title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในงาน “Biennial BIIA Conference 2017”
|
วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม 2560
รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในงาน “Biennial BIIA Conference 2017”
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “การแปลงข้อมูลดิจิทัลมาใช้งาน (Embracing Digitization)” ในงานประชุม “Biennial BIIA (Business Information Industry Association) Conference 2017” ซึ่งสมาคมอุตสาหกรรมข้อมูลเชิงธุรกิจ (BIIA) จัดขึ้น ภายใต้แนวคิด “Embracing Digitization” เพื่อการรับมือกับความท้าทายต่างๆ ของการหลอมรวมในระบบนิเวศเครดิต (Credit Ecosystem) ซึ่งเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี การทําข้อมูลเป็นระบบดิจิทัล การเข้าถึงบริการทางการเงินของผู้บริโภค โดยประเทศไทยพยายามนํานวัตกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาใช้งานอยู่เสมอ ซึ่งทําให้ประเทศมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกและสร้างประโยชน์มากมายให้แก่ประชาชนชาวไทย โดยทําให้สามารถสร้างผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและใช้ต้นทุนให้เกิดความคุ้มค่ามากขึ้น สามารถสร้างผลกําไรให้แก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ มีผู้ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมข้อมูลทางธุรกิจและเครดิต รวมถึงผู้กําหนดนโยบายและผู้ร่างกฎหมายเข้าร่วมการประชุมฯ เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2560 ณ โรงแรมดิโอกุระ เพรสทีจ ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
**********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในงาน “Biennial BIIA Conference 2017”
วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม 2560
รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในงาน “Biennial BIIA Conference 2017”
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “การแปลงข้อมูลดิจิทัลมาใช้งาน (Embracing Digitization)” ในงานประชุม “Biennial BIIA (Business Information Industry Association) Conference 2017” ซึ่งสมาคมอุตสาหกรรมข้อมูลเชิงธุรกิจ (BIIA) จัดขึ้น ภายใต้แนวคิด “Embracing Digitization” เพื่อการรับมือกับความท้าทายต่างๆ ของการหลอมรวมในระบบนิเวศเครดิต (Credit Ecosystem) ซึ่งเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี การทําข้อมูลเป็นระบบดิจิทัล การเข้าถึงบริการทางการเงินของผู้บริโภค โดยประเทศไทยพยายามนํานวัตกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาใช้งานอยู่เสมอ ซึ่งทําให้ประเทศมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกและสร้างประโยชน์มากมายให้แก่ประชาชนชาวไทย โดยทําให้สามารถสร้างผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและใช้ต้นทุนให้เกิดความคุ้มค่ามากขึ้น สามารถสร้างผลกําไรให้แก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ มีผู้ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมข้อมูลทางธุรกิจและเครดิต รวมถึงผู้กําหนดนโยบายและผู้ร่างกฎหมายเข้าร่วมการประชุมฯ เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2560 ณ โรงแรมดิโอกุระ เพรสทีจ ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
**********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7516
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ชื่นชมเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สู้ชีวิต รับจ้างกรีดยาง เพื่อช่วยเหลือครอบครัว ที่ จ.ตรัง และกำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวหญิงชราวัย 79 ปี ที่ จ.บุรีรัมย์
|
วันศุกร์ที่ 1 กันยายน 2560
รมว.พม. ชื่นชมเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สู้ชีวิต รับจ้างกรีดยาง เพื่อช่วยเหลือครอบครัว ที่ จ.ตรัง และกําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวหญิงชราวัย 79 ปี ที่ จ.บุรีรัมย์
รมว.พม. ชื่นชมเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สู้ชีวิต รับจ้างกรีดยาง เพื่อช่วยเหลือครอบครัว ที่ จ.ตรัง และกําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวหญิงชราวัย 79 ปี ต้องรับภาระเลี้ยงดูสามีแก่ชรา ที่พิการเดินไม่ได้ และตาบอดทั้ง 2 ข้าง ที่ จ.บุรีรัมย์
วันนี้ (1 ก.ย. 60) เวลา 07.45 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 704/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า จากกรณีเด็กหนุ่มวัย 16 ปี นักเรียนชั้น ม.5 ครอบครัวมีฐานะยากจน แต่สู้ชีวิต รับจ้างทํางานทุกอย่าง ทั้งกรีดยางพารา เก็บน้ํายาง และนําของไปขายที่โรงเรียน เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว และต้องดูแลอีก 2 ชีวิต ทั้งแม่วัย 52 ปี ที่มีอาการป่วยทางจิต บางครั้งหากเกิดอาการคลุ้มคลั่งจะทุบตีทําร้ายร่างกายเด็กชายและยายแก่ชราวัย 85 ปี ที่อําเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง นั้น ตนขอชื่นชมเด็กหนุ่มดังกล่าวที่มีความขยันหมั่นเพียร กตัญญู มุมานะอดทน มีความตั้งใจช่วยเหลือครอบครัว โดยไม่ย่อท้อต่อความยากลําบาก นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดตรัง (พมจ.ตรัง) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยของผู้เป็นแม่อย่างใกล้ชิด และช่วยเหลือเรื่องการศึกษาของเด็กอย่างต่อเนื่องในระยะยาว รวมทั้งให้คําแนะนําปรึกษาในเรื่องการขอรับสิทธิสวัสดิการสังคมของผู้สูงอายุตามความเหมาะสม และการส่งเสริมการประกอบอาชีพให้แก่เด็กหนุ่ม เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกรณีหญิงชราวัย 79 ปี ต้องรับภาระเพียงลําพังดูแลอีก 2 ชีวิต ทั้งสามีแก่ชราวัย 85 ปี พิการเดินไม่ได้ และตาบอดทั้ง 2 ข้าง ร่างกายผอมซูบ และลูกชายที่ป่วยมีสติไม่สมประกอบ มักมีอาการคุ้มคลั่งบ่อยครั้ง ครอบครัวมีฐานะยากจน ทั้ง 3 ชีวิต อาศัยในบ้านไม้สภาพเก่าทรุดโทรมใกล้ผุพัง ที่อําเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดบุรีรัมย์ (พมจ.บุรีรัมย์) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวทั้งหมดดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลผู้ป่วยทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง และปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้ถูกสุขลักษณะ มีความมั่นคง และปลอดภัยเหมาะกับคนพิการและผู้ป่วย นอกจากนี้ ยังให้คําแนะนําปรึกษาในเรื่องการขอรับสิทธิสวัสดิการสังคมของเด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการตามกฎหมายอย่างเหมาะสม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ชื่นชมเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สู้ชีวิต รับจ้างกรีดยาง เพื่อช่วยเหลือครอบครัว ที่ จ.ตรัง และกำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวหญิงชราวัย 79 ปี ที่ จ.บุรีรัมย์
วันศุกร์ที่ 1 กันยายน 2560
รมว.พม. ชื่นชมเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สู้ชีวิต รับจ้างกรีดยาง เพื่อช่วยเหลือครอบครัว ที่ จ.ตรัง และกําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวหญิงชราวัย 79 ปี ที่ จ.บุรีรัมย์
รมว.พม. ชื่นชมเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สู้ชีวิต รับจ้างกรีดยาง เพื่อช่วยเหลือครอบครัว ที่ จ.ตรัง และกําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวหญิงชราวัย 79 ปี ต้องรับภาระเลี้ยงดูสามีแก่ชรา ที่พิการเดินไม่ได้ และตาบอดทั้ง 2 ข้าง ที่ จ.บุรีรัมย์
วันนี้ (1 ก.ย. 60) เวลา 07.45 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 704/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า จากกรณีเด็กหนุ่มวัย 16 ปี นักเรียนชั้น ม.5 ครอบครัวมีฐานะยากจน แต่สู้ชีวิต รับจ้างทํางานทุกอย่าง ทั้งกรีดยางพารา เก็บน้ํายาง และนําของไปขายที่โรงเรียน เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว และต้องดูแลอีก 2 ชีวิต ทั้งแม่วัย 52 ปี ที่มีอาการป่วยทางจิต บางครั้งหากเกิดอาการคลุ้มคลั่งจะทุบตีทําร้ายร่างกายเด็กชายและยายแก่ชราวัย 85 ปี ที่อําเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง นั้น ตนขอชื่นชมเด็กหนุ่มดังกล่าวที่มีความขยันหมั่นเพียร กตัญญู มุมานะอดทน มีความตั้งใจช่วยเหลือครอบครัว โดยไม่ย่อท้อต่อความยากลําบาก นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดตรัง (พมจ.ตรัง) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยของผู้เป็นแม่อย่างใกล้ชิด และช่วยเหลือเรื่องการศึกษาของเด็กอย่างต่อเนื่องในระยะยาว รวมทั้งให้คําแนะนําปรึกษาในเรื่องการขอรับสิทธิสวัสดิการสังคมของผู้สูงอายุตามความเหมาะสม และการส่งเสริมการประกอบอาชีพให้แก่เด็กหนุ่ม เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกรณีหญิงชราวัย 79 ปี ต้องรับภาระเพียงลําพังดูแลอีก 2 ชีวิต ทั้งสามีแก่ชราวัย 85 ปี พิการเดินไม่ได้ และตาบอดทั้ง 2 ข้าง ร่างกายผอมซูบ และลูกชายที่ป่วยมีสติไม่สมประกอบ มักมีอาการคุ้มคลั่งบ่อยครั้ง ครอบครัวมีฐานะยากจน ทั้ง 3 ชีวิต อาศัยในบ้านไม้สภาพเก่าทรุดโทรมใกล้ผุพัง ที่อําเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดบุรีรัมย์ (พมจ.บุรีรัมย์) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวทั้งหมดดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลผู้ป่วยทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง และปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้ถูกสุขลักษณะ มีความมั่นคง และปลอดภัยเหมาะกับคนพิการและผู้ป่วย นอกจากนี้ ยังให้คําแนะนําปรึกษาในเรื่องการขอรับสิทธิสวัสดิการสังคมของเด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการตามกฎหมายอย่างเหมาะสม
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6359
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมการจัดงานพระราชพิธีพืชมงคลฯ ประจำปีพุทธศักราช 2561
|
วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม 2561
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมการจัดงานพระราชพิธีพืชมงคลฯ ประจําปีพุทธศักราช 2561
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมการจัดงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจําปีพุทธศักราช 2561 เพื่อความเป็นสิริมงคลและบํารุงขวัญแก่เกษตรกรไทย
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมการจัดงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจําปีพุทธศักราช 2561 ซึ่งในปีนี้ปฏิทินหลวงได้กําหนดวันพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประกอบด้วยพระราชพิธี 2 พิธีรวมกัน คือ พระราชพิธีพืชมงคล อันเป็นพิธีสงฆ์ เป็นวันสวดมนต์เริ่มการพระราชพิธีพืชมงคล ประกอบพระราชพิธี ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กําหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 2561 ตั้งแต่เวลา 15.00 น. และถือเป็นวันเกษตรกรด้วย สําหรับในวันถัดมาของการประกอบพระราชพิธี คือ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (วันไถหว่าน) อันเป็นพิธีพราหมณ์ จะประกอบพระราชพิธีในวันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม 2561 ฤกษ์ไถหว่านระหว่างเวลา เวลา 08.29 - 09.19 น. ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ถือเป็นพระราชพิธีซึ่งกระทําขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคลและส่งเสริมบํารุงขวัญเกษตรกร เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการเพาะปลูก โดยกําหนดจัดขึ้นในราวเดือนหกของทุกปีอันถือเป็นเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มต้นฤดูกาลแห่งการทํานา
ในปีพุทธศักราช 2561 นี้ ผู้ทําหน้าที่พระยาแรกนา คือ นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทําหน้าที่พระยาแรกนา เทพีคู่หาบทอง ได้แก่ นางสาวพรพิมล ศิริการ นักวิชาการเกษตรชํานาญการ กรมส่งเสริมการเกษตร นางสาวนันทวัน สุวรรณสถิตย์ นักวิชาการสิ่งแวดล้อมชํานาญการ กรมชลประทาน เทพีคู่หาบเงิน ได้แก่ นางสาวกันยารัตน์ นาคกูล นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชํานาญการ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางสาวดวงพร งามประดิษฐ์ นักจัดการงานทั่วไปปฏิบัติการ กรมวิชาการเกษตร คู่เคียง มีจํานวน 16 ราย และผู้เชิญเครื่องอิสริยยศ จํานวน 4 ราย พระโคแรกนา ได้แก่ พระโคพอ พระโคเพียง พระโคสํารอง ได้แก่ พระโคเพิ่ม และพระโคพูล
อนึ่ง ในปีนี้กรมการข้าวซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดําเนินการปลูกข้าว ณ แปลงนาทดลองในโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาในฤดูนาปี 2560 ได้ขอพระราชทานพันธุ์ข้าวทรงปลูกพระราชทานทั้งหมด 7 พันธุ์ เพื่อใช้ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจําปี 2561 ประกอบด้วย ปทุมธานี1, ขาวดอกมะลิ105, สังข์หยดพัทลุง, กข6, กข43, กข57 และ กข71 รวมน้ําหนักเมล็ดพันธุ์ข้าวทั้งสิ้น 1,799 กิโลกรัม และจัดเป็น “พันธุ์ข้าวทรงปลูกพระราชทาน” และบรรจุในซองพลาสติกแจกจ่ายเพื่อเป็นมิ่งขวัญและสิริมงคลในการประกอบอาชีพการเกษตรตามประเพณีนิยม เพื่อให้เป็นไปตามพระราชประสงค์สืบไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมการจัดงานพระราชพิธีพืชมงคลฯ ประจำปีพุทธศักราช 2561
วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม 2561
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมการจัดงานพระราชพิธีพืชมงคลฯ ประจําปีพุทธศักราช 2561
กระทรวงเกษตรฯ เตรียมการจัดงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจําปีพุทธศักราช 2561 เพื่อความเป็นสิริมงคลและบํารุงขวัญแก่เกษตรกรไทย
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมการจัดงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจําปีพุทธศักราช 2561 ซึ่งในปีนี้ปฏิทินหลวงได้กําหนดวันพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประกอบด้วยพระราชพิธี 2 พิธีรวมกัน คือ พระราชพิธีพืชมงคล อันเป็นพิธีสงฆ์ เป็นวันสวดมนต์เริ่มการพระราชพิธีพืชมงคล ประกอบพระราชพิธี ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กําหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 2561 ตั้งแต่เวลา 15.00 น. และถือเป็นวันเกษตรกรด้วย สําหรับในวันถัดมาของการประกอบพระราชพิธี คือ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (วันไถหว่าน) อันเป็นพิธีพราหมณ์ จะประกอบพระราชพิธีในวันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม 2561 ฤกษ์ไถหว่านระหว่างเวลา เวลา 08.29 - 09.19 น. ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ถือเป็นพระราชพิธีซึ่งกระทําขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคลและส่งเสริมบํารุงขวัญเกษตรกร เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการเพาะปลูก โดยกําหนดจัดขึ้นในราวเดือนหกของทุกปีอันถือเป็นเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มต้นฤดูกาลแห่งการทํานา
ในปีพุทธศักราช 2561 นี้ ผู้ทําหน้าที่พระยาแรกนา คือ นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทําหน้าที่พระยาแรกนา เทพีคู่หาบทอง ได้แก่ นางสาวพรพิมล ศิริการ นักวิชาการเกษตรชํานาญการ กรมส่งเสริมการเกษตร นางสาวนันทวัน สุวรรณสถิตย์ นักวิชาการสิ่งแวดล้อมชํานาญการ กรมชลประทาน เทพีคู่หาบเงิน ได้แก่ นางสาวกันยารัตน์ นาคกูล นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชํานาญการ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางสาวดวงพร งามประดิษฐ์ นักจัดการงานทั่วไปปฏิบัติการ กรมวิชาการเกษตร คู่เคียง มีจํานวน 16 ราย และผู้เชิญเครื่องอิสริยยศ จํานวน 4 ราย พระโคแรกนา ได้แก่ พระโคพอ พระโคเพียง พระโคสํารอง ได้แก่ พระโคเพิ่ม และพระโคพูล
อนึ่ง ในปีนี้กรมการข้าวซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดําเนินการปลูกข้าว ณ แปลงนาทดลองในโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาในฤดูนาปี 2560 ได้ขอพระราชทานพันธุ์ข้าวทรงปลูกพระราชทานทั้งหมด 7 พันธุ์ เพื่อใช้ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจําปี 2561 ประกอบด้วย ปทุมธานี1, ขาวดอกมะลิ105, สังข์หยดพัทลุง, กข6, กข43, กข57 และ กข71 รวมน้ําหนักเมล็ดพันธุ์ข้าวทั้งสิ้น 1,799 กิโลกรัม และจัดเป็น “พันธุ์ข้าวทรงปลูกพระราชทาน” และบรรจุในซองพลาสติกแจกจ่ายเพื่อเป็นมิ่งขวัญและสิริมงคลในการประกอบอาชีพการเกษตรตามประเพณีนิยม เพื่อให้เป็นไปตามพระราชประสงค์สืบไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11957
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีรับทราบรายงาน กอนช.เร่งดำเนินการตามแผนการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม
|
วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม 2563
นายกรัฐมนตรีรับทราบรายงาน กอนช.เร่งดําเนินการตามแผนการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาน้ําท่วม
นายกรัฐมนตรีรับทราบรายงาน กอนช.เร่งดําเนินการตามแผนการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาน้ําท่วม
วันนี้ (6 กรกฎาคม 2563) ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์น้ําจากกองอํานวยการน้ําแห่งชาติ (กอนช.) ซึ่งได้เร่งดําเนินการตามแผนการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบปรับปรุงประสิทธิภาพคลองระบายน้ําสถานีสูบน้ําต่างๆ รวมถึงขุดลอกบึงในการรถไฟ 15 ไร่ เพื่อที่จะสามารถรองรับน้ําได้จํานวน 52,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 ก.ค.นี้
แผนในระยะต่อไป กอนช. จะหารือร่วมกับพื้นที่ 5 จังหวัดปริมณฑลวางแผนการบริหารจัดการน้ําร่วมกัน เพื่อวางมาตรการแก้ปัญหาจุดเสี่ยงน้ําท่วมในแต่ละจังหวัด ได้แก่ จังหวัดสมุทรปราการ 7 จุด, จังหวัดสมุทรสาคร 11 จุด, จังหวัดปทุมธานี 24 จุด แบ่งเป็นจุดเสี่ยงจากฝนที่ตกในพื้นที่ 4 จุด จากน้ําเหนือ 20 จุด, จังหวัดนนทบุรี 26 จุด และจังหวัดนครปฐม 38 จุด
นายกรัฐมนตรียังได้กําชับ หากมีน้ําท่วมขังขอให้หน่วยงานต่างๆ เร่งช่วยเหลือ พร้อมระดมเครื่องจักรกลด้านสาธารณภัย สนับสนุนการระบายน้ํา เพื่อแก้ไขปัญหาโดยเร็วที่สุด ช่วงนี้ถดูฝน ทําให้หลายพื้นได้รับผลกระทบ ขอให้ประชาชนระมัดระวัง
----------------------------------
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีรับทราบรายงาน กอนช.เร่งดำเนินการตามแผนการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม
วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม 2563
นายกรัฐมนตรีรับทราบรายงาน กอนช.เร่งดําเนินการตามแผนการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาน้ําท่วม
นายกรัฐมนตรีรับทราบรายงาน กอนช.เร่งดําเนินการตามแผนการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาน้ําท่วม
วันนี้ (6 กรกฎาคม 2563) ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์น้ําจากกองอํานวยการน้ําแห่งชาติ (กอนช.) ซึ่งได้เร่งดําเนินการตามแผนการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบปรับปรุงประสิทธิภาพคลองระบายน้ําสถานีสูบน้ําต่างๆ รวมถึงขุดลอกบึงในการรถไฟ 15 ไร่ เพื่อที่จะสามารถรองรับน้ําได้จํานวน 52,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 ก.ค.นี้
แผนในระยะต่อไป กอนช. จะหารือร่วมกับพื้นที่ 5 จังหวัดปริมณฑลวางแผนการบริหารจัดการน้ําร่วมกัน เพื่อวางมาตรการแก้ปัญหาจุดเสี่ยงน้ําท่วมในแต่ละจังหวัด ได้แก่ จังหวัดสมุทรปราการ 7 จุด, จังหวัดสมุทรสาคร 11 จุด, จังหวัดปทุมธานี 24 จุด แบ่งเป็นจุดเสี่ยงจากฝนที่ตกในพื้นที่ 4 จุด จากน้ําเหนือ 20 จุด, จังหวัดนนทบุรี 26 จุด และจังหวัดนครปฐม 38 จุด
นายกรัฐมนตรียังได้กําชับ หากมีน้ําท่วมขังขอให้หน่วยงานต่างๆ เร่งช่วยเหลือ พร้อมระดมเครื่องจักรกลด้านสาธารณภัย สนับสนุนการระบายน้ํา เพื่อแก้ไขปัญหาโดยเร็วที่สุด ช่วงนี้ถดูฝน ทําให้หลายพื้นได้รับผลกระทบ ขอให้ประชาชนระมัดระวัง
----------------------------------
สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33149
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอฟเอโอ.ชื่นชมความก้าวหน้าการปฏิรูปภาคเกษตรของไทย
|
วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม 2563
เอฟเอโอ.ชื่นชมความก้าวหน้าการปฏิรูปภาคเกษตรของไทย
เอฟเอโอ.ชื่นชมความก้าวหน้าการปฏิรูปภาคเกษตรของไทยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ยืนยันพร้อมสนับสนุนไทยด้านเกษตรปลอดภัยอาหารปลอดภัยรับมือโควิด19
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมาย นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางอุมาพร พิมลบุตร นายพิศาล พงศาพิชณ์ ตัวแทนหน่วยราชการในกระทรวง ให้การต้อนรับ นาย จอง จิน คิม (Mr. Jong-Jin Kim) ผู้ช่วยผู้อํานวยการใหญ่ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ประจําภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก และคณะเข้าเยี่ยมคารวะในโอกาสเข้ารับตําแหน่งใหม่ ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีการหารือครอบคลุมประเด็นความร่วมมืออย่างใกล้ชิด (Hand in Hand initiative) และความร่วมมือแบบหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา (South-South Cooperative Programmed) การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการ และการสนับสนุนโครงการในการพัฒนาด้านการเกษตร ระหว่างFAOกับประเทศไทย ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก รวมทั้งโครงการความร่วมมือด้านการเกษตรภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ( FAO/RAP )ในการประเมินผลกระทบของโรคที่มีต่อภาคการเกษตร (the COVID-19 country assessment of impact and response option on food system, food security and nutrition and livelihoods)โดย FAOมีโครงการสนับสนุนไทยในการแก้ไขปัญหาหลัง COVID และสนับสนุนโครงการความร่วมมือที่มีอยู่เดิมได้แก่ การลดการสูญเสียอาหาร(National Food loss baseline) การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยดินแห่งภูมิภาคเอเชีย (Center of Excellence on Soil Research in Asia : CESRA) และการขึ้นทะเบียนพื้นที่มรดกการเกษตรโลกที่จังหวัดพัทลุงและเพชรบุรี
โดยFAOชื่นชมความก้าวหน้าของการปฎิรูปภาคเกษตรของไทยและยืนยันว่าFAOยินดีสนับสนุนพร้อมทั้งขยายความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับประเทศไทย
ทั้งนี้นายอลงกรณ์ ได้เน้นย้ําถึงนโยบายปฏิรูปภาคเกษตรด้วยเทคโนโลยี่และนวัตกรรมของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนเพื่อการผลิตอาหารปลอดภัย (Food Safety) การจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) และศูนย์ความเป็นเลิศด้านเกษตร (Excellence center) ทั่วทั้งประเทศเป็นเครื่องยนต์ตัวใหม่ในการพัฒนาอย่างยั่งยืนและสอดคล้องกับแนวทางของ FAO เพื่อรับมือโจทย์สําคัญในด้านความมั่นคงทางอาหาร และความปลอดภัยทางอาหารและพร้อมขยายความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯกับFAOตามข้อเสนอที่ทั้ง2ฝ่ายได้ตกลงร่วมกัน
สําหรับการพบหารือของผู้ช่วยผู้อํานวยการใหญ่FAOเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเดินทางเข้าร่วมประชุมความร่วมมือกับทาง FAO ที่สํานักงานใหญ่ที่กรุงโรมของที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯเมื่อปลายปีที่แล้วตามมาด้วยการเดินทางมาเยือนไทยของผู้อํานวยการใหญ่ FAO (นายฉู ตงหยู) เมื่อวันที่ 17 -18 กุมภาพันธ์ 2563 โดยหารือความร่วมมือกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอฟเอโอ.ชื่นชมความก้าวหน้าการปฏิรูปภาคเกษตรของไทย
วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม 2563
เอฟเอโอ.ชื่นชมความก้าวหน้าการปฏิรูปภาคเกษตรของไทย
เอฟเอโอ.ชื่นชมความก้าวหน้าการปฏิรูปภาคเกษตรของไทยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ยืนยันพร้อมสนับสนุนไทยด้านเกษตรปลอดภัยอาหารปลอดภัยรับมือโควิด19
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมาย นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางอุมาพร พิมลบุตร นายพิศาล พงศาพิชณ์ ตัวแทนหน่วยราชการในกระทรวง ให้การต้อนรับ นาย จอง จิน คิม (Mr. Jong-Jin Kim) ผู้ช่วยผู้อํานวยการใหญ่ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ประจําภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก และคณะเข้าเยี่ยมคารวะในโอกาสเข้ารับตําแหน่งใหม่ ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีการหารือครอบคลุมประเด็นความร่วมมืออย่างใกล้ชิด (Hand in Hand initiative) และความร่วมมือแบบหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา (South-South Cooperative Programmed) การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการ และการสนับสนุนโครงการในการพัฒนาด้านการเกษตร ระหว่างFAOกับประเทศไทย ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก รวมทั้งโครงการความร่วมมือด้านการเกษตรภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ( FAO/RAP )ในการประเมินผลกระทบของโรคที่มีต่อภาคการเกษตร (the COVID-19 country assessment of impact and response option on food system, food security and nutrition and livelihoods)โดย FAOมีโครงการสนับสนุนไทยในการแก้ไขปัญหาหลัง COVID และสนับสนุนโครงการความร่วมมือที่มีอยู่เดิมได้แก่ การลดการสูญเสียอาหาร(National Food loss baseline) การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยดินแห่งภูมิภาคเอเชีย (Center of Excellence on Soil Research in Asia : CESRA) และการขึ้นทะเบียนพื้นที่มรดกการเกษตรโลกที่จังหวัดพัทลุงและเพชรบุรี
โดยFAOชื่นชมความก้าวหน้าของการปฎิรูปภาคเกษตรของไทยและยืนยันว่าFAOยินดีสนับสนุนพร้อมทั้งขยายความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับประเทศไทย
ทั้งนี้นายอลงกรณ์ ได้เน้นย้ําถึงนโยบายปฏิรูปภาคเกษตรด้วยเทคโนโลยี่และนวัตกรรมของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนเพื่อการผลิตอาหารปลอดภัย (Food Safety) การจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) และศูนย์ความเป็นเลิศด้านเกษตร (Excellence center) ทั่วทั้งประเทศเป็นเครื่องยนต์ตัวใหม่ในการพัฒนาอย่างยั่งยืนและสอดคล้องกับแนวทางของ FAO เพื่อรับมือโจทย์สําคัญในด้านความมั่นคงทางอาหาร และความปลอดภัยทางอาหารและพร้อมขยายความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯกับFAOตามข้อเสนอที่ทั้ง2ฝ่ายได้ตกลงร่วมกัน
สําหรับการพบหารือของผู้ช่วยผู้อํานวยการใหญ่FAOเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเดินทางเข้าร่วมประชุมความร่วมมือกับทาง FAO ที่สํานักงานใหญ่ที่กรุงโรมของที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯเมื่อปลายปีที่แล้วตามมาด้วยการเดินทางมาเยือนไทยของผู้อํานวยการใหญ่ FAO (นายฉู ตงหยู) เมื่อวันที่ 17 -18 กุมภาพันธ์ 2563 โดยหารือความร่วมมือกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33538
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจและรับฟังสภาพปัญหา รร.บนเกาะ จ.สตูล
|
วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2561
ศธ.ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กําลังใจและรับฟังสภาพปัญหา รร.บนเกาะ จ.สตูล
ผู้บริหาร ศธ. มูลนิธิชัยพัฒนา สํานักงบประมาณ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมรับฟังสภาพปัญหา ให้กําลังใจ และหาแนวทางการแก้ปัญหาการบริหารจัดการโรงเรียนในพื้นที่เกาะ จังหวัดสตูล
ผู้บริหาร ศธ.มูลนิธิชัยพัฒนา สํานักงบประมาณ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมรับฟังสภาพปัญหา ให้กําลังใจ และหาแนวทางการแก้ปัญหาการบริหารจัดการโรงเรียนในพื้นที่เกาะ จังหวัดสตูล
เมื่อวันที่ 10-12 มกราคม2561ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย นพ.โศภณ นภาธร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงศึกษาธิการ,นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน,นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, คณะผู้บริหารจากมูลนิธิชัยพัฒนา และผู้แทนจากสํานักงบประมาณ ลงพื้นที่ จ.สตูล เพื่อตรวจเยี่ยมรับฟังสภาพปัญหาในการจัดการศึกษาของโรงเรียนในแต่ละพื้นที่ที่มีบริบทที่แตกต่างกัน พร้อมทั้งติดตามการดําเนินงานของโรงเรียนในการดูแลของมูลนิธิชัยพัฒนา จ.สตูล เพื่อสนองพระราชดําริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงห่วงใยโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่เกาะให้ได้รับการช่วยเหลือทั้งด้านกายภาพ ด้านพัฒนาบุคลากร ด้านการพัฒนานักเรียนอย่างเท่าเทียมกัน
ทั้งนี้ โรงเรียนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เกาะห่างไกลของ จ.สตูล มีจํานวน 10 โรงเรียนได้แก่ โรงเรียนบ้านเกาะบูโหลน โรงเรียนบ้านเกาะอาดัง โรงเรียนบ้านเกาะยะระโตดนุ้ย โรงเรียนบ้านสาหร่ายชัยพัฒนา โรงเรียนบ้านตันหยงกลิง โรงเรียนบ้านตันหยงอุมาชัยพัฒนา โรงเรียนบ้านตํามะลังเหนือ โรงเรียนบ้านเกาะยาว โรงเรียนบ้านตันหยงกาโบยชัยพัฒนา โรงเรียนบ้านทุ่งสภากาชาดอุปถัมภ์ โรงเรียนเพียงหลวง 4 ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และโรงเรียนบ้านตํามะลังใต้
ซึ่งโรงเรียนทั้ง 10 แห่ง แต่ละแห่งตั้งอยู่ในพื้นที่เกาะดังนี้ ต.ปูยู อ.เมืองสตูล มีสภาพเป็นเกาะห่างจากฝั่งประมาณ 6 - 8 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของโรงเรียนบ้านเกาะยาวและโรงเรียนบ้านตันหยงกาบูชัยพัฒนา พื้นที่ ต.เกาะสาหร่าย อ.เมืองสตูลมี สภาพเป็นเกาะใหญ่ 4 เกาะ ไกลสุดคือ เกาะหลีเป๊ะห่างจากฝั่งประมาณ 60 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของโรงเรียนบ้านเกาะอาดัง ส่วนโรงเรียนที่อยู่ใกล้ฝัง ประมาณ 8 - 12 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของโรงเรียนบ้านตันหยงอุมา โรงเรียนบ้านตันหยงกลิงโรงเรียนบ้านเกาะระยะโตดนุ้ย และโรงเรียนบ้านเกาะศาลาชัยพัฒนา พื้นที่เกาะอีกแห่งหนึ่ง คือ เกาะบูโหลนต.ปากน้ํา อ.ละงู เป็นพื้นที่ตั้งของโรงเรียนเกาะบูโหลนดอนและเกาะบูโหลนเล อยู่ห่างจากฝั่งประมาณ 18 กิโลเมตร
ม.ล.ปริยดา ดิศกุลเปิดเผยถึงการลงพื้นที่ในครั้งนี้ว่า ต้องการมารับทราบปัญหาการจัดการเรียนการสอน รวมทั้งลงพื้นที่ตรวจสอบระบบสัญญาณอินเทอร์เน็ต ตลอดจนดูแลปัญหาการจัดการเรียนการสอนและตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์ต่าง ๆ ของการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมให้สามารถใช้ในการเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพในฐานะกรรมการมูลนิธิทางไกลผ่านดาวเทียมอีกด้วย
อีกเรื่องที่สําคัญ คือ จะหาแนวทางในการส่งเสริมอาชีพเสริมที่เหมาะกับบริบทของพื้นที่เนื่องจากบางเกาะจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นจํานวนมาก จึงมีแนวคิดที่จะรับสมัครอาสาสมัครสอนภาษาอังกฤษ โดยใช้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวในประเทศในช่วงเวลาพักผ่อนระยะเวลาประมาณ1เดือนให้เข้ามาช่วยสอนภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนบนเกาะ เพื่อเด็กจะได้มีอาชีพเป็นมัคคุเทศก์แนะนํานักท่องเที่ยวให้ทราบเรื่องราวของแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ได้ด้วย
นายบุญรักษ์ ยอดเพชรกล่าวว่าจากการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ทําให้ได้เห็นว่าอะไรควรจะต้องจัดการอย่างไรในเรื่องของปัจจัยพื้นฐานด้านกายภาพ โดยเฉพาะอาคารเรียน สื่อการเรียนการสอน และระบบไฟฟ้าน้ําประปา พบว่าสําหรับพื้นที่เกาะนั้นสิ่งที่ประสบอยู่ปัญหามากที่สุดคือ เรื่องของไฟฟ้าที่ใช้โซล่าเซลล์ ซึ่งไม่มีความเสถียร และบางครั้งก็ใช้งานไม่ได้เนื่องจากเสื่อมสภาพ ทําให้เกิดปัญหาการเรียนการสอนโดยเฉพาะการสอนทางไกลผ่านดาวเทียม ซึ่งถือเป็นนโยบายที่สําคัญของกระทรวงศึกษาธิการ นอกจากนี้ยังมีระบบ Hi-SpeedInternet ซึ่งเป็นเรื่องสําคัญตามนโยบายของ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ต้องการมอบให้กับโรงเรียนทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อให้นักเรียนสามารถเข้าถึงความรู้ และครูจะได้ใช้ในการเรียนการสอน แต่หากไม่มีไฟฟ้า ทุกอย่างก็หยุดหมด
นอกจากนี้ ยังพบปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการของโรงเรียนที่อยู่บนเกาะโดยต้องเดินทางไปทางเรือซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมาก และไม่สามารถที่จะเดินทางไปกลับได้ในวันเดียว ทําให้ต้องจ่ายค่าที่พักเพิ่ม หากโรงเรียนมีค่าใช้จ่ายในการไปราชการสูง จะทําให้กระทบกับงบประมาณที่ใช้ในการพัฒนาคุณภาพนักเรียน เนื่องจากเป็นงบประมาณรวมที่เรียกว่าเงินอุดหนุนรายหัวจะได้เท่ากันหมดทุกโรงเรียน แต่ปัจจุบันนี้โรงเรียนขนาดเล็กได้เงินท็อปอัพคนละ 500 บาท โรงเรียนบนเกาะจึงควรได้รับการสนับสนุนเงินท็อปอัพเพิ่มเติมนอกจากเงินรายหัวปกติซึ่งรวมไปถึงโรงเรียนที่อยู่บนดอยหรือเกาะแก่งอื่น ๆ แต่คงต้องไปดูสภาพจริงว่าควรจะเพิ่มเท่าไหร่ ทั้งนี้ เมื่อได้ข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์วิจัยเรียบร้อยแล้ว จะนําเข้าที่ประชุมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อพิจารณาว่าจะดําเนินการการในเรื่องนี้อย่างไรให้เกิดความเท่าเทียมกันทั้งประเทศแต่ก็ต้องดูผลกระทบกับงบประมาณแผ่นดินด้วย
"สภาพที่เห็นขณะนี้เราได้เห็นภาพเดียวกันแล้วจะบริหารจัดการอย่างไร เราก็จะเสนอรายละเอียดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาอีกครั้ง เพราะทุกคนมีความตั้งใจที่จะทําให้ประเทศไทยของเรามีความเท่าเทียมกันในเรื่องของการศึกษา ซึ่งความเหลื่อมล้ําทางการศึกษาไม่ได้เกิดขึ้นจากฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวของเด็กอย่างเดียว แต่เกิดจากความเหลื่อมล้ําในถิ่นที่ตั้งของเด็กด้วย บางครั้งทุกคนมีความพร้อมมีความเก่ง แต่ขาดโอกาสเพราะอยู่ไกล ทําให้เกิดความไม่เท่าเทียมด้านการศึกษา เราต้องดูว่าเราจะบริหารอย่างไร"
นายบุญรักษ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่พบอีกประการคือ เรื่องของขวัญกําลังใจของครูที่ยังขาดโอกาสในเรื่องความก้าวหน้า เนื่องจากไม่สามารถเดินทางไปอบรมเพื่อพัฒนาตัวเอง สิ่งที่สามารถทําได้ในขณะนี้คือจะต้องเร่งดําเนินการ Hi-SpeedInternet เพื่อให้ครูสามารถเรียนรู้พัฒนาตนเองได้ทุกที่ทุกเวลา นอกจากนี้ยังมีเรื่องของโอกาสในการรับราชการของครูอัตราจ้างในพื้นที่เกาะที่ห่างไกล ครูที่อยู่บนดอย หรือแม้กระทั่งครูที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีความยุ่งยากในการปฏิบัติงาน การเตรียมตัวสอบให้เหมือนคนอื่นนั้นไม่ได้มีเวลามากนัก และยังมีองค์ประกอบของชีวิตที่ยุ่งยาก บางครั้งก็เสี่ยงอันตรายมากกว่าครูปกติ จึงจะต้องหาทางช่วยเหลือเพื่อสร้างความเท่าเทียมทางโอกาสให้กับครูกลุ่มนี้ด้วย
ในส่วนของคุณภาพการเรียนการสอน พบสิ่งที่เราพอใจ เนื่องจากโรงเรียนบนเกาะได้ใช้สื่อการเรียนการสอน 60 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเป็นสื่อที่ออกแบบมาสําหรับครูที่ไม่ได้จบครูโดยตรงก็สามารถสอนได้ เป็นสื่อที่มีความบูรณ์ โดยจะมีรายละเอียดกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน และสามารถใช้ได้ผลกับโรงเรียนขนาดเล็ก และโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล และขณะกําลังจะขยายผลสู่โรงเรียนอื่นต่อไป
นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์กล่าวว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อดูว่าได้มีการดูแลถึงโรงเรียนทั่วถึงหรือไม่ ซึ่งโรงเรียนบนเกาะมีปัญหาในเรื่องของการเดินทาง และประชาชนเป็นชาวเล การจัดการบริหารการเรียนการสอนอาจจะต้องมีความแตกต่างกับพื้นที่ปกติ หลังจากลงพื้นที่ครั้งนี้ สพฐ.จะต้องทําทุกอย่างให้ระบบอินเทอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์ให้เพียงพอ ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมในขณะนี้คือ คอมพิวเตอร์พกพา (Notebook) จะเหมาะสมมากกว่า คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ PC (Personal Computer) พร้อมกับประชาชนควรได้รับการส่งเสริมอาชีพอื่น ๆ นอกเหนือจากอาชีพการประมงและรับจ้าง
ม.ล.ปริยดา กล่าวย้ําถึงการลงพื้นที่ครั้งนี้ด้วยว่าปัญหาความเหลื่อมล้ําด้านคุณภาพการศึกษาของเด็กชนบทกับในเมือง เกิดช่องว่างกันมาก เนื่องจากเด็กในเมืองได้เรียนรู้ในโรงเรียนที่มีความพร้อมกว่า แต่สําหรับเด็กชนบท โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลตามเกาะแก่ง ภูเขา บนดอย ตะเข็บชายแดน หรือพื้นที่พิเศษ จะขาดโอกาสในการพัฒนาทุกด้าน ผลกระทบจึงเกิดต่อคุณภาพชีวิตของเด็กและคุณภาพการศึกษาของชาติในภาพรวม
ดังนั้นรัฐบาลโดยกระทรวงศึกษาธิการจะรวบรวมข้อมูลจากการลงพื้นที่ครั้งนี้ เพื่อเร่งหาแนวทางในการแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวให้เกิดความยั่งยืนต่อไป
อิชยา กัปปา:สรุป
บัลลังก์ โรหิตเสถียร:เรียบเรียง
ธนภัทร จันทร์ห้างหว้า:ถ่ายภาพ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจและรับฟังสภาพปัญหา รร.บนเกาะ จ.สตูล
วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2561
ศธ.ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กําลังใจและรับฟังสภาพปัญหา รร.บนเกาะ จ.สตูล
ผู้บริหาร ศธ. มูลนิธิชัยพัฒนา สํานักงบประมาณ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมรับฟังสภาพปัญหา ให้กําลังใจ และหาแนวทางการแก้ปัญหาการบริหารจัดการโรงเรียนในพื้นที่เกาะ จังหวัดสตูล
ผู้บริหาร ศธ.มูลนิธิชัยพัฒนา สํานักงบประมาณ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมรับฟังสภาพปัญหา ให้กําลังใจ และหาแนวทางการแก้ปัญหาการบริหารจัดการโรงเรียนในพื้นที่เกาะ จังหวัดสตูล
เมื่อวันที่ 10-12 มกราคม2561ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย นพ.โศภณ นภาธร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงศึกษาธิการ,นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน,นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, คณะผู้บริหารจากมูลนิธิชัยพัฒนา และผู้แทนจากสํานักงบประมาณ ลงพื้นที่ จ.สตูล เพื่อตรวจเยี่ยมรับฟังสภาพปัญหาในการจัดการศึกษาของโรงเรียนในแต่ละพื้นที่ที่มีบริบทที่แตกต่างกัน พร้อมทั้งติดตามการดําเนินงานของโรงเรียนในการดูแลของมูลนิธิชัยพัฒนา จ.สตูล เพื่อสนองพระราชดําริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงห่วงใยโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่เกาะให้ได้รับการช่วยเหลือทั้งด้านกายภาพ ด้านพัฒนาบุคลากร ด้านการพัฒนานักเรียนอย่างเท่าเทียมกัน
ทั้งนี้ โรงเรียนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เกาะห่างไกลของ จ.สตูล มีจํานวน 10 โรงเรียนได้แก่ โรงเรียนบ้านเกาะบูโหลน โรงเรียนบ้านเกาะอาดัง โรงเรียนบ้านเกาะยะระโตดนุ้ย โรงเรียนบ้านสาหร่ายชัยพัฒนา โรงเรียนบ้านตันหยงกลิง โรงเรียนบ้านตันหยงอุมาชัยพัฒนา โรงเรียนบ้านตํามะลังเหนือ โรงเรียนบ้านเกาะยาว โรงเรียนบ้านตันหยงกาโบยชัยพัฒนา โรงเรียนบ้านทุ่งสภากาชาดอุปถัมภ์ โรงเรียนเพียงหลวง 4 ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และโรงเรียนบ้านตํามะลังใต้
ซึ่งโรงเรียนทั้ง 10 แห่ง แต่ละแห่งตั้งอยู่ในพื้นที่เกาะดังนี้ ต.ปูยู อ.เมืองสตูล มีสภาพเป็นเกาะห่างจากฝั่งประมาณ 6 - 8 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของโรงเรียนบ้านเกาะยาวและโรงเรียนบ้านตันหยงกาบูชัยพัฒนา พื้นที่ ต.เกาะสาหร่าย อ.เมืองสตูลมี สภาพเป็นเกาะใหญ่ 4 เกาะ ไกลสุดคือ เกาะหลีเป๊ะห่างจากฝั่งประมาณ 60 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของโรงเรียนบ้านเกาะอาดัง ส่วนโรงเรียนที่อยู่ใกล้ฝัง ประมาณ 8 - 12 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของโรงเรียนบ้านตันหยงอุมา โรงเรียนบ้านตันหยงกลิงโรงเรียนบ้านเกาะระยะโตดนุ้ย และโรงเรียนบ้านเกาะศาลาชัยพัฒนา พื้นที่เกาะอีกแห่งหนึ่ง คือ เกาะบูโหลนต.ปากน้ํา อ.ละงู เป็นพื้นที่ตั้งของโรงเรียนเกาะบูโหลนดอนและเกาะบูโหลนเล อยู่ห่างจากฝั่งประมาณ 18 กิโลเมตร
ม.ล.ปริยดา ดิศกุลเปิดเผยถึงการลงพื้นที่ในครั้งนี้ว่า ต้องการมารับทราบปัญหาการจัดการเรียนการสอน รวมทั้งลงพื้นที่ตรวจสอบระบบสัญญาณอินเทอร์เน็ต ตลอดจนดูแลปัญหาการจัดการเรียนการสอนและตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์ต่าง ๆ ของการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมให้สามารถใช้ในการเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพในฐานะกรรมการมูลนิธิทางไกลผ่านดาวเทียมอีกด้วย
อีกเรื่องที่สําคัญ คือ จะหาแนวทางในการส่งเสริมอาชีพเสริมที่เหมาะกับบริบทของพื้นที่เนื่องจากบางเกาะจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นจํานวนมาก จึงมีแนวคิดที่จะรับสมัครอาสาสมัครสอนภาษาอังกฤษ โดยใช้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวในประเทศในช่วงเวลาพักผ่อนระยะเวลาประมาณ1เดือนให้เข้ามาช่วยสอนภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนบนเกาะ เพื่อเด็กจะได้มีอาชีพเป็นมัคคุเทศก์แนะนํานักท่องเที่ยวให้ทราบเรื่องราวของแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ได้ด้วย
นายบุญรักษ์ ยอดเพชรกล่าวว่าจากการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ทําให้ได้เห็นว่าอะไรควรจะต้องจัดการอย่างไรในเรื่องของปัจจัยพื้นฐานด้านกายภาพ โดยเฉพาะอาคารเรียน สื่อการเรียนการสอน และระบบไฟฟ้าน้ําประปา พบว่าสําหรับพื้นที่เกาะนั้นสิ่งที่ประสบอยู่ปัญหามากที่สุดคือ เรื่องของไฟฟ้าที่ใช้โซล่าเซลล์ ซึ่งไม่มีความเสถียร และบางครั้งก็ใช้งานไม่ได้เนื่องจากเสื่อมสภาพ ทําให้เกิดปัญหาการเรียนการสอนโดยเฉพาะการสอนทางไกลผ่านดาวเทียม ซึ่งถือเป็นนโยบายที่สําคัญของกระทรวงศึกษาธิการ นอกจากนี้ยังมีระบบ Hi-SpeedInternet ซึ่งเป็นเรื่องสําคัญตามนโยบายของ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ต้องการมอบให้กับโรงเรียนทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อให้นักเรียนสามารถเข้าถึงความรู้ และครูจะได้ใช้ในการเรียนการสอน แต่หากไม่มีไฟฟ้า ทุกอย่างก็หยุดหมด
นอกจากนี้ ยังพบปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการของโรงเรียนที่อยู่บนเกาะโดยต้องเดินทางไปทางเรือซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมาก และไม่สามารถที่จะเดินทางไปกลับได้ในวันเดียว ทําให้ต้องจ่ายค่าที่พักเพิ่ม หากโรงเรียนมีค่าใช้จ่ายในการไปราชการสูง จะทําให้กระทบกับงบประมาณที่ใช้ในการพัฒนาคุณภาพนักเรียน เนื่องจากเป็นงบประมาณรวมที่เรียกว่าเงินอุดหนุนรายหัวจะได้เท่ากันหมดทุกโรงเรียน แต่ปัจจุบันนี้โรงเรียนขนาดเล็กได้เงินท็อปอัพคนละ 500 บาท โรงเรียนบนเกาะจึงควรได้รับการสนับสนุนเงินท็อปอัพเพิ่มเติมนอกจากเงินรายหัวปกติซึ่งรวมไปถึงโรงเรียนที่อยู่บนดอยหรือเกาะแก่งอื่น ๆ แต่คงต้องไปดูสภาพจริงว่าควรจะเพิ่มเท่าไหร่ ทั้งนี้ เมื่อได้ข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์วิจัยเรียบร้อยแล้ว จะนําเข้าที่ประชุมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อพิจารณาว่าจะดําเนินการการในเรื่องนี้อย่างไรให้เกิดความเท่าเทียมกันทั้งประเทศแต่ก็ต้องดูผลกระทบกับงบประมาณแผ่นดินด้วย
"สภาพที่เห็นขณะนี้เราได้เห็นภาพเดียวกันแล้วจะบริหารจัดการอย่างไร เราก็จะเสนอรายละเอียดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาอีกครั้ง เพราะทุกคนมีความตั้งใจที่จะทําให้ประเทศไทยของเรามีความเท่าเทียมกันในเรื่องของการศึกษา ซึ่งความเหลื่อมล้ําทางการศึกษาไม่ได้เกิดขึ้นจากฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวของเด็กอย่างเดียว แต่เกิดจากความเหลื่อมล้ําในถิ่นที่ตั้งของเด็กด้วย บางครั้งทุกคนมีความพร้อมมีความเก่ง แต่ขาดโอกาสเพราะอยู่ไกล ทําให้เกิดความไม่เท่าเทียมด้านการศึกษา เราต้องดูว่าเราจะบริหารอย่างไร"
นายบุญรักษ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่พบอีกประการคือ เรื่องของขวัญกําลังใจของครูที่ยังขาดโอกาสในเรื่องความก้าวหน้า เนื่องจากไม่สามารถเดินทางไปอบรมเพื่อพัฒนาตัวเอง สิ่งที่สามารถทําได้ในขณะนี้คือจะต้องเร่งดําเนินการ Hi-SpeedInternet เพื่อให้ครูสามารถเรียนรู้พัฒนาตนเองได้ทุกที่ทุกเวลา นอกจากนี้ยังมีเรื่องของโอกาสในการรับราชการของครูอัตราจ้างในพื้นที่เกาะที่ห่างไกล ครูที่อยู่บนดอย หรือแม้กระทั่งครูที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีความยุ่งยากในการปฏิบัติงาน การเตรียมตัวสอบให้เหมือนคนอื่นนั้นไม่ได้มีเวลามากนัก และยังมีองค์ประกอบของชีวิตที่ยุ่งยาก บางครั้งก็เสี่ยงอันตรายมากกว่าครูปกติ จึงจะต้องหาทางช่วยเหลือเพื่อสร้างความเท่าเทียมทางโอกาสให้กับครูกลุ่มนี้ด้วย
ในส่วนของคุณภาพการเรียนการสอน พบสิ่งที่เราพอใจ เนื่องจากโรงเรียนบนเกาะได้ใช้สื่อการเรียนการสอน 60 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเป็นสื่อที่ออกแบบมาสําหรับครูที่ไม่ได้จบครูโดยตรงก็สามารถสอนได้ เป็นสื่อที่มีความบูรณ์ โดยจะมีรายละเอียดกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน และสามารถใช้ได้ผลกับโรงเรียนขนาดเล็ก และโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล และขณะกําลังจะขยายผลสู่โรงเรียนอื่นต่อไป
นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์กล่าวว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อดูว่าได้มีการดูแลถึงโรงเรียนทั่วถึงหรือไม่ ซึ่งโรงเรียนบนเกาะมีปัญหาในเรื่องของการเดินทาง และประชาชนเป็นชาวเล การจัดการบริหารการเรียนการสอนอาจจะต้องมีความแตกต่างกับพื้นที่ปกติ หลังจากลงพื้นที่ครั้งนี้ สพฐ.จะต้องทําทุกอย่างให้ระบบอินเทอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์ให้เพียงพอ ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมในขณะนี้คือ คอมพิวเตอร์พกพา (Notebook) จะเหมาะสมมากกว่า คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ PC (Personal Computer) พร้อมกับประชาชนควรได้รับการส่งเสริมอาชีพอื่น ๆ นอกเหนือจากอาชีพการประมงและรับจ้าง
ม.ล.ปริยดา กล่าวย้ําถึงการลงพื้นที่ครั้งนี้ด้วยว่าปัญหาความเหลื่อมล้ําด้านคุณภาพการศึกษาของเด็กชนบทกับในเมือง เกิดช่องว่างกันมาก เนื่องจากเด็กในเมืองได้เรียนรู้ในโรงเรียนที่มีความพร้อมกว่า แต่สําหรับเด็กชนบท โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลตามเกาะแก่ง ภูเขา บนดอย ตะเข็บชายแดน หรือพื้นที่พิเศษ จะขาดโอกาสในการพัฒนาทุกด้าน ผลกระทบจึงเกิดต่อคุณภาพชีวิตของเด็กและคุณภาพการศึกษาของชาติในภาพรวม
ดังนั้นรัฐบาลโดยกระทรวงศึกษาธิการจะรวบรวมข้อมูลจากการลงพื้นที่ครั้งนี้ เพื่อเร่งหาแนวทางในการแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวให้เกิดความยั่งยืนต่อไป
อิชยา กัปปา:สรุป
บัลลังก์ โรหิตเสถียร:เรียบเรียง
ธนภัทร จันทร์ห้างหว้า:ถ่ายภาพ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9387
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายการจากใจนายกรัฐมนตรี
|
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
รายการจากใจนายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรี รัฐบาล อยากให้คนไทยทุกคนได้ช่วยกันสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศที่ได้ทรงพระราชทานไว้ให้กับคนไทย ประเทศไทยมาเป็นระยะเวลายาวนานถึง 70 ปี และขอให้ช่วยกันทําต่อไป
สวัสดีพี่น้องชาวไทยที่รักและเคารพ
วันนี้สิ่งที่รัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีทุกคนเป็นห่วงกังวลอยู่ ก็คือเรื่องของความเศร้าโศกเสียใจ อาลัยของคนไทยทั้งประเทศ ทุกคนก็อยู่ในสภาวะเดียวกันทั้งหมด อยากจะให้กําลังใจกับทุกคน ทุกภาคส่วน ได้ช่วยกันอดทน อดกลั้น ทําหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดต่อไป
สําหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ นั้น จะยังคงเฝ้าทอดพระเนตรคนไทยทั้งประเทศอยู่ตลอดไปขอให้ทุกคนช่วยกันทําความดีถวายอย่างไม่หยุดยั้ง
ในส่วนของเรื่องที่ยังต้องช่วยกันอยู่ก็คือว่าคนดีช่วยกันทําให้คนไม่ดีนั้น เป็นคนดีให้ได้ กลับมาเป็นพลังอันสําคัญในการที่จะพัฒนาชาติและบ้านเมืองภายใต้กรอบของกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
ด้านเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น การค้า การลงทุน ภาคธุรกิจต่าง ๆ อย่าหยุดชะงักนะครับ อย่าพยายามทําให้ประเทศของเรานั้นขาดความน่าเชื่อถือในกรณีเช่นการซุกหุ้น ช้อนหุ้น ขอให้ทุกคนได้ช่วยกันรักษาสถานะความมั่นคงด้านการเงิน การคลังของประเทศไว้ก่อน อย่าพลีพลาม จนตกเป็นเหยื่อให้คนแสวงหาประโยชน์บนความวิกฤตในเวลานี้
ความมั่นคงปลอดภัย ความมีเสถียรภาพทั้งทางการเมืองและการรักษาความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินนั้น เป็นสิ่งสําคัญที่สุดในเวลานี้ ทุกคนต้องช่วยกันเฝ้าระวัง ให้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศนั้น มีความปลอดภัย มีการประสานงานกัน จัดชุดเฝ้าระวัง เวรยาม รปภ. ต่าง ๆ เพิ่มมาตรการความเข้มงวด หากมีเหตุต้องสงสัยก็ขอให้แจ้งเหตุได้กับเจ้าหน้าที่ ทั้งพลเรือน ตํารวจ ทหาร ที่ผมได้สั่งการให้เข้าประจําตามจุดต่าง ๆ ทั่วไปทั้งราชอาณาจักรแล้ว
อีกประการก็ขอเป็นกําลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นข้าราชการพลเรือน ตํารวจ ทหาร ใด ๆ ก็แล้วแต่ ในการที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดด้วยความเสียสละ อดทน เพื่อที่จะให้พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศนั้น ได้ผ่านช่วงเวลาแห่งความเศร้าโศก อาลัยสูญเสียนี้ไปให้ได้
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี รัฐบาล ก็อยากให้พวกเราที่เป็นคนไทยทุกคนจะได้ช่วยกันสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศที่ได้ทรงพระราชทานไว้ให้กับคนไทย ประเทศไทยมาเป็นระยะเวลายาวนานถึง 70 ปี และขอให้ช่วยกันทําต่อไป นะครับ สวัสดีครับ
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายการจากใจนายกรัฐมนตรี
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
รายการจากใจนายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรี รัฐบาล อยากให้คนไทยทุกคนได้ช่วยกันสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศที่ได้ทรงพระราชทานไว้ให้กับคนไทย ประเทศไทยมาเป็นระยะเวลายาวนานถึง 70 ปี และขอให้ช่วยกันทําต่อไป
สวัสดีพี่น้องชาวไทยที่รักและเคารพ
วันนี้สิ่งที่รัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีทุกคนเป็นห่วงกังวลอยู่ ก็คือเรื่องของความเศร้าโศกเสียใจ อาลัยของคนไทยทั้งประเทศ ทุกคนก็อยู่ในสภาวะเดียวกันทั้งหมด อยากจะให้กําลังใจกับทุกคน ทุกภาคส่วน ได้ช่วยกันอดทน อดกลั้น ทําหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดต่อไป
สําหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ นั้น จะยังคงเฝ้าทอดพระเนตรคนไทยทั้งประเทศอยู่ตลอดไปขอให้ทุกคนช่วยกันทําความดีถวายอย่างไม่หยุดยั้ง
ในส่วนของเรื่องที่ยังต้องช่วยกันอยู่ก็คือว่าคนดีช่วยกันทําให้คนไม่ดีนั้น เป็นคนดีให้ได้ กลับมาเป็นพลังอันสําคัญในการที่จะพัฒนาชาติและบ้านเมืองภายใต้กรอบของกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
ด้านเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น การค้า การลงทุน ภาคธุรกิจต่าง ๆ อย่าหยุดชะงักนะครับ อย่าพยายามทําให้ประเทศของเรานั้นขาดความน่าเชื่อถือในกรณีเช่นการซุกหุ้น ช้อนหุ้น ขอให้ทุกคนได้ช่วยกันรักษาสถานะความมั่นคงด้านการเงิน การคลังของประเทศไว้ก่อน อย่าพลีพลาม จนตกเป็นเหยื่อให้คนแสวงหาประโยชน์บนความวิกฤตในเวลานี้
ความมั่นคงปลอดภัย ความมีเสถียรภาพทั้งทางการเมืองและการรักษาความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินนั้น เป็นสิ่งสําคัญที่สุดในเวลานี้ ทุกคนต้องช่วยกันเฝ้าระวัง ให้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศนั้น มีความปลอดภัย มีการประสานงานกัน จัดชุดเฝ้าระวัง เวรยาม รปภ. ต่าง ๆ เพิ่มมาตรการความเข้มงวด หากมีเหตุต้องสงสัยก็ขอให้แจ้งเหตุได้กับเจ้าหน้าที่ ทั้งพลเรือน ตํารวจ ทหาร ที่ผมได้สั่งการให้เข้าประจําตามจุดต่าง ๆ ทั่วไปทั้งราชอาณาจักรแล้ว
อีกประการก็ขอเป็นกําลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นข้าราชการพลเรือน ตํารวจ ทหาร ใด ๆ ก็แล้วแต่ ในการที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดด้วยความเสียสละ อดทน เพื่อที่จะให้พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศนั้น ได้ผ่านช่วงเวลาแห่งความเศร้าโศก อาลัยสูญเสียนี้ไปให้ได้
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี รัฐบาล ก็อยากให้พวกเราที่เป็นคนไทยทุกคนจะได้ช่วยกันสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศที่ได้ทรงพระราชทานไว้ให้กับคนไทย ประเทศไทยมาเป็นระยะเวลายาวนานถึง 70 ปี และขอให้ช่วยกันทําต่อไป นะครับ สวัสดีครับ
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยประชุมจัดเตรียมสนับสนุนการทำแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
|
วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม 2561
กระทรวงมหาดไทยประชุมจัดเตรียมสนับสนุนการทําแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
กระทรวงมหาดไทยประชุมจัดเตรียมสนับสนุนการทําแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
วันนี้ (20 ส.ค. 61) เวลา 09.30 น.นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมร่วมฝ่ายเลขานุการคณะทํางานกระทรวงมหาดไทย เพื่อสนับสนุนการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมสํานักตรวจราชการและเรื่องราวร้องทุกข์ ชั้น 5 อาคารดํารงราชานุภาพเพื่อติดตามความคืบหน้าการเตรียมการจัดทําแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย และการมอบหมายผู้แทนเข้าร่วมการประชุม สําหรับการประชุมเตรียมการจัดทําแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ร่วมกับคณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ ที่จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 20 สิงหาคม–15 ตุลาคม 2561โดยมีผู้แทนหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมประชุม
โอกาสนี้รองปลัดกระทรวงมหาดไทยได้กล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานที่ได้ให้ความสําคัญในการเตรียมการจัดทําแผนแม่บทภายใต้ยุทธสาตร์ชาติดังกล่าว และพร้อมให้การสนับสนุนการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ซึ่งการประชุมในวันนี้ สืบเนื่องจากภายหลังที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีมติเห็นชอบร่างยุทธศาสตร์ชาติเรียบร้อยแล้ว คณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติจะได้มีการจัดทําแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติขึ้นซึ่งสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ ได้ขอให้ส่วนราชการ/หน่วยงานต่างๆ พิจารณามอบหมายบุคลากรเพื่อสนับสนุนการทํางานและร่วมร่างแผนแม่บทกับคณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติในแต่ละด้าน และเพื่อเตรียมการจัดทําแผนแม่บทในส่วนที่เกี่ยวข้องกับส่วนราชการและหน่วยงาน สําหรับการเตรียมการจัดทําแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ได้กําหนดแนวทางในการจัดทําแผนแม่บทไว้ตามยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 ด้าน รวมทั้งได้ดําเนินการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ตามแผนการปฏิรูปประเทศ ระยะ 5 ปี (2561-2565) โดยให้ส่วนราชการระดับกรม หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย จัดทํากิจกรรม แผนงาน โครงการให้สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศ และนําข้อมูลเข้าสู่ระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR)ของ สศช. เรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันมีแผนงาน/โครงการ จํานวน 263 โครงการ ซึ่งที่ผ่านมา ฝ่ายเลขานุการคณะทํางานกระทรวงมหาดไทย และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันพิจารณา เพื่อให้เป็นกิจกรรมแผนงาน/โครงการเน้นหนักของกระทรวงมหาดไทยที่สอดคล้องกับแผนปฏิรูปประเทศใน 11 เรื่อง ประกอบด้วย 1) การบริหารจัดการขยะ 2) การบริหารจัดการภัยพิบัติ 3) การส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน 4) การรังวัดที่ดินผ่านระบบดาวเทียม 5) การจัดทําผังบรรเทาอุทกภัยลุ่มน้ํา และเส้นทางน้ําในลุ่มน้ํา 6) การบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐ (Linkage Center)7) การพัฒนาระบบการบริหารงานเชิงพื้นที่ (One Plane)8) จังหวัดพันธุ์ใหม่ 9) แผนปฏิบัติการปฏิรูปกฎหมายล้าสมัยของกระทรวงมหาดไทย 10) การนําสายไฟฟ้าลงดิน และ 11) การพัฒนาระบบe-serviceสําหรับชําระค่าสาธารณูปโภค
ท้ายนี้รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กําชับให้ทุกหน่วยงานให้ความสําคัญ และมอบหมายผู้แทนที่สามารถให้ข้อมูลเป้าหมาย และตัวชี้วัดได้เพื่อเข้าร่วมในการประชุมการเตรียมการจัดทําแผนแม่บทฯ ร่วมกับคณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ ที่จะมีขึ้นในช่วงนี้ พร้อมทั้งให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดดําเนินการตามแผนที่กําหนด และรายงานความคืบหน้า ปัญหาอุปสรรคให้ทราบโดยผ่านตามกลุ่มภารกิจ (cluster)เพื่อจะได้ประมวลผลในภาพรวมของกระทรวงมหาดไทยต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยประชุมจัดเตรียมสนับสนุนการทำแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม 2561
กระทรวงมหาดไทยประชุมจัดเตรียมสนับสนุนการทําแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
กระทรวงมหาดไทยประชุมจัดเตรียมสนับสนุนการทําแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
วันนี้ (20 ส.ค. 61) เวลา 09.30 น.นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมร่วมฝ่ายเลขานุการคณะทํางานกระทรวงมหาดไทย เพื่อสนับสนุนการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมสํานักตรวจราชการและเรื่องราวร้องทุกข์ ชั้น 5 อาคารดํารงราชานุภาพเพื่อติดตามความคืบหน้าการเตรียมการจัดทําแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย และการมอบหมายผู้แทนเข้าร่วมการประชุม สําหรับการประชุมเตรียมการจัดทําแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ร่วมกับคณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ ที่จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 20 สิงหาคม–15 ตุลาคม 2561โดยมีผู้แทนหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมประชุม
โอกาสนี้รองปลัดกระทรวงมหาดไทยได้กล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานที่ได้ให้ความสําคัญในการเตรียมการจัดทําแผนแม่บทภายใต้ยุทธสาตร์ชาติดังกล่าว และพร้อมให้การสนับสนุนการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ซึ่งการประชุมในวันนี้ สืบเนื่องจากภายหลังที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีมติเห็นชอบร่างยุทธศาสตร์ชาติเรียบร้อยแล้ว คณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติจะได้มีการจัดทําแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติขึ้นซึ่งสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ ได้ขอให้ส่วนราชการ/หน่วยงานต่างๆ พิจารณามอบหมายบุคลากรเพื่อสนับสนุนการทํางานและร่วมร่างแผนแม่บทกับคณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติในแต่ละด้าน และเพื่อเตรียมการจัดทําแผนแม่บทในส่วนที่เกี่ยวข้องกับส่วนราชการและหน่วยงาน สําหรับการเตรียมการจัดทําแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ได้กําหนดแนวทางในการจัดทําแผนแม่บทไว้ตามยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 ด้าน รวมทั้งได้ดําเนินการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ตามแผนการปฏิรูปประเทศ ระยะ 5 ปี (2561-2565) โดยให้ส่วนราชการระดับกรม หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย จัดทํากิจกรรม แผนงาน โครงการให้สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศ และนําข้อมูลเข้าสู่ระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR)ของ สศช. เรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันมีแผนงาน/โครงการ จํานวน 263 โครงการ ซึ่งที่ผ่านมา ฝ่ายเลขานุการคณะทํางานกระทรวงมหาดไทย และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันพิจารณา เพื่อให้เป็นกิจกรรมแผนงาน/โครงการเน้นหนักของกระทรวงมหาดไทยที่สอดคล้องกับแผนปฏิรูปประเทศใน 11 เรื่อง ประกอบด้วย 1) การบริหารจัดการขยะ 2) การบริหารจัดการภัยพิบัติ 3) การส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน 4) การรังวัดที่ดินผ่านระบบดาวเทียม 5) การจัดทําผังบรรเทาอุทกภัยลุ่มน้ํา และเส้นทางน้ําในลุ่มน้ํา 6) การบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐ (Linkage Center)7) การพัฒนาระบบการบริหารงานเชิงพื้นที่ (One Plane)8) จังหวัดพันธุ์ใหม่ 9) แผนปฏิบัติการปฏิรูปกฎหมายล้าสมัยของกระทรวงมหาดไทย 10) การนําสายไฟฟ้าลงดิน และ 11) การพัฒนาระบบe-serviceสําหรับชําระค่าสาธารณูปโภค
ท้ายนี้รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กําชับให้ทุกหน่วยงานให้ความสําคัญ และมอบหมายผู้แทนที่สามารถให้ข้อมูลเป้าหมาย และตัวชี้วัดได้เพื่อเข้าร่วมในการประชุมการเตรียมการจัดทําแผนแม่บทฯ ร่วมกับคณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ ที่จะมีขึ้นในช่วงนี้ พร้อมทั้งให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดดําเนินการตามแผนที่กําหนด และรายงานความคืบหน้า ปัญหาอุปสรรคให้ทราบโดยผ่านตามกลุ่มภารกิจ (cluster)เพื่อจะได้ประมวลผลในภาพรวมของกระทรวงมหาดไทยต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14755
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลมั่นใจพร้อมรับแรงงานไทยจากเกาหลีใต้กลับบ้าน
|
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563
รัฐบาลมั่นใจพร้อมรับแรงงานไทยจากเกาหลีใต้กลับบ้าน
รัฐบาลมั่นใจพร้อมรับแรงงานไทยจากเกาหลีใต้กลับบ้าน
ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้สั่งการเตรียมความพร้อมในการเดินทางกลับบ้านของแรงงานไทยเพื่อความปลอดภัยของแรงงานไทยจากเกาหลีใต้ที่เดินทางกลับประเทศ และเพื่อคัดกรองผู้ป่วยให้ได้รับการรักษา
ต่อกรณีดังกล่าว นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้หารือทางโทรศัพท์กับนางคัง คยอง-ฮวา รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้ โดยได้ตกลงที่จะร่วมมือกันใน 3 มาตรการ คือ 1. ขอให้แรงงานไทยอยู่ในเกาหลีใต้ 14 วันก่อนที่จะเดินทางกลับไทยเพื่อเฝ้าดูอาการ 2. เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจคัดกรองที่สนามบินสําหรับผู้โดยสารที่จะขึ้นเครื่องของทุกสายการบินที่จะเดินทางมาไทย (exit screening) และ 3. ขอให้เกาหลีใต้ส่งข้อมูลแรงงานไทยที่ลงทะเบียนเดินทางกลับไว้กับสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองเกาหลีใต้ เพื่อที่จะได้เตรียมการและส่งแรงงานไทยกลับภูมิลําเนาได้อย่างเรียบร้อย โดยรัฐบาลเกาหลีใต้ให้คํามั่นว่าจะดูแลคนไทยในเกาหลีใต้เป็นอย่างดี หากเจ็บป่วยก็จะเข้ากระบวนการรักษาให้หายดี
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมั่นใจต่อมาตรการที่เตรียมการไว้เพื่อรองรับการเดินทางกลับบ้านของแรงงานไทยจากเกาหลีใต้ เข้าใจสังคมที่มีความห่วงกังวล รัฐบาลมีการประเมินสถานการณ์ทุกวัน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงขอให้ประชาชน เข้าใจ และให้ความร่วมมือกับการดําเนินการตามมาตรการเพื่อความปลอดภัยในสังคม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลมั่นใจพร้อมรับแรงงานไทยจากเกาหลีใต้กลับบ้าน
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563
รัฐบาลมั่นใจพร้อมรับแรงงานไทยจากเกาหลีใต้กลับบ้าน
รัฐบาลมั่นใจพร้อมรับแรงงานไทยจากเกาหลีใต้กลับบ้าน
ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้สั่งการเตรียมความพร้อมในการเดินทางกลับบ้านของแรงงานไทยเพื่อความปลอดภัยของแรงงานไทยจากเกาหลีใต้ที่เดินทางกลับประเทศ และเพื่อคัดกรองผู้ป่วยให้ได้รับการรักษา
ต่อกรณีดังกล่าว นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้หารือทางโทรศัพท์กับนางคัง คยอง-ฮวา รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้ โดยได้ตกลงที่จะร่วมมือกันใน 3 มาตรการ คือ 1. ขอให้แรงงานไทยอยู่ในเกาหลีใต้ 14 วันก่อนที่จะเดินทางกลับไทยเพื่อเฝ้าดูอาการ 2. เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจคัดกรองที่สนามบินสําหรับผู้โดยสารที่จะขึ้นเครื่องของทุกสายการบินที่จะเดินทางมาไทย (exit screening) และ 3. ขอให้เกาหลีใต้ส่งข้อมูลแรงงานไทยที่ลงทะเบียนเดินทางกลับไว้กับสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองเกาหลีใต้ เพื่อที่จะได้เตรียมการและส่งแรงงานไทยกลับภูมิลําเนาได้อย่างเรียบร้อย โดยรัฐบาลเกาหลีใต้ให้คํามั่นว่าจะดูแลคนไทยในเกาหลีใต้เป็นอย่างดี หากเจ็บป่วยก็จะเข้ากระบวนการรักษาให้หายดี
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมั่นใจต่อมาตรการที่เตรียมการไว้เพื่อรองรับการเดินทางกลับบ้านของแรงงานไทยจากเกาหลีใต้ เข้าใจสังคมที่มีความห่วงกังวล รัฐบาลมีการประเมินสถานการณ์ทุกวัน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงขอให้ประชาชน เข้าใจ และให้ความร่วมมือกับการดําเนินการตามมาตรการเพื่อความปลอดภัยในสังคม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27260
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธนาคารกรุงไทยมอบเงินให้ครอบครัวจ่าเอกสมาน
|
วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม 2561
ธนาคารกรุงไทยมอบเงินให้ครอบครัวจ่าเอกสมาน
ธนาคารกรุงไทยมอบเงินจํานวน 1 แสนบาท เพื่อเป็นกําลังใจให้กับครอบครัวของ จ่าเอกสมาน กุนัน นักทําลายใต้น้ําจู่โจมนอกราชการ ที่เสียชีวิตจากภารกิจลําเลียงขวดอากาศภายในถ้ําหลวง อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จะมอบเงินจํานวน 1 แสนบาท เพื่อเป็นกําลังใจให้กับครอบครัวของ จ่าเอกสมาน กุนัน นักทําลายใต้น้ําจู่โจมนอกราชการ ที่เสียชีวิตจากภารกิจลําเลียงขวดอากาศภายในถ้ําหลวง อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งจ่าเอกสมาน ปฏิบัติงานด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น และเป็นแบบอย่างที่ดีเยี่ยมในการทํางานที่เสียสละเพื่อส่วนรวม
นอกจากนี้ จ่าเอกสมาน ได้ใช้บริการบัตรเอทีเอ็มธนาคารกรุงไทย ซึ่งมีประกันให้ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ทุนประกันภัย 5 หมื่นบาท ซึ่งจะนําเงินไปมอบให้กับครอบครัวในโอกาสเดียวกันด้วย
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ นายผยง ศรีวณิช ได้ให้ผู้จัดการสํานักงานเขต ผู้จัดการสาขาและพนักงานในเขตเชียงราย ร่วมกันบริจาคสิ่งของและนําอาหารไปมอบให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติภารกิจค้นหาและช่วยเหลือน้องๆ และโค้ชทีมฟุตบอลหมูป่า อะคาเดมี ซึ่งได้ทุ่มเทการปฏิบัติงานค้นหา เพื่อแสดงให้เห็นว่าคนไทยเราไม่เคยทิ้งกัน
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร.0-2208-4174-8
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธนาคารกรุงไทยมอบเงินให้ครอบครัวจ่าเอกสมาน
วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม 2561
ธนาคารกรุงไทยมอบเงินให้ครอบครัวจ่าเอกสมาน
ธนาคารกรุงไทยมอบเงินจํานวน 1 แสนบาท เพื่อเป็นกําลังใจให้กับครอบครัวของ จ่าเอกสมาน กุนัน นักทําลายใต้น้ําจู่โจมนอกราชการ ที่เสียชีวิตจากภารกิจลําเลียงขวดอากาศภายในถ้ําหลวง อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จะมอบเงินจํานวน 1 แสนบาท เพื่อเป็นกําลังใจให้กับครอบครัวของ จ่าเอกสมาน กุนัน นักทําลายใต้น้ําจู่โจมนอกราชการ ที่เสียชีวิตจากภารกิจลําเลียงขวดอากาศภายในถ้ําหลวง อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งจ่าเอกสมาน ปฏิบัติงานด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น และเป็นแบบอย่างที่ดีเยี่ยมในการทํางานที่เสียสละเพื่อส่วนรวม
นอกจากนี้ จ่าเอกสมาน ได้ใช้บริการบัตรเอทีเอ็มธนาคารกรุงไทย ซึ่งมีประกันให้ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ทุนประกันภัย 5 หมื่นบาท ซึ่งจะนําเงินไปมอบให้กับครอบครัวในโอกาสเดียวกันด้วย
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ นายผยง ศรีวณิช ได้ให้ผู้จัดการสํานักงานเขต ผู้จัดการสาขาและพนักงานในเขตเชียงราย ร่วมกันบริจาคสิ่งของและนําอาหารไปมอบให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติภารกิจค้นหาและช่วยเหลือน้องๆ และโค้ชทีมฟุตบอลหมูป่า อะคาเดมี ซึ่งได้ทุ่มเทการปฏิบัติงานค้นหา เพื่อแสดงให้เห็นว่าคนไทยเราไม่เคยทิ้งกัน
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร.0-2208-4174-8
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13688
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือ 24 หน่วยงาน ร่วมประกาศเจตนารมณ์ “มุ่งมั่นในการสร้างสังคมเสมอภาค ปราศจากการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ”
|
วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563
พม. จับมือ 24 หน่วยงาน ร่วมประกาศเจตนารมณ์ “มุ่งมั่นในการสร้างสังคมเสมอภาค ปราศจากการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ”
พม. จับมือ 24 หน่วยงาน ร่วมประกาศเจตนารมณ์ “มุ่งมั่นในการสร้างสังคมเสมอภาค ปราศจากการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ”
วันนี้ (2 มี.ค 63) เวลา 10.00 น. ที่โรงแรมปริ๊นซ์ พาเลซ มหานาค กรุงเทพฯ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ เป็นประธานในพิธีลงนามประกาศเจตนารมณ์ “การส่งเสริมความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ” พร้อมมอบนโยบายการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศในสังคม ซึ่งมีหน่วยงานทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และสถาบันอุดมศึกษา จํานวน 24 หน่วยงาน เข้าร่วมประกาศเจตนารมณ์ โดยมีนายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) กล่าวรายงาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน จํานวน 350 คน
นายปรเมธี กล่าวว่า ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of all Forms of Discrimination against Women – CEDAW) ทําให้ต้องปฏิบัติตามข้อผูกพันในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนของสตรี การคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิสตรี เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและความเป็นธรรมทางสังคมบนพื้นฐานในเรื่องเพศ ซึ่งสิ่งที่แสดงถึงความก้าวหน้าของประเทศไทยในการปฏิบัติตามข้อผูกพันดังกล่าว คือ การผลักดันให้เกิดพระราชบัญญัติส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 ซึ่งมีเจตนารมณ์เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เสมอภาคทางเพศ และการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ โดยสิ่งที่ต้องเร่งดําเนินการ คือ การรณรงค์ประชาสัมพันธ์พระราชบัญญัติดังกล่าว ให้ทุกคนได้รับรู้ สามารถเข้าถึงอย่างสะดวกและรวดเร็ว และการปรับทัศนคติและค่านิยมของคนในสังคมในการยอมรับความเสมอภาคระหว่างเพศ และความหลากหลายทางเพศ ซึ่งต้องอาศัยกลไกรัฐที่มีหน้าที่ตามกฎหมาย รวมทั้งภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และสถาบันอุดมศึกษา ตลอดจนประชาชนทั่วไป
นายปรเมธี กล่าวต่อไปว่า การประกาศเจตนารมณ์ในครั้งนี้ เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นระหว่างภาคีเครือข่ายที่จะร่วมกันสร้างให้สังคมไทยให้ตระหนักถึงความเสมอภาค และขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ นั่นหมายถึงการไม่แบ่งแยก กีดกันหรือจํากัดสิทธิประโยชน์ เพียงเพราะบุคคลนั้นเป็นเพศชาย เพศหญิง หรือบุคคลที่แสดงออกแตกต่างจากเพศกําเนิด โดยขอให้ภาคีเครือข่ายมีแนวปฏิบัติด้านการส่งเสริมความเสมอภาค และขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ด้านใดด้านหนึ่ง ใน 6 ด้าน ได้แก่ 1) การแต่งกายตามอัตลักษณ์ทางเพศสภาพหรือเพศสภาวะของบุคคล 2) การจัดพื้นที่ที่เหมาะสมที่เอื้อต่อการใช้ประโยชน์ตามจํานวนของบุคคล อัตลักษณ์ทางเพศสภาพหรือเพศภาวะของบุคคล และข้อจํากัดของบุคคล 3) การประกาศรับสมัครงาน และกําหนดคุณสมบัติผู้สมัครงานตามความสามารถของทุกเพศสภาพ และไม่นําลักษณะเฉพาะทางเพศมากําหนดเป็นคุณสมบัติของผู้สมัคร 4) การใช้ถ้อยคํา ภาษา และกิริยาท่าทางที่เหมาะสม ไม่เสียดสี หรือลดคุณค่าของทุกเพศ และไม่ใช้คําศัพท์ที่ไม่เหมาะสมในการใช้เรียกอัตลักษณ์ทางเพศสภาพหรือเพศภาวะของบุคคล 5) การสรรหาคณะกรรมการหรือผู้ดํารงตําแหน่งต่างๆ ในหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในสัดส่วนที่เหมาะสมกับทุกเพศสภาพ และไม่ควรมีการกีดกันด้วยเหตุแห่งเพศ และ 6) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการทํางาน ควรให้ความรู้ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการล่วงละเมิด หรือคุกคามทางเพศ และมีแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว
นายปรเมธี กล่าวต่อไปอีกว่า กระทรวง พม. โดย สค. ในฐานะหน่วยงานกลางในการประสานการดําเนินงานด้านการพัฒนาสตรี การคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิสตรี การส่งเสริมความเสมอภาคหญิงชาย ได้ผลักดันให้มีพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ.2558 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2558 โดยมีภารกิจในการคุ้มครองและป้องกันมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ซึ่งมีคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ (คณะกรรมการ สทพ.) เป็นกลไกหลักในการกําหนดนโยบาย มาตรการ และแผนปฏิบัติงานเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศในทุกหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น และมีคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (คณะกรรมการ วลพ.) เป็นกลไกสําคัญในการทําหน้าที่วินิจฉัยคําร้องการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ และมีกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ ให้การสนับสนุนกิจกรรม การศึกษาวิจัย การป้องกัน และการชดเชยและเยียวยาผู้เสียหาย จากการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ
นายปรเมธี กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ การประกาศเจตนารมณ์ดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องจากการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และสถาบันอุดมศึกษา เพื่อรณรงค์ปรับทัศนคติและสร้างการยอมรับของสังคมในเรื่องความเท่าเทียมระหว่างเพศ การคุ้มครองและป้องกันไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ไม่ว่าจะเป็นเพศชายเพศหญิง หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ เพื่อให้ทุกหน่วยงานได้ตระหนักและร่วมกันดําเนินงานขับเคลื่อนการส่งเสริมความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ตามพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อให้การดําเนินงานบรรลุผลตามเจตนารมณ์ของกฎหมายต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือ 24 หน่วยงาน ร่วมประกาศเจตนารมณ์ “มุ่งมั่นในการสร้างสังคมเสมอภาค ปราศจากการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ”
วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563
พม. จับมือ 24 หน่วยงาน ร่วมประกาศเจตนารมณ์ “มุ่งมั่นในการสร้างสังคมเสมอภาค ปราศจากการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ”
พม. จับมือ 24 หน่วยงาน ร่วมประกาศเจตนารมณ์ “มุ่งมั่นในการสร้างสังคมเสมอภาค ปราศจากการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ”
วันนี้ (2 มี.ค 63) เวลา 10.00 น. ที่โรงแรมปริ๊นซ์ พาเลซ มหานาค กรุงเทพฯ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ เป็นประธานในพิธีลงนามประกาศเจตนารมณ์ “การส่งเสริมความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ” พร้อมมอบนโยบายการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศในสังคม ซึ่งมีหน่วยงานทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และสถาบันอุดมศึกษา จํานวน 24 หน่วยงาน เข้าร่วมประกาศเจตนารมณ์ โดยมีนายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) กล่าวรายงาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน จํานวน 350 คน
นายปรเมธี กล่าวว่า ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of all Forms of Discrimination against Women – CEDAW) ทําให้ต้องปฏิบัติตามข้อผูกพันในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนของสตรี การคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิสตรี เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและความเป็นธรรมทางสังคมบนพื้นฐานในเรื่องเพศ ซึ่งสิ่งที่แสดงถึงความก้าวหน้าของประเทศไทยในการปฏิบัติตามข้อผูกพันดังกล่าว คือ การผลักดันให้เกิดพระราชบัญญัติส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 ซึ่งมีเจตนารมณ์เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เสมอภาคทางเพศ และการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ โดยสิ่งที่ต้องเร่งดําเนินการ คือ การรณรงค์ประชาสัมพันธ์พระราชบัญญัติดังกล่าว ให้ทุกคนได้รับรู้ สามารถเข้าถึงอย่างสะดวกและรวดเร็ว และการปรับทัศนคติและค่านิยมของคนในสังคมในการยอมรับความเสมอภาคระหว่างเพศ และความหลากหลายทางเพศ ซึ่งต้องอาศัยกลไกรัฐที่มีหน้าที่ตามกฎหมาย รวมทั้งภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และสถาบันอุดมศึกษา ตลอดจนประชาชนทั่วไป
นายปรเมธี กล่าวต่อไปว่า การประกาศเจตนารมณ์ในครั้งนี้ เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นระหว่างภาคีเครือข่ายที่จะร่วมกันสร้างให้สังคมไทยให้ตระหนักถึงความเสมอภาค และขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ นั่นหมายถึงการไม่แบ่งแยก กีดกันหรือจํากัดสิทธิประโยชน์ เพียงเพราะบุคคลนั้นเป็นเพศชาย เพศหญิง หรือบุคคลที่แสดงออกแตกต่างจากเพศกําเนิด โดยขอให้ภาคีเครือข่ายมีแนวปฏิบัติด้านการส่งเสริมความเสมอภาค และขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ด้านใดด้านหนึ่ง ใน 6 ด้าน ได้แก่ 1) การแต่งกายตามอัตลักษณ์ทางเพศสภาพหรือเพศสภาวะของบุคคล 2) การจัดพื้นที่ที่เหมาะสมที่เอื้อต่อการใช้ประโยชน์ตามจํานวนของบุคคล อัตลักษณ์ทางเพศสภาพหรือเพศภาวะของบุคคล และข้อจํากัดของบุคคล 3) การประกาศรับสมัครงาน และกําหนดคุณสมบัติผู้สมัครงานตามความสามารถของทุกเพศสภาพ และไม่นําลักษณะเฉพาะทางเพศมากําหนดเป็นคุณสมบัติของผู้สมัคร 4) การใช้ถ้อยคํา ภาษา และกิริยาท่าทางที่เหมาะสม ไม่เสียดสี หรือลดคุณค่าของทุกเพศ และไม่ใช้คําศัพท์ที่ไม่เหมาะสมในการใช้เรียกอัตลักษณ์ทางเพศสภาพหรือเพศภาวะของบุคคล 5) การสรรหาคณะกรรมการหรือผู้ดํารงตําแหน่งต่างๆ ในหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในสัดส่วนที่เหมาะสมกับทุกเพศสภาพ และไม่ควรมีการกีดกันด้วยเหตุแห่งเพศ และ 6) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการทํางาน ควรให้ความรู้ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการล่วงละเมิด หรือคุกคามทางเพศ และมีแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว
นายปรเมธี กล่าวต่อไปอีกว่า กระทรวง พม. โดย สค. ในฐานะหน่วยงานกลางในการประสานการดําเนินงานด้านการพัฒนาสตรี การคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิสตรี การส่งเสริมความเสมอภาคหญิงชาย ได้ผลักดันให้มีพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ.2558 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2558 โดยมีภารกิจในการคุ้มครองและป้องกันมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ซึ่งมีคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ (คณะกรรมการ สทพ.) เป็นกลไกหลักในการกําหนดนโยบาย มาตรการ และแผนปฏิบัติงานเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศในทุกหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น และมีคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (คณะกรรมการ วลพ.) เป็นกลไกสําคัญในการทําหน้าที่วินิจฉัยคําร้องการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ และมีกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ ให้การสนับสนุนกิจกรรม การศึกษาวิจัย การป้องกัน และการชดเชยและเยียวยาผู้เสียหาย จากการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ
นายปรเมธี กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ การประกาศเจตนารมณ์ดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องจากการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และสถาบันอุดมศึกษา เพื่อรณรงค์ปรับทัศนคติและสร้างการยอมรับของสังคมในเรื่องความเท่าเทียมระหว่างเพศ การคุ้มครองและป้องกันไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ไม่ว่าจะเป็นเพศชายเพศหญิง หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ เพื่อให้ทุกหน่วยงานได้ตระหนักและร่วมกันดําเนินงานขับเคลื่อนการส่งเสริมความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ตามพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อให้การดําเนินงานบรรลุผลตามเจตนารมณ์ของกฎหมายต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26854
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2560
|
วันพุธที่ 18 ตุลาคม 2560
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจําปี 2560
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงดิจิทัลฯ ประจําปี พ.ศ. 2560 เนื่องด้วย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐิน ให้กระทรวงดิจิทัลฯ นําไปถวายแด่พระ ภิกษุสงฆ์จําพรรษา ณ วัดราชสิงขร พระอารามหลวง แขวงวัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ โดยมีผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลฯ ข้าราชการ พนักงานราชการ และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมในพิธีฯ อย่างพร้อมเพรียงกัน ทั้งนี้ มียอดเงินบริจาครวมทั้งสิ้น 1,000,302 บาท เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2560
*************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2560
วันพุธที่ 18 ตุลาคม 2560
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจําปี 2560
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงดิจิทัลฯ ประจําปี พ.ศ. 2560 เนื่องด้วย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐิน ให้กระทรวงดิจิทัลฯ นําไปถวายแด่พระ ภิกษุสงฆ์จําพรรษา ณ วัดราชสิงขร พระอารามหลวง แขวงวัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ โดยมีผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลฯ ข้าราชการ พนักงานราชการ และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมในพิธีฯ อย่างพร้อมเพรียงกัน ทั้งนี้ มียอดเงินบริจาครวมทั้งสิ้น 1,000,302 บาท เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2560
*************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7476
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สนข.ชี้แจงประเด็นปัญหาโครงการบัตรแมงมุม
|
วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม 2561
สนข.ชี้แจงประเด็นปัญหาโครงการบัตรแมงมุม
สํานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม ชี้แจงประเด็นปัญหาโครงการบัตรแมงมุม
เมื่อวันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน 2561 นายชัยวัฒน์ ทองคําคูณ ผู้อํานวยการสํานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม ชี้แจงประเด็นปัญหาโครงการบัตรแมงมุม ตามที่ ไทย PBS นําเสนอข่าวหลังจาก สนข. เริ่มนําระบบตั๋วร่วมที่เรียกว่า “บัตรแมงมุม” มาใช้งาน โดยเริ่มแจกบัตร 200,000 ใบครั้งแรก และแม้จะมีการตั้งเป้าหมายไว้ว่าระบบตั๋วร่วมของ ขสมก.จะเริ่มดําเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 แต่มีข้อมูลว่า ขณะนี้ ขสมก.ยังไม่มีความพร้อมอาจทําให้ไม่สามารถใช้งานได้ทันวันที่ 1 ตุลาคมนี้ เนื่องจากติดปัญหาดังนี้
1. โครงการเครื่องอ่านบัตรค่าโดยสารรถประจําทางสาธารณะ หรือ E-ticket และเครื่องหยอดเหรียญเก็บค่าโดยสาร หรือ Cashbox ที่ติดตั้งบนรถ 2,600 คัน วงเงิน 1,665 ล้านบาท บริษัท ชทวี จํากัด (มหาชน) ยังไม่สามารถส่งมอบได้ตามแผน เพราะต้องรอหนังสือตอบกลับจากกรมบัญชีกลาง เพื่อดําเนินการยกเลิกสัญญาบางส่วน หลังจากที่ Cashbox ใช้การไม่ได้
2. มีปัญหาด้านเทคนิค โดยเฉพาะเรื่องของระบบซอฟต์แวร์ E-ticket ที่ไม่สามารถเชื่อมต่อกับระบบตั๋วร่วมของรัฐบาลได้ ขณะนี้ยังไม่มีการเจรจาว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายและบริษัทเอกชนจะยอมลงทุนเพิ่มหรือไม่ เนื่องจากข้อผิดพลาดดังกล่าวเป็นเรื่องระดับนโยบาย
สาระสําคัญ
ตามที่มีข่าวว่า ขสมก. ยังไม่มีความพร้อมในการจัดทําระบบ E-ticket รองรับการใช้งานบัตรแมงมุมให้สามารถใช้งานได้ทันในเดือนตุลาคม 2561 ตามเป้าหมายที่กระทรวงคมนาคมกําหนดไว้นั้น ขสมก. ได้ทําสัญญากับบริษัท ช ทวี จํากัด (มหาชน) เพื่อดําเนินโครงการเช่าระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ (E-ticket) บนรถโดยสาร จํานวน 2,600 คัน ซึ่งตามสัญญาบริษัทฯ จะต้องติดตั้งระบบให้เป็นไปตามมาตรฐานกลางระบบตั๋วร่วมหรือระบบบัตรแมงมุมของกระทรวงคมนาคม ซึ่ง ขสมก. ได้เตรียมดําเนินการ ดังนี้
1. ขสมก. จะเชิญบริษัท ช ทวี จํากัด (มหาชน) มาเจรจาเพื่อให้บริษัทฯ ดําเนินการปรับปรุงระบบให้สามารถรองรับบัตรแมงมุม ตามมาตรฐานของ รฟม.ให้แล้วเสร็จและสามารถใช้งานได้ภายในเดือนตุลาคม 2561 ส่วนการติดตั้งระบบ Cashbox จะทําการยกเลิกและแก้ไขสัญญาฯ รวมทั้งปรับลดวงเงินค่าเช่ากับบริษัทฯ ให้คงเหลือค่าเช่าเฉพาะระบบ E-ticket ตามมาตรฐานระบบบัตรแมงมุมของรฟม.เท่านั้น
2. ปัญหาทางด้านเทคนิค ในเบื้องต้น ขสมก. ได้มอบหมายให้บริษัทฯ ประสานกับ รฟม. เพื่อพิจารณารายละเอียดทางด้านเทคนิค ในการเร่งรัดปรับปรุงระบบ E-ticket ให้เป็นไปตามมาตรฐานระบบของ รฟม. อย่างไรก็ตาม หากบริษัทฯ ไม่สามารถดําเนินการให้แล้วเสร็จได้ทันการใช้งานในเดือนตุลาคม 2561 ขสมก. จะพิจารณาร่วมกับ รฟม. เพื่อเตรียมการนําระบบ E-ticket ที่ใช้เครื่องอ่านบัตรแบบมือถือ (Handheld) มาใช้บนรถโดยสารไปก่อน จนกว่าบริษัทฯ จะสามารถดําเนินการปรับปรุงระบบแล้วเสร็จ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ที่จะใช้บัตรแมงมุมขึ้นรถโดยสาร
-------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สนข.ชี้แจงประเด็นปัญหาโครงการบัตรแมงมุม
วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม 2561
สนข.ชี้แจงประเด็นปัญหาโครงการบัตรแมงมุม
สํานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม ชี้แจงประเด็นปัญหาโครงการบัตรแมงมุม
เมื่อวันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน 2561 นายชัยวัฒน์ ทองคําคูณ ผู้อํานวยการสํานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม ชี้แจงประเด็นปัญหาโครงการบัตรแมงมุม ตามที่ ไทย PBS นําเสนอข่าวหลังจาก สนข. เริ่มนําระบบตั๋วร่วมที่เรียกว่า “บัตรแมงมุม” มาใช้งาน โดยเริ่มแจกบัตร 200,000 ใบครั้งแรก และแม้จะมีการตั้งเป้าหมายไว้ว่าระบบตั๋วร่วมของ ขสมก.จะเริ่มดําเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 แต่มีข้อมูลว่า ขณะนี้ ขสมก.ยังไม่มีความพร้อมอาจทําให้ไม่สามารถใช้งานได้ทันวันที่ 1 ตุลาคมนี้ เนื่องจากติดปัญหาดังนี้
1. โครงการเครื่องอ่านบัตรค่าโดยสารรถประจําทางสาธารณะ หรือ E-ticket และเครื่องหยอดเหรียญเก็บค่าโดยสาร หรือ Cashbox ที่ติดตั้งบนรถ 2,600 คัน วงเงิน 1,665 ล้านบาท บริษัท ชทวี จํากัด (มหาชน) ยังไม่สามารถส่งมอบได้ตามแผน เพราะต้องรอหนังสือตอบกลับจากกรมบัญชีกลาง เพื่อดําเนินการยกเลิกสัญญาบางส่วน หลังจากที่ Cashbox ใช้การไม่ได้
2. มีปัญหาด้านเทคนิค โดยเฉพาะเรื่องของระบบซอฟต์แวร์ E-ticket ที่ไม่สามารถเชื่อมต่อกับระบบตั๋วร่วมของรัฐบาลได้ ขณะนี้ยังไม่มีการเจรจาว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายและบริษัทเอกชนจะยอมลงทุนเพิ่มหรือไม่ เนื่องจากข้อผิดพลาดดังกล่าวเป็นเรื่องระดับนโยบาย
สาระสําคัญ
ตามที่มีข่าวว่า ขสมก. ยังไม่มีความพร้อมในการจัดทําระบบ E-ticket รองรับการใช้งานบัตรแมงมุมให้สามารถใช้งานได้ทันในเดือนตุลาคม 2561 ตามเป้าหมายที่กระทรวงคมนาคมกําหนดไว้นั้น ขสมก. ได้ทําสัญญากับบริษัท ช ทวี จํากัด (มหาชน) เพื่อดําเนินโครงการเช่าระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ (E-ticket) บนรถโดยสาร จํานวน 2,600 คัน ซึ่งตามสัญญาบริษัทฯ จะต้องติดตั้งระบบให้เป็นไปตามมาตรฐานกลางระบบตั๋วร่วมหรือระบบบัตรแมงมุมของกระทรวงคมนาคม ซึ่ง ขสมก. ได้เตรียมดําเนินการ ดังนี้
1. ขสมก. จะเชิญบริษัท ช ทวี จํากัด (มหาชน) มาเจรจาเพื่อให้บริษัทฯ ดําเนินการปรับปรุงระบบให้สามารถรองรับบัตรแมงมุม ตามมาตรฐานของ รฟม.ให้แล้วเสร็จและสามารถใช้งานได้ภายในเดือนตุลาคม 2561 ส่วนการติดตั้งระบบ Cashbox จะทําการยกเลิกและแก้ไขสัญญาฯ รวมทั้งปรับลดวงเงินค่าเช่ากับบริษัทฯ ให้คงเหลือค่าเช่าเฉพาะระบบ E-ticket ตามมาตรฐานระบบบัตรแมงมุมของรฟม.เท่านั้น
2. ปัญหาทางด้านเทคนิค ในเบื้องต้น ขสมก. ได้มอบหมายให้บริษัทฯ ประสานกับ รฟม. เพื่อพิจารณารายละเอียดทางด้านเทคนิค ในการเร่งรัดปรับปรุงระบบ E-ticket ให้เป็นไปตามมาตรฐานระบบของ รฟม. อย่างไรก็ตาม หากบริษัทฯ ไม่สามารถดําเนินการให้แล้วเสร็จได้ทันการใช้งานในเดือนตุลาคม 2561 ขสมก. จะพิจารณาร่วมกับ รฟม. เพื่อเตรียมการนําระบบ E-ticket ที่ใช้เครื่องอ่านบัตรแบบมือถือ (Handheld) มาใช้บนรถโดยสารไปก่อน จนกว่าบริษัทฯ จะสามารถดําเนินการปรับปรุงระบบแล้วเสร็จ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ที่จะใช้บัตรแมงมุมขึ้นรถโดยสาร
-------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13502
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ. ประวิตร ฯ สั่งขับเคลื่อนโครงการกีฬา พัฒนาสู่ระดับอาชีพ สร้างมูลค่าเศรษฐกิจให้กับประเทศ
|
วันพุธที่ 21 สิงหาคม 2562
รอง นรม. พล.อ. ประวิตร ฯ สั่งขับเคลื่อนโครงการกีฬา พัฒนาสู่ระดับอาชีพ สร้างมูลค่าเศรษฐกิจให้กับประเทศ
รองนายกรัฐมนตรีได้กําชับ ให้ดําเนินโครงการด้วยความรัดกุม โปร่งใส ตรวจสอบได้
วันที่ 21 สิงหาคม 2562 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 7/2562 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปผลการประชุม ดังนี้
ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าโครงการก่อสร้างสนามกีฬาจังหวัด ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างการกีฬาแห่งประเทศไทยกับกรมทางหลวง และความคืบหน้าตามแผนพัฒนาศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬา กกท. โดยรองนายกรัฐมนตรีได้กําชับ ให้ดําเนินโครงการด้วยความรัดกุม โปร่งใส ตรวจสอบได้ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การดําเนินการ เตรียมบุคลาการที่มีความรู้ความสามารถในการทํางานรวมภายใต้กรอบเวลาที่กําหนด
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังมีการทบทวนยุทธศาสตร์การกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2560-2564 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2563-2565) โดยพิจารณาทบทวนยุทธศาสตร์ แผนงาน โครงการที่ต้องนําไปปฏิบัติได้จริง สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ รวมไปถึงการร่างตัวชี้วัดการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ และการดําเนินงานที่สําคัญของการกีฬาแห่งประเทศไทย ประจําบัญชี 2563 ซึ่งทุกฝ่ายต้องช่วยกันดําเนินการเพื่อให้มีผลประเมินเพิ่มขึ้นในปีต่อๆไป โดยกําชับให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ต้องกํากับดูแล โครงการ แผนงาน ให้บรรลุผลสําเร็จด้วยดีเพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “พัฒนากีฬาเพื่อความเป็นเลิศสู่ระดับนานาชาติ ต่อยอดสู่ระดับอาชีพและสร้างมูลค่าเศรษฐกิจให้กับประเทศ”
......................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ. ประวิตร ฯ สั่งขับเคลื่อนโครงการกีฬา พัฒนาสู่ระดับอาชีพ สร้างมูลค่าเศรษฐกิจให้กับประเทศ
วันพุธที่ 21 สิงหาคม 2562
รอง นรม. พล.อ. ประวิตร ฯ สั่งขับเคลื่อนโครงการกีฬา พัฒนาสู่ระดับอาชีพ สร้างมูลค่าเศรษฐกิจให้กับประเทศ
รองนายกรัฐมนตรีได้กําชับ ให้ดําเนินโครงการด้วยความรัดกุม โปร่งใส ตรวจสอบได้
วันที่ 21 สิงหาคม 2562 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 7/2562 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปผลการประชุม ดังนี้
ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าโครงการก่อสร้างสนามกีฬาจังหวัด ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างการกีฬาแห่งประเทศไทยกับกรมทางหลวง และความคืบหน้าตามแผนพัฒนาศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬา กกท. โดยรองนายกรัฐมนตรีได้กําชับ ให้ดําเนินโครงการด้วยความรัดกุม โปร่งใส ตรวจสอบได้ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การดําเนินการ เตรียมบุคลาการที่มีความรู้ความสามารถในการทํางานรวมภายใต้กรอบเวลาที่กําหนด
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังมีการทบทวนยุทธศาสตร์การกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2560-2564 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2563-2565) โดยพิจารณาทบทวนยุทธศาสตร์ แผนงาน โครงการที่ต้องนําไปปฏิบัติได้จริง สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ รวมไปถึงการร่างตัวชี้วัดการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ และการดําเนินงานที่สําคัญของการกีฬาแห่งประเทศไทย ประจําบัญชี 2563 ซึ่งทุกฝ่ายต้องช่วยกันดําเนินการเพื่อให้มีผลประเมินเพิ่มขึ้นในปีต่อๆไป โดยกําชับให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ต้องกํากับดูแล โครงการ แผนงาน ให้บรรลุผลสําเร็จด้วยดีเพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “พัฒนากีฬาเพื่อความเป็นเลิศสู่ระดับนานาชาติ ต่อยอดสู่ระดับอาชีพและสร้างมูลค่าเศรษฐกิจให้กับประเทศ”
......................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22388
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเพิ่มประสิทธิภาพการรับจ่ายเงินภาครัฐ สู่รัฐบาลไร้เงินสด
|
วันอังคารที่ 27 มีนาคม 2561
กรมบัญชีกลางเพิ่มประสิทธิภาพการรับจ่ายเงินภาครัฐ สู่รัฐบาลไร้เงินสด
กรมบัญชีกลางจัดทําโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการรับจ่ายเงินภาครัฐ โดยให้หน่วยงานราชการรับชําระเงินค่าบริการต่างๆ จากประชาชนผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เริ่ม 27 มีนาคม 2561 เป็นวันแรก
กรมบัญชีกลางจัดทําโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการรับจ่ายเงินภาครัฐ โดยให้หน่วยงานราชการรับชําระเงินค่าบริการต่างๆ จากประชาชนผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เริ่ม 27 มีนาคม 2561 เป็นวันแรก โดยได้ร่วมมือกับกรมสรรพสามิตรับชําระภาษีผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทําให้ประชาชนที่เดินทางมาชําระเงินที่กรมสรรพสามิต ได้รับบริการที่สะดวก และรวดเร็วมากขึ้น
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2561 เป็นต้นไป ประชาชนที่ต้องชําระค่าบริการต่างๆ ให้แก่หน่วยงานราชการทั่วประเทศ จะต้องใช้ e-Money หรือเงินอิเล็กทรอนิกส์ มาจ่ายแทนเงินสดหรือเช็ค ซึ่งกรมบัญชีกลางได้เร่งให้ส่วนราชการติดตั้ง ระบบ internet banking เครื่อง EDC และ QR Code แล้ว และจะติดตั้งให้ครบถ้วนภายในเดือนพฤษภาคม 2561 เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการใช้บริการมากยิ่งขึ้น
สําหรับการชําระเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์นั้น ประชาชนสามารถเลือกใช้ได้หลายรูปแบบ ประกอบด้วย การชําระเงินด้วย Bill Payment บัตรเดบิต/บัตรเครดิต และการชําระเงินผ่าน QR Code รวมถึงการใช้บัตรชําระเงินแบบ e-Money ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละท่าน ทั้งนี้ การคิดค่าธรรมเนียมขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของธนาคาร
ในวันนี้ถือเป็นวันแรกที่เปิดให้บริการรับชําระภาษีของกรมผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก และปลอดภัยกับการไม่ต้องพกเงินสดเป็นจํานวนมากมาจ่ายที่หน่วยงาน รวมทั้งยังช่วยสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้สังคมไร้เงินสดเกิดขึ้น
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้ายว่า เพื่อให้การเดินหน้าไปสู่สังคมไร้เงินสดเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน จึงขอความร่วมมือจากประชาชน เมื่อมาทําธุรกรรมทางการเงินกับหน่วยงานราชการ ขอให้นําบัตรหรือเครื่องมือใช้ชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์มาด้วย ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางดําเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการรับจ่ายเงินภาครัฐทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment ภาครัฐ) มาใช้กับงานบริการของภาครัฐ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาการบริการให้มีประสิทธิภาพเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน พร้อมนําประเทศไทยไปสู่สังคมไร้เงินสดได้ในอนาคต
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเพิ่มประสิทธิภาพการรับจ่ายเงินภาครัฐ สู่รัฐบาลไร้เงินสด
วันอังคารที่ 27 มีนาคม 2561
กรมบัญชีกลางเพิ่มประสิทธิภาพการรับจ่ายเงินภาครัฐ สู่รัฐบาลไร้เงินสด
กรมบัญชีกลางจัดทําโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการรับจ่ายเงินภาครัฐ โดยให้หน่วยงานราชการรับชําระเงินค่าบริการต่างๆ จากประชาชนผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เริ่ม 27 มีนาคม 2561 เป็นวันแรก
กรมบัญชีกลางจัดทําโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการรับจ่ายเงินภาครัฐ โดยให้หน่วยงานราชการรับชําระเงินค่าบริการต่างๆ จากประชาชนผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เริ่ม 27 มีนาคม 2561 เป็นวันแรก โดยได้ร่วมมือกับกรมสรรพสามิตรับชําระภาษีผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทําให้ประชาชนที่เดินทางมาชําระเงินที่กรมสรรพสามิต ได้รับบริการที่สะดวก และรวดเร็วมากขึ้น
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2561 เป็นต้นไป ประชาชนที่ต้องชําระค่าบริการต่างๆ ให้แก่หน่วยงานราชการทั่วประเทศ จะต้องใช้ e-Money หรือเงินอิเล็กทรอนิกส์ มาจ่ายแทนเงินสดหรือเช็ค ซึ่งกรมบัญชีกลางได้เร่งให้ส่วนราชการติดตั้ง ระบบ internet banking เครื่อง EDC และ QR Code แล้ว และจะติดตั้งให้ครบถ้วนภายในเดือนพฤษภาคม 2561 เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการใช้บริการมากยิ่งขึ้น
สําหรับการชําระเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์นั้น ประชาชนสามารถเลือกใช้ได้หลายรูปแบบ ประกอบด้วย การชําระเงินด้วย Bill Payment บัตรเดบิต/บัตรเครดิต และการชําระเงินผ่าน QR Code รวมถึงการใช้บัตรชําระเงินแบบ e-Money ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละท่าน ทั้งนี้ การคิดค่าธรรมเนียมขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของธนาคาร
ในวันนี้ถือเป็นวันแรกที่เปิดให้บริการรับชําระภาษีของกรมผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก และปลอดภัยกับการไม่ต้องพกเงินสดเป็นจํานวนมากมาจ่ายที่หน่วยงาน รวมทั้งยังช่วยสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้สังคมไร้เงินสดเกิดขึ้น
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้ายว่า เพื่อให้การเดินหน้าไปสู่สังคมไร้เงินสดเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน จึงขอความร่วมมือจากประชาชน เมื่อมาทําธุรกรรมทางการเงินกับหน่วยงานราชการ ขอให้นําบัตรหรือเครื่องมือใช้ชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์มาด้วย ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางดําเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการรับจ่ายเงินภาครัฐทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment ภาครัฐ) มาใช้กับงานบริการของภาครัฐ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาการบริการให้มีประสิทธิภาพเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน พร้อมนําประเทศไทยไปสู่สังคมไร้เงินสดได้ในอนาคต
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11084
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมวิสาหกิจชุมชน ชีววิถีตำบลน้ำเกี๋ยน จ.น่าน ชุมชนต้นแบบ ภูมิปัญญาสร้างอาชีพ นำพืชสมุนไพรสร้างรายได้สู่ชุมชน
|
วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมวิสาหกิจชุมชน ชีววิถีตําบลน้ําเกี๋ยน จ.น่าน ชุมชนต้นแบบ ภูมิปัญญาสร้างอาชีพ นําพืชสมุนไพรสร้างรายได้สู่ชุมชน
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมวิสาหกิจชุมชนชีววิถีตําบลน้ําเกี๋ยน จ.น่าน ชุมชนต้นแบบภูมิปัญญาสร้างอาชีพ นําพืชสมุนไพรสร้างรายได้สู่ชุมชน
วันนี้ (12 กุมภาพันธ์ 2563) เวลา 16.30 น. ณ วิสาหกิจชุมชนชีววิถีตําบลน้ําเกี๋ยน (บ้านน้ําเกี๋ยน) อ.ภูเพียง จ.น่าน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ เยี่ยมวิสาหกิจชุมชนชีววิถีตําบลน้ําเกี๋ยน (บ้านน้ําเกี๋ยน) ซึ่งเป็นหมู่บ้านเกษตรนวัตวิถี ธุรกิจชุมชนที่ได้รางวัลวิสาหกิจชุมชนดีเด่นระดับประเทศและระดับโลก ที่มีหน่วยงานภาครัฐได้เข้าไปส่งเสริมและพัฒนาทั้งต้นทาง กลางทางและปลายทาง และยังเป็นต้นแบบชุมชนแห่งการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพได้อย่างยั่งยืน ปี 2550 สร้างโอกาส สร้างรายได้สู่ชุมชน
เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึงได้ชมการแสดงต้อนรับชุด “รําวงมะเก่า” ของกลุ่มแม่บ้านอําเภอภูเพียง ในเวลาเดียวกันได้มีนักเรียนโรงเรียนน่านปัญญานุกูลมอบภาพวาดเป็นของที่ระลึกให้กับนายกรัฐมนตรีอีกด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวทักทายกลุ่มวิสาหกิจชุมชนชีววิถีตําบลน้ําเกี๋ยนว่า วันนี้มาลงพื้นที่พร้อมกับคณะรัฐมนตรี ซึ่งการเดินทางครั้งนี้มาเยี่ยมเยียนพี่น้องประชาชน มารับทราบถึงความเป็นอยู่ วันนี้ได้พูดในหลายเรื่องให้ทุกคนรับทราบถึงการดําเนินงานของรัฐบาล ซึ่งจังหวัดน่านเป็นเมืองที่มีความสงบ เต็มไปด้วยความงดงามทางวัฒนธรรม อารยธรรม ประเพณี วิถีชีวิตมีเอกลักษณ์ที่สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวและผู้มาเยือนได้อย่างดี อีกทั้งจังหวัดน่านมีตัวอย่างของการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนที่มีการบูรณาการ และใช้วัตถุดิบจากทรัพยากรในท้องถิ่นและภูมิปัญญา มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรชีวภาพ เพื่อใช้ในการดูแลสุขภาพและความงาม จากพืชสมุนไพรไทย นับเป็นตัวอย่างของการสร้างเศรษฐกิจชีวภาพโดยชุมชนท้องถิ่น ที่ได้นําเอาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาต่อยอดในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์และบริการจากความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นการนํากลไกของประชารัฐเข้ามาต่อยอดเรื่องการแปรรูปผลิตภัณฑ์ของชุมชนเดิม โดยใช้ความร่วมมือของหน่วยงานต่าง ๆ ในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เพิ่มความหลากหลายของสินค้า เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคและเป็นการกระจายความเสี่ยงของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน มีการต่อยอดโดยการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน สร้างรายได้ให้กับชุมชนต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลส่งเสริมให้ชุมชนแต่ละชุมชนก่อตั้งวิสาหกิจชุมชน โดยการรวมกลุ่มกันเป็นสหกรณ์ เพื่อแก้ไขปัญหาการประกอบอาชีพ โดยทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน มีเงินทุนหมุนเวียน มีอํานาจต่อรองการซื้อขายสินค้า ดังนั้น จึงขอให้มีการต่อยอดการซื้อขายสินค้าของสหกรณ์ โดยเชื่อมโยงกับการขายแบบออนไลน์ เพิ่มช่องทางการตลาดให้เข้าถึงผู้บริโภคทั่วโลก โดยนําข้อมูลผลิตภัณฑ์ของสหกรณ์ที่มีคุณภาพดีไปไว้ในตลาดสินค้าออนไลน์ ทั้งนี้ รัฐบาลยังได้สนับสนุนเรื่องที่จําเป็นต่อการสร้าง Startup ตั้งแต่การสร้างองค์ความรู้ พัฒนาผู้ประกอบการ อํานวยความสะดวกให้ธุรกิจเติบโต เพื่อให้เกิดการลงทุนต่อไปด้วย
นายกรัฐมนตรียังได้แสดงความห่วงใยเกี่ยวกับปัญหาฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐาน PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทุกคน วันนี้ทุกคนต้องเรียนรู้กับปัญหา ร่วมกันแก้ไข ลดการเผาขยะ ลดการเผาไหม้ ซึ่งรัฐบาลมีมาตรการต่าง ๆ ออกมาเพื่อเน้นการแก้ปัญหา โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด จึงต้องขอความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วนในการแก้ปัญหานี้ร่วมกันให้ได้อย่างยั่งยืนจากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินชมผลิตภัณฑ์การแปรรูปพืชผลทางการเกษตรและสมุนไพร การทําเกษตรอินทรีย์ การส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การสาธิตกระบวนการผลิตชาชงเชียงดา ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร
..................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมวิสาหกิจชุมชน ชีววิถีตำบลน้ำเกี๋ยน จ.น่าน ชุมชนต้นแบบ ภูมิปัญญาสร้างอาชีพ นำพืชสมุนไพรสร้างรายได้สู่ชุมชน
วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมวิสาหกิจชุมชน ชีววิถีตําบลน้ําเกี๋ยน จ.น่าน ชุมชนต้นแบบ ภูมิปัญญาสร้างอาชีพ นําพืชสมุนไพรสร้างรายได้สู่ชุมชน
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมวิสาหกิจชุมชนชีววิถีตําบลน้ําเกี๋ยน จ.น่าน ชุมชนต้นแบบภูมิปัญญาสร้างอาชีพ นําพืชสมุนไพรสร้างรายได้สู่ชุมชน
วันนี้ (12 กุมภาพันธ์ 2563) เวลา 16.30 น. ณ วิสาหกิจชุมชนชีววิถีตําบลน้ําเกี๋ยน (บ้านน้ําเกี๋ยน) อ.ภูเพียง จ.น่าน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ เยี่ยมวิสาหกิจชุมชนชีววิถีตําบลน้ําเกี๋ยน (บ้านน้ําเกี๋ยน) ซึ่งเป็นหมู่บ้านเกษตรนวัตวิถี ธุรกิจชุมชนที่ได้รางวัลวิสาหกิจชุมชนดีเด่นระดับประเทศและระดับโลก ที่มีหน่วยงานภาครัฐได้เข้าไปส่งเสริมและพัฒนาทั้งต้นทาง กลางทางและปลายทาง และยังเป็นต้นแบบชุมชนแห่งการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพได้อย่างยั่งยืน ปี 2550 สร้างโอกาส สร้างรายได้สู่ชุมชน
เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึงได้ชมการแสดงต้อนรับชุด “รําวงมะเก่า” ของกลุ่มแม่บ้านอําเภอภูเพียง ในเวลาเดียวกันได้มีนักเรียนโรงเรียนน่านปัญญานุกูลมอบภาพวาดเป็นของที่ระลึกให้กับนายกรัฐมนตรีอีกด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวทักทายกลุ่มวิสาหกิจชุมชนชีววิถีตําบลน้ําเกี๋ยนว่า วันนี้มาลงพื้นที่พร้อมกับคณะรัฐมนตรี ซึ่งการเดินทางครั้งนี้มาเยี่ยมเยียนพี่น้องประชาชน มารับทราบถึงความเป็นอยู่ วันนี้ได้พูดในหลายเรื่องให้ทุกคนรับทราบถึงการดําเนินงานของรัฐบาล ซึ่งจังหวัดน่านเป็นเมืองที่มีความสงบ เต็มไปด้วยความงดงามทางวัฒนธรรม อารยธรรม ประเพณี วิถีชีวิตมีเอกลักษณ์ที่สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวและผู้มาเยือนได้อย่างดี อีกทั้งจังหวัดน่านมีตัวอย่างของการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนที่มีการบูรณาการ และใช้วัตถุดิบจากทรัพยากรในท้องถิ่นและภูมิปัญญา มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรชีวภาพ เพื่อใช้ในการดูแลสุขภาพและความงาม จากพืชสมุนไพรไทย นับเป็นตัวอย่างของการสร้างเศรษฐกิจชีวภาพโดยชุมชนท้องถิ่น ที่ได้นําเอาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาต่อยอดในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์และบริการจากความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นการนํากลไกของประชารัฐเข้ามาต่อยอดเรื่องการแปรรูปผลิตภัณฑ์ของชุมชนเดิม โดยใช้ความร่วมมือของหน่วยงานต่าง ๆ ในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เพิ่มความหลากหลายของสินค้า เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคและเป็นการกระจายความเสี่ยงของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน มีการต่อยอดโดยการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน สร้างรายได้ให้กับชุมชนต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลส่งเสริมให้ชุมชนแต่ละชุมชนก่อตั้งวิสาหกิจชุมชน โดยการรวมกลุ่มกันเป็นสหกรณ์ เพื่อแก้ไขปัญหาการประกอบอาชีพ โดยทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน มีเงินทุนหมุนเวียน มีอํานาจต่อรองการซื้อขายสินค้า ดังนั้น จึงขอให้มีการต่อยอดการซื้อขายสินค้าของสหกรณ์ โดยเชื่อมโยงกับการขายแบบออนไลน์ เพิ่มช่องทางการตลาดให้เข้าถึงผู้บริโภคทั่วโลก โดยนําข้อมูลผลิตภัณฑ์ของสหกรณ์ที่มีคุณภาพดีไปไว้ในตลาดสินค้าออนไลน์ ทั้งนี้ รัฐบาลยังได้สนับสนุนเรื่องที่จําเป็นต่อการสร้าง Startup ตั้งแต่การสร้างองค์ความรู้ พัฒนาผู้ประกอบการ อํานวยความสะดวกให้ธุรกิจเติบโต เพื่อให้เกิดการลงทุนต่อไปด้วย
นายกรัฐมนตรียังได้แสดงความห่วงใยเกี่ยวกับปัญหาฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐาน PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทุกคน วันนี้ทุกคนต้องเรียนรู้กับปัญหา ร่วมกันแก้ไข ลดการเผาขยะ ลดการเผาไหม้ ซึ่งรัฐบาลมีมาตรการต่าง ๆ ออกมาเพื่อเน้นการแก้ปัญหา โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด จึงต้องขอความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วนในการแก้ปัญหานี้ร่วมกันให้ได้อย่างยั่งยืนจากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินชมผลิตภัณฑ์การแปรรูปพืชผลทางการเกษตรและสมุนไพร การทําเกษตรอินทรีย์ การส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การสาธิตกระบวนการผลิตชาชงเชียงดา ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร
..................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26475
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปการสัมมนาวิชาการเวทีสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (FPO Forum) ภายใต้โครงการขยายบทบาทสำนักงานเศรษฐกิจการคลังสู่ภูมิภาค ประจำปีงบประมาณ 2562 ครั้งที่ 1/2562 ณ จังหวัดนครสวรรค์
|
วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562
สรุปการสัมมนาวิชาการเวทีสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (FPO Forum) ภายใต้โครงการขยายบทบาทสํานักงานเศรษฐกิจการคลังสู่ภูมิภาค ประจําปีงบประมาณ 2562 ครั้งที่ 1/2562 ณ จังหวัดนครสวรรค์
การสัมมนาวิชาการเวทีสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (FPO Forum) เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 ณ โรงแรมเดอะพาราดิโซ เจเค ดีไซน์ นครสวรรค์ อําเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้เปิดการสัมมนาวิชาการเวทีสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (FPO Forum) เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 ณ โรงแรมเดอะพาราดิโซ เจเค ดีไซน์ นครสวรรค์ อําเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ การสัมมนาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายบทบาทของสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สู่ภูมิภาค และสร้างความรู้ความเข้าใจในบทบาทของ สศค. โดยมีผู้เข้าร่วมงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการเงินเฉพาะกิจ สถาบันการศึกษา และประชาชนจากจังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ อุทัยธานี พิจิตร พิษณุโลก ชัยนาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 300 คน และได้รับเกียรติจากนายอรรถพร สิงหวิชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ กล่าวต้อนรับและบรรยายในหัวข้อ “ภาพรวมเศรษฐกิจจังหวัดนครสวรรค์” โดยกล่าวถึง ศักยภาพทางเศรษฐกิจและความสําคัญของจังหวัดนครสวรรค์ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีชัยภูมิที่ดีด้านคมนาคมและเศรษฐกิจ เป็นศูนย์กลางของระบบโลจิสติกส์ และมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่ค่อนข้างสมดุล
การเสวนาในช่วงเช้าภายใต้หัวข้อ “ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง” โดยมีนายพงศ์นคร โภชากรณ์ ผู้อํานวยการส่วนการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สศค. นางสมศรี เพิงผา คลังจังหวัดนครสวรรค์ และทันตแพทย์สมยศ นะลําเลียง ประธานหอการค้าจังหวัดนครสวรรค์ ร่วมเป็นวิทยากร มีนางสาวจริยา จิริยะสิน เศรษฐกรปฏิบัติการ สศค. เป็นผู้ดําเนินรายการ สรุปสาระสําคัญได้ ดังนี้
เศรษฐกิจไทยโค้งสุดท้ายในปี 2561 มีการขยายตัวต่อเนื่อง และคาดว่าในปี 2562 เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง สําหรับเศรษฐกิจภาคเหนือตอนล่างในปี 2562 คาดว่าจะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยสนับสนุนด้านอุปสงค์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ และด้านอุปทานจากภาคการท่องเที่ยวจากนโยบายรัฐบาลที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว ตลอดจนได้รับแรงขับเคลื่อนจากนโยบายของรัฐบาล เช่น มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เป็นต้น และการที่จังหวัดนครสวรรค์มีแนวทางในการพัฒนาจังหวัดทั้งในระยะกลางและระยะยาวจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจังหวัดนครสวรรค์ โดยธุรกิจสําคัญที่จะสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจังหวัดนครสวรรค์ เช่น ธุรกิจด้านสุขภาพ ธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยี ธุรกิจการก่อสร้างภาครัฐ การท่องเที่ยว และการค้าปลีกค้าส่ง เป็นต้น ขณะที่ธุรกิจที่มีความเสี่ยงประกอบไปด้วย ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการเกษตร ธุรกิจรถยนต์ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ ได้มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง (นครสวรรค์ พิจิตร กําแพงเพชร และอุทัยธานี) ประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (1) เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของประเทศ (2) เป็นฐานการผลิตสินค้าเกษตรที่ปลอดภัย (3) อุตสาหกรรมการเกษตรที่ทันสมัย (4) ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ และ (5) ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อย
หลังจากนั้นเป็นกิจกรรมส่งเสริมการออมโดยกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับ การออมกับ กอช. ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรืออยู่นอกระบบบําเหน็จบํานาญของรัฐ หรือกองทุนเอกชนที่มีนายจ้างจ่ายสมทบได้ออมเงินเพื่อใช้ภายหลังเกษียณ
การเสวนาช่วงบ่ายในหัวข้อ “แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ แชร์ลูกโซ่ และผู้มีรายได้น้อย” โดยมีนางสาวเอม เจริญทองตระกูล ผู้อํานวยการส่วนอํานวยการปฏิบัติการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชน รักษาการในตําแหน่งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเครื่องมือทางการคลัง สศค. นางสาวกาญจนา ตั้งปกรณ์ ผู้อํานวยการส่วนนโยบายภาษีสรรพากร สศค. นายภูมิ เกลียวศิริกุล รองผู้อํานวยการฝ่ายกิจการสาขาภาคเหนือตอนล่าง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และ นายสมชาย อาภรณ์พงษ์ ผู้อํานวยการฝ่ายบริการและพัฒนาหนี้นอกระบบ ธนาคารออมสิน ร่วมเป็นวิทยากร สรุปสาระสําคัญได้ ดังนี้
รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานภาคีทุกภาคส่วนมีการดําเนินการร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน สําหรับปัญหาหนี้สินในระบบและนอกระบบของเกษตรกรในปัจจุบัน ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากเกษตรกรมีรายได้ไม่เพียงพอ ไม่มีการใช้เทคโนโลยีประกอบการทํากิจกรรมทางการเกษตร มีการกู้เงินเกินกําลัง และกู้เงินผิดวัตถุประสงค์ จึงจําเป็นต้องเร่งสร้างวินัยทางการเงินให้กับเกษตรกร ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้มุ่งเน้นส่งเสริมการพัฒนาตัวเกษตรกรภายใต้หลัก “3 รู้จัก” ได้แก่ 1) รู้จักตนเอง 2) รู้จักออม และ 3) รู้จักกู้ ควบคู่กับหลัก “ปรับ-เปลี่ยน-พัฒนา” ในส่วนของธนาคารออมสินที่มีบทบาท ในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบมาตั้งแต่เริ่มต้น ได้ให้บริการสินเชื่อเพื่อการชําระหนี้นอกระบบเพื่อให้ประชาชนสามารถปลดตนเองออกจากการเป็นหนี้นอกระบบ โดยมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตระยะยาวให้กับประชาชนควบคู่กันไป ภายใต้หลัก “3 สร้าง” ได้แก่ 1) สร้างความรู้และอาชีพ 2) สร้างตลาดและรายได้ และ 3) สร้างวินัยทางการเงิน
สําหรับการดําเนินการให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยของกระทรวงการคลังผ่านโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 ที่มีผู้อยู่ในโครงการ 11.4 ล้านคน และได้มีการพัฒนาสู่มาตรการช่วยเหลือระยะ ที่ 2 หรือ“มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา สามารถช่วยให้ผู้มีรายได้น้อย หลุดพ้นจากเส้นความยากจน หรือมีรายได้เกินกว่า 30,000 บาทต่อปี จํานวน 1.01 ล้านราย โดยมีผู้ที่มีรายได้ เกินกว่า 100,000 บาทต่อปีแล้ว จํานวน 115,116 ราย จากก่อนการพัฒนาที่ไม่มีผู้ที่มีรายได้เกิน 100,000 บาท
นอกจากนี้ วิทยากรได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ “ธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน” หรือที่เรียกว่า “สินเชื่อทะเบียนรถ”ว่า ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2562 เป็นต้นไป ถือเป็นธุรกิจภายใต้การกํากับดูแลของกระทรวงการคลัง โดยการให้สินเชื่อภายใต้ใบอนุญาตประกอบสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์สามารถคิดดอกเบี้ยรวมค่าปรับ ค่าบริการ ค่าธรรมเนียม ได้ในอัตราไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี แบบลดต้นลดดอก และเตือนภัยให้ประชาชนระมัดระวังเกี่ยวกับภัยทางการเงินในรูปแบบ “แชร์ลูกโซ่” ซึ่งยังมีการแพร่ระบาดอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอกลวงให้เข้าร่วมลงทุนหรือร่วมเล่น “แชร์ออนไลน์” โดยให้สัญญาว่าจะจ่ายผลตอบแทนในอัตราที่สูงภายในระยะเวลาอันสั้น
ทั้งนี้ สศค. จะจัดเวทีสัมมนาวิชาการเวทีสานักงานเศรษฐกิจการคลัง (FPO Forum) ประจําปีงบประมาณ 2562 อีกจํานวน 3 ครั้ง ในเดือนมีนาคม พฤษภาคม และ กรกฎาคม 2562 ตามลําดับ
สํานักนโยบายการออมและการลงทุน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร 0 2273 9020 ต่อ 3688, 3638, 3646, 3643
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปการสัมมนาวิชาการเวทีสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (FPO Forum) ภายใต้โครงการขยายบทบาทสำนักงานเศรษฐกิจการคลังสู่ภูมิภาค ประจำปีงบประมาณ 2562 ครั้งที่ 1/2562 ณ จังหวัดนครสวรรค์
วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562
สรุปการสัมมนาวิชาการเวทีสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (FPO Forum) ภายใต้โครงการขยายบทบาทสํานักงานเศรษฐกิจการคลังสู่ภูมิภาค ประจําปีงบประมาณ 2562 ครั้งที่ 1/2562 ณ จังหวัดนครสวรรค์
การสัมมนาวิชาการเวทีสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (FPO Forum) เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 ณ โรงแรมเดอะพาราดิโซ เจเค ดีไซน์ นครสวรรค์ อําเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้เปิดการสัมมนาวิชาการเวทีสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (FPO Forum) เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 ณ โรงแรมเดอะพาราดิโซ เจเค ดีไซน์ นครสวรรค์ อําเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ การสัมมนาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายบทบาทของสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สู่ภูมิภาค และสร้างความรู้ความเข้าใจในบทบาทของ สศค. โดยมีผู้เข้าร่วมงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการเงินเฉพาะกิจ สถาบันการศึกษา และประชาชนจากจังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ อุทัยธานี พิจิตร พิษณุโลก ชัยนาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 300 คน และได้รับเกียรติจากนายอรรถพร สิงหวิชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ กล่าวต้อนรับและบรรยายในหัวข้อ “ภาพรวมเศรษฐกิจจังหวัดนครสวรรค์” โดยกล่าวถึง ศักยภาพทางเศรษฐกิจและความสําคัญของจังหวัดนครสวรรค์ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีชัยภูมิที่ดีด้านคมนาคมและเศรษฐกิจ เป็นศูนย์กลางของระบบโลจิสติกส์ และมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่ค่อนข้างสมดุล
การเสวนาในช่วงเช้าภายใต้หัวข้อ “ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง” โดยมีนายพงศ์นคร โภชากรณ์ ผู้อํานวยการส่วนการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สศค. นางสมศรี เพิงผา คลังจังหวัดนครสวรรค์ และทันตแพทย์สมยศ นะลําเลียง ประธานหอการค้าจังหวัดนครสวรรค์ ร่วมเป็นวิทยากร มีนางสาวจริยา จิริยะสิน เศรษฐกรปฏิบัติการ สศค. เป็นผู้ดําเนินรายการ สรุปสาระสําคัญได้ ดังนี้
เศรษฐกิจไทยโค้งสุดท้ายในปี 2561 มีการขยายตัวต่อเนื่อง และคาดว่าในปี 2562 เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง สําหรับเศรษฐกิจภาคเหนือตอนล่างในปี 2562 คาดว่าจะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยสนับสนุนด้านอุปสงค์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ และด้านอุปทานจากภาคการท่องเที่ยวจากนโยบายรัฐบาลที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว ตลอดจนได้รับแรงขับเคลื่อนจากนโยบายของรัฐบาล เช่น มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เป็นต้น และการที่จังหวัดนครสวรรค์มีแนวทางในการพัฒนาจังหวัดทั้งในระยะกลางและระยะยาวจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจังหวัดนครสวรรค์ โดยธุรกิจสําคัญที่จะสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจังหวัดนครสวรรค์ เช่น ธุรกิจด้านสุขภาพ ธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยี ธุรกิจการก่อสร้างภาครัฐ การท่องเที่ยว และการค้าปลีกค้าส่ง เป็นต้น ขณะที่ธุรกิจที่มีความเสี่ยงประกอบไปด้วย ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการเกษตร ธุรกิจรถยนต์ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ ได้มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง (นครสวรรค์ พิจิตร กําแพงเพชร และอุทัยธานี) ประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (1) เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของประเทศ (2) เป็นฐานการผลิตสินค้าเกษตรที่ปลอดภัย (3) อุตสาหกรรมการเกษตรที่ทันสมัย (4) ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ และ (5) ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อย
หลังจากนั้นเป็นกิจกรรมส่งเสริมการออมโดยกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับ การออมกับ กอช. ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรืออยู่นอกระบบบําเหน็จบํานาญของรัฐ หรือกองทุนเอกชนที่มีนายจ้างจ่ายสมทบได้ออมเงินเพื่อใช้ภายหลังเกษียณ
การเสวนาช่วงบ่ายในหัวข้อ “แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ แชร์ลูกโซ่ และผู้มีรายได้น้อย” โดยมีนางสาวเอม เจริญทองตระกูล ผู้อํานวยการส่วนอํานวยการปฏิบัติการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชน รักษาการในตําแหน่งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเครื่องมือทางการคลัง สศค. นางสาวกาญจนา ตั้งปกรณ์ ผู้อํานวยการส่วนนโยบายภาษีสรรพากร สศค. นายภูมิ เกลียวศิริกุล รองผู้อํานวยการฝ่ายกิจการสาขาภาคเหนือตอนล่าง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และ นายสมชาย อาภรณ์พงษ์ ผู้อํานวยการฝ่ายบริการและพัฒนาหนี้นอกระบบ ธนาคารออมสิน ร่วมเป็นวิทยากร สรุปสาระสําคัญได้ ดังนี้
รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานภาคีทุกภาคส่วนมีการดําเนินการร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน สําหรับปัญหาหนี้สินในระบบและนอกระบบของเกษตรกรในปัจจุบัน ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากเกษตรกรมีรายได้ไม่เพียงพอ ไม่มีการใช้เทคโนโลยีประกอบการทํากิจกรรมทางการเกษตร มีการกู้เงินเกินกําลัง และกู้เงินผิดวัตถุประสงค์ จึงจําเป็นต้องเร่งสร้างวินัยทางการเงินให้กับเกษตรกร ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้มุ่งเน้นส่งเสริมการพัฒนาตัวเกษตรกรภายใต้หลัก “3 รู้จัก” ได้แก่ 1) รู้จักตนเอง 2) รู้จักออม และ 3) รู้จักกู้ ควบคู่กับหลัก “ปรับ-เปลี่ยน-พัฒนา” ในส่วนของธนาคารออมสินที่มีบทบาท ในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบมาตั้งแต่เริ่มต้น ได้ให้บริการสินเชื่อเพื่อการชําระหนี้นอกระบบเพื่อให้ประชาชนสามารถปลดตนเองออกจากการเป็นหนี้นอกระบบ โดยมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตระยะยาวให้กับประชาชนควบคู่กันไป ภายใต้หลัก “3 สร้าง” ได้แก่ 1) สร้างความรู้และอาชีพ 2) สร้างตลาดและรายได้ และ 3) สร้างวินัยทางการเงิน
สําหรับการดําเนินการให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยของกระทรวงการคลังผ่านโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 ที่มีผู้อยู่ในโครงการ 11.4 ล้านคน และได้มีการพัฒนาสู่มาตรการช่วยเหลือระยะ ที่ 2 หรือ“มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา สามารถช่วยให้ผู้มีรายได้น้อย หลุดพ้นจากเส้นความยากจน หรือมีรายได้เกินกว่า 30,000 บาทต่อปี จํานวน 1.01 ล้านราย โดยมีผู้ที่มีรายได้ เกินกว่า 100,000 บาทต่อปีแล้ว จํานวน 115,116 ราย จากก่อนการพัฒนาที่ไม่มีผู้ที่มีรายได้เกิน 100,000 บาท
นอกจากนี้ วิทยากรได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ “ธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน” หรือที่เรียกว่า “สินเชื่อทะเบียนรถ”ว่า ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2562 เป็นต้นไป ถือเป็นธุรกิจภายใต้การกํากับดูแลของกระทรวงการคลัง โดยการให้สินเชื่อภายใต้ใบอนุญาตประกอบสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์สามารถคิดดอกเบี้ยรวมค่าปรับ ค่าบริการ ค่าธรรมเนียม ได้ในอัตราไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี แบบลดต้นลดดอก และเตือนภัยให้ประชาชนระมัดระวังเกี่ยวกับภัยทางการเงินในรูปแบบ “แชร์ลูกโซ่” ซึ่งยังมีการแพร่ระบาดอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอกลวงให้เข้าร่วมลงทุนหรือร่วมเล่น “แชร์ออนไลน์” โดยให้สัญญาว่าจะจ่ายผลตอบแทนในอัตราที่สูงภายในระยะเวลาอันสั้น
ทั้งนี้ สศค. จะจัดเวทีสัมมนาวิชาการเวทีสานักงานเศรษฐกิจการคลัง (FPO Forum) ประจําปีงบประมาณ 2562 อีกจํานวน 3 ครั้ง ในเดือนมีนาคม พฤษภาคม และ กรกฎาคม 2562 ตามลําดับ
สํานักนโยบายการออมและการลงทุน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร 0 2273 9020 ต่อ 3688, 3638, 3646, 3643
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน เรียกประชุม 3 กระทรวง "สาธารณสุข-คมนาคม-ท่องเที่ยว" จับตาสถานการณ์ "โคโรนา" ยืนยันไทยยังป้องกัน ควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ได้
|
วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม 2563
รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน เรียกประชุม 3 กระทรวง "สาธารณสุข-คมนาคม-ท่องเที่ยว" จับตาสถานการณ์ "โคโรนา" ยืนยันไทยยังป้องกัน ควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ได้
รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน เรียกประชุม 3 กระทรวง "สาธารณสุข-คมนาคม-ท่องเที่ยว" จับตาสถานการณ์ "โคโรนา" ยืนยันไทยยังป้องกัน ควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ได้
วันนี้ (26 ม.ค. 2563) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมชัยนาทนเรนทร อาคาร 1 ชั้น 2 ตึกสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานประชุมเชิงปฏิบัติการการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ในประเทศไทย ร่วมกับผู้บริหาร 3 กระทรวง ประกอบด้วย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม และกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ก่อนจัดทํามาตรการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาในวันอังคารที่ 28 มกราคม 2563 นี้ โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬา นายพีระพล ถาวรสุภเจริญ รองปลัดกระทรวงคมนาคม และศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ร่วมประชุมด้วย
ภายหลังการประชุม รองนายกรัฐมนตรีได้ ขอบคุณหน่วยงานของทั้ง 3 กระทรวง ที่ร่วมบูรณาการแผนป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่ช่วยกันสกัดไม่ให้การระบาดของโรคนี้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ทําให้พบผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 จากต่างประเทศ ทั้งหมด 8 ราย ( ณ 26 ม ค.63) โดยกลับบ้านแล้ว 5 ราย อีก 3 รายยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่ายังไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศไทย แต่ยังคงเฝ้าระวังนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากประเทศจีนหรือประเทศที่สุ่มเสี่ยง หรือสงสัยว่าอาจจะมีอาการป่วย แต่ยังไม่ปรากฎอาการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการตรวจคัดกรองใน 5 สนามบิน ที่บินมาจากเมืองอู่ฮั่นและกวางโจว ได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต และกระบี่ นักท่องเที่ยวทุกคนจะได้รับแจกคําแนะนํา (health beware card) จากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรค
รองนายกรัฐมนตรีประกาศยืนยันว่า คณะผู้เชี่ยวชาญการควบคุมโรคระบาด และแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญของไทย ดําเนินการ 100% อุปกรณ์ในการตรวจสอบและแสกนก็เพียงพอต่อการรับมือสอดคล้องกรอบการดําเนินการขององค์การอนามัยโลก ทั้งยกระดับการเฝ้าระวัง คัดกรองผู้ป่วยสงสัยฯ จากพื้นที่แพร่ระบาดของโรค ครอบคลุมทั้ง สนามบิน สถานพยาบาลรัฐ/เอกชน และในชุมชน ให้โรงแรมที่พักเป็นจุดเฝ้าระวังด้วย ดังนั้น ความร่วมมือของประชาชน ผู้ประกอบการทัวร์ โรงแรม ที่พัก เป็นเรื่องสําคัญเพื่อให้การควบคุมป้องกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ในการควบคุมป้องกันขณะนี้ มีประสิทธิภาพเพียงพอและเหมาะสมกับสถานการณ์โดยคํานึกถึงสุขภาพประชาชนในประเทศสําคัญเป็นอันดับแรก ประชาชนสามารถมั่นใจต่อการดําเนินการของกระทรวงสาธารณสุขและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้เชื่อมั่นในข่าวที่กระทรวงสาธารณสุขเผยแพร่ออกไป โดยกรมควบคุมโรคจะเป็นผู้แถลงข่าวทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง หากจําเป็นก็จะเพิ่มความถี่ในการแถลงข่าว เพื่อให้ทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้รับรายงานการดําเนินการทุกอย่าง และมีความห่วงใยประชาชนต่อสถานการณ์นี้ และได้สั่งการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนให้มากที่สุดโดยไม่ต้องมีการปิดบังใด ๆ เพื่อให้ประชาชนได้ปฏิบัติตัวได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง พร้อมทั้งยังทํางานร่วมกับคณะโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เพื่อเผยแพร่สู่ประชาชนได้รับทราบ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวด้วยความมั่นใจว่า สถานการณ์จะดีขึ้นด้วยความร่วมมือจากประชาชน วอนอย่าเชื่อข่าวลือ“เช็คก่อนแชร์” เพื่อไม่ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแพร่หลาย เกิดความตระหนก และมีความผิดตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ฯ โปรดติดตามข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุข หากมีข้อสงสัย สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/intro.php และ Line@ / เพจ เฟสบุ๊ค : รู้กันทันโรค, เพจเฟสบุ๊ค : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข”
โอกาสนี้ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ได้กําชับให้คํานึกถึงความปลอดภัยและสุขภาพประชาชนเป็นหลัก ประเด็นเศรษฐกิจเป็นเรื่องรอง สํานักโฆษก จะได้มีการประสานงานและทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในการช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง โดยเฉพาะข้อมูลในเรื่องการดูแล ป้องกันดูแลตนเองอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างความมั่นใจและคลายความวิตกกังวลให้กับประชาชน
---------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน เรียกประชุม 3 กระทรวง "สาธารณสุข-คมนาคม-ท่องเที่ยว" จับตาสถานการณ์ "โคโรนา" ยืนยันไทยยังป้องกัน ควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ได้
วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม 2563
รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน เรียกประชุม 3 กระทรวง "สาธารณสุข-คมนาคม-ท่องเที่ยว" จับตาสถานการณ์ "โคโรนา" ยืนยันไทยยังป้องกัน ควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ได้
รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน เรียกประชุม 3 กระทรวง "สาธารณสุข-คมนาคม-ท่องเที่ยว" จับตาสถานการณ์ "โคโรนา" ยืนยันไทยยังป้องกัน ควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ได้
วันนี้ (26 ม.ค. 2563) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมชัยนาทนเรนทร อาคาร 1 ชั้น 2 ตึกสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานประชุมเชิงปฏิบัติการการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ในประเทศไทย ร่วมกับผู้บริหาร 3 กระทรวง ประกอบด้วย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม และกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ก่อนจัดทํามาตรการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาในวันอังคารที่ 28 มกราคม 2563 นี้ โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬา นายพีระพล ถาวรสุภเจริญ รองปลัดกระทรวงคมนาคม และศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ร่วมประชุมด้วย
ภายหลังการประชุม รองนายกรัฐมนตรีได้ ขอบคุณหน่วยงานของทั้ง 3 กระทรวง ที่ร่วมบูรณาการแผนป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่ช่วยกันสกัดไม่ให้การระบาดของโรคนี้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ทําให้พบผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 จากต่างประเทศ ทั้งหมด 8 ราย ( ณ 26 ม ค.63) โดยกลับบ้านแล้ว 5 ราย อีก 3 รายยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่ายังไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศไทย แต่ยังคงเฝ้าระวังนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากประเทศจีนหรือประเทศที่สุ่มเสี่ยง หรือสงสัยว่าอาจจะมีอาการป่วย แต่ยังไม่ปรากฎอาการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการตรวจคัดกรองใน 5 สนามบิน ที่บินมาจากเมืองอู่ฮั่นและกวางโจว ได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต และกระบี่ นักท่องเที่ยวทุกคนจะได้รับแจกคําแนะนํา (health beware card) จากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรค
รองนายกรัฐมนตรีประกาศยืนยันว่า คณะผู้เชี่ยวชาญการควบคุมโรคระบาด และแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญของไทย ดําเนินการ 100% อุปกรณ์ในการตรวจสอบและแสกนก็เพียงพอต่อการรับมือสอดคล้องกรอบการดําเนินการขององค์การอนามัยโลก ทั้งยกระดับการเฝ้าระวัง คัดกรองผู้ป่วยสงสัยฯ จากพื้นที่แพร่ระบาดของโรค ครอบคลุมทั้ง สนามบิน สถานพยาบาลรัฐ/เอกชน และในชุมชน ให้โรงแรมที่พักเป็นจุดเฝ้าระวังด้วย ดังนั้น ความร่วมมือของประชาชน ผู้ประกอบการทัวร์ โรงแรม ที่พัก เป็นเรื่องสําคัญเพื่อให้การควบคุมป้องกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ในการควบคุมป้องกันขณะนี้ มีประสิทธิภาพเพียงพอและเหมาะสมกับสถานการณ์โดยคํานึกถึงสุขภาพประชาชนในประเทศสําคัญเป็นอันดับแรก ประชาชนสามารถมั่นใจต่อการดําเนินการของกระทรวงสาธารณสุขและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้เชื่อมั่นในข่าวที่กระทรวงสาธารณสุขเผยแพร่ออกไป โดยกรมควบคุมโรคจะเป็นผู้แถลงข่าวทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง หากจําเป็นก็จะเพิ่มความถี่ในการแถลงข่าว เพื่อให้ทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้รับรายงานการดําเนินการทุกอย่าง และมีความห่วงใยประชาชนต่อสถานการณ์นี้ และได้สั่งการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนให้มากที่สุดโดยไม่ต้องมีการปิดบังใด ๆ เพื่อให้ประชาชนได้ปฏิบัติตัวได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง พร้อมทั้งยังทํางานร่วมกับคณะโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เพื่อเผยแพร่สู่ประชาชนได้รับทราบ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวด้วยความมั่นใจว่า สถานการณ์จะดีขึ้นด้วยความร่วมมือจากประชาชน วอนอย่าเชื่อข่าวลือ“เช็คก่อนแชร์” เพื่อไม่ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแพร่หลาย เกิดความตระหนก และมีความผิดตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ฯ โปรดติดตามข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุข หากมีข้อสงสัย สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/intro.php และ Line@ / เพจ เฟสบุ๊ค : รู้กันทันโรค, เพจเฟสบุ๊ค : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข”
โอกาสนี้ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ได้กําชับให้คํานึกถึงความปลอดภัยและสุขภาพประชาชนเป็นหลัก ประเด็นเศรษฐกิจเป็นเรื่องรอง สํานักโฆษก จะได้มีการประสานงานและทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในการช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง โดยเฉพาะข้อมูลในเรื่องการดูแล ป้องกันดูแลตนเองอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างความมั่นใจและคลายความวิตกกังวลให้กับประชาชน
---------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26060
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 14 กุมภาพันธ์ 2560
|
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 14 กุมภาพันธ์ 2560
วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 14 กุมภาพันธ์ 2560
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 14 กุมภาพันธ์ 2560
วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1852
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ เร่งกระชับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจกับเยอรมนี
|
วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2560
พาณิชย์ เร่งกระชับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจกับเยอรมนี
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เดินทางเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เพื่อร่วมการหารือระดับรัฐมนตรีในหัวข้อ Free Trade in Asia-Pacific: Chance and Challenges
ในการประชุม German-Asian Business Dialogue ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2560 ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ซึ่งจัดโดยหอการค้าและอุตสาหกรรมเยอรมนี สมาคมธุรกิจเอเชียแปซิฟิกของเยอรมนี มูลนิธิ Konrad Adenauer มูลนิธิ Bertelsmann เอกชนรายใหญ่จากเยอรมนีและเอเชียแปซิฟิก สถานเอกอัครราชทูตไทยประจํากรุงเบอร์ลิน สํานักงานการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงเบอร์ลิน สํานักงานผู้แทนคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน นครแฟรงก์เฟิร์ต และสถานเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้หารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาของเยอรมนี อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ประเทศมองโกเลีย รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมและเทคโนโลยี ประเทศฟิลิปปินส์ และรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานและอุตสาหกรรม ประเทศบรูไน โดยได้แลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศในยุคโลกาภิวัฒน์ และการแสวงหาความร่วมมือระหว่างเยอรมนีและประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมเห็นพ้องว่า โลกาภิวัฒน์ช่วยให้ขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุน เพิ่มการจ้างงาน และยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน พร้อมทั้งเห็นว่า การค้าเสรี (Free Trade) ควรจะคํานึงถึงการค้าที่เป็นธรรม (Fair Trade) ควบคู่กัน เพื่อความสมดุลระหว่างมิติทางการค้าและสังคม นอกจากนี้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เยอรมนีเป็นคู่ค้าและนักลงทุนรายสําคัญของประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล และระหว่างนักธุรกิจเป็นไปด้วยดีและใกล้ชิดมาโดยตลอด และจะดํารงอยู่อย่างยั่งยืนต่อไปบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้กล่าวว่า ไทยมีระบบเศรษฐกิจแบบเปิดรับการค้าการลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งนี้ รายได้หลักของประเทศมาจากการส่งออกสินค้า ที่ผ่านมาไทยปรับตัวต่อความท้าทายของโลกาภิวัฒน์มาโดยตลอด และใช้ความตกลงการค้าเสรีเป็นเครื่องมือหนึ่งในการขับเคลื่อนการค้าระหว่างประเทศ ปัจจุบันประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะยกระดับเศรษฐกิจไทยไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง จึงได้มีนโยบายประเทศไทย 4.0 ปรับรูปแบบการค้าไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation) และการเพิ่มมูลค่า (Value-Based Economy) ให้มากขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรไทย โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ เพื่อให้สอดรับกับห่วงโซ่คุณค่าของโลก นอกจากนี้ รัฐบาลก็ยังมีเป้าหมายที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมการค้าบริการให้สามารถแข่งขันได้ตลาดโลกด้วย
สําหรับการเจรจาจัดทําความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) ซึ่งเป็นความตกลงการค้าเสรีแบบภูมิภาคขนาดใหญ่ที่ ASEAN อยู่ระหว่างเจรจากับประเทศคู่ค้า ได้แก่ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งตั้งเป้าหมายว่าจะสรุปผลการเจรจาโดยเร็วที่สุด โดยมุ่งหวังให้ RCEP เป็นความตกลงที่ลดความซับซ้อนยุ่งเหยิงของกฎเกณฑ์ทางการค้า โดยเฉพาะกฎแห่งถิ่นกําเนิดสินค้า ตลอดจนเพิ่มการอํานวยความสะดวกและเปิดเสรีการค้ามากขึ้น
ในส่วนของแนวทางการขยายความร่วมมือระหว่างไทยและเยอรมนี นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เน้นย้ําว่า ไทยและเยอรมนีมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ทั้งสองประเทศควรร่วมกันขยายความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนในรูปแบบหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ โดยนําจุดแข็งและจุดแข็งมาส่งเสริมซึ่งกันและกันในส่วนของเยอรมนีมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมที่เน้นการวิจัยและพัฒนา อาทิ นวัตกรรมด้านการเกษตร เทคโนโลยีชีวภาพ โครงสร้างพื้นฐาน และพลังงานทดแทน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยที่จะพัฒนาส่วนไทยเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรรายใหญ่ เป็นแหล่งวัตถุดิบ และแรงงาน พร้อมทั้งเชิญชวนนักลงทุนเยอรมนี มาลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ที่ไทยมุ่งสร้างให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่ทันสมัยของอาเซียน โดยไทยมีแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ทางถนน ทางราง ทางเรือ และทางอากาศ แผนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และแผนการพัฒนาเมืองใหม่ พร้อมทั้ง มีมาตรการดึงดูดการลงทุนที่รัฐบาลพร้อมให้สิทธิพิเศษส่งเสริมการลงทุนที่เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง
นอกจากนี้ ระหว่างการเข้าร่วมประชุมดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มีโอกาสหารือกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัท BMW ซึ่งเป็นผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่และทันสมัยของโลก โดยได้เชิญชวนให้บริษัท BMW พิจารณาใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ของอาเซียน มาลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบใน EEC ซึ่งฝ่าย BMW แจ้งว่าประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ของภูมิภาคเอเชียส่งออกไปจีน และเห็นศักยภาพของไทยที่จะสามารถขยายการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
ทั้งนี้ เยอรมนีเป็นประเทศคู่ค้าสําคัญที่สุดประเทศหนึ่งของไทย โดยในปี 2559 เยอรมนีเป็นคู่ค้าอันดับ 12 ของไทย เป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยในสหภาพยุโรป มีมูลค่าการค้ากว่า 10,361.60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเยอรมนีลงทุนในไทยมากเป็นอันดับที่ 4 ในกลุ่มประเทศ EU (รองจากลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ เร่งกระชับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจกับเยอรมนี
วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2560
พาณิชย์ เร่งกระชับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจกับเยอรมนี
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เดินทางเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เพื่อร่วมการหารือระดับรัฐมนตรีในหัวข้อ Free Trade in Asia-Pacific: Chance and Challenges
ในการประชุม German-Asian Business Dialogue ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2560 ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ซึ่งจัดโดยหอการค้าและอุตสาหกรรมเยอรมนี สมาคมธุรกิจเอเชียแปซิฟิกของเยอรมนี มูลนิธิ Konrad Adenauer มูลนิธิ Bertelsmann เอกชนรายใหญ่จากเยอรมนีและเอเชียแปซิฟิก สถานเอกอัครราชทูตไทยประจํากรุงเบอร์ลิน สํานักงานการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงเบอร์ลิน สํานักงานผู้แทนคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน นครแฟรงก์เฟิร์ต และสถานเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้หารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาของเยอรมนี อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ประเทศมองโกเลีย รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมและเทคโนโลยี ประเทศฟิลิปปินส์ และรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานและอุตสาหกรรม ประเทศบรูไน โดยได้แลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศในยุคโลกาภิวัฒน์ และการแสวงหาความร่วมมือระหว่างเยอรมนีและประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมเห็นพ้องว่า โลกาภิวัฒน์ช่วยให้ขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุน เพิ่มการจ้างงาน และยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน พร้อมทั้งเห็นว่า การค้าเสรี (Free Trade) ควรจะคํานึงถึงการค้าที่เป็นธรรม (Fair Trade) ควบคู่กัน เพื่อความสมดุลระหว่างมิติทางการค้าและสังคม นอกจากนี้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เยอรมนีเป็นคู่ค้าและนักลงทุนรายสําคัญของประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล และระหว่างนักธุรกิจเป็นไปด้วยดีและใกล้ชิดมาโดยตลอด และจะดํารงอยู่อย่างยั่งยืนต่อไปบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้กล่าวว่า ไทยมีระบบเศรษฐกิจแบบเปิดรับการค้าการลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งนี้ รายได้หลักของประเทศมาจากการส่งออกสินค้า ที่ผ่านมาไทยปรับตัวต่อความท้าทายของโลกาภิวัฒน์มาโดยตลอด และใช้ความตกลงการค้าเสรีเป็นเครื่องมือหนึ่งในการขับเคลื่อนการค้าระหว่างประเทศ ปัจจุบันประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะยกระดับเศรษฐกิจไทยไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง จึงได้มีนโยบายประเทศไทย 4.0 ปรับรูปแบบการค้าไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation) และการเพิ่มมูลค่า (Value-Based Economy) ให้มากขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรไทย โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ เพื่อให้สอดรับกับห่วงโซ่คุณค่าของโลก นอกจากนี้ รัฐบาลก็ยังมีเป้าหมายที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมการค้าบริการให้สามารถแข่งขันได้ตลาดโลกด้วย
สําหรับการเจรจาจัดทําความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) ซึ่งเป็นความตกลงการค้าเสรีแบบภูมิภาคขนาดใหญ่ที่ ASEAN อยู่ระหว่างเจรจากับประเทศคู่ค้า ได้แก่ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งตั้งเป้าหมายว่าจะสรุปผลการเจรจาโดยเร็วที่สุด โดยมุ่งหวังให้ RCEP เป็นความตกลงที่ลดความซับซ้อนยุ่งเหยิงของกฎเกณฑ์ทางการค้า โดยเฉพาะกฎแห่งถิ่นกําเนิดสินค้า ตลอดจนเพิ่มการอํานวยความสะดวกและเปิดเสรีการค้ามากขึ้น
ในส่วนของแนวทางการขยายความร่วมมือระหว่างไทยและเยอรมนี นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เน้นย้ําว่า ไทยและเยอรมนีมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ทั้งสองประเทศควรร่วมกันขยายความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนในรูปแบบหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ โดยนําจุดแข็งและจุดแข็งมาส่งเสริมซึ่งกันและกันในส่วนของเยอรมนีมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมที่เน้นการวิจัยและพัฒนา อาทิ นวัตกรรมด้านการเกษตร เทคโนโลยีชีวภาพ โครงสร้างพื้นฐาน และพลังงานทดแทน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยที่จะพัฒนาส่วนไทยเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรรายใหญ่ เป็นแหล่งวัตถุดิบ และแรงงาน พร้อมทั้งเชิญชวนนักลงทุนเยอรมนี มาลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ที่ไทยมุ่งสร้างให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่ทันสมัยของอาเซียน โดยไทยมีแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ทางถนน ทางราง ทางเรือ และทางอากาศ แผนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และแผนการพัฒนาเมืองใหม่ พร้อมทั้ง มีมาตรการดึงดูดการลงทุนที่รัฐบาลพร้อมให้สิทธิพิเศษส่งเสริมการลงทุนที่เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง
นอกจากนี้ ระหว่างการเข้าร่วมประชุมดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มีโอกาสหารือกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัท BMW ซึ่งเป็นผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่และทันสมัยของโลก โดยได้เชิญชวนให้บริษัท BMW พิจารณาใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ของอาเซียน มาลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบใน EEC ซึ่งฝ่าย BMW แจ้งว่าประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ของภูมิภาคเอเชียส่งออกไปจีน และเห็นศักยภาพของไทยที่จะสามารถขยายการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
ทั้งนี้ เยอรมนีเป็นประเทศคู่ค้าสําคัญที่สุดประเทศหนึ่งของไทย โดยในปี 2559 เยอรมนีเป็นคู่ค้าอันดับ 12 ของไทย เป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยในสหภาพยุโรป มีมูลค่าการค้ากว่า 10,361.60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเยอรมนีลงทุนในไทยมากเป็นอันดับที่ 4 ในกลุ่มประเทศ EU (รองจากลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2793
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงเทพมหานครชี้แจงการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุผิดพลาด
|
วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2562
กรุงเทพมหานครชี้แจงการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุผิดพลาด
กรุงเทพมหานครชี้แจงการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุผิดพลาด
ศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2562 นายพงศธร ศิริธรรม ผู้อํานวยการเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ชี้แจงว่า สํานักงานเขตบางกอกน้อย ได้จ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2552 โดยจ่ายเดือนละ 500 บาท เท่ากันทุกคนต่อมาในปีงบประมาณ 2555 รัฐบาลมีนโยบายการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุรายเดือนเป็นแบบขั้นบันได โดยผู้ที่มีอายุ 60 - 69 ปี ได้รับ 600 บาท/เดือน ผู้ที่มีอายุ 70 - 79 ปี ได้รับ 700 บาท/เดือน ผู้ที่มีอายุ 80 - 89 ปี ได้รับ 800 บาท/เดือน และผู้ที่มีอายุ 90 ปีขึ้นไป ได้รับ 1,000 บาท/เดือน ซึ่งการปรับเปลี่ยนอัตราการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบขั้นบันไดดังกล่าว สํานักงานเขตบางกอกน้อยได้ปรับฐานข้อมูลช่วงอายุให้เป็นไปตามอายุจริงของผู้สูงอายุ ซึ่งอาจมีข้อจํากัดในการตรวจสอบอายุและจํานวนเงินที่จะได้รับ จึงทําให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ โดยเฉพาะในช่วงของการเปลี่ยนแปลงในระหว่างปีงบประมาณ 2554 - 2555 รวมถึงการนับอายุของผู้สูงอายุที่ไม่ระบุวัน เดือน ปีเกิด จากการตรวจสอบฐานข้อมูลของผู้สูงอายุที่ได้รับเงินเบี้ยยังชีพในเขตบางกอกน้อย
ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2554 เป็นต้นมา เจ้าหน้าที่ได้ดําเนินการตรวจสอบข้อมูลเป็นประจําทุกเดือน ซึ่งจะมีการบันทึกข้อมูลด้วยโปรแกรม Microsoft Excel ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ และในบางครั้งระบบการบันทึกข้อมูลไม่เสถียร จึงอาจเกิดข้อผิดพลาดได้ ประกอบกับการตรวจสอบข้อมูลของผู้สูงอายุแต่ละรายต้องใช้ระยะเวลาในการดําเนินการหากตรวจสอบพบข้อบกพร่องเจ้าหน้าที่จะดําเนินการแก้ไขทันทีตามแนวทางที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกําหนด ซึ่งตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2561 เป็นต้นมากรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังได้ดําเนินการเบิกจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแทนกรุงเทพมหานคร ผ่านระบบบูรณาการฐานข้อมูลสวัสดิการสังคม ( e-social welfare) โดยโอนเงินให้ผู้มีสิทธิรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุผ่านระบบบัญชีธนาคารพร้อมทั้งมีการติดตามตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหากมีผู้สูงอายุได้รับเงินซ้ําซ้อนหรือเสียชีวิต กรมบัญชีกลางก็จะระงับสิทธิทันที ประกอบกับหากสํานักงานเขตตรวจพบว่าผู้สูงอายุรายใดได้รับเงินซ้ําซ้อนจะมีหนังสือถึงผู้สูงอายุหรือญาติ เพื่อให้นําเงินที่ซ้ําซ้อนส่งคืนสํานักงานเขต
ส่วนกรณีการเรียกเงินคืนดังกล่าว หากผู้สูงอายุติดขัดในการคืนเงินเบี้ยยังชีพ หรือไม่สามารถที่จะคืนเงินตามที่สํานักงานเขตแจ้งไว้ได้ สามารถติดต่อขอรับคําปรึกษาได้ที่ฝ่ายพัฒนาชุมชนและสวัสดิการสังคม สํานักงานเขตบางกอกน้อย ทั้งนี้ สํานักงานเขตบางกอกน้อย ขอยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ได้ดําเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และแนวทางที่กําหนด เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับเงินเบี้ยยังชีพทันตามกําหนดเวลาในแต่ละเดือน มิได้ละเลยหรือเพิกเฉยต่อหน้าที่แต่อย่างใด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงเทพมหานครชี้แจงการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุผิดพลาด
วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2562
กรุงเทพมหานครชี้แจงการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุผิดพลาด
กรุงเทพมหานครชี้แจงการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุผิดพลาด
ศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2562 นายพงศธร ศิริธรรม ผู้อํานวยการเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ชี้แจงว่า สํานักงานเขตบางกอกน้อย ได้จ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2552 โดยจ่ายเดือนละ 500 บาท เท่ากันทุกคนต่อมาในปีงบประมาณ 2555 รัฐบาลมีนโยบายการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุรายเดือนเป็นแบบขั้นบันได โดยผู้ที่มีอายุ 60 - 69 ปี ได้รับ 600 บาท/เดือน ผู้ที่มีอายุ 70 - 79 ปี ได้รับ 700 บาท/เดือน ผู้ที่มีอายุ 80 - 89 ปี ได้รับ 800 บาท/เดือน และผู้ที่มีอายุ 90 ปีขึ้นไป ได้รับ 1,000 บาท/เดือน ซึ่งการปรับเปลี่ยนอัตราการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบขั้นบันไดดังกล่าว สํานักงานเขตบางกอกน้อยได้ปรับฐานข้อมูลช่วงอายุให้เป็นไปตามอายุจริงของผู้สูงอายุ ซึ่งอาจมีข้อจํากัดในการตรวจสอบอายุและจํานวนเงินที่จะได้รับ จึงทําให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ โดยเฉพาะในช่วงของการเปลี่ยนแปลงในระหว่างปีงบประมาณ 2554 - 2555 รวมถึงการนับอายุของผู้สูงอายุที่ไม่ระบุวัน เดือน ปีเกิด จากการตรวจสอบฐานข้อมูลของผู้สูงอายุที่ได้รับเงินเบี้ยยังชีพในเขตบางกอกน้อย
ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2554 เป็นต้นมา เจ้าหน้าที่ได้ดําเนินการตรวจสอบข้อมูลเป็นประจําทุกเดือน ซึ่งจะมีการบันทึกข้อมูลด้วยโปรแกรม Microsoft Excel ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ และในบางครั้งระบบการบันทึกข้อมูลไม่เสถียร จึงอาจเกิดข้อผิดพลาดได้ ประกอบกับการตรวจสอบข้อมูลของผู้สูงอายุแต่ละรายต้องใช้ระยะเวลาในการดําเนินการหากตรวจสอบพบข้อบกพร่องเจ้าหน้าที่จะดําเนินการแก้ไขทันทีตามแนวทางที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกําหนด ซึ่งตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2561 เป็นต้นมากรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังได้ดําเนินการเบิกจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแทนกรุงเทพมหานคร ผ่านระบบบูรณาการฐานข้อมูลสวัสดิการสังคม ( e-social welfare) โดยโอนเงินให้ผู้มีสิทธิรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุผ่านระบบบัญชีธนาคารพร้อมทั้งมีการติดตามตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหากมีผู้สูงอายุได้รับเงินซ้ําซ้อนหรือเสียชีวิต กรมบัญชีกลางก็จะระงับสิทธิทันที ประกอบกับหากสํานักงานเขตตรวจพบว่าผู้สูงอายุรายใดได้รับเงินซ้ําซ้อนจะมีหนังสือถึงผู้สูงอายุหรือญาติ เพื่อให้นําเงินที่ซ้ําซ้อนส่งคืนสํานักงานเขต
ส่วนกรณีการเรียกเงินคืนดังกล่าว หากผู้สูงอายุติดขัดในการคืนเงินเบี้ยยังชีพ หรือไม่สามารถที่จะคืนเงินตามที่สํานักงานเขตแจ้งไว้ได้ สามารถติดต่อขอรับคําปรึกษาได้ที่ฝ่ายพัฒนาชุมชนและสวัสดิการสังคม สํานักงานเขตบางกอกน้อย ทั้งนี้ สํานักงานเขตบางกอกน้อย ขอยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ได้ดําเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และแนวทางที่กําหนด เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับเงินเบี้ยยังชีพทันตามกําหนดเวลาในแต่ละเดือน มิได้ละเลยหรือเพิกเฉยต่อหน้าที่แต่อย่างใด
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22501
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สคร. ติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่มีวงเงินลงทุนสูงอย่างใกล้ชิด และเร่งแก้ไขอุปสรรคการเบิกจ่ายงบลงทุน หวังเบิกจ่ายเข้าเป้าไตรมาสสุดท้ายปี 62
|
วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2562
สคร. ติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่มีวงเงินลงทุนสูงอย่างใกล้ชิด และเร่งแก้ไขอุปสรรคการเบิกจ่ายงบลงทุน หวังเบิกจ่ายเข้าเป้าไตรมาสสุดท้ายปี 62
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายอุตตม สาวนายน) มอบนโยบายในคราวตรวจเยี่ยม สคร. เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2562 ให้ สคร. เร่งติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอย่างใกล้ชิด
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายอุตตม สาวนายน) ได้มอบนโยบายในคราวตรวจเยี่ยม สคร. เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2562 ให้ สคร. เร่งติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอย่างใกล้ชิด โดยให้ สคร. ประสานความร่วมมือทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆ เพื่อให้การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งส่งสัญญาณเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยภาพรวมการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมของรัฐวิสาหกิจ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2562 ของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง มีผลการเบิกจ่ายสะสม จํานวน 169,883 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 80 ของแผนเบิกจ่ายสะสม
ผลการเบิกจ่ายสะสมของรัฐวิสาหกิจ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2562
หน่วย: ล้านบาท
รัฐวิสาหกิจ กรอบลงทุน
ทั้งปี แผนเบิกจ่ายสะสม เบิกจ่ายจริง
สะสม ร้อยละเบิกจ่ายจริงสะสม/แผนเบิกจ่ายสะสม
ปีงบประมาณ (ต.ค. 61 – ก.ย. 62)
จํานวน 34 แห่ง 164,976 131,212 89,315 68%
ปีปฏิทิน (ม.ค. 62 – ธ.ค. 62)
จํานวน 11 แห่ง 199,183 81,937 80,568 98%
รวม 45 แห่ง 364,159 213,149 169,883 80%
นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อํานวยการ สคร. กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการเบิกจ่ายสะสมของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง แบ่งเป็นรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ 11 เดือน (ต.ค. 61 – ส.ค. 62) จํานวน 34 แห่ง เบิกจ่ายจริงสะสม 89,315 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 68 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม และรัฐวิสาหกิจปีปฏิทิน 8 เดือน (ม.ค. 62 – ส.ค. 62) จํานวน 11 แห่ง เบิกจ่ายจริงสะสม 80,568 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 98 ของแผนการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม
ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2562
หน่วย : ล้านบาท
ชื่อรัฐวิสาหกิจ กรอบ
งบลงทุน แผนเบิกจ่ายสะสม ผลการเบิกจ่ายสะสม ร้อยละเบิกจ่าย/
แผนเบิกจ่ายสะสม
1. ปีงบประมาณ จํานวน 34 แห่ง (รวม) 164,976 131,212 89,315 68%
1.1 การรถไฟแห่งประเทศไทย 76,184 63,291 30,308 48%
1.2 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย 28,472 26,240 27,006 103%
1.3 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) 17,912 12,823 8,062 63%
1.4 การประปาส่วนภูมิภาค 13,000 5,177 5,558 107%
1.5 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย 6,203 5,447 1,206 22%
1.6 การเคหะแห่งชาติ 4,677 4,100 3,437 84%
1.7 การประปานครหลวง 4,500 3,622 4,379 121%
1.8 องค์การเภสัชกรรม 2,034 1,076 1,396 130%
1.9 การท่าเรือแห่งประเทศไทย 2,010 1,401 1,499 107%
1.10 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ 1,986 1,978 1,918 97%
1.11 บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด 1,250 810 855 109%
1.12 รัฐวิสาหกิจแห่งอื่นๆ จํานวน 23 แห่ง 6,748 5,248 3,661 70%
2. ปีปฏิทิน จํานวน 11 แห่ง (รวม) 199,183 81,937 80,568 98%
2.1 บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) 75,409 15,890 15,989 101%
2.2 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 48,194 28,847 30,485 106%
2.3 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 34,714 18,871 16,629 88%
2.4 การไฟฟ้านครหลวง 20,576 7,857 9,403 120%
2.5 บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) 6,380 3,907 2,477 63%
2.6 บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) 4,875 1,862 2,412 130%
2.7 บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด 4,160 2,099 755 36%
2.8 บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) 3,380 1,765 1,547 88%
2.9 รัฐวิสาหกิจแห่งอื่นๆ จํานวน 3 แห่ง 1,496 841 871 104%
รวม 45 แห่ง 364,159 213,149 169,883 80%
ที่มา : สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
สําหรับการเบิกจ่ายของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง ณ เดือนสิงหาคม 2562 มีโครงการขนาดใหญ่ที่สามารถเบิกจ่ายเป็นไปตามแผน ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม - มีนบุรี ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย โครงการลงทุนโครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) การปรับปรุงและขยายระบบจําหน่ายพลังไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง และงานก่อสร้างปรับปรุงขยายระบบประปาของการประปาส่วนภูมิภาค ทั้งนี้ มีโครงการขนาดใหญ่ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ตามแผน ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย – จีน ระยะที่ 1 (ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) และโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ซึ่ง สคร. ได้ติดตามโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่องและได้ทํางานอย่างใกล้ชิดกับรัฐวิสาหกิจที่เบิกจ่ายงบลงทุนล่าช้าเพื่อแก้ไขปัญหาการเบิกจ่ายงบลงทุนที่ล่าช้า รวมทั้งได้ประสานงานกับรัฐวิสาหกิจปีปฏิทินที่มีแผนการเบิกจ่ายสูงให้สามารถเบิกจ่ายงบลงทุนในไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 ให้เป็นไปตามเป้าหมาย
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการ สคร. กล่าวสรุปว่า สคร. ได้ทํางานเชิกรุกในการผลักดันการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอย่างใกล้ชิด ซึ่งไม่เพียงแต่ให้ความสําคัญกับการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปี 2562 ที่จะสามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงผลักดันให้รัฐวิสาหกิจที่มีศักยภาพพิจารณาเร่งการลงทุนโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติมให้สามารถดําเนินโครงการได้เร็วขึ้น เพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไทยตามยุทธศาสตร์ชาติอีกด้วย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ :
นายพีรภาส นาคบุรี นักวิเคราะห์รัฐวิสาหกิจปฏิบัติการ สคร.
โทร.0-2248-5880-7 ต่อ 3177
อีเมล์ [email protected]
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สคร. ติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่มีวงเงินลงทุนสูงอย่างใกล้ชิด และเร่งแก้ไขอุปสรรคการเบิกจ่ายงบลงทุน หวังเบิกจ่ายเข้าเป้าไตรมาสสุดท้ายปี 62
วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2562
สคร. ติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่มีวงเงินลงทุนสูงอย่างใกล้ชิด และเร่งแก้ไขอุปสรรคการเบิกจ่ายงบลงทุน หวังเบิกจ่ายเข้าเป้าไตรมาสสุดท้ายปี 62
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายอุตตม สาวนายน) มอบนโยบายในคราวตรวจเยี่ยม สคร. เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2562 ให้ สคร. เร่งติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอย่างใกล้ชิด
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายอุตตม สาวนายน) ได้มอบนโยบายในคราวตรวจเยี่ยม สคร. เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2562 ให้ สคร. เร่งติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอย่างใกล้ชิด โดยให้ สคร. ประสานความร่วมมือทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆ เพื่อให้การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งส่งสัญญาณเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยภาพรวมการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมของรัฐวิสาหกิจ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2562 ของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง มีผลการเบิกจ่ายสะสม จํานวน 169,883 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 80 ของแผนเบิกจ่ายสะสม
ผลการเบิกจ่ายสะสมของรัฐวิสาหกิจ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2562
หน่วย: ล้านบาท
รัฐวิสาหกิจ กรอบลงทุน
ทั้งปี แผนเบิกจ่ายสะสม เบิกจ่ายจริง
สะสม ร้อยละเบิกจ่ายจริงสะสม/แผนเบิกจ่ายสะสม
ปีงบประมาณ (ต.ค. 61 – ก.ย. 62)
จํานวน 34 แห่ง 164,976 131,212 89,315 68%
ปีปฏิทิน (ม.ค. 62 – ธ.ค. 62)
จํานวน 11 แห่ง 199,183 81,937 80,568 98%
รวม 45 แห่ง 364,159 213,149 169,883 80%
นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อํานวยการ สคร. กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการเบิกจ่ายสะสมของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง แบ่งเป็นรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ 11 เดือน (ต.ค. 61 – ส.ค. 62) จํานวน 34 แห่ง เบิกจ่ายจริงสะสม 89,315 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 68 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม และรัฐวิสาหกิจปีปฏิทิน 8 เดือน (ม.ค. 62 – ส.ค. 62) จํานวน 11 แห่ง เบิกจ่ายจริงสะสม 80,568 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 98 ของแผนการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม
ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2562
หน่วย : ล้านบาท
ชื่อรัฐวิสาหกิจ กรอบ
งบลงทุน แผนเบิกจ่ายสะสม ผลการเบิกจ่ายสะสม ร้อยละเบิกจ่าย/
แผนเบิกจ่ายสะสม
1. ปีงบประมาณ จํานวน 34 แห่ง (รวม) 164,976 131,212 89,315 68%
1.1 การรถไฟแห่งประเทศไทย 76,184 63,291 30,308 48%
1.2 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย 28,472 26,240 27,006 103%
1.3 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) 17,912 12,823 8,062 63%
1.4 การประปาส่วนภูมิภาค 13,000 5,177 5,558 107%
1.5 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย 6,203 5,447 1,206 22%
1.6 การเคหะแห่งชาติ 4,677 4,100 3,437 84%
1.7 การประปานครหลวง 4,500 3,622 4,379 121%
1.8 องค์การเภสัชกรรม 2,034 1,076 1,396 130%
1.9 การท่าเรือแห่งประเทศไทย 2,010 1,401 1,499 107%
1.10 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ 1,986 1,978 1,918 97%
1.11 บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด 1,250 810 855 109%
1.12 รัฐวิสาหกิจแห่งอื่นๆ จํานวน 23 แห่ง 6,748 5,248 3,661 70%
2. ปีปฏิทิน จํานวน 11 แห่ง (รวม) 199,183 81,937 80,568 98%
2.1 บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) 75,409 15,890 15,989 101%
2.2 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 48,194 28,847 30,485 106%
2.3 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 34,714 18,871 16,629 88%
2.4 การไฟฟ้านครหลวง 20,576 7,857 9,403 120%
2.5 บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) 6,380 3,907 2,477 63%
2.6 บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) 4,875 1,862 2,412 130%
2.7 บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด 4,160 2,099 755 36%
2.8 บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) 3,380 1,765 1,547 88%
2.9 รัฐวิสาหกิจแห่งอื่นๆ จํานวน 3 แห่ง 1,496 841 871 104%
รวม 45 แห่ง 364,159 213,149 169,883 80%
ที่มา : สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
สําหรับการเบิกจ่ายของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง ณ เดือนสิงหาคม 2562 มีโครงการขนาดใหญ่ที่สามารถเบิกจ่ายเป็นไปตามแผน ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม - มีนบุรี ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย โครงการลงทุนโครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) การปรับปรุงและขยายระบบจําหน่ายพลังไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง และงานก่อสร้างปรับปรุงขยายระบบประปาของการประปาส่วนภูมิภาค ทั้งนี้ มีโครงการขนาดใหญ่ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ตามแผน ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย – จีน ระยะที่ 1 (ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) และโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ซึ่ง สคร. ได้ติดตามโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่องและได้ทํางานอย่างใกล้ชิดกับรัฐวิสาหกิจที่เบิกจ่ายงบลงทุนล่าช้าเพื่อแก้ไขปัญหาการเบิกจ่ายงบลงทุนที่ล่าช้า รวมทั้งได้ประสานงานกับรัฐวิสาหกิจปีปฏิทินที่มีแผนการเบิกจ่ายสูงให้สามารถเบิกจ่ายงบลงทุนในไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 ให้เป็นไปตามเป้าหมาย
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการ สคร. กล่าวสรุปว่า สคร. ได้ทํางานเชิกรุกในการผลักดันการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอย่างใกล้ชิด ซึ่งไม่เพียงแต่ให้ความสําคัญกับการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปี 2562 ที่จะสามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงผลักดันให้รัฐวิสาหกิจที่มีศักยภาพพิจารณาเร่งการลงทุนโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติมให้สามารถดําเนินโครงการได้เร็วขึ้น เพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไทยตามยุทธศาสตร์ชาติอีกด้วย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ :
นายพีรภาส นาคบุรี นักวิเคราะห์รัฐวิสาหกิจปฏิบัติการ สคร.
โทร.0-2248-5880-7 ต่อ 3177
อีเมล์ [email protected]
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23604
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เยี่ยมคารวะพร้อมหารือการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนในพื้นที่ EEC
|
วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2561
เยี่ยมคารวะพร้อมหารือการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนในพื้นที่ EEC
ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งชาติสาธารณรัฐสิงคโปร์และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 กระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (25 มิถุนายน 2561) Mr. Douglas Foo ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งชาติสาธารณรัฐสิงคโปร์และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมหารือเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ เป้าหมาย และกลยุทธ์การพัฒนาประเทศไทย โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC อาทิเช่น อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ อุตสาหกรรมชีวภาพ รวมถึงการพัฒนาระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 กระทรวงอุตสาหกรรม #กระทรวงอุตสาหกรรม #EEC
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เยี่ยมคารวะพร้อมหารือการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนในพื้นที่ EEC
วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2561
เยี่ยมคารวะพร้อมหารือการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนในพื้นที่ EEC
ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งชาติสาธารณรัฐสิงคโปร์และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 กระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (25 มิถุนายน 2561) Mr. Douglas Foo ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งชาติสาธารณรัฐสิงคโปร์และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมหารือเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ เป้าหมาย และกลยุทธ์การพัฒนาประเทศไทย โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC อาทิเช่น อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ อุตสาหกรรมชีวภาพ รวมถึงการพัฒนาระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 กระทรวงอุตสาหกรรม #กระทรวงอุตสาหกรรม #EEC
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13324
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ต้อนรับผู้แทน UNICEF ประจำประเทศไทย พร้อมผลักดันความร่วมมือด้านเด็กในระยะยาว
|
วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561
รมว.พม. ต้อนรับผู้แทน UNICEF ประจําประเทศไทย พร้อมผลักดันความร่วมมือด้านเด็กในระยะยาว
รมว.พม. ต้อนรับผู้แทน UNICEF ประจําประเทศไทย พร้อมผลักดันความร่วมมือด้านเด็กในระยะยาว
วันนี้ (28 ก.พ. 61) เวลา 14.00 น.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ให้การต้อนรับ นายโทมัส ดาวิน ผู้แทนองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) ประจําประเทศไทย และคณะ เพื่อเข้าเยี่ยมคารวะและแสดงความยินดีในโอกาสที่ พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เข้ารับตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมหารือถึงแนวทางความร่วมมือในการดําเนินภารกิจด้านเด็กของทั้งสองฝ่าย ณ ห้องรับรอง ชั้น 9 กระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
สําหรับการเข้าเยี่ยมคารวะในครั้งนี้ มีการหารือถึงความร่วมมือด้านเด็กระหว่าง กระทรวง พม. โดย กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) และองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติประจําประเทศไทย ที่มีการร่วมลงนามในแผนงานความร่วมมือด้านเด็ก ซึ่งประกอบด้วย 1) ด้านการคุ้มครองเด็ก (Child Protection) 2) ด้านนโยบายสังคม (Social Policy and Social Protection) และ 3) ด้านการพัฒนาวัยรุ่นและการมีส่วนร่วม อีกทั้งมีการหารือในประเด็น ด้านยุทธศาสตร์การคุ้มครองเด็กแห่งชาติ ระบบการคุ้มครองเด็ก การปรับปรุงกฎหมายด้านการคุ้มครองเด็ก ให้เป็นปัจจุบัน และโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด รวมทั้งนโยบายการคุ้มครองและสวัสดิการของกระทรวง พม.
ในโอกาสนี้ นายโทมัส ดาวิน ผู้แทน UNICEF ประจําประเทศไทย ได้กล่าวขอบคุณกระทรวง พม. สําหรับ การต้อนรับคณะอย่างอบอุ่น และการสนับสนุนความร่วมมือกับ UNICEF ในการดําเนินงานด้านการคุ้มครองและ การส่งเสริมคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ซึ่งทําให้การดําเนินโครงการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี นับว่าเป็นโอกาสอันดีใน การหารือถึงแนวทางการพัฒนาความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายที่กําลังดําเนินการอยู่และความร่วมมือที่กําลังจะขับเคลื่อนต่อไป
ทั้งนี้พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.พม.ได้แสดงความขอบคุณ UNICEF ประจําประเทศไทย ที่ได้ให้การสนับสนุนการดําเนินงานด้านเด็กและเยาวชนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การดําเนินโครงการต่างๆ ประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี นับว่าเป็นความร่วมมือในการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของเด็กในประเทศไทย อีกทั้งได้เน้นย้ํา ถึงการเป็นพันธมิตรที่ดีของกระทรวง พม. และ UNICEF ประจําประเทศไทย และหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะมีความร่วมมือด้านเด็กระหว่างกันมากขึ้นในอนาคตต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ต้อนรับผู้แทน UNICEF ประจำประเทศไทย พร้อมผลักดันความร่วมมือด้านเด็กในระยะยาว
วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561
รมว.พม. ต้อนรับผู้แทน UNICEF ประจําประเทศไทย พร้อมผลักดันความร่วมมือด้านเด็กในระยะยาว
รมว.พม. ต้อนรับผู้แทน UNICEF ประจําประเทศไทย พร้อมผลักดันความร่วมมือด้านเด็กในระยะยาว
วันนี้ (28 ก.พ. 61) เวลา 14.00 น.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ให้การต้อนรับ นายโทมัส ดาวิน ผู้แทนองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) ประจําประเทศไทย และคณะ เพื่อเข้าเยี่ยมคารวะและแสดงความยินดีในโอกาสที่ พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เข้ารับตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมหารือถึงแนวทางความร่วมมือในการดําเนินภารกิจด้านเด็กของทั้งสองฝ่าย ณ ห้องรับรอง ชั้น 9 กระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
สําหรับการเข้าเยี่ยมคารวะในครั้งนี้ มีการหารือถึงความร่วมมือด้านเด็กระหว่าง กระทรวง พม. โดย กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) และองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติประจําประเทศไทย ที่มีการร่วมลงนามในแผนงานความร่วมมือด้านเด็ก ซึ่งประกอบด้วย 1) ด้านการคุ้มครองเด็ก (Child Protection) 2) ด้านนโยบายสังคม (Social Policy and Social Protection) และ 3) ด้านการพัฒนาวัยรุ่นและการมีส่วนร่วม อีกทั้งมีการหารือในประเด็น ด้านยุทธศาสตร์การคุ้มครองเด็กแห่งชาติ ระบบการคุ้มครองเด็ก การปรับปรุงกฎหมายด้านการคุ้มครองเด็ก ให้เป็นปัจจุบัน และโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด รวมทั้งนโยบายการคุ้มครองและสวัสดิการของกระทรวง พม.
ในโอกาสนี้ นายโทมัส ดาวิน ผู้แทน UNICEF ประจําประเทศไทย ได้กล่าวขอบคุณกระทรวง พม. สําหรับ การต้อนรับคณะอย่างอบอุ่น และการสนับสนุนความร่วมมือกับ UNICEF ในการดําเนินงานด้านการคุ้มครองและ การส่งเสริมคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ซึ่งทําให้การดําเนินโครงการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี นับว่าเป็นโอกาสอันดีใน การหารือถึงแนวทางการพัฒนาความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายที่กําลังดําเนินการอยู่และความร่วมมือที่กําลังจะขับเคลื่อนต่อไป
ทั้งนี้พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.พม.ได้แสดงความขอบคุณ UNICEF ประจําประเทศไทย ที่ได้ให้การสนับสนุนการดําเนินงานด้านเด็กและเยาวชนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การดําเนินโครงการต่างๆ ประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี นับว่าเป็นความร่วมมือในการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของเด็กในประเทศไทย อีกทั้งได้เน้นย้ํา ถึงการเป็นพันธมิตรที่ดีของกระทรวง พม. และ UNICEF ประจําประเทศไทย และหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะมีความร่วมมือด้านเด็กระหว่างกันมากขึ้นในอนาคตต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10437
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ. 2560
|
วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน 2560
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ. 2560
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2560 ได้เผยแพร่ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ. 2560
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่29พฤศจิกายน2560ได้เผยแพร่ประกาศกระทรวงศึกษาธิการเรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ.2560
ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ
เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
พ.ศ.2560
เพื่อให้การดําเนินการแบ่งส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาเป็นไปด้วยความเหมาะสมกับภารกิจ ปริมาณ และคุณภาพการจัดการศึกษาในแต่ละเขตพื้นที่การศึกษา
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 8 และมาตรา 34 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 กฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์การแบ่งส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ. 2546 ข้อ3และข้อ 4 ประกอบกับคําแนะนําของคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและมติคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2560 เมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2560 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ. 2560”
ข้อ 2ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ3ให้ยกเลิก
(1) ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา พ.ศ. 2553
(2) ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา พ.ศ. 2553
(3) ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2553
(4) ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2553
ข้อ 4ในประกาศฉบับนี้
“สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา” หมายความว่า สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
ข้อ 5ให้สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามีอํานาจหน้าที่ดําเนินการให้เป็นไปตามอํานาจหน้าที่ของสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ และมีอํานาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(1) จัดทํา นโยบาย แผนพัฒนา และมาตรฐานการศึกษาของเขตพื้นที่การศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบาย มาตรฐานการศึกษา แผนการศึกษา แผนพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐาน และความต้องการของท้องถิ่น
(2) วิเคราะห์การจัดตั้งงบประมาณเงินอุดหนุนทั่วไปของสถานศึกษา และหน่วยงานในเขตพื้นที่การศึกษา และแจ้งการจัดสรรงบประมาณที่ได้รับให้หน่วยงานข้างต้นรับทราบ รวมทั้งกํากับตรวจสอบ ติดตามการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานดังกล่าว
(3) ประสาน ส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาหลักสูตรร่วมกับสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา
(4) กํากับ ดูแล ติดตาม และประเมินผลสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและในเขตพื้นที่การศึกษา
(5) ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และรวบรวมข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา
(6) ประสานการระดมทรัพยากรด้านต่าง ๆ รวมทั้งทรัพยากรบุคคล เพื่อส่งเสริม สนับสนุนการจัดและพัฒนาการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา
(7) จัดระบบประกันคุณภาพการศึกษา และประเมินผลสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา
(8) ประสาน ส่งเสริม สนับสนุน การจัดการศึกษาของสถานศึกษาเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งบุคคล องค์กรชุมชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันอื่นที่จัดการศึกษารูปแบบที่หลากหลายในเขตพื้นที่การศึกษา
(9) ดําเนินการและประสาน ส่งเสริม สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา
(10) ประสาน ส่งเสริม การดําเนินการของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะทํางานด้านการศึกษา
(11) ประสานการปฏิบัติราชการทั่วไปกับองค์กรหรือหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(12) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย
ข้อ 6ให้แบ่งส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ไว้ดังต่อไปนี้
(1) กลุ่มอํานวยการ
(2) กลุ่มนโยบายและแผน
(3) กลุ่มส่งเสริมการศึกษาทางไกล เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
(4) กลุ่มบริหารงานการเงินและสินทรัพย์
(5) กลุ่มบริหารงานบุคคล
(6) กลุ่มพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา
(7) กลุ่มนิเทศ ติดตาม และประเมินผลการจัดการศึกษา
(8) กลุ่มส่งเสริมการจัดการศึกษา
(9) หน่วยตรวจสอบภายใน
ข้อ7ส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1) กลุ่มอํานวยการมีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(ก) ปฏิบัติงานสารบรรณสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
(ข) ดําเนินการเกี่ยวกับงานช่วยอํานวยการ
(ค) ดําเนินการเกี่ยวกับอาคารสถานที่ สิ่งแวดล้อม และยานพาหนะ
(ง) จัดระบบบริหารงาน การควบคุมภายใน และพัฒนาองค์กร
(จ) ประชาสัมพันธ์ เผยแพร่กิจการ ผลงาน และบริการข้อมูลข่าวสาร
(ฉ) ประสานการดําเนินงานระหว่างหน่วยงานภายในและภายนอกเขตพื้นที่การศึกษา
(ช) ดําเนินการเลือกตั้งและสรรหากรรมการและอนุกรรมการ
(ซ) ประสาน ส่งเสริมการจัดสวัสดิการและสวัสดิภาพ
(ฌ) ปฏิบัติหน้าที่อื่นที่เกี่ยวข้องกับกิจการภายในของสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่มิใช่งานของส่วนราชการใดโดยเฉพาะ
(ญ) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย
(2) กลุ่มนโยบายและแผนมีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(ก) จัดทํานโยบายและแผนพัฒนาการศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบาย มาตรฐานการศึกษาแผนการศึกษา แผนพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐาน และความต้องการของท้องถิ่น
(ข) วิเคราะห์การจัดตั้งงบประมาณเงินอุดหนุนทั่วไปของสถานศึกษาและแจ้งการจัดสรรงบประมาณ
(ค) ตรวจสอบ ติดตาม ประเมิน และรายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณและผลการปฏิบัติตามนโยบายและแผน
(ง) ดําเนินการวิเคราะห์ และจัดทําข้อมูลเกี่ยวกับการจัดตั้ง ยุบ รวม เลิก และโอนสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
(จ) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย
(3) กลุ่มส่งเสริมการศึกษาทางไกล เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีอํานาจหน้าที่
ดังต่อไปนี้
(ก) ศึกษา วิเคราะห์ ดําเนินการ และส่งเสริมการจัดการศึกษาทางไกล
(ข) ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหารและการจัดการศึกษา
(ค) ดําเนินงานสารสนเทศเพื่อการบริหารและการจัดการศึกษา
(ง) ดําเนินการวิเคราะห์ และปฏิบัติงานระบบคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
(จ) ส่งเสริม สนับสนุน และดําเนินงานบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ
(ฉ) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือที่ได้รับมอบหมาย
(4) กลุ่มบริหารงานการเงินและสินทรัพย์มีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(ก) ดําเนินงานเกี่ยวกับงานบริหารการเงิน
(ข) ดําเนินงานเกี่ยวกับงานบริหารงานบัญชี
(ค) ดําเนินงานเกี่ยวกับงานบริหารงานพัสดุ
(ง) ดําเนินงานเกี่ยวกับงานบริหารสินทรัพย์
(จ) ให้คําปรึกษาสถานศึกษาเกี่ยวกับการดําเนินงานบริหารการเงิน งานบัญชี งานพัสดุและงานบริหารสินทรัพย์
(ฉ) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือที่ได้รับมอบหมาย
(5) กลุ่มบริหารงานบุคคลมีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(ก) วางแผนอัตรากําลังและกําหนดตําแหน่ง
(ข) ส่งเสริม สนับสนุนการมีหรือเลื่อนวิทยฐานะ
(ค) วิเคราะห์และจัดทําข้อมูลเกี่ยวกับการสรรหา บรรจุและแต่งตั้ง ย้าย โอน และการลาออกจากราชการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
(ง) ศึกษา วิเคราะห์ และดํา เนินการเกี่ยวกับการประเมินผลการปฏิบัติงานการเลื่อนเงินเดือน การมอบหมายหน้าที่ให้ปฏิบัติของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
(จ) จัดทําข้อมูลเกี่ยวกับบําเหน็จความชอบและทะเบียนประวัติ
(ฉ) จัดทําข้อมูลระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจํา
(ช) ปฏิบัติการบริการและอํานวยความสะดวกในเรื่องการออกหนังสือรับรองต่าง ๆการออกบัตรประจําตัว และการขออนุญาตต่าง ๆ
(ซ) ศึกษา วิเคราะห์ และจัดทําข้อมูลเพื่อดําเนินงานวินัย อุทธรณ์ ร้องทุกข์ และการดําเนินคดีของรัฐ
(ฌ) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือที่ได้รับมอบหมาย
(6) กลุ่มพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษามีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(ก) ดําเนินงานฝึกอบรมการพัฒนาก่อนแต่งตั้ง
(ข) ดําเนินงานฝึกอบรมพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพการปฏิบัติงาน
(ค) ดําเนินงานพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้เป็นไป ตามมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณ
(ง) ปฏิบัติงานส่งเสริม สนับสนุน และยกย่องเชิดชูเกียรติข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
(จ) ดําเนินการเกี่ยวกับการลาศึกษาต่อ ฝึกอบรม หรือปฏิบัติการวิจัยภายในประเทศหรือต่างประเทศ
(ฉ) ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และเสริมสร้างระบบเครือข่ายการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา
(ช) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือที่ได้รับมอบหมาย
(7) กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษามีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(ก) ประสาน ส่งเสริม สนับสนุนและพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักสูตรการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา และหลักสูตรการศึกษาพิเศษ
(ข) ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย เพื่อพัฒนาหลักสูตรการสอนและกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน
(ค) วิจัย พัฒนา ส่งเสริม ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินเกี่ยวกับการวัดและการประเมินผลการศึกษา
(ง) วิจัย พัฒนา ส่งเสริม มาตรฐานการศึกษาและการประกันคุณภาพการศึกษารวมทั้งประเมิน ติดตาม และตรวจสอบคุณภาพการศึกษา
(จ) นิเทศ ติดตาม และประเมินผลการจัดการศึกษา
(ฉ) ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และพัฒนาสื่อนวัตกรรมการนิเทศทางการศึกษา
(ช) ปฏิบัติงานเลขานุการคณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลและนิเทศการศึกษาของเขตพื้นที่การศึกษา
(ซ) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือที่ได้รับมอบหมาย
(8) กลุ่มส่งเสริมการจัดการศึกษามีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(ก) ศึกษา วิเคราะห์ ส่งเสริม สนับสนุน และดําเนินงานเกี่ยวกับศาสตร์พระราชา
(ข) ส่งเสริมการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในรูปแบบการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
(ค) ส่งเสริม สนับสนุน และดําเนินการเกี่ยวกับการจัดเตรียมข้อมูลการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของบุคคล ครอบครัว องค์กร ชุมชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบันสังคมอื่น
(ง) ประสานและส่งเสริมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถจัดการศึกษาสอดคล้องกับนโยบาย และมาตรฐานการศึกษา
(จ) ส่งเสริมการจัดการศึกษาสําหรับผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส และผู้มีความสามารถพิเศษ
(ฉ) ส่งเสริมงานการแนะแนว สุขภาพ อนามัย กีฬา และนันทนาการ ลูกเสือ ยุวกาชาดเนตรนารี ผู้บําเพ็ญประโยชน์ นักศึกษาวิชาทหาร ประชาธิปไตย วินัยนักเรียน การพิทักษ์สิทธิเด็กและเยาวชน และงานกิจการนักเรียนอื่น
(ช) ส่งเสริม สนับสนุนการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา
(ซ) ประสานการป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้สารเสพติด และส่งเสริมป้องกันแก้ไขและคุ้มครองความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา รวมทั้งระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน
(ฌ) ดําเนินงานวิเทศสัมพันธ์
(ญ) ประสาน ส่งเสริมการศึกษากับการศาสนาและการวัฒนธรรม
(ฎ) ส่งเสริมแหล่งการเรียนรู้ สิ่งแวดล้อมทางการศึกษา และภูมิปัญญาท้องถิ่น
(ฏ) ประสานและส่งเสริมสถานศึกษาให้มีบทบาทในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน
(ฐ) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือที่ได้รับมอบหมาย
(9) หน่วยตรวจสอบภายในให้ปฏิบัติงานขึ้นตรงกับหัวหน้าส่วนราชการ และมีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(ก) ดําเนินงานเกี่ยวกับงานตรวจสอบการเงิน การบัญชี และตรวจสอบระบบการดูแลทรัพย์สิน
(ข) ดําเนินงานเกี่ยวกับงานตรวจสอบการดําเนินงานหรือกระบวนการปฏิบัติงานเปรียบเทียบกับผลผลิตหรือเป้าหมายที่กําหนด
(ค) ดําเนินงานเกี่ยวกับการประเมินการบริหารความเสี่ยง
(ง) ดําเนินการอื่นเกี่ยวกับการตรวจสอบภายในตามที่กฎหมายกําหนด
(จ) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย
ประกาศ ณ วันที่22พฤศจิกายน พ.ศ.2560
ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
อ้างจาก:ราชกิจจานุเบกษา
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, บัลลังก์ โรหิตเสถียร
สรุป/รายงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ. 2560
วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน 2560
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ. 2560
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2560 ได้เผยแพร่ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ. 2560
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่29พฤศจิกายน2560ได้เผยแพร่ประกาศกระทรวงศึกษาธิการเรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ.2560
ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ
เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
พ.ศ.2560
เพื่อให้การดําเนินการแบ่งส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาเป็นไปด้วยความเหมาะสมกับภารกิจ ปริมาณ และคุณภาพการจัดการศึกษาในแต่ละเขตพื้นที่การศึกษา
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 8 และมาตรา 34 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 กฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์การแบ่งส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ. 2546 ข้อ3และข้อ 4 ประกอบกับคําแนะนําของคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและมติคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2560 เมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2560 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ. 2560”
ข้อ 2ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ3ให้ยกเลิก
(1) ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา พ.ศ. 2553
(2) ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา พ.ศ. 2553
(3) ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2553
(4) ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2553
ข้อ 4ในประกาศฉบับนี้
“สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา” หมายความว่า สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
ข้อ 5ให้สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามีอํานาจหน้าที่ดําเนินการให้เป็นไปตามอํานาจหน้าที่ของสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ และมีอํานาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(1) จัดทํา นโยบาย แผนพัฒนา และมาตรฐานการศึกษาของเขตพื้นที่การศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบาย มาตรฐานการศึกษา แผนการศึกษา แผนพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐาน และความต้องการของท้องถิ่น
(2) วิเคราะห์การจัดตั้งงบประมาณเงินอุดหนุนทั่วไปของสถานศึกษา และหน่วยงานในเขตพื้นที่การศึกษา และแจ้งการจัดสรรงบประมาณที่ได้รับให้หน่วยงานข้างต้นรับทราบ รวมทั้งกํากับตรวจสอบ ติดตามการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานดังกล่าว
(3) ประสาน ส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาหลักสูตรร่วมกับสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา
(4) กํากับ ดูแล ติดตาม และประเมินผลสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและในเขตพื้นที่การศึกษา
(5) ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และรวบรวมข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา
(6) ประสานการระดมทรัพยากรด้านต่าง ๆ รวมทั้งทรัพยากรบุคคล เพื่อส่งเสริม สนับสนุนการจัดและพัฒนาการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา
(7) จัดระบบประกันคุณภาพการศึกษา และประเมินผลสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา
(8) ประสาน ส่งเสริม สนับสนุน การจัดการศึกษาของสถานศึกษาเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งบุคคล องค์กรชุมชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันอื่นที่จัดการศึกษารูปแบบที่หลากหลายในเขตพื้นที่การศึกษา
(9) ดําเนินการและประสาน ส่งเสริม สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา
(10) ประสาน ส่งเสริม การดําเนินการของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะทํางานด้านการศึกษา
(11) ประสานการปฏิบัติราชการทั่วไปกับองค์กรหรือหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(12) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย
ข้อ 6ให้แบ่งส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ไว้ดังต่อไปนี้
(1) กลุ่มอํานวยการ
(2) กลุ่มนโยบายและแผน
(3) กลุ่มส่งเสริมการศึกษาทางไกล เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
(4) กลุ่มบริหารงานการเงินและสินทรัพย์
(5) กลุ่มบริหารงานบุคคล
(6) กลุ่มพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา
(7) กลุ่มนิเทศ ติดตาม และประเมินผลการจัดการศึกษา
(8) กลุ่มส่งเสริมการจัดการศึกษา
(9) หน่วยตรวจสอบภายใน
ข้อ7ส่วนราชการภายในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1) กลุ่มอํานวยการมีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(ก) ปฏิบัติงานสารบรรณสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
(ข) ดําเนินการเกี่ยวกับงานช่วยอํานวยการ
(ค) ดําเนินการเกี่ยวกับอาคารสถานที่ สิ่งแวดล้อม และยานพาหนะ
(ง) จัดระบบบริหารงาน การควบคุมภายใน และพัฒนาองค์กร
(จ) ประชาสัมพันธ์ เผยแพร่กิจการ ผลงาน และบริการข้อมูลข่าวสาร
(ฉ) ประสานการดําเนินงานระหว่างหน่วยงานภายในและภายนอกเขตพื้นที่การศึกษา
(ช) ดําเนินการเลือกตั้งและสรรหากรรมการและอนุกรรมการ
(ซ) ประสาน ส่งเสริมการจัดสวัสดิการและสวัสดิภาพ
(ฌ) ปฏิบัติหน้าที่อื่นที่เกี่ยวข้องกับกิจการภายในของสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่มิใช่งานของส่วนราชการใดโดยเฉพาะ
(ญ) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย
(2) กลุ่มนโยบายและแผนมีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(ก) จัดทํานโยบายและแผนพัฒนาการศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบาย มาตรฐานการศึกษาแผนการศึกษา แผนพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐาน และความต้องการของท้องถิ่น
(ข) วิเคราะห์การจัดตั้งงบประมาณเงินอุดหนุนทั่วไปของสถานศึกษาและแจ้งการจัดสรรงบประมาณ
(ค) ตรวจสอบ ติดตาม ประเมิน และรายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณและผลการปฏิบัติตามนโยบายและแผน
(ง) ดําเนินการวิเคราะห์ และจัดทําข้อมูลเกี่ยวกับการจัดตั้ง ยุบ รวม เลิก และโอนสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
(จ) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย
(3) กลุ่มส่งเสริมการศึกษาทางไกล เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีอํานาจหน้าที่
ดังต่อไปนี้
(ก) ศึกษา วิเคราะห์ ดําเนินการ และส่งเสริมการจัดการศึกษาทางไกล
(ข) ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหารและการจัดการศึกษา
(ค) ดําเนินงานสารสนเทศเพื่อการบริหารและการจัดการศึกษา
(ง) ดําเนินการวิเคราะห์ และปฏิบัติงานระบบคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
(จ) ส่งเสริม สนับสนุน และดําเนินงานบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ
(ฉ) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือที่ได้รับมอบหมาย
(4) กลุ่มบริหารงานการเงินและสินทรัพย์มีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(ก) ดําเนินงานเกี่ยวกับงานบริหารการเงิน
(ข) ดําเนินงานเกี่ยวกับงานบริหารงานบัญชี
(ค) ดําเนินงานเกี่ยวกับงานบริหารงานพัสดุ
(ง) ดําเนินงานเกี่ยวกับงานบริหารสินทรัพย์
(จ) ให้คําปรึกษาสถานศึกษาเกี่ยวกับการดําเนินงานบริหารการเงิน งานบัญชี งานพัสดุและงานบริหารสินทรัพย์
(ฉ) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือที่ได้รับมอบหมาย
(5) กลุ่มบริหารงานบุคคลมีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(ก) วางแผนอัตรากําลังและกําหนดตําแหน่ง
(ข) ส่งเสริม สนับสนุนการมีหรือเลื่อนวิทยฐานะ
(ค) วิเคราะห์และจัดทําข้อมูลเกี่ยวกับการสรรหา บรรจุและแต่งตั้ง ย้าย โอน และการลาออกจากราชการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
(ง) ศึกษา วิเคราะห์ และดํา เนินการเกี่ยวกับการประเมินผลการปฏิบัติงานการเลื่อนเงินเดือน การมอบหมายหน้าที่ให้ปฏิบัติของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
(จ) จัดทําข้อมูลเกี่ยวกับบําเหน็จความชอบและทะเบียนประวัติ
(ฉ) จัดทําข้อมูลระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจํา
(ช) ปฏิบัติการบริการและอํานวยความสะดวกในเรื่องการออกหนังสือรับรองต่าง ๆการออกบัตรประจําตัว และการขออนุญาตต่าง ๆ
(ซ) ศึกษา วิเคราะห์ และจัดทําข้อมูลเพื่อดําเนินงานวินัย อุทธรณ์ ร้องทุกข์ และการดําเนินคดีของรัฐ
(ฌ) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือที่ได้รับมอบหมาย
(6) กลุ่มพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษามีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(ก) ดําเนินงานฝึกอบรมการพัฒนาก่อนแต่งตั้ง
(ข) ดําเนินงานฝึกอบรมพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพการปฏิบัติงาน
(ค) ดําเนินงานพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้เป็นไป ตามมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณ
(ง) ปฏิบัติงานส่งเสริม สนับสนุน และยกย่องเชิดชูเกียรติข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
(จ) ดําเนินการเกี่ยวกับการลาศึกษาต่อ ฝึกอบรม หรือปฏิบัติการวิจัยภายในประเทศหรือต่างประเทศ
(ฉ) ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และเสริมสร้างระบบเครือข่ายการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา
(ช) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือที่ได้รับมอบหมาย
(7) กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษามีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(ก) ประสาน ส่งเสริม สนับสนุนและพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักสูตรการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา และหลักสูตรการศึกษาพิเศษ
(ข) ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย เพื่อพัฒนาหลักสูตรการสอนและกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน
(ค) วิจัย พัฒนา ส่งเสริม ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินเกี่ยวกับการวัดและการประเมินผลการศึกษา
(ง) วิจัย พัฒนา ส่งเสริม มาตรฐานการศึกษาและการประกันคุณภาพการศึกษารวมทั้งประเมิน ติดตาม และตรวจสอบคุณภาพการศึกษา
(จ) นิเทศ ติดตาม และประเมินผลการจัดการศึกษา
(ฉ) ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และพัฒนาสื่อนวัตกรรมการนิเทศทางการศึกษา
(ช) ปฏิบัติงานเลขานุการคณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลและนิเทศการศึกษาของเขตพื้นที่การศึกษา
(ซ) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือที่ได้รับมอบหมาย
(8) กลุ่มส่งเสริมการจัดการศึกษามีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(ก) ศึกษา วิเคราะห์ ส่งเสริม สนับสนุน และดําเนินงานเกี่ยวกับศาสตร์พระราชา
(ข) ส่งเสริมการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในรูปแบบการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
(ค) ส่งเสริม สนับสนุน และดําเนินการเกี่ยวกับการจัดเตรียมข้อมูลการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของบุคคล ครอบครัว องค์กร ชุมชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบันสังคมอื่น
(ง) ประสานและส่งเสริมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถจัดการศึกษาสอดคล้องกับนโยบาย และมาตรฐานการศึกษา
(จ) ส่งเสริมการจัดการศึกษาสําหรับผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส และผู้มีความสามารถพิเศษ
(ฉ) ส่งเสริมงานการแนะแนว สุขภาพ อนามัย กีฬา และนันทนาการ ลูกเสือ ยุวกาชาดเนตรนารี ผู้บําเพ็ญประโยชน์ นักศึกษาวิชาทหาร ประชาธิปไตย วินัยนักเรียน การพิทักษ์สิทธิเด็กและเยาวชน และงานกิจการนักเรียนอื่น
(ช) ส่งเสริม สนับสนุนการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา
(ซ) ประสานการป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้สารเสพติด และส่งเสริมป้องกันแก้ไขและคุ้มครองความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา รวมทั้งระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน
(ฌ) ดําเนินงานวิเทศสัมพันธ์
(ญ) ประสาน ส่งเสริมการศึกษากับการศาสนาและการวัฒนธรรม
(ฎ) ส่งเสริมแหล่งการเรียนรู้ สิ่งแวดล้อมทางการศึกษา และภูมิปัญญาท้องถิ่น
(ฏ) ประสานและส่งเสริมสถานศึกษาให้มีบทบาทในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน
(ฐ) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือที่ได้รับมอบหมาย
(9) หน่วยตรวจสอบภายในให้ปฏิบัติงานขึ้นตรงกับหัวหน้าส่วนราชการ และมีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(ก) ดําเนินงานเกี่ยวกับงานตรวจสอบการเงิน การบัญชี และตรวจสอบระบบการดูแลทรัพย์สิน
(ข) ดําเนินงานเกี่ยวกับงานตรวจสอบการดําเนินงานหรือกระบวนการปฏิบัติงานเปรียบเทียบกับผลผลิตหรือเป้าหมายที่กําหนด
(ค) ดําเนินงานเกี่ยวกับการประเมินการบริหารความเสี่ยง
(ง) ดําเนินการอื่นเกี่ยวกับการตรวจสอบภายในตามที่กฎหมายกําหนด
(จ) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย
ประกาศ ณ วันที่22พฤศจิกายน พ.ศ.2560
ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
อ้างจาก:ราชกิจจานุเบกษา
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, บัลลังก์ โรหิตเสถียร
สรุป/รายงาน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8457
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธาน EABC และคณะผู้บริหาร เข้าเยี่ยมคารวะ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี
|
วันพุธที่ 5 เมษายน 2560
ประธาน EABC และคณะผู้บริหาร เข้าเยี่ยมคารวะ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี
ประธาน EABC และคณะผู้บริหาร เข้าเยี่ยมคารวะ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (5 เม.ย. 2560) เวลา 10.30 น. นาย Rolf-Dieter Daniel ประธานสมาคมการค้ายูโรเปียนเพื่อธุรกิจและการพาณิชย์ (European Association for Business and Commerce - EABC) และคณะผู้บริหาร เข้าเยี่ยมคารวะ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีและคณะผู้บริหาร EABC แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องการเข้ามามีส่วนร่วมของยุโรปในการผลักดันให้ประเทศไทยไปสู่ประเทศไทย 4.0 โดยในด้านการศึกษาคณะผู้บริหาร EABCยินดีให้การสนับสนุนการศึกษาทั้งในแง่วิชาการและวิชาชีพเพื่อเตรียมความพร้อมนักเรียนและนักวิจัยของไทยให้รองรับอุตสาหกรรมใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมอธิบายถึงประสบการณ์ของเยอรมนีและออสเตรียในเรื่องการให้การความรู้ทางด้านวิชาชีพจนเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในยุโรป สําหรับด้านเกษตรกรรมและอาหาร คณะผู้บริหาร EABC กล่าวว่า ยุโรปมีความเชี่ยวชาญด้านการเพิ่มคุณภาพและผลผลิตทางการเกษตร การป้องกันศัตรูพืช และการทํา smart farming โดยใช้เทคโนโลยีและดิจิตอลเข้ามามีส่วนสําคัญในการพัฒนาด้านเกษตรกรรมและอาหาร ด้านรองนายกรัฐมนตรีได้อธิบายถึงปัญหาทางด้านเกษตรกรรมของไทยที่เกษตรกรยังคงนิยมการทําการเกษตรแบบดั้งเดิมและประสบปัญหาที่ดินทํากินไม่เพียงพอ อย่าไรก็ตาม รัฐบาลกําลังแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อให้เกษตรกรมีผลผลิตทางการเกษตรและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังหารือเรื่องการพัฒนายานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในไทย รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลมีมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าและมีโครงการสนับสนุนการลงทุนสถานีชาร์จไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนในการจัดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าในประเทศ ด้านคณะผู้บริหาร EABC ชื่นชมรัฐบาลที่ให้ความสําคัญเรื่องการพัฒนายานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของเยอรมนีและนอร์เวย์ที่มีการเตรียมความพร้อมสร้างสิ่งอํานวยความสะดวกแก่รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า อาทิ การเตรียมสถานีชาร์จไฟฟ้าและสถานที่จอดรถให้เพียงพอ เป็นต้น รวมถึงมีการสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชน เพื่อชักจูงให้ประชาชนมีความสนใจในยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธาน EABC และคณะผู้บริหาร เข้าเยี่ยมคารวะ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี
วันพุธที่ 5 เมษายน 2560
ประธาน EABC และคณะผู้บริหาร เข้าเยี่ยมคารวะ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี
ประธาน EABC และคณะผู้บริหาร เข้าเยี่ยมคารวะ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (5 เม.ย. 2560) เวลา 10.30 น. นาย Rolf-Dieter Daniel ประธานสมาคมการค้ายูโรเปียนเพื่อธุรกิจและการพาณิชย์ (European Association for Business and Commerce - EABC) และคณะผู้บริหาร เข้าเยี่ยมคารวะ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีและคณะผู้บริหาร EABC แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องการเข้ามามีส่วนร่วมของยุโรปในการผลักดันให้ประเทศไทยไปสู่ประเทศไทย 4.0 โดยในด้านการศึกษาคณะผู้บริหาร EABCยินดีให้การสนับสนุนการศึกษาทั้งในแง่วิชาการและวิชาชีพเพื่อเตรียมความพร้อมนักเรียนและนักวิจัยของไทยให้รองรับอุตสาหกรรมใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมอธิบายถึงประสบการณ์ของเยอรมนีและออสเตรียในเรื่องการให้การความรู้ทางด้านวิชาชีพจนเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในยุโรป สําหรับด้านเกษตรกรรมและอาหาร คณะผู้บริหาร EABC กล่าวว่า ยุโรปมีความเชี่ยวชาญด้านการเพิ่มคุณภาพและผลผลิตทางการเกษตร การป้องกันศัตรูพืช และการทํา smart farming โดยใช้เทคโนโลยีและดิจิตอลเข้ามามีส่วนสําคัญในการพัฒนาด้านเกษตรกรรมและอาหาร ด้านรองนายกรัฐมนตรีได้อธิบายถึงปัญหาทางด้านเกษตรกรรมของไทยที่เกษตรกรยังคงนิยมการทําการเกษตรแบบดั้งเดิมและประสบปัญหาที่ดินทํากินไม่เพียงพอ อย่าไรก็ตาม รัฐบาลกําลังแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อให้เกษตรกรมีผลผลิตทางการเกษตรและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังหารือเรื่องการพัฒนายานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในไทย รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลมีมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าและมีโครงการสนับสนุนการลงทุนสถานีชาร์จไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนในการจัดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าในประเทศ ด้านคณะผู้บริหาร EABC ชื่นชมรัฐบาลที่ให้ความสําคัญเรื่องการพัฒนายานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของเยอรมนีและนอร์เวย์ที่มีการเตรียมความพร้อมสร้างสิ่งอํานวยความสะดวกแก่รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า อาทิ การเตรียมสถานีชาร์จไฟฟ้าและสถานที่จอดรถให้เพียงพอ เป็นต้น รวมถึงมีการสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชน เพื่อชักจูงให้ประชาชนมีความสนใจในยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2896
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วย รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานมอบรางวัลการประกวดซอฟต์แวร์ดีเด่น TICTA 2018
|
วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2561
ผู้ช่วย รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานมอบรางวัลการประกวดซอฟต์แวร์ดีเด่น TICTA 2018
ผู้ช่วย รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานมอบรางวัลการประกวดซอฟต์แวร์ดีเด่นแห่งชาติ “Thailand ICT Awards 2018” (TICTA 2018) โดยสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย (ATCI) จัดขึ้น เพื่อหาตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขัน APICTA 2018 ณ เมืองกวางเจา สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งการจัดงานดังกล่าวเปรียบเสมือนเวทีในการแสดงผลงานแอปพลิเคชั่นต่างๆ ที่สามารถสร้างโอกาสในการนําเสนอและเชื่อมโยงกับเครือข่ายภาครัฐและเอกชน รวมถึงนักลงทุนทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค อันเป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้ประกอบการ นักเรียน นักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งนี้ เทคโนโลยีดิจิทัลไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสนับสนุนการพัฒนาประเทศอีกต่อไป หากแต่เป็นกลไกสําคัญที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนและยกระดับเศรษฐกิจ การศึกษา และสังคม ทั้งความรู้ที่เกี่ยวกับมนุษย์ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และความมั่นคง โดยสามารถใช้ความรู้เหล่านี้ในการประดิษฐ์ คิดค้นสิ่งที่เป็นประโยชน์ใหม่ๆ ตลอดจนใช้วิธีการทางเทคโนโลยีดิจิทัลในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างสร้างสรรค์ ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากศักยภาพของเทคโนโลยีและบุคลากร อันจะนําพาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าควบคู่กับสังคมที่ดีและประชาชนที่มีคุณภาพ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2561 ณ ห้องบอลรูม 2 โรงแรมโซฟิเทล กรุงเทพ ถนนสุขุมวิท เขตวัฒนา กรุงเทพฯ
**********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วย รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานมอบรางวัลการประกวดซอฟต์แวร์ดีเด่น TICTA 2018
วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2561
ผู้ช่วย รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานมอบรางวัลการประกวดซอฟต์แวร์ดีเด่น TICTA 2018
ผู้ช่วย รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานมอบรางวัลการประกวดซอฟต์แวร์ดีเด่นแห่งชาติ “Thailand ICT Awards 2018” (TICTA 2018) โดยสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย (ATCI) จัดขึ้น เพื่อหาตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขัน APICTA 2018 ณ เมืองกวางเจา สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งการจัดงานดังกล่าวเปรียบเสมือนเวทีในการแสดงผลงานแอปพลิเคชั่นต่างๆ ที่สามารถสร้างโอกาสในการนําเสนอและเชื่อมโยงกับเครือข่ายภาครัฐและเอกชน รวมถึงนักลงทุนทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค อันเป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้ประกอบการ นักเรียน นักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งนี้ เทคโนโลยีดิจิทัลไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสนับสนุนการพัฒนาประเทศอีกต่อไป หากแต่เป็นกลไกสําคัญที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนและยกระดับเศรษฐกิจ การศึกษา และสังคม ทั้งความรู้ที่เกี่ยวกับมนุษย์ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และความมั่นคง โดยสามารถใช้ความรู้เหล่านี้ในการประดิษฐ์ คิดค้นสิ่งที่เป็นประโยชน์ใหม่ๆ ตลอดจนใช้วิธีการทางเทคโนโลยีดิจิทัลในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างสร้างสรรค์ ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากศักยภาพของเทคโนโลยีและบุคลากร อันจะนําพาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าควบคู่กับสังคมที่ดีและประชาชนที่มีคุณภาพ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2561 ณ ห้องบอลรูม 2 โรงแรมโซฟิเทล กรุงเทพ ถนนสุขุมวิท เขตวัฒนา กรุงเทพฯ
**********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14674
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ สนับสนุนหลักสูตร BRAIN ของ ส.อ.ท. เพิ่มขีดความสามารถธุรกิจไทยแข่งขันสากล
|
วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน 2560
รมว.ดิจิทัลฯ สนับสนุนหลักสูตร BRAIN ของ ส.อ.ท. เพิ่มขีดความสามารถธุรกิจไทยแข่งขันสากล
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “นวัตกรรมกับการเปลี่ยนประเทศไทย” พร้อมทั้งให้เกียรติมอบถ้วยรางวัลเกียรติยศและโล่แด่ผู้สําเร็จหลักสูตร “การปฏิรูปธุรกิจและสร้างเครือข่ายนวัตกรรม” (Business Revolution and Innovation Network : BRAIN) รุ่นที่ 1 ประจําปี 2560 จัดโดย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ซึ่งมีนายเจน นําชัยศิริ ประธาน ส.อ.ท. นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานหลักสูตรฯ และนายกรกฤช จุฬางกูร ผู้อํานวยการหลักสูตรฯ ร่วมแสดงความยินดี ทั้งนี้ หลักสูตรดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างวิสัยทัศน์ผู้เข้าร่วมอบรมฯ ให้สามารถนําองค์ความรู้ในด้านต่างๆ ที่ได้รับ ไปประยุกต์ใช้ และสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมได้ด้วยตนเอง ลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ ส่งเสริมให้เกิดการปฏิรูปธุรกิจและการสร้างเครือข่ายนวัตกรรมใหม่ เพื่อยกระดับเศรษฐกิจ รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรมไทยให้เข้มแข็งเพื่อยกระดับสู่สากล เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2560 ณ ห้องนภาลัย โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ
****************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ สนับสนุนหลักสูตร BRAIN ของ ส.อ.ท. เพิ่มขีดความสามารถธุรกิจไทยแข่งขันสากล
วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน 2560
รมว.ดิจิทัลฯ สนับสนุนหลักสูตร BRAIN ของ ส.อ.ท. เพิ่มขีดความสามารถธุรกิจไทยแข่งขันสากล
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “นวัตกรรมกับการเปลี่ยนประเทศไทย” พร้อมทั้งให้เกียรติมอบถ้วยรางวัลเกียรติยศและโล่แด่ผู้สําเร็จหลักสูตร “การปฏิรูปธุรกิจและสร้างเครือข่ายนวัตกรรม” (Business Revolution and Innovation Network : BRAIN) รุ่นที่ 1 ประจําปี 2560 จัดโดย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ซึ่งมีนายเจน นําชัยศิริ ประธาน ส.อ.ท. นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานหลักสูตรฯ และนายกรกฤช จุฬางกูร ผู้อํานวยการหลักสูตรฯ ร่วมแสดงความยินดี ทั้งนี้ หลักสูตรดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างวิสัยทัศน์ผู้เข้าร่วมอบรมฯ ให้สามารถนําองค์ความรู้ในด้านต่างๆ ที่ได้รับ ไปประยุกต์ใช้ และสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมได้ด้วยตนเอง ลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ ส่งเสริมให้เกิดการปฏิรูปธุรกิจและการสร้างเครือข่ายนวัตกรรมใหม่ เพื่อยกระดับเศรษฐกิจ รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรมไทยให้เข้มแข็งเพื่อยกระดับสู่สากล เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2560 ณ ห้องนภาลัย โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ
****************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4700
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ
|
วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2560
กระทรวงเกษตรฯ มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดําเนินธุรกิจ
กระทรวงเกษตรฯ มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดําเนินธุรกิจ ที่จะนําไปสู่การขยายตัวของระบบเศรษฐกิจของสหกรณ์
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังพิธีเปิดการสัมมนาทางวิชาการ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมสหกรณ์ครบรอบ 45 ปี ณ โรงแรมปรินซ์พาเลซ ว่า จากนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ดําเนินงานตามภารกิจหลักในการส่งเสริมและพัฒนาสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร รวมทั้งการขับเคลื่อนโครงการสําคัญ ตามนโยบายรัฐบาลและของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สามารถแนะนําส่งเสริมและพัฒนาสหกรณ์และกลุ่มสหกรณ์ให้เกิดความเข้มแข็ง ซึ่งการที่จะขับเคลื่อนงานตามนโยบายให้ประสบความสําเร็จ กรมส่งเสริมสหกรณ์ต้องดําเนินการตามภารกิจ ปี 2561 ที่ถือเป็นปีแห่งการพัฒนาคน และยกระดับการบริหารจัดการ จะต้องมีการสร้างความเข้มแข็งให้แก่สมาชิก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดําเนินธุรกิจ ที่จะนําไปสู่การขยายตัวของระบบเศรษฐกิจของสหกรณ์ โดยสหกรณ์ต้องมีการพัฒนาการบริหารจัดการด้วยระบบธรรมาภิบาล และการกํากับดูแลการตรวจสอบอย่างเข้มแข็งมากขึ้น จึงต้องมีมาตรการที่จะสนับสนุนให้การดําเนินการตามนโยบาย โดยใช้แนวคิดของระบบสหกรณ์มาบริหารจัดการ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มรายได้ และเพิ่มมูลค่าสินค้าอย่างมีประสิทธิผล
นอกจากนี้ เป้าหมายที่สําคัญของการพัฒนาสหกรณ์ทุกประเภท คือ สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรมีความเข้มแข็งอย่างมั่นคง เป็นกลไกและเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากแบบยั่งยืนตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่จะทําให้เกษตรกร สมาชิกสหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกร อยู่ดีกินดี มีความมั่นคงยั่งยืน นําไปสู่การประสานประโยชน์ของนโยบายรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นด้านการเกษตร ด้านการค้า หรือด้านการเข้าถึงบริการทางการเงิน เป็นต้น
ด้าน นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้สัมมนาได้รับทราบนโยบายแนวทางการปฏิบัติงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และสามารถปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับนโยบายแนวทางการปฏิบัติงาน มีความรู้ ความเข้าใจในสถานการณ์ที่กําลังเปลี่ยนแปลง มีการบูรณาการปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน อีกทั้งเพื่อรําลึกถึงวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมสหกรณ์ครบรอบ 45 ปี ในวันที่ 1 ตุลาคม 2560
อย่างไรก็ตาม กรมส่งเสริมสหกรณ์ยังมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงาน/โครงการสําคัญ โดยให้ความสําคัญกับการจัดทําแผนปฏิบัติงาน ทั้งแผนระดับกระทรวงและระดับจังหวัด ซึ่งจะเป็นกลไกในการทํางานแบบบูรณาการ โดยส่วนราชการทุกระดับจะต้องอํานวยการ ติดตาม กํากับ ดูแล ให้หน่วยงานระดับพื้นที่ปฏิบัติงานให้เป็นไปตามแผน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ภายใต้ 5 มาตรการ คือ 1) สร้างความเข้มแข็งของสมาชิก 2) เพิ่มขีดความสามารถในการดําเนินธุรกิจ 3) พัฒนาการบริหารจัดการและระบบธรรมาภิบาล 4) มาตรการกํากับและตรวจสอบ และ 5) มาตรการสนับสนุน
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ
วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2560
กระทรวงเกษตรฯ มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดําเนินธุรกิจ
กระทรวงเกษตรฯ มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดําเนินธุรกิจ ที่จะนําไปสู่การขยายตัวของระบบเศรษฐกิจของสหกรณ์
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังพิธีเปิดการสัมมนาทางวิชาการ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมสหกรณ์ครบรอบ 45 ปี ณ โรงแรมปรินซ์พาเลซ ว่า จากนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ดําเนินงานตามภารกิจหลักในการส่งเสริมและพัฒนาสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร รวมทั้งการขับเคลื่อนโครงการสําคัญ ตามนโยบายรัฐบาลและของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สามารถแนะนําส่งเสริมและพัฒนาสหกรณ์และกลุ่มสหกรณ์ให้เกิดความเข้มแข็ง ซึ่งการที่จะขับเคลื่อนงานตามนโยบายให้ประสบความสําเร็จ กรมส่งเสริมสหกรณ์ต้องดําเนินการตามภารกิจ ปี 2561 ที่ถือเป็นปีแห่งการพัฒนาคน และยกระดับการบริหารจัดการ จะต้องมีการสร้างความเข้มแข็งให้แก่สมาชิก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดําเนินธุรกิจ ที่จะนําไปสู่การขยายตัวของระบบเศรษฐกิจของสหกรณ์ โดยสหกรณ์ต้องมีการพัฒนาการบริหารจัดการด้วยระบบธรรมาภิบาล และการกํากับดูแลการตรวจสอบอย่างเข้มแข็งมากขึ้น จึงต้องมีมาตรการที่จะสนับสนุนให้การดําเนินการตามนโยบาย โดยใช้แนวคิดของระบบสหกรณ์มาบริหารจัดการ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มรายได้ และเพิ่มมูลค่าสินค้าอย่างมีประสิทธิผล
นอกจากนี้ เป้าหมายที่สําคัญของการพัฒนาสหกรณ์ทุกประเภท คือ สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรมีความเข้มแข็งอย่างมั่นคง เป็นกลไกและเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากแบบยั่งยืนตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่จะทําให้เกษตรกร สมาชิกสหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกร อยู่ดีกินดี มีความมั่นคงยั่งยืน นําไปสู่การประสานประโยชน์ของนโยบายรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นด้านการเกษตร ด้านการค้า หรือด้านการเข้าถึงบริการทางการเงิน เป็นต้น
ด้าน นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้สัมมนาได้รับทราบนโยบายแนวทางการปฏิบัติงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และสามารถปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับนโยบายแนวทางการปฏิบัติงาน มีความรู้ ความเข้าใจในสถานการณ์ที่กําลังเปลี่ยนแปลง มีการบูรณาการปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน อีกทั้งเพื่อรําลึกถึงวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมสหกรณ์ครบรอบ 45 ปี ในวันที่ 1 ตุลาคม 2560
อย่างไรก็ตาม กรมส่งเสริมสหกรณ์ยังมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงาน/โครงการสําคัญ โดยให้ความสําคัญกับการจัดทําแผนปฏิบัติงาน ทั้งแผนระดับกระทรวงและระดับจังหวัด ซึ่งจะเป็นกลไกในการทํางานแบบบูรณาการ โดยส่วนราชการทุกระดับจะต้องอํานวยการ ติดตาม กํากับ ดูแล ให้หน่วยงานระดับพื้นที่ปฏิบัติงานให้เป็นไปตามแผน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ภายใต้ 5 มาตรการ คือ 1) สร้างความเข้มแข็งของสมาชิก 2) เพิ่มขีดความสามารถในการดําเนินธุรกิจ 3) พัฒนาการบริหารจัดการและระบบธรรมาภิบาล 4) มาตรการกํากับและตรวจสอบ และ 5) มาตรการสนับสนุน
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7104
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตั้งแต่ 1 ก.ค. 63 ดีเดย์ยื่นแบบออนไลน์ ให้จ่ายภาษีผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น
|
วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2563
ตั้งแต่ 1 ก.ค. 63 ดีเดย์ยื่นแบบออนไลน์ ให้จ่ายภาษีผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น
กรมสรรพากรอํานวยความสะดวกให้ผู้เสียภาษียื่นแบบแสดงรายการออนไลน์ และชําระภาษีผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เริ่ม 1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป ให้สอดรับการใช้ชีวิตยุค New Normal สร้างมาตรฐานใหม่แบบ One-Stop Service บนโลกออนไลน์ ที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย
กรมสรรพากรอํานวยความสะดวกให้ผู้เสียภาษียื่นแบบแสดงรายการออนไลน์ และชําระภาษีผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เริ่ม 1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป ให้สอดรับการใช้ชีวิตยุค New Normal สร้างมาตรฐานใหม่แบบ One-Stop Service บนโลกออนไลน์ ที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ส่งผลให้ในภาพรวมมีผู้เสียภาษีมาใช้บริการ ณ สํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) และยกระดับมาตรฐานการให้บริการรองรับพฤติกรรมการดําเนินชีวิตยุค New Normal โดยตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป กรมสรรพากรจึงสนับสนุนให้ผู้ที่ยื่นแบบทุกประเภทภาษีผ่านทางอินเทอร์เน็ต หากมีภาษีที่ต้องชําระ สามารถชําระผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้หลากหลายช่องทาง เช่น e-Payment, Internet Banking, Mobile Banking เป็นต้น ทั้งนี้ สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการจะยกเว้นค่าธรรมเนียมให้ ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ตามโครงการ Tax From Home โดยประชาชนหรือผู้ประกอบการสามารถเลือกช่องทางการชําระภาษีได้ตามที่ปรากฏข้อมูลในชุดชําระเงิน (Pay In Slip) เพื่อส่งเสริมให้ผู้เสียภาษีสามารถทําธุรกรรมภาษีกับกรมสรรพากรได้จากที่บ้านแบบ One-Stop Service ไม่ต้องเดินทาง สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย”
โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “สําหรับผู้ที่ยื่นแบบภาษีออนไลน์ไว้ก่อนวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ และได้พิมพ์ชุดชําระเงิน (Pay In Slip) ที่มีข้อความ "เคาน์เตอร์สรรพากร/RD Counter" ไว้แล้ว รวมทั้งกรณีบุคคลธรรมดาที่ยื่นแบบชําระภาษีไว้แล้ว และใช้สิทธิผ่อนชําระ 3 งวด เมื่อได้ชําระงวดใดงวดหนึ่งที่สํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาไปแล้ว ยังคงชําระภาษีที่สํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาต่อไปได้จนครบจํานวน อย่างไรก็ดีเพื่อรักษามาตรฐานการเว้นระยะห่างทางสังคม ร่วมกันป้องกันการระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ในระลอกต่อไป จึงขอเชิญชวนผู้เสียภาษีใช้บริการยื่นแบบและชําระภาษีออนไลน์ของกรมสรรพากรอย่างต่อเนื่อง เพราะสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย”
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. ๑๑๖๑
กรมสรรพากร เต็มที่ เต็มใจ ให้ประชาชน
สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์
เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตั้งแต่ 1 ก.ค. 63 ดีเดย์ยื่นแบบออนไลน์ ให้จ่ายภาษีผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น
วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2563
ตั้งแต่ 1 ก.ค. 63 ดีเดย์ยื่นแบบออนไลน์ ให้จ่ายภาษีผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น
กรมสรรพากรอํานวยความสะดวกให้ผู้เสียภาษียื่นแบบแสดงรายการออนไลน์ และชําระภาษีผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เริ่ม 1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป ให้สอดรับการใช้ชีวิตยุค New Normal สร้างมาตรฐานใหม่แบบ One-Stop Service บนโลกออนไลน์ ที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย
กรมสรรพากรอํานวยความสะดวกให้ผู้เสียภาษียื่นแบบแสดงรายการออนไลน์ และชําระภาษีผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เริ่ม 1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป ให้สอดรับการใช้ชีวิตยุค New Normal สร้างมาตรฐานใหม่แบบ One-Stop Service บนโลกออนไลน์ ที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ส่งผลให้ในภาพรวมมีผู้เสียภาษีมาใช้บริการ ณ สํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) และยกระดับมาตรฐานการให้บริการรองรับพฤติกรรมการดําเนินชีวิตยุค New Normal โดยตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป กรมสรรพากรจึงสนับสนุนให้ผู้ที่ยื่นแบบทุกประเภทภาษีผ่านทางอินเทอร์เน็ต หากมีภาษีที่ต้องชําระ สามารถชําระผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้หลากหลายช่องทาง เช่น e-Payment, Internet Banking, Mobile Banking เป็นต้น ทั้งนี้ สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการจะยกเว้นค่าธรรมเนียมให้ ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ตามโครงการ Tax From Home โดยประชาชนหรือผู้ประกอบการสามารถเลือกช่องทางการชําระภาษีได้ตามที่ปรากฏข้อมูลในชุดชําระเงิน (Pay In Slip) เพื่อส่งเสริมให้ผู้เสียภาษีสามารถทําธุรกรรมภาษีกับกรมสรรพากรได้จากที่บ้านแบบ One-Stop Service ไม่ต้องเดินทาง สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย”
โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “สําหรับผู้ที่ยื่นแบบภาษีออนไลน์ไว้ก่อนวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ และได้พิมพ์ชุดชําระเงิน (Pay In Slip) ที่มีข้อความ "เคาน์เตอร์สรรพากร/RD Counter" ไว้แล้ว รวมทั้งกรณีบุคคลธรรมดาที่ยื่นแบบชําระภาษีไว้แล้ว และใช้สิทธิผ่อนชําระ 3 งวด เมื่อได้ชําระงวดใดงวดหนึ่งที่สํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาไปแล้ว ยังคงชําระภาษีที่สํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาต่อไปได้จนครบจํานวน อย่างไรก็ดีเพื่อรักษามาตรฐานการเว้นระยะห่างทางสังคม ร่วมกันป้องกันการระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ในระลอกต่อไป จึงขอเชิญชวนผู้เสียภาษีใช้บริการยื่นแบบและชําระภาษีออนไลน์ของกรมสรรพากรอย่างต่อเนื่อง เพราะสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย”
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. ๑๑๖๑
กรมสรรพากร เต็มที่ เต็มใจ ให้ประชาชน
สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์
เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32775
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐควบคุมคุณภาพการซื้อสินค้าผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
|
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561
รัฐควบคุมคุณภาพการซื้อสินค้าผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
เพื่อให้ใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่า และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเร่งติดตั้งเครื่องรูดบัตร EDC ในร้านธงฟ้าประชารัฐและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชน และยืนยันเปิดรับสมัครผู้ผลิตสินค้าทุกรายทั้ง SMEs วิสาหกิจชุมชน และบริษัทขนาดใหญ่อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งจะทําให้ผู้ถือบัตรสามารถเลือกซื้อสินค้าได้อย่างหลากหลาย โดยปัจจุบันมีผู้ผลิตเข้าร่วมโครงการแล้ว 24 ราย รวมสินค้าที่มีราคาถูกกว่าท้องตลาดร้อยละ 10 – 20 จํานวน 318 รายการ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกําชับให้เจ้าหน้าที่แจ้งรายละเอียดวิธีใช้งานและเงื่อนไขการใช้บัตรให้ผู้ถือบัตรและร้านค้าทราบอย่างทั่วถึง เพื่อป้องกันปัญหาการใช้งานผิดเงื่อนไข โดยมีช่องทางการค้นหาข้อมูลร้านค้าได้ที่ www.shop.moc.go.th หรือสายด่วน 1203
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐควบคุมคุณภาพการซื้อสินค้าผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561
รัฐควบคุมคุณภาพการซื้อสินค้าผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
เพื่อให้ใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่า และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเร่งติดตั้งเครื่องรูดบัตร EDC ในร้านธงฟ้าประชารัฐและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชน และยืนยันเปิดรับสมัครผู้ผลิตสินค้าทุกรายทั้ง SMEs วิสาหกิจชุมชน และบริษัทขนาดใหญ่อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งจะทําให้ผู้ถือบัตรสามารถเลือกซื้อสินค้าได้อย่างหลากหลาย โดยปัจจุบันมีผู้ผลิตเข้าร่วมโครงการแล้ว 24 ราย รวมสินค้าที่มีราคาถูกกว่าท้องตลาดร้อยละ 10 – 20 จํานวน 318 รายการ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกําชับให้เจ้าหน้าที่แจ้งรายละเอียดวิธีใช้งานและเงื่อนไขการใช้บัตรให้ผู้ถือบัตรและร้านค้าทราบอย่างทั่วถึง เพื่อป้องกันปัญหาการใช้งานผิดเงื่อนไข โดยมีช่องทางการค้นหาข้อมูลร้านค้าได้ที่ www.shop.moc.go.th หรือสายด่วน 1203
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9190
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
|
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2563
การประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
การประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
ในวันจันทร์ที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ ห้องประชุม ๓๐๑ ชั้น ๓ ตึกบัญชาการ ๑ ทําเนียบรัฐบาล
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และนายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการ ป.ป.ส. ในฐานะกรรมการและเลขานุการ เข้าร่วมประชุม ฯ
ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (พืชกระท่อม)
และระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนําจับเงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่
และเงินช่วยเหลือในการปฏิบัติงานยาเสพติด (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๓
พร้อมทั้งพิจารณาร่างประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขการตรวจหรือทดสอบว่าบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใด
มีสารเสพติดอยู่ในร่างกายหรือไม่ พ.ศ. ....
และการกําหนดพื้นที่นําร่องที่ทําการเสพพืชกระท่อมได้โดยไม่เป็นความผิด
ตามมาตรา ๕๘/๒ แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2563
การประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
การประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
ในวันจันทร์ที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ ห้องประชุม ๓๐๑ ชั้น ๓ ตึกบัญชาการ ๑ ทําเนียบรัฐบาล
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และนายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการ ป.ป.ส. ในฐานะกรรมการและเลขานุการ เข้าร่วมประชุม ฯ
ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (พืชกระท่อม)
และระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนําจับเงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่
และเงินช่วยเหลือในการปฏิบัติงานยาเสพติด (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๓
พร้อมทั้งพิจารณาร่างประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขการตรวจหรือทดสอบว่าบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใด
มีสารเสพติดอยู่ในร่างกายหรือไม่ พ.ศ. ....
และการกําหนดพื้นที่นําร่องที่ทําการเสพพืชกระท่อมได้โดยไม่เป็นความผิด
ตามมาตรา ๕๘/๒ แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31125
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 1 พฤษภาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 1 พฤษภาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 1 พฤษภาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19)
ประจําวันที่1 พฤษภาคม 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ในประเทศไทยรายงานวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ถึงร้อยละ 91.86ของผู้ป่วยทั้งหมด (กลับบ้าน 32 ราย รวมกลับบ้านสะสม 2,719 ราย) ทําให้ขณะนี้เหลือผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 187 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 6.32 ของผู้ป่วยทั้งหมด
ขณะนี้ จํานวนผู้ป่วยรายใหม่ลดลง รายงานวันนี้ 6 ราย (ลําดับที่ 2,955 - 2,960) เป็นผู้ที่มีประวัติไปในสถานที่ชุมชน เช่น ตลาดนัด สถานที่ท่องเที่ยว 1 ราย และพบจากการลงพื้นที่ค้นหาเชิงรุกในชุมชน จังหวัดยะลา
5 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต
จากรายงานผู้ป่วยรายใหม่วันนี้ พบว่าติดเชื้อจากการไปในสถานที่แออัด เช่น ตลาดนัด สถานที่ท่องเที่ยว ที่มีคนหนาแน่น ทําให้เสี่ยงต่อการรับเชื้อ ประชาชนจึงควรระมัดระวังตัวเองหากจําเป็นต้องเข้าไปในสถานที่ที่มีคนหนาแน่นจํานวนมาก คงเข้มในมาตรการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้ง เว้นระยะห่าง เลี่ยงการอยู่ในจุดที่มีคนหนาแน่น ไม่พูดคุยใกล้ชิดกันและไม่ควรใช้เวลานานจนเกินไป สถานที่ที่มีคนรวมกันจํานวนมากเท่าใดยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการรับเชื้อมากขึ้นเท่านั้น และจะเกิดผู้สัมผัสเชื้ออีกจํานวนมากตามมา แนะนําเมื่อกลับถึงบ้านให้รีบอาบน้ํา ชําระล้างร่างกายให้สะอาด เลี่ยงการคลุกคลีกับคนในบ้าน เพื่อป้องกันการสัมผัสแพร่เชื้อระหว่างคนในครอบครัว หากเป็นไปได้ขอให้บันทึกการเดินทางของตัวเองหลังจากไปในพื้นที่เสี่ยง เพื่อง่ายต่อการสอบสวนโรคหากเกิดการเจ็บป่วย ย้ําเตือนประชาชนอย่าประมาท การ์ดต้องไม่ตก แม้ว่าสถานการณ์การติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะเริ่มคลี่คลายลง ยังขอให้ทุกคนเข้มมาตรการ เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า
ล้างมือบ่อยๆ กินร้อน ช้อนส่วนตัวต่อไป
สรุปภาพรวมวันนี้มีผู้ป่วยรายใหม่ 6 ราย กลับบ้านวันนี้ 32 ราย รวมสะสม 2,719 ราย ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 187 ราย ผู้เสียชีวิตรวม 54 ราย ทําให้มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 2,960 ราย มากที่สุดอยู่ในกรุงเทพมหานคร รองลงมา ภูเก็ต นนทบุรี ยะลา ตามลําดับ
****************************** 1 พฤษภาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 1 พฤษภาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 1 พฤษภาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 1 พฤษภาคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19)
ประจําวันที่1 พฤษภาคม 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ในประเทศไทยรายงานวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ถึงร้อยละ 91.86ของผู้ป่วยทั้งหมด (กลับบ้าน 32 ราย รวมกลับบ้านสะสม 2,719 ราย) ทําให้ขณะนี้เหลือผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 187 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 6.32 ของผู้ป่วยทั้งหมด
ขณะนี้ จํานวนผู้ป่วยรายใหม่ลดลง รายงานวันนี้ 6 ราย (ลําดับที่ 2,955 - 2,960) เป็นผู้ที่มีประวัติไปในสถานที่ชุมชน เช่น ตลาดนัด สถานที่ท่องเที่ยว 1 ราย และพบจากการลงพื้นที่ค้นหาเชิงรุกในชุมชน จังหวัดยะลา
5 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต
จากรายงานผู้ป่วยรายใหม่วันนี้ พบว่าติดเชื้อจากการไปในสถานที่แออัด เช่น ตลาดนัด สถานที่ท่องเที่ยว ที่มีคนหนาแน่น ทําให้เสี่ยงต่อการรับเชื้อ ประชาชนจึงควรระมัดระวังตัวเองหากจําเป็นต้องเข้าไปในสถานที่ที่มีคนหนาแน่นจํานวนมาก คงเข้มในมาตรการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้ง เว้นระยะห่าง เลี่ยงการอยู่ในจุดที่มีคนหนาแน่น ไม่พูดคุยใกล้ชิดกันและไม่ควรใช้เวลานานจนเกินไป สถานที่ที่มีคนรวมกันจํานวนมากเท่าใดยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการรับเชื้อมากขึ้นเท่านั้น และจะเกิดผู้สัมผัสเชื้ออีกจํานวนมากตามมา แนะนําเมื่อกลับถึงบ้านให้รีบอาบน้ํา ชําระล้างร่างกายให้สะอาด เลี่ยงการคลุกคลีกับคนในบ้าน เพื่อป้องกันการสัมผัสแพร่เชื้อระหว่างคนในครอบครัว หากเป็นไปได้ขอให้บันทึกการเดินทางของตัวเองหลังจากไปในพื้นที่เสี่ยง เพื่อง่ายต่อการสอบสวนโรคหากเกิดการเจ็บป่วย ย้ําเตือนประชาชนอย่าประมาท การ์ดต้องไม่ตก แม้ว่าสถานการณ์การติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะเริ่มคลี่คลายลง ยังขอให้ทุกคนเข้มมาตรการ เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า
ล้างมือบ่อยๆ กินร้อน ช้อนส่วนตัวต่อไป
สรุปภาพรวมวันนี้มีผู้ป่วยรายใหม่ 6 ราย กลับบ้านวันนี้ 32 ราย รวมสะสม 2,719 ราย ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 187 ราย ผู้เสียชีวิตรวม 54 ราย ทําให้มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 2,960 ราย มากที่สุดอยู่ในกรุงเทพมหานคร รองลงมา ภูเก็ต นนทบุรี ยะลา ตามลําดับ
****************************** 1 พฤษภาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30169
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแนะเกษตรกรปลูกพืชตรงกับความต้องการของตลาด รัฐบาลพร้อมช่วยเหลือเกษตรกรเต็มที่ โดยไม่ให้ขัดกับพันธะสัญญาการค้าโลก
|
วันอังคารที่ 14 มกราคม 2563
นายกรัฐมนตรีแนะเกษตรกรปลูกพืชตรงกับความต้องการของตลาด รัฐบาลพร้อมช่วยเหลือเกษตรกรเต็มที่ โดยไม่ให้ขัดกับพันธะสัญญาการค้าโลก
นายกรัฐมนตรีแนะเกษตรกรปลูกพืชตรงกับความต้องการของตลาด รัฐบาลพร้อมช่วยเหลือเกษตรกรเต็มที่ โดยไม่ให้ขัดกับพันธะสัญญาการค้าโลก
วันนี้ (14 ม.ค. 63) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงแก่สื่อมวลชนถึงแนวทางการให้ความช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรว่า รัฐบาลมีมาตรการทั้งการลดพื้นที่ปลูกยางพารา ส่งเสริมการปลูกพืชชนิดอื่นควบคู่ไปกับการทําสวนยางพารา รวมถึงการตัดต้นยางที่มีอายุมาก เพื่อนําไปแปรรูป เพื่อเป็นวัสดุชีวมวล การปลูกพืชเชิงเดี่ยวไม่ใช้อาชีพที่ยั่งยืนอีกต่อไป อะไรที่มากเกินจะทําให้ราคาตก เป็นหลักการดีมานด์และซับพลายนายกรัฐมนตรียังเสนอแนะให้ชาวเกษตรกรปลูกพืชที่ตรงกับความต้องการของตลาด โดยรัฐบาลพยายามที่จะให้ความช่วยเหลือเกษตรกรอย่างเต็มภายใต้เงื่อนไขที่จะไม่ขัดกับกฎกติกา พันธะสัญญา และการกีดกันทางการค้า
.................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแนะเกษตรกรปลูกพืชตรงกับความต้องการของตลาด รัฐบาลพร้อมช่วยเหลือเกษตรกรเต็มที่ โดยไม่ให้ขัดกับพันธะสัญญาการค้าโลก
วันอังคารที่ 14 มกราคม 2563
นายกรัฐมนตรีแนะเกษตรกรปลูกพืชตรงกับความต้องการของตลาด รัฐบาลพร้อมช่วยเหลือเกษตรกรเต็มที่ โดยไม่ให้ขัดกับพันธะสัญญาการค้าโลก
นายกรัฐมนตรีแนะเกษตรกรปลูกพืชตรงกับความต้องการของตลาด รัฐบาลพร้อมช่วยเหลือเกษตรกรเต็มที่ โดยไม่ให้ขัดกับพันธะสัญญาการค้าโลก
วันนี้ (14 ม.ค. 63) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงแก่สื่อมวลชนถึงแนวทางการให้ความช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรว่า รัฐบาลมีมาตรการทั้งการลดพื้นที่ปลูกยางพารา ส่งเสริมการปลูกพืชชนิดอื่นควบคู่ไปกับการทําสวนยางพารา รวมถึงการตัดต้นยางที่มีอายุมาก เพื่อนําไปแปรรูป เพื่อเป็นวัสดุชีวมวล การปลูกพืชเชิงเดี่ยวไม่ใช้อาชีพที่ยั่งยืนอีกต่อไป อะไรที่มากเกินจะทําให้ราคาตก เป็นหลักการดีมานด์และซับพลายนายกรัฐมนตรียังเสนอแนะให้ชาวเกษตรกรปลูกพืชที่ตรงกับความต้องการของตลาด โดยรัฐบาลพยายามที่จะให้ความช่วยเหลือเกษตรกรอย่างเต็มภายใต้เงื่อนไขที่จะไม่ขัดกับกฎกติกา พันธะสัญญา และการกีดกันทางการค้า
.................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25793
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติครั้งที่ ๑/๒๕๕๙
|
วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน 2559
พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติครั้งที่ ๑/๒๕๕๙
พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติครั้งที่ ๑/๒๕๕๙
วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เวลา ๙.๓๐ น. พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ โดยมีนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม นายปรารพ เหล่าวานิช เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารและกรรมการ ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๑๙ กระทรวงวัฒนธรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติครั้งที่ ๑/๒๕๕๙
วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน 2559
พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติครั้งที่ ๑/๒๕๕๙
พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติครั้งที่ ๑/๒๕๕๙
วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เวลา ๙.๓๐ น. พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ โดยมีนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม นายปรารพ เหล่าวานิช เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารและกรรมการ ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๑๙ กระทรวงวัฒนธรรม
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/783
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ชี้แจงการขอรับเงินเยียวยารายละ 2,000 บาท ต้องเป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
|
วันเสาร์ที่ 25 เมษายน 2563
พม. ชี้แจงการขอรับเงินเยียวยารายละ 2,000 บาท ต้องเป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
พม. ชี้แจงการขอรับเงินเยียวยารายละ 2,000 บาท ต้องเป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์
วันนี้ (25 เม.ย.63) เวลา 10.00 น.นางพัชรี อาระยะกุล รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)ในฐานะโฆษกกระทรวง พม. ชี้แจงกรณีการขอรับเงินเยียวยารายละ 2,000 บาท จากกระทรวง พม. ที่มีการแชร์ในสื่อสังคมออนไลน์ในขณะนี้ ว่า กระทรวง พม. มีระเบียบหลักเกณฑ์ในการจ่ายเงินเยียวยาดังกล่าวสําหรับประชาชนเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาความเดือดร้อน ไม่ใช่สําหรับประชาชนทั้งหมดในภาพรวมของประเทศ อาทิ เด็ก คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ที่เดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมที่จะดูแลประชาชนกลุ่มเป้าหมาย จําเป็นต้องมีกระบวนการตรวจสอบและประเมินข้อเท็จจริงจากนักสังคมสงเคราะห์ว่ามีความเดือดร้อนอย่างไร และความต้องการเร่งด่วนมากน้อยเพียงใด และต้องวิเคราะห์เป็นรายกรณีตามขั้นตอน แม้ว่าจะมีการประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนในวงกว้าง แต่ผู้ที่จะได้รับเงินเยียวยาต้องเป็นประชาชาชนกลุ่มเป้าหมายตามหลักเกณฑ์และระเบียบของเงินสงเคราะห์ต่างๆ อาทิ เงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อย และเงินสงเคราะห์กรณีฉุกเฉิน เป็นต้น หากเมื่อผ่านการพิจารณาจากนักสังคมสงเคราะห์แล้วเห็นสมควรในการช่วยเหลือ จึงจะมีการจ่ายเงินเยียวยารายละไม่เกิน 2,000 บาท
นางพัชรีกล่าวเพิ่มเติมว่า กลุ่มเป้าหมายและประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากโรคโควิด-19 ที่ยังตกหล่นไม่ได้รับการช่วยเหลือจากมาตรการต่างๆ ของหน่วยงานภาครัฐ ทางกระทรวง พม. สํานักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงมหาดไทย จะร่วมกันสํารวจพื้นที่ทุกหมู่บ้านและทุกกลุ่มเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 พ.ค. 2563 โดยจะนําข้อมูลทั้งหมดมาเชื่อมโยงกับทุกกระทรวง เพื่อดูแลประชาชนที่เดือดร้อนให้ครอบคลุมได้มากที่สุด และตกหล่นให้น้อยที่สุด ทั้งนี้ หากประชาชนกลุ่มเป้าหมายมีความเดือดร้อน อยู่ในสภาวะยากลําบาก ตกงาน ไม่มีรายได้ สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ได้ทุกจังหวัด ในภูมิลําเนาที่อยู่อาศัย หรือแจ้งมายัง สายด่วน พม. โทร 1300 ของศูนย์ช่วยเหลือสังคม ตลอด 24 ชม. ทั้งนี้กระทรวง พม. พร้อมให้คําปรึกษาและช่วยเหลืออย่างเต็มที่
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ชี้แจงการขอรับเงินเยียวยารายละ 2,000 บาท ต้องเป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
วันเสาร์ที่ 25 เมษายน 2563
พม. ชี้แจงการขอรับเงินเยียวยารายละ 2,000 บาท ต้องเป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
พม. ชี้แจงการขอรับเงินเยียวยารายละ 2,000 บาท ต้องเป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์
วันนี้ (25 เม.ย.63) เวลา 10.00 น.นางพัชรี อาระยะกุล รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)ในฐานะโฆษกกระทรวง พม. ชี้แจงกรณีการขอรับเงินเยียวยารายละ 2,000 บาท จากกระทรวง พม. ที่มีการแชร์ในสื่อสังคมออนไลน์ในขณะนี้ ว่า กระทรวง พม. มีระเบียบหลักเกณฑ์ในการจ่ายเงินเยียวยาดังกล่าวสําหรับประชาชนเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาความเดือดร้อน ไม่ใช่สําหรับประชาชนทั้งหมดในภาพรวมของประเทศ อาทิ เด็ก คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ที่เดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมที่จะดูแลประชาชนกลุ่มเป้าหมาย จําเป็นต้องมีกระบวนการตรวจสอบและประเมินข้อเท็จจริงจากนักสังคมสงเคราะห์ว่ามีความเดือดร้อนอย่างไร และความต้องการเร่งด่วนมากน้อยเพียงใด และต้องวิเคราะห์เป็นรายกรณีตามขั้นตอน แม้ว่าจะมีการประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนในวงกว้าง แต่ผู้ที่จะได้รับเงินเยียวยาต้องเป็นประชาชาชนกลุ่มเป้าหมายตามหลักเกณฑ์และระเบียบของเงินสงเคราะห์ต่างๆ อาทิ เงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อย และเงินสงเคราะห์กรณีฉุกเฉิน เป็นต้น หากเมื่อผ่านการพิจารณาจากนักสังคมสงเคราะห์แล้วเห็นสมควรในการช่วยเหลือ จึงจะมีการจ่ายเงินเยียวยารายละไม่เกิน 2,000 บาท
นางพัชรีกล่าวเพิ่มเติมว่า กลุ่มเป้าหมายและประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากโรคโควิด-19 ที่ยังตกหล่นไม่ได้รับการช่วยเหลือจากมาตรการต่างๆ ของหน่วยงานภาครัฐ ทางกระทรวง พม. สํานักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงมหาดไทย จะร่วมกันสํารวจพื้นที่ทุกหมู่บ้านและทุกกลุ่มเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 พ.ค. 2563 โดยจะนําข้อมูลทั้งหมดมาเชื่อมโยงกับทุกกระทรวง เพื่อดูแลประชาชนที่เดือดร้อนให้ครอบคลุมได้มากที่สุด และตกหล่นให้น้อยที่สุด ทั้งนี้ หากประชาชนกลุ่มเป้าหมายมีความเดือดร้อน อยู่ในสภาวะยากลําบาก ตกงาน ไม่มีรายได้ สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ได้ทุกจังหวัด ในภูมิลําเนาที่อยู่อาศัย หรือแจ้งมายัง สายด่วน พม. โทร 1300 ของศูนย์ช่วยเหลือสังคม ตลอด 24 ชม. ทั้งนี้กระทรวง พม. พร้อมให้คําปรึกษาและช่วยเหลืออย่างเต็มที่
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29743
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องคมนตรี ตรวจเยี่ยม รพ.นาวังเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.หนองบัวลำภู
|
วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2562
องคมนตรี ตรวจเยี่ยม รพ.นาวังเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.หนองบัวลําภู
องคมนตรี ติดตามการพัฒนาโรงพยาบาลนาวังเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดหนองบัวลําภู เป็นศูนย์ผ่าตัดตาต้อกระจกของเขตสุขภาพที่ 8 ลดเวลารอคอยการผ่าตัด และได้รับพระราชทานงบประมาณจากมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล ก่อสร้างระบบผลิตน้ําบริสุทธิ์แบบพักน้ํา
องคมนตรี ติดตามการพัฒนาโรงพยาบาลนาวังเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดหนองบัวลําภู เป็นศูนย์ผ่าตัดตาต้อกระจกของเขตสุขภาพที่8ลดเวลารอคอยการผ่าตัด และได้รับพระราชทานงบประมาณจากมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล ก่อสร้างระบบผลิตน้ําบริสุทธิ์แบบพักน้ํา และระบบก๊าซทางการแพทย์
วันนี้(26กันยายน 2562) พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี พร้อมด้วยนายแพทย์สวัสดิ์ อภิวัจนีวงศ์ สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่8และคณะ ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลนาวังเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดหนองบัวลําภู มอบของเยี่ยมผู้ป่วย พร้อมติดตามสิ่งก่อสร้างที่ได้รับพระราชทานงบประมาณจากมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล จํานวนกว่า3ล้านบาท
นายแพทย์สวัสดิ์ อภิวัจนีวงศ์ สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่8กล่าวว่า โรงพยาบาลนาวังเฉลิมพระเกียรติ80พรรษา เป็น1ใน10โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ80พรรษาของกระทรวงสาธารณสุข ได้พัฒนาเป็นศูนย์ผ่าตัดตาต้อกระจกของเขตสุขภาพที่8เริ่มดําเนินการตั้งแต่ปี2556โดยมีจักษุแพทย์จากโรงพยาบาลอุดรธานีและโรงพยาบาลเลย มาตรวจคัดกรองและผ่าตัดเดือนละ2-3ครั้ง ประมาณ60 – 80รายต่อเดือน สามารถลดเวลารอคอยการผ่าตัดจาก3เดือนเหลือไม่เกิน1สัปดาห์ จนถึงปัจจุบันมีผู้รับการตรวจคัดกรอง 14,943 ราย ได้รับการผ่าตัดทั้งสิ้น6,843ราย เป็นการผ่าตัดต้อกระจก5,765ราย ต้อเนื้อ1,078ราย ช่วยลดผู้พิการตาบอดจากโรคตาต้อกระจกได้จํานวนมาก สําหรับงบประมาณพระราชทานจากมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล ในการก่อสร้างระบบผลิตน้ําบริสุทธิ์แบบพักน้ํา งบประมาณ1,025,000บาทและระบบก๊าซทางการแพทย์ จํานวน41จุด งบประมาณ2,195,000บาท ดําเนินการแล้วเสร็จและนําไปใช้ประโยชน์กับผู้ป่วยแล้ว
นอกจากนี้ ยังเป็นโรงพยาบาลเศรษฐกิจพอเพียง มีศูนย์สาธิตการเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงและภูมิปัญญาท้องถิ่นร่วมกันของชุมชน จัดตั้งชมรมธนาคารขยะ เกษตรอินทรีย์ ปุ๋ยหมักและสมุนไพร เพื่อเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารสําหรับผู้ป่วย ประหยัดค่าใช้จ่ายภายในโรงพยาบาล และได้ขยายผลต่อไปยังครัวโรงเรียน รวมทั้งได้จัดทําโครงการต้นไม้ของลูกเพื่อสืบสานพระปณิธานปลูกป่าในใจคน โดยมอบต้นยางนาให้เป็นสมบัติชิ้นแรกแก่เด็กแรกเกิดทุกคน ให้ครอบครัวนํากลับไปปลูกและดูแลให้เจริญเติบโตพร้อมกับการเจริญเติบโตของเด็ก ขณะนี้แจกไปแล้ว287ต้นสร้างความผูกพันและการเห็นคุณค่าของป่าไม้ให้กับประชาชน
นายแพทย์สวัสดิ์กล่าวต่อว่า ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายระดับอําเภอเพื่อแก้ปัญหาคุณภาพชีวิตด้านอุบัติเหตุ ขยะและสิ่งแวดล้อม สุขภาพจิตและยาเสพติด ผู้สูงอายุ และสารพิษในอาหาร สามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางการจราจรจนได้รับรางวัลรางวัล ศปถ.อําเภอ/ศปถ.ตําบล ระดับประเทศดีเยี่ยมระดับทอง จัดกิจกรรมวิ่งระดับอําเภอเป็นประจําทุกปี “แลนอาดหลาด” เกิดเครือข่ายและกิจกรรมวิ่งในทุกตําบล และผ่านเกณฑ์ GREEN and CLEAN hospital ระดับดีมากพลัส
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องคมนตรี ตรวจเยี่ยม รพ.นาวังเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.หนองบัวลำภู
วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2562
องคมนตรี ตรวจเยี่ยม รพ.นาวังเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.หนองบัวลําภู
องคมนตรี ติดตามการพัฒนาโรงพยาบาลนาวังเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดหนองบัวลําภู เป็นศูนย์ผ่าตัดตาต้อกระจกของเขตสุขภาพที่ 8 ลดเวลารอคอยการผ่าตัด และได้รับพระราชทานงบประมาณจากมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล ก่อสร้างระบบผลิตน้ําบริสุทธิ์แบบพักน้ํา
องคมนตรี ติดตามการพัฒนาโรงพยาบาลนาวังเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดหนองบัวลําภู เป็นศูนย์ผ่าตัดตาต้อกระจกของเขตสุขภาพที่8ลดเวลารอคอยการผ่าตัด และได้รับพระราชทานงบประมาณจากมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล ก่อสร้างระบบผลิตน้ําบริสุทธิ์แบบพักน้ํา และระบบก๊าซทางการแพทย์
วันนี้(26กันยายน 2562) พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี พร้อมด้วยนายแพทย์สวัสดิ์ อภิวัจนีวงศ์ สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่8และคณะ ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลนาวังเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดหนองบัวลําภู มอบของเยี่ยมผู้ป่วย พร้อมติดตามสิ่งก่อสร้างที่ได้รับพระราชทานงบประมาณจากมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล จํานวนกว่า3ล้านบาท
นายแพทย์สวัสดิ์ อภิวัจนีวงศ์ สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่8กล่าวว่า โรงพยาบาลนาวังเฉลิมพระเกียรติ80พรรษา เป็น1ใน10โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ80พรรษาของกระทรวงสาธารณสุข ได้พัฒนาเป็นศูนย์ผ่าตัดตาต้อกระจกของเขตสุขภาพที่8เริ่มดําเนินการตั้งแต่ปี2556โดยมีจักษุแพทย์จากโรงพยาบาลอุดรธานีและโรงพยาบาลเลย มาตรวจคัดกรองและผ่าตัดเดือนละ2-3ครั้ง ประมาณ60 – 80รายต่อเดือน สามารถลดเวลารอคอยการผ่าตัดจาก3เดือนเหลือไม่เกิน1สัปดาห์ จนถึงปัจจุบันมีผู้รับการตรวจคัดกรอง 14,943 ราย ได้รับการผ่าตัดทั้งสิ้น6,843ราย เป็นการผ่าตัดต้อกระจก5,765ราย ต้อเนื้อ1,078ราย ช่วยลดผู้พิการตาบอดจากโรคตาต้อกระจกได้จํานวนมาก สําหรับงบประมาณพระราชทานจากมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล ในการก่อสร้างระบบผลิตน้ําบริสุทธิ์แบบพักน้ํา งบประมาณ1,025,000บาทและระบบก๊าซทางการแพทย์ จํานวน41จุด งบประมาณ2,195,000บาท ดําเนินการแล้วเสร็จและนําไปใช้ประโยชน์กับผู้ป่วยแล้ว
นอกจากนี้ ยังเป็นโรงพยาบาลเศรษฐกิจพอเพียง มีศูนย์สาธิตการเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงและภูมิปัญญาท้องถิ่นร่วมกันของชุมชน จัดตั้งชมรมธนาคารขยะ เกษตรอินทรีย์ ปุ๋ยหมักและสมุนไพร เพื่อเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารสําหรับผู้ป่วย ประหยัดค่าใช้จ่ายภายในโรงพยาบาล และได้ขยายผลต่อไปยังครัวโรงเรียน รวมทั้งได้จัดทําโครงการต้นไม้ของลูกเพื่อสืบสานพระปณิธานปลูกป่าในใจคน โดยมอบต้นยางนาให้เป็นสมบัติชิ้นแรกแก่เด็กแรกเกิดทุกคน ให้ครอบครัวนํากลับไปปลูกและดูแลให้เจริญเติบโตพร้อมกับการเจริญเติบโตของเด็ก ขณะนี้แจกไปแล้ว287ต้นสร้างความผูกพันและการเห็นคุณค่าของป่าไม้ให้กับประชาชน
นายแพทย์สวัสดิ์กล่าวต่อว่า ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายระดับอําเภอเพื่อแก้ปัญหาคุณภาพชีวิตด้านอุบัติเหตุ ขยะและสิ่งแวดล้อม สุขภาพจิตและยาเสพติด ผู้สูงอายุ และสารพิษในอาหาร สามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางการจราจรจนได้รับรางวัลรางวัล ศปถ.อําเภอ/ศปถ.ตําบล ระดับประเทศดีเยี่ยมระดับทอง จัดกิจกรรมวิ่งระดับอําเภอเป็นประจําทุกปี “แลนอาดหลาด” เกิดเครือข่ายและกิจกรรมวิ่งในทุกตําบล และผ่านเกณฑ์ GREEN and CLEAN hospital ระดับดีมากพลัส
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23416
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เปิดงานการขับเคลื่อนแรงงานนอกระบบสู่ท้องถิ่นจังหวัดนครราชสีมา
|
วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563
ก.แรงงาน เปิดงานการขับเคลื่อนแรงงานนอกระบบสู่ท้องถิ่นจังหวัดนครราชสีมา
เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดงานการขับเคลื่อนแรงงานนอกระบบสู่ท้องถิ่น Informal Labour Fair 2020 “แรงงานนอกระบบ สร้างโอกาส สร้างอาชีพ” มุ่งพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพของแรงงานนอกระบบให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 09.00 น. พลโทนันทเดช เมฆสวัสดิ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดงานการขับเคลื่อนแรงงานนอกระบบสู่ท้องถิ่น Informal Labour Fair 2020 “แรงงานนอกระบบ สร้างโอกาส สร้างอาชีพ” ณ ห้อง Terminal Hall ชั้น 4 ศูนย์การค้า Terminal 21 นครราชสีมา โดยกล่าวว่า กระทรวงแรงงานได้ให้ความสําคัญกับแรงงานนอกระบบ จึงกําหนดเป็นวิสัยทัศน์ "แรงงานนอกระบบมีความมั่นคงทางรายได้ ได้รับการคุ้มครองทางสังคมอย่างทั่วถึง" โดยมุ่งหวังที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบให้มีมาตรฐานในการดํารงชีวิตที่ดีเท่าเทียมกับแรงงานในระบบ เพื่อให้ได้รับการส่งเสริมคุ้มครองและพัฒนาให้มีความมั่นคงด้านรายได้ อาชีพอย่างทั่วถึง นําสู่คุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
พลโทนันทเดชฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพของแรงงานนอกระบบนั้น ต้องมุ่งสานพลังเครือข่ายแรงงานนอกระบบตามแนวทางประชารัฐ โดยทํางานในรูปแบบของการบูรณาการประสานทุกมิติที่มีความเกี่ยวข้องกัน และให้ความสําคัญในการทํางานร่วมกับทุกภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และเครือข่ายแรงงานนอกระบบในท้องถิ่น เพื่อให้เกิดการรวมตัวกัน ในการร่วมคิด ร่วมทํา และเสริมสร้างความเข้มแข็งของแรงงานนอกระบบอย่างยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้งานฯ ดังกล่าว จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมศักยภาพแรงงานนอกระบบ ประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์แรงงานนอกระบบกลุ่มจังหวัดนครชัยสุรินทร์ สําหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย การนําเสนอวีดีทัศน์ผลงานของกลุ่มแรงงานนอกระบบ การเสวนาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านแรงงานนอกระบบ การจัดนิทรรศการของส่วนงานราชการ การแสดงสินค้าและอาชีพของเครือข่ายแรงงานนอกระบบ โดยกิจกรรมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมเป็นแรงงานนอกระบบของกลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์ ผู้ประกอบการ OTOP เจ้าหน้าที่ภาครัฐ และผู้เกี่ยวข้อง จํานวนกว่า 600 คน
+++++++++++++++++
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เปิดงานการขับเคลื่อนแรงงานนอกระบบสู่ท้องถิ่นจังหวัดนครราชสีมา
วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563
ก.แรงงาน เปิดงานการขับเคลื่อนแรงงานนอกระบบสู่ท้องถิ่นจังหวัดนครราชสีมา
เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดงานการขับเคลื่อนแรงงานนอกระบบสู่ท้องถิ่น Informal Labour Fair 2020 “แรงงานนอกระบบ สร้างโอกาส สร้างอาชีพ” มุ่งพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพของแรงงานนอกระบบให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 09.00 น. พลโทนันทเดช เมฆสวัสดิ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดงานการขับเคลื่อนแรงงานนอกระบบสู่ท้องถิ่น Informal Labour Fair 2020 “แรงงานนอกระบบ สร้างโอกาส สร้างอาชีพ” ณ ห้อง Terminal Hall ชั้น 4 ศูนย์การค้า Terminal 21 นครราชสีมา โดยกล่าวว่า กระทรวงแรงงานได้ให้ความสําคัญกับแรงงานนอกระบบ จึงกําหนดเป็นวิสัยทัศน์ "แรงงานนอกระบบมีความมั่นคงทางรายได้ ได้รับการคุ้มครองทางสังคมอย่างทั่วถึง" โดยมุ่งหวังที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบให้มีมาตรฐานในการดํารงชีวิตที่ดีเท่าเทียมกับแรงงานในระบบ เพื่อให้ได้รับการส่งเสริมคุ้มครองและพัฒนาให้มีความมั่นคงด้านรายได้ อาชีพอย่างทั่วถึง นําสู่คุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
พลโทนันทเดชฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพของแรงงานนอกระบบนั้น ต้องมุ่งสานพลังเครือข่ายแรงงานนอกระบบตามแนวทางประชารัฐ โดยทํางานในรูปแบบของการบูรณาการประสานทุกมิติที่มีความเกี่ยวข้องกัน และให้ความสําคัญในการทํางานร่วมกับทุกภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และเครือข่ายแรงงานนอกระบบในท้องถิ่น เพื่อให้เกิดการรวมตัวกัน ในการร่วมคิด ร่วมทํา และเสริมสร้างความเข้มแข็งของแรงงานนอกระบบอย่างยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้งานฯ ดังกล่าว จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมศักยภาพแรงงานนอกระบบ ประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์แรงงานนอกระบบกลุ่มจังหวัดนครชัยสุรินทร์ สําหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย การนําเสนอวีดีทัศน์ผลงานของกลุ่มแรงงานนอกระบบ การเสวนาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านแรงงานนอกระบบ การจัดนิทรรศการของส่วนงานราชการ การแสดงสินค้าและอาชีพของเครือข่ายแรงงานนอกระบบ โดยกิจกรรมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมเป็นแรงงานนอกระบบของกลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์ ผู้ประกอบการ OTOP เจ้าหน้าที่ภาครัฐ และผู้เกี่ยวข้อง จํานวนกว่า 600 คน
+++++++++++++++++
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26347
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นวิทยากรบรรยายในงาน “Keysight Measurement Forum 2018”
|
วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2561
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นวิทยากรบรรยายในงาน “Keysight Measurement Forum 2018”
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นวิทยากรบรรยายในงานสัมมนา “Keysight Measurement Forum 2018” ภายใต้แนวคิด “รวมเป็นหนึ่ง ก้าวสู่เทคโนโลยี 4.0” โดยคีย์ไซท์ เทคโนโลยีส์ (Keysight Technologies) บริษัทเทคโนโลยีชั้นนําด้านเครื่องมือวัดและทดสอบคุณภาพมาตรฐานระดับโลกสัญชาติอเมริกัน จัดขึ้น ซึ่งปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ได้กล่าวถึงการดําเนินงานสําคัญของกระทรวงฯ เกี่ยวกับการควบคุม กํากับดูแล และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ รวมทั้งการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล (Digital Economy) ตามแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อมุ่งเน้นให้ประเทศไทยสามารถสร้างสรรค์ และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเต็มศักยภาพในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรม ข้อมูล และทรัพยากรอื่นๆ นอกจากนี้กระทรวงฯ ยังได้มีการพัฒนานโยบาย Smart city ในหลายจังหวัดของประเทศ รวมถึงพื้นที่เขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยได้ดําเนินโครงการ Digital Park รองรับธุรกิจ การวิจัย และการพัฒนาด้านดิจิทัล อาทิ 5G Trial, Cyber Security, Data Center, Digital Human Capacity Development รวมทั้งจะมี IoT Institute ตลอดจนการนําร่องการใช้งาน Smart IoT Solutions ซึ่งจะทําให้พื้นที่ EEC กลายเป็น Smart City ด้านดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2561 ณ โรงแรมสวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด ถนนรัชดาภิเษก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ
***********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นวิทยากรบรรยายในงาน “Keysight Measurement Forum 2018”
วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2561
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นวิทยากรบรรยายในงาน “Keysight Measurement Forum 2018”
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นวิทยากรบรรยายในงานสัมมนา “Keysight Measurement Forum 2018” ภายใต้แนวคิด “รวมเป็นหนึ่ง ก้าวสู่เทคโนโลยี 4.0” โดยคีย์ไซท์ เทคโนโลยีส์ (Keysight Technologies) บริษัทเทคโนโลยีชั้นนําด้านเครื่องมือวัดและทดสอบคุณภาพมาตรฐานระดับโลกสัญชาติอเมริกัน จัดขึ้น ซึ่งปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ได้กล่าวถึงการดําเนินงานสําคัญของกระทรวงฯ เกี่ยวกับการควบคุม กํากับดูแล และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ รวมทั้งการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล (Digital Economy) ตามแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อมุ่งเน้นให้ประเทศไทยสามารถสร้างสรรค์ และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเต็มศักยภาพในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรม ข้อมูล และทรัพยากรอื่นๆ นอกจากนี้กระทรวงฯ ยังได้มีการพัฒนานโยบาย Smart city ในหลายจังหวัดของประเทศ รวมถึงพื้นที่เขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยได้ดําเนินโครงการ Digital Park รองรับธุรกิจ การวิจัย และการพัฒนาด้านดิจิทัล อาทิ 5G Trial, Cyber Security, Data Center, Digital Human Capacity Development รวมทั้งจะมี IoT Institute ตลอดจนการนําร่องการใช้งาน Smart IoT Solutions ซึ่งจะทําให้พื้นที่ EEC กลายเป็น Smart City ด้านดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2561 ณ โรงแรมสวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด ถนนรัชดาภิเษก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ
***********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15044
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ เคาะจ่ายประกันรายได้ข้าวโพด 8.50 บาทต่อกิโล ได้ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ไร่ จ่ายทันที 20ธันวาคม นี้
|
วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2562
จุรินทร์ เคาะจ่ายประกันรายได้ข้าวโพด 8.50 บาทต่อกิโล ได้ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ไร่ จ่ายทันที 20ธันวาคม นี้
จุรินทร์ เคาะจ่ายประกันรายได้ข้าวโพด 8.50 บาทต่อกิโล ได้ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ไร่ จ่ายทันที 20ธันวาคม นี้
จุรินทร์ เคาะจ่ายประกันรายได้ข้าวโพด 8.50 บาทต่อกิโล ได้ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ไร่ จ่ายทันที 20ธันวาคม นี้
วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2562 เวลา 15.00 น
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมหารือ 3 ฝ่ายเพื่อดําเนินการประกันรายได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยมีนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และตัวแทนฝ่ายราชการที่เกี่ยวข้อง ตัวแทนผู้ประกอบการ และตัวแทนเกษตรกร เข้าร่วมโดยการประชุมหารือการดําเนินการประกันรายได้สินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์นั้น จัดขึ้นวันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2562 เวลา 15.00 น.ณ ห้องเอื้องหลวง มหาวิทยาลัยราชภัฏลําปางอําเภอเมือง จังหวัดลําปาง
โดยนายจุรินทร์ สรุปว่า ขั้นตอนการดําเนินนอกจากการประชุม 3 ฝ่ายวันนี้ ขอราคาประกันรายได้กิโลกรัมละ 8.50 บาท (ความชื้น14.5%) จํานวนไม่เกิน 30 ไร่ ต่อครัวเรือน ปลูกสิงหาคม-กันยายน 2562 ที่ผ่านมา มีจํานวนเกษตรกร 3.36 แสนครัวเรือน และกําหนดวันที่ 4 ธ.ค. 62 เข้าสู่การประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หรือ นบขพ.และกําหนดวันที่ 11 ธ.ค. 62 นําเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วกําหนดจ่ายเงินส่วนต่างงวดแรกวันที่ 20 ธ.ค. 62
นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับมาตรการเสริม 6 ข้อ 1.หากมีการนําเข้า ส.ค.- ก.ย. จําเป็นต้องนําเข้าตามเงื่อนไขอาเซียน 2. จันทบุรี อุบลราชธานี เชียงราย น่าน เลย ตาก และสระแก้ว จะต้องแจ้งการเคลื่อนย้ายต่อกรมการค้าภายใน คือ พณจ. จังหวัด 3. เงื่อนไขการนําเข้าสาลี ต่อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 1 ต่อ 3 ต่อไป 4. การรับซื้อต้องใช้เครื่องชั่งจาก กรมการค้าภายในที่มีความเที่ยงตรงเเม่นยํา
5. ในการเก็บสต็อก ต้องแจ้งต่อกรมการค้าภายในตามที่กําหนด 6. เพื่อให้มีการเก็บรวบรวมข้าวโพดในช่วงที่ออกมากจะทําให้ราคาตก จึงมีมาตรการช่วยเหลือเงินกู้สถาบันเกษตรกร เก็บไม่ต่ํา กว่า 2 เดือน โดยมีวงเงินไว้จํานวน 1,500 ล้านบาท และ 7. กําชับให้ทุกจังหวัด รวมหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องจริงจัง และให้รายงานเข้า นบขพ. ในทุกครั้งที่มีการดําเนินการ
รายงานการประชุมระบุว่า โดยการประกันรายได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลักเกณฑ์ ในการกําหนดราคาประกันรายได้ จะดําเนินการเช่นเดียวกับโครงการที่ผ่านมา คือ ต้นทุน + ค่าขนส่ง + ผลตอบแทน โดยเกษตรกรจะต้องขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร และได้ทุกครัวเรือนที่ปลูกข้าวโพดจริง ปัจจุบันนี้ทางด้านสถานการณ์ราคาข้าวโพดปัจจุบัน การผลิตและการตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีผลผลิต 4.73 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 5.19 พื้นที่เพาะปลูก 6.88 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.19 เกษตรกรได้ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ 0.709 ตัน (709 กิโลกรัม) มีจํานวนเกษตรกร 3.36 แสนครัวเรือน แหล่งเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่สําคัญอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ นครราชสีมา น่าน ตาก และเลย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ เคาะจ่ายประกันรายได้ข้าวโพด 8.50 บาทต่อกิโล ได้ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ไร่ จ่ายทันที 20ธันวาคม นี้
วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2562
จุรินทร์ เคาะจ่ายประกันรายได้ข้าวโพด 8.50 บาทต่อกิโล ได้ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ไร่ จ่ายทันที 20ธันวาคม นี้
จุรินทร์ เคาะจ่ายประกันรายได้ข้าวโพด 8.50 บาทต่อกิโล ได้ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ไร่ จ่ายทันที 20ธันวาคม นี้
จุรินทร์ เคาะจ่ายประกันรายได้ข้าวโพด 8.50 บาทต่อกิโล ได้ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ไร่ จ่ายทันที 20ธันวาคม นี้
วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2562 เวลา 15.00 น
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมหารือ 3 ฝ่ายเพื่อดําเนินการประกันรายได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยมีนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และตัวแทนฝ่ายราชการที่เกี่ยวข้อง ตัวแทนผู้ประกอบการ และตัวแทนเกษตรกร เข้าร่วมโดยการประชุมหารือการดําเนินการประกันรายได้สินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์นั้น จัดขึ้นวันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2562 เวลา 15.00 น.ณ ห้องเอื้องหลวง มหาวิทยาลัยราชภัฏลําปางอําเภอเมือง จังหวัดลําปาง
โดยนายจุรินทร์ สรุปว่า ขั้นตอนการดําเนินนอกจากการประชุม 3 ฝ่ายวันนี้ ขอราคาประกันรายได้กิโลกรัมละ 8.50 บาท (ความชื้น14.5%) จํานวนไม่เกิน 30 ไร่ ต่อครัวเรือน ปลูกสิงหาคม-กันยายน 2562 ที่ผ่านมา มีจํานวนเกษตรกร 3.36 แสนครัวเรือน และกําหนดวันที่ 4 ธ.ค. 62 เข้าสู่การประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หรือ นบขพ.และกําหนดวันที่ 11 ธ.ค. 62 นําเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วกําหนดจ่ายเงินส่วนต่างงวดแรกวันที่ 20 ธ.ค. 62
นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับมาตรการเสริม 6 ข้อ 1.หากมีการนําเข้า ส.ค.- ก.ย. จําเป็นต้องนําเข้าตามเงื่อนไขอาเซียน 2. จันทบุรี อุบลราชธานี เชียงราย น่าน เลย ตาก และสระแก้ว จะต้องแจ้งการเคลื่อนย้ายต่อกรมการค้าภายใน คือ พณจ. จังหวัด 3. เงื่อนไขการนําเข้าสาลี ต่อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 1 ต่อ 3 ต่อไป 4. การรับซื้อต้องใช้เครื่องชั่งจาก กรมการค้าภายในที่มีความเที่ยงตรงเเม่นยํา
5. ในการเก็บสต็อก ต้องแจ้งต่อกรมการค้าภายในตามที่กําหนด 6. เพื่อให้มีการเก็บรวบรวมข้าวโพดในช่วงที่ออกมากจะทําให้ราคาตก จึงมีมาตรการช่วยเหลือเงินกู้สถาบันเกษตรกร เก็บไม่ต่ํา กว่า 2 เดือน โดยมีวงเงินไว้จํานวน 1,500 ล้านบาท และ 7. กําชับให้ทุกจังหวัด รวมหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องจริงจัง และให้รายงานเข้า นบขพ. ในทุกครั้งที่มีการดําเนินการ
รายงานการประชุมระบุว่า โดยการประกันรายได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลักเกณฑ์ ในการกําหนดราคาประกันรายได้ จะดําเนินการเช่นเดียวกับโครงการที่ผ่านมา คือ ต้นทุน + ค่าขนส่ง + ผลตอบแทน โดยเกษตรกรจะต้องขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร และได้ทุกครัวเรือนที่ปลูกข้าวโพดจริง ปัจจุบันนี้ทางด้านสถานการณ์ราคาข้าวโพดปัจจุบัน การผลิตและการตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีผลผลิต 4.73 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 5.19 พื้นที่เพาะปลูก 6.88 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.19 เกษตรกรได้ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ 0.709 ตัน (709 กิโลกรัม) มีจํานวนเกษตรกร 3.36 แสนครัวเรือน แหล่งเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่สําคัญอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ นครราชสีมา น่าน ตาก และเลย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24950
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อย. โต้ผู้โพสต์เฟซบุ๊กข้อมูลเท็จ เรื่องกักชุดตรวจโควิดที่ด่านสุวรรณภูมิ [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563
อย. โต้ผู้โพสต์เฟซบุ๊กข้อมูลเท็จ เรื่องกักชุดตรวจโควิดที่ด่านสุวรรณภูมิ [กระทรวงสาธารณสุข]
อย. โต้ผู้โพสต์เฟซบุ๊กข้อมูลเท็จ เรื่องกักชุดตรวจโควิดที่ด่านสุวรรณภูมิ
อย. โต้ผู้โพสต์เฟซบุ๊กข้อมูลเท็จ ไม่พบข้อมูลว่ามีการนําเข้าชุดตรวจที่ได้รับบริจาคจากรัฐวิสาหกิจจีนและไม่มีการกักที่ด่านสุวรรณภูมิ ย้ํา อย. ดําเนินงานด้วยความโปร่งใส เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภค
นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ตามที่มีเฟซบุ๊กเสนอข้อมูลว่า ทางรัฐวิสาหกิจจีนผู้ผลิตชุดตรวจโควิด-19 Rapid Antibody Test Kit ได้บริจาคชุดตรวจมอบให้กรมควบคุมโรค แต่ชุดตรวจดังกล่าวถูกกักอยู่ที่ด่านสุวรรณภูมิ รวมทั้งยังไม่ได้รับอนุญาตจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทั้งที่เป็นชุดตรวจที่รัฐบาลจีนรับรองนั้น อย. ได้ตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดพบเป็นข้อมูลเท็จ ดังนี้
เฟซบุ๊กดังกล่าวได้เขียนข้อความว่า “กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ อย. ก็ยังอนุมัติให้สามารถนําเข้าและจําหน่ายได้ โดยอ้างว่าสเปนใช้ไม่เป็นเอง”
ข้อเท็จจริง : อย. อนุมัติให้ชุดตรวจจากบริษัท Shenzhen Bioeasy Biotechnology Co., Ltd. นําเข้า โดยพิจารณาตามหลักเกณฑ์ ได้แก่ ผลการตรวจประเมินคุณภาพชุดตรวจที่ผ่านการประเมินจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ หนังสือรับรองการขายจากประเทศผู้ผลิตหรือเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจากสถานฑูตไทยในประเทศผู้ผลิตหรือเจ้าของผลิตภัณฑ์ และเอกสารข้อมูลผลิตภัณฑ์ เช่น แค็ตตาลอก คู่มือการใช้งานของผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ อย. อนุมัติก่อนที่จะทราบปัญหาในประเทศสเปน และ อย. ไม่เคยกล่าวอ้างว่าสเปนใช้ไม่เป็นเอง อีกทั้งกรณีนี้ด่านอาหารและยายังไม่เคยมีการตรวจปล่อยให้สินค้านําเข้ามาภายในประเทศ และหลังจากที่มีข่าวที่ประเทศสเปน อย. ก็ได้มีการยกเลิกการอนุมัติให้นําเข้าดังกล่าวแล้ว
เฟซบุ๊กดังกล่าวได้เขียนข้อความว่า “ทั้ง ๆ ที่ Shenzhen Bioeasy Biotechnology Co., Ltd และ Hangzhou Biotest Biotech Co.,Ltd. ทั้งคู่ไม่ได้รับอนุญาตให้ขายในจีน แต่ก็ยังได้รับอนุญาตให้นําเข้าและจําหน่ายในไทยได้โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และ อย.”
ข้อเท็จจริง : กรณีชุดตรวจของ Shenzhen Bioeasy Biotechnology Co., Ltd บริษัทผู้นําเข้าได้ขอยกเลิกหนังสือรับรองประกอบการการนําเข้า และ อย. ได้ยกเลิกหนังสือรับรองดังกล่าวแล้ว จึงไม่มีการนําเข้าชุดตรวจมาจําหน่ายในไทย และสําหรับชุดตรวจที่ผลิตโดย Hangzhou Biotest Biotech Co.,Ltd อย. ยังไม่เคยได้รับอนุมัติการนําเข้าเพื่อจําหน่ายในไทย
เฟซบุ๊กดังกล่าวได้เขียนข้อความว่า “ขณะที่รัฐวิสาหกิจจีนผู้ผลิตชุดตรวจโควิด-19 Rapid Antibody Test kit ของจริง มีทั้ง China FDA, China COA และ China CFS ส่งชุดตรวจมาบริจาคมอบให้กรมควบคุมโรคใช้ฟรี ๆ แต่ชุดตรวจนั้นกลับถูกกักไว้ที่ด่าน อย. สุวรรณภูมินานเกือบเดือน และยังไม่ได้รับอนุญาตจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และ อย. จนถึงป่านนี้ ทั้ง ๆ ที่ฟรี และเป็นของแท้รับรองโดยรัฐบาลจีน”
ข้อเท็จจริง : จากการตรวจสอบข้อมูลที่ด่านอาหารและยา สุวรรณภูมิ ไม่พบว่ามีการกักชุดตรวจดังกล่าวที่ด่านสุวรรณภูมิ และยังไม่มีผู้มายื่นขอผ่อนผันนําเข้าชุดตรวจจากรัฐวิสาหกิจจีนเพื่อบริจาคแต่อย่างใด ทั้งนี้ ในการนําเข้าชุดตรวจมาบริจาคให้หน่วยงานรัฐ จะใช้หลักฐานการรับบริจาคจากหน่วยงานของรัฐผู้รับบริจาคเป็นสําคัญ โดยด่านอาหารและยาจะพิจารณาตรวจปล่อยทันที
เลขาธิการฯ อย. กล่าวในตอนท้ายว่า อย. มุ่งดําเนินงานด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความปลอดภัย หากมีปัญหาหรือมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน อย. 1556
*************************************************
วันที่เผยแพร่ 24 เมษายน 2563 / ข่าวแจก 86
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อย. โต้ผู้โพสต์เฟซบุ๊กข้อมูลเท็จ เรื่องกักชุดตรวจโควิดที่ด่านสุวรรณภูมิ [กระทรวงสาธารณสุข]
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563
อย. โต้ผู้โพสต์เฟซบุ๊กข้อมูลเท็จ เรื่องกักชุดตรวจโควิดที่ด่านสุวรรณภูมิ [กระทรวงสาธารณสุข]
อย. โต้ผู้โพสต์เฟซบุ๊กข้อมูลเท็จ เรื่องกักชุดตรวจโควิดที่ด่านสุวรรณภูมิ
อย. โต้ผู้โพสต์เฟซบุ๊กข้อมูลเท็จ ไม่พบข้อมูลว่ามีการนําเข้าชุดตรวจที่ได้รับบริจาคจากรัฐวิสาหกิจจีนและไม่มีการกักที่ด่านสุวรรณภูมิ ย้ํา อย. ดําเนินงานด้วยความโปร่งใส เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภค
นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ตามที่มีเฟซบุ๊กเสนอข้อมูลว่า ทางรัฐวิสาหกิจจีนผู้ผลิตชุดตรวจโควิด-19 Rapid Antibody Test Kit ได้บริจาคชุดตรวจมอบให้กรมควบคุมโรค แต่ชุดตรวจดังกล่าวถูกกักอยู่ที่ด่านสุวรรณภูมิ รวมทั้งยังไม่ได้รับอนุญาตจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทั้งที่เป็นชุดตรวจที่รัฐบาลจีนรับรองนั้น อย. ได้ตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดพบเป็นข้อมูลเท็จ ดังนี้
เฟซบุ๊กดังกล่าวได้เขียนข้อความว่า “กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ อย. ก็ยังอนุมัติให้สามารถนําเข้าและจําหน่ายได้ โดยอ้างว่าสเปนใช้ไม่เป็นเอง”
ข้อเท็จจริง : อย. อนุมัติให้ชุดตรวจจากบริษัท Shenzhen Bioeasy Biotechnology Co., Ltd. นําเข้า โดยพิจารณาตามหลักเกณฑ์ ได้แก่ ผลการตรวจประเมินคุณภาพชุดตรวจที่ผ่านการประเมินจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ หนังสือรับรองการขายจากประเทศผู้ผลิตหรือเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจากสถานฑูตไทยในประเทศผู้ผลิตหรือเจ้าของผลิตภัณฑ์ และเอกสารข้อมูลผลิตภัณฑ์ เช่น แค็ตตาลอก คู่มือการใช้งานของผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ อย. อนุมัติก่อนที่จะทราบปัญหาในประเทศสเปน และ อย. ไม่เคยกล่าวอ้างว่าสเปนใช้ไม่เป็นเอง อีกทั้งกรณีนี้ด่านอาหารและยายังไม่เคยมีการตรวจปล่อยให้สินค้านําเข้ามาภายในประเทศ และหลังจากที่มีข่าวที่ประเทศสเปน อย. ก็ได้มีการยกเลิกการอนุมัติให้นําเข้าดังกล่าวแล้ว
เฟซบุ๊กดังกล่าวได้เขียนข้อความว่า “ทั้ง ๆ ที่ Shenzhen Bioeasy Biotechnology Co., Ltd และ Hangzhou Biotest Biotech Co.,Ltd. ทั้งคู่ไม่ได้รับอนุญาตให้ขายในจีน แต่ก็ยังได้รับอนุญาตให้นําเข้าและจําหน่ายในไทยได้โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และ อย.”
ข้อเท็จจริง : กรณีชุดตรวจของ Shenzhen Bioeasy Biotechnology Co., Ltd บริษัทผู้นําเข้าได้ขอยกเลิกหนังสือรับรองประกอบการการนําเข้า และ อย. ได้ยกเลิกหนังสือรับรองดังกล่าวแล้ว จึงไม่มีการนําเข้าชุดตรวจมาจําหน่ายในไทย และสําหรับชุดตรวจที่ผลิตโดย Hangzhou Biotest Biotech Co.,Ltd อย. ยังไม่เคยได้รับอนุมัติการนําเข้าเพื่อจําหน่ายในไทย
เฟซบุ๊กดังกล่าวได้เขียนข้อความว่า “ขณะที่รัฐวิสาหกิจจีนผู้ผลิตชุดตรวจโควิด-19 Rapid Antibody Test kit ของจริง มีทั้ง China FDA, China COA และ China CFS ส่งชุดตรวจมาบริจาคมอบให้กรมควบคุมโรคใช้ฟรี ๆ แต่ชุดตรวจนั้นกลับถูกกักไว้ที่ด่าน อย. สุวรรณภูมินานเกือบเดือน และยังไม่ได้รับอนุญาตจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และ อย. จนถึงป่านนี้ ทั้ง ๆ ที่ฟรี และเป็นของแท้รับรองโดยรัฐบาลจีน”
ข้อเท็จจริง : จากการตรวจสอบข้อมูลที่ด่านอาหารและยา สุวรรณภูมิ ไม่พบว่ามีการกักชุดตรวจดังกล่าวที่ด่านสุวรรณภูมิ และยังไม่มีผู้มายื่นขอผ่อนผันนําเข้าชุดตรวจจากรัฐวิสาหกิจจีนเพื่อบริจาคแต่อย่างใด ทั้งนี้ ในการนําเข้าชุดตรวจมาบริจาคให้หน่วยงานรัฐ จะใช้หลักฐานการรับบริจาคจากหน่วยงานของรัฐผู้รับบริจาคเป็นสําคัญ โดยด่านอาหารและยาจะพิจารณาตรวจปล่อยทันที
เลขาธิการฯ อย. กล่าวในตอนท้ายว่า อย. มุ่งดําเนินงานด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความปลอดภัย หากมีปัญหาหรือมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน อย. 1556
*************************************************
วันที่เผยแพร่ 24 เมษายน 2563 / ข่าวแจก 86
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29722
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดพสุ ลงพื้นที่สงขลา ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาโครงการนิคมฯสงขลา (สะเดา) พัฒนาพื้นที่ตามแผนเสร็จปี’63 ทุนไทย-จีน-มาเลย์ฯ 5 ราย จ่อใช้พื้นที่ขยายฐานผลิต 40-50 ไร่
|
วันอังคารที่ 10 กันยายน 2562
ปลัดพสุ ลงพื้นที่สงขลา ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาโครงการนิคมฯสงขลา (สะเดา) พัฒนาพื้นที่ตามแผนเสร็จปี’63 ทุนไทย-จีน-มาเลย์ฯ 5 ราย จ่อใช้พื้นที่ขยายฐานผลิต 40-50 ไร่
นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานในเขตพัฒนาพิเศษจังหวัดสงขลา
เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2562 นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานในเขตพัฒนาพิเศษจังหวัดสงขลา ซึ่งปัจจุบันนิคมอุตสาหกรรมสงขลาในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษอําเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ต.สํานักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา ระยะที่ 1 บนพื้นที่ 629 ไร่ อยู่ระหว่างการพัฒนาพื้นที่ ก้าวหน้าไปแล้วกว่า 11 % และเป็นไปตามแผนงานที่กําหนดไว้ โดยเริ่มดําเนินการตั้งแต่เดือนเมษายน 2562 คาดว่าจะแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้บริการนักลงทุนเข้าใช้พื้นที่เพื่อประกอบกิจการของกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมด้านโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงอุตสาหกรรมบริการได้ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2563
โดยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้ กนอ.จัดทํามาตรการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มเติม ในนิคมฯสงขลา เพื่อดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ที่ให้ความสนใจนิคมฯสงขลา เพราะเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ (strategic area) ที่สําคัญ เนื่องจากมีระบบโลจิสติกส์ที่ครบวงจร ทั้งด่านสะเดาและด่านปาดังเบซาร์ ซึ่งเป็นด่านทางบกที่มีมูลค่าการค้าสูงสุดที่อยู่ใกล้ท่าเรือปีนัง และท่าเรือกลางของมาเลเซียและในอนาคตจะมีการพัฒนามอเตอร์เวย์ที่สามารถเชื่อมโยงระหว่างนิคมฯยางพารา (Rubber City) ที่จะต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมยางพาราของประเทศ
ซึ่งนิคมฯดังกล่าวจะเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่อยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) ที่ กนอ.อยู่ระหว่างพัฒนาเป็นพื้นที่สําหรับรองรับการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติแต่ละประเทศเป็นการเฉพาะ เช่น เกาหลี จีน ไต้หวัน เป็นต้น และอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี ที่สอดรับกับมาตรการส่งเสริมการลงทุนภายใต้โครงการ Thailand Plus ของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งหากโครงสร้างพื้นฐานสามารถดําเนินการได้แล้วเสร็จเป็นไปตามแผนที่รัฐบาลกําหนด เชื่อว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มนักลงทุนพิจารณาตัดสินใจเข้ามาลงทุนในนิคมฯ สงขลา ได้อย่างแน่นอน
นอกจากนั้น การพัฒนาโครงการนิคมฯสงขลา ในระยะแรก กนอ. จํานวนทั้งสิ้น 629 ไร่ กนอ. แบ่งออกเป็นพื้นที่รองรับอุตสาหกรรมทั่วไป เขตพาณิชยกรรม และโรงงานสําเร็จรูป ประมาณ 347 ไร่ พื้นที่สาธารณูปโภคส่วนกลาง พื้นที่สิ่งอํานวยความสะดวก และพื้นที่ สีเขียว ซึ่งได้ออกแบบภายใต้แนวคิดการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Industrial Estate) ที่ทุกภาคส่วนทั้งสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน จํานวน 283 ไร่ ซึ่งปัจจุบันพื้นที่นิคมฯ แห่งนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้มีนักลงทุนจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะมาเลเซีย และ จีน ประมาณ 5 ราย ได้ติดต่อสอบถามข้อมูลและสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อนําไปประกอบการตัดสินใจในการเข้ามาประกอบกิจการ ซึ่งจากการเจรจากับผู้ประกอบการดังกล่าว พบว่ามีความต้องการใช้พื้นที่รวมทั้งสิ้นประมาณ 40-50 ไร่ เพื่อใช้เป็นฐานการผลิตและรองรับการขยายธุรกิจที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจจําหน่ายวัสดุก่อสร้างครบวงจร ผลิตอาหารฮาลาล เฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพารา สถานีบริการปั๊มน้ํามัน ผลิตเมทัลชีท ขายปลีก-ส่ง โลจิสติกส์ และธุรกิจห้องเย็น เป็นต้น
ขณะเดียวกัน พื้นที่การลงทุนที่ นิคมฯ สงขลา ยังถือเป็นพื้นที่เศรษฐกิจของภาคใต้ตอนล่างที่มีศักยภาพ มีความพร้อมในเรื่องของวัตถุดิบ แรงงาน และระบบขนส่ง ที่สามารถเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ตลอดจนยังสามารถรองรับการขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายนําไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจไปยังจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งจะเป็นหน่วยสนับสนุนระบบคลัสเตอร์ในการเชื่อมโยงทางวัตถุดิบ และแรงงานได้เป็นอย่างดี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดพสุ ลงพื้นที่สงขลา ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาโครงการนิคมฯสงขลา (สะเดา) พัฒนาพื้นที่ตามแผนเสร็จปี’63 ทุนไทย-จีน-มาเลย์ฯ 5 ราย จ่อใช้พื้นที่ขยายฐานผลิต 40-50 ไร่
วันอังคารที่ 10 กันยายน 2562
ปลัดพสุ ลงพื้นที่สงขลา ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาโครงการนิคมฯสงขลา (สะเดา) พัฒนาพื้นที่ตามแผนเสร็จปี’63 ทุนไทย-จีน-มาเลย์ฯ 5 ราย จ่อใช้พื้นที่ขยายฐานผลิต 40-50 ไร่
นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานในเขตพัฒนาพิเศษจังหวัดสงขลา
เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2562 นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานในเขตพัฒนาพิเศษจังหวัดสงขลา ซึ่งปัจจุบันนิคมอุตสาหกรรมสงขลาในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษอําเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ต.สํานักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา ระยะที่ 1 บนพื้นที่ 629 ไร่ อยู่ระหว่างการพัฒนาพื้นที่ ก้าวหน้าไปแล้วกว่า 11 % และเป็นไปตามแผนงานที่กําหนดไว้ โดยเริ่มดําเนินการตั้งแต่เดือนเมษายน 2562 คาดว่าจะแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้บริการนักลงทุนเข้าใช้พื้นที่เพื่อประกอบกิจการของกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมด้านโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงอุตสาหกรรมบริการได้ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2563
โดยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้ กนอ.จัดทํามาตรการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มเติม ในนิคมฯสงขลา เพื่อดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ที่ให้ความสนใจนิคมฯสงขลา เพราะเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ (strategic area) ที่สําคัญ เนื่องจากมีระบบโลจิสติกส์ที่ครบวงจร ทั้งด่านสะเดาและด่านปาดังเบซาร์ ซึ่งเป็นด่านทางบกที่มีมูลค่าการค้าสูงสุดที่อยู่ใกล้ท่าเรือปีนัง และท่าเรือกลางของมาเลเซียและในอนาคตจะมีการพัฒนามอเตอร์เวย์ที่สามารถเชื่อมโยงระหว่างนิคมฯยางพารา (Rubber City) ที่จะต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมยางพาราของประเทศ
ซึ่งนิคมฯดังกล่าวจะเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่อยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) ที่ กนอ.อยู่ระหว่างพัฒนาเป็นพื้นที่สําหรับรองรับการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติแต่ละประเทศเป็นการเฉพาะ เช่น เกาหลี จีน ไต้หวัน เป็นต้น และอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี ที่สอดรับกับมาตรการส่งเสริมการลงทุนภายใต้โครงการ Thailand Plus ของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งหากโครงสร้างพื้นฐานสามารถดําเนินการได้แล้วเสร็จเป็นไปตามแผนที่รัฐบาลกําหนด เชื่อว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มนักลงทุนพิจารณาตัดสินใจเข้ามาลงทุนในนิคมฯ สงขลา ได้อย่างแน่นอน
นอกจากนั้น การพัฒนาโครงการนิคมฯสงขลา ในระยะแรก กนอ. จํานวนทั้งสิ้น 629 ไร่ กนอ. แบ่งออกเป็นพื้นที่รองรับอุตสาหกรรมทั่วไป เขตพาณิชยกรรม และโรงงานสําเร็จรูป ประมาณ 347 ไร่ พื้นที่สาธารณูปโภคส่วนกลาง พื้นที่สิ่งอํานวยความสะดวก และพื้นที่ สีเขียว ซึ่งได้ออกแบบภายใต้แนวคิดการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Industrial Estate) ที่ทุกภาคส่วนทั้งสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน จํานวน 283 ไร่ ซึ่งปัจจุบันพื้นที่นิคมฯ แห่งนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้มีนักลงทุนจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะมาเลเซีย และ จีน ประมาณ 5 ราย ได้ติดต่อสอบถามข้อมูลและสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อนําไปประกอบการตัดสินใจในการเข้ามาประกอบกิจการ ซึ่งจากการเจรจากับผู้ประกอบการดังกล่าว พบว่ามีความต้องการใช้พื้นที่รวมทั้งสิ้นประมาณ 40-50 ไร่ เพื่อใช้เป็นฐานการผลิตและรองรับการขยายธุรกิจที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจจําหน่ายวัสดุก่อสร้างครบวงจร ผลิตอาหารฮาลาล เฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพารา สถานีบริการปั๊มน้ํามัน ผลิตเมทัลชีท ขายปลีก-ส่ง โลจิสติกส์ และธุรกิจห้องเย็น เป็นต้น
ขณะเดียวกัน พื้นที่การลงทุนที่ นิคมฯ สงขลา ยังถือเป็นพื้นที่เศรษฐกิจของภาคใต้ตอนล่างที่มีศักยภาพ มีความพร้อมในเรื่องของวัตถุดิบ แรงงาน และระบบขนส่ง ที่สามารถเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ตลอดจนยังสามารถรองรับการขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายนําไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจไปยังจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งจะเป็นหน่วยสนับสนุนระบบคลัสเตอร์ในการเชื่อมโยงทางวัตถุดิบ และแรงงานได้เป็นอย่างดี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22959
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ประกอบการต้องคุ้มเข้มในสถานการณ์โควิด-19
|
วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม 2563
ผู้ประกอบการต้องคุ้มเข้มในสถานการณ์โควิด-19
เพื่อป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรค
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ประกอบการต้องคุ้มเข้มในสถานการณ์โควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม 2563
ผู้ประกอบการต้องคุ้มเข้มในสถานการณ์โควิด-19
เพื่อป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรค
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33439
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดงานสัมมนา Transforming Thailand : Thailand-France Partnership
|
วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2561
นายกรัฐมนตรีเปิดงานสัมมนา Transforming Thailand : Thailand-France Partnership
นายกรัฐมนตรีเปิดงานสัมมนา Transforming Thailand : Thailand-France Partnership
วันนี้ (25 มิถุนายน 2561) เวลา 10.00 น. ณ แซร์กเลอ เดอ ลูนิยง แองแตร์อัลลิเย่ (Cercle de l’Union Interalliée) กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดงานสัมมนา Thailand Business Forum ซึ่งจัดโดยสภานายจ้างฝรั่งเศส MEDEF International ร่วมกับกระทรวงพาณิชน์ และสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยมี ผู้บริหารระดับสูงของไทย ได้แก่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพัฒนาเขตพิเศษภาคตะวันออก และนางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ร่วมรับฟังด้วย สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ สรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวความสัมพันธ์ระหว่างไทยและฝรั่งเศสที่ดําเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ตั้งแต่ ค.ศ. 1685 สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้มีการส่งราชทูตเพื่อมาเจริญสัมพันธไมตรีและเชื่อมโยงการค้าอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบัน ทั้งในระดับรัฐบาล ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน ด้านการค้าระหว่าฝรั่งเศสเป็นคู่ค้าอันดับที่ 23 ของไทย และเป็นคู่ค้าอันดับที่ 4 ในสหภาพยุโรป ปีที่ผ่านมา ไทยและฝรั่งเศสมีมูลค่าการค้าระหว่างกันรวม 4,452 ล้านยูโร การส่งออกของไทยไปยังฝรั่งเศสในปี 2017 มีมูลค่า 1,507 ล้านยูโร และนําเข้าสินค้ามีมูลค่า 2,943 ล้านยูโร
ฝรั่งเศสยังมีบทบาทด้านการลงทุน ในประเทศไทย ทั้งแง่ของขนาดธุรกิจและสาขาการลงทุนที่ครอบคลุมทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ เช่น อากาศยาน ยานยนต์และชิ้นส่วน วัสดุก่อสร้าง พลังงาน และอิเล็กทรอนิกส์ หลายบริษัทฝรั่งเศสที่ไปลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทยเพื่อเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกรวมทั้งจําหน่ายในประเทศ เช่น Michelin (ยางรถยนต์ และ ยางล้ออากาศยาน) เอสซีลอร์ (Essilor ผลิตเลนส์สายตากับแว่นตา) แซง-โกแบ็ง (Saint Gobain ผลิตกระจกนิรภัย และวัสดุสําหรับงานวิศวกรรม) วาลีโอ (Valeo ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์) และ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric อุปกรณ์ไฟฟ้าและพลังงาน) เป็นต้น การส่งเสริมการลงทุนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการลงทุนจากฝรั่งเศสที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ จํานวน 190 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 625 ล้าน ยูโร ล่าสุดในปี 2017 การลงทุนจากฝรั่งเศสจัดอยู่ในอันดับที่ 4 ของการลงทุนจากยุโรป โดยมีการลงทุนในกิจการที่สําคัญอย่างการวิจัยและพัฒนาด้วย ซึ่งการลงทุนเหล่านี้ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทยที่ต้องการพัฒนาประเทศไทยในด้านเศรษฐกิจฐานความรู้เพื่อให้ประเทศสามารถพัฒนานวัตกรรมในการยกระดับศักยภาพทางการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศได้ดีขึ้น
ด้านการท่องเที่ยว ปีที่ผ่านมานักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางมาเยือนฝรั่งเศสจํานวน 98,000 คน ขณะที่มีนักท่องเที่ยวจากฝรั่งเศสเดินทางไปยังประเทศไทย 739,852 คน
นายกรัฐมนตรีกล่าวเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจไทยและแนวโน้มว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2017 อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ที่ร้อยละ 3.9 เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2018 ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 4.8 ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 5 ปีจากภาวะการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นต่อเนื่อง คาดว่าปี 2018 ทั้งปีเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ที่ ร้อยละ 4.2 – 4.7
ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รัฐบาลประกาศใช้นโยบายประเทศไทย 4.0 ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รัฐบาลได้ประกาศอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การแพทย์ เคมีและปิโตรเคมีชีวภาพ และดิจิทัล เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน และสนับสนุนการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ
สําหรับกรอบของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีนั้น ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยมีแผนพัฒนาประเทศระยะยาว ที่ครอบคลุมการพัฒนาในหลายมิติ รวมถึงมีแผนการปฏิรูปด้านโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ของประเทศ เช่น รถไฟความเร็วสูง ทางด่วน และระบบขนส่งสาธารณะแบบราง การขยายท่าเรือ สนามบิน และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเชื่อมโยงความเจริญเติบโตเข้าไปยังพื้นที่ชุมชนและเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ
นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสําคัญแก่การพัฒนาคนเป็นลําดับแรก เพราะการพัฒนาประเทศ ต้องการทุนมนุษย์ที่เข้มแข็ง พร้อมๆไปกับการสร้างกลไกให้ภาคเอกชนได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาคน วางรากฐานและมีบทบาทเชื่อมโยงกับภาคการศึกษามากขึ้น เปิดโอกาสให้นักเรียนนักศึกษาได้รับประสบการณ์จริงจากการทํางานในสถานประกอบการ โดยเฉพาะระบบ co-operative education เพื่อเตรียมบุคลากรให้มีความพร้อมสําหรับที่จะรองรับการลงทุนของประเทศและนักลงทุนที่สนใจเช่นท่านทั้งหลาย
รัฐบาลได้กําหนดให้พื้นที่สามจังหวัดในภาคตะวันออกของไทย เป็นพื้นที่พิเศษที่จะพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางความเจริญ เติบโตทางเศรษฐกิจแห่งภูมิภาค ให้การพัฒนา Eastern Economic Corridor หรือ EEC เป็นโครงการนําร่องสําคัญของรัฐบาลที่จะขยายต่อยอดไปยังพื้นที่อื่นๆ เพื่อกระจายความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ออกไปทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ประเทศไทยตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สําคัญใจกลางอาเซียน เป็นศูนย์กลางของกลุ่มประเทศ CLMVT หรืออาเซียนบนภาคพื้นทวีปที่มีประชากรรวมเกินกว่า 230 ล้านคน และไทยยังจะรดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน และนโยบาย Thailand + 1 เน้นเศรษฐกิจเสรี เปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ และการมีส่วนร่วมของนานาชาติ จึงเป็นโอกาสสําหรับการลงทุนและสร้างฐานการผลิตในไทย เพื่อตอบสนองความต้องการในภูมิภาคที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวเชิญชวนนักลงทุนจากสาธารณรัฐฝรั่งเศสเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง ด้วยรัฐบาลนี้มีความมุ่งมั่นที่จะปฏิรูปประเทศไทยในทุกมิติ โดยการปฏิรูประบบราชการและการอํานวยความสะดวกนั้นเป็นหนึ่งใน 5 เรื่องเร่งด่วน (Quick Win) ที่จะต้องดําเนินการให้เห็นผลก่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในต้นปีหน้าตาม Roadmap 3 ระยะสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่ยั่งยืน ประเทศไทยกําลังอยู่ช่วงท้ายของระยะที่ 2 ซึ่งเป็นการปฏิรูปทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสําหรับระยะที่ 3 นั่นคือการเลือกตั้งตามกระบวนการประชาธิปไตยและส่งมอบภารกิจให้แก่รัฐบาลชุดต่อไป
อนึ่ง สภานายจ้างฝรั่งเศส
สภานายจ้างฝรั่งเศส (Mouvement des Entreprises de France - MEDEF) เป็นสมาพันธ์นายจ้างที่ใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2541 ปัจจุบันมีผู้ประกอบการจากหลากหลายธุรกิจของฝรั่งเศสเป็นสมาชิกมากกว่า 750,000 บริษัท มีวิสัยทัศน์ที่เน้นการดําเนินความสัมพันธ์กับทุกประเทศ ทั้งนี้ สภานายจ้างฝรั่งเศสมีความร่วมมือที่มีกับบริษัทไทยและประเทศไทยมากว่า 25ปี โดยสาขาที่บริษัทภายใต้สภานายจ้างฝรั่งเศสสนใจขยายการลงทุนในไทยมากขึ้น ได้แก่
อุตสาหกรรมยานยนต์ ได้แก่ Michelin อุตสาหกรรมอากาศยาน ได้แก่ Airbus อุตสาหกรรมพลังงาน ได้แก่ Engie, Suez อุตสาหกรรมโครงสร้างสาธารณูปโภคและระบบขนส่ง ได้แก่ EGIS, ETF, Fives, Groupe Institut de Soudure, RATP Développement, SNCF การธนาคาร ได้แก่ Euler Hermes Services อุตสาหกรรมการแพทย์และสาธารณสุข ได้แก่ Sanofi Pasteur และอุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์ ได้แก่ Thales
สําหรับข้อมูลภาคเอกชนไทยในสาธารณรัฐฝรั่งเศส บริษัทไทยขนาดใหญ่ที่เข้ามาลงทุนในสาธารณรัฐฝรั่งเศส อาทิ Double A Alizay
PTT - Global Chemical
Thai Union Frozen และบริษัท Sea Value เป็นต้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดงานสัมมนา Transforming Thailand : Thailand-France Partnership
วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2561
นายกรัฐมนตรีเปิดงานสัมมนา Transforming Thailand : Thailand-France Partnership
นายกรัฐมนตรีเปิดงานสัมมนา Transforming Thailand : Thailand-France Partnership
วันนี้ (25 มิถุนายน 2561) เวลา 10.00 น. ณ แซร์กเลอ เดอ ลูนิยง แองแตร์อัลลิเย่ (Cercle de l’Union Interalliée) กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดงานสัมมนา Thailand Business Forum ซึ่งจัดโดยสภานายจ้างฝรั่งเศส MEDEF International ร่วมกับกระทรวงพาณิชน์ และสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยมี ผู้บริหารระดับสูงของไทย ได้แก่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพัฒนาเขตพิเศษภาคตะวันออก และนางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ร่วมรับฟังด้วย สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ สรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวความสัมพันธ์ระหว่างไทยและฝรั่งเศสที่ดําเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ตั้งแต่ ค.ศ. 1685 สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้มีการส่งราชทูตเพื่อมาเจริญสัมพันธไมตรีและเชื่อมโยงการค้าอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบัน ทั้งในระดับรัฐบาล ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน ด้านการค้าระหว่าฝรั่งเศสเป็นคู่ค้าอันดับที่ 23 ของไทย และเป็นคู่ค้าอันดับที่ 4 ในสหภาพยุโรป ปีที่ผ่านมา ไทยและฝรั่งเศสมีมูลค่าการค้าระหว่างกันรวม 4,452 ล้านยูโร การส่งออกของไทยไปยังฝรั่งเศสในปี 2017 มีมูลค่า 1,507 ล้านยูโร และนําเข้าสินค้ามีมูลค่า 2,943 ล้านยูโร
ฝรั่งเศสยังมีบทบาทด้านการลงทุน ในประเทศไทย ทั้งแง่ของขนาดธุรกิจและสาขาการลงทุนที่ครอบคลุมทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ เช่น อากาศยาน ยานยนต์และชิ้นส่วน วัสดุก่อสร้าง พลังงาน และอิเล็กทรอนิกส์ หลายบริษัทฝรั่งเศสที่ไปลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทยเพื่อเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกรวมทั้งจําหน่ายในประเทศ เช่น Michelin (ยางรถยนต์ และ ยางล้ออากาศยาน) เอสซีลอร์ (Essilor ผลิตเลนส์สายตากับแว่นตา) แซง-โกแบ็ง (Saint Gobain ผลิตกระจกนิรภัย และวัสดุสําหรับงานวิศวกรรม) วาลีโอ (Valeo ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์) และ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric อุปกรณ์ไฟฟ้าและพลังงาน) เป็นต้น การส่งเสริมการลงทุนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการลงทุนจากฝรั่งเศสที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ จํานวน 190 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 625 ล้าน ยูโร ล่าสุดในปี 2017 การลงทุนจากฝรั่งเศสจัดอยู่ในอันดับที่ 4 ของการลงทุนจากยุโรป โดยมีการลงทุนในกิจการที่สําคัญอย่างการวิจัยและพัฒนาด้วย ซึ่งการลงทุนเหล่านี้ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทยที่ต้องการพัฒนาประเทศไทยในด้านเศรษฐกิจฐานความรู้เพื่อให้ประเทศสามารถพัฒนานวัตกรรมในการยกระดับศักยภาพทางการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศได้ดีขึ้น
ด้านการท่องเที่ยว ปีที่ผ่านมานักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางมาเยือนฝรั่งเศสจํานวน 98,000 คน ขณะที่มีนักท่องเที่ยวจากฝรั่งเศสเดินทางไปยังประเทศไทย 739,852 คน
นายกรัฐมนตรีกล่าวเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจไทยและแนวโน้มว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2017 อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ที่ร้อยละ 3.9 เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2018 ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 4.8 ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 5 ปีจากภาวะการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นต่อเนื่อง คาดว่าปี 2018 ทั้งปีเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ที่ ร้อยละ 4.2 – 4.7
ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รัฐบาลประกาศใช้นโยบายประเทศไทย 4.0 ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รัฐบาลได้ประกาศอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การแพทย์ เคมีและปิโตรเคมีชีวภาพ และดิจิทัล เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน และสนับสนุนการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ
สําหรับกรอบของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีนั้น ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยมีแผนพัฒนาประเทศระยะยาว ที่ครอบคลุมการพัฒนาในหลายมิติ รวมถึงมีแผนการปฏิรูปด้านโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ของประเทศ เช่น รถไฟความเร็วสูง ทางด่วน และระบบขนส่งสาธารณะแบบราง การขยายท่าเรือ สนามบิน และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเชื่อมโยงความเจริญเติบโตเข้าไปยังพื้นที่ชุมชนและเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ
นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสําคัญแก่การพัฒนาคนเป็นลําดับแรก เพราะการพัฒนาประเทศ ต้องการทุนมนุษย์ที่เข้มแข็ง พร้อมๆไปกับการสร้างกลไกให้ภาคเอกชนได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาคน วางรากฐานและมีบทบาทเชื่อมโยงกับภาคการศึกษามากขึ้น เปิดโอกาสให้นักเรียนนักศึกษาได้รับประสบการณ์จริงจากการทํางานในสถานประกอบการ โดยเฉพาะระบบ co-operative education เพื่อเตรียมบุคลากรให้มีความพร้อมสําหรับที่จะรองรับการลงทุนของประเทศและนักลงทุนที่สนใจเช่นท่านทั้งหลาย
รัฐบาลได้กําหนดให้พื้นที่สามจังหวัดในภาคตะวันออกของไทย เป็นพื้นที่พิเศษที่จะพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางความเจริญ เติบโตทางเศรษฐกิจแห่งภูมิภาค ให้การพัฒนา Eastern Economic Corridor หรือ EEC เป็นโครงการนําร่องสําคัญของรัฐบาลที่จะขยายต่อยอดไปยังพื้นที่อื่นๆ เพื่อกระจายความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ออกไปทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ประเทศไทยตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สําคัญใจกลางอาเซียน เป็นศูนย์กลางของกลุ่มประเทศ CLMVT หรืออาเซียนบนภาคพื้นทวีปที่มีประชากรรวมเกินกว่า 230 ล้านคน และไทยยังจะรดํารงตําแหน่งประธานอาเซียน และนโยบาย Thailand + 1 เน้นเศรษฐกิจเสรี เปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ และการมีส่วนร่วมของนานาชาติ จึงเป็นโอกาสสําหรับการลงทุนและสร้างฐานการผลิตในไทย เพื่อตอบสนองความต้องการในภูมิภาคที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวเชิญชวนนักลงทุนจากสาธารณรัฐฝรั่งเศสเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง ด้วยรัฐบาลนี้มีความมุ่งมั่นที่จะปฏิรูปประเทศไทยในทุกมิติ โดยการปฏิรูประบบราชการและการอํานวยความสะดวกนั้นเป็นหนึ่งใน 5 เรื่องเร่งด่วน (Quick Win) ที่จะต้องดําเนินการให้เห็นผลก่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในต้นปีหน้าตาม Roadmap 3 ระยะสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่ยั่งยืน ประเทศไทยกําลังอยู่ช่วงท้ายของระยะที่ 2 ซึ่งเป็นการปฏิรูปทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสําหรับระยะที่ 3 นั่นคือการเลือกตั้งตามกระบวนการประชาธิปไตยและส่งมอบภารกิจให้แก่รัฐบาลชุดต่อไป
อนึ่ง สภานายจ้างฝรั่งเศส
สภานายจ้างฝรั่งเศส (Mouvement des Entreprises de France - MEDEF) เป็นสมาพันธ์นายจ้างที่ใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2541 ปัจจุบันมีผู้ประกอบการจากหลากหลายธุรกิจของฝรั่งเศสเป็นสมาชิกมากกว่า 750,000 บริษัท มีวิสัยทัศน์ที่เน้นการดําเนินความสัมพันธ์กับทุกประเทศ ทั้งนี้ สภานายจ้างฝรั่งเศสมีความร่วมมือที่มีกับบริษัทไทยและประเทศไทยมากว่า 25ปี โดยสาขาที่บริษัทภายใต้สภานายจ้างฝรั่งเศสสนใจขยายการลงทุนในไทยมากขึ้น ได้แก่
อุตสาหกรรมยานยนต์ ได้แก่ Michelin อุตสาหกรรมอากาศยาน ได้แก่ Airbus อุตสาหกรรมพลังงาน ได้แก่ Engie, Suez อุตสาหกรรมโครงสร้างสาธารณูปโภคและระบบขนส่ง ได้แก่ EGIS, ETF, Fives, Groupe Institut de Soudure, RATP Développement, SNCF การธนาคาร ได้แก่ Euler Hermes Services อุตสาหกรรมการแพทย์และสาธารณสุข ได้แก่ Sanofi Pasteur และอุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์ ได้แก่ Thales
สําหรับข้อมูลภาคเอกชนไทยในสาธารณรัฐฝรั่งเศส บริษัทไทยขนาดใหญ่ที่เข้ามาลงทุนในสาธารณรัฐฝรั่งเศส อาทิ Double A Alizay
PTT - Global Chemical
Thai Union Frozen และบริษัท Sea Value เป็นต้น
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13325
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ฉัตรชัย รองนายกรัฐมนตรี ชื่นชม พชอ.มหาสารคาม ขับเคลื่อนจังหวัดไอโอดีน
|
วันพุธที่ 23 มกราคม 2562
พลเอก ฉัตรชัย รองนายกรัฐมนตรี ชื่นชม พชอ.มหาสารคาม ขับเคลื่อนจังหวัดไอโอดีน
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจังหวัดมหาสารคาม ให้กําลังใจผู้ปฏิบัติงาน ชื่นชมคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอและเครือข่ายอาสาสมัครสาธารณสุข ขับเคลื่อนจังหวัดไอโอดีน มุ่งสู่เด็กตักศิลา 4.0 (Smart Kids Takasila 4.0)
วันนี้ (23 มกราคม 2562) ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลเมืองเตา อําเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายแพทย์อิทธิพล สูงแข็ง ผู้ตรวจราชการกระทรวงเขตสุขภาพที่ 7 โดยให้สัมภาษณ์ว่า การลงพื้นที่ในวันนี้เพื่อมอบนโยบายและติดตามการดําเนินงานการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนระดับอําเภอ ซึ่งรัฐบาลมุ่งเน้นให้เกิดการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนโดยประชาชนเป็นศูนย์กลาง ร่วมกันพัฒนาและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ เพื่อให้บุคคล สังคมและชุมชน มีสุขภาวะที่ดี โดยมีคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.) เป็นกลไกในการขับเคลื่อน และพชอ.ทั้ง 13 อําเภอ ร่วมกันแก้ไขปัญหาตามวาระจังหวัด ที่กําหนดให้ จ.มหาสารคาม เป็นจังหวัดไอโอดีนยั่งยืนมุ่งสู่เด็กตักศิลา 4.0 (Smart Kids Takasila 4.0) เพื่อแก้ปัญหาการขาดสารไอโอดีนของทุกกลุ่มวัย
ซึ่งการดําเนินงานป้องกันโรคขาดสารไอโอดีน ของจังหวัดมหาสารคาม ได้มีการกําหนดเป้าหมายการลดภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนในเด็กแรกเกิด ลดการพัฒนาการล่าช้าในเด็กปฐมวัย ให้หญิงวัยเจริญพันธ์ และหญิงตั้งครรภ์ บริโภคเกลือเสริมไอโอดีนแทนการบริโภคเกลือสินเธาว์ ที่ไม่ได้เสริมไอโอดีน ผลการดําเนินงานพบว่า พัฒนาการเด็ก 0-5 ปี สมวัย ร้อยละ 97 ทั้งนี้ จังหวัดมหาสารคาม สามารถผลิตเกลือเสริมไอโอดีนที่มีคุณภาพได้ 10 ตัน มีแหล่งผลิตเกลือไอโอดีนที่ได้มาตรฐาน 39 แห่ง ชุมชนหมู่บ้านมีกองทุนเกลือไอโอดีน ร้อยละ 100 มีการกระจายอย่างครอบคลุม ส่งเสริมให้ประชาชนเลือกบริโภค
พลเอก ฉัตรชัย กล่าวต่อว่า สําหรับการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ โดยการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล หรือ รพ.สต.ติดดาว ซึ่งมีเครือข่ายอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) ที่ได้รับการพัฒนาเป็น อสม.4.0 ตอบสนองนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล นําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อให้ อสม.มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Skill) เพิ่มความรอบรู้ด้านสุขภาพ ความมีจิตอาสา สร้างการเปลี่ยนแปลงด้าน สุขภาพ เป็นแบบอย่างให้กับประชาชน ส่งผลต่อการทํางานด้านสาธารณสุขเชิงรุก รัฐบาลจึงได้มอบให้กระทรวง สาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง ดําเนินการพัฒนาระบบบริการเบิกจ่ายค่าป่วยการของ อสม. ผ่านระบบ e-Payment โดยใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ (Smart card) ให้มีความสะดวกคล่องตัวมากขึ้น จาก 600 บาท เป็นคนละ 1,000 บาท/เดือน เป็นการสร้างขวัญกําลังให้ อสม.ซึ่งเป็นผู้มีจิตอาสาในการช่วยเหลือดูแลด้านสุขภาพแก่ประชาชนในพื้นที่
“ขอขอบคุณ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข อสม. และหน่วยงานต่างๆ ที่มีส่วนร่วมเข้ามาทํางานด้วยจิตอาสา ดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ” พลเอก ฉัตรชัย กล่าว
********************************************* 23 มกราคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ฉัตรชัย รองนายกรัฐมนตรี ชื่นชม พชอ.มหาสารคาม ขับเคลื่อนจังหวัดไอโอดีน
วันพุธที่ 23 มกราคม 2562
พลเอก ฉัตรชัย รองนายกรัฐมนตรี ชื่นชม พชอ.มหาสารคาม ขับเคลื่อนจังหวัดไอโอดีน
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจังหวัดมหาสารคาม ให้กําลังใจผู้ปฏิบัติงาน ชื่นชมคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอและเครือข่ายอาสาสมัครสาธารณสุข ขับเคลื่อนจังหวัดไอโอดีน มุ่งสู่เด็กตักศิลา 4.0 (Smart Kids Takasila 4.0)
วันนี้ (23 มกราคม 2562) ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลเมืองเตา อําเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายแพทย์อิทธิพล สูงแข็ง ผู้ตรวจราชการกระทรวงเขตสุขภาพที่ 7 โดยให้สัมภาษณ์ว่า การลงพื้นที่ในวันนี้เพื่อมอบนโยบายและติดตามการดําเนินงานการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนระดับอําเภอ ซึ่งรัฐบาลมุ่งเน้นให้เกิดการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนโดยประชาชนเป็นศูนย์กลาง ร่วมกันพัฒนาและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ เพื่อให้บุคคล สังคมและชุมชน มีสุขภาวะที่ดี โดยมีคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.) เป็นกลไกในการขับเคลื่อน และพชอ.ทั้ง 13 อําเภอ ร่วมกันแก้ไขปัญหาตามวาระจังหวัด ที่กําหนดให้ จ.มหาสารคาม เป็นจังหวัดไอโอดีนยั่งยืนมุ่งสู่เด็กตักศิลา 4.0 (Smart Kids Takasila 4.0) เพื่อแก้ปัญหาการขาดสารไอโอดีนของทุกกลุ่มวัย
ซึ่งการดําเนินงานป้องกันโรคขาดสารไอโอดีน ของจังหวัดมหาสารคาม ได้มีการกําหนดเป้าหมายการลดภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนในเด็กแรกเกิด ลดการพัฒนาการล่าช้าในเด็กปฐมวัย ให้หญิงวัยเจริญพันธ์ และหญิงตั้งครรภ์ บริโภคเกลือเสริมไอโอดีนแทนการบริโภคเกลือสินเธาว์ ที่ไม่ได้เสริมไอโอดีน ผลการดําเนินงานพบว่า พัฒนาการเด็ก 0-5 ปี สมวัย ร้อยละ 97 ทั้งนี้ จังหวัดมหาสารคาม สามารถผลิตเกลือเสริมไอโอดีนที่มีคุณภาพได้ 10 ตัน มีแหล่งผลิตเกลือไอโอดีนที่ได้มาตรฐาน 39 แห่ง ชุมชนหมู่บ้านมีกองทุนเกลือไอโอดีน ร้อยละ 100 มีการกระจายอย่างครอบคลุม ส่งเสริมให้ประชาชนเลือกบริโภค
พลเอก ฉัตรชัย กล่าวต่อว่า สําหรับการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ โดยการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล หรือ รพ.สต.ติดดาว ซึ่งมีเครือข่ายอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) ที่ได้รับการพัฒนาเป็น อสม.4.0 ตอบสนองนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล นําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อให้ อสม.มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Skill) เพิ่มความรอบรู้ด้านสุขภาพ ความมีจิตอาสา สร้างการเปลี่ยนแปลงด้าน สุขภาพ เป็นแบบอย่างให้กับประชาชน ส่งผลต่อการทํางานด้านสาธารณสุขเชิงรุก รัฐบาลจึงได้มอบให้กระทรวง สาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง ดําเนินการพัฒนาระบบบริการเบิกจ่ายค่าป่วยการของ อสม. ผ่านระบบ e-Payment โดยใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ (Smart card) ให้มีความสะดวกคล่องตัวมากขึ้น จาก 600 บาท เป็นคนละ 1,000 บาท/เดือน เป็นการสร้างขวัญกําลังให้ อสม.ซึ่งเป็นผู้มีจิตอาสาในการช่วยเหลือดูแลด้านสุขภาพแก่ประชาชนในพื้นที่
“ขอขอบคุณ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข อสม. และหน่วยงานต่างๆ ที่มีส่วนร่วมเข้ามาทํางานด้วยจิตอาสา ดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ” พลเอก ฉัตรชัย กล่าว
********************************************* 23 มกราคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18305
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เยี่ยมผู้ป่วย
|
วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน 2560
เยี่ยมผู้ป่วย
นายแพทย์กิตติศักดิ์ กลับดี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบกระเช้าของขวัญ ซึ่งเป็นของใช้ประจําวันให้กับผู้ป่วยที่นอนพักรักษาพยาบาล ภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ณ อําเภอนาทวี จังหวัดสงขลา
นายแพทย์กิตติศักดิ์ กลับดี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบกระเช้าของขวัญ ซึ่งเป็นของใช้ประจําวันให้กับผู้ป่วยที่นอนพักรักษาพยาบาล ภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ณ อําเภอนาทวี จังหวัดสงขลา เมื่อเร็ว ๆ นี้ ************* พฤศจิกายน 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เยี่ยมผู้ป่วย
วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน 2560
เยี่ยมผู้ป่วย
นายแพทย์กิตติศักดิ์ กลับดี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบกระเช้าของขวัญ ซึ่งเป็นของใช้ประจําวันให้กับผู้ป่วยที่นอนพักรักษาพยาบาล ภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ณ อําเภอนาทวี จังหวัดสงขลา
นายแพทย์กิตติศักดิ์ กลับดี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบกระเช้าของขวัญ ซึ่งเป็นของใช้ประจําวันให้กับผู้ป่วยที่นอนพักรักษาพยาบาล ภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ณ อําเภอนาทวี จังหวัดสงขลา เมื่อเร็ว ๆ นี้ ************* พฤศจิกายน 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8405
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-จีนย้ำสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง ยืนยันความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน
|
วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2562
ไทย-จีนย้ําสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง ยืนยันความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน
ไทย-จีนย้ําสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง ยืนยันความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน
วันนี้ (5 พฤศจิกายน 2562) เวลา 10.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรับมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หารือเต็มคณะกับนายหลี่ เค่อเฉียง (H.E. Mr. Li Keqiang) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ในโอกาสการเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล
โดยผู้นําทั้ง 2 ได้ร่วมตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ ณ บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล จากนั้นนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนลงนามสมุดเยี่ยมและชมของที่ระลึกที่ทั้งสองฝ่ายมอบให้แก่กัน ก่อนหารือข้อราชการเต็มคณะ
ผู้นําทั้งสองได้ร่วมกันหารือข้อราชการเต็มคณะ ณ ตึกภักดีบดินทร์ พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีโดยฝ่ายไทยประกอบด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ สําหรับคณะรัฐมนตรีฝ่ายจีน ประกอบด้วย นายเซียว เจี๋ย มนตรีแห่งรัฐและเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นายหลิว คุน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายจาง หย่ง รองประธานคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ นายเล่อ ยู่เฉิง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายหลี่ว เจี้ยน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทย และนายหยู เจี้ยนหัว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์และรองผู้แทนการค้าระหว่างประเทศ
ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือข้อราชการเต็มคณะ ผู้นําทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน จํานวน 3 ฉบับ และร่วมกันแถลงข่าว ณ ตึกสันติไมตรีหลังใน โดยสรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้ต้อนรับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน เยือนไทยอย่างเป็นทางการ ภายหลังการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเป็นการเยือนไทยอย่างเป็นทางการในรอบ 6 ปีของนายกรัฐมนตรีจีน ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งสองประเทศจะได้ร่วมกันกําหนดแนวทางการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน พร้อมขอบคุณรัฐบาลจีนที่สนับสนุนการทําหน้าที่ประธานอาเซียนของไทย
ทั้งสองฝ่ายยินดีกับพัฒนาการความความร่วมมืออย่างรอบด้านระหว่างกัน ซึ่งมีพลวัต และมีศักยภาพที่จะพัฒนาได้อีกมาก โดยทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น เพื่อร่วมกันรับมือกับการผันแปรของเศรษฐกิจโลก
ด้านเศรษฐกิจ ไทยและจีนเห็นพ้องส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างกันมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดการผสานความร่วมมือกันอย่างไร้รอย โดยเฉพาะนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของไทย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Made in China 2025 และการส่งเสริมการเชื่อมโยงระหว่างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทย กับกรอบความร่วมมือเขตอ่าวกวางตุ้ง ฮ่องกง มาเก๊า (GBA) รวมถึงข้อริเริ่มหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI) ของจีน เพื่อเป็นตัวขับเคลื่อนการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับจีน โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวฝากให้นายกรัฐมนตรีจีนช่วยดูแลและอํานวยความสะดวกภาคเอกชนไทยที่ลงทุนในจีน และดูแลเรื่องสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าวและยางพารา
นอกจากนี้ ไทยและจีนต่างให้ความสําคัญกับการเสริมสร้างความกินดีอยู่ดีให้แก่ประชาชน นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณรัฐบาลจีนที่ยินดีแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความสําเร็จในการขจัดความยากจน โดยนายกรัฐมนตรีได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันจัดทําแผนการศึกษา ในประเด็นที่ฝ่ายไทยประสงค์จะเรียนรู้จากจีน
ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เห็นพ้องที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัล เมืองอัจฉริยะและอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 นายกรัฐมนตรีหวังที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาหมอกควัน/PM 2.5 จากจีนด้วย
ด้านการเมืองและความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายยินดีที่มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงระหว่างกันอย่างสม่ําเสมอ
***************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-จีนย้ำสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง ยืนยันความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน
วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2562
ไทย-จีนย้ําสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง ยืนยันความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน
ไทย-จีนย้ําสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง ยืนยันความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน
วันนี้ (5 พฤศจิกายน 2562) เวลา 10.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรับมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หารือเต็มคณะกับนายหลี่ เค่อเฉียง (H.E. Mr. Li Keqiang) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ในโอกาสการเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล
โดยผู้นําทั้ง 2 ได้ร่วมตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ ณ บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล จากนั้นนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนลงนามสมุดเยี่ยมและชมของที่ระลึกที่ทั้งสองฝ่ายมอบให้แก่กัน ก่อนหารือข้อราชการเต็มคณะ
ผู้นําทั้งสองได้ร่วมกันหารือข้อราชการเต็มคณะ ณ ตึกภักดีบดินทร์ พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีโดยฝ่ายไทยประกอบด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ สําหรับคณะรัฐมนตรีฝ่ายจีน ประกอบด้วย นายเซียว เจี๋ย มนตรีแห่งรัฐและเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นายหลิว คุน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายจาง หย่ง รองประธานคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ นายเล่อ ยู่เฉิง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายหลี่ว เจี้ยน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทย และนายหยู เจี้ยนหัว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์และรองผู้แทนการค้าระหว่างประเทศ
ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือข้อราชการเต็มคณะ ผู้นําทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน จํานวน 3 ฉบับ และร่วมกันแถลงข่าว ณ ตึกสันติไมตรีหลังใน โดยสรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้ต้อนรับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน เยือนไทยอย่างเป็นทางการ ภายหลังการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเป็นการเยือนไทยอย่างเป็นทางการในรอบ 6 ปีของนายกรัฐมนตรีจีน ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งสองประเทศจะได้ร่วมกันกําหนดแนวทางการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน พร้อมขอบคุณรัฐบาลจีนที่สนับสนุนการทําหน้าที่ประธานอาเซียนของไทย
ทั้งสองฝ่ายยินดีกับพัฒนาการความความร่วมมืออย่างรอบด้านระหว่างกัน ซึ่งมีพลวัต และมีศักยภาพที่จะพัฒนาได้อีกมาก โดยทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น เพื่อร่วมกันรับมือกับการผันแปรของเศรษฐกิจโลก
ด้านเศรษฐกิจ ไทยและจีนเห็นพ้องส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างกันมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดการผสานความร่วมมือกันอย่างไร้รอย โดยเฉพาะนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของไทย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Made in China 2025 และการส่งเสริมการเชื่อมโยงระหว่างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทย กับกรอบความร่วมมือเขตอ่าวกวางตุ้ง ฮ่องกง มาเก๊า (GBA) รวมถึงข้อริเริ่มหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI) ของจีน เพื่อเป็นตัวขับเคลื่อนการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับจีน โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวฝากให้นายกรัฐมนตรีจีนช่วยดูแลและอํานวยความสะดวกภาคเอกชนไทยที่ลงทุนในจีน และดูแลเรื่องสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าวและยางพารา
นอกจากนี้ ไทยและจีนต่างให้ความสําคัญกับการเสริมสร้างความกินดีอยู่ดีให้แก่ประชาชน นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณรัฐบาลจีนที่ยินดีแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความสําเร็จในการขจัดความยากจน โดยนายกรัฐมนตรีได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันจัดทําแผนการศึกษา ในประเด็นที่ฝ่ายไทยประสงค์จะเรียนรู้จากจีน
ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เห็นพ้องที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัล เมืองอัจฉริยะและอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 นายกรัฐมนตรีหวังที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาหมอกควัน/PM 2.5 จากจีนด้วย
ด้านการเมืองและความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายยินดีที่มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงระหว่างกันอย่างสม่ําเสมอ
***************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24333
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. แถลงเปิดอาคารแรกโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง 9 ก.ค. นี้ งานสัมมนาวิชาการระดับชาติและนานาชาติด้านคนพิการ รายงานสถานการณ์ทางสังคมไทย และปัญหาเด็กและเยาวชนกับการพนันบอลออนไลน์
|
วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม 2561
พม. แถลงเปิดอาคารแรกโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง 9 ก.ค. นี้ งานสัมมนาวิชาการระดับชาติและนานาชาติด้านคนพิการ รายงานสถานการณ์ทางสังคมไทย และปัญหาเด็กและเยาวชนกับการพนันบอลออนไลน์
พม. แถลงเปิดอาคารแรกโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง 9 ก.ค. นี้ งานสัมมนาวิชาการระดับชาติและนานาชาติด้านคนพิการ รายงานสถานการณ์ทางสังคมไทยปัจจุบัน โดยเฉพาะปัญหาเด็กและเยาวชนกับการพนันฟุตบอลออนไลน์
วันนี้ (5 ก.ค. 61) เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมชั้น 8 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กรุงเทพฯนางสุภัชชา สุทธิพล โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พร้อมด้วย1) นายสมคิด สมศรี อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการร่วมแถลงผลการดําเนินงานตามภารกิจสําคัญของกระทรวง พม. ในประเด็นการจัดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติด้านคนพิการ ครั้งที่ 10 ประจําปี 2561 และการสัมมนาวิชาการระดับนานาชาติด้านคนพิการ ครั้งที่ 5 ภายใต้แนวคิด "การขับเคลื่อนสู่สังคมยั่งยืนเพื่อคนทั้งมวล” (Moving towards Sustainable Society for All)2) นางสุวรีย์ ใจหาญ ที่ปรึกษาวิชาการพัฒนาสังคม นางวรรภา ลําเจียกเทศ ผู้อํานวยการกองมาตรฐานการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ นายธนัช นฤพรพงศ์ ผู้ช่วยผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)ในประเด็นรายงานสถานการณ์ทางสังคมไทยปัจจุบัน3) ดร.ธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติในประเด็นความคืบหน้าโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง กรณี พิธีเปิดอาคารแรกบนแปลง G บริเวณหัวมุมถนนวิภาวดีรังสิตตัดกับถนนอโศก - ดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ และ4) นางธนาภรณ์ พรหมสุวรรณ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุในประเด็นมาตรการให้เงินช่วยเหลือเพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย
ด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ประสานพลังประชารัฐร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนขับเคลื่อนงานในทุกมิติ ภายใต้นโยบาย "ประชารัฐร่วมใจ ต้านภัยค้ามนุษย์” ส่งผลให้สหรัฐอเมริกาปรับระดับไทยดีขึ้นจากเทียร์ 2 เฝ้าระวัง เป็นเทียร์ 2 ในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ ประจําปี 2561 โดยมีผลการดําเนินงานที่สําคัญ คือ 1) การลดระยะเวลาในการดําเนินคดีและพิพากษาลงโทษคดีค้ามนุษย์ 2) การคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหาย ในปี 2560 มีผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ประสงค์เข้ารับคุ้มครองในสถานคุ้มครองฯ ของกระทรวง พม. 360 คน ซึ่งสามารถรับงานมาทําในสถานคุ้มครองฯและออกไปทํางานนอกสถานคุ้มครองฯ ได้ และ 3) การออกระเบียบให้องค์กรพัฒนาเอกชนจัดตั้งสถานคุ้มครอง เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์
สถานการณ์ทางสังคมไทยปัจจุบัน พบว่า ปัญหาที่น่าเป็นห่วงในช่วงนี้ คือ ปัญหาเด็กและเยาวชนกับการพนันฟุตบอลออนไลน์ในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ซึ่งพบว่ามีเยาวชนกว่า 6 แสนคน เล่นพนันทายผลฟุตบอลออนไลน์ ทําให้เด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะติดการพนันจนเกิดความเครียดและหนี้สิน ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพและอาชญากรรมตามมา อีกทั้งพบว่าเด็กและเยาวชนที่เล่นการพนันครั้งแรกมีอายุน้อยที่สุดคือ 7 ปี ทั้งนี้ การป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว ควรบูรณาการความร่วมมือกับ ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนอย่างเป็นระบบต่อเนื่อง โดยทางโรงเรียนและครอบครัว ต้องช่วยกันสอดส่องดูแลอย่างใกล้ชิด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรประชาสัมพันธ์บทกําหนดโทษ ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546
ในขณะที่สถานการณ์ครอบครัวไทย ปัจจุบัน พบว่ามีขนาดเล็กลงและมีรูปแบบหลากหลายซับซ้อนมากยิ่งขึ้น อีกทั้ง มีความเปราะบาง และภาวะพึ่งพิงสูง กล่าวคือ มีครอบครัวข้ามรุ่น ที่มีเพียงคน 2 รุ่น คือ คนรุ่นปู่ย่า ตายาย กับคนรุ่นหลาน คิดเป็น ร้อยละ 76 อยู่ในชนบท โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และพบว่าร้อยละ 90 ของครอบครัวข้ามรุ่น เป็นสตรีสูงอายุ 1 ใน 5 มีรายได้ต่ํากว่าเส้นความยากจน ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาดังกล่าว ควรจัดบริการทางสังคมแบบเฉพาะเจาะจงด้วยการช่วยเหลือเป็นรายกรณี และขับเคลื่อนการดําเนินงานบนฐานข้อมูลและความรู้ เพื่อวางแผนการดําเนินงานร่วมกันของทุกภาคส่วน สําหรับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากจํานวน 724 ราย ในปี 2553 เพิ่มขึ้นเป็น 1,200 รายในปี 2560 ซึ่งผู้ถูกกระทํามักไม่แจ้งความร้องทุกข์ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว โดยสาเหตุหลัก คือ เจตคติของสังคม ความเข้าใจเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ การบังคับ ใช้กฎหมาย ความเครียดจากเศรษฐกิจและปัจจัยกระตุ้นจากสุราและยาเสพติด ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาดังกล่าว ควรปรับเจตคติของสังคมว่า ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวมิได้เป็นปัญหาส่วนตัวแต่เป็นปัญหาของสังคมที่ทุกฝ่ายจําเป็นต้องร่วมกันแก้ไข เพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของกลไกพื้นที่ในการเฝ้าระวังแจ้งเหตุ
ตามที่รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ําทางสังคม โดยเฉพาะด้านที่อยู่อาศัยและคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อยและผู้ด้อยโอกาส โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ขับเคลื่อนงานตามยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) ซึ่งได้กําหนดครอบครัวเป้าหมาย จํานวน 5.87 ล้านครัวเรือน ที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ ผลการดําเนินงานที่สําคัญในไตรมาส ได้แก่ 1) โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ระยะที่ 1 ดําเนินการแล้วเสร็จ 334 หน่วย โดย ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดอาคารแรกบนแปลง G ของโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง บริเวณหัวมุมถนนวิภาวดีรังสิตตัดกับถนนอโศก - ดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จ 2) โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองลาดพร้าว 2,635 ครัวเรือน ใน 29 ชุมชน ซึ่งขณะนี้ สร้างบ้านแล้วเสร็จ 1,190 ครัวเรือน ใน 18 ชุมชน และ 3) โครงการบ้านมั่นคง มีการสนับสนุนพัฒนาที่อยู่อาศัยในปี 2561 (ณ ปัจจุบัน) จํานวน 2,739 ครัวเรือน เป็นต้น
สําหรับการแก้ไขปัญหาด้านที่อยู่อาศัยให้กับชาวชุมชนดินแดง โดยมุ่งเน้นกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นสําคัญ โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง (พ.ศ. 2559 - 2567) และเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2559 มีการอนุมัติดําเนินโครงการระยะที่ 1 อาคารพักอาศัยแปลง G บริเวณหัวมุมถนนวิภาวดีรังสิตตัดกับถนนดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ เป็นอาคารชุดสูง 28 ชั้น 334 หน่วย ขนาดพื้นที่ห้อง 33 ตารางเมตร กําหนดระยะเวลาก่อสร้าง 18 เดือน ซึ่งมีการวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่19 ธันวาคม 2559 ปัจจุบัน การก่อสร้างอาคารพักอาศัยแปลง G เสร็จเรียบร้อยแล้ว และสามารถขนย้ายชาวชุมชนกลุ่มแรกเข้าอยู่อาศัยได้ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2561 นี้ โดยให้สิทธิการเช่าผู้อยู่อาศัยเดิมแฟลตที่ 18 - 22 จํานวน 236 ราย สําหรับการขับเคลื่อนโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงระยะ 2 3 และ 4 นั้น ได้ออกแบบโครงการและจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) พร้อมทั้งนําเสนอให้สํานักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พิจารณาครบทุกแปลงแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่าง การพิจารณาของคณะกรรมการผู้ชํานาญการพิจารณา รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) กรุงเทพมหานคร และกระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ กคช. มีกําหนดจัดพิธีเปิดอาคารโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ระยะที่ 1 อาคารแปลง G ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2561 โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี ณ บริเวณที่ตั้งโครงการอาคารแปลง G หัวมุมถนนวิภาวดีรังสิตตัดกับถนนดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ
ในส่วนของการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี วิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล และ ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง กําหนดจัดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติด้านคนพิการ ครั้งที่ 10 ประจําปี 2561 และการสัมมนาวิชาการระดับนานาชาติด้านคนพิการ ครั้งที่ 5 ภายใต้แนวคิด "การขับเคลื่อนสู่สังคมยั่งยืนเพื่อคนทั้งมวล” (Moving towards Sustainable Society for All) ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2561 ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซนเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ โดยมี พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง
ของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิด ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาองค์ความรู้ งานวิชาการ งานวิจัย นวัตกรรมและเทคโนโลยี ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ยุคดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งพบว่า ในจํานวนนั้นมีคนพิการอยู่ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 50 ดังนั้น จึงควรให้ความสําคัญกับการนําเสนอรูปแบบของการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมเพื่อคนพิการและผู้สูงอายุ ให้ได้รับการอํานวยความสะดวกในการดํารงชีวิตประจําวัน และการทํากิจกรรมร่วมกับทุกคนในสังคมอย่างมีความสุข ดังนั้น งานสัมมนาครั้งนี้จึงมีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ 1) การปาฐกถาพิเศษ เรื่อง"การพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556” 2) การปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ "Sustainable and Inclusive Development for Persons with disabilities” 3) การนําเสนอผลงานวิชาการทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จํานวนกว่า 50 เรื่อง 4) การประกวดนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์และเชิงความคิด 5) การมอบรางวัลผลงานวิชาการและนวัตกรรมระดับดีเยี่ยม จํานวน 13 รางวัล และ 6) การมอบธงเจ้าภาพกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ในปี 2562
นอกจากนี้ วันนี้ (5 ก.ค.61) เวลา 09.00 น. ณ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน การประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ครั้งที่ 3/2561 เพื่อเร่งขับเคลื่อนประเด็นสําคัญเร่งด่วนด้านผู้สูงอายุ โดยมี พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เข้าร่วม การประชุม ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบการจ่ายเงินช่วยเหลือเพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนตามโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะเวลา 3 เดือน (กรกฎาคม – กันยายน 2561) โดยแบ่งจ่ายเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ 1) ผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี ให้จ่าย 100 บาทต่อเดือน และ 2) ผู้สูงอายุที่มีรายได้เกิน 30,000 บาทต่อปี แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ต่อปี ให้จ่าย 50 บาทต่อเดือน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. แถลงเปิดอาคารแรกโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง 9 ก.ค. นี้ งานสัมมนาวิชาการระดับชาติและนานาชาติด้านคนพิการ รายงานสถานการณ์ทางสังคมไทย และปัญหาเด็กและเยาวชนกับการพนันบอลออนไลน์
วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม 2561
พม. แถลงเปิดอาคารแรกโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง 9 ก.ค. นี้ งานสัมมนาวิชาการระดับชาติและนานาชาติด้านคนพิการ รายงานสถานการณ์ทางสังคมไทย และปัญหาเด็กและเยาวชนกับการพนันบอลออนไลน์
พม. แถลงเปิดอาคารแรกโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง 9 ก.ค. นี้ งานสัมมนาวิชาการระดับชาติและนานาชาติด้านคนพิการ รายงานสถานการณ์ทางสังคมไทยปัจจุบัน โดยเฉพาะปัญหาเด็กและเยาวชนกับการพนันฟุตบอลออนไลน์
วันนี้ (5 ก.ค. 61) เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมชั้น 8 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กรุงเทพฯนางสุภัชชา สุทธิพล โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พร้อมด้วย1) นายสมคิด สมศรี อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการร่วมแถลงผลการดําเนินงานตามภารกิจสําคัญของกระทรวง พม. ในประเด็นการจัดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติด้านคนพิการ ครั้งที่ 10 ประจําปี 2561 และการสัมมนาวิชาการระดับนานาชาติด้านคนพิการ ครั้งที่ 5 ภายใต้แนวคิด "การขับเคลื่อนสู่สังคมยั่งยืนเพื่อคนทั้งมวล” (Moving towards Sustainable Society for All)2) นางสุวรีย์ ใจหาญ ที่ปรึกษาวิชาการพัฒนาสังคม นางวรรภา ลําเจียกเทศ ผู้อํานวยการกองมาตรฐานการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ นายธนัช นฤพรพงศ์ ผู้ช่วยผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)ในประเด็นรายงานสถานการณ์ทางสังคมไทยปัจจุบัน3) ดร.ธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติในประเด็นความคืบหน้าโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง กรณี พิธีเปิดอาคารแรกบนแปลง G บริเวณหัวมุมถนนวิภาวดีรังสิตตัดกับถนนอโศก - ดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ และ4) นางธนาภรณ์ พรหมสุวรรณ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุในประเด็นมาตรการให้เงินช่วยเหลือเพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย
ด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ประสานพลังประชารัฐร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนขับเคลื่อนงานในทุกมิติ ภายใต้นโยบาย "ประชารัฐร่วมใจ ต้านภัยค้ามนุษย์” ส่งผลให้สหรัฐอเมริกาปรับระดับไทยดีขึ้นจากเทียร์ 2 เฝ้าระวัง เป็นเทียร์ 2 ในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ ประจําปี 2561 โดยมีผลการดําเนินงานที่สําคัญ คือ 1) การลดระยะเวลาในการดําเนินคดีและพิพากษาลงโทษคดีค้ามนุษย์ 2) การคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหาย ในปี 2560 มีผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ประสงค์เข้ารับคุ้มครองในสถานคุ้มครองฯ ของกระทรวง พม. 360 คน ซึ่งสามารถรับงานมาทําในสถานคุ้มครองฯและออกไปทํางานนอกสถานคุ้มครองฯ ได้ และ 3) การออกระเบียบให้องค์กรพัฒนาเอกชนจัดตั้งสถานคุ้มครอง เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์
สถานการณ์ทางสังคมไทยปัจจุบัน พบว่า ปัญหาที่น่าเป็นห่วงในช่วงนี้ คือ ปัญหาเด็กและเยาวชนกับการพนันฟุตบอลออนไลน์ในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ซึ่งพบว่ามีเยาวชนกว่า 6 แสนคน เล่นพนันทายผลฟุตบอลออนไลน์ ทําให้เด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะติดการพนันจนเกิดความเครียดและหนี้สิน ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพและอาชญากรรมตามมา อีกทั้งพบว่าเด็กและเยาวชนที่เล่นการพนันครั้งแรกมีอายุน้อยที่สุดคือ 7 ปี ทั้งนี้ การป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว ควรบูรณาการความร่วมมือกับ ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนอย่างเป็นระบบต่อเนื่อง โดยทางโรงเรียนและครอบครัว ต้องช่วยกันสอดส่องดูแลอย่างใกล้ชิด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรประชาสัมพันธ์บทกําหนดโทษ ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546
ในขณะที่สถานการณ์ครอบครัวไทย ปัจจุบัน พบว่ามีขนาดเล็กลงและมีรูปแบบหลากหลายซับซ้อนมากยิ่งขึ้น อีกทั้ง มีความเปราะบาง และภาวะพึ่งพิงสูง กล่าวคือ มีครอบครัวข้ามรุ่น ที่มีเพียงคน 2 รุ่น คือ คนรุ่นปู่ย่า ตายาย กับคนรุ่นหลาน คิดเป็น ร้อยละ 76 อยู่ในชนบท โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และพบว่าร้อยละ 90 ของครอบครัวข้ามรุ่น เป็นสตรีสูงอายุ 1 ใน 5 มีรายได้ต่ํากว่าเส้นความยากจน ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาดังกล่าว ควรจัดบริการทางสังคมแบบเฉพาะเจาะจงด้วยการช่วยเหลือเป็นรายกรณี และขับเคลื่อนการดําเนินงานบนฐานข้อมูลและความรู้ เพื่อวางแผนการดําเนินงานร่วมกันของทุกภาคส่วน สําหรับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากจํานวน 724 ราย ในปี 2553 เพิ่มขึ้นเป็น 1,200 รายในปี 2560 ซึ่งผู้ถูกกระทํามักไม่แจ้งความร้องทุกข์ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว โดยสาเหตุหลัก คือ เจตคติของสังคม ความเข้าใจเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ การบังคับ ใช้กฎหมาย ความเครียดจากเศรษฐกิจและปัจจัยกระตุ้นจากสุราและยาเสพติด ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาดังกล่าว ควรปรับเจตคติของสังคมว่า ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวมิได้เป็นปัญหาส่วนตัวแต่เป็นปัญหาของสังคมที่ทุกฝ่ายจําเป็นต้องร่วมกันแก้ไข เพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของกลไกพื้นที่ในการเฝ้าระวังแจ้งเหตุ
ตามที่รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ําทางสังคม โดยเฉพาะด้านที่อยู่อาศัยและคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อยและผู้ด้อยโอกาส โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ขับเคลื่อนงานตามยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) ซึ่งได้กําหนดครอบครัวเป้าหมาย จํานวน 5.87 ล้านครัวเรือน ที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ ผลการดําเนินงานที่สําคัญในไตรมาส ได้แก่ 1) โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ระยะที่ 1 ดําเนินการแล้วเสร็จ 334 หน่วย โดย ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดอาคารแรกบนแปลง G ของโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง บริเวณหัวมุมถนนวิภาวดีรังสิตตัดกับถนนอโศก - ดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จ 2) โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองลาดพร้าว 2,635 ครัวเรือน ใน 29 ชุมชน ซึ่งขณะนี้ สร้างบ้านแล้วเสร็จ 1,190 ครัวเรือน ใน 18 ชุมชน และ 3) โครงการบ้านมั่นคง มีการสนับสนุนพัฒนาที่อยู่อาศัยในปี 2561 (ณ ปัจจุบัน) จํานวน 2,739 ครัวเรือน เป็นต้น
สําหรับการแก้ไขปัญหาด้านที่อยู่อาศัยให้กับชาวชุมชนดินแดง โดยมุ่งเน้นกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นสําคัญ โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง (พ.ศ. 2559 - 2567) และเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2559 มีการอนุมัติดําเนินโครงการระยะที่ 1 อาคารพักอาศัยแปลง G บริเวณหัวมุมถนนวิภาวดีรังสิตตัดกับถนนดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ เป็นอาคารชุดสูง 28 ชั้น 334 หน่วย ขนาดพื้นที่ห้อง 33 ตารางเมตร กําหนดระยะเวลาก่อสร้าง 18 เดือน ซึ่งมีการวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่19 ธันวาคม 2559 ปัจจุบัน การก่อสร้างอาคารพักอาศัยแปลง G เสร็จเรียบร้อยแล้ว และสามารถขนย้ายชาวชุมชนกลุ่มแรกเข้าอยู่อาศัยได้ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2561 นี้ โดยให้สิทธิการเช่าผู้อยู่อาศัยเดิมแฟลตที่ 18 - 22 จํานวน 236 ราย สําหรับการขับเคลื่อนโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงระยะ 2 3 และ 4 นั้น ได้ออกแบบโครงการและจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) พร้อมทั้งนําเสนอให้สํานักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พิจารณาครบทุกแปลงแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่าง การพิจารณาของคณะกรรมการผู้ชํานาญการพิจารณา รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) กรุงเทพมหานคร และกระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ กคช. มีกําหนดจัดพิธีเปิดอาคารโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ระยะที่ 1 อาคารแปลง G ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2561 โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี ณ บริเวณที่ตั้งโครงการอาคารแปลง G หัวมุมถนนวิภาวดีรังสิตตัดกับถนนดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ
ในส่วนของการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี วิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล และ ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง กําหนดจัดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติด้านคนพิการ ครั้งที่ 10 ประจําปี 2561 และการสัมมนาวิชาการระดับนานาชาติด้านคนพิการ ครั้งที่ 5 ภายใต้แนวคิด "การขับเคลื่อนสู่สังคมยั่งยืนเพื่อคนทั้งมวล” (Moving towards Sustainable Society for All) ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2561 ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซนเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ โดยมี พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง
ของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิด ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาองค์ความรู้ งานวิชาการ งานวิจัย นวัตกรรมและเทคโนโลยี ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ยุคดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งพบว่า ในจํานวนนั้นมีคนพิการอยู่ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 50 ดังนั้น จึงควรให้ความสําคัญกับการนําเสนอรูปแบบของการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมเพื่อคนพิการและผู้สูงอายุ ให้ได้รับการอํานวยความสะดวกในการดํารงชีวิตประจําวัน และการทํากิจกรรมร่วมกับทุกคนในสังคมอย่างมีความสุข ดังนั้น งานสัมมนาครั้งนี้จึงมีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ 1) การปาฐกถาพิเศษ เรื่อง"การพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556” 2) การปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ "Sustainable and Inclusive Development for Persons with disabilities” 3) การนําเสนอผลงานวิชาการทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จํานวนกว่า 50 เรื่อง 4) การประกวดนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์และเชิงความคิด 5) การมอบรางวัลผลงานวิชาการและนวัตกรรมระดับดีเยี่ยม จํานวน 13 รางวัล และ 6) การมอบธงเจ้าภาพกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ในปี 2562
นอกจากนี้ วันนี้ (5 ก.ค.61) เวลา 09.00 น. ณ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน การประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ครั้งที่ 3/2561 เพื่อเร่งขับเคลื่อนประเด็นสําคัญเร่งด่วนด้านผู้สูงอายุ โดยมี พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เข้าร่วม การประชุม ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบการจ่ายเงินช่วยเหลือเพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนตามโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะเวลา 3 เดือน (กรกฎาคม – กันยายน 2561) โดยแบ่งจ่ายเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ 1) ผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี ให้จ่าย 100 บาทต่อเดือน และ 2) ผู้สูงอายุที่มีรายได้เกิน 30,000 บาทต่อปี แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ต่อปี ให้จ่าย 50 บาทต่อเดือน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13615
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลินิกหมอครอบครัวเชียงราย ดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังได้ดี ร้อยละ98.5 ไม่เข้านอนรพ.ซ้ำใน 28 วัน
|
วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561
คลินิกหมอครอบครัวเชียงราย ดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังได้ดี ร้อยละ98.5 ไม่เข้านอนรพ.ซ้ําใน 28 วัน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมคลินิกหมอครอบครัว ศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองเชียงราย ให้บริการเชิงรุก ต่อเนื่อง สร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วม ดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังอย่างดี ร้อยละ 98.5 ไม่ต้องกลับเข้านอนรพ.ซ้ําภายใน 28 วันหลังออกจากโรงพยาบาล
วันนี้ (23 กุมภาพันธ์ 2561) ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณนายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินงานคลินิกหมอครอบครัว (Primary Care Cluster : PCC)ที่ศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองเชียงราย จ.เชียงรายว่า ขณะนี้ทั่วประเทศมีทีมหมอครอบครัวเปิดให้บริการจํานวน 596 ทีม ร้อยละ 70 เป็นทีมจากโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป ที่เหลือเป็นทีมจากโรงพยาบาลชุมชน ผลการดําเนินงานของทีมหมอครอบครัวในปี 2560 ได้คัดกรองผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงที่ขึ้นทะเบียนรักษาในคลินิกหมอครอบครัวเพื่อประเมินโอกาสเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดไปแล้วถึงร้อยละ 70 เยี่ยมบ้านผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ติดบ้านติดเตียงเพื่อรักษาและฟื้นฟูร้อยละ 62 ให้บริการควบคุมป้องกันโรคร้อยละ 48 การดูแลสุขภาพช่องปากเพื่อส่งเสริมสุขภาพร้อยละ 27 และช่วยลดค่าใช้จ่ายจากที่ต้องไปรับบริการที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ได้ถึง 3-4 เท่า
ทั้งนี้ จากการตรวจเยี่ยมคลินิกหมอครอบครัว ศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองเชียงราย โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ดูแลประชาชน 59 ชุมชน 80,000 คน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล 30 แห่ง ประชาชนเข้ารับบริการเฉลี่ยสูงถึง 300-400 รายต่อวัน ช่วยลดความแออัดผู้ป่วยไปใช้บริการในโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ มีทีมแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและสหวิชาชีพ 7 ทีม ให้บริการเชิงรุกต่อเนื่อง ดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียงในพื้นที่รับผิดชอบได้ทั้งหมด รวมทั้งดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังได้เป็นอย่างดี สามารถลดอัตราการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลซ้ําภายใน 28 วันหลังออกจากโรงพยาบาลได้ตามเกณฑ์ที่กําหนดคือไม่เกินร้อยละ 5 โดยความร่วมมือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน จิตอาสา ในปี 2560 มีผู้ป่วย 11 กลุ่มโรค เช่น โรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์อัมพาต โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่ต้องดูแลต่อเนื่องหลังออกจากโรงพยาบาล 653 คน มีผู้ป่วยที่ต้องกลับมาโรงพยาบาลซ้ําภายใน 28 วันเพียง 10 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 1.5
นอกจากนี้ ศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองเชียงราย ยังเป็นแหล่งเรียนรู้และฝึกอบรมของแพทย์ประจําบ้านสาขาเวชศาสตร์ครอบครัว ของเขตบริการสุขภาพที่ 1 โดยความร่วมมือของโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ สํานักงานบริหารโครงการแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท และราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ในปี 2561 ผลิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ครอบครัว 10 คน อยู่ระหว่างการฝึกอบรมจํานวน 19 คน และมีแผนการพัฒนาแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพื่อรองรับการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิในพื้นที่จังหวัดเชียงรายต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลินิกหมอครอบครัวเชียงราย ดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังได้ดี ร้อยละ98.5 ไม่เข้านอนรพ.ซ้ำใน 28 วัน
วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561
คลินิกหมอครอบครัวเชียงราย ดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังได้ดี ร้อยละ98.5 ไม่เข้านอนรพ.ซ้ําใน 28 วัน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมคลินิกหมอครอบครัว ศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองเชียงราย ให้บริการเชิงรุก ต่อเนื่อง สร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วม ดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังอย่างดี ร้อยละ 98.5 ไม่ต้องกลับเข้านอนรพ.ซ้ําภายใน 28 วันหลังออกจากโรงพยาบาล
วันนี้ (23 กุมภาพันธ์ 2561) ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณนายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินงานคลินิกหมอครอบครัว (Primary Care Cluster : PCC)ที่ศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองเชียงราย จ.เชียงรายว่า ขณะนี้ทั่วประเทศมีทีมหมอครอบครัวเปิดให้บริการจํานวน 596 ทีม ร้อยละ 70 เป็นทีมจากโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป ที่เหลือเป็นทีมจากโรงพยาบาลชุมชน ผลการดําเนินงานของทีมหมอครอบครัวในปี 2560 ได้คัดกรองผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงที่ขึ้นทะเบียนรักษาในคลินิกหมอครอบครัวเพื่อประเมินโอกาสเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดไปแล้วถึงร้อยละ 70 เยี่ยมบ้านผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ติดบ้านติดเตียงเพื่อรักษาและฟื้นฟูร้อยละ 62 ให้บริการควบคุมป้องกันโรคร้อยละ 48 การดูแลสุขภาพช่องปากเพื่อส่งเสริมสุขภาพร้อยละ 27 และช่วยลดค่าใช้จ่ายจากที่ต้องไปรับบริการที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ได้ถึง 3-4 เท่า
ทั้งนี้ จากการตรวจเยี่ยมคลินิกหมอครอบครัว ศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองเชียงราย โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ดูแลประชาชน 59 ชุมชน 80,000 คน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล 30 แห่ง ประชาชนเข้ารับบริการเฉลี่ยสูงถึง 300-400 รายต่อวัน ช่วยลดความแออัดผู้ป่วยไปใช้บริการในโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ มีทีมแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและสหวิชาชีพ 7 ทีม ให้บริการเชิงรุกต่อเนื่อง ดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียงในพื้นที่รับผิดชอบได้ทั้งหมด รวมทั้งดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังได้เป็นอย่างดี สามารถลดอัตราการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลซ้ําภายใน 28 วันหลังออกจากโรงพยาบาลได้ตามเกณฑ์ที่กําหนดคือไม่เกินร้อยละ 5 โดยความร่วมมือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน จิตอาสา ในปี 2560 มีผู้ป่วย 11 กลุ่มโรค เช่น โรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์อัมพาต โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่ต้องดูแลต่อเนื่องหลังออกจากโรงพยาบาล 653 คน มีผู้ป่วยที่ต้องกลับมาโรงพยาบาลซ้ําภายใน 28 วันเพียง 10 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 1.5
นอกจากนี้ ศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองเชียงราย ยังเป็นแหล่งเรียนรู้และฝึกอบรมของแพทย์ประจําบ้านสาขาเวชศาสตร์ครอบครัว ของเขตบริการสุขภาพที่ 1 โดยความร่วมมือของโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ สํานักงานบริหารโครงการแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท และราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ในปี 2561 ผลิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ครอบครัว 10 คน อยู่ระหว่างการฝึกอบรมจํานวน 19 คน และมีแผนการพัฒนาแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพื่อรองรับการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิในพื้นที่จังหวัดเชียงรายต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10328
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จริงหรือไม่ ถ้าล้างมือแล้วแต่ไม่เช็ดให้แห้ง ยังคงมีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ??
|
วันพุธที่ 3 มิถุนายน 2563
จริงหรือไม่ ถ้าล้างมือแล้วแต่ไม่เช็ดให้แห้ง ยังคงมีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ??
จริงหรือไม่ ถ้าล้างมือแล้วแต่ไม่เช็ดให้แห้ง มีความเสี่ยงต่อการแพร่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ??
Q :จริงหรือไม่ ถ้าล้างมือแล้วแต่ไม่เช็ดให้แห้ง ยังคงมีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19???
A :จริง เพราะเชื้อโรค จะสามารถแพร่กระจายบนผิวที่เปียกง่ายกว่าผิวที่แห้ง ดังนั้นควรเช็ดมือให้แห้งหลังล้างมือ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จริงหรือไม่ ถ้าล้างมือแล้วแต่ไม่เช็ดให้แห้ง ยังคงมีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ??
วันพุธที่ 3 มิถุนายน 2563
จริงหรือไม่ ถ้าล้างมือแล้วแต่ไม่เช็ดให้แห้ง ยังคงมีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ??
จริงหรือไม่ ถ้าล้างมือแล้วแต่ไม่เช็ดให้แห้ง มีความเสี่ยงต่อการแพร่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ??
Q :จริงหรือไม่ ถ้าล้างมือแล้วแต่ไม่เช็ดให้แห้ง ยังคงมีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19???
A :จริง เพราะเชื้อโรค จะสามารถแพร่กระจายบนผิวที่เปียกง่ายกว่าผิวที่แห้ง ดังนั้นควรเช็ดมือให้แห้งหลังล้างมือ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31884
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ห่วงใย สู้ภัยโควิด รับบริจาคเงิน-สิ่งของ ช่วยกลุ่มเป้าหมายเดือดร้อนทั่วประเทศ
|
วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563
พม. ห่วงใย สู้ภัยโควิด รับบริจาคเงิน-สิ่งของ ช่วยกลุ่มเป้าหมายเดือดร้อนทั่วประเทศ
พม. ห่วงใย สู้ภัยโควิด รับบริจาคเงิน-สิ่งของ ช่วยกลุ่มเป้าหมายเดือดร้อนทั่วประเทศ
วันนี้ (17 เม.ย. 63) เวลา 10.30 น. นายสากล ม่วงศิริ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานเปิดกิจกรรม พม. ห่วงใย สู้ภัยโควิด ของศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมรับมอบสิ่งของที่จําเป็นจํานวนมากจากภาคเอกชนและภาคประชาสังคม เพื่อส่งมอบให้กับกลุ่มเป้าหมายและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ณ บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวง พม. สะพานขาว ถ.กรุงเกษม กรุงเทพฯ
นายสากล กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ตั้งแต่เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้บ้าน และผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งผู้มีรายได้น้อย ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เพราะประชาชนไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ทําให้ขาดรายได้ที่เพียงพอสําหรับตนเองและครอบครัว แม้รัฐบาลจะมีมาตรการช่วยเหลือ เยียวยาต่างๆ ทั้งนี้ จึงได้จัดตั้งศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อจัดสรรสิ่งของที่จําเป็นและเงินที่ได้รับบริจาคจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมที่มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสังคม และนําไปมอบให้กับกลุ่มเป้าหมายและประชาชนที่ได้รับผลกระทบตามตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค เป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า
นายสากล กล่าวต่ออีกว่า ศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานภายใต้ศูนย์ช่วยเหลือสังคม และเป็นศูนย์กลางในการรณรงค์ระดมทรัพยากรทั้งสิ่งของที่จําเป็นและเงินจากผู้บริจาคที่มี จิตศรัทธาจากทุกภาคส่วนของสังคม โดยเฉพาะภาคเอกชนที่เป็นบริษัทและห้างร้านต่างๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ สําหรับ การช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายและประชาชนที่เดือดร้อน อีกทั้งประสานความร่วมมือระหว่างศูนย์รับบริจาคในสังกัดกระทรวง พม. โดยการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพจากผู้ให้สู่ผู้รับที่ตรงตามความต้องการ โปร่งใส และตรวจสอบได้ สําหรับวันนี้ มีการรับมอบสิ่งของที่จําเป็นจํานวนมากจากภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ประกอบด้วย 1) บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จํากัด (TESCO Lotus) บริจาคข้าวสาร น้ํามันพืช ซอสปรุงรส วุ้นเส้น อุปกรณ์เครื่องนอน หมอน ผ้าห่ม และผ้าขนหนู 2) บริษัทฟรีสแลนด์คัมพินา (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) บริจาคนมกล่อง จํานวน 100 ลัง 3) บริษัท เอ็ม บี เค จํากัด (มหาชน) บริจาคน้ําดื่ม จํานวน 2,000 ขวด และผ้าห่ม จํานวน 100 ผืน 4) บริษัท เค.เอ็ม.จี. การ์เม้นท์ จํากัด บริจาคหน้ากากผ้าคอตตอล 2 ชั้น จํานวน 1,000 ชิ้น 5) บริษัท ยิบอินซอย มูลนิธิภาณี ยิบอินซอย มูลนิธิร่มบุญ ศิษย์เก่า SJC รุ่น 1984 ร่วมบริจาคปลากระป๋อง จํานวน 6,000 กระป๋อง นมดัชมิลล์ จํานวน 3,600 กล่อง และบะหมี่กึ่งสําเร็จรูป จํานวน 50 ลัง ซึ่งซื้อมาจากชุมชน เป็นการช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน เพื่อส่งต่อให้ถึงมือผู้ใช้บริการ 6) บริษัท ปทุมไรซมิล แอนด์ แกรนารี จํากัด (มหาชน) บริจาคข้าวหอมทิพย์ จํานวน 5,000 กิโลกรัม 7) คณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 62 หมู่กวาง บริจาคเงิน 50,000 บาท 8) คุณมณฑิา ศิลปะศร เชื้ออินทร์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 1 บริจาคนมผงสําหรับเด็ก และ 9) บริษัท แกรนด์ เอ็มเจ แพ็ค จํากัด บริจาคเฟรชชิลด์ จํานวน 800 ชิ้น
นายสากล กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ กลุ่มเป้าหมายและประชาชนที่เดือดร้อนมีความต้องการเร่งด่วน ได้แก่ 1) เงินค่าใช้จ่าย ในการครองชีพ 2) เครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็น 3) นมผงสําหรับเด็กแรกเกิดถึง 3 ปี 4) ผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับ และ 5) ชุดยาสามัญประจําบ้าน เป็นต้น ทั้งนี้ ขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคสําหรับกิจกรรม พม. ห่วงใย สู้ภัยโควิด ของศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผ่านช่องทางบริจาค ดังนี้ 1) บริจาคเงินเข้าบัญชีโดยตรง ชื่อบัญชี ศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ธนาคารกรุงไทย สาขาสะพานขาว เลขบัญชี 021-0-21170-9 และ บริจาคเงินผ่านแอปพลิเคชัน true money สําหรับการบริจาคเงิน 300 บาทขึ้นไป สามารถรับใบเสร็จรับเงินเพื่อการลดหย่อนภาษีได้ โดยส่งหลักฐานการโอนเงินทาง 1.1) โทรสารหมายเลข 02-282-2870 และ 2. อีเมล์ E-mail: [email protected] และ 2) บริจาคสิ่งของโดยตรงได้ที่ศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ บริเวณชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ และบริจาคสิ่งของโดยส่งพัสดุถึง ศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เลขที่ 1034 ถนนกรุงเกษม แขวงคลองมหานาค เขตป้อมปราบฯ 10100 นอกจากนี้ ยังโทรแจ้งการรับบริจาคสิ่งของที่บ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-659-6476 หรือสายด่วน พม. โทร. 1300 ศูนย์ช่วยเหลือสังคม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ห่วงใย สู้ภัยโควิด รับบริจาคเงิน-สิ่งของ ช่วยกลุ่มเป้าหมายเดือดร้อนทั่วประเทศ
วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563
พม. ห่วงใย สู้ภัยโควิด รับบริจาคเงิน-สิ่งของ ช่วยกลุ่มเป้าหมายเดือดร้อนทั่วประเทศ
พม. ห่วงใย สู้ภัยโควิด รับบริจาคเงิน-สิ่งของ ช่วยกลุ่มเป้าหมายเดือดร้อนทั่วประเทศ
วันนี้ (17 เม.ย. 63) เวลา 10.30 น. นายสากล ม่วงศิริ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานเปิดกิจกรรม พม. ห่วงใย สู้ภัยโควิด ของศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมรับมอบสิ่งของที่จําเป็นจํานวนมากจากภาคเอกชนและภาคประชาสังคม เพื่อส่งมอบให้กับกลุ่มเป้าหมายและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ณ บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวง พม. สะพานขาว ถ.กรุงเกษม กรุงเทพฯ
นายสากล กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ตั้งแต่เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้บ้าน และผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งผู้มีรายได้น้อย ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เพราะประชาชนไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ทําให้ขาดรายได้ที่เพียงพอสําหรับตนเองและครอบครัว แม้รัฐบาลจะมีมาตรการช่วยเหลือ เยียวยาต่างๆ ทั้งนี้ จึงได้จัดตั้งศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อจัดสรรสิ่งของที่จําเป็นและเงินที่ได้รับบริจาคจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมที่มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสังคม และนําไปมอบให้กับกลุ่มเป้าหมายและประชาชนที่ได้รับผลกระทบตามตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค เป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า
นายสากล กล่าวต่ออีกว่า ศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานภายใต้ศูนย์ช่วยเหลือสังคม และเป็นศูนย์กลางในการรณรงค์ระดมทรัพยากรทั้งสิ่งของที่จําเป็นและเงินจากผู้บริจาคที่มี จิตศรัทธาจากทุกภาคส่วนของสังคม โดยเฉพาะภาคเอกชนที่เป็นบริษัทและห้างร้านต่างๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ สําหรับ การช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายและประชาชนที่เดือดร้อน อีกทั้งประสานความร่วมมือระหว่างศูนย์รับบริจาคในสังกัดกระทรวง พม. โดยการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพจากผู้ให้สู่ผู้รับที่ตรงตามความต้องการ โปร่งใส และตรวจสอบได้ สําหรับวันนี้ มีการรับมอบสิ่งของที่จําเป็นจํานวนมากจากภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ประกอบด้วย 1) บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จํากัด (TESCO Lotus) บริจาคข้าวสาร น้ํามันพืช ซอสปรุงรส วุ้นเส้น อุปกรณ์เครื่องนอน หมอน ผ้าห่ม และผ้าขนหนู 2) บริษัทฟรีสแลนด์คัมพินา (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) บริจาคนมกล่อง จํานวน 100 ลัง 3) บริษัท เอ็ม บี เค จํากัด (มหาชน) บริจาคน้ําดื่ม จํานวน 2,000 ขวด และผ้าห่ม จํานวน 100 ผืน 4) บริษัท เค.เอ็ม.จี. การ์เม้นท์ จํากัด บริจาคหน้ากากผ้าคอตตอล 2 ชั้น จํานวน 1,000 ชิ้น 5) บริษัท ยิบอินซอย มูลนิธิภาณี ยิบอินซอย มูลนิธิร่มบุญ ศิษย์เก่า SJC รุ่น 1984 ร่วมบริจาคปลากระป๋อง จํานวน 6,000 กระป๋อง นมดัชมิลล์ จํานวน 3,600 กล่อง และบะหมี่กึ่งสําเร็จรูป จํานวน 50 ลัง ซึ่งซื้อมาจากชุมชน เป็นการช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน เพื่อส่งต่อให้ถึงมือผู้ใช้บริการ 6) บริษัท ปทุมไรซมิล แอนด์ แกรนารี จํากัด (มหาชน) บริจาคข้าวหอมทิพย์ จํานวน 5,000 กิโลกรัม 7) คณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 62 หมู่กวาง บริจาคเงิน 50,000 บาท 8) คุณมณฑิา ศิลปะศร เชื้ออินทร์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 1 บริจาคนมผงสําหรับเด็ก และ 9) บริษัท แกรนด์ เอ็มเจ แพ็ค จํากัด บริจาคเฟรชชิลด์ จํานวน 800 ชิ้น
นายสากล กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ กลุ่มเป้าหมายและประชาชนที่เดือดร้อนมีความต้องการเร่งด่วน ได้แก่ 1) เงินค่าใช้จ่าย ในการครองชีพ 2) เครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็น 3) นมผงสําหรับเด็กแรกเกิดถึง 3 ปี 4) ผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับ และ 5) ชุดยาสามัญประจําบ้าน เป็นต้น ทั้งนี้ ขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคสําหรับกิจกรรม พม. ห่วงใย สู้ภัยโควิด ของศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผ่านช่องทางบริจาค ดังนี้ 1) บริจาคเงินเข้าบัญชีโดยตรง ชื่อบัญชี ศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ธนาคารกรุงไทย สาขาสะพานขาว เลขบัญชี 021-0-21170-9 และ บริจาคเงินผ่านแอปพลิเคชัน true money สําหรับการบริจาคเงิน 300 บาทขึ้นไป สามารถรับใบเสร็จรับเงินเพื่อการลดหย่อนภาษีได้ โดยส่งหลักฐานการโอนเงินทาง 1.1) โทรสารหมายเลข 02-282-2870 และ 2. อีเมล์ E-mail: [email protected] และ 2) บริจาคสิ่งของโดยตรงได้ที่ศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ บริเวณชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ และบริจาคสิ่งของโดยส่งพัสดุถึง ศูนย์รับบริจาคกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เลขที่ 1034 ถนนกรุงเกษม แขวงคลองมหานาค เขตป้อมปราบฯ 10100 นอกจากนี้ ยังโทรแจ้งการรับบริจาคสิ่งของที่บ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-659-6476 หรือสายด่วน พม. โทร. 1300 ศูนย์ช่วยเหลือสังคม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29266
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ชวนทำบุญผ่าน “QR สาธุ” QR Code สำหรับการบริจาคเงินทำบุญ ในยุคสังคมไร้เงินสด
|
วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2561
ออมสิน ชวนทําบุญผ่าน “QR สาธุ” QR Code สําหรับการบริจาคเงินทําบุญ ในยุคสังคมไร้เงินสด
ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดตัวโครงการ “QR สาธุ ธนาคารออมสิน” ณ วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร จังหวัดลําพูน เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกในการร่วมทําบุญในรูปแบบการบริจาคเงินให้กับวัดด้วยการสแกน QR Code รองรับการบริจาคเงินทําบุญ
วันนี้ (1 มีนาคม 2561) นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เป็นประธานเปิดตัวโครงการ “QR สาธุ ธนาคารออมสิน” ณ วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร จังหวัดลําพูน เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกในการร่วมทําบุญในรูปแบบการบริจาคเงินให้กับวัดด้วยการสแกน QR Code รองรับการบริจาคเงินทําบุญ โดยมีพระเทพรัตนนายก เจ้าอาวาสวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลําพูน ให้เกียรติร่วมเปิดตัวโครงการฯ
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารออมสินมุ่งส่งเสริมและสนับสนุนนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล และเตรียมความพร้อมเข้าสู่ยุคสังคมไร้เงินสด (Cashless Society) โดยการชําระเงินผ่านการสแกนคิวอาร์โค้ดด้วยแอปพลิเคชั่นของธนาคารออมสินบนโทรศัพท์มือถือ มาตั้งแต่ต้นปี 2558 ก่อนที่จะพัฒนามาสู่การชําระเงินในชื่อ “GSB PAY” และเปิดให้บริการเมื่อปลายปี 2560 โดยได้นําบริการเข้าถึงผู้ค้า ผู้รับชําระเงิน เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนผู้ใช้บริการ ล่าสุด ธนาคารออมสิน ซึ่งได้ส่งเสริม สนับสนุนและทํานุบํารุงพระพุทธศาสนามาโดยตลอด ได้จัดกิจกรรมทําบุญภายใต้โครงการ “QR สาธุ” เชิญชวนทําบุญตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ รวมถึงบริจาคเงินกับองค์กรการกุศลต่างๆ ด้วยการสแกน QR Code ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อทั้งวัดและผู้บริจาคในด้านของความสะดวกและความปลอดภัย โดยผู้บริจาคสามารถสแกน QR Code ของวัดได้ทั้งจากบริการ MyMo ธนาคารออมสิน หรือ Mobile Banking ของธนาคารอื่น
“การเข้าวัดทําบุญ การบริจาคเงินให้แก่องค์กรการกุศลต่างๆ เป็นการปฏิบัติของคนไทยมาช้านาน เราจะคุ้นเคยกับการใช้เงินสดในการทําบุญใส่ซอง หรือเย็บติดต้นผ้าป่าต้นกฐิน แต่จากนี้ไปธนาคารออมสินได้เข้ามาเชื่อมต่อระหว่างคนทําบุญกับวัด องค์กรการกุศล ด้วยการจัดทํา QR Code Payment ให้แก่วัด ศาสนสถาน สําหรับรองรับการบริจาคเงินทําบุญ เพื่อให้คนบริจาคเงินไม่ต้องเตรียมเงินสด เพียงแค่ใช้โทรศัพท์มือถือสแกน QR Code เพื่อชําระเงินทําบุญได้สะดวก เงินเข้าบัญชีวัด ซึ่งวัดสามารถบริหารจัดการต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทุกวันนี้มีจํานวนวัดทั่วประเทศที่มีบัญชีเงินฝากกับธนาคารออมสินจํานวนมาก โดยธนาคารออมสินจะเข้าไปอํานวยความสะดวกในการจัดเตรียม QR Code ให้ต่อไป” นายชาติชาย กล่าว
โดยในปีนี้ ธนาคารออมสินจะมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด เพื่อสร้างการรับรู้ รวมถึงอํานวยความสะดวกและความปลอดภัย สําหรับบริจาคเงินทําบุญผ่าน QR Code “QR สาธุ ธนาคารออมสิน” โดยเฉพาะการทําบุญในช่วงวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา ได้แก่ วันมาฆบูชา (วันที่ 1 มีนาคม) วันวิสาขบูชา (วันที่ 29 พฤษภาคม) วันอาสาฬหบูชา (วันที่ 27 กรกฎาคม) และวันออกพรรษา (วันที่ 24 ตุลาคม) เป็นต้น จึงขอเชิญประชาชนทั่วไปและพุทธศาสนิกชน ร่วมสร้างประสบการณ์การทําบุญ หรือการชําระเงินในรูปแบบใหม่ เพื่อพัฒนาระบบการชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ประเทศ และก้าวทันเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ชวนทำบุญผ่าน “QR สาธุ” QR Code สำหรับการบริจาคเงินทำบุญ ในยุคสังคมไร้เงินสด
วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2561
ออมสิน ชวนทําบุญผ่าน “QR สาธุ” QR Code สําหรับการบริจาคเงินทําบุญ ในยุคสังคมไร้เงินสด
ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดตัวโครงการ “QR สาธุ ธนาคารออมสิน” ณ วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร จังหวัดลําพูน เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกในการร่วมทําบุญในรูปแบบการบริจาคเงินให้กับวัดด้วยการสแกน QR Code รองรับการบริจาคเงินทําบุญ
วันนี้ (1 มีนาคม 2561) นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เป็นประธานเปิดตัวโครงการ “QR สาธุ ธนาคารออมสิน” ณ วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร จังหวัดลําพูน เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกในการร่วมทําบุญในรูปแบบการบริจาคเงินให้กับวัดด้วยการสแกน QR Code รองรับการบริจาคเงินทําบุญ โดยมีพระเทพรัตนนายก เจ้าอาวาสวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลําพูน ให้เกียรติร่วมเปิดตัวโครงการฯ
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารออมสินมุ่งส่งเสริมและสนับสนุนนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล และเตรียมความพร้อมเข้าสู่ยุคสังคมไร้เงินสด (Cashless Society) โดยการชําระเงินผ่านการสแกนคิวอาร์โค้ดด้วยแอปพลิเคชั่นของธนาคารออมสินบนโทรศัพท์มือถือ มาตั้งแต่ต้นปี 2558 ก่อนที่จะพัฒนามาสู่การชําระเงินในชื่อ “GSB PAY” และเปิดให้บริการเมื่อปลายปี 2560 โดยได้นําบริการเข้าถึงผู้ค้า ผู้รับชําระเงิน เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนผู้ใช้บริการ ล่าสุด ธนาคารออมสิน ซึ่งได้ส่งเสริม สนับสนุนและทํานุบํารุงพระพุทธศาสนามาโดยตลอด ได้จัดกิจกรรมทําบุญภายใต้โครงการ “QR สาธุ” เชิญชวนทําบุญตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ รวมถึงบริจาคเงินกับองค์กรการกุศลต่างๆ ด้วยการสแกน QR Code ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อทั้งวัดและผู้บริจาคในด้านของความสะดวกและความปลอดภัย โดยผู้บริจาคสามารถสแกน QR Code ของวัดได้ทั้งจากบริการ MyMo ธนาคารออมสิน หรือ Mobile Banking ของธนาคารอื่น
“การเข้าวัดทําบุญ การบริจาคเงินให้แก่องค์กรการกุศลต่างๆ เป็นการปฏิบัติของคนไทยมาช้านาน เราจะคุ้นเคยกับการใช้เงินสดในการทําบุญใส่ซอง หรือเย็บติดต้นผ้าป่าต้นกฐิน แต่จากนี้ไปธนาคารออมสินได้เข้ามาเชื่อมต่อระหว่างคนทําบุญกับวัด องค์กรการกุศล ด้วยการจัดทํา QR Code Payment ให้แก่วัด ศาสนสถาน สําหรับรองรับการบริจาคเงินทําบุญ เพื่อให้คนบริจาคเงินไม่ต้องเตรียมเงินสด เพียงแค่ใช้โทรศัพท์มือถือสแกน QR Code เพื่อชําระเงินทําบุญได้สะดวก เงินเข้าบัญชีวัด ซึ่งวัดสามารถบริหารจัดการต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทุกวันนี้มีจํานวนวัดทั่วประเทศที่มีบัญชีเงินฝากกับธนาคารออมสินจํานวนมาก โดยธนาคารออมสินจะเข้าไปอํานวยความสะดวกในการจัดเตรียม QR Code ให้ต่อไป” นายชาติชาย กล่าว
โดยในปีนี้ ธนาคารออมสินจะมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด เพื่อสร้างการรับรู้ รวมถึงอํานวยความสะดวกและความปลอดภัย สําหรับบริจาคเงินทําบุญผ่าน QR Code “QR สาธุ ธนาคารออมสิน” โดยเฉพาะการทําบุญในช่วงวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา ได้แก่ วันมาฆบูชา (วันที่ 1 มีนาคม) วันวิสาขบูชา (วันที่ 29 พฤษภาคม) วันอาสาฬหบูชา (วันที่ 27 กรกฎาคม) และวันออกพรรษา (วันที่ 24 ตุลาคม) เป็นต้น จึงขอเชิญประชาชนทั่วไปและพุทธศาสนิกชน ร่วมสร้างประสบการณ์การทําบุญ หรือการชําระเงินในรูปแบบใหม่ เพื่อพัฒนาระบบการชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ประเทศ และก้าวทันเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10449
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาคมประมงแห่งประเทศไทย เข้าพบ รมว.ทส.
|
วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2562
สมาคมประมงแห่งประเทศไทย เข้าพบ รมว.ทส.
วันนี้ (3 ตุลาคม 2562) เวลา 15.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 20 สมาคมประมงแห่งประเทศไทย เข้าพบ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อแสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับตําแหน่ง และพูดคุยหารือเกี่ยวกับการจัดการขยะทะเลและทรัพยากร
วันนี้ (3 ตุลาคม 2562) เวลา 15.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 20 สมาคมประมงแห่งประเทศไทย เข้าพบนายวราวุธ ศิลปอาชารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อแสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับตําแหน่ง และพูดคุยหารือเกี่ยวกับการจัดการขยะทะเลและทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของประเทศไทย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาคมประมงแห่งประเทศไทย เข้าพบ รมว.ทส.
วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2562
สมาคมประมงแห่งประเทศไทย เข้าพบ รมว.ทส.
วันนี้ (3 ตุลาคม 2562) เวลา 15.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 20 สมาคมประมงแห่งประเทศไทย เข้าพบ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อแสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับตําแหน่ง และพูดคุยหารือเกี่ยวกับการจัดการขยะทะเลและทรัพยากร
วันนี้ (3 ตุลาคม 2562) เวลา 15.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 20 สมาคมประมงแห่งประเทศไทย เข้าพบนายวราวุธ ศิลปอาชารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อแสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับตําแหน่ง และพูดคุยหารือเกี่ยวกับการจัดการขยะทะเลและทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของประเทศไทย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23613
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมด้วยรองนายกรัฐมนตรีและคู่สมรส ลงนามถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลวันฉัตรมงคล
|
วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2563
นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมด้วยรองนายกรัฐมนตรีและคู่สมรส ลงนามถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลวันฉัตรมงคล
นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมด้วยรองนายกรัฐมนตรีและคู่สมรส ลงนามถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลวันฉัตรมงคล
วันนี้ (4 พ.ค. 63) เวลา 09.00 น. ณ อาคารหน่วยราชการในพระองค์ 904 ในพระบรมมหาราชวัง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา พร้อมด้วย รองนายกรัฐมนตรี และคู่สมรส ลงนามถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลวันฉัตรมงคล 4 พฤษภาคม 2563
---------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมด้วยรองนายกรัฐมนตรีและคู่สมรส ลงนามถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลวันฉัตรมงคล
วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2563
นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมด้วยรองนายกรัฐมนตรีและคู่สมรส ลงนามถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลวันฉัตรมงคล
นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมด้วยรองนายกรัฐมนตรีและคู่สมรส ลงนามถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลวันฉัตรมงคล
วันนี้ (4 พ.ค. 63) เวลา 09.00 น. ณ อาคารหน่วยราชการในพระองค์ 904 ในพระบรมมหาราชวัง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา พร้อมด้วย รองนายกรัฐมนตรี และคู่สมรส ลงนามถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลวันฉัตรมงคล 4 พฤษภาคม 2563
---------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30260
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือ IJM ร่วมพัฒนาการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
|
วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2562
พม. จับมือ IJM ร่วมพัฒนาการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
พม. จับมือ IJM ร่วมพัฒนาการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
วันที่ 11 ตุลาคม 2562 เวลา 14.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกานายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) และนายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวง พม. นายธานี ทองภักดี เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ได้เข้าหารือกับ Ms. Christa Hayden Sharp ตําแหน่ง Regional President, Asia Pacific และ Ms. Brianna Gehring ตําแหน่ง Senior Program Manager, Southeast Asia/ Central & Easten Europe องค์การยุติธรรมนานาชาติ (International Justice Mission:IJM) ณ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน
นายจุติ กล่าวว่า สําหรับประเด็นหารือในครั้งนี้ เป็นการหารือถึงความร่วมมือระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และองค์การยุติธรรมนานาชาติ (International Justice Mission:IJM) ในการดําเนินงานต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยทั้งสองฝ่ายได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ กรณีศึกษาที่น่าสนใจ และแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice)ในการทํางานของทั้งสองฝ่าย โดย IJM พร้อมสนับสนุนการทํางานของรัฐบาลไทยอย่างเต็มที่ทั้งการพัฒนาศักยภาพบุคลากร และการคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์
“ทั้งนี้ กระทรวง พม. พร้อมรับฟังข้อเสนอแนะ และข้อคิดเห็นจากหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อนํามาทบทวนและปรับปรุงกระบวนการทํางานในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป” นายจุติ กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือ IJM ร่วมพัฒนาการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2562
พม. จับมือ IJM ร่วมพัฒนาการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
พม. จับมือ IJM ร่วมพัฒนาการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
วันที่ 11 ตุลาคม 2562 เวลา 14.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกานายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) และนายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวง พม. นายธานี ทองภักดี เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ได้เข้าหารือกับ Ms. Christa Hayden Sharp ตําแหน่ง Regional President, Asia Pacific และ Ms. Brianna Gehring ตําแหน่ง Senior Program Manager, Southeast Asia/ Central & Easten Europe องค์การยุติธรรมนานาชาติ (International Justice Mission:IJM) ณ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน
นายจุติ กล่าวว่า สําหรับประเด็นหารือในครั้งนี้ เป็นการหารือถึงความร่วมมือระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และองค์การยุติธรรมนานาชาติ (International Justice Mission:IJM) ในการดําเนินงานต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยทั้งสองฝ่ายได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ กรณีศึกษาที่น่าสนใจ และแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice)ในการทํางานของทั้งสองฝ่าย โดย IJM พร้อมสนับสนุนการทํางานของรัฐบาลไทยอย่างเต็มที่ทั้งการพัฒนาศักยภาพบุคลากร และการคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์
“ทั้งนี้ กระทรวง พม. พร้อมรับฟังข้อเสนอแนะ และข้อคิดเห็นจากหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อนํามาทบทวนและปรับปรุงกระบวนการทํางานในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป” นายจุติ กล่าวในตอนท้าย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23797
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.ประภัตร’ ขับเคลื่อนงานวิจัยพันธุ์ข้าว
|
วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน 2563
‘รมช.ประภัตร’ ขับเคลื่อนงานวิจัยพันธุ์ข้าว
‘รมช.ประภัตร’ ขับเคลื่อนงานวิจัยพันธุ์ข้าว ระดมสมองนักวิชาการพัฒนาพันธุ์ข้าวให้ตรงตามความต้องการของตลาดช่วยชาวนาไทยเข้าถึงเมล็ดพันธุ์ดี มุ่งเพิ่มศักยภาพส่งออกข้าวในตลาดโลก
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานการสัมมนา “การวิจัยพันธุ์ข้าวตามนโยบาย “ตลาดนําการผลิต” ในนาแปลงใหญ่ โดยมี นายอภินันท์ เผือกผ่อง รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวต้อนรับ นางสาวนนทิชา วรรณสว่าง รองอธิบดีกรมการข้าว กล่าวรายงาน ณ โรงแรมพาโค่ เขาใหญ่ บายโบนันซ่า จังหวัดนครราชสีมา ว่า ปัจจุบันสถานการณ์ตลาดข้าวมีการแข่งขันที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้น หลายประเทศมีศักยภาพในการผลิตข้าวเพื่อบริโภคภายในประเทศ และส่งออกในอันดับต้นๆ ของโลก ในขณะที่หลายประเทศสามารถปลูกข้าวได้ปริมาณมาก แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคภายในประเทศ ทําให้จําเป็นต้องนําเข้าข้าวเพิ่มเติม ไทยเป็นผู้นําการส่งออกข้าวของโลกมาหลายปี คิดเป็นมูลค่าปีละนับแสนล้านบาท แต่ในช่วงปี 2559-2562 ปริมาณการส่งออกข้าวไทยลดลง โดยปี 2561 ส่งออก 11.23 ล้านตัน ปี 2562 ส่งออก 7.58 ล้านตัน การขยายตัวลดลงร้อยละ 32.50 เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกัน ประกอบกับไทยต้องเผชิญภาวะแข่งขันในเรื่องราคากับประเทศส่งออกต่างๆ เช่น ประเทศอินเดีย เวียดนาม กัมพูชา พม่า เป็นต้น
นายประภัตร กล่าวว่า รัฐบาลได้ดําเนินนโยบายด้านข้าวที่มีการส่งเสริมการทําการเกษตรแปลงใหญ่ เป็นการดําเนินงานที่เน้นการรวมกลุ่มของเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่ วางระบบการผลิตและการบริหารจัดการในแนวทางเดียวกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิตต่อหน่วย ยกระดับมาตรฐานผลผลิต และบริหารจัดการกลุ่ม/ผลผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทาน มุ่งเน้นให้เกษตรกรมีโอกาสเข้ามาสู่การส่งเสริมในระบบเกษตรแบบแปลงใหญ่ให้มากขึ้น ซึ่งจะมีกําหนดเป้าหมายการผลิต การถ่ายทอดเทคโนโลยี การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทุกขั้นตอน ตลอดจนการเชื่อมโยงตลาดกับภาคเอกชนแบบประชารัฐ การปรับระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่จะก่อให้เกิดความร่วมมือในการผลิตโดยเกษตรกรหรือองค์กรเกษตรในพื้นที่ที่ดําเนินกิจกรรมที่ติดต่อกันเป็นแปลงใหญ่ ทําให้เกิดขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้น มีเป้าหมายการดําเนินงานของกลุ่มชัดเจน เป็นการเพิ่มอํานาจการต่อรองของเกษตรกรตลอดกระบวนการผลิต ช่วยพัฒนาเกษตรกรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีรายได้เพิ่มมากขึ้น เกิดความมั่นคงในอาชีพ และสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนในที่สุด
“นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเป็นห่วงพี่น้องชาวนาไทย จึงมอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯ เร่งหาแนวทางในการจะทําอย่างไรให้ชาวนาได้มีเมล็ดพันธุ์ที่ดีเพาะปลูกเพื่อสร้างรายได้ ดังนั้น ตนในฐานะที่กํากับดูแลกรมการข้าว จึงรวบรวมนักวิชาการทั้งจากกรมการข้าว มหาวิทยาลัย และภาคเอกชน มาแสดงความคิดเห็นเพื่อช่วยกันพัฒนาพันธุ์ข้าวที่ดี ให้เป็นไปตามความต้องการของตลาด ซึ่งขณะนี้ตลาดมีความต้องการข้าวนุ่ม จึงต้องผลิตให้ได้ และสามารถแข่งขันกับทุกประเทศได้ ไม่เพียงแค่ประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้น ทั้งนี้ การพัฒนาข้าวไทยจะต้องมุ่งให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยมีการเชื่อมโยงหน่วยงานหลายภาคส่วน ตั้งแต่การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคจนถึงการขยายตลาดการค้าข้าวในต่างประเทศ เพื่อขับเคลื่อนพัฒนาข้าวไทยพร้อมวางแนวทางการพัฒนาระบบให้ครอบคลุมทุกประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะสามารถแก้ปัญหาในการแข่งขัน เพื่อการส่งออกข้าวในตลาดโลกได้อย่างตรงจุด” นายประภัตร กล่าว
นางสาวนนทิชา วรรณสว่าง รองอธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมการข้าวจึงได้กําหนดจัดสัมมนา การวิจัยพันธุ์ข้าวตามนโยบาย “ตลาดนําการผลิต” ในนาแปลงใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 25-26 มิ.ย.63 ณ โรงแรมพาโค่ เขาใหญ่ บายโบนันซ่า จังหวัดนครราชสีมา วัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ความคิดเห็นระหว่างนักวิชาการ นักวิจัย และผู้เกี่ยวข้อง ที่ปฏิบัติงานด้านการปรับปรุงพันธุ์ข้าวจากทุกภาคส่วน เพื่อการพัฒนาพันธุ์ข้าวให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ที่จําเป็นต้องมีขบวนการพัฒนาและส่งเสริมการพัฒนาพันธุ์ให้ตรงพันธุ์ตั้งแต่ต้นน้ําจนถึงปลายน้ํา ก่อให้เกิดการวางระบบการผลิต การตลาด และการบริหารจัดการ เพื่อประหยัดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในพื้นที่เป้าหมายของโครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ พร้อมขับเคลื่อนการดําเนินงานภายใต้นโยบายการตลาดนําการผลิต นําไปสู่การสร้างรายได้ให้เกษตรกรมีความมั่นคงในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม สามารถวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ได้ทั้งระดับจังหวัดและระดับประเทศ พร้อมส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตภาคเกษตรให้กับเกษตรกร การถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีสู่เกษตรกรถือเป็นบทบาทหนึ่งของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งหวังให้เกษตรกรได้มีการรวมกลุ่มการทําการเกษตรในรูปแบบของแปลงใหญ่ ซึ่งจะส่งผลให้เกษตรกรได้มีอํานาจในการต่อรองทั้งด้านปัจจัยการผลิตและด้านการตลาด เป็นหนทางที่จะช่วยลดต้นทุนการผลิตลงได้ โดยมีนักวิจัยจากหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วม อาทิ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร ศูนย์พันธุ์วิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นต้น ตลอดจนผู้อํานวยการและนักวิจัยด้านการปรับปรุงพันธุ์ข้าวจากศูนย์วิจัยข้าว กว่า 100 คน เข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.ประภัตร’ ขับเคลื่อนงานวิจัยพันธุ์ข้าว
วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน 2563
‘รมช.ประภัตร’ ขับเคลื่อนงานวิจัยพันธุ์ข้าว
‘รมช.ประภัตร’ ขับเคลื่อนงานวิจัยพันธุ์ข้าว ระดมสมองนักวิชาการพัฒนาพันธุ์ข้าวให้ตรงตามความต้องการของตลาดช่วยชาวนาไทยเข้าถึงเมล็ดพันธุ์ดี มุ่งเพิ่มศักยภาพส่งออกข้าวในตลาดโลก
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานการสัมมนา “การวิจัยพันธุ์ข้าวตามนโยบาย “ตลาดนําการผลิต” ในนาแปลงใหญ่ โดยมี นายอภินันท์ เผือกผ่อง รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวต้อนรับ นางสาวนนทิชา วรรณสว่าง รองอธิบดีกรมการข้าว กล่าวรายงาน ณ โรงแรมพาโค่ เขาใหญ่ บายโบนันซ่า จังหวัดนครราชสีมา ว่า ปัจจุบันสถานการณ์ตลาดข้าวมีการแข่งขันที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้น หลายประเทศมีศักยภาพในการผลิตข้าวเพื่อบริโภคภายในประเทศ และส่งออกในอันดับต้นๆ ของโลก ในขณะที่หลายประเทศสามารถปลูกข้าวได้ปริมาณมาก แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคภายในประเทศ ทําให้จําเป็นต้องนําเข้าข้าวเพิ่มเติม ไทยเป็นผู้นําการส่งออกข้าวของโลกมาหลายปี คิดเป็นมูลค่าปีละนับแสนล้านบาท แต่ในช่วงปี 2559-2562 ปริมาณการส่งออกข้าวไทยลดลง โดยปี 2561 ส่งออก 11.23 ล้านตัน ปี 2562 ส่งออก 7.58 ล้านตัน การขยายตัวลดลงร้อยละ 32.50 เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกัน ประกอบกับไทยต้องเผชิญภาวะแข่งขันในเรื่องราคากับประเทศส่งออกต่างๆ เช่น ประเทศอินเดีย เวียดนาม กัมพูชา พม่า เป็นต้น
นายประภัตร กล่าวว่า รัฐบาลได้ดําเนินนโยบายด้านข้าวที่มีการส่งเสริมการทําการเกษตรแปลงใหญ่ เป็นการดําเนินงานที่เน้นการรวมกลุ่มของเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่ วางระบบการผลิตและการบริหารจัดการในแนวทางเดียวกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิตต่อหน่วย ยกระดับมาตรฐานผลผลิต และบริหารจัดการกลุ่ม/ผลผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทาน มุ่งเน้นให้เกษตรกรมีโอกาสเข้ามาสู่การส่งเสริมในระบบเกษตรแบบแปลงใหญ่ให้มากขึ้น ซึ่งจะมีกําหนดเป้าหมายการผลิต การถ่ายทอดเทคโนโลยี การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทุกขั้นตอน ตลอดจนการเชื่อมโยงตลาดกับภาคเอกชนแบบประชารัฐ การปรับระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่จะก่อให้เกิดความร่วมมือในการผลิตโดยเกษตรกรหรือองค์กรเกษตรในพื้นที่ที่ดําเนินกิจกรรมที่ติดต่อกันเป็นแปลงใหญ่ ทําให้เกิดขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้น มีเป้าหมายการดําเนินงานของกลุ่มชัดเจน เป็นการเพิ่มอํานาจการต่อรองของเกษตรกรตลอดกระบวนการผลิต ช่วยพัฒนาเกษตรกรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีรายได้เพิ่มมากขึ้น เกิดความมั่นคงในอาชีพ และสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนในที่สุด
“นายกรัฐมนตรีได้แสดงความเป็นห่วงพี่น้องชาวนาไทย จึงมอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯ เร่งหาแนวทางในการจะทําอย่างไรให้ชาวนาได้มีเมล็ดพันธุ์ที่ดีเพาะปลูกเพื่อสร้างรายได้ ดังนั้น ตนในฐานะที่กํากับดูแลกรมการข้าว จึงรวบรวมนักวิชาการทั้งจากกรมการข้าว มหาวิทยาลัย และภาคเอกชน มาแสดงความคิดเห็นเพื่อช่วยกันพัฒนาพันธุ์ข้าวที่ดี ให้เป็นไปตามความต้องการของตลาด ซึ่งขณะนี้ตลาดมีความต้องการข้าวนุ่ม จึงต้องผลิตให้ได้ และสามารถแข่งขันกับทุกประเทศได้ ไม่เพียงแค่ประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้น ทั้งนี้ การพัฒนาข้าวไทยจะต้องมุ่งให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยมีการเชื่อมโยงหน่วยงานหลายภาคส่วน ตั้งแต่การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคจนถึงการขยายตลาดการค้าข้าวในต่างประเทศ เพื่อขับเคลื่อนพัฒนาข้าวไทยพร้อมวางแนวทางการพัฒนาระบบให้ครอบคลุมทุกประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะสามารถแก้ปัญหาในการแข่งขัน เพื่อการส่งออกข้าวในตลาดโลกได้อย่างตรงจุด” นายประภัตร กล่าว
นางสาวนนทิชา วรรณสว่าง รองอธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมการข้าวจึงได้กําหนดจัดสัมมนา การวิจัยพันธุ์ข้าวตามนโยบาย “ตลาดนําการผลิต” ในนาแปลงใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 25-26 มิ.ย.63 ณ โรงแรมพาโค่ เขาใหญ่ บายโบนันซ่า จังหวัดนครราชสีมา วัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ความคิดเห็นระหว่างนักวิชาการ นักวิจัย และผู้เกี่ยวข้อง ที่ปฏิบัติงานด้านการปรับปรุงพันธุ์ข้าวจากทุกภาคส่วน เพื่อการพัฒนาพันธุ์ข้าวให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ที่จําเป็นต้องมีขบวนการพัฒนาและส่งเสริมการพัฒนาพันธุ์ให้ตรงพันธุ์ตั้งแต่ต้นน้ําจนถึงปลายน้ํา ก่อให้เกิดการวางระบบการผลิต การตลาด และการบริหารจัดการ เพื่อประหยัดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในพื้นที่เป้าหมายของโครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ พร้อมขับเคลื่อนการดําเนินงานภายใต้นโยบายการตลาดนําการผลิต นําไปสู่การสร้างรายได้ให้เกษตรกรมีความมั่นคงในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม สามารถวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ได้ทั้งระดับจังหวัดและระดับประเทศ พร้อมส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตภาคเกษตรให้กับเกษตรกร การถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีสู่เกษตรกรถือเป็นบทบาทหนึ่งของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งหวังให้เกษตรกรได้มีการรวมกลุ่มการทําการเกษตรในรูปแบบของแปลงใหญ่ ซึ่งจะส่งผลให้เกษตรกรได้มีอํานาจในการต่อรองทั้งด้านปัจจัยการผลิตและด้านการตลาด เป็นหนทางที่จะช่วยลดต้นทุนการผลิตลงได้ โดยมีนักวิจัยจากหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วม อาทิ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร ศูนย์พันธุ์วิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นต้น ตลอดจนผู้อํานวยการและนักวิจัยด้านการปรับปรุงพันธุ์ข้าวจากศูนย์วิจัยข้าว กว่า 100 คน เข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32778
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐชวนชุมชนริมทะเล ทำ “ธนาคารปูม้า”
|
วันพุธที่ 29 สิงหาคม 2561
รัฐชวนชุมชนริมทะเล ทํา “ธนาคารปูม้า”
รัฐบาลเชิญชวนชุมชนริมชายฝั่งทะเลร่วมกันสร้างธนาคารปูม้าด้วยการทําอ่างหรือถังของชุมชนสําหรับเก็บไข่และอนุบาลลูกปูม้า
พุธที่ 29 ส.ค.61
รัฐชวนชุมชนริมทะเล ทํา “ธนาคารปูม้า”
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเชิญชวนชุมชนริมชายฝั่งทะเลร่วมกันสร้างธนาคารปูม้าด้วยการทําอ่างหรือถังของชุมชนสําหรับเก็บไข่และอนุบาลลูกปูม้า และนําแม่ปูม้าที่มีไข่แก่นอกกระดองปล่อยลงถังเพื่อให้แม่ปูเขี่ยไข่ไว้ในถังก่อนจึงนําไข่ไปเลี้ยงต่อจนฟักเป็นตัว เมื่อลูกปูม้าอายุได้ 3 – 4 วันให้ปล่อยสู่ทะเล ปัจจุบันประเทศไทยมีธนาคารปูม้าแล้ว 300 แห่ง และตั้งเป้าขยายเป็น 500 แห่งภายใน 2 ปี โดยหากแต่ละเดือนธนาคารปูม้าแต่ละแห่งมีแม่ปู 30 ตัวจะได้ลูกปูราว 5,000 ล้านตัว และมีเหลือรอดเป็นสัตว์น้ําเศรษฐกิจราว 5 ล้านตัว คิดเป็นมูลค่ารวม 148 ล้านบาทต่อเดือน ส่งผลให้ไทยมีปูม้าเป็นสัตว์เศรษฐกิจใหม่ที่สามารถส่งออกได้ตลอดเวลา และยังช่วยสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ท้องทะเลไทยอีกด้วย
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐชวนชุมชนริมทะเล ทำ “ธนาคารปูม้า”
วันพุธที่ 29 สิงหาคม 2561
รัฐชวนชุมชนริมทะเล ทํา “ธนาคารปูม้า”
รัฐบาลเชิญชวนชุมชนริมชายฝั่งทะเลร่วมกันสร้างธนาคารปูม้าด้วยการทําอ่างหรือถังของชุมชนสําหรับเก็บไข่และอนุบาลลูกปูม้า
พุธที่ 29 ส.ค.61
รัฐชวนชุมชนริมทะเล ทํา “ธนาคารปูม้า”
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเชิญชวนชุมชนริมชายฝั่งทะเลร่วมกันสร้างธนาคารปูม้าด้วยการทําอ่างหรือถังของชุมชนสําหรับเก็บไข่และอนุบาลลูกปูม้า และนําแม่ปูม้าที่มีไข่แก่นอกกระดองปล่อยลงถังเพื่อให้แม่ปูเขี่ยไข่ไว้ในถังก่อนจึงนําไข่ไปเลี้ยงต่อจนฟักเป็นตัว เมื่อลูกปูม้าอายุได้ 3 – 4 วันให้ปล่อยสู่ทะเล ปัจจุบันประเทศไทยมีธนาคารปูม้าแล้ว 300 แห่ง และตั้งเป้าขยายเป็น 500 แห่งภายใน 2 ปี โดยหากแต่ละเดือนธนาคารปูม้าแต่ละแห่งมีแม่ปู 30 ตัวจะได้ลูกปูราว 5,000 ล้านตัว และมีเหลือรอดเป็นสัตว์น้ําเศรษฐกิจราว 5 ล้านตัว คิดเป็นมูลค่ารวม 148 ล้านบาทต่อเดือน ส่งผลให้ไทยมีปูม้าเป็นสัตว์เศรษฐกิจใหม่ที่สามารถส่งออกได้ตลอดเวลา และยังช่วยสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ท้องทะเลไทยอีกด้วย
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14993
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปค. เข้าพบปลัดแรงงาน หารือสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน
|
วันพุธที่ 5 กรกฎาคม 2560
คปค. เข้าพบปลัดแรงงาน หารือสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน
ประธานเครือข่ายประกันสังคมคนทํางาน (คปค.) พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย 17 องค์กร เข้าพบปลัดแรงงาน เพื่อหารือเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน และยื่นหนังสือเสนอเพิ่มการตรวจสุขภาพช่องปาก การตรวจครรภ์ ฝากครรภ์ และการตรวจมะเร็งในต่อมลูกหมากชาย
ประธานเครือข่ายประกันสังคมคนทํางาน (คปค.) พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย 17 องค์กร เข้าพบปลัดแรงงาน เพื่อหารือเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน และยื่นหนังสือเสนอเพิ่มการตรวจสุขภาพช่องปาก การตรวจครรภ์ ฝากครรภ์ และการตรวจมะเร็งในต่อมลูกหมากชาย
วันที่ 5 กรกฎาคม 2560 เวลา 13.30 น. หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงานในฐานะประธานกรรมการประกันสังคม เปิดเผยว่า นายมนัส โกศล ประธานเครือข่ายประกันสังคมคนทํางาน (คปค.) นําสมาชิก คปค. พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย 17 องค์กร เข้าพบเพื่อหารือเกี่ยวกับความคืบหน้าสิทธิประโยชน์ทางการแพทย์ของผู้ประกันตน และยื่นหนังสือเสนอแนะการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค โดยทางเครือข่ายได้เสนอให้สถานพยาบาลที่ให้บริการทันตกรรมจะต้องตรวจสุขภาพช่องปากและฟันให้แก่ผู้ประกันตนที่เข้ารับบริการ เพิ่มการส่งเสริมให้ผู้ประกันตนวางแผนครอบครัวและฝากครรภ์ตามเกณฑ์คุณภาพ โดยไม่เสียค่าบริการทางการแพทย์ และเพิ่มการตรวจมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ประกันตนชาย รวมถึงข้อเสนอกรณีขยายอายุรับเงินบํานาญชราภาพ ซึ่งข้อเสนอทั้งหมด กระทรวงแรงงานรับไว้พิจารณาดําเนินการให้มีความเหมาะสมต่อไป
------------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปค. เข้าพบปลัดแรงงาน หารือสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน
วันพุธที่ 5 กรกฎาคม 2560
คปค. เข้าพบปลัดแรงงาน หารือสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน
ประธานเครือข่ายประกันสังคมคนทํางาน (คปค.) พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย 17 องค์กร เข้าพบปลัดแรงงาน เพื่อหารือเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน และยื่นหนังสือเสนอเพิ่มการตรวจสุขภาพช่องปาก การตรวจครรภ์ ฝากครรภ์ และการตรวจมะเร็งในต่อมลูกหมากชาย
ประธานเครือข่ายประกันสังคมคนทํางาน (คปค.) พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย 17 องค์กร เข้าพบปลัดแรงงาน เพื่อหารือเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน และยื่นหนังสือเสนอเพิ่มการตรวจสุขภาพช่องปาก การตรวจครรภ์ ฝากครรภ์ และการตรวจมะเร็งในต่อมลูกหมากชาย
วันที่ 5 กรกฎาคม 2560 เวลา 13.30 น. หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงานในฐานะประธานกรรมการประกันสังคม เปิดเผยว่า นายมนัส โกศล ประธานเครือข่ายประกันสังคมคนทํางาน (คปค.) นําสมาชิก คปค. พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย 17 องค์กร เข้าพบเพื่อหารือเกี่ยวกับความคืบหน้าสิทธิประโยชน์ทางการแพทย์ของผู้ประกันตน และยื่นหนังสือเสนอแนะการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค โดยทางเครือข่ายได้เสนอให้สถานพยาบาลที่ให้บริการทันตกรรมจะต้องตรวจสุขภาพช่องปากและฟันให้แก่ผู้ประกันตนที่เข้ารับบริการ เพิ่มการส่งเสริมให้ผู้ประกันตนวางแผนครอบครัวและฝากครรภ์ตามเกณฑ์คุณภาพ โดยไม่เสียค่าบริการทางการแพทย์ และเพิ่มการตรวจมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ประกันตนชาย รวมถึงข้อเสนอกรณีขยายอายุรับเงินบํานาญชราภาพ ซึ่งข้อเสนอทั้งหมด กระทรวงแรงงานรับไว้พิจารณาดําเนินการให้มีความเหมาะสมต่อไป
------------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5030
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดแข่งขันเครื่องบินสูตร 1 ชิงแชมป์โลก
|
วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2560
รัฐบาลพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดแข่งขันเครื่องบินสูตร 1 ชิงแชมป์โลก
รัฐบาลพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดแข่งขันเครื่องบินสูตร 1 ชิงแชมป์โลก
วันนี้ (12 พฤศจิกายน 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลร่วมกับภาคเอกชนจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเครื่องบินสูตร 1 ชิงแชมป์โลก (AIR RACE 1 World Cup Thailand 2017) ในระหว่างวันที่ 17 – 19 พ.ย.60 ณ ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา จ.ระยอง โดยมีเครื่องบินที่ผ่านเข้าสู่รอบชิงแชมป์ จํานวน 16 ลํา “การได้รับสิทธิ์ในการจัดการแข่งขันครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทยและทวีปเอเชีย ซึ่งรัฐบาลคาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมการแข่งขันจาก 100 ประเทศ จํานวนประมาณ 100,000 คน เป็นคนไทย 70,000 คน และชาวต่างชาติ 30,000 คน ช่วยสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เป็นเงินหมุนเวียนในประเทศได้มากกว่า 3,450 ล้านบาท”
การจัดการแข่งขันครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของงานมหกรรมทางเรือนานาชาติ ในโอกาสครบ 50 ปีการก่อตั้งอาเซียน ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเช่นเดียวกัน โดยมหกรรมทางเรือฯ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 – 22 พ.ย.60 ณ เมืองพัทยา จ.ชลบุรี และจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความตั้งใจของรัฐบาลที่ได้นําแนวคิดเรื่องกีฬาบวกกับการท่องเที่ยว หรือที่เรียกว่า “สปอร์ตทัวริซึ่ม” มาดําเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ รัฐบาลเลือกที่จะจัดแข่งขันกีฬาระดับโลกที่มีมูลค่าการตลาดสูงและมีกลุ่มผู้ติดตามชมที่มีรายได้สูงในประเทศไทย โดยใช้แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลกเป็นสนามแข่งขัน เพื่อนํารายได้เข้าประเทศ และต่อยอดไปสู่การส่งเสริมการท่องเที่ยวในปีหน้า ภายใต้แนวคิด “ปีท่องเที่ยววิถีไทยเก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” สําหรับ AIR RACE 1 คือ กีฬาประเภทมอเตอร์สปอร์ตที่มีความเร็วที่สุดในโลก หรือการแข่งขันฟอร์มูล่าวัน ของเครื่องบิน โดยนอกจากการแข่งขันความเร็วแล้ว ในครั้งนี้จะมีการแสดงลีลาฉวัดเฉวียน บินผาดแผลงกลางอากาศ การแสดงท่าอาวุธประกอบดนตรีจากกองทัพเรือ ศึกมวยไทยไฟต์ การรวมตัวของชมรมรถยนต์และมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบก์ การจําหน่ายสินค้าธงฟ้า สินค้า OTOP และคอนเสิร์ตจากศิลปินมากมาย “
จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมเป็นเจ้าภาพที่ดีต้อนรับนักกีฬาและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก รวมทั้งผู้ที่สนใจก็สามารถเข้าชมการแข่งขัน AIR RACE 1 และมหกรรมทางเรือนานาชาติ ในช่วงวัน เวลา และสถานที่ดังกล่าวข้างต้น”
......
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดแข่งขันเครื่องบินสูตร 1 ชิงแชมป์โลก
วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2560
รัฐบาลพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดแข่งขันเครื่องบินสูตร 1 ชิงแชมป์โลก
รัฐบาลพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดแข่งขันเครื่องบินสูตร 1 ชิงแชมป์โลก
วันนี้ (12 พฤศจิกายน 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลร่วมกับภาคเอกชนจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเครื่องบินสูตร 1 ชิงแชมป์โลก (AIR RACE 1 World Cup Thailand 2017) ในระหว่างวันที่ 17 – 19 พ.ย.60 ณ ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา จ.ระยอง โดยมีเครื่องบินที่ผ่านเข้าสู่รอบชิงแชมป์ จํานวน 16 ลํา “การได้รับสิทธิ์ในการจัดการแข่งขันครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทยและทวีปเอเชีย ซึ่งรัฐบาลคาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมการแข่งขันจาก 100 ประเทศ จํานวนประมาณ 100,000 คน เป็นคนไทย 70,000 คน และชาวต่างชาติ 30,000 คน ช่วยสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เป็นเงินหมุนเวียนในประเทศได้มากกว่า 3,450 ล้านบาท”
การจัดการแข่งขันครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของงานมหกรรมทางเรือนานาชาติ ในโอกาสครบ 50 ปีการก่อตั้งอาเซียน ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเช่นเดียวกัน โดยมหกรรมทางเรือฯ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 – 22 พ.ย.60 ณ เมืองพัทยา จ.ชลบุรี และจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความตั้งใจของรัฐบาลที่ได้นําแนวคิดเรื่องกีฬาบวกกับการท่องเที่ยว หรือที่เรียกว่า “สปอร์ตทัวริซึ่ม” มาดําเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ รัฐบาลเลือกที่จะจัดแข่งขันกีฬาระดับโลกที่มีมูลค่าการตลาดสูงและมีกลุ่มผู้ติดตามชมที่มีรายได้สูงในประเทศไทย โดยใช้แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลกเป็นสนามแข่งขัน เพื่อนํารายได้เข้าประเทศ และต่อยอดไปสู่การส่งเสริมการท่องเที่ยวในปีหน้า ภายใต้แนวคิด “ปีท่องเที่ยววิถีไทยเก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” สําหรับ AIR RACE 1 คือ กีฬาประเภทมอเตอร์สปอร์ตที่มีความเร็วที่สุดในโลก หรือการแข่งขันฟอร์มูล่าวัน ของเครื่องบิน โดยนอกจากการแข่งขันความเร็วแล้ว ในครั้งนี้จะมีการแสดงลีลาฉวัดเฉวียน บินผาดแผลงกลางอากาศ การแสดงท่าอาวุธประกอบดนตรีจากกองทัพเรือ ศึกมวยไทยไฟต์ การรวมตัวของชมรมรถยนต์และมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบก์ การจําหน่ายสินค้าธงฟ้า สินค้า OTOP และคอนเสิร์ตจากศิลปินมากมาย “
จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมเป็นเจ้าภาพที่ดีต้อนรับนักกีฬาและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก รวมทั้งผู้ที่สนใจก็สามารถเข้าชมการแข่งขัน AIR RACE 1 และมหกรรมทางเรือนานาชาติ ในช่วงวัน เวลา และสถานที่ดังกล่าวข้างต้น”
......
สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8013
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน ส่งสาส์นวันสงกรานต์อวยพรผู้ใช้แรงงาน
|
วันศุกร์ที่ 13 เมษายน 2561
รมว.แรงงาน ส่งสาส์นวันสงกรานต์อวยพรผู้ใช้แรงงาน
พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ส่งสาส์นวันสงกรานต์ ปี 2561
ถึงผู้ใช้แรงงาน เตรียมความพร้อมในการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์พร้อมอวยพรให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า เนื่องในโอกาสเทศกาลวันสงกรานต์ ปี 2561 ซึ่งเป็นปีใหม่ไทย พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ส่งสาส์นอวยพรถึงพี่น้องผู้ใช้แรงงาน นายจ้าง เจ้าของสถานประกอบกิจการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และภาคีเครือข่ายต่าง ๆ โดยมีสาระสําคัญดังนี้ “กระทรวงแรงงานมีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานในการเดินทางกลับภูมิลําเนาอย่างปลอดภัย จึงได้ขอความร่วมมือนายจ้าง เจ้าของสถานประกอบกิจการ อํานวยความสะดวกแก่ลูกจ้าง โดยพิจารณาให้ลูกจ้างได้หยุดต่อเนื่องในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อให้ผู้ใช้แรงงานหลีกเลี่ยงปัญหาแออัดในการเดินทาง และลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ สร้างความตระหนักให้กับลูกจ้างถึงความสําคัญในการปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด”
อธิบดีกสร. กล่าวต่อว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้เน้นย้ําให้ลูกจ้างได้เตรียมความพร้อม ของร่างกาย เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ และไม่ดื่มสุราของมึนเมาระหว่างขับขี่ยานพาหนะ รวมถึงเตรียมพร้อมเกี่ยวกับเอกสารประจําตัวเพื่อความสะดวกในการเดินทางเข้าออกประเทศ และขออวยพรให้ผู้ใช้แรงงานทุกคนเดินทางกลับภูมิลําเนาโดยสวัสดิภาพ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน ส่งสาส์นวันสงกรานต์อวยพรผู้ใช้แรงงาน
วันศุกร์ที่ 13 เมษายน 2561
รมว.แรงงาน ส่งสาส์นวันสงกรานต์อวยพรผู้ใช้แรงงาน
พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ส่งสาส์นวันสงกรานต์ ปี 2561
ถึงผู้ใช้แรงงาน เตรียมความพร้อมในการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์พร้อมอวยพรให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า เนื่องในโอกาสเทศกาลวันสงกรานต์ ปี 2561 ซึ่งเป็นปีใหม่ไทย พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ส่งสาส์นอวยพรถึงพี่น้องผู้ใช้แรงงาน นายจ้าง เจ้าของสถานประกอบกิจการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และภาคีเครือข่ายต่าง ๆ โดยมีสาระสําคัญดังนี้ “กระทรวงแรงงานมีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานในการเดินทางกลับภูมิลําเนาอย่างปลอดภัย จึงได้ขอความร่วมมือนายจ้าง เจ้าของสถานประกอบกิจการ อํานวยความสะดวกแก่ลูกจ้าง โดยพิจารณาให้ลูกจ้างได้หยุดต่อเนื่องในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อให้ผู้ใช้แรงงานหลีกเลี่ยงปัญหาแออัดในการเดินทาง และลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ สร้างความตระหนักให้กับลูกจ้างถึงความสําคัญในการปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด”
อธิบดีกสร. กล่าวต่อว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้เน้นย้ําให้ลูกจ้างได้เตรียมความพร้อม ของร่างกาย เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ และไม่ดื่มสุราของมึนเมาระหว่างขับขี่ยานพาหนะ รวมถึงเตรียมพร้อมเกี่ยวกับเอกสารประจําตัวเพื่อความสะดวกในการเดินทางเข้าออกประเทศ และขออวยพรให้ผู้ใช้แรงงานทุกคนเดินทางกลับภูมิลําเนาโดยสวัสดิภาพ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11488
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจำกัดการให้บริการสำหรับรถยนต์ทั่วไปบนทางพิเศษทุกด่าน ทุกสายทางช่วงเคอร์ฟิว ยกเว้นรถที่ได้รับอนุญาต [กระทรวงคมนาคม]
|
วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน 2563
การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจํากัดการให้บริการสําหรับรถยนต์ทั่วไปบนทางพิเศษทุกด่าน ทุกสายทางช่วงเคอร์ฟิว ยกเว้นรถที่ได้รับอนุญาต [กระทรวงคมนาคม]
การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจํากัดการให้บริการสําหรับรถยนต์ทั่วไปบนทางพิเศษทุกด่าน ทุกสายทางช่วงเคอร์ฟิว ยกเว้นรถที่ได้รับอนุญาต
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคมแจ้งจํากัดการให้บริการสําหรับรถยนต์ทั่วไปบนทางพิเศษ ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ โดยออกข้อกําหนดห้ามบุคคลใดทั่วราชอาณาจักรออกนอกเคหสถาน ระหว่างเวลา 22.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ยกเว้นรถที่ได้รับอนุญาตตามข้อกําหนดดังกล่าว
ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ห้ามบุคคลใดทั่วราชอาณาจักรออกนอกเคหสถาน ระหว่างเวลา 22.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2563 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสCOVID-19 กทพ. จึงมีความจําเป็นต้องจํากัดการให้บริการสําหรับรถยนต์ทั่วไปบนทางพิเศษทุกด่าน ทุกสายทาง ระหว่างเวลา 22.00 -04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น สําหรับรถที่ได้รับการอนุญาตตามข้อกําหนดดังกล่าว อาทิ รถขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค รถขนส่งผลผลิตการเกษตร รถขนส่งยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ รถขนส่งน้ํามันเชื้อเพลิง รถรับ -ส่ง ผู้เดินทางไปและกลับจากท่าอากาศยาน และรถที่ได้รับอนุญาตอื่น ๆ รวมถึงรถเฉพาะกิจฉุกเฉิน และรถพยาบาล สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ประจําหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษเพื่อขออนุญาตขึ้นใช้ทางพิเศษได้เป็นกรณี ๆ ไป ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างเวลา 22.00 -04.00 น. ของวันรุ่งขึ้นกทพ. จะแสดงสัญลักษณ์ไฟกากบาทสีแดงบนหลังคาคลุมตู้เก็บค่าผ่านทางพิเศษทุกตู้ที่ปิดใช้งาน ทั้งตู้ระบบเก็บเงินสดและตู้ระบบอัตโนมัติ (Easy Pass)โดยจะเปิดให้บริการเฉพาะตู้ระบบเก็บเงินสด จํานวน 1 ตู้ เพื่อรองรับรถที่ได้รับอนุญาตตามข้อกําหนดให้สามารถขึ้นใช้ทางพิเศษได้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่EXAT Call Centerโทร. 1543 ตลอด 24 ชั่วโมง
กระทรวงคมนาคม
8 เมษายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจำกัดการให้บริการสำหรับรถยนต์ทั่วไปบนทางพิเศษทุกด่าน ทุกสายทางช่วงเคอร์ฟิว ยกเว้นรถที่ได้รับอนุญาต [กระทรวงคมนาคม]
วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน 2563
การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจํากัดการให้บริการสําหรับรถยนต์ทั่วไปบนทางพิเศษทุกด่าน ทุกสายทางช่วงเคอร์ฟิว ยกเว้นรถที่ได้รับอนุญาต [กระทรวงคมนาคม]
การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจํากัดการให้บริการสําหรับรถยนต์ทั่วไปบนทางพิเศษทุกด่าน ทุกสายทางช่วงเคอร์ฟิว ยกเว้นรถที่ได้รับอนุญาต
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคมแจ้งจํากัดการให้บริการสําหรับรถยนต์ทั่วไปบนทางพิเศษ ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ โดยออกข้อกําหนดห้ามบุคคลใดทั่วราชอาณาจักรออกนอกเคหสถาน ระหว่างเวลา 22.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ยกเว้นรถที่ได้รับอนุญาตตามข้อกําหนดดังกล่าว
ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ห้ามบุคคลใดทั่วราชอาณาจักรออกนอกเคหสถาน ระหว่างเวลา 22.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2563 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสCOVID-19 กทพ. จึงมีความจําเป็นต้องจํากัดการให้บริการสําหรับรถยนต์ทั่วไปบนทางพิเศษทุกด่าน ทุกสายทาง ระหว่างเวลา 22.00 -04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น สําหรับรถที่ได้รับการอนุญาตตามข้อกําหนดดังกล่าว อาทิ รถขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค รถขนส่งผลผลิตการเกษตร รถขนส่งยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ รถขนส่งน้ํามันเชื้อเพลิง รถรับ -ส่ง ผู้เดินทางไปและกลับจากท่าอากาศยาน และรถที่ได้รับอนุญาตอื่น ๆ รวมถึงรถเฉพาะกิจฉุกเฉิน และรถพยาบาล สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ประจําหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษเพื่อขออนุญาตขึ้นใช้ทางพิเศษได้เป็นกรณี ๆ ไป ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างเวลา 22.00 -04.00 น. ของวันรุ่งขึ้นกทพ. จะแสดงสัญลักษณ์ไฟกากบาทสีแดงบนหลังคาคลุมตู้เก็บค่าผ่านทางพิเศษทุกตู้ที่ปิดใช้งาน ทั้งตู้ระบบเก็บเงินสดและตู้ระบบอัตโนมัติ (Easy Pass)โดยจะเปิดให้บริการเฉพาะตู้ระบบเก็บเงินสด จํานวน 1 ตู้ เพื่อรองรับรถที่ได้รับอนุญาตตามข้อกําหนดให้สามารถขึ้นใช้ทางพิเศษได้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่EXAT Call Centerโทร. 1543 ตลอด 24 ชั่วโมง
กระทรวงคมนาคม
8 เมษายน 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28733
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จับมือ ปปส. รัฐวิสาหกิจ ลงนาม MOU ความร่วมมือป้องกันยาเสพติด
|
วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562
ก.แรงงาน จับมือ ปปส. รัฐวิสาหกิจ ลงนาม MOU ความร่วมมือป้องกันยาเสพติด
กระทรวงแรงงาน จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ระหว่าง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) และรัฐวิสาหกิจ จํานวน 15 หน่วยงาน ร่วมขับเคลื่อนและเป็นต้นแบบการดําเน
วันนี้ (27 กุมภาพันธ์ 2562) เวลา 10.30 น. ณ ห้องจอมพล ป. พิบูลสงคราม กระทรวงแรงงาน กรุงเทพมหานคร พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ เป็นประธานกล่าวเปิดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ระหว่าง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การยางแห่งประเทศไทย การยาสูบแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ บริษัท ปตท.จํากัด (มหาชน) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด โรงพิมพ์ตํารวจ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ และองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ โดยกล่าวว่า นโยบายรัฐบาลภายใต้การบริหารงานของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศเจตนารมณ์และกําหนดให้ปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อเร่งดําเนินการจัดการกับปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม และให้ยาเสพติดหมดสิ้นไปจากประเทศไทยโดยเร็ว ดังนั้น ทุกฝ่ายจึงต้องร่วมมือกันเพื่อเผชิญกับปัญหาและความท้าทายดังกล่าว โดยเริ่มต้นจากการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนให้มีความตระหนักและสร้างจิตสํานึกที่ดีร่วมกันในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศด้วยการป้องกันการแพร่ระบาดของยาเสพติดโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้แรงงานในทุกวิถีทาง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ใช้แรงงาน ส่งผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และประเทศชาติให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงแรงงานได้ดําเนินงาน ตามแผนบูรณาการในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานดําเนินการรณรงค์ ส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการเข้าร่วมโครงการโรงงานสีขาว และมาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกอบกิจการ ซึ่งปัจจุบันมีสถานประกอบกิจการที่ผ่านเกณฑ์โรงงานสีขาว 51,772 แห่ง แรงงานที่เกี่ยวข้อง 4,859,623 คน และผ่านเกณฑ์มาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด 6,646 แห่ง แรงงานที่เกี่ยวข้อง 1,325,395 คน และในวันนี้ได้ขยายความร่วมมือไปสู่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเพื่อร่วมกันขับเคลื่อน และเป็นต้นแบบสําหรับสถานประกอบกิจการ ทั่วประเทศในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ส่งผลให้พนักงานรัฐวิสาหกิจ 162,445 คน จาก 15 หน่วยงานที่ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงฯ และครอบครัวมีภูมิคุ้มกันในการป้องกันตนเองให้ห่างไกลยาเสพติด มีคุณภาพชีวิตที่ดี ตลอดจนลดปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จับมือ ปปส. รัฐวิสาหกิจ ลงนาม MOU ความร่วมมือป้องกันยาเสพติด
วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562
ก.แรงงาน จับมือ ปปส. รัฐวิสาหกิจ ลงนาม MOU ความร่วมมือป้องกันยาเสพติด
กระทรวงแรงงาน จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ระหว่าง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) และรัฐวิสาหกิจ จํานวน 15 หน่วยงาน ร่วมขับเคลื่อนและเป็นต้นแบบการดําเน
วันนี้ (27 กุมภาพันธ์ 2562) เวลา 10.30 น. ณ ห้องจอมพล ป. พิบูลสงคราม กระทรวงแรงงาน กรุงเทพมหานคร พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ เป็นประธานกล่าวเปิดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ระหว่าง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การยางแห่งประเทศไทย การยาสูบแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ บริษัท ปตท.จํากัด (มหาชน) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด โรงพิมพ์ตํารวจ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ และองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ โดยกล่าวว่า นโยบายรัฐบาลภายใต้การบริหารงานของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศเจตนารมณ์และกําหนดให้ปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อเร่งดําเนินการจัดการกับปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม และให้ยาเสพติดหมดสิ้นไปจากประเทศไทยโดยเร็ว ดังนั้น ทุกฝ่ายจึงต้องร่วมมือกันเพื่อเผชิญกับปัญหาและความท้าทายดังกล่าว โดยเริ่มต้นจากการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนให้มีความตระหนักและสร้างจิตสํานึกที่ดีร่วมกันในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศด้วยการป้องกันการแพร่ระบาดของยาเสพติดโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้แรงงานในทุกวิถีทาง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ใช้แรงงาน ส่งผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และประเทศชาติให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงแรงงานได้ดําเนินงาน ตามแผนบูรณาการในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานดําเนินการรณรงค์ ส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการเข้าร่วมโครงการโรงงานสีขาว และมาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกอบกิจการ ซึ่งปัจจุบันมีสถานประกอบกิจการที่ผ่านเกณฑ์โรงงานสีขาว 51,772 แห่ง แรงงานที่เกี่ยวข้อง 4,859,623 คน และผ่านเกณฑ์มาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด 6,646 แห่ง แรงงานที่เกี่ยวข้อง 1,325,395 คน และในวันนี้ได้ขยายความร่วมมือไปสู่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเพื่อร่วมกันขับเคลื่อน และเป็นต้นแบบสําหรับสถานประกอบกิจการ ทั่วประเทศในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ส่งผลให้พนักงานรัฐวิสาหกิจ 162,445 คน จาก 15 หน่วยงานที่ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงฯ และครอบครัวมีภูมิคุ้มกันในการป้องกันตนเองให้ห่างไกลยาเสพติด มีคุณภาพชีวิตที่ดี ตลอดจนลดปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19021
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีรับจะประเมินสถานการณ์และมาตรการ ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายเดือนเมษายน พร้อมขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมือเข้าสู่กระบวนการคัดกรองโรค State Quarantine และ Local Quarantine
|
วันพุธที่ 15 เมษายน 2563
นายกรัฐมนตรีรับจะประเมินสถานการณ์และมาตรการ ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายเดือนเมษายน พร้อมขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมือเข้าสู่กระบวนการคัดกรองโรค State Quarantine และ Local Quarantine
นายกรัฐมนตรีรับจะประเมินสถานการณ์และมาตรการ ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายเดือนเมษายน พร้อมขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมือเข้าสู่กระบวนการคัดกรองโรค State Quarantine และ Local Quarantine
วันนี้ (15 เม.ย. 63) เวลา 13.00 น. ณ โถงบัญชาการ ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยมีสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับจํานวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทยอยลดลงในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดสําหรับศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019พิจารณาว่าสามารถผ่อนปรนมาตรการใดบ้าง อย่างไรก็ตามยังคงมีความเสี่ยงสูง ที่จะมีการรวมกลุ่ม ชุมนุมของคน จึงมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดเตรียมมาตรการทั้งผ่อนปรนและเพิ่มความรัดกุมให้มากขึ้น ซึ่งรัฐบาลจะประเมินสถานการณ์อีกครั้งในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนเมษายน 2563 ทั้งนี้ หากมีการผ่อนปรนมาตรการต้องทําอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากบางพื้นที่ยังคงมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อยู่ โดยเฉพาะภาคกลาง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และ ภาคใต้ จึงต้องเตรียมความพร้อมของมาตรการในทุกมิติ รวมทั้งความร่วมมือจากภาคประชาชน หากกลับมาเปิดให้บริการกิจการต่าง ๆ จะต้องมีมาตรการต่างๆ เช่น การวัดอุณหภูมิ การใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ การจํากัดปริมาณของผู้เข้าใช้บริการเพื่อไม่ให้มีความแออัดมากเกินไป
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการประกาศใช้ พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 30 เม.ย. 63 นั้น ศบค. จะนําสถานการณ์ในหลายด้านต่างๆ มาพิจารณา แม้ว่าในขณะนี้ความรุนแรงของการแพร่ระบาดมีแนวโน้มลดลงในบางช่วง แต่หากขาดวินัย ความร่วมมือ ละเลยการปฏิบัติตามมาตรการ หย่อนความเข้มงวด อาจกลับมารุนแรงเพิ่มขึ้นได้
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงกรณีสถานเอกอัครราชทูตในบางประเทศ ได้ขออนุมัติเครื่องบินเช่าเหมาลําเพื่อรับคนไทยเดินทางกลับประเทศ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุข จะหารือร่วมกันอีกครั้งเพื่อเตรียมพร้อมรองรับ รวมทั้งสั่งการให้สถานเอกอัครราชทูต กรมการกงสุล ในต่างประเทศดูแลคนไทยทั้งอาหารการกินขระรอที่จะเดินทางกลับ เพราะทุกคนที่กลับมาจะต้องเข้าสู่กระบวนการ State Quarantine จึงต้องดูแลให้ครบถ้วนทั้งคนไทยที่อยากเดินทางกลับเข้าประเทศ และคนที่ต้องการเดินทางออกนอกประเทศ ที่ผ่านมาการเดินทางกลับเข้าประเทศของคนไทยเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามหลักเกณฑ์และจํานวนที่กําหนดไว้ ซึ่งขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมือกับทางภาครัฐเข้าสู่กระบวนการคัดกรองโรคทั้ง State Quarantine และ Local Quarantine เป็นเวลา 14 วัน
...................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีรับจะประเมินสถานการณ์และมาตรการ ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายเดือนเมษายน พร้อมขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมือเข้าสู่กระบวนการคัดกรองโรค State Quarantine และ Local Quarantine
วันพุธที่ 15 เมษายน 2563
นายกรัฐมนตรีรับจะประเมินสถานการณ์และมาตรการ ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายเดือนเมษายน พร้อมขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมือเข้าสู่กระบวนการคัดกรองโรค State Quarantine และ Local Quarantine
นายกรัฐมนตรีรับจะประเมินสถานการณ์และมาตรการ ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายเดือนเมษายน พร้อมขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมือเข้าสู่กระบวนการคัดกรองโรค State Quarantine และ Local Quarantine
วันนี้ (15 เม.ย. 63) เวลา 13.00 น. ณ โถงบัญชาการ ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยมีสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับจํานวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทยอยลดลงในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดสําหรับศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019พิจารณาว่าสามารถผ่อนปรนมาตรการใดบ้าง อย่างไรก็ตามยังคงมีความเสี่ยงสูง ที่จะมีการรวมกลุ่ม ชุมนุมของคน จึงมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดเตรียมมาตรการทั้งผ่อนปรนและเพิ่มความรัดกุมให้มากขึ้น ซึ่งรัฐบาลจะประเมินสถานการณ์อีกครั้งในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนเมษายน 2563 ทั้งนี้ หากมีการผ่อนปรนมาตรการต้องทําอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากบางพื้นที่ยังคงมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อยู่ โดยเฉพาะภาคกลาง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และ ภาคใต้ จึงต้องเตรียมความพร้อมของมาตรการในทุกมิติ รวมทั้งความร่วมมือจากภาคประชาชน หากกลับมาเปิดให้บริการกิจการต่าง ๆ จะต้องมีมาตรการต่างๆ เช่น การวัดอุณหภูมิ การใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ การจํากัดปริมาณของผู้เข้าใช้บริการเพื่อไม่ให้มีความแออัดมากเกินไป
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการประกาศใช้ พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 30 เม.ย. 63 นั้น ศบค. จะนําสถานการณ์ในหลายด้านต่างๆ มาพิจารณา แม้ว่าในขณะนี้ความรุนแรงของการแพร่ระบาดมีแนวโน้มลดลงในบางช่วง แต่หากขาดวินัย ความร่วมมือ ละเลยการปฏิบัติตามมาตรการ หย่อนความเข้มงวด อาจกลับมารุนแรงเพิ่มขึ้นได้
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงกรณีสถานเอกอัครราชทูตในบางประเทศ ได้ขออนุมัติเครื่องบินเช่าเหมาลําเพื่อรับคนไทยเดินทางกลับประเทศ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุข จะหารือร่วมกันอีกครั้งเพื่อเตรียมพร้อมรองรับ รวมทั้งสั่งการให้สถานเอกอัครราชทูต กรมการกงสุล ในต่างประเทศดูแลคนไทยทั้งอาหารการกินขระรอที่จะเดินทางกลับ เพราะทุกคนที่กลับมาจะต้องเข้าสู่กระบวนการ State Quarantine จึงต้องดูแลให้ครบถ้วนทั้งคนไทยที่อยากเดินทางกลับเข้าประเทศ และคนที่ต้องการเดินทางออกนอกประเทศ ที่ผ่านมาการเดินทางกลับเข้าประเทศของคนไทยเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามหลักเกณฑ์และจํานวนที่กําหนดไว้ ซึ่งขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมือกับทางภาครัฐเข้าสู่กระบวนการคัดกรองโรคทั้ง State Quarantine และ Local Quarantine เป็นเวลา 14 วัน
...................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29135
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก้าวแรกของข้าวสีไทยเจาะห้างค้าปลีกทั่วประเทศแคนาดา พาณิชย์ รุกตลาดข้าวสีในแคนาดาจับมือผู้นำเข้า สร้างกระแส Localization ข้าวพื้นเมืองแคนาดาและข้าวสีไทย
|
วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562
ก้าวแรกของข้าวสีไทยเจาะห้างค้าปลีกทั่วประเทศแคนาดา พาณิชย์ รุกตลาดข้าวสีในแคนาดาจับมือผู้นําเข้า สร้างกระแส Localization ข้าวพื้นเมืองแคนาดาและข้าวสีไทย
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าจากผลความสําเร็จและ Momentum ของโครงการ Healthy Rice Campaign 2018 ที่กระทรวงพาณิชย์
โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และกรมการค้าต่างประเทศ ได้นําคณะผู้แทนภาคเอกชนและผู้แทนที่เกี่ยวข้องเดินทางไปภูมิภาคอเมริกาเหนือ ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2561 โดยเริ่มจากนครโทรอนโต แคนาดา และเมืองใหญ่ๆในสหรัฐอเมริกา ทั้งนิวยอร์ก และวอชิงตันดีซี และเมืองสําคัญในภูมิภาคเอเชีย โดยได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ “ข้าวไรซ์เบอร์รี่” และ “ข้าว กข43 (RD43)” ที่ได้มีการเชิญผู้นําเข้าและสื่อมวลชนรายสําคัญเข้าร่วมงานในแต่ละแห่ง ล่าสุดได้รับรายงานจาก สํานักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโทรอนโต ว่าจากความสําเร็จของโครงการได้ปลุกกระแสความสนใจให้เกิดการเจรจาการค้าซื้อขายนําเข้าสินค้าข้าวเพื่อสุขภาพมากขึ้น ทําให้ปัจจุบันข้าวสีของไทย ได้เริ่มขยายไปอย่างแพร่หลาย โดยได้มีการวางจําหน่ายข้าวสีของไทยผสมกับข้าวท้องถิ่นในประเทศแคนาดา เนื่องจากกระแสชาวแคนาดาห่วงใยสุขภาพมากขึ้นและมองหาทางเลือก สินค้าข้าวสายพันธุ์ใหม่ๆ ข้าวสี ข้าวกล้องที่ดีต่อสุขภาพ
ทุกวันนี้ความสําเร็จของข้าวสี เช่นข้าวไรซ์เบอร์รี่ และข้าวกล้องสีของไทย ได้ขยับไปอีกขั้นหนึ่ง โดยสามารถ ขยายเจาะเข้าตลาดหลัก (Mainstream) ได้สําเร็จเป็นครั้งแรกในแคนาดา ที่ผ่านมาข้าวไรซ์เบอร์รี่และข้าวสีวางจําหน่ายภายในห้างซุปเปอร์มาร์เก็ตเอเชีย (Asian Supermarket) หรือร้านสินค้าอาหารเพื่อสุขภาพ (Health Shop) ร้านขายสินค้าออร์แกนิค (Organic Shop) ที่เป็นตลาด Niche Market เท่านั้น อย่างไรก็ดีสินค้าข้าวสีผสมเพื่อสุขภาพตัวใหม่นี้ มาจากบริษัท Floating Leaf ซึ่งเป็นผู้นําเข้าแคนาดาที่มีเชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงในกลุ่มสินค้าธัญพืชและข้าว (Grain and Rice) ได้นําเข้าข้าวสีและข้าวไรซ์เบอร์รี่จากไทยมาผสมและวางจําหน่ายตั้งแต่กลางเดือน มกราคม 2562 เป็นต้นมา ภายใต้ชื่อผลิตภัณฑ์ว่า Wild Rice Blend ในห้าง CostCo ที่มีกว่า 100 สาขาทั่วประเทศแคนาดาเจาะกลุ่มผู้รักห่วงใยสุขภาพ โดยเป็นข้าวที่มีส่วนผสมจากข้าว 5 สายพันธุ์ ได้แก่ Riceberry Rice (ข้าวไรซ์เบอร์รี่จากไทย), Kow Mum Red Rice (ข้าวมันแดงจากไทย), Long Grain Brown Rice (จากไทย), Wild Rice (จากแคนาดา) และ Calrose Rice (จากสหรัฐฯ) สินค้ามีส่วนผสมของข้าวจากไทยรวม 45% โดยสินค้าใหม่นี้ “ข้าวไรซ์เบอร์รี่” ทําหน้าที่เป็นพระเอกของสินค้า ข้าวชนิดใหม่ ที่บรรจุภัณฑ์ได้เน้นคําว่า Superfood, Deep Purple in Color (หมายถึงสาร Antioxidant ที่สูง) รวมถึง ระบุสารอาหารที่เป็นประโยชน์ อาทิ Manganese, Niacin, Thiamine, Vitamin B6, Phosphorus, Magnesium, Zinc & Copper อีกทั้งบรรจุภัณฑ์ได้ระบุว่าเป็นสินค้า Non-GMO, Vegan, Kosher และ Gluten Free
แคนาดาเป็นหนึ่งในประเทศโลกตะวันตก ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม (Multiculturalism) เนื่องจากนโยบาย Immigration Policy ที่เปิดรับให้คนต่างชาติสามารถย้ายถิ่นฐานมายังแคนาดา ที่ทําให้ชาวแคนาดา เปิดรับวัฒนธรรมใหม่ๆ รวมถึงอาหารและข้าวเป็นหนึ่งในสินค้าที่ชาวแคนาดาให้ความสนใจมากขึ้น เนื่องจากเป็นสินค้า Gluten Free และข้าวสี ข้าวกล้องเป็นอาหารที่กากใยสูง (High Fiber) ที่ชาวตะวันตกเริ่มหันมานิยมบริโภคข้าวเป็น Side Dish (อาหารจานเครื่องเคียง) มากขึ้น โดยรับประทานร่วมไปกับ ผักสลัด ฯลฯ ทุกวันนี้ ได้มีนวัตกรรมสินค้าใหม่ๆ ที่มีการ ผสมข้าวในกลุ่มที่เป็น Healthy Rice ทั้งนี้ประเทศแคนาดาเป็นประเทศที่มีอากาศหนาวเย็นไม่สามารถปลูกข้าวได้ยกเว้น Wild Rice ซึ่งเป็นข้าวป่าที่ปลูกได้ในแคนาดามีคุณค่าทางอาหารสูง แต่มีข้อด้อยในเรื่อง ลักษณะข้าวที่แข็งหุงยาก ต้องแช่น้ําก่อนหุง ใช้เวลานานในการหุงและราคาสูง ทําให้ผู้ผลิตหลายรายได้นําข้าวหลายสายพันธุ์มาผสม รวมถึงการใส่ธัญพืช หรือ Grain ชนิดอื่นในข้าวด้วย เพื่อให้มีคุณสมบัตินิ่มลง หุงและรับประทานง่ายขึ้น การที่บริษัท Floating Leaf ได้เลือก ข้าวไรซ์เบอร์รี่และข้าวสีของไทยเป็นวัตถุดิบในการออกสินค้าใหม่ชนิดนี้ ถือเป็นการผสมผสานระหว่างสินค้าท้องถิ่นกับ สินค้า นําเข้า (Localization) ที่เหมาะสมและลงตัวพร้อมสร้างโอกาสการค้าให้กับสินค้าข้าวสีของไทย
ที่ผ่านมาแนวทางการทําตลาดข้าวสีของไทยในแคนาดาเริ่มจากการประสานความร่วมมืออย่างต่อเนื่องจากภาครัฐและเอกชน เริ่มจาก สํานักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโทรอนโต ได้ทํางานร่วมกับอาหารไทยที่เป็นสมาชิก Thai Select ร่วมกับ Like-Minded Celebrity Chef ซึ่งเป็นเชฟที่มีชื่อเสียงและเห็นคุณค่าประโยชน์ของข้าวสี ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ในการนําเสนอสินค้าข้าวสีสายพันธุ์ใหม่นี้ ส่งเสริมภาพลักษณ์ว่าไทยเป็นแหล่งปลูกและผลิตข้าว คุณภาพสูงระดับโลก (ที่ขอบเขตกว้างไปกว่าข้าวหอมมะลิที่ชาวแคนาดาส่วนใหญ่รู้จัก) ความมีเสน่ห์และเอกลักษณ์ของข้าว ไทย ผลักดันสร้างกระแสผ่านสื่อหลายช่องทาง ให้เกิดการรับรู้ (Awareness) และการยอมรับถึงเรียนรู้คุณประโยชน์และรสชาติข้าวสีไทยที่เป็นเฉพาะ โดยร้านอาหารไทย Thai Select ชั้นนําในแคนาดาได้บรรจุเมนูข้าวสี ข้าวไรซ์เบอร์รี่ การนําเสนอเมนูจับคู่อาหารกับข้าวสีไทย (Food Pairing) รวมถึงทํางานร่วมกับสื่อในการนําเสนอแนวทางการประยุกต์การใช้ ข้าวสีไทยในอาหารชาวตะวันตก ผ่านสื่อ Influencer แขนงต่างๆ ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาสนใจข้าวสี ข้าวไรซ์เบอร์รี่มากขึ้น ควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมการตลาดคู่ขนานสร้างโมเมนตั้ม ต่อยอดด้วยการจัดโครงการส่งเสริมการขายร่วมกับผู้นําเข้าและห้างค้าปลีกเครือข่าย ทําให้เกิดการความต้องการและนําเข้าสินค้ากลุ่มข้าวสี ข้าวไรซ์เบอร์รี่เพิ่มขึ้น โดยขั้นตอนต่อไปคือการทําตลาดข้าวชนิดใหม่นี้ให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้นเจาะผู้บริโภคชาวตะวันตกผิวขาว (Caucasian) ที่เป็นเป้าหมายหลัก รวมถึงขยายช่องทางการ จัดจําหน่าย (Channel of Distribution) ในหลายช่องทาง เช่น ในห้าง ซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือ Health Food Shop ที่หลากหลายและห้างอื่นๆ ในประเทศแคนาดา
ทุกวันนี้ แคนาดาเป็นตลาดพรีเมี่ยมของข้าวไทย โดยเป็นตลาดข้าวหอมมะลิไทยที่ใหญ่อันดับ 4 ของโลก รองจาก สหรัฐฯ ฮ่องกง จีน และ แคนาดา โดยในปี 2561 ไทยส่งออกข้าวมายังแคนาดามูลค่า 87.69 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 24.38% และข้าวกล้อง (ข้าวไรซ์เบอร์รี่) มีมูลค่าส่งออกมูลค่า 1.65 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 39.83% ปัจจุบัน ตลาดข้าวสี ข้าวเพื่อสุขภาพได้เริ่มขยายตัวสู่ตลาด Mainstream ที่คู่แข่งของข้าวสีของไทยนั้น มาจากสหรัฐ ไต้หวัน และจีน ที่ทุกวันนี้ผู้บริโภคได้ตื่นตัวและหันมาสนใจบริโภคข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวกล้อง ข้าวสีของไทยมากขึ้น ซึ่งข้าว Wild Rice Blend ของบริษัท Floating Leaf นับว่าเป็นความสําเร็จก้าวแรกของไทยที่สามารถผลักดันให้ข้าวไรซ์เบอร์รี่ของไทย ให้เป็นที่รู้จัก และวางจําหน่ายทั่วประเทศแคนาดาต่อไปในอนาคต
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก้าวแรกของข้าวสีไทยเจาะห้างค้าปลีกทั่วประเทศแคนาดา พาณิชย์ รุกตลาดข้าวสีในแคนาดาจับมือผู้นำเข้า สร้างกระแส Localization ข้าวพื้นเมืองแคนาดาและข้าวสีไทย
วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562
ก้าวแรกของข้าวสีไทยเจาะห้างค้าปลีกทั่วประเทศแคนาดา พาณิชย์ รุกตลาดข้าวสีในแคนาดาจับมือผู้นําเข้า สร้างกระแส Localization ข้าวพื้นเมืองแคนาดาและข้าวสีไทย
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าจากผลความสําเร็จและ Momentum ของโครงการ Healthy Rice Campaign 2018 ที่กระทรวงพาณิชย์
โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และกรมการค้าต่างประเทศ ได้นําคณะผู้แทนภาคเอกชนและผู้แทนที่เกี่ยวข้องเดินทางไปภูมิภาคอเมริกาเหนือ ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2561 โดยเริ่มจากนครโทรอนโต แคนาดา และเมืองใหญ่ๆในสหรัฐอเมริกา ทั้งนิวยอร์ก และวอชิงตันดีซี และเมืองสําคัญในภูมิภาคเอเชีย โดยได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ “ข้าวไรซ์เบอร์รี่” และ “ข้าว กข43 (RD43)” ที่ได้มีการเชิญผู้นําเข้าและสื่อมวลชนรายสําคัญเข้าร่วมงานในแต่ละแห่ง ล่าสุดได้รับรายงานจาก สํานักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโทรอนโต ว่าจากความสําเร็จของโครงการได้ปลุกกระแสความสนใจให้เกิดการเจรจาการค้าซื้อขายนําเข้าสินค้าข้าวเพื่อสุขภาพมากขึ้น ทําให้ปัจจุบันข้าวสีของไทย ได้เริ่มขยายไปอย่างแพร่หลาย โดยได้มีการวางจําหน่ายข้าวสีของไทยผสมกับข้าวท้องถิ่นในประเทศแคนาดา เนื่องจากกระแสชาวแคนาดาห่วงใยสุขภาพมากขึ้นและมองหาทางเลือก สินค้าข้าวสายพันธุ์ใหม่ๆ ข้าวสี ข้าวกล้องที่ดีต่อสุขภาพ
ทุกวันนี้ความสําเร็จของข้าวสี เช่นข้าวไรซ์เบอร์รี่ และข้าวกล้องสีของไทย ได้ขยับไปอีกขั้นหนึ่ง โดยสามารถ ขยายเจาะเข้าตลาดหลัก (Mainstream) ได้สําเร็จเป็นครั้งแรกในแคนาดา ที่ผ่านมาข้าวไรซ์เบอร์รี่และข้าวสีวางจําหน่ายภายในห้างซุปเปอร์มาร์เก็ตเอเชีย (Asian Supermarket) หรือร้านสินค้าอาหารเพื่อสุขภาพ (Health Shop) ร้านขายสินค้าออร์แกนิค (Organic Shop) ที่เป็นตลาด Niche Market เท่านั้น อย่างไรก็ดีสินค้าข้าวสีผสมเพื่อสุขภาพตัวใหม่นี้ มาจากบริษัท Floating Leaf ซึ่งเป็นผู้นําเข้าแคนาดาที่มีเชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงในกลุ่มสินค้าธัญพืชและข้าว (Grain and Rice) ได้นําเข้าข้าวสีและข้าวไรซ์เบอร์รี่จากไทยมาผสมและวางจําหน่ายตั้งแต่กลางเดือน มกราคม 2562 เป็นต้นมา ภายใต้ชื่อผลิตภัณฑ์ว่า Wild Rice Blend ในห้าง CostCo ที่มีกว่า 100 สาขาทั่วประเทศแคนาดาเจาะกลุ่มผู้รักห่วงใยสุขภาพ โดยเป็นข้าวที่มีส่วนผสมจากข้าว 5 สายพันธุ์ ได้แก่ Riceberry Rice (ข้าวไรซ์เบอร์รี่จากไทย), Kow Mum Red Rice (ข้าวมันแดงจากไทย), Long Grain Brown Rice (จากไทย), Wild Rice (จากแคนาดา) และ Calrose Rice (จากสหรัฐฯ) สินค้ามีส่วนผสมของข้าวจากไทยรวม 45% โดยสินค้าใหม่นี้ “ข้าวไรซ์เบอร์รี่” ทําหน้าที่เป็นพระเอกของสินค้า ข้าวชนิดใหม่ ที่บรรจุภัณฑ์ได้เน้นคําว่า Superfood, Deep Purple in Color (หมายถึงสาร Antioxidant ที่สูง) รวมถึง ระบุสารอาหารที่เป็นประโยชน์ อาทิ Manganese, Niacin, Thiamine, Vitamin B6, Phosphorus, Magnesium, Zinc & Copper อีกทั้งบรรจุภัณฑ์ได้ระบุว่าเป็นสินค้า Non-GMO, Vegan, Kosher และ Gluten Free
แคนาดาเป็นหนึ่งในประเทศโลกตะวันตก ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม (Multiculturalism) เนื่องจากนโยบาย Immigration Policy ที่เปิดรับให้คนต่างชาติสามารถย้ายถิ่นฐานมายังแคนาดา ที่ทําให้ชาวแคนาดา เปิดรับวัฒนธรรมใหม่ๆ รวมถึงอาหารและข้าวเป็นหนึ่งในสินค้าที่ชาวแคนาดาให้ความสนใจมากขึ้น เนื่องจากเป็นสินค้า Gluten Free และข้าวสี ข้าวกล้องเป็นอาหารที่กากใยสูง (High Fiber) ที่ชาวตะวันตกเริ่มหันมานิยมบริโภคข้าวเป็น Side Dish (อาหารจานเครื่องเคียง) มากขึ้น โดยรับประทานร่วมไปกับ ผักสลัด ฯลฯ ทุกวันนี้ ได้มีนวัตกรรมสินค้าใหม่ๆ ที่มีการ ผสมข้าวในกลุ่มที่เป็น Healthy Rice ทั้งนี้ประเทศแคนาดาเป็นประเทศที่มีอากาศหนาวเย็นไม่สามารถปลูกข้าวได้ยกเว้น Wild Rice ซึ่งเป็นข้าวป่าที่ปลูกได้ในแคนาดามีคุณค่าทางอาหารสูง แต่มีข้อด้อยในเรื่อง ลักษณะข้าวที่แข็งหุงยาก ต้องแช่น้ําก่อนหุง ใช้เวลานานในการหุงและราคาสูง ทําให้ผู้ผลิตหลายรายได้นําข้าวหลายสายพันธุ์มาผสม รวมถึงการใส่ธัญพืช หรือ Grain ชนิดอื่นในข้าวด้วย เพื่อให้มีคุณสมบัตินิ่มลง หุงและรับประทานง่ายขึ้น การที่บริษัท Floating Leaf ได้เลือก ข้าวไรซ์เบอร์รี่และข้าวสีของไทยเป็นวัตถุดิบในการออกสินค้าใหม่ชนิดนี้ ถือเป็นการผสมผสานระหว่างสินค้าท้องถิ่นกับ สินค้า นําเข้า (Localization) ที่เหมาะสมและลงตัวพร้อมสร้างโอกาสการค้าให้กับสินค้าข้าวสีของไทย
ที่ผ่านมาแนวทางการทําตลาดข้าวสีของไทยในแคนาดาเริ่มจากการประสานความร่วมมืออย่างต่อเนื่องจากภาครัฐและเอกชน เริ่มจาก สํานักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโทรอนโต ได้ทํางานร่วมกับอาหารไทยที่เป็นสมาชิก Thai Select ร่วมกับ Like-Minded Celebrity Chef ซึ่งเป็นเชฟที่มีชื่อเสียงและเห็นคุณค่าประโยชน์ของข้าวสี ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ในการนําเสนอสินค้าข้าวสีสายพันธุ์ใหม่นี้ ส่งเสริมภาพลักษณ์ว่าไทยเป็นแหล่งปลูกและผลิตข้าว คุณภาพสูงระดับโลก (ที่ขอบเขตกว้างไปกว่าข้าวหอมมะลิที่ชาวแคนาดาส่วนใหญ่รู้จัก) ความมีเสน่ห์และเอกลักษณ์ของข้าว ไทย ผลักดันสร้างกระแสผ่านสื่อหลายช่องทาง ให้เกิดการรับรู้ (Awareness) และการยอมรับถึงเรียนรู้คุณประโยชน์และรสชาติข้าวสีไทยที่เป็นเฉพาะ โดยร้านอาหารไทย Thai Select ชั้นนําในแคนาดาได้บรรจุเมนูข้าวสี ข้าวไรซ์เบอร์รี่ การนําเสนอเมนูจับคู่อาหารกับข้าวสีไทย (Food Pairing) รวมถึงทํางานร่วมกับสื่อในการนําเสนอแนวทางการประยุกต์การใช้ ข้าวสีไทยในอาหารชาวตะวันตก ผ่านสื่อ Influencer แขนงต่างๆ ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาสนใจข้าวสี ข้าวไรซ์เบอร์รี่มากขึ้น ควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมการตลาดคู่ขนานสร้างโมเมนตั้ม ต่อยอดด้วยการจัดโครงการส่งเสริมการขายร่วมกับผู้นําเข้าและห้างค้าปลีกเครือข่าย ทําให้เกิดการความต้องการและนําเข้าสินค้ากลุ่มข้าวสี ข้าวไรซ์เบอร์รี่เพิ่มขึ้น โดยขั้นตอนต่อไปคือการทําตลาดข้าวชนิดใหม่นี้ให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้นเจาะผู้บริโภคชาวตะวันตกผิวขาว (Caucasian) ที่เป็นเป้าหมายหลัก รวมถึงขยายช่องทางการ จัดจําหน่าย (Channel of Distribution) ในหลายช่องทาง เช่น ในห้าง ซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือ Health Food Shop ที่หลากหลายและห้างอื่นๆ ในประเทศแคนาดา
ทุกวันนี้ แคนาดาเป็นตลาดพรีเมี่ยมของข้าวไทย โดยเป็นตลาดข้าวหอมมะลิไทยที่ใหญ่อันดับ 4 ของโลก รองจาก สหรัฐฯ ฮ่องกง จีน และ แคนาดา โดยในปี 2561 ไทยส่งออกข้าวมายังแคนาดามูลค่า 87.69 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 24.38% และข้าวกล้อง (ข้าวไรซ์เบอร์รี่) มีมูลค่าส่งออกมูลค่า 1.65 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 39.83% ปัจจุบัน ตลาดข้าวสี ข้าวเพื่อสุขภาพได้เริ่มขยายตัวสู่ตลาด Mainstream ที่คู่แข่งของข้าวสีของไทยนั้น มาจากสหรัฐ ไต้หวัน และจีน ที่ทุกวันนี้ผู้บริโภคได้ตื่นตัวและหันมาสนใจบริโภคข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวกล้อง ข้าวสีของไทยมากขึ้น ซึ่งข้าว Wild Rice Blend ของบริษัท Floating Leaf นับว่าเป็นความสําเร็จก้าวแรกของไทยที่สามารถผลักดันให้ข้าวไรซ์เบอร์รี่ของไทย ให้เป็นที่รู้จัก และวางจําหน่ายทั่วประเทศแคนาดาต่อไปในอนาคต
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19043
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยชี้แจง การใช้งบประมาณตลาดชุมชนประชารัฐ จ.กำแพงเพชร
|
วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561
กระทรวงมหาดไทยชี้แจง การใช้งบประมาณตลาดชุมชนประชารัฐ จ.กําแพงเพชร
กระทรวงมหาดไทยชี้แจง การใช้งบประมาณตลาดชุมชนประชารัฐ จ.กําแพงเพชร
วันที่ 24 สิงหาคม 2561 นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยและโฆษกกระทรวงมหาดไทย สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กระทรวงมหาดไทย ชี้แจงประเด็น การใช้งบประมาณตลาดชุมชนประชารัฐ โดยนายธัชชัย สีสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดกําแพงเพชร ได้ให้ข้อเท็จจริง ดังนี้
จังหวัดกําแพงเพชรได้ให้สํานักงานพาณิชย์จังหวัดกําแพงเพชร ตรวจสอบข้อเท็จจริงและชี้แจงกรณีดังกล่าว ทราบว่า กรมการค้าภายในสนับสนุนงบประมาณ ปี 2560 ภายใต้โครงการส่งเสริมตลาดกลาง – ตลาดชุมชน (ตลาดต้องชม) ประชารัฐเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาค งบประมาณ 790,000 บาท ซึ่งมีสํานักงานพาณิชย์จังหวัดกําแพงเพชร เป็นหน่วยดําเนินการ
ปัจจุบันสํานักงานพาณิชย์จังหวัดกําแพงเพชรได้ดําเนินงานก่อสร้างซุ้มทางเข้าถนนคนเดิน ขนาดความยาว 17 เมตร สูง 5x8 เมตร จํานวน 2 ซุ้ม และห้องน้ําสาธารณะ ขนาดพื้นที่ 28 ตรม. จํานวน 1 หลัง ซึ่งดําเนินการแล้วเสร็จ เดือนมกราคม 2561 แต่ยังไม่มีการเปิดใช้งาน เนื่องจากจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการดูแลบํารุงรักษา ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวเป็นของกรมการค้าภายใน ซึ่งยังไม่ได้มีการส่งมอบให้กับเทศบาลเมืองกําแพงเพชร เพื่อรับไปดูแลบริหารจัดการ สําหรับการจัดซื้อจัดจ้าง ดําเนินการโดยวิธีสอบราคา เนื่องจากวงเงินงบประมาณที่ใช้ในการจ้างมีราคาไม่เกิน 2,000,000 บาท ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นการดําเนินการตามขั้นตอนของระเบียบพัสดุ
ทั้งนี้ แนวทางในการดําเนินต่อไปกรมการค้าภายในจะเร่งรัดเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการส่งมอบทรัพย์สินดังกล่าวให้กับเทศบาลเมืองกําแพงเพชร เพื่อใช้สามารถใช้ประโยชน์จากโครงการได้ต่อไป
---------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยชี้แจง การใช้งบประมาณตลาดชุมชนประชารัฐ จ.กำแพงเพชร
วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561
กระทรวงมหาดไทยชี้แจง การใช้งบประมาณตลาดชุมชนประชารัฐ จ.กําแพงเพชร
กระทรวงมหาดไทยชี้แจง การใช้งบประมาณตลาดชุมชนประชารัฐ จ.กําแพงเพชร
วันที่ 24 สิงหาคม 2561 นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยและโฆษกกระทรวงมหาดไทย สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กระทรวงมหาดไทย ชี้แจงประเด็น การใช้งบประมาณตลาดชุมชนประชารัฐ โดยนายธัชชัย สีสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดกําแพงเพชร ได้ให้ข้อเท็จจริง ดังนี้
จังหวัดกําแพงเพชรได้ให้สํานักงานพาณิชย์จังหวัดกําแพงเพชร ตรวจสอบข้อเท็จจริงและชี้แจงกรณีดังกล่าว ทราบว่า กรมการค้าภายในสนับสนุนงบประมาณ ปี 2560 ภายใต้โครงการส่งเสริมตลาดกลาง – ตลาดชุมชน (ตลาดต้องชม) ประชารัฐเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาค งบประมาณ 790,000 บาท ซึ่งมีสํานักงานพาณิชย์จังหวัดกําแพงเพชร เป็นหน่วยดําเนินการ
ปัจจุบันสํานักงานพาณิชย์จังหวัดกําแพงเพชรได้ดําเนินงานก่อสร้างซุ้มทางเข้าถนนคนเดิน ขนาดความยาว 17 เมตร สูง 5x8 เมตร จํานวน 2 ซุ้ม และห้องน้ําสาธารณะ ขนาดพื้นที่ 28 ตรม. จํานวน 1 หลัง ซึ่งดําเนินการแล้วเสร็จ เดือนมกราคม 2561 แต่ยังไม่มีการเปิดใช้งาน เนื่องจากจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการดูแลบํารุงรักษา ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวเป็นของกรมการค้าภายใน ซึ่งยังไม่ได้มีการส่งมอบให้กับเทศบาลเมืองกําแพงเพชร เพื่อรับไปดูแลบริหารจัดการ สําหรับการจัดซื้อจัดจ้าง ดําเนินการโดยวิธีสอบราคา เนื่องจากวงเงินงบประมาณที่ใช้ในการจ้างมีราคาไม่เกิน 2,000,000 บาท ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นการดําเนินการตามขั้นตอนของระเบียบพัสดุ
ทั้งนี้ แนวทางในการดําเนินต่อไปกรมการค้าภายในจะเร่งรัดเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการส่งมอบทรัพย์สินดังกล่าวให้กับเทศบาลเมืองกําแพงเพชร เพื่อใช้สามารถใช้ประโยชน์จากโครงการได้ต่อไป
---------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14922
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เผยผลโพล “วันวิสาขบูชา” ปชช.ร้อยละ 75 ทราบเป็นวันสำคัญของโลก ร้อยละ 90 ระบุ เป็นวันประสูติ-ตรัสรู้-ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ปชช. ตั้งใจเวียนเทียน-แต่งชุดไทยไปทำบุญ-เข้าวัดปฏิบั
|
วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม 2561
วธ.เผยผลโพล “วันวิสาขบูชา” ปชช.ร้อยละ 75 ทราบเป็นวันสําคัญของโลก ร้อยละ 90 ระบุ เป็นวันประสูติ-ตรัสรู้-ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ปชช. ตั้งใจเวียนเทียน-แต่งชุดไทยไปทําบุญ-เข้าวัดปฏิบั
วธ.เผยผลโพล “วันวิสาขบูชา” ปชช.ร้อยละ 75 ทราบเป็นวันสําคัญของโลก ร้อยละ 90 ระบุ เป็นวันประสูติ-ตรัสรู้-ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า
ปชช. ตั้งใจเวียนเทียน-แต่งชุดไทยไปทําบุญ-เข้าวัดปฏิบัติธรรมกับคนในครอบครัว-ญาติ-แฟนแนะผลิตสื่อเผยแพร่ โซเชียลมีเดีย
นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานผลการสํารวจความคิดเห็น ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สํารวจความคิดเห็นประชาชนเนื่องในวันวิสาขบูชา โดยปีนี้ตรงกับวันที่ 29 พ.ค. 2561 จากกลุ่มตัวอย่าง 2,599 คน ทั่วประเทศ ทั้งนี้จากการสํารวจความคิดเห็นประชาชนพบว่า ร้อยละ 75.23 ทราบว่าองค์การสหประชาชาติกําหนดให้“วันวิสาขบูชา”เป็นวันสําคัญของโลกและร้อยละ 90.62 ทราบถึงความสําคัญของวันวิสาขบูชาว่า เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือความสําเร็จ และเป็นวันที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน
นายวีระ กล่าวอีกว่า ส่วนสิ่งที่ชาวพุทธตั้งใจจะทําในเทศกาลวันวิสาขบูชาปีนี้พบว่า ร้อยละ 70.33 จะไปเวียนเทียน ร้อยละ 63.02 แต่งชุดผ้าไทยไปทําบุญตักบาตร ร้อยละ 50.23 แต่งชุดขาวเข้าวัดปฏิบัติธรรม ร้อยละ 49.86 ถือศีล 5 หรือ ศีล 8 ร้อยละ 48.62 ลด ละ เลิก อบายมุข นอกจากนี้ เมื่อสอบถามว่าหากมีโอกาสไปทําบุญวันวิสาขบูชาจะชวนใครไปด้วย อันดับ 1 ระบุว่าจะชวน พ่อแม่ พี่ น้อง รองลงมา ญาติผู้ใหญ่ ปู่ย่า ตายาย แฟน/คู่สมรส เพื่อน/เพื่อนที่ทํางาน/เพื่อนบ้าน
นายวีระ กล่าวต่อไปว่า ผลสํารวจยังสอบถามภาครัฐ และ วธ. ควรจัดกิจกรรมประเภทใด เพื่อดึงดูดให้วัยรุ่นหรือคนรุ่นใหม่หันมาเข้าวัดในวันวิสาขบูชามากขึ้น อันดับ 1 บอกว่า ควรจัดทําสื่อประชาสัมพันธ์ทางโซเชียลมีเดีย เพื่อเข้าถึงวัยรุ่นได้ง่ายและรวดเร็ว เช่น เฟสบุ๊ค ไลน์ ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม เป็นต้น รองลงมาจัดนิทรรศการเกี่ยวกับวันสําคัญทางศาสนาในรูปแบบที่ทันสมัย และน่าสนใจ จัดประกวดแข่งขันที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา อาทิ ประกวดภาพถ่าย คลิปวีดิโอ หนังสั้น ฯลฯและร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการนํานักเรียน นักศึกษา เข้าร่วมกิจกรรมทางพุทธศาสนาในทุกเทศกาล
นอกจากนี้ ควรส่งเสริม และสนับสนุนให้มีพระนักเทศน์ที่มีวิธีการและรูปแบบในการเทศน์ที่สนุกสนานและสอดแทรกธรรมะเพื่อดึงดูดให้วัยรุ่นหรือคนรุ่นใหม่หันมาเข้าวัดมากขึ้น อาทิ พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ฯลฯ และร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อสร้างการรับรู้และจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา โดยให้บุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นผู้เชิญชวนเข้าร่วมกิจกรรม อาทิ นายกรัฐมนตรี ศิลปิน นักร้อง นักแสดง ฯลฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เผยผลโพล “วันวิสาขบูชา” ปชช.ร้อยละ 75 ทราบเป็นวันสำคัญของโลก ร้อยละ 90 ระบุ เป็นวันประสูติ-ตรัสรู้-ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ปชช. ตั้งใจเวียนเทียน-แต่งชุดไทยไปทำบุญ-เข้าวัดปฏิบั
วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม 2561
วธ.เผยผลโพล “วันวิสาขบูชา” ปชช.ร้อยละ 75 ทราบเป็นวันสําคัญของโลก ร้อยละ 90 ระบุ เป็นวันประสูติ-ตรัสรู้-ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ปชช. ตั้งใจเวียนเทียน-แต่งชุดไทยไปทําบุญ-เข้าวัดปฏิบั
วธ.เผยผลโพล “วันวิสาขบูชา” ปชช.ร้อยละ 75 ทราบเป็นวันสําคัญของโลก ร้อยละ 90 ระบุ เป็นวันประสูติ-ตรัสรู้-ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า
ปชช. ตั้งใจเวียนเทียน-แต่งชุดไทยไปทําบุญ-เข้าวัดปฏิบัติธรรมกับคนในครอบครัว-ญาติ-แฟนแนะผลิตสื่อเผยแพร่ โซเชียลมีเดีย
นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานผลการสํารวจความคิดเห็น ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สํารวจความคิดเห็นประชาชนเนื่องในวันวิสาขบูชา โดยปีนี้ตรงกับวันที่ 29 พ.ค. 2561 จากกลุ่มตัวอย่าง 2,599 คน ทั่วประเทศ ทั้งนี้จากการสํารวจความคิดเห็นประชาชนพบว่า ร้อยละ 75.23 ทราบว่าองค์การสหประชาชาติกําหนดให้“วันวิสาขบูชา”เป็นวันสําคัญของโลกและร้อยละ 90.62 ทราบถึงความสําคัญของวันวิสาขบูชาว่า เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือความสําเร็จ และเป็นวันที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน
นายวีระ กล่าวอีกว่า ส่วนสิ่งที่ชาวพุทธตั้งใจจะทําในเทศกาลวันวิสาขบูชาปีนี้พบว่า ร้อยละ 70.33 จะไปเวียนเทียน ร้อยละ 63.02 แต่งชุดผ้าไทยไปทําบุญตักบาตร ร้อยละ 50.23 แต่งชุดขาวเข้าวัดปฏิบัติธรรม ร้อยละ 49.86 ถือศีล 5 หรือ ศีล 8 ร้อยละ 48.62 ลด ละ เลิก อบายมุข นอกจากนี้ เมื่อสอบถามว่าหากมีโอกาสไปทําบุญวันวิสาขบูชาจะชวนใครไปด้วย อันดับ 1 ระบุว่าจะชวน พ่อแม่ พี่ น้อง รองลงมา ญาติผู้ใหญ่ ปู่ย่า ตายาย แฟน/คู่สมรส เพื่อน/เพื่อนที่ทํางาน/เพื่อนบ้าน
นายวีระ กล่าวต่อไปว่า ผลสํารวจยังสอบถามภาครัฐ และ วธ. ควรจัดกิจกรรมประเภทใด เพื่อดึงดูดให้วัยรุ่นหรือคนรุ่นใหม่หันมาเข้าวัดในวันวิสาขบูชามากขึ้น อันดับ 1 บอกว่า ควรจัดทําสื่อประชาสัมพันธ์ทางโซเชียลมีเดีย เพื่อเข้าถึงวัยรุ่นได้ง่ายและรวดเร็ว เช่น เฟสบุ๊ค ไลน์ ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม เป็นต้น รองลงมาจัดนิทรรศการเกี่ยวกับวันสําคัญทางศาสนาในรูปแบบที่ทันสมัย และน่าสนใจ จัดประกวดแข่งขันที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา อาทิ ประกวดภาพถ่าย คลิปวีดิโอ หนังสั้น ฯลฯและร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการนํานักเรียน นักศึกษา เข้าร่วมกิจกรรมทางพุทธศาสนาในทุกเทศกาล
นอกจากนี้ ควรส่งเสริม และสนับสนุนให้มีพระนักเทศน์ที่มีวิธีการและรูปแบบในการเทศน์ที่สนุกสนานและสอดแทรกธรรมะเพื่อดึงดูดให้วัยรุ่นหรือคนรุ่นใหม่หันมาเข้าวัดมากขึ้น อาทิ พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ฯลฯ และร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อสร้างการรับรู้และจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา โดยให้บุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นผู้เชิญชวนเข้าร่วมกิจกรรม อาทิ นายกรัฐมนตรี ศิลปิน นักร้อง นักแสดง ฯลฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12611
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ นำ พาณิชย์-เกษตร ร่วมมือเชื่อมฐานข้อมูลสินค้าเกษตร BigData
|
วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2562
จุรินทร์ นํา พาณิชย์-เกษตร ร่วมมือเชื่อมฐานข้อมูลสินค้าเกษตร BigData
(12 พฤศจิกายน 2562) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ประชุมหารือร่วมกันเพื่อกําหนดแนวทางความร่วมมือบูรณาการในระดับส่วนกลาง
เรื่องเชื่อมโยงฐานข้อมูลสินค้าเกษตร (Big Data) ในระดับจังหวัด ระดับภูมิภาค และระดับประเทศเพื่อใช้ในการบริหารจัดการทั้งระบบเพื่อให้สินค้าเกษตรที่ผลิตได้มีความสมดุล ทั้งในด้านปริมาณความต้องการซื้อ และความต้องการขายซึ่งจะส่งผลให้สินค้าเกษตรมีเสถียรภาพด้านราคาทําให้เกษตรกรมีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ในส่วนกระทรวงพาณิชย์ ได้มอบหมายให้สํานักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.) ให้จัดทําระบบกํากับและติดตามนโยบายด้านการบริหารจัดการสินค้าเกษตรสําคัญ 5 รายการ ได้แก่ ข้าว ปาล์มน้ํามัน ยางพารา มันสําปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อนํามาศึกษาวิเคราะห์สําหรับประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์ของผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง
และ สนค. ได้หารือร่วมกับผู้อํานวยการและเจ้าหน้าที่ศูนย์เทคโนโลยีสาระสนเทศและการสื่อสาร สํานักงานปลัด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เกี่ยวกับแนวทางการจัดทํา MOU ด้านการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยการดําเนินการเริ่มจากด้านการบริหารจัดการสินค้าเกษตรทั้งระบบเพื่อให้สินค้าเกษตรที่ผลิตได้มีความสมดุล ทั้งในด้านปริมาณความต้องการซื้อและความต้องการขาย ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าเกษตรมีเสถียรภาพด้านราคา และจัดเตรียมข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่พร้อมเชื่อมโยงสู่ระบบฐานข้อมูล เพื่อนําไปสู่การจัดทําระบบกํากับ และติดตามนโยบาย ซึ่งจะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนไปสู่การกําหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการสินค้าเกษตรทั้งระบบต่อไป
สําหรับรายละเอียดของ MOU หรือข้อตกลง คือ ส่งเสริมสนับสนุนการเชื่อมโยงข้อมูลเชิงลึกเพื่อใช้ในการตัดสินใจกําหนดนโยบาย และยุทธศาสตร์ ด้านการบริหารจัดการสินค้าเกษตรทั้งระบบ รวมถึงการปลดล๊อคเงื่อนไข หรือกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้ประโยชน์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจภาครัฐ ร่วมกันพัฒนาและดําเนินการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเก็บข้อมูล ที่สนับสนุนการใช้ปัญญาประดิษฐ์ รวมถึงพัฒนาฐานข้อมูลกลางให้มีมาตรฐานร่วมกัน เพื่อสร้างการเชื่อมโยงข้อมูลที่มีความต่อเนื่องทันสมัย และเป็นอัตโนมัติ ร่วมกันออกแบบ กระบวนการบริหารจัดการข้อมูลที่เป็นความลับ โดยทั้งสองฝ่ายจะใช้ข้อมูลดังกล่าวสําหรับการประมวลผล และวิเคราะห์สําหรับประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบาย และยุทธศาสตร์ สําหรับผู้บริหารระดับสูง โดยจะรักษาความลับ และไม่เปิดเผยไม่ว่ากรณีใด เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากหน่วยงานเจ้าของข้อมูล ต่อไปคือให้จัดตั้งทีมงานด้านเทคนิคและข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมจัดทําแผนปฏิบัติการเพื่อดําเนินการขับเคลื่อนการดําเนินการ ตามประเด็นความร่วมมือ ให้บรรลุผลโดยเร็วและมีประสิทธิภาพ
" การจัดทําบิ๊กดาต้าราวมกันนี้จะเป็นประโยชน์สําหรับการแก้ไขปัญหาประชาชนได้ทันเวลาและตรงกับยุทธศาสตร์ง่ายต่อการตัดสินใจทางนโยบายและสําหรับประเทศไทยซึ่งเป็นพื้นมีสินค้าเกษตรจํานวนมากต้องบูรณาการระหว่างกระทรวง " นายจุรินทร์ กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ นำ พาณิชย์-เกษตร ร่วมมือเชื่อมฐานข้อมูลสินค้าเกษตร BigData
วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2562
จุรินทร์ นํา พาณิชย์-เกษตร ร่วมมือเชื่อมฐานข้อมูลสินค้าเกษตร BigData
(12 พฤศจิกายน 2562) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ประชุมหารือร่วมกันเพื่อกําหนดแนวทางความร่วมมือบูรณาการในระดับส่วนกลาง
เรื่องเชื่อมโยงฐานข้อมูลสินค้าเกษตร (Big Data) ในระดับจังหวัด ระดับภูมิภาค และระดับประเทศเพื่อใช้ในการบริหารจัดการทั้งระบบเพื่อให้สินค้าเกษตรที่ผลิตได้มีความสมดุล ทั้งในด้านปริมาณความต้องการซื้อ และความต้องการขายซึ่งจะส่งผลให้สินค้าเกษตรมีเสถียรภาพด้านราคาทําให้เกษตรกรมีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ในส่วนกระทรวงพาณิชย์ ได้มอบหมายให้สํานักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.) ให้จัดทําระบบกํากับและติดตามนโยบายด้านการบริหารจัดการสินค้าเกษตรสําคัญ 5 รายการ ได้แก่ ข้าว ปาล์มน้ํามัน ยางพารา มันสําปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อนํามาศึกษาวิเคราะห์สําหรับประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์ของผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง
และ สนค. ได้หารือร่วมกับผู้อํานวยการและเจ้าหน้าที่ศูนย์เทคโนโลยีสาระสนเทศและการสื่อสาร สํานักงานปลัด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เกี่ยวกับแนวทางการจัดทํา MOU ด้านการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยการดําเนินการเริ่มจากด้านการบริหารจัดการสินค้าเกษตรทั้งระบบเพื่อให้สินค้าเกษตรที่ผลิตได้มีความสมดุล ทั้งในด้านปริมาณความต้องการซื้อและความต้องการขาย ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าเกษตรมีเสถียรภาพด้านราคา และจัดเตรียมข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่พร้อมเชื่อมโยงสู่ระบบฐานข้อมูล เพื่อนําไปสู่การจัดทําระบบกํากับ และติดตามนโยบาย ซึ่งจะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนไปสู่การกําหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการสินค้าเกษตรทั้งระบบต่อไป
สําหรับรายละเอียดของ MOU หรือข้อตกลง คือ ส่งเสริมสนับสนุนการเชื่อมโยงข้อมูลเชิงลึกเพื่อใช้ในการตัดสินใจกําหนดนโยบาย และยุทธศาสตร์ ด้านการบริหารจัดการสินค้าเกษตรทั้งระบบ รวมถึงการปลดล๊อคเงื่อนไข หรือกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้ประโยชน์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจภาครัฐ ร่วมกันพัฒนาและดําเนินการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเก็บข้อมูล ที่สนับสนุนการใช้ปัญญาประดิษฐ์ รวมถึงพัฒนาฐานข้อมูลกลางให้มีมาตรฐานร่วมกัน เพื่อสร้างการเชื่อมโยงข้อมูลที่มีความต่อเนื่องทันสมัย และเป็นอัตโนมัติ ร่วมกันออกแบบ กระบวนการบริหารจัดการข้อมูลที่เป็นความลับ โดยทั้งสองฝ่ายจะใช้ข้อมูลดังกล่าวสําหรับการประมวลผล และวิเคราะห์สําหรับประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบาย และยุทธศาสตร์ สําหรับผู้บริหารระดับสูง โดยจะรักษาความลับ และไม่เปิดเผยไม่ว่ากรณีใด เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากหน่วยงานเจ้าของข้อมูล ต่อไปคือให้จัดตั้งทีมงานด้านเทคนิคและข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมจัดทําแผนปฏิบัติการเพื่อดําเนินการขับเคลื่อนการดําเนินการ ตามประเด็นความร่วมมือ ให้บรรลุผลโดยเร็วและมีประสิทธิภาพ
" การจัดทําบิ๊กดาต้าราวมกันนี้จะเป็นประโยชน์สําหรับการแก้ไขปัญหาประชาชนได้ทันเวลาและตรงกับยุทธศาสตร์ง่ายต่อการตัดสินใจทางนโยบายและสําหรับประเทศไทยซึ่งเป็นพื้นมีสินค้าเกษตรจํานวนมากต้องบูรณาการระหว่างกระทรวง " นายจุรินทร์ กล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24517
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการช่วยเหลืออุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19
|
วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563
มาตรการช่วยเหลืออุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19
วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ครม. เห็นชอบมาตรการช่วยเหลืออุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 โดยสนับสนุนให้ทุกส่วนราชการจัดประชุมและสัมมนาภายในประเทศ 3 เดือน ระหว่างเดือนเม.ย –มิ.ย. 2563 เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งระบบ แต่จะต้องมีมาตรการป้องกันควบคุมการติดเชื้ออย่างเข้มงวดร่วมกันระหว่างส่วนราชการกับสถานที่จัดสัมมนา เช่น ตรวจคัดกรองผู้เข้าร่วมสัมมนา ทําความสะอาดสถานที่ สวมหน้ากากอนามัย เป็นต้น โดยผลของมาตรการนี้ จะช่วยให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวชะลอการเลิกจ้างงาน และส่งผลเชิงบวกต่อความรู้สึกของนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างชาติ รวมทั้งนักลงทุนทั่วโลก และยังช่วยประคับประคองเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการช่วยเหลืออุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19
วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563
มาตรการช่วยเหลืออุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19
วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ครม. เห็นชอบมาตรการช่วยเหลืออุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 โดยสนับสนุนให้ทุกส่วนราชการจัดประชุมและสัมมนาภายในประเทศ 3 เดือน ระหว่างเดือนเม.ย –มิ.ย. 2563 เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งระบบ แต่จะต้องมีมาตรการป้องกันควบคุมการติดเชื้ออย่างเข้มงวดร่วมกันระหว่างส่วนราชการกับสถานที่จัดสัมมนา เช่น ตรวจคัดกรองผู้เข้าร่วมสัมมนา ทําความสะอาดสถานที่ สวมหน้ากากอนามัย เป็นต้น โดยผลของมาตรการนี้ จะช่วยให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวชะลอการเลิกจ้างงาน และส่งผลเชิงบวกต่อความรู้สึกของนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างชาติ รวมทั้งนักลงทุนทั่วโลก และยังช่วยประคับประคองเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27549
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกสารประกอบการแถลงผลงานรัฐบาล 2 ปี
|
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2559
เอกสารประกอบการแถลงผลงานรัฐบาล 2 ปี
เอกสารประกอบการแถลงผลงานรัฐบาล 2 ปี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกสารประกอบการแถลงผลงานรัฐบาล 2 ปี
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2559
เอกสารประกอบการแถลงผลงานรัฐบาล 2 ปี
เอกสารประกอบการแถลงผลงานรัฐบาล 2 ปี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/360
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. เป็นประธานเปิดงานสัมมนาเชิงวิชาการ เรื่อง สถาบันพระมหากษัตริย์กับความมั่นคง เพื่อร่วมกันดำเนินงานด้านความมั่นคงชาติ และเป็นแนวทางปฏิบัติแก่ส่วนราชการให้มีประสิทธิผลสูงสุด
|
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2559
รมต.นร. เป็นประธานเปิดงานสัมมนาเชิงวิชาการ เรื่อง สถาบันพระมหากษัตริย์กับความมั่นคง เพื่อร่วมกันดําเนินงานด้านความมั่นคงชาติ และเป็นแนวทางปฏิบัติแก่ส่วนราชการให้มีประสิทธิผลสูงสุด
รมต.นร. เป็นประธานเปิดงานสัมมนาเชิงวิชาการ เรื่อง สถาบันพระมหากษัตริย์กับความมั่นคง เพื่อร่วมกันดําเนินงานด้านความมั่นคงชาติ และเป็นแนวทางปฏิบัติแก่ส่วนราชการให้มีประสิทธิผลสูงสุด
วันนี้ (29 กันยายน 2559) เวลา 09.20 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรีมอบหมาย หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง "สถาบันพระมหากษัตริย์กับความมั่นคง" จัดโดย สํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อร่วมกันดําเนินงานด้านความมั่นคงชาติ และเป็นแนวทางปฏิบัติแก่ส่วนราชการให้มีประสิทธิผลสูงสุด โดยมีผู้ร่วมงานประกอบด้วย องคมนตรี ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย พลเอก จรัล กุลละวณิชย์ สื่อมวลชน และผู้มีเกียรติที่เข้าร่วมงานจํานวนประมาณ 300 คน
โอกาสนี้ หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเปิดงานว่า ในนามของรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีขอกล่าวขอบคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย ที่เป็นผู้ร่างนโยบายแผนงานความมั่นคงแห่งชาติ เรื่อง สถาบันพระมหากษัตริย์กับความมั่นคง สําหรับสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น มีความสําคัญ และผูกพันกับสังคมไทยมาโดยตลอด ในฐานะที่ทรงมีคุณูปการต่อความมั่นคงของชาติ ที่ส่งนําพาประเทศชาติให้อยู่รอดปลอดภัยเป็นศูนย์กลางความรัก ความสามัคคีของคนในชาติ เป็นศูนย์รวมจิตใจ และยังเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามเกิดวิกฤตการณ์ เช่น การนําพาประเทศไทยให้รอดพ้นจากการเป็นประเทศราชของชาติตะวันตก และในช่วงสงครามเย็นที่ประเทศไทยประสบปัญหาภัยคุกคามจากระบอบคอมมิวนิสต์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้พระปรีชาสามารถ และพระอัจฉริยภาพในการแก้ปัญหาจนกระทั่งรอดพ้นจากปัญหาดังกล่าวได้
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพระราชกรณี ยกิจด้วยพระราชหฤทัยที่มุ่งมั่น เสียสละ เพื่อประชาชนและประเทศชาติ ให้มีความมั่นคง สถาพรมาตลอดระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติ นอกจากนี้ พระราชดํารัส และพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระราชทานไว้ในโอกาสต่าง ๆ ถือได้ว่าเป็นแบบอย่างที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อวิธีคิด และวิธีดําเนินชีวิตของประชาชน ตลอดจนวิธีดําเนินงานด้านความมั่นคงของประเทศ
นอกจากนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณสํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เป็นหน่วยงานหลักในการดูแลรับผิดชอบเรื่องความมั่นคงของประเทศ ที่ได้ตระหนัก ถึงความสําคัญของการธํารง ไว้ซึ่งความมั่นคงยั่งยืนของสถาบันพระมหากษัตริย์ และได้จัดทําแนวทางการรักษาความมั่นคงสถาบันหลัก ของชาติ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
โดยตอนท้าย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการคาดหวังว่างานในวันนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นจิตสํานึกของประชาชนในสังคมไทย เพื่อให้รําลึกถึงคุณูปการของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยที่มีต่อประเทศชาติ และประชาชนมาอย่างยาวนานด้วย
-----------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. เป็นประธานเปิดงานสัมมนาเชิงวิชาการ เรื่อง สถาบันพระมหากษัตริย์กับความมั่นคง เพื่อร่วมกันดำเนินงานด้านความมั่นคงชาติ และเป็นแนวทางปฏิบัติแก่ส่วนราชการให้มีประสิทธิผลสูงสุด
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2559
รมต.นร. เป็นประธานเปิดงานสัมมนาเชิงวิชาการ เรื่อง สถาบันพระมหากษัตริย์กับความมั่นคง เพื่อร่วมกันดําเนินงานด้านความมั่นคงชาติ และเป็นแนวทางปฏิบัติแก่ส่วนราชการให้มีประสิทธิผลสูงสุด
รมต.นร. เป็นประธานเปิดงานสัมมนาเชิงวิชาการ เรื่อง สถาบันพระมหากษัตริย์กับความมั่นคง เพื่อร่วมกันดําเนินงานด้านความมั่นคงชาติ และเป็นแนวทางปฏิบัติแก่ส่วนราชการให้มีประสิทธิผลสูงสุด
วันนี้ (29 กันยายน 2559) เวลา 09.20 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรีมอบหมาย หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง "สถาบันพระมหากษัตริย์กับความมั่นคง" จัดโดย สํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อร่วมกันดําเนินงานด้านความมั่นคงชาติ และเป็นแนวทางปฏิบัติแก่ส่วนราชการให้มีประสิทธิผลสูงสุด โดยมีผู้ร่วมงานประกอบด้วย องคมนตรี ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย พลเอก จรัล กุลละวณิชย์ สื่อมวลชน และผู้มีเกียรติที่เข้าร่วมงานจํานวนประมาณ 300 คน
โอกาสนี้ หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเปิดงานว่า ในนามของรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีขอกล่าวขอบคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย ที่เป็นผู้ร่างนโยบายแผนงานความมั่นคงแห่งชาติ เรื่อง สถาบันพระมหากษัตริย์กับความมั่นคง สําหรับสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น มีความสําคัญ และผูกพันกับสังคมไทยมาโดยตลอด ในฐานะที่ทรงมีคุณูปการต่อความมั่นคงของชาติ ที่ส่งนําพาประเทศชาติให้อยู่รอดปลอดภัยเป็นศูนย์กลางความรัก ความสามัคคีของคนในชาติ เป็นศูนย์รวมจิตใจ และยังเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามเกิดวิกฤตการณ์ เช่น การนําพาประเทศไทยให้รอดพ้นจากการเป็นประเทศราชของชาติตะวันตก และในช่วงสงครามเย็นที่ประเทศไทยประสบปัญหาภัยคุกคามจากระบอบคอมมิวนิสต์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้พระปรีชาสามารถ และพระอัจฉริยภาพในการแก้ปัญหาจนกระทั่งรอดพ้นจากปัญหาดังกล่าวได้
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพระราชกรณี ยกิจด้วยพระราชหฤทัยที่มุ่งมั่น เสียสละ เพื่อประชาชนและประเทศชาติ ให้มีความมั่นคง สถาพรมาตลอดระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติ นอกจากนี้ พระราชดํารัส และพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระราชทานไว้ในโอกาสต่าง ๆ ถือได้ว่าเป็นแบบอย่างที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อวิธีคิด และวิธีดําเนินชีวิตของประชาชน ตลอดจนวิธีดําเนินงานด้านความมั่นคงของประเทศ
นอกจากนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณสํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เป็นหน่วยงานหลักในการดูแลรับผิดชอบเรื่องความมั่นคงของประเทศ ที่ได้ตระหนัก ถึงความสําคัญของการธํารง ไว้ซึ่งความมั่นคงยั่งยืนของสถาบันพระมหากษัตริย์ และได้จัดทําแนวทางการรักษาความมั่นคงสถาบันหลัก ของชาติ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
โดยตอนท้าย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการคาดหวังว่างานในวันนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นจิตสํานึกของประชาชนในสังคมไทย เพื่อให้รําลึกถึงคุณูปการของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยที่มีต่อประเทศชาติ และประชาชนมาอย่างยาวนานด้วย
-----------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/519
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ปลัดเกษตรฯ" มอบนโยบายให้ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมและผู้รับจ้างขนส่งนมโรงเรียน พร้อมเร่งดำเนินการตามแผนพัฒนาการบริหารจัดการนมโรงเรียนทั้งระ
|
วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2560
“ปลัดเกษตรฯ" มอบนโยบายให้ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมและผู้รับจ้างขนส่งนมโรงเรียน พร้อมเร่งดําเนินการตามแผนพัฒนาการบริหารจัดการนมโรงเรียนทั้งระ
“ปลัดเกษตรฯ" มอบนโยบายให้ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมและผู้รับจ้างขนส่งนมโรงเรียน พร้อมเร่งดําเนินการตามแผนพัฒนาการบริหารจัดการนมโรงเรียนทั้งระบบ เตรียมส่งนมคุณภาพดีให้นักเรียนในการเปิดภาคเรียนที่ 1/2560
นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมและผู้รับจ้างขนส่งนมโรงเรียน ภาคเรียนที่ 1/2560 ณ ห้องประชุมไร่อรุณวิทย์รีสอร์ท อําเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี ว่า จากที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับมอบนโยบายเรื่อง โครงการอาหารเสริม(นม)โรงเรียน จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ) จึงนํามาเป็นหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติโครงการอาหารเสริม(นม)โรงเรียน เพื่อเพิ่มคุณภาพและมาตรฐานของนมโรงเรียนให้สูงขึ้นโดยในปี 2560 มีแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนาด้านความเข้มข้นของคุณภาพน้ํานม, ยกระดับมาตรฐานฟาร์มโคนมที่เข้าร่วมโครงการฯ จะต้องได้มาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี หรือ GAP มีการเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์นมที่ผลิตจากโรงงาน และที่โรงเรียน, ปรับเปลี่ยนวิธีการจัดสรรโควตานมโรงเรียนให้เป็นธรรม โปร่งใส และเกิดประโยชน์แก่เด็กนักเรียน เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและสหกรณ์ โดยกระทรวงเกษตรฯ มีความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติให้เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการโคนมฯ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการดําเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม)โรงเรียน ภาคเรียนที่ 1/2560 ที่ประกาศฯใช้ในปัจจุบัน
สําหรับการประชุมในครั้งนี้ ประกอบด้วยผู้ประกอบการนมโรงเรียนและผู้รับจ้างขนส่งนมโรงเรียน 350 รายทั่วประเทศ เพื่อชี้แจงให้มีความเข้าใจและปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการดําเนินงานโครงการอาหารเสริม(นม)โรงเรียน ภาคเรียนที่ 1/2560 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพในการบริหารจัดการนมโรงเรียน ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรฯและรัฐบาล โดยคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ได้เร่งดําเนินการพัฒนาการบริหารจัดการนมโรงเรียนทั้งระบบก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1/2560 ตามแผนพัฒนาการบริหารจัดการนมโรงเรียน ดังนี้ 1.เกษตรกรโคนมได้รับการดูแล 2.นักเรียนได้ดื่มนมมีคุณภาพดี และ 3.โปร่งใสเป็นธรรมกับผู้ประกอบการ โดยพัฒนาหลักเกณฑ์แนวทางปฏิบัติ และมาตรการในการขับเคลื่อน เพื่อเพิ่มคุณภาพและมาตรฐานนมโรงเรียนให้สูงขึ้นตลอดห่วงโซ่การผลิต ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์เกษตรและสหกรณ์ ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579)
ทั้งนี้ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณในการจัดซื้ออาหารเสริม(นม)โรงเรียน ประมาณ 14,000 ล้านบาท โดยนมโรงเรียนที่ผลิตได้ปริมาณ 1,200-1,300 ตันต่อวัน จะนําไปผลิตให้กับนักเรียน ประมาณ 7.3 ล้านคนทั่วประเทศ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯได้รับมอบหมายจากทางรัฐบาลให้เข้ามากํากับดูแลโดยทํางานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่านคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมแห่งชาติ โดยมีการดําเนินงานตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต การแปรรูป การนําส่งถึงโรงเรียน ซึ่งมีระบบการควบคุมคุณภาพตั้งแต่ฟาร์มจนถึงศูนย์รวบรวมนม และโรงงานผลิต มีการตรวจสอบคุณภาพอย่างรัดกุม ก่อนส่งต่อไปยังโรงเรียน
สําหรับการติดตามทั้งการขนส่งและการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์นมโรงเรียนในแต่ละจังหวัด จะใช้กลไกของรัฐ ดังนี้ 1.ระดับจังหวัด และระดับอําเภอ คณะกรรมการอาหารเสริม(นม)โรงเรียน ระดับจังหวัด และระดับอําเภอ มีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานระดับจังหวัด และมีนายอําเภอ เป็นประธานระดับอําเภอ เป็นการบูรณาการของกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการ มีการกําหนดหน้าที่ในการจัดทําแผนและติดตามกํากับดูแลการบริหารจัดการคุณภาพนมในโครงการอาหารเสริม(นม)โรงเรียน ในเขตพื้นที่จังหวัด และอําเภอ 2.ระดับกระทรวง ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯ ร่วมกับ Single Command และกรมปศุสัตว์ บูรณาการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการเพื่อตรวจติดตามกํากับดูแลอย่างต่อเนื่องทุกเดือน
" ในปี 2560 จะมีการดําเนินการตามหลักเกณฑ์ใหม่ เกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพมาตรฐานอย่างเข้มงวด เพื่อให้ได้น้ํานมที่มีคุณภาพดีส่งต่อไปยังนักเรียนและเยาวชนให้มีสุขภาพที่แข็งแรง ในส่วนผู้ที่ฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ของโครงการอาหารเสริม(นม)โรงเรียน ก็จะถูกดําเนินการอย่างเด็ดขาด ตั้งแต่การถูกลดสิทธิ ตัดสิทธิ ยกเลิกสัญญา ดังนั้น จึงได้เน้นย้ําให้ผู้ประกอบการและผู้รับจ้างขนส่งนมโรงเรียนได้รับทราบเกี่ยวกับการควบคุมระบบการขนส่งตั้งแต่โรงงานผลิตจนนําส่งมายังโรงเรียนให้มีคุณภาพมาตรฐานตามที่วางไว้ โดยเฉพาะการควบคุมอุณหภูมิตั้งแต่นําออกจากโรงงานผลิต จนถึงขนส่งไปยังโรงเรียน โดยเฉพาะนมพาสเจอร์ไรท์ สําหรับนม UHT จะมีการควบคุมมาตรฐานในการเก็บรักษา ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์อย่างถูกต้อง"นายธีรภัทร กล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ปลัดเกษตรฯ" มอบนโยบายให้ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมและผู้รับจ้างขนส่งนมโรงเรียน พร้อมเร่งดำเนินการตามแผนพัฒนาการบริหารจัดการนมโรงเรียนทั้งระ
วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2560
“ปลัดเกษตรฯ" มอบนโยบายให้ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมและผู้รับจ้างขนส่งนมโรงเรียน พร้อมเร่งดําเนินการตามแผนพัฒนาการบริหารจัดการนมโรงเรียนทั้งระ
“ปลัดเกษตรฯ" มอบนโยบายให้ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมและผู้รับจ้างขนส่งนมโรงเรียน พร้อมเร่งดําเนินการตามแผนพัฒนาการบริหารจัดการนมโรงเรียนทั้งระบบ เตรียมส่งนมคุณภาพดีให้นักเรียนในการเปิดภาคเรียนที่ 1/2560
นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมและผู้รับจ้างขนส่งนมโรงเรียน ภาคเรียนที่ 1/2560 ณ ห้องประชุมไร่อรุณวิทย์รีสอร์ท อําเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี ว่า จากที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับมอบนโยบายเรื่อง โครงการอาหารเสริม(นม)โรงเรียน จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ) จึงนํามาเป็นหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติโครงการอาหารเสริม(นม)โรงเรียน เพื่อเพิ่มคุณภาพและมาตรฐานของนมโรงเรียนให้สูงขึ้นโดยในปี 2560 มีแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนาด้านความเข้มข้นของคุณภาพน้ํานม, ยกระดับมาตรฐานฟาร์มโคนมที่เข้าร่วมโครงการฯ จะต้องได้มาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี หรือ GAP มีการเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์นมที่ผลิตจากโรงงาน และที่โรงเรียน, ปรับเปลี่ยนวิธีการจัดสรรโควตานมโรงเรียนให้เป็นธรรม โปร่งใส และเกิดประโยชน์แก่เด็กนักเรียน เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและสหกรณ์ โดยกระทรวงเกษตรฯ มีความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติให้เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการโคนมฯ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการดําเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม)โรงเรียน ภาคเรียนที่ 1/2560 ที่ประกาศฯใช้ในปัจจุบัน
สําหรับการประชุมในครั้งนี้ ประกอบด้วยผู้ประกอบการนมโรงเรียนและผู้รับจ้างขนส่งนมโรงเรียน 350 รายทั่วประเทศ เพื่อชี้แจงให้มีความเข้าใจและปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการดําเนินงานโครงการอาหารเสริม(นม)โรงเรียน ภาคเรียนที่ 1/2560 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพในการบริหารจัดการนมโรงเรียน ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรฯและรัฐบาล โดยคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ได้เร่งดําเนินการพัฒนาการบริหารจัดการนมโรงเรียนทั้งระบบก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1/2560 ตามแผนพัฒนาการบริหารจัดการนมโรงเรียน ดังนี้ 1.เกษตรกรโคนมได้รับการดูแล 2.นักเรียนได้ดื่มนมมีคุณภาพดี และ 3.โปร่งใสเป็นธรรมกับผู้ประกอบการ โดยพัฒนาหลักเกณฑ์แนวทางปฏิบัติ และมาตรการในการขับเคลื่อน เพื่อเพิ่มคุณภาพและมาตรฐานนมโรงเรียนให้สูงขึ้นตลอดห่วงโซ่การผลิต ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์เกษตรและสหกรณ์ ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579)
ทั้งนี้ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณในการจัดซื้ออาหารเสริม(นม)โรงเรียน ประมาณ 14,000 ล้านบาท โดยนมโรงเรียนที่ผลิตได้ปริมาณ 1,200-1,300 ตันต่อวัน จะนําไปผลิตให้กับนักเรียน ประมาณ 7.3 ล้านคนทั่วประเทศ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯได้รับมอบหมายจากทางรัฐบาลให้เข้ามากํากับดูแลโดยทํางานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่านคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมแห่งชาติ โดยมีการดําเนินงานตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต การแปรรูป การนําส่งถึงโรงเรียน ซึ่งมีระบบการควบคุมคุณภาพตั้งแต่ฟาร์มจนถึงศูนย์รวบรวมนม และโรงงานผลิต มีการตรวจสอบคุณภาพอย่างรัดกุม ก่อนส่งต่อไปยังโรงเรียน
สําหรับการติดตามทั้งการขนส่งและการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์นมโรงเรียนในแต่ละจังหวัด จะใช้กลไกของรัฐ ดังนี้ 1.ระดับจังหวัด และระดับอําเภอ คณะกรรมการอาหารเสริม(นม)โรงเรียน ระดับจังหวัด และระดับอําเภอ มีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานระดับจังหวัด และมีนายอําเภอ เป็นประธานระดับอําเภอ เป็นการบูรณาการของกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการ มีการกําหนดหน้าที่ในการจัดทําแผนและติดตามกํากับดูแลการบริหารจัดการคุณภาพนมในโครงการอาหารเสริม(นม)โรงเรียน ในเขตพื้นที่จังหวัด และอําเภอ 2.ระดับกระทรวง ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯ ร่วมกับ Single Command และกรมปศุสัตว์ บูรณาการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการเพื่อตรวจติดตามกํากับดูแลอย่างต่อเนื่องทุกเดือน
" ในปี 2560 จะมีการดําเนินการตามหลักเกณฑ์ใหม่ เกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพมาตรฐานอย่างเข้มงวด เพื่อให้ได้น้ํานมที่มีคุณภาพดีส่งต่อไปยังนักเรียนและเยาวชนให้มีสุขภาพที่แข็งแรง ในส่วนผู้ที่ฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ของโครงการอาหารเสริม(นม)โรงเรียน ก็จะถูกดําเนินการอย่างเด็ดขาด ตั้งแต่การถูกลดสิทธิ ตัดสิทธิ ยกเลิกสัญญา ดังนั้น จึงได้เน้นย้ําให้ผู้ประกอบการและผู้รับจ้างขนส่งนมโรงเรียนได้รับทราบเกี่ยวกับการควบคุมระบบการขนส่งตั้งแต่โรงงานผลิตจนนําส่งมายังโรงเรียนให้มีคุณภาพมาตรฐานตามที่วางไว้ โดยเฉพาะการควบคุมอุณหภูมิตั้งแต่นําออกจากโรงงานผลิต จนถึงขนส่งไปยังโรงเรียน โดยเฉพาะนมพาสเจอร์ไรท์ สําหรับนม UHT จะมีการควบคุมมาตรฐานในการเก็บรักษา ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์อย่างถูกต้อง"นายธีรภัทร กล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
[email protected]
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4085
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงประกาศปิดบริการมอเตอร์เวย์หมายเลข 7 และหมายเลข 9 ชั่วคราว ตั้งแต่เวลา 22.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น พร้อมระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตรวจเข้มคัดกรองรถ [กระทรวงคมนาคม]
|
วันอังคารที่ 7 เมษายน 2563
กรมทางหลวงประกาศปิดบริการมอเตอร์เวย์หมายเลข 7 และหมายเลข 9 ชั่วคราว ตั้งแต่เวลา 22.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น พร้อมระดมกําลังเจ้าหน้าที่ตรวจเข้มคัดกรองรถ [กระทรวงคมนาคม]
กรมทางหลวงประกาศปิดบริการมอเตอร์เวย์หมายเลข 7 และหมายเลข 9 ชั่วคราว ตั้งแต่เวลา 22.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น พร้อมระดมกําลังเจ้าหน้าที่ตรวจเข้มคัดกรองรถ
ฉบับที่ 343/2563
กรมทางหลวงประกาศปิดบริการมอเตอร์เวย์หมายเลข 7 และหมายเลข 9 ชั่วคราว ตั้งแต่เวลา 22.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น พร้อมระดมกําลังเจ้าหน้าที่ตรวจเข้มคัดกรองรถ
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ตามที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ห้ามบุคคลใดทั่วราชอาณาจักรออกนอกเคหสถาน ระหว่างเวลา 22.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่คืนวันที่ 3 เมษายน 2563 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 จึงได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด พร้อมกําหนดมาตรการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับประกาศดังกล่าว
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวว่า กรมทางหลวง (ทล.) ได้ดําเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมด้วยการปิดการจราจรบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ทั้ง 2 สายทางบางส่วนชั่วคราว ได้แก่ มอเตอร์เวย์หมายเลข 7 กรุงเทพฯ - ชลบุรี - พัทยา และมอเตอร์เวย์หมายเลข 9 ช่วงบางปะอิน - บางพลี และช่วงสุขสวัสดิ์ - บางขุนเทียน ตั้งแต่เวลา 22.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2563 เป็นต้นมา โดยเปิดให้ยานพาหนะที่ได้รับอนุญาตผ่านทางในช่วงเวลาดังกล่าวใช้บริการเฉพาะช่องเงินสด ซึ่งสถานการณ์ภาพรวมหลังจากที่เริ่มใช้มาตรการดังกล่าวพบว่า ปริมาณรถที่วิ่งผ่านแต่ละด่านน้อยมาก โดย ทล. ได้จัดเจ้าหน้าปฏิบัติงานร่วมกับตํารวจทางหลวงตั้งจุดคัดกรองบริเวณด่านเก็บค่าผ่านทางต่าง ๆ ตั้งแต่เวลา 22.00 น. พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังเหตุการณ์ผ่านระบบกล้อง CCTV ตลอดสายทาง และแจ้งเตือนผู้ใช้ทางเกี่ยวกับการปิดการให้บริการผ่านสื่อต่าง ๆ และป้าย VMS บนเส้นทาง สําหรับรถที่ได้รับอนุญาตตามข้อกําหนด เช่น รถขนส่งสินค้า อุปโภคบริโภค รถขนเวชภัณฑ์ เครื่องมือทางการแพทย์ รถขนส่งน้ํามันเชื้อเพลิง รถขนส่งผลผลิตทางการเกษตร รถขนส่งผู้โดยสารไป - กลับสนามบิน และรถที่ได้รับอนุญาตอื่น ๆ รวมถึงรถฉุกเฉิน รถพยาบาลของเจ้าหน้าที่ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่บริเวณด่านเก็บเงินค่าผ่านทางฯ เพื่อขออนุญาตใช้เส้นทางเป็นกรณีไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนมอเตอร์เวย์ 1586 กด 7 ตลอด 24 ชั่วโมง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงประกาศปิดบริการมอเตอร์เวย์หมายเลข 7 และหมายเลข 9 ชั่วคราว ตั้งแต่เวลา 22.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น พร้อมระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตรวจเข้มคัดกรองรถ [กระทรวงคมนาคม]
วันอังคารที่ 7 เมษายน 2563
กรมทางหลวงประกาศปิดบริการมอเตอร์เวย์หมายเลข 7 และหมายเลข 9 ชั่วคราว ตั้งแต่เวลา 22.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น พร้อมระดมกําลังเจ้าหน้าที่ตรวจเข้มคัดกรองรถ [กระทรวงคมนาคม]
กรมทางหลวงประกาศปิดบริการมอเตอร์เวย์หมายเลข 7 และหมายเลข 9 ชั่วคราว ตั้งแต่เวลา 22.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น พร้อมระดมกําลังเจ้าหน้าที่ตรวจเข้มคัดกรองรถ
ฉบับที่ 343/2563
กรมทางหลวงประกาศปิดบริการมอเตอร์เวย์หมายเลข 7 และหมายเลข 9 ชั่วคราว ตั้งแต่เวลา 22.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น พร้อมระดมกําลังเจ้าหน้าที่ตรวจเข้มคัดกรองรถ
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ตามที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ห้ามบุคคลใดทั่วราชอาณาจักรออกนอกเคหสถาน ระหว่างเวลา 22.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่คืนวันที่ 3 เมษายน 2563 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 จึงได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด พร้อมกําหนดมาตรการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับประกาศดังกล่าว
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวว่า กรมทางหลวง (ทล.) ได้ดําเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมด้วยการปิดการจราจรบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ทั้ง 2 สายทางบางส่วนชั่วคราว ได้แก่ มอเตอร์เวย์หมายเลข 7 กรุงเทพฯ - ชลบุรี - พัทยา และมอเตอร์เวย์หมายเลข 9 ช่วงบางปะอิน - บางพลี และช่วงสุขสวัสดิ์ - บางขุนเทียน ตั้งแต่เวลา 22.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2563 เป็นต้นมา โดยเปิดให้ยานพาหนะที่ได้รับอนุญาตผ่านทางในช่วงเวลาดังกล่าวใช้บริการเฉพาะช่องเงินสด ซึ่งสถานการณ์ภาพรวมหลังจากที่เริ่มใช้มาตรการดังกล่าวพบว่า ปริมาณรถที่วิ่งผ่านแต่ละด่านน้อยมาก โดย ทล. ได้จัดเจ้าหน้าปฏิบัติงานร่วมกับตํารวจทางหลวงตั้งจุดคัดกรองบริเวณด่านเก็บค่าผ่านทางต่าง ๆ ตั้งแต่เวลา 22.00 น. พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังเหตุการณ์ผ่านระบบกล้อง CCTV ตลอดสายทาง และแจ้งเตือนผู้ใช้ทางเกี่ยวกับการปิดการให้บริการผ่านสื่อต่าง ๆ และป้าย VMS บนเส้นทาง สําหรับรถที่ได้รับอนุญาตตามข้อกําหนด เช่น รถขนส่งสินค้า อุปโภคบริโภค รถขนเวชภัณฑ์ เครื่องมือทางการแพทย์ รถขนส่งน้ํามันเชื้อเพลิง รถขนส่งผลผลิตทางการเกษตร รถขนส่งผู้โดยสารไป - กลับสนามบิน และรถที่ได้รับอนุญาตอื่น ๆ รวมถึงรถฉุกเฉิน รถพยาบาลของเจ้าหน้าที่ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่บริเวณด่านเก็บเงินค่าผ่านทางฯ เพื่อขออนุญาตใช้เส้นทางเป็นกรณีไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนมอเตอร์เวย์ 1586 กด 7 ตลอด 24 ชั่วโมง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28599
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งลงพื้นที่ตรวจราชการ ปี 2562 จังหวัดปราจีนบุรี พร้อมติดตามและคลี่คลายปัญหาข้อร้องเรียนในพื้นที่
|
วันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2562
หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งลงพื้นที่ตรวจราชการ ปี 2562 จังหวัดปราจีนบุรี พร้อมติดตามและคลี่คลายปัญหาข้อร้องเรียนในพื้นที่
นายจุลพงษ์ ทวีศรี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรีตรวจราชการประจําปีงบประมาณ 2562 รอบที่ 2 ณ สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี
วันที่ 4 กันยายน 2562 นายจุลพงษ์ ทวีศรี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรีตรวจราชการประจําปีงบประมาณ 2562 รอบที่ 2 ณ สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี โดยมีนายสิทธา ปัพพานนท์ อุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี พร้อมด้วยนายชวลิต ชัยนิวัฒนา อุตสาหกรรมจังหวัดสระแก้ว และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับพร้อมรายงานผลการปฏิบัติราชการ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคที่ดําเนินการตลอดปีงบประมาณ 2562 ในประเด็นสําคัญ เช่น การเบิกจ่ายงบประมาณ การติดตามแก้ไขโรงงานที่มีเรื่องร้องเรียน
ต่อมาเวลา 14.30 น. หัวหน้าผู้ตรวจราชการฯ ได้ลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการประกอบกิจการโรงงานของบริษัท เวสต์ 2 เอ็นเนอร์ยี่ จํากัด ต.ลาดตะเคียน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ซึ่งถูกร้องเรียนโดยประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียง ว่าได้รับผลกระทบจากกลิ่นที่เกิดจากการประกอบกิจการฝังกลบของเสียอุตสาหกรรม ภายหลังตรวจสอบพื้นที่โดยรอบบริเวณโรงงานหัวหน้าผู้ตรวจราชการฯ ได้กําชับให้โรงงานประกอบกิจการด้วยความระมัดระวังและปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และเฝ้าระวังให้มากขึ้นในส่วนของน้ําชะขยะไม่ให้ออกสู่ภายนอก โดยเฉพาะในฤดูฝนที่มีปริมาณน้ํามาก ต้องมีการบริหารจัดการที่ดี ไม่เช่นนั้นอาจก่อให้เกิดปัญหาขึ้นได้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งลงพื้นที่ตรวจราชการ ปี 2562 จังหวัดปราจีนบุรี พร้อมติดตามและคลี่คลายปัญหาข้อร้องเรียนในพื้นที่
วันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2562
หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งลงพื้นที่ตรวจราชการ ปี 2562 จังหวัดปราจีนบุรี พร้อมติดตามและคลี่คลายปัญหาข้อร้องเรียนในพื้นที่
นายจุลพงษ์ ทวีศรี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรีตรวจราชการประจําปีงบประมาณ 2562 รอบที่ 2 ณ สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี
วันที่ 4 กันยายน 2562 นายจุลพงษ์ ทวีศรี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรีตรวจราชการประจําปีงบประมาณ 2562 รอบที่ 2 ณ สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี โดยมีนายสิทธา ปัพพานนท์ อุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี พร้อมด้วยนายชวลิต ชัยนิวัฒนา อุตสาหกรรมจังหวัดสระแก้ว และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับพร้อมรายงานผลการปฏิบัติราชการ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคที่ดําเนินการตลอดปีงบประมาณ 2562 ในประเด็นสําคัญ เช่น การเบิกจ่ายงบประมาณ การติดตามแก้ไขโรงงานที่มีเรื่องร้องเรียน
ต่อมาเวลา 14.30 น. หัวหน้าผู้ตรวจราชการฯ ได้ลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการประกอบกิจการโรงงานของบริษัท เวสต์ 2 เอ็นเนอร์ยี่ จํากัด ต.ลาดตะเคียน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ซึ่งถูกร้องเรียนโดยประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียง ว่าได้รับผลกระทบจากกลิ่นที่เกิดจากการประกอบกิจการฝังกลบของเสียอุตสาหกรรม ภายหลังตรวจสอบพื้นที่โดยรอบบริเวณโรงงานหัวหน้าผู้ตรวจราชการฯ ได้กําชับให้โรงงานประกอบกิจการด้วยความระมัดระวังและปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และเฝ้าระวังให้มากขึ้นในส่วนของน้ําชะขยะไม่ให้ออกสู่ภายนอก โดยเฉพาะในฤดูฝนที่มีปริมาณน้ํามาก ต้องมีการบริหารจัดการที่ดี ไม่เช่นนั้นอาจก่อให้เกิดปัญหาขึ้นได้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22866
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร.โชว์ผลงาน Safety 10 เดือน ปรับนายจ้างแล้วกว่า 24 ลบ.
|
วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561
กสร.โชว์ผลงาน Safety 10 เดือน ปรับนายจ้างแล้วกว่า 24 ลบ.
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เผยเดือน ต.ค.-ส.ค.61 ลุยตรวจความปลอดภัยในการทํางานไปแล้วกว่า 1.5 หมื่นแห่ง พบสถานประกอบกิจการปฏิบัติไม่ถูกต้องปรับไปแล้วกว่า 24 ล้านบาท พร้อมส่งเสริมด้านความปลอดภัยมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยผลการขับเคลื่อน Safety Thailand ตามนโยบายของพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ว่า ในปี งบประมาณ 2561 โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 จนถึง 31 กรกฎาคม 2561 เป็นเวลา 10 เดือน กสร. ได้ดําเนินการตรวจและบังคับใช้กฎหมายความปลอดภัยในการทํางานอย่างจริงจัง โดยพนักงานตรวจความปลอดภัยได้เข้าตรวจความปลอดภัยในการทํางานของสถานประกอบกิจการไปแล้วกว่า 15,302 แห่ง ครอบคลุมลูกจ้างกว่า 1.2 ล้านคน และได้ดําเนินคดีโดยเปรียบเทียบปรับผู้กระทําผิดตามพระราชบัญญัติ ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน พ.ศ. 2554 รวม 205 คดี เป็นเงินทั้งสิ้น 24.78 ล้านบาท
อธิบดีกสร. กล่าวต่อไปว่า นอกจากการตรวจบังคับใช้กฎหมายแล้ว การส่งเสริมและสร้างการรับรู้ผ่านโครงการกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การสร้างการรับรู้ผ่านศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ความปลอดภัยในการทํางานเฉลิม พระเกียรติฯ ส่งเสริมโครงการสถานศึกษาปลอดภัยซึ่งมีสถานศึกษาให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการ 898 แห่ง ตลอดจนสร้างเครือข่ายด้านความปลอดภัยโดยผ่านโครงการจป. จิตอาสา เพื่อเฝ้าระวังอุบัติเหตุ เป็นต้น ทั้งนี้ กสร.มุ่งหวังให้สถานประกอบกิจการทุกแห่งได้ตระหนักถึงความสําคัญของความปลอดภัย ร่วมมือร่วมใจกันในการป้องกันและปรับปรุงด้านความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยในการทํางานจนเกิดเป็นวัฒนธรรมความปลอดภัย ในการทํางานและเป็นกลไกสําคัญในการลดอัตราการประสบอันตรายจากการทํางาน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ใช้แรงงานทุกคน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร.โชว์ผลงาน Safety 10 เดือน ปรับนายจ้างแล้วกว่า 24 ลบ.
วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561
กสร.โชว์ผลงาน Safety 10 เดือน ปรับนายจ้างแล้วกว่า 24 ลบ.
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เผยเดือน ต.ค.-ส.ค.61 ลุยตรวจความปลอดภัยในการทํางานไปแล้วกว่า 1.5 หมื่นแห่ง พบสถานประกอบกิจการปฏิบัติไม่ถูกต้องปรับไปแล้วกว่า 24 ล้านบาท พร้อมส่งเสริมด้านความปลอดภัยมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยผลการขับเคลื่อน Safety Thailand ตามนโยบายของพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ว่า ในปี งบประมาณ 2561 โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 จนถึง 31 กรกฎาคม 2561 เป็นเวลา 10 เดือน กสร. ได้ดําเนินการตรวจและบังคับใช้กฎหมายความปลอดภัยในการทํางานอย่างจริงจัง โดยพนักงานตรวจความปลอดภัยได้เข้าตรวจความปลอดภัยในการทํางานของสถานประกอบกิจการไปแล้วกว่า 15,302 แห่ง ครอบคลุมลูกจ้างกว่า 1.2 ล้านคน และได้ดําเนินคดีโดยเปรียบเทียบปรับผู้กระทําผิดตามพระราชบัญญัติ ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน พ.ศ. 2554 รวม 205 คดี เป็นเงินทั้งสิ้น 24.78 ล้านบาท
อธิบดีกสร. กล่าวต่อไปว่า นอกจากการตรวจบังคับใช้กฎหมายแล้ว การส่งเสริมและสร้างการรับรู้ผ่านโครงการกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การสร้างการรับรู้ผ่านศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ความปลอดภัยในการทํางานเฉลิม พระเกียรติฯ ส่งเสริมโครงการสถานศึกษาปลอดภัยซึ่งมีสถานศึกษาให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการ 898 แห่ง ตลอดจนสร้างเครือข่ายด้านความปลอดภัยโดยผ่านโครงการจป. จิตอาสา เพื่อเฝ้าระวังอุบัติเหตุ เป็นต้น ทั้งนี้ กสร.มุ่งหวังให้สถานประกอบกิจการทุกแห่งได้ตระหนักถึงความสําคัญของความปลอดภัย ร่วมมือร่วมใจกันในการป้องกันและปรับปรุงด้านความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยในการทํางานจนเกิดเป็นวัฒนธรรมความปลอดภัย ในการทํางานและเป็นกลไกสําคัญในการลดอัตราการประสบอันตรายจากการทํางาน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ใช้แรงงานทุกคน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14870
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุวิทย์” ชี้ โควิด กระทบความต้องการกำลังคนในประเทศ เชื่อ เปลี่ยนรูปแบบใหม่มุ่งเน้นความมั่นคงของมนุษย์ ทั้งด้านอาชีพ อาหาร และสุขภาพ
|
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563
“สุวิทย์” ชี้ โควิด กระทบความต้องการกําลังคนในประเทศ เชื่อ เปลี่ยนรูปแบบใหม่มุ่งเน้นความมั่นคงของมนุษย์ ทั้งด้านอาชีพ อาหาร และสุขภาพ
“สุวิทย์” ชี้ โควิด กระทบความต้องการกําลังคนในประเทศ เชื่อ เปลี่ยนรูปแบบใหม่มุ่งเน้นความมั่นคงของมนุษย์ ทั้งด้านอาชีพ อาหาร และสุขภาพ
เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สํานักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) เผยผลสํารวจความต้องการบุคลากรทักษะสูงในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ในระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ.2563 - 2567) และแนวทางการผลิตและพัฒนากําลังคน (Manpower Planning) ในการประชุมคณะกรรมการอํานวยการ สอวช. ครั้งที่ 4/2563 โดยมี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธาน
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ กล่าวว่า ข้อมูลที่ สอวช. ทําการสํารวจความต้องการบุคลากรทักษะสูงในอุตสาหกรรมเป้าหมายเป็นข้อมูลที่ดี และถือเป็นแผนการพัฒนากําลังคนแผนแรกของประเทศที่มีการจัดทําขึ้น ซึ่งจะเป็นฐานข้อมูลสําคัญที่จะเป็นแนวทางการพัฒนากําลังคนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ในช่วงสถานการณ์ปกติ แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบันทําให้ต้องกลับมาทบทวนบริบทโลกที่ส่งผลกระทบถึงการลงทุนจากต่างประเทศที่มีแนวโน้มที่จะดึงการลงทุนในประเทศต่างๆ กลับสู่ประเทศของตนเอง และคาดว่าหลายๆ ประเทศจะเน้นเรื่องเศรษฐกิจฐานราก หรือ Local Economy มากขึ้น ซึ่งจะกระทบความต้องการกําลังคนอย่างแน่นอน ประเทศไทยจึงต้องหันมาพิจารณารูปแบบตําแหน่งงาน และการพัฒนากําลังคนที่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์โลกที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังวิกฤตการณ์โควิด
“หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด คาดว่าตําแหน่งงานจะไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติของการตลาด แต่ต้องมีการสร้างงานให้เกิดขึ้นโดยแรงผลักดันของรัฐบาลที่เป็นบิ๊กแบงโปรเจ็ค ซึ่งกระทรวง อว. เองจะต้องสร้างบัณฑิตให้ตอบโจทย์และรองรับกับตําแหน่งงานที่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ และเรื่องการ Reskill ยังคงเป็นเรื่องสําคัญเพื่อสร้างกําลังคนให้ตอบโจทย์ได้ทันต่อบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่ควรเร่งทําตอนนี้คือ ต้องช่วยกันคิด ช่วยกันสร้างตําแหน่งงานขึ้นมาเพื่อรองรับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยคาดว่ากลุ่มงานที่สําคัญในช่วงหลังสถานการณ์โควิดที่ภาครัฐควรผลักดันมีอยู่ 3 ด้าน คือ ด้านความมั่นคงทางสุขภาพ, ความมั่นคงทางด้านอาหาร และความมั่นคงทางอาชีพ โดยโครงสร้างทางเศรษฐกิจอาจจะต้องเน้นเศรษฐกิจฐานราก หรือ Local Economy มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายให้ สอวช. หารือกับภาคเอกชน นักเศรษฐศาสตร์ รวมถึง บีโอไอ เพื่อคาดการณ์และวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจ แนวโน้มการลงทุน และการจ้างงาน เป็นฉากทัศน์ของประเทศหลังวิกฤตการณ์โควิด เพื่อให้เห็นภาพกว้างที่ชัดเจนมากขึ้นและค่อยมาเจาะลึกลงรายละเอียดเพื่อหาวิธีการพัฒนากําลังคนให้ตอบโจทย์ตามความต้องการของประเทศหลังสถานการณ์โควิดได้อย่างตรงจุดต่อไป” ดร.สุวิทย์ กล่าว
สําหรับผลการสํารวจความต้องการบุคลากรในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ในระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ.2563 - 2567) ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อํานวยการ สอวช. เปิดเผยว่า สอวช. ได้ดําเนินการสํารวจแนวโน้มความต้องการบุคลากรในอุตสาหกรรมเป้าหมายจํานวน 12 อุตสาหกรรม โดยดําเนินการสํารวจขณะที่ยังไม่มีปัจจัยเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดเข้ามาเกี่ยวข้อง พบว่า อุตสาหกรรมเป้าหมายจํานวน 12 อุตสาหกรรม ซึ่งประกอบด้วย อุตสาหกรรมเชื้อเพลงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มผู้มีรายได้สูงและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และอุตสาหกรรมพัฒนาบุคลากรและการศึกษา มีความต้องการบุคลากรรวม 317,946 คน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอก
ทั้งนี้ ในจํานวนความต้องการบุคลากร 12 อุตสาหกรรม ข้างต้น สอวช. ได้นําผลมาวิเคราะห์สามารถแบ่งเป็นความต้องการบุคลากรเพื่อรองรับยุทธศาสตร์ BCG ของประเทศ 4 ด้าน คือ ด้านเกษตรและอาหาร 74,244 คน ด้านสุขภาพและการแพทย์ 20,153 คน พลังงาน ด้านวัสดุและเคมีชีวภาพ 9,836 คน และด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ 41,380 คน และหากพิจารณาจํานวนความต้องการบุคลากร กับจํานวนนักศึกษาที่สําเร็จการศึกษาในแต่ละปี พบว่า ภาคการศึกษาสามารถผลิตบัณฑิตได้ประมาณ 3 แสนคน/ปี ส่วนอุตสาหกรรมเป้าหมายมีความบุคลากรตกปีละ 63,589 คน/ปี
ผลสํารวจดังกล่าว ทําให้เห็นว่า ประเทศไทยไม่ได้มีปัญหาขาดแคลนแรงงานในเชิงปริมาณ แต่ขาดแคลนแรงงานเชิงคุณภาพ ประกอบกับในปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมมีความต้องการบุคลากรที่มีความรู้แบบบูรณาการข้ามสาขามากขึ้น ประเด็นการพัฒนาบุคลากรเพื่อตอบโจทย์ประเทศจึงอยู่ที่การสร้างความรู้และทักษะของกําลังคนให้ตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ทั้งสร้างหลักสูตรระดับอุดมศึกษาให้ทันสมัยและเข้มข้นมากขึ้นเพื่อผลิตบัณฑิตให้ตรงความต้องการ ควบคู่ไปกับการเพิ่มพูนทักษะ (Upskill - Reskill) ให้แก่บัณฑิต คนทํางาน ผ่านการจัดหลักสูตรระยะสั้น การฝึกงาน และการทําวิจัย โดยมีมาตรการรัฐสนับสนุนให้เกิดแรงจูงใจ อาทิ สิทธิประโยชน์ BOI สําหรับกิจการฝึกอบรม สิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยการยกเว้นค่าใช้จ่าย 2.5 เท่า สําหรับการฝึกอบรมระยะสั้นจากหน่วยงานฝึกอบรมที่ได้รับการรับรอง และสอดคล้องกับทักษะที่กําหนดไว้ใน Future Skills Set ที่ สอวช. อยู่ระหว่างการจัดทํา สิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยการยกเว้นค่าใช้จ่าย 1.5 เท่า ของการจ้างงานบุคลากรทักษะสูงในสาขาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรม เป็นต้น สําหรับปัญหาเชิงคุณภาพของกําลังแรงงานในปัจจุบัน พบว่า ยังมีทักษะที่มีช่องว่าง อาทิ ทักษะภาษาต่างประเทศ ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ ทักษะคณิตศาสตร์และการคํานวณ ทักษะในการบริหารจัดการ ทักษะในการคิด และทักษะในการสื่อสาร เป็นต้น อีกทั้งกําลังแรงงานยังต้องได้รับการพัฒนาความรู้ให้เพียงพอต่อความต้องการ อาทิ ความรู้ด้านกฎระเบียบ ความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความรู้ธุรกิจ และความรู้วิชาชีพ ส่วนคุณลักษณะที่ยังขาดแคลน คือ ความใฝ่เรียนรู้ เป็นต้น
ข้อมูลข่าวโดย : สํานักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุวิทย์” ชี้ โควิด กระทบความต้องการกำลังคนในประเทศ เชื่อ เปลี่ยนรูปแบบใหม่มุ่งเน้นความมั่นคงของมนุษย์ ทั้งด้านอาชีพ อาหาร และสุขภาพ
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563
“สุวิทย์” ชี้ โควิด กระทบความต้องการกําลังคนในประเทศ เชื่อ เปลี่ยนรูปแบบใหม่มุ่งเน้นความมั่นคงของมนุษย์ ทั้งด้านอาชีพ อาหาร และสุขภาพ
“สุวิทย์” ชี้ โควิด กระทบความต้องการกําลังคนในประเทศ เชื่อ เปลี่ยนรูปแบบใหม่มุ่งเน้นความมั่นคงของมนุษย์ ทั้งด้านอาชีพ อาหาร และสุขภาพ
เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สํานักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) เผยผลสํารวจความต้องการบุคลากรทักษะสูงในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ในระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ.2563 - 2567) และแนวทางการผลิตและพัฒนากําลังคน (Manpower Planning) ในการประชุมคณะกรรมการอํานวยการ สอวช. ครั้งที่ 4/2563 โดยมี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธาน
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ กล่าวว่า ข้อมูลที่ สอวช. ทําการสํารวจความต้องการบุคลากรทักษะสูงในอุตสาหกรรมเป้าหมายเป็นข้อมูลที่ดี และถือเป็นแผนการพัฒนากําลังคนแผนแรกของประเทศที่มีการจัดทําขึ้น ซึ่งจะเป็นฐานข้อมูลสําคัญที่จะเป็นแนวทางการพัฒนากําลังคนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ในช่วงสถานการณ์ปกติ แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบันทําให้ต้องกลับมาทบทวนบริบทโลกที่ส่งผลกระทบถึงการลงทุนจากต่างประเทศที่มีแนวโน้มที่จะดึงการลงทุนในประเทศต่างๆ กลับสู่ประเทศของตนเอง และคาดว่าหลายๆ ประเทศจะเน้นเรื่องเศรษฐกิจฐานราก หรือ Local Economy มากขึ้น ซึ่งจะกระทบความต้องการกําลังคนอย่างแน่นอน ประเทศไทยจึงต้องหันมาพิจารณารูปแบบตําแหน่งงาน และการพัฒนากําลังคนที่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์โลกที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังวิกฤตการณ์โควิด
“หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด คาดว่าตําแหน่งงานจะไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติของการตลาด แต่ต้องมีการสร้างงานให้เกิดขึ้นโดยแรงผลักดันของรัฐบาลที่เป็นบิ๊กแบงโปรเจ็ค ซึ่งกระทรวง อว. เองจะต้องสร้างบัณฑิตให้ตอบโจทย์และรองรับกับตําแหน่งงานที่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ และเรื่องการ Reskill ยังคงเป็นเรื่องสําคัญเพื่อสร้างกําลังคนให้ตอบโจทย์ได้ทันต่อบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่ควรเร่งทําตอนนี้คือ ต้องช่วยกันคิด ช่วยกันสร้างตําแหน่งงานขึ้นมาเพื่อรองรับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยคาดว่ากลุ่มงานที่สําคัญในช่วงหลังสถานการณ์โควิดที่ภาครัฐควรผลักดันมีอยู่ 3 ด้าน คือ ด้านความมั่นคงทางสุขภาพ, ความมั่นคงทางด้านอาหาร และความมั่นคงทางอาชีพ โดยโครงสร้างทางเศรษฐกิจอาจจะต้องเน้นเศรษฐกิจฐานราก หรือ Local Economy มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายให้ สอวช. หารือกับภาคเอกชน นักเศรษฐศาสตร์ รวมถึง บีโอไอ เพื่อคาดการณ์และวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจ แนวโน้มการลงทุน และการจ้างงาน เป็นฉากทัศน์ของประเทศหลังวิกฤตการณ์โควิด เพื่อให้เห็นภาพกว้างที่ชัดเจนมากขึ้นและค่อยมาเจาะลึกลงรายละเอียดเพื่อหาวิธีการพัฒนากําลังคนให้ตอบโจทย์ตามความต้องการของประเทศหลังสถานการณ์โควิดได้อย่างตรงจุดต่อไป” ดร.สุวิทย์ กล่าว
สําหรับผลการสํารวจความต้องการบุคลากรในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ในระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ.2563 - 2567) ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อํานวยการ สอวช. เปิดเผยว่า สอวช. ได้ดําเนินการสํารวจแนวโน้มความต้องการบุคลากรในอุตสาหกรรมเป้าหมายจํานวน 12 อุตสาหกรรม โดยดําเนินการสํารวจขณะที่ยังไม่มีปัจจัยเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดเข้ามาเกี่ยวข้อง พบว่า อุตสาหกรรมเป้าหมายจํานวน 12 อุตสาหกรรม ซึ่งประกอบด้วย อุตสาหกรรมเชื้อเพลงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มผู้มีรายได้สูงและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และอุตสาหกรรมพัฒนาบุคลากรและการศึกษา มีความต้องการบุคลากรรวม 317,946 คน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอก
ทั้งนี้ ในจํานวนความต้องการบุคลากร 12 อุตสาหกรรม ข้างต้น สอวช. ได้นําผลมาวิเคราะห์สามารถแบ่งเป็นความต้องการบุคลากรเพื่อรองรับยุทธศาสตร์ BCG ของประเทศ 4 ด้าน คือ ด้านเกษตรและอาหาร 74,244 คน ด้านสุขภาพและการแพทย์ 20,153 คน พลังงาน ด้านวัสดุและเคมีชีวภาพ 9,836 คน และด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ 41,380 คน และหากพิจารณาจํานวนความต้องการบุคลากร กับจํานวนนักศึกษาที่สําเร็จการศึกษาในแต่ละปี พบว่า ภาคการศึกษาสามารถผลิตบัณฑิตได้ประมาณ 3 แสนคน/ปี ส่วนอุตสาหกรรมเป้าหมายมีความบุคลากรตกปีละ 63,589 คน/ปี
ผลสํารวจดังกล่าว ทําให้เห็นว่า ประเทศไทยไม่ได้มีปัญหาขาดแคลนแรงงานในเชิงปริมาณ แต่ขาดแคลนแรงงานเชิงคุณภาพ ประกอบกับในปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมมีความต้องการบุคลากรที่มีความรู้แบบบูรณาการข้ามสาขามากขึ้น ประเด็นการพัฒนาบุคลากรเพื่อตอบโจทย์ประเทศจึงอยู่ที่การสร้างความรู้และทักษะของกําลังคนให้ตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ทั้งสร้างหลักสูตรระดับอุดมศึกษาให้ทันสมัยและเข้มข้นมากขึ้นเพื่อผลิตบัณฑิตให้ตรงความต้องการ ควบคู่ไปกับการเพิ่มพูนทักษะ (Upskill - Reskill) ให้แก่บัณฑิต คนทํางาน ผ่านการจัดหลักสูตรระยะสั้น การฝึกงาน และการทําวิจัย โดยมีมาตรการรัฐสนับสนุนให้เกิดแรงจูงใจ อาทิ สิทธิประโยชน์ BOI สําหรับกิจการฝึกอบรม สิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยการยกเว้นค่าใช้จ่าย 2.5 เท่า สําหรับการฝึกอบรมระยะสั้นจากหน่วยงานฝึกอบรมที่ได้รับการรับรอง และสอดคล้องกับทักษะที่กําหนดไว้ใน Future Skills Set ที่ สอวช. อยู่ระหว่างการจัดทํา สิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยการยกเว้นค่าใช้จ่าย 1.5 เท่า ของการจ้างงานบุคลากรทักษะสูงในสาขาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรม เป็นต้น สําหรับปัญหาเชิงคุณภาพของกําลังแรงงานในปัจจุบัน พบว่า ยังมีทักษะที่มีช่องว่าง อาทิ ทักษะภาษาต่างประเทศ ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ ทักษะคณิตศาสตร์และการคํานวณ ทักษะในการบริหารจัดการ ทักษะในการคิด และทักษะในการสื่อสาร เป็นต้น อีกทั้งกําลังแรงงานยังต้องได้รับการพัฒนาความรู้ให้เพียงพอต่อความต้องการ อาทิ ความรู้ด้านกฎระเบียบ ความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความรู้ธุรกิจ และความรู้วิชาชีพ ส่วนคุณลักษณะที่ยังขาดแคลน คือ ความใฝ่เรียนรู้ เป็นต้น
ข้อมูลข่าวโดย : สํานักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29956
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพักชำระหนี้ต้นเงินและลดดอกเบี้ยให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว
|
วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2560
$("#video-player3").css("background-color", "#000000");
var container = document.getElementById("video-player3");
flowplayer.conf = {
share :false, // --> set share button
// facebook :true,
// ratio :9/16, // --> set ratio
// seekable :true,
// autoplay :false,
// splash : true,
// chromecast :true,
// auto quality
// hlsQualities:true,
poster :"https://media.thaigov.go.th/uploads/thumbnail/news/2017/04/3373_S__4259857.jpg", //poster
// swf :"flowplayer.swf",
// hlsQualities:[{level: -1, label: "ABR"},{level: 1, label: "SD"}, {level: 6, label: "HD"}],
};
flowplayer(container, {
clip: {
sources: [
{
// type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl
// src: "vod/testcar.mp4"
// type: "application/x-mpegurl",
// file: "smil.php?filename=hp_2.mp4/playlist.m3u8",
type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl
src: "https://media.thaigov.go.th/uploads/vod/155/2017/04/mp3/04รัฐบาลพักชําระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว.mp3"
}
],
title: "รัฐบาลพักชําระหนี้ต้นเงินและลดดอกเบี้ยให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ",
// qualities: ["160p", "260p", "530p", "800p"],
// defaultQuality: "260p"
}
});
รัฐบาลพักชําระหนี้ต้นเงินและลดดอกเบี้ยให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว
รัฐขยายความช่วยเหลือในการบรรเทาภาระหนี้สินให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ทั้งที่เป็นลูกหนี้ ธ.ก.ส. สหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกร
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลดําเนินโครงการพักชําระหนี้ต้นเงินและลดดอกเบี้ยให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวในปีการผลิต 2559/60 โดยให้ครอบคลุมทั้งเกษตรกรที่เป็นลูกหนี้ ธ.ก.ส. และเกษตรกรที่เป็นลูกหนี้ของสหกรณ์หรือกลุ่มเกษตรกรด้วย ทั้งนี้ หนี้สินของเกษตรกรจะต้องเป็นหนี้สินที่กู้ไปเพื่อผลิตข้าวไม่เกิน 5 แสนบาทต่อราย โดยรัฐบาลจะเลื่อนกําหนดชําระคืนต้นเงินและลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้ร้อยละ 3 ต่อปี เป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 59 – 30 มิ.ย. 61 เพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้สินและลดต้นทุนในการประกอบอาชีพให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่อาจได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยธรรมชาติและราคาผลผลิตตกต่ําอย่างเท่าเทียมเสมอภาคกัน และช่วยให้เกษตรกรมีโอกาสฟื้นฟูตนเอง และมีเงินทุนไว้เป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือนอย่างเหมาะสมและไม่เดือดร้อน
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพักชำระหนี้ต้นเงินและลดดอกเบี้ยให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว
วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2560
$("#video-player3").css("background-color", "#000000");
var container = document.getElementById("video-player3");
flowplayer.conf = {
share :false, // --> set share button
// facebook :true,
// ratio :9/16, // --> set ratio
// seekable :true,
// autoplay :false,
// splash : true,
// chromecast :true,
// auto quality
// hlsQualities:true,
poster :"https://media.thaigov.go.th/uploads/thumbnail/news/2017/04/3373_S__4259857.jpg", //poster
// swf :"flowplayer.swf",
// hlsQualities:[{level: -1, label: "ABR"},{level: 1, label: "SD"}, {level: 6, label: "HD"}],
};
flowplayer(container, {
clip: {
sources: [
{
// type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl
// src: "vod/testcar.mp4"
// type: "application/x-mpegurl",
// file: "smil.php?filename=hp_2.mp4/playlist.m3u8",
type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl
src: "https://media.thaigov.go.th/uploads/vod/155/2017/04/mp3/04รัฐบาลพักชําระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว.mp3"
}
],
title: "รัฐบาลพักชําระหนี้ต้นเงินและลดดอกเบี้ยให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ",
// qualities: ["160p", "260p", "530p", "800p"],
// defaultQuality: "260p"
}
});
รัฐบาลพักชําระหนี้ต้นเงินและลดดอกเบี้ยให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว
รัฐขยายความช่วยเหลือในการบรรเทาภาระหนี้สินให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ทั้งที่เป็นลูกหนี้ ธ.ก.ส. สหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกร
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลดําเนินโครงการพักชําระหนี้ต้นเงินและลดดอกเบี้ยให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวในปีการผลิต 2559/60 โดยให้ครอบคลุมทั้งเกษตรกรที่เป็นลูกหนี้ ธ.ก.ส. และเกษตรกรที่เป็นลูกหนี้ของสหกรณ์หรือกลุ่มเกษตรกรด้วย ทั้งนี้ หนี้สินของเกษตรกรจะต้องเป็นหนี้สินที่กู้ไปเพื่อผลิตข้าวไม่เกิน 5 แสนบาทต่อราย โดยรัฐบาลจะเลื่อนกําหนดชําระคืนต้นเงินและลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้ร้อยละ 3 ต่อปี เป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 59 – 30 มิ.ย. 61 เพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้สินและลดต้นทุนในการประกอบอาชีพให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่อาจได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยธรรมชาติและราคาผลผลิตตกต่ําอย่างเท่าเทียมเสมอภาคกัน และช่วยให้เกษตรกรมีโอกาสฟื้นฟูตนเอง และมีเงินทุนไว้เป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือนอย่างเหมาะสมและไม่เดือดร้อน
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3373
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ จับมือเอกอัครราชทูตเม็กซิโก สร้างความร่วมมือดิจิทัลเชื่อม 2 ภูมิภาค
|
วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ จับมือเอกอัครราชทูตเม็กซิโก สร้างความร่วมมือดิจิทัลเชื่อม 2 ภูมิภาค
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้การต้อนรับ นายไฆเม บีร์กิลิโอ นัวลาร์ต ซานเชซ (H.E. Mr. Jaime Virgilio Nualart Sánchez) เอกอัครราชทูตสหรัฐเม็กซิโกประจําประเทศไทย และเจ้าหน้าที่จากสถานเอกอัครราชทูตฯ ที่เกี่ยวข้องในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ ซึ่งกระทรวงดิจิทัลฯเล็งเห็นโอกาสถึงการพัฒนาด้านดิจิทัลของไทยและเม็กซิโกให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยปัจจุบันไทยเร่งดําเนินการในการลดช่องว่างด้านดิจิทัล การพัฒนาภาครัฐให้สามารถบริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านดิจิทัล การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และการสนับสนุนให้ภาคเอกชนจากนานาประเทศเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี โดยการดําเนินการดังกล่าวเป็นการวางรากฐานด้านดิจิทัลให้แก่ประเทศ ซึ่งจะช่วยให้การพัฒนาด้านดิจิทัลของประเทศดําเนินไปได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืนต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยินดีจะสร้างความร่วมมือด้านดิจิทัลระหว่างกันทั้งในระดับทวิภาคี หรือในกรอบความร่วมมือต่างๆ เช่น OECD และ APEC เป็นต้น รวมทั้งเห็นพ้องว่า ไทยสามารถเป็นประตูความร่วมมือด้านดิจิทัลให้แก่เม็กซิโกเข้าสู่กลุ่มประเทศอาเซียน และเม็กซิโกสามารถเป็นประตูให้ไทยเชื่อมโยงไปยังกลุ่มประเทศอเมริกาใต้ได้เช่นกัน เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2561 ณ ห้องรับรอง ชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ
*****************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ จับมือเอกอัครราชทูตเม็กซิโก สร้างความร่วมมือดิจิทัลเชื่อม 2 ภูมิภาค
วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ จับมือเอกอัครราชทูตเม็กซิโก สร้างความร่วมมือดิจิทัลเชื่อม 2 ภูมิภาค
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้การต้อนรับ นายไฆเม บีร์กิลิโอ นัวลาร์ต ซานเชซ (H.E. Mr. Jaime Virgilio Nualart Sánchez) เอกอัครราชทูตสหรัฐเม็กซิโกประจําประเทศไทย และเจ้าหน้าที่จากสถานเอกอัครราชทูตฯ ที่เกี่ยวข้องในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ ซึ่งกระทรวงดิจิทัลฯเล็งเห็นโอกาสถึงการพัฒนาด้านดิจิทัลของไทยและเม็กซิโกให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยปัจจุบันไทยเร่งดําเนินการในการลดช่องว่างด้านดิจิทัล การพัฒนาภาครัฐให้สามารถบริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านดิจิทัล การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และการสนับสนุนให้ภาคเอกชนจากนานาประเทศเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี โดยการดําเนินการดังกล่าวเป็นการวางรากฐานด้านดิจิทัลให้แก่ประเทศ ซึ่งจะช่วยให้การพัฒนาด้านดิจิทัลของประเทศดําเนินไปได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืนต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยินดีจะสร้างความร่วมมือด้านดิจิทัลระหว่างกันทั้งในระดับทวิภาคี หรือในกรอบความร่วมมือต่างๆ เช่น OECD และ APEC เป็นต้น รวมทั้งเห็นพ้องว่า ไทยสามารถเป็นประตูความร่วมมือด้านดิจิทัลให้แก่เม็กซิโกเข้าสู่กลุ่มประเทศอาเซียน และเม็กซิโกสามารถเป็นประตูให้ไทยเชื่อมโยงไปยังกลุ่มประเทศอเมริกาใต้ได้เช่นกัน เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2561 ณ ห้องรับรอง ชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ
*****************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11012
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 1 - 7 พฤศจิกายน 2562 พบการกระทำผิด จำนวน 698 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.58 ล้านบาท
|
วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2562
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 1 - 7 พฤศจิกายน 2562 พบการกระทําผิด จํานวน 698 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.58 ล้านบาท
กรมสรรพสามิตดําเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต
นายวรวรรธน์ ภิญโญ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากการบริโภคสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าสินค้าโดยทั่วไป
จากผลการตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2563 (ระหว่างวันที่ 1 - 7 พฤศจิกายน 2562) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 698 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.58 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 373 คดี ค่าปรับ 3.60 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 244 คดี ค่าปรับ 5.39 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 14 คดี ค่าปรับ 0.22 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 21 คดี ค่าปรับ 0.23 ล้านบาท น้ําหอม 1 คดี ค่าปรับ 0.03 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 37 คดี ค่าปรับ จํานวน 0.63 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 8 คดี ค่าปรับ 0.48 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 7,566.345 ลิตร ยาสูบ จํานวน 8,336 ซอง ไพ่ จํานวน 941 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 3,520.000 ลิตร น้ําหอมจํานวน 250 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 38 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 7 พฤศจิกายน 2562 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 3,449 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 55.20 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 1,840 คดี ค่าปรับ 17.19 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 1,170 คดี ค่าปรับ 27.59 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 85 คดี ค่าปรับ 0.81ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 135 คดี ค่าปรับ 2.51 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 2 คดี ค่าปรับ 0.05 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 162 คดี ค่าปรับ จํานวน 2.72 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 55 คดี ค่าปรับ 4.33 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 16,161.006 ลิตร ยาสูบ จํานวน 39,297 ซอง ไพ่ จํานวน 9,552 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 58,857.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 290 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 185 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 47
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 1 - 7 พฤศจิกายน 2562 พบการกระทำผิด จำนวน 698 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.58 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2562
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 1 - 7 พฤศจิกายน 2562 พบการกระทําผิด จํานวน 698 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.58 ล้านบาท
กรมสรรพสามิตดําเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต
นายวรวรรธน์ ภิญโญ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากการบริโภคสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าสินค้าโดยทั่วไป
จากผลการตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2563 (ระหว่างวันที่ 1 - 7 พฤศจิกายน 2562) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 698 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.58 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 373 คดี ค่าปรับ 3.60 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 244 คดี ค่าปรับ 5.39 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 14 คดี ค่าปรับ 0.22 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 21 คดี ค่าปรับ 0.23 ล้านบาท น้ําหอม 1 คดี ค่าปรับ 0.03 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 37 คดี ค่าปรับ จํานวน 0.63 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 8 คดี ค่าปรับ 0.48 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 7,566.345 ลิตร ยาสูบ จํานวน 8,336 ซอง ไพ่ จํานวน 941 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 3,520.000 ลิตร น้ําหอมจํานวน 250 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 38 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 7 พฤศจิกายน 2562 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 3,449 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 55.20 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 1,840 คดี ค่าปรับ 17.19 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 1,170 คดี ค่าปรับ 27.59 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 85 คดี ค่าปรับ 0.81ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 135 คดี ค่าปรับ 2.51 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 2 คดี ค่าปรับ 0.05 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 162 คดี ค่าปรับ จํานวน 2.72 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 55 คดี ค่าปรับ 4.33 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 16,161.006 ลิตร ยาสูบ จํานวน 39,297 ซอง ไพ่ จํานวน 9,552 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 58,857.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 290 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 185 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 47
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24420
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลปรับโครงสร้างหนี้ช่วยเกษตรกร NPLs
|
วันพุธที่ 10 ตุลาคม 2561
รัฐบาลปรับโครงสร้างหนี้ช่วยเกษตรกร NPLs
รัฐบาลมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนทั้งหมด ราว 468,000 ราย
พุธที่ 10 ต.ค.61
รัฐบาลปรับโครงสร้างหนี้ช่วยเกษตรกร NPLs
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนทั้งหมด ราว 468,000 ราย โดยเริ่มต้นจากลูกหนี้ของ ธ.ก.ส.ที่เป็นหนี้ NLPs ก่อนวันที่ 31 ธ.ค.2560 จํานวน 36,605 ราย ซึ่งเกษตรกรจะต้องทําสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ โดยพักชําระเงินต้นครึ่งหนึ่งและดอกเบี้ยทั้งหมดไว้ก่อน และผ่อนชําระหนี้เงินต้นอีกครึ่งหนึ่งภายในระยะเวลาไม่เกิน 15 ปี เมื่อผ่อนชําระหนี้เรียบร้อยแล้ว ธ.ก.ส.จะพิจารณายกดอกเบี้ยที่พักไว้ให้เกษตรกร ส่วนเงินต้นที่เหลือให้นําไปปรับโครงสร้างใหม่ ทั้งนี้ เกษตรกรต้องจัดทําแผนฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพของตนเองและเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูตามแผนอย่างจริงจังด้วย โดยรัฐบาลตั้งเป้าปรับโครงสร้างหนี้เกษตรกรกลุ่มนี้ให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลปรับโครงสร้างหนี้ช่วยเกษตรกร NPLs
วันพุธที่ 10 ตุลาคม 2561
รัฐบาลปรับโครงสร้างหนี้ช่วยเกษตรกร NPLs
รัฐบาลมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนทั้งหมด ราว 468,000 ราย
พุธที่ 10 ต.ค.61
รัฐบาลปรับโครงสร้างหนี้ช่วยเกษตรกร NPLs
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนทั้งหมด ราว 468,000 ราย โดยเริ่มต้นจากลูกหนี้ของ ธ.ก.ส.ที่เป็นหนี้ NLPs ก่อนวันที่ 31 ธ.ค.2560 จํานวน 36,605 ราย ซึ่งเกษตรกรจะต้องทําสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ โดยพักชําระเงินต้นครึ่งหนึ่งและดอกเบี้ยทั้งหมดไว้ก่อน และผ่อนชําระหนี้เงินต้นอีกครึ่งหนึ่งภายในระยะเวลาไม่เกิน 15 ปี เมื่อผ่อนชําระหนี้เรียบร้อยแล้ว ธ.ก.ส.จะพิจารณายกดอกเบี้ยที่พักไว้ให้เกษตรกร ส่วนเงินต้นที่เหลือให้นําไปปรับโครงสร้างใหม่ ทั้งนี้ เกษตรกรต้องจัดทําแผนฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพของตนเองและเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูตามแผนอย่างจริงจังด้วย โดยรัฐบาลตั้งเป้าปรับโครงสร้างหนี้เกษตรกรกลุ่มนี้ให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15993
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดมรดกภูมิปัญญาฯ เห็นชอบแผนงานเฉลิมฉลอง ยูเนสโก ประกาศ “โขน” ขึ้นบัญชีมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ จัดยิ่งใหญ่ปลายปี 61
|
วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน 2561
บอร์ดมรดกภูมิปัญญาฯ เห็นชอบแผนงานเฉลิมฉลอง ยูเนสโก ประกาศ “โขน” ขึ้นบัญชีมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ จัดยิ่งใหญ่ปลายปี 61
บอร์ดมรดกภูมิปัญญาฯ เห็นชอบแผนงานเฉลิมฉลอง ยูเนสโก ประกาศ “โขน”
ขึ้นบัญชีมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ จัดยิ่งใหญ่ปลายปี 61
สร้างแอนิเมชั่นโขนรามาวตาร – คลังข้อมูลโขนดิจิทัล - มหกรรมการแสดงโขน 4 ภูมิภาค
บอร์ดมรดกภูมิปัญญาฯ เห็นชอบแผนงานเฉลิมฉลอง ยูเนสโก ประกาศ “โขน”
ขึ้นบัญชีมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ จัดยิ่งใหญ่ปลายปี 61
สร้างแอนิเมชั่นโขนรามาวตาร – คลังข้อมูลโขนดิจิทัล - มหกรรมการแสดงโขน 4 ภูมิภาค
ยกย่องเชิดชูเกียรติบุคคล องค์กรผู้ทําคุณประโยชน์ต่อวงการโขน
เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ครั้งที่ 4/2561 ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบ โครงการเทศกาล โขนในฐานะรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ ซึ่งเป็นการดําเนินงานตามพันธกรณีของอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมจับต้องไม่ได้ ค.ศ.2003 ของยูเนสโก เพื่อเตรียมความพร้อม รองรับการประกาศขึ้นบัญชีจากยูเนสโกให้ “โขน” เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ ซึ่งจะได้รับการพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐบาล ของยูเนสโก ครั้งที่ 13 ในระหว่าง 26 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม 2561 ณ สาธารณรัฐมอริเชียส ดังนั้นกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) จึงได้จัดทําโครงการเทศกาลโขนขึ้น เพื่อให้ประชาชนได้ภาคภูมิใจและมีความรู้สึกร่วมกันตระหนักถึงคุณค่าและความสําคัญของ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติรายการนี้
นายวีระ กล่าวอีกว่า กิจกรรมสําหรับเฉลิมฉลอง โขน นั้น ขณะนี้ได้จัดทําแผนงานและกิจกรรมที่สําคัญ 3 ส่วน ได้แก่ 1.กิจกรรมสร้างความภาคภูมิใจด้วยการยกย่องเชิดชูเกียรติให้กับบุคคล องค์กรผู้ทําคุณประโยชน์ต่อวงการโขน 2.การเผยแพร่องค์ความรู้ในรูปแบบต่างๆ เช่น การเสวนา การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ จัดพิมพ์หนังสือองค์ความรู้เกี่ยวกับโขน การผลิตสื่อภาพยนตร์แอนิเมชั่นรามเกียรติ์ ตอน รามาวตาร นิทรรศการเผยแพร่ความรู้ รวมทั้งการจัดทําคลังข้อมูลโขน ในรูปแบบดิจิทัล และ 3.มหกรรมการแสดงโขน 4 ภูมิภาค และในส่วนกลาง ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร โดยการเฉลิมฉลองนี้กําหนดจัดในช่วงเดือนธันวาคม 2561 นี้
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาข้อเสนอและความเห็นของ คณะกรรมาธิการศาสนาศิลปะ วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว สภานิติบัญญัติแห่งชาติ จากการจัดกิจกรรมและการเสวนาทางวิชาการ เมื่อวันที่ 4 - 8 เมษายน 2561 เกี่ยวกับการอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยตลอดจนองค์ความรู้แขนงต่างๆ ที่ได้รับการบันทึกไว้ในจารึกวัดโพธิ์ โดยที่ประชุมมีความเห็นว่า กระทรวงวัฒนธรรมสามารถดําเนินการตามภารกิจในส่วนที่เกี่ยวข้อง คือ 1.สนับสนุนให้มีส่วนจัดแสดงเกี่ยวกับฤาษีดัดตนและการนวดแผนไทยในพิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทย 2.ให้กรมศิลปากรดําเนินการออกแบบจัดทําป้ายมรดกความทรงจําแห่งโลก
3.พิจารณาและทบทวน กฎหมายว่าด้วยมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม และกฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ รวมทั้งการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 4.อนุรักษ์และคุ้มครองเอกสารตําราแพทย์แผนไทย ตําราหลวง ตําราในแต่ละภูมิภาค รวมถึงส่งเสริมให้ความรู้ภูมิปัญญาด้านพิธีกรรมด้วย และ 5.การส่งเสริมและพัฒนาผู้ทรงคุณวุฒิ หรือผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมด้านภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย รวมทั้งจัดสวัสดิการสนับสนุน
-----------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดมรดกภูมิปัญญาฯ เห็นชอบแผนงานเฉลิมฉลอง ยูเนสโก ประกาศ “โขน” ขึ้นบัญชีมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ จัดยิ่งใหญ่ปลายปี 61
วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน 2561
บอร์ดมรดกภูมิปัญญาฯ เห็นชอบแผนงานเฉลิมฉลอง ยูเนสโก ประกาศ “โขน” ขึ้นบัญชีมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ จัดยิ่งใหญ่ปลายปี 61
บอร์ดมรดกภูมิปัญญาฯ เห็นชอบแผนงานเฉลิมฉลอง ยูเนสโก ประกาศ “โขน”
ขึ้นบัญชีมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ จัดยิ่งใหญ่ปลายปี 61
สร้างแอนิเมชั่นโขนรามาวตาร – คลังข้อมูลโขนดิจิทัล - มหกรรมการแสดงโขน 4 ภูมิภาค
บอร์ดมรดกภูมิปัญญาฯ เห็นชอบแผนงานเฉลิมฉลอง ยูเนสโก ประกาศ “โขน”
ขึ้นบัญชีมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ จัดยิ่งใหญ่ปลายปี 61
สร้างแอนิเมชั่นโขนรามาวตาร – คลังข้อมูลโขนดิจิทัล - มหกรรมการแสดงโขน 4 ภูมิภาค
ยกย่องเชิดชูเกียรติบุคคล องค์กรผู้ทําคุณประโยชน์ต่อวงการโขน
เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ครั้งที่ 4/2561 ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบ โครงการเทศกาล โขนในฐานะรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ ซึ่งเป็นการดําเนินงานตามพันธกรณีของอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมจับต้องไม่ได้ ค.ศ.2003 ของยูเนสโก เพื่อเตรียมความพร้อม รองรับการประกาศขึ้นบัญชีจากยูเนสโกให้ “โขน” เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ ซึ่งจะได้รับการพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐบาล ของยูเนสโก ครั้งที่ 13 ในระหว่าง 26 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม 2561 ณ สาธารณรัฐมอริเชียส ดังนั้นกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) จึงได้จัดทําโครงการเทศกาลโขนขึ้น เพื่อให้ประชาชนได้ภาคภูมิใจและมีความรู้สึกร่วมกันตระหนักถึงคุณค่าและความสําคัญของ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติรายการนี้
นายวีระ กล่าวอีกว่า กิจกรรมสําหรับเฉลิมฉลอง โขน นั้น ขณะนี้ได้จัดทําแผนงานและกิจกรรมที่สําคัญ 3 ส่วน ได้แก่ 1.กิจกรรมสร้างความภาคภูมิใจด้วยการยกย่องเชิดชูเกียรติให้กับบุคคล องค์กรผู้ทําคุณประโยชน์ต่อวงการโขน 2.การเผยแพร่องค์ความรู้ในรูปแบบต่างๆ เช่น การเสวนา การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ จัดพิมพ์หนังสือองค์ความรู้เกี่ยวกับโขน การผลิตสื่อภาพยนตร์แอนิเมชั่นรามเกียรติ์ ตอน รามาวตาร นิทรรศการเผยแพร่ความรู้ รวมทั้งการจัดทําคลังข้อมูลโขน ในรูปแบบดิจิทัล และ 3.มหกรรมการแสดงโขน 4 ภูมิภาค และในส่วนกลาง ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร โดยการเฉลิมฉลองนี้กําหนดจัดในช่วงเดือนธันวาคม 2561 นี้
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาข้อเสนอและความเห็นของ คณะกรรมาธิการศาสนาศิลปะ วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว สภานิติบัญญัติแห่งชาติ จากการจัดกิจกรรมและการเสวนาทางวิชาการ เมื่อวันที่ 4 - 8 เมษายน 2561 เกี่ยวกับการอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยตลอดจนองค์ความรู้แขนงต่างๆ ที่ได้รับการบันทึกไว้ในจารึกวัดโพธิ์ โดยที่ประชุมมีความเห็นว่า กระทรวงวัฒนธรรมสามารถดําเนินการตามภารกิจในส่วนที่เกี่ยวข้อง คือ 1.สนับสนุนให้มีส่วนจัดแสดงเกี่ยวกับฤาษีดัดตนและการนวดแผนไทยในพิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทย 2.ให้กรมศิลปากรดําเนินการออกแบบจัดทําป้ายมรดกความทรงจําแห่งโลก
3.พิจารณาและทบทวน กฎหมายว่าด้วยมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม และกฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ รวมทั้งการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 4.อนุรักษ์และคุ้มครองเอกสารตําราแพทย์แผนไทย ตําราหลวง ตําราในแต่ละภูมิภาค รวมถึงส่งเสริมให้ความรู้ภูมิปัญญาด้านพิธีกรรมด้วย และ 5.การส่งเสริมและพัฒนาผู้ทรงคุณวุฒิ หรือผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมด้านภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย รวมทั้งจัดสวัสดิการสนับสนุน
-----------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13267
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.อุตฯ จับมือ ผู้ว่าฯสระบุรี ชูชุมชนบ้านต้นตาล ขีดเส้นทางท่องเที่ยวชมวิถีไท-ยวน ช้อปปิ้งศูนย์โอทอปครบวงจร
|
วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน 2561
รมช.อุตฯ จับมือ ผู้ว่าฯสระบุรี ชูชุมชนบ้านต้นตาล ขีดเส้นทางท่องเที่ยวชมวิถีไท-ยวน ช้อปปิ้งศูนย์โอทอปครบวงจร
รมช.อุตฯ จับมือ ผู้ว่าฯสระบุรี ชูชุมชนบ้านต้นตาล ขีดเส้นทางท่องเที่ยวชมวิถีไท-ยวน ช้อปปิ้งศูนย์โอทอปครบวงจร
วันนี้ (29 เมษายน 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (CIV) หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไท-ยวน กลุ่มทอผ้าสตรีบ้านต้นตาล ตลาดต้าน้ําโบราณต้นตาล และกลุ่มสินค้า OTOP ณ จังหวัดสระบุรี โดยมี นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวสิริรัตน์ ไกรวนิช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ร่วมลงพื้นที่พร้อมกับ 8 อุตสาหกรรมจังหวัดที่อยู่ใกล้เคียง โดยมีอ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี ชัยนาท ลพบุรี สุรินทร์ บุรีรัมย์ ชัยภูมิ โดยมีนายบัณฑิตย์ เทวีทวารักษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี และนายสมศักดิ์ หวลกสิน อุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี ให้การต้อนรับ
สําหรับโครงการหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry Village :CIV) นั้น เป็นโครงการหมู่บ้านแห่งความสมดุลที่นําทุนวัฒนธรรม วิถีชีวิต และอัตลักษณ์ชุมชนมาผนวกกับความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการของชุมชน เชื่อมโยงกับการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว มีการจัดการบริหารโดยชุมชน เป็นการสร้างเสริมรายได้เพิ่มขึ้นภายในชุมชน
จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะ เดินทางไปเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการส่งเสริมจากกระทรวงอุตสาหกรรม ณ โรงเรียน OTOP (OTOP Academy) ศูนย์ OTOP คอมเพลกซ์ พุแค สระบุรี ซึ่งเป็นสถาบันส่งเสริมความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น พร้อมรับฟังปัญหาและอุปสรรค พร้อมมอบนโยบายในการดําเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรมแก่ผู้ประกอบการ OTOP
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.อุตฯ จับมือ ผู้ว่าฯสระบุรี ชูชุมชนบ้านต้นตาล ขีดเส้นทางท่องเที่ยวชมวิถีไท-ยวน ช้อปปิ้งศูนย์โอทอปครบวงจร
วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน 2561
รมช.อุตฯ จับมือ ผู้ว่าฯสระบุรี ชูชุมชนบ้านต้นตาล ขีดเส้นทางท่องเที่ยวชมวิถีไท-ยวน ช้อปปิ้งศูนย์โอทอปครบวงจร
รมช.อุตฯ จับมือ ผู้ว่าฯสระบุรี ชูชุมชนบ้านต้นตาล ขีดเส้นทางท่องเที่ยวชมวิถีไท-ยวน ช้อปปิ้งศูนย์โอทอปครบวงจร
วันนี้ (29 เมษายน 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (CIV) หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไท-ยวน กลุ่มทอผ้าสตรีบ้านต้นตาล ตลาดต้าน้ําโบราณต้นตาล และกลุ่มสินค้า OTOP ณ จังหวัดสระบุรี โดยมี นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวสิริรัตน์ ไกรวนิช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ร่วมลงพื้นที่พร้อมกับ 8 อุตสาหกรรมจังหวัดที่อยู่ใกล้เคียง โดยมีอ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี ชัยนาท ลพบุรี สุรินทร์ บุรีรัมย์ ชัยภูมิ โดยมีนายบัณฑิตย์ เทวีทวารักษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี และนายสมศักดิ์ หวลกสิน อุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี ให้การต้อนรับ
สําหรับโครงการหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry Village :CIV) นั้น เป็นโครงการหมู่บ้านแห่งความสมดุลที่นําทุนวัฒนธรรม วิถีชีวิต และอัตลักษณ์ชุมชนมาผนวกกับความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการของชุมชน เชื่อมโยงกับการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว มีการจัดการบริหารโดยชุมชน เป็นการสร้างเสริมรายได้เพิ่มขึ้นภายในชุมชน
จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะ เดินทางไปเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการส่งเสริมจากกระทรวงอุตสาหกรรม ณ โรงเรียน OTOP (OTOP Academy) ศูนย์ OTOP คอมเพลกซ์ พุแค สระบุรี ซึ่งเป็นสถาบันส่งเสริมความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น พร้อมรับฟังปัญหาและอุปสรรค พร้อมมอบนโยบายในการดําเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรมแก่ผู้ประกอบการ OTOP
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11836
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในงาน “The Greater Mekong Investment Forum 2018”
|
วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน 2561
รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในงาน “The Greater Mekong Investment Forum 2018”
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน “The Greater Mekong Investment Forum 2018” ซึ่ง Euromoney จัดขึ้น โดย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ได้กล่าวถึงนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่กําลังสร้างบรรยากาศที่ดีต่อการลงทุน รวมถึงการพัฒนาประเทศผ่านโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ อาทิ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โครงการรถไฟความเร็วสูง และโครงการเน็ตประชารัฐ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังให้ความสําคัญเกี่ยวกับเส้นทางเศรษฐกิจของจีนในโครงการ One Belt One Road ซึ่งจะใช้เทคโนโลยีการเชื่อมโยงโครงข่ายด้านดิจิทัลในโครงการ Submarine Cable เพื่อเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงระหว่างจีนกับกลุ่มประเทศอาเซียน ทั้งนี้ การจัดงานดังกล่าวทําให้ทราบถึงความต้องการของนักลงทุนจากทั่วโลกที่ให้ความสนใจในการขยายการลงทุนในภูมิภาคเอเชียเพิ่มขึ้น ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง โดยปีที่ผ่านมา GDP ของภูมิภาคเติบโตถึง 6.2% และยังมีปัจจัยหลายอย่างที่เอื้อต่อนักลงทุนโดยเฉพาะนโยบายในพื้นที่ลุ่มแม่น้ําโขง (Greater Mekong) ซึ่งเร็วๆ นี้ ผู้นําจากกลุ่มประเทศ CLMVT ทั้ง 5 ประเทศลุ่มน้ําโขง จะเดินทางเข้าร่วมหารือกันที่กรุงเทพฯ เพื่อขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในภูมิภาค ดังนั้น ปีนี้จึงเป็นจังหวะที่เหมาะสมสําหรับนักลงทุน โดยเฉพาะโอกาสการลงทุนในประเทศไทย เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2561 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ถนนพระราม 1 เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
*************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในงาน “The Greater Mekong Investment Forum 2018”
วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน 2561
รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในงาน “The Greater Mekong Investment Forum 2018”
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน “The Greater Mekong Investment Forum 2018” ซึ่ง Euromoney จัดขึ้น โดย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ได้กล่าวถึงนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่กําลังสร้างบรรยากาศที่ดีต่อการลงทุน รวมถึงการพัฒนาประเทศผ่านโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ อาทิ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โครงการรถไฟความเร็วสูง และโครงการเน็ตประชารัฐ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังให้ความสําคัญเกี่ยวกับเส้นทางเศรษฐกิจของจีนในโครงการ One Belt One Road ซึ่งจะใช้เทคโนโลยีการเชื่อมโยงโครงข่ายด้านดิจิทัลในโครงการ Submarine Cable เพื่อเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงระหว่างจีนกับกลุ่มประเทศอาเซียน ทั้งนี้ การจัดงานดังกล่าวทําให้ทราบถึงความต้องการของนักลงทุนจากทั่วโลกที่ให้ความสนใจในการขยายการลงทุนในภูมิภาคเอเชียเพิ่มขึ้น ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง โดยปีที่ผ่านมา GDP ของภูมิภาคเติบโตถึง 6.2% และยังมีปัจจัยหลายอย่างที่เอื้อต่อนักลงทุนโดยเฉพาะนโยบายในพื้นที่ลุ่มแม่น้ําโขง (Greater Mekong) ซึ่งเร็วๆ นี้ ผู้นําจากกลุ่มประเทศ CLMVT ทั้ง 5 ประเทศลุ่มน้ําโขง จะเดินทางเข้าร่วมหารือกันที่กรุงเทพฯ เพื่อขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในภูมิภาค ดังนั้น ปีนี้จึงเป็นจังหวะที่เหมาะสมสําหรับนักลงทุน โดยเฉพาะโอกาสการลงทุนในประเทศไทย เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2561 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ถนนพระราม 1 เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
*************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12862
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดแรงงาน 'ย้ำ'นายจ้างที่มีต่างด้าวผิด กม. ลงทะเบียนได้ถึง 7 ส.ค. นี้ เท่านั้น ส่วนเปลี่ยนนายจ้างสามารถมาทำได้ตลอดเวลา
|
วันพุธที่ 26 กรกฎาคม 2560
ปลัดแรงงาน 'ย้ํา'นายจ้างที่มีต่างด้าวผิด กม. ลงทะเบียนได้ถึง 7 ส.ค. นี้ เท่านั้น ส่วนเปลี่ยนนายจ้างสามารถมาทําได้ตลอดเวลา
ปลัดแรงงาน เน้นย้ํานายจ้างที่มีลูกจ้างไม่มีเอกสาร ไม่มีใบอนุญาตทํางาน สามารถมาแจ้งการทํางานของคนต่างด้าวได้ที่ศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าวทั่วประเทศทั้ง 100 แห่ง ตั้งแต่วันนี้ – 7 สิงหาคม 2560 ส่วนกรณีเปลี่ยนนายจ้าง หรือจะขอโควต้าใหม่ที่จะนําเข้าแรง
หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงานเปิดเผยภายหลังการตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าวและสํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 9 ณ ศูนย์การค้า IT Square หลักสี่พลาซ่า วันนี้ (26 ก.ค. 60) ว่า “ขอเชิญชวนนายจ้างที่มีลูกจ้างไม่มีใบอนุญาตทํางาน ไม่มีเอกสารอะไรเลย ช่วงนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่จะช่วยกันจัดระบบแรงงานต่างด้าว โดยสามารถมาแจ้งได้ที่ศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าวทั่วประเทศทั้ง 100 แห่ง ตั้งแต่วันนี้ – 7 สิงหาคม 2560 ซึ่งนายจ้างสามารถมายื่นเอกสารที่ศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าว ว่ามีลูกจ้างอยู่กี่คน แล้วรับใบนัดหลังจากนั้นวันที่ 8 สิงหาคม – 6 กันยายน 2560 ให้นายจ้างพาลูกจ้างมาตรวจสอบคัดกรองความสัมพันธ์การเป็นนายจ้าง-ลูกจ้างจากนั้นจะเป็นขั้นตอนของการพิสูจน์สัญชาติจากประเทศต้นทาง การตรวจลงตรา (Visa) การตรวจโรค และการออกใบอนุญาตทํางาน(Work Permit)เพราะฉะนั้น ช่วงนี้นายจ้างต้องรีบมาจัดการให้ลูกจ้างที่เป็นแรงงานต่างด้าว สามารถทํางานได้อย่างถูกกฎหมายตามระยะเวลาที่กําหนด สําหรับกรณีเปลี่ยนนายจ้างหรือ ขอโควต้าใหม่ที่จะนําเข้าแรงงานต่างด้าวตามบันทึกข้อตกลง (MOU) ยังสามารถติดต่อได้ที่สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือ สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ได้ตลอดเวลาแต่ไม่ต้องรีบมาดําเนินการในช่วงนี้ เพราะอาจจะเกิดความล่าช้าขึ้นได้”
“สําหรับศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าว IT Squareยังไม่พบรายงานปัญหาหรืออุปสรรคแต่อย่างใด เจ้าหน้าพร้อมให้บริการอย่างรวดเร็ว สามารถรองรับผู้มาลงทะเบียนได้ 2,000 คน/วัน ส่วนข้อมูลการแจ้งการทํางานของคนต่างด้าวทั้ง 100 ศูนย์ ทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2560 - วันนี้ เวลา 14.00 น. มีผู้มาลงทะเบียน นายจ้างกว่า 30,000 คน ลูกจ้างกว่า 100,000 คน ซึ่งจังหวัดที่มีผู้มาลงทะเบียนมากที่สุด คือ กรุงเทพมหานคร รองลงมา คือ เชียงใหม่”ปลัดกระทรวงแรงงานกล่าวในท้ายที่สุด
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ข่าว
สมภพ ศีลบุตร ภาพ
26 กรกฎาคม 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดแรงงาน 'ย้ำ'นายจ้างที่มีต่างด้าวผิด กม. ลงทะเบียนได้ถึง 7 ส.ค. นี้ เท่านั้น ส่วนเปลี่ยนนายจ้างสามารถมาทำได้ตลอดเวลา
วันพุธที่ 26 กรกฎาคม 2560
ปลัดแรงงาน 'ย้ํา'นายจ้างที่มีต่างด้าวผิด กม. ลงทะเบียนได้ถึง 7 ส.ค. นี้ เท่านั้น ส่วนเปลี่ยนนายจ้างสามารถมาทําได้ตลอดเวลา
ปลัดแรงงาน เน้นย้ํานายจ้างที่มีลูกจ้างไม่มีเอกสาร ไม่มีใบอนุญาตทํางาน สามารถมาแจ้งการทํางานของคนต่างด้าวได้ที่ศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าวทั่วประเทศทั้ง 100 แห่ง ตั้งแต่วันนี้ – 7 สิงหาคม 2560 ส่วนกรณีเปลี่ยนนายจ้าง หรือจะขอโควต้าใหม่ที่จะนําเข้าแรง
หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงานเปิดเผยภายหลังการตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าวและสํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 9 ณ ศูนย์การค้า IT Square หลักสี่พลาซ่า วันนี้ (26 ก.ค. 60) ว่า “ขอเชิญชวนนายจ้างที่มีลูกจ้างไม่มีใบอนุญาตทํางาน ไม่มีเอกสารอะไรเลย ช่วงนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่จะช่วยกันจัดระบบแรงงานต่างด้าว โดยสามารถมาแจ้งได้ที่ศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าวทั่วประเทศทั้ง 100 แห่ง ตั้งแต่วันนี้ – 7 สิงหาคม 2560 ซึ่งนายจ้างสามารถมายื่นเอกสารที่ศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าว ว่ามีลูกจ้างอยู่กี่คน แล้วรับใบนัดหลังจากนั้นวันที่ 8 สิงหาคม – 6 กันยายน 2560 ให้นายจ้างพาลูกจ้างมาตรวจสอบคัดกรองความสัมพันธ์การเป็นนายจ้าง-ลูกจ้างจากนั้นจะเป็นขั้นตอนของการพิสูจน์สัญชาติจากประเทศต้นทาง การตรวจลงตรา (Visa) การตรวจโรค และการออกใบอนุญาตทํางาน(Work Permit)เพราะฉะนั้น ช่วงนี้นายจ้างต้องรีบมาจัดการให้ลูกจ้างที่เป็นแรงงานต่างด้าว สามารถทํางานได้อย่างถูกกฎหมายตามระยะเวลาที่กําหนด สําหรับกรณีเปลี่ยนนายจ้างหรือ ขอโควต้าใหม่ที่จะนําเข้าแรงงานต่างด้าวตามบันทึกข้อตกลง (MOU) ยังสามารถติดต่อได้ที่สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือ สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ได้ตลอดเวลาแต่ไม่ต้องรีบมาดําเนินการในช่วงนี้ เพราะอาจจะเกิดความล่าช้าขึ้นได้”
“สําหรับศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าว IT Squareยังไม่พบรายงานปัญหาหรืออุปสรรคแต่อย่างใด เจ้าหน้าพร้อมให้บริการอย่างรวดเร็ว สามารถรองรับผู้มาลงทะเบียนได้ 2,000 คน/วัน ส่วนข้อมูลการแจ้งการทํางานของคนต่างด้าวทั้ง 100 ศูนย์ ทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2560 - วันนี้ เวลา 14.00 น. มีผู้มาลงทะเบียน นายจ้างกว่า 30,000 คน ลูกจ้างกว่า 100,000 คน ซึ่งจังหวัดที่มีผู้มาลงทะเบียนมากที่สุด คือ กรุงเทพมหานคร รองลงมา คือ เชียงใหม่”ปลัดกระทรวงแรงงานกล่าวในท้ายที่สุด
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ข่าว
สมภพ ศีลบุตร ภาพ
26 กรกฎาคม 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5497
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิด “นโยบายรัฐบาล” มุ่งสู่ประเทศพัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21
|
วันพุธที่ 24 กรกฎาคม 2562
เปิด “นโยบายรัฐบาล” มุ่งสู่ประเทศพัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21
ภายใต้การนําของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ด้วยวิสัยทัศน์ "มุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21”
คําแถลงนโยบายหลัก 12 ด้าน และนโยบายเร่งด่วน 12 ด้าน ของรัฐบาลภายใต้การนําของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีวิสัยทัศน์คือ “มุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21” โดยหัวใจของทุกนโยบาย คือ การใช้งบประมาณแผ่นดิน หรือ “ภาษีประชาชน” อย่างคุ้มค่า ยึดกรอบวินัยการเงินการคลัง มีความโปร่งใส และตรวจสอบได้
ที่สําคัญเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บท แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบาย และแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ โดยอยู่บนรากฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อนําไปสู่การพัฒนาประเทศที่ “เติบโตเชิงคุณภาพ” ไม่ใช่ “การเติบโตเชิงปริมาณ”
การแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา แบ่งเป็น 2 ส่วนสําคัญ คือ นโยบายหลัก 12 ด้าน ซึ่งเป็นทิศทางการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลในช่วง 4 ปีข้างหน้า และ นโยบายเร่งด่วน 12 ด้าน ที่ถือเป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่รัฐบาลต้องเร่งดําเนินการแก้ไข เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนโดยเร็วที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารประเทศในศตวรรษที่ 21 หรือ “ยุคดิจิทัล” ปัญหาทุกด้านมีความสลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะประเทศไทยในขณะนี้ถือว่าอยู่ในช่วงระยะของการเปลี่ยนผ่านและต้องต่อสู้กับปัญหาใหม่ ๆ หลายประการ ทั้งจากการต่อสู้กับความยากจนในอดีต ก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นการต่อสู้กับความเหลื่อมล้ําในหลายรูปแบบ เช่น ความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา ความเหลื่อมล้ําของโอกาส และความเหลื่อมล้ําของรายได้และทรัพย์สิน หรือแม้แต่การต่อสู้กับความไม่สงบ ภายในประเทศในอดีต มาสู่การต่อสู้กับภัยคุกคามที่ไม่มีแบบแผนในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติ เครือข่ายการก่อการร้ายข้ามชาติ โรคระบาด และสงครามไซเบอร์
ประเด็นท้าทายเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงของการบริหารประเทศที่รัฐบาลจะต้องเผชิญได้เป็นอย่างดี ดังนั้น รัฐบาลนี้จึงมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาประเทศไทยให้หลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง แก้ไขปัญหาปากท้องและสร้างรายได้ให้เพียงพอต่อการดํารงชีวิตของประชาชนเพื่อลดความเหลื่อมล้ํา คนไทยในทุกช่วงวัยจะต้องมีความพร้อม ทั้งในด้านหลักคิด คุณธรรม และจริยธรรม และมีศักยภาพที่จะดําเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21 ที่เน้น “การเติบโตเชิงคุณภาพ” ไม่ใช่ “การเติบโตเชิงปริมาณ”
ดังนั้น การกําหนดนโยบายทั้งระยะสั้น หรือ ระยะยาวต้องพินิจพิเคราะห์ตรึกตรองอย่างถ้วนถี่ ถึงเป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ ทั้ง นโยบายหลัก 12 ด้าน และ นโยบายเร่งด่วน 12 ด้าน เพื่อให้ไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ การนําพาประเทศไทยไปสู่ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21 ดังนั้นการเดินไปสู่เป้าหมายดังกล่าวได้ สิ่งสําคัญอันดับแรก คือ การแก้ปัญหาเร่งด่วน ที่ผ่านการร่วมกันคิดและกลั่นกรองจากพรรคร่วมรัฐบาล "19 พรรคการเมือง" ออกมาเป็นนโยบายเร่งด่วน 12 ด้าน ถือเป็น “สัญญาประชาคม” ต่อพี่น้องประชาชนที่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งต่างคาดหวังต่อรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศ
โดยเฉพาะเรื่องที่ 1. การแก้ไขปัญหาในการดํารงชีวิตของประชาชน รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รูปธรรมของนโยบาย ประกอบด้วย ลดข้อจํากัดในการประกอบอาชีพ พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล กทม. เมืองหลวงสตรีทฟู้ด ลดหนี้ 3 ส่วน คือ 1. กองทุนหมู่บ้าน 2. กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา 3. หนี้สินนอกระบบ ปราบปรามแก๊ง "ฉ้อโกงออนไลน์" ปรับปรุงระบบ "ภาษี" การขยายโอกาสการเข้าถึง "สินเชื่อที่อยู่อาศัย" ปรับปรุง "ระบบที่ดินทํากิน" ให้เกษตรกรเข้าถึงได้ ลดอุปสรรคการประกอบอาชีพ "ประมงพาณิชย์" และ "ประมงชายฝั่ง" รวมถึงดูแล "ประมงพื้นบ้าน" ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
ส่วนนโยบายที่ 2. การปรับปรุงระบบสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน จุดเด่นของนโยบาย คือ การสานต่อและทําทันที ประกอบด้วย บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เบี้ยยังชีพ "ผู้สูงอายุ" "คนพิการ" ที่มีรายได้น้อย ขยายสิทธิกลุ่ม "มารดาตั้งครรภ์" "เด็กแรกเกิด" "เด็กวัยเรียน" ลดความเหลื่อมล้ําของ "คุณภาพการบริการสุขภาพ" ทั้งระบบ พัฒนาศักยภาพโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) และสนับสนุนอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อนําไปสู่การให้บริการการรักษาพยาบาลที่ดีแก่พี่น้องประชาชน ทั้งสองส่วนถือว่าอยู่ในหมวดสังคมด้านการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
ปัญหาเศรษฐกิจถือเป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลให้ความสําคัญเป็นพิเศษ เพราะประเทศไทยเผชิญทั้งปัญหาจากภายในประเทศ อาทิ ภัยพิบัติ ราคาสินค้าเกษตรตกต่ํา การส่งออกชะลอตัว หรือปัจจัยภายนอกจากสงครามการค้าโลกระหว่างชาติมหาอํานาจแต่ส่งผลสะเทือนถึงเศรษฐกิจไทย จึงเป็นที่มาของการกําหนดนโยบายเร่งด่วน เรื่องที่ 3. มาตรการเศรษฐกิจเพื่อรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก เริ่มตั้งแต่การเร่งรัดจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2563 เพื่ออัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เตรียมมาตรการตั้งรับ "การกีดกันทางการค้า" เร่งเพิ่ม "ช่องทาง" การส่งออกที่ถือเป็นรายได้หลักของประเทศ ขยายความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจกับประเทศที่มีศักยภาพ ที่สําคัญต้องส่งเสริม การท่องเที่ยว "เมืองหลัก" "เมืองรอง" และ "การท่องเที่ยวชุมชน" ซึ่งถือเป็นรายได้สําคัญในการพัฒนา
ปัญหาเร่งด่วนที่กําลังเผชิญหน้าในขณะนี้ คือ ราคาสินค้าเกษตรตกต่ํา รัฐบาลจึงกําหนดนโยบายมาตรการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร ในข้อที่ 4. การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม เพราะการทําการเกษตรยุคใหม่ต้องใช้ "นวัตกรรม" เข้ามาลดต้นทุนการผลิต พร้อมกับสร้างหลักประกันทางรายได้ให้แก่เกษตรกร จึงกลายเป็นที่มาของนโยบาย การ "บริหารจัดการน้ํา" และ “คุณภาพดิน" ด้วยเทคโนโลยี Agri-Map กําหนดเป้าหมาย "รายได้" จากข้าว ยางพารา มันสําปะหลัง ปาล์ม อ้อย ข้าวโพด ด้วยการชดเชย "ประกันรายได้" และ ดําเนินการ "ประกันภัยสินค้าเกษตร" ส่งเสริม "เกษตรพันธสัญญา" รวมถึงการส่งเสริมการใช้ "ยางพารา" ในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ หรือถนนยางพาราทั่วประเทศ และส่งเสริมการใช้ "ผลผลิตทางการเกษตร" ใน "อุตสาหกรรมพลังงาน" เพื่อแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาด รวมถึงเร่งศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี "กัญชา" "กัญชง" รวมถึงพืชสมุนไพรเพื่อนํามาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมทางการแพทย์เพื่อยกระดับราคาสินค้าเกษตรได้อีกทางหนึ่ง
รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ย้ําอยู่เสมอว่าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เช่นเดียวกับกลุ่มผู้ใช้แรงงาน จึงกําหนดนโยบายที่ 5. การยกระดับศักยภาพของแรงงาน โดยเฉพาะการยกระดับรายได้ หรือค่าแรงขั้นต่ํา ต้องสอดคล้องกับการพัฒนา "ทักษะฝีมือแรงงาน” ผ่านกลไก "คณะกรรมการไตรภาคี" รวมถึงสนับสนุนการปรับ "เปลี่ยนทักษะ" และ "เปลี่ยนสายอาชีพ" ให้ตรงกับความต้องการของ "ตลาดแรงงาน" "อุตสาหกรรมเป้าหมาย" และ "ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี" หรือ Disruptive Technology
ปัญหาเศรษฐกิจถือเป็นหัวใจสําคัญของการบริหารประเทศ โดยเฉพาะระยะเร่งด่วน ที่ต้องมีการวางรากฐานเพื่อรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคดิจิทัล รัฐบาลจึงกําหนดนโยบายที่ 6. การวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศสู่อนาคต โดยมุ่งเน้นการต่อยอด "อุตสาหกรรมเป้าหมาย" เร่งพัฒนาขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ อาทิ "เศรษฐกิจชีวภาพ" "เศรษฐกิจหมุนเวียน" "เศรษฐกิจสีเขียว" พร้อมกับสนับสนุนการลงทุน "เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก" "เขตเศรษฐกิจพิเศษ" "เมืองอัจฉริยะ" โดยระบบโครงข่าย "5G" ที่จะเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคตอันใกล้นี้
อีกหนึ่งนโยบายที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มุ่งมั่นและตั้งใจ คือ การพัฒนาคนให้มีความพร้อมไปสู่ศตวรรษใหม่แห่งการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงกําหนดนโยบายการศึกษาเป็นวาระเร่งด่วนเช่นกัน ด้วยนโยบายข้อที่่ 7. การเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 กล่าวคือ เด็กไทยยุคใหม่ต้องเก่งวิชา "วิทยาศาสตร์" "เทคโนโลยี" "วิศวกรรม" "คณิตศาสตร์" "โปรแกรมเมอร์" "ภาษาต่างประเทศ" เด็กไทยยุคใหม่ต้องรู้ "ภาษาคอมพิวเตอร์" หรือ Coding ตั้งแต่ระดับ "ประถมศึกษา" โรงเรียนทุกแห่งทั่วประเทศต้องมีคุณภาพถึงระดับตําบล และต้องมี "หลักสูตรออนไลน์" ประกอบการเรียนการสอน ที่สําคัญต้องมีความเชื่อมโยงระหว่างระบบการศึกษากับภาคธุรกิจ เรียนจบแล้วต้องมีงานทํา! นี่คือ แนวทางการพัฒนาคนให้ก้าวทันศตวรรษที่ 21
ปัญหาเร่งด่วนลําดับถัดมา คือ "การทุจริตคอร์รัปชัน" ถือเป็นเรื่องสําคัญที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ตระหนักดีตั้งแต่เป็นรัฐบาลสมัยแรก จึงกําหนดไว้ในข้อที่ 8. การแก้ไขปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ ทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายราชการประจํา คือ ต้องดําเนินการคู่ขนานทั้ง "นักการเมือง" และ "ข้าราชการประจํา" โดยไม่ละเว้น ด้วย "มาตรการทางการเมือง" ควบคู่ไปกับ "มาตรการทางกฎหมาย" กับผู้กระทําผิด และต้องนํา "เทคโนโลยี" มาใช้ "เฝ้าระวัง" การทุจริตประพฤติมิชอบ รวมถึงเร่งรัดขั้นตอนของกฎหมายกับผู้กระทําผิด ที่สําคัญต้องเปิดกว้างให้ภาคเอกชน และประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ป้องกัน และเฝ้าระวังการทุจริตในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ
อีกปัญหาเร่งด่วนที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยทอดทิ้ง คือ การแก้ไขปัญหายาเสพติดและสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ที่ระบุไว้ในข้อ 9. คือ “การแก้ปัญหายาเสพติด” ที่ต้องใช้กระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนบังคับใช้ "กฎหมาย" อย่างเคร่งครัด สร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ทําลาย "แหล่งผลิต" และ "เครือข่าย" ที่สําคัญต้องฟื้นฟูดูแลรักษา "ผู้เสพ" พร้อมสร้าง "โอกาส" "อาชีพ" และ "รายได้" ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติในสังคมได้ สําหรับ ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ คือ น้อมนํายุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” เร่งรัดการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ จัดสวัสดิการที่เหมาะสมสําหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ และการแก้ไขปัญหายึดหลัก "กฎหมายไทย" และ "หลักการสากล"
รัฐบาลทราบดีว่า "หัวใจการบริหารประเทศ" คือ "ข้าราชการ" ดังนั้นการพัฒนา "ระบบ" และ "คน" ถือเป็นสิ่งสําคัญ จึงกําหนดนโยบายข้อที่ 10. การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน หรือ รัฐบาลดิจิทัล เริ่มต้นที่การพัฒนาระบบจัดเก็บและเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐ การอนุมัติหรืออนุญาตทางราชการด้วยระบบดิจิทัลในอนาคต ต้องลดข้อจํากัดด้านกฎหมายที่เป็นปัญหาอุปสรรคต่อการทําธุรกิจและการดํารงชีวิตของประชาชน และต้องแก้ไขกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ล้าสมัย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ
ทุกวันนี้ ปัญหาภัยพิบัติถือเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสู่ภาวะโลกร้อน ทําให้ฤดูกาลต่าง ๆ แปรปรวนและทวีความรุนแรงขึ้น ดังนั้นการวางมาตรการตั้งรับและช่วยเหลือเยียวยาเป็นสิ่งสําคัญ จึงกําหนดนโยบาย 11. การจัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย เริ่มด้วยมาตรการป้องกัน "ก่อน" เกิดภัย การให้ความช่วยเหลือ "ระหว่าง" เกิดภัย การแก้ไขปัญหาใน "ระยะยาว" โดยเฉพาะ "ระบบเตือนภัย" ต้องมีการจัดระบบติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงกําหนดมาตรการ "บรรเทาความเดือดร้อน" ประชาชนให้ได้มากที่สุดและทันท่วงที และที่สําคัญต้องเร่งพัฒนาการปฏิบัติการ "ฝนหลวง" เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรไม่ให้พืชผลทางการเกษตรต้องยืนต้นตายจากการขาดแคลนน้ํา หรือภาวะภัยแล้ง และนโยบายเร่งด่วนลําดับสุดท้าย คือ 12. การสนับสนุนให้มีการศึกษา การรับฟังความเห็นของประชาชน และการดําเนินการเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ที่ทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านให้ความสําคัญ
ทั้งหมดนี้ คือ นโยบายเร่งด่วน 12 ด้านที่รัฐบาลจะเร่งดําเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ให้เร็วที่สุด
นโยบายหรือยุทธศาสตร์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอกย้ําอยู่เสมอ คือ ประเทศไทยต้องหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง และต้องลดความเหลื่อมล้ําทางรายได้ระหว่างคนจนและคนรวย โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ดังนั้นการสานต่อความมุ่งมั่นดังกล่าวจึงกลายเป็นที่มาของการกําหนดวิสัยทัศน์ของรัฐบาลชุดนี้ มุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21 โดยรัฐบาลได้กําหนดนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดิน สําหรับนโยบายในช่วง 4 ปีถัดไป ด้วยนโยบายหลัก 12 ด้าน ประกอบด้วย
1. การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์
2. การสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศ และความสงบสุขของประเทศ
3. การทํานุบํารุงศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม
4. การสร้างบทบาทของไทยในเวทีโลก
5. การพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย
6. การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค
7. การพัฒนาสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก
8. การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกช่วงวัย
9. การพัฒนาระบบสาธารณสุขและหลักประกันทางสังคม
10. การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
11. การปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ
12. การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และกระบวนการยุติธรรม
ทั้งนโยบายหลัก 12 ด้าน และนโยบายเร่งด่วน 12 ด้าน สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ความสําคัญอย่างมาก คือ "กรอบวินัย ด้านการเงินการคลังของประเทศ” เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าใช้งบประมาณจํานวนมหาศาล เหมือนกับนโยบาย "ประชานิยม" ในอดีต โดยรัฐบาลยืนยันว่าการดําเนินงานทั้งหมดมีแหล่งที่มาของเงินชัดเจน และจะทํางานภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง
โดยเฉพาะนโยบายด้านสังคมที่เกี่ยวข้องกับ การศึกษา สาธารณสุข และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาว ที่ต้องใช้งบประมาณจํานวนมาก ในขณะที่รายได้จากภาษีของประเทศมีอยู่อย่างจํากัด ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องเร่งรัดพัฒนาระบบ จัดเก็บภาษีของรัฐให้มีความครอบคลุมมากขึ้น มุ่งเน้นการขยายฐานภาษีและปรับโครงสร้างภาษีให้มีความเป็นธรรม รวมทั้งเร่งส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ ซึ่งเม็ดเงินดังกล่าวจะกลับมาสู่ระบบภาษีที่จะนํามาใช้ในการดําเนินนโยบาย เพื่อพัฒนาประเทศทั้งในเชิงเศรษฐกิจและเชิงสังคมตามนโยบายรัฐบาล
นอกจากนี้ แผนงานหรือโครงการใดที่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและเป็นการ วางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาว รัฐบาลจะพิจารณาให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศ รวมทั้งพิจารณาใช้เครื่องมือทางการเงินสมัยใหม่ อาทิ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทยในโครงการที่มีความคุ้มค่าทางการเงิน เพื่อลดภาระการลงทุนจากงบประมาณแผ่นดินและการกู้เงิน
"แหล่งที่มาของงบประมาณ" จึงเป็นสิ่งสําคัญที่รัฐบาลคํานึงถึง ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจว่าการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีประชาชนทุกบาททุกสตางค์ จะอยู่ภายใต้ "กรอบวินัย การเงินการคลังอย่างเคร่งครัด โปร่งใส และตรวจสอบได้ เพื่อให้ฐานะการเงินการคลังของประเทศ มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ" กรอบของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บท แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบาย และแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ
ทั้งหมดล้วนมีเป้าหมาย คือ ขับเคลื่อนการยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชน เพื่อเป็นรากฐานสําคัญ ในการก้าวไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วบนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในระยะ 20 ปี ข้างหน้าตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ ภายใต้วิสัยทัศน์ "มุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21" นําโดยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
----------------------
ภาพ / ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิด “นโยบายรัฐบาล” มุ่งสู่ประเทศพัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21
วันพุธที่ 24 กรกฎาคม 2562
เปิด “นโยบายรัฐบาล” มุ่งสู่ประเทศพัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21
ภายใต้การนําของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ด้วยวิสัยทัศน์ "มุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21”
คําแถลงนโยบายหลัก 12 ด้าน และนโยบายเร่งด่วน 12 ด้าน ของรัฐบาลภายใต้การนําของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีวิสัยทัศน์คือ “มุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21” โดยหัวใจของทุกนโยบาย คือ การใช้งบประมาณแผ่นดิน หรือ “ภาษีประชาชน” อย่างคุ้มค่า ยึดกรอบวินัยการเงินการคลัง มีความโปร่งใส และตรวจสอบได้
ที่สําคัญเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บท แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบาย และแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ โดยอยู่บนรากฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อนําไปสู่การพัฒนาประเทศที่ “เติบโตเชิงคุณภาพ” ไม่ใช่ “การเติบโตเชิงปริมาณ”
การแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา แบ่งเป็น 2 ส่วนสําคัญ คือ นโยบายหลัก 12 ด้าน ซึ่งเป็นทิศทางการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลในช่วง 4 ปีข้างหน้า และ นโยบายเร่งด่วน 12 ด้าน ที่ถือเป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่รัฐบาลต้องเร่งดําเนินการแก้ไข เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนโดยเร็วที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารประเทศในศตวรรษที่ 21 หรือ “ยุคดิจิทัล” ปัญหาทุกด้านมีความสลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะประเทศไทยในขณะนี้ถือว่าอยู่ในช่วงระยะของการเปลี่ยนผ่านและต้องต่อสู้กับปัญหาใหม่ ๆ หลายประการ ทั้งจากการต่อสู้กับความยากจนในอดีต ก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นการต่อสู้กับความเหลื่อมล้ําในหลายรูปแบบ เช่น ความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา ความเหลื่อมล้ําของโอกาส และความเหลื่อมล้ําของรายได้และทรัพย์สิน หรือแม้แต่การต่อสู้กับความไม่สงบ ภายในประเทศในอดีต มาสู่การต่อสู้กับภัยคุกคามที่ไม่มีแบบแผนในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติ เครือข่ายการก่อการร้ายข้ามชาติ โรคระบาด และสงครามไซเบอร์
ประเด็นท้าทายเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงของการบริหารประเทศที่รัฐบาลจะต้องเผชิญได้เป็นอย่างดี ดังนั้น รัฐบาลนี้จึงมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาประเทศไทยให้หลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง แก้ไขปัญหาปากท้องและสร้างรายได้ให้เพียงพอต่อการดํารงชีวิตของประชาชนเพื่อลดความเหลื่อมล้ํา คนไทยในทุกช่วงวัยจะต้องมีความพร้อม ทั้งในด้านหลักคิด คุณธรรม และจริยธรรม และมีศักยภาพที่จะดําเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21 ที่เน้น “การเติบโตเชิงคุณภาพ” ไม่ใช่ “การเติบโตเชิงปริมาณ”
ดังนั้น การกําหนดนโยบายทั้งระยะสั้น หรือ ระยะยาวต้องพินิจพิเคราะห์ตรึกตรองอย่างถ้วนถี่ ถึงเป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ ทั้ง นโยบายหลัก 12 ด้าน และ นโยบายเร่งด่วน 12 ด้าน เพื่อให้ไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ การนําพาประเทศไทยไปสู่ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21 ดังนั้นการเดินไปสู่เป้าหมายดังกล่าวได้ สิ่งสําคัญอันดับแรก คือ การแก้ปัญหาเร่งด่วน ที่ผ่านการร่วมกันคิดและกลั่นกรองจากพรรคร่วมรัฐบาล "19 พรรคการเมือง" ออกมาเป็นนโยบายเร่งด่วน 12 ด้าน ถือเป็น “สัญญาประชาคม” ต่อพี่น้องประชาชนที่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งต่างคาดหวังต่อรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศ
โดยเฉพาะเรื่องที่ 1. การแก้ไขปัญหาในการดํารงชีวิตของประชาชน รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รูปธรรมของนโยบาย ประกอบด้วย ลดข้อจํากัดในการประกอบอาชีพ พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล กทม. เมืองหลวงสตรีทฟู้ด ลดหนี้ 3 ส่วน คือ 1. กองทุนหมู่บ้าน 2. กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา 3. หนี้สินนอกระบบ ปราบปรามแก๊ง "ฉ้อโกงออนไลน์" ปรับปรุงระบบ "ภาษี" การขยายโอกาสการเข้าถึง "สินเชื่อที่อยู่อาศัย" ปรับปรุง "ระบบที่ดินทํากิน" ให้เกษตรกรเข้าถึงได้ ลดอุปสรรคการประกอบอาชีพ "ประมงพาณิชย์" และ "ประมงชายฝั่ง" รวมถึงดูแล "ประมงพื้นบ้าน" ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
ส่วนนโยบายที่ 2. การปรับปรุงระบบสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน จุดเด่นของนโยบาย คือ การสานต่อและทําทันที ประกอบด้วย บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เบี้ยยังชีพ "ผู้สูงอายุ" "คนพิการ" ที่มีรายได้น้อย ขยายสิทธิกลุ่ม "มารดาตั้งครรภ์" "เด็กแรกเกิด" "เด็กวัยเรียน" ลดความเหลื่อมล้ําของ "คุณภาพการบริการสุขภาพ" ทั้งระบบ พัฒนาศักยภาพโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) และสนับสนุนอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อนําไปสู่การให้บริการการรักษาพยาบาลที่ดีแก่พี่น้องประชาชน ทั้งสองส่วนถือว่าอยู่ในหมวดสังคมด้านการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
ปัญหาเศรษฐกิจถือเป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลให้ความสําคัญเป็นพิเศษ เพราะประเทศไทยเผชิญทั้งปัญหาจากภายในประเทศ อาทิ ภัยพิบัติ ราคาสินค้าเกษตรตกต่ํา การส่งออกชะลอตัว หรือปัจจัยภายนอกจากสงครามการค้าโลกระหว่างชาติมหาอํานาจแต่ส่งผลสะเทือนถึงเศรษฐกิจไทย จึงเป็นที่มาของการกําหนดนโยบายเร่งด่วน เรื่องที่ 3. มาตรการเศรษฐกิจเพื่อรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก เริ่มตั้งแต่การเร่งรัดจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2563 เพื่ออัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เตรียมมาตรการตั้งรับ "การกีดกันทางการค้า" เร่งเพิ่ม "ช่องทาง" การส่งออกที่ถือเป็นรายได้หลักของประเทศ ขยายความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจกับประเทศที่มีศักยภาพ ที่สําคัญต้องส่งเสริม การท่องเที่ยว "เมืองหลัก" "เมืองรอง" และ "การท่องเที่ยวชุมชน" ซึ่งถือเป็นรายได้สําคัญในการพัฒนา
ปัญหาเร่งด่วนที่กําลังเผชิญหน้าในขณะนี้ คือ ราคาสินค้าเกษตรตกต่ํา รัฐบาลจึงกําหนดนโยบายมาตรการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร ในข้อที่ 4. การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม เพราะการทําการเกษตรยุคใหม่ต้องใช้ "นวัตกรรม" เข้ามาลดต้นทุนการผลิต พร้อมกับสร้างหลักประกันทางรายได้ให้แก่เกษตรกร จึงกลายเป็นที่มาของนโยบาย การ "บริหารจัดการน้ํา" และ “คุณภาพดิน" ด้วยเทคโนโลยี Agri-Map กําหนดเป้าหมาย "รายได้" จากข้าว ยางพารา มันสําปะหลัง ปาล์ม อ้อย ข้าวโพด ด้วยการชดเชย "ประกันรายได้" และ ดําเนินการ "ประกันภัยสินค้าเกษตร" ส่งเสริม "เกษตรพันธสัญญา" รวมถึงการส่งเสริมการใช้ "ยางพารา" ในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ หรือถนนยางพาราทั่วประเทศ และส่งเสริมการใช้ "ผลผลิตทางการเกษตร" ใน "อุตสาหกรรมพลังงาน" เพื่อแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาด รวมถึงเร่งศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี "กัญชา" "กัญชง" รวมถึงพืชสมุนไพรเพื่อนํามาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมทางการแพทย์เพื่อยกระดับราคาสินค้าเกษตรได้อีกทางหนึ่ง
รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ย้ําอยู่เสมอว่าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เช่นเดียวกับกลุ่มผู้ใช้แรงงาน จึงกําหนดนโยบายที่ 5. การยกระดับศักยภาพของแรงงาน โดยเฉพาะการยกระดับรายได้ หรือค่าแรงขั้นต่ํา ต้องสอดคล้องกับการพัฒนา "ทักษะฝีมือแรงงาน” ผ่านกลไก "คณะกรรมการไตรภาคี" รวมถึงสนับสนุนการปรับ "เปลี่ยนทักษะ" และ "เปลี่ยนสายอาชีพ" ให้ตรงกับความต้องการของ "ตลาดแรงงาน" "อุตสาหกรรมเป้าหมาย" และ "ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี" หรือ Disruptive Technology
ปัญหาเศรษฐกิจถือเป็นหัวใจสําคัญของการบริหารประเทศ โดยเฉพาะระยะเร่งด่วน ที่ต้องมีการวางรากฐานเพื่อรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคดิจิทัล รัฐบาลจึงกําหนดนโยบายที่ 6. การวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศสู่อนาคต โดยมุ่งเน้นการต่อยอด "อุตสาหกรรมเป้าหมาย" เร่งพัฒนาขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ อาทิ "เศรษฐกิจชีวภาพ" "เศรษฐกิจหมุนเวียน" "เศรษฐกิจสีเขียว" พร้อมกับสนับสนุนการลงทุน "เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก" "เขตเศรษฐกิจพิเศษ" "เมืองอัจฉริยะ" โดยระบบโครงข่าย "5G" ที่จะเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคตอันใกล้นี้
อีกหนึ่งนโยบายที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มุ่งมั่นและตั้งใจ คือ การพัฒนาคนให้มีความพร้อมไปสู่ศตวรรษใหม่แห่งการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงกําหนดนโยบายการศึกษาเป็นวาระเร่งด่วนเช่นกัน ด้วยนโยบายข้อที่่ 7. การเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 กล่าวคือ เด็กไทยยุคใหม่ต้องเก่งวิชา "วิทยาศาสตร์" "เทคโนโลยี" "วิศวกรรม" "คณิตศาสตร์" "โปรแกรมเมอร์" "ภาษาต่างประเทศ" เด็กไทยยุคใหม่ต้องรู้ "ภาษาคอมพิวเตอร์" หรือ Coding ตั้งแต่ระดับ "ประถมศึกษา" โรงเรียนทุกแห่งทั่วประเทศต้องมีคุณภาพถึงระดับตําบล และต้องมี "หลักสูตรออนไลน์" ประกอบการเรียนการสอน ที่สําคัญต้องมีความเชื่อมโยงระหว่างระบบการศึกษากับภาคธุรกิจ เรียนจบแล้วต้องมีงานทํา! นี่คือ แนวทางการพัฒนาคนให้ก้าวทันศตวรรษที่ 21
ปัญหาเร่งด่วนลําดับถัดมา คือ "การทุจริตคอร์รัปชัน" ถือเป็นเรื่องสําคัญที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ตระหนักดีตั้งแต่เป็นรัฐบาลสมัยแรก จึงกําหนดไว้ในข้อที่ 8. การแก้ไขปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ ทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายราชการประจํา คือ ต้องดําเนินการคู่ขนานทั้ง "นักการเมือง" และ "ข้าราชการประจํา" โดยไม่ละเว้น ด้วย "มาตรการทางการเมือง" ควบคู่ไปกับ "มาตรการทางกฎหมาย" กับผู้กระทําผิด และต้องนํา "เทคโนโลยี" มาใช้ "เฝ้าระวัง" การทุจริตประพฤติมิชอบ รวมถึงเร่งรัดขั้นตอนของกฎหมายกับผู้กระทําผิด ที่สําคัญต้องเปิดกว้างให้ภาคเอกชน และประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ป้องกัน และเฝ้าระวังการทุจริตในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ
อีกปัญหาเร่งด่วนที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยทอดทิ้ง คือ การแก้ไขปัญหายาเสพติดและสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ที่ระบุไว้ในข้อ 9. คือ “การแก้ปัญหายาเสพติด” ที่ต้องใช้กระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนบังคับใช้ "กฎหมาย" อย่างเคร่งครัด สร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ทําลาย "แหล่งผลิต" และ "เครือข่าย" ที่สําคัญต้องฟื้นฟูดูแลรักษา "ผู้เสพ" พร้อมสร้าง "โอกาส" "อาชีพ" และ "รายได้" ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติในสังคมได้ สําหรับ ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ คือ น้อมนํายุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” เร่งรัดการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ จัดสวัสดิการที่เหมาะสมสําหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ และการแก้ไขปัญหายึดหลัก "กฎหมายไทย" และ "หลักการสากล"
รัฐบาลทราบดีว่า "หัวใจการบริหารประเทศ" คือ "ข้าราชการ" ดังนั้นการพัฒนา "ระบบ" และ "คน" ถือเป็นสิ่งสําคัญ จึงกําหนดนโยบายข้อที่ 10. การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน หรือ รัฐบาลดิจิทัล เริ่มต้นที่การพัฒนาระบบจัดเก็บและเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐ การอนุมัติหรืออนุญาตทางราชการด้วยระบบดิจิทัลในอนาคต ต้องลดข้อจํากัดด้านกฎหมายที่เป็นปัญหาอุปสรรคต่อการทําธุรกิจและการดํารงชีวิตของประชาชน และต้องแก้ไขกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ล้าสมัย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ
ทุกวันนี้ ปัญหาภัยพิบัติถือเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสู่ภาวะโลกร้อน ทําให้ฤดูกาลต่าง ๆ แปรปรวนและทวีความรุนแรงขึ้น ดังนั้นการวางมาตรการตั้งรับและช่วยเหลือเยียวยาเป็นสิ่งสําคัญ จึงกําหนดนโยบาย 11. การจัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย เริ่มด้วยมาตรการป้องกัน "ก่อน" เกิดภัย การให้ความช่วยเหลือ "ระหว่าง" เกิดภัย การแก้ไขปัญหาใน "ระยะยาว" โดยเฉพาะ "ระบบเตือนภัย" ต้องมีการจัดระบบติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงกําหนดมาตรการ "บรรเทาความเดือดร้อน" ประชาชนให้ได้มากที่สุดและทันท่วงที และที่สําคัญต้องเร่งพัฒนาการปฏิบัติการ "ฝนหลวง" เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรไม่ให้พืชผลทางการเกษตรต้องยืนต้นตายจากการขาดแคลนน้ํา หรือภาวะภัยแล้ง และนโยบายเร่งด่วนลําดับสุดท้าย คือ 12. การสนับสนุนให้มีการศึกษา การรับฟังความเห็นของประชาชน และการดําเนินการเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ที่ทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านให้ความสําคัญ
ทั้งหมดนี้ คือ นโยบายเร่งด่วน 12 ด้านที่รัฐบาลจะเร่งดําเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ให้เร็วที่สุด
นโยบายหรือยุทธศาสตร์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอกย้ําอยู่เสมอ คือ ประเทศไทยต้องหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง และต้องลดความเหลื่อมล้ําทางรายได้ระหว่างคนจนและคนรวย โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ดังนั้นการสานต่อความมุ่งมั่นดังกล่าวจึงกลายเป็นที่มาของการกําหนดวิสัยทัศน์ของรัฐบาลชุดนี้ มุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21 โดยรัฐบาลได้กําหนดนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดิน สําหรับนโยบายในช่วง 4 ปีถัดไป ด้วยนโยบายหลัก 12 ด้าน ประกอบด้วย
1. การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์
2. การสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศ และความสงบสุขของประเทศ
3. การทํานุบํารุงศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม
4. การสร้างบทบาทของไทยในเวทีโลก
5. การพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย
6. การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค
7. การพัฒนาสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก
8. การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกช่วงวัย
9. การพัฒนาระบบสาธารณสุขและหลักประกันทางสังคม
10. การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
11. การปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ
12. การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และกระบวนการยุติธรรม
ทั้งนโยบายหลัก 12 ด้าน และนโยบายเร่งด่วน 12 ด้าน สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ความสําคัญอย่างมาก คือ "กรอบวินัย ด้านการเงินการคลังของประเทศ” เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าใช้งบประมาณจํานวนมหาศาล เหมือนกับนโยบาย "ประชานิยม" ในอดีต โดยรัฐบาลยืนยันว่าการดําเนินงานทั้งหมดมีแหล่งที่มาของเงินชัดเจน และจะทํางานภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง
โดยเฉพาะนโยบายด้านสังคมที่เกี่ยวข้องกับ การศึกษา สาธารณสุข และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาว ที่ต้องใช้งบประมาณจํานวนมาก ในขณะที่รายได้จากภาษีของประเทศมีอยู่อย่างจํากัด ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องเร่งรัดพัฒนาระบบ จัดเก็บภาษีของรัฐให้มีความครอบคลุมมากขึ้น มุ่งเน้นการขยายฐานภาษีและปรับโครงสร้างภาษีให้มีความเป็นธรรม รวมทั้งเร่งส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ ซึ่งเม็ดเงินดังกล่าวจะกลับมาสู่ระบบภาษีที่จะนํามาใช้ในการดําเนินนโยบาย เพื่อพัฒนาประเทศทั้งในเชิงเศรษฐกิจและเชิงสังคมตามนโยบายรัฐบาล
นอกจากนี้ แผนงานหรือโครงการใดที่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและเป็นการ วางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาว รัฐบาลจะพิจารณาให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศ รวมทั้งพิจารณาใช้เครื่องมือทางการเงินสมัยใหม่ อาทิ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทยในโครงการที่มีความคุ้มค่าทางการเงิน เพื่อลดภาระการลงทุนจากงบประมาณแผ่นดินและการกู้เงิน
"แหล่งที่มาของงบประมาณ" จึงเป็นสิ่งสําคัญที่รัฐบาลคํานึงถึง ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจว่าการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีประชาชนทุกบาททุกสตางค์ จะอยู่ภายใต้ "กรอบวินัย การเงินการคลังอย่างเคร่งครัด โปร่งใส และตรวจสอบได้ เพื่อให้ฐานะการเงินการคลังของประเทศ มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ" กรอบของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บท แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบาย และแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ
ทั้งหมดล้วนมีเป้าหมาย คือ ขับเคลื่อนการยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชน เพื่อเป็นรากฐานสําคัญ ในการก้าวไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วบนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในระยะ 20 ปี ข้างหน้าตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ ภายใต้วิสัยทัศน์ "มุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21" นําโดยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
----------------------
ภาพ / ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21733
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน จัดงาน “วันสตรีสากล 61” ภายใต้แนวคิด พลังแรงงานสตรีไทย ก้าวไกลสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
|
วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม 2561
กระทรวงแรงงาน จัดงาน “วันสตรีสากล 61” ภายใต้แนวคิด พลังแรงงานสตรีไทย ก้าวไกลสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดงานวันสตรีสากล ประจําปี พ.ศ.2561 ภายใต้แนวคิด “พลังแรงงานสตรีไทย ก้าวไกลสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล” พร้อมรับประทานโล่รางวัลสตรีทํางานดีเด่น จากพระเจ้า วรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ
พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า บทบาทของสตรีในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมากกว่าในอดีตอย่างมาก ผู้หญิงได้รับการยอมรับมากขึ้นในแวดวงการประกอบการ สําหรับข้อมูลการส่งออกซึ่งเป็นรายได้ของประเทศนั้น พบว่าอุตสาหกรรมส่งออกที่สําคัญ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องนุ่งห่ม และแปรรูปอาหาร ล้วนแต่เป็นอุตสาหกรรมที่มีการใช้แรงงานหญิงเข้มข้น กระทรวงแรงงาน ตระหนักถึงความสําคัญของสตรีทํางานทุกคนว่าเป็นกําลังสําคัญในการสร้างครอบครัวที่เข้มแข็งและยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญก้าวหน้า จึงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้แรงงานสตรีได้รับการคุ้มครองสิทธิเท่าเทียมกัน โดยไม่เลือกปฏิบัติ มีความมั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ตลอดจนร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการส่งเสริม สนับสนุนบทบาทสตรี และความเสมอภาคชายหญิง ซึ่งจะเป็นกลไกที่สําคัญในการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างมั่นคง และยั่งยืน
นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานวันสตรีสากล ประจําปี พ.ศ. 2561 นี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “พลังแรงงานสตรีไทย ก้าวไกลสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล” เพื่อให้สตรีทํางานทุกคน ตระหนักถึงการพัฒนาตนเองและสามารถนําเทคโนโลยี่ดิจิทัลเข้ามาช่วยในการเพิ่มผลผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน สร้างความพร้อมในการเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งถือว่าเป็นพลังสําคัญในการยกระดับขีดความสามารถของประเทศให้สามารถแข่งขัน กับนานาชาติได้ โดยกิจกรรมหลัก คือ พิธีประทานโล่รางวัลสตรีทํางานดีเด่น ซึ่งในปีนี้มีสตรีเสนอผลงานเข้ารับการคัดเลือก จํานวนทั้งสิ้น 115 คน ซึ่งมีสตรีที่ได้รับการคัดเลือกเป็นสตรีทํางานดีเด่น ประจําปี พ.ศ.2561 รวม 8 ประเภท จํานวน 29 รางวัล โดยกระทรวงแรงงานได้รับพระกรุณาคุณจาก พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จมาประทานโล่รางวัลสตรีทํางานดีเด่น นอกจากนี้ กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย ทอล์คโชว์ เรื่อง โอกาสสตรีไทยก้าวไกลให้ทันเศรษฐกิจดิจิทัล นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ นิทรรศการสตรีทํางานดีเด่นประจําปี 2561 บูธแสดงผลิตภัณฑ์ คลินิกแรงงาน และการตรวจสุขภาพ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน จัดงาน “วันสตรีสากล 61” ภายใต้แนวคิด พลังแรงงานสตรีไทย ก้าวไกลสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม 2561
กระทรวงแรงงาน จัดงาน “วันสตรีสากล 61” ภายใต้แนวคิด พลังแรงงานสตรีไทย ก้าวไกลสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดงานวันสตรีสากล ประจําปี พ.ศ.2561 ภายใต้แนวคิด “พลังแรงงานสตรีไทย ก้าวไกลสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล” พร้อมรับประทานโล่รางวัลสตรีทํางานดีเด่น จากพระเจ้า วรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ
พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า บทบาทของสตรีในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมากกว่าในอดีตอย่างมาก ผู้หญิงได้รับการยอมรับมากขึ้นในแวดวงการประกอบการ สําหรับข้อมูลการส่งออกซึ่งเป็นรายได้ของประเทศนั้น พบว่าอุตสาหกรรมส่งออกที่สําคัญ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องนุ่งห่ม และแปรรูปอาหาร ล้วนแต่เป็นอุตสาหกรรมที่มีการใช้แรงงานหญิงเข้มข้น กระทรวงแรงงาน ตระหนักถึงความสําคัญของสตรีทํางานทุกคนว่าเป็นกําลังสําคัญในการสร้างครอบครัวที่เข้มแข็งและยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญก้าวหน้า จึงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้แรงงานสตรีได้รับการคุ้มครองสิทธิเท่าเทียมกัน โดยไม่เลือกปฏิบัติ มีความมั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ตลอดจนร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการส่งเสริม สนับสนุนบทบาทสตรี และความเสมอภาคชายหญิง ซึ่งจะเป็นกลไกที่สําคัญในการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างมั่นคง และยั่งยืน
นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานวันสตรีสากล ประจําปี พ.ศ. 2561 นี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “พลังแรงงานสตรีไทย ก้าวไกลสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล” เพื่อให้สตรีทํางานทุกคน ตระหนักถึงการพัฒนาตนเองและสามารถนําเทคโนโลยี่ดิจิทัลเข้ามาช่วยในการเพิ่มผลผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน สร้างความพร้อมในการเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งถือว่าเป็นพลังสําคัญในการยกระดับขีดความสามารถของประเทศให้สามารถแข่งขัน กับนานาชาติได้ โดยกิจกรรมหลัก คือ พิธีประทานโล่รางวัลสตรีทํางานดีเด่น ซึ่งในปีนี้มีสตรีเสนอผลงานเข้ารับการคัดเลือก จํานวนทั้งสิ้น 115 คน ซึ่งมีสตรีที่ได้รับการคัดเลือกเป็นสตรีทํางานดีเด่น ประจําปี พ.ศ.2561 รวม 8 ประเภท จํานวน 29 รางวัล โดยกระทรวงแรงงานได้รับพระกรุณาคุณจาก พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จมาประทานโล่รางวัลสตรีทํางานดีเด่น นอกจากนี้ กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย ทอล์คโชว์ เรื่อง โอกาสสตรีไทยก้าวไกลให้ทันเศรษฐกิจดิจิทัล นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ นิทรรศการสตรีทํางานดีเด่นประจําปี 2561 บูธแสดงผลิตภัณฑ์ คลินิกแรงงาน และการตรวจสุขภาพ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10614
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขาธิการนายกรัฐมนตรียืนยันจะเร่งติดตามหาผู้กระทำผิดคดีน.ส. โทโมโกะ คาวาชิตะ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
|
วันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม 2560
เลขาธิการนายกรัฐมนตรียืนยันจะเร่งติดตามหาผู้กระทําผิดคดีน.ส. โทโมโกะ คาวาชิตะ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
เลขาธิการนายกรัฐมนตรียืนยันจะเร่งติดตามหาผู้กระทําผิดคดีน.ส. โทโมโกะ คาวาชิตะ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
เลขาธิการนายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลและนรม.ให้ความสําคัญกับคดี น.ส.โทโมโกะ คาวาชิตะ และได้กําชับให้ดีเอสไอผู้รับผิดชอบคดีเร่งติดตามหาผู้กระทําผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
วันนี้ (1 ธ.ค. 2560) เวลา 13.30 น. นายชิโร ซะโดะชิมะ (Mr. Shiro Sadoshima) เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจําประเทศไทย นําบิดา มารดา นางสาวโทโมโกะ คาวาชิตะ และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยมีพ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่วมหารือความคืบหน้าคดีการเสียชีวิตของนางสาว โทโมโกะ คาวาชิตะ ณ ห้องโดมทอง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล
พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังการหารือถึงความคืบหน้าในการติดตามคดีว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเป็นคดีพิเศษแล้วตั้งแต่ปี 2556 และได้ดําเนินการกระบวนการติดตามและสืบสวน ทั้งการตรวจพบสารพันธุกรรม (DNA) ของผู้ต้องสงสัยจากวัตถุพยานที่บริเวณศพของ น.ส. โทโมโกะ คาวาชิตะ โดยเจ้าหน้าที่ได้ตรวจเปรียบเทียบ DNA จากวัตถุพยาน กับ DNA ผู้ต้องสงสัยทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่เกิดเหตุแล้วกว่า 300 ราย แต่ทั้งนี้ยังไม่พบว่าตรงกับบุคคลใดในพื้นที่ ทั้งนี้ รัฐบาลและกรมสอบสวนคดีพิเศษมิได้นิ่งนอนใจ พยายามทําทุกวิถีทางเพื่อนําตัวผู้กระทําผิดมาสู่กระบวนการยุติธรรม โดยเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้แจ้งต่อครอบครัวน.ส. โทโมโกะ คาวาชิตะว่า นายกรัฐมนตรีขอแสดงความเสียใจกับบิดามารดาของ น.ส.โทโมโกะและให้ความสําคัญกับคดีนี้เป็นอย่างยิ่ง โดยกําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลคดีนี้อย่างใกล้ชิด และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจําประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลไทยมีความตั้งใจที่จะร่วมมือกับทุกฝ่ายในการเร่งรัดคลี่คลายคดีนี้อย่างดีที่สุด
อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษยังกล่าวในส่วนของการประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมว่า เลขาธิการนายกรัฐมนตรีขอให้กรมประชาสัมพันธ์ทําการประชาสัมพันธ์ โดยสามารถแจ้งเบาะแสกับเจ้าหน้าที่ ตํารวจ หรือแจ้งผ่านเว็บไซต์ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทั้งนี้ ได้มีการเพิ่มรางวัลนําจับแก่ผู้ให้ข้อมูลที่นําไปสู่การนําจับผู้กระทําความผิด จาก ทางการไทย 1,500,000 บาท และจากครอบครัวน.ส.โทโมโกะ เพิ่มให้อีก100,000บาท รวมเป็นเงินรางวัลทั้งสิ้น 1,600,000 บาท
อนึ่ง น.ส. โทโมโกะ คาวาชิตะ นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น ถูกคนร้ายฆาตกรรมในเขตอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2550 และกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเป็นคดีพิเศษที่ 188/ 2556 ตั้งแต่ปี 2556
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขาธิการนายกรัฐมนตรียืนยันจะเร่งติดตามหาผู้กระทำผิดคดีน.ส. โทโมโกะ คาวาชิตะ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
วันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม 2560
เลขาธิการนายกรัฐมนตรียืนยันจะเร่งติดตามหาผู้กระทําผิดคดีน.ส. โทโมโกะ คาวาชิตะ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
เลขาธิการนายกรัฐมนตรียืนยันจะเร่งติดตามหาผู้กระทําผิดคดีน.ส. โทโมโกะ คาวาชิตะ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
เลขาธิการนายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลและนรม.ให้ความสําคัญกับคดี น.ส.โทโมโกะ คาวาชิตะ และได้กําชับให้ดีเอสไอผู้รับผิดชอบคดีเร่งติดตามหาผู้กระทําผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
วันนี้ (1 ธ.ค. 2560) เวลา 13.30 น. นายชิโร ซะโดะชิมะ (Mr. Shiro Sadoshima) เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจําประเทศไทย นําบิดา มารดา นางสาวโทโมโกะ คาวาชิตะ และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยมีพ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่วมหารือความคืบหน้าคดีการเสียชีวิตของนางสาว โทโมโกะ คาวาชิตะ ณ ห้องโดมทอง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล
พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังการหารือถึงความคืบหน้าในการติดตามคดีว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเป็นคดีพิเศษแล้วตั้งแต่ปี 2556 และได้ดําเนินการกระบวนการติดตามและสืบสวน ทั้งการตรวจพบสารพันธุกรรม (DNA) ของผู้ต้องสงสัยจากวัตถุพยานที่บริเวณศพของ น.ส. โทโมโกะ คาวาชิตะ โดยเจ้าหน้าที่ได้ตรวจเปรียบเทียบ DNA จากวัตถุพยาน กับ DNA ผู้ต้องสงสัยทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่เกิดเหตุแล้วกว่า 300 ราย แต่ทั้งนี้ยังไม่พบว่าตรงกับบุคคลใดในพื้นที่ ทั้งนี้ รัฐบาลและกรมสอบสวนคดีพิเศษมิได้นิ่งนอนใจ พยายามทําทุกวิถีทางเพื่อนําตัวผู้กระทําผิดมาสู่กระบวนการยุติธรรม โดยเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้แจ้งต่อครอบครัวน.ส. โทโมโกะ คาวาชิตะว่า นายกรัฐมนตรีขอแสดงความเสียใจกับบิดามารดาของ น.ส.โทโมโกะและให้ความสําคัญกับคดีนี้เป็นอย่างยิ่ง โดยกําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลคดีนี้อย่างใกล้ชิด และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจําประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลไทยมีความตั้งใจที่จะร่วมมือกับทุกฝ่ายในการเร่งรัดคลี่คลายคดีนี้อย่างดีที่สุด
อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษยังกล่าวในส่วนของการประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมว่า เลขาธิการนายกรัฐมนตรีขอให้กรมประชาสัมพันธ์ทําการประชาสัมพันธ์ โดยสามารถแจ้งเบาะแสกับเจ้าหน้าที่ ตํารวจ หรือแจ้งผ่านเว็บไซต์ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทั้งนี้ ได้มีการเพิ่มรางวัลนําจับแก่ผู้ให้ข้อมูลที่นําไปสู่การนําจับผู้กระทําความผิด จาก ทางการไทย 1,500,000 บาท และจากครอบครัวน.ส.โทโมโกะ เพิ่มให้อีก100,000บาท รวมเป็นเงินรางวัลทั้งสิ้น 1,600,000 บาท
อนึ่ง น.ส. โทโมโกะ คาวาชิตะ นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น ถูกคนร้ายฆาตกรรมในเขตอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2550 และกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเป็นคดีพิเศษที่ 188/ 2556 ตั้งแต่ปี 2556
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8492
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย พร้อมเปิดให้บริการแบบ New Normal วางมาตรการเข้มป้องกันและยับยั้ง โควิด-๑๙ โดยการแสดงแรกที่มีผู้เข้าชมจะเริ่ม ๑๘ ก.ค. ศกนี้
|
วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม 2563
ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย พร้อมเปิดให้บริการแบบ New Normal วางมาตรการเข้มป้องกันและยับยั้ง โควิด-๑๙ โดยการแสดงแรกที่มีผู้เข้าชมจะเริ่ม ๑๘ ก.ค. ศกนี้
ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย พร้อมเปิดให้บริการแบบ New Normal
วางมาตรการเข้มป้องกันและยับยั้ง โควิด-๑๙
โดยการแสดงแรกที่มีผู้เข้าชมจะเริ่ม ๑๘ ก.ค. ศกนี้
ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย พร้อมเปิดให้บริการแบบ New Normal
วางมาตรการเข้มป้องกันและยับยั้ง โควิด-๑๙
โดยการแสดงแรกที่มีผู้เข้าชมจะเริ่ม ๑๘ ก.ค. ศกนี้
นายชาย นครชัย อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (ศบค.) ได้แถลงผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ เป็นลําดับ เปิดโอกาสให้พื้นทีเสี่ยงต่าง ๆ รวมถึงสถานบันเทิงสามาถเปิดให้บริการลูกค้าได้แต่ต้องควบคุมดูแลให้อยู่ภายใต้ข้อกําหนดของ ศบค. อย่างเคร่งครัด กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) กระทรวงวัฒนธรรม ได้ตระหนักถึงความเสี่ยงจากสถานการณ์ในครั้งนี้ และความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและผู้ใช้บริการ จึงได้จัดทํามาตรการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) New Normal ของศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เพื่อรองรับการจัดโครงการ กิจกรรม ประชุม การแสดงและคอนเสิร์ตต่าง ๆ ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ ณ หอประชุมใหญ่ หอประชุมเล็ก ลานกลางแจ้ง ห้องนิทรรศการหมุนเวียนและห้องประชุม ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป โดยได้จัดทําการลงทะเบียนการใช้งานแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” เพื่อให้ผู้ใช้บริการทําการเช็คอินและเช็คเอาท์ เสร็จเรียบร้อยแล้ว และในวันแรกของการเปิดให้บริการ เวลา ๐๙.๓๐ น. กรมส่งเสริมวัฒนธรรมได้ทําการจําลองสถานการณ์การเปิดใช้สถานที่ในหอประชุมใหญ่ของศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยทําเสมือนจริงมีผู้เข้าชมการแสดงในหอประชุมใหญ่
อธิบดี สวธ. เผยต่อว่า การแสดงแรกเป็นการคอนเสิร์ตเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ในวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๓ โดยวงรอยัลแบงค์คอกซิมโฟนีออร์เคสตร้า(Royal Bangkok Symphony Orchestra หรือที่รู้จักกันในชื่อวง RBSO)
สําหรับมาตรการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) New Normal ของศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จะแบ่งออกเป็น ๓ มาตรการสําหรับ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ผู้จัดงานหรือผู้เช่าสถานที่ และผู้มาชมการแสดง โดยมีรายละเอียด ดังนี้
มาตรการสําหรับศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ควบคุมการเข้าออกสถานที่โดยจัดให้มีจุดคัดกรองผู้มาใช้บริการด้วยการตรวจวัดอุณหภูมิพร้อมจัดทําสัญลักษณ์แสดงผ่านการคัดกรอง จุดลงทะเบียนก่อนเข้าและออกจากสถานที่ ผ่านระบบแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” หรือการลงทะเบียนบันทึกข้อมูลลงสมุดหากไม่มีแอปพลิเคชัน มีจุดบริการล้างมือด้วยสบู่ แอลกอฮอล์เจล ๗๐% และพรมฆ่าเชื้อโรคในบริเวณพื้นที่บริการต่าง ๆ รวมถึงสัญลักษณ์เว้นระยะนั่งหรือยืนห่างกันอย่างน้อย ๑-๒ เมตรทุกพื้นที่ที่มีการรอคิวและที่นั่งชมการแสดง ซึ่งจากเดิมให้บริการจํานวน ๑,๗๕๗ ที่นั่ง เหลือเพียง ๔๙๕ ที่นั่ง
มาตรการสําหรับผู้จัดงานหรือผู้เช่าสถานที่ ต้องปฏิบัติตามมาตรการที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (ศบค.) และมาตรการของศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย อย่างเคร่งครัด โดยต้องทําบันทึกข้อตกลงและส่งแผนการจัดงานหรือแนวทางปฏิบัติให้ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยทราบไม่น้อยกว่า ๑๕ วันก่อนจัดงาน กําหนดรอบการแสดงในระยะเวลาไม่เกิน ๒ ชั่วโมงต่อรอบการแสดงและงดพักครึ่งการแสดง หรือหากมีความจําเป็นต้องมีมารการควบคุมระยะห่างอย่างเคร่งครัด กํากับให้ทีมงาน นักดนตรี นักแสดงและผู้ที่เกี่ยวข้องต้องลงทะเบียนผ่านระบบแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” หรือลงบันทึกในสมุด ตรวจวัดอุณหภูมิ สวมหน้ากากอนามัยและ Face Shield ตลอดเวลา ยกเว้นการแสดงบนเวที รักษาระยะห่าง คล้องบัตรเจ้าหน้าที่แสดงตน ล้างมือด้วยสบู่และแอลกอฮอล์เจล สําหรับอาหารและเครื่องดื่มต้องจัดแยกไว้สําหรับบุคลห้ามตักอาหารร่วมกัน รวมถึงใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการติดต่อสื่อสารระหว่างปฏิบัติงาน
มาตรการสําหรับผู้มาชมการแสดง ต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา ตรวจวัดอุณหภูมิและลงทะเบียนผ่านระบบแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” หรือลงบันทึกในสมุด ที่จุดคัดกรองเข้าออกสถานที่ ล้างมือด้วยสบู่ แอลกอฮอล์เจล ๗๐% ก่อนและหลังเข้ามาภายในหอประชุมและหลังใช้บริการห้องน้ํา การจองคิวรับบัตรการแสดงและชําระเงินล่วงหน้าด้วยระบบออนไลน์หรือโทรศัพท์ การนั่งชมการแสดงในจุดที่กําหนดไว้อย่างเคร่งครัด รวมถึงติดตามสังเกตอาการตนเอง หากมีอาการไข้ ไอ จาม มีน้ํามูก หายใจเหนื่อยหอบ ต้องไปพบแพทย์ทันที
โอกาสนี้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ขอความร่วมมือทุกท่านให้ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวอย่างเคร่งครัดในทุกกรณี สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.culture.go.th และติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้ที่ www.facebook.com/DCP.culture/ หรือสอบถามเพิ่มเติมโทร ๐๒-๒๔๗-๐๐๒๘ ต่อ ๔๑๐๕-๙
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย พร้อมเปิดให้บริการแบบ New Normal วางมาตรการเข้มป้องกันและยับยั้ง โควิด-๑๙ โดยการแสดงแรกที่มีผู้เข้าชมจะเริ่ม ๑๘ ก.ค. ศกนี้
วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม 2563
ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย พร้อมเปิดให้บริการแบบ New Normal วางมาตรการเข้มป้องกันและยับยั้ง โควิด-๑๙ โดยการแสดงแรกที่มีผู้เข้าชมจะเริ่ม ๑๘ ก.ค. ศกนี้
ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย พร้อมเปิดให้บริการแบบ New Normal
วางมาตรการเข้มป้องกันและยับยั้ง โควิด-๑๙
โดยการแสดงแรกที่มีผู้เข้าชมจะเริ่ม ๑๘ ก.ค. ศกนี้
ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย พร้อมเปิดให้บริการแบบ New Normal
วางมาตรการเข้มป้องกันและยับยั้ง โควิด-๑๙
โดยการแสดงแรกที่มีผู้เข้าชมจะเริ่ม ๑๘ ก.ค. ศกนี้
นายชาย นครชัย อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (ศบค.) ได้แถลงผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ เป็นลําดับ เปิดโอกาสให้พื้นทีเสี่ยงต่าง ๆ รวมถึงสถานบันเทิงสามาถเปิดให้บริการลูกค้าได้แต่ต้องควบคุมดูแลให้อยู่ภายใต้ข้อกําหนดของ ศบค. อย่างเคร่งครัด กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) กระทรวงวัฒนธรรม ได้ตระหนักถึงความเสี่ยงจากสถานการณ์ในครั้งนี้ และความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและผู้ใช้บริการ จึงได้จัดทํามาตรการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) New Normal ของศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เพื่อรองรับการจัดโครงการ กิจกรรม ประชุม การแสดงและคอนเสิร์ตต่าง ๆ ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ ณ หอประชุมใหญ่ หอประชุมเล็ก ลานกลางแจ้ง ห้องนิทรรศการหมุนเวียนและห้องประชุม ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป โดยได้จัดทําการลงทะเบียนการใช้งานแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” เพื่อให้ผู้ใช้บริการทําการเช็คอินและเช็คเอาท์ เสร็จเรียบร้อยแล้ว และในวันแรกของการเปิดให้บริการ เวลา ๐๙.๓๐ น. กรมส่งเสริมวัฒนธรรมได้ทําการจําลองสถานการณ์การเปิดใช้สถานที่ในหอประชุมใหญ่ของศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยทําเสมือนจริงมีผู้เข้าชมการแสดงในหอประชุมใหญ่
อธิบดี สวธ. เผยต่อว่า การแสดงแรกเป็นการคอนเสิร์ตเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ในวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๓ โดยวงรอยัลแบงค์คอกซิมโฟนีออร์เคสตร้า(Royal Bangkok Symphony Orchestra หรือที่รู้จักกันในชื่อวง RBSO)
สําหรับมาตรการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) New Normal ของศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จะแบ่งออกเป็น ๓ มาตรการสําหรับ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ผู้จัดงานหรือผู้เช่าสถานที่ และผู้มาชมการแสดง โดยมีรายละเอียด ดังนี้
มาตรการสําหรับศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ควบคุมการเข้าออกสถานที่โดยจัดให้มีจุดคัดกรองผู้มาใช้บริการด้วยการตรวจวัดอุณหภูมิพร้อมจัดทําสัญลักษณ์แสดงผ่านการคัดกรอง จุดลงทะเบียนก่อนเข้าและออกจากสถานที่ ผ่านระบบแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” หรือการลงทะเบียนบันทึกข้อมูลลงสมุดหากไม่มีแอปพลิเคชัน มีจุดบริการล้างมือด้วยสบู่ แอลกอฮอล์เจล ๗๐% และพรมฆ่าเชื้อโรคในบริเวณพื้นที่บริการต่าง ๆ รวมถึงสัญลักษณ์เว้นระยะนั่งหรือยืนห่างกันอย่างน้อย ๑-๒ เมตรทุกพื้นที่ที่มีการรอคิวและที่นั่งชมการแสดง ซึ่งจากเดิมให้บริการจํานวน ๑,๗๕๗ ที่นั่ง เหลือเพียง ๔๙๕ ที่นั่ง
มาตรการสําหรับผู้จัดงานหรือผู้เช่าสถานที่ ต้องปฏิบัติตามมาตรการที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (ศบค.) และมาตรการของศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย อย่างเคร่งครัด โดยต้องทําบันทึกข้อตกลงและส่งแผนการจัดงานหรือแนวทางปฏิบัติให้ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยทราบไม่น้อยกว่า ๑๕ วันก่อนจัดงาน กําหนดรอบการแสดงในระยะเวลาไม่เกิน ๒ ชั่วโมงต่อรอบการแสดงและงดพักครึ่งการแสดง หรือหากมีความจําเป็นต้องมีมารการควบคุมระยะห่างอย่างเคร่งครัด กํากับให้ทีมงาน นักดนตรี นักแสดงและผู้ที่เกี่ยวข้องต้องลงทะเบียนผ่านระบบแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” หรือลงบันทึกในสมุด ตรวจวัดอุณหภูมิ สวมหน้ากากอนามัยและ Face Shield ตลอดเวลา ยกเว้นการแสดงบนเวที รักษาระยะห่าง คล้องบัตรเจ้าหน้าที่แสดงตน ล้างมือด้วยสบู่และแอลกอฮอล์เจล สําหรับอาหารและเครื่องดื่มต้องจัดแยกไว้สําหรับบุคลห้ามตักอาหารร่วมกัน รวมถึงใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการติดต่อสื่อสารระหว่างปฏิบัติงาน
มาตรการสําหรับผู้มาชมการแสดง ต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา ตรวจวัดอุณหภูมิและลงทะเบียนผ่านระบบแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” หรือลงบันทึกในสมุด ที่จุดคัดกรองเข้าออกสถานที่ ล้างมือด้วยสบู่ แอลกอฮอล์เจล ๗๐% ก่อนและหลังเข้ามาภายในหอประชุมและหลังใช้บริการห้องน้ํา การจองคิวรับบัตรการแสดงและชําระเงินล่วงหน้าด้วยระบบออนไลน์หรือโทรศัพท์ การนั่งชมการแสดงในจุดที่กําหนดไว้อย่างเคร่งครัด รวมถึงติดตามสังเกตอาการตนเอง หากมีอาการไข้ ไอ จาม มีน้ํามูก หายใจเหนื่อยหอบ ต้องไปพบแพทย์ทันที
โอกาสนี้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ขอความร่วมมือทุกท่านให้ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวอย่างเคร่งครัดในทุกกรณี สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.culture.go.th และติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้ที่ www.facebook.com/DCP.culture/ หรือสอบถามเพิ่มเติมโทร ๐๒-๒๔๗-๐๐๒๘ ต่อ ๔๑๐๕-๙
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33101
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอความร่วมมือกลุ่มผู้สละสิทธิคืนเงินมาตรการเยียวยา 5,000 บาท
|
วันพุธที่ 8 กรกฎาคม 2563
ขอความร่วมมือกลุ่มผู้สละสิทธิคืนเงินมาตรการเยียวยา 5,000 บาท
กรณีที่ในสื่อสังคมออนไลน์ได้มีการเผยแพร่เอกสารการเรียกคืนเงินจากกลุ่มผู้สละสิทธิมาตรการเยียวยา 5,000 บาท โดย ณ วันที่ 14 มิถุนายน 2563 มีผู้สละสิทธิ 10,121 ราย มีผู้คืนเงินให้กระทรวงการคลังครบถ้วนแล้ว 2,455 ราย คงเหลือผู้ที่ยังไม่คืนเงิน 7,666 ราย
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวถึงข้อเท็จจริงกรณีที่ในสื่อสังคมออนไลน์ได้มีการเผยแพร่เอกสารการเรียกคืนเงินจากกลุ่มผู้สละสิทธิมาตรการเยียวยา 5,000 บาท โดย ณ วันที่ 14 มิถุนายน 2563 มีผู้สละสิทธิ 10,121 ราย มีผู้คืนเงินให้กระทรวงการคลังครบถ้วนแล้ว 2,455 ราย คงเหลือผู้ที่ยังไม่คืนเงิน 7,666 ราย กระทรวงการคลังจึงได้มีหนังสือแจ้งให้กลุ่มผู้สละสิทธิมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ดังกล่าว คืนเงินเยียวยาที่ได้รับไปแล้วทั้งหมดต่อกระทรวงการคลัง ซึ่งหลังจากมีหนังสือออกไปแล้ว ณ วันที่ 7 กรกฎาคม 2563 มีผู้คืนเงินเพิ่มเติม 84 ราย ดังนั้น เพื่อให้การสละสิทธิเสร็จสมบูรณ์ จึงขอความร่วมมือจากผู้แสดงความประสงค์สละสิทธิมาตรการเยียวยา 5,000 บาท คืนเงินที่ได้รับไปเต็มจํานวนให้แก่กระทรวงการคลัง โดยสามารถดําเนินการผ่านเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ผ่าน Mobile Banking Internet Banking หรือ ATM ของธนาคารใดก็ได้ หรือนําหนังสือที่ได้รับไปติดต่อที่สาขาของธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ทั่วประเทศ
โฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยอีกว่า ในทางปฏิบัติเป็นไปได้ยากมากที่การยื่นความประสงค์สละสิทธิมาตรการเยียวยา 5,000 บาท จะเกิดขึ้นจากความผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจหรือมีผู้อื่นดําเนินการแทนโดยที่เจ้าตัวไม่รับทราบหรือยินยอม เนื่องจากการสละสิทธิจะต้องดําเนินการที่หน้าเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ซึ่งมีหลายขั้นตอน และจะต้องระบุข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลต่างๆ ที่ให้ไว้ในการลงทะเบียน รวมทั้งมีการยืนยันตัวตนผ่าน One Time Password หรือ OTP ที่ถูกส่งไปยังหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ใช้ในการลงทะเบียนอีกด้วย
สํานักนโยบายการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3569 3556 และ 3566
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอความร่วมมือกลุ่มผู้สละสิทธิคืนเงินมาตรการเยียวยา 5,000 บาท
วันพุธที่ 8 กรกฎาคม 2563
ขอความร่วมมือกลุ่มผู้สละสิทธิคืนเงินมาตรการเยียวยา 5,000 บาท
กรณีที่ในสื่อสังคมออนไลน์ได้มีการเผยแพร่เอกสารการเรียกคืนเงินจากกลุ่มผู้สละสิทธิมาตรการเยียวยา 5,000 บาท โดย ณ วันที่ 14 มิถุนายน 2563 มีผู้สละสิทธิ 10,121 ราย มีผู้คืนเงินให้กระทรวงการคลังครบถ้วนแล้ว 2,455 ราย คงเหลือผู้ที่ยังไม่คืนเงิน 7,666 ราย
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวถึงข้อเท็จจริงกรณีที่ในสื่อสังคมออนไลน์ได้มีการเผยแพร่เอกสารการเรียกคืนเงินจากกลุ่มผู้สละสิทธิมาตรการเยียวยา 5,000 บาท โดย ณ วันที่ 14 มิถุนายน 2563 มีผู้สละสิทธิ 10,121 ราย มีผู้คืนเงินให้กระทรวงการคลังครบถ้วนแล้ว 2,455 ราย คงเหลือผู้ที่ยังไม่คืนเงิน 7,666 ราย กระทรวงการคลังจึงได้มีหนังสือแจ้งให้กลุ่มผู้สละสิทธิมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ดังกล่าว คืนเงินเยียวยาที่ได้รับไปแล้วทั้งหมดต่อกระทรวงการคลัง ซึ่งหลังจากมีหนังสือออกไปแล้ว ณ วันที่ 7 กรกฎาคม 2563 มีผู้คืนเงินเพิ่มเติม 84 ราย ดังนั้น เพื่อให้การสละสิทธิเสร็จสมบูรณ์ จึงขอความร่วมมือจากผู้แสดงความประสงค์สละสิทธิมาตรการเยียวยา 5,000 บาท คืนเงินที่ได้รับไปเต็มจํานวนให้แก่กระทรวงการคลัง โดยสามารถดําเนินการผ่านเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ผ่าน Mobile Banking Internet Banking หรือ ATM ของธนาคารใดก็ได้ หรือนําหนังสือที่ได้รับไปติดต่อที่สาขาของธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ทั่วประเทศ
โฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยอีกว่า ในทางปฏิบัติเป็นไปได้ยากมากที่การยื่นความประสงค์สละสิทธิมาตรการเยียวยา 5,000 บาท จะเกิดขึ้นจากความผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจหรือมีผู้อื่นดําเนินการแทนโดยที่เจ้าตัวไม่รับทราบหรือยินยอม เนื่องจากการสละสิทธิจะต้องดําเนินการที่หน้าเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ซึ่งมีหลายขั้นตอน และจะต้องระบุข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลต่างๆ ที่ให้ไว้ในการลงทะเบียน รวมทั้งมีการยืนยันตัวตนผ่าน One Time Password หรือ OTP ที่ถูกส่งไปยังหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ใช้ในการลงทะเบียนอีกด้วย
สํานักนโยบายการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3569 3556 และ 3566
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33210
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แจ้งกำหนดเวลาที่ผู้ประกอบการจดแจ้งระบบบัญชีเดียวจะได้สิทธิไม่ถูกตรวจสอบย้อนหลังให้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 ของปี 2558 ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2560 นี้ เท่านั้น
|
วันอังคารที่ 27 มิถุนายน 2560
แจ้งกําหนดเวลาที่ผู้ประกอบการจดแจ้งระบบบัญชีเดียวจะได้สิทธิไม่ถูกตรวจสอบย้อนหลังให้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 ของปี 2558 ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2560 นี้ เท่านั้น
กรมสรรพากรแจ้งกําหนดเวลาที่ผู้ประกอบการจดแจ้งระบบบัญชีเดียวจะได้สิทธิไม่ถูกตรวจสอบย้อนหลังให้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 ของปี 2558 ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2560 นี้ เท่านั้น
ตามที่ได้มีพระราชกําหนดยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2558 โดยให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดแจ้งเข้าสู่ระบบบัญชีเดียวตามพระราชกําหนดฯ ได้รับยกเว้นจากการตรวจสอบ ไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากร และความผิด ทางอาญาตามประมวลรัษฎากร ซึ่งจะไม่ถูกตรวจสอบย้อนหลัง โดยบริษัทฯ ที่ได้รับการยกเว้นดังกล่าว จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กฎหมายกําหนด ซึ่งการยื่นรายการและเสียภาษีสําหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่มีวันสุดท้ายแห่งกําหนดเวลาในการยื่นรายการในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นต้นไป เป็นหนึ่งในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กําหนดไว้ตามกฎหมายด้วย นั้น
นายสมชาย แสงรัตนมณีเดช รองอธิบดีกรมสรรพากร รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร ชี้แจงว่า “บริษัทที่ได้จดแจ้งระบบบัญชีเดียว ซึ่งได้รับสิทธิยกเว้นจากการตรวจสอบ ไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากร และความผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากรตามพระราชกําหนดฯ ซึ่งจะไม่ถูกตรวจสอบย้อนหลังนั้น หากบริษัทใดยังไม่ได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 50 ของรอบระยะเวลาบัญชีปี 2558 ซึ่งขณะนี้ได้เกินกําหนดเวลาการยื่นแบบตามที่กฎหมายกําหนดแล้ว กรมสรรพากรขอแจ้งให้รีบดําเนินการยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 สําหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2558 ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2560 นี้ หากพ้นกําหนดเวลาดังกล่าวแล้ว เจ้าพนักงานประเมินตรวจพบว่า บริษัทใดยังไม่ได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 สําหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2558 อธิบดีกรมสรรพากรจะดําเนินการเพิกถอนการได้รับยกเว้นที่จะไม่ถูกตรวจสอบย้อนหลังตามพระราชกําหนดฯ ฉบับดังกล่าว และเจ้าพนักงานประเมินจะมีอํานาจตรวจสอบ ไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากร และความรับผิดอาญาตามประมวลรัษฎากร โดยสามารถดําเนินการดังกล่าวย้อนหลังได้สําหรับรายได้ที่เกิดขึ้นก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปี 2559 หรือมูลค่าฐานภาษี รายรับ การกระทําตราสาร และความผิดทางอาญาที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 มกราคม 2559 ได้ต่อไป และการแจ้งข้างต้นนี้มิใช่เป็นการขยายกําหนดเวลาการยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 สําหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2558 ให้แก่บริษัทแต่อย่างใด”
ผู้ประกอบการสามารถศึกษารายละเอียดได้จากคําชี้แจงกรมสรรพากร เรื่อง การยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรตามกฎหมายว่าด้วยการยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 7) ลงวันที่ 23 มิถุนายน 2560 หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานสรรพากรพื้นที่ทุกแห่ง หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร. 1161
กรมสรรพากร เต็มที่ เต็มใจ ให้ประชาชน
สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์ เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แจ้งกำหนดเวลาที่ผู้ประกอบการจดแจ้งระบบบัญชีเดียวจะได้สิทธิไม่ถูกตรวจสอบย้อนหลังให้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 ของปี 2558 ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2560 นี้ เท่านั้น
วันอังคารที่ 27 มิถุนายน 2560
แจ้งกําหนดเวลาที่ผู้ประกอบการจดแจ้งระบบบัญชีเดียวจะได้สิทธิไม่ถูกตรวจสอบย้อนหลังให้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 ของปี 2558 ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2560 นี้ เท่านั้น
กรมสรรพากรแจ้งกําหนดเวลาที่ผู้ประกอบการจดแจ้งระบบบัญชีเดียวจะได้สิทธิไม่ถูกตรวจสอบย้อนหลังให้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 ของปี 2558 ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2560 นี้ เท่านั้น
ตามที่ได้มีพระราชกําหนดยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2558 โดยให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดแจ้งเข้าสู่ระบบบัญชีเดียวตามพระราชกําหนดฯ ได้รับยกเว้นจากการตรวจสอบ ไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากร และความผิด ทางอาญาตามประมวลรัษฎากร ซึ่งจะไม่ถูกตรวจสอบย้อนหลัง โดยบริษัทฯ ที่ได้รับการยกเว้นดังกล่าว จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กฎหมายกําหนด ซึ่งการยื่นรายการและเสียภาษีสําหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่มีวันสุดท้ายแห่งกําหนดเวลาในการยื่นรายการในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นต้นไป เป็นหนึ่งในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กําหนดไว้ตามกฎหมายด้วย นั้น
นายสมชาย แสงรัตนมณีเดช รองอธิบดีกรมสรรพากร รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร ชี้แจงว่า “บริษัทที่ได้จดแจ้งระบบบัญชีเดียว ซึ่งได้รับสิทธิยกเว้นจากการตรวจสอบ ไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากร และความผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากรตามพระราชกําหนดฯ ซึ่งจะไม่ถูกตรวจสอบย้อนหลังนั้น หากบริษัทใดยังไม่ได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 50 ของรอบระยะเวลาบัญชีปี 2558 ซึ่งขณะนี้ได้เกินกําหนดเวลาการยื่นแบบตามที่กฎหมายกําหนดแล้ว กรมสรรพากรขอแจ้งให้รีบดําเนินการยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 สําหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2558 ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2560 นี้ หากพ้นกําหนดเวลาดังกล่าวแล้ว เจ้าพนักงานประเมินตรวจพบว่า บริษัทใดยังไม่ได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 สําหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2558 อธิบดีกรมสรรพากรจะดําเนินการเพิกถอนการได้รับยกเว้นที่จะไม่ถูกตรวจสอบย้อนหลังตามพระราชกําหนดฯ ฉบับดังกล่าว และเจ้าพนักงานประเมินจะมีอํานาจตรวจสอบ ไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากร และความรับผิดอาญาตามประมวลรัษฎากร โดยสามารถดําเนินการดังกล่าวย้อนหลังได้สําหรับรายได้ที่เกิดขึ้นก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปี 2559 หรือมูลค่าฐานภาษี รายรับ การกระทําตราสาร และความผิดทางอาญาที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 มกราคม 2559 ได้ต่อไป และการแจ้งข้างต้นนี้มิใช่เป็นการขยายกําหนดเวลาการยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 สําหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2558 ให้แก่บริษัทแต่อย่างใด”
ผู้ประกอบการสามารถศึกษารายละเอียดได้จากคําชี้แจงกรมสรรพากร เรื่อง การยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรตามกฎหมายว่าด้วยการยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 7) ลงวันที่ 23 มิถุนายน 2560 หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานสรรพากรพื้นที่ทุกแห่ง หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร. 1161
กรมสรรพากร เต็มที่ เต็มใจ ให้ประชาชน
สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์ เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4827
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า ยกเลิกประกาศที่ 41/2563 และ43/2563 และให้ใช้ประกาศกรมเจ้าท่าที่ 45/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติสำหรับเรือที่เข้ามาในน่านน้ำไทย กรณีเป็นเรือจากท้องที่นอกราชอาณาจักร [กระทรวงคมนาคม]
|
วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม 2563
กรมเจ้าท่า ยกเลิกประกาศที่ 41/2563 และ43/2563 และให้ใช้ประกาศกรมเจ้าท่าที่ 45/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติสําหรับเรือที่เข้ามาในน่านน้ําไทย กรณีเป็นเรือจากท้องที่นอกราชอาณาจักร [กระทรวงคมนาคม]
กรมเจ้าท่า ยกเลิกประกาศที่ 41/2563 และ43/2563 และให้ใช้ประกาศกรมเจ้าท่าที่ 45/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติสําหรับเรือที่เข้ามาในน่านน้ําไทย กรณีเป็นเรือจากท้องที่นอกราชอาณาจักร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า ยกเลิกประกาศที่ 41/2563 และ43/2563 และให้ใช้ประกาศกรมเจ้าท่าที่ 45/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติสำหรับเรือที่เข้ามาในน่านน้ำไทย กรณีเป็นเรือจากท้องที่นอกราชอาณาจักร [กระทรวงคมนาคม]
วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม 2563
กรมเจ้าท่า ยกเลิกประกาศที่ 41/2563 และ43/2563 และให้ใช้ประกาศกรมเจ้าท่าที่ 45/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติสําหรับเรือที่เข้ามาในน่านน้ําไทย กรณีเป็นเรือจากท้องที่นอกราชอาณาจักร [กระทรวงคมนาคม]
กรมเจ้าท่า ยกเลิกประกาศที่ 41/2563 และ43/2563 และให้ใช้ประกาศกรมเจ้าท่าที่ 45/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติสําหรับเรือที่เข้ามาในน่านน้ําไทย กรณีเป็นเรือจากท้องที่นอกราชอาณาจักร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27631
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการแผนการเฝ้าระวังรับมือสภาวะฉุกเฉินตามมาตรการรักษาความปลอดภัย
|
วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน 2562
สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการแผนการเฝ้าระวังรับมือสภาวะฉุกเฉินตามมาตรการรักษาความปลอดภัย
นางรวีวรรณ อุตรนคร ผู้อํานวยการกองกลาง สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการโครงการค่าใช้จ่ายในการเฝ้าระวังแผนรับมือสภาวะฉุกเฉินตามมาตรการรักษาความปลอดภัย ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
19 กันยายน 2562 : นางรวีวรรณ อุตรนคร ผู้อํานวยการกองกลาง สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการโครงการค่าใช้จ่ายในการเฝ้าระวังแผนรับมือสภาวะฉุกเฉินตามมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนา ประกอบด้วย ข้าราชการและเจ้าหน้าที่สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม จํานวน 60 คน และได้รับความอนุเคราะห์วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากสํานักป้องกันและบรรเทา สาธารณภัย ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
การสัมมนาดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อให้ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวการสาเหตุการอัคคีภัย และฝึกซ้อมอุปกรณ์ดับเพลิง ร่วมทั้งการอพยพหนีไฟ เพื่อรับมือกับสภาวะฉุกเฉินด้านอัคคีภัยได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และปลอดภัย #กระทรวงอุตสาหกรรม #สภาวะฉุกเฉิน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการแผนการเฝ้าระวังรับมือสภาวะฉุกเฉินตามมาตรการรักษาความปลอดภัย
วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน 2562
สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการแผนการเฝ้าระวังรับมือสภาวะฉุกเฉินตามมาตรการรักษาความปลอดภัย
นางรวีวรรณ อุตรนคร ผู้อํานวยการกองกลาง สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการโครงการค่าใช้จ่ายในการเฝ้าระวังแผนรับมือสภาวะฉุกเฉินตามมาตรการรักษาความปลอดภัย ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
19 กันยายน 2562 : นางรวีวรรณ อุตรนคร ผู้อํานวยการกองกลาง สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการโครงการค่าใช้จ่ายในการเฝ้าระวังแผนรับมือสภาวะฉุกเฉินตามมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนา ประกอบด้วย ข้าราชการและเจ้าหน้าที่สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม จํานวน 60 คน และได้รับความอนุเคราะห์วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากสํานักป้องกันและบรรเทา สาธารณภัย ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
การสัมมนาดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อให้ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวการสาเหตุการอัคคีภัย และฝึกซ้อมอุปกรณ์ดับเพลิง ร่วมทั้งการอพยพหนีไฟ เพื่อรับมือกับสภาวะฉุกเฉินด้านอัคคีภัยได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และปลอดภัย #กระทรวงอุตสาหกรรม #สภาวะฉุกเฉิน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23225
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดจุลพงษ์ฯ ร่วมแถลงข่าวผลรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ปี 62
|
วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563
รองปลัดจุลพงษ์ฯ ร่วมแถลงข่าวผลรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ปี 62
นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมแถลงข่าวผลรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจําปี 2562 ณ ห้องประชุม 601 ชั้น 6 สํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
วันนี้ (5 กุมภาพันธ์ 2563) เวลา 10.00 น. นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมแถลงข่าวผลรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจําปี 2562 โดยมีนายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานคณะกรรมการรางวัลคุณภาพแห่งชาติ และนายพานิช เหล่า ศิริรัตน์ ผู้อํานวยการสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ร่วมแถลง ณ ห้องประชุม 601 ชั้น 6 สํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวว่า รางวัลคุณภาพแห่งชาติเป็นกลไกหนึ่งในการขับเคลื่อนความสามารถของอุตสาหกรรมในภาพรวม เนื่องจากเป็นเครื่องมือยกระดับการบริหารจัดการ สามารถสร้างคุณค่าและเพิ่มผลิตภาพของทุกภาคส่วน ทั้งภาคอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการผลิต หรือการบริการ รวมทั้งการเพิ่มผลิตภาพในภาครัฐวิสาหกิจที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของการพัฒนาประเทศ รวมทั้งภาครัฐที่ทําหน้าที่สนับสนุนให้การดําเนินกิจกรรมในภาคเศรษฐกิจเดินไปได้อย่างราบรื่น และรวดเร็ว รางวัลคุณภาพแห่งชาติเป็นเครื่องมือในการสร้างความเข้มแข็งให้ภาคส่วนต่าง ๆ ให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและเป็นฐานในการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
โดยรายชื่อองค์กรที่ได้รับรางวัลในปี 2562 จํานวนทั้งสิ้น 13 องค์กร รางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Award : TQA) จํานวน 2 องค์กร ได้แก่ กลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ในกลุ่มบริษัททรู และธนาคารอาคารสงเคราะห์ รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่นด้านการปฏิบัติการ (Thailand Quality Class Plus : Operation) จํานวน 3 องค์กร ได้แก่ กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ฟีนอล บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จํากัด (มหาชน) ธนาคารออมสิน บริษัท จีซี โลจิสติกส์ โซลูชั่น จํากัด และรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Quality Class : TQC) จํานวน 8 องค์กร ได้แก่ การประปานครหลวง คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร มหาวิทยาลัยมหิดล โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ : บริษัท เอ็ม บี เค จํากัด (มหาชน)
นอกจากนี้ผลลัพธ์จากการที่องค์กรนําเกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติไปใช้ในองค์กรที่ส่งผลเชิงบวกต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศหลายประการ อาทิ อัตราการเปลี่ยนแปลงของระดับผลิตภาพขององค์กรที่มีระดับสูงขึ้น สมรรถนะขององค์กรด้านผลิตภาพค่าจ้างแรงงาน และมูลค่าเพิ่มต่อยอดขาย การเพิ่มขึ้นของจํานวนนวัตกรรม การใช้เทคโนโลยี และการพัฒนาบุคลากร ซึ่งเป็นปัจจัยที่สามารถส่งผลต่อผลิตภาพปัจจัยการผลิตรวม และส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการบริหารจัดการ ของผู้บริหารและบุคลากรในองค์กร
#กระทรวงอุตสาหกรรม #สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ #รางวัลคุณภาพแห่งชาติปี2562 #ThailandQualityAward #TQA
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดจุลพงษ์ฯ ร่วมแถลงข่าวผลรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ปี 62
วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563
รองปลัดจุลพงษ์ฯ ร่วมแถลงข่าวผลรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ปี 62
นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมแถลงข่าวผลรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจําปี 2562 ณ ห้องประชุม 601 ชั้น 6 สํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
วันนี้ (5 กุมภาพันธ์ 2563) เวลา 10.00 น. นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมแถลงข่าวผลรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจําปี 2562 โดยมีนายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานคณะกรรมการรางวัลคุณภาพแห่งชาติ และนายพานิช เหล่า ศิริรัตน์ ผู้อํานวยการสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ร่วมแถลง ณ ห้องประชุม 601 ชั้น 6 สํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวว่า รางวัลคุณภาพแห่งชาติเป็นกลไกหนึ่งในการขับเคลื่อนความสามารถของอุตสาหกรรมในภาพรวม เนื่องจากเป็นเครื่องมือยกระดับการบริหารจัดการ สามารถสร้างคุณค่าและเพิ่มผลิตภาพของทุกภาคส่วน ทั้งภาคอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการผลิต หรือการบริการ รวมทั้งการเพิ่มผลิตภาพในภาครัฐวิสาหกิจที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของการพัฒนาประเทศ รวมทั้งภาครัฐที่ทําหน้าที่สนับสนุนให้การดําเนินกิจกรรมในภาคเศรษฐกิจเดินไปได้อย่างราบรื่น และรวดเร็ว รางวัลคุณภาพแห่งชาติเป็นเครื่องมือในการสร้างความเข้มแข็งให้ภาคส่วนต่าง ๆ ให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและเป็นฐานในการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
โดยรายชื่อองค์กรที่ได้รับรางวัลในปี 2562 จํานวนทั้งสิ้น 13 องค์กร รางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Award : TQA) จํานวน 2 องค์กร ได้แก่ กลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ในกลุ่มบริษัททรู และธนาคารอาคารสงเคราะห์ รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่นด้านการปฏิบัติการ (Thailand Quality Class Plus : Operation) จํานวน 3 องค์กร ได้แก่ กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ฟีนอล บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จํากัด (มหาชน) ธนาคารออมสิน บริษัท จีซี โลจิสติกส์ โซลูชั่น จํากัด และรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Quality Class : TQC) จํานวน 8 องค์กร ได้แก่ การประปานครหลวง คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร มหาวิทยาลัยมหิดล โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ : บริษัท เอ็ม บี เค จํากัด (มหาชน)
นอกจากนี้ผลลัพธ์จากการที่องค์กรนําเกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติไปใช้ในองค์กรที่ส่งผลเชิงบวกต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศหลายประการ อาทิ อัตราการเปลี่ยนแปลงของระดับผลิตภาพขององค์กรที่มีระดับสูงขึ้น สมรรถนะขององค์กรด้านผลิตภาพค่าจ้างแรงงาน และมูลค่าเพิ่มต่อยอดขาย การเพิ่มขึ้นของจํานวนนวัตกรรม การใช้เทคโนโลยี และการพัฒนาบุคลากร ซึ่งเป็นปัจจัยที่สามารถส่งผลต่อผลิตภาพปัจจัยการผลิตรวม และส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการบริหารจัดการ ของผู้บริหารและบุคลากรในองค์กร
#กระทรวงอุตสาหกรรม #สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ #รางวัลคุณภาพแห่งชาติปี2562 #ThailandQualityAward #TQA
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26309
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ลงพื้นที่ดูแลประชาชน ที่วัดชัยฉิมพลี เขตภาษีเจริญ เป็นของขวัญปีใหม่
|
วันอังคารที่ 18 ธันวาคม 2561
สธ. จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ลงพื้นที่ดูแลประชาชน ที่วัดชัยฉิมพลี เขตภาษีเจริญ เป็นของขวัญปีใหม่
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมหน่วยแพทย์ “โครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมหน่วยแพทย์ “โครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และเป็นของขวัญปีใหม่ที่รัฐบาลมอบให้ประชาชน ที่วัดชัยฉิมพลี เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
วันนี้(18 ธันวาคม 2561) ที่วัดชัยฉิมพลี เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร นายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ “โครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”เป็นของขวัญปีใหม่ 2562 ให้ประชาชนคนไทย
นายแพทย์ประพนธ์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นหน่วยงานหลักรวมพลังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยสํานักนายกรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรุงเทพมหานคร กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย แพทยสภา ภาคเอกชน สื่อมวลชน และกรมประชาสัมพันธ์ จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อเป็นของขวัญให้กับคนไทยในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกลที่ขาดโอกาสการเข้าถึงบริการสุขภาพครอบคลุมทั้ง 878 อําเภอทั่วประเทศ รวมทั้งกรุงเทพมหานคร เน้นบริการ 6 ด้านหลักได้แก่ 1.บริการทางการแพทย์ขั้นพื้นฐาน โดยการตรวจโรคทั่วไป 2.บริการตรวจสายตา ประกอบด้วย การวัดสายตา คัดกรองต้อกระจก ส่งต่อผ่าตัด 3.บริการทันตกรรม ประกอบด้วย อุดฟัน
ขูดหินปูน ถอนฟัน ตรวจโรคในช่องปาก 4.บริการด้านสุขภาพจิต ประกอบด้วย คัดกรองพัฒนาการเด็กคัดกรองและประเมินสุขภาพจิต ภาวะความเครียด ซึมเศร้า ฆ่าตัวตาย และการให้คําปรึกษา 5. บริการแนะนําและฝึกอาชีพ 6.กิจกรรมอื่นๆ ตามบริบทพื้นที่
นายแพทย์ประพนธ์ กล่าวต่อว่า แต่ละจังหวัดเลือกพื้นที่ออกให้บริการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ อําเภอละ 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 11-24 ธันวาคม 2561 และครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 7-20 มกราคม 2562 สําหรับในเขตกรุงเทพมหานคร ได้จัดหน่วยแพทย์ออกให้บริการ 6 โซน ได้แก่ โซนกรุงเทพกลาง,โซนกรุงเทพเหนือ,โซนกรุงเทพตะวันออก,โซนกรุงเทพใต้,โซนกรุงธนเหนือและโซนกรุงธนใต้ แบ่งเป็น 2 ช่วง คือระหว่างวันที่ 12-18 ธันวาคม 2561 และ วันที่ 12- 18 มกราคม 2562 ทั้งนี้ได้ให้ทุกจังหวัดประชาสัมพันธ์ วันเวลา สถานที่ออกหน่วยผ่านทางเสียงตามสายของเทศบาล หอกระจายข่าว วิทยุชุมชน สื่อทุกแขนงในพื้นที่ให้ประชาชนทราบข่าวและเข้ารับบริการอย่างทั่วถึง พร้อมจัดระบบส่งต่อไปยังโรงพยาบาลกรณีเจ็บป่วยซับซ้อน เพื่อให้การดูแลที่ดีที่สุดสําหรับประชาชน ขอเชิญชวนประชาชนเข้ารับบริการตามพื้นที่ที่แต่ละจังหวัดกําหนด สอบถามข้อมูลได้ที่สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด
สําหรับกิจกรรมในวันนี้ สํานักอนามัย กรุงเทพมหานคร เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก ได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการให้บริการและดูแลประชาชน นอกจากให้บริการประชาชน 6 ด้านหลักแล้ว ยังมีบริการรถทันตกรรมเคลื่อนที่ รถตรวจสุขภาพจิตเคลื่อนที่ กิจกรรมผู้สูงอายุ และให้คําปรึกษาพร้อมแนะนําโภชนาการ อาหารปลอดภัย อาหารสุขภาพ โดยทั้งนี้มีผู้เข้ารับบริการประมาณ 600 ราย
****************************** 18 ธันวาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ลงพื้นที่ดูแลประชาชน ที่วัดชัยฉิมพลี เขตภาษีเจริญ เป็นของขวัญปีใหม่
วันอังคารที่ 18 ธันวาคม 2561
สธ. จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ลงพื้นที่ดูแลประชาชน ที่วัดชัยฉิมพลี เขตภาษีเจริญ เป็นของขวัญปีใหม่
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมหน่วยแพทย์ “โครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมหน่วยแพทย์ “โครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และเป็นของขวัญปีใหม่ที่รัฐบาลมอบให้ประชาชน ที่วัดชัยฉิมพลี เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
วันนี้(18 ธันวาคม 2561) ที่วัดชัยฉิมพลี เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร นายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ “โครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวาย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”เป็นของขวัญปีใหม่ 2562 ให้ประชาชนคนไทย
นายแพทย์ประพนธ์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นหน่วยงานหลักรวมพลังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยสํานักนายกรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรุงเทพมหานคร กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย แพทยสภา ภาคเอกชน สื่อมวลชน และกรมประชาสัมพันธ์ จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อเป็นของขวัญให้กับคนไทยในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกลที่ขาดโอกาสการเข้าถึงบริการสุขภาพครอบคลุมทั้ง 878 อําเภอทั่วประเทศ รวมทั้งกรุงเทพมหานคร เน้นบริการ 6 ด้านหลักได้แก่ 1.บริการทางการแพทย์ขั้นพื้นฐาน โดยการตรวจโรคทั่วไป 2.บริการตรวจสายตา ประกอบด้วย การวัดสายตา คัดกรองต้อกระจก ส่งต่อผ่าตัด 3.บริการทันตกรรม ประกอบด้วย อุดฟัน
ขูดหินปูน ถอนฟัน ตรวจโรคในช่องปาก 4.บริการด้านสุขภาพจิต ประกอบด้วย คัดกรองพัฒนาการเด็กคัดกรองและประเมินสุขภาพจิต ภาวะความเครียด ซึมเศร้า ฆ่าตัวตาย และการให้คําปรึกษา 5. บริการแนะนําและฝึกอาชีพ 6.กิจกรรมอื่นๆ ตามบริบทพื้นที่
นายแพทย์ประพนธ์ กล่าวต่อว่า แต่ละจังหวัดเลือกพื้นที่ออกให้บริการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ อําเภอละ 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 11-24 ธันวาคม 2561 และครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 7-20 มกราคม 2562 สําหรับในเขตกรุงเทพมหานคร ได้จัดหน่วยแพทย์ออกให้บริการ 6 โซน ได้แก่ โซนกรุงเทพกลาง,โซนกรุงเทพเหนือ,โซนกรุงเทพตะวันออก,โซนกรุงเทพใต้,โซนกรุงธนเหนือและโซนกรุงธนใต้ แบ่งเป็น 2 ช่วง คือระหว่างวันที่ 12-18 ธันวาคม 2561 และ วันที่ 12- 18 มกราคม 2562 ทั้งนี้ได้ให้ทุกจังหวัดประชาสัมพันธ์ วันเวลา สถานที่ออกหน่วยผ่านทางเสียงตามสายของเทศบาล หอกระจายข่าว วิทยุชุมชน สื่อทุกแขนงในพื้นที่ให้ประชาชนทราบข่าวและเข้ารับบริการอย่างทั่วถึง พร้อมจัดระบบส่งต่อไปยังโรงพยาบาลกรณีเจ็บป่วยซับซ้อน เพื่อให้การดูแลที่ดีที่สุดสําหรับประชาชน ขอเชิญชวนประชาชนเข้ารับบริการตามพื้นที่ที่แต่ละจังหวัดกําหนด สอบถามข้อมูลได้ที่สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด
สําหรับกิจกรรมในวันนี้ สํานักอนามัย กรุงเทพมหานคร เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก ได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการให้บริการและดูแลประชาชน นอกจากให้บริการประชาชน 6 ด้านหลักแล้ว ยังมีบริการรถทันตกรรมเคลื่อนที่ รถตรวจสุขภาพจิตเคลื่อนที่ กิจกรรมผู้สูงอายุ และให้คําปรึกษาพร้อมแนะนําโภชนาการ อาหารปลอดภัย อาหารสุขภาพ โดยทั้งนี้มีผู้เข้ารับบริการประมาณ 600 ราย
****************************** 18 ธันวาคม 2561
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17586
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีอาวุโสและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
|
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2559
รัฐมนตรีอาวุโสและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
นายปรัก สุคน (Mr. Prak Sokhonn) รัฐมนตรีอาวุโสและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสการเดินทางเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย-กัมพูช
วันนี้ (26 ส.ค. 59) เวลา 15.30 น. นายปรัก สุคน (Mr. Prak Sokhonn) รัฐมนตรีอาวุโสและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ในโอกาสการเดินทางเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 10 ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลตรีวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ได้พบกับรมว.กต. กัมพูชาอีกครั้งในโอกาสที่ รมว.กต กัมพูชาเป็นหัวหน้าคณะฝ่ายกัมพูชามาเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 10 ทราบว่าการประชุมประสบความสําเร็จด้วยดี และขอบคุณที่รัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์เคารพการตัดสินใจของประชาชนไทยในการทําประชามติ พร้อมแสดงความชื่นชมกัมพูชาที่ได้สร้างความเจริญก้าวหน้าให้ประเทศพ้นจากการเป็นประเทศรายได้น้อย
ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อพลวัตความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและกัมพูชา โดยที่ผ่านมามีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงของทั้งสองฝ่ายอย่างสม่ําเสมอ และยืนยันเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะกระชับความสัมพันธ์ในทุกระดับและส่งเสริมความร่วมมือทุกด้าน
ด้านการเปิดหรือยกระดับจุดผ่านแดน นายกรัฐมนตรียินดีต่อความคืบหน้าของการสํารวจและเก็บรายละเอียดภูมิประเทศในบริเวณที่ได้ตกลงกันให้ดําเนินการเพื่อเปิดหรือยกระดับเป็นจุดผ่านแดนถาวรในอนาคต สําหรับการเปิดจุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่ที่บ้านหนองเอี่ยน – สตึงบท รัฐบาลไทยได้เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการเกี่ยวกับการเปิดจุดผ่านแดนให้ได้โดยเร็ว ทั้งนี้รมว.กต. กัมพูชาประสงค์ที่จะเปิดจุดผ่านแดนกับไทยเพิ่มขึ้นเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจและอํานวยความสะดวกการไปมาหาสู่ระหว่างกัน อย่างไรก็ดีนายกรัฐมนตรีขอให้กัมพูชาตรวจสอบเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ตามแนวชายแดน และการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา โดยขอให้กัมพูชาประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ความเข้าใจต่อประชาชนของตนมิให้เข้ามาลักลอบตัดต้นไม้ในฝั่งไทย
ความร่วมมือด้านแรงงาน รมว.กต.กัมพูชายินดีที่ไทยและกัมพูชามีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในด้านแรงงาน และขอบคุณที่รัฐบาลไทยให้ความดูแลแรงงานชาวกัมพูชาเป็นอย่างดี ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าฝ่ายไทยวางมาตรการต่างๆ เพื่อการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวให้มีประสิทธิภาพขึ้น และฝากให้กัมพูชาเร่งดําเนินการเรื่องการรับรองสัญชาติและการออกหนังสือเดินทางให้กับแรงงานกัมพูชาในประเทศไทยที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้วเพื่อให้มีการจ้างงานอย่างเป็นระบบต่อไป
ด้านการสร้างความเชื่อมโยง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยให้ความสําคัญกับการเชื่อมโยงด้านคมนาคมกับกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นถนน รางหรือการเดินเรือชายฝั่ง ซึ่งนอกจากจะเชื่อมโยงไทยกับกัมพูชาแล้วยังเป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมโยงในระดับภูมิภาคด้วย
ด้านการค้าและการลงทุน นรม.กต.กัมพูชา หวังได้รับการสนับสนุนจากไทยในด้านการค้าและการลงทุน เพื่อลดความไม่สมดุลทางการค้าระหว่างกัน และเห็นว่าภาครัฐของทั้งสองฝ่ายต้องช่วยกันอํานวยความสะดวกให้กับภาคเอกชนให้มากขึ้น
นอกจากนี้รมว.กต กัมพูชายังหวังให้ไทยให้ความช่วยเหลือในสาขาที่ไทยมีศักยภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสาธารณสุข และการศึกษา รวมถึงความร่วมมือกับกัมพูชาด้านพลังงาน ทั้งด้านไฟฟ้าและแหล่งพลังงานเพิ่มเติม
ก่อนจบการหารือนายกรัฐมนตรีฝากความระลึกถึงไปยังสมเด็จอัคคมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา พร้อมยังได้ฝากคําเชิญนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือแห่งเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue Summit) ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมนี้ด้วย
*************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีอาวุโสและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2559
รัฐมนตรีอาวุโสและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
นายปรัก สุคน (Mr. Prak Sokhonn) รัฐมนตรีอาวุโสและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสการเดินทางเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย-กัมพูช
วันนี้ (26 ส.ค. 59) เวลา 15.30 น. นายปรัก สุคน (Mr. Prak Sokhonn) รัฐมนตรีอาวุโสและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ในโอกาสการเดินทางเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 10 ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลตรีวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ได้พบกับรมว.กต. กัมพูชาอีกครั้งในโอกาสที่ รมว.กต กัมพูชาเป็นหัวหน้าคณะฝ่ายกัมพูชามาเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 10 ทราบว่าการประชุมประสบความสําเร็จด้วยดี และขอบคุณที่รัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์เคารพการตัดสินใจของประชาชนไทยในการทําประชามติ พร้อมแสดงความชื่นชมกัมพูชาที่ได้สร้างความเจริญก้าวหน้าให้ประเทศพ้นจากการเป็นประเทศรายได้น้อย
ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อพลวัตความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและกัมพูชา โดยที่ผ่านมามีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงของทั้งสองฝ่ายอย่างสม่ําเสมอ และยืนยันเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะกระชับความสัมพันธ์ในทุกระดับและส่งเสริมความร่วมมือทุกด้าน
ด้านการเปิดหรือยกระดับจุดผ่านแดน นายกรัฐมนตรียินดีต่อความคืบหน้าของการสํารวจและเก็บรายละเอียดภูมิประเทศในบริเวณที่ได้ตกลงกันให้ดําเนินการเพื่อเปิดหรือยกระดับเป็นจุดผ่านแดนถาวรในอนาคต สําหรับการเปิดจุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่ที่บ้านหนองเอี่ยน – สตึงบท รัฐบาลไทยได้เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการเกี่ยวกับการเปิดจุดผ่านแดนให้ได้โดยเร็ว ทั้งนี้รมว.กต. กัมพูชาประสงค์ที่จะเปิดจุดผ่านแดนกับไทยเพิ่มขึ้นเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจและอํานวยความสะดวกการไปมาหาสู่ระหว่างกัน อย่างไรก็ดีนายกรัฐมนตรีขอให้กัมพูชาตรวจสอบเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ตามแนวชายแดน และการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา โดยขอให้กัมพูชาประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ความเข้าใจต่อประชาชนของตนมิให้เข้ามาลักลอบตัดต้นไม้ในฝั่งไทย
ความร่วมมือด้านแรงงาน รมว.กต.กัมพูชายินดีที่ไทยและกัมพูชามีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในด้านแรงงาน และขอบคุณที่รัฐบาลไทยให้ความดูแลแรงงานชาวกัมพูชาเป็นอย่างดี ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าฝ่ายไทยวางมาตรการต่างๆ เพื่อการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวให้มีประสิทธิภาพขึ้น และฝากให้กัมพูชาเร่งดําเนินการเรื่องการรับรองสัญชาติและการออกหนังสือเดินทางให้กับแรงงานกัมพูชาในประเทศไทยที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้วเพื่อให้มีการจ้างงานอย่างเป็นระบบต่อไป
ด้านการสร้างความเชื่อมโยง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยให้ความสําคัญกับการเชื่อมโยงด้านคมนาคมกับกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นถนน รางหรือการเดินเรือชายฝั่ง ซึ่งนอกจากจะเชื่อมโยงไทยกับกัมพูชาแล้วยังเป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมโยงในระดับภูมิภาคด้วย
ด้านการค้าและการลงทุน นรม.กต.กัมพูชา หวังได้รับการสนับสนุนจากไทยในด้านการค้าและการลงทุน เพื่อลดความไม่สมดุลทางการค้าระหว่างกัน และเห็นว่าภาครัฐของทั้งสองฝ่ายต้องช่วยกันอํานวยความสะดวกให้กับภาคเอกชนให้มากขึ้น
นอกจากนี้รมว.กต กัมพูชายังหวังให้ไทยให้ความช่วยเหลือในสาขาที่ไทยมีศักยภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสาธารณสุข และการศึกษา รวมถึงความร่วมมือกับกัมพูชาด้านพลังงาน ทั้งด้านไฟฟ้าและแหล่งพลังงานเพิ่มเติม
ก่อนจบการหารือนายกรัฐมนตรีฝากความระลึกถึงไปยังสมเด็จอัคคมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา พร้อมยังได้ฝากคําเชิญนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือแห่งเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue Summit) ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมนี้ด้วย
*************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/264
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.มอบของขวัญรับเทศกาลตรุษจีนและวันแห่งความรัก ในงาน Money Expo Pattaya 2018
|
วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561
ธอส.มอบของขวัญรับเทศกาลตรุษจีนและวันแห่งความรัก ในงาน Money Expo Pattaya 2018
ธอส.มอบของขวัญรับเทศกาลตรุษจีนและวันแห่งความรัก จัดสินเชื่อบ้านดอกเบี้ย 2.90% ต่อปี นาน 3 ปีแรก และฟรี!! 4 ค่าธรรมเนียม เงินฝากออมทรัพย์บวกดอกเบี้ยเพิ่มพิเศษ 6 เดือน รับดอกเบี้ยสูงสุด 1.80% ต่อปี และบ้านมือสองลดราคาสูงสุด 40% ในงาน Money Expo Pattaya
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าประชาชนภาคตะวันออกในโอกาสเทศกาลตรุษจีนและวันแห่งความรัก ร่วมออกบูธในงาน “Money Expo Pattaya 2018” เตรียมผลิตภัณฑ์พิเศษมอบให้ลูกค้าประชาชน นําโดยสินเชื่อบ้าน ดอกเบี้ยสุดพิเศษเพียง 2.90% ต่อปี นานถึง 3 ปีแรก ยกเว้นค่าธรรมเนียม 4 ฟรี (1) ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (2) ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกันทุกวงเงินกู้ (3) ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และ (4) ฟรีค่าจดทะเบียนจํานอง 1% ของวงเงินกู้ตามสัญญากู้เงิน ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 40 ปี พร้อมด้วย“เงินฝากออมทรัพย์” บวกดอกเบี้ยเพิ่มพิเศษ 6 เดือน รวมรับดอกเบี้ยสูงสุด 1.80% ต่อปี พร้อมแนะนําบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA คุณภาพดีทําเลเด่น ลดราคาพิเศษสูงสุดถึง 40% จากราคาปกติ ราคาจําหน่ายต่ําสุดเริ่มต้นเพียง 255,000 บาทเท่านั้น ระหว่างวันที่ 9-11 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ศูนย์ประชุมพีช รอยัล คลิฟ โฮเต็ล กรุ๊ป พัทยา จ.ชลบุรี
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าประชาชนภาคตะวันออกในช่วงเทศกาลตรุษจีนและวันแห่งความรัก ธอส. จึงได้ร่วมออกบูธในงาน “Money Expo Pattaya 2018” โดยนําผลิตภัณฑ์พิเศษไปมอบเป็นของขวัญให้กับผู้ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองและผู้ที่ต้องการออมเงิน พร้อมแบ่งโซนการจัดบูธออกเป็น 4 โซนหลัก ประกอบด้วย 1.โซนสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 – 3 เท่ากับ MRR-3.85% ต่อปี (หรือเท่ากับ 2.90% ต่อปีเท่านั้น!! คิดจาก MRR ธอส.ปัจจุบันเท่ากับ 6.75% ต่อปี) ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีกู้ซื้ออุปกรณ์และสิ่งอํานวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับ ที่อยู่อาศัย ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจํานองจากสถาบันการเงินอื่น และซื้ออุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัยพร้อมกับกู้เพื่อซื้อ หรือ ไถ่ถอนจํานอง พิเศษ!! ยกเว้นค่าธรรมเนียม 4 ฟรี ได้แก่ (1)ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (0.1% ของวงเงินทํานิติกรรม) (2)ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกันทุกวงเงินกู้ (1,900 / 2,800 /3,100 บาท ตามวงเงินกู้) (3)ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (1,000 บาท) และ (4)ฟรีค่าจดทะเบียนจํานอง 1% ของวงเงินกู้ตามสัญญากู้เงิน ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 40 ปี ยื่นคําขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 9 – 16 กุมภาพันธ์ 2561 และทํานิติกรรมภายในวันที่ 30 มีนาคม 2561 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกําหนด
2.โซนเงินฝาก นําเสนอผลิตภัณฑ์ “เงินฝากออมทรัพย์” เพียงจองสิทธิ์และเปิดบัญชีจะได้รับดอกเบี้ยเพิ่ม 0.70% ต่อปี นาน 6 เดือน และหากจองสิทธิ์เปิดบัญชีพร้อมสมัครใช้บริการ Internet & Mobile Banking หรือ PromptPay กับ ธอส. ตามระยะเวลาที่กําหนดจะได้รับดอกเบี้ยเพิ่ม 0.90% ต่อปี รวมรับดอกเบี้ยสูงสุดเท่ากับ 1.80% ต่อปี (คิดจากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์สําหรับวงเงินฝากตั้งแต่ 1 แสนบาท เท่ากับ 0.90% ต่อปี) เงื่อนไขเพียงเปิดบัญชีเงินฝากครั้งแรกขั้นต่ํา 500 บาท ได้รับฟรี!! บัตร ATM ธอส. และได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกบัตรและค่าธรรมเนียมรายปีในปีแรก เพียงจองสิทธิ์เปิดบัญชีภายในงาน และเปิดบัญชี ณ สาขาของ ธอส. ภายในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 เท่านั้น
3.โซนบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA พบกับทรัพย์ NPA คุณภาพดี ทําเลเด่น ในพื้นที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี จ.ระยอง จ.จันทบุรี และ จ.ตราด จํานวน 291 รายการ ทั้งประเภทบ้านเดี่ยว, ทาวน์เฮ้าส์, อาคารพาณิชย์, ห้องชุด และที่ดินเปล่า จําหน่ายพร้อมส่วนลดพิเศษสูงสุด 40% จากราคาปกติ โดยทรัพย์ที่มีราคาจําหน่ายต่ําสุดเริ่มต้นเพียง 255,000 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์ประเภทห้องชุด ในโครงการเมืองใหม่ เนื้อที่ 29.25 ตารางเมตร ต.อ่างศิลา อ.เมือง จ.ชลบุรี โดยผู้ซื้อทรัพย์ NPA ของธนาคารสามารถรับแคมเปญพิเศษ “ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน” (เฉพาะทรัพย์รายการที่ธนาคารกําหนด) เข้าอยู่อาศัยในช่วงผ่อนดาวน์ได้ทันทีเพียงชําระเงินประกัน ไม่ต่ํากว่า 1.5% ของราคาซื้อ หรือหากเทเงินดาวน์ 20% ของราคาซื้อขาย ส่วนที่เหลืออีก 80% รับสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือน ไม่เสียค่าประเมินราคาทรัพย์สิน และผ่อนชําระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี
4.โซนโครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจะมาให้คําแนะนํา และส่งเสริมความรู้ในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ หรือ Financial Literacy เมื่อปฏิบัติตามคําแนะนําของเจ้าหน้าที่และเงื่อนไขที่ธนาคารกําหนด จะช่วยให้มีโอกาสยื่นคําขอพิจารณาสินเชื่อกับธนาคารได้ในอนาคต
ทั้งนี้ งาน “Money Expo Pattaya 2018” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-11 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ศูนย์ประชุมพีช รอยัล คลิฟ โฮเต็ล กรุ๊ป พัทยา จ.ชลบุรี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.มอบของขวัญรับเทศกาลตรุษจีนและวันแห่งความรัก ในงาน Money Expo Pattaya 2018
วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561
ธอส.มอบของขวัญรับเทศกาลตรุษจีนและวันแห่งความรัก ในงาน Money Expo Pattaya 2018
ธอส.มอบของขวัญรับเทศกาลตรุษจีนและวันแห่งความรัก จัดสินเชื่อบ้านดอกเบี้ย 2.90% ต่อปี นาน 3 ปีแรก และฟรี!! 4 ค่าธรรมเนียม เงินฝากออมทรัพย์บวกดอกเบี้ยเพิ่มพิเศษ 6 เดือน รับดอกเบี้ยสูงสุด 1.80% ต่อปี และบ้านมือสองลดราคาสูงสุด 40% ในงาน Money Expo Pattaya
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าประชาชนภาคตะวันออกในโอกาสเทศกาลตรุษจีนและวันแห่งความรัก ร่วมออกบูธในงาน “Money Expo Pattaya 2018” เตรียมผลิตภัณฑ์พิเศษมอบให้ลูกค้าประชาชน นําโดยสินเชื่อบ้าน ดอกเบี้ยสุดพิเศษเพียง 2.90% ต่อปี นานถึง 3 ปีแรก ยกเว้นค่าธรรมเนียม 4 ฟรี (1) ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (2) ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกันทุกวงเงินกู้ (3) ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และ (4) ฟรีค่าจดทะเบียนจํานอง 1% ของวงเงินกู้ตามสัญญากู้เงิน ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 40 ปี พร้อมด้วย“เงินฝากออมทรัพย์” บวกดอกเบี้ยเพิ่มพิเศษ 6 เดือน รวมรับดอกเบี้ยสูงสุด 1.80% ต่อปี พร้อมแนะนําบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA คุณภาพดีทําเลเด่น ลดราคาพิเศษสูงสุดถึง 40% จากราคาปกติ ราคาจําหน่ายต่ําสุดเริ่มต้นเพียง 255,000 บาทเท่านั้น ระหว่างวันที่ 9-11 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ศูนย์ประชุมพีช รอยัล คลิฟ โฮเต็ล กรุ๊ป พัทยา จ.ชลบุรี
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าประชาชนภาคตะวันออกในช่วงเทศกาลตรุษจีนและวันแห่งความรัก ธอส. จึงได้ร่วมออกบูธในงาน “Money Expo Pattaya 2018” โดยนําผลิตภัณฑ์พิเศษไปมอบเป็นของขวัญให้กับผู้ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองและผู้ที่ต้องการออมเงิน พร้อมแบ่งโซนการจัดบูธออกเป็น 4 โซนหลัก ประกอบด้วย 1.โซนสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 – 3 เท่ากับ MRR-3.85% ต่อปี (หรือเท่ากับ 2.90% ต่อปีเท่านั้น!! คิดจาก MRR ธอส.ปัจจุบันเท่ากับ 6.75% ต่อปี) ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีกู้ซื้ออุปกรณ์และสิ่งอํานวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับ ที่อยู่อาศัย ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจํานองจากสถาบันการเงินอื่น และซื้ออุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัยพร้อมกับกู้เพื่อซื้อ หรือ ไถ่ถอนจํานอง พิเศษ!! ยกเว้นค่าธรรมเนียม 4 ฟรี ได้แก่ (1)ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (0.1% ของวงเงินทํานิติกรรม) (2)ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกันทุกวงเงินกู้ (1,900 / 2,800 /3,100 บาท ตามวงเงินกู้) (3)ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (1,000 บาท) และ (4)ฟรีค่าจดทะเบียนจํานอง 1% ของวงเงินกู้ตามสัญญากู้เงิน ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 40 ปี ยื่นคําขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 9 – 16 กุมภาพันธ์ 2561 และทํานิติกรรมภายในวันที่ 30 มีนาคม 2561 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกําหนด
2.โซนเงินฝาก นําเสนอผลิตภัณฑ์ “เงินฝากออมทรัพย์” เพียงจองสิทธิ์และเปิดบัญชีจะได้รับดอกเบี้ยเพิ่ม 0.70% ต่อปี นาน 6 เดือน และหากจองสิทธิ์เปิดบัญชีพร้อมสมัครใช้บริการ Internet & Mobile Banking หรือ PromptPay กับ ธอส. ตามระยะเวลาที่กําหนดจะได้รับดอกเบี้ยเพิ่ม 0.90% ต่อปี รวมรับดอกเบี้ยสูงสุดเท่ากับ 1.80% ต่อปี (คิดจากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์สําหรับวงเงินฝากตั้งแต่ 1 แสนบาท เท่ากับ 0.90% ต่อปี) เงื่อนไขเพียงเปิดบัญชีเงินฝากครั้งแรกขั้นต่ํา 500 บาท ได้รับฟรี!! บัตร ATM ธอส. และได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกบัตรและค่าธรรมเนียมรายปีในปีแรก เพียงจองสิทธิ์เปิดบัญชีภายในงาน และเปิดบัญชี ณ สาขาของ ธอส. ภายในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 เท่านั้น
3.โซนบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA พบกับทรัพย์ NPA คุณภาพดี ทําเลเด่น ในพื้นที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี จ.ระยอง จ.จันทบุรี และ จ.ตราด จํานวน 291 รายการ ทั้งประเภทบ้านเดี่ยว, ทาวน์เฮ้าส์, อาคารพาณิชย์, ห้องชุด และที่ดินเปล่า จําหน่ายพร้อมส่วนลดพิเศษสูงสุด 40% จากราคาปกติ โดยทรัพย์ที่มีราคาจําหน่ายต่ําสุดเริ่มต้นเพียง 255,000 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์ประเภทห้องชุด ในโครงการเมืองใหม่ เนื้อที่ 29.25 ตารางเมตร ต.อ่างศิลา อ.เมือง จ.ชลบุรี โดยผู้ซื้อทรัพย์ NPA ของธนาคารสามารถรับแคมเปญพิเศษ “ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน” (เฉพาะทรัพย์รายการที่ธนาคารกําหนด) เข้าอยู่อาศัยในช่วงผ่อนดาวน์ได้ทันทีเพียงชําระเงินประกัน ไม่ต่ํากว่า 1.5% ของราคาซื้อ หรือหากเทเงินดาวน์ 20% ของราคาซื้อขาย ส่วนที่เหลืออีก 80% รับสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือน ไม่เสียค่าประเมินราคาทรัพย์สิน และผ่อนชําระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี
4.โซนโครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจะมาให้คําแนะนํา และส่งเสริมความรู้ในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ หรือ Financial Literacy เมื่อปฏิบัติตามคําแนะนําของเจ้าหน้าที่และเงื่อนไขที่ธนาคารกําหนด จะช่วยให้มีโอกาสยื่นคําขอพิจารณาสินเชื่อกับธนาคารได้ในอนาคต
ทั้งนี้ งาน “Money Expo Pattaya 2018” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-11 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ศูนย์ประชุมพีช รอยัล คลิฟ โฮเต็ล กรุ๊ป พัทยา จ.ชลบุรี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9943
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยปริมาณน้ำในเขื่อนอยู่ที่ระดับ 75% ไม่ส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกในพื้นที่ชลประทาน
|
วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561
นายกรัฐมนตรีเผยปริมาณน้ําในเขื่อนอยู่ที่ระดับ 75% ไม่ส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกในพื้นที่ชลประทาน
นายกรัฐมนตรีเผยปริมาณน้ําในเขื่อนอยู่ที่ระดับ 75% ไม่ส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกในพื้นที่ชลประทาน
วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 13.40 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีสื่อบางสํานักได้เผยแพร่ว่าภัยแล้งกําลังจะเกิดขึ้นในภาคอีสานทําให้กลายเป็นประเด็น โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีระดับน้ําในเขื่อนอยู่ที่ 75% ในทุกเขื่อน มีระดับน้ําที่เพียงพอ โดยเฉพาะในพื้นที่ชลประทานจะไม่ได้รับผลกระทบต่อการเพาะปลูก ถ้ามีการเพาะปลูกพืชอย่างเหมาะสมต่อปริมาณน้ํา ส่วนนอกพื้นที่เขตชลประทานจะได้ปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกพืชให้เหมาะสม ซึ่งจะต้องเรียนรู้ไปด้วยกันถึงการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบในด้านต่าง ๆ ด้วย
------------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยปริมาณน้ำในเขื่อนอยู่ที่ระดับ 75% ไม่ส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกในพื้นที่ชลประทาน
วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561
นายกรัฐมนตรีเผยปริมาณน้ําในเขื่อนอยู่ที่ระดับ 75% ไม่ส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกในพื้นที่ชลประทาน
นายกรัฐมนตรีเผยปริมาณน้ําในเขื่อนอยู่ที่ระดับ 75% ไม่ส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกในพื้นที่ชลประทาน
วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 13.40 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีสื่อบางสํานักได้เผยแพร่ว่าภัยแล้งกําลังจะเกิดขึ้นในภาคอีสานทําให้กลายเป็นประเด็น โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีระดับน้ําในเขื่อนอยู่ที่ 75% ในทุกเขื่อน มีระดับน้ําที่เพียงพอ โดยเฉพาะในพื้นที่ชลประทานจะไม่ได้รับผลกระทบต่อการเพาะปลูก ถ้ามีการเพาะปลูกพืชอย่างเหมาะสมต่อปริมาณน้ํา ส่วนนอกพื้นที่เขตชลประทานจะได้ปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกพืชให้เหมาะสม ซึ่งจะต้องเรียนรู้ไปด้วยกันถึงการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบในด้านต่าง ๆ ด้วย
------------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10216
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘พาณิชย์’ กระชับความสัมพันธ์ไทย-ยูเรเซีย จัดสัมมนา “ไทย-ยูเรเซีย : รุกหน้ากระชับความสัมพันธ์มิติใหม่” ภายหลังการลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่างไทยกับสหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย
|
วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2561
‘พาณิชย์’ กระชับความสัมพันธ์ไทย-ยูเรเซีย จัดสัมมนา “ไทย-ยูเรเซีย : รุกหน้ากระชับความสัมพันธ์มิติใหม่” ภายหลังการลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่างไทยกับสหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย
กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จัดสัมมนา “ไทย-ยูเรเซีย : รุกหน้ากระชับความสัมพันธ์มิติใหม่” เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ โดยมีนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดการสัมมนา
และมีนางทัตยานา วาโลวายา รัฐมนตรีด้านการบูรณาการและเศรษฐกิจมหภาคของสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษ
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้เป็นประธานเปิดการสัมมนา“ไทย-ยูเรเซีย : รุกหน้ากระชับความสัมพันธ์มิติใหม่”ซึ่งกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จัดขึ้นเมื่อวันที่20พฤศจิกายน2561ภายหลังการลงนามจัดทําบันทึกความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย (Memorandum of Cooperation between the Government of Kingdom of Thailand and the Eurasian Economic Commission : MoC)ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และรัฐมนตรีด้านการบูรณาการและเศรษฐกิจมหภาคของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเชีย เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 ณ ทําเนียบรัฐบาล โดยการสัมมนาครั้งนี้ มีผู้ให้ความสนใจทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ผู้ประกอบการ และประชาชนทั่วไป เข้าร่วมกว่า300คน โดยมีวิทยากรจากสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลของประเทศสมาชิกยูเรเซียในประเทศไทย หอการค้าไทย-รัสเซีย เป็นต้น ร่วมขึ้นเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และโอกาสทางการค้าของไทยในยูเรเซีย ซึ่งเป็นสหภาพศุลกากรที่ประกอบด้วยสมาชิก5ประเทศ ได้แก่ รัสเซีย อาร์เมเนีย เบลารุส คีร์กีซ์ และคาซัคสถาน
นายบุณยฤทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันไทยให้ความสําคัญในการขยายการค้าการลงทุนกับยูเรเซีย โดยการลงนามจัดทําบันทึกความร่วมมือระหว่างไทยและยูเรเซีย จะเป็นช่องทางกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจในสาขาต่างๆ เช่นการค้าการลงทุน ทรัพย์สินทางปัญญา นโยบายการแข่งขัน เป็นต้น เพื่อปูทางไปสู่การเจรจาความตกลงการค้าเสรี หรือเอฟทีเอระหว่างกันในอนาคต โดยยูเรเซียถือเป็นตลาดใหญ่ที่มีประชากรรวมกันกว่า 180 ล้านคน มีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)รวมกันมูลค่ากว่า 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มีมูลค่าการค้ากับประเทศนอกกลุ่มกว่า 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อปี และเป็นกลุ่มประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ รวมทั้งมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย จึงถือเป็นตลาดหนึ่งที่มีศักยภาพสําหรับไทย
“การสัมมนาครั้งนี้ มุ่งเน้นให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รู้จัก 5 ประเทศสมาชิกยูเรเซียมากขึ้น รวมทั้งประโยชน์ที่ไทยจะได้รับหลังจากการลงนามบันทึกความร่วมมือฯ โอกาสการค้าการลงทุน อุปสรรคทางการค้า และประสบการณ์ในการทําธุรกิจจริงในตลาดนี้ เนื่องจากเป็นตลาดใหม่ที่มีความสําคัญมากขึ้นต่อไทย และเป็นกลุ่มประเทศที่อยู่บนเส้นทางสายไหมของจีนที่เป็นความร่วมมือของประเทศตั้งแต่ฝั่งเอเชียถึงยุโรป การเดินหน้ารุกตลาดยูเรเซียรวมทั้งการพัฒนาไปสู่การจัดทําFTAกับยูเรเซียในอนาคต จึงไม่ได้เป็นเพียงการขยายการค้าการลงทุนระหว่างทั้งสองฝ่าย แต่ยังเปิดโอกาสให้สินค้า บริการ การลงทุน และแรงงานของไทยเข้าสู่ห่วงโซ่คุณค่าของโลกได้อีกด้วย”นายบุณยฤทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้ สําหรับช่วงเดือนมกราคม–กันยายน 2561 ไทยและยูเรเซียมีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 2,794.07 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 26.59 โดยไทยส่งออก 941.84 ล้านเหรียญสหรัฐ นําเข้า 1,852.53 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าที่ไทยส่งออกสําคัญ ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ ผลไม้กระป๋องและแปรรูป และเครื่องยนต์ เป็นต้น สินค้าที่ไทยนําเข้าสําคัญ ได้แก่ น้ํามันดิบ ปุ๋ยและยากําจัดศัตรูพืชและสัตว์ สินแร่โลหะ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และพืชและผลิตภัณฑ์จากพืช เป็นต้น ในด้านการลงทุน ปี 2560 ประเทศสมาชิกยูเรเชียมีการลงทุนในไทย 376 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากBOI2 โครงการ มูลค่า 2,713 ล้านบาท
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘พาณิชย์’ กระชับความสัมพันธ์ไทย-ยูเรเซีย จัดสัมมนา “ไทย-ยูเรเซีย : รุกหน้ากระชับความสัมพันธ์มิติใหม่” ภายหลังการลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่างไทยกับสหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย
วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2561
‘พาณิชย์’ กระชับความสัมพันธ์ไทย-ยูเรเซีย จัดสัมมนา “ไทย-ยูเรเซีย : รุกหน้ากระชับความสัมพันธ์มิติใหม่” ภายหลังการลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่างไทยกับสหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย
กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จัดสัมมนา “ไทย-ยูเรเซีย : รุกหน้ากระชับความสัมพันธ์มิติใหม่” เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ โดยมีนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดการสัมมนา
และมีนางทัตยานา วาโลวายา รัฐมนตรีด้านการบูรณาการและเศรษฐกิจมหภาคของสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษ
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้เป็นประธานเปิดการสัมมนา“ไทย-ยูเรเซีย : รุกหน้ากระชับความสัมพันธ์มิติใหม่”ซึ่งกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จัดขึ้นเมื่อวันที่20พฤศจิกายน2561ภายหลังการลงนามจัดทําบันทึกความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย (Memorandum of Cooperation between the Government of Kingdom of Thailand and the Eurasian Economic Commission : MoC)ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และรัฐมนตรีด้านการบูรณาการและเศรษฐกิจมหภาคของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเชีย เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 ณ ทําเนียบรัฐบาล โดยการสัมมนาครั้งนี้ มีผู้ให้ความสนใจทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ผู้ประกอบการ และประชาชนทั่วไป เข้าร่วมกว่า300คน โดยมีวิทยากรจากสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลของประเทศสมาชิกยูเรเซียในประเทศไทย หอการค้าไทย-รัสเซีย เป็นต้น ร่วมขึ้นเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และโอกาสทางการค้าของไทยในยูเรเซีย ซึ่งเป็นสหภาพศุลกากรที่ประกอบด้วยสมาชิก5ประเทศ ได้แก่ รัสเซีย อาร์เมเนีย เบลารุส คีร์กีซ์ และคาซัคสถาน
นายบุณยฤทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันไทยให้ความสําคัญในการขยายการค้าการลงทุนกับยูเรเซีย โดยการลงนามจัดทําบันทึกความร่วมมือระหว่างไทยและยูเรเซีย จะเป็นช่องทางกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจในสาขาต่างๆ เช่นการค้าการลงทุน ทรัพย์สินทางปัญญา นโยบายการแข่งขัน เป็นต้น เพื่อปูทางไปสู่การเจรจาความตกลงการค้าเสรี หรือเอฟทีเอระหว่างกันในอนาคต โดยยูเรเซียถือเป็นตลาดใหญ่ที่มีประชากรรวมกันกว่า 180 ล้านคน มีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)รวมกันมูลค่ากว่า 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มีมูลค่าการค้ากับประเทศนอกกลุ่มกว่า 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อปี และเป็นกลุ่มประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ รวมทั้งมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย จึงถือเป็นตลาดหนึ่งที่มีศักยภาพสําหรับไทย
“การสัมมนาครั้งนี้ มุ่งเน้นให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รู้จัก 5 ประเทศสมาชิกยูเรเซียมากขึ้น รวมทั้งประโยชน์ที่ไทยจะได้รับหลังจากการลงนามบันทึกความร่วมมือฯ โอกาสการค้าการลงทุน อุปสรรคทางการค้า และประสบการณ์ในการทําธุรกิจจริงในตลาดนี้ เนื่องจากเป็นตลาดใหม่ที่มีความสําคัญมากขึ้นต่อไทย และเป็นกลุ่มประเทศที่อยู่บนเส้นทางสายไหมของจีนที่เป็นความร่วมมือของประเทศตั้งแต่ฝั่งเอเชียถึงยุโรป การเดินหน้ารุกตลาดยูเรเซียรวมทั้งการพัฒนาไปสู่การจัดทําFTAกับยูเรเซียในอนาคต จึงไม่ได้เป็นเพียงการขยายการค้าการลงทุนระหว่างทั้งสองฝ่าย แต่ยังเปิดโอกาสให้สินค้า บริการ การลงทุน และแรงงานของไทยเข้าสู่ห่วงโซ่คุณค่าของโลกได้อีกด้วย”นายบุณยฤทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้ สําหรับช่วงเดือนมกราคม–กันยายน 2561 ไทยและยูเรเซียมีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 2,794.07 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 26.59 โดยไทยส่งออก 941.84 ล้านเหรียญสหรัฐ นําเข้า 1,852.53 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าที่ไทยส่งออกสําคัญ ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ ผลไม้กระป๋องและแปรรูป และเครื่องยนต์ เป็นต้น สินค้าที่ไทยนําเข้าสําคัญ ได้แก่ น้ํามันดิบ ปุ๋ยและยากําจัดศัตรูพืชและสัตว์ สินแร่โลหะ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และพืชและผลิตภัณฑ์จากพืช เป็นต้น ในด้านการลงทุน ปี 2560 ประเทศสมาชิกยูเรเชียมีการลงทุนในไทย 376 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากBOI2 โครงการ มูลค่า 2,713 ล้านบาท
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16934
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดงาน “คลังพัฒนาชาติ ตลาดคลองผดุงสร้างชีวิต เสริมสร้างเศรษฐกิจมั่นคง” ซึ่งกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 – 23 ธันวาคม 2559 ที่จะถึงนี้
|
วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน 2559
กระทรวงการคลังร่วมกับสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดงาน “คลังพัฒนาชาติ ตลาดคลองผดุงสร้างชีวิต เสริมสร้างเศรษฐกิจมั่นคง” ซึ่งกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 – 23 ธันวาคม 2559 ที่จะถึงนี้
กระทรวงการคลังจัดงาน “คลังพัฒนาชาติ ตลาดคลองผดุงสร้างชีวิต เสริมสร้างเศรษฐกิจมั่นคง” ซึ่งกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 – 23 ธันวาคม 2559
วันนี้ (29 พฤศจิกายน 2559) เวลา 10.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าว ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายอํานวย ปรีมนวงศ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง ร่วมกับ น.ส. เรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะประธานกรรมการดําเนินโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล ภายใต้ชื่องาน “คลังพัฒนาชาติ ตลาดคลองผดุงสร้างชีวิต เสริมสร้างเศรษฐกิจมั่นคง” ซึ่งกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 – 23 ธันวาคม 2559
โอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงการคลัง แถลงว่าการจัดงานในครั้งนี้มีความสําคัญเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยกระทรวงการคลังได้รับมอบหมายการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมในช่วงเดือนธันวาคม 2559 ซึ่งในเดือนดังกล่าวนี้มีวันสําคัญของคนทั้งชาติ คือวันที่ 5 ธันวาคม 2559 เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทั้งนี้ การจัดงานจะมีการน้อมนําแนวคําสอน และพระราชดําริ ต่าง ๆ ขององค์พระบาทสมเด็จพระปรมิทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมาใช้เป็นแนวทาง โดยเฉพาะเรื่องการออม ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่พระองค์ท่านได้ทรงปลูกฝังนิสัยรักการออมให้ประชาชนชาวไทยจนเป็นที่มาของ “วันออมแห่งชาติ” กระทรวงการคลังได้นําแนวคิดพระราชทานนี้มาใช้เป็นหัวข้อหลักในการจัดงานตลอด 3 สัปดาห์ที่จะถึงนี้
ในสัปดาห์แรกของการจัดงาน ระหว่างวันที่ 1 - 9 ธันวาคม 2559 “คลังรวมใจถวายองค์พ่อหลวง” ซึ่งจะสะท้อนถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ ผ่านการออมเศรษฐกิจ ออมสังคม และออมสิ่งแวดล้อม ซึ่งหมายถึงการดูแลสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเราในทุกมิติ รวมถึงได้นําสินค้าและการจําหน่ายอาหารจากผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้า SMEs มาจําหน่ายในราคาถูก
ในสัปดาห์ที่สอง ระหว่างวันที่ 10 – 16 ธันวาคม 2559 ก็จะเป็นการนําของดีจากภาคต่าง ๆ ทั่วไทย สินค้า SMEs สินค้า OTOP ภายใต้แนวคิด “คลังของดี 4 ภาค” โดยจะมีการจัดกิจกรรมในหัวข้อ “เศรษฐกิจพอเพียง” “ความรู้ทางการเงิน”“การจัดตลาดประชารัฐ” ด้วยการนําสินค้าของดีของแต่ละภาคมาจําหน่ายในราคาถูก
ในสัปดาห์สุดท้าย ระหว่างวันที่ 17 – 23 ธันวาคม 2559 เป็นการรวบรวมสินค้าดีมีคุณภาพที่เหมาะจะซื้อเป็นของขวัญในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าตอนรับปีใหม่ รวมทั้งยังมีบริการห่อของขวัญฟรีภายใต้แนวคิด “คลังของขวัญวันปีใหม่” พร้อมด้วยการให้บริการทางเงิน การเขียนแผนธุรกิจ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา”
ในการจัดงานในครั้งนี้ ทางกระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจในสังกัด และหน่วยงานในกํากับได้คัดเลือกสิ่งที่ประชาชนสนใจมารวมไว้ในการจัดงานในครั้งนี้ อาทิ การนําพระอัจฉริยภาพทางด้านดนตรีที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เคยทรงพระราชนิพนธ์ไว้เพื่อน้อมรําลึกถึงพระอัจฉริยภาพ การจําหน่ายเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกประเภทต่าง ๆ การจําหน่ายสินค้าราคาถูกจากกลุ่ม SMEs ต่าง ๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์ OTOP จากทั่วประเทศ ผลิตภัณฑ์สินค้าประชารัฐ หมวกกันน็อก และประกันภัยชนิดต่าง ๆ ในราคาถูก พร้อมทั้มีการจําหน่ายของขวัญเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ในราคาย่อมเยา การจําหน่ายจักรยานมือสองในราคาถูก และการให้บริการทางการเงินประเภทต่าง ๆ ซึ่งประชาชนจะสามารถเข้ามาขอรับบริการได้ในคราวเดียว
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม Highlight โดยกระทรวงการคลังได้คัดสรรสินค้าคุณภาพดีราคาถูก อาหารอร่อยจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศมาจําหน่ายทั้งในรูปแบบของตลาดน้ํา (วันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์) และตลาดริมคลอง โดยจําลองมาจากตลาดน้ําคลองลัดมะยม รวมถึงการเปิดจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกฯ ซึ่งกําลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากพี่น้องประชาชน
รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะประธานกรรมการดําเนินโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษมได้แถลงเพิ่มเติมว่า การจัดงานตลาดนัดคลองผดุงกรุงเกษม จัดมาแล้วทั้งหมด 25 ครั้ง ผลของการดําเนินงานที่ผ่านมาประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี ทําให้ชาวกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้มีโอกาสเลือกซื้อสินค้าจากผู้ผลิตโดยตรง และที่สําคัญทําให้เกษตรกรและผู้ประกอบการสินค้ารายย่อย ได้มีแหล่งจําหน่ายสินค้าและช่วยสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ตลอดจนทําให้ตลาดคลองผดุงกรุงเกษมเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของชาวกรุงเทพมหานคร สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และเชื่อมั่นว่าการจัดงานครั้งนี้จะประสบความสําเร็จเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
ทั้งนี้ จึงขอเชิญชวนประชาชนทุกคนได้เข้ามาเยี่ยมชม และเลือกจับจ่ายใช้สอยสินค้าดีอาหารอร่อย ราคาถูกในงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม “คลังพัฒนาชาติ ตลาดคลองผดุงสร้างชีวิต เสริมสร้างเศรษฐกิจมั่นคง” ระหว่างวันที่ 1 - 23 ธันวาคม 2559 ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการและวันนักขัตฤกษ์ ระหว่างเวลา 10.00 น. - 19.00 น. ณ บริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษม ด้านข้างทําเนียบรัฐบาล โดยทางกระทรวงการคลังได้จัดบริการรถเมล์ฟรี รับ-ส่ง และ ไป-กลับ จาก อนุสาวรีย์ชัย (เกาะพญาไท) – ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม หรือจะเลือกใช้บริการเรือในคลองผดุงกรุงเกษม ไป-กลับ จากหัวลําโพง - เทเวศร์ ฟรีทุกวัน
***************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดงาน “คลังพัฒนาชาติ ตลาดคลองผดุงสร้างชีวิต เสริมสร้างเศรษฐกิจมั่นคง” ซึ่งกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 – 23 ธันวาคม 2559 ที่จะถึงนี้
วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน 2559
กระทรวงการคลังร่วมกับสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดงาน “คลังพัฒนาชาติ ตลาดคลองผดุงสร้างชีวิต เสริมสร้างเศรษฐกิจมั่นคง” ซึ่งกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 – 23 ธันวาคม 2559 ที่จะถึงนี้
กระทรวงการคลังจัดงาน “คลังพัฒนาชาติ ตลาดคลองผดุงสร้างชีวิต เสริมสร้างเศรษฐกิจมั่นคง” ซึ่งกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 – 23 ธันวาคม 2559
วันนี้ (29 พฤศจิกายน 2559) เวลา 10.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าว ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายอํานวย ปรีมนวงศ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง ร่วมกับ น.ส. เรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะประธานกรรมการดําเนินโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล ภายใต้ชื่องาน “คลังพัฒนาชาติ ตลาดคลองผดุงสร้างชีวิต เสริมสร้างเศรษฐกิจมั่นคง” ซึ่งกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 – 23 ธันวาคม 2559
โอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงการคลัง แถลงว่าการจัดงานในครั้งนี้มีความสําคัญเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยกระทรวงการคลังได้รับมอบหมายการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมในช่วงเดือนธันวาคม 2559 ซึ่งในเดือนดังกล่าวนี้มีวันสําคัญของคนทั้งชาติ คือวันที่ 5 ธันวาคม 2559 เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทั้งนี้ การจัดงานจะมีการน้อมนําแนวคําสอน และพระราชดําริ ต่าง ๆ ขององค์พระบาทสมเด็จพระปรมิทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมาใช้เป็นแนวทาง โดยเฉพาะเรื่องการออม ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่พระองค์ท่านได้ทรงปลูกฝังนิสัยรักการออมให้ประชาชนชาวไทยจนเป็นที่มาของ “วันออมแห่งชาติ” กระทรวงการคลังได้นําแนวคิดพระราชทานนี้มาใช้เป็นหัวข้อหลักในการจัดงานตลอด 3 สัปดาห์ที่จะถึงนี้
ในสัปดาห์แรกของการจัดงาน ระหว่างวันที่ 1 - 9 ธันวาคม 2559 “คลังรวมใจถวายองค์พ่อหลวง” ซึ่งจะสะท้อนถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ ผ่านการออมเศรษฐกิจ ออมสังคม และออมสิ่งแวดล้อม ซึ่งหมายถึงการดูแลสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเราในทุกมิติ รวมถึงได้นําสินค้าและการจําหน่ายอาหารจากผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้า SMEs มาจําหน่ายในราคาถูก
ในสัปดาห์ที่สอง ระหว่างวันที่ 10 – 16 ธันวาคม 2559 ก็จะเป็นการนําของดีจากภาคต่าง ๆ ทั่วไทย สินค้า SMEs สินค้า OTOP ภายใต้แนวคิด “คลังของดี 4 ภาค” โดยจะมีการจัดกิจกรรมในหัวข้อ “เศรษฐกิจพอเพียง” “ความรู้ทางการเงิน”“การจัดตลาดประชารัฐ” ด้วยการนําสินค้าของดีของแต่ละภาคมาจําหน่ายในราคาถูก
ในสัปดาห์สุดท้าย ระหว่างวันที่ 17 – 23 ธันวาคม 2559 เป็นการรวบรวมสินค้าดีมีคุณภาพที่เหมาะจะซื้อเป็นของขวัญในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าตอนรับปีใหม่ รวมทั้งยังมีบริการห่อของขวัญฟรีภายใต้แนวคิด “คลังของขวัญวันปีใหม่” พร้อมด้วยการให้บริการทางเงิน การเขียนแผนธุรกิจ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา”
ในการจัดงานในครั้งนี้ ทางกระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจในสังกัด และหน่วยงานในกํากับได้คัดเลือกสิ่งที่ประชาชนสนใจมารวมไว้ในการจัดงานในครั้งนี้ อาทิ การนําพระอัจฉริยภาพทางด้านดนตรีที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เคยทรงพระราชนิพนธ์ไว้เพื่อน้อมรําลึกถึงพระอัจฉริยภาพ การจําหน่ายเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกประเภทต่าง ๆ การจําหน่ายสินค้าราคาถูกจากกลุ่ม SMEs ต่าง ๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์ OTOP จากทั่วประเทศ ผลิตภัณฑ์สินค้าประชารัฐ หมวกกันน็อก และประกันภัยชนิดต่าง ๆ ในราคาถูก พร้อมทั้มีการจําหน่ายของขวัญเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ในราคาย่อมเยา การจําหน่ายจักรยานมือสองในราคาถูก และการให้บริการทางการเงินประเภทต่าง ๆ ซึ่งประชาชนจะสามารถเข้ามาขอรับบริการได้ในคราวเดียว
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม Highlight โดยกระทรวงการคลังได้คัดสรรสินค้าคุณภาพดีราคาถูก อาหารอร่อยจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศมาจําหน่ายทั้งในรูปแบบของตลาดน้ํา (วันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์) และตลาดริมคลอง โดยจําลองมาจากตลาดน้ําคลองลัดมะยม รวมถึงการเปิดจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกฯ ซึ่งกําลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากพี่น้องประชาชน
รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะประธานกรรมการดําเนินโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษมได้แถลงเพิ่มเติมว่า การจัดงานตลาดนัดคลองผดุงกรุงเกษม จัดมาแล้วทั้งหมด 25 ครั้ง ผลของการดําเนินงานที่ผ่านมาประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี ทําให้ชาวกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้มีโอกาสเลือกซื้อสินค้าจากผู้ผลิตโดยตรง และที่สําคัญทําให้เกษตรกรและผู้ประกอบการสินค้ารายย่อย ได้มีแหล่งจําหน่ายสินค้าและช่วยสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ตลอดจนทําให้ตลาดคลองผดุงกรุงเกษมเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของชาวกรุงเทพมหานคร สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และเชื่อมั่นว่าการจัดงานครั้งนี้จะประสบความสําเร็จเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
ทั้งนี้ จึงขอเชิญชวนประชาชนทุกคนได้เข้ามาเยี่ยมชม และเลือกจับจ่ายใช้สอยสินค้าดีอาหารอร่อย ราคาถูกในงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม “คลังพัฒนาชาติ ตลาดคลองผดุงสร้างชีวิต เสริมสร้างเศรษฐกิจมั่นคง” ระหว่างวันที่ 1 - 23 ธันวาคม 2559 ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการและวันนักขัตฤกษ์ ระหว่างเวลา 10.00 น. - 19.00 น. ณ บริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษม ด้านข้างทําเนียบรัฐบาล โดยทางกระทรวงการคลังได้จัดบริการรถเมล์ฟรี รับ-ส่ง และ ไป-กลับ จาก อนุสาวรีย์ชัย (เกาะพญาไท) – ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม หรือจะเลือกใช้บริการเรือในคลองผดุงกรุงเกษม ไป-กลับ จากหัวลําโพง - เทเวศร์ ฟรีทุกวัน
***************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/919
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เปิดอาคารคลินิกหมอครอบครัว สาขาคลองศาลา แห่งแรกของประเทศไทย
|
วันอังคารที่ 18 กันยายน 2561
นายกรัฐมนตรี เปิดอาคารคลินิกหมอครอบครัว สาขาคลองศาลา แห่งแรกของประเทศไทย
นายกรัฐมนตรี เปิดอาคารคลินิกหมอครอบครัว โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ สาขาคลองศาลา คลินิกหมอครอบครัวแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้รับงบประมาณอาคารตามนโยบายคลินิกหมอครอบครั
ว
วันนี้ (18 กันยายน 2561) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะ เปิดอาคารคลินิกหมอครอบครัว (PCC : Primary Care Cluster) โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ สาขาคลองศาลา ซึ่งเป็นคลินิกหมอครอบครัวแห่งแรกของประเทศไทยที่เปิดบริการอย่างเป็นทางการและได้รับงบประมาณอาคารตามนโยบายคลินิกหมอครอบครัว
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ปฏิรูประบบปฐมภูมิและคลินิกหมอครอบครัว เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการปฐมภูมิหรือบริการขั้นพื้นฐานที่คลินิกหมอครอบครัวใกล้บ้าน ได้รับบริการสะดวก รวดเร็ว ลดความแออัดในโรงพยาบาลใหญ่ โดยเฉพาะพื้นที่เขตเมือง มีเป้าหมายดําเนินการทั้งสิ้น 110 แห่ง ซึ่งโรงพยาบาลเพชรบูรณ์ เป็น 1 ใน 16 จังหวัดพื้นที่นําร่องระยะแรก ในปี 2559 และเป็น 1 ใน 8 จังหวัด ที่ได้รับงบประมาณ 44 ล้านบาท สร้างอาคารคลินิกหมอครอบครัว ในงบกลางปี ปีงบประมาณ 2560 โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ สาขาคลองศาลา เป็นอาคาร 4 ชั้น บนพื้นที่แห่งใหม่ตั้งอยู่ในชุมชน ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย โดยมีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ร่วมกับทีมสหวิชาชีพทั้งหมด 3 ทีม ดูแลประชากรประมาณ 30,000 คน ให้ประชาชนทุกครัวเรือน มีแพทย์และทีมสุขภาพประจําตัว เป็นที่พึ่งยามเจ็บป่วย ให้การดูแลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เกิดจนถึงวัยชรา ใกล้ชิดและคุ้นเคยเหมือนสมาชิกในครอบครัว
ผลการดําเนินงานที่ผ่านมาถือเป็นตัวอย่างความสําเร็จ ประชาชนให้ความเชื่อมั่นมารับบริการที่ PCC เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.92 หรือเฉลี่ยมารับริการวันละ 74 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่เฉลี่ยวันละ 23 ราย มีความพึงพอใจในการให้บริการสูงถึงร้อยละ 91.25 โดยสามารถลดระยะเวลารอคอยการเข้ารับการรักษา เวลารอคอยพบแพทย์เฉลี่ย 50 นาที น้อยกว่ารพ.เพชรบูรณ์ที่ใช้เวลารอคอยเฉลี่ย 165 นาที ถึง 3 เท่า ดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงที่บ้าน (Home bed) เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า ในปี 2561 มีผู้ป่วยขึ้นทะเบียน 113 คน เป็นผู้มีภาวะพึ่งพิงอย่างสมบูรณ์ 30 คน มีการวางแผนสุขภาพรายบุคคลทําให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงสามารถควบคุมโรคได้ดีขึ้น และมีโรงเรียนในเขตเทศบาลเข้าร่วมจัดระบบดูแลวัยเรียนวัยรุ่นที่เสพสารเสพติด ถึง 10 แห่ง ค้นหาและนําเข้าระบบบําบัดรักษา ช่วยให้กลับสู่ชีวิตปกติ คืนลูกหลานแก่ครอบครัวกว่า 100 คน โดยคลินิกหมอครอบครัวคลองศาลา รพ.เพชรบูรณ์ ยังเป็น 1 ใน 50 พื้นที่ต้นแบบที่ดําเนินการภายใต้แผนปฏิรูประบบปฐมภูมิอีกด้วย
ทั้งนี้ มติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2560 ได้เห็นชอบในหลักการประเด็น “การดําเนินงานโครงการคลินิกหมอครอบครัว เพื่อให้การดูแลประชาชนแบบปฐมภูมิ ประกอบด้วย การจัดตั้งคลินิกหมอครอบครัว (Primary Care Custer) เขตเมือง 110 แห่ง ใช้งบประมาณ 5,060 ล้านบาท และการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมสําหรับทีมหมอครอบครัวในอัตรา 150 บาท/ประชากร โดยใช้งบประมาณปี 2560 วงเงิน 1,500 ล้านบาท” เนื่องจากข้อจํากัดด้านงบประมาณสนับสนุนก่อสร้าง ทําให้ขณะนี้ ดําเนินการก่อสร้างแล้ว 13 แห่งใน 13จังหวัด ได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์ กําแพงเพชร ขอนแก่น เพชรบูรณ์ ตรัง เชียงใหม่ น่าน พิษณุโลก กาฬสินธุ์ มหาสารคาม โรงพยาบาลคลองใหญ่ จังหวัดตราด โรงพยาบาลปาดังเบซาร์และโรงพยาบาลหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และจังหวัดยะลา สําหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ได้รับงบประมาณสนับสนุนในการก่อสร้าง จํานวน 2 แห่ง ที่จังหวัดภูเก็ต และนครศรีธรรมราช
*************************************** 18 กันยายน 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เปิดอาคารคลินิกหมอครอบครัว สาขาคลองศาลา แห่งแรกของประเทศไทย
วันอังคารที่ 18 กันยายน 2561
นายกรัฐมนตรี เปิดอาคารคลินิกหมอครอบครัว สาขาคลองศาลา แห่งแรกของประเทศไทย
นายกรัฐมนตรี เปิดอาคารคลินิกหมอครอบครัว โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ สาขาคลองศาลา คลินิกหมอครอบครัวแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้รับงบประมาณอาคารตามนโยบายคลินิกหมอครอบครั
ว
วันนี้ (18 กันยายน 2561) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะ เปิดอาคารคลินิกหมอครอบครัว (PCC : Primary Care Cluster) โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ สาขาคลองศาลา ซึ่งเป็นคลินิกหมอครอบครัวแห่งแรกของประเทศไทยที่เปิดบริการอย่างเป็นทางการและได้รับงบประมาณอาคารตามนโยบายคลินิกหมอครอบครัว
ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ปฏิรูประบบปฐมภูมิและคลินิกหมอครอบครัว เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการปฐมภูมิหรือบริการขั้นพื้นฐานที่คลินิกหมอครอบครัวใกล้บ้าน ได้รับบริการสะดวก รวดเร็ว ลดความแออัดในโรงพยาบาลใหญ่ โดยเฉพาะพื้นที่เขตเมือง มีเป้าหมายดําเนินการทั้งสิ้น 110 แห่ง ซึ่งโรงพยาบาลเพชรบูรณ์ เป็น 1 ใน 16 จังหวัดพื้นที่นําร่องระยะแรก ในปี 2559 และเป็น 1 ใน 8 จังหวัด ที่ได้รับงบประมาณ 44 ล้านบาท สร้างอาคารคลินิกหมอครอบครัว ในงบกลางปี ปีงบประมาณ 2560 โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ สาขาคลองศาลา เป็นอาคาร 4 ชั้น บนพื้นที่แห่งใหม่ตั้งอยู่ในชุมชน ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย โดยมีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ร่วมกับทีมสหวิชาชีพทั้งหมด 3 ทีม ดูแลประชากรประมาณ 30,000 คน ให้ประชาชนทุกครัวเรือน มีแพทย์และทีมสุขภาพประจําตัว เป็นที่พึ่งยามเจ็บป่วย ให้การดูแลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เกิดจนถึงวัยชรา ใกล้ชิดและคุ้นเคยเหมือนสมาชิกในครอบครัว
ผลการดําเนินงานที่ผ่านมาถือเป็นตัวอย่างความสําเร็จ ประชาชนให้ความเชื่อมั่นมารับบริการที่ PCC เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.92 หรือเฉลี่ยมารับริการวันละ 74 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่เฉลี่ยวันละ 23 ราย มีความพึงพอใจในการให้บริการสูงถึงร้อยละ 91.25 โดยสามารถลดระยะเวลารอคอยการเข้ารับการรักษา เวลารอคอยพบแพทย์เฉลี่ย 50 นาที น้อยกว่ารพ.เพชรบูรณ์ที่ใช้เวลารอคอยเฉลี่ย 165 นาที ถึง 3 เท่า ดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงที่บ้าน (Home bed) เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า ในปี 2561 มีผู้ป่วยขึ้นทะเบียน 113 คน เป็นผู้มีภาวะพึ่งพิงอย่างสมบูรณ์ 30 คน มีการวางแผนสุขภาพรายบุคคลทําให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงสามารถควบคุมโรคได้ดีขึ้น และมีโรงเรียนในเขตเทศบาลเข้าร่วมจัดระบบดูแลวัยเรียนวัยรุ่นที่เสพสารเสพติด ถึง 10 แห่ง ค้นหาและนําเข้าระบบบําบัดรักษา ช่วยให้กลับสู่ชีวิตปกติ คืนลูกหลานแก่ครอบครัวกว่า 100 คน โดยคลินิกหมอครอบครัวคลองศาลา รพ.เพชรบูรณ์ ยังเป็น 1 ใน 50 พื้นที่ต้นแบบที่ดําเนินการภายใต้แผนปฏิรูประบบปฐมภูมิอีกด้วย
ทั้งนี้ มติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2560 ได้เห็นชอบในหลักการประเด็น “การดําเนินงานโครงการคลินิกหมอครอบครัว เพื่อให้การดูแลประชาชนแบบปฐมภูมิ ประกอบด้วย การจัดตั้งคลินิกหมอครอบครัว (Primary Care Custer) เขตเมือง 110 แห่ง ใช้งบประมาณ 5,060 ล้านบาท และการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมสําหรับทีมหมอครอบครัวในอัตรา 150 บาท/ประชากร โดยใช้งบประมาณปี 2560 วงเงิน 1,500 ล้านบาท” เนื่องจากข้อจํากัดด้านงบประมาณสนับสนุนก่อสร้าง ทําให้ขณะนี้ ดําเนินการก่อสร้างแล้ว 13 แห่งใน 13จังหวัด ได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์ กําแพงเพชร ขอนแก่น เพชรบูรณ์ ตรัง เชียงใหม่ น่าน พิษณุโลก กาฬสินธุ์ มหาสารคาม โรงพยาบาลคลองใหญ่ จังหวัดตราด โรงพยาบาลปาดังเบซาร์และโรงพยาบาลหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และจังหวัดยะลา สําหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ได้รับงบประมาณสนับสนุนในการก่อสร้าง จํานวน 2 แห่ง ที่จังหวัดภูเก็ต และนครศรีธรรมราช
*************************************** 18 กันยายน 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15455
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ชวนชาวพุทธไหว้พระ ๑๐ วัด สืบสิริสวัสดิ์ ๑๐ รัชกาลฟรี เสริมสิริมงคลต้อนรับปีใหม่ ๒๕๖๑
|
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561
วธ.ชวนชาวพุทธไหว้พระ ๑๐ วัด สืบสิริสวัสดิ์ ๑๐ รัชกาลฟรี เสริมสิริมงคลต้อนรับปีใหม่ ๒๕๖๑
วธ.ชวนชาวพุทธไหว้พระ ๑๐ วัด สืบสิริสวัสดิ์ ๑๐ รัชกาลฟรี เสริมสิริมงคลต้อนรับปีใหม่ ๒๕๖๑
"วธ.ชวนชาวพุทธไหว้พระ ๑๐ วัด สืบสิริสวัสดิ์ ๑๐ รัชกาลฟรี เสริมสิริมงคลต้อนรับปีใหม่ ๒๕๖๑" เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๘.๓๐ น. นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานในพิธีปล่อยขบวนรถไหว้พระ ๑๐ วัด สืบสิริสวัสดิ์ ๑๐ รัชกาล พร้อมด้วยนายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายมานัส ทารัตน์ใจ อธิบดีกรมการศาสนา (ศน.) ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หน่วยงานภาคีเครือข่าย ทางพระพุทธศาสนา กองทัพบก สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร และประชาชนจํานวนมากเข้าร่วมกิจกรรม ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ซึ่งเป็นวันแรกที่เปิดให้ประชาชนร่วมเดินทางไปไหว้พระ ๑๐ วัด เพื่อความเป็นสิริมงคลต้อนรับปีใหม่ นายวีระ กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) โดยกรมการศาสนา (ศน.) ได้จัดกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี ถวายเป็นพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไทย ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีธรรม พุทธศักราช ๒๕๖๑” เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน ที่สําคัญได้ร่วมกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จัดกิจกรรมไหว้พระ ๑๐ วัด สืบสิริสวัสดิ์ ๑๐ รัชกาล เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเกิดความสํานึก ในพระมหากรุณาธิคุณและแสดงความกตัญญูกตเวทิตาธรรมต่อบุรพมหากษัตริย์แห่งบรมราชจักรีวงศ์ ที่ทรงเลื่อมใสและอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา อีกทั้ง ยังเป็นการท่องเที่ยวในรูปแบบเชิงธรรมะ ส่งผลให้ชีวิตและครอบครัวประสบความสุข ความเจริญรุ่งเรือง ได้มีโอกาสไปไหว้พระร่วมกับครอบครัว เพื่อทํากุศลร่วมกันในเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ โดยประชาชน สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๑ ในการเดินทางไปไหว้พระ ๑๐ วัด สืบสิริสวัสดิ์ ๑๐ รัชกาล ซึ่งในวัดที่เกี่ยวข้องในราชวงศ์จักรี ได้แก่ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร วัดราชโอรสาราม วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม วัดบวรนิเวศวิหาร วัดราชบพิธสถิต มหาสีมาราม วัดสุทัศนเทพวรารามวรมหาวิหาร วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก และ วัดวชิรธรรมสาธิต อย่างไรก็ตามได้รับความร่วมมือจากองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) บริการรถโดยสารปรับอากาศ ตั้งแต่เวลา ๐๘.๓๐ – ๑๖.๓๐ น. โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น นายมานัส ทารัตน์ใจ อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า ศน.จัดเจ้าหน้าที่ประจําวัดทั้ง ๑๐ วัด เพื่ออํานวยความสะดวกและให้คําแนะนํากับประชาชนที่มาร่วมไหว้พระ สําหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมไหว้พระ ๑๐ วัด สืบสิริสวัสดิ์ ๑๐ รัชกาล สามารถสอบถามรายละเอียดกิจกรรม เส้นทางการเดินรถ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. ๐ ๒๒๐๙ ๓๗๒๘ หรือ www.facebook.com/Drathai.gov
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ชวนชาวพุทธไหว้พระ ๑๐ วัด สืบสิริสวัสดิ์ ๑๐ รัชกาลฟรี เสริมสิริมงคลต้อนรับปีใหม่ ๒๕๖๑
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561
วธ.ชวนชาวพุทธไหว้พระ ๑๐ วัด สืบสิริสวัสดิ์ ๑๐ รัชกาลฟรี เสริมสิริมงคลต้อนรับปีใหม่ ๒๕๖๑
วธ.ชวนชาวพุทธไหว้พระ ๑๐ วัด สืบสิริสวัสดิ์ ๑๐ รัชกาลฟรี เสริมสิริมงคลต้อนรับปีใหม่ ๒๕๖๑
"วธ.ชวนชาวพุทธไหว้พระ ๑๐ วัด สืบสิริสวัสดิ์ ๑๐ รัชกาลฟรี เสริมสิริมงคลต้อนรับปีใหม่ ๒๕๖๑" เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๘.๓๐ น. นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานในพิธีปล่อยขบวนรถไหว้พระ ๑๐ วัด สืบสิริสวัสดิ์ ๑๐ รัชกาล พร้อมด้วยนายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายมานัส ทารัตน์ใจ อธิบดีกรมการศาสนา (ศน.) ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หน่วยงานภาคีเครือข่าย ทางพระพุทธศาสนา กองทัพบก สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร และประชาชนจํานวนมากเข้าร่วมกิจกรรม ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ซึ่งเป็นวันแรกที่เปิดให้ประชาชนร่วมเดินทางไปไหว้พระ ๑๐ วัด เพื่อความเป็นสิริมงคลต้อนรับปีใหม่ นายวีระ กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) โดยกรมการศาสนา (ศน.) ได้จัดกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี ถวายเป็นพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไทย ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีธรรม พุทธศักราช ๒๕๖๑” เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน ที่สําคัญได้ร่วมกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จัดกิจกรรมไหว้พระ ๑๐ วัด สืบสิริสวัสดิ์ ๑๐ รัชกาล เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเกิดความสํานึก ในพระมหากรุณาธิคุณและแสดงความกตัญญูกตเวทิตาธรรมต่อบุรพมหากษัตริย์แห่งบรมราชจักรีวงศ์ ที่ทรงเลื่อมใสและอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา อีกทั้ง ยังเป็นการท่องเที่ยวในรูปแบบเชิงธรรมะ ส่งผลให้ชีวิตและครอบครัวประสบความสุข ความเจริญรุ่งเรือง ได้มีโอกาสไปไหว้พระร่วมกับครอบครัว เพื่อทํากุศลร่วมกันในเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ โดยประชาชน สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๑ ในการเดินทางไปไหว้พระ ๑๐ วัด สืบสิริสวัสดิ์ ๑๐ รัชกาล ซึ่งในวัดที่เกี่ยวข้องในราชวงศ์จักรี ได้แก่ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร วัดราชโอรสาราม วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม วัดบวรนิเวศวิหาร วัดราชบพิธสถิต มหาสีมาราม วัดสุทัศนเทพวรารามวรมหาวิหาร วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก และ วัดวชิรธรรมสาธิต อย่างไรก็ตามได้รับความร่วมมือจากองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) บริการรถโดยสารปรับอากาศ ตั้งแต่เวลา ๐๘.๓๐ – ๑๖.๓๐ น. โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น นายมานัส ทารัตน์ใจ อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า ศน.จัดเจ้าหน้าที่ประจําวัดทั้ง ๑๐ วัด เพื่ออํานวยความสะดวกและให้คําแนะนํากับประชาชนที่มาร่วมไหว้พระ สําหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมไหว้พระ ๑๐ วัด สืบสิริสวัสดิ์ ๑๐ รัชกาล สามารถสอบถามรายละเอียดกิจกรรม เส้นทางการเดินรถ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. ๐ ๒๒๐๙ ๓๗๒๘ หรือ www.facebook.com/Drathai.gov
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9485
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.