title
stringlengths
0
33.4k
context
stringlengths
0
133k
raw
stringlengths
39
133k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ ประจิน เปิดโครงการ eGovernment Forum 2017
วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2560 รองนายกฯ ประจิน เปิดโครงการ eGovernment Forum 2017 รองนายกฯ ประจิน พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดโครงการ “eGovernment Forum 2017” โดยมี นายพันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมปาฐกถาหัวข้อ “Why Digital Social Innovation is Vital for Less Privilege” และนาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นวิทยากรในการอภิปรายหัวข้อ “ระดมความคิดเห็นแผนและนโยบายต่างๆ ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจทั่วประเทศจะร่วมกันขับเคลื่อนประเทศให้เกิดประโยชน์” โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อการบูรณาการภาครัฐระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการดําเนินงาน เพื่อทําให้เห็นข้อมูลประชาชนเป็นภาพเดียว ที่จะสามารถตอบโจทย์ด้านการอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนได้มากขึ้น ซึ่งประเทศไทยจําเป็นต้องมีแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลที่มีความชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนา ในระดับประเทศที่สอดคล้องกันระหว่างหน่วยงาน โดยมีองค์ประกอบของยุทธศาสตร์กรอบพัฒนา และแผนการดําเนินงาน เพื่อเป็นแนวทางการยกระดับขีดความสามารถเชิงดิจิทัลของภาครัฐไทย โดยงานดังกล่าวจัดขึ้น เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2560 ณ ห้องวายุภักษ์ 2-4 โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ **********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ ประจิน เปิดโครงการ eGovernment Forum 2017 วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2560 รองนายกฯ ประจิน เปิดโครงการ eGovernment Forum 2017 รองนายกฯ ประจิน พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดโครงการ “eGovernment Forum 2017” โดยมี นายพันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมปาฐกถาหัวข้อ “Why Digital Social Innovation is Vital for Less Privilege” และนาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นวิทยากรในการอภิปรายหัวข้อ “ระดมความคิดเห็นแผนและนโยบายต่างๆ ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจทั่วประเทศจะร่วมกันขับเคลื่อนประเทศให้เกิดประโยชน์” โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อการบูรณาการภาครัฐระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการดําเนินงาน เพื่อทําให้เห็นข้อมูลประชาชนเป็นภาพเดียว ที่จะสามารถตอบโจทย์ด้านการอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนได้มากขึ้น ซึ่งประเทศไทยจําเป็นต้องมีแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลที่มีความชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนา ในระดับประเทศที่สอดคล้องกันระหว่างหน่วยงาน โดยมีองค์ประกอบของยุทธศาสตร์กรอบพัฒนา และแผนการดําเนินงาน เพื่อเป็นแนวทางการยกระดับขีดความสามารถเชิงดิจิทัลของภาครัฐไทย โดยงานดังกล่าวจัดขึ้น เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2560 ณ ห้องวายุภักษ์ 2-4 โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ **********************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6037
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดสุรพลฯ ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ถวายพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสม
วันพุธที่ 2 ตุลาคม 2562 รองปลัดสุรพลฯ ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา ถวายพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสม รองปลัดสุรพลฯ ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา ถวายพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเนื่องในงาน วันนี้ (2 ตุลาคม 2562) เวลา 9.00 น. นายสรุพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการจิตอาสากระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยข้าราชการและเจ้าหน้าที่ ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา ถวายพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเนื่องในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ณ สวนสันติชัยปราการ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานในพิธี สําหรับกิจกรรมจิตอาสาในวันนี้เป็นกิจกรรม “จิตอาสา เราทําความ “ดี” ด้วยหัวใจ ถวายในหลวง 2 พระองค์ ซึ่งกิจกรรมเริ่มตั้งแต่เวลา 09.00 น. โดยได้รับเกียรติอย่างสูงจากท่าน พลเรือเอกปวิตร รุจิเทศ ผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสา 904 วปร. รองนายกรัฐมนตรี ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย ซึ่งกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา ประกอบด้วย การฉีดล้างทําความสะอาดบริเวณเขื่อนริมแม่น้ํา การขัดล้าง ทาสี ทําความสะอาดทางเดิน บริเวณสวนสันติชัยปราการ และหลังจากนั้นทางคณะนายกรัฐมนตรี และผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการจิตอาสา 904 วปร. ได้ลงเรือของกองทัพเรือ เพื่อสํารวจความเรียบร้อยตลอดเส้นทางการเสด็จเลียบพระนครของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ที่จะเสด็จจากท่าวาสุกี ไปจนถึงท่าราชวรดิษฐ์ ในวันที่ 22 ตุลาคม 2562 นี้ด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดสุรพลฯ ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ถวายพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสม วันพุธที่ 2 ตุลาคม 2562 รองปลัดสุรพลฯ ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา ถวายพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสม รองปลัดสุรพลฯ ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา ถวายพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเนื่องในงาน วันนี้ (2 ตุลาคม 2562) เวลา 9.00 น. นายสรุพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการจิตอาสากระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยข้าราชการและเจ้าหน้าที่ ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา ถวายพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเนื่องในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ณ สวนสันติชัยปราการ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานในพิธี สําหรับกิจกรรมจิตอาสาในวันนี้เป็นกิจกรรม “จิตอาสา เราทําความ “ดี” ด้วยหัวใจ ถวายในหลวง 2 พระองค์ ซึ่งกิจกรรมเริ่มตั้งแต่เวลา 09.00 น. โดยได้รับเกียรติอย่างสูงจากท่าน พลเรือเอกปวิตร รุจิเทศ ผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสา 904 วปร. รองนายกรัฐมนตรี ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย ซึ่งกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา ประกอบด้วย การฉีดล้างทําความสะอาดบริเวณเขื่อนริมแม่น้ํา การขัดล้าง ทาสี ทําความสะอาดทางเดิน บริเวณสวนสันติชัยปราการ และหลังจากนั้นทางคณะนายกรัฐมนตรี และผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการจิตอาสา 904 วปร. ได้ลงเรือของกองทัพเรือ เพื่อสํารวจความเรียบร้อยตลอดเส้นทางการเสด็จเลียบพระนครของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ที่จะเสด็จจากท่าวาสุกี ไปจนถึงท่าราชวรดิษฐ์ ในวันที่ 22 ตุลาคม 2562 นี้ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23578
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหกรรมบ้านเคหะประชารัฐ ครั้งที่ 2
วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2560 มหกรรมบ้านเคหะประชารัฐ ครั้งที่ 2 ตามนโยบายรัฐบาล ที่ต้องการสนับสนุนให้ผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศสามารถเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานในการดํารงชีวิต ด้วยการมีบ้านเป็นของตนเอง ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลจัดมหกรรมบ้านเคหะประชารัฐ ครั้งที่ 2 เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในระดับราคาที่สามารถผ่อนชําระได้ และยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศผ่านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี โดยงดเว้นค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ รวมทั้งสิ้น 148 โครงการ ประกอบด้วย โครงการบ้านสร้างแล้วเสร็จ 90 โครงการ โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 38 โครงการ และโครงการเปิดใหม่ 20 โครงการ ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถจองโครงการได้ตั้งแต่วันนี้ – 9 ก.ค. 2560 ระหว่างเวลา 8.30 – 18.00 น. ที่สํานักงานใหญ่การเคหะแห่งชาติ สํานักงานขาย ณ ที่ตั้งโครงการ และศูนย์ขาย 12 แห่งทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1615 ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหกรรมบ้านเคหะประชารัฐ ครั้งที่ 2 วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2560 มหกรรมบ้านเคหะประชารัฐ ครั้งที่ 2 ตามนโยบายรัฐบาล ที่ต้องการสนับสนุนให้ผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศสามารถเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานในการดํารงชีวิต ด้วยการมีบ้านเป็นของตนเอง ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลจัดมหกรรมบ้านเคหะประชารัฐ ครั้งที่ 2 เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในระดับราคาที่สามารถผ่อนชําระได้ และยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศผ่านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี โดยงดเว้นค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ รวมทั้งสิ้น 148 โครงการ ประกอบด้วย โครงการบ้านสร้างแล้วเสร็จ 90 โครงการ โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 38 โครงการ และโครงการเปิดใหม่ 20 โครงการ ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถจองโครงการได้ตั้งแต่วันนี้ – 9 ก.ค. 2560 ระหว่างเวลา 8.30 – 18.00 น. ที่สํานักงานใหญ่การเคหะแห่งชาติ สํานักงานขาย ณ ที่ตั้งโครงการ และศูนย์ขาย 12 แห่งทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1615 ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5376
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม 2561
วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม 2561 ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม2561 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ตลอดระยะเวลา 70 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงครองสิริราชสมบัติ ปวงชนชาวไทยและประชาคมโลก ต่างประจักษ์ว่า พระองค์ทรงเป็น“พระมหากษัตราธิราชผู้ยิ่งใหญ่”ทรงบําเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติและประชาชน ทั้งในระดับปัจเจกบุคคล ระดับองค์กร ระดับประเทศ และระดับโลก โดยประจักษ์พยานสําคัญจากองค์กรต่าง ๆ ระดับโลกต่างยกย่องสดุดี ประกาศเกียรติคุณ ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลแด่พระองค์ อาทิ รางวัล“ความสําเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์”จากองค์การสหประชาชาติ (UN)ในปี พ.ศ. 2549 เพื่อเฉลิมพระเกียรติในพระปรีชาสามารถ และพระราชกรณียกิจ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของพสกนิกรไทย ตลอดรัชสมัย ในปี พ.ศ. 2552 องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญรางวัล“ผู้นําโลก ด้านทรัพย์สินทางปัญญา”และในปี พ.ศ. 2555 สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล“นักวิทยาศาสตร์ดิน เพื่อมนุษยธรรม”เป็นพระองค์แรกของโลก ทั้งนี้สิ่งสําคัญที่ทําให้พระองค์ทรงครองหัวใจคนทั้งประเทศและคนทั้งโลก เนื่องจากพระองค์ทรงใช้“ศาสตร์พระราชา”ที่เป็นการประยุกต์ และผสมผสานทั้งศาสตร์และศิลป์ในการพัฒนาคนและบ้านเมืองได้อย่างลงตัว ด้วยในเดือนตุลาคม มีวันสําคัญที่เป็นสัญลักษณ์แสดงความผูกพันอย่างลึกซึ้ง ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์ กับปวงชนชาวไทย จํานวน 2 วัน ด้วยกัน ได้แก่“วันที่ 13 ตุลาคม”เป็นวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และ“วันที่ 23 ตุลาคม”วันปิยมหาราช ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคต พระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ล้วนสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่เป็นล้นพ้น อย่างหาที่สุดมิได้ ด้วยทั้งสองพระองค์ ทรงบําเพ็ญพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการเพื่อบําบัดทุกข์ บํารุงสุข แก่ปวงชนชาวไทยมาโดยตลอดนับตั้งแต่เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ตราบจนเสด็จสู่สวรรคาลัย โดยประชาชนชาวไทยทุกภาคส่วน ทั้งในประเทศ และที่อยู่ต่างประเทศ ต่างมีความตั้งใจที่จะแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี และน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของทั้งสองพระองค์ อย่างพร้อมเพรียงกัน ในการนี้ รัฐบาลจะจัดพิธีบําเพ็ญกุศลอุทิศถวาย และกิจกรรมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ อาทิกิจกรรมจิตอาสา“เราทําความดี ด้วยหัวใจ”ระหว่างวันที่ 12 - 23 ตุลาคม โดยในวันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม จะมีพิธีทําบุญตักบาตร พิธีวางพวงมาลา และถวายบังคมหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ และพิธีถวายบังคม และจุดเทียนเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยรัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนแต่งกายด้วยเสื้อโทนสีเหลือง อย่างพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศและทั่วโลก ไม่ต้องแต่งสีดําหรือไว้ทุกข์นะครับ พี่น้องประชาชนที่รักครับ รัฐบาลได้น้อมนําศาสตร์พระราชาต่าง ๆ มาสืบสาน รักษา ต่อยอด ในทุก ๆ มิติ นับตั้งแต่การน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการกําหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ วันนี้ผมขอยกตัวอย่างการน้อมนําเกษตรทฤษฎีใหม่ ไปใช้ในการพลิกชีวิตของเกษตรกรรายหนึ่งเพื่อจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่เหลือ ว่าสามารถจะนําไปสู่การปฏิรูปได้จริง เพื่อนําพาชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีกว่า โดย“ป้าเปี๊ยก” บุญเลี้ยง รื่นมาลัย บ้านม่วงงาม อ.เสาไห้ จ.สระบุรี ซึ่งมีที่ดินทํากินและอยู่อาศัยเพียง 3 ไร่ เดิมใช้พื้นที่ทั้งหมดปลูกข้าวอย่างเดียว ชะตาชีวิตจึงฝากความหวังไว้กับฟ้าฝนมาเกือบ 30 ปีปีไหนน้ํามาก ก็ท่วมข้าว จม เน่า เสียหาย ปีไหนน้ําน้อย ข้าวก็ยืนต้นแห้งตาย แทบไม่ได้ผลผลิต ส่วนปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ก็ซื้อแบบเงินเชื่อ ที่ดินแทบไม่ได้พัก และไม่เคยได้รับสารอาหารมาเติม ดินจึงขาดแร่ธาตุ ปลูกพืชอะไรก็อ่อนแอ ส่วนคนก็สุขภาพเสื่อมโทรม แถมเครียดจากภาระหนี้สิน เพราะผลผลิตถดถอยแต่เมื่อได้รับความรู้ จาก“กํานันไก่”วนิดา ดํารงค์ไชย กํานัน ต.ม่วงงาม อ.เสาไห้ จ.สระบุรี ณ ศูนย์เรียนรู้โคกหนองนา แล้วนํามาปฏิบัติ โดยจัดสรรที่ดิน แบ่งออกเป็น 4 ส่วนด้วยกัน คือ 30–30 - 30 และ 10 เพื่อทําการเกษตรตามแนวพระราชดําริเกษตรทฤษฎีใหม่ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็สามารถพลิกผันชีวิตได้อย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ก็ 5 ปีแล้ว ถือได้ว่าสามารถก้าวข้ามวิถีเดิม ๆ มาเป็นคนรวยความสุข ซึ่งผมขอขยายความการจัดสรรที่ดินในกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้ครับ 30 แรก ก็คือ “การขุดแหล่งน้ํา” ทําให้มีทั้งน้ําทําการเกษตร ปลูกพืชผักสวนครัว ทํานา และเลี้ยงปลา เลี้ยงกบในกระชังไปด้วย มีน้ําใช้ตลอดทั้งปี ไม่ต้องฝากชีวิตกับฝนแต่เพียงอย่างเดียว มีข้าวกินทั้งครอบครัวตลอดปี เหลือก็ขายหรือแลกเปลี่ยนกับเพื่อนบ้าน อาจเลี้ยงไก่เหนือสระน้ํา มูลไก่ก็เป็นอาหารปลาได้อีกด้วย 30 ต่อมา ก็คือ“นาที่สมบูรณ์”ที่มีน้ําหล่อเลี้ยงเพียงพอ ไม่ใช้สารเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง เน้นเกษตรอินทรีย์ นอกจากสุขภาพดี ไม่ป่วยง่ายแล้ว ในนาก็มีปลา มีหอย มีสัตว์น้ํา มีระบบนิเวศน์ ดินก็ฟื้นตัว มีสารอาหารสะสมอุดมสมบูรณ์ 30 สุดท้าย คือ“การปลูกป่า - ไม้ยืนต้น – พืชผลอื่น ๆ”อาจจะเป็นไม้มีค่าตามนโยบายรัฐบาล เป็นการออม เป็นสินทรัพย์เพื่อวันข้างหน้า อาจเป็นผลไม้ สมุนไพร และพืชผักสวนครัว ผสมผสานกันในพื้นที่ก็ได้ ไม่ต้องปลูกพืชเชิงเดี่ยว และอีก 10 ที่เหลือ คือ“ที่อยู่อาศัย”ตามวิถีพอเพียง เพียงเท่านี้ “ป้าเปี๊ยก”ก็หลุดพ้นจากวงจรหนี้สิน พ้นทุกข์ ครอบครัวมีความสุขนะครับ ผมเห็นว่าจุดเริ่มต้นความสําเร็จของป้าเปี๊ยก ส่วนหนึ่งมาจากการที่“กํานันไก่”ลองผิด ลองถูกด้วยตนเองก่อนจนสําเร็จ จึงนํามาบอกต่อ ให้ความรู้ลูกบ้าน ผมก็ถือว่าเป็นแบบอย่างของข้าราชการ ที่จะต้องนําพาพี่น้องประชาชนปฏิรูป เปลี่ยนแปลง ให้ได้รับสิ่งที่ดีกว่า ไม่แก้ปัญหาด้วยวิธีการเดิม ๆ ซึ่งไม่ได้ผล ไม่ยั่งยืน ด้วยการน้อมนํา“ศาสตร์พระราชา”มาประยุกต์ใช้ ความสําเร็จอีกส่วนหนึ่งก็คือ การไม่เคยหยุดพัฒนาตนเอง และเปิดรับ เรียนรู้ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองของป้าเปี๊ยกนะครับ ในอนาคต รัฐบาลกําลังผลักดันให้เกษตรกรทํา“เกษตรทฤษฎีใหม่”ให้ได้ 5 ล้านไร่ ภายในปี 2564 ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการส่งเสริมให้เกษตรกรไทย เดินหน้าไปสู่การทํา“เกษตรกรรมยั่งยืน”ของรัฐบาล ประกอบด้วย เกษตรอินทรีย์ เกษตรทฤษฎีใหม่ วนเกษตร หรือ การปลูกพืชเกษตรแซมในพื้นที่ป่าธรรมชาติ เกษตรผสมผสานและเกษตรธรรมชาติ โดยปีนี้ได้เข้าไปส่งเสริมเกษตรกรทั่วประเทศ กว่า 7 หมื่นราย นอกจากนี้ ยังได้ส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มการผลิตอย่างเข้มแข็ง และ ยกระดับสู่การทําธุรกิจชุมชน เชื่อมโยงกับภาคส่วนธุรกิจอื่น ๆ ต่อไป รวมทั้งผลักดันกฎหมายส่งเสริมเกษตรยั่งยืน ให้เป็นกลไกสําคัญในการสร้างความมั่นคง ให้กับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติได้กินอิ่ม นอนหลับ ไม่เป็นหนี้ เลี้ยงตนเองได้ ด้วยศาสตร์พระราชานะครับ พี่น้องประชาชนทุกท่านครับ อีกหนึ่งตัวอย่าง ที่เป็นการน้อมนํายุทธศาสตร์พัฒนา“เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา”ซึ่งเป็นอีกศาสตร์พระราชา มาประยุกต์ใช้ในภาพที่ใหญ่ขึ้นระดับจังหวัดคือ โครงการนําร่องของการพัฒนาพื้นที่อย่างครอบคลุมในทุกมิติ และเป็นโมเดลที่ยั่งยืน ได้แก่ โครงการ“กาฬสินธุ์ โมเดล” (Kalasin Happiness Model)โดยโครงการนี้มีขึ้นเพื่อแก้ปัญหาให้กับจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งข้อมูลในทางสถิติ ระบุว่าเป็น 1 ใน 5 จังหวัดที่มีรายได้ต่ําที่สุดในประเทศ และมีสัดส่วนผู้มีรายได้น้อยสูงถึงร้อยละ 32 ของประชากรทั้งจังหวัด รัฐบาลจึงได้จัดทําโครงการนี้ขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐานของพี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อย และยกระดับรายได้ของประชาชนทั่วไป บนพื้นฐานความยั่งยืน ด้วยการดําเนินงาน แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 เป็นโครงการที่สามารถดําเนินการได้ทันที ในปี 2561 เพื่อสร้างพื้นฐานการพัฒนา และแก้ไขปัญหาครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและระยะที่ 2 จะดําเนินการในปี 2562 ถึง 2564 โดยเน้นการสร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืน การกระจายรายได้ การเพิ่มศักยภาพ องค์ความรู้ และสร้างฐานรายได้จากการผลิตใหม่ ๆ โดยเร่งพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมไปพร้อม ๆ กันโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โครงการนี้เราจะเน้นการดูแลพี่น้องประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักได้แก่ (1) ครัวเรือนที่มีรายได้น้อย (2) เกษตรกร (3) ผู้ประกอบการ ด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว การศึกษา และศิลปวัฒนธรรม รวมทั้ง (4) กลุ่มผู้ใช้แรงงาน โดยมีการดําเนินงานตามแนวทางประชารัฐซึ่งเป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน โดยมีผลการดําเนินงานในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ด้านการยกระดับคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อยขั้นพื้นฐาน ได้มีการสํารวจข้อมูล และค้นหาครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย โดยใช้เกณฑ์รายได้จากการลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ และการคัดเลือกด้วยประชาคมระดับหมู่บ้าน หรือเวทีประชาคม ซึ่งชาวชุมชนย่อมรู้ว่าใครเป็นใคร ใครมีอาชีพและฐานะเป็นอย่างไร เพื่อความถูกต้องและแม่นยําซึ่งปรากฏว่ามีครัวเรือนผู้มีรายได้น้อยราว 3,300 ครัวเรือน ที่ต้องได้รับการช่วยเหลือและพัฒนาอย่างเร่งด่วนใน 6 ด้านได้แก่ การเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ การซ่อมแซมหรือสร้างบ้านใหม่ราว 600 หลัง การแก้ปัญหาหนี้สินทั้งในและนอกระบบเกือบ 1,000 ราย การบริการด้านสุขภาพกว่า 1,300 ราย การพัฒนาด้านอาชีพ 3,700 กว่าราย และการให้ความช่วยเหลือในกระบวนการยุติธรรมจํานวน 14 ราย เป็นต้น ทั้งนี้ เมื่อมีความชัดเจนในเรื่องกลุ่มเป้าหมายและความต้องการ ปัญหาความขาดแคลนปัจจัยที่สําคัญในการดํารงชีวิต และการประกอบอาชีพแล้ว ก็สามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสมตอบโจทย์ ตรงปัญหาทั้งนี้ จากการประเมินผลภาพรวมของโครงการพบว่า ณ เดือนกันยายนนี้ครัวเรือนเป้าหมายมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้น ราว 200 บาทต่อครอบครัวต่อเดือนจาก 2,468 บาท เป็น 2,671 บาท คิดเป็นร้อยละ 8 ตั้งแต่เริ่มโครงการเมื่อต้นปี ซึ่งก็เป็นอัตราเฉลี่ย หมายถึงก็มีสูงกว่านี้ และน้อยกว่านี้ด้วย ขึ้นอยู่กับศักยภาพและปัจจัยอื่น ๆ ที่เราก็ต้องพยายามทํากันต่อไปอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยก็ชี้ให้เห็นทิศทาง หรือแนวโน้มไปในทางบวกครับ ส่วนด้านการยกระดับรายได้โดยมุ่งเน้นการพัฒนากลุ่มเกษตรกร และผู้ประกอบการที่เป็นเป้าหมายหลักของจังหวัดเพื่อยกระดับศักยภาพ และสร้างฐานรายได้ ดังนี้ 1. ด้านเกษตรกรรม ได้ขับเคลื่อนโดยโครงการKalasin Green Market เพื่อให้กาฬสินธุ์เป็นจังหวัดที่ผลิตอาหารปลอดภัยและมีการทําเกษตรอินทรีย์ที่ได้มาตรฐาน ซึ่งจะสามารถเพิ่มพื้นที่ผลิตอาหารปลอดภัยได้ 27,600 ไร่ และคาดว่าเมื่อสิ้นปีการผลิต 2560 ถึง 2561 จะสามารถเพิ่มรายได้ จากประมาณ 12,000 ล้านบาทเป็นมากกว่า 13,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10 นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่จะพัฒนาเกษตรกรสู่Smart Farmerรวมถึงการสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ควบคู่ไปด้วย ซึ่งดําเนินการไปแล้วกว่า 2,000 ราย 2. ด้านการค้าการลงทุน มีการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม การผลิตสินค้าOTOP และการมุ่งสร้างผู้ประกอบการ โดยเฉพาะSMEsให้สามารถยกระดับผลิตภาพที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยีและความคิดที่สร้างสรรค์ ผ่านโครงการ“ปั้นดาว” โดยร่วมมือกับ สสวท. และ วช. ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้สามารถแข่งขันในตลาดสมัยใหม่ มีการพัฒนาช่องทางการจัดจําหน่ายและส่งเสริมการตลาด มีกิจกรรมแสดง จําหน่ายสินค้า และเจรจาธุรกิจ และโครงการฝึกอบรมการทําธุรกิจ (Biz Club)ให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนด้านการค้า และอุตสาหกรรมของจังหวัดด้วย ปัจจุบันรายได้ด้านการค้าการลงทุนภาคอุตสาหกรรมสินค้าOTOPของจังหวัดเพิ่มขึ้นจากปี 2560 มากกว่า 1,100 ล้านบาท 3. ด้านการท่องเที่ยวและศิลปวัฒนธรรม มีการสร้างภาพจําลองของจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยภายใต้แคมเปญ“ทุกสิ่งสร้างสรรค์ ณ กาฬสินธุ์”ให้สามารถกระจายรายได้สู่ชุมชนและท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น เกือบ 65,000 คนคิดเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 17 สร้างรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 140 ล้านบาท หรือร้อยละ 28 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 4. การพัฒนาภาคการศึกษา การส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพกลุ่มผู้ใช้แรงงานทั้งในและนอกระบบเพื่อให้ประชาชนมีงานทํา โดยความร่วมมือกับภาคเอกชน ในการส่งเสริมศักยภาพแรงงาน ด้วยการฝึกอาชีพและมีหลักสูตรต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ราว 6,200 คน ในสถานประกอบการ 272 แห่ง ที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นความสนใจ และความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการที่จะพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง ทั้งนี้ ผลการดําเนินงานจากเดือนมกราคม ถึงกันยายน 2561 สามารถเพิ่มรายได้ให้กับจังหวัดมากกว่า 3,000 ล้านบาทครับ ด้านการอํานวยความยุติธรรมลดความเหลื่อมล้ํา สร้างสังคมแห่งความปลอดภัย มีผลการดําเนินการที่สําคัญก็คือ การสร้างความรับรู้ด้านกฎหมายและเพิ่มการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม โดยมีประชาชนเข้าร่วมในโครงการ ราว 14,000 คน โดยมีความรู้เรื่องการขายฝาก จํานอง จํานํา การฉ้อโกง หนี้นอกระบบ แชร์ลูกโซ่ การทํานิติกรรมสัญญา และการเข้าถึงบริการของรัฐ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเชิงรุก สําเร็จมากกว่า 600 ราย คิดเป็นมูลหนี้กว่า 100 ล้านบาทรวมถึงมีการดูแลไม่ให้ผู้กระทําผิดกลับไปกระทําความผิดซ้ําอีกด้วย และสําหรับด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดภายใต้การบูรณาการร่วมกันของทุกฝ่าย ทั้งทหาร ตํารวจ พลเรือน และประชาชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ยาเสพติดตาม“แผนกาฬสินธุ์โมเดล พ้นภัยยาเสพติด 2019” ซึ่งมี 6 ภารกิจสําคัญ ได้แก่ (1) ภารกิจการกวาดบ้านตัวเอง เน้นดําเนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน โดยมีการตรวจหาสารเสพติดเจ้าหน้าที่ของรัฐกว่า 36,000 คนและได้ดําเนินการทางวินัยกับผู้ที่ตรวจพบ และคัดกรองสารเสพติดในศาสนสถาน สถานศึกษา สถานประกอบการ พนักงานขับรถโดยสารสาธารณะ มีมาตรการตั้งจุดตรวจ จุดสกัดชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน ที่ผ่านการฝึกอบรมจํานวน 1,020 คน (2) ภารกิจกวาดล้าง โดยมีแผนปฏิบัติการ“ยุทธการฟ้าแดดสงยาง ระดมกวาดล้างยาเสพติด”ปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมาย ราว 1,700 ราย รวมถึงการตรวจค้นเรือนจํา การจัดระเบียบสังคมโดยการตรวจสถานบริการ ร้านเกมส์ และโรงแรม (3) ภารกิจชุมชนเฝ้าระวัง โดยให้การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของหมู่บ้านและชุมชน ด้วยการจัด“ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน”ในการตั้งจุดตรวจ จุดสกัดใน 1,600 กว่าหมู่บ้าน-ชุมชน และ (4) ภารกิจอาสาป้องกันยาเสพติดโดยมีการจัดตั้ง “กลุ่มพลังอาสาป้องกันยาเสพติด”ในพื้นที่ เพื่อจะขับเคลื่อนการรณรงค์ป้องกัน ประชาสัมพันธ์สํารวจข้อมูล ชักชวนผู้เสพ ผู้ติด ให้เข้ามาบําบัดรักษา ซึ่งมีผู้ผ่านการอบรมเป็นอาสาป้องกันยาเสพติดแล้ว ราว 1,800 คน (5) ภารกิจลดผู้เสพโดยมีการนําผู้เสพเข้ารับการบําบัดรักษาและฟื้นฟูแล้ว รวม 1,000 กว่าคน และ (6) ภารกิจการอํานวยการสนับสนุน มีการจัดตั้ง“ศูนย์อํานวยการบังคับการระดับจังหวัด”เพื่อจะขับเคลื่อนภารกิจต่าง ๆ และวางแผนปฏิบัติการอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ ในระยะต่อไป จังหวัดกาฬสินธุ์ มีเป้าหมายในการพัฒนาในแนวทางข้างต้นอย่างต่อเนื่อง และต้องการลดสัดส่วนคนจนจากร้อยละ 32 ในปี 2559 ให้เหลือร้อยละ 25โดยการบูรณาการแผนงาน โครงการ งบประมาณกับภาคเอกชนและประชาชน เช่น การบริหารจัดการน้ําและการกระจายน้ําในพื้นที่นอกเขตชลประทาน การเพิ่มพื้นที่ผลิตอาหารปลอดภัย โครงการยุติธรรมเชิงรุกสร้างสุขให้ประชาชนรวมทั้งโครงการจากภาคส่วนต่าง ๆ เช่น โครงการบริการดีHappyทั้งจังหวัด ที่มุ่งเน้นการให้บริการที่สะดวกรวดเร็วของส่วนราชการและโครงการบ้านน่าอยู่ คู่เมืองสวย (Kalasin Green Space)ที่จะสร้างความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการช่วยกันพัฒนาจังหวัดกาฬสินธุ์ บนพื้นฐานของการรักษาสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการขยะ การลดใช้โฟมและพลาสติก และการเพิ่มพื้นที่สีเขียวซึ่งโครงการทั้งหมดจะช่วยให้การดําเนินโครงการKalasin Happiness Model:คนกาฬสินธุ์ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ และสามารถเป็นตัวอย่าง เพื่อนําไปขยายผลใช้ประโยชน์กับพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป การพัฒนาเพื่อลดความเหลื่อมล้ํา การกระจายรายได้ ต้องทําให้ถูกวิธีเช่นนี้ทุกจังหวัด ให้มีการเปลี่ยนแปลงในแนวทางอย่างยั่งยืน อย่าใช้วิธีเดิม ๆ อย่างเด็ดขาด จะทําให้ทุกอย่างกลับไปสู่ที่เดิม คือไม่หลุดพ้นจากปัญหาความยากจน พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านครับ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้เข้าร่วมการประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 10 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับผู้นําจากประเทศสมาชิก ได้แก่ ญี่ปุ่น กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนามโดยทุกฝ่ายได้ร่วมกันชื่นชมความสําเร็จของการดําเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. 2015และได้ร่วมรับรองยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. 2018 เพื่อความร่วมมือลุ่มน้ําโขง กับญี่ปุ่น ที่ได้กําหนดทิศทางความร่วมมือให้สอดคล้องกับ 3 แนวทาง อันได้แก่ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ที่เสรีและเปิดกว้าง และแผนแม่บทACMECSรวมทั้งได้จัดลําดับความร่วมมือ 3 เสาหลัก ได้แก่ การพัฒนาความเชื่อมโยง การสร้างสังคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และการสร้างความเป็นรูปธรรม และความตระหนักรู้ต่ออนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงสีเขียว นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของแผนแม่บทACMECSและได้รวมไว้ในยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว 2018โดยมองว่าความเชื่อมโยงเหล่านี้ จะนํามาซึ่งการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมในอนุภูมิภาค อีกทั้งประเทศสมาชิกยังได้กําหนดทิศทางความร่วมมือกับญี่ปุ่น ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ที่เสรีและเปิดกว้าง ตลอดจนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนซึ่งไทยเห็นว่าแนวทางดังกล่าวจะสนับสนุนการเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ และการพัฒนาความเชื่อมโยงในทุกมิติสําหรับประเทศไทย ญี่ปุ่นถือเป็น "มิตรแท้" มาอย่างยาวนานและเป็น "หุ้นส่วน"เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของลุ่มน้ําโขง ซึ่งเราก็พร้อมที่จะส่งเสริมให้ภาคเอกชนญี่ปุ่นเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาอนุภูมิภาคมากขึ้น เพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ลดช่องว่างการพัฒนา และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากร ผ่านการลงทุนในโครงการต่าง ๆและในโอกาสที่ไทยจะเป็นประธาน อาเซียนในปี 2562 ไทยก็ยืนยันความพร้อมที่จะร่วมมือกับญี่ปุ่นในฐานะ "หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์" ในการสร้างประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง มีพลวัต มีความครอบคลุม ไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง และพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต นอกจากนี้ จากการพบปะกับภาครัฐและเอกชน ทางญี่ปุ่นจะร่วมกับทางการไทยในการขจัดอุปสรรคทางการค้า และมีความสนใจในโครงการEECของไทยเป็นอย่างมากโดยได้เริ่มมีการเข้ามาลงทุน เข้าร่วมในการประมูลในโครงสร้างพื้นฐาน และเมืองอัจฉริยะบ้างแล้วพอควร ซึ่งหวังว่า จะสามารถเพิ่มความร่วมมือได้อย่างต่อเนื่องต่อ ๆ ไป สุดท้ายนี้ สําหรับช่วงเทศกาลถือศีลกินเจ ประจําปีนี้ ระหว่างวันที่ 9 ถึง 17 ตุลาคม รวม 9 วัน เป็นกิจกรรมที่สร้างบุญ สร้างกุศล ปฏิบัติตามหลักธรรมทางศาสนารวมทั้งเป็นการเผยแพร่ประเพณีวัฒนธรรม ที่มีอยู่หลากหลายในประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นส่งเสริมในเรื่องวัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมท้องถิ่นส่งเสริมให้ประชาชนยึดมั่นในศาสนา ดํารงชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและวิถีวัฒนธรรม ขอเชิญชวนให้ประชาชนร่วมรักษาศีล เจริญภาวนา ปฏิบัติตามหลักธรรมทางศาสนาตามวิถีปฏิบัติที่ดีงาม และสืบทอดต่อ ๆ กันมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ที่สําคัญร่วมกันทําความดี ด้วยหัวใจ ทําได้ทุกวันนะครับ สําหรับเดือนหน้า พฤศจิกายน ก็จะเป็นห้วงเทศกาลกฐิน ทําใจให้มีสติ มั่นคง บําเพ็ญบุญกุศล สําหรับผู้นับถือศาสนาพุทธ ขอให้ยึดมั่นในคําสอนของพระพุทธเจ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อความสุขของตนเอง ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ สําหรับศาสนาอื่น ๆ ก็เช่นกัน ควรประพฤติตน ตามคําสอนของศาสดา ทําความดีได้ทุกเวลาทุกโอกาส ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง จิตใจที่มั่นคง แจ่มใส และทุกครอบครัวมีความสุข ปลอดภัย อย่างยั่งยืนนะครับ สวัสดีครับ .......................................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม 2561 วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม 2561 ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม2561 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ตลอดระยะเวลา 70 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงครองสิริราชสมบัติ ปวงชนชาวไทยและประชาคมโลก ต่างประจักษ์ว่า พระองค์ทรงเป็น“พระมหากษัตราธิราชผู้ยิ่งใหญ่”ทรงบําเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติและประชาชน ทั้งในระดับปัจเจกบุคคล ระดับองค์กร ระดับประเทศ และระดับโลก โดยประจักษ์พยานสําคัญจากองค์กรต่าง ๆ ระดับโลกต่างยกย่องสดุดี ประกาศเกียรติคุณ ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลแด่พระองค์ อาทิ รางวัล“ความสําเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์”จากองค์การสหประชาชาติ (UN)ในปี พ.ศ. 2549 เพื่อเฉลิมพระเกียรติในพระปรีชาสามารถ และพระราชกรณียกิจ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของพสกนิกรไทย ตลอดรัชสมัย ในปี พ.ศ. 2552 องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญรางวัล“ผู้นําโลก ด้านทรัพย์สินทางปัญญา”และในปี พ.ศ. 2555 สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล“นักวิทยาศาสตร์ดิน เพื่อมนุษยธรรม”เป็นพระองค์แรกของโลก ทั้งนี้สิ่งสําคัญที่ทําให้พระองค์ทรงครองหัวใจคนทั้งประเทศและคนทั้งโลก เนื่องจากพระองค์ทรงใช้“ศาสตร์พระราชา”ที่เป็นการประยุกต์ และผสมผสานทั้งศาสตร์และศิลป์ในการพัฒนาคนและบ้านเมืองได้อย่างลงตัว ด้วยในเดือนตุลาคม มีวันสําคัญที่เป็นสัญลักษณ์แสดงความผูกพันอย่างลึกซึ้ง ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์ กับปวงชนชาวไทย จํานวน 2 วัน ด้วยกัน ได้แก่“วันที่ 13 ตุลาคม”เป็นวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และ“วันที่ 23 ตุลาคม”วันปิยมหาราช ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคต พระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ล้วนสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่เป็นล้นพ้น อย่างหาที่สุดมิได้ ด้วยทั้งสองพระองค์ ทรงบําเพ็ญพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการเพื่อบําบัดทุกข์ บํารุงสุข แก่ปวงชนชาวไทยมาโดยตลอดนับตั้งแต่เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ตราบจนเสด็จสู่สวรรคาลัย โดยประชาชนชาวไทยทุกภาคส่วน ทั้งในประเทศ และที่อยู่ต่างประเทศ ต่างมีความตั้งใจที่จะแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี และน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของทั้งสองพระองค์ อย่างพร้อมเพรียงกัน ในการนี้ รัฐบาลจะจัดพิธีบําเพ็ญกุศลอุทิศถวาย และกิจกรรมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ อาทิกิจกรรมจิตอาสา“เราทําความดี ด้วยหัวใจ”ระหว่างวันที่ 12 - 23 ตุลาคม โดยในวันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม จะมีพิธีทําบุญตักบาตร พิธีวางพวงมาลา และถวายบังคมหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ และพิธีถวายบังคม และจุดเทียนเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยรัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนแต่งกายด้วยเสื้อโทนสีเหลือง อย่างพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศและทั่วโลก ไม่ต้องแต่งสีดําหรือไว้ทุกข์นะครับ พี่น้องประชาชนที่รักครับ รัฐบาลได้น้อมนําศาสตร์พระราชาต่าง ๆ มาสืบสาน รักษา ต่อยอด ในทุก ๆ มิติ นับตั้งแต่การน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการกําหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ วันนี้ผมขอยกตัวอย่างการน้อมนําเกษตรทฤษฎีใหม่ ไปใช้ในการพลิกชีวิตของเกษตรกรรายหนึ่งเพื่อจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่เหลือ ว่าสามารถจะนําไปสู่การปฏิรูปได้จริง เพื่อนําพาชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีกว่า โดย“ป้าเปี๊ยก” บุญเลี้ยง รื่นมาลัย บ้านม่วงงาม อ.เสาไห้ จ.สระบุรี ซึ่งมีที่ดินทํากินและอยู่อาศัยเพียง 3 ไร่ เดิมใช้พื้นที่ทั้งหมดปลูกข้าวอย่างเดียว ชะตาชีวิตจึงฝากความหวังไว้กับฟ้าฝนมาเกือบ 30 ปีปีไหนน้ํามาก ก็ท่วมข้าว จม เน่า เสียหาย ปีไหนน้ําน้อย ข้าวก็ยืนต้นแห้งตาย แทบไม่ได้ผลผลิต ส่วนปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ก็ซื้อแบบเงินเชื่อ ที่ดินแทบไม่ได้พัก และไม่เคยได้รับสารอาหารมาเติม ดินจึงขาดแร่ธาตุ ปลูกพืชอะไรก็อ่อนแอ ส่วนคนก็สุขภาพเสื่อมโทรม แถมเครียดจากภาระหนี้สิน เพราะผลผลิตถดถอยแต่เมื่อได้รับความรู้ จาก“กํานันไก่”วนิดา ดํารงค์ไชย กํานัน ต.ม่วงงาม อ.เสาไห้ จ.สระบุรี ณ ศูนย์เรียนรู้โคกหนองนา แล้วนํามาปฏิบัติ โดยจัดสรรที่ดิน แบ่งออกเป็น 4 ส่วนด้วยกัน คือ 30–30 - 30 และ 10 เพื่อทําการเกษตรตามแนวพระราชดําริเกษตรทฤษฎีใหม่ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็สามารถพลิกผันชีวิตได้อย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ก็ 5 ปีแล้ว ถือได้ว่าสามารถก้าวข้ามวิถีเดิม ๆ มาเป็นคนรวยความสุข ซึ่งผมขอขยายความการจัดสรรที่ดินในกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้ครับ 30 แรก ก็คือ “การขุดแหล่งน้ํา” ทําให้มีทั้งน้ําทําการเกษตร ปลูกพืชผักสวนครัว ทํานา และเลี้ยงปลา เลี้ยงกบในกระชังไปด้วย มีน้ําใช้ตลอดทั้งปี ไม่ต้องฝากชีวิตกับฝนแต่เพียงอย่างเดียว มีข้าวกินทั้งครอบครัวตลอดปี เหลือก็ขายหรือแลกเปลี่ยนกับเพื่อนบ้าน อาจเลี้ยงไก่เหนือสระน้ํา มูลไก่ก็เป็นอาหารปลาได้อีกด้วย 30 ต่อมา ก็คือ“นาที่สมบูรณ์”ที่มีน้ําหล่อเลี้ยงเพียงพอ ไม่ใช้สารเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง เน้นเกษตรอินทรีย์ นอกจากสุขภาพดี ไม่ป่วยง่ายแล้ว ในนาก็มีปลา มีหอย มีสัตว์น้ํา มีระบบนิเวศน์ ดินก็ฟื้นตัว มีสารอาหารสะสมอุดมสมบูรณ์ 30 สุดท้าย คือ“การปลูกป่า - ไม้ยืนต้น – พืชผลอื่น ๆ”อาจจะเป็นไม้มีค่าตามนโยบายรัฐบาล เป็นการออม เป็นสินทรัพย์เพื่อวันข้างหน้า อาจเป็นผลไม้ สมุนไพร และพืชผักสวนครัว ผสมผสานกันในพื้นที่ก็ได้ ไม่ต้องปลูกพืชเชิงเดี่ยว และอีก 10 ที่เหลือ คือ“ที่อยู่อาศัย”ตามวิถีพอเพียง เพียงเท่านี้ “ป้าเปี๊ยก”ก็หลุดพ้นจากวงจรหนี้สิน พ้นทุกข์ ครอบครัวมีความสุขนะครับ ผมเห็นว่าจุดเริ่มต้นความสําเร็จของป้าเปี๊ยก ส่วนหนึ่งมาจากการที่“กํานันไก่”ลองผิด ลองถูกด้วยตนเองก่อนจนสําเร็จ จึงนํามาบอกต่อ ให้ความรู้ลูกบ้าน ผมก็ถือว่าเป็นแบบอย่างของข้าราชการ ที่จะต้องนําพาพี่น้องประชาชนปฏิรูป เปลี่ยนแปลง ให้ได้รับสิ่งที่ดีกว่า ไม่แก้ปัญหาด้วยวิธีการเดิม ๆ ซึ่งไม่ได้ผล ไม่ยั่งยืน ด้วยการน้อมนํา“ศาสตร์พระราชา”มาประยุกต์ใช้ ความสําเร็จอีกส่วนหนึ่งก็คือ การไม่เคยหยุดพัฒนาตนเอง และเปิดรับ เรียนรู้ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองของป้าเปี๊ยกนะครับ ในอนาคต รัฐบาลกําลังผลักดันให้เกษตรกรทํา“เกษตรทฤษฎีใหม่”ให้ได้ 5 ล้านไร่ ภายในปี 2564 ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการส่งเสริมให้เกษตรกรไทย เดินหน้าไปสู่การทํา“เกษตรกรรมยั่งยืน”ของรัฐบาล ประกอบด้วย เกษตรอินทรีย์ เกษตรทฤษฎีใหม่ วนเกษตร หรือ การปลูกพืชเกษตรแซมในพื้นที่ป่าธรรมชาติ เกษตรผสมผสานและเกษตรธรรมชาติ โดยปีนี้ได้เข้าไปส่งเสริมเกษตรกรทั่วประเทศ กว่า 7 หมื่นราย นอกจากนี้ ยังได้ส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มการผลิตอย่างเข้มแข็ง และ ยกระดับสู่การทําธุรกิจชุมชน เชื่อมโยงกับภาคส่วนธุรกิจอื่น ๆ ต่อไป รวมทั้งผลักดันกฎหมายส่งเสริมเกษตรยั่งยืน ให้เป็นกลไกสําคัญในการสร้างความมั่นคง ให้กับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติได้กินอิ่ม นอนหลับ ไม่เป็นหนี้ เลี้ยงตนเองได้ ด้วยศาสตร์พระราชานะครับ พี่น้องประชาชนทุกท่านครับ อีกหนึ่งตัวอย่าง ที่เป็นการน้อมนํายุทธศาสตร์พัฒนา“เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา”ซึ่งเป็นอีกศาสตร์พระราชา มาประยุกต์ใช้ในภาพที่ใหญ่ขึ้นระดับจังหวัดคือ โครงการนําร่องของการพัฒนาพื้นที่อย่างครอบคลุมในทุกมิติ และเป็นโมเดลที่ยั่งยืน ได้แก่ โครงการ“กาฬสินธุ์ โมเดล” (Kalasin Happiness Model)โดยโครงการนี้มีขึ้นเพื่อแก้ปัญหาให้กับจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งข้อมูลในทางสถิติ ระบุว่าเป็น 1 ใน 5 จังหวัดที่มีรายได้ต่ําที่สุดในประเทศ และมีสัดส่วนผู้มีรายได้น้อยสูงถึงร้อยละ 32 ของประชากรทั้งจังหวัด รัฐบาลจึงได้จัดทําโครงการนี้ขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐานของพี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อย และยกระดับรายได้ของประชาชนทั่วไป บนพื้นฐานความยั่งยืน ด้วยการดําเนินงาน แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 เป็นโครงการที่สามารถดําเนินการได้ทันที ในปี 2561 เพื่อสร้างพื้นฐานการพัฒนา และแก้ไขปัญหาครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและระยะที่ 2 จะดําเนินการในปี 2562 ถึง 2564 โดยเน้นการสร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืน การกระจายรายได้ การเพิ่มศักยภาพ องค์ความรู้ และสร้างฐานรายได้จากการผลิตใหม่ ๆ โดยเร่งพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมไปพร้อม ๆ กันโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โครงการนี้เราจะเน้นการดูแลพี่น้องประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักได้แก่ (1) ครัวเรือนที่มีรายได้น้อย (2) เกษตรกร (3) ผู้ประกอบการ ด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว การศึกษา และศิลปวัฒนธรรม รวมทั้ง (4) กลุ่มผู้ใช้แรงงาน โดยมีการดําเนินงานตามแนวทางประชารัฐซึ่งเป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน โดยมีผลการดําเนินงานในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ด้านการยกระดับคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อยขั้นพื้นฐาน ได้มีการสํารวจข้อมูล และค้นหาครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย โดยใช้เกณฑ์รายได้จากการลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ และการคัดเลือกด้วยประชาคมระดับหมู่บ้าน หรือเวทีประชาคม ซึ่งชาวชุมชนย่อมรู้ว่าใครเป็นใคร ใครมีอาชีพและฐานะเป็นอย่างไร เพื่อความถูกต้องและแม่นยําซึ่งปรากฏว่ามีครัวเรือนผู้มีรายได้น้อยราว 3,300 ครัวเรือน ที่ต้องได้รับการช่วยเหลือและพัฒนาอย่างเร่งด่วนใน 6 ด้านได้แก่ การเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ การซ่อมแซมหรือสร้างบ้านใหม่ราว 600 หลัง การแก้ปัญหาหนี้สินทั้งในและนอกระบบเกือบ 1,000 ราย การบริการด้านสุขภาพกว่า 1,300 ราย การพัฒนาด้านอาชีพ 3,700 กว่าราย และการให้ความช่วยเหลือในกระบวนการยุติธรรมจํานวน 14 ราย เป็นต้น ทั้งนี้ เมื่อมีความชัดเจนในเรื่องกลุ่มเป้าหมายและความต้องการ ปัญหาความขาดแคลนปัจจัยที่สําคัญในการดํารงชีวิต และการประกอบอาชีพแล้ว ก็สามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสมตอบโจทย์ ตรงปัญหาทั้งนี้ จากการประเมินผลภาพรวมของโครงการพบว่า ณ เดือนกันยายนนี้ครัวเรือนเป้าหมายมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้น ราว 200 บาทต่อครอบครัวต่อเดือนจาก 2,468 บาท เป็น 2,671 บาท คิดเป็นร้อยละ 8 ตั้งแต่เริ่มโครงการเมื่อต้นปี ซึ่งก็เป็นอัตราเฉลี่ย หมายถึงก็มีสูงกว่านี้ และน้อยกว่านี้ด้วย ขึ้นอยู่กับศักยภาพและปัจจัยอื่น ๆ ที่เราก็ต้องพยายามทํากันต่อไปอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยก็ชี้ให้เห็นทิศทาง หรือแนวโน้มไปในทางบวกครับ ส่วนด้านการยกระดับรายได้โดยมุ่งเน้นการพัฒนากลุ่มเกษตรกร และผู้ประกอบการที่เป็นเป้าหมายหลักของจังหวัดเพื่อยกระดับศักยภาพ และสร้างฐานรายได้ ดังนี้ 1. ด้านเกษตรกรรม ได้ขับเคลื่อนโดยโครงการKalasin Green Market เพื่อให้กาฬสินธุ์เป็นจังหวัดที่ผลิตอาหารปลอดภัยและมีการทําเกษตรอินทรีย์ที่ได้มาตรฐาน ซึ่งจะสามารถเพิ่มพื้นที่ผลิตอาหารปลอดภัยได้ 27,600 ไร่ และคาดว่าเมื่อสิ้นปีการผลิต 2560 ถึง 2561 จะสามารถเพิ่มรายได้ จากประมาณ 12,000 ล้านบาทเป็นมากกว่า 13,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10 นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่จะพัฒนาเกษตรกรสู่Smart Farmerรวมถึงการสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ควบคู่ไปด้วย ซึ่งดําเนินการไปแล้วกว่า 2,000 ราย 2. ด้านการค้าการลงทุน มีการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม การผลิตสินค้าOTOP และการมุ่งสร้างผู้ประกอบการ โดยเฉพาะSMEsให้สามารถยกระดับผลิตภาพที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยีและความคิดที่สร้างสรรค์ ผ่านโครงการ“ปั้นดาว” โดยร่วมมือกับ สสวท. และ วช. ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้สามารถแข่งขันในตลาดสมัยใหม่ มีการพัฒนาช่องทางการจัดจําหน่ายและส่งเสริมการตลาด มีกิจกรรมแสดง จําหน่ายสินค้า และเจรจาธุรกิจ และโครงการฝึกอบรมการทําธุรกิจ (Biz Club)ให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนด้านการค้า และอุตสาหกรรมของจังหวัดด้วย ปัจจุบันรายได้ด้านการค้าการลงทุนภาคอุตสาหกรรมสินค้าOTOPของจังหวัดเพิ่มขึ้นจากปี 2560 มากกว่า 1,100 ล้านบาท 3. ด้านการท่องเที่ยวและศิลปวัฒนธรรม มีการสร้างภาพจําลองของจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยภายใต้แคมเปญ“ทุกสิ่งสร้างสรรค์ ณ กาฬสินธุ์”ให้สามารถกระจายรายได้สู่ชุมชนและท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น เกือบ 65,000 คนคิดเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 17 สร้างรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 140 ล้านบาท หรือร้อยละ 28 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 4. การพัฒนาภาคการศึกษา การส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพกลุ่มผู้ใช้แรงงานทั้งในและนอกระบบเพื่อให้ประชาชนมีงานทํา โดยความร่วมมือกับภาคเอกชน ในการส่งเสริมศักยภาพแรงงาน ด้วยการฝึกอาชีพและมีหลักสูตรต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ราว 6,200 คน ในสถานประกอบการ 272 แห่ง ที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นความสนใจ และความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการที่จะพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง ทั้งนี้ ผลการดําเนินงานจากเดือนมกราคม ถึงกันยายน 2561 สามารถเพิ่มรายได้ให้กับจังหวัดมากกว่า 3,000 ล้านบาทครับ ด้านการอํานวยความยุติธรรมลดความเหลื่อมล้ํา สร้างสังคมแห่งความปลอดภัย มีผลการดําเนินการที่สําคัญก็คือ การสร้างความรับรู้ด้านกฎหมายและเพิ่มการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม โดยมีประชาชนเข้าร่วมในโครงการ ราว 14,000 คน โดยมีความรู้เรื่องการขายฝาก จํานอง จํานํา การฉ้อโกง หนี้นอกระบบ แชร์ลูกโซ่ การทํานิติกรรมสัญญา และการเข้าถึงบริการของรัฐ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเชิงรุก สําเร็จมากกว่า 600 ราย คิดเป็นมูลหนี้กว่า 100 ล้านบาทรวมถึงมีการดูแลไม่ให้ผู้กระทําผิดกลับไปกระทําความผิดซ้ําอีกด้วย และสําหรับด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดภายใต้การบูรณาการร่วมกันของทุกฝ่าย ทั้งทหาร ตํารวจ พลเรือน และประชาชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ยาเสพติดตาม“แผนกาฬสินธุ์โมเดล พ้นภัยยาเสพติด 2019” ซึ่งมี 6 ภารกิจสําคัญ ได้แก่ (1) ภารกิจการกวาดบ้านตัวเอง เน้นดําเนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน โดยมีการตรวจหาสารเสพติดเจ้าหน้าที่ของรัฐกว่า 36,000 คนและได้ดําเนินการทางวินัยกับผู้ที่ตรวจพบ และคัดกรองสารเสพติดในศาสนสถาน สถานศึกษา สถานประกอบการ พนักงานขับรถโดยสารสาธารณะ มีมาตรการตั้งจุดตรวจ จุดสกัดชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน ที่ผ่านการฝึกอบรมจํานวน 1,020 คน (2) ภารกิจกวาดล้าง โดยมีแผนปฏิบัติการ“ยุทธการฟ้าแดดสงยาง ระดมกวาดล้างยาเสพติด”ปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมาย ราว 1,700 ราย รวมถึงการตรวจค้นเรือนจํา การจัดระเบียบสังคมโดยการตรวจสถานบริการ ร้านเกมส์ และโรงแรม (3) ภารกิจชุมชนเฝ้าระวัง โดยให้การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของหมู่บ้านและชุมชน ด้วยการจัด“ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน”ในการตั้งจุดตรวจ จุดสกัดใน 1,600 กว่าหมู่บ้าน-ชุมชน และ (4) ภารกิจอาสาป้องกันยาเสพติดโดยมีการจัดตั้ง “กลุ่มพลังอาสาป้องกันยาเสพติด”ในพื้นที่ เพื่อจะขับเคลื่อนการรณรงค์ป้องกัน ประชาสัมพันธ์สํารวจข้อมูล ชักชวนผู้เสพ ผู้ติด ให้เข้ามาบําบัดรักษา ซึ่งมีผู้ผ่านการอบรมเป็นอาสาป้องกันยาเสพติดแล้ว ราว 1,800 คน (5) ภารกิจลดผู้เสพโดยมีการนําผู้เสพเข้ารับการบําบัดรักษาและฟื้นฟูแล้ว รวม 1,000 กว่าคน และ (6) ภารกิจการอํานวยการสนับสนุน มีการจัดตั้ง“ศูนย์อํานวยการบังคับการระดับจังหวัด”เพื่อจะขับเคลื่อนภารกิจต่าง ๆ และวางแผนปฏิบัติการอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ ในระยะต่อไป จังหวัดกาฬสินธุ์ มีเป้าหมายในการพัฒนาในแนวทางข้างต้นอย่างต่อเนื่อง และต้องการลดสัดส่วนคนจนจากร้อยละ 32 ในปี 2559 ให้เหลือร้อยละ 25โดยการบูรณาการแผนงาน โครงการ งบประมาณกับภาคเอกชนและประชาชน เช่น การบริหารจัดการน้ําและการกระจายน้ําในพื้นที่นอกเขตชลประทาน การเพิ่มพื้นที่ผลิตอาหารปลอดภัย โครงการยุติธรรมเชิงรุกสร้างสุขให้ประชาชนรวมทั้งโครงการจากภาคส่วนต่าง ๆ เช่น โครงการบริการดีHappyทั้งจังหวัด ที่มุ่งเน้นการให้บริการที่สะดวกรวดเร็วของส่วนราชการและโครงการบ้านน่าอยู่ คู่เมืองสวย (Kalasin Green Space)ที่จะสร้างความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการช่วยกันพัฒนาจังหวัดกาฬสินธุ์ บนพื้นฐานของการรักษาสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการขยะ การลดใช้โฟมและพลาสติก และการเพิ่มพื้นที่สีเขียวซึ่งโครงการทั้งหมดจะช่วยให้การดําเนินโครงการKalasin Happiness Model:คนกาฬสินธุ์ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ และสามารถเป็นตัวอย่าง เพื่อนําไปขยายผลใช้ประโยชน์กับพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป การพัฒนาเพื่อลดความเหลื่อมล้ํา การกระจายรายได้ ต้องทําให้ถูกวิธีเช่นนี้ทุกจังหวัด ให้มีการเปลี่ยนแปลงในแนวทางอย่างยั่งยืน อย่าใช้วิธีเดิม ๆ อย่างเด็ดขาด จะทําให้ทุกอย่างกลับไปสู่ที่เดิม คือไม่หลุดพ้นจากปัญหาความยากจน พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านครับ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้เข้าร่วมการประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 10 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับผู้นําจากประเทศสมาชิก ได้แก่ ญี่ปุ่น กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนามโดยทุกฝ่ายได้ร่วมกันชื่นชมความสําเร็จของการดําเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. 2015และได้ร่วมรับรองยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. 2018 เพื่อความร่วมมือลุ่มน้ําโขง กับญี่ปุ่น ที่ได้กําหนดทิศทางความร่วมมือให้สอดคล้องกับ 3 แนวทาง อันได้แก่ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ที่เสรีและเปิดกว้าง และแผนแม่บทACMECSรวมทั้งได้จัดลําดับความร่วมมือ 3 เสาหลัก ได้แก่ การพัฒนาความเชื่อมโยง การสร้างสังคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และการสร้างความเป็นรูปธรรม และความตระหนักรู้ต่ออนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงสีเขียว นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของแผนแม่บทACMECSและได้รวมไว้ในยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว 2018โดยมองว่าความเชื่อมโยงเหล่านี้ จะนํามาซึ่งการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมในอนุภูมิภาค อีกทั้งประเทศสมาชิกยังได้กําหนดทิศทางความร่วมมือกับญี่ปุ่น ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ที่เสรีและเปิดกว้าง ตลอดจนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนซึ่งไทยเห็นว่าแนวทางดังกล่าวจะสนับสนุนการเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ และการพัฒนาความเชื่อมโยงในทุกมิติสําหรับประเทศไทย ญี่ปุ่นถือเป็น "มิตรแท้" มาอย่างยาวนานและเป็น "หุ้นส่วน"เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของลุ่มน้ําโขง ซึ่งเราก็พร้อมที่จะส่งเสริมให้ภาคเอกชนญี่ปุ่นเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาอนุภูมิภาคมากขึ้น เพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ลดช่องว่างการพัฒนา และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากร ผ่านการลงทุนในโครงการต่าง ๆและในโอกาสที่ไทยจะเป็นประธาน อาเซียนในปี 2562 ไทยก็ยืนยันความพร้อมที่จะร่วมมือกับญี่ปุ่นในฐานะ "หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์" ในการสร้างประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง มีพลวัต มีความครอบคลุม ไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง และพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต นอกจากนี้ จากการพบปะกับภาครัฐและเอกชน ทางญี่ปุ่นจะร่วมกับทางการไทยในการขจัดอุปสรรคทางการค้า และมีความสนใจในโครงการEECของไทยเป็นอย่างมากโดยได้เริ่มมีการเข้ามาลงทุน เข้าร่วมในการประมูลในโครงสร้างพื้นฐาน และเมืองอัจฉริยะบ้างแล้วพอควร ซึ่งหวังว่า จะสามารถเพิ่มความร่วมมือได้อย่างต่อเนื่องต่อ ๆ ไป สุดท้ายนี้ สําหรับช่วงเทศกาลถือศีลกินเจ ประจําปีนี้ ระหว่างวันที่ 9 ถึง 17 ตุลาคม รวม 9 วัน เป็นกิจกรรมที่สร้างบุญ สร้างกุศล ปฏิบัติตามหลักธรรมทางศาสนารวมทั้งเป็นการเผยแพร่ประเพณีวัฒนธรรม ที่มีอยู่หลากหลายในประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นส่งเสริมในเรื่องวัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมท้องถิ่นส่งเสริมให้ประชาชนยึดมั่นในศาสนา ดํารงชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและวิถีวัฒนธรรม ขอเชิญชวนให้ประชาชนร่วมรักษาศีล เจริญภาวนา ปฏิบัติตามหลักธรรมทางศาสนาตามวิถีปฏิบัติที่ดีงาม และสืบทอดต่อ ๆ กันมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ที่สําคัญร่วมกันทําความดี ด้วยหัวใจ ทําได้ทุกวันนะครับ สําหรับเดือนหน้า พฤศจิกายน ก็จะเป็นห้วงเทศกาลกฐิน ทําใจให้มีสติ มั่นคง บําเพ็ญบุญกุศล สําหรับผู้นับถือศาสนาพุทธ ขอให้ยึดมั่นในคําสอนของพระพุทธเจ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อความสุขของตนเอง ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ สําหรับศาสนาอื่น ๆ ก็เช่นกัน ควรประพฤติตน ตามคําสอนของศาสดา ทําความดีได้ทุกเวลาทุกโอกาส ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง จิตใจที่มั่นคง แจ่มใส และทุกครอบครัวมีความสุข ปลอดภัย อย่างยั่งยืนนะครับ สวัสดีครับ .......................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16056
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.กำชับสถานบริการ 28 จังหวัดเสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก พร้อมรับมือพายุฤดูร้อน
วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม 2560 สธ.กําชับสถานบริการ 28 จังหวัดเสี่ยงน้ําท่วมซ้ําซาก พร้อมรับมือพายุฤดูร้อน กระทรวงสาธารณสุข กําชับสถานบริการ 28 จังหวัดเสี่ยงน้ําท่วมซ้ําซาก เตรียมพร้อมรับมือพายุฤดูร้อน มีแผนป้องกันน้ําท่วมและแผนสํารองการทํางานในภาวะฉุกเฉิน สํารวจความมั่นคงสิ่งก่อสร้าง ขนย้ายอุปกรณ์ สิ่งของสําคัญไว้ที่ปลอดภัย เตือนประชาชน หลีกเลี่ยงอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่/ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ หากบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน โทร.สายด่วน1669 ศ.คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้ ได้สั่งการให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลทุกแห่งและสํานักงานสาธารณสุขอําเภอ เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ โดยเฉพาะใน28จังหวัดที่เสี่ยงต่อการเกิดน้ําท่วมซ้ําซาก ให้ติดตามสถานการณ์จากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด พร้อมดําเนินการ ดังนี้1.ป้องกันความเสียหายต่ออาคาร สถานที่ อุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์ เครื่องสูบน้ํา ตรวจสอบระบบระบายน้ํา ไม่ให้อุดตัน ขนย้ายเวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ เอกสารสําคัญไว้ในที่ปลอดภัย สํารวจความแข็งแรงสิ่งก่อสร้าง ป้ายประกาศ ไฟส่องสว่าง ตัดแต่งต้นไม้ รื้อถอนสิ่งที่เป็นอันตรายหรือซ่อมแซมให้ปลอดภัย 2.สํารองทรัพยากรที่มีความจําเป็นต่อการจัดบริการประชาชน เช่น ยา-เวชภัณฑ์ ระบบไฟฟ้าสํารอง น้ํามัน ออกซิเจน อาหาร เป็นต้น3.สํารวจผู้ป่วยที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษ และไม่สามารถเดินทางมาสถานบริการได้ เช่น ผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง จัดให้มีหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกให้บริการ4.เตรียมแผนประคองกิจการ ปรับพื้นที่ให้บริการ กรณีไม่สามารถเปิดบริการได้ และแผนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย รวมทั้งประสานโรงพยาบาลข้างเคียงร่วมจัดบริการนอกสถานที่ ทั้งนี้ ได้สํารองยาชุดช่วยเหลือน้ําท่วมในส่วนกลาง400,000ชุดพร้อมสนับสนุนพื้นที่ได้ทันที เตือนประชาชน หลีกเลี่ยงเข้าใกล้สิ่งก่อสร้างที่อาจเป็นอันตรายขณะเกิดพายุลมแรง เช่น ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ ต้นไม้ใหญ่ สิ่งก่อสร้างที่ไม่มั่นคงแข็งแรง หากบาดเจ็บ หรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน โทรขอความช่วยเหลือด้านการแพทย์ได้ที่ สายด่วน1669ตลอด24ชั่วโมง ******************************** 20กรกฎาคม2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.กำชับสถานบริการ 28 จังหวัดเสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก พร้อมรับมือพายุฤดูร้อน วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม 2560 สธ.กําชับสถานบริการ 28 จังหวัดเสี่ยงน้ําท่วมซ้ําซาก พร้อมรับมือพายุฤดูร้อน กระทรวงสาธารณสุข กําชับสถานบริการ 28 จังหวัดเสี่ยงน้ําท่วมซ้ําซาก เตรียมพร้อมรับมือพายุฤดูร้อน มีแผนป้องกันน้ําท่วมและแผนสํารองการทํางานในภาวะฉุกเฉิน สํารวจความมั่นคงสิ่งก่อสร้าง ขนย้ายอุปกรณ์ สิ่งของสําคัญไว้ที่ปลอดภัย เตือนประชาชน หลีกเลี่ยงอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่/ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ หากบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน โทร.สายด่วน1669 ศ.คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้ ได้สั่งการให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลทุกแห่งและสํานักงานสาธารณสุขอําเภอ เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ โดยเฉพาะใน28จังหวัดที่เสี่ยงต่อการเกิดน้ําท่วมซ้ําซาก ให้ติดตามสถานการณ์จากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด พร้อมดําเนินการ ดังนี้1.ป้องกันความเสียหายต่ออาคาร สถานที่ อุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์ เครื่องสูบน้ํา ตรวจสอบระบบระบายน้ํา ไม่ให้อุดตัน ขนย้ายเวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ เอกสารสําคัญไว้ในที่ปลอดภัย สํารวจความแข็งแรงสิ่งก่อสร้าง ป้ายประกาศ ไฟส่องสว่าง ตัดแต่งต้นไม้ รื้อถอนสิ่งที่เป็นอันตรายหรือซ่อมแซมให้ปลอดภัย 2.สํารองทรัพยากรที่มีความจําเป็นต่อการจัดบริการประชาชน เช่น ยา-เวชภัณฑ์ ระบบไฟฟ้าสํารอง น้ํามัน ออกซิเจน อาหาร เป็นต้น3.สํารวจผู้ป่วยที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษ และไม่สามารถเดินทางมาสถานบริการได้ เช่น ผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง จัดให้มีหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกให้บริการ4.เตรียมแผนประคองกิจการ ปรับพื้นที่ให้บริการ กรณีไม่สามารถเปิดบริการได้ และแผนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย รวมทั้งประสานโรงพยาบาลข้างเคียงร่วมจัดบริการนอกสถานที่ ทั้งนี้ ได้สํารองยาชุดช่วยเหลือน้ําท่วมในส่วนกลาง400,000ชุดพร้อมสนับสนุนพื้นที่ได้ทันที เตือนประชาชน หลีกเลี่ยงเข้าใกล้สิ่งก่อสร้างที่อาจเป็นอันตรายขณะเกิดพายุลมแรง เช่น ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ ต้นไม้ใหญ่ สิ่งก่อสร้างที่ไม่มั่นคงแข็งแรง หากบาดเจ็บ หรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน โทรขอความช่วยเหลือด้านการแพทย์ได้ที่ สายด่วน1669ตลอด24ชั่วโมง ******************************** 20กรกฎาคม2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5349
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ร่วมกับ ICRC เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีเครือข่ายองค์การรัฐที่ให้บริการด้านนิติเวชศาสตร์ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
วันพุธที่ 19 กรกฎาคม 2560 สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ร่วมกับ ICRC เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจําปีเครือข่ายองค์การรัฐที่ให้บริการด้านนิติเวชศาสตร์ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุมประจําปีเครือข่ายองค์การรัฐที่ให้บริการด้านนิติเวชศาสตร์ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซืฟิก ครั้งที่ ๖ เมื่อวันอังคารที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ โรงแรมดีวารี จอมเทียน บีซ พัทยา จังหวัดชลบุรี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุมประจําปีเครือข่ายองค์การรัฐที่ให้บริการด้านนิติเวชศาสตร์ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซืฟิก ครั้งที่ ๖ ซึ่งสถาบันนิติวิทยาศาสตร์และคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) เป็นเจ้าภาพร่วมกันจัดขึ้น ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เพื่อพัฒนาความร่วมมือในการจัดทําฐานข้อมูลบุคคลสูญหายและศพนิรนาม สําหรับกรณีภัยพิบัติทางธรรมชาติในระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก รวมถึงยกระดับการทํางานของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ มีความทันสมัย และทันต่อสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมี นายสมณ์ พรหมรส ผู้อํานวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ Mr.Beat Schweizer ผู้อํานวยการสํานักงานภูมิภาคกรุงเทพฯ ของคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) Mr.shah..Mahmood ประธานเครือข่าย Apmla ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนิติเวชศาสตร์ แพทย์ผู้ปฏิบัติงานทางนิติเวชศาสตร์จากต่างประเทศ และผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐที่ให้บริการทางนิติเวชจาก ๑๗ ประเทศ เข้าร่วมประชุม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ร่วมกับ ICRC เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีเครือข่ายองค์การรัฐที่ให้บริการด้านนิติเวชศาสตร์ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก วันพุธที่ 19 กรกฎาคม 2560 สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ร่วมกับ ICRC เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจําปีเครือข่ายองค์การรัฐที่ให้บริการด้านนิติเวชศาสตร์ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุมประจําปีเครือข่ายองค์การรัฐที่ให้บริการด้านนิติเวชศาสตร์ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซืฟิก ครั้งที่ ๖ เมื่อวันอังคารที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ โรงแรมดีวารี จอมเทียน บีซ พัทยา จังหวัดชลบุรี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุมประจําปีเครือข่ายองค์การรัฐที่ให้บริการด้านนิติเวชศาสตร์ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซืฟิก ครั้งที่ ๖ ซึ่งสถาบันนิติวิทยาศาสตร์และคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) เป็นเจ้าภาพร่วมกันจัดขึ้น ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เพื่อพัฒนาความร่วมมือในการจัดทําฐานข้อมูลบุคคลสูญหายและศพนิรนาม สําหรับกรณีภัยพิบัติทางธรรมชาติในระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก รวมถึงยกระดับการทํางานของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ มีความทันสมัย และทันต่อสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมี นายสมณ์ พรหมรส ผู้อํานวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ Mr.Beat Schweizer ผู้อํานวยการสํานักงานภูมิภาคกรุงเทพฯ ของคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) Mr.shah..Mahmood ประธานเครือข่าย Apmla ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนิติเวชศาสตร์ แพทย์ผู้ปฏิบัติงานทางนิติเวชศาสตร์จากต่างประเทศ และผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐที่ให้บริการทางนิติเวชจาก ๑๗ ประเทศ เข้าร่วมประชุม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5327
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รชอ.สมชาย เป็นประธานเปิดงาน Propak Asia 2018
วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2561 ​รชอ.สมชาย เป็นประธานเปิดงาน Propak Asia 2018 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Propak Asia 2018 จัดโดย บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จํากัด ณ บริเวณโถงรับรองหน้าฮอลล์ 103 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไปเทค บางนา วันนี้ (13 มิ.ย. 61) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Propak Asia 2018 จัดโดย บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จํากัด ณ บริเวณโถงรับรองหน้าฮอลล์ 103 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไปเทค บางนา งานแสดงสินค้า Propak Asia 2018 เป็นการแสดงเทคโนโลยี ด้านกระบวนการผลิต แปรรูปอาหารและบรรจุภัณฑ์ ซึ่งในครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 26 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางในการนําเสนอ และแลกเปลี่ยนความรู้ด้านเทคโนโลยีอันทันสมัย ในกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรม อาหาร เครื่องดื่ม ยา เครื่องสําอาง และสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อนําไปพัฒนากระบวนการผลิตให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล พร้อมทั้งส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ และพัฒนาอุตสาหกรรม ให้เป็นที่ยอมรับจากประเทศคู่ค้าในตลาดโลก ซึ่งในปีนี้ มีผู้ประกอบการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในครั้งนี้กว่า 2,100 บริษัท จาก 48 ประเทศทั่วโลก และคาดว่าจะมีผู้สนใจเข้าร่วมชมงานในปีนี้มากกว่า 48,000 ราย จาก 70 ประเทศทั่วโลก โดยงานในครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-16 มินายน 2561 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รชอ.สมชาย เป็นประธานเปิดงาน Propak Asia 2018 วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2561 ​รชอ.สมชาย เป็นประธานเปิดงาน Propak Asia 2018 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Propak Asia 2018 จัดโดย บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จํากัด ณ บริเวณโถงรับรองหน้าฮอลล์ 103 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไปเทค บางนา วันนี้ (13 มิ.ย. 61) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Propak Asia 2018 จัดโดย บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จํากัด ณ บริเวณโถงรับรองหน้าฮอลล์ 103 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไปเทค บางนา งานแสดงสินค้า Propak Asia 2018 เป็นการแสดงเทคโนโลยี ด้านกระบวนการผลิต แปรรูปอาหารและบรรจุภัณฑ์ ซึ่งในครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 26 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางในการนําเสนอ และแลกเปลี่ยนความรู้ด้านเทคโนโลยีอันทันสมัย ในกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรม อาหาร เครื่องดื่ม ยา เครื่องสําอาง และสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อนําไปพัฒนากระบวนการผลิตให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล พร้อมทั้งส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ และพัฒนาอุตสาหกรรม ให้เป็นที่ยอมรับจากประเทศคู่ค้าในตลาดโลก ซึ่งในปีนี้ มีผู้ประกอบการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในครั้งนี้กว่า 2,100 บริษัท จาก 48 ประเทศทั่วโลก และคาดว่าจะมีผู้สนใจเข้าร่วมชมงานในปีนี้มากกว่า 48,000 ราย จาก 70 ประเทศทั่วโลก โดยงานในครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-16 มินายน 2561 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12999
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สนธิรัตน์”หารือผู้นำเศรษฐกิจ 8 จังหวัดภาคกลาง
วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 “สนธิรัตน์”หารือผู้นําเศรษฐกิจ 8 จังหวัดภาคกลาง “สนธิรัตน์”หารือผู้นําเศรษฐกิจ 8 จังหวัดภาคกลาง เตรียมประเด็นก่อนการประชุมครม.สัญจร 5-6 มี.ค.นี้ ตั้งเป้าดันสมุทรสาครเป็น “นครแห่งครัวโลก” เหตุเป็นแหล่งผลิตอาหารทะเลที่หลากหลายเตรียมประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จักต่อไป พร้อมเดินหน้าพัฒนาตลาดกลางสัตว์น้ํา ผัก ผลไม้และไม้ตัดดอกส่งเสริมการขึ้นทะเบียนสินค้า GI และผลักดันการท่องเที่ยวท้องถิ่น นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า วันที่ 26 ก.พ.2561 กระทรวงพาณิชย์ได้นําคณะผู้บริหารร่วมหารือกับผู้นําเศรษฐกิจในจังหวัดภาคกลาง 8 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ นครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี และสุพรรณบุรี โดยมีผู้แทนจากหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สภาเกษตรกร สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย สมาคมกุ้งไทย สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งในพื้นที่น้ําจืด สมาคมชาวประมง ตลาดกลางสัตว์น้ํา ตลาดกลางผักผลไม้ ผู้ส่งออกไม้ดอกไม้ประดับ เข้ามาร่วมหารือที่ห้องประชุมตลาดไท จ.สมุทรสาคร เพื่อกําหนดแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจการค้า และการลงทุนก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 5-6มีนาคม 2561 ที่จ.เพชรบุรี และจ.สมุทรสาคร โดยเบื้องต้นที่ประชุมเห็นด้วยกับแผนการส่งเสริมและพัฒนาตลาดอาหารทะเล , การพัฒนาตลาดกลางสัตว์น้ํา ผัก ผลไม้ และไม้ตัดดอก , การขึ้นทะเบียนและใช้เครื่องหมาย GI เป็นเครื่องมือทางการตลาดและการท่องเที่ยวกับการสร้างรายได้ท้องถิ่น ทั้งนี้ ในการส่งเสริมและพัฒนาตลาดกลางอาหารทะเล กระทรวงฯ เห็นด้วยกับการผลักดันให้ จ.สมุทรสาคร เป็น “นครแห่งครัวโลก” โดยเฉพาะศูนย์กลางอาหารทะเล เพราะมีผลผลิตด้านอาหารทะเลที่หลากหลาย และเป็นแหล่งอาหารทะเลที่สําคัญของไทย และจะสนับสนุนการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรู้จักต่อไป เช่น การผลักดันให้เป็นตลาดเฉพาะสินค้าส่วนการพัฒนาตลาดกลางสัตว์น้ํา ผัก ผลไม้ และไม้ตัดดอก เห็นว่า มีหลายจังหวัดในพื้นที่ 8จังหวัดภาคกลาง ที่มีขีดความสามารถในการพัฒนาให้เป็นตลาดกลาง ซึ่งกระทรวงฯ จะเข้าไปช่วยยกระดับตลาด และพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางในแต่ละด้านต่อไป สําหรับการส่งเสริมสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI)จะเร่งผลักดันให้มีการขึ้นทะเบียนสินค้า GI โดยเฉพาะ จ.สมุทรสาคร ที่ยังไม่มีการขึ้นทะเบียน แต่มีสินค้าที่อยู่ระหว่างการพิจารณา คือ มะพร้าวน้ําหอมบ้านแพ้ว และมีสินค้าที่น่าจะขึ้นทะเบียนได้ คือลําไยพวงทองสมุทรสาคร และเกลือสมุทรสาคร ซึ่งจะผลักดันให้มีการยื่นขึ้นทะเบียน GI ต่อไป ส่วนจังหวัดอื่นๆ ที่มีการยื่นจดทะเบียน GI แล้ว ก็จะช่วยพัฒนาและช่วยหาช่องทางการตลาดให้กับผู้ผลิต เช่น ลิ้นจี่ค่อมสมุทรสงคราม ส้มโอขาวใหญ่ ชมพู่เพชร มะนาวเพชรบุรี น้ําตาลโตนดเมืองเพชร ขนมหม้อแกงเมืองเพชร ทุเรียนป่าละอู ส้มโอนครชัยศรี สับปะรดบ้านคา เป็นต้นและยังจะผลักดันให้มีการขึ้นทะเบียนสินค้า GI รายการใหม่ๆ ด้วย นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ในด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับท้องถิ่น เป็นนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ที่ต้องการสนับสนุนและสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก โดยมีแผนเชื่อมโยงการท่องเที่ยวของพื้นที่ ทั้งจ.เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี กาญจนบุรี สมุทรสงคราม นครปฐม และสุพรรณบุรี และจะผลักดันให้ชุมชนที่เป็นแหล่งผลิตสินค้า ทั้งสินค้าชุมชนสินค้า GI สินค้า OTOP ให้มีการเชื่อมโยงเข้ากับการท่องเที่ยว เพราะเกื้อกูลกันได้ นักท่องเที่ยวมาเที่ยวแล้วก็สามารถซื้อสินค้าเป็นของฝากได้ นอกจากนี้ กระทรวงฯ ยังเห็นว่า ในส่วนของตลาดกลางต่างๆ หากพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการให้มีความทันสมัยและเป็นสากล ก็สามารถผลักดันให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ เหมือนกับตลาดในต่างประเทศที่มีการดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชมการบริหารจัดการตลาด ไปดูวิธีการ และยังช่วยให้ร้านค้าในตลาดสามารถขายสินค้าได้เพิ่มขึ้น จากการที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สนธิรัตน์”หารือผู้นำเศรษฐกิจ 8 จังหวัดภาคกลาง วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 “สนธิรัตน์”หารือผู้นําเศรษฐกิจ 8 จังหวัดภาคกลาง “สนธิรัตน์”หารือผู้นําเศรษฐกิจ 8 จังหวัดภาคกลาง เตรียมประเด็นก่อนการประชุมครม.สัญจร 5-6 มี.ค.นี้ ตั้งเป้าดันสมุทรสาครเป็น “นครแห่งครัวโลก” เหตุเป็นแหล่งผลิตอาหารทะเลที่หลากหลายเตรียมประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จักต่อไป พร้อมเดินหน้าพัฒนาตลาดกลางสัตว์น้ํา ผัก ผลไม้และไม้ตัดดอกส่งเสริมการขึ้นทะเบียนสินค้า GI และผลักดันการท่องเที่ยวท้องถิ่น นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า วันที่ 26 ก.พ.2561 กระทรวงพาณิชย์ได้นําคณะผู้บริหารร่วมหารือกับผู้นําเศรษฐกิจในจังหวัดภาคกลาง 8 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ นครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี และสุพรรณบุรี โดยมีผู้แทนจากหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สภาเกษตรกร สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย สมาคมกุ้งไทย สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งในพื้นที่น้ําจืด สมาคมชาวประมง ตลาดกลางสัตว์น้ํา ตลาดกลางผักผลไม้ ผู้ส่งออกไม้ดอกไม้ประดับ เข้ามาร่วมหารือที่ห้องประชุมตลาดไท จ.สมุทรสาคร เพื่อกําหนดแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจการค้า และการลงทุนก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 5-6มีนาคม 2561 ที่จ.เพชรบุรี และจ.สมุทรสาคร โดยเบื้องต้นที่ประชุมเห็นด้วยกับแผนการส่งเสริมและพัฒนาตลาดอาหารทะเล , การพัฒนาตลาดกลางสัตว์น้ํา ผัก ผลไม้ และไม้ตัดดอก , การขึ้นทะเบียนและใช้เครื่องหมาย GI เป็นเครื่องมือทางการตลาดและการท่องเที่ยวกับการสร้างรายได้ท้องถิ่น ทั้งนี้ ในการส่งเสริมและพัฒนาตลาดกลางอาหารทะเล กระทรวงฯ เห็นด้วยกับการผลักดันให้ จ.สมุทรสาคร เป็น “นครแห่งครัวโลก” โดยเฉพาะศูนย์กลางอาหารทะเล เพราะมีผลผลิตด้านอาหารทะเลที่หลากหลาย และเป็นแหล่งอาหารทะเลที่สําคัญของไทย และจะสนับสนุนการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรู้จักต่อไป เช่น การผลักดันให้เป็นตลาดเฉพาะสินค้าส่วนการพัฒนาตลาดกลางสัตว์น้ํา ผัก ผลไม้ และไม้ตัดดอก เห็นว่า มีหลายจังหวัดในพื้นที่ 8จังหวัดภาคกลาง ที่มีขีดความสามารถในการพัฒนาให้เป็นตลาดกลาง ซึ่งกระทรวงฯ จะเข้าไปช่วยยกระดับตลาด และพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางในแต่ละด้านต่อไป สําหรับการส่งเสริมสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI)จะเร่งผลักดันให้มีการขึ้นทะเบียนสินค้า GI โดยเฉพาะ จ.สมุทรสาคร ที่ยังไม่มีการขึ้นทะเบียน แต่มีสินค้าที่อยู่ระหว่างการพิจารณา คือ มะพร้าวน้ําหอมบ้านแพ้ว และมีสินค้าที่น่าจะขึ้นทะเบียนได้ คือลําไยพวงทองสมุทรสาคร และเกลือสมุทรสาคร ซึ่งจะผลักดันให้มีการยื่นขึ้นทะเบียน GI ต่อไป ส่วนจังหวัดอื่นๆ ที่มีการยื่นจดทะเบียน GI แล้ว ก็จะช่วยพัฒนาและช่วยหาช่องทางการตลาดให้กับผู้ผลิต เช่น ลิ้นจี่ค่อมสมุทรสงคราม ส้มโอขาวใหญ่ ชมพู่เพชร มะนาวเพชรบุรี น้ําตาลโตนดเมืองเพชร ขนมหม้อแกงเมืองเพชร ทุเรียนป่าละอู ส้มโอนครชัยศรี สับปะรดบ้านคา เป็นต้นและยังจะผลักดันให้มีการขึ้นทะเบียนสินค้า GI รายการใหม่ๆ ด้วย นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ในด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับท้องถิ่น เป็นนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ที่ต้องการสนับสนุนและสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก โดยมีแผนเชื่อมโยงการท่องเที่ยวของพื้นที่ ทั้งจ.เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี กาญจนบุรี สมุทรสงคราม นครปฐม และสุพรรณบุรี และจะผลักดันให้ชุมชนที่เป็นแหล่งผลิตสินค้า ทั้งสินค้าชุมชนสินค้า GI สินค้า OTOP ให้มีการเชื่อมโยงเข้ากับการท่องเที่ยว เพราะเกื้อกูลกันได้ นักท่องเที่ยวมาเที่ยวแล้วก็สามารถซื้อสินค้าเป็นของฝากได้ นอกจากนี้ กระทรวงฯ ยังเห็นว่า ในส่วนของตลาดกลางต่างๆ หากพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการให้มีความทันสมัยและเป็นสากล ก็สามารถผลักดันให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ เหมือนกับตลาดในต่างประเทศที่มีการดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชมการบริหารจัดการตลาด ไปดูวิธีการ และยังช่วยให้ร้านค้าในตลาดสามารถขายสินค้าได้เพิ่มขึ้น จากการที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10399
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์เร่งผลักดันศักยภาพอุตสาหกรรมภาพยนตร์และบันเทิงไทย สู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตของภูมิภาค
วันพุธที่ 17 พฤษภาคม 2560 พาณิชย์เร่งผลักดันศักยภาพอุตสาหกรรมภาพยนตร์และบันเทิงไทย สู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตของภูมิภาค นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ กําลังเร่งบูรณาการกับหลายหน่วยงาน ผลักดันธุรกิจบริการด้านภาพยนตร์เพื่อสร้างรากฐานแห่งการเป็นศูนย์กลางสําหรับ Production และ Post-Production ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในปีที่ผ่านมาจํานวนของภาพยนตร์ที่ใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทําเพิ่มขึ้นถึง 15% ภาพรวมของธุรกิจด้านภาพยนตร์ประกอบด้วย 1) Pre-Production : casting, costume, make up, music 2) Production: shooting team, location, equipment service 3) Post Production: computer graphic, visual effect, editing, sound ส่วนที่นํารายได้เข้าสู่ประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การรับจ้าง Outsourcing การบริการ Production และ Post Production รวมทั้งบริการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย (Location Shooting) และขายลิขสิทธิ์ อีกทั้งปัจจุบันมีนักแสดง ผู้สร้างภาพยนตร์ อนิเมชั่นและสเปเชียล เอฟเฟคที่ได้รับรางวัล รวมทั้งได้ร่วมแสดงภาพยนตร์ที่สร้างรายได้ให้ประเทศปีละหลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ รัฐบาลได้ประกาศสิทธิประโยชน์ที่ให้กับภาพยนตร์และสื่อโทรทัศน์ที่เข้ามาถ่ายทําในประเทศไทยที่จะมีผลในปีนี้ คือการให้เงินคืน 15% สําหรับโปรเจคที่มีการลงทุนภายในประเทศไทยขั้นต่ํา 50 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 20% ได้เมื่อรวมกับ 3% หากมีการจ้างงานบุคลากรไทยในตําแหน่งที่สําคัญกับโปรเจคนั้นๆ และ อีก 2% หากมีการโปรโมทประเทศไทยในด้านการท่องเที่ยวในปี 2560 กระทรวงพาณิชย์ได้กําหนดยุทธศาสตร์เกี่ยวกับธุรกิจบริการด้านภาพยนตร์ไว้ 7 ด้าน คือ 1) สร้างให้ไทยเป็นฐานการผลิตงาน ฐานการลงทุนที่มีคุณภาพสูงของเอเชีย(Hub) และเป็นประตู (Gateway) สําหรับนักลงทุน นักธุรกิจต่างชาติที่จะเข้ามาทําธุรกิจในภูมิภาค 2) พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในสาขานี้ ให้มีขีดความสามารถสูงในการคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างผลงานใหม่ ๆ และพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้สามารถรับจ้างผลิตงานที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศมากขึ้น 3) สร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลและหน่วยงานภาคปอกชนกับกลุ่มประเทศเป้าหมาย 4) ขยายตลาดการส่งออกภาพยนตร์ไทยเพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออก 5) สร้างเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของ Creative Content/ IP/ Brand ของไทยและสร้างศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย 6) เพิ่มความสัมพันธ์ทางธุรกิจ ขยายตลาดกับบริษัทต่างชาติ/กระตุ้นการ Co-Production/Investment 7) สร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างรัฐบาลและหน่วยงานภาคเอกชนกับกลุ่มประเทศเป้าหมาย นางอภิรดี กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการหารือผู้ประกอบการไทย สิ่งที่ภาคเอกชนต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐ คือ 1. จัดกิจกรรมเผยแพร่ศักยภาพอุตสาหกรรมภาพยนตร์และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง (Production, Post Production, Computer Graphics) 2. จัดอบรมสัมมนา เพื่อพัฒนาทักษะความรู้ ความสามารถและเทคนิคต่างๆ /ให้แก่ผู้ประกอบการ ซึ่งจะเป็นการยกระดับมาตรฐานการผลิตเพื่อการส่งออกต่อไป 3. นําภาพยนตร์ไทยเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่สําคัญของโลกอย่างต่อเนื่อง 4. จัดคณะผู้แทนการค้า (Inbound/Outbound Business Matching) และ 5.กลยุทธ์เสริมสร้างมิตรทางการค้ากับผู้ลงทุน ผู้สร้าง ผู้กํากับ นักธุรกิจในต่างประเทศ ได้แก่ การจัดThai Night/Networking Party โดยแผนงานในปี 2560 จะเน้นในเรื่องของการร่วมงานแสดงสินค้าเฉพาะ เช่น งาน Cannes Film Festival งานMIPCOM งานAmerican Film Market เทศกาลภาพยนตร์ไทยในกัมพูชา งาน Taipei Film Festival ซึ่งประเทศดังกล่าวเป็นเป้าหมายสําคัญของไทยในการส่งออก “ ธุรกิจบริการด้านภาพยนตร์สร้างรายได้หมุนเวียนในระบบกว่า 3 หมื่นล้านบาท หากธุรกิจนี้เติบโตก็จะพาให้ธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องเติบโตไปด้วย เช่น ธุรกิจบริการสตูดิโอและอุปกรณ์ในการถ่ายภาพยนตร์,บริการเช่ารถ, นักแสดง, ธุรกิจบริการด้าน Location, ธุรกิจบริการด้าน Visual effect/Computer Graphics, ธุรกิจโรงภาพยนตร์ รวมไปถึงร้านอาหาร การจัดเลี้ยง เป็นต้น ซึ่งจะทําให้เงินในเศรษฐกิจไทยหมุนเวียนได้อีกมากมาย” นางอภิรดี กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์เร่งผลักดันศักยภาพอุตสาหกรรมภาพยนตร์และบันเทิงไทย สู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตของภูมิภาค วันพุธที่ 17 พฤษภาคม 2560 พาณิชย์เร่งผลักดันศักยภาพอุตสาหกรรมภาพยนตร์และบันเทิงไทย สู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตของภูมิภาค นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ กําลังเร่งบูรณาการกับหลายหน่วยงาน ผลักดันธุรกิจบริการด้านภาพยนตร์เพื่อสร้างรากฐานแห่งการเป็นศูนย์กลางสําหรับ Production และ Post-Production ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในปีที่ผ่านมาจํานวนของภาพยนตร์ที่ใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทําเพิ่มขึ้นถึง 15% ภาพรวมของธุรกิจด้านภาพยนตร์ประกอบด้วย 1) Pre-Production : casting, costume, make up, music 2) Production: shooting team, location, equipment service 3) Post Production: computer graphic, visual effect, editing, sound ส่วนที่นํารายได้เข้าสู่ประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การรับจ้าง Outsourcing การบริการ Production และ Post Production รวมทั้งบริการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย (Location Shooting) และขายลิขสิทธิ์ อีกทั้งปัจจุบันมีนักแสดง ผู้สร้างภาพยนตร์ อนิเมชั่นและสเปเชียล เอฟเฟคที่ได้รับรางวัล รวมทั้งได้ร่วมแสดงภาพยนตร์ที่สร้างรายได้ให้ประเทศปีละหลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ รัฐบาลได้ประกาศสิทธิประโยชน์ที่ให้กับภาพยนตร์และสื่อโทรทัศน์ที่เข้ามาถ่ายทําในประเทศไทยที่จะมีผลในปีนี้ คือการให้เงินคืน 15% สําหรับโปรเจคที่มีการลงทุนภายในประเทศไทยขั้นต่ํา 50 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 20% ได้เมื่อรวมกับ 3% หากมีการจ้างงานบุคลากรไทยในตําแหน่งที่สําคัญกับโปรเจคนั้นๆ และ อีก 2% หากมีการโปรโมทประเทศไทยในด้านการท่องเที่ยวในปี 2560 กระทรวงพาณิชย์ได้กําหนดยุทธศาสตร์เกี่ยวกับธุรกิจบริการด้านภาพยนตร์ไว้ 7 ด้าน คือ 1) สร้างให้ไทยเป็นฐานการผลิตงาน ฐานการลงทุนที่มีคุณภาพสูงของเอเชีย(Hub) และเป็นประตู (Gateway) สําหรับนักลงทุน นักธุรกิจต่างชาติที่จะเข้ามาทําธุรกิจในภูมิภาค 2) พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในสาขานี้ ให้มีขีดความสามารถสูงในการคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างผลงานใหม่ ๆ และพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้สามารถรับจ้างผลิตงานที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศมากขึ้น 3) สร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลและหน่วยงานภาคปอกชนกับกลุ่มประเทศเป้าหมาย 4) ขยายตลาดการส่งออกภาพยนตร์ไทยเพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออก 5) สร้างเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของ Creative Content/ IP/ Brand ของไทยและสร้างศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย 6) เพิ่มความสัมพันธ์ทางธุรกิจ ขยายตลาดกับบริษัทต่างชาติ/กระตุ้นการ Co-Production/Investment 7) สร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างรัฐบาลและหน่วยงานภาคเอกชนกับกลุ่มประเทศเป้าหมาย นางอภิรดี กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการหารือผู้ประกอบการไทย สิ่งที่ภาคเอกชนต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐ คือ 1. จัดกิจกรรมเผยแพร่ศักยภาพอุตสาหกรรมภาพยนตร์และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง (Production, Post Production, Computer Graphics) 2. จัดอบรมสัมมนา เพื่อพัฒนาทักษะความรู้ ความสามารถและเทคนิคต่างๆ /ให้แก่ผู้ประกอบการ ซึ่งจะเป็นการยกระดับมาตรฐานการผลิตเพื่อการส่งออกต่อไป 3. นําภาพยนตร์ไทยเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่สําคัญของโลกอย่างต่อเนื่อง 4. จัดคณะผู้แทนการค้า (Inbound/Outbound Business Matching) และ 5.กลยุทธ์เสริมสร้างมิตรทางการค้ากับผู้ลงทุน ผู้สร้าง ผู้กํากับ นักธุรกิจในต่างประเทศ ได้แก่ การจัดThai Night/Networking Party โดยแผนงานในปี 2560 จะเน้นในเรื่องของการร่วมงานแสดงสินค้าเฉพาะ เช่น งาน Cannes Film Festival งานMIPCOM งานAmerican Film Market เทศกาลภาพยนตร์ไทยในกัมพูชา งาน Taipei Film Festival ซึ่งประเทศดังกล่าวเป็นเป้าหมายสําคัญของไทยในการส่งออก “ ธุรกิจบริการด้านภาพยนตร์สร้างรายได้หมุนเวียนในระบบกว่า 3 หมื่นล้านบาท หากธุรกิจนี้เติบโตก็จะพาให้ธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องเติบโตไปด้วย เช่น ธุรกิจบริการสตูดิโอและอุปกรณ์ในการถ่ายภาพยนตร์,บริการเช่ารถ, นักแสดง, ธุรกิจบริการด้าน Location, ธุรกิจบริการด้าน Visual effect/Computer Graphics, ธุรกิจโรงภาพยนตร์ รวมไปถึงร้านอาหาร การจัดเลี้ยง เป็นต้น ซึ่งจะทําให้เงินในเศรษฐกิจไทยหมุนเวียนได้อีกมากมาย” นางอภิรดี กล่าว
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3780
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท.เป็นประธานการประชุมมอบนโยบาย ข้อราชการของกระทรวงมหาดไทย และซักซ้อมแนวทางการปฏิบัติงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม 2560 รมว.มท.เป็นประธานการประชุมมอบนโยบาย ข้อราชการของกระทรวงมหาดไทย และซักซ้อมแนวทางการปฏิบัติงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมมอบนโยบาย ข้อราชการของกระทรวงมหาดไทย และซักซ้อมแนวทางการปฏิบัติงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันนี้ (18ต.ค.) เวลา10:00น. ณ ห้องประชุม1ปภ. อาคาร3ชั้น5กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานการประชุมมอบนโยบาย ข้อราชการของกระทรวงมหาดไทย และซักซ้อมแนวทางการปฏิบัติงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย อธิบดี ผู้ว่าการรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ตรวจราชการกระทรวง ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับฟัง จํานวน146คน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มอบนโยบายฯ โดยเน้นย้ําประเด็นสําคัญ ดังต่อไปนี้ 1. การเตรียมการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในส่วนภูมิภาค ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกํากับดูแลเรื่องการดําเนินการก่อสร้างพระจิตกาธานให้แล้วเสร็จตามแผนที่กําหนดอย่างสมพระเกียรติ เป็นไปตามราชประเพณี และตรวจสอบความพร้อมในทุกขั้นตอนอย่างละเอียดรอบคอบ และขอให้อํานวยความสะดวกพี่น้องประชาชนที่จะเดินทางเข้าร่วมพิธีโดยถือว่าประชาชนเป็นแขกของรัฐบาล และขอให้บูรณาการจิตอาสาเฉพาะกิจพระราชพิธีฯ ร่วมดําเนินการจัดงานให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยด้วย ในเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อย ให้บูรณาการเครือข่ายประชารัฐร่วมดูแลความสงบเรียบร้อยสถานที่ต่าง ๆ และสร้างความตระหนักให้ประชาชนร่วมกันสอดส่องดูแลรักษาความเรียบร้อยในพื้นที่ตนเอง 2. โครงการตลาดประชารัฐ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยดําเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาแก่ประชาชนผู้เดือดร้อน และส่งเสริมให้เกิดผู้ค้ารายใหม่ ให้มีพื้นที่ค้าขาย ซึ่งมีตลาดในโครงการฯ อาทิ ตลาดนัดGreen Marketในความรับผิดชอบขององค์การตลาด กระทรวงมหาดไทย ตลาดประชารัฐคนไทยยิ้มได้ ตลาดในความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น โดยกระทรวงมหาดไทยจะดําเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ จะเปิดรับลงทะเบียนประชาชนที่มีความประสงค์จะค้าขายในตลาดประชารัฐตั้งแต่วันที่1พฤศจิกายน2560พร้อมกันทั่วประเทศ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดต้องบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น บริษัทประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด จํากัด พาณิชย์จังหวัด วัฒนธรรมจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น เพื่อส่งเสริมให้เกิดการขับเคลื่อนโครงการ โดยเน้นให้เกิดพื้นที่ตลาดสําหรับผู้ค้ารายใหม่เพื่อให้ประชาชนมีพื้นที่ค้าขายและเกิดการกระจายรายได้ 3. การบริหารจัดการขยะมูลฝอย ขอให้ทุกจังหวัดเร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ที่ถูกต้องให้แก่ประชาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเรื่องการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการขยะตามพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง (ฉบับที่2) พ.ศ.2560รวมทั้งต้องกํากับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ดําเนินการจัดการขยะอย่างเป็นระบบตั้งแต่ต้นทาง (การลดและคัดแยกขยะมูลฝอย โดยเฉพาะถุงพลาสติก) กลางทาง (ระบบการเก็บและขนส่งขยะ) และปลายทาง (ระบบการกําจัดขยะ) และต้องเร่งขยายผลการดําเนินงานจัดการขยะอย่างเป็นระบบจากจังหวัดไปสู่อําเภอ ตําบล และหมู่บ้าน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนให้เกิดความยั่งยืน 4. การบริหารจัดการน้ํา ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดดําเนินบริหารจัดการน้ําในพื้นที่ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และครอบคลุมทั้งเรื่องน้ําท่วมและน้ําแล้ง โดยบูรณาการกลไกทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อให้การบริหารจัดการน้ําเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 5. การแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ โดยกําชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกําชับนายอําเภอทุกอําเภอให้กํากับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ดําเนินการตามขั้นตอนการขออนุญาตใช้ประโยชน์ที่ดินสาธารณะประโยชน์ด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบ โดยต้องให้ความสําคัญกับการประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ว่ามีการคัดค้านหรือไม่ ก่อนดําเนินการส่งเรื่องมายังจังหวัดเพื่อให้ตรวจสอบก่อนส่งเรื่องมายังกระทรวงมหาดไทยเพื่อขออนุมัติใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยทุกขั้นตอนจะต้องดําเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและอํานาจหน้าที่อย่างเคร่งครัด 6. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้กลไกในพื้นที่ขับเคลื่อนสร้างการรับรู้และความเข้าใจในสัญญาประชาคมให้ประชาชนได้รับทราบอย่างทั่วถึง 7. การแก้ไขปัญหาความยากจน ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนําข้อมูล จปฐ. ไปบูรณาการกับเครือข่ายประชารัฐ และทุกหน่วยงานในพื้นที่ขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โดยน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไปสู่การปฏิบัติจนเป็นวิถีชีวิตของประชาชน สุดท้าย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เน้นย้ําว่า ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้แทนรัฐบาลในพื้นที่ (Area Manager) จะต้องเป็นผู้นําในการขับเคลื่อนนโยบายสําคัญของรัฐบาลให้เกิดผลเป็นรูปธรรมเพื่อให้เกิดความผาสุกของประชาชนอย่างยั่งยืน. ครั้งที่150/2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท.เป็นประธานการประชุมมอบนโยบาย ข้อราชการของกระทรวงมหาดไทย และซักซ้อมแนวทางการปฏิบัติงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม 2560 รมว.มท.เป็นประธานการประชุมมอบนโยบาย ข้อราชการของกระทรวงมหาดไทย และซักซ้อมแนวทางการปฏิบัติงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมมอบนโยบาย ข้อราชการของกระทรวงมหาดไทย และซักซ้อมแนวทางการปฏิบัติงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันนี้ (18ต.ค.) เวลา10:00น. ณ ห้องประชุม1ปภ. อาคาร3ชั้น5กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานการประชุมมอบนโยบาย ข้อราชการของกระทรวงมหาดไทย และซักซ้อมแนวทางการปฏิบัติงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย อธิบดี ผู้ว่าการรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ตรวจราชการกระทรวง ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับฟัง จํานวน146คน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มอบนโยบายฯ โดยเน้นย้ําประเด็นสําคัญ ดังต่อไปนี้ 1. การเตรียมการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในส่วนภูมิภาค ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกํากับดูแลเรื่องการดําเนินการก่อสร้างพระจิตกาธานให้แล้วเสร็จตามแผนที่กําหนดอย่างสมพระเกียรติ เป็นไปตามราชประเพณี และตรวจสอบความพร้อมในทุกขั้นตอนอย่างละเอียดรอบคอบ และขอให้อํานวยความสะดวกพี่น้องประชาชนที่จะเดินทางเข้าร่วมพิธีโดยถือว่าประชาชนเป็นแขกของรัฐบาล และขอให้บูรณาการจิตอาสาเฉพาะกิจพระราชพิธีฯ ร่วมดําเนินการจัดงานให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยด้วย ในเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อย ให้บูรณาการเครือข่ายประชารัฐร่วมดูแลความสงบเรียบร้อยสถานที่ต่าง ๆ และสร้างความตระหนักให้ประชาชนร่วมกันสอดส่องดูแลรักษาความเรียบร้อยในพื้นที่ตนเอง 2. โครงการตลาดประชารัฐ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยดําเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาแก่ประชาชนผู้เดือดร้อน และส่งเสริมให้เกิดผู้ค้ารายใหม่ ให้มีพื้นที่ค้าขาย ซึ่งมีตลาดในโครงการฯ อาทิ ตลาดนัดGreen Marketในความรับผิดชอบขององค์การตลาด กระทรวงมหาดไทย ตลาดประชารัฐคนไทยยิ้มได้ ตลาดในความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น โดยกระทรวงมหาดไทยจะดําเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ จะเปิดรับลงทะเบียนประชาชนที่มีความประสงค์จะค้าขายในตลาดประชารัฐตั้งแต่วันที่1พฤศจิกายน2560พร้อมกันทั่วประเทศ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดต้องบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น บริษัทประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด จํากัด พาณิชย์จังหวัด วัฒนธรรมจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น เพื่อส่งเสริมให้เกิดการขับเคลื่อนโครงการ โดยเน้นให้เกิดพื้นที่ตลาดสําหรับผู้ค้ารายใหม่เพื่อให้ประชาชนมีพื้นที่ค้าขายและเกิดการกระจายรายได้ 3. การบริหารจัดการขยะมูลฝอย ขอให้ทุกจังหวัดเร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ที่ถูกต้องให้แก่ประชาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเรื่องการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการขยะตามพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง (ฉบับที่2) พ.ศ.2560รวมทั้งต้องกํากับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ดําเนินการจัดการขยะอย่างเป็นระบบตั้งแต่ต้นทาง (การลดและคัดแยกขยะมูลฝอย โดยเฉพาะถุงพลาสติก) กลางทาง (ระบบการเก็บและขนส่งขยะ) และปลายทาง (ระบบการกําจัดขยะ) และต้องเร่งขยายผลการดําเนินงานจัดการขยะอย่างเป็นระบบจากจังหวัดไปสู่อําเภอ ตําบล และหมู่บ้าน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนให้เกิดความยั่งยืน 4. การบริหารจัดการน้ํา ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดดําเนินบริหารจัดการน้ําในพื้นที่ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และครอบคลุมทั้งเรื่องน้ําท่วมและน้ําแล้ง โดยบูรณาการกลไกทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อให้การบริหารจัดการน้ําเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 5. การแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ โดยกําชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกําชับนายอําเภอทุกอําเภอให้กํากับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ดําเนินการตามขั้นตอนการขออนุญาตใช้ประโยชน์ที่ดินสาธารณะประโยชน์ด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบ โดยต้องให้ความสําคัญกับการประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ว่ามีการคัดค้านหรือไม่ ก่อนดําเนินการส่งเรื่องมายังจังหวัดเพื่อให้ตรวจสอบก่อนส่งเรื่องมายังกระทรวงมหาดไทยเพื่อขออนุมัติใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยทุกขั้นตอนจะต้องดําเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและอํานาจหน้าที่อย่างเคร่งครัด 6. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้กลไกในพื้นที่ขับเคลื่อนสร้างการรับรู้และความเข้าใจในสัญญาประชาคมให้ประชาชนได้รับทราบอย่างทั่วถึง 7. การแก้ไขปัญหาความยากจน ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนําข้อมูล จปฐ. ไปบูรณาการกับเครือข่ายประชารัฐ และทุกหน่วยงานในพื้นที่ขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โดยน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไปสู่การปฏิบัติจนเป็นวิถีชีวิตของประชาชน สุดท้าย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เน้นย้ําว่า ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้แทนรัฐบาลในพื้นที่ (Area Manager) จะต้องเป็นผู้นําในการขับเคลื่อนนโยบายสําคัญของรัฐบาลให้เกิดผลเป็นรูปธรรมเพื่อให้เกิดความผาสุกของประชาชนอย่างยั่งยืน. ครั้งที่150/2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7493
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำผู้ว่าฯ 17 จังหวัดภาคเหนือ ดูแลประชาชนให้ปลอดภัย เยียวยาพื้นที่เกษตรที่เสียหาย และหลังน้ำลดให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว
วันพุธที่ 4 กันยายน 2562 นายกรัฐมนตรีย้ําผู้ว่าฯ 17 จังหวัดภาคเหนือ ดูแลประชาชนให้ปลอดภัย เยียวยาพื้นที่เกษตรที่เสียหาย และหลังน้ําลดให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว นายกรัฐมนตรีย้ําผู้ว่าฯ 17 จังหวัดภาคเหนือ ดูแลประชาชนให้ปลอดภัย เยียวยาพื้นที่เกษตรที่เสียหาย และหลังน้ําลดให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว วันนี้ (4 ก.ย.62) เวลา 13.30น. ณ ห้องสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อําเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดภาคเหนือ 17 จังหวัด หาแนวทางช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดภาคเหนือ โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมหารือด้วย ศาตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยข้อสังการนายกรัฐมนตรีในการประชุมร่วมผู้ว่า 17 จังหวัดภาคเหนือว่า รัฐบาลตั้งใจแก้ปัญหาน้ําอย่างยั่งยืน ทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกัน รวมถึงเกษตรกรด้วย วันนี้ตั้งใจเดินทางมาติดตามปัญหาน้ําท่วมในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและสุโขทัย เพราะเป็นพื้นที่ประสบปัญหาน้ําท่วมมาโดยตลอด ต้องมาหาแนวทางมาร่วมกัน ทั้งเก็บกักน้ําไว้ใช้ในที่ลุ่ม ปรับเปลี่ยนอาชีพ ส่งเสริมอาชีพประมง อาชีพเลี้ยงสัตว์ และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการพัฒนาลุ่มน้ําคลองชมพู และโครงการพัฒนาลุ่มน้ําวังทอง โครงการที่มีความเร่งด่วนสามารถทําก็ให้พิจารณาดําเนินการก่อน โดยต้องหาแนวทางในการเก็บน้ําไว้ใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ทั้งเร่งเยียวยาในส่วนพื้นที่การเกษตรที่เสียหายตามหลักเกณฑ์ที่มีอยู่ ทั้งนี้ ขอให้น้อมนําแนวพระราชดําริในหลวงรัชกาลที่ 9 มาปฏิบัติ โดยเฉพาะการจูงน้ําไปเก็บไว้ และในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงห่วงใยและสั่งให้ดูแลประชาชนอย่างดีที่สุด ซึ่งขอแสดงความเสียใจต่อประชาชนที่สูญเสียซึ่งสั่งให้ความช่วยเหลือโดยด่วนแล้ว ในที่ประชุม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยยังย้ําว่า ความเสียหายครั้งนี้มีมาก รวมแล้วกว่า 6 แสนกว่าไร่ ส่วนใหญ่เป็นที่นา รวมทั้งมีการรายงานผู้เสียชีวิตรวม 16 ราย จึงต้องยกระดับการแจ้งเตือน น้ําหลากมาฉับพลัน เพื่อให้พร้อมรับสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที ทุกฝ่ายต้องติดตามสถานการณ์พายุและมีการแจ้งเตือนภัยอย่างใกล้ชิด ติดตามประเมินสถานการณ์ ปรับแผนการทํางานที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ให้มีการระบายน้ําที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการเร่งอพยพประชาชนให้ไปอยู่ในที่ปลอดภัยโดยด่วน กรณีมีน้ําท่วมสูง หลังน้ําลดก็ให้เร่งแก้ปัญหาเพื่อให้ประชาชนสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ตลอดจนพิจารณาตามแนวทางนายกรัฐมนตรีให้จูงน้ําไปเก็บไว้ใช้ประโยชน์ในช่วงฤดูแล้ง และแนวทางใหม่ คือการนําน้ําไปเก็บในที่เอกชนหรือที่ของประชาชน ให้เป็นพื้นที่รับน้ํา โดยต้องมีการฟื้นฟูเยียวยาอย่างเหมาะสมด้วย ทั้งนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 10ทรงพระราชทานแนวทางว่า จะต้องให้ประชาชนกลับมามีชีวิตปกติให้เร็วที่สุด โดยให้ท้องถิ่นและป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยลงไปช่วยดูแลก่อนเลย โรงครัวพระราชทานนําส่งอาหารถึงบ้านสําหรับบางคนที่ต้องเฝ้าบ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กล่าวว่า กรมชลประทานได้จัดเวรเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง และเร่งฟื้นฟูเยียวยาภายหลังน้ําลดทุกพื้นที่ โดยมีการเร่งสํารวจความเสียหายเพื่อให้ได้ข้อมูลภายในหนึ่งสัปดาห์ รวมทั้งให้กรมประมงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสํารวจพื้นที่ที่จูงน้ําเข้าไปเก็บ การนําสัตว์น้ําไปปล่อยในพื้นที่เพื่อเป็นอาหารสําหรับประชาชน รวมถึงการนําพันธุ์พืชอายุสั้นมอบให้เกษตรกรเพาะปลูกเพื่อสร้างรายได้และอาชีพให้กับประชาชนในพื้นที่ นายกรัฐมนตรีได้กําชับข้าราชการระดับจังหวัดจะต้องทํางานอย่างมีประสิทธิภาพ ทุกส่วนราชการที่ขึ้นกับผู้ว่าราชการจังหวัดต้องทํางานอย่างเข้มแข็งต้องไม่มีการทุจริต มาตรการรองรับภัยต้องมีแผนดําเนินการตั้งแต่ก่อนเกิดภัย การประชาสัมพันธ์ต้องแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ ให้เฝ้าระวังและปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง การอพยพประชาชนไปอยู่ในที่ปลอดภัย รวมทั้งเร่งดําเนินการเยียวยาหลังน้ําลด การสนับสนุนเครื่องจักรเครื่องมือ รวมทั้งต้องเตรียมการพร้อมรับพายุลูกใหม่ที่จะเกิดขึ้น ทั้งการประกาศแจ้งเตือนทางวิทยุและสื่อโชเชียลต่าง ๆ ผ่านทางโทรศัพท์ หากพื้นที่น้ําหลาก เจ้าหน้าที่ต้องรีบดําเนินการตัดไฟทันที เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน เฝ้าระวังสัตว์มีพิษ ทั้งนี้ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณ ทั้ง 3 ส่วน คือ งบกลางใช้เร่งด่วน งบฟังก์ชั่น และงบท้องถิ่น ขอให้ดําเนินการตามห้วงเวลาและเป้าหมายที่กําหนด นายกรัฐมนตรียังพร้อมรับพิจารณาโครงการเกี่ยวกับน้ําของทุกจังหวัด ขอเพียงให้ดําเนินการอย่างถูกต้องตามขั้นตอนและจัดลําดับความสําคัญเร่งด่วน ก่อน จากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะได้เดินทางต่อไปยัง อ. วังทอง เพื่อมอบสิ่งของพระราชทานฯ ผู้ประสบภัยด้วย ......................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ และสํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำผู้ว่าฯ 17 จังหวัดภาคเหนือ ดูแลประชาชนให้ปลอดภัย เยียวยาพื้นที่เกษตรที่เสียหาย และหลังน้ำลดให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว วันพุธที่ 4 กันยายน 2562 นายกรัฐมนตรีย้ําผู้ว่าฯ 17 จังหวัดภาคเหนือ ดูแลประชาชนให้ปลอดภัย เยียวยาพื้นที่เกษตรที่เสียหาย และหลังน้ําลดให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว นายกรัฐมนตรีย้ําผู้ว่าฯ 17 จังหวัดภาคเหนือ ดูแลประชาชนให้ปลอดภัย เยียวยาพื้นที่เกษตรที่เสียหาย และหลังน้ําลดให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว วันนี้ (4 ก.ย.62) เวลา 13.30น. ณ ห้องสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อําเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดภาคเหนือ 17 จังหวัด หาแนวทางช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดภาคเหนือ โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมหารือด้วย ศาตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยข้อสังการนายกรัฐมนตรีในการประชุมร่วมผู้ว่า 17 จังหวัดภาคเหนือว่า รัฐบาลตั้งใจแก้ปัญหาน้ําอย่างยั่งยืน ทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกัน รวมถึงเกษตรกรด้วย วันนี้ตั้งใจเดินทางมาติดตามปัญหาน้ําท่วมในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและสุโขทัย เพราะเป็นพื้นที่ประสบปัญหาน้ําท่วมมาโดยตลอด ต้องมาหาแนวทางมาร่วมกัน ทั้งเก็บกักน้ําไว้ใช้ในที่ลุ่ม ปรับเปลี่ยนอาชีพ ส่งเสริมอาชีพประมง อาชีพเลี้ยงสัตว์ และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการพัฒนาลุ่มน้ําคลองชมพู และโครงการพัฒนาลุ่มน้ําวังทอง โครงการที่มีความเร่งด่วนสามารถทําก็ให้พิจารณาดําเนินการก่อน โดยต้องหาแนวทางในการเก็บน้ําไว้ใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ทั้งเร่งเยียวยาในส่วนพื้นที่การเกษตรที่เสียหายตามหลักเกณฑ์ที่มีอยู่ ทั้งนี้ ขอให้น้อมนําแนวพระราชดําริในหลวงรัชกาลที่ 9 มาปฏิบัติ โดยเฉพาะการจูงน้ําไปเก็บไว้ และในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงห่วงใยและสั่งให้ดูแลประชาชนอย่างดีที่สุด ซึ่งขอแสดงความเสียใจต่อประชาชนที่สูญเสียซึ่งสั่งให้ความช่วยเหลือโดยด่วนแล้ว ในที่ประชุม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยยังย้ําว่า ความเสียหายครั้งนี้มีมาก รวมแล้วกว่า 6 แสนกว่าไร่ ส่วนใหญ่เป็นที่นา รวมทั้งมีการรายงานผู้เสียชีวิตรวม 16 ราย จึงต้องยกระดับการแจ้งเตือน น้ําหลากมาฉับพลัน เพื่อให้พร้อมรับสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที ทุกฝ่ายต้องติดตามสถานการณ์พายุและมีการแจ้งเตือนภัยอย่างใกล้ชิด ติดตามประเมินสถานการณ์ ปรับแผนการทํางานที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ให้มีการระบายน้ําที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการเร่งอพยพประชาชนให้ไปอยู่ในที่ปลอดภัยโดยด่วน กรณีมีน้ําท่วมสูง หลังน้ําลดก็ให้เร่งแก้ปัญหาเพื่อให้ประชาชนสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ตลอดจนพิจารณาตามแนวทางนายกรัฐมนตรีให้จูงน้ําไปเก็บไว้ใช้ประโยชน์ในช่วงฤดูแล้ง และแนวทางใหม่ คือการนําน้ําไปเก็บในที่เอกชนหรือที่ของประชาชน ให้เป็นพื้นที่รับน้ํา โดยต้องมีการฟื้นฟูเยียวยาอย่างเหมาะสมด้วย ทั้งนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 10ทรงพระราชทานแนวทางว่า จะต้องให้ประชาชนกลับมามีชีวิตปกติให้เร็วที่สุด โดยให้ท้องถิ่นและป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยลงไปช่วยดูแลก่อนเลย โรงครัวพระราชทานนําส่งอาหารถึงบ้านสําหรับบางคนที่ต้องเฝ้าบ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กล่าวว่า กรมชลประทานได้จัดเวรเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง และเร่งฟื้นฟูเยียวยาภายหลังน้ําลดทุกพื้นที่ โดยมีการเร่งสํารวจความเสียหายเพื่อให้ได้ข้อมูลภายในหนึ่งสัปดาห์ รวมทั้งให้กรมประมงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสํารวจพื้นที่ที่จูงน้ําเข้าไปเก็บ การนําสัตว์น้ําไปปล่อยในพื้นที่เพื่อเป็นอาหารสําหรับประชาชน รวมถึงการนําพันธุ์พืชอายุสั้นมอบให้เกษตรกรเพาะปลูกเพื่อสร้างรายได้และอาชีพให้กับประชาชนในพื้นที่ นายกรัฐมนตรีได้กําชับข้าราชการระดับจังหวัดจะต้องทํางานอย่างมีประสิทธิภาพ ทุกส่วนราชการที่ขึ้นกับผู้ว่าราชการจังหวัดต้องทํางานอย่างเข้มแข็งต้องไม่มีการทุจริต มาตรการรองรับภัยต้องมีแผนดําเนินการตั้งแต่ก่อนเกิดภัย การประชาสัมพันธ์ต้องแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ ให้เฝ้าระวังและปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง การอพยพประชาชนไปอยู่ในที่ปลอดภัย รวมทั้งเร่งดําเนินการเยียวยาหลังน้ําลด การสนับสนุนเครื่องจักรเครื่องมือ รวมทั้งต้องเตรียมการพร้อมรับพายุลูกใหม่ที่จะเกิดขึ้น ทั้งการประกาศแจ้งเตือนทางวิทยุและสื่อโชเชียลต่าง ๆ ผ่านทางโทรศัพท์ หากพื้นที่น้ําหลาก เจ้าหน้าที่ต้องรีบดําเนินการตัดไฟทันที เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน เฝ้าระวังสัตว์มีพิษ ทั้งนี้ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณ ทั้ง 3 ส่วน คือ งบกลางใช้เร่งด่วน งบฟังก์ชั่น และงบท้องถิ่น ขอให้ดําเนินการตามห้วงเวลาและเป้าหมายที่กําหนด นายกรัฐมนตรียังพร้อมรับพิจารณาโครงการเกี่ยวกับน้ําของทุกจังหวัด ขอเพียงให้ดําเนินการอย่างถูกต้องตามขั้นตอนและจัดลําดับความสําคัญเร่งด่วน ก่อน จากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะได้เดินทางต่อไปยัง อ. วังทอง เพื่อมอบสิ่งของพระราชทานฯ ผู้ประสบภัยด้วย ......................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ และสํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22798
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” หารือ นำแพลตฟอร์ม ไทยชนะ ปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละหน่วยงานภาครัฐ ยึดหลักการจัดการข้อมูลตามธรรมาภิบาลภาครัฐและไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563 “ดีอีเอส” หารือ นําแพลตฟอร์ม ไทยชนะ ปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละหน่วยงานภาครัฐ ยึดหลักการจัดการข้อมูลตามธรรมาภิบาลภาครัฐและไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล “ดีอีเอส” หารือ นําแพลตฟอร์ม ไทยชนะ ปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละหน่วยงานภาครัฐ ยึดหลักการจัดการข้อมูลตามธรรมาภิบาลภาครัฐและไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการบูรณาการแอปพลิเคชั่น ในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ครั้งที่ 1/2563 ณ อาคารสํานักงาน ก.พ. เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2563 โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ได้ระบุว่ากรอบแนวทางการจัดทํา Application เพื่อให้บริการประชาชน ของหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ว่า ควรดําเนินการตามมาตรฐานการจัดการข้อมูล ตามกรอบธรรมาภิบาลข้อมูล รวมทั้งเป็นไปตาม พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ในการนี้หน่วยงานต่างๆ สามารถนําแพลตฟอร์ม ไทยชนะ ไปปรับใช้ให้สอดคล้องเหมาะสมกับลักษณะการให้บริการของหน่วยงานได้ ***************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” หารือ นำแพลตฟอร์ม ไทยชนะ ปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละหน่วยงานภาครัฐ ยึดหลักการจัดการข้อมูลตามธรรมาภิบาลภาครัฐและไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563 “ดีอีเอส” หารือ นําแพลตฟอร์ม ไทยชนะ ปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละหน่วยงานภาครัฐ ยึดหลักการจัดการข้อมูลตามธรรมาภิบาลภาครัฐและไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล “ดีอีเอส” หารือ นําแพลตฟอร์ม ไทยชนะ ปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละหน่วยงานภาครัฐ ยึดหลักการจัดการข้อมูลตามธรรมาภิบาลภาครัฐและไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการบูรณาการแอปพลิเคชั่น ในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ครั้งที่ 1/2563 ณ อาคารสํานักงาน ก.พ. เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2563 โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ได้ระบุว่ากรอบแนวทางการจัดทํา Application เพื่อให้บริการประชาชน ของหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ว่า ควรดําเนินการตามมาตรฐานการจัดการข้อมูล ตามกรอบธรรมาภิบาลข้อมูล รวมทั้งเป็นไปตาม พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ในการนี้หน่วยงานต่างๆ สามารถนําแพลตฟอร์ม ไทยชนะ ไปปรับใช้ให้สอดคล้องเหมาะสมกับลักษณะการให้บริการของหน่วยงานได้ ***************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32559
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยเปิดรับชำระค่าธรรมเนียมแรงงานต่างด้าวถึง 31 มีนาคมนี้
วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 กรุงไทยเปิดรับชําระค่าธรรมเนียมแรงงานต่างด้าวถึง 31 มีนาคมนี้ ธนาคารกรุงไทยอํานวยความสะดวกให้นายจ้าง ที่ได้รับอนุญาตให้นําคนต่างด้าวเข้ามาทํางานในประเทศ 3 สัญชาติ ได้แก่ เมียนมา ลาว และกัมพูชา จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 ธนาคารกรุงไทยอํานวยความสะดวกให้นายจ้าง ที่ได้รับอนุญาตให้นําคนต่างด้าวเข้ามาทํางานในประเทศ 3 สัญชาติ ได้แก่ เมียนมา ลาว และกัมพูชา ที่ใบอนุญาตจะสิ้นสุดก่อนวันที่ 31 มีนาคม 2563 และวันที่ 30 มิถุนายน 2563 สามารถชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทํางานและเงินหลักประกัน ผ่านสาขาธนาคารทั่วประเทศ ตู้ ATM และ ส่วนนายจ้างที่เป็นนิติบุคคล ยังสามารถชําระผ่าน Krungthai Corporate Online ได้อีกด้วย ทั้งนี้ การชําระค่าธรรมเนียมผ่านช่องทางต่างๆของธนาคาร นายจ้างเพียงยื่นคําขออนุญาตผ่านระบบ e-Service ของกรมการจัดหางาน หลังได้รับอนุญาตแล้ว นําใบแจ้งการชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาต และค่าเงินหลักประกันยื่นชําระผ่านช่องทางที่สะดวกได้ จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 ฝ่ายกลยุทธ์การตลาด โทร 02-208-4174 – 8
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยเปิดรับชำระค่าธรรมเนียมแรงงานต่างด้าวถึง 31 มีนาคมนี้ วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 กรุงไทยเปิดรับชําระค่าธรรมเนียมแรงงานต่างด้าวถึง 31 มีนาคมนี้ ธนาคารกรุงไทยอํานวยความสะดวกให้นายจ้าง ที่ได้รับอนุญาตให้นําคนต่างด้าวเข้ามาทํางานในประเทศ 3 สัญชาติ ได้แก่ เมียนมา ลาว และกัมพูชา จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 ธนาคารกรุงไทยอํานวยความสะดวกให้นายจ้าง ที่ได้รับอนุญาตให้นําคนต่างด้าวเข้ามาทํางานในประเทศ 3 สัญชาติ ได้แก่ เมียนมา ลาว และกัมพูชา ที่ใบอนุญาตจะสิ้นสุดก่อนวันที่ 31 มีนาคม 2563 และวันที่ 30 มิถุนายน 2563 สามารถชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทํางานและเงินหลักประกัน ผ่านสาขาธนาคารทั่วประเทศ ตู้ ATM และ ส่วนนายจ้างที่เป็นนิติบุคคล ยังสามารถชําระผ่าน Krungthai Corporate Online ได้อีกด้วย ทั้งนี้ การชําระค่าธรรมเนียมผ่านช่องทางต่างๆของธนาคาร นายจ้างเพียงยื่นคําขออนุญาตผ่านระบบ e-Service ของกรมการจัดหางาน หลังได้รับอนุญาตแล้ว นําใบแจ้งการชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาต และค่าเงินหลักประกันยื่นชําระผ่านช่องทางที่สะดวกได้ จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 ฝ่ายกลยุทธ์การตลาด โทร 02-208-4174 – 8
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26704
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์ “เคลียร์ คัท ชัดเจน” แก้ปัญหาได้ผล ขจัดอุปสรรคเร่งรัดสินเชื่อให้เอสเอ็มอีไปแล้ว 1,625 ราย วงเงิน 1,000 ล้านบาท
วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม 2560 ศูนย์ “เคลียร์ คัท ชัดเจน” แก้ปัญหาได้ผล ขจัดอุปสรรคเร่งรัดสินเชื่อให้เอสเอ็มอีไปแล้ว 1,625 ราย วงเงิน 1,000 ล้านบาท ผลการปฏิบัติงานของศูนย์ติดตามสินเชื่อ “เคลียร์ คัท ชัดเจน” Call Center 1357 ที่เปิดบริการตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา สามารถติดตามแก้ไขปัญหาให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ยื่นขอสินเชื่อกับ สสว. นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. หรือ SME Development Bank) เผยผลการปฏิบัติงานของศูนย์ติดตามสินเชื่อ “เคลียร์ คัท ชัดเจน” Call Center 1357 ที่เปิดบริการตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา พบว่า สามารถติดตามแก้ไขปัญหาให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ยื่นขอสินเชื่อกับสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เพื่อนําไปพลิกฟื้นธุรกิจ จํานวน 1,625 ราย วงเงิน 1,000 ล้านบาท โดยมีผู้ประกอบการที่ผ่านการอนุมัติแล้ว 427 ราย วงเงิน 355.15 ล้านบาท ได้เบิกจ่ายให้ผู้ประกอบการ SMEs 295 ราย วงเงิน 255.50 ล้านบาท เร่งรัดการเบิกจ่ายที่อนุมัติสินเชื่อแล้ว 65 ราย วงเงิน 52.15 ล้านบาท และอยู่ระหว่างทําสัญญาจํานวน 67 ราย วงเงิน 47.5 ล้านบาท จะส่งสัญญาให้ผู้ประกอบการภายใน 19 ธันวาคม 2560 และมีการติดตามเบิกจ่ายให้ผู้ประกอบการภายใน ธันวาคม 2560 ทั้งนี้มีคําขอของผู้ประกอบการที่อยู่ระหว่างดําเนินการที่เหลือ จํานวน 940 ราย วงเงิน 650 ล้านบาท จะเร่งรัดเบิกจ่ายเงินกู้ให้แล้วเสร็จภายใน มกราคม 2561 ด้านคําขอกู้ โครงการฟื้นฟูวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วงเงิน 2,000 ล้าน เป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย ปัจจุบันมีคําขอกู้ จํานวน 24,617 ราย อนุมัติไปแล้วจํานวน 1,835 ราย วงเงิน 543.37 ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 609 ราย วงเงิน 300 ล้านบาท จะดําเนินการปรับหลักเกณฑ์ภายในวันที่ 15 ธันวาคม 2560 เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น นายมงคล กล่าวด้วยว่า ศูนย์ติดตามสินเชื่อ “เคลียร์ คัท ชัดเจน” Call Center 1357 ตั้งขึ้นเพื่ออํานวยความสะดวกในการปล่อยสินเชื่อและตอบปัญหาให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ยื่นขอสินเชื่อผ่านโครงการต่างๆ หรือกองทุนสินเชื่อภาครัฐตามที่ธนาคารได้รับมอบหมาย ได้แก่ กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ กองทุนฟื้นฟู SMEs ของ สสว. และโครงการสินเชื่อต่างๆ ของธนาคาร ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ตอบทุกคําถามอย่างถูกต้อง และรวดเร็ว ช่วยให้ผู้ยื่นขอสินเชื่อคลายสงสัยและความกังวลใจ รวมถึงทราบถึงความคืบหน้าในการดําเนินการอนุมัติสินเชื่อ ขณะเดียวกัน ศูนย์ฯ ยังทําหน้าที่ให้คําปรึกษาทางธุรกิจอีกด้วย ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายส่งเสริมการตลาด ลูกค้าสัมพันธ์และกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 085-980-7861,02-265-4404
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์ “เคลียร์ คัท ชัดเจน” แก้ปัญหาได้ผล ขจัดอุปสรรคเร่งรัดสินเชื่อให้เอสเอ็มอีไปแล้ว 1,625 ราย วงเงิน 1,000 ล้านบาท วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม 2560 ศูนย์ “เคลียร์ คัท ชัดเจน” แก้ปัญหาได้ผล ขจัดอุปสรรคเร่งรัดสินเชื่อให้เอสเอ็มอีไปแล้ว 1,625 ราย วงเงิน 1,000 ล้านบาท ผลการปฏิบัติงานของศูนย์ติดตามสินเชื่อ “เคลียร์ คัท ชัดเจน” Call Center 1357 ที่เปิดบริการตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา สามารถติดตามแก้ไขปัญหาให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ยื่นขอสินเชื่อกับ สสว. นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. หรือ SME Development Bank) เผยผลการปฏิบัติงานของศูนย์ติดตามสินเชื่อ “เคลียร์ คัท ชัดเจน” Call Center 1357 ที่เปิดบริการตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา พบว่า สามารถติดตามแก้ไขปัญหาให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ยื่นขอสินเชื่อกับสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เพื่อนําไปพลิกฟื้นธุรกิจ จํานวน 1,625 ราย วงเงิน 1,000 ล้านบาท โดยมีผู้ประกอบการที่ผ่านการอนุมัติแล้ว 427 ราย วงเงิน 355.15 ล้านบาท ได้เบิกจ่ายให้ผู้ประกอบการ SMEs 295 ราย วงเงิน 255.50 ล้านบาท เร่งรัดการเบิกจ่ายที่อนุมัติสินเชื่อแล้ว 65 ราย วงเงิน 52.15 ล้านบาท และอยู่ระหว่างทําสัญญาจํานวน 67 ราย วงเงิน 47.5 ล้านบาท จะส่งสัญญาให้ผู้ประกอบการภายใน 19 ธันวาคม 2560 และมีการติดตามเบิกจ่ายให้ผู้ประกอบการภายใน ธันวาคม 2560 ทั้งนี้มีคําขอของผู้ประกอบการที่อยู่ระหว่างดําเนินการที่เหลือ จํานวน 940 ราย วงเงิน 650 ล้านบาท จะเร่งรัดเบิกจ่ายเงินกู้ให้แล้วเสร็จภายใน มกราคม 2561 ด้านคําขอกู้ โครงการฟื้นฟูวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วงเงิน 2,000 ล้าน เป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย ปัจจุบันมีคําขอกู้ จํานวน 24,617 ราย อนุมัติไปแล้วจํานวน 1,835 ราย วงเงิน 543.37 ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 609 ราย วงเงิน 300 ล้านบาท จะดําเนินการปรับหลักเกณฑ์ภายในวันที่ 15 ธันวาคม 2560 เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น นายมงคล กล่าวด้วยว่า ศูนย์ติดตามสินเชื่อ “เคลียร์ คัท ชัดเจน” Call Center 1357 ตั้งขึ้นเพื่ออํานวยความสะดวกในการปล่อยสินเชื่อและตอบปัญหาให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ยื่นขอสินเชื่อผ่านโครงการต่างๆ หรือกองทุนสินเชื่อภาครัฐตามที่ธนาคารได้รับมอบหมาย ได้แก่ กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ กองทุนฟื้นฟู SMEs ของ สสว. และโครงการสินเชื่อต่างๆ ของธนาคาร ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ตอบทุกคําถามอย่างถูกต้อง และรวดเร็ว ช่วยให้ผู้ยื่นขอสินเชื่อคลายสงสัยและความกังวลใจ รวมถึงทราบถึงความคืบหน้าในการดําเนินการอนุมัติสินเชื่อ ขณะเดียวกัน ศูนย์ฯ ยังทําหน้าที่ให้คําปรึกษาทางธุรกิจอีกด้วย ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายส่งเสริมการตลาด ลูกค้าสัมพันธ์และกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 085-980-7861,02-265-4404
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8764
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขาธิการองค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน 2561 เลขาธิการองค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี เลขาธิการองค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี วันนี้ (31 พ.ค. 2561) เวลา 09.30 น. ณ ทําเนียบรัฐบาล นายซูรับ โปโลลิคาซวิลลี่ (Zurab Pololikashvili) เลขาธิการองค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations World Tourism Organization: UNWTO) เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมงาน The 4th UNWTO World Forum on Gastronomy Tourism สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้ นายรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีกับนายโปโลลิคาซวิลลี่ ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งเลขาธิการ UNWTO เมื่อต้นปีที่ผ่านมา และยินดีที่ไทยที่ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดงาน World Forum on Gastronomy Tourism ครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จัดนอกภูมิภาคยุโรป และไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียที่เป็นเจ้าภาพจัดงานดังกล่าว ไทยให้ความสําคัญกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงอาหาร เนื่องจากไทยมีอาหารที่หลากหลายและมีเอกลักษณ์ โดยในปัจจุบันมีอาหารไทย หลายชนิดที่ได้รับความนิยมในระดับโลก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อชุมชนท้องถิ่น รวมทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมด้วย โดยนายกรัฐมนตรีเห็นว่า การเยือนไทยในครั้งนี้ของ เลขาธิการ UNWTO เป็นโอกาสดีที่จะได้ลองชิมรสชาติ อาหารไทยดั้งเดิม และหวังว่าจะช่วย ส่งเสริมและผลักดันให้อาหารไทยที่มีคุณภาพ และรสชาติดั้งเดิมให้เป็นที่รู้จัก ไปทั่วโลกด้วย ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ ไทยกับ UNWTO มีความร่วมมือที่สร้างสรรค์และ ใกล้ชิดกันมากว่า 30 ปี โดยไทยยินดีและขอบคุณ UNWTO ที่เห็นถึงศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของไทย และเลือกให้ไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานด้านการท่องเที่ยวระดับโลกหลายครั้ง ทั้งนี้รัฐบาลประสงค์จะพัฒนาการท่องเที่ยวและการบริการการท่องเที่ยวให้มีมาตรฐานสากล โดยนําเทคโนโลยีมาใช้เพื่ออํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของไทยมากขึ้น ซึ่งไทยหวังว่าจะได้รับคําแนะนํา ความเชี่ยวชาญ และการสนับสนุนด้านเทคนิคจาก UNWTO ในการยกระดับการท่องเที่ยวของไทยเพื่อให้ไทยเป็นผู้นํา ด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคและโลก เช่น การจัดทํายุทธศาสตร์การท่องเที่ยว และการพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยวทั้งภาครัฐ ผู้ประกอบการ และมัคคุเทศก์ โดยเฉพาะการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดําเนินการ นอกจากนี้ ไทยยังมีนโยบาย 2 ประเทศ 1 จุดหมายปลายทางกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีเป้าหมายที่จะเชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน เพื่อยกระดับให้ภูมิภาคนี้เป็นจุดหมายปลายทางเดียวกัน และให้เกิดการพัฒนา เศรษฐกิจ ทั้งในระดับชุมชนและภูมิภาคอย่างเท่าเทียม ตามนโยบายของไทยที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้านเลขาธิการ UNWTO กล่าวยินดีที่ได้เดินทางมาประเทศไทย ซึ่งไทยถือเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สําคัญของโลก โดย UNWTO พร้อมร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการแบ่งปันความรู้ และประสบการณ์ เพื่อสนับสนุนให้การท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เลขาธิการ UNWTO ยังได้กล่าวชื่นชมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ภายใต้การนําของนายกรัฐมนตรี โดยเห็นว่าสามารถเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประเทศอื่นๆทั่วโลก ทั้งในความมีอัธยาศัยไมตรีของคนไทย ความเป็นกันเอง รวมถึงการให้บริการ ทั้งนี้ UNWTO ให้ความสําคัญกับเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมมาใช้เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไปสู่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ รวมถึงส่งเสริมรูปแบบการท่องเที่ยวในมิติใหม่ เช่น เชิงศาสนา ประเพณี และวัฒนธรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขาธิการองค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน 2561 เลขาธิการองค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี เลขาธิการองค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี วันนี้ (31 พ.ค. 2561) เวลา 09.30 น. ณ ทําเนียบรัฐบาล นายซูรับ โปโลลิคาซวิลลี่ (Zurab Pololikashvili) เลขาธิการองค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations World Tourism Organization: UNWTO) เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมงาน The 4th UNWTO World Forum on Gastronomy Tourism สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้ นายรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีกับนายโปโลลิคาซวิลลี่ ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งเลขาธิการ UNWTO เมื่อต้นปีที่ผ่านมา และยินดีที่ไทยที่ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดงาน World Forum on Gastronomy Tourism ครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จัดนอกภูมิภาคยุโรป และไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียที่เป็นเจ้าภาพจัดงานดังกล่าว ไทยให้ความสําคัญกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงอาหาร เนื่องจากไทยมีอาหารที่หลากหลายและมีเอกลักษณ์ โดยในปัจจุบันมีอาหารไทย หลายชนิดที่ได้รับความนิยมในระดับโลก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อชุมชนท้องถิ่น รวมทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมด้วย โดยนายกรัฐมนตรีเห็นว่า การเยือนไทยในครั้งนี้ของ เลขาธิการ UNWTO เป็นโอกาสดีที่จะได้ลองชิมรสชาติ อาหารไทยดั้งเดิม และหวังว่าจะช่วย ส่งเสริมและผลักดันให้อาหารไทยที่มีคุณภาพ และรสชาติดั้งเดิมให้เป็นที่รู้จัก ไปทั่วโลกด้วย ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ ไทยกับ UNWTO มีความร่วมมือที่สร้างสรรค์และ ใกล้ชิดกันมากว่า 30 ปี โดยไทยยินดีและขอบคุณ UNWTO ที่เห็นถึงศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของไทย และเลือกให้ไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานด้านการท่องเที่ยวระดับโลกหลายครั้ง ทั้งนี้รัฐบาลประสงค์จะพัฒนาการท่องเที่ยวและการบริการการท่องเที่ยวให้มีมาตรฐานสากล โดยนําเทคโนโลยีมาใช้เพื่ออํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของไทยมากขึ้น ซึ่งไทยหวังว่าจะได้รับคําแนะนํา ความเชี่ยวชาญ และการสนับสนุนด้านเทคนิคจาก UNWTO ในการยกระดับการท่องเที่ยวของไทยเพื่อให้ไทยเป็นผู้นํา ด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคและโลก เช่น การจัดทํายุทธศาสตร์การท่องเที่ยว และการพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยวทั้งภาครัฐ ผู้ประกอบการ และมัคคุเทศก์ โดยเฉพาะการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดําเนินการ นอกจากนี้ ไทยยังมีนโยบาย 2 ประเทศ 1 จุดหมายปลายทางกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีเป้าหมายที่จะเชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน เพื่อยกระดับให้ภูมิภาคนี้เป็นจุดหมายปลายทางเดียวกัน และให้เกิดการพัฒนา เศรษฐกิจ ทั้งในระดับชุมชนและภูมิภาคอย่างเท่าเทียม ตามนโยบายของไทยที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้านเลขาธิการ UNWTO กล่าวยินดีที่ได้เดินทางมาประเทศไทย ซึ่งไทยถือเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สําคัญของโลก โดย UNWTO พร้อมร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการแบ่งปันความรู้ และประสบการณ์ เพื่อสนับสนุนให้การท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เลขาธิการ UNWTO ยังได้กล่าวชื่นชมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ภายใต้การนําของนายกรัฐมนตรี โดยเห็นว่าสามารถเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประเทศอื่นๆทั่วโลก ทั้งในความมีอัธยาศัยไมตรีของคนไทย ความเป็นกันเอง รวมถึงการให้บริการ ทั้งนี้ UNWTO ให้ความสําคัญกับเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมมาใช้เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไปสู่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ รวมถึงส่งเสริมรูปแบบการท่องเที่ยวในมิติใหม่ เช่น เชิงศาสนา ประเพณี และวัฒนธรรม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12661
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ร่วมเป็นเกียรติในพิธีลงนามสัญญาร่วมดำเนินงาน โครงการนิคมอุตสาหกรรม เอเชีย คลีน ชลบุรี"
วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 "รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ร่วมเป็นเกียรติในพิธีลงนามสัญญาร่วมดําเนินงาน โครงการนิคมอุตสาหกรรม เอเชีย คลีน ชลบุรี" นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติในพิธีลงนามสัญญาร่วมดําเนินงาน โครงการนิคมอุตสาหกรรม เอเชีย คลีน ชลบุรี ณ ห้องประชุม 501 ชั้น 5 สํานักงานใหญ่ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย วันนี้ (26 กุมภาพันธ์ 2563) เวลา 09.19 น. นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติในพิธีลงนามสัญญาร่วมดําเนินงาน โครงการนิคมอุตสาหกรรม เอเชีย คลีน ชลบุรี โดยมีนางสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวแสดงความยินดี ณ ห้องประชุม 501 ชั้น 5 สํานักงานใหญ่ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พิธีลงนามดังกล่าว เกิดขึ้นระหว่างการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) โดย นายอัฐพล จิรวัฒน์จรรยา รองผู้ว่าการ กนอ. กับ บริษัท เอเชีย คลีน อินดรัสเตรียล พร็อพเพอตี้ จํากัด โดย นายเสรี อติภัทธะ ประธานกรรมการบริษัท และนายณัฏฐ์ ทรงเมตตา กรรมการบริษัท เป็นผู้ลงนาม โดยโครงการนิคมอุตสาหกรรม เอเชีย คลีน ชลบุรี ถือว่าเป็นนิมคมอุตสาหกรรม ที่ กนอ. ร่วมดําเนินการแห่งที่ 61 มุ่งเน้นการพัฒนาระบบอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ร่วมเป็นเกียรติในพิธีลงนามสัญญาร่วมดำเนินงาน โครงการนิคมอุตสาหกรรม เอเชีย คลีน ชลบุรี" วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 "รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ร่วมเป็นเกียรติในพิธีลงนามสัญญาร่วมดําเนินงาน โครงการนิคมอุตสาหกรรม เอเชีย คลีน ชลบุรี" นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติในพิธีลงนามสัญญาร่วมดําเนินงาน โครงการนิคมอุตสาหกรรม เอเชีย คลีน ชลบุรี ณ ห้องประชุม 501 ชั้น 5 สํานักงานใหญ่ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย วันนี้ (26 กุมภาพันธ์ 2563) เวลา 09.19 น. นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติในพิธีลงนามสัญญาร่วมดําเนินงาน โครงการนิคมอุตสาหกรรม เอเชีย คลีน ชลบุรี โดยมีนางสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวแสดงความยินดี ณ ห้องประชุม 501 ชั้น 5 สํานักงานใหญ่ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พิธีลงนามดังกล่าว เกิดขึ้นระหว่างการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) โดย นายอัฐพล จิรวัฒน์จรรยา รองผู้ว่าการ กนอ. กับ บริษัท เอเชีย คลีน อินดรัสเตรียล พร็อพเพอตี้ จํากัด โดย นายเสรี อติภัทธะ ประธานกรรมการบริษัท และนายณัฏฐ์ ทรงเมตตา กรรมการบริษัท เป็นผู้ลงนาม โดยโครงการนิคมอุตสาหกรรม เอเชีย คลีน ชลบุรี ถือว่าเป็นนิมคมอุตสาหกรรม ที่ กนอ. ร่วมดําเนินการแห่งที่ 61 มุ่งเน้นการพัฒนาระบบอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26783
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผย ไทยไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รวม 28 วันติดต่อกัน ย้ำยังไม่สามารถผ่อนคลายทุกมาตรการตามปกติได้
วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2563 โฆษก ศบค. เผย ไทยไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รวม 28 วันติดต่อกัน ย้ํายังไม่สามารถผ่อนคลายทุกมาตรการตามปกติได้ โฆษก ศบค. เผย ไทยไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รวม 28 วันติดต่อกัน ย้ํายังไม่สามารถผ่อนคลายทุกมาตรการตามปกติได้ วันนี้ (22 มิ.ย. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนที่สอบถามผ่านโซเชียลมีเดียช่วงการแถลงข่าวของศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ โฆษก ศบค. ชี้แจงกรณีที่แรงงานเมียนมาติดเชื้อโควิดหลังจากกลับจากไทย ซึ่งได้รับรายงานจากประเทศเพื่อนบ้านผ่านมายังสื่อต่างประเทศทราบว่า มีจํานวน 23 รายที่เป็นแรงงานที่ผ่านมาจากเมืองไทย ขณะนี้กรมควบคุมโรคได้ติดตามข่าวสารและประสานงานระหว่างประเทศ โดยทางเมียนมาได้ดูแลผู้ติดเชื้อภายในประเทศอย่างดีและเข้มแข็ง นอกจากนี้ ทางการไทยยังประสานงานความร่วมมือไปยังองค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งมีกฎหมายอนามัยระหว่างประเทศที่ต้องดูแลข้อมูลเป็นกฎระหว่างประเทศที่ดูแลข้อมูลการเจ็บป่วยของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ โดยในเบื้องต้นประเทศไทย พบว่ามีจํานวน 19 ราย เป็นผู้ป่วยแรงงานต่างด้าวเดิมที่ได้เข้าสถานกักกันโรคของรัฐ และดูแลจนครบ 14 วัน ตั้งแต่เมื่อ 25 เมษายน 63 และให้เดินทางกลับประเทศไปแล้ว ส่วนอีก 4 รายอยู่ในระหว่างการประสานหาข้อมูล ทั้งนี้ ในจํานวน 19 ราย ได้เข้ารับการดูแลในสถานกักกันโรคที่รัฐจัดให้ ซึ่งข้อมูลที่ขาดหายไป อยู่ในระหว่างการประสานงานของทั้งสองประเทศ โฆษก ศบค. กล่าวถึงกรณีผู้ที่เข้าพักใน State Quarantine ที่มีโรคประจําตัวเป็นโรคหัวใจ ตรวจร่างกายไม่พบเชื้อโควิด แล้วเสียชีวิตขณะที่พักอยู่ใน State Quarantine ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นรายแรกจาก 40,000 กว่ารายที่เข้ามายัง State Quarantine และ Local Quarantine ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้สูญเสีย โดยผู้ที่เข้ามายังสถานกักกันโรคที่รัฐจัดให้ มียอดสะสมประมาณ 40,000 กว่าราย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความห่วงใยและมอบหมายให้ ศบค. ชุดเล็กดําเนินการตามมาตรการคุมเข้ม เมื่อซักประวัติแล้วพบมีอาการป่วยที่จําเป็นจะต้องเข้าโรงพยาบาล จะไม่ให้เข้าไปยังสถานกักกันในโรงแรมที่เป็น State Quarantine โดยจะต้องเข้า Hospital Quarantine เท่านั้น เป็นมาตรการใหม่ที่ทีมปฏิบัติการการดูแลผู้ที่กลับจากต่างประเทศต้องดําเนินการต่อไป โฆษก ศบค. ยังชี้แจงกรณีชายไทยขอความช่วยเหลือจากกู้ภัย เนื่องจากสงสัยว่าตนเองมีอาการคล้ายผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ณ สถานีรถไฟหาดใหญ่ จ.สงขลา พบว่าเป็นผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตรวมถึงมีประวัติการใช้สารเสพติด อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้ทําการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 และอยู่ภายใต้การดูแลของโรงพยาบาลหาดใหญ่ระหว่างรอผลการตรวจ พร้อมกันนี้ โฆษก ศบค. กล่าวถึงประเทศไทยไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นระยะเวลา 28 วันติดต่อกัน โดยย้ําว่ายังไม่สามารถผ่อนคลายทุกมาตรการตามปกติได้ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการ ได้มีการหารือถึงการแบ่งกลุ่มการเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรก ประกอบไปด้วย นักธุรกิจ นักลงทุน แรงงานฝีมือ ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจต่าง ๆ คนต่างด้าวที่มีครอบครัวเป็นคนไทย คนต่างด้าวที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย และกลุ่มนักท่องเที่ยวทางด้านการแพทย์ (Medical and Wellness Tourism) ซึ่งกลุ่มนี้ต้องเข้าสู่กระบวนการ State Quarantine 14 วันเพื่อสังเกตอาการ และ กลุ่มที่ 2 การทํา Travel Bubble ที่ผ่อนผันในการเข้าสู่กระบวนการ State Quarantine 14 วัน ประกอบไปด้วย นักธุรกิจ นักลงทุน แขกของรัฐบาล แขกของส่วนราชการ และนักท่องเที่ยวที่เดินทางตามโครงการ Travel Bubble ที่เดินทางเข้ามาระยะสั้นเท่านั้น ทั้งนี้ ได้มีการเตรียมเสนอต่อที่ประชุม ศบค. เพื่อให้ความเห็นชอบ .................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผย ไทยไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รวม 28 วันติดต่อกัน ย้ำยังไม่สามารถผ่อนคลายทุกมาตรการตามปกติได้ วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2563 โฆษก ศบค. เผย ไทยไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รวม 28 วันติดต่อกัน ย้ํายังไม่สามารถผ่อนคลายทุกมาตรการตามปกติได้ โฆษก ศบค. เผย ไทยไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รวม 28 วันติดต่อกัน ย้ํายังไม่สามารถผ่อนคลายทุกมาตรการตามปกติได้ วันนี้ (22 มิ.ย. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนที่สอบถามผ่านโซเชียลมีเดียช่วงการแถลงข่าวของศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ โฆษก ศบค. ชี้แจงกรณีที่แรงงานเมียนมาติดเชื้อโควิดหลังจากกลับจากไทย ซึ่งได้รับรายงานจากประเทศเพื่อนบ้านผ่านมายังสื่อต่างประเทศทราบว่า มีจํานวน 23 รายที่เป็นแรงงานที่ผ่านมาจากเมืองไทย ขณะนี้กรมควบคุมโรคได้ติดตามข่าวสารและประสานงานระหว่างประเทศ โดยทางเมียนมาได้ดูแลผู้ติดเชื้อภายในประเทศอย่างดีและเข้มแข็ง นอกจากนี้ ทางการไทยยังประสานงานความร่วมมือไปยังองค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งมีกฎหมายอนามัยระหว่างประเทศที่ต้องดูแลข้อมูลเป็นกฎระหว่างประเทศที่ดูแลข้อมูลการเจ็บป่วยของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ โดยในเบื้องต้นประเทศไทย พบว่ามีจํานวน 19 ราย เป็นผู้ป่วยแรงงานต่างด้าวเดิมที่ได้เข้าสถานกักกันโรคของรัฐ และดูแลจนครบ 14 วัน ตั้งแต่เมื่อ 25 เมษายน 63 และให้เดินทางกลับประเทศไปแล้ว ส่วนอีก 4 รายอยู่ในระหว่างการประสานหาข้อมูล ทั้งนี้ ในจํานวน 19 ราย ได้เข้ารับการดูแลในสถานกักกันโรคที่รัฐจัดให้ ซึ่งข้อมูลที่ขาดหายไป อยู่ในระหว่างการประสานงานของทั้งสองประเทศ โฆษก ศบค. กล่าวถึงกรณีผู้ที่เข้าพักใน State Quarantine ที่มีโรคประจําตัวเป็นโรคหัวใจ ตรวจร่างกายไม่พบเชื้อโควิด แล้วเสียชีวิตขณะที่พักอยู่ใน State Quarantine ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นรายแรกจาก 40,000 กว่ารายที่เข้ามายัง State Quarantine และ Local Quarantine ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้สูญเสีย โดยผู้ที่เข้ามายังสถานกักกันโรคที่รัฐจัดให้ มียอดสะสมประมาณ 40,000 กว่าราย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความห่วงใยและมอบหมายให้ ศบค. ชุดเล็กดําเนินการตามมาตรการคุมเข้ม เมื่อซักประวัติแล้วพบมีอาการป่วยที่จําเป็นจะต้องเข้าโรงพยาบาล จะไม่ให้เข้าไปยังสถานกักกันในโรงแรมที่เป็น State Quarantine โดยจะต้องเข้า Hospital Quarantine เท่านั้น เป็นมาตรการใหม่ที่ทีมปฏิบัติการการดูแลผู้ที่กลับจากต่างประเทศต้องดําเนินการต่อไป โฆษก ศบค. ยังชี้แจงกรณีชายไทยขอความช่วยเหลือจากกู้ภัย เนื่องจากสงสัยว่าตนเองมีอาการคล้ายผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ณ สถานีรถไฟหาดใหญ่ จ.สงขลา พบว่าเป็นผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตรวมถึงมีประวัติการใช้สารเสพติด อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้ทําการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 และอยู่ภายใต้การดูแลของโรงพยาบาลหาดใหญ่ระหว่างรอผลการตรวจ พร้อมกันนี้ โฆษก ศบค. กล่าวถึงประเทศไทยไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นระยะเวลา 28 วันติดต่อกัน โดยย้ําว่ายังไม่สามารถผ่อนคลายทุกมาตรการตามปกติได้ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการ ได้มีการหารือถึงการแบ่งกลุ่มการเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรก ประกอบไปด้วย นักธุรกิจ นักลงทุน แรงงานฝีมือ ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจต่าง ๆ คนต่างด้าวที่มีครอบครัวเป็นคนไทย คนต่างด้าวที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย และกลุ่มนักท่องเที่ยวทางด้านการแพทย์ (Medical and Wellness Tourism) ซึ่งกลุ่มนี้ต้องเข้าสู่กระบวนการ State Quarantine 14 วันเพื่อสังเกตอาการ และ กลุ่มที่ 2 การทํา Travel Bubble ที่ผ่อนผันในการเข้าสู่กระบวนการ State Quarantine 14 วัน ประกอบไปด้วย นักธุรกิจ นักลงทุน แขกของรัฐบาล แขกของส่วนราชการ และนักท่องเที่ยวที่เดินทางตามโครงการ Travel Bubble ที่เดินทางเข้ามาระยะสั้นเท่านั้น ทั้งนี้ ได้มีการเตรียมเสนอต่อที่ประชุม ศบค. เพื่อให้ความเห็นชอบ .................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32613
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยและมาเลเซียให้ความสำคัญสูงสุดกับการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้โดยสันติวิธี
วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2562 ไทยและมาเลเซียให้ความสําคัญสูงสุดกับการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้โดยสันติวิธี ไทยและมาเลเซียให้ความสําคัญสูงสุดกับการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้โดยสันติวิธี วันนี้ (2 พฤศจิกายน 2562) เวลา 16.20 น. ณ ห้องแซฟไฟร์ 108 อาคารอิมแพค ฟอรั่ม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หารือทวิภาคีกับตุน ดร. มหาธีร์ บิน โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ภายหลังเสร็จสิ้น ศาตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรียินดีกับความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ใกล้ชิดในทุกมิติ และจากการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย มีผลการหารือที่นําไปสู่ความร่วมมือที่เกิดผลเป็นรูปธรรมหลายประการ พร้อมขอบคุณมาเลเซียที่สนับสนุนการเป็นประธานอาเซียนของไทย นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวยินดีกับความสําเร็จการเป็นประธานอาเซียนของไทย ทั้งนี้ ไทยและมาเลเซียในฐานะสมาชิกอาเซียนต่างมีพัฒนาการความสัมพันธ์ที่เข้มแข็ง และร่วมสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยอาเซียนเป็นการรวมกลุ่มระดับภูมิภาคที่มีพัฒนาการและการเติบโตไปด้วยกัน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณรัฐบาลมาเลเซียที่ได้เชิญหัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขในจังหวัดชายแดนใต้ไปพบปะหารือ และสนับสนุนความพยายามของไทยในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้โดยสันติวิธี ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้กล่าวย้ําถึงการสนับสนุนการแก้ปัญหาของไทยและเห็นพ้องว่าแบ่งแยกดินแดนจะต้องไม่เกิดขึ้นหรือแบ่งแยกได้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องเร่งเสริมสร้างความเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานชายแดน พร้อมผลักดันการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขนส่งสินค้าทางถนนข้าม พรมแดนได้ในเร็ววัน ซึ่งจะอํานวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าอย่างไร้รอยต่อระหว่าง กรุงเทพฯ ถึงท่าเรือปีนัง ยะโฮร์บารู และต่อไปยังสิงคโปร์ รวมทั้ง ถนนเชื่อมด่านฯที่จะเร่งดําเนินการเพื่อก่อสร้างถนนได้ในโอกาสอันใกล้ หากทั้งสองฝ่ายเร่งหาข้อสรุปโดยนายกรัฐมนตรีหวังว่า มาเลเซียจะสนับสนุนการนําเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนในภาคใต้ของไทย และเป็นปัจจัยสนับสนุนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ของไทยในมิติด้านเศรษฐกิจอีกด้วย นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องในการร่วมมือแก้ปัญหาการลักลอบขนสินค้าผิดกฎหมายตามแนวชายแดน และปัญหาการจัดเก็บภาษี เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ **************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยและมาเลเซียให้ความสำคัญสูงสุดกับการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้โดยสันติวิธี วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2562 ไทยและมาเลเซียให้ความสําคัญสูงสุดกับการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้โดยสันติวิธี ไทยและมาเลเซียให้ความสําคัญสูงสุดกับการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้โดยสันติวิธี วันนี้ (2 พฤศจิกายน 2562) เวลา 16.20 น. ณ ห้องแซฟไฟร์ 108 อาคารอิมแพค ฟอรั่ม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หารือทวิภาคีกับตุน ดร. มหาธีร์ บิน โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ภายหลังเสร็จสิ้น ศาตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรียินดีกับความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ใกล้ชิดในทุกมิติ และจากการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย มีผลการหารือที่นําไปสู่ความร่วมมือที่เกิดผลเป็นรูปธรรมหลายประการ พร้อมขอบคุณมาเลเซียที่สนับสนุนการเป็นประธานอาเซียนของไทย นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวยินดีกับความสําเร็จการเป็นประธานอาเซียนของไทย ทั้งนี้ ไทยและมาเลเซียในฐานะสมาชิกอาเซียนต่างมีพัฒนาการความสัมพันธ์ที่เข้มแข็ง และร่วมสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยอาเซียนเป็นการรวมกลุ่มระดับภูมิภาคที่มีพัฒนาการและการเติบโตไปด้วยกัน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณรัฐบาลมาเลเซียที่ได้เชิญหัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขในจังหวัดชายแดนใต้ไปพบปะหารือ และสนับสนุนความพยายามของไทยในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้โดยสันติวิธี ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้กล่าวย้ําถึงการสนับสนุนการแก้ปัญหาของไทยและเห็นพ้องว่าแบ่งแยกดินแดนจะต้องไม่เกิดขึ้นหรือแบ่งแยกได้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องเร่งเสริมสร้างความเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานชายแดน พร้อมผลักดันการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขนส่งสินค้าทางถนนข้าม พรมแดนได้ในเร็ววัน ซึ่งจะอํานวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าอย่างไร้รอยต่อระหว่าง กรุงเทพฯ ถึงท่าเรือปีนัง ยะโฮร์บารู และต่อไปยังสิงคโปร์ รวมทั้ง ถนนเชื่อมด่านฯที่จะเร่งดําเนินการเพื่อก่อสร้างถนนได้ในโอกาสอันใกล้ หากทั้งสองฝ่ายเร่งหาข้อสรุปโดยนายกรัฐมนตรีหวังว่า มาเลเซียจะสนับสนุนการนําเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนในภาคใต้ของไทย และเป็นปัจจัยสนับสนุนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ของไทยในมิติด้านเศรษฐกิจอีกด้วย นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องในการร่วมมือแก้ปัญหาการลักลอบขนสินค้าผิดกฎหมายตามแนวชายแดน และปัญหาการจัดเก็บภาษี เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ **************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24252
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เปิดห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ที่ปรับปรุงใหม่ และงานแถลงข่าวเปิดตัวแหล่งเรียนรู้และแอพพลิเคชั่น สมาร์ท แซค
วันจันทร์ที่ 2 เมษายน 2561 วธ.เปิดห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ที่ปรับปรุงใหม่ และงานแถลงข่าวเปิดตัวแหล่งเรียนรู้และแอพพลิเคชั่น สมาร์ท แซค วธ.เปิดห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)ที่ปรับปรุงใหม่ และงานแถลงข่าวเปิดตัวแหล่งเรียนรู้และแอพพลิเคชั่น สมาร์ท แซค วันที่ 2 เมษายน 2561 เวลา 09.30 น.นายวีระ โรจน์พจรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ที่ปรับปรุงใหม่ และงานแถลงข่าวเปิดตัวแหล่งเรียนรู้และแอพพลิเคชั่น สมาร์ท แซค เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ทางมานุษยวิทยา เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 2561 พร้อมมอบโล่รางวัลตอบปัญหาอาเซียนในมิติวัฒนธรรมแก่นักเรียนระดับม.ต้นและม.ปลาย 6 รางวัล โดยมีนางฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม นายพีรพน พิสณุพงศ์ ผู้อํานวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วม ณ ห้องประชุมชั้น 4 ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) กรุงเทพฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เปิดห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ที่ปรับปรุงใหม่ และงานแถลงข่าวเปิดตัวแหล่งเรียนรู้และแอพพลิเคชั่น สมาร์ท แซค วันจันทร์ที่ 2 เมษายน 2561 วธ.เปิดห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ที่ปรับปรุงใหม่ และงานแถลงข่าวเปิดตัวแหล่งเรียนรู้และแอพพลิเคชั่น สมาร์ท แซค วธ.เปิดห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)ที่ปรับปรุงใหม่ และงานแถลงข่าวเปิดตัวแหล่งเรียนรู้และแอพพลิเคชั่น สมาร์ท แซค วันที่ 2 เมษายน 2561 เวลา 09.30 น.นายวีระ โรจน์พจรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ที่ปรับปรุงใหม่ และงานแถลงข่าวเปิดตัวแหล่งเรียนรู้และแอพพลิเคชั่น สมาร์ท แซค เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ทางมานุษยวิทยา เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 2561 พร้อมมอบโล่รางวัลตอบปัญหาอาเซียนในมิติวัฒนธรรมแก่นักเรียนระดับม.ต้นและม.ปลาย 6 รางวัล โดยมีนางฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม นายพีรพน พิสณุพงศ์ ผู้อํานวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วม ณ ห้องประชุมชั้น 4 ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) กรุงเทพฯ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11272
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ แจงปัญหากลิ่นรบกวนจากโรงงานฝั่งกลบขยะ จ.สระแก้ว ได้สิ้นสุดลงแล้ว ขณะที่ผู้ประกอบการฯ หยุดการรับกากขยะทั้งหมดจนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ
วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2560 ก.อุตฯ แจงปัญหากลิ่นรบกวนจากโรงงานฝั่งกลบขยะ จ.สระแก้ว ได้สิ้นสุดลงแล้ว ขณะที่ผู้ประกอบการฯ หยุดการรับกากขยะทั้งหมดจนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ กระทรวงอุตสาหกรรม แจงปัญหากลิ่นรบกวนจากโรงงานฝั่งกลบขยะ จ.สระแก้ว ได้สิ้นสุดลงแล้ว ขณะที่ผู้ประกอบการฯ หยุดการรับกากขยะทั้งหมดจนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ แจงปัญหากลิ่นรบกวนจากโรงงานฝั่งกลบขยะ จ.สระแก้ว ได้สิ้นสุดลงแล้ว ขณะที่ผู้ประกอบการฯ หยุดการรับกากขยะทั้งหมดจนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2560 ก.อุตฯ แจงปัญหากลิ่นรบกวนจากโรงงานฝั่งกลบขยะ จ.สระแก้ว ได้สิ้นสุดลงแล้ว ขณะที่ผู้ประกอบการฯ หยุดการรับกากขยะทั้งหมดจนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ กระทรวงอุตสาหกรรม แจงปัญหากลิ่นรบกวนจากโรงงานฝั่งกลบขยะ จ.สระแก้ว ได้สิ้นสุดลงแล้ว ขณะที่ผู้ประกอบการฯ หยุดการรับกากขยะทั้งหมดจนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4275
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุม กนช. เห็นชอบ 4 โครงการเมกะโปรเจกต์ ฟื้นคลองเปรมประชากร-กู้บึงราชนก-บึงบอระเพ็ด-ป้องอุทกภัยชุมพร เตรียมเสนอ ครม.เห็นชอบเปิดโครงการและกรอบวงเงินงบประมาณแต่ละปี
วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม 2562 นายกรัฐมนตรีประชุม กนช. เห็นชอบ 4 โครงการเมกะโปรเจกต์ ฟื้นคลองเปรมประชากร-กู้บึงราชนก-บึงบอระเพ็ด-ป้องอุทกภัยชุมพร เตรียมเสนอ ครม.เห็นชอบเปิดโครงการและกรอบวงเงินงบประมาณแต่ละปี นายกฯ ประชุมกนช. เห็นชอบแผนฟื้นคลองเปรมประชากรระยะเร่งด่วน เคาะงบ 4.4 พันล้าน สร้างเขื่อนคอนกรีต ขุดลอกคลองปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพจัดการน้ําคลองเปรมฯ มอบ สทนช.เร่งฟื้นบึงราชนก-บึงบอระเพ็ด หวังคืนพื้นที่ให้เป็นแหล่งรับน้ําช่วงฝน-แล้งได้เต็มศักยภาพ วันนี้ (11 มี.ค.62) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ 1/2562 โดยมี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ซึ่งภายหลังการประชุม นายสมเกียรติ ประจําวงษ์ เลขาธิการสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ (เลขาธิการ สทนช.) ได้แถลงผลการประชุม สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมเห็นชอบโครงการสําคัญและโครงการขนาดใหญ่ซึ่งมีงบประมาณเกิน 1,000 ล้านบาท รวม 4 โครงการ ได้แก่ 1. การฟื้นฟูคลองเปรมประชากร 2. การฟื้นฟูบึงราชนก จ.พิษณุโลก 3. การฟื้นฟูบึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ 4. โครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพร โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบทั้ง 4 โครงการ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อเปิดโครงการต่อไป เนื่องจากเป็นแผนงานโครงการที่สอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา 20 ปี มีผลการศึกษา ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม มีความพร้อม และเป็นโครงการที่มีผลสัมฤทธิ์สูง สอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งอย่างเป็นระบบ (Area Based) เลขาธิการ สทนช. เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการปรับปรุงและฟื้นฟูคลองเปรมประชากรทั้งระบบตลอดสาย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จ.พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และกรุงเทพมหานคร โดยมีแผนการดําเนินการ 4 แผนงาน คือ 1. การปรับปรุงและฟื้นฟูสภาพคลองเปรมประชากรเพื่อการระบายและรักษาคุณภาพน้ํา 2. การพัฒนาระบบควบคุมน้ําในคลองเชื่อมโยง 3. ปรับปรุงพื้นที่แก้มลิง และ 4. การพัฒนาระบบบําบัดน้ําเสีย โดยระยะเร่งด่วนที่ประชุมได้เห็นชอบดําเนินการตามแผนงานหลักด้านที่ 1 คือ การปรับปรุงและฟื้นฟูสภาพคลองเปรมประชากรเพื่อการระบายและรักษาคุณภาพน้ํา กรอบวงเงินรวม 4,466 ล้านบาท โดยจะเริ่มดําเนินการตั้งแต่ปี 62 - 65 ประกอบด้วย 1. โครงการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็ก (ค.ส.ล.) ริมคลองเปรมประชากร จากถนนเทศบาลสงเคราะห์-สุดเขต กทม. ระยะทางยาวรวม 26,120 เมตร ดําเนินการโดยกรุงเทพมหานคร วงเงิน 3,443 ล้านบาท 2. โครงการก่อสร้างเขื่อนคลองเปรมประชากรช่วงหลักหก-ประตูระบายน้ําเปรมใต้รังสิต โดย กรมโยธาธิการและผังเมือง ดําเนินการในปี 63 – 65 วงเงิน 980 ล้านบาท 3. ขุดลอกคลองเปรมประชากรจากคลองรังสิตประยูรศักดิ์ – คลองเชียงรากน้อย ระยะทาง 15.8 กม. และติดตั้งตะแกรงพร้อมเครื่องคราดขยะ ปตร.เปรมใต้รังสิต โดยกรมชลประทาน ดําเนินการในปี 62 วงเงิน 43 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การดําเนินการเป็นไปตามแผนงาน ที่ประชุมได้มอบหมายให้กรุงเทพมหานคร กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมชลประทาน ดําเนินการตามกรอบแผนฯ ดังกล่าว และจัดทํารายละเอียดให้ครบทุกองค์ประกอบเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบเปิดโครงการและกรอบวงเงินงบประมาณในแต่ละปี เพื่อให้การฟื้นฟูคลองเปรมมีความต่อเนื่องและแล้วเสร็จตามแผน โดยให้ สทนช. ติดตาม ประเมินผล และรายงานผลการดําเนินการให้ กนช. ทราบเป็นระยะ ๆ ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังได้เห็นชอบแผนแม่บทและฟื้นฟูบึงราชนก จ.พิษณุโลก ประกอบด้วย แผนงานหลัก 4 ด้าน 11 แผนงาน 23 โครงการ หน่วยงานร่วมดําเนินการ 19 หน่วยงาน งบประมาณรวม 1,450 ล้านบาท โดยแผนงานหลัก 4 ด้านเน้นดําเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพบึงตื้นเขิน เพิ่มปริมาณความจุน้ําในบึง การบริหารจัดการน้ําทั้งหน้าฝนและแล้ง และการใช้ประโยชน์ที่ดินไม่เต็มศักยภาพ ประกอบด้วย 1. เพิ่มศักยภาพการเก็บน้ํา โดยปรับปรุง ขุดลอกคลองสาธารณะ และก่อสร้างฝายยกระดับน้ําให้เข้าสู่บึงราชนก 2. ปรับปรุงทางน้ําเข้าและขุดลอกบึงราชนก กําหนดขอบเขตพื้นที่บึงให้ชัดเจนโดยปรับปรุงยกระดับถนนรอบบึง 3. ส่งเสริมความรู้ให้ประชาชน สนับสนุนความสําคัญของคุณภาพน้ําและการพัฒนาบึงราชนกให้เป็นพื้นที่สาธารณะ และ 4. สร้างระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา การใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยโครงการเร่งด่วนที่สามารถดําเนินการได้ทันที และแล้วเสร็จภายใน 3 ปี (62 - 65) มี 11 โครงการ วงเงิน 754.56 ล้านบาท เช่น แผนงานการเพิ่มศักยภาพการเติมน้ําเข้าบึงราชนก แผนงานขุดลอกพื้นที่บึงราชนกอย่างเป็นระบบ แผนงานการบังคับใช้กฎหมายเพื่อจัดระเบียบการใช้ประโยชน์ที่ดิน เช่นเดียวกันแผนแม่บทและฟื้นฟูบึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ โดยมีแผนหลัก 6 ด้าน จํานวน 56 โครงการ วงเงิน 5,701.5 ล้านบาท ซึ่ง สทนช. ได้คัดเลือกแผนงานเร่งด่วน 9 โครงการ ที่ต้องเร่งดําเนินการ วงเงิน 1,513.5 ล้านบาท โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดําเนินการปรับปรุงประตูระบายน้ํา 2 แห่ง ขุดลอกบึงบอระเพ็ดและขุดคลองดักตะกอน ขุดลอกคลองวังนา และตรวจสอบการเข้าใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่บึงบอระเพ็ด เพื่อให้ทั้งสองบึงกลับมาใช้ประโยชน์ในการเก็บกักน้ํา และรองรับน้ําในช่วงน้ําหลาก โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้กรมชลประทานเป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการน้ําทั้งสองบึง และมอบหมายให้ สทนช. ติดตามประเมินผลการดําเนินงานและรายงานผลให้ กนช. ทราบเป็นระยะต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีมติเห็นชอบดําเนินการโครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพร (ขุดคลองผันน้ําลุ่มน้ําคลองชุมพร) ทั้งระบบ ระยะที่ 2 ปีงบประมาณ 2562 เพิ่มเติม – 2564 วงเงิน 1,717 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าที่ดิน จํานวน 537 แปลง งานขุดคลองผันน้ําคลองชุมพร (ช่วงที่ขุดใหม่) ความยาว 3.343 กิโลเมตร ก่อสร้างประตูระบายน้ําจํานวน 4 แห่ง พร้อมส่วนประกอบโดยอยู่บริเวณปากคลองผันน้ํา จํานวน 1 แห่ง และในคลองชุมพร จํานวน 3 แห่ง งานขุดขยายและขุดลอกคลองชุมพรเดิมความยาวรวม 21.701 กิโลเมตร และงานก่อสร้างอาคารระบายน้ําและส่วนประกอบอื่น ๆ โดยมอบหมายให้กรมชลประทาน จัดทํารายละเอียดนําเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการดําเนินการโครงการและกรอบวงเงินต่อไป ทั้งนี้ เมื่อโครงการแล้วเสร็จสามารถบรรเทาอุทกภัยในเขตพื้นที่ชุมชนตอนล่างของอําเภอเมือง จังหวัดชุมพร พื้นที่น้ําท่วม ประมาณ 37,500 ไร่ ราษฎร 16,802 ครัวเรือน และแก้ไขปัญหาน้ําท่วมถนนสายเอเชีย 41 ลดปัญหาอุทกภัยในลุ่มน้ําคลองชุมพรได้อย่างยั่งยืนและเป็นแหล่งน้ําสํารองในฤดูแล้ง สามารถป้องกันน้ําเค็มรุกเข้าสู่พื้นที่การเกษตรกรรม และพื้นที่ตัวเมืองชุมพร รวมระยะทางในลําน้ํา 14 กิโลเมตร ส่งผลต่อเนื่องให้เกิดความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนในพื้นที่ และส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ รวมทั้งเป็นผลดีต่อความมั่นคงของชุมชนและสังคมของจังหวัดชุมพร พร้อมกันนี้ สทนช. ได้รายงานสถานการณ์น้ําปัจจุบัน การวางแผนการบริหารจัดการน้ํา พร้อมทั้งมาตรการการแก้ไขปัญหาความเสี่ยงการขาดแคลนน้ําในช่วงฤดูแล้ง ปี61/62 ต่อที่ประชุม กนช. รับทราบถึงข้อมูลการคาดการณ์ปริมาณน้ําต้นทุนช่วงฤดูฝน ปี62 ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยา และ สสนก. ได้คาดการณ์ว่าปรากฏการณ์เอลนีโญอ่อน จะยังคงมีผลต่อเนื่องถึงเดือนเมษายน 62 ซึ่งจะทําให้ประเทศไทยมีปริมาณฝนตกต่ํากว่าค่าปกติ ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ปริมาณฝนรวมของประเทศไทยเดือนมีนาคม 62 มีค่าต่ํากว่าค่าปกติร้อยละ 5 ภาคเหนือจะมีปริมาณฝนประมาณ 10-35 มิลลิเมตร ต่ํากว่าค่าปกติ 20 % สําหรับภาคอื่น ๆ ปริมาณฝนจะต่ํากว่าค่าปกติ 10% ส่วนเดือนเมษายน 62 ปริมาณฝนทุกภาคส่วนใหญ่จะต่ํากว่าค่าปกติ 10% สําหรับเดือนพฤษภาคม ปริมาณฝนตกทั้งประเทศจะมีค่าใกล้เคียงปกติ และคาดการณ์ว่าจะเข้าสู่ฤดูฝนในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนพฤษภาคม นอกจากนี้ สทนช. ยังได้เสนอที่ประชุมเกี่ยวกับมาตรการหลัก เจ้าภาพหลัก และวิธีดําเนินการบรรเทาและลดผลกระทบพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งเร่งด่วนใน 4 มาตรการหลัก คือ 1. แจ้งเตือนเกษตรกรงดการปลูกพืชฤดูแล้งและพืชต่อเนื่อง โดยมีกระทรวงมหาดไทย โดยจังหวัดเป็นเจ้าภาพหลัก พื้นที่เป้าหมาย 21 จังหวัดในลุ่มน้ําเจ้าพระยา เน้นสร้างการรับรู้สถานการณ์น้ําและการเพาะปลูกพืชเข้าถึงเกษตรกรโดยตรง ผ่านองค์การบริหารส่วนตําบล (อบต.) 2. ติดตามเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงได้รับผลกระทบขาดแคลนน้ําอุปโภค-บริโภค โดยมอบให้กระทรวงมหาดไทย โดยจังหวัด และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นเจ้าภาพหลัก พื้นที่เป้าหมาย 7 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ นครสวรรค์ ชัยภูมิ นครราชสีมา เลย กาญจนบุรี และราชบุรี โดยมีมาตรการจัดเตรียมรถบรรทุกน้ํา เครื่องสูบน้ํา จากหน่วยงานสนับสนุน ผ่านกลไกของกองอํานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด (กอปภ.จ) ให้สามารถเข้าดําเนินการช่วยเหลือได้ทันที ซึ่ง สทนช. ได้ชี้เป้าแหล่งน้ําผิวดินและใต้ดิน ในรัศมี 50 กม. พร้อมจัดส่งข้อมูลให้ 4 กระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงกลาโหม รับทราบ เพื่อเตรียมแผนสํารองกรณีต้องดึงน้ําจากแหล่งน้ําอื่นใกล้เคียงมาสนับสนุนและบรรเทาปัญหาในพื้นที่ประสบภัยได้ทันสถานการณ์ 3. ทบทวนแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําฤดูแล้ง ปี 2561/62 ให้สอดคล้องกับปรากฏการณ์เอลนีโญกําลังอ่อน โดยมอบหมายให้กรมชลประทาน และกรมทรัพยากรน้ําเป็นเจ้าภาพหลัก ในพื้นที่เป้าหมาย คือ พื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ําอุปโภคบริโภคทั้งในและนอกเขตการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) และพื้นที่เสี่ยงการเกษตรที่เพาะปลูกเกินแผน เพื่อดําเนินการเร่งตรวจสอบความต้องการใช้น้ํา แล้ววิเคราะห์สมดุลน้ําเป็นรายพื้นที่ และ 4. กรณีที่มีการปรับแผนการจัดสรรน้ํา โดยเฉพาะในอ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่ ซึ่งหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพหลักได้แก่ กรมชลประทาน และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่รับผิดชอบอ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่ 35 อ่าง นั้น จะต้องพิจารณาอ่างเก็บน้ําที่มีความจุของน้ําใช้การจากน้อยไปมาก เพื่อสร้างความสมดุลของปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ํา ให้เพียงพอต่อการจัดสรรน้ําตามลําดับความสําคัญ รวมถึงมีน้ําสํารองในต้นฤดูฝนด้วย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในปีต่อ ๆ ไป ------------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก (ข้อมูลจากสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุม กนช. เห็นชอบ 4 โครงการเมกะโปรเจกต์ ฟื้นคลองเปรมประชากร-กู้บึงราชนก-บึงบอระเพ็ด-ป้องอุทกภัยชุมพร เตรียมเสนอ ครม.เห็นชอบเปิดโครงการและกรอบวงเงินงบประมาณแต่ละปี วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม 2562 นายกรัฐมนตรีประชุม กนช. เห็นชอบ 4 โครงการเมกะโปรเจกต์ ฟื้นคลองเปรมประชากร-กู้บึงราชนก-บึงบอระเพ็ด-ป้องอุทกภัยชุมพร เตรียมเสนอ ครม.เห็นชอบเปิดโครงการและกรอบวงเงินงบประมาณแต่ละปี นายกฯ ประชุมกนช. เห็นชอบแผนฟื้นคลองเปรมประชากรระยะเร่งด่วน เคาะงบ 4.4 พันล้าน สร้างเขื่อนคอนกรีต ขุดลอกคลองปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพจัดการน้ําคลองเปรมฯ มอบ สทนช.เร่งฟื้นบึงราชนก-บึงบอระเพ็ด หวังคืนพื้นที่ให้เป็นแหล่งรับน้ําช่วงฝน-แล้งได้เต็มศักยภาพ วันนี้ (11 มี.ค.62) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ 1/2562 โดยมี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ซึ่งภายหลังการประชุม นายสมเกียรติ ประจําวงษ์ เลขาธิการสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ (เลขาธิการ สทนช.) ได้แถลงผลการประชุม สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมเห็นชอบโครงการสําคัญและโครงการขนาดใหญ่ซึ่งมีงบประมาณเกิน 1,000 ล้านบาท รวม 4 โครงการ ได้แก่ 1. การฟื้นฟูคลองเปรมประชากร 2. การฟื้นฟูบึงราชนก จ.พิษณุโลก 3. การฟื้นฟูบึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ 4. โครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพร โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบทั้ง 4 โครงการ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อเปิดโครงการต่อไป เนื่องจากเป็นแผนงานโครงการที่สอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา 20 ปี มีผลการศึกษา ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม มีความพร้อม และเป็นโครงการที่มีผลสัมฤทธิ์สูง สอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งอย่างเป็นระบบ (Area Based) เลขาธิการ สทนช. เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการปรับปรุงและฟื้นฟูคลองเปรมประชากรทั้งระบบตลอดสาย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จ.พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และกรุงเทพมหานคร โดยมีแผนการดําเนินการ 4 แผนงาน คือ 1. การปรับปรุงและฟื้นฟูสภาพคลองเปรมประชากรเพื่อการระบายและรักษาคุณภาพน้ํา 2. การพัฒนาระบบควบคุมน้ําในคลองเชื่อมโยง 3. ปรับปรุงพื้นที่แก้มลิง และ 4. การพัฒนาระบบบําบัดน้ําเสีย โดยระยะเร่งด่วนที่ประชุมได้เห็นชอบดําเนินการตามแผนงานหลักด้านที่ 1 คือ การปรับปรุงและฟื้นฟูสภาพคลองเปรมประชากรเพื่อการระบายและรักษาคุณภาพน้ํา กรอบวงเงินรวม 4,466 ล้านบาท โดยจะเริ่มดําเนินการตั้งแต่ปี 62 - 65 ประกอบด้วย 1. โครงการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็ก (ค.ส.ล.) ริมคลองเปรมประชากร จากถนนเทศบาลสงเคราะห์-สุดเขต กทม. ระยะทางยาวรวม 26,120 เมตร ดําเนินการโดยกรุงเทพมหานคร วงเงิน 3,443 ล้านบาท 2. โครงการก่อสร้างเขื่อนคลองเปรมประชากรช่วงหลักหก-ประตูระบายน้ําเปรมใต้รังสิต โดย กรมโยธาธิการและผังเมือง ดําเนินการในปี 63 – 65 วงเงิน 980 ล้านบาท 3. ขุดลอกคลองเปรมประชากรจากคลองรังสิตประยูรศักดิ์ – คลองเชียงรากน้อย ระยะทาง 15.8 กม. และติดตั้งตะแกรงพร้อมเครื่องคราดขยะ ปตร.เปรมใต้รังสิต โดยกรมชลประทาน ดําเนินการในปี 62 วงเงิน 43 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การดําเนินการเป็นไปตามแผนงาน ที่ประชุมได้มอบหมายให้กรุงเทพมหานคร กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมชลประทาน ดําเนินการตามกรอบแผนฯ ดังกล่าว และจัดทํารายละเอียดให้ครบทุกองค์ประกอบเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบเปิดโครงการและกรอบวงเงินงบประมาณในแต่ละปี เพื่อให้การฟื้นฟูคลองเปรมมีความต่อเนื่องและแล้วเสร็จตามแผน โดยให้ สทนช. ติดตาม ประเมินผล และรายงานผลการดําเนินการให้ กนช. ทราบเป็นระยะ ๆ ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังได้เห็นชอบแผนแม่บทและฟื้นฟูบึงราชนก จ.พิษณุโลก ประกอบด้วย แผนงานหลัก 4 ด้าน 11 แผนงาน 23 โครงการ หน่วยงานร่วมดําเนินการ 19 หน่วยงาน งบประมาณรวม 1,450 ล้านบาท โดยแผนงานหลัก 4 ด้านเน้นดําเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพบึงตื้นเขิน เพิ่มปริมาณความจุน้ําในบึง การบริหารจัดการน้ําทั้งหน้าฝนและแล้ง และการใช้ประโยชน์ที่ดินไม่เต็มศักยภาพ ประกอบด้วย 1. เพิ่มศักยภาพการเก็บน้ํา โดยปรับปรุง ขุดลอกคลองสาธารณะ และก่อสร้างฝายยกระดับน้ําให้เข้าสู่บึงราชนก 2. ปรับปรุงทางน้ําเข้าและขุดลอกบึงราชนก กําหนดขอบเขตพื้นที่บึงให้ชัดเจนโดยปรับปรุงยกระดับถนนรอบบึง 3. ส่งเสริมความรู้ให้ประชาชน สนับสนุนความสําคัญของคุณภาพน้ําและการพัฒนาบึงราชนกให้เป็นพื้นที่สาธารณะ และ 4. สร้างระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา การใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยโครงการเร่งด่วนที่สามารถดําเนินการได้ทันที และแล้วเสร็จภายใน 3 ปี (62 - 65) มี 11 โครงการ วงเงิน 754.56 ล้านบาท เช่น แผนงานการเพิ่มศักยภาพการเติมน้ําเข้าบึงราชนก แผนงานขุดลอกพื้นที่บึงราชนกอย่างเป็นระบบ แผนงานการบังคับใช้กฎหมายเพื่อจัดระเบียบการใช้ประโยชน์ที่ดิน เช่นเดียวกันแผนแม่บทและฟื้นฟูบึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ โดยมีแผนหลัก 6 ด้าน จํานวน 56 โครงการ วงเงิน 5,701.5 ล้านบาท ซึ่ง สทนช. ได้คัดเลือกแผนงานเร่งด่วน 9 โครงการ ที่ต้องเร่งดําเนินการ วงเงิน 1,513.5 ล้านบาท โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดําเนินการปรับปรุงประตูระบายน้ํา 2 แห่ง ขุดลอกบึงบอระเพ็ดและขุดคลองดักตะกอน ขุดลอกคลองวังนา และตรวจสอบการเข้าใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่บึงบอระเพ็ด เพื่อให้ทั้งสองบึงกลับมาใช้ประโยชน์ในการเก็บกักน้ํา และรองรับน้ําในช่วงน้ําหลาก โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้กรมชลประทานเป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการน้ําทั้งสองบึง และมอบหมายให้ สทนช. ติดตามประเมินผลการดําเนินงานและรายงานผลให้ กนช. ทราบเป็นระยะต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีมติเห็นชอบดําเนินการโครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยเมืองชุมพร (ขุดคลองผันน้ําลุ่มน้ําคลองชุมพร) ทั้งระบบ ระยะที่ 2 ปีงบประมาณ 2562 เพิ่มเติม – 2564 วงเงิน 1,717 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าที่ดิน จํานวน 537 แปลง งานขุดคลองผันน้ําคลองชุมพร (ช่วงที่ขุดใหม่) ความยาว 3.343 กิโลเมตร ก่อสร้างประตูระบายน้ําจํานวน 4 แห่ง พร้อมส่วนประกอบโดยอยู่บริเวณปากคลองผันน้ํา จํานวน 1 แห่ง และในคลองชุมพร จํานวน 3 แห่ง งานขุดขยายและขุดลอกคลองชุมพรเดิมความยาวรวม 21.701 กิโลเมตร และงานก่อสร้างอาคารระบายน้ําและส่วนประกอบอื่น ๆ โดยมอบหมายให้กรมชลประทาน จัดทํารายละเอียดนําเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการดําเนินการโครงการและกรอบวงเงินต่อไป ทั้งนี้ เมื่อโครงการแล้วเสร็จสามารถบรรเทาอุทกภัยในเขตพื้นที่ชุมชนตอนล่างของอําเภอเมือง จังหวัดชุมพร พื้นที่น้ําท่วม ประมาณ 37,500 ไร่ ราษฎร 16,802 ครัวเรือน และแก้ไขปัญหาน้ําท่วมถนนสายเอเชีย 41 ลดปัญหาอุทกภัยในลุ่มน้ําคลองชุมพรได้อย่างยั่งยืนและเป็นแหล่งน้ําสํารองในฤดูแล้ง สามารถป้องกันน้ําเค็มรุกเข้าสู่พื้นที่การเกษตรกรรม และพื้นที่ตัวเมืองชุมพร รวมระยะทางในลําน้ํา 14 กิโลเมตร ส่งผลต่อเนื่องให้เกิดความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนในพื้นที่ และส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ รวมทั้งเป็นผลดีต่อความมั่นคงของชุมชนและสังคมของจังหวัดชุมพร พร้อมกันนี้ สทนช. ได้รายงานสถานการณ์น้ําปัจจุบัน การวางแผนการบริหารจัดการน้ํา พร้อมทั้งมาตรการการแก้ไขปัญหาความเสี่ยงการขาดแคลนน้ําในช่วงฤดูแล้ง ปี61/62 ต่อที่ประชุม กนช. รับทราบถึงข้อมูลการคาดการณ์ปริมาณน้ําต้นทุนช่วงฤดูฝน ปี62 ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยา และ สสนก. ได้คาดการณ์ว่าปรากฏการณ์เอลนีโญอ่อน จะยังคงมีผลต่อเนื่องถึงเดือนเมษายน 62 ซึ่งจะทําให้ประเทศไทยมีปริมาณฝนตกต่ํากว่าค่าปกติ ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ปริมาณฝนรวมของประเทศไทยเดือนมีนาคม 62 มีค่าต่ํากว่าค่าปกติร้อยละ 5 ภาคเหนือจะมีปริมาณฝนประมาณ 10-35 มิลลิเมตร ต่ํากว่าค่าปกติ 20 % สําหรับภาคอื่น ๆ ปริมาณฝนจะต่ํากว่าค่าปกติ 10% ส่วนเดือนเมษายน 62 ปริมาณฝนทุกภาคส่วนใหญ่จะต่ํากว่าค่าปกติ 10% สําหรับเดือนพฤษภาคม ปริมาณฝนตกทั้งประเทศจะมีค่าใกล้เคียงปกติ และคาดการณ์ว่าจะเข้าสู่ฤดูฝนในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนพฤษภาคม นอกจากนี้ สทนช. ยังได้เสนอที่ประชุมเกี่ยวกับมาตรการหลัก เจ้าภาพหลัก และวิธีดําเนินการบรรเทาและลดผลกระทบพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งเร่งด่วนใน 4 มาตรการหลัก คือ 1. แจ้งเตือนเกษตรกรงดการปลูกพืชฤดูแล้งและพืชต่อเนื่อง โดยมีกระทรวงมหาดไทย โดยจังหวัดเป็นเจ้าภาพหลัก พื้นที่เป้าหมาย 21 จังหวัดในลุ่มน้ําเจ้าพระยา เน้นสร้างการรับรู้สถานการณ์น้ําและการเพาะปลูกพืชเข้าถึงเกษตรกรโดยตรง ผ่านองค์การบริหารส่วนตําบล (อบต.) 2. ติดตามเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงได้รับผลกระทบขาดแคลนน้ําอุปโภค-บริโภค โดยมอบให้กระทรวงมหาดไทย โดยจังหวัด และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นเจ้าภาพหลัก พื้นที่เป้าหมาย 7 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ นครสวรรค์ ชัยภูมิ นครราชสีมา เลย กาญจนบุรี และราชบุรี โดยมีมาตรการจัดเตรียมรถบรรทุกน้ํา เครื่องสูบน้ํา จากหน่วยงานสนับสนุน ผ่านกลไกของกองอํานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด (กอปภ.จ) ให้สามารถเข้าดําเนินการช่วยเหลือได้ทันที ซึ่ง สทนช. ได้ชี้เป้าแหล่งน้ําผิวดินและใต้ดิน ในรัศมี 50 กม. พร้อมจัดส่งข้อมูลให้ 4 กระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงกลาโหม รับทราบ เพื่อเตรียมแผนสํารองกรณีต้องดึงน้ําจากแหล่งน้ําอื่นใกล้เคียงมาสนับสนุนและบรรเทาปัญหาในพื้นที่ประสบภัยได้ทันสถานการณ์ 3. ทบทวนแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําฤดูแล้ง ปี 2561/62 ให้สอดคล้องกับปรากฏการณ์เอลนีโญกําลังอ่อน โดยมอบหมายให้กรมชลประทาน และกรมทรัพยากรน้ําเป็นเจ้าภาพหลัก ในพื้นที่เป้าหมาย คือ พื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ําอุปโภคบริโภคทั้งในและนอกเขตการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) และพื้นที่เสี่ยงการเกษตรที่เพาะปลูกเกินแผน เพื่อดําเนินการเร่งตรวจสอบความต้องการใช้น้ํา แล้ววิเคราะห์สมดุลน้ําเป็นรายพื้นที่ และ 4. กรณีที่มีการปรับแผนการจัดสรรน้ํา โดยเฉพาะในอ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่ ซึ่งหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพหลักได้แก่ กรมชลประทาน และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่รับผิดชอบอ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่ 35 อ่าง นั้น จะต้องพิจารณาอ่างเก็บน้ําที่มีความจุของน้ําใช้การจากน้อยไปมาก เพื่อสร้างความสมดุลของปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ํา ให้เพียงพอต่อการจัดสรรน้ําตามลําดับความสําคัญ รวมถึงมีน้ําสํารองในต้นฤดูฝนด้วย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในปีต่อ ๆ ไป ------------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก (ข้อมูลจากสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19244
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจสภาพอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มากฯ จ.บุรีรัมย์ ชื่นชมประชาชนเสียสละที่ดินทำระบบผันน้ำ แก้ปัญหาขาดแคลนน้ำ ย้ำรัฐบาลเร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้รับผลกระทบจากภัยแล้งโดยด่วน
วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2562 นายกรัฐมนตรีตรวจสภาพอ่างเก็บน้ําห้วยจรเข้มากฯ จ.บุรีรัมย์ ชื่นชมประชาชนเสียสละที่ดินทําระบบผันน้ํา แก้ปัญหาขาดแคลนน้ํา ย้ํารัฐบาลเร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้รับผลกระทบจากภัยแล้งโดยด่วน นายกรัฐมนตรีตรวจสภาพอ่างเก็บน้ําห้วยจรเข้มากฯ จ.บุรีรัมย์ ชื่นชมประชาชนเสียสละที่ดินทําระบบผันน้ํา แก้ปัญหาขาดแคลนน้ํา ย้ํารัฐบาลเร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้รับผลกระทบจากภัยแล้งโดยด่วน วันนี้ (19 สิงหาคม 2562) เวลา 14.12 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ได้เดินทางมายังอ่างเก็บน้ําห้วยจรเข้มาก โครงการชลประทานบุรีรัมย์ อําเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อตรวจสภาพอ่างเก็บน้ําห้วยจรเข้มาก และสถานการณ์น้ําของจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมพบปะประชาชนเพื่อรับฟังปัญหาในพื้นที่ เพื่อหาแนวทางบริหารจัดการน้ําทั้งระบบให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด บรรเทาความเดือดร้อนจากภัยแล้งและการขาดแคลนน้ําให้ประชาชนมีน้ําเพียงพอในการอุปโภคบริโภค และด้านการเกษตร โดยมี นายธีรวัฒน์ วุฒิคุณ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประชาชนชาวจังหวัดบุรีรัมย์ ทั้ง 23 อําเภอให้การต้อนรับ เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึงได้เยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์บ้านสวายสอซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของกลุ่มชนไทยเขมรสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมให้ประชาชนปลูกพืชอินทรีย์หรือพืชผักปลอดสารพิษ และนิทรรศการเกี่ยวกับการอนุรักษ์นกกระเรียนพันธุ์ไทย ซึ่งสูญพันธุ์ไปเมื่อ 15 ปีก่อนปัจจุบันได้มีการอนุรักษ์นกกระเรียนพันธุ์ไทยในบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ําเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ําห้วยจรเข้มาก จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีตัวแทนยุวมัคคุเทศก์ในพื้นที่บรรยายสรุป จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินขึ้นไปยังหอชมนกเพื่อตรวจสภาพอ่างเก็บน้ําห้วยจรเข้มาก ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธ์ุสัตว์น้ําจืดและสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจของประชาชน รวมถึงเป็นแหล่งน้ําดิบเพื่อการประปาในเขตตัวจังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมกับอ่างเก็บน้ําห้วยตลาด (ใช้น้ําดิบผลิตประปาวันละประมาณ 50,000 ลบ.ม.) รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์น้ําของจังหวัดบุรีรัมย์ และแนวทางการแก้ไขปัญหา รวมทั้งสถานการณ์น้ําด้านการอุปโภคบริโภคในพื้นที่และน้ําที่เกี่ยวข้องในด้านการเกษตรจากผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มอบเกียรติบัตรและถ่ายภาพร่วมกับกลุ่มประชาชนที่อนุญาตให้ทางการเข้าไปในที่ดินส่วนตัวเพื่อทําระบบผันน้ําลําปะเทีย - อ่างเก็บน้ําห้วยตลาดในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง จํานวน 118 คน เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นขวัญกําลังใจและขอบคุณประชาชนที่มีจิตสาธารณะเสียสละที่ดินของตนเองเพื่อส่วนรวมในการดําเนินการดังกล่าวเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวทักทายประชาชนชาวบุรีรัมย์ทุกคนที่มาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ซึ่งการเดินทางมาวันนี้ก็เพื่อมาแก้ปัญหาภัยแล้งอย่างยั่งยืน โดยจังหวัดบุรีรัมย์ถือเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพหลายด้าน ทั้งด้านการท่องเที่ยวและกีฬา ตลอดจนศิลปวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง นอกจากนี้การเดินทางมาจังหวัดบุรีรัมย์ก็มาด้วยความห่วงใย และอยากมาเห็นสภาพปัญหาด้วยตนเอง ซึ่งจังหวัดบุรีรัมย์เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ได้รับผลกระทบภัยแล้ง รวมทั้งมาดูความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาและการเตรียมแผนรับมือในฤดูภัยแล้งในอนาคต โดยเมื่อเช้าได้ประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดภาคอีสาน 20 จังหวัด เพื่อติดตามการแก้ไขสถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้น ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พยายามทําหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน โดยได้กําชับให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องช่วยกันดูแลเพื่อให้สถานการณ์ภัยแล้งคลี่คลายโดยเร็ว โดยได้มีการอนุมัติหลักการแก้ไขปัญหาที่เสนอมา โดยจะมีการจัดลําดับการดําเนินการตามความสําคัญเร่งด่วน พร้อมขอบคุณประชาชนที่มีจิตสาธารณะ ที่เสียสละที่ดินของตนเองเพื่อส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและการขาดแคลนน้ําในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ จึงขอให้ทุกคนมีน้ําใจเสียสละเพื่อส่วนรวมให้มากขึ้นเช่นเดียวกับกลุ่มประชาชนดังกล่าว สําหรับการขาดแคลนน้ําที่เกิดขึ้นนั้นสาเหตุมาจากฝนตกน้อย ซึ่งเกิดจากอากาศเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตามหวังจะมีพายุเพื่อจะทําให้ฝนตกลงและมีน้ํามาเพิ่ม โดยให้ทุกคนดูแลในเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมและป่าไม้ รวมทั้งจะทําอย่างไรให้คนอยู่ร่วมกับป่าได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งรัฐบาลก็จะพยายามทําอย่างต่อเนื่อง ส่วนการเพิ่มขนาดความจุของอ่าง ก็อยู่ในแผนที่จะดําเนินการต่อไป เช่น การขุดแลกดิน เพื่อนําดินไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นต่อไป รวมไปถึงการขุดน้ําในที่นาเพื่อเก็บกับน้ําไว้ใช้ในไร่นา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําว่า ขณะนี้รัฐบาลได้มีมาตรการในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะที่เป็นเกษตรกรรายย่อยและเกษตรกรที่ประสบภัยแล้ง ทั้ง 13 จังหวัด โดยร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้แก่ (1) การลดดอกเบี้ยเงินกู้ภัยแล้ง (2) การพักหนี้ภัยแล้ง (3) การให้สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย และ (4) การสนับสนุนต้นทุนค่าปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ขณะเดียวกันการปลูกพืชต้องสอดคล้องกับพื้นที่ และปริมาณน้ํา รวมทั้งเป็นไปตามแผน Agri-map และให้มีปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของตลาด โดยได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดําเนินการในเรื่องของปุ๋ยสั่งตัดเพื่อให้ตรงกับพืชแต่ละชนิดและพื้นที่อย่างแท้จริง รวมทั้งได้สั่งการให้บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์น้ําอย่างใกล้ชิด และบูรณาการข้อมูลเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบให้ทันท่วงที โดยได้เปิด “ศูนย์อํานวยการน้ําเฉพาะกิจ” เพื่อแก้วิกฤตแล้งในช่วงฤดูฝน ทั้งนี้ ขอฝากให้ทุกคนเตรียมในเรื่องการทําเกษตรยุคใหม่ โดยมีการนําเทคโนลยีมาให้ในการทําการเกษตรและการประกอบอาชีพอื่น ๆ เพื่อให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันต้องร่วมกันส่งเสริมให้ลูกหลานเรียนในสาขาที่ตรงกับความต้องการของตลาดและการพัฒนาประเทศในอนาคต นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้มีมาตรการแก้ไขภัยแล้งใน 3 ระยะ ประกอบด้วย (1) มาตรการระยะเร่งด่วน 6 มาตรการ ได้แก่ ปฏิบัติการฝนหลวงเหนืออ่างเก็บน้ําและพื้นที่เกษตร สํารวจพื้นที่ขาดแคลนน้ํา/สนับสนุนเครื่องจักรเครื่องมือ ปรับแผนระบายน้ําโดยเฉพาะแหล่งน้ําที่มีน้ําน้อยกว่า 30% ปรับลดแผนระบายน้ํา 4 เขื่อนหลักในลุ่มเจ้าพระยา การประปานครหลวงวางแผนใช้น้ําจากลุ่มแม่กลองร่วมกับ กฟผ. / กรมชลประทาน สร้างความเข้าใจสถานการณ์น้ําแก่ผู้เกี่ยวข้อง (2) มาตรการระยะสั้น 4 มาตรการ ได้แก่ เร่งรัดหน่วยงานที่ได้รับงบกลางเพื่อก่อสร้างและซ่อมแซมฝายชะลอน้ําให้ทันรับน้ําในฤดูฝน ปรับแผนขุดเจาะบ่อบาดาล จัดทําแผนตามความเร่งด่วน โดยเฉพาะน้ําอุปโภคบริโภค และกําหนดนโยบายช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย และ (3) มาตรการระยะยาว 3 มาตรการ ได้แก่ เร่งรัดโครงการตามแผน Area Based แผนน้ํา 20 ปี ทําทะเบียนแหล่งน้ํา ทะเบียนผู้ใช้น้ํา และปรับแผน-ปฏิทินเพาะปลูกล่วงหน้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ํา นอกจากนี้ ได้สั่งการให้เร่งรัดมาตรการระยะเร่งด่วนและระยะสั้น ทั้งการเร่งดําเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ํา การพิจารณาใช้พลังงานทางเลือกในการสูบน้ําบาดาล และการรายงานผลการดําเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้งเป็นระยะ เช่น ปฏิบัติการฝนหลวง เพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ํา การสนับสนุนเครื่องมือเครื่องจักร ตลอดจนตั้งศูนย์เฉพาะกิจต่าง ๆ ให้ทํางานสอดประสานกัน ตลอดจนให้ปรับแผนการระบายน้ํา การรับมือภัยแล้ง ต้องเร่งช่วยเหลือโดยเร็ว พร้อมกับวางแผนจัดสรรน้ําให้เพียงพอถึงปีหน้า นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้รับทราบถึงปัญหาการขาดแคลนน้ําเพื่อการอุปโภค-บริโภค โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ําห้วยจระเข้มาก และอ่างเก็บน้ําห้วยตลาด ซึ่งเป็นแหล่งน้ําดิบสําหรับผลิตน้ําประปานั้น จึงได้กําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลอ่างเก็บน้ําห้วยจระเข้มากและอ่างเก็นน้ําห้วยตลาด แล้วหาน้ํามาเติมให้เพียงพอต่อการผลิตน้ําปะปา และน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภคของประชาชนเพื่อไม่ให้กระทบต่อการดํารงชีวิตของประชาชน นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมโรงเรียนมีชัยพัฒนา ซึ่งถือเป็นต้นแบบของการบริหารจัดการน้ําโดยร่วมกับหน่วยงานเอกชนสาธารณะประโยชน์ ชุมชน และภาคธุรกิจเอกชน ที่ส่งเสริมให้นักเรียน คนในชุมชน ได้มีความรู้ในการเก็บกักน้ํา และการประหยัดน้ํา ทั้งการบริหารจัดการน้ําฝนและน้ําผิวดิน การบริหารจัดการน้ําบาดาล การบริหารจัดการน้ําเพื่อการเกษตร โดยส่งเสริมการเกษตรที่ใช้พื้นที่น้อย น้ําน้อย แรงน้อย และผลตอบแทนดี นวัตกรรมเครื่องกรองน้ําซีเมนต์ระดับหลังคาเรือน และการผลิตน้ําจากความชื้นในอากาศ ซึ่งนับว่าเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่น ๆ ได้นําไปปฏิบัติต่อไป นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความชื่อมั่นว่าบุรีรัมย์ และกลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์ จะสามารถก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางของนักลงทุน นักท่องเที่ยว และการพัฒนาความเจริญคู่ไปพร้อมกันทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ํา ถนนหนทาง สุขภาพอนามัย การบริการทางการแพทย์สมัยใหม่ที่สะดวกรวดเร็ว ตลอดทั้งกิจกรรมการดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าสู่จังหวัดบุรีรัมย์ จึงขอให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างเต็มที่ และขอให้เชื่อมั่นว่าโครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้ริเริ่มไว้ จะเริ่มเห็นผลในไม่ช้า ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนใน EEC รถไฟความเร็วสูง และรถไฟรางคู่ เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และชาติบ้านเมืองมีความเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง และยั่งยืน ---------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจสภาพอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มากฯ จ.บุรีรัมย์ ชื่นชมประชาชนเสียสละที่ดินทำระบบผันน้ำ แก้ปัญหาขาดแคลนน้ำ ย้ำรัฐบาลเร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้รับผลกระทบจากภัยแล้งโดยด่วน วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2562 นายกรัฐมนตรีตรวจสภาพอ่างเก็บน้ําห้วยจรเข้มากฯ จ.บุรีรัมย์ ชื่นชมประชาชนเสียสละที่ดินทําระบบผันน้ํา แก้ปัญหาขาดแคลนน้ํา ย้ํารัฐบาลเร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้รับผลกระทบจากภัยแล้งโดยด่วน นายกรัฐมนตรีตรวจสภาพอ่างเก็บน้ําห้วยจรเข้มากฯ จ.บุรีรัมย์ ชื่นชมประชาชนเสียสละที่ดินทําระบบผันน้ํา แก้ปัญหาขาดแคลนน้ํา ย้ํารัฐบาลเร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้รับผลกระทบจากภัยแล้งโดยด่วน วันนี้ (19 สิงหาคม 2562) เวลา 14.12 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ได้เดินทางมายังอ่างเก็บน้ําห้วยจรเข้มาก โครงการชลประทานบุรีรัมย์ อําเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อตรวจสภาพอ่างเก็บน้ําห้วยจรเข้มาก และสถานการณ์น้ําของจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมพบปะประชาชนเพื่อรับฟังปัญหาในพื้นที่ เพื่อหาแนวทางบริหารจัดการน้ําทั้งระบบให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด บรรเทาความเดือดร้อนจากภัยแล้งและการขาดแคลนน้ําให้ประชาชนมีน้ําเพียงพอในการอุปโภคบริโภค และด้านการเกษตร โดยมี นายธีรวัฒน์ วุฒิคุณ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประชาชนชาวจังหวัดบุรีรัมย์ ทั้ง 23 อําเภอให้การต้อนรับ เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึงได้เยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์บ้านสวายสอซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของกลุ่มชนไทยเขมรสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมให้ประชาชนปลูกพืชอินทรีย์หรือพืชผักปลอดสารพิษ และนิทรรศการเกี่ยวกับการอนุรักษ์นกกระเรียนพันธุ์ไทย ซึ่งสูญพันธุ์ไปเมื่อ 15 ปีก่อนปัจจุบันได้มีการอนุรักษ์นกกระเรียนพันธุ์ไทยในบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ําเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ําห้วยจรเข้มาก จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีตัวแทนยุวมัคคุเทศก์ในพื้นที่บรรยายสรุป จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินขึ้นไปยังหอชมนกเพื่อตรวจสภาพอ่างเก็บน้ําห้วยจรเข้มาก ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธ์ุสัตว์น้ําจืดและสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจของประชาชน รวมถึงเป็นแหล่งน้ําดิบเพื่อการประปาในเขตตัวจังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมกับอ่างเก็บน้ําห้วยตลาด (ใช้น้ําดิบผลิตประปาวันละประมาณ 50,000 ลบ.ม.) รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์น้ําของจังหวัดบุรีรัมย์ และแนวทางการแก้ไขปัญหา รวมทั้งสถานการณ์น้ําด้านการอุปโภคบริโภคในพื้นที่และน้ําที่เกี่ยวข้องในด้านการเกษตรจากผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มอบเกียรติบัตรและถ่ายภาพร่วมกับกลุ่มประชาชนที่อนุญาตให้ทางการเข้าไปในที่ดินส่วนตัวเพื่อทําระบบผันน้ําลําปะเทีย - อ่างเก็บน้ําห้วยตลาดในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง จํานวน 118 คน เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นขวัญกําลังใจและขอบคุณประชาชนที่มีจิตสาธารณะเสียสละที่ดินของตนเองเพื่อส่วนรวมในการดําเนินการดังกล่าวเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวทักทายประชาชนชาวบุรีรัมย์ทุกคนที่มาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ซึ่งการเดินทางมาวันนี้ก็เพื่อมาแก้ปัญหาภัยแล้งอย่างยั่งยืน โดยจังหวัดบุรีรัมย์ถือเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพหลายด้าน ทั้งด้านการท่องเที่ยวและกีฬา ตลอดจนศิลปวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง นอกจากนี้การเดินทางมาจังหวัดบุรีรัมย์ก็มาด้วยความห่วงใย และอยากมาเห็นสภาพปัญหาด้วยตนเอง ซึ่งจังหวัดบุรีรัมย์เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ได้รับผลกระทบภัยแล้ง รวมทั้งมาดูความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาและการเตรียมแผนรับมือในฤดูภัยแล้งในอนาคต โดยเมื่อเช้าได้ประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดภาคอีสาน 20 จังหวัด เพื่อติดตามการแก้ไขสถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้น ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พยายามทําหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน โดยได้กําชับให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องช่วยกันดูแลเพื่อให้สถานการณ์ภัยแล้งคลี่คลายโดยเร็ว โดยได้มีการอนุมัติหลักการแก้ไขปัญหาที่เสนอมา โดยจะมีการจัดลําดับการดําเนินการตามความสําคัญเร่งด่วน พร้อมขอบคุณประชาชนที่มีจิตสาธารณะ ที่เสียสละที่ดินของตนเองเพื่อส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและการขาดแคลนน้ําในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ จึงขอให้ทุกคนมีน้ําใจเสียสละเพื่อส่วนรวมให้มากขึ้นเช่นเดียวกับกลุ่มประชาชนดังกล่าว สําหรับการขาดแคลนน้ําที่เกิดขึ้นนั้นสาเหตุมาจากฝนตกน้อย ซึ่งเกิดจากอากาศเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตามหวังจะมีพายุเพื่อจะทําให้ฝนตกลงและมีน้ํามาเพิ่ม โดยให้ทุกคนดูแลในเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมและป่าไม้ รวมทั้งจะทําอย่างไรให้คนอยู่ร่วมกับป่าได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งรัฐบาลก็จะพยายามทําอย่างต่อเนื่อง ส่วนการเพิ่มขนาดความจุของอ่าง ก็อยู่ในแผนที่จะดําเนินการต่อไป เช่น การขุดแลกดิน เพื่อนําดินไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นต่อไป รวมไปถึงการขุดน้ําในที่นาเพื่อเก็บกับน้ําไว้ใช้ในไร่นา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําว่า ขณะนี้รัฐบาลได้มีมาตรการในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะที่เป็นเกษตรกรรายย่อยและเกษตรกรที่ประสบภัยแล้ง ทั้ง 13 จังหวัด โดยร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้แก่ (1) การลดดอกเบี้ยเงินกู้ภัยแล้ง (2) การพักหนี้ภัยแล้ง (3) การให้สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย และ (4) การสนับสนุนต้นทุนค่าปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 ขณะเดียวกันการปลูกพืชต้องสอดคล้องกับพื้นที่ และปริมาณน้ํา รวมทั้งเป็นไปตามแผน Agri-map และให้มีปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของตลาด โดยได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดําเนินการในเรื่องของปุ๋ยสั่งตัดเพื่อให้ตรงกับพืชแต่ละชนิดและพื้นที่อย่างแท้จริง รวมทั้งได้สั่งการให้บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์น้ําอย่างใกล้ชิด และบูรณาการข้อมูลเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบให้ทันท่วงที โดยได้เปิด “ศูนย์อํานวยการน้ําเฉพาะกิจ” เพื่อแก้วิกฤตแล้งในช่วงฤดูฝน ทั้งนี้ ขอฝากให้ทุกคนเตรียมในเรื่องการทําเกษตรยุคใหม่ โดยมีการนําเทคโนลยีมาให้ในการทําการเกษตรและการประกอบอาชีพอื่น ๆ เพื่อให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันต้องร่วมกันส่งเสริมให้ลูกหลานเรียนในสาขาที่ตรงกับความต้องการของตลาดและการพัฒนาประเทศในอนาคต นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้มีมาตรการแก้ไขภัยแล้งใน 3 ระยะ ประกอบด้วย (1) มาตรการระยะเร่งด่วน 6 มาตรการ ได้แก่ ปฏิบัติการฝนหลวงเหนืออ่างเก็บน้ําและพื้นที่เกษตร สํารวจพื้นที่ขาดแคลนน้ํา/สนับสนุนเครื่องจักรเครื่องมือ ปรับแผนระบายน้ําโดยเฉพาะแหล่งน้ําที่มีน้ําน้อยกว่า 30% ปรับลดแผนระบายน้ํา 4 เขื่อนหลักในลุ่มเจ้าพระยา การประปานครหลวงวางแผนใช้น้ําจากลุ่มแม่กลองร่วมกับ กฟผ. / กรมชลประทาน สร้างความเข้าใจสถานการณ์น้ําแก่ผู้เกี่ยวข้อง (2) มาตรการระยะสั้น 4 มาตรการ ได้แก่ เร่งรัดหน่วยงานที่ได้รับงบกลางเพื่อก่อสร้างและซ่อมแซมฝายชะลอน้ําให้ทันรับน้ําในฤดูฝน ปรับแผนขุดเจาะบ่อบาดาล จัดทําแผนตามความเร่งด่วน โดยเฉพาะน้ําอุปโภคบริโภค และกําหนดนโยบายช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย และ (3) มาตรการระยะยาว 3 มาตรการ ได้แก่ เร่งรัดโครงการตามแผน Area Based แผนน้ํา 20 ปี ทําทะเบียนแหล่งน้ํา ทะเบียนผู้ใช้น้ํา และปรับแผน-ปฏิทินเพาะปลูกล่วงหน้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ํา นอกจากนี้ ได้สั่งการให้เร่งรัดมาตรการระยะเร่งด่วนและระยะสั้น ทั้งการเร่งดําเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ํา การพิจารณาใช้พลังงานทางเลือกในการสูบน้ําบาดาล และการรายงานผลการดําเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้งเป็นระยะ เช่น ปฏิบัติการฝนหลวง เพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ํา การสนับสนุนเครื่องมือเครื่องจักร ตลอดจนตั้งศูนย์เฉพาะกิจต่าง ๆ ให้ทํางานสอดประสานกัน ตลอดจนให้ปรับแผนการระบายน้ํา การรับมือภัยแล้ง ต้องเร่งช่วยเหลือโดยเร็ว พร้อมกับวางแผนจัดสรรน้ําให้เพียงพอถึงปีหน้า นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้รับทราบถึงปัญหาการขาดแคลนน้ําเพื่อการอุปโภค-บริโภค โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ําห้วยจระเข้มาก และอ่างเก็บน้ําห้วยตลาด ซึ่งเป็นแหล่งน้ําดิบสําหรับผลิตน้ําประปานั้น จึงได้กําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลอ่างเก็บน้ําห้วยจระเข้มากและอ่างเก็นน้ําห้วยตลาด แล้วหาน้ํามาเติมให้เพียงพอต่อการผลิตน้ําปะปา และน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภคของประชาชนเพื่อไม่ให้กระทบต่อการดํารงชีวิตของประชาชน นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมโรงเรียนมีชัยพัฒนา ซึ่งถือเป็นต้นแบบของการบริหารจัดการน้ําโดยร่วมกับหน่วยงานเอกชนสาธารณะประโยชน์ ชุมชน และภาคธุรกิจเอกชน ที่ส่งเสริมให้นักเรียน คนในชุมชน ได้มีความรู้ในการเก็บกักน้ํา และการประหยัดน้ํา ทั้งการบริหารจัดการน้ําฝนและน้ําผิวดิน การบริหารจัดการน้ําบาดาล การบริหารจัดการน้ําเพื่อการเกษตร โดยส่งเสริมการเกษตรที่ใช้พื้นที่น้อย น้ําน้อย แรงน้อย และผลตอบแทนดี นวัตกรรมเครื่องกรองน้ําซีเมนต์ระดับหลังคาเรือน และการผลิตน้ําจากความชื้นในอากาศ ซึ่งนับว่าเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่น ๆ ได้นําไปปฏิบัติต่อไป นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความชื่อมั่นว่าบุรีรัมย์ และกลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์ จะสามารถก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางของนักลงทุน นักท่องเที่ยว และการพัฒนาความเจริญคู่ไปพร้อมกันทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ํา ถนนหนทาง สุขภาพอนามัย การบริการทางการแพทย์สมัยใหม่ที่สะดวกรวดเร็ว ตลอดทั้งกิจกรรมการดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าสู่จังหวัดบุรีรัมย์ จึงขอให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างเต็มที่ และขอให้เชื่อมั่นว่าโครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้ริเริ่มไว้ จะเริ่มเห็นผลในไม่ช้า ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนใน EEC รถไฟความเร็วสูง และรถไฟรางคู่ เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และชาติบ้านเมืองมีความเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง และยั่งยืน ---------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29060
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม
วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม 2562 ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (6 ธันวาคม 2562) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อหารือและมอบนโยบายการดําเนินงานภายในกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปด้วยความถูกต้องและรวดเร็ว โดยมีนายภานุวัตน์ ตริยางกูรศรี นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมด้วย ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม 2562 ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (6 ธันวาคม 2562) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อหารือและมอบนโยบายการดําเนินงานภายในกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปด้วยความถูกต้องและรวดเร็ว โดยมีนายภานุวัตน์ ตริยางกูรศรี นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมด้วย ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25051
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร.กอบศักดิ์ฯ เป็นประธานการประชุมชี้แจงการนำเข้าข้อมูลของโครงการห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ
วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน 2561 รมต.นร.กอบศักดิ์ฯ เป็นประธานการประชุมชี้แจงการนําเข้าข้อมูลของโครงการห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ รมต.นร.กอบศักดิ์ฯ เป็นประธานการประชุมการนําเข้าข้อมูลของโครงการห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ เพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับประชาชนในวันเด็ก ปี 2562 วันนี้ (14 พฤศจิกายน 2561) เวลา 08.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมชี้แจงการนําเข้าข้อมูลของโครงการห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ภายหลังการประชุม รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และผู้เกี่ยวข้อง แถลงข่าวการประชุมชี้แจงการนําเข้าข้อมูลของโครงการห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Library) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ จากข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 เรื่องการจัดทําสื่ออิเล็กทรอนิกส์ อันได้แก่ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-books) วีดีทัศน์ ไฟล์ภาพ ไฟล์เสียง เป็นต้น เพื่อให้มีความทันสมัยและเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูล เอกสารความรู้ และหนังสือแบบเรียนของกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานต่าง ๆ ให้ได้ใช้ประโยชน์ ซึ่งมีเป้าหมายเปิดตัวโครงการ National e-Library ในงานวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี พ.ศ. 2562 เพื่อเป็นของขวัญสําหรับเด็กและประชาชน ประกอบด้วย 2 ระบบ คือ ระบบ e-Library ประเภทสื่อการเรียนรู้ทั่วไป และระบบ e-library ด้านข้อมูลความรู้สําหรับเยาวชนและประชาชนทั่วไป รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แจ้งว่า ในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2561 มีมติให้ทุกกระทรวงตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับ จัดทํา ไฟล์ข้อมูลเพื่อการอัพโหลดเข้าสู่ระบบที่พัฒนาขึ้นภายใต้โครงการ National e-Library ในการนี้ สํานักนายกรัฐมนตรีร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ หอสมุดแห่งชาติ และสํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) ได้ประชุมหารือร่วมกัน เพื่อพัฒนาโปรแกรมรองรับไฟล์ข้อมูลดิจิทัลที่ได้รับจากส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) และบริษัทผู้เชี่ยวชาญชั้นนํา เข้ามาร่วมพัฒนาแอปพลิเคชั่น นักเรียนและประชาชนทั่วประเทศ ณ ปัจจุบัน เรามีไฟล์ที่พร้อมทําการอัพโหลด ทั้งที่เป็นข้อมูลประกอบการเรียนรู้ ไฟล์เอกสาร เสียง ภาพถ่าย เอกสารหนังสือโบราณ แบบเรียนทั้งเก่และใหม่ นิยาย การ์ตูนสําหรับเด็ก สื่อเสียงและวีดีทัศน์ รวมทั้งสิ้น 46,666 ไฟล์ พร้อมมอบเป็นของขวัญให้กับประชาชนในวันเด็ก ปี 2562 ทั้งนี้ เป้าประสงค์สําคัญ คือ เพื่อลดความเหลื่อมล้ําทางด้านการศึกษา สอดคล้องกับ นโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล และเป็นหนึ่งในแนวทางปฏิรูปการศึกษาของรัฐบาล ลดช่องว่าง ขยายโอกาสในการเข้าถึงข้อมูล แก่ประชาชน เยาวชน ทุกระดับ ทุกพื้นที่ ทั้งยังเป็นการสนับสนุน การเรียนรู้ตลอดชีวิต และจะเป็นประโยชน์ให้กับ ครู อาจารย์ กว่า 400,000 ราย ที่จะมีแหล่งข้อมูลในการสืบค้นเพื่อนํามาพัฒนาสื่อการเรียนการสอนและยกระดับมาตรฐานการศึกษาต่อไป ............................................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร.กอบศักดิ์ฯ เป็นประธานการประชุมชี้แจงการนำเข้าข้อมูลของโครงการห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน 2561 รมต.นร.กอบศักดิ์ฯ เป็นประธานการประชุมชี้แจงการนําเข้าข้อมูลของโครงการห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ รมต.นร.กอบศักดิ์ฯ เป็นประธานการประชุมการนําเข้าข้อมูลของโครงการห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ เพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับประชาชนในวันเด็ก ปี 2562 วันนี้ (14 พฤศจิกายน 2561) เวลา 08.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมชี้แจงการนําเข้าข้อมูลของโครงการห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ภายหลังการประชุม รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และผู้เกี่ยวข้อง แถลงข่าวการประชุมชี้แจงการนําเข้าข้อมูลของโครงการห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Library) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ จากข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 เรื่องการจัดทําสื่ออิเล็กทรอนิกส์ อันได้แก่ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-books) วีดีทัศน์ ไฟล์ภาพ ไฟล์เสียง เป็นต้น เพื่อให้มีความทันสมัยและเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูล เอกสารความรู้ และหนังสือแบบเรียนของกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานต่าง ๆ ให้ได้ใช้ประโยชน์ ซึ่งมีเป้าหมายเปิดตัวโครงการ National e-Library ในงานวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี พ.ศ. 2562 เพื่อเป็นของขวัญสําหรับเด็กและประชาชน ประกอบด้วย 2 ระบบ คือ ระบบ e-Library ประเภทสื่อการเรียนรู้ทั่วไป และระบบ e-library ด้านข้อมูลความรู้สําหรับเยาวชนและประชาชนทั่วไป รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แจ้งว่า ในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2561 มีมติให้ทุกกระทรวงตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับ จัดทํา ไฟล์ข้อมูลเพื่อการอัพโหลดเข้าสู่ระบบที่พัฒนาขึ้นภายใต้โครงการ National e-Library ในการนี้ สํานักนายกรัฐมนตรีร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ หอสมุดแห่งชาติ และสํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) ได้ประชุมหารือร่วมกัน เพื่อพัฒนาโปรแกรมรองรับไฟล์ข้อมูลดิจิทัลที่ได้รับจากส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) และบริษัทผู้เชี่ยวชาญชั้นนํา เข้ามาร่วมพัฒนาแอปพลิเคชั่น นักเรียนและประชาชนทั่วประเทศ ณ ปัจจุบัน เรามีไฟล์ที่พร้อมทําการอัพโหลด ทั้งที่เป็นข้อมูลประกอบการเรียนรู้ ไฟล์เอกสาร เสียง ภาพถ่าย เอกสารหนังสือโบราณ แบบเรียนทั้งเก่และใหม่ นิยาย การ์ตูนสําหรับเด็ก สื่อเสียงและวีดีทัศน์ รวมทั้งสิ้น 46,666 ไฟล์ พร้อมมอบเป็นของขวัญให้กับประชาชนในวันเด็ก ปี 2562 ทั้งนี้ เป้าประสงค์สําคัญ คือ เพื่อลดความเหลื่อมล้ําทางด้านการศึกษา สอดคล้องกับ นโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล และเป็นหนึ่งในแนวทางปฏิรูปการศึกษาของรัฐบาล ลดช่องว่าง ขยายโอกาสในการเข้าถึงข้อมูล แก่ประชาชน เยาวชน ทุกระดับ ทุกพื้นที่ ทั้งยังเป็นการสนับสนุน การเรียนรู้ตลอดชีวิต และจะเป็นประโยชน์ให้กับ ครู อาจารย์ กว่า 400,000 ราย ที่จะมีแหล่งข้อมูลในการสืบค้นเพื่อนํามาพัฒนาสื่อการเรียนการสอนและยกระดับมาตรฐานการศึกษาต่อไป ............................................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16775
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ. รับเรื่องจากทนายสงกานต์ฯ กรณีเรียกร้อง ให้พิจารณาพักการลงโทษ ตา ยาย บุกรุกป่าสงวนฯ ในจังหวัดกาฬสินธุ์
วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2560 ยธ. รับเรื่องจากทนายสงกานต์ฯ กรณีเรียกร้อง ให้พิจารณาพักการลงโทษ ตา ยาย บุกรุกป่าสงวนฯ ในจังหวัดกาฬสินธุ์ ขอให้กระทรวงยุติธรรมพิจารณาพักการลงโทษ และให้เสนอขอพระราชทานอภัยโทษ ให้แก่นายอุดม และนางแดง ศิริสอน กรณีถูกศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดจําคุก ๕ ปี ในคดีร่วมกันบุกรุก แผ้วถาง ก่อสร้าง และลักลอบตัดไม้ จํานวน ๗๒ ไร่ เมื่อวันจันทร์ที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ บริเวณด้านหน้าศูนย์บริการร่วมฯ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทําลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เข้ายื่นหนังสือต่อนายอินทราวุธ สมมาตร หัวหน้าศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอให้กระทรวงยุติธรรมพิจารณาพักการลงโทษ และให้เสนอขอพระราชทานอภัยโทษ ให้แก่นายอุดม และนางแดง ศิริสอน กรณีถูกศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดจําคุก ๕ ปี ในคดีร่วมกันบุกรุก แผ้วถาง ก่อสร้าง และลักลอบตัดไม้ จํานวน ๗๒ ไร่ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติดงระแนง จังหวัดกาฬสินธุ์ ทั้งนี้กระทรวงยุติธรรม พร้อมจะประสานไปยังหน่วยงานในสังกัด ให้พิจารณาตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ. รับเรื่องจากทนายสงกานต์ฯ กรณีเรียกร้อง ให้พิจารณาพักการลงโทษ ตา ยาย บุกรุกป่าสงวนฯ ในจังหวัดกาฬสินธุ์ วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2560 ยธ. รับเรื่องจากทนายสงกานต์ฯ กรณีเรียกร้อง ให้พิจารณาพักการลงโทษ ตา ยาย บุกรุกป่าสงวนฯ ในจังหวัดกาฬสินธุ์ ขอให้กระทรวงยุติธรรมพิจารณาพักการลงโทษ และให้เสนอขอพระราชทานอภัยโทษ ให้แก่นายอุดม และนางแดง ศิริสอน กรณีถูกศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดจําคุก ๕ ปี ในคดีร่วมกันบุกรุก แผ้วถาง ก่อสร้าง และลักลอบตัดไม้ จํานวน ๗๒ ไร่ เมื่อวันจันทร์ที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ บริเวณด้านหน้าศูนย์บริการร่วมฯ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทําลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เข้ายื่นหนังสือต่อนายอินทราวุธ สมมาตร หัวหน้าศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอให้กระทรวงยุติธรรมพิจารณาพักการลงโทษ และให้เสนอขอพระราชทานอภัยโทษ ให้แก่นายอุดม และนางแดง ศิริสอน กรณีถูกศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดจําคุก ๕ ปี ในคดีร่วมกันบุกรุก แผ้วถาง ก่อสร้าง และลักลอบตัดไม้ จํานวน ๗๒ ไร่ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติดงระแนง จังหวัดกาฬสินธุ์ ทั้งนี้กระทรวงยุติธรรม พร้อมจะประสานไปยังหน่วยงานในสังกัด ให้พิจารณาตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3604
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชื่นชม "กกต.-หน่วยงานระดับจังหวัด "จัดการเลือกตั้งซ่อมลำปางได้เรียบร้อยดี
วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน 2563 นายกฯ ชื่นชม "กกต.-หน่วยงานระดับจังหวัด "จัดการเลือกตั้งซ่อมลําปางได้เรียบร้อยดี นายกฯ ชื่นชม "กกต.-หน่วยงานระดับจังหวัด" จัดการเลือกตั้งซ่อมลําปางได้เรียบร้อยดี ยินดีกับว่าที่ส.ส.ใหม่พลังประชารัฐ ลั่นรัฐบาลพร้อมทํางานร่วมกับส.ส.และพรรคการเมืองทุกพรรคเพื่อพี่น้องประชาชน นายกรัฐมนตรีขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกกต.และหน่วยงานระดับจังหวัดสามารถจัดการเลือกตั้งซ่อมลําปางเป็นไปด้วยความเรียบร้อยขอบคุณประชาชนที่ให้ความสนใจออกไปใช้สิทธิของตนเอง ศาสตราจารย์นฤมลภิญโญสินวัฒน์โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยถึงการเลือกตั้งส.ส.จังหวัดลําปางเขตเลือกตั้งที่4แทนตําแหน่งที่ว่างเมื่อวันที่20มิถุนายน2563ว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมกับการจัดการเลือกตั้งซ่อมส.ส.ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ทั้งส่วนกลางและระดับจังหวัดเจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่ทุกฝ่ายและยินดีกับว่าที่ส.ส.ใหม่คือนายวัฒนาสิทธิวังผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐและยินดีกับพรรคพลังประชารัฐด้วย พลเอกประยุทธ์ยังขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดลําปางทุกคนที่ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งนี้ทราบว่ามีจํานวนผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งจํานวนมากส่วนการเลือกตั้งก็เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยเป็นที่น่ายินดีสําหรับพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดลําปางในส่วนของรัฐบาลก็มีหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้งซ่อมหากพื้นที่ไหนมีตําแหน่งส.ส.ว่างลงที่สําคัญต้องดําเนินการไปด้วยความเรียบร้อยทุกพื้นที่ นายกรัฐมนตรีย้ําว่า"หน้าที่ของรัฐบาลต้องดําเนินการให้เป็นไปตามกฎกติกาของการเลือกตั้ง เราต้องเป็นกลางในการจัดการการเลือกตั้งที่ผ่านมาผมว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถจัดการได้ดีโดยเฉพาะการอํานวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชนได้มาใช้สิทธิโดยคํานึงถึงมาตรการทางสาธาณสุขด้วยพื่อเลือกผู้แทนของพวกเขาหรือเลือกส.ส.ที่จะต้องเข้ามาทําหน้าที่ในรัฐสภาฯเพื่อพี่น้องประชาชนเอง" ศาสตราจารย์นฤมลกล่าวว่าในส่วนของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ย้ําเสมอว่าพร้อมทํางานร่วมกับส.ส.และพรรคการเมืองทุกพรรคเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้ด้วยดีโดยเฉพาะการช่วยแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจให้กับพี่น้องประชาชนทั้งประเทศที่ได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ซึ่งขณะนี้การแพร่ระบาดในประเทศไทยแม้จะเบาบางลงไปแล้วแต่ทุกภาคส่วนรวมทั้งประชาชนยังต้องเฝ้าระวังไม่ให้การ์ดตกไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19กลับมาอีกดังนั้นรัฐบาลจึงอยากให้ทุกพรรคการเมืองเข้ามาช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะส.ส.ในพื้นที่ "รัฐบาลยินดีรับข้อเสนอหรือข้อแนะนําจากทุกพรรคการเมืองเพื่อช่วยพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนนับจากนี้ไปจะเป็นช่วงเยียวยาผู้ที่ได้ รับผลกระทบซึ่งจะมีการจัดสรรงบประมาณและอาชีพที่จะเข้าไปช่วยพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเมื่อทุกฝ่ายร่วมกันก็จะเป็นสิ่งที่ดียิ่งเพื่อประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศ" ................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชื่นชม "กกต.-หน่วยงานระดับจังหวัด "จัดการเลือกตั้งซ่อมลำปางได้เรียบร้อยดี วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน 2563 นายกฯ ชื่นชม "กกต.-หน่วยงานระดับจังหวัด "จัดการเลือกตั้งซ่อมลําปางได้เรียบร้อยดี นายกฯ ชื่นชม "กกต.-หน่วยงานระดับจังหวัด" จัดการเลือกตั้งซ่อมลําปางได้เรียบร้อยดี ยินดีกับว่าที่ส.ส.ใหม่พลังประชารัฐ ลั่นรัฐบาลพร้อมทํางานร่วมกับส.ส.และพรรคการเมืองทุกพรรคเพื่อพี่น้องประชาชน นายกรัฐมนตรีขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกกต.และหน่วยงานระดับจังหวัดสามารถจัดการเลือกตั้งซ่อมลําปางเป็นไปด้วยความเรียบร้อยขอบคุณประชาชนที่ให้ความสนใจออกไปใช้สิทธิของตนเอง ศาสตราจารย์นฤมลภิญโญสินวัฒน์โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยถึงการเลือกตั้งส.ส.จังหวัดลําปางเขตเลือกตั้งที่4แทนตําแหน่งที่ว่างเมื่อวันที่20มิถุนายน2563ว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมกับการจัดการเลือกตั้งซ่อมส.ส.ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ทั้งส่วนกลางและระดับจังหวัดเจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่ทุกฝ่ายและยินดีกับว่าที่ส.ส.ใหม่คือนายวัฒนาสิทธิวังผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐและยินดีกับพรรคพลังประชารัฐด้วย พลเอกประยุทธ์ยังขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดลําปางทุกคนที่ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งนี้ทราบว่ามีจํานวนผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งจํานวนมากส่วนการเลือกตั้งก็เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยเป็นที่น่ายินดีสําหรับพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดลําปางในส่วนของรัฐบาลก็มีหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้งซ่อมหากพื้นที่ไหนมีตําแหน่งส.ส.ว่างลงที่สําคัญต้องดําเนินการไปด้วยความเรียบร้อยทุกพื้นที่ นายกรัฐมนตรีย้ําว่า"หน้าที่ของรัฐบาลต้องดําเนินการให้เป็นไปตามกฎกติกาของการเลือกตั้ง เราต้องเป็นกลางในการจัดการการเลือกตั้งที่ผ่านมาผมว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถจัดการได้ดีโดยเฉพาะการอํานวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชนได้มาใช้สิทธิโดยคํานึงถึงมาตรการทางสาธาณสุขด้วยพื่อเลือกผู้แทนของพวกเขาหรือเลือกส.ส.ที่จะต้องเข้ามาทําหน้าที่ในรัฐสภาฯเพื่อพี่น้องประชาชนเอง" ศาสตราจารย์นฤมลกล่าวว่าในส่วนของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ย้ําเสมอว่าพร้อมทํางานร่วมกับส.ส.และพรรคการเมืองทุกพรรคเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้ด้วยดีโดยเฉพาะการช่วยแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจให้กับพี่น้องประชาชนทั้งประเทศที่ได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ซึ่งขณะนี้การแพร่ระบาดในประเทศไทยแม้จะเบาบางลงไปแล้วแต่ทุกภาคส่วนรวมทั้งประชาชนยังต้องเฝ้าระวังไม่ให้การ์ดตกไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19กลับมาอีกดังนั้นรัฐบาลจึงอยากให้ทุกพรรคการเมืองเข้ามาช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะส.ส.ในพื้นที่ "รัฐบาลยินดีรับข้อเสนอหรือข้อแนะนําจากทุกพรรคการเมืองเพื่อช่วยพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนนับจากนี้ไปจะเป็นช่วงเยียวยาผู้ที่ได้ รับผลกระทบซึ่งจะมีการจัดสรรงบประมาณและอาชีพที่จะเข้าไปช่วยพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเมื่อทุกฝ่ายร่วมกันก็จะเป็นสิ่งที่ดียิ่งเพื่อประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศ" ................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32575
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษ ของรัฐบาล แก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นประธาน ประชุมผู้แทนพิเศษ ครั้งที่ 2
วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม 2560 พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษ ของรัฐบาล แก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นประธาน ประชุมผู้แทนพิเศษ ครั้งที่ 2 พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษ ของรัฐบาล แก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นประธาน ประชุมผู้แทนพิเศษ ครั้งที่ 2 พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษ ของรัฐบาล แก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นประธาน ประชุมผู้แทนพิเศษ ครั้งที่ 2 ที่กระทรวงกลาโหม เพื่อติดตามความคืบหน้าการ ดําเนินงานที่ผ่านมา และนําเสนอประเด็นที่จะขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาให้ประสบความสําเร็จ ทั้งนี้หลังการประชุม นายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาฯ คณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาล แถลงผลการประชุมว่า ที่ประชุมเห็นชอบการตั้งศูนย์ส่งเสริมการลงทุนในจังหวัดใช้แดนภาคใต้ภายใต้การดูแลของศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วน แผนงานใน 19 โครงการของปี 2560 ชื่อว่าอยู่ในโครงการปกติของส่วนราชการ งบประมาณ 1,700 ล้านบาท พร้อมเตรียมพิจารณาเพิ่มในอีก 7 โครงการ ที่ต้องใช้งบ 774 ล้านบาท ซึ่งต้องเสนอ คณะกรรมการขับเคลื่อน การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือ คปต. ส่วนหน้า และ คณะรัฐมนตรีต่อไปเนื่องจากเป็นการขอใช้งบประมาณส่วนกลาง สําหรับการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายความมั่นคง ให้สอดรับกับโครงการพาคนกลับบ้าน พลเอกอุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ หนึ่งในคณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาล บอกว่า เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของพลเอกสกล ชื่นตระกูลซึ่งได้มีการพูดคุย ศึกษาและเตรียมแก้ไข กฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ แต่ก็ยัง ต้องมีเครื่องมือสําหรับดําเนินการทํากับคนที่ยังไม่ออกจากความขัดแย้งซึ่งต้องทําความเข้าใจกับประชาชนในส่วนนี้เนื่องจากการแก้ไขกฎหมายมีทั้งบวกและลบ ส่วนการกําหนดพื้นที่ปลอดภัยหรือเซฟตี้โซนตนเองไม่ขอลงในรายละเอียด เพราะเป็นความรับผิดชอบของพลเอกอักษรา เกิดผล หน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุข ซึ่งขณะนี้ การพูดคุยยังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งส่วนตัวอยากให้ทุกอําเภอเป็นพื้นที่ปลอดภัย แต่ก็ต้องให้เวลา ทําความเข้าใจกลุ่มผู้เห็นต่างในแต่ละระดับ ขณะที่พลตํารวจโท ไพฑูรย์ ชูชัยยะ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล เปิดเผยถึงกระบวนการสอบสวนคดีความมั่นคงในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งต้องใช้ พนักงานสอบสวนที่มีความรู้ความสามารถ ระดับรองสารวัตรขึ้นไป ถือเป็น จํานวนที่น้อยมากยอมรับว่ามีความขาดแคนจึงต้องขอความช่วยเหลือจาก ท้องที่อื่น โดยขณะนี้มีจํานวนเพียง 138 นาย เพิ่งจะจบภารกิจในวันที่ 28 มีนาคมนี้ ไปจากกระทบต่อกระบวนการทําคดีจึงได้แจ้งเรื่องไปยังสํานักงานตํารวจแห่งชาติให้เร่งพิจารณา โดยล่าสุดมีเพียง 30 นายที่สมัครใจอยู่ต่อซึ่งต้องมีการเปิดตําแหน่งในพื้นที่เพิ่ม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษ ของรัฐบาล แก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นประธาน ประชุมผู้แทนพิเศษ ครั้งที่ 2 วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม 2560 พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษ ของรัฐบาล แก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นประธาน ประชุมผู้แทนพิเศษ ครั้งที่ 2 พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษ ของรัฐบาล แก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นประธาน ประชุมผู้แทนพิเศษ ครั้งที่ 2 พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษ ของรัฐบาล แก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นประธาน ประชุมผู้แทนพิเศษ ครั้งที่ 2 ที่กระทรวงกลาโหม เพื่อติดตามความคืบหน้าการ ดําเนินงานที่ผ่านมา และนําเสนอประเด็นที่จะขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาให้ประสบความสําเร็จ ทั้งนี้หลังการประชุม นายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาฯ คณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาล แถลงผลการประชุมว่า ที่ประชุมเห็นชอบการตั้งศูนย์ส่งเสริมการลงทุนในจังหวัดใช้แดนภาคใต้ภายใต้การดูแลของศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วน แผนงานใน 19 โครงการของปี 2560 ชื่อว่าอยู่ในโครงการปกติของส่วนราชการ งบประมาณ 1,700 ล้านบาท พร้อมเตรียมพิจารณาเพิ่มในอีก 7 โครงการ ที่ต้องใช้งบ 774 ล้านบาท ซึ่งต้องเสนอ คณะกรรมการขับเคลื่อน การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือ คปต. ส่วนหน้า และ คณะรัฐมนตรีต่อไปเนื่องจากเป็นการขอใช้งบประมาณส่วนกลาง สําหรับการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายความมั่นคง ให้สอดรับกับโครงการพาคนกลับบ้าน พลเอกอุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ หนึ่งในคณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาล บอกว่า เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของพลเอกสกล ชื่นตระกูลซึ่งได้มีการพูดคุย ศึกษาและเตรียมแก้ไข กฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ แต่ก็ยัง ต้องมีเครื่องมือสําหรับดําเนินการทํากับคนที่ยังไม่ออกจากความขัดแย้งซึ่งต้องทําความเข้าใจกับประชาชนในส่วนนี้เนื่องจากการแก้ไขกฎหมายมีทั้งบวกและลบ ส่วนการกําหนดพื้นที่ปลอดภัยหรือเซฟตี้โซนตนเองไม่ขอลงในรายละเอียด เพราะเป็นความรับผิดชอบของพลเอกอักษรา เกิดผล หน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุข ซึ่งขณะนี้ การพูดคุยยังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งส่วนตัวอยากให้ทุกอําเภอเป็นพื้นที่ปลอดภัย แต่ก็ต้องให้เวลา ทําความเข้าใจกลุ่มผู้เห็นต่างในแต่ละระดับ ขณะที่พลตํารวจโท ไพฑูรย์ ชูชัยยะ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล เปิดเผยถึงกระบวนการสอบสวนคดีความมั่นคงในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งต้องใช้ พนักงานสอบสวนที่มีความรู้ความสามารถ ระดับรองสารวัตรขึ้นไป ถือเป็น จํานวนที่น้อยมากยอมรับว่ามีความขาดแคนจึงต้องขอความช่วยเหลือจาก ท้องที่อื่น โดยขณะนี้มีจํานวนเพียง 138 นาย เพิ่งจะจบภารกิจในวันที่ 28 มีนาคมนี้ ไปจากกระทบต่อกระบวนการทําคดีจึงได้แจ้งเรื่องไปยังสํานักงานตํารวจแห่งชาติให้เร่งพิจารณา โดยล่าสุดมีเพียง 30 นายที่สมัครใจอยู่ต่อซึ่งต้องมีการเปิดตําแหน่งในพื้นที่เพิ่ม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2447
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศ.ดร บวรศักดิ์ฯ ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย แถลงความคืบหน้าการปฏิรูปประเทศ กฎหมายยุคใหม่ เท่าเทียมและเป็นธรรม
วันจันทร์ที่ 2 เมษายน 2561 ศ.ดร บวรศักดิ์ฯ ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย แถลงความคืบหน้าการปฏิรูปประเทศ กฎหมายยุคใหม่ เท่าเทียมและเป็นธรรม ศ.ดร บวรศักดิ์ฯ เน้นว่ากฎหมายที่ปฏิรูปใหม่ยึดหลักสร้างความเท่าเทียมและเป็นธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ําในสังคม วันนี้ (2 เมษายน 2561) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย แถลงความคืบหน้าการปฏิรูปประเทศ ในหัวข้อ "กฎหมายยุคใหม่ เท่าเทียมและเป็นธรรม" มีสาระสําคัญ ดังนี้ การกําหนดกรอบการดําเนินการตามแผนปฏิรูปประเทศด้านกฎหมายพิจารณาจากเรื่องที่ดําเนินการอยู่ในปัจจุบัน โดยยึดหลักการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้มีการกําหนดกลไกที่สําคัญไว้หลายประการเพื่อให้เกิดการปฏิรูปกฏหมายโดยเฉพาะหลักการตามมาตรา 77 ของกฏหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร พ.ศ. 2560 โดยจะมีปรับเปลี่ยนกกฏหมายที่มีความล้าหลัง เพื่อให้เป็นกฏหมายที่ดี และสอดคล้องกับสภาพความต้องการที่แท้จริงของสังคมปัจจุบัน อีกทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและติดตามตรวจสอบทั้งในขั้นตอนของการจัดทําร่างกฏหมายและการทบทวนความเหมาะสมของกฏหมาย และสร้างการรับรู้และเข้าถึงกฎหมายได้โดยง่าย เพื่อสื่อถึงความต้องการของสังคมและเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้และเข้าใจถึงสาระของกฏหมาย ซึ่งจะต้องดําเนินการอย่างต่อเนื่องให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม สําหรับประเด็นการปฏิรูปและผลอันพึงประสงค์ของการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมายนั้นมุ่งเน้นการสร้าง เพื่อให้เกิดการพัฒนาตามหลักการ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน”สอดคล้องกับบริบทของการพัฒนาสู่ THAILAND 4.0 ตามนโยบายของรัฐบาล และเป็นไปตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ตลอดจนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยกําหนดประเด็นปฏิรูปด้านกฎหมายเพื่อรองรับตามหลัก “ทวิยุทธศาสตร์” ทั้งในเรื่องของการกําหนดให้มีกลไกทางกฎหมายเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และการกําหนดให้มีกลไกทางกฎหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ําในสังคม ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมายกล่าวย้ําว่า เป้าหมายหรือผลอันพึงประสงค์ของการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย 10 ประการ ดังต่อไปนี้ 1. มีกลไกให้การออกกฎหมายที่ดีและเท่าที่จําเป็นรวมทั้งมีกลไกในการทบทวนกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้วเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2. ยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย และเป็นอุปสรรคต่อการดํารงชีวิตและการประกอบอาชีพของประชาชน 3. มีกลไกทางกฎหมายเพื่อขจัดความเหลื่อมล้ําและสร้างความเป็นธรรมในสังคม 4. มีกลไกให้มีการตรากฎหมายเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 5. พัฒนากระบวนการจัดทําและตรวจพิจาณาร่างกฎหมายให้ รวดเร็ว รอบคอบ และสอดคล้องกับเงื่อนเวลาในการตรากฏหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 6. มีกลไกให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดทําและเสนอร่างกฎหมายที่มีความสําคัญ และจัดให้มีกลไกช่วยเหลือประชาชนในการจัดทําและเสนอร่างกฏหมาย รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน 7. มีกลไกให้ประชาชนเข้าถึงกฎหมายโดยสะดวกและเข้าถึงกฎหมายได้โดยง่าย 8. ปฏิรูปการเรียนการสอนและการศึกษาอบรมวิชากฏหมายเพื่อพัฒนานักกฏหมายให้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพที่ดี 9. พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนติดต่อกับเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฏหมายได้โดยสะดวก และ 10 มีกลไกส่งเสริมการบังคับใช้กฏหมายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้จะต้องมีการสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนได้รู้เรื่องเกี่ยวกับกฎหมาย โดยได้กําหนดให้เร่งดําเนินการตั้งยุติธรรมชุมชนในระดับท้องถิ่นทั่วทั้งประเทศ ซึ่งจะมี 1 นักกฎหมาย ต่อ 1 ตําบล ช่วยให้คําปรึกษาแก่ชประชาชนที่ต้องการคําปรึกษาด้านกฎหมายให้เข้าใจได้โดยง่าย เนื่องจากปัจจุบันอาจจะมีสภาทนายความฯ สํานักอัยการสูงสุด และมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งอาจจะมีการช่วยเหลืออยู่แล้วแต่อาจจะเข้าไปไม่ทั่วถึงยังประชาชนทุกตําบล โดยจะมีการจัดอบรมให้แก่ยุติธรรมชุมชนในเรื่องของกฎหมายใหม่ๆ 1 ตําบล 1 นักกฏหมาย เพื่อส่งเสริมและขจัดความเหลื่อมล้ําในสังคมให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง ..................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศ.ดร บวรศักดิ์ฯ ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย แถลงความคืบหน้าการปฏิรูปประเทศ กฎหมายยุคใหม่ เท่าเทียมและเป็นธรรม วันจันทร์ที่ 2 เมษายน 2561 ศ.ดร บวรศักดิ์ฯ ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย แถลงความคืบหน้าการปฏิรูปประเทศ กฎหมายยุคใหม่ เท่าเทียมและเป็นธรรม ศ.ดร บวรศักดิ์ฯ เน้นว่ากฎหมายที่ปฏิรูปใหม่ยึดหลักสร้างความเท่าเทียมและเป็นธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ําในสังคม วันนี้ (2 เมษายน 2561) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย แถลงความคืบหน้าการปฏิรูปประเทศ ในหัวข้อ "กฎหมายยุคใหม่ เท่าเทียมและเป็นธรรม" มีสาระสําคัญ ดังนี้ การกําหนดกรอบการดําเนินการตามแผนปฏิรูปประเทศด้านกฎหมายพิจารณาจากเรื่องที่ดําเนินการอยู่ในปัจจุบัน โดยยึดหลักการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้มีการกําหนดกลไกที่สําคัญไว้หลายประการเพื่อให้เกิดการปฏิรูปกฏหมายโดยเฉพาะหลักการตามมาตรา 77 ของกฏหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร พ.ศ. 2560 โดยจะมีปรับเปลี่ยนกกฏหมายที่มีความล้าหลัง เพื่อให้เป็นกฏหมายที่ดี และสอดคล้องกับสภาพความต้องการที่แท้จริงของสังคมปัจจุบัน อีกทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและติดตามตรวจสอบทั้งในขั้นตอนของการจัดทําร่างกฏหมายและการทบทวนความเหมาะสมของกฏหมาย และสร้างการรับรู้และเข้าถึงกฎหมายได้โดยง่าย เพื่อสื่อถึงความต้องการของสังคมและเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้และเข้าใจถึงสาระของกฏหมาย ซึ่งจะต้องดําเนินการอย่างต่อเนื่องให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม สําหรับประเด็นการปฏิรูปและผลอันพึงประสงค์ของการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมายนั้นมุ่งเน้นการสร้าง เพื่อให้เกิดการพัฒนาตามหลักการ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน”สอดคล้องกับบริบทของการพัฒนาสู่ THAILAND 4.0 ตามนโยบายของรัฐบาล และเป็นไปตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ตลอดจนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยกําหนดประเด็นปฏิรูปด้านกฎหมายเพื่อรองรับตามหลัก “ทวิยุทธศาสตร์” ทั้งในเรื่องของการกําหนดให้มีกลไกทางกฎหมายเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และการกําหนดให้มีกลไกทางกฎหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ําในสังคม ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมายกล่าวย้ําว่า เป้าหมายหรือผลอันพึงประสงค์ของการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย 10 ประการ ดังต่อไปนี้ 1. มีกลไกให้การออกกฎหมายที่ดีและเท่าที่จําเป็นรวมทั้งมีกลไกในการทบทวนกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้วเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2. ยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย และเป็นอุปสรรคต่อการดํารงชีวิตและการประกอบอาชีพของประชาชน 3. มีกลไกทางกฎหมายเพื่อขจัดความเหลื่อมล้ําและสร้างความเป็นธรรมในสังคม 4. มีกลไกให้มีการตรากฎหมายเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 5. พัฒนากระบวนการจัดทําและตรวจพิจาณาร่างกฎหมายให้ รวดเร็ว รอบคอบ และสอดคล้องกับเงื่อนเวลาในการตรากฏหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 6. มีกลไกให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดทําและเสนอร่างกฎหมายที่มีความสําคัญ และจัดให้มีกลไกช่วยเหลือประชาชนในการจัดทําและเสนอร่างกฏหมาย รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน 7. มีกลไกให้ประชาชนเข้าถึงกฎหมายโดยสะดวกและเข้าถึงกฎหมายได้โดยง่าย 8. ปฏิรูปการเรียนการสอนและการศึกษาอบรมวิชากฏหมายเพื่อพัฒนานักกฏหมายให้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพที่ดี 9. พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนติดต่อกับเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฏหมายได้โดยสะดวก และ 10 มีกลไกส่งเสริมการบังคับใช้กฏหมายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้จะต้องมีการสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนได้รู้เรื่องเกี่ยวกับกฎหมาย โดยได้กําหนดให้เร่งดําเนินการตั้งยุติธรรมชุมชนในระดับท้องถิ่นทั่วทั้งประเทศ ซึ่งจะมี 1 นักกฎหมาย ต่อ 1 ตําบล ช่วยให้คําปรึกษาแก่ชประชาชนที่ต้องการคําปรึกษาด้านกฎหมายให้เข้าใจได้โดยง่าย เนื่องจากปัจจุบันอาจจะมีสภาทนายความฯ สํานักอัยการสูงสุด และมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งอาจจะมีการช่วยเหลืออยู่แล้วแต่อาจจะเข้าไปไม่ทั่วถึงยังประชาชนทุกตําบล โดยจะมีการจัดอบรมให้แก่ยุติธรรมชุมชนในเรื่องของกฎหมายใหม่ๆ 1 ตําบล 1 นักกฏหมาย เพื่อส่งเสริมและขจัดความเหลื่อมล้ําในสังคมให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง ..................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11278
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การปรับอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์เพื่อให้สอดรับกับนโยบายการลดมลพิษ PM
วันพุธที่ 6 มีนาคม 2562 การปรับอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์เพื่อให้สอดรับกับนโยบายการลดมลพิษ PM กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง เห็นควรนําปัจจัยเรื่องการปล่อยมลพิษฝุ่น PM มาเป็นหลักการในการกําหนดอัตราภาษีควบคู่ไปกับหลักการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่มีอยู่เดิม ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายกําหนดให้มีการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 – PM 10 เป็นวาระแห่งชาติ และมอบหมายให้ทุกหน่วยงานจัดลําดับความเร่งด่วนและการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง จึงเห็นควรนําปัจจัยเรื่องการปล่อยมลพิษฝุ่น PM มาเป็นหลักการในการกําหนดอัตราภาษีควบคู่ไปกับหลักการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่มีอยู่เดิม โดยกรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีรถยนต์ตามอัตราการปล่อย CO2 ตั้งแต่ปี 2559 เนื่องจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลของรถยนต์ก่อให้เกิด CO2 ในชั้นบรรยากาศ อันเป็นสาเหตุหลักให้เกิดสภาวะโลกร้อน อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมถึงปัญหามลพิษจากท่อไอเสียที่ก่อให้เกิดปัญหาฝุ่นควันและมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล ได้แก่ รถยนต์กระบะ และรถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) ทั้งนี้ ในปัจจุบันรถยนต์ที่ผลิตและจําหน่ายในประเทศต้องมีการทดสอบค่ามลพิษอ้างอิงมาตรฐานยูโร 4 ซึ่งกําหนดให้รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลปล่อยฝุ่น PM ได้ไม่เกิน 0.025 กรัมต่อกิโลเมตร ดังนั้น การใช้มาตรการภาษีเพื่อยกระดับมาตรฐานการปล่อยมลพิษจากท่อไอเสียของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลจากมาตรฐาน ยูโร 4 (PM ไม่เกิน 0.025) ในปัจจุบันเป็นมาตรฐาน ยูโร 5 (PM ไม่เกิน 0.005) ให้เร็วยิ่งขึ้น เพื่อลดอัตราการปล่อยฝุ่นจากท่อไอเสียของรถยนต์ใหม่ ย่อมจะส่งผลประโยชน์ต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนที่คุ้มค่ากับการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม ประกอบกับเพื่อสนับสนุนการลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยสําหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนจากสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จึงเห็นควรลดอัตราภาษีรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มเติมจากอัตราปัจจุบัน เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Next Generation Automotive) และ ไม่ก่อให้เกิดมลพิษจากท่อไอเสีย โดยขอสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ 1. ปรับลดอัตราภาษีรถยนต์กระบะและรถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) หากมีค่าฝุ่น PM ไม่เกิน 0.005 กรัมต่อกิโลเมตร หรือรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลที่ใช้เชื้อเพลิงประเภทไบโอดีเซลไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 เป็นส่วนผสมกับน้ํามันเชื้อเพลิงได้ (บี 20) เนื่องจากการเพิ่มสัดส่วนปริมาณการใช้ไบโอดีเซลในน้ํามันเชื้อเพลิงหรือพลังงานทดแทน ในน้ํามันดีเซลส่งผลให้ปริมาณการปล่อยฝุ่น PM ลดลง อันจะเป็นการลดการนําเข้าน้ํามันดิบจากต่างประเทศ เพิ่มความมั่นคงด้านพลังงาน และส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนจากพืชซึ่งเป็นผลผลิตภายในประเทศ 2. ปรับลดอัตราภาษีรถยนต์แบบพลังงานไฟฟ้า (Electric Powered Vehicle) ภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จากปัจจุบันอัตราภาษีร้อยละ 2 ให้ลดลงเหลืออัตราร้อยละ 0 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 จนถึง 31 ธันวาคม 2565 (รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 3 ปี) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ให้ใช้อัตราภาษีร้อยละ 2 ตามเดิม ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1. ส่งผลให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมรถยนต์พัฒนามาตรฐานการปล่อยมลพิษของรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลให้มีประสิทธิภาพในการลดฝุ่น PM ตามมาตรฐานยูโร 5 ได้เร็วยิ่งขึ้น 2. มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลให้มีการลดฝุ่น PM ของรถยนต์กระบะและรถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) ที่ชําระภาษีสรรพสามิตในแต่ละปีลดลงประมาณ 76 ล้านกรัมต่อปี 3. ลดผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชนและค่าใช้จ่ายภาครัฐเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การปรับอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์เพื่อให้สอดรับกับนโยบายการลดมลพิษ PM วันพุธที่ 6 มีนาคม 2562 การปรับอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์เพื่อให้สอดรับกับนโยบายการลดมลพิษ PM กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง เห็นควรนําปัจจัยเรื่องการปล่อยมลพิษฝุ่น PM มาเป็นหลักการในการกําหนดอัตราภาษีควบคู่ไปกับหลักการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่มีอยู่เดิม ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายกําหนดให้มีการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 – PM 10 เป็นวาระแห่งชาติ และมอบหมายให้ทุกหน่วยงานจัดลําดับความเร่งด่วนและการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง จึงเห็นควรนําปัจจัยเรื่องการปล่อยมลพิษฝุ่น PM มาเป็นหลักการในการกําหนดอัตราภาษีควบคู่ไปกับหลักการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่มีอยู่เดิม โดยกรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีรถยนต์ตามอัตราการปล่อย CO2 ตั้งแต่ปี 2559 เนื่องจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลของรถยนต์ก่อให้เกิด CO2 ในชั้นบรรยากาศ อันเป็นสาเหตุหลักให้เกิดสภาวะโลกร้อน อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมถึงปัญหามลพิษจากท่อไอเสียที่ก่อให้เกิดปัญหาฝุ่นควันและมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล ได้แก่ รถยนต์กระบะ และรถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) ทั้งนี้ ในปัจจุบันรถยนต์ที่ผลิตและจําหน่ายในประเทศต้องมีการทดสอบค่ามลพิษอ้างอิงมาตรฐานยูโร 4 ซึ่งกําหนดให้รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลปล่อยฝุ่น PM ได้ไม่เกิน 0.025 กรัมต่อกิโลเมตร ดังนั้น การใช้มาตรการภาษีเพื่อยกระดับมาตรฐานการปล่อยมลพิษจากท่อไอเสียของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลจากมาตรฐาน ยูโร 4 (PM ไม่เกิน 0.025) ในปัจจุบันเป็นมาตรฐาน ยูโร 5 (PM ไม่เกิน 0.005) ให้เร็วยิ่งขึ้น เพื่อลดอัตราการปล่อยฝุ่นจากท่อไอเสียของรถยนต์ใหม่ ย่อมจะส่งผลประโยชน์ต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนที่คุ้มค่ากับการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม ประกอบกับเพื่อสนับสนุนการลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยสําหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนจากสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จึงเห็นควรลดอัตราภาษีรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มเติมจากอัตราปัจจุบัน เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Next Generation Automotive) และ ไม่ก่อให้เกิดมลพิษจากท่อไอเสีย โดยขอสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ 1. ปรับลดอัตราภาษีรถยนต์กระบะและรถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) หากมีค่าฝุ่น PM ไม่เกิน 0.005 กรัมต่อกิโลเมตร หรือรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลที่ใช้เชื้อเพลิงประเภทไบโอดีเซลไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 เป็นส่วนผสมกับน้ํามันเชื้อเพลิงได้ (บี 20) เนื่องจากการเพิ่มสัดส่วนปริมาณการใช้ไบโอดีเซลในน้ํามันเชื้อเพลิงหรือพลังงานทดแทน ในน้ํามันดีเซลส่งผลให้ปริมาณการปล่อยฝุ่น PM ลดลง อันจะเป็นการลดการนําเข้าน้ํามันดิบจากต่างประเทศ เพิ่มความมั่นคงด้านพลังงาน และส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนจากพืชซึ่งเป็นผลผลิตภายในประเทศ 2. ปรับลดอัตราภาษีรถยนต์แบบพลังงานไฟฟ้า (Electric Powered Vehicle) ภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จากปัจจุบันอัตราภาษีร้อยละ 2 ให้ลดลงเหลืออัตราร้อยละ 0 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 จนถึง 31 ธันวาคม 2565 (รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 3 ปี) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ให้ใช้อัตราภาษีร้อยละ 2 ตามเดิม ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1. ส่งผลให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมรถยนต์พัฒนามาตรฐานการปล่อยมลพิษของรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลให้มีประสิทธิภาพในการลดฝุ่น PM ตามมาตรฐานยูโร 5 ได้เร็วยิ่งขึ้น 2. มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลให้มีการลดฝุ่น PM ของรถยนต์กระบะและรถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) ที่ชําระภาษีสรรพสามิตในแต่ละปีลดลงประมาณ 76 ล้านกรัมต่อปี 3. ลดผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชนและค่าใช้จ่ายภาครัฐเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19153
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยแจ้งแนวปฏิบัติการส่งตัวคนไทยที่ครบระยะเวลาการกักกันไว้เพื่อสังเกตอาการกลับจังหวัดภูมิลำเนา
วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 2563 กระทรวงมหาดไทยแจ้งแนวปฏิบัติการส่งตัวคนไทยที่ครบระยะเวลาการกักกันไว้เพื่อสังเกตอาการกลับจังหวัดภูมิลําเนา กระทรวงมหาดไทยแจ้งแนวปฏิบัติการส่งตัวคนไทยที่ครบระยะเวลาการกักกันไว้เพื่อสังเกตอาการกลับจังหวัดภูมิลําเนา วันนี้ (2 พ.ค. 63) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งแนวทางปฏิบัติในการเดินทางกลับของคนไทยจากประเทศเพื่อนบ้านผ่านช่องทางในพื้นที่จังหวัดชายแดน โดยให้ทุกจังหวัดดําเนินการกักกันคนไทยกลุ่มดังกล่าวไว้ในสถานที่กักกันของจังหวัด (Local Quarantine) เพื่อสังเกตอาการเป็นเวลา 14 วัน ตามมาตรการทางสาธารณสุข นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้มีหนังสือแจ้งจังหวัดเพื่อแจ้งแนวทางปฏิบัติในการเดินทางกลับของคนไทยที่ครบระยะเวลาการกักกันไว้เพื่อสังเกตอาการกลับภูมิลําเนา ดังนี้ 1 ในกรณีผู้ที่จะครบระยะเวลาการกักกันประสงค์จะเดินทางกลับด้วยตนเอง เมื่อครบระยะเวลาการกักกันแล้ว ให้เดินทางกลับได้ ทั้งนี้ หากจังหวัดภูมิลําเนาหรือจังหวัดปลายทางที่จะเดินทางไปมีมาตรการเฉพาะ เช่น การกักกันภายในที่พักอาศัย จังหวัดต้นทางต้องแจ้งให้ผู้เดินทางทราบว่าเมื่อเดินทางไปถึงให้ไปรายงานตัวตามสถานที่และดําเนินการตามมาตรการที่กําหนดด้วย 2 หากผู้ที่จะครบระยะเวลาการกักกันประสงค์ให้ภาครัฐจัดส่ง ให้จังหวัดต้นทางมอบหมายสํานักงานขนส่งจังหวัดหรือหน่วยงานที่กระทรวงคมนาคมมอบหมาย จัดหายานพาหนะ กําหนดเส้นทางการเดินทาง และจุดจอดรถตามความเหมาะสม พร้อมออกหนังสือรับรองให้แก่ผู้ที่ขับขี่ยานพาหนะไปส่งผู้ผ่านการกักกันแล้วตามจุดหมายที่กําหนด และให้จังหวัดปลายทางมอบหมายสํานักงานขนส่งจังหวัดหรือหน่วยงานที่กระทรวงคมนาคมมอบหมาย จัดยานพาหนะไปรับผู้ที่ครบระยะเวลาการกักกัน ณ จุดจอดรถที่นัดหมาย หากจังหวัดต้นทางจัดยานพาหนะไปส่งไม่ถึงจังหวัดปลายทาง ทั้งนี้ ได้ให้จังหวัดต้นทางซึ่งเป็นสถานที่กักกันดําเนินการสํารวจและจัดทําข้อมูลการเดินทางกลับของผู้ครบระยะเวลาการกักกัน แจ้งจังหวัดภูมิลําเนาหรือจังหวัดปลายทางทราบและประสานการดําเนินการ และให้จังหวัดต้นทางจัดทําหนังสือรับรองให้แก่ผู้ที่ครบระยะเวลาการกักกันตามแบบที่กรมควบคุมโรคกําหนดด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยแจ้งแนวปฏิบัติการส่งตัวคนไทยที่ครบระยะเวลาการกักกันไว้เพื่อสังเกตอาการกลับจังหวัดภูมิลำเนา วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 2563 กระทรวงมหาดไทยแจ้งแนวปฏิบัติการส่งตัวคนไทยที่ครบระยะเวลาการกักกันไว้เพื่อสังเกตอาการกลับจังหวัดภูมิลําเนา กระทรวงมหาดไทยแจ้งแนวปฏิบัติการส่งตัวคนไทยที่ครบระยะเวลาการกักกันไว้เพื่อสังเกตอาการกลับจังหวัดภูมิลําเนา วันนี้ (2 พ.ค. 63) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งแนวทางปฏิบัติในการเดินทางกลับของคนไทยจากประเทศเพื่อนบ้านผ่านช่องทางในพื้นที่จังหวัดชายแดน โดยให้ทุกจังหวัดดําเนินการกักกันคนไทยกลุ่มดังกล่าวไว้ในสถานที่กักกันของจังหวัด (Local Quarantine) เพื่อสังเกตอาการเป็นเวลา 14 วัน ตามมาตรการทางสาธารณสุข นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้มีหนังสือแจ้งจังหวัดเพื่อแจ้งแนวทางปฏิบัติในการเดินทางกลับของคนไทยที่ครบระยะเวลาการกักกันไว้เพื่อสังเกตอาการกลับภูมิลําเนา ดังนี้ 1 ในกรณีผู้ที่จะครบระยะเวลาการกักกันประสงค์จะเดินทางกลับด้วยตนเอง เมื่อครบระยะเวลาการกักกันแล้ว ให้เดินทางกลับได้ ทั้งนี้ หากจังหวัดภูมิลําเนาหรือจังหวัดปลายทางที่จะเดินทางไปมีมาตรการเฉพาะ เช่น การกักกันภายในที่พักอาศัย จังหวัดต้นทางต้องแจ้งให้ผู้เดินทางทราบว่าเมื่อเดินทางไปถึงให้ไปรายงานตัวตามสถานที่และดําเนินการตามมาตรการที่กําหนดด้วย 2 หากผู้ที่จะครบระยะเวลาการกักกันประสงค์ให้ภาครัฐจัดส่ง ให้จังหวัดต้นทางมอบหมายสํานักงานขนส่งจังหวัดหรือหน่วยงานที่กระทรวงคมนาคมมอบหมาย จัดหายานพาหนะ กําหนดเส้นทางการเดินทาง และจุดจอดรถตามความเหมาะสม พร้อมออกหนังสือรับรองให้แก่ผู้ที่ขับขี่ยานพาหนะไปส่งผู้ผ่านการกักกันแล้วตามจุดหมายที่กําหนด และให้จังหวัดปลายทางมอบหมายสํานักงานขนส่งจังหวัดหรือหน่วยงานที่กระทรวงคมนาคมมอบหมาย จัดยานพาหนะไปรับผู้ที่ครบระยะเวลาการกักกัน ณ จุดจอดรถที่นัดหมาย หากจังหวัดต้นทางจัดยานพาหนะไปส่งไม่ถึงจังหวัดปลายทาง ทั้งนี้ ได้ให้จังหวัดต้นทางซึ่งเป็นสถานที่กักกันดําเนินการสํารวจและจัดทําข้อมูลการเดินทางกลับของผู้ครบระยะเวลาการกักกัน แจ้งจังหวัดภูมิลําเนาหรือจังหวัดปลายทางทราบและประสานการดําเนินการ และให้จังหวัดต้นทางจัดทําหนังสือรับรองให้แก่ผู้ที่ครบระยะเวลาการกักกันตามแบบที่กรมควบคุมโรคกําหนดด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30230
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จิสด้า มอบ FACE SHIELD ให้กับบุคลากรทางการแพทย์สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา
วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม 2563 จิสด้า มอบ FACE SHIELD ให้กับบุคลากรทางการแพทย์สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา จิสด้า มอบ FACE SHIELD ให้กับบุคลากรทางการแพทย์สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2563 สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ จิสด้า นําโดย นายพีร์ ชูศรี รองผู้อํานวยการ และ น.ส.ระวีวรรณ นุชประมูล ผู้อํานวยการสํานักยุทธศาสตร์ พร้อมคณะเข้ามอบอุปกรณ์ Face shield เพื่อใช้ในการป้องกัน COVID-19 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา จํานวน 800 ชิ้น โดยมี นางเพชรี คันธสายบัว รองผู้อํานวยการกลุ่มภารกิจการพยาบาล เป็นผู้รับมอบ ทั้งนี้ Face Shield ดังกล่าว จิสด้าได้ออกแบบและพัฒนาเอง เพื่อให้มีโครงสร้างที่มีความแข็งแรง ทนต่อการใช้งาน และมีความเหมาะสมกับสรีระของคนเอเชีย สะดวกต่อการใช้งานจริง เพื่อเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการต่อสู้กับโรค COVID-19 ข้อมูลข่าวโดย : สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ จิสด้า เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จิสด้า มอบ FACE SHIELD ให้กับบุคลากรทางการแพทย์สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม 2563 จิสด้า มอบ FACE SHIELD ให้กับบุคลากรทางการแพทย์สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา จิสด้า มอบ FACE SHIELD ให้กับบุคลากรทางการแพทย์สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2563 สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ จิสด้า นําโดย นายพีร์ ชูศรี รองผู้อํานวยการ และ น.ส.ระวีวรรณ นุชประมูล ผู้อํานวยการสํานักยุทธศาสตร์ พร้อมคณะเข้ามอบอุปกรณ์ Face shield เพื่อใช้ในการป้องกัน COVID-19 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา จํานวน 800 ชิ้น โดยมี นางเพชรี คันธสายบัว รองผู้อํานวยการกลุ่มภารกิจการพยาบาล เป็นผู้รับมอบ ทั้งนี้ Face Shield ดังกล่าว จิสด้าได้ออกแบบและพัฒนาเอง เพื่อให้มีโครงสร้างที่มีความแข็งแรง ทนต่อการใช้งาน และมีความเหมาะสมกับสรีระของคนเอเชีย สะดวกต่อการใช้งานจริง เพื่อเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการต่อสู้กับโรค COVID-19 ข้อมูลข่าวโดย : สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ จิสด้า เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33621
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชม ศึกษาดูงานโมเดลการผลิตกำลังคนเพื่อรองรับ EEC
วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน 2561 นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชม ศึกษาดูงานโมเดลการผลิตกําลังคนเพื่อรองรับ EEC นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชม ศึกษาดูงานโมเดลการผลิตกําลังคนเพื่อรองรับ EEC วันนี้ เวลา 11.25 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมและดูงานด้านอาชีวศึกษา ณ บริษัท เพียร์สัน ดังนี้ บริษัท Pearson เป็นบริษัทธุรกิจด้านการศึกษาชั้นนําของโลก โดยภารกิจหลัก แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ ด้านการศึกษาในระบบ ที่ประเมินมาตรฐานและออกวุฒิบัตรการศึกษาในระบบสามัญ ให้บริการเรียนรู้ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และดิจิทัล ฯลฯ ด้านการศึกษานอกระบบ ทําหน้าที่ทดสอบและวัดสมรรถนะด้านภาษาอังกฤษ และพัฒนาองค์กรพัฒนาคุณภาพด้านวิชาชีพเทคนิค เป็นต้น ด้านอื่นๆ คือ เป็นบริษัทที่นับว่าใหญ่ที่สุดในโลกเรื่องการเรียนการสอน และการทดสอบในระบบ online ทุกสาขาวิชา เป็นต้น ทั้งนี้ Pearson มีนโยบายแน่ชัดที่จะขยายธุรกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ EEC และ Thailand 4.0 โดย Pearson ได้ลงนาม MOU กับสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ของไทย เพื่อพัฒนาอาชีวศึกษาไทย ส่งเสริมการพัฒนาการเรียนการสอน รวมทั้ง จะร่วมกับ EEC เพื่อพัฒนาคนให้กับอุตสาหกรรมใน EEC ด้วย ในการนี้ Pearson ได้บรรยายถึง Model การทํางานของบริษัท ที่จะนําไปปฏิบัติในไทยเพื่อผลิตบุคลากรให้แก่ EEC โดยโมเดลดังกล่าวเป็นการทํางานสี่เส้าระหว่าง รัฐบาล บริษัท Pearson ภาคอุตสาหกรรม และนักเรียน ให้สอดรับกัน ซึ่งโมเดลนี้ประสบความสําเร็จในสหราชอาณาจักร สามารถผลิตบุคลากร และกําลังคนให้กับประเทศในการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ เช่น บริษัท Rolls Roys และ British Telecom และโมเดลนี้จะสร้างกําลังคนให้กับ EEC ของไทยต่อไปด้วย โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความมุ่งหวังในการทํางานร่วมกันเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่จะเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศ ซึ่งจะต้องเป็นการเรียนรู้ที่มีความพร้อมสู่การทํางาน มีวิชาชีพที่ยั่งยืนสามารถเลี้ยงดูตนเองได้ และเพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะระดับอาชีวะศึกษา ทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยี และการฝึกงานในสถานที่จริง มุ่งให้คนพื้นที่นําความรู้กลับไปพัฒนาท้องถิ่น ลดการกระจุกตัวในเมืองใหญ่ และช่วงท้ายนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการพัฒนาที่จะต้องดําเนินการควบคู่กันไปทั้งโครงการพื้นฐานและทรัพยากรบุคคล หากโครงสร้างพื้นฐานดีแต่บุคลากรไม่ดีจะสูญเปล่า ต้องมีการเชื่อมโยงที่ไร้รอยต่อ และสร้างหลักคิดให้คนไทย ที่มิใช่ด้านวิชาการเพียงอย่างเดียว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชม ศึกษาดูงานโมเดลการผลิตกำลังคนเพื่อรองรับ EEC วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน 2561 นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชม ศึกษาดูงานโมเดลการผลิตกําลังคนเพื่อรองรับ EEC นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชม ศึกษาดูงานโมเดลการผลิตกําลังคนเพื่อรองรับ EEC วันนี้ เวลา 11.25 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมและดูงานด้านอาชีวศึกษา ณ บริษัท เพียร์สัน ดังนี้ บริษัท Pearson เป็นบริษัทธุรกิจด้านการศึกษาชั้นนําของโลก โดยภารกิจหลัก แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ ด้านการศึกษาในระบบ ที่ประเมินมาตรฐานและออกวุฒิบัตรการศึกษาในระบบสามัญ ให้บริการเรียนรู้ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และดิจิทัล ฯลฯ ด้านการศึกษานอกระบบ ทําหน้าที่ทดสอบและวัดสมรรถนะด้านภาษาอังกฤษ และพัฒนาองค์กรพัฒนาคุณภาพด้านวิชาชีพเทคนิค เป็นต้น ด้านอื่นๆ คือ เป็นบริษัทที่นับว่าใหญ่ที่สุดในโลกเรื่องการเรียนการสอน และการทดสอบในระบบ online ทุกสาขาวิชา เป็นต้น ทั้งนี้ Pearson มีนโยบายแน่ชัดที่จะขยายธุรกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ EEC และ Thailand 4.0 โดย Pearson ได้ลงนาม MOU กับสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ของไทย เพื่อพัฒนาอาชีวศึกษาไทย ส่งเสริมการพัฒนาการเรียนการสอน รวมทั้ง จะร่วมกับ EEC เพื่อพัฒนาคนให้กับอุตสาหกรรมใน EEC ด้วย ในการนี้ Pearson ได้บรรยายถึง Model การทํางานของบริษัท ที่จะนําไปปฏิบัติในไทยเพื่อผลิตบุคลากรให้แก่ EEC โดยโมเดลดังกล่าวเป็นการทํางานสี่เส้าระหว่าง รัฐบาล บริษัท Pearson ภาคอุตสาหกรรม และนักเรียน ให้สอดรับกัน ซึ่งโมเดลนี้ประสบความสําเร็จในสหราชอาณาจักร สามารถผลิตบุคลากร และกําลังคนให้กับประเทศในการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ เช่น บริษัท Rolls Roys และ British Telecom และโมเดลนี้จะสร้างกําลังคนให้กับ EEC ของไทยต่อไปด้วย โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความมุ่งหวังในการทํางานร่วมกันเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่จะเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศ ซึ่งจะต้องเป็นการเรียนรู้ที่มีความพร้อมสู่การทํางาน มีวิชาชีพที่ยั่งยืนสามารถเลี้ยงดูตนเองได้ และเพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะระดับอาชีวะศึกษา ทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยี และการฝึกงานในสถานที่จริง มุ่งให้คนพื้นที่นําความรู้กลับไปพัฒนาท้องถิ่น ลดการกระจุกตัวในเมืองใหญ่ และช่วงท้ายนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการพัฒนาที่จะต้องดําเนินการควบคู่กันไปทั้งโครงการพื้นฐานและทรัพยากรบุคคล หากโครงสร้างพื้นฐานดีแต่บุคลากรไม่ดีจะสูญเปล่า ต้องมีการเชื่อมโยงที่ไร้รอยต่อ และสร้างหลักคิดให้คนไทย ที่มิใช่ด้านวิชาการเพียงอย่างเดียว
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13253
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ยืนหนึ่งเรียนออนไลน์ สู้ภัย COVID-19 “โรงเรียนหยุด ความรู้ไม่หยุด” [กระทรวงศึกษาธิการ]
วันพุธที่ 22 เมษายน 2563 ศธ.ยืนหนึ่งเรียนออนไลน์ สู้ภัย COVID-19 “โรงเรียนหยุดความรู้ไม่หยุด” [กระทรวงศึกษาธิการ] ศธ.ยืนหนึ่งเรียนออนไลน์ สู้ภัย COVID-19 “โรงเรียนหยุดความรู้ไม่หยุด” (22 เมษายน 2563) ตามที่ ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้ สํานักงาน กศน.และสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) เดินหน้าปรับแผนการเรียนรู้ เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 โดยนําการเรียนในรูปแบบการศึกษาออนไลน์ มาเป็นอีกช่องทางสําคัญในการบริหารจัดการเรียนรู้ และเสริมทักษะความรู้ให้กับผู้เรียนถึงบ้าน นับตั้งแต่กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศปิดสถานศึกษาทั่วประเทศ ตามพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และเพื่อเป็นการปฏิบัติตามมาตรการของรัฐบาลในการป้องกันการแพร่ระบาด “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ซึ่งพบว่ามีผู้สนใจเข้ามาเรียนเป็นจํานวนมากเพราะการเรียนผ่านระบบออนไลน์ ถือว่าเป็นเครื่องมือสําคัญที่จะช่วยการศึกษาไม่หยุดชะงัก ทดแทนการเรียนในห้องเรียนได้ นับเป็นทางออกที่สอดรับกับสถานการณ์ ช่วยให้เด็กและเยาวชนสามารถเข้าเรียนได้ตามปกติและไม่เสียโอกาสในการเตรียมพร้อมสําหรับการศึกษาในชั้นเรียนใหม่ รวมทั้งการพัฒนาทักษะความรู้ได้อย่างต่อเนื่องในขณะที่ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสดังกล่าว โดยไม่จําเป็นต้องออกจากบ้าน “เรียนฟรีที่บ้าน ปลอดภัย ได้ความรู้” เพราะ “โรงเรียนหยุด ความรู้ไม่หยุด” ดร.กนกวรรณ กล่าวว่า “ ตนได้มอบนโยบาย ให้สํานักงาน กศน. โดยศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา (ETV) ผลิตรายการโทรทัศน์และวิทยุเพื่อการศึกษา เพื่อตอบโจทย์การจัดศึกษาตลอดชีวิต สําหรับผู้เรียนทุกช่วงวัย ทั้งการศึกษาขั้นพื้นฐานตามหลักสูตร และการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อเสริมทักษะต่าง ๆ สําหรับผู้เรียนทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นรายการ ETV ติวเข้มออนไลน์ โดยได้คัดสรรครูที่มากความสามารถและติวเตอร์ระดับประเทศ มาสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนให้ความรู้ในทุกสาระวิชา รายการภาษาเพื่ออาชีพ รายการเพื่อผู้สูงอายุ รายการเสริมทักษะสําหรับผู้พิการ รายการทักษะอาชีพดิจิทัล เป็นต้น โดยได้คัดสรรส่งตรงถึงบ้าน ผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) รวมทั้ง ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ อาทิ http://www.etvthai.tv. YouTube ช่อง “ETV ติวเข้มออนไลน์”, Facebook “ETV สื่อดิจิทัลเพื่อการศึกษา”, LINE Official Account “ETV สื่อดิจิทัล” เป็นต้น ส่วน สช.ได้เปิดตัวโครงการเรียนรู้ในระบบออนไลน์ ด้วยระบบดิจิทัล สช. ที่รวมการเรียนการสอนออนไลน์ของ 7 สถานศึกษาเอกชน ทั้งแบบออนไลน์ Real time และบันทึกเทป VDO มีเนื้อหาครอบคลุม ตั้งแต่ ป.1-ม.6 ในทุกกลุ่มสาระวิชา โดยสามารถเข้าเว็บไซต์ศูนย์การเรียนรู้ด้วยระบบดิจิทัล สช. ได้ 2 ช่องทาง คือ ใช้บริการผ่านทางเว็บไซต์ของสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) (www.opec.go.th) เลือกหัวข้อ ศูนย์การเรียนรู้ด้วยระบบดิจิทัล สช. (https://odlc.opec.go.th/) หรือสามารถเข้าใช้บริการได้ที่หน้าเว็บไซต์ศูนย์การเรียนรู้ด้วยระบบดิจิทัล สช. โดยตรงที่ URL https://odlc.opec.go.th/ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 เป็นต้นมา โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งใจเดินหน้าเพื่อส่งต่อความรู้และทักษะต่าง ๆ ไปสู่ผู้เรียนอย่างเต็มที่ เพื่อให้เราผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยคํานึงประโยชน์ของผู้เรียนเป็นสําคัญ ตลอดจนจะเป็นแนวทางในการพัฒนาระบบการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นในอนาคต ซึ่งในปัจจุบันจําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาจัดการเรียนการสอน จะเห็นได้จากคุณครูเราได้นําการจัดการเรียนการสอนออนไลน์โดยใช้ Google Classroom รูปแบบหนึ่ง มาช่วยในการสอนในหลาย ๆ ขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการสอน การวัดประเมินผล การแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่าง ๆ ด้วยการส่งงานและแบบฝึกหัด เป็นต้น ตลอดจนให้คําปรึกษาและแนะนําด้วย ซึ่งจัดทําเป็นคลิปในหลาย ๆ รูปแบบประกอบการเรียนการสอน ขณะนี้ตนได้ให้สถาบันการศึกษาทางไกล ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดของสํานักงาน กศน.ที่มีบทบาทหน้าที่ในการจัดและส่งเสริมการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและการศึกษาต่อเนื่องด้วยวิธีทางไกล วางแผน พัฒนารูปแบบกระบวนการเรียนรู้ออนไลน์ผ่านแอพพลิเคชั่น และช่องทางอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้มีความน่าสนใจ เพื่ออํานวยความสะดวกและง่ายต่อการเรียนรู้ เพราะเรามีเป้าหมายที่จะให้ประชาชนได้เข้าถึงการศึกษาอย่างทั่วถึง เนื่องจากการศึกษาไม่เพียงแต่ทําให้เด็กมีความรู้ ทักษะ และความสามารถเท่านั้น แต่จะต้องสนับสนุน ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างแท้จริงทุกช่วงวัย ซี่งกระทรวงศึกษาธิการ จะพยายามคัดสรรความรู้ เทคนิค วิธีการเรียนรู้ ที่สามารถเรียนอย่างปลอดภัย ได้ความรู้ อย่างมีความสุขที่บ้าน ส่งตรงถึงผู้เรียน ทั้งนักเรียน นักศึกษา ประชาชน ผู้สูงอายุและผู้พิการ จะได้ทบทวน ฝึกฝน และเพิ่มพูนทักษะการเรียนทั้งตามหลักสูตร และการเรียนรู้ตามอัธยาศัย เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลาให้มากที่สุด จึงขอให้ผู้เรียนทุกคนเรียนรู้อย่างมีความสุข เพราะการศึกษาจะเป็นพื้นฐานที่สําคัญ และจําเป็นสําหรับผู้คนทุกวัย ที่จะช่วยยกระดับและเพิ่มพูนทักษะต่างๆในชีวิต ขอขอบคุณ ผู้บริหาร คุณครูและบุคลากรทุกท่าน ในสังกัด สช. และสํานักงาน กศน.ทั่วประเทศ ที่ให้ความร่วมมือร่วมใจขับเคลื่อนการจัดการศึกษาออนไลน์ ซึ่งเป็นตามนโยบายที่มีความสอดคล้องกับการพัฒนาการศึกษาและสภาวการณ์ปัจจุบัน จนเกิดความก้าวหน้าตามลําดับ และคาดว่าความมุ่งมั่นตั้งใจของทุกท่านจะสามารถผลักดันพัฒนาให้มีประสิทธิภาพรองรับการศึกษาในทุกมิติต่อไปในอนาคต” รมช.ศธ. กล่าวทิ้งท้าย ข่าว : เอื้อมพร สุเมธาวัฒนะ กรรณิกา พันธ์คลอง ภาพ : ปรานี บุญยรัตน์ วิดิโอ : ณัฐวุฒิ วากะดวน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ยืนหนึ่งเรียนออนไลน์ สู้ภัย COVID-19 “โรงเรียนหยุด ความรู้ไม่หยุด” [กระทรวงศึกษาธิการ] วันพุธที่ 22 เมษายน 2563 ศธ.ยืนหนึ่งเรียนออนไลน์ สู้ภัย COVID-19 “โรงเรียนหยุดความรู้ไม่หยุด” [กระทรวงศึกษาธิการ] ศธ.ยืนหนึ่งเรียนออนไลน์ สู้ภัย COVID-19 “โรงเรียนหยุดความรู้ไม่หยุด” (22 เมษายน 2563) ตามที่ ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้ สํานักงาน กศน.และสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) เดินหน้าปรับแผนการเรียนรู้ เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 โดยนําการเรียนในรูปแบบการศึกษาออนไลน์ มาเป็นอีกช่องทางสําคัญในการบริหารจัดการเรียนรู้ และเสริมทักษะความรู้ให้กับผู้เรียนถึงบ้าน นับตั้งแต่กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศปิดสถานศึกษาทั่วประเทศ ตามพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และเพื่อเป็นการปฏิบัติตามมาตรการของรัฐบาลในการป้องกันการแพร่ระบาด “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ซึ่งพบว่ามีผู้สนใจเข้ามาเรียนเป็นจํานวนมากเพราะการเรียนผ่านระบบออนไลน์ ถือว่าเป็นเครื่องมือสําคัญที่จะช่วยการศึกษาไม่หยุดชะงัก ทดแทนการเรียนในห้องเรียนได้ นับเป็นทางออกที่สอดรับกับสถานการณ์ ช่วยให้เด็กและเยาวชนสามารถเข้าเรียนได้ตามปกติและไม่เสียโอกาสในการเตรียมพร้อมสําหรับการศึกษาในชั้นเรียนใหม่ รวมทั้งการพัฒนาทักษะความรู้ได้อย่างต่อเนื่องในขณะที่ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสดังกล่าว โดยไม่จําเป็นต้องออกจากบ้าน “เรียนฟรีที่บ้าน ปลอดภัย ได้ความรู้” เพราะ “โรงเรียนหยุด ความรู้ไม่หยุด” ดร.กนกวรรณ กล่าวว่า “ ตนได้มอบนโยบาย ให้สํานักงาน กศน. โดยศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา (ETV) ผลิตรายการโทรทัศน์และวิทยุเพื่อการศึกษา เพื่อตอบโจทย์การจัดศึกษาตลอดชีวิต สําหรับผู้เรียนทุกช่วงวัย ทั้งการศึกษาขั้นพื้นฐานตามหลักสูตร และการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อเสริมทักษะต่าง ๆ สําหรับผู้เรียนทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นรายการ ETV ติวเข้มออนไลน์ โดยได้คัดสรรครูที่มากความสามารถและติวเตอร์ระดับประเทศ มาสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนให้ความรู้ในทุกสาระวิชา รายการภาษาเพื่ออาชีพ รายการเพื่อผู้สูงอายุ รายการเสริมทักษะสําหรับผู้พิการ รายการทักษะอาชีพดิจิทัล เป็นต้น โดยได้คัดสรรส่งตรงถึงบ้าน ผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) รวมทั้ง ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ อาทิ http://www.etvthai.tv. YouTube ช่อง “ETV ติวเข้มออนไลน์”, Facebook “ETV สื่อดิจิทัลเพื่อการศึกษา”, LINE Official Account “ETV สื่อดิจิทัล” เป็นต้น ส่วน สช.ได้เปิดตัวโครงการเรียนรู้ในระบบออนไลน์ ด้วยระบบดิจิทัล สช. ที่รวมการเรียนการสอนออนไลน์ของ 7 สถานศึกษาเอกชน ทั้งแบบออนไลน์ Real time และบันทึกเทป VDO มีเนื้อหาครอบคลุม ตั้งแต่ ป.1-ม.6 ในทุกกลุ่มสาระวิชา โดยสามารถเข้าเว็บไซต์ศูนย์การเรียนรู้ด้วยระบบดิจิทัล สช. ได้ 2 ช่องทาง คือ ใช้บริการผ่านทางเว็บไซต์ของสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) (www.opec.go.th) เลือกหัวข้อ ศูนย์การเรียนรู้ด้วยระบบดิจิทัล สช. (https://odlc.opec.go.th/) หรือสามารถเข้าใช้บริการได้ที่หน้าเว็บไซต์ศูนย์การเรียนรู้ด้วยระบบดิจิทัล สช. โดยตรงที่ URL https://odlc.opec.go.th/ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 เป็นต้นมา โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งใจเดินหน้าเพื่อส่งต่อความรู้และทักษะต่าง ๆ ไปสู่ผู้เรียนอย่างเต็มที่ เพื่อให้เราผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยคํานึงประโยชน์ของผู้เรียนเป็นสําคัญ ตลอดจนจะเป็นแนวทางในการพัฒนาระบบการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นในอนาคต ซึ่งในปัจจุบันจําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาจัดการเรียนการสอน จะเห็นได้จากคุณครูเราได้นําการจัดการเรียนการสอนออนไลน์โดยใช้ Google Classroom รูปแบบหนึ่ง มาช่วยในการสอนในหลาย ๆ ขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการสอน การวัดประเมินผล การแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่าง ๆ ด้วยการส่งงานและแบบฝึกหัด เป็นต้น ตลอดจนให้คําปรึกษาและแนะนําด้วย ซึ่งจัดทําเป็นคลิปในหลาย ๆ รูปแบบประกอบการเรียนการสอน ขณะนี้ตนได้ให้สถาบันการศึกษาทางไกล ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดของสํานักงาน กศน.ที่มีบทบาทหน้าที่ในการจัดและส่งเสริมการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและการศึกษาต่อเนื่องด้วยวิธีทางไกล วางแผน พัฒนารูปแบบกระบวนการเรียนรู้ออนไลน์ผ่านแอพพลิเคชั่น และช่องทางอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้มีความน่าสนใจ เพื่ออํานวยความสะดวกและง่ายต่อการเรียนรู้ เพราะเรามีเป้าหมายที่จะให้ประชาชนได้เข้าถึงการศึกษาอย่างทั่วถึง เนื่องจากการศึกษาไม่เพียงแต่ทําให้เด็กมีความรู้ ทักษะ และความสามารถเท่านั้น แต่จะต้องสนับสนุน ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างแท้จริงทุกช่วงวัย ซี่งกระทรวงศึกษาธิการ จะพยายามคัดสรรความรู้ เทคนิค วิธีการเรียนรู้ ที่สามารถเรียนอย่างปลอดภัย ได้ความรู้ อย่างมีความสุขที่บ้าน ส่งตรงถึงผู้เรียน ทั้งนักเรียน นักศึกษา ประชาชน ผู้สูงอายุและผู้พิการ จะได้ทบทวน ฝึกฝน และเพิ่มพูนทักษะการเรียนทั้งตามหลักสูตร และการเรียนรู้ตามอัธยาศัย เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลาให้มากที่สุด จึงขอให้ผู้เรียนทุกคนเรียนรู้อย่างมีความสุข เพราะการศึกษาจะเป็นพื้นฐานที่สําคัญ และจําเป็นสําหรับผู้คนทุกวัย ที่จะช่วยยกระดับและเพิ่มพูนทักษะต่างๆในชีวิต ขอขอบคุณ ผู้บริหาร คุณครูและบุคลากรทุกท่าน ในสังกัด สช. และสํานักงาน กศน.ทั่วประเทศ ที่ให้ความร่วมมือร่วมใจขับเคลื่อนการจัดการศึกษาออนไลน์ ซึ่งเป็นตามนโยบายที่มีความสอดคล้องกับการพัฒนาการศึกษาและสภาวการณ์ปัจจุบัน จนเกิดความก้าวหน้าตามลําดับ และคาดว่าความมุ่งมั่นตั้งใจของทุกท่านจะสามารถผลักดันพัฒนาให้มีประสิทธิภาพรองรับการศึกษาในทุกมิติต่อไปในอนาคต” รมช.ศธ. กล่าวทิ้งท้าย ข่าว : เอื้อมพร สุเมธาวัฒนะ กรรณิกา พันธ์คลอง ภาพ : ปรานี บุญยรัตน์ วิดิโอ : ณัฐวุฒิ วากะดวน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29523
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย ติวเข้มเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศ ย้ำบทบาทการทำงานปี 2560..
วันพุธที่ 22 มีนาคม 2560 ปลัดกระทรวงมหาดไทย ติวเข้มเจ้าหน้าที่ศูนย์ดํารงธรรมทั่วประเทศ ย้ําบทบาทการทํางานปี 2560.. ปลัดกระทรวงมหาดไทย ติวเข้มเจ้าหน้าที่ศูนย์ดํารงธรรมทั่วประเทศ ย้ําบทบาทการทํางานปี 2560 ต้องเป็นหน่วยเติมเต็มการบริการประชาชนของทุกส่วนราชการ และแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการ ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางการทํางาน วันนี้ (22 มี.ค. 60) เวลา 09.00 น. ณ โรงแรมตรัง กรุงเทพมหานคร นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เพิ่มทักษะให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานศูนย์ดํารงธรรมให้มีประสิทธิภาพ เข้มแข็ง ยั่งยืนประจําปี 2560 ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเพิ่มทักษะบุคลากรของศูนย์ดํารงธรรมให้รองรับภารกิจการบริการและการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนา ประกอบด้วย ผู้อํานวยการกลุ่มงานศูนย์ดํารงธรรมจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ เครือข่ายงานศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด เจ้าหน้าที่ในส่วนกลาง กรุงเทพมหานคร สํานักงานเขต 50 เขต รวมทั้งสิ้น 235 คน โอกาสนี้ นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้มอบแนวทางการดําเนินงานของศูนย์ดํารงธรรม ในปี 2560 ให้แก่ผู้เข้าร่วมสัมมนาฯ โดยกล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมาศูนย์ดํารงธรรมได้ปฏิบัติภารกิจ ทั้ง 7 มิติได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่ได้จัดตั้งศูนย์ดํารงธรรมขึ้นมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานระดับจังหวัดให้สามารถบริการประชาชนได้อย่างเสมอภาค มีคุณภาพ รวดเร็ว ลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ถือว่าเห็นผลงานเป็นที่น่าพอใจ และมีประชาชนเข้ามารับบริการและร้องเรียนร้องทุกข์กับศูนย์ดํารงธรรมเป็นจํานวนมาก อีกทั้งยังได้ทําหน้าที่ในการขับเคลื่อนภารกิจที่เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล อาทิ การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ปัญหายาเสพติด เรื่องที่ดินทํากินและการประกอบอาชีพ ตลอดจนการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนในพื้นที่ โดยชุดปฏิบัติการพิเศษซึ่งถือว่ามีการทํางานในเชิงรุกมากกว่าในอดีตที่ผ่านมา สําหรับการทํางานในปี 2560 และในอนาคตต่อไป กระทรวงมหาดไทยในฐานะที่กํากับดูแลและอํานวยการ ให้การบริหารงานของศูนย์ดํารงธรรมและการบริหารงานของจังหวัดเป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีประสิทธิภาพ ได้กําหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติงานที่ชัดเจน มีเอกภาพ มีการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพการทํางานทุกๆด้าน และเน้นการพัฒนาบุคลากรของศูนย์ ดํารงธรรมให้มีความพร้อมในการทํางานทุกมิติ การสัมมนาในครั้งนี้จะเป็นการเสริมสร้างสมรรถนะให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน ทั้งระเบียบกฎหมาย เทคนิคการทํางาน การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน และเตรียมการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้บูรณาการการทํางานร่วมกันทุกหน่วยงาน อาทิ ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี ศูนย์บริการประชาชน สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีการกําหนดหลักสูตรที่สําคัญ อาทิ การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ การทวงหนี้ผิดกฎหมาย หรือการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร เทคนิควิธีการเจรจาประนีประนอม โดยมีผู้เชี่ยวชาญแต่ละหน่วยงานมาบรรยายให้ความรู้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานสามารถนําความรู้ไปใช้ในการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะปัญหาที่มีความยุ่งยากซับซ้อน ในขณะเดียวกัน รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560 ให้ทุกหน่วยงานตรวจสอบเรื่องราวร้องเรียนที่ค้างการพิจารณามานานหรือไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ โดยให้เร่งดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้ การทํางานในปี 2560 จึงมีความท้าทายและเป็นโจทย์สําคัญที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมแรงร่วมใจพัฒนาการทํางานและทําหน้าที่เป็นตัวแทนของรัฐบาล โดยมีเป้าหมายสําคัญ คือ การบําบัดทุกข์ บํารุงสุขให้กับพี่น้องประชาชนทําให้คนไทยทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สุดท้าย ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้เน้นย้ําว่า ศูนย์ดํารงธรรมจะต้องเป็นหน่วยเติมเต็มการบริการประชาชนของทุกส่วนราชการและแก้ไขปัญหาในพื้นที่ที่ยังดําเนินการไม่สมบูรณ์ รวมทั้งสามารถส่งต่อการบริการซึ่งเป็นอํานาจหน้าที่ของส่วนราชการอื่นหรือเป็นอํานาจของผู้บริหารส่วนกลางได้อย่างรวดเร็ว และต้องเป็นหน่วยประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้แก่ประชาชนในเรื่องขั้นตอนการติดต่อราชการของส่วนราชการในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันเรื่องที่ประชาชนมีความทุกข์ร้อนและเข้ามาใช้บริการส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่มีความหลากหลาย ดังนั้น บุคลากรของศูนย์ดํารงธรรมจึงต้องเป็นผู้มีความรอบรู้งานและโครงสร้างของส่วนราชการ รอบรู้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประชาชนในทุกด้าน เป็นนักประสานงานกับทุกส่วนราชการสามารถประสานงานบูรณาการร่วมในการแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งต้องรู้พื้นที่ สามารถประเมินสถานการณ์ได้ดี และจัดระบบข้อมูลข่าวสาร เพื่อการแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนสร้างความสงบสุขให้แก่สังคมอย่างยั่งยืน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย ติวเข้มเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศ ย้ำบทบาทการทำงานปี 2560.. วันพุธที่ 22 มีนาคม 2560 ปลัดกระทรวงมหาดไทย ติวเข้มเจ้าหน้าที่ศูนย์ดํารงธรรมทั่วประเทศ ย้ําบทบาทการทํางานปี 2560.. ปลัดกระทรวงมหาดไทย ติวเข้มเจ้าหน้าที่ศูนย์ดํารงธรรมทั่วประเทศ ย้ําบทบาทการทํางานปี 2560 ต้องเป็นหน่วยเติมเต็มการบริการประชาชนของทุกส่วนราชการ และแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการ ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางการทํางาน วันนี้ (22 มี.ค. 60) เวลา 09.00 น. ณ โรงแรมตรัง กรุงเทพมหานคร นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เพิ่มทักษะให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานศูนย์ดํารงธรรมให้มีประสิทธิภาพ เข้มแข็ง ยั่งยืนประจําปี 2560 ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเพิ่มทักษะบุคลากรของศูนย์ดํารงธรรมให้รองรับภารกิจการบริการและการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนา ประกอบด้วย ผู้อํานวยการกลุ่มงานศูนย์ดํารงธรรมจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ เครือข่ายงานศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด เจ้าหน้าที่ในส่วนกลาง กรุงเทพมหานคร สํานักงานเขต 50 เขต รวมทั้งสิ้น 235 คน โอกาสนี้ นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้มอบแนวทางการดําเนินงานของศูนย์ดํารงธรรม ในปี 2560 ให้แก่ผู้เข้าร่วมสัมมนาฯ โดยกล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมาศูนย์ดํารงธรรมได้ปฏิบัติภารกิจ ทั้ง 7 มิติได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่ได้จัดตั้งศูนย์ดํารงธรรมขึ้นมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานระดับจังหวัดให้สามารถบริการประชาชนได้อย่างเสมอภาค มีคุณภาพ รวดเร็ว ลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ถือว่าเห็นผลงานเป็นที่น่าพอใจ และมีประชาชนเข้ามารับบริการและร้องเรียนร้องทุกข์กับศูนย์ดํารงธรรมเป็นจํานวนมาก อีกทั้งยังได้ทําหน้าที่ในการขับเคลื่อนภารกิจที่เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล อาทิ การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ปัญหายาเสพติด เรื่องที่ดินทํากินและการประกอบอาชีพ ตลอดจนการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนในพื้นที่ โดยชุดปฏิบัติการพิเศษซึ่งถือว่ามีการทํางานในเชิงรุกมากกว่าในอดีตที่ผ่านมา สําหรับการทํางานในปี 2560 และในอนาคตต่อไป กระทรวงมหาดไทยในฐานะที่กํากับดูแลและอํานวยการ ให้การบริหารงานของศูนย์ดํารงธรรมและการบริหารงานของจังหวัดเป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีประสิทธิภาพ ได้กําหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติงานที่ชัดเจน มีเอกภาพ มีการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพการทํางานทุกๆด้าน และเน้นการพัฒนาบุคลากรของศูนย์ ดํารงธรรมให้มีความพร้อมในการทํางานทุกมิติ การสัมมนาในครั้งนี้จะเป็นการเสริมสร้างสมรรถนะให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน ทั้งระเบียบกฎหมาย เทคนิคการทํางาน การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน และเตรียมการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้บูรณาการการทํางานร่วมกันทุกหน่วยงาน อาทิ ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี ศูนย์บริการประชาชน สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีการกําหนดหลักสูตรที่สําคัญ อาทิ การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ การทวงหนี้ผิดกฎหมาย หรือการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร เทคนิควิธีการเจรจาประนีประนอม โดยมีผู้เชี่ยวชาญแต่ละหน่วยงานมาบรรยายให้ความรู้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานสามารถนําความรู้ไปใช้ในการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะปัญหาที่มีความยุ่งยากซับซ้อน ในขณะเดียวกัน รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560 ให้ทุกหน่วยงานตรวจสอบเรื่องราวร้องเรียนที่ค้างการพิจารณามานานหรือไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ โดยให้เร่งดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้ การทํางานในปี 2560 จึงมีความท้าทายและเป็นโจทย์สําคัญที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมแรงร่วมใจพัฒนาการทํางานและทําหน้าที่เป็นตัวแทนของรัฐบาล โดยมีเป้าหมายสําคัญ คือ การบําบัดทุกข์ บํารุงสุขให้กับพี่น้องประชาชนทําให้คนไทยทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สุดท้าย ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้เน้นย้ําว่า ศูนย์ดํารงธรรมจะต้องเป็นหน่วยเติมเต็มการบริการประชาชนของทุกส่วนราชการและแก้ไขปัญหาในพื้นที่ที่ยังดําเนินการไม่สมบูรณ์ รวมทั้งสามารถส่งต่อการบริการซึ่งเป็นอํานาจหน้าที่ของส่วนราชการอื่นหรือเป็นอํานาจของผู้บริหารส่วนกลางได้อย่างรวดเร็ว และต้องเป็นหน่วยประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้แก่ประชาชนในเรื่องขั้นตอนการติดต่อราชการของส่วนราชการในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันเรื่องที่ประชาชนมีความทุกข์ร้อนและเข้ามาใช้บริการส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่มีความหลากหลาย ดังนั้น บุคลากรของศูนย์ดํารงธรรมจึงต้องเป็นผู้มีความรอบรู้งานและโครงสร้างของส่วนราชการ รอบรู้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประชาชนในทุกด้าน เป็นนักประสานงานกับทุกส่วนราชการสามารถประสานงานบูรณาการร่วมในการแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งต้องรู้พื้นที่ สามารถประเมินสถานการณ์ได้ดี และจัดระบบข้อมูลข่าวสาร เพื่อการแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนสร้างความสงบสุขให้แก่สังคมอย่างยั่งยืน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2571
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมสภาฯ
วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563 การประชุมสภาฯ ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ​ นายกรัฐมนตรีได้รับคะแนนไว้วางใจ 272 ในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล นายกฯ ขอบคุณทุกฝ่ายในสภาถือเป็นมิติใหม่ของการทํางานร่วมกัน​ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงการซื้ออาวุธและการเพิ่มขีดความสามารถกองทัพ นายกรัฐมนตรี แจงกรณีการเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรอุบลราชธานีที่ประสบภัยธรรมชาติแล้ว การทําสัญญาจีทูจี ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ นายวิษณุ เครืองามรองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณี บริษัทPhilip Morris Thailand Ltd.(PMTL)นําเข้าบุหรี่ พรบ.ศุลกากร โรงงานยาสูบ​ นายกฯ ชี้แจงกรณีการจัดซื้ออาวุธและการเพิ่มขีดความสามารถกองทัพ กรณีปัญหายาสูบ​ การปรับปรุง พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ กรณี บริษัท Philip Morris Thailand Ltd.(PMTL) นําเข้าบุหรี่ กรณีพิพาทเกี่ยวกับสินค้าบุหรี่นําเข้า โดยบริษัท Philip Morris Thailand Ltd.(PMTL) กระทรวงการต่างประเทศทําตามหน้าที่เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของไทย นายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีการชุมนุมเพื่อแสดงออกทําได้แต่ระวังเรื่องกฎหมาย​ แผนแม่บทสุวรรณภูมิ ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีการก่อสร้างทางยกระดับ M7 ช่วงศรีนครินทร์-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รัฐมนตรีนําเสนออภิปราย PPP BMTA ประเด็นชี้แจง อภิปราย NE นายกรัฐมนตรียืนยันยุทธศาสตร์ชาติกําหนดทิศทาง และแก้ปัญหาของประเทศ ย้ําไม่มีปัญหาไหนแก้ได้ในวันเดียว นายกรัฐมนตรี ชี้แจงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 5 ข้ออภิปราย​ นายกรัฐมนตรียืนยัน การจัดซื้อโครงการ Biometrics เป็นไปตามระเบียบราชการ อย่าโยงผู้ไม่เกี่ยวข้อง นายกฯ ชี้แจงกรณีการจัดซื้อเครื่องและระบบBiometrics​ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงแนวทางการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ น้อมนําแนวทาง เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ยึดกระบวนการยุติธรรม นายกฯ ชี้แจงกรณีผู้ชุมนุมทางการเมือง​ นายกฯชี้แจงแนวทางการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ นายกรัฐมนตรีชี้แจง 5 ข้ออภิปราย​ นายกรัฐมนตรีชี้แจงข้อห่วงใย เหมืองทอง EEC PM2.5 COVID-19 แจงประเด็น PM2.5 Covid-19 เหมืองทอง ผลงาน 7 เดือนรัฐบาล (1) ผลงาน 7 เดือนรัฐบาล (2) อินโฟกราฟิก-สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและเศรษฐในประเทศ นายกรัฐมนตรีพร้อมผลักดันเอสเอ็มอีไทย สู่ตลาดออนไลน์ ยืนยันพัฒนาระบบภาษีเพื่อสร้างความเป็นธรรม นายกรัฐมนตรีชี้แจง รัฐบาลแก้ไขสถานการณ์หนี้ครัวเรือน ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมทั้งพัฒนาระบบภาษีเพื่อดูแลประชาชน นายกรัฐมนตรีมั่นใจ สส. ทุกคนหวังดีกับประเทศชาติทั้งสิ้น วอนร่วมมือเพื่อประโยชน์บ้านเมือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ชี้แจง HSR แจงประเด็นหนี้ครัวเรือนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐชิม ช้อป ใช้ การจัดที่ดินทํากิน อีสานแล้งภาษีอาลีบาบา การจ้างงาน นายกรัฐมนตรี แจงการว่างงานปี 63 ยังไม่น่ากังวล ยืนยันความต้องการแรงงานในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น นายกรัฐมนตรีชี้แจงกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ​ ชี้แจงกรณี BTS นายกรัฐมนตรีชี้แจงโครงการ ชิม ช้อป ใช้ เป็นมาตรการระยะสั้น เพื่อเตรียมความพร้อมคนไทยสู่สังคมไร้เงินสด และเศรษฐกิจดิจิทัล พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ชี้แจง การออกคําสั่ง คสช. เพื่อแก้ไขปัญหาสัมปทานรถไฟฟ้า ไม่ให้ภาระอยู่ที่ประชาชน รัฐมนตรีร่วมชี้แจงต่อสภาฯ เพื่อร่วมสร้างการรับรู้ ให้ประชาชนติดตามงานรัฐบาลอย่างครบถ้วน นายกรัฐมนตรีย้ํารัฐบาลเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจขาลง นายกรัฐมนตรีแจงชิม ช้อป ใช้ เป็นมาตรการระยะสั้น ชูเศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อเตรียมความพร้อมคนไทยสู่สังคมไร้เงินสดวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 นายกรัฐมนตรียืนยัน เศรษฐกิจไทยยังมีการขยายตัว วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ยืนยัน การเปลี่ยนแปลงโครงการศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เป็นไปตามข้อกฎหมาย วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 นายกรัฐมนตรียืนยัน การซื้อขายที่ดินในครอบครอง ดําเนินการตามกฎหมายเสียภาษีถูกต้อง วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 นายกรัฐมนตรีร่วมฟังการการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถือเป็นกลไกประชาธิปไตย ยึดหลักนิติธรรมและเคารพสิทธิส่วนบุคคล ยืนยันดูแลประชาชนทุกพื้นที่ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมสภาฯ วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563 การประชุมสภาฯ ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ​ นายกรัฐมนตรีได้รับคะแนนไว้วางใจ 272 ในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล นายกฯ ขอบคุณทุกฝ่ายในสภาถือเป็นมิติใหม่ของการทํางานร่วมกัน​ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงการซื้ออาวุธและการเพิ่มขีดความสามารถกองทัพ นายกรัฐมนตรี แจงกรณีการเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรอุบลราชธานีที่ประสบภัยธรรมชาติแล้ว การทําสัญญาจีทูจี ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ นายวิษณุ เครืองามรองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณี บริษัทPhilip Morris Thailand Ltd.(PMTL)นําเข้าบุหรี่ พรบ.ศุลกากร โรงงานยาสูบ​ นายกฯ ชี้แจงกรณีการจัดซื้ออาวุธและการเพิ่มขีดความสามารถกองทัพ กรณีปัญหายาสูบ​ การปรับปรุง พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ กรณี บริษัท Philip Morris Thailand Ltd.(PMTL) นําเข้าบุหรี่ กรณีพิพาทเกี่ยวกับสินค้าบุหรี่นําเข้า โดยบริษัท Philip Morris Thailand Ltd.(PMTL) กระทรวงการต่างประเทศทําตามหน้าที่เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของไทย นายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีการชุมนุมเพื่อแสดงออกทําได้แต่ระวังเรื่องกฎหมาย​ แผนแม่บทสุวรรณภูมิ ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีการก่อสร้างทางยกระดับ M7 ช่วงศรีนครินทร์-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รัฐมนตรีนําเสนออภิปราย PPP BMTA ประเด็นชี้แจง อภิปราย NE นายกรัฐมนตรียืนยันยุทธศาสตร์ชาติกําหนดทิศทาง และแก้ปัญหาของประเทศ ย้ําไม่มีปัญหาไหนแก้ได้ในวันเดียว นายกรัฐมนตรี ชี้แจงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 5 ข้ออภิปราย​ นายกรัฐมนตรียืนยัน การจัดซื้อโครงการ Biometrics เป็นไปตามระเบียบราชการ อย่าโยงผู้ไม่เกี่ยวข้อง นายกฯ ชี้แจงกรณีการจัดซื้อเครื่องและระบบBiometrics​ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงแนวทางการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ น้อมนําแนวทาง เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ยึดกระบวนการยุติธรรม นายกฯ ชี้แจงกรณีผู้ชุมนุมทางการเมือง​ นายกฯชี้แจงแนวทางการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ นายกรัฐมนตรีชี้แจง 5 ข้ออภิปราย​ นายกรัฐมนตรีชี้แจงข้อห่วงใย เหมืองทอง EEC PM2.5 COVID-19 แจงประเด็น PM2.5 Covid-19 เหมืองทอง ผลงาน 7 เดือนรัฐบาล (1) ผลงาน 7 เดือนรัฐบาล (2) อินโฟกราฟิก-สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและเศรษฐในประเทศ นายกรัฐมนตรีพร้อมผลักดันเอสเอ็มอีไทย สู่ตลาดออนไลน์ ยืนยันพัฒนาระบบภาษีเพื่อสร้างความเป็นธรรม นายกรัฐมนตรีชี้แจง รัฐบาลแก้ไขสถานการณ์หนี้ครัวเรือน ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมทั้งพัฒนาระบบภาษีเพื่อดูแลประชาชน นายกรัฐมนตรีมั่นใจ สส. ทุกคนหวังดีกับประเทศชาติทั้งสิ้น วอนร่วมมือเพื่อประโยชน์บ้านเมือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ชี้แจง HSR แจงประเด็นหนี้ครัวเรือนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐชิม ช้อป ใช้ การจัดที่ดินทํากิน อีสานแล้งภาษีอาลีบาบา การจ้างงาน นายกรัฐมนตรี แจงการว่างงานปี 63 ยังไม่น่ากังวล ยืนยันความต้องการแรงงานในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น นายกรัฐมนตรีชี้แจงกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ​ ชี้แจงกรณี BTS นายกรัฐมนตรีชี้แจงโครงการ ชิม ช้อป ใช้ เป็นมาตรการระยะสั้น เพื่อเตรียมความพร้อมคนไทยสู่สังคมไร้เงินสด และเศรษฐกิจดิจิทัล พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ชี้แจง การออกคําสั่ง คสช. เพื่อแก้ไขปัญหาสัมปทานรถไฟฟ้า ไม่ให้ภาระอยู่ที่ประชาชน รัฐมนตรีร่วมชี้แจงต่อสภาฯ เพื่อร่วมสร้างการรับรู้ ให้ประชาชนติดตามงานรัฐบาลอย่างครบถ้วน นายกรัฐมนตรีย้ํารัฐบาลเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจขาลง นายกรัฐมนตรีแจงชิม ช้อป ใช้ เป็นมาตรการระยะสั้น ชูเศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อเตรียมความพร้อมคนไทยสู่สังคมไร้เงินสดวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 นายกรัฐมนตรียืนยัน เศรษฐกิจไทยยังมีการขยายตัว วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ยืนยัน การเปลี่ยนแปลงโครงการศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เป็นไปตามข้อกฎหมาย วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 นายกรัฐมนตรียืนยัน การซื้อขายที่ดินในครอบครอง ดําเนินการตามกฎหมายเสียภาษีถูกต้อง วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 นายกรัฐมนตรีร่วมฟังการการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถือเป็นกลไกประชาธิปไตย ยึดหลักนิติธรรมและเคารพสิทธิส่วนบุคคล ยืนยันดูแลประชาชนทุกพื้นที่ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26712
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก ขอความร่วมมือผู้โดยสารสแกนเช็คอิน-เช็คเอาท์ ทุกครั้งที่ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะและสถานีขนส่งผู้โดยสาร [กระทรวงคมนาคม]
วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม 2563 กรมการขนส่งทางบก ขอความร่วมมือผู้โดยสารสแกนเช็คอิน-เช็คเอาท์ ทุกครั้งที่ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะและสถานีขนส่งผู้โดยสาร [กระทรวงคมนาคม] กรมการขนส่งทางบก ขอความร่วมมือผู้โดยสารสแกนเช็คอิน-เช็คเอาท์ ทุกครั้งที่ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะและสถานีขนส่งผู้โดยสาร นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ) ได้กําชับให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมดําเนินมาตรการเข้มงวดป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในระบบขนส่งสาธารณะอย่างต่อเนื่อง กรมการขนส่งทางบกจึงกําชับไปยังผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ให้บริการขนส่งด้วยรถโดยสารสาธารณะทุกประเภท รวมถึงผู้ให้บริการสถานีขนส่งผู้โดยสารทุกแห่ง ดําเนินการตามนโยบายและมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมอย่างเคร่งครัด โดยให้สํานักงานขนส่งทุกแห่งจัดเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง วันนี้ (8 กรกฎาคม 2563) สํานักงานขนส่งจังหวัด เช่น ระยอง สระบุรี ลําพูน พิจิตร พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี อุทัยธานี ศรีสะเกษ สมุทรปราการ ราชบุรี มุกดาหาร ลพบุรี ชัยภูมิ เชียงใหม่ นครปฐม กาญจนบุรี อุบลราชธานี สตูล มหาสารคาม บุรีรัมย์ จันทบุรี สระแก้ว นครราชสีมา ฉะเชิงเทรา ขอนแก่น อํานาจเจริญ ลําปาง บึงกาฬ ตาก หนองคาย อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ ดําเนินการตรวจสอบรถโดยสารสาธารณะทุกประเภททั้งที่สถานีขนส่งผู้โดยสารและจุดตรวจคัดกรองในพื้นที่รับผิดชอบ กําชับมาตรการ Social distancing เว้นระยะนั่ง หรือยืนห่างกัน ทั้งภายในรถโดยสาร และที่นั่งคอยภายในสถานีขนส่งผู้โดยสาร ตรวจวัดอุณหภูมิของผู้โดยสารไม่ให้เกิน 37.5 องศาเซลเซียส ควบคุมการใส่หน้ากากอนามัยอย่างเคร่งครัด และจัดเตรียมเจลแอลกอฮอล์สําหรับล้างมือ ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกได้ให้ผู้ประกอบการขนส่งลงทะเบียนเข้าใช้แอปพลิเคชันไทยชนะหรือแพลตฟอร์มไทยชนะและจัดพิมพ์ QR Code เพื่อให้ผู้โดยสารลงทะเบียนเช็คอิน-เช็คเอาท์ ทุกครั้งที่ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ และเข้าใช้บริการที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร ในส่วนของ การให้บริการที่สํานักงานขนส่งทุกแห่ง มีการปรับรูปแบบดําเนินการแบบ New Normal ตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ดังนี้ •จองคิวดําเนินการล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue เพื่อบริหารจัดการเว้นระยะห่าง (Social Distancing) •ตั้งจุดคัดกรอง ตรวจวัดอุณหภูมิประชาชน ก่อนเข้าอาคารสํานักงาน •ดําเนินการตามมาตรการ Social Distancing โดยเว้นระยะห่างของที่นั่งพักคอยของประชาชน กําหนดระยะห่างของตําแหน่งการยืนคอยรับบริการ ติดตั้ง Table Shield กั้นระหว่างผู้มาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ •ด้านอาคารสถานที่และสิ่งอํานวยความสะดวกในหน่วยงาน ทําความสะอาดฆ่าเชื้อโรคพื้นที่ให้บริการภายในสํานักงานขนส่งทุกวัน โดยเฉพาะจุดที่มีการสัมผัสบ่อยครั้ง เช่น เคาน์เตอร์บริการ ที่จับประตู ที่จับราวบันได ปุ่มกดลิฟต์ เป็นต้น รวมถึงห้องอบรมและห้องทดสอบภาคทฤษฎี และภายในรถที่ใช้ในการทดสอบขับรถด้วย •จัดให้มีสบู่ในห้องน้ํา เจลแอลกอฮอล์ล้างมืออย่างเพียงพอ •การขอรับใบอนุญาตขับรถ มีการปรับรูปแบบการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกาย โดยลดการสัมผัสกับอุปกรณ์ทดสอบเฉพาะเท่าที่จําเป็น และมีการทําความสะอาดฆ่าเชื้ออุปกรณ์ สถานที่ ที่นั่งพักคอย เคาน์เตอร์ อย่างสม่ําเสมอ การจัดสถานที่เว้นระยะห่างตามมาตรการ Social Distancing •ขอความร่วมมือประชาชนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าในการติดต่อราชการ และปฏิบัติตามคําแนะนําของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงในการติดต่อแพร่กระจายของโรค
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก ขอความร่วมมือผู้โดยสารสแกนเช็คอิน-เช็คเอาท์ ทุกครั้งที่ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะและสถานีขนส่งผู้โดยสาร [กระทรวงคมนาคม] วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม 2563 กรมการขนส่งทางบก ขอความร่วมมือผู้โดยสารสแกนเช็คอิน-เช็คเอาท์ ทุกครั้งที่ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะและสถานีขนส่งผู้โดยสาร [กระทรวงคมนาคม] กรมการขนส่งทางบก ขอความร่วมมือผู้โดยสารสแกนเช็คอิน-เช็คเอาท์ ทุกครั้งที่ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะและสถานีขนส่งผู้โดยสาร นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ) ได้กําชับให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมดําเนินมาตรการเข้มงวดป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในระบบขนส่งสาธารณะอย่างต่อเนื่อง กรมการขนส่งทางบกจึงกําชับไปยังผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ให้บริการขนส่งด้วยรถโดยสารสาธารณะทุกประเภท รวมถึงผู้ให้บริการสถานีขนส่งผู้โดยสารทุกแห่ง ดําเนินการตามนโยบายและมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมอย่างเคร่งครัด โดยให้สํานักงานขนส่งทุกแห่งจัดเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง วันนี้ (8 กรกฎาคม 2563) สํานักงานขนส่งจังหวัด เช่น ระยอง สระบุรี ลําพูน พิจิตร พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี อุทัยธานี ศรีสะเกษ สมุทรปราการ ราชบุรี มุกดาหาร ลพบุรี ชัยภูมิ เชียงใหม่ นครปฐม กาญจนบุรี อุบลราชธานี สตูล มหาสารคาม บุรีรัมย์ จันทบุรี สระแก้ว นครราชสีมา ฉะเชิงเทรา ขอนแก่น อํานาจเจริญ ลําปาง บึงกาฬ ตาก หนองคาย อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ ดําเนินการตรวจสอบรถโดยสารสาธารณะทุกประเภททั้งที่สถานีขนส่งผู้โดยสารและจุดตรวจคัดกรองในพื้นที่รับผิดชอบ กําชับมาตรการ Social distancing เว้นระยะนั่ง หรือยืนห่างกัน ทั้งภายในรถโดยสาร และที่นั่งคอยภายในสถานีขนส่งผู้โดยสาร ตรวจวัดอุณหภูมิของผู้โดยสารไม่ให้เกิน 37.5 องศาเซลเซียส ควบคุมการใส่หน้ากากอนามัยอย่างเคร่งครัด และจัดเตรียมเจลแอลกอฮอล์สําหรับล้างมือ ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกได้ให้ผู้ประกอบการขนส่งลงทะเบียนเข้าใช้แอปพลิเคชันไทยชนะหรือแพลตฟอร์มไทยชนะและจัดพิมพ์ QR Code เพื่อให้ผู้โดยสารลงทะเบียนเช็คอิน-เช็คเอาท์ ทุกครั้งที่ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ และเข้าใช้บริการที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร ในส่วนของ การให้บริการที่สํานักงานขนส่งทุกแห่ง มีการปรับรูปแบบดําเนินการแบบ New Normal ตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ดังนี้ •จองคิวดําเนินการล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue เพื่อบริหารจัดการเว้นระยะห่าง (Social Distancing) •ตั้งจุดคัดกรอง ตรวจวัดอุณหภูมิประชาชน ก่อนเข้าอาคารสํานักงาน •ดําเนินการตามมาตรการ Social Distancing โดยเว้นระยะห่างของที่นั่งพักคอยของประชาชน กําหนดระยะห่างของตําแหน่งการยืนคอยรับบริการ ติดตั้ง Table Shield กั้นระหว่างผู้มาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ •ด้านอาคารสถานที่และสิ่งอํานวยความสะดวกในหน่วยงาน ทําความสะอาดฆ่าเชื้อโรคพื้นที่ให้บริการภายในสํานักงานขนส่งทุกวัน โดยเฉพาะจุดที่มีการสัมผัสบ่อยครั้ง เช่น เคาน์เตอร์บริการ ที่จับประตู ที่จับราวบันได ปุ่มกดลิฟต์ เป็นต้น รวมถึงห้องอบรมและห้องทดสอบภาคทฤษฎี และภายในรถที่ใช้ในการทดสอบขับรถด้วย •จัดให้มีสบู่ในห้องน้ํา เจลแอลกอฮอล์ล้างมืออย่างเพียงพอ •การขอรับใบอนุญาตขับรถ มีการปรับรูปแบบการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกาย โดยลดการสัมผัสกับอุปกรณ์ทดสอบเฉพาะเท่าที่จําเป็น และมีการทําความสะอาดฆ่าเชื้ออุปกรณ์ สถานที่ ที่นั่งพักคอย เคาน์เตอร์ อย่างสม่ําเสมอ การจัดสถานที่เว้นระยะห่างตามมาตรการ Social Distancing •ขอความร่วมมือประชาชนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าในการติดต่อราชการ และปฏิบัติตามคําแนะนําของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงในการติดต่อแพร่กระจายของโรค
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33249
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยออกสินเชื่อหนุน SME ทำบัญชีชุดเดียว
วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน 2560 กรุงไทยออกสินเชื่อหนุน SME ทําบัญชีชุดเดียว ธนาคารกรุงไทย ออกสินเชื่อ “KTB SMEs บัญชีเดียว” สําหรับผู้ประกอบการที่จัดทําบัญชีชุดเดียว โดยคิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 5% ต่อปี นาน 2 ปี ให้กู้สูงสุดคนละ 100 ล้านบาท ในวงเงินรวม 4 พันล้านบาท ธนาคารกรุงไทย ออกสินเชื่อ “KTB SMEs บัญชีเดียว” สําหรับผู้ประกอบการที่จัดทําบัญชีชุดเดียว โดยคิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 5% ต่อปี นาน 2 ปี ให้กู้สูงสุดคนละ 100 ล้านบาท ในวงเงินรวม 4 พันล้านบาท ยื่นขอสินเชื่อได้ถึง 30 กันยายนปีหน้า พร้อมจัดงานเจรจาจับคู่ธุรกิจกับนักธุรกิจเมียนมา รวมทั้งจัดงานสัมมนาใหญ่ประจําปี นายปฏิเวช สันตะวานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานธุรกิจขนาดกลาง ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารให้การสนับสนุนมาตรการบัญชีชุดเดียวของรัฐบาล โดยได้ออกสินเชื่อ “KTB SMEs บัญชีเดียว” สําหรับนิติบุคคล และนิติบุคคลจัดตั้งใหม่เพื่อดําเนินธุรกิจแทนบุคคลธรรมดา ที่มีการจดแจ้งบัญชีชุดเดียวภายในเวลาที่กรมสรรพากรกําหนด และมีเอกสารครบถ้วน โดยคิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 5% ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี ให้วงเงินสูงสุด 100 ล้านบาทต่อราย ในวงเงินรวม 4,000 ล้านบาท “ผู้ขอสินเชื่อ เพียงเป็นผู้ประกอบการ SME ที่มีประสบการณ์หรือดําเนินธุรกิจที่ขอสินเชื่อไม่น้อยกว่า 3 ปี และไม่เคยปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่น หากเป็นลูกค้านิติบุคคลต้องมีกําไรสุทธิ 2 ใน 3 ปีล่าสุด โดยสามารถยื่นขอสินเชื่อได้ที่สํานักงานธุรกิจทั้ง 79 แห่งทั่วประเทศ หรือยื่นขอสินเชื่อได้ที่เว็บไซต์ https://sme.ktb.co.th ถึงวันที่ 30 กันยายน 2561” นายปฏิเวช สันตะวานนท์ กล่าวต่อไปว่า ธนาคารยังได้ร่วมมือกับสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) กระทรวงพาณิชย์ และ บสย.จัดงาน “KTB SMEs Business Matching and Networking THAI-MYANMAR” นํานักธุรกิจชาวเมียนมาที่มีศักยภาพสูง มาซื้อสินค้าจาก SME ไทย ผ่านกิจกรรมในรูปแบบการเจรจาจับคู่ธุรกิจ ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2560 ณ สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) รัชดาภิเษก รวมทั้งจัดงานสัมมนาใหญ่ประจําปี “แชร์ทางลัด ชัดทางรวย ด้วยไอเดีย” โดยเชิญนักธุรกิจ SME ที่ประสบความสําเร็จมาถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัล เวิลด์ ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานสัมมนาฟรีที่ https://sme.ktb.co.th และสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KTB Call Center 02-111-1111 ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร. 0-2208-4174-7
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยออกสินเชื่อหนุน SME ทำบัญชีชุดเดียว วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน 2560 กรุงไทยออกสินเชื่อหนุน SME ทําบัญชีชุดเดียว ธนาคารกรุงไทย ออกสินเชื่อ “KTB SMEs บัญชีเดียว” สําหรับผู้ประกอบการที่จัดทําบัญชีชุดเดียว โดยคิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 5% ต่อปี นาน 2 ปี ให้กู้สูงสุดคนละ 100 ล้านบาท ในวงเงินรวม 4 พันล้านบาท ธนาคารกรุงไทย ออกสินเชื่อ “KTB SMEs บัญชีเดียว” สําหรับผู้ประกอบการที่จัดทําบัญชีชุดเดียว โดยคิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 5% ต่อปี นาน 2 ปี ให้กู้สูงสุดคนละ 100 ล้านบาท ในวงเงินรวม 4 พันล้านบาท ยื่นขอสินเชื่อได้ถึง 30 กันยายนปีหน้า พร้อมจัดงานเจรจาจับคู่ธุรกิจกับนักธุรกิจเมียนมา รวมทั้งจัดงานสัมมนาใหญ่ประจําปี นายปฏิเวช สันตะวานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานธุรกิจขนาดกลาง ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารให้การสนับสนุนมาตรการบัญชีชุดเดียวของรัฐบาล โดยได้ออกสินเชื่อ “KTB SMEs บัญชีเดียว” สําหรับนิติบุคคล และนิติบุคคลจัดตั้งใหม่เพื่อดําเนินธุรกิจแทนบุคคลธรรมดา ที่มีการจดแจ้งบัญชีชุดเดียวภายในเวลาที่กรมสรรพากรกําหนด และมีเอกสารครบถ้วน โดยคิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 5% ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี ให้วงเงินสูงสุด 100 ล้านบาทต่อราย ในวงเงินรวม 4,000 ล้านบาท “ผู้ขอสินเชื่อ เพียงเป็นผู้ประกอบการ SME ที่มีประสบการณ์หรือดําเนินธุรกิจที่ขอสินเชื่อไม่น้อยกว่า 3 ปี และไม่เคยปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่น หากเป็นลูกค้านิติบุคคลต้องมีกําไรสุทธิ 2 ใน 3 ปีล่าสุด โดยสามารถยื่นขอสินเชื่อได้ที่สํานักงานธุรกิจทั้ง 79 แห่งทั่วประเทศ หรือยื่นขอสินเชื่อได้ที่เว็บไซต์ https://sme.ktb.co.th ถึงวันที่ 30 กันยายน 2561” นายปฏิเวช สันตะวานนท์ กล่าวต่อไปว่า ธนาคารยังได้ร่วมมือกับสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) กระทรวงพาณิชย์ และ บสย.จัดงาน “KTB SMEs Business Matching and Networking THAI-MYANMAR” นํานักธุรกิจชาวเมียนมาที่มีศักยภาพสูง มาซื้อสินค้าจาก SME ไทย ผ่านกิจกรรมในรูปแบบการเจรจาจับคู่ธุรกิจ ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2560 ณ สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) รัชดาภิเษก รวมทั้งจัดงานสัมมนาใหญ่ประจําปี “แชร์ทางลัด ชัดทางรวย ด้วยไอเดีย” โดยเชิญนักธุรกิจ SME ที่ประสบความสําเร็จมาถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัล เวิลด์ ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานสัมมนาฟรีที่ https://sme.ktb.co.th และสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KTB Call Center 02-111-1111 ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร. 0-2208-4174-7
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7910
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การแข่งขันวิ่ง “ เลน้อยรัน 2019 ”
วันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2562 การแข่งขันวิ่ง “ เลน้อยรัน 2019 ” เนื่องจากการวิ่งนั้นเป็นการออกกําลังกายที่ดีและสามารถเป็นภูมิป้องกันโรคได้หลายชนิด นอกจากนั้นยังเป็นการสนับสนุนส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดต่างๆทั่วประเทศให้เจริญก้าวหน้าขึ้นอีกด้วย วันที่ 21 กรกฎาคม 2562นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานเปิดการแข่งขันวิ่ง“เลน้อยรัน2019 ”ซึ่งจังหวัดพัทลุง โดยการกีฬาแห่งประเทศไทยจังหวัดพัทลุง สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดพัทลุง และชมรมวิ่งเพื่อสุขภาพจังหวัดพัทลุง ได้ร่วมกันจัดขึ้น โดยมีนายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผวจ.พัทลุง นายศิลป์ชัย รามณีย์ รอง ผวจ.พัทลุง นางนาที รัชกิจประการ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคภูมิใจไทย นายภูมิศิษฏ์ คงมี และนายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย และคณะ เข้าร่วมกิจกรรมด้วย ณบริเวณหน้าร้านอาหารสามกั๊ก ถนนเฉลิมพระเกียรติ80พรรษา อ.ควนขนุน จ.พัทลุงทั้งนี้เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการออกกําลังกายแก่กลุ่มนักเรียน นักศึกษา ประชาชน ทั้งในและต่างจังหวัด ส่งเสริมสุขภาพจิต สุขภาพกายให้แข็งแกร่ง สนับสนุนส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดพัทลุงให้ก้าวไกลยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์และจัดหารายได้เพื่อนําไปสนับสนุนการเป็นเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่37และการแข่งขันกีฬาอาวุโสแห่งชาติ ครั้งที่4 (พ.ศ.2564)ณ จังหวัดพัทลุง สําหรับการแข่งขัน“เลน้อยรัน2019 ”ในครั้งนี้ได้แบ่งการแข่งขันออกเป็น3ประเภท ประกอบด้วย ประเภทฮาล์ฟมาราธอน ระยะทาง21.1กิโลเมตร ประเภทซุปเปอร์มินิมาราธอน ระยะทาง15 กิโลเมตร และประเภทไมโครมาราธอน ระยะทาง5กิโลเมตร โดยมีนักวิ่งทั้งในและต่างจังหวัดเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ประมาณ3,500 คน ซึ่งนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายศิลป์ชัย รามณีย์ รอง ผวจ.พัทลุง นายภูมิศิษฏ์ คงมี และนายฉลอง เทิดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย พร้อมคณะ ได้เข้าร่วมเดินเพื่อออกกําลังกาย ระยะทางประมาณ4 กิโลเมตรด้วย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ทางกระทรวงฯจะให้การสนับสนุนส่งเสริมในการวิ่งมาราธอนประเภทต่างๆขึ้นทุกจังหวัดทั่วประเทศ เนื่องจากการวิ่งนั้นเป็นการออกกําลังกายที่ดีและสามารถเป็นภูมิป้องกันโรคได้หลายชนิด นอกจากนั้นยังเป็นการสนับสนุนส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดต่างๆทั่วประเทศให้เจริญก้าวหน้าขึ้นอีกด้วย ในส่วนของการวิ่งแข่งขันในกลุ่มเยาวชน นักเรียน นักศึกษานั้น ยังเป็นการป้องกันมิให้บุคคลเหล่านี้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและอบายมุขต่างๆอีกด้วย อย่างไรก็ตามจากการที่ทางจังหวัดพัทลุง และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างจริงจังและต่อเนื่องนั้น ทําให้นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวใน จ.พัทลุงเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยในครึ่งปีของปี2562นี้ อัตราการเติบโตการท่องเที่ยวของจังหวัดพัทลุงพุ่งสูงขึ้นเป็นร้อยละ8จนทําให้เป็นอันดับ3ของประเทศ ส่วนจังหวัดที่มีอัตราเจริญเติบโตสูงสุดในครึ่งปีนี้ได้แก่ จ.ราชบุรี ที่พุ่งสูงขึ้นร้อยละ11อันดับ2ได้แก่ จ.จันทรบุรี พุ่งสูงขึ้นร้อยละ9ส่วนอันดับที่4ได้แก่ จ.บุรีรัมย์ พุ่งสูงขึ้นร้อยละ6ส่วนอันดับ5ได้แก่ จ.แม่ฮ่องสอน ที่อัตราการเจริญเติบโตของการท่องเที่ยวพุ่งสูงขึ้นร้อยละ5
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การแข่งขันวิ่ง “ เลน้อยรัน 2019 ” วันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2562 การแข่งขันวิ่ง “ เลน้อยรัน 2019 ” เนื่องจากการวิ่งนั้นเป็นการออกกําลังกายที่ดีและสามารถเป็นภูมิป้องกันโรคได้หลายชนิด นอกจากนั้นยังเป็นการสนับสนุนส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดต่างๆทั่วประเทศให้เจริญก้าวหน้าขึ้นอีกด้วย วันที่ 21 กรกฎาคม 2562นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานเปิดการแข่งขันวิ่ง“เลน้อยรัน2019 ”ซึ่งจังหวัดพัทลุง โดยการกีฬาแห่งประเทศไทยจังหวัดพัทลุง สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดพัทลุง และชมรมวิ่งเพื่อสุขภาพจังหวัดพัทลุง ได้ร่วมกันจัดขึ้น โดยมีนายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผวจ.พัทลุง นายศิลป์ชัย รามณีย์ รอง ผวจ.พัทลุง นางนาที รัชกิจประการ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคภูมิใจไทย นายภูมิศิษฏ์ คงมี และนายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย และคณะ เข้าร่วมกิจกรรมด้วย ณบริเวณหน้าร้านอาหารสามกั๊ก ถนนเฉลิมพระเกียรติ80พรรษา อ.ควนขนุน จ.พัทลุงทั้งนี้เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการออกกําลังกายแก่กลุ่มนักเรียน นักศึกษา ประชาชน ทั้งในและต่างจังหวัด ส่งเสริมสุขภาพจิต สุขภาพกายให้แข็งแกร่ง สนับสนุนส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดพัทลุงให้ก้าวไกลยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์และจัดหารายได้เพื่อนําไปสนับสนุนการเป็นเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่37และการแข่งขันกีฬาอาวุโสแห่งชาติ ครั้งที่4 (พ.ศ.2564)ณ จังหวัดพัทลุง สําหรับการแข่งขัน“เลน้อยรัน2019 ”ในครั้งนี้ได้แบ่งการแข่งขันออกเป็น3ประเภท ประกอบด้วย ประเภทฮาล์ฟมาราธอน ระยะทาง21.1กิโลเมตร ประเภทซุปเปอร์มินิมาราธอน ระยะทาง15 กิโลเมตร และประเภทไมโครมาราธอน ระยะทาง5กิโลเมตร โดยมีนักวิ่งทั้งในและต่างจังหวัดเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ประมาณ3,500 คน ซึ่งนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายศิลป์ชัย รามณีย์ รอง ผวจ.พัทลุง นายภูมิศิษฏ์ คงมี และนายฉลอง เทิดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย พร้อมคณะ ได้เข้าร่วมเดินเพื่อออกกําลังกาย ระยะทางประมาณ4 กิโลเมตรด้วย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ทางกระทรวงฯจะให้การสนับสนุนส่งเสริมในการวิ่งมาราธอนประเภทต่างๆขึ้นทุกจังหวัดทั่วประเทศ เนื่องจากการวิ่งนั้นเป็นการออกกําลังกายที่ดีและสามารถเป็นภูมิป้องกันโรคได้หลายชนิด นอกจากนั้นยังเป็นการสนับสนุนส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดต่างๆทั่วประเทศให้เจริญก้าวหน้าขึ้นอีกด้วย ในส่วนของการวิ่งแข่งขันในกลุ่มเยาวชน นักเรียน นักศึกษานั้น ยังเป็นการป้องกันมิให้บุคคลเหล่านี้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและอบายมุขต่างๆอีกด้วย อย่างไรก็ตามจากการที่ทางจังหวัดพัทลุง และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างจริงจังและต่อเนื่องนั้น ทําให้นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวใน จ.พัทลุงเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยในครึ่งปีของปี2562นี้ อัตราการเติบโตการท่องเที่ยวของจังหวัดพัทลุงพุ่งสูงขึ้นเป็นร้อยละ8จนทําให้เป็นอันดับ3ของประเทศ ส่วนจังหวัดที่มีอัตราเจริญเติบโตสูงสุดในครึ่งปีนี้ได้แก่ จ.ราชบุรี ที่พุ่งสูงขึ้นร้อยละ11อันดับ2ได้แก่ จ.จันทรบุรี พุ่งสูงขึ้นร้อยละ9ส่วนอันดับที่4ได้แก่ จ.บุรีรัมย์ พุ่งสูงขึ้นร้อยละ6ส่วนอันดับ5ได้แก่ จ.แม่ฮ่องสอน ที่อัตราการเจริญเติบโตของการท่องเที่ยวพุ่งสูงขึ้นร้อยละ5
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21881
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยย้ำถึงเจตนารมณ์ในการกระชับความร่วมมือหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ที่รอบด้านกับจีน
วันจันทร์ที่ 4 กันยายน 2560 ไทยย้ําถึงเจตนารมณ์ในการกระชับความร่วมมือหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ที่รอบด้านกับจีน ไทยย้ําถึงเจตนารมณ์ในการกระชับความร่วมมือหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ที่รอบด้านกับจีน วันนี้ (4 ก.ย. 60) เวลาประมาณ 08.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมคณะ เดินทางออกจากท่าอากาศยานทหาร 2 (กองบิน 6) กรุงเทพฯ ไปยังเมืองเซี่ยเหมิน มณฑลฟูเจี้ยน สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเข้าร่วมประชุมระหว่างผู้นํากลุ่มประเทศ BRICS กับประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกําลังพัฒนา ภายหลังเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติเซี่ยเหมินเกาฉี โดยเวลาที่เซี่ยเหมินเร็วกว่าที่กรุงเทพฯ 1 ชั่วโมง นายกรัฐมนตรีเดินทางไปยังโรงแรมมิลเลนเนียม ฮาร์เบอร์วิว ซึ่งเป็นโรงแรมที่พัก จากนั้น ในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรี พบหารือทวิภาคีกับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน สรุปสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีย้ําถึงเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทยในการกระชับความร่วมมือหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ที่รอบด้านกับจีน รวมทั้งขับเคลื่อนความร่วมมือที่มีอยู่ให้คืบหน้าและเป็นรูปธรรม ตลอดจนขยาย ความร่วมมือที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันมากยิ่งขึ้น ผู้นําทั้งสองยินดีที่เห็นพัฒนาการความร่วมมือ จากที่ได้เคยหารือไว้ โดยเฉพาะด้านการเมือง ความมั่นคง เศราฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว การศึกษา วัฒนธรรม และความสัมพันธ์ในระดับประชาชน สําหรับโครงการความร่วมมือด้านรถไฟไทย-จีน นายกรัฐมนตรีย้ําถึงความมุ่งมั่นของไทยในการดําเนิน โครงการให้สําเร็จลุล่วง ซึ่งถือเป็นโครงการที่มีความสําคัญต่อยุทธศาสตร์ความเชื่อมโยงและ การพัฒนา ไทยเห็นว่าความเชื่อมโยงคือหัวใจของการพัฒนา อันจะนําไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และครอบคลุม ซึ่งไทยสนับสนุนยุทธศาสตร์ Belt and Road (BRI) และพร้อมทํางานร่วมกับจีน ในการส่งเสริมการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์การพัฒนาของทั้งสองประเทศ เพื่อให้ประเทศและประชาชน ตามแนวเส้นทางสายไหมได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ BRI และ Made in China 2025 ของจีนสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย และการพัฒนา EEC ซึ่งไทยพร้อม กระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีนตามระเบียงเศรษฐกิจจีน-คาบสมุทรอินโดจีน และเป็นประตู สู่ตลาดทั้งในกลุ่มประเทศ CLMV อาเซียน RCEP และเอเชียใต้ ในโอกาสนี้ ผู้นําไทยและจีนเห็นพ้อง การป้องกันและแก้ไขประเด็นความมั่นคงรูปแบบใหม่ต้องอาศัย ความร่วมมือจากทุกประเทศ เนื่องจากปัญหาดังกล่าวมีความเชื่อมโยงและส่งผลกระทบต่อสันติภาพ และเสถียรภาพในภูมิภาค ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนให้ไทยและ จีนมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ข่าวสาร และแนวปฏิบัติที่ดีในการจัดการกับการก่อการร้าย ระหว่างกัน นายกรัฐมนตรีขอให้จีนช่วยดูแลนักลงทุนไทยและการลงทุนจากไทยด้านพลังงาน รวมทั้งการถ่ายทอด เทคโนโลยีที่จีนมีความเชี่ยวชาญ เช่น การบิน ภายหลังการหารือ นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นสักขีพยาน ในการลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชน จีน จํานวน 4 ฉบับ *****************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยย้ำถึงเจตนารมณ์ในการกระชับความร่วมมือหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ที่รอบด้านกับจีน วันจันทร์ที่ 4 กันยายน 2560 ไทยย้ําถึงเจตนารมณ์ในการกระชับความร่วมมือหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ที่รอบด้านกับจีน ไทยย้ําถึงเจตนารมณ์ในการกระชับความร่วมมือหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ที่รอบด้านกับจีน วันนี้ (4 ก.ย. 60) เวลาประมาณ 08.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมคณะ เดินทางออกจากท่าอากาศยานทหาร 2 (กองบิน 6) กรุงเทพฯ ไปยังเมืองเซี่ยเหมิน มณฑลฟูเจี้ยน สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเข้าร่วมประชุมระหว่างผู้นํากลุ่มประเทศ BRICS กับประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกําลังพัฒนา ภายหลังเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติเซี่ยเหมินเกาฉี โดยเวลาที่เซี่ยเหมินเร็วกว่าที่กรุงเทพฯ 1 ชั่วโมง นายกรัฐมนตรีเดินทางไปยังโรงแรมมิลเลนเนียม ฮาร์เบอร์วิว ซึ่งเป็นโรงแรมที่พัก จากนั้น ในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรี พบหารือทวิภาคีกับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน สรุปสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีย้ําถึงเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทยในการกระชับความร่วมมือหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ที่รอบด้านกับจีน รวมทั้งขับเคลื่อนความร่วมมือที่มีอยู่ให้คืบหน้าและเป็นรูปธรรม ตลอดจนขยาย ความร่วมมือที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันมากยิ่งขึ้น ผู้นําทั้งสองยินดีที่เห็นพัฒนาการความร่วมมือ จากที่ได้เคยหารือไว้ โดยเฉพาะด้านการเมือง ความมั่นคง เศราฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว การศึกษา วัฒนธรรม และความสัมพันธ์ในระดับประชาชน สําหรับโครงการความร่วมมือด้านรถไฟไทย-จีน นายกรัฐมนตรีย้ําถึงความมุ่งมั่นของไทยในการดําเนิน โครงการให้สําเร็จลุล่วง ซึ่งถือเป็นโครงการที่มีความสําคัญต่อยุทธศาสตร์ความเชื่อมโยงและ การพัฒนา ไทยเห็นว่าความเชื่อมโยงคือหัวใจของการพัฒนา อันจะนําไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และครอบคลุม ซึ่งไทยสนับสนุนยุทธศาสตร์ Belt and Road (BRI) และพร้อมทํางานร่วมกับจีน ในการส่งเสริมการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์การพัฒนาของทั้งสองประเทศ เพื่อให้ประเทศและประชาชน ตามแนวเส้นทางสายไหมได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ BRI และ Made in China 2025 ของจีนสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย และการพัฒนา EEC ซึ่งไทยพร้อม กระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีนตามระเบียงเศรษฐกิจจีน-คาบสมุทรอินโดจีน และเป็นประตู สู่ตลาดทั้งในกลุ่มประเทศ CLMV อาเซียน RCEP และเอเชียใต้ ในโอกาสนี้ ผู้นําไทยและจีนเห็นพ้อง การป้องกันและแก้ไขประเด็นความมั่นคงรูปแบบใหม่ต้องอาศัย ความร่วมมือจากทุกประเทศ เนื่องจากปัญหาดังกล่าวมีความเชื่อมโยงและส่งผลกระทบต่อสันติภาพ และเสถียรภาพในภูมิภาค ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนให้ไทยและ จีนมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ข่าวสาร และแนวปฏิบัติที่ดีในการจัดการกับการก่อการร้าย ระหว่างกัน นายกรัฐมนตรีขอให้จีนช่วยดูแลนักลงทุนไทยและการลงทุนจากไทยด้านพลังงาน รวมทั้งการถ่ายทอด เทคโนโลยีที่จีนมีความเชี่ยวชาญ เช่น การบิน ภายหลังการหารือ นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นสักขีพยาน ในการลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชน จีน จํานวน 4 ฉบับ *****************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6411
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ เจาะลึกรายกรม! ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563 วราวุธ เจาะลึกรายกรม! ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับฟังสรุปผลการดําเนินงานของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม พร้อมมอบนโยบาย แนวทางการดําเนินงาน และเปิดโอกาสรับฟังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแก่ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และเด วราวุธ เจาะลึกรายกรม!ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับฟังสรุปผลการดําเนินงานของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม พร้อมมอบนโยบาย แนวทางการดําเนินงาน และเปิดโอกาสรับฟังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแก่ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และเดินตรวจเยี่ยมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ภายในตึก วันนี้ (17 มกราคม 2563) เวลา 14.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการปฏิบัติราชการกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยมี นายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมรับฟังบรรยายสรุปการดําเนินงานของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบนโยบายการปฏิบัติราชการแก่กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยเน้นเรื่อง 1) การประชาสัมพันธ์ การสร้างการรับรู้ การสื่อสารไปถึงประชาชน เป็นหัวใจสําคัญของการดําเนินงานของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ขอให้ความสําคัญกับการประชาสัมพันธ์ การสื่อสารในวันนี้ เป้าหมายจะต้องดึงกลุ่มเยาวชนให้มีความสนใจเข้ามาอยู่ในกระแสและติดตามข่าวสารของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วิธีการจะต้องมีความน่าสนใจและทันสมัย เข้าใจง่าย เพิ่มช่องทางใหม่ๆ ที่เยาวชนส่วนใหญ่ใช้สื่อสารกัน 2) การดําเนินงานจะต้องมีการบูรณาการกันภายในหน่วยงาน ระหว่างสํานัก กอง ต่างๆ ผู้บริหารจะต้องตระหนักและให้ความสําคัญในการบูรณาการการดําเนินงาน ต้องรู้การบริหารงานของฝ่ายต่างๆ 3) การใช้งบประมาณขอให้เร่งใช้งบประมาณให้เกิดความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และเพื่อให้เกิดการผลักดันเศรษฐกิจให้ดีขึ้น และเตรียมการสําหรับงบประมาณ ในปี พ.ศ. 2564 ด้วย 4) ตระหนักถึงเรื่องกฎหมาย บทบาท อํานาจหน้าที่ของกรมส่งเสริมคุณภาพและสิ่งแวดล้อม เรื่องใดที่ควรผลักดัน ขอให้เสนอ 5) ให้ความสําคัญกับโครงการพระราชดําริต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เพราะทุกโครงการมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวไทย นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวชื่นชมกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมในเรื่องการดําเนินงาน Every Day Say No to Plastic Bags ที่ทําให้เกิดเป็นรูปธรรมขึ้นมาและได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี โอกาสนี้ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวเสริมว่า ขอให้กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมจัดทําปฏิทินการทํางานทุกๆ เดือน ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับทราบ การดําเนินงานเรื่องสีเขียวต่างๆ เรื่องคน เรื่องรถ มอเตอร์ไซค์ ขอให้พิจารณาดําเนินงานให้เป็นเรื่องสีเขียว รวมถึงการจัดเก็บและการสํารองข้อมูลเป็นสิ่งสําคัญ ขอให้กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็น Data Center ข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และขอให้เน้นเรื่องกระบวนการสร้างการรับรู้เป็นสิ่งสําคัญ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วราวุธ เจาะลึกรายกรม! ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563 วราวุธ เจาะลึกรายกรม! ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับฟังสรุปผลการดําเนินงานของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม พร้อมมอบนโยบาย แนวทางการดําเนินงาน และเปิดโอกาสรับฟังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแก่ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และเด วราวุธ เจาะลึกรายกรม!ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับฟังสรุปผลการดําเนินงานของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม พร้อมมอบนโยบาย แนวทางการดําเนินงาน และเปิดโอกาสรับฟังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแก่ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และเดินตรวจเยี่ยมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ภายในตึก วันนี้ (17 มกราคม 2563) เวลา 14.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการปฏิบัติราชการกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยมี นายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมรับฟังบรรยายสรุปการดําเนินงานของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบนโยบายการปฏิบัติราชการแก่กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยเน้นเรื่อง 1) การประชาสัมพันธ์ การสร้างการรับรู้ การสื่อสารไปถึงประชาชน เป็นหัวใจสําคัญของการดําเนินงานของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ขอให้ความสําคัญกับการประชาสัมพันธ์ การสื่อสารในวันนี้ เป้าหมายจะต้องดึงกลุ่มเยาวชนให้มีความสนใจเข้ามาอยู่ในกระแสและติดตามข่าวสารของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วิธีการจะต้องมีความน่าสนใจและทันสมัย เข้าใจง่าย เพิ่มช่องทางใหม่ๆ ที่เยาวชนส่วนใหญ่ใช้สื่อสารกัน 2) การดําเนินงานจะต้องมีการบูรณาการกันภายในหน่วยงาน ระหว่างสํานัก กอง ต่างๆ ผู้บริหารจะต้องตระหนักและให้ความสําคัญในการบูรณาการการดําเนินงาน ต้องรู้การบริหารงานของฝ่ายต่างๆ 3) การใช้งบประมาณขอให้เร่งใช้งบประมาณให้เกิดความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และเพื่อให้เกิดการผลักดันเศรษฐกิจให้ดีขึ้น และเตรียมการสําหรับงบประมาณ ในปี พ.ศ. 2564 ด้วย 4) ตระหนักถึงเรื่องกฎหมาย บทบาท อํานาจหน้าที่ของกรมส่งเสริมคุณภาพและสิ่งแวดล้อม เรื่องใดที่ควรผลักดัน ขอให้เสนอ 5) ให้ความสําคัญกับโครงการพระราชดําริต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เพราะทุกโครงการมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวไทย นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวชื่นชมกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมในเรื่องการดําเนินงาน Every Day Say No to Plastic Bags ที่ทําให้เกิดเป็นรูปธรรมขึ้นมาและได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี โอกาสนี้ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวเสริมว่า ขอให้กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมจัดทําปฏิทินการทํางานทุกๆ เดือน ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับทราบ การดําเนินงานเรื่องสีเขียวต่างๆ เรื่องคน เรื่องรถ มอเตอร์ไซค์ ขอให้พิจารณาดําเนินงานให้เป็นเรื่องสีเขียว รวมถึงการจัดเก็บและการสํารองข้อมูลเป็นสิ่งสําคัญ ขอให้กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็น Data Center ข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และขอให้เน้นเรื่องกระบวนการสร้างการรับรู้เป็นสิ่งสําคัญ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25889
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการแร่ ครั้งที่ 4/2563
วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม 2563 การประชุมคณะกรรมการแร่ ครั้งที่ 4/2563 รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแร่ ครั้งที่ 4/2563 เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2563 นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแร่ ครั้งที่ 4/2563 โดยมีนายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นายอดิทัต วะสีนนท์ รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานเเละการเหมืองเเร่ และนายสกล จุลาภา ผู้อํานวยการกองบริการงานอนุญาต เป็นเลขานุการและผู้ช่วยฝ่ายเลขานุการ ซึ่งคณะกรรมการประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิหลากหลายสาขา อาทิ การทําเหมือง สังคมศาสตร์ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ ด้านละ 1 ท่าน และผู้แทนองค์กรชุมชน องค์กรเอกชน พร้อมด้วยข้าราชการและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมดีบุก ชั้น 2 กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ โดยประเด็นหลักในการประชุม คือ ให้ความเห็นชอบในการอนุญาตประทานบัตร จํานวน 4 เรื่อง คําขอต่ออายุประทานบัตร 3 เรื่อง ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 บรรยากาศการประชุมดําเนินไปอย่างเรียบร้อย มีการนําเทคโนโลยีด้าน IT เข้ามาปรับใช้ในการประชุมในสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในการนี้ ประธานได้แสดงทัศนะและแลกเปลี่ยนเเนวคิดความเป็นไปได้ที่จะนําเทคโนโลยี 4.0 มาปรับใช้สําหรับเพิ่มช่องทางการรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนในขั้นตอนก่อนการอนุญาตภายหลังจากการยื่นคําขอประทานบัตรด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการแร่ ครั้งที่ 4/2563 วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม 2563 การประชุมคณะกรรมการแร่ ครั้งที่ 4/2563 รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแร่ ครั้งที่ 4/2563 เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2563 นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแร่ ครั้งที่ 4/2563 โดยมีนายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นายอดิทัต วะสีนนท์ รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานเเละการเหมืองเเร่ และนายสกล จุลาภา ผู้อํานวยการกองบริการงานอนุญาต เป็นเลขานุการและผู้ช่วยฝ่ายเลขานุการ ซึ่งคณะกรรมการประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิหลากหลายสาขา อาทิ การทําเหมือง สังคมศาสตร์ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ ด้านละ 1 ท่าน และผู้แทนองค์กรชุมชน องค์กรเอกชน พร้อมด้วยข้าราชการและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมดีบุก ชั้น 2 กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ โดยประเด็นหลักในการประชุม คือ ให้ความเห็นชอบในการอนุญาตประทานบัตร จํานวน 4 เรื่อง คําขอต่ออายุประทานบัตร 3 เรื่อง ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 บรรยากาศการประชุมดําเนินไปอย่างเรียบร้อย มีการนําเทคโนโลยีด้าน IT เข้ามาปรับใช้ในการประชุมในสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในการนี้ ประธานได้แสดงทัศนะและแลกเปลี่ยนเเนวคิดความเป็นไปได้ที่จะนําเทคโนโลยี 4.0 มาปรับใช้สําหรับเพิ่มช่องทางการรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนในขั้นตอนก่อนการอนุญาตภายหลังจากการยื่นคําขอประทานบัตรด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31697
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. พม. ชื่นชมชายพิการสู้ชีวิตและเป็นจิตอาสา ที่สร้างรายได้กว่าหมื่นบาทต่อเดือนจากงานฝีมือเพ้นท์สีแก้ว ที่ จ.สงขลา
วันพุธที่ 1 มีนาคม 2560 รมว. พม. ชื่นชมชายพิการสู้ชีวิตและเป็นจิตอาสา ที่สร้างรายได้กว่าหมื่นบาทต่อเดือนจากงานฝีมือเพ้นท์สีแก้ว ที่ จ.สงขลา รมว. พม. ชื่นชมชายพิการสู้ชีวิตและเป็นจิตอาสา ที่สร้างรายได้กว่าหมื่นบาทต่อเดือนจากงานฝีมือเพ้นท์สีแก้ว ที่ จ.สงขลา และกําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือสองครอบครัวฐานะยากจนด้อยโอกาส ที่ จ.ปราจีนบุรี และ จ.สระบุรี วันนี้ (1 มี.ค. 60) เวลา 08.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 582/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า จากกรณี ชายหนุ่มวัย 26 ปี สภาพร่างกายพิการตั้งแต่กําเนิด ตอนล่างเหลือแค่สะโพก ไม่มีขา แขนทั้ง 2 ข้างกุด แต่สู้ชีวิต สามารถประกอบอาชีพ และเรียนหนังสือได้เหมือนคนปกติ และยังมีความสามารถพิเศษ ในการเพ้นท์สีแก้วได้อย่างสวยงาม จนเป็นอาชีพหลักในการสร้างรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวเป็นเงินกว่าหมื่นบาทต่อเดือนนอกจากนี้ ยังเป็นนักกิจกรรมจิตอาสา ช่วยเหลืองานสาธารณประโยชน์ ที่อําเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา นั้น ตนขอชื่นชมชายพิการสู้ชีวิตดังกล่าว ที่มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีความมานะพยายามในประกอบอาชีพที่ซื่อสัตย์สุจริตเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว เพื่อไม่ให้เป็นภาระของสังคม แต่เปลี่ยนเป็นพลังของสังคม โดยไม่นําความพิการมาเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิต ทั้งนี้ ตนได้กําชับให้ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสงขลา (พมจ.สงขลา) เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและ ให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านคนพิการของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น รวมทั้งการแนะนําให้คําปรึกษาในเรื่องการสนับสนุนทุนประกอบอาชีพจากเงินกู้ยืมเงินเพื่อเป็นทุนประกอบอาชีพหรือขยายกิจการ จากกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า สําหรับกรณี หญิงสาววัย 24 ปี ป่วยเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง มีอาการลําตัวลอก ผมร่วง ไม่มีแรง ท้องโต และน้ําท่วมปอด อาศัยอยู่กับผู้เป็นพ่อและลูกชายฝาแฝดอีก 2 คน วัย 6 ขวบ ด้านสามีได้เลิกราและ แยกทางกัน ซึ่งทั้ง 4 ชีวิต อาศัยในเพิงสังกะสีสภาพเก่าทรุดโทรม ไม่สามารถกันฝนได้ ครอบครัวมีฐานะยากจน จึงไม่มี เงินค่ารักษาพยาบาล ที่อําเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปราจีนบุรี (พมจ.ปราจีนบุรี) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัวดังกล่าว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การเรียน รวมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลด้าน การส่งเสริมสวัสดิการสังคมที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว อาทิ การตรวจสุขภาพและรักษาพยาบาลผู้ป่วยในระยะยาว การศึกษาเล่าเรียนของเด็กชายฝาแฝดอย่างต่อเนื่อง การปรับปรุงซ่อมแซมที่พักอาศัยให้มีสภาพแข็งแรง มั่นคง ถูกสุขลักษณะ เหมาะสมสําหรับการใช้ชีวิตประจําวันของผู้ป่วยและผู้สูงอายุ และการแนะนําให้คําปรึกษาในเรื่องบริการสวัสดิการสังคมตามสิทธิต่าง ๆ ตามกฎหมาย เป็นต้น พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากกรณี หญิงชราวัย 82 ปี อาศัยเพียงลําพังกับเหลนชายวัย 13 ปี ซึ่งทั้ง 2 ชีวิต อาศัยในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรมและไม่มีไฟฟ้าใช้มานานถึง 13 ปี หากเด็กชายจะอ่านหนังสือและทําการบ้านแต่ละครั้ง ต้องจุดตะเกียง ครอบครัวมีฐานะยากจน มีรายได้เพียงเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดือนละ 800 บาท เพื่อใช้ประทังชีวิต ที่อําเภอเมือง จังหวัดสระบุรี นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสระบุรี (พมจ.สระบุรี) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัวดังกล่าว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือ ในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การเรียน รวมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการตรวจและดูแลสุขภาพของหญิงชราอย่างต่อเนื่อง การปรับปรุงซ่อมแซม ที่พักให้มีสภาพแข็งแรง มั่นคง ถูกสุขลักษณะ เหมาะสมสําหรับการใช้ชีวิตประจําวันของผู้สูงอายุ การศึกษาเล่าเรียนของเด็กชายอย่างต่อเนื่อง และการขอใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. พม. ชื่นชมชายพิการสู้ชีวิตและเป็นจิตอาสา ที่สร้างรายได้กว่าหมื่นบาทต่อเดือนจากงานฝีมือเพ้นท์สีแก้ว ที่ จ.สงขลา วันพุธที่ 1 มีนาคม 2560 รมว. พม. ชื่นชมชายพิการสู้ชีวิตและเป็นจิตอาสา ที่สร้างรายได้กว่าหมื่นบาทต่อเดือนจากงานฝีมือเพ้นท์สีแก้ว ที่ จ.สงขลา รมว. พม. ชื่นชมชายพิการสู้ชีวิตและเป็นจิตอาสา ที่สร้างรายได้กว่าหมื่นบาทต่อเดือนจากงานฝีมือเพ้นท์สีแก้ว ที่ จ.สงขลา และกําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือสองครอบครัวฐานะยากจนด้อยโอกาส ที่ จ.ปราจีนบุรี และ จ.สระบุรี วันนี้ (1 มี.ค. 60) เวลา 08.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 582/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า จากกรณี ชายหนุ่มวัย 26 ปี สภาพร่างกายพิการตั้งแต่กําเนิด ตอนล่างเหลือแค่สะโพก ไม่มีขา แขนทั้ง 2 ข้างกุด แต่สู้ชีวิต สามารถประกอบอาชีพ และเรียนหนังสือได้เหมือนคนปกติ และยังมีความสามารถพิเศษ ในการเพ้นท์สีแก้วได้อย่างสวยงาม จนเป็นอาชีพหลักในการสร้างรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวเป็นเงินกว่าหมื่นบาทต่อเดือนนอกจากนี้ ยังเป็นนักกิจกรรมจิตอาสา ช่วยเหลืองานสาธารณประโยชน์ ที่อําเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา นั้น ตนขอชื่นชมชายพิการสู้ชีวิตดังกล่าว ที่มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีความมานะพยายามในประกอบอาชีพที่ซื่อสัตย์สุจริตเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว เพื่อไม่ให้เป็นภาระของสังคม แต่เปลี่ยนเป็นพลังของสังคม โดยไม่นําความพิการมาเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิต ทั้งนี้ ตนได้กําชับให้ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสงขลา (พมจ.สงขลา) เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและ ให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านคนพิการของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น รวมทั้งการแนะนําให้คําปรึกษาในเรื่องการสนับสนุนทุนประกอบอาชีพจากเงินกู้ยืมเงินเพื่อเป็นทุนประกอบอาชีพหรือขยายกิจการ จากกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า สําหรับกรณี หญิงสาววัย 24 ปี ป่วยเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง มีอาการลําตัวลอก ผมร่วง ไม่มีแรง ท้องโต และน้ําท่วมปอด อาศัยอยู่กับผู้เป็นพ่อและลูกชายฝาแฝดอีก 2 คน วัย 6 ขวบ ด้านสามีได้เลิกราและ แยกทางกัน ซึ่งทั้ง 4 ชีวิต อาศัยในเพิงสังกะสีสภาพเก่าทรุดโทรม ไม่สามารถกันฝนได้ ครอบครัวมีฐานะยากจน จึงไม่มี เงินค่ารักษาพยาบาล ที่อําเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปราจีนบุรี (พมจ.ปราจีนบุรี) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัวดังกล่าว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การเรียน รวมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลด้าน การส่งเสริมสวัสดิการสังคมที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว อาทิ การตรวจสุขภาพและรักษาพยาบาลผู้ป่วยในระยะยาว การศึกษาเล่าเรียนของเด็กชายฝาแฝดอย่างต่อเนื่อง การปรับปรุงซ่อมแซมที่พักอาศัยให้มีสภาพแข็งแรง มั่นคง ถูกสุขลักษณะ เหมาะสมสําหรับการใช้ชีวิตประจําวันของผู้ป่วยและผู้สูงอายุ และการแนะนําให้คําปรึกษาในเรื่องบริการสวัสดิการสังคมตามสิทธิต่าง ๆ ตามกฎหมาย เป็นต้น พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากกรณี หญิงชราวัย 82 ปี อาศัยเพียงลําพังกับเหลนชายวัย 13 ปี ซึ่งทั้ง 2 ชีวิต อาศัยในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรมและไม่มีไฟฟ้าใช้มานานถึง 13 ปี หากเด็กชายจะอ่านหนังสือและทําการบ้านแต่ละครั้ง ต้องจุดตะเกียง ครอบครัวมีฐานะยากจน มีรายได้เพียงเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดือนละ 800 บาท เพื่อใช้ประทังชีวิต ที่อําเภอเมือง จังหวัดสระบุรี นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสระบุรี (พมจ.สระบุรี) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัวดังกล่าว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือ ในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การเรียน รวมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการตรวจและดูแลสุขภาพของหญิงชราอย่างต่อเนื่อง การปรับปรุงซ่อมแซม ที่พักให้มีสภาพแข็งแรง มั่นคง ถูกสุขลักษณะ เหมาะสมสําหรับการใช้ชีวิตประจําวันของผู้สูงอายุ การศึกษาเล่าเรียนของเด็กชายอย่างต่อเนื่อง และการขอใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2146
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 / Public Debt Outstanding Report as of March 31, 2017
วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม 2560 รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 / Public Debt Outstanding Report as of March 31, 2017 รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2560 มีจํานวน 6,166,549.32 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 42.27 ของ GDP โดยแบ่งเป็น หนี้รัฐบาล 4,728,655.60 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ 962,885.32 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ําประกัน) 455,580. นายธีรัชย์ อัตนวานิช ที่ปรึกษาด้านตลาดตราสารหนี้ ได้รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2560 มีจํานวน 6,166,549.32 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 42.27 ของ GDP โดยแบ่งเป็น หนี้รัฐบาล 4,728,655.60 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ 962,885.32 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ําประกัน) 455,580.18 ล้านบาท และ หนี้หน่วยงานของรัฐ 19,428.22 ล้านบาท และเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า หนี้สาธารณะคงค้างเพิ่มขึ้นสุทธิ 76,318.65 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้ * หนี้รัฐบาล จํานวน 4,728,655.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสุทธิ 90,720.70 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญเกิดจาก • กระทรวงการคลังได้ดําเนินการกู้เงินตามแผนที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2560 และการกู้เงินเพื่อการบริหารหนี้สาธารณะ จํานวน 60,076.99 ล้านบาท - เงินกู้ระยะสั้น ลดลง 41,185 ล้านบาท เนื่องจากการลดลงของเงินกู้ระยะสั้นจากการปรับโครงสร้างหนี้เป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน 40,000 ล้านบาท และการลดลงของตั๋วเงินคลัง 1,185 ล้านบาท - เงินกู้ระยะยาว เพิ่มขึ้น 101,261.99 ล้านบาท เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 61,261.99 ล้านบาท และการเพิ่มขึ้นของตั๋วสัญญาใช้เงินจากการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ระยะสั้น 40,000 ล้านบาท • การกู้เงินเพื่อการลงทุนจากแหล่งเงินกู้ในประเทศ จํานวน 1,995.53 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการกู้ให้กู้ต่อแก่ (1) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเบิกจ่ายเงินกู้จํานวน 1,824.86 ล้านบาท เพื่อจัดทําโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว จํานวน 1,021.05 ล้านบาท สีน้ําเงิน จํานวน 792.22 ล้านบาท และสีม่วง จํานวน 11.59 ล้านบาท และ (2) การรถไฟแห่งประเทศไทยเบิกจ่ายเงินกู้จํานวน 170.67 ล้านบาท เพื่อจัดทําโครงการปรับปรุงทางที่ไม่ปลอดภัยต่อการเดินรถ จํานวน 91.62 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟ สายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า - แก่งคอย จํานวน 79.05 ล้านบาท • การชําระหนี้ที่รัฐบาลกู้เพื่อชดเชยความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จํานวน 1,686.74 ล้านบาท โดยใช้เงินจากบัญชีสะสมเพื่อการชําระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ • การกู้เงินล่วงหน้าเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ จํานวน 30,000 ล้านบาท จากการออก R-bill ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่กู้เพื่อชดเชยความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ที่จะครบกําหนดในวันที่ 16 มิถุนายน 2560 วงเงิน 162,000 ล้านบาท • หนี้ต่างประเทศเพิ่มขึ้น 334.92 ล้านบาท เนื่องจากการเบิกจ่ายโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต จํานวน 2,532.68 ล้านเยน หรือ 788.36 ล้านบาท และผลการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเป็นสําคัญ * หนี้รัฐวิสาหกิจ จํานวน 962,885.32 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 9,580.95 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญเกิดจาก • หนี้ในประเทศลดลงสุทธิ 3,140.86 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากหนี้ที่รัฐบาลค้ําประกันมีการชําระคืนหนี้สุทธิ จํานวน 3,274.04 ล้านบาท ซึ่งมาจากการไถ่ถอนพันธบัตรที่ครบกําหนดของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย จํานวน 3,000 ล้านบาท และการเคหะแห่งชาติ จํานวน 1,000 ล้านบาท เป็นสําคัญ • หนี้ต่างประเทศลดลงสุทธิ 6,440.09 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากการชําระคืนของบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) จํานวน 81.15 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 2,808.89 ล้านบาท และผลการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน * หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ําประกัน) จํานวน 455,580.18 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 4,897.43 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากการชําระคืนต้นเงินกู้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร * หนี้หน่วยงานของรัฐ จํานวน 19,428.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสุทธิ 76.33 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญ เนื่องจาก สํานักงานธนานุเคราะห์ได้มีการเบิกจ่ายเงินกู้มากกว่าการชําระคืนต้นเงินกู้ หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 จํานวน 6,166,549.32 ล้านบาท แบ่งออกเป็น หนี้ในประเทศ 5,852,291.95 ล้านบาท หรือร้อยละ 94.90 และหนี้ต่างประเทศ 314,257.37 ล้านบาท (ประมาณ 9,205 ล้านเหรียญสหรัฐ) หรือร้อยละ 5.10 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด และหนี้สาธารณะคงค้างแบ่งตามอายุคงเหลือ สามารถแบ่งออกเป็นหนี้ระยะยาว 5,308,483.73 ล้านบาท หรือร้อยละ 86.09 และหนี้ระยะสั้น 858,065.59 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.91 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด คณะโฆษกสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 02 265 8050 ต่อ 5520 Mr.Theeraj Athanavanich, Bond Market Advisor, reported that Thailand’s public debt outstanding as of March 31, 2017 was at 6,166,549.32 million Baht (42.27% of GDP). The total public debt outstanding comprised 4,728,655.60 million Baht of Government debt, 962,885.32 million Baht of State-Owned Enterprises (SOEs) debt, 455,580.18 million Baht of Government Guaranteed Financial SOEs debt and 19,428.22 million Baht of Other Government Agencies debt. Compared with last month, public debt increased by 76,318.65 million Baht with details as follows: * Government debt outstanding was at 4,728,655.60 million Baht, increasing by 90,720.70 million Baht. This change was mainly contributed from the followings: • Financing under the Annual Budget Expenditure Act B.E. 2560 (A.D. 2017) and for debt management in amount of 60,076.99 million Baht. • Domestic debt to finance infrastructure investment increased by 1,995.53 million Baht which resulted from (1) an increase in On-lending debt by 1,824.86 million Baht to Mass Rapid Transit Authority of Thailand for the Green Line, Blue Line and the Purple Line Projects (2) an increase in On-lending debt by 170.67 million Baht to State Railway of Thailand for Track Strengthening Project and Double-track Chachoengsao-Klong 19-Kaeng Koi Project • Debt repayments under the Emergency Decree authorizing the MOF to Secure Loans for Financial Institutions Development Fund were made in the amount of 1,686.74 million Baht. • Pre-funding debt increase by 30,000 million Baht. This was for restructuring government bond issued under Emergency Decree authorizing the MOF to Secure Loans for Financial Institutions Development Fund which will be due in June 2017 in amount of 162,000 million Baht. • External debt increased 334.92 million Baht mainly due to the disbursement of Red Line Mass Transit System project and changes in foreign exchange rates. * State-Owned Enterprise debt was at 962,885.32 million Baht, decreasing by 9,580.95 million Baht. This change was mainly contributed from the followings: • Domestic debt decreased 3,140.86 million Baht. This was resulted from the repayment of government guaranteed debt in amount of 3,274.04 million Baht, mainly from the redemption of the Expressway Authority of Thailand and National Housing Authority bonds. • External debt decreased by 6,440.09 million Baht significantly due to the debt repayment of PTT Public Co., Ltd and changes in foreign exchange rates. * Financial State-Owned Enterprise debt (Government Guaranteed) was at 455,580.18 million Baht, decreasing by 4,897.43 million Baht. This change was resulted from the debt repayment by Bank for Agriculture and Agricultural Co-operatives. * Other Government Agencies debt was at 19,428.22 million Baht, increasing by 76.33 million Baht due to the fact that disbursement was more than debt repayment of other government agencies. Public debt outstanding as of March 31, 2017 was at 6,166,549.32 million Baht, of which, 5,852,291.95 million Baht was domestic debt (94.90% of total public debt), and 314,257.37 million Baht was external debt (5.10% of total public debt). Classified by remaining maturity, long-term debt outstanding was 5,308,483.73 million Baht (86.09% of total public debt) and short-term debt outstanding was 858,065.59 million Baht (13.91% of total public debt). Public Debt Management Office Tel. +66 2 265 8050 Ext. 5520 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 / Public Debt Outstanding Report as of March 31, 2017 วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม 2560 รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 / Public Debt Outstanding Report as of March 31, 2017 รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2560 มีจํานวน 6,166,549.32 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 42.27 ของ GDP โดยแบ่งเป็น หนี้รัฐบาล 4,728,655.60 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ 962,885.32 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ําประกัน) 455,580. นายธีรัชย์ อัตนวานิช ที่ปรึกษาด้านตลาดตราสารหนี้ ได้รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2560 มีจํานวน 6,166,549.32 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 42.27 ของ GDP โดยแบ่งเป็น หนี้รัฐบาล 4,728,655.60 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ 962,885.32 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ําประกัน) 455,580.18 ล้านบาท และ หนี้หน่วยงานของรัฐ 19,428.22 ล้านบาท และเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า หนี้สาธารณะคงค้างเพิ่มขึ้นสุทธิ 76,318.65 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้ * หนี้รัฐบาล จํานวน 4,728,655.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสุทธิ 90,720.70 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญเกิดจาก • กระทรวงการคลังได้ดําเนินการกู้เงินตามแผนที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2560 และการกู้เงินเพื่อการบริหารหนี้สาธารณะ จํานวน 60,076.99 ล้านบาท - เงินกู้ระยะสั้น ลดลง 41,185 ล้านบาท เนื่องจากการลดลงของเงินกู้ระยะสั้นจากการปรับโครงสร้างหนี้เป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน 40,000 ล้านบาท และการลดลงของตั๋วเงินคลัง 1,185 ล้านบาท - เงินกู้ระยะยาว เพิ่มขึ้น 101,261.99 ล้านบาท เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 61,261.99 ล้านบาท และการเพิ่มขึ้นของตั๋วสัญญาใช้เงินจากการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ระยะสั้น 40,000 ล้านบาท • การกู้เงินเพื่อการลงทุนจากแหล่งเงินกู้ในประเทศ จํานวน 1,995.53 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการกู้ให้กู้ต่อแก่ (1) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเบิกจ่ายเงินกู้จํานวน 1,824.86 ล้านบาท เพื่อจัดทําโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว จํานวน 1,021.05 ล้านบาท สีน้ําเงิน จํานวน 792.22 ล้านบาท และสีม่วง จํานวน 11.59 ล้านบาท และ (2) การรถไฟแห่งประเทศไทยเบิกจ่ายเงินกู้จํานวน 170.67 ล้านบาท เพื่อจัดทําโครงการปรับปรุงทางที่ไม่ปลอดภัยต่อการเดินรถ จํานวน 91.62 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟ สายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า - แก่งคอย จํานวน 79.05 ล้านบาท • การชําระหนี้ที่รัฐบาลกู้เพื่อชดเชยความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จํานวน 1,686.74 ล้านบาท โดยใช้เงินจากบัญชีสะสมเพื่อการชําระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ • การกู้เงินล่วงหน้าเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ จํานวน 30,000 ล้านบาท จากการออก R-bill ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่กู้เพื่อชดเชยความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ที่จะครบกําหนดในวันที่ 16 มิถุนายน 2560 วงเงิน 162,000 ล้านบาท • หนี้ต่างประเทศเพิ่มขึ้น 334.92 ล้านบาท เนื่องจากการเบิกจ่ายโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต จํานวน 2,532.68 ล้านเยน หรือ 788.36 ล้านบาท และผลการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเป็นสําคัญ * หนี้รัฐวิสาหกิจ จํานวน 962,885.32 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 9,580.95 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญเกิดจาก • หนี้ในประเทศลดลงสุทธิ 3,140.86 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากหนี้ที่รัฐบาลค้ําประกันมีการชําระคืนหนี้สุทธิ จํานวน 3,274.04 ล้านบาท ซึ่งมาจากการไถ่ถอนพันธบัตรที่ครบกําหนดของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย จํานวน 3,000 ล้านบาท และการเคหะแห่งชาติ จํานวน 1,000 ล้านบาท เป็นสําคัญ • หนี้ต่างประเทศลดลงสุทธิ 6,440.09 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากการชําระคืนของบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) จํานวน 81.15 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 2,808.89 ล้านบาท และผลการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน * หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ําประกัน) จํานวน 455,580.18 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 4,897.43 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากการชําระคืนต้นเงินกู้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร * หนี้หน่วยงานของรัฐ จํานวน 19,428.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสุทธิ 76.33 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญ เนื่องจาก สํานักงานธนานุเคราะห์ได้มีการเบิกจ่ายเงินกู้มากกว่าการชําระคืนต้นเงินกู้ หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 จํานวน 6,166,549.32 ล้านบาท แบ่งออกเป็น หนี้ในประเทศ 5,852,291.95 ล้านบาท หรือร้อยละ 94.90 และหนี้ต่างประเทศ 314,257.37 ล้านบาท (ประมาณ 9,205 ล้านเหรียญสหรัฐ) หรือร้อยละ 5.10 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด และหนี้สาธารณะคงค้างแบ่งตามอายุคงเหลือ สามารถแบ่งออกเป็นหนี้ระยะยาว 5,308,483.73 ล้านบาท หรือร้อยละ 86.09 และหนี้ระยะสั้น 858,065.59 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.91 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด คณะโฆษกสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 02 265 8050 ต่อ 5520 Mr.Theeraj Athanavanich, Bond Market Advisor, reported that Thailand’s public debt outstanding as of March 31, 2017 was at 6,166,549.32 million Baht (42.27% of GDP). The total public debt outstanding comprised 4,728,655.60 million Baht of Government debt, 962,885.32 million Baht of State-Owned Enterprises (SOEs) debt, 455,580.18 million Baht of Government Guaranteed Financial SOEs debt and 19,428.22 million Baht of Other Government Agencies debt. Compared with last month, public debt increased by 76,318.65 million Baht with details as follows: * Government debt outstanding was at 4,728,655.60 million Baht, increasing by 90,720.70 million Baht. This change was mainly contributed from the followings: • Financing under the Annual Budget Expenditure Act B.E. 2560 (A.D. 2017) and for debt management in amount of 60,076.99 million Baht. • Domestic debt to finance infrastructure investment increased by 1,995.53 million Baht which resulted from (1) an increase in On-lending debt by 1,824.86 million Baht to Mass Rapid Transit Authority of Thailand for the Green Line, Blue Line and the Purple Line Projects (2) an increase in On-lending debt by 170.67 million Baht to State Railway of Thailand for Track Strengthening Project and Double-track Chachoengsao-Klong 19-Kaeng Koi Project • Debt repayments under the Emergency Decree authorizing the MOF to Secure Loans for Financial Institutions Development Fund were made in the amount of 1,686.74 million Baht. • Pre-funding debt increase by 30,000 million Baht. This was for restructuring government bond issued under Emergency Decree authorizing the MOF to Secure Loans for Financial Institutions Development Fund which will be due in June 2017 in amount of 162,000 million Baht. • External debt increased 334.92 million Baht mainly due to the disbursement of Red Line Mass Transit System project and changes in foreign exchange rates. * State-Owned Enterprise debt was at 962,885.32 million Baht, decreasing by 9,580.95 million Baht. This change was mainly contributed from the followings: • Domestic debt decreased 3,140.86 million Baht. This was resulted from the repayment of government guaranteed debt in amount of 3,274.04 million Baht, mainly from the redemption of the Expressway Authority of Thailand and National Housing Authority bonds. • External debt decreased by 6,440.09 million Baht significantly due to the debt repayment of PTT Public Co., Ltd and changes in foreign exchange rates. * Financial State-Owned Enterprise debt (Government Guaranteed) was at 455,580.18 million Baht, decreasing by 4,897.43 million Baht. This change was resulted from the debt repayment by Bank for Agriculture and Agricultural Co-operatives. * Other Government Agencies debt was at 19,428.22 million Baht, increasing by 76.33 million Baht due to the fact that disbursement was more than debt repayment of other government agencies. Public debt outstanding as of March 31, 2017 was at 6,166,549.32 million Baht, of which, 5,852,291.95 million Baht was domestic debt (94.90% of total public debt), and 314,257.37 million Baht was external debt (5.10% of total public debt). Classified by remaining maturity, long-term debt outstanding was 5,308,483.73 million Baht (86.09% of total public debt) and short-term debt outstanding was 858,065.59 million Baht (13.91% of total public debt). Public Debt Management Office Tel. +66 2 265 8050 Ext. 5520 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3546
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมอบเงินช่วยเหลือกัมพูชา
วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2560 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมอบเงินช่วยเหลือกัมพูชา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมอบเงินช่วยเหลือกัมพูชา วันที่ 15 ธันวาคม 2560 เวลา 10.30 น. พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินทางไปยังกระทรวงมหาดไทย กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยเป็นผู้แทนรัฐบาลไทย มอบเงิน จํานวน 38,011,400 บาท ให้กับกัมพูชาเพื่อใช้ในการก่อสร้างศูนย์ฝึกอาชีพและบําบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติ ณ อําเภอสตึงฮาว จังหวัดพระสีหนุ ภายใต้ "โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือด้านบําบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดกับประเทศกัมพูชา" โดย นายเกา คอนดารา รักษาการประธานคณะกรรมการต่อสู้ยาเสพติดแห่งชาติ แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา (เทียบเท่ารัฐมนตรี) เป็นผู้แทนฝ่ายกัมพูชารับมอบความช่วยเหลือดังกล่าว สืบเนื่องจากต้นปี 2560 รัฐบาลกัมพูชาได้เปิดปฏิบัติการรณรงค์ต่อสู้ยาเสพติดแห่งชาติ ส่งผลให้ผู้ต้องการ เข้ารับการบําบัดรักษายาเสพติดมีจํานวนสูงขึ้น ในขณะที่ขีดความสามารถในการให้บริการด้านดังกล่าวไม่สามารถรองรับได้ จึงได้ร้องขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทย และ ครม. ได้พิจารณาอนุมัติสนับสนุนงบประมาณในการก่อสร้างอาคารของศูนย์ฯ จํานวน 4 อาคาร ประกอบด้วย อาคารบริการสุขภาพ อาคารผู้ป่วยชาย อาคารผู้ป่วยหญิง และอาคารฝึกอาชีพผู้ป่วยชาย ทั้งนี้ กัมพูชายังได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนที่ได้มาจากการยึดทรัพย์สินผู้ค้ายาเสพติด จากการบริจาคของภาคเอกชน และประชาชน รวมถึงจากประเทศภาคีอื่นๆ ด้วย การให้ความช่วยเหลือของไทยแก่กัมพูชาในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหายาเสพติดและลดผลกระทบของยาเสพติด รวมถึง ปัญหาด้านสาธารณสุข การลักลอบข้ามแดน และอาชญากรรม โดยเฉพาะตามแนวชายแดนที่ติดกับไทย และเป็นไปตามแนวนโยบายของรัฐบาล ภายใต้การนําของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มีนโยบายในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้าน เน้นการพัฒนาอย่างเท่าเทียม และเกื้อกูล โดยจะไม่ทิ้งประเทศเพื่อนบ้านใดไว้ข้างหลัง และยังเป็นการปกป้องประเทศในอาเซียนให้ปลอดภัยจากยาเสพติด ตามเป้าประสงค์ของแผนปฏิบัติการอาเซียนเพื่อประชาคมอาเซียนปลอดภัยจากยาเสพติด ระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2559 - 2568) อีกด้วย โดยในการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat-JCR) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 3 ณ กรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2560 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความยินดีในหลักการสนับสนุนการก่อสร้างศูนย์ฯ ดังกล่าวนี้ ต่อ สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ตามที่ได้ร้องขอและเป็นที่มาของการส่งมอบความช่วยเหลือในครั้งนี้ พิธีส่งมอบความช่วยเหลือฯ ในครั้งนี้ มีแขกผู้มีเกียรติร่วมเป็นสักขีพยาน ได้แก่หัวหน้าหน่วยงานกลางยาเสพติด และผู้บริหารของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ อาทิ พลตํารวจเอกเมียะ วริศ เลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการต่อสู้ยาเสพติดแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา (NACD) และฝ่ายไทย อาทิ นายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการ ป.ป.ส. นายชลัยสิน โพธิเจริญ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. นพ.ภาสกร ชัยวานิชศิริ รองอธิบดีกรมการแพทย์ นพ.สรายุทธ บุญชัยพานิชวัฒนา ผู้อํานวยการสถาบันบําบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี รวมถึงผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ได้แก่ นายดามพ์ บุญธรรม อัครราชทูตรักษาราชการแทนเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ และแขกจากสถานเอกอัครราชทูตต่างๆ ณ กรุงพนมเปญ รวมกว่า 100 ท่าน จากนั้น เวลา 14.00 น. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินทางเข้าเยี่ยมคารวะ สมเด็จกลาโหม ซอร์ เค็ง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแห่งกัมพูชา และได้หารือร่วมกัน โดยไทยยินดีต่อความร่วมมือและความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของทั้งสองประเทศไม่เฉพาะด้านยาเสพติด แต่รวมถึงด้านความมั่นคงและมิติอื่นๆ ยืนยันนโยบายของรัฐบาลไทยภายใต้การนําของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ยินดีสนับสนุนการก่อสร้างศูนย์ฝึกอาชีพและบําบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติให้กับกัมพูชา รวมถึงการสนับสนุนให้ความช่วยเหลือในด้านการฝึกอบรมและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในด้านต่างๆ ที่ทางกัมพูชาต้องการ ส่งเสริมกรอบความร่วมมือที่มีอยู่ อาทิ หมู่บ้านคู่ขนานสีขาว สํานักงานประสานงานปราบปรามยาเสพติดชายแดนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นการสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพโครงการแม่น้ําโขงปลอดภัยของกัมพูชา รวมถึง ประเด็นความห่วงใยของกัมพูชาเกี่ยวกับแรงงานกัมพูชาในประเทศไทย โดยได้ให้ความมั่นใจกับกัมพูชาว่านายกรัฐมนตรีของไทยกําชับให้มีการดูแลแรงงานต่างประเทศให้ดีที่สุดอยู่แล้ว โดย สมเด็จกลาโหม ซอร์ เค็ง ได้แสดงความขอบคุณต่อการสนับสนุนในด้านต่างๆ ของรัฐบาลไทย และหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนในด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านการฝึกอบรมและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่อไปในอนาคต .........
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมอบเงินช่วยเหลือกัมพูชา วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2560 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมอบเงินช่วยเหลือกัมพูชา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมอบเงินช่วยเหลือกัมพูชา วันที่ 15 ธันวาคม 2560 เวลา 10.30 น. พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินทางไปยังกระทรวงมหาดไทย กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยเป็นผู้แทนรัฐบาลไทย มอบเงิน จํานวน 38,011,400 บาท ให้กับกัมพูชาเพื่อใช้ในการก่อสร้างศูนย์ฝึกอาชีพและบําบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติ ณ อําเภอสตึงฮาว จังหวัดพระสีหนุ ภายใต้ "โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือด้านบําบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดกับประเทศกัมพูชา" โดย นายเกา คอนดารา รักษาการประธานคณะกรรมการต่อสู้ยาเสพติดแห่งชาติ แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา (เทียบเท่ารัฐมนตรี) เป็นผู้แทนฝ่ายกัมพูชารับมอบความช่วยเหลือดังกล่าว สืบเนื่องจากต้นปี 2560 รัฐบาลกัมพูชาได้เปิดปฏิบัติการรณรงค์ต่อสู้ยาเสพติดแห่งชาติ ส่งผลให้ผู้ต้องการ เข้ารับการบําบัดรักษายาเสพติดมีจํานวนสูงขึ้น ในขณะที่ขีดความสามารถในการให้บริการด้านดังกล่าวไม่สามารถรองรับได้ จึงได้ร้องขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทย และ ครม. ได้พิจารณาอนุมัติสนับสนุนงบประมาณในการก่อสร้างอาคารของศูนย์ฯ จํานวน 4 อาคาร ประกอบด้วย อาคารบริการสุขภาพ อาคารผู้ป่วยชาย อาคารผู้ป่วยหญิง และอาคารฝึกอาชีพผู้ป่วยชาย ทั้งนี้ กัมพูชายังได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนที่ได้มาจากการยึดทรัพย์สินผู้ค้ายาเสพติด จากการบริจาคของภาคเอกชน และประชาชน รวมถึงจากประเทศภาคีอื่นๆ ด้วย การให้ความช่วยเหลือของไทยแก่กัมพูชาในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหายาเสพติดและลดผลกระทบของยาเสพติด รวมถึง ปัญหาด้านสาธารณสุข การลักลอบข้ามแดน และอาชญากรรม โดยเฉพาะตามแนวชายแดนที่ติดกับไทย และเป็นไปตามแนวนโยบายของรัฐบาล ภายใต้การนําของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มีนโยบายในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้าน เน้นการพัฒนาอย่างเท่าเทียม และเกื้อกูล โดยจะไม่ทิ้งประเทศเพื่อนบ้านใดไว้ข้างหลัง และยังเป็นการปกป้องประเทศในอาเซียนให้ปลอดภัยจากยาเสพติด ตามเป้าประสงค์ของแผนปฏิบัติการอาเซียนเพื่อประชาคมอาเซียนปลอดภัยจากยาเสพติด ระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2559 - 2568) อีกด้วย โดยในการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat-JCR) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 3 ณ กรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2560 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความยินดีในหลักการสนับสนุนการก่อสร้างศูนย์ฯ ดังกล่าวนี้ ต่อ สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ตามที่ได้ร้องขอและเป็นที่มาของการส่งมอบความช่วยเหลือในครั้งนี้ พิธีส่งมอบความช่วยเหลือฯ ในครั้งนี้ มีแขกผู้มีเกียรติร่วมเป็นสักขีพยาน ได้แก่หัวหน้าหน่วยงานกลางยาเสพติด และผู้บริหารของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ อาทิ พลตํารวจเอกเมียะ วริศ เลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการต่อสู้ยาเสพติดแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา (NACD) และฝ่ายไทย อาทิ นายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการ ป.ป.ส. นายชลัยสิน โพธิเจริญ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. นพ.ภาสกร ชัยวานิชศิริ รองอธิบดีกรมการแพทย์ นพ.สรายุทธ บุญชัยพานิชวัฒนา ผู้อํานวยการสถาบันบําบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี รวมถึงผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ได้แก่ นายดามพ์ บุญธรรม อัครราชทูตรักษาราชการแทนเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ และแขกจากสถานเอกอัครราชทูตต่างๆ ณ กรุงพนมเปญ รวมกว่า 100 ท่าน จากนั้น เวลา 14.00 น. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินทางเข้าเยี่ยมคารวะ สมเด็จกลาโหม ซอร์ เค็ง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแห่งกัมพูชา และได้หารือร่วมกัน โดยไทยยินดีต่อความร่วมมือและความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของทั้งสองประเทศไม่เฉพาะด้านยาเสพติด แต่รวมถึงด้านความมั่นคงและมิติอื่นๆ ยืนยันนโยบายของรัฐบาลไทยภายใต้การนําของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ยินดีสนับสนุนการก่อสร้างศูนย์ฝึกอาชีพและบําบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติให้กับกัมพูชา รวมถึงการสนับสนุนให้ความช่วยเหลือในด้านการฝึกอบรมและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในด้านต่างๆ ที่ทางกัมพูชาต้องการ ส่งเสริมกรอบความร่วมมือที่มีอยู่ อาทิ หมู่บ้านคู่ขนานสีขาว สํานักงานประสานงานปราบปรามยาเสพติดชายแดนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นการสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพโครงการแม่น้ําโขงปลอดภัยของกัมพูชา รวมถึง ประเด็นความห่วงใยของกัมพูชาเกี่ยวกับแรงงานกัมพูชาในประเทศไทย โดยได้ให้ความมั่นใจกับกัมพูชาว่านายกรัฐมนตรีของไทยกําชับให้มีการดูแลแรงงานต่างประเทศให้ดีที่สุดอยู่แล้ว โดย สมเด็จกลาโหม ซอร์ เค็ง ได้แสดงความขอบคุณต่อการสนับสนุนในด้านต่างๆ ของรัฐบาลไทย และหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนในด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านการฝึกอบรมและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่อไปในอนาคต .........
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8822
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการนำเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก ครั้งที่ 1/2562
วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม 2562 ประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการนําเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก ครั้งที่ 1/2562 ประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการนําเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก ครั้งที่ 1/2562 ประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการนําเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก ครั้งที่ 1/2562 วานนี้ (6 ธันวาคม 2562) เวลา 16.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 20 อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการนําเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก ครั้งที่ 1/2562 โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นรองประธาน ดร.รวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นอนุกรรมการและเลขานุการร่วม รวมทั้งอนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และอนุกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมในการประชุมดังกล่าว โดยในการประชุมครั้งนี้ได้มีมติรับทราบคําสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ เพื่อขับเคลื่อนการนําเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก พร้อมทั้งมอบหมายกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จัดทําเอกสารการนําเสนอตามมติคณะกรรมการมรดกโลก และมอบหมายกระทรวงการต่างประเทศ ประสานสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อขอรับคํายืนยันเกี่ยวกับแนวเขตค่าพิกัด การนําเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก ก่อนนําเสนอต่อศูนย์มรดกโลกต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการนำเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก ครั้งที่ 1/2562 วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม 2562 ประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการนําเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก ครั้งที่ 1/2562 ประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการนําเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก ครั้งที่ 1/2562 ประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการนําเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก ครั้งที่ 1/2562 วานนี้ (6 ธันวาคม 2562) เวลา 16.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 20 อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการนําเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก ครั้งที่ 1/2562 โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นรองประธาน ดร.รวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นอนุกรรมการและเลขานุการร่วม รวมทั้งอนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และอนุกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมในการประชุมดังกล่าว โดยในการประชุมครั้งนี้ได้มีมติรับทราบคําสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ เพื่อขับเคลื่อนการนําเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก พร้อมทั้งมอบหมายกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จัดทําเอกสารการนําเสนอตามมติคณะกรรมการมรดกโลก และมอบหมายกระทรวงการต่างประเทศ ประสานสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อขอรับคํายืนยันเกี่ยวกับแนวเขตค่าพิกัด การนําเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก ก่อนนําเสนอต่อศูนย์มรดกโลกต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25086
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อุตตม กล่าวสุนทรพจน์ในงานประชุมสุดยอดผู้นำธุรกิจ Bloomberg ASEAN Business Summit ครั้งที่ 4
วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม 2561 รมต.อุตตม กล่าวสุนทรพจน์ในงานประชุมสุดยอดผู้นําธุรกิจ Bloomberg ASEAN Business Summit ครั้งที่ 4 รมต.อุตตม กล่าวสุนทรพจน์ในงานประชุมสุดยอดผู้นําธุรกิจ Bloomberg ASEAN Business Summit ครั้งที่ 4 วันนี้ (12 กรกฎาคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวสุนทรพจน์หัวข้อ Thailand 4.0 and the Eastern Economic Corridor ในงานประชุมสุดยอดผู้นําธุรกิจในอาเซียนหรือ บลูมเบิร์ก อาเซียน บิสสิเนส ซัมมิต (Bloomberg ASEAN Business Summit) ครั้งที่ 4 ซึ่งจัดโดยบลูมเบิร์ก ร่วมกับธนาคารกรุงเทพ และสํานักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) โดยเชิญผู้นําองค์กรภาคธุรกิจ การเงิน และหน่วยงานภาครัฐทั่วทั้งอาเซียนกว่า 350 คน เพื่อร่วมหารือ และกําหนดจุดยืนด้านการค้าและการลงทุนของอาเซียนในอนาคต โดยมี Mr. Otis Bilodeau, Senior Executive Editor, Asia Pacific , Bloomberg ให้การต้อนรับ ณ โรงแรมเคมปินสกี้ ปทุมวัน กรุงเทพฯ รมต.อุตตม กล่าวตอนหนึ่งว่า ขณะนี้รัฐบาลได้เดินหน้าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่แล้ว เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 200,000 ล้านบาท ซึ่งได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจากนักลงทุนทั้งในประเทศและหลายประเทศถึง 31 ราย แสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าโครงการต่าง ๆ ของอีอีซีว่า เป็นไปตามแผนที่วางไว้อีกทั้งยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทย ยังให้ความสําคัญในเรื่องของการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ของหลาย ๆ ประเทศไม่ว่าจะเป็น จีนที่มีนโยบาย “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road) นโยบายของประเทศญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศที่มุ่งมายังอาเซียนได้ นอกจากนี้รัฐบาลไทยได้กําหนดยุทธศาสตร์ประเทศ 20 ปี ที่เน้นความร่วมมือ ความเชื่อมโยง ที่คํานึงถึงการเชื่อมต่อไม่เพียงแต่ภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังคํานึงถึงการเชื่อมต่อระหว่างประเทศด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อุตตม กล่าวสุนทรพจน์ในงานประชุมสุดยอดผู้นำธุรกิจ Bloomberg ASEAN Business Summit ครั้งที่ 4 วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม 2561 รมต.อุตตม กล่าวสุนทรพจน์ในงานประชุมสุดยอดผู้นําธุรกิจ Bloomberg ASEAN Business Summit ครั้งที่ 4 รมต.อุตตม กล่าวสุนทรพจน์ในงานประชุมสุดยอดผู้นําธุรกิจ Bloomberg ASEAN Business Summit ครั้งที่ 4 วันนี้ (12 กรกฎาคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวสุนทรพจน์หัวข้อ Thailand 4.0 and the Eastern Economic Corridor ในงานประชุมสุดยอดผู้นําธุรกิจในอาเซียนหรือ บลูมเบิร์ก อาเซียน บิสสิเนส ซัมมิต (Bloomberg ASEAN Business Summit) ครั้งที่ 4 ซึ่งจัดโดยบลูมเบิร์ก ร่วมกับธนาคารกรุงเทพ และสํานักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) โดยเชิญผู้นําองค์กรภาคธุรกิจ การเงิน และหน่วยงานภาครัฐทั่วทั้งอาเซียนกว่า 350 คน เพื่อร่วมหารือ และกําหนดจุดยืนด้านการค้าและการลงทุนของอาเซียนในอนาคต โดยมี Mr. Otis Bilodeau, Senior Executive Editor, Asia Pacific , Bloomberg ให้การต้อนรับ ณ โรงแรมเคมปินสกี้ ปทุมวัน กรุงเทพฯ รมต.อุตตม กล่าวตอนหนึ่งว่า ขณะนี้รัฐบาลได้เดินหน้าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่แล้ว เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 200,000 ล้านบาท ซึ่งได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจากนักลงทุนทั้งในประเทศและหลายประเทศถึง 31 ราย แสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าโครงการต่าง ๆ ของอีอีซีว่า เป็นไปตามแผนที่วางไว้อีกทั้งยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทย ยังให้ความสําคัญในเรื่องของการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ของหลาย ๆ ประเทศไม่ว่าจะเป็น จีนที่มีนโยบาย “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road) นโยบายของประเทศญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศที่มุ่งมายังอาเซียนได้ นอกจากนี้รัฐบาลไทยได้กําหนดยุทธศาสตร์ประเทศ 20 ปี ที่เน้นความร่วมมือ ความเชื่อมโยง ที่คํานึงถึงการเชื่อมต่อไม่เพียงแต่ภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังคํานึงถึงการเชื่อมต่อระหว่างประเทศด้วย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13818
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม ยอดจำหน่ายโอทอปศิลปาชีพ 9 วัน ทะลุเป้า 839 ล้าน พร้อมขอบคุณมหาดไทยผลักดันต่อเนื่อง ฝากส่งกำลังใจให้ผู้ประกอบการเข้มแข็ง
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2559 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม ยอดจําหน่ายโอทอปศิลปาชีพ 9 วัน ทะลุเป้า 839 ล้าน พร้อมขอบคุณมหาดไทยผลักดันต่อเนื่อง ฝากส่งกําลังใจให้ผู้ประกอบการเข้มแข็ง โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม ยอดจําหน่ายโอทอปศิลปาชีพ 9 วัน ทะลุเป้า 839 ล้าน พร้อมขอบคุณมหาดไทยผลักดันต่อเนื่อง ฝากส่งกําลังใจให้ผู้ประกอบการเข้มแข็ง พลตรี สรรเสริญ แก้วกําเนิด เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับทราบรายงานจากกระทรวงมหาดไทย ว่า การจัดงานศิลปาชีพประทีปไทย OTOP ก้าวไกลด้วยพระบารมี ครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 12 – 20 ส.ค. 59 ณ อิมแพคเมืองทองธานี ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยมีผู้ประกอบการโอทอปนําสินค้าร่วมจัดแสดงและจําหน่ายภายในงานกว่า 2,500 บูธ มีพี่น้องประชาชนเข้าร่วมงานกว่า 4.4 แสนคน และมียอดจําหน่ายตลอด 9 วัน รวม 839,529,280 บาท "ท่านนายกฯ รู้สึกยินดีที่การจัดงานครั้งนี้ประสบความสําเร็จเช่นเดียวกับทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดสินค้าโอทอปนั้นได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องการส่งเสริมสินค้าโอทอปหรือผลิตภัณฑ์จากชุมชน ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการสนับสนุนแหล่งเงินทุน เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงจัดหาตลาด ที่ขยายจากการขายบนดิน ขึ้นบนฟ้า และเตรียมลงน้ําหรือขายในเรือต่อไป พลตรี สรรเสริญ กล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรีฝากขอบคุณกระทรวงมหาดไทยที่ให้ความสําคัญและผลักดันโครงการโอทอปมาโดยตลอด ทําให้ตลาดสินค้าชุมชนเติบโตขึ้นและมีอนาคตที่ดี เหมือนการจัดงานครั้งล่าสุดนี้ ซึ่งมียอดขายภายในงาน 772,601,045 บาท และยอดสั่งซื้อ 66,928,235 บาท ถือว่าทะลุเป้า 800 ล้านบาทที่วางไว้ "ท่านนายกฯ ยังฝากให้กําลังใจผู้ประกอบการสินค้าโอทอปทั่วประเทศ ในการประกอบอาชีพด้วยความสุจริต สร้างรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยอยากให้ผู้ประกอบการทุกคนมีความเข้มแข็ง และต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์ ของตนให้ตรงความต้องการของลูกค้า เพื่อยกระดับรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น"
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม ยอดจำหน่ายโอทอปศิลปาชีพ 9 วัน ทะลุเป้า 839 ล้าน พร้อมขอบคุณมหาดไทยผลักดันต่อเนื่อง ฝากส่งกำลังใจให้ผู้ประกอบการเข้มแข็ง วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2559 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม ยอดจําหน่ายโอทอปศิลปาชีพ 9 วัน ทะลุเป้า 839 ล้าน พร้อมขอบคุณมหาดไทยผลักดันต่อเนื่อง ฝากส่งกําลังใจให้ผู้ประกอบการเข้มแข็ง โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม ยอดจําหน่ายโอทอปศิลปาชีพ 9 วัน ทะลุเป้า 839 ล้าน พร้อมขอบคุณมหาดไทยผลักดันต่อเนื่อง ฝากส่งกําลังใจให้ผู้ประกอบการเข้มแข็ง พลตรี สรรเสริญ แก้วกําเนิด เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับทราบรายงานจากกระทรวงมหาดไทย ว่า การจัดงานศิลปาชีพประทีปไทย OTOP ก้าวไกลด้วยพระบารมี ครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 12 – 20 ส.ค. 59 ณ อิมแพคเมืองทองธานี ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยมีผู้ประกอบการโอทอปนําสินค้าร่วมจัดแสดงและจําหน่ายภายในงานกว่า 2,500 บูธ มีพี่น้องประชาชนเข้าร่วมงานกว่า 4.4 แสนคน และมียอดจําหน่ายตลอด 9 วัน รวม 839,529,280 บาท "ท่านนายกฯ รู้สึกยินดีที่การจัดงานครั้งนี้ประสบความสําเร็จเช่นเดียวกับทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดสินค้าโอทอปนั้นได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องการส่งเสริมสินค้าโอทอปหรือผลิตภัณฑ์จากชุมชน ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการสนับสนุนแหล่งเงินทุน เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงจัดหาตลาด ที่ขยายจากการขายบนดิน ขึ้นบนฟ้า และเตรียมลงน้ําหรือขายในเรือต่อไป พลตรี สรรเสริญ กล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรีฝากขอบคุณกระทรวงมหาดไทยที่ให้ความสําคัญและผลักดันโครงการโอทอปมาโดยตลอด ทําให้ตลาดสินค้าชุมชนเติบโตขึ้นและมีอนาคตที่ดี เหมือนการจัดงานครั้งล่าสุดนี้ ซึ่งมียอดขายภายในงาน 772,601,045 บาท และยอดสั่งซื้อ 66,928,235 บาท ถือว่าทะลุเป้า 800 ล้านบาทที่วางไว้ "ท่านนายกฯ ยังฝากให้กําลังใจผู้ประกอบการสินค้าโอทอปทั่วประเทศ ในการประกอบอาชีพด้วยความสุจริต สร้างรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยอยากให้ผู้ประกอบการทุกคนมีความเข้มแข็ง และต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์ ของตนให้ตรงความต้องการของลูกค้า เพื่อยกระดับรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น"
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/244
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการจิตอาสาพัฒนาคุณภาพน้ำในลำน้ำสาธารณะและลุ่มน้ำสายหลักของประเทศ ของกระทรวงอุตสาหกรรม
วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 การประชุมคณะกรรมการจิตอาสาพัฒนาคุณภาพน้ําในลําน้ําสาธารณะและลุ่มน้ําสายหลักของประเทศ ของกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการจิตอาสาพัฒนาคุณภาพน้ําในลําน้ําสาธารณะและลุ่มน้ําสายหลักของประเทศ ของ กระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2/2563 ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ อาคาร สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (18 มีนาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการจิตอาสาพัฒนาคุณภาพน้ําในลําน้ําสาธารณะและลุ่มน้ําสายหลักของประเทศ ของ กระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2/2563 ซึ่งที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาโครงการ “จิตอาสาสํารวจ ออกแบบจัดหาและติดตั้งชุดกรองน้ําเสียในคลองเปรมประชากร เฉลิมพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 โครงการ “จิตอาสาคลองสวยน้ําใสที่ลัดหลวง 10 คลอง เฉลิมพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10” โครงการ “จิตอาสาพัฒนาแหล่งน้ําสายหลักของประเทศ เฉลิมพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10” กิจกรรมการพัฒนาคุณภาพน้ําบริเวณคลองแสนแสบ พร้อมมีมติแต่งตั้งคณะทํางานพัฒนาคุณภาพน้ําในลําน้ําเป้าหมาย จํานวน 3 คณะ ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ อาคาร สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการจิตอาสาพัฒนาคุณภาพน้ำในลำน้ำสาธารณะและลุ่มน้ำสายหลักของประเทศ ของกระทรวงอุตสาหกรรม วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 การประชุมคณะกรรมการจิตอาสาพัฒนาคุณภาพน้ําในลําน้ําสาธารณะและลุ่มน้ําสายหลักของประเทศ ของกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการจิตอาสาพัฒนาคุณภาพน้ําในลําน้ําสาธารณะและลุ่มน้ําสายหลักของประเทศ ของ กระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2/2563 ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ อาคาร สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (18 มีนาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการจิตอาสาพัฒนาคุณภาพน้ําในลําน้ําสาธารณะและลุ่มน้ําสายหลักของประเทศ ของ กระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2/2563 ซึ่งที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาโครงการ “จิตอาสาสํารวจ ออกแบบจัดหาและติดตั้งชุดกรองน้ําเสียในคลองเปรมประชากร เฉลิมพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 โครงการ “จิตอาสาคลองสวยน้ําใสที่ลัดหลวง 10 คลอง เฉลิมพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10” โครงการ “จิตอาสาพัฒนาแหล่งน้ําสายหลักของประเทศ เฉลิมพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10” กิจกรรมการพัฒนาคุณภาพน้ําบริเวณคลองแสนแสบ พร้อมมีมติแต่งตั้งคณะทํางานพัฒนาคุณภาพน้ําในลําน้ําเป้าหมาย จํานวน 3 คณะ ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ อาคาร สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27452
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รัฐบาลวางมาตรการอุ้มเอสเอ็มอีลดผลกระทบราคาน้ำมันสูง
วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม 2561 ​รัฐบาลวางมาตรการอุ้มเอสเอ็มอีลดผลกระทบราคาน้ํามันสูง รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานในสังกัด วางแผนช่วยเหลือลดผลกระทบเอสเอ็มอีจากราคาน้ํามันเพิ่ม กําหนดศูนย์ SSRC ทั่วประเทศเป็นจุดรับแจ้งปัญหาเพื่อเข้าแก้ไขอย่างรวดเร็ว กําหนดศูนย์ SSRC ทั่ว ปท.รับแจ้งปัญหา ดันสินเชื่อดอกเบี้ย 1% ลดต้นทุนการเงิน รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานในสังกัด วางแผนช่วยเหลือลดผลกระทบเอสเอ็มอีจากราคาน้ํามันเพิ่ม กําหนดศูนย์ SSRC ทั่วประเทศเป็นจุดรับแจ้งปัญหาเพื่อเข้าแก้ไขอย่างรวดเร็ว พร้อมวางมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา 1% 3% 4% ช่วยเสริมสภาพคล่อง ลดต้นทุนทางการเงิน นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากราคาน้ํามันปรับขึ้น และมีแนวโน้มจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเพิ่มสูง ดังนั้น เพื่อจะลดผลกระทบดังกล่าว รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้กําหนดให้ศูนย์สนับสนุนและช่วยเหลือเอสเอ็มอี (SME Support & Rescue Center : SSRC) ซึ่งมีศูนย์บริการกระจายอยู่กว่า 270 แห่งทั่วประเทศ รวบรวมหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวเนื่องกับการสนับสนุนเอสเอ็มอีไทยไว้ครบถ้วนในจุดเดียว ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมจังหวัด สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank หรือ ธพว.) เป็นต้น โดยให้ทําหน้าที่เป็นจุดรับแจ้งปัญหา หรือขอรับความช่วยเหลือจากผลกระทบราคาน้ํามันที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้าไปให้ความช่วยเหลือ และแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ตรงความต้องการมากที่สุด ซึ่งจะมีทั้งมาตรการช่วยเหลือด้านไม่ใช่การเงิน และการเงิน ช่วยพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ยกระดับปรับโครงสร้างธุรกิจให้มีศักยภาพและภูมิคุ้มกันมากกว่าเดิม ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน สําหรับมาตรการช่วยเหลือที่ไม่ใช่การเงินนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม จัดเตรียมชุด 9 มาตรการยกระดับปรับเปลี่ยนเอสเอ็มอีให้มีความสามารถในการแข่งขันก้าวสู่ยุค 4.0 เช่น พัฒนาธุรกิจโดยใช้นวัตกรรมเทคโนโลยี ยกระดับการผลิตด้วยระบบออโตเมชั่น สร้างแพลตฟอร์มเชื่อมเครือข่ายสากล เป็นต้น นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ SME Development Bank กล่าวว่า ธนาคารได้รับมอบหมายจากรัฐบาล จัดมาตรการช่วยเหลือด้านการเงิน รูปแบบสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ําพิเศษ เพื่อให้เอสเอ็มอีใช้เป็นทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง ลดผลกระทบในภาวะที่ต้นทุนธุรกิจเพิ่มขึ้น ได้แก่ สินเชื่อเถ้าแก่4.0 สําหรับผู้ประกอบการนิติบุคคลรายเล็ก คิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 7 ปี ไม่ต้องใช้หลักประกัน เปิดโอกาสให้รายย่อยที่มีปัญหาทางการเงินสามารถกู้ได้ (แม้เคยปรับโครงสร้างหนี้ หรือผ่อนชําระไม่ต่อเนื่องมาก็ตาม) วงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อราย ให้ชําระแต่ดอกเบี้ยอย่างเดียวปลอดชําระคืนเงินต้นสูงสุด 3 ปี โดยทุกการกู้ 1 แสนบาท เมื่อเทียบกับการกู้ธนาคารพาณิชย์ทั่วไป จะประหยัดต้นทุนวันละ 22 บาท อีกทั้ง ไม่ต้องคืนเงินต้นวันละ 43.25 บาท รวมแล้ว ทําให้มีเงินเหลือเพื่อไปใช้หมุนเวียนในธุรกิจ 65.25 บาทต่อวัน สําหรับบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล ในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรแปรรูป ธุรกิจท่องเที่ยวชุมชนและเชื่อมโยงต่อเนื่อง รวมทั้งผู้ประกอบการใหม่ หรือธุรกิจผลิต หรือบริการต่างๆ ในชุมชน มีบริการ สินเชื่อเศรษฐกิจติดดาว คิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 3% คงที่ 3 ปีแรก ผ่อนนาน 7 ปี วงเงินกู้ไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อราย ไม่มีหลักประกัน สามารถใช้ บสย.ค้ําประกันฟรี 4 ปีแรก โดยกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนเพียง 460 บาทต่อวันเท่านั้น ขณะที่ เอสเอ็มอีที่ต้องการยกระดับปรับเปลี่ยนเครื่องจักร อุปกรณ์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ระบบออโต้เมชั่น เพื่อลดต้นทุนการผลิตหรือบริการ สามารถใช้บริการ สินเชื่อ "Transformation Loan เสริมแกร่ง" (Soft Loan เพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ระยะที่ 2) อัตราดอกเบี้ยถูกเพียง 4%ต่อปี ตลอดอายุโครงการ 7 ปี วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาทต่อราย เพื่อใช้ลงทุนและหมุนเวียนในกิจการ วงเงิน 10 ล้านบาทแรก สามารถใช้ บสย. ค้ําประกันได้ โดยไม่เสียค่าจดจํานอง และไม่มีค่าซื้อประกันพ่วง นายสมชาย กล่าวในตอนท้ายว่า มาตรฐานดังกล่าวข้างต้น ทั้งด้านไม่ใช่การเงิน และการเงิน เชื่อว่าจะช่วยลดผลกระทบในเบื้องต้นให้แก่เอสเอ็มอีได้ โดยกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานพันธมิตรทั้งหมด จะเฝ้าติดตามสถานการณ์ราคาน้ํามันอย่างใกล้ชิด เพื่อพร้อมรับมือ สามารถช่วยเหลือเอสเอ็มอีได้อย่างทันท่วงที
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รัฐบาลวางมาตรการอุ้มเอสเอ็มอีลดผลกระทบราคาน้ำมันสูง วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม 2561 ​รัฐบาลวางมาตรการอุ้มเอสเอ็มอีลดผลกระทบราคาน้ํามันสูง รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานในสังกัด วางแผนช่วยเหลือลดผลกระทบเอสเอ็มอีจากราคาน้ํามันเพิ่ม กําหนดศูนย์ SSRC ทั่วประเทศเป็นจุดรับแจ้งปัญหาเพื่อเข้าแก้ไขอย่างรวดเร็ว กําหนดศูนย์ SSRC ทั่ว ปท.รับแจ้งปัญหา ดันสินเชื่อดอกเบี้ย 1% ลดต้นทุนการเงิน รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานในสังกัด วางแผนช่วยเหลือลดผลกระทบเอสเอ็มอีจากราคาน้ํามันเพิ่ม กําหนดศูนย์ SSRC ทั่วประเทศเป็นจุดรับแจ้งปัญหาเพื่อเข้าแก้ไขอย่างรวดเร็ว พร้อมวางมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา 1% 3% 4% ช่วยเสริมสภาพคล่อง ลดต้นทุนทางการเงิน นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากราคาน้ํามันปรับขึ้น และมีแนวโน้มจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเพิ่มสูง ดังนั้น เพื่อจะลดผลกระทบดังกล่าว รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้กําหนดให้ศูนย์สนับสนุนและช่วยเหลือเอสเอ็มอี (SME Support & Rescue Center : SSRC) ซึ่งมีศูนย์บริการกระจายอยู่กว่า 270 แห่งทั่วประเทศ รวบรวมหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวเนื่องกับการสนับสนุนเอสเอ็มอีไทยไว้ครบถ้วนในจุดเดียว ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมจังหวัด สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank หรือ ธพว.) เป็นต้น โดยให้ทําหน้าที่เป็นจุดรับแจ้งปัญหา หรือขอรับความช่วยเหลือจากผลกระทบราคาน้ํามันที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้าไปให้ความช่วยเหลือ และแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ตรงความต้องการมากที่สุด ซึ่งจะมีทั้งมาตรการช่วยเหลือด้านไม่ใช่การเงิน และการเงิน ช่วยพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ยกระดับปรับโครงสร้างธุรกิจให้มีศักยภาพและภูมิคุ้มกันมากกว่าเดิม ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน สําหรับมาตรการช่วยเหลือที่ไม่ใช่การเงินนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม จัดเตรียมชุด 9 มาตรการยกระดับปรับเปลี่ยนเอสเอ็มอีให้มีความสามารถในการแข่งขันก้าวสู่ยุค 4.0 เช่น พัฒนาธุรกิจโดยใช้นวัตกรรมเทคโนโลยี ยกระดับการผลิตด้วยระบบออโตเมชั่น สร้างแพลตฟอร์มเชื่อมเครือข่ายสากล เป็นต้น นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ SME Development Bank กล่าวว่า ธนาคารได้รับมอบหมายจากรัฐบาล จัดมาตรการช่วยเหลือด้านการเงิน รูปแบบสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ําพิเศษ เพื่อให้เอสเอ็มอีใช้เป็นทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง ลดผลกระทบในภาวะที่ต้นทุนธุรกิจเพิ่มขึ้น ได้แก่ สินเชื่อเถ้าแก่4.0 สําหรับผู้ประกอบการนิติบุคคลรายเล็ก คิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 7 ปี ไม่ต้องใช้หลักประกัน เปิดโอกาสให้รายย่อยที่มีปัญหาทางการเงินสามารถกู้ได้ (แม้เคยปรับโครงสร้างหนี้ หรือผ่อนชําระไม่ต่อเนื่องมาก็ตาม) วงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อราย ให้ชําระแต่ดอกเบี้ยอย่างเดียวปลอดชําระคืนเงินต้นสูงสุด 3 ปี โดยทุกการกู้ 1 แสนบาท เมื่อเทียบกับการกู้ธนาคารพาณิชย์ทั่วไป จะประหยัดต้นทุนวันละ 22 บาท อีกทั้ง ไม่ต้องคืนเงินต้นวันละ 43.25 บาท รวมแล้ว ทําให้มีเงินเหลือเพื่อไปใช้หมุนเวียนในธุรกิจ 65.25 บาทต่อวัน สําหรับบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล ในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรแปรรูป ธุรกิจท่องเที่ยวชุมชนและเชื่อมโยงต่อเนื่อง รวมทั้งผู้ประกอบการใหม่ หรือธุรกิจผลิต หรือบริการต่างๆ ในชุมชน มีบริการ สินเชื่อเศรษฐกิจติดดาว คิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 3% คงที่ 3 ปีแรก ผ่อนนาน 7 ปี วงเงินกู้ไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อราย ไม่มีหลักประกัน สามารถใช้ บสย.ค้ําประกันฟรี 4 ปีแรก โดยกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนเพียง 460 บาทต่อวันเท่านั้น ขณะที่ เอสเอ็มอีที่ต้องการยกระดับปรับเปลี่ยนเครื่องจักร อุปกรณ์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ระบบออโต้เมชั่น เพื่อลดต้นทุนการผลิตหรือบริการ สามารถใช้บริการ สินเชื่อ "Transformation Loan เสริมแกร่ง" (Soft Loan เพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ระยะที่ 2) อัตราดอกเบี้ยถูกเพียง 4%ต่อปี ตลอดอายุโครงการ 7 ปี วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาทต่อราย เพื่อใช้ลงทุนและหมุนเวียนในกิจการ วงเงิน 10 ล้านบาทแรก สามารถใช้ บสย. ค้ําประกันได้ โดยไม่เสียค่าจดจํานอง และไม่มีค่าซื้อประกันพ่วง นายสมชาย กล่าวในตอนท้ายว่า มาตรฐานดังกล่าวข้างต้น ทั้งด้านไม่ใช่การเงิน และการเงิน เชื่อว่าจะช่วยลดผลกระทบในเบื้องต้นให้แก่เอสเอ็มอีได้ โดยกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานพันธมิตรทั้งหมด จะเฝ้าติดตามสถานการณ์ราคาน้ํามันอย่างใกล้ชิด เพื่อพร้อมรับมือ สามารถช่วยเหลือเอสเอ็มอีได้อย่างทันท่วงที
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12537
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.ไฟเขียวควบรวมทีโอที-แคท เล็งประเดิมชิงคลื่น 5จี หนุนศักยภาพแข่งเอกชน
วันพุธที่ 15 มกราคม 2563 ครม.ไฟเขียวควบรวมทีโอที-แคท เล็งประเดิมชิงคลื่น 5จี หนุนศักยภาพแข่งเอกชน ครม.ไฟเขียวควบรวมทีโอที-แคท เล็งประเดิมชิงคลื่น 5จี หนุนศักยภาพแข่งเอกชน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2563 ไฟเขียวควบรวมกิจการ บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท โทรคมนาคม เป็นบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ (เอ็นที) พร้อมเห็นขอบให้ทั้งสองหน่วยงานร่วมประมูล 5จี นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2563มีมติเห็นชอบการควบรวมกิจการ บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) หรือทีโอที กับบริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) หรือแคท เป็นบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จํากัด (เอ็นที) โดยมีกระทรวงการคลังถือหุ้น 100% พร้อมมอบหมายให้กระทรวงฯ ดําเนินการตามกรอบเวลาที่กําหนด โดยต้องควบรวมทั้ง 2 บริษัทให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน นอกจากนี้ ครม. ยังมีมติเห็นชอบให้ ทีโอที และ กสท โทรคมนาคมเข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่สําหรับให้บริการ 5จี ตามเงื่อนไขประกาศของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่เกี่ยวข้อง นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า จุดแข็งของการควบรวมนี้ จะช่วยให้เกิดการผสานศักยภาพสร้างความพร้อมให้กับรัฐวิสาหกิจด้านสื่อสารของประเทศไทย เพื่อรับมือการแข่งขันในอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงการสิ้นสุดสัมปทานถือครองคลื่นความถี่ในปี 2568 ซึ่งทั้งสองหน่วยงาน จะไม่เหลือคลื่นความถี่ในมือเลย อีกทั้ง เป็นการสร้างโอกาสของการไปสู่ธุรกิจในอนาคตร่วมกัน ซึ่งรวมถึงธุรกิจ 5จี ซึ่ง กสทช. เตรียมเปิดประมูลคลื่นความถี่ในราวกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้ ส่วนขั้นตอนหลังจากผ่านมติ ครม. จะมีการว่าจ้างที่ปรึกษา 3 ด้าน เพื่อให้ทําการศึกษาและจัดทําแผนใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ ด้านกฎหมาย ด้านการควบรวมกิจการ และด้านทรัพยากรบุคคล ทําการศึกษา และกําหนดทิศทางในการดําเนินงานภายหลังการควบรวมกิจการ คาดว่าจะใช้เวลาอีกราว 6 เดือน กระบวนการควบรวมจึงจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ ด้านโครงสร้างหลังการควบรวม บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จํากัด แบ่งกลุ่มธุรกิจออกเป็น 5 สายงาน ได้แก่ ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ (Hard Infrastructure) ธุรกิจโครงข่ายโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International) ธุรกิจบริการโทรศัพท์ประจําที่และบรอดแบนด์ (Fixed Line & Broadband) ธุรกิจโทรคมนาคมสื่อสารไร้สาย (Mobile) และธุรกิจ Digital Infrastructure And Services *****************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.ไฟเขียวควบรวมทีโอที-แคท เล็งประเดิมชิงคลื่น 5จี หนุนศักยภาพแข่งเอกชน วันพุธที่ 15 มกราคม 2563 ครม.ไฟเขียวควบรวมทีโอที-แคท เล็งประเดิมชิงคลื่น 5จี หนุนศักยภาพแข่งเอกชน ครม.ไฟเขียวควบรวมทีโอที-แคท เล็งประเดิมชิงคลื่น 5จี หนุนศักยภาพแข่งเอกชน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2563 ไฟเขียวควบรวมกิจการ บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท โทรคมนาคม เป็นบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ (เอ็นที) พร้อมเห็นขอบให้ทั้งสองหน่วยงานร่วมประมูล 5จี นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2563มีมติเห็นชอบการควบรวมกิจการ บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) หรือทีโอที กับบริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) หรือแคท เป็นบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จํากัด (เอ็นที) โดยมีกระทรวงการคลังถือหุ้น 100% พร้อมมอบหมายให้กระทรวงฯ ดําเนินการตามกรอบเวลาที่กําหนด โดยต้องควบรวมทั้ง 2 บริษัทให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน นอกจากนี้ ครม. ยังมีมติเห็นชอบให้ ทีโอที และ กสท โทรคมนาคมเข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่สําหรับให้บริการ 5จี ตามเงื่อนไขประกาศของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่เกี่ยวข้อง นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า จุดแข็งของการควบรวมนี้ จะช่วยให้เกิดการผสานศักยภาพสร้างความพร้อมให้กับรัฐวิสาหกิจด้านสื่อสารของประเทศไทย เพื่อรับมือการแข่งขันในอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงการสิ้นสุดสัมปทานถือครองคลื่นความถี่ในปี 2568 ซึ่งทั้งสองหน่วยงาน จะไม่เหลือคลื่นความถี่ในมือเลย อีกทั้ง เป็นการสร้างโอกาสของการไปสู่ธุรกิจในอนาคตร่วมกัน ซึ่งรวมถึงธุรกิจ 5จี ซึ่ง กสทช. เตรียมเปิดประมูลคลื่นความถี่ในราวกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้ ส่วนขั้นตอนหลังจากผ่านมติ ครม. จะมีการว่าจ้างที่ปรึกษา 3 ด้าน เพื่อให้ทําการศึกษาและจัดทําแผนใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ ด้านกฎหมาย ด้านการควบรวมกิจการ และด้านทรัพยากรบุคคล ทําการศึกษา และกําหนดทิศทางในการดําเนินงานภายหลังการควบรวมกิจการ คาดว่าจะใช้เวลาอีกราว 6 เดือน กระบวนการควบรวมจึงจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ ด้านโครงสร้างหลังการควบรวม บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จํากัด แบ่งกลุ่มธุรกิจออกเป็น 5 สายงาน ได้แก่ ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ (Hard Infrastructure) ธุรกิจโครงข่ายโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International) ธุรกิจบริการโทรศัพท์ประจําที่และบรอดแบนด์ (Fixed Line & Broadband) ธุรกิจโทรคมนาคมสื่อสารไร้สาย (Mobile) และธุรกิจ Digital Infrastructure And Services *****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25804
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน แพคทีม ช่วยเหลือแรงงาน ฝ่าวิกฤตโควิด -19
วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม 2563 ก.แรงงาน แพคทีม ช่วยเหลือแรงงาน ฝ่าวิกฤตโควิด -19 ก.แรงงาน นําโดยดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงาน พร้อมผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ประชุม Conference รับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะ จากตัวแทนผู้ประกอบกิจการเขตภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบจากโควิด - 19 เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2563 ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงาน พร้อมผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ประชุม Conference จากห้องประชุมแสงสิงแก้ว ชั้น 5 ไปยังห้องประชุมสํานักงานแรงงานจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อฟังปัญหาและข้อเสนอแนะ จากตัวแทนผู้ประกอบกิจการ โดยมีตัวแทนจากผู้ประกอบกิจการกลุ่มต่างๆ อาทิ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ ผู้ประกอบกิจการโรงแรม ประธานสมาพันธ์รถตู้ภาคเหนือ นายกสมาคมมัคคุเทศก์เชียงใหม่ และสมาคมร้านอาหารจังหวัดเชียงใหม่ จากผลกระทบการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด - 19 ส่งผลให้ผู้ประกอบกิจการและแรงงานในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจด้านการท่องเที่ยวหยุดกิจการชั่วคราว พนักงานต้องหยุดงานทําให้ขาดรายได้เพื่อใช้จ่ายในครอบครัว สําหรับพนักงานที่มีประกันสังคมจะได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรา 33 และมีแรงงานอีกส่วนหนึ่งที่ไม่เข้าประกันสังคม เช่น ผู้ที่ประกอบอาชีพเป็นมัคคุเทศก์ พนักงานขับรถตู้ พนักงานขับรถบัส เป็นต้น ตัวแทนที่เข้าร่วมประชุมจึงขอให้กระทรวงแรงงานหามาตรการช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ด้วย ซึ่งจากข้อเสนอแนะต่างๆ กระทรวงแรงงานจะนําไปพิจารณาหามาตรการช่วยเหลือต่อไป ด้านนายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กล่าวว่า นายกสมาคมมัคคุเทศก์เชียงใหม่ เสนอแนะให้ กพร. ดําเนินการจัดฝึกอบรมด้านภาษา เช่น ภาษาจีน เกาหลี รัสเซีย สเปนและอิตาลี เพราะในช่วงนี้มัคคุเทศก์มีเวลาว่างเนื่องจากนักท่องเที่ยวลดลงเป็นจํานวนมาก จึงสามารถที่จะพัฒนาทักษะและหาความรู้เพิ่มเติมได้ ซึ่งภาษาเป็นเรื่องจําเป็นมากเพื่อสื่อสารและสามารถอธิบายแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ แก่นักท่องเที่ยว รวมถึงความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของไทยและของจังหวัดเชียงใหม่ด้วย การฝึกอบรมดังกล่าวกพร.ได้ดําเนินการมาอย่างต่อเนื่อง จึงสามารถให้บริการแก่กลุ่มมัคคุเทศก์ได้ทันที ได้มอบหมายให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 19 เชียงใหม่รับไปดําเนินการประสานและดําเนินการจัดฝึกอบรมให้ตามความต้องการ นายธวัช กล่าวต่ออีกว่า สําหรับกลุ่มของพนักงานขับรถตู้และพนักงานขับรถบัส ประธานสมาพันธ์รถตู้ภาคเหนือได้ขอให้กพร.จัดฝึกอบรมเพิ่มทักษะทั้งด้านการบริการ และด้านการซ่อมบํารุงพาหนะ กพร.ก็สามารถดําเนินการฝึกอบรมให้ได้เช่นกัน กรณีที่แรงงานดังกล่าวกระจายอยู่ในจังหวัดอื่นๆ สามารถสมัครฝึกอบรมได้ที่สถาบันและสํานักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทั่วประเทศ นอกจากนี้ กรณีที่แรงงานได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ต้องการฝึกอาชีพเสริมด้านอื่นๆ อาทิ การประกอบอาหาร การทําขนม การตัดเย็บเสื้อผ้า สามารถสมัครฝึกอบรมได้เช่นกัน เพื่อนําความรู้ไปประกอบเป็นอาชีพอิสระได้ ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4 หรือกองสื่อสารองค์กร 0 2245 4035
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน แพคทีม ช่วยเหลือแรงงาน ฝ่าวิกฤตโควิด -19 วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม 2563 ก.แรงงาน แพคทีม ช่วยเหลือแรงงาน ฝ่าวิกฤตโควิด -19 ก.แรงงาน นําโดยดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงาน พร้อมผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ประชุม Conference รับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะ จากตัวแทนผู้ประกอบกิจการเขตภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบจากโควิด - 19 เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2563 ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงาน พร้อมผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ประชุม Conference จากห้องประชุมแสงสิงแก้ว ชั้น 5 ไปยังห้องประชุมสํานักงานแรงงานจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อฟังปัญหาและข้อเสนอแนะ จากตัวแทนผู้ประกอบกิจการ โดยมีตัวแทนจากผู้ประกอบกิจการกลุ่มต่างๆ อาทิ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ ผู้ประกอบกิจการโรงแรม ประธานสมาพันธ์รถตู้ภาคเหนือ นายกสมาคมมัคคุเทศก์เชียงใหม่ และสมาคมร้านอาหารจังหวัดเชียงใหม่ จากผลกระทบการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด - 19 ส่งผลให้ผู้ประกอบกิจการและแรงงานในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจด้านการท่องเที่ยวหยุดกิจการชั่วคราว พนักงานต้องหยุดงานทําให้ขาดรายได้เพื่อใช้จ่ายในครอบครัว สําหรับพนักงานที่มีประกันสังคมจะได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรา 33 และมีแรงงานอีกส่วนหนึ่งที่ไม่เข้าประกันสังคม เช่น ผู้ที่ประกอบอาชีพเป็นมัคคุเทศก์ พนักงานขับรถตู้ พนักงานขับรถบัส เป็นต้น ตัวแทนที่เข้าร่วมประชุมจึงขอให้กระทรวงแรงงานหามาตรการช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ด้วย ซึ่งจากข้อเสนอแนะต่างๆ กระทรวงแรงงานจะนําไปพิจารณาหามาตรการช่วยเหลือต่อไป ด้านนายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กล่าวว่า นายกสมาคมมัคคุเทศก์เชียงใหม่ เสนอแนะให้ กพร. ดําเนินการจัดฝึกอบรมด้านภาษา เช่น ภาษาจีน เกาหลี รัสเซีย สเปนและอิตาลี เพราะในช่วงนี้มัคคุเทศก์มีเวลาว่างเนื่องจากนักท่องเที่ยวลดลงเป็นจํานวนมาก จึงสามารถที่จะพัฒนาทักษะและหาความรู้เพิ่มเติมได้ ซึ่งภาษาเป็นเรื่องจําเป็นมากเพื่อสื่อสารและสามารถอธิบายแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ แก่นักท่องเที่ยว รวมถึงความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของไทยและของจังหวัดเชียงใหม่ด้วย การฝึกอบรมดังกล่าวกพร.ได้ดําเนินการมาอย่างต่อเนื่อง จึงสามารถให้บริการแก่กลุ่มมัคคุเทศก์ได้ทันที ได้มอบหมายให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 19 เชียงใหม่รับไปดําเนินการประสานและดําเนินการจัดฝึกอบรมให้ตามความต้องการ นายธวัช กล่าวต่ออีกว่า สําหรับกลุ่มของพนักงานขับรถตู้และพนักงานขับรถบัส ประธานสมาพันธ์รถตู้ภาคเหนือได้ขอให้กพร.จัดฝึกอบรมเพิ่มทักษะทั้งด้านการบริการ และด้านการซ่อมบํารุงพาหนะ กพร.ก็สามารถดําเนินการฝึกอบรมให้ได้เช่นกัน กรณีที่แรงงานดังกล่าวกระจายอยู่ในจังหวัดอื่นๆ สามารถสมัครฝึกอบรมได้ที่สถาบันและสํานักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทั่วประเทศ นอกจากนี้ กรณีที่แรงงานได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ต้องการฝึกอาชีพเสริมด้านอื่นๆ อาทิ การประกอบอาหาร การทําขนม การตัดเย็บเสื้อผ้า สามารถสมัครฝึกอบรมได้เช่นกัน เพื่อนําความรู้ไปประกอบเป็นอาชีพอิสระได้ ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4 หรือกองสื่อสารองค์กร 0 2245 4035
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28037
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สพฐ.-บริติช เคานซิล ลงนามในสัญญา การพัฒนาครู Boot Camp เพิ่มอีก 3 ศูนย์ เป็น 15 ศูนย์ทั่วประเทศ
วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2560 สพฐ.-บริติช เคานซิล ลงนามในสัญญา การพัฒนาครู Boot Camp เพิ่มอีก 3 ศูนย์ เป็น 15 ศูนย์ทั่วประเทศ นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พร้อมด้วยนายณรงค์ แผ้วพลสง รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ Mr Andrew Glass ผู้อํานวยการบริติช เคานซิล (British Council) ประเทศไทย ได้ร่วมลงนามในสัญญาการพัฒนาครู Boot Camp เพิ่มเติมอีก 3 ศูนย์ ที่จังหวัดสกลนคร ลพบุรี และอุดรธานีรวมเป็น 15 ศูนย์ทั่วประเทศ นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการ กพฐ.กล่าวว่ากระทรวงศึกษาธิการ โดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ร่วมกับบริติช เคานซิล ประเทศไทย จัดตั้งศูนย์พัฒนาครูด้านการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ (Boot Camp) ระดับภูมิภาค (Regional English Training Centre) มาแล้วจํานวน 12 ศูนย์ ระยะแรก:กรุงเทพมหานคร สุราษฎร์ธานี ขอนแก่น และเชียงใหม่ ระยะที่สอง:นครราชสีมา ชลบุรี อุบลราชธานี และพิษณุโลก ระยะที่สาม:ภูเก็ต เชียงราย กาญจนบุรี และเพชรบุรี สําหรับการลงนามในสัญญาการพัฒนาครู Boot Camp ครั้งนี้ สพฐ. และบริติช เคานซิล ประเทศไทย จะร่วมกันดําเนินการจัดตั้ง"ศูนย์พัฒนาครูด้านการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ (Boot Camp) ระดับภูมิภาค (Regional English Training Centre)" เพิ่มอีก 3 ศูนย์ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร, มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี จังหวัดลพบุรี และมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560 เพื่อพัฒนาวิธีการเรียนการสอนสมัยใหม่ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ให้กับครูภาษาอังกฤษในสังกัด สพฐ. ในแต่ละภูมิภาค ทั้งนี้ คาดว่าแต่ละศูนย์จะสามารถพัฒนาครูภาษาอังกฤษได้ 750 คนต่อปี โดย สพฐ. ได้มีแนวทางให้ครูจากโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่นกว่า 300 คน เข้ารับการอบรมที่ศูนย์พัฒนาครูด้านการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ (Boot Camp) ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศทั้ง15ศูนย์อีกด้วย อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ 29/9/2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สพฐ.-บริติช เคานซิล ลงนามในสัญญา การพัฒนาครู Boot Camp เพิ่มอีก 3 ศูนย์ เป็น 15 ศูนย์ทั่วประเทศ วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2560 สพฐ.-บริติช เคานซิล ลงนามในสัญญา การพัฒนาครู Boot Camp เพิ่มอีก 3 ศูนย์ เป็น 15 ศูนย์ทั่วประเทศ นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พร้อมด้วยนายณรงค์ แผ้วพลสง รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ Mr Andrew Glass ผู้อํานวยการบริติช เคานซิล (British Council) ประเทศไทย ได้ร่วมลงนามในสัญญาการพัฒนาครู Boot Camp เพิ่มเติมอีก 3 ศูนย์ ที่จังหวัดสกลนคร ลพบุรี และอุดรธานีรวมเป็น 15 ศูนย์ทั่วประเทศ นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการ กพฐ.กล่าวว่ากระทรวงศึกษาธิการ โดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ร่วมกับบริติช เคานซิล ประเทศไทย จัดตั้งศูนย์พัฒนาครูด้านการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ (Boot Camp) ระดับภูมิภาค (Regional English Training Centre) มาแล้วจํานวน 12 ศูนย์ ระยะแรก:กรุงเทพมหานคร สุราษฎร์ธานี ขอนแก่น และเชียงใหม่ ระยะที่สอง:นครราชสีมา ชลบุรี อุบลราชธานี และพิษณุโลก ระยะที่สาม:ภูเก็ต เชียงราย กาญจนบุรี และเพชรบุรี สําหรับการลงนามในสัญญาการพัฒนาครู Boot Camp ครั้งนี้ สพฐ. และบริติช เคานซิล ประเทศไทย จะร่วมกันดําเนินการจัดตั้ง"ศูนย์พัฒนาครูด้านการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ (Boot Camp) ระดับภูมิภาค (Regional English Training Centre)" เพิ่มอีก 3 ศูนย์ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร, มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี จังหวัดลพบุรี และมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560 เพื่อพัฒนาวิธีการเรียนการสอนสมัยใหม่ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ให้กับครูภาษาอังกฤษในสังกัด สพฐ. ในแต่ละภูมิภาค ทั้งนี้ คาดว่าแต่ละศูนย์จะสามารถพัฒนาครูภาษาอังกฤษได้ 750 คนต่อปี โดย สพฐ. ได้มีแนวทางให้ครูจากโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่นกว่า 300 คน เข้ารับการอบรมที่ศูนย์พัฒนาครูด้านการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ (Boot Camp) ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศทั้ง15ศูนย์อีกด้วย อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ 29/9/2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7101
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อาจารย์ยักษ์” หนุนเกษตรอินทรีย์ตั้งเป้าเกษตรกรรมยั่งยืน 5 ล้านไร่
วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 “อาจารย์ยักษ์” หนุนเกษตรอินทรีย์ตั้งเป้าเกษตรกรรมยั่งยืน 5 ล้านไร่ “อาจารย์ยักษ์” หนุนเกษตรอินทรีย์ตั้งเป้าเกษตรกรรมยั่งยืน 5 ล้านไร่ ดันเมืองจันทน์มหานครผลไม้ตามนโยบายรัฐ นายวิวัฒน์ ศัลยกําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ในแผนการปฏิรูปประเทศด้านเกษตรกรรมยั่งยืน ซึ่งหมายถึงพื้นที่เกษตรอินทรีย์ เกษตรวิถีธรรมชาติ เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน วนเกษตร ฯลฯ คือการทําเกษตรกรรมที่ยั่งยืนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเป็นการเกษตรที่ช่วยกันฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติดิน น้ํา ป่า ให้กลับคืนมา ตั้งเป้าการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์พัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560-2564 ไว้ที่ 5 ล้านไร่ ภายใน 5 ปี โดยต้องทําให้ได้ปีละ 1 ล้านไร่ หรือมากกว่า ซึ่งเงื่อนไขสําคัญที่จะทําให้การเกษตรกรรมยั่งยืน เกษตรกรจะต้องยึดความรู้และคุณธรรมให้มั่น ควรศึกษาและปฏิบัติตามแนวทางของในหลวงรัชกาลที่ 9 อย่างจริงจัง โดยต้องยึดความซื่อสัตย์เป็นหลักที่ผ่านมาพบปัญหาว่าแม้จะมีตลาดรองรับแต่ผู้ค้าขาดความซื่อสัตย์หรือผู้ปลูกผลิตผลไม้ที่ไม่ได้คุณภาพก็จะเกิดปัญหาขึ้นภายหลัง ตลาดที่พยายามสร้างก็สูญเสียไปต้องมาสร้างความเชื่อถือกันใหม่ ทั้งนี้ กลไกสหกรณ์และมาตรฐานแบบรับรองกันเองสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้จะเป็นกลไกเครือข่ายที่ช่วยกันสร้างความยั่งยืนให้กับระบบผลิต ที่สําคัญภาครัฐต้องปรับบทบาทเป็นผู้สนับสนุนด้านวิชาการ ชุมชนต้องลุกขึ้นมาเป็นแกนนํา สื่อมวลชนต้องเข้ามาช่วยเชื่อมโยงสู่ผู้บริโภค เพื่อเร่งขยายการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ไปทั่วประเทศให้สามารถมีผลผลิตเพียงพอสําหรับบริโภคภายในประเทศและพัฒนาสู่การส่งออก ทั้งนี้ ตลาดเจริญสุข ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรีเป็นตลาดที่กระทรวงพาณิชย์ จับมือร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมให้เป็นตลาดประชารัฐ-วัฒนธรรม ซึ่งผลผลิตที่นํามาจําหน่ายกระทรวงเกษตรรับรองมาตรฐานสินค้าปลอดภัย เครือข่ายเกษตรอินทรีย์รับรองมาตรฐานการผลิตแบบมีส่วนร่วมด้วย PGS ที่เป็นมาตรฐานการรับรองโดยภาคีเครือข่าย ทําให้เห็นความเข้มแข็งและการรวมตัวกันเป็นเครือข่ายอย่างชัดเจน โดยมีความมั่นใจว่า จ.จันทบุรีจะเป็นจังหวัดนําร่องพัฒนากลไกการผลิตสินค้ามาตรฐานปลอดภัยทุกขั้นตอน ตั้งแต่กระบวนการดูแลดินจนถึงมือผู้บริโภค โดยยึดศาสตร์พระราชา ที่สําคัญต้องต่อยอดสู่เกษตรกรคนรุ่นใหม่ ซึ่งมีคนกลุ่มนี้พร้อมดําเนินการอยู่แล้ว ต้องรวมตัวกันให้เข้มแข็ง ใช้กลไกสหกรณ์เข้ามาร่วมพัฒนาเป็นผู้ประกอบการก็จะสามารถเป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์สู่เมืองมหานครผลไม้ต่อไป กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อาจารย์ยักษ์” หนุนเกษตรอินทรีย์ตั้งเป้าเกษตรกรรมยั่งยืน 5 ล้านไร่ วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 “อาจารย์ยักษ์” หนุนเกษตรอินทรีย์ตั้งเป้าเกษตรกรรมยั่งยืน 5 ล้านไร่ “อาจารย์ยักษ์” หนุนเกษตรอินทรีย์ตั้งเป้าเกษตรกรรมยั่งยืน 5 ล้านไร่ ดันเมืองจันทน์มหานครผลไม้ตามนโยบายรัฐ นายวิวัฒน์ ศัลยกําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ในแผนการปฏิรูปประเทศด้านเกษตรกรรมยั่งยืน ซึ่งหมายถึงพื้นที่เกษตรอินทรีย์ เกษตรวิถีธรรมชาติ เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน วนเกษตร ฯลฯ คือการทําเกษตรกรรมที่ยั่งยืนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเป็นการเกษตรที่ช่วยกันฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติดิน น้ํา ป่า ให้กลับคืนมา ตั้งเป้าการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์พัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560-2564 ไว้ที่ 5 ล้านไร่ ภายใน 5 ปี โดยต้องทําให้ได้ปีละ 1 ล้านไร่ หรือมากกว่า ซึ่งเงื่อนไขสําคัญที่จะทําให้การเกษตรกรรมยั่งยืน เกษตรกรจะต้องยึดความรู้และคุณธรรมให้มั่น ควรศึกษาและปฏิบัติตามแนวทางของในหลวงรัชกาลที่ 9 อย่างจริงจัง โดยต้องยึดความซื่อสัตย์เป็นหลักที่ผ่านมาพบปัญหาว่าแม้จะมีตลาดรองรับแต่ผู้ค้าขาดความซื่อสัตย์หรือผู้ปลูกผลิตผลไม้ที่ไม่ได้คุณภาพก็จะเกิดปัญหาขึ้นภายหลัง ตลาดที่พยายามสร้างก็สูญเสียไปต้องมาสร้างความเชื่อถือกันใหม่ ทั้งนี้ กลไกสหกรณ์และมาตรฐานแบบรับรองกันเองสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้จะเป็นกลไกเครือข่ายที่ช่วยกันสร้างความยั่งยืนให้กับระบบผลิต ที่สําคัญภาครัฐต้องปรับบทบาทเป็นผู้สนับสนุนด้านวิชาการ ชุมชนต้องลุกขึ้นมาเป็นแกนนํา สื่อมวลชนต้องเข้ามาช่วยเชื่อมโยงสู่ผู้บริโภค เพื่อเร่งขยายการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ไปทั่วประเทศให้สามารถมีผลผลิตเพียงพอสําหรับบริโภคภายในประเทศและพัฒนาสู่การส่งออก ทั้งนี้ ตลาดเจริญสุข ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรีเป็นตลาดที่กระทรวงพาณิชย์ จับมือร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมให้เป็นตลาดประชารัฐ-วัฒนธรรม ซึ่งผลผลิตที่นํามาจําหน่ายกระทรวงเกษตรรับรองมาตรฐานสินค้าปลอดภัย เครือข่ายเกษตรอินทรีย์รับรองมาตรฐานการผลิตแบบมีส่วนร่วมด้วย PGS ที่เป็นมาตรฐานการรับรองโดยภาคีเครือข่าย ทําให้เห็นความเข้มแข็งและการรวมตัวกันเป็นเครือข่ายอย่างชัดเจน โดยมีความมั่นใจว่า จ.จันทบุรีจะเป็นจังหวัดนําร่องพัฒนากลไกการผลิตสินค้ามาตรฐานปลอดภัยทุกขั้นตอน ตั้งแต่กระบวนการดูแลดินจนถึงมือผู้บริโภค โดยยึดศาสตร์พระราชา ที่สําคัญต้องต่อยอดสู่เกษตรกรคนรุ่นใหม่ ซึ่งมีคนกลุ่มนี้พร้อมดําเนินการอยู่แล้ว ต้องรวมตัวกันให้เข้มแข็ง ใช้กลไกสหกรณ์เข้ามาร่วมพัฒนาเป็นผู้ประกอบการก็จะสามารถเป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์สู่เมืองมหานครผลไม้ต่อไป กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9952
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดบีโอไอชู 3 มาตรการพิเศษกระตุ้นการลงทุน ครอบคลุมนักลงทุนทุกกลุ่ม
วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 บอร์ดบีโอไอชู 3 มาตรการพิเศษกระตุ้นการลงทุน ครอบคลุมนักลงทุนทุกกลุ่ม บอร์ดบีโอไอไฟเขียว 3 มาตรการพิเศษ เร่งให้เกิดการลงทุน ทั้งโครงการขนาดใหญ่ เอสเอ็มอี (SMEs) และการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก เพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ พร้อมเปิดประเภทใหม่ ให้ส่งเสริมรถรางไฟฟ้าเพื่อการท่องเที่ยวและบ้านผู้มีรายได้น้อย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดบีโอไอชู 3 มาตรการพิเศษกระตุ้นการลงทุน ครอบคลุมนักลงทุนทุกกลุ่ม วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 บอร์ดบีโอไอชู 3 มาตรการพิเศษกระตุ้นการลงทุน ครอบคลุมนักลงทุนทุกกลุ่ม บอร์ดบีโอไอไฟเขียว 3 มาตรการพิเศษ เร่งให้เกิดการลงทุน ทั้งโครงการขนาดใหญ่ เอสเอ็มอี (SMEs) และการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก เพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ พร้อมเปิดประเภทใหม่ ให้ส่งเสริมรถรางไฟฟ้าเพื่อการท่องเที่ยวและบ้านผู้มีรายได้น้อย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26340
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากฯ ขอประชาพิจารณ์ 3 เดือน ก่อนออกสลากรวมชุด
วันพุธที่ 28 มีนาคม 2561 สํานักงานสลากฯ ขอประชาพิจารณ์ 3 เดือน ก่อนออกสลากรวมชุด โฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล แถลงต่อผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับการดําเนินการจัดทําสลากแบบรวมชุดว่า สํานักงานจะเปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็น หรือประชาพิจารณ์ ผ่านช่องทางเว็บไซต์ www.glo.or.th และส่งความเห็นผ่านตู้ ปณ. วันนี้ (28 มีนาคม 2561) เวลาประมาณ 12.00 น. ที่สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (สนามบินน้ํา) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ในฐานะโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล แถลงต่อผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับการดําเนินการจัดทําสลากแบบรวมชุดว่า สํานักงานจะเปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็น หรือประชาพิจารณ์ ผ่านช่องทางเว็บไซต์ www.glo.or.th และส่งความเห็นผ่านตู้ ปณ. เพื่อเปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวอย่างทั่วถึง นอกจากนี้ ทีมโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล พร้อมด้วยผู้บริหาร จะเดินทางลงพื้นที่ เพื่อรับฟังความเห็นของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น ผู้ขาย ผู้ซื้อ เจ้าหน้าที่จังหวัด นักวิชาการ ภาคประชาสังคม ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศอีกด้วย โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน เป็นต้นไป และจะใช้เวลา 3 เดือนในการรับฟังความคิดเห็นผ่านช่องทางดังกล่าวข้างต้น เพื่อนําไปสู่การทําสลากชุดที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและความเหมาะสมกับสังคมไทยต่อไป สําหรับมาตรการในการแก้ไขปัญหาสลากเกินราคานั้น โฆษกคณะกรรมกรสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า ยังคงดําเนินการอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปัญหาสลากเกินราคานั้น เกิดจากปัจจัยแวดล้อมหลายประการ การแก้ไขปัญหาจึงต้องใช้มาตรการหลายอย่างประกอบกันในทุกมิติ รวมทั้งต้องมีความต่อเนื่องในการดําเนินการ ในห้วงที่ผ่านมา จาก road map ระยะที่ 2 สํานักงานฯ ได้สร้างโอกาสในการเข้าถึงสลากอย่างเป็นธรรม ด้วยระบบซื้อ-จองล่วงหน้าสลากกินแบ่งรัฐบาล ผ่านระบบธุรกรรมของธนาคารกรุงไทยและจัดส่งสลากผ่านไปรษณีย์ ถึงผู้รับโดยตรง ในราคาต้นทุน ฉบับละ 70.40 บาท ตลอดจนการปรับปริมาณสลากในตลาดให้เข้าสู่สมดุล จาก 37 ล้านฉบับ เป็น 50 ล้านบับ ในเดือนตุลาคม 2558 และ 80 ล้านฉบับ ในเดือนพฤศจิกายน 2560 ตามความต้องการของตลาด เพื่อสร้างสมดุลราคาในตลาดขายปลีกสําหรับผู้ซื้อ และสมดุลราคาที่ผู้ขายพอใจมากขึ้น จากนี้ไป จะเข้าสู่ road map ระยะที่ 3 จะมีการพัฒนาระบบซื้อ-จองล่วงหน้าฯ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งจะมีการคัดกรองผู้ขายจริงให้อยู่ในระบบที่ชัดเจน และสามารถตรวจสอบได้โดยประชาชนรวมถึงภาคประชาสังคม ทั้งนี้ จะยังคงความเข้มข้นในการดําเนินการบังคับใช้กฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับผู้กระทําผิดสัญญา เพื่อนําไปสู่การแก้ไขปัญหาเกินราคาอย่างเป็นระบบและกระจายโอกาสในการเข้าถึงการซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลอย่างเป็นธรรมและเป็นระบบยิ่งขึ้น โฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวในที่สุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากฯ ขอประชาพิจารณ์ 3 เดือน ก่อนออกสลากรวมชุด วันพุธที่ 28 มีนาคม 2561 สํานักงานสลากฯ ขอประชาพิจารณ์ 3 เดือน ก่อนออกสลากรวมชุด โฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล แถลงต่อผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับการดําเนินการจัดทําสลากแบบรวมชุดว่า สํานักงานจะเปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็น หรือประชาพิจารณ์ ผ่านช่องทางเว็บไซต์ www.glo.or.th และส่งความเห็นผ่านตู้ ปณ. วันนี้ (28 มีนาคม 2561) เวลาประมาณ 12.00 น. ที่สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (สนามบินน้ํา) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ในฐานะโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล แถลงต่อผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับการดําเนินการจัดทําสลากแบบรวมชุดว่า สํานักงานจะเปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็น หรือประชาพิจารณ์ ผ่านช่องทางเว็บไซต์ www.glo.or.th และส่งความเห็นผ่านตู้ ปณ. เพื่อเปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวอย่างทั่วถึง นอกจากนี้ ทีมโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล พร้อมด้วยผู้บริหาร จะเดินทางลงพื้นที่ เพื่อรับฟังความเห็นของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น ผู้ขาย ผู้ซื้อ เจ้าหน้าที่จังหวัด นักวิชาการ ภาคประชาสังคม ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศอีกด้วย โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน เป็นต้นไป และจะใช้เวลา 3 เดือนในการรับฟังความคิดเห็นผ่านช่องทางดังกล่าวข้างต้น เพื่อนําไปสู่การทําสลากชุดที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและความเหมาะสมกับสังคมไทยต่อไป สําหรับมาตรการในการแก้ไขปัญหาสลากเกินราคานั้น โฆษกคณะกรรมกรสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า ยังคงดําเนินการอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปัญหาสลากเกินราคานั้น เกิดจากปัจจัยแวดล้อมหลายประการ การแก้ไขปัญหาจึงต้องใช้มาตรการหลายอย่างประกอบกันในทุกมิติ รวมทั้งต้องมีความต่อเนื่องในการดําเนินการ ในห้วงที่ผ่านมา จาก road map ระยะที่ 2 สํานักงานฯ ได้สร้างโอกาสในการเข้าถึงสลากอย่างเป็นธรรม ด้วยระบบซื้อ-จองล่วงหน้าสลากกินแบ่งรัฐบาล ผ่านระบบธุรกรรมของธนาคารกรุงไทยและจัดส่งสลากผ่านไปรษณีย์ ถึงผู้รับโดยตรง ในราคาต้นทุน ฉบับละ 70.40 บาท ตลอดจนการปรับปริมาณสลากในตลาดให้เข้าสู่สมดุล จาก 37 ล้านฉบับ เป็น 50 ล้านบับ ในเดือนตุลาคม 2558 และ 80 ล้านฉบับ ในเดือนพฤศจิกายน 2560 ตามความต้องการของตลาด เพื่อสร้างสมดุลราคาในตลาดขายปลีกสําหรับผู้ซื้อ และสมดุลราคาที่ผู้ขายพอใจมากขึ้น จากนี้ไป จะเข้าสู่ road map ระยะที่ 3 จะมีการพัฒนาระบบซื้อ-จองล่วงหน้าฯ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งจะมีการคัดกรองผู้ขายจริงให้อยู่ในระบบที่ชัดเจน และสามารถตรวจสอบได้โดยประชาชนรวมถึงภาคประชาสังคม ทั้งนี้ จะยังคงความเข้มข้นในการดําเนินการบังคับใช้กฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับผู้กระทําผิดสัญญา เพื่อนําไปสู่การแก้ไขปัญหาเกินราคาอย่างเป็นระบบและกระจายโอกาสในการเข้าถึงการซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลอย่างเป็นธรรมและเป็นระบบยิ่งขึ้น โฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวในที่สุด
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11131
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ให้การต้อนรับคณะ GeekPark ผู้นำด้านเทคโนโลยีจากจีน สนใจลงทุนด้านดิจิทัลในไทย
วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561 รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ให้การต้อนรับคณะ GeekPark ผู้นําด้านเทคโนโลยีจากจีน สนใจลงทุนด้านดิจิทัลในไทย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; color: #232323; -webkit-text-stroke: #232323} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; color: #232323; -webkit-text-stroke: #232323; min-height: 19.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้การต้อนรับคณะ GeekPark ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นําด้าน Internet and technology innovation community จากกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ณ ห้องประชุม MDES1 ชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรุงเทพฯ โดยร่วมกับ Google นํานักธุรกิจและกลุ่ม Venture Capital ด้าน Digital จากประเทศจีนที่สนใจลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาศึกษาโอกาสของตลาดไทย โดยก่อนหน้านี้ คณะได้เดินทางไปศึกษาที่ตลาดในกรุงจาร์กาตา ประเทศอินโดนีเซีย ทั้งนี้ ดร.พิเชฐฯ ได้กล่าวถึงปัจจัยพื้นฐานของประเทศไทยที่กําลังก้าวกระโดดและตลาดในประเทศพร้อมสําหรับการเข้ามาของเทคโนโลยีดิจิทัลในทุกภาคส่วน เช่น จํานวนผู้มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ 176% จํานวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต 80% โครงการเน็ตประชารัฐเพื่อให้ทุกหมู่บ้านของประเทศมีโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงซึ่งดําเนินการไปแล้ว 75% และจะครบ 75,000 หมู่บ้านต้นปี 2562 และนโยบายลดใช้กระดาษ (Paperless, Cashless) ซึ่งประชาชนมีการปรับมาใช้จ่ายผ่านพร้อมเพย์ (PromptPay) และ QR code Payment เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ นอกจากนี้ นักลงทุนของจีนยังสนใจสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนด้านดิจิทัลในไทยค่อนข้างมาก หลังจากได้เห็นความมุ่งมั่นและการผลักดันโครงการต่างๆ ให้เป็นรูปธรรม ผ่านหลักการ “Don't leave anyone behind” ของรัฐบาลไทย ทําให้นักลงทุนเชื่อว่าประเทศไทยมีความน่าใจในการลงทุนมากขึ้น ******************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ให้การต้อนรับคณะ GeekPark ผู้นำด้านเทคโนโลยีจากจีน สนใจลงทุนด้านดิจิทัลในไทย วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561 รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ให้การต้อนรับคณะ GeekPark ผู้นําด้านเทคโนโลยีจากจีน สนใจลงทุนด้านดิจิทัลในไทย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; color: #232323; -webkit-text-stroke: #232323} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; color: #232323; -webkit-text-stroke: #232323; min-height: 19.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้การต้อนรับคณะ GeekPark ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นําด้าน Internet and technology innovation community จากกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ณ ห้องประชุม MDES1 ชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรุงเทพฯ โดยร่วมกับ Google นํานักธุรกิจและกลุ่ม Venture Capital ด้าน Digital จากประเทศจีนที่สนใจลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาศึกษาโอกาสของตลาดไทย โดยก่อนหน้านี้ คณะได้เดินทางไปศึกษาที่ตลาดในกรุงจาร์กาตา ประเทศอินโดนีเซีย ทั้งนี้ ดร.พิเชฐฯ ได้กล่าวถึงปัจจัยพื้นฐานของประเทศไทยที่กําลังก้าวกระโดดและตลาดในประเทศพร้อมสําหรับการเข้ามาของเทคโนโลยีดิจิทัลในทุกภาคส่วน เช่น จํานวนผู้มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ 176% จํานวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต 80% โครงการเน็ตประชารัฐเพื่อให้ทุกหมู่บ้านของประเทศมีโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงซึ่งดําเนินการไปแล้ว 75% และจะครบ 75,000 หมู่บ้านต้นปี 2562 และนโยบายลดใช้กระดาษ (Paperless, Cashless) ซึ่งประชาชนมีการปรับมาใช้จ่ายผ่านพร้อมเพย์ (PromptPay) และ QR code Payment เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ นอกจากนี้ นักลงทุนของจีนยังสนใจสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนด้านดิจิทัลในไทยค่อนข้างมาก หลังจากได้เห็นความมุ่งมั่นและการผลักดันโครงการต่างๆ ให้เป็นรูปธรรม ผ่านหลักการ “Don't leave anyone behind” ของรัฐบาลไทย ทําให้นักลงทุนเชื่อว่าประเทศไทยมีความน่าใจในการลงทุนมากขึ้น ******************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16173
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส.​ ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานด้านการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่​ จ.ตรัง
วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2562 รมว.ทส.​ ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานด้านการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่​ จ.ตรัง นายวราวุธ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ (รมว.ทส.)​ ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามการดําเนินงานด้านการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในพื้นที่จังหวัดตรัง รมว.ทส.​ ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานด้านการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่​ จ.ตรัง เมื่อวันที่​ 18​ ก.ค.62​ จากสถานการณ์ที่ผ่านมาได้มีการพบพะยูนเกยตื้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งทะเล จ.กระบี่​และจ.ตรัง นับเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและน่าเสียดายเป็นอย่างมาก สําหรับสัตว์ป่าสงวนหายากที่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม คาดว่าอาจจะเหลือประชากรพะยูนในทะเลไทยเพียง 200 กว่าตัว​เท่านั้น​ หลังจากได้รับทราบข่าวการเกยตื้นของพะยูนและสัตว์ทะเลหายาก​เป็นจํานวนมาก​ นายวราวุธ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ (รมว.ทส.)​ ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามการดําเนินงานด้านการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในพื้นที่จังหวัดตรัง​ โดยมีนายจตุพร​ บุรุษพัฒน์​ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง​ พร้อมด้วย อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ​ สัตว์ป่า​ และพันธุ์พืช​ (อส.) อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สส.) ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายโสภณ ทองดี) และคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง​ (ทช.)​ ตลอดจนกรมการปกครอง​ ผู้นําชุมชนเกาะลิบง​ กลุ่มอาสาสมัครผู้พิทักษ์ดูหยง​ และอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล​ ร่วมให้การต้อนรับกันอย่างอบอุ่น​ บริเวณ​ อ่าวดูหยง บ้านบาตูปูเต๊ะ​ เกาะลิบง​ อ.กันตัง​ จ.ตรัง​ นายวราวุธ​ รัฐมนตรี​ ทส.​ กล่าวว่า​ หลังจากได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ​ ให้ดํารงตําแหน่ง​ จึงเดินทางไปยัง​ จ.ตรังเป็นที่แรก​​ เพื่อลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการอนุบาลลูกพะยูนน้อย​แบบธรรมชาติ​​ และร่วมหารือเกี่ยวกับมาตรการในการดูแลสัตว์ทะเลหายาก ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจหลักของกรม ทช.​ จากการรายงานสถานการณ์ของพะยูนเบื้องต้นทราบว่าปัจจุบันประเทศไทยพบพะยูนจํานวน​ 200​ ​- 250​ ตัว​ โดยพะยูนเป็นสัตว์สงวนตามพรบ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า​ พ.ศ.2535 อีกทั้งยังพบการเกยตื้นของพะยูนส่วนใหญ่มักเกิดจากภัยคุกคามทางด้านการประมง​ 89% ป่วยตาย​ 10% และอื่นๆ​ 1% โดยในช่วงที่ผ่านมา​ ได้มีการพบลูกพะยูนขึ้นมาเกยตื้นในพื้นที่​ จ.กระบี่​ โดยเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ​ ได้ทําการขนย้ายมาอนุบาลในพื้นที่อ่าวดูหยง​ เกาะลิบง​ เพราะว่าในพื้นที่แห่งนี้มีทรัพยากรของหญ้าทะเลหลากหลายสายพันธุ์ที่อุดมสมบูรณ์​ รวมถึงมีพะยูนอาศัยอยู่เป็นจํานวนมากที่สุดในประเทศไทย​ พร้อมกับมีการตั้งชื่อว่า​ "เจ้ามาเรียม" ซึ่งแปลว่าหญิงสาวผู้มีความสง่างามแห่งท้องทะเล โดยในขณะนี้​ทีมสัตวแพทย์จากกรม​ ทช.​ และอาสาสมัครผู้พิทักษ์ดูหยงได้ทําการดูแล​เจ้ามาเรียมแบบธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ตลอดจนมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด​ (CCTV) ทั้ง​ 6​ จุด​ เพื่อถ่ายทอดสดสัญญาณผ่านทางเพจเฟซบุ๊กและเว็บไซต์ของกรม ทช.​ ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งมองในแง่ดีจะช่วยดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ให้กับเจ้ามาเรียม และอีกมุมหนึ่งทุกคนทั่วโลกจะได้เห็นกิจวัตรประจําวันของทีมงานสัตวแพทย์ โดยเริ่มตั้งแต่การป้อนนม การสอนกินหญ้า​การพายเรือแม่ส้มออกไปสอนว่ายน้ํา​เพื่อเป็นการเรียนรู้ชีวิตสัตว์ทะเลหายากที่ไม่เคยมีใครเห็นอย่างใกล้ชิดมาก่อน​ หากเจ้ามาเรียมแข็งแรงและสามารถปรับสภาพได้ดีแล้ว​ ก็จะปล่อยเจ้ามาเรียมกลับไปใช้ชีวิตตามธรรมชาติ​​ และในอนาคตข้างหน้านี้​ กรม​ ทช.​จะทําการฝังชิพและติดแท็กเพื่อระบุตัวตนของเจ้ามาเรียมอีกด้วย นายวราวุธ​ รัฐมนตรี​ ทส.​ กล่าวต่อว่า​ จากนั้น​ ได้รับฟังการสรุปแนวทางในการช่วยเหลือสัตว์ทะเลหายาก​จากผู้เชี่ยวชาญ​ นักวิชาการ​ ทีมสัตวแพทย์​ และเจ้าหน้าที่อาสาสมัครที่ดูแลเจ้ามาเรียม​ พร้อมกับร่วมพบปะพูดคุยกับเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล จ.ตรัง​ จํานวน​ 200​ คน​ เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน​ อีกทั้งให้โอวาทและให้กําลังใจในการปฏิบัติหน้าที่แก่เครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล พร้อมทั้งฝากให้ทุกคนเป็นหูเป็นตาในการปกป้อง​ ดูแลและช่วยเหลือสัตว์ทะเลหายาก​เหล่านี้ หากพบการเกยตื้นให้รีบแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ทราบ​ เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้ทําการรักษาและดูแลได้ทันท่วงที หลังจากนี้​ กระทรวง​ ทส.​ จะเดินหน้าขับเคลื่อนและให้ความสําคัญเกี่ยวกับงานด้านการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง​ โดยเฉพาะสัตว์ทะเลหายากที่พบการเกยตื้นอยู่บ่อยครั้ง​ ไม่ใช่เพียงแค่พะยูนเท่านั้น​ แต่ยังมีสัตว์ทะเลหายากอีกหลายชนิด เช่น ฉลามวาฬ โลมา และเต่าทะเล เป็นต้น ที่ต้องช่วยกันปกป้องและดูแลตามมาตรการที่หารือกันไว้​ โดยขอความร่วมมือประชาชน​ และผู้ประกอบการประมงในพื่นที่​ช่วยกันสอดส่องดูและ สร้างจิตสํานึกให้ประชาชนเห็นถึงความสําคัญ ตลอดจนมีความรักและหวงแหนต่อสัตว์ทะเลหายาก อีกทั้ง จะมีมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุต่อสัตว์ทะเลหายาก ตลอดจนจัดทําพื้นที่คุ้มครองเพื่อให้เป็นแหล่งหากินของพะยูนในพื้นที่ทะเลตรัง รวมถึงขอความร่วมมือไปยังผู้ที่อาศัยอยู่ชายฝั่ง​ ในการป้องกันและดูแล​สัตว์ทะเลหายากเหล่านี้​ ไม่ให้ได้รับผลกระทบทั้งจากขยะพลาสติก​ การทําประมงที่ผิดกฎหมาย​ และการล่าเอาเขี้ยวของพะยูนมาทําเป็นเครื่องลางของขลังซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด ๆ​ เพื่อให้พะยูนและสัตว์ทะเลหายากอยู่คู่กับทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลต่อไป​ นายวราวุธ​ รัฐมนตรี​ ทส.​ กล่าวให้ความมั่นใจ"
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส.​ ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานด้านการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่​ จ.ตรัง วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2562 รมว.ทส.​ ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานด้านการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่​ จ.ตรัง นายวราวุธ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ (รมว.ทส.)​ ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามการดําเนินงานด้านการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในพื้นที่จังหวัดตรัง รมว.ทส.​ ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานด้านการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่​ จ.ตรัง เมื่อวันที่​ 18​ ก.ค.62​ จากสถานการณ์ที่ผ่านมาได้มีการพบพะยูนเกยตื้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งทะเล จ.กระบี่​และจ.ตรัง นับเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและน่าเสียดายเป็นอย่างมาก สําหรับสัตว์ป่าสงวนหายากที่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม คาดว่าอาจจะเหลือประชากรพะยูนในทะเลไทยเพียง 200 กว่าตัว​เท่านั้น​ หลังจากได้รับทราบข่าวการเกยตื้นของพะยูนและสัตว์ทะเลหายาก​เป็นจํานวนมาก​ นายวราวุธ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ (รมว.ทส.)​ ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามการดําเนินงานด้านการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในพื้นที่จังหวัดตรัง​ โดยมีนายจตุพร​ บุรุษพัฒน์​ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง​ พร้อมด้วย อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ​ สัตว์ป่า​ และพันธุ์พืช​ (อส.) อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สส.) ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายโสภณ ทองดี) และคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง​ (ทช.)​ ตลอดจนกรมการปกครอง​ ผู้นําชุมชนเกาะลิบง​ กลุ่มอาสาสมัครผู้พิทักษ์ดูหยง​ และอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล​ ร่วมให้การต้อนรับกันอย่างอบอุ่น​ บริเวณ​ อ่าวดูหยง บ้านบาตูปูเต๊ะ​ เกาะลิบง​ อ.กันตัง​ จ.ตรัง​ นายวราวุธ​ รัฐมนตรี​ ทส.​ กล่าวว่า​ หลังจากได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ​ ให้ดํารงตําแหน่ง​ จึงเดินทางไปยัง​ จ.ตรังเป็นที่แรก​​ เพื่อลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการอนุบาลลูกพะยูนน้อย​แบบธรรมชาติ​​ และร่วมหารือเกี่ยวกับมาตรการในการดูแลสัตว์ทะเลหายาก ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจหลักของกรม ทช.​ จากการรายงานสถานการณ์ของพะยูนเบื้องต้นทราบว่าปัจจุบันประเทศไทยพบพะยูนจํานวน​ 200​ ​- 250​ ตัว​ โดยพะยูนเป็นสัตว์สงวนตามพรบ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า​ พ.ศ.2535 อีกทั้งยังพบการเกยตื้นของพะยูนส่วนใหญ่มักเกิดจากภัยคุกคามทางด้านการประมง​ 89% ป่วยตาย​ 10% และอื่นๆ​ 1% โดยในช่วงที่ผ่านมา​ ได้มีการพบลูกพะยูนขึ้นมาเกยตื้นในพื้นที่​ จ.กระบี่​ โดยเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ​ ได้ทําการขนย้ายมาอนุบาลในพื้นที่อ่าวดูหยง​ เกาะลิบง​ เพราะว่าในพื้นที่แห่งนี้มีทรัพยากรของหญ้าทะเลหลากหลายสายพันธุ์ที่อุดมสมบูรณ์​ รวมถึงมีพะยูนอาศัยอยู่เป็นจํานวนมากที่สุดในประเทศไทย​ พร้อมกับมีการตั้งชื่อว่า​ "เจ้ามาเรียม" ซึ่งแปลว่าหญิงสาวผู้มีความสง่างามแห่งท้องทะเล โดยในขณะนี้​ทีมสัตวแพทย์จากกรม​ ทช.​ และอาสาสมัครผู้พิทักษ์ดูหยงได้ทําการดูแล​เจ้ามาเรียมแบบธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ตลอดจนมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด​ (CCTV) ทั้ง​ 6​ จุด​ เพื่อถ่ายทอดสดสัญญาณผ่านทางเพจเฟซบุ๊กและเว็บไซต์ของกรม ทช.​ ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งมองในแง่ดีจะช่วยดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ให้กับเจ้ามาเรียม และอีกมุมหนึ่งทุกคนทั่วโลกจะได้เห็นกิจวัตรประจําวันของทีมงานสัตวแพทย์ โดยเริ่มตั้งแต่การป้อนนม การสอนกินหญ้า​การพายเรือแม่ส้มออกไปสอนว่ายน้ํา​เพื่อเป็นการเรียนรู้ชีวิตสัตว์ทะเลหายากที่ไม่เคยมีใครเห็นอย่างใกล้ชิดมาก่อน​ หากเจ้ามาเรียมแข็งแรงและสามารถปรับสภาพได้ดีแล้ว​ ก็จะปล่อยเจ้ามาเรียมกลับไปใช้ชีวิตตามธรรมชาติ​​ และในอนาคตข้างหน้านี้​ กรม​ ทช.​จะทําการฝังชิพและติดแท็กเพื่อระบุตัวตนของเจ้ามาเรียมอีกด้วย นายวราวุธ​ รัฐมนตรี​ ทส.​ กล่าวต่อว่า​ จากนั้น​ ได้รับฟังการสรุปแนวทางในการช่วยเหลือสัตว์ทะเลหายาก​จากผู้เชี่ยวชาญ​ นักวิชาการ​ ทีมสัตวแพทย์​ และเจ้าหน้าที่อาสาสมัครที่ดูแลเจ้ามาเรียม​ พร้อมกับร่วมพบปะพูดคุยกับเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล จ.ตรัง​ จํานวน​ 200​ คน​ เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน​ อีกทั้งให้โอวาทและให้กําลังใจในการปฏิบัติหน้าที่แก่เครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล พร้อมทั้งฝากให้ทุกคนเป็นหูเป็นตาในการปกป้อง​ ดูแลและช่วยเหลือสัตว์ทะเลหายาก​เหล่านี้ หากพบการเกยตื้นให้รีบแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ทราบ​ เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้ทําการรักษาและดูแลได้ทันท่วงที หลังจากนี้​ กระทรวง​ ทส.​ จะเดินหน้าขับเคลื่อนและให้ความสําคัญเกี่ยวกับงานด้านการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง​ โดยเฉพาะสัตว์ทะเลหายากที่พบการเกยตื้นอยู่บ่อยครั้ง​ ไม่ใช่เพียงแค่พะยูนเท่านั้น​ แต่ยังมีสัตว์ทะเลหายากอีกหลายชนิด เช่น ฉลามวาฬ โลมา และเต่าทะเล เป็นต้น ที่ต้องช่วยกันปกป้องและดูแลตามมาตรการที่หารือกันไว้​ โดยขอความร่วมมือประชาชน​ และผู้ประกอบการประมงในพื่นที่​ช่วยกันสอดส่องดูและ สร้างจิตสํานึกให้ประชาชนเห็นถึงความสําคัญ ตลอดจนมีความรักและหวงแหนต่อสัตว์ทะเลหายาก อีกทั้ง จะมีมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุต่อสัตว์ทะเลหายาก ตลอดจนจัดทําพื้นที่คุ้มครองเพื่อให้เป็นแหล่งหากินของพะยูนในพื้นที่ทะเลตรัง รวมถึงขอความร่วมมือไปยังผู้ที่อาศัยอยู่ชายฝั่ง​ ในการป้องกันและดูแล​สัตว์ทะเลหายากเหล่านี้​ ไม่ให้ได้รับผลกระทบทั้งจากขยะพลาสติก​ การทําประมงที่ผิดกฎหมาย​ และการล่าเอาเขี้ยวของพะยูนมาทําเป็นเครื่องลางของขลังซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด ๆ​ เพื่อให้พะยูนและสัตว์ทะเลหายากอยู่คู่กับทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลต่อไป​ นายวราวุธ​ รัฐมนตรี​ ทส.​ กล่าวให้ความมั่นใจ"
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21655
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ปล่อยกู้กลุ่ม บมจ. ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ 2.2 พันล้านบาท สร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลแห่งแรกใน จ.สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช
วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2560 EXIM BANK ปล่อยกู้กลุ่ม บมจ. ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ 2.2 พันล้านบาท สร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลแห่งแรกใน จ.สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช EXIM BANK ลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงิน 2,257.50 ล้านบาทให้บริษัท ออสการ์ เซฟ เดอะ เวิลด์ จํากัด และบริษัท บางสวรรค์ กรีน จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จํากัด (มหาชน) EXIM BANK ลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงิน 2,257.50 ล้านบาทให้บริษัท ออสการ์ เซฟ เดอะ เวิลด์ จํากัด และบริษัท บางสวรรค์ กรีน จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จํากัด (มหาชน) นําไปใช้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล 3 โครงการในจังหวัดสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช กําลังการผลิตรวม 22.2 MW นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ร่วมลงนามกับนางสาวแคทลีน มาลีนนท์ และนายสมภพ พรหมพนาพิทักษ์ กรรมการ บริษัท ออสการ์ เซฟ เดอะ เวิลด์ จํากัด และบริษัท บางสวรรค์ กรีน จํากัด และนายธวัชชัย เหลืองวรพันธ์ กรรมการ บริษัท ออสการ์ เซฟ เดอะ เวิลด์ จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จํากัด (มหาชน) ในสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK จํานวนรวม 2,257.50 ล้านบาท เพื่อให้บริษัทนําไปใช้ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลจํานวน 3 โครงการในจังหวัดสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช กําลังการผลิตรวม 22.2 เมกะวัตต์ (MW) โดยมีการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเป็นผู้รับซื้อ ณ EXIM BANK สํานักงานใหญ่ เมื่อเร็วๆ นี้ การสนับสนุนของ EXIM BANK ในครั้งนี้เพื่อส่งเสริมการพัฒนาพลังงานทดแทนจากชีวมวลของประเทศไทย โดยสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมและสนับสนุนพลังงานทดแทนตามแผนพัฒนากําลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2558-2579 ซึ่งกําหนดเป้าหมายแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ณ ปี 2579 ประเภทพลังงานชีวมวล จํานวนการผลิตติดตั้งรวม 5,570 MW เพื่อส่งเสริมและสร้างประโยชน์ร่วมกับเกษตรกรและชุมชนในการผลิตผลเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ไม้ยางพารา แกลบ ชานอ้อย ที่มีอยู่มากมายกลับมาสร้างคุณค่าและใช้ประโยชน์ สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและชุมชนเพิ่มขึ้น เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของท้องถิ่นและประเทศโดยรวม “โครงการที่ EXIM BANK สนับสนุนครั้งนี้เป็นโรงไฟฟ้าชีวมวลแห่งแรกของกลุ่มบริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ซึ่งดําเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งในและต่างประเทศ โดยปัจจุบันโครงการของกลุ่มบริษัทเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด EXIM BANK จึงเล็งเห็นในศักยภาพของบริษัทและพร้อมสนับสนุนการขยายโครงการลงทุนของบริษัทในการพัฒนาพลังงานทดแทนมากขึ้น ทั้งในและต่างประเทศ โดยสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของ EXIM BANK ในการสร้างโอกาสการค้าและการลงทุนให้แก่ผู้ประกอบการไทย” นายพิศิษฐ์กล่าว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนประชาสัมพันธ์ สํานักบริหาร EXIM BANK สํานักงานใหญ่ โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141-6 EXIM Thailand Renders 2.2 Billion Baht Loan for Thai Solar Energy Plc. Group’s First Biomass Power Plants in Surat Thani and Nakhon Si Thammarat EXIM Thailand entered into a financial facility agreement worth 2,257.50 million baht with Thai Solar Energy Plc. Group’s Oscar Save The World Co., Ltd. and Bangsawan Green Co., Ltd. to finance the companies’ three biomass power plant projects in Surat Thani and Nakhon Si Thammarat with a combined generating capacity of 22.2 MW. Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), together with Ms. Cathleen Maleenont and Mr. Somphop Prompanapitak, Directors of Oscar Save The World Co., Ltd. and Bangsawan Green Co., Ltd. and Mr. Thawatchai Luengvoraphan, Director of Oscar Save The World Co., Ltd. which are Thai Solar Energy Plc. Group members, recently signed a financial facility agreement to lend 2,257.50 million baht for the companies’ construction of three biomass power plant projects in Surat Thani and Nakhon Si Thammarat with a combined generating capacity of 22.2 MW and with Provincial Electricity Authority (PEA) as the main purchaser at EXIM Thailand’s Head Office. EXIM Thailand’s financial support is aimed at promoting the country’s development of biomass renewable energy in response to the government policy to promote and support renewable energy power plants. According to the renewable and alternative energy development plan under Thailand Power Development Plan 2015-2036, biomass power generation is targeted with a total installed capacity of 5,570 MW by 2036. This will help optimize utilization of the abundant agricultural residues, e.g. those from rubber, rice chaff, bagasse, etc., creating added values while generating additional income for farmers and the communities, in turn, enhancing overall economic development at both local and national levels. “The project under EXIM Thailand’s financial support represents the first biomass power plant of the Thai Solar Energy Plc. Group, which operates renewable power plants both at home and overseas. Currently, all of the Group’s projects are solar power plants. Realizing the Group’s potential, we are thus ready to support their expansion of renewable power business not only in Thailand but also elsewhere. This is also in line with EXIM Thailand’s strategy to create trade and investment opportunities for Thai entrepreneurs,” added Mr. Pisit. For further information, please contact Public Relations Division, Office of Top Management Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 1141-6
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ปล่อยกู้กลุ่ม บมจ. ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ 2.2 พันล้านบาท สร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลแห่งแรกใน จ.สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2560 EXIM BANK ปล่อยกู้กลุ่ม บมจ. ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ 2.2 พันล้านบาท สร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลแห่งแรกใน จ.สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช EXIM BANK ลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงิน 2,257.50 ล้านบาทให้บริษัท ออสการ์ เซฟ เดอะ เวิลด์ จํากัด และบริษัท บางสวรรค์ กรีน จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จํากัด (มหาชน) EXIM BANK ลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงิน 2,257.50 ล้านบาทให้บริษัท ออสการ์ เซฟ เดอะ เวิลด์ จํากัด และบริษัท บางสวรรค์ กรีน จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จํากัด (มหาชน) นําไปใช้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล 3 โครงการในจังหวัดสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช กําลังการผลิตรวม 22.2 MW นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ร่วมลงนามกับนางสาวแคทลีน มาลีนนท์ และนายสมภพ พรหมพนาพิทักษ์ กรรมการ บริษัท ออสการ์ เซฟ เดอะ เวิลด์ จํากัด และบริษัท บางสวรรค์ กรีน จํากัด และนายธวัชชัย เหลืองวรพันธ์ กรรมการ บริษัท ออสการ์ เซฟ เดอะ เวิลด์ จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จํากัด (มหาชน) ในสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK จํานวนรวม 2,257.50 ล้านบาท เพื่อให้บริษัทนําไปใช้ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลจํานวน 3 โครงการในจังหวัดสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช กําลังการผลิตรวม 22.2 เมกะวัตต์ (MW) โดยมีการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเป็นผู้รับซื้อ ณ EXIM BANK สํานักงานใหญ่ เมื่อเร็วๆ นี้ การสนับสนุนของ EXIM BANK ในครั้งนี้เพื่อส่งเสริมการพัฒนาพลังงานทดแทนจากชีวมวลของประเทศไทย โดยสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมและสนับสนุนพลังงานทดแทนตามแผนพัฒนากําลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2558-2579 ซึ่งกําหนดเป้าหมายแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ณ ปี 2579 ประเภทพลังงานชีวมวล จํานวนการผลิตติดตั้งรวม 5,570 MW เพื่อส่งเสริมและสร้างประโยชน์ร่วมกับเกษตรกรและชุมชนในการผลิตผลเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ไม้ยางพารา แกลบ ชานอ้อย ที่มีอยู่มากมายกลับมาสร้างคุณค่าและใช้ประโยชน์ สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและชุมชนเพิ่มขึ้น เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของท้องถิ่นและประเทศโดยรวม “โครงการที่ EXIM BANK สนับสนุนครั้งนี้เป็นโรงไฟฟ้าชีวมวลแห่งแรกของกลุ่มบริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ซึ่งดําเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งในและต่างประเทศ โดยปัจจุบันโครงการของกลุ่มบริษัทเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด EXIM BANK จึงเล็งเห็นในศักยภาพของบริษัทและพร้อมสนับสนุนการขยายโครงการลงทุนของบริษัทในการพัฒนาพลังงานทดแทนมากขึ้น ทั้งในและต่างประเทศ โดยสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของ EXIM BANK ในการสร้างโอกาสการค้าและการลงทุนให้แก่ผู้ประกอบการไทย” นายพิศิษฐ์กล่าว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนประชาสัมพันธ์ สํานักบริหาร EXIM BANK สํานักงานใหญ่ โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141-6 EXIM Thailand Renders 2.2 Billion Baht Loan for Thai Solar Energy Plc. Group’s First Biomass Power Plants in Surat Thani and Nakhon Si Thammarat EXIM Thailand entered into a financial facility agreement worth 2,257.50 million baht with Thai Solar Energy Plc. Group’s Oscar Save The World Co., Ltd. and Bangsawan Green Co., Ltd. to finance the companies’ three biomass power plant projects in Surat Thani and Nakhon Si Thammarat with a combined generating capacity of 22.2 MW. Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), together with Ms. Cathleen Maleenont and Mr. Somphop Prompanapitak, Directors of Oscar Save The World Co., Ltd. and Bangsawan Green Co., Ltd. and Mr. Thawatchai Luengvoraphan, Director of Oscar Save The World Co., Ltd. which are Thai Solar Energy Plc. Group members, recently signed a financial facility agreement to lend 2,257.50 million baht for the companies’ construction of three biomass power plant projects in Surat Thani and Nakhon Si Thammarat with a combined generating capacity of 22.2 MW and with Provincial Electricity Authority (PEA) as the main purchaser at EXIM Thailand’s Head Office. EXIM Thailand’s financial support is aimed at promoting the country’s development of biomass renewable energy in response to the government policy to promote and support renewable energy power plants. According to the renewable and alternative energy development plan under Thailand Power Development Plan 2015-2036, biomass power generation is targeted with a total installed capacity of 5,570 MW by 2036. This will help optimize utilization of the abundant agricultural residues, e.g. those from rubber, rice chaff, bagasse, etc., creating added values while generating additional income for farmers and the communities, in turn, enhancing overall economic development at both local and national levels. “The project under EXIM Thailand’s financial support represents the first biomass power plant of the Thai Solar Energy Plc. Group, which operates renewable power plants both at home and overseas. Currently, all of the Group’s projects are solar power plants. Realizing the Group’s potential, we are thus ready to support their expansion of renewable power business not only in Thailand but also elsewhere. This is also in line with EXIM Thailand’s strategy to create trade and investment opportunities for Thai entrepreneurs,” added Mr. Pisit. For further information, please contact Public Relations Division, Office of Top Management Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 1141-6
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5759
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ นำสรุป 13 เรื่อง เป็นผลความสำเร็จประเทศไทย ในฐานะประธานรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน มั่นใจคืบหน้าและสำเร็จทั้งหมด
วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 2562 จุรินทร์ นําสรุป 13 เรื่อง เป็นผลความสําเร็จประเทศไทย ในฐานะประธานรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน มั่นใจคืบหน้าและสําเร็จทั้งหมด วันที่ 31 ตุลาคม 2562 เวลา 10.30 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สนฐานะประธานการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 18 เปิดเผยผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 18 ว่า ประเด็นด้านเศรษฐกิจที่ไทยผลักดันในฐานะประธานอาเซียน (Priority Economic Deliverables) ในคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนยินดีกับความสําเร็จและรับทราบความคืบหน้า Priority Economic Deliverables โดยนายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้เป็นถือเป็นการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนนัดสุดท้ายที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพซึ่งตนทําหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม ถัดจากนี้ก็เป็นการประชุม ASEAN SUMMIT ที่ท่านนายกฯ(พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ) จะต้องเป็นประธานแล้ว การประชุมครั้งสุดท้ายสําหรับที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งนี้ ถือเป็นการสรุปผลความสําเร็จของประเทศไทยในฐานะประธานอาเซียนในปีนี้ สําหรับด้านเศรษฐกิจซึ่งถือเป็นหนึ่งในสามเสาหลัก 1 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายในการที่จะผลักดันประเด็นสําคัญใน 3 หัวข้อใหญ่ คือ หัวข้อที่ 1 ก็คือในเรื่องของการเตรียมการรองรับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 หัวข้อที่ 2 การเชื่อมโยง หัวข้อที่ 3 การเดินหน้าไปด้วยกันไปสู่ความยั่งยืน ซึ่ง 3 หัวข้อนี้เป็นหัวข้อใหญ่และภายใต้ 3 หัวข้อนี้จะแปลงออกไปเป็นประเด็นสําคัญสําคัญทั้งหมด 13 ประเด็นด้วยกัน นายจุรินทร์ กล่าวว่า ซึ่งทั้ง 13 ประเด็นนั้นขอเรียนให้ได้รับทราบว่ามีความคืบหน้าและมั่นใจว่าจะประสบความสําเร็จครบทั้ง 13 ประเด็นภายในสิ้นปีนี้ในขณะที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพและเป็นประธานที่ประชุมอาเซียน สําหรับปีต่อไปเป็นหน้าที่ของประเทศเวียดนามและต้องรอดูต่อไปว่าเวียดนามจะกําหนดประเด็นในการผลักดันเรื่องอะไรต่อไป อย่างไรก็ตามสําหรับ 13 ประเด็นในรายละเอียดนั้นขออนุญาตเรียนให้ทราบว่าประกอบด้วย 1 .แผนงานด้านดิจิตอลของอาเซียน 2 .แผนงานในการส่งเสริมนวัตกรรมอาเซียน 3 .การเตรียมการสําหรับการพัฒนาแรงงานเพื่อรองรับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 คือเรื่องของการใช้แรงงานพัฒนาแรงงานคนเพื่อรองรับการใช้เครื่องจักรการใช้นวัตกรรมใหม่ในการผลิต 4.การเดินหน้าไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 5 .การเตรียมการที่จะนํา SME ไปสู่เศรษฐกิจดิจิตอล เช่น การค้าออนไลน์ เป็นต้น 6 .การดําเนินการในเรื่อง ASEAN Single Window การนําเข้าส่งออกระหว่างประเทศอาเซียนด้วยกันที่ต้องมี อํานวยความสะดวกโดยใช้ระบบอิเล็คทรอนิกส์ และไม่ซ้ําซ้อนทําให้การส่งออกระหว่างการคล่องตัวยิ่งขึ้น 7.เรื่องการผลักดันให้มีการใช้เงินสกุลท้องถิ่นค้าขายระหว่างกันในกลุ่มประเทศอาเซียนซึ่งประสบความสําเร็จเป็นรูปธรรมแล้วอย่างน้อยสามคู่ คือ ระหว่างไทยฟิลิปปินส์ ระหว่างไทยอินโดนีเซีย และระหว่างไทยกับมาเลเซีย ภายใต้ความร่วมมือของแบงค์ชาติของเรากับธนาคารพาณิชย์ของสามประเทศ 8.ก็คือการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในระบบที่เรียกว่า PPP 9 .การร่วมมือกันระหว่างอาเซียนในการส่งเสริม การท่องเที่ยวเชิงอาหาร คือ การใช้อาหารส่งเสริมการท่องเที่ยว 10 .คือการแสดงเจตจํานงค์ร่วมกันผลักดันให้ RCEP ซึ่งอาเซียนเป็นศูนย์กลางของ RCEPจบภายในสิ้นปีนี้ 11 .ในเรื่องของการผลักดันเครือข่าย IUU ของอาเซียน คือ การทําประมงอาเซียนที่มุ่งเน้นในเรื่องของการสร้างความยั่งยืน 12 .เรื่องการส่งเสริมตลาดทุนของอาเซียนในประเทศต่างๆเพื่อเมื่อจะรับบริษัทเข้าไปจดทะเบียนโดยคํานึงถึงเป้าหมายของบริษัทนั้นนั้นที่มุ่งเน้นความยังยืนเช่น สิ่งแวดล้อมเป็นต้น 13 .ประเด็นสุดท้าย คือ การผลักดันให้มีการลงนาม ศูนย์พลังงานอาเซียนระหว่าง มหาวิทยาลัยต่างๆในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งทั้ง 13 ประเด็นใน 13 หัวข้อใหญ่ที่ประเทศไทยได้กําหนดเป็นเป้าหมายร่วมกันในฐานะประธานอาเซียนนี้ขอเรียนว่าเรามั่นใจว่าสิ้นปีนี้ จะสามารถผลักดันไปสู่ความสําเร็จครบทั้ง 13 หัวข้อ ส่วนการลงนามวันนี้ (พิธีสารกลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจของอาเซียน) เป็นการลงนามในพิธีสารกลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจของอาเซียน ซึ่งเป็นการปรับปรุงกลไกระงับข้อผิดพลาดที่เราใช้มา 10 กว่าปีมาแล้วตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งการปรับปรุงกลไกระงับข้อพิพาทเที่ยวนี้ จะทําให้เกิดความชัดเจนในขั้นตอนกระบวนการต่างๆเมื่อมีข้อพิพาทเกิดขึ้นระหว่างสมาชิกอาเซียนเช่นการระบุชัดเจน ในเรื่องขั้นตอนระยะเวลาฟ้องร้องว่าใช้ระยะเวลากี่วันการพิจารณาคดีจะต้องดําเนินการให้เสร็จสิ้นในช่วงระยะเวลาเท่าไร อย่างไร และมีการเพิ่มกลไกทางเลือกให้คู่พิพาทเลือกได้ เช่น อาจไม่ต้องไปสู่คณะลูกขุนแต่ใช้อนุญาโตตุลาการได้เป็นต้น รวมทั้งเปิดโอกาสให้สํานักเลขาธิการอาเซียนสามารถให้คําปรึกษาด้านกฎหมายกับผู้พิพาทรวมทั้งประเทศที่ยังมีความจําเป็นที่จะต้องได้รับความสนับสนุนช่วยเหลือ เช่น กัมพูชา ลาว เมียนมา ก็จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษในเรื่องข้อกฎหมายแนวทางการปฏิบัติต่างๆนี่คือพิธีสารที่จะมีการลงนามในเรื่องของกลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจของอาเซียนหลักใหญ่จะล้อกับหลักการของ WTO ที่ใช้กัน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ นำสรุป 13 เรื่อง เป็นผลความสำเร็จประเทศไทย ในฐานะประธานรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน มั่นใจคืบหน้าและสำเร็จทั้งหมด วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 2562 จุรินทร์ นําสรุป 13 เรื่อง เป็นผลความสําเร็จประเทศไทย ในฐานะประธานรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน มั่นใจคืบหน้าและสําเร็จทั้งหมด วันที่ 31 ตุลาคม 2562 เวลา 10.30 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สนฐานะประธานการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 18 เปิดเผยผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 18 ว่า ประเด็นด้านเศรษฐกิจที่ไทยผลักดันในฐานะประธานอาเซียน (Priority Economic Deliverables) ในคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนยินดีกับความสําเร็จและรับทราบความคืบหน้า Priority Economic Deliverables โดยนายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้เป็นถือเป็นการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนนัดสุดท้ายที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพซึ่งตนทําหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม ถัดจากนี้ก็เป็นการประชุม ASEAN SUMMIT ที่ท่านนายกฯ(พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ) จะต้องเป็นประธานแล้ว การประชุมครั้งสุดท้ายสําหรับที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งนี้ ถือเป็นการสรุปผลความสําเร็จของประเทศไทยในฐานะประธานอาเซียนในปีนี้ สําหรับด้านเศรษฐกิจซึ่งถือเป็นหนึ่งในสามเสาหลัก 1 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายในการที่จะผลักดันประเด็นสําคัญใน 3 หัวข้อใหญ่ คือ หัวข้อที่ 1 ก็คือในเรื่องของการเตรียมการรองรับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 หัวข้อที่ 2 การเชื่อมโยง หัวข้อที่ 3 การเดินหน้าไปด้วยกันไปสู่ความยั่งยืน ซึ่ง 3 หัวข้อนี้เป็นหัวข้อใหญ่และภายใต้ 3 หัวข้อนี้จะแปลงออกไปเป็นประเด็นสําคัญสําคัญทั้งหมด 13 ประเด็นด้วยกัน นายจุรินทร์ กล่าวว่า ซึ่งทั้ง 13 ประเด็นนั้นขอเรียนให้ได้รับทราบว่ามีความคืบหน้าและมั่นใจว่าจะประสบความสําเร็จครบทั้ง 13 ประเด็นภายในสิ้นปีนี้ในขณะที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพและเป็นประธานที่ประชุมอาเซียน สําหรับปีต่อไปเป็นหน้าที่ของประเทศเวียดนามและต้องรอดูต่อไปว่าเวียดนามจะกําหนดประเด็นในการผลักดันเรื่องอะไรต่อไป อย่างไรก็ตามสําหรับ 13 ประเด็นในรายละเอียดนั้นขออนุญาตเรียนให้ทราบว่าประกอบด้วย 1 .แผนงานด้านดิจิตอลของอาเซียน 2 .แผนงานในการส่งเสริมนวัตกรรมอาเซียน 3 .การเตรียมการสําหรับการพัฒนาแรงงานเพื่อรองรับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 คือเรื่องของการใช้แรงงานพัฒนาแรงงานคนเพื่อรองรับการใช้เครื่องจักรการใช้นวัตกรรมใหม่ในการผลิต 4.การเดินหน้าไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 5 .การเตรียมการที่จะนํา SME ไปสู่เศรษฐกิจดิจิตอล เช่น การค้าออนไลน์ เป็นต้น 6 .การดําเนินการในเรื่อง ASEAN Single Window การนําเข้าส่งออกระหว่างประเทศอาเซียนด้วยกันที่ต้องมี อํานวยความสะดวกโดยใช้ระบบอิเล็คทรอนิกส์ และไม่ซ้ําซ้อนทําให้การส่งออกระหว่างการคล่องตัวยิ่งขึ้น 7.เรื่องการผลักดันให้มีการใช้เงินสกุลท้องถิ่นค้าขายระหว่างกันในกลุ่มประเทศอาเซียนซึ่งประสบความสําเร็จเป็นรูปธรรมแล้วอย่างน้อยสามคู่ คือ ระหว่างไทยฟิลิปปินส์ ระหว่างไทยอินโดนีเซีย และระหว่างไทยกับมาเลเซีย ภายใต้ความร่วมมือของแบงค์ชาติของเรากับธนาคารพาณิชย์ของสามประเทศ 8.ก็คือการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในระบบที่เรียกว่า PPP 9 .การร่วมมือกันระหว่างอาเซียนในการส่งเสริม การท่องเที่ยวเชิงอาหาร คือ การใช้อาหารส่งเสริมการท่องเที่ยว 10 .คือการแสดงเจตจํานงค์ร่วมกันผลักดันให้ RCEP ซึ่งอาเซียนเป็นศูนย์กลางของ RCEPจบภายในสิ้นปีนี้ 11 .ในเรื่องของการผลักดันเครือข่าย IUU ของอาเซียน คือ การทําประมงอาเซียนที่มุ่งเน้นในเรื่องของการสร้างความยั่งยืน 12 .เรื่องการส่งเสริมตลาดทุนของอาเซียนในประเทศต่างๆเพื่อเมื่อจะรับบริษัทเข้าไปจดทะเบียนโดยคํานึงถึงเป้าหมายของบริษัทนั้นนั้นที่มุ่งเน้นความยังยืนเช่น สิ่งแวดล้อมเป็นต้น 13 .ประเด็นสุดท้าย คือ การผลักดันให้มีการลงนาม ศูนย์พลังงานอาเซียนระหว่าง มหาวิทยาลัยต่างๆในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งทั้ง 13 ประเด็นใน 13 หัวข้อใหญ่ที่ประเทศไทยได้กําหนดเป็นเป้าหมายร่วมกันในฐานะประธานอาเซียนนี้ขอเรียนว่าเรามั่นใจว่าสิ้นปีนี้ จะสามารถผลักดันไปสู่ความสําเร็จครบทั้ง 13 หัวข้อ ส่วนการลงนามวันนี้ (พิธีสารกลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจของอาเซียน) เป็นการลงนามในพิธีสารกลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจของอาเซียน ซึ่งเป็นการปรับปรุงกลไกระงับข้อผิดพลาดที่เราใช้มา 10 กว่าปีมาแล้วตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งการปรับปรุงกลไกระงับข้อพิพาทเที่ยวนี้ จะทําให้เกิดความชัดเจนในขั้นตอนกระบวนการต่างๆเมื่อมีข้อพิพาทเกิดขึ้นระหว่างสมาชิกอาเซียนเช่นการระบุชัดเจน ในเรื่องขั้นตอนระยะเวลาฟ้องร้องว่าใช้ระยะเวลากี่วันการพิจารณาคดีจะต้องดําเนินการให้เสร็จสิ้นในช่วงระยะเวลาเท่าไร อย่างไร และมีการเพิ่มกลไกทางเลือกให้คู่พิพาทเลือกได้ เช่น อาจไม่ต้องไปสู่คณะลูกขุนแต่ใช้อนุญาโตตุลาการได้เป็นต้น รวมทั้งเปิดโอกาสให้สํานักเลขาธิการอาเซียนสามารถให้คําปรึกษาด้านกฎหมายกับผู้พิพาทรวมทั้งประเทศที่ยังมีความจําเป็นที่จะต้องได้รับความสนับสนุนช่วยเหลือ เช่น กัมพูชา ลาว เมียนมา ก็จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษในเรื่องข้อกฎหมายแนวทางการปฏิบัติต่างๆนี่คือพิธีสารที่จะมีการลงนามในเรื่องของกลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจของอาเซียนหลักใหญ่จะล้อกับหลักการของ WTO ที่ใช้กัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24201
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวแม่แจ่มร่วมใจผนึกกำลังป้องกันไฟป่า
วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม 2562 ชาวแม่แจ่มร่วมใจผนึกกําลังป้องกันไฟป่า ชาวแม่แจ่มร่วมใจผนึกกําลังป้องกันไฟป่า ชาวแม่แจ่มร่วมใจผนึกกําลังป้องกันไฟป่า ประชาชน เยาวชน นักเรียน เครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมชาวอําเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ นําโดย นายอําเภอแม่แจ่ม ร่วมใจกันกล่าวปฏิญาณตนรวมพลังป้องกันและควบคุมไฟป่า นําร่องรณรงค์การป้องกันและควบคุมมลพิษหมอกควันไฟป่า ปฏิบัติการเชิงรุกชิงเผาในช่วงต้นฤดูการเกิดไฟป่าในพื้นที่เสี่ยง 9 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ลําปาง เชียงราย ลําพูน ตาก แพร่ แม่ฮ่องสอน พะเยา และน่าน โดยมีการนําเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) มาประยุกต์ใช้ในการชิงเผาเป็นครั้งแรก โดยในวันนี้ (10 มกราคม 2562) เวลา 13:30 น. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมป่าไม้ ร่วมกับ จังหวัดเชียงใหม่ และหน่วยงานที่เกีืยวข้อง จัดกิจกรรมรณรงค์การป้องกันและควบคุมมลพิษหมอกควันไฟป่า ณ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ที่ 31 อําเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์) ประธานในพิธีได้มอบอุปกรณ์ดับไฟป่าให้กับเครือข่ายไฟป่า พร้อมปล่อยขบวนลาดตระเวณไฟป่าและขบวนรณรงค์ป้องกันไฟป่า โดยเมื่อช่วงเช้าในวันนี้ ได้ร่วมกันประชุมหัวหน้าส่วนราชการติดตามงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อจัดเตรียมข้อมูลสําหรับการประชุม ครม. สัญจร ในพื้นที่กลุ่มภาคเหนือตอนบนในโอกาสนี้ด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวแม่แจ่มร่วมใจผนึกกำลังป้องกันไฟป่า วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม 2562 ชาวแม่แจ่มร่วมใจผนึกกําลังป้องกันไฟป่า ชาวแม่แจ่มร่วมใจผนึกกําลังป้องกันไฟป่า ชาวแม่แจ่มร่วมใจผนึกกําลังป้องกันไฟป่า ประชาชน เยาวชน นักเรียน เครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมชาวอําเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ นําโดย นายอําเภอแม่แจ่ม ร่วมใจกันกล่าวปฏิญาณตนรวมพลังป้องกันและควบคุมไฟป่า นําร่องรณรงค์การป้องกันและควบคุมมลพิษหมอกควันไฟป่า ปฏิบัติการเชิงรุกชิงเผาในช่วงต้นฤดูการเกิดไฟป่าในพื้นที่เสี่ยง 9 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ลําปาง เชียงราย ลําพูน ตาก แพร่ แม่ฮ่องสอน พะเยา และน่าน โดยมีการนําเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) มาประยุกต์ใช้ในการชิงเผาเป็นครั้งแรก โดยในวันนี้ (10 มกราคม 2562) เวลา 13:30 น. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมป่าไม้ ร่วมกับ จังหวัดเชียงใหม่ และหน่วยงานที่เกีืยวข้อง จัดกิจกรรมรณรงค์การป้องกันและควบคุมมลพิษหมอกควันไฟป่า ณ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ที่ 31 อําเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์) ประธานในพิธีได้มอบอุปกรณ์ดับไฟป่าให้กับเครือข่ายไฟป่า พร้อมปล่อยขบวนลาดตระเวณไฟป่าและขบวนรณรงค์ป้องกันไฟป่า โดยเมื่อช่วงเช้าในวันนี้ ได้ร่วมกันประชุมหัวหน้าส่วนราชการติดตามงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อจัดเตรียมข้อมูลสําหรับการประชุม ครม. สัญจร ในพื้นที่กลุ่มภาคเหนือตอนบนในโอกาสนี้ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18060
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยอดรับแจ้งต่างด้าว 5 วัน เฉียด 2 แสนราย ย้ำ กลุ่มไม่มีเอกสารจ้างงานรีบแจ้งก่อนหมดเวลา
วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม 2560 ยอดรับแจ้งต่างด้าว 5 วัน เฉียด 2 แสนราย ย้ํา กลุ่มไม่มีเอกสารจ้างงานรีบแจ้งก่อนหมดเวลา “โฆษกแรงงาน”เผยตัวเลขสะสมศูนย์รับแจ้งฯ ตลอด 5 วัน นายจ้าง 58,066 ราย ลูกจ้างต่างด้าว 190,926 คน ย้ํา นายจ้างที่ใช้แรงงานต่างด้าวกลุ่มที่ไม่มีเอกสารการจ้างงาน ไม่มีใบอนุญาตทํางานรีบมาแจ้งให้ทันเฉพาะ 24 ก.ค. – 7 ส.ค.60 นี้เท่านั้น “โฆษกแรงงาน”เผยตัวเลขสะสมศูนย์รับแจ้งฯ ตลอด 5 วัน นายจ้าง 58,066 ราย ลูกจ้างต่างด้าว 190,926 คน ย้ํา นายจ้างที่ใช้แรงงานต่างด้าวกลุ่มที่ไม่มีเอกสารการจ้างงาน ไม่มีใบอนุญาตทํางานรีบมาแจ้งให้ทันเฉพาะ 24 ก.ค. – 7 ส.ค.60 นี้เท่านั้น หลีกเลี่ยงผู้มาใช้บริการจํานวนมากช่วงใกล้วันปิดศูนย์ฯพบการแจ้งใช้แรงงานต่างด้าวในกิจการเกษตรและปศุสัตว์ ก่อสร้าง ขายอาหารและเครื่องดื่ม มากเป็น3 อันดับแรก กรุงเทพฯ ติดท็อปยื่นคําขอแจ้งการใช้แรงงานต่างด้าวมากสุด รองลงมาสมุทรปราการ ระยองตามลําดับ โดยแจ้งการใช้แรงงานสัญชาติเมียนมาสูงสุด นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงานเผยว่า ศูนย์เฉพาะกิจเพื่ออํานวยการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว (ศฉต.) กระทรวงแรงงาน ได้รายงานผลการปฏิบัติงานประจําวันที่ 28 ก.ค.60 ซึ่งเป็นวันที่ 5 ของการเปิดศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าวทั่วประเทศ 100 ศูนย์ โดยเป็นศูนย์รับแจ้งใน กทม. 11 ศูนย์ และส่วนภูมิภาค 89 ศูนย์ พบว่า ตัวเลขสะสมตั้งแต่วันที่ 24 – 28 ก.ค.60 (ข้อมูลวันที่ 28 ก.ค. ณ เวลา 16.30 น.) มีนายจ้างมาแจ้งการใช้แรงงานต่างด้าวแล้ว 58,066 ราย ลูกจ้างต่างด้าว 190,926 คน เฉพาะวันที่ 28 ก.ค.วันเดียว มีนายจ้างมายื่น 10,555 ราย ลูกจ้าง 38,208 คน และมีนายจ้างลงทะเบียนออนไลน์ 1,145 ราย ลูกจ้าง 3,058 คน ได้รับแจ้งการจ้างแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมามากที่สุด รองลงมากัมพูชา และลาวตามลําดับ เมื่อจําแนกตามประเภทกิจการ5 อันดับแรก ได้แก่ เกษตรและปศุสัตว์ รองลงมากิจการก่อสร้าง จําหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม การให้บริการต่างๆ และกิจการต่อเนื่องการเกษตร ตามลําดับ นายอนันต์ชัย กล่าวต่อว่า จังหวัดที่มีการยื่นขอจ้างคนต่างด้าวมากที่สุด 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ระยอง ปทุมธานี และนนทบุรี ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน ยืนยันว่า ศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าวทั้ง 100 ศูนย์ทั่วประเทศจะเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. – 7 ส.ค.60 ไม่เว้นวันหยุดโดยเจ้าหน้าที่จะคอยอํานวยความสะดวกตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น.และสามารถแจ้งออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์กรมการจัดหางาน ที่ https://wpfast.doe.go.th/fast11/user/ จึงขอเชิญชวนนายจ้างที่มีการใช้แรงงานต่างด้าวเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีเอกสารการจ้างงาน ไม่มีใบอนุญาตทํางาน ให้รีบมาดําเนินการเพื่อหลีกเลี่ยงผู้มาใช้บริการจํานวนมากในช่วงใกล้วันปิดศูนย์ฯ รวมทั้งเพื่อเข้าสู่ระบบการจ้างแรงงานที่ถูกกฎหมาย เป็นไปตามขั้นตอนและทันตามเวลาที่กําหนด สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694 และศูนย์ประชาสัมพันธ์กระทรวงแรงงาน โทรศัพท์ 0 2232 1471 ------------------------------------ กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/ ศูนย์เฉพาะกิจเพื่ออํานวยการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว - ข้อมูล/ 28 กรกฎาคม 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยอดรับแจ้งต่างด้าว 5 วัน เฉียด 2 แสนราย ย้ำ กลุ่มไม่มีเอกสารจ้างงานรีบแจ้งก่อนหมดเวลา วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม 2560 ยอดรับแจ้งต่างด้าว 5 วัน เฉียด 2 แสนราย ย้ํา กลุ่มไม่มีเอกสารจ้างงานรีบแจ้งก่อนหมดเวลา “โฆษกแรงงาน”เผยตัวเลขสะสมศูนย์รับแจ้งฯ ตลอด 5 วัน นายจ้าง 58,066 ราย ลูกจ้างต่างด้าว 190,926 คน ย้ํา นายจ้างที่ใช้แรงงานต่างด้าวกลุ่มที่ไม่มีเอกสารการจ้างงาน ไม่มีใบอนุญาตทํางานรีบมาแจ้งให้ทันเฉพาะ 24 ก.ค. – 7 ส.ค.60 นี้เท่านั้น “โฆษกแรงงาน”เผยตัวเลขสะสมศูนย์รับแจ้งฯ ตลอด 5 วัน นายจ้าง 58,066 ราย ลูกจ้างต่างด้าว 190,926 คน ย้ํา นายจ้างที่ใช้แรงงานต่างด้าวกลุ่มที่ไม่มีเอกสารการจ้างงาน ไม่มีใบอนุญาตทํางานรีบมาแจ้งให้ทันเฉพาะ 24 ก.ค. – 7 ส.ค.60 นี้เท่านั้น หลีกเลี่ยงผู้มาใช้บริการจํานวนมากช่วงใกล้วันปิดศูนย์ฯพบการแจ้งใช้แรงงานต่างด้าวในกิจการเกษตรและปศุสัตว์ ก่อสร้าง ขายอาหารและเครื่องดื่ม มากเป็น3 อันดับแรก กรุงเทพฯ ติดท็อปยื่นคําขอแจ้งการใช้แรงงานต่างด้าวมากสุด รองลงมาสมุทรปราการ ระยองตามลําดับ โดยแจ้งการใช้แรงงานสัญชาติเมียนมาสูงสุด นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงานเผยว่า ศูนย์เฉพาะกิจเพื่ออํานวยการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว (ศฉต.) กระทรวงแรงงาน ได้รายงานผลการปฏิบัติงานประจําวันที่ 28 ก.ค.60 ซึ่งเป็นวันที่ 5 ของการเปิดศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าวทั่วประเทศ 100 ศูนย์ โดยเป็นศูนย์รับแจ้งใน กทม. 11 ศูนย์ และส่วนภูมิภาค 89 ศูนย์ พบว่า ตัวเลขสะสมตั้งแต่วันที่ 24 – 28 ก.ค.60 (ข้อมูลวันที่ 28 ก.ค. ณ เวลา 16.30 น.) มีนายจ้างมาแจ้งการใช้แรงงานต่างด้าวแล้ว 58,066 ราย ลูกจ้างต่างด้าว 190,926 คน เฉพาะวันที่ 28 ก.ค.วันเดียว มีนายจ้างมายื่น 10,555 ราย ลูกจ้าง 38,208 คน และมีนายจ้างลงทะเบียนออนไลน์ 1,145 ราย ลูกจ้าง 3,058 คน ได้รับแจ้งการจ้างแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมามากที่สุด รองลงมากัมพูชา และลาวตามลําดับ เมื่อจําแนกตามประเภทกิจการ5 อันดับแรก ได้แก่ เกษตรและปศุสัตว์ รองลงมากิจการก่อสร้าง จําหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม การให้บริการต่างๆ และกิจการต่อเนื่องการเกษตร ตามลําดับ นายอนันต์ชัย กล่าวต่อว่า จังหวัดที่มีการยื่นขอจ้างคนต่างด้าวมากที่สุด 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ระยอง ปทุมธานี และนนทบุรี ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน ยืนยันว่า ศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าวทั้ง 100 ศูนย์ทั่วประเทศจะเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. – 7 ส.ค.60 ไม่เว้นวันหยุดโดยเจ้าหน้าที่จะคอยอํานวยความสะดวกตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น.และสามารถแจ้งออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์กรมการจัดหางาน ที่ https://wpfast.doe.go.th/fast11/user/ จึงขอเชิญชวนนายจ้างที่มีการใช้แรงงานต่างด้าวเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีเอกสารการจ้างงาน ไม่มีใบอนุญาตทํางาน ให้รีบมาดําเนินการเพื่อหลีกเลี่ยงผู้มาใช้บริการจํานวนมากในช่วงใกล้วันปิดศูนย์ฯ รวมทั้งเพื่อเข้าสู่ระบบการจ้างแรงงานที่ถูกกฎหมาย เป็นไปตามขั้นตอนและทันตามเวลาที่กําหนด สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694 และศูนย์ประชาสัมพันธ์กระทรวงแรงงาน โทรศัพท์ 0 2232 1471 ------------------------------------ กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/ ศูนย์เฉพาะกิจเพื่ออํานวยการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว - ข้อมูล/ 28 กรกฎาคม 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5549
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีนำพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ ร่วมจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
วันอังคารที่ 13 สิงหาคม 2562 นายกรัฐมนตรีนําพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ ร่วมจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นายกรัฐมนตรีนําพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ ร่วมจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถฯ ประจําปีพุทธศักราช 2562 วันนี้ (12 สิงหาคม 2562) เวลา 19.30 น. ณ เวทีใหญ่ ท้องสนามหลวง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย นางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นประธานพิธีถวายเครื่องราชสักการะ และพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจําปีพุทธศักราช 2562 โดยมีประธานองค์กรตามรัฐธรรมนูญพร้อมภริยา คณะรัฐมนตรีพร้อมคู่สมรส ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทหาร ตํารวจ พลเรือน และภาคประชาชน เข้าร่วมในพิธีเพื่อแสดงความจงรักภักดีอย่างพร้อมเพรียง เมื่อนายกรัฐมนตรีและภริยาเดินทางถึงพิธีท้องสนามหลวง นายกรัฐมนตรีและภริยา เดินขึ้นสู่เวที จากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยา ถวายความเคารพหน้าพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นายกรัฐมนตรีวางพุ่มทอง พุ่มเงิน แล้วเปิดกรวยกระทงดอกไม้ ถวายเครื่องราชสักการะ ถวายคํานับ แล้วจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวนําถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง หน้าพระฉายาลักษณ์ฯ ความว่า ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม เนื่องในอภิลักขิตมหามงคลสมัย แห่งวันเฉลิมพระชนมพรรษาของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ที่เวียนมาบรรจบอีกคํารบหนึ่ง ในวันที่ 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2562 ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในนามของ คณะรัฐมนตรี คู่สมรส และพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า มีความปลื้มปีติเป็นล้นพ้นที่ได้มาร่วมกันแสดงความจงรักภักดี และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในวันนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ปวงข้าพระพุทธเจ้าต่างประจักษ์ชัดแจ้ง ในน้ําพระราชหฤทัยและพระเมตตาของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทที่ทรงมุ่งมั่นปฏิบัติ บําเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริที่ล้วนเกิดจากสายพระเนตรอันกว้างไกล ได้ส่งผลให้เกิดความช่วยเหลือและการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ ของราษฎรให้ดีขึ้น พร้อมทั้งธํารงรักษาสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า แหล่งต้นน้ําลําธาร ท้องทะเล ทรงเป็นแบบอย่างให้ประชาชนได้ตระหนักถึง ความสําคัญของทรัพยากรของชาติที่อํานวยประโยชน์แก่ทุกชีวิตบนผืนแผ่นดินไทย เพื่อให้ช่วยกันดูแลรักษาให้วัฒนาถาวรสืบไป พระปรีชาสามารถและพระราชวิริยอุตสาหะในการทรงงานเพื่อปวงประชานับเป็นอเนกประการ ได้ดับความทุกข์ร้อนโพยภัย นํามาซึ่งความผาสุกร่มเย็นโดยถ้วนหน้า ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่มีต่อผองพสกนิกร จึงทรงเป็นแม่แห่งแผ่นดินที่สถิตสถาพรอยู่กลางใจพสกนิกรทั่วทั้งแผ่นดิน ในโอกาสอันเป็นมิ่งมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2562 นี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานนําพสกนิกรทั้งหลายถวายพระพรชัยมงคล ดังต่อไปนี้ “ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขอพระราชทานถวายพระพรชัยมงคล ขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัยและอํานาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล ตลอดทั้งอานุภาพแห่งองค์พระสยามเทวาธิราช โปรดอภิบาลประทานพรให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงพระเจริญ พร้อมด้วยสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล พระชนมายุยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสําราญ มีพระสุขภาพพลานามัยแข็งแรง ปราศจากโรคาพาธและภัยพาลทั้งปวง สถิตเป็นฉัตรแก้วร่มเกล้าของปวง ข้าพระพุทธเจ้า และเหล่าพสกนิกรตราบกาลนานเทอญ” ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี พร้อมกับผู้เข้าร่วมพิธี และประชาชนทั้งในบริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวงและทุกจังหวัดทั่วประเทศ จบแล้ว นายกรัฐมนตรีและภริยาร่วมร้องเพลงสดุดีพระแม่เจ้า แล้วนายกรัฐมนตรีกล่าวนํา “ทรงพระเจริญ” 3 ครั้ง ประชาชนทุกหมู่เหล่าต่างเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องทั่วท้องสนามหลวง เป็นอันเสร็จพิธี -------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีนำพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ ร่วมจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง วันอังคารที่ 13 สิงหาคม 2562 นายกรัฐมนตรีนําพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ ร่วมจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นายกรัฐมนตรีนําพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ ร่วมจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถฯ ประจําปีพุทธศักราช 2562 วันนี้ (12 สิงหาคม 2562) เวลา 19.30 น. ณ เวทีใหญ่ ท้องสนามหลวง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย นางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นประธานพิธีถวายเครื่องราชสักการะ และพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจําปีพุทธศักราช 2562 โดยมีประธานองค์กรตามรัฐธรรมนูญพร้อมภริยา คณะรัฐมนตรีพร้อมคู่สมรส ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทหาร ตํารวจ พลเรือน และภาคประชาชน เข้าร่วมในพิธีเพื่อแสดงความจงรักภักดีอย่างพร้อมเพรียง เมื่อนายกรัฐมนตรีและภริยาเดินทางถึงพิธีท้องสนามหลวง นายกรัฐมนตรีและภริยา เดินขึ้นสู่เวที จากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยา ถวายความเคารพหน้าพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นายกรัฐมนตรีวางพุ่มทอง พุ่มเงิน แล้วเปิดกรวยกระทงดอกไม้ ถวายเครื่องราชสักการะ ถวายคํานับ แล้วจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวนําถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง หน้าพระฉายาลักษณ์ฯ ความว่า ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม เนื่องในอภิลักขิตมหามงคลสมัย แห่งวันเฉลิมพระชนมพรรษาของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ที่เวียนมาบรรจบอีกคํารบหนึ่ง ในวันที่ 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2562 ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในนามของ คณะรัฐมนตรี คู่สมรส และพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า มีความปลื้มปีติเป็นล้นพ้นที่ได้มาร่วมกันแสดงความจงรักภักดี และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในวันนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ปวงข้าพระพุทธเจ้าต่างประจักษ์ชัดแจ้ง ในน้ําพระราชหฤทัยและพระเมตตาของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทที่ทรงมุ่งมั่นปฏิบัติ บําเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริที่ล้วนเกิดจากสายพระเนตรอันกว้างไกล ได้ส่งผลให้เกิดความช่วยเหลือและการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ ของราษฎรให้ดีขึ้น พร้อมทั้งธํารงรักษาสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า แหล่งต้นน้ําลําธาร ท้องทะเล ทรงเป็นแบบอย่างให้ประชาชนได้ตระหนักถึง ความสําคัญของทรัพยากรของชาติที่อํานวยประโยชน์แก่ทุกชีวิตบนผืนแผ่นดินไทย เพื่อให้ช่วยกันดูแลรักษาให้วัฒนาถาวรสืบไป พระปรีชาสามารถและพระราชวิริยอุตสาหะในการทรงงานเพื่อปวงประชานับเป็นอเนกประการ ได้ดับความทุกข์ร้อนโพยภัย นํามาซึ่งความผาสุกร่มเย็นโดยถ้วนหน้า ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่มีต่อผองพสกนิกร จึงทรงเป็นแม่แห่งแผ่นดินที่สถิตสถาพรอยู่กลางใจพสกนิกรทั่วทั้งแผ่นดิน ในโอกาสอันเป็นมิ่งมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2562 นี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานนําพสกนิกรทั้งหลายถวายพระพรชัยมงคล ดังต่อไปนี้ “ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขอพระราชทานถวายพระพรชัยมงคล ขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัยและอํานาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล ตลอดทั้งอานุภาพแห่งองค์พระสยามเทวาธิราช โปรดอภิบาลประทานพรให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงพระเจริญ พร้อมด้วยสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล พระชนมายุยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสําราญ มีพระสุขภาพพลานามัยแข็งแรง ปราศจากโรคาพาธและภัยพาลทั้งปวง สถิตเป็นฉัตรแก้วร่มเกล้าของปวง ข้าพระพุทธเจ้า และเหล่าพสกนิกรตราบกาลนานเทอญ” ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี พร้อมกับผู้เข้าร่วมพิธี และประชาชนทั้งในบริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวงและทุกจังหวัดทั่วประเทศ จบแล้ว นายกรัฐมนตรีและภริยาร่วมร้องเพลงสดุดีพระแม่เจ้า แล้วนายกรัฐมนตรีกล่าวนํา “ทรงพระเจริญ” 3 ครั้ง ประชาชนทุกหมู่เหล่าต่างเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องทั่วท้องสนามหลวง เป็นอันเสร็จพิธี -------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22162
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปรากประสานงานและอำนวยความสะดวกแก่คนไทยเดินทางกลับประเทศไทย โดยสายการบิน Lufthansa [กระทรวงการต่างประเทศ]
วันพุธที่ 13 พฤษภาคม 2563 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปรากประสานงานและอํานวยความสะดวกแก่คนไทยเดินทางกลับประเทศไทย โดยสายการบิน Lufthansa [กระทรวงการต่างประเทศ] สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปรากประสานงานและอํานวยความสะดวกแก่คนไทยเดินทางกลับประเทศไทย โดยสายการบิน Lufthansa สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปราก ได้ประสานงานและอํานวยความสะดวกให้แก่คนไทยจํานวนสองคนที่มีความจําเป็นเร่งด่วนในการเดินทางกลับประเทศไทย โดยเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2563 บุคคลทั้งสองได้เดินทางโดยรถยนต์จากกรุงปรากถึงนครแฟรงก์เฟิร์ต เพื่อเดินทางกลับไทยโดยสายการบิน Lufthansa เที่ยวบินที่ LH 772 ออกจากนครแฟรงก์เฟิร์ต ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2563 เวลา 07.20 น. ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้รับความร่วมมือและความอนุเคราะห์จากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ตในการนําคนไทยเดินทางกลับประเทศไทยในครั้งนี้ ก่อนหน้านี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้อํานวยความสะดวกให้แก่คนไทยในการนัดหมายพบแพทย์เพื่อออกใบรับรองแพทย์ และการออกเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งในการผ่านแดนทางบกและการเดินทางเข้าประเทศไทยด้วย #น้ําใจคนไทยไม่ทิ้งกัน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปรากประสานงานและอำนวยความสะดวกแก่คนไทยเดินทางกลับประเทศไทย โดยสายการบิน Lufthansa [กระทรวงการต่างประเทศ] วันพุธที่ 13 พฤษภาคม 2563 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปรากประสานงานและอํานวยความสะดวกแก่คนไทยเดินทางกลับประเทศไทย โดยสายการบิน Lufthansa [กระทรวงการต่างประเทศ] สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปรากประสานงานและอํานวยความสะดวกแก่คนไทยเดินทางกลับประเทศไทย โดยสายการบิน Lufthansa สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปราก ได้ประสานงานและอํานวยความสะดวกให้แก่คนไทยจํานวนสองคนที่มีความจําเป็นเร่งด่วนในการเดินทางกลับประเทศไทย โดยเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2563 บุคคลทั้งสองได้เดินทางโดยรถยนต์จากกรุงปรากถึงนครแฟรงก์เฟิร์ต เพื่อเดินทางกลับไทยโดยสายการบิน Lufthansa เที่ยวบินที่ LH 772 ออกจากนครแฟรงก์เฟิร์ต ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2563 เวลา 07.20 น. ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้รับความร่วมมือและความอนุเคราะห์จากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ตในการนําคนไทยเดินทางกลับประเทศไทยในครั้งนี้ ก่อนหน้านี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้อํานวยความสะดวกให้แก่คนไทยในการนัดหมายพบแพทย์เพื่อออกใบรับรองแพทย์ และการออกเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งในการผ่านแดนทางบกและการเดินทางเข้าประเทศไทยด้วย #น้ําใจคนไทยไม่ทิ้งกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30774
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเปิดด่านทั่วประเทศเว้นภาษีนำเข้าเวชภัณฑ์ 66 รายการ ลดขั้นตอนพิธีศุลกากรช่วยเหลือคนไทย ป้องกันภัยโควิด
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563 รัฐบาลเปิดด่านทั่วประเทศเว้นภาษีนําเข้าเวชภัณฑ์ 66 รายการ ลดขั้นตอนพิธีศุลกากรช่วยเหลือคนไทย ป้องกันภัยโควิด “ก.คลัง” เตรียมออกประกาศกระทรวงการคลังยกเว้นภาษีนําเข้าสินค้าเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ 66 รายการ มอบด่านศุลกากรทั้งทางบก น้ํา อากาศ ทั่วประเทศเพิ่มความคล่องตัวในขั้นตอนการทํางาน มีผลบังคับใช้แล้ว “ก.คลัง” เตรียมออกประกาศกระทรวงการคลังยกเว้นภาษีนําเข้าสินค้าเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ 66 รายการ มอบด่านศุลกากรทั้งทางบก น้ํา อากาศ ทั่วประเทศเพิ่มความคล่องตัวในขั้นตอนการทํางาน มีผลบังคับใช้แล้ว เร่งช่วยเหลือระบบสาธารณสุขของไทยในการรักษาและป้องกันโควิด -19 นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้เตรียมออกประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยการยกเว้นอากรศุลกากรสําหรับของที่นําเข้ามาเพื่อใช้รักษาวินิจฉัย หรือป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid 19) ตามมติคณะรัฐมนตรี ในการนําเข้าเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมทั้งสิ้น 66 รายการ เพื่อนํามาใช้ในกระบวนการรักษาผู้ป่วยในสถานพยาบาลต่างๆทั่วประเทศ ให้เพียงพอ โดยมอบหมายให้กรมศุลกากรออกประกาศกระทรวงการคลังลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากร ตามมาตร 12 ในพระราชกําหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ.2530 ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม เป็นต้นไปจนถึงสิ้นเดือน กันยายน 2563 ทั้งนี้ เวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ได้รับการยกเว้นการจัดเก็บภาษีในการนําเข้าสินค้า ประกอบด้วย กลุ่มยาสําเร็จรูป จํานวน 18 รายการ อาทิ ยาฟาวิพิราเวีย ยาฉีดปราศจากเชื้อชนิดต่างๆ กลุ่มเภสัชเคมีภัณฑ์ จํานวน 8 รายการ อาทิ ยาpremix สูตรผสม (Lopinavir+ritonavir) กลุ่มเครื่องมือแพทย์ จํานวน 36 รายการ อาทิ น้ํายาตรวจวินิจฉัยโควิด-19 หน้ากากชนิด N 95 หรือสูงกว่า และเสื้อกาวน์ผ่าตัด แว่นตานิรภัย ชุดเครื่องช่วยหายใจชนิดต่างๆ PAPR หน้ากากที่ทําให้อากาศสะอาดชนิดที่มีพลังงานและช่วยเป่าอากาศเข้าในหน้ากาก และกลุ่มรายการวัตถุอันตราย ประเภทผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดฆ่าเชื้อโรค จํานวน 4 รายการ อาทิ Sodium Hypochlorite ไม่ต่ํากว่า 0.5% และHydrogen peroxide ไม่ต่ํากว่า 0.5% อย่างไรก็ตามยังได้มอบหมายให้กรมศุลกากร เร่งดําเนินการเป็นให้ไปตามระเบียบของประกาศดังกล่าวในการยกเว้นอากรนําเข้าสินค้าสําหรับประเภทสินค้าที่ประกาศทั้งหมด เพื่อให้การปฏิบัติงานในด่านศุลกากรทั่วประเทศที่มีอยู่ทั้งทางเรือ ทางบกและทางอากาศ สามารถดําเนินการได้ทันที เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการนําเข้าสินค้าเวชภัณฑ์เพื่อนํามาใช้ในการป้องกันและการรักษาการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของภาคประชาชน และเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ กรมศุลกากร โทร. 02 667 6000, 02 667 7000, Call Center 1164
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเปิดด่านทั่วประเทศเว้นภาษีนำเข้าเวชภัณฑ์ 66 รายการ ลดขั้นตอนพิธีศุลกากรช่วยเหลือคนไทย ป้องกันภัยโควิด วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563 รัฐบาลเปิดด่านทั่วประเทศเว้นภาษีนําเข้าเวชภัณฑ์ 66 รายการ ลดขั้นตอนพิธีศุลกากรช่วยเหลือคนไทย ป้องกันภัยโควิด “ก.คลัง” เตรียมออกประกาศกระทรวงการคลังยกเว้นภาษีนําเข้าสินค้าเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ 66 รายการ มอบด่านศุลกากรทั้งทางบก น้ํา อากาศ ทั่วประเทศเพิ่มความคล่องตัวในขั้นตอนการทํางาน มีผลบังคับใช้แล้ว “ก.คลัง” เตรียมออกประกาศกระทรวงการคลังยกเว้นภาษีนําเข้าสินค้าเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ 66 รายการ มอบด่านศุลกากรทั้งทางบก น้ํา อากาศ ทั่วประเทศเพิ่มความคล่องตัวในขั้นตอนการทํางาน มีผลบังคับใช้แล้ว เร่งช่วยเหลือระบบสาธารณสุขของไทยในการรักษาและป้องกันโควิด -19 นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้เตรียมออกประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยการยกเว้นอากรศุลกากรสําหรับของที่นําเข้ามาเพื่อใช้รักษาวินิจฉัย หรือป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid 19) ตามมติคณะรัฐมนตรี ในการนําเข้าเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมทั้งสิ้น 66 รายการ เพื่อนํามาใช้ในกระบวนการรักษาผู้ป่วยในสถานพยาบาลต่างๆทั่วประเทศ ให้เพียงพอ โดยมอบหมายให้กรมศุลกากรออกประกาศกระทรวงการคลังลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากร ตามมาตร 12 ในพระราชกําหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ.2530 ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม เป็นต้นไปจนถึงสิ้นเดือน กันยายน 2563 ทั้งนี้ เวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ได้รับการยกเว้นการจัดเก็บภาษีในการนําเข้าสินค้า ประกอบด้วย กลุ่มยาสําเร็จรูป จํานวน 18 รายการ อาทิ ยาฟาวิพิราเวีย ยาฉีดปราศจากเชื้อชนิดต่างๆ กลุ่มเภสัชเคมีภัณฑ์ จํานวน 8 รายการ อาทิ ยาpremix สูตรผสม (Lopinavir+ritonavir) กลุ่มเครื่องมือแพทย์ จํานวน 36 รายการ อาทิ น้ํายาตรวจวินิจฉัยโควิด-19 หน้ากากชนิด N 95 หรือสูงกว่า และเสื้อกาวน์ผ่าตัด แว่นตานิรภัย ชุดเครื่องช่วยหายใจชนิดต่างๆ PAPR หน้ากากที่ทําให้อากาศสะอาดชนิดที่มีพลังงานและช่วยเป่าอากาศเข้าในหน้ากาก และกลุ่มรายการวัตถุอันตราย ประเภทผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดฆ่าเชื้อโรค จํานวน 4 รายการ อาทิ Sodium Hypochlorite ไม่ต่ํากว่า 0.5% และHydrogen peroxide ไม่ต่ํากว่า 0.5% อย่างไรก็ตามยังได้มอบหมายให้กรมศุลกากร เร่งดําเนินการเป็นให้ไปตามระเบียบของประกาศดังกล่าวในการยกเว้นอากรนําเข้าสินค้าสําหรับประเภทสินค้าที่ประกาศทั้งหมด เพื่อให้การปฏิบัติงานในด่านศุลกากรทั่วประเทศที่มีอยู่ทั้งทางเรือ ทางบกและทางอากาศ สามารถดําเนินการได้ทันที เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการนําเข้าสินค้าเวชภัณฑ์เพื่อนํามาใช้ในการป้องกันและการรักษาการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของภาคประชาชน และเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ กรมศุลกากร โทร. 02 667 6000, 02 667 7000, Call Center 1164
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28777
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ พสุ เป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนาเพื่อเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติโรงงานฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมและการปรับปรุงประสิทธิภาพการเบิกจ่ายและการติดตามการชำระค่าปรับตาม
วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562 ปลัดฯ พสุ เป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนาเพื่อเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติโรงงานฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมและการปรับปรุงประสิทธิภาพการเบิกจ่ายและการติดตามการชําระค่าปรับตาม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนาเจ้าหน้าที่เพื่อเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติโรงงานฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมและการปรับปรุงประสิทธิภาพการเบิกจ่ายและการติดตามการชําระค่าปรับตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน วันนี้ (21 กันยายน 2562) เวลา 09.00 น. นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนาเจ้าหน้าที่เพื่อเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติโรงงานฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมและการปรับปรุงประสิทธิภาพการเบิกจ่ายและการติดตามการชําระค่าปรับตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน พร้อมด้วยการเสวนาเรื่อง การตรวจสอบรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อการดําเนินคดีเกี่ยวกับกฎหมายโรงงาน โดยมี นายเอกภัทร วังสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมจังหวัด เจ้าหน้ากลุ่มโรงงาน และเจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมทองแร่ เข้าร่วม นอกจากนี้ ยังมีการเสวนาในหัวข้อ การทําบัญชีและนําส่งเงินสินบนรางวัลและค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานส่งคลังจังหวัดและจัดส่งเงินให้กับการเงินและบัญชี ของ สปอ. ได้รับเกียรติจาก นางสาวนันทกา อมราวดี หัวหน้าฝ่ายการเงิน นางเผ่าทิพย์ พินิจผล หัวหน้าฝ่ายบัญชีและบริหารงบประมาณ นางสาววราภรณ์ ครุขยัน นักวิชาการเงินและบัญชีชํานาญการ และนางสาวปิยะนุช รอดสงฆ์ นักวิชาการเงินและบัญชีชํานาญการ ในการเป็นวิทยากรบรรยาย โดยมี ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กลุ่มนโยบายและแผน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน เข้าร่วม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ พสุ เป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนาเพื่อเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติโรงงานฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมและการปรับปรุงประสิทธิภาพการเบิกจ่ายและการติดตามการชำระค่าปรับตาม วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562 ปลัดฯ พสุ เป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนาเพื่อเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติโรงงานฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมและการปรับปรุงประสิทธิภาพการเบิกจ่ายและการติดตามการชําระค่าปรับตาม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนาเจ้าหน้าที่เพื่อเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติโรงงานฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมและการปรับปรุงประสิทธิภาพการเบิกจ่ายและการติดตามการชําระค่าปรับตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน วันนี้ (21 กันยายน 2562) เวลา 09.00 น. นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนาเจ้าหน้าที่เพื่อเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติโรงงานฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมและการปรับปรุงประสิทธิภาพการเบิกจ่ายและการติดตามการชําระค่าปรับตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน พร้อมด้วยการเสวนาเรื่อง การตรวจสอบรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อการดําเนินคดีเกี่ยวกับกฎหมายโรงงาน โดยมี นายเอกภัทร วังสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมจังหวัด เจ้าหน้ากลุ่มโรงงาน และเจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมทองแร่ เข้าร่วม นอกจากนี้ ยังมีการเสวนาในหัวข้อ การทําบัญชีและนําส่งเงินสินบนรางวัลและค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานส่งคลังจังหวัดและจัดส่งเงินให้กับการเงินและบัญชี ของ สปอ. ได้รับเกียรติจาก นางสาวนันทกา อมราวดี หัวหน้าฝ่ายการเงิน นางเผ่าทิพย์ พินิจผล หัวหน้าฝ่ายบัญชีและบริหารงบประมาณ นางสาววราภรณ์ ครุขยัน นักวิชาการเงินและบัญชีชํานาญการ และนางสาวปิยะนุช รอดสงฆ์ นักวิชาการเงินและบัญชีชํานาญการ ในการเป็นวิทยากรบรรยาย โดยมี ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กลุ่มนโยบายและแผน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน เข้าร่วม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23320
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ประชุมร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม และมีแผนในการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเอสเอ็มอีและโรงงานนำร่องในจังหวัดอุบลราชธานี
วันพุธที่ 5 กรกฎาคม 2560 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ประชุมร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม และมีแผนในการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเอสเอ็มอีและโรงงานนําร่องในจังหวัดอุบลราชธานี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ประชุมร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม และมีแผนในการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเอสเอ็มอีและโรงงานนําร่องในจังหวัดอุบลราชธานี จ.อุบลราชธานี : วันที่ 5 กรกฎาคม 2560 นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ประชุมร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการ นําโดย นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี และผู้ประกอบการรายใหญ่ในจังหวัดอุบลราชธานี ได้แก่ นายสุทธิชัย โควสุรัตน์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดฯ นายสมชาติ พงคพนาไกร ประธานหอการค้าจังหวัดฯ และนายชลวิชญ์ อภิรัตน์มนตรี ผู้แทนสมาพันธ์ sme จังหวัดฯ รวมทั้ง สถาบันอุดมศึกษา ได้แก่ ผอ.ชวลิต ถิ่นวงษ์พิทักษ์ ม.อุบลราชธานี เกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมของจังหวัดอุบลราชธานี โดยมี นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รวมทั้ง นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และนายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ร่วมหารือเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม และมีแผนในการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเอสเอ็มอีและโรงงานนําร่องในจังหวัดอุบลราชธานีณ ห้องรับรอง สนามบินอุบลราชธานี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ประชุมร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม และมีแผนในการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเอสเอ็มอีและโรงงานนำร่องในจังหวัดอุบลราชธานี วันพุธที่ 5 กรกฎาคม 2560 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ประชุมร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม และมีแผนในการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเอสเอ็มอีและโรงงานนําร่องในจังหวัดอุบลราชธานี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ประชุมร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม และมีแผนในการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเอสเอ็มอีและโรงงานนําร่องในจังหวัดอุบลราชธานี จ.อุบลราชธานี : วันที่ 5 กรกฎาคม 2560 นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ประชุมร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการ นําโดย นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี และผู้ประกอบการรายใหญ่ในจังหวัดอุบลราชธานี ได้แก่ นายสุทธิชัย โควสุรัตน์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดฯ นายสมชาติ พงคพนาไกร ประธานหอการค้าจังหวัดฯ และนายชลวิชญ์ อภิรัตน์มนตรี ผู้แทนสมาพันธ์ sme จังหวัดฯ รวมทั้ง สถาบันอุดมศึกษา ได้แก่ ผอ.ชวลิต ถิ่นวงษ์พิทักษ์ ม.อุบลราชธานี เกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมของจังหวัดอุบลราชธานี โดยมี นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รวมทั้ง นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และนายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ร่วมหารือเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม และมีแผนในการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเอสเอ็มอีและโรงงานนําร่องในจังหวัดอุบลราชธานีณ ห้องรับรอง สนามบินอุบลราชธานี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5016
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา เยี่ยมกลุ่มเกษตรกรบ้านแสงวิมานจังหวัดนครศรีธรรมราช
วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 รมช.มนัญญา เยี่ยมกลุ่มเกษตรกรบ้านแสงวิมานจังหวัดนครศรีธรรมราช รมช.มนัญญา เยี่ยมกลุ่มเกษตรกรบ้านแสงวิมานจังหวัดนครศรีธรรมราช ดันส้มโอทับทิมสยามส่งออกทั้งในและต่างประเทศ นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะ ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และตรวจเยี่ยมกลุ่มเกษตรกรบ้านแสงวิมาน ณ ตําบลคลองน้อย อําเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช (วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563) นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่าตามที่นโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สนับสนุนและให้ความสําคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาสินค้าการเกษตรโดยใช้ระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ เพื่อให้ได้ผลผลิตตามมาตรฐาน Good Agricultural Practice (GAP) ซึ่งเป็นผลผลิตที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน การผลิตส้มโอทับทิมสยาม ที่มีคุณภาพ ถือเป็นผลงานที่เกิดจากการบูรณาการของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยมีกรมส่งเสริมสหกรณ์ สํานักงานสหกรณ์จังหวัดนครศรีธรรมราช และกลุ่มเกษตรในพื้นที่ บริหารจัดการร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ " ในวันนี้จากการลงพื้นที่เห็นได้ชัดว่าผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ เป็นสินค้าที่ได้คุณภาพ สามารถส่งออกและจัดจําหน่ายได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แม้ว่าสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรน่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการส่งออกผลไม้ ไปยังประเทศจีน จึงจําเป็นต้องเพิ่มช่องทางตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ อย่างไรก็ตามความต้องการผลิตภัณฑ์ผลไม้อินทรีย์ภายในประเทศยังมีความต้องการสูง ซึ่งมีตลาดรองรับเพียงพอ สําหรับปัญหาน้ําเค็มที่ส่งผลกระทบต่อการปลูกพืชพรรณทางการเกษตรทางกระทรวงเกษตรฯ พร้อมหารือและนําปัญหาดังกล่าว เพื่อดําเนินการปรับปรุงแก้ไขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการต่อไป " รมช.กล่าว อนึ่งผลงานดีเด่นของกลุ่มเกษตรกรบ้านแสงวิมานตําบลคลองน้อย การดําเนินงานของกลุ่มฯ ได้น้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดํารัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช มาประยุกต์ใช้ในการดําเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม และรับรางวัลชนะเลิศในโครงการขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในสหกรณ์และกลุ่มเกษตร ประจําปี พ.ศ.2561 กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา เยี่ยมกลุ่มเกษตรกรบ้านแสงวิมานจังหวัดนครศรีธรรมราช วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 รมช.มนัญญา เยี่ยมกลุ่มเกษตรกรบ้านแสงวิมานจังหวัดนครศรีธรรมราช รมช.มนัญญา เยี่ยมกลุ่มเกษตรกรบ้านแสงวิมานจังหวัดนครศรีธรรมราช ดันส้มโอทับทิมสยามส่งออกทั้งในและต่างประเทศ นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะ ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และตรวจเยี่ยมกลุ่มเกษตรกรบ้านแสงวิมาน ณ ตําบลคลองน้อย อําเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช (วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563) นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่าตามที่นโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สนับสนุนและให้ความสําคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาสินค้าการเกษตรโดยใช้ระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ เพื่อให้ได้ผลผลิตตามมาตรฐาน Good Agricultural Practice (GAP) ซึ่งเป็นผลผลิตที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน การผลิตส้มโอทับทิมสยาม ที่มีคุณภาพ ถือเป็นผลงานที่เกิดจากการบูรณาการของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยมีกรมส่งเสริมสหกรณ์ สํานักงานสหกรณ์จังหวัดนครศรีธรรมราช และกลุ่มเกษตรในพื้นที่ บริหารจัดการร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ " ในวันนี้จากการลงพื้นที่เห็นได้ชัดว่าผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ เป็นสินค้าที่ได้คุณภาพ สามารถส่งออกและจัดจําหน่ายได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แม้ว่าสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรน่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการส่งออกผลไม้ ไปยังประเทศจีน จึงจําเป็นต้องเพิ่มช่องทางตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ อย่างไรก็ตามความต้องการผลิตภัณฑ์ผลไม้อินทรีย์ภายในประเทศยังมีความต้องการสูง ซึ่งมีตลาดรองรับเพียงพอ สําหรับปัญหาน้ําเค็มที่ส่งผลกระทบต่อการปลูกพืชพรรณทางการเกษตรทางกระทรวงเกษตรฯ พร้อมหารือและนําปัญหาดังกล่าว เพื่อดําเนินการปรับปรุงแก้ไขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการต่อไป " รมช.กล่าว อนึ่งผลงานดีเด่นของกลุ่มเกษตรกรบ้านแสงวิมานตําบลคลองน้อย การดําเนินงานของกลุ่มฯ ได้น้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดํารัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช มาประยุกต์ใช้ในการดําเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม และรับรางวัลชนะเลิศในโครงการขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในสหกรณ์และกลุ่มเกษตร ประจําปี พ.ศ.2561 กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26552
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือทุกภาคส่วนจัดงานวันต่อต้านการค้ามนุษย์ ประจำปี 2561 ภายใต้แนวคิด “ประชารัฐร่วมใจ ต้านภัยการค้ามนุษย์”
วันพุธที่ 6 มิถุนายน 2561 พม. จับมือทุกภาคส่วนจัดงานวันต่อต้านการค้ามนุษย์ ประจําปี 2561 ภายใต้แนวคิด “ประชารัฐร่วมใจ ต้านภัยการค้ามนุษย์” พม. จับมือทุกภาคส่วนจัดงานวันต่อต้านการค้ามนุษย์ ประจําปี 2561 ภายใต้แนวคิด “ประชารัฐร่วมใจ ต้านภัยการค้ามนุษย์” วันนี้ (6 มิ.ย. 61) เวลา 09.30 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน วันต่อต้านการค้ามนุษย์ ประจําปี 2561 ภายใต้แนวคิด “ประชารัฐร่วมใจ ต้านภัยค้ามนุษย์” โดยมีพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) และนายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมด้วย รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้อ' เอกอัครราชทูตและผู้แทนสถานทูตต่างๆ องค์การระหว่างประเทศ หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสื่อมวลชน รวมจํานวนกว่า 500 คน เข้าร่วมงาน ประเทศไทยได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2551 จึงเป็นที่มาในการกําหนดให้วันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปี เป็น “วันต่อต้านการค้ามนุษย์” ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน หรือพลัง “ประชารัฐ” รัฐบาลโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จึงได้จัดงานวันต่อต้านการค้ามนุษย์ขึ้นเป็นประจําทุกปี ในปี 2561 นี้ กระทรวง พม. ได้จัดงานวันต่อต้านการค้ามนุษย์ ภายใต้แนวคิด “ประชารัฐร่วมใจ ต้านภัยการค้ามนุษย์” เพื่อแสดงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่ให้ความสําคัญกับการต่อต้านการค้ามนุษย์ และผนึกกําลังจากทุกภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย 1) การมอบรางวัลแก่หน่วยงาน และผู้ปฏิบัติงาน ที่มีผลงานดีเด่นด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ 2) การมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดภาพวาดเด็กและเยาวชน 3) การมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดออกแบบสติ๊กเกอร์ในแอพพลิเคชั่น LINE 4) การมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดคําขวัญ เพื่อรณรงค์ต่อต้านการค้ามนุษย์ในทุกกลุ่มเป้าหมาย และ 5) การแสดงนิทรรศการผลงานการดําเนินงานของรัฐบาล และผลงานของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้ง ภาครัฐ องค์กรเอกชน และองค์การระหว่างประเทศ ที่ให้ความร่วมมือในการต่อต้านการค้ามนุษย์ในทุกมิติ รัฐบาลได้มุ่งมั่นปฏิรูปการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ทั้งระบบ ทั้งด้านการดําเนินคดีกับผู้กระทําความผิด ด้านการคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และด้านการป้องกันเพื่อมิให้กลุ่มเสี่ยงตกเข้าสู่ขบวนการค้ามนุษย์ โดยตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา มีผลงานสําคัญที่เป็นรูปธรรม เช่น 1) ด้านการดําเนินคดีและบังคับใช้กฎหมาย ได้เร่งรัดให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย สืบสวนปราบปรามคดีค้ามนุษย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง และกําหนดทิศทางในการดําเนินคดีให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ส่งผลให้สามารถจับกุมคดีค้ามนุษย์ได้กว่า 1,000 คดี สําหรับสถิติในปี 2560 มีจํานวนคดีทั้งสิ้น 302 คดี รูปแบบการแสวงประโยชน์ทางเพศพบมากที่สุด มีจํานวน 255 คดี รองลงมา คือ การนําคนมาขอทาน 26 คดี และการบังคับใช้แรงงาน 21 คดี 2) ด้านการคุ้มครองช่วยเหลือ ได้ให้ความสําคัญกับการคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ โดยคํานึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้เสียหายและไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งในปี 2560 มีผู้เสียหายที่ผ่านการคัดแยกจากทีมสหวิชาชีพ จํานวน 455 คน ประสงค์เข้ารับการคุ้มครองในสถานคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ของกระทรวง พม. จํานวนทั้งสิ้น 360 คน และในระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา มีผู้เสียหายเข้ารับการคุ้มครอง จํานวนทั้งสิ้น 1,695 คน โดยได้รับบริการตามสิทธิที่เท่าเทียมกัน เพื่อมิให้กลับมาเป็นผู้เสียหายซ้ํา และ 3) ด้านการป้องกัน รัฐบาลมีนโยบายให้แรงงานต่างด้าวได้ทํางานแบบถูกต้องตามกฎหมาย เป็นไปตามหลักสากล นอกจากนี้ ยังได้รณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และตระหนักถึงภัยของการค้ามนุษย์ การแจ้งเบาะแสของการค้ามนุษย์ และลดอุปสงค์การแสวงหาประโยชน์ทางเพศที่แฝงมากับการท่องเที่ยว โดยเพิ่มการประชาสัมพันธ์ ในรูปแบบของ Inflight VDO บนเครื่องบินที่เดินทางมาจากต่างประเทศ เพื่อเชิญชวนนักท่องเที่ยวไม่สนับสนุนให้เกิดการค้ามนุษย์ อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลพบว่าผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์มีอายุน้อยลง และแนวโน้มของการถูกแสวงหาประโยชน์ทางเพศยังเป็นปัญหาลําดับต้น โดยขบวนการค้ามนุษย์มีรูปแบบที่ซับซ้อนมากขึ้นในยุคที่มีการติดต่อสื่อสารได้อย่างรวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น จึงขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันเสริมสร้างความเข้มแข็งและภูมิคุ้มกันทางสังคมให้กับกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กและเยาวชน มิให้ตกเข้าสู่ขบวนการค้ามนุษย์ และให้ทุกหน่วยงานเดินหน้าปราบปรามผู้กระทําความผิด และขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติอย่างเด็ดขาดและจริงจัง โดยเฉพาะการดําเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ทั้งนี้ ขอให้ทุกคนมุ่งมั่น อดทน ร่วมกันปฏิบัติงานอย่างเต็มกําลังความสามารถ เพื่อดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ให้เกิด ผลเป็นรูปธรรม และร่วมกันผนึกพลังต่อต้านการค้ามนุษย์ตามเจตนารมณ์สากล คือ “การคํานึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือทุกภาคส่วนจัดงานวันต่อต้านการค้ามนุษย์ ประจำปี 2561 ภายใต้แนวคิด “ประชารัฐร่วมใจ ต้านภัยการค้ามนุษย์” วันพุธที่ 6 มิถุนายน 2561 พม. จับมือทุกภาคส่วนจัดงานวันต่อต้านการค้ามนุษย์ ประจําปี 2561 ภายใต้แนวคิด “ประชารัฐร่วมใจ ต้านภัยการค้ามนุษย์” พม. จับมือทุกภาคส่วนจัดงานวันต่อต้านการค้ามนุษย์ ประจําปี 2561 ภายใต้แนวคิด “ประชารัฐร่วมใจ ต้านภัยการค้ามนุษย์” วันนี้ (6 มิ.ย. 61) เวลา 09.30 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน วันต่อต้านการค้ามนุษย์ ประจําปี 2561 ภายใต้แนวคิด “ประชารัฐร่วมใจ ต้านภัยค้ามนุษย์” โดยมีพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) และนายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมด้วย รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้อ' เอกอัครราชทูตและผู้แทนสถานทูตต่างๆ องค์การระหว่างประเทศ หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสื่อมวลชน รวมจํานวนกว่า 500 คน เข้าร่วมงาน ประเทศไทยได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2551 จึงเป็นที่มาในการกําหนดให้วันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปี เป็น “วันต่อต้านการค้ามนุษย์” ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน หรือพลัง “ประชารัฐ” รัฐบาลโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จึงได้จัดงานวันต่อต้านการค้ามนุษย์ขึ้นเป็นประจําทุกปี ในปี 2561 นี้ กระทรวง พม. ได้จัดงานวันต่อต้านการค้ามนุษย์ ภายใต้แนวคิด “ประชารัฐร่วมใจ ต้านภัยการค้ามนุษย์” เพื่อแสดงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่ให้ความสําคัญกับการต่อต้านการค้ามนุษย์ และผนึกกําลังจากทุกภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย 1) การมอบรางวัลแก่หน่วยงาน และผู้ปฏิบัติงาน ที่มีผลงานดีเด่นด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ 2) การมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดภาพวาดเด็กและเยาวชน 3) การมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดออกแบบสติ๊กเกอร์ในแอพพลิเคชั่น LINE 4) การมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดคําขวัญ เพื่อรณรงค์ต่อต้านการค้ามนุษย์ในทุกกลุ่มเป้าหมาย และ 5) การแสดงนิทรรศการผลงานการดําเนินงานของรัฐบาล และผลงานของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้ง ภาครัฐ องค์กรเอกชน และองค์การระหว่างประเทศ ที่ให้ความร่วมมือในการต่อต้านการค้ามนุษย์ในทุกมิติ รัฐบาลได้มุ่งมั่นปฏิรูปการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ทั้งระบบ ทั้งด้านการดําเนินคดีกับผู้กระทําความผิด ด้านการคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และด้านการป้องกันเพื่อมิให้กลุ่มเสี่ยงตกเข้าสู่ขบวนการค้ามนุษย์ โดยตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา มีผลงานสําคัญที่เป็นรูปธรรม เช่น 1) ด้านการดําเนินคดีและบังคับใช้กฎหมาย ได้เร่งรัดให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย สืบสวนปราบปรามคดีค้ามนุษย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง และกําหนดทิศทางในการดําเนินคดีให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ส่งผลให้สามารถจับกุมคดีค้ามนุษย์ได้กว่า 1,000 คดี สําหรับสถิติในปี 2560 มีจํานวนคดีทั้งสิ้น 302 คดี รูปแบบการแสวงประโยชน์ทางเพศพบมากที่สุด มีจํานวน 255 คดี รองลงมา คือ การนําคนมาขอทาน 26 คดี และการบังคับใช้แรงงาน 21 คดี 2) ด้านการคุ้มครองช่วยเหลือ ได้ให้ความสําคัญกับการคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ โดยคํานึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้เสียหายและไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งในปี 2560 มีผู้เสียหายที่ผ่านการคัดแยกจากทีมสหวิชาชีพ จํานวน 455 คน ประสงค์เข้ารับการคุ้มครองในสถานคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ของกระทรวง พม. จํานวนทั้งสิ้น 360 คน และในระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา มีผู้เสียหายเข้ารับการคุ้มครอง จํานวนทั้งสิ้น 1,695 คน โดยได้รับบริการตามสิทธิที่เท่าเทียมกัน เพื่อมิให้กลับมาเป็นผู้เสียหายซ้ํา และ 3) ด้านการป้องกัน รัฐบาลมีนโยบายให้แรงงานต่างด้าวได้ทํางานแบบถูกต้องตามกฎหมาย เป็นไปตามหลักสากล นอกจากนี้ ยังได้รณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และตระหนักถึงภัยของการค้ามนุษย์ การแจ้งเบาะแสของการค้ามนุษย์ และลดอุปสงค์การแสวงหาประโยชน์ทางเพศที่แฝงมากับการท่องเที่ยว โดยเพิ่มการประชาสัมพันธ์ ในรูปแบบของ Inflight VDO บนเครื่องบินที่เดินทางมาจากต่างประเทศ เพื่อเชิญชวนนักท่องเที่ยวไม่สนับสนุนให้เกิดการค้ามนุษย์ อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลพบว่าผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์มีอายุน้อยลง และแนวโน้มของการถูกแสวงหาประโยชน์ทางเพศยังเป็นปัญหาลําดับต้น โดยขบวนการค้ามนุษย์มีรูปแบบที่ซับซ้อนมากขึ้นในยุคที่มีการติดต่อสื่อสารได้อย่างรวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น จึงขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันเสริมสร้างความเข้มแข็งและภูมิคุ้มกันทางสังคมให้กับกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กและเยาวชน มิให้ตกเข้าสู่ขบวนการค้ามนุษย์ และให้ทุกหน่วยงานเดินหน้าปราบปรามผู้กระทําความผิด และขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติอย่างเด็ดขาดและจริงจัง โดยเฉพาะการดําเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ทั้งนี้ ขอให้ทุกคนมุ่งมั่น อดทน ร่วมกันปฏิบัติงานอย่างเต็มกําลังความสามารถ เพื่อดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ให้เกิด ผลเป็นรูปธรรม และร่วมกันผนึกพลังต่อต้านการค้ามนุษย์ตามเจตนารมณ์สากล คือ “การคํานึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12809
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนแนวทางการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์
วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนแนวทางการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนแนวทางการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๑๑ น. นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายนิมิต ทัพวนานต์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมหารือถึงแนวทางการออกแบบโครงสร้างและการบริหารจัดการเรือนจําอุตสาหกรรมหรือเกษตรกรรม เพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง โดยมี นายโฆสิต สุวินิจจิต ประธานอนุกรรมการฯ พร้อมด้วยคณะอนุกรรมการฯ ร่วมหารือแนวทางดังกล่าว ทั้งนี้ การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาผู้ต้องขังล้นคุก ซึ่งกระทรวงยุติธรรมได้เดินหน้าแก้ไขไปแล้วบางส่วน ด้วยการสร้างเรือนนอนสองชั้นเพื่อลดความแออัดในการนอน โดยการจัดตั้งนิคมอุสาหกรรมราชทัณฑ์ เป้นอีกแนวทางหนึ่ง เพื่อลดความแออัดในเรือนจํา ควบคู่ไปกับการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง ให้สามารถคืนคนดีสู่สังคมได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน จากนั้น รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยคณะอนุกรรมการฯ ลงพื้นที่ศึกษาดูงานภายในทัณฑสถาน จํานวน ๓ แห่ง ได้แก่ ทัณฑสถานบําบัดพิเศษหญิง ทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง และทัณฑสถานบําบัดพิเศษจังหวัดปทุมธานี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนแนวทางการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนแนวทางการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนแนวทางการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๑๑ น. นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายนิมิต ทัพวนานต์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมหารือถึงแนวทางการออกแบบโครงสร้างและการบริหารจัดการเรือนจําอุตสาหกรรมหรือเกษตรกรรม เพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง โดยมี นายโฆสิต สุวินิจจิต ประธานอนุกรรมการฯ พร้อมด้วยคณะอนุกรรมการฯ ร่วมหารือแนวทางดังกล่าว ทั้งนี้ การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาผู้ต้องขังล้นคุก ซึ่งกระทรวงยุติธรรมได้เดินหน้าแก้ไขไปแล้วบางส่วน ด้วยการสร้างเรือนนอนสองชั้นเพื่อลดความแออัดในการนอน โดยการจัดตั้งนิคมอุสาหกรรมราชทัณฑ์ เป้นอีกแนวทางหนึ่ง เพื่อลดความแออัดในเรือนจํา ควบคู่ไปกับการพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง ให้สามารถคืนคนดีสู่สังคมได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน จากนั้น รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยคณะอนุกรรมการฯ ลงพื้นที่ศึกษาดูงานภายในทัณฑสถาน จํานวน ๓ แห่ง ได้แก่ ทัณฑสถานบําบัดพิเศษหญิง ทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง และทัณฑสถานบําบัดพิเศษจังหวัดปทุมธานี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33547
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอมอบหน้ากากอนามัยให้ รพ.จุฬาฯ
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563 บีโอไอมอบหน้ากากอนามัยให้ รพ.จุฬาฯ บีโอไอมอบหน้ากากอนามัยให้ รพ.จุฬาฯ บีโอไอมอบหน้ากากอนามัยให้ รพ.จุฬาฯ เมื่อเร็วๆ นี้ นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มอบหน้ากากอนามัย KN95 ที่ได้รับจากบริษัทในสาธารณรัฐประชาชนจีน ผ่านทางสํานักงานเศรษฐกิจการลงทุน ประจําการสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน (บีโอไอ ณ กรุงปักกิ่ง) จํานวน 2,000 ชิ้น ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอมอบหน้ากากอนามัยให้ รพ.จุฬาฯ วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563 บีโอไอมอบหน้ากากอนามัยให้ รพ.จุฬาฯ บีโอไอมอบหน้ากากอนามัยให้ รพ.จุฬาฯ บีโอไอมอบหน้ากากอนามัยให้ รพ.จุฬาฯ เมื่อเร็วๆ นี้ นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มอบหน้ากากอนามัย KN95 ที่ได้รับจากบริษัทในสาธารณรัฐประชาชนจีน ผ่านทางสํานักงานเศรษฐกิจการลงทุน ประจําการสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน (บีโอไอ ณ กรุงปักกิ่ง) จํานวน 2,000 ชิ้น ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29674
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560
วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2560 รอง นรม.วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560 ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบเรื่องกรอบทิศทางการจัดทําร่างแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2562-2565) วันนี้ (6 มิถุนายน 2560) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) ชั้น 2 อาคารสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบเรื่องกรอบทิศทางการจัดทําร่างแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2562-2565) โดยมีทิศทางการจัดทํา ดังนี้ 1.ลักษณะของร่างแผนแม่บทฯฉบับที่ 3 โดยมีการกําหนดผลสําเร็จระยะสั้น (Quick win) 2. สอดคล้องกับแนวนโยบายด้านกระบวนการยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับใหม่ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 และข้อเสนอสภาขับเคลื่อนปฏิรูปด้านกฏหมายและกระบวนการยุติธรรม แผนแม่บทบูรณาการปฏิรูปกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม 3. สอดคล้องกับสถานการณ์อาชญากรรมสําคัญ แนวโน้มกระบวนการยุติธรรมไทย สภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และนําแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์สังคม (socio-economic) มาเป็นพื้นฐานการเชื่อมโยงเพื่อทําความเข้าใจในองค์รวม 4. ภายใต้กรอบทิศทางการจัดทําแผนแม่บทฯ ดังกล่าว กระบวนการยุติธรรม โดยดําเนินการพัฒนาในประเด็นหลักสําคัญ 4 ด้าน โดยมีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นกลไกสนับสนุนในการดําเนินงาน ได้แก่ (1) การป้องกันการกระทําผิดกฎหมาย (Prevention) (2) กระบวนการยุติธรรมทางเลือก (Alternative Justice) (3) การคุ้มครองโดยบังคับตามกฎหมาย (Protection) และ (4) การฟื้นฟูผู้กระทําผิด (Rehabilitative) โดยปรับปรุงระบบการลงโทษให้สอดคล้องกับมาตรฐานขั้นต่ํา สร้างการยอมรับผู้กระทําผิดเข้าสู่สังคม นําเทคโนโลยีมาสนับสนุนการทํางาน เช่น EM ฐานข้อมูลประวัติอาชญากรรม โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้ ฝ่ายเลขานุการฯ นําร่างแผนแม่บทฯ ไปประกอบการยกร่างแผนบทแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. (2562-2565) ต่อไป *********************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560 วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2560 รอง นรม.วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560 ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบเรื่องกรอบทิศทางการจัดทําร่างแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2562-2565) วันนี้ (6 มิถุนายน 2560) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) ชั้น 2 อาคารสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบเรื่องกรอบทิศทางการจัดทําร่างแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2562-2565) โดยมีทิศทางการจัดทํา ดังนี้ 1.ลักษณะของร่างแผนแม่บทฯฉบับที่ 3 โดยมีการกําหนดผลสําเร็จระยะสั้น (Quick win) 2. สอดคล้องกับแนวนโยบายด้านกระบวนการยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับใหม่ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 และข้อเสนอสภาขับเคลื่อนปฏิรูปด้านกฏหมายและกระบวนการยุติธรรม แผนแม่บทบูรณาการปฏิรูปกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม 3. สอดคล้องกับสถานการณ์อาชญากรรมสําคัญ แนวโน้มกระบวนการยุติธรรมไทย สภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และนําแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์สังคม (socio-economic) มาเป็นพื้นฐานการเชื่อมโยงเพื่อทําความเข้าใจในองค์รวม 4. ภายใต้กรอบทิศทางการจัดทําแผนแม่บทฯ ดังกล่าว กระบวนการยุติธรรม โดยดําเนินการพัฒนาในประเด็นหลักสําคัญ 4 ด้าน โดยมีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นกลไกสนับสนุนในการดําเนินงาน ได้แก่ (1) การป้องกันการกระทําผิดกฎหมาย (Prevention) (2) กระบวนการยุติธรรมทางเลือก (Alternative Justice) (3) การคุ้มครองโดยบังคับตามกฎหมาย (Protection) และ (4) การฟื้นฟูผู้กระทําผิด (Rehabilitative) โดยปรับปรุงระบบการลงโทษให้สอดคล้องกับมาตรฐานขั้นต่ํา สร้างการยอมรับผู้กระทําผิดเข้าสู่สังคม นําเทคโนโลยีมาสนับสนุนการทํางาน เช่น EM ฐานข้อมูลประวัติอาชญากรรม โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้ ฝ่ายเลขานุการฯ นําร่างแผนแม่บทฯ ไปประกอบการยกร่างแผนบทแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. (2562-2565) ต่อไป *********************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4290
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อยู่บ้านก็ซื้อทรัพย์มือสองของ ธอส. ได้ ด้วยแอป GHBank Smart NPA ดูง่าย จองสบาย ในแอปเดียว [กระทรวงการคลัง]
วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2563 อยู่บ้านก็ซื้อทรัพย์มือสองของ ธอส. ได้ ด้วยแอป GHBank Smart NPA ดูง่าย จองสบาย ในแอปเดียว [กระทรวงการคลัง] ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) อํานวยความสะดวกให้ลูกค้าที่สนใจซื้อทรัพย์ NPA หรือบ้านมือสองของ ธอส. ที่มีคุณภาพ ราคาสุดคุ้ม โดยไม่ต้องเดินทาง เพื่อความปลอดภัยไร้กังวลกับสถานการณ์ Covid-19 ด้วยแอปพลิเคชั่น GH Bank Smart NPA อยู่บ้านก็ซื้อได้ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) อํานวยความสะดวกให้ลูกค้าที่สนใจซื้อทรัพย์ NPA หรือบ้านมือสองของ ธอส. ที่มีคุณภาพ ราคาสุดคุ้ม โดยไม่ต้องเดินทาง เพื่อความปลอดภัยไร้กังวลกับสถานการณ์ Covid-19 ด้วยแอปพลิเคชั่น GH Bank Smart NPA อยู่บ้านก็ซื้อได้ ดูง่าย จองสบาย ในแอปเดียว โดยสามารถค้นหาทรัพย์ที่ต้องการได้เพียงระบุข้อมูล อาทิ ประเภททรัพย์ ทําเลที่ตั้ง ช่วงราคา ขนาดพื้นที่ และโปรโมชั่น ซึ่งแอปพลิเคชั่นจะแสดงรายการทรัพย์ที่ค้นหาพร้อมรูปภาพประกอบ สามารถคํานวณรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในเบื้องต้น อาทิ เงินจอง เงินดาวน์ และจํานวนเงินผ่อนดาวน์ได้ หากพบรายการทรัพย์ที่สนใจสามารถยื่นคําร้องขอเข้าดูทรัพย์ในสถานที่จริง และยังสามารถจองทรัพย์ผ่านแอปพลิเคชั่นอย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้วของตัวท่านเองได้อีกด้วย ดาวน์โหลดเลย!!! แอปพลิเคชั่น GH Bank Smart NPA ได้ทั้งที่ App Store หรือ Play Store สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อยู่บ้านก็ซื้อทรัพย์มือสองของ ธอส. ได้ ด้วยแอป GHBank Smart NPA ดูง่าย จองสบาย ในแอปเดียว [กระทรวงการคลัง] วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2563 อยู่บ้านก็ซื้อทรัพย์มือสองของ ธอส. ได้ ด้วยแอป GHBank Smart NPA ดูง่าย จองสบาย ในแอปเดียว [กระทรวงการคลัง] ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) อํานวยความสะดวกให้ลูกค้าที่สนใจซื้อทรัพย์ NPA หรือบ้านมือสองของ ธอส. ที่มีคุณภาพ ราคาสุดคุ้ม โดยไม่ต้องเดินทาง เพื่อความปลอดภัยไร้กังวลกับสถานการณ์ Covid-19 ด้วยแอปพลิเคชั่น GH Bank Smart NPA อยู่บ้านก็ซื้อได้ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) อํานวยความสะดวกให้ลูกค้าที่สนใจซื้อทรัพย์ NPA หรือบ้านมือสองของ ธอส. ที่มีคุณภาพ ราคาสุดคุ้ม โดยไม่ต้องเดินทาง เพื่อความปลอดภัยไร้กังวลกับสถานการณ์ Covid-19 ด้วยแอปพลิเคชั่น GH Bank Smart NPA อยู่บ้านก็ซื้อได้ ดูง่าย จองสบาย ในแอปเดียว โดยสามารถค้นหาทรัพย์ที่ต้องการได้เพียงระบุข้อมูล อาทิ ประเภททรัพย์ ทําเลที่ตั้ง ช่วงราคา ขนาดพื้นที่ และโปรโมชั่น ซึ่งแอปพลิเคชั่นจะแสดงรายการทรัพย์ที่ค้นหาพร้อมรูปภาพประกอบ สามารถคํานวณรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในเบื้องต้น อาทิ เงินจอง เงินดาวน์ และจํานวนเงินผ่อนดาวน์ได้ หากพบรายการทรัพย์ที่สนใจสามารถยื่นคําร้องขอเข้าดูทรัพย์ในสถานที่จริง และยังสามารถจองทรัพย์ผ่านแอปพลิเคชั่นอย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้วของตัวท่านเองได้อีกด้วย ดาวน์โหลดเลย!!! แอปพลิเคชั่น GH Bank Smart NPA ได้ทั้งที่ App Store หรือ Play Store สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30637
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงปิดสะพานทางเข้าท่าอากาศยานดอนเมืองวันแรกเป็นไปด้วยความเรียบร้อย พร้อมจัดเจ้าหน้าที่อำนวยการจราจรและขอความร่วมมือประชาชนเผื่อเวลาการเดินทาง
วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน 2560 กรมทางหลวงปิดสะพานทางเข้าท่าอากาศยานดอนเมืองวันแรกเป็นไปด้วยความเรียบร้อย พร้อมจัดเจ้าหน้าที่อํานวยการจราจรและขอความร่วมมือประชาชนเผื่อเวลาการเดินทาง กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการปรับปรุงทางหลวงหมายเลข 31 (ถนนวิภาวดีรังสิต) ฝั่งขาออก โดยเพิ่มช่องจราจรทางตรงเป็น 3 ช่องจราจร บริเวณสะพานเข้าท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ช่วง กม.24+279 หรือบริเวณหน้า ทดม. (ระหว่างประเทศ) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสายทาง และลดปัญหาการจราจรเนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีลักษณะเส้นทางเป็นคอขวด ทล. ได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) กองกํากับการตํารวจจราจร เขตดอนเมือง ศูนย์ควบคุมจราจรวิภาวดีรังสิต/ทางพิเศษ กองกํากับการ 2 และสถานีตํารวจนครบาลดอนเมือง มีมติให้ทุบและปิดการจราจรสะพานทางเข้า ทดม. เพื่อไม่ให้กีดขวางช่องทางหลัก ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 เวลา 22.00 น. จนกว่าการดําเนินงานจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2561 โดยมีความคืบหน้าการปิดสะพาน ศูนย์สร้างและบูรณะสะพานที่ 3 ปทุมธานี ได้นําแผงกั้นแบริเออร์ไปปิดช่องทางขึ้นสะพานเข้า ทดม. และวางแนวก่อสร้าง เพื่อรื้อสะพานและเพิ่มช่องจราจรถนนวิภาวดีรังสิตขาออกเป็น 3 ช่องทาง พร้อมจัดเจ้าหน้าที่อํานวยความสะดวกบอกเส้นทางให้ประชาชนบริเวณด้านหน้า ทดม. ซึ่งตั้งแต่เริ่มปิดสะพาน การจราจรสามารถเคลื่อนตัวได้ สําหรับกิจกรรมของงานก่อสร้างในบริเวณดังกล่าว ประกอบด้วย งานทุบรื้อโครงสร้างสะพานเก่าและก่อสร้างสะพานใหม่ งานก่อสร้างขยายช่องจราจรจาก 2 ช่องจราจรเป็น 3 ช่องจราจร งานก่อสร้างระบบระบายน้ํา วางท่อเหลี่ยมขนาด 1.5 x 1.5 เมตร และงานก่อสร้างสะพานลอยคนเดินข้ามใหม่ ทล. แนะนําเส้นทางเลี่ยงเข้า ทดม. 3 เส้นทาง ได้แก่ 1) สะพานทางเข้าหน้าคลังสินค้า (ถนนวิภาวดีรังสิตฝั่งขาออก) 2) ทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมืองโทลล์เวย์) และ 3) สะพานกลับรถฐานทัพอากาศ เพื่อเข้าช่องทางประตู 3 (ถนนวิภาวดีรังสิตฝั่งขาเข้า) ทั้งนี้ ทล. ขออภัยในความไม่สะดวก ขอความร่วมมือประชาชนเผื่อเวลาการเดินทาง และขอความร่วมมือรถโดยสารสาธารณะ ให้จอดรับ - ส่งผู้โดยสารเท่านั้น สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สํานักงานทางหลวงที่ 13 (กรุงเทพ) โทร. 0 2521 0581, 0 2521 5988 หรือ 08 1207 1525 และสายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงปิดสะพานทางเข้าท่าอากาศยานดอนเมืองวันแรกเป็นไปด้วยความเรียบร้อย พร้อมจัดเจ้าหน้าที่อำนวยการจราจรและขอความร่วมมือประชาชนเผื่อเวลาการเดินทาง วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน 2560 กรมทางหลวงปิดสะพานทางเข้าท่าอากาศยานดอนเมืองวันแรกเป็นไปด้วยความเรียบร้อย พร้อมจัดเจ้าหน้าที่อํานวยการจราจรและขอความร่วมมือประชาชนเผื่อเวลาการเดินทาง กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการปรับปรุงทางหลวงหมายเลข 31 (ถนนวิภาวดีรังสิต) ฝั่งขาออก โดยเพิ่มช่องจราจรทางตรงเป็น 3 ช่องจราจร บริเวณสะพานเข้าท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ช่วง กม.24+279 หรือบริเวณหน้า ทดม. (ระหว่างประเทศ) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสายทาง และลดปัญหาการจราจรเนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีลักษณะเส้นทางเป็นคอขวด ทล. ได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) กองกํากับการตํารวจจราจร เขตดอนเมือง ศูนย์ควบคุมจราจรวิภาวดีรังสิต/ทางพิเศษ กองกํากับการ 2 และสถานีตํารวจนครบาลดอนเมือง มีมติให้ทุบและปิดการจราจรสะพานทางเข้า ทดม. เพื่อไม่ให้กีดขวางช่องทางหลัก ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 เวลา 22.00 น. จนกว่าการดําเนินงานจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2561 โดยมีความคืบหน้าการปิดสะพาน ศูนย์สร้างและบูรณะสะพานที่ 3 ปทุมธานี ได้นําแผงกั้นแบริเออร์ไปปิดช่องทางขึ้นสะพานเข้า ทดม. และวางแนวก่อสร้าง เพื่อรื้อสะพานและเพิ่มช่องจราจรถนนวิภาวดีรังสิตขาออกเป็น 3 ช่องทาง พร้อมจัดเจ้าหน้าที่อํานวยความสะดวกบอกเส้นทางให้ประชาชนบริเวณด้านหน้า ทดม. ซึ่งตั้งแต่เริ่มปิดสะพาน การจราจรสามารถเคลื่อนตัวได้ สําหรับกิจกรรมของงานก่อสร้างในบริเวณดังกล่าว ประกอบด้วย งานทุบรื้อโครงสร้างสะพานเก่าและก่อสร้างสะพานใหม่ งานก่อสร้างขยายช่องจราจรจาก 2 ช่องจราจรเป็น 3 ช่องจราจร งานก่อสร้างระบบระบายน้ํา วางท่อเหลี่ยมขนาด 1.5 x 1.5 เมตร และงานก่อสร้างสะพานลอยคนเดินข้ามใหม่ ทล. แนะนําเส้นทางเลี่ยงเข้า ทดม. 3 เส้นทาง ได้แก่ 1) สะพานทางเข้าหน้าคลังสินค้า (ถนนวิภาวดีรังสิตฝั่งขาออก) 2) ทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมืองโทลล์เวย์) และ 3) สะพานกลับรถฐานทัพอากาศ เพื่อเข้าช่องทางประตู 3 (ถนนวิภาวดีรังสิตฝั่งขาเข้า) ทั้งนี้ ทล. ขออภัยในความไม่สะดวก ขอความร่วมมือประชาชนเผื่อเวลาการเดินทาง และขอความร่วมมือรถโดยสารสาธารณะ ให้จอดรับ - ส่งผู้โดยสารเท่านั้น สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สํานักงานทางหลวงที่ 13 (กรุงเทพ) โทร. 0 2521 0581, 0 2521 5988 หรือ 08 1207 1525 และสายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7904
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้า เพื่อความคุ้มค่า และเป็นธรรม
วันเสาร์ที่ 23 กันยายน 2560 ปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้า เพื่อความคุ้มค่า และเป็นธรรม เน้นเสมอภาค เท่าเทียม จากนโยบายเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศ และสถานการณ์ด้านพลังงานที่มีความเปลี่ยนแปลงไป คณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน (กกพ.) จึงกําหนดให้มีการทบทวนโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในทุก ๆ 3 – 5 ปี เพื่อให้การใช้ไฟฟ้าของทุกภาคส่วนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นธรรม โดยขณะนี้กําลังเข้าสู่วาระการทบทวนโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ประจําปี 2561 - 2563 ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการเก็บข้อมูลโดยการจําแนกต้นทุนของแต่ละกิจการตามพื้นที่ในระดับภาคและระยะทาง ทั้งกิจการผลิต กิจการระบบส่ง กิจการระบบจําหน่าย และกิจการค้าปลีก ให้มีความชัดเจน โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ โดยการเก็บข้อมูลและศึกษาต้นทุนนี้จะช่วยให้การบริหารจัดการการลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้ นโยบายโครงสร้างค่าไฟฟ้าของประเทศไทยเป็นไปตามความเหมาะสมของโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม และส่งเสริมความเสมอภาคของประชาชนในทุกภูมิภาค โดยจะกําหนดให้เป็นอัตราเดียวสําหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทเดียวกัน (Uniform Tariff) ยกเว้นธุรกิจบนเกาะ และผู้ใช้ไฟฟ้าที่เชื่อมโยงกับโครงข่ายระบบไฟฟ้าระหว่างประเทศ นางสาวนฤภัทร อมรโฆษิต เลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน ชี้แจงว่า การทบทวนหรือปรับปรุงโครงสร้างค่าไฟฟ้าขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการศึกษา และสอดคล้องกับนโยบายของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ให้มีการรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องก่อนประกาศปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ รวมทั้งศึกษาผลกระทบที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอ เพื่อกําหนดว่าแต่ละพื้นที่ของประเทศควรจะดําเนินการอย่างไร อนึ่ง ขณะนี้ยังไม่มีการดําเนินการปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าแต่อย่างใด จึงไม่ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวที่กล่าวกันว่า ผู้ประกอบการอาจถูกเก็บค่าไฟฟ้าในอัตราที่สูงกว่าบ้านเรือนทั่วไป ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง โดยคํานึงถึงความเป็นธรรมต่อผู้ใช้ไฟฟ้าและผู้ประกอบการเป็นสําคัญ ภาพ/ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้า เพื่อความคุ้มค่า และเป็นธรรม วันเสาร์ที่ 23 กันยายน 2560 ปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้า เพื่อความคุ้มค่า และเป็นธรรม เน้นเสมอภาค เท่าเทียม จากนโยบายเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศ และสถานการณ์ด้านพลังงานที่มีความเปลี่ยนแปลงไป คณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน (กกพ.) จึงกําหนดให้มีการทบทวนโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในทุก ๆ 3 – 5 ปี เพื่อให้การใช้ไฟฟ้าของทุกภาคส่วนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นธรรม โดยขณะนี้กําลังเข้าสู่วาระการทบทวนโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ประจําปี 2561 - 2563 ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการเก็บข้อมูลโดยการจําแนกต้นทุนของแต่ละกิจการตามพื้นที่ในระดับภาคและระยะทาง ทั้งกิจการผลิต กิจการระบบส่ง กิจการระบบจําหน่าย และกิจการค้าปลีก ให้มีความชัดเจน โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ โดยการเก็บข้อมูลและศึกษาต้นทุนนี้จะช่วยให้การบริหารจัดการการลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้ นโยบายโครงสร้างค่าไฟฟ้าของประเทศไทยเป็นไปตามความเหมาะสมของโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม และส่งเสริมความเสมอภาคของประชาชนในทุกภูมิภาค โดยจะกําหนดให้เป็นอัตราเดียวสําหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทเดียวกัน (Uniform Tariff) ยกเว้นธุรกิจบนเกาะ และผู้ใช้ไฟฟ้าที่เชื่อมโยงกับโครงข่ายระบบไฟฟ้าระหว่างประเทศ นางสาวนฤภัทร อมรโฆษิต เลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน ชี้แจงว่า การทบทวนหรือปรับปรุงโครงสร้างค่าไฟฟ้าขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการศึกษา และสอดคล้องกับนโยบายของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ให้มีการรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องก่อนประกาศปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ รวมทั้งศึกษาผลกระทบที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอ เพื่อกําหนดว่าแต่ละพื้นที่ของประเทศควรจะดําเนินการอย่างไร อนึ่ง ขณะนี้ยังไม่มีการดําเนินการปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าแต่อย่างใด จึงไม่ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวที่กล่าวกันว่า ผู้ประกอบการอาจถูกเก็บค่าไฟฟ้าในอัตราที่สูงกว่าบ้านเรือนทั่วไป ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง โดยคํานึงถึงความเป็นธรรมต่อผู้ใช้ไฟฟ้าและผู้ประกอบการเป็นสําคัญ ภาพ/ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6902
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ชี้เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณการฟื้นตัว
วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม 2560 พาณิชย์ชี้เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณการฟื้นตัว นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกล่าสุด มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยประเทศที่เพิ่งจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม One Belt One Road อย่างจีนนั้น ในไตรมาสแรกของปี 2560 (ม.ค.-มี.ค.) มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยมีอัตราการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 6.9 ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุด ในรอบ 6 ไตรมาส โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการลงทุนสินค้าคงทนที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 9.2 และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัวร้อยละ 6.8 สําหรับแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2560 คาดว่าจะขยายตัวในระดับเดียวกันกับปีที่ผ่านมาร้อยละ 6.7 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลจีนได้ตั้งไว้ที่ร้อยละ 6.5 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการดําเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และ การปรับลดอัตราภาษี เช่นเดียวกันกับเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวัน และสิงคโปร์ ที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ จากปีก่อนหน้า ตามแรงสนับสนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศ นอกจากนี้ ประเทศที่มีการพึ่งพิงการส่งออกไปตลาดจีนในสัดส่วนที่สูงอย่างไต้หวัน ฮ่องกง และสิงคโปร์ มีแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจนตามเศรษฐกิจจีนที่มีการขยายตัวสูงกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อหันกลับมาดูซีกโลกตะวันตก อย่างสหรัฐฯ จะพบว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้น มีการชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่คาดว่าจะชะลอตัวเพียงชั่วคราว เนื่องจากตัวชี้วัดโดยภาพรวมยังสะท้อนถึงการฟื้นตัวได้ดี โดยการลงทุนทั้งภาคที่อยู่อาศัยและนอกภาค ที่อยู่อาศัยปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้านี้ รวมทั้งการส่งออกที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 9 ไตรมาส และตัวชี้วัดที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือ อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับต่ําจนใกล้เคียงกับอัตราการจ้างงานเต็มที่ ซึ่งในเดือนมีนาคมที่ผ่านมานั้น มีอัตราการว่างงานอยู่เพียงร้อยละ 4.5 ต่ําสุดในรอบ 10 ปี สําหรับแนวโน้มในปี 2560 นี้ คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีการขยายตัวร้อยละ 2.3 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการบริโภคตามอัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับต่ํา ค่าจ้างมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และ การขยายตัวของการลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานตามราคาน้ํามันที่มีทิศทางการปรับตัวที่สูงขึ้น เช่นเดียวกันกับเศรษฐกิจยูโรโซนในปี 2560 ที่คาดการณ์ว่าจะมีการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยจะมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจร้อยละ 1.7 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย การว่างงานที่ลดลง และอุปสงค์จากต่างประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น “อาจกล่าวได้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกนับจากนี้ไป มีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 2560 นี้ จะมีการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 3.4 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่ร้อยละ 3.1 โดยการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจดังกล่าวนี้ ได้รับปัจจัยสนับสนุนจาก (1) ความต่อเนื่องขอการรักษาระดับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจนับตั้งแต่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2559 (2) ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น (3) มูลค่าการค้าโลกเริ่มขยายตัวต่อเนื่อง และ (4) ความเชื่อมั่นในตลาดทุนยังอยู่ในระดับสูงกว่าก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีปัจจัยที่อาจมีผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต้องเฝ้าจับตามอง อาทิ ปัญหาความตึงเครียดและ ความขัดแย้งของการเมืองระหว่างประเทศ ความมีเสถียรภาพของยูโรโซน และการดําเนินนโยบายกีดกันทางการค้าที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น สําหรับในส่วนของไทยนั้น องค์กรระหว่างประเทศอย่างธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ ADB ได้ประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2560 ที่ร้อยละ 3.5 ซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่านมาที่เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวที่ร้อยละ 3.2 ทั้งนี้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 เศรษฐกิจไทยมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 3.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นขององค์กรในต่างประเทศที่มีต่อระบบเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบัน เช่นเดียวกันกับนาย David Liow ผู้บริหาร De Dynasty Arts ซึ่งดําเนินธุรกิจรับให้คําปรึกษาและจัดงานอีเว้นท์ ของประเทศสิงคโปร์ ให้ความเห็นว่าขณะนี้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ และคาดว่าจะมีการขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนั้นแล้วยังมองว่าไทยมีความพร้อมที่จะเป็นฐานการลงทุนของนักลงทุนจากทั่วโลก เห็นได้จากการผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ และการเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศของรัฐบาลไทย สําหรับในส่วนของกระทรวงพาณิชย์เอง ก็จะเร่งทํางานกันอย่างเต็มที่เพื่อผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ไปพร้อมๆ กับการดูแลและแก้ไขปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนอย่างเต็มความสามารถ” นางอภิรดี กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ชี้เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณการฟื้นตัว วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม 2560 พาณิชย์ชี้เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณการฟื้นตัว นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกล่าสุด มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยประเทศที่เพิ่งจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม One Belt One Road อย่างจีนนั้น ในไตรมาสแรกของปี 2560 (ม.ค.-มี.ค.) มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยมีอัตราการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 6.9 ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุด ในรอบ 6 ไตรมาส โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการลงทุนสินค้าคงทนที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 9.2 และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัวร้อยละ 6.8 สําหรับแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2560 คาดว่าจะขยายตัวในระดับเดียวกันกับปีที่ผ่านมาร้อยละ 6.7 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลจีนได้ตั้งไว้ที่ร้อยละ 6.5 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการดําเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และ การปรับลดอัตราภาษี เช่นเดียวกันกับเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวัน และสิงคโปร์ ที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ จากปีก่อนหน้า ตามแรงสนับสนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศ นอกจากนี้ ประเทศที่มีการพึ่งพิงการส่งออกไปตลาดจีนในสัดส่วนที่สูงอย่างไต้หวัน ฮ่องกง และสิงคโปร์ มีแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจนตามเศรษฐกิจจีนที่มีการขยายตัวสูงกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อหันกลับมาดูซีกโลกตะวันตก อย่างสหรัฐฯ จะพบว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้น มีการชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่คาดว่าจะชะลอตัวเพียงชั่วคราว เนื่องจากตัวชี้วัดโดยภาพรวมยังสะท้อนถึงการฟื้นตัวได้ดี โดยการลงทุนทั้งภาคที่อยู่อาศัยและนอกภาค ที่อยู่อาศัยปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้านี้ รวมทั้งการส่งออกที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 9 ไตรมาส และตัวชี้วัดที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือ อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับต่ําจนใกล้เคียงกับอัตราการจ้างงานเต็มที่ ซึ่งในเดือนมีนาคมที่ผ่านมานั้น มีอัตราการว่างงานอยู่เพียงร้อยละ 4.5 ต่ําสุดในรอบ 10 ปี สําหรับแนวโน้มในปี 2560 นี้ คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีการขยายตัวร้อยละ 2.3 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการบริโภคตามอัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับต่ํา ค่าจ้างมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และ การขยายตัวของการลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานตามราคาน้ํามันที่มีทิศทางการปรับตัวที่สูงขึ้น เช่นเดียวกันกับเศรษฐกิจยูโรโซนในปี 2560 ที่คาดการณ์ว่าจะมีการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยจะมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจร้อยละ 1.7 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย การว่างงานที่ลดลง และอุปสงค์จากต่างประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น “อาจกล่าวได้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกนับจากนี้ไป มีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 2560 นี้ จะมีการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 3.4 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่ร้อยละ 3.1 โดยการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจดังกล่าวนี้ ได้รับปัจจัยสนับสนุนจาก (1) ความต่อเนื่องขอการรักษาระดับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจนับตั้งแต่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2559 (2) ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น (3) มูลค่าการค้าโลกเริ่มขยายตัวต่อเนื่อง และ (4) ความเชื่อมั่นในตลาดทุนยังอยู่ในระดับสูงกว่าก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีปัจจัยที่อาจมีผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต้องเฝ้าจับตามอง อาทิ ปัญหาความตึงเครียดและ ความขัดแย้งของการเมืองระหว่างประเทศ ความมีเสถียรภาพของยูโรโซน และการดําเนินนโยบายกีดกันทางการค้าที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น สําหรับในส่วนของไทยนั้น องค์กรระหว่างประเทศอย่างธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ ADB ได้ประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2560 ที่ร้อยละ 3.5 ซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่านมาที่เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวที่ร้อยละ 3.2 ทั้งนี้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 เศรษฐกิจไทยมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 3.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นขององค์กรในต่างประเทศที่มีต่อระบบเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบัน เช่นเดียวกันกับนาย David Liow ผู้บริหาร De Dynasty Arts ซึ่งดําเนินธุรกิจรับให้คําปรึกษาและจัดงานอีเว้นท์ ของประเทศสิงคโปร์ ให้ความเห็นว่าขณะนี้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ และคาดว่าจะมีการขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนั้นแล้วยังมองว่าไทยมีความพร้อมที่จะเป็นฐานการลงทุนของนักลงทุนจากทั่วโลก เห็นได้จากการผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ และการเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศของรัฐบาลไทย สําหรับในส่วนของกระทรวงพาณิชย์เอง ก็จะเร่งทํางานกันอย่างเต็มที่เพื่อผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ไปพร้อมๆ กับการดูแลและแก้ไขปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนอย่างเต็มความสามารถ” นางอภิรดี กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3913
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.รับมอบเงินจาก “กองสลาก” เพิ่มการเข้าถึงบริการประชาชนจังหวัดนนทบุรี
วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม 2561 สธ.รับมอบเงินจาก “กองสลาก” เพิ่มการเข้าถึงบริการประชาชนจังหวัดนนทบุรี กระทรวงสาธารณสุข รับมอบเงินสนับสนุนการจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ จากสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จํานวน 93,584,861 บาท เพื่อขยายบริการผู้ป่วยโรงพยาบาล 5 แห่งในจังหวัดนนทบุรี เพิ่มการเข้าถึงบริการของประชาชน วันนี้ (5 กรกฎาคม 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศ.คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมนายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข และรับมอบเงินจากสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จํานวน 93,584,861 บาท เพื่อสนับสนุนครุภัณฑ์ทางการแพทย์แก่โรงพยาบาล 5 แห่งในจังหวัดนนทบุรี ก่อนการประชุม ศ.คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ มาตรฐานใกล้บ้าน ลดความแออัด ลดเวลารอคอยการรักษา โดยเฉพาะในเขตชุมชนเมือง เช่นจังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นจังหวัดในเขตปริมณฑล ที่มีประชากรหนาแน่นเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพมหานคร ทําให้ผู้ป่วยต้องรอรับการรักษาจํานวนมาก มีโรงพยาบาลในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขจํานวน 7 แห่ง และมีจํานวนเตียงจริงรวมทั้งสิ้นเพียง 755 เตียง คิดเป็น 0.66 เตียง : 1,000 ประชากร จากเกณฑ์มาตรฐาน 2 เตียง : 1,000 ประชากร ซึ่งไม่เพียงพอต่อการให้บริการประชาชนจังหวัดนนทบุรีได้อย่างมีคุณภาพ ศ.คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลกล่าวต่อว่า การที่สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ให้การสนับสนุนงบประมาณ จํานวน 93,584,861 บาท ตามโครงการพัฒนาระบบบริการสุขภาพจังหวัดนนทบุรี (Nonthaburi Project: One Province One Hospital) ของเขตสุขภาพที่ 4 ในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพภาครัฐของประชาชนจังหวัดนนทบุรีและจังหวัดใกล้เคียงมากยิ่งขึ้น ด้านนายแพทย์สุระ วิเศษศักดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 4 กล่าวว่า สําหรับงบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนจากสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จะนําไปจัดซื้อครุภัณฑ์การแพทย์ และอุปกรณ์สนับสนุนที่จําเป็นให้โรงพยาบาล 5 แห่ง เพื่อขยายการให้บริการผู้ป่วยใน ดังนี้ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า 46,180,000 บาท โรงพยาบาลบางบัวทอง 24,500,000 บาท โรงพยาบาลบางใหญ่ 11,564,861 บาท โรงพยาบาลปากเกร็ดจํานวน 3,240,000 บาท และโรงพยาบาลบางกรวยจํานวน 8,100,000 บาท ขณะนี้ สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้โอนเงินเข้าบัญชีโรงพยาบาลแล้ว จังหวัดนนทบุรี มีประชากรตามทะเบียนราษฎร์ 1,211,924 คน มีประชากรแฝงในพื้นที่ 713,146 คน รวมประชากรกว่า 2 ล้านคน ขณะที่มีโรงพยาบาลภาครัฐ สังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขคือ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า 515 เตียง และโรงพยาบาลชุมชน 6 แห่งได้แก่ โรงพยาบาลบางบัวทอง 47 เตียง โรงพยาบาลบางใหญ่ 33 เตียง โรงพยาบาลบางกรวย 30 เตียง โรงพยาบาลปากเกร็ด 35 เตียง โรงพยาบาลไทรน้อย 65 เตียง โรงพยาบาลบางบัวทอง 2 จํานวน 30 เตียง เขตสุขภาพที่ 4 และสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี จึงได้จัดทําโครงการพัฒนาระบบบริการสุขภาพจังหวัดนนทบุรี เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพภาครัฐของประชาชนจังหวัดนนทบุรีและจังหวัดใกล้เคียง โดยมีแผนพัฒนาในระยะ 5 ปี (ปี 2561 - 2565) จะขยายเตียงเป็น 1,375 เตียง ซึ่งจะเพียงพอต่อการให้บริการประชาชน **************************************** 5 กรกฎาคม 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.รับมอบเงินจาก “กองสลาก” เพิ่มการเข้าถึงบริการประชาชนจังหวัดนนทบุรี วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม 2561 สธ.รับมอบเงินจาก “กองสลาก” เพิ่มการเข้าถึงบริการประชาชนจังหวัดนนทบุรี กระทรวงสาธารณสุข รับมอบเงินสนับสนุนการจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ จากสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จํานวน 93,584,861 บาท เพื่อขยายบริการผู้ป่วยโรงพยาบาล 5 แห่งในจังหวัดนนทบุรี เพิ่มการเข้าถึงบริการของประชาชน วันนี้ (5 กรกฎาคม 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศ.คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมนายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข และรับมอบเงินจากสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จํานวน 93,584,861 บาท เพื่อสนับสนุนครุภัณฑ์ทางการแพทย์แก่โรงพยาบาล 5 แห่งในจังหวัดนนทบุรี ก่อนการประชุม ศ.คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ มาตรฐานใกล้บ้าน ลดความแออัด ลดเวลารอคอยการรักษา โดยเฉพาะในเขตชุมชนเมือง เช่นจังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นจังหวัดในเขตปริมณฑล ที่มีประชากรหนาแน่นเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพมหานคร ทําให้ผู้ป่วยต้องรอรับการรักษาจํานวนมาก มีโรงพยาบาลในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขจํานวน 7 แห่ง และมีจํานวนเตียงจริงรวมทั้งสิ้นเพียง 755 เตียง คิดเป็น 0.66 เตียง : 1,000 ประชากร จากเกณฑ์มาตรฐาน 2 เตียง : 1,000 ประชากร ซึ่งไม่เพียงพอต่อการให้บริการประชาชนจังหวัดนนทบุรีได้อย่างมีคุณภาพ ศ.คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลกล่าวต่อว่า การที่สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ให้การสนับสนุนงบประมาณ จํานวน 93,584,861 บาท ตามโครงการพัฒนาระบบบริการสุขภาพจังหวัดนนทบุรี (Nonthaburi Project: One Province One Hospital) ของเขตสุขภาพที่ 4 ในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพภาครัฐของประชาชนจังหวัดนนทบุรีและจังหวัดใกล้เคียงมากยิ่งขึ้น ด้านนายแพทย์สุระ วิเศษศักดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 4 กล่าวว่า สําหรับงบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนจากสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จะนําไปจัดซื้อครุภัณฑ์การแพทย์ และอุปกรณ์สนับสนุนที่จําเป็นให้โรงพยาบาล 5 แห่ง เพื่อขยายการให้บริการผู้ป่วยใน ดังนี้ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า 46,180,000 บาท โรงพยาบาลบางบัวทอง 24,500,000 บาท โรงพยาบาลบางใหญ่ 11,564,861 บาท โรงพยาบาลปากเกร็ดจํานวน 3,240,000 บาท และโรงพยาบาลบางกรวยจํานวน 8,100,000 บาท ขณะนี้ สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้โอนเงินเข้าบัญชีโรงพยาบาลแล้ว จังหวัดนนทบุรี มีประชากรตามทะเบียนราษฎร์ 1,211,924 คน มีประชากรแฝงในพื้นที่ 713,146 คน รวมประชากรกว่า 2 ล้านคน ขณะที่มีโรงพยาบาลภาครัฐ สังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขคือ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า 515 เตียง และโรงพยาบาลชุมชน 6 แห่งได้แก่ โรงพยาบาลบางบัวทอง 47 เตียง โรงพยาบาลบางใหญ่ 33 เตียง โรงพยาบาลบางกรวย 30 เตียง โรงพยาบาลปากเกร็ด 35 เตียง โรงพยาบาลไทรน้อย 65 เตียง โรงพยาบาลบางบัวทอง 2 จํานวน 30 เตียง เขตสุขภาพที่ 4 และสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี จึงได้จัดทําโครงการพัฒนาระบบบริการสุขภาพจังหวัดนนทบุรี เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพภาครัฐของประชาชนจังหวัดนนทบุรีและจังหวัดใกล้เคียง โดยมีแผนพัฒนาในระยะ 5 ปี (ปี 2561 - 2565) จะขยายเตียงเป็น 1,375 เตียง ซึ่งจะเพียงพอต่อการให้บริการประชาชน **************************************** 5 กรกฎาคม 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13600
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กศน.สช.ชุมพร WOW WOW
วันอังคารที่ 24 ธันวาคม 2562 กศน.สช.ชุมพร WOW WOW นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายพะโยม ชิณวงศ์ ประธานคณะทํางาน รมช.ศึกษาธิการ ตรวจติดตามการดําเนินงานในโครงการ กศน. สช. WOW WOW ก้าวสู่ยุคดิจิทัล เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม 2562 เวลา 9.00 น. นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายพะโยม ชิณวงศ์ ประธานคณะทํางาน รมช.ศึกษาธิการ ตรวจติดตามการดําเนินงานในโครงการ กศน. สช. WOW WOW ก้าวสู่ยุคดิจิทัล พร้อมมอบนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนการจัดการศึกษารองรับคนทุกช่วงวัย ณ โรงเรียนมันตานุสรณ์ จังหวัดชุมพร โดยมีนายณัฐพงษ์ นวลมาก รองเลขาธิการ กศน. นายสนิท ศรีวิหค รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร นายกิจจา เก่งการไถ ผู้อํานวยการโรงเรียนมันตานุสรณ์ และประธานคณะกรรมการประสานและส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัดชุมพร ตลอดจนผู้บริหาร คณะครู และนักเรียน ร่วมให้การต้อนรับ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้ตั้งใจเดินทางมาติดตามและมอบนโยบายการดําเนินงานในโครงการ “กศน. สช. WOW WOW ก้าวสู่ยุคดิจิทัล” พร้อมรับฟังปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ จากผู้ปฏิบัติงานโดยตรง เพื่อนําไปสู่การพัฒนาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต ซึ่งต้องยอมรับว่าเสียงสะท้อนจากผู้บริหารและครู ทั้งในส่วนของโรงเรียนเอกชน และ กศน.จังหวัดชุมพรในครั้งนี้ ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อการทํางานในระดับนโยบาย เป็นการติและเสนอแนะเชิงสร้างสรรค์ เมื่อทุกคนเปิดใจรับฟังและพยายามเข้าใจ ก็จะนําไปสู่ความร่วมมือร่วมใจ เป็นพลังในการขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาตอบโจทย์การพัฒนาคนไทยในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างภาคภูมิใจ ตามนโยบายรัฐบาลและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ในส่วนประเด็นข้อเสนอของผู้บริหารโรงเรียนเอกชน เกี่ยวกับการขอรับการสนับสนุนเงินอุดหนุนรายหัวและโครงการอาหารกลางวันโรงเรียนเอกชนเพิ่มเติม ซึ่งเป็นข้อเสนอของโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศเช่นกัน ขอยืนยันว่าไม่ได้นิ่งนอนใจ และขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางภายใต้กรอบการทํางาน กฎและระเบียบต่าง ๆ ส่วนประเด็นที่ครูเอกชนไม่ประสงค์ที่จะรับเงินบําเหน็จเมื่อเกษียณอายุราชการ แต่ต้องการใช้แนวทางกองทุนพิเศษอื่น ๆ เพื่อให้เงินส่วนนี้ตกทอดสู่ทายาทนั้น เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ และจะต้องรับฟังความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ก่อน จึงขอให้รวบรวมและจัดทําเป็นข้อเสนอส่งถึง รมช.ศึกษาธิการ เพื่อนําไปหารือในรายละเอียดร่วมกับกองทุนสงเคราะห์ฯ และผู้เกี่ยวข้องต่อไป เช่นเดียวกับ ประเด็นคําถามเรื่องความก้าวหน้าการยกระดับครู กศน. เป็นข้าราชการครู ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับผู้เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทําแนวทางการขับเคลื่อนภายใต้ความถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายอย่างเป็นรูปธรรม ก่อนที่จะเปิดโอกาสให้ครู กศน. ได้เข้าสู่กระบวนการคัดเลือกเป็นข้าราชการครู โดยเฉพาะครูที่สอนมาเป็นเวลา 20-30 ปี ให้ได้นําความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์การสอน มาใช้ให้เกิดประโยชน์กับผู้เรียน กศน. แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องคํานึงถึงมาตรฐานวิชาชีพด้วย รมช.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นและเห็นถึงความตั้งใจที่จะพัฒนาสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้ที่ดี 6 เรื่อง (6 Good) แก่คนทุกช่วงวัยในการดูแลของ กศน.ทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น 1) Good Teacher เพิ่มอัตราข้าราชการครู กศน. เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้สู่ยุคดิจิทัล และหลักสูตรอาชีพใหม่ ๆ 2) Good Place การปรับปรุงอาคารสถานที่ ให้มีความพร้อมรองรับผู้ใช้บริการอย่างเหมาะสมและปลอดภัย 3) Good Activity Digital Platform พัฒนาการศึกษาแบบออนไลน์ที่เข้าถึงทุกที่ทุกเวลา 4) Good Partnership มีเครือข่ายที่ดีทํางานร่วมกันอย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะความร่วมมือกับ สพฐ. เพื่อจัดการศึกษาพิเศษแก่ผู้เรียนพิการอย่างเหมาะสม และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเรียนในตัวเมือง 5) Good Innovation ยกระดับผลิตภัณฑ์แบรนด์ กศน. (OOCC) พร้อมเร่งสํารวจความพร้อมของสถานที่วางจําหน่ายสินค้ารองรับการขยายตัวของผลิตภัณฑ์ OOCC ให้เข้าถึงผู้ซื้อมากขึ้น อาทิ ปั้มน้ํามัน แหล่งชุมชน เป็นต้น รวมทั้งเร่งพัฒนานวัตกรรมแหล่งเรียนรู้ โดยเฉพาะการปรับปรุงห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” ให้เป็นห้องสมุดที่มีชีวิต ตามพระราชดําริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อให้ประชาชนมาใช้ประโยชน์มากขึ้น และ 6) Good Learning Center ศูนย์การเรียนรู้สําหรับคนทุกช่วงวัยในชุมชน ในส่วนของโรงเรียนเอกชน ที่ผ่านมาสามารถช่วยแบ่งเบาการจัดการศึกษาของรัฐได้เป็นอย่างมาก ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่ดี มีค่าเฉลี่ยผลการทดสอบการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับชาติ (O-NET) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในหลายวิชาและหลายระดับ แต่ก็ต้องไม่ลืมการจัดการศึกษาเอกชนประเภทอื่น ที่มุ่งสงเคราะห์และให้โอกาสทางการศึกษาแก่เด็กเยาวชนยากไร้ที่มีอยู่ทั่วประเทศ ทั้งในเมืองและในถิ่นทุรกันดาร อาทิ กลุ่มโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา โรงเรียนศรีสังวาลย์ฯ เป็นต้น ซึ่งสถานศึกษาเหล่านี้ยังมีความขาดแคลนในหลายส่วน เพราะจัดการศึกษาโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายและการบริจาคก็ลดลง ในฐานะรัฐมนตรีที่กํากับดูแล จึงมีนโยบายเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินงานการศึกษาเอกชนในหลายส่วน อาทิ ผลักดันการจัดสรรอัตราเจ้าหน้าที่เพื่อไปปฏิบัติงานประจําในแต่ละจังหวัด กว่า 100 อัตรา โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่สนับสนุนการศึกษาของคนพิการ, การประกวดแข่งขันสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมผลงานนักเรียน ตลอดจนแข่งขันทักษะวิชาการตามความถนัดของเด็กที่เรียนอยู่ในระดับปานกลาง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเด็กกลุ่มนี้ และดึงพ่อแม่ผู้ปกครองให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษามากขึ้น และพัฒนาแหล่งเรียนรู้ออนไลน์ เพื่อการแบ่งปันองค์ความรู้ บทเรียน และผลงานที่เกิดจากการปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ให้เกิดการใช้ประโยชน์ร่วมกัน “ท้ายสุดนี้ ขอให้ทุกคนเห็นถึงความมุ่งมั่น และตั้งใจในการทํางาน เพื่อให้การจัดการศึกษาที่อยู่ในความรับผิดชอบไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ร่วมกัน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า หลายอย่างต้องอาศัยเวลา และต้องผ่านขั้นตอนการทํางานตามหลักเกณฑ์ ระเบียบ และกฎหมายต่าง ๆ แต่ขอยืนยันว่าให้ความสําคัญและใส่ใจกับทุกปัญหา พร้อมทั้งจะพยายามหาทางออกที่ดีที่สุดในการทํางาน โดยอาศัยความร่วมมือและพลังใจจากทุกคน ในการร่วมรับฟังไปด้วยกัน คิดไปด้วยกัน เพื่อที่จะเดินหน้าทลายทุกข้อจํากัดร่วมไปกับรัฐมนตรีคนนี้ เมื่อนั้นการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังก็จะเกิดขึ้นได้จริง” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว นายสุรพล สงณรงค์ ผู้อํานวยการสํานักงาน กศน.จังหวัดชุมพร กล่าวรายงานผลการดําเนินงานตอนหนึ่ง ว่า สํานักงาน กศน.จังหวัดชุมพร มีสถานศึกษาในสังกัด 8 แห่งใน 8 อําเภอ มีบุคลากร 134 คน และมีนักศึกษา 5,397 คน โดยได้ขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติภายใต้ยุทธศาสตร์การดําเนินงานใน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านโอกาสทางการศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนทุกกลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ประชาชนในทุกตําบลมีฐานการเรียนรู้ โดยศูนย์การเรียนรู้ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา ศูนย์ฝึกอาชีพ และสถานศึกษาที่เป็นแหล่งเรียนรู้ ในลักษณะกลุ่มสนใจ ชั้นเรียนวิชาชีพ ตลอดจนส่งเสริมงานห้องสมุดประชาชน ในโครงการ "ชุมพร นครแห่งการอ่าน" ในด้านคุณภาพทางการศึกษา ส่งเสริมการจัดการศึกษาเพื่อให้ความรู้ด้านวิชาการ ควบคู่คุณธรรมจริยธรรม และมีสมรรถนะทางด้านวิชาการและวิชาชีพ โดย กศน.จังหวัดชุมพร มีค่าเฉลี่ยการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ การศึกษานอกระบบโรงเรียน (N-NET) อยู่ในอันดับ 3 ของภาคใต้ และมีนักศึกษาสอบปลายภาคผ่าน ร้อยละ 90.61 ของนักศึกษาที่เข้าสอบทั้งหมด นอกจากนี้ ในด้านประสิทธิภาพการจัดการศึกษา เน้นการบริการที่มีความฉับไว โดยนําเทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการเรียนรู้แบบออนไลน์ เพื่ออํานวยความสะดวกให้เรียนได้ในตําบลของตนเอง ลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางมายังตัวอําเภอ และใช้สําหรับการบริการที่สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ทั้งนี้ กศน.จังหวัดชุมพร สามารถส่งต่อนักศึกษาเข้าเรียนในระดับที่สูงขึ้น และประสบความสําเร็จในหลากหลายอาชีพ อาทิ สิบเอกกิติพงษ์ งามน้อย รับราชการทหาร, จ่าเอกฉัตรมงคล สําลีนิล รับราชการทหาร, นายสุรชาติ กองวารี ทนายความ, จ่าเอกธัญเทพ ลิปิกรณ์ ศึกษาต่อจ่าอากาศ, นางสาวรัตฐิการณ์ รสมณี จบการศึกษาเกียรตินิยมอันดับ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี, นางสาวรพีพร รองนาค ศึกษาต่อมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี และนายสิริศักดิ์ วันทอง ศึกษาต่อวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีชุมพร เป็นต้น นายกิจจา เก่งการไถ ผู้อํานวยการโรงเรียนมันตานุสรณ์ กล่าวรายงานว่า โรงเรียนมันตานุสรณ์ เป็นโรงเรียนในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จัดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับเตรียมอนุบาลถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีครูและบุคลากร จํานวน 90 คน ครูต่างชาติ จํานวน 16 คน และมีนักเรียน จํานวน 760 คน จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ เพิ่มเติมหลักสูตรภาษาจีน และภาษาอังกฤษในรูปแบบ English Program เพื่อพัฒนาผู้เรียนอย่างเต็มศักยภาพอย่างรอบด้าน เน้นการจัดการเรียนรู้แบบลงมือทํา (Active Learning) ทั้งในเรื่องการอ่าน การขยับร่างกาย วิทยาศาสตร์ ตลอดจนภาษาคอมพิวเตอร์ (Coding) นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กศน.สช.ชุมพร WOW WOW วันอังคารที่ 24 ธันวาคม 2562 กศน.สช.ชุมพร WOW WOW นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายพะโยม ชิณวงศ์ ประธานคณะทํางาน รมช.ศึกษาธิการ ตรวจติดตามการดําเนินงานในโครงการ กศน. สช. WOW WOW ก้าวสู่ยุคดิจิทัล เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม 2562 เวลา 9.00 น. นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายพะโยม ชิณวงศ์ ประธานคณะทํางาน รมช.ศึกษาธิการ ตรวจติดตามการดําเนินงานในโครงการ กศน. สช. WOW WOW ก้าวสู่ยุคดิจิทัล พร้อมมอบนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนการจัดการศึกษารองรับคนทุกช่วงวัย ณ โรงเรียนมันตานุสรณ์ จังหวัดชุมพร โดยมีนายณัฐพงษ์ นวลมาก รองเลขาธิการ กศน. นายสนิท ศรีวิหค รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร นายกิจจา เก่งการไถ ผู้อํานวยการโรงเรียนมันตานุสรณ์ และประธานคณะกรรมการประสานและส่งเสริมการศึกษาเอกชนจังหวัดชุมพร ตลอดจนผู้บริหาร คณะครู และนักเรียน ร่วมให้การต้อนรับ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้ตั้งใจเดินทางมาติดตามและมอบนโยบายการดําเนินงานในโครงการ “กศน. สช. WOW WOW ก้าวสู่ยุคดิจิทัล” พร้อมรับฟังปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ จากผู้ปฏิบัติงานโดยตรง เพื่อนําไปสู่การพัฒนาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต ซึ่งต้องยอมรับว่าเสียงสะท้อนจากผู้บริหารและครู ทั้งในส่วนของโรงเรียนเอกชน และ กศน.จังหวัดชุมพรในครั้งนี้ ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อการทํางานในระดับนโยบาย เป็นการติและเสนอแนะเชิงสร้างสรรค์ เมื่อทุกคนเปิดใจรับฟังและพยายามเข้าใจ ก็จะนําไปสู่ความร่วมมือร่วมใจ เป็นพลังในการขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาตอบโจทย์การพัฒนาคนไทยในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างภาคภูมิใจ ตามนโยบายรัฐบาลและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ในส่วนประเด็นข้อเสนอของผู้บริหารโรงเรียนเอกชน เกี่ยวกับการขอรับการสนับสนุนเงินอุดหนุนรายหัวและโครงการอาหารกลางวันโรงเรียนเอกชนเพิ่มเติม ซึ่งเป็นข้อเสนอของโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศเช่นกัน ขอยืนยันว่าไม่ได้นิ่งนอนใจ และขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางภายใต้กรอบการทํางาน กฎและระเบียบต่าง ๆ ส่วนประเด็นที่ครูเอกชนไม่ประสงค์ที่จะรับเงินบําเหน็จเมื่อเกษียณอายุราชการ แต่ต้องการใช้แนวทางกองทุนพิเศษอื่น ๆ เพื่อให้เงินส่วนนี้ตกทอดสู่ทายาทนั้น เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ และจะต้องรับฟังความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ก่อน จึงขอให้รวบรวมและจัดทําเป็นข้อเสนอส่งถึง รมช.ศึกษาธิการ เพื่อนําไปหารือในรายละเอียดร่วมกับกองทุนสงเคราะห์ฯ และผู้เกี่ยวข้องต่อไป เช่นเดียวกับ ประเด็นคําถามเรื่องความก้าวหน้าการยกระดับครู กศน. เป็นข้าราชการครู ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับผู้เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทําแนวทางการขับเคลื่อนภายใต้ความถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายอย่างเป็นรูปธรรม ก่อนที่จะเปิดโอกาสให้ครู กศน. ได้เข้าสู่กระบวนการคัดเลือกเป็นข้าราชการครู โดยเฉพาะครูที่สอนมาเป็นเวลา 20-30 ปี ให้ได้นําความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์การสอน มาใช้ให้เกิดประโยชน์กับผู้เรียน กศน. แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องคํานึงถึงมาตรฐานวิชาชีพด้วย รมช.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นและเห็นถึงความตั้งใจที่จะพัฒนาสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้ที่ดี 6 เรื่อง (6 Good) แก่คนทุกช่วงวัยในการดูแลของ กศน.ทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น 1) Good Teacher เพิ่มอัตราข้าราชการครู กศน. เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้สู่ยุคดิจิทัล และหลักสูตรอาชีพใหม่ ๆ 2) Good Place การปรับปรุงอาคารสถานที่ ให้มีความพร้อมรองรับผู้ใช้บริการอย่างเหมาะสมและปลอดภัย 3) Good Activity Digital Platform พัฒนาการศึกษาแบบออนไลน์ที่เข้าถึงทุกที่ทุกเวลา 4) Good Partnership มีเครือข่ายที่ดีทํางานร่วมกันอย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะความร่วมมือกับ สพฐ. เพื่อจัดการศึกษาพิเศษแก่ผู้เรียนพิการอย่างเหมาะสม และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเรียนในตัวเมือง 5) Good Innovation ยกระดับผลิตภัณฑ์แบรนด์ กศน. (OOCC) พร้อมเร่งสํารวจความพร้อมของสถานที่วางจําหน่ายสินค้ารองรับการขยายตัวของผลิตภัณฑ์ OOCC ให้เข้าถึงผู้ซื้อมากขึ้น อาทิ ปั้มน้ํามัน แหล่งชุมชน เป็นต้น รวมทั้งเร่งพัฒนานวัตกรรมแหล่งเรียนรู้ โดยเฉพาะการปรับปรุงห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” ให้เป็นห้องสมุดที่มีชีวิต ตามพระราชดําริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อให้ประชาชนมาใช้ประโยชน์มากขึ้น และ 6) Good Learning Center ศูนย์การเรียนรู้สําหรับคนทุกช่วงวัยในชุมชน ในส่วนของโรงเรียนเอกชน ที่ผ่านมาสามารถช่วยแบ่งเบาการจัดการศึกษาของรัฐได้เป็นอย่างมาก ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่ดี มีค่าเฉลี่ยผลการทดสอบการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับชาติ (O-NET) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในหลายวิชาและหลายระดับ แต่ก็ต้องไม่ลืมการจัดการศึกษาเอกชนประเภทอื่น ที่มุ่งสงเคราะห์และให้โอกาสทางการศึกษาแก่เด็กเยาวชนยากไร้ที่มีอยู่ทั่วประเทศ ทั้งในเมืองและในถิ่นทุรกันดาร อาทิ กลุ่มโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา โรงเรียนศรีสังวาลย์ฯ เป็นต้น ซึ่งสถานศึกษาเหล่านี้ยังมีความขาดแคลนในหลายส่วน เพราะจัดการศึกษาโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายและการบริจาคก็ลดลง ในฐานะรัฐมนตรีที่กํากับดูแล จึงมีนโยบายเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินงานการศึกษาเอกชนในหลายส่วน อาทิ ผลักดันการจัดสรรอัตราเจ้าหน้าที่เพื่อไปปฏิบัติงานประจําในแต่ละจังหวัด กว่า 100 อัตรา โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่สนับสนุนการศึกษาของคนพิการ, การประกวดแข่งขันสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมผลงานนักเรียน ตลอดจนแข่งขันทักษะวิชาการตามความถนัดของเด็กที่เรียนอยู่ในระดับปานกลาง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเด็กกลุ่มนี้ และดึงพ่อแม่ผู้ปกครองให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษามากขึ้น และพัฒนาแหล่งเรียนรู้ออนไลน์ เพื่อการแบ่งปันองค์ความรู้ บทเรียน และผลงานที่เกิดจากการปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ให้เกิดการใช้ประโยชน์ร่วมกัน “ท้ายสุดนี้ ขอให้ทุกคนเห็นถึงความมุ่งมั่น และตั้งใจในการทํางาน เพื่อให้การจัดการศึกษาที่อยู่ในความรับผิดชอบไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ร่วมกัน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า หลายอย่างต้องอาศัยเวลา และต้องผ่านขั้นตอนการทํางานตามหลักเกณฑ์ ระเบียบ และกฎหมายต่าง ๆ แต่ขอยืนยันว่าให้ความสําคัญและใส่ใจกับทุกปัญหา พร้อมทั้งจะพยายามหาทางออกที่ดีที่สุดในการทํางาน โดยอาศัยความร่วมมือและพลังใจจากทุกคน ในการร่วมรับฟังไปด้วยกัน คิดไปด้วยกัน เพื่อที่จะเดินหน้าทลายทุกข้อจํากัดร่วมไปกับรัฐมนตรีคนนี้ เมื่อนั้นการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังก็จะเกิดขึ้นได้จริง” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว นายสุรพล สงณรงค์ ผู้อํานวยการสํานักงาน กศน.จังหวัดชุมพร กล่าวรายงานผลการดําเนินงานตอนหนึ่ง ว่า สํานักงาน กศน.จังหวัดชุมพร มีสถานศึกษาในสังกัด 8 แห่งใน 8 อําเภอ มีบุคลากร 134 คน และมีนักศึกษา 5,397 คน โดยได้ขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติภายใต้ยุทธศาสตร์การดําเนินงานใน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านโอกาสทางการศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนทุกกลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ประชาชนในทุกตําบลมีฐานการเรียนรู้ โดยศูนย์การเรียนรู้ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา ศูนย์ฝึกอาชีพ และสถานศึกษาที่เป็นแหล่งเรียนรู้ ในลักษณะกลุ่มสนใจ ชั้นเรียนวิชาชีพ ตลอดจนส่งเสริมงานห้องสมุดประชาชน ในโครงการ "ชุมพร นครแห่งการอ่าน" ในด้านคุณภาพทางการศึกษา ส่งเสริมการจัดการศึกษาเพื่อให้ความรู้ด้านวิชาการ ควบคู่คุณธรรมจริยธรรม และมีสมรรถนะทางด้านวิชาการและวิชาชีพ โดย กศน.จังหวัดชุมพร มีค่าเฉลี่ยการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ การศึกษานอกระบบโรงเรียน (N-NET) อยู่ในอันดับ 3 ของภาคใต้ และมีนักศึกษาสอบปลายภาคผ่าน ร้อยละ 90.61 ของนักศึกษาที่เข้าสอบทั้งหมด นอกจากนี้ ในด้านประสิทธิภาพการจัดการศึกษา เน้นการบริการที่มีความฉับไว โดยนําเทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการเรียนรู้แบบออนไลน์ เพื่ออํานวยความสะดวกให้เรียนได้ในตําบลของตนเอง ลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางมายังตัวอําเภอ และใช้สําหรับการบริการที่สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ทั้งนี้ กศน.จังหวัดชุมพร สามารถส่งต่อนักศึกษาเข้าเรียนในระดับที่สูงขึ้น และประสบความสําเร็จในหลากหลายอาชีพ อาทิ สิบเอกกิติพงษ์ งามน้อย รับราชการทหาร, จ่าเอกฉัตรมงคล สําลีนิล รับราชการทหาร, นายสุรชาติ กองวารี ทนายความ, จ่าเอกธัญเทพ ลิปิกรณ์ ศึกษาต่อจ่าอากาศ, นางสาวรัตฐิการณ์ รสมณี จบการศึกษาเกียรตินิยมอันดับ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี, นางสาวรพีพร รองนาค ศึกษาต่อมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี และนายสิริศักดิ์ วันทอง ศึกษาต่อวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีชุมพร เป็นต้น นายกิจจา เก่งการไถ ผู้อํานวยการโรงเรียนมันตานุสรณ์ กล่าวรายงานว่า โรงเรียนมันตานุสรณ์ เป็นโรงเรียนในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จัดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับเตรียมอนุบาลถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีครูและบุคลากร จํานวน 90 คน ครูต่างชาติ จํานวน 16 คน และมีนักเรียน จํานวน 760 คน จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ เพิ่มเติมหลักสูตรภาษาจีน และภาษาอังกฤษในรูปแบบ English Program เพื่อพัฒนาผู้เรียนอย่างเต็มศักยภาพอย่างรอบด้าน เน้นการจัดการเรียนรู้แบบลงมือทํา (Active Learning) ทั้งในเรื่องการอ่าน การขยับร่างกาย วิทยาศาสตร์ ตลอดจนภาษาคอมพิวเตอร์ (Coding) นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25439
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สคร. นำส่งรายได้จากรัฐวิสาหกิจในช่วง 10 เดือนแรกสูงกว่าเป้าหมาย 21% ช่วยรักษาเสถียรภาพการคลัง”
วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม 2560 “สคร. นําส่งรายได้จากรัฐวิสาหกิจในช่วง 10 เดือนแรกสูงกว่าเป้าหมาย 21% ช่วยรักษาเสถียรภาพการคลัง” ยอดเงินนําส่งรายได้แผ่นดินของรัฐวิสาหกิจสะสมในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 (ตุลาคม 2559 – กรกฎาคม 2560) มีจํานวน 142,806 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายจํานวน 24,889 ล้านบาท หรือคิดเป็น 21% นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ยอดเงินนําส่งรายได้แผ่นดินของรัฐวิสาหกิจสะสมในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 (ตุลาคม 2559 – กรกฎาคม 2560) มีจํานวน 142,806 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายจํานวน 24,889 ล้านบาท หรือคิดเป็น 21% นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อํานวยการ สคร. ในฐานะโฆษก สคร. กล่าวเพิ่มเติมว่า สาเหตุหลักที่รัฐวิสาหกิจนําส่งรายได้แผ่นดินสูงกว่าเป้าหมายในช่วง 10 เดือนแรก เนื่องจากประสิทธิภาพการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจที่เพิ่มขึ้นซึ่งมีส่วนทําให้ผลประกอบการของรัฐวิสาหกิจดีขึ้น โดยรัฐวิสาหกิจที่มียอดเงินนําส่งรายได้แผ่นดินสะสม 10 เดือนแรกสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 25,540 ล้านบาท การไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทย 21,660 ล้านบาท บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) 14,599 ล้านบาท ธนาคารออมสิน 13,118 ล้านบาท การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 11,384 ล้านบาท นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ กล่าวสรุปว่า สคร. สามารถจัดเก็บรายได้แผ่นดินสูงกว่าเป้าหมายการจัดเก็บตามเอกสารงบประมาณ 2560 ที่กําหนดไว้ 131,000 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้แผ่นดินที่ดีขึ้น ส่งผลในการช่วยรักษาเสถียรภาพการคลังให้แก่ประเทศอีกด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สคร. นำส่งรายได้จากรัฐวิสาหกิจในช่วง 10 เดือนแรกสูงกว่าเป้าหมาย 21% ช่วยรักษาเสถียรภาพการคลัง” วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม 2560 “สคร. นําส่งรายได้จากรัฐวิสาหกิจในช่วง 10 เดือนแรกสูงกว่าเป้าหมาย 21% ช่วยรักษาเสถียรภาพการคลัง” ยอดเงินนําส่งรายได้แผ่นดินของรัฐวิสาหกิจสะสมในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 (ตุลาคม 2559 – กรกฎาคม 2560) มีจํานวน 142,806 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายจํานวน 24,889 ล้านบาท หรือคิดเป็น 21% นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ยอดเงินนําส่งรายได้แผ่นดินของรัฐวิสาหกิจสะสมในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 (ตุลาคม 2559 – กรกฎาคม 2560) มีจํานวน 142,806 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายจํานวน 24,889 ล้านบาท หรือคิดเป็น 21% นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อํานวยการ สคร. ในฐานะโฆษก สคร. กล่าวเพิ่มเติมว่า สาเหตุหลักที่รัฐวิสาหกิจนําส่งรายได้แผ่นดินสูงกว่าเป้าหมายในช่วง 10 เดือนแรก เนื่องจากประสิทธิภาพการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจที่เพิ่มขึ้นซึ่งมีส่วนทําให้ผลประกอบการของรัฐวิสาหกิจดีขึ้น โดยรัฐวิสาหกิจที่มียอดเงินนําส่งรายได้แผ่นดินสะสม 10 เดือนแรกสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 25,540 ล้านบาท การไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทย 21,660 ล้านบาท บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) 14,599 ล้านบาท ธนาคารออมสิน 13,118 ล้านบาท การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 11,384 ล้านบาท นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ กล่าวสรุปว่า สคร. สามารถจัดเก็บรายได้แผ่นดินสูงกว่าเป้าหมายการจัดเก็บตามเอกสารงบประมาณ 2560 ที่กําหนดไว้ 131,000 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้แผ่นดินที่ดีขึ้น ส่งผลในการช่วยรักษาเสถียรภาพการคลังให้แก่ประเทศอีกด้วย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5850
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. เตรียมดำเนินตามนโยบายรับมือ COVID-19
วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 ทส. เตรียมดําเนินตามนโยบายรับมือ COVID-19 ทส. เตรียมดําเนินตามนโยบายรับมือ COVID-19 ทส. เตรียมดําเนินตามนโยบายรับมือ COVID-19 วันที่ 17 มีนาคม 2563เวลา 14.00 น. ณ ห้อง 301 นายวราวุธ ศิลปอาชารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมการดําเนินการเพื่อสนับสนุนศูนย์ป้องกันและเฝ้าระวังภัยจากโรคติดเชื้อไวรัสโดโรนา 2019 (COVID-19) โดยมีหัวหน้าส่วนราชการในสังกัด ทส. เข้าร่วมประชุมโดยพร้อมเพรียง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับมาตรการเตรียมความพร้อมการรับมือและควบคุมการระบาดของCOVID-19 โดย คณะรัฐมนตรีมีมติให้ปิดสถานบันเทิง สนามมวย โรงเรียน มหาวิทยาลัย สถานศึกษา อาบอบนวด สนามม้า โรงภาพยนตร์ และสถานที่ที่มีการรวมกลุ่ม ห้ามจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มมากกว่า 50 คนขึ้นไปในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และมากกว่า 100 คนในเขตต่างจังหวัด สําหรับแนวทางในการดําเนินงานตามภารกิจของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอให้หัวหน้าส่วนราชการระดับกรม พิจารณาตามความเหมาะสม อาจมีการทํางานโดยการเหลี่อมเวลา การประชุมโดยใช้วีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ หรือการทํางานจากที่บ้าน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องมีผลงานและตัวชี้วัดการทํางานที่ชัดเจนและมีความก้าวหน้า การดําเนินงานตามนโยบายของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการเบิกจ่าย เป็นสิ่งที่สําคัญ เพื่อพัฒนาสังคมและกระตุ้นเศรษฐกิจขอให้ดําเนินงานตามความเหมาะสมและมีศักยภาพ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. เตรียมดำเนินตามนโยบายรับมือ COVID-19 วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 ทส. เตรียมดําเนินตามนโยบายรับมือ COVID-19 ทส. เตรียมดําเนินตามนโยบายรับมือ COVID-19 ทส. เตรียมดําเนินตามนโยบายรับมือ COVID-19 วันที่ 17 มีนาคม 2563เวลา 14.00 น. ณ ห้อง 301 นายวราวุธ ศิลปอาชารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมการดําเนินการเพื่อสนับสนุนศูนย์ป้องกันและเฝ้าระวังภัยจากโรคติดเชื้อไวรัสโดโรนา 2019 (COVID-19) โดยมีหัวหน้าส่วนราชการในสังกัด ทส. เข้าร่วมประชุมโดยพร้อมเพรียง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับมาตรการเตรียมความพร้อมการรับมือและควบคุมการระบาดของCOVID-19 โดย คณะรัฐมนตรีมีมติให้ปิดสถานบันเทิง สนามมวย โรงเรียน มหาวิทยาลัย สถานศึกษา อาบอบนวด สนามม้า โรงภาพยนตร์ และสถานที่ที่มีการรวมกลุ่ม ห้ามจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มมากกว่า 50 คนขึ้นไปในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และมากกว่า 100 คนในเขตต่างจังหวัด สําหรับแนวทางในการดําเนินงานตามภารกิจของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอให้หัวหน้าส่วนราชการระดับกรม พิจารณาตามความเหมาะสม อาจมีการทํางานโดยการเหลี่อมเวลา การประชุมโดยใช้วีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ หรือการทํางานจากที่บ้าน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องมีผลงานและตัวชี้วัดการทํางานที่ชัดเจนและมีความก้าวหน้า การดําเนินงานตามนโยบายของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการเบิกจ่าย เป็นสิ่งที่สําคัญ เพื่อพัฒนาสังคมและกระตุ้นเศรษฐกิจขอให้ดําเนินงานตามความเหมาะสมและมีศักยภาพ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27469
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. วิษณุฯ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการดำเนินโครงการห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab)
วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2560 รอง นรม. วิษณุฯ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการดําเนินโครงการห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab) รอง นรม. วิษณุฯ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการดําเนินโครงการห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab) วันนี้ (19 มิถุนายน 2560) เวลา 13.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการดําเนินโครงการห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab) โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมงาน ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข สํานักงาน ก.พ.ร. โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจําประเทศไทย (UNDP) ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โอกาสนี้ นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ ก.พ.ร. กล่าวรายงานว่า “กระบวนการคิดเชิงออกแบบ” (Design Thinking) ซึ่งเป็นหัวใจหลักของ โครงการห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ Government Innovation Lab นั้นมีความสอดคล้องกับ “ศาสตร์พระราชา” หรือหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช คือ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” โดยหน่วยงานภาครัฐจะยึดเอาหลักการนี้เป็นแนวทางในการพัฒนาบริการ ให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างสูงสุด ดังนั้น โครงการห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab) นับเป็นก้าวที่สําคัญในการยกระดับการพัฒนางานบริการภาครัฐ ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนผู้รับบริการได้มีส่วนเข้ามาร่วมในการคิดและพัฒนางานบริการ ทําให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกจุด เพื่อให้สามารถตอบสนองความคาดหวังของประชาชนที่มีต่อการให้บริการของทางราชการที่จะต้องเป็นไปอย่างถูกต้อง รวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย โดยไม่มีข้อจํากัดทางด้านสถานที่และเวลา ตามนโยบายโมเดลการพัฒนาประเทศ Thailand 4.0 ของรัฐบาล ทําให้ภาครัฐจําเป็นต้องมีการปรับตัวให้เป็นข้าราชการ 4.0 ซึ่งต้องยึดหลักธรรมาภิบาลเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนเป็นสําคัญ และเหนือสิ่งอื่นใดการดําเนินงานดังกล่าวจะเป็นการปรับเปลี่ยน Mindset ในการทํางานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐได้อีกด้วย ทั้งนี้ โครงการห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab) เป็นแนวทางการพัฒนานวัตกรรมของภาครัฐ ที่ในหลายประเทศได้นํามาประยุกต์ใช้และประสบความสําเร็จเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น Mindlab ของเดนมาร์ก PolicyLab ของอังกฤษ GovLab ของสหรัฐอเมริกา ดังนั้น การจัดให้มีห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐจึงมีความจําเป็นอย่างยิ่ง เพื่อใช้ในการประยุกต์การคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) ซึ่งเน้นผู้ใช้บริการเป็นสําคัญ (User or human-centered design) และอาศัยการสานพลังความร่วมมือ (Collaboration) กับทุกภาคส่วนเพื่อคิดค้นและสร้างร่วมกันผ่านกระบวนการทดสอบ ทดลองในห้องปฏิบัติการออกแบบ (Design Lab) ซึ่งมีกระบวนการ 4 ขั้นตอน ดังนี้ (1) การสร้างความเข้าใจบริบทภาพรวม : Understand The Broad context (2) การเข้าถึงสภาพปัญหาและความต้องการที่แท้จริงของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียฝ่ายต่าง ๆ : Gain empathy for Stakeholder’s real needs (3) การทดลองความคิดที่หลากหลาย : Experiment with diverse ideas (4) การวางกลยุทธ์ขยายผล : Strategize the rollout จากนั้น รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเปิดงาน ในพิธีลงนามฯ ว่าชื่นชมและสนับสนุนโครงการห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab) ของส่วนราชการต่าง ๆ ทั้งนี้ ได้รับรายงานเรื่องความพยายามของข้าราชการในหน่วยงานราชการต่าง ๆ ที่มีความมุ่งมั่นที่จะอํานวยการความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อภายในหน่วยงานราชการต่าง ๆ หรืออาจจะไม่เกี่ยวกับการติดต่อในหน่วยงานราชการก็ตาม ถือได้ว่าสิ่งหนึ่งที่ข้าราชการจําเป็นต้องมีในการอํานวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน คือ การมี Service Mind หรือ Sense of Mind หรือจิตการให้บริการ ถ้าข้าราชการมีสิ่งเหล่านี้ภายในจิตใจก็จะช่วยให้การอํานวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนประสบความสําเร็จมากยิ่งขึ้น โดยขอให้ข้าราชการอย่ายึดถือในตําแหน่งหน้าที่ แต่ให้นึกว่าตนเองนั้นเป็นประชาชนที่จะมาขอใช้บริการกับหน่วยงานราชการ เช่นกัน หลังจากนั้น รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในสักขีพยานของการลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการดําเนินโครงการห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab) และการลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการนําร่องการดําเนินงานตามโครงการ ห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab) โดยมีตัวแทนจาก สํานักงาน ก.พ.ร. โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจําประเทศไทย (UNDP) ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรีให้เกียรติร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับตัวแทนคณะผู้บริหารของหน่วยงานดังกล่าวด้วยอัธยาศัยอันดี ************************************ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. วิษณุฯ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการดำเนินโครงการห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab) วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2560 รอง นรม. วิษณุฯ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการดําเนินโครงการห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab) รอง นรม. วิษณุฯ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการดําเนินโครงการห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab) วันนี้ (19 มิถุนายน 2560) เวลา 13.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการดําเนินโครงการห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab) โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมงาน ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข สํานักงาน ก.พ.ร. โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจําประเทศไทย (UNDP) ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โอกาสนี้ นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ ก.พ.ร. กล่าวรายงานว่า “กระบวนการคิดเชิงออกแบบ” (Design Thinking) ซึ่งเป็นหัวใจหลักของ โครงการห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ Government Innovation Lab นั้นมีความสอดคล้องกับ “ศาสตร์พระราชา” หรือหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช คือ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” โดยหน่วยงานภาครัฐจะยึดเอาหลักการนี้เป็นแนวทางในการพัฒนาบริการ ให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างสูงสุด ดังนั้น โครงการห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab) นับเป็นก้าวที่สําคัญในการยกระดับการพัฒนางานบริการภาครัฐ ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนผู้รับบริการได้มีส่วนเข้ามาร่วมในการคิดและพัฒนางานบริการ ทําให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกจุด เพื่อให้สามารถตอบสนองความคาดหวังของประชาชนที่มีต่อการให้บริการของทางราชการที่จะต้องเป็นไปอย่างถูกต้อง รวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย โดยไม่มีข้อจํากัดทางด้านสถานที่และเวลา ตามนโยบายโมเดลการพัฒนาประเทศ Thailand 4.0 ของรัฐบาล ทําให้ภาครัฐจําเป็นต้องมีการปรับตัวให้เป็นข้าราชการ 4.0 ซึ่งต้องยึดหลักธรรมาภิบาลเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนเป็นสําคัญ และเหนือสิ่งอื่นใดการดําเนินงานดังกล่าวจะเป็นการปรับเปลี่ยน Mindset ในการทํางานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐได้อีกด้วย ทั้งนี้ โครงการห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab) เป็นแนวทางการพัฒนานวัตกรรมของภาครัฐ ที่ในหลายประเทศได้นํามาประยุกต์ใช้และประสบความสําเร็จเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น Mindlab ของเดนมาร์ก PolicyLab ของอังกฤษ GovLab ของสหรัฐอเมริกา ดังนั้น การจัดให้มีห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐจึงมีความจําเป็นอย่างยิ่ง เพื่อใช้ในการประยุกต์การคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) ซึ่งเน้นผู้ใช้บริการเป็นสําคัญ (User or human-centered design) และอาศัยการสานพลังความร่วมมือ (Collaboration) กับทุกภาคส่วนเพื่อคิดค้นและสร้างร่วมกันผ่านกระบวนการทดสอบ ทดลองในห้องปฏิบัติการออกแบบ (Design Lab) ซึ่งมีกระบวนการ 4 ขั้นตอน ดังนี้ (1) การสร้างความเข้าใจบริบทภาพรวม : Understand The Broad context (2) การเข้าถึงสภาพปัญหาและความต้องการที่แท้จริงของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียฝ่ายต่าง ๆ : Gain empathy for Stakeholder’s real needs (3) การทดลองความคิดที่หลากหลาย : Experiment with diverse ideas (4) การวางกลยุทธ์ขยายผล : Strategize the rollout จากนั้น รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเปิดงาน ในพิธีลงนามฯ ว่าชื่นชมและสนับสนุนโครงการห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab) ของส่วนราชการต่าง ๆ ทั้งนี้ ได้รับรายงานเรื่องความพยายามของข้าราชการในหน่วยงานราชการต่าง ๆ ที่มีความมุ่งมั่นที่จะอํานวยการความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อภายในหน่วยงานราชการต่าง ๆ หรืออาจจะไม่เกี่ยวกับการติดต่อในหน่วยงานราชการก็ตาม ถือได้ว่าสิ่งหนึ่งที่ข้าราชการจําเป็นต้องมีในการอํานวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน คือ การมี Service Mind หรือ Sense of Mind หรือจิตการให้บริการ ถ้าข้าราชการมีสิ่งเหล่านี้ภายในจิตใจก็จะช่วยให้การอํานวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนประสบความสําเร็จมากยิ่งขึ้น โดยขอให้ข้าราชการอย่ายึดถือในตําแหน่งหน้าที่ แต่ให้นึกว่าตนเองนั้นเป็นประชาชนที่จะมาขอใช้บริการกับหน่วยงานราชการ เช่นกัน หลังจากนั้น รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในสักขีพยานของการลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการดําเนินโครงการห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab) และการลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการนําร่องการดําเนินงานตามโครงการ ห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ (Government Innovation Lab) โดยมีตัวแทนจาก สํานักงาน ก.พ.ร. โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจําประเทศไทย (UNDP) ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรีให้เกียรติร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับตัวแทนคณะผู้บริหารของหน่วยงานดังกล่าวด้วยอัธยาศัยอันดี ************************************ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4645
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ย้ำคนดี คนเก่ง คนกล้า ต้องเคารพกฎหมาย รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รัฐบาลพร้อมขับเคลื่อน “รวมไทย สร้างชาติ” ให้มีคนดี คนเก่ง คนกล้า เข้าสู่สังคมพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืน
วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563 นายกฯ ย้ําคนดี คนเก่ง คนกล้า ต้องเคารพกฎหมาย รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รัฐบาลพร้อมขับเคลื่อน “รวมไทย สร้างชาติ” ให้มีคนดี คนเก่ง คนกล้า เข้าสู่สังคมพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ย้ําคนดี คนเก่ง คนกล้า ต้องเคารพกฎหมาย รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รัฐบาลพร้อมขับเคลื่อน “รวมไทย สร้างชาติ” ให้มีคนดี คนเก่ง คนกล้า เข้าสู่สังคมพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืนในทุกมิติ วันนี้ (24 มิ.ย.63) เวลา 11.00 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ นําคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการสร้างคนดี คนเก่ง คนกล้า และโอกาสสู่สังคม เพื่อพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย นายมหรรณพ เดชวิทักษ์ รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ คนที่หนึ่ง นายตวง อันทะไชย รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ คนที่สอง พลเอก สุรเชษฐ์ชัยวงศ์ รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ คนที่สาม นายชาญวิทย์ ผลชีวิน โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯลฯ เข้าพบเพื่อรับทราบนโยบายและความคิดเห็นของนายกรัฐมนตรี เพื่อนําไปจัดทํายุทธศาสตร์และแนวทางการสร้างคนดี คนเก่ง คนกล้า และโอกาส สู่สังคมเพื่อพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืนและจัดทําแผนงานระดับต่าง ๆ สําหรับเป็นต้นแบบให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนําไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ขอบคุณคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ที่ได้ร่วมกันทํางานช่วยกันขับเคลื่อนสร้างคนดี คนเก่ง คนกล้า และโอกาส สู่สังคมเพื่อพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืน ซึ่งการทํางานต้องดูตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ไปจนถึงปลายทาง โดยเฉพาะต้นทางต้องเริ่มจากสถาบันครอบครัว กลางทาง เช่นสถาบันการศึกษาทั้งระบบและปลายทาง คือ การผลิตคนผ่านสถานบันต่าง ๆ ออกไปสู่สังคมในอาชีพต่าง ๆ เช่น นักการเมือง นักวิชาการ ผู้ประกอบธุรกิจต่าง ๆ เป็นต้น ดังนั้น การจัดทํายุทธศาสตร์และแนวทางการสร้างคนดี คนเก่ง คนกล้าฯ ต้องมีแผนปฏิบัติและมาตรการรองรับที่ชัดเจนควบคู่ไปกับมิติอื่นๆ เช่น กีฬา กฎหมาย เพื่อนําไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ นายกรัฐมนตรียังฝากช่วยกันหาแนวทางทําให้คนในสังคมคิดถึงผู้อื่นก่อนตนเอง โดยเฉพาะคนที่มีความพร้อมและมีศักยภาพสามารถช่วยคนอื่นได้ เช่น การเคารพและไม่รบกวนซึ่งกันและกันบนเสรีภาพที่มีอยู่ การเคารพกฎหมาย พร้อมทั้งยังฝากไปถึงสถาบันการศึกษาและครูต้องมีวิธีการสอนแบบใหม่ในวิชาต่าง ๆ ให้น่าสนใจ ทั้งเรื่องของประวัติศาสตร์ ศีลธรรม ประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ฝึกให้รู้จักคิดวิเคราะห์ นําเทคโนโลยีดิจิทัล และสื่อต่าง ๆ เข้ามาปรับใช้ในการสอนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน การศึกษาตรงกับความต้องการของตลาดและการพัฒนาประเทศด้วย โอกาสนี้ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ กล่าวการจัดทํายุทธศาสตร์และแนวทางการสร้างคนดี คนเก่งฯ ว่า เป็นการบูรณาการทํางานร่วมกันของ 4 คณะกรรมาธิการฯ เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนให้เด็กเยาวชนรุ่นใหม่ได้เข้าใจบริบทของประเทศไทย สถาบันชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์ และขับเคลื่อนให้สังคมช่วยกันผลักดันให้คนดี คนเก่ง และคนกล้า มีโอกาสในบทบาทต่าง ๆ ในสังคม ทั้งในระดับของผู้ปฏิบัติ และระดับของผู้ที่ออกนโยบาย ซึ่งขณะนี้การทํางานของคณะกรรมาธิการฯ ใกล้ที่จะสําเร็จแล้ว ทั้งนี้ พร้อมนําแนวคิดการทํางาน “รวมไทย สร้างชาติ” ดึงภาคประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเพื่อให้มีคนดี คนเก่ง และคนกล้า มีโอกาสเข้าสู่สังคมพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืนในทุกมิติ นายกรัฐมนตรีย้ํารัฐบาลพร้อมทํางานอย่างเต็มที่เพื่อประชาชน แม้บางเรื่องยังไม่สําเร็จในทันที เพราะต้องใช้เวลา เช่นเดียวกับการสร้างคนดี คนเก่ง และคนกล้า สู่สังคม โดยขอให้เป็นผู้เคารพกฎหมาย และเข้าใจความเป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้อง เชื่อมั่นจะมีคนดี คนเก่งเข้าสู่ระบบการเมืองร่วมกันพัฒนาประเทศต่อไป ------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ย้ำคนดี คนเก่ง คนกล้า ต้องเคารพกฎหมาย รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รัฐบาลพร้อมขับเคลื่อน “รวมไทย สร้างชาติ” ให้มีคนดี คนเก่ง คนกล้า เข้าสู่สังคมพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืน วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563 นายกฯ ย้ําคนดี คนเก่ง คนกล้า ต้องเคารพกฎหมาย รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รัฐบาลพร้อมขับเคลื่อน “รวมไทย สร้างชาติ” ให้มีคนดี คนเก่ง คนกล้า เข้าสู่สังคมพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ย้ําคนดี คนเก่ง คนกล้า ต้องเคารพกฎหมาย รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รัฐบาลพร้อมขับเคลื่อน “รวมไทย สร้างชาติ” ให้มีคนดี คนเก่ง คนกล้า เข้าสู่สังคมพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืนในทุกมิติ วันนี้ (24 มิ.ย.63) เวลา 11.00 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ นําคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการสร้างคนดี คนเก่ง คนกล้า และโอกาสสู่สังคม เพื่อพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย นายมหรรณพ เดชวิทักษ์ รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ คนที่หนึ่ง นายตวง อันทะไชย รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ คนที่สอง พลเอก สุรเชษฐ์ชัยวงศ์ รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ คนที่สาม นายชาญวิทย์ ผลชีวิน โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯลฯ เข้าพบเพื่อรับทราบนโยบายและความคิดเห็นของนายกรัฐมนตรี เพื่อนําไปจัดทํายุทธศาสตร์และแนวทางการสร้างคนดี คนเก่ง คนกล้า และโอกาส สู่สังคมเพื่อพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืนและจัดทําแผนงานระดับต่าง ๆ สําหรับเป็นต้นแบบให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนําไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ขอบคุณคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ที่ได้ร่วมกันทํางานช่วยกันขับเคลื่อนสร้างคนดี คนเก่ง คนกล้า และโอกาส สู่สังคมเพื่อพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืน ซึ่งการทํางานต้องดูตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ไปจนถึงปลายทาง โดยเฉพาะต้นทางต้องเริ่มจากสถาบันครอบครัว กลางทาง เช่นสถาบันการศึกษาทั้งระบบและปลายทาง คือ การผลิตคนผ่านสถานบันต่าง ๆ ออกไปสู่สังคมในอาชีพต่าง ๆ เช่น นักการเมือง นักวิชาการ ผู้ประกอบธุรกิจต่าง ๆ เป็นต้น ดังนั้น การจัดทํายุทธศาสตร์และแนวทางการสร้างคนดี คนเก่ง คนกล้าฯ ต้องมีแผนปฏิบัติและมาตรการรองรับที่ชัดเจนควบคู่ไปกับมิติอื่นๆ เช่น กีฬา กฎหมาย เพื่อนําไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ นายกรัฐมนตรียังฝากช่วยกันหาแนวทางทําให้คนในสังคมคิดถึงผู้อื่นก่อนตนเอง โดยเฉพาะคนที่มีความพร้อมและมีศักยภาพสามารถช่วยคนอื่นได้ เช่น การเคารพและไม่รบกวนซึ่งกันและกันบนเสรีภาพที่มีอยู่ การเคารพกฎหมาย พร้อมทั้งยังฝากไปถึงสถาบันการศึกษาและครูต้องมีวิธีการสอนแบบใหม่ในวิชาต่าง ๆ ให้น่าสนใจ ทั้งเรื่องของประวัติศาสตร์ ศีลธรรม ประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ฝึกให้รู้จักคิดวิเคราะห์ นําเทคโนโลยีดิจิทัล และสื่อต่าง ๆ เข้ามาปรับใช้ในการสอนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน การศึกษาตรงกับความต้องการของตลาดและการพัฒนาประเทศด้วย โอกาสนี้ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ กล่าวการจัดทํายุทธศาสตร์และแนวทางการสร้างคนดี คนเก่งฯ ว่า เป็นการบูรณาการทํางานร่วมกันของ 4 คณะกรรมาธิการฯ เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนให้เด็กเยาวชนรุ่นใหม่ได้เข้าใจบริบทของประเทศไทย สถาบันชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์ และขับเคลื่อนให้สังคมช่วยกันผลักดันให้คนดี คนเก่ง และคนกล้า มีโอกาสในบทบาทต่าง ๆ ในสังคม ทั้งในระดับของผู้ปฏิบัติ และระดับของผู้ที่ออกนโยบาย ซึ่งขณะนี้การทํางานของคณะกรรมาธิการฯ ใกล้ที่จะสําเร็จแล้ว ทั้งนี้ พร้อมนําแนวคิดการทํางาน “รวมไทย สร้างชาติ” ดึงภาคประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเพื่อให้มีคนดี คนเก่ง และคนกล้า มีโอกาสเข้าสู่สังคมพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืนในทุกมิติ นายกรัฐมนตรีย้ํารัฐบาลพร้อมทํางานอย่างเต็มที่เพื่อประชาชน แม้บางเรื่องยังไม่สําเร็จในทันที เพราะต้องใช้เวลา เช่นเดียวกับการสร้างคนดี คนเก่ง และคนกล้า สู่สังคม โดยขอให้เป็นผู้เคารพกฎหมาย และเข้าใจความเป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้อง เชื่อมั่นจะมีคนดี คนเก่งเข้าสู่ระบบการเมืองร่วมกันพัฒนาประเทศต่อไป ------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32700
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือการศึกษาและวิจัยกับโมร็อกโก และอนุมัติแต่งตั้งประธานและคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
วันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561 ครม.อนุมัติการจัดทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือการศึกษาและวิจัยกับโมร็อกโก และอนุมัติแต่งตั้งประธานและคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2561 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ 2 เรื่อง ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)เมื่อวันที่10กรกฎาคม2561ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ2เรื่อง คือ อนุมัติการจัดทําและลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาและการวิจัยกับโมร็อกโก และอนุมัติแต่งตั้งประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา 1) อนุมัติการจัดทําและลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาและการวิจัย ไทย–โมร็อกโก ครม.มีมติอนุมัติการจัดทําและลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาและการวิจัย ไทย–โมร็อกโก ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงศึกษาธิการแห่งชาติ การฝึกอบรมวิชาชีพ การอุดมศึกษา และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์แห่งราชอาณาจักรโมร็อกโก โดยอนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์)หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว สําหรับบันทึกความเข้าใจดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านการอุดมศึกษาและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์บนฐานของความเท่าเทียมกัน ผลประโยชน์ร่วมและต่างตอบแทนกันในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้เข้าร่วม โดยไม่ได้สร้างภาระผูกพันที่มีผลผูกพันตามกฎหมายใด ๆ ต่อผู้เข้าร่วมและไม่ถือเป็นสนธิสัญญา ตามกฎหมายระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันตามกฎหมายใด ๆ ต่อผู้เข้าร่วมและไม่ถือเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ ขอบเขตความร่วมมือ 1) การแลกเปลี่ยนข้อสนเทศและสื่อสิ่งพิมพ์ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา รวมถึงศาสตร์ การสอนและวิธีการสอน 2) การแลกเปลี่ยนครู นักเรียน และผู้เชี่ยวชาญ 3) การแลกเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ระดับสูง ผู้บริหาร นักวิจัย และเจ้าหน้าที่ด้านวิชาการในโครงการ ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของผู้เข้าร่วม 4) เสริมสร้างความเข้มแข็งของการเชื่อมโยงมหาวิทยาลัย/สถาบัน ผ่านโครงการวิจัยร่วม และกิจกรรมร่วมของนักศึกษา 5) เสริมสร้างความเข้มแข็งของการเชื่อมโยงวิทยาลัยหรือสถาบันอาชีวศึกษา ผ่านโครงการแลกเปลี่ยน และกิจกรรมร่วมกัน 6) การให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนของผู้เข้าร่วมโดยขึ้นอยู่กับงบประมาณที่มีอยู่ 7) การส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีระหว่างสถาบันอุดมศึกษาในสาขาที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของ ทั้งสองประเทศ 8) การส่งเสริมการทําวิทยานิพนธ์ร่วมในระดับปริญญาเอก 9) ความร่วมมืออื่น ๆ ที่ตัดสินใจร่วมกันโดยผู้เข้าร่วมในสาขาการศึกษาและการวิจัย 2) อนุมัติแต่งตั้งประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ครม.มีมติอนุมัติตามที่สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา รวม 8 คน ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. 2561 ดังนี้ 1. นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการ 2. นางสาววลัยรัตน์ ศรีอรุณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 3. รองศาสตราจารย์ดารณี อุทัยรัตนกิจ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาควิชาการ 4. รองศาสตราจารย์ปัทมาวดี โพชนุกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาควิชาการ 5. นายภัทระ คําพิทักษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคประชาสังคม 6. นายจเด็จ ธรรมธัชอารี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคประชาสังคม 7. นายประสงค์ วินัยแพทย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ภาคเอกชน 8. นายชาลี จันทนยิ่งยง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป Written byบัลลังก์ โรหิตเสถียร Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือการศึกษาและวิจัยกับโมร็อกโก และอนุมัติแต่งตั้งประธานและคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา วันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561 ครม.อนุมัติการจัดทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือการศึกษาและวิจัยกับโมร็อกโก และอนุมัติแต่งตั้งประธานและคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2561 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ 2 เรื่อง ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)เมื่อวันที่10กรกฎาคม2561ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ2เรื่อง คือ อนุมัติการจัดทําและลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาและการวิจัยกับโมร็อกโก และอนุมัติแต่งตั้งประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา 1) อนุมัติการจัดทําและลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาและการวิจัย ไทย–โมร็อกโก ครม.มีมติอนุมัติการจัดทําและลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาและการวิจัย ไทย–โมร็อกโก ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงศึกษาธิการแห่งชาติ การฝึกอบรมวิชาชีพ การอุดมศึกษา และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์แห่งราชอาณาจักรโมร็อกโก โดยอนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์)หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว สําหรับบันทึกความเข้าใจดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านการอุดมศึกษาและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์บนฐานของความเท่าเทียมกัน ผลประโยชน์ร่วมและต่างตอบแทนกันในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้เข้าร่วม โดยไม่ได้สร้างภาระผูกพันที่มีผลผูกพันตามกฎหมายใด ๆ ต่อผู้เข้าร่วมและไม่ถือเป็นสนธิสัญญา ตามกฎหมายระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันตามกฎหมายใด ๆ ต่อผู้เข้าร่วมและไม่ถือเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ ขอบเขตความร่วมมือ 1) การแลกเปลี่ยนข้อสนเทศและสื่อสิ่งพิมพ์ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา รวมถึงศาสตร์ การสอนและวิธีการสอน 2) การแลกเปลี่ยนครู นักเรียน และผู้เชี่ยวชาญ 3) การแลกเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ระดับสูง ผู้บริหาร นักวิจัย และเจ้าหน้าที่ด้านวิชาการในโครงการ ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของผู้เข้าร่วม 4) เสริมสร้างความเข้มแข็งของการเชื่อมโยงมหาวิทยาลัย/สถาบัน ผ่านโครงการวิจัยร่วม และกิจกรรมร่วมของนักศึกษา 5) เสริมสร้างความเข้มแข็งของการเชื่อมโยงวิทยาลัยหรือสถาบันอาชีวศึกษา ผ่านโครงการแลกเปลี่ยน และกิจกรรมร่วมกัน 6) การให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนของผู้เข้าร่วมโดยขึ้นอยู่กับงบประมาณที่มีอยู่ 7) การส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีระหว่างสถาบันอุดมศึกษาในสาขาที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของ ทั้งสองประเทศ 8) การส่งเสริมการทําวิทยานิพนธ์ร่วมในระดับปริญญาเอก 9) ความร่วมมืออื่น ๆ ที่ตัดสินใจร่วมกันโดยผู้เข้าร่วมในสาขาการศึกษาและการวิจัย 2) อนุมัติแต่งตั้งประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ครม.มีมติอนุมัติตามที่สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา รวม 8 คน ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. 2561 ดังนี้ 1. นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการ 2. นางสาววลัยรัตน์ ศรีอรุณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 3. รองศาสตราจารย์ดารณี อุทัยรัตนกิจ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาควิชาการ 4. รองศาสตราจารย์ปัทมาวดี โพชนุกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาควิชาการ 5. นายภัทระ คําพิทักษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคประชาสังคม 6. นายจเด็จ ธรรมธัชอารี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคประชาสังคม 7. นายประสงค์ วินัยแพทย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ภาคเอกชน 8. นายชาลี จันทนยิ่งยง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป Written byบัลลังก์ โรหิตเสถียร Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13754
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อรถจักรยานยนต์สร้างรายได้
วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม 2562 ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อรถจักรยานยนต์สร้างรายได้ ธ.ก.ส.พร้อมจ่ายสินเชื่อรถจักรยานยนต์สร้างรายได้ให้กับผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เกษตรกรหรือประชาชนทั่วไปที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบอาชีพขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง วงเงินรายละไม่เกิน 80,000 บาท และซ่อมแซมรายละไม่เกิน 30,000 บาท โดยมี บสย.ค้ําประกัน ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายสินเชื่อรถจักรยานยนต์สร้างรายได้ ให้กับผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เกษตรกรหรือประชาชนทั่วไปที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบอาชีพขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง วงเงินรายละไม่เกิน 80,000 บาท และซ่อมแซมรายละไม่เกิน 30,000 บาท โดยมี บสย.ค้ําประกันให้ 100% วงเงินกู้รวม 1,000 ล้านบาท พร้อมรับฟรีค่าธรรมเนียมค้ําประกันปีแรกและรับสิทธิ์ฝากเงินสงเคราะห์ชีวิตที่คุ้มครองสินเชื่อ และอุบัติเหตุในอัตราพิเศษ นายสมภพ รอดกลาง ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มุ่งให้ความช่วยเหลือและสร้างโอกาสทั้ง 4 มิติ คือ การมีงานทํา การฝึกอบรมอาชีพ การศึกษาและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ ธ.ก.ส. จึงได้จัดทําโครงการ “สินเชื่อรถจักรยานยนต์สร้างรายได้” เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เกษตรกรหรือบุคคลทั่วไป ได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรม เสริมสภาพคล่องป้องกันและแก้ไขปัญหาการกู้เงินนอกระบบ สนับสนุนการสร้างอาชีพและรายได้ รวมถึงช่วยให้บุคคลในครัวเรือนมีอาชีพหลักหรืออาชีพเสริม เพื่อยกระดับรายได้ที่มั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยมีบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ให้การ ค้ําประกันเงินกู้แก่ผู้ที่ขอสินเชื่อดังกล่าว ภายใต้โครงการค้ําประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 3 ผ่านโครงการ “บสย.รักพี่วิน” สําหรับผู้ที่ต้องการขอสินเชื่อต้องเป็นผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เกษตรกรหรือบุคคลทั่วไป และเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบอาชีพขับรถจักรยานยนต์รับจ้างถูกต้องตามกฎหมาย ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม สมุทรปราการ และชลบุรี รวมถึงจังหวัดอื่น ๆ ที่มีผู้ขึ้นทะเบียนเป็น ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างกับกรมการขนส่งทางบกหรือสํานักงานขนส่งจังหวัดในพื้นที่ วงเงินสินเชื่อเพื่อซื้อรถจักรยานยนต์ รายละ 10,000 - 80,000 บาท และกรณีกู้เพื่อซ่อมแซมรถจักรยานยนต์ วงเงินรายละ 10,000 – 30,000 บาท การคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก โดยคิดดอกเบี้ยเริ่มต้นที่อัตรา MRR (ปัจจุบัน MRR ร้อยละ 6.875 ต่อปี) สูงสุด ไม่เกิน MRR+3 ต่อปี (ขึ้นอยู่กับประวัติการชําระหนี้หรือความเสี่ยงจากการประเมินขอกู้เงิน) ในส่วนของหลักประกัน บสย. จะเป็นผู้ค้ําประกันสินเชื่อให้เต็มวงเงินกู้ โดยผู้กู้ชําระเพียงแค่ค่าธรรมเนียมตามวงเงินค้ําประกัน (วงเงิน 10,000-50,000 บาท ค่าธรรมเนียมร้อยละ 2.0 ต่อปี / วงเงินมากกว่า 50,000 บาท ค่าธรรมเนียมร้อยละ 1.5 ต่อปีของวงเงินที่กู้) ชําระหนี้เป็นรายเดือน ไม่น้อยกว่า 3 ปี สูงสุดไม่เกิน 5 ปี รวมวงเงินสินเชื่อโครงการ 1,000 ล้านบาท ระยะเวลาจ่ายเงินกู้ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 30 มิถุนายน 2563 พิเศษ! สําหรับลูกค้าที่ทําสัญญาเงินกู้ในโครงการนี้ รับฟรีค่าธรรมเนียมค้ําประกันในปีแรกและรับสิทธิฝากเงินสงเคราะห์ชีวิตที่คุ้มครองสินเชื่อ/คุ้มครองอุบัติเหตุในอัตราพิเศษ ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา หรือที่ Call Center 02 555 0555
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อรถจักรยานยนต์สร้างรายได้ วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม 2562 ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อรถจักรยานยนต์สร้างรายได้ ธ.ก.ส.พร้อมจ่ายสินเชื่อรถจักรยานยนต์สร้างรายได้ให้กับผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เกษตรกรหรือประชาชนทั่วไปที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบอาชีพขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง วงเงินรายละไม่เกิน 80,000 บาท และซ่อมแซมรายละไม่เกิน 30,000 บาท โดยมี บสย.ค้ําประกัน ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายสินเชื่อรถจักรยานยนต์สร้างรายได้ ให้กับผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เกษตรกรหรือประชาชนทั่วไปที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบอาชีพขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง วงเงินรายละไม่เกิน 80,000 บาท และซ่อมแซมรายละไม่เกิน 30,000 บาท โดยมี บสย.ค้ําประกันให้ 100% วงเงินกู้รวม 1,000 ล้านบาท พร้อมรับฟรีค่าธรรมเนียมค้ําประกันปีแรกและรับสิทธิ์ฝากเงินสงเคราะห์ชีวิตที่คุ้มครองสินเชื่อ และอุบัติเหตุในอัตราพิเศษ นายสมภพ รอดกลาง ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มุ่งให้ความช่วยเหลือและสร้างโอกาสทั้ง 4 มิติ คือ การมีงานทํา การฝึกอบรมอาชีพ การศึกษาและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ ธ.ก.ส. จึงได้จัดทําโครงการ “สินเชื่อรถจักรยานยนต์สร้างรายได้” เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เกษตรกรหรือบุคคลทั่วไป ได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรม เสริมสภาพคล่องป้องกันและแก้ไขปัญหาการกู้เงินนอกระบบ สนับสนุนการสร้างอาชีพและรายได้ รวมถึงช่วยให้บุคคลในครัวเรือนมีอาชีพหลักหรืออาชีพเสริม เพื่อยกระดับรายได้ที่มั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยมีบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ให้การ ค้ําประกันเงินกู้แก่ผู้ที่ขอสินเชื่อดังกล่าว ภายใต้โครงการค้ําประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 3 ผ่านโครงการ “บสย.รักพี่วิน” สําหรับผู้ที่ต้องการขอสินเชื่อต้องเป็นผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เกษตรกรหรือบุคคลทั่วไป และเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบอาชีพขับรถจักรยานยนต์รับจ้างถูกต้องตามกฎหมาย ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม สมุทรปราการ และชลบุรี รวมถึงจังหวัดอื่น ๆ ที่มีผู้ขึ้นทะเบียนเป็น ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างกับกรมการขนส่งทางบกหรือสํานักงานขนส่งจังหวัดในพื้นที่ วงเงินสินเชื่อเพื่อซื้อรถจักรยานยนต์ รายละ 10,000 - 80,000 บาท และกรณีกู้เพื่อซ่อมแซมรถจักรยานยนต์ วงเงินรายละ 10,000 – 30,000 บาท การคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก โดยคิดดอกเบี้ยเริ่มต้นที่อัตรา MRR (ปัจจุบัน MRR ร้อยละ 6.875 ต่อปี) สูงสุด ไม่เกิน MRR+3 ต่อปี (ขึ้นอยู่กับประวัติการชําระหนี้หรือความเสี่ยงจากการประเมินขอกู้เงิน) ในส่วนของหลักประกัน บสย. จะเป็นผู้ค้ําประกันสินเชื่อให้เต็มวงเงินกู้ โดยผู้กู้ชําระเพียงแค่ค่าธรรมเนียมตามวงเงินค้ําประกัน (วงเงิน 10,000-50,000 บาท ค่าธรรมเนียมร้อยละ 2.0 ต่อปี / วงเงินมากกว่า 50,000 บาท ค่าธรรมเนียมร้อยละ 1.5 ต่อปีของวงเงินที่กู้) ชําระหนี้เป็นรายเดือน ไม่น้อยกว่า 3 ปี สูงสุดไม่เกิน 5 ปี รวมวงเงินสินเชื่อโครงการ 1,000 ล้านบาท ระยะเวลาจ่ายเงินกู้ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 30 มิถุนายน 2563 พิเศษ! สําหรับลูกค้าที่ทําสัญญาเงินกู้ในโครงการนี้ รับฟรีค่าธรรมเนียมค้ําประกันในปีแรกและรับสิทธิฝากเงินสงเคราะห์ชีวิตที่คุ้มครองสินเชื่อ/คุ้มครองอุบัติเหตุในอัตราพิเศษ ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา หรือที่ Call Center 02 555 0555
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22442
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 4 สิงหาคม 2563
วันอังคารที่ 4 สิงหาคม 2563 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 4 สิงหาคม 2563 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (4 สิงหาคม 2563) เวลา 09.00 น.ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสําหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในท้องที่ตําบลชุมแพ อําเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. .... 3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สํานักงานสภาเกษตรกร แห่งชาติ) 4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต และหนังสือรับรอง การแจ้งตามกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการ แจ้ง และการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย พ.ศ. 2559 พ.ศ. .... 5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดเขตท่าเรือบางปะกง และเขตจอดเรือบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ. .... 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงเพื่อรองรับการใช้บังคับพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 เศรษฐกิจ - สังคม 7. เรื่อง ผลการดําเนินโครงการตามภารกิจของ บจธ. สิ้นสุด ณ วันที่ 7 มิถุนายน 2563 8. เรื่อง แผนปฏิบัติการภาค ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 แผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด พ.ศ. 2561–2565 ฉบับทบทวน แผนปฏิบัติราชการประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และคําของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 9. เรื่อง ผลการดําเนินโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า 10. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลางรายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น 11. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 12 12. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work from Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ 13. เรื่อง การกู้เงินจากธนาคารพัฒนาเอเชียภายใต้พระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 14. เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 15. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 13/2563 ต่างประเทศ 16. เรื่อง การนําเสนอรายงานผลการดําเนินงานของประเทศไทยตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ํายีศักดิ์ศรี (ฉบับที่ 2) 17. เรื่อง โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ในการดําเนินงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค (Regional Innovation Center: RIC) ในประเทศไทย แต่งตั้ง 18. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) 19. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) 20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สํานักนายกรัฐมนตรี) ******************* สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป และรับทราบแผนในการจัดทํากฎหมายลําดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสําคัญของกฎหมายลําดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่ สธ. เสนอ ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่ สธ. เสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกําหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการอนุญาตให้ผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 สําหรับผู้ป่วยที่ได้รับการรับรองจาก ผู้ประกอบวิชาชีพ และผู้ประกอบกิจการด้านเกษตรกรรม กําหนดหลักเกณฑ์ในการนําเข้ายาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 5 เฉพาะกัญชา และกําหนดกระบวนการเกี่ยวกับการเก็บรักษาและทําลายยาเสพติดให้โทษของกลาง เพื่อให้ผู้ป่วยที่ได้รับการรับรองจากผู้ประกอบวิชาชีพสามารถเข้าถึงการใช้กัญชาทางการแพทย์ได้อย่างทั่วถึง และเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาองค์ความรู้ และต่อยอดกัญชาทางการแพทย์เพื่อประโยชน์ของประชาชน รวมทั้งแก้ไขปัญหาการเก็บรักษายาเสพติดให้โทษของกลางไว้เป็นเวลานาน ซึ่งทําให้สิ้นเปลืองงบประมาณและสถานที่ในการเก็บรักษา สธ. ได้ดําเนินการรับฟังความคิดเห็นประกอบการจัดทําร่างกฎหมาย และเปิดเผยสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย รวมทั้งจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายตามแนวทางมติคณะรัฐมนตรี (19 พฤศจิกายน 2562) เรื่อง การดําเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทําร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 และได้เผยแพร่ผลการรับฟังความคิดเห็นพร้อมกับการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายให้ประชาชนได้รับทราบแล้ว สาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติ 1. กําหนดให้ผู้ป่วยที่ได้รับการรับรองจากผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ หรือหมอชาวบ้าน ผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับการผลิตด้านเกษตรกรรมและเกษตรกรที่ดําเนินการผลิตภายใต้ความร่วมมือกับผู้รับอนุญาตผลิตซึ่งยาหรือผลิตภัณฑ์สมุนไพร และบุคคลอื่น ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษกําหนด สามารถได้รับใบอนุญาตให้ผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ได้ 2. กําหนดให้ในกรณีที่มีการยึดหรือริบยาเสพติดให้โทษ เมื่อได้มีการตรวจชนิดและปริมาณแล้วว่าเป็นยาเสพติดให้โทษแล้ว ให้ สธ. หรือผู้ซึ่ง สธ. มอบหมายทําลายหรือนํายาเสพติดให้โทษดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ได้ 3. กําหนดให้ภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 ใช้บังคับ การนําเข้ายาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 5 เฉพาะกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการรักษาผู้ป่วยจะสามารถนําเข้าได้เฉพาะเมล็ดพันธุ์ ยกเว้นกรณีหน่วยงานของรัฐ ผู้ป่วยเดินทางระหว่างประเทศ หรือผู้ที่มีวัตถุประสงค์ดําเนินการเกี่ยวกับการศึกษาวิจัยและพัฒนา (มาตรา 2 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 บัญญัติให้พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562) 2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสําหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในท้องที่ตําบลชุมแพ อําเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสําหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในท้องที่ตําบลชุมแพ อําเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้ มท. รับความเห็นของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา กําหนดให้ถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสําหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตําบลชุมแพ อําเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น เนื้อที่ประมาณ 119 ไร่ 3 งาน 59.7 ตารางวา ซึ่งปัจจุบันราษฎรได้เลิกใช้ประโยชน์ร่วมกันในที่ดินสาธารณประโยชน์ แปลงดังกล่าวแล้ว เพื่อมอบหมายให้เทศบาลเมืองชุมแพใช้เพื่อพัฒนาเป็นระบบบําบัดน้ําเสียและพื้นที่สาธารณะเพื่อนันทนาการ ทั้งนี้ มท. เสนอว่า เทศบาลเมืองชุมแพขอถอนสภาพที่ดินสาธารณประโยชน์แปลง “หนองแซงกระเทิบ” ตามหนังสือสําคัญสําหรับที่หลวง เลขที่ ขก. 3073 เนื้อที่ประมาณ 119 ไร่ 3 งาน 59.7 ตารางวา เพื่อพัฒนาเป็นระบบบําบัดน้ําเสียและพื้นที่สาธารณะเพื่อนันทนาการ ซึ่งที่ดินสาธารณประโยชน์ดังกล่าว เดิมราษฎรได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน เป็นที่ใช้น้ําในการอุปโภคบริโภค และทําการเกษตร แต่ปัจจุบันราษฎรได้เลิกใช้ประโยชน์ร่วมกันในที่ดินสาธารณประโยชน์แปลงนี้แล้ว ที่ดินดังกล่าวจึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะถอนสภาพตามมาตรา 8 วรรคสอง (1) แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการถอนสภาพ การจัดขึ้นทะเบียน และการจัดหาผลประโยชน์ในที่ดินของรัฐ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2550 จึงเห็นควรให้มีการตราพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสําหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตําบลชุมแพ อําเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น เพื่อมอบหมายให้เทศบาลเมืองชุมแพใช้เพื่อพัฒนาเป็นระบบบําบัดน้ําเสีย และพื้นที่สาธารณะเพื่อนันทนาการ โดย มท. ได้ดําเนินการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มาเพื่อดําเนินการ 3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สํานักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สํานักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ (สกช.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รวมพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้กับร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ที่เป็นเรื่องทํานองเดียวกันซึ่งอยู่ระหว่างสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาให้เป็นฉบับเดียวกัน แล้วดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา กําหนดให้สํานักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติเป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของสํานักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ทั้งนี้ สกช. เสนอว่า พระราชบัญญัติสภาเกษตรกรแห่งชาติ พ.ศ. 2553 มาตรา 20 บัญญัติให้จัดตั้งสํานักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติขึ้นเป็นหน่วยงานของรัฐ มีฐานะเป็นนิติบุคคลที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณหรือกฎหมายอื่น ซึ่งปัจจุบัน สกช. ยังไม่ได้รับการกําหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 โดยที่พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 บัญญัติให้ “หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น และมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น หรือรัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐ ที่พระราชกฤษฎีกากําหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัตินี้ด้วย ดังนั้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของ สกช. ซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 สมควรกําหนดให้ สกช. เป็นหน่วยงานของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิด เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของ สกช. ซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายดังกล่าว จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มาเพื่อดําเนินการ 4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต และหนังสือรับรอง การแจ้งตามกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการแจ้ง และการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือ มูลฝอย พ.ศ. 2559 พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต และหนังสือรับรองการแจ้งตามกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการแจ้ง และการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย พ.ศ. 2559 พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสํานักงบประมาณไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. กําหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมตามกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการแจ้ง และการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย พ.ศ. 2559 ที่ราชการส่วนท้องถิ่นมีอํานาจออกข้อกําหนดของท้องถิ่นในการออกใบอนุญาตในข้อ 2 (2) (3) (4) และ (5) เกี่ยวกับใบอนุญาตดําเนินกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตามประเภทที่ท้องถิ่นกําหนด ใบอนุญาตจัดตั้งตลาด ใบอนุญาตจัดตั้งสถานที่จําหน่ายอาหารหรือสถานที่สะสมอาหาร และใบอนุญาตจําหน่ายสินค้าในที่หรือทางสาธารณะ และการออกหนังสือรับรองการแจ้งใน ข้อ 3 เกี่ยวกับการจัดตั้งสถานที่จําหน่ายอาหารหรือสถานที่สะสมอาหาร 2. กําหนดให้การยกเว้นค่าธรรมเนียมตามข้อ 1 ให้ใช้บังคับได้มีกําหนด 1 ปี นับแต่กฎกระทรวงฉบับนี้ใช้บังคับ สธ. เสนอว่า 1. ได้มีกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการแจ้ง และการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย พ.ศ 2559 ซึ่งเป็นการกําหนดอัตราค่าธรรมเนียม เพื่อให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอํานาจออกข้อกําหนดสามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการแจ้ง และการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย ดังนี้ 1.1 ใบอนุญาตดําเนินกิจการเกี่ยวกับการเก็บ กําจัด และขนสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย โดยทําเป็นธุรกิจ หรือได้รับประโยชน์ตอบแทนด้วยการคิดค่าบริการ 1.2 ใบอนุญาตดําเนินกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตามประเภทที่มีข้อกําหนดของท้องถิ่นกําหนดให้เป็นกิจการที่ต้องมีการควบคุมภายในท้องถิ่นในลักษณะที่เป็นการค้า 1.3 ใบอนุญาตจัดตั้งตลาดในอาคารหรือพื้นที่ที่มีจํานวนแผงค้าในตลาดไม่เกินหนึ่งร้อยแผงและที่เกินกว่าหนึ่งร้อยแผง 1.4 ใบอนุญาตจัดตั้งสถานที่จําหน่ายอาหารหรือสถานที่สะสมอาหารในอาคารหรือพื้นที่ที่มีพื้นที่เกินสองร้อยตารางเมตร และมิใช่เป็นการขายของในตลาด 1.5 ใบอนุญาตจําหน่ายสินค้าในที่หรือทางสาธารณะ ซึ่งจําหน่ายโดยลักษณะวิธีการจัดวางสินค้าในที่หนึ่งที่ใดเป็นปกติ หรือจําหน่ายโดยลักษณะการขายเร่ 1.6 หนังสือรับรองการแจ้งการจัดตั้งสถานที่จําหน่ายอาหารหรือสถานที่สะสมอาหารในอาคาร หรือพื้นที่ใด ซึ่งมีพื้นที่ไม่เกินสองร้อยตารางเมตรและมิใช่เป็นการขายของในตลาด 1.7 การให้บริการเก็บ ขน หรือกําจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย 2. โดยที่มาตรา 5 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ได้กําหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีอํานาจออกกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมหรือยกเว้นค่าธรรมเนียมได้ ซึ่งกฎกระทรวงตามข้อ 1 มิได้กําหนดเรื่องการยกเว้นค่าธรรมเนียมไว้แต่อย่างใด ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ได้แพร่กระจายไปทั่วโลกและสร้างความเสียหายในหลายประเทศ สธ. โดยกรมควบคุมโรคจึงได้ออกประกาศให้โรคดังกล่าวเป็นโรคติดต่ออันตรายตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อ และอาการสําคัญของโรคติดต่ออันตราย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2563 และหน่วยงานภาครัฐได้ใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 เช่น มาตรการสั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว เป็นต้น ซึ่งส่งผลกระทบสร้างความเสียหายต่อความเป็นอยู่ของประชาชนและผู้ประกอบกิจการเป็นอย่างมาก โดยสถานประกอบการที่ถูกสั่งปิดตามมาตรการดังกล่าวเกือบทั้งหมดเป็นกิจการตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข ทําให้ผู้ประกอบการเป็นจํานวนมากไม่สามารถดําเนินการชําระค่าธรรมเนียม หรือชําระค่าธรรมเนียมรายปีตามกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตหนังสือรับรองการแจ้ง และการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย พ.ศ. 2559 ได้ อันเนื่องมาจากเหตุสุดวิสัยที่เกิดจากโรคโควิด 19ซึ่งมิใช่ความผิดของผู้ประกอบกิจการ 3. ดังนั้น เพื่อเป็นการลดภาระและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบกิจการตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบจากการปิดสถานที่เป็นการชั่วคราวเนื่องจากมาตรการของรัฐดังกล่าว จึงเห็นสมควรยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตในข้อ 2 (2) (3) (4) และ (5) และการออกหนังสือรับรองการแจ้งในข้อ 3 ของกฎกระทรวงตามข้อ 1 ซึ่งเกี่ยวกับการใบอนุญาตตามข้อ 1.1 ถึงข้อ 1.5 และการออกหนังสือรับรองการแจ้งตามข้อ 1.6 และ สธ. ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นและหารือกับเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว 4. การดําเนินการตามมาตรการดังกล่าวคาดว่าจะก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ดังนี้ 4.1 ประมาณการสูญเสียรายได้ มาตรการดังกล่าวจะทําให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสูญเสียรายได้ประมาณ 16,837,761,600 บาท 4.2 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ มาตรการดังกล่าวจะเป็นการลดภาระและบรรเทาผลกระทบของผู้ประกอบกิจการตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุขอันเกิดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต และหนังสือรับรองการแจ้งตามกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการแจ้งและการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย พ.ศ. 2559 พ.ศ. .... มาเพื่อดําเนินการ 5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดเขตท่าเรือบางปะกง และเขตจอดเรือบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดเขตท่าเรือบางปะกง และเขตจอดเรือ บางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ คค. เสนอว่า เนื่องจากบริเวณอ่าวไทยและแม่น้ําบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นพื้นที่ที่มีการขนส่งสินค้าทางน้ําที่สําคัญและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีเรือขนส่งสินค้าเดินเข้าออกเพื่อเทียบท่า ทอดสมอ เพื่อทําการขนถ่ายสินค้าเป็นจํานวนมาก แต่ยังไม่มีการกําหนดเขตท่าเรือให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับการคมนาคมขนส่งทางน้ําและปริมาณเรือที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมได้ จึงสมควรกําหนดเขตท่าเรือและเขตจอดเรือบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อประโยชน์ต่อการควบคุมดูแลความปลอดภัย จัดระเบียบการจราจรทางน้ํา และวางระบบการขนส่งทางน้ําให้มีความปลอดภัยและมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น ตลอดจนเพื่อประโยชน์ในการควบคุมมลภาวะทางน้ํา ซึ่งสอดคล้องกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยที่มาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ําไทยพระพุทธศักราช 2456 และที่แก้ไขเพิ่มเติม บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมีอํานาจออกกฎกระทรวงเพื่อกําหนดแนวแม่น้ําลําคลองหรือทะเลอาณาเขตแห่งใดเป็นเขตท่าเรือและเขตจอดเรือได้ ดังนั้น คค. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้เพื่อกําหนดเขตท่าเรือบางปะกงและเขตจอดเรือบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกําหนดเขตท่าเรือบางปะกง และเขตจอดเรือบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ. .... มาเพื่อดําเนินการ 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงเพื่อรองรับการใช้บังคับพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตทํางาน การออกใบอนุญาตทํางาน และการแจ้งการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงกําหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคนต่างด้าวที่ขอรับใบอนุญาตทํางาน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตทํางาน การออกใบอนุญาตทํางาน และการแจ้งการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. .... มีสาระสําคัญ ดังนี้ 1.1 กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตทํางาน และการออกใบอนุญาตทํางานตามมาตรา 59 มาตรา 60 วรรคหนึ่ง มาตรา 63 มาตรา 63/1 มาตรา 63/2 และมาตรา 64 1.2 กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตทํางานแทนคนต่างด้าวของผู้รับอนุญาตให้นําคนต่างด้าวมาทํางานตามมาตรา 41 วรรคสี่ และนายจ้างซึ่งประสงค์จะจ้างคนต่างด้าวซึ่งอยู่นอกราชอาณาจักรเข้ามาทํางานในกิจการของตนในราชอาณาจักรตามมาตรา 60 วรรคสอง 1.3 กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการแจ้งการทํางาน การออกหนังสือรับแจ้งการทํางาน การแจ้งการขยายเวลาทํางาน และการออกหนังสือรับแจ้งการขยายเวลาทํางานตามมาตรา 61 1.4 กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการออกใบอนุญาตทํางานและการรับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าวตามมาตรา 62 1.5 กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอต่ออายุใบอนุญาตทํางาน และการต่ออายุใบอนุญาตทํางานตามมาตรา 67 2. ร่างกฎกระทรวงกําหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคนต่างด้าวที่จะขอรับใบอนุญาตทํางาน พ.ศ. .... มีสาระสําคัญเกี่ยวกับการกําหนดให้คนต่างด้าวที่จะขอรับใบอนุญาตทํางานต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังนี้ 2.1 ไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 2.2 ไม่เคยได้รับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุกตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองหรือกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว เว้นแต่พ้นโทษมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปีก่อนวันขอรับใบอนุญาตทํางาน 2.3 ไม่เป็นผู้เจ็บป่วยด้วยโรค ดังนี้ (ก) โรคเรื้อนระยะติดต่อหรือในระยะปรากฏอาการอันเป็นที่รังเกียจแก่สังคม (ข) วัณโรคระยะติดต่อ (ค) โรคเท้าช้างในระยะปรากฏอาการอันเป็นที่รังเกียจแก่สังคม (ง) โรคติดยาเสพติดให้โทษ (จ) โรคพิษสุราเรื้อรัง (ฉ) โรคซิฟิลิสในระยะที่ 3 3. ร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. .... มีสาระสําคัญเกี่ยวกับการกําหนดอัตราค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการนําคนต่างด้าวมาทํางานกับนายจ้างในประเทศและการทํางานของคนต่างด้าว ให้สอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 ทั้งนี้ ยังคงใช้อัตราค่าธรรมเนียมเดิม และยกเว้นค่าธรรมเนียมในกรณีเดียวกับกฎกระทรวงที่ได้ออกโดยอาศัยอํานาจตามพระราชบัญญัติการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2551 และพระราชกําหนดการนําคนต่างด้าวมาทํางานกับนายจ้างในประเทศ พ.ศง 2559 ที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชกําหนดนี้ใช้บังคับ เศรษฐกิจ - สังคม 7. เรื่อง ผลการดําเนินโครงการตามภารกิจของ บจธ. สิ้นสุด ณ วันที่ 7 มิถุนายน 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและมอบหมายดังนี้ 1. รับทราบผลการดําเนินโครงการตามภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (บจธ.) สิ้นสุด ณ วันที่ 7 มิถุนายน 2563 ตามที่ บจธ. เสนอ และให้ บจธ. รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดําเนินการต่อไป 2. มอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเร่งดําเนินการประเมินผลการดําเนินการของ บจธ. ว่า เกิดผลสัมฤทธิ์หรือมีความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับภาระงบประมาณ และสมควรยุบเลิกหรือไม่ ซึ่งต้องดําเนินการภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับ (ครบ 1 ปี เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2563) 3. มอบหมายให้กระทรวงการคลังและผู้มีหน้าที่รับผิดชอบเร่งดําเนินการเสนอร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งธนาคารที่ดินหรือองค์การอื่นที่มีวัตถุประสงค์ในลักษณะทํานองเดียวกับธนาคารที่ดินต่อคณะรัฐมนตรี ตามนัยมาตรา 6 แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 ซึ่งต้องดําเนินการภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลใช้บังคับ (ครอบ 1 ปี เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2563) สาระสําคัญของเรื่อง 1. โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (5 กุมภาพันธ์ 2562 และ 18 มิถุนายน 2562) เห็นชอบให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (บจธ.) เร่งดําเนินโครงการตามภารกิจของ บจธ. ทั้ง 4 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการต้นแบบการบริหารจัดการที่ดินแบบครบวงจร (2) โครงการแก้ไขปัญหาการสูญเสียสิทธิในที่ดินของเกษตรกรและผู้ยากจน (3) โครงการนําร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นําร่อง 5 ชุมชน และ (4) โครงการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาด้านที่ดินจากการดําเนินนโยบายของรัฐ วงเงินงบประมาณ 400.427 ล้านบาท ให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมและบรรลุวัตถุประสงค์ตามกรอบระยะเวลาที่กําหนดไว้ภายในวันที่ 7 มิถุนายน 2563 ซึ่ง บจธ. รายงานว่า ได้ดําเนินโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของโครงการเรียบร้อยแล้ว และมีงบประมาณคงเหลือ 77.429 ล้านบาท ซึ่ง บจธ. จะนําเงินคงเหลือส่วนนี้และเงินสมทบของ บจธ. จํานวน 5.071 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 84.500 ล้านบาท ไปใช้ดําเนินโครงการต้นแบบการบริหารจัดการที่ดินแบบครบวงจรเพิ่มเติมใน 4 พื้นที่ ในท้องที่จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดลําพูน และจังหวัดตากให้แล้วสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 2. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี สํานักงบประมาณ สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และสํานักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนรับทราบ/เห็นชอบ/ไม่มีข้อขัดข้องและมีความเห็นเพิ่มเติม เช่น (1) บจธ. ควรถอดบทเรียนที่ได้รับจากการปฏิบัติงานในโครงการนําร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นําร่อง 5 ชุมชน เพื่อเป็นแนวทางขับเคลื่อนการดําเนินการของ บจธ. ในระยะต่อไป (2) บจธ. ควรสรุปปัญหา อุปสรรค และข้อจํากัดในการดําเนินโครงการ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาเสนอร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งธนาคารที่ดิน และ (3) งบประมาณคงเหลือที่จะนํามาดําเนินการจะมีผลให้เกิดภาระงบประมาณอย่างต่อเนื่อง จึงควรดําเนินการประเมินผลการดําเนินงานของ บจธ. รอบ 1 ปี โดยคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ตามนัยมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 เป็นต้น 8. เรื่อง แผนปฏิบัติการภาค ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 แผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด พ.ศ. 2561–2565 ฉบับทบทวน แผนปฏิบัติราชการประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และคําของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบูรณาการนโยบายการพัฒนาภาค (ก.บ.ภ.) เสนอผลการประชุมคณะกรรมการ ก.บ.ภ. ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2563 ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน สรุปสาระสําคัญของผลการประชุมได้ ดังนี้ 1. แผนปฏิบัติการภาค ประจําปีงบประมาณ .ศ. 2564 1.1 เห็นชอบแผนปฏิบัติการ 6 ภาค ประจําปีงบประมาณพ.ศ. 2564 จํานวน 1,097 โครงการ วงเงิน 76,244.41 ล้านบาท ดังนี้ (หน่วย : ล้านบาท) แผนปฏิบัติการภาค วงเงิน ภาคกลางและพื้นที่กรุงเทพมหานคร 11,961.91 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 26,533.43 ภาคตะวันออก 7,433.78 ภาคเหนือ 12,825.66 ภาคใต้ 13,992.40 ภาคใต้ชายแดน 3,497.23 รวม 76,244.41 1.2 เห็นชอบหลักเกณฑ์และแนวทางการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยให้ส่วนราชการที่มีความจําเป็นต้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเสนอคําขอปรับแผนฯ มายัง สศช. เพื่อรวบรวมและประเมินผลก่อนนําเสนอนายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน ก.บ.ภ. พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนแจ้งเวียน ก.บ.ภ. เพื่อทราบต่อไป 2. แผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดพ.ศ. 2561-2565 ฉบับทบทวน 2.1 เห็นชอบแผนพัฒนาจังหวัด 76 จังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด 18 กลุ่มจังหวัด พ.ศ. 2561-2565 ฉบับทบทวน ประจําปีงบประมาณพ.ศ. 2564 2.2 ให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดนําความเห็นและข้อเสนอแนะของฝ่ายเลขานุการฯ ไปทบทวนและปรับปรุงแผนเพื่อให้มีความสมบูรณ์ในระยะต่อไป เช่น (1) ควรนําเสนอข้อมูลการพัฒนาอย่างเป็นอนุกรม 3 ปีขึ้นไป และป็นข้อมูลที่ทันสมัยสําหรับการวิเคราะห์เปรียบเทียบให้เห็นศักยภาพและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในแต่ละด้าน (2) ควรจัดลําดับความสําคัญของปัญหาและความต้องการของประชาชน (3) ควรกําหนดประเด็นการพัฒนาให้สอดคล้องกับศักยภาพและปัญหาของพื้นที่ และ (4) กําหนดแผนงานและโครงการแบบย่อให้มีความเชื่อมโยงการพัฒนาในลักษณะห่วงโซ่คุณค่า 3. แผนปฏิบัติราชการประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด 3.1 เห็นชอบแผนปฏิบัติราชการประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดจํานวน 76 จังหวัด และ 18 กลุ่มจังหวัด รวมทั้งสิ้น 1,953 โครงการ งบประมาณรวม 47,379.82 ล้านบาท ประกอบด้วย (หน่วย : ล้านบาท) รายการ สนับสนุนภายในกรอบวงเงิน สนับสนุนเกินกรอบวงเงิน โครงการ งบประมาณ โครงการ งบประมาณ คําของบประมาณจังหวัด 20,362.53 14,499.86 คําของบประมาณกลุ่มจังหวัด 9,257.81 3,259.62 ส่วนที่ 1 สําหรับขับเคลื่อนการพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพที่เป็นความต้องการและแก้ไขปัญหาประเด็นร่วมของกลุ่มจังหสัด 4,608.15 3,259.62 ส่วนที่ 2 เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาในลักษณะ Cluster หรือตอบสนองนโยบายเชิงพื้นที่ 4,649.66 รวม 29,620.34 17,759.48 3.2 เห็นชอบกรอบวงเงินการปรับลดงบประมาณตามแผนปฏิบัติราชการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กรอบวงเงิน 23,378.67 ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 [เรื่อง การปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564] นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563-2564 (เพิ่มเติม) และแนวทางการกําหนดกรอบการจัดสรรงบประมาณ ปะจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด 9. เรื่อง ผลการดําเนินโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดําเนินโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สาระสําคัญ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอรายงานผลการดําเนินโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า ระยะที่ 1 ระยะเร่งด่วน (ดําเนินการแล้วเสร็จก่อนวันที่ 28 กรกฎาคม 2563) ประกอบด้วย การดําเนินโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า ในพื้นที่เร่งด่วน การเปิดโครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่า และการจัดฝึกอบรมหลักสูตร “จิตอาสา” ตามโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า ดังนี้ 1. การดําเนินโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า ในพื้นที่เร่งด่วน จํานวนรวมทั้งหมด 8 พื้นที่ใน 6 จังหวัด (เชียงใหม่ ตาก น่าน นครราชสีมา ชัยภูมิ และนครศรีธรรมราช) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า โดยมีผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้อํานวยการศูนย์ ซึ่งได้ดําเนินกิจกรรมปลูกป่าและเพิ่มพื้นที่สีเขียวรวมกันทั้งสิ้น 1,599 ไร่ 1 งาน โดยปลูกกล้าไม้รวมกันจํานวน 227,150 ต้น รวมทั้ง ทําฝาย จํานวน 71 แห่ง ซึ่งผลการดําเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายโครงการ ระยะที่ 1 (ปลูกป่าไม่น้อยกว่า 1,010 ไร่ และจัดทําฝาย ไม่น้อยกว่า 70 แห่ง) 2. การจัดพิธีเปิดโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า พร้อมกันทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ (รวมกรุงเทพมหานคร) 2.1 พิธีเปิดโครงการหลักจัดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563 ณ อุทยานแห่งชาติน้ําตกบัวตอง – น้ําพุเจ็ดสี อําเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ โดยนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี พลเรือเอก ปวิตร รุจิเทศ ผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทานผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัด เจ้าหน้าที่ และประชาชนจิตอาสาประมาณ 1,000 คน ร่วมถวายพระพร พร้อมทั้งปลูกต้นไม้ ปลูกกล้วยไม้ จัดทําฝาย และจัดทําโป่งเทียม เพื่อแสดงความจงรักภักดีและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชน และเป็นการฟื้นฟูดิน น้ํา ป่า สิ่งแวดล้อม กลับคืนระบบนิเวศให้มีความอุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืนด้วย 2.2 พิธีเปิดโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่าในพื้นที่ 77 จังหวัด (รวมกรุงเทพมหานคร) จัดขึ้นพร้อมกันในวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 ซึ่งผลการดําเนินโครงการระยะเร่งด่วน (ดําเนินการแล้วเสร็จก่อนวันที่ 28 กรกฎาคม 2563) ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนถึงวันจัดพิธีเปิดโครงการมีการปลูกป่าและเพิ่มพื้นที่สีเขียวในพื้นที่ 77 จังหวัด (รวมกรุงเทพมหานคร) รวมกันทั้งสิ้น 3,042 ไร่ 2 งาน 95.25 ตารางวา โดยปลูกกล้าไม้รวมทั้งสิ้นจํานวน 467,853 ต้น ทําฝาย 147 แห่ง ทําโป่งเทียม 3 แห่ง 3. การจัดฝึกอบรมหลักสูตร “จิตอาสา” ตามโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า ระหว่างวันที่ 19 - 23 กรกฎาคม 2563 สรุปได้ดังนี้ 4.3.1 ฝึกอบรมระดับปฏิบัติการ (ระดับอําเภอ ระดับตําบล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) จํานวน 150 คน ระหว่างวันที่ 19 – 23 กรกฎาคม 2563 ณ โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิว จังหวัดเชียงใหม่ โดยรัฐมนตรีว่ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในการมอบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้เข้ารับการฝึกอบรม 4.3.2 มอบนโยบายการดําเนินโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า ให้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัด เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ โดยพลเรือเอก ปวิตร รุจิเทศ ผู้อํานวยการ ศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้ง 76 จังหวัด จัดทําแผนการดําเนินโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า ในพื้นที่แต่ละจังหวัด ส่งให้ศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน (ศอญ.) เพื่อประกอบการดําเนินโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า ในระยะที่ 2 และระยะที่ 3 ต่อไป 10. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชเสนอ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น ภายในกรอบวงเงิน 435,289,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และลดผลกระทบจากสัตว์ป่า รวมถึงการแก้ไขปัญหาการดูแลสัตว์ป่าของกลางตามหลักสวัสดิภาพสัตว์จํานวน 3 โครงการ ดังนี้ 1. โครงการแก้ไขปัญหาช้างป่าออกหากินนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์แบบบูรณาการ วงเงิน 370,608,000 บาท 2. โครงการแก้ไขปัญหาและลดผลกระทบของลิงในชุมชน วงเงิน 24,461,000 บาท 3. โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการรับสัตว์ป่าของกลางและสัตว์ป่า กรณีแก้ไขปัญหาตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ในกรงเลี้ยง วงเงิน 40,220,000 บาท สําหรับกิจกรรม/รายการอื่นที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชยังมีความจําเป็นต้องดําเนินการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่เสนอตั้งงบประมาณบางส่วนรองรับไว้แล้ว รวมถึงการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีผลบังคับใช้แล้ว ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ สาระสําคัญของเรื่อง ทส. เสนอว่า 1. ปัจจุบันมีช้างป่าอาศัยอยู่ตามธรรมชาติประมาณ 3,168-3,440 ตัว ในพื้นที่อนุรักษ์ทั้งในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติ จํานวน 69 แห่ง โดยปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่าที่ออกหากินนอกพื้นที่อนุรักษ์ทวีความรุนแรงขึ้นในหลายพื้นที่ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตร ทรัพย์สินและชีวิตของคนและสัตว์ สาเหตุมาจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย ความไม่สอดคล้องของประชากรในพื้นที่อนุรักษ์ และปัจจัยในการดํารงชีวิตในพื้นที่ป่าไม่เพียงพอ ทําให้สัตว์ป่าออกมากินใกล้พื้นที่เกษตรกร 2. สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างคนกับลิง จากการสํารวจข้อมูลประชากรลิง โดยใช้วิธีการใช้แบบสอบถามไปยังองค์การบริหารส่วนตําบลทุกแห่ง พบว่า ปัจจุบันพื้นที่ที่มีปัญหาทั้งหมด จํานวน 222 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 51 จังหวัด โดยแบ่งเป็นนอกพื้นที่ ป่าอนุรักษ์ จํานวน 206 แห่ง และในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จํานวน 16 แห่ง มีการสํารวจนับประชากรลิงแล้ว 173 แห่ง พบประชากรลิง จํานวน 53,068 ตัว 3. จากสถานการณ์การป้องกันและปราบปรามลักลอบการค้าสัตว์ป่าที่เข้มงวดขึ้น ส่งผลให้มีการตรวจยึดสัตว์ป่าของกลางเพิ่มขึ้นเป็นจํานวนมาก ทําให้กรงและคอกที่มีอยู่ไม่เพียงพอที่จะรองรับสัตว์ป่าของกลางให้เป็นไปตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ โดยปัจจุบันมีสัตว์ป่าของกลางที่ต้องดูแล จํานวน 9,276 ตัว 4. เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างคนกับสัตว์ป่าที่ออกหากินนอกพื้นที่อนุรักษ์ได้ทวีความรุนแรงขึ้นในหลายพื้นที่ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตร ทรัพย์สินและชีวิตของคนและสัตว์ จึงเห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วน 5. การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและลดผลกระทบจากสัตว์ป่า รวมถึงการดูแลสัตว์ป่าของกลางตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ มีความจําเป็นต้องขอใช้งบกลาง ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น เพื่อดําเนินโครงการจํานวน 3 โครงการ ในช่วงระยะเวลาเดือนสิงหาคม-กันยายน 2563 ดังนี้ (1) โครงการแก้ไขปัญหาช้างป่าออกหากินนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์แบบบูรณาการ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาช้างป่าออกหากินนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์แบบบูรณาการ โดยดําเนินกิจกรรม 1) ฟื้นฟูและจัดการทุ่งหญ้า 13,583 ไร่ 2) ปลูกพืชอาหารช้าง 6,736 ไร่ 3) สร้างแหล่งน้ํา (3,000 ลบ.ม.) 49 แห่ง 4) สร้างแหล่งน้ํา (10,000 ลบ.ม.) 18 แห่ง 5) สร้างแหล่งน้ํา (20,000 ลบ.ม.) 3 แห่ง 6) รั้วกึ่งถาวร 157.42 กิโลเมตร 7) สร้างคูกั้นช้าง 105.20 กิโลเมตร 8) เครือข่ายอาสาสมัครเฝ้าระวังช้างป่า 304 เครือข่าย 9) ติดตั้งอุปกรณ์ ระบบการเฝ้าระวังระวังแจ้งเตือนภัย 300 จุด (2) โครงการแก้ไขปัญหาและลดผลกระทบของลิงในชุมชน เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างลิงกับคนในพื้นที่ชุมชนเมืองโดยเฉพาะพื้นที่ที่มีปัญหา โดยดําเนินกิจกรรม ดังนี้ 1) ควบคุมประชากรลิงในพื้นที่ที่พบปัญหา จํานวน 3,500 ตัว 2) จัดทําฐานข้อมูลประชากรลิงและสภาพพื้นที่ที่เกิดปัญหาโดยระบบที่ทันสมัย เข้าถึงได้สะดวกและรวดเร็ว 3) จัดสร้างกรงเลี้ยงลิง เพื่อดูแลและรองรับลิงกรณีแก้ไขปัญหา 67 กรง (3) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการรับสัตว์ป่าของกลางและสัตว์ป่ากรณีแก้ไขปัญหาตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ ในกรงเลี้ยง เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยดําเนินกิจกรรม ดังนี้ 1) สร้างกรงคอกมาตรฐานและจัดทําพื้นที่กักกันโรคในสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า 23 แห่ง 2) จัดสร้างคลินิกสัตว์ป่าพร้อมอุปกรณ์รักษา 12 แห่ง 11. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 12 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 12 ตามที่สํานักงาน ก.พ. เสนอ ข้อมูล ณ วันที่ 28 กรกฎาคม 2563 ซึ่งได้รับข้อมูลจาก 147 ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ 99 ของส่วนราชการทั้งหมด (148 ส่วนราชการ) สรุปข้อมูลดังนี้ 1. การปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ ส่วนราชการได้มีการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการตามปกติเพิ่มมากขึ้น (73 ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ 49) โดยเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา (72 ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ 49) และส่วนราชการพิจารณากําหนดให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เหลื่อมเวลาในการทํางานเป็น 3 ช่วงเวลาเพิ่มมากขึ้น (71 ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ 48) 2. การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ (Work From Home) ส่วนราชการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการลดลง (74 ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ 51) โดยในจํานวนนี้มีส่วนราชการ 17 ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ 12 ที่มอบหมายให้ทุกคนปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง 12. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work from Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work from Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ ในสัปดาห์ช่วงระหว่างวันที่ 20 –24 กรกฎาคม 2563 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ สาระสําคัญ รัฐวิสาหกิจภายใต้การกํากับดูแลของกระทรวงการคลังโดยสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) มีจํานวน 55 แห่ง โดยผลสัมฤทธิ์ฯ ของรัฐวิสาหกิจในสัปดาห์ช่วงระหว่างวันที่ 20 – 24 กรกฎาคม 2563 สรุปสาระสําคัญได้ดังนี้ 1. การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ (ปฏิบัติงานที่บ้านหรือที่พักหรือสถานที่ตามที่รัฐวิสาหกิจกําหนด) รัฐวิสาหกิจ 16 แห่ง ยังคงดําเนินนโยบายการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง โดยมีรัฐวิสาหกิจ 39 แห่ง ที่ให้พนักงานกลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งตามปกติแล้ว เพิ่มขึ้น 1 แห่ง จากสัปดาห์ก่อนหน้า (ช่วงระหว่างวันที่ 13 – 19 กรกฎาคม 2563) ทั้งนี้ จากจํานวนพนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจทั้งหมดจํานวน 272,598 คน มีพนักงานและลูกจ้างปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งจํานวน 12,228 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 4 2. การปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ (การปฏิบัติงานเหลื่อมเวลา) รัฐวิสาหกิจ 25 แห่ง ยังคงดําเนินนโยบายการปฏิบัติงานเหลื่อมเวลา โดยมีรัฐวิสาหกิจกลับมาดําเนินนโยบายการปฏิบัติงานเหลื่อมเวลาเพิ่มขึ้น 3 แห่งจากสัปดาห์ก่อนหน้า (ช่วงระหว่างวันที่ 13 – 17 กรกฎาคม 2563) โดยรัฐวิสาหกิจ 25 แห่ง มีช่วงเวลาเริ่มปฏิบัติงานเหลื่อมเวลาตั้งแต่เวลา 6.00 น. – 10.00 น. 3. แนวทางการบริหารงานของรัฐวิสาหกิจ รัฐวิสาหกิจที่ยังคงดําเนินนโยบายการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งมีการติดตามผลการปฏิบัติงานทั้งเป็นรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ขึ้นอยู่กับประเภทของงาน ซึ่งรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่มีการกํากับ ติดตาม และบริหารผลการปฏิบัติงานผ่านแอปพลิเคชัน Line ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ และระบบการติดตามงานและการลงเวลาปฏิบัติงานที่องค์กรพัฒนาขึ้นเอง โดยรัฐวิสาหกิจยังคงใช้แอปพลิเคชัน Line มาสนับสนุนการปฏิบัติงานมากที่สุด ทั้งนี้ รัฐวิสาหกิจมีข้อเสนอแนะในการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งว่า ควรเตรียมอุปกรณ์และระบบเพื่อรองรับการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งให้เพียงพอ และควรพัฒนาระบบการปฏิบัติงานขององค์กรให้สามารถรองรับการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งได้ ซึ่งรวมถึงมีการจัดเก็บข้อมูลหรือเอกสารให้อยู่ในรูปแบบของเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งควรพิจารณาลักษณะงานที่จําเป็นต้องปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งเท่านั้น เช่น การให้บริการประชาชน และสําหรับงานอื่นที่ไม่จําเป็นต้องปฏิบัติงานในสถานที่ตั้ง ควรพิจารณาเปลี่ยนรูปแบบเป็นการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งแทน 13. เรื่อง การกู้เงินจากธนาคารพัฒนาเอเชียภายใต้พระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้ 1. เห็นชอบร่างสัญญาเงินกู้ COVID-19 Active Response and Expenditure Support Program ของธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) 2. อนุมัติให้ใช้อนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทตามเงื่อนไขที่กําหนดใน Asian Development Bank Ordinary Operation Loan Regulation ลงวันที่ 1 มกราคม 2560 ของ ADB 3. อนุมัติให้ กค. กู้เงินในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจาก ADB วงเงิน 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนําไปใช้จ่ายในแผนงาน/โครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติภายใต้พระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พระราชกําหนด) 4. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามในสัญญาเงินกู้ฯ ในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย 5. มอบหมายให้สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) จัดเตรียมทําคํารับรองทางกฎหมาย (Legal Opinion) สําหรับสัญญาเงินกู้ฯ ของ ADB ในโอกาสแรกภายหลังจากที่ได้มีการลงนามในสัญญาเงินกู้ดังกล่าวแล้ว สาระสําคัญของเรื่อง กค. ได้มีหนังสือถึง ADB เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2563 เพื่อขอกู้เงิน COVID-19 Active Response and Expenditure Support Program สําหรับนําไปใช้แผนงาน/โครงการภายใต้พระราชกําหนดฯ วงเงิน 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย กค. และ ADB ได้เจรจาเงื่อนไขการกู้เงิน ร่างสัญญาเงินกู้ฯ รวมทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้อง และได้ลงนามในบันทึกการเจรจาเงินกู้ (Minute of Negotiations) เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2563 ทั้งนี้ ร่างสนธิสัญญาเงินกู้ฯ สรุปสาระสําคัญได้ ดังนี้ ประเด็น สาระสําคัญ 1. ผู้กู้ กค. 2. ผู้ให้กู้ ADB 3. วงเงินกู้/สกุลเงิน 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 48,000 ล้านบาท คํานวณโดยใช้อัตราแลกเปลี่ยน 32 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ) 4. อัตราดอกเบี้ย/การชําระดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยลอยตัว โดยอ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมระหว่างธนาคารของตลาดลอนดอน (London Interbank Offered Rate: LIBOR) ระยะ 6 เดือน บวกด้วยส่วนต่างร้อยละ 0.50 ต่อปี โดยชําระดอกเบี้ยของวงเงินกู้คงค้างทุก 6 เดือน (วันที่ 15 กุมภาพันธ์ และวันที่ 15 สิงหาคม) 5. ค่าธรรมเนียมผูกพันเงินกู้ อัตราร้อยละ 0.15 ต่อปี (ภายหลัง 60 วัน นับจากวันที่ลงนามในสัญญาเงินกู้ ของวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกจ่าย) โดยชําระค่าธรรมเนียมพร้อมกับการชําระดอกเบี้ย 6. อายุเงินกู้/การชําระคืนต้นเงินกู้ วงเงินที่ 1 วงเงินกู้ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อายุเงินกู้ 10 ปี รวมระยะเวลาปลอดการชําระต้นเงินกู้ 3 ปี ทยอยชําระคืนต้นเงินกู้โดยแบ่งชําระเป็น 14 งวด งวดละ 35.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เริ่มชําระงวดแรกในวันที่ 15 สิงหาคม 2566 และชําระงวดสุดท้ายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2573 วงเงินที่ 2 วงเงินกู้ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อายุเงินกู้ 5 ปี รวมระยะเวลาปลอดการชําระต้นเงินกู้ 3 ปี ทยอยชําระคืนต้นเงินกู้โดยแบ่งชําระเป็น 4 งวด งวดละ 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เริ่มชําระงวดแรกในวันที่ 15 สิงหาคม 2566 และชําระงวดสุดท้ายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 7. ระยะเวลาสิ้นสุดการเบิกจ่ายเงินกู้ 30 มิถุนายน 2564 8. เงื่อนไขการใช้จ่ายเงินกู้ เพื่อนําไปใช้จ่ายในโครงการ/แผนงานเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายใต้พระราชกําหนดฯ โดยจะต้องไม่เป็นโครงการ/แผนงาน ที่มีกิจกรรมเกี่ยวกับการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมตามหลักเกณฑ์ของ ADB ในส่วนของการขออนุมัติให้ใช้วิธีการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีอนุญาโตตุลาการ สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้เคยให้ความเห็นเกี่ยวกับการกําหนดให้ใช้วิธีอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทตามเงื่อนไขที่กําหนด General Terms and Conditions for Japanese ODA Loans (GTC) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างสัญญาเงินกู้ภายใต้กรอบของหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐต่างประเทศ ไว้ว่า ไม่เป็นกรณีที่ต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 เนื่องจากร่างสัญญาเงินกู้ดังกล่าวจัดทําขึ้นระหว่างรัฐกับหน่วยงานของรัฐต่างประเทศ มิใช่ระหว่างรัฐกับองค์กรเอกชน ภายหลังจากการกู้เงินจาก ADB วงเงิน 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในครั้งนี้ สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด จะเท่ากับร้อยละ 2.41 ซึ่งไม่เกินร้อยละ 10 ตามกรอบการบริหารหนี้สาธารณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกําหนด (ข้อมูล ณ วันที่ 24 กรกฎาคม 2563) และกระทรวงการคลังจะดําเนินการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (CCS) เมื่อภาวะตลาดเอื้ออํานวย 14. เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการ ดังนี้ 1. กระทรวงมหาดไทย ดําเนินการ 1.1 ออกประกาศกระทรวงมหาดไทย โดยอาศัยอํานาจตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ให้คนต่างด้าวรวมถึงผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวที่มีสิทธิอยู่ในราชอาณาจักรตามสิทธิของคนต่างด้าวซึ่งเป็นบิดาหรือมารดาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะเพื่อดําเนินการตามแนวทางการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และมิให้นํามาตรา 12 (10) และมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาใช้บังคับแก่คนต่างด้าวที่ได้ดําเนินการตามแนวทางดังกล่าว รวมถึงกําหนดการสิ้นผลของการอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะของคนต่างด้าว โดยคนต่างด้าวดังกล่าวข้างต้น หมายถึงคนต่างด้าว ดังต่อไปนี้ (1) คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เข้ามาทํางานตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MoU) ภายใต้บันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงาน (Agreement) วาระการจ้างงานครบ 4 ปี ซึ่งยังคงอยู่ในราชอาณาจักร และมีนายจ้างที่ต้องการจ้างคนต่างด้าวเข้าทํางาน (2) คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เข้ามาทํางานตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MoU) ภายใต้บันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงาน (Agreement) ที่การอนุญาตทํางานสิ้นสุด เนื่องจากการถูกเลิกจ้างและไม่สามารถหานายจ้างรายใหม่ได้ทันภายในเวลาที่กฎหมายกําหนด ตามมาตรา 50 มาตรา 53 และมาตรา 55 แห่งพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งยังคงอยู่ในราชอาณาจักร และมีนายจ้างที่ต้องการจ้างคนต่างด้าวเข้าทํางาน (3) คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ ได้รับเอกสารประจําตัว ได้แก่ หนังสือเดินทาง เอกสารเดินทาง หรือเอกสารรับรองบุคคล ซึ่งการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและการอนุญาตให้ทํางานสิ้นสุดตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563 แต่นายจ้างไม่ได้ดําเนินการยื่นขอรับบัญชีรายชื่อความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2562 ซึ่งยังคงอยู่ในราชอาณาจักร และมีนายจ้างที่ต้องการจ้างคนต่างด้าวเข้าทํางาน ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้ยกร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คน ต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ สําหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาลาว และเมียนมา ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 1.2 ออกประกาศกระทรวงมหาดไทย โดยอาศัยอํานาจตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา และเมียนมา ที่เข้ามาทํางานตามความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนในลักษณะไป - กลับ หรือแบบตามฤดูกาล ตามมาตรา64 แห่งพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่ครบวาระการจ้างงานและการอนุญาตให้พํานักในเขตพื้นที่ชายแดนที่ได้รับอนุญาตสิ้นสุด ซึ่งยังคงอยู่ในราชอาณาจักร และมีนายจ้างที่ต้องการจ้างคนต่างด้าวเข้าทํางาน อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ เพื่อให้คนต่างด้าวดังกล่าวดําเนินการตามแนวทางการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทั้งนี้ มิให้นํามาตรา 12 (10) และมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาใช้บังคับแก่คนต่างด้าวที่ได้ดําเนินการตามแนวทางดังกล่าว รวมถึงกําหนดการสิ้นผลของการอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะของคนต่างด้าว ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้ยกร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ สําหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาและเมียนมา ซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาทํางานในราชอาณาจักรตามมาตรา 64 แห่งพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 1.3 ให้กรมการปกครองและกรุงเทพมหานคร ดําเนินการจัดทําหรือปรับปรุงทะเบียนประวัติ และออกบัตรประจําตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ให้แก่คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา รวมถึงผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตร ที่ถือหนังสือเดินทาง เอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง หรือหนังสือรับรองสถานะบุคคล และได้รับการอนุญาตทํางาน ตรวจสุขภาพ และการตรวจอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ตามแนวทางการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2564 2. กระทรวงแรงงาน ดําเนินการ 2.1 ออกประกาศกระทรวงแรงงาน โดยอาศัยอํานาจตามมาตรา 14 ประกอบกับมาตรา 63/2 แห่งพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติมให้คนต่างด้าวสามารถทํางานไปพลางก่อนได้โดยไม่ต้องมีใบอนุญาตทํางาน เพื่อการดําเนินการตามแนวทางการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และให้กําหนดหลักเกณฑ์วิธีการขอรับใบอนุญาตทํางานประเภทงานที่อนุญาตให้คนต่างด้าวทํา เงื่อนไขในการอนุญาตให้ทํางาน การสิ้นผลของการอนุญาตทํางานของคนต่างด้าว รวมถึงการยกเว้นการแจ้งข้อมูลการจ้างคนต่างด้าวเข้าทํางานของนายจ้างตามมาตรา 13 และการแจ้งข้อมูลการทํางานของคนต่างด้าวตามมาตรา 64/2 แห่งพระราชกําหนดดังกล่าว เฉพาะการยื่นคําขออนุญาตทํางานตามแนวทางดังกล่าว โดยคนต่างด้าวดังกล่าวข้างต้น หมายถึงคนต่างด้าว ดังต่อไปนี้ (1) ดนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เข้ามาทํางานตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MoU) ภายใต้บันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงาน (Agreement) วาระการจ้างงานครบ 4 ปี ซึ่งยังคงอยู่ในราชอาณาจักร และมีนายจ้างที่ต้องการจ้างคนต่างด้าวเข้าทํางาน (2) คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เข้ามาทํางานตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MoU) ภายใต้บันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงาน (Agreement) ที่การอนุญาตทํางานสิ้นสุด เนื่องจากการถูกเลิกจ้างและไม่สามารถหานายจ้างรายใหม่ได้ทันภายในเวลาที่กฎหมายกําหนด ตามมาตรา 50 มาตรา 53 และมาตรา 55 แห่งพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งยังคงอยู่ในราชอาณาจักร และมีนายจ้างที่ต้องการจ้างคนต่างด้าวเข้าทํางาน (3) คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ ได้รับเอกสารประจําตัว ได้แก่ หนังสือเดินทาง เอกสารเดินทาง หรือเอกสารรับรองบุคคล ซึ่งการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและการอนุญาตให้ทํางานสิ้นสุดตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563 แต่นายจ้างไม่ได้ดําเนินการยื่นขอรับบัญชีรายชื่อความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2562 ซึ่งยังคงอยู่ในราชอาณาจักร และมีนายจ้างที่ต้องการจ้างคนต่างด้าวเข้าทํางาน (4) ผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวตาม (3) ที่มีสิทธิอยู่ในราชอาณาจักรตามสิทธิของคนต่างด้าวซึ่งเป็นบิดาหรือมารดาที่มีอายุตั้งแต่สิบแปดปีบริบูรณ์ ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานได้ยกร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทํางานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สําหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 2.2 ออกประกาศกระทรวงแรงงาน โดยอาศัยอํานาจตามมาตรา 14 ประกอบกับมาตรา 64 แห่งพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา และเมียนมา ที่เข้ามาทํางานตามความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนในลักษณะไป – กลับ หรือแบบตามฤดูกาลที่ครบวาระการจ้างงานและการอนุญาตให้พํานักในเขตพื้นที่ชายแดนที่ได้รับอนุญาตสิ้นสุด ซึ่งยังคงอยู่ในราชอาณาจักร และมีนายจ้างที่ต้องการจ้างคนต่างด้าวเข้าทํางาน ให้สามารถทํางานไปพลางก่อนได้โดยไม่ต้องมีใบอนุญาตทํางาน เพื่อการดําเนินการตามแนวทางการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และให้กําหนดหลักเกณฑ์วิธีการขอรับใบอนุญาตทํางาน ประเภทงานที่อนุญาตให้คนต่างด้าวทํา เงื่อนไขในการอนุญาตให้ทํางาน การสิ้นผลของการอนุญาตทํางานของคนต่างด้าว รวมถึงการยกเว้นการแจ้งข้อมูลการจ้างคนต่างด้าวเข้าทํางานของนายจ้างตามมาตรา 13 และการแจ้งข้อมูลการทํางานของคนต่างด้าวตามมาตรา 64/2 แห่งพระราชกําหนดดังกล่าว เฉพาะการยื่นคําขออนุญาตทํางานตามแนวทางดังกล่าว ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานได้ยกร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทํางานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สําหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา และเมียนมา ซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาทํางานในราชอาณาจักรตามมาตรา 64 ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 2.3 ให้กรมการจัดหางานเริ่มดําเนินการรับคําขอรับใบอนุญาตทํางานและออกใบอนุญาตทํางาน ตามแนวทางการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2563 3. กระทรวงสาธารณสุข โดยสถานพยาบาลของรัฐที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด ดําเนินการ 3.1 ตรวจสุขภาพคนต่างด้าวและผู้ติดตามที่อายุไม่เกินสิบแปดปีบริบูรณ์ 3.2 ประกันสุขภาพในกรณีที่คนต่างด้าวทํางานในกิจการที่เข้าระบบประกันสังคมแต่สิทธิประกันสังคมยังไม่มีผล หรือกรณีที่คนต่างด้าวทํางานในกิจการที่ไม่เข้าระบบประกันสังคม 3.3 ประกันสุขภาพผู้ติดตามที่อายุไม่เกินสิบแปดปีบริบูรณ์ ตามแนวทางการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2563 โดยสถานพยาบาลของรัฐต้องตรวจสุขภาพและออกผลการตรวจสุขภาพ (ใบรับรองแพทย์) ให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข 4. สํานักงานตํารวจแห่งชาติโดยสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง ดําเนินการตรวจอนุญาตให้คนต่างด้าวที่มีหนังสือเดินทาง เอกสารเดินทาง หรือเอกสารรับรองบุคคล และผู้ติดตามที่อายุไม่เกินสิบแปดปีบริบูรณ์ อยู่ต่อในราชอาณาจักร ตามแนวทางการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองตรวจอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรต่อไปเพื่อการทํางาน ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2564 และเมื่อคนต่างด้าวดังกล่าวอยู่ในราชอาณาจักรครบกําหนดระยะเวลาที่อนุญาตแล้ว หากประสงค์จะอยู่ในราชอาณาจักรต่อไปอีกเพื่อการทํางานให้ขออนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรได้อีกไม่เกินวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2565 สําหรับผู้ติดตามคนต่างด้าวให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองตรวจอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเท่ากับระยะเวลาที่คนต่างด้าวซึ่งเป็นบิดาหรือมารดาได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร แต่ระยะเวลาเวลาดังกล่าวต้องไม่เกินวันที่ผู้ติดตามมีอายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์ กรณีเอกสารประจําตัวของคนต่างด้าวมีอายุเหลือน้อยกว่าหนึ่งปี ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองตรวจอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไปเท่ากับอายุเอกสารประจําตัว หากคนต่างด้าวประสงค์อยู่ในราชอาณาจักรและทํางานต่อไป ต้องไปดําเนินการขอมีเอกสารประจําตัวฉบับใหม่กับหน่วยงานของประเทศต้นทาง เมื่อคนต่างด้าวได้รับเอกสารประจําตัวฉบับใหม่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองย้ายรอยตราประทับอนุญาตไปยังเอกสารประจําตัวฉบับใหม่ และขยายระยะเวลาการอนุญาตให้ตามสิทธิ คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา และเมียนมา ที่เข้ามาทํางานตามความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนในลักษณะไป - กลับ หรือแบบตามฤดูกาลตามมาตรา 64 แห่งพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่ม ซึ่งครบกําหนดวาระการจ้างงานและการอนุญาตให้พํานักในเขตพื้นที่ชายแดนที่ได้รับอนุญาตสิ้นสุดลงในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2563 ซึ่งได้รับการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อทํางานถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2565 ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 รวมถึง เจ้าบ้าน เจ้าของหรือผู้ครอบครองเคหสถาน หรือผู้จัดการโรงแรมซึ่งรับคนต่างด้าวดังกล่าวเข้าพักอาศัย ต้องปฏิบัติตามนัยมาตรา 37 และมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 5. ให้กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ แนวทางการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้นายจ้าง ผู้ประกอบการ แรงงานต่างด้าว และผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้รับทราบข้อมูลอย่างถูกต้องทั่วถึง 6. หลังสิ้นสุดระยะเวลาการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ สําหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะสําหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา และเมียนมา ซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาทํางานในราชอาณาจักรตามมาตรา 64 แห่งพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้หน่วยงานด้านความมั่นคงดําเนินการตรวจสอบ ปราบปราม จับกุมดําเนินคดี นายจ้าง แรงงานผิดกฎหมายที่ลักลอบทํางาน และผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด 15. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 13/2563 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ในคราวประชุมครั้งที่ 13/2563 เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอโครงการของจังหวัดที่มีหน่วยรับผิดชอบอยู่ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และโครงการของส่วนราชการสังกัดกระทรวงคมนาคมและกระทรวงพลังงานเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ตามบัญชีท้ายพระราชกําหนดฯ เพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามมาตรา 8 (1) แห่งพระราชกําหนดฯ ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอดังนี้ 1. อนุมัติโครงการของจังหวัดภายใต้แผนงาน 3.2 จํานวน 157 โครงการ วงเงิน 884,625,068 บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลางฯ โดยให้หน่วยงานรับผิดชอบดําเนินโครงการตามหลักการทั้ง 8 ข้อของคณะกรรมการฯ อย่างเคร่งครัด และจัดทําหนังสือยืนยันว่าการประมาณค่าใช้จ่ายเป็นไปตามระเบียบของทางราชการ พร้อมทั้งรับความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ ไปดําเนินการตามขั้นตอนต่อไป 2. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท) ดําเนินโครงการก่อสร้างกําแพงคอนกรีตหุ้มด้วยแผ่นยางธรรมชาติและโครงการติดตั้งหลักนําทางยางธรรมชาติเพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน วงเงินรวม 40,179.46 ล้านบาท ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ 3. ให้กระทรวงพลังงานพิจารณาทบทวนการดําเนินโครงการลดต้นทุนพลังงานเพื่อเศรษฐกิจฐานราก วงเงินรวม 1,187.64 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินจากเงินกองทุนอนุรักษ์พลังงาน เนื่องจากวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ (แผนงานที่ 3.1 3.2 และ 3.4) ตามบัญชีท้ายพระราชกําหนดฯ นอกจากนี้ ยังมีความซ้ําซ้อนกับโครงการต่าง ๆ ของกระทรวงพลังงานซึ่งเป็นภารกิจปกติ อาทิ การส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนของสํานักส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ดําเนินการอยู่แล้วและได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ทั้งนี้ ในกรณีที่ข้อเสนอโครงการของจังหวัดที่มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ เห็นควรมอบหมายให้ สศช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ รวบรวมข้อเสนอโครงการของจังหวัดให้กระทรวงพลังงานพิจารณาดําเนินการตามความเหมาะสมต่อไป 4. ให้หน่วยงานของรัฐที่จะจัดทําข้อเสนอโครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกําหนดฯพิจารณาว่าโครงการดังกล่าวสามารถดําเนินโครงการด้วยแหล่งเงินอื่น ๆ อาทิ เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเงินรายได้ เงินกองทุนดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้หน่วยงานพิจารณาจัดทําข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับการจัดสรรหรือใช้จ่ายจากแหล่งเงินดังกล่าวเป็นลําดับแรก 5. ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ พิจารณาเสนอโครงการในลักษณะเป็น package ที่ครอบคลุมสหกรณ์การเกษตรและสหกรณ์การประมง เพื่อให้การดําเนินการของสหกรณ์ดังกล่าวเป็นกลไกในการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนได้อย่างเป็นระบบและรวดเร็ว รวมทั้งสามารถนําไปสู่การสร้างงานสร้างอาชีพในท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความยั่งยืน 6. กําหนดอัตราการจ่ายเงินสมทบของสหกรณ์สําหรับโครงการที่ขอใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกําหนดฯ ในอัตราสูงสุดร้อยละ 30 โดยให้เป็นไปตามศักยภาพของสหกรณ์แต่ละแห่ง ทั้งนี้ ในการจัดทําข้อเสนอโครงการเพื่อใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกําหนดฯ กรมส่งเสริมสหกรณ์ต้องจัดทําผลการวิเคราะห์สถานะการเงินของสหกรณ์ทั้งในส่วนงบดุล เงินสดคงเหลือ ข้อมูล เครื่องมือและอุปกรณ์ที่สหกรณ์มีอยู่ในปัจจุบัน ความคุ้มค่าและความยั่งยืนของโครงการ รวมถึงกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับประโยชน์จากการดําเนินโครงการ รวมทั้งพิจารณากําหนดอัตราการจ่ายเงินสมทบที่เหมาะสมกับศักยภาพของสหกรณ์แต่ละแห่ง เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ด้วย ต่างประเทศ 16. เรื่อง การนําเสนอรายงานผลการดําเนินงานของประเทศไทยตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ํายีศักดิ์ศรี (ฉบับที่ 2) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายงานผลการดําเนินงานของประเทศไทยตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ํายีศักดิ์ศรี (ฉบับที่ 2) และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดส่งรายงานผลการดําเนินงานของไทยตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติฯ ต่อคณะกรรมการสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมานต่อไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สาระสําคัญของเรื่อง รายงานผลการดําเนินงานของประเทศไทยฯ (ฉบับที่ 2) เป็นการนําเสนอข้อมูลภาพรวมการดําเนินงานตามอนุสัญญาฯ ของประเทศไทยตามแนวคําถามล่วงหน้าที่ได้รับจากคณะกรรมการสหประชาชาติฯ สรุปได้ดังนี้ ด้านนโยบาย รายงานผลดําเนินงานของประเทศไทยฯ ได้สะท้อนข้อมูลการประกาศวาระแห่งชาติด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อยืนยันเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน โดยได้กําหนดให้การป้องกันและปราบปรามการทรมานเป็นหนึ่งในประเด็นสําคัญตามกรอบวาระแห่งชาติฯ นอกจากนั้น ยังมีการจัดตั้งคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกกระทําทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ และคณะอนุกรรมการ 4 คณะ เพื่อเป็นกลไกระดับชาติในการป้องกัน คัดกรอง ติดตาม ตรวจสอบ ปราบปราม และเยียวยาการกระทําทรมานและบังคับให้หายสาบสูญ ด้านกฎหมาย กล่าวถึงบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตลอดจนกฎหมาย คําสั่ง และมาตรการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังได้สะท้อนพัฒนาการในการประกาศใช้กฎหมายที่เป็นประโยชน์หลายฉบับ โดยเฉพาะการจัดทําร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทําให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... ด้านการปฏิบัติ นําเสนอพัฒนาการการดําเนินงานของประเทศไทยในทางปฏิบัติ โดยรัฐบาลได้บังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อลงโทษผู้กระทําความผิดและยืนยันว่าไม่มีการยกเว้นความรับผิดแก่เจ้าหน้าที่ทั้งทางกฎหมายและข้อเท็จจริง รวมถึงได้ดําเนินความพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เหยื่อที่ถูกกระทําทรมาน เหยื่อค้ามนุษย์และผู้แสวงหาที่พักพิง แก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ปรับปรุงเรือนจําให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล จัดฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่องเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไป ตามกฎหมายและเพิ่มศักยภาพแก่เจ้าหน้าที่ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชนในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม รวมถึงมีการรายงานความคืบหน้าของคดีเป็นรายคดีตามข้อห่วงกังวลของคณะกรรมการสหประชาชาติฯ ด้วย อย่างไรก็ตาม ข้อท้าทายในทางปฏิบัติที่สําคัญ คือการที่ประเทศไทยยังไม่ได้กําหนดให้ “การกระทําทรมาน” เป็นความผิดเฉพาะ จึงทําให้หน่วยงานต่าง ๆ ไม่มีการจัดเก็บข้อมูลและสถิติที่เกี่ยวข้องสําหรับกรณีการกระทําทรมาน เพราะในทางปฏิบัติทุกหน่วยงานจะจัดเก็บข้อมูลและสถิติตามฐานความผิดที่กําหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญาเท่านั้น และมีการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ “การกระทําทรมาน” ตามอนุสัญญาฯ ให้กับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ยังคงเป็นเรื่องสําคัญและมีความจําเป็นต้องดําเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบรายงานผลการดําเนินงานของประเทศไทยตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ํายีศักดิ์ศรี (ฉบับที่ 2) เพื่อมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดส่งรายงานผลการดําเนินงานของไทยตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติฯ ต่อคณะกรรมการสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมานต่อไป 17. เรื่อง โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ในการดําเนินงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค (Regional Innovation Center: RIC) ในประเทศไทย คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามที่สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอแล้วมีมติ ดังนี้ 1. เห็นชอบให้ สศช. เป็นผู้แทนรัฐบาลไทยในฐานะผู้ประสานงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค (Regional Innovation Center: RIC) ประเทศไทย โดยมีหน้าที่รับผิดชอบในการดําเนินโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติในการดําเนินงานศูนย์ RIC ประเทศไทย 2. เห็นชอบร่างเอกสารโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติในการดําเนินงานศูนย์ RIC ในประเทศไทย ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคําของร่างเอกสารโครงการฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญ หรือไม่ขัดผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้ สศช. ดําเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก 3. สําหรับงบประมาณสนับสนุนโครงการความร่วมมือ ฯ สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จํานวน 42,625,000 บาท และได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จํานวน 30,500,000 บาท สําหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เห็นควรให้สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พิจารณาจัดทําแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อจัดทําคําของบประมาณรายจ่ายประจําปีตามความจําเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ 4. อนุมัติให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างเอกสารโครงการฯ ของฝ่ายไทย พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทําหนังสือมอบอํานาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม สาระสําคัญของเรื่อง รัฐบาลไทยและโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nation Development Program: UNDP) ได้มีการหารือกันอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการดําเนินโครงการ Future Lab และ Policy Lab ซึ่งจะเชื่อมโยงกับโครงการ Gov Lab ที่สํานักงาน ก.พ.ร. ได้นําแนวคิด Government Innovation Lab มาดําเนินการออกแบบนวัตกรรมบริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพสูงและตอบสนองความต้องการของประชาชนแล้ว โดยมีข้อสรุปรูปแบบการดําเนินการเป็นโครงการจัดตั้งศูนย์ RIC ในประเทศไทย โดย สศช. และ UNDP ได้ร่วมกันจัดทําร่างเอกสารโครงการฯ โดยมีสาระสําคัญเป็นการกําหนดรูปแบบและรายละเอียดของการดําเนินโครงการ ซึ่งสามารถสรุปได้ ดังนี้ เป้าหมาย - ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงการจัดทํานวัตกรรมเชิงนโยบาย - UNDP เป็นเครือข่ายศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะด้านกว่า 60 ประเทศ เช่น เทคโนโลยีเศรษฐกิจหมุนเวียน วัตถุประสงค์ - เป็นพื้นที่ออกแบบนวัตกรรมเชิงนโยบาย และส่งเสริมการพัฒนาเครื่องมือจัดทํานโยบายสาธารณะ - เป็นกลไกในการนําไทยสู่เป็นผู้นําด้านนวัตกรรมเชิงนโยบายในภูมิภาค - เป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้สําหรับชุมชนนวัตกรทั่วโลก กรอบความร่วมมือและกิจกรรม - พัฒนานวัตกรรมเชิงนโยบายระดับภูมิภาค เช่นกิจกรรมการสํารวจ ออกแบบ และทดลองนโยบาย - เสริมสร้างขีดความสามารถด้านนวัตกรรมเชิงนโยบาย เช่น ฝึกอบรมเพื่อสร้าง องค์ความรู้เพื่อพัฒนานโยบายใหม่ ๆ - สร้างชุมชนแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของนวัตกร กลไกลบริหารจัดการ ไทยจะโอนเงินอุดหนุนให้แก่ UNDP เป็นผู้บริหารจัดการการเบิกจ่ายภายใต้การควบคุมของผู้แทน สศช. และ UNDP โครงสร้างศูนย์ RIC ประธานร่วม ได้แก่ สศช. และ UNDP ค่าใช้จ่ายและแหล่งที่มา สศช. และ UNDP สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดําเนินโครงการฯ ต่อเนื่อง 3 ปี (ปี63-65) รวม 6 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (ไทย 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ UNDP 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดย สศช. ได้รับการจัดสรรงบฯ ปี 63 ประเภทงบเงินอุดหนุน จํานวน 42.625 ล้านบาท แต่งตั้ง 18. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จํานวน 4 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้ 1. นางสาวปิยวรรณ ล่ามกิจจา รองผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ดํารงตําแหน่ง ที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ (นักวิเคราะห์รัฐวิสาหกิจทรงคุณวุฒิ) สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 2. นางสาวนิภา ลําเจียกเทศ รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ดํารงตําแหน่ง ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง (นักวิชาการคลังทรงคุณวุฒิ) กรมบัญชีกลาง ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 3. นายกิตติ สุทธิสัมพันธ์ รองอธิบดีกรมศุลกากร ดํารงตําแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี (นักวิชาการศุลกากรทรงคุณวุฒิ) กรมศุลกากร ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2563 4. นางชลิดา พันธ์กระวี รองอธิบดีกรมศุลกากร ดํารงตําแหน่ง ที่ปรึกษาการคลัง (นักวิชาการคลังทรงคุณวุฒิ) สํานักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 19. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นางเบญจวรรณ เพชรสุขศิริ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านชีวโมเลกุลและการพัฒนาวัคซีน (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เชี่ยวชาญ) ศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพทางการแพทย์และสาธารณสุข สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ให้ดํารงตําแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (เทคโนโลยีชีวภาพ) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2563 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สํานักนายกรัฐมนตรี) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี สํานักนายกรัฐมนตรี ให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง เพื่อทดแทนตําแหน่งที่ว่าง จํานวน 2 ราย ดังนี้ 1. นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ที่ปรึกษาพิเศษประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) ดํารงตําแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) โดยให้ได้รับเงินประจําตําแหน่งในอัตรา 21,000 บาท 2. นายมงคลชัย สมอุดร นักวิชาการทรงคุณวุฒิพิเศษประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นักวิชาการศึกษาระดับทรงคุณวุฒิ) ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการสํานักนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป .............. (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 4 สิงหาคม 2563 วันอังคารที่ 4 สิงหาคม 2563 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 4 สิงหาคม 2563 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (4 สิงหาคม 2563) เวลา 09.00 น.ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสําหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในท้องที่ตําบลชุมแพ อําเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. .... 3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สํานักงานสภาเกษตรกร แห่งชาติ) 4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต และหนังสือรับรอง การแจ้งตามกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการ แจ้ง และการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย พ.ศ. 2559 พ.ศ. .... 5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดเขตท่าเรือบางปะกง และเขตจอดเรือบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ. .... 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงเพื่อรองรับการใช้บังคับพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 เศรษฐกิจ - สังคม 7. เรื่อง ผลการดําเนินโครงการตามภารกิจของ บจธ. สิ้นสุด ณ วันที่ 7 มิถุนายน 2563 8. เรื่อง แผนปฏิบัติการภาค ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 แผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด พ.ศ. 2561–2565 ฉบับทบทวน แผนปฏิบัติราชการประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และคําของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 9. เรื่อง ผลการดําเนินโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า 10. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลางรายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น 11. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 12 12. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work from Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ 13. เรื่อง การกู้เงินจากธนาคารพัฒนาเอเชียภายใต้พระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 14. เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 15. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 13/2563 ต่างประเทศ 16. เรื่อง การนําเสนอรายงานผลการดําเนินงานของประเทศไทยตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ํายีศักดิ์ศรี (ฉบับที่ 2) 17. เรื่อง โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ในการดําเนินงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค (Regional Innovation Center: RIC) ในประเทศไทย แต่งตั้ง 18. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) 19. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) 20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สํานักนายกรัฐมนตรี) ******************* สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป และรับทราบแผนในการจัดทํากฎหมายลําดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสําคัญของกฎหมายลําดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่ สธ. เสนอ ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่ สธ. เสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกําหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการอนุญาตให้ผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 สําหรับผู้ป่วยที่ได้รับการรับรองจาก ผู้ประกอบวิชาชีพ และผู้ประกอบกิจการด้านเกษตรกรรม กําหนดหลักเกณฑ์ในการนําเข้ายาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 5 เฉพาะกัญชา และกําหนดกระบวนการเกี่ยวกับการเก็บรักษาและทําลายยาเสพติดให้โทษของกลาง เพื่อให้ผู้ป่วยที่ได้รับการรับรองจากผู้ประกอบวิชาชีพสามารถเข้าถึงการใช้กัญชาทางการแพทย์ได้อย่างทั่วถึง และเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาองค์ความรู้ และต่อยอดกัญชาทางการแพทย์เพื่อประโยชน์ของประชาชน รวมทั้งแก้ไขปัญหาการเก็บรักษายาเสพติดให้โทษของกลางไว้เป็นเวลานาน ซึ่งทําให้สิ้นเปลืองงบประมาณและสถานที่ในการเก็บรักษา สธ. ได้ดําเนินการรับฟังความคิดเห็นประกอบการจัดทําร่างกฎหมาย และเปิดเผยสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย รวมทั้งจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายตามแนวทางมติคณะรัฐมนตรี (19 พฤศจิกายน 2562) เรื่อง การดําเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทําร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 และได้เผยแพร่ผลการรับฟังความคิดเห็นพร้อมกับการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายให้ประชาชนได้รับทราบแล้ว สาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติ 1. กําหนดให้ผู้ป่วยที่ได้รับการรับรองจากผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ หรือหมอชาวบ้าน ผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับการผลิตด้านเกษตรกรรมและเกษตรกรที่ดําเนินการผลิตภายใต้ความร่วมมือกับผู้รับอนุญาตผลิตซึ่งยาหรือผลิตภัณฑ์สมุนไพร และบุคคลอื่น ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษกําหนด สามารถได้รับใบอนุญาตให้ผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ได้ 2. กําหนดให้ในกรณีที่มีการยึดหรือริบยาเสพติดให้โทษ เมื่อได้มีการตรวจชนิดและปริมาณแล้วว่าเป็นยาเสพติดให้โทษแล้ว ให้ สธ. หรือผู้ซึ่ง สธ. มอบหมายทําลายหรือนํายาเสพติดให้โทษดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ได้ 3. กําหนดให้ภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 ใช้บังคับ การนําเข้ายาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 5 เฉพาะกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการรักษาผู้ป่วยจะสามารถนําเข้าได้เฉพาะเมล็ดพันธุ์ ยกเว้นกรณีหน่วยงานของรัฐ ผู้ป่วยเดินทางระหว่างประเทศ หรือผู้ที่มีวัตถุประสงค์ดําเนินการเกี่ยวกับการศึกษาวิจัยและพัฒนา (มาตรา 2 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 บัญญัติให้พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562) 2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสําหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในท้องที่ตําบลชุมแพ อําเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสําหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในท้องที่ตําบลชุมแพ อําเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้ มท. รับความเห็นของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา กําหนดให้ถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสําหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตําบลชุมแพ อําเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น เนื้อที่ประมาณ 119 ไร่ 3 งาน 59.7 ตารางวา ซึ่งปัจจุบันราษฎรได้เลิกใช้ประโยชน์ร่วมกันในที่ดินสาธารณประโยชน์ แปลงดังกล่าวแล้ว เพื่อมอบหมายให้เทศบาลเมืองชุมแพใช้เพื่อพัฒนาเป็นระบบบําบัดน้ําเสียและพื้นที่สาธารณะเพื่อนันทนาการ ทั้งนี้ มท. เสนอว่า เทศบาลเมืองชุมแพขอถอนสภาพที่ดินสาธารณประโยชน์แปลง “หนองแซงกระเทิบ” ตามหนังสือสําคัญสําหรับที่หลวง เลขที่ ขก. 3073 เนื้อที่ประมาณ 119 ไร่ 3 งาน 59.7 ตารางวา เพื่อพัฒนาเป็นระบบบําบัดน้ําเสียและพื้นที่สาธารณะเพื่อนันทนาการ ซึ่งที่ดินสาธารณประโยชน์ดังกล่าว เดิมราษฎรได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน เป็นที่ใช้น้ําในการอุปโภคบริโภค และทําการเกษตร แต่ปัจจุบันราษฎรได้เลิกใช้ประโยชน์ร่วมกันในที่ดินสาธารณประโยชน์แปลงนี้แล้ว ที่ดินดังกล่าวจึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะถอนสภาพตามมาตรา 8 วรรคสอง (1) แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการถอนสภาพ การจัดขึ้นทะเบียน และการจัดหาผลประโยชน์ในที่ดินของรัฐ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2550 จึงเห็นควรให้มีการตราพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสําหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตําบลชุมแพ อําเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น เพื่อมอบหมายให้เทศบาลเมืองชุมแพใช้เพื่อพัฒนาเป็นระบบบําบัดน้ําเสีย และพื้นที่สาธารณะเพื่อนันทนาการ โดย มท. ได้ดําเนินการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มาเพื่อดําเนินการ 3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สํานักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สํานักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ (สกช.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รวมพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้กับร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ที่เป็นเรื่องทํานองเดียวกันซึ่งอยู่ระหว่างสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาให้เป็นฉบับเดียวกัน แล้วดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา กําหนดให้สํานักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติเป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของสํานักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ทั้งนี้ สกช. เสนอว่า พระราชบัญญัติสภาเกษตรกรแห่งชาติ พ.ศ. 2553 มาตรา 20 บัญญัติให้จัดตั้งสํานักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติขึ้นเป็นหน่วยงานของรัฐ มีฐานะเป็นนิติบุคคลที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณหรือกฎหมายอื่น ซึ่งปัจจุบัน สกช. ยังไม่ได้รับการกําหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 โดยที่พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 บัญญัติให้ “หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น และมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น หรือรัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐ ที่พระราชกฤษฎีกากําหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัตินี้ด้วย ดังนั้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของ สกช. ซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 สมควรกําหนดให้ สกช. เป็นหน่วยงานของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิด เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของ สกช. ซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายดังกล่าว จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มาเพื่อดําเนินการ 4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต และหนังสือรับรอง การแจ้งตามกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการแจ้ง และการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือ มูลฝอย พ.ศ. 2559 พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต และหนังสือรับรองการแจ้งตามกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการแจ้ง และการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย พ.ศ. 2559 พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสํานักงบประมาณไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. กําหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมตามกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการแจ้ง และการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย พ.ศ. 2559 ที่ราชการส่วนท้องถิ่นมีอํานาจออกข้อกําหนดของท้องถิ่นในการออกใบอนุญาตในข้อ 2 (2) (3) (4) และ (5) เกี่ยวกับใบอนุญาตดําเนินกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตามประเภทที่ท้องถิ่นกําหนด ใบอนุญาตจัดตั้งตลาด ใบอนุญาตจัดตั้งสถานที่จําหน่ายอาหารหรือสถานที่สะสมอาหาร และใบอนุญาตจําหน่ายสินค้าในที่หรือทางสาธารณะ และการออกหนังสือรับรองการแจ้งใน ข้อ 3 เกี่ยวกับการจัดตั้งสถานที่จําหน่ายอาหารหรือสถานที่สะสมอาหาร 2. กําหนดให้การยกเว้นค่าธรรมเนียมตามข้อ 1 ให้ใช้บังคับได้มีกําหนด 1 ปี นับแต่กฎกระทรวงฉบับนี้ใช้บังคับ สธ. เสนอว่า 1. ได้มีกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการแจ้ง และการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย พ.ศ 2559 ซึ่งเป็นการกําหนดอัตราค่าธรรมเนียม เพื่อให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอํานาจออกข้อกําหนดสามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการแจ้ง และการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย ดังนี้ 1.1 ใบอนุญาตดําเนินกิจการเกี่ยวกับการเก็บ กําจัด และขนสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย โดยทําเป็นธุรกิจ หรือได้รับประโยชน์ตอบแทนด้วยการคิดค่าบริการ 1.2 ใบอนุญาตดําเนินกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตามประเภทที่มีข้อกําหนดของท้องถิ่นกําหนดให้เป็นกิจการที่ต้องมีการควบคุมภายในท้องถิ่นในลักษณะที่เป็นการค้า 1.3 ใบอนุญาตจัดตั้งตลาดในอาคารหรือพื้นที่ที่มีจํานวนแผงค้าในตลาดไม่เกินหนึ่งร้อยแผงและที่เกินกว่าหนึ่งร้อยแผง 1.4 ใบอนุญาตจัดตั้งสถานที่จําหน่ายอาหารหรือสถานที่สะสมอาหารในอาคารหรือพื้นที่ที่มีพื้นที่เกินสองร้อยตารางเมตร และมิใช่เป็นการขายของในตลาด 1.5 ใบอนุญาตจําหน่ายสินค้าในที่หรือทางสาธารณะ ซึ่งจําหน่ายโดยลักษณะวิธีการจัดวางสินค้าในที่หนึ่งที่ใดเป็นปกติ หรือจําหน่ายโดยลักษณะการขายเร่ 1.6 หนังสือรับรองการแจ้งการจัดตั้งสถานที่จําหน่ายอาหารหรือสถานที่สะสมอาหารในอาคาร หรือพื้นที่ใด ซึ่งมีพื้นที่ไม่เกินสองร้อยตารางเมตรและมิใช่เป็นการขายของในตลาด 1.7 การให้บริการเก็บ ขน หรือกําจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย 2. โดยที่มาตรา 5 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ได้กําหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีอํานาจออกกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมหรือยกเว้นค่าธรรมเนียมได้ ซึ่งกฎกระทรวงตามข้อ 1 มิได้กําหนดเรื่องการยกเว้นค่าธรรมเนียมไว้แต่อย่างใด ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ได้แพร่กระจายไปทั่วโลกและสร้างความเสียหายในหลายประเทศ สธ. โดยกรมควบคุมโรคจึงได้ออกประกาศให้โรคดังกล่าวเป็นโรคติดต่ออันตรายตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อ และอาการสําคัญของโรคติดต่ออันตราย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2563 และหน่วยงานภาครัฐได้ใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 เช่น มาตรการสั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว เป็นต้น ซึ่งส่งผลกระทบสร้างความเสียหายต่อความเป็นอยู่ของประชาชนและผู้ประกอบกิจการเป็นอย่างมาก โดยสถานประกอบการที่ถูกสั่งปิดตามมาตรการดังกล่าวเกือบทั้งหมดเป็นกิจการตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข ทําให้ผู้ประกอบการเป็นจํานวนมากไม่สามารถดําเนินการชําระค่าธรรมเนียม หรือชําระค่าธรรมเนียมรายปีตามกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตหนังสือรับรองการแจ้ง และการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย พ.ศ. 2559 ได้ อันเนื่องมาจากเหตุสุดวิสัยที่เกิดจากโรคโควิด 19ซึ่งมิใช่ความผิดของผู้ประกอบกิจการ 3. ดังนั้น เพื่อเป็นการลดภาระและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบกิจการตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบจากการปิดสถานที่เป็นการชั่วคราวเนื่องจากมาตรการของรัฐดังกล่าว จึงเห็นสมควรยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตในข้อ 2 (2) (3) (4) และ (5) และการออกหนังสือรับรองการแจ้งในข้อ 3 ของกฎกระทรวงตามข้อ 1 ซึ่งเกี่ยวกับการใบอนุญาตตามข้อ 1.1 ถึงข้อ 1.5 และการออกหนังสือรับรองการแจ้งตามข้อ 1.6 และ สธ. ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นและหารือกับเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว 4. การดําเนินการตามมาตรการดังกล่าวคาดว่าจะก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ดังนี้ 4.1 ประมาณการสูญเสียรายได้ มาตรการดังกล่าวจะทําให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสูญเสียรายได้ประมาณ 16,837,761,600 บาท 4.2 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ มาตรการดังกล่าวจะเป็นการลดภาระและบรรเทาผลกระทบของผู้ประกอบกิจการตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุขอันเกิดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต และหนังสือรับรองการแจ้งตามกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการแจ้งและการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย พ.ศ. 2559 พ.ศ. .... มาเพื่อดําเนินการ 5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดเขตท่าเรือบางปะกง และเขตจอดเรือบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดเขตท่าเรือบางปะกง และเขตจอดเรือ บางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ คค. เสนอว่า เนื่องจากบริเวณอ่าวไทยและแม่น้ําบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นพื้นที่ที่มีการขนส่งสินค้าทางน้ําที่สําคัญและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีเรือขนส่งสินค้าเดินเข้าออกเพื่อเทียบท่า ทอดสมอ เพื่อทําการขนถ่ายสินค้าเป็นจํานวนมาก แต่ยังไม่มีการกําหนดเขตท่าเรือให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับการคมนาคมขนส่งทางน้ําและปริมาณเรือที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมได้ จึงสมควรกําหนดเขตท่าเรือและเขตจอดเรือบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อประโยชน์ต่อการควบคุมดูแลความปลอดภัย จัดระเบียบการจราจรทางน้ํา และวางระบบการขนส่งทางน้ําให้มีความปลอดภัยและมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น ตลอดจนเพื่อประโยชน์ในการควบคุมมลภาวะทางน้ํา ซึ่งสอดคล้องกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยที่มาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ําไทยพระพุทธศักราช 2456 และที่แก้ไขเพิ่มเติม บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมีอํานาจออกกฎกระทรวงเพื่อกําหนดแนวแม่น้ําลําคลองหรือทะเลอาณาเขตแห่งใดเป็นเขตท่าเรือและเขตจอดเรือได้ ดังนั้น คค. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้เพื่อกําหนดเขตท่าเรือบางปะกงและเขตจอดเรือบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกําหนดเขตท่าเรือบางปะกง และเขตจอดเรือบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ. .... มาเพื่อดําเนินการ 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงเพื่อรองรับการใช้บังคับพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตทํางาน การออกใบอนุญาตทํางาน และการแจ้งการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงกําหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคนต่างด้าวที่ขอรับใบอนุญาตทํางาน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตทํางาน การออกใบอนุญาตทํางาน และการแจ้งการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. .... มีสาระสําคัญ ดังนี้ 1.1 กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตทํางาน และการออกใบอนุญาตทํางานตามมาตรา 59 มาตรา 60 วรรคหนึ่ง มาตรา 63 มาตรา 63/1 มาตรา 63/2 และมาตรา 64 1.2 กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตทํางานแทนคนต่างด้าวของผู้รับอนุญาตให้นําคนต่างด้าวมาทํางานตามมาตรา 41 วรรคสี่ และนายจ้างซึ่งประสงค์จะจ้างคนต่างด้าวซึ่งอยู่นอกราชอาณาจักรเข้ามาทํางานในกิจการของตนในราชอาณาจักรตามมาตรา 60 วรรคสอง 1.3 กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการแจ้งการทํางาน การออกหนังสือรับแจ้งการทํางาน การแจ้งการขยายเวลาทํางาน และการออกหนังสือรับแจ้งการขยายเวลาทํางานตามมาตรา 61 1.4 กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการออกใบอนุญาตทํางานและการรับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าวตามมาตรา 62 1.5 กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอต่ออายุใบอนุญาตทํางาน และการต่ออายุใบอนุญาตทํางานตามมาตรา 67 2. ร่างกฎกระทรวงกําหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคนต่างด้าวที่จะขอรับใบอนุญาตทํางาน พ.ศ. .... มีสาระสําคัญเกี่ยวกับการกําหนดให้คนต่างด้าวที่จะขอรับใบอนุญาตทํางานต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังนี้ 2.1 ไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 2.2 ไม่เคยได้รับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุกตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองหรือกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว เว้นแต่พ้นโทษมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปีก่อนวันขอรับใบอนุญาตทํางาน 2.3 ไม่เป็นผู้เจ็บป่วยด้วยโรค ดังนี้ (ก) โรคเรื้อนระยะติดต่อหรือในระยะปรากฏอาการอันเป็นที่รังเกียจแก่สังคม (ข) วัณโรคระยะติดต่อ (ค) โรคเท้าช้างในระยะปรากฏอาการอันเป็นที่รังเกียจแก่สังคม (ง) โรคติดยาเสพติดให้โทษ (จ) โรคพิษสุราเรื้อรัง (ฉ) โรคซิฟิลิสในระยะที่ 3 3. ร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. .... มีสาระสําคัญเกี่ยวกับการกําหนดอัตราค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการนําคนต่างด้าวมาทํางานกับนายจ้างในประเทศและการทํางานของคนต่างด้าว ให้สอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 ทั้งนี้ ยังคงใช้อัตราค่าธรรมเนียมเดิม และยกเว้นค่าธรรมเนียมในกรณีเดียวกับกฎกระทรวงที่ได้ออกโดยอาศัยอํานาจตามพระราชบัญญัติการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2551 และพระราชกําหนดการนําคนต่างด้าวมาทํางานกับนายจ้างในประเทศ พ.ศง 2559 ที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชกําหนดนี้ใช้บังคับ เศรษฐกิจ - สังคม 7. เรื่อง ผลการดําเนินโครงการตามภารกิจของ บจธ. สิ้นสุด ณ วันที่ 7 มิถุนายน 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและมอบหมายดังนี้ 1. รับทราบผลการดําเนินโครงการตามภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (บจธ.) สิ้นสุด ณ วันที่ 7 มิถุนายน 2563 ตามที่ บจธ. เสนอ และให้ บจธ. รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดําเนินการต่อไป 2. มอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเร่งดําเนินการประเมินผลการดําเนินการของ บจธ. ว่า เกิดผลสัมฤทธิ์หรือมีความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับภาระงบประมาณ และสมควรยุบเลิกหรือไม่ ซึ่งต้องดําเนินการภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับ (ครบ 1 ปี เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2563) 3. มอบหมายให้กระทรวงการคลังและผู้มีหน้าที่รับผิดชอบเร่งดําเนินการเสนอร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งธนาคารที่ดินหรือองค์การอื่นที่มีวัตถุประสงค์ในลักษณะทํานองเดียวกับธนาคารที่ดินต่อคณะรัฐมนตรี ตามนัยมาตรา 6 แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 ซึ่งต้องดําเนินการภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลใช้บังคับ (ครอบ 1 ปี เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2563) สาระสําคัญของเรื่อง 1. โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (5 กุมภาพันธ์ 2562 และ 18 มิถุนายน 2562) เห็นชอบให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (บจธ.) เร่งดําเนินโครงการตามภารกิจของ บจธ. ทั้ง 4 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการต้นแบบการบริหารจัดการที่ดินแบบครบวงจร (2) โครงการแก้ไขปัญหาการสูญเสียสิทธิในที่ดินของเกษตรกรและผู้ยากจน (3) โครงการนําร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นําร่อง 5 ชุมชน และ (4) โครงการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาด้านที่ดินจากการดําเนินนโยบายของรัฐ วงเงินงบประมาณ 400.427 ล้านบาท ให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมและบรรลุวัตถุประสงค์ตามกรอบระยะเวลาที่กําหนดไว้ภายในวันที่ 7 มิถุนายน 2563 ซึ่ง บจธ. รายงานว่า ได้ดําเนินโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของโครงการเรียบร้อยแล้ว และมีงบประมาณคงเหลือ 77.429 ล้านบาท ซึ่ง บจธ. จะนําเงินคงเหลือส่วนนี้และเงินสมทบของ บจธ. จํานวน 5.071 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 84.500 ล้านบาท ไปใช้ดําเนินโครงการต้นแบบการบริหารจัดการที่ดินแบบครบวงจรเพิ่มเติมใน 4 พื้นที่ ในท้องที่จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดลําพูน และจังหวัดตากให้แล้วสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 2. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี สํานักงบประมาณ สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และสํานักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนรับทราบ/เห็นชอบ/ไม่มีข้อขัดข้องและมีความเห็นเพิ่มเติม เช่น (1) บจธ. ควรถอดบทเรียนที่ได้รับจากการปฏิบัติงานในโครงการนําร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นําร่อง 5 ชุมชน เพื่อเป็นแนวทางขับเคลื่อนการดําเนินการของ บจธ. ในระยะต่อไป (2) บจธ. ควรสรุปปัญหา อุปสรรค และข้อจํากัดในการดําเนินโครงการ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาเสนอร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งธนาคารที่ดิน และ (3) งบประมาณคงเหลือที่จะนํามาดําเนินการจะมีผลให้เกิดภาระงบประมาณอย่างต่อเนื่อง จึงควรดําเนินการประเมินผลการดําเนินงานของ บจธ. รอบ 1 ปี โดยคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ตามนัยมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 เป็นต้น 8. เรื่อง แผนปฏิบัติการภาค ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 แผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด พ.ศ. 2561–2565 ฉบับทบทวน แผนปฏิบัติราชการประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และคําของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบูรณาการนโยบายการพัฒนาภาค (ก.บ.ภ.) เสนอผลการประชุมคณะกรรมการ ก.บ.ภ. ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2563 ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน สรุปสาระสําคัญของผลการประชุมได้ ดังนี้ 1. แผนปฏิบัติการภาค ประจําปีงบประมาณ .ศ. 2564 1.1 เห็นชอบแผนปฏิบัติการ 6 ภาค ประจําปีงบประมาณพ.ศ. 2564 จํานวน 1,097 โครงการ วงเงิน 76,244.41 ล้านบาท ดังนี้ (หน่วย : ล้านบาท) แผนปฏิบัติการภาค วงเงิน ภาคกลางและพื้นที่กรุงเทพมหานคร 11,961.91 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 26,533.43 ภาคตะวันออก 7,433.78 ภาคเหนือ 12,825.66 ภาคใต้ 13,992.40 ภาคใต้ชายแดน 3,497.23 รวม 76,244.41 1.2 เห็นชอบหลักเกณฑ์และแนวทางการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยให้ส่วนราชการที่มีความจําเป็นต้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเสนอคําขอปรับแผนฯ มายัง สศช. เพื่อรวบรวมและประเมินผลก่อนนําเสนอนายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน ก.บ.ภ. พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนแจ้งเวียน ก.บ.ภ. เพื่อทราบต่อไป 2. แผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดพ.ศ. 2561-2565 ฉบับทบทวน 2.1 เห็นชอบแผนพัฒนาจังหวัด 76 จังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด 18 กลุ่มจังหวัด พ.ศ. 2561-2565 ฉบับทบทวน ประจําปีงบประมาณพ.ศ. 2564 2.2 ให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดนําความเห็นและข้อเสนอแนะของฝ่ายเลขานุการฯ ไปทบทวนและปรับปรุงแผนเพื่อให้มีความสมบูรณ์ในระยะต่อไป เช่น (1) ควรนําเสนอข้อมูลการพัฒนาอย่างเป็นอนุกรม 3 ปีขึ้นไป และป็นข้อมูลที่ทันสมัยสําหรับการวิเคราะห์เปรียบเทียบให้เห็นศักยภาพและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในแต่ละด้าน (2) ควรจัดลําดับความสําคัญของปัญหาและความต้องการของประชาชน (3) ควรกําหนดประเด็นการพัฒนาให้สอดคล้องกับศักยภาพและปัญหาของพื้นที่ และ (4) กําหนดแผนงานและโครงการแบบย่อให้มีความเชื่อมโยงการพัฒนาในลักษณะห่วงโซ่คุณค่า 3. แผนปฏิบัติราชการประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด 3.1 เห็นชอบแผนปฏิบัติราชการประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดจํานวน 76 จังหวัด และ 18 กลุ่มจังหวัด รวมทั้งสิ้น 1,953 โครงการ งบประมาณรวม 47,379.82 ล้านบาท ประกอบด้วย (หน่วย : ล้านบาท) รายการ สนับสนุนภายในกรอบวงเงิน สนับสนุนเกินกรอบวงเงิน โครงการ งบประมาณ โครงการ งบประมาณ คําของบประมาณจังหวัด 20,362.53 14,499.86 คําของบประมาณกลุ่มจังหวัด 9,257.81 3,259.62 ส่วนที่ 1 สําหรับขับเคลื่อนการพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพที่เป็นความต้องการและแก้ไขปัญหาประเด็นร่วมของกลุ่มจังหสัด 4,608.15 3,259.62 ส่วนที่ 2 เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาในลักษณะ Cluster หรือตอบสนองนโยบายเชิงพื้นที่ 4,649.66 รวม 29,620.34 17,759.48 3.2 เห็นชอบกรอบวงเงินการปรับลดงบประมาณตามแผนปฏิบัติราชการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กรอบวงเงิน 23,378.67 ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 [เรื่อง การปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564] นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563-2564 (เพิ่มเติม) และแนวทางการกําหนดกรอบการจัดสรรงบประมาณ ปะจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด 9. เรื่อง ผลการดําเนินโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดําเนินโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สาระสําคัญ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอรายงานผลการดําเนินโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า ระยะที่ 1 ระยะเร่งด่วน (ดําเนินการแล้วเสร็จก่อนวันที่ 28 กรกฎาคม 2563) ประกอบด้วย การดําเนินโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า ในพื้นที่เร่งด่วน การเปิดโครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่า และการจัดฝึกอบรมหลักสูตร “จิตอาสา” ตามโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า ดังนี้ 1. การดําเนินโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า ในพื้นที่เร่งด่วน จํานวนรวมทั้งหมด 8 พื้นที่ใน 6 จังหวัด (เชียงใหม่ ตาก น่าน นครราชสีมา ชัยภูมิ และนครศรีธรรมราช) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า โดยมีผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้อํานวยการศูนย์ ซึ่งได้ดําเนินกิจกรรมปลูกป่าและเพิ่มพื้นที่สีเขียวรวมกันทั้งสิ้น 1,599 ไร่ 1 งาน โดยปลูกกล้าไม้รวมกันจํานวน 227,150 ต้น รวมทั้ง ทําฝาย จํานวน 71 แห่ง ซึ่งผลการดําเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายโครงการ ระยะที่ 1 (ปลูกป่าไม่น้อยกว่า 1,010 ไร่ และจัดทําฝาย ไม่น้อยกว่า 70 แห่ง) 2. การจัดพิธีเปิดโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า พร้อมกันทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ (รวมกรุงเทพมหานคร) 2.1 พิธีเปิดโครงการหลักจัดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563 ณ อุทยานแห่งชาติน้ําตกบัวตอง – น้ําพุเจ็ดสี อําเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ โดยนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี พลเรือเอก ปวิตร รุจิเทศ ผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทานผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัด เจ้าหน้าที่ และประชาชนจิตอาสาประมาณ 1,000 คน ร่วมถวายพระพร พร้อมทั้งปลูกต้นไม้ ปลูกกล้วยไม้ จัดทําฝาย และจัดทําโป่งเทียม เพื่อแสดงความจงรักภักดีและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชน และเป็นการฟื้นฟูดิน น้ํา ป่า สิ่งแวดล้อม กลับคืนระบบนิเวศให้มีความอุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืนด้วย 2.2 พิธีเปิดโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่าในพื้นที่ 77 จังหวัด (รวมกรุงเทพมหานคร) จัดขึ้นพร้อมกันในวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 ซึ่งผลการดําเนินโครงการระยะเร่งด่วน (ดําเนินการแล้วเสร็จก่อนวันที่ 28 กรกฎาคม 2563) ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนถึงวันจัดพิธีเปิดโครงการมีการปลูกป่าและเพิ่มพื้นที่สีเขียวในพื้นที่ 77 จังหวัด (รวมกรุงเทพมหานคร) รวมกันทั้งสิ้น 3,042 ไร่ 2 งาน 95.25 ตารางวา โดยปลูกกล้าไม้รวมทั้งสิ้นจํานวน 467,853 ต้น ทําฝาย 147 แห่ง ทําโป่งเทียม 3 แห่ง 3. การจัดฝึกอบรมหลักสูตร “จิตอาสา” ตามโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า ระหว่างวันที่ 19 - 23 กรกฎาคม 2563 สรุปได้ดังนี้ 4.3.1 ฝึกอบรมระดับปฏิบัติการ (ระดับอําเภอ ระดับตําบล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) จํานวน 150 คน ระหว่างวันที่ 19 – 23 กรกฎาคม 2563 ณ โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิว จังหวัดเชียงใหม่ โดยรัฐมนตรีว่ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในการมอบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้เข้ารับการฝึกอบรม 4.3.2 มอบนโยบายการดําเนินโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า ให้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัด เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ โดยพลเรือเอก ปวิตร รุจิเทศ ผู้อํานวยการ ศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้ง 76 จังหวัด จัดทําแผนการดําเนินโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า ในพื้นที่แต่ละจังหวัด ส่งให้ศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน (ศอญ.) เพื่อประกอบการดําเนินโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า ในระยะที่ 2 และระยะที่ 3 ต่อไป 10. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชเสนอ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น ภายในกรอบวงเงิน 435,289,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และลดผลกระทบจากสัตว์ป่า รวมถึงการแก้ไขปัญหาการดูแลสัตว์ป่าของกลางตามหลักสวัสดิภาพสัตว์จํานวน 3 โครงการ ดังนี้ 1. โครงการแก้ไขปัญหาช้างป่าออกหากินนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์แบบบูรณาการ วงเงิน 370,608,000 บาท 2. โครงการแก้ไขปัญหาและลดผลกระทบของลิงในชุมชน วงเงิน 24,461,000 บาท 3. โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการรับสัตว์ป่าของกลางและสัตว์ป่า กรณีแก้ไขปัญหาตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ในกรงเลี้ยง วงเงิน 40,220,000 บาท สําหรับกิจกรรม/รายการอื่นที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชยังมีความจําเป็นต้องดําเนินการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่เสนอตั้งงบประมาณบางส่วนรองรับไว้แล้ว รวมถึงการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีผลบังคับใช้แล้ว ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ สาระสําคัญของเรื่อง ทส. เสนอว่า 1. ปัจจุบันมีช้างป่าอาศัยอยู่ตามธรรมชาติประมาณ 3,168-3,440 ตัว ในพื้นที่อนุรักษ์ทั้งในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติ จํานวน 69 แห่ง โดยปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่าที่ออกหากินนอกพื้นที่อนุรักษ์ทวีความรุนแรงขึ้นในหลายพื้นที่ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตร ทรัพย์สินและชีวิตของคนและสัตว์ สาเหตุมาจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย ความไม่สอดคล้องของประชากรในพื้นที่อนุรักษ์ และปัจจัยในการดํารงชีวิตในพื้นที่ป่าไม่เพียงพอ ทําให้สัตว์ป่าออกมากินใกล้พื้นที่เกษตรกร 2. สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างคนกับลิง จากการสํารวจข้อมูลประชากรลิง โดยใช้วิธีการใช้แบบสอบถามไปยังองค์การบริหารส่วนตําบลทุกแห่ง พบว่า ปัจจุบันพื้นที่ที่มีปัญหาทั้งหมด จํานวน 222 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 51 จังหวัด โดยแบ่งเป็นนอกพื้นที่ ป่าอนุรักษ์ จํานวน 206 แห่ง และในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จํานวน 16 แห่ง มีการสํารวจนับประชากรลิงแล้ว 173 แห่ง พบประชากรลิง จํานวน 53,068 ตัว 3. จากสถานการณ์การป้องกันและปราบปรามลักลอบการค้าสัตว์ป่าที่เข้มงวดขึ้น ส่งผลให้มีการตรวจยึดสัตว์ป่าของกลางเพิ่มขึ้นเป็นจํานวนมาก ทําให้กรงและคอกที่มีอยู่ไม่เพียงพอที่จะรองรับสัตว์ป่าของกลางให้เป็นไปตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ โดยปัจจุบันมีสัตว์ป่าของกลางที่ต้องดูแล จํานวน 9,276 ตัว 4. เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างคนกับสัตว์ป่าที่ออกหากินนอกพื้นที่อนุรักษ์ได้ทวีความรุนแรงขึ้นในหลายพื้นที่ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตร ทรัพย์สินและชีวิตของคนและสัตว์ จึงเห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วน 5. การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและลดผลกระทบจากสัตว์ป่า รวมถึงการดูแลสัตว์ป่าของกลางตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ มีความจําเป็นต้องขอใช้งบกลาง ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น เพื่อดําเนินโครงการจํานวน 3 โครงการ ในช่วงระยะเวลาเดือนสิงหาคม-กันยายน 2563 ดังนี้ (1) โครงการแก้ไขปัญหาช้างป่าออกหากินนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์แบบบูรณาการ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาช้างป่าออกหากินนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์แบบบูรณาการ โดยดําเนินกิจกรรม 1) ฟื้นฟูและจัดการทุ่งหญ้า 13,583 ไร่ 2) ปลูกพืชอาหารช้าง 6,736 ไร่ 3) สร้างแหล่งน้ํา (3,000 ลบ.ม.) 49 แห่ง 4) สร้างแหล่งน้ํา (10,000 ลบ.ม.) 18 แห่ง 5) สร้างแหล่งน้ํา (20,000 ลบ.ม.) 3 แห่ง 6) รั้วกึ่งถาวร 157.42 กิโลเมตร 7) สร้างคูกั้นช้าง 105.20 กิโลเมตร 8) เครือข่ายอาสาสมัครเฝ้าระวังช้างป่า 304 เครือข่าย 9) ติดตั้งอุปกรณ์ ระบบการเฝ้าระวังระวังแจ้งเตือนภัย 300 จุด (2) โครงการแก้ไขปัญหาและลดผลกระทบของลิงในชุมชน เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างลิงกับคนในพื้นที่ชุมชนเมืองโดยเฉพาะพื้นที่ที่มีปัญหา โดยดําเนินกิจกรรม ดังนี้ 1) ควบคุมประชากรลิงในพื้นที่ที่พบปัญหา จํานวน 3,500 ตัว 2) จัดทําฐานข้อมูลประชากรลิงและสภาพพื้นที่ที่เกิดปัญหาโดยระบบที่ทันสมัย เข้าถึงได้สะดวกและรวดเร็ว 3) จัดสร้างกรงเลี้ยงลิง เพื่อดูแลและรองรับลิงกรณีแก้ไขปัญหา 67 กรง (3) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการรับสัตว์ป่าของกลางและสัตว์ป่ากรณีแก้ไขปัญหาตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ ในกรงเลี้ยง เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยดําเนินกิจกรรม ดังนี้ 1) สร้างกรงคอกมาตรฐานและจัดทําพื้นที่กักกันโรคในสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า 23 แห่ง 2) จัดสร้างคลินิกสัตว์ป่าพร้อมอุปกรณ์รักษา 12 แห่ง 11. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 12 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 12 ตามที่สํานักงาน ก.พ. เสนอ ข้อมูล ณ วันที่ 28 กรกฎาคม 2563 ซึ่งได้รับข้อมูลจาก 147 ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ 99 ของส่วนราชการทั้งหมด (148 ส่วนราชการ) สรุปข้อมูลดังนี้ 1. การปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ ส่วนราชการได้มีการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการตามปกติเพิ่มมากขึ้น (73 ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ 49) โดยเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา (72 ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ 49) และส่วนราชการพิจารณากําหนดให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เหลื่อมเวลาในการทํางานเป็น 3 ช่วงเวลาเพิ่มมากขึ้น (71 ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ 48) 2. การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ (Work From Home) ส่วนราชการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการลดลง (74 ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ 51) โดยในจํานวนนี้มีส่วนราชการ 17 ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ 12 ที่มอบหมายให้ทุกคนปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง 12. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work from Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work from Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ ในสัปดาห์ช่วงระหว่างวันที่ 20 –24 กรกฎาคม 2563 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ สาระสําคัญ รัฐวิสาหกิจภายใต้การกํากับดูแลของกระทรวงการคลังโดยสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) มีจํานวน 55 แห่ง โดยผลสัมฤทธิ์ฯ ของรัฐวิสาหกิจในสัปดาห์ช่วงระหว่างวันที่ 20 – 24 กรกฎาคม 2563 สรุปสาระสําคัญได้ดังนี้ 1. การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ (ปฏิบัติงานที่บ้านหรือที่พักหรือสถานที่ตามที่รัฐวิสาหกิจกําหนด) รัฐวิสาหกิจ 16 แห่ง ยังคงดําเนินนโยบายการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง โดยมีรัฐวิสาหกิจ 39 แห่ง ที่ให้พนักงานกลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งตามปกติแล้ว เพิ่มขึ้น 1 แห่ง จากสัปดาห์ก่อนหน้า (ช่วงระหว่างวันที่ 13 – 19 กรกฎาคม 2563) ทั้งนี้ จากจํานวนพนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจทั้งหมดจํานวน 272,598 คน มีพนักงานและลูกจ้างปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งจํานวน 12,228 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 4 2. การปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ (การปฏิบัติงานเหลื่อมเวลา) รัฐวิสาหกิจ 25 แห่ง ยังคงดําเนินนโยบายการปฏิบัติงานเหลื่อมเวลา โดยมีรัฐวิสาหกิจกลับมาดําเนินนโยบายการปฏิบัติงานเหลื่อมเวลาเพิ่มขึ้น 3 แห่งจากสัปดาห์ก่อนหน้า (ช่วงระหว่างวันที่ 13 – 17 กรกฎาคม 2563) โดยรัฐวิสาหกิจ 25 แห่ง มีช่วงเวลาเริ่มปฏิบัติงานเหลื่อมเวลาตั้งแต่เวลา 6.00 น. – 10.00 น. 3. แนวทางการบริหารงานของรัฐวิสาหกิจ รัฐวิสาหกิจที่ยังคงดําเนินนโยบายการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งมีการติดตามผลการปฏิบัติงานทั้งเป็นรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ขึ้นอยู่กับประเภทของงาน ซึ่งรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่มีการกํากับ ติดตาม และบริหารผลการปฏิบัติงานผ่านแอปพลิเคชัน Line ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ และระบบการติดตามงานและการลงเวลาปฏิบัติงานที่องค์กรพัฒนาขึ้นเอง โดยรัฐวิสาหกิจยังคงใช้แอปพลิเคชัน Line มาสนับสนุนการปฏิบัติงานมากที่สุด ทั้งนี้ รัฐวิสาหกิจมีข้อเสนอแนะในการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งว่า ควรเตรียมอุปกรณ์และระบบเพื่อรองรับการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งให้เพียงพอ และควรพัฒนาระบบการปฏิบัติงานขององค์กรให้สามารถรองรับการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งได้ ซึ่งรวมถึงมีการจัดเก็บข้อมูลหรือเอกสารให้อยู่ในรูปแบบของเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งควรพิจารณาลักษณะงานที่จําเป็นต้องปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งเท่านั้น เช่น การให้บริการประชาชน และสําหรับงานอื่นที่ไม่จําเป็นต้องปฏิบัติงานในสถานที่ตั้ง ควรพิจารณาเปลี่ยนรูปแบบเป็นการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งแทน 13. เรื่อง การกู้เงินจากธนาคารพัฒนาเอเชียภายใต้พระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้ 1. เห็นชอบร่างสัญญาเงินกู้ COVID-19 Active Response and Expenditure Support Program ของธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) 2. อนุมัติให้ใช้อนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทตามเงื่อนไขที่กําหนดใน Asian Development Bank Ordinary Operation Loan Regulation ลงวันที่ 1 มกราคม 2560 ของ ADB 3. อนุมัติให้ กค. กู้เงินในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจาก ADB วงเงิน 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนําไปใช้จ่ายในแผนงาน/โครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติภายใต้พระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พระราชกําหนด) 4. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามในสัญญาเงินกู้ฯ ในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย 5. มอบหมายให้สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) จัดเตรียมทําคํารับรองทางกฎหมาย (Legal Opinion) สําหรับสัญญาเงินกู้ฯ ของ ADB ในโอกาสแรกภายหลังจากที่ได้มีการลงนามในสัญญาเงินกู้ดังกล่าวแล้ว สาระสําคัญของเรื่อง กค. ได้มีหนังสือถึง ADB เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2563 เพื่อขอกู้เงิน COVID-19 Active Response and Expenditure Support Program สําหรับนําไปใช้แผนงาน/โครงการภายใต้พระราชกําหนดฯ วงเงิน 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย กค. และ ADB ได้เจรจาเงื่อนไขการกู้เงิน ร่างสัญญาเงินกู้ฯ รวมทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้อง และได้ลงนามในบันทึกการเจรจาเงินกู้ (Minute of Negotiations) เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2563 ทั้งนี้ ร่างสนธิสัญญาเงินกู้ฯ สรุปสาระสําคัญได้ ดังนี้ ประเด็น สาระสําคัญ 1. ผู้กู้ กค. 2. ผู้ให้กู้ ADB 3. วงเงินกู้/สกุลเงิน 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 48,000 ล้านบาท คํานวณโดยใช้อัตราแลกเปลี่ยน 32 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ) 4. อัตราดอกเบี้ย/การชําระดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยลอยตัว โดยอ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมระหว่างธนาคารของตลาดลอนดอน (London Interbank Offered Rate: LIBOR) ระยะ 6 เดือน บวกด้วยส่วนต่างร้อยละ 0.50 ต่อปี โดยชําระดอกเบี้ยของวงเงินกู้คงค้างทุก 6 เดือน (วันที่ 15 กุมภาพันธ์ และวันที่ 15 สิงหาคม) 5. ค่าธรรมเนียมผูกพันเงินกู้ อัตราร้อยละ 0.15 ต่อปี (ภายหลัง 60 วัน นับจากวันที่ลงนามในสัญญาเงินกู้ ของวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกจ่าย) โดยชําระค่าธรรมเนียมพร้อมกับการชําระดอกเบี้ย 6. อายุเงินกู้/การชําระคืนต้นเงินกู้ วงเงินที่ 1 วงเงินกู้ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อายุเงินกู้ 10 ปี รวมระยะเวลาปลอดการชําระต้นเงินกู้ 3 ปี ทยอยชําระคืนต้นเงินกู้โดยแบ่งชําระเป็น 14 งวด งวดละ 35.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เริ่มชําระงวดแรกในวันที่ 15 สิงหาคม 2566 และชําระงวดสุดท้ายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2573 วงเงินที่ 2 วงเงินกู้ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อายุเงินกู้ 5 ปี รวมระยะเวลาปลอดการชําระต้นเงินกู้ 3 ปี ทยอยชําระคืนต้นเงินกู้โดยแบ่งชําระเป็น 4 งวด งวดละ 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เริ่มชําระงวดแรกในวันที่ 15 สิงหาคม 2566 และชําระงวดสุดท้ายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 7. ระยะเวลาสิ้นสุดการเบิกจ่ายเงินกู้ 30 มิถุนายน 2564 8. เงื่อนไขการใช้จ่ายเงินกู้ เพื่อนําไปใช้จ่ายในโครงการ/แผนงานเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายใต้พระราชกําหนดฯ โดยจะต้องไม่เป็นโครงการ/แผนงาน ที่มีกิจกรรมเกี่ยวกับการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมตามหลักเกณฑ์ของ ADB ในส่วนของการขออนุมัติให้ใช้วิธีการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีอนุญาโตตุลาการ สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้เคยให้ความเห็นเกี่ยวกับการกําหนดให้ใช้วิธีอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทตามเงื่อนไขที่กําหนด General Terms and Conditions for Japanese ODA Loans (GTC) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างสัญญาเงินกู้ภายใต้กรอบของหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐต่างประเทศ ไว้ว่า ไม่เป็นกรณีที่ต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 เนื่องจากร่างสัญญาเงินกู้ดังกล่าวจัดทําขึ้นระหว่างรัฐกับหน่วยงานของรัฐต่างประเทศ มิใช่ระหว่างรัฐกับองค์กรเอกชน ภายหลังจากการกู้เงินจาก ADB วงเงิน 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในครั้งนี้ สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด จะเท่ากับร้อยละ 2.41 ซึ่งไม่เกินร้อยละ 10 ตามกรอบการบริหารหนี้สาธารณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกําหนด (ข้อมูล ณ วันที่ 24 กรกฎาคม 2563) และกระทรวงการคลังจะดําเนินการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (CCS) เมื่อภาวะตลาดเอื้ออํานวย 14. เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการ ดังนี้ 1. กระทรวงมหาดไทย ดําเนินการ 1.1 ออกประกาศกระทรวงมหาดไทย โดยอาศัยอํานาจตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ให้คนต่างด้าวรวมถึงผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวที่มีสิทธิอยู่ในราชอาณาจักรตามสิทธิของคนต่างด้าวซึ่งเป็นบิดาหรือมารดาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะเพื่อดําเนินการตามแนวทางการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และมิให้นํามาตรา 12 (10) และมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาใช้บังคับแก่คนต่างด้าวที่ได้ดําเนินการตามแนวทางดังกล่าว รวมถึงกําหนดการสิ้นผลของการอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะของคนต่างด้าว โดยคนต่างด้าวดังกล่าวข้างต้น หมายถึงคนต่างด้าว ดังต่อไปนี้ (1) คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เข้ามาทํางานตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MoU) ภายใต้บันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงาน (Agreement) วาระการจ้างงานครบ 4 ปี ซึ่งยังคงอยู่ในราชอาณาจักร และมีนายจ้างที่ต้องการจ้างคนต่างด้าวเข้าทํางาน (2) คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เข้ามาทํางานตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MoU) ภายใต้บันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงาน (Agreement) ที่การอนุญาตทํางานสิ้นสุด เนื่องจากการถูกเลิกจ้างและไม่สามารถหานายจ้างรายใหม่ได้ทันภายในเวลาที่กฎหมายกําหนด ตามมาตรา 50 มาตรา 53 และมาตรา 55 แห่งพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งยังคงอยู่ในราชอาณาจักร และมีนายจ้างที่ต้องการจ้างคนต่างด้าวเข้าทํางาน (3) คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ ได้รับเอกสารประจําตัว ได้แก่ หนังสือเดินทาง เอกสารเดินทาง หรือเอกสารรับรองบุคคล ซึ่งการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและการอนุญาตให้ทํางานสิ้นสุดตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563 แต่นายจ้างไม่ได้ดําเนินการยื่นขอรับบัญชีรายชื่อความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2562 ซึ่งยังคงอยู่ในราชอาณาจักร และมีนายจ้างที่ต้องการจ้างคนต่างด้าวเข้าทํางาน ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้ยกร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คน ต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ สําหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาลาว และเมียนมา ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 1.2 ออกประกาศกระทรวงมหาดไทย โดยอาศัยอํานาจตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา และเมียนมา ที่เข้ามาทํางานตามความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนในลักษณะไป - กลับ หรือแบบตามฤดูกาล ตามมาตรา64 แห่งพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่ครบวาระการจ้างงานและการอนุญาตให้พํานักในเขตพื้นที่ชายแดนที่ได้รับอนุญาตสิ้นสุด ซึ่งยังคงอยู่ในราชอาณาจักร และมีนายจ้างที่ต้องการจ้างคนต่างด้าวเข้าทํางาน อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ เพื่อให้คนต่างด้าวดังกล่าวดําเนินการตามแนวทางการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทั้งนี้ มิให้นํามาตรา 12 (10) และมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาใช้บังคับแก่คนต่างด้าวที่ได้ดําเนินการตามแนวทางดังกล่าว รวมถึงกําหนดการสิ้นผลของการอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะของคนต่างด้าว ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้ยกร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ สําหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาและเมียนมา ซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาทํางานในราชอาณาจักรตามมาตรา 64 แห่งพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 1.3 ให้กรมการปกครองและกรุงเทพมหานคร ดําเนินการจัดทําหรือปรับปรุงทะเบียนประวัติ และออกบัตรประจําตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ให้แก่คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา รวมถึงผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตร ที่ถือหนังสือเดินทาง เอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง หรือหนังสือรับรองสถานะบุคคล และได้รับการอนุญาตทํางาน ตรวจสุขภาพ และการตรวจอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ตามแนวทางการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2564 2. กระทรวงแรงงาน ดําเนินการ 2.1 ออกประกาศกระทรวงแรงงาน โดยอาศัยอํานาจตามมาตรา 14 ประกอบกับมาตรา 63/2 แห่งพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติมให้คนต่างด้าวสามารถทํางานไปพลางก่อนได้โดยไม่ต้องมีใบอนุญาตทํางาน เพื่อการดําเนินการตามแนวทางการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และให้กําหนดหลักเกณฑ์วิธีการขอรับใบอนุญาตทํางานประเภทงานที่อนุญาตให้คนต่างด้าวทํา เงื่อนไขในการอนุญาตให้ทํางาน การสิ้นผลของการอนุญาตทํางานของคนต่างด้าว รวมถึงการยกเว้นการแจ้งข้อมูลการจ้างคนต่างด้าวเข้าทํางานของนายจ้างตามมาตรา 13 และการแจ้งข้อมูลการทํางานของคนต่างด้าวตามมาตรา 64/2 แห่งพระราชกําหนดดังกล่าว เฉพาะการยื่นคําขออนุญาตทํางานตามแนวทางดังกล่าว โดยคนต่างด้าวดังกล่าวข้างต้น หมายถึงคนต่างด้าว ดังต่อไปนี้ (1) ดนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เข้ามาทํางานตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MoU) ภายใต้บันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงาน (Agreement) วาระการจ้างงานครบ 4 ปี ซึ่งยังคงอยู่ในราชอาณาจักร และมีนายจ้างที่ต้องการจ้างคนต่างด้าวเข้าทํางาน (2) คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เข้ามาทํางานตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MoU) ภายใต้บันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงาน (Agreement) ที่การอนุญาตทํางานสิ้นสุด เนื่องจากการถูกเลิกจ้างและไม่สามารถหานายจ้างรายใหม่ได้ทันภายในเวลาที่กฎหมายกําหนด ตามมาตรา 50 มาตรา 53 และมาตรา 55 แห่งพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งยังคงอยู่ในราชอาณาจักร และมีนายจ้างที่ต้องการจ้างคนต่างด้าวเข้าทํางาน (3) คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ ได้รับเอกสารประจําตัว ได้แก่ หนังสือเดินทาง เอกสารเดินทาง หรือเอกสารรับรองบุคคล ซึ่งการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและการอนุญาตให้ทํางานสิ้นสุดตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563 แต่นายจ้างไม่ได้ดําเนินการยื่นขอรับบัญชีรายชื่อความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2562 ซึ่งยังคงอยู่ในราชอาณาจักร และมีนายจ้างที่ต้องการจ้างคนต่างด้าวเข้าทํางาน (4) ผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวตาม (3) ที่มีสิทธิอยู่ในราชอาณาจักรตามสิทธิของคนต่างด้าวซึ่งเป็นบิดาหรือมารดาที่มีอายุตั้งแต่สิบแปดปีบริบูรณ์ ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานได้ยกร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทํางานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สําหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 2.2 ออกประกาศกระทรวงแรงงาน โดยอาศัยอํานาจตามมาตรา 14 ประกอบกับมาตรา 64 แห่งพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา และเมียนมา ที่เข้ามาทํางานตามความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนในลักษณะไป – กลับ หรือแบบตามฤดูกาลที่ครบวาระการจ้างงานและการอนุญาตให้พํานักในเขตพื้นที่ชายแดนที่ได้รับอนุญาตสิ้นสุด ซึ่งยังคงอยู่ในราชอาณาจักร และมีนายจ้างที่ต้องการจ้างคนต่างด้าวเข้าทํางาน ให้สามารถทํางานไปพลางก่อนได้โดยไม่ต้องมีใบอนุญาตทํางาน เพื่อการดําเนินการตามแนวทางการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และให้กําหนดหลักเกณฑ์วิธีการขอรับใบอนุญาตทํางาน ประเภทงานที่อนุญาตให้คนต่างด้าวทํา เงื่อนไขในการอนุญาตให้ทํางาน การสิ้นผลของการอนุญาตทํางานของคนต่างด้าว รวมถึงการยกเว้นการแจ้งข้อมูลการจ้างคนต่างด้าวเข้าทํางานของนายจ้างตามมาตรา 13 และการแจ้งข้อมูลการทํางานของคนต่างด้าวตามมาตรา 64/2 แห่งพระราชกําหนดดังกล่าว เฉพาะการยื่นคําขออนุญาตทํางานตามแนวทางดังกล่าว ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานได้ยกร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทํางานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สําหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา และเมียนมา ซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาทํางานในราชอาณาจักรตามมาตรา 64 ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 2.3 ให้กรมการจัดหางานเริ่มดําเนินการรับคําขอรับใบอนุญาตทํางานและออกใบอนุญาตทํางาน ตามแนวทางการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2563 3. กระทรวงสาธารณสุข โดยสถานพยาบาลของรัฐที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด ดําเนินการ 3.1 ตรวจสุขภาพคนต่างด้าวและผู้ติดตามที่อายุไม่เกินสิบแปดปีบริบูรณ์ 3.2 ประกันสุขภาพในกรณีที่คนต่างด้าวทํางานในกิจการที่เข้าระบบประกันสังคมแต่สิทธิประกันสังคมยังไม่มีผล หรือกรณีที่คนต่างด้าวทํางานในกิจการที่ไม่เข้าระบบประกันสังคม 3.3 ประกันสุขภาพผู้ติดตามที่อายุไม่เกินสิบแปดปีบริบูรณ์ ตามแนวทางการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2563 โดยสถานพยาบาลของรัฐต้องตรวจสุขภาพและออกผลการตรวจสุขภาพ (ใบรับรองแพทย์) ให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข 4. สํานักงานตํารวจแห่งชาติโดยสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง ดําเนินการตรวจอนุญาตให้คนต่างด้าวที่มีหนังสือเดินทาง เอกสารเดินทาง หรือเอกสารรับรองบุคคล และผู้ติดตามที่อายุไม่เกินสิบแปดปีบริบูรณ์ อยู่ต่อในราชอาณาจักร ตามแนวทางการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองตรวจอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรต่อไปเพื่อการทํางาน ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2564 และเมื่อคนต่างด้าวดังกล่าวอยู่ในราชอาณาจักรครบกําหนดระยะเวลาที่อนุญาตแล้ว หากประสงค์จะอยู่ในราชอาณาจักรต่อไปอีกเพื่อการทํางานให้ขออนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรได้อีกไม่เกินวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2565 สําหรับผู้ติดตามคนต่างด้าวให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองตรวจอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเท่ากับระยะเวลาที่คนต่างด้าวซึ่งเป็นบิดาหรือมารดาได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร แต่ระยะเวลาเวลาดังกล่าวต้องไม่เกินวันที่ผู้ติดตามมีอายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์ กรณีเอกสารประจําตัวของคนต่างด้าวมีอายุเหลือน้อยกว่าหนึ่งปี ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองตรวจอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไปเท่ากับอายุเอกสารประจําตัว หากคนต่างด้าวประสงค์อยู่ในราชอาณาจักรและทํางานต่อไป ต้องไปดําเนินการขอมีเอกสารประจําตัวฉบับใหม่กับหน่วยงานของประเทศต้นทาง เมื่อคนต่างด้าวได้รับเอกสารประจําตัวฉบับใหม่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองย้ายรอยตราประทับอนุญาตไปยังเอกสารประจําตัวฉบับใหม่ และขยายระยะเวลาการอนุญาตให้ตามสิทธิ คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา และเมียนมา ที่เข้ามาทํางานตามความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนในลักษณะไป - กลับ หรือแบบตามฤดูกาลตามมาตรา 64 แห่งพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่ม ซึ่งครบกําหนดวาระการจ้างงานและการอนุญาตให้พํานักในเขตพื้นที่ชายแดนที่ได้รับอนุญาตสิ้นสุดลงในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2563 ซึ่งได้รับการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อทํางานถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2565 ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 รวมถึง เจ้าบ้าน เจ้าของหรือผู้ครอบครองเคหสถาน หรือผู้จัดการโรงแรมซึ่งรับคนต่างด้าวดังกล่าวเข้าพักอาศัย ต้องปฏิบัติตามนัยมาตรา 37 และมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 5. ให้กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ แนวทางการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้นายจ้าง ผู้ประกอบการ แรงงานต่างด้าว และผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้รับทราบข้อมูลอย่างถูกต้องทั่วถึง 6. หลังสิ้นสุดระยะเวลาการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ สําหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะสําหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา และเมียนมา ซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้ามาทํางานในราชอาณาจักรตามมาตรา 64 แห่งพระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้หน่วยงานด้านความมั่นคงดําเนินการตรวจสอบ ปราบปราม จับกุมดําเนินคดี นายจ้าง แรงงานผิดกฎหมายที่ลักลอบทํางาน และผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด 15. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 13/2563 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ในคราวประชุมครั้งที่ 13/2563 เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอโครงการของจังหวัดที่มีหน่วยรับผิดชอบอยู่ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และโครงการของส่วนราชการสังกัดกระทรวงคมนาคมและกระทรวงพลังงานเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ตามบัญชีท้ายพระราชกําหนดฯ เพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามมาตรา 8 (1) แห่งพระราชกําหนดฯ ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอดังนี้ 1. อนุมัติโครงการของจังหวัดภายใต้แผนงาน 3.2 จํานวน 157 โครงการ วงเงิน 884,625,068 บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลางฯ โดยให้หน่วยงานรับผิดชอบดําเนินโครงการตามหลักการทั้ง 8 ข้อของคณะกรรมการฯ อย่างเคร่งครัด และจัดทําหนังสือยืนยันว่าการประมาณค่าใช้จ่ายเป็นไปตามระเบียบของทางราชการ พร้อมทั้งรับความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ ไปดําเนินการตามขั้นตอนต่อไป 2. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท) ดําเนินโครงการก่อสร้างกําแพงคอนกรีตหุ้มด้วยแผ่นยางธรรมชาติและโครงการติดตั้งหลักนําทางยางธรรมชาติเพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน วงเงินรวม 40,179.46 ล้านบาท ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ 3. ให้กระทรวงพลังงานพิจารณาทบทวนการดําเนินโครงการลดต้นทุนพลังงานเพื่อเศรษฐกิจฐานราก วงเงินรวม 1,187.64 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินจากเงินกองทุนอนุรักษ์พลังงาน เนื่องจากวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ (แผนงานที่ 3.1 3.2 และ 3.4) ตามบัญชีท้ายพระราชกําหนดฯ นอกจากนี้ ยังมีความซ้ําซ้อนกับโครงการต่าง ๆ ของกระทรวงพลังงานซึ่งเป็นภารกิจปกติ อาทิ การส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนของสํานักส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ดําเนินการอยู่แล้วและได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ทั้งนี้ ในกรณีที่ข้อเสนอโครงการของจังหวัดที่มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ เห็นควรมอบหมายให้ สศช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ รวบรวมข้อเสนอโครงการของจังหวัดให้กระทรวงพลังงานพิจารณาดําเนินการตามความเหมาะสมต่อไป 4. ให้หน่วยงานของรัฐที่จะจัดทําข้อเสนอโครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกําหนดฯพิจารณาว่าโครงการดังกล่าวสามารถดําเนินโครงการด้วยแหล่งเงินอื่น ๆ อาทิ เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเงินรายได้ เงินกองทุนดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้หน่วยงานพิจารณาจัดทําข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับการจัดสรรหรือใช้จ่ายจากแหล่งเงินดังกล่าวเป็นลําดับแรก 5. ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ พิจารณาเสนอโครงการในลักษณะเป็น package ที่ครอบคลุมสหกรณ์การเกษตรและสหกรณ์การประมง เพื่อให้การดําเนินการของสหกรณ์ดังกล่าวเป็นกลไกในการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนได้อย่างเป็นระบบและรวดเร็ว รวมทั้งสามารถนําไปสู่การสร้างงานสร้างอาชีพในท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความยั่งยืน 6. กําหนดอัตราการจ่ายเงินสมทบของสหกรณ์สําหรับโครงการที่ขอใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกําหนดฯ ในอัตราสูงสุดร้อยละ 30 โดยให้เป็นไปตามศักยภาพของสหกรณ์แต่ละแห่ง ทั้งนี้ ในการจัดทําข้อเสนอโครงการเพื่อใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกําหนดฯ กรมส่งเสริมสหกรณ์ต้องจัดทําผลการวิเคราะห์สถานะการเงินของสหกรณ์ทั้งในส่วนงบดุล เงินสดคงเหลือ ข้อมูล เครื่องมือและอุปกรณ์ที่สหกรณ์มีอยู่ในปัจจุบัน ความคุ้มค่าและความยั่งยืนของโครงการ รวมถึงกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับประโยชน์จากการดําเนินโครงการ รวมทั้งพิจารณากําหนดอัตราการจ่ายเงินสมทบที่เหมาะสมกับศักยภาพของสหกรณ์แต่ละแห่ง เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ด้วย ต่างประเทศ 16. เรื่อง การนําเสนอรายงานผลการดําเนินงานของประเทศไทยตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ํายีศักดิ์ศรี (ฉบับที่ 2) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายงานผลการดําเนินงานของประเทศไทยตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ํายีศักดิ์ศรี (ฉบับที่ 2) และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดส่งรายงานผลการดําเนินงานของไทยตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติฯ ต่อคณะกรรมการสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมานต่อไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สาระสําคัญของเรื่อง รายงานผลการดําเนินงานของประเทศไทยฯ (ฉบับที่ 2) เป็นการนําเสนอข้อมูลภาพรวมการดําเนินงานตามอนุสัญญาฯ ของประเทศไทยตามแนวคําถามล่วงหน้าที่ได้รับจากคณะกรรมการสหประชาชาติฯ สรุปได้ดังนี้ ด้านนโยบาย รายงานผลดําเนินงานของประเทศไทยฯ ได้สะท้อนข้อมูลการประกาศวาระแห่งชาติด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อยืนยันเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน โดยได้กําหนดให้การป้องกันและปราบปรามการทรมานเป็นหนึ่งในประเด็นสําคัญตามกรอบวาระแห่งชาติฯ นอกจากนั้น ยังมีการจัดตั้งคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกกระทําทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญ และคณะอนุกรรมการ 4 คณะ เพื่อเป็นกลไกระดับชาติในการป้องกัน คัดกรอง ติดตาม ตรวจสอบ ปราบปราม และเยียวยาการกระทําทรมานและบังคับให้หายสาบสูญ ด้านกฎหมาย กล่าวถึงบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตลอดจนกฎหมาย คําสั่ง และมาตรการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังได้สะท้อนพัฒนาการในการประกาศใช้กฎหมายที่เป็นประโยชน์หลายฉบับ โดยเฉพาะการจัดทําร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทําให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... ด้านการปฏิบัติ นําเสนอพัฒนาการการดําเนินงานของประเทศไทยในทางปฏิบัติ โดยรัฐบาลได้บังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อลงโทษผู้กระทําความผิดและยืนยันว่าไม่มีการยกเว้นความรับผิดแก่เจ้าหน้าที่ทั้งทางกฎหมายและข้อเท็จจริง รวมถึงได้ดําเนินความพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เหยื่อที่ถูกกระทําทรมาน เหยื่อค้ามนุษย์และผู้แสวงหาที่พักพิง แก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ปรับปรุงเรือนจําให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล จัดฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่องเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไป ตามกฎหมายและเพิ่มศักยภาพแก่เจ้าหน้าที่ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชนในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม รวมถึงมีการรายงานความคืบหน้าของคดีเป็นรายคดีตามข้อห่วงกังวลของคณะกรรมการสหประชาชาติฯ ด้วย อย่างไรก็ตาม ข้อท้าทายในทางปฏิบัติที่สําคัญ คือการที่ประเทศไทยยังไม่ได้กําหนดให้ “การกระทําทรมาน” เป็นความผิดเฉพาะ จึงทําให้หน่วยงานต่าง ๆ ไม่มีการจัดเก็บข้อมูลและสถิติที่เกี่ยวข้องสําหรับกรณีการกระทําทรมาน เพราะในทางปฏิบัติทุกหน่วยงานจะจัดเก็บข้อมูลและสถิติตามฐานความผิดที่กําหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญาเท่านั้น และมีการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ “การกระทําทรมาน” ตามอนุสัญญาฯ ให้กับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ยังคงเป็นเรื่องสําคัญและมีความจําเป็นต้องดําเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบรายงานผลการดําเนินงานของประเทศไทยตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ํายีศักดิ์ศรี (ฉบับที่ 2) เพื่อมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดส่งรายงานผลการดําเนินงานของไทยตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติฯ ต่อคณะกรรมการสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมานต่อไป 17. เรื่อง โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ในการดําเนินงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค (Regional Innovation Center: RIC) ในประเทศไทย คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามที่สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอแล้วมีมติ ดังนี้ 1. เห็นชอบให้ สศช. เป็นผู้แทนรัฐบาลไทยในฐานะผู้ประสานงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค (Regional Innovation Center: RIC) ประเทศไทย โดยมีหน้าที่รับผิดชอบในการดําเนินโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติในการดําเนินงานศูนย์ RIC ประเทศไทย 2. เห็นชอบร่างเอกสารโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติในการดําเนินงานศูนย์ RIC ในประเทศไทย ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคําของร่างเอกสารโครงการฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญ หรือไม่ขัดผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้ สศช. ดําเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก 3. สําหรับงบประมาณสนับสนุนโครงการความร่วมมือ ฯ สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จํานวน 42,625,000 บาท และได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จํานวน 30,500,000 บาท สําหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เห็นควรให้สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พิจารณาจัดทําแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อจัดทําคําของบประมาณรายจ่ายประจําปีตามความจําเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ 4. อนุมัติให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างเอกสารโครงการฯ ของฝ่ายไทย พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทําหนังสือมอบอํานาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม สาระสําคัญของเรื่อง รัฐบาลไทยและโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nation Development Program: UNDP) ได้มีการหารือกันอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการดําเนินโครงการ Future Lab และ Policy Lab ซึ่งจะเชื่อมโยงกับโครงการ Gov Lab ที่สํานักงาน ก.พ.ร. ได้นําแนวคิด Government Innovation Lab มาดําเนินการออกแบบนวัตกรรมบริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพสูงและตอบสนองความต้องการของประชาชนแล้ว โดยมีข้อสรุปรูปแบบการดําเนินการเป็นโครงการจัดตั้งศูนย์ RIC ในประเทศไทย โดย สศช. และ UNDP ได้ร่วมกันจัดทําร่างเอกสารโครงการฯ โดยมีสาระสําคัญเป็นการกําหนดรูปแบบและรายละเอียดของการดําเนินโครงการ ซึ่งสามารถสรุปได้ ดังนี้ เป้าหมาย - ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงการจัดทํานวัตกรรมเชิงนโยบาย - UNDP เป็นเครือข่ายศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะด้านกว่า 60 ประเทศ เช่น เทคโนโลยีเศรษฐกิจหมุนเวียน วัตถุประสงค์ - เป็นพื้นที่ออกแบบนวัตกรรมเชิงนโยบาย และส่งเสริมการพัฒนาเครื่องมือจัดทํานโยบายสาธารณะ - เป็นกลไกในการนําไทยสู่เป็นผู้นําด้านนวัตกรรมเชิงนโยบายในภูมิภาค - เป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้สําหรับชุมชนนวัตกรทั่วโลก กรอบความร่วมมือและกิจกรรม - พัฒนานวัตกรรมเชิงนโยบายระดับภูมิภาค เช่นกิจกรรมการสํารวจ ออกแบบ และทดลองนโยบาย - เสริมสร้างขีดความสามารถด้านนวัตกรรมเชิงนโยบาย เช่น ฝึกอบรมเพื่อสร้าง องค์ความรู้เพื่อพัฒนานโยบายใหม่ ๆ - สร้างชุมชนแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของนวัตกร กลไกลบริหารจัดการ ไทยจะโอนเงินอุดหนุนให้แก่ UNDP เป็นผู้บริหารจัดการการเบิกจ่ายภายใต้การควบคุมของผู้แทน สศช. และ UNDP โครงสร้างศูนย์ RIC ประธานร่วม ได้แก่ สศช. และ UNDP ค่าใช้จ่ายและแหล่งที่มา สศช. และ UNDP สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดําเนินโครงการฯ ต่อเนื่อง 3 ปี (ปี63-65) รวม 6 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (ไทย 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ UNDP 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดย สศช. ได้รับการจัดสรรงบฯ ปี 63 ประเภทงบเงินอุดหนุน จํานวน 42.625 ล้านบาท แต่งตั้ง 18. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จํานวน 4 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้ 1. นางสาวปิยวรรณ ล่ามกิจจา รองผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ดํารงตําแหน่ง ที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ (นักวิเคราะห์รัฐวิสาหกิจทรงคุณวุฒิ) สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 2. นางสาวนิภา ลําเจียกเทศ รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ดํารงตําแหน่ง ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง (นักวิชาการคลังทรงคุณวุฒิ) กรมบัญชีกลาง ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 3. นายกิตติ สุทธิสัมพันธ์ รองอธิบดีกรมศุลกากร ดํารงตําแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี (นักวิชาการศุลกากรทรงคุณวุฒิ) กรมศุลกากร ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2563 4. นางชลิดา พันธ์กระวี รองอธิบดีกรมศุลกากร ดํารงตําแหน่ง ที่ปรึกษาการคลัง (นักวิชาการคลังทรงคุณวุฒิ) สํานักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 19. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นางเบญจวรรณ เพชรสุขศิริ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านชีวโมเลกุลและการพัฒนาวัคซีน (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เชี่ยวชาญ) ศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพทางการแพทย์และสาธารณสุข สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ให้ดํารงตําแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (เทคโนโลยีชีวภาพ) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2563 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สํานักนายกรัฐมนตรี) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี สํานักนายกรัฐมนตรี ให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง เพื่อทดแทนตําแหน่งที่ว่าง จํานวน 2 ราย ดังนี้ 1. นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ที่ปรึกษาพิเศษประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) ดํารงตําแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) โดยให้ได้รับเงินประจําตําแหน่งในอัตรา 21,000 บาท 2. นายมงคลชัย สมอุดร นักวิชาการทรงคุณวุฒิพิเศษประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นักวิชาการศึกษาระดับทรงคุณวุฒิ) ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการสํานักนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป .............. (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33929
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยและออสเตรเลียจัดเที่ยวบินพาณิชย์พิเศษของสายการบินไทย นำคนไทยในออสเตรเลียเดินทางกลับประเทศไทย [กระทรวงการต่างประเทศ]
วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2563 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยและออสเตรเลียจัดเที่ยวบินพาณิชย์พิเศษของสายการบินไทย นําคนไทยในออสเตรเลียเดินทางกลับประเทศไทย [กระทรวงการต่างประเทศ] สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยและออสเตรเลียจัดเที่ยวบินพาณิชย์พิเศษของสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 474 นําคนไทยในออสเตรเลียเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2563 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์ สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ นครเมลเบิร์น และนครบริสเบน ร่วมกับหน่วยงานทีมประเทศไทยในออสเตรเลีย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยและออสเตรเลียได้จัดเที่ยวบินพาณิชย์พิเศษของสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 474 นําคนไทยในออสเตรเลียจํานวน 290 คนเดินทางกลับประเทศไทย โดยรับผู้โดยสารจากนครบริสเบนและนครเมลเบิร์น โดยเที่ยวบินดังกล่าวออกจากนครเมลเบิร์นเมื่อเวลา 12.05 น.และมีกําหนดถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ 6 มิ.ย. 63 เวลาประมาณ 18.45 น. (ตามเวลาประเทศไทย) การจัดเที่ยวบินพิเศษ TG 474 นี้เป็นไปตามแนวทางจัดการเคลื่อนย้ายคนไทยในต่างประเทศกลับประเทศไทยของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 รวมถึงมาตรการสาธารณสุขเพื่อป้องกัน/ควบคุมโรค และมาตรการจํากัดการเดินทางของรัฐบาลไทยและออสเตรเลีย โดยผู้โดยสารที่เดินทางกลับประเทศไทยกับเที่ยวบินพิเศษนี้เป็นบุคคลสัญชาติไทยที่มีความจําเป็นเร่งด่วน อาทิ ผู้สูงอายุ เด็กและเยาวชน ผู้ที่ประสบปัญหาด้านสุขภาพ และผู้ที่ถือวีซ่าออสเตรเลียประเภทท่องเที่ยว (visitor) หรือวีซ่าชั่วคราวประเภทอื่นๆ ที่หมดอายุแล้วหรือใกล้หมดอายุและไม่สามารถต่ออายุได้อีก การดําเนินการในครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลไทยที่ให้ความสําคัญกับการดูแลสวัสดิภาพของคนไทยในต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยให้ความสําคัญกับการนําคนไทยที่ตกค้างในต่างแดนและประสบปัญหาต่างๆ ให้สามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้อย่างปลอดภัย สําหรับคนไทยในออสเตรเลียที่ยังคงประสงค์จะกลับประเทศไทย สถานเอกอัครราชทูตฯ และสถานกงสุลใหญ่ฯ จะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยและออสเตรเลียเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือและจะแจ้งความคืบหน้าให้ทราบต่อไป ในกรณีฉุกเฉินโปรดติดต่อสถานเอกอัครราขทูตฯ ที่ หมายเลขโทรศัพท์สายด่วน 0402 735 642 หรือ 0429 597 191 หรือ Line ID: CBRCONSULAR และสถานกงสุลใหญ่ฯ ที่หมายเลขโทรศัพท์ (02) 9241 2542-3 สายด่วน 0411 424 303 LINE ID: thaiconsulatesydney
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยและออสเตรเลียจัดเที่ยวบินพาณิชย์พิเศษของสายการบินไทย นำคนไทยในออสเตรเลียเดินทางกลับประเทศไทย [กระทรวงการต่างประเทศ] วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2563 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยและออสเตรเลียจัดเที่ยวบินพาณิชย์พิเศษของสายการบินไทย นําคนไทยในออสเตรเลียเดินทางกลับประเทศไทย [กระทรวงการต่างประเทศ] สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยและออสเตรเลียจัดเที่ยวบินพาณิชย์พิเศษของสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 474 นําคนไทยในออสเตรเลียเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2563 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์ สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ นครเมลเบิร์น และนครบริสเบน ร่วมกับหน่วยงานทีมประเทศไทยในออสเตรเลีย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยและออสเตรเลียได้จัดเที่ยวบินพาณิชย์พิเศษของสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 474 นําคนไทยในออสเตรเลียจํานวน 290 คนเดินทางกลับประเทศไทย โดยรับผู้โดยสารจากนครบริสเบนและนครเมลเบิร์น โดยเที่ยวบินดังกล่าวออกจากนครเมลเบิร์นเมื่อเวลา 12.05 น.และมีกําหนดถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ 6 มิ.ย. 63 เวลาประมาณ 18.45 น. (ตามเวลาประเทศไทย) การจัดเที่ยวบินพิเศษ TG 474 นี้เป็นไปตามแนวทางจัดการเคลื่อนย้ายคนไทยในต่างประเทศกลับประเทศไทยของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 รวมถึงมาตรการสาธารณสุขเพื่อป้องกัน/ควบคุมโรค และมาตรการจํากัดการเดินทางของรัฐบาลไทยและออสเตรเลีย โดยผู้โดยสารที่เดินทางกลับประเทศไทยกับเที่ยวบินพิเศษนี้เป็นบุคคลสัญชาติไทยที่มีความจําเป็นเร่งด่วน อาทิ ผู้สูงอายุ เด็กและเยาวชน ผู้ที่ประสบปัญหาด้านสุขภาพ และผู้ที่ถือวีซ่าออสเตรเลียประเภทท่องเที่ยว (visitor) หรือวีซ่าชั่วคราวประเภทอื่นๆ ที่หมดอายุแล้วหรือใกล้หมดอายุและไม่สามารถต่ออายุได้อีก การดําเนินการในครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลไทยที่ให้ความสําคัญกับการดูแลสวัสดิภาพของคนไทยในต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยให้ความสําคัญกับการนําคนไทยที่ตกค้างในต่างแดนและประสบปัญหาต่างๆ ให้สามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้อย่างปลอดภัย สําหรับคนไทยในออสเตรเลียที่ยังคงประสงค์จะกลับประเทศไทย สถานเอกอัครราชทูตฯ และสถานกงสุลใหญ่ฯ จะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยและออสเตรเลียเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือและจะแจ้งความคืบหน้าให้ทราบต่อไป ในกรณีฉุกเฉินโปรดติดต่อสถานเอกอัครราขทูตฯ ที่ หมายเลขโทรศัพท์สายด่วน 0402 735 642 หรือ 0429 597 191 หรือ Line ID: CBRCONSULAR และสถานกงสุลใหญ่ฯ ที่หมายเลขโทรศัพท์ (02) 9241 2542-3 สายด่วน 0411 424 303 LINE ID: thaiconsulatesydney
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32028
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดีกสร. มอบใบประกาศเกียรติคุณสถานประกอบกิจการใช้ GLP
วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2562 อธิบดีกสร. มอบใบประกาศเกียรติคุณสถานประกอบกิจการใช้ GLP เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2562 นายวิวัฒน์ ตังหงส์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มอบใบประกาศเกียรติคุณแก่สถานประกอบกิจการที่นําแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (GLP) ไปใช้ในการบริหารจัดการแรงงาน ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เพื่อเชิดชูเกียรติสถานประกอบกิจการที่นําแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices : GLP) ไปใช้ในการบริหารจัดการแรงงาน โดยมีสถานประกอบกิจการ จํานวน 62 แห่ง เข้ารับประกาศเกียรติคุณ ณ โรงแรม มิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดีกสร. มอบใบประกาศเกียรติคุณสถานประกอบกิจการใช้ GLP วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2562 อธิบดีกสร. มอบใบประกาศเกียรติคุณสถานประกอบกิจการใช้ GLP เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2562 นายวิวัฒน์ ตังหงส์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มอบใบประกาศเกียรติคุณแก่สถานประกอบกิจการที่นําแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (GLP) ไปใช้ในการบริหารจัดการแรงงาน ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เพื่อเชิดชูเกียรติสถานประกอบกิจการที่นําแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices : GLP) ไปใช้ในการบริหารจัดการแรงงาน โดยมีสถานประกอบกิจการ จํานวน 62 แห่ง เข้ารับประกาศเกียรติคุณ ณ โรงแรม มิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19353
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ. ร่วมเปิดโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย ที่จังหวัดระยองพร้อมรับมอบหน้ากากอนามัย 1 ล้านชิ้นให้รัฐบาลแจกจ่ายให้กลุ่มเปราะบางและกลุ่มเสี่ยง [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม 2563 รมว.สธ. ร่วมเปิดโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย ที่จังหวัดระยองพร้อมรับมอบหน้ากากอนามัย 1 ล้านชิ้นให้รัฐบาลแจกจ่ายให้กลุ่มเปราะบางและกลุ่มเสี่ยง [กระทรวงสาธารณสุข] รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมเปิดโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย ที่จังหวัดระยองพร้อมรับมอบหน้ากากอนามัย 1 ล้านชิ้นให้รัฐบาลแจกจ่ายให้กลุ่มเปราะบางและกลุ่มเสี่ยง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมเปิดโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย ที่จังหวัดระยองพร้อมรับมอบหน้ากากอนามัย 1 ล้านชิ้นให้รัฐบาลแจกจ่ายให้กลุ่มเปราะบางและกลุ่มเสี่ยง บ่ายวันนี้ (20 พฤษภาคม 2563) ที่บริษัท เอสเอ็นซี ฟอร์เมอร์ จํากัด (มหาชน) จังหวัดระยอง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมเปิดโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย ซึ่งเป็นความร่วมมือของคณะทํางานพัฒนาบุคลากรและการศึกษาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC HDC มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลภาคตะวันออก และบริษัท เอสเอ็นซี ฟอร์เมอร์ จํากัด (มหาชน) จัดตั้งโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยเพื่อการกุศล และสนับสนุนการทํางานของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รับมือสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พร้อมรับมอบหน้ากากอนามัย 1 ล้านชิ้นให้รัฐบาลแจกจ่ายให้กลุ่มเปราะบางและกลุ่มเสี่ยง นายอนุทินกล่าวว่า ในนามรัฐบาลไทย ขอขอบคุณภาคเอกชนที่มีจิตกุศล ช่วยผลิตหน้ากากอนามัยเพื่อบริจาคและแบ่งปันให้กลุ่มเปราะบางและกลุ่มเสี่ยง ผ่าน “มูลนิธิบูรณะชนบทประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์” (โครงการเทใจ) และองค์การเภสัชกรรม เช่น คนไร้บ้าน นักโทษรายใหม่ ผู้ต้องขังตั้งครรภ์ ผู้ต้องขังเด็ก ผู้ต้องขังที่พิการหรือผู้สูงอายุ คนในชุมชนแออัด คนเก็บขยะ คนงานต่างด้าวตามชายแดน คนดูแลผู้ป่วยติดเตียง และกลุ่มเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ให้บริการดูแลประชาชน รวมถึงประชาชนทั่วไป นับเป็นการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของรัฐบาล โดยได้รับความร่วมมือจากบริษัทไปรษณีย์ไทยจัดส่งให้กับภาคีเครือข่ายที่ทํางานกับกลุ่มเปราะบางและกลุ่มเสี่ยง เป็นการกระตุ้นให้ประชาชนเหล่านี้ มีความตื่นตัวและเข้าถึงหน้ากากอนามัย ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ช่วยลดความรุนแรงการระบาดระลอกต่อไป ทั้งนี้ หน้ากากอนามัยผลิตโดยโรงงานอินฟินิตี้ พาร์ท จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบริษัทเอสเอ็นซี ฟอร์เมอร์ จํากัด (มหาชน) มีกําลังการผลิตขั้นต่ําวันละ 57,600 ชิ้น หรือ 1,497,600 ชิ้นต่อเดือน (26 วันทํางาน) ********************************* 20 พฤษภาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ. ร่วมเปิดโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย ที่จังหวัดระยองพร้อมรับมอบหน้ากากอนามัย 1 ล้านชิ้นให้รัฐบาลแจกจ่ายให้กลุ่มเปราะบางและกลุ่มเสี่ยง [กระทรวงสาธารณสุข] วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม 2563 รมว.สธ. ร่วมเปิดโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย ที่จังหวัดระยองพร้อมรับมอบหน้ากากอนามัย 1 ล้านชิ้นให้รัฐบาลแจกจ่ายให้กลุ่มเปราะบางและกลุ่มเสี่ยง [กระทรวงสาธารณสุข] รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมเปิดโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย ที่จังหวัดระยองพร้อมรับมอบหน้ากากอนามัย 1 ล้านชิ้นให้รัฐบาลแจกจ่ายให้กลุ่มเปราะบางและกลุ่มเสี่ยง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมเปิดโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย ที่จังหวัดระยองพร้อมรับมอบหน้ากากอนามัย 1 ล้านชิ้นให้รัฐบาลแจกจ่ายให้กลุ่มเปราะบางและกลุ่มเสี่ยง บ่ายวันนี้ (20 พฤษภาคม 2563) ที่บริษัท เอสเอ็นซี ฟอร์เมอร์ จํากัด (มหาชน) จังหวัดระยอง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมเปิดโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย ซึ่งเป็นความร่วมมือของคณะทํางานพัฒนาบุคลากรและการศึกษาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC HDC มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลภาคตะวันออก และบริษัท เอสเอ็นซี ฟอร์เมอร์ จํากัด (มหาชน) จัดตั้งโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยเพื่อการกุศล และสนับสนุนการทํางานของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข รับมือสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พร้อมรับมอบหน้ากากอนามัย 1 ล้านชิ้นให้รัฐบาลแจกจ่ายให้กลุ่มเปราะบางและกลุ่มเสี่ยง นายอนุทินกล่าวว่า ในนามรัฐบาลไทย ขอขอบคุณภาคเอกชนที่มีจิตกุศล ช่วยผลิตหน้ากากอนามัยเพื่อบริจาคและแบ่งปันให้กลุ่มเปราะบางและกลุ่มเสี่ยง ผ่าน “มูลนิธิบูรณะชนบทประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์” (โครงการเทใจ) และองค์การเภสัชกรรม เช่น คนไร้บ้าน นักโทษรายใหม่ ผู้ต้องขังตั้งครรภ์ ผู้ต้องขังเด็ก ผู้ต้องขังที่พิการหรือผู้สูงอายุ คนในชุมชนแออัด คนเก็บขยะ คนงานต่างด้าวตามชายแดน คนดูแลผู้ป่วยติดเตียง และกลุ่มเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ให้บริการดูแลประชาชน รวมถึงประชาชนทั่วไป นับเป็นการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของรัฐบาล โดยได้รับความร่วมมือจากบริษัทไปรษณีย์ไทยจัดส่งให้กับภาคีเครือข่ายที่ทํางานกับกลุ่มเปราะบางและกลุ่มเสี่ยง เป็นการกระตุ้นให้ประชาชนเหล่านี้ มีความตื่นตัวและเข้าถึงหน้ากากอนามัย ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ช่วยลดความรุนแรงการระบาดระลอกต่อไป ทั้งนี้ หน้ากากอนามัยผลิตโดยโรงงานอินฟินิตี้ พาร์ท จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบริษัทเอสเอ็นซี ฟอร์เมอร์ จํากัด (มหาชน) มีกําลังการผลิตขั้นต่ําวันละ 57,600 ชิ้น หรือ 1,497,600 ชิ้นต่อเดือน (26 วันทํางาน) ********************************* 20 พฤษภาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31204
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ย้ำ! พรก.กู้เงิน 1 ล้านล้าน ช่วยพยุงเศรษฐกิจ ดูแลทุกกลุ่ม เตรียมจ้างงาน-สร้างรายได้ชุมชน
วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม 2563 ย้ํา! พรก.กู้เงิน 1 ล้านล้าน ช่วยพยุงเศรษฐกิจ ดูแลทุกกลุ่ม เตรียมจ้างงาน-สร้างรายได้ชุมชน -- #ไทยคู่ฟ้าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ย้ําในเวทีปาฐกถาพิเศษ เนื่องในงานครบรอบ 74 ปี นสพ.บางกอกโพสต์ เรื่องการตราพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม จากผลกระทบของโรคโควิด-19 หรือ พ.ร.ก.กู้เงิน 1,000,000 ล้านบาท ว่าจะช่วยพยุงให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจดําเนินไปได้ระดับหนึ่ง ที่ผ่านมารัฐบาลได้ดําเนินโครงการด้านการแพทย์และสาธารณสุข และช่วยเหลือเยียวยาให้กับผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งได้อนุมัติแล้ว 4 กลุ่ม คือ (1) กลุ่มอาชีพอิสระ 170,000 ล้านบาท (2) กลุ่มเกษตรกร 150,000 ล้านบาท (3) กลุ่มเปราะบาง 20,345 ล้านบาท (4) กลุ่มประชาชนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 3,492 ล้านบาท ส่วนโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมหลังจากนี้วงเงิน 400,000 ล้านบาท จะใช้จ้างงานและการสร้างรายได้ที่ช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจของชุมชนเป็นลําดับแรก โดยการใช้จ่ายงบประมาณทั้งหมดจะต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาด ควบคู่ไปกับงบประมาณรายจ่ายปี 2564 ที่จะเสนอรัฐสภาต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ย้ำ! พรก.กู้เงิน 1 ล้านล้าน ช่วยพยุงเศรษฐกิจ ดูแลทุกกลุ่ม เตรียมจ้างงาน-สร้างรายได้ชุมชน วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม 2563 ย้ํา! พรก.กู้เงิน 1 ล้านล้าน ช่วยพยุงเศรษฐกิจ ดูแลทุกกลุ่ม เตรียมจ้างงาน-สร้างรายได้ชุมชน -- #ไทยคู่ฟ้าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ย้ําในเวทีปาฐกถาพิเศษ เนื่องในงานครบรอบ 74 ปี นสพ.บางกอกโพสต์ เรื่องการตราพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม จากผลกระทบของโรคโควิด-19 หรือ พ.ร.ก.กู้เงิน 1,000,000 ล้านบาท ว่าจะช่วยพยุงให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจดําเนินไปได้ระดับหนึ่ง ที่ผ่านมารัฐบาลได้ดําเนินโครงการด้านการแพทย์และสาธารณสุข และช่วยเหลือเยียวยาให้กับผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งได้อนุมัติแล้ว 4 กลุ่ม คือ (1) กลุ่มอาชีพอิสระ 170,000 ล้านบาท (2) กลุ่มเกษตรกร 150,000 ล้านบาท (3) กลุ่มเปราะบาง 20,345 ล้านบาท (4) กลุ่มประชาชนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 3,492 ล้านบาท ส่วนโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมหลังจากนี้วงเงิน 400,000 ล้านบาท จะใช้จ้างงานและการสร้างรายได้ที่ช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจของชุมชนเป็นลําดับแรก โดยการใช้จ่ายงบประมาณทั้งหมดจะต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาด ควบคู่ไปกับงบประมาณรายจ่ายปี 2564 ที่จะเสนอรัฐสภาต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33986
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เราจะสามารถแยกอาการของการเป็นภูมิแพ้กับการติดไวรัสโควิด-19 ได้อย่างไร ??
วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2563 เราจะสามารถแยกอาการของการเป็นภูมิแพ้กับการติดไวรัสโควิด-19 ได้อย่างไร ?? จะสามารถแยกอาการภูมิแพ้กับไวรัสโควิด-19 อย่างไร Q: เราจะสามารถแยกอาการของการเป็นภูมิแพ้กับการติดไวรัสโควิด-19 ได้อย่างไร ?? A : ทั้ง 2 โรค มีทั้งอาการที่เหมือนและต่างกัน ดังนี้ โควิด-19 = ไข้ ปวดเมื่อยตัว ไอ หอบ หรืออาจจะไม่มีอาการก็ได้ ภูมิแพ้ = คันคอ / ตา /จมูก มีน้ํามูกและอาจจะหอบเหนื่อย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เราจะสามารถแยกอาการของการเป็นภูมิแพ้กับการติดไวรัสโควิด-19 ได้อย่างไร ?? วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2563 เราจะสามารถแยกอาการของการเป็นภูมิแพ้กับการติดไวรัสโควิด-19 ได้อย่างไร ?? จะสามารถแยกอาการภูมิแพ้กับไวรัสโควิด-19 อย่างไร Q: เราจะสามารถแยกอาการของการเป็นภูมิแพ้กับการติดไวรัสโควิด-19 ได้อย่างไร ?? A : ทั้ง 2 โรค มีทั้งอาการที่เหมือนและต่างกัน ดังนี้ โควิด-19 = ไข้ ปวดเมื่อยตัว ไอ หอบ หรืออาจจะไม่มีอาการก็ได้ ภูมิแพ้ = คันคอ / ตา /จมูก มีน้ํามูกและอาจจะหอบเหนื่อย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32023
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือ รง. ลงพื้นที่ช่วยกลุ่มเปราะบางในชุมชนย่านประเวศ กทม. จากผลกระทบโรคโควิด-19 พร้อมจัดหางาน ฝึกอาชีพ ส่งเสริมรายได้
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563 พม. จับมือ รง. ลงพื้นที่ช่วยกลุ่มเปราะบางในชุมชนย่านประเวศ กทม. จากผลกระทบโรคโควิด-19 พร้อมจัดหางาน ฝึกอาชีพ ส่งเสริมรายได้ พม. จับมือ รง. ลงพื้นที่ช่วยกลุ่มเปราะบางในชุมชนย่านประเวศ กทม. จากผลกระทบโรคโควิด-19 พร้อมจัดหางาน ฝึกอาชีพ ส่งเสริมรายได้ วันที่ 24 พ.ค. 63 เวลา 10.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วย หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ ณ ชุมชนเฟื่องฟ้า ถนนเฉลิมพระเกียรติ ซอย 39 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นชุมชนที่ไม่ได้จดทะเบียนกับกรุงเทพมหานคร เพื่อพบปะเยี่ยมให้กําลังใจและช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาความยากลําบาก และได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) พร้อมทั้งรับฟังปัญหาและความต้องการของชุมชน และหารือร่วมกันถึงแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของชุมชน นายจุติ กล่าวว่า ชุมชนเฟื่องฟ้า ประกอบด้วย 122 ครัวเรือน 360 คน แบ่งเป็นเด็กและเยาวชน 101 คน ผู้สูงอายุ 51 คน และวัยทํางาน 208 คน อีกทั้งมีกลุ่มผู้ประสบปัญหาทางสังคมที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง 3 คน คนพิการ 2 คน และผู้ด้อยโอกาส 6 คน สมาชิกในชุมชนส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้าง ปัจจุบัน ชุมชนเฟื่องฟ้าเป็นชุมชนเข้มแข็ง โดยมีการพัฒนาศักยภาพของผู้นําชุมชนมาอย่างต่อเนื่องและร่วมกับคณะทํางานจิตอาสา เข้าร่วมกับสภาองค์กรชุมชน เขตประเวศ กทม. ซึ่งเป็นเวทีกลางในการขับเคลื่อนงานร่วมกับกลุ่มองค์กรต่างๆ ด้านชุมชน เพื่อการปรับใช้พื้นที่ส่วนกลางของชุมชน ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อาทิ การปลูกผักไร้สารเพื่อบริโภคเองภายในชุมชน การสร้างบ้านกลางเพื่อรองรับและดูแลผู้สูงอายุ และการพัฒนาอาชีพให้กับกลุ่มเยาวชน เช่น บริการเสริมสวยและซักอบรีด เป็นต้น นายจุติ กล่าวต่อไปว่า วันนี้ กระทรวง พม. ลงพื้นที่ชุมชนเฟื่องฟ้าเป็นชุมชนที่ไม่ได้จดทะเบียนกับกรุงเทพมหานคร ทําให้ไม่สามารถเข้าถึงบริการและสวัสดิการสังคมจากภาครัฐ ซึ่งชุมชนเช่นนี้เป็นชุมชนตกสํารวจที่ยังไม่มีหน่วยงานภาครัฐเป็นเจ้าภาพดูแลและยังมีอยู่เป็นจํานวนมาก ทั้งนี้ รัฐบาลจึงมอบหมายให้กระทรวง พม. เข้ามาดูแลช่วยเหลือชุมชน โดยบูรณาการทํางานร่วมกับกระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และสํานักงานประกันสังคม เพื่อช่วยหางาน รับสมัครงาน และฝึกทักษะอาชีพ รวมทั้งบริการประกันสังคมเคลื่อนที่กระทรวงมหาดไทย โดย กรุงเทพมหานคร เพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมและคุณภาพชีวิต และกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัย เพื่อดูแลสุขอนามัยและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนได้รับข้อร้องเรียนจากชุมชนว่าไม่อยากย้ายไปพื้นที่ใหม่ แต่ประสงค์จะอยู่อาศัยในพื้นที่เดิม โดยขอเช่าที่ และจะให้มีการจัดระเบียบชุมชนใหม่ อีกทั้ง ขอให้มีการส่งเสริมอาช
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือ รง. ลงพื้นที่ช่วยกลุ่มเปราะบางในชุมชนย่านประเวศ กทม. จากผลกระทบโรคโควิด-19 พร้อมจัดหางาน ฝึกอาชีพ ส่งเสริมรายได้ วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563 พม. จับมือ รง. ลงพื้นที่ช่วยกลุ่มเปราะบางในชุมชนย่านประเวศ กทม. จากผลกระทบโรคโควิด-19 พร้อมจัดหางาน ฝึกอาชีพ ส่งเสริมรายได้ พม. จับมือ รง. ลงพื้นที่ช่วยกลุ่มเปราะบางในชุมชนย่านประเวศ กทม. จากผลกระทบโรคโควิด-19 พร้อมจัดหางาน ฝึกอาชีพ ส่งเสริมรายได้ วันที่ 24 พ.ค. 63 เวลา 10.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วย หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ ณ ชุมชนเฟื่องฟ้า ถนนเฉลิมพระเกียรติ ซอย 39 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นชุมชนที่ไม่ได้จดทะเบียนกับกรุงเทพมหานคร เพื่อพบปะเยี่ยมให้กําลังใจและช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาความยากลําบาก และได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) พร้อมทั้งรับฟังปัญหาและความต้องการของชุมชน และหารือร่วมกันถึงแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของชุมชน นายจุติ กล่าวว่า ชุมชนเฟื่องฟ้า ประกอบด้วย 122 ครัวเรือน 360 คน แบ่งเป็นเด็กและเยาวชน 101 คน ผู้สูงอายุ 51 คน และวัยทํางาน 208 คน อีกทั้งมีกลุ่มผู้ประสบปัญหาทางสังคมที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง 3 คน คนพิการ 2 คน และผู้ด้อยโอกาส 6 คน สมาชิกในชุมชนส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้าง ปัจจุบัน ชุมชนเฟื่องฟ้าเป็นชุมชนเข้มแข็ง โดยมีการพัฒนาศักยภาพของผู้นําชุมชนมาอย่างต่อเนื่องและร่วมกับคณะทํางานจิตอาสา เข้าร่วมกับสภาองค์กรชุมชน เขตประเวศ กทม. ซึ่งเป็นเวทีกลางในการขับเคลื่อนงานร่วมกับกลุ่มองค์กรต่างๆ ด้านชุมชน เพื่อการปรับใช้พื้นที่ส่วนกลางของชุมชน ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อาทิ การปลูกผักไร้สารเพื่อบริโภคเองภายในชุมชน การสร้างบ้านกลางเพื่อรองรับและดูแลผู้สูงอายุ และการพัฒนาอาชีพให้กับกลุ่มเยาวชน เช่น บริการเสริมสวยและซักอบรีด เป็นต้น นายจุติ กล่าวต่อไปว่า วันนี้ กระทรวง พม. ลงพื้นที่ชุมชนเฟื่องฟ้าเป็นชุมชนที่ไม่ได้จดทะเบียนกับกรุงเทพมหานคร ทําให้ไม่สามารถเข้าถึงบริการและสวัสดิการสังคมจากภาครัฐ ซึ่งชุมชนเช่นนี้เป็นชุมชนตกสํารวจที่ยังไม่มีหน่วยงานภาครัฐเป็นเจ้าภาพดูแลและยังมีอยู่เป็นจํานวนมาก ทั้งนี้ รัฐบาลจึงมอบหมายให้กระทรวง พม. เข้ามาดูแลช่วยเหลือชุมชน โดยบูรณาการทํางานร่วมกับกระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และสํานักงานประกันสังคม เพื่อช่วยหางาน รับสมัครงาน และฝึกทักษะอาชีพ รวมทั้งบริการประกันสังคมเคลื่อนที่กระทรวงมหาดไทย โดย กรุงเทพมหานคร เพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมและคุณภาพชีวิต และกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัย เพื่อดูแลสุขอนามัยและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนได้รับข้อร้องเรียนจากชุมชนว่าไม่อยากย้ายไปพื้นที่ใหม่ แต่ประสงค์จะอยู่อาศัยในพื้นที่เดิม โดยขอเช่าที่ และจะให้มีการจัดระเบียบชุมชนใหม่ อีกทั้ง ขอให้มีการส่งเสริมอาช
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31398
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลย้ำไม่ปล่อยให้คนทุจริตลอยนวล สั่งตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ชี้นโยบายเป็นประโยชน์ พร้อมวอนประชาชนและสื่อมวลชนอย่ากดดันเจ้าหน้าที่
วันเสาร์ที่ 23 กันยายน 2560 รัฐบาลย้ําไม่ปล่อยให้คนทุจริตลอยนวล สั่งตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ชี้นโยบายเป็นประโยชน์ พร้อมวอนประชาชนและสื่อมวลชนอย่ากดดันเจ้าหน้าที่ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวการทุจริตในโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ว่า ที่ผ่านมาได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง วันนี้ (23 กันยายน 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวการทุจริตในโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ว่า ที่ผ่านมาได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมทั้งมอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ที่มีการร้องเรียนลงไปติดตามข้อมูลและค้นหาความจริงเพื่อให้เกิดความกระจ่าง และรายงานผลกลับมาที่ส่วนกลางโดยด่วน "รัฐบาลและคสช. จะไม่ปล่อยให้มีการทุจริตเกิดขึ้นเด็ดขาด โดยให้เจ้าหน้าที่จากส่วนกลางทํางานร่วมกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดโดยไม่ต้องหวั่นเกรงอิทธิพลใด ๆ พร้อมทั้งยืนยันว่าหลักการของโครงการดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ เพราะมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน เช่น การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ การผลิตพืชและพันธุ์พืช การปศุสัตว์ การผลิตอาหารและแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร การประมง ฟาร์มชุมชน การจัดการศัตรูพืช และการปรับปรุงบํารุงดิน เป็นต้น แต่หากในทางปฏิบัติพบว่า มีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําการทุจริต หรือไม่เข้าใจในขั้นตอนการปฏิบัติเนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ หรือเกิดการขัดผลประโยชน์ระหว่างกัน ก็จะต้องมีการสืบสวนให้เกิดความชัดเจน หากมีความผิดจริงจะต้องถูกลงโทษอย่างเด็ดขาด โดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับใดก็ตาม" ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกําชับว่า ขอให้พี่น้องประชาชนร่วมมือกับภาครัฐ แจ้งข้อมูลและหลักฐานการทุจริตไปยังเจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้ที่ ศูนย์บริการประชาชน 1111 ศูนย์ดํารงธรรมทั่วประเทศ รวมทั้งตู้ปณ.444 ปณ.ราชดําเนิน กรุงเทพฯ 10200 สายด่วน 1299 หรือศูนย์รับเรื่องร้องเรียนการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ภายในหน่วยทหารที่ประจําอยู่ในพื้นที่กองทัพภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ "นายกฯ เน้นย้ําว่าพื้นที่ที่มีการร้องเรียน ได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและเจ้าหน้าที่กําลังเร่งดําเนินการอยู่ โดยอยากให้พี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนที่ติดตามความคืบหน้าในเรื่องนี้ให้เวลาและความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความกดดันหรือบั่นทอนขวัญกําลังใจในการปฏิบัติงาน ซึ่งมีเป้าหมายขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่น สร้างความโปร่งใสให้กับสังคมไทย ตามนโยบายที่รัฐบาลให้ความสําคัญ" .............................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลย้ำไม่ปล่อยให้คนทุจริตลอยนวล สั่งตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ชี้นโยบายเป็นประโยชน์ พร้อมวอนประชาชนและสื่อมวลชนอย่ากดดันเจ้าหน้าที่ วันเสาร์ที่ 23 กันยายน 2560 รัฐบาลย้ําไม่ปล่อยให้คนทุจริตลอยนวล สั่งตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ชี้นโยบายเป็นประโยชน์ พร้อมวอนประชาชนและสื่อมวลชนอย่ากดดันเจ้าหน้าที่ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวการทุจริตในโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ว่า ที่ผ่านมาได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง วันนี้ (23 กันยายน 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวการทุจริตในโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ว่า ที่ผ่านมาได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมทั้งมอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ที่มีการร้องเรียนลงไปติดตามข้อมูลและค้นหาความจริงเพื่อให้เกิดความกระจ่าง และรายงานผลกลับมาที่ส่วนกลางโดยด่วน "รัฐบาลและคสช. จะไม่ปล่อยให้มีการทุจริตเกิดขึ้นเด็ดขาด โดยให้เจ้าหน้าที่จากส่วนกลางทํางานร่วมกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดโดยไม่ต้องหวั่นเกรงอิทธิพลใด ๆ พร้อมทั้งยืนยันว่าหลักการของโครงการดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ เพราะมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน เช่น การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ การผลิตพืชและพันธุ์พืช การปศุสัตว์ การผลิตอาหารและแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร การประมง ฟาร์มชุมชน การจัดการศัตรูพืช และการปรับปรุงบํารุงดิน เป็นต้น แต่หากในทางปฏิบัติพบว่า มีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําการทุจริต หรือไม่เข้าใจในขั้นตอนการปฏิบัติเนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ หรือเกิดการขัดผลประโยชน์ระหว่างกัน ก็จะต้องมีการสืบสวนให้เกิดความชัดเจน หากมีความผิดจริงจะต้องถูกลงโทษอย่างเด็ดขาด โดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับใดก็ตาม" ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกําชับว่า ขอให้พี่น้องประชาชนร่วมมือกับภาครัฐ แจ้งข้อมูลและหลักฐานการทุจริตไปยังเจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้ที่ ศูนย์บริการประชาชน 1111 ศูนย์ดํารงธรรมทั่วประเทศ รวมทั้งตู้ปณ.444 ปณ.ราชดําเนิน กรุงเทพฯ 10200 สายด่วน 1299 หรือศูนย์รับเรื่องร้องเรียนการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ภายในหน่วยทหารที่ประจําอยู่ในพื้นที่กองทัพภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ "นายกฯ เน้นย้ําว่าพื้นที่ที่มีการร้องเรียน ได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและเจ้าหน้าที่กําลังเร่งดําเนินการอยู่ โดยอยากให้พี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนที่ติดตามความคืบหน้าในเรื่องนี้ให้เวลาและความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความกดดันหรือบั่นทอนขวัญกําลังใจในการปฏิบัติงาน ซึ่งมีเป้าหมายขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่น สร้างความโปร่งใสให้กับสังคมไทย ตามนโยบายที่รัฐบาลให้ความสําคัญ" .............................
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6903
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. ผุดไอเดีย ดึงเอกชน สมาคม จัด กอช. เป็นสวัสดิการลูกจ้าง
วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2560 กอช. ผุดไอเดีย ดึงเอกชน สมาคม จัด กอช. เป็นสวัสดิการลูกจ้าง กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ผุดแนวคิดใหม่ดึงบริษัทเอกชน สมาคม ฯลฯ จัด กอช. เป็นสวัสดิการให้แก่ลูกจ้างให้มีชีวิตในบั้นปลายที่ดีมีคุณภาพ โดยนายจ้างส่งเงินสะสม เพื่อรับเงินสมทบจากรัฐบาล เพิ่มโอกาสเข้าถึงระบบบํานาญ กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ร่วมกับสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ออกบูธประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ความเข้าใจด้านการออมเพื่อการชราภาพกับ กอช. แก่ผู้พิการทางสายตา โดยประสานกับธนาคารกรุงไทย สาขาวิคตอรี่มอลล์ มาเป็นหน่วยรับสมัครสมาชิกเคลื่อนที่ ณ สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้ นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. กล่าวว่า นับเป็นเรื่องดีที่ทางสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของการเก็บออมเพื่อยามชราภาพ รวมถึงการสนับสนุนให้สมาชิกของสมาคมฯ ได้มีการเก็บออมกับ กอช. โดยทางสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยจะเป็นผู้จ่ายเงินสะสมให้กับสมาชิกที่เป็นผู้จําหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลรายย่อย เพื่อให้เป็นเสมือนสวัสดิการรูปแบบหนึ่ง ซึ่งนอกจากผู้พิการทางสายตาจะได้รับเงินสะสมที่ทางสมาคมจ่ายให้แล้ว ยังจะได้รับเงินสมทบจากทางรัฐบาลตามเงื่อนไขของ กอช. (ตามพระราชบัญญัติ กองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔) เป็นการเปิดโอกาสให้คนกลุ่มนี้ได้เข้าถึงระบบบํานาญ อันเป็นการสร้างหลักประกันความมั่นคงพื้นฐานในการดํารงชีวิตยามชราภาพ ซึ่งการจัดสวัสดิการดังกล่าวถือได้ว่าสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยได้ดูแลสมาชิกในสังกัดของตนให้มีชีวิตในบั้นปลายที่ดีมีคุณภาพ โดยไม่เป็นภาระในการบริหารเงินแก่สมาคม อีกด้วย "สําหรับโครงการนําร่องแห่งแรกได้จัดขึ้นก่อนหน้านี้ โดย กอช. ร่วมกับบริษัท วอเนอร์ บราเดอร์ส ฟาร์อีส อินคอโปเรชั่น ประเทศไทย จํากัด โดยทางบริษัทฯ เป็นผู้ส่งเงินสะสมให้แก่ลูกจ้างที่เป็นแรงงานนอกระบบ ไม่มีประกันสังคม เพื่อให้ลูกจ้างกลุ่มนี้ได้รับเงินสมทบ จากรัฐบาลอีกส่วนหนึ่ง กอช. จึงเป็นเครื่องมือให้บริษัท ห้างร้าน หรือหน่วยงาน จัดสวัสดิการเพื่อสร้างหลักประกันบํานาญชราภาพให้กับลูกจ้างในสังกัดได้อย่างดี" นายสมพรกล่าว. สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนการออมแห่งชาติได้ที่ กอช. สายด่วนเงินออม 02-017-0789 ในวันและเวลาทําการ และติดต่อสมัครสมาชิกได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ ... “กอช. ออมสบาย ได้บํานาญ” www.nsf.or.th ฝ่ายประชาสัมพันธ์และภาพลักษณ์องค์กร : โทร. 02-017-0789 ต่อ 213, 224 Email : [email protected] ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. ผุดไอเดีย ดึงเอกชน สมาคม จัด กอช. เป็นสวัสดิการลูกจ้าง วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2560 กอช. ผุดไอเดีย ดึงเอกชน สมาคม จัด กอช. เป็นสวัสดิการลูกจ้าง กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ผุดแนวคิดใหม่ดึงบริษัทเอกชน สมาคม ฯลฯ จัด กอช. เป็นสวัสดิการให้แก่ลูกจ้างให้มีชีวิตในบั้นปลายที่ดีมีคุณภาพ โดยนายจ้างส่งเงินสะสม เพื่อรับเงินสมทบจากรัฐบาล เพิ่มโอกาสเข้าถึงระบบบํานาญ กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ร่วมกับสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ออกบูธประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ความเข้าใจด้านการออมเพื่อการชราภาพกับ กอช. แก่ผู้พิการทางสายตา โดยประสานกับธนาคารกรุงไทย สาขาวิคตอรี่มอลล์ มาเป็นหน่วยรับสมัครสมาชิกเคลื่อนที่ ณ สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้ นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. กล่าวว่า นับเป็นเรื่องดีที่ทางสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของการเก็บออมเพื่อยามชราภาพ รวมถึงการสนับสนุนให้สมาชิกของสมาคมฯ ได้มีการเก็บออมกับ กอช. โดยทางสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยจะเป็นผู้จ่ายเงินสะสมให้กับสมาชิกที่เป็นผู้จําหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลรายย่อย เพื่อให้เป็นเสมือนสวัสดิการรูปแบบหนึ่ง ซึ่งนอกจากผู้พิการทางสายตาจะได้รับเงินสะสมที่ทางสมาคมจ่ายให้แล้ว ยังจะได้รับเงินสมทบจากทางรัฐบาลตามเงื่อนไขของ กอช. (ตามพระราชบัญญัติ กองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔) เป็นการเปิดโอกาสให้คนกลุ่มนี้ได้เข้าถึงระบบบํานาญ อันเป็นการสร้างหลักประกันความมั่นคงพื้นฐานในการดํารงชีวิตยามชราภาพ ซึ่งการจัดสวัสดิการดังกล่าวถือได้ว่าสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยได้ดูแลสมาชิกในสังกัดของตนให้มีชีวิตในบั้นปลายที่ดีมีคุณภาพ โดยไม่เป็นภาระในการบริหารเงินแก่สมาคม อีกด้วย "สําหรับโครงการนําร่องแห่งแรกได้จัดขึ้นก่อนหน้านี้ โดย กอช. ร่วมกับบริษัท วอเนอร์ บราเดอร์ส ฟาร์อีส อินคอโปเรชั่น ประเทศไทย จํากัด โดยทางบริษัทฯ เป็นผู้ส่งเงินสะสมให้แก่ลูกจ้างที่เป็นแรงงานนอกระบบ ไม่มีประกันสังคม เพื่อให้ลูกจ้างกลุ่มนี้ได้รับเงินสมทบ จากรัฐบาลอีกส่วนหนึ่ง กอช. จึงเป็นเครื่องมือให้บริษัท ห้างร้าน หรือหน่วยงาน จัดสวัสดิการเพื่อสร้างหลักประกันบํานาญชราภาพให้กับลูกจ้างในสังกัดได้อย่างดี" นายสมพรกล่าว. สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนการออมแห่งชาติได้ที่ กอช. สายด่วนเงินออม 02-017-0789 ในวันและเวลาทําการ และติดต่อสมัครสมาชิกได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ ... “กอช. ออมสบาย ได้บํานาญ” www.nsf.or.th ฝ่ายประชาสัมพันธ์และภาพลักษณ์องค์กร : โทร. 02-017-0789 ต่อ 213, 224 Email : [email protected] ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2652
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พลเอก ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมหารือ การแก้ไขปัญหาผักตบชวา ครั้งที่ 1/2559
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2559 รอง นรม. พลเอก ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมหารือ การแก้ไขปัญหาผักตบชวา ครั้งที่ 1/2559 รอง นรม. พลเอก ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมหารือ การแก้ไขปัญหาผักตบชวา ครั้งที่ 1/2559 วันนี้ (1 กันยายน 2559) เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหารือการแก้ไขปัญหาผักตบชวา ครั้งที่ 1 /2559 ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการแก้ไขปัญหาผักตบชวาทุกภูมิภาคของประเทศ โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการให้กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการขุดลอกคูคลองทั่วประเทศโดยเฉพาะกําจัดวัชพืชในแหล่งน้ําได้แก่ผักตบชวา ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ได้รายงานเพิ่มเติมต่อที่ประชุมว่า การสํารวจข้อมูลปริมาณผักตบชวาทั่วประเทศเมื่อต้นปี 2559 มีปริมาณผักตบชวากว่า 6 ล้านตัน และหน่วยงานต่าง ๆ ดังกล่าว ได้ดําเนินการร่วมกันขจัดผักตบชวาไปแล้วกว่า 3.6 ล้านตัน พร้อมเห็นชอบแนวทางสนับสนุนในการแก้ไขปัญหาผักตบชวา 4 แนวทาง คือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจ้างคนเก็บซึ่งจะเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชน พร้อมหาสถานที่ทิ้งผักตบชวา ตลอดจนนําผักตบชวาไปใช้ประโยชน์ เช่น นําไปทําเป็นปุ๋ยเพื่อการเกษตรหรือไปถมดิน เพื่อปรับปรุงสภาพดินและการจักสาน รวมทั้ง กรมโยธาธิการและผังเมืองได้ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง และภาคเอกชนในการทําวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบสิ่งแวดล้อมของผักตบชวาเกี่ยวกับจุลินทรีย์ชีวภาพอีกด้วย ******************************** กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สํานักโฆษก อภิวัฒน์ / รายงาน ดวงใจ / ตรวจ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พลเอก ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมหารือ การแก้ไขปัญหาผักตบชวา ครั้งที่ 1/2559 วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2559 รอง นรม. พลเอก ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมหารือ การแก้ไขปัญหาผักตบชวา ครั้งที่ 1/2559 รอง นรม. พลเอก ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมหารือ การแก้ไขปัญหาผักตบชวา ครั้งที่ 1/2559 วันนี้ (1 กันยายน 2559) เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหารือการแก้ไขปัญหาผักตบชวา ครั้งที่ 1 /2559 ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการแก้ไขปัญหาผักตบชวาทุกภูมิภาคของประเทศ โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการให้กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการขุดลอกคูคลองทั่วประเทศโดยเฉพาะกําจัดวัชพืชในแหล่งน้ําได้แก่ผักตบชวา ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ได้รายงานเพิ่มเติมต่อที่ประชุมว่า การสํารวจข้อมูลปริมาณผักตบชวาทั่วประเทศเมื่อต้นปี 2559 มีปริมาณผักตบชวากว่า 6 ล้านตัน และหน่วยงานต่าง ๆ ดังกล่าว ได้ดําเนินการร่วมกันขจัดผักตบชวาไปแล้วกว่า 3.6 ล้านตัน พร้อมเห็นชอบแนวทางสนับสนุนในการแก้ไขปัญหาผักตบชวา 4 แนวทาง คือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจ้างคนเก็บซึ่งจะเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชน พร้อมหาสถานที่ทิ้งผักตบชวา ตลอดจนนําผักตบชวาไปใช้ประโยชน์ เช่น นําไปทําเป็นปุ๋ยเพื่อการเกษตรหรือไปถมดิน เพื่อปรับปรุงสภาพดินและการจักสาน รวมทั้ง กรมโยธาธิการและผังเมืองได้ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง และภาคเอกชนในการทําวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบสิ่งแวดล้อมของผักตบชวาเกี่ยวกับจุลินทรีย์ชีวภาพอีกด้วย ******************************** กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สํานักโฆษก อภิวัฒน์ / รายงาน ดวงใจ / ตรวจ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/289
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. นำคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ทำเนียบรัฐบาล ออกกำลังกายประจำสัปดาห์เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและสุขภาพจิตที่ดี
วันพุธที่ 26 กรกฎาคม 2560 นรม. นําคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาล ออกกําลังกายประจําสัปดาห์เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและสุขภาพจิตที่ดี นรม. นําคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาล ออกกําลังกายประจําสัปดาห์เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและสุขภาพจิตที่ดี วันนี้ (26 กรกฎาคม2560)เวลา15.30 น. ณ บริเวณด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมกับ พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาลได้ร่วมกันออกกําลังกายเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ รวมทั้งยังทําให้มีสุขภาพจิตใจที่ดี เกิดผลดีในการดําเนินชีวิตประจําวันให้มีความสดชื่นแจ่มใสและอารมณ์ดี อีกทั้งคนในครอบครัวและเพื่อนร่วมงานมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน โดยคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พร้อมหน่วยงานอื่นภายในทําเนียบรัฐบาลได้ร่วมออกกําลังกายโดยพร้อมเพรียงกัน ในสัปดาห์นี้ นายกรัฐมนตรี ได้เต้นแอโรบิคตามจังหวะเพลงร่วมกับเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาลประมาณ 30 นาที เพื่อเสริมสร้างร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงสมบูรณ์ จากนั้นนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่มาออกกําลังกายร่วมกันในวันนี้ด้วยอัธยาศัยอันดี ******************************* กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. นำคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ทำเนียบรัฐบาล ออกกำลังกายประจำสัปดาห์เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและสุขภาพจิตที่ดี วันพุธที่ 26 กรกฎาคม 2560 นรม. นําคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาล ออกกําลังกายประจําสัปดาห์เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและสุขภาพจิตที่ดี นรม. นําคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาล ออกกําลังกายประจําสัปดาห์เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและสุขภาพจิตที่ดี วันนี้ (26 กรกฎาคม2560)เวลา15.30 น. ณ บริเวณด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมกับ พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาลได้ร่วมกันออกกําลังกายเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ รวมทั้งยังทําให้มีสุขภาพจิตใจที่ดี เกิดผลดีในการดําเนินชีวิตประจําวันให้มีความสดชื่นแจ่มใสและอารมณ์ดี อีกทั้งคนในครอบครัวและเพื่อนร่วมงานมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน โดยคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พร้อมหน่วยงานอื่นภายในทําเนียบรัฐบาลได้ร่วมออกกําลังกายโดยพร้อมเพรียงกัน ในสัปดาห์นี้ นายกรัฐมนตรี ได้เต้นแอโรบิคตามจังหวะเพลงร่วมกับเจ้าหน้าที่ทําเนียบรัฐบาลประมาณ 30 นาที เพื่อเสริมสร้างร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงสมบูรณ์ จากนั้นนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่มาออกกําลังกายร่วมกันในวันนี้ด้วยอัธยาศัยอันดี ******************************* กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5490
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ตั้งเป้ากำจัดโรคมาลาเรียให้หมดจากประเทศไทยในปี 2567
วันพุธที่ 25 เมษายน 2561 สธ.ตั้งเป้ากําจัดโรคมาลาเรียให้หมดจากประเทศไทยในปี 2567 กระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้า กําจัดโรคไข้มาลาเรียให้หมดจากประเทศไทยในปี 2567 ด้วย 5 มาตรการ พร้อมมอบใบประกาศนียบัตรรับรอง 35 จังหวัดปลอดโรคไข้มาลาเรีย คาดว่าดําเนินการแล้วเสร็จก่อนแผนที่กําหนดไว้ วันนี้ (25 เมษายน 2561) ที่อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี นายแพทย์ธวัช สุนทราจารย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังการเป็นประธานเปิดกิจกรรมรณรงค์ “World Malaria Day : Ready to beat malaria ไทยพร้อม ร่วมแรงร่วมใจ กําจัดไข้มาลาเรีย” เนื่องในวันมาลาเรียโลก 25 เมษายน ว่า ประเทศไทยนับว่าประสบความสําเร็จเป็นอย่างมาก สามารถลดอัตราป่วยด้วยโรคมาลาเรียเหลือเพียง 0.21 ต่อพันประชากร และได้ปรับนโยบายจากการ “ควบคุมโรค” เป็นการ “กําจัดโรค” ตามเกณฑ์องค์การอนามัยโลก เพื่อให้ไทยปลอดจากโรคไข้มาลาเรียในปี 2567 และบรรลุแล้วเสร็จก่อนแผนการดําเนินงานที่กําหนดไว้ โดยมีนโยบายให้ทุกจังหวัดเร่งรัดการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์กําจัดโรคไข้มาลาเรียประเทศไทย พ.ศ. 2560 – 2569 เน้นการพัฒนาระบบเฝ้าระวังควบคุมโรค เร่งรัดการค้นหาผู้ป่วยทั้งที่แสดงอาการและไม่แสดงอาการ เฝ้าระวังควบคุมยุงที่เป็นพาหะนําโรค ส่งเสริมการป้องกันตัวเอง และเฝ้าระวังการเกิดเชื้อดื้อยา โดยกิจกรรมครั้งนี้ มีตัวแทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชน จาก ทั่วประเทศ เข้าร่วมกว่า 400 คน ด้าน นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียลดลงจาก 150,000 ราย ในปี พ.ศ. 2543 เหลือ 14,667 ราย ในปี พ.ศ. 2560 หรือลดลงประมาณ ร้อยละ 90 และลดลงมากกว่าร้อยละ 15 เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา รวมทั้งพบพื้นที่แพร่เชื้อลดลงเหลือเพียง 183 อําเภอใน 42 จังหวัด กลุ่มบ้านแพร่เชื้อลดลงเหลือเพียง 2,147 กลุ่มบ้าน โดยพื้นที่แพร่เชื้อส่วนใหญ่เป็นบริเวณชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ในปี 2561 มีพื้นที่ปลอดการแพร่เชื้อได้รับการรับรองเป็นจังหวัดปลอดโรคมาลาเรีย ทั้งสิ้น 35 จังหวัด เป็นจังหวัดที่หยุดการแพร่เชื้อมาลาเรีย และสามารถกําจัดแหล่งแพร่เชื้อให้หมดไปจนไม่มีผู้ป่วยติดเชื้อในพื้นที่ ในปี 2561 พร้อมมอบใบประกาศนียบัตรรับรองจังหวัดดังกล่าว ด้าน Dr. Richard Goughnour รักษาการตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงานแห่งภูมิภาคเอเชีย องค์การสหรัฐอเมริกาเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ ได้กล่าวแสดงความยินดีกับประเทศไทยที่มุ่งมั่นและประสบผลสําเร็จในการผลักดันการกําจัดโรคไข้มาลาเรีย ซึ่งทางรัฐบาลสหรัฐพร้อมให้การสนับสนุนในการกําจัดโรคไข้มาลาเรียในประเทศไทยและทั่วโลก ทั้งนี้ ในการดําเนินงานประกอบด้วย 5 มาตรการ ดังนี้ 1.ค้นหาผู้ป่วย เน้นการคัดกรองเชิงรุก รายงาน สอบสวนโรค และตอบโต้โรคให้ทันท่วงที 2.เพิ่มการเข้าถึงการบริการอย่างรวดเร็ว 3.เฝ้าระวังควบคุมโรคในกลุ่มประชากรเคลื่อนย้าย แรงงานข้ามชาติ 4.สนับสนุนให้ประชาชนใช้มุ้งชุบสารเคมี และพ่นสารเคมีที่มีฤทธิ์ตกค้างเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาด และ 5.สร้างความร่วมมือทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน ท้องถิ่น และประชาสังคม ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตประชาชนในภาพรวม ลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ส่งเสริมรายได้ในการ ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และลดความเหลื่อมล้ําในสังคม ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ********************* 25 เมษายน 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ตั้งเป้ากำจัดโรคมาลาเรียให้หมดจากประเทศไทยในปี 2567 วันพุธที่ 25 เมษายน 2561 สธ.ตั้งเป้ากําจัดโรคมาลาเรียให้หมดจากประเทศไทยในปี 2567 กระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้า กําจัดโรคไข้มาลาเรียให้หมดจากประเทศไทยในปี 2567 ด้วย 5 มาตรการ พร้อมมอบใบประกาศนียบัตรรับรอง 35 จังหวัดปลอดโรคไข้มาลาเรีย คาดว่าดําเนินการแล้วเสร็จก่อนแผนที่กําหนดไว้ วันนี้ (25 เมษายน 2561) ที่อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี นายแพทย์ธวัช สุนทราจารย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังการเป็นประธานเปิดกิจกรรมรณรงค์ “World Malaria Day : Ready to beat malaria ไทยพร้อม ร่วมแรงร่วมใจ กําจัดไข้มาลาเรีย” เนื่องในวันมาลาเรียโลก 25 เมษายน ว่า ประเทศไทยนับว่าประสบความสําเร็จเป็นอย่างมาก สามารถลดอัตราป่วยด้วยโรคมาลาเรียเหลือเพียง 0.21 ต่อพันประชากร และได้ปรับนโยบายจากการ “ควบคุมโรค” เป็นการ “กําจัดโรค” ตามเกณฑ์องค์การอนามัยโลก เพื่อให้ไทยปลอดจากโรคไข้มาลาเรียในปี 2567 และบรรลุแล้วเสร็จก่อนแผนการดําเนินงานที่กําหนดไว้ โดยมีนโยบายให้ทุกจังหวัดเร่งรัดการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์กําจัดโรคไข้มาลาเรียประเทศไทย พ.ศ. 2560 – 2569 เน้นการพัฒนาระบบเฝ้าระวังควบคุมโรค เร่งรัดการค้นหาผู้ป่วยทั้งที่แสดงอาการและไม่แสดงอาการ เฝ้าระวังควบคุมยุงที่เป็นพาหะนําโรค ส่งเสริมการป้องกันตัวเอง และเฝ้าระวังการเกิดเชื้อดื้อยา โดยกิจกรรมครั้งนี้ มีตัวแทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชน จาก ทั่วประเทศ เข้าร่วมกว่า 400 คน ด้าน นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียลดลงจาก 150,000 ราย ในปี พ.ศ. 2543 เหลือ 14,667 ราย ในปี พ.ศ. 2560 หรือลดลงประมาณ ร้อยละ 90 และลดลงมากกว่าร้อยละ 15 เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา รวมทั้งพบพื้นที่แพร่เชื้อลดลงเหลือเพียง 183 อําเภอใน 42 จังหวัด กลุ่มบ้านแพร่เชื้อลดลงเหลือเพียง 2,147 กลุ่มบ้าน โดยพื้นที่แพร่เชื้อส่วนใหญ่เป็นบริเวณชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ในปี 2561 มีพื้นที่ปลอดการแพร่เชื้อได้รับการรับรองเป็นจังหวัดปลอดโรคมาลาเรีย ทั้งสิ้น 35 จังหวัด เป็นจังหวัดที่หยุดการแพร่เชื้อมาลาเรีย และสามารถกําจัดแหล่งแพร่เชื้อให้หมดไปจนไม่มีผู้ป่วยติดเชื้อในพื้นที่ ในปี 2561 พร้อมมอบใบประกาศนียบัตรรับรองจังหวัดดังกล่าว ด้าน Dr. Richard Goughnour รักษาการตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงานแห่งภูมิภาคเอเชีย องค์การสหรัฐอเมริกาเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ ได้กล่าวแสดงความยินดีกับประเทศไทยที่มุ่งมั่นและประสบผลสําเร็จในการผลักดันการกําจัดโรคไข้มาลาเรีย ซึ่งทางรัฐบาลสหรัฐพร้อมให้การสนับสนุนในการกําจัดโรคไข้มาลาเรียในประเทศไทยและทั่วโลก ทั้งนี้ ในการดําเนินงานประกอบด้วย 5 มาตรการ ดังนี้ 1.ค้นหาผู้ป่วย เน้นการคัดกรองเชิงรุก รายงาน สอบสวนโรค และตอบโต้โรคให้ทันท่วงที 2.เพิ่มการเข้าถึงการบริการอย่างรวดเร็ว 3.เฝ้าระวังควบคุมโรคในกลุ่มประชากรเคลื่อนย้าย แรงงานข้ามชาติ 4.สนับสนุนให้ประชาชนใช้มุ้งชุบสารเคมี และพ่นสารเคมีที่มีฤทธิ์ตกค้างเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาด และ 5.สร้างความร่วมมือทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน ท้องถิ่น และประชาสังคม ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตประชาชนในภาพรวม ลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ส่งเสริมรายได้ในการ ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และลดความเหลื่อมล้ําในสังคม ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ********************* 25 เมษายน 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11756
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปท.เห็นชอบการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านทรัพย์สินทางปัญญาของไทยร่วมกับสหรัฐฯ เพื่อให้ไทยหลุดจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ หรือ PWL
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2559 คปท.เห็นชอบการจัดทําแผนปฏิบัติการด้านทรัพย์สินทางปัญญาของไทยร่วมกับสหรัฐฯ เพื่อให้ไทยหลุดจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ หรือ PWL คปท.เห็นชอบการจัดทําแผนปฏิบัติการด้านทรัพย์สินทางปัญญาของไทยร่วมกับสหรัฐฯ เพื่อให้ไทยหลุดจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ หรือ PWL วันนี้ (25 ส.ค.59) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ (คปท.) ครั้งที่ 2/2559 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและฝ่ายความมั่นคงที่ได้ร่วมกันดําเนินการในเรื่องของกฎหมายและเรื่องการป้องกันและปราบปรามทั้งหมด ซึ่งจะต้องเร่งรัดดําเนินการในเรื่องดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วตามพันธสัญญาที่ประเทศไทยมีกับต่างประเทศ รวมไปถึงการดําเนินการในเรื่องของบุคลากรผู้ตรวจสอบต่าง ๆ ทั้งเรื่องการตรวจสอบสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าต้องเร่งรัดการดําเนินการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล อย่างไรก็ตามได้เน้นย้ําการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต้องสร้างการรับรู้ให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติและประชาชนให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายและแนวทางที่จะนําไปสู่การไปปฏิบัติให้การดําเนินการเกิดเกิดผลเป็นรูปธรรมชัดเจนอย่างแท้จริง ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา และ พล.ต.ต.ไกรบุญ ทรวดทรง ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการป้องกันปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ได้แถลงผลการประชุมสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมมีได้มีมติเห็นชอบการดําเนินงานใน 2 เรื่อง คือ 1) แนวทางการดําเนินการเพื่อให้ไทยหลุดจากบัญชี PWL ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ และ 2) แผนที่นําทาง (Roadmap) ด้านทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศระยะเวลา 20 ปี สําหรับเรื่องแนวทางการดําเนินการเพื่อให้ไทยหลุดจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ (Priority Watch List: PWL) ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษที่ประชุมเห็นชอบการจัดทําแผนปฏิบัติการด้านทรัพย์สินทางปัญญา (work plan) ของไทยร่วมกับสหรัฐฯ โดยเห็นว่าจะมีผลต่อการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญาของไทยให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผู้สร้างสรรค์ เจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา และหากปฏิบัติตาม work plan ได้ก็น่าจะมีส่วนช่วยผลักดันให้ไทยหลุดจากบัญชี PWL โดย work plan จะครอบคลุม 4 ประเด็นหลัก คือ (1) ลิขสิทธิ์ : จะเน้นการแก้ปัญหาการละเมิดบนอินเตอร์เน็ต การเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาด้านลิขสิทธิ์ (2) เครื่องหมายการค้า : การเข้าเป็นภาคีพิธีสารกรุงมาดริดเรื่องการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าระหว่างประเทศ และการแก้ไขปัญหางานค้างสะสม (3) สิทธิบัตร : การแก้ปัญหางานค้างสะสม และการเข้าเป็นภาคีความตกลงกรุงเฮกเรื่องการจดทะเบียนการออกแบบระหว่างประเทศ (4) การปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ส่วนการจัดทําแผนที่นําทาง (Roadmap) ด้านทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศ ระยะ 20 ปีเพื่อปฏิรูประบบทรัพย์สินทางปัญญาของไทยให้สอดรับกับนโยบายการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ไทยแลนด์ 4.0 ที่เน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมและปัญญา ซึ่งประกอบด้วย 6 ด้าน คือ 4 ด้าน ในวัฏจักรทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Value Chain) ได้แก่ (1) การสร้างสรรค์ (Creation) ส่งเสริมให้การวิจัยและพัฒนาของไทยสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้มากขึ้น และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการตระหนักในความสําคัญของทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งมีระบบฐานข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญาที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์ ตลอดจนมีบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาที่เพียงพอ (2) การคุ้มครอง (Protection) มุ่งเน้นให้งานจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญามีความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น เป็นมาตรฐานสากล มีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ และใช้งานง่าย รวมทั้งมีระบบควบคุมคุณภาพ และมาตรฐานของผู้ตรวจสอบและการจดทะเบียน (3) การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ (Commercialization) มีเป้าหมายเพื่อให้งานวิจัยสามารถใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และ (4) การบังคับใช้กฎหมาย (Enforcement) มีเป้าหมายเพื่อลดการละเมิดในพื้นที่การค้าและบนอินเทอร์เน็ต และให้ไทยหลุดจากบัญชี PWL ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ ตลอดจนให้ทรัพย์สินทางปัญญาไทยได้รับการคุ้มครองในต่างประเทศ รวมทั้งได้เพิ่มเติมองค์ประกอบ 2 ด้าน ที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาของชุมชนและประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไทยมีศักยภาพในการแข่งขัน คือ เรื่อง สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indication: GI) มุ่งเสริมสร้างความเข้าใจกับชุมชนเรื่องประโยชน์และความสําคัญของ GI และจัดให้มีระบบควบคุมมาตรฐาน รักษาคุณภาพสินค้า GI และเรื่องทรัพยากรพันธุกรรม (Genetic Resources: GRs) ภูมิปัญญาท้องถิ่น (Traditional Knowledge: TK) และการแสดงออกทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม (Traditional cultural expressions: TCEs) เพื่อส่งเสริมให้มีการจัดทําฐานข้อมูล GR,TK และ TCEs ของไทยที่เป็นมาตรฐานเดียวกันและเป็นสากล สามารถเชื่อมต่อเป็นข้อมูลกลางระดับชาติ เพื่อให้ไทยสามารถปกป้อง GR,TK และ TCEs ของไทยจากการนําไปใช้อย่างไม่เหมาะสม --------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ ข้อมูล:กรมทรัพย์ทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปท.เห็นชอบการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านทรัพย์สินทางปัญญาของไทยร่วมกับสหรัฐฯ เพื่อให้ไทยหลุดจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ หรือ PWL วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2559 คปท.เห็นชอบการจัดทําแผนปฏิบัติการด้านทรัพย์สินทางปัญญาของไทยร่วมกับสหรัฐฯ เพื่อให้ไทยหลุดจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ หรือ PWL คปท.เห็นชอบการจัดทําแผนปฏิบัติการด้านทรัพย์สินทางปัญญาของไทยร่วมกับสหรัฐฯ เพื่อให้ไทยหลุดจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ หรือ PWL วันนี้ (25 ส.ค.59) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ (คปท.) ครั้งที่ 2/2559 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและฝ่ายความมั่นคงที่ได้ร่วมกันดําเนินการในเรื่องของกฎหมายและเรื่องการป้องกันและปราบปรามทั้งหมด ซึ่งจะต้องเร่งรัดดําเนินการในเรื่องดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วตามพันธสัญญาที่ประเทศไทยมีกับต่างประเทศ รวมไปถึงการดําเนินการในเรื่องของบุคลากรผู้ตรวจสอบต่าง ๆ ทั้งเรื่องการตรวจสอบสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าต้องเร่งรัดการดําเนินการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล อย่างไรก็ตามได้เน้นย้ําการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต้องสร้างการรับรู้ให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติและประชาชนให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายและแนวทางที่จะนําไปสู่การไปปฏิบัติให้การดําเนินการเกิดเกิดผลเป็นรูปธรรมชัดเจนอย่างแท้จริง ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา และ พล.ต.ต.ไกรบุญ ทรวดทรง ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการป้องกันปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ได้แถลงผลการประชุมสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมมีได้มีมติเห็นชอบการดําเนินงานใน 2 เรื่อง คือ 1) แนวทางการดําเนินการเพื่อให้ไทยหลุดจากบัญชี PWL ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ และ 2) แผนที่นําทาง (Roadmap) ด้านทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศระยะเวลา 20 ปี สําหรับเรื่องแนวทางการดําเนินการเพื่อให้ไทยหลุดจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ (Priority Watch List: PWL) ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษที่ประชุมเห็นชอบการจัดทําแผนปฏิบัติการด้านทรัพย์สินทางปัญญา (work plan) ของไทยร่วมกับสหรัฐฯ โดยเห็นว่าจะมีผลต่อการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญาของไทยให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผู้สร้างสรรค์ เจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา และหากปฏิบัติตาม work plan ได้ก็น่าจะมีส่วนช่วยผลักดันให้ไทยหลุดจากบัญชี PWL โดย work plan จะครอบคลุม 4 ประเด็นหลัก คือ (1) ลิขสิทธิ์ : จะเน้นการแก้ปัญหาการละเมิดบนอินเตอร์เน็ต การเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาด้านลิขสิทธิ์ (2) เครื่องหมายการค้า : การเข้าเป็นภาคีพิธีสารกรุงมาดริดเรื่องการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าระหว่างประเทศ และการแก้ไขปัญหางานค้างสะสม (3) สิทธิบัตร : การแก้ปัญหางานค้างสะสม และการเข้าเป็นภาคีความตกลงกรุงเฮกเรื่องการจดทะเบียนการออกแบบระหว่างประเทศ (4) การปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ส่วนการจัดทําแผนที่นําทาง (Roadmap) ด้านทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศ ระยะ 20 ปีเพื่อปฏิรูประบบทรัพย์สินทางปัญญาของไทยให้สอดรับกับนโยบายการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ไทยแลนด์ 4.0 ที่เน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมและปัญญา ซึ่งประกอบด้วย 6 ด้าน คือ 4 ด้าน ในวัฏจักรทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Value Chain) ได้แก่ (1) การสร้างสรรค์ (Creation) ส่งเสริมให้การวิจัยและพัฒนาของไทยสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้มากขึ้น และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการตระหนักในความสําคัญของทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งมีระบบฐานข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญาที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์ ตลอดจนมีบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาที่เพียงพอ (2) การคุ้มครอง (Protection) มุ่งเน้นให้งานจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญามีความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น เป็นมาตรฐานสากล มีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ และใช้งานง่าย รวมทั้งมีระบบควบคุมคุณภาพ และมาตรฐานของผู้ตรวจสอบและการจดทะเบียน (3) การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ (Commercialization) มีเป้าหมายเพื่อให้งานวิจัยสามารถใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และ (4) การบังคับใช้กฎหมาย (Enforcement) มีเป้าหมายเพื่อลดการละเมิดในพื้นที่การค้าและบนอินเทอร์เน็ต และให้ไทยหลุดจากบัญชี PWL ตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ ตลอดจนให้ทรัพย์สินทางปัญญาไทยได้รับการคุ้มครองในต่างประเทศ รวมทั้งได้เพิ่มเติมองค์ประกอบ 2 ด้าน ที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาของชุมชนและประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไทยมีศักยภาพในการแข่งขัน คือ เรื่อง สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indication: GI) มุ่งเสริมสร้างความเข้าใจกับชุมชนเรื่องประโยชน์และความสําคัญของ GI และจัดให้มีระบบควบคุมมาตรฐาน รักษาคุณภาพสินค้า GI และเรื่องทรัพยากรพันธุกรรม (Genetic Resources: GRs) ภูมิปัญญาท้องถิ่น (Traditional Knowledge: TK) และการแสดงออกทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม (Traditional cultural expressions: TCEs) เพื่อส่งเสริมให้มีการจัดทําฐานข้อมูล GR,TK และ TCEs ของไทยที่เป็นมาตรฐานเดียวกันและเป็นสากล สามารถเชื่อมต่อเป็นข้อมูลกลางระดับชาติ เพื่อให้ไทยสามารถปกป้อง GR,TK และ TCEs ของไทยจากการนําไปใช้อย่างไม่เหมาะสม --------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ ข้อมูล:กรมทรัพย์ทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/260
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กยศ. ออกมาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมฝ่าวิกฤต COVID-19 ลดจำนวนหักเงินเดือนเหลือรายละ 10 บาท ลดเบี้ยปรับเหลือ 0.5%” [กระทรวงการคลัง]
วันพุธที่ 1 เมษายน 2563 “กยศ. ออกมาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมฝ่าวิกฤต COVID-19 ลดจํานวนหักเงินเดือนเหลือรายละ 10 บาท ลดเบี้ยปรับเหลือ 0.5%” [กระทรวงการคลัง] กยศ.ออกมาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยผู้กู้ยืมที่ยังไม่ถูกดําเนินคดีและไม่สามารถชําระหนี้ได้ตามกําหนด จะได้ลดเบี้ยปรับจาก 7.5% เหลือ 0.5% กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยผู้กู้ยืมที่ยังไม่ถูกดําเนินคดีและไม่สามารถชําระหนี้ได้ตามกําหนด จะได้ลดเบี้ยปรับจาก 7.5% เหลือ 0.5% ลดจํานวนหักเงินเดือนของผู้กู้ยืมทุกรายในกลุ่มหน่วยงานเอกชนเหลือ 10 บาท/คน/เดือน ชําระหนี้ลดเบี้ยปรับ 75-80% พักชําระหนี้ 2 ปี สําหรับผู้กู้ยืมที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้กู้ยืมที่ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เกิน 8,008 บาทต่อเดือน สามารถขอผ่อนผันได้คราวละ 1 ปี ไม่เกิน 2 คราว ผู้กู้ยืมที่มีรายได้ถดถอยขยายระยะเวลาการชําระหนี้สูงสุดไม่เกิน 2.5 เท่าจากสัญญาเดิม รวมถึงงดการขายทอดตลาดทุกกรณี และชะลอการบังคับคดี ยกเว้นกรณีใกล้ขาดอายุความ นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจในวงกว้าง ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนในการดํารงชีพของผู้กู้ยืม กองทุนได้มีมาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างชําระหนี้ ดังนี้ 1. ลดเบี้ยปรับจาก 7.5% เหลือ 0.5% ในกรณีที่ผู้กู้ยืมยังไม่ถูกดําเนินคดีและไม่สามารถชําระหนี้ได้ตามกําหนด กองทุนจะปรับลดเบี้ยปรับให้กับผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างผ่อนชําระเงินกู้ยืมเป็นการชั่วคราว จากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 0.5 ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน - 31 ธันวาคม 2563 2. ลดจํานวนหักเงินเดือนเหลือ 10 บาท/คน/เดือน กองทุนจะปรับลดจํานวนเงินที่แจ้งให้หักเงินเดือนเพื่อชําระเงินคืนกองทุนของผู้กู้ยืมทุกรายในกลุ่มหน่วยงานเอกชน จากจํานวนเงินที่เคยแจ้งหัก เป็นแจ้งให้นายจ้างหักเงินของผู้กู้ยืมทุกรายๆ ละ 10 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 30 มิถุนายน 2563 3. ลดเบี้ยปรับ 80% สําหรับผู้กู้ยืมทุกกลุ่มที่ค้างชําระหนี้ และปิดบัญชีในครั้งเดียว กรณีผู้กู้ยืมที่ยังไม่ถูกดําเนินคดี ติดต่อชําระหนี้ที่ธนาคารกรุงไทยหรือธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย กรณีผู้กู้ยืมถูกดําเนินคดี ลงทะเบียนขอรับสิทธิได้ที่เว็บไซต์ กยศ. โดยผู้กู้ยืมต้องชําระค่าทนายความและค่าฤชาธรรมเนียมศาลให้เสร็จสิ้นก่อนชําระหนี้ปิดบัญชี โดยขยายระยะเวลาเดิมที่สิ้นสุดวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นให้สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 4. ลดเบี้ยปรับ 75% เฉพาะผู้กู้ยืมที่ยังไม่ถูกดําเนินคดีที่ชําระหนี้ค้างทั้งหมดให้มีสถานะปกติ (ไม่ค้างชําระ) โดยติดต่อชําระหนี้ที่ธนาคารกรุงไทยหรือธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โดยให้ขยายระยะเวลาเดิมที่สิ้นสุดวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นให้สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 5. พักชําระหนี้ให้แก่ผู้กู้ยืมที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2 ปี ผู้กู้ยืมที่มีสถานะยังไม่ถูกดําเนินคดี จะได้รับการผ่อนผันการชําระหนี้ตามเงื่อนไข กรณีผู้ที่มีงวดชําระเป็นรายปี ได้รับสิทธิผ่อนผันการชําระหนี้งวดปี 2563 เป็นเวลา 2 ปี นับแต่วันที่กองทุนอนุมัติ โดยผู้กู้ยืมจะกลับมาชําระหนี้งวดปี 2563 ภายในวันที่ 5 กรกฎาคม 2565 และงวดที่เหลือในปีถัดไป กรณีผู้ที่มีงวดชําระเป็นรายเดือน ให้ผ่อนผันการชําระหนี้ 24 เดือน นับตั้งแต่เดือนถัดไปที่กองทุนอนุมัติ โดยในระหว่างพักชําระหนี้ดังกล่าว กองทุนจะไม่ถือว่าผู้กู้ยืมผิดนัดชําระหนี้ กองทุนจะหยุดคิดดอกเบี้ย เบี้ยปรับ หรือค่าธรรมเนียมผิดนัดชําระหนี้ทั้งงวดที่ค้างชําระก่อนหน้าและงวดที่อยู่ระหว่างผ่อนผันการชําระหนี้ จนกว่าระยะเวลาพักชําระหนี้จะสิ้นสุด โดยขยายเวลาให้ผู้กู้ยืมสามารถลงทะเบียนยื่นคําขอรับสิทธิได้ทางเว็บไซต์ กยศ. เดิมที่สิ้นสุดวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นให้สิ้นสุดวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 6. ผ่อนผันการชําระหนี้ ในกรณีสถานการณ์ที่มีความจําเป็นสําหรับผู้กู้ยืมที่ครบกําหนดชําระหนี้และ ไม่เป็นผู้ผิดนัดชําระหนี้ สามารถยื่นคําขอผ่อนผันและส่งเอกสารหลักฐานไม่น้อยกว่า 60 วัน ก่อนครบกําหนดชําระหนี้ ในวันที่ 5 กรกฎาคม ซึ่งเป็นไปตามประกาศของกองทุนที่มีอยู่เดิมแล้ว ดังนี้ • กรณีผู้กู้ยืมที่ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เกิน 8,008 บาทต่อเดือน สามารถขอผ่อนผันได้ไม่เกิน 2 คราวๆละไม่เกิน 1 ปี นับจากวันที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งในช่วงเวลาที่ได้รับการผ่อนผัน ผู้กู้ยืมไม่ต้องชําระหนี้ทั้งเงินต้น และดอกเบี้ย รวมถึงยกเว้นเบี้ยปรับกรณีผิดนัดชําระหนี้ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ได้รับการผ่อนผัน • กรณีผู้กู้ยืมที่มีรายได้ถดถอย สามารถขอผ่อนผันให้ขยายระยะเวลาการชําระหนี้ได้ตั้งแต่ 1.5 - 2.5 เท่าของระยะเวลาที่เหลืออยู่ตามสัญญากู้ยืมเดิม โดยขึ้นอยู่กับมูลหนี้คงเหลือ ในการชําระเงินงวดสุดท้ายผู้กู้ยืมต้องมีอายุไม่เกิน 60 ปี และผู้กู้ยืมจะต้องทําบันทึกข้อตกลงกับกองทุน เพื่อนํายอดหนี้คงเหลือมาคํานวณใหม่และเฉลี่ยให้ชําระในแต่ละเดือนเท่าๆ กันภายในระยะเวลาที่ได้รับการผ่อนผัน 7. งดการขายทอดตลาด สําหรับผู้กู้ยืม และ/หรือผู้ค้ําประกัน ที่กองทุนได้ดําเนินการยึดทรัพย์ไว้ทุกราย และขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการขายทอดตลาด กองทุนจะยื่นคําร้องของดการขายทอดตลาดทุกรายไปจนถึงสิ้นปี 2563 โดยจะต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้กู้ยืม และ/หรือ ผู้ค้ําประกันที่ถูกยึดทรัพย์ รวมทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วม ผู้รับจํานองที่ยึดไว้ (ถ้ามี) 8. ชะลอการบังคับคดี สําหรับผู้กู้ยืม และ/หรือผู้ค้ําประกันทุกคดี กองทุนจะชะลอการบังคับคดีไว้ ยกเว้นกรณีที่คดีใกล้ขาดอายุความ กองทุนจําเป็นต้องดําเนินการบังคับคดีตามกฎหมายแต่จะงดการขายทอดตลาดไว้ ผู้กู้ยืมสามารถดูรายละเอียดมาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืม จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้ทาง www.studentloan.or.th และเพื่อเป็นการร่วมเว้นระยะห่างทางสังคม สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line@กยศ. หรือ Line@กยศ.หักเงินเดือน หรือ Line@กยศ.คดีและบังคับคดี หรือ e-mail : [email protected] สุดท้ายนี้ กองทุนขอร่วมส่งกําลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนและหน่วยงานทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวทุกท่าน และกองทุนขอขอบคุณผู้กู้ยืมรุ่นพี่ที่ยังคงชําระเงินคืน แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลําบากเช่นนี้ซึ่งจะทําให้กองทุนมีเงินทุนหมุนเวียนในการส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียน นักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือมีความจําเป็นต้องกู้ยืมเงินในแต่ละปีการศึกษาได้อย่างต่อเนื่องต่อไป” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กยศ. ออกมาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมฝ่าวิกฤต COVID-19 ลดจำนวนหักเงินเดือนเหลือรายละ 10 บาท ลดเบี้ยปรับเหลือ 0.5%” [กระทรวงการคลัง] วันพุธที่ 1 เมษายน 2563 “กยศ. ออกมาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมฝ่าวิกฤต COVID-19 ลดจํานวนหักเงินเดือนเหลือรายละ 10 บาท ลดเบี้ยปรับเหลือ 0.5%” [กระทรวงการคลัง] กยศ.ออกมาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยผู้กู้ยืมที่ยังไม่ถูกดําเนินคดีและไม่สามารถชําระหนี้ได้ตามกําหนด จะได้ลดเบี้ยปรับจาก 7.5% เหลือ 0.5% กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยผู้กู้ยืมที่ยังไม่ถูกดําเนินคดีและไม่สามารถชําระหนี้ได้ตามกําหนด จะได้ลดเบี้ยปรับจาก 7.5% เหลือ 0.5% ลดจํานวนหักเงินเดือนของผู้กู้ยืมทุกรายในกลุ่มหน่วยงานเอกชนเหลือ 10 บาท/คน/เดือน ชําระหนี้ลดเบี้ยปรับ 75-80% พักชําระหนี้ 2 ปี สําหรับผู้กู้ยืมที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้กู้ยืมที่ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เกิน 8,008 บาทต่อเดือน สามารถขอผ่อนผันได้คราวละ 1 ปี ไม่เกิน 2 คราว ผู้กู้ยืมที่มีรายได้ถดถอยขยายระยะเวลาการชําระหนี้สูงสุดไม่เกิน 2.5 เท่าจากสัญญาเดิม รวมถึงงดการขายทอดตลาดทุกกรณี และชะลอการบังคับคดี ยกเว้นกรณีใกล้ขาดอายุความ นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจในวงกว้าง ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนในการดํารงชีพของผู้กู้ยืม กองทุนได้มีมาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างชําระหนี้ ดังนี้ 1. ลดเบี้ยปรับจาก 7.5% เหลือ 0.5% ในกรณีที่ผู้กู้ยืมยังไม่ถูกดําเนินคดีและไม่สามารถชําระหนี้ได้ตามกําหนด กองทุนจะปรับลดเบี้ยปรับให้กับผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างผ่อนชําระเงินกู้ยืมเป็นการชั่วคราว จากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 0.5 ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน - 31 ธันวาคม 2563 2. ลดจํานวนหักเงินเดือนเหลือ 10 บาท/คน/เดือน กองทุนจะปรับลดจํานวนเงินที่แจ้งให้หักเงินเดือนเพื่อชําระเงินคืนกองทุนของผู้กู้ยืมทุกรายในกลุ่มหน่วยงานเอกชน จากจํานวนเงินที่เคยแจ้งหัก เป็นแจ้งให้นายจ้างหักเงินของผู้กู้ยืมทุกรายๆ ละ 10 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 30 มิถุนายน 2563 3. ลดเบี้ยปรับ 80% สําหรับผู้กู้ยืมทุกกลุ่มที่ค้างชําระหนี้ และปิดบัญชีในครั้งเดียว กรณีผู้กู้ยืมที่ยังไม่ถูกดําเนินคดี ติดต่อชําระหนี้ที่ธนาคารกรุงไทยหรือธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย กรณีผู้กู้ยืมถูกดําเนินคดี ลงทะเบียนขอรับสิทธิได้ที่เว็บไซต์ กยศ. โดยผู้กู้ยืมต้องชําระค่าทนายความและค่าฤชาธรรมเนียมศาลให้เสร็จสิ้นก่อนชําระหนี้ปิดบัญชี โดยขยายระยะเวลาเดิมที่สิ้นสุดวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นให้สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 4. ลดเบี้ยปรับ 75% เฉพาะผู้กู้ยืมที่ยังไม่ถูกดําเนินคดีที่ชําระหนี้ค้างทั้งหมดให้มีสถานะปกติ (ไม่ค้างชําระ) โดยติดต่อชําระหนี้ที่ธนาคารกรุงไทยหรือธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โดยให้ขยายระยะเวลาเดิมที่สิ้นสุดวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นให้สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 5. พักชําระหนี้ให้แก่ผู้กู้ยืมที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2 ปี ผู้กู้ยืมที่มีสถานะยังไม่ถูกดําเนินคดี จะได้รับการผ่อนผันการชําระหนี้ตามเงื่อนไข กรณีผู้ที่มีงวดชําระเป็นรายปี ได้รับสิทธิผ่อนผันการชําระหนี้งวดปี 2563 เป็นเวลา 2 ปี นับแต่วันที่กองทุนอนุมัติ โดยผู้กู้ยืมจะกลับมาชําระหนี้งวดปี 2563 ภายในวันที่ 5 กรกฎาคม 2565 และงวดที่เหลือในปีถัดไป กรณีผู้ที่มีงวดชําระเป็นรายเดือน ให้ผ่อนผันการชําระหนี้ 24 เดือน นับตั้งแต่เดือนถัดไปที่กองทุนอนุมัติ โดยในระหว่างพักชําระหนี้ดังกล่าว กองทุนจะไม่ถือว่าผู้กู้ยืมผิดนัดชําระหนี้ กองทุนจะหยุดคิดดอกเบี้ย เบี้ยปรับ หรือค่าธรรมเนียมผิดนัดชําระหนี้ทั้งงวดที่ค้างชําระก่อนหน้าและงวดที่อยู่ระหว่างผ่อนผันการชําระหนี้ จนกว่าระยะเวลาพักชําระหนี้จะสิ้นสุด โดยขยายเวลาให้ผู้กู้ยืมสามารถลงทะเบียนยื่นคําขอรับสิทธิได้ทางเว็บไซต์ กยศ. เดิมที่สิ้นสุดวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นให้สิ้นสุดวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 6. ผ่อนผันการชําระหนี้ ในกรณีสถานการณ์ที่มีความจําเป็นสําหรับผู้กู้ยืมที่ครบกําหนดชําระหนี้และ ไม่เป็นผู้ผิดนัดชําระหนี้ สามารถยื่นคําขอผ่อนผันและส่งเอกสารหลักฐานไม่น้อยกว่า 60 วัน ก่อนครบกําหนดชําระหนี้ ในวันที่ 5 กรกฎาคม ซึ่งเป็นไปตามประกาศของกองทุนที่มีอยู่เดิมแล้ว ดังนี้ • กรณีผู้กู้ยืมที่ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เกิน 8,008 บาทต่อเดือน สามารถขอผ่อนผันได้ไม่เกิน 2 คราวๆละไม่เกิน 1 ปี นับจากวันที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งในช่วงเวลาที่ได้รับการผ่อนผัน ผู้กู้ยืมไม่ต้องชําระหนี้ทั้งเงินต้น และดอกเบี้ย รวมถึงยกเว้นเบี้ยปรับกรณีผิดนัดชําระหนี้ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ได้รับการผ่อนผัน • กรณีผู้กู้ยืมที่มีรายได้ถดถอย สามารถขอผ่อนผันให้ขยายระยะเวลาการชําระหนี้ได้ตั้งแต่ 1.5 - 2.5 เท่าของระยะเวลาที่เหลืออยู่ตามสัญญากู้ยืมเดิม โดยขึ้นอยู่กับมูลหนี้คงเหลือ ในการชําระเงินงวดสุดท้ายผู้กู้ยืมต้องมีอายุไม่เกิน 60 ปี และผู้กู้ยืมจะต้องทําบันทึกข้อตกลงกับกองทุน เพื่อนํายอดหนี้คงเหลือมาคํานวณใหม่และเฉลี่ยให้ชําระในแต่ละเดือนเท่าๆ กันภายในระยะเวลาที่ได้รับการผ่อนผัน 7. งดการขายทอดตลาด สําหรับผู้กู้ยืม และ/หรือผู้ค้ําประกัน ที่กองทุนได้ดําเนินการยึดทรัพย์ไว้ทุกราย และขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการขายทอดตลาด กองทุนจะยื่นคําร้องของดการขายทอดตลาดทุกรายไปจนถึงสิ้นปี 2563 โดยจะต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้กู้ยืม และ/หรือ ผู้ค้ําประกันที่ถูกยึดทรัพย์ รวมทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วม ผู้รับจํานองที่ยึดไว้ (ถ้ามี) 8. ชะลอการบังคับคดี สําหรับผู้กู้ยืม และ/หรือผู้ค้ําประกันทุกคดี กองทุนจะชะลอการบังคับคดีไว้ ยกเว้นกรณีที่คดีใกล้ขาดอายุความ กองทุนจําเป็นต้องดําเนินการบังคับคดีตามกฎหมายแต่จะงดการขายทอดตลาดไว้ ผู้กู้ยืมสามารถดูรายละเอียดมาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืม จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้ทาง www.studentloan.or.th และเพื่อเป็นการร่วมเว้นระยะห่างทางสังคม สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line@กยศ. หรือ Line@กยศ.หักเงินเดือน หรือ Line@กยศ.คดีและบังคับคดี หรือ e-mail : [email protected] สุดท้ายนี้ กองทุนขอร่วมส่งกําลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนและหน่วยงานทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวทุกท่าน และกองทุนขอขอบคุณผู้กู้ยืมรุ่นพี่ที่ยังคงชําระเงินคืน แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลําบากเช่นนี้ซึ่งจะทําให้กองทุนมีเงินทุนหมุนเวียนในการส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียน นักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือมีความจําเป็นต้องกู้ยืมเงินในแต่ละปีการศึกษาได้อย่างต่อเนื่องต่อไป” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28272
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หัวหน้าผู้ตรวจราชการก.อุตฯ หารือเลขาธิการ อย. เกี่ยวกับมาตรการการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs 4.0
วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2560 หัวหน้าผู้ตรวจราชการก.อุตฯ หารือเลขาธิการ อย. เกี่ยวกับมาตรการการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs 4.0 หัวหน้าผู้ตรวจราชการก.อุตฯ หารือเลขาธิการ อย. เกี่ยวกับมาตรการการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs 4.0 ณ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) วันนี้ (8 ธันวาคม 2560) นายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เข้าพบหารือกับนายแพทย์วันชัย สัตยาวุฒิพงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในประเด็นมาตรการการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs สู่ 4.0 ตามมาตรการที่ 8 เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมแปรรูปอาหารฯ เกษตรแปรรูปฯ และอุตสาหกรรมอื่นๆ ให้ได้การรับรองตามมาตรฐาน อย. ซึ่งเป็นการตอบสนองนโยบายของทางรัฐบาลในการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ให้มีมาตรฐานอาหารและยาตามกฏหมายสาธารณสุข ส่งเสริมให้ SMEs ภายในประเทศมีความเข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืนเข้าสู่ SMEs 4.0 ณ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หัวหน้าผู้ตรวจราชการก.อุตฯ หารือเลขาธิการ อย. เกี่ยวกับมาตรการการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs 4.0 วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2560 หัวหน้าผู้ตรวจราชการก.อุตฯ หารือเลขาธิการ อย. เกี่ยวกับมาตรการการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs 4.0 หัวหน้าผู้ตรวจราชการก.อุตฯ หารือเลขาธิการ อย. เกี่ยวกับมาตรการการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs 4.0 ณ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) วันนี้ (8 ธันวาคม 2560) นายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เข้าพบหารือกับนายแพทย์วันชัย สัตยาวุฒิพงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในประเด็นมาตรการการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs สู่ 4.0 ตามมาตรการที่ 8 เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมแปรรูปอาหารฯ เกษตรแปรรูปฯ และอุตสาหกรรมอื่นๆ ให้ได้การรับรองตามมาตรฐาน อย. ซึ่งเป็นการตอบสนองนโยบายของทางรัฐบาลในการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ให้มีมาตรฐานอาหารและยาตามกฏหมายสาธารณสุข ส่งเสริมให้ SMEs ภายในประเทศมีความเข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืนเข้าสู่ SMEs 4.0 ณ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8648
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เปิดงานสัมมนาและนิทรรศการ
วันอังคารที่ 3 กันยายน 2562 ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เปิดงานสัมมนาและนิทรรศการ นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานสัมมนาและนิทรรศการ "ผลสําเร็จการขับเคลื่อน FACTORY 4.0" ณ โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ วันนี้ (2 กันยายน 2562) เวลา 09.30 น. นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานสัมมนาและนิทรรศการ "ผลสําเร็จการขับเคลื่อน FACTORY 4.0" พร้อมด้วย นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางเบญจมาพร เอกฉัตร์ นายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นางสาวสิริรัตน์ ไกรวณิช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับ ณ โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ กล่าวว่า ขณะนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มีนโยบายให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เร่งผลักดันการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาร่วมประยุกต์ใช้ในการกํากับดูแลโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงการนํานวัตกรรมด้านความปลอดภัยมาประยุกต์ใช้ควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงทางพลังงานเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยให้สอดรับตามแนวทางนโยบาย Thailand 4.0 ซึ่งที่ผ่านมา กรอ. ได้มีการผลักดันการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมไทย ภายใต้นโยบาย Factory 4.0 เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมทั่วโลก ดังนั้น การขับเคลื่อน Factory 4.0 ด้วยการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาประยุกต์ใช้ซึ่งจะทําให้อุตสาหกรรมไทยมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น สําหรับภายในงานสัมมนาและนิทรรศการในครั้งนี้ ประกอบด้วยกิจกรรม 3 ส่วนด้วยกัน ประกอบด้วย 1. นิทรรศการ "ผลสําเร็จการขับเคลื่อน Factory 4.0" การตรวจประเมินด้านความปลอดภัยโรงงานอุตสาหกรรมผ่านมือถือ ด้วยแอฟพลิเคชั่น S-Checklist 2. การจัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมรองรับอุตสาหกรรม 4.0 และ 3. การสัมมนาในหัวข้อที่น่าสนใจ ได้แก่ ระบบ Safety Application, การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานในภาคอุตสาหกรรมระบบทําความเย็นที่ใช้แอมโมเนียเป็นสารทําความเย็น, อนาคตอุตสาหกรรมไทยกับความปลอดภัยทางชีวภาพ, และการประยุกต์ใช้ Computer Simulation และเทคโนโลยี 4.0
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เปิดงานสัมมนาและนิทรรศการ วันอังคารที่ 3 กันยายน 2562 ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เปิดงานสัมมนาและนิทรรศการ นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานสัมมนาและนิทรรศการ "ผลสําเร็จการขับเคลื่อน FACTORY 4.0" ณ โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ วันนี้ (2 กันยายน 2562) เวลา 09.30 น. นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานสัมมนาและนิทรรศการ "ผลสําเร็จการขับเคลื่อน FACTORY 4.0" พร้อมด้วย นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางเบญจมาพร เอกฉัตร์ นายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นางสาวสิริรัตน์ ไกรวณิช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับ ณ โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ กล่าวว่า ขณะนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มีนโยบายให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เร่งผลักดันการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาร่วมประยุกต์ใช้ในการกํากับดูแลโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงการนํานวัตกรรมด้านความปลอดภัยมาประยุกต์ใช้ควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงทางพลังงานเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยให้สอดรับตามแนวทางนโยบาย Thailand 4.0 ซึ่งที่ผ่านมา กรอ. ได้มีการผลักดันการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมไทย ภายใต้นโยบาย Factory 4.0 เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมทั่วโลก ดังนั้น การขับเคลื่อน Factory 4.0 ด้วยการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาประยุกต์ใช้ซึ่งจะทําให้อุตสาหกรรมไทยมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น สําหรับภายในงานสัมมนาและนิทรรศการในครั้งนี้ ประกอบด้วยกิจกรรม 3 ส่วนด้วยกัน ประกอบด้วย 1. นิทรรศการ "ผลสําเร็จการขับเคลื่อน Factory 4.0" การตรวจประเมินด้านความปลอดภัยโรงงานอุตสาหกรรมผ่านมือถือ ด้วยแอฟพลิเคชั่น S-Checklist 2. การจัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมรองรับอุตสาหกรรม 4.0 และ 3. การสัมมนาในหัวข้อที่น่าสนใจ ได้แก่ ระบบ Safety Application, การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานในภาคอุตสาหกรรมระบบทําความเย็นที่ใช้แอมโมเนียเป็นสารทําความเย็น, อนาคตอุตสาหกรรมไทยกับความปลอดภัยทางชีวภาพ, และการประยุกต์ใช้ Computer Simulation และเทคโนโลยี 4.0
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22728
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 63 พุทธศักราช 2562
วันพุธที่ 16 มกราคม 2562 สาร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 63 พุทธศักราช 2562 สาร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 63 พุทธศักราช 2562 เนื่องในโอกาสวันครู วันที่ 16 มกราคม 2562 ได้เวียนมาบรรจบอีกคํารบหนึ่ง ผมขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศที่เป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาการศึกษาของชาติตลอดมา “ครู” เป็นผู้ทรงคุณค่าที่มีบทบาทสําคัญต่อกระบวนการการสร้างทรัพยากรบุคคลของชาติ ในฐานะผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้พร้อมอบรมสั่งสอน บ่มเพาะเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ มีจิตสํานึกและค่านิยมที่ดี ผมได้มอบคําขวัญวันครู ประจําปีพุทธศักราช 2562 ว่า “ครูดี ศิษย์ดี มีพัฒนา ก้าวหน้าสู่เทคโนโลยี” เพื่อให้ครูได้ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ในการเป็นต้นแบบที่ดีให้แก่ศิษย์ ตลอดจนมีความมั่งมุ่นในการพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพและสามารถปรับตัวให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ซึ่งผมขอเป็นกําลังใจให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกท่าน ที่มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งในการพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยให้พร้อมเติบโตเป็นพลเมืองดีและเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงต่อไป ในโอกาสนี้ ผมขออารธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และอํานาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย อีกทั้งเดชะพระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดอภิบาลประทานพรให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกท่าน จงประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการ และสัมฤทธิ์ผลในสิ่งที่พึงปรารถนาโดยทั่วกัน ........................................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 63 พุทธศักราช 2562 วันพุธที่ 16 มกราคม 2562 สาร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 63 พุทธศักราช 2562 สาร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 63 พุทธศักราช 2562 เนื่องในโอกาสวันครู วันที่ 16 มกราคม 2562 ได้เวียนมาบรรจบอีกคํารบหนึ่ง ผมขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศที่เป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาการศึกษาของชาติตลอดมา “ครู” เป็นผู้ทรงคุณค่าที่มีบทบาทสําคัญต่อกระบวนการการสร้างทรัพยากรบุคคลของชาติ ในฐานะผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้พร้อมอบรมสั่งสอน บ่มเพาะเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ มีจิตสํานึกและค่านิยมที่ดี ผมได้มอบคําขวัญวันครู ประจําปีพุทธศักราช 2562 ว่า “ครูดี ศิษย์ดี มีพัฒนา ก้าวหน้าสู่เทคโนโลยี” เพื่อให้ครูได้ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ในการเป็นต้นแบบที่ดีให้แก่ศิษย์ ตลอดจนมีความมั่งมุ่นในการพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพและสามารถปรับตัวให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ซึ่งผมขอเป็นกําลังใจให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกท่าน ที่มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งในการพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยให้พร้อมเติบโตเป็นพลเมืองดีและเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงต่อไป ในโอกาสนี้ ผมขออารธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และอํานาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย อีกทั้งเดชะพระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดอภิบาลประทานพรให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกท่าน จงประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการ และสัมฤทธิ์ผลในสิ่งที่พึงปรารถนาโดยทั่วกัน ........................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18156