพติดในโรงงาน (กลุ่มเสี่ยง) โดยมี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม(พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล) เป็นประธาน และฝ่ายความมั่นคง รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมด้วย ณ ห้องประชุม กอ.รมน.ชั้น 3 อาคารรื่นฤด
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16890
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘บิ๊กอู๋’ ‘ฮึ่ม’ ไม่ขยายเวลาแน่ อีก ‘4 วัน’ เท่านั้น! 30 มิ.ย. ดำเนินการถึงเที่ยงคืน
|
วันพุธที่ 27 มิถุนายน 2561
‘บิ๊กอู๋’ ‘ฮึ่ม’ ไม่ขยายเวลาแน่ อีก ‘4 วัน’ เท่านั้น! 30 มิ.ย. ดําเนินการถึงเที่ยงคืน
รมว.แรงงาน ประกาศชัดไม่ผ่อนปรน ไม่ขยายเวลาพิสูจน์สัญชาติ จัดทําทะเบียนประวัติและขออนุญาตทํางาน เหลือเวลาอีก 4 วัน เท่านั้น 30 มิถุนายน 2561 ดําเนินการถึงเที่ยงคืน 1 กรกฎาคม 2561 พร้อมตรวจเข้มการทํางานของแรงงาน ต่างด้าว พบผิดกฎหมาย ถูกจับ ปรับ ส่งกลับประ
วันนี้ (27 มิ.ย. 61) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน ได้จัดระเบียบการทํางานของคนต่างด้าว สัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย ได้รับสิทธิประโยชน์และการคุ้มครองตามกฎหมาย ตามมาตรฐานสากล ซึ่งที่ผ่านมา ได้ประสานกับประเทศต้นทาง เข้ามาพิสูจน์สัญชาติในประเทศไทย และเปิดให้มีการจัดทํา/ปรับปรุงทะเบียนประวัติ ตรวจลงตรา (วีซ่า) และขออนุญาตทํางาน ณ ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (OSS) โดยมีแรงงานที่ต้องพิสูจน์สัญชาติทั้งสิ้น 122,291 คน เป็น กัมพูชา 96,257 คน ลาว 8,327 คน เมียนมา 17,707 คน ซึ่งขณะนี้ดําเนินการไปแล้ว 115,502 คน คงเหลืออีก 6,789 คน เป็น กัมพูชา 6,516 คน ลาว 273 คน ส่วนแรงงานที่ต้องเข้าศูนย์ OSS ตามมติคณะรัฐมนตรี 16 มกราคม 2561 มีจํานวน 1,320,035 คน โดยดําเนินการไปแล้วภายใน 31 มีนาคม 2561 จํานวน 961,946 คน และต่อมามติ ครม.ได้มีการขยายเวลาให้เจ้าหน้าที่ในการดําเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 มิถุนายน 2561 ซึ่งมียอดที่ต้องเข้าศูนย์ OSS ในระยะ 2 อีก 348,022 คน ขณะนี้ดําเนินการแล้ว 324,132 คน คิดเป็น 93.14 % คงเหลืออีก 23,890 คน คิดเป็น 6.86 % ข้อมูล ณ วันที่ 26 มิ.ย. 61
“ขอให้นายจ้างตรวจสอบใบอนุญาตทํางาน ว่าถูกต้องตามกฎหมาย หมดอายุหรือไม่ และเอกสารของแรงงานต่างด้าวก่อนพามาดําเนินการ เพื่อลดเวลาในการดําเนินการ ไม่ถูกแรงงานต่างด้าวหลอก และทันภายใน 30 มิถุนายน 2561 ซึ่งจะดําเนินการถึงเที่ยงคืน หากไม่ทันแนะนําให้กลับประเทศต้นทางก่อน แล้วกลับเข้ามาประเทศไทยอีกครั้งในรูปแบบการนําเข้าตามระบบ MOU ซึ่งขณะนี้เหลือเวลาอีก 4 วัน เท่านั้น จึงขอให้นายจ้างเร่งพาแรงงานต่างด้าวไปดําเนินการให้ทันภายในกําหนด โดยกระทรวงแรงงานพร้อมจะให้บริการเพื่ออํานวยความสะดวกให้กับนายจ้างและแรงงานต่างด้าวอย่างเต็มที่ และขอยืนยันชัดเจนว่ารัฐบาลจะไม่มีการผ่อนปรน ไม่ขยายเวลาอย่างแน่นอน พ้น 30 มิถุนายน 2561 ยังไม่มาดําเนินการ แรงงานต่างด้าวจะไม่สามารถอยู่และทํางานต่อไปได้ ซึ่งภายในช่วงสัปดาห์สุดท้ายจะมีแผนระดมกวาดล้างผู้กระทําผิดกฎหมายครั้งใหญ่ เริ่ม 1 กรกฎาคมนี้ หากพบคนต่างด้าวทํางานโดยไม่มีใบอนุญาตทํางานหรือทํางานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทําได้ จะมีโทษปรับ 5,000 – 50,000 บาท และเมื่อชําระค่าปรับแล้ว คนต่างด้าวจะถูกส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และห้ามขออนุญาตทํางานภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ได้รับโทษ ขณะเดียวกันนายจ้างที่จ้างคนต่างด้าวโดยไม่มีใบอนุญาตทํางานหรือทํางานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทําได้ จะมีโทษปรับ 10,000 - 100,000 บาทต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทําผิดซ้ําต้องมีโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทํางานเป็นเวลา 3 ปี แห่งพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม หากแรงงานต่างด้าวที่ประสงค์จะทํางาน ในประเทศไทยจะต้องเข้ามาในรูปแบบการนําเข้าตามระบบ MOU เท่านั้น ทุกขั้นตอนของการใช้กฎหมายต้องถูกต้องชอบธรรม และสังคมยอมรับได้” รมว.แรงงาน กล่าวในท้ายที่สุด
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือโทร.สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ / ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ภาพและข่าว / ศปก.ขับเคลื่อนการจัดทําทะเบียนประวัติและพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าว ระยะที่ 2 ข้อมูล / 27 มิถุนายน 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘บิ๊กอู๋’ ‘ฮึ่ม’ ไม่ขยายเวลาแน่ อีก ‘4 วัน’ เท่านั้น! 30 มิ.ย. ดำเนินการถึงเที่ยงคืน
วันพุธที่ 27 มิถุนายน 2561
‘บิ๊กอู๋’ ‘ฮึ่ม’ ไม่ขยายเวลาแน่ อีก ‘4 วัน’ เท่านั้น! 30 มิ.ย. ดําเนินการถึงเที่ยงคืน
รมว.แรงงาน ประกาศชัดไม่ผ่อนปรน ไม่ขยายเวลาพิสูจน์สัญชาติ จัดทําทะเบียนประวัติและขออนุญาตทํางาน เหลือเวลาอีก 4 วัน เท่านั้น 30 มิถุนายน 2561 ดําเนินการถึงเที่ยงคืน 1 กรกฎาคม 2561 พร้อมตรวจเข้มการทํางานของแรงงาน ต่างด้าว พบผิดกฎหมาย ถูกจับ ปรับ ส่งกลับประ
วันนี้ (27 มิ.ย. 61) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน ได้จัดระเบียบการทํางานของคนต่างด้าว สัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย ได้รับสิทธิประโยชน์และการคุ้มครองตามกฎหมาย ตามมาตรฐานสากล ซึ่งที่ผ่านมา ได้ประสานกับประเทศต้นทาง เข้ามาพิสูจน์สัญชาติในประเทศไทย และเปิดให้มีการจัดทํา/ปรับปรุงทะเบียนประวัติ ตรวจลงตรา (วีซ่า) และขออนุญาตทํางาน ณ ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (OSS) โดยมีแรงงานที่ต้องพิสูจน์สัญชาติทั้งสิ้น 122,291 คน เป็น กัมพูชา 96,257 คน ลาว 8,327 คน เมียนมา 17,707 คน ซึ่งขณะนี้ดําเนินการไปแล้ว 115,502 คน คงเหลืออีก 6,789 คน เป็น กัมพูชา 6,516 คน ลาว 273 คน ส่วนแรงงานที่ต้องเข้าศูนย์ OSS ตามมติคณะรัฐมนตรี 16 มกราคม 2561 มีจํานวน 1,320,035 คน โดยดําเนินการไปแล้วภายใน 31 มีนาคม 2561 จํานวน 961,946 คน และต่อมามติ ครม.ได้มีการขยายเวลาให้เจ้าหน้าที่ในการดําเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 มิถุนายน 2561 ซึ่งมียอดที่ต้องเข้าศูนย์ OSS ในระยะ 2 อีก 348,022 คน ขณะนี้ดําเนินการแล้ว 324,132 คน คิดเป็น 93.14 % คงเหลืออีก 23,890 คน คิดเป็น 6.86 % ข้อมูล ณ วันที่ 26 มิ.ย. 61
“ขอให้นายจ้างตรวจสอบใบอนุญาตทํางาน ว่าถูกต้องตามกฎหมาย หมดอายุหรือไม่ และเอกสารของแรงงานต่างด้าวก่อนพามาดําเนินการ เพื่อลดเวลาในการดําเนินการ ไม่ถูกแรงงานต่างด้าวหลอก และทันภายใน 30 มิถุนายน 2561 ซึ่งจะดําเนินการถึงเที่ยงคืน หากไม่ทันแนะนําให้กลับประเทศต้นทางก่อน แล้วกลับเข้ามาประเทศไทยอีกครั้งในรูปแบบการนําเข้าตามระบบ MOU ซึ่งขณะนี้เหลือเวลาอีก 4 วัน เท่านั้น จึงขอให้นายจ้างเร่งพาแรงงานต่างด้าวไปดําเนินการให้ทันภายในกําหนด โดยกระทรวงแรงงานพร้อมจะให้บริการเพื่ออํานวยความสะดวกให้กับนายจ้างและแรงงานต่างด้าวอย่างเต็มที่ และขอยืนยันชัดเจนว่ารัฐบาลจะไม่มีการผ่อนปรน ไม่ขยายเวลาอย่างแน่นอน พ้น 30 มิถุนายน 2561 ยังไม่มาดําเนินการ แรงงานต่างด้าวจะไม่สามารถอยู่และทํางานต่อไปได้ ซึ่งภายในช่วงสัปดาห์สุดท้ายจะมีแผนระดมกวาดล้างผู้กระทําผิดกฎหมายครั้งใหญ่ เริ่ม 1 กรกฎาคมนี้ หากพบคนต่างด้าวทํางานโดยไม่มีใบอนุญาตทํางานหรือทํางานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทําได้ จะมีโทษปรับ 5,000 – 50,000 บาท และเมื่อชําระค่าปรับแล้ว คนต่างด้าวจะถูกส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และห้ามขออนุญาตทํางานภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ได้รับโทษ ขณะเดียวกันนายจ้างที่จ้างคนต่างด้าวโดยไม่มีใบอนุญาตทํางานหรือทํางานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทําได้ จะมีโทษปรับ 10,000 - 100,000 บาทต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทําผิดซ้ําต้องมีโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทํางานเป็นเวลา 3 ปี แห่งพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม หากแรงงานต่างด้าวที่ประสงค์จะทํางาน ในประเทศไทยจะต้องเข้ามาในรูปแบบการนําเข้าตามระบบ MOU เท่านั้น ทุกขั้นตอนของการใช้กฎหมายต้องถูกต้องชอบธรรม และสังคมยอมรับได้” รมว.แรงงาน กล่าวในท้ายที่สุด
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือโทร.สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ / ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ภาพและข่าว / ศปก.ขับเคลื่อนการจัดทําทะเบียนประวัติและพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าว ระยะที่ 2 ข้อมูล / 27 มิถุนายน 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13375
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยผลการเจาะเลือดตรวจแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่กรณีประสบเหตุในช่วงสงกรานต์ 2 วันแรก 1 ใน 4 เป็นเยาวชนต่ำกว่า 20 ปี
|
วันพฤหัสบดีที่ 13 เมษายน 2560
สธ.เผยผลการเจาะเลือดตรวจแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่กรณีประสบเหตุในช่วงสงกรานต์ 2 วันแรก 1 ใน 4 เป็นเยาวชนต่ํากว่า 20 ปี
กระทรวงสาธารณสุข เผยผลการเจาะเลือดตรวจแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่รถทั้ง 2 ฝ่ายที่ประสบอุบัติเหตุจนบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต 2 วันแรกตรวจ 40 คน พบ 1 ใน 4 เป็นเยาวชนอายุต่ํากว่า 20 ปี
กระทรวงสาธารณสุข เผยผลการเจาะเลือดตรวจแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่รถทั้ง 2 ฝ่ายที่ประสบอุบัติเหตุจนบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต 2 วันแรกตรวจ 40 คน พบ 1 ใน 4 เป็นเยาวชนอายุต่ํากว่า 20 ปี ผลการตรวจเตือนกระทําผิดตาม พรบ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 พบขายให้เด็กต่ํากว่า 20 ปี จํานวน 67 ราย
วันนี้(13 เมษายน 2560) ที่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าว ผลการปฏิบัติงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2560 ในรอบ 2 วันตั้งแต่วันที่ 11-12 เมษายน 2560 ว่า สถิติอุบัติเหตุในรอบ 24 ชั่วโมงของวันที่ 12 เมษายน 2560 เกิดอุบัติเหตุ 586 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 630 คน เสียชีวิต 48 ราย สาเหตุส่วนใหญ่ เมาสุรา ร้อยละ 42.32 ขับรถเร็วเกินกําหนด ร้อยละ 30.38 ยอดรวม 2 วันตั้งแต่วันที่ 11-12 เมษายน มีอุบัติเหตุสะสม 995 ครั้ง บาดเจ็บสะสม 1,049 คน เสียชีวิต 82 ราย จังหวัดที่บาดเจ็บสะสมสูงสุดคือเชียงใหม่ 48 คน เสียชีวิตสะสมสูงสุด คือนครราชสีมา 6 ราย
กระทรวงสาธารณสุข เตรียมพร้อมสถานบริการทุกแห่ง มีหน่วยแพทย์ฉุกเฉินทุกระดับ 15,001 หน่วย มีเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 165,041 คน ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ผลการดําเนินงานตั้งแต่ 11-13 เมษายน 2560 ณ เวลา 08.00 น.มีผู้บาดเจ็บเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในสังกัด 7,263 คน ในจํานวนนี้บาดเจ็บสาหัสนอนพักรักษาในโรงพยาบาล 1,222 ราย โดยมีการดื่มสุรา 2,012 คน คิดเป็นร้อยละ 26 ในจํานวนนี้เป็นเยาวชนอายุต่ํากว่า 20 ปี คิดเป็นร้อยละ 18.34 ของผู้ที่ดื่มสุราทั้งหมด โดยในปี 2560 นี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ เจาะเลือดตรวจแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่รถทั้ง 2 ฝ่าย ที่ประสบอุบัติเหตุจนมีผู้บาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต ดําเนินการไปแล้ว 40 ราย ในจํานวนนี้พบ 1 ใน 4 เป็นเยาวชนอายุต่ํากว่า 20 ปี
ผลการตรวจเตือนบังคับใช้กฎหมาย พรบ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ในช่วงวันที่ 9-12 เมษายน 2560 ตรวจเตือนทั้งหมด 927 แห่ง พบผู้ประกอบการทําผิด 308 แห่ง ความผิดอันดับ 1 ได้แก่ ขายโดยไม่มีใบอนุญาต 80 ราย รองลงมาขายให้เด็กอายุต่ําอายุกว่า 20 ปี 67 ราย และการโฆษณาสื่อสารการตลาด 44 ราย โดยได้ตรวจเตือนทุกรายและส่งดําเนินคดี 7 ราย โดยโทษของการกระทําผิดมีดังนี้ 1.ขายโดยไม่มีใบอนุญาต ผิดตาม พรบ.สุรา ของกรมสรรพสามิต มีโทษปรับ 500-2,000 บาท 2.การโฆษณาเหล้า ลดแลกแจกแถม มีโทษจําคุก 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ 3.ขายให้เด็กอายุต่ํากว่า 20 ปี มีโทษจําคุก 1 ปี ปรับ 20,000บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ในวันนี้ได้กําชับให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วประเทศเร่งดําเนินการ 4 เรื่องเพื่อลดการบาดเจ็บและเสียชีวิต จากจราจร ได้แก่ 1.เน้นการเฝ้าระวังและตรวจจับอย่างเข้มข้น ตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ทั้งสถานที่ห้ามขาย ห้ามดื่ม การขายให้กับเด็กอายุ ต่ํากว่า 20 ปี และในช่วงเวลาห้ามขาย 2.ให้มีการสอบสวนกรณีเด็กอายุต่ํากว่า 20 ปี ที่บาดเจ็บและเสียชีวิตที่มีสาเหตุจากการดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อสอบถามแหล่งจําหน่ายร่วมกับเจ้าหน้าที่ตํารวจ และลงพื้นที่ในการตรวจ/เตือน 3.ให้โรงพยาบาลร่วมกับเจ้าหน้าที่ตํารวจ เจาะเลือดตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่ ถ้าไม่สามารถเป่าลมหายใจผ่านเครื่องตรวจได้ และกรณีนั้นเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บรุนแรงหรือเสียชีวิต โดยกระทรวงสาธารณสุขและสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) รับผิดชอบค่าตรวจในช่วง 7 วันอันตราย 4.ให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน(อสม.) ตรวจและเตือนกลุ่มเสี่ยง ประชาสัมพันธ์ร้านจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในชุมชนและร่วมมือประชาคมตั้งด่านชุมชน และการนําเสนอข้อมูลผ่านศูนย์ความปลอดภัยทางถนนระดับจังหวัด/อําเภอ
สําหรับการดําเนินการตามนโยบาย “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่”(Universal Coverage for Emergency Patients : UCEP) ตั้งแต่วันที่ 1-12 เมษายน 2560 มีผู้ป่วยวิกฤตฉุกเฉินเข้าระบบ 1,123 ราย เข้าเกณฑ์วิกฤตฉุกเฉินสีแดง 458 ราย ในวันที่ 12 มีจํานวน 119 ราย เข้าเกณฑ์ 42 ราย หากประชาชนเจ็บป่วยวิกฤตฉุกเฉินสีแดง สามารถเข้ารับการรักษา ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือจุดเกิดเหตุที่ใกล้ที่สุดทั้งของรัฐและเอกชน เพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงที ไม่ต้องสํารองจ่ายเงินในระยะ 72 ชั่วโมงแรก หากประชาชนประสบเหตุหรือเจ็บป่วยฉุกเฉินขอความช่วยเหลือได้ที่ หมายเลข 1669 และ สามารถสอบถามเรื่องสิทธิ UCEP ได้ที่หมายเลข 02 8721669 ตลอด 24 ชั่วโมง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยผลการเจาะเลือดตรวจแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่กรณีประสบเหตุในช่วงสงกรานต์ 2 วันแรก 1 ใน 4 เป็นเยาวชนต่ำกว่า 20 ปี
วันพฤหัสบดีที่ 13 เมษายน 2560
สธ.เผยผลการเจาะเลือดตรวจแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่กรณีประสบเหตุในช่วงสงกรานต์ 2 วันแรก 1 ใน 4 เป็นเยาวชนต่ํากว่า 20 ปี
กระทรวงสาธารณสุข เผยผลการเจาะเลือดตรวจแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่รถทั้ง 2 ฝ่ายที่ประสบอุบัติเหตุจนบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต 2 วันแรกตรวจ 40 คน พบ 1 ใน 4 เป็นเยาวชนอายุต่ํากว่า 20 ปี
กระทรวงสาธารณสุข เผยผลการเจาะเลือดตรวจแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่รถทั้ง 2 ฝ่ายที่ประสบอุบัติเหตุจนบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต 2 วันแรกตรวจ 40 คน พบ 1 ใน 4 เป็นเยาวชนอายุต่ํากว่า 20 ปี ผลการตรวจเตือนกระทําผิดตาม พรบ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 พบขายให้เด็กต่ํากว่า 20 ปี จํานวน 67 ราย
วันนี้(13 เมษายน 2560) ที่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าว ผลการปฏิบัติงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2560 ในรอบ 2 วันตั้งแต่วันที่ 11-12 เมษายน 2560 ว่า สถิติอุบัติเหตุในรอบ 24 ชั่วโมงของวันที่ 12 เมษายน 2560 เกิดอุบัติเหตุ 586 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 630 คน เสียชีวิต 48 ราย สาเหตุส่วนใหญ่ เมาสุรา ร้อยละ 42.32 ขับรถเร็วเกินกําหนด ร้อยละ 30.38 ยอดรวม 2 วันตั้งแต่วันที่ 11-12 เมษายน มีอุบัติเหตุสะสม 995 ครั้ง บาดเจ็บสะสม 1,049 คน เสียชีวิต 82 ราย จังหวัดที่บาดเจ็บสะสมสูงสุดคือเชียงใหม่ 48 คน เสียชีวิตสะสมสูงสุด คือนครราชสีมา 6 ราย
กระทรวงสาธารณสุข เตรียมพร้อมสถานบริการทุกแห่ง มีหน่วยแพทย์ฉุกเฉินทุกระดับ 15,001 หน่วย มีเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 165,041 คน ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ผลการดําเนินงานตั้งแต่ 11-13 เมษายน 2560 ณ เวลา 08.00 น.มีผู้บาดเจ็บเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในสังกัด 7,263 คน ในจํานวนนี้บาดเจ็บสาหัสนอนพักรักษาในโรงพยาบาล 1,222 ราย โดยมีการดื่มสุรา 2,012 คน คิดเป็นร้อยละ 26 ในจํานวนนี้เป็นเยาวชนอายุต่ํากว่า 20 ปี คิดเป็นร้อยละ 18.34 ของผู้ที่ดื่มสุราทั้งหมด โดยในปี 2560 นี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ เจาะเลือดตรวจแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่รถทั้ง 2 ฝ่าย ที่ประสบอุบัติเหตุจนมีผู้บาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต ดําเนินการไปแล้ว 40 ราย ในจํานวนนี้พบ 1 ใน 4 เป็นเยาวชนอายุต่ํากว่า 20 ปี
ผลการตรวจเตือนบังคับใช้กฎหมาย พรบ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ในช่วงวันที่ 9-12 เมษายน 2560 ตรวจเตือนทั้งหมด 927 แห่ง พบผู้ประกอบการทําผิด 308 แห่ง ความผิดอันดับ 1 ได้แก่ ขายโดยไม่มีใบอนุญาต 80 ราย รองลงมาขายให้เด็กอายุต่ําอายุกว่า 20 ปี 67 ราย และการโฆษณาสื่อสารการตลาด 44 ราย โดยได้ตรวจเตือนทุกรายและส่งดําเนินคดี 7 ราย โดยโทษของการกระทําผิดมีดังนี้ 1.ขายโดยไม่มีใบอนุญาต ผิดตาม พรบ.สุรา ของกรมสรรพสามิต มีโทษปรับ 500-2,000 บาท 2.การโฆษณาเหล้า ลดแลกแจกแถม มีโทษจําคุก 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ 3.ขายให้เด็กอายุต่ํากว่า 20 ปี มีโทษจําคุก 1 ปี ปรับ 20,000บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ในวันนี้ได้กําชับให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วประเทศเร่งดําเนินการ 4 เรื่องเพื่อลดการบาดเจ็บและเสียชีวิต จากจราจร ได้แก่ 1.เน้นการเฝ้าระวังและตรวจจับอย่างเข้มข้น ตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ทั้งสถานที่ห้ามขาย ห้ามดื่ม การขายให้กับเด็กอายุ ต่ํากว่า 20 ปี และในช่วงเวลาห้ามขาย 2.ให้มีการสอบสวนกรณีเด็กอายุต่ํากว่า 20 ปี ที่บาดเจ็บและเสียชีวิตที่มีสาเหตุจากการดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อสอบถามแหล่งจําหน่ายร่วมกับเจ้าหน้าที่ตํารวจ และลงพื้นที่ในการตรวจ/เตือน 3.ให้โรงพยาบาลร่วมกับเจ้าหน้าที่ตํารวจ เจาะเลือดตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่ ถ้าไม่สามารถเป่าลมหายใจผ่านเครื่องตรวจได้ และกรณีนั้นเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บรุนแรงหรือเสียชีวิต โดยกระทรวงสาธารณสุขและสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) รับผิดชอบค่าตรวจในช่วง 7 วันอันตราย 4.ให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน(อสม.) ตรวจและเตือนกลุ่มเสี่ยง ประชาสัมพันธ์ร้านจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในชุมชนและร่วมมือประชาคมตั้งด่านชุมชน และการนําเสนอข้อมูลผ่านศูนย์ความปลอดภัยทางถนนระดับจังหวัด/อําเภอ
สําหรับการดําเนินการตามนโยบาย “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่”(Universal Coverage for Emergency Patients : UCEP) ตั้งแต่วันที่ 1-12 เมษายน 2560 มีผู้ป่วยวิกฤตฉุกเฉินเข้าระบบ 1,123 ราย เข้าเกณฑ์วิกฤตฉุกเฉินสีแดง 458 ราย ในวันที่ 12 มีจํานวน 119 ราย เข้าเกณฑ์ 42 ราย หากประชาชนเจ็บป่วยวิกฤตฉุกเฉินสีแดง สามารถเข้ารับการรักษา ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือจุดเกิดเหตุที่ใกล้ที่สุดทั้งของรัฐและเอกชน เพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงที ไม่ต้องสํารองจ่ายเงินในระยะ 72 ชั่วโมงแรก หากประชาชนประสบเหตุหรือเจ็บป่วยฉุกเฉินขอความช่วยเหลือได้ที่ หมายเลข 1669 และ สามารถสอบถามเรื่องสิทธิ UCEP ได้ที่หมายเลข 02 8721669 ตลอด 24 ชั่วโมง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3079
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.วิวัฒน์ ลงพื้นที่ทุ่งมหาราช เล็งพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำ
|
วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม 2561
รมช.วิวัฒน์ ลงพื้นที่ทุ่งมหาราช เล็งพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ํา
รมช.วิวัฒน์ ลงพื้นที่ทุ่งมหาราช เล็งพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ําให้เหมาะสมกับพื้นที่ ภายใต้ความต้องการของชาวบ้าน
นายวิวัฒน์ ศัลยกําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ํา ณ บริเวณทุ่งมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายในการบริหารจัดการน้ําแบบชุมชนมีส่วนร่วม และการใช้น้ําอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อผลผลิตทางการเกษตร รวมทั้งแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ โดยพื้นที่บริเวณทุ่งมหาราช
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นทุ่งที่ต่ําสุดของภูมิภาคนี้ เมื่อฝนตกน้ําจะท่วมเป็นทะเล แต่ชาวบ้านมีความสามารถ
ในการปรับตัวทําการเกษตรบนพื้นที่ 10,000 ไร่ ซึ่งข้าวที่ปลูกในพื้นที่นี้ มีความสูงถึง 6 เมตร และมีผลผลิตเพียงพอต่อการบริโภค สําหรับการดําเนินงานของกระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน ปัจจุบันพยายามจะจัดระบบการบริหารจัดการน้ําให้มีประสิทธิภาพ แต่ด้วยข้อจํากัดที่ต้องใช้งบประมาณมากกว่าพื้นที่อื่น จึงดําเนินการได้ล่าช้า
"การจะเข้าไปพัฒนาในพื้นที่ใดๆ ก็ตาม จะต้องสอดคล้องกับสภาพสังคมและวัฒนธรรมของพื้นที่นั้น ซึ่งเมื่อชาวบ้านปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ จะทําให้ลงทุนน้อยกว่า ทั้งนี้ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะบูรณาการการทํางานร่วมกันภายใต้ความต้องการของชาวบ้านเป็นหลัก ซึ่งจะต้องมีการสํารวจความต้องการ มีการรับฟังความคิดเห็น
ทําความเข้าใจกับชาวบ้านในพื้นที่ ตลอดจนวางแผนการดําเนินงานร่วมกัน" นายวิวัฒน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ วางแนวทางในการพัฒนาทุ่งมหาราช ไว้ 2 ระยะ ได้แก่ แผนงานระยะเร่งด่วน ดําเนินงานโดยสํานักงานชลประทานที่ 10 ขณะนี้อยู่ระหว่างการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ทั้งลักษณะสภาพภูมิประเทศ การบริหารจัดการน้ํา ระบบส่งน้ํา ระบบระบายน้ํา รวมทั้งสถิติการเพาะปลูกในพื้นที่ในโครงการที่ผ่านมา เพื่อใช้ในการวางแผนการพัฒนาในพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นที่ลุ่มต่ํามากๆ ซึ่งมีความจําเป็นที่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างเร่งด่วน
ส่วนแผนในระยะยาว จะดําเนินการศึกษาโดยสํานักบริหารโครงการ กรมชลประทาน เพื่อพิจารณาศึกษาพัฒนาพื้นที่ทุ่งมหาราชทั้งหมดอย่างเป็นระบบ และมีความสอดคล้องกับพื้นที่ลุ่มน้ําเจ้าพระยาในระยะต่อไป
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้ตรวจเยี่ยมแปลงสาธิตของกรมพัฒนาที่ดิน และพบปะเกษตรกร ณ ตําบลบางงา อําเภอมหาราชด้วย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.วิวัฒน์ ลงพื้นที่ทุ่งมหาราช เล็งพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำ
วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม 2561
รมช.วิวัฒน์ ลงพื้นที่ทุ่งมหาราช เล็งพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ํา
รมช.วิวัฒน์ ลงพื้นที่ทุ่งมหาราช เล็งพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ําให้เหมาะสมกับพื้นที่ ภายใต้ความต้องการของชาวบ้าน
นายวิวัฒน์ ศัลยกําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ํา ณ บริเวณทุ่งมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายในการบริหารจัดการน้ําแบบชุมชนมีส่วนร่วม และการใช้น้ําอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อผลผลิตทางการเกษตร รวมทั้งแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ โดยพื้นที่บริเวณทุ่งมหาราช
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นทุ่งที่ต่ําสุดของภูมิภาคนี้ เมื่อฝนตกน้ําจะท่วมเป็นทะเล แต่ชาวบ้านมีความสามารถ
ในการปรับตัวทําการเกษตรบนพื้นที่ 10,000 ไร่ ซึ่งข้าวที่ปลูกในพื้นที่นี้ มีความสูงถึง 6 เมตร และมีผลผลิตเพียงพอต่อการบริโภค สําหรับการดําเนินงานของกระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน ปัจจุบันพยายามจะจัดระบบการบริหารจัดการน้ําให้มีประสิทธิภาพ แต่ด้วยข้อจํากัดที่ต้องใช้งบประมาณมากกว่าพื้นที่อื่น จึงดําเนินการได้ล่าช้า
"การจะเข้าไปพัฒนาในพื้นที่ใดๆ ก็ตาม จะต้องสอดคล้องกับสภาพสังคมและวัฒนธรรมของพื้นที่นั้น ซึ่งเมื่อชาวบ้านปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ จะทําให้ลงทุนน้อยกว่า ทั้งนี้ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะบูรณาการการทํางานร่วมกันภายใต้ความต้องการของชาวบ้านเป็นหลัก ซึ่งจะต้องมีการสํารวจความต้องการ มีการรับฟังความคิดเห็น
ทําความเข้าใจกับชาวบ้านในพื้นที่ ตลอดจนวางแผนการดําเนินงานร่วมกัน" นายวิวัฒน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ วางแนวทางในการพัฒนาทุ่งมหาราช ไว้ 2 ระยะ ได้แก่ แผนงานระยะเร่งด่วน ดําเนินงานโดยสํานักงานชลประทานที่ 10 ขณะนี้อยู่ระหว่างการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ทั้งลักษณะสภาพภูมิประเทศ การบริหารจัดการน้ํา ระบบส่งน้ํา ระบบระบายน้ํา รวมทั้งสถิติการเพาะปลูกในพื้นที่ในโครงการที่ผ่านมา เพื่อใช้ในการวางแผนการพัฒนาในพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นที่ลุ่มต่ํามากๆ ซึ่งมีความจําเป็นที่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างเร่งด่วน
ส่วนแผนในระยะยาว จะดําเนินการศึกษาโดยสํานักบริหารโครงการ กรมชลประทาน เพื่อพิจารณาศึกษาพัฒนาพื้นที่ทุ่งมหาราชทั้งหมดอย่างเป็นระบบ และมีความสอดคล้องกับพื้นที่ลุ่มน้ําเจ้าพระยาในระยะต่อไป
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้ตรวจเยี่ยมแปลงสาธิตของกรมพัฒนาที่ดิน และพบปะเกษตรกร ณ ตําบลบางงา อําเภอมหาราชด้วย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15860
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ นำคณะผู้บริหารและหน่วยงานในสังกัดกระทรวง เข้าศึกษาดูงาน ณ Krungthai Innovation Lab
|
วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2562
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ นําคณะผู้บริหารและหน่วยงานในสังกัดกระทรวง เข้าศึกษาดูงาน ณ Krungthai Innovation Lab
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ นําคณะผู้บริหารและหน่วยงานในสังกัดกระทรวง เข้าศึกษาดูงาน ณ Krungthai Innovation Lab
เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2562 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นําคณะผู้บริหารและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าศึกษาดูงาน ณ Krungthai Innovation Lab ธนาคารกรุงไทยสํานักงานใหญ่ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ โดยมี นายจักรกฤษณ์ กลิ่นสมิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายนวัตกรรมและวิจัยทางเทคโนโลยี เป็นวิทยากรบรรยายเกี่ยวกับ Digital Innovation ร่วมกับ ดร.ธีรวัฒน์ อัศวโภคี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานนวัตกรรมข้อมูลเพื่อการขับเคลื่อนธุรกิจ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ซึ่งการเข้าเยี่ยมชมในครั้งนี้มุ่งหวังมาดูนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของธนาคารกรุงไทย เพื่อเป็นการส่งเสริมบทบาทด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม Digital Innovation อาทิ นวัตกรรม AR VR IoT Computer vision AI และ Blockchains รวมไปถึง Image Induction หรือการตรวจจับองค์ประกอบงใบหน้า เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และเพื่อนําไปสู่การพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ของกระทรวงดิจิทัลฯ
***********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ นำคณะผู้บริหารและหน่วยงานในสังกัดกระทรวง เข้าศึกษาดูงาน ณ Krungthai Innovation Lab
วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2562
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ นําคณะผู้บริหารและหน่วยงานในสังกัดกระทรวง เข้าศึกษาดูงาน ณ Krungthai Innovation Lab
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ นําคณะผู้บริหารและหน่วยงานในสังกัดกระทรวง เข้าศึกษาดูงาน ณ Krungthai Innovation Lab
เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2562 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นําคณะผู้บริหารและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าศึกษาดูงาน ณ Krungthai Innovation Lab ธนาคารกรุงไทยสํานักงานใหญ่ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ โดยมี นายจักรกฤษณ์ กลิ่นสมิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายนวัตกรรมและวิจัยทางเทคโนโลยี เป็นวิทยากรบรรยายเกี่ยวกับ Digital Innovation ร่วมกับ ดร.ธีรวัฒน์ อัศวโภคี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานนวัตกรรมข้อมูลเพื่อการขับเคลื่อนธุรกิจ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ซึ่งการเข้าเยี่ยมชมในครั้งนี้มุ่งหวังมาดูนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของธนาคารกรุงไทย เพื่อเป็นการส่งเสริมบทบาทด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม Digital Innovation อาทิ นวัตกรรม AR VR IoT Computer vision AI และ Blockchains รวมไปถึง Image Induction หรือการตรวจจับองค์ประกอบงใบหน้า เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และเพื่อนําไปสู่การพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ของกระทรวงดิจิทัลฯ
***********************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25351
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธาน JFCCT แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพเศรษฐกิจไทย พร้อมขอบคุณรัฐบาลไทยที่สนับสนุนนักลงทุนต่างชาติมาโดยตลอด
|
วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2560
ประธาน JFCCT แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพเศรษฐกิจไทย พร้อมขอบคุณรัฐบาลไทยที่สนับสนุนนักลงทุนต่างชาติมาโดยตลอด
ประธาน JFCCT แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพเศรษฐกิจไทย พร้อมขอบคุณรัฐบาลไทยที่สนับสนุนนักลงทุนต่างชาติมาโดยตลอด
ประธาน JFCCT แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพเศรษฐกิจไทย พร้อมขอบคุณรัฐบาลไทยที่สนับสนุนนักลงทุนต่างชาติมาโดยตลอด
วันนี้ (8 พ.ค. 60) เวลา 13.00 น. นายสแตนลี คัง (Mr. Stanley Kang) ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย (JFCCT) และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
รมว. นร. ยินดีที่ได้พบกับประธานหอการค้า ผู้บริหารและสมาชิกหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทยของประเทศต่าง ๆ ในวันนี้ ซึ่งเป็นโอกาสดีที่จะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ ระหว่างกัน พร้อมแสดงความขอบคุณ JFCCT ที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยและให้ความร่วมมือกับรัฐบาลเป็นอย่างดี รวมทั้งร่วมกันผลักดันและขับเคลื่อนนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลให้เป็นรูปธรรม
ประธาน JFCCT แสดงความขอบคุณ รมว.นร. ที่ให้เข้าพบในวันนี้ พร้อมแสดงความขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้การสนับสนุนนักลงทุนต่างชาติในการดําเนินธุรกิจในไทยมาโดยตลอด อย่างไรก็ดีขณะนี้ JFCCT มีข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับเรื่องกฎระเบียบของไทย รวมถึงเรื่องการขอ Work Permit และ Visa ซึ่งเป็นผลให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้ยาก
ทั้งนี้ รมว. นร. กล่าวว่ารัฐบาลให้ความสําคัญอย่างมากกับการอํานวยความสะดวกแก่นักลงทุนต่างชาติ ขณะนี้รัฐบาลได้พิจารณาทบทวนกฎหมายที่ไม่จําเป็น และปรับแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจตลอดจนลดทอนความยุ่งยากซับซ้อนที่เกิดขึ้นจากการบังคับใช้กฎหมาย และต้องการให้การให้บริการตามกฎหมายมีความรวดเร็ว และโปร่งใส
สําหรับเรื่อง Work Permit และ Visa นั้นรัฐบาลมุ่งมั่นและพยายามอํานวยความสะดวกในกระบวนการขอ work permit ของนักธุรกิจต่างชาติให้มากที่สุด รวมถึงการพิจารณาการลดขั้นตอนให้มีความรวดเร็ว และสะดวกมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้รัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมการสานพลังประชารัฐ โดยมีผู้แทนจากภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งได้กําหนดประเด็น work permit เป็น 1 ใน 5 Quick Win ที่ต้องดําเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเร่งด่วน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกฎหมาย พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และอํานวยความสะดวกในการดําเนินธุรกิจให้แก่นักธุรกิจต่างชาติ
ก่อนจบการสนทนา ประธาน JFCCT ย้ําว่า JFCCT พร้อมทํางานร่วมกับรัฐบาลไทยอย่างใกล้ชิด และแสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทย
***********
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธาน JFCCT แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพเศรษฐกิจไทย พร้อมขอบคุณรัฐบาลไทยที่สนับสนุนนักลงทุนต่างชาติมาโดยตลอด
วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2560
ประธาน JFCCT แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพเศรษฐกิจไทย พร้อมขอบคุณรัฐบาลไทยที่สนับสนุนนักลงทุนต่างชาติมาโดยตลอด
ประธาน JFCCT แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพเศรษฐกิจไทย พร้อมขอบคุณรัฐบาลไทยที่สนับสนุนนักลงทุนต่างชาติมาโดยตลอด
ประธาน JFCCT แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพเศรษฐกิจไทย พร้อมขอบคุณรัฐบาลไทยที่สนับสนุนนักลงทุนต่างชาติมาโดยตลอด
วันนี้ (8 พ.ค. 60) เวลา 13.00 น. นายสแตนลี คัง (Mr. Stanley Kang) ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย (JFCCT) และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
รมว. นร. ยินดีที่ได้พบกับประธานหอการค้า ผู้บริหารและสมาชิกหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทยของประเทศต่าง ๆ ในวันนี้ ซึ่งเป็นโอกาสดีที่จะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ ระหว่างกัน พร้อมแสดงความขอบคุณ JFCCT ที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยและให้ความร่วมมือกับรัฐบาลเป็นอย่างดี รวมทั้งร่วมกันผลักดันและขับเคลื่อนนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลให้เป็นรูปธรรม
ประธาน JFCCT แสดงความขอบคุณ รมว.นร. ที่ให้เข้าพบในวันนี้ พร้อมแสดงความขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้การสนับสนุนนักลงทุนต่างชาติในการดําเนินธุรกิจในไทยมาโดยตลอด อย่างไรก็ดีขณะนี้ JFCCT มีข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับเรื่องกฎระเบียบของไทย รวมถึงเรื่องการขอ Work Permit และ Visa ซึ่งเป็นผลให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้ยาก
ทั้งนี้ รมว. นร. กล่าวว่ารัฐบาลให้ความสําคัญอย่างมากกับการอํานวยความสะดวกแก่นักลงทุนต่างชาติ ขณะนี้รัฐบาลได้พิจารณาทบทวนกฎหมายที่ไม่จําเป็น และปรับแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจตลอดจนลดทอนความยุ่งยากซับซ้อนที่เกิดขึ้นจากการบังคับใช้กฎหมาย และต้องการให้การให้บริการตามกฎหมายมีความรวดเร็ว และโปร่งใส
สําหรับเรื่อง Work Permit และ Visa นั้นรัฐบาลมุ่งมั่นและพยายามอํานวยความสะดวกในกระบวนการขอ work permit ของนักธุรกิจต่างชาติให้มากที่สุด รวมถึงการพิจารณาการลดขั้นตอนให้มีความรวดเร็ว และสะดวกมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้รัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมการสานพลังประชารัฐ โดยมีผู้แทนจากภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งได้กําหนดประเด็น work permit เป็น 1 ใน 5 Quick Win ที่ต้องดําเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเร่งด่วน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกฎหมาย พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และอํานวยความสะดวกในการดําเนินธุรกิจให้แก่นักธุรกิจต่างชาติ
ก่อนจบการสนทนา ประธาน JFCCT ย้ําว่า JFCCT พร้อมทํางานร่วมกับรัฐบาลไทยอย่างใกล้ชิด และแสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทย
***********
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3598
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์น้ำ
|
วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2560
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์น้ํา
เกษตรฯ ยันกทม.และปริมณฑลไม่ได้รับผลกระทบจากน้ําเหนือ เหตุปริมาณน้ําไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยายังอยู่ในเกณฑ์ควบคุมไม่สูงเท่าปี 54 มีเพียงพื้นที่นอกคันกั้นน้ําที่ได้รับผลกระทบน้ําเอ่อล้นตลิ่ง พร้อมแจ้งเตือนหน่วยเกี่ยวข้องแจงข้อมูลประชาชนต่อเนื่อง
พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรฯ ได้สั่งการให้มีการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ ติดตามพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด โดยสั่งการให้กรมชลประทานติดตามสถานการณ์และตรวจสอบระบบชลประทานตลอดเวลา บริหารจัดการน้ําในอ่างเก็บน้ําให้อยู่ในเกณฑ์ควบคุมอย่างเคร่งครัด วางแผนการจัดจราจรน้ํา โดยพื้นที่ที่เคยเกิดน้ําท่วมประจํา ให้ติดตั้งเครื่องสูบน้ําและเครื่องมืออื่นเตรียมพร้อมไว้ด้วย และที่สําคัญ คือ การบูรณาการร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ปภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ และหน่วยงานอื่นๆ ในพื้นที่การแจ้งเตือนประชาชน ติดตามสภาพอากาศและการพยากรณ์อากาศ จากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมของเครื่องจักร เครื่องมือ อยู่ในพื้นที่ให้สามารถช่วยเหลือได้ทันที
สําหรับสถานการณ์น้ําในอ่างเก็บน้ํา สถานการณ์อ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ ปัจจุบัน(10ต.ค.60) มีปริมาณน้ําในอ่างฯ รวมกันทั้งสิ้น 59,478 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 79 ของความจุอ่างฯรวมกันทั้งหมด มากกว่าปี 2559 รวม 10,108 ล้าน ลบ.ม. เป็นน้ําใช้การได้ 35,659 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 69(ปี 2559 มีน้ําใช้การได้ 25,272 ล้าน ลบ.ม.)สามารถรองรับน้ําได้อีก 15,740 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 21 ขณะที่ลุ่มน้ําเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลักมีปริมาณน้ํารวมกันทั้งสิ้น 18,497 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ74ของความจุอ่างฯรวมกันทั้งหมด ปริมาณน้ํามากกว่าปี 2559 รวม 3,052 ล้าน ลบ.ม. มีปริมาณน้ําใช้การได้ 11,801 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 65 (ปี 2559 มีน้ําใช้การได้ 8,749 ล้าน ลบ.ม.) สามารถรองรับน้ําได้อีกกว่า 6,394 ล้าน ลบ.ม. โดยอ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่ที่มีระดับน้ําสูงกว่าเกณฑ์ควบคุมน้ําสูงสุด จํานวน 12 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ํากิ่วลม กิ่วคอหมา แควน้อยบํารุงแดน ห้วยหลวง น้ําอูน น้ําพุง จุฬาภรณ์ อุบลรัตน์ บางพระ ป่าสักชลสิทธิ์ ทับเสลา และกระเสียว ส่วนอ่างเก็บน้ําขนาดกลางมีปริมาณน้ําเก็บกักอยู่ระหว่าง 80% - 100% จํานวน 168แห่ง และอ่างเก็บน้ําที่มีปริมาณน้ําเก็บกักมากกว่า 100% จํานวน 167แห่ง
สําหรับสภาพน้ําที่ลุ่มน้ําเจ้าพระยามีปริมาณน้ําไหลผ่านสถานีวัดน้ําอ.เมืองจ.นครสวรรค์ (C.2) อัตรา 2,528ลบ.ม./วินาทีต่ํากว่าตลิ่ง 1.97เมตรโดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และมีน้ําไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาในอัตรา 2,188ลบ.ม./วินาทีมีพื้นที่นอกคันกั้นน้ํา ที่ได้รับผลกระทบน้ําเอ่อล้นตลิ่ง ได้แก่ บริเวณคลองโผงเผง คลองบางบาล และริมแม่น้ําน้อย บริเวณ อ.บางบาล อ.เสนา และอ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา ระดับน้ําหน้าเขื่อนเจ้าพระยา +16.80ม.รทก. รับน้ําเข้าฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกในปริมาณ 475ลบ.ม./วินาที ระบายน้ําท้ายเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ 346ลบ.ม./วินาทีมาผ่านเขื่อนพระรามหก 501ลบ.ม./วินาที น้ําไหลผ่านสถานีวัดน้ําบางไทร 2,328ลบ.ม./วินาที โดยใช้ปตร.คลองลัดโพธิ์จ.สมุทรปราการช่วยระบายน้ําออกสู่ทะเลให้เร็วขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ปริมาณน้ําที่ผ่าน อ.เมือง จ.นครสวรรค์ น้อยกว่าปี 2554 มาก โดยเมื่อปี 2554 สูงสุด 4,686 ลบ.ม./วินาที ประกอบกับสองฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยามีคันกั้นน้ําที่สูงมาก สามารถป้องกันน้ําที่เอ่อล้นตลิ่งได้ จะท่วมเฉพาะพื้นที่นอกคันกั้นน้ํา คือ พื้นที่ระหว่างแม่น้ํากับคันกั้นน้ํา ส่วนพื้นที่ในคันกั้นน้ําไม่ท่วม ดังนั้น ยืนยันว่าน้ําจํานวนนี้จะไม่มีผลกระทบกับ กทม.และปริมณฑล ด้านนายสมเกียรติ ประจําวงษ์ อธิบดีกรมชลประทานกล่าวเพิ่มเติมถึงการคาดการณ์ลุ่มน้ําเจ้าพระยา ที่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีปริมาณฝนตกกระจายในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางมากกว่าที่คาดการณ์ไว้มากส่งผลให้มีปริมาณน้ําไหลมายังเขื่อนเจ้าพระยาสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิมประกอบกับกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตรได้คาดการณ์ว่าในช่วงวันที่ 9 - 15 ต.ค. 60 ประเทศไทยจะยังคงมีฝนตกชุกหนาแน่นกับมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ ซึ่งกรมชลประทานได้ประเมินปริมาณน้ําจากการคาดการณ์ดังกล่าวพบว่าจะมีปริมาณน้ําจากแม่น้ําเจ้าพระยาที่อําเภอเมืองจังหวัดนครสวรรค์ไหลมารวมกับน้ําจากแม่น้ําสะแกกรังลงมายังเขื่อนเจ้าพระยาในอัตราสูงสุดประมาณ 3,100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีในวันที่ 15 ต.ค. 60
ดังนั้น เพื่อเป็นการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวกรมชลประทานจะบริหารจัดการน้ําโดยใช้พื้นที่ว่างบริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยาชะลอน้ําไว้รวมทั้งรับน้ําส่วนหนึ่งเข้าไปเก็บไว้ในพื้นที่ลุ่มต่ําทั้งสองฝั่งแต่เนื่องจากพื้นที่ชลประทานของลุ่มน้ําเจ้าพระยาตอนล่างมีฝนตกเต็มพื้นที่เช่นกันส่งผลให้มีน้ําท่าไหลหลากลงสู่ระบบชลประทานทั้งสองฝั่งด้วยทําให้สามารถรับน้ําเข้าไปได้เพียง 474ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีจากปริมาณน้ําสูงสุดที่รับได้ 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีจําเป็นต้องเพิ่มปริมาณน้ําผ่านเขื่อนเจ้าพระยาจากเดิม 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีจะค่อยๆทยอยเพิ่มการระบายตามปริมาณน้ําที่เพิ่มขึ้นบริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยาจนถึงอัตรา 2,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีในวันที่ 12 ต.ค. 60 และจะคงการระบายน้ําในอัตรา 2,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีต่อเนื่องไปประมาณ 1 สัปดาห์หากปริมาณฝนตกลดน้อยลงจะเริ่มลดปริมาณการระบายลงตามลําดับ ทั้งนี้ปริมาณน้ําที่ไหลผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นดังกล่าวจะส่งผลให้ระดับน้ําด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ํานอกคันกั้นน้ําเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 0.80 – 1.20 เมตรแต่ยังต่ํากว่าระดับคันกั้นน้ําประมาณ 0.50 -2.0 เมตร ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเร่งระบายน้ําในแม่น้ําเจ้าพระยากรมชลประทานได้ควบคุมการปิด – เปิดประตูระบายน้ําคลองลัดโพธิ์อันเนื่องมาจากพระราชดําริจังหวัดสมุทรปราการตามจังหวะการขึ้นลงของน้ําทะเลเพื่อเร่งระบายน้ําออกสู่ทะเลให้รวดเร็วยิ่งขึ้นจึงขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยติดตามสถานการณ์น้ําอย่างใกล้ชิด
ขณะที่ลุ่มน้ําป่าสักที่คาดว่าปริมาณฝนที่ตกหนักช่วงนี้จะส่งผลให้น้ําท่าไหลเข้าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์อย่างต่อเนื่องตามไปด้วยปัจจุบัน(10ต.ค. 60) เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มีปริมาณน้ําในอ่างฯ 878ล้านลูกบาศก์เมตรคิดเป็นร้อยละ 91ของความจุที่ระดับเก็บกัก คงเหลือพื้นที่รองรับน้ําได้อีกเพียง 82ล้านลูกบาศก์เมตร ดังนั้น เพื่อให้มีพื้นที่รองรับปริมาณน้ําอย่างเหมาะสม กรมชลประทานมีความจําเป็นที่ต้องระบายน้ําจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เพิ่มขึ้นจากเดิมวันละ 25 ล้านลูกบาศก์เมตรเป็นวันละ 30 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเมื่อน้ําจํานวนนี้ไหลลงไปรวมกับปริมาณน้ําจากคลองชัยนาท-ป่าสักแล้วจะควบคุมปริมาณน้ําไหลผ่านเขื่อนพระรามหกให้อยู่ในเกณฑ์ 550 - 600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีส่งผลให้พื้นที่ริมแม่น้ําป่าสักตั้งแต่ท้ายเขื่อนพระรามหกอําเภอท่าเรือจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจนถึงจุดบรรจบแม่น้ําเจ้าพระยาอําเภอพระนครศรีอยุธยาจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีระดับน้ําเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 20 - 30 เซนติเมตร ซึ่งกรมชลประทานได้รายงานสถานการณ์น้ําไปยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยากรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ําป่าสักให้เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ําอย่างใกล้ชิดหากมีความจําเป็นต้องระบายน้ําเพิ่มอีกเนื่องมาจากมีฝนตกลงมาเพิ่มกรมชลประทานจะแจ้งให้ทราบเป็นระยะๆต่อ
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์น้ำ
วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2560
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์น้ํา
เกษตรฯ ยันกทม.และปริมณฑลไม่ได้รับผลกระทบจากน้ําเหนือ เหตุปริมาณน้ําไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยายังอยู่ในเกณฑ์ควบคุมไม่สูงเท่าปี 54 มีเพียงพื้นที่นอกคันกั้นน้ําที่ได้รับผลกระทบน้ําเอ่อล้นตลิ่ง พร้อมแจ้งเตือนหน่วยเกี่ยวข้องแจงข้อมูลประชาชนต่อเนื่อง
พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรฯ ได้สั่งการให้มีการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ ติดตามพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด โดยสั่งการให้กรมชลประทานติดตามสถานการณ์และตรวจสอบระบบชลประทานตลอดเวลา บริหารจัดการน้ําในอ่างเก็บน้ําให้อยู่ในเกณฑ์ควบคุมอย่างเคร่งครัด วางแผนการจัดจราจรน้ํา โดยพื้นที่ที่เคยเกิดน้ําท่วมประจํา ให้ติดตั้งเครื่องสูบน้ําและเครื่องมืออื่นเตรียมพร้อมไว้ด้วย และที่สําคัญ คือ การบูรณาการร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ปภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ และหน่วยงานอื่นๆ ในพื้นที่การแจ้งเตือนประชาชน ติดตามสภาพอากาศและการพยากรณ์อากาศ จากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมของเครื่องจักร เครื่องมือ อยู่ในพื้นที่ให้สามารถช่วยเหลือได้ทันที
สําหรับสถานการณ์น้ําในอ่างเก็บน้ํา สถานการณ์อ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ ปัจจุบัน(10ต.ค.60) มีปริมาณน้ําในอ่างฯ รวมกันทั้งสิ้น 59,478 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 79 ของความจุอ่างฯรวมกันทั้งหมด มากกว่าปี 2559 รวม 10,108 ล้าน ลบ.ม. เป็นน้ําใช้การได้ 35,659 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 69(ปี 2559 มีน้ําใช้การได้ 25,272 ล้าน ลบ.ม.)สามารถรองรับน้ําได้อีก 15,740 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 21 ขณะที่ลุ่มน้ําเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลักมีปริมาณน้ํารวมกันทั้งสิ้น 18,497 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ74ของความจุอ่างฯรวมกันทั้งหมด ปริมาณน้ํามากกว่าปี 2559 รวม 3,052 ล้าน ลบ.ม. มีปริมาณน้ําใช้การได้ 11,801 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 65 (ปี 2559 มีน้ําใช้การได้ 8,749 ล้าน ลบ.ม.) สามารถรองรับน้ําได้อีกกว่า 6,394 ล้าน ลบ.ม. โดยอ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่ที่มีระดับน้ําสูงกว่าเกณฑ์ควบคุมน้ําสูงสุด จํานวน 12 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ํากิ่วลม กิ่วคอหมา แควน้อยบํารุงแดน ห้วยหลวง น้ําอูน น้ําพุง จุฬาภรณ์ อุบลรัตน์ บางพระ ป่าสักชลสิทธิ์ ทับเสลา และกระเสียว ส่วนอ่างเก็บน้ําขนาดกลางมีปริมาณน้ําเก็บกักอยู่ระหว่าง 80% - 100% จํานวน 168แห่ง และอ่างเก็บน้ําที่มีปริมาณน้ําเก็บกักมากกว่า 100% จํานวน 167แห่ง
สําหรับสภาพน้ําที่ลุ่มน้ําเจ้าพระยามีปริมาณน้ําไหลผ่านสถานีวัดน้ําอ.เมืองจ.นครสวรรค์ (C.2) อัตรา 2,528ลบ.ม./วินาทีต่ํากว่าตลิ่ง 1.97เมตรโดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และมีน้ําไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาในอัตรา 2,188ลบ.ม./วินาทีมีพื้นที่นอกคันกั้นน้ํา ที่ได้รับผลกระทบน้ําเอ่อล้นตลิ่ง ได้แก่ บริเวณคลองโผงเผง คลองบางบาล และริมแม่น้ําน้อย บริเวณ อ.บางบาล อ.เสนา และอ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา ระดับน้ําหน้าเขื่อนเจ้าพระยา +16.80ม.รทก. รับน้ําเข้าฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกในปริมาณ 475ลบ.ม./วินาที ระบายน้ําท้ายเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ 346ลบ.ม./วินาทีมาผ่านเขื่อนพระรามหก 501ลบ.ม./วินาที น้ําไหลผ่านสถานีวัดน้ําบางไทร 2,328ลบ.ม./วินาที โดยใช้ปตร.คลองลัดโพธิ์จ.สมุทรปราการช่วยระบายน้ําออกสู่ทะเลให้เร็วขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ปริมาณน้ําที่ผ่าน อ.เมือง จ.นครสวรรค์ น้อยกว่าปี 2554 มาก โดยเมื่อปี 2554 สูงสุด 4,686 ลบ.ม./วินาที ประกอบกับสองฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยามีคันกั้นน้ําที่สูงมาก สามารถป้องกันน้ําที่เอ่อล้นตลิ่งได้ จะท่วมเฉพาะพื้นที่นอกคันกั้นน้ํา คือ พื้นที่ระหว่างแม่น้ํากับคันกั้นน้ํา ส่วนพื้นที่ในคันกั้นน้ําไม่ท่วม ดังนั้น ยืนยันว่าน้ําจํานวนนี้จะไม่มีผลกระทบกับ กทม.และปริมณฑล ด้านนายสมเกียรติ ประจําวงษ์ อธิบดีกรมชลประทานกล่าวเพิ่มเติมถึงการคาดการณ์ลุ่มน้ําเจ้าพระยา ที่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีปริมาณฝนตกกระจายในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางมากกว่าที่คาดการณ์ไว้มากส่งผลให้มีปริมาณน้ําไหลมายังเขื่อนเจ้าพระยาสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิมประกอบกับกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตรได้คาดการณ์ว่าในช่วงวันที่ 9 - 15 ต.ค. 60 ประเทศไทยจะยังคงมีฝนตกชุกหนาแน่นกับมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ ซึ่งกรมชลประทานได้ประเมินปริมาณน้ําจากการคาดการณ์ดังกล่าวพบว่าจะมีปริมาณน้ําจากแม่น้ําเจ้าพระยาที่อําเภอเมืองจังหวัดนครสวรรค์ไหลมารวมกับน้ําจากแม่น้ําสะแกกรังลงมายังเขื่อนเจ้าพระยาในอัตราสูงสุดประมาณ 3,100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีในวันที่ 15 ต.ค. 60
ดังนั้น เพื่อเป็นการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวกรมชลประทานจะบริหารจัดการน้ําโดยใช้พื้นที่ว่างบริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยาชะลอน้ําไว้รวมทั้งรับน้ําส่วนหนึ่งเข้าไปเก็บไว้ในพื้นที่ลุ่มต่ําทั้งสองฝั่งแต่เนื่องจากพื้นที่ชลประทานของลุ่มน้ําเจ้าพระยาตอนล่างมีฝนตกเต็มพื้นที่เช่นกันส่งผลให้มีน้ําท่าไหลหลากลงสู่ระบบชลประทานทั้งสองฝั่งด้วยทําให้สามารถรับน้ําเข้าไปได้เพียง 474ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีจากปริมาณน้ําสูงสุดที่รับได้ 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีจําเป็นต้องเพิ่มปริมาณน้ําผ่านเขื่อนเจ้าพระยาจากเดิม 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีจะค่อยๆทยอยเพิ่มการระบายตามปริมาณน้ําที่เพิ่มขึ้นบริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยาจนถึงอัตรา 2,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีในวันที่ 12 ต.ค. 60 และจะคงการระบายน้ําในอัตรา 2,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีต่อเนื่องไปประมาณ 1 สัปดาห์หากปริมาณฝนตกลดน้อยลงจะเริ่มลดปริมาณการระบายลงตามลําดับ ทั้งนี้ปริมาณน้ําที่ไหลผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นดังกล่าวจะส่งผลให้ระดับน้ําด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ํานอกคันกั้นน้ําเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 0.80 – 1.20 เมตรแต่ยังต่ํากว่าระดับคันกั้นน้ําประมาณ 0.50 -2.0 เมตร ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเร่งระบายน้ําในแม่น้ําเจ้าพระยากรมชลประทานได้ควบคุมการปิด – เปิดประตูระบายน้ําคลองลัดโพธิ์อันเนื่องมาจากพระราชดําริจังหวัดสมุทรปราการตามจังหวะการขึ้นลงของน้ําทะเลเพื่อเร่งระบายน้ําออกสู่ทะเลให้รวดเร็วยิ่งขึ้นจึงขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยติดตามสถานการณ์น้ําอย่างใกล้ชิด
ขณะที่ลุ่มน้ําป่าสักที่คาดว่าปริมาณฝนที่ตกหนักช่วงนี้จะส่งผลให้น้ําท่าไหลเข้าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์อย่างต่อเนื่องตามไปด้วยปัจจุบัน(10ต.ค. 60) เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มีปริมาณน้ําในอ่างฯ 878ล้านลูกบาศก์เมตรคิดเป็นร้อยละ 91ของความจุที่ระดับเก็บกัก คงเหลือพื้นที่รองรับน้ําได้อีกเพียง 82ล้านลูกบาศก์เมตร ดังนั้น เพื่อให้มีพื้นที่รองรับปริมาณน้ําอย่างเหมาะสม กรมชลประทานมีความจําเป็นที่ต้องระบายน้ําจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เพิ่มขึ้นจากเดิมวันละ 25 ล้านลูกบาศก์เมตรเป็นวันละ 30 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเมื่อน้ําจํานวนนี้ไหลลงไปรวมกับปริมาณน้ําจากคลองชัยนาท-ป่าสักแล้วจะควบคุมปริมาณน้ําไหลผ่านเขื่อนพระรามหกให้อยู่ในเกณฑ์ 550 - 600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีส่งผลให้พื้นที่ริมแม่น้ําป่าสักตั้งแต่ท้ายเขื่อนพระรามหกอําเภอท่าเรือจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจนถึงจุดบรรจบแม่น้ําเจ้าพระยาอําเภอพระนครศรีอยุธยาจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีระดับน้ําเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 20 - 30 เซนติเมตร ซึ่งกรมชลประทานได้รายงานสถานการณ์น้ําไปยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยากรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ําป่าสักให้เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ําอย่างใกล้ชิดหากมีความจําเป็นต้องระบายน้ําเพิ่มอีกเนื่องมาจากมีฝนตกลงมาเพิ่มกรมชลประทานจะแจ้งให้ทราบเป็นระยะๆต่อ
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7325
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมหารือกับประธานหอการค้าอเมริกัน หนุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล
|
วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2560
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมหารือกับประธานหอการค้าอเมริกัน หนุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมประชุมกับ นายเจฟฟรีย์ ไนการ์ด (Mr.Jeffrey Nygaard) ประธานหอการค้าอเมริกัน และคณะ ในประเด็นเกี่ยวกับบทบาทของหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย รวมถึงทิศทางและนโยบายสําคัญในด้านต่างๆ ของกระทรวงดิจิทัลฯ เช่น การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) โดยเฉพาะในส่วนของเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park) นโยบายเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือทางอินเทอร์เน็ต (Trusted Internet) ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (National Cyber Security) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development) นโยบายด้านระบบการยืนยันตัวบุคคล (Unified Digital Identity Platform) รวมถึงสถานะและความคืบหน้าการปรับแก้ไขร่างกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตลอดจนผลกระทบกับภาคธุรกิจ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2560 ณ ห้องประชุม ชั้น 8 อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ
**************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมหารือกับประธานหอการค้าอเมริกัน หนุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล
วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2560
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมหารือกับประธานหอการค้าอเมริกัน หนุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมประชุมกับ นายเจฟฟรีย์ ไนการ์ด (Mr.Jeffrey Nygaard) ประธานหอการค้าอเมริกัน และคณะ ในประเด็นเกี่ยวกับบทบาทของหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย รวมถึงทิศทางและนโยบายสําคัญในด้านต่างๆ ของกระทรวงดิจิทัลฯ เช่น การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) โดยเฉพาะในส่วนของเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park) นโยบายเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือทางอินเทอร์เน็ต (Trusted Internet) ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (National Cyber Security) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development) นโยบายด้านระบบการยืนยันตัวบุคคล (Unified Digital Identity Platform) รวมถึงสถานะและความคืบหน้าการปรับแก้ไขร่างกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตลอดจนผลกระทบกับภาคธุรกิจ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2560 ณ ห้องประชุม ชั้น 8 อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ
**************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7830
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ทำความเข้าใจกม.ผู้เกี่ยวข้อง เพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองแรงงานทางทะเล
|
วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562
กสร. ทําความเข้าใจกม.ผู้เกี่ยวข้อง เพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองแรงงานทางทะเล
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติด้านคุ้มครองแรงงานทางทะเลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ เจ้าของเรือ และคนประจําเรือ เสริมความรู้ ความเข้าใจข้อกฎหมายและแนวทางปฏิบัติตามกฎหมายพระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558 เพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองแรงงาน
วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 นายวิวัฒน์ ตังหงส์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการด้านคุ้มครองแรงงานทางทะเลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ เจ้าของเรือ และคนประจําเรือ และการอบรมเทคนิคการเป็นวิทยากรด้านแรงงานทางทะเล (Train the Trainer) ทั้งนี้การจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการด้านคุ้มครองแรงงานทางทะเลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ เจ้าของเรือ และคนประจําเรือ การสัมมนาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558 ให้กับ เจ้าของเรือ คนประจําเรือ รวมทั้งเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงแรงงาน กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงสาธารณสุข จํานวน 40 คน ได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการและแนวทางปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้การคุ้มครองสิทธิแรงงานทางทะเลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ณ ห้องพาโนรามา 2 ชั้น 14 โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ทำความเข้าใจกม.ผู้เกี่ยวข้อง เพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองแรงงานทางทะเล
วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562
กสร. ทําความเข้าใจกม.ผู้เกี่ยวข้อง เพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองแรงงานทางทะเล
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติด้านคุ้มครองแรงงานทางทะเลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ เจ้าของเรือ และคนประจําเรือ เสริมความรู้ ความเข้าใจข้อกฎหมายและแนวทางปฏิบัติตามกฎหมายพระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558 เพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองแรงงาน
วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 นายวิวัฒน์ ตังหงส์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการด้านคุ้มครองแรงงานทางทะเลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ เจ้าของเรือ และคนประจําเรือ และการอบรมเทคนิคการเป็นวิทยากรด้านแรงงานทางทะเล (Train the Trainer) ทั้งนี้การจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการด้านคุ้มครองแรงงานทางทะเลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ เจ้าของเรือ และคนประจําเรือ การสัมมนาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558 ให้กับ เจ้าของเรือ คนประจําเรือ รวมทั้งเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงแรงงาน กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงสาธารณสุข จํานวน 40 คน ได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการและแนวทางปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้การคุ้มครองสิทธิแรงงานทางทะเลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ณ ห้องพาโนรามา 2 ชั้น 14 โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ กรุงเทพฯ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18730
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ล้างมือให้สะอาด ลดความเสี่ยงโควิด-19
|
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563
ล้างมือให้สะอาด ลดความเสี่ยงโควิด-19
โควิด-19 รู้ทัน ป้องกันได้
ในช่วงเวลาแบบนี้อย่าลืมรักษาสุขอนามัยของตนเองเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโควิด-19
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ล้างมือให้สะอาด ลดความเสี่ยงโควิด-19
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563
ล้างมือให้สะอาด ลดความเสี่ยงโควิด-19
โควิด-19 รู้ทัน ป้องกันได้
ในช่วงเวลาแบบนี้อย่าลืมรักษาสุขอนามัยของตนเองเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโควิด-19
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28765
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยฯ วิวัฒน์”มอบนโยบายให้หน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลทั้ง 10 หน่วยงาน
|
วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2560
รัฐมนตรีช่วยฯ วิวัฒน์”มอบนโยบายให้หน่วยงานภายใต้การกํากับดูแลทั้ง 10 หน่วยงาน
“รัฐมนตรีช่วยฯ วิวัฒน์”มอบนโยบายให้หน่วยงานภายใต้การกํากับดูแลทั้ง 10 หน่วยงาน น้อมนําแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เป็นหลักในการขับเคลื่อนงาน พร้อมเร่งเดินหน้าช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้
นายวิวัฒน์ ศัลยกําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้มีการประชุมมอบนโยบายให้แก่หน่วยงานภายใต้การกํากับดูแลของตนทั้ง 10 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กรมฝนหลวงและการบินเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กรมหม่อนไหม สํานักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (องค์การมหาชน) สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) และสํานักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ณ กรมชลประทาน สามเสน โดยได้มอบนโยบายให้ทุกหน่วยงานได้ยึดถือแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เป็นหลักในการขับเคลื่อนงาน ยึดมั่นการทํางานเพื่อประชาชน โดยคํานึงถึงความสอดคล้องกับหลักภูมิสังคม และภูมิศาสตร์ ทั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายกฤษฎา บุญราช) มีนโยบายที่จะขับเคลื่อนขยายผลในนโยบายเดิมที่ดีและเห็นผลของกระทรวงเกษตรฯ ให้ประสบผลสําเร็จ โครงการใดที่ยังขาดไม่สมบูรณ์จะเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อช่วยประชาชนให้ลดความเหลื่อมล้ําตลอดทั้งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกร โดยจะนํานโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มากําหนดเป็นกรอบการแผนสู่การปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมต่อไป
นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้สถาบันเกษตราธิการ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีภารกิจในการจัดอบรมหลักสูตรพัฒนาบุคลากรของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ได้จัดหลักสูตรฝึกอบรมโดยน้อมนําแนวพระราชดําริที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 พระราชทานไว้ เช่น ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่ได้รับการเชิดชูสูงสุดจากองค์การสหประชาชาติ (UN) ตลอดทั้งรวบรวมทฤษฎีกว่า 40 ทฤษฎี ของรัชกาลที่ 9 นํามาพัฒนาเป็นหลักสูตร เพื่อส่งเสริมให้บุคลากรในกระทรวงเกษตรฯ มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องความพอเพียง นําไปเป็นหลักในการประกอบอาชีพและดําเนินชีวิต ตลอดทั้งถ่ายทอดไปสู่สังคมต่อไป
นายวิวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า สําหรับเรื่องสําคัญเร่งด่วนที่ต้องดําเนินการในเบื้องต้น คือ การช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งได้เดินทางมาที่ศูนย์ปฏิบัติการน้ําอัจฉริยะ (Smart Water Operation Center) หรือ SWOC ของกรมชลประทาน เพื่อรับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ ตลอดทั้งการเตรียมการวางแผนล่วงหน้าเพื่อรับมือกับภัยแล้ง เนื่องจากพื้นที่ฝนตกในเขตชลประทานสามารถควบคุมบริหารจัดการน้ําได้ แต่พื้นที่นอกเขตชลประทานจะควบคุมยาก จึงต้องขอความร่วมกับทุกจังหวัดเพื่อหาแนวทางเก็บกักน้ําในพื้นที่ของชาวบ้านให้มากที่สุด เพื่อรองรับให้เกษตรกรในช่วงหน้าแล้งด้วย ทั้งนี้ ในส่วนสถานการณ์น้ําท่วมในพื้นที่ภาคใต้ กรมชลประทานได้มีการเตรียมความเครื่องจักร เครื่องมือ เครื่องสูบน้ํา และเครื่องผลักดันน้ํา พร้อมกําลังเจ้าหน้าที่ ให้เตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ฝนในพื้นที่ภาคใต้ ตั้งแต่ช่วงต้นฤดูฝนไว้แล้ว โดยเป็นเครื่องสูบน้ํา จํานวนทั้งสิ้น 380 เครื่อง เครื่องผลักดันน้ํา 180 เครื่อง รถสูบน้ํา 5 เครื่อง เครื่องจักรกลสนับสนุน 101 เครื่อง และสะพานเหล็ก 1 ชุด พร้อมทั้งให้โครงการชลประทานในพื้นที่เสี่ยงภัย รายงานสถานการณ์น้ําต่อผู้ว่าราชการจังหวัด สํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชน ให้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์น้ําที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
ทั้งนี้ ในวันพรุ่งนี้ (8 ธ.ค.60) นายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) พร้อมด้วย รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์(นายวิวัฒน์ ศัลยกําธร) และอธิบดีกรมชลประทาน (นายทองเปลว กองจันทร์ ) จะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานการณ์อุทกภัยและพบปะให้กําลังใจพร้อมทั้งมอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ประสบอุกภัยในพื้นที่ จ.ตรัง ด้วย
--------------------------------
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยฯ วิวัฒน์”มอบนโยบายให้หน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลทั้ง 10 หน่วยงาน
วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2560
รัฐมนตรีช่วยฯ วิวัฒน์”มอบนโยบายให้หน่วยงานภายใต้การกํากับดูแลทั้ง 10 หน่วยงาน
“รัฐมนตรีช่วยฯ วิวัฒน์”มอบนโยบายให้หน่วยงานภายใต้การกํากับดูแลทั้ง 10 หน่วยงาน น้อมนําแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เป็นหลักในการขับเคลื่อนงาน พร้อมเร่งเดินหน้าช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้
นายวิวัฒน์ ศัลยกําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้มีการประชุมมอบนโยบายให้แก่หน่วยงานภายใต้การกํากับดูแลของตนทั้ง 10 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กรมฝนหลวงและการบินเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กรมหม่อนไหม สํานักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (องค์การมหาชน) สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) และสํานักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ณ กรมชลประทาน สามเสน โดยได้มอบนโยบายให้ทุกหน่วยงานได้ยึดถือแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เป็นหลักในการขับเคลื่อนงาน ยึดมั่นการทํางานเพื่อประชาชน โดยคํานึงถึงความสอดคล้องกับหลักภูมิสังคม และภูมิศาสตร์ ทั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายกฤษฎา บุญราช) มีนโยบายที่จะขับเคลื่อนขยายผลในนโยบายเดิมที่ดีและเห็นผลของกระทรวงเกษตรฯ ให้ประสบผลสําเร็จ โครงการใดที่ยังขาดไม่สมบูรณ์จะเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อช่วยประชาชนให้ลดความเหลื่อมล้ําตลอดทั้งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกร โดยจะนํานโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มากําหนดเป็นกรอบการแผนสู่การปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมต่อไป
นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้สถาบันเกษตราธิการ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีภารกิจในการจัดอบรมหลักสูตรพัฒนาบุคลากรของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ได้จัดหลักสูตรฝึกอบรมโดยน้อมนําแนวพระราชดําริที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 พระราชทานไว้ เช่น ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่ได้รับการเชิดชูสูงสุดจากองค์การสหประชาชาติ (UN) ตลอดทั้งรวบรวมทฤษฎีกว่า 40 ทฤษฎี ของรัชกาลที่ 9 นํามาพัฒนาเป็นหลักสูตร เพื่อส่งเสริมให้บุคลากรในกระทรวงเกษตรฯ มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องความพอเพียง นําไปเป็นหลักในการประกอบอาชีพและดําเนินชีวิต ตลอดทั้งถ่ายทอดไปสู่สังคมต่อไป
นายวิวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า สําหรับเรื่องสําคัญเร่งด่วนที่ต้องดําเนินการในเบื้องต้น คือ การช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งได้เดินทางมาที่ศูนย์ปฏิบัติการน้ําอัจฉริยะ (Smart Water Operation Center) หรือ SWOC ของกรมชลประทาน เพื่อรับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ ตลอดทั้งการเตรียมการวางแผนล่วงหน้าเพื่อรับมือกับภัยแล้ง เนื่องจากพื้นที่ฝนตกในเขตชลประทานสามารถควบคุมบริหารจัดการน้ําได้ แต่พื้นที่นอกเขตชลประทานจะควบคุมยาก จึงต้องขอความร่วมกับทุกจังหวัดเพื่อหาแนวทางเก็บกักน้ําในพื้นที่ของชาวบ้านให้มากที่สุด เพื่อรองรับให้เกษตรกรในช่วงหน้าแล้งด้วย ทั้งนี้ ในส่วนสถานการณ์น้ําท่วมในพื้นที่ภาคใต้ กรมชลประทานได้มีการเตรียมความเครื่องจักร เครื่องมือ เครื่องสูบน้ํา และเครื่องผลักดันน้ํา พร้อมกําลังเจ้าหน้าที่ ให้เตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ฝนในพื้นที่ภาคใต้ ตั้งแต่ช่วงต้นฤดูฝนไว้แล้ว โดยเป็นเครื่องสูบน้ํา จํานวนทั้งสิ้น 380 เครื่อง เครื่องผลักดันน้ํา 180 เครื่อง รถสูบน้ํา 5 เครื่อง เครื่องจักรกลสนับสนุน 101 เครื่อง และสะพานเหล็ก 1 ชุด พร้อมทั้งให้โครงการชลประทานในพื้นที่เสี่ยงภัย รายงานสถานการณ์น้ําต่อผู้ว่าราชการจังหวัด สํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชน ให้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์น้ําที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
ทั้งนี้ ในวันพรุ่งนี้ (8 ธ.ค.60) นายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) พร้อมด้วย รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์(นายวิวัฒน์ ศัลยกําธร) และอธิบดีกรมชลประทาน (นายทองเปลว กองจันทร์ ) จะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานการณ์อุทกภัยและพบปะให้กําลังใจพร้อมทั้งมอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ประสบอุกภัยในพื้นที่ จ.ตรัง ด้วย
--------------------------------
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8629
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กพร. สร้างพื้นที่สีเขียว ผุดสวนสมุนไพรเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน
|
วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2560
กพร. สร้างพื้นที่สีเขียว ผุดสวนสมุนไพรเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน
กพร. ชูมาตรการฟื้นฟูพื้นที่เหมืองเก่าขานรับความคิดเห็นประชาชน เดินหน้าดําเนินการสร้างสวนสาธารณะ บนพื้นที่ 270 ไร่ ให้ชุมชนมีสถานพักผ่อนและออกกําลังกาย พร้อมจัดทําสวนสมุนไพรเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กพร. สร้างพื้นที่สีเขียว ผุดสวนสมุนไพรเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน
วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2560
กพร. สร้างพื้นที่สีเขียว ผุดสวนสมุนไพรเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน
กพร. ชูมาตรการฟื้นฟูพื้นที่เหมืองเก่าขานรับความคิดเห็นประชาชน เดินหน้าดําเนินการสร้างสวนสาธารณะ บนพื้นที่ 270 ไร่ ให้ชุมชนมีสถานพักผ่อนและออกกําลังกาย พร้อมจัดทําสวนสมุนไพรเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4737
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ประชุมร่าง พรบ.งบรายจ่าย 62
|
วันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2561
ก.แรงงาน ประชุมร่าง พรบ.งบรายจ่าย 62
วันที่ 23 เมษายน 2561 เวลา 09.30 น. นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานประชุมการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ณ ห้องประชุมประสงค์ รณะนันท์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน
วันที่ 23 เมษายน 2561 เวลา 09.30 น. นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานประชุมการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ณ ห้องประชุมประสงค์ รณะนันท์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมีนายภูมิรักษ์ ชมแสง รองผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ และเจ้าหน้าที่สํานักงบประมาณ ร่วมรับฟังความคิดเห็นในการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ประชุมร่าง พรบ.งบรายจ่าย 62
วันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2561
ก.แรงงาน ประชุมร่าง พรบ.งบรายจ่าย 62
วันที่ 23 เมษายน 2561 เวลา 09.30 น. นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานประชุมการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ณ ห้องประชุมประสงค์ รณะนันท์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน
วันที่ 23 เมษายน 2561 เวลา 09.30 น. นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานประชุมการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ณ ห้องประชุมประสงค์ รณะนันท์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมีนายภูมิรักษ์ ชมแสง รองผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ และเจ้าหน้าที่สํานักงบประมาณ ร่วมรับฟังความคิดเห็นในการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11689
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ สานพันธกิจสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐให้บริการอินเทอร์เน็ตรองรับ IPv6
|
วันพุธที่ 27 กันยายน 2560
กระทรวงดิจิทัลฯ สานพันธกิจสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐให้บริการอินเทอร์เน็ตรองรับ IPv6
กระทรวงดิจิทัลฯ
นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมมอบรางวัลหน่วยงานที่ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตพื้นฐานและบริการที่รองรับ IPv6 ประจําปี 2560 โดยกระทรวงดิจิทัลฯ จัดขึ้น ในฐานะเป็นหน่วยงานหลักในการทําหน้าที่กํากับดูแล บริหารจัดการแผนปฏิบัติการฯ และรับผิดชอบการขอหมายเลข IPv6 จาก Asia Pacific Network Information Center (APNIC) ให้กับหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้หน่วยงานต่างๆ พิจารณาดําเนินการตามกิจกรรมที่ระบุไว้ในแผนปฏิบัติการฯ ใน 4 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาบุคลากร การส่งเสริมการให้บริการ และการสร้างความตระหนักและส่งเสริมการใช้งาน IPv6 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยปัจจุบันมีหน่วยงานร่วมผลักดันการเปลี่ยนผ่านจาก IPv4 ไปสู่ IPv6 รวมทั้งมีความพร้อมในการให้บริการอินเทอร์เน็ตพื้นฐานและบริการที่รองรับ IPv6 ในระบบ DNS, Mail, Web และ DNSSEC มีจํานวนมากขึ้น และคาดว่าจะมีจํานวนหน่วยงานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในปีต่อไป เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2560 ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค ถนนราชปรารภ เขตราชเทวี กรุงเทพฯ
********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ สานพันธกิจสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐให้บริการอินเทอร์เน็ตรองรับ IPv6
วันพุธที่ 27 กันยายน 2560
กระทรวงดิจิทัลฯ สานพันธกิจสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐให้บริการอินเทอร์เน็ตรองรับ IPv6
กระทรวงดิจิทัลฯ
นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมมอบรางวัลหน่วยงานที่ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตพื้นฐานและบริการที่รองรับ IPv6 ประจําปี 2560 โดยกระทรวงดิจิทัลฯ จัดขึ้น ในฐานะเป็นหน่วยงานหลักในการทําหน้าที่กํากับดูแล บริหารจัดการแผนปฏิบัติการฯ และรับผิดชอบการขอหมายเลข IPv6 จาก Asia Pacific Network Information Center (APNIC) ให้กับหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้หน่วยงานต่างๆ พิจารณาดําเนินการตามกิจกรรมที่ระบุไว้ในแผนปฏิบัติการฯ ใน 4 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาบุคลากร การส่งเสริมการให้บริการ และการสร้างความตระหนักและส่งเสริมการใช้งาน IPv6 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยปัจจุบันมีหน่วยงานร่วมผลักดันการเปลี่ยนผ่านจาก IPv4 ไปสู่ IPv6 รวมทั้งมีความพร้อมในการให้บริการอินเทอร์เน็ตพื้นฐานและบริการที่รองรับ IPv6 ในระบบ DNS, Mail, Web และ DNSSEC มีจํานวนมากขึ้น และคาดว่าจะมีจํานวนหน่วยงานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในปีต่อไป เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2560 ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค ถนนราชปรารภ เขตราชเทวี กรุงเทพฯ
********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7014
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ VDO Conference ร่วมกับผู้บริหารทุกหน่วยงานในสังกัด เน้นย้ำการดำเนินงานภายใต้สถานการณ์โควิด-19 [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์]
|
วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563
รัฐมนตรีเกษตรฯ VDO Conference ร่วมกับผู้บริหารทุกหน่วยงานในสังกัด เน้นย้ําการดําเนินงานภายใต้สถานการณ์โควิด-19 [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์]
รัฐมนตรีเกษตรฯ VDO Conference ร่วมกับผู้บริหารทุกหน่วยงานในสังกัด เน้นย้ําการดําเนินงานภายใต้สถานการณ์โควิด-19 มั่นใจหนึ่งในทางรอดของประเทศคือภาคการเกษตร สั่งการให้ปฏิบัติงานในภารกิจหลักของกระทรวงเกษตรฯ อย่างเต็มกําลัง
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลัง VDO Conference ร่วมกับปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารทุกหน่วยงานในสังกัด เพื่อติดตามสถานการณ์และรับทราบมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และการเตรียมความพร้อมในการรองรับสถานการณ์การระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ว่า ได้รับฟังการรายงานสถานการณ์และรับทราบการดําเนินงานจากทุกหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรฯ และได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานมีการรายงานสถานการณ์เข้ามายังศูนย์ประสานการปฏิบัติภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัวโคโรนา 2019 (COVID-19) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อย่างใกล้ชิด อีกทั้งได้มอบหมายปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สั่งการผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดตามสถานการณ์โควิด-19 รวมถึงพืชผลทางการเกษตรและสถานการณ์ภัยแล้ง และให้รายงานการดําเนินการมาทุกสัปดาห์
นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ําให้กรมชลประทาน จัดสรรงบประมาณในการจ้างแรงงาน เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้พี่น้องเกษตรกรหรือพี่น้องประชาชนที่เดินทางกลับท้องถิ่น ได้มาปฏิบัติงานด้านการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือนร้อน มอบกรมวิชาการเกษตรให้ดูแลในการให้บริการ การลดขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้สะดวกยิ่งมากขึ้น มอบกรมส่งเสริมการเกษตรดูสถานการณ์ปัจจุบันของแต่ละพื้นที่ และขอให้มีการรายงานสถานการณ์ด้านการเกษตร เพื่อดําเนินการประสานงานแก้ไขต่อไป มอบสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร ให้เพิ่มช่องทางการนําสินค้าเกษตรเข้าสู่ออนไลน์เพิ่มมากขึ้น และติดตามสถานการณ์ผลผลิตร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ อย่างใกล้ชิด และมอบกรมปศุสัตว์ การเฝ้าระวังโรคระบาดสัตว์อย่างเข้มงวดด้วย
“ตามที่รัฐบาลได้กําหนดมาตรการในการที่ให้หน่วยราชการปฏิบัติ ได้ขอให้ทุกคนปฏิบัติตามมติ ครม. ที่กําหนดออกมาอย่างเคร่งครัด โดยได้เน้นย้ําเพิ่มเติมหากมีการออกปฏิบัติงานนอกพื้นที่ ขอให้มีการป้องกันตัวเอง โดยสามารถใช้หน้ากากทางเลือก เช่น หน้ากากผ้า โดยได้เตรียมไว้ให้ผู้ปฏิบัติงานในส่วนกลางก่อน คนละ 1 – 2 ชิ้น เพื่อเป็นตัวอย่างให้พี่น้องประชาชนอีกทางหนึ่ง อีกทั้งการปฏิบัติงานในสถานการณ์ปัจจุบันต้องไม่ทําให้เสียงานในภารกิจหลักของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งหนึ่งในทางรอดของประเทศคือภาคการเกษตร ทั้งด้านพืช ประมง ปศุสัตว์ และผลิตผลแปรรูป จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทําให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตไปได้และฟื้นตัวโดยเร็ว และหลังจากนี้จึงต้องปฏิบัติงานในภารกิจหลักของกระทรวงเกษตรฯ อย่างเต็มกําลัง อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าสินค้าอุปโภคบริโภคจะไม่ขาดแคลน จึงไม่อยากให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ พร้อมดําเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อพี่น้องประชาชน” นายเฉลิมชัย กล่าว
ด้าน นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตามที่รัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 และแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดตั้งศูนย์ประสานการปฏิบัติภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัวโคโรนา 2019 (COVID-19) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นที่ปรึกษา และมีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัด ตั้งศูนย์ประสานการปฏิบัติงานฯ ดังกล่าวขึ้น เพื่อประสานข้อมูลระหว่างหน่วยงานร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรได้มีการประเมินความเสี่ยงสถานการณ์ในช่วงระหว่างเผชิญและหลังเผชิญเหตุในทุกมิติ เพื่อจัดการความเสี่ยงได้ทันการณ์ ทั้งในเรื่องของระบบอาหารตลอด Supply Chain ในเรื่องการขนส่ง คุณภาพอาหาร การกระจายสินค้า และราคาที่เหมาะสม ระบบปัจจัยการผลิตสินค้าเกษตร งานบริการ ระบบสื่อสารประสานงาน เช่น สถานการณ์ตรวจด่านตรวจสอบมาตรฐานตามชายแดน และการระดมทรัพยากร งบประมาณ เพื่อรองรับการระบาดระดับ 3 และหลังการระบาด รวมถึงแนวทางในการฟื้นฟูภาคการเกษตรด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ VDO Conference ร่วมกับผู้บริหารทุกหน่วยงานในสังกัด เน้นย้ำการดำเนินงานภายใต้สถานการณ์โควิด-19 [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์]
วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563
รัฐมนตรีเกษตรฯ VDO Conference ร่วมกับผู้บริหารทุกหน่วยงานในสังกัด เน้นย้ําการดําเนินงานภายใต้สถานการณ์โควิด-19 [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์]
รัฐมนตรีเกษตรฯ VDO Conference ร่วมกับผู้บริหารทุกหน่วยงานในสังกัด เน้นย้ําการดําเนินงานภายใต้สถานการณ์โควิด-19 มั่นใจหนึ่งในทางรอดของประเทศคือภาคการเกษตร สั่งการให้ปฏิบัติงานในภารกิจหลักของกระทรวงเกษตรฯ อย่างเต็มกําลัง
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลัง VDO Conference ร่วมกับปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารทุกหน่วยงานในสังกัด เพื่อติดตามสถานการณ์และรับทราบมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และการเตรียมความพร้อมในการรองรับสถานการณ์การระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ว่า ได้รับฟังการรายงานสถานการณ์และรับทราบการดําเนินงานจากทุกหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรฯ และได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานมีการรายงานสถานการณ์เข้ามายังศูนย์ประสานการปฏิบัติภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัวโคโรนา 2019 (COVID-19) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อย่างใกล้ชิด อีกทั้งได้มอบหมายปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สั่งการผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดตามสถานการณ์โควิด-19 รวมถึงพืชผลทางการเกษตรและสถานการณ์ภัยแล้ง และให้รายงานการดําเนินการมาทุกสัปดาห์
นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ําให้กรมชลประทาน จัดสรรงบประมาณในการจ้างแรงงาน เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้พี่น้องเกษตรกรหรือพี่น้องประชาชนที่เดินทางกลับท้องถิ่น ได้มาปฏิบัติงานด้านการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือนร้อน มอบกรมวิชาการเกษตรให้ดูแลในการให้บริการ การลดขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้สะดวกยิ่งมากขึ้น มอบกรมส่งเสริมการเกษตรดูสถานการณ์ปัจจุบันของแต่ละพื้นที่ และขอให้มีการรายงานสถานการณ์ด้านการเกษตร เพื่อดําเนินการประสานงานแก้ไขต่อไป มอบสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร ให้เพิ่มช่องทางการนําสินค้าเกษตรเข้าสู่ออนไลน์เพิ่มมากขึ้น และติดตามสถานการณ์ผลผลิตร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ อย่างใกล้ชิด และมอบกรมปศุสัตว์ การเฝ้าระวังโรคระบาดสัตว์อย่างเข้มงวดด้วย
“ตามที่รัฐบาลได้กําหนดมาตรการในการที่ให้หน่วยราชการปฏิบัติ ได้ขอให้ทุกคนปฏิบัติตามมติ ครม. ที่กําหนดออกมาอย่างเคร่งครัด โดยได้เน้นย้ําเพิ่มเติมหากมีการออกปฏิบัติงานนอกพื้นที่ ขอให้มีการป้องกันตัวเอง โดยสามารถใช้หน้ากากทางเลือก เช่น หน้ากากผ้า โดยได้เตรียมไว้ให้ผู้ปฏิบัติงานในส่วนกลางก่อน คนละ 1 – 2 ชิ้น เพื่อเป็นตัวอย่างให้พี่น้องประชาชนอีกทางหนึ่ง อีกทั้งการปฏิบัติงานในสถานการณ์ปัจจุบันต้องไม่ทําให้เสียงานในภารกิจหลักของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งหนึ่งในทางรอดของประเทศคือภาคการเกษตร ทั้งด้านพืช ประมง ปศุสัตว์ และผลิตผลแปรรูป จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทําให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตไปได้และฟื้นตัวโดยเร็ว และหลังจากนี้จึงต้องปฏิบัติงานในภารกิจหลักของกระทรวงเกษตรฯ อย่างเต็มกําลัง อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าสินค้าอุปโภคบริโภคจะไม่ขาดแคลน จึงไม่อยากให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ พร้อมดําเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อพี่น้องประชาชน” นายเฉลิมชัย กล่าว
ด้าน นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตามที่รัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 และแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดตั้งศูนย์ประสานการปฏิบัติภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัวโคโรนา 2019 (COVID-19) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นที่ปรึกษา และมีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัด ตั้งศูนย์ประสานการปฏิบัติงานฯ ดังกล่าวขึ้น เพื่อประสานข้อมูลระหว่างหน่วยงานร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรได้มีการประเมินความเสี่ยงสถานการณ์ในช่วงระหว่างเผชิญและหลังเผชิญเหตุในทุกมิติ เพื่อจัดการความเสี่ยงได้ทันการณ์ ทั้งในเรื่องของระบบอาหารตลอด Supply Chain ในเรื่องการขนส่ง คุณภาพอาหาร การกระจายสินค้า และราคาที่เหมาะสม ระบบปัจจัยการผลิตสินค้าเกษตร งานบริการ ระบบสื่อสารประสานงาน เช่น สถานการณ์ตรวจด่านตรวจสอบมาตรฐานตามชายแดน และการระดมทรัพยากร งบประมาณ เพื่อรองรับการระบาดระดับ 3 และหลังการระบาด รวมถึงแนวทางในการฟื้นฟูภาคการเกษตรด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27698
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมท่าอากาศยานแจ้งงดการให้บริการชั่วคราว ณ ท่าอากาศยานนราธิวาส เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 [กระทรวงคมนาคม]
|
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563
กรมท่าอากาศยานแจ้งงดการให้บริการชั่วคราว ณ ท่าอากาศยานนราธิวาส เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 [กระทรวงคมนาคม]
กรมท่าอากาศยานแจ้งงดการให้บริการชั่วคราว ณ ท่าอากาศยานนราธิวาส เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19
ฉบับที่ 295/2563
กรมท่าอากาศยานแจ้งงดการให้บริการชั่วคราว ณ ท่าอากาศยานนราธิวาส เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19
นายทวี เกศิสําอาง อธิบดีกรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กรมท่าอากาศยานงดให้บริการท่าอากาศยานนราธิวาส เนื่องจากขณะนี้มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 หลายอําเภอในจังหวัดนราธิวาส และมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดไปสู่ประชาชนในวงกว้าง การควบคุมพื้นที่ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคฯ นายเอกรัฐ หลีเส็น ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ได้มีคําสั่งระงับการเดินทางเข้า – ออกจังหวัดนราธิวาสของบุคคลตามมาตรการเฝ้าระวัง ควบคุม ป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มข้นเพื่อลดโอกาสการแพร่ระบาดของโรคฯ ในสถานที่ต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงสูง
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการปฏิบัติตามคําสั่งของจังหวัดนราธิวาส ท่าอากาศยานนราธิวาสจึงมีความจําเป็น ต้องงดการให้บริการ ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย โดยท่าอากาศยานนราธิวาสได้ออกประกาศนักบิน (NOTAM) เพื่อแจ้งนักบินหยุดให้บริการ ณ ท่าอากาศยานนราธิวาสเป็นการชั่วคราว ส่งผลให้สายการบินต่าง ๆ ที่ให้บริการ ณ ท่าอากาศยานนราธิวาส ต้องงดให้บริการแก่ผู้โดยสารตามประกาศของจังหวัดดังกล่าว
สําหรับผู้โดยสารที่ได้สํารองบัตรโดยสารของสายการบินไว้ สามารถติดต่อขอคืนบัตรโดยสาร ค่าโดยสาร เปลี่ยนแปลงการเดินทาง เส้นทางบิน หรือสอบถามรายละเอียดดังนี้
สายการบินไทยแอร์เอเชีย www.airasia.com โทร. 0 7356 5112 (ติดต่อได้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563)
สายการบินไทยสมายล์ https://member.Thai smileair.com/customerservice/refund Call Center โทร. 1181 หรือ 0 2118 8888 ตลอด 24 ชั่วโมง
ประชาสัมพันธ์ท่าอากาศยานนราธิวาส โทร. 0 7356 5061 - 5
สําหรับท่าอากาศยานอื่น ๆ ในสังกัดกรมท่าอากาศยานคงให้บริการตามปกติ หากมีการเปลี่ยนแปลง จะแจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบทันที และขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมท่าอากาศยานแจ้งงดการให้บริการชั่วคราว ณ ท่าอากาศยานนราธิวาส เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 [กระทรวงคมนาคม]
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563
กรมท่าอากาศยานแจ้งงดการให้บริการชั่วคราว ณ ท่าอากาศยานนราธิวาส เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 [กระทรวงคมนาคม]
กรมท่าอากาศยานแจ้งงดการให้บริการชั่วคราว ณ ท่าอากาศยานนราธิวาส เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19
ฉบับที่ 295/2563
กรมท่าอากาศยานแจ้งงดการให้บริการชั่วคราว ณ ท่าอากาศยานนราธิวาส เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19
นายทวี เกศิสําอาง อธิบดีกรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กรมท่าอากาศยานงดให้บริการท่าอากาศยานนราธิวาส เนื่องจากขณะนี้มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 หลายอําเภอในจังหวัดนราธิวาส และมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดไปสู่ประชาชนในวงกว้าง การควบคุมพื้นที่ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคฯ นายเอกรัฐ หลีเส็น ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ได้มีคําสั่งระงับการเดินทางเข้า – ออกจังหวัดนราธิวาสของบุคคลตามมาตรการเฝ้าระวัง ควบคุม ป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มข้นเพื่อลดโอกาสการแพร่ระบาดของโรคฯ ในสถานที่ต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงสูง
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการปฏิบัติตามคําสั่งของจังหวัดนราธิวาส ท่าอากาศยานนราธิวาสจึงมีความจําเป็น ต้องงดการให้บริการ ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย โดยท่าอากาศยานนราธิวาสได้ออกประกาศนักบิน (NOTAM) เพื่อแจ้งนักบินหยุดให้บริการ ณ ท่าอากาศยานนราธิวาสเป็นการชั่วคราว ส่งผลให้สายการบินต่าง ๆ ที่ให้บริการ ณ ท่าอากาศยานนราธิวาส ต้องงดให้บริการแก่ผู้โดยสารตามประกาศของจังหวัดดังกล่าว
สําหรับผู้โดยสารที่ได้สํารองบัตรโดยสารของสายการบินไว้ สามารถติดต่อขอคืนบัตรโดยสาร ค่าโดยสาร เปลี่ยนแปลงการเดินทาง เส้นทางบิน หรือสอบถามรายละเอียดดังนี้
สายการบินไทยแอร์เอเชีย www.airasia.com โทร. 0 7356 5112 (ติดต่อได้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563)
สายการบินไทยสมายล์ https://member.Thai smileair.com/customerservice/refund Call Center โทร. 1181 หรือ 0 2118 8888 ตลอด 24 ชั่วโมง
ประชาสัมพันธ์ท่าอากาศยานนราธิวาส โทร. 0 7356 5061 - 5
สําหรับท่าอากาศยานอื่น ๆ ในสังกัดกรมท่าอากาศยานคงให้บริการตามปกติ หากมีการเปลี่ยนแปลง จะแจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบทันที และขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28219
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สนธิรัตน์ปลื้ม ชาวบ้านขอบคุณ "พาณิชย์" ช่วยลดค่าครองชีพ ขอรัฐบาลคงบัตรสวัสดิการตลอดไป
|
วันพุธที่ 12 ธันวาคม 2561
สนธิรัตน์ปลื้ม ชาวบ้านขอบคุณ "พาณิชย์" ช่วยลดค่าครองชีพ ขอรัฐบาลคงบัตรสวัสดิการตลอดไป
“สนธิรัตน์”ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมร้านค้าธงฟ้าประชารัฐที่อุดรธานี ชาวบ้านขอบคุณที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพพร้อมขอให้คงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตลอดไป เหตุได้รับการดูแล มีวงเงินซื้อสินค้าราคาถูกจากร้านค้าธงฟ้าประชารัฐทุกเดือน
เผยเตรียมลุยต่อเพิ่มจํานวนร้านค้าแบบใช้แอพพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐ เป็น 1 แสนราย เพื่อช่วยเหลือร้านค้ารายย่อยให้มีรายได้และเพิ่มทางเลือกคนถือบัตรซื้อสินค้า
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ที่จังหวัดอุดรธานีว่า ได้ใช้โอกาสที่รัฐบาลจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 9/2561 ระหว่างวันที่ 12-13 ธันวาคม 2561 ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ เพื่อดูว่ากระทรวงพาณิชย์จะให้การสนับสนุนอะไรเพิ่มเติมได้บ้างเพื่อช่วยขับเคลื่อนการค้าขายในระดับชุมชนให้ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น และช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
โดยในการลงพื้นที่ครั้งนี้ ได้เยี่ยมร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ “ร้านสิทธิ แอนด์ แมว มินิมาร์ท” ซึ่งเป็นร้านแบบใช้เครื่องรูดบัตร EDC และร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ “ร้านแววผ้าฝ้าย” ซึ่งเป็นร้านแบบใช้แอปพลิเคชั่น ถุงเงินประชารัฐ ที่ ต.นาข่า อ.เมือง จ.อุดรธานี และประชาสัมพันธ์ป้ายไฟแอพพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้รับทราบว่าเป็นร้านที่รับชําระค่าสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐทางมือถือ สามารถที่จะเข้ามาใช้บริการได้ รวมทั้งได้เชิญชวนให้ร้านค้ารายย่อย ร้านโชวห่วย ร้านค้าในตลาดสด ร้านข้าวแกง ร้านอาหารปรุงสําเร็จ แผงลอย รถเร่ ในพื้นที่ จ.อุดรธานี มาเข้าร่วมเป็นร้านค้าธงฟ้าประชารัฐด้วย
ระหว่างการพบปะประชาชน ชาวบ้านที่ถือบัตรสวัสดิการประชารัฐได้เข้ามาขอบคุณรัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้ช่วยเหลือลดภาระด้านค่าครองชีพให้กับผู้มีรายได้น้อย และขอให้พิจารณาให้บัตรนี้คงอยู่ตลอดไป เพราะมีประโยชน์จริง ที่ได้วงเงินในแต่ละเดือนสําหรับซื้อสินค้าที่ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ และยิ่งกระทรวงพาณิชย์ได้เพิ่มจํานวนร้านค้าให้เข้าร่วมโครงการ โดยเฉพาะร้านค้ารายเล็กรายน้อย ก็ยิ่งทําให้ชาวบ้านมีโอกาสในการซื้อสินค้าได้เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นซื้อหมู ไก่ ไข่ ผัก ผลไม้ รวมทั้งใช้กินข้าวแกง อาหารตามสั่งได้ด้วย ทําให้ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น
นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ได้ยืนยันกับประชาชนว่ากระทรวงพาณิชย์มีแผนที่จะเพิ่มจํานวนร้านค้าแบบใช้แอพพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐ ให้มีจํานวนเพิ่มเป็น 1 แสนราย จากปัจจุบันมีร้านค้าสมัครเข้ามาแล้วเกือบ 3.7 หมื่นราย ภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2561 เพื่อเพิ่มทางเลือกในการบริโภคสินค้าให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และช่วยเพิ่มรายได้ให้กับร้านค้า จากการที่ผู้ถือบัตรมาจับจ่ายใช้สอย
“ตอนนี้มีการใช้จ่ายเงินในบัตรผ่านร้านค้าธงฟ้าประชารับแบบใช้แอพพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐแล้วเกือบ 700 ล้านบาท ซึ่งหากมีจํานวนร้านค้าเพิ่มขึ้น ก็จะมีวงเงินเพิ่มมากขึ้น เพราะในแต่ละเดือนรัฐบาลได้ใส่เงินเข้าไปในบัตรกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งวงเงินตรงนี้ จะกระจายเข้าสู่ร้านค้า ทั้งร้านค้าแบบติดตั้งเครื่องรูดบัตรและร้านค้าแบบใช้แอพพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐ โดยกระทรวงฯ อยากจะเชิญชวนให้ร้านค้าสมัครเข้าร่วมโครงการให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับตัวเอง และเพิ่มทางเลือกในการจับจ่ายใช้สอยให้กับผู้ถือบัตร”นายสนธิรัตน์กล่าว
สําหรับผลการดําเนินโครงการร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ล่าสุดถึงวันที่ 6 ธ.ค.2561 มีร้านค้าสมัครเข้าร่วมโครงการแล้ว 70,344 ร้านค้า แบ่งเป็นร้านค้าแบบเครื่องรูดบัตร EDC จํานวน 33,448 ราย และเป็นร้านค้าแบบใช้แอพพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐจํานวน 36,896 ราย และมีรายได้จากการใช้จ่ายของผู้ถือบัตรรวม 48,869 ล้านบาท แบ่งเป็นร้านค้าที่ติดตั้งเครื่องรูดบัตร 48,206 ล้านบาท และร้านค้าที่ติดตั้งแอพพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐ 662 ล้านบาท
นายสนธิรัตน์กล่าวว่า กระทรงฯ ยังได้เข้าเยี่ยมชมตลาดผ้าบ้านนาข่า โดยปัจจุบันมีร้านค้าในตลาด 120 ร้านค้า และร้านค้าในพื้นที่ตลาดโดยรอบอีกประมาณ 70 ร้านค้า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นคนที่อาศัยอยู่ในชุมชน ผลิตผ้าฝ้ายและผ้าไหม ผ้ามัดหมี่ ผ้าผืน และมีผลิตภัณฑ์ที่ทําจากผ้าทอมือ ซึ่งเป็นผ้าที่มีลักษณะโดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะของผ้าพื้นเมืองของจังหวัดอุดรธานีและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เหมาะซื้อเป็นของฝาก ของที่ระลึก โดยกระทรวงฯ มีเป้าหมายที่จะผลักดันและยกระดับตลาดผ้านาข่า ให้เป็น Smart Market เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางตลาดผ้าทอมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง ซึ่งจะเป็นศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้าผ้าทอมือของทุกจังหวัด ในประเทศไทย เพื่อเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะช่วยผลักดันและทําการเชื่อมโยงตลาดบ้านนาข่าเข้ากับการท่องเที่ยว เพราะตลาดอยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวสําคัญของจังหวัด ได้แก่ วัดนาคาเทวี ทะเลบัวแดง พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ อารยธรรม 5,000 ปี วัดป่าภูก้อน พระพุทธบาทบัวบก คําชะโนด เป็นต้น ซึ่งหากเชื่อมโยงกันได้ จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับจังหวัดได้อีกมาก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สนธิรัตน์ปลื้ม ชาวบ้านขอบคุณ "พาณิชย์" ช่วยลดค่าครองชีพ ขอรัฐบาลคงบัตรสวัสดิการตลอดไป
วันพุธที่ 12 ธันวาคม 2561
สนธิรัตน์ปลื้ม ชาวบ้านขอบคุณ "พาณิชย์" ช่วยลดค่าครองชีพ ขอรัฐบาลคงบัตรสวัสดิการตลอดไป
“สนธิรัตน์”ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมร้านค้าธงฟ้าประชารัฐที่อุดรธานี ชาวบ้านขอบคุณที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพพร้อมขอให้คงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตลอดไป เหตุได้รับการดูแล มีวงเงินซื้อสินค้าราคาถูกจากร้านค้าธงฟ้าประชารัฐทุกเดือน
เผยเตรียมลุยต่อเพิ่มจํานวนร้านค้าแบบใช้แอพพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐ เป็น 1 แสนราย เพื่อช่วยเหลือร้านค้ารายย่อยให้มีรายได้และเพิ่มทางเลือกคนถือบัตรซื้อสินค้า
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ที่จังหวัดอุดรธานีว่า ได้ใช้โอกาสที่รัฐบาลจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 9/2561 ระหว่างวันที่ 12-13 ธันวาคม 2561 ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ เพื่อดูว่ากระทรวงพาณิชย์จะให้การสนับสนุนอะไรเพิ่มเติมได้บ้างเพื่อช่วยขับเคลื่อนการค้าขายในระดับชุมชนให้ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น และช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
โดยในการลงพื้นที่ครั้งนี้ ได้เยี่ยมร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ “ร้านสิทธิ แอนด์ แมว มินิมาร์ท” ซึ่งเป็นร้านแบบใช้เครื่องรูดบัตร EDC และร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ “ร้านแววผ้าฝ้าย” ซึ่งเป็นร้านแบบใช้แอปพลิเคชั่น ถุงเงินประชารัฐ ที่ ต.นาข่า อ.เมือง จ.อุดรธานี และประชาสัมพันธ์ป้ายไฟแอพพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้รับทราบว่าเป็นร้านที่รับชําระค่าสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐทางมือถือ สามารถที่จะเข้ามาใช้บริการได้ รวมทั้งได้เชิญชวนให้ร้านค้ารายย่อย ร้านโชวห่วย ร้านค้าในตลาดสด ร้านข้าวแกง ร้านอาหารปรุงสําเร็จ แผงลอย รถเร่ ในพื้นที่ จ.อุดรธานี มาเข้าร่วมเป็นร้านค้าธงฟ้าประชารัฐด้วย
ระหว่างการพบปะประชาชน ชาวบ้านที่ถือบัตรสวัสดิการประชารัฐได้เข้ามาขอบคุณรัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้ช่วยเหลือลดภาระด้านค่าครองชีพให้กับผู้มีรายได้น้อย และขอให้พิจารณาให้บัตรนี้คงอยู่ตลอดไป เพราะมีประโยชน์จริง ที่ได้วงเงินในแต่ละเดือนสําหรับซื้อสินค้าที่ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ และยิ่งกระทรวงพาณิชย์ได้เพิ่มจํานวนร้านค้าให้เข้าร่วมโครงการ โดยเฉพาะร้านค้ารายเล็กรายน้อย ก็ยิ่งทําให้ชาวบ้านมีโอกาสในการซื้อสินค้าได้เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นซื้อหมู ไก่ ไข่ ผัก ผลไม้ รวมทั้งใช้กินข้าวแกง อาหารตามสั่งได้ด้วย ทําให้ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น
นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ได้ยืนยันกับประชาชนว่ากระทรวงพาณิชย์มีแผนที่จะเพิ่มจํานวนร้านค้าแบบใช้แอพพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐ ให้มีจํานวนเพิ่มเป็น 1 แสนราย จากปัจจุบันมีร้านค้าสมัครเข้ามาแล้วเกือบ 3.7 หมื่นราย ภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2561 เพื่อเพิ่มทางเลือกในการบริโภคสินค้าให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และช่วยเพิ่มรายได้ให้กับร้านค้า จากการที่ผู้ถือบัตรมาจับจ่ายใช้สอย
“ตอนนี้มีการใช้จ่ายเงินในบัตรผ่านร้านค้าธงฟ้าประชารับแบบใช้แอพพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐแล้วเกือบ 700 ล้านบาท ซึ่งหากมีจํานวนร้านค้าเพิ่มขึ้น ก็จะมีวงเงินเพิ่มมากขึ้น เพราะในแต่ละเดือนรัฐบาลได้ใส่เงินเข้าไปในบัตรกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งวงเงินตรงนี้ จะกระจายเข้าสู่ร้านค้า ทั้งร้านค้าแบบติดตั้งเครื่องรูดบัตรและร้านค้าแบบใช้แอพพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐ โดยกระทรวงฯ อยากจะเชิญชวนให้ร้านค้าสมัครเข้าร่วมโครงการให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับตัวเอง และเพิ่มทางเลือกในการจับจ่ายใช้สอยให้กับผู้ถือบัตร”นายสนธิรัตน์กล่าว
สําหรับผลการดําเนินโครงการร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ล่าสุดถึงวันที่ 6 ธ.ค.2561 มีร้านค้าสมัครเข้าร่วมโครงการแล้ว 70,344 ร้านค้า แบ่งเป็นร้านค้าแบบเครื่องรูดบัตร EDC จํานวน 33,448 ราย และเป็นร้านค้าแบบใช้แอพพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐจํานวน 36,896 ราย และมีรายได้จากการใช้จ่ายของผู้ถือบัตรรวม 48,869 ล้านบาท แบ่งเป็นร้านค้าที่ติดตั้งเครื่องรูดบัตร 48,206 ล้านบาท และร้านค้าที่ติดตั้งแอพพลิเคชั่นถุงเงินประชารัฐ 662 ล้านบาท
นายสนธิรัตน์กล่าวว่า กระทรงฯ ยังได้เข้าเยี่ยมชมตลาดผ้าบ้านนาข่า โดยปัจจุบันมีร้านค้าในตลาด 120 ร้านค้า และร้านค้าในพื้นที่ตลาดโดยรอบอีกประมาณ 70 ร้านค้า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นคนที่อาศัยอยู่ในชุมชน ผลิตผ้าฝ้ายและผ้าไหม ผ้ามัดหมี่ ผ้าผืน และมีผลิตภัณฑ์ที่ทําจากผ้าทอมือ ซึ่งเป็นผ้าที่มีลักษณะโดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะของผ้าพื้นเมืองของจังหวัดอุดรธานีและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เหมาะซื้อเป็นของฝาก ของที่ระลึก โดยกระทรวงฯ มีเป้าหมายที่จะผลักดันและยกระดับตลาดผ้านาข่า ให้เป็น Smart Market เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางตลาดผ้าทอมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง ซึ่งจะเป็นศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้าผ้าทอมือของทุกจังหวัด ในประเทศไทย เพื่อเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะช่วยผลักดันและทําการเชื่อมโยงตลาดบ้านนาข่าเข้ากับการท่องเที่ยว เพราะตลาดอยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวสําคัญของจังหวัด ได้แก่ วัดนาคาเทวี ทะเลบัวแดง พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ อารยธรรม 5,000 ปี วัดป่าภูก้อน พระพุทธบาทบัวบก คําชะโนด เป็นต้น ซึ่งหากเชื่อมโยงกันได้ จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับจังหวัดได้อีกมาก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17461
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยืนยันผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคไตมียาใช้เพียงพอไม่ขาดยาแน่นอน
|
วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2560
สธ.ยืนยันผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคไตมียาใช้เพียงพอไม่ขาดยาแน่นอน
กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคไตมียาใช้เพียงพอไม่ขาดยาแน่นอน ตั้งคณะทํางาน 3 ชุด วางแนวทางการจัดซื้อยารวมภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้ดีขึ้น มีกลไกสํารองป้องกันปัญหายาขาด
กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคไตมียาใช้เพียงพอไม่ขาดยาแน่นอน ตั้งคณะทํางาน3ชุด วางแนวทางการจัดซื้อยารวมภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้ดีขึ้น มีกลไกสํารองป้องกันปัญหายาขาด
นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการจัดซื้อยารวมภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติว่า ศ.คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้แต่งตั้งคณะกรรมการจัดซื้อยารวม โดยมีปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานมีเลขาร่วมจาก สปสช. กระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลราชวิถี และมีคณะกรรมการมาจากหลายภาคส่วน อาทิ สปสช. กลาโหม โรงเรียนแพทย์ ผู้อํานวยการองค์การเภสัชกรรม ภาคประชาชน ตัวแทนผู้ติดเชื้อ ผู้แทนโรงพยาบาลเอกชน ผู้แทนจากกรุงเทพมหานคร ผู้แทนกรมบัญชีกลาง เป็นต้น
นายแพทย์เจษฎากล่าวว่า ได้กําชับให้ทุกพื้นที่ติดตามผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดเพื่อเฝ้าระวังและแก้ปัญหาอีกทางหนึ่งด้วย ปัญหาที่ห่วงใยจะเกิดการขาดยาสําหรับผู้ป่วยเอชไอวี เป็นในช่วงที่ระบบเดิมดําเนินการอยู่ สาเหตุมาจากบริษัทผู้ผลิตไม่ได้ส่งยาบางตัวและปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นมาก ทําให้ยาส่งหน่วยบริการลดลง เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในภาพรวมทุกสิทธิ์การรักษาไม่เฉพาะในโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และมีการแก้ไขปัญหาแล้ว โดยยืนยันไม่มีปัญหาการขาดยาแน่นอน รวมถึงน้ํายาฟอกไตและยาโรคไตในผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง ได้มีการดําเนินการจัดหาโดยวิธีการแบบเดิม ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารจัดการเรื่องการจัดซื้อยารวมภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นไปอย่างคล่องตัว ไม่มีปัญหาการขาดส่งยาในอนาคตได้ตั้งคณะทํางานขึ้นมา3ชุด ประกอบด้วย1.คณะทํางานชุดต่อรองราคา มีรองปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน2.คณะทํางานชุดตรวจรับยา มีโรงพยาบาลราชวิถีเป็นประธาน และ3.คณะทํางานชุดติดตามประเมินผล มีอธิบดีกรมการแพทย์เป็นประธาน
ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงษ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในส่วนของคณะทํางานทั้ง3ชุด มีตัวแทนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันวางแนวทางการจัดซื้อยารวมภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้ดีขึ้น มีกลไกสํารองป้องกันปัญหายาขาด ซึ่งจากการประชุมหารือกําหนดแนวทาง ตัวแทนภาคประชาชน ตัวแทนผู้เอ็นจีโอ มีส่วนร่วมในการวางกลไกวิธีการแก้ปัญหาดังกล่าว รวมทั้งวางระบบติดตามถึงผู้ใช้เพิ่มเติมให้ทราบสถานะการรับยาที่รวดเร็วกว่าระบบเดิม
โดยในช่วงรอยต่อของการปรับเปลี่ยนระบบของคณะกรรมการจัดซื้อยาชุดเดิมกับคณะกรรมการชุดใหม่ ที่หลายฝ่ายกังวลโดยเฉพาะการที่ประธานเครือข่ายเอชไอวี/เอดส์แห่งประเทศไทยและประธานชมรมเพื่อนโรคไตห่วงใย ซึ่งจะสร้างความเข้าใจผิดให้กลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคไตหลายคนเกิดความเครียดว่าจะไม่มียาและได้โทรศัพท์มาสอบถามหลายสายนั้น ขอยืนยันว่าได้ชี้แจงและทําความเข้าใจกับกลุ่มผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโรคไตมาโดยตลอดว่าจะไม่มีปัญหาการขาดยาอย่างแน่นอน จึงขอให้เข้าใจและชี้แจงให้กลุ่มผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโรคไตทราบข้อมูลที่ถูกต้องด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความวิตกกังวล เกิดความเครียดมีผลต่อสุขภาพผู้ป่วยได้
ด้านนายแพทย์นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อํานวยการองค์การเภสัชกรรม ยืนยันว่า องค์การเภสัชกรรม ได้เตรียมน้ํายาล้างไตไว้พร้อมแล้ว ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าอาจมียาต้านไวรัสเอชไอวีบางตัวมีการชะงักงันในการกระจายยาให้โรงพยาบาลนั้น เนื่องมาจากข้อขัดข้องของผู้ผลิต ไม่ได้เกิดจากกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างในระบบใหม่แต่อย่างใด องค์การเภสัชกรรมได้ประสานงานกับบริษัทผู้ผลิต และได้เตรียมการผลิตในส่วนขององค์การเภสัชกรรมเอง ยืนยันว่าจะมียาใช้และสามารถรักษาผู้ป่วยจนอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอนในทุกสิทธิ์การรักษา ขอให้ทุกฝ่ายสบายใจได้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยืนยันผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคไตมียาใช้เพียงพอไม่ขาดยาแน่นอน
วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2560
สธ.ยืนยันผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคไตมียาใช้เพียงพอไม่ขาดยาแน่นอน
กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคไตมียาใช้เพียงพอไม่ขาดยาแน่นอน ตั้งคณะทํางาน 3 ชุด วางแนวทางการจัดซื้อยารวมภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้ดีขึ้น มีกลไกสํารองป้องกันปัญหายาขาด
กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคไตมียาใช้เพียงพอไม่ขาดยาแน่นอน ตั้งคณะทํางาน3ชุด วางแนวทางการจัดซื้อยารวมภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้ดีขึ้น มีกลไกสํารองป้องกันปัญหายาขาด
นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการจัดซื้อยารวมภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติว่า ศ.คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้แต่งตั้งคณะกรรมการจัดซื้อยารวม โดยมีปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานมีเลขาร่วมจาก สปสช. กระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลราชวิถี และมีคณะกรรมการมาจากหลายภาคส่วน อาทิ สปสช. กลาโหม โรงเรียนแพทย์ ผู้อํานวยการองค์การเภสัชกรรม ภาคประชาชน ตัวแทนผู้ติดเชื้อ ผู้แทนโรงพยาบาลเอกชน ผู้แทนจากกรุงเทพมหานคร ผู้แทนกรมบัญชีกลาง เป็นต้น
นายแพทย์เจษฎากล่าวว่า ได้กําชับให้ทุกพื้นที่ติดตามผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดเพื่อเฝ้าระวังและแก้ปัญหาอีกทางหนึ่งด้วย ปัญหาที่ห่วงใยจะเกิดการขาดยาสําหรับผู้ป่วยเอชไอวี เป็นในช่วงที่ระบบเดิมดําเนินการอยู่ สาเหตุมาจากบริษัทผู้ผลิตไม่ได้ส่งยาบางตัวและปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นมาก ทําให้ยาส่งหน่วยบริการลดลง เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในภาพรวมทุกสิทธิ์การรักษาไม่เฉพาะในโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และมีการแก้ไขปัญหาแล้ว โดยยืนยันไม่มีปัญหาการขาดยาแน่นอน รวมถึงน้ํายาฟอกไตและยาโรคไตในผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง ได้มีการดําเนินการจัดหาโดยวิธีการแบบเดิม ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารจัดการเรื่องการจัดซื้อยารวมภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นไปอย่างคล่องตัว ไม่มีปัญหาการขาดส่งยาในอนาคตได้ตั้งคณะทํางานขึ้นมา3ชุด ประกอบด้วย1.คณะทํางานชุดต่อรองราคา มีรองปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน2.คณะทํางานชุดตรวจรับยา มีโรงพยาบาลราชวิถีเป็นประธาน และ3.คณะทํางานชุดติดตามประเมินผล มีอธิบดีกรมการแพทย์เป็นประธาน
ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงษ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในส่วนของคณะทํางานทั้ง3ชุด มีตัวแทนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันวางแนวทางการจัดซื้อยารวมภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้ดีขึ้น มีกลไกสํารองป้องกันปัญหายาขาด ซึ่งจากการประชุมหารือกําหนดแนวทาง ตัวแทนภาคประชาชน ตัวแทนผู้เอ็นจีโอ มีส่วนร่วมในการวางกลไกวิธีการแก้ปัญหาดังกล่าว รวมทั้งวางระบบติดตามถึงผู้ใช้เพิ่มเติมให้ทราบสถานะการรับยาที่รวดเร็วกว่าระบบเดิม
โดยในช่วงรอยต่อของการปรับเปลี่ยนระบบของคณะกรรมการจัดซื้อยาชุดเดิมกับคณะกรรมการชุดใหม่ ที่หลายฝ่ายกังวลโดยเฉพาะการที่ประธานเครือข่ายเอชไอวี/เอดส์แห่งประเทศไทยและประธานชมรมเพื่อนโรคไตห่วงใย ซึ่งจะสร้างความเข้าใจผิดให้กลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคไตหลายคนเกิดความเครียดว่าจะไม่มียาและได้โทรศัพท์มาสอบถามหลายสายนั้น ขอยืนยันว่าได้ชี้แจงและทําความเข้าใจกับกลุ่มผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโรคไตมาโดยตลอดว่าจะไม่มีปัญหาการขาดยาอย่างแน่นอน จึงขอให้เข้าใจและชี้แจงให้กลุ่มผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโรคไตทราบข้อมูลที่ถูกต้องด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความวิตกกังวล เกิดความเครียดมีผลต่อสุขภาพผู้ป่วยได้
ด้านนายแพทย์นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อํานวยการองค์การเภสัชกรรม ยืนยันว่า องค์การเภสัชกรรม ได้เตรียมน้ํายาล้างไตไว้พร้อมแล้ว ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าอาจมียาต้านไวรัสเอชไอวีบางตัวมีการชะงักงันในการกระจายยาให้โรงพยาบาลนั้น เนื่องมาจากข้อขัดข้องของผู้ผลิต ไม่ได้เกิดจากกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างในระบบใหม่แต่อย่างใด องค์การเภสัชกรรมได้ประสานงานกับบริษัทผู้ผลิต และได้เตรียมการผลิตในส่วนขององค์การเภสัชกรรมเอง ยืนยันว่าจะมียาใช้และสามารถรักษาผู้ป่วยจนอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอนในทุกสิทธิ์การรักษา ขอให้ทุกฝ่ายสบายใจได้
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7111
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เพิ่มจำนวนผู้มีสิทธิรับเงินเยียวยาฯ และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ
|
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563
เพิ่มจํานวนผู้มีสิทธิรับเงินเยียวยาฯ และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ
วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบขยายกลุ่มเป้าหมายตามมาตรการดูแลและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ที่จะได้รับเงิน 5,000 บาท/เดือน ตั้งแต่เดือนเม.ย.-มิ.ย. 63 จากเดิม 14 ล้านคน เป็น 16 ล้านคน และเห็นชอบจ่ายเงินเยียวยาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรและครอบครัว รายละ 5,000 บาท/เดือน เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนพ.ค. - ก.ค. 63 โดยมีกลุ่มเป้าหมายเกษตรกรไม่เกิน 10 ล้านคน ประกอบด้วยกลุ่มที่ 1 เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมส่งเสริมการเกษตร กรมปศุสัตว์ กรมประมง และกลุ่มที่ 2 เกษตรกรที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลการขึ้นทะเบียน ทั้งนี้ รัฐบาลยืนยันจะดูแลช่วยเหลือประชาชนให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ได้มากที่สุด
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เพิ่มจำนวนผู้มีสิทธิรับเงินเยียวยาฯ และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563
เพิ่มจํานวนผู้มีสิทธิรับเงินเยียวยาฯ และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ
วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบขยายกลุ่มเป้าหมายตามมาตรการดูแลและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ที่จะได้รับเงิน 5,000 บาท/เดือน ตั้งแต่เดือนเม.ย.-มิ.ย. 63 จากเดิม 14 ล้านคน เป็น 16 ล้านคน และเห็นชอบจ่ายเงินเยียวยาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรและครอบครัว รายละ 5,000 บาท/เดือน เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนพ.ค. - ก.ค. 63 โดยมีกลุ่มเป้าหมายเกษตรกรไม่เกิน 10 ล้านคน ประกอบด้วยกลุ่มที่ 1 เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมส่งเสริมการเกษตร กรมปศุสัตว์ กรมประมง และกลุ่มที่ 2 เกษตรกรที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลการขึ้นทะเบียน ทั้งนี้ รัฐบาลยืนยันจะดูแลช่วยเหลือประชาชนให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ได้มากที่สุด
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30582
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะสื่อมวลชน เยี่ยมชม หจก.มาริลิน อินเตอร์ฟู้ดส์ ซึ่งได้รับสินเชื่อวงเงิน 3 ล้านบาท จากกองทุนเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ
|
วันอังคารที่ 4 กรกฎาคม 2560
รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะสื่อมวลชน เยี่ยมชม หจก.มาริลิน อินเตอร์ฟู้ดส์ ซึ่งได้รับสินเชื่อวงเงิน 3 ล้านบาท จากกองทุนเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ
รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะสื่อมวลชน เยี่ยมชม หจก.มาริลิน อินเตอร์ฟู้ดส์ ซึ่งได้รับสินเชื่อวงเงิน 3 ล้านบาท จากกองทุนเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ
จ.มุกดาหาร วันที่ 4 กรกฎาคม 2560 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะสื่อมวลชน เยี่ยมชม หจก.มาริลิน อินเตอร์ฟู้ดส์ ซึ่งได้รับสินเชื่อวงเงิน 3 ล้านบาท จากกองทุนเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ (Productivity )ด้วยการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรสําหรับบรรจุหีบห่ออัตโนมัติ ที่สามารถลดเวลาและเพิ่มคุณภาพการผลิตตามมาตรฐานให้ไม่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไป 100% จากเดิมที่เคยใช้เครื่องจักรและคนงานในการบรรจุสินค้า ทําให้ช่วยขยายปริมาณการผลิตได้กว่าร้อยละ 30 รองรับตลาดลูกค้าที่เพิ่มขึ้น โดยมี นายรณรงค์ นครจินดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร นายวสันต์ นิสัยมั่น อุตสาหกรรมจังหวัดมุกดาหาร ร่วมด้วย และมีนางสาวเมลิกา นามเดช ผู้บริหารรุ่นที่ 3 ที่สืบทอดกิจการผลิตและจําหน่ายเส้นก๋วยจั๊บเวียดนาม ขนมจีนอบแห้ง ใบเมี่ยง เส้นขนมจีน และข้าวเกรียบ ตรา "ไซง่อน" พร้อมพนักงานให้การต้อนรับและชิมผลิตภัณฑ์ ณ หจก.มาริลิน อินเตอร์ฟู้ดส์ ตั้งอยู่ใกล้สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติมุกดาหาร อ.เมือง จ.มุกดาหาร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะสื่อมวลชน เยี่ยมชม หจก.มาริลิน อินเตอร์ฟู้ดส์ ซึ่งได้รับสินเชื่อวงเงิน 3 ล้านบาท จากกองทุนเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ
วันอังคารที่ 4 กรกฎาคม 2560
รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะสื่อมวลชน เยี่ยมชม หจก.มาริลิน อินเตอร์ฟู้ดส์ ซึ่งได้รับสินเชื่อวงเงิน 3 ล้านบาท จากกองทุนเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ
รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะสื่อมวลชน เยี่ยมชม หจก.มาริลิน อินเตอร์ฟู้ดส์ ซึ่งได้รับสินเชื่อวงเงิน 3 ล้านบาท จากกองทุนเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ
จ.มุกดาหาร วันที่ 4 กรกฎาคม 2560 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะสื่อมวลชน เยี่ยมชม หจก.มาริลิน อินเตอร์ฟู้ดส์ ซึ่งได้รับสินเชื่อวงเงิน 3 ล้านบาท จากกองทุนเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ (Productivity )ด้วยการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรสําหรับบรรจุหีบห่ออัตโนมัติ ที่สามารถลดเวลาและเพิ่มคุณภาพการผลิตตามมาตรฐานให้ไม่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไป 100% จากเดิมที่เคยใช้เครื่องจักรและคนงานในการบรรจุสินค้า ทําให้ช่วยขยายปริมาณการผลิตได้กว่าร้อยละ 30 รองรับตลาดลูกค้าที่เพิ่มขึ้น โดยมี นายรณรงค์ นครจินดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร นายวสันต์ นิสัยมั่น อุตสาหกรรมจังหวัดมุกดาหาร ร่วมด้วย และมีนางสาวเมลิกา นามเดช ผู้บริหารรุ่นที่ 3 ที่สืบทอดกิจการผลิตและจําหน่ายเส้นก๋วยจั๊บเวียดนาม ขนมจีนอบแห้ง ใบเมี่ยง เส้นขนมจีน และข้าวเกรียบ ตรา "ไซง่อน" พร้อมพนักงานให้การต้อนรับและชิมผลิตภัณฑ์ ณ หจก.มาริลิน อินเตอร์ฟู้ดส์ ตั้งอยู่ใกล้สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติมุกดาหาร อ.เมือง จ.มุกดาหาร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4994
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม.นำประธานสภาเด็กและคณะเยาวชน เข้าพบนายกรัฐมนตรี
|
วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561
พม.นําประธานสภาเด็กและคณะเยาวชน เข้าพบนายกรัฐมนตรี
พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นําประธานสภาเด็กและเยาวชน เข้าเยี่ยมคารวะและรับโอวาทจากนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (23 พฤศจิกายน 2561) เวลา 13.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาลพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์นําประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัด เยาวชนกรุงเทพ ฯ เยาวชนจังหวัดอําเภอ เยาวชนจังหวัดเขต สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ที่ร่วมโครงการ “รวมพลังแกนนําเด็กและเยาวชน มุ่งสู่การเป็นแกนนําจิตอาสาในชุมชนป้องกันการทุจริตคอรัปชั่น” จํานวน 694 คน เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อเสนอผลการขับเคลื่อนการดําเนินงานของสภาเด็กและเยาวชน และมติสมัชชาเด็กและเยาวชนระดับภาคประจําปี 2561 โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีมอบโอวาท สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมกับความสําเร็จของการจัดตั้งสภาเด็กและเยาวชนครบทุกระดับ ตั้งแต่ระดับตําบล เทศบาล อําเภอ เขต จังหวัด กรุงเทพมหานคร จํานวน 8 พันกว่าแห่ง ครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศไทย โดยจะเป็นบุคคลรุ่นใหม่ที่เป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย ให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมคนเหล่านี้เข้าสู่ทศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะทักษะด้านการคิด วิเคราะห์ ต่อเนื่องเชื่อมโยง มีทักษะทางสังคมและความสามารถในการทํางานร่วมกับผู้อื่น มีทักษะด้านภาษาต่างประเทศ ศิลปะและความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ต่อยอดนวัตกรรมเพื่อการสร้างผลิตภาพใหม่ รวมทั้งมีจิตสาธารณะ ค่านิยมที่ดี ขณะนี้รัฐบาลได้วางแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อเป็นกรอบสําหรับการขับเคลื่อนรัฐธรรมนูญ สู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้วิสัยทัศน์ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ทั้งนี้ การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติจําเป็นต้องอาศัยการระดมสรรพกําลังของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่เป็นคนไทยรุ่นใหม่ในวันนี้ ถือเป็นหุ้นส่วนสําคัญของประเทศ ที่จะเป็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมของประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้า เป็นผู้ที่ร่วมสร้างความสําเร็จของแผนยุทธศาสตร์ชาติในอีก 20 ปีข้างหน้า นายกรัฐมนตรียังขอให้เยาวชนทุกคน เรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย เอกลักษณ์ของคนไทย มีน้ําใจ รอยยิ้ม และสังคมที่อยู่ด้วยกัน ด้วยความปรองดอง ความสามัคคี ความสมานฉันท์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศไทยมีอยู่พร้อมแล้ว การเป็นคนรุ่นใหม่นั้นก็อย่าทิ้งคนรุ่นเก่าที่มีพระคุณกับเราคือผู้สูงอายุทั้งหลาย ซึ่งไม่ว่ารัฐบาลไหนเข้ามาบริหารประเทศก็จะทํานโยบายนี้ไปสานต่อ วันนี้รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะให้เยาวชนเป็นกําลังสําคัญของบ้านเมือง เป็นกําลังพลสําคัญที่มีศักยภาพ พร้อมรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่
สภาเด็กและเยาวชนเป็นกลไกสําคัญในการเชื่อมประสานงานเด็กและเยาวชนจากระดับพื้นที่ สู่ระดับนโยบายต้อง ต้องพัฒนา รู้เท่าทันสถานการณ์ท้าทายและการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกยุคในปัจจุบันและประเด็นท้าทายอื่นๆ ที่ประเทศไทยกําลังเผชิญ เช่น ความรุนแรงในสังคมทั้งใน Offline และ Online ปัญหายาเสพติด ซึ่งต้องขอความร่วมมือเฝ้าระวังป้องกันและแก้ไขในพื้นที่ให้ได้ และในวันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี องค์การสหประชาชาติ ได้กําหนดให้เป็นวันขจัดความรุนแรงต่อสตรีสากล และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อ กําหนดให้เดือนพฤศจิกายนของทุกปี เป็นเดือนแห่งการยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี และเป็นวันยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรีสากล ซึ่งล้วนแต่ให้ความสําคัญต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนของอาเซียนทั้งสิ้น
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีฝากให้สภาเด็กและเยาวชนทุกคน รู้หน้าที่ของตนเอง ทั้งการเป็นเยาวชนของชาติที่มีคุณภาพและคุณธรรม และในบทบาทของการเป็นส่วนหนึ่งของสภาเด็กและเยาวชน การมีส่วนร่วมรณรงค์ รวมทั้งการจัดกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเชิงบวกและขับเคลื่อนในการพัฒนาประเทศไทยให้มีความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน รวมทั้งขอให้รักและยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ร่วมอนุรักษ์ สืบสานวัฒนธรรม ประเพณีที่ดีงามของไทยให้คงอยู่ตลอดไป พร้อมขอให้น้อมนําศาสตร์พระราชา “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” และ “หลักการทรงงาน” ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มาเป็นแนวคิดและนําไปปฏิบัติในการดําเนินชีวิต เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ตนเอง สังคม และประเทศชาติ และน้อมนํา “แนวทางพระราชทานจิตอาสา” ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการเป็นผู้ให้ ผู้เสียสละ และอุทิศตนเพื่อส่วนรวม โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ร่วมกันสร้างพลังเครือข่ายจิตอาสา เพื่อรวมพลังคนรุ่นใหม่ในการร่วมสร้างสรรค์ประเทศไทยให้ดีขึ้น
........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม.นำประธานสภาเด็กและคณะเยาวชน เข้าพบนายกรัฐมนตรี
วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561
พม.นําประธานสภาเด็กและคณะเยาวชน เข้าพบนายกรัฐมนตรี
พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นําประธานสภาเด็กและเยาวชน เข้าเยี่ยมคารวะและรับโอวาทจากนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (23 พฤศจิกายน 2561) เวลา 13.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาลพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์นําประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัด เยาวชนกรุงเทพ ฯ เยาวชนจังหวัดอําเภอ เยาวชนจังหวัดเขต สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ที่ร่วมโครงการ “รวมพลังแกนนําเด็กและเยาวชน มุ่งสู่การเป็นแกนนําจิตอาสาในชุมชนป้องกันการทุจริตคอรัปชั่น” จํานวน 694 คน เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อเสนอผลการขับเคลื่อนการดําเนินงานของสภาเด็กและเยาวชน และมติสมัชชาเด็กและเยาวชนระดับภาคประจําปี 2561 โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีมอบโอวาท สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมกับความสําเร็จของการจัดตั้งสภาเด็กและเยาวชนครบทุกระดับ ตั้งแต่ระดับตําบล เทศบาล อําเภอ เขต จังหวัด กรุงเทพมหานคร จํานวน 8 พันกว่าแห่ง ครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศไทย โดยจะเป็นบุคคลรุ่นใหม่ที่เป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย ให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมคนเหล่านี้เข้าสู่ทศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะทักษะด้านการคิด วิเคราะห์ ต่อเนื่องเชื่อมโยง มีทักษะทางสังคมและความสามารถในการทํางานร่วมกับผู้อื่น มีทักษะด้านภาษาต่างประเทศ ศิลปะและความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ต่อยอดนวัตกรรมเพื่อการสร้างผลิตภาพใหม่ รวมทั้งมีจิตสาธารณะ ค่านิยมที่ดี ขณะนี้รัฐบาลได้วางแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อเป็นกรอบสําหรับการขับเคลื่อนรัฐธรรมนูญ สู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้วิสัยทัศน์ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ทั้งนี้ การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติจําเป็นต้องอาศัยการระดมสรรพกําลังของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่เป็นคนไทยรุ่นใหม่ในวันนี้ ถือเป็นหุ้นส่วนสําคัญของประเทศ ที่จะเป็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมของประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้า เป็นผู้ที่ร่วมสร้างความสําเร็จของแผนยุทธศาสตร์ชาติในอีก 20 ปีข้างหน้า นายกรัฐมนตรียังขอให้เยาวชนทุกคน เรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย เอกลักษณ์ของคนไทย มีน้ําใจ รอยยิ้ม และสังคมที่อยู่ด้วยกัน ด้วยความปรองดอง ความสามัคคี ความสมานฉันท์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศไทยมีอยู่พร้อมแล้ว การเป็นคนรุ่นใหม่นั้นก็อย่าทิ้งคนรุ่นเก่าที่มีพระคุณกับเราคือผู้สูงอายุทั้งหลาย ซึ่งไม่ว่ารัฐบาลไหนเข้ามาบริหารประเทศก็จะทํานโยบายนี้ไปสานต่อ วันนี้รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะให้เยาวชนเป็นกําลังสําคัญของบ้านเมือง เป็นกําลังพลสําคัญที่มีศักยภาพ พร้อมรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่
สภาเด็กและเยาวชนเป็นกลไกสําคัญในการเชื่อมประสานงานเด็กและเยาวชนจากระดับพื้นที่ สู่ระดับนโยบายต้อง ต้องพัฒนา รู้เท่าทันสถานการณ์ท้าทายและการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกยุคในปัจจุบันและประเด็นท้าทายอื่นๆ ที่ประเทศไทยกําลังเผชิญ เช่น ความรุนแรงในสังคมทั้งใน Offline และ Online ปัญหายาเสพติด ซึ่งต้องขอความร่วมมือเฝ้าระวังป้องกันและแก้ไขในพื้นที่ให้ได้ และในวันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี องค์การสหประชาชาติ ได้กําหนดให้เป็นวันขจัดความรุนแรงต่อสตรีสากล และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อ กําหนดให้เดือนพฤศจิกายนของทุกปี เป็นเดือนแห่งการยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี และเป็นวันยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรีสากล ซึ่งล้วนแต่ให้ความสําคัญต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนของอาเซียนทั้งสิ้น
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีฝากให้สภาเด็กและเยาวชนทุกคน รู้หน้าที่ของตนเอง ทั้งการเป็นเยาวชนของชาติที่มีคุณภาพและคุณธรรม และในบทบาทของการเป็นส่วนหนึ่งของสภาเด็กและเยาวชน การมีส่วนร่วมรณรงค์ รวมทั้งการจัดกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเชิงบวกและขับเคลื่อนในการพัฒนาประเทศไทยให้มีความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน รวมทั้งขอให้รักและยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ร่วมอนุรักษ์ สืบสานวัฒนธรรม ประเพณีที่ดีงามของไทยให้คงอยู่ตลอดไป พร้อมขอให้น้อมนําศาสตร์พระราชา “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” และ “หลักการทรงงาน” ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มาเป็นแนวคิดและนําไปปฏิบัติในการดําเนินชีวิต เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ตนเอง สังคม และประเทศชาติ และน้อมนํา “แนวทางพระราชทานจิตอาสา” ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการเป็นผู้ให้ ผู้เสียสละ และอุทิศตนเพื่อส่วนรวม โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ร่วมกันสร้างพลังเครือข่ายจิตอาสา เพื่อรวมพลังคนรุ่นใหม่ในการร่วมสร้างสรรค์ประเทศไทยให้ดีขึ้น
........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17037
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋” พร้อมเปิดศูนย์ที่นี่มีงานทำ (Job Ready Center) ปูพรม 11 ศูนย์ทั่วประเทศ 19 ก.ค. นี้
|
วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม 2561
“บิ๊กอู๋” พร้อมเปิดศูนย์ที่นี่มีงานทํา (Job Ready Center) ปูพรม 11 ศูนย์ทั่วประเทศ 19 ก.ค. นี้
รมว.แรงงาน ประชุมเตรียมความพร้อมเปิดศูนย์ที่นี่มีงานทํา (Job Ready Center) มุ่งช่วยเหลือผู้จบปริญญาตรีให้มีงานทํา เป็นศูนย์ให้คําปรึกษา พัฒนาทักษะฝีมือ แนะแนวอาชีพ จับคู่ตําแหน่งงาน ดีเดย์ เปิดดําเนินการ 11 แห่งทั่วประเทศ 19 กรกฎาคมนี้
รมว.แรงงาน ประชุมเตรียมความพร้อมเปิดศูนย์ที่นี่มีงานทํา (Job Ready Center) มุ่งช่วยเหลือผู้จบปริญญาตรีให้มีงานทํา เป็นศูนย์ให้คําปรึกษา พัฒนาทักษะฝีมือ แนะแนวอาชีพ จับคู่ตําแหน่งงาน ดีเดย์ เปิดดําเนินการ 11 แห่งทั่วประเทศ 19 กรกฎาคมนี้ ตามแนวทาง“ประชารัฐ ร่วมใจ เพื่อคนไทยมีงานทํา”
วันนี้ (9 ก.ค.61) เวลา 11.30 น. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมเพื่อเตรียมการเปิดศูนย์ที่นี่มีงานทํา (Job Ready Center) ณ ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน และ CEO ประจําศูนย์ ทั้ง 11 แห่ง ร่วมประชุมทางไกลผ่านระบบ Video Conference โดย พล.ต.อ.อดุลย์ฯกล่าวว่า กระทรวงแรงงานจะดําเนินการเปิดศูนย์ที่นี่มีงานทํา (Job Ready Center) พร้อมกันทั่วประเทศ จํานวน ๑๑ แห่ง ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก พระนครศรีอยุธยา ปราจีนบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง สุราษฎร์ธานี สงขลา และกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 19กรกฎาคมนี้
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวต่อว่า ศูนย์ที่นี่มีงานทํา (Job Ready Center) จะให้บริการ อาทิ การวิเคราะห์ข้อมูลความต้องการแรงงานในพื้นที่ มีตําแหน่งงานว่างในพื้นที่สําหรับวุฒิปริญญาตรี บริการจับคู่ตําแหน่งงาน (Matching) ระหว่างผู้ที่กําลังหางานทํากับนายจ้างสถานประกอบการ ผ่าน Job fair, Mobile App, Line Jobs, Job Box เป็นต้น เพื่อให้คําปรึกษาแนะแนวอาชีพรายบุคคล ส่งต่อการบริการจัดหางานและฝึกอบรมเพิ่มทักษะ ติดตามการมีงานทํารายบุคคล ส่วนผู้ที่ต้องการฝึกทักษะเพิ่ม กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจะบูรณาการกับสถานศึกษาเพื่อเพิ่มทักษะ (Up skill/Re-skill) แก่บัณฑิตที่แจ้งความประสงค์ฝึกอาชีพเพื่อให้ตรงกับความต้องการของสถานประกอบการ เพื่อให้สามารถมีงานทําประกอบอาชีพอิสระหรือรับงานไปทําที่บ้านได้ โดยศูนย์ที่นี่มีงานทํา (Job Ready Center) ทั้ง 11 แห่งจะเป็นการบูรณาการร่วมกันตามแนวทางประชารัฐเพื่อให้คนไทยมีงานทํา อาทิ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สถานประกอบการในจังหวัดจะส่งข้อมูลความต้องการทักษะ รวมทั้งจํานวนผู้ฝึกงานที่สถานประกอบการมีความประสงค์ ความร่วมมือของสถานศึกษาในการสํารวจข้อมูลผู้กําลังจะจบการศึกษา เพื่อส่งต่อข้อมูลการฝึกงานในสถานประกอบการ
ภายหลังการประชุม รมว.แรงงาน ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมความพร้อมของศูนย์ฯ ณ ศูนย์ที่นี่มีงานทํา (Job Ready Center) อาคาร 3 ชั้น กระทรวงแรงงาน ถนนมิตรไมตรี เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ซึ่งในวันที่ 19 กรกฎาคม 2561 เวลา 09.00 น. จะมีการจัดพิธีเปิดศูนย์ที่นี่มีงานทํา (Job Ready Center) อย่างเป็นทางการ ณ ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย กระทรวงแรงงาน โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน
------------------------------------
กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ณัฏฐภัทร์ ชื่นเอี่ยม – ข่าว/สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/
9 กรกฎาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋” พร้อมเปิดศูนย์ที่นี่มีงานทำ (Job Ready Center) ปูพรม 11 ศูนย์ทั่วประเทศ 19 ก.ค. นี้
วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม 2561
“บิ๊กอู๋” พร้อมเปิดศูนย์ที่นี่มีงานทํา (Job Ready Center) ปูพรม 11 ศูนย์ทั่วประเทศ 19 ก.ค. นี้
รมว.แรงงาน ประชุมเตรียมความพร้อมเปิดศูนย์ที่นี่มีงานทํา (Job Ready Center) มุ่งช่วยเหลือผู้จบปริญญาตรีให้มีงานทํา เป็นศูนย์ให้คําปรึกษา พัฒนาทักษะฝีมือ แนะแนวอาชีพ จับคู่ตําแหน่งงาน ดีเดย์ เปิดดําเนินการ 11 แห่งทั่วประเทศ 19 กรกฎาคมนี้
รมว.แรงงาน ประชุมเตรียมความพร้อมเปิดศูนย์ที่นี่มีงานทํา (Job Ready Center) มุ่งช่วยเหลือผู้จบปริญญาตรีให้มีงานทํา เป็นศูนย์ให้คําปรึกษา พัฒนาทักษะฝีมือ แนะแนวอาชีพ จับคู่ตําแหน่งงาน ดีเดย์ เปิดดําเนินการ 11 แห่งทั่วประเทศ 19 กรกฎาคมนี้ ตามแนวทาง“ประชารัฐ ร่วมใจ เพื่อคนไทยมีงานทํา”
วันนี้ (9 ก.ค.61) เวลา 11.30 น. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมเพื่อเตรียมการเปิดศูนย์ที่นี่มีงานทํา (Job Ready Center) ณ ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน และ CEO ประจําศูนย์ ทั้ง 11 แห่ง ร่วมประชุมทางไกลผ่านระบบ Video Conference โดย พล.ต.อ.อดุลย์ฯกล่าวว่า กระทรวงแรงงานจะดําเนินการเปิดศูนย์ที่นี่มีงานทํา (Job Ready Center) พร้อมกันทั่วประเทศ จํานวน ๑๑ แห่ง ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก พระนครศรีอยุธยา ปราจีนบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง สุราษฎร์ธานี สงขลา และกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 19กรกฎาคมนี้
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวต่อว่า ศูนย์ที่นี่มีงานทํา (Job Ready Center) จะให้บริการ อาทิ การวิเคราะห์ข้อมูลความต้องการแรงงานในพื้นที่ มีตําแหน่งงานว่างในพื้นที่สําหรับวุฒิปริญญาตรี บริการจับคู่ตําแหน่งงาน (Matching) ระหว่างผู้ที่กําลังหางานทํากับนายจ้างสถานประกอบการ ผ่าน Job fair, Mobile App, Line Jobs, Job Box เป็นต้น เพื่อให้คําปรึกษาแนะแนวอาชีพรายบุคคล ส่งต่อการบริการจัดหางานและฝึกอบรมเพิ่มทักษะ ติดตามการมีงานทํารายบุคคล ส่วนผู้ที่ต้องการฝึกทักษะเพิ่ม กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจะบูรณาการกับสถานศึกษาเพื่อเพิ่มทักษะ (Up skill/Re-skill) แก่บัณฑิตที่แจ้งความประสงค์ฝึกอาชีพเพื่อให้ตรงกับความต้องการของสถานประกอบการ เพื่อให้สามารถมีงานทําประกอบอาชีพอิสระหรือรับงานไปทําที่บ้านได้ โดยศูนย์ที่นี่มีงานทํา (Job Ready Center) ทั้ง 11 แห่งจะเป็นการบูรณาการร่วมกันตามแนวทางประชารัฐเพื่อให้คนไทยมีงานทํา อาทิ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สถานประกอบการในจังหวัดจะส่งข้อมูลความต้องการทักษะ รวมทั้งจํานวนผู้ฝึกงานที่สถานประกอบการมีความประสงค์ ความร่วมมือของสถานศึกษาในการสํารวจข้อมูลผู้กําลังจะจบการศึกษา เพื่อส่งต่อข้อมูลการฝึกงานในสถานประกอบการ
ภายหลังการประชุม รมว.แรงงาน ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมความพร้อมของศูนย์ฯ ณ ศูนย์ที่นี่มีงานทํา (Job Ready Center) อาคาร 3 ชั้น กระทรวงแรงงาน ถนนมิตรไมตรี เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ซึ่งในวันที่ 19 กรกฎาคม 2561 เวลา 09.00 น. จะมีการจัดพิธีเปิดศูนย์ที่นี่มีงานทํา (Job Ready Center) อย่างเป็นทางการ ณ ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย กระทรวงแรงงาน โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน
------------------------------------
กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ณัฏฐภัทร์ ชื่นเอี่ยม – ข่าว/สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/
9 กรกฎาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13713
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ การันตี “เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ” 2 รายแรกของไทย ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) สามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้ 100% [กระทรวงอุตสาหกรรม]
|
วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม 2563
ก.อุตฯ การันตี “เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ” 2 รายแรกของไทย ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) สามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้ 100% [กระทรวงอุตสาหกรรม]
ก.อุตฯ การันตี “เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ” 2 รายแรกของไทย ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) สามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้ 100%
กระทรวงอุตสาหกรรม การันตี “เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ” สินค้าจากชุมชน สามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้ 100% หลัง สมอ. ให้การรับรองคุณภาพสินค้าแก่ผู้ผลิตชุมชน 2 รายแรกของไทย ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) ที่ปรับแก้ไขใหม่ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เมื่อเดือนมีนาคม 2563 ที่ผ่านมา ชวนประชาชนอุดหนุนสินค้าไทย รับวิถีปกติใหม่ (New normal)
นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ได้แก้ไขมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน มผช.907/2563 ผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดมือ ซึ่งรวมถึงเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ เพื่อให้สอดคล้องตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข โดยแก้ไขเกณฑ์กําหนดส่วนผสมของแอลกอฮอล์ต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ70 เพื่อให้สามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 นั้น เป็นที่น่ายินดีว่า มีผู้ผลิตชุมชน 2 รายแรกของไทย ได้รับการรับรองคุณภาพสินค้าตามมาตรฐานดังกล่าวจาก สมอ. แล้ว ได้แก่ ดีดีดี แอลกอฮอล์เจล ของนางสาวเรณู แก้วตา ผู้ผลิตชุมชนจังหวัดลําพูน ได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2563 และนางสาววรรณภัสสร สันติธรรมสุททิ์ ผู้ผลิตชุมชนจังหวัดชุมพร ได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา
“การได้รับการรับรองในครั้งนี้ เป็นเครื่องการันตีว่า สินค้ามีคุณภาพตามมาตรฐาน สามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้ 100 % ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขายและสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เป็นหนึ่งในมาตรการและแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการของกระทรวงอุตสาหกรรม ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบ ให้สามารถพัฒนาสินค้าได้ตามมาตรฐาน สร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจ ตลอดจนเพิ่มยอดขายสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น และเพิ่มสภาพคล่องในการดําเนินธุรกิจภายใต้สถานการณ์โควิด 19" โฆษกฯ กล่าว
นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า “แม้ว่าสถานการณ์โควิด 19 จะคลี่คลาย แต่ประชาชนก็ยังต้องป้องกันตนเอง ทั้งการสวมหน้ากากอนามัย การใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ และฉีดพ่นแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ เพื่อให้ปลอดภัยจากเชื้อไวรัสดังกล่าว เจลแอลกอฮอล์ล้างมือจึงเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่จําเป็นสําหรับประชาชนที่ต้องใช้ในชีวิตประจําวันตามวิถีปกติใหม่ หรือ New normal จึงขอฝากถึงประชาชนให้อุดหนุนสินค้าของไทย โดยเฉพาะสินค้าจากผู้ผลิตชุมชน และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เพื่อสร้างงานและสร้างรายได้สู่ชุมชน และที่สําคัญเพื่อความปลอดภัยและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 สําหรับผู้ผลิตชุมชน และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สามารถนํามาตรฐาน มผช.907/2563 ไปเป็นแนวทางในการผลิตเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ที่ได้มาตรฐาน โดยขอให้ท่านยื่นจดแจ้งกับกระทรวงสาธารณสุขตามกฎหมายก่อน หลังจากนั้นให้มายื่นขอการรับรองที่ สมอ. หรือสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.tisi.go.th หรือสอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2202 3345-46 กองบริหารมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน สมอ.”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ การันตี “เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ” 2 รายแรกของไทย ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) สามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้ 100% [กระทรวงอุตสาหกรรม]
วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม 2563
ก.อุตฯ การันตี “เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ” 2 รายแรกของไทย ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) สามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้ 100% [กระทรวงอุตสาหกรรม]
ก.อุตฯ การันตี “เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ” 2 รายแรกของไทย ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) สามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้ 100%
กระทรวงอุตสาหกรรม การันตี “เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ” สินค้าจากชุมชน สามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้ 100% หลัง สมอ. ให้การรับรองคุณภาพสินค้าแก่ผู้ผลิตชุมชน 2 รายแรกของไทย ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) ที่ปรับแก้ไขใหม่ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เมื่อเดือนมีนาคม 2563 ที่ผ่านมา ชวนประชาชนอุดหนุนสินค้าไทย รับวิถีปกติใหม่ (New normal)
นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ได้แก้ไขมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน มผช.907/2563 ผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดมือ ซึ่งรวมถึงเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ เพื่อให้สอดคล้องตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข โดยแก้ไขเกณฑ์กําหนดส่วนผสมของแอลกอฮอล์ต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ70 เพื่อให้สามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 นั้น เป็นที่น่ายินดีว่า มีผู้ผลิตชุมชน 2 รายแรกของไทย ได้รับการรับรองคุณภาพสินค้าตามมาตรฐานดังกล่าวจาก สมอ. แล้ว ได้แก่ ดีดีดี แอลกอฮอล์เจล ของนางสาวเรณู แก้วตา ผู้ผลิตชุมชนจังหวัดลําพูน ได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2563 และนางสาววรรณภัสสร สันติธรรมสุททิ์ ผู้ผลิตชุมชนจังหวัดชุมพร ได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา
“การได้รับการรับรองในครั้งนี้ เป็นเครื่องการันตีว่า สินค้ามีคุณภาพตามมาตรฐาน สามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้ 100 % ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขายและสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เป็นหนึ่งในมาตรการและแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการของกระทรวงอุตสาหกรรม ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบ ให้สามารถพัฒนาสินค้าได้ตามมาตรฐาน สร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจ ตลอดจนเพิ่มยอดขายสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น และเพิ่มสภาพคล่องในการดําเนินธุรกิจภายใต้สถานการณ์โควิด 19" โฆษกฯ กล่าว
นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า “แม้ว่าสถานการณ์โควิด 19 จะคลี่คลาย แต่ประชาชนก็ยังต้องป้องกันตนเอง ทั้งการสวมหน้ากากอนามัย การใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ และฉีดพ่นแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ เพื่อให้ปลอดภัยจากเชื้อไวรัสดังกล่าว เจลแอลกอฮอล์ล้างมือจึงเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่จําเป็นสําหรับประชาชนที่ต้องใช้ในชีวิตประจําวันตามวิถีปกติใหม่ หรือ New normal จึงขอฝากถึงประชาชนให้อุดหนุนสินค้าของไทย โดยเฉพาะสินค้าจากผู้ผลิตชุมชน และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เพื่อสร้างงานและสร้างรายได้สู่ชุมชน และที่สําคัญเพื่อความปลอดภัยและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 สําหรับผู้ผลิตชุมชน และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สามารถนํามาตรฐาน มผช.907/2563 ไปเป็นแนวทางในการผลิตเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ที่ได้มาตรฐาน โดยขอให้ท่านยื่นจดแจ้งกับกระทรวงสาธารณสุขตามกฎหมายก่อน หลังจากนั้นให้มายื่นขอการรับรองที่ สมอ. หรือสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.tisi.go.th หรือสอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2202 3345-46 กองบริหารมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน สมอ.”
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33092
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ เตือนผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เร่งปรับตัวรับเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า
|
วันอังคารที่ 12 ธันวาคม 2560
ก.อุตฯ เตือนผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เร่งปรับตัวรับเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยียานยนต์ในอนาคต ว่า ทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์โลกจะมุ่งสู่รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า
นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยียานยนต์ในอนาคต ว่า ทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์โลกจะมุ่งสู่รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ได้แก่ รถไฟฟ้าไฮบริด รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอิน รถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ และรถยนต์ไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง ในประเทศไทยมีการผลิตรถไฟฟ้าแล้ว 2 ประเภทคือ รถไฟฟ้าไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอิน ซึ่งภาครัฐได้กําหนดนโยบายและ มาตรการส่งเสริมการลงทุน รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมดังกล่าว โดยได้เปิดกว้างรับทุกเทคโนโลยี เพราะผู้ผลิตแต่ละรายจะมีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีที่แตกต่างกันไป
“ผู้ประกอบการไทยทั้งผู้ผลิตรถยนต์และผู้ผลิตชิ้นส่วน จําเป็นต้องเตรียมความพร้อมที่จะปรับตัวให้เติบโตหรืออยู่รอดให้ได้ เมื่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้ามาถึง ซึ่งผู้ผลิตชิ้นส่วนจําเป็นต้องเร่งพัฒนาในทิศทางที่สอดคล้องกับผู้ผลิตรถยนต์ เพื่อก้าวไปพร้อมๆ กัน หากเปลี่ยนผ่านไม่ทันอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน และอาจส่งผลให้ธุรกิจค่อยๆ ล้มหายไป เหมือนอย่างกรณีที่เคยเกิดขึ้นแล้วกับอุตสาหกรรมผู้ผลิตจอภาพโทรทัศน์ของไทย ซึ่งเคยเป็นผู้นําในการผลิตทีวีจอแก้ว (CRT) แต่มีการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี ไปเป็นจอแอลซีดี (LCD) แอลอีดี (LED) เต็มรูปแบบ และในปัจจุบันเป็นจอโอแอลอีดี (OLED) ดังนั้น หากชะล่าใจไม่ปรับตัว อาจทําให้สูญเสียตลาดให้กับคู่แข่งได้ กระทรวงฯ แนะนําให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนของไทย เข้ามาใช้บริการศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่อนาคต (Industry transformation center : ITC) เพื่อช่วยออกแบบ แก้ปัญหา และร่วมคิดทดสอบผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนใหม่ที่เหมาะสมกับเทคโนโลยีรถไฟฟ้า รวมทั้งความต้องการของตลาด” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว
จากการสํารวจข้อมูลล่าสุดของสถาบันยานยนต์ พบว่า มีผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ประมาณ 1,600 ราย โดยเป็นกิจการของคนไทยจํานวน 850 ราย ทั้งนี้ รถยนต์นั่ง 1 คัน จะประกอบด้วยชิ้นส่วนหลัก จํานวน 800-2,200 ชิ้น
ในการพัฒนาจากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่นั้น จะส่งผลกระทบกับผู้ผลิตชิ้นส่วน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรก ชิ้นส่วนที่จะหายไป ได้แก่ เครื่องยนต์ ระบบส่งกําลัง หม้อน้ํา กลุ่มที่สอง ชิ้นส่วนที่จะมีอยู่ ได้แก่ ระบบเกียร์ ระบบเบรก ชิ้นส่วนที่มีความสําคัญต่อประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน และด้านความปลอดภัย ระบบปรับอากาศที่ใช้ไฟฟ้า และกลุ่มที่ 3 ชิ้นส่วนใหม่ ได้แก่ แบตเตอรี่ มอเตอร์ไฟฟ้า และกล่องควบคุม (ECU) หรือชิ้นส่วนที่มีการใช้วัสดุที่มีน้ําหนักเบาขึ้น
โดยผู้ผลิตชิ้นส่วนในกลุ่มที่ 2 จะต้องพัฒนาด้านการออกแบบ รวมถึงการวิจัยและพัฒนา เพื่อให้ชิ้นส่วนในปัจจุบันใช้ได้กับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ หรือคุณสมบัติเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ เตือนผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เร่งปรับตัวรับเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า
วันอังคารที่ 12 ธันวาคม 2560
ก.อุตฯ เตือนผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เร่งปรับตัวรับเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยียานยนต์ในอนาคต ว่า ทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์โลกจะมุ่งสู่รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า
นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยียานยนต์ในอนาคต ว่า ทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์โลกจะมุ่งสู่รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ได้แก่ รถไฟฟ้าไฮบริด รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอิน รถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ และรถยนต์ไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง ในประเทศไทยมีการผลิตรถไฟฟ้าแล้ว 2 ประเภทคือ รถไฟฟ้าไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอิน ซึ่งภาครัฐได้กําหนดนโยบายและ มาตรการส่งเสริมการลงทุน รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมดังกล่าว โดยได้เปิดกว้างรับทุกเทคโนโลยี เพราะผู้ผลิตแต่ละรายจะมีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีที่แตกต่างกันไป
“ผู้ประกอบการไทยทั้งผู้ผลิตรถยนต์และผู้ผลิตชิ้นส่วน จําเป็นต้องเตรียมความพร้อมที่จะปรับตัวให้เติบโตหรืออยู่รอดให้ได้ เมื่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้ามาถึง ซึ่งผู้ผลิตชิ้นส่วนจําเป็นต้องเร่งพัฒนาในทิศทางที่สอดคล้องกับผู้ผลิตรถยนต์ เพื่อก้าวไปพร้อมๆ กัน หากเปลี่ยนผ่านไม่ทันอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน และอาจส่งผลให้ธุรกิจค่อยๆ ล้มหายไป เหมือนอย่างกรณีที่เคยเกิดขึ้นแล้วกับอุตสาหกรรมผู้ผลิตจอภาพโทรทัศน์ของไทย ซึ่งเคยเป็นผู้นําในการผลิตทีวีจอแก้ว (CRT) แต่มีการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี ไปเป็นจอแอลซีดี (LCD) แอลอีดี (LED) เต็มรูปแบบ และในปัจจุบันเป็นจอโอแอลอีดี (OLED) ดังนั้น หากชะล่าใจไม่ปรับตัว อาจทําให้สูญเสียตลาดให้กับคู่แข่งได้ กระทรวงฯ แนะนําให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนของไทย เข้ามาใช้บริการศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่อนาคต (Industry transformation center : ITC) เพื่อช่วยออกแบบ แก้ปัญหา และร่วมคิดทดสอบผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนใหม่ที่เหมาะสมกับเทคโนโลยีรถไฟฟ้า รวมทั้งความต้องการของตลาด” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว
จากการสํารวจข้อมูลล่าสุดของสถาบันยานยนต์ พบว่า มีผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ประมาณ 1,600 ราย โดยเป็นกิจการของคนไทยจํานวน 850 ราย ทั้งนี้ รถยนต์นั่ง 1 คัน จะประกอบด้วยชิ้นส่วนหลัก จํานวน 800-2,200 ชิ้น
ในการพัฒนาจากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่นั้น จะส่งผลกระทบกับผู้ผลิตชิ้นส่วน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรก ชิ้นส่วนที่จะหายไป ได้แก่ เครื่องยนต์ ระบบส่งกําลัง หม้อน้ํา กลุ่มที่สอง ชิ้นส่วนที่จะมีอยู่ ได้แก่ ระบบเกียร์ ระบบเบรก ชิ้นส่วนที่มีความสําคัญต่อประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน และด้านความปลอดภัย ระบบปรับอากาศที่ใช้ไฟฟ้า และกลุ่มที่ 3 ชิ้นส่วนใหม่ ได้แก่ แบตเตอรี่ มอเตอร์ไฟฟ้า และกล่องควบคุม (ECU) หรือชิ้นส่วนที่มีการใช้วัสดุที่มีน้ําหนักเบาขึ้น
โดยผู้ผลิตชิ้นส่วนในกลุ่มที่ 2 จะต้องพัฒนาด้านการออกแบบ รวมถึงการวิจัยและพัฒนา เพื่อให้ชิ้นส่วนในปัจจุบันใช้ได้กับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ หรือคุณสมบัติเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8704
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ จัดตั้งหน่วยศึกษานิเทศก์ สพฐ. เป็นหน่วยงานการศึกษา
|
วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2560
ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ จัดตั้งหน่วยศึกษานิเทศก์ สพฐ. เป็นหน่วยงานการศึกษา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงนามในประกาศกระทรวงศึกษาธิการ
ลงวันที่ 21 มิถุนายน 2560 เรื่อง จัดตั้งหน่วยศึกษานิเทศก์
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี 320/2560
ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ จัดตั้งหน่วยศึกษานิเทศก์ สพฐ. เป็นหน่วยงานการศึกษา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงนามในประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ 21 มิถุนายน 2560 เรื่อง จัดตั้งหน่วยศึกษานิเทศก์ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นหน่วยงานการศึกษา
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกประกาศจัดตั้งศูนย์พัฒนาการนิเทศและเร่งรัดคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้เป็นหน่วยงานภายใน สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ลงวันที่ 8 มีนาคม 2554 นั้น เพื่อให้ภารกิจการนิเทศการศึกษามีหน่วยงานรองรับที่เหมาะสม และสอดคล้องกับพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 จึงยกเลิกประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง จัดตั้งศูนย์พัฒนาการนิเทศและเร่งรัดคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานดังกล่าว และออกประกาศกระทรวงศึกษาธิการฉบับนี้แทน
เพื่อให้กระบวนการนิเทศการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และกระทรวงศึกษาธิการ เป็นไปอย่างครอบคลุม คล่องตัว มีประสิทธิภาพ สามารถเร่งรัดการปฏิรูปคุณภาพการศึกษาทั้งระบบให้เชื่อมโยงสัมพันธ์กัน มีการบูรณาการกระบวนการนิเทศการศึกษาระหว่างส่วนกลาง สํานักงานศึกษาธิการภาค สํานักงานศึกษาธิการจังหวัด สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา สถานศึกษา และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เกิดความร่วมมือในการยกระดับคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานตามนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ให้บรรลุผลสําเร็จตามเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและบังเกิดประสิทธิผล
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 8 และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ 2553 และพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 และแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 (พ.ศ.2551) และฉบับที่ 3 (พ.ศ.2553) มาตรา 4 และมาตรา 6 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจึงออกประกาศจัดตั้งหน่วยศึกษานิเทศก์ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นหน่วยงานการศึกษา ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 โดยมีบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบ ดังนี้
พัฒนาระบบและมาตรฐานการนิเทศการศึกษา ในระดับปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และการศึกษาพิเศษ
ส่งเสริม สนับสนุน และประสานงานการนําระบบการนิเทศที่เป็นมาตรฐาน ไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย รูปแบบและนวัตกรรมการนิเทศ เพื่อให้มีระบบการนิเทศที่เหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของเขตพื้นที่การศึกษา
ประสานงานกับหน่วยงานและองค์กรอื่น เพื่อบูรณาการกระบวนการนิเทศการศึกษาและพัฒนาการนิเทศการศึกษา
ปฏิบัติงานอื่นที่ได้รับมอบหมาย หรือร่วมปฏิบัติงานกับหน่วยงานอื่น
การจัดโครงสร้างหน่วยงานและอัตรากําลัง ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากําหนด
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป
นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
บัลลังก์ โรหิตเสถียร
สรุป/รายงาน
22/6/2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ จัดตั้งหน่วยศึกษานิเทศก์ สพฐ. เป็นหน่วยงานการศึกษา
วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2560
ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ จัดตั้งหน่วยศึกษานิเทศก์ สพฐ. เป็นหน่วยงานการศึกษา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงนามในประกาศกระทรวงศึกษาธิการ
ลงวันที่ 21 มิถุนายน 2560 เรื่อง จัดตั้งหน่วยศึกษานิเทศก์
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี 320/2560
ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ จัดตั้งหน่วยศึกษานิเทศก์ สพฐ. เป็นหน่วยงานการศึกษา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงนามในประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ 21 มิถุนายน 2560 เรื่อง จัดตั้งหน่วยศึกษานิเทศก์ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นหน่วยงานการศึกษา
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกประกาศจัดตั้งศูนย์พัฒนาการนิเทศและเร่งรัดคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้เป็นหน่วยงานภายใน สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ลงวันที่ 8 มีนาคม 2554 นั้น เพื่อให้ภารกิจการนิเทศการศึกษามีหน่วยงานรองรับที่เหมาะสม และสอดคล้องกับพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 จึงยกเลิกประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง จัดตั้งศูนย์พัฒนาการนิเทศและเร่งรัดคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานดังกล่าว และออกประกาศกระทรวงศึกษาธิการฉบับนี้แทน
เพื่อให้กระบวนการนิเทศการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และกระทรวงศึกษาธิการ เป็นไปอย่างครอบคลุม คล่องตัว มีประสิทธิภาพ สามารถเร่งรัดการปฏิรูปคุณภาพการศึกษาทั้งระบบให้เชื่อมโยงสัมพันธ์กัน มีการบูรณาการกระบวนการนิเทศการศึกษาระหว่างส่วนกลาง สํานักงานศึกษาธิการภาค สํานักงานศึกษาธิการจังหวัด สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา สถานศึกษา และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เกิดความร่วมมือในการยกระดับคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานตามนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ให้บรรลุผลสําเร็จตามเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและบังเกิดประสิทธิผล
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 8 และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ 2553 และพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 และแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 (พ.ศ.2551) และฉบับที่ 3 (พ.ศ.2553) มาตรา 4 และมาตรา 6 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจึงออกประกาศจัดตั้งหน่วยศึกษานิเทศก์ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นหน่วยงานการศึกษา ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 โดยมีบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบ ดังนี้
พัฒนาระบบและมาตรฐานการนิเทศการศึกษา ในระดับปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และการศึกษาพิเศษ
ส่งเสริม สนับสนุน และประสานงานการนําระบบการนิเทศที่เป็นมาตรฐาน ไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย รูปแบบและนวัตกรรมการนิเทศ เพื่อให้มีระบบการนิเทศที่เหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของเขตพื้นที่การศึกษา
ประสานงานกับหน่วยงานและองค์กรอื่น เพื่อบูรณาการกระบวนการนิเทศการศึกษาและพัฒนาการนิเทศการศึกษา
ปฏิบัติงานอื่นที่ได้รับมอบหมาย หรือร่วมปฏิบัติงานกับหน่วยงานอื่น
การจัดโครงสร้างหน่วยงานและอัตรากําลัง ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากําหนด
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป
นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
บัลลังก์ โรหิตเสถียร
สรุป/รายงาน
22/6/2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4729
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย ติวเข้มข้าราชการรุ่นใหม่ น้อมนำพระบรมราโชวาท เป็นหลักปฏิบัติ ยึดมั่นผลประโยชน์สุขส่วนรวมเป็นสำคัญ
|
วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน 2560
มหาดไทย ติวเข้มข้าราชการรุ่นใหม่ น้อมนําพระบรมราโชวาท เป็นหลักปฏิบัติ ยึดมั่นผลประโยชน์สุขส่วนรวมเป็นสําคัญ
มหาดไทย ติวเข้มข้าราชการรุ่นใหม่ น้อมนําพระบรมราโชวาท เป็นหลักปฏิบัติ
ยึดมั่นผลประโยชน์สุขส่วนรวมเป็นสําคัญ
วันนี้ (1 พ.ย. 60) เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมอัษฎางค์ ชั้น 5 อาคารดํารงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทยนายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานพิธีเปิดการศึกษาอบรมหลักสูตร“การเป็นข้าราชการที่ดี”รุ่นที่ 46ซึ่งจัดโดย สถาบันดํารงราชานุภาพ กระทรวงมหาดไทย เพื่อฝึกอบรมและพัฒนาข้าราชการของกระทรวงมหาดไทยและข้าราชการที่อยู่ระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ ให้ทราบถึงระเบียบแบบแผนของทางราชการและการเป็นข้าราชการที่ดี โดยมีผู้เข้ารับการอบรม จํานวน 100 คน ประกอบด้วย ข้าราชการในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กรมที่ดิน กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ระยะเวลาการอบรม จํานวน 10 วัน ในระหว่างวันที่ 1–10 พฤศจิกายน 2560 ณ วิทยาลัยมหาดไทย อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
โอกาสนี้รองปลัดกระทรวงมหาดไทยได้กล่าวแสดงความยินดีกับข้าราชการที่ได้รับการบรรจุเข้าปฏิบัติราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมทั้งได้มอบโอวาทให้แก่ผู้เข้ารับการอบรม โดยกล่าวว่า การเป็น“ข้าราชการ”จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่และความสําคัญของงานราชการที่มีต่อแผ่นดิน และเมื่อก้าวเข้าสู่การเป็นข้าราชการ สิ่งที่เราทุกคนต้องคํานึงถึงคือบริบทในหน้าที่การงานและความรับผิดชอบ วิถีปฏิบัติ วิธีคิด รู้จักนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่มาปรับใช้ เพื่อให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และที่สําคัญจะต้องก้าวเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง มีอุดมการณ์ในการทํางาน และครองตนเป็นข้าราชการที่ดี
มีคุณธรรมจริยธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติงานโดยยึดหลักกฎหมาย กฎ ระเบียบ และยึดถือประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสิ่งสําคัญ
นอกจากนี้ ได้เน้นย้ําหลักการทํางานเพื่อให้ข้าราชการผู้เข้ารับการอบรมได้นําไปปฏิบัติ คือการรู้จักครองตน ครองคน และครองงานคือต้องรู้จักงานในหน้าที่และทํางานเชิงรุก มีความรู้ความเข้าใจในงานต่างๆ ทั้งในส่วนของหน้าที่ตนเองและหน่วยงาน โดยเฉพาะกฎหมาย ระเบียบ และขั้นตอนการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ขอให้มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการทํางาน และหมั่นพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง รู้จักเรียนรู้งานจากผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานที่มีประสบการณ์ เพื่อให้การทํางานมีประสิทธิภาพและประสบผลสําเร็จ รู้จักผิดชอบชั่วดี มีจิตใจโอบอ้อมอารี และมีความอ่อนน้อมถ่อมตน และพร้อมบริการประชาชนด้วยใจ ด้วยความเท่าเทียมกัน ดั่งพระโอวาทของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ที่กล่าวว่า“ข้าราชการมิใช่อภิสิทธิ์ชน หากแต่จะต้องบําเพ็ญตนให้เป็นแบบอย่างของคนดีแก่สังคม”
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่าขอให้ข้าราชการใหม่ทุกท่านได้น้อมนําพระบรมราโชวาทและหลักการทรงงาน มาเป็นหลักในการคิดและปฏิบัติเพื่อให้การทํางานบรรลุตามเป้าหมาย และเป็นแบบอย่างที่ดี ตลอดจนมีการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยรู้จักการเรียนรู้ การดู และการฟัง พร้อมทั้งรู้จักนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ให้เท่าทันยุคปัจจุบัน และต้องมีการพัฒนาตนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดผลสัมฤทธิ์ของงาน เพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประโยชน์สุขของประชาชนต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย ติวเข้มข้าราชการรุ่นใหม่ น้อมนำพระบรมราโชวาท เป็นหลักปฏิบัติ ยึดมั่นผลประโยชน์สุขส่วนรวมเป็นสำคัญ
วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน 2560
มหาดไทย ติวเข้มข้าราชการรุ่นใหม่ น้อมนําพระบรมราโชวาท เป็นหลักปฏิบัติ ยึดมั่นผลประโยชน์สุขส่วนรวมเป็นสําคัญ
มหาดไทย ติวเข้มข้าราชการรุ่นใหม่ น้อมนําพระบรมราโชวาท เป็นหลักปฏิบัติ
ยึดมั่นผลประโยชน์สุขส่วนรวมเป็นสําคัญ
วันนี้ (1 พ.ย. 60) เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมอัษฎางค์ ชั้น 5 อาคารดํารงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทยนายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานพิธีเปิดการศึกษาอบรมหลักสูตร“การเป็นข้าราชการที่ดี”รุ่นที่ 46ซึ่งจัดโดย สถาบันดํารงราชานุภาพ กระทรวงมหาดไทย เพื่อฝึกอบรมและพัฒนาข้าราชการของกระทรวงมหาดไทยและข้าราชการที่อยู่ระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ ให้ทราบถึงระเบียบแบบแผนของทางราชการและการเป็นข้าราชการที่ดี โดยมีผู้เข้ารับการอบรม จํานวน 100 คน ประกอบด้วย ข้าราชการในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กรมที่ดิน กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ระยะเวลาการอบรม จํานวน 10 วัน ในระหว่างวันที่ 1–10 พฤศจิกายน 2560 ณ วิทยาลัยมหาดไทย อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
โอกาสนี้รองปลัดกระทรวงมหาดไทยได้กล่าวแสดงความยินดีกับข้าราชการที่ได้รับการบรรจุเข้าปฏิบัติราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมทั้งได้มอบโอวาทให้แก่ผู้เข้ารับการอบรม โดยกล่าวว่า การเป็น“ข้าราชการ”จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่และความสําคัญของงานราชการที่มีต่อแผ่นดิน และเมื่อก้าวเข้าสู่การเป็นข้าราชการ สิ่งที่เราทุกคนต้องคํานึงถึงคือบริบทในหน้าที่การงานและความรับผิดชอบ วิถีปฏิบัติ วิธีคิด รู้จักนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่มาปรับใช้ เพื่อให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และที่สําคัญจะต้องก้าวเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง มีอุดมการณ์ในการทํางาน และครองตนเป็นข้าราชการที่ดี
มีคุณธรรมจริยธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติงานโดยยึดหลักกฎหมาย กฎ ระเบียบ และยึดถือประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสิ่งสําคัญ
นอกจากนี้ ได้เน้นย้ําหลักการทํางานเพื่อให้ข้าราชการผู้เข้ารับการอบรมได้นําไปปฏิบัติ คือการรู้จักครองตน ครองคน และครองงานคือต้องรู้จักงานในหน้าที่และทํางานเชิงรุก มีความรู้ความเข้าใจในงานต่างๆ ทั้งในส่วนของหน้าที่ตนเองและหน่วยงาน โดยเฉพาะกฎหมาย ระเบียบ และขั้นตอนการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ขอให้มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการทํางาน และหมั่นพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง รู้จักเรียนรู้งานจากผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานที่มีประสบการณ์ เพื่อให้การทํางานมีประสิทธิภาพและประสบผลสําเร็จ รู้จักผิดชอบชั่วดี มีจิตใจโอบอ้อมอารี และมีความอ่อนน้อมถ่อมตน และพร้อมบริการประชาชนด้วยใจ ด้วยความเท่าเทียมกัน ดั่งพระโอวาทของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ที่กล่าวว่า“ข้าราชการมิใช่อภิสิทธิ์ชน หากแต่จะต้องบําเพ็ญตนให้เป็นแบบอย่างของคนดีแก่สังคม”
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่าขอให้ข้าราชการใหม่ทุกท่านได้น้อมนําพระบรมราโชวาทและหลักการทรงงาน มาเป็นหลักในการคิดและปฏิบัติเพื่อให้การทํางานบรรลุตามเป้าหมาย และเป็นแบบอย่างที่ดี ตลอดจนมีการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยรู้จักการเรียนรู้ การดู และการฟัง พร้อมทั้งรู้จักนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ให้เท่าทันยุคปัจจุบัน และต้องมีการพัฒนาตนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดผลสัมฤทธิ์ของงาน เพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประโยชน์สุขของประชาชนต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7732
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ให้การต้อนรับคณะผู้แทนจากบริษัท Toka ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ และหารือ เรื่องความร่วมมือด้าน Cybersecurity
|
วันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2562
กระทรวงดิจิทัลฯ ให้การต้อนรับคณะผู้แทนจากบริษัท Toka ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ และหารือ เรื่องความร่วมมือด้าน Cybersecurity
กระทรวงดิจิทัลฯ ให้การต้อนรับคณะผู้แทนจากบริษัท Toka ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ และหารือ เรื่องความร่วมมือด้าน Cybersecurity
วันที่ 17 ธ.ค 2562 (วันนี้) นายสือ ล้ออุทัย ประธานคณะกรรมการตรวจสอบ และประเมินผลประจํากระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผล (ค.ต.ป.) ประจํากระทรวง ครั้งที่ 37 โดยมีกรรมการและเจ้าหน้าที่สํานักงานปลัดกระทรวงเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ เพื่อติดตามการรายงานผลการตรวจสอบ และประเมินผลภาคราชการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 การประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ฉบับสมบูรณ์ และเพื่อพิจารณาการจัดเตรียมแผนการดําเนินการตรวจสอบและประเมินผลประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ณ ห้องประชุม 802 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา
*********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ให้การต้อนรับคณะผู้แทนจากบริษัท Toka ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ และหารือ เรื่องความร่วมมือด้าน Cybersecurity
วันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2562
กระทรวงดิจิทัลฯ ให้การต้อนรับคณะผู้แทนจากบริษัท Toka ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ และหารือ เรื่องความร่วมมือด้าน Cybersecurity
กระทรวงดิจิทัลฯ ให้การต้อนรับคณะผู้แทนจากบริษัท Toka ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ และหารือ เรื่องความร่วมมือด้าน Cybersecurity
วันที่ 17 ธ.ค 2562 (วันนี้) นายสือ ล้ออุทัย ประธานคณะกรรมการตรวจสอบ และประเมินผลประจํากระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผล (ค.ต.ป.) ประจํากระทรวง ครั้งที่ 37 โดยมีกรรมการและเจ้าหน้าที่สํานักงานปลัดกระทรวงเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ เพื่อติดตามการรายงานผลการตรวจสอบ และประเมินผลภาคราชการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 การประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ฉบับสมบูรณ์ และเพื่อพิจารณาการจัดเตรียมแผนการดําเนินการตรวจสอบและประเมินผลประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ณ ห้องประชุม 802 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา
*********************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25296
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ ภานุวัฒน์ เข้าร่วมงานพิธีเปิดงาน CEA Forum 2019
|
วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม 2562
ผู้ตรวจฯ ภานุวัฒน์ เข้าร่วมงานพิธีเปิดงาน CEA Forum 2019
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูลศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมพิธีเปิดงาน CEA Forum 2019 ณ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) อาคารไปรษณีย์กลาง ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก กรุงเทพฯ
วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม 2562 เวลา 14.00 น. นายภานุวัฒน์ ตริยางกูลศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมพิธีเปิดงาน CEA Forum 2019 โดยมี นางอรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) (Creative Economy Agency : CEA) ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดงานฯ ณ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) อาคารไปรษณีย์กลาง ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก กรุงเทพฯ
วัตถุประสงค์ของการจัดงานในครั้งนี้ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยการร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนในการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย การพัฒนาพื้นที่สร้างสรรค์ โดยมีผู้แทนจากกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นคณะกรรมการ เพื่อให้เกิดการกระตุ้นการทํางานร่วมกันระหว่างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และภาคการผลิตจริง
โดยงาน CEA Forum 2019 เป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และความเคลื่อนไหวในการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์และกรณีศึกษาจากประเทศต่าง ๆ ที่จะนําไปสู่การพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ และการสร้างความร่วมมือในอนาคต ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ภาครัฐและเอกชนของไทยตระหนักถึงความสําคัญของความคิดสร้างสรรค์ เข้าใจกระบวนการและสามารถนําไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตในทุกระดับ มีวิทยากรที่มากด้วยประสบการณ์ทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากทั้งในและต่างประเทศ อาทิ นายเคนเนท กว๊อก ผู้ช่วยผู้บริหาร ฝ่ายการวางแผนและการมีส่วนร่วม สภาศิลปะแห่งชาติ ประเทศสิงคโปร์ นายแดน ศรมณี ผู้อํานวยการฝ่ายเนื้อหาและการตลาด ของ LINE Thailand เป็นต้น โดยงาน CEA Forum 2019 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 ถึง 20 สิงหาคม 2562 ณ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) อาคารไปรษณีย์กลาง ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก กรุงเทพฯ #CEA Forum 2019
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ ภานุวัฒน์ เข้าร่วมงานพิธีเปิดงาน CEA Forum 2019
วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม 2562
ผู้ตรวจฯ ภานุวัฒน์ เข้าร่วมงานพิธีเปิดงาน CEA Forum 2019
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูลศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมพิธีเปิดงาน CEA Forum 2019 ณ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) อาคารไปรษณีย์กลาง ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก กรุงเทพฯ
วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม 2562 เวลา 14.00 น. นายภานุวัฒน์ ตริยางกูลศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมพิธีเปิดงาน CEA Forum 2019 โดยมี นางอรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) (Creative Economy Agency : CEA) ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดงานฯ ณ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) อาคารไปรษณีย์กลาง ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก กรุงเทพฯ
วัตถุประสงค์ของการจัดงานในครั้งนี้ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยการร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนในการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย การพัฒนาพื้นที่สร้างสรรค์ โดยมีผู้แทนจากกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นคณะกรรมการ เพื่อให้เกิดการกระตุ้นการทํางานร่วมกันระหว่างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และภาคการผลิตจริง
โดยงาน CEA Forum 2019 เป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และความเคลื่อนไหวในการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์และกรณีศึกษาจากประเทศต่าง ๆ ที่จะนําไปสู่การพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ และการสร้างความร่วมมือในอนาคต ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ภาครัฐและเอกชนของไทยตระหนักถึงความสําคัญของความคิดสร้างสรรค์ เข้าใจกระบวนการและสามารถนําไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตในทุกระดับ มีวิทยากรที่มากด้วยประสบการณ์ทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากทั้งในและต่างประเทศ อาทิ นายเคนเนท กว๊อก ผู้ช่วยผู้บริหาร ฝ่ายการวางแผนและการมีส่วนร่วม สภาศิลปะแห่งชาติ ประเทศสิงคโปร์ นายแดน ศรมณี ผู้อํานวยการฝ่ายเนื้อหาและการตลาด ของ LINE Thailand เป็นต้น โดยงาน CEA Forum 2019 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 ถึง 20 สิงหาคม 2562 ณ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) อาคารไปรษณีย์กลาง ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก กรุงเทพฯ #CEA Forum 2019
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22285
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนเพื่อร่วม “รวมไทยสร้างชาติ”
|
วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม 2563
นายกรัฐมนตรีเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนเพื่อร่วม “รวมไทยสร้างชาติ”
นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาพิเศษในงานครบรอบ 74 ปี หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ภายใต้หัวข้อ “พลิกฟื้นประเทศไทย: ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง”
วันนี้ (6 ส.ค. 63) เวลา 10.00 น. ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลลาดพร้าว กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานกล่าวปาฐกถาพิเศษในงานครบรอบ 74 ปี หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ภายใต้หัวข้อ “พลิกฟื้นประเทศไทย: ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง” ซึ่งเป็นเวทีสําหรับภาคเอกชนและภาครัฐทั้งของไทยและต่างประเทศที่จะสื่อสารให้ทราบถึงทิศทางนโยบายการฟื้นฟูประเทศภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย พร้อมนําเสนอแนวทางในการพัฒนาประเทศภายใต้วิถีปกติใหม่(New Normal)
นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่ได้เข้าร่วมพิธีเปิดงานครบรอบ 74 ปี หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ พร้อมย้ําว่า การมีสื่อมวลชนที่มีคุณภาพ ถือเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานสําคัญที่มีความจําเป็นอย่างยิ่งต่อประเทศ เป็นการนําเสนอข้อเท็จจริงในทุกแง่มุมให้ทราบ และให้ความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา สะท้อนความต้องการของประชาชน จะช่วยสร้างความเข้าใจ บรรเทาความขัดแย้งและลดความเหลื่อมล้ําในสังคม
อีกมิติหนึ่งที่สําคัญ คือ พื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศที่ต้องทํานุบํารุงให้แข็งแกร่ง เพื่อเป็นพื้นฐานที่ดีในการพลิกฟื้นประเทศไปสู่ความมั่นคงให้ได้เร็วที่สุด ไทยต้องหันกลับมาเร่งส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากภายในประเทศให้แข็งแกร่ง เริ่มตั้งแต่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงมาตรการเพื่อช่วยเหลือและเยียวยาประชาชน เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายครัวเรือนของประชาชน การสนับสนุนเงินให้แก่ประชาชนกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ รวมถึงการจัดการหนี้เดิมที่มีอยู่ เพื่อบรรเทาผลกระทบให้ประชาชนสามารถดํารงชีพอยู่ได้ในช่วงของการแพร่ระบาด
ทั้งนี้ รัฐบาลยังได้ตราพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 วงเงิน 1,000,000 ล้านบาท เพื่อพยุงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพในระยะเร่งด่วน โดยการจัดสรรเงินนี้ คาดว่าจะช่วยดําเนินการตามแผนด้านการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อรองรับสถานการณ์โควิด-19 และช่วยเหลือ เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบซึ่งจะเอื้อให้การหมุนเวียนทางเศรษฐกิจกลับมาได้ ตลอดจนเพื่อดําเนินแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่มีวัตถุประสงค์เพื่อลงทุนและพัฒนากิจกรรมที่จะเป็นแรงส่งในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์การระบาดเริ่มคลี่คลาย รวมถึงรองรับการดําเนินชีวิตเข้าสู่วิถีปกติใหม่ (New Normal) มุ่งเน้นโครงการที่จะสามารถสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจของชุมชนได้อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นพื้นฐานสําคัญที่จะทําให้เศรษฐกิจไทยพลิกฟื้น ขณะเดียวกันต้องเฝ้าระวังและมีมาตรการต่อเนื่องด้านสาธารณสุขในการป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 รอบสองควบคู่ไปด้วย
นายกรัฐมนตรีได้กําชับว่า รัฐบาลจะเร่งปรับปรุงวิธีการทํางานภาครัฐและให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น เช่น การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชนผ่านระบบดิจิทัลผ่านการทํางานเชิงรุกของรัฐบาลในการแก้ไขและพัฒนาที่จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเห็นว่า ควรต้องใช้วิกฤตครั้งนี้ เป็นโอกาสในการพลิกฟื้นประเทศให้กลับมา ให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งต้องการความร่วมแรงร่วมใจของพี่น้องประชาชนจากทุกภาคส่วนในการ “รวมไทยสร้างชาติ” ภายใต้วิกฤตนี้ ฟันฝ่าไปด้วยกัน “วันนี้เราต้องรอด วันหน้าเราต้องเข้มแข็งกว่าเดิม” พร้อมเร่งฟื้นฟู เรียนรู้ และร่วมมือกันอย่างแข็งขัน
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงคดีที่สังคมให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ สะท้อนให้เห็นว่า สื่อมวลชนมีบทบาทสําคัญในสังคมไทย ด้วยการทํางานที่เป็นอิสระและมีจรรยาบรรณ ทั้งนี้ ตนเองยืนยันได้ผลักดันการดําเนินคดี อย่างโปร่งใส ชัดเจน และได้ติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นเรื่องท้าทายกระบวนการยุติธรรมและระบบกฎหมาย พร้อมจะดําเนินการภายหลังคณะกรรมการที่อิสระและเป็นที่ยอมรับของสังคมได้ข้อสรุป จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ อวยพรบริษัทบางกอกโพสต์ จํากัด (มหาชน) และคณะผู้บริหาร ประสบความสําเร็จพร้อมถ่ายภาพร่วม ก่อนเดินทางกลับ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนเพื่อร่วม “รวมไทยสร้างชาติ”
วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม 2563
นายกรัฐมนตรีเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนเพื่อร่วม “รวมไทยสร้างชาติ”
นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาพิเศษในงานครบรอบ 74 ปี หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ภายใต้หัวข้อ “พลิกฟื้นประเทศไทย: ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง”
วันนี้ (6 ส.ค. 63) เวลา 10.00 น. ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลลาดพร้าว กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานกล่าวปาฐกถาพิเศษในงานครบรอบ 74 ปี หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ภายใต้หัวข้อ “พลิกฟื้นประเทศไทย: ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง” ซึ่งเป็นเวทีสําหรับภาคเอกชนและภาครัฐทั้งของไทยและต่างประเทศที่จะสื่อสารให้ทราบถึงทิศทางนโยบายการฟื้นฟูประเทศภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย พร้อมนําเสนอแนวทางในการพัฒนาประเทศภายใต้วิถีปกติใหม่(New Normal)
นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่ได้เข้าร่วมพิธีเปิดงานครบรอบ 74 ปี หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ พร้อมย้ําว่า การมีสื่อมวลชนที่มีคุณภาพ ถือเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานสําคัญที่มีความจําเป็นอย่างยิ่งต่อประเทศ เป็นการนําเสนอข้อเท็จจริงในทุกแง่มุมให้ทราบ และให้ความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา สะท้อนความต้องการของประชาชน จะช่วยสร้างความเข้าใจ บรรเทาความขัดแย้งและลดความเหลื่อมล้ําในสังคม
อีกมิติหนึ่งที่สําคัญ คือ พื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศที่ต้องทํานุบํารุงให้แข็งแกร่ง เพื่อเป็นพื้นฐานที่ดีในการพลิกฟื้นประเทศไปสู่ความมั่นคงให้ได้เร็วที่สุด ไทยต้องหันกลับมาเร่งส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากภายในประเทศให้แข็งแกร่ง เริ่มตั้งแต่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงมาตรการเพื่อช่วยเหลือและเยียวยาประชาชน เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายครัวเรือนของประชาชน การสนับสนุนเงินให้แก่ประชาชนกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ รวมถึงการจัดการหนี้เดิมที่มีอยู่ เพื่อบรรเทาผลกระทบให้ประชาชนสามารถดํารงชีพอยู่ได้ในช่วงของการแพร่ระบาด
ทั้งนี้ รัฐบาลยังได้ตราพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 วงเงิน 1,000,000 ล้านบาท เพื่อพยุงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพในระยะเร่งด่วน โดยการจัดสรรเงินนี้ คาดว่าจะช่วยดําเนินการตามแผนด้านการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อรองรับสถานการณ์โควิด-19 และช่วยเหลือ เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบซึ่งจะเอื้อให้การหมุนเวียนทางเศรษฐกิจกลับมาได้ ตลอดจนเพื่อดําเนินแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่มีวัตถุประสงค์เพื่อลงทุนและพัฒนากิจกรรมที่จะเป็นแรงส่งในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์การระบาดเริ่มคลี่คลาย รวมถึงรองรับการดําเนินชีวิตเข้าสู่วิถีปกติใหม่ (New Normal) มุ่งเน้นโครงการที่จะสามารถสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจของชุมชนได้อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นพื้นฐานสําคัญที่จะทําให้เศรษฐกิจไทยพลิกฟื้น ขณะเดียวกันต้องเฝ้าระวังและมีมาตรการต่อเนื่องด้านสาธารณสุขในการป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 รอบสองควบคู่ไปด้วย
นายกรัฐมนตรีได้กําชับว่า รัฐบาลจะเร่งปรับปรุงวิธีการทํางานภาครัฐและให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น เช่น การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชนผ่านระบบดิจิทัลผ่านการทํางานเชิงรุกของรัฐบาลในการแก้ไขและพัฒนาที่จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเห็นว่า ควรต้องใช้วิกฤตครั้งนี้ เป็นโอกาสในการพลิกฟื้นประเทศให้กลับมา ให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งต้องการความร่วมแรงร่วมใจของพี่น้องประชาชนจากทุกภาคส่วนในการ “รวมไทยสร้างชาติ” ภายใต้วิกฤตนี้ ฟันฝ่าไปด้วยกัน “วันนี้เราต้องรอด วันหน้าเราต้องเข้มแข็งกว่าเดิม” พร้อมเร่งฟื้นฟู เรียนรู้ และร่วมมือกันอย่างแข็งขัน
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงคดีที่สังคมให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ สะท้อนให้เห็นว่า สื่อมวลชนมีบทบาทสําคัญในสังคมไทย ด้วยการทํางานที่เป็นอิสระและมีจรรยาบรรณ ทั้งนี้ ตนเองยืนยันได้ผลักดันการดําเนินคดี อย่างโปร่งใส ชัดเจน และได้ติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นเรื่องท้าทายกระบวนการยุติธรรมและระบบกฎหมาย พร้อมจะดําเนินการภายหลังคณะกรรมการที่อิสระและเป็นที่ยอมรับของสังคมได้ข้อสรุป จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ อวยพรบริษัทบางกอกโพสต์ จํากัด (มหาชน) และคณะผู้บริหาร ประสบความสําเร็จพร้อมถ่ายภาพร่วม ก่อนเดินทางกลับ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33980
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แจงวิธีตรวจโควิด-19 ทางห้องปฏิบัติการ [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แจงวิธีตรวจโควิด-19 ทางห้องปฏิบัติการ [กระทรวงสาธารณสุข]
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แจงวิธีตรวจโควิด-19 ทางห้องปฏิบัติการ
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ชี้แจงการตรวจเชื้อโควิด-19 ทางห้องปฏิบัติการ มีทั้งการตรวจหาเชื้อไวรัส และการตรวจภูมิคุ้มกัน ระยะเวลาที่ตรวจแล้วได้ผลแม่นยํา คือ ตรวจหาเชื้อไวรัส หลังจากได้รับเชื้อประมาณ 5 - 7 วัน ส่วนการตรวจภูมิคุ้มกันจะตรวจได้หลังมีอาการป่วยประมาณ 5 - 7 วัน หรือหลังติดเชื้อแล้ว 10 - 14 วัน เน้นประชาชนควรตรวจเมื่อมีอาการเป็นไข้ ไอ เจ็บคอ และมีประวัติเสี่ยง หรือสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ส่วนน้ํายา และชุดทดสอบตรวจโควิด-19อนุญาตใช้เฉพาะสถานพยาบาล หรือตามที่ อย.กําหนด ไม่อนุญาตจําหน่ายทั่วไป การตรวจและการแปลผลต้องทําโดยบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า มีทั้งการตรวจหาเชื้อไวรัส และการตรวจภูมิคุ้มกัน โดยการตรวจหาเชื้อไวรัส สามารถตรวจได้หลังจากได้รับเชื้อมาแล้วประมาณ 5 -7 วัน จึงเป็นวิธีที่ตรวจหาเชื้อได้เร็วที่สุด โดยแบ่งเป็น 3 แบบ คือ แบบที่ 1 ตรวจสารพันธุกรรมของไวรัสด้วยวิธี Real-time RT PCR แบบที่ 2 คือ เพาะเลี้ยงเชื้อไวรัส และแบบที่ 3 ตรวจหา Antigen เชื้อไวรัส สําหรับการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส ที่พร้อมใช้อยู่ในปัจจุบัน องค์การอนามัยโลกแนะนํา คือ วิธี Real-time RT PCR เนื่องจากมีความไว ความจําเพาะสูง ทราบผลภายใน 3 – 5 ชั่วโมง และสามารถตรวจจับเชื้อไวรัสปริมาณน้อยๆ ในรูปแบบของสารพันธุกรรม ดังนั้น ไม่ว่าจะเชื้อเป็น หรือเชื้อตาย ตรวจจับได้หมดจากสารคัดหลั่งทางเดินหายใจส่วนบน ส่วนล่าง ของผู้สงสัยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังนั้น จึงเป็นวิธีที่เหมาะสมสําหรับการตรวจวินิจฉัยโรคเพื่อการรักษาที่รวดเร็ว ตั้งแต่ระยะแรกของการเกิดโรค และใช้ติดตามผลการรักษาได้
ส่วนการตรวจภูมิคุ้มกัน (IgM/IgG) ด้วยชุดทดสอบแบบรวดเร็ว หรือ Rapid Test ทราบผลใน 15 นาที การตรวจวิธีนี้จะทําได้หลังมีอาการป่วย 5 - 7 วัน หรือได้รับเชื้อมาแล้ว 10 - 14 วัน ดังนั้น การใช้ Rapid Test ตรวจภูมิคุ้มกัน (IgM/IgG) ในช่วงแรกของการรับเชื้อ หรือช่วงแรกที่มีอาการ ผลการตรวจจะขึ้นลบ ซึ่งไม่ได้แสดงว่าผู้ป่วยไม่ได้ติดเชื้อโควิด-19 เนื่องจากภูมิคุ้มกันยังไม่เกิดขึ้น ทั้งนี้โดยปกติธรรมชาติของร่างกายเมื่อได้รับเชื้อ ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อสู้กับเชื้อโรค ซึ่งภูมิคุ้มกันจะเกิดหลังจากมีอาการประมาณ 5 - 7 วัน น้ํายานี้ อย.อนุญาตใช้เฉพาะสถานพยาบาลเท่านั้น ไม่อนุญาตจําหน่ายทั่วไป ประชาชนอย่าซื้อมาตรวจเอง เพราะมีความยุ่งยากในการแปลผล และสรุปผล ต้องทําโดยบุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขเท่านั้น
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวต่ออีกว่านอกจากนี้ ยังมีวิธีการตรวจอื่นๆ ที่กําลังเข้ามาในประเทศ อย่างไรก็ตาม หากมีการตรวจอะไรใหม่ๆ สิ่งที่เราต้องคิดเสมอคือ วิธีตรวจนั้นได้ผลหรือไม่ มีความแม่นยําเที่ยงตรงหรือไม่ และได้มาตรฐานหรือไม่ ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา ดําเนินการตรวจประเมินอยู่ในขณะนี้ วิธีการตรวจแต่ละวิธีจะต้องเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการตรวจ ตามดุลยพินิจของบุคลากรทางการแพทย์
“สําหรับการพัฒนาห้องปฏิบัติการเพื่อรองรับการตรวจเชื้อโควิด-19 หากมีการระบาดจํานวนมากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้มีแผนพัฒนาให้มีห้องปฏิบัติการตรวจทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัดรวมแล้ว 97 แห่ง รองรับการตรวจในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลที่ 10,000 ตัวอย่างต่อวัน และต่างจังหวัด 10,000 ตัวอย่างต่อวัน โดยขณะนี้มีห้องปฏิบัติการที่ผ่านการประเมินแล้ว 57 แห่ง อยู่ระหว่างการประเมิน และกําลังจัดตั้งอีก 40 แห่ง คาดว่าภายในเดือนเมษายนนี้จะครบตามเป้าหมาย สําหรับประชาชนที่มีประวัติสัมผัสกลุ่มเสี่ยง หากมีอาการเป็นไข้ ไอ เจ็บคอ ตามเกณฑ์ที่กรมควบคุมโรคกําหนด ให้รีบพบแพทย์ และแจ้งประวัติให้ละเอียด จะได้รับการตรวจหาเชื้อโดยวิธี RT – PCR ฟรี”นายแพทย์โอภาส กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แจงวิธีตรวจโควิด-19 ทางห้องปฏิบัติการ [กระทรวงสาธารณสุข]
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แจงวิธีตรวจโควิด-19 ทางห้องปฏิบัติการ [กระทรวงสาธารณสุข]
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แจงวิธีตรวจโควิด-19 ทางห้องปฏิบัติการ
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ชี้แจงการตรวจเชื้อโควิด-19 ทางห้องปฏิบัติการ มีทั้งการตรวจหาเชื้อไวรัส และการตรวจภูมิคุ้มกัน ระยะเวลาที่ตรวจแล้วได้ผลแม่นยํา คือ ตรวจหาเชื้อไวรัส หลังจากได้รับเชื้อประมาณ 5 - 7 วัน ส่วนการตรวจภูมิคุ้มกันจะตรวจได้หลังมีอาการป่วยประมาณ 5 - 7 วัน หรือหลังติดเชื้อแล้ว 10 - 14 วัน เน้นประชาชนควรตรวจเมื่อมีอาการเป็นไข้ ไอ เจ็บคอ และมีประวัติเสี่ยง หรือสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ส่วนน้ํายา และชุดทดสอบตรวจโควิด-19อนุญาตใช้เฉพาะสถานพยาบาล หรือตามที่ อย.กําหนด ไม่อนุญาตจําหน่ายทั่วไป การตรวจและการแปลผลต้องทําโดยบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า มีทั้งการตรวจหาเชื้อไวรัส และการตรวจภูมิคุ้มกัน โดยการตรวจหาเชื้อไวรัส สามารถตรวจได้หลังจากได้รับเชื้อมาแล้วประมาณ 5 -7 วัน จึงเป็นวิธีที่ตรวจหาเชื้อได้เร็วที่สุด โดยแบ่งเป็น 3 แบบ คือ แบบที่ 1 ตรวจสารพันธุกรรมของไวรัสด้วยวิธี Real-time RT PCR แบบที่ 2 คือ เพาะเลี้ยงเชื้อไวรัส และแบบที่ 3 ตรวจหา Antigen เชื้อไวรัส สําหรับการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส ที่พร้อมใช้อยู่ในปัจจุบัน องค์การอนามัยโลกแนะนํา คือ วิธี Real-time RT PCR เนื่องจากมีความไว ความจําเพาะสูง ทราบผลภายใน 3 – 5 ชั่วโมง และสามารถตรวจจับเชื้อไวรัสปริมาณน้อยๆ ในรูปแบบของสารพันธุกรรม ดังนั้น ไม่ว่าจะเชื้อเป็น หรือเชื้อตาย ตรวจจับได้หมดจากสารคัดหลั่งทางเดินหายใจส่วนบน ส่วนล่าง ของผู้สงสัยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังนั้น จึงเป็นวิธีที่เหมาะสมสําหรับการตรวจวินิจฉัยโรคเพื่อการรักษาที่รวดเร็ว ตั้งแต่ระยะแรกของการเกิดโรค และใช้ติดตามผลการรักษาได้
ส่วนการตรวจภูมิคุ้มกัน (IgM/IgG) ด้วยชุดทดสอบแบบรวดเร็ว หรือ Rapid Test ทราบผลใน 15 นาที การตรวจวิธีนี้จะทําได้หลังมีอาการป่วย 5 - 7 วัน หรือได้รับเชื้อมาแล้ว 10 - 14 วัน ดังนั้น การใช้ Rapid Test ตรวจภูมิคุ้มกัน (IgM/IgG) ในช่วงแรกของการรับเชื้อ หรือช่วงแรกที่มีอาการ ผลการตรวจจะขึ้นลบ ซึ่งไม่ได้แสดงว่าผู้ป่วยไม่ได้ติดเชื้อโควิด-19 เนื่องจากภูมิคุ้มกันยังไม่เกิดขึ้น ทั้งนี้โดยปกติธรรมชาติของร่างกายเมื่อได้รับเชื้อ ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อสู้กับเชื้อโรค ซึ่งภูมิคุ้มกันจะเกิดหลังจากมีอาการประมาณ 5 - 7 วัน น้ํายานี้ อย.อนุญาตใช้เฉพาะสถานพยาบาลเท่านั้น ไม่อนุญาตจําหน่ายทั่วไป ประชาชนอย่าซื้อมาตรวจเอง เพราะมีความยุ่งยากในการแปลผล และสรุปผล ต้องทําโดยบุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขเท่านั้น
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวต่ออีกว่านอกจากนี้ ยังมีวิธีการตรวจอื่นๆ ที่กําลังเข้ามาในประเทศ อย่างไรก็ตาม หากมีการตรวจอะไรใหม่ๆ สิ่งที่เราต้องคิดเสมอคือ วิธีตรวจนั้นได้ผลหรือไม่ มีความแม่นยําเที่ยงตรงหรือไม่ และได้มาตรฐานหรือไม่ ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา ดําเนินการตรวจประเมินอยู่ในขณะนี้ วิธีการตรวจแต่ละวิธีจะต้องเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการตรวจ ตามดุลยพินิจของบุคลากรทางการแพทย์
“สําหรับการพัฒนาห้องปฏิบัติการเพื่อรองรับการตรวจเชื้อโควิด-19 หากมีการระบาดจํานวนมากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้มีแผนพัฒนาให้มีห้องปฏิบัติการตรวจทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัดรวมแล้ว 97 แห่ง รองรับการตรวจในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลที่ 10,000 ตัวอย่างต่อวัน และต่างจังหวัด 10,000 ตัวอย่างต่อวัน โดยขณะนี้มีห้องปฏิบัติการที่ผ่านการประเมินแล้ว 57 แห่ง อยู่ระหว่างการประเมิน และกําลังจัดตั้งอีก 40 แห่ง คาดว่าภายในเดือนเมษายนนี้จะครบตามเป้าหมาย สําหรับประชาชนที่มีประวัติสัมผัสกลุ่มเสี่ยง หากมีอาการเป็นไข้ ไอ เจ็บคอ ตามเกณฑ์ที่กรมควบคุมโรคกําหนด ให้รีบพบแพทย์ และแจ้งประวัติให้ละเอียด จะได้รับการตรวจหาเชื้อโดยวิธี RT – PCR ฟรี”นายแพทย์โอภาส กล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28227
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. กำชับทีม One Home เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 4 ขวบ ที่ถูกชายชราวัย 83 ปี ล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.นครศรีธรรมราช พร้อมช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม
|
วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561
พม. กําชับทีม One Home เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 4 ขวบ ที่ถูกชายชราวัย 83 ปี ล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.นครศรีธรรมราช พร้อมช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม
พม. กําชับทีม One Home เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 4 ขวบ ที่ถูกชายชราวัย 83 ปี ล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.นครศรีธรรมราช พร้อมช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.สมุทรสาคร บุรีรัมย์ และชุมพร
วันนี้ (14 ก.พ. 61) เวลา 08.30 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า พลเอก ณัฐติพล กนกโชติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 35/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวง ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
จากกรณีชายชราวัย 83 ปี ก่อเหตุข่มขืนกระทําชําเราเด็กหญิงวัย 4 ขวบ จนได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลนานกว่า 10 วัน ซึ่งขณะนี้เด็กหญิงอยู่ในอาการตกใจหวาดผวาตลอดเวลา ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและกรณีเด็กสาววัย 13 ปี ถูกครูฝ่ายปกครองบังคับข่มขืนกระทําชําเราหลายครั้ง พร้อมข่มขู่จะเผยแพร่รูปโป๊เปลือยที่ จังหวัดสมุทรสาคร นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทั้ง 2 จังหวัด ได้แก่ พมจ.นครศรีธรรมราช และ พมจ.สมุทรสาคร พร้อมทีม One Home ทั้ง 2 จังหวัด เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของทั้ง 2 ครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กหญิงทั้ง 2 คนอย่างใกล้ชิดโดยด่วน เพื่อให้เด็กมีสภาพจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น และสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุขโดยเร็วที่สุด พร้อมประชุมทีมสหวิชาชีพถึงแนวทางการช่วยเหลือคุ้มครองสวัสดิภาพ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ในระยะยาวต่อไป ทั้งนี้ ปัญหาเด็กถูกกระทําความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องรายวัน จึงขอความร่วมมือจากผู้ปกครอง บุคคลใกล้ชิดในครอบครัว และทุกคนในสังคม ช่วยกันเฝ้าระวังและติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการเกิดเหตุในลักษณะดังกล่าวขึ้นอีก
อีกกรณีหญิงชราวัย 74 ปี ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูหลานวัย 4 เดือน ที่ป่วยเป็นไข้ มีอาการปอดบวม และหายใจลําบาก ครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่มีเงินเพียงพอค่ารักษาพยาบาล ที่จังหวัดบุรีรัมย์ และพบ 4 พี่น้องชายหญิง วัย 4-10 ขวบ อาศัยอยู่กันเพียงลําพังในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรม และยังพบว่ามี 1 คน ร่างกายพิการแขน-ขาลีบ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ส่วนอีกหนึ่งคนมีล่องรอยถูกทําร้ายร่างกาย ได้รับบาดเจ็บ ภายหลังการตรวจสอบพบว่า พ่อและแม่ของเด็กติดยาเสพติด มักทอดทิ้งให้เด็กทั้ง 4 คน อยู่ตามลําพังเป็นประจํา และจะมีเพียงกล้วยให้กินเป็นอาหาร ด้านพี่ชายคนโตวัย 10 ขวบ ต้องหยุดเรียนบ่อยครั้งเพื่ออยู่ดูน้องที่พิการ ที่จังหวัดชุมพรนั้น ได้กําชับพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทั้ง 2 จังหวัด ได้แก่ พมจ.บุรีรัมย์ และ พมจ.ชุมพร พร้อมทีม One Home ทั้ง 2 จังหวัด เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของทั้ง 2 ครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กและคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์ทางการศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลผู้ที่ป่วยอย่างใกล้ชิด และดูแลเรื่องการศึกษาของเด็กทั้งหมดอย่างต่อเนื่องในระยะยาว อีกทั้ง การปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มีความมั่นคง แข็งแรง และถูกสุขลักษณะ พร้อมให้คําแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม ทั้งนี้ กรณีเด็ก 4 พี่น้องที่อาศัยอยู่กันตามลําพัง หากตรวจสอบพบว่าครอบครัวไม่พร้อมดูแลเด็ก ทางกระทรวง พม. มีบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดชุมพร พร้อมรับเด็กมาดูแลคุมครองสวัสิภาพ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546
สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ 1) กรณีกรณีชายพิการวัย 75 ปี อาศัยเพียงลําพังในเพิงพักเก่าทรุดโทรม ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่มอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น พร้อมมอบเงินสงเคราะห์และฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ และเงินอุดหนุนสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย อีกทั้ง ปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มีความเหมาะสม ถูกสุขลักษณะ 2) กรณีชายขายของเก่ารับภาระเลี้ยงดูลูก 7 คน ทุกวันต้องออกตะเวนปั่นจักรยานเก็บของเก่าไปขาย ที่ย่านบางกะปิ กทม. และ 3) กรณีเด็กชายวัย 5 เดือน ป่วยโรคหัวใจตั้งแต่กําเนิด มีก้อนเนื้อปิดกั้นทางเดินหายใจ ที่จังหวัดสระบุรี นั้น ทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านทั้ง 2 ครอบครัว มอบเครื่องอุปโภคบริโภค และเงินสงเคราะห์เด็ก พร้อมนําเรื่องเข้าที่ประชุมพิจารณาช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และค่าใช้จ่ายในครอบครัวจากกองทุนคุ้มครองเด็ก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. กำชับทีม One Home เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 4 ขวบ ที่ถูกชายชราวัย 83 ปี ล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.นครศรีธรรมราช พร้อมช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม
วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561
พม. กําชับทีม One Home เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 4 ขวบ ที่ถูกชายชราวัย 83 ปี ล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.นครศรีธรรมราช พร้อมช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม
พม. กําชับทีม One Home เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 4 ขวบ ที่ถูกชายชราวัย 83 ปี ล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.นครศรีธรรมราช พร้อมช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.สมุทรสาคร บุรีรัมย์ และชุมพร
วันนี้ (14 ก.พ. 61) เวลา 08.30 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า พลเอก ณัฐติพล กนกโชติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 35/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวง ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
จากกรณีชายชราวัย 83 ปี ก่อเหตุข่มขืนกระทําชําเราเด็กหญิงวัย 4 ขวบ จนได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลนานกว่า 10 วัน ซึ่งขณะนี้เด็กหญิงอยู่ในอาการตกใจหวาดผวาตลอดเวลา ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและกรณีเด็กสาววัย 13 ปี ถูกครูฝ่ายปกครองบังคับข่มขืนกระทําชําเราหลายครั้ง พร้อมข่มขู่จะเผยแพร่รูปโป๊เปลือยที่ จังหวัดสมุทรสาคร นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทั้ง 2 จังหวัด ได้แก่ พมจ.นครศรีธรรมราช และ พมจ.สมุทรสาคร พร้อมทีม One Home ทั้ง 2 จังหวัด เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของทั้ง 2 ครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กหญิงทั้ง 2 คนอย่างใกล้ชิดโดยด่วน เพื่อให้เด็กมีสภาพจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น และสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุขโดยเร็วที่สุด พร้อมประชุมทีมสหวิชาชีพถึงแนวทางการช่วยเหลือคุ้มครองสวัสดิภาพ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ในระยะยาวต่อไป ทั้งนี้ ปัญหาเด็กถูกกระทําความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องรายวัน จึงขอความร่วมมือจากผู้ปกครอง บุคคลใกล้ชิดในครอบครัว และทุกคนในสังคม ช่วยกันเฝ้าระวังและติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการเกิดเหตุในลักษณะดังกล่าวขึ้นอีก
อีกกรณีหญิงชราวัย 74 ปี ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูหลานวัย 4 เดือน ที่ป่วยเป็นไข้ มีอาการปอดบวม และหายใจลําบาก ครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่มีเงินเพียงพอค่ารักษาพยาบาล ที่จังหวัดบุรีรัมย์ และพบ 4 พี่น้องชายหญิง วัย 4-10 ขวบ อาศัยอยู่กันเพียงลําพังในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรม และยังพบว่ามี 1 คน ร่างกายพิการแขน-ขาลีบ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ส่วนอีกหนึ่งคนมีล่องรอยถูกทําร้ายร่างกาย ได้รับบาดเจ็บ ภายหลังการตรวจสอบพบว่า พ่อและแม่ของเด็กติดยาเสพติด มักทอดทิ้งให้เด็กทั้ง 4 คน อยู่ตามลําพังเป็นประจํา และจะมีเพียงกล้วยให้กินเป็นอาหาร ด้านพี่ชายคนโตวัย 10 ขวบ ต้องหยุดเรียนบ่อยครั้งเพื่ออยู่ดูน้องที่พิการ ที่จังหวัดชุมพรนั้น ได้กําชับพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทั้ง 2 จังหวัด ได้แก่ พมจ.บุรีรัมย์ และ พมจ.ชุมพร พร้อมทีม One Home ทั้ง 2 จังหวัด เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของทั้ง 2 ครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กและคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์ทางการศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลผู้ที่ป่วยอย่างใกล้ชิด และดูแลเรื่องการศึกษาของเด็กทั้งหมดอย่างต่อเนื่องในระยะยาว อีกทั้ง การปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มีความมั่นคง แข็งแรง และถูกสุขลักษณะ พร้อมให้คําแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม ทั้งนี้ กรณีเด็ก 4 พี่น้องที่อาศัยอยู่กันตามลําพัง หากตรวจสอบพบว่าครอบครัวไม่พร้อมดูแลเด็ก ทางกระทรวง พม. มีบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดชุมพร พร้อมรับเด็กมาดูแลคุมครองสวัสิภาพ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546
สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ 1) กรณีกรณีชายพิการวัย 75 ปี อาศัยเพียงลําพังในเพิงพักเก่าทรุดโทรม ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่มอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น พร้อมมอบเงินสงเคราะห์และฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ และเงินอุดหนุนสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย อีกทั้ง ปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มีความเหมาะสม ถูกสุขลักษณะ 2) กรณีชายขายของเก่ารับภาระเลี้ยงดูลูก 7 คน ทุกวันต้องออกตะเวนปั่นจักรยานเก็บของเก่าไปขาย ที่ย่านบางกะปิ กทม. และ 3) กรณีเด็กชายวัย 5 เดือน ป่วยโรคหัวใจตั้งแต่กําเนิด มีก้อนเนื้อปิดกั้นทางเดินหายใจ ที่จังหวัดสระบุรี นั้น ทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านทั้ง 2 ครอบครัว มอบเครื่องอุปโภคบริโภค และเงินสงเคราะห์เด็ก พร้อมนําเรื่องเข้าที่ประชุมพิจารณาช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และค่าใช้จ่ายในครอบครัวจากกองทุนคุ้มครองเด็ก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10092
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเข้าเฝ้า ฯ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งจอร์แดน
|
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2559
นายกรัฐมนตรีเข้าเฝ้า ฯ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งจอร์แดน
นายกรัฐมนตรีเข้าเฝ้า ฯ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งจอร์แดน
วันนี้ ( 20 กันยายน 2559) เวลา 11.35 น. ตามเวลาท้องถิ่น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าเฝ้าฯและหารือทวิภาคีกับสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลเลาะห์ที่ 2 อิบน์ อัล-ฮุสเซน (His Majesty King Abdullah II Ibn Al-Hussein) สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดนระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 71 ณ สํานักงานใหญ่สหประชาชาตินครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา พลตรี วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความซาบซึ้งและเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระราชทานพระราชวโรกาสให้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน เป็นครั้งที่ 3ความสัมพันธ์ทวิภาคีไทยและจอร์แดนจะครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2559 โดยจะจัดกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบในการเปิดสถานเอกอัครราชทูตจอร์แดนประจําประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้ยิ่งขึ้น
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวชื่นชมบทบาทของจอร์แดนในการรักษาสันติภาพภายในประเทศ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตนและผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย พร้อมขอบคุณจอร์แดนที่เข้าใจและสนับสนุนคณะผู้แทนไทยในการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC Summit) ครั้งที่ 13 ณ นครอิสตันบูล ทั้งนี้ ไทยอยู่ระหว่างการขยายความร่วมมือกับ OIC ในด้านอื่นๆ เช่น ความร่วมมือทางวิชาการและการพัฒนา ความมั่นคงทางอาหาร โดยเฉพาะอาหารฮาลาล การท่องเที่ยว ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น โอกาสนี้นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลจอร์แดนที่ช่วยเหลือดูแลนักศึกษาไทยประมาณ 650 คนเป็นอย่างดี
โอกาสนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน ได้กล่าวถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ และมีความชื่นชมประเทศไทยมาโดยตลอด และยังได้ติดตามความคืบหน้าความร่วมมือระหว่างไทยและจอร์แดน ทั้งด้านความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมความมั่นคงความร่วมมือด้านฝนหลวงและด้านการศึกษาโดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีการหารือร่วมกันอย่างต่อเนื่องต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความซาบซึ้งและเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระราชทานพระราชวโรกาสให้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน เป็นครั้งที่ 3ความสัมพันธ์ทวิภาคีไทยและจอร์แดนจะครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2559 โดยจะจัดกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบในการเปิดสถานเอกอัครราชทูตจอร์แดนประจําประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้ยิ่งขึ้น
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวชื่นชมบทบาทของจอร์แดนในการรักษาสันติภาพภายในประเทศ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตนและผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย พร้อมขอบคุณจอร์แดนที่เข้าใจและสนับสนุนคณะผู้แทนไทยในการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC Summit) ครั้งที่ 13 ณ นครอิสตันบูล ทั้งนี้ ไทยอยู่ระหว่างการขยายความร่วมมือกับ OIC ในด้านอื่นๆ เช่น ความร่วมมือทางวิชาการและการพัฒนา ความมั่นคงทางอาหาร โดยเฉพาะอาหารฮาลาล การท่องเที่ยว ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น โอกาสนี้นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลจอร์แดนที่ช่วยเหลือดูแลนักศึกษาไทยประมาณ 650 คนเป็นอย่างดี
โอกาสนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน ได้กล่าวถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ และมีความชื่นชมประเทศไทยมาโดยตลอด และยังได้ติดตามความคืบหน้าความร่วมมือระหว่างไทยและจอร์แดน ทั้งด้านความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมความมั่นคงความร่วมมือด้านฝนหลวงและด้านการศึกษาโดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีการหารือร่วมกันอย่างต่อเนื่องต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเข้าเฝ้า ฯ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งจอร์แดน
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2559
นายกรัฐมนตรีเข้าเฝ้า ฯ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งจอร์แดน
นายกรัฐมนตรีเข้าเฝ้า ฯ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งจอร์แดน
วันนี้ ( 20 กันยายน 2559) เวลา 11.35 น. ตามเวลาท้องถิ่น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าเฝ้าฯและหารือทวิภาคีกับสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลเลาะห์ที่ 2 อิบน์ อัล-ฮุสเซน (His Majesty King Abdullah II Ibn Al-Hussein) สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดนระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 71 ณ สํานักงานใหญ่สหประชาชาตินครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา พลตรี วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความซาบซึ้งและเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระราชทานพระราชวโรกาสให้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน เป็นครั้งที่ 3ความสัมพันธ์ทวิภาคีไทยและจอร์แดนจะครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2559 โดยจะจัดกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบในการเปิดสถานเอกอัครราชทูตจอร์แดนประจําประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้ยิ่งขึ้น
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวชื่นชมบทบาทของจอร์แดนในการรักษาสันติภาพภายในประเทศ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตนและผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย พร้อมขอบคุณจอร์แดนที่เข้าใจและสนับสนุนคณะผู้แทนไทยในการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC Summit) ครั้งที่ 13 ณ นครอิสตันบูล ทั้งนี้ ไทยอยู่ระหว่างการขยายความร่วมมือกับ OIC ในด้านอื่นๆ เช่น ความร่วมมือทางวิชาการและการพัฒนา ความมั่นคงทางอาหาร โดยเฉพาะอาหารฮาลาล การท่องเที่ยว ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น โอกาสนี้นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลจอร์แดนที่ช่วยเหลือดูแลนักศึกษาไทยประมาณ 650 คนเป็นอย่างดี
โอกาสนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน ได้กล่าวถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ และมีความชื่นชมประเทศไทยมาโดยตลอด และยังได้ติดตามความคืบหน้าความร่วมมือระหว่างไทยและจอร์แดน ทั้งด้านความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมความมั่นคงความร่วมมือด้านฝนหลวงและด้านการศึกษาโดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีการหารือร่วมกันอย่างต่อเนื่องต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความซาบซึ้งและเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระราชทานพระราชวโรกาสให้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน เป็นครั้งที่ 3ความสัมพันธ์ทวิภาคีไทยและจอร์แดนจะครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2559 โดยจะจัดกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบในการเปิดสถานเอกอัครราชทูตจอร์แดนประจําประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้ยิ่งขึ้น
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวชื่นชมบทบาทของจอร์แดนในการรักษาสันติภาพภายในประเทศ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตนและผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย พร้อมขอบคุณจอร์แดนที่เข้าใจและสนับสนุนคณะผู้แทนไทยในการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC Summit) ครั้งที่ 13 ณ นครอิสตันบูล ทั้งนี้ ไทยอยู่ระหว่างการขยายความร่วมมือกับ OIC ในด้านอื่นๆ เช่น ความร่วมมือทางวิชาการและการพัฒนา ความมั่นคงทางอาหาร โดยเฉพาะอาหารฮาลาล การท่องเที่ยว ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น โอกาสนี้นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลจอร์แดนที่ช่วยเหลือดูแลนักศึกษาไทยประมาณ 650 คนเป็นอย่างดี
โอกาสนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน ได้กล่าวถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ และมีความชื่นชมประเทศไทยมาโดยตลอด และยังได้ติดตามความคืบหน้าความร่วมมือระหว่างไทยและจอร์แดน ทั้งด้านความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมความมั่นคงความร่วมมือด้านฝนหลวงและด้านการศึกษาโดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีการหารือร่วมกันอย่างต่อเนื่องต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/491
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยเผยยอดผู้ใช้บริการศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศ เกือบ 3 ล้านเรื่อง งานบริการเบ็ดเสร็จฮิตสุดกว่า 2 ล้านเรื่อง
|
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2559
มหาดไทยเผยยอดผู้ใช้บริการศูนย์ดํารงธรรมทั่วประเทศ เกือบ 3 ล้านเรื่อง งานบริการเบ็ดเสร็จฮิตสุดกว่า 2 ล้านเรื่อง
มหาดไทยเผยยอดผู้ใช้บริการศูนย์ดํารงธรรมทั่วประเทศเกือบ 3 ล้านเรื่อง งานบริการเบ็ดเสร็จฮิตสุดกว่า 2 ล้านเรื่อง
วันนี้ (22ธ.ค.59)ที่กระทรวงมหาดไทย นายชยพลธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยจัดตั้งศูนย์ดํารงธรรมขึ้นทุกจังหวัดเพื่อทําหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่96/2557ลงวันที่18กรกฎาคม2557เรื่องการจัดตั้งศูนย์ดํารงธรรม
กระทรวงมหาดไทยขอเรียนให้ทราบถึงผลการดําเนินงานที่ผ่านมาของศูนย์ดํารงธรรมจังหวัดภายใต้การขับเคลื่อนของกระทรวงมหาดไทยที่ได้บูรณาการร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บริการประชาชนใน7ภารกิจหลัก คือ1.รับเรื่องร้องเรียน/ร้องทุกข์2.บริการแบบเบ็ดเสร็จ3.งานบริการส่งต่อ4.บริการข้อมูลข่าวสาร /ให้คําปรึกษา 5.รับเรื่องความต้องการและข้อเสนอแนะ6. เป็นศูนย์รองรับการปฏิบัติเร่งด่วนของรัฐบาล7.ดําเนินการด้วยชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว โดยตั้งแต่เปิดศูนย์ดํารงธรรมเมื่อวันที่18กรกฎาคม2557จนถึงปัจจุบัน มีประชาชนมาใช้บริการผ่านศูนย์ดํารงธรรมทั่วประเทศ จํานวน2,974,261เรื่อง สามารถดําเนินการแล้วเสร็จ2,934,657เรื่อง คิดเป็นร้อยละ98.67
โดยงานบริการที่ประชาชนมาขอรับบริการมากที่สุดอันดับ1คือ งานบริการเบ็ดเสร็จมีจํานวน2,186,415 เรื่อง เช่น การทําบัตรประจําตัวประชาชน การคัดสําเนาทะเบียนราษฎร์ การรับชําระค่าน้ําประปา - ค่าไฟฟ้า การรับชําระภาษีรถทุกชนิด (กรณีไม่ต้องตรวจสภาพรถ) เป็นต้น2.บริการข้อมูลข่าวสารจํานวน402,600เรื่อง3.การแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ จํานวน145,778เรื่อง4.บริการให้คําปรึกษา จํานวน167,690เรื่อง ซึ่งเรื่องที่ประชาชนขอรับบริการจํานวนมาก เช่น การให้คําปรึกษาเกี่ยวกับกฎหมาย หนี้นอกระบบ ปัญหาครอบครัว การประกอบอาชีพ เป็นต้น5.บริการรับเรื่องส่งต่อ จํานวน65,253เรื่องเช่น การต่อใบอนุญาตต่างๆ อาทิ สถานีบริการน้ํามันเชื้อเพลิง ร้านเกมส์ คาราโอเกะ การขออนุญาตใช้ไฟฟ้า/น้ําประปา และโทรศัพท์6.การให้บริการงานตามนโยบายรัฐบาลโดยเฉพาะการไขปัญหาหนี้นอกระบบ จํานวน9,066เรื่อง และ7.การลงพื้นที่แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนโดยหน่วยเคลื่อนที่เร็วจํานวน6,525เรื่อง นอกจากนี้ ศูนย์ดํารงธรรมยังได้สนับสนุนการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาล อาทิเช่น การช่วยเหลือเกษตรกร โดยให้คําแนะนํา และให้ข้อมูลพื้นฐานที่จําเป็น เช่น ข้อมูลด้านการเกษตร โรคระบาดพืช ราคาพืชผล ความรู้ทางการเกษตร หรือให้ข้อมูลด้านเศรษฐกิจ เช่น ราคาผลผลิต แนวโน้มราคาสินค้า เป็นต้น
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ล่าสุดเพื่อให้การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากการร้องเรียนร้องทุกข์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชนในการติดต่อราชการ กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้ทุกจังหวัด จัดตั้งศูนย์ดํารงธรรมอําเภอขึ้นทุกอําเภอ878อําเภอ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่25ตุลาคม2559ที่ได้ให้ความเห็นชอบ เรื่อง การจัดตั้งศูนย์ดํารงธรรมอําเภอ โดยกําหนดให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต้องให้ความร่วมมือ และช่วยเหลือนายอําเภอในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนให้ได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และทันต่อสถานการณ์ ซึ่งจะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึงมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น.
ครั้งที่241/2559
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยเผยยอดผู้ใช้บริการศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศ เกือบ 3 ล้านเรื่อง งานบริการเบ็ดเสร็จฮิตสุดกว่า 2 ล้านเรื่อง
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2559
มหาดไทยเผยยอดผู้ใช้บริการศูนย์ดํารงธรรมทั่วประเทศ เกือบ 3 ล้านเรื่อง งานบริการเบ็ดเสร็จฮิตสุดกว่า 2 ล้านเรื่อง
มหาดไทยเผยยอดผู้ใช้บริการศูนย์ดํารงธรรมทั่วประเทศเกือบ 3 ล้านเรื่อง งานบริการเบ็ดเสร็จฮิตสุดกว่า 2 ล้านเรื่อง
วันนี้ (22ธ.ค.59)ที่กระทรวงมหาดไทย นายชยพลธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยจัดตั้งศูนย์ดํารงธรรมขึ้นทุกจังหวัดเพื่อทําหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่96/2557ลงวันที่18กรกฎาคม2557เรื่องการจัดตั้งศูนย์ดํารงธรรม
กระทรวงมหาดไทยขอเรียนให้ทราบถึงผลการดําเนินงานที่ผ่านมาของศูนย์ดํารงธรรมจังหวัดภายใต้การขับเคลื่อนของกระทรวงมหาดไทยที่ได้บูรณาการร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บริการประชาชนใน7ภารกิจหลัก คือ1.รับเรื่องร้องเรียน/ร้องทุกข์2.บริการแบบเบ็ดเสร็จ3.งานบริการส่งต่อ4.บริการข้อมูลข่าวสาร /ให้คําปรึกษา 5.รับเรื่องความต้องการและข้อเสนอแนะ6. เป็นศูนย์รองรับการปฏิบัติเร่งด่วนของรัฐบาล7.ดําเนินการด้วยชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว โดยตั้งแต่เปิดศูนย์ดํารงธรรมเมื่อวันที่18กรกฎาคม2557จนถึงปัจจุบัน มีประชาชนมาใช้บริการผ่านศูนย์ดํารงธรรมทั่วประเทศ จํานวน2,974,261เรื่อง สามารถดําเนินการแล้วเสร็จ2,934,657เรื่อง คิดเป็นร้อยละ98.67
โดยงานบริการที่ประชาชนมาขอรับบริการมากที่สุดอันดับ1คือ งานบริการเบ็ดเสร็จมีจํานวน2,186,415 เรื่อง เช่น การทําบัตรประจําตัวประชาชน การคัดสําเนาทะเบียนราษฎร์ การรับชําระค่าน้ําประปา - ค่าไฟฟ้า การรับชําระภาษีรถทุกชนิด (กรณีไม่ต้องตรวจสภาพรถ) เป็นต้น2.บริการข้อมูลข่าวสารจํานวน402,600เรื่อง3.การแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ จํานวน145,778เรื่อง4.บริการให้คําปรึกษา จํานวน167,690เรื่อง ซึ่งเรื่องที่ประชาชนขอรับบริการจํานวนมาก เช่น การให้คําปรึกษาเกี่ยวกับกฎหมาย หนี้นอกระบบ ปัญหาครอบครัว การประกอบอาชีพ เป็นต้น5.บริการรับเรื่องส่งต่อ จํานวน65,253เรื่องเช่น การต่อใบอนุญาตต่างๆ อาทิ สถานีบริการน้ํามันเชื้อเพลิง ร้านเกมส์ คาราโอเกะ การขออนุญาตใช้ไฟฟ้า/น้ําประปา และโทรศัพท์6.การให้บริการงานตามนโยบายรัฐบาลโดยเฉพาะการไขปัญหาหนี้นอกระบบ จํานวน9,066เรื่อง และ7.การลงพื้นที่แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนโดยหน่วยเคลื่อนที่เร็วจํานวน6,525เรื่อง นอกจากนี้ ศูนย์ดํารงธรรมยังได้สนับสนุนการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาล อาทิเช่น การช่วยเหลือเกษตรกร โดยให้คําแนะนํา และให้ข้อมูลพื้นฐานที่จําเป็น เช่น ข้อมูลด้านการเกษตร โรคระบาดพืช ราคาพืชผล ความรู้ทางการเกษตร หรือให้ข้อมูลด้านเศรษฐกิจ เช่น ราคาผลผลิต แนวโน้มราคาสินค้า เป็นต้น
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ล่าสุดเพื่อให้การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากการร้องเรียนร้องทุกข์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชนในการติดต่อราชการ กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้ทุกจังหวัด จัดตั้งศูนย์ดํารงธรรมอําเภอขึ้นทุกอําเภอ878อําเภอ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่25ตุลาคม2559ที่ได้ให้ความเห็นชอบ เรื่อง การจัดตั้งศูนย์ดํารงธรรมอําเภอ โดยกําหนดให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต้องให้ความร่วมมือ และช่วยเหลือนายอําเภอในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนให้ได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และทันต่อสถานการณ์ ซึ่งจะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึงมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น.
ครั้งที่241/2559
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1086
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน
|
วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม 2562
คํากราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน
คํากราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2562
คํากราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2562
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้กราบบังคมทูล
วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เวลา 08.30 น. ณ ท้องสนามหลวง
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในนามของข้าราชการ พนักงานสถาบันอุดมศึกษา และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่มาชุมนุมพร้อมเพรียงกันอยู่ ณ ที่นี้ และ
ณ สถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ล้วนมีความปลาบปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มาร่วมกันแสดงความจงรักภักดี พร้อมทั้งถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและเป็นพลังของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม พุทธศักราช 2562
ปวงข้าพระพุทธเจ้าล้วนสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงปฏิบัติบําเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ ด้วยพระราชวิริยอุตสาหะและพระราชหฤทัยอันมุ่งมั่นที่จะสร้างความผาสุกร่มเย็นแก่อาณาประชาราษฎร์ และสร้างสิริสวัสดิ์พิพัฒนไพบูลย์แก่ประเทศชาติ ทรงส่งเสริมให้ประชาชนทุกหมู่เหล่ามีความรัก ความสามัคคี มีน้ําหนึ่งใจเดียวกัน และตั้งมั่นบําเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวม อีกทั้ง ทรงเป็นต้นแบบและเป็นพลังใจใหญ่หลวงให้ปวงข้าพระพุทธเจ้ายึดมั่นในการปฏิบัติราชการอย่างเต็มกําลังสติปัญญาด้วยความถูกต้องและเป็นธรรมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชน
ในศุภมหามงคลสมัยนี้ ปวงข้าพระพุทธเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐานอัญเชิญอานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และอํานาจแห่งสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล โปรดอภิบาลรักษาใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ให้ทรงพระเจริญด้วยจุตรพิธพรชัย ทรงพระเกษมสําราญ พระเกียรติคุณแผ่ไพศาลไปทั่วทิศานุทิศ
มีพระราชประสงค์สิ่งใดขอจงสัมฤทธิ์ทุกประการดังตั้งพระราชหฤทัย สถิตเป็นมิ่งขวัญปกเกล้าเหล่า
พสกนิกรตราบกาลนาน
ในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษาของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานนําบรรดาข้าราชการ พนักงานสถาบันอุดมศึกษา พร้อมทั้งพนักงานรัฐวิสาหกิจ กล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน สนองพระมหากรุณาธิคุณ ดังต่อไปนี้
“ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชาขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า จะประพฤติปฏิบัติตนเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน มีความซื่อสัตย์สุจริต เจริญรอยตามพระยุคลบาท มุ่งมั่นแน่วแน่แก้ไขปัญหาของประเทศชาติและประชาชน สร้างสรรค์คุณประโยชน์แก่แผ่นดิน และดําเนินชีวิตโดยยึดมั่นในหลักธรรมคําสอนแห่งศาสนาตามแนวทางในพระบรมราโชวาทตลอดไป”
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน
วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม 2562
คํากราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน
คํากราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2562
คํากราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2562
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้กราบบังคมทูล
วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เวลา 08.30 น. ณ ท้องสนามหลวง
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในนามของข้าราชการ พนักงานสถาบันอุดมศึกษา และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่มาชุมนุมพร้อมเพรียงกันอยู่ ณ ที่นี้ และ
ณ สถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ล้วนมีความปลาบปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มาร่วมกันแสดงความจงรักภักดี พร้อมทั้งถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและเป็นพลังของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม พุทธศักราช 2562
ปวงข้าพระพุทธเจ้าล้วนสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงปฏิบัติบําเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ ด้วยพระราชวิริยอุตสาหะและพระราชหฤทัยอันมุ่งมั่นที่จะสร้างความผาสุกร่มเย็นแก่อาณาประชาราษฎร์ และสร้างสิริสวัสดิ์พิพัฒนไพบูลย์แก่ประเทศชาติ ทรงส่งเสริมให้ประชาชนทุกหมู่เหล่ามีความรัก ความสามัคคี มีน้ําหนึ่งใจเดียวกัน และตั้งมั่นบําเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวม อีกทั้ง ทรงเป็นต้นแบบและเป็นพลังใจใหญ่หลวงให้ปวงข้าพระพุทธเจ้ายึดมั่นในการปฏิบัติราชการอย่างเต็มกําลังสติปัญญาด้วยความถูกต้องและเป็นธรรมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชน
ในศุภมหามงคลสมัยนี้ ปวงข้าพระพุทธเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐานอัญเชิญอานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และอํานาจแห่งสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล โปรดอภิบาลรักษาใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ให้ทรงพระเจริญด้วยจุตรพิธพรชัย ทรงพระเกษมสําราญ พระเกียรติคุณแผ่ไพศาลไปทั่วทิศานุทิศ
มีพระราชประสงค์สิ่งใดขอจงสัมฤทธิ์ทุกประการดังตั้งพระราชหฤทัย สถิตเป็นมิ่งขวัญปกเกล้าเหล่า
พสกนิกรตราบกาลนาน
ในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษาของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานนําบรรดาข้าราชการ พนักงานสถาบันอุดมศึกษา พร้อมทั้งพนักงานรัฐวิสาหกิจ กล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน สนองพระมหากรุณาธิคุณ ดังต่อไปนี้
“ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชาขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า จะประพฤติปฏิบัติตนเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน มีความซื่อสัตย์สุจริต เจริญรอยตามพระยุคลบาท มุ่งมั่นแน่วแน่แก้ไขปัญหาของประเทศชาติและประชาชน สร้างสรรค์คุณประโยชน์แก่แผ่นดิน และดําเนินชีวิตโดยยึดมั่นในหลักธรรมคําสอนแห่งศาสนาตามแนวทางในพระบรมราโชวาทตลอดไป”
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21811
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้แทนพิเศษด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหราชอาณาจักรเข้าเยี่ยมคารวะ รมว.ทส. ในโอกาสเยือนประเทศไทย
|
วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม 2560
ผู้แทนพิเศษด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหราชอาณาจักรเข้าเยี่ยมคารวะ รมว.ทส. ในโอกาสเยือนประเทศไทย
พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้การต้อนรับ Sir David King ผู้แทนพิเศษด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหราชอาณาจักร ในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์) ให้การต้อนรับ Sir David King ผู้แทนพิเศษด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหราชอาณาจักร พร้อมด้วยนายไบรอัน จอห์น เดวิดสัน เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจําประเทศไทย ในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทยเพื่อย้ําความสําคัญของการพัฒนาคาร์บอนต่ําในประเทศกําลังพัฒนาและแบ่งปันความเชี่ยวชาญของสหราชอาณาจักร ในการนี้ ได้มีการหารือในประเด็นสําคัญ อาทิ การปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานทางเลือกแทนการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งในปี ค.ศ. ๒๐๒๕ สหราชอาณาจักรจะยกเลิกการใช้ถ่านหินในการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจก ตามความตกลงปารีส (Paris Agreement) โดยที่สหราชอาณาจักรมีความเชี่ยวชาญด้านพลังงานทางเลือก เช่นพลังงานลม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Offshore Wind Turbine ปัจจุบันต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทางเลือก มีราคาต่ําลงมาก ทั้งนี้สหราชอาณาจักรมีผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสามารถสนับสนุนการดําเนินงานของไทยและภูมิภาคอาเซียนได้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ชี้แจงนโยบายของรัฐบาลโดยเฉพาะนโยบายความมั่นคงด้านพลังงาน ปัจจุบันประชาชนมีความตระหนัก และสนใจด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมาก รัฐบาลจึงมองประชาชนเป็นศูนย์กลางจึงให้ความสําคัญกับการทํารายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม EIA EHIA รวมทั้ง SEA สําหรับโครงการขนาดใหญ่ เช่น การก่อสร้างโรงไฟฟ้าจะได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทั่วประเทศ ทั้งนี้ปัจจุบันในหลายพื้นที่ของประเทศมีการใช้พลังงานทางเลือกเพิ่มขึ้น รวมทั้งแนวคิดการจัดสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็กในพื้นที่โดยเฉพาะตามแหล่งท่องเที่ยว อาทิ เกาะสมุย เกาะภูเก็ต นอกจากนี้ ประเทศไทยมีนโยบายเพิ่มพื้นที่ป่าให้ได้ร้อยละ ๔๐ ภายในอีก ๒๐ ปีข้างหน้าโดยรวมทั้งป่าอนุรักษ์และป่าเศรษฐกิจ และมีความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ในการจัดทําพื้นที่อนุรักษ์ข้ามแดน รวมทั้งการอนุรักษ์สัตว์ป่าร่วมด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้แทนพิเศษด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหราชอาณาจักรเข้าเยี่ยมคารวะ รมว.ทส. ในโอกาสเยือนประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม 2560
ผู้แทนพิเศษด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหราชอาณาจักรเข้าเยี่ยมคารวะ รมว.ทส. ในโอกาสเยือนประเทศไทย
พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้การต้อนรับ Sir David King ผู้แทนพิเศษด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหราชอาณาจักร ในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์) ให้การต้อนรับ Sir David King ผู้แทนพิเศษด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหราชอาณาจักร พร้อมด้วยนายไบรอัน จอห์น เดวิดสัน เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจําประเทศไทย ในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทยเพื่อย้ําความสําคัญของการพัฒนาคาร์บอนต่ําในประเทศกําลังพัฒนาและแบ่งปันความเชี่ยวชาญของสหราชอาณาจักร ในการนี้ ได้มีการหารือในประเด็นสําคัญ อาทิ การปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานทางเลือกแทนการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งในปี ค.ศ. ๒๐๒๕ สหราชอาณาจักรจะยกเลิกการใช้ถ่านหินในการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจก ตามความตกลงปารีส (Paris Agreement) โดยที่สหราชอาณาจักรมีความเชี่ยวชาญด้านพลังงานทางเลือก เช่นพลังงานลม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Offshore Wind Turbine ปัจจุบันต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทางเลือก มีราคาต่ําลงมาก ทั้งนี้สหราชอาณาจักรมีผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสามารถสนับสนุนการดําเนินงานของไทยและภูมิภาคอาเซียนได้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ชี้แจงนโยบายของรัฐบาลโดยเฉพาะนโยบายความมั่นคงด้านพลังงาน ปัจจุบันประชาชนมีความตระหนัก และสนใจด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมาก รัฐบาลจึงมองประชาชนเป็นศูนย์กลางจึงให้ความสําคัญกับการทํารายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม EIA EHIA รวมทั้ง SEA สําหรับโครงการขนาดใหญ่ เช่น การก่อสร้างโรงไฟฟ้าจะได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทั่วประเทศ ทั้งนี้ปัจจุบันในหลายพื้นที่ของประเทศมีการใช้พลังงานทางเลือกเพิ่มขึ้น รวมทั้งแนวคิดการจัดสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็กในพื้นที่โดยเฉพาะตามแหล่งท่องเที่ยว อาทิ เกาะสมุย เกาะภูเก็ต นอกจากนี้ ประเทศไทยมีนโยบายเพิ่มพื้นที่ป่าให้ได้ร้อยละ ๔๐ ภายในอีก ๒๐ ปีข้างหน้าโดยรวมทั้งป่าอนุรักษ์และป่าเศรษฐกิจ และมีความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ในการจัดทําพื้นที่อนุรักษ์ข้ามแดน รวมทั้งการอนุรักษ์สัตว์ป่าร่วมด้วย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2178
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม รับเรื่องจากกลุ่มผู้เสียหายจากการร่วมลงทุนแชร์แม่มณี
|
วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562
รมว.ยุติธรรม รับเรื่องจากกลุ่มผู้เสียหายจากการร่วมลงทุนแชร์แม่มณี
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกลุ่มผู้เสียหายจากการร่วมลงทุนแชร์แม่มณี
ในวันพุธที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๒ เวลา ๐๙.๕๐ น. ณ บริเวณด้านหน้าศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข กระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกลุ่มผู้เสียหายจากการร่วมลงทุนแชร์แม่มณี โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พันตํารวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วยผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดให้กลุ่มผู้เสียหายจากการร่วมลงทุนแชร์แม่มณีลงทะเบียนผ่านระบบคิวอาร์โค้ด เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๒ ที่ผ่านมา พบว่า มีผู้เสียหายลงทะเบียน จํานวน ๑,๖๐๐ ราย รวมกับผู้เสียหายที่มายื่นเรื่องไว้กับกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๒ ที่ผ่านมา จํานวน ๒๐๐ ราย รวมผู้เสียหายจํานวนทั้งหมด ๑,๘๐๐ ราย มูลค่าความเสียหายมีมูลค่ารวมกว่า ๔๓๒ ล้านบาท
ซึ่งในส่วนของดีเอสไอจะรับเป็นคดีพิเศษจะต้องมีผู้เสียหายมากกว่า ๓๐๐ ราย และมีมูลค่าความเสียหายมากกว่า ๑๐๐ ล้านบาท จึงถือว่าเข้าหลักเกณฑ์การรับเป็นคดีพิเศษ และได้มอบหมายให้ดีเอสไอประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองคดีพิเศษ ภายในสัปดาห์นี้ เพื่อเสนอให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษอนุมัติเป็นคดีพิเศษตามกฎหมาย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม รับเรื่องจากกลุ่มผู้เสียหายจากการร่วมลงทุนแชร์แม่มณี
วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562
รมว.ยุติธรรม รับเรื่องจากกลุ่มผู้เสียหายจากการร่วมลงทุนแชร์แม่มณี
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกลุ่มผู้เสียหายจากการร่วมลงทุนแชร์แม่มณี
ในวันพุธที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๒ เวลา ๐๙.๕๐ น. ณ บริเวณด้านหน้าศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข กระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกลุ่มผู้เสียหายจากการร่วมลงทุนแชร์แม่มณี โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พันตํารวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วยผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดให้กลุ่มผู้เสียหายจากการร่วมลงทุนแชร์แม่มณีลงทะเบียนผ่านระบบคิวอาร์โค้ด เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๒ ที่ผ่านมา พบว่า มีผู้เสียหายลงทะเบียน จํานวน ๑,๖๐๐ ราย รวมกับผู้เสียหายที่มายื่นเรื่องไว้กับกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๒ ที่ผ่านมา จํานวน ๒๐๐ ราย รวมผู้เสียหายจํานวนทั้งหมด ๑,๘๐๐ ราย มูลค่าความเสียหายมีมูลค่ารวมกว่า ๔๓๒ ล้านบาท
ซึ่งในส่วนของดีเอสไอจะรับเป็นคดีพิเศษจะต้องมีผู้เสียหายมากกว่า ๓๐๐ ราย และมีมูลค่าความเสียหายมากกว่า ๑๐๐ ล้านบาท จึงถือว่าเข้าหลักเกณฑ์การรับเป็นคดีพิเศษ และได้มอบหมายให้ดีเอสไอประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองคดีพิเศษ ภายในสัปดาห์นี้ เพื่อเสนอให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษอนุมัติเป็นคดีพิเศษตามกฎหมาย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24167
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยผลการบังคับใช้กฎหมายเข้มข้นช่วงฉลองเทศกาลสงกรานต์ ช่วยลดผู้เสียชีวิตได้ร้อยละ 6 กำชับเพิ่มความเข้มกวดขันดื่มแล้วขับ – ขับรถเร็ว
|
วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน 2561
สธ.เผยผลการบังคับใช้กฎหมายเข้มข้นช่วงฉลองเทศกาลสงกรานต์ ช่วยลดผู้เสียชีวิตได้ร้อยละ 6 กําชับเพิ่มความเข้มกวดขันดื่มแล้วขับ – ขับรถเร็ว
กระทรวงสาธารณสุข เผยศูนย์อํานวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2561 สรุปสถิติอุบัติเหตุทางถนน 4 วัน เกิดอุบัติเหตุ สะสม 2,449 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 248 ราย
กระทรวงสาธารณสุข เผยศูนย์อํานวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2561 สรุปสถิติอุบัติเหตุทางถนน 4 วัน เกิดอุบัติเหตุ สะสม 2,449 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 248 ราย ผู้บาดเจ็บที่นอนพักรักษาในโรงพยาบาล 2,557 คน ส่วนผลการบังคับใช้กฎหมายเข้มข้นช่วงฉลองเทศกาลสงกรานต์ 2 วัน ช่วยลดผู้เสียชีวิตได้ร้อยละ 6 กําชับเพิ่มความเข้มกวดขันดื่มแล้วขับ – ขับรถเร็ว
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานแถลงข่าวสรุปผลการดําเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ.2561 กล่าวว่า สถิติอุบัติเหตุทางถนนประจําวันที่ 14 เมษายน 2561 ซึ่งเป็นวันที่สี่ของการรณรงค์ “ขับรถมีน้ําใจ รักษาวินัยจราจร” เกิดอุบัติเหตุ 603 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 57 ราย ผู้บาดเจ็บที่นอนพักรักษาในโรงพยาบาล 626 คน สาเหตุที่ทําให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 43.62 ขับรถเร็ว ร้อยละ 25.70 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 79.58 ส่วนใหญ่เกิดในเส้นทางตรง ร้อยละ 65.17 บนถนนใน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 43.62 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 32.84 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 16.01 – 20.00 น. ร้อยละ 30.68 ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดอยู่ในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไปร้อยละ 22.11
ทั้งนี้ ได้จัดตั้งจุดตรวจหลัก 2,030 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 65,491 คน เรียกตรวจยานพาหนะ 858,520 คัน มีผู้ถูกดําเนินคดี รวม 181,692 ราย มีความผิดฐานไม่สวมหมวกนิรภัย 50,603 ราย ไม่มีใบขับขี่ 48,061 ราย โดยจังหวัดเชียงใหม่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด 34 ครั้ง และมีผู้บาดเจ็บสูงสุด 39 คน จังหวัด นครราชสีมามีผู้เสียชีวิตสูงสุด 9 รายสรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสม 4 วัน (11 – 14 เมษายน 2561) เกิดอุบัติเหตุรวม 1,846 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 248 ราย ผู้บาดเจ็บที่นอนพักรักษาในโรงพยาบาล 2,557 คน โดยจังหวัดเชียงใหม่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด 99 ครั้ง และมีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด 109 คน ส่วนจังหวัดนครราชสีมามีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด 17 ราย
ส่วนผลการบังคับใช้กฎหมายเข้มข้นของ 3หน่วยงาน ได้แก่ ตํารวจ กรมการขนส่งทางบก และกระทรวงสาธารณสุข ช่วงฉลองเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 13-14 เมษายน 2561 ช่วยลดจํานวนผู้เสียชีวิตลงได้ร้อยละ 6 จาก 152 รายในปี 2560 ลดเหลือ 143 ราย โดยตํารวจได้กวดขันบังคับใช้กฎหมายเรื่องดื่มแล้วขับ เพิ่มขึ้นร้อยละ 43 ตรวจจับรถขับเร็วเพิ่มขึ้นร้อยละ 42 ส่วนกรมขนส่งทางบกได้เข้มงวดรถสาธารณะมากขึ้น มีการตรวจระดับแอลกอฮอล์ในลมหายใจ 14,878 คน ไม่พบผู้ขับขี่รถมีปริมาณแอลกอฮอล์
ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งทีมออกตรวจเตือนและตรวจจับตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2561 สุ่มตรวจที่ปั๊มน้ํามัน ร้านสะดวกซื้อ สถานีขนส่ง ร้านอาหาร 1,068 แห่ง ทั่วประเทศ พบการกระทําผิด 260 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องโฆษณา ดื่มในที่ห้ามดื่ม ขายในช่วงเวลาห้ามขาย
“ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการทํางานต่อเนื่อง ส่วนผู้ที่ยังฉลองอยู่ให้ฉลองอย่างปลอดภัย ระมัดระวังการเจ็บป่วยจากอากาศร้อนจัด โดยเฉพาะผู้มีโรคประจําตัว ส่วนผู้ที่ทยอยเดินทางกลับขอให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ดื่มไม่ขับ ขับรถไม่เร็ว ง่วงให้พัก ”นายแพทย์โอภาส กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยผลการบังคับใช้กฎหมายเข้มข้นช่วงฉลองเทศกาลสงกรานต์ ช่วยลดผู้เสียชีวิตได้ร้อยละ 6 กำชับเพิ่มความเข้มกวดขันดื่มแล้วขับ – ขับรถเร็ว
วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน 2561
สธ.เผยผลการบังคับใช้กฎหมายเข้มข้นช่วงฉลองเทศกาลสงกรานต์ ช่วยลดผู้เสียชีวิตได้ร้อยละ 6 กําชับเพิ่มความเข้มกวดขันดื่มแล้วขับ – ขับรถเร็ว
กระทรวงสาธารณสุข เผยศูนย์อํานวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2561 สรุปสถิติอุบัติเหตุทางถนน 4 วัน เกิดอุบัติเหตุ สะสม 2,449 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 248 ราย
กระทรวงสาธารณสุข เผยศูนย์อํานวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2561 สรุปสถิติอุบัติเหตุทางถนน 4 วัน เกิดอุบัติเหตุ สะสม 2,449 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 248 ราย ผู้บาดเจ็บที่นอนพักรักษาในโรงพยาบาล 2,557 คน ส่วนผลการบังคับใช้กฎหมายเข้มข้นช่วงฉลองเทศกาลสงกรานต์ 2 วัน ช่วยลดผู้เสียชีวิตได้ร้อยละ 6 กําชับเพิ่มความเข้มกวดขันดื่มแล้วขับ – ขับรถเร็ว
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานแถลงข่าวสรุปผลการดําเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ.2561 กล่าวว่า สถิติอุบัติเหตุทางถนนประจําวันที่ 14 เมษายน 2561 ซึ่งเป็นวันที่สี่ของการรณรงค์ “ขับรถมีน้ําใจ รักษาวินัยจราจร” เกิดอุบัติเหตุ 603 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 57 ราย ผู้บาดเจ็บที่นอนพักรักษาในโรงพยาบาล 626 คน สาเหตุที่ทําให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 43.62 ขับรถเร็ว ร้อยละ 25.70 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 79.58 ส่วนใหญ่เกิดในเส้นทางตรง ร้อยละ 65.17 บนถนนใน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 43.62 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 32.84 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 16.01 – 20.00 น. ร้อยละ 30.68 ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดอยู่ในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไปร้อยละ 22.11
ทั้งนี้ ได้จัดตั้งจุดตรวจหลัก 2,030 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 65,491 คน เรียกตรวจยานพาหนะ 858,520 คัน มีผู้ถูกดําเนินคดี รวม 181,692 ราย มีความผิดฐานไม่สวมหมวกนิรภัย 50,603 ราย ไม่มีใบขับขี่ 48,061 ราย โดยจังหวัดเชียงใหม่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด 34 ครั้ง และมีผู้บาดเจ็บสูงสุด 39 คน จังหวัด นครราชสีมามีผู้เสียชีวิตสูงสุด 9 รายสรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสม 4 วัน (11 – 14 เมษายน 2561) เกิดอุบัติเหตุรวม 1,846 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 248 ราย ผู้บาดเจ็บที่นอนพักรักษาในโรงพยาบาล 2,557 คน โดยจังหวัดเชียงใหม่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด 99 ครั้ง และมีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด 109 คน ส่วนจังหวัดนครราชสีมามีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด 17 ราย
ส่วนผลการบังคับใช้กฎหมายเข้มข้นของ 3หน่วยงาน ได้แก่ ตํารวจ กรมการขนส่งทางบก และกระทรวงสาธารณสุข ช่วงฉลองเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 13-14 เมษายน 2561 ช่วยลดจํานวนผู้เสียชีวิตลงได้ร้อยละ 6 จาก 152 รายในปี 2560 ลดเหลือ 143 ราย โดยตํารวจได้กวดขันบังคับใช้กฎหมายเรื่องดื่มแล้วขับ เพิ่มขึ้นร้อยละ 43 ตรวจจับรถขับเร็วเพิ่มขึ้นร้อยละ 42 ส่วนกรมขนส่งทางบกได้เข้มงวดรถสาธารณะมากขึ้น มีการตรวจระดับแอลกอฮอล์ในลมหายใจ 14,878 คน ไม่พบผู้ขับขี่รถมีปริมาณแอลกอฮอล์
ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งทีมออกตรวจเตือนและตรวจจับตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2561 สุ่มตรวจที่ปั๊มน้ํามัน ร้านสะดวกซื้อ สถานีขนส่ง ร้านอาหาร 1,068 แห่ง ทั่วประเทศ พบการกระทําผิด 260 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องโฆษณา ดื่มในที่ห้ามดื่ม ขายในช่วงเวลาห้ามขาย
“ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการทํางานต่อเนื่อง ส่วนผู้ที่ยังฉลองอยู่ให้ฉลองอย่างปลอดภัย ระมัดระวังการเจ็บป่วยจากอากาศร้อนจัด โดยเฉพาะผู้มีโรคประจําตัว ส่วนผู้ที่ทยอยเดินทางกลับขอให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ดื่มไม่ขับ ขับรถไม่เร็ว ง่วงให้พัก ”นายแพทย์โอภาส กล่าว
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11499
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงการปกปิดข้อมูลเดินทางประเทศกลุ่มเสี่ยง ขอร่วมกันรับผิดชอบและจำกัดวงการแพร่เชื้อ
|
วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563
นายกฯ ห่วงการปกปิดข้อมูลเดินทางประเทศกลุ่มเสี่ยง ขอร่วมกันรับผิดชอบและจํากัดวงการแพร่เชื้อ
นายกฯ ห่วงการปกปิดข้อมูลเดินทางประเทศกลุ่มเสี่ยง ขอร่วมกันรับผิดชอบและจํากัดวงการแพร่เชื้อ
ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ห่วงใยเรื่องการปกปิดข้อมูลการเดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง โดยขอความร่วมมือประชาชนทุกคนร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคม และจํากัดวงการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 โดยให้ข้อมูลกับคณะแพทย์และเจ้าหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ส่วนกรณีที่เกิดขึ้นแล้วก็ขอให้เป็นบทเรียนที่ต้องช่วยกัน แต่อย่าไปซ้ําเติมกัน ควรใช้โอกาสนี้ให้กําลังใจและหาทางป้องกันแก้ไขปัญหาจะดีกว่า
สําหรับข้อแนะนําของผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง หากมีไข้ ไอจาม มีน้ํามูก หรือสงสัยเรื่องอาการของตนเอง ขอให้รีบไปพบแพทย์ทันทีโดยสวมหน้ากากอนามัยตั้งแต่ออกจากบ้าน เมื่อแพทย์วินิจฉัยพบว่ามีความเสี่ยงและจําเป็นต้องตรวจหาเชื้อ ผู้รับบริการอาจเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ โดยขอให้ตรวจสอบกับทางโรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชน
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องได้เร่งติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เดินทางกลับจากประเทศญี่ปุ่น และผู้โดยสารที่เดินทางด้วยเครื่องบินลําเดียวกันเพื่อให้มารับการตรวจ โดยขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในการปฏิบัติงานของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ทุกคน พร้อมทั้งยืนยันด้วยว่าที่ผ่านมาได้รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้ออย่างเปิดเผยมาโดยตลอด และมาตรการป้องกันของไทยก็ได้รับคําชมเชยจากนานาประเทศด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงการปกปิดข้อมูลเดินทางประเทศกลุ่มเสี่ยง ขอร่วมกันรับผิดชอบและจำกัดวงการแพร่เชื้อ
วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563
นายกฯ ห่วงการปกปิดข้อมูลเดินทางประเทศกลุ่มเสี่ยง ขอร่วมกันรับผิดชอบและจํากัดวงการแพร่เชื้อ
นายกฯ ห่วงการปกปิดข้อมูลเดินทางประเทศกลุ่มเสี่ยง ขอร่วมกันรับผิดชอบและจํากัดวงการแพร่เชื้อ
ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ห่วงใยเรื่องการปกปิดข้อมูลการเดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง โดยขอความร่วมมือประชาชนทุกคนร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคม และจํากัดวงการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 โดยให้ข้อมูลกับคณะแพทย์และเจ้าหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ส่วนกรณีที่เกิดขึ้นแล้วก็ขอให้เป็นบทเรียนที่ต้องช่วยกัน แต่อย่าไปซ้ําเติมกัน ควรใช้โอกาสนี้ให้กําลังใจและหาทางป้องกันแก้ไขปัญหาจะดีกว่า
สําหรับข้อแนะนําของผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง หากมีไข้ ไอจาม มีน้ํามูก หรือสงสัยเรื่องอาการของตนเอง ขอให้รีบไปพบแพทย์ทันทีโดยสวมหน้ากากอนามัยตั้งแต่ออกจากบ้าน เมื่อแพทย์วินิจฉัยพบว่ามีความเสี่ยงและจําเป็นต้องตรวจหาเชื้อ ผู้รับบริการอาจเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ โดยขอให้ตรวจสอบกับทางโรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชน
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องได้เร่งติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เดินทางกลับจากประเทศญี่ปุ่น และผู้โดยสารที่เดินทางด้วยเครื่องบินลําเดียวกันเพื่อให้มารับการตรวจ โดยขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในการปฏิบัติงานของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ทุกคน พร้อมทั้งยืนยันด้วยว่าที่ผ่านมาได้รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้ออย่างเปิดเผยมาโดยตลอด และมาตรการป้องกันของไทยก็ได้รับคําชมเชยจากนานาประเทศด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26769
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-งานสหพัฒน์แอดมิชชั่น ครั้งที่ 21
|
วันอังคารที่ 2 ตุลาคม 2561
งานสหพัฒน์แอดมิชชั่น ครั้งที่ 21
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงานสหพัฒน์แอดมิชชั่น ทบทวนความรู้สู่มหาวิทยาลัย ครั้งที่ 21
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานเปิดงานสหพัฒน์แอดมิชชั่น ทบทวนความรู้สู่มหาวิทยาลัย ครั้งที่ 21 จัดโดยบริษัท สหพัฒนพิบูล จํากัด (มหาชน) ร่วมกับบริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน)และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เมื่อวันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม 2561 ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถนนวิภาวดีรังสิต
นายเวทิต โชควัฒนา กรรมการผู้อํานวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จํากัด (มหาชน)กล่าวว่า สหพัฒน์ให้ความสําคัญกับการศึกษามาโดยตลอด จึงได้จัดโครงการทบทวนความรู้สู่มหาวิทยาลัยมานานกว่า 20 ปี โดยในปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-6 ตุลาคม 2561 และมีการถ่ายทอดสดไปยังโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศกว่า 1,000 แห่ง ทําให้นักเรียนเข้าถึงได้มากกว่า 150,000 คน จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของการลดความเหลื่อมล้ําด้านการศึกษา โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนทั่วประเทศได้ทบทวนความรู้กับติวเตอร์ชื่อดังอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อเตรียมสอบเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา
ในส่วนของเนื้อหาจะเน้นการติวเข้มแบบเจาะลึกโจทย์ ทั้งการสอบ O-NET, GAT, PAT, การสอบตรง และ TCAS 62 อีกทั้งมีการจัดบูธ "ให้คําปรึกษาค้นหาตัวตนและพี่แนะแนวน้อง" โดยรุ่นพี่จากหลากหลายสาขาวิชาชีพ มาพูดคุยและแนะนําให้คําปรึกษาแก่น้อง ๆ
ทั้งนี้ สหพัฒน์ยินดีให้การสนับสนุนนักเรียนไทยทุกคน พร้อมขอขอบคุณพันธมิตรที่ร่วมดําเนินโครงการดี ๆ ที่อยู่คู่เยาวชนไทยมาตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี
นายฉัตรชัย ภู่โคกหวาย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน)กล่าวว่า ในนามของบริษัท เนชั่นฯ มีความยินดีที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ที่ยังคงรูปแบบการติวสด ซึ่งเนชั่นได้เข้ามามีส่วนร่วมในการปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัย และสอดคล้องกับแนวทางการสอบเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมเพิ่มกิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจ และการค้นหาตัวตน และยังได้เผยแพร่การติวผ่านทาง facebook live ของเพจเนชั่นทีวีและสหพัฒน์แอดมิชชั่นด้วย สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณพันธมิตรและติวเตอร์ทุกคนที่ร่วมสร้างสรรค์กิจกรรมดี ๆ เพื่อเด็กและเยาวชน และขอให้นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการได้รับความรู้และความสนุกในการเรียนอย่างเต็มที่
รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า งานสหพัฒน์แอดมิชชั่น ทบทวนความรู้สู่มหาวิทยาลัย ครั้งที่ 21 เป็นอีกหนึ่งโครงการที่มีความสําคัญ เนื่องจากผลการวิจัย พบว่า การติวแบบเข้มข้น สามารถทําให้ผลการสอบดีขึ้นได้อย่างชัดเจน และยังสามารถเข้าถึงเด็กนักเรียนได้กว่า 1.5 แสนคน เป็นการลดความเหลื่อมล้ําด้านการศึกษา ระหว่างเด็กในเมืองและชนบท สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ที่ให้ความสําคัญกับการลดความเหลื่อมล้ําเป็นเรื่องอันดับต้น ๆ เช่นกัน โดยภาครัฐได้จัดให้มีเว็บไซต์ "ติวฟรีดอทคอม" เป็นแหล่งรวบรวมการติวเนื้อหาอย่างเข้มข้นจากติวเตอร์ชั้นนําของเมืองไทยเช่นเดียวกัน
จากผลการดําเนินงานดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้เข้ามาช่วยกันเตรียมความพร้อมให้กับเด็กและเยาวชนในการเข้าสู่สถาบันอุดมศึกษาอย่างมีคุณภาพ จึงขอให้ร่วมกันดําเนินโครงการดี ๆ เช่นนี้ต่อไป ตลอดจนขอให้นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ มีความตั้งใจและนําความรู้ที่ได้รับไปสอนเพื่อนคนอื่น (Peer Tutoring) เพื่อเป็นการทบทวนความรู้ให้ตนเองด้วย
Writtenbyอรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-งานสหพัฒน์แอดมิชชั่น ครั้งที่ 21
วันอังคารที่ 2 ตุลาคม 2561
งานสหพัฒน์แอดมิชชั่น ครั้งที่ 21
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงานสหพัฒน์แอดมิชชั่น ทบทวนความรู้สู่มหาวิทยาลัย ครั้งที่ 21
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานเปิดงานสหพัฒน์แอดมิชชั่น ทบทวนความรู้สู่มหาวิทยาลัย ครั้งที่ 21 จัดโดยบริษัท สหพัฒนพิบูล จํากัด (มหาชน) ร่วมกับบริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน)และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เมื่อวันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม 2561 ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถนนวิภาวดีรังสิต
นายเวทิต โชควัฒนา กรรมการผู้อํานวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จํากัด (มหาชน)กล่าวว่า สหพัฒน์ให้ความสําคัญกับการศึกษามาโดยตลอด จึงได้จัดโครงการทบทวนความรู้สู่มหาวิทยาลัยมานานกว่า 20 ปี โดยในปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-6 ตุลาคม 2561 และมีการถ่ายทอดสดไปยังโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศกว่า 1,000 แห่ง ทําให้นักเรียนเข้าถึงได้มากกว่า 150,000 คน จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของการลดความเหลื่อมล้ําด้านการศึกษา โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนทั่วประเทศได้ทบทวนความรู้กับติวเตอร์ชื่อดังอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อเตรียมสอบเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา
ในส่วนของเนื้อหาจะเน้นการติวเข้มแบบเจาะลึกโจทย์ ทั้งการสอบ O-NET, GAT, PAT, การสอบตรง และ TCAS 62 อีกทั้งมีการจัดบูธ "ให้คําปรึกษาค้นหาตัวตนและพี่แนะแนวน้อง" โดยรุ่นพี่จากหลากหลายสาขาวิชาชีพ มาพูดคุยและแนะนําให้คําปรึกษาแก่น้อง ๆ
ทั้งนี้ สหพัฒน์ยินดีให้การสนับสนุนนักเรียนไทยทุกคน พร้อมขอขอบคุณพันธมิตรที่ร่วมดําเนินโครงการดี ๆ ที่อยู่คู่เยาวชนไทยมาตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี
นายฉัตรชัย ภู่โคกหวาย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน)กล่าวว่า ในนามของบริษัท เนชั่นฯ มีความยินดีที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ที่ยังคงรูปแบบการติวสด ซึ่งเนชั่นได้เข้ามามีส่วนร่วมในการปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัย และสอดคล้องกับแนวทางการสอบเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมเพิ่มกิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจ และการค้นหาตัวตน และยังได้เผยแพร่การติวผ่านทาง facebook live ของเพจเนชั่นทีวีและสหพัฒน์แอดมิชชั่นด้วย สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณพันธมิตรและติวเตอร์ทุกคนที่ร่วมสร้างสรรค์กิจกรรมดี ๆ เพื่อเด็กและเยาวชน และขอให้นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการได้รับความรู้และความสนุกในการเรียนอย่างเต็มที่
รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า งานสหพัฒน์แอดมิชชั่น ทบทวนความรู้สู่มหาวิทยาลัย ครั้งที่ 21 เป็นอีกหนึ่งโครงการที่มีความสําคัญ เนื่องจากผลการวิจัย พบว่า การติวแบบเข้มข้น สามารถทําให้ผลการสอบดีขึ้นได้อย่างชัดเจน และยังสามารถเข้าถึงเด็กนักเรียนได้กว่า 1.5 แสนคน เป็นการลดความเหลื่อมล้ําด้านการศึกษา ระหว่างเด็กในเมืองและชนบท สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ที่ให้ความสําคัญกับการลดความเหลื่อมล้ําเป็นเรื่องอันดับต้น ๆ เช่นกัน โดยภาครัฐได้จัดให้มีเว็บไซต์ "ติวฟรีดอทคอม" เป็นแหล่งรวบรวมการติวเนื้อหาอย่างเข้มข้นจากติวเตอร์ชั้นนําของเมืองไทยเช่นเดียวกัน
จากผลการดําเนินงานดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้เข้ามาช่วยกันเตรียมความพร้อมให้กับเด็กและเยาวชนในการเข้าสู่สถาบันอุดมศึกษาอย่างมีคุณภาพ จึงขอให้ร่วมกันดําเนินโครงการดี ๆ เช่นนี้ต่อไป ตลอดจนขอให้นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ มีความตั้งใจและนําความรู้ที่ได้รับไปสอนเพื่อนคนอื่น (Peer Tutoring) เพื่อเป็นการทบทวนความรู้ให้ตนเองด้วย
Writtenbyอรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15796
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีสุริยะฯ ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทำความสะอาดคู คลองถวายพระราชกุศลและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
|
วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2562
รัฐมนตรีสุริยะฯ ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทําความสะอาดคู คลองถวายพระราชกุศลและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
รัฐมนตรีสุริยะฯ ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทําความสะอาดคู คลองถวายพระราชกุศลและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
วันนี้ (13 ต.ค.62) เวลา 10.30 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ภริยา พร้อมด้วย นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทําความสะอาดคู คลองถวายพระราชกุศลและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย ภริยา เป็นประธานพิธี ณ วัดธรรมาภิรดาราม (สะพานสูง) เขตดุสิต กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีสุริยะฯ ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทำความสะอาดคู คลองถวายพระราชกุศลและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2562
รัฐมนตรีสุริยะฯ ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทําความสะอาดคู คลองถวายพระราชกุศลและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
รัฐมนตรีสุริยะฯ ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทําความสะอาดคู คลองถวายพระราชกุศลและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
วันนี้ (13 ต.ค.62) เวลา 10.30 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ภริยา พร้อมด้วย นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทําความสะอาดคู คลองถวายพระราชกุศลและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย ภริยา เป็นประธานพิธี ณ วัดธรรมาภิรดาราม (สะพานสูง) เขตดุสิต กรุงเทพฯ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23799
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กำลังใจแก่ข้าราชการ เด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ จ.กาญจนบุรี
|
วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม 2561
ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กําลังใจแก่ข้าราชการ เด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ จ.กาญจนบุรี
ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กําลังใจแก่ข้าราชการ เด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ จ.กาญจนบุรี
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๘พฤษภาคม ๒๕๖๑เวลา ๑๓.๐๐ น.
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม
ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะผู้บริหาร ข้าราชการ ครูอาจารย์ นักสังคมสงเคราะห์
และฝ่ายปกครอง พร้อมทั้งปฏิบัติหน้าที่เป็นครูพิเศษบรรยายในวิชา “กําเนิดไทย และหน้าที่พลเมือง”
แก่เด็กและเยาวชนสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดกาญจนบุรี
ณ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดกาญจนบุรี อําเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี
ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวว่า “จะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตามที ทุกคนในชาติมองเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต
เป็นตัวชี้วัดสําคัญที่สุด ซึ่งหมายถึงคําอธิบายหรือผลลัพธ์ทางการปฏิบัติอันเกี่ยวข้องกับหลักศีลธรรม
จรรยาของคนในสังคมหนึ่ง ๆ ซึ่งไม่พ้นการยึดมั่นในเรื่องของหลักคิดทางต้นแบบของสังคม
เพราะหากการบริหารขาดแนวคิดและการปฏิบัติทางธรรมาภิบาลที่เหมาะสม อันเป็นผลมาจาก
ความเห็นแก่ตัว ความไม่ซื่อตรงต่อตนเอง ครอบครัว องค์กร และสังคม ผลลัพธ์ย่อมเป็นไปในทางลบ
ผู้คนเกิดความห่วงใย สังคมระส่ําระสาย และอีกบางส่วนขาดมาตรฐานทางคุณภาพ นักการศึกษา
จึงล้วนมองว่า สิ่งที่เรียกว่า “คุณลักษณะคุณธรรม” อาทิ ความซื่อสัตย์สุจริต ความขยันหมั่นเพียร
ความจริงใจต่อกัน และความตรงไปตรงมา ตลอดจนการละเว้นการโกหกหลอกลวง การทุจริตคดโกง
หรือความโลภโมโทสัน เป็นต้น ล้วนเป็นตัวชี้วัดในความสําเร็จหรือความไม่สําเร็จทางการบริหาร
และการดํารงชีวิตของผู้คนตั้งแต่กลุ่มล่างสุดจนบนสุด จึงขอฝากผู้บริหารสถานพินิจฯ ศูนย์ฝึกและอบรมฯ
ครูอาจารย์ ข้าราชการ และลูกหลานเยาวชนได้มีข้อควรคํานึงในชีวิตประจําวันเรื่องความจริงใจ
และความซื่อตรงเป็นสําคัญ เห็นได้ว่า หลายเชื้อชาติและวัฒนธรรมของแต่ละศาสนาล้วนให้คุณค่า
และความสําคัญในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นอันดับแรก หากขาดไปซึ่งองค์ประกอบทางสังคม
ประการนี้แม้เพียงน้อยนิด นั่นคือตราบาป การทําร้ายตัวเราเอง และสังคมย่อมขาดความเชื่อมั่นศรัทธา
การขับเคลื่อนเพื่อความเจริญก้าวหน้าในทุกๆ เรื่อง ย่อมเป็นที่ยุติ และอาจไม่ต้องมีการกล่าวถึงกันอีกต่อไป”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กำลังใจแก่ข้าราชการ เด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ จ.กาญจนบุรี
วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม 2561
ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กําลังใจแก่ข้าราชการ เด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ จ.กาญจนบุรี
ม.ล.ปนัดดาฯ ตรวจเยี่ยมพร้อมให้กําลังใจแก่ข้าราชการ เด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ จ.กาญจนบุรี
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๘พฤษภาคม ๒๕๖๑เวลา ๑๓.๐๐ น.
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม
ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะผู้บริหาร ข้าราชการ ครูอาจารย์ นักสังคมสงเคราะห์
และฝ่ายปกครอง พร้อมทั้งปฏิบัติหน้าที่เป็นครูพิเศษบรรยายในวิชา “กําเนิดไทย และหน้าที่พลเมือง”
แก่เด็กและเยาวชนสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดกาญจนบุรี
ณ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดกาญจนบุรี อําเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี
ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวว่า “จะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตามที ทุกคนในชาติมองเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต
เป็นตัวชี้วัดสําคัญที่สุด ซึ่งหมายถึงคําอธิบายหรือผลลัพธ์ทางการปฏิบัติอันเกี่ยวข้องกับหลักศีลธรรม
จรรยาของคนในสังคมหนึ่ง ๆ ซึ่งไม่พ้นการยึดมั่นในเรื่องของหลักคิดทางต้นแบบของสังคม
เพราะหากการบริหารขาดแนวคิดและการปฏิบัติทางธรรมาภิบาลที่เหมาะสม อันเป็นผลมาจาก
ความเห็นแก่ตัว ความไม่ซื่อตรงต่อตนเอง ครอบครัว องค์กร และสังคม ผลลัพธ์ย่อมเป็นไปในทางลบ
ผู้คนเกิดความห่วงใย สังคมระส่ําระสาย และอีกบางส่วนขาดมาตรฐานทางคุณภาพ นักการศึกษา
จึงล้วนมองว่า สิ่งที่เรียกว่า “คุณลักษณะคุณธรรม” อาทิ ความซื่อสัตย์สุจริต ความขยันหมั่นเพียร
ความจริงใจต่อกัน และความตรงไปตรงมา ตลอดจนการละเว้นการโกหกหลอกลวง การทุจริตคดโกง
หรือความโลภโมโทสัน เป็นต้น ล้วนเป็นตัวชี้วัดในความสําเร็จหรือความไม่สําเร็จทางการบริหาร
และการดํารงชีวิตของผู้คนตั้งแต่กลุ่มล่างสุดจนบนสุด จึงขอฝากผู้บริหารสถานพินิจฯ ศูนย์ฝึกและอบรมฯ
ครูอาจารย์ ข้าราชการ และลูกหลานเยาวชนได้มีข้อควรคํานึงในชีวิตประจําวันเรื่องความจริงใจ
และความซื่อตรงเป็นสําคัญ เห็นได้ว่า หลายเชื้อชาติและวัฒนธรรมของแต่ละศาสนาล้วนให้คุณค่า
และความสําคัญในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นอันดับแรก หากขาดไปซึ่งองค์ประกอบทางสังคม
ประการนี้แม้เพียงน้อยนิด นั่นคือตราบาป การทําร้ายตัวเราเอง และสังคมย่อมขาดความเชื่อมั่นศรัทธา
การขับเคลื่อนเพื่อความเจริญก้าวหน้าในทุกๆ เรื่อง ย่อมเป็นที่ยุติ และอาจไม่ต้องมีการกล่าวถึงกันอีกต่อไป”
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12390
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.เตรียมการประชุมคณะทำงานร่วมไทย-โมร็อกโก ครั้งที่ 1
|
วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม 2561
ศธ.เตรียมการประชุมคณะทํางานร่วมไทย-โมร็อกโก ครั้งที่ 1
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประชุมเตรียมการสําหรับการประชุมคณะทํางานร่วม (Joint Working Group: JWG) ด้านการศึกษาไทย-โมร็อกโก ครั้งที่ 1 ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพก่อนในช่วงเดือน พ.ย.นี้
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประชุมเตรียมการสําหรับการประชุมคณะทํางานร่วม (Joint Working Group: JWG) ด้านการศึกษาไทย-โมร็อกโก ครั้งที่ 1 ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพก่อนในช่วงเดือน พ.ย.นี้
เมื่อวันพุธที่ 8 สิงหาคม 2561 พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมเตรียมการสําหรับการประชุมคณะทํางานร่วม (Joint Working Group: JWG) ด้านการศึกษาไทย-โมร็อกโก ครั้งที่ 1 โดยมีผู้บริหารสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.ศธ.) และสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบเข้าร่วมประชุม อาทินายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายขจร จิตสุขุมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, นางสาวนงศิลินี โมสิกะ ผู้อํานวยการสํานักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สป. รวมทั้งผู้แทนจากสถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า สืบเนื่องจากการที่กระทรวงศึกษาธิการไทยและกระทรวงศึกษาธิการแห่งชาติ การฝึกอบรมวิชาชีพ การอุดมศึกษา และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ โมร็อกโก ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาและการวิจัยไทย-โมร็อกโก เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2561 ณ กรุงราบัต ราชอาณาจักรโมร็อกโก โดยในบันทึกความเข้าใจฯ ได้กําหนดให้มีการจัดตั้งคณะทํางานร่วม (Joint Working Group: JWG) ด้านการศึกษาไทย-โมร็อกโก เพื่อเป็นกลไกในการดําเนินงานและกิจกรรมต่าง ๆ พร้อมทั้งติดตามและทบทวนการทํางานร่วมกัน
ซึ่งกําหนดให้จัดประชุมคณะทํางานร่วมฯ 2 ปีต่อครั้ง โดยไทยและโมร็อกโกสลับกันเป็นเจ้าภาพ โดยครั้งที่ 1 ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2561 โดยมีองค์ประกอบคณะทํางานร่วมฝ่ายไทย จํานวน 12 คน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน และได้มีหนังสือเรียนเชิญฝ่ายโมร็อกโกเข้าร่วมประชุมผ่านกระทรวงการต่างประเทศแล้ว
สําหรับการประชุมคณะทํางานร่วมฯ ดังกล่าว จะมีการนําเสนอนโยบายและภาพรวมการศึกษาไทยโดยผู้แทน สกอ. พร้อมทั้งหารือการดําเนินงานในประเด็นต่าง ๆ อาทิ ทุนการศึกษา, การแลกเปลี่ยนนักเรียนโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปศึกษาต่อที่ Football School ของโมร็อกโก รวมทั้งการแลกเปลี่ยนนักเรียนในระดับอาชีวศึกษา, การศึกษาทางไกล, การส่งอิหม่ามเข้ารับการฝึกอบรมที่สถาบันโมฮัมเหม็ดที่ 6 ซึ่งเป็นสถาบันฝึกอบรมอิหม่าม เป็นต้น
สําหรับทุนการศึกษาที่โมร็อกโกมอบให้นักเรียนนักศึกษาไทย จํานวน 15 ทุนต่อปีนั้น ขณะนี้ได้ดําเนินการคัดเลือกแล้ว โดยมีความมุ่งหวังให้ผู้ได้รับทุนนําความรู้และประสบการณ์กลับมาใช้ประโยชน์กับการพัฒนาประเทศไทยในด้านต่าง ๆ จึงขอให้ สกอ. พิจารณาความเชื่อมโยงหลักสูตรในสาขาที่สอดคล้องเชื่อมโยงกับการพัฒนาประเทศ เมื่อจบการศึกษาแล้วมีงานทํา ซึ่งจะเป็นประโยชน์สําหรับการคัดเลือกและการเข้าศึกษาต่อของนักเรียนไทยในรุ่นต่อ ๆ ไปด้วย
Written byอรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.เตรียมการประชุมคณะทำงานร่วมไทย-โมร็อกโก ครั้งที่ 1
วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม 2561
ศธ.เตรียมการประชุมคณะทํางานร่วมไทย-โมร็อกโก ครั้งที่ 1
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประชุมเตรียมการสําหรับการประชุมคณะทํางานร่วม (Joint Working Group: JWG) ด้านการศึกษาไทย-โมร็อกโก ครั้งที่ 1 ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพก่อนในช่วงเดือน พ.ย.นี้
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประชุมเตรียมการสําหรับการประชุมคณะทํางานร่วม (Joint Working Group: JWG) ด้านการศึกษาไทย-โมร็อกโก ครั้งที่ 1 ซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพก่อนในช่วงเดือน พ.ย.นี้
เมื่อวันพุธที่ 8 สิงหาคม 2561 พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมเตรียมการสําหรับการประชุมคณะทํางานร่วม (Joint Working Group: JWG) ด้านการศึกษาไทย-โมร็อกโก ครั้งที่ 1 โดยมีผู้บริหารสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.ศธ.) และสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบเข้าร่วมประชุม อาทินายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายขจร จิตสุขุมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, นางสาวนงศิลินี โมสิกะ ผู้อํานวยการสํานักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สป. รวมทั้งผู้แทนจากสถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า สืบเนื่องจากการที่กระทรวงศึกษาธิการไทยและกระทรวงศึกษาธิการแห่งชาติ การฝึกอบรมวิชาชีพ การอุดมศึกษา และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ โมร็อกโก ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาและการวิจัยไทย-โมร็อกโก เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2561 ณ กรุงราบัต ราชอาณาจักรโมร็อกโก โดยในบันทึกความเข้าใจฯ ได้กําหนดให้มีการจัดตั้งคณะทํางานร่วม (Joint Working Group: JWG) ด้านการศึกษาไทย-โมร็อกโก เพื่อเป็นกลไกในการดําเนินงานและกิจกรรมต่าง ๆ พร้อมทั้งติดตามและทบทวนการทํางานร่วมกัน
ซึ่งกําหนดให้จัดประชุมคณะทํางานร่วมฯ 2 ปีต่อครั้ง โดยไทยและโมร็อกโกสลับกันเป็นเจ้าภาพ โดยครั้งที่ 1 ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2561 โดยมีองค์ประกอบคณะทํางานร่วมฝ่ายไทย จํานวน 12 คน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน และได้มีหนังสือเรียนเชิญฝ่ายโมร็อกโกเข้าร่วมประชุมผ่านกระทรวงการต่างประเทศแล้ว
สําหรับการประชุมคณะทํางานร่วมฯ ดังกล่าว จะมีการนําเสนอนโยบายและภาพรวมการศึกษาไทยโดยผู้แทน สกอ. พร้อมทั้งหารือการดําเนินงานในประเด็นต่าง ๆ อาทิ ทุนการศึกษา, การแลกเปลี่ยนนักเรียนโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปศึกษาต่อที่ Football School ของโมร็อกโก รวมทั้งการแลกเปลี่ยนนักเรียนในระดับอาชีวศึกษา, การศึกษาทางไกล, การส่งอิหม่ามเข้ารับการฝึกอบรมที่สถาบันโมฮัมเหม็ดที่ 6 ซึ่งเป็นสถาบันฝึกอบรมอิหม่าม เป็นต้น
สําหรับทุนการศึกษาที่โมร็อกโกมอบให้นักเรียนนักศึกษาไทย จํานวน 15 ทุนต่อปีนั้น ขณะนี้ได้ดําเนินการคัดเลือกแล้ว โดยมีความมุ่งหวังให้ผู้ได้รับทุนนําความรู้และประสบการณ์กลับมาใช้ประโยชน์กับการพัฒนาประเทศไทยในด้านต่าง ๆ จึงขอให้ สกอ. พิจารณาความเชื่อมโยงหลักสูตรในสาขาที่สอดคล้องเชื่อมโยงกับการพัฒนาประเทศ เมื่อจบการศึกษาแล้วมีงานทํา ซึ่งจะเป็นประโยชน์สําหรับการคัดเลือกและการเข้าศึกษาต่อของนักเรียนไทยในรุ่นต่อ ๆ ไปด้วย
Written byอรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14505
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี และครม.เตรียมลงพื้นที่ตรวจติดตามงานตามนโยบายรัฐบาลและประชุม ครม.นอกสถานที่ ณ จ.พิษณุโลก และ จ.สุโขทัย ระหว่างวันที่ 25 – 26 ธ.ค. 60
|
วันอังคารที่ 12 ธันวาคม 2560
นายกรัฐมนตรี และครม.เตรียมลงพื้นที่ตรวจติดตามงานตามนโยบายรัฐบาลและประชุม ครม.นอกสถานที่ ณ จ.พิษณุโลก และ จ.สุโขทัย ระหว่างวันที่ 25 – 26 ธ.ค. 60
โฆษกฯ เผย นายกรัฐมนตรี และครม.เตรียมลงพื้นที่ตรวจติดตามงานตามนโยบายรัฐบาลและประชุม ครม.นอกสถานที่ ณ จ.พิษณุโลก และ จ.สุโขทัย ระหว่างวันที่ 25 – 26 ธ.ค. 60 โดยนายกฯ สั่งการลดงบประมาณการจัดเลี้ยงดูแลต้อนรับให้มากที่สุด ให้ดําเนินการตามความจําเป็น
วันนี้ (12 ธ.ค. 60 ) เวลา 14.20 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 25 – 26 ธันวาคม 2560 นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เตรียมลงพื้นที่และประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ภาคเหนือ ณ จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดสุโขทัย โดยในวันที่ 25 ธันวาคม 2560 ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่จังหวัดสุโขทัย ได้รับทราบว่าจะมีตัวแทนภาคประชาชนและกลุ่มการเมือง เดินทางมายื่นหนังสือเกี่ยวกับเรื่องเขื่อนแก่งเสือเต้นซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างเขื่อนปิดกั้นแม่น้ํายมที่อําเภอสอง จังหวัดแพร่ เพื่อกักเก็บน้ําไว้เพื่อประโยชน์ด้านการเกษตรในเขตลุ่มแม่น้ําเจ้าพระยาตอนบน จะช่วยป้องกันปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ นั้น นายกรัฐมนตรี ยินดีรับฟังข้อมูลจากทุกภาคส่วน เนื่องจากการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งซึ่งเป็นเรื่องสําคัญของประเทศ พร้อมขอความร่วมมือประชาชนทุกภาคส่วนรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เหมาะสม อันจะนําไปสู่การแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่ให้กลับมาเกิดซ้ําอีก และเกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริง ตลอดจนสามารถลดค่าใช้จ่ายงบประมาณในการดูแลช่วยเหลือเยียวยาจากปัญหาอุทกภัยที่เกิดซ้ําทุกปีได้ เพื่อนํางบประมาณดังกล่าวไปใช้ในการพัฒนาประเทศในด้านอื่น ๆ ต่อไป
พร้อมกันนี้ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ประสบอุทกภัยสํารวจอาคาร บ้านเรือน และที่อยู่อาศัยของประชาชนที่กีดขวางทางน้ําไหล และได้รับผลกระทบจากอุทกภัยซ้ําทุกปี เพื่อพิจารณาหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการอยู่อาศัยให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาดังกล่าว โดยหากประชาชนมีความประสงค์ที่จะปรับย้ายที่อยู่อาศัยไปอยู่ที่ใหม่ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาช่วยเหลือ อํานวยความสะดวกให้กับประชาชน เช่น พื้นที่สภาพป่าเสื่อมโทรมที่สามารถใช้ประโยชน์ได้และสามารถดําเนินการตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย และประชาชนมีความยินดีที่จะย้าย โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการควบคู่ไปด้วย
ส่วนที่มีประชาชนได้แสดงความเห็นกรณีนายกรัฐมนตรี และคณะ เตรียมที่จะเดินทางลงพื้นที่ไปตรวจราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ทําไมไม่เดินทางไปดูพื้นที่โครงการอุโมงค์ผันน้ํา"ลําพะยังภูมิพัฒน์" อันเนื่องมาจากพระราชดําริ อําเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ เพราะใช้การไม่ได้และถนนชํารุดเสียหาย นั้น โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัด และเจ้าหน้าที่กรมชลประทานดําเนินการตรวจสอบแล้วพบว่า ความเสียหายในสมัยก่อนมีจริง แต่ปัจจุบันได้ดําเนินการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว และสามารถเปิดส่งน้ําให้กับประชาชนในพื้นที่ได้แล้วตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2560 รวมทั้ง ถนนที่ยังพังชํารุดเสียหายก็จะมีการดําเนินการโดยใช้งบประมาณปี 2560 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี สั่งการว่าหากติดขัดอะไร ที่ไม่สามารถจะดําเนินการได้ทันตามที่กําหนด เนื่องด้วยระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ให้ไปพิจารณาใช้หน่วยงานที่มีความพร้อม เช่น กองทัพบก ซึ่งมีหน่วยงานเร่งรัดพัฒนาชนบท หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา เข้ามาช่วยดําเนินการในส่วนนี้ เพื่อให้ถนนสามารถใช้งานได้เต็มระบบต่อไป
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและได้สั่งการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ประกอบกับได้มีการนัดหมายและเตรียมการในพื้นที่ต่าง ๆ ไว้แล้วชัดเจน และประชาชนจะเดินทางมาคอยในพื้นที่ตามนัดหมาย ยืนยันการเดินทางลงพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ครั้งนี้ ไม่ใช่ไปดูแต่ในสิ่งที่สวยงามหรือผักชีโรยหน้าแต่อย่างใด โดยวันนี้นายกรัฐมนตรีได้สั่งการเพิ่มเติมว่า ในการลงพื้นที่ไปตรวจเยี่ยมหรือการประชุมครม. นอกสถานที่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอให้ลดงบประมาณในการจัดเลี้ยงดูแลต้อนรับให้มากที่สุด โดยให้ดําเนินการตามความเหมาะสมและเท่าที่จําเป็นอย่างแท้จริง รวมถึงการจัดแสดงบูธนิทรรศการความคืบหน้าผลการดําเนินงานของหน่วยงานและพื้นที่ตามนโยบายรัฐบาลให้นายกรัฐมนตรีและคณะเยี่ยมชม นั้น ให้เปลี่ยนเป็นการพูดคุยเพื่อแก้ไขปัญหาในแต่ละเรื่องกับผู้ที่เกี่ยวข้อง แต่หากจําเป็นต้องไปติดตามดูความก้าวหน้าก็ขอให้พาไปดูในพื้นที่จริง โดยไม่ต้องจัดนิทรรศการมา หรือหากจะจัดก็ไม่ต้องจัดแสดงมาก เพราะการจัดบูธนิทรรศการมากก็จะทําให้เสียเวลาในการเดินดูตั้งแต่บูธแรกจนถึงบูธสุดท้าย หากไม่ไปก็จะทําให้ผู้ที่ดําเนินการเสียกําลังใจได้
----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี และครม.เตรียมลงพื้นที่ตรวจติดตามงานตามนโยบายรัฐบาลและประชุม ครม.นอกสถานที่ ณ จ.พิษณุโลก และ จ.สุโขทัย ระหว่างวันที่ 25 – 26 ธ.ค. 60
วันอังคารที่ 12 ธันวาคม 2560
นายกรัฐมนตรี และครม.เตรียมลงพื้นที่ตรวจติดตามงานตามนโยบายรัฐบาลและประชุม ครม.นอกสถานที่ ณ จ.พิษณุโลก และ จ.สุโขทัย ระหว่างวันที่ 25 – 26 ธ.ค. 60
โฆษกฯ เผย นายกรัฐมนตรี และครม.เตรียมลงพื้นที่ตรวจติดตามงานตามนโยบายรัฐบาลและประชุม ครม.นอกสถานที่ ณ จ.พิษณุโลก และ จ.สุโขทัย ระหว่างวันที่ 25 – 26 ธ.ค. 60 โดยนายกฯ สั่งการลดงบประมาณการจัดเลี้ยงดูแลต้อนรับให้มากที่สุด ให้ดําเนินการตามความจําเป็น
วันนี้ (12 ธ.ค. 60 ) เวลา 14.20 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 25 – 26 ธันวาคม 2560 นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เตรียมลงพื้นที่และประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ภาคเหนือ ณ จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดสุโขทัย โดยในวันที่ 25 ธันวาคม 2560 ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่จังหวัดสุโขทัย ได้รับทราบว่าจะมีตัวแทนภาคประชาชนและกลุ่มการเมือง เดินทางมายื่นหนังสือเกี่ยวกับเรื่องเขื่อนแก่งเสือเต้นซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างเขื่อนปิดกั้นแม่น้ํายมที่อําเภอสอง จังหวัดแพร่ เพื่อกักเก็บน้ําไว้เพื่อประโยชน์ด้านการเกษตรในเขตลุ่มแม่น้ําเจ้าพระยาตอนบน จะช่วยป้องกันปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ นั้น นายกรัฐมนตรี ยินดีรับฟังข้อมูลจากทุกภาคส่วน เนื่องจากการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งซึ่งเป็นเรื่องสําคัญของประเทศ พร้อมขอความร่วมมือประชาชนทุกภาคส่วนรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เหมาะสม อันจะนําไปสู่การแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่ให้กลับมาเกิดซ้ําอีก และเกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริง ตลอดจนสามารถลดค่าใช้จ่ายงบประมาณในการดูแลช่วยเหลือเยียวยาจากปัญหาอุทกภัยที่เกิดซ้ําทุกปีได้ เพื่อนํางบประมาณดังกล่าวไปใช้ในการพัฒนาประเทศในด้านอื่น ๆ ต่อไป
พร้อมกันนี้ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ประสบอุทกภัยสํารวจอาคาร บ้านเรือน และที่อยู่อาศัยของประชาชนที่กีดขวางทางน้ําไหล และได้รับผลกระทบจากอุทกภัยซ้ําทุกปี เพื่อพิจารณาหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการอยู่อาศัยให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาดังกล่าว โดยหากประชาชนมีความประสงค์ที่จะปรับย้ายที่อยู่อาศัยไปอยู่ที่ใหม่ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาช่วยเหลือ อํานวยความสะดวกให้กับประชาชน เช่น พื้นที่สภาพป่าเสื่อมโทรมที่สามารถใช้ประโยชน์ได้และสามารถดําเนินการตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย และประชาชนมีความยินดีที่จะย้าย โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการควบคู่ไปด้วย
ส่วนที่มีประชาชนได้แสดงความเห็นกรณีนายกรัฐมนตรี และคณะ เตรียมที่จะเดินทางลงพื้นที่ไปตรวจราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ทําไมไม่เดินทางไปดูพื้นที่โครงการอุโมงค์ผันน้ํา"ลําพะยังภูมิพัฒน์" อันเนื่องมาจากพระราชดําริ อําเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ เพราะใช้การไม่ได้และถนนชํารุดเสียหาย นั้น โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัด และเจ้าหน้าที่กรมชลประทานดําเนินการตรวจสอบแล้วพบว่า ความเสียหายในสมัยก่อนมีจริง แต่ปัจจุบันได้ดําเนินการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว และสามารถเปิดส่งน้ําให้กับประชาชนในพื้นที่ได้แล้วตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2560 รวมทั้ง ถนนที่ยังพังชํารุดเสียหายก็จะมีการดําเนินการโดยใช้งบประมาณปี 2560 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี สั่งการว่าหากติดขัดอะไร ที่ไม่สามารถจะดําเนินการได้ทันตามที่กําหนด เนื่องด้วยระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ให้ไปพิจารณาใช้หน่วยงานที่มีความพร้อม เช่น กองทัพบก ซึ่งมีหน่วยงานเร่งรัดพัฒนาชนบท หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา เข้ามาช่วยดําเนินการในส่วนนี้ เพื่อให้ถนนสามารถใช้งานได้เต็มระบบต่อไป
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและได้สั่งการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ประกอบกับได้มีการนัดหมายและเตรียมการในพื้นที่ต่าง ๆ ไว้แล้วชัดเจน และประชาชนจะเดินทางมาคอยในพื้นที่ตามนัดหมาย ยืนยันการเดินทางลงพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ครั้งนี้ ไม่ใช่ไปดูแต่ในสิ่งที่สวยงามหรือผักชีโรยหน้าแต่อย่างใด โดยวันนี้นายกรัฐมนตรีได้สั่งการเพิ่มเติมว่า ในการลงพื้นที่ไปตรวจเยี่ยมหรือการประชุมครม. นอกสถานที่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอให้ลดงบประมาณในการจัดเลี้ยงดูแลต้อนรับให้มากที่สุด โดยให้ดําเนินการตามความเหมาะสมและเท่าที่จําเป็นอย่างแท้จริง รวมถึงการจัดแสดงบูธนิทรรศการความคืบหน้าผลการดําเนินงานของหน่วยงานและพื้นที่ตามนโยบายรัฐบาลให้นายกรัฐมนตรีและคณะเยี่ยมชม นั้น ให้เปลี่ยนเป็นการพูดคุยเพื่อแก้ไขปัญหาในแต่ละเรื่องกับผู้ที่เกี่ยวข้อง แต่หากจําเป็นต้องไปติดตามดูความก้าวหน้าก็ขอให้พาไปดูในพื้นที่จริง โดยไม่ต้องจัดนิทรรศการมา หรือหากจะจัดก็ไม่ต้องจัดแสดงมาก เพราะการจัดบูธนิทรรศการมากก็จะทําให้เสียเวลาในการเดินดูตั้งแต่บูธแรกจนถึงบูธสุดท้าย หากไม่ไปก็จะทําให้ผู้ที่ดําเนินการเสียกําลังใจได้
----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8713
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมกิจกรรมก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี
|
วันอังคารที่ 6 สิงหาคม 2562
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมกิจกรรมก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมกิจกรรมก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี
วันนี้ ( 6 สิงหาคม 2562) เวลา 08.30 น. ณ บริเวณด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมกิจกรรมก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี 5 คณะ ได้แก่ 1) กิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ “ผ้าไทยสู่สากล เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยกระทรวงวัฒนธรรม 2) องค์การสหประชาชาติมอบรางวัลองค์กรภาครัฐยอดเยี่ยมประจําปี 2562 โดยสํานักปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี 3) ประชาสัมพันธ์โครงการ เข็มวันอานันทมหิดล พ.ศ.2562 โดยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 4) ประชาสัมพันธ์และจําหน่ายดอกมะลิงานวันแม่แห่งชาติ ประจําปี 2562 โดย สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ 5) รณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่แก่บุคลากรกลุ่มเสี่ยง โดยกระทรวงสาธารณสุข รายละเอียด ดังนี้
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นําคณะกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ “ผ้าไทยสู่สากล เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสนอผลงานการออกแบบผ้าไทยร่วมสมัย ผ่าน Tablet โดยใช้เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) และได้นํามาแสดงแฟชั่นโชว์ให้นายกรัฐมนตรีและสื่อมวลชนได้ชม ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมความสามารถในการออกแบบประยุกต์ผ้าไทยร่วมสมัยที่ทําได้อย่างสวยงาม ตนเองรู้สึกภูมิใจที่เห็นผ้าไทยไปสู่สากล รัฐบาลพร้อมส่งเสริมให้มีการประชาสัมพันธ์เอกลักษณ์และความสวยงามของความเป็นไทย เป็นที่รู้จักยิ่งขึ้นไปในต่างประเทศ
นางพัชราภรณ์ อินทรียงค์ ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี นําคณะเข้าพบเพื่อประชาสัมพันธ์องค์การสหประชาชาติมอบรางวัลองค์กรภาครัฐยอดเยี่ยมประจําปี 2562 (United Nations Public Service Awards 2019) ในสาขาการพัฒนาประสิทธิภาพและความรับผิดรับชอบในหน่วยงานภาครัฐ แก่องค์การบริหารส่วนตําบลหนองตาแต้ม จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากผลงานเรื่อง "ชุมชนพลังงานแสงอาทิตย์แบบพึ่งพาตนเอง (Self-reliant Solar Energy Community)" เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ที่ผ่านมา ณ กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน โดยประเทศไทยเป็น 1 ใน 11 ประเทศ ที่ได้รับรางวัลในปีนี้ รางวัล United Nations Public Service Awards ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติสําหรับหน่วยงานภาครัฐ ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้แนะนํานวัตกรรม “ชุมชนพลังงานแสงอาทิตย์แบบพึ่งพาตนเอง” นี้ ขยายไปยังชุมชนต่างๆ ด้วยเพื่อให้ประชาชนนําไปใช้ในครัวเรือน พึ่งพาตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งรัฐบาลพร้อมผลักดันนวัตกรรมนี้ไปสู่ต่างประเทศอีกด้วย
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชม การรณรงค์การรับบริจาค “เข็มวันอานันทมหิดล” พ.ศ.2562 และประชาสัมพันธ์โครงการ เข็มวันอานันทมหิดล พ.ศ.2562 โดยรองศาสตราจารย์นายแพทย์พงศ์ศักดิ์ ยุกตะนันทน์ รองคณบดีฝ่ายกิจการนิสิต และศ.ดร.นพ.สิทธิศักดิ์ หรรษาเวก ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายกิจการนิสิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อสนับสนุนมูลนิธิอานันทมหิดลและมูลนิธิสงเคราะห์เด็ก สภากาชาดไทย เพื่อนําไปช่วยเหลือพระภิกษุอาพาธและผู้ป่วยยากไร้ ของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย รวมทั้งยังนําไปสนับสนุนการออกหน่วยเพื่อรับบริจาคโลหิต โดยนิสิตแพทย์จุฬาลงกรณ์ และศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ซึ่งการบริจาคโลหิตยังเป็นการช่วยต่อชีวิตจากผู้ให้ไปสู่ผู้รับด้วย
พร้อมกันนี้ นางเพ็ญพักตร์ ศรีทอง ที่ปรึกษาคณะกรรมการอํานวยการ สภาสังคมสงเคราะห์ฯ และประธานคณะกรรมการฝ่ายผลิตและจําหน่ายดอกมะลิ งานวันแม่แห่งชาติ ประจําปี 2562 นําคณะกรรมการ เด็กและเยาวชนดีเด่น สภาสังคมสงเคราะห์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สภาสังคมสงเคราะห์ฯ เข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อประชาสัมพันธ์และจําหน่ายดอกมะลิซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของงานวันแม่แห่งชาติโดยรายได้จากการจําหน่ายจะนําขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้สนับสนุนผลิตภัณฑ์ดอกมะลิ เพื่อนําไปช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาความทุกข์ยาก เดือดร้อน รวมทั้งจะได้มอบเป็นทุนการศึกษาแก่เด็กและเยาวชน ที่ยากจน และขาดแคลนทั่วประเทศ
ภายในงาน นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยังนําคณะบุคลากรทางการแพทย์เข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ แก่บุคลากรกลุ่มเสี่ยงเพื่อลดการป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่และการตายเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนของโรคไข้หวัดใหญ่ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมและสนับสนุนการรณรงค์ให้มีการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เพราะจะช่วยให้ประชาชนสามารถป้องกันและดูแลตนเองไว้ก่อนได้ในระดับหนึ่ง
-----------------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมกิจกรรมก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี
วันอังคารที่ 6 สิงหาคม 2562
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมกิจกรรมก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมกิจกรรมก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี
วันนี้ ( 6 สิงหาคม 2562) เวลา 08.30 น. ณ บริเวณด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมกิจกรรมก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี 5 คณะ ได้แก่ 1) กิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ “ผ้าไทยสู่สากล เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยกระทรวงวัฒนธรรม 2) องค์การสหประชาชาติมอบรางวัลองค์กรภาครัฐยอดเยี่ยมประจําปี 2562 โดยสํานักปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี 3) ประชาสัมพันธ์โครงการ เข็มวันอานันทมหิดล พ.ศ.2562 โดยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 4) ประชาสัมพันธ์และจําหน่ายดอกมะลิงานวันแม่แห่งชาติ ประจําปี 2562 โดย สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ 5) รณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่แก่บุคลากรกลุ่มเสี่ยง โดยกระทรวงสาธารณสุข รายละเอียด ดังนี้
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นําคณะกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ “ผ้าไทยสู่สากล เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสนอผลงานการออกแบบผ้าไทยร่วมสมัย ผ่าน Tablet โดยใช้เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) และได้นํามาแสดงแฟชั่นโชว์ให้นายกรัฐมนตรีและสื่อมวลชนได้ชม ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมความสามารถในการออกแบบประยุกต์ผ้าไทยร่วมสมัยที่ทําได้อย่างสวยงาม ตนเองรู้สึกภูมิใจที่เห็นผ้าไทยไปสู่สากล รัฐบาลพร้อมส่งเสริมให้มีการประชาสัมพันธ์เอกลักษณ์และความสวยงามของความเป็นไทย เป็นที่รู้จักยิ่งขึ้นไปในต่างประเทศ
นางพัชราภรณ์ อินทรียงค์ ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี นําคณะเข้าพบเพื่อประชาสัมพันธ์องค์การสหประชาชาติมอบรางวัลองค์กรภาครัฐยอดเยี่ยมประจําปี 2562 (United Nations Public Service Awards 2019) ในสาขาการพัฒนาประสิทธิภาพและความรับผิดรับชอบในหน่วยงานภาครัฐ แก่องค์การบริหารส่วนตําบลหนองตาแต้ม จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากผลงานเรื่อง "ชุมชนพลังงานแสงอาทิตย์แบบพึ่งพาตนเอง (Self-reliant Solar Energy Community)" เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ที่ผ่านมา ณ กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน โดยประเทศไทยเป็น 1 ใน 11 ประเทศ ที่ได้รับรางวัลในปีนี้ รางวัล United Nations Public Service Awards ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติสําหรับหน่วยงานภาครัฐ ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้แนะนํานวัตกรรม “ชุมชนพลังงานแสงอาทิตย์แบบพึ่งพาตนเอง” นี้ ขยายไปยังชุมชนต่างๆ ด้วยเพื่อให้ประชาชนนําไปใช้ในครัวเรือน พึ่งพาตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งรัฐบาลพร้อมผลักดันนวัตกรรมนี้ไปสู่ต่างประเทศอีกด้วย
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชม การรณรงค์การรับบริจาค “เข็มวันอานันทมหิดล” พ.ศ.2562 และประชาสัมพันธ์โครงการ เข็มวันอานันทมหิดล พ.ศ.2562 โดยรองศาสตราจารย์นายแพทย์พงศ์ศักดิ์ ยุกตะนันทน์ รองคณบดีฝ่ายกิจการนิสิต และศ.ดร.นพ.สิทธิศักดิ์ หรรษาเวก ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายกิจการนิสิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อสนับสนุนมูลนิธิอานันทมหิดลและมูลนิธิสงเคราะห์เด็ก สภากาชาดไทย เพื่อนําไปช่วยเหลือพระภิกษุอาพาธและผู้ป่วยยากไร้ ของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย รวมทั้งยังนําไปสนับสนุนการออกหน่วยเพื่อรับบริจาคโลหิต โดยนิสิตแพทย์จุฬาลงกรณ์ และศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ซึ่งการบริจาคโลหิตยังเป็นการช่วยต่อชีวิตจากผู้ให้ไปสู่ผู้รับด้วย
พร้อมกันนี้ นางเพ็ญพักตร์ ศรีทอง ที่ปรึกษาคณะกรรมการอํานวยการ สภาสังคมสงเคราะห์ฯ และประธานคณะกรรมการฝ่ายผลิตและจําหน่ายดอกมะลิ งานวันแม่แห่งชาติ ประจําปี 2562 นําคณะกรรมการ เด็กและเยาวชนดีเด่น สภาสังคมสงเคราะห์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สภาสังคมสงเคราะห์ฯ เข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อประชาสัมพันธ์และจําหน่ายดอกมะลิซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของงานวันแม่แห่งชาติโดยรายได้จากการจําหน่ายจะนําขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้สนับสนุนผลิตภัณฑ์ดอกมะลิ เพื่อนําไปช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาความทุกข์ยาก เดือดร้อน รวมทั้งจะได้มอบเป็นทุนการศึกษาแก่เด็กและเยาวชน ที่ยากจน และขาดแคลนทั่วประเทศ
ภายในงาน นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยังนําคณะบุคลากรทางการแพทย์เข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ แก่บุคลากรกลุ่มเสี่ยงเพื่อลดการป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่และการตายเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนของโรคไข้หวัดใหญ่ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมและสนับสนุนการรณรงค์ให้มีการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เพราะจะช่วยให้ประชาชนสามารถป้องกันและดูแลตนเองไว้ก่อนได้ในระดับหนึ่ง
-----------------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22015
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ. มอบปลัดสธ. ติดตามความพร้อมโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ดูแลทีมนักฟุตบอลและโค้ช
|
วันพุธที่ 4 กรกฎาคม 2561
รมว.สธ. มอบปลัดสธ. ติดตามความพร้อมโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ดูแลทีมนักฟุตบอลและโค้ช
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติดตามความพร้อมโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ในการดูแลรักษาพยาบาลทีมนักฟุตบอลเยาวชนและโค้ชทั้ง 13 คน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติดตามความพร้อมโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ในการดูแลรักษาพยาบาลทีมนักฟุตบอลเยาวชนและโค้ชทั้ง 13 คน
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมดูแลรักษาทีมนักฟุตบอลเยาวชนและโค้ช ว่า ในวันนี้ (4 กรกฎาคม 2561) ได้มอบให้นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ติดตามความพร้อมระบบการรักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ในการรับส่งต่อทีมนักฟุตบอลเยาวชนและโค้ชทั้ง 13 คนเมื่อส่งตัวมาถึงโรงพยาบาล และให้นายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 1 ทําหน้าที่ในการประสานกับทุกภาคส่วนในพื้นที่
“ทุกคนต่างดีใจที่พบว่า เด็ก ๆ และโค้ชปลอดภัย แต่การนําเด็กออกมาไม่ใช่เรื่องง่าย จึงได้มีการนําอาหาร และยาเข้าไปให้ ดูแลเบื้องต้นให้ทุกคนมีสุขภาพดี มีความพร้อมที่จะให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยพาออกจากถ้ําตามแผนที่วางไว้ เพื่อให้พาเด็กออกมาด้วยความสมบูรณ์ ปลอดภัยที่สุด ซึ่งจะเห็นได้ว่า การทํางานครั้งนี้ได้รับความร่วมมือกันเป็นอย่างดีของทุกฝ่าย ทั้งทหาร ตํารวจ หน่วยกู้ภัย ภาคเอกชน ฮีโร่ที่ทําให้สําเร็จในครั้งนี้ก็คือความร่วมมือ” ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าว
********************************* 4 กรกฎาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ. มอบปลัดสธ. ติดตามความพร้อมโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ดูแลทีมนักฟุตบอลและโค้ช
วันพุธที่ 4 กรกฎาคม 2561
รมว.สธ. มอบปลัดสธ. ติดตามความพร้อมโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ดูแลทีมนักฟุตบอลและโค้ช
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติดตามความพร้อมโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ในการดูแลรักษาพยาบาลทีมนักฟุตบอลเยาวชนและโค้ชทั้ง 13 คน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติดตามความพร้อมโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ในการดูแลรักษาพยาบาลทีมนักฟุตบอลเยาวชนและโค้ชทั้ง 13 คน
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมดูแลรักษาทีมนักฟุตบอลเยาวชนและโค้ช ว่า ในวันนี้ (4 กรกฎาคม 2561) ได้มอบให้นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ติดตามความพร้อมระบบการรักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ในการรับส่งต่อทีมนักฟุตบอลเยาวชนและโค้ชทั้ง 13 คนเมื่อส่งตัวมาถึงโรงพยาบาล และให้นายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 1 ทําหน้าที่ในการประสานกับทุกภาคส่วนในพื้นที่
“ทุกคนต่างดีใจที่พบว่า เด็ก ๆ และโค้ชปลอดภัย แต่การนําเด็กออกมาไม่ใช่เรื่องง่าย จึงได้มีการนําอาหาร และยาเข้าไปให้ ดูแลเบื้องต้นให้ทุกคนมีสุขภาพดี มีความพร้อมที่จะให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยพาออกจากถ้ําตามแผนที่วางไว้ เพื่อให้พาเด็กออกมาด้วยความสมบูรณ์ ปลอดภัยที่สุด ซึ่งจะเห็นได้ว่า การทํางานครั้งนี้ได้รับความร่วมมือกันเป็นอย่างดีของทุกฝ่าย ทั้งทหาร ตํารวจ หน่วยกู้ภัย ภาคเอกชน ฮีโร่ที่ทําให้สําเร็จในครั้งนี้ก็คือความร่วมมือ” ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าว
********************************* 4 กรกฎาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13572
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอลุ้นได้เลย!! 16 ต.ค.นี้ ธอส. ออกรางวัลสลากฯ ชุดวิมานเมฆครั้งแรก ถูกรางวัล รับไปเลย 200,000 บาท
|
วันอังคารที่ 15 ตุลาคม 2562
รอลุ้นได้เลย!! 16 ต.ค.นี้ ธอส. ออกรางวัลสลากฯ ชุดวิมานเมฆครั้งแรก ถูกรางวัล รับไปเลย 200,000 บาท
ธอส.กําหนดออกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธอส. รุ่นที่ 1 ชุดวิมานเมฆ ครั้งที่ 1 ซึ่งถือเป็นการออกรางวัลครั้งแรกของธนาคาร จํานวน 27 รางวัล รางวัลละ 200,000 บาท ในวันพุธที่ 16 ตุลาคม 2562 โดยมีสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นผู้ดําเนินการออกรางวัล
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กําหนดออกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธอส. รุ่นที่ 1 ชุดวิมานเมฆ ครั้งที่ 1 ซึ่งถือเป็นการออกรางวัลครั้งแรกของธนาคาร จํานวน 27 รางวัล รางวัลละ 200,000 บาท ในวันพุธที่ 16 ตุลาคม 2562 โดยมีสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นผู้ดําเนินการออกรางวัล ณ ห้องออกรางวัล สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี ด้วยการใช้เครื่องออกรางวัลอัตโนมัติ Multipick ซึ่งมีขั้นตอนและกระบวนการตามมาตรฐานสากล ISO 9001:2015 เช่นเดียวกับกระบวนการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล ระหว่างเวลา 17.00 - 17.30 น. ถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 MCOT HD และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า วันพุธที่ 16 ตุลาคม 2562 ธนาคารกําหนดให้มีการออกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รุ่นที่ 1 ชุดวิมานเมฆ ครั้งที่ 1 ซึ่งถือเป็นการออกรางวัลครั้งแรกของธนาคาร จํานวน 27 รางวัล รางวัลละ 200,000 บาท โดยมีสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นผู้ดําเนินการออกรางวัล ณ ห้องออกรางวัล สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี ด้วยการใช้เครื่องออกรางวัลอัตโนมัติ Multipick ซึ่งมีขั้นตอนและกระบวนการตามมาตรฐานสากล ISO 9001:2015 เช่นเดียวกับกระบวนการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยสลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดวิมานเมฆ หน่วยละ 1 ล้านบาท ทั้ง 27,000 หน่วย ที่แบ่งออกเป็น 3 หมวดหมายเลข หมวดละ 9,000 หน่วย ประกอบด้วย 1.หมายเลข 9181000 – 9189999, 2.หมายเลข 9191000 – 9199999 และ 3.หมายเลข 9361000 – 9369999 นั้น ผู้ซื้อสลากสามารถมั่นใจได้ว่าทุกหมายเลขมีโอกาสถูกรางวัลเท่ากัน เพราะการออกรางวัลจะเป็นไปด้วยความโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม และสามารถตรวจสอบได้ โดยมีผู้มีเกียรติผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานภายนอกตลอดจนสื่อมวลชนร่วมเป็นกรรมการและเป็นสักขีพยานในการออกรางวัล จํานวนรวม 5 คน ซึ่งในการออกรางวัลครั้งที่ 1 ได้รับเกียรติจากนายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ เป็นประธานกรรมการ เพื่อกํากับดูแลการออกรางวัลให้เป็นตามขั้นตอน และมีการถ่ายทอดสดการออกรางวัลทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 MCOT HD และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ระหว่างเวลา 17.00 - 17.30 น. รวมทั้งยังเปิดให้ประชาชนและสื่อมวลชนเข้าชมการออกรางวัลได้อีกด้วย โดยสามารถตรวจผลการออกรางวัลได้ทาง Mobile Application : GHB ALL เว็บไซต์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ www.ghbank.co.th เว็บไซต์สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล www.glo.or.th รวมถึงที่ Facebook Fanpage และ Line official ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ GH Bank โดยธนาคารจะโอนเงินรางวัลเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์รับโชคของผู้ที่ถูกรางวัลในวันถัดจากวันที่ทําการออกรางวัลในแต่ละครั้ง
ทั้งนี้ สลากออมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รุ่นที่ 1 ชุดวิมานเมฆ หน่วยละ 1 ล้านบาท ถือเป็นทางเลือกใหม่ในการออมที่ให้ผลตอบแทนดี มีโอกาสถูกรางวัลสูง ซึ่งธนาคารเปิดจําหน่ายจํานวน 27,000 หน่วย หรือ 27,000 ล้านบาท ถือเป็นสลากที่ได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมากจนทําให้มียอดจองซื้อถึง 46,384 ล้านบาท สูงว่าจํานวนที่ธนาคารเปิดจําหน่ายถึง 19,384 ล้านบาท โดยเมื่อฝากครบ 3 ปี จะได้รับเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยหน่วยละ 42,000 บาท หรือคิดเป็น 1.4% ต่อปี และยังมีโอกาส ถูกรางวัลสูงถึง 0.1% เพราะกําหนดออกรางวัล ทุกเดือน ๆ ละ 27 รางวัล มูลค่ารางวัลละ 200,000 บาท หรือตลอด 3 ปี จะมีการออกรางวัลรวมถึง 972 รางวัล สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขา ทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอลุ้นได้เลย!! 16 ต.ค.นี้ ธอส. ออกรางวัลสลากฯ ชุดวิมานเมฆครั้งแรก ถูกรางวัล รับไปเลย 200,000 บาท
วันอังคารที่ 15 ตุลาคม 2562
รอลุ้นได้เลย!! 16 ต.ค.นี้ ธอส. ออกรางวัลสลากฯ ชุดวิมานเมฆครั้งแรก ถูกรางวัล รับไปเลย 200,000 บาท
ธอส.กําหนดออกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธอส. รุ่นที่ 1 ชุดวิมานเมฆ ครั้งที่ 1 ซึ่งถือเป็นการออกรางวัลครั้งแรกของธนาคาร จํานวน 27 รางวัล รางวัลละ 200,000 บาท ในวันพุธที่ 16 ตุลาคม 2562 โดยมีสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นผู้ดําเนินการออกรางวัล
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กําหนดออกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธอส. รุ่นที่ 1 ชุดวิมานเมฆ ครั้งที่ 1 ซึ่งถือเป็นการออกรางวัลครั้งแรกของธนาคาร จํานวน 27 รางวัล รางวัลละ 200,000 บาท ในวันพุธที่ 16 ตุลาคม 2562 โดยมีสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นผู้ดําเนินการออกรางวัล ณ ห้องออกรางวัล สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี ด้วยการใช้เครื่องออกรางวัลอัตโนมัติ Multipick ซึ่งมีขั้นตอนและกระบวนการตามมาตรฐานสากล ISO 9001:2015 เช่นเดียวกับกระบวนการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล ระหว่างเวลา 17.00 - 17.30 น. ถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 MCOT HD และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า วันพุธที่ 16 ตุลาคม 2562 ธนาคารกําหนดให้มีการออกรางวัลสลากออมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รุ่นที่ 1 ชุดวิมานเมฆ ครั้งที่ 1 ซึ่งถือเป็นการออกรางวัลครั้งแรกของธนาคาร จํานวน 27 รางวัล รางวัลละ 200,000 บาท โดยมีสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นผู้ดําเนินการออกรางวัล ณ ห้องออกรางวัล สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี ด้วยการใช้เครื่องออกรางวัลอัตโนมัติ Multipick ซึ่งมีขั้นตอนและกระบวนการตามมาตรฐานสากล ISO 9001:2015 เช่นเดียวกับกระบวนการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยสลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดวิมานเมฆ หน่วยละ 1 ล้านบาท ทั้ง 27,000 หน่วย ที่แบ่งออกเป็น 3 หมวดหมายเลข หมวดละ 9,000 หน่วย ประกอบด้วย 1.หมายเลข 9181000 – 9189999, 2.หมายเลข 9191000 – 9199999 และ 3.หมายเลข 9361000 – 9369999 นั้น ผู้ซื้อสลากสามารถมั่นใจได้ว่าทุกหมายเลขมีโอกาสถูกรางวัลเท่ากัน เพราะการออกรางวัลจะเป็นไปด้วยความโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม และสามารถตรวจสอบได้ โดยมีผู้มีเกียรติผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานภายนอกตลอดจนสื่อมวลชนร่วมเป็นกรรมการและเป็นสักขีพยานในการออกรางวัล จํานวนรวม 5 คน ซึ่งในการออกรางวัลครั้งที่ 1 ได้รับเกียรติจากนายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ เป็นประธานกรรมการ เพื่อกํากับดูแลการออกรางวัลให้เป็นตามขั้นตอน และมีการถ่ายทอดสดการออกรางวัลทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 MCOT HD และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ระหว่างเวลา 17.00 - 17.30 น. รวมทั้งยังเปิดให้ประชาชนและสื่อมวลชนเข้าชมการออกรางวัลได้อีกด้วย โดยสามารถตรวจผลการออกรางวัลได้ทาง Mobile Application : GHB ALL เว็บไซต์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ www.ghbank.co.th เว็บไซต์สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล www.glo.or.th รวมถึงที่ Facebook Fanpage และ Line official ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ GH Bank โดยธนาคารจะโอนเงินรางวัลเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์รับโชคของผู้ที่ถูกรางวัลในวันถัดจากวันที่ทําการออกรางวัลในแต่ละครั้ง
ทั้งนี้ สลากออมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รุ่นที่ 1 ชุดวิมานเมฆ หน่วยละ 1 ล้านบาท ถือเป็นทางเลือกใหม่ในการออมที่ให้ผลตอบแทนดี มีโอกาสถูกรางวัลสูง ซึ่งธนาคารเปิดจําหน่ายจํานวน 27,000 หน่วย หรือ 27,000 ล้านบาท ถือเป็นสลากที่ได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมากจนทําให้มียอดจองซื้อถึง 46,384 ล้านบาท สูงว่าจํานวนที่ธนาคารเปิดจําหน่ายถึง 19,384 ล้านบาท โดยเมื่อฝากครบ 3 ปี จะได้รับเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยหน่วยละ 42,000 บาท หรือคิดเป็น 1.4% ต่อปี และยังมีโอกาส ถูกรางวัลสูงถึง 0.1% เพราะกําหนดออกรางวัล ทุกเดือน ๆ ละ 27 รางวัล มูลค่ารางวัลละ 200,000 บาท หรือตลอด 3 ปี จะมีการออกรางวัลรวมถึง 972 รางวัล สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขา ทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23835
|
รายการคืนความสุขให้คนในชาติ
|
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2558 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน
ก่อนอื่นผมในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทยขอแสดงความเสียใจอย่างที่สุดกับพี่น้องประชาชนชาวสิงคโปร์ที่ต้องสูญเสียเอกบุรุษของประเทศไป ในช่วงเวลานี้ ฯพณฯ ท่าน นาย ลี กวน ยู อดีตนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น “บิดาผู้ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์สมัยใหม่” ได้ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ท่านดํารงตําแหน่งผู้นําประเทศ ท่านได้ใช้วิสัยทัศน์อันยาวไกลของท่านนําพาความเจริญรุ่งเรือง ความมั่งคั่งและมั่นคงทางเศรษฐกิจมายังประเทศสิงคโปร์ ทําให้ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นําที่โดดเด่นมากที่สุดคนหนึ่งของโลก ผมมั่นใจว่า ฯพณฯ ท่าน นายลี กวน ยู ยังคงจะได้รับความจดจําว่าเป็นผู้นําที่สร้างแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของเอเชียอีกด้วย ซึ่งผมก็จะได้เดินทางไปเคารพศพท่านในวันอาทิตย์นี้
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ผมและคณะได้เดินทางไปประเทศบรูไนอย่างเป็นทางการ ซึ่งในโอกาสนี้ ได้เข้าเฝ้ารับเสด็จสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนอย่างใกล้ชิดทั้งคณะ ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ได้พระราชทานวโรกาสนี้ โดยสมเด็จพระราชาธิบดี ได้ถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และ พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ให้ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง จากนั้น ได้มีการหารือทวิภาคีในหลายประเด็นที่สําคัญ ได้แก่ การกระชับความร่วมมือทางด้านการค้า การลงทุน มีการลงนามกรอบความร่วมมือด้านการเกษตรกรรม การกระชับความร่วมมือทางด้านอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล นอกจากนั้น ได้มีการหารือกันถึงความสําคัญของความมั่นคงทางด้านราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ําในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งเราเป็นแหล่งอาหารสําคัญของโลก รวมทั้งในเรื่องการแก้ปัญหาไฟป่าในภูมิภาคอาเซียน การปลูกป่าอาเซียนด้วย
สําหรับเรื่องการศึกษารัฐบาลให้ความสําคัญเป็นอย่างมาก ผมได้แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา เพื่อทําหน้าที่เป็นซุปเปอร์บอร์ดด้านการศึกษา ในการร่วมกันหารือและขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านการศึกษาของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาล สําหรับการดําเนินงานของคณะกรรมการฯ นี้ มุ่งเน้นใน 3 ภารกิจหลัก คือ 1. การดําเนินงานตามภารกิจประจํา 2. การดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาล และ 3. การดําเนินงานสําหรับการวางรากฐานเพื่อส่งต่อไปยังรัฐบาลในอนาคต ทั้งนี้ จะดําเนินการทั้งในด้านการศึกษา การปรับหลักสูตร การพัฒนาคุณภาพครูและผู้เรียน การยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา การใช้จ่ายงบประมาณ และการกระจายอํานาจ เน้นให้มีทั้งนักวิชาการและนักปฏิบัติ โดยจะพิจารณานําแนวทางการดําเนินงานจากต่างประเทศมาปรับใช้ ตามความเหมาะสม ซึ่งผมได้มอบหมายให้หน่วยงานและผู้เกี่ยวข้องนําไปพิจารณาดําเนินการ และนําไปเสนอต่อผม ในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ เพื่อจะพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศที่ตอบสนองต่อความคาดหวังของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
ในที่ประชุมได้มีการแสดงความคิดเห็นกัน และสรุปว่าเห็นตรงกันว่าการพัฒนาการศึกษา ต้องมีความสอดคล้องกับการพัฒนาในพื้นที่ด้วย เพื่อลดความเหลื่อมล้ํา เพื่อกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค ไม่ใช่มารวมกันอยู่ตามเมืองใหญ่ๆ หรือในกรุงเทพฯ อย่างเดียว รวมถึงต้องมีการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การศึกษาทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยมีการประเมินผลการพัฒนาการศึกษาในประเทศ และเปรียบเทียบกับต่างประเทศ ที่ประสบความสําเร็จ
ทั้งนี้ ต่อไปเรากําลังเข้าสู่การมีเศรษฐกิจดิจิตอล จะนํามาสนับสนุนการพัฒนาการศึกษานี้ด้วย โดยอาศัยครูที่มีประสบการณ์ ที่อาจจะมีการเรียน การสอนที่นักเรียนชอบและทําให้เข้าใจง่ายๆ ซึ่งวันนี้ก็ไปสอนตามโรงเรียนกวดวิชา เป็นจํานวนมาก ก็จะนํามาช่วยด้วย ขอร้องกันให้มาช่วยกัน ใช้ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้เผยแพร่ผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ ก็น่าที่จะได้รับความสนใจจากประชาชนที่อยู่ทางบ้าน คุณพ่อ คุณแม่ ลูก อาจจะนั่งฟังด้วยกันก็ได้ เป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ภายในครอบครัวด้วย อีกอันที่ผมเห็นเป็นประโยชน์เกี่ยวกับเรื่องการสอนทางโซเชียลมีเดียนี้ หรือทางระบบดิจิตอล ผมว่าเราต้องสอนให้คนรู้จักว่าเราจะใช้ประโยชน์อย่างไร ถ้าเราใช้ในทางที่ผิด และไปคาดหวังกับระบบอย่างเดียว โดยไม่สนใจครู ไม่สนใจผู้ปกครอง ก็ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของการพัฒนาการของสังคม ท่านอยู่กับคอมพิวเตอร์อย่างเดียวไม่ได้ ฝากไว้ด้วย
ในส่วนของการพัฒนาเผยแพร่เทคโนโลยีสารสนเทศนั้น ต้องกําหนดการพัฒนาเส้นทางอาชีพของครูในกลุ่มนี้ ปัญหาคือครู อาจจะไม่เพียงพอและสอนไม่ตรงวุฒิการศึกษาที่จบมา ตอนนี้ได้สั่งให้ไปเตรียมการ และดําเนินการแก้ไขให้ได้โดยเร็ว ครูเก่า ครูใหม่ ต่างๆ ผมได้สั่งไปหมดแล้ว และจะได้สร้างแรงจูงใจ
การสอนโดยใช้สื่อดิจิตอลนั้น จะเป็นสื่อการสอนที่มีความสําคัญในการขยายโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพเข้าสู่ทุกพื้นที่ ลดความเหลื่อมล้ํา การเข้าถึงการศึกษา การดําเนินการในระยะต้นที่ผ่านมานั้น เราได้ทํามาแล้ว โดยได้ให้กระทรวงศึกษาธิการเพิ่มเติมในเรื่องของการใช้ศูนย์การพัฒนาคุณภาพการศึกษาทางไกลผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ (Distance Learning Information Technology : DLIT) เพิ่มเติมเป็นศูนย์กลางในการผลิตสื่อสารการสอนโดยครูเก่ง ครูที่ได้รับความนิยมเหล่านี้ เพื่อจะเผยแพร่ให้โรงเรียนในสังกัดอย่างแพร่หลาย คือเพิ่มเติมสาระต่างๆ ที่สําคัญเพิ่มเติมไปจากในส่วนของโครงการทางไกลผ่านดาวเทียม ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความหลากหลาย ให้เกิดความที่ช่วยกันพัฒนาสนใจร่วมมือกันน่าจะเป็นสิ่งที่ดี
นอกจากนั้น ได้มีการหารือแนวทางที่จะผนวกการพัฒนาการศึกษาเข้ากับเงื่อนไขของการส่งเสริมการลงทุน คือ การลงทุนต่างประเทศ ถ้าเราสามารถที่จะนํามาร่วมมือกัน กับในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือในเขตภูมิภาค การให้เขาไปดูแลในส่วนของมหาวิทยาลัย วิทยาลัยต่างๆ เป็นลักษณะเป็นทวิภาคี ผมว่าน่าจะใช้ได้ ตอนนี้ก็คิดแล้ว แล้วก็สั่งการไปพิจารณาดําเนินการอยู่ในขณะนี้ ให้สอดคล้องกันระหว่างโครงการภาครัฐขนาดใหญ่ และการเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษ ในแต่ละภูมิภาคด้วย ก็จะเป็นแหล่งการจ้างงานที่สําคัญ เราก็ควรสนับสนุนให้ผู้ประกอบการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนนั้นได้มีข้อตกลงทําความร่วมมือจัดการศึกษาแบบทวิภาคีหรือสหกิจศึกษา รวมทั้งส่งเสริมการฝึกอบรมแรงงานฝีมือ วิศวกร ช่างเทคนิคต่างๆ ซึ่งเราขาดแคลนเป็นจํานวนมาก เพื่อรองรับโครงการที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าวด้วย
สําหรับการศึกษาระดับอาชีวศึกษา คณะกรรมการฯ เห็นว่าต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความก้าวหน้าของโลกสมัยใหม่ ที่ต้องการผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่หลากหลาย การอาชีวศึกษาต้องดูแนวโน้มการผลิตคนให้สอดคล้อง อะไรขาด อะไรเกินต้องมีลิมิต แล้วก็ควบคุมให้ได้ ทั้งนี้ ควรนําประสบการณ์ต่างประเทศเช่นด้วยกัน ของประเทศที่ประสบความสําเร็จในการจัดการศึกษามาเป็นกรณีศึกษา เช่น ประเทศสิงคโปร์ จะมี Institute of Technical Education (ITE) ซึ่งเป็นสถาบันที่จัดการศึกษาสําหรับผู้ต้องการทักษะทางช่าง และช่างฝีมือ
การศึกษาระดับอุดมศึกษา ที่ยังมีปัญหาในการจัดหลักสูตรและบุคลากรในการสอน ขาดงานวิจัยและพัฒนาที่นําไปใช้ประโยชน์ได้จริง รวมถึงมหาวิทยาลัยในภูมิภาคอาจจะเปิดการเรียนการสอนที่เหมือนกัน โดยไม่ได้คํานึงถึงการสนับสนุนการพัฒนาในภูมิภาคนั้นๆ คือตรงกับความต้องการของพื้นที่ ทางคณะกรรมการฯ เห็นว่าจําเป็นต้องมีการปฏิรูประบบการศึกษาระดับอุดมศึกษาด้วย เพื่อผลิตกําลังคนให้สอดคล้องกับคลัสเตอร์ ในการพัฒนาประเทศและโครงการขนาดใหญ่ ก็จะต้องช่วยยกระดับมหาวิทยาลัยภายในประเทศ เพิ่มการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการเรียนการสอนด้วย
อีกเรื่องหนึ่ง อย่างที่ผมได้เคยกล่าวไว้ในงานปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ“การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันการค้าของประเทศไทย”ว่า การจะทําให้อุตสาหกรรมของไทยเข้มแข็งต่อไปอย่างยั่งยืนนั้น ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคธุรกิจต่างๆ จะต้องร่วมมือกัน วันนี้รัฐบาลได้ทําให้ประเทศกลับมาสงบสุข สถานการณ์ทุกอย่างที่ไม่ดีชะลอลงตามลําดับ แต่ยังคงมีประชาชนที่ไม่เข้าใจอยู่ โดยเฉพาะประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากธุรกิจสีเทาที่ไม่ค่อยถูกกฎหมายในประเทศที่ถูกลดจํานวนลง อาจจะทําให้ประชาชนส่วนนี้ขาดรายได้ รัฐบาลเห็นใจ แต่ประเทศจะต้องมีการจัดระเบียบไม่อย่างนั้น ก็ไม่มีความเป็นธรรมกับคนอื่นที่เขาทําถูก ต้องลดความเหลื่อมล้ํา ถ้าเราปล่อยต่อไปไม่ได้ แต่เราต้องหาทางว่าจะทําอย่างไร ให้เขามีที่ทํากินมีที่ค้าขายให้ได้ กําลังทําอยู่ก็ต้องยอมรับกันบ้าง เพราะท่านทําอยู่มันผิด แล้ววันหน้าถ้าเข้มแข็งได้ จะได้เข้าสู่การพัฒนาตนเอง เพิ่มความก้าวหน้าในหลักการเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้าเริ่มลงทุน ก็ต้องมีภูมิคุ้มกันใช่หรือไม่ พอมีรายได้มากมายพอ ก็สามารถมาช่วยเหลือประเทศชาติได้ ภาษีก็มีโอกาสที่จะเสียภาษีได้ อย่าหนีจากระบบภาษี ผมอยากให้ทุกคนมีหมายเลข การเสียภาษีทุกคน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไปเก็บทุกคน ปัญหาที่ผมทราบขณะนี้ก็คือ หลายคนก็ไม่อยากจะมีหลักฐานทางภาษี จะทําอย่างไร อย่าตําหนิรัฐบาลอย่างเดียว เราคิดทุกมิติ ว่าเขาจะไม่เดือดร้อนได้อย่างไร เราจะช่วยเหลือเขาได้อย่างไร เราจะจัดกลุ่มคนเดือดร้อนมากเดือดร้อนน้อย คนยากจนได้อย่างไร ปรากฎว่าไม่ได้เพราะว่าฐานข้อมูลไม่มี และประชาชนหลายส่วนไม่ยอมเข้าในระบบ ไม่ต้องกลัว ถ้าท่านมีรายได้น้อย ใครจะไปเก็บภาษีท่านได้ ภาษีก็ต้องเก็บตามรายได้ ที่มีอยู่ตามหลักเกณฑ์ ถ้าไม่ถึงก็เก็บไม่ได้อยู่แล้ว อย่าหาว่าผมมารีดเลือดกับท่าน เป็นการวางอนาคต วันหน้าต้องให้ทุกคน ถ้าเข้าระบบภาษีได้ก็คือทุกคนมีงาน มีอาชีพ มีรายได้ที่เพียงพอ ถึงวันนั้นน่าจะต้องเตรียมความพร้อมตั้งแต่บัดนี้ ไม่ใช่ว่าทําอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้
อีกเรื่องหนึ่ง ขณะนี้รัฐบาลกําลังเร่งทําเศรษฐกิจชุมชนที่เป็นตลาดภายในประเทศ ในทุกภูมิภาค ทุกจังหวัด เป็นลักษณะให้เกษตรกรมาขายสินค้าเกษตรให้กับประชาชน ผมเคยพูดมาหลายครั้งแล้ว ช่วยกันไปดูหน่อย ไปอุดหนุนหน่อย มีสัก 2,000 กว่าแห่งแล้วตอนนี้ ว่าเดินหน้าได้แค่ไหน ไปได้อย่างไร ถ้าหากขายสินค้าแล้วจะมีการให้พี่น้องนําอย่างอื่นมาได้หรือไม่ ของเก่า ของใช้แล้ว ของอะไรที่อาจจะไม่มีความจําเป็นในการใช้ของเรา แต่เป็นประโยชน์กับคนอื่น ทีวีเก่า อะไรเก่าต่างๆ เหล่านี้ เป็นการเผื่อแผ่แบ่งปัน กระติกน้ําร้อนเก่า วิทยุเก่า ที่เราไปซื้อขนาดดีมาแล้ว ของเก่าทิ้งไว้หลังบ้าน มาบริจาค มาอะไรให้กับคนในพื้นที่เขา จะสร้างความรักความสามัคคี
ในส่วนของเกษตรกร วันนี้ก็ยังอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วงเพราะราคาผลิตผลตกต่ํา คงจะต้องแก้ไขระบบให้ได้โดยเร็ว นี่ก็กําลังเตรียมการเพื่อจะช่วยเหลือดูแลในครอปใหม่ว่าจะทําอย่างไร ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรฯ ไปหารือกันอยู่ ในเรื่องของต่างประเทศผมก็พูดคุยกับท่าน สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไน ท่านบอกให้ช่วยตรงนี้ด้วย ในฐานะที่ท่านเป็นผู้นําอาวุโสสูงสุดในอาเซียน ว่าทําอย่างไรอาเซียนจะพูดคุยกันได้ ในเรื่องการจําหน่ายขายสินค้า เพราะถ้าแข่งขันกันเองทั้งหมดยิ่งไปไม่ได้ทั้งหมด ราคาก็ตกไปเรื่อยๆ เรื่องข้าว เรื่องยาง อะไรก็แล้วแต่ เราต้องรวมกลุ่มกันให้ได้ ทุกประเทศไม่ใช่แค่ 2-3 ประเทศ ทุกประเทศที่มีการปลูกยาง ปลูกข้าวต่างๆ เพราะเราไม่ใช่คู่แข่งขันกันแล้ววันนี้เราเป็นพันธมิตร หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์
เรื่องสําคัญก็คือขอฝากให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้สนับสนุนดําเนินการในสิ่งใหม่ๆ ที่ผมกล่าวมาแล้วด้วย เรื่องนี้ ภาครัฐกับภาคเอกชนจะต้องดําเนินการร่วมกันตั้งแต่การเริ่มต้น แก้ไขปัญหา รับทราบปัญหาร่วมกัน ทํางานสอดประสานช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างห่วงโซ่ ห่วงโซ่ทางอาหาร ห่วงโซ่เศรษฐกิจสีเขียว อุตสาหกรรมสีเขียว ให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงชุมชน ท้องถิ่น ภูมิภาค ประเทศ อะไรทํานองนี้ คือไม่สร้างอะไรที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมด้วย อันนี้เป็นประเด็นที่โลกให้ความสําคัญอยู่แล้วก็ให้มีความเชื่อมโยงกัน เพื่อจะได้แลกเปลี่ยนสินค้า เดินทางสัญจรไปมา แล้วก็การท่องเที่ยวก็ไปได้หมด เพราะว่าเราเชื่อมโยงกันอยู่แล้ว วันหน้าอย่างไร เขาพูดว่าวันหน้าโลกเราจะไร้พรมแดน รวมทั้งต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยี วิจัย วิเคราะห์พัฒนา วันนี้ผมก็ให้มีการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับเรื่องการวิจัยและพัฒนาของไทย รู้สึกจะมีอยู่หลายอย่าง เป็นพันๆ อย่างที่มาที่หัวหิน ได้รับรายงานว่าคนสนใจ แล้วเราก็จะได้อธิบายเขาว่า SMEs เราเตรียมการสนับสนุนอย่างไรให้เป็นรูปธรรม ถ้าทุกคนไปบ่นอย่างเดียว ผมได้รับ ผมติดตามมามากแล้วเรื่องของการพูดคุย เรื่องเศรษฐกิจของประเทศไทย ผมพยายามจะอธิบายแต่บางครั้ง ผมว่าการรับรู้ยังไม่ได้ ผมยังเห็นในหนังสือพิมพ์ต่างๆ ก็จะมีพวกนายกฯ สมาคมผู้ประกอบการต่างๆ จะไปบ่นเรื่องโน้นเรื่องนี้ อะไรต่างๆ แล้วก็พูดมาว่ารัฐบาลยังไม่เห็นทําอะไรเลย ผมก็เสียใจ แล้วก็เมื่อวานนี้ เนื่องจากผมไปบรูไน ผมก็เลยให้ท่าน พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นคณะขับเคลื่อนของผม ไปพบปะเขาดูซิ ปรากฏว่าท่านก็ถามว่าต้องการอะไร อยากให้รัฐบาลทําอะไร ที่เขาพูด เขาพูดในสิ่งที่เราทําไปแล้ว แสดงว่าการรับรู้ไม่ได้เลย ผมว่ายังมีปัญหาอยู่ ไม่ว่าจะเรื่องของกฎหมาย ไม่ว่าจะเรื่องข้อบังคับเราปลดล็อคไปตั้งมากมายแล้ว ตั้งแต่ รง. 4 (ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน) ตั้งแต่ระเบียบ BOI ใหม่ ตั้งแต่การส่งเสริมการลงทุน สิทธิประโยชน์ แล้วก็เกี่ยวกับเรื่องลดขั้นตอน และก็มีศูนย์ติดต่อ One Stop Service ในแต่ละธุรกิจ ก็ขอให้กระทรวงไปช่วยกันหน่อย เพราะผมพูดหลายครั้งแล้ว ท่านก็บอกว่าท่านส่งต่อ ท่านก็ประชาสัมพันธ์ไปแล้ว แต่ยังไม่ถึง ผมไม่รู้ว่าติดอยู่ตรงไหน ข้อสําคัญก็คือผู้ประกอบการเหล่านั้นต้องติดตาม ว่ารัฐบาลเขาทําอะไรไปแล้ว แล้วท่านก็ไปที่กระทรวงก็ได้ อะไรก็ได้ ไปถามเขาก็ได้ ผมก็พูด รัฐมนตรีก็ออกมาพูด หน่วยงานเขาออกมาพูด แต่ท่านไม่ได้ฟัง แล้วท่านก็กลับไปตําหนิติเตียนพวกเราอยู่ในหนังสือพิมพ์
วันนี้ทําทุกอย่าง ที่ผ่านมา ทําน้อย เพราะอย่างนั้นขอให้เข้าใจกันบ้าง อย่ามาบ่นอีก เมื่อท่านบ่นแล้วก็ทําให้ความมั่นใจการค้าลงทุนในประเทศก็ตกลงไป เพราะไม่มั่นใจในสถานภาพ ไม่เชื่อมั่นรัฐบาล ทั้งๆ ที่รัฐบาลบอกแล้วว่ามีปัญหาตรงโน้นตรงนี้ ก็จะแก้ให้ ท่านก็ไม่เข้าใจ พอท่านพูดก็ไม่มีใครกล้าลงทุน คนไม่มีความเชื่อมั่น ซึ่งผมต้องการแก้ตรงจุดนี้อยู่แล้ว ทําไปแล้ว แต่ท่านบอกว่าไม่ได้ทํา อย่างนี้ไม่ได้ เสียหายแล้วทําให้ทั้งประเทศปั่นป่วนไปหมด สื่อก็ไปขยายความกันไปใหญ่โต แล้วท่านจะให้ใครเขามาเชื่อมั่น พวกเรากันเองยังไม่รู้เลย ยังไม่เชื่อมั่นเลย ผมก็พูดจนไม่รู้จะทําอย่างไรแล้ว พูดทุกอย่างอยู่แล้ว ฟังหน่อย กรุณาฟังหน่อย อย่าติอย่างเดียว ถ้าท่านพูดดี เพราะเราทํา ผมไม่ได้ให้ท่านไปโกหก ถ้าเราทําแล้วท่านพูดให้ผมหน่อย ว่ารัฐบาลดี เขาทําตรงนี้ ตรงนี้เขายังไม่ดี ผมก็ได้ข้อเสนอแนะ ให้รัฐบาลเขารับไป พูดอย่างนี้เขาเรียกว่าติเพื่อก่อ เข้าใจหรือเปล่า แต่ถ้าติทุกเรื่องไป อย่างนี้ไม่ใช่ สร้างศัตรู
เรื่อง “ชุมชนเข้มแข็ง”รัฐบาลให้ความสําคัญมาก หมายความว่าชุมชนที่มีขีดความสามารถในการใช้ศักยภาพของตนเอง เข้าแก้ไขจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนได้ ฉะนั้นต้องเป็นชุมชนที่มีผู้นําที่มีความสามารถ มีการเรียนรู้ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง มีพื้นฐานของจริยธรรม วัฒนธรรม ความเชื่อทางศาสนา และเศรษฐกิจในพื้นที่ จะทําให้คนในชุมชนสามารถพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันได้ โดยส่วนหนึ่งอาจได้รับความร่วมมือการสนับสนุนจากรัฐบาล ราชการ อีกส่วนคือองค์กรภายนอก พ่อค้า นักธุรกิจต่างๆ อาจจะต้องมาช่วยกันเสียสละ ว่าเราจะดูแลคนยากคนจนเหล่านี้อย่างไร รัฐบาลไปไม่ถึงทั้งหมดเพราะเงินก็มีเท่านี้ จํากัด ต้องใช้มากมาย ปัญหาก็มาก เพราะฉะนั้นถ้าทุกคนช่วยกันเสียสละรับผิดชอบตรงนี้ตรงนั้น ชุมชนนี้ ชุมชนนั้น ผมว่านี่คือสังคมไทยในอดีต น่าจะทําได้แต่วันนี้ อย่าไปหวังกําไรเต็มที่ เหมือนเดิมต้องกําไรเท่าเดิม ทุกคนบอกว่าเศรษฐกิจตก เพราะจริงๆ แล้วผมถามว่าท่านขาดทุนหรือไม่ ท่านก็ไม่ขาดทุน ขาดทุนก็เล็กน้อย ก็เพียงแต่ลดกําไรลงไปหน่อยได้ไหม ผมพูดหลายครั้งแล้ว ถ้าไม่อย่างนี้คนก็ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย แถมพูดให้ไม่เกิดความเชื่อมั่นอีก อันนี้เป็นสิ่งที่ผม บางครั้งผมก็อาจจะใช้คําพูดที่แรงไปบ้างขอโทษนะครับ แต่ก็เสียใจ เสียใจที่ไม่ฟัง เพราะฉะนั้นในทุกจังหวัดจะต้องพึ่งพาอาศัยกันได้แล้วก็เป็นชุมชนเข้มแข็งในจังหวัดตัวเอง แล้วก็เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคที่เรามีงบประมาณลงไปอีกในเรื่องของกลุ่มจังหวัด เงินงบประมาณรัฐไปหลายทาง ทําไมไม่เจริญสักที ผมก็ไม่เข้าใจ
ในปัจจุบันก็มีหมู่บ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม ร้านค้า เพิ่มมากขึ้นในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษที่จะจัดตั้งนี้จะมากขึ้น ในไม่ช้าความเจริญก็จะเข้ามาแผ่ขยายในพื้นที่รอบๆ เหล่านั้น ก็จะเป็นการสร้างอาชีพให้ได้แต่ต้องใช้เวลา แรงงานก็ใช้จากนอกพื้นที่บ้าง ในพื้นที่บ้าง เพราะฉะนั้น ทําอย่างไรท่านต้องเตรียมความเข้มแข็งของชุมชนเหล่านี้ให้พร้อมรับการเจริญเติบโต พร้อมรับกับการขยายทั้งคน ทั้งโรงงาน แน่นอนถ้าท่านไม่ขยายเหล่านี้ การค้า การลงทุนในพื้นที่ของท่านก็น้อยเศรษฐกิจก็ไม่เคลื่อนไหว ถ้าเราจะอยู่กับธรรมชาติอย่างเดียวก็ได้ ท่านก็ต้องจัดสัดส่วนว่า อะไรอยู่ตรงไหน ควรจะมีอย่างไร เท่าไร จะได้เสริมกัน
วันนี้การท่องเที่ยวมีบทบาทสําคัญค้าขายอย่างเดียวอาจจะไม่ได้ เพราะฉะนั้น แต่ละจังหวัดถ้ามีสถานที่ท่องเที่ยวด้วย มีการค้าเป็นแต่ละจังหวัด แต่ละภูมิภาคที่ตัวเองสามารถทําได้ดีที่สุด เหมือนกับทํา OTOP เหล่านี้ก็จะเป็นชื่อเสียงของจังหวัด จะได้ไม่แก่งแย่งกันแล้วไปหาตลาด รัฐบาลพอจะจัดกลุ่มให้ได้ อย่างเช่น บางอย่างผมบอกลองไปดูจะขายในเครื่องบินได้ไหม ถ้าเราไม่ทําแบบนี้ ไม่หาตลาดสนับสนุนกัน ผลิตอย่างเดียวจะไปขายให้ใคร แล้วก็บอกว่ารัฐบาลไม่ทํา รัฐบาลนี้จะทําให้ OTOP สามารถที่จะเข้าสู่การผลิตให้ได้ ท่านก็ต้องไปสร้างความเข้มแข็ง อยากให้ทุกคนอยู่กันท่ามกลางความแตกต่างในอนาคตให้ได้ เพราะอาจจะมีคนนอกพื้นที่ไปอยู่ในพื้นที่ของท่าน เพื่อไปทํางาน เพื่อไปทําให้เศรษฐกิจดีขึ้น เพราะฉะนั้นทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง อย่าไปดูถูกซึ่งกันและกัน มีสภาพต่างกันไปรวยบ้าง รายได้มาก รายได้น้อย ทําอย่างไรจากหลาย ๆ สาขาอาชีพ จากหลากหลายพื้นที่จะมาอยู่รวมกัน เป็นชุมชนเข้มแข็ง สามัคคีกันร่วมมือกันให้ได้เพื่อจะร่วมกันพัฒนา ร่วมกันแก้ปัญหาท้องถิ่นของตนเองแล้วก็ ในเรื่องเศรษฐกิจต่างๆ ก็ดีขึ้น แต่ถ้าเราไม่สร้างความเข้มแข้งตรงนี้ไว้ก่อน ขณะกําลังเกิดภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติจะมีปัญหามากต่างคนก็ต่างอยู่ไม่ร่วมมือกัน บ้านติดกันไม่คุยกัน ที่ผ่านมาก็มีเรื่องการเมืองเข้ามาอีก ทําให้มีปัญหาหมดแล้วเวลามีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่นก็จะพบว่ามีคนจากภายนอกเข้ามาอยู่ใหม่ เช่น ในหมู่บ้านจัดสรรในพื้นที่ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรท่านเพียงแต่ว่า เท่าที่รับรายงานมามักไม่ค่อยมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง เพราะท่านมาจากข้างนอก การกระจายอํานาจ การมอบหมายความรับผิดชอบไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ เพราะต่างคนต่างอยู่ สังคมชนบทอีกแบบหนึ่ง เพราะฉะนั้น การสร้างชุมชนเข้มแข็งไม่ยากก็เป็นความร่วมมือกัน ระหว่างผู้คนในชุมชนเองอย่างแท้จริง
เรื่องปรองดองทุกคนต้องมีจิตใจอยากปรองดอง ไม่ใช่ถูกบังคับให้ปรองดอง ให้มีกฎหมายให้ปรองดอง ต้องใช้กฎหมายทุกเรื่องเลยหรือไง ท่านต้องมีจิตใจเอง เพราะบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่ปรองดองกัน ผมก็ไม่รู้จะทําอย่างไร บังคับท่านไม่ได้อย่ามาพูดเรื่องนี้อีกแล้วต้องต่อเนื่องด้วยการทําของท่าน เขาเรียกว่าการกระจายอํานาจ การกระจายความรับผิดชอบ กระจายหน้าที่แล้วสิทธิ์ก็จะตามมา เพราะว่าเข้มแข็งแล้วไง หัวใจสําคัญของการมีชุมชนที่เข้มแข็งคงต้องใช้ปรัชญา“เศรษฐกิจพอเพียง” บางคนบอกว่ารัฐบาลนี้บอกว่าใช้ปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” ไม่เห็นใช้อะไรเลยเศรษฐกิจ ท่านไปดูความหมายเศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร ท่านอาจจะมองว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี้คือทําให้ดีขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ท่านไปดูความหมายที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านทรงรับสั่งไว้ว่าคืออะไร ผมเห็นเมื่อสองสามวันในบางสื่อ ในบางคอลัมนิสต์เขียนออกมา ที่เศรษฐกิจไม่ดี เพราะไม่นําเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้
ผมบอกแล้วว่ารัฐบาลนี้ นําแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปรัชญา“เศรษฐกิจพอเพียง” มาเป็นหลักการในการทํางาน ผมเคยพูดตั้งแต่ต้นไปดูคําพูดเก่าๆ ได้ว่า มีอยู่ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข มีมากใช้มาก มีน้อยใช้น้อย ย่อๆ มีความรู้ มีคุณธรรมถึงจะเข้มแข็ง เมื่อเข้มแข็งแล้วทําอย่างที่ผมว่าเมื่อสักครู่เศรษฐกิจก็จะดีขึ้น ไม่ใช่ทุกคนจะต้องเป็นเถ้าแก่หมดทุกคน เป็นไปไม่ได้ อันไหนดีก็ไปก่อน อันไหนไม่ดี มีภูมิคุ้มกันไง หาความรู้ ดูเขา เมื่อพร้อมเราก็ก้าวอีกอยากเป็นเถ้าแก่ อันดับ 2 อะไรทํานองนี้ หาเงิน หาทอง ดูตัวอย่างเขา นี่คือหลักการใช้เศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่ให้ประหยัด ไม่ใช่ให้อดออม เข้าใจสักทีไม่อย่างนั้นทุกคนบอกว่ารัฐบาลใช้เศรษฐกิจพอเพียง พวกบอกว่าสอนให้ทุกคนอดออม คนละเรื่อง อันนั้นเป็นเรื่องการออม อันนี้เป็นเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง ใช้ได้ทุกอย่างการดํารงชีวิตก็ได้ การจับจ่ายใช้สอยก็ได้ การผลิตก็ได้ ต้องเข้มแข็งก่อนถึงจะลงทุนให้มากขึ้น ถ้ายังไม่เข้มแข็งก็ทําให้ดีขึ้น แก้ปัญหาให้ได้ พอกินแล้วก็แลกเปลี่ยนกัน จากนั้นก็ไปขายจากขายก็ไปตั้งโรงงาน มีปัญหาทางเศรษฐกิจเงินทอง อย่างเช่นตอนนี้ บางอันก็ไปไม่ไหวก็ต้องหยุดรอไว้ก่อน เป็นไปไม่ได้ถ้าโลกตกต่ําแล้ว เพราะฉะนั้นจะเกิดขึ้นด้วยการลงทุนจากต่างประเทศ หรือลงทุนโดยพ่อค้ารายใหญ่ในปัจจุบัน ซึ่งหลายคนเขาพร้อมที่จะลงทุน แต่ท่านก็พูดจนเข้าใจกันผิดไปหมด เรื่องธุรกิจรถยนต์ก็กระเตื้องขึ้น ผมจะไม่พูดเรื่องเก่า
คําว่าต้องมีการพัฒนา ผมไม่หมายความว่าจะให้เกิดวันนี้ ผมพูดให้คนคิดตามผมว่า อนาคตวันหน้าอาจจะ 20 ปี 30 ปี ก็ได้อีกหน่อยอาจจะใช้พลังไฮโดรเจนหรือใช้แสงแดดกับรถหรือไฟฟ้าทั้งหมด โน้นเราต้องเตรียมไปสู่ตรงโน้น วันนี้เรามีอีโคคาร์ก็ทําไปกี่โครงการผมไม่ว่า จะทํากี่ปีก็ทําไป แต่ต้องเตรียมการไว้ก่อน เขาเรียกว่านั้นคือภูมิคุ้มกัน ใช่ไหม ผมพูดนี่คือภูมิคุ้มกัน ไม่ใช่วันนี้ มีบางคนบอกว่าผมพูดทําให้การค้ารถยนต์ตกต่ํา ต่างประเทศไม่เชื่อมั่น วันนี้ผมเชิญเขามาเลยมาสร้างอีโคคาร์ สอง สาม สี่ ห้า ก็ทําไป แต่ท่านก็ต้องมีส่วนหนึ่งที่คิดค้นคว้า วิจัยไปแล้วใครจะมาทํา วันหน้าโลกเขาเปลี่ยนท่านยังไม่มีเลย ไม่มีความรู้เลย ขุดเจาะน้ํามันก็เหมือนกันที่จะเจาะเอง ทําอง สํารวจเองก็ยังไม่พร้อมสักอย่าง แต่ไม่ได้ ไม่เข้าใจ ดูหนังเหมือนดูไม่จบเรื่อง ดูไม่จบเรื่องแล้วก็วิจารณ์หนัง ไม่ถูก ไม่รู้จะลงทุนไปทําไม ผู้ทําหนังก็เสียใจ เพราะฉะนั้น ก็อยากจะนํามาเล่าให้พี่น้องประชาชนฟัง
เรื่องสหกรณ์การเกษตรพิมายเป็นตัวอย่างจังหวัดนครราชสีมา ที่ผมไปเยือนมาแล้ว สหกรณ์ตั้งมากว่า 40 ปีแล้ว เริ่มจากสมาชิกกว่า 2,000 คน วันนี้มีสมาชิกกว่า 11,000 คน 80% ของเกษตรกรในพื้นที่ มีหลายกิจกรรม คือ ผลผลิตทางการเกษตรทั้งหมด มีเงินทุนมากถึง 350 ล้านบาท มีสินทรัพย์กว่า 1,000 ล้านบาทในปัจจุบัน
อีกตัวอย่างที่ผมพบก็คือ การให้จัดกิจกรรมในทํานองที่ว่า“เมืองนี้ฉันรัก (We Love Cities)”ของกองทุนสัตว์ป่าโลก เป็นกิจกรรมที่ได้เชิญชวนให้เมืองต่างๆ รอบโลกเข้าร่วมในการสร้างความยั่งยืน ช่วยกันประหยัดพลังงาน โดยคณะกรรมการจะพิจารณามาตรการต่างๆ รวมถึงพันธสัญญาของเมืองจากรายงานที่แต่ละเมืองจัดทําขึ้นเพื่อคัดเลือกเมืองต้นแบบของแต่ละประเทศสําหรับรางวัล “National Earth Hour Capital” ซึ่งจะมีการมอบรางวัลในวันที่ 9 เมษายนนี้ ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ แล้วที่ประทับใจอันนี้เป็นการคัดเลือกโดยต่างประเทศ ประเทศไทยของเรามีเมืองที่ได้รับเลือกเข้าร่วมกิจกรรมนี้ถึง 3 เมืองด้วยกัน น่าภูมิใจไหมหละครับ เทศบาลนครหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เทศบาลนครขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น และเทศบาลตําบลมาบอํามฤต จังหวัดชุมพร เป็น 3 ใน 44 เมือง จาก 16 ประเทศทั่วโลกที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารอบสุดท้ายจากทั้งหมด 163 ประเทศ เข้าไปได้แค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว จากอีกกี่เมืองนี้ 3 จังหวัดเอง มีตั้ง 77 จังหวัด ทําอย่างไร 76 บวกกับกรุงเทพมหานคร ทําอย่างไร ไปดูซิ แต่ละเมืองจะมีวิธีการจัดการเมืองอย่างยั่งยืนแตกต่างกันไป ผ่านการริเริ่มการมีส่วนร่วมของเทศบาล ชุมชน โรงเรียน ภาคเอกชน เรามีทั้งหมดบ้าน วัด โรงเรียน ใช่ไหม อาทิ ในเรื่องของการใช้พลังงานการผลิตกระแสไฟฟ้าจากมูลสัตว์ ขยะ การฟื้นฟูป่าชายเลน ป่าไม้ การผลิตพลังงานชีวภาพจากน้ํามันที่เหลือใช้ ระบบการจัดการขยะ แยกขยะ ธนาคารขยะ แล้วก็การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ น่าสนใจนะครับ
เพราะฉะนั้น ผมก็อยากให้ผู้นําชุมชนที่สนใจที่ท่านอยากจะกระจายอํานาจไปดูก่อน ว่าท่านทําได้อย่างนี้หรือเปล่า ถ้าทําได้ผมว่าไม่มีปัญหาจะทําอย่างไรก็ได้ วันหน้า วันนี้ยังไม่พร้อม กระจายความรับผิดชอบไปก่อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่น เพราะเราต้องใช้เงินจํานวนมาก ขอให้ไปดู ศึกษารายละเอียดข้อมูล ถ้าใครยังไม่ได้ทําอย่างที่ว่าก็แสดงว่ายังไม่มีการพัฒนาแล้วเราก็จะถูกบริหารจัดการโดยการเมืองทั้งสิ้น วันนี้มี 2 เรื่อง ที่คนสนใจ วันนี้เศรษฐกิจไม่ดี สองเลือกตั้ง ผมไม่เห็นจะทําให้ดีขึ้นเท่าไหร่เลย เรื่องเลือกตั้งก็แล้วแต่ท่านแล้วกัน ผมก็บอกไปหลายที ถ้าเลือกมาแล้วดีกว่าเดิมก็เอา ก็ทําเถอะ ถ้าไม่ดีกว่าเดิมใครจะมาช่วยท่าน ไม่มีแล้ว ไปว่ามา
เพราะฉะนั้น ช่วยกันโหวตให้เมืองเหล่านี้ด้วย คือยังไม่ได้ตัดสิน ใช่ไหม ตอนนี้เป็นการเสนอเข้ามาคัดรอบแรก รอบสุดท้ายคัดเลือกมีเราเข้ามา 3 จังหวัด ขอให้ทุกคนช่วยไปโหวตลงคะแนน ตามเว็บไซต์ด้านล่าง นี้นะครับ www.welovecities.org อันนี้อ่านแล้วก็ทําตามนั้น
ที่น่าสนใจ ที่ได้ทราบกับสื่อสร้างสรรค์ ก็คือการส่งเสริมสถาบันการเงินชุมชนอันนี้คือตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สร้างเครือข่ายสัจจะสะสมทรัพย์ จังหวัดจันทบุรี และ สถาบันการเงินชุมชนสุขสําราญ ของ อบต. รับร่อ อําเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร ก็สามารถช่วยเหลือชาวนาในพื้นที่ห่างไกล ให้มีเงินทุนหมุนเวียนอย่างเพียงพอในการประกอบอาชีพ ไม่ต้องกู้ยืมเงินนอกระบบ ส่งเสริมให้คนในชุมชนรู้จักอดออม จะเล็กจะน้อยจะกี่บาทไม่รู้ ทําบัญชีครัวเรือนให้ได้ เป็นหนี้อยู่ก็ไม่เป็นไรจะได้รู้ว่าที่เป็นหนี้อยู่ใช้อะไรที่เกินความจําเป็นไหม มีเหตุมีผลไหม พอประมาณไหมแล้วเราก็หยุดใช้ตรงนั้นไปหน่อยหนึ่ง อย่างน้อยหนี้ก็ลดลง ไม่ไปสร้างหนี้ใหม่ เพราะหนี้ที่ผ่านมานั้นอาจจะเป็นหนี้ เพราะความจําเป็นบ้าง ไม่จําเป็นบ้าง ธรรมดามนุษย์ก็อยากจะซื้อความสะดวกสบายบ้าง แต่ถ้าเราทําแล้วมีปัญหา เราก็ต้องลดลงการใช้จ่ายเหล่านั้น
อย่างวันนี้ทุกคนก็เป็นกังวลเป็นคําว่าหนี้ครัวเรือน ซึ่งสูงขึ้นคงไม่ใช่เลวร้ายทั้งหมด เพราะการที่จะไปกู้หนี้ ยืมสินจากใครเขาได้แสดงว่า ตัวเขาต้องสามารถใช้หนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารอะไรต่างๆ ก็ต้องมีหลักมีฐานไปกู้เขา เว้นแต่ไปกู้เงินนอกระบบ อันนั้นเราออกกฎหมายไปช่วยท่านแล้ว พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ทวงถามหนี้ แล้วก็เจ้าหน้าที่ทุกคนก็พร้อมที่จะดูแลให้มาบอก แต่ในเรื่องของหนี้ครัวเรือน ผมเห็นบางประเทศมีหนี้ครัวเรือน 200 กว่าเปอร์เซ็นต์ ของเราเท่าไหร่ 89 – 90 พูดไปจนร้ายแรงไปหมด เพราะฉะนั้น ทุกคนก็ต้องมีหนี้ ผมคิดว่าท่านไม่ได้เกิดมาเป็นลูกท่านหลานเธอ ใช่ไหม ไม่มีมรดกก็ต้องเป็นหนี้ละมั่ง การที่จะมีอะไรสักอย่าง เพราะซื้อไม่ได้ต้องผ่อน ผมไม่อยากให้สังคมมองเรื่องนี้อย่างเดียว พอมองเรื่องเงินทุกคนก็อยากจะได้เงิน ไม่ว่าจะผิดหรือถูกก็อยากได้เงิน ทุกคนนับถือหน้าตาด้วยเงินทองฐานะทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ไม่ใช่ ความเป็นคนดี มีศีลธรรม มีคุณธรรม มีธรรมาภิบาลนั้นเป็นสิ่งที่ควรได้รับการเคารพนับถือ คนเหล่านี้เขาอาจจะไม่ได้อะไรมากนักแต่การที่เขาทําตนเป็นคนดีเขาได้กุศล ทางศาสนาก็ตอบแทนด้วยความสุขในอนาคต คนร่ํารวยแล้วไม่ทําก็สิ่งตอบแทนบางทีทําผิดมากๆ ก็มีคดีความติดคุกอะไรก็ว่าไป นั่นเขาเรียกว่าตอบแทนไง
เพราะฉะนั้นขอให้ช่วยกันจัดสวัสดิการตอบแทนให้กับชุมชน แล้วนําดอกเบี้ยนั้นมาเป็นสวัสดิการให้ชาวบ้านทั้งในเรื่องการรักษาพยาบาล การให้ทุนการศึกษาบุตรหลานในชุมชน สร้างความเข้มแข็ง ท่านทําเองได้ทั้งหมดแต่ท่านไม่ค่อยทํากัน รอ อบต. จะทําไหม อบจ. จะทําหรือเปล่า จังหวัดจะทําไหม รัฐบาลจะนําเงินมาช่วยเมื่อไหร่ ท่านก็มีเงินกัน เพราะฉะนั้นท่านก็เก็บเล็กน้อยคนละ 5 บาท 10 บาท สมัยก่อนเขาเรียกอะไร ธนาคารใช่ไหม ธนาคารชุมชนก็เหมือนกับธนาคารอาหาร ที่ธนาคารข้าวก็แบบเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านก็ทรงมีพระราชดําริเหล่านี้ อดออมกันตั้งสมาชิกขึ้นมา 5 บาท 10 บาทลงไปก่อนวันหน้าก็เป็น 10 บาท วันต่อไปก็ 100 บาทก็มากขึ้นๆ ดูแลคนได้มากขึ้น ไม่เริ่มต้นจะไปได้อะไร รอนี่ รอโน่น พอไม่ได้ก็โทษโน่นนี่ ผมว่าไม่น่าคิดแบบนี้ ไม่ได้ ต่างประเทศที่เขาเจริญเขาเลิกคิดไปแล้ว เขาไม่มารอหวังประเทศชาติอย่างเดียว ให้ประเทศชาติไปพัฒนาใหญ่ๆ เล็กๆ ก็ต้องช่วยตัวเองบ้าง เงินทองก็รัฐสนับสนุนบ้าง สร้างอํานวยความสะดวกหาโอกาสให้อะไรให้ ต่างประเทศเขาไปโน่นแล้ว เรายังมานั่งต้องช่วยเหลือค่าการเกษตร ค่าอะไรต่างๆ แล้วผมถามว่าที่ผ่านมาการบริหารบ้านเมืองทําอะไรกันมา ผมว่าวันนี้คิดใหม่ ให้ประชาชนก็ต้องร่วมมือกับผม ไม่ใช่ วันนี้จะวันนี้จะต้องได้วันนี้ พรุ่งนี้ ไม่ได้หรอกครับ เพราะไม่เข้มแข็ง ไม่ได้เตรียมพื้นฐานไว้เลยก็ทําเป็นชิ้น ๆ มาแบบนี้ก็เป็นอยู่มาแบบนี้ เข้าใจสักที
นอกจากในเรื่องนี้แล้วก็อยากให้มีการจัดทีมงานลงพื้นที่ด้วยแล้วไปตรวจสอบดูว่าอะไรที่เขาควรจะต้องปรับปรุง อะไรที่ควรสนับสนุนก็ทุกกระทรวง ทุกหน่วยงาน สหกรณ์ จังหวัด มีทุกหน่วยงาน แต่ท่านทํางานให้ได้ผลมีประสิทธิภาพด้วย ไม่ใช่อยู่ต่างจังหวัดแล้วก็ทําไปแกนๆ ไม่ได้ วันนี้ต้องช่วย รัฐบาลทําแทบตายแล้วท่านไม่ทํา ท่านไม่ได้ช่วยทุ่มเท ไม่ได้ให้รัฐมนตรีก็ไม่ได้ ท่านอยู่กับประชาชน เพราะฉะนั้น ถ้าประชาชนเรียกร้องขึ้นมาว่า ข้าราชการจังหวัดนี้ จังหวัดโน้นมีทุจริตผมจะต้องจัดการ อย่าหาว่าผมไปขู่ท่านเลย แต่ไม่ไหวถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ แล้วไม่เกิดอะไรขึ้นมาเลย ที่อื่นทําไมเขาทําได้ ทําไมที่นี่ไม่ทํา ไม่มีผลงาน ไม่มีอะไรปรากฏ คนดีๆ อย่าเสียใจ เสียกําลังใจไม่ได้
การผลิตปุ๋ยต้องทําอย่างไร ปุ๋ยอินทรีย์ขายกันเองภายในกลุ่ม ตั้งธนาคารปุ๋ย ธนาคารเมล็ดพันธุ์พืช ทําจุลินทรีย์ ทําของใช้ที่จําเป็นแจกจ่ายชุมชนลดค่าใช้จ่าย ช่วงนี้เงินไม่ดีอย่าเพิ่งซื้อของข้างนอกเลยแพง เรานํามาทําอะไรที่จําเป็นต้องใช้ตะกร้า กระเป๋าก็ทําไปก่อน พอวันหน้าดีขึ้นเศรษฐกิจดีขึ้นค่อยไปซื้อแพงๆ นี้เขาเรียกว่ามีภูมิคุ้มกันต้องเข้าใจ วันนี้ถ้าหากว่าเป็นไปได้ผมเห็นหลายพื้นที่มีการลงทุนกันแล้วก็ซื้อที่เก็บไว้แล้วก็ให้ชาวบ้านในพื้นที่ได้มีที่ทํากินลักษณะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพราะไปแจกทุกคนคงไม่ได้ลักษณะเป็นนารวมเป็นพื้นที่รวมทางการเกษตรแล้วแบ่งปันกันรายได้ภายในชุมชนแล้วก็สร้างสถาบันการเงินให้เข้มแข็ง เด็กๆ คนในพื้นที่เรียนจบ มีความรู้ความสามารถก็อยากที่จะกลับมาทํางานในชุมชนที่มีอนาคต เพราะฉะนั้น พ่อแม่ ผู้ปกครองช่วยกันเหมือนกับการทํางานในเมือง ต้องมีรายได้แล้วก็อดออม รู้จักมีภูมิคุ้มกัน เมื่อไหร่จะเดินหน้า เมื่อไหร่จะหยุดรอไว้ก่อนอะไรทํานองนี้ สําหรับผู้ริเริ่มโครงการเหล่านี้ ผมขอชื่นชมทุกคน ผมอาจจะกล่าวได้ไม่หมด หลายจังหวัดหลายพื้นที่ หลายอําเภอ หลายตําบล หลายหมู่บ้านมีอีกมาก เขาไม่บ่นอะไร เพียงแต่ว่าเขาสร้างความเข้มแข็งแล้วผมสะท้อน เพียงแต่ว่า เขาสร้างความเข้มแข็ง ผมเห็นในทีวีแล้วผมสะท้อนใจ คนเหล่านี้ทําไมเขาไม่บ่นอะไรเลย เราต้องช่วยกันอย่างนี้ มาในฐานะอะไรอย่างนี้ เขาไม่มาด่าว่า บ่นรัฐบาลเลย เพราะอะไร เขาก็เป็นเกษตรกรเหมือนกัน เขาบอกว่าวันนี้เป็นอย่างนี้ เราก็ต้องช่วยกัน เราเป็นคนไทย ผมฟังเขาพูด ผมน้ําตาตกเหมือนกัน กลับอีกพวกหนึ่งบ่นทั้งวัน เศรษฐกิจไม่ดี รัฐบาลเข้ามาทําให้เกิดปัญหา ไปดูสิว่าเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมกําลังทําให้ เพราะฉะนั้นช่วยกัน ขยายให้ทุกชุมชนเขาด้วย
เรื่องแรงงานประมงวันนี้อาจจะมีหลายท่านไม่เข้าใจ ว่ามีปัญหามายาวนานพอสมควรเป็นสิบๆ ปี เรื่องการค้ามนุษย์มีปัญหา ผมได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ซึ่งรับผิดชอบในเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกกับผม ช่วยดําเนินการในการขับเคลื่อนทางนี้ ในภาคประมงแล้ว อยากจะเรียนว่า รัฐบาลได้สั่งการให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องส่งคณะทํางานไปที่เกาะ Benjina (เบน-จิ-น่า) แล้วก็หารือกับฝ่ายอินโดนีเซีย เพื่อจะร่วมกันและเร่งหาข้อมูลผู้ประกอบการ และการดําเนินการกับผู้กระทําความผิด คนไทยที่ไปถูกจับที่โน่น ที่ข่าวออกมาเป็นจํานวนมากหลายร้อยคน เราไม่ได้นิ่งนอนใจ ก็ทยอยทํามาเรื่อย แต่เราไม่อยากประชาสัมพันธ์มาก เพราะคนเหล่านี้ไปทําความผิดในประเทศเขา ใช่ไหม และทุกคนก็เป็นเหยื่อ ต้องถูกองค์กรสิทธิมนุษยชนเข้ามาดู องค์กรระหว่างประเทศมาดู และประเทศต้องรับผิดชอบ ท่านก็ต้องมาบอกเรา ว่าที่ไหนอย่างไร แนะนําตรงไหนเพิ่มเติม เราจะได้ไปหาทางช่วยกันให้ได้ เพราะว่าวันนี้ผมทราบว่า บางทีไปทํางานแล้วถูกจับไปแล้ว เจ้าของผู้ประกอบกิจการไม่สนใจ เขาจับ จับไป เรือมีตั้งหลายลํา ไปเสียค่าไถ่ก็ไม่ยอมเสีย ช่วยลูกเรือก็ไม่ช่วย แล้วโยนให้รัฐบาลดู ครั้งที่ผ่านมา 5 ปี ถูกจับไปที่โซมาเลีย แล้วพึ่งกลับมา เหมือนกับตายไปแล้วเกิดใหม่
เพราะฉะนั้นถ้าเรายังมีการเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์อยู่แบบนี้ ผมกําหนดไปแล้วว่า ไม่สมควรให้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการใดๆ อีกต่อไปในประเทศไทย และต้องได้รับโทษทางกฎหมาย คือต้องเข้มงวดกัน ฉะนั้นเจ้าหน้าที่ก็ต้องถูกติดตามประเมินผลด้วย ไม่ว่าจะประมง กรมเจ้าท่า อะไรต่างๆ เหล่านี้ ทั้งหมด เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องทําให้ครบ จดทะเบียน ติดเครื่องมือ และแก้ปัญหาในเรื่องของการทําประมงร่วม Joint Venture กับประเทศโน้นประเทศนี้ ผมก็เดินหน้าเรื่องนี้มาโดยตลอด วันนี้ก็เตรียมตัวทํา Joint Venture กับอินโดนีเซีย มีปลามาก แต่เราชอบเข้าไปตรงที่เขาไม่ให้เข้า แล้วมาบอกว่าก็ขอให้ยกเว้นหน่อยแล้วกัน เพราะว่าเป็นอาชีพเขารายได้น้อย แล้วกฎหมายอยู่ตรงไหน ประเทศเขาก็มีกฎหมาย ถ้าผมอนุโลมท่าน ไม่จับกุม ไม่ดําเนินคดี ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย แล้วท้ายที่สุดจะเกิดอะไรขึ้น ท่านรู้ไหม เรื่องสินค้าประมง เขาจะมีมาตรการไม่ให้เราขาย วันนั้นผมบอกว่า 2 แสนกว่าล้านบาท ไม่ใช่ 2 แสนกว่าล้านตัน ท่านไม่จับให้ตรง ผมพูดเสียงดัง ถ้า IUU (Illegal Unreported and Unregulated fishing หรือ IUU Fishing) ที่เราผิดอยู่นี่ทั้งหมด ค้ามนุษย์ด้วย อะไรด้วย ทางยุโรป ทางอเมริกาเขาบอกว่าเราค้ามนุษย์อยู่ แล้วทํานี่ก็ผิดกฎหมาย ละเมิดน่านน้ํา เขาบอกว่าต่อไปนี้ไม่รับซื้อสินค้าจากไทย เริ่มจากสินค้าประมงก่อน ต่อไปก็เป็นเรื่องที่ผิดๆ ก็ลากพาไปสู่เรื่องผลไม้ ข้าว ยาง ไปหมด คนเหล่านี้ที่ทําความผิดตรงนี้ ต้องสํานึกตนเอง ทํามานานแล้ว หลายปีแล้ว ทุกรัฐบาลไม่เคยทําได้ รัฐบาลนี้จะทํากับท่าน อย่าหาว่าผมใจร้าย เอาเปรียบคนอื่นเขาได้อย่างไร ผู้ประกอบการบางคนรวยไม่รู้จะรวยอย่างไร มีเรือเป็นสิบๆ ลํา ทําตามกฎหมายบ้าง
เราจะจริงจังกับนโยบาย zero toleranceในทุกคดีที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ และก็ทําเต็มที่เพื่อให้ปัญหาค้ามนุษย์หมดไปจากแผ่นดินไทย ต้องไปพูดคุย ไปเจราจาว่าเรากําลังดําเนินการอยู่เป็นขั้นเป็นตอนอย่างนี้ เราไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาที่ยาวนานมาเป็น 10 กว่าปี มาในช่วงเวลาเพียง 7 – 8 เดือนนี้ได้ แล้วที่ผ่านมาทําอะไรกันอยู่ ทําไมไม่แก้ หลายปีมาแล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้อย่าบอกว่าไม่รู้เรื่องอีก เรื่องค้ามนุษย์ ก็ชอบไปบ่นว่ารัฐบาลไม่ทําอะไรเลยต่างๆ ทุกเรื่องมีปัญหาไปหมด ลืมไปทั้งหมดแล้ว ก่อน 22 พฤษภาคม 2557 เป็นอย่างไร วันนี้จะเดินหน้าไปสู่ความขัดแย้งใหม่อีกแล้ว เรากําหนดให้มีการปราบปรามการค้ามนุษย์เป็นวาระแห่งชาติ วาระแห่งชาติคืออะไร ทุกหน่วยงานทุกคน ประชาชนต้องร่วมมือร่วมใจกัน เหมือนกับเรื่องยาเสพติด อะไรทํานองนี้ ใช้กฎหมายบังคับใช้ให้ได้ ต้องเตรียมการต้องมีระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน และร่วมมือกันกับรัฐบาลเพื่อนบ้านในภูมิภาค โดยเฉพาะอินโดนีเซีย เมื่อวานผมก็ได้พูดกับสมเด็จพระราชาธิบดีบูรไนด้วยว่า เราจะต้องทําประมงร่วมกัน ฟิลิปปินส์ ใช่ไหม ที่อยู่น่านน้ําแถวนี้ รอบๆ บ้านเรา กัมพูชา จะทํากันอย่างไร Joint Venture กันอย่างไร กองเรือเราก็มีมากมาย ต้องรู้จักแบ่งปันบ้าง วันนี้เราเป็นพันธมิตรกัน แข่งขันไม่ได้ เดี๋ยวก็ไปโดนจับ ทะเลาะเบาะแว้งกัน ยิงกันไปยิงกันมาอีก นี่เราก็จับเขาเหมือนกัน แต่เขาจับเรามากกว่า
เรื่องนี้ผมทราบว่าสื่อมวลชนไทย ต่างประเทศได้ช่วยกันรายงานหน้าที่เต็มที่ ขอบคุณ หน้าที่อีกอย่างหนึ่งของสื่อ คือการเฝ้าระวัง ผมไม่ใช่ศัตรูกับสื่อ ทุกสื่อ ทุกคน หน้าที่ของสื่อต้องมีหน้าที่เหมือนกับเฝ้าบ้าน ต้องคอยแจ้งเตือนเจ้าของบ้าน เหมือนเครื่องมือสักอย่าง เหมือนกล้อง cctv หรือในตาวิเศษอะไรสักอย่าง เพราะเวลามีเหตุร้ายมีโจร ขโมยขึ้นบ้าน หรือจะเห็นการทุจริตผิดกฎหมาย สื่อทําหน้าที่คอยเตือนประชาชน เมื่อไหร่ก็ตามที่มีนักการเมือง ข้าราชการโกงทุจริตต้องเตือนตอนนั้น หรือมีนักบริหารออกนโยบายที่จะสร้างความเสียหายให้กับประเทศ แต่ไม่ใช่สื่อมาทําให้เกิดความระแวงกันเอง เพราะท่านมีหน้าที่ในการดูแลบ้านหลังนี้ เจ้าของบ้านเขาให้ท่านดู ติดตั้งท่าน อะไรท่าน เหมือนกับสื่อคอยดูแทน แล้วปรากฏว่าท่านไม่ดู ท่านกลับมาเล่นงานเจ้าของบ้าน กลับมาเล่นงานคนในบ้าน แล้วโจรก็เข้ามาได้ นั้นคือเรื่องธรรมดา ผมไม่อยากยกตัวอย่างเป็นอย่างอื่น แม้กระทั้งให้คนในบ้านแตกความสามัคคี สร้างความเดือดร้อนเสียหาย บางครั้งอาจจะมีความผิดพลาดบ้างในการติดต่อสื่อสาร แต่ให้รู้ความตั้งใจของรัฐบาลของทุกกระทรวงมานี้ อาจจะมีการสื่อสารที่ไม่ตรง ไม่เข้าใจกันบ้าง หนักนิดเบาหน่อยก็ให้อภัยกัน วันนี้เราอยู่ทีมเดียวกัน ท่านบอกว่าท่านมีหน้าที่ ท่านบอกว่าท่านมีสิทธิและหน้าที่ของสื่อ จะต้องนี่ต้องโน่นผมไม่ได้ขัดแย้งท่าน ท่านนายกสมาคมสื่อมวลชนหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ แห่งประเทศไทย (ส.น.ว.ท.) บอกว่า ขอร้องให้ผมเข้าใจสื่อ เป็นการทํางานของสื่อ เพื่อติติงอะไรก็ได้ ผมไม่ได้ว่าเลย ถ้าท่านทําอย่างนั้นดีอยู่แล้ว แต่ถ้าท่านอีกอย่างเหมือนกับเล่นงานผมทุกเรื่องไปเลย ผมว่าไม่เป็นธรรมกับผม แล้วพอผมบอกให้ท่านไปดูแลกันเอง ตอบผมว่าอย่างไร สําหรับสื่อที่เป็นสมาชิกของสมาคมดังกล่าว จะดําเนินการต่อไปตามปัญหาที่เกิดขึ้น แต่เนื่องจากมีสื่อหลายสื่อ ไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาคม อันนี้ไม่สามารถจะรับผิดชอบได้ ท่านไปทําสิครับ หรือ จะให้ผมต้องออกกฎหมายว่า สื่อทุกสื่อต้องเป็นสมาชิกของสมาคมท่าน สมาคมหนังสือพิมพ์ สมาคมสื่อ เอาไหม ผมจะทําให้ ไม่อย่างนั้นก็อ้างอยู่อย่างนี้ บางสื่อก็คุมไม่ได้ อะไรไม่ได้ เขียนไปเรื่อย แล้วจะไม่ให้ผมโมโหมีอารมณ์รุนแรงได้อย่างไรในบางครั้ง ผมขอโทษผู้ที่สุภาพอาจจะไม่ชอบ แต่ท่านต้องเห็นใจผม พอบอกให้ไปดูแล บอกไม่เห็นผิดตรงไหนเลย ผิดตรงไหนไปอ่านดูที่เขียน อันนี้สร้างสรรค์ สนับสนุนท่านทุกอย่าง โอ้โหว่าทุกวัน บอกว่านี่เป็นการติติง ก็ผมทําไปแล้ว กําลังทํา ท่านก็บอกว่าผมไม่ทําอะไร ยกตัวอย่างง่ายๆ หรือไม่ก็ เรื่องนี้ไม่รู้จะกล้าทําหรือเปล่า ถ้าไม่กล้าทําผมไม่เข้ามา เอาอย่างนี้แล้วกัน เพียงแต่ว่าจะทําได้เมื่อไหร่ ผมไม่อยากจะไปบังคับขู่เข็นคนมากนัก ผมฝากพี่น้องประชาชนทั่วไปแล้วกัน จะให้ผมทําอย่างไรบอกมา จะให้หนักกว่านี้ หรือเบากว่านี้ ใช้อํานาจมากกว่านี้ว่ามา ผมจะไปพิจารณาอีกที ผมเข้ามาแล้วก็อยากให้สําเร็จ การปฏิรูปอีกมากมาย ไม่ได้จบภายในปีหนึ่ง ปีหนึ่งแค่ลดความขัดแย้ง แค่คิดไว้ว่าจะทําอะไรต่อไปในวันข้างหน้า ผมว่าอีก 10 ปียังไม่ทันเลย สิงคโปร์เขาทํา 30 ปี เอาง่ายๆ แล้วเขาเลยเวลาเหล่านั้นมาแล้ว วันนี้เขาเข้มแข็งหมดทุกอัน บางคนบอกว่าไทยทําไม่ได้หรอก เพราะเรามีคนมากกว่า เขามีพื้นที่เล็กกว่าเรา เรายิ่งใหญ่ ไปดูในแผนที่ว่าใหญ่ขนาดไหน มีคน 60 – 70 ล้านคน ก็ใช่ แต่ 60 ล้านคน รวมกันได้เป็นหนึ่งไหม รวมเป็นไม้ไผ่ก้อนเดียวได้ไหม ไม่ได้ 60 กว่าล้านคน 60 กว่าความคิด มีกลุ่มชุมชน วันนี้ไม่ใช่แค่ประชาชนแล้ว เป็นกลุ่มชน เป็นของคนนี้ ของคนนั้น ของพวกนี้ พวกนั้น เป็นกลุ่ม แล้วคนเหล่านี้ก็เข้ามาสู่กระบวนการเลือกตั้ง เมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้วก็เรียกร้องกับรัฐบาล เรียกร้องความต้องการจากรัฐบาลจนไม่มีความเพียงพอ เมื่อไม่เพียงพอ รัฐบาลก็ต้องมาดูแลเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวมีปัญหาการบริหารราชการ ใช่ไหม คนอื่นก็ไม่ต้องได้ นี่แหละคือปัญหาของประชาธิปไตยไทย ท่านจะทําอย่างไรไปทํา วันนี้ผมจะทําให้ทั่วถึงก่อน วันหน้าจะให้ส่งต่อให้ระบบแข็งแรง ข้าราชการ หรือการเมืองแข็งแรงกว่านี้ ที่ผ่านมาไม่รู้จะโทษใคร
เรื่องเศรษฐกิจสําคัญขอให้เข้าใจ ผมพูดไปหลายครั้งแล้ว มีปัญหามาสอบถามผมก็ได้ มายื่นที่ศูนย์ดํารงธรรมเดี๋ยวเขาส่งให้ผมดู ว่านี่ไม่เข้าใจก็ต้องไปชี้แจงเขา ทั้งๆ ที่ผมพูดทุกอาทิตย์ พูดทุกวัน ไม่เคยฟัง แล้วใครจะฟังผม บอกให้ไปฟัง กระทรวงก็ไม่ฟัง มีแต่เรียกร้องอย่างเดียว ทําไมเป็นคนอย่างนี้ คนเหล่านี้ ผู้อื่นเขาดีๆ ตั้งมากมาย หลายกิจการเขาดีไม่เคยบ่นไม่เคยว่า มีแต่ให้กําลังใจ ท่านทําต่อไปให้ดี สร้างความเชื่อมั่นให้ผมด้วย เขาอาจจะไม่รู้เรื่องเหมือนท่าน แต่เขายังพูดอย่างนี้ ท่านไม่รู้เรื่องแล้วก็ยังด่าว่าผม แล้วจะเป็นอย่างไร ท่านจะเอาอย่างไรกับผม เข้ามาทําให้ทั้งสิ้น
สุดท้ายนี้ อีกไม่นานพวกเราคนไทยก็จะได้ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลวันปีใหม่ของไทย หรือเรียกว่าวันสงกรานต์ และยังเป็นช่วงวันครอบครับอีกด้วย หยุดหลายวันผมอยากขอให้ทุกท่านใช้วันหยุดในช่วงเทศกาลนี้ด้วยการเดินทางกลับบ้าน อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันกับครอบครัว พากันไปกราบไหว้รดน้ําดําหัวผู้หลักผู้ใหญ่และผู้มีพระคุณ สอนให้เยาวชนรู้ถึงขนบธรรมเนียมที่ถูกต้อง การเล่นสาดน้ําที่ถือเป็นธรรมเนียมของวันสงกรานต์ แต่ต้องทําอย่างระมัดระวัง อย่าทําให้คนอื่นต้องเจ็บตัวหรือเดือดร้อน เมาสุรา ใช้แป้งอะไรต่างๆ ที่ดูไม่ดี ไม่สุภาพ ไม่ใช่วัฒนธรรมไทย ต่างชาติเขามาสนุกจริง แต่ภาพออกมาไม่งดงามเลย นําไปป้าย เขาไม่ได้อยากเล่นด้วย บางคนเขาเล่นด้วยก็ว่าไป แต่งตัวไม่สุภาพ แต่งตัวไม่งดงามเหล่านี้ อย่าให้เห็น ผมคิดว่าจะต้องดูแลกันให้เต็มที่ ไม่อย่างนั้นประเทศไทย ไปอย่างไรไม่รู้ ความเป็นไทยอยู่ได้ เป็นสิ่งหนึ่งที่คนโบราณเขาทําไว้ให้เรา สถาบันพระมหากษัตริย์ทําไว้ให้เรา ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้การท่องเที่ยว อาคารบ้านช่อง พิพิธภัณฑ์เป็นของเก่าทั้งนั้น ของใหม่มีใครเขาอยากมา ธรรมชาติก็ช่วยกันรักษาไว้ ป่าไม้ น้ําอะไรต่างๆ ก็แล้วแต่ รัฐบาลได้สั่งการไปแล้วให้ทุกจังหวัดจัดพื้นที่ในการเฉลิมฉลองด้วย รวมความไปถึงอาทิตย์หน้าวันที่ 2 เมษายนด้วย เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ช่วยกันด้วยดูแลกัน เป็นวันแห่งมงคลด้วย ขอให้มีการจัดเจ้าหน้าที่ อาสาสมัครช่วยกันดูแลความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแนะนําเส้นทาง จุดจอดพักรถ เวลาง่วง อย่าให้เกิดอุบัติเหตุเลย บางทีเสียชีวิตไป 1. เสียดาย 2. สงสาร เห็นใจ และ 3. แล้วจะโทษใคร บางทีทั้งครอบครัวก็ไปหมด บางทีก็พ่อสูญเสีย แม่สูญเสีย ลูกสูญเสีย แล้วเราจะดื่มสุราขับรถทําไม ปัญหาอยู่ที่ดื่มสุราจนไม่มีสติ มอเตอร์ไซค์ตายไม่รู้เท่าไหร่ แก้อะไรได้ แก้ด้วยกฎหมายได้ไหม จับท่านก็เดือดร้อนอีก ทําอย่างไรให้เจ้าหน้าที่เขาไม่มีปัญหากับเรา ไม่ผิดกฎหมายเขาก็ไม่ยุ่งกับเรา ท่านก็สนุกสนานของท่านไป ท่านชอบเลยเถิด กฎหมายอยู่ไหนไม่รู้ไม่สนใจ จะทําซะอย่างคนไทย เป็นเวลาแห่งความสุขไม่น่าจะมาห้ามกัน ชอบพูดแบบนี้ไม่รู้จะว่าอย่างไร
ช่วงนี้เด็กๆ ปิดเทอม อากาศก็อาจจะร้อน ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการ นายอําเภอ รวมถึงผู้นําชุมชนสํารวจแหล่งน้ําต่างๆ ในพื้นที่ที่เยาวชน จะไปเล่นคลายร้อน ให้ทําป้ายเตือน จัดหามาตรการป้องกัน ตรงไหนลึก ตรงไหนตื้น ทําป้ายให้เขาเห็น มีนกหวีด มีระฆังไว้รอบๆ แหล่งน้ําต่างๆ ใช้ที่อื่นด้วยก็ได้ ในป่าในเขา ตรงไหนอันตราย ตรงไหนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ จะได้เคาะระฆังส่งสัญญาณได้ ยกตัวอย่างคราวที่แล้ว 3 วัน ใช่ไหม เด็กวัยรุ่นวิ่งไปแล้วไม่เห็น ตกไปอยู่ในนั้น 3 – 4 วัน ถ้ารถเขาไม่มาจอดตรงนั้น ไม่ได้ยินเสียงเรียก ตายไปแล้วเหมือนกัน 4 วัน แช่น้ําอยู่นั้น แล้วจะเรียกอย่างไร โทรศัพท์หลุดอยู่ข้างบน เพราะฉะนั้นระมัดระวังไปเล่นน้ําควรมีผู้ใหญ่ไปด้วย เด็กที่ว่ายน้ําไม่แข็งไม่เป็นต้องกําชับให้ตามเพื่อนๆ ไป ดูแลเขา จับคู่ Buddy จะไปไหนไปด้วยกันอะไรทํานองนี้ และข้อสําคัญอย่าไปเผาป่า ไปเที่ยวป่าก็ทิ้งก้นบุหรี่ จุดไฟเล่น ทิ้งขยะเกลื่อนเมือง เกลื่อนป่า จับสัตว์กินเข้าไป ปวดท้องตายอีก ต้องนึกถึงส่วนรวมด้วย ต้องตั้งอุดมการณ์ของคนในชาติไว้ให้ได้ ว่าเราจะต้องนึกถึงส่วนรวมประกอบพร้อมไปกับประโยชน์ส่วนตนด้วย และรู้จักเสียสละ เหล่านี้เป็นสิ่งสําคัญ ถ้าคนไทยไม่รวมกันให้ได้ แล้วก็ไม่มีอุดมการณ์ว่าจะทําอย่างไรให้ชาติบ้าง และเร่งพัฒนาตนเองอย่างเร่งด่วน ผมคิดว่าสิงคโปร์เขาใช้ 20 ปี ประเทศเล็ก ต้องบอกว่าเป็นประเทศเล็ก เขาใช้ตั้ง 30 ปี เราประเทศใหญ่กว่าเขาใช่ไหม เราต้องใช้ระยะเวลานานกว่านั้นไหม แล้วเวลาวันนี้เราจะทันเขาหรือเปล่ายังไม่รู้เลย เราทําไมไม่ใช้โอกาสที่เรามีอยู่ในขณะนี้ทํา ไม่ใช่ไปทะเลาะเบาะแว้ง เรื่องเลือกตั้งอะไรต่างๆ กินได้ไหม เลือกตั้งมาแล้วเป็นอย่างไรผมไม่รู้ แต่สิ่งที่มีปัญหาอยู่ทั้งหมด ผมก็พยายามแก้ให้ทั้งหมด ถ้าเราจะพัฒนาประเทศ ถ้าจะฟื้นฟู ถ้าจะสร้างใหม่ วันนี้ผมบอกแล้วว่าผมเข้ามา เพราะบ้านเมืองเรากําลังจะล้มลงอะไรทํานองนี้ ผมก็ต้องขนอิฐ หิน ปูน ทราย มาช่วยกันก่อขึ้นไป อาจจะเป็นปราสาททรายก็ได้ สร้างบ้านเป็นปราสาท ปราสาททรายที่อนาคตอาจจะพังอีกก็ได้ เราก็ต้องนําความเข้มแข็ง นําความรักความสามัคคี อุดมการณ์ค่านิยมของคนไทยเติมเข้าไปนี่คือเหตุผลของผม พวกนี้ก็คือปูน หิน ที่ไปเสริมความเข้มแข็งของทรายเหล่านั้น อาจจะมีโครงเหล็กเข้าไปบ้างมีกฎหมายอะไรเข้าไป ถึงจะก่อมาเป็นปราสาทขึ้นมาได้ แล้วจะไม่ยุบลงมาอีก ถ้าคิดตามผมก็จะเข้าใจ ก็ขอให้ทุกคนมีความสุขและปลอดภัย ทุกทิวาราตรี ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
|
รายการคืนความสุขให้คนในชาติ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2558 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน
ก่อนอื่นผมในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทยขอแสดงความเสียใจอย่างที่สุดกับพี่น้องประชาชนชาวสิงคโปร์ที่ต้องสูญเสียเอกบุรุษของประเทศไป ในช่วงเวลานี้ ฯพณฯ ท่าน นาย ลี กวน ยู อดีตนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น “บิดาผู้ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์สมัยใหม่” ได้ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ท่านดํารงตําแหน่งผู้นําประเทศ ท่านได้ใช้วิสัยทัศน์อันยาวไกลของท่านนําพาความเจริญรุ่งเรือง ความมั่งคั่งและมั่นคงทางเศรษฐกิจมายังประเทศสิงคโปร์ ทําให้ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นําที่โดดเด่นมากที่สุดคนหนึ่งของโลก ผมมั่นใจว่า ฯพณฯ ท่าน นายลี กวน ยู ยังคงจะได้รับความจดจําว่าเป็นผู้นําที่สร้างแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของเอเชียอีกด้วย ซึ่งผมก็จะได้เดินทางไปเคารพศพท่านในวันอาทิตย์นี้
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ผมและคณะได้เดินทางไปประเทศบรูไนอย่างเป็นทางการ ซึ่งในโอกาสนี้ ได้เข้าเฝ้ารับเสด็จสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนอย่างใกล้ชิดทั้งคณะ ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ได้พระราชทานวโรกาสนี้ โดยสมเด็จพระราชาธิบดี ได้ถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และ พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ให้ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง จากนั้น ได้มีการหารือทวิภาคีในหลายประเด็นที่สําคัญ ได้แก่ การกระชับความร่วมมือทางด้านการค้า การลงทุน มีการลงนามกรอบความร่วมมือด้านการเกษตรกรรม การกระชับความร่วมมือทางด้านอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล นอกจากนั้น ได้มีการหารือกันถึงความสําคัญของความมั่นคงทางด้านราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ําในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งเราเป็นแหล่งอาหารสําคัญของโลก รวมทั้งในเรื่องการแก้ปัญหาไฟป่าในภูมิภาคอาเซียน การปลูกป่าอาเซียนด้วย
สําหรับเรื่องการศึกษารัฐบาลให้ความสําคัญเป็นอย่างมาก ผมได้แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา เพื่อทําหน้าที่เป็นซุปเปอร์บอร์ดด้านการศึกษา ในการร่วมกันหารือและขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านการศึกษาของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาล สําหรับการดําเนินงานของคณะกรรมการฯ นี้ มุ่งเน้นใน 3 ภารกิจหลัก คือ 1. การดําเนินงานตามภารกิจประจํา 2. การดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาล และ 3. การดําเนินงานสําหรับการวางรากฐานเพื่อส่งต่อไปยังรัฐบาลในอนาคต ทั้งนี้ จะดําเนินการทั้งในด้านการศึกษา การปรับหลักสูตร การพัฒนาคุณภาพครูและผู้เรียน การยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา การใช้จ่ายงบประมาณ และการกระจายอํานาจ เน้นให้มีทั้งนักวิชาการและนักปฏิบัติ โดยจะพิจารณานําแนวทางการดําเนินงานจากต่างประเทศมาปรับใช้ ตามความเหมาะสม ซึ่งผมได้มอบหมายให้หน่วยงานและผู้เกี่ยวข้องนําไปพิจารณาดําเนินการ และนําไปเสนอต่อผม ในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ เพื่อจะพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศที่ตอบสนองต่อความคาดหวังของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
ในที่ประชุมได้มีการแสดงความคิดเห็นกัน และสรุปว่าเห็นตรงกันว่าการพัฒนาการศึกษา ต้องมีความสอดคล้องกับการพัฒนาในพื้นที่ด้วย เพื่อลดความเหลื่อมล้ํา เพื่อกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค ไม่ใช่มารวมกันอยู่ตามเมืองใหญ่ๆ หรือในกรุงเทพฯ อย่างเดียว รวมถึงต้องมีการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การศึกษาทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยมีการประเมินผลการพัฒนาการศึกษาในประเทศ และเปรียบเทียบกับต่างประเทศ ที่ประสบความสําเร็จ
ทั้งนี้ ต่อไปเรากําลังเข้าสู่การมีเศรษฐกิจดิจิตอล จะนํามาสนับสนุนการพัฒนาการศึกษานี้ด้วย โดยอาศัยครูที่มีประสบการณ์ ที่อาจจะมีการเรียน การสอนที่นักเรียนชอบและทําให้เข้าใจง่ายๆ ซึ่งวันนี้ก็ไปสอนตามโรงเรียนกวดวิชา เป็นจํานวนมาก ก็จะนํามาช่วยด้วย ขอร้องกันให้มาช่วยกัน ใช้ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้เผยแพร่ผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ ก็น่าที่จะได้รับความสนใจจากประชาชนที่อยู่ทางบ้าน คุณพ่อ คุณแม่ ลูก อาจจะนั่งฟังด้วยกันก็ได้ เป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ภายในครอบครัวด้วย อีกอันที่ผมเห็นเป็นประโยชน์เกี่ยวกับเรื่องการสอนทางโซเชียลมีเดียนี้ หรือทางระบบดิจิตอล ผมว่าเราต้องสอนให้คนรู้จักว่าเราจะใช้ประโยชน์อย่างไร ถ้าเราใช้ในทางที่ผิด และไปคาดหวังกับระบบอย่างเดียว โดยไม่สนใจครู ไม่สนใจผู้ปกครอง ก็ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของการพัฒนาการของสังคม ท่านอยู่กับคอมพิวเตอร์อย่างเดียวไม่ได้ ฝากไว้ด้วย
ในส่วนของการพัฒนาเผยแพร่เทคโนโลยีสารสนเทศนั้น ต้องกําหนดการพัฒนาเส้นทางอาชีพของครูในกลุ่มนี้ ปัญหาคือครู อาจจะไม่เพียงพอและสอนไม่ตรงวุฒิการศึกษาที่จบมา ตอนนี้ได้สั่งให้ไปเตรียมการ และดําเนินการแก้ไขให้ได้โดยเร็ว ครูเก่า ครูใหม่ ต่างๆ ผมได้สั่งไปหมดแล้ว และจะได้สร้างแรงจูงใจ
การสอนโดยใช้สื่อดิจิตอลนั้น จะเป็นสื่อการสอนที่มีความสําคัญในการขยายโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพเข้าสู่ทุกพื้นที่ ลดความเหลื่อมล้ํา การเข้าถึงการศึกษา การดําเนินการในระยะต้นที่ผ่านมานั้น เราได้ทํามาแล้ว โดยได้ให้กระทรวงศึกษาธิการเพิ่มเติมในเรื่องของการใช้ศูนย์การพัฒนาคุณภาพการศึกษาทางไกลผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ (Distance Learning Information Technology : DLIT) เพิ่มเติมเป็นศูนย์กลางในการผลิตสื่อสารการสอนโดยครูเก่ง ครูที่ได้รับความนิยมเหล่านี้ เพื่อจะเผยแพร่ให้โรงเรียนในสังกัดอย่างแพร่หลาย คือเพิ่มเติมสาระต่างๆ ที่สําคัญเพิ่มเติมไปจากในส่วนของโครงการทางไกลผ่านดาวเทียม ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความหลากหลาย ให้เกิดความที่ช่วยกันพัฒนาสนใจร่วมมือกันน่าจะเป็นสิ่งที่ดี
นอกจากนั้น ได้มีการหารือแนวทางที่จะผนวกการพัฒนาการศึกษาเข้ากับเงื่อนไขของการส่งเสริมการลงทุน คือ การลงทุนต่างประเทศ ถ้าเราสามารถที่จะนํามาร่วมมือกัน กับในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือในเขตภูมิภาค การให้เขาไปดูแลในส่วนของมหาวิทยาลัย วิทยาลัยต่างๆ เป็นลักษณะเป็นทวิภาคี ผมว่าน่าจะใช้ได้ ตอนนี้ก็คิดแล้ว แล้วก็สั่งการไปพิจารณาดําเนินการอยู่ในขณะนี้ ให้สอดคล้องกันระหว่างโครงการภาครัฐขนาดใหญ่ และการเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษ ในแต่ละภูมิภาคด้วย ก็จะเป็นแหล่งการจ้างงานที่สําคัญ เราก็ควรสนับสนุนให้ผู้ประกอบการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนนั้นได้มีข้อตกลงทําความร่วมมือจัดการศึกษาแบบทวิภาคีหรือสหกิจศึกษา รวมทั้งส่งเสริมการฝึกอบรมแรงงานฝีมือ วิศวกร ช่างเทคนิคต่างๆ ซึ่งเราขาดแคลนเป็นจํานวนมาก เพื่อรองรับโครงการที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าวด้วย
สําหรับการศึกษาระดับอาชีวศึกษา คณะกรรมการฯ เห็นว่าต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความก้าวหน้าของโลกสมัยใหม่ ที่ต้องการผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่หลากหลาย การอาชีวศึกษาต้องดูแนวโน้มการผลิตคนให้สอดคล้อง อะไรขาด อะไรเกินต้องมีลิมิต แล้วก็ควบคุมให้ได้ ทั้งนี้ ควรนําประสบการณ์ต่างประเทศเช่นด้วยกัน ของประเทศที่ประสบความสําเร็จในการจัดการศึกษามาเป็นกรณีศึกษา เช่น ประเทศสิงคโปร์ จะมี Institute of Technical Education (ITE) ซึ่งเป็นสถาบันที่จัดการศึกษาสําหรับผู้ต้องการทักษะทางช่าง และช่างฝีมือ
การศึกษาระดับอุดมศึกษา ที่ยังมีปัญหาในการจัดหลักสูตรและบุคลากรในการสอน ขาดงานวิจัยและพัฒนาที่นําไปใช้ประโยชน์ได้จริง รวมถึงมหาวิทยาลัยในภูมิภาคอาจจะเปิดการเรียนการสอนที่เหมือนกัน โดยไม่ได้คํานึงถึงการสนับสนุนการพัฒนาในภูมิภาคนั้นๆ คือตรงกับความต้องการของพื้นที่ ทางคณะกรรมการฯ เห็นว่าจําเป็นต้องมีการปฏิรูประบบการศึกษาระดับอุดมศึกษาด้วย เพื่อผลิตกําลังคนให้สอดคล้องกับคลัสเตอร์ ในการพัฒนาประเทศและโครงการขนาดใหญ่ ก็จะต้องช่วยยกระดับมหาวิทยาลัยภายในประเทศ เพิ่มการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการเรียนการสอนด้วย
อีกเรื่องหนึ่ง อย่างที่ผมได้เคยกล่าวไว้ในงานปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ“การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันการค้าของประเทศไทย”ว่า การจะทําให้อุตสาหกรรมของไทยเข้มแข็งต่อไปอย่างยั่งยืนนั้น ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคธุรกิจต่างๆ จะต้องร่วมมือกัน วันนี้รัฐบาลได้ทําให้ประเทศกลับมาสงบสุข สถานการณ์ทุกอย่างที่ไม่ดีชะลอลงตามลําดับ แต่ยังคงมีประชาชนที่ไม่เข้าใจอยู่ โดยเฉพาะประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากธุรกิจสีเทาที่ไม่ค่อยถูกกฎหมายในประเทศที่ถูกลดจํานวนลง อาจจะทําให้ประชาชนส่วนนี้ขาดรายได้ รัฐบาลเห็นใจ แต่ประเทศจะต้องมีการจัดระเบียบไม่อย่างนั้น ก็ไม่มีความเป็นธรรมกับคนอื่นที่เขาทําถูก ต้องลดความเหลื่อมล้ํา ถ้าเราปล่อยต่อไปไม่ได้ แต่เราต้องหาทางว่าจะทําอย่างไร ให้เขามีที่ทํากินมีที่ค้าขายให้ได้ กําลังทําอยู่ก็ต้องยอมรับกันบ้าง เพราะท่านทําอยู่มันผิด แล้ววันหน้าถ้าเข้มแข็งได้ จะได้เข้าสู่การพัฒนาตนเอง เพิ่มความก้าวหน้าในหลักการเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้าเริ่มลงทุน ก็ต้องมีภูมิคุ้มกันใช่หรือไม่ พอมีรายได้มากมายพอ ก็สามารถมาช่วยเหลือประเทศชาติได้ ภาษีก็มีโอกาสที่จะเสียภาษีได้ อย่าหนีจากระบบภาษี ผมอยากให้ทุกคนมีหมายเลข การเสียภาษีทุกคน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไปเก็บทุกคน ปัญหาที่ผมทราบขณะนี้ก็คือ หลายคนก็ไม่อยากจะมีหลักฐานทางภาษี จะทําอย่างไร อย่าตําหนิรัฐบาลอย่างเดียว เราคิดทุกมิติ ว่าเขาจะไม่เดือดร้อนได้อย่างไร เราจะช่วยเหลือเขาได้อย่างไร เราจะจัดกลุ่มคนเดือดร้อนมากเดือดร้อนน้อย คนยากจนได้อย่างไร ปรากฎว่าไม่ได้เพราะว่าฐานข้อมูลไม่มี และประชาชนหลายส่วนไม่ยอมเข้าในระบบ ไม่ต้องกลัว ถ้าท่านมีรายได้น้อย ใครจะไปเก็บภาษีท่านได้ ภาษีก็ต้องเก็บตามรายได้ ที่มีอยู่ตามหลักเกณฑ์ ถ้าไม่ถึงก็เก็บไม่ได้อยู่แล้ว อย่าหาว่าผมมารีดเลือดกับท่าน เป็นการวางอนาคต วันหน้าต้องให้ทุกคน ถ้าเข้าระบบภาษีได้ก็คือทุกคนมีงาน มีอาชีพ มีรายได้ที่เพียงพอ ถึงวันนั้นน่าจะต้องเตรียมความพร้อมตั้งแต่บัดนี้ ไม่ใช่ว่าทําอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้
อีกเรื่องหนึ่ง ขณะนี้รัฐบาลกําลังเร่งทําเศรษฐกิจชุมชนที่เป็นตลาดภายในประเทศ ในทุกภูมิภาค ทุกจังหวัด เป็นลักษณะให้เกษตรกรมาขายสินค้าเกษตรให้กับประชาชน ผมเคยพูดมาหลายครั้งแล้ว ช่วยกันไปดูหน่อย ไปอุดหนุนหน่อย มีสัก 2,000 กว่าแห่งแล้วตอนนี้ ว่าเดินหน้าได้แค่ไหน ไปได้อย่างไร ถ้าหากขายสินค้าแล้วจะมีการให้พี่น้องนําอย่างอื่นมาได้หรือไม่ ของเก่า ของใช้แล้ว ของอะไรที่อาจจะไม่มีความจําเป็นในการใช้ของเรา แต่เป็นประโยชน์กับคนอื่น ทีวีเก่า อะไรเก่าต่างๆ เหล่านี้ เป็นการเผื่อแผ่แบ่งปัน กระติกน้ําร้อนเก่า วิทยุเก่า ที่เราไปซื้อขนาดดีมาแล้ว ของเก่าทิ้งไว้หลังบ้าน มาบริจาค มาอะไรให้กับคนในพื้นที่เขา จะสร้างความรักความสามัคคี
ในส่วนของเกษตรกร วันนี้ก็ยังอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วงเพราะราคาผลิตผลตกต่ํา คงจะต้องแก้ไขระบบให้ได้โดยเร็ว นี่ก็กําลังเตรียมการเพื่อจะช่วยเหลือดูแลในครอปใหม่ว่าจะทําอย่างไร ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรฯ ไปหารือกันอยู่ ในเรื่องของต่างประเทศผมก็พูดคุยกับท่าน สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไน ท่านบอกให้ช่วยตรงนี้ด้วย ในฐานะที่ท่านเป็นผู้นําอาวุโสสูงสุดในอาเซียน ว่าทําอย่างไรอาเซียนจะพูดคุยกันได้ ในเรื่องการจําหน่ายขายสินค้า เพราะถ้าแข่งขันกันเองทั้งหมดยิ่งไปไม่ได้ทั้งหมด ราคาก็ตกไปเรื่อยๆ เรื่องข้าว เรื่องยาง อะไรก็แล้วแต่ เราต้องรวมกลุ่มกันให้ได้ ทุกประเทศไม่ใช่แค่ 2-3 ประเทศ ทุกประเทศที่มีการปลูกยาง ปลูกข้าวต่างๆ เพราะเราไม่ใช่คู่แข่งขันกันแล้ววันนี้เราเป็นพันธมิตร หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์
เรื่องสําคัญก็คือขอฝากให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้สนับสนุนดําเนินการในสิ่งใหม่ๆ ที่ผมกล่าวมาแล้วด้วย เรื่องนี้ ภาครัฐกับภาคเอกชนจะต้องดําเนินการร่วมกันตั้งแต่การเริ่มต้น แก้ไขปัญหา รับทราบปัญหาร่วมกัน ทํางานสอดประสานช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างห่วงโซ่ ห่วงโซ่ทางอาหาร ห่วงโซ่เศรษฐกิจสีเขียว อุตสาหกรรมสีเขียว ให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงชุมชน ท้องถิ่น ภูมิภาค ประเทศ อะไรทํานองนี้ คือไม่สร้างอะไรที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมด้วย อันนี้เป็นประเด็นที่โลกให้ความสําคัญอยู่แล้วก็ให้มีความเชื่อมโยงกัน เพื่อจะได้แลกเปลี่ยนสินค้า เดินทางสัญจรไปมา แล้วก็การท่องเที่ยวก็ไปได้หมด เพราะว่าเราเชื่อมโยงกันอยู่แล้ว วันหน้าอย่างไร เขาพูดว่าวันหน้าโลกเราจะไร้พรมแดน รวมทั้งต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยี วิจัย วิเคราะห์พัฒนา วันนี้ผมก็ให้มีการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับเรื่องการวิจัยและพัฒนาของไทย รู้สึกจะมีอยู่หลายอย่าง เป็นพันๆ อย่างที่มาที่หัวหิน ได้รับรายงานว่าคนสนใจ แล้วเราก็จะได้อธิบายเขาว่า SMEs เราเตรียมการสนับสนุนอย่างไรให้เป็นรูปธรรม ถ้าทุกคนไปบ่นอย่างเดียว ผมได้รับ ผมติดตามมามากแล้วเรื่องของการพูดคุย เรื่องเศรษฐกิจของประเทศไทย ผมพยายามจะอธิบายแต่บางครั้ง ผมว่าการรับรู้ยังไม่ได้ ผมยังเห็นในหนังสือพิมพ์ต่างๆ ก็จะมีพวกนายกฯ สมาคมผู้ประกอบการต่างๆ จะไปบ่นเรื่องโน้นเรื่องนี้ อะไรต่างๆ แล้วก็พูดมาว่ารัฐบาลยังไม่เห็นทําอะไรเลย ผมก็เสียใจ แล้วก็เมื่อวานนี้ เนื่องจากผมไปบรูไน ผมก็เลยให้ท่าน พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นคณะขับเคลื่อนของผม ไปพบปะเขาดูซิ ปรากฏว่าท่านก็ถามว่าต้องการอะไร อยากให้รัฐบาลทําอะไร ที่เขาพูด เขาพูดในสิ่งที่เราทําไปแล้ว แสดงว่าการรับรู้ไม่ได้เลย ผมว่ายังมีปัญหาอยู่ ไม่ว่าจะเรื่องของกฎหมาย ไม่ว่าจะเรื่องข้อบังคับเราปลดล็อคไปตั้งมากมายแล้ว ตั้งแต่ รง. 4 (ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน) ตั้งแต่ระเบียบ BOI ใหม่ ตั้งแต่การส่งเสริมการลงทุน สิทธิประโยชน์ แล้วก็เกี่ยวกับเรื่องลดขั้นตอน และก็มีศูนย์ติดต่อ One Stop Service ในแต่ละธุรกิจ ก็ขอให้กระทรวงไปช่วยกันหน่อย เพราะผมพูดหลายครั้งแล้ว ท่านก็บอกว่าท่านส่งต่อ ท่านก็ประชาสัมพันธ์ไปแล้ว แต่ยังไม่ถึง ผมไม่รู้ว่าติดอยู่ตรงไหน ข้อสําคัญก็คือผู้ประกอบการเหล่านั้นต้องติดตาม ว่ารัฐบาลเขาทําอะไรไปแล้ว แล้วท่านก็ไปที่กระทรวงก็ได้ อะไรก็ได้ ไปถามเขาก็ได้ ผมก็พูด รัฐมนตรีก็ออกมาพูด หน่วยงานเขาออกมาพูด แต่ท่านไม่ได้ฟัง แล้วท่านก็กลับไปตําหนิติเตียนพวกเราอยู่ในหนังสือพิมพ์
วันนี้ทําทุกอย่าง ที่ผ่านมา ทําน้อย เพราะอย่างนั้นขอให้เข้าใจกันบ้าง อย่ามาบ่นอีก เมื่อท่านบ่นแล้วก็ทําให้ความมั่นใจการค้าลงทุนในประเทศก็ตกลงไป เพราะไม่มั่นใจในสถานภาพ ไม่เชื่อมั่นรัฐบาล ทั้งๆ ที่รัฐบาลบอกแล้วว่ามีปัญหาตรงโน้นตรงนี้ ก็จะแก้ให้ ท่านก็ไม่เข้าใจ พอท่านพูดก็ไม่มีใครกล้าลงทุน คนไม่มีความเชื่อมั่น ซึ่งผมต้องการแก้ตรงจุดนี้อยู่แล้ว ทําไปแล้ว แต่ท่านบอกว่าไม่ได้ทํา อย่างนี้ไม่ได้ เสียหายแล้วทําให้ทั้งประเทศปั่นป่วนไปหมด สื่อก็ไปขยายความกันไปใหญ่โต แล้วท่านจะให้ใครเขามาเชื่อมั่น พวกเรากันเองยังไม่รู้เลย ยังไม่เชื่อมั่นเลย ผมก็พูดจนไม่รู้จะทําอย่างไรแล้ว พูดทุกอย่างอยู่แล้ว ฟังหน่อย กรุณาฟังหน่อย อย่าติอย่างเดียว ถ้าท่านพูดดี เพราะเราทํา ผมไม่ได้ให้ท่านไปโกหก ถ้าเราทําแล้วท่านพูดให้ผมหน่อย ว่ารัฐบาลดี เขาทําตรงนี้ ตรงนี้เขายังไม่ดี ผมก็ได้ข้อเสนอแนะ ให้รัฐบาลเขารับไป พูดอย่างนี้เขาเรียกว่าติเพื่อก่อ เข้าใจหรือเปล่า แต่ถ้าติทุกเรื่องไป อย่างนี้ไม่ใช่ สร้างศัตรู
เรื่อง “ชุมชนเข้มแข็ง”รัฐบาลให้ความสําคัญมาก หมายความว่าชุมชนที่มีขีดความสามารถในการใช้ศักยภาพของตนเอง เข้าแก้ไขจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนได้ ฉะนั้นต้องเป็นชุมชนที่มีผู้นําที่มีความสามารถ มีการเรียนรู้ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง มีพื้นฐานของจริยธรรม วัฒนธรรม ความเชื่อทางศาสนา และเศรษฐกิจในพื้นที่ จะทําให้คนในชุมชนสามารถพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันได้ โดยส่วนหนึ่งอาจได้รับความร่วมมือการสนับสนุนจากรัฐบาล ราชการ อีกส่วนคือองค์กรภายนอก พ่อค้า นักธุรกิจต่างๆ อาจจะต้องมาช่วยกันเสียสละ ว่าเราจะดูแลคนยากคนจนเหล่านี้อย่างไร รัฐบาลไปไม่ถึงทั้งหมดเพราะเงินก็มีเท่านี้ จํากัด ต้องใช้มากมาย ปัญหาก็มาก เพราะฉะนั้นถ้าทุกคนช่วยกันเสียสละรับผิดชอบตรงนี้ตรงนั้น ชุมชนนี้ ชุมชนนั้น ผมว่านี่คือสังคมไทยในอดีต น่าจะทําได้แต่วันนี้ อย่าไปหวังกําไรเต็มที่ เหมือนเดิมต้องกําไรเท่าเดิม ทุกคนบอกว่าเศรษฐกิจตก เพราะจริงๆ แล้วผมถามว่าท่านขาดทุนหรือไม่ ท่านก็ไม่ขาดทุน ขาดทุนก็เล็กน้อย ก็เพียงแต่ลดกําไรลงไปหน่อยได้ไหม ผมพูดหลายครั้งแล้ว ถ้าไม่อย่างนี้คนก็ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย แถมพูดให้ไม่เกิดความเชื่อมั่นอีก อันนี้เป็นสิ่งที่ผม บางครั้งผมก็อาจจะใช้คําพูดที่แรงไปบ้างขอโทษนะครับ แต่ก็เสียใจ เสียใจที่ไม่ฟัง เพราะฉะนั้นในทุกจังหวัดจะต้องพึ่งพาอาศัยกันได้แล้วก็เป็นชุมชนเข้มแข็งในจังหวัดตัวเอง แล้วก็เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคที่เรามีงบประมาณลงไปอีกในเรื่องของกลุ่มจังหวัด เงินงบประมาณรัฐไปหลายทาง ทําไมไม่เจริญสักที ผมก็ไม่เข้าใจ
ในปัจจุบันก็มีหมู่บ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม ร้านค้า เพิ่มมากขึ้นในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษที่จะจัดตั้งนี้จะมากขึ้น ในไม่ช้าความเจริญก็จะเข้ามาแผ่ขยายในพื้นที่รอบๆ เหล่านั้น ก็จะเป็นการสร้างอาชีพให้ได้แต่ต้องใช้เวลา แรงงานก็ใช้จากนอกพื้นที่บ้าง ในพื้นที่บ้าง เพราะฉะนั้น ทําอย่างไรท่านต้องเตรียมความเข้มแข็งของชุมชนเหล่านี้ให้พร้อมรับการเจริญเติบโต พร้อมรับกับการขยายทั้งคน ทั้งโรงงาน แน่นอนถ้าท่านไม่ขยายเหล่านี้ การค้า การลงทุนในพื้นที่ของท่านก็น้อยเศรษฐกิจก็ไม่เคลื่อนไหว ถ้าเราจะอยู่กับธรรมชาติอย่างเดียวก็ได้ ท่านก็ต้องจัดสัดส่วนว่า อะไรอยู่ตรงไหน ควรจะมีอย่างไร เท่าไร จะได้เสริมกัน
วันนี้การท่องเที่ยวมีบทบาทสําคัญค้าขายอย่างเดียวอาจจะไม่ได้ เพราะฉะนั้น แต่ละจังหวัดถ้ามีสถานที่ท่องเที่ยวด้วย มีการค้าเป็นแต่ละจังหวัด แต่ละภูมิภาคที่ตัวเองสามารถทําได้ดีที่สุด เหมือนกับทํา OTOP เหล่านี้ก็จะเป็นชื่อเสียงของจังหวัด จะได้ไม่แก่งแย่งกันแล้วไปหาตลาด รัฐบาลพอจะจัดกลุ่มให้ได้ อย่างเช่น บางอย่างผมบอกลองไปดูจะขายในเครื่องบินได้ไหม ถ้าเราไม่ทําแบบนี้ ไม่หาตลาดสนับสนุนกัน ผลิตอย่างเดียวจะไปขายให้ใคร แล้วก็บอกว่ารัฐบาลไม่ทํา รัฐบาลนี้จะทําให้ OTOP สามารถที่จะเข้าสู่การผลิตให้ได้ ท่านก็ต้องไปสร้างความเข้มแข็ง อยากให้ทุกคนอยู่กันท่ามกลางความแตกต่างในอนาคตให้ได้ เพราะอาจจะมีคนนอกพื้นที่ไปอยู่ในพื้นที่ของท่าน เพื่อไปทํางาน เพื่อไปทําให้เศรษฐกิจดีขึ้น เพราะฉะนั้นทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง อย่าไปดูถูกซึ่งกันและกัน มีสภาพต่างกันไปรวยบ้าง รายได้มาก รายได้น้อย ทําอย่างไรจากหลาย ๆ สาขาอาชีพ จากหลากหลายพื้นที่จะมาอยู่รวมกัน เป็นชุมชนเข้มแข็ง สามัคคีกันร่วมมือกันให้ได้เพื่อจะร่วมกันพัฒนา ร่วมกันแก้ปัญหาท้องถิ่นของตนเองแล้วก็ ในเรื่องเศรษฐกิจต่างๆ ก็ดีขึ้น แต่ถ้าเราไม่สร้างความเข้มแข้งตรงนี้ไว้ก่อน ขณะกําลังเกิดภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติจะมีปัญหามากต่างคนก็ต่างอยู่ไม่ร่วมมือกัน บ้านติดกันไม่คุยกัน ที่ผ่านมาก็มีเรื่องการเมืองเข้ามาอีก ทําให้มีปัญหาหมดแล้วเวลามีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่นก็จะพบว่ามีคนจากภายนอกเข้ามาอยู่ใหม่ เช่น ในหมู่บ้านจัดสรรในพื้นที่ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรท่านเพียงแต่ว่า เท่าที่รับรายงานมามักไม่ค่อยมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง เพราะท่านมาจากข้างนอก การกระจายอํานาจ การมอบหมายความรับผิดชอบไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ เพราะต่างคนต่างอยู่ สังคมชนบทอีกแบบหนึ่ง เพราะฉะนั้น การสร้างชุมชนเข้มแข็งไม่ยากก็เป็นความร่วมมือกัน ระหว่างผู้คนในชุมชนเองอย่างแท้จริง
เรื่องปรองดองทุกคนต้องมีจิตใจอยากปรองดอง ไม่ใช่ถูกบังคับให้ปรองดอง ให้มีกฎหมายให้ปรองดอง ต้องใช้กฎหมายทุกเรื่องเลยหรือไง ท่านต้องมีจิตใจเอง เพราะบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่ปรองดองกัน ผมก็ไม่รู้จะทําอย่างไร บังคับท่านไม่ได้อย่ามาพูดเรื่องนี้อีกแล้วต้องต่อเนื่องด้วยการทําของท่าน เขาเรียกว่าการกระจายอํานาจ การกระจายความรับผิดชอบ กระจายหน้าที่แล้วสิทธิ์ก็จะตามมา เพราะว่าเข้มแข็งแล้วไง หัวใจสําคัญของการมีชุมชนที่เข้มแข็งคงต้องใช้ปรัชญา“เศรษฐกิจพอเพียง” บางคนบอกว่ารัฐบาลนี้บอกว่าใช้ปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” ไม่เห็นใช้อะไรเลยเศรษฐกิจ ท่านไปดูความหมายเศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร ท่านอาจจะมองว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี้คือทําให้ดีขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ท่านไปดูความหมายที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านทรงรับสั่งไว้ว่าคืออะไร ผมเห็นเมื่อสองสามวันในบางสื่อ ในบางคอลัมนิสต์เขียนออกมา ที่เศรษฐกิจไม่ดี เพราะไม่นําเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้
ผมบอกแล้วว่ารัฐบาลนี้ นําแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปรัชญา“เศรษฐกิจพอเพียง” มาเป็นหลักการในการทํางาน ผมเคยพูดตั้งแต่ต้นไปดูคําพูดเก่าๆ ได้ว่า มีอยู่ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข มีมากใช้มาก มีน้อยใช้น้อย ย่อๆ มีความรู้ มีคุณธรรมถึงจะเข้มแข็ง เมื่อเข้มแข็งแล้วทําอย่างที่ผมว่าเมื่อสักครู่เศรษฐกิจก็จะดีขึ้น ไม่ใช่ทุกคนจะต้องเป็นเถ้าแก่หมดทุกคน เป็นไปไม่ได้ อันไหนดีก็ไปก่อน อันไหนไม่ดี มีภูมิคุ้มกันไง หาความรู้ ดูเขา เมื่อพร้อมเราก็ก้าวอีกอยากเป็นเถ้าแก่ อันดับ 2 อะไรทํานองนี้ หาเงิน หาทอง ดูตัวอย่างเขา นี่คือหลักการใช้เศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่ให้ประหยัด ไม่ใช่ให้อดออม เข้าใจสักทีไม่อย่างนั้นทุกคนบอกว่ารัฐบาลใช้เศรษฐกิจพอเพียง พวกบอกว่าสอนให้ทุกคนอดออม คนละเรื่อง อันนั้นเป็นเรื่องการออม อันนี้เป็นเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง ใช้ได้ทุกอย่างการดํารงชีวิตก็ได้ การจับจ่ายใช้สอยก็ได้ การผลิตก็ได้ ต้องเข้มแข็งก่อนถึงจะลงทุนให้มากขึ้น ถ้ายังไม่เข้มแข็งก็ทําให้ดีขึ้น แก้ปัญหาให้ได้ พอกินแล้วก็แลกเปลี่ยนกัน จากนั้นก็ไปขายจากขายก็ไปตั้งโรงงาน มีปัญหาทางเศรษฐกิจเงินทอง อย่างเช่นตอนนี้ บางอันก็ไปไม่ไหวก็ต้องหยุดรอไว้ก่อน เป็นไปไม่ได้ถ้าโลกตกต่ําแล้ว เพราะฉะนั้นจะเกิดขึ้นด้วยการลงทุนจากต่างประเทศ หรือลงทุนโดยพ่อค้ารายใหญ่ในปัจจุบัน ซึ่งหลายคนเขาพร้อมที่จะลงทุน แต่ท่านก็พูดจนเข้าใจกันผิดไปหมด เรื่องธุรกิจรถยนต์ก็กระเตื้องขึ้น ผมจะไม่พูดเรื่องเก่า
คําว่าต้องมีการพัฒนา ผมไม่หมายความว่าจะให้เกิดวันนี้ ผมพูดให้คนคิดตามผมว่า อนาคตวันหน้าอาจจะ 20 ปี 30 ปี ก็ได้อีกหน่อยอาจจะใช้พลังไฮโดรเจนหรือใช้แสงแดดกับรถหรือไฟฟ้าทั้งหมด โน้นเราต้องเตรียมไปสู่ตรงโน้น วันนี้เรามีอีโคคาร์ก็ทําไปกี่โครงการผมไม่ว่า จะทํากี่ปีก็ทําไป แต่ต้องเตรียมการไว้ก่อน เขาเรียกว่านั้นคือภูมิคุ้มกัน ใช่ไหม ผมพูดนี่คือภูมิคุ้มกัน ไม่ใช่วันนี้ มีบางคนบอกว่าผมพูดทําให้การค้ารถยนต์ตกต่ํา ต่างประเทศไม่เชื่อมั่น วันนี้ผมเชิญเขามาเลยมาสร้างอีโคคาร์ สอง สาม สี่ ห้า ก็ทําไป แต่ท่านก็ต้องมีส่วนหนึ่งที่คิดค้นคว้า วิจัยไปแล้วใครจะมาทํา วันหน้าโลกเขาเปลี่ยนท่านยังไม่มีเลย ไม่มีความรู้เลย ขุดเจาะน้ํามันก็เหมือนกันที่จะเจาะเอง ทําอง สํารวจเองก็ยังไม่พร้อมสักอย่าง แต่ไม่ได้ ไม่เข้าใจ ดูหนังเหมือนดูไม่จบเรื่อง ดูไม่จบเรื่องแล้วก็วิจารณ์หนัง ไม่ถูก ไม่รู้จะลงทุนไปทําไม ผู้ทําหนังก็เสียใจ เพราะฉะนั้น ก็อยากจะนํามาเล่าให้พี่น้องประชาชนฟัง
เรื่องสหกรณ์การเกษตรพิมายเป็นตัวอย่างจังหวัดนครราชสีมา ที่ผมไปเยือนมาแล้ว สหกรณ์ตั้งมากว่า 40 ปีแล้ว เริ่มจากสมาชิกกว่า 2,000 คน วันนี้มีสมาชิกกว่า 11,000 คน 80% ของเกษตรกรในพื้นที่ มีหลายกิจกรรม คือ ผลผลิตทางการเกษตรทั้งหมด มีเงินทุนมากถึง 350 ล้านบาท มีสินทรัพย์กว่า 1,000 ล้านบาทในปัจจุบัน
อีกตัวอย่างที่ผมพบก็คือ การให้จัดกิจกรรมในทํานองที่ว่า“เมืองนี้ฉันรัก (We Love Cities)”ของกองทุนสัตว์ป่าโลก เป็นกิจกรรมที่ได้เชิญชวนให้เมืองต่างๆ รอบโลกเข้าร่วมในการสร้างความยั่งยืน ช่วยกันประหยัดพลังงาน โดยคณะกรรมการจะพิจารณามาตรการต่างๆ รวมถึงพันธสัญญาของเมืองจากรายงานที่แต่ละเมืองจัดทําขึ้นเพื่อคัดเลือกเมืองต้นแบบของแต่ละประเทศสําหรับรางวัล “National Earth Hour Capital” ซึ่งจะมีการมอบรางวัลในวันที่ 9 เมษายนนี้ ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ แล้วที่ประทับใจอันนี้เป็นการคัดเลือกโดยต่างประเทศ ประเทศไทยของเรามีเมืองที่ได้รับเลือกเข้าร่วมกิจกรรมนี้ถึง 3 เมืองด้วยกัน น่าภูมิใจไหมหละครับ เทศบาลนครหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เทศบาลนครขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น และเทศบาลตําบลมาบอํามฤต จังหวัดชุมพร เป็น 3 ใน 44 เมือง จาก 16 ประเทศทั่วโลกที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารอบสุดท้ายจากทั้งหมด 163 ประเทศ เข้าไปได้แค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว จากอีกกี่เมืองนี้ 3 จังหวัดเอง มีตั้ง 77 จังหวัด ทําอย่างไร 76 บวกกับกรุงเทพมหานคร ทําอย่างไร ไปดูซิ แต่ละเมืองจะมีวิธีการจัดการเมืองอย่างยั่งยืนแตกต่างกันไป ผ่านการริเริ่มการมีส่วนร่วมของเทศบาล ชุมชน โรงเรียน ภาคเอกชน เรามีทั้งหมดบ้าน วัด โรงเรียน ใช่ไหม อาทิ ในเรื่องของการใช้พลังงานการผลิตกระแสไฟฟ้าจากมูลสัตว์ ขยะ การฟื้นฟูป่าชายเลน ป่าไม้ การผลิตพลังงานชีวภาพจากน้ํามันที่เหลือใช้ ระบบการจัดการขยะ แยกขยะ ธนาคารขยะ แล้วก็การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ น่าสนใจนะครับ
เพราะฉะนั้น ผมก็อยากให้ผู้นําชุมชนที่สนใจที่ท่านอยากจะกระจายอํานาจไปดูก่อน ว่าท่านทําได้อย่างนี้หรือเปล่า ถ้าทําได้ผมว่าไม่มีปัญหาจะทําอย่างไรก็ได้ วันหน้า วันนี้ยังไม่พร้อม กระจายความรับผิดชอบไปก่อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่น เพราะเราต้องใช้เงินจํานวนมาก ขอให้ไปดู ศึกษารายละเอียดข้อมูล ถ้าใครยังไม่ได้ทําอย่างที่ว่าก็แสดงว่ายังไม่มีการพัฒนาแล้วเราก็จะถูกบริหารจัดการโดยการเมืองทั้งสิ้น วันนี้มี 2 เรื่อง ที่คนสนใจ วันนี้เศรษฐกิจไม่ดี สองเลือกตั้ง ผมไม่เห็นจะทําให้ดีขึ้นเท่าไหร่เลย เรื่องเลือกตั้งก็แล้วแต่ท่านแล้วกัน ผมก็บอกไปหลายที ถ้าเลือกมาแล้วดีกว่าเดิมก็เอา ก็ทําเถอะ ถ้าไม่ดีกว่าเดิมใครจะมาช่วยท่าน ไม่มีแล้ว ไปว่ามา
เพราะฉะนั้น ช่วยกันโหวตให้เมืองเหล่านี้ด้วย คือยังไม่ได้ตัดสิน ใช่ไหม ตอนนี้เป็นการเสนอเข้ามาคัดรอบแรก รอบสุดท้ายคัดเลือกมีเราเข้ามา 3 จังหวัด ขอให้ทุกคนช่วยไปโหวตลงคะแนน ตามเว็บไซต์ด้านล่าง นี้นะครับ www.welovecities.org อันนี้อ่านแล้วก็ทําตามนั้น
ที่น่าสนใจ ที่ได้ทราบกับสื่อสร้างสรรค์ ก็คือการส่งเสริมสถาบันการเงินชุมชนอันนี้คือตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สร้างเครือข่ายสัจจะสะสมทรัพย์ จังหวัดจันทบุรี และ สถาบันการเงินชุมชนสุขสําราญ ของ อบต. รับร่อ อําเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร ก็สามารถช่วยเหลือชาวนาในพื้นที่ห่างไกล ให้มีเงินทุนหมุนเวียนอย่างเพียงพอในการประกอบอาชีพ ไม่ต้องกู้ยืมเงินนอกระบบ ส่งเสริมให้คนในชุมชนรู้จักอดออม จะเล็กจะน้อยจะกี่บาทไม่รู้ ทําบัญชีครัวเรือนให้ได้ เป็นหนี้อยู่ก็ไม่เป็นไรจะได้รู้ว่าที่เป็นหนี้อยู่ใช้อะไรที่เกินความจําเป็นไหม มีเหตุมีผลไหม พอประมาณไหมแล้วเราก็หยุดใช้ตรงนั้นไปหน่อยหนึ่ง อย่างน้อยหนี้ก็ลดลง ไม่ไปสร้างหนี้ใหม่ เพราะหนี้ที่ผ่านมานั้นอาจจะเป็นหนี้ เพราะความจําเป็นบ้าง ไม่จําเป็นบ้าง ธรรมดามนุษย์ก็อยากจะซื้อความสะดวกสบายบ้าง แต่ถ้าเราทําแล้วมีปัญหา เราก็ต้องลดลงการใช้จ่ายเหล่านั้น
อย่างวันนี้ทุกคนก็เป็นกังวลเป็นคําว่าหนี้ครัวเรือน ซึ่งสูงขึ้นคงไม่ใช่เลวร้ายทั้งหมด เพราะการที่จะไปกู้หนี้ ยืมสินจากใครเขาได้แสดงว่า ตัวเขาต้องสามารถใช้หนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารอะไรต่างๆ ก็ต้องมีหลักมีฐานไปกู้เขา เว้นแต่ไปกู้เงินนอกระบบ อันนั้นเราออกกฎหมายไปช่วยท่านแล้ว พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ทวงถามหนี้ แล้วก็เจ้าหน้าที่ทุกคนก็พร้อมที่จะดูแลให้มาบอก แต่ในเรื่องของหนี้ครัวเรือน ผมเห็นบางประเทศมีหนี้ครัวเรือน 200 กว่าเปอร์เซ็นต์ ของเราเท่าไหร่ 89 – 90 พูดไปจนร้ายแรงไปหมด เพราะฉะนั้น ทุกคนก็ต้องมีหนี้ ผมคิดว่าท่านไม่ได้เกิดมาเป็นลูกท่านหลานเธอ ใช่ไหม ไม่มีมรดกก็ต้องเป็นหนี้ละมั่ง การที่จะมีอะไรสักอย่าง เพราะซื้อไม่ได้ต้องผ่อน ผมไม่อยากให้สังคมมองเรื่องนี้อย่างเดียว พอมองเรื่องเงินทุกคนก็อยากจะได้เงิน ไม่ว่าจะผิดหรือถูกก็อยากได้เงิน ทุกคนนับถือหน้าตาด้วยเงินทองฐานะทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ไม่ใช่ ความเป็นคนดี มีศีลธรรม มีคุณธรรม มีธรรมาภิบาลนั้นเป็นสิ่งที่ควรได้รับการเคารพนับถือ คนเหล่านี้เขาอาจจะไม่ได้อะไรมากนักแต่การที่เขาทําตนเป็นคนดีเขาได้กุศล ทางศาสนาก็ตอบแทนด้วยความสุขในอนาคต คนร่ํารวยแล้วไม่ทําก็สิ่งตอบแทนบางทีทําผิดมากๆ ก็มีคดีความติดคุกอะไรก็ว่าไป นั่นเขาเรียกว่าตอบแทนไง
เพราะฉะนั้นขอให้ช่วยกันจัดสวัสดิการตอบแทนให้กับชุมชน แล้วนําดอกเบี้ยนั้นมาเป็นสวัสดิการให้ชาวบ้านทั้งในเรื่องการรักษาพยาบาล การให้ทุนการศึกษาบุตรหลานในชุมชน สร้างความเข้มแข็ง ท่านทําเองได้ทั้งหมดแต่ท่านไม่ค่อยทํากัน รอ อบต. จะทําไหม อบจ. จะทําหรือเปล่า จังหวัดจะทําไหม รัฐบาลจะนําเงินมาช่วยเมื่อไหร่ ท่านก็มีเงินกัน เพราะฉะนั้นท่านก็เก็บเล็กน้อยคนละ 5 บาท 10 บาท สมัยก่อนเขาเรียกอะไร ธนาคารใช่ไหม ธนาคารชุมชนก็เหมือนกับธนาคารอาหาร ที่ธนาคารข้าวก็แบบเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านก็ทรงมีพระราชดําริเหล่านี้ อดออมกันตั้งสมาชิกขึ้นมา 5 บาท 10 บาทลงไปก่อนวันหน้าก็เป็น 10 บาท วันต่อไปก็ 100 บาทก็มากขึ้นๆ ดูแลคนได้มากขึ้น ไม่เริ่มต้นจะไปได้อะไร รอนี่ รอโน่น พอไม่ได้ก็โทษโน่นนี่ ผมว่าไม่น่าคิดแบบนี้ ไม่ได้ ต่างประเทศที่เขาเจริญเขาเลิกคิดไปแล้ว เขาไม่มารอหวังประเทศชาติอย่างเดียว ให้ประเทศชาติไปพัฒนาใหญ่ๆ เล็กๆ ก็ต้องช่วยตัวเองบ้าง เงินทองก็รัฐสนับสนุนบ้าง สร้างอํานวยความสะดวกหาโอกาสให้อะไรให้ ต่างประเทศเขาไปโน่นแล้ว เรายังมานั่งต้องช่วยเหลือค่าการเกษตร ค่าอะไรต่างๆ แล้วผมถามว่าที่ผ่านมาการบริหารบ้านเมืองทําอะไรกันมา ผมว่าวันนี้คิดใหม่ ให้ประชาชนก็ต้องร่วมมือกับผม ไม่ใช่ วันนี้จะวันนี้จะต้องได้วันนี้ พรุ่งนี้ ไม่ได้หรอกครับ เพราะไม่เข้มแข็ง ไม่ได้เตรียมพื้นฐานไว้เลยก็ทําเป็นชิ้น ๆ มาแบบนี้ก็เป็นอยู่มาแบบนี้ เข้าใจสักที
นอกจากในเรื่องนี้แล้วก็อยากให้มีการจัดทีมงานลงพื้นที่ด้วยแล้วไปตรวจสอบดูว่าอะไรที่เขาควรจะต้องปรับปรุง อะไรที่ควรสนับสนุนก็ทุกกระทรวง ทุกหน่วยงาน สหกรณ์ จังหวัด มีทุกหน่วยงาน แต่ท่านทํางานให้ได้ผลมีประสิทธิภาพด้วย ไม่ใช่อยู่ต่างจังหวัดแล้วก็ทําไปแกนๆ ไม่ได้ วันนี้ต้องช่วย รัฐบาลทําแทบตายแล้วท่านไม่ทํา ท่านไม่ได้ช่วยทุ่มเท ไม่ได้ให้รัฐมนตรีก็ไม่ได้ ท่านอยู่กับประชาชน เพราะฉะนั้น ถ้าประชาชนเรียกร้องขึ้นมาว่า ข้าราชการจังหวัดนี้ จังหวัดโน้นมีทุจริตผมจะต้องจัดการ อย่าหาว่าผมไปขู่ท่านเลย แต่ไม่ไหวถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ แล้วไม่เกิดอะไรขึ้นมาเลย ที่อื่นทําไมเขาทําได้ ทําไมที่นี่ไม่ทํา ไม่มีผลงาน ไม่มีอะไรปรากฏ คนดีๆ อย่าเสียใจ เสียกําลังใจไม่ได้
การผลิตปุ๋ยต้องทําอย่างไร ปุ๋ยอินทรีย์ขายกันเองภายในกลุ่ม ตั้งธนาคารปุ๋ย ธนาคารเมล็ดพันธุ์พืช ทําจุลินทรีย์ ทําของใช้ที่จําเป็นแจกจ่ายชุมชนลดค่าใช้จ่าย ช่วงนี้เงินไม่ดีอย่าเพิ่งซื้อของข้างนอกเลยแพง เรานํามาทําอะไรที่จําเป็นต้องใช้ตะกร้า กระเป๋าก็ทําไปก่อน พอวันหน้าดีขึ้นเศรษฐกิจดีขึ้นค่อยไปซื้อแพงๆ นี้เขาเรียกว่ามีภูมิคุ้มกันต้องเข้าใจ วันนี้ถ้าหากว่าเป็นไปได้ผมเห็นหลายพื้นที่มีการลงทุนกันแล้วก็ซื้อที่เก็บไว้แล้วก็ให้ชาวบ้านในพื้นที่ได้มีที่ทํากินลักษณะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพราะไปแจกทุกคนคงไม่ได้ลักษณะเป็นนารวมเป็นพื้นที่รวมทางการเกษตรแล้วแบ่งปันกันรายได้ภายในชุมชนแล้วก็สร้างสถาบันการเงินให้เข้มแข็ง เด็กๆ คนในพื้นที่เรียนจบ มีความรู้ความสามารถก็อยากที่จะกลับมาทํางานในชุมชนที่มีอนาคต เพราะฉะนั้น พ่อแม่ ผู้ปกครองช่วยกันเหมือนกับการทํางานในเมือง ต้องมีรายได้แล้วก็อดออม รู้จักมีภูมิคุ้มกัน เมื่อไหร่จะเดินหน้า เมื่อไหร่จะหยุดรอไว้ก่อนอะไรทํานองนี้ สําหรับผู้ริเริ่มโครงการเหล่านี้ ผมขอชื่นชมทุกคน ผมอาจจะกล่าวได้ไม่หมด หลายจังหวัดหลายพื้นที่ หลายอําเภอ หลายตําบล หลายหมู่บ้านมีอีกมาก เขาไม่บ่นอะไร เพียงแต่ว่าเขาสร้างความเข้มแข็งแล้วผมสะท้อน เพียงแต่ว่า เขาสร้างความเข้มแข็ง ผมเห็นในทีวีแล้วผมสะท้อนใจ คนเหล่านี้ทําไมเขาไม่บ่นอะไรเลย เราต้องช่วยกันอย่างนี้ มาในฐานะอะไรอย่างนี้ เขาไม่มาด่าว่า บ่นรัฐบาลเลย เพราะอะไร เขาก็เป็นเกษตรกรเหมือนกัน เขาบอกว่าวันนี้เป็นอย่างนี้ เราก็ต้องช่วยกัน เราเป็นคนไทย ผมฟังเขาพูด ผมน้ําตาตกเหมือนกัน กลับอีกพวกหนึ่งบ่นทั้งวัน เศรษฐกิจไม่ดี รัฐบาลเข้ามาทําให้เกิดปัญหา ไปดูสิว่าเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมกําลังทําให้ เพราะฉะนั้นช่วยกัน ขยายให้ทุกชุมชนเขาด้วย
เรื่องแรงงานประมงวันนี้อาจจะมีหลายท่านไม่เข้าใจ ว่ามีปัญหามายาวนานพอสมควรเป็นสิบๆ ปี เรื่องการค้ามนุษย์มีปัญหา ผมได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ซึ่งรับผิดชอบในเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกกับผม ช่วยดําเนินการในการขับเคลื่อนทางนี้ ในภาคประมงแล้ว อยากจะเรียนว่า รัฐบาลได้สั่งการให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องส่งคณะทํางานไปที่เกาะ Benjina (เบน-จิ-น่า) แล้วก็หารือกับฝ่ายอินโดนีเซีย เพื่อจะร่วมกันและเร่งหาข้อมูลผู้ประกอบการ และการดําเนินการกับผู้กระทําความผิด คนไทยที่ไปถูกจับที่โน่น ที่ข่าวออกมาเป็นจํานวนมากหลายร้อยคน เราไม่ได้นิ่งนอนใจ ก็ทยอยทํามาเรื่อย แต่เราไม่อยากประชาสัมพันธ์มาก เพราะคนเหล่านี้ไปทําความผิดในประเทศเขา ใช่ไหม และทุกคนก็เป็นเหยื่อ ต้องถูกองค์กรสิทธิมนุษยชนเข้ามาดู องค์กรระหว่างประเทศมาดู และประเทศต้องรับผิดชอบ ท่านก็ต้องมาบอกเรา ว่าที่ไหนอย่างไร แนะนําตรงไหนเพิ่มเติม เราจะได้ไปหาทางช่วยกันให้ได้ เพราะว่าวันนี้ผมทราบว่า บางทีไปทํางานแล้วถูกจับไปแล้ว เจ้าของผู้ประกอบกิจการไม่สนใจ เขาจับ จับไป เรือมีตั้งหลายลํา ไปเสียค่าไถ่ก็ไม่ยอมเสีย ช่วยลูกเรือก็ไม่ช่วย แล้วโยนให้รัฐบาลดู ครั้งที่ผ่านมา 5 ปี ถูกจับไปที่โซมาเลีย แล้วพึ่งกลับมา เหมือนกับตายไปแล้วเกิดใหม่
เพราะฉะนั้นถ้าเรายังมีการเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์อยู่แบบนี้ ผมกําหนดไปแล้วว่า ไม่สมควรให้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการใดๆ อีกต่อไปในประเทศไทย และต้องได้รับโทษทางกฎหมาย คือต้องเข้มงวดกัน ฉะนั้นเจ้าหน้าที่ก็ต้องถูกติดตามประเมินผลด้วย ไม่ว่าจะประมง กรมเจ้าท่า อะไรต่างๆ เหล่านี้ ทั้งหมด เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องทําให้ครบ จดทะเบียน ติดเครื่องมือ และแก้ปัญหาในเรื่องของการทําประมงร่วม Joint Venture กับประเทศโน้นประเทศนี้ ผมก็เดินหน้าเรื่องนี้มาโดยตลอด วันนี้ก็เตรียมตัวทํา Joint Venture กับอินโดนีเซีย มีปลามาก แต่เราชอบเข้าไปตรงที่เขาไม่ให้เข้า แล้วมาบอกว่าก็ขอให้ยกเว้นหน่อยแล้วกัน เพราะว่าเป็นอาชีพเขารายได้น้อย แล้วกฎหมายอยู่ตรงไหน ประเทศเขาก็มีกฎหมาย ถ้าผมอนุโลมท่าน ไม่จับกุม ไม่ดําเนินคดี ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย แล้วท้ายที่สุดจะเกิดอะไรขึ้น ท่านรู้ไหม เรื่องสินค้าประมง เขาจะมีมาตรการไม่ให้เราขาย วันนั้นผมบอกว่า 2 แสนกว่าล้านบาท ไม่ใช่ 2 แสนกว่าล้านตัน ท่านไม่จับให้ตรง ผมพูดเสียงดัง ถ้า IUU (Illegal Unreported and Unregulated fishing หรือ IUU Fishing) ที่เราผิดอยู่นี่ทั้งหมด ค้ามนุษย์ด้วย อะไรด้วย ทางยุโรป ทางอเมริกาเขาบอกว่าเราค้ามนุษย์อยู่ แล้วทํานี่ก็ผิดกฎหมาย ละเมิดน่านน้ํา เขาบอกว่าต่อไปนี้ไม่รับซื้อสินค้าจากไทย เริ่มจากสินค้าประมงก่อน ต่อไปก็เป็นเรื่องที่ผิดๆ ก็ลากพาไปสู่เรื่องผลไม้ ข้าว ยาง ไปหมด คนเหล่านี้ที่ทําความผิดตรงนี้ ต้องสํานึกตนเอง ทํามานานแล้ว หลายปีแล้ว ทุกรัฐบาลไม่เคยทําได้ รัฐบาลนี้จะทํากับท่าน อย่าหาว่าผมใจร้าย เอาเปรียบคนอื่นเขาได้อย่างไร ผู้ประกอบการบางคนรวยไม่รู้จะรวยอย่างไร มีเรือเป็นสิบๆ ลํา ทําตามกฎหมายบ้าง
เราจะจริงจังกับนโยบาย zero toleranceในทุกคดีที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ และก็ทําเต็มที่เพื่อให้ปัญหาค้ามนุษย์หมดไปจากแผ่นดินไทย ต้องไปพูดคุย ไปเจราจาว่าเรากําลังดําเนินการอยู่เป็นขั้นเป็นตอนอย่างนี้ เราไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาที่ยาวนานมาเป็น 10 กว่าปี มาในช่วงเวลาเพียง 7 – 8 เดือนนี้ได้ แล้วที่ผ่านมาทําอะไรกันอยู่ ทําไมไม่แก้ หลายปีมาแล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้อย่าบอกว่าไม่รู้เรื่องอีก เรื่องค้ามนุษย์ ก็ชอบไปบ่นว่ารัฐบาลไม่ทําอะไรเลยต่างๆ ทุกเรื่องมีปัญหาไปหมด ลืมไปทั้งหมดแล้ว ก่อน 22 พฤษภาคม 2557 เป็นอย่างไร วันนี้จะเดินหน้าไปสู่ความขัดแย้งใหม่อีกแล้ว เรากําหนดให้มีการปราบปรามการค้ามนุษย์เป็นวาระแห่งชาติ วาระแห่งชาติคืออะไร ทุกหน่วยงานทุกคน ประชาชนต้องร่วมมือร่วมใจกัน เหมือนกับเรื่องยาเสพติด อะไรทํานองนี้ ใช้กฎหมายบังคับใช้ให้ได้ ต้องเตรียมการต้องมีระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน และร่วมมือกันกับรัฐบาลเพื่อนบ้านในภูมิภาค โดยเฉพาะอินโดนีเซีย เมื่อวานผมก็ได้พูดกับสมเด็จพระราชาธิบดีบูรไนด้วยว่า เราจะต้องทําประมงร่วมกัน ฟิลิปปินส์ ใช่ไหม ที่อยู่น่านน้ําแถวนี้ รอบๆ บ้านเรา กัมพูชา จะทํากันอย่างไร Joint Venture กันอย่างไร กองเรือเราก็มีมากมาย ต้องรู้จักแบ่งปันบ้าง วันนี้เราเป็นพันธมิตรกัน แข่งขันไม่ได้ เดี๋ยวก็ไปโดนจับ ทะเลาะเบาะแว้งกัน ยิงกันไปยิงกันมาอีก นี่เราก็จับเขาเหมือนกัน แต่เขาจับเรามากกว่า
เรื่องนี้ผมทราบว่าสื่อมวลชนไทย ต่างประเทศได้ช่วยกันรายงานหน้าที่เต็มที่ ขอบคุณ หน้าที่อีกอย่างหนึ่งของสื่อ คือการเฝ้าระวัง ผมไม่ใช่ศัตรูกับสื่อ ทุกสื่อ ทุกคน หน้าที่ของสื่อต้องมีหน้าที่เหมือนกับเฝ้าบ้าน ต้องคอยแจ้งเตือนเจ้าของบ้าน เหมือนเครื่องมือสักอย่าง เหมือนกล้อง cctv หรือในตาวิเศษอะไรสักอย่าง เพราะเวลามีเหตุร้ายมีโจร ขโมยขึ้นบ้าน หรือจะเห็นการทุจริตผิดกฎหมาย สื่อทําหน้าที่คอยเตือนประชาชน เมื่อไหร่ก็ตามที่มีนักการเมือง ข้าราชการโกงทุจริตต้องเตือนตอนนั้น หรือมีนักบริหารออกนโยบายที่จะสร้างความเสียหายให้กับประเทศ แต่ไม่ใช่สื่อมาทําให้เกิดความระแวงกันเอง เพราะท่านมีหน้าที่ในการดูแลบ้านหลังนี้ เจ้าของบ้านเขาให้ท่านดู ติดตั้งท่าน อะไรท่าน เหมือนกับสื่อคอยดูแทน แล้วปรากฏว่าท่านไม่ดู ท่านกลับมาเล่นงานเจ้าของบ้าน กลับมาเล่นงานคนในบ้าน แล้วโจรก็เข้ามาได้ นั้นคือเรื่องธรรมดา ผมไม่อยากยกตัวอย่างเป็นอย่างอื่น แม้กระทั้งให้คนในบ้านแตกความสามัคคี สร้างความเดือดร้อนเสียหาย บางครั้งอาจจะมีความผิดพลาดบ้างในการติดต่อสื่อสาร แต่ให้รู้ความตั้งใจของรัฐบาลของทุกกระทรวงมานี้ อาจจะมีการสื่อสารที่ไม่ตรง ไม่เข้าใจกันบ้าง หนักนิดเบาหน่อยก็ให้อภัยกัน วันนี้เราอยู่ทีมเดียวกัน ท่านบอกว่าท่านมีหน้าที่ ท่านบอกว่าท่านมีสิทธิและหน้าที่ของสื่อ จะต้องนี่ต้องโน่นผมไม่ได้ขัดแย้งท่าน ท่านนายกสมาคมสื่อมวลชนหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ แห่งประเทศไทย (ส.น.ว.ท.) บอกว่า ขอร้องให้ผมเข้าใจสื่อ เป็นการทํางานของสื่อ เพื่อติติงอะไรก็ได้ ผมไม่ได้ว่าเลย ถ้าท่านทําอย่างนั้นดีอยู่แล้ว แต่ถ้าท่านอีกอย่างเหมือนกับเล่นงานผมทุกเรื่องไปเลย ผมว่าไม่เป็นธรรมกับผม แล้วพอผมบอกให้ท่านไปดูแลกันเอง ตอบผมว่าอย่างไร สําหรับสื่อที่เป็นสมาชิกของสมาคมดังกล่าว จะดําเนินการต่อไปตามปัญหาที่เกิดขึ้น แต่เนื่องจากมีสื่อหลายสื่อ ไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาคม อันนี้ไม่สามารถจะรับผิดชอบได้ ท่านไปทําสิครับ หรือ จะให้ผมต้องออกกฎหมายว่า สื่อทุกสื่อต้องเป็นสมาชิกของสมาคมท่าน สมาคมหนังสือพิมพ์ สมาคมสื่อ เอาไหม ผมจะทําให้ ไม่อย่างนั้นก็อ้างอยู่อย่างนี้ บางสื่อก็คุมไม่ได้ อะไรไม่ได้ เขียนไปเรื่อย แล้วจะไม่ให้ผมโมโหมีอารมณ์รุนแรงได้อย่างไรในบางครั้ง ผมขอโทษผู้ที่สุภาพอาจจะไม่ชอบ แต่ท่านต้องเห็นใจผม พอบอกให้ไปดูแล บอกไม่เห็นผิดตรงไหนเลย ผิดตรงไหนไปอ่านดูที่เขียน อันนี้สร้างสรรค์ สนับสนุนท่านทุกอย่าง โอ้โหว่าทุกวัน บอกว่านี่เป็นการติติง ก็ผมทําไปแล้ว กําลังทํา ท่านก็บอกว่าผมไม่ทําอะไร ยกตัวอย่างง่ายๆ หรือไม่ก็ เรื่องนี้ไม่รู้จะกล้าทําหรือเปล่า ถ้าไม่กล้าทําผมไม่เข้ามา เอาอย่างนี้แล้วกัน เพียงแต่ว่าจะทําได้เมื่อไหร่ ผมไม่อยากจะไปบังคับขู่เข็นคนมากนัก ผมฝากพี่น้องประชาชนทั่วไปแล้วกัน จะให้ผมทําอย่างไรบอกมา จะให้หนักกว่านี้ หรือเบากว่านี้ ใช้อํานาจมากกว่านี้ว่ามา ผมจะไปพิจารณาอีกที ผมเข้ามาแล้วก็อยากให้สําเร็จ การปฏิรูปอีกมากมาย ไม่ได้จบภายในปีหนึ่ง ปีหนึ่งแค่ลดความขัดแย้ง แค่คิดไว้ว่าจะทําอะไรต่อไปในวันข้างหน้า ผมว่าอีก 10 ปียังไม่ทันเลย สิงคโปร์เขาทํา 30 ปี เอาง่ายๆ แล้วเขาเลยเวลาเหล่านั้นมาแล้ว วันนี้เขาเข้มแข็งหมดทุกอัน บางคนบอกว่าไทยทําไม่ได้หรอก เพราะเรามีคนมากกว่า เขามีพื้นที่เล็กกว่าเรา เรายิ่งใหญ่ ไปดูในแผนที่ว่าใหญ่ขนาดไหน มีคน 60 – 70 ล้านคน ก็ใช่ แต่ 60 ล้านคน รวมกันได้เป็นหนึ่งไหม รวมเป็นไม้ไผ่ก้อนเดียวได้ไหม ไม่ได้ 60 กว่าล้านคน 60 กว่าความคิด มีกลุ่มชุมชน วันนี้ไม่ใช่แค่ประชาชนแล้ว เป็นกลุ่มชน เป็นของคนนี้ ของคนนั้น ของพวกนี้ พวกนั้น เป็นกลุ่ม แล้วคนเหล่านี้ก็เข้ามาสู่กระบวนการเลือกตั้ง เมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้วก็เรียกร้องกับรัฐบาล เรียกร้องความต้องการจากรัฐบาลจนไม่มีความเพียงพอ เมื่อไม่เพียงพอ รัฐบาลก็ต้องมาดูแลเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวมีปัญหาการบริหารราชการ ใช่ไหม คนอื่นก็ไม่ต้องได้ นี่แหละคือปัญหาของประชาธิปไตยไทย ท่านจะทําอย่างไรไปทํา วันนี้ผมจะทําให้ทั่วถึงก่อน วันหน้าจะให้ส่งต่อให้ระบบแข็งแรง ข้าราชการ หรือการเมืองแข็งแรงกว่านี้ ที่ผ่านมาไม่รู้จะโทษใคร
เรื่องเศรษฐกิจสําคัญขอให้เข้าใจ ผมพูดไปหลายครั้งแล้ว มีปัญหามาสอบถามผมก็ได้ มายื่นที่ศูนย์ดํารงธรรมเดี๋ยวเขาส่งให้ผมดู ว่านี่ไม่เข้าใจก็ต้องไปชี้แจงเขา ทั้งๆ ที่ผมพูดทุกอาทิตย์ พูดทุกวัน ไม่เคยฟัง แล้วใครจะฟังผม บอกให้ไปฟัง กระทรวงก็ไม่ฟัง มีแต่เรียกร้องอย่างเดียว ทําไมเป็นคนอย่างนี้ คนเหล่านี้ ผู้อื่นเขาดีๆ ตั้งมากมาย หลายกิจการเขาดีไม่เคยบ่นไม่เคยว่า มีแต่ให้กําลังใจ ท่านทําต่อไปให้ดี สร้างความเชื่อมั่นให้ผมด้วย เขาอาจจะไม่รู้เรื่องเหมือนท่าน แต่เขายังพูดอย่างนี้ ท่านไม่รู้เรื่องแล้วก็ยังด่าว่าผม แล้วจะเป็นอย่างไร ท่านจะเอาอย่างไรกับผม เข้ามาทําให้ทั้งสิ้น
สุดท้ายนี้ อีกไม่นานพวกเราคนไทยก็จะได้ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลวันปีใหม่ของไทย หรือเรียกว่าวันสงกรานต์ และยังเป็นช่วงวันครอบครับอีกด้วย หยุดหลายวันผมอยากขอให้ทุกท่านใช้วันหยุดในช่วงเทศกาลนี้ด้วยการเดินทางกลับบ้าน อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันกับครอบครัว พากันไปกราบไหว้รดน้ําดําหัวผู้หลักผู้ใหญ่และผู้มีพระคุณ สอนให้เยาวชนรู้ถึงขนบธรรมเนียมที่ถูกต้อง การเล่นสาดน้ําที่ถือเป็นธรรมเนียมของวันสงกรานต์ แต่ต้องทําอย่างระมัดระวัง อย่าทําให้คนอื่นต้องเจ็บตัวหรือเดือดร้อน เมาสุรา ใช้แป้งอะไรต่างๆ ที่ดูไม่ดี ไม่สุภาพ ไม่ใช่วัฒนธรรมไทย ต่างชาติเขามาสนุกจริง แต่ภาพออกมาไม่งดงามเลย นําไปป้าย เขาไม่ได้อยากเล่นด้วย บางคนเขาเล่นด้วยก็ว่าไป แต่งตัวไม่สุภาพ แต่งตัวไม่งดงามเหล่านี้ อย่าให้เห็น ผมคิดว่าจะต้องดูแลกันให้เต็มที่ ไม่อย่างนั้นประเทศไทย ไปอย่างไรไม่รู้ ความเป็นไทยอยู่ได้ เป็นสิ่งหนึ่งที่คนโบราณเขาทําไว้ให้เรา สถาบันพระมหากษัตริย์ทําไว้ให้เรา ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้การท่องเที่ยว อาคารบ้านช่อง พิพิธภัณฑ์เป็นของเก่าทั้งนั้น ของใหม่มีใครเขาอยากมา ธรรมชาติก็ช่วยกันรักษาไว้ ป่าไม้ น้ําอะไรต่างๆ ก็แล้วแต่ รัฐบาลได้สั่งการไปแล้วให้ทุกจังหวัดจัดพื้นที่ในการเฉลิมฉลองด้วย รวมความไปถึงอาทิตย์หน้าวันที่ 2 เมษายนด้วย เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ช่วยกันด้วยดูแลกัน เป็นวันแห่งมงคลด้วย ขอให้มีการจัดเจ้าหน้าที่ อาสาสมัครช่วยกันดูแลความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแนะนําเส้นทาง จุดจอดพักรถ เวลาง่วง อย่าให้เกิดอุบัติเหตุเลย บางทีเสียชีวิตไป 1. เสียดาย 2. สงสาร เห็นใจ และ 3. แล้วจะโทษใคร บางทีทั้งครอบครัวก็ไปหมด บางทีก็พ่อสูญเสีย แม่สูญเสีย ลูกสูญเสีย แล้วเราจะดื่มสุราขับรถทําไม ปัญหาอยู่ที่ดื่มสุราจนไม่มีสติ มอเตอร์ไซค์ตายไม่รู้เท่าไหร่ แก้อะไรได้ แก้ด้วยกฎหมายได้ไหม จับท่านก็เดือดร้อนอีก ทําอย่างไรให้เจ้าหน้าที่เขาไม่มีปัญหากับเรา ไม่ผิดกฎหมายเขาก็ไม่ยุ่งกับเรา ท่านก็สนุกสนานของท่านไป ท่านชอบเลยเถิด กฎหมายอยู่ไหนไม่รู้ไม่สนใจ จะทําซะอย่างคนไทย เป็นเวลาแห่งความสุขไม่น่าจะมาห้ามกัน ชอบพูดแบบนี้ไม่รู้จะว่าอย่างไร
ช่วงนี้เด็กๆ ปิดเทอม อากาศก็อาจจะร้อน ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการ นายอําเภอ รวมถึงผู้นําชุมชนสํารวจแหล่งน้ําต่างๆ ในพื้นที่ที่เยาวชน จะไปเล่นคลายร้อน ให้ทําป้ายเตือน จัดหามาตรการป้องกัน ตรงไหนลึก ตรงไหนตื้น ทําป้ายให้เขาเห็น มีนกหวีด มีระฆังไว้รอบๆ แหล่งน้ําต่างๆ ใช้ที่อื่นด้วยก็ได้ ในป่าในเขา ตรงไหนอันตราย ตรงไหนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ จะได้เคาะระฆังส่งสัญญาณได้ ยกตัวอย่างคราวที่แล้ว 3 วัน ใช่ไหม เด็กวัยรุ่นวิ่งไปแล้วไม่เห็น ตกไปอยู่ในนั้น 3 – 4 วัน ถ้ารถเขาไม่มาจอดตรงนั้น ไม่ได้ยินเสียงเรียก ตายไปแล้วเหมือนกัน 4 วัน แช่น้ําอยู่นั้น แล้วจะเรียกอย่างไร โทรศัพท์หลุดอยู่ข้างบน เพราะฉะนั้นระมัดระวังไปเล่นน้ําควรมีผู้ใหญ่ไปด้วย เด็กที่ว่ายน้ําไม่แข็งไม่เป็นต้องกําชับให้ตามเพื่อนๆ ไป ดูแลเขา จับคู่ Buddy จะไปไหนไปด้วยกันอะไรทํานองนี้ และข้อสําคัญอย่าไปเผาป่า ไปเที่ยวป่าก็ทิ้งก้นบุหรี่ จุดไฟเล่น ทิ้งขยะเกลื่อนเมือง เกลื่อนป่า จับสัตว์กินเข้าไป ปวดท้องตายอีก ต้องนึกถึงส่วนรวมด้วย ต้องตั้งอุดมการณ์ของคนในชาติไว้ให้ได้ ว่าเราจะต้องนึกถึงส่วนรวมประกอบพร้อมไปกับประโยชน์ส่วนตนด้วย และรู้จักเสียสละ เหล่านี้เป็นสิ่งสําคัญ ถ้าคนไทยไม่รวมกันให้ได้ แล้วก็ไม่มีอุดมการณ์ว่าจะทําอย่างไรให้ชาติบ้าง และเร่งพัฒนาตนเองอย่างเร่งด่วน ผมคิดว่าสิงคโปร์เขาใช้ 20 ปี ประเทศเล็ก ต้องบอกว่าเป็นประเทศเล็ก เขาใช้ตั้ง 30 ปี เราประเทศใหญ่กว่าเขาใช่ไหม เราต้องใช้ระยะเวลานานกว่านั้นไหม แล้วเวลาวันนี้เราจะทันเขาหรือเปล่ายังไม่รู้เลย เราทําไมไม่ใช้โอกาสที่เรามีอยู่ในขณะนี้ทํา ไม่ใช่ไปทะเลาะเบาะแว้ง เรื่องเลือกตั้งอะไรต่างๆ กินได้ไหม เลือกตั้งมาแล้วเป็นอย่างไรผมไม่รู้ แต่สิ่งที่มีปัญหาอยู่ทั้งหมด ผมก็พยายามแก้ให้ทั้งหมด ถ้าเราจะพัฒนาประเทศ ถ้าจะฟื้นฟู ถ้าจะสร้างใหม่ วันนี้ผมบอกแล้วว่าผมเข้ามา เพราะบ้านเมืองเรากําลังจะล้มลงอะไรทํานองนี้ ผมก็ต้องขนอิฐ หิน ปูน ทราย มาช่วยกันก่อขึ้นไป อาจจะเป็นปราสาททรายก็ได้ สร้างบ้านเป็นปราสาท ปราสาททรายที่อนาคตอาจจะพังอีกก็ได้ เราก็ต้องนําความเข้มแข็ง นําความรักความสามัคคี อุดมการณ์ค่านิยมของคนไทยเติมเข้าไปนี่คือเหตุผลของผม พวกนี้ก็คือปูน หิน ที่ไปเสริมความเข้มแข็งของทรายเหล่านั้น อาจจะมีโครงเหล็กเข้าไปบ้างมีกฎหมายอะไรเข้าไป ถึงจะก่อมาเป็นปราสาทขึ้นมาได้ แล้วจะไม่ยุบลงมาอีก ถ้าคิดตามผมก็จะเข้าใจ ก็ขอให้ทุกคนมีความสุขและปลอดภัย ทุกทิวาราตรี ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อุตตม”ลงพื้นที่เยี่ยมชมบริษัท สงวนวงษ์อุตสาหกรรม จำกัด จังหวัดนครราชสีมา ตอกย้ำมาตรการช่วยเอสเอ็มอีเต็มสูบ
|
วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2560
“อุตตม”ลงพื้นที่เยี่ยมชมบริษัท สงวนวงษ์อุตสาหกรรม จํากัด จังหวัดนครราชสีมา ตอกย้ํามาตรการช่วยเอสเอ็มอีเต็มสูบ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เยี่ยมชมบริษัท สงวนวงษ์อุตสาหกรรม จํากัด ซึ่งบริษัท สงวนวงษ์อุตสาหกรรม จํากัด เป็นโรงงานผลิตและแปรรูปแป้งมันสําปะหลังที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก
วันนี้ (21 ส.ค.60 ) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เยี่ยมชมบริษัท สงวนวงษ์อุตสาหกรรม จํากัด ซึ่งบริษัท สงวนวงษ์อุตสาหกรรม จํากัด เป็นโรงงานผลิตและแปรรูปแป้งมันสําปะหลังที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก มีกําลังการผลิตสูงถึงประมาณ 2,400 ตันต่อวัน โดยร้อยละ 80 ของแป้งมันที่ผลิตได้ถูกส่งออก โดยมีตลาดหลักอยู่ ที่ประเทศจีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบางประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป นับเป็นอุตสาหกรรมที่เน้นต่อยอดเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร
โดยบริษัท สงวนวงษ์อุตสาหกรรม จํากัด ถือเป็นโรงงานรายแรกๆ ที่นําเทคโนโลยีการผลิตใหม่ ๆ เข้ามาพัฒนาด้านการอนุรักษ์พลังงานอย่างต่อเนื่อง เช่น นําน้ําเสียจากการล้างหัวมันสําปะหลัง และกากมันสําปะหลังมาผลิตไบโอแก๊ส นําแก๊สกลับมาใช้ในโรงงานแทนเชื้อเพลิงอื่นๆ และนําไปปั่น/ผลิตกระแสไฟฟ้าส่งขายให้การไฟฟ้า มีการนําไอความร้อนที่เกิดจากเครื่องปั่นไฟฟ้ากลับมาแลกเปลี่ยนความร้อนเป็นพลังงานอีกครั้ง และมีการผลิตกระแสไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ โดยบริษัทฯ ได้สมัครเข้าร่วมกิจกรรมและโครงการต่างๆ กับกระทรวงอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม โครงการป้องกันผลกระทบด้านมลพิษที่อาจเกิดจากโรงงาน โครงการอุตสาหกรรมสีเขียว เป็นต้น โดยมีนายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน ณ บริษัท สงวนวงษ์อุตสาหกรรม จํากัด จังหวัดนครราชสีมา
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อุตตม”ลงพื้นที่เยี่ยมชมบริษัท สงวนวงษ์อุตสาหกรรม จำกัด จังหวัดนครราชสีมา ตอกย้ำมาตรการช่วยเอสเอ็มอีเต็มสูบ
วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2560
“อุตตม”ลงพื้นที่เยี่ยมชมบริษัท สงวนวงษ์อุตสาหกรรม จํากัด จังหวัดนครราชสีมา ตอกย้ํามาตรการช่วยเอสเอ็มอีเต็มสูบ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เยี่ยมชมบริษัท สงวนวงษ์อุตสาหกรรม จํากัด ซึ่งบริษัท สงวนวงษ์อุตสาหกรรม จํากัด เป็นโรงงานผลิตและแปรรูปแป้งมันสําปะหลังที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก
วันนี้ (21 ส.ค.60 ) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เยี่ยมชมบริษัท สงวนวงษ์อุตสาหกรรม จํากัด ซึ่งบริษัท สงวนวงษ์อุตสาหกรรม จํากัด เป็นโรงงานผลิตและแปรรูปแป้งมันสําปะหลังที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก มีกําลังการผลิตสูงถึงประมาณ 2,400 ตันต่อวัน โดยร้อยละ 80 ของแป้งมันที่ผลิตได้ถูกส่งออก โดยมีตลาดหลักอยู่ ที่ประเทศจีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบางประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป นับเป็นอุตสาหกรรมที่เน้นต่อยอดเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร
โดยบริษัท สงวนวงษ์อุตสาหกรรม จํากัด ถือเป็นโรงงานรายแรกๆ ที่นําเทคโนโลยีการผลิตใหม่ ๆ เข้ามาพัฒนาด้านการอนุรักษ์พลังงานอย่างต่อเนื่อง เช่น นําน้ําเสียจากการล้างหัวมันสําปะหลัง และกากมันสําปะหลังมาผลิตไบโอแก๊ส นําแก๊สกลับมาใช้ในโรงงานแทนเชื้อเพลิงอื่นๆ และนําไปปั่น/ผลิตกระแสไฟฟ้าส่งขายให้การไฟฟ้า มีการนําไอความร้อนที่เกิดจากเครื่องปั่นไฟฟ้ากลับมาแลกเปลี่ยนความร้อนเป็นพลังงานอีกครั้ง และมีการผลิตกระแสไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ โดยบริษัทฯ ได้สมัครเข้าร่วมกิจกรรมและโครงการต่างๆ กับกระทรวงอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม โครงการป้องกันผลกระทบด้านมลพิษที่อาจเกิดจากโรงงาน โครงการอุตสาหกรรมสีเขียว เป็นต้น โดยมีนายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน ณ บริษัท สงวนวงษ์อุตสาหกรรม จํากัด จังหวัดนครราชสีมา
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6096
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยติวเข้ม SMEs สร้างเครือข่ายส่งออก CLMV
|
วันพุธที่ 16 พฤษภาคม 2561
กรุงไทยติวเข้ม SMEs สร้างเครือข่ายส่งออก CLMV
ธนาคารกรุงไทย จับมือ 2 พันธมิตร จัดอบรมด้านการส่งออกให้ผู้ประกอบการ SMEs พร้อมเชิญนักธุรกิจในแถบ CLMV ร่วมสร้างเครือข่ายธุรกิจ อบรมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมรับสิทธิเป็นสมาชิกกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ
นายปฎิเวช สันตะวานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานธุรกิจขนาดกลาง ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารร่วมมือกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จัดอบรมหลักสูตร “SMEs CLMVT Genius Exporter 2018” โดยผู้เข้าอบรมไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพื่อพัฒนาศักยภาพที่สําคัญ ต่อการดําเนินธุรกิจส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกให้กับผู้ประกอบการ SMEs ไทย โดยเชิญนักธุรกิจในแถบประเทศ CLMVT ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม และไทย มาเข้าร่วมอบรมด้วย เพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจ ระหว่างการอบรมใช้ภาษาอังกฤษ
สําหรับคุณสมบัติผู้เข้าร่วมอบรมเพียงเป็นเจ้าของนิติบุคคล(ถือหุ้นเกิน 51%) เป็นเจ้าของ Brand สินค้าและบริการที่จดทะเบียนกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา จดทะเบียนทําธุรกิจไม่ต่ํากว่า 3 ปี และมีประสบการณ์ด้านการส่งออกไม่น้อยกว่า 1 ปี โดยหลักสูตรเน้นการสร้าง Branding เจาะลึกกฎหมายการทําธุรกิจ และการทํา Joint Venture การวิเคราะห์ตลาดผู้บริโภคและการใช้นวัตกรรม การทํา Digital Marketing การออกแบบ Packaging กําหนดอบรมระหว่างวันที่ 24 -29 พฤษภาคม 2561 ที่สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการค้ายุคใหม่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ รัชดาภิเษก
นายปฎิเวช สันตะวานนท์ กล่าวต่อไปว่า ผู้เข้าร่วมอบรมจะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น เข้าร่วมงานแสดงสินค้าและการทํา Networking หรือ Business Matching ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆที่จัดโดยกระทรวงอุตสาหกรรม,ได้รับคําปรึกษาด้านการส่งออกและการบริหาร อัตราแลกเปลี่ยน จากผู้เชี่ยวชาญของธนาคาร ตลอดจนเข้าร่วมสัมมนาและกิจกรรมด้านการส่งออกของธนาคาร สนใจดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ https://sme.ktb.co.th
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร. 0-2208-4176-8
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยติวเข้ม SMEs สร้างเครือข่ายส่งออก CLMV
วันพุธที่ 16 พฤษภาคม 2561
กรุงไทยติวเข้ม SMEs สร้างเครือข่ายส่งออก CLMV
ธนาคารกรุงไทย จับมือ 2 พันธมิตร จัดอบรมด้านการส่งออกให้ผู้ประกอบการ SMEs พร้อมเชิญนักธุรกิจในแถบ CLMV ร่วมสร้างเครือข่ายธุรกิจ อบรมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมรับสิทธิเป็นสมาชิกกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ
นายปฎิเวช สันตะวานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานธุรกิจขนาดกลาง ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารร่วมมือกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จัดอบรมหลักสูตร “SMEs CLMVT Genius Exporter 2018” โดยผู้เข้าอบรมไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพื่อพัฒนาศักยภาพที่สําคัญ ต่อการดําเนินธุรกิจส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกให้กับผู้ประกอบการ SMEs ไทย โดยเชิญนักธุรกิจในแถบประเทศ CLMVT ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม และไทย มาเข้าร่วมอบรมด้วย เพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจ ระหว่างการอบรมใช้ภาษาอังกฤษ
สําหรับคุณสมบัติผู้เข้าร่วมอบรมเพียงเป็นเจ้าของนิติบุคคล(ถือหุ้นเกิน 51%) เป็นเจ้าของ Brand สินค้าและบริการที่จดทะเบียนกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา จดทะเบียนทําธุรกิจไม่ต่ํากว่า 3 ปี และมีประสบการณ์ด้านการส่งออกไม่น้อยกว่า 1 ปี โดยหลักสูตรเน้นการสร้าง Branding เจาะลึกกฎหมายการทําธุรกิจ และการทํา Joint Venture การวิเคราะห์ตลาดผู้บริโภคและการใช้นวัตกรรม การทํา Digital Marketing การออกแบบ Packaging กําหนดอบรมระหว่างวันที่ 24 -29 พฤษภาคม 2561 ที่สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการค้ายุคใหม่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ รัชดาภิเษก
นายปฎิเวช สันตะวานนท์ กล่าวต่อไปว่า ผู้เข้าร่วมอบรมจะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น เข้าร่วมงานแสดงสินค้าและการทํา Networking หรือ Business Matching ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆที่จัดโดยกระทรวงอุตสาหกรรม,ได้รับคําปรึกษาด้านการส่งออกและการบริหาร อัตราแลกเปลี่ยน จากผู้เชี่ยวชาญของธนาคาร ตลอดจนเข้าร่วมสัมมนาและกิจกรรมด้านการส่งออกของธนาคาร สนใจดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ https://sme.ktb.co.th
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร. 0-2208-4176-8
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12265
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบหลักเกณฑ์การจัดการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ
|
วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม 2560
ครม.เห็นชอบหลักเกณฑ์การจัดการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเปิดเผยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่17ตุลาคม2560ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ คือ ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์ รูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไข ในการดําเนินการจัดการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ โดยสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาการจัดการศึกษาโดยสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ (คพอต.) ได้จัดทําหลักเกณฑ์ รูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขในการดําเนินการจัดการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่29/2560เรื่อง การส่งเสริมการจัดการศึกษาโดยสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศลงวันที่26พฤษภาคม2560โดยมีสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศที่เข้ามาดําเนินการจัดการศึกษาในประเทศไทย ต้องได้รับการรับรองในสาขาวิชาจากการจัดอันดับของ Quacquarelli Symonds (QS) หรือ Times Higher Education (THE)หรือหน่วยงานอื่น ๆ ตามที่ คพอต. เห็นชอบ และต้องจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรที่เป็นประโยชน์และมีความสําคัญต่อการพัฒนาประเทศไทย ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาการจัดการศึกษา โดยสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ เรื่อง การกําหนดศาสตร์วิทยาการและสาขาวิชาที่เป็นประโยชน์และมีความสําคัญต่อการพัฒนาประเทศที่สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศสามารถจัดการศึกษาในประเทศไทย
2. สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาในประเทศไทยในหลักสูตร/สาขาวิชาใดต้องดําเนินการจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบ หลักสูตร รายวิชา และคณาจารย์ตามกระบวนการและคุณภาพเดียวกับที่จัดการเรียนการสอนของหลักสูตร สาขาวิชานั้น ในวิทยาเขตหลัก (Main Campus) ของสถาบันอุดมศึกษานั้น
3. สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศที่ประสงค์จะเข้ามาจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาในประเทศไทย ต้องยื่นแบบฟอร์มคําขอจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศพร้อมหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ต่อคณะอนุกรรมการพิจารณาคําขอจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ ตามแบบฟอร์มที่สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษากําหนด
4. สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศต้องจัดการศึกษาเฉพาะในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)โดยไม่สามารถเปิดวิทยาเขตเพื่อจัดการศึกษานอกพื้นที่ได้ เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจาก คพอต. ซึ่งการจัดการศึกษาดังกล่าวต้องเป็นการดําเนินการร่วมกับสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเป็นการดําเนินการเพื่อประโยชน์ในการส่งเสริม สนับสนุน หรือพัฒนาการจัดการศึกษาภายในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก รวมถึงต้องจัดให้มีบริการที่เหมาะสมเพื่อประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนของนักศึกษา และใช้ประโยชน์ได้อย่างเสมอภาคเช่นเดียวกับนักศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาในวิทยาเขตหลัก (Main Campus)
บัลลังก์ โรหิตเสถียร:สรุป
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สํานักงานรัฐมนตรี และ
กลุ่มสารนิเทศ สอ.สป.:รายงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบหลักเกณฑ์การจัดการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม 2560
ครม.เห็นชอบหลักเกณฑ์การจัดการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเปิดเผยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่17ตุลาคม2560ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ คือ ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์ รูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไข ในการดําเนินการจัดการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ โดยสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาการจัดการศึกษาโดยสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ (คพอต.) ได้จัดทําหลักเกณฑ์ รูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขในการดําเนินการจัดการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่29/2560เรื่อง การส่งเสริมการจัดการศึกษาโดยสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศลงวันที่26พฤษภาคม2560โดยมีสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศที่เข้ามาดําเนินการจัดการศึกษาในประเทศไทย ต้องได้รับการรับรองในสาขาวิชาจากการจัดอันดับของ Quacquarelli Symonds (QS) หรือ Times Higher Education (THE)หรือหน่วยงานอื่น ๆ ตามที่ คพอต. เห็นชอบ และต้องจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรที่เป็นประโยชน์และมีความสําคัญต่อการพัฒนาประเทศไทย ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาการจัดการศึกษา โดยสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ เรื่อง การกําหนดศาสตร์วิทยาการและสาขาวิชาที่เป็นประโยชน์และมีความสําคัญต่อการพัฒนาประเทศที่สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศสามารถจัดการศึกษาในประเทศไทย
2. สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาในประเทศไทยในหลักสูตร/สาขาวิชาใดต้องดําเนินการจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบ หลักสูตร รายวิชา และคณาจารย์ตามกระบวนการและคุณภาพเดียวกับที่จัดการเรียนการสอนของหลักสูตร สาขาวิชานั้น ในวิทยาเขตหลัก (Main Campus) ของสถาบันอุดมศึกษานั้น
3. สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศที่ประสงค์จะเข้ามาจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาในประเทศไทย ต้องยื่นแบบฟอร์มคําขอจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศพร้อมหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ต่อคณะอนุกรรมการพิจารณาคําขอจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ ตามแบบฟอร์มที่สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษากําหนด
4. สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศต้องจัดการศึกษาเฉพาะในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)โดยไม่สามารถเปิดวิทยาเขตเพื่อจัดการศึกษานอกพื้นที่ได้ เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจาก คพอต. ซึ่งการจัดการศึกษาดังกล่าวต้องเป็นการดําเนินการร่วมกับสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเป็นการดําเนินการเพื่อประโยชน์ในการส่งเสริม สนับสนุน หรือพัฒนาการจัดการศึกษาภายในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก รวมถึงต้องจัดให้มีบริการที่เหมาะสมเพื่อประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนของนักศึกษา และใช้ประโยชน์ได้อย่างเสมอภาคเช่นเดียวกับนักศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาในวิทยาเขตหลัก (Main Campus)
บัลลังก์ โรหิตเสถียร:สรุป
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สํานักงานรัฐมนตรี และ
กลุ่มสารนิเทศ สอ.สป.:รายงาน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7491
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติเตรียมเสนอปลากัดเป็นปลาประจำชาติไทย
|
วันอังคารที่ 22 มกราคม 2562
คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติเตรียมเสนอปลากัดเป็นปลาประจําชาติไทย
รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ 1/2562
วันนี้ ( 22 มกราคม 2562) เวลา 14.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน การประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ที่ประชุมเห็นชอบ ให้เสนอปลากัดเป็นปลาประจําชาติไทย โดยกรมประมงจะนําเสนอเข้าสู่วาระพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมีความเห็นประกอบการพิจารณาใน 3 มิติ ดังนี้ 1) มิติด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ความเป็นมา ความเกี่ยวเนื่องของวัฒนธรรมไทย โดยมีหลักฐานยืนยันว่า ปลากัดไทยปรากฏในบทประพันธ์ วรรณคดีไทยและประวัติศาสตร์ไทยมานานกว่า 100 ปี และเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2556 กระทรวงวัฒนธรรมได้ประกาศขึ้นทะเบียนปลากัดไทยเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ประเภทการจัดการทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน 2) มิติด้านความเป็นเจ้าของ ชื่อ“Siamese Fighting fish” ซึ่งเป็นชื่อที่ถูกพบในประวัติศาสตร์ เป็นที่บ่งบอกและได้รับการยอมรับเชิงวิชาการและในวงการวิชาการสัตว์น้ํา ยังมีข้อมูลระบุแหล่งพบปลากัดในแม่น้ําเจ้าพระยา 3) มิติด้านประโยชน์ หากประกาศให้ปลากัดไทยเป็นปลาประจําชาติ จะช่วยในการรักษาพันธุ์ ส่งเสริมการเลี้ยงปลากัดและสร้างนวัตกรรมด้านการเพาะพันธุ์ยังนําไปสู่การค้าเชิงพาณิชย์และก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ทั้งยังสามารถถูกใช้เป็นสัญลักษณ์การประมงของไทย ประกอบสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อสะท้อนความเป็นไทย รวมทั้งยังทําให้สามารถนําไปเจรจาต่อรองตามอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity : CBD) เพื่อป้องกันการนําปลากัดไทยไปจดสิทธิบัตรอีกด้วย
...........................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติเตรียมเสนอปลากัดเป็นปลาประจำชาติไทย
วันอังคารที่ 22 มกราคม 2562
คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติเตรียมเสนอปลากัดเป็นปลาประจําชาติไทย
รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ 1/2562
วันนี้ ( 22 มกราคม 2562) เวลา 14.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน การประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ที่ประชุมเห็นชอบ ให้เสนอปลากัดเป็นปลาประจําชาติไทย โดยกรมประมงจะนําเสนอเข้าสู่วาระพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมีความเห็นประกอบการพิจารณาใน 3 มิติ ดังนี้ 1) มิติด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ความเป็นมา ความเกี่ยวเนื่องของวัฒนธรรมไทย โดยมีหลักฐานยืนยันว่า ปลากัดไทยปรากฏในบทประพันธ์ วรรณคดีไทยและประวัติศาสตร์ไทยมานานกว่า 100 ปี และเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2556 กระทรวงวัฒนธรรมได้ประกาศขึ้นทะเบียนปลากัดไทยเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ประเภทการจัดการทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน 2) มิติด้านความเป็นเจ้าของ ชื่อ“Siamese Fighting fish” ซึ่งเป็นชื่อที่ถูกพบในประวัติศาสตร์ เป็นที่บ่งบอกและได้รับการยอมรับเชิงวิชาการและในวงการวิชาการสัตว์น้ํา ยังมีข้อมูลระบุแหล่งพบปลากัดในแม่น้ําเจ้าพระยา 3) มิติด้านประโยชน์ หากประกาศให้ปลากัดไทยเป็นปลาประจําชาติ จะช่วยในการรักษาพันธุ์ ส่งเสริมการเลี้ยงปลากัดและสร้างนวัตกรรมด้านการเพาะพันธุ์ยังนําไปสู่การค้าเชิงพาณิชย์และก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ทั้งยังสามารถถูกใช้เป็นสัญลักษณ์การประมงของไทย ประกอบสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อสะท้อนความเป็นไทย รวมทั้งยังทําให้สามารถนําไปเจรจาต่อรองตามอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity : CBD) เพื่อป้องกันการนําปลากัดไทยไปจดสิทธิบัตรอีกด้วย
...........................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18288
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ชื่นชม 3 ผลงานเด่นเขตสุขภาพที่ 2 นำไปเป็นต้นแบบการดำเนินงานหน่วยงานในสังกัด
|
วันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม 2560
สธ.ชื่นชม 3 ผลงานเด่นเขตสุขภาพที่ 2 นําไปเป็นต้นแบบการดําเนินงานหน่วยงานในสังกัด
เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขชื่นชม 3 ผลงานเด่นเขตสุขภาพที่ 2 สามรถนําไปประยุกต์ใช้และเป็นต้นแบบการดําเนินงานในหน่วยงานในสังกัด เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ ลดความเหลื่อมล้ํา
เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขชื่นชม3ผลงานเด่นเขตสุขภาพที่2สามรถนําไปประยุกต์ใช้และเป็นต้นแบบการดําเนินงานในหน่วยงานในสังกัด เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ ลดความเหลื่อมล้ํา มุ่งสู่ประชาชนสุขภาพดี เจ้าหน้าที่มีความสุข ระบบสุขภาพยั่งยืน
แพทย์หญิงมยุรา กุสุมภ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยแพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมแพทย์ นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข และคณะตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขเขตสุขภาพที่2ประกอบด้วย5จังหวัดได้แก่ จังหวัดตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ สุโขทัย ที่ โรงพยาบาลสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย
แพทย์หญิงมยุรากล่าวว่า ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบหมายให้ติดตามการดําเนินงานตามนโยบายกระทรวงสาธารณสุขในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนได้รับการดูแลตั้งแต่ระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ตติยภูมิ จนถึงศูนย์เชี่ยวชาญระดับสูง มีระบบส่งต่อภายในเครือข่าย เกิดการดูแลแบบเบ็ดเสร็จ เพิ่มการเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพและลดความเหลื่อมล้ํา ภายใต้สโลแกน “บริการทุกคน ทุกอย่าง ทุกที่ ทุกเวลาด้วยเทคโนโลยี”
แพทย์หญิงมยุรา กล่าวต่อว่า เขตสุขภาพที่2ได้นําเสนอผลการดําเนินงานที่เป็นการดําเนินงานที่น่าชื่นชม3เรื่องได้แก่1.แฮปปี้มันนี่ ของโรงพยาบาลพุทธชินราช จ.พิษณุโลก ปัญหาการเงินเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการทํางานโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยที่เป็นหนี้นอกระบบ โดยเปิดรับเจ้าหน้าที่ที่เป็นหนี้เข้ารับการอบรมปรับทัศนคติเกี่ยวกับการเงิน ทําบัญชีรายรับ รายจ่าย จัดตั้งคลินิกการเงินจัดการหนี้สร้างวินัยการเงินการออม และปลดหนี้นอกระบบให้ผู้ที่ผ่านการประเมินโดยไม่คิดดอกเบี้ย ให้ผ่อนจ่ายคืนในอัตราที่เหมาะสม ผลการดําเนินงานพบว่าเจ้าหน้าที่มีความสุขขึ้น ประสิทธิภาพการทํางานเพิ่มขึ้น ไม่พึ่งพาหนี้นอกระบบ2.โรงพยาบาลสร้างสุขโดยเขตสุขภาพที่2ดําเนินการไปแล้ว2โรงพยาบาลได้แก่ โรงพยาบาลท่าสองยาง จ.ตาก โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชหล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ โดยโรงพยาบาลคํานึงถึงผู้รับบริการและตัวผู้ปฏิบัติ ให้เจ้าหน้าที่ได้เข้ารับการอบรมหลักสูตรต่างๆอาทิ การสื่อสารอย่างสันติ การพัฒนาจิตใจให้เป็นวิถีเพื่อไปใช้ในชีวิตประจําวันมีการจัดกิจกรรมเช่น สร้างสุขก่อนเริ่มงาน สุขสําราญก่อนกลับบ้าน ประชุมแบบมีส่วนร่วม ป้ายเตือนสติ เป็นต้น ผลการดําเนินงานทําให้ผู้มารับบริการพึงพอใจมากขึ้น จํานวนร้องเรียนน้อยลง ได้รับคําชื่นชมจากผู้รับบริการทั้งต่อหน้าและทางสื่อออนไลน์
3.โครงการพัฒนาคุณภาพระบบข้อมูลและสารสนเทศงานอุบัติเหตุ จังหวัดสุโขทัย โดยใช้โปรแกรม(JOC2016)จัดเก็บและบันทึกข้อมูลอุบัติเหตุที่ถูกต้องเพิ่มขึ้น สามารถกรอกข้อมูลในระบบได้รวดเร็วและคล่องตัว นําข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุและจุดที่เกิดเหตุมาแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุได้อย่างแม่นยํามากขึ้น นอกจากนี้เขตสุขภาพที่2ยังมีการพัฒนาด้านเชิงระบบการจัดการ เช่น การทําแผนการลงทุนระยะยาว แผนการจัดการกําลังคนระยะยาวทั้งเขตเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความต่อเนื่องในการทํางานมีการดําเนินงานคัดกรองผู้ป่วยไตวายเพื่อป้องกันและชะลอการป่วยไตวายเรื้อรัง การคัดกรองและผ่าตัดต้อกระจกป้องกันการตาบอดป้องกันและลดการเสียชีวิตทารกแรกเกิด เป็นต้น
**********************************10 ธันวาคม2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ชื่นชม 3 ผลงานเด่นเขตสุขภาพที่ 2 นำไปเป็นต้นแบบการดำเนินงานหน่วยงานในสังกัด
วันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม 2560
สธ.ชื่นชม 3 ผลงานเด่นเขตสุขภาพที่ 2 นําไปเป็นต้นแบบการดําเนินงานหน่วยงานในสังกัด
เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขชื่นชม 3 ผลงานเด่นเขตสุขภาพที่ 2 สามรถนําไปประยุกต์ใช้และเป็นต้นแบบการดําเนินงานในหน่วยงานในสังกัด เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ ลดความเหลื่อมล้ํา
เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขชื่นชม3ผลงานเด่นเขตสุขภาพที่2สามรถนําไปประยุกต์ใช้และเป็นต้นแบบการดําเนินงานในหน่วยงานในสังกัด เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ ลดความเหลื่อมล้ํา มุ่งสู่ประชาชนสุขภาพดี เจ้าหน้าที่มีความสุข ระบบสุขภาพยั่งยืน
แพทย์หญิงมยุรา กุสุมภ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยแพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมแพทย์ นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข และคณะตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขเขตสุขภาพที่2ประกอบด้วย5จังหวัดได้แก่ จังหวัดตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ สุโขทัย ที่ โรงพยาบาลสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย
แพทย์หญิงมยุรากล่าวว่า ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบหมายให้ติดตามการดําเนินงานตามนโยบายกระทรวงสาธารณสุขในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนได้รับการดูแลตั้งแต่ระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ตติยภูมิ จนถึงศูนย์เชี่ยวชาญระดับสูง มีระบบส่งต่อภายในเครือข่าย เกิดการดูแลแบบเบ็ดเสร็จ เพิ่มการเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพและลดความเหลื่อมล้ํา ภายใต้สโลแกน “บริการทุกคน ทุกอย่าง ทุกที่ ทุกเวลาด้วยเทคโนโลยี”
แพทย์หญิงมยุรา กล่าวต่อว่า เขตสุขภาพที่2ได้นําเสนอผลการดําเนินงานที่เป็นการดําเนินงานที่น่าชื่นชม3เรื่องได้แก่1.แฮปปี้มันนี่ ของโรงพยาบาลพุทธชินราช จ.พิษณุโลก ปัญหาการเงินเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการทํางานโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยที่เป็นหนี้นอกระบบ โดยเปิดรับเจ้าหน้าที่ที่เป็นหนี้เข้ารับการอบรมปรับทัศนคติเกี่ยวกับการเงิน ทําบัญชีรายรับ รายจ่าย จัดตั้งคลินิกการเงินจัดการหนี้สร้างวินัยการเงินการออม และปลดหนี้นอกระบบให้ผู้ที่ผ่านการประเมินโดยไม่คิดดอกเบี้ย ให้ผ่อนจ่ายคืนในอัตราที่เหมาะสม ผลการดําเนินงานพบว่าเจ้าหน้าที่มีความสุขขึ้น ประสิทธิภาพการทํางานเพิ่มขึ้น ไม่พึ่งพาหนี้นอกระบบ2.โรงพยาบาลสร้างสุขโดยเขตสุขภาพที่2ดําเนินการไปแล้ว2โรงพยาบาลได้แก่ โรงพยาบาลท่าสองยาง จ.ตาก โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชหล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ โดยโรงพยาบาลคํานึงถึงผู้รับบริการและตัวผู้ปฏิบัติ ให้เจ้าหน้าที่ได้เข้ารับการอบรมหลักสูตรต่างๆอาทิ การสื่อสารอย่างสันติ การพัฒนาจิตใจให้เป็นวิถีเพื่อไปใช้ในชีวิตประจําวันมีการจัดกิจกรรมเช่น สร้างสุขก่อนเริ่มงาน สุขสําราญก่อนกลับบ้าน ประชุมแบบมีส่วนร่วม ป้ายเตือนสติ เป็นต้น ผลการดําเนินงานทําให้ผู้มารับบริการพึงพอใจมากขึ้น จํานวนร้องเรียนน้อยลง ได้รับคําชื่นชมจากผู้รับบริการทั้งต่อหน้าและทางสื่อออนไลน์
3.โครงการพัฒนาคุณภาพระบบข้อมูลและสารสนเทศงานอุบัติเหตุ จังหวัดสุโขทัย โดยใช้โปรแกรม(JOC2016)จัดเก็บและบันทึกข้อมูลอุบัติเหตุที่ถูกต้องเพิ่มขึ้น สามารถกรอกข้อมูลในระบบได้รวดเร็วและคล่องตัว นําข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุและจุดที่เกิดเหตุมาแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุได้อย่างแม่นยํามากขึ้น นอกจากนี้เขตสุขภาพที่2ยังมีการพัฒนาด้านเชิงระบบการจัดการ เช่น การทําแผนการลงทุนระยะยาว แผนการจัดการกําลังคนระยะยาวทั้งเขตเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความต่อเนื่องในการทํางานมีการดําเนินงานคัดกรองผู้ป่วยไตวายเพื่อป้องกันและชะลอการป่วยไตวายเรื้อรัง การคัดกรองและผ่าตัดต้อกระจกป้องกันการตาบอดป้องกันและลดการเสียชีวิตทารกแรกเกิด เป็นต้น
**********************************10 ธันวาคม2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8666
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนวทางสำหรับแม่ครัวและผู้ประกอบอาหารในการป้องกันเชื้อโรค
|
วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน 2563
แนวทางสําหรับแม่ครัวและผู้ประกอบอาหารในการป้องกันเชื้อโรค
มีแนวทางอย่างไรบ้างนะ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนวทางสำหรับแม่ครัวและผู้ประกอบอาหารในการป้องกันเชื้อโรค
วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน 2563
แนวทางสําหรับแม่ครัวและผู้ประกอบอาหารในการป้องกันเชื้อโรค
มีแนวทางอย่างไรบ้างนะ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32570
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.เผยยอดสถานศึกษาในพื้นที่เสี่ยงพายุโซนร้อนปาบึก
|
วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562
ศธ.เผยยอดสถานศึกษาในพื้นที่เสี่ยงพายุโซนร้อนปาบึก
(4 ม.ค.2562) ศธ.เผยยอดสถานศึกษาในพื้นที่เสี่ยงพายุโซนร้อน "ปาบึก" ใน 16 จังหวัดภาคใต้และภาคใต้ชายแดน จํานวน 5,661 แห่ง สั่งปิดเรียนวันนี้ 1,482 แห่ง ล่าสุดได้รับความเสียหายจากพายุแล้ว 3 แห่ง
(4 ม.ค.2562) ศธ.เผยยอดสถานศึกษาในพื้นที่เสี่ยงพายุโซนร้อน "ปาบึก" ใน16 จังหวัดภาคใต้และภาคใต้ชายแดนจํานวน5,661 แห่ง สั่งปิดเรียนวันนี้ 1,482 แห่ง ล่าสุดได้รับความเสียหายจากพายุแล้ว 3 แห่ง
นายอํานาจ วิชยานุวัติ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการศูนย์ป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติพายุโซนร้อน “ปาบึก”(PABUK) กระทรวงศึกษาธิการเปิดเผยถึงรายงานสถานการณ์ภัยพิบัติพายุโซนร้อนปาบึก ณ วันที่ 4 ม.ค.2562 เวลา 12.45 น. ว่า ขณะนี้มีสถานศึกษาปิดเรียนแล้วจํานวน 1,482 แห่ง จากทั้งหมด 5,661 แห่ง แบ่งเป็น
สํานักงานศึกษาธิการภาค 6ตั้งอยู่ที่ ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมืองนครศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช รับผิดชอบพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี มีสถานศึกษาปิดเรียนแล้ว 1,194 แห่ง มีสถานศึกษาที่ได้รับความเสียหาย 2 แห่ง
สํานักงานศึกษาธิการภาค 7ตั้งอยู่ที่ ต.ตลาดใหญ่ อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต รับผิดชอบพื้นที่ จ.ภูเก็ต ระนอง พังงา กระบี่ และตรัง ยังไม่มีสถานศึกษาปิดเรียนและได้รับความเสียหาย
สํานักงานศึกษาธิการภาค 8ตั้งอยู่ที่ ต.สะเตง อ.เมืองยะลา จ.ยะลา รับผิดชอบพื้นที่ จ.ยะลา พัทลุง สงขลา ปัตตานี นราธิวาส และสตูล มีสถานศึกษาปิดเรียนแล้ว 288 แห่ง และมีสถานศึกษาที่ได้รับความเสียหาย 1 แห่ง
Writtenbyบัลลังก์ โรหิตเสถียร
Photo Creditอานนท์ วิชานนท์
Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.เผยยอดสถานศึกษาในพื้นที่เสี่ยงพายุโซนร้อนปาบึก
วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562
ศธ.เผยยอดสถานศึกษาในพื้นที่เสี่ยงพายุโซนร้อนปาบึก
(4 ม.ค.2562) ศธ.เผยยอดสถานศึกษาในพื้นที่เสี่ยงพายุโซนร้อน "ปาบึก" ใน 16 จังหวัดภาคใต้และภาคใต้ชายแดน จํานวน 5,661 แห่ง สั่งปิดเรียนวันนี้ 1,482 แห่ง ล่าสุดได้รับความเสียหายจากพายุแล้ว 3 แห่ง
(4 ม.ค.2562) ศธ.เผยยอดสถานศึกษาในพื้นที่เสี่ยงพายุโซนร้อน "ปาบึก" ใน16 จังหวัดภาคใต้และภาคใต้ชายแดนจํานวน5,661 แห่ง สั่งปิดเรียนวันนี้ 1,482 แห่ง ล่าสุดได้รับความเสียหายจากพายุแล้ว 3 แห่ง
นายอํานาจ วิชยานุวัติ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการศูนย์ป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติพายุโซนร้อน “ปาบึก”(PABUK) กระทรวงศึกษาธิการเปิดเผยถึงรายงานสถานการณ์ภัยพิบัติพายุโซนร้อนปาบึก ณ วันที่ 4 ม.ค.2562 เวลา 12.45 น. ว่า ขณะนี้มีสถานศึกษาปิดเรียนแล้วจํานวน 1,482 แห่ง จากทั้งหมด 5,661 แห่ง แบ่งเป็น
สํานักงานศึกษาธิการภาค 6ตั้งอยู่ที่ ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมืองนครศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช รับผิดชอบพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี มีสถานศึกษาปิดเรียนแล้ว 1,194 แห่ง มีสถานศึกษาที่ได้รับความเสียหาย 2 แห่ง
สํานักงานศึกษาธิการภาค 7ตั้งอยู่ที่ ต.ตลาดใหญ่ อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต รับผิดชอบพื้นที่ จ.ภูเก็ต ระนอง พังงา กระบี่ และตรัง ยังไม่มีสถานศึกษาปิดเรียนและได้รับความเสียหาย
สํานักงานศึกษาธิการภาค 8ตั้งอยู่ที่ ต.สะเตง อ.เมืองยะลา จ.ยะลา รับผิดชอบพื้นที่ จ.ยะลา พัทลุง สงขลา ปัตตานี นราธิวาส และสตูล มีสถานศึกษาปิดเรียนแล้ว 288 แห่ง และมีสถานศึกษาที่ได้รับความเสียหาย 1 แห่ง
Writtenbyบัลลังก์ โรหิตเสถียร
Photo Creditอานนท์ วิชานนท์
Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17966
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอมั่นใจอุตฯอุปกรณ์การแพทย์หนุนเศรษฐกิจยุค 4.0
|
วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม 2560
บีโอไอมั่นใจอุตฯอุปกรณ์การแพทย์หนุนเศรษฐกิจยุค 4.0
บีโอไอเผยกิจการทางการแพทย์พัฒนารับนโยบายยุค 4.0 ชี้ ผู้เชี่ยวชาญไทยลงทุนผลิตกระดูกเทียมด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติ ลดปัญหานําเข้าวัสดุที่มีขนาดไม่รับกับสรีระคนไทย ยันแนวโน้มญี่ปุ่นมาแรงหลังผู้ผลิตรายใหญ่ลงพื้นที่เตรียมลงทุน
นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ขณะนี้การลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” ของรัฐบาล ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนในกิจการทางการแพทย์ตั้งแต่ต้นปี2560(มกราคม-มิถุนายน 2560) มีการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนแล้ว19โครงการ เงินลงทุน 3,615 ล้านบาท
มีกิจการลงทุนที่น่าสนใจและเป็นกิจการของคนไทยที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนแล้ว ได้แก่บริษัท เมติคูลี่ จํากัด ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูก และผู้วิจัยด้านวิศวกรรมโลหการ (Metallurgical Engineering) จากสถาบันอุดมศึกษาของไทย เพื่อผลิตวัสดุฝังในร่างกาย ประเภทกระดูกเทียม และแผ่นโลหะดามกระดูก โดยนําเครื่องพิมพ์สามมิติ (3D)มาใช้ออกแบบและขึ้นรูปวัสดุให้ตรงกับ รูปร่าง หรือใกล้เคียงกับอวัยวะในส่วนเดิมของผู้ป่วยแต่ละราย (Customization)มากที่สุด ซึ่งนวัตกรรม ดังกล่าวจะช่วยแก้ปัญหากรณีผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านกระดูกจากอุบัติเหตุหรือมีปัญหากระดูกในผู้ป่วยโรคมะเร็ง และที่ผ่านมาต้องใช้วัสดุนําเข้าจากยุโรปที่มีราคาสูง รวมถึงมีขนาดหรือสัดส่วนของอุปกรณ์ไม่เหมาะกับสรีระคนไทยอีกด้วย เบื้องต้นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้จากโครงการนี้จะป้อนให้กับผู้ป่วยในประเทศทั้งหมด
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อผลิตวัสดุที่สามารถเหนี่ยวยึดกระดูกได้ดี สําหรับผู้ป่วยสูงอายุ หรือผู้ป่วยที่มีปัญหากระดูกพรุน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจการที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา ผู้ป่วยด้านกระดูกได้มากขึ้น
นางหิรัญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับแนวโน้มการลงทุนผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์จากประเทศญี่ปุ่นก็มีความน่าสนใจด้วยเช่นกัน โดยนอกจากหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (Japanese Chamber of Commerce, Bangkok)ได้ตั้งคณะกรรมการด้านอุตสาหกรรมอุปกรณ์การแพทย์ขึ้นมาศึกษาการลงทุนในไทยและพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี แล้ว ยังมีนักลงทุนญี่ปุ่นจํานวนมากสนใจขยายกิจการเดิมที่ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ทั่วไป โดยจะยกระดับการผลิตด้วยการนําเทคโนโลยีเข้ามาสร้างมูลค่าเพิ่ม สูงขึ้น
ล่าสุดมีนักลงทุนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์รายใหญ่ แสดงความสนใจเข้ามาดูลู่ทางการลงทุนในกิจการผลิตกระดูกเทียม และแผ่นโลหะดามกระดูก ในประเทศไทย ช่วงแรกอาจเป็นการจัดตั้งกิจการบริษัทการค้าระหว่างประเทศหรือITCและจะพิจารณาเข้ามาลงทุนในโอกาสต่อไป ซึ่งหากการลงทุนตามโครงการดังกล่าวเกิดขึ้น จะทําให้ไทยเป็นประเทศแรกที่บริษัทเลือกเข้ามาลงทุนนอกประเทศญี่ปุ่น
“วงการแพทย์ทั่วโลกยอมรับฝีมือของผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกของไทยอย่างมาก ประกอบกับศักยภาพของการขยายตลาด และความชัดเจนในการส่งเสริมอุตสาหกรรมดังกล่าวในพื้นที่อีอีซี ซึ่งสามารถเป็นฐานการผลิตที่กระจายสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้ ทําให้มั่นใจได้ว่าอุตสาหกรรมอุปกรณ์การแพทย์เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องตลอดปีนี้” นางหิรัญญา กล่าว
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอมั่นใจอุตฯอุปกรณ์การแพทย์หนุนเศรษฐกิจยุค 4.0
วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม 2560
บีโอไอมั่นใจอุตฯอุปกรณ์การแพทย์หนุนเศรษฐกิจยุค 4.0
บีโอไอเผยกิจการทางการแพทย์พัฒนารับนโยบายยุค 4.0 ชี้ ผู้เชี่ยวชาญไทยลงทุนผลิตกระดูกเทียมด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติ ลดปัญหานําเข้าวัสดุที่มีขนาดไม่รับกับสรีระคนไทย ยันแนวโน้มญี่ปุ่นมาแรงหลังผู้ผลิตรายใหญ่ลงพื้นที่เตรียมลงทุน
นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ขณะนี้การลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” ของรัฐบาล ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนในกิจการทางการแพทย์ตั้งแต่ต้นปี2560(มกราคม-มิถุนายน 2560) มีการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนแล้ว19โครงการ เงินลงทุน 3,615 ล้านบาท
มีกิจการลงทุนที่น่าสนใจและเป็นกิจการของคนไทยที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนแล้ว ได้แก่บริษัท เมติคูลี่ จํากัด ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูก และผู้วิจัยด้านวิศวกรรมโลหการ (Metallurgical Engineering) จากสถาบันอุดมศึกษาของไทย เพื่อผลิตวัสดุฝังในร่างกาย ประเภทกระดูกเทียม และแผ่นโลหะดามกระดูก โดยนําเครื่องพิมพ์สามมิติ (3D)มาใช้ออกแบบและขึ้นรูปวัสดุให้ตรงกับ รูปร่าง หรือใกล้เคียงกับอวัยวะในส่วนเดิมของผู้ป่วยแต่ละราย (Customization)มากที่สุด ซึ่งนวัตกรรม ดังกล่าวจะช่วยแก้ปัญหากรณีผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านกระดูกจากอุบัติเหตุหรือมีปัญหากระดูกในผู้ป่วยโรคมะเร็ง และที่ผ่านมาต้องใช้วัสดุนําเข้าจากยุโรปที่มีราคาสูง รวมถึงมีขนาดหรือสัดส่วนของอุปกรณ์ไม่เหมาะกับสรีระคนไทยอีกด้วย เบื้องต้นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้จากโครงการนี้จะป้อนให้กับผู้ป่วยในประเทศทั้งหมด
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อผลิตวัสดุที่สามารถเหนี่ยวยึดกระดูกได้ดี สําหรับผู้ป่วยสูงอายุ หรือผู้ป่วยที่มีปัญหากระดูกพรุน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจการที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา ผู้ป่วยด้านกระดูกได้มากขึ้น
นางหิรัญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับแนวโน้มการลงทุนผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์จากประเทศญี่ปุ่นก็มีความน่าสนใจด้วยเช่นกัน โดยนอกจากหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (Japanese Chamber of Commerce, Bangkok)ได้ตั้งคณะกรรมการด้านอุตสาหกรรมอุปกรณ์การแพทย์ขึ้นมาศึกษาการลงทุนในไทยและพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี แล้ว ยังมีนักลงทุนญี่ปุ่นจํานวนมากสนใจขยายกิจการเดิมที่ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ทั่วไป โดยจะยกระดับการผลิตด้วยการนําเทคโนโลยีเข้ามาสร้างมูลค่าเพิ่ม สูงขึ้น
ล่าสุดมีนักลงทุนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์รายใหญ่ แสดงความสนใจเข้ามาดูลู่ทางการลงทุนในกิจการผลิตกระดูกเทียม และแผ่นโลหะดามกระดูก ในประเทศไทย ช่วงแรกอาจเป็นการจัดตั้งกิจการบริษัทการค้าระหว่างประเทศหรือITCและจะพิจารณาเข้ามาลงทุนในโอกาสต่อไป ซึ่งหากการลงทุนตามโครงการดังกล่าวเกิดขึ้น จะทําให้ไทยเป็นประเทศแรกที่บริษัทเลือกเข้ามาลงทุนนอกประเทศญี่ปุ่น
“วงการแพทย์ทั่วโลกยอมรับฝีมือของผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกของไทยอย่างมาก ประกอบกับศักยภาพของการขยายตลาด และความชัดเจนในการส่งเสริมอุตสาหกรรมดังกล่าวในพื้นที่อีอีซี ซึ่งสามารถเป็นฐานการผลิตที่กระจายสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้ ทําให้มั่นใจได้ว่าอุตสาหกรรมอุปกรณ์การแพทย์เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องตลอดปีนี้” นางหิรัญญา กล่าว
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5335
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลจับมือประเทศกลุ่มลุ่มน้ำโขงแก้ปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน
|
วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2562
รัฐบาลจับมือประเทศกลุ่มลุ่มน้ําโขงแก้ปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน
รัฐบาลจับมือประเทศกลุ่มลุ่มน้ําโขงแก้ปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน
นางสาวรัชดาธนาดิเรกรองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีแถลงถึงการประชุมระดับรัฐมนตรีภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ7ฝ่ายว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาคซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพและมีรองนายกรัฐมนตรีนายวิษณุเครืองามเป็นประธานเปิดการประชุมเมื่อวันที่15พฤศจิกายน2562ประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงประกอบด้วยไทยลาวเมียนมาร์เวียดนามกัมพูชาจีนร่วมกับสํานักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติต่างตระหนักถึงสถานการณ์ยาเสพติดที่มีการผลิตยาเสพติดชนิดสังเคราะห์การลักลอบค้าและการใช้ยาเสพติดเพิ่มขึ้นการปราบปรามต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายมิติการแก้ปัญหาให้ลุล่วงจําเป็นต้องอาศัยความร่วมมือและความรับผิดชอบของทุกประเทศในบริเวณแม่น้ําโขงเพราะมีความเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด
ความร่วมมือของประเทศลุ่มน้ําโขงในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทําให้มีการจับกุมคดียาเสพติดได้ถี่ขึ้นลดพื้นที่ปลูกฝิ่นได้มากความร่วมมือระหว่างจุดข้ามแดนเป็นไปอย่างสะดวกสําหรับการประชุมครั้งนี้ทุกฝ่ายได้เห็นชอบที่จะเดินหน้ารับผิดชอบร่วมกันแก้ปัญหายาเสพติดโดยมุ่งเน้นการทํางาน4ด้านคือ1)การลดอุปสงค์ยาเสพติดและส่งเสริมสุขภาพประชาชน2)ความร่วมมือด้านการปราบปราม3)ความร่วมมือด้านกฏหมายและกระบวนการยุติธรรมและ4)การส่งเสริมปลูกพืชทางเลือกอย่างยั่งยืนแทนการปลูกพืชเสพติดทั้งนี้สํานักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติจะเป็นผู้รับผิดชอบการดําเนินงานในภาพรวมและติดตามและทบทวนผลสําเร็จของการทํางานตามแผนปฏิบัติการที่ได้มีการกําหนดร่วมกันตัวอย่างแผนปฏิบัติงานเช่นการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเรื่องการระบาดของยาเสพติดทั้งโดยวิธีการกินและการฉีดการสํารวจพืชเสพติดทั้งฝิ่นและกัญชาในภูมิภาคประจําปีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อพัฒนาเทคนิคการสืบสวนและความเชี่ยวชาญด้านการตรวจพิสูจน์คดีอาชญากรรมยาเสพติดการส่งเสริมการผลิตและตลาดแก่พืชทางเลือกเพื่อให้ผู้ปลูกพืชเสพติดเลิกปลูกพืชเดิมและมีรายได้จากการปลูกพืชใหม่อย่างยั่งยืน
การดําเนินการภายใต้เป้าหมายสี่ด้านนี้แสดงถึงความรับผิดชอบและการสนับสนุนกันและกันเพื่อนําไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิผลต่อปัญหายาเสพติดในกลุ่มประเทศลุ่มน้ําโขง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลจับมือประเทศกลุ่มลุ่มน้ำโขงแก้ปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน
วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2562
รัฐบาลจับมือประเทศกลุ่มลุ่มน้ําโขงแก้ปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน
รัฐบาลจับมือประเทศกลุ่มลุ่มน้ําโขงแก้ปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน
นางสาวรัชดาธนาดิเรกรองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีแถลงถึงการประชุมระดับรัฐมนตรีภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ7ฝ่ายว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาคซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพและมีรองนายกรัฐมนตรีนายวิษณุเครืองามเป็นประธานเปิดการประชุมเมื่อวันที่15พฤศจิกายน2562ประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงประกอบด้วยไทยลาวเมียนมาร์เวียดนามกัมพูชาจีนร่วมกับสํานักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติต่างตระหนักถึงสถานการณ์ยาเสพติดที่มีการผลิตยาเสพติดชนิดสังเคราะห์การลักลอบค้าและการใช้ยาเสพติดเพิ่มขึ้นการปราบปรามต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายมิติการแก้ปัญหาให้ลุล่วงจําเป็นต้องอาศัยความร่วมมือและความรับผิดชอบของทุกประเทศในบริเวณแม่น้ําโขงเพราะมีความเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด
ความร่วมมือของประเทศลุ่มน้ําโขงในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทําให้มีการจับกุมคดียาเสพติดได้ถี่ขึ้นลดพื้นที่ปลูกฝิ่นได้มากความร่วมมือระหว่างจุดข้ามแดนเป็นไปอย่างสะดวกสําหรับการประชุมครั้งนี้ทุกฝ่ายได้เห็นชอบที่จะเดินหน้ารับผิดชอบร่วมกันแก้ปัญหายาเสพติดโดยมุ่งเน้นการทํางาน4ด้านคือ1)การลดอุปสงค์ยาเสพติดและส่งเสริมสุขภาพประชาชน2)ความร่วมมือด้านการปราบปราม3)ความร่วมมือด้านกฏหมายและกระบวนการยุติธรรมและ4)การส่งเสริมปลูกพืชทางเลือกอย่างยั่งยืนแทนการปลูกพืชเสพติดทั้งนี้สํานักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติจะเป็นผู้รับผิดชอบการดําเนินงานในภาพรวมและติดตามและทบทวนผลสําเร็จของการทํางานตามแผนปฏิบัติการที่ได้มีการกําหนดร่วมกันตัวอย่างแผนปฏิบัติงานเช่นการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเรื่องการระบาดของยาเสพติดทั้งโดยวิธีการกินและการฉีดการสํารวจพืชเสพติดทั้งฝิ่นและกัญชาในภูมิภาคประจําปีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อพัฒนาเทคนิคการสืบสวนและความเชี่ยวชาญด้านการตรวจพิสูจน์คดีอาชญากรรมยาเสพติดการส่งเสริมการผลิตและตลาดแก่พืชทางเลือกเพื่อให้ผู้ปลูกพืชเสพติดเลิกปลูกพืชเดิมและมีรายได้จากการปลูกพืชใหม่อย่างยั่งยืน
การดําเนินการภายใต้เป้าหมายสี่ด้านนี้แสดงถึงความรับผิดชอบและการสนับสนุนกันและกันเพื่อนําไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิผลต่อปัญหายาเสพติดในกลุ่มประเทศลุ่มน้ําโขง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24610
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เผย ทางการมาเลเซียกำหนดให้นายจ้างทำประกันสังคมแก่แรงงานต่างชาติ
|
วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562
ก.แรงงาน เผย ทางการมาเลเซียกําหนดให้นายจ้างทําประกันสังคมแก่แรงงานต่างชาติ
สํานักงานแรงงานในประเทศมาเลเซีย เผย แรงงานไทยที่จะไปทํางานในประเทศมาเลเซียจะต้องลงทะเบียนให้นายจ้างทําประกันสังคมกับองค์การประกันสังคมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองตามกฎหมาย
วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 สํานักงานแรงงานในประเทศมาเลเซีย แจ้งว่า รัฐบาลมาเลเซียกําหนดให้นายจ้างที่มีการจ้างแรงงานต่างชาติ (ยกเว้นตําแหน่งผู้ช่วยแม่บ้าน) จะต้องลงทะเบียนลูกจ้างกับองค์การประกันสังคม Social Security Organization หรือ Socso ภายใต้กฎหมาย Empolyee’s Social Security Act 1967 (Act 4) และแผนประกันสังคม ซึ่งกําหนดให้นายจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบเป็นจํานวน 1.25% ของค่าจ้างแก่ Socso ทุกเดือน นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป
สําหรับขั้นตอนการดําเนินการ แรงงานต่างชาติสามารถลงทะเบียนออนไลน์ ผ่านช่องทาง PERKESO (ASSIST) หรือนายจ้างสามารถกรอกแบบฟอร์มให้สมบูรณ์ และยื่นด้วยตนเองที่สํานักงานประกันสังคมในเขตพื้นที่ หรือพื้นที่ใกล้เคียงกับสํานักงาน สําหรับแรงงานต่างชาติที่ได้รับความคุ้มครองภายใต้แผนประกันเงินทดแทน (For Workers Compensation Scheme) นายจ้างต้องลงทะเบียนให้ลูกจ้าง 1 วัน หลังจากที่ประกันดังกล่าวสิ้นสุดลง
พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า แรงงานต่างชาติที่เดินทางไปทํางานในประเทศมาเลเซียอย่างถูกต้องตามกฎหมายและได้ลงทะเบียนลูกจ้างกับองค์การประกันสังคมจะได้รับสิทธิประโยชน์คุ้มครองถึง 7 กรณี ได้แก่ สิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาล สิทธิประโยชน์กรณีทุพลภาพชั่วคราว สิทธิประโยชน์กรณีทุพลภาพถาวร สิทธิประโยชน์แก่ผู้อยู่ในอุปการะ เงินสงเคราะห์เพื่อฌาปนกิจศพ (กรณีลูกจ้างเสียชีวิต) เงินสงเคราะห์แก่ผู้ดูแล (กรณีจําเป็นต้องมีผู้ดูแล) และสิทธิประโยชน์ด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพด้านร่างกายและจิตใจหากลูกจ้างบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากการทํางาน ทั้งนี้ แรงงานไทยที่จะเดินทางไปทํางานต่างประเทศขอให้ติดตามข้อมูลข่าวสารจากทางการโดยเฉพาะกฎหมายการจ้างงานเพื่อจะได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งจะทําให้ไม่เสียโอกาสด้านสิทธิประโยชน์ของแรงงานเองด้วย ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานแรงงานไทยในประเทศมาเลเซีย โทร. 03- 2145 5868 , 03- 2145 6004 หรือโทรสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เผย ทางการมาเลเซียกำหนดให้นายจ้างทำประกันสังคมแก่แรงงานต่างชาติ
วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562
ก.แรงงาน เผย ทางการมาเลเซียกําหนดให้นายจ้างทําประกันสังคมแก่แรงงานต่างชาติ
สํานักงานแรงงานในประเทศมาเลเซีย เผย แรงงานไทยที่จะไปทํางานในประเทศมาเลเซียจะต้องลงทะเบียนให้นายจ้างทําประกันสังคมกับองค์การประกันสังคมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองตามกฎหมาย
วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 สํานักงานแรงงานในประเทศมาเลเซีย แจ้งว่า รัฐบาลมาเลเซียกําหนดให้นายจ้างที่มีการจ้างแรงงานต่างชาติ (ยกเว้นตําแหน่งผู้ช่วยแม่บ้าน) จะต้องลงทะเบียนลูกจ้างกับองค์การประกันสังคม Social Security Organization หรือ Socso ภายใต้กฎหมาย Empolyee’s Social Security Act 1967 (Act 4) และแผนประกันสังคม ซึ่งกําหนดให้นายจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบเป็นจํานวน 1.25% ของค่าจ้างแก่ Socso ทุกเดือน นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป
สําหรับขั้นตอนการดําเนินการ แรงงานต่างชาติสามารถลงทะเบียนออนไลน์ ผ่านช่องทาง PERKESO (ASSIST) หรือนายจ้างสามารถกรอกแบบฟอร์มให้สมบูรณ์ และยื่นด้วยตนเองที่สํานักงานประกันสังคมในเขตพื้นที่ หรือพื้นที่ใกล้เคียงกับสํานักงาน สําหรับแรงงานต่างชาติที่ได้รับความคุ้มครองภายใต้แผนประกันเงินทดแทน (For Workers Compensation Scheme) นายจ้างต้องลงทะเบียนให้ลูกจ้าง 1 วัน หลังจากที่ประกันดังกล่าวสิ้นสุดลง
พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า แรงงานต่างชาติที่เดินทางไปทํางานในประเทศมาเลเซียอย่างถูกต้องตามกฎหมายและได้ลงทะเบียนลูกจ้างกับองค์การประกันสังคมจะได้รับสิทธิประโยชน์คุ้มครองถึง 7 กรณี ได้แก่ สิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาล สิทธิประโยชน์กรณีทุพลภาพชั่วคราว สิทธิประโยชน์กรณีทุพลภาพถาวร สิทธิประโยชน์แก่ผู้อยู่ในอุปการะ เงินสงเคราะห์เพื่อฌาปนกิจศพ (กรณีลูกจ้างเสียชีวิต) เงินสงเคราะห์แก่ผู้ดูแล (กรณีจําเป็นต้องมีผู้ดูแล) และสิทธิประโยชน์ด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพด้านร่างกายและจิตใจหากลูกจ้างบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากการทํางาน ทั้งนี้ แรงงานไทยที่จะเดินทางไปทํางานต่างประเทศขอให้ติดตามข้อมูลข่าวสารจากทางการโดยเฉพาะกฎหมายการจ้างงานเพื่อจะได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งจะทําให้ไม่เสียโอกาสด้านสิทธิประโยชน์ของแรงงานเองด้วย ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานแรงงานไทยในประเทศมาเลเซีย โทร. 03- 2145 5868 , 03- 2145 6004 หรือโทรสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18612
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ลงใต้ประชุมเร่งรัดงานในพื้นที่ พร้อมตรวจเยี่ยมโครงการ Smart Farm
|
วันพุธที่ 8 มีนาคม 2560
พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ลงใต้ประชุมเร่งรัดงานในพื้นที่ พร้อมตรวจเยี่ยมโครงการ Smart Farm
พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ลงใต้ประชุมเร่งรัดงานในพื้นที่ พร้อมตรวจเยี่ยมโครงการ Smart Farm
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กห.ในฐานะ หน.ผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ปัญหา จชต. พร้อมด้วย ผู้แทนพิเศษฯ เดินทางไปร่วมประชุมที่ศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) อ.เมือง จ.ยะลา เพื่อหารือเร่งรัดติดตามการปฏิบัติงานของส่วนราชการในพื้นที่ ได้แก่ ศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายภาคใต้ (ศอ.บต.), กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค ๔ สน.), ศูนย์ปฏิบัติการตํารวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) และเดินทางไปตรวจเยี่ยมโครงการการเกษตรก้าวหน้าริมทางหลวง หรือ Smart Farm ในพื้นที่ อ.กรงปินัง จ.ยะลา ซึ่งเป็นโครงการที่ ศอ.บต.นํามาพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการนําที่ดินที่เคยเป็นแปลงเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ แต่ปัจจุบันรกร้างและไม่มีการใช้ประโยชน์ มาพลิกฟื้นความอุดมสมบูรณ์ โดยความร่วมมือร่วมใจของคนในพื้นที่จนสามารถพัฒนานํามาใช้ประโยชน์ในทางเกษตรได้เมื่อ 8 มี.ค.60
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ลงใต้ประชุมเร่งรัดงานในพื้นที่ พร้อมตรวจเยี่ยมโครงการ Smart Farm
วันพุธที่ 8 มีนาคม 2560
พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ลงใต้ประชุมเร่งรัดงานในพื้นที่ พร้อมตรวจเยี่ยมโครงการ Smart Farm
พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ลงใต้ประชุมเร่งรัดงานในพื้นที่ พร้อมตรวจเยี่ยมโครงการ Smart Farm
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กห.ในฐานะ หน.ผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ปัญหา จชต. พร้อมด้วย ผู้แทนพิเศษฯ เดินทางไปร่วมประชุมที่ศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) อ.เมือง จ.ยะลา เพื่อหารือเร่งรัดติดตามการปฏิบัติงานของส่วนราชการในพื้นที่ ได้แก่ ศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายภาคใต้ (ศอ.บต.), กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค ๔ สน.), ศูนย์ปฏิบัติการตํารวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) และเดินทางไปตรวจเยี่ยมโครงการการเกษตรก้าวหน้าริมทางหลวง หรือ Smart Farm ในพื้นที่ อ.กรงปินัง จ.ยะลา ซึ่งเป็นโครงการที่ ศอ.บต.นํามาพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการนําที่ดินที่เคยเป็นแปลงเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ แต่ปัจจุบันรกร้างและไม่มีการใช้ประโยชน์ มาพลิกฟื้นความอุดมสมบูรณ์ โดยความร่วมมือร่วมใจของคนในพื้นที่จนสามารถพัฒนานํามาใช้ประโยชน์ในทางเกษตรได้เมื่อ 8 มี.ค.60
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2268
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยแนะ 3 ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในยุค New Normal
|
วันพุธที่ 10 มิถุนายน 2563
กรุงไทยแนะ 3 ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในยุค New Normal
ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินพิษโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปีนี้หดตัว 8.8% รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปกว่า 1.57 ล้านล้านบาท ชี้ New Normal ก่อให้เกิดกระแสสวนโลกาภิวัฒน์ ปริมาณการค้าโลกอาจหดตัวถึง 10-30%
ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินพิษโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปีนี้หดตัว 8.8% รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปกว่า 1.57 ล้านล้านบาท ชี้ New Normal ก่อให้เกิดกระแสสวนโลกาภิวัฒน์ ปริมาณการค้าโลกอาจหดตัวถึง 10-30% ธุรกิจซึ่งเกี่ยวข้องกับการส่งออกและการบริโภคในประเทศ ซึ่งมีสัดส่วน 37% ของมูลค่ายอดขายในอุตสาหกรรมไทย จะประสบกับความท้าทายที่รุนแรง เผย CEO ทั่วโลกเชื่อเศรษฐกิจจะกลับมาได้ช้าๆ แบบ U Shape แนะธุรกิจจะรอดต้องหาโอกาสจากการใช้จ่ายภาครัฐ เทรนด์สุขภาพ และการใช้ดิจิทัลเทคโนโลยี
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อํานวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2020 จะหดตัว 8.8 % และหากโควิด-19 กลับมาระบาดในระลอก 2 ทําให้ต้องปิดเมืองอีกครั้ง คาดว่า GDP จะหดตัวรุนแรงถึง 12% ในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา เศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงไทยหดตัวอย่างหนักจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและการปิดเมือง จํานวนนักท่องเที่ยวที่เข้าไทยลดลง 60% และยอดจองที่อยู่อาศัยลดลงจาก 36% ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เหลือเพียง 14% โควิด-19 ยังทําให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไปสู่ New Normal และผลการสํารวจ CEO จากบริษัททั่วโลก จํานวนมากเห็นว่าเศรษฐกิจคงกลับมาได้ช้าๆ แบบ U Shape เมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดําเนินการได้มากขึ้น หลังการค้นพบวัคซีน โดยปีนี้เศรษฐกิจจะหดตัวรุนแรงในช่วงต้นปี และอาจใช้เวลาประมาณ 1-3 ปี ในการกลับมาสู่จุดเดิม สําหรับปริมาณการค้าโลกนั้น ประเมินว่าในปีนี้ อาจหดตัวถึง 10-30%
“วิกฤติต้มยํากุ้งในปี 2540 เป็นแรงผลักดันให้เศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกมากขึ้น ขณะที่โควิด-19 ก่อให้เกิดกระแสทวนโลกาภิวัฒน์ ที่ทั่วโลกต่างหันว่าพึ่งพิงเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น รัฐบาลหลายประเทศสนับสนุนการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ และใช้มาตรการทางภาษีปกป้องบริษัทในประเทศมากขึ้น ส่งผลกระทบด้านลบกับกลุ่มธุรกิจที่พึ่งพิงการส่งออกในระดับสูง เช่น ธุรกิจยานยนต์ อัญมณีและเครื่องประดับ สิ่งทอ ส่วนอีกกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากใน New Normal คือกลุ่มที่พึ่งพาการก่อหนี้ เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งธุรกิจในสองกลุ่มนี้มียอดขายรวมกันถึง 37% ของมูลค่ายอดขายในอุตสาหกรรมไทย”
ดร. กิตติพงษ์ เรือนทิพย์ ผู้ร่วมวิจัย กล่าวว่า ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ทําให้ภาคครัวเรือนและธุรกิจมีความสามารถในการบริโภคและลงทุนลดลง ธุรกิจจํานวนมากประสบปัญหาขาดสภาพคล่องและต้องรับภาระค่าใช้จ่ายจํานวนมาก หนี้ภาคครัวเรือนและหนี้ภาคธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ ใน New Normal ต้นทุนของการทําธุรกิจจะสูงขึ้นจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจที่จะเติบโตได้ คือธุรกิจที่สามารถหาโอกาสได้จาก “GDH” ได้แก่ การกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ (G) ที่มีมูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท ผ่านการยกระดับสาธารณะสุข การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ การสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ การใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีของผู้บริโภค (D) หัวใจของการดําเนินธุรกิจ และกระแสด้านสุขภาพ (H) ซึ่งมีแนวโน้มเป็นพฤติกรรมระยะยาวของผู้บริโภค ได้แก่ ธุรกิจสุขภาพ การแพทย์ บริการด้านเทคโนโลยี เคมีภัณฑ์ ซึ่งมียอดขายรวมกัน 12% ของมูลค่ายอดขายในอุตสาหกรรมไทย
นายณัฐพร ศรีทอง ผู้ร่วมวิจัย กล่าวสรุปว่า ขณะนี้แม้ในมุมการแพร่ระบาดของโรคได้ผ่านจุดที่แย่ที่สุดไปแล้ว แต่ในมุมความท้าทายด้านเศรษฐกิจและธุรกิจใน New Normal ถือว่าเพิ่งเริ่มต้น ดังนั้นธุรกิจควรเริ่มปรับตัว โดย กระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป ให้ความสําคัญกับลดต้นทุน ยกระดับการดําเนินธุรกิจโดยอาศัยเทคโนโลยี และที่สําคัญคือต้องปรับกลยุทธ์สร้างผลิตภัณฑ์ที่เข้ากับเทรนด์ “GDH” ซึ่งจะช่วยดึงดูดความสนใจและเม็ดเงินของผู้บริโภค ยกตัวอย่างธุรกิจเกษตรที่ควรใช้โอกาสนี้ ในการก้าวไปสู่ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงใน New Normal เช่น ผลิตภัณฑ์ยางทางการแพทย์และสุขอนามัย การผลิตยาหรืออาหารเสริมจากพืช (Biopharmaceutical) และการผลิตเครื่องสําอางชีวภาพ (Biocosmetics) เป็นต้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยแนะ 3 ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในยุค New Normal
วันพุธที่ 10 มิถุนายน 2563
กรุงไทยแนะ 3 ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในยุค New Normal
ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินพิษโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปีนี้หดตัว 8.8% รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปกว่า 1.57 ล้านล้านบาท ชี้ New Normal ก่อให้เกิดกระแสสวนโลกาภิวัฒน์ ปริมาณการค้าโลกอาจหดตัวถึง 10-30%
ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินพิษโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปีนี้หดตัว 8.8% รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปกว่า 1.57 ล้านล้านบาท ชี้ New Normal ก่อให้เกิดกระแสสวนโลกาภิวัฒน์ ปริมาณการค้าโลกอาจหดตัวถึง 10-30% ธุรกิจซึ่งเกี่ยวข้องกับการส่งออกและการบริโภคในประเทศ ซึ่งมีสัดส่วน 37% ของมูลค่ายอดขายในอุตสาหกรรมไทย จะประสบกับความท้าทายที่รุนแรง เผย CEO ทั่วโลกเชื่อเศรษฐกิจจะกลับมาได้ช้าๆ แบบ U Shape แนะธุรกิจจะรอดต้องหาโอกาสจากการใช้จ่ายภาครัฐ เทรนด์สุขภาพ และการใช้ดิจิทัลเทคโนโลยี
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อํานวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2020 จะหดตัว 8.8 % และหากโควิด-19 กลับมาระบาดในระลอก 2 ทําให้ต้องปิดเมืองอีกครั้ง คาดว่า GDP จะหดตัวรุนแรงถึง 12% ในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา เศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงไทยหดตัวอย่างหนักจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและการปิดเมือง จํานวนนักท่องเที่ยวที่เข้าไทยลดลง 60% และยอดจองที่อยู่อาศัยลดลงจาก 36% ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เหลือเพียง 14% โควิด-19 ยังทําให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไปสู่ New Normal และผลการสํารวจ CEO จากบริษัททั่วโลก จํานวนมากเห็นว่าเศรษฐกิจคงกลับมาได้ช้าๆ แบบ U Shape เมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดําเนินการได้มากขึ้น หลังการค้นพบวัคซีน โดยปีนี้เศรษฐกิจจะหดตัวรุนแรงในช่วงต้นปี และอาจใช้เวลาประมาณ 1-3 ปี ในการกลับมาสู่จุดเดิม สําหรับปริมาณการค้าโลกนั้น ประเมินว่าในปีนี้ อาจหดตัวถึง 10-30%
“วิกฤติต้มยํากุ้งในปี 2540 เป็นแรงผลักดันให้เศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกมากขึ้น ขณะที่โควิด-19 ก่อให้เกิดกระแสทวนโลกาภิวัฒน์ ที่ทั่วโลกต่างหันว่าพึ่งพิงเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น รัฐบาลหลายประเทศสนับสนุนการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ และใช้มาตรการทางภาษีปกป้องบริษัทในประเทศมากขึ้น ส่งผลกระทบด้านลบกับกลุ่มธุรกิจที่พึ่งพิงการส่งออกในระดับสูง เช่น ธุรกิจยานยนต์ อัญมณีและเครื่องประดับ สิ่งทอ ส่วนอีกกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากใน New Normal คือกลุ่มที่พึ่งพาการก่อหนี้ เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งธุรกิจในสองกลุ่มนี้มียอดขายรวมกันถึง 37% ของมูลค่ายอดขายในอุตสาหกรรมไทย”
ดร. กิตติพงษ์ เรือนทิพย์ ผู้ร่วมวิจัย กล่าวว่า ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ทําให้ภาคครัวเรือนและธุรกิจมีความสามารถในการบริโภคและลงทุนลดลง ธุรกิจจํานวนมากประสบปัญหาขาดสภาพคล่องและต้องรับภาระค่าใช้จ่ายจํานวนมาก หนี้ภาคครัวเรือนและหนี้ภาคธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ ใน New Normal ต้นทุนของการทําธุรกิจจะสูงขึ้นจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจที่จะเติบโตได้ คือธุรกิจที่สามารถหาโอกาสได้จาก “GDH” ได้แก่ การกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ (G) ที่มีมูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท ผ่านการยกระดับสาธารณะสุข การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ การสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ การใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีของผู้บริโภค (D) หัวใจของการดําเนินธุรกิจ และกระแสด้านสุขภาพ (H) ซึ่งมีแนวโน้มเป็นพฤติกรรมระยะยาวของผู้บริโภค ได้แก่ ธุรกิจสุขภาพ การแพทย์ บริการด้านเทคโนโลยี เคมีภัณฑ์ ซึ่งมียอดขายรวมกัน 12% ของมูลค่ายอดขายในอุตสาหกรรมไทย
นายณัฐพร ศรีทอง ผู้ร่วมวิจัย กล่าวสรุปว่า ขณะนี้แม้ในมุมการแพร่ระบาดของโรคได้ผ่านจุดที่แย่ที่สุดไปแล้ว แต่ในมุมความท้าทายด้านเศรษฐกิจและธุรกิจใน New Normal ถือว่าเพิ่งเริ่มต้น ดังนั้นธุรกิจควรเริ่มปรับตัว โดย กระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป ให้ความสําคัญกับลดต้นทุน ยกระดับการดําเนินธุรกิจโดยอาศัยเทคโนโลยี และที่สําคัญคือต้องปรับกลยุทธ์สร้างผลิตภัณฑ์ที่เข้ากับเทรนด์ “GDH” ซึ่งจะช่วยดึงดูดความสนใจและเม็ดเงินของผู้บริโภค ยกตัวอย่างธุรกิจเกษตรที่ควรใช้โอกาสนี้ ในการก้าวไปสู่ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงใน New Normal เช่น ผลิตภัณฑ์ยางทางการแพทย์และสุขอนามัย การผลิตยาหรืออาหารเสริมจากพืช (Biopharmaceutical) และการผลิตเครื่องสําอางชีวภาพ (Biocosmetics) เป็นต้น
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32141
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันมีการตรวจสอบการใช้งบประมาณดูงานต่างประเทศทุกหลักสูตร พร้อมสั่งการให้ทำรายงานเสนอทุกครั้ง
|
วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560
นายกรัฐมนตรียืนยันมีการตรวจสอบการใช้งบประมาณดูงานต่างประเทศทุกหลักสูตร พร้อมสั่งการให้ทํารายงานเสนอทุกครั้ง
นายกรัฐมนตรียืนยันมีการตรวจสอบการใช้งบประมาณดูงานต่างประเทศทุกหลักสูตร พร้อมสั่งการให้ทํารายงานเสนอทุกครั้ง
วันนี้ (28 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 15.20 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการติดตาม ตรวจสอบ กรณีการเดินทางไปดูงานในต่างประเทศว่า จะต้องตรวจสอบทุกหลักสูตรกรณีการเดินทางไปดูงานในต่างประเทศ ถึงความเหมาะสม และความคุ้มค่า พร้อมกับกําชับเรื่องการใช้งบประมาณ และให้ทํารายงานนําเสนอตนเองเพี่อพิจารณานําผลการไปดูงานมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย
---------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันมีการตรวจสอบการใช้งบประมาณดูงานต่างประเทศทุกหลักสูตร พร้อมสั่งการให้ทำรายงานเสนอทุกครั้ง
วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560
นายกรัฐมนตรียืนยันมีการตรวจสอบการใช้งบประมาณดูงานต่างประเทศทุกหลักสูตร พร้อมสั่งการให้ทํารายงานเสนอทุกครั้ง
นายกรัฐมนตรียืนยันมีการตรวจสอบการใช้งบประมาณดูงานต่างประเทศทุกหลักสูตร พร้อมสั่งการให้ทํารายงานเสนอทุกครั้ง
วันนี้ (28 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 15.20 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการติดตาม ตรวจสอบ กรณีการเดินทางไปดูงานในต่างประเทศว่า จะต้องตรวจสอบทุกหลักสูตรกรณีการเดินทางไปดูงานในต่างประเทศ ถึงความเหมาะสม และความคุ้มค่า พร้อมกับกําชับเรื่องการใช้งบประมาณ และให้ทํารายงานนําเสนอตนเองเพี่อพิจารณานําผลการไปดูงานมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย
---------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2127
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาและยกระดับงานสืบสานประเพณีบุญคูณลาน ตำนานข้าวอินทรีย์ วิถีวัฒนธรรมยโสธร
|
วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2563
นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาและยกระดับงานสืบสานประเพณีบุญคูณลาน ตํานานข้าวอินทรีย์ วิถีวัฒนธรรมยโสธร
นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาและยกระดับงานสืบสานประเพณีบุญคูณลาน ตํานานข้าวอินทรีย์ วิถีวัฒนธรรมยโสธร
วันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๖.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาและยกระดับงานสืบสานประเพณีบุญคูณลาน ตํานานข้าวอินทรีย์ วิถีวัฒนธรรมยโสธร ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยมีนายเวียง วรเชษฐ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายพิกิฏ ศรีชนะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางประนอม คลังทอง รองอธิบดีกรมศิลปากร รักษาการในตําแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นายสมเพชร สร้อยสระคูรองผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร วัฒนธรรมจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารสถานศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และประชาชนเข้าร่วมงานเป็นจํานวนมาก ณ บริเวณลานสนามหน้าที่ว่าการอําเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร
งานประเพณีบุญคูณลาน หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “บุญกุ้มข้าวใหญ่” หรือ “บุญคูณข้าว” ของจังหวัดยโสธร โดยเฉพาะที่อําเภอกุดชุมถือเป็นต้นแบบของการสืบสานวัฒนธรรมประเพณีนี้มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ชาวบ้าน ชุมชน หน่วยงาน และวัด ได้ร่วมแรง ร่วมใจกันพัฒนาการจัดงานมาโดยลําดับ มีการส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อถ่ายทอดและเผยแพร่ประเพณีท้องถิ่นที่เป็นสิริมงคล วัฒนธรรมอันดีงามที่เกี่ยวกับข้าว ให้ไปสู่สายตาประชาชนทั่วประเทศและทั่วโลก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาและยกระดับงานสืบสานประเพณีบุญคูณลาน ตำนานข้าวอินทรีย์ วิถีวัฒนธรรมยโสธร
วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2563
นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาและยกระดับงานสืบสานประเพณีบุญคูณลาน ตํานานข้าวอินทรีย์ วิถีวัฒนธรรมยโสธร
นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาและยกระดับงานสืบสานประเพณีบุญคูณลาน ตํานานข้าวอินทรีย์ วิถีวัฒนธรรมยโสธร
วันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๖.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาและยกระดับงานสืบสานประเพณีบุญคูณลาน ตํานานข้าวอินทรีย์ วิถีวัฒนธรรมยโสธร ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยมีนายเวียง วรเชษฐ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายพิกิฏ ศรีชนะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางประนอม คลังทอง รองอธิบดีกรมศิลปากร รักษาการในตําแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นายสมเพชร สร้อยสระคูรองผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร วัฒนธรรมจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารสถานศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และประชาชนเข้าร่วมงานเป็นจํานวนมาก ณ บริเวณลานสนามหน้าที่ว่าการอําเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร
งานประเพณีบุญคูณลาน หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “บุญกุ้มข้าวใหญ่” หรือ “บุญคูณข้าว” ของจังหวัดยโสธร โดยเฉพาะที่อําเภอกุดชุมถือเป็นต้นแบบของการสืบสานวัฒนธรรมประเพณีนี้มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ชาวบ้าน ชุมชน หน่วยงาน และวัด ได้ร่วมแรง ร่วมใจกันพัฒนาการจัดงานมาโดยลําดับ มีการส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อถ่ายทอดและเผยแพร่ประเพณีท้องถิ่นที่เป็นสิริมงคล วัฒนธรรมอันดีงามที่เกี่ยวกับข้าว ให้ไปสู่สายตาประชาชนทั่วประเทศและทั่วโลก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25920
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. กำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวหญิงชราวัย 67 ปี ต้องรับภาระเพียงลำพังเลี้ยงดูหลานสาว ที่ป่วยเป็นโรคโลหิตจาง ที่ จ.หนองบัวลำภู
|
วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม 2560
รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวหญิงชราวัย 67 ปี ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูหลานสาว ที่ป่วยเป็นโรคโลหิตจาง ที่ จ.หนองบัวลําภู
รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวหญิงชราวัย 67 ปี ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูหลานสาว ที่ป่วยเป็นโรคโลหิตจาง ที่ จ.หนองบัวลําภู และกรณีเด็กสาววัย 16 ปี ป่วยเป็นโรคออทิสติก ถูกพ่อเลี้ยงทําร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.ปทุมธานี
วันนี้ (20 ก.ค. 60) เวลา 08.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 675/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า จากกรณีหญิงชราวัย 67 ปี ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูหลานสาวที่ป่วยเป็นโรคโลหิตจาง ทําให้ร่างกายไม่แข็งแรง อีกทั้งถูกพ่อ-แม่ทอดทิ้งไป แต่เป็นเด็กเรียนดี มีความกตัญญู ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่อําเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลําภู นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดหนองบัวลําภู (พมจ.หนองบัวลําภู) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กและผู้สูงอายุของกระทรวง พม. มอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลของเด็กหญิงดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และช่วยเหลือเรื่องการศึกษาของเด็กในระยะยาว นอกจากนี้ ยังให้ความช่วยเหลือในเรื่องสวัสดิการสังคมตามความเหมาะสม อาทิ การให้คําแนะนําปรึกษาแก่หญิงดังกล่าว ในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงต่อไป
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกรณีเด็กสาววัย 16 ปี ป่วยเป็นโรคออทิสติก มีพัฒนาการทางสมองช้า นอนป่วยติดเตียงตั้งแต่กําเนิด ถูกพ่อเลี้ยงทําร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่งผลให้มีเลือดคั่งในสมอง ใบหน้าเขียวช้ํา โดยแพทย์ระบุว่าถูกของแข็งตีอย่างรุนแรง ที่จังหวัดปทุมธานี นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานี (พมจ.ปทุมธานี) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลของเด็กสาวอย่างใกล้ชิด และให้ความช่วยเหลือในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสมในระยะยาวต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. กำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวหญิงชราวัย 67 ปี ต้องรับภาระเพียงลำพังเลี้ยงดูหลานสาว ที่ป่วยเป็นโรคโลหิตจาง ที่ จ.หนองบัวลำภู
วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม 2560
รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวหญิงชราวัย 67 ปี ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูหลานสาว ที่ป่วยเป็นโรคโลหิตจาง ที่ จ.หนองบัวลําภู
รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวหญิงชราวัย 67 ปี ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูหลานสาว ที่ป่วยเป็นโรคโลหิตจาง ที่ จ.หนองบัวลําภู และกรณีเด็กสาววัย 16 ปี ป่วยเป็นโรคออทิสติก ถูกพ่อเลี้ยงทําร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.ปทุมธานี
วันนี้ (20 ก.ค. 60) เวลา 08.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 675/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า จากกรณีหญิงชราวัย 67 ปี ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูหลานสาวที่ป่วยเป็นโรคโลหิตจาง ทําให้ร่างกายไม่แข็งแรง อีกทั้งถูกพ่อ-แม่ทอดทิ้งไป แต่เป็นเด็กเรียนดี มีความกตัญญู ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่อําเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลําภู นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดหนองบัวลําภู (พมจ.หนองบัวลําภู) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กและผู้สูงอายุของกระทรวง พม. มอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลของเด็กหญิงดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และช่วยเหลือเรื่องการศึกษาของเด็กในระยะยาว นอกจากนี้ ยังให้ความช่วยเหลือในเรื่องสวัสดิการสังคมตามความเหมาะสม อาทิ การให้คําแนะนําปรึกษาแก่หญิงดังกล่าว ในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงต่อไป
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกรณีเด็กสาววัย 16 ปี ป่วยเป็นโรคออทิสติก มีพัฒนาการทางสมองช้า นอนป่วยติดเตียงตั้งแต่กําเนิด ถูกพ่อเลี้ยงทําร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่งผลให้มีเลือดคั่งในสมอง ใบหน้าเขียวช้ํา โดยแพทย์ระบุว่าถูกของแข็งตีอย่างรุนแรง ที่จังหวัดปทุมธานี นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานี (พมจ.ปทุมธานี) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลของเด็กสาวอย่างใกล้ชิด และให้ความช่วยเหลือในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสมในระยะยาวต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5337
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. ธนะศักดิ์ฯ มอบโล่เกียรติคุณแก่ ทพญ.นภัสพร ชำนาญสิทธิ์ ในฐานะผู้หญิงไทยคนแรกที่พิชิตยอดเขา เอเวอเรสต์
|
วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2559
รอง นรม. ธนะศักดิ์ฯ มอบโล่เกียรติคุณแก่ ทพญ.นภัสพร ชํานาญสิทธิ์ ในฐานะผู้หญิงไทยคนแรกที่พิชิตยอดเขา เอเวอเรสต์
.....
วันนี้ (21 พฤศจิกายน 2559) เวลา 10.30 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล
นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้นําทันตแพทย์หญิง นภัสพร ชํานาญสิทธิ์ หรือ “หมออีม”
เข้าเยี่ยมคาราวะ พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เพื่อรับมอบโล่เกียรติคุณในฐานะผู้หญิงไทยคนแรกที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้สําเร็จ
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2559 พร้อมรับมอบเงินรางวัลสนับสนุนจํานวน 500,000 บาท จากพล.ต. ฉลองรัฐ นาคอาทิตย์ ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้มอบโล่เกียรติคุณ พร้อมกล่าวแสดงความชื่นชมในความสามารถของหมออีมที่มีความมุ่งมั่นในการพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก
จนประสบความสําเร็จสร้างชื่อให้กับประเทศชาติ ด้านหมออีม ได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลที่ช่วยสนับสนุนอย่างเต็มที่ตลอดมา
ทําให้มีกําลังใจและมีความพยายามในการปีนเขาจนประสบความสําเร็จดังกล่าว
-----------------------------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. ธนะศักดิ์ฯ มอบโล่เกียรติคุณแก่ ทพญ.นภัสพร ชำนาญสิทธิ์ ในฐานะผู้หญิงไทยคนแรกที่พิชิตยอดเขา เอเวอเรสต์
วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2559
รอง นรม. ธนะศักดิ์ฯ มอบโล่เกียรติคุณแก่ ทพญ.นภัสพร ชํานาญสิทธิ์ ในฐานะผู้หญิงไทยคนแรกที่พิชิตยอดเขา เอเวอเรสต์
.....
วันนี้ (21 พฤศจิกายน 2559) เวลา 10.30 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล
นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้นําทันตแพทย์หญิง นภัสพร ชํานาญสิทธิ์ หรือ “หมออีม”
เข้าเยี่ยมคาราวะ พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เพื่อรับมอบโล่เกียรติคุณในฐานะผู้หญิงไทยคนแรกที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้สําเร็จ
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2559 พร้อมรับมอบเงินรางวัลสนับสนุนจํานวน 500,000 บาท จากพล.ต. ฉลองรัฐ นาคอาทิตย์ ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้มอบโล่เกียรติคุณ พร้อมกล่าวแสดงความชื่นชมในความสามารถของหมออีมที่มีความมุ่งมั่นในการพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก
จนประสบความสําเร็จสร้างชื่อให้กับประเทศชาติ ด้านหมออีม ได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลที่ช่วยสนับสนุนอย่างเต็มที่ตลอดมา
ทําให้มีกําลังใจและมีความพยายามในการปีนเขาจนประสบความสําเร็จดังกล่าว
-----------------------------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/850
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.รับมอบงานของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
|
วันอังคารที่ 1 สิงหาคม 2560
นรม.รับมอบงานของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
พร้อมกล่าวย้ําถึงการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ เพื่อมุ่งมั่นให้การบริหารราชการแผ่นดิน สามารถขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่ความมั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน อย่างเป็นรูปธรรม โดยสามารถยืนหยัดในประชาคมโลกได้อย่างมีศัก
วันนี้ (31 กรกฎาคม 2560) เวลา 11.00 น. ณ อาคารรัฐสภา ถนนอู่ทองใน เขตดุสิต กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ร้อยเอก ดร.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศได้เป็นประธานในพิธีการส่งมอบงานของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ให้แก่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยมีผู้ร่วมงานประกอบด้วย สมาชิก สปท. ผู้บริหารส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงและอธิบดี รวมทั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จํานวนประมาณ 300 คน
หลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้รับมอบงานดังกล่าวจากประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศแล้ว นายกรัฐมนตรีได้กล่าวต่อสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ดังนี้
เหตุผล ความจําเป็น และความสําคัญของการปฏิรูปประเทศครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองในประเทศ ประชาชนมีความขัดแย้งแตกแยก เกิดความรุนแรงที่ทําให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ ภาคการท่องเที่ยว การทํางานของภาครัฐและการอนุมัติโครงการลงทุนหยุดชะงัก การใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐไม่สามารถดําเนินการได้ตามปกติ ประกอบกับมีผลกระทบซ้าเติมจากปัจจัยภายนอกประเทศ จากภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ในขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง นอกเหนือจากสภาพปัญหาดังกล่าวแล้ว ยังมีปัญหาของประเทศที่สั่งสมคั่งค้างมาเป็นระยะเวลานาน อาทิ ปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการขาดการลงทุนและปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจมานาน ซึ่งปัญหาต่างๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นจุดอ่อนของประเทศ ที่เป็นข้อจากัดต่อการพัฒนาประเทศในช่วงที่ผ่านมา และยิ่งไปกว่านั้น หากยังไม่รีบเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว ก็จะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาในระยะต่อไป
ดังนั้น หากเราต้องการให้ประเทศของเราก้าวไปข้างหน้าได้อย่างทัดเทียมกับประเทศอื่นในประชาคมโลก ใน การปฏิรูปประเทศ เพื่อเป็นการวางรากฐานสาคัญของประเทศ ให้พร้อมที่จะเผชิญสถานการณ์ในอนาคต และช่วยสนับสนุนให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาในระยะยาวที่กําหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติได้ ประกอบด้วยการปฏิรูปในด้านต่างๆ 11 ด้าน ประกอบด้วย (1) การเมือง (2) การบริหารราชการแผ่นดิน (3) กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม (4) การปกครองท้องถิ่น (5) การศึกษา (6) เศรษฐกิจ (7) พลังงาน (8) สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม (9) สื่อสารมวลชน (10) สังคม และ (11) อื่น ๆ
นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําว่า หนึ่งในข้อเสนอการปฏิรูปประเทศที่สําคัญ คือ ข้อเสนอของคณะกรรมาธิการด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ที่เสนอให้มีการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ เพื่อเป็นการกําหนดเป้าหมายในการพัฒนาประเทศระยะยาว เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปอย่างต่อเนื่อง สามารถขับเคลื่อนนโยบายสําคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลจึงได้นําแนวคิดนั้นมาสานต่อ “ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการ พัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาประเทศที่กําหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ จําเป็นจะต้องมีการปฏิรูปประเทศในหลายๆ เรื่องที่สําคัญควบคู่กันไปด้วย ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ เป็นภารกิจคู่แฝดที่จะต้องดําเนินการคู่ขนานกันไปอย่างต่อเนื่อง การปฏิรูปด้านศึกษา โดยการปฏิรูประบบการเรียนรู้ ให้มีการพัฒนาการศึกษาสําหรับคนทุกช่วงวัยและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมถึงการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพการศึกษาในโรงเรียนขนาดเล็ก ตลอดจนการมุ่งเน้นนโยบาย “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” ขณะเดียวกันยังได้ปรับระบบการทดสอบ O-NET ให้สอดคล้องกับการเรียนการสอน รวมทั้งปรับระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในระบบกลางใหม่ (TCAS) ในด้านการสร้างความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ํานั้น ได้ดําเนินการปฏิรูประบบเศรษฐกิจเพื่อสังคม (Social Economy) ซึ่งขณะนี้ได้มีการจัดตั้งบริษัทประชารัฐรักสามัคคีในจังหวัดต่างๆ เพื่อให้เป็นเครื่องมือในการประสานพลังความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ประชาชน ประชาสังคมและนักวิชาการ โดยมีเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังมีการปฏิรูปเรื่องการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุ ผู้พิการและทุพพลภาพ ให้มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การปฏิรูประบบสหกรณ์และการเงินฐานราก เพื่อให้เป็นแหล่งในการออมเงินและแหล่งระดมทุนสําหรับประชาชนในระดับชุมชนท้องถิ่น ขณะเดียวกันได้มีการปรับปรุงระบบกํากับดูแลให้รัดกุมขึ้น ในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น ได้มีการพัฒนาระบบ Strategic Environmental Assessment ปฏิรูประบบการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA/EHIA) เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงด้านการบริหารจัดการภาครัฐ ซึ่งได้มีการส่งเสริมระบบรัฐบาลอิเล็คทรอนิกส์ โดยให้นําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ เพื่อสร้างความโปร่งใสและสามารถให้บริการประชาชนได้อย่างรวดเร็วขึ้น การปฏิรูปกฎหมาย ได้เร่งผลักดันการออกกฎหมายสําคัญหลายฉบับ ทั้งที่เป็นกฎหมายที่เสนอโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เสนอโดยรัฐบาล และเสนอโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วกว่า ๒๐๐ ฉบับ การปฏิรูปกิจการตํารวจ เพื่อแก้ไขปัญหา และปรับปรุงองค์กรตํารวจให้ดําเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมของประเทศ จะเห็นได้ว่า รัฐบาลมีความตั้งใจและมีความมุ่งมั่นที่จะบริหารประเทศ โดยรัฐบาลจะทํางานใน ๒ มิติคู่ขนานกันไป มิติแรก คือ การผนึกกําลังและสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการมุ่งก้าวไปข้างหน้าตามยุทธศาสตร์ชาติที่ทุกคนในประเทศได้กําหนดขึ้นร่วมกัน มุ่งสู่ประเทศไทยในอนาคต ในอีกมิติหนึ่ง จะต้องเร่งแก้ไขปัญหาที่สะสมมาในอดีต โดยการดําเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและสร้างภูมิคุ้มกันในระดับพื้นฐานของการพัฒนา เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ประโยชน์จากการพัฒนาร่วมกัน ซึ่งเป็นไปตามแนวคิดที่ว่า “จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วนที่ช่วยกันดาเนินการ จนทําให้มี พ.ร.บ. การจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ และ พ.ร.บ. แผนและขั้นตอนการดาเนินการปฏิรูปประเทศ ซึ่งเป็นกฎหมายสาคัญที่จะสร้างสภาพบังคับให้กับยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเน้นในตอนท้ายอีกว่า ความคืบหน้าของการดําเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2557 จนถึงวันนี้ (31 กรกฎาคม 2560) ถือเป็นความสําเร็จ ที่ขอให้ทุกคนมีความภาคภูมิใจว่า ทุกภาคส่วน ได้เป็นส่วนหนึ่งที่สําคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้ประเทศไทยมีเป้าหมาย ทิศทาง และยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศที่ชัดเจน รวมถึงมีส่วนในการปรับปรุงแก้ไขจุดอ่อนที่เป็นข้อจํากัดที่ฉุดรั้งประเทศไทยให้ตกอยู่ในกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลางมาเป็นระยะเวลานาน และในอนาคตคนไทยทุกคนยังมีโอกาสที่จะเสนอกลไกใหม่ รูปแบบใหม่ และกระบวนการใหม่ ที่จะช่วยให้เกิดการผนึกกําลังของคนไทยทุกภาคส่วน ในการที่จะทําให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้า ซึ่งถือว่าเป็นผลงานชิ้นสาคัญแห่งประวัติศาสตร์ ที่ทุกคนควรจะได้ภาคภูมิใจร่วมกัน
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศทุกคนอีกครั้งด้วยความจริงใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทํางานร่วมกันมาโดยตลอด และในอนาคตหวังว่าทุกคนจะได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศไทยให้หลุดพ้นจากการเป็นประเทศรายได้ปานกลาง ยกระดับขึ้นมาอยู่ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และสามารถยืนหยัดอยู่ได้ในประชาคมโลกอย่างมีศักดิ์ศรี ด้วยความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน สืบไป
.......................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.รับมอบงานของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
วันอังคารที่ 1 สิงหาคม 2560
นรม.รับมอบงานของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
พร้อมกล่าวย้ําถึงการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ เพื่อมุ่งมั่นให้การบริหารราชการแผ่นดิน สามารถขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่ความมั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน อย่างเป็นรูปธรรม โดยสามารถยืนหยัดในประชาคมโลกได้อย่างมีศัก
วันนี้ (31 กรกฎาคม 2560) เวลา 11.00 น. ณ อาคารรัฐสภา ถนนอู่ทองใน เขตดุสิต กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ร้อยเอก ดร.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศได้เป็นประธานในพิธีการส่งมอบงานของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ให้แก่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยมีผู้ร่วมงานประกอบด้วย สมาชิก สปท. ผู้บริหารส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงและอธิบดี รวมทั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จํานวนประมาณ 300 คน
หลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้รับมอบงานดังกล่าวจากประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศแล้ว นายกรัฐมนตรีได้กล่าวต่อสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ดังนี้
เหตุผล ความจําเป็น และความสําคัญของการปฏิรูปประเทศครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองในประเทศ ประชาชนมีความขัดแย้งแตกแยก เกิดความรุนแรงที่ทําให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ ภาคการท่องเที่ยว การทํางานของภาครัฐและการอนุมัติโครงการลงทุนหยุดชะงัก การใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐไม่สามารถดําเนินการได้ตามปกติ ประกอบกับมีผลกระทบซ้าเติมจากปัจจัยภายนอกประเทศ จากภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ในขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง นอกเหนือจากสภาพปัญหาดังกล่าวแล้ว ยังมีปัญหาของประเทศที่สั่งสมคั่งค้างมาเป็นระยะเวลานาน อาทิ ปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการขาดการลงทุนและปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจมานาน ซึ่งปัญหาต่างๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นจุดอ่อนของประเทศ ที่เป็นข้อจากัดต่อการพัฒนาประเทศในช่วงที่ผ่านมา และยิ่งไปกว่านั้น หากยังไม่รีบเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว ก็จะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาในระยะต่อไป
ดังนั้น หากเราต้องการให้ประเทศของเราก้าวไปข้างหน้าได้อย่างทัดเทียมกับประเทศอื่นในประชาคมโลก ใน การปฏิรูปประเทศ เพื่อเป็นการวางรากฐานสาคัญของประเทศ ให้พร้อมที่จะเผชิญสถานการณ์ในอนาคต และช่วยสนับสนุนให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาในระยะยาวที่กําหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติได้ ประกอบด้วยการปฏิรูปในด้านต่างๆ 11 ด้าน ประกอบด้วย (1) การเมือง (2) การบริหารราชการแผ่นดิน (3) กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม (4) การปกครองท้องถิ่น (5) การศึกษา (6) เศรษฐกิจ (7) พลังงาน (8) สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม (9) สื่อสารมวลชน (10) สังคม และ (11) อื่น ๆ
นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําว่า หนึ่งในข้อเสนอการปฏิรูปประเทศที่สําคัญ คือ ข้อเสนอของคณะกรรมาธิการด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ที่เสนอให้มีการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ เพื่อเป็นการกําหนดเป้าหมายในการพัฒนาประเทศระยะยาว เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปอย่างต่อเนื่อง สามารถขับเคลื่อนนโยบายสําคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลจึงได้นําแนวคิดนั้นมาสานต่อ “ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการ พัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาประเทศที่กําหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ จําเป็นจะต้องมีการปฏิรูปประเทศในหลายๆ เรื่องที่สําคัญควบคู่กันไปด้วย ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ เป็นภารกิจคู่แฝดที่จะต้องดําเนินการคู่ขนานกันไปอย่างต่อเนื่อง การปฏิรูปด้านศึกษา โดยการปฏิรูประบบการเรียนรู้ ให้มีการพัฒนาการศึกษาสําหรับคนทุกช่วงวัยและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมถึงการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพการศึกษาในโรงเรียนขนาดเล็ก ตลอดจนการมุ่งเน้นนโยบาย “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” ขณะเดียวกันยังได้ปรับระบบการทดสอบ O-NET ให้สอดคล้องกับการเรียนการสอน รวมทั้งปรับระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในระบบกลางใหม่ (TCAS) ในด้านการสร้างความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ํานั้น ได้ดําเนินการปฏิรูประบบเศรษฐกิจเพื่อสังคม (Social Economy) ซึ่งขณะนี้ได้มีการจัดตั้งบริษัทประชารัฐรักสามัคคีในจังหวัดต่างๆ เพื่อให้เป็นเครื่องมือในการประสานพลังความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ประชาชน ประชาสังคมและนักวิชาการ โดยมีเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังมีการปฏิรูปเรื่องการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุ ผู้พิการและทุพพลภาพ ให้มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การปฏิรูประบบสหกรณ์และการเงินฐานราก เพื่อให้เป็นแหล่งในการออมเงินและแหล่งระดมทุนสําหรับประชาชนในระดับชุมชนท้องถิ่น ขณะเดียวกันได้มีการปรับปรุงระบบกํากับดูแลให้รัดกุมขึ้น ในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น ได้มีการพัฒนาระบบ Strategic Environmental Assessment ปฏิรูประบบการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA/EHIA) เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงด้านการบริหารจัดการภาครัฐ ซึ่งได้มีการส่งเสริมระบบรัฐบาลอิเล็คทรอนิกส์ โดยให้นําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ เพื่อสร้างความโปร่งใสและสามารถให้บริการประชาชนได้อย่างรวดเร็วขึ้น การปฏิรูปกฎหมาย ได้เร่งผลักดันการออกกฎหมายสําคัญหลายฉบับ ทั้งที่เป็นกฎหมายที่เสนอโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เสนอโดยรัฐบาล และเสนอโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วกว่า ๒๐๐ ฉบับ การปฏิรูปกิจการตํารวจ เพื่อแก้ไขปัญหา และปรับปรุงองค์กรตํารวจให้ดําเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมของประเทศ จะเห็นได้ว่า รัฐบาลมีความตั้งใจและมีความมุ่งมั่นที่จะบริหารประเทศ โดยรัฐบาลจะทํางานใน ๒ มิติคู่ขนานกันไป มิติแรก คือ การผนึกกําลังและสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการมุ่งก้าวไปข้างหน้าตามยุทธศาสตร์ชาติที่ทุกคนในประเทศได้กําหนดขึ้นร่วมกัน มุ่งสู่ประเทศไทยในอนาคต ในอีกมิติหนึ่ง จะต้องเร่งแก้ไขปัญหาที่สะสมมาในอดีต โดยการดําเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและสร้างภูมิคุ้มกันในระดับพื้นฐานของการพัฒนา เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ประโยชน์จากการพัฒนาร่วมกัน ซึ่งเป็นไปตามแนวคิดที่ว่า “จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วนที่ช่วยกันดาเนินการ จนทําให้มี พ.ร.บ. การจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ และ พ.ร.บ. แผนและขั้นตอนการดาเนินการปฏิรูปประเทศ ซึ่งเป็นกฎหมายสาคัญที่จะสร้างสภาพบังคับให้กับยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเน้นในตอนท้ายอีกว่า ความคืบหน้าของการดําเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2557 จนถึงวันนี้ (31 กรกฎาคม 2560) ถือเป็นความสําเร็จ ที่ขอให้ทุกคนมีความภาคภูมิใจว่า ทุกภาคส่วน ได้เป็นส่วนหนึ่งที่สําคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้ประเทศไทยมีเป้าหมาย ทิศทาง และยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศที่ชัดเจน รวมถึงมีส่วนในการปรับปรุงแก้ไขจุดอ่อนที่เป็นข้อจํากัดที่ฉุดรั้งประเทศไทยให้ตกอยู่ในกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลางมาเป็นระยะเวลานาน และในอนาคตคนไทยทุกคนยังมีโอกาสที่จะเสนอกลไกใหม่ รูปแบบใหม่ และกระบวนการใหม่ ที่จะช่วยให้เกิดการผนึกกําลังของคนไทยทุกภาคส่วน ในการที่จะทําให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้า ซึ่งถือว่าเป็นผลงานชิ้นสาคัญแห่งประวัติศาสตร์ ที่ทุกคนควรจะได้ภาคภูมิใจร่วมกัน
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศทุกคนอีกครั้งด้วยความจริงใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทํางานร่วมกันมาโดยตลอด และในอนาคตหวังว่าทุกคนจะได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศไทยให้หลุดพ้นจากการเป็นประเทศรายได้ปานกลาง ยกระดับขึ้นมาอยู่ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และสามารถยืนหยัดอยู่ได้ในประชาคมโลกอย่างมีศักดิ์ศรี ด้วยความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน สืบไป
.......................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5591
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดบีโอไอเห็นชอบ 3 มาตรการพิเศษเร่งรัดลงทุนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก
|
วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563
บอร์ดบีโอไอเห็นชอบ 3 มาตรการพิเศษเร่งรัดลงทุนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยบอร์ดบีโอไอเห็นชอบ 3 มาตรการพิเศษเร่งรัดลงทุนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก
วันนี้ (6ก.พ.63) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 1/2563 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยที่ประชุมพิจารณามาตรการพิเศษในการกระตุ้นการลงทุน ครอบคลุมนักลงทุนทุกกลุ่ม อาทิ มาตรการกระตุ้นการลงทุน ปี 2563 การปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานราก การปรับปรุงประเภทกิจการด้านการท่องเที่ยว การส่งเสริมการลงทุนกิจการที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายน้อย และมาตรการส่งเสริมการลงทุนสําหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เป็นต้น
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีย้ําถึงการส่งเสริมการลงทุนว่า ให้ปรับรูปแบบการทํางานให้รวดเร็วขึ้นสนับสนุนธุรกิจใหม่ เช่น เกษตรชีวมวล เพื่อช่วยในการลดปัญหาเรื่องของ PM 2.5 ไปด้วย รวมทั้งให้บีโอไอจัดรูปแบบส่งเสริมการลงทุน “เทเลอร์เมด”ตรงกับความต้องการของแต่ละกลุ่มอย่างแท้จริง นอกจากนี้ เร่งสร้างการรับรู้เกี่ยวกับมาตรการและแนวทางต่าง ๆ ที่ภาครัฐให้การส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนและกลุ่มเป้าหมายได้รับทราบอย่างทั่วถึงผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งออฟไลน์และออนไนล์ รวมถึงเผยแพร่ผ่านเฟสบุ๊กไทยคู่ฟ้า เพื่อกลุ่มเป้าหมายเข้าถึงสิทธิประโยชน์จากการส่งเสริมการลงทุนต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย
นายกรัฐมนตรียังมอบหมายให้ บีโอไอ ชี้แจ้งทําความเข้าใจกับกลุ่มเป้าหมายเศรษฐกิจฐานรากทั้ง ผู้แทนสภาเกษตรกร ผู้แทนชุมชน เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรู้รับทราบถึงแนวทางและมาตรการที่รัฐส่งเสริมสนับสนุนและสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ตามที่กําหนดไว้ ส่วนการส่งเสริมการลงทุนกิจการที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายน้อยนั้น นายกรัฐมนตรีให้ไปพิจารณาขยายไปถึงที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุด้วย เพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในอนาคต รวมถึงการดูแลคนพิการได้มีที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม
ภายหลังการประชุมนางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้เห็นชอบมาตรการพิเศษ 3 มาตรการ 1. มาตรการกระตุ้นการลงทุนสําหรับโครงการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมายที่มีผลกระทบสูงต่อเศรษฐกิจของประเทศ (กิจการกลุ่ม A1 A2 และ A3 ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 – 8 ปี แต่ไม่รวมกิจการที่ไม่มีที่ตั้งสถานประกอบการ เช่น กิจการขนส่งทางอากาศ กิจการขนส่งทางเรือ เป็นต้น) ซึ่งผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้ทุกพื้นที่ โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เพิ่มเติมเป็นระยะเวลา 5 ปี หากมีการลงทุนจริง (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ภายในปี 2563 หรือไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท ภายในปี 2564 ทั้งนี้ มาตรการนี้มีผลบังคับใช้สําหรับคําขอรับการส่งเสริมที่ยื่นตั้งแต่ 2 มกราคม 2562 ถึง 30 ธันวาคม 2563 โดยคาดว่าจะสามารถช่วยกระตุ้นการลงทุนได้มากกว่า 200,000 ล้านบาท ในระยะปี 2563 - 2564 นี้
2. มาตรการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการปรับปรุงมาตรการส่งเสริม SMEs โดยกําหนดคําจํากัดความของ SMEs ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับคําจํากัดความของ SMEs ของ สสว. ที่มีการปรับปรุงเมื่อต้นปี 2563 ที่ผ่านมา คือ เป็นกิจการที่ต้องถือหุ้นโดยบุคคลธรรมดาสัญชาติไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 และจะต้องมีรายได้ของกิจการทั้งที่ได้รับการส่งเสริมและไม่ได้รับการส่งเสริมไม่เกิน 500 ล้านบาทต่อปี ใน 3 ปีแรก ในกรณีตั้งกิจการในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรม จะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติ บุคลเพิ่มเติมอีก 1 ปี หากตั้งในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนจะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยได้รับวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในสัดส่วนร้อยละ 200 ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ด้วย ทั้งนี้ ต้องยื่นคําขอรับส่งเสริมตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2563 ถึง วันทําการสุดท้ายของปี 2564
3. มาตรการท่องเที่ยว ที่ประชุมเห็นชอบให้ปรับปรุงประเภทกิจการกระเช้าไฟฟ้า และกิจการโรงแรม โดยประเภทกิจการกระเช้าไฟฟ้า ได้ขยายขอบข่ายให้ครอบคลุมรถรางไฟฟ้าเพื่อการท่องเที่ยวด้วย และกําหนดเงื่อนไขต้องมีการลงทุนไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน) เพื่อเป็นการส่งเสริมการลงทุนโครงการที่มีคุณภาพ สําหรับกิจการโรงแรม ได้มีการปรับเงื่อนไขให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวที่ต้องการกระตุ้นให้เกิดการกระจายรายได้ และการท่องเที่ยวไปสู่เมืองรอง โดยเน้นการสร้างคุณภาพและมาตรฐานของโรงแรมเพื่อให้นักท่องเที่ยวมีระยะเวลาพํานักนานขึ้น และมีการใช้จ่ายในประเทศมากยิ่งขึ้น โดยปรับขอบข่ายพื้นที่ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นระยะเวลา 3 ปี จากเดิมซึ่งให้เฉพาะกรณีลงทุนในพื้นที่ 20 จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ํา ขยายเป็นกรณีลงทุนในพื้นที่เมืองรอง 55 จังหวัดตามยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว
นอกจากนี้ บอร์ดบีโอไอยังได้มีมติให้เปิดส่งเสริม “กิจการที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อย” โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์เฉพาะการยกเว้นภาษี เงินได้นิติบุคคล เป็นระยะเวลา 3 ปี เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสร้างที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพดี ทั้งนี้ ได้กําหนดหลักเกณฑ์ เช่น กรณีอาคารชุดต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 24 ตารางเมตร กรณีบ้านแถวหรือบ้านเดี่ยว ต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 70 ตารางเมตร โดยมีราคาขายต่อหน่วย ไม่เกิน 1.2 ล้านบาท (รวมค่าที่ดิน) กรณีที่ตั้งอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร และไม่เกิน 1 ล้านบาท (รวมค่าที่ดิน) ในกรณีตั้งในจังหวัดอื่นๆ เป็นต้น โดยโครงการต้องได้รับความเห็นชอบจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ก่อนยื่นขอรับการส่งเสริมซึ่งกําหนดให้ยื่นคําขอภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 นี้
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ยังได้แนะให้บีโอไอนําผลงานวิจัยต่าง ๆ ที่มีศักยภาพซึ่งมีอยู่แล้วในปัจจุบันมาพิจารณาหามาตรการสนับสนส่งเสริมไปสู่การผลิตให้เกิดการลงทุนในงานวิจัยอันจะส่งผลดีในเชิงเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศในภาพรวมต่อไป
____________
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดบีโอไอเห็นชอบ 3 มาตรการพิเศษเร่งรัดลงทุนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก
วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563
บอร์ดบีโอไอเห็นชอบ 3 มาตรการพิเศษเร่งรัดลงทุนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยบอร์ดบีโอไอเห็นชอบ 3 มาตรการพิเศษเร่งรัดลงทุนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก
วันนี้ (6ก.พ.63) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 1/2563 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยที่ประชุมพิจารณามาตรการพิเศษในการกระตุ้นการลงทุน ครอบคลุมนักลงทุนทุกกลุ่ม อาทิ มาตรการกระตุ้นการลงทุน ปี 2563 การปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานราก การปรับปรุงประเภทกิจการด้านการท่องเที่ยว การส่งเสริมการลงทุนกิจการที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายน้อย และมาตรการส่งเสริมการลงทุนสําหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เป็นต้น
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีย้ําถึงการส่งเสริมการลงทุนว่า ให้ปรับรูปแบบการทํางานให้รวดเร็วขึ้นสนับสนุนธุรกิจใหม่ เช่น เกษตรชีวมวล เพื่อช่วยในการลดปัญหาเรื่องของ PM 2.5 ไปด้วย รวมทั้งให้บีโอไอจัดรูปแบบส่งเสริมการลงทุน “เทเลอร์เมด”ตรงกับความต้องการของแต่ละกลุ่มอย่างแท้จริง นอกจากนี้ เร่งสร้างการรับรู้เกี่ยวกับมาตรการและแนวทางต่าง ๆ ที่ภาครัฐให้การส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนและกลุ่มเป้าหมายได้รับทราบอย่างทั่วถึงผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งออฟไลน์และออนไนล์ รวมถึงเผยแพร่ผ่านเฟสบุ๊กไทยคู่ฟ้า เพื่อกลุ่มเป้าหมายเข้าถึงสิทธิประโยชน์จากการส่งเสริมการลงทุนต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย
นายกรัฐมนตรียังมอบหมายให้ บีโอไอ ชี้แจ้งทําความเข้าใจกับกลุ่มเป้าหมายเศรษฐกิจฐานรากทั้ง ผู้แทนสภาเกษตรกร ผู้แทนชุมชน เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรู้รับทราบถึงแนวทางและมาตรการที่รัฐส่งเสริมสนับสนุนและสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ตามที่กําหนดไว้ ส่วนการส่งเสริมการลงทุนกิจการที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายน้อยนั้น นายกรัฐมนตรีให้ไปพิจารณาขยายไปถึงที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุด้วย เพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในอนาคต รวมถึงการดูแลคนพิการได้มีที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม
ภายหลังการประชุมนางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้เห็นชอบมาตรการพิเศษ 3 มาตรการ 1. มาตรการกระตุ้นการลงทุนสําหรับโครงการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมายที่มีผลกระทบสูงต่อเศรษฐกิจของประเทศ (กิจการกลุ่ม A1 A2 และ A3 ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 – 8 ปี แต่ไม่รวมกิจการที่ไม่มีที่ตั้งสถานประกอบการ เช่น กิจการขนส่งทางอากาศ กิจการขนส่งทางเรือ เป็นต้น) ซึ่งผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้ทุกพื้นที่ โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เพิ่มเติมเป็นระยะเวลา 5 ปี หากมีการลงทุนจริง (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ภายในปี 2563 หรือไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท ภายในปี 2564 ทั้งนี้ มาตรการนี้มีผลบังคับใช้สําหรับคําขอรับการส่งเสริมที่ยื่นตั้งแต่ 2 มกราคม 2562 ถึง 30 ธันวาคม 2563 โดยคาดว่าจะสามารถช่วยกระตุ้นการลงทุนได้มากกว่า 200,000 ล้านบาท ในระยะปี 2563 - 2564 นี้
2. มาตรการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการปรับปรุงมาตรการส่งเสริม SMEs โดยกําหนดคําจํากัดความของ SMEs ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับคําจํากัดความของ SMEs ของ สสว. ที่มีการปรับปรุงเมื่อต้นปี 2563 ที่ผ่านมา คือ เป็นกิจการที่ต้องถือหุ้นโดยบุคคลธรรมดาสัญชาติไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 และจะต้องมีรายได้ของกิจการทั้งที่ได้รับการส่งเสริมและไม่ได้รับการส่งเสริมไม่เกิน 500 ล้านบาทต่อปี ใน 3 ปีแรก ในกรณีตั้งกิจการในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรม จะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติ บุคลเพิ่มเติมอีก 1 ปี หากตั้งในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนจะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยได้รับวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในสัดส่วนร้อยละ 200 ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ด้วย ทั้งนี้ ต้องยื่นคําขอรับส่งเสริมตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2563 ถึง วันทําการสุดท้ายของปี 2564
3. มาตรการท่องเที่ยว ที่ประชุมเห็นชอบให้ปรับปรุงประเภทกิจการกระเช้าไฟฟ้า และกิจการโรงแรม โดยประเภทกิจการกระเช้าไฟฟ้า ได้ขยายขอบข่ายให้ครอบคลุมรถรางไฟฟ้าเพื่อการท่องเที่ยวด้วย และกําหนดเงื่อนไขต้องมีการลงทุนไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน) เพื่อเป็นการส่งเสริมการลงทุนโครงการที่มีคุณภาพ สําหรับกิจการโรงแรม ได้มีการปรับเงื่อนไขให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวที่ต้องการกระตุ้นให้เกิดการกระจายรายได้ และการท่องเที่ยวไปสู่เมืองรอง โดยเน้นการสร้างคุณภาพและมาตรฐานของโรงแรมเพื่อให้นักท่องเที่ยวมีระยะเวลาพํานักนานขึ้น และมีการใช้จ่ายในประเทศมากยิ่งขึ้น โดยปรับขอบข่ายพื้นที่ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นระยะเวลา 3 ปี จากเดิมซึ่งให้เฉพาะกรณีลงทุนในพื้นที่ 20 จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ํา ขยายเป็นกรณีลงทุนในพื้นที่เมืองรอง 55 จังหวัดตามยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว
นอกจากนี้ บอร์ดบีโอไอยังได้มีมติให้เปิดส่งเสริม “กิจการที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อย” โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์เฉพาะการยกเว้นภาษี เงินได้นิติบุคคล เป็นระยะเวลา 3 ปี เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสร้างที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพดี ทั้งนี้ ได้กําหนดหลักเกณฑ์ เช่น กรณีอาคารชุดต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 24 ตารางเมตร กรณีบ้านแถวหรือบ้านเดี่ยว ต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 70 ตารางเมตร โดยมีราคาขายต่อหน่วย ไม่เกิน 1.2 ล้านบาท (รวมค่าที่ดิน) กรณีที่ตั้งอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร และไม่เกิน 1 ล้านบาท (รวมค่าที่ดิน) ในกรณีตั้งในจังหวัดอื่นๆ เป็นต้น โดยโครงการต้องได้รับความเห็นชอบจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ก่อนยื่นขอรับการส่งเสริมซึ่งกําหนดให้ยื่นคําขอภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 นี้
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ยังได้แนะให้บีโอไอนําผลงานวิจัยต่าง ๆ ที่มีศักยภาพซึ่งมีอยู่แล้วในปัจจุบันมาพิจารณาหามาตรการสนับสนส่งเสริมไปสู่การผลิตให้เกิดการลงทุนในงานวิจัยอันจะส่งผลดีในเชิงเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศในภาพรวมต่อไป
____________
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26339
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ผนึกภาคอุตสาหกรรมประกันภัย รณรงค์ความปลอดภัยทางถนน สงกรานต์ 2561 ผลักดันให้ใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง
|
วันอังคารที่ 10 เมษายน 2561
คปภ. ผนึกภาคอุตสาหกรรมประกันภัย รณรงค์ความปลอดภัยทางถนน สงกรานต์ 2561 ผลักดันให้ใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง
คปภ.ร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัยและเครือข่ายความปลอดภัยทางถนนจัดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวมาอย่างต่อเนื่องทุกปี
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ในฐานะที่สํานักงาน คปภ. เป็นหนึ่งในคณะกรรมการศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน ได้เล็งเห็นความสําคัญของการแก้ปัญหาอุบัติเหตุทางถนนที่เป็นสาเหตุที่คร่าชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นจํานวน ซึ่งได้มีการบูรณาการทํางานในเชิงรุกร่วมกับภาคีเครือข่ายความปลอดภัยทางถนนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยให้เข้าไปมีบทบาทในการบริหารความเสี่ยงให้แก่ทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง แต่สถิติการเกิดอุบัติเหตุของประเทศไทยก็ยังติดอันดับต้นๆ ดังจะเห็นได้จากสถิติล่าสุดของการเกิดอุบัติเหตุการบาดเจ็บ และเสียชีวิต ในช่วง 7 วันอันตรายของเทศกาลสงกรานต์ในปี 2560 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 พบว่าปี 2560 เกิดอุบัติเหตุรวมทั้งสิ้น 3,690 ครั้ง เพิ่มขึ้นจากปี 2559 จํานวน 243 ครั้ง โดยเพิ่มขึ้น 7.05% ส่วนใหญ่เกิดจากรถจักรยานยนต์ ทั้งนี้จากสถิติในช่วง 7 วันอันตรายของเทศกาลสงกรานต์ ปี 2560 พบว่าเป็นรถจักรยานยนต์ร้อยละ 79.44 โดยไม่ใส่หมวกนิรภัยร้อยละ 48.69 และหนึ่งในสถิติที่ต้องให้ความสําคัญเป็นอย่างยิ่งคือ รถจักรยานยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุ แต่ไม่มีประกันภัย พ.ร.บ. ถึงร้อยละ 48
ดังนั้นสํานักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกํากับดูแลอุตสาหกรรมประกันภัยทั้งระบบจึงมีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนระบบประกันภัยให้เข้าไปมีบทบาทในการบริหารความเสี่ยงให้แก่ประชาชนและทุกภาคส่วน โดยร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัยและเครือข่ายความปลอดภัยทางถนนจัดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวมาอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งในปีนี้สํานักงาน คปภ. ได้มีการนําระบบประกันภัยมาบริหารความเสี่ยงให้กับประชาชนอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง โดยเริ่มจากเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2561 ได้มีการเปิดตัว“กรมธรรม์ประกันภัยสงกรานต์อุ่นใจ (ประกันภัย 10 บาท) (ไมโครอินชัวรันส์)” ซึ่งให้ความคุ้มครองกับประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ในปี 2561 ด้วยเบี้ยประกันภัยถูกที่สุดเพียง 10 บาท ให้ความคุ้มครองในกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 100,000 บาท มีระยะเวลาความคุ้มครอง 1 เดือน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่โครงการนี้ได้รับกระแสตอบรับอย่างดียิ่ง โดยขณะนี้มีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้าร่วมโครงการแล้ว 9 หน่วยงาน ได้แก่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) , บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จํากัด (มหาชน) , บริษัท เทสโก้ เจเนอรัล อินชัวรันส์ โบรคเกอร์ จํากัด , บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จํากัด , หนังสือพิมพ์ดาราเดลี่ , บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จํากัด ,บริษัท แบล็ค แคนยอน (ประเทศไทย) จํากัด , บริษัท หยั่น หว่อ หยุ่น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จํากัด และบริษัท ออร์ก้า (ประเทศไทย) จํากัด ทั้งนี้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการนี้จะเป็นผู้ชําระค่าเบี้ยประกันภัยกับบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการและนําไปมอบให้ประชาชนที่ซื้อสินค้าอุปโภคหรือบริการตามเงื่อนไขที่ผู้ประกอบการและแต่ละรายกําหนด โดยจะไม่มีการบวกค่าเบี้ยประกันภัยเข้าไปในราคาสินค้าหรือการให้บริการของบริษัทที่เข้าร่วมโครงการแต่อย่างใด
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2561 สํานักงาน คปภ.ได้ Road Show กรมธรรม์ประกันภัย 10 บาท ที่เทสโก้ โลตัส สาขาประชาชื่น และที่เซเว่น อีเลฟเว่น สาขาสาธิต PIM ถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมาก รวมทั้งในวันที่ 8 เมษายน 2561 สํานักงานคปภ.ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในอุตสาหกรรมประกันภัยร่วมกันจัดงาน “คปภ.ลดความเสี่ยง สู่ชุมชน” เพื่อให้ความรู้ด้านการป้องกันความเสี่ยงภัยและแจกหมวกนิรภัยให้กับประชาชน รวมทั้งแนะนํากรมธรรม์ประกันภัย 10 บาทอีกด้วย
ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2561 ได้ร่วมกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัยจัดงาน “สงกรานต์เดินทางปลอดภัย ประกันภัยห่วงใยคุณ” เพื่อมอบความห่วงใยให้กับประชาชน ซึ่งภายในงานได้มีการมอบหมวกนิรภัยให้กับเด็กนักเรียนและผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างในพื้นที่กรุงเทพมหานคร อีกทั้งได้ให้บริการตรวจเช็ค เปลี่ยนถ่ายน้ํามันเครื่อง และเปลี่ยนหลอดไฟรถจักรยานยนต์ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจากครอบครัว ฉัตรบริรักษ์ ซึ่งประกอบด้วย คุณบอย ปกรณ์ คุณแม่งามทิพย์ และน้องวันใหม่ เป็นศิลปินรับเชิญเข้าร่วมรณรงค์ความปลอดภัยทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้อีกด้วย
นอกจากนี้ยังได้พัฒนากรมธรรม์ประกันภัยรายย่อย หรือไมโครอินชัวรันส์ ทั้งประกันภัย 100 และประกันภัย 222 ที่ให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล กรณีเสียชีวิต สูงสุด 100,000 บาท ซึ่งเดิมเป็นกรมธรรม์ประกันภัยที่มีขายเฉพาะในช่วงเทศกาลหยุดยาว (ปีใหม่ หรือสงกรานต์) เท่านั้น สําหรับในปีนี้พิเศษยิ่งขึ้นคือประชาชนสามารถซื้อกรมธรรม์เหล่านี้ได้ตลอดทั้งปี นับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 เป็นต้นไป โดยสามารถหาซื้อได้ที่ช่องทางจําหน่ายต่างๆใกล้บ้าน เช่น เคาน์เตอร์เซอร์วิสที่อยู่ในเซเว่นอีเลฟเว่น, เทสโก้โลตัส, ไปรษณีย์ไทย และทีคิวเอ็ม อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ รวมถึงตัวแทนนายหน้าของบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการ
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับในส่วนของสํานักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกํากับดูแลธุรกิจประกันภัย (Regulator) ก็ได้ให้ความสําคัญกับการนําระบบประกันภัยมาบริหารความเสี่ยงในชีวิตให้กับพนักงาน คปภ.เช่นกัน จึงได้ให้มีการจัดทําประกันภัยสงกรานต์อุ่นใจ หรือประกันภัย 10 บาท ให้กับพนักงาน คปภ.ทุกคนทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั่วประเทศในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้เรียบร้อยแล้ว
ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ขอให้ประชาชนที่จะเดินทางกลับภูมิลําเนา หรือท่องเที่ยว ควรขับขี่รถด้วยความไม่ประมาท เตรียมสภาพร่างกายและตรวจสภาพรถให้พร้อม รวมถึงปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด ที่สําคัญก่อนการเดินทางควรตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัยและวันหมดอายุของการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ทุกครั้ง แม้ว่าการทําประกันภัยไม่สามารถป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่การบริหารความเสี่ยงเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงภัย หากเกิดอุบัติเหตุแล้ว การประกันภัยสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้ ทั้งนี้ ในช่วง 7 วันอันตราย (วันที่ 11 - 17 เมษายน 2561) สํานักงาน คปภ. ได้จัดประชุม Video Conference ร่วมกับผู้อํานวยการสํานักงาน คปภ. ภาค 1-9 ทั่วประเทศ เพื่อเตรียมพร้อมสําหรับจัดกิจกรรมรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ รวมทั้งกําชับให้จังหวัดทั่วประเทศ ประสานเครือข่ายประกันภัยในจังหวัด เฝ้าระวังและสนับสนุนข้อมูลด้านการประกันภัย และช่วยเหลือประชาชนด้านการประกันภัยอย่างรวดเร็วและทันท่วงที อีกทั้ง สํานักงาน คปภ. ได้มีการจัดทํา Platform ของการรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรองรับไว้แล้ว นอกจากนี้ ได้เปิดให้บริการรับคําปรึกษาเกี่ยวกับการประกันภัยตลอด 24 ชั่วโมง ทางสายด่วน คปภ. 1186 และสํานักงาน คปภ. ในส่วนภูมิภาค ได้ร่วมกับศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนระดับจังหวัด เพื่อให้บริการประชาชนในช่วงเทศกาลดังกล่าวด้วยเช่นกัน หรือสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ สํานักงาน คปภ. www.oic.or.th เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ผนึกภาคอุตสาหกรรมประกันภัย รณรงค์ความปลอดภัยทางถนน สงกรานต์ 2561 ผลักดันให้ใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง
วันอังคารที่ 10 เมษายน 2561
คปภ. ผนึกภาคอุตสาหกรรมประกันภัย รณรงค์ความปลอดภัยทางถนน สงกรานต์ 2561 ผลักดันให้ใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง
คปภ.ร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัยและเครือข่ายความปลอดภัยทางถนนจัดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวมาอย่างต่อเนื่องทุกปี
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ในฐานะที่สํานักงาน คปภ. เป็นหนึ่งในคณะกรรมการศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน ได้เล็งเห็นความสําคัญของการแก้ปัญหาอุบัติเหตุทางถนนที่เป็นสาเหตุที่คร่าชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นจํานวน ซึ่งได้มีการบูรณาการทํางานในเชิงรุกร่วมกับภาคีเครือข่ายความปลอดภัยทางถนนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยให้เข้าไปมีบทบาทในการบริหารความเสี่ยงให้แก่ทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง แต่สถิติการเกิดอุบัติเหตุของประเทศไทยก็ยังติดอันดับต้นๆ ดังจะเห็นได้จากสถิติล่าสุดของการเกิดอุบัติเหตุการบาดเจ็บ และเสียชีวิต ในช่วง 7 วันอันตรายของเทศกาลสงกรานต์ในปี 2560 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 พบว่าปี 2560 เกิดอุบัติเหตุรวมทั้งสิ้น 3,690 ครั้ง เพิ่มขึ้นจากปี 2559 จํานวน 243 ครั้ง โดยเพิ่มขึ้น 7.05% ส่วนใหญ่เกิดจากรถจักรยานยนต์ ทั้งนี้จากสถิติในช่วง 7 วันอันตรายของเทศกาลสงกรานต์ ปี 2560 พบว่าเป็นรถจักรยานยนต์ร้อยละ 79.44 โดยไม่ใส่หมวกนิรภัยร้อยละ 48.69 และหนึ่งในสถิติที่ต้องให้ความสําคัญเป็นอย่างยิ่งคือ รถจักรยานยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุ แต่ไม่มีประกันภัย พ.ร.บ. ถึงร้อยละ 48
ดังนั้นสํานักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกํากับดูแลอุตสาหกรรมประกันภัยทั้งระบบจึงมีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนระบบประกันภัยให้เข้าไปมีบทบาทในการบริหารความเสี่ยงให้แก่ประชาชนและทุกภาคส่วน โดยร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัยและเครือข่ายความปลอดภัยทางถนนจัดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวมาอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งในปีนี้สํานักงาน คปภ. ได้มีการนําระบบประกันภัยมาบริหารความเสี่ยงให้กับประชาชนอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง โดยเริ่มจากเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2561 ได้มีการเปิดตัว“กรมธรรม์ประกันภัยสงกรานต์อุ่นใจ (ประกันภัย 10 บาท) (ไมโครอินชัวรันส์)” ซึ่งให้ความคุ้มครองกับประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ในปี 2561 ด้วยเบี้ยประกันภัยถูกที่สุดเพียง 10 บาท ให้ความคุ้มครองในกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 100,000 บาท มีระยะเวลาความคุ้มครอง 1 เดือน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่โครงการนี้ได้รับกระแสตอบรับอย่างดียิ่ง โดยขณะนี้มีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้าร่วมโครงการแล้ว 9 หน่วยงาน ได้แก่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) , บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จํากัด (มหาชน) , บริษัท เทสโก้ เจเนอรัล อินชัวรันส์ โบรคเกอร์ จํากัด , บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จํากัด , หนังสือพิมพ์ดาราเดลี่ , บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จํากัด ,บริษัท แบล็ค แคนยอน (ประเทศไทย) จํากัด , บริษัท หยั่น หว่อ หยุ่น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จํากัด และบริษัท ออร์ก้า (ประเทศไทย) จํากัด ทั้งนี้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการนี้จะเป็นผู้ชําระค่าเบี้ยประกันภัยกับบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการและนําไปมอบให้ประชาชนที่ซื้อสินค้าอุปโภคหรือบริการตามเงื่อนไขที่ผู้ประกอบการและแต่ละรายกําหนด โดยจะไม่มีการบวกค่าเบี้ยประกันภัยเข้าไปในราคาสินค้าหรือการให้บริการของบริษัทที่เข้าร่วมโครงการแต่อย่างใด
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2561 สํานักงาน คปภ.ได้ Road Show กรมธรรม์ประกันภัย 10 บาท ที่เทสโก้ โลตัส สาขาประชาชื่น และที่เซเว่น อีเลฟเว่น สาขาสาธิต PIM ถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมาก รวมทั้งในวันที่ 8 เมษายน 2561 สํานักงานคปภ.ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในอุตสาหกรรมประกันภัยร่วมกันจัดงาน “คปภ.ลดความเสี่ยง สู่ชุมชน” เพื่อให้ความรู้ด้านการป้องกันความเสี่ยงภัยและแจกหมวกนิรภัยให้กับประชาชน รวมทั้งแนะนํากรมธรรม์ประกันภัย 10 บาทอีกด้วย
ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2561 ได้ร่วมกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัยจัดงาน “สงกรานต์เดินทางปลอดภัย ประกันภัยห่วงใยคุณ” เพื่อมอบความห่วงใยให้กับประชาชน ซึ่งภายในงานได้มีการมอบหมวกนิรภัยให้กับเด็กนักเรียนและผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างในพื้นที่กรุงเทพมหานคร อีกทั้งได้ให้บริการตรวจเช็ค เปลี่ยนถ่ายน้ํามันเครื่อง และเปลี่ยนหลอดไฟรถจักรยานยนต์ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจากครอบครัว ฉัตรบริรักษ์ ซึ่งประกอบด้วย คุณบอย ปกรณ์ คุณแม่งามทิพย์ และน้องวันใหม่ เป็นศิลปินรับเชิญเข้าร่วมรณรงค์ความปลอดภัยทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้อีกด้วย
นอกจากนี้ยังได้พัฒนากรมธรรม์ประกันภัยรายย่อย หรือไมโครอินชัวรันส์ ทั้งประกันภัย 100 และประกันภัย 222 ที่ให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล กรณีเสียชีวิต สูงสุด 100,000 บาท ซึ่งเดิมเป็นกรมธรรม์ประกันภัยที่มีขายเฉพาะในช่วงเทศกาลหยุดยาว (ปีใหม่ หรือสงกรานต์) เท่านั้น สําหรับในปีนี้พิเศษยิ่งขึ้นคือประชาชนสามารถซื้อกรมธรรม์เหล่านี้ได้ตลอดทั้งปี นับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 เป็นต้นไป โดยสามารถหาซื้อได้ที่ช่องทางจําหน่ายต่างๆใกล้บ้าน เช่น เคาน์เตอร์เซอร์วิสที่อยู่ในเซเว่นอีเลฟเว่น, เทสโก้โลตัส, ไปรษณีย์ไทย และทีคิวเอ็ม อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ รวมถึงตัวแทนนายหน้าของบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการ
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับในส่วนของสํานักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกํากับดูแลธุรกิจประกันภัย (Regulator) ก็ได้ให้ความสําคัญกับการนําระบบประกันภัยมาบริหารความเสี่ยงในชีวิตให้กับพนักงาน คปภ.เช่นกัน จึงได้ให้มีการจัดทําประกันภัยสงกรานต์อุ่นใจ หรือประกันภัย 10 บาท ให้กับพนักงาน คปภ.ทุกคนทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั่วประเทศในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้เรียบร้อยแล้ว
ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ขอให้ประชาชนที่จะเดินทางกลับภูมิลําเนา หรือท่องเที่ยว ควรขับขี่รถด้วยความไม่ประมาท เตรียมสภาพร่างกายและตรวจสภาพรถให้พร้อม รวมถึงปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด ที่สําคัญก่อนการเดินทางควรตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัยและวันหมดอายุของการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ทุกครั้ง แม้ว่าการทําประกันภัยไม่สามารถป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่การบริหารความเสี่ยงเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงภัย หากเกิดอุบัติเหตุแล้ว การประกันภัยสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้ ทั้งนี้ ในช่วง 7 วันอันตราย (วันที่ 11 - 17 เมษายน 2561) สํานักงาน คปภ. ได้จัดประชุม Video Conference ร่วมกับผู้อํานวยการสํานักงาน คปภ. ภาค 1-9 ทั่วประเทศ เพื่อเตรียมพร้อมสําหรับจัดกิจกรรมรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ รวมทั้งกําชับให้จังหวัดทั่วประเทศ ประสานเครือข่ายประกันภัยในจังหวัด เฝ้าระวังและสนับสนุนข้อมูลด้านการประกันภัย และช่วยเหลือประชาชนด้านการประกันภัยอย่างรวดเร็วและทันท่วงที อีกทั้ง สํานักงาน คปภ. ได้มีการจัดทํา Platform ของการรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรองรับไว้แล้ว นอกจากนี้ ได้เปิดให้บริการรับคําปรึกษาเกี่ยวกับการประกันภัยตลอด 24 ชั่วโมง ทางสายด่วน คปภ. 1186 และสํานักงาน คปภ. ในส่วนภูมิภาค ได้ร่วมกับศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนระดับจังหวัด เพื่อให้บริการประชาชนในช่วงเทศกาลดังกล่าวด้วยเช่นกัน หรือสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ สํานักงาน คปภ. www.oic.or.th เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11443
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด สุรพลฯ เข้ารับรางวัลผู้ปิดทองหลังพระจากสมาคมนักข่าวอาชญากรรมแห่งประเทศไทย
|
วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม 2561
รองปลัด สุรพลฯ เข้ารับรางวัลผู้ปิดทองหลังพระจากสมาคมนักข่าวอาชญากรรมแห่งประเทศไทย
รองปลัด สุรพลฯ เข้ารับรางวัลผู้ปิดทองหลังพระจากสมาคมนักข่าวอาชญากรรมแห่งประเทศไทย
วันนี้ (15 ธันวาคม 2561) นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้ารับรางวัลผู้ปิดทองหลังพระจากสมาคมนักข่าวอาชญากรรมแห่งประเทศไทย โดยมีศาสตราจารย์พิเศษ วิชามหาคุณ ประธานมูลนิธิต่อต้านการทุจริต เป็นประธานการมอบรางวัล โดยรางวัลดังกล่าวคณะกรรมการสมาคมและผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาจากผลงานการจับกุมโรงงานกําจัดขยะเถื่อนเป็นพิษที่ผิดกฎหมายที่สร้างมลพิษต่อชุมชนและประชาชน โดยเฉพาะการตรวจสอบขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นการทําลายสิ่งแวดล้อม ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตโดยบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ณ อาคารพุทธวิชชาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด สุรพลฯ เข้ารับรางวัลผู้ปิดทองหลังพระจากสมาคมนักข่าวอาชญากรรมแห่งประเทศไทย
วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม 2561
รองปลัด สุรพลฯ เข้ารับรางวัลผู้ปิดทองหลังพระจากสมาคมนักข่าวอาชญากรรมแห่งประเทศไทย
รองปลัด สุรพลฯ เข้ารับรางวัลผู้ปิดทองหลังพระจากสมาคมนักข่าวอาชญากรรมแห่งประเทศไทย
วันนี้ (15 ธันวาคม 2561) นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้ารับรางวัลผู้ปิดทองหลังพระจากสมาคมนักข่าวอาชญากรรมแห่งประเทศไทย โดยมีศาสตราจารย์พิเศษ วิชามหาคุณ ประธานมูลนิธิต่อต้านการทุจริต เป็นประธานการมอบรางวัล โดยรางวัลดังกล่าวคณะกรรมการสมาคมและผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาจากผลงานการจับกุมโรงงานกําจัดขยะเถื่อนเป็นพิษที่ผิดกฎหมายที่สร้างมลพิษต่อชุมชนและประชาชน โดยเฉพาะการตรวจสอบขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นการทําลายสิ่งแวดล้อม ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตโดยบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ณ อาคารพุทธวิชชาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17520
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยเตรียมจัดงานวันที่ระลึกคล้ายวันสิ้นพระชนม์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ 1 ธันวาคม 2561
|
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2561
มหาดไทยเตรียมจัดงานวันที่ระลึกคล้ายวันสิ้นพระชนม์ สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ 1 ธันวาคม 2561
มหาดไทยเตรียมจัดงานวันที่ระลึกคล้ายวันสิ้นพระชนม์ สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ 1 ธันวาคม 2561
เพื่อน้อมรําลึกถึงองค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ผู้ทรงบําเพ็ญประโยชน์ต่อประเทศชาตินานัปการ
วันนี้ (30 พ.ย. 61) ที่กระทรวงมหาดไทย นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า
ในวันที่ 1 ธันวาคม เป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2544 กําหนดให้วันที่ 1 ธันวาคมของทุกปีเป็น “วันดํารงราชานุภาพ” เพื่อน้อมรําลึกถึงพระองค์ท่านที่ได้ทรงบําเพ็ญประโยชน์ต่อประเทศชาตินานัปการ
สําหรับในปี 2561 นี้ กระทรวงมหาดไทยได้กําหนดจัดงานวันที่ระลึกคล้ายวันสิ้นพระชนม์ ของสมเด็จพระเจ้า
บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ในวันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม 2561 โดยจะมีพิธีวางพวงมาลาถวายสักการะ
พระอนุสาวรีย์สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ และมีกิจกรรมสําคัญต่างๆ ดังนี้
เวลา 06.00 น. พิธีวางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ
ณ บริเวณพิธีหน้าศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมีผู้แทนส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และประชาชนเข้าร่วมในพิธี
เวลา 06.30 น. ปลัดกระทรวงมหาดไทยวางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ พร้อมด้วยข้าราชการ พนักงาน และผู้มาร่วมในพิธี
เวลา 07.00 น. พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สักการะและถวายพวงมาลัยบูชาศาลพระชัยมงคล และศาลพระกาฬไชยศรี วางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จฯ กรมพระยาดํารง
ราชานุภาพ หลังจากเสร็จพิธีพราหมณ์อ่านคําบวงสรวงแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวคําสดุดีสมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ และพบพระญาติของสมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ พร้อมทั้งเดินตรวจเยี่ยมข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจในสังกัด
เวลา 08.00 น. พิธีสงฆ์ ณ ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อทําบุญอุทิศส่วนกุศล
ถวายแด่สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ตลอดจนผู้มีพระคุณและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงมหาดไทย
ที่ล่วงลับไปแล้ว โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีถวายเครื่องไทยธรรม และภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์
เวลา 09.00 น. พิธีมอบรางวัลและประกาศเกียรติคุณแก่ผู้ได้รับรางวัลนายอําเภอแหวนเพชร ประจําปี 2561 จํานวน 10 รางวัล ปลัดอําเภอดีเด่น (ปลัดอําเภอแหวนทองคํา) จํานวน 10 รางวัล หมู่บ้านดีเด่น (บ้านสวย เมืองสุข) จํานวน 18 รางวัล สํานักทะเบียนดีเด่น จํานวน 27 รางวัล ณ ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย
โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรมต่างๆ ที่กระทรวงมหาดไทยได้กําหนดจัดขึ้นในงาน
“วันดํารงราชานุภาพ” นี้ เพื่อน้อมสักการะและรําลึกถึงพระเกียรติคุณและพระวิทยาคุณที่พระองค์ท่านได้ทรงวางรากฐานอันมั่นคงให้แก่กระทรวงมหาดไทย และทรงเป็นแบบอย่างแก่อนุชนคนมหาดไทยได้ยึดถือปฏิบัติตลอดมาตราบจนถึงปัจจุบัน
รางวัลนายอําเภอแหวนเพชร ประกอบด้วย
1. รายชื่อนายอําเภอแหวนเพชร รางวัลชนะเลิศ จํานวน 5 รางวัล ได้แก่
1) นายวัฒนา ยั่งยืน นายอําเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี
2) นายสมเกียรติ ศรีขาว นายอําเภอเมืองศรีสะเกษ (ครั้งดํารงตําแหน่ง นายอําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ)
3) นายนันธวัช เจริญวรรณ ปลัดจังหวัดกระบี่ (ครั้งดํารงตําแหน่ง นายอําเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง)
4) นายพันธ์เทพ เสาโกศล นายอําเภอเมืองหนองบัวลําภู (ครั้งดํารงตําแหน่ง นายอําเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น)
5) นายปรีชา นวลน้อย นายอําเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส
2. รายชื่อนายอําเภอแหวนเพชร รางวัลชมเชย จํานวน 5 รางวัล ได้แก่
1) นายทัศนัย สุธาพจน์ นายอําเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
2) นายบุญธรรม ทองพิจิตร นายอําเภอเมืองอุทัยธานี (ครั้งดํารงตําแหน่ง นายอําเภอคลองลาน จังหวัดกําแพงเพชร)
3) นายชนะ ธรณีทอง นายอําเภอขามทะเลสอ จังหวัดนครราชสีมา
4) นายสุวิชาญ ไชยโกมล นายอําเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
5) นายไชยพร นิยมแก้ว นายอําเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา
(ครั้งดํารงตําแหน่ง นายอําเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี)
รางวัลปลัดอําเภอดีเด่น (ปลัดอําเภอแหวนทองคํา) ประกอบด้วย
1. รายชื่อปลัดอําเภอดีเด่น (ปลัดอําเภอแหนวนทองคํา) รางวัลชนะเลิศ จํานวน 5 รางวัล ได้แก่
1) นายธรรมสรณ์ ศรีสวัสดิ์ ปลัดอําเภอรัษฎา จังหวัดตรัง
2) นายศุภกร อนันตรักษ์ ปลัดอําเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
3) นายอภิชัย โยคะสัย ปลัดอําเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด
4) นางสาวนราภรณ์ ช้างทอง ปลัดอําเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก
5) ว่าที่ร้อยตรี ธวัช กุลวุฒิพงษ์ศักดิ์ ปลัดอําเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี
2. รายชื่อปลัดอําเภอดีเด่น (ปลัดอําเภอแหนวนทองคํา) รางวัลชมเชย จํานวน 5 รางวัล ได้แก่
1) นายสันติสุข กิจบาลจ่าย ปลัดอําเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช
2) นางสาวนิภา ขันธศักดิ์ ปลัดอําเภอนายายอาม จังหวัดจันทบุรี)
3) นายมนัสพล ไชยโยธา ปลัดอําเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ
4) นายกนกศักดิ์ หมื่นจันทร์ ปลัดอําเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์
5) สิบตํารวจตรี ชัยเจริญ มูสิกิ้ม เจ้าพนักงานปกครองชํานาญการ
ที่ทําการปกครองจังหวัดนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยเตรียมจัดงานวันที่ระลึกคล้ายวันสิ้นพระชนม์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ 1 ธันวาคม 2561
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2561
มหาดไทยเตรียมจัดงานวันที่ระลึกคล้ายวันสิ้นพระชนม์ สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ 1 ธันวาคม 2561
มหาดไทยเตรียมจัดงานวันที่ระลึกคล้ายวันสิ้นพระชนม์ สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ 1 ธันวาคม 2561
เพื่อน้อมรําลึกถึงองค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ผู้ทรงบําเพ็ญประโยชน์ต่อประเทศชาตินานัปการ
วันนี้ (30 พ.ย. 61) ที่กระทรวงมหาดไทย นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า
ในวันที่ 1 ธันวาคม เป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2544 กําหนดให้วันที่ 1 ธันวาคมของทุกปีเป็น “วันดํารงราชานุภาพ” เพื่อน้อมรําลึกถึงพระองค์ท่านที่ได้ทรงบําเพ็ญประโยชน์ต่อประเทศชาตินานัปการ
สําหรับในปี 2561 นี้ กระทรวงมหาดไทยได้กําหนดจัดงานวันที่ระลึกคล้ายวันสิ้นพระชนม์ ของสมเด็จพระเจ้า
บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ในวันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม 2561 โดยจะมีพิธีวางพวงมาลาถวายสักการะ
พระอนุสาวรีย์สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ และมีกิจกรรมสําคัญต่างๆ ดังนี้
เวลา 06.00 น. พิธีวางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ
ณ บริเวณพิธีหน้าศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมีผู้แทนส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และประชาชนเข้าร่วมในพิธี
เวลา 06.30 น. ปลัดกระทรวงมหาดไทยวางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ พร้อมด้วยข้าราชการ พนักงาน และผู้มาร่วมในพิธี
เวลา 07.00 น. พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สักการะและถวายพวงมาลัยบูชาศาลพระชัยมงคล และศาลพระกาฬไชยศรี วางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จฯ กรมพระยาดํารง
ราชานุภาพ หลังจากเสร็จพิธีพราหมณ์อ่านคําบวงสรวงแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวคําสดุดีสมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ และพบพระญาติของสมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ พร้อมทั้งเดินตรวจเยี่ยมข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจในสังกัด
เวลา 08.00 น. พิธีสงฆ์ ณ ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อทําบุญอุทิศส่วนกุศล
ถวายแด่สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ตลอดจนผู้มีพระคุณและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงมหาดไทย
ที่ล่วงลับไปแล้ว โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีถวายเครื่องไทยธรรม และภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์
เวลา 09.00 น. พิธีมอบรางวัลและประกาศเกียรติคุณแก่ผู้ได้รับรางวัลนายอําเภอแหวนเพชร ประจําปี 2561 จํานวน 10 รางวัล ปลัดอําเภอดีเด่น (ปลัดอําเภอแหวนทองคํา) จํานวน 10 รางวัล หมู่บ้านดีเด่น (บ้านสวย เมืองสุข) จํานวน 18 รางวัล สํานักทะเบียนดีเด่น จํานวน 27 รางวัล ณ ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย
โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรมต่างๆ ที่กระทรวงมหาดไทยได้กําหนดจัดขึ้นในงาน
“วันดํารงราชานุภาพ” นี้ เพื่อน้อมสักการะและรําลึกถึงพระเกียรติคุณและพระวิทยาคุณที่พระองค์ท่านได้ทรงวางรากฐานอันมั่นคงให้แก่กระทรวงมหาดไทย และทรงเป็นแบบอย่างแก่อนุชนคนมหาดไทยได้ยึดถือปฏิบัติตลอดมาตราบจนถึงปัจจุบัน
รางวัลนายอําเภอแหวนเพชร ประกอบด้วย
1. รายชื่อนายอําเภอแหวนเพชร รางวัลชนะเลิศ จํานวน 5 รางวัล ได้แก่
1) นายวัฒนา ยั่งยืน นายอําเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี
2) นายสมเกียรติ ศรีขาว นายอําเภอเมืองศรีสะเกษ (ครั้งดํารงตําแหน่ง นายอําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ)
3) นายนันธวัช เจริญวรรณ ปลัดจังหวัดกระบี่ (ครั้งดํารงตําแหน่ง นายอําเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง)
4) นายพันธ์เทพ เสาโกศล นายอําเภอเมืองหนองบัวลําภู (ครั้งดํารงตําแหน่ง นายอําเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น)
5) นายปรีชา นวลน้อย นายอําเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส
2. รายชื่อนายอําเภอแหวนเพชร รางวัลชมเชย จํานวน 5 รางวัล ได้แก่
1) นายทัศนัย สุธาพจน์ นายอําเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
2) นายบุญธรรม ทองพิจิตร นายอําเภอเมืองอุทัยธานี (ครั้งดํารงตําแหน่ง นายอําเภอคลองลาน จังหวัดกําแพงเพชร)
3) นายชนะ ธรณีทอง นายอําเภอขามทะเลสอ จังหวัดนครราชสีมา
4) นายสุวิชาญ ไชยโกมล นายอําเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
5) นายไชยพร นิยมแก้ว นายอําเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา
(ครั้งดํารงตําแหน่ง นายอําเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี)
รางวัลปลัดอําเภอดีเด่น (ปลัดอําเภอแหวนทองคํา) ประกอบด้วย
1. รายชื่อปลัดอําเภอดีเด่น (ปลัดอําเภอแหนวนทองคํา) รางวัลชนะเลิศ จํานวน 5 รางวัล ได้แก่
1) นายธรรมสรณ์ ศรีสวัสดิ์ ปลัดอําเภอรัษฎา จังหวัดตรัง
2) นายศุภกร อนันตรักษ์ ปลัดอําเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
3) นายอภิชัย โยคะสัย ปลัดอําเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด
4) นางสาวนราภรณ์ ช้างทอง ปลัดอําเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก
5) ว่าที่ร้อยตรี ธวัช กุลวุฒิพงษ์ศักดิ์ ปลัดอําเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี
2. รายชื่อปลัดอําเภอดีเด่น (ปลัดอําเภอแหนวนทองคํา) รางวัลชมเชย จํานวน 5 รางวัล ได้แก่
1) นายสันติสุข กิจบาลจ่าย ปลัดอําเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช
2) นางสาวนิภา ขันธศักดิ์ ปลัดอําเภอนายายอาม จังหวัดจันทบุรี)
3) นายมนัสพล ไชยโยธา ปลัดอําเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ
4) นายกนกศักดิ์ หมื่นจันทร์ ปลัดอําเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์
5) สิบตํารวจตรี ชัยเจริญ มูสิกิ้ม เจ้าพนักงานปกครองชํานาญการ
ที่ทําการปกครองจังหวัดนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17214
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ.มอบปลัด สธ. ดูแลครอบครัวพยาบาล รพ.รัษฎา ที่เสียชีวิตระหว่างเดินทางไปทำงาน
|
วันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม 2560
รมว.สธ.มอบปลัด สธ. ดูแลครอบครัวพยาบาล รพ.รัษฎา ที่เสียชีวิตระหว่างเดินทางไปทํางาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวพยาบาลโรงพยาบาลรัษฎา จ.ตรัง ที่ประสบเหตุเสียชีวิตระหว่างเดินทางไปทํางาน มอบปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้การช่วยเหลือดูแลครอบครัวอย่างเต็มที่
วันนี้ (1 ธันวาคม 2560) ศาสตราจารย์ คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่ากระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์กรณีนางสุมาลี แคนยุกต์ พยาบาลวิชาชีพ ประจําห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลรัษฎา จังหวัดตรัง ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตระหว่างเดินทางไปทํางาน ว่า กระทรวงสาธารณสุขขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้เสียชีวิต ได้มอบหมายให้นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุขดูแลช่วยเหลือครอบครัวของพยาบาลท่านนี้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่เป็นอย่างสูง ถึงมีเหตุภัยพิบัติน้ําท่วมยังคงเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่อยู่เวรดึกที่โรงพยาบาล โดยเย็นวันนี้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตรัง จะเป็นผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข ร่วมเป็นเจ้าภาพสวดอภิธรรมศพ ที่วัดคลองมวน อําเภอรัษฎา จังหวัดตรัง และติดตามดูแลช่วยเหลือครอบครัวต่อไป
สําหรับเหตุการณ์ดังกล่าวได้รับรายงานจากนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตรังว่า พยาบาลท่านนี้เสียชีวิตระหว่างเดินทางไปขึ้นเวรดึกที่ห้องฉุกเฉิน ใช้เส้นทางถนนสายห้วยยอด – รัษฎา ซึ่งเส้นทางดังกล่าวกําลังเกิดภัยพิบัติน้ําท่วม ทําให้รถที่ขับมาเสียหลักและตกลงไปในคลอง บริเวณพื้นที่ ม.11 ตําบลควนเมา อําเภอรัษฎา โดยเมื่อเวลา 03.00 น. สามารถกู้รถขึ้นมาได้พบผู้เสียชีวิตจมน้ําอยู่ภายในรถ สําหรับการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นนั้น โรงพยาบาลรัษฎาได้มอบเงินช่วยเหลือ 20,000 บาท เงินประกันชีวิตของเจ้าหน้าที่การแพทย์ฉุกเฉิน 200,000บาท รวมทั้งเงินประกันชีวิตจากสหกรณ์ออมทรัพย์สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดตรังอีกประมาณ 2 ล้านบาท
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขมีระเบียบการให้ความช่วยเหลือแก่เจ้าหน้าที่ผู้ประสบเคราะห์กรรม พ.ศ. 2518 ได้แก่ ประสบอุทกภัย วาตภัย หรืออัคคีภัยที่ทําให้ทรัพย์สินเสียหายหรือเหตุอื่นที่กระทรวงสาธารณสุขเห็นสมควร นอกจากนี้ ยังได้จัดทําระเบียบการช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ให้บริการสาธารณสุขที่ได้รับความเสียหายจากการให้บริการสาธารณสุข ซึ่งผ่านมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างกระทรวงการคลังพิจารณาเห็นชอบ
*********************** 1ธันวาคม2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ.มอบปลัด สธ. ดูแลครอบครัวพยาบาล รพ.รัษฎา ที่เสียชีวิตระหว่างเดินทางไปทำงาน
วันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม 2560
รมว.สธ.มอบปลัด สธ. ดูแลครอบครัวพยาบาล รพ.รัษฎา ที่เสียชีวิตระหว่างเดินทางไปทํางาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวพยาบาลโรงพยาบาลรัษฎา จ.ตรัง ที่ประสบเหตุเสียชีวิตระหว่างเดินทางไปทํางาน มอบปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้การช่วยเหลือดูแลครอบครัวอย่างเต็มที่
วันนี้ (1 ธันวาคม 2560) ศาสตราจารย์ คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่ากระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์กรณีนางสุมาลี แคนยุกต์ พยาบาลวิชาชีพ ประจําห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลรัษฎา จังหวัดตรัง ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตระหว่างเดินทางไปทํางาน ว่า กระทรวงสาธารณสุขขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้เสียชีวิต ได้มอบหมายให้นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุขดูแลช่วยเหลือครอบครัวของพยาบาลท่านนี้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่เป็นอย่างสูง ถึงมีเหตุภัยพิบัติน้ําท่วมยังคงเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่อยู่เวรดึกที่โรงพยาบาล โดยเย็นวันนี้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตรัง จะเป็นผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข ร่วมเป็นเจ้าภาพสวดอภิธรรมศพ ที่วัดคลองมวน อําเภอรัษฎา จังหวัดตรัง และติดตามดูแลช่วยเหลือครอบครัวต่อไป
สําหรับเหตุการณ์ดังกล่าวได้รับรายงานจากนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตรังว่า พยาบาลท่านนี้เสียชีวิตระหว่างเดินทางไปขึ้นเวรดึกที่ห้องฉุกเฉิน ใช้เส้นทางถนนสายห้วยยอด – รัษฎา ซึ่งเส้นทางดังกล่าวกําลังเกิดภัยพิบัติน้ําท่วม ทําให้รถที่ขับมาเสียหลักและตกลงไปในคลอง บริเวณพื้นที่ ม.11 ตําบลควนเมา อําเภอรัษฎา โดยเมื่อเวลา 03.00 น. สามารถกู้รถขึ้นมาได้พบผู้เสียชีวิตจมน้ําอยู่ภายในรถ สําหรับการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นนั้น โรงพยาบาลรัษฎาได้มอบเงินช่วยเหลือ 20,000 บาท เงินประกันชีวิตของเจ้าหน้าที่การแพทย์ฉุกเฉิน 200,000บาท รวมทั้งเงินประกันชีวิตจากสหกรณ์ออมทรัพย์สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดตรังอีกประมาณ 2 ล้านบาท
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขมีระเบียบการให้ความช่วยเหลือแก่เจ้าหน้าที่ผู้ประสบเคราะห์กรรม พ.ศ. 2518 ได้แก่ ประสบอุทกภัย วาตภัย หรืออัคคีภัยที่ทําให้ทรัพย์สินเสียหายหรือเหตุอื่นที่กระทรวงสาธารณสุขเห็นสมควร นอกจากนี้ ยังได้จัดทําระเบียบการช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ให้บริการสาธารณสุขที่ได้รับความเสียหายจากการให้บริการสาธารณสุข ซึ่งผ่านมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างกระทรวงการคลังพิจารณาเห็นชอบ
*********************** 1ธันวาคม2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8486
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. ออมสินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ 8/2560
|
วันพุธที่ 30 สิงหาคม 2560
รมต.นร. ออมสินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ 8/2560
รมต.นร. ออมสินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ 8/2560 โดยมีมติเห็นชอบให้มีการหามาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้บริการเช่าที่พักอาศัยของผู้บริโภคให้ได้รับความเป็นธรรมอย่างแท้จริง
วันนี้(30 สิงหาคม 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 109 ชั้น 1 สํานักงานปลัด สํานักนายกรัฐมนตรี นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ 8/2560
ที่ประชุมได้รับทราบรายงานผลการจัดโครงการสัมมนาการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์การคุ้มครองผู้บริโภคแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2560 - 2564) ซึ่งดําเนินการจัดไปแล้ว เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาโดยประสบผลสําเร็จเป็นอย่างดี ทั้งนี้ มีสาระสําคัญประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ การสัมมนาระบบและกลไกการคุ้มครองผู้บริโภค การสัมมนาระบบฐานข้อมูล ในการคุ้มครองผู้บริโภค การสัมมนาองค์ความรู้และการสื่อสารเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค การสร้างและพัฒนาศักยภาพเครือข่ายผู้บริโภค ตลอดจนส่งเสริมและ บูรณการการคุ้มครองผู้บริโภค นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ให้ข้อเสนอแนะให้ของเสนอแนะเพิ่มเติมว่า สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ควรมีรูปแบบใหม่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับข้อมูลของการเยียวยาผู้บริโภคใน มาตรฐานเดียวกัน ขณะเดียวกันสํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคควรจัดเวทีเช่นนี้ โดยมีกรณีศึกษาที่หลากหลาย เพื่อนําไปสู่การปฏิบัติที่ได้มาตรฐาน ตลอดจนมีการจัดสัมมนาให้มีความต่อเนื่อง และครอบคลุมผู้บริโภคทุกภาคส่วนอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
พร้อมกันนี้ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ เรื่องมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการให้บริการเช่าที่พักอาศัย โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประสานกับกรมการค้าภายใน ในการหาข้อสรุปภายใน 2 เดือน เพื่อแก้ไขเรื่องการให้บริการดังกล่าวให้มีความเป็นธรรมกับผู้บริโภคอย่างแท้จริง และรายงานให้คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป
..............................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. ออมสินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ 8/2560
วันพุธที่ 30 สิงหาคม 2560
รมต.นร. ออมสินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ 8/2560
รมต.นร. ออมสินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ 8/2560 โดยมีมติเห็นชอบให้มีการหามาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้บริการเช่าที่พักอาศัยของผู้บริโภคให้ได้รับความเป็นธรรมอย่างแท้จริง
วันนี้(30 สิงหาคม 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 109 ชั้น 1 สํานักงานปลัด สํานักนายกรัฐมนตรี นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ 8/2560
ที่ประชุมได้รับทราบรายงานผลการจัดโครงการสัมมนาการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์การคุ้มครองผู้บริโภคแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2560 - 2564) ซึ่งดําเนินการจัดไปแล้ว เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาโดยประสบผลสําเร็จเป็นอย่างดี ทั้งนี้ มีสาระสําคัญประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ การสัมมนาระบบและกลไกการคุ้มครองผู้บริโภค การสัมมนาระบบฐานข้อมูล ในการคุ้มครองผู้บริโภค การสัมมนาองค์ความรู้และการสื่อสารเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค การสร้างและพัฒนาศักยภาพเครือข่ายผู้บริโภค ตลอดจนส่งเสริมและ บูรณการการคุ้มครองผู้บริโภค นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ให้ข้อเสนอแนะให้ของเสนอแนะเพิ่มเติมว่า สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ควรมีรูปแบบใหม่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับข้อมูลของการเยียวยาผู้บริโภคใน มาตรฐานเดียวกัน ขณะเดียวกันสํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคควรจัดเวทีเช่นนี้ โดยมีกรณีศึกษาที่หลากหลาย เพื่อนําไปสู่การปฏิบัติที่ได้มาตรฐาน ตลอดจนมีการจัดสัมมนาให้มีความต่อเนื่อง และครอบคลุมผู้บริโภคทุกภาคส่วนอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
พร้อมกันนี้ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ เรื่องมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการให้บริการเช่าที่พักอาศัย โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประสานกับกรมการค้าภายใน ในการหาข้อสรุปภายใน 2 เดือน เพื่อแก้ไขเรื่องการให้บริการดังกล่าวให้มีความเป็นธรรมกับผู้บริโภคอย่างแท้จริง และรายงานให้คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป
..............................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6320
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.จัดให้คนอยากมีบ้าน!! สินเชื่อดอกเบี้ย 2.89% ต่อปี นาน 3 ปีแรก ในงาน Money Expo 2018
|
วันพุธที่ 9 พฤษภาคม 2561
ธอส.จัดให้คนอยากมีบ้าน!! สินเชื่อดอกเบี้ย 2.89% ต่อปี นาน 3 ปีแรก ในงาน Money Expo 2018
ธอส.จัดให้คนอยากมีบ้าน!! สินเชื่อดอกเบี้ย 2.89% ต่อปี นาน 3 ปีแรก บ้านมือสองราคาเริ่มต้น 60,000 บาท ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นาน 4 ปี เงินฝากออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูงสุด 1.75% ต่อปี ในงาน Money Expo 2018
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เดินหน้าสร้างโอกาสให้คนไทยมีบ้าน นําผลิตภัณฑ์ทางการเงินครบวงจรให้บริการลูกค้าในงาน “มหกรรมการเงินกรุงเทพฯ ครั้งที่ 18 Money Expo 2018” ภายใต้แนวคิด GH Bank Digital Service Station... Transform you to the Digital life นําโดยสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ย 2.89% นาน 3 ปีแรก ฟรี!! ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ และคิดค่าประเมินราคาหลักประกันอัตราพิเศษ ฝากออมทรัพย์ “ธอส. เงินเต็มบ้าน สําหรับโครงการ Be GH Bank Family” สําหรับลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยมีบัญชีเงินฝากใด ๆ กับ ธอส. รับดอกเบี้ยบวกเพิ่ม 0.25% ต่อปี นาน 6 เดือน นับจากวันที่เปิดบัญชี รวมรับดอกเบี้ยสูงสุด 1.75% ต่อปี และทรัพย์ NPA หรือบ้านมือสอง 300 รายการ จําหน่ายในราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 60,000 บาท พ่วงมาตรการพิเศษผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานถึง 48 เดือน ระหว่างวันที่ 10-13 พฤษภาคม 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2-3 อิมแพค เมืองทองธานี
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนการสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยให้คนไทย ตามพันธกิจ ธอส. “ทําให้คนไทยมีบ้าน” จึงได้เข้าร่วมออกบูธในงาน มหกรรมการเงินกรุงเทพฯ ครั้งที่ 18 Money Expo 2018 โดยจัดทําบูธภายใต้แนวคิด GH Bank Digital Service Station... Transform you to the Digital life เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุค 4.0 ธนาคารนํานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ มาเสนอในรูปแบบ Digital Service Station ที่มีความเชื่อมโยงกัน เพื่อส่งมอบโอกาสในการมีที่อยู่อาศัยอย่างมั่นคงให้กับคนไทย โดยลูกค้าสามารถจองสิทธิ์ใช้บริการผลิตภัณฑ์ ของ ธอส. ได้สะดวกรวดเร็วด้วยสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตผ่าน Application : Ghbank Smart Booth และเข้าชมบูธของธนาคารซึ่งแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 โซน ประกอบด้วย 1.โซนสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2.89% ต่อปี นาน 3 ปีแรก (MRR-3.86% ต่อปี) ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการ ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีกู้ซื้ออุปกรณ์และสิ่งอํานวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. เท่ากับ 6.75% ต่อปี) ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติมซ่อมแซม ไถ่ถอนจํานองจากสถาบันการเงินอื่น และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกพร้อมกับเพื่อซื้อหรือไถ่ถอนจํานอง พิเศษ!! ยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินทํานิติกรรม และคิดค่าประเมินราคาหลักประกันอัตราพิเศษ แบ่งเป็น กรณีขอกู้ไม่เกิน 500,000 บาท ค่าประเมิน 1,900 บาท และกรณีขอกู้ตั้งแต่ 500,001 บาท ค่าประเมิน 2,300 บาท ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 40 ปี เฉพาะผู้ที่จองสิทธิ์ภายในงาน ระหว่างวันที่ 10-13 พฤษภาคม 2561 ยื่นคําขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 10-31 พฤษภาคม 2561 และทํานิติกรรมภายในวันที่ 29 มิถุนายน 2561 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกําหนด
2.โซนเงินฝากอัตราดอกเบี้ยสูง นําเสนอผลิตภัณฑ์ “เงินฝากออมทรัพย์ ธอส. เงินเต็มบ้าน สําหรับโครงการ BE GH Bank Family” รับอัตราดอกเบี้ย 1.50% ต่อปี ทั้งจํานวนสําหรับยอดเงินฝากคงเหลือไม่เกิน 1 ล้านบาท เปิดบัญชีเงินฝากครั้งแรกขั้นต่ําเพียง 500 บาท พิเศษ!! สําหรับลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยมีบัญชีเงินฝากใด ๆ กับ ธอส. รับดอกเบี้ยบวกเพิ่ม 0.25% ต่อปี ทั้งจํานวนนาน 6 เดือน นับจากวันที่เปิดบัญชี รวมรับดอกเบี้ยสูงสุด 1.75% ต่อปี และยังมีสิทธิ์ได้บัตร Starbuck Card จํานวน 1 ใบ/ราย(จํานวนจํากัด) เพียงจองสิทธิ์เปิดบัญชีภายในงาน และเปิดบัญชีระหว่างวันที่ 10-25 พฤษภาคม 2561
3.โซนทรัพย์ NPA หรือบ้านมือสอง ธอส. ได้นําทรัพย์คุณภาพดี ทําเลเด่น ทั้งประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ ห้องชุด และอาคารพาณิชย์ รวม 300 รายการ มาจําหน่ายในราคาพิเศษ ซึ่งเป็นทรัพย์ในพื้นที่ กรุงเทพฯ จ.สมุทรปราการ จ.นนทบุรี จ.ปทุมธานี จ.นครปฐม และ จ.สมุทรสาคร จําหน่ายพร้อมส่วนลดพิเศษสูงสุด 40-50% จากราคาปกติ โดยทรัพย์ที่มีราคาต่ําสุดเริ่มต้นเพียง 60,000 บาท คือ ห้องชุดเนื้อที่ 24.48 ตารางเมตร โครงการนิรันดร์คอนโดมิเนียม 10 ตั้งอยู่ใน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ นอกจากนี้ผู้ซื้อทรัพย์ NPA ของ ธอส.ยังมีสิทธิรับมาตรการพิเศษ ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน (เฉพาะทรัพย์รายการที่ธนาคารกําหนด) หรือหากเทเงินดาวน์ 20% ของราคาซื้อขาย ส่วนที่เหลืออีก 80% รับสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือน วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 80% ไม่เสียค่าประเมินราคาทรัพย์สิน และให้ผ่อนชําระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี
นอกจากนี้ประชาชนที่ต้องการมีบ้านเป็นของตนเองแต่ยังไม่มีความพร้อม อาทิ เรื่องการเตรียมเอกสารหลักฐานเพื่อแสดงที่มาของรายได้ สามารถขอรับคําแนะนําจากเจ้าหน้าที่ของ ธอส. ที่พร้อมให้ความรู้ในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ หรือ Financial Literacy ได้ในโซนที่ 4.โซนโครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน ซึ่งผู้ที่ปฏิบัติตามเงื่อนไข ที่ธนาคารกําหนดสามารถยื่นคําขอสินเชื่อตามเงื่อนไขของโครงการได้ต่อไป ทั้งนี้ งาน “มหกรรมการเงิน กรุงเทพฯ ครั้งที่ 18 Money Expo 2018” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-13 พฤษภาคม 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2-3 อิมแพค เมืองทองธานี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.จัดให้คนอยากมีบ้าน!! สินเชื่อดอกเบี้ย 2.89% ต่อปี นาน 3 ปีแรก ในงาน Money Expo 2018
วันพุธที่ 9 พฤษภาคม 2561
ธอส.จัดให้คนอยากมีบ้าน!! สินเชื่อดอกเบี้ย 2.89% ต่อปี นาน 3 ปีแรก ในงาน Money Expo 2018
ธอส.จัดให้คนอยากมีบ้าน!! สินเชื่อดอกเบี้ย 2.89% ต่อปี นาน 3 ปีแรก บ้านมือสองราคาเริ่มต้น 60,000 บาท ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นาน 4 ปี เงินฝากออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูงสุด 1.75% ต่อปี ในงาน Money Expo 2018
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เดินหน้าสร้างโอกาสให้คนไทยมีบ้าน นําผลิตภัณฑ์ทางการเงินครบวงจรให้บริการลูกค้าในงาน “มหกรรมการเงินกรุงเทพฯ ครั้งที่ 18 Money Expo 2018” ภายใต้แนวคิด GH Bank Digital Service Station... Transform you to the Digital life นําโดยสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ย 2.89% นาน 3 ปีแรก ฟรี!! ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ และคิดค่าประเมินราคาหลักประกันอัตราพิเศษ ฝากออมทรัพย์ “ธอส. เงินเต็มบ้าน สําหรับโครงการ Be GH Bank Family” สําหรับลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยมีบัญชีเงินฝากใด ๆ กับ ธอส. รับดอกเบี้ยบวกเพิ่ม 0.25% ต่อปี นาน 6 เดือน นับจากวันที่เปิดบัญชี รวมรับดอกเบี้ยสูงสุด 1.75% ต่อปี และทรัพย์ NPA หรือบ้านมือสอง 300 รายการ จําหน่ายในราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 60,000 บาท พ่วงมาตรการพิเศษผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานถึง 48 เดือน ระหว่างวันที่ 10-13 พฤษภาคม 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2-3 อิมแพค เมืองทองธานี
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนการสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยให้คนไทย ตามพันธกิจ ธอส. “ทําให้คนไทยมีบ้าน” จึงได้เข้าร่วมออกบูธในงาน มหกรรมการเงินกรุงเทพฯ ครั้งที่ 18 Money Expo 2018 โดยจัดทําบูธภายใต้แนวคิด GH Bank Digital Service Station... Transform you to the Digital life เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุค 4.0 ธนาคารนํานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ มาเสนอในรูปแบบ Digital Service Station ที่มีความเชื่อมโยงกัน เพื่อส่งมอบโอกาสในการมีที่อยู่อาศัยอย่างมั่นคงให้กับคนไทย โดยลูกค้าสามารถจองสิทธิ์ใช้บริการผลิตภัณฑ์ ของ ธอส. ได้สะดวกรวดเร็วด้วยสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตผ่าน Application : Ghbank Smart Booth และเข้าชมบูธของธนาคารซึ่งแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 โซน ประกอบด้วย 1.โซนสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2.89% ต่อปี นาน 3 ปีแรก (MRR-3.86% ต่อปี) ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการ ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีกู้ซื้ออุปกรณ์และสิ่งอํานวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. เท่ากับ 6.75% ต่อปี) ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติมซ่อมแซม ไถ่ถอนจํานองจากสถาบันการเงินอื่น และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกพร้อมกับเพื่อซื้อหรือไถ่ถอนจํานอง พิเศษ!! ยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินทํานิติกรรม และคิดค่าประเมินราคาหลักประกันอัตราพิเศษ แบ่งเป็น กรณีขอกู้ไม่เกิน 500,000 บาท ค่าประเมิน 1,900 บาท และกรณีขอกู้ตั้งแต่ 500,001 บาท ค่าประเมิน 2,300 บาท ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 40 ปี เฉพาะผู้ที่จองสิทธิ์ภายในงาน ระหว่างวันที่ 10-13 พฤษภาคม 2561 ยื่นคําขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 10-31 พฤษภาคม 2561 และทํานิติกรรมภายในวันที่ 29 มิถุนายน 2561 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกําหนด
2.โซนเงินฝากอัตราดอกเบี้ยสูง นําเสนอผลิตภัณฑ์ “เงินฝากออมทรัพย์ ธอส. เงินเต็มบ้าน สําหรับโครงการ BE GH Bank Family” รับอัตราดอกเบี้ย 1.50% ต่อปี ทั้งจํานวนสําหรับยอดเงินฝากคงเหลือไม่เกิน 1 ล้านบาท เปิดบัญชีเงินฝากครั้งแรกขั้นต่ําเพียง 500 บาท พิเศษ!! สําหรับลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยมีบัญชีเงินฝากใด ๆ กับ ธอส. รับดอกเบี้ยบวกเพิ่ม 0.25% ต่อปี ทั้งจํานวนนาน 6 เดือน นับจากวันที่เปิดบัญชี รวมรับดอกเบี้ยสูงสุด 1.75% ต่อปี และยังมีสิทธิ์ได้บัตร Starbuck Card จํานวน 1 ใบ/ราย(จํานวนจํากัด) เพียงจองสิทธิ์เปิดบัญชีภายในงาน และเปิดบัญชีระหว่างวันที่ 10-25 พฤษภาคม 2561
3.โซนทรัพย์ NPA หรือบ้านมือสอง ธอส. ได้นําทรัพย์คุณภาพดี ทําเลเด่น ทั้งประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ ห้องชุด และอาคารพาณิชย์ รวม 300 รายการ มาจําหน่ายในราคาพิเศษ ซึ่งเป็นทรัพย์ในพื้นที่ กรุงเทพฯ จ.สมุทรปราการ จ.นนทบุรี จ.ปทุมธานี จ.นครปฐม และ จ.สมุทรสาคร จําหน่ายพร้อมส่วนลดพิเศษสูงสุด 40-50% จากราคาปกติ โดยทรัพย์ที่มีราคาต่ําสุดเริ่มต้นเพียง 60,000 บาท คือ ห้องชุดเนื้อที่ 24.48 ตารางเมตร โครงการนิรันดร์คอนโดมิเนียม 10 ตั้งอยู่ใน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ นอกจากนี้ผู้ซื้อทรัพย์ NPA ของ ธอส.ยังมีสิทธิรับมาตรการพิเศษ ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน (เฉพาะทรัพย์รายการที่ธนาคารกําหนด) หรือหากเทเงินดาวน์ 20% ของราคาซื้อขาย ส่วนที่เหลืออีก 80% รับสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือน วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 80% ไม่เสียค่าประเมินราคาทรัพย์สิน และให้ผ่อนชําระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี
นอกจากนี้ประชาชนที่ต้องการมีบ้านเป็นของตนเองแต่ยังไม่มีความพร้อม อาทิ เรื่องการเตรียมเอกสารหลักฐานเพื่อแสดงที่มาของรายได้ สามารถขอรับคําแนะนําจากเจ้าหน้าที่ของ ธอส. ที่พร้อมให้ความรู้ในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ หรือ Financial Literacy ได้ในโซนที่ 4.โซนโครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน ซึ่งผู้ที่ปฏิบัติตามเงื่อนไข ที่ธนาคารกําหนดสามารถยื่นคําขอสินเชื่อตามเงื่อนไขของโครงการได้ต่อไป ทั้งนี้ งาน “มหกรรมการเงิน กรุงเทพฯ ครั้งที่ 18 Money Expo 2018” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-13 พฤษภาคม 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2-3 อิมแพค เมืองทองธานี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12102
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพชี้แจงข้อเท็จจริง การปรับขึ้นราคาตั๋วโดยสารรถเมล์ ขสมก.
|
วันอังคารที่ 6 สิงหาคม 2562
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพชี้แจงข้อเท็จจริง การปรับขึ้นราคาตั๋วโดยสารรถเมล์ ขสมก.
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพชี้แจงข้อเท็จจริง การปรับขึ้นราคาตั๋วโดยสารรถเมล์ ขสมก.
พฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม 2562 นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อํานวยการ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ชี้แจงกรณีแฟนเพจ ‘รถเมล์ไทยแฟนคลับ’ และ ‘ชุมชนคนรักรถเมล์’ โพสต์ข้อความแจ้งเตือนประชาชนผู้ใช้บริการตั๋วรถเมล์รายสัปดาห์และรายเดือนว่าวันที่ 1 ส.ค. ตั๋ว 4 แบบจะปรับขึ้นราคา โดยตั๋วรายสัปดาห์แบบรถธรรมดาปรับราคาจากเดิม 100 บาท เป็น 120 บาท ตั๋วรายเดือนแบบรถธรรมดาปรับราคาจากเดิม 400 บาท เป็น 480 บาท ตั๋วรายสัปดาห์แบบรถปรับอากาศปรับราคาจากเดิม 200 บาท เป็น 255 บาท และตั๋วรายเดือนแบบรถปรับอากาศ ปรับราคาจากเดิม 800 บาท เป็น 1,020 บาท ว่า องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ได้ปรับอัตราค่าโดยสาร ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง ตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2562 โดยมีการปรับอัตราค่าโดยสาร ดังนี้ รถโดยสารธรรมดาปรับราคาจาก 6.50 บาท เป็น 8 บาท รถโดยสารปรับอากาศ ครีม-น้ําเงิน ปรับราคาจาก 10 - 18 บาท เป็น 12 - 20 บาท รถโดยสารปรับอากาศยูโรทู ปรับราคาจาก 11 - 23 บาท เป็น 13 - 25 บาท รถโดยสารปรับอากาศใหม่ NGV ปรับราคาจาก 11 - 23 บาท เป็น 15,20,25 บาท สําหรับตั๋วโดยสารรายสัปดาห์ - รายเดือน องค์การขนส่งมวลขนกรุงเทพ ได้ชะลอการปรับขึ้นราคา เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนผู้ใช้บริการ และเพื่อประชาสัมพันธ์เผยแพร่ให้ผู้ใช้บริการได้รับทราบและเตรียมความพร้อม เป็นเวลา 3 เดือน ก่อนมีการปรับขึ้นราคา ซึ่งคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง มีมติเห็นชอบให้มีการปรับขึ้นราคาตั๋วโดยสารรายสัปดาห์ และตั๋วโดยสารรายเดือน ของรถโดยสารธรรมดาและรถโดยสารปรับอากาศ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2562
โดยการปรับขึ้นราคาตั๋วโดยสารรายสัปดาห์ - รายเดือน มีฐานการคํานวณจากราคาค่าโดยสารที่เพิ่มขึ้น โดยใช้สมมติฐานการปรับราคา คือ ตั๋วโดยสารรถธรรมดา ราคาเฉลี่ยใบละ 8.00 บาท ตั๋วโดยสารรถปรับอากาศ ราคาเฉลี่ยใบละ 17.00 บาท ให้ผู้ใช้บริการเดินทาง จํานวน 3 เที่ยว/วัน ตั๋วโดยสารรายสัปดาห์ใช้เดินทาง 5 วัน/สัปดาห์ ตั๋วโดยสารรายเดือนใช้เดินทาง 20 วัน/เดือน ทั้งนี้ หลักการคํานวณตั๋วโดยสาร = ราคา x จํานวนเที่ยว/วัน x จํานวนวัน ตั๋วโดยสารรายสัปดาห์ รถธรรมดา = 8 x 3 x 5 = 120 บาท ตั๋วโดยสารรายสัปดาห์ รถปรับอากาศ = 17 x 3 x 5 = 255 บาท ตั๋วโดยสารรายเดือน รถธรรมดา = 8 x 3 x 20 = 480 บาท และตั๋วโดยสารรายเดือน รถปรับอากาศ = 17 x 3 x 20 = 1,020 บาท
.......................................................................................
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพชี้แจงข้อเท็จจริง การปรับขึ้นราคาตั๋วโดยสารรถเมล์ ขสมก.
วันอังคารที่ 6 สิงหาคม 2562
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพชี้แจงข้อเท็จจริง การปรับขึ้นราคาตั๋วโดยสารรถเมล์ ขสมก.
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพชี้แจงข้อเท็จจริง การปรับขึ้นราคาตั๋วโดยสารรถเมล์ ขสมก.
พฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม 2562 นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อํานวยการ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ชี้แจงกรณีแฟนเพจ ‘รถเมล์ไทยแฟนคลับ’ และ ‘ชุมชนคนรักรถเมล์’ โพสต์ข้อความแจ้งเตือนประชาชนผู้ใช้บริการตั๋วรถเมล์รายสัปดาห์และรายเดือนว่าวันที่ 1 ส.ค. ตั๋ว 4 แบบจะปรับขึ้นราคา โดยตั๋วรายสัปดาห์แบบรถธรรมดาปรับราคาจากเดิม 100 บาท เป็น 120 บาท ตั๋วรายเดือนแบบรถธรรมดาปรับราคาจากเดิม 400 บาท เป็น 480 บาท ตั๋วรายสัปดาห์แบบรถปรับอากาศปรับราคาจากเดิม 200 บาท เป็น 255 บาท และตั๋วรายเดือนแบบรถปรับอากาศ ปรับราคาจากเดิม 800 บาท เป็น 1,020 บาท ว่า องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ได้ปรับอัตราค่าโดยสาร ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง ตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2562 โดยมีการปรับอัตราค่าโดยสาร ดังนี้ รถโดยสารธรรมดาปรับราคาจาก 6.50 บาท เป็น 8 บาท รถโดยสารปรับอากาศ ครีม-น้ําเงิน ปรับราคาจาก 10 - 18 บาท เป็น 12 - 20 บาท รถโดยสารปรับอากาศยูโรทู ปรับราคาจาก 11 - 23 บาท เป็น 13 - 25 บาท รถโดยสารปรับอากาศใหม่ NGV ปรับราคาจาก 11 - 23 บาท เป็น 15,20,25 บาท สําหรับตั๋วโดยสารรายสัปดาห์ - รายเดือน องค์การขนส่งมวลขนกรุงเทพ ได้ชะลอการปรับขึ้นราคา เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนผู้ใช้บริการ และเพื่อประชาสัมพันธ์เผยแพร่ให้ผู้ใช้บริการได้รับทราบและเตรียมความพร้อม เป็นเวลา 3 เดือน ก่อนมีการปรับขึ้นราคา ซึ่งคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง มีมติเห็นชอบให้มีการปรับขึ้นราคาตั๋วโดยสารรายสัปดาห์ และตั๋วโดยสารรายเดือน ของรถโดยสารธรรมดาและรถโดยสารปรับอากาศ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2562
โดยการปรับขึ้นราคาตั๋วโดยสารรายสัปดาห์ - รายเดือน มีฐานการคํานวณจากราคาค่าโดยสารที่เพิ่มขึ้น โดยใช้สมมติฐานการปรับราคา คือ ตั๋วโดยสารรถธรรมดา ราคาเฉลี่ยใบละ 8.00 บาท ตั๋วโดยสารรถปรับอากาศ ราคาเฉลี่ยใบละ 17.00 บาท ให้ผู้ใช้บริการเดินทาง จํานวน 3 เที่ยว/วัน ตั๋วโดยสารรายสัปดาห์ใช้เดินทาง 5 วัน/สัปดาห์ ตั๋วโดยสารรายเดือนใช้เดินทาง 20 วัน/เดือน ทั้งนี้ หลักการคํานวณตั๋วโดยสาร = ราคา x จํานวนเที่ยว/วัน x จํานวนวัน ตั๋วโดยสารรายสัปดาห์ รถธรรมดา = 8 x 3 x 5 = 120 บาท ตั๋วโดยสารรายสัปดาห์ รถปรับอากาศ = 17 x 3 x 5 = 255 บาท ตั๋วโดยสารรายเดือน รถธรรมดา = 8 x 3 x 20 = 480 บาท และตั๋วโดยสารรายเดือน รถปรับอากาศ = 17 x 3 x 20 = 1,020 บาท
.......................................................................................
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21947
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดเตรียมการจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา 12 สิงหาคม 2560
|
วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2560
มหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดเตรียมการจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา 12 สิงหาคม 2560
มหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดเตรียมการจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา 12 สิงหาคม 2560
วันนี้ (7ส.ค.) ที่กระทรวงมหาดไทยนายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ด้วยรัฐบาลได้กําหนดจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา 12 สิงหาคม 2560 นับเป็นมหามงคลพิเศษเป็นอย่างยิ่งที่ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าจะได้ร่วมกันแสดงความกตัญญูกตเวที เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณและแสดงความจงรักภักดีถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสมหามงคลฯ ดังกล่าว
เพื่อให้การจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯในส่วนภูมิภาคเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้ทุกจังหวัดเตรียมการจัดงานเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา 12 สิงหาคม 2560 โดยการจัดโต๊ะประดับพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ระบายผ้าสีฟ้าขาวพร้อมเครื่องราชสักการะ และประดับธงชาติกับธงอักษรพระนามาภิไธย “สก” ณ บริเวณศาลากลางจังหวัดตามที่พิจารณาเห็นว่าเหมาะสมระหว่างวันที่7 – 14 สิงหาคม 2560
สําหรับการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ในส่วนภูมิภาค ในวันที่ 12 สิงหาคม 2560 ประกอบด้วย 1) การจัดพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ ณ ศาลากลางจังหวัดหรือสถานที่เหมาะสม 2) จัดพิธีลงนามถวายพระพร ณ ศาลากลางจังหวัดหรือสถานที่ที่เหมาะสม 3) จัดพิธีถวายเครื่องราชสักการะและพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ณ ศาลากลางจังหวัดหรือสถานที่ที่เหมาะสม พร้อมกับการจัดงานในส่วนกลาง ในเวลา 19.19 น. โดยจะมีการถ่ายทอดสดพิธีถวายเครื่องราชสักการะและพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลผ่านทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และ 4) ให้ประชาสัมพันธ์เชิญชวนข้าราชการและประชาชนทุกหมู่เหล่าในพื้นที่และร่วมแสดงความจงรักภักดี โดยพร้อมเพรียงกัน
รองปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า ในโอกาสอันเป็นมหามงคลนี้ กระทรวงมหาดไทย ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่าร่วมแต่งกายด้วยชุดสุภาพโทนสีฟ้าอ่อน และเข้าร่วมการจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ในส่วนภูมิภาค ณ ศาลากลางจังหวัด หรือสถานที่ที่จังหวัดกําหนด และร่วมกันขับร้องเพลงเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหา และเพลงสดุดีมหาราชินี เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้.
ครั้งที่ 109/2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดเตรียมการจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา 12 สิงหาคม 2560
วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2560
มหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดเตรียมการจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา 12 สิงหาคม 2560
มหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดเตรียมการจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา 12 สิงหาคม 2560
วันนี้ (7ส.ค.) ที่กระทรวงมหาดไทยนายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ด้วยรัฐบาลได้กําหนดจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา 12 สิงหาคม 2560 นับเป็นมหามงคลพิเศษเป็นอย่างยิ่งที่ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าจะได้ร่วมกันแสดงความกตัญญูกตเวที เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณและแสดงความจงรักภักดีถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสมหามงคลฯ ดังกล่าว
เพื่อให้การจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯในส่วนภูมิภาคเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้ทุกจังหวัดเตรียมการจัดงานเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา 12 สิงหาคม 2560 โดยการจัดโต๊ะประดับพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ระบายผ้าสีฟ้าขาวพร้อมเครื่องราชสักการะ และประดับธงชาติกับธงอักษรพระนามาภิไธย “สก” ณ บริเวณศาลากลางจังหวัดตามที่พิจารณาเห็นว่าเหมาะสมระหว่างวันที่7 – 14 สิงหาคม 2560
สําหรับการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ในส่วนภูมิภาค ในวันที่ 12 สิงหาคม 2560 ประกอบด้วย 1) การจัดพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ ณ ศาลากลางจังหวัดหรือสถานที่เหมาะสม 2) จัดพิธีลงนามถวายพระพร ณ ศาลากลางจังหวัดหรือสถานที่ที่เหมาะสม 3) จัดพิธีถวายเครื่องราชสักการะและพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ณ ศาลากลางจังหวัดหรือสถานที่ที่เหมาะสม พร้อมกับการจัดงานในส่วนกลาง ในเวลา 19.19 น. โดยจะมีการถ่ายทอดสดพิธีถวายเครื่องราชสักการะและพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลผ่านทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และ 4) ให้ประชาสัมพันธ์เชิญชวนข้าราชการและประชาชนทุกหมู่เหล่าในพื้นที่และร่วมแสดงความจงรักภักดี โดยพร้อมเพรียงกัน
รองปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า ในโอกาสอันเป็นมหามงคลนี้ กระทรวงมหาดไทย ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่าร่วมแต่งกายด้วยชุดสุภาพโทนสีฟ้าอ่อน และเข้าร่วมการจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ในส่วนภูมิภาค ณ ศาลากลางจังหวัด หรือสถานที่ที่จังหวัดกําหนด และร่วมกันขับร้องเพลงเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหา และเพลงสดุดีมหาราชินี เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้.
ครั้งที่ 109/2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5757
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ.(ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร) ลงพื้นที่ ครม.สัญจร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 ที่จังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ
|
วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม 2561
รมช.ศธ.(ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร) ลงพื้นที่ ครม.สัญจร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 ที่จังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ
ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ติดตามนโยบายรัฐบาลด้านการอุดมศึกษา ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 5/2561
23 กรกฎาคม 2561 -ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ติดตามนโยบายรัฐบาลด้านการอุดมศึกษา ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 5/2561 ในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 "เจริญราชธานีศรีโสธร" (อุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ อํานาจเจริญ)
ในช่วงเช้าศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รมช.ศึกษาธิการ และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการได้พบปะและมอบนโยบายด้านอุดมศึกษา แก่ผู้บริหาร คณาจารย์ และบุคลากรมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี พร้อมทั้งเยี่ยมชมการจัดการเรียนการสอนห้องเรียนอัจฉริยะ ณ อาคารสํานักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี โดย รศ.นงนิตย์ ธีระวัฒนสุข อธิการบดีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี คณะผู้บริหาร และนักศึกษา ให้การต้อนรับและเข้าร่วมจํานวนมาก
รศ.นงนิตย์ ธีระวัฒนสุข อธิการบดีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีกล่าวรายงานผลการดําเนินงานที่สําคัญ อาทิ การผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ และมีสมรรถนะตามมาตรฐานสากล ด้วยหลักสูตรที่ทันสมัย เน้นกระบวนการจัดการเรียนรู้ และทักษะจากประสบการณ์จริง ใน 3 กลุ่มสาขา ได้แก่ กลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี กลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ และกลุ่มสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยมีอัตราการมีงานทําของบัณฑิตระดับปริญญาตรี ในปี 2559 ร้อยละ 85.74 และมีเสียงตอบรับความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิตระดับปริญญาตรี ปี 2559 สูงถึงร้อยละ 84.20, ร่วมโครงการสถาบันอุดมศึกษาพี่เลี้ยง เครือข่ายภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาแก่ 210 โรงเรียน ซึ่งมีนักเรียนได้รับประโยชน์กว่า 18,000 คน และครูกว่า 3,200 คน, กิจกรรมพัฒนาครู ด้วยกระบวนการความคิดทางคณิตศาสตร์ การวิจัยในชั้นเรียน การสอนแบบ STEM Education ร่วมพัฒนาโรงเรียนแกนนําเครือข่ายเข้มแข็ง ทั้งด้านวิชาการ ทักษะการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ตลอดจนการรู้ทันสื่อในยุคดิจิทัล
ในส่วนด้านการวิจัย พัฒนา การบริการวิชาการ และการทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรมให้กับกลุ่มเป้าหมายนักศึกษา คณาจารย์และนักวิจัย หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนประชาชน ในโครงการต่าง ๆ อาทิ ศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ สําหรับทดสอบตัวอย่างอาหารและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร, โครงการวิจัยกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ แปรรูปอาหาร การแพทย์ครบวงจร การบินและโลจิสติกส์ ตลอดจนเชื้อเพลิงและเคมีชีวภาพ, โครงการขับเคลื่อนศิลปะและวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่ อําเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี : โครงการฟื้นใจเมืองเขมราฐธานี เป็นต้น
นอกจากนี้ รมช.ศึกษาธิการ พร้อมคณะ ได้เยี่ยมชมนิทรรศการการเรียนการสอนของคณะและสาขาวิชาต่าง ๆ รวมทั้งห้องเรียนอัจฉริยะ ซึ่งได้ดําเนินการปรับปรุงห้องเรียนอัจฉริยะ จํานวน 6 ห้อง ทั้งภายในอาคารเรียนรวม คณะวิทยาศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ และวิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข ที่ถือเป็นอีกก้าวสําคัญในการนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยเพิ่มศักยภาพการเรียนรู้ นําไปสู่การยกระดับคุณภาพการศึกษา และการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ต่อจากนั้นในช่วงบ่ายของวันเดียวกันศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รมช.ศึกษาธิการ และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ประชุมรับฟังผลการดําเนินงานด้านการพัฒนาครูและท้องถิ่นของมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ณ ห้องสุขวิช รังสิตพล ศรีพฤทธาลัยราชภัฏสัมมนาคาร มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ อําเภอเมืองศรีสะเกษ พร้อมเยี่ยมชมผลการดําเนินงานด้านส่งการเสริมอาชีพและภูมิปัญญาท้องถิ่นร่วมกับชุมชน ทีวัดพระธาตุสุพรรณหงส์
รศ.ดร.ประกาศิต อานุภาพแสนยากร รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษกล่าวรายงานว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษเกิดขึ้นตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ.2547 เพื่อรองรับการพัฒนาจังหวัดซึ่งมีขนาดใหญ่และมีประชากรจํานวนมาก โดยเฉพาะประชากรวัยเรียน แต่ยังขาดสถาบันอุดมศึกษา รวมทั้งยังเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและอุตสาหกรรม ที่มีความพร้อมด้านที่ดินเพื่อการก่อสร้าง
โดยในปีการศึกษา 2561เปิดการเรียนการสอนใน 4 คณะ รวม 51 หลักสูตร ได้แก่ คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ คณะครุศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี ตลอดจนวิทยาลัยกฎหมายและการปกครอง 1 แห่ง มีนักศึกษาจํานวน 10,340 คน และมีข้าราชการและบุคลากรมหาวิทยาลัย รวม 262 คน
มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ มีความมุ่งมั่นในการผลิตบัณฑิตที่มีความรู้คู่คุณธรรมสํานึกในความเป็นไทย ส่งเสริมความรู้และความเข้าใจในคุณค่าในวัฒนธรรมท้องถิ่น สร้างเสริมความเข้มแข็งของวิชาชีพครูและชุมชน ตลอดจนศึกษาวิจัยและสืบสานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริตามภารกิจของมหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น โดยมีผลการดําเนินงานที่สําคัญหลายประการ อาทิ การรับรองมาตรฐานและการประเมินคุณภาพการศึกษาจาก สมศ.ในระดับดี โดยในปีการศึกษา 2559 ได้มีผลการประเมินรวม 4.00 และมีตัวบ่งชี้ที่มีคะแนนสูงสุด ได้แก่ 1) การทํานุบํารุงศิลปะและวัฒนธรรม คะแนน 5.00 2) การวิจัย คะแนน 4.63 และ 3) การบริการวิชาการ คะแนน 4.00 ตามลําดับ, พัฒนานักศึกษาให้มีทักษะเป็นเลิศ "เก่งงาน เก่งคน เก่งคิด เก่งวิชาการ" ให้มีจิตสํานึกความรับผิดชอบต่อสังคม และมีคุณธรรมจริยธรรม ช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยจากการได้รับรางวัลต่าง ๆ อาทิ นายอดิศักดิ์ สนับสนุน รางวัลเยาวชนดีเด่น สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เนื่องในโอกาสวันเยาวชนแห่งชาติ ประจําปี 2559 น.ส.รสสุคนธ์ สารทอง รางวัลพระราชทานระดับอุดมศึกษา ปีการศึกษา 2560 วงผกาลําดวน รางวัลชนะเลิศอันดับที่ 1 ประเภทเซิ้ง การประกวดดนตรีพื้นบ้านชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจําปี 2556 เป็นต้น, การพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ก่อนแต่งตั้งให้มีและเลื่อนวิทยฐานะชํานาญการพิเศษและเชี่ยวชาญพิเศษ แก่ข้าราชการครูฯ กว่า 3,000 คน, การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานหน่วยงานภาครัฐ ประจําปี 2559 เป็นอันดับ 2 (คะแนน 89.07) จากสถาบันอุดมศึกษา 77 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังได้ดําเนินโครงการพัฒนาท้องถิ่น มรภ.ศรีสะเกษ เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้และพัฒนาท้องถิ่น โดยน้อมนําแนวพระราชดําริในการส่งเสริมการผลิต พัฒนา และแปรรูป ที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์และสร้างรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่
รมช.ศึกษาธิการกล่าวมีใจความตอนหนึ่งว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (ในหลวงรัชกาลที่ 10) ทรงให้ความสนพระทัยและห่วงใยการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) เป็นอย่างมาก ในการยกระดับการศึกษาและพัฒนาท้องถิ่นทั่วประเทศ โดยในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการและรัฐมนตรีที่รับผิดชอบด้านการอุดมศึกษา ได้น้อมนําพระราโชบายด้านการศึกษา เพื่อถ่ายทอดสู่การขับเคลื่อนงานการอุดมศึกษาในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งผลิตกําลังคนในสาขาขาดแคลน ตอบโจทย์การพัฒนาท้องถิ่น ชุมชน สังคม และประเทศด้วย
ดังนั้น ในการเดินทางมาครั้งนี้ จึงตั้งใจมาเยี่ยมเยียนและติดตามการดําเนินงานของมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษซึ่งต้องถือว่ามหาวิทยาลัยราชภัฏ เป็นมหาวิทยาลัยกลุ่มใหญ่ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ที่ทั้งรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการให้ความสําคัญ และคาดหวังให้เป็นที่พึ่งพิงในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของท้องถิ่น อันจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศโดยรวม สอดคล้องกับมาตรา 7 ของพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ.2547 ที่กําหนด "ให้มหาวิทยาลัย เป็นสถาบันอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ที่เสริมสร้างพลังปัญญาของแผ่นดิน ฟื้นฟูพลังการเรียนรู้เชิดชูปัญญาของท้องถิ่น สร้างสรรค์ศิลปวิทยา เพื่อความเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนของปวงชนฯ"
นอกจากนี้ ขอฝากให้ตระหนักถึงรากเหง้าของความเป็น มรภ.ที่พัฒนามาจากความเป็นครูด้วยอาทิ วิทยาลัยครู เป็นต้น โดยให้ความสําคัญกับคณะครุศาสตร์และศึกษาศาสตร์ เพื่อผลิตและพัฒนาแม่พิมพ์ของครูคือ "ครูของครู" เชื่อมโยงไปสู่การสร้างครูที่มีบทบาทในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี และแผนยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏ 20 ปี ต่อไป สิ่งสําคัญคือการผลิตบัณฑิตออกมาเป็นครูที่มีคุณภาพ และจุดเน้นที่ตรงกับความเชี่ยวชาญของ มรภ.แต่ละแห่ง พร้อมช่วยกันดําเนินงานไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งนี้ อาจเป็นไปได้ที่มหาวิทยาลัยจะต้องเหลียวหลังกลับไปทบทวนบทบาทและความถนัดของตนเอง เพื่อเป็นการตั้งหลักก่อนจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าตามบทบาทภารกิจและยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏ ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) และตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี
อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันถึงเจตนารมณ์และความมุ่งหมายของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการที่ให้ความสําคัญกับทุกมหาวิทยาลัยอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยขนาดใด อยู่ใกล้หรือไกล หรือจะเด่นดังเพียงใด โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยราชภัฏ ซึ่งมีภารกิจมากกว่ามหาวิทยาลัยอื่น ในการผลิตและพัฒนากําลังคนให้มีศักยภาพและขีดความสามารถในยุคดิจิทัล (4.0) ตามยุทธศาสตร์ประเทศในการสร้างกําลังคน และในขณะเดียวกันก็ต้องดูแลและพัฒนาท้องถิ่นในหลาย ๆ ด้านให้มีคุณภาพ และตราบใดที่ยังดํารงตําแหน่งรัฐมนตรี ก็ยินดีที่จะสนับสนุนกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอย่างเต็มที่ เพื่อยกระดับคุณภาพผลิตครูคู่การพัฒนาท้องถิ่นอย่างเต็มที่ พร้อมเป็นกําลังใจในการทํางานและแสดงฝีมือของชาวมหาวิทยาลัยที่สร้างผลกระทบ (Impact) ต่อผู้เรียน ชุมชน และประเทศโดยรวม
ในโอกาสนี้ รมช.ศึกษาธิการ และคณะ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมวิถีแห่งการพัฒนาท้องถิ่น ราชภัฏกับชุมชนบ้านหว้าน ในโครงการหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒนธรรม รอยพ่ออย่างพอเพียง ตลอดจนการสาธิตอาชีพส่งเสริมภูมิปัญญา อาทิ การทอผ้าลายขิด การแปรรูปอาหาร การจักสานผลิตภัณฑ์ต้นกก เป็นต้น
Written byนวรัตน์ รามสูต
Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ.(ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร) ลงพื้นที่ ครม.สัญจร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 ที่จังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ
วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม 2561
รมช.ศธ.(ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร) ลงพื้นที่ ครม.สัญจร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 ที่จังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ
ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ติดตามนโยบายรัฐบาลด้านการอุดมศึกษา ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 5/2561
23 กรกฎาคม 2561 -ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ติดตามนโยบายรัฐบาลด้านการอุดมศึกษา ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 5/2561 ในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 "เจริญราชธานีศรีโสธร" (อุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ อํานาจเจริญ)
ในช่วงเช้าศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รมช.ศึกษาธิการ และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการได้พบปะและมอบนโยบายด้านอุดมศึกษา แก่ผู้บริหาร คณาจารย์ และบุคลากรมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี พร้อมทั้งเยี่ยมชมการจัดการเรียนการสอนห้องเรียนอัจฉริยะ ณ อาคารสํานักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี โดย รศ.นงนิตย์ ธีระวัฒนสุข อธิการบดีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี คณะผู้บริหาร และนักศึกษา ให้การต้อนรับและเข้าร่วมจํานวนมาก
รศ.นงนิตย์ ธีระวัฒนสุข อธิการบดีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีกล่าวรายงานผลการดําเนินงานที่สําคัญ อาทิ การผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ และมีสมรรถนะตามมาตรฐานสากล ด้วยหลักสูตรที่ทันสมัย เน้นกระบวนการจัดการเรียนรู้ และทักษะจากประสบการณ์จริง ใน 3 กลุ่มสาขา ได้แก่ กลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี กลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ และกลุ่มสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยมีอัตราการมีงานทําของบัณฑิตระดับปริญญาตรี ในปี 2559 ร้อยละ 85.74 และมีเสียงตอบรับความพึงพอใจของผู้ใช้บัณฑิตระดับปริญญาตรี ปี 2559 สูงถึงร้อยละ 84.20, ร่วมโครงการสถาบันอุดมศึกษาพี่เลี้ยง เครือข่ายภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาแก่ 210 โรงเรียน ซึ่งมีนักเรียนได้รับประโยชน์กว่า 18,000 คน และครูกว่า 3,200 คน, กิจกรรมพัฒนาครู ด้วยกระบวนการความคิดทางคณิตศาสตร์ การวิจัยในชั้นเรียน การสอนแบบ STEM Education ร่วมพัฒนาโรงเรียนแกนนําเครือข่ายเข้มแข็ง ทั้งด้านวิชาการ ทักษะการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ตลอดจนการรู้ทันสื่อในยุคดิจิทัล
ในส่วนด้านการวิจัย พัฒนา การบริการวิชาการ และการทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรมให้กับกลุ่มเป้าหมายนักศึกษา คณาจารย์และนักวิจัย หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนประชาชน ในโครงการต่าง ๆ อาทิ ศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ สําหรับทดสอบตัวอย่างอาหารและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร, โครงการวิจัยกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ แปรรูปอาหาร การแพทย์ครบวงจร การบินและโลจิสติกส์ ตลอดจนเชื้อเพลิงและเคมีชีวภาพ, โครงการขับเคลื่อนศิลปะและวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่ อําเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี : โครงการฟื้นใจเมืองเขมราฐธานี เป็นต้น
นอกจากนี้ รมช.ศึกษาธิการ พร้อมคณะ ได้เยี่ยมชมนิทรรศการการเรียนการสอนของคณะและสาขาวิชาต่าง ๆ รวมทั้งห้องเรียนอัจฉริยะ ซึ่งได้ดําเนินการปรับปรุงห้องเรียนอัจฉริยะ จํานวน 6 ห้อง ทั้งภายในอาคารเรียนรวม คณะวิทยาศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ และวิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข ที่ถือเป็นอีกก้าวสําคัญในการนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยเพิ่มศักยภาพการเรียนรู้ นําไปสู่การยกระดับคุณภาพการศึกษา และการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ต่อจากนั้นในช่วงบ่ายของวันเดียวกันศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รมช.ศึกษาธิการ และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ประชุมรับฟังผลการดําเนินงานด้านการพัฒนาครูและท้องถิ่นของมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ณ ห้องสุขวิช รังสิตพล ศรีพฤทธาลัยราชภัฏสัมมนาคาร มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ อําเภอเมืองศรีสะเกษ พร้อมเยี่ยมชมผลการดําเนินงานด้านส่งการเสริมอาชีพและภูมิปัญญาท้องถิ่นร่วมกับชุมชน ทีวัดพระธาตุสุพรรณหงส์
รศ.ดร.ประกาศิต อานุภาพแสนยากร รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษกล่าวรายงานว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษเกิดขึ้นตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ.2547 เพื่อรองรับการพัฒนาจังหวัดซึ่งมีขนาดใหญ่และมีประชากรจํานวนมาก โดยเฉพาะประชากรวัยเรียน แต่ยังขาดสถาบันอุดมศึกษา รวมทั้งยังเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและอุตสาหกรรม ที่มีความพร้อมด้านที่ดินเพื่อการก่อสร้าง
โดยในปีการศึกษา 2561เปิดการเรียนการสอนใน 4 คณะ รวม 51 หลักสูตร ได้แก่ คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ คณะครุศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และคณะบริหารธุรกิจและการบัญชี ตลอดจนวิทยาลัยกฎหมายและการปกครอง 1 แห่ง มีนักศึกษาจํานวน 10,340 คน และมีข้าราชการและบุคลากรมหาวิทยาลัย รวม 262 คน
มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ มีความมุ่งมั่นในการผลิตบัณฑิตที่มีความรู้คู่คุณธรรมสํานึกในความเป็นไทย ส่งเสริมความรู้และความเข้าใจในคุณค่าในวัฒนธรรมท้องถิ่น สร้างเสริมความเข้มแข็งของวิชาชีพครูและชุมชน ตลอดจนศึกษาวิจัยและสืบสานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริตามภารกิจของมหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น โดยมีผลการดําเนินงานที่สําคัญหลายประการ อาทิ การรับรองมาตรฐานและการประเมินคุณภาพการศึกษาจาก สมศ.ในระดับดี โดยในปีการศึกษา 2559 ได้มีผลการประเมินรวม 4.00 และมีตัวบ่งชี้ที่มีคะแนนสูงสุด ได้แก่ 1) การทํานุบํารุงศิลปะและวัฒนธรรม คะแนน 5.00 2) การวิจัย คะแนน 4.63 และ 3) การบริการวิชาการ คะแนน 4.00 ตามลําดับ, พัฒนานักศึกษาให้มีทักษะเป็นเลิศ "เก่งงาน เก่งคน เก่งคิด เก่งวิชาการ" ให้มีจิตสํานึกความรับผิดชอบต่อสังคม และมีคุณธรรมจริยธรรม ช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยจากการได้รับรางวัลต่าง ๆ อาทิ นายอดิศักดิ์ สนับสนุน รางวัลเยาวชนดีเด่น สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เนื่องในโอกาสวันเยาวชนแห่งชาติ ประจําปี 2559 น.ส.รสสุคนธ์ สารทอง รางวัลพระราชทานระดับอุดมศึกษา ปีการศึกษา 2560 วงผกาลําดวน รางวัลชนะเลิศอันดับที่ 1 ประเภทเซิ้ง การประกวดดนตรีพื้นบ้านชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจําปี 2556 เป็นต้น, การพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ก่อนแต่งตั้งให้มีและเลื่อนวิทยฐานะชํานาญการพิเศษและเชี่ยวชาญพิเศษ แก่ข้าราชการครูฯ กว่า 3,000 คน, การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานหน่วยงานภาครัฐ ประจําปี 2559 เป็นอันดับ 2 (คะแนน 89.07) จากสถาบันอุดมศึกษา 77 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังได้ดําเนินโครงการพัฒนาท้องถิ่น มรภ.ศรีสะเกษ เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้และพัฒนาท้องถิ่น โดยน้อมนําแนวพระราชดําริในการส่งเสริมการผลิต พัฒนา และแปรรูป ที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์และสร้างรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่
รมช.ศึกษาธิการกล่าวมีใจความตอนหนึ่งว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (ในหลวงรัชกาลที่ 10) ทรงให้ความสนพระทัยและห่วงใยการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) เป็นอย่างมาก ในการยกระดับการศึกษาและพัฒนาท้องถิ่นทั่วประเทศ โดยในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการและรัฐมนตรีที่รับผิดชอบด้านการอุดมศึกษา ได้น้อมนําพระราโชบายด้านการศึกษา เพื่อถ่ายทอดสู่การขับเคลื่อนงานการอุดมศึกษาในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งผลิตกําลังคนในสาขาขาดแคลน ตอบโจทย์การพัฒนาท้องถิ่น ชุมชน สังคม และประเทศด้วย
ดังนั้น ในการเดินทางมาครั้งนี้ จึงตั้งใจมาเยี่ยมเยียนและติดตามการดําเนินงานของมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษซึ่งต้องถือว่ามหาวิทยาลัยราชภัฏ เป็นมหาวิทยาลัยกลุ่มใหญ่ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ที่ทั้งรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการให้ความสําคัญ และคาดหวังให้เป็นที่พึ่งพิงในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของท้องถิ่น อันจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศโดยรวม สอดคล้องกับมาตรา 7 ของพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ.2547 ที่กําหนด "ให้มหาวิทยาลัย เป็นสถาบันอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ที่เสริมสร้างพลังปัญญาของแผ่นดิน ฟื้นฟูพลังการเรียนรู้เชิดชูปัญญาของท้องถิ่น สร้างสรรค์ศิลปวิทยา เพื่อความเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนของปวงชนฯ"
นอกจากนี้ ขอฝากให้ตระหนักถึงรากเหง้าของความเป็น มรภ.ที่พัฒนามาจากความเป็นครูด้วยอาทิ วิทยาลัยครู เป็นต้น โดยให้ความสําคัญกับคณะครุศาสตร์และศึกษาศาสตร์ เพื่อผลิตและพัฒนาแม่พิมพ์ของครูคือ "ครูของครู" เชื่อมโยงไปสู่การสร้างครูที่มีบทบาทในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี และแผนยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏ 20 ปี ต่อไป สิ่งสําคัญคือการผลิตบัณฑิตออกมาเป็นครูที่มีคุณภาพ และจุดเน้นที่ตรงกับความเชี่ยวชาญของ มรภ.แต่ละแห่ง พร้อมช่วยกันดําเนินงานไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งนี้ อาจเป็นไปได้ที่มหาวิทยาลัยจะต้องเหลียวหลังกลับไปทบทวนบทบาทและความถนัดของตนเอง เพื่อเป็นการตั้งหลักก่อนจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าตามบทบาทภารกิจและยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏ ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) และตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี
อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันถึงเจตนารมณ์และความมุ่งหมายของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการที่ให้ความสําคัญกับทุกมหาวิทยาลัยอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยขนาดใด อยู่ใกล้หรือไกล หรือจะเด่นดังเพียงใด โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยราชภัฏ ซึ่งมีภารกิจมากกว่ามหาวิทยาลัยอื่น ในการผลิตและพัฒนากําลังคนให้มีศักยภาพและขีดความสามารถในยุคดิจิทัล (4.0) ตามยุทธศาสตร์ประเทศในการสร้างกําลังคน และในขณะเดียวกันก็ต้องดูแลและพัฒนาท้องถิ่นในหลาย ๆ ด้านให้มีคุณภาพ และตราบใดที่ยังดํารงตําแหน่งรัฐมนตรี ก็ยินดีที่จะสนับสนุนกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอย่างเต็มที่ เพื่อยกระดับคุณภาพผลิตครูคู่การพัฒนาท้องถิ่นอย่างเต็มที่ พร้อมเป็นกําลังใจในการทํางานและแสดงฝีมือของชาวมหาวิทยาลัยที่สร้างผลกระทบ (Impact) ต่อผู้เรียน ชุมชน และประเทศโดยรวม
ในโอกาสนี้ รมช.ศึกษาธิการ และคณะ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมวิถีแห่งการพัฒนาท้องถิ่น ราชภัฏกับชุมชนบ้านหว้าน ในโครงการหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒนธรรม รอยพ่ออย่างพอเพียง ตลอดจนการสาธิตอาชีพส่งเสริมภูมิปัญญา อาทิ การทอผ้าลายขิด การแปรรูปอาหาร การจักสานผลิตภัณฑ์ต้นกก เป็นต้น
Written byนวรัตน์ รามสูต
Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14086
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำ EIA และ EHIA ใหม่ – ลงพื้นที่ทำความเข้าใจ สร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน
|
วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560
นายกรัฐมนตรีสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทํา EIA และ EHIA ใหม่ – ลงพื้นที่ทําความเข้าใจ สร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน
นายกรัฐมนตรีสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทํา EIA และ EHIA ใหม่ – ลงพื้นที่ทําความเข้าใจ สร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน
วันนี้ (28 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 15.20 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการทํารายงานวิเคราะห์ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือ EIA กรณีการทําสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินว่า ได้สั่งการให้มีการทบทวนการดําเนินการใหม่ โดยเริ่มจากการเปิดเวทีสร้างความเข้าใจเรื่องแนวโน้มพลังงาน และความจําเป็นของพลังงาน เพื่อสร้างความเข้าใจให้ประชาชนมีความเข้าใจต่อการใช้พลังงานในอนาคตควรจะเป็นอย่างไร รวมถึงผลกระทบด้านพลังงาน ซึ่งจะต้องทําให้สอดคล้องกัน ไม่ใช่มีผลกระทบเรื่องไฟฟ้าเฉพาะที่จังหวัดกระบี่เท่านั้น ในอนาคตจะต้องมีการสร้างโรงไฟฟ้าอีก แต่จะสร้างอย่างไร ต้องดูว่าอะไรดี และปลอดภัยสามารถรองรับการขาดแคลนไฟฟ้าได้ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้า จึงต้องทําให้สอดคล้องกัน ระหว่างพลังงานที่เกิดจากฟอสซิลกับพลังงานที่เกิดพลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานทดแทน
ส่วนการทํารายงานผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงการดําเนินโครงการ หรือ EHIA เช่นกัน ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดําเนินการใหม่ ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ไปชี้แจงกับประชาชนในภาพรวม และต้องพูดคุยหารือกันมากขึ้นระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชน โดยรัฐบาลพยายามสร้างความไว้ใจต่อกันมากขึ้น ทั้งนี้ ต้องเข้าใจว่าตรงนี้เป็นการทําตามกฎหมาย เมื่อมีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้นจะต้องมีการทํา EIA และ EHIA ตามกฎหมายของแต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้อง
“ขอร้องอย่าเปิดประเด็นใหม่กันอีกเลย หลายคนมีข้อมูล ก็นําข้อมูลเช็คกันว่าอันไหนจริงไม่จริง แล้วมาช่วยกันตัดออก ไม่เช่นนั้นข้อมูลจะเยอะมาก ไม่ตรงกันสักอัน แล้วจะเป็นเหตุผลให้เกิดความวุ่นวายสับสนไม่เข้าใจ ผมพยายามสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้เกิดขึ้นระหว่างเจ้าหน้าที่กับภาคเอกชน ต้องเห็นใจกระทรวงพลังงานก็มีหน้าที่ของเขา ซึ่งรัฐบาลก็จะลงไปช่วยในการสร้างความเข้าใจ” นายกรัฐมนตรีกล่าว
-------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำ EIA และ EHIA ใหม่ – ลงพื้นที่ทำความเข้าใจ สร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน
วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560
นายกรัฐมนตรีสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทํา EIA และ EHIA ใหม่ – ลงพื้นที่ทําความเข้าใจ สร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน
นายกรัฐมนตรีสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทํา EIA และ EHIA ใหม่ – ลงพื้นที่ทําความเข้าใจ สร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน
วันนี้ (28 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 15.20 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการทํารายงานวิเคราะห์ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือ EIA กรณีการทําสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินว่า ได้สั่งการให้มีการทบทวนการดําเนินการใหม่ โดยเริ่มจากการเปิดเวทีสร้างความเข้าใจเรื่องแนวโน้มพลังงาน และความจําเป็นของพลังงาน เพื่อสร้างความเข้าใจให้ประชาชนมีความเข้าใจต่อการใช้พลังงานในอนาคตควรจะเป็นอย่างไร รวมถึงผลกระทบด้านพลังงาน ซึ่งจะต้องทําให้สอดคล้องกัน ไม่ใช่มีผลกระทบเรื่องไฟฟ้าเฉพาะที่จังหวัดกระบี่เท่านั้น ในอนาคตจะต้องมีการสร้างโรงไฟฟ้าอีก แต่จะสร้างอย่างไร ต้องดูว่าอะไรดี และปลอดภัยสามารถรองรับการขาดแคลนไฟฟ้าได้ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้า จึงต้องทําให้สอดคล้องกัน ระหว่างพลังงานที่เกิดจากฟอสซิลกับพลังงานที่เกิดพลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานทดแทน
ส่วนการทํารายงานผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงการดําเนินโครงการ หรือ EHIA เช่นกัน ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดําเนินการใหม่ ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ไปชี้แจงกับประชาชนในภาพรวม และต้องพูดคุยหารือกันมากขึ้นระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชน โดยรัฐบาลพยายามสร้างความไว้ใจต่อกันมากขึ้น ทั้งนี้ ต้องเข้าใจว่าตรงนี้เป็นการทําตามกฎหมาย เมื่อมีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้นจะต้องมีการทํา EIA และ EHIA ตามกฎหมายของแต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้อง
“ขอร้องอย่าเปิดประเด็นใหม่กันอีกเลย หลายคนมีข้อมูล ก็นําข้อมูลเช็คกันว่าอันไหนจริงไม่จริง แล้วมาช่วยกันตัดออก ไม่เช่นนั้นข้อมูลจะเยอะมาก ไม่ตรงกันสักอัน แล้วจะเป็นเหตุผลให้เกิดความวุ่นวายสับสนไม่เข้าใจ ผมพยายามสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้เกิดขึ้นระหว่างเจ้าหน้าที่กับภาคเอกชน ต้องเห็นใจกระทรวงพลังงานก็มีหน้าที่ของเขา ซึ่งรัฐบาลก็จะลงไปช่วยในการสร้างความเข้าใจ” นายกรัฐมนตรีกล่าว
-------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2132
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ เรียกหน่วยเกี่ยวข้องประชุมถกแผนกู้วิกฤติน้ำท่วมใต้พรุ่งนี้ ด้านข้อมูลวอร์รูมเกาะติดน้ำท่วมใต้ล่าสุด หลายพื้นที่เกษตรกรได้รับความช่วยเหลือเบื้องต้นแล้ว
|
วันอังคารที่ 10 มกราคม 2560
รัฐมนตรีเกษตรฯ เรียกหน่วยเกี่ยวข้องประชุมถกแผนกู้วิกฤติน้ําท่วมใต้พรุ่งนี้ ด้านข้อมูลวอร์รูมเกาะติดน้ําท่วมใต้ล่าสุด หลายพื้นที่เกษตรกรได้รับความช่วยเหลือเบื้องต้นแล้ว
รัฐมนตรีเกษตรฯ เรียกหน่วยเกี่ยวข้องประชุมถกแผนกู้วิกฤติน้ําท่วมใต้พรุ่งนี้ ด้านข้อมูลวอร์รูมเกาะติดน้ําท่วมใต้ล่าสุด หลายพื้นที่เกษตรกรได้รับความช่วยเหลือเบื้องต้นแล้ว เร่งระดมเครื่องมือ เครื่องจักร เรือ อากาศยานเข้าช่วยเหลือหากเกิดเหตุฉุกเฉิน พร้อมหนุ
นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (9 ม.ค.60) พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมชลประทาน กรมปศุสัตว์ กรมประมง และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติการเกษตร ในเวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรฯ เพื่อหารือสถานการณ์ความเสียหายและผลกระทบจากสถานการณ์น้ําท่วมภาคใต้ รวมถึงมาตรการให้ความช่วยเหลือทั้งช่วงการเผชิญเหตุ และช่วงการฟื้นฟูเพื่อปรับสภาพพื้นที่การเกษตร ให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว หลังจากที่ได้สั่งการให้ตั้งศูนย์แก้ไขปัญหาภัยพิบัติทางการเกษตรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ห้องประชุม 137 กระทรวงเกษตรฯ ถ.ราชดําเนินนอก ตั้งแต่วันที่ 7 ม.ค.60 เพื่อให้ทุกหน่วยรายงานผลการให้ความช่วยเหลือน้ําท่วมในพื้นที่ภาคใต้ ประเมินสถานการณ์ ผลกระทบด้านการเกษตร กลับมายังส่วนกลางแบบวันต่อวันไม่เว้นวันหยุดราชการเพื่อวางแผนแก้ปัญหาให้สอดคล้องกับสถานการณ์จนกว่าสถานการณ์น้ําท่วมจะคลี่คลาย โดยมีนายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้อํานวยการศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติการเกษตร
ซึ่งสถานการณ์อุทกภัยพื้นที่จังหวัดภาคใต้ล่าสุดขณะนี้ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยพื้นที่จังหวัดภาคใต้ 10 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพัทลุง นราธิวาสยะลา สงขลา ปัตตานี ตรัง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพร ระนอง ทั้งนี้ จังหวัดมีประชาชนได้รับผลกระทบ 330,318 ครัวเรือน โดยแนวโน้มสถานการณ์ ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา (8 ม.ค.60 เวลา 05.00 น.) ภาคใต้ยังคงมีฝนตกหนัก ถึงหนักมากบางแห่ง โดยเฉพาะจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ตรัง และสตูล ส่วนภาคใต้ตอนล่างบริเวณจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เริ่มมีปริมาณ ฝนลดลง โดยในภาพรวมของ สถานการณ์ฝนในบริเวณภาคใต้จะลดลงในวันที่ 9 มกราคม 2560
สําหรับผลกระทบด้านการเกษตร ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 59 – ปัจจุบันพบว่า ด้านพืช พื้นที่การเกษตรที่ถูกน้ําท่วม 963,334 ไร่ แบ่งเป็น ข้าว 246,359 ไร่ พืชไร่ 21,673 ไร่ พืชสวนและอื่นๆ 709,673 ไร่ โดยเป็นพื้นที่ผลกระทบเพิ่มเติมในช่วงตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.60 จํานวน 26,053 ไร่ แบ่งเป็นข้าว 6,693 ไร่ พืชไร่ 1,704 ไร่ พืชสวนและอื่นๆ 17,656 ไร่ ด้านประมง พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ําคาดว่าจะเสียหาย 27,122.19 ไร่ และ 40,163 ตารางเมตร เป็นพื้นที่ผลกระทบเพิ่มเติมในช่วงตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.60 จํานวน 477.19 ไร่ และ 511 ตารางเมตรด้านปศุสัตว์ สัตว์ได้รับผลกระทบ 5,760,323 ตัว แปลงหญ้า 14,878 ไร่ เป็นสัตว์ได้รับผลกระทบเพิ่มเติมในช่วงตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 60 จํานวน 2,340,358 ตัว แปลงหญ้า 5,623 ไร่ มีสัตว์ตาย/หรือสูญหาย 52,958 ตัว
นายธีรภัทร กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากมาตรการช่วยเหลือเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น การสนับสนุนเครื่องสูบน้ําเครื่องผลักดันน้ํา รถขุดเพื่อกําจัดผักตบชวาและเปิดทางน้ําเพื่อเร่งการระบายน้ํา การอพยพสัตว์ แจกเสบียงสัตว์ และส่งตรวจการประมงขนาด 15 ฟุต ออกช่วยเหลือราษฎรและร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ แจกจ่ายถุงยังชีพในพื้นที่ประสบอุทกภัยแล้ว กระทรวงเกษตรฯ ยังการระดมอุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ เพื่อการเผชิญเหตุ เช่น เครื่องสูบน้ําขนาดต่างๆ จํานวน 400 เครื่อง พร้อมเครื่องมือ เครื่องจักรกล อากาศยาน จํานวน 5 ลํา เรือตรวจการประมง จํานวน 60 ลําเสบียงสัตว์ จํานวน 1,200,000 กิโลกรัม ซึ่งพร้อมสนับสนุนงานของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติด้วย
“ในส่วนการเตรียมการช่วยเหลือฟื้นฟูในส่วนพื้นที่ที่มีระดับน้ําเริ่มลดลงได้สั่งการทุกหน่วยงานด้านวิชาการเข้าปฏิบัติการฟื้นฟูเพื่อปรับสภาพพื้นที่การเกษตร และการประกอบอาชีพ เกษตรกรรมของเกษตรกรที่ประสบภัยให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุดรวมถึงเร่งสํารวจความเสียหายเพื่อให้การช่วยเหลือตามมาตรการชวยเหลือเยียวยาเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยปี 2559/60 กรณีได้รับผลกระทบครัวเรือนละ 3,000 บาท และสํารวจความเสียหายสิ้นเชิง เพื่อให้การช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2559ต่อไป ” นายธีรภัทร กล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ เรียกหน่วยเกี่ยวข้องประชุมถกแผนกู้วิกฤติน้ำท่วมใต้พรุ่งนี้ ด้านข้อมูลวอร์รูมเกาะติดน้ำท่วมใต้ล่าสุด หลายพื้นที่เกษตรกรได้รับความช่วยเหลือเบื้องต้นแล้ว
วันอังคารที่ 10 มกราคม 2560
รัฐมนตรีเกษตรฯ เรียกหน่วยเกี่ยวข้องประชุมถกแผนกู้วิกฤติน้ําท่วมใต้พรุ่งนี้ ด้านข้อมูลวอร์รูมเกาะติดน้ําท่วมใต้ล่าสุด หลายพื้นที่เกษตรกรได้รับความช่วยเหลือเบื้องต้นแล้ว
รัฐมนตรีเกษตรฯ เรียกหน่วยเกี่ยวข้องประชุมถกแผนกู้วิกฤติน้ําท่วมใต้พรุ่งนี้ ด้านข้อมูลวอร์รูมเกาะติดน้ําท่วมใต้ล่าสุด หลายพื้นที่เกษตรกรได้รับความช่วยเหลือเบื้องต้นแล้ว เร่งระดมเครื่องมือ เครื่องจักร เรือ อากาศยานเข้าช่วยเหลือหากเกิดเหตุฉุกเฉิน พร้อมหนุ
นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (9 ม.ค.60) พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมชลประทาน กรมปศุสัตว์ กรมประมง และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติการเกษตร ในเวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรฯ เพื่อหารือสถานการณ์ความเสียหายและผลกระทบจากสถานการณ์น้ําท่วมภาคใต้ รวมถึงมาตรการให้ความช่วยเหลือทั้งช่วงการเผชิญเหตุ และช่วงการฟื้นฟูเพื่อปรับสภาพพื้นที่การเกษตร ให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว หลังจากที่ได้สั่งการให้ตั้งศูนย์แก้ไขปัญหาภัยพิบัติทางการเกษตรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ห้องประชุม 137 กระทรวงเกษตรฯ ถ.ราชดําเนินนอก ตั้งแต่วันที่ 7 ม.ค.60 เพื่อให้ทุกหน่วยรายงานผลการให้ความช่วยเหลือน้ําท่วมในพื้นที่ภาคใต้ ประเมินสถานการณ์ ผลกระทบด้านการเกษตร กลับมายังส่วนกลางแบบวันต่อวันไม่เว้นวันหยุดราชการเพื่อวางแผนแก้ปัญหาให้สอดคล้องกับสถานการณ์จนกว่าสถานการณ์น้ําท่วมจะคลี่คลาย โดยมีนายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้อํานวยการศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติการเกษตร
ซึ่งสถานการณ์อุทกภัยพื้นที่จังหวัดภาคใต้ล่าสุดขณะนี้ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยพื้นที่จังหวัดภาคใต้ 10 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพัทลุง นราธิวาสยะลา สงขลา ปัตตานี ตรัง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพร ระนอง ทั้งนี้ จังหวัดมีประชาชนได้รับผลกระทบ 330,318 ครัวเรือน โดยแนวโน้มสถานการณ์ ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา (8 ม.ค.60 เวลา 05.00 น.) ภาคใต้ยังคงมีฝนตกหนัก ถึงหนักมากบางแห่ง โดยเฉพาะจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ตรัง และสตูล ส่วนภาคใต้ตอนล่างบริเวณจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เริ่มมีปริมาณ ฝนลดลง โดยในภาพรวมของ สถานการณ์ฝนในบริเวณภาคใต้จะลดลงในวันที่ 9 มกราคม 2560
สําหรับผลกระทบด้านการเกษตร ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 59 – ปัจจุบันพบว่า ด้านพืช พื้นที่การเกษตรที่ถูกน้ําท่วม 963,334 ไร่ แบ่งเป็น ข้าว 246,359 ไร่ พืชไร่ 21,673 ไร่ พืชสวนและอื่นๆ 709,673 ไร่ โดยเป็นพื้นที่ผลกระทบเพิ่มเติมในช่วงตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.60 จํานวน 26,053 ไร่ แบ่งเป็นข้าว 6,693 ไร่ พืชไร่ 1,704 ไร่ พืชสวนและอื่นๆ 17,656 ไร่ ด้านประมง พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ําคาดว่าจะเสียหาย 27,122.19 ไร่ และ 40,163 ตารางเมตร เป็นพื้นที่ผลกระทบเพิ่มเติมในช่วงตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.60 จํานวน 477.19 ไร่ และ 511 ตารางเมตรด้านปศุสัตว์ สัตว์ได้รับผลกระทบ 5,760,323 ตัว แปลงหญ้า 14,878 ไร่ เป็นสัตว์ได้รับผลกระทบเพิ่มเติมในช่วงตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 60 จํานวน 2,340,358 ตัว แปลงหญ้า 5,623 ไร่ มีสัตว์ตาย/หรือสูญหาย 52,958 ตัว
นายธีรภัทร กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากมาตรการช่วยเหลือเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น การสนับสนุนเครื่องสูบน้ําเครื่องผลักดันน้ํา รถขุดเพื่อกําจัดผักตบชวาและเปิดทางน้ําเพื่อเร่งการระบายน้ํา การอพยพสัตว์ แจกเสบียงสัตว์ และส่งตรวจการประมงขนาด 15 ฟุต ออกช่วยเหลือราษฎรและร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ แจกจ่ายถุงยังชีพในพื้นที่ประสบอุทกภัยแล้ว กระทรวงเกษตรฯ ยังการระดมอุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ เพื่อการเผชิญเหตุ เช่น เครื่องสูบน้ําขนาดต่างๆ จํานวน 400 เครื่อง พร้อมเครื่องมือ เครื่องจักรกล อากาศยาน จํานวน 5 ลํา เรือตรวจการประมง จํานวน 60 ลําเสบียงสัตว์ จํานวน 1,200,000 กิโลกรัม ซึ่งพร้อมสนับสนุนงานของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติด้วย
“ในส่วนการเตรียมการช่วยเหลือฟื้นฟูในส่วนพื้นที่ที่มีระดับน้ําเริ่มลดลงได้สั่งการทุกหน่วยงานด้านวิชาการเข้าปฏิบัติการฟื้นฟูเพื่อปรับสภาพพื้นที่การเกษตร และการประกอบอาชีพ เกษตรกรรมของเกษตรกรที่ประสบภัยให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุดรวมถึงเร่งสํารวจความเสียหายเพื่อให้การช่วยเหลือตามมาตรการชวยเหลือเยียวยาเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยปี 2559/60 กรณีได้รับผลกระทบครัวเรือนละ 3,000 บาท และสํารวจความเสียหายสิ้นเชิง เพื่อให้การช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2559ต่อไป ” นายธีรภัทร กล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1267
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ จุรินทร์ เร่งแก้หนี้สมาชิกกองทุนฟื้นฟู เคาะสองมาตรการบรรเทาภาระหนี้สะสม ต่อลมหายใจเกษตรกรให้มีที่ทำกิน
|
วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม 2563
รองนายกฯ จุรินทร์ เร่งแก้หนี้สมาชิกกองทุนฟื้นฟู เคาะสองมาตรการบรรเทาภาระหนี้สะสม ต่อลมหายใจเกษตรกรให้มีที่ทํากิน
รองนายกฯ จุรินทร์ เร่งแก้หนี้สมาชิกกองทุนฟื้นฟู เคาะสองมาตรการบรรเทาภาระหนี้สะสม ต่อลมหายใจเกษตรกรให้มีที่ทํากิน
วันที่ 6 ส.ค.63 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการดําเนินการเพื่อแก้หนี้เกษตรกรว่า เมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) ที่ประชุมได้ติดตามความคืบหน้าการแก้หนี้เกษตรกร ซึ่งในปีงบประมาณ 2563 กฟก. ได้จัดสรรงบประมาณไว้ 1,000 ล้านบาทไว้สําหรับการจัดการหนี้เกษตรกร ตั้งเป้า 2,700 ราย
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้มีมติในสองเรื่องหลักด้วยกัน คือ 1) เห็นชอบปรับปรุงระเบียบคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดการทรัพย์สินหลักประกันของเกษตรกรที่ได้มีการจําหน่าย จ่ายโอนเพื่อการชําระหนี้ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์สภาพปัญหาของเกษตรกรในปัจจุบัน รวมทั้งให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของมติคณะรัฐมนตรีในปี 52 และ 55 ที่ต้องการรักษาที่ดินทํากินของเกษตรกร โดยการปรับแก้ระเบียบฉบับนี้ จะสามารถช่วยเหลือเกษตรกรร่วมพันรายที่เข้าไม่ถึงการช่วยเหลือเนื่องด้วยติดขัดจากระเบียบฯ เดิม ทําให้ทรัพย์สิน เช่น ที่ดินทํากินถูกยึดโดยสถาบันการเงินหรือขายทอดตลาด จากนี้จะจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ในการซื้อที่ดินคืน ประมาณ 320 ล้านบาท 2) เห็นชอบการขยายกรอบวงเงินในการชําระหนี้แก่ธนาคารเจ้าหนี้แทนเกษตรกรสมาชิก กฟก. (เกษตรกรยังคงต้องชําระหนี้กับ กฟก.) จากเดิมไม่เกินรายละ 2.5 ล้านบาท เป็นไม่เกิน 5 ล้านบาท มีจํานวน 137 ราย ซึ่งล้วนแล้วเป็นหนี้ค้างยืดเยื้อรอดําเนินการมาเป็นเวลานาน
ในส่วนการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารเจ้าหนี้ นางสาวรัชดา กล่าวว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะรองประธานกรรมการกองทุนฟื้นฟูฯ ได้เจรจากับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นที่แรกแล้ว เพราะมีเกษตรกรสมาชิก กฟก. เป็นลูกหนี้จํานวนมาก และขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลการพิจารณาของคณะกรรมการธนาคาร โดยจะใช้เป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรในธนาคารเจ้าหนี้อื่นต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ จุรินทร์ เร่งแก้หนี้สมาชิกกองทุนฟื้นฟู เคาะสองมาตรการบรรเทาภาระหนี้สะสม ต่อลมหายใจเกษตรกรให้มีที่ทำกิน
วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม 2563
รองนายกฯ จุรินทร์ เร่งแก้หนี้สมาชิกกองทุนฟื้นฟู เคาะสองมาตรการบรรเทาภาระหนี้สะสม ต่อลมหายใจเกษตรกรให้มีที่ทํากิน
รองนายกฯ จุรินทร์ เร่งแก้หนี้สมาชิกกองทุนฟื้นฟู เคาะสองมาตรการบรรเทาภาระหนี้สะสม ต่อลมหายใจเกษตรกรให้มีที่ทํากิน
วันที่ 6 ส.ค.63 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการดําเนินการเพื่อแก้หนี้เกษตรกรว่า เมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) ที่ประชุมได้ติดตามความคืบหน้าการแก้หนี้เกษตรกร ซึ่งในปีงบประมาณ 2563 กฟก. ได้จัดสรรงบประมาณไว้ 1,000 ล้านบาทไว้สําหรับการจัดการหนี้เกษตรกร ตั้งเป้า 2,700 ราย
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้มีมติในสองเรื่องหลักด้วยกัน คือ 1) เห็นชอบปรับปรุงระเบียบคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดการทรัพย์สินหลักประกันของเกษตรกรที่ได้มีการจําหน่าย จ่ายโอนเพื่อการชําระหนี้ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์สภาพปัญหาของเกษตรกรในปัจจุบัน รวมทั้งให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของมติคณะรัฐมนตรีในปี 52 และ 55 ที่ต้องการรักษาที่ดินทํากินของเกษตรกร โดยการปรับแก้ระเบียบฉบับนี้ จะสามารถช่วยเหลือเกษตรกรร่วมพันรายที่เข้าไม่ถึงการช่วยเหลือเนื่องด้วยติดขัดจากระเบียบฯ เดิม ทําให้ทรัพย์สิน เช่น ที่ดินทํากินถูกยึดโดยสถาบันการเงินหรือขายทอดตลาด จากนี้จะจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ในการซื้อที่ดินคืน ประมาณ 320 ล้านบาท 2) เห็นชอบการขยายกรอบวงเงินในการชําระหนี้แก่ธนาคารเจ้าหนี้แทนเกษตรกรสมาชิก กฟก. (เกษตรกรยังคงต้องชําระหนี้กับ กฟก.) จากเดิมไม่เกินรายละ 2.5 ล้านบาท เป็นไม่เกิน 5 ล้านบาท มีจํานวน 137 ราย ซึ่งล้วนแล้วเป็นหนี้ค้างยืดเยื้อรอดําเนินการมาเป็นเวลานาน
ในส่วนการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารเจ้าหนี้ นางสาวรัชดา กล่าวว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะรองประธานกรรมการกองทุนฟื้นฟูฯ ได้เจรจากับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นที่แรกแล้ว เพราะมีเกษตรกรสมาชิก กฟก. เป็นลูกหนี้จํานวนมาก และขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลการพิจารณาของคณะกรรมการธนาคาร โดยจะใช้เป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรในธนาคารเจ้าหนี้อื่นต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33971
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี พร้อมเยี่ยมชมโรงเรียนผู้สูงอายุ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ผู้สูงอายุอยู่อย่างมีคุณค่า
|
วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2561
รมว.พม. ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี พร้อมเยี่ยมชมโรงเรียนผู้สูงอายุ เพื่อสร้างขวัญกําลังใจให้ผู้สูงอายุอยู่อย่างมีคุณค่า
รมว.พม. ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี พร้อมเยี่ยมชมโรงเรียนผู้สูงอายุ เพื่อสร้างขวัญกําลังใจให้ผู้สูงอายุอยู่อย่างมีคุณค่า
วันนี้ (12 มิ.ย. 61) เวลา 14.00 น.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่ อบต.ท่างาม อําเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี เพื่อรับฟังรายงานสถานการณ์ทางสังคม และการจัดสวัสดิการทางสังคมของจังหวัดสิงห์บุรี จากนั้นได้เดินทางไปเยี่ยมชมโรงเรียนผู้สูงอายุจังหวัดสิงห์บุรี และมอบของที่ระลึกให้แก่ผู้แทนผู้สูงอายุ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้สูงอายุได้แสดงออกถึงศักยภาพ และสร้างขวัญกําลังใจให้ผู้สูงอายุอยู่อย่างมีคุณค่า ณ โรงเรียนผู้สูงอายุจังหวัดสิงห์บุรี ตําบลบางมัญ อําเภอเมืองสิงห์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี นอกจากนี้ ยังได้ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ ได้แก่ ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดสิงห์บุรี และบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสิงห์บุรี พร้อมทั้งประชุมทีม One Home จังหวัดสิงห์บุรี เพื่อมอบแนวทางการขับเคลื่อนงานในพื้นที่
ปัจจุบัน ประเทศไทยได้ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มขั้น จากสถิติผู้สูงอายุในประเทศไทย ปี 2559 มีประชากรที่เป็นผู้สูงอายุประมาณ 11 ล้านกว่าคน คิดเป็นร้อยละ 16.5 ของประชากรทั้งประเทศ ถือได้ว่าประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่วัยสูงอายุ (Aging Society) อย่างสมบูรณ์ ซึ่งจําเป็นที่ทุกภาคส่วน สมาชิกในครอบครัว ชุมชน และท้องถิ่น ต้องมีบทบาทสําคัญในการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง ทั้งการพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การถ่ายทอดภูมิปัญญา หรือการพัฒนาตนเองในด้านต่างๆ ส่งผลให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า มีศักดิ์ศรี และมีความสุข
สําหรับจังหวัดสิงห์บุรี มีประชากร ทั้งหมด 210,088 คน แบ่งชาย 100,132 คน หญิง 109,956 คน โดยเป็นเด็กและเยาวชน จํานวน 58,173 คน และเป็นผู้สูงอายุจํานวน 45,156 คน (อัตราส่วนผู้สูงอายุสูงที่สุดของประเทศ ร้อยละ 21.49) เป็นชายจํานวน 18,756 คน เป็นหญิงจํานวน 26,400 คน และมีผู้อายุที่อายุเกิน 100 ปี จํานวน 27 คน เป็นชายจํานวน 9 คน เป็นหญิงจํานวน 18 คน และสําหรับโรงเรียนผู้สูงอายุจังหวัดสิงห์บุรี ได้ดําเนินการมาตั้งแต่ ปี 2555 โดยใช้สถานที่ของศูนย์การศึกษาพิเศษเป็นสถานที่ตั้ง มีการบริหารจัดการและดําเนินการในรูปแบบของคณะกรรมการในชื่อสมาคมศูนย์ประสานงานภาคเอกชนจังหวัดสิงห์บุรี โดยมีกิจกรรมการจัดอบรมให้ความรู้ในด้านต่างๆ อาทิ รําไทย ดนตรีไทย การถ่ายทอดภูมิปัญญา ซึ่งผลิตนักเรียนแล้ว 7 รุ่น ตั้งแต่ปี 2555 จนถึงปี 2560 รวม 350 คน และเมื่อจบการศึกษาแล้ว ได้สมัครเป็นสมาชิกชมรมคลังปัญญาจังหวัดสิงห์บุรี เพื่อถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้สนใจต่อไป สําหรับการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมฯ ในวันนี้ กลุ่มผู้สูงอายุได้มีการแสดงขับเสภา และมีการแสดงชุดเชิญพระขวัญ และยังได้มอบของที่ระลึกให้แก่ผู้แทนผู้สูงอายุ เพื่อเป็นการสร้างขวัญกําลังใจให้ผู้สูงอายุอยู่อย่างมีคุณค่า
ทั้งนี้ การดําเนินงานของโรงเรียนผู้สูงอายุจังหวัดสิงห์บุรี ได้สําเร็จลุล่วงไปด้วยดี โดยมีการบูรณาการแบบมีส่วนร่วมในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง มีส่งผลให้เกิดการพัฒนาผู้สูงอายุอย่างเป็นองค์รวม ให้ผู้สูงอายุมีการพัฒนาตนเองและมีส่วนร่วมในการทํากิจกรรมทางสังคมมากขึ้น จะช่วยส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า สามารถพึ่งพาตนเองได้ และดํารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณภาพ มีพลังในการขับเคลื่อนงานในระดับพื้นที่ต่อไป
นอกจากนี้ ยังได้ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ ได้แก่ ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดสิงห์บุรี และบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสิงห์บุรี พร้อมทั้งประชุมทีม One Home จังหวัดสิงห์บุรี เพื่อรับฟังรายงานสถานการณ์ทางสังคมในพื้นที่ และมอบแนวทางขับเคลื่อนงานในพื้นที่ โดยได้เน้นย้ําการบูรณาการในพื้นที่ เพื่อช่วยเหลือประสานส่งต่อกลุ่มเป้าหมาย ต้องมีความเข้มแข็งในการเป็นศูนย์กลางกําหนดนโยบาย One Home หรือ Model การทํางานในพื้นที่อย่างเชื่อมโยงกับภาคส่วนต่างๆ พร้อมทั้งจัดทําแผนพัฒนาภาคในการเชื่อมโยงประสานหน่วยงานในพื้นที่ เน้นการประสานงานอย่างรวดเร็ว ลดขั้นตอนโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการสื่อสาร และให้ศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 เป็นช่องทางให้ประชาชนผู้ประสบปัญหาสังคม เข้าถึงการให้บริการสวัสดิการของภาครัฐ โดยเน้นการทํางานทั้งเชิงรุกและเชิงรับ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการและสภาพปัญหาของกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งมีการใช้ข้อมูล Social map และฐานข้อมูลอื่นๆ เช่น การลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ ให้เกิดประโยชน์ด้วยการใช้เทคโนโลยีในการจะพัฒนา และยกระดับการดําเนินงานที่มีประสิทธิภาพ และขอให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนดําเนินงานร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างเต็มความสามารถ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยคํานึงถึงประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสําคัญ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี พร้อมเยี่ยมชมโรงเรียนผู้สูงอายุ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ผู้สูงอายุอยู่อย่างมีคุณค่า
วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2561
รมว.พม. ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี พร้อมเยี่ยมชมโรงเรียนผู้สูงอายุ เพื่อสร้างขวัญกําลังใจให้ผู้สูงอายุอยู่อย่างมีคุณค่า
รมว.พม. ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี พร้อมเยี่ยมชมโรงเรียนผู้สูงอายุ เพื่อสร้างขวัญกําลังใจให้ผู้สูงอายุอยู่อย่างมีคุณค่า
วันนี้ (12 มิ.ย. 61) เวลา 14.00 น.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่ อบต.ท่างาม อําเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี เพื่อรับฟังรายงานสถานการณ์ทางสังคม และการจัดสวัสดิการทางสังคมของจังหวัดสิงห์บุรี จากนั้นได้เดินทางไปเยี่ยมชมโรงเรียนผู้สูงอายุจังหวัดสิงห์บุรี และมอบของที่ระลึกให้แก่ผู้แทนผู้สูงอายุ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้สูงอายุได้แสดงออกถึงศักยภาพ และสร้างขวัญกําลังใจให้ผู้สูงอายุอยู่อย่างมีคุณค่า ณ โรงเรียนผู้สูงอายุจังหวัดสิงห์บุรี ตําบลบางมัญ อําเภอเมืองสิงห์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี นอกจากนี้ ยังได้ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ ได้แก่ ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดสิงห์บุรี และบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสิงห์บุรี พร้อมทั้งประชุมทีม One Home จังหวัดสิงห์บุรี เพื่อมอบแนวทางการขับเคลื่อนงานในพื้นที่
ปัจจุบัน ประเทศไทยได้ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มขั้น จากสถิติผู้สูงอายุในประเทศไทย ปี 2559 มีประชากรที่เป็นผู้สูงอายุประมาณ 11 ล้านกว่าคน คิดเป็นร้อยละ 16.5 ของประชากรทั้งประเทศ ถือได้ว่าประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่วัยสูงอายุ (Aging Society) อย่างสมบูรณ์ ซึ่งจําเป็นที่ทุกภาคส่วน สมาชิกในครอบครัว ชุมชน และท้องถิ่น ต้องมีบทบาทสําคัญในการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง ทั้งการพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การถ่ายทอดภูมิปัญญา หรือการพัฒนาตนเองในด้านต่างๆ ส่งผลให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า มีศักดิ์ศรี และมีความสุข
สําหรับจังหวัดสิงห์บุรี มีประชากร ทั้งหมด 210,088 คน แบ่งชาย 100,132 คน หญิง 109,956 คน โดยเป็นเด็กและเยาวชน จํานวน 58,173 คน และเป็นผู้สูงอายุจํานวน 45,156 คน (อัตราส่วนผู้สูงอายุสูงที่สุดของประเทศ ร้อยละ 21.49) เป็นชายจํานวน 18,756 คน เป็นหญิงจํานวน 26,400 คน และมีผู้อายุที่อายุเกิน 100 ปี จํานวน 27 คน เป็นชายจํานวน 9 คน เป็นหญิงจํานวน 18 คน และสําหรับโรงเรียนผู้สูงอายุจังหวัดสิงห์บุรี ได้ดําเนินการมาตั้งแต่ ปี 2555 โดยใช้สถานที่ของศูนย์การศึกษาพิเศษเป็นสถานที่ตั้ง มีการบริหารจัดการและดําเนินการในรูปแบบของคณะกรรมการในชื่อสมาคมศูนย์ประสานงานภาคเอกชนจังหวัดสิงห์บุรี โดยมีกิจกรรมการจัดอบรมให้ความรู้ในด้านต่างๆ อาทิ รําไทย ดนตรีไทย การถ่ายทอดภูมิปัญญา ซึ่งผลิตนักเรียนแล้ว 7 รุ่น ตั้งแต่ปี 2555 จนถึงปี 2560 รวม 350 คน และเมื่อจบการศึกษาแล้ว ได้สมัครเป็นสมาชิกชมรมคลังปัญญาจังหวัดสิงห์บุรี เพื่อถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้สนใจต่อไป สําหรับการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมฯ ในวันนี้ กลุ่มผู้สูงอายุได้มีการแสดงขับเสภา และมีการแสดงชุดเชิญพระขวัญ และยังได้มอบของที่ระลึกให้แก่ผู้แทนผู้สูงอายุ เพื่อเป็นการสร้างขวัญกําลังใจให้ผู้สูงอายุอยู่อย่างมีคุณค่า
ทั้งนี้ การดําเนินงานของโรงเรียนผู้สูงอายุจังหวัดสิงห์บุรี ได้สําเร็จลุล่วงไปด้วยดี โดยมีการบูรณาการแบบมีส่วนร่วมในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง มีส่งผลให้เกิดการพัฒนาผู้สูงอายุอย่างเป็นองค์รวม ให้ผู้สูงอายุมีการพัฒนาตนเองและมีส่วนร่วมในการทํากิจกรรมทางสังคมมากขึ้น จะช่วยส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า สามารถพึ่งพาตนเองได้ และดํารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณภาพ มีพลังในการขับเคลื่อนงานในระดับพื้นที่ต่อไป
นอกจากนี้ ยังได้ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ ได้แก่ ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดสิงห์บุรี และบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสิงห์บุรี พร้อมทั้งประชุมทีม One Home จังหวัดสิงห์บุรี เพื่อรับฟังรายงานสถานการณ์ทางสังคมในพื้นที่ และมอบแนวทางขับเคลื่อนงานในพื้นที่ โดยได้เน้นย้ําการบูรณาการในพื้นที่ เพื่อช่วยเหลือประสานส่งต่อกลุ่มเป้าหมาย ต้องมีความเข้มแข็งในการเป็นศูนย์กลางกําหนดนโยบาย One Home หรือ Model การทํางานในพื้นที่อย่างเชื่อมโยงกับภาคส่วนต่างๆ พร้อมทั้งจัดทําแผนพัฒนาภาคในการเชื่อมโยงประสานหน่วยงานในพื้นที่ เน้นการประสานงานอย่างรวดเร็ว ลดขั้นตอนโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการสื่อสาร และให้ศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 เป็นช่องทางให้ประชาชนผู้ประสบปัญหาสังคม เข้าถึงการให้บริการสวัสดิการของภาครัฐ โดยเน้นการทํางานทั้งเชิงรุกและเชิงรับ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการและสภาพปัญหาของกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งมีการใช้ข้อมูล Social map และฐานข้อมูลอื่นๆ เช่น การลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ ให้เกิดประโยชน์ด้วยการใช้เทคโนโลยีในการจะพัฒนา และยกระดับการดําเนินงานที่มีประสิทธิภาพ และขอให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนดําเนินงานร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างเต็มความสามารถ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยคํานึงถึงประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสําคัญ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12981
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบังคับคดีได้รับเลือกเป็นกรรมการในคณะกรรมการสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ (UIHJ) เป็นครั้งแรก
|
วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2561
กรมบังคับคดีได้รับเลือกเป็นกรรมการในคณะกรรมการสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ (UIHJ) เป็นครั้งแรก
กรมบังคับคดีได้รับเลือกเป็นกรรมการในคณะกรรมการสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ (UIHJ) เป็นครั้งแรก
ที่ประชุมสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ ในการประชุมคองเกรสนานาชาติของสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ ครั้งที่ ๒๓
ที่กระทรวงยุติธรรมและกรมบังคับคดีร่วมกับสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศจัดการประชุมในระหว่างวันที่ ๑ - ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๑
พิจารณาเลือกตั้งคณะกรรมบริหารชุดใหม่ของสภาเจ้าพนักงานบังคับระหว่างประเทศ ที่จะมีวาระ ๓ ปี (๒๐๑๘-๒๐๒๑)
โดยสมาชิกแบบถาวรของสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศได้ลงคะแนนเลือกนายมาร์ค สมิช เจ้าพนักงานบังคับคดีประเทศเบลเยี่ยม เป็นประธานกรรมการ และเลือกนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดีร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศเป็นครั้งแรก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบังคับคดีได้รับเลือกเป็นกรรมการในคณะกรรมการสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ (UIHJ) เป็นครั้งแรก
วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2561
กรมบังคับคดีได้รับเลือกเป็นกรรมการในคณะกรรมการสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ (UIHJ) เป็นครั้งแรก
กรมบังคับคดีได้รับเลือกเป็นกรรมการในคณะกรรมการสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ (UIHJ) เป็นครั้งแรก
ที่ประชุมสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ ในการประชุมคองเกรสนานาชาติของสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศ ครั้งที่ ๒๓
ที่กระทรวงยุติธรรมและกรมบังคับคดีร่วมกับสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศจัดการประชุมในระหว่างวันที่ ๑ - ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๑
พิจารณาเลือกตั้งคณะกรรมบริหารชุดใหม่ของสภาเจ้าพนักงานบังคับระหว่างประเทศ ที่จะมีวาระ ๓ ปี (๒๐๑๘-๒๐๒๑)
โดยสมาชิกแบบถาวรของสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศได้ลงคะแนนเลือกนายมาร์ค สมิช เจ้าพนักงานบังคับคดีประเทศเบลเยี่ยม เป็นประธานกรรมการ และเลือกนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดีร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการสภาเจ้าพนักงานบังคับคดีระหว่างประเทศเป็นครั้งแรก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11987
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชวนบัณฑิตจบใหม่...ทำงาน part - time
|
วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม 2563
ชวนบัณฑิตจบใหม่...ทํางาน part - time
--
#ไทยคู่ฟ้า ปัญหาการว่างงานจากการระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะกับบัณฑิตจบใหม่ เป็นสิ่งที่รัฐบาลกําลังเร่งหาทางแก้ไข โดยปัจจุบันรูปแบบการจ้างงานได้เปลี่ยนจากการจ้างแบบเต็มเวลา เป็นการจ้างแบบ Part-time และไลฟ์สไตล์การทํางานของคนรุ่นใหม่ก็มุ่งไปที่งานอิสระมากขึ้น
ข้อมูลล่าสุดจากกรมการจัดหางาน พบว่า มีตําแหน่งงาน part-time ว่างอยู่ 2,396 อัตรา ได้แก่ 1.แรงงานด้านการผลิต 2.พนักงานจัดส่งสินค้าอื่น ๆ 3.เจ้าหน้าที่เก็บเงิน แคชเชียร์ 4.เจ้าหน้าที่ขนส่งอื่น ๆ 5.พนักงานขาย และผู้นําเสนอสินค้าอื่น ๆ 6.แรงงานในด้านการผลิตต่างๆ แรงงานทั่วไป 7.พนักงานขายทอดตลาด 8.เจ้าหน้าที่สินเชื่อ เจ้าหน้าที่การเงิน 9.ตัวแทนนายหน้าขายบริการธุรกิจอื่น ๆ 10.พนักงานขายสินค้า (ประจําร้าน) พนักงานขายของหน้าร้าน
สําหรับบัณฑิตจบใหม่ หรือผู้ที่สนใจสมัครงาน สามารถค้นหาข้อมูลหรือติดต่อได้ที่ :
1. http://smartjob.doe.go.th
2. อาคาร 3 ชั้น หน้ากระทรวงแรงงาน
3. สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด
4. สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10
5. Facebook Fanpage : เสิร์ฟงานด่วน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชวนบัณฑิตจบใหม่...ทำงาน part - time
วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม 2563
ชวนบัณฑิตจบใหม่...ทํางาน part - time
--
#ไทยคู่ฟ้า ปัญหาการว่างงานจากการระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะกับบัณฑิตจบใหม่ เป็นสิ่งที่รัฐบาลกําลังเร่งหาทางแก้ไข โดยปัจจุบันรูปแบบการจ้างงานได้เปลี่ยนจากการจ้างแบบเต็มเวลา เป็นการจ้างแบบ Part-time และไลฟ์สไตล์การทํางานของคนรุ่นใหม่ก็มุ่งไปที่งานอิสระมากขึ้น
ข้อมูลล่าสุดจากกรมการจัดหางาน พบว่า มีตําแหน่งงาน part-time ว่างอยู่ 2,396 อัตรา ได้แก่ 1.แรงงานด้านการผลิต 2.พนักงานจัดส่งสินค้าอื่น ๆ 3.เจ้าหน้าที่เก็บเงิน แคชเชียร์ 4.เจ้าหน้าที่ขนส่งอื่น ๆ 5.พนักงานขาย และผู้นําเสนอสินค้าอื่น ๆ 6.แรงงานในด้านการผลิตต่างๆ แรงงานทั่วไป 7.พนักงานขายทอดตลาด 8.เจ้าหน้าที่สินเชื่อ เจ้าหน้าที่การเงิน 9.ตัวแทนนายหน้าขายบริการธุรกิจอื่น ๆ 10.พนักงานขายสินค้า (ประจําร้าน) พนักงานขายของหน้าร้าน
สําหรับบัณฑิตจบใหม่ หรือผู้ที่สนใจสมัครงาน สามารถค้นหาข้อมูลหรือติดต่อได้ที่ :
1. http://smartjob.doe.go.th
2. อาคาร 3 ชั้น หน้ากระทรวงแรงงาน
3. สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด
4. สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10
5. Facebook Fanpage : เสิร์ฟงานด่วน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34255
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ ชง ครม. หนุนงบกลาง 2.2 หมื่นล้าน พัฒนาอาชีพเกษตรกรกลุ่มรายได้น้อยผ่านโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ
|
วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม 2560
รัฐมนตรีเกษตรฯ ชง ครม. หนุนงบกลาง 2.2 หมื่นล้าน พัฒนาอาชีพเกษตรกรกลุ่มรายได้น้อยผ่านโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ
รัฐมนตรีเกษตรว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชง ครม. หนุนงบกลาง 2.2 หมื่นล้าน พัฒนาอาชีพเกษตรกรกลุ่มรายได้น้อยผ่านโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยในโอกาสเป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ การเตรียมพร้อมการดําเนินงาน "โครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน" และมอบนโยบายการขับเคลื่อนแนวทางในโครงการดังกล่าวแก่ประธาน ศพก. ทั่วประเทศ 882 เกษตรอําเภอจากทั่วประเทศ ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ ว่า การประชุมในครั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ข้าราชการกระทรวงเกษตรฯ เจ้าหน้าที่ ประธานศพก. กว่า 882 คน ทั่วประเทศ เพื่อให้รับทราบและเข้าใจวัตถุประสงค์ของ “โครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน” ซึ่งความหมาย 9101 ซึ่ง 9 หมายถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ(ร.9), 10 หมายถึง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร(ร.10) และ 1 หมายถึงปีที่ 1 ในรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งคาดว่าโครงการดังกล่าวจะนําเสนอต่อที่ประชุม คณะรัฐมนตรีในวันที่ 4 ก.ค.2560 วงเงินงบประมาณ 22,000 บาท เป็นงบกลางปี เพื่อสนับสนุนในโครงการ 9,101 โครงการ โครงการละ 2.5 ล้านบาท มีระยะเวลาดําเนินโครงการ ถึง 30 กันยายนนี้
ทั้งนี้ โครงการ 9101 ที่แต่ละชุมชนเสนอ จะต้องเป็นกิจกรรมในลักษณะลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิต และยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร ภายใต้ 8 กลุ่ม โครงการ ประกอบด้วย ด้านการผลิตพืช ด้านการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ด้านการจัดการศัตรูพืช ด้านฟาร์มชุมชน ด้านการผลิตอาหาร และการแปรรูปการผลิต ด้านปศุสัตว์ (ขนาดเล็ก) ด้านประมง และด้านอื่นๆ เช่น การปรับปรุงบํารุงดิน เป็นต้น และจะต้องเป็นการจ้างแรงงาน ร้อยละ 50 ในพื้นที่โดยชุมชนคัดเลือกและรับรองด้วยกันเอง
ด้านนายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมส่งเสริมการเกษตรได้มีการชี้แจงเจ้าหน้าที่และ ประธานศพก. กว่า 882 คน ทั่วประเทศ เพื่อให้รับทราบและเข้าใจวัตถุประสงค์ของโครงการ ซึ่ง หลังจาก ครม.อนุมัติ จะได้ขับเคลื่อนงานทันทีและชุมชนจะได้รับเงินไม่เกิน 15 ก.ค. 60 เพื่อใช้ประกอบกิจกรรมการเกษตรตามวงเงินที่เสนอขอ ชุมชนละ 2.5 ล้าน รวมเป็นเงิน 22,725.5 ล้านบาท ดังนั้น การประชุมชี้แจงเพื่อขับเคลื่อนโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อ ต้องการให้ ศพก. 882 แห่ง และ ศพก.เครือข่าย ร่วมกับ Smart Farmer, Young Smart Farmer, ผู้นําชุมชน และภาคส่วนต่างๆ เป็นแกนของชุมชน 9101 ชุมชน ที่จะมีบทบาทสําคัญในการพิจารณา ผลักดัน โครงการที่ชุมชนเสนอเข้ามาเกิดความทั่วถึง เป็นธรรม เกษตรกรที่รายได้น้อยได้รับประโยชน์โดยตรง และที่สําคัญคือ มีการใช้งบประมาณโครงการอย่างโปร่งใส และมีประสิทธิภาพ เสร็จสิ้นโครงการตามเป้าหมายโครงการคือสิ้นเดือนกันยายนนี้
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ ชง ครม. หนุนงบกลาง 2.2 หมื่นล้าน พัฒนาอาชีพเกษตรกรกลุ่มรายได้น้อยผ่านโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ
วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม 2560
รัฐมนตรีเกษตรฯ ชง ครม. หนุนงบกลาง 2.2 หมื่นล้าน พัฒนาอาชีพเกษตรกรกลุ่มรายได้น้อยผ่านโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ
รัฐมนตรีเกษตรว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชง ครม. หนุนงบกลาง 2.2 หมื่นล้าน พัฒนาอาชีพเกษตรกรกลุ่มรายได้น้อยผ่านโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยในโอกาสเป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ การเตรียมพร้อมการดําเนินงาน "โครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน" และมอบนโยบายการขับเคลื่อนแนวทางในโครงการดังกล่าวแก่ประธาน ศพก. ทั่วประเทศ 882 เกษตรอําเภอจากทั่วประเทศ ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ ว่า การประชุมในครั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ข้าราชการกระทรวงเกษตรฯ เจ้าหน้าที่ ประธานศพก. กว่า 882 คน ทั่วประเทศ เพื่อให้รับทราบและเข้าใจวัตถุประสงค์ของ “โครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน” ซึ่งความหมาย 9101 ซึ่ง 9 หมายถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ(ร.9), 10 หมายถึง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร(ร.10) และ 1 หมายถึงปีที่ 1 ในรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งคาดว่าโครงการดังกล่าวจะนําเสนอต่อที่ประชุม คณะรัฐมนตรีในวันที่ 4 ก.ค.2560 วงเงินงบประมาณ 22,000 บาท เป็นงบกลางปี เพื่อสนับสนุนในโครงการ 9,101 โครงการ โครงการละ 2.5 ล้านบาท มีระยะเวลาดําเนินโครงการ ถึง 30 กันยายนนี้
ทั้งนี้ โครงการ 9101 ที่แต่ละชุมชนเสนอ จะต้องเป็นกิจกรรมในลักษณะลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิต และยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร ภายใต้ 8 กลุ่ม โครงการ ประกอบด้วย ด้านการผลิตพืช ด้านการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ด้านการจัดการศัตรูพืช ด้านฟาร์มชุมชน ด้านการผลิตอาหาร และการแปรรูปการผลิต ด้านปศุสัตว์ (ขนาดเล็ก) ด้านประมง และด้านอื่นๆ เช่น การปรับปรุงบํารุงดิน เป็นต้น และจะต้องเป็นการจ้างแรงงาน ร้อยละ 50 ในพื้นที่โดยชุมชนคัดเลือกและรับรองด้วยกันเอง
ด้านนายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมส่งเสริมการเกษตรได้มีการชี้แจงเจ้าหน้าที่และ ประธานศพก. กว่า 882 คน ทั่วประเทศ เพื่อให้รับทราบและเข้าใจวัตถุประสงค์ของโครงการ ซึ่ง หลังจาก ครม.อนุมัติ จะได้ขับเคลื่อนงานทันทีและชุมชนจะได้รับเงินไม่เกิน 15 ก.ค. 60 เพื่อใช้ประกอบกิจกรรมการเกษตรตามวงเงินที่เสนอขอ ชุมชนละ 2.5 ล้าน รวมเป็นเงิน 22,725.5 ล้านบาท ดังนั้น การประชุมชี้แจงเพื่อขับเคลื่อนโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อ ต้องการให้ ศพก. 882 แห่ง และ ศพก.เครือข่าย ร่วมกับ Smart Farmer, Young Smart Farmer, ผู้นําชุมชน และภาคส่วนต่างๆ เป็นแกนของชุมชน 9101 ชุมชน ที่จะมีบทบาทสําคัญในการพิจารณา ผลักดัน โครงการที่ชุมชนเสนอเข้ามาเกิดความทั่วถึง เป็นธรรม เกษตรกรที่รายได้น้อยได้รับประโยชน์โดยตรง และที่สําคัญคือ มีการใช้งบประมาณโครงการอย่างโปร่งใส และมีประสิทธิภาพ เสร็จสิ้นโครงการตามเป้าหมายโครงการคือสิ้นเดือนกันยายนนี้
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4963
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. ปลุกความเชื่อมั่นคนไทยยืนยันรัฐบาลยึดประโยชน์ชาติเป็นสำคัญ แนะอย่ากังวลอาลีบาบาผูกขาดการค้า กำชับดูแลผู้ประกอบการในประเทศ พร้อมกระตุ้นให้ปรับตัวรองรับการแข่งขัน
|
วันเสาร์ที่ 21 เมษายน 2561
นรม. ปลุกความเชื่อมั่นคนไทยยืนยันรัฐบาลยึดประโยชน์ชาติเป็นสําคัญ แนะอย่ากังวลอาลีบาบาผูกขาดการค้า กําชับดูแลผู้ประกอบการในประเทศ พร้อมกระตุ้นให้ปรับตัวรองรับการแข่งขัน
นรม. ปลุกความเชื่อมั่นคนไทย ยืนยันรัฐบาลยึดประโยชน์ชาติเป็นสําคัญ แนะอย่ากังวลอาลีบาบาผูกขาดการค้า กําชับดูแลผู้ประกอบการในประเทศ พร้อมกระตุ้นให้ปรับตัวรองรับการแข่งขัน
วันนี้ (21 เมษายน 2561) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความวิตกกังวลเกี่ยวกับการผูกขาดทางการค้า หลังจากที่อาลีบาบา กรุ๊ป ได้ลงนามความร่วมมือกับรัฐบาลไทยในโครงการ Smart Digital Hub พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ว่า เข้าใจดีถึงข้อห่วงใยของนักธุรกิจและประชาชน แต่อยากให้เปิดใจกว้างมองอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะสิ่งดี ๆ ที่ไทยจะได้รับ โดยยืนยันว่ารัฐบาลยึดหลักผลประโยชน์ร่วมกัน และคํานึงถึงประเทศชาติเป็นสําคัญ
“นายกฯ ได้กําชับให้ฝ่ายเศรษฐกิจพิจารณาเรื่องสิทธิประโยชน์ของนักลงทุนต่างชาติอย่างเหมาะสม โดยต้องไม่ให้กระทบต่อนักลงทุนไทย ควบคุมดูแลสินค้านําเข้าเพื่อปกป้องผู้ประกอบการ SMEs ในประเทศ ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ให้โอกาสนักลงทุนรายอื่นเข้ามาแข่งขัน เพื่อสร้างความสมดุลในระบบเศรษฐกิจด้วย”
นายกรัฐมนตรีย้ําว่า ทางอาลีบาบาได้ประกาศชัดเจนว่าต้องการสร้างความสามารถให้ธุรกิจและคนรุ่นใหม่ของประเทศที่ไปลงทุนนั้นประสบความสําเร็จ โดยไม่ต้องการทําสงครามทางการค้า เพราะเชื่อมั่นในการแข่งขันเสรี ขณะนี้มีสินค้าของไทยหลายรายการที่ชาวจีนชื่นชอบมาก เช่น ข้าวหอมมะลิ ทุเรียน และผลไม้ต่าง ๆ เมื่อเข้าสู่ระบบการขายแบบอีคอมเมิร์ซ ก็ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคจนขายหมดอย่างรวดเร็ว
ที่ผ่านมาไทยเราไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ใด ๆ นับตั้งแต่การก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ดังนั้น วันนี้ EEC จึงเป็นจุดขายของไทยในการดึงดูดการลงทุนใหม่ ๆ เพื่อยกระดับเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวขึ้นไปอีกขั้น เช่นเดียวกับหลายประเทศที่ประสบความสําเร็จจากการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษมาแล้วอย่างเช่น จีน ส่วนประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ทั้งเมียนมา กัมพูชา ลาว เวียดนาม มาเลเซีย ก็ล้วนมีเขตเศรษฐกิจพิเศษเช่นกัน
“นายกฯ แนะให้นักธุรกิจไทยปรับตัวรองรับการแข่งขัน อย่ามองว่าเป็นอุปสรรค แต่ควรมองเป็นความท้าทาย เพราะคนไทยมีศักยภาพไม่แพ้ใครในโลก โดยรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนตามแนวทางไทยแลนด์ 4.0 และเปิดโอกาสให้เข้ามามีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนักลงทุนต่างชาติ เพื่อนํากลับไปพัฒนาธุรกิจของตนอย่างเต็มที่”
--------------------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. ปลุกความเชื่อมั่นคนไทยยืนยันรัฐบาลยึดประโยชน์ชาติเป็นสำคัญ แนะอย่ากังวลอาลีบาบาผูกขาดการค้า กำชับดูแลผู้ประกอบการในประเทศ พร้อมกระตุ้นให้ปรับตัวรองรับการแข่งขัน
วันเสาร์ที่ 21 เมษายน 2561
นรม. ปลุกความเชื่อมั่นคนไทยยืนยันรัฐบาลยึดประโยชน์ชาติเป็นสําคัญ แนะอย่ากังวลอาลีบาบาผูกขาดการค้า กําชับดูแลผู้ประกอบการในประเทศ พร้อมกระตุ้นให้ปรับตัวรองรับการแข่งขัน
นรม. ปลุกความเชื่อมั่นคนไทย ยืนยันรัฐบาลยึดประโยชน์ชาติเป็นสําคัญ แนะอย่ากังวลอาลีบาบาผูกขาดการค้า กําชับดูแลผู้ประกอบการในประเทศ พร้อมกระตุ้นให้ปรับตัวรองรับการแข่งขัน
วันนี้ (21 เมษายน 2561) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความวิตกกังวลเกี่ยวกับการผูกขาดทางการค้า หลังจากที่อาลีบาบา กรุ๊ป ได้ลงนามความร่วมมือกับรัฐบาลไทยในโครงการ Smart Digital Hub พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ว่า เข้าใจดีถึงข้อห่วงใยของนักธุรกิจและประชาชน แต่อยากให้เปิดใจกว้างมองอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะสิ่งดี ๆ ที่ไทยจะได้รับ โดยยืนยันว่ารัฐบาลยึดหลักผลประโยชน์ร่วมกัน และคํานึงถึงประเทศชาติเป็นสําคัญ
“นายกฯ ได้กําชับให้ฝ่ายเศรษฐกิจพิจารณาเรื่องสิทธิประโยชน์ของนักลงทุนต่างชาติอย่างเหมาะสม โดยต้องไม่ให้กระทบต่อนักลงทุนไทย ควบคุมดูแลสินค้านําเข้าเพื่อปกป้องผู้ประกอบการ SMEs ในประเทศ ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ให้โอกาสนักลงทุนรายอื่นเข้ามาแข่งขัน เพื่อสร้างความสมดุลในระบบเศรษฐกิจด้วย”
นายกรัฐมนตรีย้ําว่า ทางอาลีบาบาได้ประกาศชัดเจนว่าต้องการสร้างความสามารถให้ธุรกิจและคนรุ่นใหม่ของประเทศที่ไปลงทุนนั้นประสบความสําเร็จ โดยไม่ต้องการทําสงครามทางการค้า เพราะเชื่อมั่นในการแข่งขันเสรี ขณะนี้มีสินค้าของไทยหลายรายการที่ชาวจีนชื่นชอบมาก เช่น ข้าวหอมมะลิ ทุเรียน และผลไม้ต่าง ๆ เมื่อเข้าสู่ระบบการขายแบบอีคอมเมิร์ซ ก็ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคจนขายหมดอย่างรวดเร็ว
ที่ผ่านมาไทยเราไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ใด ๆ นับตั้งแต่การก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ดังนั้น วันนี้ EEC จึงเป็นจุดขายของไทยในการดึงดูดการลงทุนใหม่ ๆ เพื่อยกระดับเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวขึ้นไปอีกขั้น เช่นเดียวกับหลายประเทศที่ประสบความสําเร็จจากการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษมาแล้วอย่างเช่น จีน ส่วนประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ทั้งเมียนมา กัมพูชา ลาว เวียดนาม มาเลเซีย ก็ล้วนมีเขตเศรษฐกิจพิเศษเช่นกัน
“นายกฯ แนะให้นักธุรกิจไทยปรับตัวรองรับการแข่งขัน อย่ามองว่าเป็นอุปสรรค แต่ควรมองเป็นความท้าทาย เพราะคนไทยมีศักยภาพไม่แพ้ใครในโลก โดยรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนตามแนวทางไทยแลนด์ 4.0 และเปิดโอกาสให้เข้ามามีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนักลงทุนต่างชาติ เพื่อนํากลับไปพัฒนาธุรกิจของตนอย่างเต็มที่”
--------------------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11661
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการก่อสร้างทางต่างระดับ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เสริมโครงข่ายโลจิสติกส์ชายแดนไทย-กัมพูชา คืบหน้ากว่า 56.99 %
|
วันจันทร์ที่ 25 กันยายน 2560
โครงการก่อสร้างทางต่างระดับ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เสริมโครงข่ายโลจิสติกส์ชายแดนไทย-กัมพูชา คืบหน้ากว่า 56.99 %
นายมานพ สุสิงห์ รองอธิบดีกรมทางหลวงชนบท ตรวจติดตามโครงการก่อสร้างทางต่างระดับบนถนนสายแยกทางหลวงหมายเลข 33 - ด่านผ่านแดนบ้านคลองลึก อําเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ณ ห้องประชุมสํานักงานโครงการฯ จังหวัดสระแก้ว
โดยรองอธิบดีฯได้เน้นย้ําในเรื่องความปลอดภัยขณะก่อสร้างและการรับมือกับสภาพอากาศฝนตกซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการก่อสร้างได้
สําหรับโครงการฯดังกล่าว มีขนาด 4 ช่องจราจร พร้อมเชิงลาด รวมความยาว 560 เมตร ชนิด SEGMENT พร้อมปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณใต้สะพาน ระบบระบายน้ํา ติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่าง เครื่องหมายจราจร ปัจจุบันโครงการฯมีความก้าวหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 56.99 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณเดือนเมษายน 2561 โดยใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งสิ้น 329.855 ล้านบาท เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยลดความแออัดของปริมาณการจราจรในบริเวณทางแยกในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน สนับสนุนโลจิสติกส์ รองรับการขนส่งสินค้า ตลอดจนอํานวยความสะดวก ปลอดภัยในการเดินทางให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการก่อสร้างทางต่างระดับ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เสริมโครงข่ายโลจิสติกส์ชายแดนไทย-กัมพูชา คืบหน้ากว่า 56.99 %
วันจันทร์ที่ 25 กันยายน 2560
โครงการก่อสร้างทางต่างระดับ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เสริมโครงข่ายโลจิสติกส์ชายแดนไทย-กัมพูชา คืบหน้ากว่า 56.99 %
นายมานพ สุสิงห์ รองอธิบดีกรมทางหลวงชนบท ตรวจติดตามโครงการก่อสร้างทางต่างระดับบนถนนสายแยกทางหลวงหมายเลข 33 - ด่านผ่านแดนบ้านคลองลึก อําเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ณ ห้องประชุมสํานักงานโครงการฯ จังหวัดสระแก้ว
โดยรองอธิบดีฯได้เน้นย้ําในเรื่องความปลอดภัยขณะก่อสร้างและการรับมือกับสภาพอากาศฝนตกซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการก่อสร้างได้
สําหรับโครงการฯดังกล่าว มีขนาด 4 ช่องจราจร พร้อมเชิงลาด รวมความยาว 560 เมตร ชนิด SEGMENT พร้อมปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณใต้สะพาน ระบบระบายน้ํา ติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่าง เครื่องหมายจราจร ปัจจุบันโครงการฯมีความก้าวหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 56.99 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณเดือนเมษายน 2561 โดยใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งสิ้น 329.855 ล้านบาท เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยลดความแออัดของปริมาณการจราจรในบริเวณทางแยกในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน สนับสนุนโลจิสติกส์ รองรับการขนส่งสินค้า ตลอดจนอํานวยความสะดวก ปลอดภัยในการเดินทางให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6935
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 19 มีนาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 19 มีนาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 19 มีนาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19)
ประจําวันที่ 19 มีนาคม 2563
1. สถานการณ์ ถึงวันที่ 19 มีนาคม 2563 ณ เวลา 08.00 น.
1. ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 229 ราย กลับบ้านแล้ว 42 ราย เสียชีวิต 1 ราย รวมสะสม 272 ราย
2. ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม – 18 มีนาคม 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 8,157 ราย คัดกรองจากทุกด่าน 305 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 7,852 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 5,106 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 3,051 ราย
3. สถานการณ์ทั่วโลกใน 168 ประเทศ 2 เขตบริหารพิเศษ 1 เรือสําราญ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 19มีนาคม 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 212,799 ราย เสียชีวิต 8,787 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 80,894 ราย เสียชีวิต 3,237 ราย
2.สธ.เผยพบผู้ติดเชื้อโคโรนา 2019 ใหม่เพิ่ม 60 ราย
กระทรวงสาธารณสุขเผยพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่ม 60 ราย แนะผู้เที่ยวสถานบันเทิงและ ชมมวย ร่วมรับผิดชอบต่อสังคมปฏิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย และคณะแถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่าวันนี้มีผู้ป่วยใหม่ 60 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่มดังนี้
กลุ่ม 1 ผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วย หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ จํานวน 43ราย ได้แก่ กลุ่มสนามมวย 12 ราย, กลุ่มสถานบันเทิง 14 ราย, กลุ่มผู้สัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว 12 ราย และกลุ่มที่เข้าร่วมพิธีทางศาสนาประเทศมาเลเซีย 5 ราย
กลุ่ม 2 ผู้ป่วยรายใหม่ จํานวน 17 ราย ได้แก่ กลุ่มผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศ 9 ราย, กลุ่มทํางานใกล้ชิดสัมผัสต่างชาติ 3 ราย ทํางานหรืออาศัยในสถานที่แออัดใกล้ชิดคนจํานวนมาก 1 ราย และรอผลสอบสวนโรคเพิ่มเติม 4 ราย
สําหรับผู้ป่วยอาการหนัก 3 ราย รายแรก ชายไทย อายุ 49 ปี ที่รักษาตัวในหอผู้ป่วยวิกฤติโรงพยาบาลในจังหวัดสุราษฎร์ธานี อาการยังอยู่ในภาวะวิกฤติ ได้รับการล้างไตแล้วแต่ผู้ป่วยยังไม่รู้สึกตัว รายที่ 2 ชายชาว เบลเยี่ยม อายุ 67 ปี ที่โรงพยาบาลในจังหวัดเพชรบูรณ์ อาการยังอยู่ในภาวะวิกฤติ มีประวัติป่วยเป็นโรคหัวใจ กินยาอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ใส่ท่อช่วยหายใจ รายที่ 3 รักษาตัวที่สถาบันบําราศนราดูร ยังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
สําหรับกลุ่มที่เดินทางกลับจากประเทศอิตาลี ที่ฐานทัพเรือสัตหีบ จ.ชลบุรี 83 คน ทั้งหมดไม่มีไข้ ยังต้องเฝ้าระวังสังเกตอาการ จนครบ 14 วัน
สรุปวันนี้มีผู้ป่วยรักษาหายกลับบ้านแล้ว 42 ราย อยู่ในโรงพยาบาล 229 ราย ผู้ป่วยอาการหนัก 3 ราย เสียชีวิต 1 ราย ผู้ป่วยสะสมในประเทศไทยขณะนี้ 272 ราย
สถานการณ์ขณะนี้ผู้ป่วยรายใหม่เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง โดยเป็นผู้ทํางานในสถานบันเทิง คนเที่ยว รวมไปถึงคนในครอบครัวซึ่งเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิด เริ่มพบรายงานผู้ป่วยตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม2563 ถึงขณะนี้รวม 57 ราย ส่วนกลุ่มสนามมวย พบการติดเชื้อตั้งแต่ ผู้จัด เจ้าของค่าย เซียนมวย พิธีกร ผู้ชม รวมไปถึงครอบครัว คนใกล้ชิด พบตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2563 ถึงขณะนี้ รวม 52 ราย ทั้งนี้ผู้ติดเชื้อที่เป็นผู้ชมที่มาจากต่างจังหวัดเมื่อป่วยก็จะนําเชื้อกลับไปติดคนใกล้ชิด คนในครอบครัว คนในภูมิลําเนา ที่สําคัญยังมีบางคนที่เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง (ยังไม่ป่วย) ไม่ได้กักกันตัวเองตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุขไปมีกิจกรรมกับผู้อื่นในสังคม ซึ่งเป็นอันตรายมากต่อผู้อื่น จึงเป็นเหตุผลสําคัญที่ทําให้กระทรวงสาธารณสุขแนะนําให้หลีกเลี่ยง/งดการไปในสถานที่ที่คนแออัดเนื่องจากเป็นสถานที่เสี่ยงสูง ซึ่งขณะนี้ รัฐบาลได้มอบอํานาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัด โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด พิจารณาปิดสถานที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค เช่น ผับ ร้านอาหาร สถานบันเทิง เวทีมวย และอื่นๆ เป็นการชั่วคราวจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
ขอแนะนําประชาชนให้ งด/ลด การเดินทาง ไปในพื้นที่เสี่ยงของการระบาดของโรค ไม่ออกนอกพื้นที่โดยไม่จําเป็น หากรู้ว่าตนเองเป็นกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูง (ครอบครัวผู้ป่วย เพื่อนสนิท เพื่อนร่วมงาน ร่วมวงสังสรรค์ ร่วมเชียร์มวย เชียร์บอล ผู้นั่งติดกัน ใช้พาหนะร่วมกัน) ขอให้ร่วมรับผิดชอบสังคม ด้วยการกักกันตนเองที่บ้านอย่างเคร่งครัด (Self-Quarantine at Home) รายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ เมื่อมีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ํามูก ให้สวมหน้ากากอนามัยรีบไปพบแพทย์ทันทีพร้อมแจ้งประวัติความเสี่ยง ขอให้แยกของใช้ส่วนตัว รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ แยกสํารับอาหาร ถ้าไม่แยกสํารับ ให้ใช้ช้อนกลางส่วนตัว
3. คําแนะนําสําหรับประชาชน
ขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์และข้อมูลข่าวสารได้ที่เว็บไซต์https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/และ “ไทยรู้ สู้โควิด” ทาง Twitter, Facebook, Line official, TikTok และChatBot 1422 ทาง ID : @COVID-19 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง อย่าเชื่อข่าวลือจากทุกทาง “เช็คก่อนแชร์” ตรวจสอบข่าวลวงได้ที่ www.antifakenewscenter.com
************************************** 19 มีนาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 19 มีนาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 19 มีนาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 19 มีนาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19)
ประจําวันที่ 19 มีนาคม 2563
1. สถานการณ์ ถึงวันที่ 19 มีนาคม 2563 ณ เวลา 08.00 น.
1. ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 229 ราย กลับบ้านแล้ว 42 ราย เสียชีวิต 1 ราย รวมสะสม 272 ราย
2. ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม – 18 มีนาคม 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 8,157 ราย คัดกรองจากทุกด่าน 305 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 7,852 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 5,106 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 3,051 ราย
3. สถานการณ์ทั่วโลกใน 168 ประเทศ 2 เขตบริหารพิเศษ 1 เรือสําราญ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 19มีนาคม 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 212,799 ราย เสียชีวิต 8,787 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 80,894 ราย เสียชีวิต 3,237 ราย
2.สธ.เผยพบผู้ติดเชื้อโคโรนา 2019 ใหม่เพิ่ม 60 ราย
กระทรวงสาธารณสุขเผยพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่ม 60 ราย แนะผู้เที่ยวสถานบันเทิงและ ชมมวย ร่วมรับผิดชอบต่อสังคมปฏิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย และคณะแถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่าวันนี้มีผู้ป่วยใหม่ 60 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่มดังนี้
กลุ่ม 1 ผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วย หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ จํานวน 43ราย ได้แก่ กลุ่มสนามมวย 12 ราย, กลุ่มสถานบันเทิง 14 ราย, กลุ่มผู้สัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว 12 ราย และกลุ่มที่เข้าร่วมพิธีทางศาสนาประเทศมาเลเซีย 5 ราย
กลุ่ม 2 ผู้ป่วยรายใหม่ จํานวน 17 ราย ได้แก่ กลุ่มผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศ 9 ราย, กลุ่มทํางานใกล้ชิดสัมผัสต่างชาติ 3 ราย ทํางานหรืออาศัยในสถานที่แออัดใกล้ชิดคนจํานวนมาก 1 ราย และรอผลสอบสวนโรคเพิ่มเติม 4 ราย
สําหรับผู้ป่วยอาการหนัก 3 ราย รายแรก ชายไทย อายุ 49 ปี ที่รักษาตัวในหอผู้ป่วยวิกฤติโรงพยาบาลในจังหวัดสุราษฎร์ธานี อาการยังอยู่ในภาวะวิกฤติ ได้รับการล้างไตแล้วแต่ผู้ป่วยยังไม่รู้สึกตัว รายที่ 2 ชายชาว เบลเยี่ยม อายุ 67 ปี ที่โรงพยาบาลในจังหวัดเพชรบูรณ์ อาการยังอยู่ในภาวะวิกฤติ มีประวัติป่วยเป็นโรคหัวใจ กินยาอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ใส่ท่อช่วยหายใจ รายที่ 3 รักษาตัวที่สถาบันบําราศนราดูร ยังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
สําหรับกลุ่มที่เดินทางกลับจากประเทศอิตาลี ที่ฐานทัพเรือสัตหีบ จ.ชลบุรี 83 คน ทั้งหมดไม่มีไข้ ยังต้องเฝ้าระวังสังเกตอาการ จนครบ 14 วัน
สรุปวันนี้มีผู้ป่วยรักษาหายกลับบ้านแล้ว 42 ราย อยู่ในโรงพยาบาล 229 ราย ผู้ป่วยอาการหนัก 3 ราย เสียชีวิต 1 ราย ผู้ป่วยสะสมในประเทศไทยขณะนี้ 272 ราย
สถานการณ์ขณะนี้ผู้ป่วยรายใหม่เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง โดยเป็นผู้ทํางานในสถานบันเทิง คนเที่ยว รวมไปถึงคนในครอบครัวซึ่งเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิด เริ่มพบรายงานผู้ป่วยตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม2563 ถึงขณะนี้รวม 57 ราย ส่วนกลุ่มสนามมวย พบการติดเชื้อตั้งแต่ ผู้จัด เจ้าของค่าย เซียนมวย พิธีกร ผู้ชม รวมไปถึงครอบครัว คนใกล้ชิด พบตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2563 ถึงขณะนี้ รวม 52 ราย ทั้งนี้ผู้ติดเชื้อที่เป็นผู้ชมที่มาจากต่างจังหวัดเมื่อป่วยก็จะนําเชื้อกลับไปติดคนใกล้ชิด คนในครอบครัว คนในภูมิลําเนา ที่สําคัญยังมีบางคนที่เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง (ยังไม่ป่วย) ไม่ได้กักกันตัวเองตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุขไปมีกิจกรรมกับผู้อื่นในสังคม ซึ่งเป็นอันตรายมากต่อผู้อื่น จึงเป็นเหตุผลสําคัญที่ทําให้กระทรวงสาธารณสุขแนะนําให้หลีกเลี่ยง/งดการไปในสถานที่ที่คนแออัดเนื่องจากเป็นสถานที่เสี่ยงสูง ซึ่งขณะนี้ รัฐบาลได้มอบอํานาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัด โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด พิจารณาปิดสถานที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค เช่น ผับ ร้านอาหาร สถานบันเทิง เวทีมวย และอื่นๆ เป็นการชั่วคราวจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
ขอแนะนําประชาชนให้ งด/ลด การเดินทาง ไปในพื้นที่เสี่ยงของการระบาดของโรค ไม่ออกนอกพื้นที่โดยไม่จําเป็น หากรู้ว่าตนเองเป็นกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูง (ครอบครัวผู้ป่วย เพื่อนสนิท เพื่อนร่วมงาน ร่วมวงสังสรรค์ ร่วมเชียร์มวย เชียร์บอล ผู้นั่งติดกัน ใช้พาหนะร่วมกัน) ขอให้ร่วมรับผิดชอบสังคม ด้วยการกักกันตนเองที่บ้านอย่างเคร่งครัด (Self-Quarantine at Home) รายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ เมื่อมีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ํามูก ให้สวมหน้ากากอนามัยรีบไปพบแพทย์ทันทีพร้อมแจ้งประวัติความเสี่ยง ขอให้แยกของใช้ส่วนตัว รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ แยกสํารับอาหาร ถ้าไม่แยกสํารับ ให้ใช้ช้อนกลางส่วนตัว
3. คําแนะนําสําหรับประชาชน
ขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์และข้อมูลข่าวสารได้ที่เว็บไซต์https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/และ “ไทยรู้ สู้โควิด” ทาง Twitter, Facebook, Line official, TikTok และChatBot 1422 ทาง ID : @COVID-19 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง อย่าเชื่อข่าวลือจากทุกทาง “เช็คก่อนแชร์” ตรวจสอบข่าวลวงได้ที่ www.antifakenewscenter.com
************************************** 19 มีนาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27531
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ย้ำ ปรับโครงสร้างคือทางรอด TOT – CAT มั่นใจ NBN – NGDC นำไทยสู่ Digital Economy
|
วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม 2561
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ย้ํา ปรับโครงสร้างคือทางรอด TOT – CAT มั่นใจ NBN – NGDC นําไทยสู่ Digital Economy
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
กระทรวงดิจิทัลฯ ย้ํา การตั้งบริษัท NBN และ NGDC เป็นไปตามกฎหมาย และไม่ใช่การแปรรูปเป็นเอกชน รายได้และทรัพย์สินเป็นของรัฐเหมือนเดิม แต่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานและบริการประชาชน ช่วยลดค่าใช้จ่ายรัฐจากการลงทุนซ้ําซ้อน มั่นใจนําเศรษฐกิจและสังคมไทยไปสู่ Digital Economy ตามนโยบาย ประเทศไทย 4.0 ของรัฐบาล
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยถึงการจัดตั้ง บริษัท โครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ (National Broadband Network: NBN) และการจัดตั้งบริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศและศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต จํากัด (Neutral Gateway and Data Center: NGDC) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) ว่า เป็นการปรับโครงสร้างของ บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท โทรคมนาคม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดําเนินงานและการให้บริการแก่ประชาชน ซึ่งเป็นภารกิจสําคัญตามแผนแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ โดยบริษัท NBN และ NGDC ยังเป็นรัฐวิสาหกิจ และเป็นบริษัทลูกของทั้ง ทีโอที และ กสท จึงมิใช่การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทเอกชน และ ไม่ใช่คู่แข่งของบริษัทแม่
“ในอดีตทั้งทีโอที และกสท มีรายได้หลักมาจากส่วนแบ่งค่าสัมปทาน จากผู้ให้บริการโทรคมนาคม แต่ปัจจุบันสัญญาเหล่านี้เริ่มสิ้นสุดไปแล้ว โดยเปลี่ยนไปเป็นใบอนุญาตจาก กสทช. รายได้ส่วนนี้ของ ทีโอที และ กสท จึงหายไป ส่วนรายได้จากการให้บริการอื่นๆ เช่น โทรศัพท์บ้าน ตลาดก็ลดลงมาก ส่วนบริการโทรศัพท์มือถือ บริการ internet บริการ data center ก็มีการแข่งขันสูงมากกับภาคเอกชน จึงจําเป็นต้องปรับโครงสร้างเพื่อให้สามารถแข่งขันได้” นางสาวอัจฉรินทร์ กล่าว
ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างของทั้งสองบริษัท ด้วยการตั้งบริษัทลูก ทั้ง NBN และ NGDC มีเป้าหมายเพื่อนําโครงสร้างพื้นฐานที่ทั้งสองบริษัททําธุรกิจซ้ําซ้อนกันมารวมกันเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และช่วยลดการลงทุนซ้ําซ้อนในอนาคต เช่น เคเบิลใยแก้วนําแสง เคเบิลใยแก้วใต้น้ํา ดาต้าเซ็นเตอร์ นอกจากนี้จะช่วยให้ประเทศมีหน่วยงานหลักในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศ ซึ่งจะต้องมีการขยายโครงข่ายในอนาคต เพื่อรองรับความต้องการของภาครัฐและการบริการสาธารณะ ทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข สร้างโอกาสการตลาดให้สินค้าในท้องถิ่น และช่วยให้บริการภาครัฐเข้าถึงประชาชนในพื้นที่ห่างไกล เพื่อนําไปสู่ Thailand 4.0
นอกจากนี้ บริษัท ทีโอที และ กสท ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น 100% ก็จะได้ประโยชน์จากผลกําไรของ NBN และ NGDC และยังดําเนินธุรกิจในส่วนที่ไม่ได้โอนไปให้ NBN หรือ NGDC เช่น ธุรกิจท่อร้อยสายใต้ดิน และธุรกิจให้บริการสื่อสารโทรคมนาคม หรือ บริการด้านดิจิทัลต่างๆ โดยมี NBN และ NGDC ดูแลโครงสร้างพื้นฐานให้ ซึ่งแม้จะมีรัฐถือหุ้น 100% แต่ NBN และ NGDC จะบริหารงานในรูปแบบใหม่ ลดต้นทุนทุกด้านให้อยู่ในระดับเดียวกับอุตสาหกรรมนี้ เพื่อให้แข่งขันได้กับเอกชน
ในอนาคต ประชาชนคนไทยก็จะได้รับประโยชน์จากการใช้โครงสร้างพื้นฐานที่ได้ลงทุนไปแล้วให้ได้ประโยชน์สูงสุด และทําให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการภาครัฐผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้กว้างขวางมากขึ้นโดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกล
สําหรับการโอนย้ายอุปกรณ์โครงข่ายบรอดแบนด์ของทั้ง ทีโอที และ กสท ไปยังบริษัทลูกทั้งสองแห่งนั้น ถือเป็นการโอนย้ายทรัพย์สินจากรัฐไปสู่รัฐ ดังนั้น ทรัพย์สินดังกล่าวยังคงเป็นทรัพย์สินของรัฐเช่นเดิม
นางสาวอัจฉรินทร์ กล่าวด้วยว่า การจัดตั้ง บริษัท โครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ (NBN) และบริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศและศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต จํากัด (NGDC) เป็นไปตามนโยบายของ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) และเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2559 ถึงช่วงปลายปี 2560
**************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ย้ำ ปรับโครงสร้างคือทางรอด TOT – CAT มั่นใจ NBN – NGDC นำไทยสู่ Digital Economy
วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม 2561
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ย้ํา ปรับโครงสร้างคือทางรอด TOT – CAT มั่นใจ NBN – NGDC นําไทยสู่ Digital Economy
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
กระทรวงดิจิทัลฯ ย้ํา การตั้งบริษัท NBN และ NGDC เป็นไปตามกฎหมาย และไม่ใช่การแปรรูปเป็นเอกชน รายได้และทรัพย์สินเป็นของรัฐเหมือนเดิม แต่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานและบริการประชาชน ช่วยลดค่าใช้จ่ายรัฐจากการลงทุนซ้ําซ้อน มั่นใจนําเศรษฐกิจและสังคมไทยไปสู่ Digital Economy ตามนโยบาย ประเทศไทย 4.0 ของรัฐบาล
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยถึงการจัดตั้ง บริษัท โครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ (National Broadband Network: NBN) และการจัดตั้งบริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศและศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต จํากัด (Neutral Gateway and Data Center: NGDC) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) ว่า เป็นการปรับโครงสร้างของ บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท โทรคมนาคม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดําเนินงานและการให้บริการแก่ประชาชน ซึ่งเป็นภารกิจสําคัญตามแผนแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ โดยบริษัท NBN และ NGDC ยังเป็นรัฐวิสาหกิจ และเป็นบริษัทลูกของทั้ง ทีโอที และ กสท จึงมิใช่การแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทเอกชน และ ไม่ใช่คู่แข่งของบริษัทแม่
“ในอดีตทั้งทีโอที และกสท มีรายได้หลักมาจากส่วนแบ่งค่าสัมปทาน จากผู้ให้บริการโทรคมนาคม แต่ปัจจุบันสัญญาเหล่านี้เริ่มสิ้นสุดไปแล้ว โดยเปลี่ยนไปเป็นใบอนุญาตจาก กสทช. รายได้ส่วนนี้ของ ทีโอที และ กสท จึงหายไป ส่วนรายได้จากการให้บริการอื่นๆ เช่น โทรศัพท์บ้าน ตลาดก็ลดลงมาก ส่วนบริการโทรศัพท์มือถือ บริการ internet บริการ data center ก็มีการแข่งขันสูงมากกับภาคเอกชน จึงจําเป็นต้องปรับโครงสร้างเพื่อให้สามารถแข่งขันได้” นางสาวอัจฉรินทร์ กล่าว
ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างของทั้งสองบริษัท ด้วยการตั้งบริษัทลูก ทั้ง NBN และ NGDC มีเป้าหมายเพื่อนําโครงสร้างพื้นฐานที่ทั้งสองบริษัททําธุรกิจซ้ําซ้อนกันมารวมกันเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และช่วยลดการลงทุนซ้ําซ้อนในอนาคต เช่น เคเบิลใยแก้วนําแสง เคเบิลใยแก้วใต้น้ํา ดาต้าเซ็นเตอร์ นอกจากนี้จะช่วยให้ประเทศมีหน่วยงานหลักในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศ ซึ่งจะต้องมีการขยายโครงข่ายในอนาคต เพื่อรองรับความต้องการของภาครัฐและการบริการสาธารณะ ทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข สร้างโอกาสการตลาดให้สินค้าในท้องถิ่น และช่วยให้บริการภาครัฐเข้าถึงประชาชนในพื้นที่ห่างไกล เพื่อนําไปสู่ Thailand 4.0
นอกจากนี้ บริษัท ทีโอที และ กสท ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น 100% ก็จะได้ประโยชน์จากผลกําไรของ NBN และ NGDC และยังดําเนินธุรกิจในส่วนที่ไม่ได้โอนไปให้ NBN หรือ NGDC เช่น ธุรกิจท่อร้อยสายใต้ดิน และธุรกิจให้บริการสื่อสารโทรคมนาคม หรือ บริการด้านดิจิทัลต่างๆ โดยมี NBN และ NGDC ดูแลโครงสร้างพื้นฐานให้ ซึ่งแม้จะมีรัฐถือหุ้น 100% แต่ NBN และ NGDC จะบริหารงานในรูปแบบใหม่ ลดต้นทุนทุกด้านให้อยู่ในระดับเดียวกับอุตสาหกรรมนี้ เพื่อให้แข่งขันได้กับเอกชน
ในอนาคต ประชาชนคนไทยก็จะได้รับประโยชน์จากการใช้โครงสร้างพื้นฐานที่ได้ลงทุนไปแล้วให้ได้ประโยชน์สูงสุด และทําให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการภาครัฐผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้กว้างขวางมากขึ้นโดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกล
สําหรับการโอนย้ายอุปกรณ์โครงข่ายบรอดแบนด์ของทั้ง ทีโอที และ กสท ไปยังบริษัทลูกทั้งสองแห่งนั้น ถือเป็นการโอนย้ายทรัพย์สินจากรัฐไปสู่รัฐ ดังนั้น ทรัพย์สินดังกล่าวยังคงเป็นทรัพย์สินของรัฐเช่นเดิม
นางสาวอัจฉรินทร์ กล่าวด้วยว่า การจัดตั้ง บริษัท โครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ (NBN) และบริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศและศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต จํากัด (NGDC) เป็นไปตามนโยบายของ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) และเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2559 ถึงช่วงปลายปี 2560
**************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11042
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ 3/2561
|
วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน 2561
รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการปาล์มน้ํามันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ 3/2561
รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมฯ เพื่อเร่งแก้ไขราคาปาล์มตกต่ํา โดยสนับสนุนใช้ดีเซล บี 20 และเพิ่มส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ํามันดีเซลหมุนเร็ว (บี7) พร้อมเห็นชอบให้ พน. ใช้น้ํามันปาล์มดิบไปใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนภาคเกษตรอย่างยั่งยืน
วันนี้ (1 พฤศจิกายน 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการปาล์มน้ํามันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ 3/2561 พร้อมด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และนายศิริ จิระพงษ์พันธ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เข้าร่วมการประชุม สรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมรับทราบรายงานสถานการณ์ ปาล์มน้ํามันและน้ํามันปาล์ม ซึ่งสต็อกน้ํามันปาล์มคงเหลือ ณ เดือนกันยายน ประมาณ 387,162 ตันCPO รวมทั้งรับทราบรายงานของคณะทํางานติดตามการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ปฏิรูปปาล์มน้ํามันและน้ํามันปาล์มทั้งระบบ ทั้ง 6 คณะ (ด้านการผลิต ด้านนวัตกรรม ด้านมาตรฐานปาล์มน้ํามันและน้ํามันปาล์ม ด้านพลังงาน ด้านการตลาด และด้านการบริหารจัดการ)
นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบรายงานความคืบหน้าการเพิ่มส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ํามันดีเซลหมุนเร็ว (บี7) ซึ่งปัจจุบันใช้ส่วนผสม6.5 % - 7.0 % เป็น 6.8 % - 7.0 % จะช่วยดูดซับน้ํามันปาล์มดิบ (CPO) ได้ประมาณ 80,000 ตัน/ปี ซึ่งจะดําเนินการได้ทันที
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมพิจารณาและมีมติเห็นชอบ โครงการเร่งรัดส่งออกน้ํามันปาล์มดิบ ปี 2561 ตามมาตรการปรับสมดุลน้ํามันปาล์มในประเทศ โดยอนุมัติปรับหลักเกณฑ์และกรอบระยะเวลาดําเนินการ โดยใช้งบประมาณงบกลางในการดําเนินการแก้ไขปัญหาปาล์ม โดยสนับสนุนให้แก่ผู้ส่งออกน้ํามันปาล์มดิบ สนับสนุนให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการชดเชยต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และสนับสนุนให้แก่โรงงานกลั่นน้ํามันปาล์ม เพื่อเป็นค่าชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาที่รับซื้อน้ํามันปาล์มดิบตามที่ภาครัฐกําหนด กับ ราคาน้ํามันปาล์มดิบที่ซื้อขายทั่วไปในช่วงเวลาที่กําหนด
นอกจากนี้ ที่ประชุมพิจารณาและมีมติเห็นชอบมาตรการเพิ่มปริมาณการใช้น้ํามันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ ซึ่งจากสถานการณ์ผลผลิต ผลปาล์มน้ํามันที่มีแนวโน้มออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึง ธันวาคม 2561 ซึ่งการใช้ในประเทศและการส่งออกชะลอตัว ทําให้มีสต็อก CPO คงเหลือเกินระดับปกติ และราคาผลปาล์มน้ํามันอ่อนตัวลง จําเป็นต้องพิจารณาแนวทางบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร ระหว่างรองบประมาณเพื่อดําเนินโครงการเร่งรัดส่งออก โดยคณะกรรมการได้หารือกับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ (เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2561) และได้ขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพิ่มปริมาณการใช้น้ํามันดีเซลหมุนเร็ว บี 20 ในรถยนต์บรรทุกขนาดใหญ่ รถยนต์ (บขส. และ ขสมก.) และ เรือโดยสารสาธารณะ รวมประมาณ 880,000 คัน โดยมีมาตรการจูงใจ ราคาขายปลีก บี 20 ที่ต่ํากว่า บี 7 ลิตรละ 3 บาท โดยมีเป้าหมาย ให้ใช้ บี 20 ประมาณ 15 ล้านลิตรต่อวัน กําหนดทดลองใช้ในเดือนพฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป อีกทั้ง ที่ประชุมพิจารณาและมีมติเห็นชอบให้กระทรวงพลังงานพิจารณาแนวทางการใช้น้ํามันปาล์มดิบไปใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าที่มีศักยภาพ และให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคพิจารณารับซื้อกระแสไฟฟ้าจากโรงงานสกัดน้ํามันปาล์มทุกโรงงาน
ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้ให้ข้อสังเกตว่า สถานการณ์การส่งออกน้ํามันปาล์มที่จะลดน้อยลงในปีหน้า เนื่องจากกลุ่มประเทศในอาเซียนมีปริมาณการผลิตจํานวนมากและได้รับผลกระทบด้านการส่งออกตั้งแต่ปี 2560 เช่นเดียวกัน อีกทั้งราคาต้นทุนการผลิตที่ต่ํากว่าส่งผลให้ราคาต่ํากว่าไทยเช่นเดียวกัน รวมถึงตลาดทางยุโรปที่มีแนวโน้มการปรับใช้น้ํามันปาล์มที่ลดน้อยลง จึงจําเป็นต้องเตรียมมาตรการด้านต่าง ๆ เพิ่มเติม พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้คณะกรรมการฯ และผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเป็นตัวแทนจากภาคเกษตรกร เตรียมตัวรับกับสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
..............................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ 3/2561
วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน 2561
รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการปาล์มน้ํามันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ 3/2561
รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมฯ เพื่อเร่งแก้ไขราคาปาล์มตกต่ํา โดยสนับสนุนใช้ดีเซล บี 20 และเพิ่มส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ํามันดีเซลหมุนเร็ว (บี7) พร้อมเห็นชอบให้ พน. ใช้น้ํามันปาล์มดิบไปใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนภาคเกษตรอย่างยั่งยืน
วันนี้ (1 พฤศจิกายน 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการปาล์มน้ํามันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ 3/2561 พร้อมด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และนายศิริ จิระพงษ์พันธ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เข้าร่วมการประชุม สรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมรับทราบรายงานสถานการณ์ ปาล์มน้ํามันและน้ํามันปาล์ม ซึ่งสต็อกน้ํามันปาล์มคงเหลือ ณ เดือนกันยายน ประมาณ 387,162 ตันCPO รวมทั้งรับทราบรายงานของคณะทํางานติดตามการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ปฏิรูปปาล์มน้ํามันและน้ํามันปาล์มทั้งระบบ ทั้ง 6 คณะ (ด้านการผลิต ด้านนวัตกรรม ด้านมาตรฐานปาล์มน้ํามันและน้ํามันปาล์ม ด้านพลังงาน ด้านการตลาด และด้านการบริหารจัดการ)
นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบรายงานความคืบหน้าการเพิ่มส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ํามันดีเซลหมุนเร็ว (บี7) ซึ่งปัจจุบันใช้ส่วนผสม6.5 % - 7.0 % เป็น 6.8 % - 7.0 % จะช่วยดูดซับน้ํามันปาล์มดิบ (CPO) ได้ประมาณ 80,000 ตัน/ปี ซึ่งจะดําเนินการได้ทันที
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมพิจารณาและมีมติเห็นชอบ โครงการเร่งรัดส่งออกน้ํามันปาล์มดิบ ปี 2561 ตามมาตรการปรับสมดุลน้ํามันปาล์มในประเทศ โดยอนุมัติปรับหลักเกณฑ์และกรอบระยะเวลาดําเนินการ โดยใช้งบประมาณงบกลางในการดําเนินการแก้ไขปัญหาปาล์ม โดยสนับสนุนให้แก่ผู้ส่งออกน้ํามันปาล์มดิบ สนับสนุนให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการชดเชยต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และสนับสนุนให้แก่โรงงานกลั่นน้ํามันปาล์ม เพื่อเป็นค่าชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาที่รับซื้อน้ํามันปาล์มดิบตามที่ภาครัฐกําหนด กับ ราคาน้ํามันปาล์มดิบที่ซื้อขายทั่วไปในช่วงเวลาที่กําหนด
นอกจากนี้ ที่ประชุมพิจารณาและมีมติเห็นชอบมาตรการเพิ่มปริมาณการใช้น้ํามันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ ซึ่งจากสถานการณ์ผลผลิต ผลปาล์มน้ํามันที่มีแนวโน้มออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึง ธันวาคม 2561 ซึ่งการใช้ในประเทศและการส่งออกชะลอตัว ทําให้มีสต็อก CPO คงเหลือเกินระดับปกติ และราคาผลปาล์มน้ํามันอ่อนตัวลง จําเป็นต้องพิจารณาแนวทางบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร ระหว่างรองบประมาณเพื่อดําเนินโครงการเร่งรัดส่งออก โดยคณะกรรมการได้หารือกับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ (เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2561) และได้ขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพิ่มปริมาณการใช้น้ํามันดีเซลหมุนเร็ว บี 20 ในรถยนต์บรรทุกขนาดใหญ่ รถยนต์ (บขส. และ ขสมก.) และ เรือโดยสารสาธารณะ รวมประมาณ 880,000 คัน โดยมีมาตรการจูงใจ ราคาขายปลีก บี 20 ที่ต่ํากว่า บี 7 ลิตรละ 3 บาท โดยมีเป้าหมาย ให้ใช้ บี 20 ประมาณ 15 ล้านลิตรต่อวัน กําหนดทดลองใช้ในเดือนพฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป อีกทั้ง ที่ประชุมพิจารณาและมีมติเห็นชอบให้กระทรวงพลังงานพิจารณาแนวทางการใช้น้ํามันปาล์มดิบไปใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าที่มีศักยภาพ และให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคพิจารณารับซื้อกระแสไฟฟ้าจากโรงงานสกัดน้ํามันปาล์มทุกโรงงาน
ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้ให้ข้อสังเกตว่า สถานการณ์การส่งออกน้ํามันปาล์มที่จะลดน้อยลงในปีหน้า เนื่องจากกลุ่มประเทศในอาเซียนมีปริมาณการผลิตจํานวนมากและได้รับผลกระทบด้านการส่งออกตั้งแต่ปี 2560 เช่นเดียวกัน อีกทั้งราคาต้นทุนการผลิตที่ต่ํากว่าส่งผลให้ราคาต่ํากว่าไทยเช่นเดียวกัน รวมถึงตลาดทางยุโรปที่มีแนวโน้มการปรับใช้น้ํามันปาล์มที่ลดน้อยลง จึงจําเป็นต้องเตรียมมาตรการด้านต่าง ๆ เพิ่มเติม พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้คณะกรรมการฯ และผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเป็นตัวแทนจากภาคเกษตรกร เตรียมตัวรับกับสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
..............................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16500
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยร่วมหารือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออสเตรเลีย พัฒนาความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด ณ นครบริสเบน ประเทศออ
|
วันพุธที่ 18 กรกฎาคม 2561
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยร่วมหารือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออสเตรเลีย พัฒนาความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด ณ นครบริสเบน ประเทศออ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยร่วมหารือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออสเตรเลีย พัฒนาความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด ณ นครบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย
เมื่อวันที่ ๑๗กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐น. (เวลาท้องถิ่นเครือรัฐออสเตรเลีย)
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการกับ
H.E. Mr. Peter Dutton รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ณ สํานักงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นครบริสเบน โดยมีผลการหารือที่สําคัญ ดังนี้
๑. ฝ่ายไทยแสดงความขอบคุณฝ่ายออสเตรเลียที่ส่งผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
มาช่วยเหลือนักฟุตบอลทีมหมูป่าอะคาเดมีและโค้ชซึ่งประสบภัยติดถ้ําหลวง ขุนน้ํานางนอนในห้วงที่ผ่านมา
โดยฝ่ายออสเตรเลียแสดงความยินดีที่ปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวสําเร็จอย่างดียิ่ง
และชื่นชมความร่วมมือและร่วมแรงร่วมใจของไทย ออสเตรเลีย และนานาประเทศในภารกิจดังกล่าว
๒. ฝ่ายไทยแสดงความยินดีกับฝ่ายออสเตรเลียที่ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างการทํางานของกระทรวงมหาดไทย
ซึ่งรวมหน่วยงานความมั่นคงที่สําคัญไว้ภายใต้โครงสร้างของกระทรวงฯ รวมถึงสํานักงานตํารวจสหพันธ์ออสเตรเลีย (AFP)
และสํานักงานพิทักษ์เขตแดนออสเตรเลีย (ABF) ซึ่งเป็นหน่วยงานภาคีด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ใกล้ชิดของประเทศไทย
ซึ่งจะทําให้ความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมและยาเสพติดระหว่างกันมีประสิทธิภาพมากขึ้น
๓. ฝ่ายไทยขอบคุณฝ่ายออสเตรเลียที่ได้ให้การสนับสนุนมาตรการปราบปรามยาเสพติดของประเทศไทยเป็นอย่างดีมาโดยตลอด
ซึ่งออสเตรเลียเป็นประเทศแรก ๆ ที่ให้การสนับสนุนระบบข้อมูลสารสนเทศด้านยาเสพติดของไทย
๔. ทั้งสองฝ่ายยินดีที่จะพัฒนาความร่วมมือด้านยาเสพติดให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นทั้งในกรอบทวิภาคี และพหุภาคี
โดยเฉพาะภายใต้แผนปฏิบัติการสามเหลี่ยมทองคําและแผนแม่น้ําโขงปลอดภัย และความร่วมมือในกรอบอาเซียน
และกิจกรรมของศูนย์ประสานงานยาเสพติดอาเซียน ซึ่งออสเตรเลียเห็นว่าความร่วมมือกับไทยซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดี
และไว้เนื้อเชื่อใจกันมาอย่างยาวนาน และกรอบความร่วมมือตามที่กล่าวมาเป็นประโยชน์โดยตรง
ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดของออสเตรเลีย และภูมิภาคนี้ โดยออสเตรเลีย ยืนยันให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยี
การพัฒนาบุคลากรและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การฝึกอบรมสําหรับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายในการปราบปรามยาเสพติด
รวมถึงการตรวจพิสูจน์สารเสพติด
๕. ฝ่ายไทยยินดีดําเนินการสกัดกั้นและปราบปรามการลักลอบลําเลียงยาเสพติดจากพื้นที่สามเหลี่ยมทองคํา
เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อภูมิภาค และร่วมมือในการจัดการปัญหาเครือข่ายแก๊งมอเตอร์ไซค์นอกกฎหมาย
และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการข่าว รวมถึงการสนับสนุนความเป็นหุ้นส่วนในการแก้ไขปัญหายาเสพติดของออสเตรเลีย
๖. ทั้งสองฝ่ายยินดีผลักดันความร่วมมือด้านการข่าวเพื่อให้การประสานงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ประเทศไทย โดยสํานักงาน ป.ป.ส. ยินดีที่ฝ่ายออสเตรเลีย จะจัดส่งเจ้าหน้าที่ประสานงานมาประจําการและปฏิบัติหน้าที่
ณ สํานักงาน ป.ป.ส. ในโอกาสแรก รวมถึงการริเริ่มให้มีการสร้างกลไกการหารือแลกเปลี่ยนด้านการข่าวระหว่างกันอย่างเป็นประจําอีกด้วย
ทั้งนี้ ในช่วงบ่าย คณะผู้แทนไทยได้เดินทางไปรับฟังการบรรยายสรุปและศึกษาดูงานด้านการศึกษาวิจัย
และผลิตกัญชาทางการแพทย์อย่างถูกกฎหมาย
ณ บริษัท Medifarm เมือง Sunshine Coast โดยผลิตภัณฑ์กัญชาที่ผลิตเป็นชนิดน้ํามัน
และแพทย์เท่านั้นที่จะสามารถสั่งจ่ายน้ํามันกัญชาดังกล่าวได้ สําหรับการรักษาโรคลมชัก และอาการเจ็บปวดแบบเรื้อรัง
ทั้งนี้การสั่งจ่ายน้ํามันกัญชามักไม่ได้เป็นทางเลือกแรกของแพทย์ที่จะใช้ในการรักษา การศึกษาดูงานดังกล่าว
เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการกําหนดนโยบายควบคุมพืชเสพติดของประเทศไทยต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยร่วมหารือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออสเตรเลีย พัฒนาความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด ณ นครบริสเบน ประเทศออ
วันพุธที่ 18 กรกฎาคม 2561
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยร่วมหารือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออสเตรเลีย พัฒนาความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด ณ นครบริสเบน ประเทศออ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยร่วมหารือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออสเตรเลีย พัฒนาความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด ณ นครบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย
เมื่อวันที่ ๑๗กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐น. (เวลาท้องถิ่นเครือรัฐออสเตรเลีย)
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการกับ
H.E. Mr. Peter Dutton รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ณ สํานักงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นครบริสเบน โดยมีผลการหารือที่สําคัญ ดังนี้
๑. ฝ่ายไทยแสดงความขอบคุณฝ่ายออสเตรเลียที่ส่งผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
มาช่วยเหลือนักฟุตบอลทีมหมูป่าอะคาเดมีและโค้ชซึ่งประสบภัยติดถ้ําหลวง ขุนน้ํานางนอนในห้วงที่ผ่านมา
โดยฝ่ายออสเตรเลียแสดงความยินดีที่ปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวสําเร็จอย่างดียิ่ง
และชื่นชมความร่วมมือและร่วมแรงร่วมใจของไทย ออสเตรเลีย และนานาประเทศในภารกิจดังกล่าว
๒. ฝ่ายไทยแสดงความยินดีกับฝ่ายออสเตรเลียที่ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างการทํางานของกระทรวงมหาดไทย
ซึ่งรวมหน่วยงานความมั่นคงที่สําคัญไว้ภายใต้โครงสร้างของกระทรวงฯ รวมถึงสํานักงานตํารวจสหพันธ์ออสเตรเลีย (AFP)
และสํานักงานพิทักษ์เขตแดนออสเตรเลีย (ABF) ซึ่งเป็นหน่วยงานภาคีด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ใกล้ชิดของประเทศไทย
ซึ่งจะทําให้ความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมและยาเสพติดระหว่างกันมีประสิทธิภาพมากขึ้น
๓. ฝ่ายไทยขอบคุณฝ่ายออสเตรเลียที่ได้ให้การสนับสนุนมาตรการปราบปรามยาเสพติดของประเทศไทยเป็นอย่างดีมาโดยตลอด
ซึ่งออสเตรเลียเป็นประเทศแรก ๆ ที่ให้การสนับสนุนระบบข้อมูลสารสนเทศด้านยาเสพติดของไทย
๔. ทั้งสองฝ่ายยินดีที่จะพัฒนาความร่วมมือด้านยาเสพติดให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นทั้งในกรอบทวิภาคี และพหุภาคี
โดยเฉพาะภายใต้แผนปฏิบัติการสามเหลี่ยมทองคําและแผนแม่น้ําโขงปลอดภัย และความร่วมมือในกรอบอาเซียน
และกิจกรรมของศูนย์ประสานงานยาเสพติดอาเซียน ซึ่งออสเตรเลียเห็นว่าความร่วมมือกับไทยซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดี
และไว้เนื้อเชื่อใจกันมาอย่างยาวนาน และกรอบความร่วมมือตามที่กล่าวมาเป็นประโยชน์โดยตรง
ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดของออสเตรเลีย และภูมิภาคนี้ โดยออสเตรเลีย ยืนยันให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยี
การพัฒนาบุคลากรและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การฝึกอบรมสําหรับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายในการปราบปรามยาเสพติด
รวมถึงการตรวจพิสูจน์สารเสพติด
๕. ฝ่ายไทยยินดีดําเนินการสกัดกั้นและปราบปรามการลักลอบลําเลียงยาเสพติดจากพื้นที่สามเหลี่ยมทองคํา
เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อภูมิภาค และร่วมมือในการจัดการปัญหาเครือข่ายแก๊งมอเตอร์ไซค์นอกกฎหมาย
และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการข่าว รวมถึงการสนับสนุนความเป็นหุ้นส่วนในการแก้ไขปัญหายาเสพติดของออสเตรเลีย
๖. ทั้งสองฝ่ายยินดีผลักดันความร่วมมือด้านการข่าวเพื่อให้การประสานงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ประเทศไทย โดยสํานักงาน ป.ป.ส. ยินดีที่ฝ่ายออสเตรเลีย จะจัดส่งเจ้าหน้าที่ประสานงานมาประจําการและปฏิบัติหน้าที่
ณ สํานักงาน ป.ป.ส. ในโอกาสแรก รวมถึงการริเริ่มให้มีการสร้างกลไกการหารือแลกเปลี่ยนด้านการข่าวระหว่างกันอย่างเป็นประจําอีกด้วย
ทั้งนี้ ในช่วงบ่าย คณะผู้แทนไทยได้เดินทางไปรับฟังการบรรยายสรุปและศึกษาดูงานด้านการศึกษาวิจัย
และผลิตกัญชาทางการแพทย์อย่างถูกกฎหมาย
ณ บริษัท Medifarm เมือง Sunshine Coast โดยผลิตภัณฑ์กัญชาที่ผลิตเป็นชนิดน้ํามัน
และแพทย์เท่านั้นที่จะสามารถสั่งจ่ายน้ํามันกัญชาดังกล่าวได้ สําหรับการรักษาโรคลมชัก และอาการเจ็บปวดแบบเรื้อรัง
ทั้งนี้การสั่งจ่ายน้ํามันกัญชามักไม่ได้เป็นทางเลือกแรกของแพทย์ที่จะใช้ในการรักษา การศึกษาดูงานดังกล่าว
เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการกําหนดนโยบายควบคุมพืชเสพติดของประเทศไทยต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13943
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นวิทยากรบรรยาย เรื่อง “สถานการณ์กฎหมาย และอาชญากรรมเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล Bitcoin ในประเทศไทย”
|
วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม 2561
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นวิทยากรบรรยาย เรื่อง “สถานการณ์กฎหมาย และอาชญากรรมเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล Bitcoin ในประเทศไทย”
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: justify; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: justify; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นวิทยากรบรรยายในการประชุมสัมมนา เรื่อง “สถานการณ์ กฎหมาย และอาชญากรรมเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล Bitcoin ในประเทศไทย” โดยสํานักงานอัยการสูงสุด ร่วมกับ มูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ ประเทศไทย จัดขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้ และศักยภาพในการดําเนินคดีเกี่ยวกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ (สกุลเงินดิจิทัล Bitcoin) รวมถึงมาตรการกํากับดูแล กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวมประมวลสถานการณ์ พฤติการณ์การกระทําความผิดเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล Bitcoin ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ตลอดทั้งแนวโน้มที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อใช้ประโยชน์ในการดําเนินคดีอาญาและการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม ตลอดจนเป็นการรวบรวมองค์ความรู้ด้านการดําเนินคดีความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ดังกล่าว เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ศึกษาเรียนรู้และสามารถนําไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2561 ณ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ถนนรัชดาภิเษก เขตดินแดง กรุงเทพฯ
****************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นวิทยากรบรรยาย เรื่อง “สถานการณ์กฎหมาย และอาชญากรรมเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล Bitcoin ในประเทศไทย”
วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม 2561
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นวิทยากรบรรยาย เรื่อง “สถานการณ์กฎหมาย และอาชญากรรมเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล Bitcoin ในประเทศไทย”
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: justify; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: justify; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นวิทยากรบรรยายในการประชุมสัมมนา เรื่อง “สถานการณ์ กฎหมาย และอาชญากรรมเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล Bitcoin ในประเทศไทย” โดยสํานักงานอัยการสูงสุด ร่วมกับ มูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ ประเทศไทย จัดขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้ และศักยภาพในการดําเนินคดีเกี่ยวกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ (สกุลเงินดิจิทัล Bitcoin) รวมถึงมาตรการกํากับดูแล กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวมประมวลสถานการณ์ พฤติการณ์การกระทําความผิดเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล Bitcoin ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ตลอดทั้งแนวโน้มที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อใช้ประโยชน์ในการดําเนินคดีอาญาและการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม ตลอดจนเป็นการรวบรวมองค์ความรู้ด้านการดําเนินคดีความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ดังกล่าว เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ศึกษาเรียนรู้และสามารถนําไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2561 ณ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ถนนรัชดาภิเษก เขตดินแดง กรุงเทพฯ
****************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14864
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตือนประชาชนอย่าใช้ใบรับรองแพทย์ปลอม ผิดกฎหมาย
|
วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม 2561
สธ. เตือนประชาชนอย่าใช้ใบรับรองแพทย์ปลอม ผิดกฎหมาย
กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนอย่าใช้ใบรับรองแพทย์จากเว็บเพจต่าง ๆ หรือออกให้โดยบุคคลที่มิใช่แพทย์ในสถานพยาบาล เพราะเป็นเอกสารปลอม ผิดกฎหมาย เตรียมแจ้งความดําเนินคดีกับเว็บเพจที่รับปลอมใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
วันนี้ (20 พฤษภาคม 2561) นายแพทย์ธเรศกรัษนัยรวิวงค์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจพบว่า มีผู้เปิดเพจรับทําใบรับรองแพทย์ ซึ่งเป็นการกระทําที่ผิดกฎหมาย บางเพจมีภาพตัวอย่างใบรับรองแพทย์ ทั้งของโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลเอกชน โดยกระทรวงสาธารณสุข จะแจ้งความดําเนินคดีตามกฎหมายกับเพจดังกล่าว ฐานปลอมเอกสาร และประสาน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดําเนินการตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 พร้อมทั้งได้ประสานโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับความเสียหายเพื่อดําเนินการต่อไปแล้ว
“ขอเตือนประชาชนว่า การขอใบรับรองแพทย์ จะต้องได้รับการตรวจจากแพทย์และออกใบรับรองแพทย์จากสถานพยาบาลเท่านั้น อย่าใช้ใบรับรองแพทย์จากเว็บเพจต่าง ๆ หรือโดยบุคคลที่มิใช่แพทย์ในสถานพยาบาล เพราะเป็นเอกสารปลอม หากนําไปใช้ในการสมัคร/การเข้าเรียน สมัครสอบรับราชการ หรือเข้าทํางาน จะมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา ทั้งนี้ กรณีข้าราชการหากนําเอกสารปลอมดังกล่าวไปใช้เป็นหลักฐานในการอ้างอิงหรือใช้ประกอบการเบิกจ่ายนอกจากจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาแล้ว ก็จะมีความผิดทางวินัยอีกด้วย” นายแพทย์ธเรศกล่าว
ทั้งนี้ การกระทําดังกล่าวถือเป็นการกระทําความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และแก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ผู้กระทําความผิดต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ” และเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
****************************************20 พฤษภาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตือนประชาชนอย่าใช้ใบรับรองแพทย์ปลอม ผิดกฎหมาย
วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม 2561
สธ. เตือนประชาชนอย่าใช้ใบรับรองแพทย์ปลอม ผิดกฎหมาย
กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนอย่าใช้ใบรับรองแพทย์จากเว็บเพจต่าง ๆ หรือออกให้โดยบุคคลที่มิใช่แพทย์ในสถานพยาบาล เพราะเป็นเอกสารปลอม ผิดกฎหมาย เตรียมแจ้งความดําเนินคดีกับเว็บเพจที่รับปลอมใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
วันนี้ (20 พฤษภาคม 2561) นายแพทย์ธเรศกรัษนัยรวิวงค์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจพบว่า มีผู้เปิดเพจรับทําใบรับรองแพทย์ ซึ่งเป็นการกระทําที่ผิดกฎหมาย บางเพจมีภาพตัวอย่างใบรับรองแพทย์ ทั้งของโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลเอกชน โดยกระทรวงสาธารณสุข จะแจ้งความดําเนินคดีตามกฎหมายกับเพจดังกล่าว ฐานปลอมเอกสาร และประสาน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดําเนินการตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 พร้อมทั้งได้ประสานโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับความเสียหายเพื่อดําเนินการต่อไปแล้ว
“ขอเตือนประชาชนว่า การขอใบรับรองแพทย์ จะต้องได้รับการตรวจจากแพทย์และออกใบรับรองแพทย์จากสถานพยาบาลเท่านั้น อย่าใช้ใบรับรองแพทย์จากเว็บเพจต่าง ๆ หรือโดยบุคคลที่มิใช่แพทย์ในสถานพยาบาล เพราะเป็นเอกสารปลอม หากนําไปใช้ในการสมัคร/การเข้าเรียน สมัครสอบรับราชการ หรือเข้าทํางาน จะมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา ทั้งนี้ กรณีข้าราชการหากนําเอกสารปลอมดังกล่าวไปใช้เป็นหลักฐานในการอ้างอิงหรือใช้ประกอบการเบิกจ่ายนอกจากจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาแล้ว ก็จะมีความผิดทางวินัยอีกด้วย” นายแพทย์ธเรศกล่าว
ทั้งนี้ การกระทําดังกล่าวถือเป็นการกระทําความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และแก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ผู้กระทําความผิดต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ” และเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
****************************************20 พฤษภาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12389
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ทดลองปิดสะพานเข้าท่าอากาศยานดอนเมือง ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2560
|
วันอังคารที่ 1 สิงหาคม 2560
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) ทดลองปิดสะพานเข้าท่าอากาศยานดอนเมือง ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2560
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (ทอท.) กระทรวงคมนาคม ร่วมกับ สํานักงานทางหลวงที่ 13 กรมทางหลวง การรถไฟแห่งประเทศไทย บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จํากัด (มหาชน) สถานีตํารวจนครบาลดอนเมือง สถานีตํารวจนครบาลวิภาวดี และกองบังคับการตํารวจจราจร
วางแผนปรับปรุงถนนวิภาวดีรังสิตและสะพานทางเชื่อมเข้าท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) เนื่องจากปัจจุบันสภาพปัญหาการจราจรบนถนนวิภาวดีรังสิต (ทางหลวงหมายเลข 31) ตอนงามวงศ์วาน – ดอนเมือง ช่วง กม. 24+279 หรือบริเวณหน้า ทดม. เป็นพื้นที่ที่มียานพาหนะสะสมตามจุดตัดทางแยกต่าง ๆ เป็นจํานวนมาก และอยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ – รังสิต ทําให้จําเป็นต้องปิดช่องจราจรบางช่องทาง ส่งผลให้มีรถสะสมมากขึ้นจนบดบังช่องจราจรทางตรง โดยเฉพาะบริเวณทางเข้า – ออก ทดม. ซึ่งมีเส้นทางรถเข้าท่าอากาศยานตัดกับเส้นทางรถที่จอดรับ - ส่ง บริเวณป้ายรถประจําทาง ทอท. ได้จัดแผน การแก้ไขปัญหาดังกล่าว ไม่ให้กีดขวางช่องทางหลัก
ทอท. และกรมทางหลวง จะทดลองปิดการจราจรสะพานเข้าท่าอากาศยานดอนเมือง เพื่อประเมินและศึกษาผลกระทบด้านการจราจรและปรับปรุงแก้ไขก่อนจะเริ่มโครงการจริง ในระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2560 โดยผู้ที่จะเดินทางเข้าไปภายในท่าอากาศยานดอนเมืองสามารถใช้เส้นทางเลี่ยง ดังนี้
1. สะพานทางเข้าหน้าคลังสินค้า (ขาออก)
2. ลงทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมืองโทลล์เวย์)
3. สะพานกลับรถฐานทัพอากาศ
ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมทางหลวง โทร. 1586 ตลอด 24 ชั่วโมง โทรฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายทุกเครือข่าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ทดลองปิดสะพานเข้าท่าอากาศยานดอนเมือง ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2560
วันอังคารที่ 1 สิงหาคม 2560
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) ทดลองปิดสะพานเข้าท่าอากาศยานดอนเมือง ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2560
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (ทอท.) กระทรวงคมนาคม ร่วมกับ สํานักงานทางหลวงที่ 13 กรมทางหลวง การรถไฟแห่งประเทศไทย บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จํากัด (มหาชน) สถานีตํารวจนครบาลดอนเมือง สถานีตํารวจนครบาลวิภาวดี และกองบังคับการตํารวจจราจร
วางแผนปรับปรุงถนนวิภาวดีรังสิตและสะพานทางเชื่อมเข้าท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) เนื่องจากปัจจุบันสภาพปัญหาการจราจรบนถนนวิภาวดีรังสิต (ทางหลวงหมายเลข 31) ตอนงามวงศ์วาน – ดอนเมือง ช่วง กม. 24+279 หรือบริเวณหน้า ทดม. เป็นพื้นที่ที่มียานพาหนะสะสมตามจุดตัดทางแยกต่าง ๆ เป็นจํานวนมาก และอยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ – รังสิต ทําให้จําเป็นต้องปิดช่องจราจรบางช่องทาง ส่งผลให้มีรถสะสมมากขึ้นจนบดบังช่องจราจรทางตรง โดยเฉพาะบริเวณทางเข้า – ออก ทดม. ซึ่งมีเส้นทางรถเข้าท่าอากาศยานตัดกับเส้นทางรถที่จอดรับ - ส่ง บริเวณป้ายรถประจําทาง ทอท. ได้จัดแผน การแก้ไขปัญหาดังกล่าว ไม่ให้กีดขวางช่องทางหลัก
ทอท. และกรมทางหลวง จะทดลองปิดการจราจรสะพานเข้าท่าอากาศยานดอนเมือง เพื่อประเมินและศึกษาผลกระทบด้านการจราจรและปรับปรุงแก้ไขก่อนจะเริ่มโครงการจริง ในระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2560 โดยผู้ที่จะเดินทางเข้าไปภายในท่าอากาศยานดอนเมืองสามารถใช้เส้นทางเลี่ยง ดังนี้
1. สะพานทางเข้าหน้าคลังสินค้า (ขาออก)
2. ลงทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมืองโทลล์เวย์)
3. สะพานกลับรถฐานทัพอากาศ
ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมทางหลวง โทร. 1586 ตลอด 24 ชั่วโมง โทรฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายทุกเครือข่าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5609
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. กำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวหญิงวัย 31 ปี ต้องรับภาระเพียงลำพังเลี้ยงดูลูก 3 คน เนื่องจากสามีทอดทิ้งหนีไป ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่ จ.สุรินทร์
|
วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม 2560
รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวหญิงวัย 31 ปี ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูลูก 3 คน เนื่องจากสามีทอดทิ้งหนีไป ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่ จ.สุรินทร์
รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวหญิงวัย 31 ปี ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูลูก 3 คน เนื่องจากสามีทอดทิ้งหนีไป ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่ จ.สุรินทร์ พร้อมชื่นชมเด็กหญิงสู้ชีวิตวัย 11 ปี รับจ้างทํางานหารายได้เพื่อช่วยเหลือครอบครัว ที่ จ.กาฬสินธุ์
วันนี้ (16 ต.ค. 60) เวลา 08.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 734/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทาง การแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีคณะผู้บริหารและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 8 กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า จากกรณีหญิงวัย 31 ปี ต้องรับภาระเพียงลําพังในการดูแลลูกทั้ง 3 คน ซึ่งสามีทอดทิ้งไปมีภรรยาใหม่ โดยหญิงดังกล่าวประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไปเพื่อหารายได้เลี้ยงดูครอบครัว บางวันต้องอดข้าว เนื่องจากไม่มีงานทํา ทั้ง 4 ชีวิต อาศัยในเพิงสังกะสีสภาพเก่าทรุดโทรมใกล้ผุพัง ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่อําเภอ โนนนารายณ์ จังหวัดสุรินทร์ นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุรินทร์ (พมจ.สุรินทร์) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก สตรี และครอบครัวของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการศึกษาของเด็ก ทั้ง 3 คนอย่างต่อเนื่องในระยะยาว การปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มีความมั่นคง แข็งแรง และถูกสุขลักษณะ รวมทั้งการให้คําปรึกษาแนะนําแก่ครอบครัวในเรื่องสวัสดิการทางสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม และการส่งเสริมการประกอบอาชีพให้แก่หญิงคนดังกล่าว เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ในระยะยาวต่อไป
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกรณีเด็กหญิงสู้ชีวิตวัย 11 ปี นักเรียนชั้น ป.5 โรงเรียนแห่งหนึ่ง ครอบครัวมีฐานะยากจน แต่สู้ชีวิต อาศัยเวลาว่างหลังเลิกเรียนและในวันหยุด ทํางานรับจ้างช่วยงานที่ร้านขายอาหาร ส่วนช่วงเช้ามืดจะออกไปช่วยทํางานที่สวนยาง เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว และส่งเสียตัวเองเรียนหนังสือ โดยเด็กหญิงอาศัยอยู่กับผู้เป็นพ่อ พี่ชาย และย่า ด้านผู้เป็นแม่เสียชีวิตไปตั้งแต่เด็กหญิงอายุได้ 6 ขวบ ที่อําเภอ กุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ นั้น ตนขอชื่นชมเด็กหญิงคนดังกล่าว ที่มีความขยันหมั่นเพียร มีความกตัญญู มุมานะอดทน มีความตั้งใจช่วยเหลือครอบครัว โดยไม่ย่อท้อต่อความยากลําบาก นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดกาฬสินธุ์ (พมจ.กาฬสินธุ์) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในพื้นที่เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือ ในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการศึกษาของเด็กหญิงอย่างต่อเนื่องในระยะยาว รวมทั้ง การให้คําปรึกษาแนะนําแก่ครอบครัวในเรื่องสวัสดิการทางสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม และการส่งเสริมการประกอบอาชีพให้แก่ครอบครัวดังกล่าว เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. กำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวหญิงวัย 31 ปี ต้องรับภาระเพียงลำพังเลี้ยงดูลูก 3 คน เนื่องจากสามีทอดทิ้งหนีไป ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่ จ.สุรินทร์
วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม 2560
รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวหญิงวัย 31 ปี ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูลูก 3 คน เนื่องจากสามีทอดทิ้งหนีไป ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่ จ.สุรินทร์
รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวหญิงวัย 31 ปี ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูลูก 3 คน เนื่องจากสามีทอดทิ้งหนีไป ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่ จ.สุรินทร์ พร้อมชื่นชมเด็กหญิงสู้ชีวิตวัย 11 ปี รับจ้างทํางานหารายได้เพื่อช่วยเหลือครอบครัว ที่ จ.กาฬสินธุ์
วันนี้ (16 ต.ค. 60) เวลา 08.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 734/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทาง การแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีคณะผู้บริหารและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 8 กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า จากกรณีหญิงวัย 31 ปี ต้องรับภาระเพียงลําพังในการดูแลลูกทั้ง 3 คน ซึ่งสามีทอดทิ้งไปมีภรรยาใหม่ โดยหญิงดังกล่าวประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไปเพื่อหารายได้เลี้ยงดูครอบครัว บางวันต้องอดข้าว เนื่องจากไม่มีงานทํา ทั้ง 4 ชีวิต อาศัยในเพิงสังกะสีสภาพเก่าทรุดโทรมใกล้ผุพัง ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่อําเภอ โนนนารายณ์ จังหวัดสุรินทร์ นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุรินทร์ (พมจ.สุรินทร์) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก สตรี และครอบครัวของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการศึกษาของเด็ก ทั้ง 3 คนอย่างต่อเนื่องในระยะยาว การปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มีความมั่นคง แข็งแรง และถูกสุขลักษณะ รวมทั้งการให้คําปรึกษาแนะนําแก่ครอบครัวในเรื่องสวัสดิการทางสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม และการส่งเสริมการประกอบอาชีพให้แก่หญิงคนดังกล่าว เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ในระยะยาวต่อไป
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกรณีเด็กหญิงสู้ชีวิตวัย 11 ปี นักเรียนชั้น ป.5 โรงเรียนแห่งหนึ่ง ครอบครัวมีฐานะยากจน แต่สู้ชีวิต อาศัยเวลาว่างหลังเลิกเรียนและในวันหยุด ทํางานรับจ้างช่วยงานที่ร้านขายอาหาร ส่วนช่วงเช้ามืดจะออกไปช่วยทํางานที่สวนยาง เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว และส่งเสียตัวเองเรียนหนังสือ โดยเด็กหญิงอาศัยอยู่กับผู้เป็นพ่อ พี่ชาย และย่า ด้านผู้เป็นแม่เสียชีวิตไปตั้งแต่เด็กหญิงอายุได้ 6 ขวบ ที่อําเภอ กุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ นั้น ตนขอชื่นชมเด็กหญิงคนดังกล่าว ที่มีความขยันหมั่นเพียร มีความกตัญญู มุมานะอดทน มีความตั้งใจช่วยเหลือครอบครัว โดยไม่ย่อท้อต่อความยากลําบาก นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดกาฬสินธุ์ (พมจ.กาฬสินธุ์) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในพื้นที่เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือ ในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการศึกษาของเด็กหญิงอย่างต่อเนื่องในระยะยาว รวมทั้ง การให้คําปรึกษาแนะนําแก่ครอบครัวในเรื่องสวัสดิการทางสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม และการส่งเสริมการประกอบอาชีพให้แก่ครอบครัวดังกล่าว เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7431
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบกมอบของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน ร่วมกับภาคเอกชนกว่า 2,300 แห่งทั่วประเทศ จัดกิจกรรม “ตรวจรถ “ฟรี” ขับขี่ปลอดภัย” ตรวจสภาพเบื้องต้นก่อนเดินทางฟรี
|
วันอังคารที่ 26 ธันวาคม 2560
กรมการขนส่งทางบกมอบของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน ร่วมกับภาคเอกชนกว่า 2,300 แห่งทั่วประเทศ จัดกิจกรรม “ตรวจรถ “ฟรี” ขับขี่ปลอดภัย” ตรวจสภาพเบื้องต้นก่อนเดินทางฟรี
ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 15 มกราคม 2561
นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้ดําเนินโครงการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ด้วยการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนต่อเนื่องทุกเทศกาล สําหรับเทศกาลปีใหม่ปี 2561 ขบ. ได้จัดกิจกรรม “ตรวจรถ “ฟรี” ขับขี่ปลอดภัย” ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2560 - 15 มกราคม 2561 ให้บริการตรวจเช็คความพร้อมของรถเบื้องต้นก่อนการเดินทางโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ณ ศูนย์บริการตัวแทนจําหน่ายรถยนต์/รถจักรยานยนต์ ศูนย์บริการซ่อมบํารุงรักษารถ ศูนย์ซ่อมรถของบริษัทประกันภัย บริษัทติดตั้งแก๊ส NGV/LPG ในรถยนต์ บริษัทผลิตและศูนย์บริการจําหน่ายน้ํามันเชื้อเพลิง สถานตรวจสภาพรถ (ตรอ.) ที่มีป้ายประชาสัมพันธ์ “ตรวจรถ “ฟรี” ขับขี่ปลอดภัย” โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนมากกว่า 2,300 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งสถานติดตั้งระบบแก๊สในรถยนต์ที่ได้รับการรับรองจาก ขบ. ให้บริการตรวจเช็คสภาพความพร้อมของรถเบื้องต้นก่อนเดินทางกว่า 20 รายการ โดยไม่เสียค่าบริการ อาทิ การตรวจระบบเบรก สภาพยาง อุปกรณ์ปัดน้ําฝน ระดับน้ํามันเครื่องและความสกปรกของน้ํามันเครื่อง ท่อยางหม้อน้ําและรอยรั่ว การทํางานของไฟส่องสว่าง/ไฟสัญญาณต่าง ๆ เป็นต้น ผู้สนใจสามารถนํารถเข้ารับการตรวจสภาพได้ตามสถานที่ที่มีป้ายประชาสัมพันธ์กิจกรรม “ตรวจรถ “ฟรี” ขับขี่ปลอดภัย” เพื่อตรวจเช็ครถให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานและครอบคลุมถึงช่วงการเดินทางกลับเพื่อตรวจบํารุงรักษารถหลังจากผ่านการใช้รถในระยะทางไกลด้วย
ในช่วงเทศกาลปีใหม่จะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลําเนาและท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ เป็นช่วงที่มีความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูงกว่าปกติ ซึ่งประชาชนสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงปีใหม่ได้ ด้วยการเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อมก่อนขับรถ พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 7 - 8 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง เมื่อมีอาการเหนื่อยล้าระหว่างการเดินทางควรหยุดพักในจุดที่ปลอดภัยอย่างน้อยทุก 2 - 3 ชั่วโมง และปฏิบัติตามกฎจราจร เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยตามมาตรการ “ขับช้า เปิดไฟหน้า คาดเข็มขัดนิรภัย”ตลอดการเดินทาง
ทั้งนี้ ระหว่างการเดินทางในช่วง 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2560 - 3 มกราคม 2561 กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) ได้สนับสนุนงบประมาณให้สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจัดนักศึกษาจากวิทยาลัยเทคนิคและวิทยาลัยการอาชีพ ตั้งจุดบริการอํานวยความสะดวก จํานวน 189 จุดทั่วประเทศ เพื่อให้บริการเช็คสภาพรถและซ่อมรถเบื้องต้นบนบริเวณถนนสายหลักที่มีการจราจรหนาแน่น หรือสถานีบริการน้ํามัน หรือจุดให้บริการร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงของการเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินรถมีอาการผิดปกติให้สามารถเดินทางถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย รวมทั้งเป็นหน่วยบริการอํานวยความสะดวก พักผ่อนคลายความเมื่อยล้าระหว่างการเดินทางด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบกมอบของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน ร่วมกับภาคเอกชนกว่า 2,300 แห่งทั่วประเทศ จัดกิจกรรม “ตรวจรถ “ฟรี” ขับขี่ปลอดภัย” ตรวจสภาพเบื้องต้นก่อนเดินทางฟรี
วันอังคารที่ 26 ธันวาคม 2560
กรมการขนส่งทางบกมอบของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน ร่วมกับภาคเอกชนกว่า 2,300 แห่งทั่วประเทศ จัดกิจกรรม “ตรวจรถ “ฟรี” ขับขี่ปลอดภัย” ตรวจสภาพเบื้องต้นก่อนเดินทางฟรี
ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 15 มกราคม 2561
นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้ดําเนินโครงการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ด้วยการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนต่อเนื่องทุกเทศกาล สําหรับเทศกาลปีใหม่ปี 2561 ขบ. ได้จัดกิจกรรม “ตรวจรถ “ฟรี” ขับขี่ปลอดภัย” ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2560 - 15 มกราคม 2561 ให้บริการตรวจเช็คความพร้อมของรถเบื้องต้นก่อนการเดินทางโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ณ ศูนย์บริการตัวแทนจําหน่ายรถยนต์/รถจักรยานยนต์ ศูนย์บริการซ่อมบํารุงรักษารถ ศูนย์ซ่อมรถของบริษัทประกันภัย บริษัทติดตั้งแก๊ส NGV/LPG ในรถยนต์ บริษัทผลิตและศูนย์บริการจําหน่ายน้ํามันเชื้อเพลิง สถานตรวจสภาพรถ (ตรอ.) ที่มีป้ายประชาสัมพันธ์ “ตรวจรถ “ฟรี” ขับขี่ปลอดภัย” โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนมากกว่า 2,300 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งสถานติดตั้งระบบแก๊สในรถยนต์ที่ได้รับการรับรองจาก ขบ. ให้บริการตรวจเช็คสภาพความพร้อมของรถเบื้องต้นก่อนเดินทางกว่า 20 รายการ โดยไม่เสียค่าบริการ อาทิ การตรวจระบบเบรก สภาพยาง อุปกรณ์ปัดน้ําฝน ระดับน้ํามันเครื่องและความสกปรกของน้ํามันเครื่อง ท่อยางหม้อน้ําและรอยรั่ว การทํางานของไฟส่องสว่าง/ไฟสัญญาณต่าง ๆ เป็นต้น ผู้สนใจสามารถนํารถเข้ารับการตรวจสภาพได้ตามสถานที่ที่มีป้ายประชาสัมพันธ์กิจกรรม “ตรวจรถ “ฟรี” ขับขี่ปลอดภัย” เพื่อตรวจเช็ครถให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานและครอบคลุมถึงช่วงการเดินทางกลับเพื่อตรวจบํารุงรักษารถหลังจากผ่านการใช้รถในระยะทางไกลด้วย
ในช่วงเทศกาลปีใหม่จะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลําเนาและท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ เป็นช่วงที่มีความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูงกว่าปกติ ซึ่งประชาชนสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงปีใหม่ได้ ด้วยการเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อมก่อนขับรถ พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 7 - 8 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง เมื่อมีอาการเหนื่อยล้าระหว่างการเดินทางควรหยุดพักในจุดที่ปลอดภัยอย่างน้อยทุก 2 - 3 ชั่วโมง และปฏิบัติตามกฎจราจร เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยตามมาตรการ “ขับช้า เปิดไฟหน้า คาดเข็มขัดนิรภัย”ตลอดการเดินทาง
ทั้งนี้ ระหว่างการเดินทางในช่วง 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2560 - 3 มกราคม 2561 กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) ได้สนับสนุนงบประมาณให้สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจัดนักศึกษาจากวิทยาลัยเทคนิคและวิทยาลัยการอาชีพ ตั้งจุดบริการอํานวยความสะดวก จํานวน 189 จุดทั่วประเทศ เพื่อให้บริการเช็คสภาพรถและซ่อมรถเบื้องต้นบนบริเวณถนนสายหลักที่มีการจราจรหนาแน่น หรือสถานีบริการน้ํามัน หรือจุดให้บริการร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงของการเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินรถมีอาการผิดปกติให้สามารถเดินทางถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย รวมทั้งเป็นหน่วยบริการอํานวยความสะดวก พักผ่อนคลายความเมื่อยล้าระหว่างการเดินทางด้วย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9025
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. หารือผู้แทนจากศูนย์การค้ามาบุญครอง เตรียมจัดงาน “Gift for Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ” พร้อมเชิญชวนผู้สนใจร่วมส่งต่อของขวัญปีใหม่แก่เด็กในสถานสงเคราะห์ทั่วประเทศ
|
วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562
รมว.พม. หารือผู้แทนจากศูนย์การค้ามาบุญครอง เตรียมจัดงาน “Gift for Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ” พร้อมเชิญชวนผู้สนใจร่วมส่งต่อของขวัญปีใหม่แก่เด็กในสถานสงเคราะห์ทั่วประเทศ
รมว.พม. หารือผู้แทนจากศูนย์การค้ามาบุญครอง เตรียมจัดงาน Gift for Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ พร้อมเชิญชวนผู้สนใจร่วมส่งต่อของขวัญปีใหม่แก่เด็กในสถานสงเคราะห์ทั่วประเทศ
วันนี้ (18 พ.ย. 62) เวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 9 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ให้นายสมพล ตรีภพนารถ กรรมการผู้จัดการธุรกิจศูนย์การค้า บริษัท เอ็ม บี เค จํากัด (มหาชน ) พร้อมคณะ เข้าพบเพื่อร่วมหารือประเด็นการจัดโครงการ “Gift for Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ” โดยบริษัท เอ็ม บี เค จํากัด (มหาชน ) ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จะมีการนําผลิตภัณฑ์จากกลุ่มเป้าหมายในหน่วยงานสังกัด พม. จัดจําหน่ายภายในงานระหว่างวันที่ 4-6 ธันวาคม 2562 ณ บริเวณลานจําหน่ายสินค้าชั้นล่าง ด้านหน้าศูนย์การค้ามาบุญครอง
นายจุติ กล่าวว่า ตนขอขอบคุณบริษัท เอ็ม บี เค จํากัด (มหาชน ) ที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับกระทรวง พม. ในการพัฒนาอาชีพของกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. เพื่อที่จะนําผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ผลิตขึ้นจากผู้รับบริการของกระทรวง ออกมาจําหน่าย เพื่อสร้างอาชีพ สร้างความหวัง และสร้างโอกาสให้กับเด็กและเยาวชน สตรี คนพิการ และผู้สูงอายุ ที่กําลังพัฒนาทักษะเรื่องอาชีพ ซึ่งจะเป็นทางออกในการขยายผลผลิตและยังเป็นการพัฒนารายได้กลับไปสู่ผู้ผลิตและเจ้าของ อย่างน้อยจะเป็นการสนับสนุนกิจกรรมที่เขากําลังทําอยู่
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ กระทรวง พม. และบริษัท เอ็ม บี เค จํากัด (มหาชน ) อยากขอเชิญชวนผู้ที่มาร่วมงานร่วมสนับสนุนสินค้าและผลิตภัณฑ์จากกลุ่มผู้รับบริการของหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ภายในบูทหน่วยงานของกระทรวง เพื่อส่งต่อเป็นของขวัญในเทศกาลปีใหม่ให้กับเด็กที่อยู่ตามสถานสงเคราะห์ต่างๆ ทั่วประเทศที่มีกว่า 9,000 คน โดยของที่มอบให้เด็กเหล่านี้ เมื่อของขวัญถูกส่งถึงมือเด็กๆ จะมีการเขียนการ์ดแทนใจ เพื่อแสดงถึงการขอบคุณให้กับผู้บริจาคแต่ละท่านที่ได้ร่วมกันทําบุญ และได้เป็นส่วนหนี่งในการสนับสนุนแบ่งปันความสุขให้เด็กๆ เหล่านี้ที่ไม่มีผู้ปกครอง อย่างน้อยเขาได้รู้สึกว่าปีใหม่นี้ยังมีคนคิดถึงเขา และชีวิตเขาก็มีความหวัง มีกําลังใจที่จะเป็นคนดีของสังคม และสู้กับปัญหาความขาดแคลนของชีวิตต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. หารือผู้แทนจากศูนย์การค้ามาบุญครอง เตรียมจัดงาน “Gift for Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ” พร้อมเชิญชวนผู้สนใจร่วมส่งต่อของขวัญปีใหม่แก่เด็กในสถานสงเคราะห์ทั่วประเทศ
วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562
รมว.พม. หารือผู้แทนจากศูนย์การค้ามาบุญครอง เตรียมจัดงาน “Gift for Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ” พร้อมเชิญชวนผู้สนใจร่วมส่งต่อของขวัญปีใหม่แก่เด็กในสถานสงเคราะห์ทั่วประเทศ
รมว.พม. หารือผู้แทนจากศูนย์การค้ามาบุญครอง เตรียมจัดงาน Gift for Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ พร้อมเชิญชวนผู้สนใจร่วมส่งต่อของขวัญปีใหม่แก่เด็กในสถานสงเคราะห์ทั่วประเทศ
วันนี้ (18 พ.ย. 62) เวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 9 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ให้นายสมพล ตรีภพนารถ กรรมการผู้จัดการธุรกิจศูนย์การค้า บริษัท เอ็ม บี เค จํากัด (มหาชน ) พร้อมคณะ เข้าพบเพื่อร่วมหารือประเด็นการจัดโครงการ “Gift for Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ” โดยบริษัท เอ็ม บี เค จํากัด (มหาชน ) ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จะมีการนําผลิตภัณฑ์จากกลุ่มเป้าหมายในหน่วยงานสังกัด พม. จัดจําหน่ายภายในงานระหว่างวันที่ 4-6 ธันวาคม 2562 ณ บริเวณลานจําหน่ายสินค้าชั้นล่าง ด้านหน้าศูนย์การค้ามาบุญครอง
นายจุติ กล่าวว่า ตนขอขอบคุณบริษัท เอ็ม บี เค จํากัด (มหาชน ) ที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับกระทรวง พม. ในการพัฒนาอาชีพของกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. เพื่อที่จะนําผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ผลิตขึ้นจากผู้รับบริการของกระทรวง ออกมาจําหน่าย เพื่อสร้างอาชีพ สร้างความหวัง และสร้างโอกาสให้กับเด็กและเยาวชน สตรี คนพิการ และผู้สูงอายุ ที่กําลังพัฒนาทักษะเรื่องอาชีพ ซึ่งจะเป็นทางออกในการขยายผลผลิตและยังเป็นการพัฒนารายได้กลับไปสู่ผู้ผลิตและเจ้าของ อย่างน้อยจะเป็นการสนับสนุนกิจกรรมที่เขากําลังทําอยู่
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ กระทรวง พม. และบริษัท เอ็ม บี เค จํากัด (มหาชน ) อยากขอเชิญชวนผู้ที่มาร่วมงานร่วมสนับสนุนสินค้าและผลิตภัณฑ์จากกลุ่มผู้รับบริการของหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ภายในบูทหน่วยงานของกระทรวง เพื่อส่งต่อเป็นของขวัญในเทศกาลปีใหม่ให้กับเด็กที่อยู่ตามสถานสงเคราะห์ต่างๆ ทั่วประเทศที่มีกว่า 9,000 คน โดยของที่มอบให้เด็กเหล่านี้ เมื่อของขวัญถูกส่งถึงมือเด็กๆ จะมีการเขียนการ์ดแทนใจ เพื่อแสดงถึงการขอบคุณให้กับผู้บริจาคแต่ละท่านที่ได้ร่วมกันทําบุญ และได้เป็นส่วนหนี่งในการสนับสนุนแบ่งปันความสุขให้เด็กๆ เหล่านี้ที่ไม่มีผู้ปกครอง อย่างน้อยเขาได้รู้สึกว่าปีใหม่นี้ยังมีคนคิดถึงเขา และชีวิตเขาก็มีความหวัง มีกําลังใจที่จะเป็นคนดีของสังคม และสู้กับปัญหาความขาดแคลนของชีวิตต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24652
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจราชการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนด้อยโอกาส
|
วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ 2562
รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจราชการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนด้อยโอกาส
รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจราชการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนด้อยโอกาส
ในระหว่างวันที่ 8 - 9 กุมภาพันธ์ 2562 พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีกําหนดการลงพื้นที่เพื่อตรวจราชการใน 4 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดนครพนม กาฬสินธุ์ มหาสารคาม และนครราชสีมา ซึ่งอยู่ในการกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคของ รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รวมทั้งจะได้เดินทางไปยังโรงเรียนด้อยโอกาส เพื่อเป็นประธานในพิธีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส ซึ่งเป็นโครงการที่สํานักงานรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) พร้อมด้วยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ มูลนิธิ ชมรม บริษัทเอกชน และผู้มีจิตอันเป็นกุศลได้ให้การสนับสนุน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของโรงเรียนให้มีความเหมาะสม มีหลักโภชนาการที่ดี มีการสร้างเสริมสุขภาพอนามัย พร้อมระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการศึกษา รวมทั้งมุ่งเน้นให้เกิดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่ดีต่อการใช้ชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว
ในการเดินทางลงพื้นที่ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยคณะครั้งนี้มีกําหนดการที่สําคัญ ดังนี้
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562
เวลา 10.30 น. เป็นประธานในการประชุมหารือ เรื่องการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ ศาลากลางจังหวัดนครพนม
เวลา 12.45 น. ลงพื้นที่ตรวจราชการโครงการฯ เร่งด่วน ได้แก่ โครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ที่หมู่ที่ 9 บ้านคําพอก ตําบลหนองญาติ อําเภอเมือง จังหวัดนครพนม (สายบ้านนายจีน - หนองบัวคํา)
เวลา 14.30 น. เป็นประธานในพิธีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส ให้กับโรงเรียนโนนศิลาไกรฤกษ์ราษฎร์อํานวย และโรงเรียนนามนราษฎร์นุเคราะห์ ที่โรงเรียนศิลาไกรฤกษ์ราษฎร์อํานวย ตําบลโนนบุรี อําเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
เวลา 16.00 น. ตรวจติดตามการดําเนินงาน “โครงการกาฬสินธุ์โมเดล” และเยี่ยมชมนิทรรศการ “โครงการกาฬสินธุ์โมเดล” ณ ห้องประชุมโสมพะมิตร ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์
วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2562
เวลา 08.30 น. เป็นประธานการประชุมเพื่อมอบนโยบายในการกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด และส่วนราชการต่าง ๆ ในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 12 (จังหวัดมหาสารคามและร้อยเอ็ด) และติดตามผลการดําเนินโครงการที่จังหวัดได้รับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือจําเป็นตามอํานาจของรองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องประชุมพระบรมธาตุนาดูน ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดมหาสารคาม
เวลา 09.30 น. ตรวจเยี่ยมโครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณฯ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ได้แก่ โครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กสายบ้านโนนเขวา หมู่ที่ ๔ ตําบลขามเฒ่าพัฒนา อําเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม
เวลา 11.00 น. เป็นประธานเพื่อมอบนโยบายในการกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคของจังหวัดในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 (จังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ และสุรินทร์) ณ หอประชุมเปรมติณสูลานนท์ ชั้น 2 ศาลากลาง จังหวัดนครราชสีมา
เวลา 14.00 น. ลงพื้นที่ตรวจราชการโครงการก่อสร้างถนนลาดยางแอสฟัลต์ติกคอนกรีต สายบ้านวังกะทะ หมู่ที่ 4 ตําบลวังกะทะ อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ถึงบ้านวังขอน หมู่ที่ 14 ตําบลระเริง อําเภอวังน้ําเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เวลา 15.00 น. เป็นประธานในพิธีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส ณ โรงเรียนบ้านป่ากล้วย อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
....................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจราชการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนด้อยโอกาส
วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ 2562
รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจราชการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนด้อยโอกาส
รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจราชการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนด้อยโอกาส
ในระหว่างวันที่ 8 - 9 กุมภาพันธ์ 2562 พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีกําหนดการลงพื้นที่เพื่อตรวจราชการใน 4 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดนครพนม กาฬสินธุ์ มหาสารคาม และนครราชสีมา ซึ่งอยู่ในการกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคของ รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รวมทั้งจะได้เดินทางไปยังโรงเรียนด้อยโอกาส เพื่อเป็นประธานในพิธีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส ซึ่งเป็นโครงการที่สํานักงานรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) พร้อมด้วยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ มูลนิธิ ชมรม บริษัทเอกชน และผู้มีจิตอันเป็นกุศลได้ให้การสนับสนุน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของโรงเรียนให้มีความเหมาะสม มีหลักโภชนาการที่ดี มีการสร้างเสริมสุขภาพอนามัย พร้อมระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการศึกษา รวมทั้งมุ่งเน้นให้เกิดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่ดีต่อการใช้ชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว
ในการเดินทางลงพื้นที่ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยคณะครั้งนี้มีกําหนดการที่สําคัญ ดังนี้
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562
เวลา 10.30 น. เป็นประธานในการประชุมหารือ เรื่องการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ ศาลากลางจังหวัดนครพนม
เวลา 12.45 น. ลงพื้นที่ตรวจราชการโครงการฯ เร่งด่วน ได้แก่ โครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ที่หมู่ที่ 9 บ้านคําพอก ตําบลหนองญาติ อําเภอเมือง จังหวัดนครพนม (สายบ้านนายจีน - หนองบัวคํา)
เวลา 14.30 น. เป็นประธานในพิธีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส ให้กับโรงเรียนโนนศิลาไกรฤกษ์ราษฎร์อํานวย และโรงเรียนนามนราษฎร์นุเคราะห์ ที่โรงเรียนศิลาไกรฤกษ์ราษฎร์อํานวย ตําบลโนนบุรี อําเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
เวลา 16.00 น. ตรวจติดตามการดําเนินงาน “โครงการกาฬสินธุ์โมเดล” และเยี่ยมชมนิทรรศการ “โครงการกาฬสินธุ์โมเดล” ณ ห้องประชุมโสมพะมิตร ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์
วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2562
เวลา 08.30 น. เป็นประธานการประชุมเพื่อมอบนโยบายในการกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด และส่วนราชการต่าง ๆ ในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 12 (จังหวัดมหาสารคามและร้อยเอ็ด) และติดตามผลการดําเนินโครงการที่จังหวัดได้รับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือจําเป็นตามอํานาจของรองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องประชุมพระบรมธาตุนาดูน ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดมหาสารคาม
เวลา 09.30 น. ตรวจเยี่ยมโครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณฯ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ได้แก่ โครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กสายบ้านโนนเขวา หมู่ที่ ๔ ตําบลขามเฒ่าพัฒนา อําเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม
เวลา 11.00 น. เป็นประธานเพื่อมอบนโยบายในการกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคของจังหวัดในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 (จังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ และสุรินทร์) ณ หอประชุมเปรมติณสูลานนท์ ชั้น 2 ศาลากลาง จังหวัดนครราชสีมา
เวลา 14.00 น. ลงพื้นที่ตรวจราชการโครงการก่อสร้างถนนลาดยางแอสฟัลต์ติกคอนกรีต สายบ้านวังกะทะ หมู่ที่ 4 ตําบลวังกะทะ อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ถึงบ้านวังขอน หมู่ที่ 14 ตําบลระเริง อําเภอวังน้ําเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เวลา 15.00 น. เป็นประธานในพิธีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส ณ โรงเรียนบ้านป่ากล้วย อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
....................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18643
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.