title
stringlengths
0
33.4k
context
stringlengths
0
133k
raw
stringlengths
39
133k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพร้อมด้วยประชาชนทุกหมู่เหล่าเตรียมจัดกิจกรรมปฏิญาณตนทำดีด้วยวาจา เพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมกันทั่วประเทศ อังคารที่ 22 พ.ย. 2559
วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน 2559 รัฐบาลพร้อมด้วยประชาชนทุกหมู่เหล่าเตรียมจัดกิจกรรมปฏิญาณตนทําดีด้วยวาจา เพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมกันทั่วประเทศ อังคารที่ 22 พ.ย. 2559 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจัดกิจกรรมรวมพลังแห่งความภักดี เพื่อประกาศความจงรักภักดีและร่วมกันน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพปีที่ 89 วันนี้ ( 15 พ.ย. 59) เวลา 14.20 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พันเอก อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจัดกิจกรรมรวมพลังแห่งความภักดี เพื่อประกาศความจงรักภักดีและร่วมกันน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพปีที่ 89 โดยลักษณะกิจกรรมแบ่งเป็น 3 แบบ คือ 1) การทําดีด้วยกาย ด้วยการจัดกิจกรรมทําความดีเพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เช่น ทําความสะอาดสาธารณะสถาน ให้บริการสาธารณะ เยี่ยมคนป่วยไข้ตามโรงพยาบาล อ่านหนังสือพิมพ์ให้เด็กพิการฟัง บําเพ็ญกุศลทางศาสนา การจัดนิทรรศการหรือกิจกรรมอื่น ๆ ดังที่ได้เคยปฏิบัติมาแล้ว 2) การทําดีด้วยวาจา จะมีการจัดกิจกรรมปฏิญาณตนเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ และร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี หรือเพลงอื่น ๆ ตามความเหมาะสม และ 3) การทําดีด้วยใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนกระทําอยู่แล้ว เช่น การจัดกิจกรรมอธิษฐาน ทําสมาธิสํารวมจิตภาวนาแผ่เมตตาตั้งใจดี ทั้งนี้ ในส่วนของกิจกรรมการปฏิญาณตนนั้น จะจัดขึ้นในวันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน 2559 เวลา 08.00 น. ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดทั่วประเทศ โดยรัฐบาลจะจัดขึ้นที่ทําเนียบรัฐบาล โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นํากล่าวปฏิญาณและมีผู้แทนข้าราชการต่าง ๆ ภาคธุรกิจเอกชน เข้าร่วมกิจกรรม ส่วน กรุงเทพฯ จัดขึ้นตามเขตของกรุงเทพมหานคร สถาบันการศึกษา หรือสถานที่ที่กําหนด ขณะที่ในพื้นที่ต่างจังหวัดและต่างประเทศให้พิจารณาตามความเหมาะสม โดยเฉพาะในต่างจังหวัดให้พิจารณาจัดกิจกรรมในหมู่บ้าน ตําบล อําเภอ จังหวัด โดยไม่ต้องมีการเคลื่อนย้ายประชาชนออกนอกพื้นที่ เพื่อให้เกิดความสะดวกกับประชาชน สําหรับต่างประเทศจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน 2559 เพื่อให้การจัดกิจกรรมเป็นไปด้วยความสะดวกเรียบร้อย โดยการจัดกิจกรรมเป็นไปในลักษณะคล้ายกับกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ------------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพร้อมด้วยประชาชนทุกหมู่เหล่าเตรียมจัดกิจกรรมปฏิญาณตนทำดีด้วยวาจา เพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมกันทั่วประเทศ อังคารที่ 22 พ.ย. 2559 วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน 2559 รัฐบาลพร้อมด้วยประชาชนทุกหมู่เหล่าเตรียมจัดกิจกรรมปฏิญาณตนทําดีด้วยวาจา เพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมกันทั่วประเทศ อังคารที่ 22 พ.ย. 2559 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจัดกิจกรรมรวมพลังแห่งความภักดี เพื่อประกาศความจงรักภักดีและร่วมกันน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพปีที่ 89 วันนี้ ( 15 พ.ย. 59) เวลา 14.20 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พันเอก อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจัดกิจกรรมรวมพลังแห่งความภักดี เพื่อประกาศความจงรักภักดีและร่วมกันน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพปีที่ 89 โดยลักษณะกิจกรรมแบ่งเป็น 3 แบบ คือ 1) การทําดีด้วยกาย ด้วยการจัดกิจกรรมทําความดีเพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เช่น ทําความสะอาดสาธารณะสถาน ให้บริการสาธารณะ เยี่ยมคนป่วยไข้ตามโรงพยาบาล อ่านหนังสือพิมพ์ให้เด็กพิการฟัง บําเพ็ญกุศลทางศาสนา การจัดนิทรรศการหรือกิจกรรมอื่น ๆ ดังที่ได้เคยปฏิบัติมาแล้ว 2) การทําดีด้วยวาจา จะมีการจัดกิจกรรมปฏิญาณตนเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ และร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี หรือเพลงอื่น ๆ ตามความเหมาะสม และ 3) การทําดีด้วยใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนกระทําอยู่แล้ว เช่น การจัดกิจกรรมอธิษฐาน ทําสมาธิสํารวมจิตภาวนาแผ่เมตตาตั้งใจดี ทั้งนี้ ในส่วนของกิจกรรมการปฏิญาณตนนั้น จะจัดขึ้นในวันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน 2559 เวลา 08.00 น. ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดทั่วประเทศ โดยรัฐบาลจะจัดขึ้นที่ทําเนียบรัฐบาล โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นํากล่าวปฏิญาณและมีผู้แทนข้าราชการต่าง ๆ ภาคธุรกิจเอกชน เข้าร่วมกิจกรรม ส่วน กรุงเทพฯ จัดขึ้นตามเขตของกรุงเทพมหานคร สถาบันการศึกษา หรือสถานที่ที่กําหนด ขณะที่ในพื้นที่ต่างจังหวัดและต่างประเทศให้พิจารณาตามความเหมาะสม โดยเฉพาะในต่างจังหวัดให้พิจารณาจัดกิจกรรมในหมู่บ้าน ตําบล อําเภอ จังหวัด โดยไม่ต้องมีการเคลื่อนย้ายประชาชนออกนอกพื้นที่ เพื่อให้เกิดความสะดวกกับประชาชน สําหรับต่างประเทศจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน 2559 เพื่อให้การจัดกิจกรรมเป็นไปด้วยความสะดวกเรียบร้อย โดยการจัดกิจกรรมเป็นไปในลักษณะคล้ายกับกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ------------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/777
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ย้ำความสำคัญการรักษาระยะห่างโดยเฉพาะกับคนในครอบครัว เน้นปฏิบัติตามวิถีชีวิตวิถีใหม่ เพราะทุกคนมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ทั้งสิ้น
วันอังคารที่ 28 เมษายน 2563 โฆษก ศบค. ย้ําความสําคัญการรักษาระยะห่างโดยเฉพาะกับคนในครอบครัว เน้นปฏิบัติตามวิถีชีวิตวิถีใหม่ เพราะทุกคนมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ทั้งสิ้น โฆษก ศบค. ย้ําความสําคัญการรักษาระยะห่างโดยเฉพาะกับคนในครอบครัว เน้นปฏิบัติตามวิถีชีวิตวิถีใหม่ เพราะทุกคนมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ทั้งสิ้น วันนี้ (28 เม.ย.63) เวลา 12.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ 1. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในประเทศไทย พบผู้ป่วยรายใหม่ 7 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 2,938 ราย หายป่วยแล้วเพิ่มขึ้น 43 ราย รวมผู้ป่วยหายแล้วจํานวน 2,652 ราย ทั้งนี้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่พบในช่วงอายุ 20 - 29 ปี รองลงมาคืออายุ 30-39 ปี ซึ่งจังหวัดที่มีผู้ป่วยยืนยันสะสมสูงสุดคือกรุงเทพฯและนนทบุรี จํานวน 1,650 ราย ภาคเหนือ จํานวน 94 ราย ภาคกลาง จํานวน 373 ราย ภาคใต้ จํานวน 671 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 2 ราย รวมเสียชีวิตทั้งหมดเป็น 54 ราย ผู้เสียชีวิตรายที่ 53 เป็นผู้ป่วยชายไทยอายุ 52 ปี มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยยืนยันจากการไปประชุมสัมมนา เริ่มป่วยวันที่ 19 มีนาคม 2563 ด้วยอาการไข้ปวดเมื่อยตามตัว เข้ารักษา แพทย์เก็บตัวอย่างส่งตรวจหาเชื้อโควิด - 19 ยืนยันเป็นผู้ป่วยโควิด – 19 มีอาการแย่ลง ภาวะปอดรั่วแพทย์ใส่ท่อช่วยหายใจและเสียชีวิตในวันที่ 27 เมษายน 2563 ด้วยระบบหายใจล้มเหลวและภาวะไตวายเฉียบพลัน ผู้เสียชีวิตรายที่ 54 เป็นผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 63 ปี อาชีพค้าขาย มีภาวะอ้วน มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนกันคนในครอบครัว เริ่มป่วยด้วยการไข้มึนศีรษะ เก็บตัวอย่างส่งตรวจหาเชื้อผลตรวจยืนยันเป็นผู้ป่วยโควิด -19 ผู้ป่วยมีอาการแย่ลง แพทย์ใส่ท่อช่วยหายใจ และเสียชีวิตในวันที่ 27 เมษายน 2563 ด้วยภาวะปอดอักเสบติดเชื้อร่วมกับระบบหายใจล้มเหลว โฆษก ศบค. แสดงความเสียใจแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต ซึ่งมีประวัติยืนยันในการสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ทั้งคู่ ย้ําต้องให้ความสําคัญกับ Social Distancing และการรักษาระยะห่างกับคนในครอบครัวด้วย เน้นปฏิบัติตามวิถีชีวิตวิถีใหม่ต่อเนื่อง เพราะมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ทั้งสิ้น ผู้ป่วยรายใหม่ 7 รายนั้น จําแนกเป็นที่จังหวัดนครราชสีมา 1 คน กรุงเทพฯ 3 คน และภูเก็ต 3 คน โดยปัจจัยเสี่ยงพบว่าเป็นการสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีการยืนยันก่อนหน้านี้ 5 ราย กลุ่มที่ไปเที่ยวสถานที่ชุมชนแออัด ไปงานแฟร์ เป็นคอนเสิร์ต ตลาดนัด ในกรุงเทพฯ 1 คน และอยู่ในระหว่างการสอบสวนโรคอีก 1 คน เป็นคนจีนซึ่งกําลังสอบสวนโรคอยู่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลแล้ว โดยการกระจายตัวผู้ป่วยในจังหวัดต่าง ๆ ในช่วงเวลาเกือบ1 เดือน มี 9 จังหวัด และ 13 จังหวัด ไม่มีรายงานผู้ป่วยเลย โดยกลุ่มดังกล่าวมีทั้งจันทบุรี ราชบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ แพร่ แม่ฮ่องสอน สุโขทัย อุตรดิตถ์ อุทัยธานี มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร และร้อยเอ็ด โฆษก ศบค. รายงานข้อมูลของกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขการที่วิเคราะห์สถานการณ์ผู้ป่วยสูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป พบว่า จากข้อมูลของผู้ป่วยทั้งหมด 328 ราย ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งคิดเป็น 11% ของผู้ป่วยทั้งหมด ในกลุ่มนี้มีผู้ป่วยที่เสียชีวิตไป 21 ราย ถือว่ามีจํานวนมากพอสมควร ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง คือ 2.3 ต่อ 1 ส่วนใหญ่เป็นชาวไทย มีต่างชาติอยู่เพียงร้อยละ 14 ส่วนใหญ่อายุ 60 - 69 ปี ประมาณ 2 ใน 3 หรือร้อยละ 66 โดย 328 ราย ปัจจัยเสี่ยง คือ การไปร่วมพิธีทางศาสนาพบถึงร้อยละ 24 เกือบ 1 ใน 4 เกี่ยวข้องกับมวยและผู้สัมผัสอีกเกือบ 1 ใน 4 ซึ่งปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้อาจจะสะสมรวมกัน รวมทั้งมีสัมผัสผู้ป่วยยืนยันอีกร้อยละ 18 เป็นชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากต่างประเทศร้อยละ 10 มีอาชีพเสียงไปยังสถานที่ชุมนุมชนแออัดประมาณร้อยละ 7 และชาวไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศร้อยละ 6 ทั้งนี้จังหวัดที่มีอัตราการป่วยของผู้สูงอายุมากที่สุดพบว่ามี 3 จังหวัด คือยะลา ภูเก็ต และปัตตานี ซึ่งเชื่อมโยงกับผู้ประกอบพิธีทางศาสนาในต่างประเทศ ส่วนจํานวนผู้ป่วยยืนยันสะสมตามปัจจัยเสี่ยงที่จําแนกตามรายสัปดาห์นั้น กลุ่มใหญ่ที่สุดคือกลุ่มที่สัมผัสกับคนอื่น ๆ ที่เป็นรายยืนยันก่อนหน้านี้ และอีกกลุ่มหนึ่งคือศูนย์กักคนเข้าเมือง ซึ่งไทยให้ความสําคัญในการค้นหาเชิงรุกหรือ Active Case Finding ด้วย โฆษก ศบค. จึงได้เน้นย้ําให้บุคคลที่เป็นญาติของคนที่เป็นรายยืนยันก่อนหน้าต้องป้องกันตัวเอง 100% ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดต้องดูแลตัวเองและร่างกายอย่างดีและป้องกันได้อย่างดี โดยล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ ใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย กินร้อน ช้อนส่วนตัว 2. สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 โลก สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลกนั้น สหรัฐอเมริกา ยังคงมีผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมเป็นอันดับที่ 1 โดยมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มถึง 23,196 ราย และรัสเซียมาเป็นอันดับ 2 คือผู้ป่วยรายใหม่อยู่ที่ 6,198 ราย ตามด้วยอังกฤษ ผู้ป่วยรายใหม่ 4,309 ราย สหรัฐอเมริกา เมื่อวานนี้มีจํานวนผู้เสียชีวิตไป 1,384 ราย รองลงมาคือฝรั่งเศส 437 ราย และอังกฤษที่ 360 ราย ทําให้ขณะนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมทั้งโลกอยู่ที่ 3,065,374 ราย เสียชีวิตไป 211,606 ราย สถานการณ์ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของเอเชีย พบว่า สิงคโปร์มีผู้ป่วยรายใหม่ 799 ราย รวมผู้ป่วยยืนยันสะสม 14,000 กว่าราย ญี่ปุ่น มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นเมื่อวานนี้จํานวน 884 ราย จํานวนยืนยันสะสม 14,000 กว่าราย ซึ่งสถานการณ์ของสิงคโปร์และญี่ปุ่นคล้ายกันที่มียอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทุกวัน ขณะที่เกาหลีใต้และไทยผู้ป่วยรายใหม่ลดลง โฆษก ศบค. กล่าวถึงประเด็นข่าวต่างประเทศที่น่าสนใจว่า สิงคโปร์เร่งผลิตเตียงผู้ป่วยและจัดหาสถานที่ เช่น ศูนย์แสดงสินค้าซางงี เพื่อรองรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อขึ้นมาภายในประเทศที่สูงขึ้น โดยสูงเป็นอันอับที่ 1 ของอาเซียนและเป็นอันดับที่ 6 ของเอเชีย ร้อยละ 80 ของผู้ติดเชื้อทั้งหมดเป็นแรงงานต่างชาติ 3. รายงานผลการปฏิบัติการตามมาตรการ การปฏิบัติการตามมาตรการเคอร์ฟิว รายงานการมั่วสุมช่วงเวลาเคอร์ฟิวที่ต้องดําเนินคดีถึง 143 ออกนอกเคหะสถานโดยมีเหตุผลไม่สมควรเพิ่มขึ้น 12 คน ขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือเพื่อสุขภาพที่ดี และใช้ชีวิตวิถีใหม่ให้คุ้นชิน การดูแลคนไทยเดินทางกลับประเทศ การนําคนไทยกลับจากต่างประเทศ วันนี้ 28 เมษายน 2563 จะมีคนไทยเดินทางกลับจากสเปน 12 คน และอินเดีย จากนิวเดลี 189 คน มุมไบอีก 189 คน ขณะนี้รวมผู้เดินทางกลับมาจาก 21 ประเทศ ตั้งแต่วันที่ 4 - 27 เมษายน 2563 จํานวน 2,769 คน นอกจากนี้ มีรายงานคนไทยที่จะบินกลับมาจากต่างประเทศเพิ่มเติมอีกหลายประเทศทั้งอินเดีย ฟิลิปปินส์ มัลดีฟ ศรีลังกา สิงคโปร์ กาฐมาณฑุ คาซัคสถาน เนเธอร์แลนด์ สเปน เป็นต้น ที่กําลังจะเข้ามาอีกจํานวนมาก โดยกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ดูแลกลุ่มคนดังกล่าว กรณีคนผ่านแดนวานนี้ มีเข้ามาจากเมียนมาร์ 14 คน มาเลเซีย 303 คน สปป.ลาว 8 คน และกัมพูชา 7 คน ซึ่งทุกคนต้องเข้าสถานกักกันตัวที่เราได้จัดไว้ให้ ทั้งนี้ พบคนที่ไม่ได้ลงทะเบียน 28 คน ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทย ดูแลสถานกักกันที่รัฐจัดให้อยู่ในพื้นที่ (Local Quarantine) 76 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 799 แห่ง รองรับได้ประมาณ 21,000 คน มีเข้าพักอยู่ขณะนี้ 5,012 คน กลับบ้านแล้ว 1,564 คน รวมสะสมที่ดูแลกันมา 6,576 คน ขณะที่กระทรวงกลาโหม มีการเตรียมห้องพักกว่า 5,400 ห้อง เข้าพักแล้ว 2,272 ห้อง ดูแลไปทั้งสิ้น 3,612 คน ซึ่งได้มีการจัดระบบดูแลคนไทยที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศอย่างชัดเจน ********************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ย้ำความสำคัญการรักษาระยะห่างโดยเฉพาะกับคนในครอบครัว เน้นปฏิบัติตามวิถีชีวิตวิถีใหม่ เพราะทุกคนมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ทั้งสิ้น วันอังคารที่ 28 เมษายน 2563 โฆษก ศบค. ย้ําความสําคัญการรักษาระยะห่างโดยเฉพาะกับคนในครอบครัว เน้นปฏิบัติตามวิถีชีวิตวิถีใหม่ เพราะทุกคนมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ทั้งสิ้น โฆษก ศบค. ย้ําความสําคัญการรักษาระยะห่างโดยเฉพาะกับคนในครอบครัว เน้นปฏิบัติตามวิถีชีวิตวิถีใหม่ เพราะทุกคนมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ทั้งสิ้น วันนี้ (28 เม.ย.63) เวลา 12.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ 1. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในประเทศไทย พบผู้ป่วยรายใหม่ 7 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 2,938 ราย หายป่วยแล้วเพิ่มขึ้น 43 ราย รวมผู้ป่วยหายแล้วจํานวน 2,652 ราย ทั้งนี้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่พบในช่วงอายุ 20 - 29 ปี รองลงมาคืออายุ 30-39 ปี ซึ่งจังหวัดที่มีผู้ป่วยยืนยันสะสมสูงสุดคือกรุงเทพฯและนนทบุรี จํานวน 1,650 ราย ภาคเหนือ จํานวน 94 ราย ภาคกลาง จํานวน 373 ราย ภาคใต้ จํานวน 671 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 2 ราย รวมเสียชีวิตทั้งหมดเป็น 54 ราย ผู้เสียชีวิตรายที่ 53 เป็นผู้ป่วยชายไทยอายุ 52 ปี มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยยืนยันจากการไปประชุมสัมมนา เริ่มป่วยวันที่ 19 มีนาคม 2563 ด้วยอาการไข้ปวดเมื่อยตามตัว เข้ารักษา แพทย์เก็บตัวอย่างส่งตรวจหาเชื้อโควิด - 19 ยืนยันเป็นผู้ป่วยโควิด – 19 มีอาการแย่ลง ภาวะปอดรั่วแพทย์ใส่ท่อช่วยหายใจและเสียชีวิตในวันที่ 27 เมษายน 2563 ด้วยระบบหายใจล้มเหลวและภาวะไตวายเฉียบพลัน ผู้เสียชีวิตรายที่ 54 เป็นผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 63 ปี อาชีพค้าขาย มีภาวะอ้วน มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนกันคนในครอบครัว เริ่มป่วยด้วยการไข้มึนศีรษะ เก็บตัวอย่างส่งตรวจหาเชื้อผลตรวจยืนยันเป็นผู้ป่วยโควิด -19 ผู้ป่วยมีอาการแย่ลง แพทย์ใส่ท่อช่วยหายใจ และเสียชีวิตในวันที่ 27 เมษายน 2563 ด้วยภาวะปอดอักเสบติดเชื้อร่วมกับระบบหายใจล้มเหลว โฆษก ศบค. แสดงความเสียใจแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต ซึ่งมีประวัติยืนยันในการสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ทั้งคู่ ย้ําต้องให้ความสําคัญกับ Social Distancing และการรักษาระยะห่างกับคนในครอบครัวด้วย เน้นปฏิบัติตามวิถีชีวิตวิถีใหม่ต่อเนื่อง เพราะมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ทั้งสิ้น ผู้ป่วยรายใหม่ 7 รายนั้น จําแนกเป็นที่จังหวัดนครราชสีมา 1 คน กรุงเทพฯ 3 คน และภูเก็ต 3 คน โดยปัจจัยเสี่ยงพบว่าเป็นการสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีการยืนยันก่อนหน้านี้ 5 ราย กลุ่มที่ไปเที่ยวสถานที่ชุมชนแออัด ไปงานแฟร์ เป็นคอนเสิร์ต ตลาดนัด ในกรุงเทพฯ 1 คน และอยู่ในระหว่างการสอบสวนโรคอีก 1 คน เป็นคนจีนซึ่งกําลังสอบสวนโรคอยู่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลแล้ว โดยการกระจายตัวผู้ป่วยในจังหวัดต่าง ๆ ในช่วงเวลาเกือบ1 เดือน มี 9 จังหวัด และ 13 จังหวัด ไม่มีรายงานผู้ป่วยเลย โดยกลุ่มดังกล่าวมีทั้งจันทบุรี ราชบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ แพร่ แม่ฮ่องสอน สุโขทัย อุตรดิตถ์ อุทัยธานี มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร และร้อยเอ็ด โฆษก ศบค. รายงานข้อมูลของกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขการที่วิเคราะห์สถานการณ์ผู้ป่วยสูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป พบว่า จากข้อมูลของผู้ป่วยทั้งหมด 328 ราย ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งคิดเป็น 11% ของผู้ป่วยทั้งหมด ในกลุ่มนี้มีผู้ป่วยที่เสียชีวิตไป 21 ราย ถือว่ามีจํานวนมากพอสมควร ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง คือ 2.3 ต่อ 1 ส่วนใหญ่เป็นชาวไทย มีต่างชาติอยู่เพียงร้อยละ 14 ส่วนใหญ่อายุ 60 - 69 ปี ประมาณ 2 ใน 3 หรือร้อยละ 66 โดย 328 ราย ปัจจัยเสี่ยง คือ การไปร่วมพิธีทางศาสนาพบถึงร้อยละ 24 เกือบ 1 ใน 4 เกี่ยวข้องกับมวยและผู้สัมผัสอีกเกือบ 1 ใน 4 ซึ่งปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้อาจจะสะสมรวมกัน รวมทั้งมีสัมผัสผู้ป่วยยืนยันอีกร้อยละ 18 เป็นชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากต่างประเทศร้อยละ 10 มีอาชีพเสียงไปยังสถานที่ชุมนุมชนแออัดประมาณร้อยละ 7 และชาวไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศร้อยละ 6 ทั้งนี้จังหวัดที่มีอัตราการป่วยของผู้สูงอายุมากที่สุดพบว่ามี 3 จังหวัด คือยะลา ภูเก็ต และปัตตานี ซึ่งเชื่อมโยงกับผู้ประกอบพิธีทางศาสนาในต่างประเทศ ส่วนจํานวนผู้ป่วยยืนยันสะสมตามปัจจัยเสี่ยงที่จําแนกตามรายสัปดาห์นั้น กลุ่มใหญ่ที่สุดคือกลุ่มที่สัมผัสกับคนอื่น ๆ ที่เป็นรายยืนยันก่อนหน้านี้ และอีกกลุ่มหนึ่งคือศูนย์กักคนเข้าเมือง ซึ่งไทยให้ความสําคัญในการค้นหาเชิงรุกหรือ Active Case Finding ด้วย โฆษก ศบค. จึงได้เน้นย้ําให้บุคคลที่เป็นญาติของคนที่เป็นรายยืนยันก่อนหน้าต้องป้องกันตัวเอง 100% ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดต้องดูแลตัวเองและร่างกายอย่างดีและป้องกันได้อย่างดี โดยล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ ใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย กินร้อน ช้อนส่วนตัว 2. สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 โลก สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลกนั้น สหรัฐอเมริกา ยังคงมีผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมเป็นอันดับที่ 1 โดยมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มถึง 23,196 ราย และรัสเซียมาเป็นอันดับ 2 คือผู้ป่วยรายใหม่อยู่ที่ 6,198 ราย ตามด้วยอังกฤษ ผู้ป่วยรายใหม่ 4,309 ราย สหรัฐอเมริกา เมื่อวานนี้มีจํานวนผู้เสียชีวิตไป 1,384 ราย รองลงมาคือฝรั่งเศส 437 ราย และอังกฤษที่ 360 ราย ทําให้ขณะนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมทั้งโลกอยู่ที่ 3,065,374 ราย เสียชีวิตไป 211,606 ราย สถานการณ์ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของเอเชีย พบว่า สิงคโปร์มีผู้ป่วยรายใหม่ 799 ราย รวมผู้ป่วยยืนยันสะสม 14,000 กว่าราย ญี่ปุ่น มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นเมื่อวานนี้จํานวน 884 ราย จํานวนยืนยันสะสม 14,000 กว่าราย ซึ่งสถานการณ์ของสิงคโปร์และญี่ปุ่นคล้ายกันที่มียอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทุกวัน ขณะที่เกาหลีใต้และไทยผู้ป่วยรายใหม่ลดลง โฆษก ศบค. กล่าวถึงประเด็นข่าวต่างประเทศที่น่าสนใจว่า สิงคโปร์เร่งผลิตเตียงผู้ป่วยและจัดหาสถานที่ เช่น ศูนย์แสดงสินค้าซางงี เพื่อรองรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อขึ้นมาภายในประเทศที่สูงขึ้น โดยสูงเป็นอันอับที่ 1 ของอาเซียนและเป็นอันดับที่ 6 ของเอเชีย ร้อยละ 80 ของผู้ติดเชื้อทั้งหมดเป็นแรงงานต่างชาติ 3. รายงานผลการปฏิบัติการตามมาตรการ การปฏิบัติการตามมาตรการเคอร์ฟิว รายงานการมั่วสุมช่วงเวลาเคอร์ฟิวที่ต้องดําเนินคดีถึง 143 ออกนอกเคหะสถานโดยมีเหตุผลไม่สมควรเพิ่มขึ้น 12 คน ขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือเพื่อสุขภาพที่ดี และใช้ชีวิตวิถีใหม่ให้คุ้นชิน การดูแลคนไทยเดินทางกลับประเทศ การนําคนไทยกลับจากต่างประเทศ วันนี้ 28 เมษายน 2563 จะมีคนไทยเดินทางกลับจากสเปน 12 คน และอินเดีย จากนิวเดลี 189 คน มุมไบอีก 189 คน ขณะนี้รวมผู้เดินทางกลับมาจาก 21 ประเทศ ตั้งแต่วันที่ 4 - 27 เมษายน 2563 จํานวน 2,769 คน นอกจากนี้ มีรายงานคนไทยที่จะบินกลับมาจากต่างประเทศเพิ่มเติมอีกหลายประเทศทั้งอินเดีย ฟิลิปปินส์ มัลดีฟ ศรีลังกา สิงคโปร์ กาฐมาณฑุ คาซัคสถาน เนเธอร์แลนด์ สเปน เป็นต้น ที่กําลังจะเข้ามาอีกจํานวนมาก โดยกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ดูแลกลุ่มคนดังกล่าว กรณีคนผ่านแดนวานนี้ มีเข้ามาจากเมียนมาร์ 14 คน มาเลเซีย 303 คน สปป.ลาว 8 คน และกัมพูชา 7 คน ซึ่งทุกคนต้องเข้าสถานกักกันตัวที่เราได้จัดไว้ให้ ทั้งนี้ พบคนที่ไม่ได้ลงทะเบียน 28 คน ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทย ดูแลสถานกักกันที่รัฐจัดให้อยู่ในพื้นที่ (Local Quarantine) 76 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 799 แห่ง รองรับได้ประมาณ 21,000 คน มีเข้าพักอยู่ขณะนี้ 5,012 คน กลับบ้านแล้ว 1,564 คน รวมสะสมที่ดูแลกันมา 6,576 คน ขณะที่กระทรวงกลาโหม มีการเตรียมห้องพักกว่า 5,400 ห้อง เข้าพักแล้ว 2,272 ห้อง ดูแลไปทั้งสิ้น 3,612 คน ซึ่งได้มีการจัดระบบดูแลคนไทยที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศอย่างชัดเจน ********************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29911
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กีฬาธนาคารโรงเรียน ธนาคารออมสิน ประจำปี 2560 บาสเกตบอล ฟุตบอล ได้สุดยอด 12 โรงเรียน เข้าสู่รอบสุดท้ายแล้ว
วันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม 2560 กีฬาธนาคารโรงเรียน ธนาคารออมสิน ประจําปี 2560 บาสเกตบอล ฟุตบอล ได้สุดยอด 12 โรงเรียน เข้าสู่รอบสุดท้ายแล้ว ธนาคารออมสินจัดงานแถลงข่าว และจับฉลากประกบคู่การแข่งขันกีฬาธนาคารโรงเรียน ธนาคารออมสิน ประจําปี 2560 ในประเภทกีฬาบาสเกตบอล ชิงแชมป์ระดับประเทศ และประเภทกีฬาฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี วันนี้ (1 ธันวาคม 2560) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ทางธนาคารออมสินจัดงานแถลงข่าว และจับฉลากประกบคู่การแข่งขันกีฬาธนาคารโรงเรียน ธนาคารออมสิน ประจําปี 2560 ในประเภทกีฬาบาสเกตบอล ชิงแชมป์ระดับประเทศ และประเภทกีฬาฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมี นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เป็นประธานในงานแถลงข่าว พร้อมด้วย ดร.ธัญญา โพธิ์วิจิตร, ดร.โสภิต ภาโนมัย อดีตนักบาสเกตบอลทีมชาติไทย คุณเกียรติศักดิ์ น้อยพันธ์ และ อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย คุณสะสม พบประเสริฐ, คุณวิบูลย์ วงศ์เลิศอารักษ์, คุณชลทิศ กรุดเที่ยง ร่วมเป็นเกียรติในงานแถลงข่าว นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน จัดแข่งขัน “กีฬาธนาคารโรงเรียน ธนาคารออมสิน” ประจําปี 2560 ปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 9 จัดการแข่งขัน 3 ชนิดกีฬา คือ ฟุตบอลชาย, บาสเกตบอลชาย และวอลเลย์บอลหญิง รุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี ซึ่งธนาคารออมสินได้เล็งเห็นความสําคัญของเยาวชน ซึ่งจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพของประเทศในอนาคตและโครงการนี้จะเป็นเวทีหนึ่งที่จะเสริมสร้างประสบการณ์ทางด้านกีฬาให้กับเยาวชนไทย ในขณะเดียวกันเยาวชนยังได้รับการปลูกฝัง และส่งเสริมด้านการออม จาก “ธนาคารโรงเรียน” ซึ่งจะทําให้เด็กนักเรียนในเครือข่ายธนาคารโรงเรียน ธนาคารออมสิน ได้รู้จักการบริหารจัดการเงิน รู้จักการเก็บออม และยังได้เรียนรู้วิชาชีพจากประสบการณ์จริงในภาคการเงิน การธนาคาร อีกทั้งได้รับประสบการณ์ที่หลากหลายจากกิจกรรมที่ธนาคารออมสินสรรค์สร้างและสนับสนุนให้มากมายแก่เยาวชน สําหรับโครงการกีฬาธนาคารโรงเรียน ธนาคารออมสิน ประจําปี 2560 ได้เริ่มจัดการแข่งขันมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา ตั้งแต่รอบคัดเลือกระดับจังหวัด, รอบชิงชนะเลิศ ระดับภาค, รอบชิงชนะเลิศระดับสายงานกิจการสาขา จนถึงวันนี้ ธนาคารได้รับความร่วมมือจากโรงเรียนในเครือของธนาคารโรงเรียนเป็นอย่างมาก ซึ่งในปี 2560 นี้มีทีมธนาคารโรงเรียนที่สมัครเข้าร่วมการแข่งขันมากกว่า 1,000 ทีม จากทั่วประเทศซึ่งเพิ่มจากปี 2559 ที่ผ่านมากว่า 200 ทีม ในปี 2559 นั้น มีจํานวน 833 ทีม จนได้แชมป์ตัวแทนสายงานกิจการสาขา ได้แก่ ทีมผู้แทนสายงานกิจการสาขา ฟุตบอล บาสเกตบอล สายงานกิจการสาขา 1 (กทม.) โรงเรียนสตรีวิทยา 2 (กทม.) โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี (กทม.) สายงานกิจการสาขา 2 (ภาคกลางและภาคใต้ตอนบน) โรงเรียนโพธาวัฒนาเสนี จ.ราชบุรี โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.ราชบุรี สายงานกิจการสาขา 3 (ภาคเหนือ) โรงเรียนวชิราลัย จ.เชียงใหม่ โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จ.เชียงราย สายงานกิจการสาขา 4 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) โรงเรียนแก่นนคร จ.ขอนแก่น โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล จ.สกลนคร สายงานกิจการสาขา 5 (ภาคกลางและภาคตะวันออก) โรงเรียนสุรศักดิ์วิทยาคม จ.ชลบุรี โรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา จ.นครราชสีมา สายงานกิจการสาขา 6 (ภาคใต้) โรงเรียนเทพมิตรศึกษา จ.สุราษฎร์ธานี โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย จ.สุราษฎร์ธานี ทั้งนี้ การแข่งขันฟุตบอลจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 1–7 ธันวาคม 2560 ซึ่งเป็นคู่ชิงชนะเลิศ ระดับประเทศถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันที่ 7 ธันวาคม 2560 เวลา 15.30–17.30 น. ณ ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร ไทย-ญี่ปุ่น(ดินแดง) โดยจะมีการถ่ายทอดสดผ่านทีวีดิจิตอล ช่อง 13 (แฟมิลี่) และมีการคัดเลือกเก็บตัวสําหรับทีมฟุตบอล “ออมสินช้างชมพู” โดยอดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย คุณวิบูลย์ วงศ์เลิศอารักษ์, คุณชลทิศ กรุดเที่ยง ได้คัดเลือกตัวนักกีฬาในรอบระดับจังหวัด ระดับภาค เพื่อเข้าตัดตัว และเฟ้นหานักกีฬาที่มีความสามารถเข้าสู่ทีมฟุตบอล “ออมสินช้างชมพู”จํานวน 120 คน พร้อมเก็บตัวอบรมฝึกซ้อมเทคนิคฟุตบอลชั้นสูงเพื่อเตรียมตัวลงฟาดแข้งหาประสบการณ์กับทีมเยาวชน Air force และทางธนาคารออมสินได้เปิดประสบการณ์ให้นักกีฬาได้ไปศึกษาดูงานต่างประเทศกลุ่มในเครือ (AEC) พร้อมการแข่งขันกระชับมิตรกับทีมเยาวชนของ สาธารณรัฐสิงคโปร์ และ สาธารณรัฐประชาชนลาว ขณะที่ การแข่งขันกีฬาบาสเกตบอล จะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 2 – วันพุธที่ 6 ธันวาคม 2560 คู่ชิงชนะเลิศระดับประเทศ จัดขึ้นในวันที่ 6 ธันวาคม 2560 เวลา 13.00–15.00 น. ณ MONO Stadium อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี มีการถ่ายทอดสดผ่านทีวีดิจิตอล ช่อง MONO 29 ซึ่งจะมีอดีตนักบาสเกตบอลทีมชาติไทยเข้าร่วมชมการแข่งขัน เพื่อเฟ้นหานักกีฬาบาสเกตบอลที่มีแววเด่น เข้าร่วมทีมบาสเกตบอล “ออมสินช้างชมพู” จํานวน 12 คน พร้อมเก็บตัว อบรมฝึกซ้อมเทคนิคต่างๆ เพื่อเตรียมประสบการณ์แข่งขันกระชับมิตรกับทีม MONO vampire ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า กิจกรรมกีฬาธนาคารโรงเรียน ธนาคารออมสิน เป็นกิจกรรมหนึ่งที่จะส่งเสริมให้เยาวชนสนใจในการเล่นกีฬา การออกกําลังกาย แต่นอกเหนือจากนั้น สามารถต่อยอดก้าวไปสู่เกมการแข่งขันในระดับประเทศ และนานาชาติ ขณะเดียวกันยังได้รับการส่งเสริมด้านการออมจาก “ธนาคารโรงเรียน” ซึ่งจะทําให้เด็กนักเรียนในเครือข่ายธนาคารโรงเรียน ธนาคารออมสิน ได้เก็บหอมรอบริบ และได้รับประสบการณ์ที่หลากหลายจากกิจกรรมต่างๆ ของธนาคารออมสินอีกมากมาย และในปี 2560 นี้ ถือว่าการจัดกิจกรรมการแข่งขันกีฬาได้รับความร่วมมือจากโรงเรียนในเครือข่ายธนาคารโรงเรียนและประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี สมาชิกธนาคารโรงเรียนให้ความสนใจเข้าร่วมสมัครแข่งขันเป็นจํานวนมาก ซึ่งธนาคารออมสินมีความยินดีที่จะจัดกิจกรรมส่งเสริมเยาวชนในกิจกรรมต่างๆ ต่อไป และในปีหน้าทางธนาคารออมสินจะมีการจัดโครงการกีฬาธนาคารโรงเรียน อย่างต่อเนื่อง ธนาคารออมสินหวังว่าจะได้รับความสนใจและความร่วมมือจากทางโรงเรียนต่างๆ ที่เป็นสมาชิกในสังกัดโครงการธนาคารโรงเรียนมากขึ้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กีฬาธนาคารโรงเรียน ธนาคารออมสิน ประจำปี 2560 บาสเกตบอล ฟุตบอล ได้สุดยอด 12 โรงเรียน เข้าสู่รอบสุดท้ายแล้ว วันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม 2560 กีฬาธนาคารโรงเรียน ธนาคารออมสิน ประจําปี 2560 บาสเกตบอล ฟุตบอล ได้สุดยอด 12 โรงเรียน เข้าสู่รอบสุดท้ายแล้ว ธนาคารออมสินจัดงานแถลงข่าว และจับฉลากประกบคู่การแข่งขันกีฬาธนาคารโรงเรียน ธนาคารออมสิน ประจําปี 2560 ในประเภทกีฬาบาสเกตบอล ชิงแชมป์ระดับประเทศ และประเภทกีฬาฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี วันนี้ (1 ธันวาคม 2560) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ทางธนาคารออมสินจัดงานแถลงข่าว และจับฉลากประกบคู่การแข่งขันกีฬาธนาคารโรงเรียน ธนาคารออมสิน ประจําปี 2560 ในประเภทกีฬาบาสเกตบอล ชิงแชมป์ระดับประเทศ และประเภทกีฬาฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมี นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เป็นประธานในงานแถลงข่าว พร้อมด้วย ดร.ธัญญา โพธิ์วิจิตร, ดร.โสภิต ภาโนมัย อดีตนักบาสเกตบอลทีมชาติไทย คุณเกียรติศักดิ์ น้อยพันธ์ และ อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย คุณสะสม พบประเสริฐ, คุณวิบูลย์ วงศ์เลิศอารักษ์, คุณชลทิศ กรุดเที่ยง ร่วมเป็นเกียรติในงานแถลงข่าว นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน จัดแข่งขัน “กีฬาธนาคารโรงเรียน ธนาคารออมสิน” ประจําปี 2560 ปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 9 จัดการแข่งขัน 3 ชนิดกีฬา คือ ฟุตบอลชาย, บาสเกตบอลชาย และวอลเลย์บอลหญิง รุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี ซึ่งธนาคารออมสินได้เล็งเห็นความสําคัญของเยาวชน ซึ่งจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพของประเทศในอนาคตและโครงการนี้จะเป็นเวทีหนึ่งที่จะเสริมสร้างประสบการณ์ทางด้านกีฬาให้กับเยาวชนไทย ในขณะเดียวกันเยาวชนยังได้รับการปลูกฝัง และส่งเสริมด้านการออม จาก “ธนาคารโรงเรียน” ซึ่งจะทําให้เด็กนักเรียนในเครือข่ายธนาคารโรงเรียน ธนาคารออมสิน ได้รู้จักการบริหารจัดการเงิน รู้จักการเก็บออม และยังได้เรียนรู้วิชาชีพจากประสบการณ์จริงในภาคการเงิน การธนาคาร อีกทั้งได้รับประสบการณ์ที่หลากหลายจากกิจกรรมที่ธนาคารออมสินสรรค์สร้างและสนับสนุนให้มากมายแก่เยาวชน สําหรับโครงการกีฬาธนาคารโรงเรียน ธนาคารออมสิน ประจําปี 2560 ได้เริ่มจัดการแข่งขันมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา ตั้งแต่รอบคัดเลือกระดับจังหวัด, รอบชิงชนะเลิศ ระดับภาค, รอบชิงชนะเลิศระดับสายงานกิจการสาขา จนถึงวันนี้ ธนาคารได้รับความร่วมมือจากโรงเรียนในเครือของธนาคารโรงเรียนเป็นอย่างมาก ซึ่งในปี 2560 นี้มีทีมธนาคารโรงเรียนที่สมัครเข้าร่วมการแข่งขันมากกว่า 1,000 ทีม จากทั่วประเทศซึ่งเพิ่มจากปี 2559 ที่ผ่านมากว่า 200 ทีม ในปี 2559 นั้น มีจํานวน 833 ทีม จนได้แชมป์ตัวแทนสายงานกิจการสาขา ได้แก่ ทีมผู้แทนสายงานกิจการสาขา ฟุตบอล บาสเกตบอล สายงานกิจการสาขา 1 (กทม.) โรงเรียนสตรีวิทยา 2 (กทม.) โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี (กทม.) สายงานกิจการสาขา 2 (ภาคกลางและภาคใต้ตอนบน) โรงเรียนโพธาวัฒนาเสนี จ.ราชบุรี โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.ราชบุรี สายงานกิจการสาขา 3 (ภาคเหนือ) โรงเรียนวชิราลัย จ.เชียงใหม่ โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จ.เชียงราย สายงานกิจการสาขา 4 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) โรงเรียนแก่นนคร จ.ขอนแก่น โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล จ.สกลนคร สายงานกิจการสาขา 5 (ภาคกลางและภาคตะวันออก) โรงเรียนสุรศักดิ์วิทยาคม จ.ชลบุรี โรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา จ.นครราชสีมา สายงานกิจการสาขา 6 (ภาคใต้) โรงเรียนเทพมิตรศึกษา จ.สุราษฎร์ธานี โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย จ.สุราษฎร์ธานี ทั้งนี้ การแข่งขันฟุตบอลจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 1–7 ธันวาคม 2560 ซึ่งเป็นคู่ชิงชนะเลิศ ระดับประเทศถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันที่ 7 ธันวาคม 2560 เวลา 15.30–17.30 น. ณ ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร ไทย-ญี่ปุ่น(ดินแดง) โดยจะมีการถ่ายทอดสดผ่านทีวีดิจิตอล ช่อง 13 (แฟมิลี่) และมีการคัดเลือกเก็บตัวสําหรับทีมฟุตบอล “ออมสินช้างชมพู” โดยอดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย คุณวิบูลย์ วงศ์เลิศอารักษ์, คุณชลทิศ กรุดเที่ยง ได้คัดเลือกตัวนักกีฬาในรอบระดับจังหวัด ระดับภาค เพื่อเข้าตัดตัว และเฟ้นหานักกีฬาที่มีความสามารถเข้าสู่ทีมฟุตบอล “ออมสินช้างชมพู”จํานวน 120 คน พร้อมเก็บตัวอบรมฝึกซ้อมเทคนิคฟุตบอลชั้นสูงเพื่อเตรียมตัวลงฟาดแข้งหาประสบการณ์กับทีมเยาวชน Air force และทางธนาคารออมสินได้เปิดประสบการณ์ให้นักกีฬาได้ไปศึกษาดูงานต่างประเทศกลุ่มในเครือ (AEC) พร้อมการแข่งขันกระชับมิตรกับทีมเยาวชนของ สาธารณรัฐสิงคโปร์ และ สาธารณรัฐประชาชนลาว ขณะที่ การแข่งขันกีฬาบาสเกตบอล จะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 2 – วันพุธที่ 6 ธันวาคม 2560 คู่ชิงชนะเลิศระดับประเทศ จัดขึ้นในวันที่ 6 ธันวาคม 2560 เวลา 13.00–15.00 น. ณ MONO Stadium อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี มีการถ่ายทอดสดผ่านทีวีดิจิตอล ช่อง MONO 29 ซึ่งจะมีอดีตนักบาสเกตบอลทีมชาติไทยเข้าร่วมชมการแข่งขัน เพื่อเฟ้นหานักกีฬาบาสเกตบอลที่มีแววเด่น เข้าร่วมทีมบาสเกตบอล “ออมสินช้างชมพู” จํานวน 12 คน พร้อมเก็บตัว อบรมฝึกซ้อมเทคนิคต่างๆ เพื่อเตรียมประสบการณ์แข่งขันกระชับมิตรกับทีม MONO vampire ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า กิจกรรมกีฬาธนาคารโรงเรียน ธนาคารออมสิน เป็นกิจกรรมหนึ่งที่จะส่งเสริมให้เยาวชนสนใจในการเล่นกีฬา การออกกําลังกาย แต่นอกเหนือจากนั้น สามารถต่อยอดก้าวไปสู่เกมการแข่งขันในระดับประเทศ และนานาชาติ ขณะเดียวกันยังได้รับการส่งเสริมด้านการออมจาก “ธนาคารโรงเรียน” ซึ่งจะทําให้เด็กนักเรียนในเครือข่ายธนาคารโรงเรียน ธนาคารออมสิน ได้เก็บหอมรอบริบ และได้รับประสบการณ์ที่หลากหลายจากกิจกรรมต่างๆ ของธนาคารออมสินอีกมากมาย และในปี 2560 นี้ ถือว่าการจัดกิจกรรมการแข่งขันกีฬาได้รับความร่วมมือจากโรงเรียนในเครือข่ายธนาคารโรงเรียนและประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี สมาชิกธนาคารโรงเรียนให้ความสนใจเข้าร่วมสมัครแข่งขันเป็นจํานวนมาก ซึ่งธนาคารออมสินมีความยินดีที่จะจัดกิจกรรมส่งเสริมเยาวชนในกิจกรรมต่างๆ ต่อไป และในปีหน้าทางธนาคารออมสินจะมีการจัดโครงการกีฬาธนาคารโรงเรียน อย่างต่อเนื่อง ธนาคารออมสินหวังว่าจะได้รับความสนใจและความร่วมมือจากทางโรงเรียนต่างๆ ที่เป็นสมาชิกในสังกัดโครงการธนาคารโรงเรียนมากขึ้น
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8496
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี ร่วมกับ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จัดมหกรรมไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ในจังหวัดยะลา
วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2561 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี ร่วมกับ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จัดมหกรรมไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ในจังหวัดยะลา กรมบังคับคดี โดยสํานักงานบังคับคดีจังหวัดยะลา ร่วมกับ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จัด “มหกรรมไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดีในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนใต้” เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ กรมบังคับคดี โดยสํานักงานบังคับคดีจังหวัดยะลา ร่วมกับ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จัด “มหกรรมไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดีในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนใต้” เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)ได้เจรจาชําระหนี้กับ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ในการหาแนวทางในการชําระหนี้ เพื่อลดการถูกบังคับคดี โดยมีผู้ไกล่เกลี่ยที่เป็นคนกลาง ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมบังคับคดี และไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ณ หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา อําเภอเมือง จังหวัดยะลา ในการจัดมหกรรมไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก นายอนุชิต ตระกูลมุทุตา ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา นายแพทย์สมหมาย บุญเกลี้ยง ผู้ช่วยเลขาธิการศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนใต้ เข้าเยี่ยมชมงาน โดยมี นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี ให้การต้อนรับ พร้อมด้วย นายเสกสรร สุขแสง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรม นายอนุชิต เสียงใหญ่ ผู้อํานวยการสํานักงานบังคับคดีจังหวัดสงขลา ในฐานะหัวหน้ากลุ่มจังหวัดที่ ๙ (Sandbox) นายคมเดช ชูวงศ์ ผู้อํานวยการสํานักงานบังคับคดีจังหวัดยะลา ร้อยตํารวจตรีหญิงวรางคนา ขุนเณรพานิช ผู้อํานวยการสํานักงานบังคับคดีจังหวัดปัตตานี นายสมคิด แก้วนิล ผู้อํานวยการสํานักงานบังคับคดีจังหวัดยะลา สาขาเบตง และนางอัมพร สุคนธ์สุนทร นักวิชาการเงินและบัญชีชํานาญการ รักษาราชการแทนผู้อํานวยการสํานักงานบังคับคดีจังหวัดนราธิวาส การจัดมหกรรมไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ในครั้งนี้ มีลูกหนี้ของ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เข้าร่วมเป็นจํานวน ๑,๕๙๘ ราย ในการจัดครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากผู้บริหาร กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) มาให้คําชี้แจงเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ใหม่ในการชําระหนี้ของลูกหนี้ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)ในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในการสร้างความรับรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ดังกล่าวให้กับลูกหนี้ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) มากขึ้น นอกจากนี้กรมบังคับคดีได้เชิญสํานักงานจัดหางานจังหวัดยะลา มารับสมัครงานให้กับลูกหนี้ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ซึ่งมีผู้สนใจสมัครงาน เป็นจํานวน ๑๔๕ ราย ซึ่งเป็นการบูรณาการ การทํางานตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และได้จัดให้คําปรึกษากฎหมาย แก่ผู้ที่มีปัญหาทางกฎหมายในเรื่องต่าง ๆ จํานวน ๓๐ ราย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี ร่วมกับ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จัดมหกรรมไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ในจังหวัดยะลา วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2561 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี ร่วมกับ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จัดมหกรรมไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ในจังหวัดยะลา กรมบังคับคดี โดยสํานักงานบังคับคดีจังหวัดยะลา ร่วมกับ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จัด “มหกรรมไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดีในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนใต้” เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ กรมบังคับคดี โดยสํานักงานบังคับคดีจังหวัดยะลา ร่วมกับ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จัด “มหกรรมไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดีในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนใต้” เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)ได้เจรจาชําระหนี้กับ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ในการหาแนวทางในการชําระหนี้ เพื่อลดการถูกบังคับคดี โดยมีผู้ไกล่เกลี่ยที่เป็นคนกลาง ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมบังคับคดี และไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ณ หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา อําเภอเมือง จังหวัดยะลา ในการจัดมหกรรมไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก นายอนุชิต ตระกูลมุทุตา ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา นายแพทย์สมหมาย บุญเกลี้ยง ผู้ช่วยเลขาธิการศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนใต้ เข้าเยี่ยมชมงาน โดยมี นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี ให้การต้อนรับ พร้อมด้วย นายเสกสรร สุขแสง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรม นายอนุชิต เสียงใหญ่ ผู้อํานวยการสํานักงานบังคับคดีจังหวัดสงขลา ในฐานะหัวหน้ากลุ่มจังหวัดที่ ๙ (Sandbox) นายคมเดช ชูวงศ์ ผู้อํานวยการสํานักงานบังคับคดีจังหวัดยะลา ร้อยตํารวจตรีหญิงวรางคนา ขุนเณรพานิช ผู้อํานวยการสํานักงานบังคับคดีจังหวัดปัตตานี นายสมคิด แก้วนิล ผู้อํานวยการสํานักงานบังคับคดีจังหวัดยะลา สาขาเบตง และนางอัมพร สุคนธ์สุนทร นักวิชาการเงินและบัญชีชํานาญการ รักษาราชการแทนผู้อํานวยการสํานักงานบังคับคดีจังหวัดนราธิวาส การจัดมหกรรมไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ในครั้งนี้ มีลูกหนี้ของ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เข้าร่วมเป็นจํานวน ๑,๕๙๘ ราย ในการจัดครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากผู้บริหาร กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) มาให้คําชี้แจงเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ใหม่ในการชําระหนี้ของลูกหนี้ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)ในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในการสร้างความรับรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ดังกล่าวให้กับลูกหนี้ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) มากขึ้น นอกจากนี้กรมบังคับคดีได้เชิญสํานักงานจัดหางานจังหวัดยะลา มารับสมัครงานให้กับลูกหนี้ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ซึ่งมีผู้สนใจสมัครงาน เป็นจํานวน ๑๔๕ ราย ซึ่งเป็นการบูรณาการ การทํางานตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และได้จัดให้คําปรึกษากฎหมาย แก่ผู้ที่มีปัญหาทางกฎหมายในเรื่องต่าง ๆ จํานวน ๓๐ ราย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17488
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ติดตามการดำเนินงานแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เยี่ยมให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงาน
วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน 2563 รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ติดตามการดําเนินงานแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เยี่ยมให้กําลังใจผู้ปฏิบัติงาน รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ติดตามการดําเนินงานแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เยี่ยมให้กําลังใจผู้ปฏิบัติงาน วันนี้ (8 เมษายน 2563) เวลา 14.30 น. ณ ศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์และผลการดําเนินงานในการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน จากนายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งภาพรวมสถานการณ์ดีขึ้น หมอกควันลดลง และค่า PM 2.5 ลดลงอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย โดยความร่วมมือของภาครัฐ และภาคประชาชน ภายหลังรับฟังบรรยายสรุปฯ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณพร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ ประชาชน และจิตอาสาทุกคนที่ร่วมมือกันอย่างเต็มกําลังในการแก้ไขปัญหา ขอให้ร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ และรักษามาตรฐานการทํางานร่วมมือกันต่อไป พร้อมกล่าวมอบแนวทางการดําเนินงานในการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เน้นย้ําให้ผู้ว่าราชการจังหวัดระดมสรรพกําลังทุกภาคส่วน รวมทั้งนําเครื่องมืออุปกรณ์เข้าไปดับไฟป่าให้สนิท ไม่ให้ลุกลามขยายเป็นวงกว้าง แล้วกลับมาติดอีก พร้อมกับให้ขยายความร่วมมือ รณรงค์ สร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมดูแลรักษาป่า พร้อมทั้งแต่งตั้งประชาชนในพื้นที่ให้เป็นชุดปกป้องพิทักษ์ป่า ดับไฟป่า จัดให้มีเวรยามคอยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ ขอให้คํานึงถึงเรื่องความปลอดภัยของชีวิตเป็นสําคัญ โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ผู้มีความเชี่ยวชาญเป็นหัวหน้าชุด ให้ประชาชน จิตอาสาเป็นกําลังสนับสนุน รวมถึงให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งการให้กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน จับตาประชาชนในความรับผิดชอบ ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงในการเผาป่า ล่าสัตว์ ในส่วนของผู้ที่ได้สิทธิ์ทํากินในที่ดิน หากพบมีการเผาป่าทํากินขอให้ตัดสิทธิ์ในการทํากินอย่างเด็ดขาด รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปถึงการจับกุมผู้กระทําความผิด ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแถลงข่าวถึงการจับกุม ให้นําตัวมาดําเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นตัวอย่างให้ประชาชนเกิดความเกรงกลัวไม่เผาป่า พร้อมกับขอให้ผู้ว่าฯ ใช้อํานาจอย่างเต็มที่และทํางานอย่างเข้มแข็ง และจัดพื้นที่ safe zone ให้กับประชาชน คํานึงถึงสุขภาพของประชาชนเป็นหลัก ในส่วนของสถานการณ์ปัญหาหมอกควันข้ามแดน รองนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหารือกับประเทศเพื่อนบ้านให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เจรจาสร้างความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งพิจารณาให้ความร่วมมืออย่างเหมาะสม และขอให้ถอดบทเรียนเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนต่อไป จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะเดินทางโดยรถยนต์ไปลานอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย เยี่ยมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน อาสาสมัคร และจิตอาสา พร้อมมอบถุงยังชีพและอุปกรณ์ที่จําเป็นในการปฏิบัติงาน เสร็จแล้วเดินทางต่อไปยังบริเวณน้ําตกมณฑาธาร อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย เพื่อตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานและให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ ................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ติดตามการดำเนินงานแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เยี่ยมให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงาน วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน 2563 รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ติดตามการดําเนินงานแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เยี่ยมให้กําลังใจผู้ปฏิบัติงาน รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ติดตามการดําเนินงานแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เยี่ยมให้กําลังใจผู้ปฏิบัติงาน วันนี้ (8 เมษายน 2563) เวลา 14.30 น. ณ ศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์และผลการดําเนินงานในการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน จากนายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งภาพรวมสถานการณ์ดีขึ้น หมอกควันลดลง และค่า PM 2.5 ลดลงอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย โดยความร่วมมือของภาครัฐ และภาคประชาชน ภายหลังรับฟังบรรยายสรุปฯ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณพร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ ประชาชน และจิตอาสาทุกคนที่ร่วมมือกันอย่างเต็มกําลังในการแก้ไขปัญหา ขอให้ร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ และรักษามาตรฐานการทํางานร่วมมือกันต่อไป พร้อมกล่าวมอบแนวทางการดําเนินงานในการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เน้นย้ําให้ผู้ว่าราชการจังหวัดระดมสรรพกําลังทุกภาคส่วน รวมทั้งนําเครื่องมืออุปกรณ์เข้าไปดับไฟป่าให้สนิท ไม่ให้ลุกลามขยายเป็นวงกว้าง แล้วกลับมาติดอีก พร้อมกับให้ขยายความร่วมมือ รณรงค์ สร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมดูแลรักษาป่า พร้อมทั้งแต่งตั้งประชาชนในพื้นที่ให้เป็นชุดปกป้องพิทักษ์ป่า ดับไฟป่า จัดให้มีเวรยามคอยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ ขอให้คํานึงถึงเรื่องความปลอดภัยของชีวิตเป็นสําคัญ โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ผู้มีความเชี่ยวชาญเป็นหัวหน้าชุด ให้ประชาชน จิตอาสาเป็นกําลังสนับสนุน รวมถึงให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งการให้กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน จับตาประชาชนในความรับผิดชอบ ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงในการเผาป่า ล่าสัตว์ ในส่วนของผู้ที่ได้สิทธิ์ทํากินในที่ดิน หากพบมีการเผาป่าทํากินขอให้ตัดสิทธิ์ในการทํากินอย่างเด็ดขาด รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปถึงการจับกุมผู้กระทําความผิด ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแถลงข่าวถึงการจับกุม ให้นําตัวมาดําเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นตัวอย่างให้ประชาชนเกิดความเกรงกลัวไม่เผาป่า พร้อมกับขอให้ผู้ว่าฯ ใช้อํานาจอย่างเต็มที่และทํางานอย่างเข้มแข็ง และจัดพื้นที่ safe zone ให้กับประชาชน คํานึงถึงสุขภาพของประชาชนเป็นหลัก ในส่วนของสถานการณ์ปัญหาหมอกควันข้ามแดน รองนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหารือกับประเทศเพื่อนบ้านให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เจรจาสร้างความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งพิจารณาให้ความร่วมมืออย่างเหมาะสม และขอให้ถอดบทเรียนเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนต่อไป จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะเดินทางโดยรถยนต์ไปลานอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย เยี่ยมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน อาสาสมัคร และจิตอาสา พร้อมมอบถุงยังชีพและอุปกรณ์ที่จําเป็นในการปฏิบัติงาน เสร็จแล้วเดินทางต่อไปยังบริเวณน้ําตกมณฑาธาร อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย เพื่อตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานและให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ ................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28700
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. และ รมว.กห. ให้การต้อนรับ ประธานเสนาธิการทหาร กองทัพประชาชนเวียดนาม
วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561 รอง นรม. และ รมว.กห. ให้การต้อนรับ ประธานเสนาธิการทหาร กองทัพประชาชนเวียดนาม เมื่อ 23 พ.ย.61 เวลา 0800 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้ให้การต้อนรับการเยี่ยมคํานับของ พล.ท.อาวุโส Phan Van Giang รมช.กห.วน. และประธานเสนาธิการทหาร กองทัพประชาชนเวียดนาม พร้อมคณะ ณ ศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ 23 พ.ย.61 เวลา 0800 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้ให้การต้อนรับการเยี่ยมคํานับของ พล.ท.อาวุโส Phan Van Giang รมช.กห.วน. และประธานเสนาธิการทหาร กองทัพประชาชนเวียดนาม พร้อมคณะ ณ ศาลาว่าการกลาโหม ทั้งสองฝ่ายได้แสดงความยินดีและหารือร่วมกัน ถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันที่มีพัฒนาการต่อเนื่องกันมา จากความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ทั้งด้านความมั่นคง การค้า การลงทุน โดยเฉพาะ กองทัพของทั้งสองประเทศ ได้มีการแลกเปลี่ยนการฝึก ศึกษา และการเยือนในระดับต่างๆ ร่วมกันทั้ง 3 เหล่าทัพ โดย พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวแสดงความเสียใจ ต่อการอสัญกรรมของอดีตประธานาธิบดี สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามที่ผ่านมา พร้อมทั้งได้ขอความร่วมมือในการสนับสนุนแก้ปัญหาการทําประมงร่วมกัน เพื่อมิให้เกิดปัญหาการรุกน่านนํา้ของชาวประมงทั้งสองประเทศ โดยเสนอให้จัดตั้งเป็นคณะทํางานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันแก้ปัญหา พร้อมทั้งขยายผลไปสู่ความร่วมมือแก้ปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย หรือ IUU ร่วมกันในภูมิภาค พล.ท.อาวุโส Phan Van Giang ได้กล่าวแสดงความขอบคุณไทย ที่ให้การดูแลความเป็นอยู่ของชาวเวียดนามอพยพในประเทศไทย และยินดีให้การสนับสนุนไทยในการเป็นประธานอาเซียน และความร่วมมือแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในพื้นที่ทางทะเลให้หมดไป พร้อมทั้ง ขอความร่วมมือไทยในการสนับสนุนการท่องเที่ยวและการเตรียมพร้อมของเวียดนามในการทําหน้าที่ประธานอาเซียนในปี 63 และใช้โอกาสนี้ เรียนเชิญ รอง นรม. และ รมว.กห. เยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการ ในต้นปี 62 เพื่อกระชับความความสัมพันธ์ระหว่างกัน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. และ รมว.กห. ให้การต้อนรับ ประธานเสนาธิการทหาร กองทัพประชาชนเวียดนาม วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561 รอง นรม. และ รมว.กห. ให้การต้อนรับ ประธานเสนาธิการทหาร กองทัพประชาชนเวียดนาม เมื่อ 23 พ.ย.61 เวลา 0800 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้ให้การต้อนรับการเยี่ยมคํานับของ พล.ท.อาวุโส Phan Van Giang รมช.กห.วน. และประธานเสนาธิการทหาร กองทัพประชาชนเวียดนาม พร้อมคณะ ณ ศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ 23 พ.ย.61 เวลา 0800 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้ให้การต้อนรับการเยี่ยมคํานับของ พล.ท.อาวุโส Phan Van Giang รมช.กห.วน. และประธานเสนาธิการทหาร กองทัพประชาชนเวียดนาม พร้อมคณะ ณ ศาลาว่าการกลาโหม ทั้งสองฝ่ายได้แสดงความยินดีและหารือร่วมกัน ถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันที่มีพัฒนาการต่อเนื่องกันมา จากความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ทั้งด้านความมั่นคง การค้า การลงทุน โดยเฉพาะ กองทัพของทั้งสองประเทศ ได้มีการแลกเปลี่ยนการฝึก ศึกษา และการเยือนในระดับต่างๆ ร่วมกันทั้ง 3 เหล่าทัพ โดย พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวแสดงความเสียใจ ต่อการอสัญกรรมของอดีตประธานาธิบดี สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามที่ผ่านมา พร้อมทั้งได้ขอความร่วมมือในการสนับสนุนแก้ปัญหาการทําประมงร่วมกัน เพื่อมิให้เกิดปัญหาการรุกน่านนํา้ของชาวประมงทั้งสองประเทศ โดยเสนอให้จัดตั้งเป็นคณะทํางานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันแก้ปัญหา พร้อมทั้งขยายผลไปสู่ความร่วมมือแก้ปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย หรือ IUU ร่วมกันในภูมิภาค พล.ท.อาวุโส Phan Van Giang ได้กล่าวแสดงความขอบคุณไทย ที่ให้การดูแลความเป็นอยู่ของชาวเวียดนามอพยพในประเทศไทย และยินดีให้การสนับสนุนไทยในการเป็นประธานอาเซียน และความร่วมมือแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในพื้นที่ทางทะเลให้หมดไป พร้อมทั้ง ขอความร่วมมือไทยในการสนับสนุนการท่องเที่ยวและการเตรียมพร้อมของเวียดนามในการทําหน้าที่ประธานอาเซียนในปี 63 และใช้โอกาสนี้ เรียนเชิญ รอง นรม. และ รมว.กห. เยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการ ในต้นปี 62 เพื่อกระชับความความสัมพันธ์ระหว่างกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17027
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วว. ส่งมอบพันธุ์ไม้เบญจมาศสายพันธุ์ใหม่ สนับสนุน“โครงการร้อยใจรักษ์” สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ราษฎรในพื้นที่สูงภาคเหนือ
วันพุธที่ 15 เมษายน 2563 วว. ส่งมอบพันธุ์ไม้เบญจมาศสายพันธุ์ใหม่ สนับสนุน“โครงการร้อยใจรักษ์” สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ราษฎรในพื้นที่สูงภาคเหนือ วว. ส่งมอบพันธุ์ไม้เบญจมาศสายพันธุ์ใหม่ สนับสนุน“โครงการร้อยใจรักษ์” สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ราษฎรในพื้นที่สูงภาคเหนือ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ส่งมอบพันธุ์ไม้เบญจมาศสายพันธุ์ใหม่ผ่านระบบ Video Conference ให้แก่โครงการร้อยใจรักษ์ ซึ่งดําเนินการโดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมส่งเสริมใช้เทคโนโลยีเกษตรด้านไม้ดอกไม้ประดับและเกษตรปลอดภัย ขยายต้นพันธุ์และพัฒนาพันธุ์เบญจมาศ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ราษฎรในพื้นที่สูงภาคเหนือ คาดต่อยอดเป็นแหล่งท่องเที่ยวในอนาคต สนับสนุนเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. ชี้แจงว่า การส่งมอบพันธุ์ไม้เบญจมาศในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเกษตรปลอดภัย 1 แสนไร่ ของ วว. ในส่วนของคลัสเตอร์ไม้ดอกไม้ประดับ โดย วว. จะทําการส่งเสริมในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สําหรับพื้นที่ภาคเหนือ ได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้รับความร่วมมือจากโครงการร้อยใจรักษ์ ซึ่งเป็นโครงการที่ดําเนินการโดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชรมหาวัชรราชธิดา ทรงมีพระประสงค์แก้ไขปัญหายาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมายอื่นๆ ตามแนวชายแดน และนําประสบการณ์จากโครงการพัฒนาดอยตุงฯ มาประยุกต์ใช้ในบริบทสังคมเมือง “สําหรับการมอบนี้เป็นการมอบต้นกล้าชุดแรกจํานวน 1,500 ต้น ให้แก่ นายณรงค์ อภิชัย ผู้อํานวยการโครงการ ร้อยใจรักษ์ โดยทําส่งมอบผ่านระบบ Video Conference อันเนื่องมาจากสถานการณ์การระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้ จึงจําเป็นต้องใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เพื่อให้การดําเนินงานของโครงการยังดําเนินต่อเนื่องไปได้ ซึ่งหลังจากนี้ วว. จะได้นําส่งมอบกล้าพันธุ์เบญจมาศแบบเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูกและขยายพันธุ์เบญจมาศให้แก่ผู้เกี่ยวข้อง วว. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเทคโนโลยีด้านการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านไม้ดอกไม้ประดับ จะช่วยสนับสนุนให้เกิดอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ราษฎรในพื้นที่สูงภาคเหนือ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต และ วว. ยินดีที่จะสนับสนุนผลงานวิจัยด้านไม้ดอกไม้ประดับอื่นๆ ร่วมกับการดําเนินของโครงการร้อยใจรักษ์ต่อไป..” ผู้ว่าการ วว.กล่าวเพิ่มเติม นายณรงค์ อภิชัย ผู้อํานวยการโครงการร้อยใจรักษ์ กล่าวว่า โครงการฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแก้ไขปัญหาการค้ายาเสพติดอย่างรุนแรงในพื้นที่ ซึ่งมีพื้นที่รับผิดชอบประมาณ 37,119 ไร่ ครอบคลุม 4 หมู่บ้านหลักและอีก 20 หมู่บ้านย่อยใน ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ มีจํานวนประชากร 6,264 คน (อยู่ในพื้นที่ 4,552 คน) จํานวน 1,108 ครัวเรือน ประกอบอาชีพการเกษตรจํานวน 832 ครัวเรือน ปัญหาของการทําการเกษตรในพื้นที่ คือแหล่งน้ําไม่เพียงพอในฤดูแล้ง ดินเสื่อมโทรม ผลผลิตตกต่ําและด้อยคุณภาพ ทั้งนี้โครงการฯ มีความสนใจที่จะนําเบญจมาศสายพันธ์ใหม่ของ วว. มาทําการปลูกทดสอบเพื่อให้เกษตรกรในพื้นที่ได้ศึกษาและพิจารณาเป็นพืชทางเลือกเพื่อสร้างรายได้และอาชีพที่ยั่งยืนให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ในการแก้ปัญหาค้ายาเสพติดอย่างรุนแรงในพื้นที่ “ วว. ได้มอบเบญจมาศสายพันธุ์ดี ต้นกล้าที่แข็งแรง ทางโครงการฯ มีหน้าที่ในการดูแลรักษาต่อไป การทํางานร่วมกันเป็นอย่างดีระหว่าง วว. และ โครงการร้อยใจรักษ์ ในวันนี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี สําหรับในอนาคตทางโครงการฯ มุ่งพัฒนาแหล่งปลูกเบญจมาศนี้ ให้ขึ้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวประจําจังหวัด ซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างเศรษฐกิจให้แก่ชุมชนต่อไป...” ผู้อํานวยการโครงการร้อยใจรักษ์ กล่าวในตอนท้าย ข้อมูลข่าวโดย : สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วว. ส่งมอบพันธุ์ไม้เบญจมาศสายพันธุ์ใหม่ สนับสนุน“โครงการร้อยใจรักษ์” สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ราษฎรในพื้นที่สูงภาคเหนือ วันพุธที่ 15 เมษายน 2563 วว. ส่งมอบพันธุ์ไม้เบญจมาศสายพันธุ์ใหม่ สนับสนุน“โครงการร้อยใจรักษ์” สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ราษฎรในพื้นที่สูงภาคเหนือ วว. ส่งมอบพันธุ์ไม้เบญจมาศสายพันธุ์ใหม่ สนับสนุน“โครงการร้อยใจรักษ์” สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ราษฎรในพื้นที่สูงภาคเหนือ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ส่งมอบพันธุ์ไม้เบญจมาศสายพันธุ์ใหม่ผ่านระบบ Video Conference ให้แก่โครงการร้อยใจรักษ์ ซึ่งดําเนินการโดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมส่งเสริมใช้เทคโนโลยีเกษตรด้านไม้ดอกไม้ประดับและเกษตรปลอดภัย ขยายต้นพันธุ์และพัฒนาพันธุ์เบญจมาศ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ราษฎรในพื้นที่สูงภาคเหนือ คาดต่อยอดเป็นแหล่งท่องเที่ยวในอนาคต สนับสนุนเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. ชี้แจงว่า การส่งมอบพันธุ์ไม้เบญจมาศในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเกษตรปลอดภัย 1 แสนไร่ ของ วว. ในส่วนของคลัสเตอร์ไม้ดอกไม้ประดับ โดย วว. จะทําการส่งเสริมในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สําหรับพื้นที่ภาคเหนือ ได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้รับความร่วมมือจากโครงการร้อยใจรักษ์ ซึ่งเป็นโครงการที่ดําเนินการโดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชรมหาวัชรราชธิดา ทรงมีพระประสงค์แก้ไขปัญหายาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมายอื่นๆ ตามแนวชายแดน และนําประสบการณ์จากโครงการพัฒนาดอยตุงฯ มาประยุกต์ใช้ในบริบทสังคมเมือง “สําหรับการมอบนี้เป็นการมอบต้นกล้าชุดแรกจํานวน 1,500 ต้น ให้แก่ นายณรงค์ อภิชัย ผู้อํานวยการโครงการ ร้อยใจรักษ์ โดยทําส่งมอบผ่านระบบ Video Conference อันเนื่องมาจากสถานการณ์การระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้ จึงจําเป็นต้องใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เพื่อให้การดําเนินงานของโครงการยังดําเนินต่อเนื่องไปได้ ซึ่งหลังจากนี้ วว. จะได้นําส่งมอบกล้าพันธุ์เบญจมาศแบบเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูกและขยายพันธุ์เบญจมาศให้แก่ผู้เกี่ยวข้อง วว. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเทคโนโลยีด้านการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านไม้ดอกไม้ประดับ จะช่วยสนับสนุนให้เกิดอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ราษฎรในพื้นที่สูงภาคเหนือ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต และ วว. ยินดีที่จะสนับสนุนผลงานวิจัยด้านไม้ดอกไม้ประดับอื่นๆ ร่วมกับการดําเนินของโครงการร้อยใจรักษ์ต่อไป..” ผู้ว่าการ วว.กล่าวเพิ่มเติม นายณรงค์ อภิชัย ผู้อํานวยการโครงการร้อยใจรักษ์ กล่าวว่า โครงการฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแก้ไขปัญหาการค้ายาเสพติดอย่างรุนแรงในพื้นที่ ซึ่งมีพื้นที่รับผิดชอบประมาณ 37,119 ไร่ ครอบคลุม 4 หมู่บ้านหลักและอีก 20 หมู่บ้านย่อยใน ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ มีจํานวนประชากร 6,264 คน (อยู่ในพื้นที่ 4,552 คน) จํานวน 1,108 ครัวเรือน ประกอบอาชีพการเกษตรจํานวน 832 ครัวเรือน ปัญหาของการทําการเกษตรในพื้นที่ คือแหล่งน้ําไม่เพียงพอในฤดูแล้ง ดินเสื่อมโทรม ผลผลิตตกต่ําและด้อยคุณภาพ ทั้งนี้โครงการฯ มีความสนใจที่จะนําเบญจมาศสายพันธ์ใหม่ของ วว. มาทําการปลูกทดสอบเพื่อให้เกษตรกรในพื้นที่ได้ศึกษาและพิจารณาเป็นพืชทางเลือกเพื่อสร้างรายได้และอาชีพที่ยั่งยืนให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ในการแก้ปัญหาค้ายาเสพติดอย่างรุนแรงในพื้นที่ “ วว. ได้มอบเบญจมาศสายพันธุ์ดี ต้นกล้าที่แข็งแรง ทางโครงการฯ มีหน้าที่ในการดูแลรักษาต่อไป การทํางานร่วมกันเป็นอย่างดีระหว่าง วว. และ โครงการร้อยใจรักษ์ ในวันนี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี สําหรับในอนาคตทางโครงการฯ มุ่งพัฒนาแหล่งปลูกเบญจมาศนี้ ให้ขึ้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวประจําจังหวัด ซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างเศรษฐกิจให้แก่ชุมชนต่อไป...” ผู้อํานวยการโครงการร้อยใจรักษ์ กล่าวในตอนท้าย ข้อมูลข่าวโดย : สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29086
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีวอนคนไทยใช้มีสติในการดำรงชีวิตประจำวัน รู้จักยับยั้งชั่งใจ พร้อมขอให้ติดตามการแก้ไขปัญหาภาคใต้จากเจ้าหน้าที่ อย่าสร้างแรงกดดัน และขยายความจนเกิดความขัดแย้ง
วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน 2559 นายกรัฐมนตรีวอนคนไทยใช้มีสติในการดํารงชีวิตประจําวัน รู้จักยับยั้งชั่งใจ พร้อมขอให้ติดตามการแก้ไขปัญหาภาคใต้จากเจ้าหน้าที่ อย่าสร้างแรงกดดัน และขยายความจนเกิดความขัดแย้ง นายกรัฐมนตรีวอนคนไทยใช้มีสติในการดํารงชีวิตประจําวัน รู้จักยับยั้งชั่งใจ พร้อมขอให้ติดตามการแก้ไขปัญหาภาคใต้จากเจ้าหน้าที่ อย่าสร้างแรงกดดัน และขยายความจนเกิดความขัดแย้ง นายกรัฐมนตรีวอนคนไทยใช้มีสติในการดํารงชีวิตประจําวัน รู้จักยับยั้งชั่งใจ พร้อมขอให้ติดตามการแก้ไขปัญหาภาคใต้จากเจ้าหน้าที่ อย่าสร้างแรงกดดัน และขยายความจนเกิดความขัดแย้ง วันนี้ (8 พฤศจิกายน 2559) เวลา 13.40 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันว่า ขอให้ทุกคนมีความยับยั้งชั่งใจ เพราะจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่สังคม และขอให้มีสติในการใช้ชีวิตประจําวัน รวมทั้งมีความเห็นใจซึ่งกันและกัน จะทําสิ่งใดขอให้ที่เจตนาก่อน สําหรับผู้กระทําความผิดต้องดําเนินการตามกฎหมาย สําหรับสถานการณ์ทางภาคใต้ถือเป็นความก้าวหน้าในการพัฒนาเรื่องของการเจรจา แต่จะไม่มีการแถลงข่าวภายหลังการพูดคุย เพราะจะเป็นการสร้างแรงกดดันระหว่างกัน ขอให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่ได้รับมอบหมายโดยตรง ซึ่งมีอยู่หลายกลุ่มงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ขอให้ติดตามการทํางานของเจ้าหน้าที่ และไม่ต้องการให้ขยายความ หรือติติงเจ้าหน้าที่ และฝ่ายตรงข้าม เพราะไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงและเกิดความสูญเสียตามมา ที่ผ่านมาได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทํางานด้วยความรู้ความสามารถ ใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกัน ----------------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีวอนคนไทยใช้มีสติในการดำรงชีวิตประจำวัน รู้จักยับยั้งชั่งใจ พร้อมขอให้ติดตามการแก้ไขปัญหาภาคใต้จากเจ้าหน้าที่ อย่าสร้างแรงกดดัน และขยายความจนเกิดความขัดแย้ง วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน 2559 นายกรัฐมนตรีวอนคนไทยใช้มีสติในการดํารงชีวิตประจําวัน รู้จักยับยั้งชั่งใจ พร้อมขอให้ติดตามการแก้ไขปัญหาภาคใต้จากเจ้าหน้าที่ อย่าสร้างแรงกดดัน และขยายความจนเกิดความขัดแย้ง นายกรัฐมนตรีวอนคนไทยใช้มีสติในการดํารงชีวิตประจําวัน รู้จักยับยั้งชั่งใจ พร้อมขอให้ติดตามการแก้ไขปัญหาภาคใต้จากเจ้าหน้าที่ อย่าสร้างแรงกดดัน และขยายความจนเกิดความขัดแย้ง นายกรัฐมนตรีวอนคนไทยใช้มีสติในการดํารงชีวิตประจําวัน รู้จักยับยั้งชั่งใจ พร้อมขอให้ติดตามการแก้ไขปัญหาภาคใต้จากเจ้าหน้าที่ อย่าสร้างแรงกดดัน และขยายความจนเกิดความขัดแย้ง วันนี้ (8 พฤศจิกายน 2559) เวลา 13.40 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันว่า ขอให้ทุกคนมีความยับยั้งชั่งใจ เพราะจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่สังคม และขอให้มีสติในการใช้ชีวิตประจําวัน รวมทั้งมีความเห็นใจซึ่งกันและกัน จะทําสิ่งใดขอให้ที่เจตนาก่อน สําหรับผู้กระทําความผิดต้องดําเนินการตามกฎหมาย สําหรับสถานการณ์ทางภาคใต้ถือเป็นความก้าวหน้าในการพัฒนาเรื่องของการเจรจา แต่จะไม่มีการแถลงข่าวภายหลังการพูดคุย เพราะจะเป็นการสร้างแรงกดดันระหว่างกัน ขอให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่ได้รับมอบหมายโดยตรง ซึ่งมีอยู่หลายกลุ่มงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ขอให้ติดตามการทํางานของเจ้าหน้าที่ และไม่ต้องการให้ขยายความ หรือติติงเจ้าหน้าที่ และฝ่ายตรงข้าม เพราะไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงและเกิดความสูญเสียตามมา ที่ผ่านมาได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทํางานด้วยความรู้ความสามารถ ใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกัน ----------------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/751
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. กำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือเยียวยาสภาพจิตใจเด็กนักเรียนที่ถูกครูและศิษย์เก่าของโรงเรียน ล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.มุกดาหาร
วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม 2563 รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือเยียวยาสภาพจิตใจเด็กนักเรียนที่ถูกครูและศิษย์เก่าของโรงเรียน ล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.มุกดาหาร รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือเยียวยาสภาพจิตใจเด็กนักเรียนที่ถูกครูและศิษย์เก่าของโรงเรียน ล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.มุกดาหาร วันที่ 10 พ.ค. 63 เวลา 12.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยถึงกรณีเด็กนักเรียนหญิง 2 คน ชั้น ม.4 และ ม.2 ถูกครูประจําโรงเรียน จํานวน 5 คน และศิษย์เก่าของโรงเรียน อีก 2 คน ล่วงละเมิดทางเพศในจังหวัดมุกดาหาร นั้น ตนได้สั่งการให้กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ส่งเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ให้ความช่วยเหลือทั้งด้านกฎหมาย ด้านความปลอดภัย และด้านสภาพจิตใจโดยการให้คําปรึกษาทางจิตวิทยาด้วย นายจุติ กล่าวต่อว่า สําหรับเรื่องคดีความนั้น ขอให้ทุกฝ่ายให้ความเป็นธรรมตามกระบวนการทางกฎหมาย แต่สังคมมีความกังวลเรื่องการใช้อํานาจหรือการช่วยเหลือผู้ต้องหา อาจมีการข่มขู่คุกคามเกิดขึ้นได้ ตนจึงจอให้สังคมมีความเข้าใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคน ซึ่งเราทุกคนมีหน้าที่ดูแลปกป้องเด็กให้เหมือนลูกหลานของเราเอง และมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่จะดําเนินการช่วยเหลือตามกระบวนการยุติธรรมอย่างเสมอภาค นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ นางสุภัชชา สุทธิพล อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน ได้ส่งเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดมุกดาหาร ร่วมกับทีม one home พม. จังหวัดมุกดาหาร เข้าช่วยเหลือและให้การคุ้มครองเด็กตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 อย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่ต้นแล้ว ซึ่งจากการพูดคุย เด็กทั้ง 2 คนมีการคลายความวิตกกังวลได้ในระดับหนึ่ง ผู้ปกครองมีความเข้าใจ และร่วมดูแลเด็กอย่างดี พร้อมทั้งมีการจัดหาที่พักปลอดภัยให้กับเด็กตามความประสงค์ โดยให้เด็กทั้ง 2 คน ไปอยู่ที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดมุกดาหารเป็นการชั่วคราว หรือที่อื่น แล้วแต่ความสมัครใจของเด็กและของทุกฝ่ายร่วมกัน ทั้งนี้ หากประชาชนประสบปัญหาทางสังคม หรือพบเห็นผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ สามารถโทรแจ้ง ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้คําปรึกษาและดําเนินการช่วยเหลืออย่างเต็มที่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. กำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือเยียวยาสภาพจิตใจเด็กนักเรียนที่ถูกครูและศิษย์เก่าของโรงเรียน ล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.มุกดาหาร วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม 2563 รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือเยียวยาสภาพจิตใจเด็กนักเรียนที่ถูกครูและศิษย์เก่าของโรงเรียน ล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.มุกดาหาร รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือเยียวยาสภาพจิตใจเด็กนักเรียนที่ถูกครูและศิษย์เก่าของโรงเรียน ล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.มุกดาหาร วันที่ 10 พ.ค. 63 เวลา 12.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยถึงกรณีเด็กนักเรียนหญิง 2 คน ชั้น ม.4 และ ม.2 ถูกครูประจําโรงเรียน จํานวน 5 คน และศิษย์เก่าของโรงเรียน อีก 2 คน ล่วงละเมิดทางเพศในจังหวัดมุกดาหาร นั้น ตนได้สั่งการให้กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ส่งเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ให้ความช่วยเหลือทั้งด้านกฎหมาย ด้านความปลอดภัย และด้านสภาพจิตใจโดยการให้คําปรึกษาทางจิตวิทยาด้วย นายจุติ กล่าวต่อว่า สําหรับเรื่องคดีความนั้น ขอให้ทุกฝ่ายให้ความเป็นธรรมตามกระบวนการทางกฎหมาย แต่สังคมมีความกังวลเรื่องการใช้อํานาจหรือการช่วยเหลือผู้ต้องหา อาจมีการข่มขู่คุกคามเกิดขึ้นได้ ตนจึงจอให้สังคมมีความเข้าใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคน ซึ่งเราทุกคนมีหน้าที่ดูแลปกป้องเด็กให้เหมือนลูกหลานของเราเอง และมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่จะดําเนินการช่วยเหลือตามกระบวนการยุติธรรมอย่างเสมอภาค นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ นางสุภัชชา สุทธิพล อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน ได้ส่งเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดมุกดาหาร ร่วมกับทีม one home พม. จังหวัดมุกดาหาร เข้าช่วยเหลือและให้การคุ้มครองเด็กตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 อย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่ต้นแล้ว ซึ่งจากการพูดคุย เด็กทั้ง 2 คนมีการคลายความวิตกกังวลได้ในระดับหนึ่ง ผู้ปกครองมีความเข้าใจ และร่วมดูแลเด็กอย่างดี พร้อมทั้งมีการจัดหาที่พักปลอดภัยให้กับเด็กตามความประสงค์ โดยให้เด็กทั้ง 2 คน ไปอยู่ที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดมุกดาหารเป็นการชั่วคราว หรือที่อื่น แล้วแต่ความสมัครใจของเด็กและของทุกฝ่ายร่วมกัน ทั้งนี้ หากประชาชนประสบปัญหาทางสังคม หรือพบเห็นผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ สามารถโทรแจ้ง ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้คําปรึกษาและดําเนินการช่วยเหลืออย่างเต็มที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30666
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินปิดบางสาขาที่ประชาชนหนาแน่นชั่วคราว แจงมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ไม่ต้องมาที่ธนาคารฯ [กระทรวงการคลัง]
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563 ออมสินปิดบางสาขาที่ประชาชนหนาแน่นชั่วคราว แจงมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ไม่ต้องมาที่ธนาคารฯ [กระทรวงการคลัง] ออมสินปิดบางสาขาที่ประชาชนหนาแน่นชั่วคราว แจงมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ไม่ต้องมาที่ธนาคารฯ ...เงินพร้อมโอนเข้าบัญชีทุกธนาคาร ไม่ต้องรีบ ...ลงทะเบียนที่บ้านได้ 24 ชั่วโมง วอนทําตามรัฐบาลแนะนํา “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การลงทะเบียนรับสิทธิตามมาตรการเยียวยา 5,000 บาท (3 เดือน) ซึ่งจะเปิดให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ในวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป และเว็บไซต์จะเปิดตลอด 24 ชม. ดังนั้น ในขณะนี้ประชาชนไม่จําเป็นต้องเดินทางไปที่สาขาของธนาคารเพื่อเปิดบัญชีใหม่หรือเพื่อลงทะเบียน โดยประชาชนสามารถลงทะเบียนได้ด้วยตนเอง หรือให้ผู้ใกล้ชิดช่วยลงทะเบียนให้ได้ อีกทั้ง ประชาชนไม่จําเป็นต้องเปิดบัญชีธนาคารใหม่ที่ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ เนื่องจากในขั้นตอนการจ่ายเงิน กระทรวงการคลังสามารถโอนเงินไปได้ทุกธนาคารที่ท่านมีบัญชีอยู่แล้วและได้ลงทะเบียนไว้ โดยมีเงื่อนไขเพียงชื่อและนามสกุลเจ้าของบัญชีจะต้องตรงกับชื่อและนามสกุลที่ลงทะเบียนไว้ นอกจากนี้ สามารถเลือกให้โอนเข้าพร้อมเพย์ที่ผูกกับหมายเลขประจําตัวประชาชนก็ได้ โดยประชาชนจะได้รับเงินเร็วที่สุด 7 วันทําการหลังจากการลงทะเบียนและตรวจสอบผ่านเกณฑ์คุณสมบัติที่กําหนด ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้กําหนดให้การลงทะเบียนและจ่ายเงินเป็นการดําเนินการผ่านระบบออนไลน์เป็นหลัก เพื่อความสะดวกและปลอดภัยของประชาชนมากที่สุด และให้สอดรับกับแนวปฏิบัติของกระทรวงสาธารณสุขในการอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ Call Center ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) โทร. 02-111-1144 และ สํานักนโยบายการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3558 3563 3557 3569 3556
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินปิดบางสาขาที่ประชาชนหนาแน่นชั่วคราว แจงมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ไม่ต้องมาที่ธนาคารฯ [กระทรวงการคลัง] วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563 ออมสินปิดบางสาขาที่ประชาชนหนาแน่นชั่วคราว แจงมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ไม่ต้องมาที่ธนาคารฯ [กระทรวงการคลัง] ออมสินปิดบางสาขาที่ประชาชนหนาแน่นชั่วคราว แจงมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ไม่ต้องมาที่ธนาคารฯ ...เงินพร้อมโอนเข้าบัญชีทุกธนาคาร ไม่ต้องรีบ ...ลงทะเบียนที่บ้านได้ 24 ชั่วโมง วอนทําตามรัฐบาลแนะนํา “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การลงทะเบียนรับสิทธิตามมาตรการเยียวยา 5,000 บาท (3 เดือน) ซึ่งจะเปิดให้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ในวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป และเว็บไซต์จะเปิดตลอด 24 ชม. ดังนั้น ในขณะนี้ประชาชนไม่จําเป็นต้องเดินทางไปที่สาขาของธนาคารเพื่อเปิดบัญชีใหม่หรือเพื่อลงทะเบียน โดยประชาชนสามารถลงทะเบียนได้ด้วยตนเอง หรือให้ผู้ใกล้ชิดช่วยลงทะเบียนให้ได้ อีกทั้ง ประชาชนไม่จําเป็นต้องเปิดบัญชีธนาคารใหม่ที่ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ เนื่องจากในขั้นตอนการจ่ายเงิน กระทรวงการคลังสามารถโอนเงินไปได้ทุกธนาคารที่ท่านมีบัญชีอยู่แล้วและได้ลงทะเบียนไว้ โดยมีเงื่อนไขเพียงชื่อและนามสกุลเจ้าของบัญชีจะต้องตรงกับชื่อและนามสกุลที่ลงทะเบียนไว้ นอกจากนี้ สามารถเลือกให้โอนเข้าพร้อมเพย์ที่ผูกกับหมายเลขประจําตัวประชาชนก็ได้ โดยประชาชนจะได้รับเงินเร็วที่สุด 7 วันทําการหลังจากการลงทะเบียนและตรวจสอบผ่านเกณฑ์คุณสมบัติที่กําหนด ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้กําหนดให้การลงทะเบียนและจ่ายเงินเป็นการดําเนินการผ่านระบบออนไลน์เป็นหลัก เพื่อความสะดวกและปลอดภัยของประชาชนมากที่สุด และให้สอดรับกับแนวปฏิบัติของกระทรวงสาธารณสุขในการอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ Call Center ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) โทร. 02-111-1144 และ สํานักนโยบายการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3558 3563 3557 3569 3556
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28005
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ หารือแนวทางขับเคลื่อนกิจกรรม ตามโครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน” โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง
วันอังคารที่ 24 เมษายน 2561 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ หารือแนวทางขับเคลื่อนกิจกรรม ตามโครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน” โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง นายเกิดโชค เกษมวงศ์จิตร รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เป็นประธานการประชุมวางแผนการดําเนินงานและกําหนดแนวทางการขับเคลื่อนกิจกรรม ตามโครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน” ในวันอังคารที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ นายเกิดโชค เกษมวงศ์จิตร รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เป็นประธานการประชุมวางแผนการดําเนินงานและกําหนดแนวทางการขับเคลื่อนกิจกรรม ตามโครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน” เพื่อร่วมกันวางแผนการดําเนินงานและกําหนดแนวทางการขับเคลื่อนกิจกรรมดังกล่าวฯ โดยมี เครือข่ายอาสาสมัครคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และผู้นําชุมชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง จํานวน ๕๐ คน เข้าร่วมฯ โดยที่ประชุมได้รับฟังความคิดเห็น สภาพปัญหา และความต้องการของผู้นําชุมชนและตัวแทนในแต่ละพื้นที่ ที่ต้องการให้กระทรวงยุติธรรมเข้าไปช่วยเหลือสนับสนุน หรือส่งเสริมความรู้เบื้องต้น โดยส่วนใหญ่พบปัญหาในพื้นที่ อาทิ ปัญหาเด็กติดเกม การพนัน โต๊ะบอล ผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ง และยาเสพติด เป็นต้น ทั้งนี้ ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากที่ประชุมจะนําไปหาแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ หารือแนวทางขับเคลื่อนกิจกรรม ตามโครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน” โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง วันอังคารที่ 24 เมษายน 2561 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ หารือแนวทางขับเคลื่อนกิจกรรม ตามโครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน” โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง นายเกิดโชค เกษมวงศ์จิตร รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เป็นประธานการประชุมวางแผนการดําเนินงานและกําหนดแนวทางการขับเคลื่อนกิจกรรม ตามโครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน” ในวันอังคารที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ นายเกิดโชค เกษมวงศ์จิตร รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เป็นประธานการประชุมวางแผนการดําเนินงานและกําหนดแนวทางการขับเคลื่อนกิจกรรม ตามโครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน” เพื่อร่วมกันวางแผนการดําเนินงานและกําหนดแนวทางการขับเคลื่อนกิจกรรมดังกล่าวฯ โดยมี เครือข่ายอาสาสมัครคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และผู้นําชุมชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง จํานวน ๕๐ คน เข้าร่วมฯ โดยที่ประชุมได้รับฟังความคิดเห็น สภาพปัญหา และความต้องการของผู้นําชุมชนและตัวแทนในแต่ละพื้นที่ ที่ต้องการให้กระทรวงยุติธรรมเข้าไปช่วยเหลือสนับสนุน หรือส่งเสริมความรู้เบื้องต้น โดยส่วนใหญ่พบปัญหาในพื้นที่ อาทิ ปัญหาเด็กติดเกม การพนัน โต๊ะบอล ผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ง และยาเสพติด เป็นต้น ทั้งนี้ ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากที่ประชุมจะนําไปหาแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11725
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ."ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล" ลงพื้นที่โครงการวิจัยอาชีวะ เศรษฐกิจพอเพียง และศาสตร์พระราชา ที่ จ.สุพรรณบุรี และพระนครศรีอยุธยา
วันอังคารที่ 19 กันยายน 2560 รมช.ศธ."ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล" ลงพื้นที่โครงการวิจัยอาชีวะ เศรษฐกิจพอเพียง และศาสตร์พระราชา ที่ จ.สุพรรณบุรี และพระนครศรีอยุธยา ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรีและพระนครศรีอยุธยา เพื่อตรวจเยี่ยมการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ ด้านการจัดการเรียนอาชีวศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่นและประเทศ ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี493/2560 รมช.ศธ."ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล" ลงพื้นที่โครงการวิจัยอาชีวะ เศรษฐกิจพอเพียง และศาสตร์พระราชา ที่ จ.สุพรรณบุรี และพระนครศรีอยุธยา • ตรวจเยี่ยมโครงการวิจัย-ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ที่ วษท.สุพรรณบุรี เวลา 8.30 น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมช.ศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการสภาการศึกษา ตลอดจนผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการวิจัยและพัฒนาการเพาะอาหารสัตว์น้ํา และศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ณ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุพรรณบุรี (วษท.) อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวมีใจความตอนหนึ่งว่า ขอให้ผู้บริหารทุกระดับร่วมขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรม ตามกรอบแนวคิด 5 ประการ กล่าวคือ ความพอเพียง ความกตัญญู ความซื่อสัตย์สุจริต ความรับผิดชอบ และอุดมการณ์คุณธรรม พร้อมถ่ายทอดขยายผลไปยังสถานศึกษาอื่นในพื้นที่และจังหวัด เพื่อถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (ในหลวงรัชกาลที่ 9) ตลอดจนถึงน้อมนําพระบรมราโชบายของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (ในหลวงรัชกาลที่ 10) สู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้การศึกษามุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน 4 ด้าน ไม่ว่าจะเป็น มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง, มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรม, มีงานทํา มีอาชีพ และเป็นพลเมืองดี นอกจากนี้ ขอให้จัดการศึกษาโดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืนพร้อมร่วมมือกับสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม ในการให้ความรู้ความเข้าใจกับนักเรียน เพื่อส่งเสริมศักยภาพแรงงานให้ผู้เรียนเป็นผู้ประกอบการและมีความรู้ที่แท้จริง รวมทั้งพัฒนางานวิจัย นวัตกรรม และสิ่งประดิษฐ์ ทั้งด้านเกษตรกรรม ประมง การเพาะเลี้ยงสัตว์ รวมไปถึงอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม เพื่อผลิตอาหารที่มีมาตรฐานปลอดภัย ตลอดจนถึงพัฒนาฟาร์มตัวอย่าง เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนและเกษตรกรได้มาศึกษาดูงาน ในส่วนของงานประชาสัมพันธ์เป็นเรื่องสําคัญจําเป็นต่อการนําเสนอองค์ความรู้ งานวิจัย และนวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ของวิทยาลัยให้สังคมได้รับรู้ โดยจะต้องร่วมมือกับหน่วยงานในท้องถิ่นให้ช่วยกระจายข่าว เผยแพร่ผลงานเด่นด้านการเกษตรและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําของวิทยาลัยออกไปในวงกว้างมากขึ้น ที่นอกจากจะช่วยสร้างการรับรู้ ต่อยอดการพัฒนาท้องถิ่น สร้างงานสร้างอาชีพแก่ลูกหลานเยาวชนในอนาคตแล้ว ยังสามารถเพิ่มปริมาณผู้เรียนอาชีวะมากขึ้นด้วย จึงขอฝากให้มีการประสานงานเพื่อเข้าไปแนะแนวการเรียนต่ออาชีวะในโรงเรียนต่าง ๆ ด้วย ในส่วนของการเพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการของวิทยาลัยเป็นหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ และสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ที่จะต้องติดตาม สนับสนุน และขบคิดร่วมกันเพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปตามแผนการศึกษาแห่งชาติ ทั้งการพัฒนาครูคณาจารย์ ผู้มีความตั้งใจ ทุ่มเท และเสียสละเพื่อพัฒนาลูกศิษย์อย่างเต็มที่ ให้ได้อยู่ดีมีความสุข, งบประมาณในการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมรองรับการขับเคลื่อนประเทศ การจัดการศึกษารองรับเด็กพิการ ตลอดจนปรับปรุงหอพักนักเรียนให้เพียงพอกับความต้องการ นายถาวร ทิพวรรณ ผู้อํานวยการวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุพรรณบุรีกล่าวรายงานการดําเนินงาน มีใจความตอนหนึ่งว่า วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุพรรณบุรี เป็น1 ใน 10 แห่งของสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคกลาง ปัจจุบันจัดการเรียนการสอน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ใน 6 แผนกวิชา ได้แก่ แผนกวิชาพืชศาสตร์, แผนกวิชาสัตวศาสตร์, แผนกวิชาประมง, แผนกวิชาธุรกิจเกษตร, แผนกวิชาสามัญสัมพันธ์ และแผนกวิชาอุตสาหกรรมเกษตร มีนักเรียนนักศึกษา รวม 597 คน มีครูและบุคลากร รวม 79 คน โดยมีผลการดําเนินงานสําคัญหลายประการ อาทิ - การปรับแผนการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี แผนพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 12 แผนการศึกษาแห่งชาติ ตลอดจนนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ - โครงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเพาะเลี้ยงอาหารสัตว์น้ํามีชีวิตสู่เกษตรกรรุ่นใหม่ยุค THAILAND 4.0 พร้อมขยายผลเป็น Smart Farming โดยได้เพาะเลี้ยงและพัฒนาสายพันธุ์สัตว์น้ํา ทั้งไรแดง ไรน้ํานางฟ้า กุ้งพิ้งค์สุพรรณ เป็นต้น โดยเฉพาะไรน้ํานางฟ้า ซึ่งเป็นการค้นพบสัตว์น้ําชนิดใหม่ของโลก สําหรับเป็นอาหารสัตว์น้ําโดยเฉพาะปลาสวยงาม ที่มีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 350-450 บาท - การจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาเกษตรอย่างยั่งยืน เพื่ออบรมถ่ายทอดองค์ความรู้และศาสตร์พระราชาสู่นักเรียนนักศึกษาในวิทยาลัยและโรงเรียนประถมศึกษาในเครือข่าย ตลอดจนเกษตรกรและประชาชนในชุมชน โดยเน้นการวิจัย พัฒนา และสร้างนวัตกรรมด้านการเกษตร ด้วยสื่อ เทคโนโลยี และวิทยาการสมัยใหม่ ตอบโจทย์การพัฒนาพื้นที่ • บรรยายศาสตร์พระราชากับพัฒนาการทางการศึกษา เวลา 11.30 น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมช.ศึกษาธิการ พบปะสนทนากับผู้บริหาร คณาจารย์ และลูกหลานนักเรียนโรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย พร้อมบรรยายพิเศษ "ศาสตร์พระราชากับพัฒนาการทางการศึกษา และสืบสานพระราชปณิธานโรงเรียนคุณธรรม" ที่หอประชุมโรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย อ.เมืองสุพรรณบุรี จ.สุพรรณบุรี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวว่า ในยามที่ประเทศกําลังเตรียมงานพระราชพิธีสําคัญในช่วงเดือนตุลาคมนี้ ขอให้ทุกคนโดยเฉพาะลูกหลานเยาวชน มีความเข้มแข็ง ยึดแนวคิดของพ่อแม่ครูบาอาจารย์เป็นหลักในการดํารงชีวิต ตั้งใจหมั่นศึกษาเล่าเรียน เพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้กับพ่อแม่ผู้ปกครอง ตลอดจนยึดมั่นหลักคําสอนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงเป็นต้นแบบของปวงชนชาวไทย ในเรื่องของความพอเพียง ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความซื่อสัตย์และสุจริต และในอนาคตภายภาคหน้า อยากเห็นคนไทยรักและหวงแหนแผ่นดิน ตลอดจนเอกลักษณ์ของความเป็นชาติ ซึ่งมีความเฉพาะ เกิดจากการสั่งสมความดีงามมาอย่างยาวนาน เพื่อให้คงอยู่กับประเทศเราสู่รุ่นลูกหลานสืบไป นอกจากนี้ ขอฝากแนวคิดเพื่อนําไปปรับใช้ตามกาลเทศะ 4 ส่วน คือ Protocol: มีระเบียบวิธี, Etiquette: จริยธรรมและจารีตทางความคิดที่ดี, Manners:มารยาทจรรยา, Education การศึกษา (Education) ซึ่งหากสามารถผสานทั้ง 4 ส่วน เข้ากับการทํางาน การดํารงชีวิต เราก็จะมีสถานศึกษาที่ดี และประเทศก็จะน่าอยู่ สงบร่มเย็นมากขึ้น • เยี่ยมชมนิทรรศการผลงานอาชีวะ เวลา 14.30 น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมช.ศึกษาธิการ พร้อมด้วยว่าที่ร้อยตรี ไชยวุฒิ วุฑฒิรักษ์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ,นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ เดินทางไปเยี่ยมชมนิทรรศการผลงานการจัดการเรียนการสอนอาชีวะของสถานศึกษา ในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมบรรยายพิเศษ เรื่อง "ศาสตร์พระราชา" ที่หอประชุมวิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวชื่นชมสถานศึกษาในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ทั้งของรัฐและเอกชน ที่สามารถนําเทคโนโลยีสมัยใหม่ มาผนวกเข้ากับการเรียนการสอนของลูกหลานนักเรียนนักศึกษาในสาขาต่าง ๆ ให้พัฒนาเท่าเทียมและเท่าทันวิทยาการและเทคโนโลยีสมัยใหม่ พร้อมมีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาต่างประเทศ ทั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ในโครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนนักศึกษา ที่จะเป็นการสร้างชื่อเสียงสู่วิทยาลัยและประเทศ ในขณะเดียวกันก็เป็นการเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างกัน เกิดความเข้าใจกัน มีความรู้วิทยาการที่ทันสมัยตามมาตรฐานสากล ตลอดจนเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรม ความเป็นไทยที่ติดตัวลูกหลานไปในตัว ขอฝากถึงลูกหลานเยาวชนทุกคน ว่าอย่าย่อท้อต่อการทําความดีขอให้ยึดหลักรู้รักสามัคคีเป็นที่ตั้ง และไม่ควรทะเลาะเบาะแว้งกัน ให้พยายามทําหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ส่วนกระทรวงศึกษาธิการมีความพยายามที่จะหารือเพื่อลดความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเต็มที่ ซึ่งคาดว่าในอนาคตอาจต้องมีการทบทวนเกี่ยวกับการเผยแพร่สื่อหรือภาพยนตร์ที่มีความรุนแรง และร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดเรตติ้งให้มากขึ้น เพราะภาพและภาษาของความรุนแรงจากสื่อต่าง ๆ อาจเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาความรุนแรงในเด็กและเยาวชนก็เป็นได้ นอกจากนี้ ขอให้ใช้สื่อโซเชียลมีเดียด้วยความรับผิดชอบเฉกเช่นประเทศสิงคโปร์ ที่ผู้คนส่วนใหญ่ใช้สื่อโซเชียลด้วยความรับผิดชอบ โพสต์แต่สิ่งที่ดีงามถูกต้อง โดยไม่มีกฎหมายบังคับ และจะไม่ปฏิสัมพันธ์กับคนที่โพสต์ว่ากล่าวผู้อื่น หรือใช้โซเชียลมีเดียอย่างไม่รับผิดชอบ จึงฝากให้ใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์ เพื่อประโยชน์ด้านการศึกษา แชร์ข้อมูลวิชาการ แลกเปลี่ยนความรู้ เผยแพร่ผลงานกิจกรรมต่าง ๆ หรือเพื่อสร้างความรักความสมัครสมานสามัคคีให้เกิดขึ้นในวิทยาลัยให้มากขึ้น ภายหลังการบรรยาย ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ได้เยี่ยมชมนิทรรศการผลงาน นวัตกรรม และความก้าวหน้าการจัดการเรียนการสอนจากสถานศึกษาในสังกัด สอศ. รวม 14 แห่ง ซึ่งมีผลงานที่โดดเด่นมากมาย อาทิ วิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยา: นิทรรศการรถไฟฟ้าพลังงานสะอาด โครงการอยุธยาโมเดล โครงการสิ่งประดิษฐ์และหุ่นยนต์ครูดีศรีแผ่นดิน การฝึกงานไทย-จีน ไทย-อินโดนีเซีย ไทย-มาเลเซีย, วิทยาลัยอาชีวศึกษาพระนครศรีอยุธยา: การเรียนการสอนสายเทคโนโลยีบัณฑิต สาขาวิชาการโรงแรม, วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีศูนย์ศิลปาชีพบางไทร: โครงงานวิทยาศาสตร์ อาชีวศึกษา-เอสโซ่, วิทยาลัยเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการต่อเรือพระนครศรีอยุธยา: งานต่อเรือจําลอง, วิทยาลัยเทคโนโลยีอยุธยา: รถประหยัดพลังงาน, วิทยาลัยสารพัดช่างพระนครศรีอยุธยา: การเรียนการสอนในเรือนจํา ร่วมกับกรมราชทัณฑ์, วิทยาลัยเทคโนโลยีบริหารธุรกิจอยุธยา: อาชีวศึกษาวิถีพุทธ เป็นต้น ม.ล.ปนัดดา กล่าวสรุปถึงผลลัพธ์การลงพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรีและอยุธยาในครั้งนี้ ถือว่าเป็นไปในเชิงบวก โดยนักเรียนก็มีความรู้ความสามารถ เรียนดี ใช้ภาษาได้อย่างถูกต้อง พูดต่างประเทศได้อย่างไพเราะ ถูกหลักไวยากรณ์ ส่วนลูกหลานอาชีวะ ก็มีการพัฒนานวัตกรรมสมัยใหม่สู่ความเป็นสากลมากขึ้น ที่จะเป็นการอํานวยความสะดวกประชาชน และพัฒนาชุมชน จังหวัด และประเทศต่อไป นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ."ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล" ลงพื้นที่โครงการวิจัยอาชีวะ เศรษฐกิจพอเพียง และศาสตร์พระราชา ที่ จ.สุพรรณบุรี และพระนครศรีอยุธยา วันอังคารที่ 19 กันยายน 2560 รมช.ศธ."ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล" ลงพื้นที่โครงการวิจัยอาชีวะ เศรษฐกิจพอเพียง และศาสตร์พระราชา ที่ จ.สุพรรณบุรี และพระนครศรีอยุธยา ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรีและพระนครศรีอยุธยา เพื่อตรวจเยี่ยมการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ ด้านการจัดการเรียนอาชีวศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่นและประเทศ ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี493/2560 รมช.ศธ."ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล" ลงพื้นที่โครงการวิจัยอาชีวะ เศรษฐกิจพอเพียง และศาสตร์พระราชา ที่ จ.สุพรรณบุรี และพระนครศรีอยุธยา • ตรวจเยี่ยมโครงการวิจัย-ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ที่ วษท.สุพรรณบุรี เวลา 8.30 น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมช.ศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการสภาการศึกษา ตลอดจนผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการวิจัยและพัฒนาการเพาะอาหารสัตว์น้ํา และศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ณ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุพรรณบุรี (วษท.) อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวมีใจความตอนหนึ่งว่า ขอให้ผู้บริหารทุกระดับร่วมขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรม ตามกรอบแนวคิด 5 ประการ กล่าวคือ ความพอเพียง ความกตัญญู ความซื่อสัตย์สุจริต ความรับผิดชอบ และอุดมการณ์คุณธรรม พร้อมถ่ายทอดขยายผลไปยังสถานศึกษาอื่นในพื้นที่และจังหวัด เพื่อถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (ในหลวงรัชกาลที่ 9) ตลอดจนถึงน้อมนําพระบรมราโชบายของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (ในหลวงรัชกาลที่ 10) สู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้การศึกษามุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน 4 ด้าน ไม่ว่าจะเป็น มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง, มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรม, มีงานทํา มีอาชีพ และเป็นพลเมืองดี นอกจากนี้ ขอให้จัดการศึกษาโดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืนพร้อมร่วมมือกับสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม ในการให้ความรู้ความเข้าใจกับนักเรียน เพื่อส่งเสริมศักยภาพแรงงานให้ผู้เรียนเป็นผู้ประกอบการและมีความรู้ที่แท้จริง รวมทั้งพัฒนางานวิจัย นวัตกรรม และสิ่งประดิษฐ์ ทั้งด้านเกษตรกรรม ประมง การเพาะเลี้ยงสัตว์ รวมไปถึงอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม เพื่อผลิตอาหารที่มีมาตรฐานปลอดภัย ตลอดจนถึงพัฒนาฟาร์มตัวอย่าง เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนและเกษตรกรได้มาศึกษาดูงาน ในส่วนของงานประชาสัมพันธ์เป็นเรื่องสําคัญจําเป็นต่อการนําเสนอองค์ความรู้ งานวิจัย และนวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ของวิทยาลัยให้สังคมได้รับรู้ โดยจะต้องร่วมมือกับหน่วยงานในท้องถิ่นให้ช่วยกระจายข่าว เผยแพร่ผลงานเด่นด้านการเกษตรและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําของวิทยาลัยออกไปในวงกว้างมากขึ้น ที่นอกจากจะช่วยสร้างการรับรู้ ต่อยอดการพัฒนาท้องถิ่น สร้างงานสร้างอาชีพแก่ลูกหลานเยาวชนในอนาคตแล้ว ยังสามารถเพิ่มปริมาณผู้เรียนอาชีวะมากขึ้นด้วย จึงขอฝากให้มีการประสานงานเพื่อเข้าไปแนะแนวการเรียนต่ออาชีวะในโรงเรียนต่าง ๆ ด้วย ในส่วนของการเพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการของวิทยาลัยเป็นหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ และสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ที่จะต้องติดตาม สนับสนุน และขบคิดร่วมกันเพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปตามแผนการศึกษาแห่งชาติ ทั้งการพัฒนาครูคณาจารย์ ผู้มีความตั้งใจ ทุ่มเท และเสียสละเพื่อพัฒนาลูกศิษย์อย่างเต็มที่ ให้ได้อยู่ดีมีความสุข, งบประมาณในการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมรองรับการขับเคลื่อนประเทศ การจัดการศึกษารองรับเด็กพิการ ตลอดจนปรับปรุงหอพักนักเรียนให้เพียงพอกับความต้องการ นายถาวร ทิพวรรณ ผู้อํานวยการวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุพรรณบุรีกล่าวรายงานการดําเนินงาน มีใจความตอนหนึ่งว่า วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุพรรณบุรี เป็น1 ใน 10 แห่งของสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคกลาง ปัจจุบันจัดการเรียนการสอน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ใน 6 แผนกวิชา ได้แก่ แผนกวิชาพืชศาสตร์, แผนกวิชาสัตวศาสตร์, แผนกวิชาประมง, แผนกวิชาธุรกิจเกษตร, แผนกวิชาสามัญสัมพันธ์ และแผนกวิชาอุตสาหกรรมเกษตร มีนักเรียนนักศึกษา รวม 597 คน มีครูและบุคลากร รวม 79 คน โดยมีผลการดําเนินงานสําคัญหลายประการ อาทิ - การปรับแผนการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี แผนพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 12 แผนการศึกษาแห่งชาติ ตลอดจนนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ - โครงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเพาะเลี้ยงอาหารสัตว์น้ํามีชีวิตสู่เกษตรกรรุ่นใหม่ยุค THAILAND 4.0 พร้อมขยายผลเป็น Smart Farming โดยได้เพาะเลี้ยงและพัฒนาสายพันธุ์สัตว์น้ํา ทั้งไรแดง ไรน้ํานางฟ้า กุ้งพิ้งค์สุพรรณ เป็นต้น โดยเฉพาะไรน้ํานางฟ้า ซึ่งเป็นการค้นพบสัตว์น้ําชนิดใหม่ของโลก สําหรับเป็นอาหารสัตว์น้ําโดยเฉพาะปลาสวยงาม ที่มีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 350-450 บาท - การจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาเกษตรอย่างยั่งยืน เพื่ออบรมถ่ายทอดองค์ความรู้และศาสตร์พระราชาสู่นักเรียนนักศึกษาในวิทยาลัยและโรงเรียนประถมศึกษาในเครือข่าย ตลอดจนเกษตรกรและประชาชนในชุมชน โดยเน้นการวิจัย พัฒนา และสร้างนวัตกรรมด้านการเกษตร ด้วยสื่อ เทคโนโลยี และวิทยาการสมัยใหม่ ตอบโจทย์การพัฒนาพื้นที่ • บรรยายศาสตร์พระราชากับพัฒนาการทางการศึกษา เวลา 11.30 น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมช.ศึกษาธิการ พบปะสนทนากับผู้บริหาร คณาจารย์ และลูกหลานนักเรียนโรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย พร้อมบรรยายพิเศษ "ศาสตร์พระราชากับพัฒนาการทางการศึกษา และสืบสานพระราชปณิธานโรงเรียนคุณธรรม" ที่หอประชุมโรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย อ.เมืองสุพรรณบุรี จ.สุพรรณบุรี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวว่า ในยามที่ประเทศกําลังเตรียมงานพระราชพิธีสําคัญในช่วงเดือนตุลาคมนี้ ขอให้ทุกคนโดยเฉพาะลูกหลานเยาวชน มีความเข้มแข็ง ยึดแนวคิดของพ่อแม่ครูบาอาจารย์เป็นหลักในการดํารงชีวิต ตั้งใจหมั่นศึกษาเล่าเรียน เพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้กับพ่อแม่ผู้ปกครอง ตลอดจนยึดมั่นหลักคําสอนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงเป็นต้นแบบของปวงชนชาวไทย ในเรื่องของความพอเพียง ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความซื่อสัตย์และสุจริต และในอนาคตภายภาคหน้า อยากเห็นคนไทยรักและหวงแหนแผ่นดิน ตลอดจนเอกลักษณ์ของความเป็นชาติ ซึ่งมีความเฉพาะ เกิดจากการสั่งสมความดีงามมาอย่างยาวนาน เพื่อให้คงอยู่กับประเทศเราสู่รุ่นลูกหลานสืบไป นอกจากนี้ ขอฝากแนวคิดเพื่อนําไปปรับใช้ตามกาลเทศะ 4 ส่วน คือ Protocol: มีระเบียบวิธี, Etiquette: จริยธรรมและจารีตทางความคิดที่ดี, Manners:มารยาทจรรยา, Education การศึกษา (Education) ซึ่งหากสามารถผสานทั้ง 4 ส่วน เข้ากับการทํางาน การดํารงชีวิต เราก็จะมีสถานศึกษาที่ดี และประเทศก็จะน่าอยู่ สงบร่มเย็นมากขึ้น • เยี่ยมชมนิทรรศการผลงานอาชีวะ เวลา 14.30 น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมช.ศึกษาธิการ พร้อมด้วยว่าที่ร้อยตรี ไชยวุฒิ วุฑฒิรักษ์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ,นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ เดินทางไปเยี่ยมชมนิทรรศการผลงานการจัดการเรียนการสอนอาชีวะของสถานศึกษา ในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมบรรยายพิเศษ เรื่อง "ศาสตร์พระราชา" ที่หอประชุมวิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวชื่นชมสถานศึกษาในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ทั้งของรัฐและเอกชน ที่สามารถนําเทคโนโลยีสมัยใหม่ มาผนวกเข้ากับการเรียนการสอนของลูกหลานนักเรียนนักศึกษาในสาขาต่าง ๆ ให้พัฒนาเท่าเทียมและเท่าทันวิทยาการและเทคโนโลยีสมัยใหม่ พร้อมมีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาต่างประเทศ ทั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ในโครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนนักศึกษา ที่จะเป็นการสร้างชื่อเสียงสู่วิทยาลัยและประเทศ ในขณะเดียวกันก็เป็นการเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างกัน เกิดความเข้าใจกัน มีความรู้วิทยาการที่ทันสมัยตามมาตรฐานสากล ตลอดจนเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรม ความเป็นไทยที่ติดตัวลูกหลานไปในตัว ขอฝากถึงลูกหลานเยาวชนทุกคน ว่าอย่าย่อท้อต่อการทําความดีขอให้ยึดหลักรู้รักสามัคคีเป็นที่ตั้ง และไม่ควรทะเลาะเบาะแว้งกัน ให้พยายามทําหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ส่วนกระทรวงศึกษาธิการมีความพยายามที่จะหารือเพื่อลดความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเต็มที่ ซึ่งคาดว่าในอนาคตอาจต้องมีการทบทวนเกี่ยวกับการเผยแพร่สื่อหรือภาพยนตร์ที่มีความรุนแรง และร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดเรตติ้งให้มากขึ้น เพราะภาพและภาษาของความรุนแรงจากสื่อต่าง ๆ อาจเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาความรุนแรงในเด็กและเยาวชนก็เป็นได้ นอกจากนี้ ขอให้ใช้สื่อโซเชียลมีเดียด้วยความรับผิดชอบเฉกเช่นประเทศสิงคโปร์ ที่ผู้คนส่วนใหญ่ใช้สื่อโซเชียลด้วยความรับผิดชอบ โพสต์แต่สิ่งที่ดีงามถูกต้อง โดยไม่มีกฎหมายบังคับ และจะไม่ปฏิสัมพันธ์กับคนที่โพสต์ว่ากล่าวผู้อื่น หรือใช้โซเชียลมีเดียอย่างไม่รับผิดชอบ จึงฝากให้ใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์ เพื่อประโยชน์ด้านการศึกษา แชร์ข้อมูลวิชาการ แลกเปลี่ยนความรู้ เผยแพร่ผลงานกิจกรรมต่าง ๆ หรือเพื่อสร้างความรักความสมัครสมานสามัคคีให้เกิดขึ้นในวิทยาลัยให้มากขึ้น ภายหลังการบรรยาย ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ได้เยี่ยมชมนิทรรศการผลงาน นวัตกรรม และความก้าวหน้าการจัดการเรียนการสอนจากสถานศึกษาในสังกัด สอศ. รวม 14 แห่ง ซึ่งมีผลงานที่โดดเด่นมากมาย อาทิ วิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยา: นิทรรศการรถไฟฟ้าพลังงานสะอาด โครงการอยุธยาโมเดล โครงการสิ่งประดิษฐ์และหุ่นยนต์ครูดีศรีแผ่นดิน การฝึกงานไทย-จีน ไทย-อินโดนีเซีย ไทย-มาเลเซีย, วิทยาลัยอาชีวศึกษาพระนครศรีอยุธยา: การเรียนการสอนสายเทคโนโลยีบัณฑิต สาขาวิชาการโรงแรม, วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีศูนย์ศิลปาชีพบางไทร: โครงงานวิทยาศาสตร์ อาชีวศึกษา-เอสโซ่, วิทยาลัยเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการต่อเรือพระนครศรีอยุธยา: งานต่อเรือจําลอง, วิทยาลัยเทคโนโลยีอยุธยา: รถประหยัดพลังงาน, วิทยาลัยสารพัดช่างพระนครศรีอยุธยา: การเรียนการสอนในเรือนจํา ร่วมกับกรมราชทัณฑ์, วิทยาลัยเทคโนโลยีบริหารธุรกิจอยุธยา: อาชีวศึกษาวิถีพุทธ เป็นต้น ม.ล.ปนัดดา กล่าวสรุปถึงผลลัพธ์การลงพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรีและอยุธยาในครั้งนี้ ถือว่าเป็นไปในเชิงบวก โดยนักเรียนก็มีความรู้ความสามารถ เรียนดี ใช้ภาษาได้อย่างถูกต้อง พูดต่างประเทศได้อย่างไพเราะ ถูกหลักไวยากรณ์ ส่วนลูกหลานอาชีวะ ก็มีการพัฒนานวัตกรรมสมัยใหม่สู่ความเป็นสากลมากขึ้น ที่จะเป็นการอํานวยความสะดวกประชาชน และพัฒนาชุมชน จังหวัด และประเทศต่อไป นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6778
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแจกหนังสือ “The SPEED of Trust” ให้คณะรัฐมนตรีหวังปลุกกำลังใจการทำงาน เผยพยายามปรับปรุงตัว ระบุ “ไม่ค่อยน่ารักแต่ทำงานเกินร้อย”
วันอังคารที่ 12 กันยายน 2560 นายกรัฐมนตรีแจกหนังสือ “The SPEED of Trust” ให้คณะรัฐมนตรีหวังปลุกกําลังใจการทํางาน เผยพยายามปรับปรุงตัว ระบุ “ไม่ค่อยน่ารักแต่ทํางานเกินร้อย” นายกรัฐมนตรีแจกหนังสือ “The SPEED of Trust” ให้คณะรัฐมนตรีหวังปลุกกําลังใจการทํางาน เผยพยายามปรับปรุงตัว ระบุ “ไม่ค่อยน่ารักแต่ทํางานเกินร้อย” วันนี้ (12 กันยายน 2560) เวลา 16.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า วันนี้ได้แจกหนังสือ 1 เล่มให้ ครม.ไปอ่านกันชื่อว่า The SPEED of Trust เป็นหนังสือเกี่ยวกับการสร้างความไว้วางใจ คนเขียนเป็นคนมีชื่อเสียงของโลกเกี่ยวกับการสร้างแรงบันดาลใจ กระบวนการปรับทัศนคติที่จะทําให้คนมีกําลังใจในการทํางาน มีการสร้างการปลุกจิตสํานึกให้กับตัวเองและองค์กร ซึ่งพยายามจะขับเคลื่อนเรื่องเหล่านี้มาตลอดรวมถึงตัวเองด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ผมก็ศึกษาอ่านและทําความเข้าใจ อะไรที่ผมต้องปรับแก้กับตัวเองได้ เช่น อารมณ์ร้อน พูดจาไม่เพราะ ผมก็พยายามปรับของผมไปเรื่อย แต่ท่านก็ต้องเห็นใจผมด้วยเพราะผมก็เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกัน ถึงแม้จะเป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม อาจจะไม่ค่อยน่ารักเท่าไร แต่ผมก็ทํางานเต็มที่ เกิน 100 เปอร์เซ็นต์ของผม” -----------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแจกหนังสือ “The SPEED of Trust” ให้คณะรัฐมนตรีหวังปลุกกำลังใจการทำงาน เผยพยายามปรับปรุงตัว ระบุ “ไม่ค่อยน่ารักแต่ทำงานเกินร้อย” วันอังคารที่ 12 กันยายน 2560 นายกรัฐมนตรีแจกหนังสือ “The SPEED of Trust” ให้คณะรัฐมนตรีหวังปลุกกําลังใจการทํางาน เผยพยายามปรับปรุงตัว ระบุ “ไม่ค่อยน่ารักแต่ทํางานเกินร้อย” นายกรัฐมนตรีแจกหนังสือ “The SPEED of Trust” ให้คณะรัฐมนตรีหวังปลุกกําลังใจการทํางาน เผยพยายามปรับปรุงตัว ระบุ “ไม่ค่อยน่ารักแต่ทํางานเกินร้อย” วันนี้ (12 กันยายน 2560) เวลา 16.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า วันนี้ได้แจกหนังสือ 1 เล่มให้ ครม.ไปอ่านกันชื่อว่า The SPEED of Trust เป็นหนังสือเกี่ยวกับการสร้างความไว้วางใจ คนเขียนเป็นคนมีชื่อเสียงของโลกเกี่ยวกับการสร้างแรงบันดาลใจ กระบวนการปรับทัศนคติที่จะทําให้คนมีกําลังใจในการทํางาน มีการสร้างการปลุกจิตสํานึกให้กับตัวเองและองค์กร ซึ่งพยายามจะขับเคลื่อนเรื่องเหล่านี้มาตลอดรวมถึงตัวเองด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ผมก็ศึกษาอ่านและทําความเข้าใจ อะไรที่ผมต้องปรับแก้กับตัวเองได้ เช่น อารมณ์ร้อน พูดจาไม่เพราะ ผมก็พยายามปรับของผมไปเรื่อย แต่ท่านก็ต้องเห็นใจผมด้วยเพราะผมก็เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกัน ถึงแม้จะเป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม อาจจะไม่ค่อยน่ารักเท่าไร แต่ผมก็ทํางานเต็มที่ เกิน 100 เปอร์เซ็นต์ของผม” -----------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6631
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จับมือ 8 ธนาคาร เพิ่มช่องทางรับชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ผ่านระบบ e-Payment และผู้ประกันตนมาตรา 40 ชำระเงินผ่านตู้บุญเติม
วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน 2560 ก.แรงงาน จับมือ 8 ธนาคาร เพิ่มช่องทางรับชําระเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ผ่านระบบ e-Payment และผู้ประกันตนมาตรา 40 ชําระเงินผ่านตู้บุญเติม กระทรวงแรงงาน ส่งเสริมการให้บริการภาครัฐ ขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาล Thailand 4.0 เผย นายจ้างสามารถชําระเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ผ่าน 8 ธนาคาร และผู้ประกันตนมาตรา 40 ผ่านตู้บุญเติม พร้อมให้บริการวันที่ 1 พ.ย.60 ได้ทันที นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการให้บริการชําระเงินสมทบกองทุนประกันสังคมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) และระบบ NSW การให้บริการรับเงินสมทบกองทุนประกันสังคมผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ ผ่านตู้บุญเติม ณ ห้องประชุมจอมพล ป.พิบูลสงคราม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน วันนี้ (๑ พ.ย. ๖๐) โดยกล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงฯ ระหว่างสํานักงานประกันสังคม และธนาคารที่ให้บริการรับชําระเงินสมทบกองทุนประกันสังคมและผู้ให้บริการตู้บุญเติม เป็นการตอบสนองนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล ตามแนวทางประชารัฐ มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาระบบการชําระเงินของประเทศไทย เข้าสู่ระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างครบวงจรแทนการใช้เงินสดหรือเช็ค เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวก ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการภาครัฐ ทําให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการจากภาครัฐได้อย่างสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยสํานักงานประกันสังคม ได้พัฒนารูปแบบการส่งข้อมูลการชําระเงินสมทบและการชําระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e – Payment) แทนการยื่นแบบแสดงรายการที่เป็นเอกสารและลดการใช้เงินสดหรือเช็ค ซึ่งจะทําให้นายจ้างได้รับความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย และได้พัฒนารูปแบบวิธีการต่างๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงระบบของนายจ้างที่มีความหลากหลาย รวมทั้งเพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้นายจ้างชําระเงินสมทบเพิ่มมากขึ้น ผ่าน ๗ ธนาคาร ที่พร้อมให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จํากัด (มหาชน) ธนาคารมิซูโฮ จํากัด สาขากรุงเทพมหานคร ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น และธนาคารทหารไทย จํากัด (มหาชน) ให้บริการช่องทางการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนําส่งเงินสมทบระบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ National Single Windows (NSW) นอกจากนี้ยังได้เพิ่มช่องทางการให้บริการรับชําระเงินสมทบแก่ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 โดยร่วมกับบริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จํากัด (มหาชน) เปิดให้บริการรับชําระเงินสมทบผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ผ่านตู้บุญเติม เพื่อรองรับการให้บริการผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ที่อยู่ตามตําบล หมู่บ้านที่ไม่มีสาขาธนาคาร และหน่วยบริการที่ให้บริการตั้งอยู่ กว่า 100,000 ตู้ทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน 1506 +++++++++++++++++++
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จับมือ 8 ธนาคาร เพิ่มช่องทางรับชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ผ่านระบบ e-Payment และผู้ประกันตนมาตรา 40 ชำระเงินผ่านตู้บุญเติม วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน 2560 ก.แรงงาน จับมือ 8 ธนาคาร เพิ่มช่องทางรับชําระเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ผ่านระบบ e-Payment และผู้ประกันตนมาตรา 40 ชําระเงินผ่านตู้บุญเติม กระทรวงแรงงาน ส่งเสริมการให้บริการภาครัฐ ขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาล Thailand 4.0 เผย นายจ้างสามารถชําระเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ผ่าน 8 ธนาคาร และผู้ประกันตนมาตรา 40 ผ่านตู้บุญเติม พร้อมให้บริการวันที่ 1 พ.ย.60 ได้ทันที นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการให้บริการชําระเงินสมทบกองทุนประกันสังคมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) และระบบ NSW การให้บริการรับเงินสมทบกองทุนประกันสังคมผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ ผ่านตู้บุญเติม ณ ห้องประชุมจอมพล ป.พิบูลสงคราม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน วันนี้ (๑ พ.ย. ๖๐) โดยกล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงฯ ระหว่างสํานักงานประกันสังคม และธนาคารที่ให้บริการรับชําระเงินสมทบกองทุนประกันสังคมและผู้ให้บริการตู้บุญเติม เป็นการตอบสนองนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล ตามแนวทางประชารัฐ มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาระบบการชําระเงินของประเทศไทย เข้าสู่ระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างครบวงจรแทนการใช้เงินสดหรือเช็ค เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวก ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการภาครัฐ ทําให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการจากภาครัฐได้อย่างสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยสํานักงานประกันสังคม ได้พัฒนารูปแบบการส่งข้อมูลการชําระเงินสมทบและการชําระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e – Payment) แทนการยื่นแบบแสดงรายการที่เป็นเอกสารและลดการใช้เงินสดหรือเช็ค ซึ่งจะทําให้นายจ้างได้รับความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย และได้พัฒนารูปแบบวิธีการต่างๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงระบบของนายจ้างที่มีความหลากหลาย รวมทั้งเพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้นายจ้างชําระเงินสมทบเพิ่มมากขึ้น ผ่าน ๗ ธนาคาร ที่พร้อมให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จํากัด (มหาชน) ธนาคารมิซูโฮ จํากัด สาขากรุงเทพมหานคร ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น และธนาคารทหารไทย จํากัด (มหาชน) ให้บริการช่องทางการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนําส่งเงินสมทบระบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ National Single Windows (NSW) นอกจากนี้ยังได้เพิ่มช่องทางการให้บริการรับชําระเงินสมทบแก่ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 โดยร่วมกับบริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จํากัด (มหาชน) เปิดให้บริการรับชําระเงินสมทบผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ผ่านตู้บุญเติม เพื่อรองรับการให้บริการผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ที่อยู่ตามตําบล หมู่บ้านที่ไม่มีสาขาธนาคาร และหน่วยบริการที่ให้บริการตั้งอยู่ กว่า 100,000 ตู้ทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน 1506 +++++++++++++++++++
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7720
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. พร้อมจัดส่งใบแจ้งยอดปี 59 ถึงมือสมาชิก ก.พ. นี้
วันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2560 กอช. พร้อมจัดส่งใบแจ้งยอดปี 59 ถึงมือสมาชิก ก.พ. นี้ กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เตรียมจัดส่งใบแจ้งยอดเงินประจําปี 2559 คาดถึงมือสมาชิกกลางเดือนกุมภาพันธ์ ทันยื่นเสียภาษีเงินได้ ย้ําสมาชิกตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวและยอดเงินในบัญชีให้ถูกต้อง นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. กล่าวว่า กอช. ดําเนินการจัดส่งใบแจ้งยอดเงินสมาชิก (Statement) ประจําปี 2559 ทางไปรษณีย์ไปยังที่อยู่ที่สมาชิกแจ้งไว้กว่า 525,000 รายทั่วประเทศ โดยจะให้ถึงมือสมาชิกช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งใบแจ้งยอดเงินฯ จะรายงานยอดเงินสะสมของสมาชิก ยอดเงินสมทบที่ได้รับจากรัฐ และผลประโยชน์จากการลงทุนในปีที่ผ่านมา อีกทั้งสามารถใช้เป็นเอกสารหลักฐานในการคํานวณและยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อสรรพากรอีกด้วย ทั้งนี้สมาชิก กอช. สามารถนําไปใช้ประกอบการยื่น ภ.ง.ด. 90 หรือ ภ.ง.ด.91 เพื่อขอยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในส่วนของเงินสะสมที่จ่ายเข้า กอช. ตามจริงในปี 2559 สูงสุด 13,200 บาท เต็มจํานวน อย่างไรก็ดี เมื่อสมาชิกได้รับใบแจ้งยอดเงินฯ แล้ว ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลส่วนบุคคล อาทิ ชื่อ-สกุล และที่อยู่ รวมถึงตรวจสอบยอดเงินในบัญชี ประกอบไปด้วย 4 ส่วน คือ 1. ส่วนเงินสะสม เป็นส่วนเงินออมที่สมาชิกส่งเข้ามาฝากกับ กอช. 2. ส่วนเงินสมทบ เป็นเงินที่รัฐบาลช่วยสมาชิกออม (สมาชิกที่มีช่วงอายุ 15-30 ปี สมทบสูงสุด 600 บาท/ปี, ช่วงอายุ 30-50 ปี สมทบสูงสุด 960 บาท/ปี และสําหรับผู้มีอายุ 50 ปีขึ้นไป สมทบสูงสุด 1,200 บาท/ปี) 3. ส่วนเงินสะสมที่ไม่มีสิทธิได้รับเงินสมทบ เป็นเงินออมที่สมาชิกส่งเข้ามาฝากกับ กอช. แต่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่รัฐบาลจ่ายเงินสมทบให้ อาทิ เงินสะสมช่วงที่สมาชิกมีงานทําเป็นแรงงานตามกฎหมาย เงินประกันสังคมหรือเงินบํานาญชราภาพที่โอนมาจากประกันสังคม เป็นต้น 4. ส่วนผลประโยชน์ เป็นดอกผลของเงินสะสมและเงินสมทบ สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนการออมแห่งชาติได้ที่ กอช. สายด่วนเงินออม 02-017-0789 ในวันและเวลาทําการ และติดต่อสมัครสมาชิกได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ ... “กอช. ออมสบาย ได้บํานาญ” www.nsf.or.th ฝ่ายประชาสัมพันธ์และภาพลักษณ์องค์กร : โทร. 02-017-0789 ต่อ 213, 224 Email : [email protected] ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. พร้อมจัดส่งใบแจ้งยอดปี 59 ถึงมือสมาชิก ก.พ. นี้ วันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2560 กอช. พร้อมจัดส่งใบแจ้งยอดปี 59 ถึงมือสมาชิก ก.พ. นี้ กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เตรียมจัดส่งใบแจ้งยอดเงินประจําปี 2559 คาดถึงมือสมาชิกกลางเดือนกุมภาพันธ์ ทันยื่นเสียภาษีเงินได้ ย้ําสมาชิกตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวและยอดเงินในบัญชีให้ถูกต้อง นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. กล่าวว่า กอช. ดําเนินการจัดส่งใบแจ้งยอดเงินสมาชิก (Statement) ประจําปี 2559 ทางไปรษณีย์ไปยังที่อยู่ที่สมาชิกแจ้งไว้กว่า 525,000 รายทั่วประเทศ โดยจะให้ถึงมือสมาชิกช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งใบแจ้งยอดเงินฯ จะรายงานยอดเงินสะสมของสมาชิก ยอดเงินสมทบที่ได้รับจากรัฐ และผลประโยชน์จากการลงทุนในปีที่ผ่านมา อีกทั้งสามารถใช้เป็นเอกสารหลักฐานในการคํานวณและยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อสรรพากรอีกด้วย ทั้งนี้สมาชิก กอช. สามารถนําไปใช้ประกอบการยื่น ภ.ง.ด. 90 หรือ ภ.ง.ด.91 เพื่อขอยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในส่วนของเงินสะสมที่จ่ายเข้า กอช. ตามจริงในปี 2559 สูงสุด 13,200 บาท เต็มจํานวน อย่างไรก็ดี เมื่อสมาชิกได้รับใบแจ้งยอดเงินฯ แล้ว ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลส่วนบุคคล อาทิ ชื่อ-สกุล และที่อยู่ รวมถึงตรวจสอบยอดเงินในบัญชี ประกอบไปด้วย 4 ส่วน คือ 1. ส่วนเงินสะสม เป็นส่วนเงินออมที่สมาชิกส่งเข้ามาฝากกับ กอช. 2. ส่วนเงินสมทบ เป็นเงินที่รัฐบาลช่วยสมาชิกออม (สมาชิกที่มีช่วงอายุ 15-30 ปี สมทบสูงสุด 600 บาท/ปี, ช่วงอายุ 30-50 ปี สมทบสูงสุด 960 บาท/ปี และสําหรับผู้มีอายุ 50 ปีขึ้นไป สมทบสูงสุด 1,200 บาท/ปี) 3. ส่วนเงินสะสมที่ไม่มีสิทธิได้รับเงินสมทบ เป็นเงินออมที่สมาชิกส่งเข้ามาฝากกับ กอช. แต่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่รัฐบาลจ่ายเงินสมทบให้ อาทิ เงินสะสมช่วงที่สมาชิกมีงานทําเป็นแรงงานตามกฎหมาย เงินประกันสังคมหรือเงินบํานาญชราภาพที่โอนมาจากประกันสังคม เป็นต้น 4. ส่วนผลประโยชน์ เป็นดอกผลของเงินสะสมและเงินสมทบ สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนการออมแห่งชาติได้ที่ กอช. สายด่วนเงินออม 02-017-0789 ในวันและเวลาทําการ และติดต่อสมัครสมาชิกได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ ... “กอช. ออมสบาย ได้บํานาญ” www.nsf.or.th ฝ่ายประชาสัมพันธ์และภาพลักษณ์องค์กร : โทร. 02-017-0789 ต่อ 213, 224 Email : [email protected] ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1501
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ชี้แจงการตั้งรง. ผลิตน้ำตาลทรายและโรงไฟฟ้าชีวมวล อ.กุสุมาลย์ จ.สกลนคร
วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2560 ก.อุตฯ ชี้แจงการตั้งรง. ผลิตน้ําตาลทรายและโรงไฟฟ้าชีวมวล อ.กุสุมาลย์ จ.สกลนคร ก.อุตฯ ชี้แจงการตั้งรง. ผลิตน้ําตาลทรายและโรงไฟฟ้าชีวมวล อ.กุสุมาลย์ จ.สกลนคร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ชี้แจงการตั้งรง. ผลิตน้ำตาลทรายและโรงไฟฟ้าชีวมวล อ.กุสุมาลย์ จ.สกลนคร วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2560 ก.อุตฯ ชี้แจงการตั้งรง. ผลิตน้ําตาลทรายและโรงไฟฟ้าชีวมวล อ.กุสุมาลย์ จ.สกลนคร ก.อุตฯ ชี้แจงการตั้งรง. ผลิตน้ําตาลทรายและโรงไฟฟ้าชีวมวล อ.กุสุมาลย์ จ.สกลนคร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4586
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. กำชับ จนท. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 7 ขวบ ที่ถูกแม่เลี้ยง ทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.ชลบุรี
วันพุธที่ 26 เมษายน 2560 รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 7 ขวบ ที่ถูกแม่เลี้ยง ทําร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.ชลบุรี รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 7 ขวบ ที่ถูกแม่เลี้ยง ทําร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.ชลบุรี วันนี้ (26 เม.ย. 60) เวลา 08.30 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 617/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ว่า จากกรณีพบเด็กหญิงวัย 7 ขวบ ชาวกัมพูชา วิ่งหนี ออกจากบ้าน เพื่อมาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน หลังจากถูกแม่เลี้ยงวัย 38 ปี ทําร้ายร่างกาย ได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยการ ถูกน้ําร้อนราดลําตัว และมีรอยเตารีดนาบที่ขาเป็นแผลขนาดใหญ่ อีกทั้งบริเวณศีรษะและหลังยังมีรอยแผลอีกหลายจุด เป็นที่ น่าเวทนากับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก ที่อําเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชลบุรี (พมจ.ชลบุรี) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว พร้อมให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดยเฉพาะการเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจของเด็กหญิงอย่างเร่งด่วน และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว หากไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้ ให้รับเด็กเข้ามาอยู่ในความดูแลในหน่วยงานสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพ และฟื้นฟูเยียวยาสภาพจิตใจให้เด็กสามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุขต่อไป พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกรณีเด็กหนุ่มวัย 16 ปี เป็นเด็กเรียนดี สอบติดคณะวิศวะ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทางบ้านมีฐานะยากจน แต่สู้ชีวิต ทํางานพิเศษทุกอย่าง เพื่อหาเลี้ยงตนเอง ใช้เป็นทุนการศึกษา และช่วยเหลือจุนเจือครอบครัว บางวันต้องอดทนกินข้าวเพียงมื้อเดียว เพื่อตั้งใจเก็บเงินไว้เป็นค่าเทอม แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูง อาศัยอยู่กับผู้เป็นแม่เพียงลําพัง ที่ย่านปทุมวัน กรุงเทพฯ นั้น ตนขอชื่นชมในความขยันหมั่นเพียร มีมุมานะ ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน และยังช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว มีความกตัญญู น่ายกย่องเป็นแบบอย่างที่ดีของเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ ได้กําชับให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน พร้อมตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคม ของครอบครัวดังกล่าว พร้อมให้การช่วยเหลือในเบื้องต้น ตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการศึกษาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง การแนะนําให้คําปรึกษาในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพเสริม เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงและเพียงพอ สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. กำชับ จนท. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 7 ขวบ ที่ถูกแม่เลี้ยง ทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.ชลบุรี วันพุธที่ 26 เมษายน 2560 รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 7 ขวบ ที่ถูกแม่เลี้ยง ทําร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.ชลบุรี รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 7 ขวบ ที่ถูกแม่เลี้ยง ทําร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.ชลบุรี วันนี้ (26 เม.ย. 60) เวลา 08.30 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 617/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ว่า จากกรณีพบเด็กหญิงวัย 7 ขวบ ชาวกัมพูชา วิ่งหนี ออกจากบ้าน เพื่อมาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน หลังจากถูกแม่เลี้ยงวัย 38 ปี ทําร้ายร่างกาย ได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยการ ถูกน้ําร้อนราดลําตัว และมีรอยเตารีดนาบที่ขาเป็นแผลขนาดใหญ่ อีกทั้งบริเวณศีรษะและหลังยังมีรอยแผลอีกหลายจุด เป็นที่ น่าเวทนากับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก ที่อําเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชลบุรี (พมจ.ชลบุรี) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว พร้อมให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดยเฉพาะการเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจของเด็กหญิงอย่างเร่งด่วน และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว หากไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้ ให้รับเด็กเข้ามาอยู่ในความดูแลในหน่วยงานสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพ และฟื้นฟูเยียวยาสภาพจิตใจให้เด็กสามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุขต่อไป พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกรณีเด็กหนุ่มวัย 16 ปี เป็นเด็กเรียนดี สอบติดคณะวิศวะ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทางบ้านมีฐานะยากจน แต่สู้ชีวิต ทํางานพิเศษทุกอย่าง เพื่อหาเลี้ยงตนเอง ใช้เป็นทุนการศึกษา และช่วยเหลือจุนเจือครอบครัว บางวันต้องอดทนกินข้าวเพียงมื้อเดียว เพื่อตั้งใจเก็บเงินไว้เป็นค่าเทอม แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูง อาศัยอยู่กับผู้เป็นแม่เพียงลําพัง ที่ย่านปทุมวัน กรุงเทพฯ นั้น ตนขอชื่นชมในความขยันหมั่นเพียร มีมุมานะ ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน และยังช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว มีความกตัญญู น่ายกย่องเป็นแบบอย่างที่ดีของเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ ได้กําชับให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน พร้อมตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคม ของครอบครัวดังกล่าว พร้อมให้การช่วยเหลือในเบื้องต้น ตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการศึกษาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง การแนะนําให้คําปรึกษาในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพเสริม เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงและเพียงพอ สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3318
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- กระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมการออกแบบอาคารสถานที่ สถานที่ควบคุม แห่งเอเชีย ครั้งที่ ๗ ณ ประเทศศรีลังกา
วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม 2561 กระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมการออกแบบอาคารสถานที่ สถานที่ควบคุม แห่งเอเชีย ครั้งที่ ๗ ณ ประเทศศรีลังกา กระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมการออกแบบอาคารสถานที่สถานที่ควบคุม แห่งเอเชีย ครั้งที่ ๗ ณ ประเทศศรีลังกา เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๑ พ.ต.ท. ดร.พงษ์ธร ธัญญสิริ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม นําคณะผู้แทนประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะปลัดกระทรวง Ministry of National Integration and Reconciliation ณ กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา เพื่อแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ด้านนโยบาย แผนกลยุทธ์ และกิจกรรมเกี่ยวกับการสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ (National Harmony) ซึ่งได้รับทราบถึงกลไกการทํางานของประเทศศรีลังกา (District Reconciliation Committee (DRC) ใน ๒๕ เขต ที่ดําเนินการขับเคลื่อนการปรองดองในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ โดย Ministry of National Integration and Reconciliation มี ๒ ส่วนราชการคือ Office of National Unity and Reconciliation ซึ่งดําเนินการเกี่ยวกับการเสริมสร้างความปรองดอง ของคนในชาติ ตามแผนงานที่วางไว้ และ Office of Missing Person เพื่อค้นหาญาติที่สูญหายไปจากความขัดแย้งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน Ministry of National Integration and Reconciliation ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัย Jaffna ของประเทศศรีลังกาในการร่วมกันค้นหาผู้สูญหาย และผลิตแขน-ขาเทียม โดยมีความประสงค์ขอรับความร่วมมือกับประเทศไทยในการค้นหาผู้สูญหายดังกล่าว พร้อมกันนี้ พ.ต.ท. ดร.พงษ์ธรฯ ได้นําคณะผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมประชุมการออกแบบอาคารสถานที่ สถานที่ควบคุม แห่งเอเชีย ครั้งที่ ๗ (๗th Asian Conference of Correctional Facilities, Architect and Planners: ๗th ACCFA) ณ กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ส่งเสริม สนับสนุน งานด้านการออกแบบก่อสร้าง สถาปัตยกรรม ของอาคาร สถานที่ สถานที่ควบคุม สําหรับการการประชุมฯ ในครั้งนี้ มีผู้แทนประเทศเข้าร่วมประชุมฯ จํานวน ๑๓ ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ประเทศปาปัวนิวกินี ประเทศฟิจิ ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศมาเลเซีย ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลีใต้ ประเทศบังกลาเทศ ประเทศศรีลังกา ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศพม่า ประเทศกัมพูชา และประเทศมัลดีฟ มีองค์กรระหว่างประเทศ เข้าร่วม ๓ องค์กร ได้แก่ คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC), สถานบันการป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทําผิดของสหประชาชาติภาคเอเชีย และตะวันออกไกล(UNAFEI) และสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) นอกจากนี้ ยังมีผู้แทนจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ ประเทศไทย โดยกองออกแบบและก่อสร้าง สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้นําเสนอยุทธศาสตร์ของกระทรวงยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ถูกคุมขัง ให้เป็นไปตามหลักสหประชาชาติ คือ Mandela Rules และข้อแนะนําของ ICRC ที่เกี่ยวข้อง โดยการพัฒนาห้องนอนและที่นอนจากความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐในประเด็นการนําวัตถุดิบในท้องถิ่นมาทําเป็นผลิตภัณฑ์หรือเครื่องใช้ต่างๆ และยังเป็นพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศในทางหนึ่ง ในการนี้ ในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๑ คณะผู้แทนประเทศไทยได้เยี่ยมชม Angunakolapelessa Prison ซึ่งเป็น The Prison Complex ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ เป็นเรือนจําที่ออกแบบใหม่ ตามกฎของ Mandela rule และ Bangkok Rule อันเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศศรีลังกา กับคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ในด้านการออกแบบ นอกจากนี้ คณะผู้แทนประเทศไทย ยังได้เยี่ยมชมสถานพยาบาล โรงครัว หอนอน ศูนย์ฝึกอาชีพ และห้องสมุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- กระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมการออกแบบอาคารสถานที่ สถานที่ควบคุม แห่งเอเชีย ครั้งที่ ๗ ณ ประเทศศรีลังกา วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม 2561 กระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมการออกแบบอาคารสถานที่ สถานที่ควบคุม แห่งเอเชีย ครั้งที่ ๗ ณ ประเทศศรีลังกา กระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมประชุมการออกแบบอาคารสถานที่สถานที่ควบคุม แห่งเอเชีย ครั้งที่ ๗ ณ ประเทศศรีลังกา เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๑ พ.ต.ท. ดร.พงษ์ธร ธัญญสิริ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม นําคณะผู้แทนประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะปลัดกระทรวง Ministry of National Integration and Reconciliation ณ กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา เพื่อแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ด้านนโยบาย แผนกลยุทธ์ และกิจกรรมเกี่ยวกับการสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ (National Harmony) ซึ่งได้รับทราบถึงกลไกการทํางานของประเทศศรีลังกา (District Reconciliation Committee (DRC) ใน ๒๕ เขต ที่ดําเนินการขับเคลื่อนการปรองดองในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ โดย Ministry of National Integration and Reconciliation มี ๒ ส่วนราชการคือ Office of National Unity and Reconciliation ซึ่งดําเนินการเกี่ยวกับการเสริมสร้างความปรองดอง ของคนในชาติ ตามแผนงานที่วางไว้ และ Office of Missing Person เพื่อค้นหาญาติที่สูญหายไปจากความขัดแย้งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน Ministry of National Integration and Reconciliation ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัย Jaffna ของประเทศศรีลังกาในการร่วมกันค้นหาผู้สูญหาย และผลิตแขน-ขาเทียม โดยมีความประสงค์ขอรับความร่วมมือกับประเทศไทยในการค้นหาผู้สูญหายดังกล่าว พร้อมกันนี้ พ.ต.ท. ดร.พงษ์ธรฯ ได้นําคณะผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมประชุมการออกแบบอาคารสถานที่ สถานที่ควบคุม แห่งเอเชีย ครั้งที่ ๗ (๗th Asian Conference of Correctional Facilities, Architect and Planners: ๗th ACCFA) ณ กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ส่งเสริม สนับสนุน งานด้านการออกแบบก่อสร้าง สถาปัตยกรรม ของอาคาร สถานที่ สถานที่ควบคุม สําหรับการการประชุมฯ ในครั้งนี้ มีผู้แทนประเทศเข้าร่วมประชุมฯ จํานวน ๑๓ ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ประเทศปาปัวนิวกินี ประเทศฟิจิ ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศมาเลเซีย ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลีใต้ ประเทศบังกลาเทศ ประเทศศรีลังกา ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศพม่า ประเทศกัมพูชา และประเทศมัลดีฟ มีองค์กรระหว่างประเทศ เข้าร่วม ๓ องค์กร ได้แก่ คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC), สถานบันการป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทําผิดของสหประชาชาติภาคเอเชีย และตะวันออกไกล(UNAFEI) และสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) นอกจากนี้ ยังมีผู้แทนจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ ประเทศไทย โดยกองออกแบบและก่อสร้าง สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้นําเสนอยุทธศาสตร์ของกระทรวงยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ถูกคุมขัง ให้เป็นไปตามหลักสหประชาชาติ คือ Mandela Rules และข้อแนะนําของ ICRC ที่เกี่ยวข้อง โดยการพัฒนาห้องนอนและที่นอนจากความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐในประเด็นการนําวัตถุดิบในท้องถิ่นมาทําเป็นผลิตภัณฑ์หรือเครื่องใช้ต่างๆ และยังเป็นพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศในทางหนึ่ง ในการนี้ ในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๑ คณะผู้แทนประเทศไทยได้เยี่ยมชม Angunakolapelessa Prison ซึ่งเป็น The Prison Complex ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ เป็นเรือนจําที่ออกแบบใหม่ ตามกฎของ Mandela rule และ Bangkok Rule อันเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศศรีลังกา กับคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ในด้านการออกแบบ นอกจากนี้ คณะผู้แทนประเทศไทย ยังได้เยี่ยมชมสถานพยาบาล โรงครัว หอนอน ศูนย์ฝึกอาชีพ และห้องสมุด
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10869
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการ “ระบบงานร้านค้าดิจิทัลชุมชน” ณ ที่ทำการไปรษณีย์อนุญาตปราสาท 104 (ทมอ) จ.สุรินทร์
วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม 2561 รมว.ดิจิทัลฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการ “ระบบงานร้านค้าดิจิทัลชุมชน” ณ ที่ทําการไปรษณีย์อนุญาตปราสาท 104 (ทมอ) จ.สุรินทร์ รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินโครงการ “ระบบงานร้านค้าดิจิทัลชุมชน” ณ ที่ทําการไปรษณีย์อนุญาตปราสาท 104 (ทมอ) อําเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มอบหมายให้ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด (ปณท) หน่วยงานในสังกัดฯ ดําเนินการ ซึ่งได้ติดตั้งระบบบริหารร้านค้าปลีก (Point of Sale : POS) เพื่อสนับสนุนให้ชุมชนสามารถใช้ประโยชน์จากโครงข่ายอินเทอร์เน็ตโครงการ “เน็ตประชารัฐ” ในการสร้างรายได้จากการขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ และเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการร้านค้าชุมชน เพื่อสนับสนุนการสร้างมูลค่าในเชิงเศรษฐกิจจากโครงข่ายเน็ตประชารัฐ ยกระดับการบริหารงานและการจําหน่ายสินค้าของร้านค้าชุมชนให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ส่งเสริมกลไกการสร้างมาตรฐานสําหรับสินค้าชุมชน สร้างความร่วมมือระหว่างชุมชนผ่านระบบการค้าออนไลน์ และสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ยังได้สั่งการให้ บจ.ไปรษณีย์ไทย ร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) จัดทําหลักสูตรการใช้งานระบบ POS ในรูปแบบ Video Clip บรรจุไว้ในหัวข้อการอบรมของศูนย์ดิจิทัลชุมชนทั่วประเทศ พร้อมให้เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์แนะนําการใช้งานระบบ POS ให้กับชาวบ้านอย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2561 ********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการ “ระบบงานร้านค้าดิจิทัลชุมชน” ณ ที่ทำการไปรษณีย์อนุญาตปราสาท 104 (ทมอ) จ.สุรินทร์ วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม 2561 รมว.ดิจิทัลฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการ “ระบบงานร้านค้าดิจิทัลชุมชน” ณ ที่ทําการไปรษณีย์อนุญาตปราสาท 104 (ทมอ) จ.สุรินทร์ รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินโครงการ “ระบบงานร้านค้าดิจิทัลชุมชน” ณ ที่ทําการไปรษณีย์อนุญาตปราสาท 104 (ทมอ) อําเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มอบหมายให้ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด (ปณท) หน่วยงานในสังกัดฯ ดําเนินการ ซึ่งได้ติดตั้งระบบบริหารร้านค้าปลีก (Point of Sale : POS) เพื่อสนับสนุนให้ชุมชนสามารถใช้ประโยชน์จากโครงข่ายอินเทอร์เน็ตโครงการ “เน็ตประชารัฐ” ในการสร้างรายได้จากการขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ และเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการร้านค้าชุมชน เพื่อสนับสนุนการสร้างมูลค่าในเชิงเศรษฐกิจจากโครงข่ายเน็ตประชารัฐ ยกระดับการบริหารงานและการจําหน่ายสินค้าของร้านค้าชุมชนให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ส่งเสริมกลไกการสร้างมาตรฐานสําหรับสินค้าชุมชน สร้างความร่วมมือระหว่างชุมชนผ่านระบบการค้าออนไลน์ และสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ยังได้สั่งการให้ บจ.ไปรษณีย์ไทย ร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) จัดทําหลักสูตรการใช้งานระบบ POS ในรูปแบบ Video Clip บรรจุไว้ในหัวข้อการอบรมของศูนย์ดิจิทัลชุมชนทั่วประเทศ พร้อมให้เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์แนะนําการใช้งานระบบ POS ให้กับชาวบ้านอย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2561 ********************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12089
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรมมอบของขวัญปีใหม่ 2561 ให้แก่ประชาชน
วันอังคารที่ 26 ธันวาคม 2560 กระทรวงยุติธรรมมอบของขวัญปีใหม่ 2561 ให้แก่ประชาชน กระทรวงยุติธรรมมอบของขวัญปีใหม่ 2561 ให้แก่ประชาชน ของขวัญปีใหม่ 2561 มอบให้แก่ประชาชน จากกระทรวงยุติธรรม ประกอบด้วย 7 ลดภาระรายจ่ายช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงความยุติธรรม 6 บริการงานยุติธรรม ช่วงเทศกาลปีใหม่ และ 5 บริการงานยุติธรรมผ่านระบบเทคโนโลยี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรมมอบของขวัญปีใหม่ 2561 ให้แก่ประชาชน วันอังคารที่ 26 ธันวาคม 2560 กระทรวงยุติธรรมมอบของขวัญปีใหม่ 2561 ให้แก่ประชาชน กระทรวงยุติธรรมมอบของขวัญปีใหม่ 2561 ให้แก่ประชาชน ของขวัญปีใหม่ 2561 มอบให้แก่ประชาชน จากกระทรวงยุติธรรม ประกอบด้วย 7 ลดภาระรายจ่ายช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงความยุติธรรม 6 บริการงานยุติธรรม ช่วงเทศกาลปีใหม่ และ 5 บริการงานยุติธรรมผ่านระบบเทคโนโลยี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9003
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ร่วม มูลนิธิข้าวไทย พัฒนาศักยภาพการผลิตข้าวและชาวนาไทยรุ่นใหม่
วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562 ธ.ก.ส. ร่วม มูลนิธิข้าวไทย พัฒนาศักยภาพการผลิตข้าวและชาวนาไทยรุ่นใหม่ ธ.ก.ส.ร่วมกับ มูลนิธิข้าวไทยหนุนสร้างศักยภาพชาวนาไทยรุ่นใหม่เน้นเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการพัฒนาข้าวโดยนําความรู้เทคโนโลยีทันสมัยสู่การปฏิบัติ สร้างความยั่งยืนในการประกอบอาชีพ วันนี้ (2 กันยายน 2562) ณ ธ.ก.ส. สํานักงานใหญ่ บางเขน ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ“การส่งเสริมการผลิตและพัฒนาชาวนาไทย” ระหว่าง ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการมูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์กับนายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อส่งเสริมการผลิตและพัฒนาศักยภาพชาวนาไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยเฉพาะการผลิตและพัฒนาชาวนาไทยรุ่นใหม่ รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการพัฒนาข้าวไทยให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการ มูลนิธิข้าวไทยฯ กล่าวว่า มูลนิธิข้าวไทย และ ธ.ก.ส. ได้ร่วมกันดําเนินกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาการผลิตข้าว การค้าข้าว และชาวนาไทยโดยเชื่อมโยง ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน กลุ่มผู้ผลิตและผู้ประกอบการ ในการจัดทําโครงการต่าง ๆร่วมกัน เพื่อส่งเสริมและพัฒนาข้าวไทยอย่างครบวงจร เช่น การจัดทําโครงการค่ายอนุชนชาวนาไทยเพื่อสร้างชาวนาไทยรุ่นใหม่ การจัดประกวดนวัตกรรมข้าวไทย การร่วมแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดความรู้เรื่องข้าวที่เหมาะสมถูกต้องการสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลด้านข้าวให้ชาวนาไทยและสร้างฐานข้อมูลเรื่องข้าวอย่างครบวงจร ทั้งข้อมูลองค์กรผู้ผลิต ผู้ประกอบการ นักวิชาการและนักวิจัยด้านข้าว เพื่อให้บุคคลผู้สนใจสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลเรื่องข้าวได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า การประสานความร่วมมือกันในครั้งนี้ มุ่งเน้นการส่งเสริมชาวนาไทยรุ่นใหม่ โดยร่วมกันปลูกจิตสํานึกให้เยาวชนไทยตระหนักถึงความสําคัญของข้าว วัฒนธรรมการผลิตและการบริโภคข้าวต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยและเศรษฐกิจของชาติ ควบคู่การสนับสนุนให้บุตรหลานชาวนาได้เรียนรู้เทคโนโลยีและการทํานาที่ทันสมัย ผ่านระบบการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบก่อให้เกิดการขับเคลื่อนการสร้างชาวนาไทยรุ่นใหม่ เพื่อพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันเช่น การประชุมเวทีข้าวไทย การประชุมวิชาการข้าวแห่งชาติ จัดโครงการคัดเลือกชาวนาตัวอย่างร่วมกับองค์กรภาคี ตลอดจนส่งเสริมให้เกษตรกร ชุมชน วิสาหกิจชุมชนนํานวัตกรรมข้าวจากการประกวดพัฒนาต่อยอด นําความรู้ด้านเทคโนโลยีไปสู่การปฏิบัติจริง เพื่อสร้างความยั่งยืนในการประกอบอาชีพทํานา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ร่วม มูลนิธิข้าวไทย พัฒนาศักยภาพการผลิตข้าวและชาวนาไทยรุ่นใหม่ วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562 ธ.ก.ส. ร่วม มูลนิธิข้าวไทย พัฒนาศักยภาพการผลิตข้าวและชาวนาไทยรุ่นใหม่ ธ.ก.ส.ร่วมกับ มูลนิธิข้าวไทยหนุนสร้างศักยภาพชาวนาไทยรุ่นใหม่เน้นเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการพัฒนาข้าวโดยนําความรู้เทคโนโลยีทันสมัยสู่การปฏิบัติ สร้างความยั่งยืนในการประกอบอาชีพ วันนี้ (2 กันยายน 2562) ณ ธ.ก.ส. สํานักงานใหญ่ บางเขน ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ“การส่งเสริมการผลิตและพัฒนาชาวนาไทย” ระหว่าง ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการมูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์กับนายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อส่งเสริมการผลิตและพัฒนาศักยภาพชาวนาไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยเฉพาะการผลิตและพัฒนาชาวนาไทยรุ่นใหม่ รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการพัฒนาข้าวไทยให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการ มูลนิธิข้าวไทยฯ กล่าวว่า มูลนิธิข้าวไทย และ ธ.ก.ส. ได้ร่วมกันดําเนินกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาการผลิตข้าว การค้าข้าว และชาวนาไทยโดยเชื่อมโยง ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน กลุ่มผู้ผลิตและผู้ประกอบการ ในการจัดทําโครงการต่าง ๆร่วมกัน เพื่อส่งเสริมและพัฒนาข้าวไทยอย่างครบวงจร เช่น การจัดทําโครงการค่ายอนุชนชาวนาไทยเพื่อสร้างชาวนาไทยรุ่นใหม่ การจัดประกวดนวัตกรรมข้าวไทย การร่วมแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดความรู้เรื่องข้าวที่เหมาะสมถูกต้องการสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลด้านข้าวให้ชาวนาไทยและสร้างฐานข้อมูลเรื่องข้าวอย่างครบวงจร ทั้งข้อมูลองค์กรผู้ผลิต ผู้ประกอบการ นักวิชาการและนักวิจัยด้านข้าว เพื่อให้บุคคลผู้สนใจสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลเรื่องข้าวได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า การประสานความร่วมมือกันในครั้งนี้ มุ่งเน้นการส่งเสริมชาวนาไทยรุ่นใหม่ โดยร่วมกันปลูกจิตสํานึกให้เยาวชนไทยตระหนักถึงความสําคัญของข้าว วัฒนธรรมการผลิตและการบริโภคข้าวต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยและเศรษฐกิจของชาติ ควบคู่การสนับสนุนให้บุตรหลานชาวนาได้เรียนรู้เทคโนโลยีและการทํานาที่ทันสมัย ผ่านระบบการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบก่อให้เกิดการขับเคลื่อนการสร้างชาวนาไทยรุ่นใหม่ เพื่อพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันเช่น การประชุมเวทีข้าวไทย การประชุมวิชาการข้าวแห่งชาติ จัดโครงการคัดเลือกชาวนาตัวอย่างร่วมกับองค์กรภาคี ตลอดจนส่งเสริมให้เกษตรกร ชุมชน วิสาหกิจชุมชนนํานวัตกรรมข้าวจากการประกวดพัฒนาต่อยอด นําความรู้ด้านเทคโนโลยีไปสู่การปฏิบัติจริง เพื่อสร้างความยั่งยืนในการประกอบอาชีพทํานา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22726
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.จัดผลิตภัณฑ์พิเศษเพื่อทำให้คนไทยมีบ้าน สินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ย 2.90% นาน 2 ปีแรก และยกเว้นค่าธรรมเนียม 3 ฟรี!! บ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA ราคาพิเศษ พร้อมให้ผ่อนดอกเบี้ย 0% น
วันอังคารที่ 15 สิงหาคม 2560 ธอส.จัดผลิตภัณฑ์พิเศษเพื่อทําให้คนไทยมีบ้าน สินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ย 2.90% นาน 2 ปีแรก และยกเว้นค่าธรรมเนียม 3 ฟรี!! บ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA ราคาพิเศษ พร้อมให้ผ่อนดอกเบี้ย 0% น ธอส.เตรียมผลิตภัณฑ์มอบให้ลูกค้าประชาชนเพื่อทําให้คนไทยมีบ้าน ใน 3 งานที่จัดขึ้นพร้อมกันระหว่างวันที่ 17-20 ส.ค.2560 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ประกอบด้วยงาน Home Loan 2017 งาน NPA Grand Sale 2017 และงาน Home Builder & Materials Expo 2017 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เตรียมผลิตภัณฑ์พิเศษมอบให้ลูกค้าประชาชนเพื่อทําให้คนไทยมีบ้าน ใน 3 งานที่จัดขึ้นพร้อมกันระหว่างวันที่ 17-20 สิงหาคม 2560 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ประกอบด้วย งาน Home Loan 2017 งาน NPA Grand Sale 2017 และงาน Home Builder & Materials Expo 2017 นําโดยสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยสุดพิเศษ 2.90% ต่อปี นาน 2 ปีแรก ยกเว้นค่าธรรมเนียม 3 ฟรี (1) ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกันทุกวงเงินกู้ (2) ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และ (3) ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ พิเศษ!! ธอส. ชําระค่าจดทะเบียนจํานองให้ 0.50% ของวงเงินกู้ตามสัญญากู้เงิน รวมถึงนําบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA คุณภาพดีทําเลเด่น จํานวน 242 รายการ มาออกจําหน่ายด้วยส่วนลดพิเศษ 10-20% จากราคาปกติ พร้อมให้สิทธิ์ผ่อนดาวน์หรือยื่นกู้เลยตามเงื่อนไขของธนาคาร ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 24 เดือน นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ง่ายยิ่งขึ้นตามพันธกิจ : ทําให้คนไทยมีบ้าน ธอส. จึงได้ร่วมออกบูธใน 3 งานที่จัดขึ้นพร้อมกันระหว่างวันที่ 17-20 สิงหาคม 2560 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ประกอบด้วย งาน Home Loan 2017 งาน NPA Grand Sale 2017 และงาน Home Builder & Materials Expo 2017 โดยจัดทําบูธในรูปแบบ GHB Smart Booth ซึ่งลูกค้าสามารถจองสิทธิ์ใช้บริการผลิตภัณฑ์พิเศษของธนาคารได้ง่ายๆ ด้วยสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตผ่าน Application : Ghbank Smart Booth โดย ธอส. แบ่งโซนการจัดงานออกเป็น 3 โซนหลัก ประกอบด้วย 1.โซนสินเชื่อบ้าน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.90% ต่อปี ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.50% ต่อปี ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีกู้ซื้ออุปกรณ์และสิ่งอํานวยความสะดวก ที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR (MRR ปัจจุบันเท่ากับ 6.75% ต่อปี) ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจํานองจากสถาบันการเงินอื่น และซื้ออุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัยพร้อมกับกู้เพื่อซื้อ หรือไถ่ถอนจํานอง พิเศษ!! ยกเว้นค่าธรรมเนียม 3 ฟรี ได้แก่ (1)ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกันทุกวงเงินกู้ (วงเงินกู้ต่ํากว่า 500,000 บาท คิดค่าประเมิน 1,900 บาท และวงเงินกู้ตั้งแต่ 500,001 บาท คิดค่าประเมิน 2,300 บาท) (2) ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (1,000 บาท) และ (3)ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (0.1% ของวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติ) นอกจากนี้ ธอส.ชําระค่าจดทะเบียนจํานองให้ลูกค้า 0.50% ของวงเงินกู้ตามสัญญากู้เงินอีกด้วย เฉพาะลูกค้าที่จองสิทธิ์ภายในงาน พร้อมยื่นคําขอกู้เงินภายในวันที่ 29 กันยายน 2560 และทํานิติกรรมภายในวันที่ 31ตุลาคม 2560 2.โซนบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA โดยธนาคารได้นําทรัพย์คุณภาพดี ทําเลเด่น ประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ ห้องชุด อาคารพาณิชย์ และที่ดินเปล่า ในพื้นที่ กรุงเทพฯ จ.สมุทรปราการ จ.นนทบุรี จ.ปทุมธานี จ.นครปฐม และ จ.สมุทรสาคร จํานวน 242 รายการ มาออกจําหน่ายด้วยส่วนลด 10-20% จากราคาปกติ โดยทรัพย์ที่มีราคาจําหน่ายต่ําสุดเริ่มต้นเพียง 120,000 บาท ซึ่งเป็นห้องชุด เนื้อที่ 22.75 ตารางเมตร ในโครงการพรอนันต์ 1 อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยผู้ซื้อทรัพย์ NPA ของ ธอส. ยังมีสิทธิรับแคมเปญพิเศษ “ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 24 เดือน” โดยลูกค้าสามารถเข้าอยู่อาศัยในช่วงผ่อนดาวน์ได้ทันทีเพียงชําระเงินประกันไม่ต่ํากว่า 1.5% ของราคาซื้อ หรือหากเทเงินดาวน์ 20% ของราคาซื้อขาย ส่วนที่เหลืออีก 80% รับสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือน วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 80 % และให้ผ่อนชําระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี 3.โซนโครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจะมาให้คําแนะนํา และส่งเสริมความรู้ในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ หรือ Financial Literacy เมื่อปฏิบัติตามคําแนะนําของเจ้าหน้าที่และเงื่อนไขที่ธนาคารกําหนด จะช่วยให้มีโอกาสยื่นคําขอพิจารณาสินเชื่อกับธนาคารได้ในอนาคต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.จัดผลิตภัณฑ์พิเศษเพื่อทำให้คนไทยมีบ้าน สินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ย 2.90% นาน 2 ปีแรก และยกเว้นค่าธรรมเนียม 3 ฟรี!! บ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA ราคาพิเศษ พร้อมให้ผ่อนดอกเบี้ย 0% น วันอังคารที่ 15 สิงหาคม 2560 ธอส.จัดผลิตภัณฑ์พิเศษเพื่อทําให้คนไทยมีบ้าน สินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ย 2.90% นาน 2 ปีแรก และยกเว้นค่าธรรมเนียม 3 ฟรี!! บ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA ราคาพิเศษ พร้อมให้ผ่อนดอกเบี้ย 0% น ธอส.เตรียมผลิตภัณฑ์มอบให้ลูกค้าประชาชนเพื่อทําให้คนไทยมีบ้าน ใน 3 งานที่จัดขึ้นพร้อมกันระหว่างวันที่ 17-20 ส.ค.2560 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ประกอบด้วยงาน Home Loan 2017 งาน NPA Grand Sale 2017 และงาน Home Builder & Materials Expo 2017 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เตรียมผลิตภัณฑ์พิเศษมอบให้ลูกค้าประชาชนเพื่อทําให้คนไทยมีบ้าน ใน 3 งานที่จัดขึ้นพร้อมกันระหว่างวันที่ 17-20 สิงหาคม 2560 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ประกอบด้วย งาน Home Loan 2017 งาน NPA Grand Sale 2017 และงาน Home Builder & Materials Expo 2017 นําโดยสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยสุดพิเศษ 2.90% ต่อปี นาน 2 ปีแรก ยกเว้นค่าธรรมเนียม 3 ฟรี (1) ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกันทุกวงเงินกู้ (2) ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และ (3) ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ พิเศษ!! ธอส. ชําระค่าจดทะเบียนจํานองให้ 0.50% ของวงเงินกู้ตามสัญญากู้เงิน รวมถึงนําบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA คุณภาพดีทําเลเด่น จํานวน 242 รายการ มาออกจําหน่ายด้วยส่วนลดพิเศษ 10-20% จากราคาปกติ พร้อมให้สิทธิ์ผ่อนดาวน์หรือยื่นกู้เลยตามเงื่อนไขของธนาคาร ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 24 เดือน นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ง่ายยิ่งขึ้นตามพันธกิจ : ทําให้คนไทยมีบ้าน ธอส. จึงได้ร่วมออกบูธใน 3 งานที่จัดขึ้นพร้อมกันระหว่างวันที่ 17-20 สิงหาคม 2560 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ประกอบด้วย งาน Home Loan 2017 งาน NPA Grand Sale 2017 และงาน Home Builder & Materials Expo 2017 โดยจัดทําบูธในรูปแบบ GHB Smart Booth ซึ่งลูกค้าสามารถจองสิทธิ์ใช้บริการผลิตภัณฑ์พิเศษของธนาคารได้ง่ายๆ ด้วยสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตผ่าน Application : Ghbank Smart Booth โดย ธอส. แบ่งโซนการจัดงานออกเป็น 3 โซนหลัก ประกอบด้วย 1.โซนสินเชื่อบ้าน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.90% ต่อปี ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.50% ต่อปี ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีกู้ซื้ออุปกรณ์และสิ่งอํานวยความสะดวก ที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR (MRR ปัจจุบันเท่ากับ 6.75% ต่อปี) ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจํานองจากสถาบันการเงินอื่น และซื้ออุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัยพร้อมกับกู้เพื่อซื้อ หรือไถ่ถอนจํานอง พิเศษ!! ยกเว้นค่าธรรมเนียม 3 ฟรี ได้แก่ (1)ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกันทุกวงเงินกู้ (วงเงินกู้ต่ํากว่า 500,000 บาท คิดค่าประเมิน 1,900 บาท และวงเงินกู้ตั้งแต่ 500,001 บาท คิดค่าประเมิน 2,300 บาท) (2) ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (1,000 บาท) และ (3)ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (0.1% ของวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติ) นอกจากนี้ ธอส.ชําระค่าจดทะเบียนจํานองให้ลูกค้า 0.50% ของวงเงินกู้ตามสัญญากู้เงินอีกด้วย เฉพาะลูกค้าที่จองสิทธิ์ภายในงาน พร้อมยื่นคําขอกู้เงินภายในวันที่ 29 กันยายน 2560 และทํานิติกรรมภายในวันที่ 31ตุลาคม 2560 2.โซนบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA โดยธนาคารได้นําทรัพย์คุณภาพดี ทําเลเด่น ประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ ห้องชุด อาคารพาณิชย์ และที่ดินเปล่า ในพื้นที่ กรุงเทพฯ จ.สมุทรปราการ จ.นนทบุรี จ.ปทุมธานี จ.นครปฐม และ จ.สมุทรสาคร จํานวน 242 รายการ มาออกจําหน่ายด้วยส่วนลด 10-20% จากราคาปกติ โดยทรัพย์ที่มีราคาจําหน่ายต่ําสุดเริ่มต้นเพียง 120,000 บาท ซึ่งเป็นห้องชุด เนื้อที่ 22.75 ตารางเมตร ในโครงการพรอนันต์ 1 อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยผู้ซื้อทรัพย์ NPA ของ ธอส. ยังมีสิทธิรับแคมเปญพิเศษ “ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 24 เดือน” โดยลูกค้าสามารถเข้าอยู่อาศัยในช่วงผ่อนดาวน์ได้ทันทีเพียงชําระเงินประกันไม่ต่ํากว่า 1.5% ของราคาซื้อ หรือหากเทเงินดาวน์ 20% ของราคาซื้อขาย ส่วนที่เหลืออีก 80% รับสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือน วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 80 % และให้ผ่อนชําระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี 3.โซนโครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจะมาให้คําแนะนํา และส่งเสริมความรู้ในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ หรือ Financial Literacy เมื่อปฏิบัติตามคําแนะนําของเจ้าหน้าที่และเงื่อนไขที่ธนาคารกําหนด จะช่วยให้มีโอกาสยื่นคําขอพิจารณาสินเชื่อกับธนาคารได้ในอนาคต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5926
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาการทุจริต ศธ.
วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม 2561 ผลการประชุมคณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาการทุจริต ศธ. นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาการทุจริต กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม 2561 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาการทุจริต กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม 2561 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ รมว.ศึกษาธิการเปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ภาพรวมของการรายงานข้อมูลปัญหาการทุจริตของ ศธ.ระหว่างเดือนสิงหาคม 2558 - พฤศจิกายน 2561 รวมจํานวนทั้งสิ้น 631 เรื่องแบ่งเป็นเรื่องที่ดําเนินการแล้วเสร็จ 365 เรื่อง (ร้อยละ 57.48) และเป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างดําเนินการ 266 เรื่อง (ร้อยละ 42.16) ซึ่งในจํานวนนี้ เป็นเรื่องที่มีผลกระทบในวงกว้างและอยู่ในความสนใจของสังคมที่มีความก้าวหน้าหลายเรื่อง อาทิ การก่อสร้างสนามฟุตซอลซึ่งขณะนี้ทําการสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย โครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําทะเลสาบสงขลา (อควาเรียมสงขลา)ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงกับมีผู้ที่เกี่ยวข้องรวม 6 กระทรวง การจัดซื้อและติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ในโครงการ Safe Zone Schoolใน 12 เขตพื้นที่การศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ดําเนินการจัดส่งงบประมาณสําหรับซ่อมแซมอุปกรณ์กว่า 10 ล้านบาท และงบประมาณอีก 64 ล้านบาท เพื่อให้ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ดําเนินการจัดซื้อซอฟต์แวร์ให้ครบถ้วนตามที่ระบุไว้ใน TOR ของการจัดซื้อจัดจ้าง พร้อมขยายเวลาดําเนินการไปอีกระยะ เนื่องจากไม่สามารถดําเนินการได้ทันภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2561 แต่ก็ได้กําชับให้ดําเนินการโดยเร็ว เพื่อให้กล้อง CCTV สามารถใช้งานในการดูแลความปลอดภัยของเด็กและครูได้อย่างสมบูรณ์โดยเร็วที่สุด และในส่วนของการสอบสวนทางวินัยนั้น ได้เสนอรายชื่อให้นายกรัฐมนตรีลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงต่อไป พล.อ.โกศล ประทุมชาติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวด้วยว่า ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบเกี่ยวกับการลงพื้นที่ตรวจสอบการทุจริตเบิกเงินซ้ําซ้อนของสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 29 ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2557 และสร้างความเสียหายกว่า 15 ล้านบาท โดยขณะนี้สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ชี้มูลความผิด เพื่อให้สอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงกับผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว และในส่วนของความก้าวหน้าการตรวจสอบการจัดซื้อครุภัณฑ์ฝึกทักษะมัธยมศึกษาตอนต้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการดําเนินการหาความเชื่อมโยงผู้บริหารระดับสูงที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็ว ๆ นี้ Writtenbyนวรัตน์ รามสูต Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาการทุจริต ศธ. วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม 2561 ผลการประชุมคณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาการทุจริต ศธ. นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาการทุจริต กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม 2561 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาการทุจริต กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม 2561 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ รมว.ศึกษาธิการเปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ภาพรวมของการรายงานข้อมูลปัญหาการทุจริตของ ศธ.ระหว่างเดือนสิงหาคม 2558 - พฤศจิกายน 2561 รวมจํานวนทั้งสิ้น 631 เรื่องแบ่งเป็นเรื่องที่ดําเนินการแล้วเสร็จ 365 เรื่อง (ร้อยละ 57.48) และเป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างดําเนินการ 266 เรื่อง (ร้อยละ 42.16) ซึ่งในจํานวนนี้ เป็นเรื่องที่มีผลกระทบในวงกว้างและอยู่ในความสนใจของสังคมที่มีความก้าวหน้าหลายเรื่อง อาทิ การก่อสร้างสนามฟุตซอลซึ่งขณะนี้ทําการสืบสวนเสร็จเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย โครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําทะเลสาบสงขลา (อควาเรียมสงขลา)ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงกับมีผู้ที่เกี่ยวข้องรวม 6 กระทรวง การจัดซื้อและติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ในโครงการ Safe Zone Schoolใน 12 เขตพื้นที่การศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ดําเนินการจัดส่งงบประมาณสําหรับซ่อมแซมอุปกรณ์กว่า 10 ล้านบาท และงบประมาณอีก 64 ล้านบาท เพื่อให้ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ดําเนินการจัดซื้อซอฟต์แวร์ให้ครบถ้วนตามที่ระบุไว้ใน TOR ของการจัดซื้อจัดจ้าง พร้อมขยายเวลาดําเนินการไปอีกระยะ เนื่องจากไม่สามารถดําเนินการได้ทันภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2561 แต่ก็ได้กําชับให้ดําเนินการโดยเร็ว เพื่อให้กล้อง CCTV สามารถใช้งานในการดูแลความปลอดภัยของเด็กและครูได้อย่างสมบูรณ์โดยเร็วที่สุด และในส่วนของการสอบสวนทางวินัยนั้น ได้เสนอรายชื่อให้นายกรัฐมนตรีลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงต่อไป พล.อ.โกศล ประทุมชาติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวด้วยว่า ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบเกี่ยวกับการลงพื้นที่ตรวจสอบการทุจริตเบิกเงินซ้ําซ้อนของสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 29 ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2557 และสร้างความเสียหายกว่า 15 ล้านบาท โดยขณะนี้สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ชี้มูลความผิด เพื่อให้สอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงกับผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว และในส่วนของความก้าวหน้าการตรวจสอบการจัดซื้อครุภัณฑ์ฝึกทักษะมัธยมศึกษาตอนต้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการดําเนินการหาความเชื่อมโยงผู้บริหารระดับสูงที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็ว ๆ นี้ Writtenbyนวรัตน์ รามสูต Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17390
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในกิจกรรมวัฒนธรรมนำพลังบวรช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19
วันอังคารที่ 21 เมษายน 2563 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในกิจกรรมวัฒนธรรมนําพลังบวรช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในกิจกรรมวัฒนธรรมนําพลังบวรช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ประจําปีงบประมาณ ๒๕๖๓ เฉลิมพระเกียรติ วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กราบสักการะพระธรรมบัณฑิต (อภิพล อภิพโล) เจ้าอาวาสวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก และเป็นประธานในกิจกรรมวัฒนธรรมนําพลังบวรช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ประจําปีงบประมาณ ๒๕๖๓ เฉลิมพระเกียรติ โดยจัดตั้งโรงทานตามพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช แจกจ่ายอาหารให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวจนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ นํากลับไปรับประทานที่บ้าน รวมทั้ง ฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในพื้นที่ที่จัดกิจกรรม ณ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ นอกจากนี้ ยังนําถุงยังชีพ เครื่องอุปโภค-บริโภค ไปมอบให้แก่ครอบครัวที่ได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ณ ชุมชนบึงพระราม ๙ พัฒนา โซน ๑-๓ โดยมี นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ประธานสภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร และภาคีเครือข่ายด้านวัฒนธรรม เข้าร่วม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในกิจกรรมวัฒนธรรมนำพลังบวรช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19 วันอังคารที่ 21 เมษายน 2563 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในกิจกรรมวัฒนธรรมนําพลังบวรช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในกิจกรรมวัฒนธรรมนําพลังบวรช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ประจําปีงบประมาณ ๒๕๖๓ เฉลิมพระเกียรติ วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กราบสักการะพระธรรมบัณฑิต (อภิพล อภิพโล) เจ้าอาวาสวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก และเป็นประธานในกิจกรรมวัฒนธรรมนําพลังบวรช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ประจําปีงบประมาณ ๒๕๖๓ เฉลิมพระเกียรติ โดยจัดตั้งโรงทานตามพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช แจกจ่ายอาหารให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวจนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ นํากลับไปรับประทานที่บ้าน รวมทั้ง ฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในพื้นที่ที่จัดกิจกรรม ณ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ นอกจากนี้ ยังนําถุงยังชีพ เครื่องอุปโภค-บริโภค ไปมอบให้แก่ครอบครัวที่ได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ณ ชุมชนบึงพระราม ๙ พัฒนา โซน ๑-๓ โดยมี นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ประธานสภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร และภาคีเครือข่ายด้านวัฒนธรรม เข้าร่วม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29429
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม”หารือการจัดทำกฎหมายตามแผนการปฏิรูปประเทศ
วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2561 “ยุติธรรม”หารือการจัดทํากฎหมายตามแผนการปฏิรูปประเทศ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การจัดทํากฎหมายตามแผนการปฏิรูปประเทศ ในวันอังคารที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐น. ณ ห้องบีบี ๒๐๓ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การจัดทํากฎหมายตามแผนการปฏิรูปประเทศ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบร่างแผนการปฏิรูประเทศทั้ง ๑๑ ด้าน เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๑ การประชุมมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายที่ต้องมีการดําเนินการตามแผนปฏิรูป โดยเฉพาะกฎหมายที่ต้องจัดทําตามแผนปฏิรูปด้านกฎหมายและแผนปฏิรูปด้านกระบวนการยุติธรรม รวมไปถึงปัญหาและอุปสรรค และแนวทางการดําเนินงานร่วมกัน ระหว่างหน่วยงานเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้สานต่อการดําเนินงานและเดินหน้าสู่การปฏิรูปให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ตามข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ในโอกาสนี้กระทรวงยุติธรรม โดยสํานักงานกิจการยุติธรรม ได้รวบรวมและศึกษาประเด็นข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศทั้ง ๑๑ ด้าน โดยเฉพาะด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมแล้วสามารถจัดหมวดหมู่ ประเด็นปฏิรูปได้ ๑๑ กรอบ ดังนี้ ๑. กรอบการขจัดความเหลื่อมล้ํา ๒. กรอบการมีส่วนร่วมและการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของประชาชน ๓. กรอบการปรับกระบวนทัศน์เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม ๔. กรอบการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ ๕. กรอบการพัฒนานวัตกรรมเพื่อการอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลกฎหมาย ๖. กรอบการกําหนดระยะเวลาดําเนินงานในทุกขั้นตอนและไม่ล่าช้า ๗. กรอบการพัฒนาระบบการสอบสวนและหน้าที่ระหว่างพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ ๘. กรอบการมีกลไกให้การออกกฎหมายที่ดีและเท่าที่จําเป็นและกลไกการทบทวนกฎหมาย ตามมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญ ๙. กรอบการปฏิรูปการเรียนการสอนและการศึกษาอบรมวิชากฎหมาย ๑๐.กรอบการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนติดต่อกับเจ้าหน้าที่ ผู้บังคับใช้กฎหมายและขจัดช่องทางการทุจริต และ ๑๑. กรอบการปฏิรูประบบนิติวิทยาศาสตร์ โดยมีร่างกฎหมายที่ต้องดําเนินการจัดทํารวมทั้งสิ้น ๖๓ ฉบับ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๔๖ หน่วยงาน ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณากรอบประเด็นปฏิรูปทั้ง ๑๑ กรอบ โดยมีข้อเสนอและข้อสังเกตหลายประการ อาทิ การกําหนดหน่วยงานรับผิดชอบหลัก สถานะของร่างกฎหมายในปัจจุบันที่มีการดําเนินการแล้ว อยู่ระหว่างดําเนินการ หรือความจําเป็นในการยกร่างกฎหมายใหม่ และได้มีการมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สอบทานข้อมูลและประสานมายังสํานักงานกิจการยุติธรรม เพื่อรวบรวมและรายงานผลต่อรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง) และแจ้งไปยังคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมและคณะกรรมการ ปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม”หารือการจัดทำกฎหมายตามแผนการปฏิรูปประเทศ วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2561 “ยุติธรรม”หารือการจัดทํากฎหมายตามแผนการปฏิรูปประเทศ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การจัดทํากฎหมายตามแผนการปฏิรูปประเทศ ในวันอังคารที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐น. ณ ห้องบีบี ๒๐๓ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การจัดทํากฎหมายตามแผนการปฏิรูปประเทศ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบร่างแผนการปฏิรูประเทศทั้ง ๑๑ ด้าน เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๑ การประชุมมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายที่ต้องมีการดําเนินการตามแผนปฏิรูป โดยเฉพาะกฎหมายที่ต้องจัดทําตามแผนปฏิรูปด้านกฎหมายและแผนปฏิรูปด้านกระบวนการยุติธรรม รวมไปถึงปัญหาและอุปสรรค และแนวทางการดําเนินงานร่วมกัน ระหว่างหน่วยงานเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้สานต่อการดําเนินงานและเดินหน้าสู่การปฏิรูปให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ตามข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ในโอกาสนี้กระทรวงยุติธรรม โดยสํานักงานกิจการยุติธรรม ได้รวบรวมและศึกษาประเด็นข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศทั้ง ๑๑ ด้าน โดยเฉพาะด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมแล้วสามารถจัดหมวดหมู่ ประเด็นปฏิรูปได้ ๑๑ กรอบ ดังนี้ ๑. กรอบการขจัดความเหลื่อมล้ํา ๒. กรอบการมีส่วนร่วมและการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของประชาชน ๓. กรอบการปรับกระบวนทัศน์เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม ๔. กรอบการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ ๕. กรอบการพัฒนานวัตกรรมเพื่อการอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลกฎหมาย ๖. กรอบการกําหนดระยะเวลาดําเนินงานในทุกขั้นตอนและไม่ล่าช้า ๗. กรอบการพัฒนาระบบการสอบสวนและหน้าที่ระหว่างพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ ๘. กรอบการมีกลไกให้การออกกฎหมายที่ดีและเท่าที่จําเป็นและกลไกการทบทวนกฎหมาย ตามมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญ ๙. กรอบการปฏิรูปการเรียนการสอนและการศึกษาอบรมวิชากฎหมาย ๑๐.กรอบการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนติดต่อกับเจ้าหน้าที่ ผู้บังคับใช้กฎหมายและขจัดช่องทางการทุจริต และ ๑๑. กรอบการปฏิรูประบบนิติวิทยาศาสตร์ โดยมีร่างกฎหมายที่ต้องดําเนินการจัดทํารวมทั้งสิ้น ๖๓ ฉบับ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๔๖ หน่วยงาน ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณากรอบประเด็นปฏิรูปทั้ง ๑๑ กรอบ โดยมีข้อเสนอและข้อสังเกตหลายประการ อาทิ การกําหนดหน่วยงานรับผิดชอบหลัก สถานะของร่างกฎหมายในปัจจุบันที่มีการดําเนินการแล้ว อยู่ระหว่างดําเนินการ หรือความจําเป็นในการยกร่างกฎหมายใหม่ และได้มีการมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สอบทานข้อมูลและประสานมายังสํานักงานกิจการยุติธรรม เพื่อรวบรวมและรายงานผลต่อรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง) และแจ้งไปยังคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมและคณะกรรมการ ปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10910
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นักเรียนโครงการ "ห้องเรียนกีฬา-สานฝันฯ" รวมทีม "Sport Program" เข้าร่วมแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง 2 รายการใหญ่ชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ปี 2560
วันอังคารที่ 25 เมษายน 2560 นักเรียนโครงการ "ห้องเรียนกีฬา-สานฝันฯ" รวมทีม "Sport Program" เข้าร่วมแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง 2 รายการใหญ่ชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ปี 2560 พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยี่ยมให้กําลังใจนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีม "Sport Program" ซึ่งได้รับคัดเลือกจากนักเรียนโครงการห้องเรียนกีฬาและโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สพฐ. ให้เข้าร่วมการแข่งขัน2รายการใหญ่ คือเยาวชนหญิงชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย และประชาชนหญิง ข ชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ด้วยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้รับเชิญจากสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ให้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ในระหว่างวันที่ 28 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2560 ณ กรุงเทพมหานคร2รายการ คือ การแข่งขันวอลเลย์บอล “ซีเล็คทูน่า” เยาวชนหญิง ชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ประจําปี 2560ระหว่างวันที่ 28 เมษายน-7 พฤษภาคม 2560ยิมเนเซียม 1 มหาวิทยาลัยรามคําแหง (หัวหมาก) การแข่งขันวอลเลย์บอล “ซีเล็คทูน่า” ประชาชนหญิง ข ชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ประจําปี 2560ระหว่างวันที่ 20-31 พฤษภาคม 2560 ณ ยิมเนเซียม 1 มหาวิทยาลัยรามคําแหง (หัวหมาก) ทั้งนี้ สพฐ.ได้คัดเลือกนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ โดยเป็นนักกีฬาจากโครงการห้องเรียนกีฬา จํานวน 12 คน และโครงการสานฝันฯ จํานวน 3 คน โดยใช้ชื่อทีมว่า "Sport Program"เพื่อต้องการส่งเสริมสนับสนุนให้นักเรียนกีฬาทั้งสองโครงการได้รับประสบการณ์การแข่งขันระดับชาติ และเดินทางมาฝึกซ้อม ณ สนามกีฬาในร่ม ศูนย์กีฬาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สําหรับตารางการแข่งขันของทีมSport Programมีดังต่อไปนี้ วันที่ เวลา คู่แข่งขัน วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2560 10.30 วิทยาลัยเทคโนโลยีนครหาดใหญ่ วันเสาร์ที่ 29 เมษายน 2560 14.15 ออสเตรเลีย 2 วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม 2560 8.00 น วิทยาลัยเทคโนโลยีจรัสสนิทวงศ์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นักเรียนโครงการ "ห้องเรียนกีฬา-สานฝันฯ" รวมทีม "Sport Program" เข้าร่วมแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง 2 รายการใหญ่ชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ปี 2560 วันอังคารที่ 25 เมษายน 2560 นักเรียนโครงการ "ห้องเรียนกีฬา-สานฝันฯ" รวมทีม "Sport Program" เข้าร่วมแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง 2 รายการใหญ่ชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ปี 2560 พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยี่ยมให้กําลังใจนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีม "Sport Program" ซึ่งได้รับคัดเลือกจากนักเรียนโครงการห้องเรียนกีฬาและโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สพฐ. ให้เข้าร่วมการแข่งขัน2รายการใหญ่ คือเยาวชนหญิงชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย และประชาชนหญิง ข ชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ด้วยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้รับเชิญจากสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ให้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ในระหว่างวันที่ 28 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2560 ณ กรุงเทพมหานคร2รายการ คือ การแข่งขันวอลเลย์บอล “ซีเล็คทูน่า” เยาวชนหญิง ชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ประจําปี 2560ระหว่างวันที่ 28 เมษายน-7 พฤษภาคม 2560ยิมเนเซียม 1 มหาวิทยาลัยรามคําแหง (หัวหมาก) การแข่งขันวอลเลย์บอล “ซีเล็คทูน่า” ประชาชนหญิง ข ชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ประจําปี 2560ระหว่างวันที่ 20-31 พฤษภาคม 2560 ณ ยิมเนเซียม 1 มหาวิทยาลัยรามคําแหง (หัวหมาก) ทั้งนี้ สพฐ.ได้คัดเลือกนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ โดยเป็นนักกีฬาจากโครงการห้องเรียนกีฬา จํานวน 12 คน และโครงการสานฝันฯ จํานวน 3 คน โดยใช้ชื่อทีมว่า "Sport Program"เพื่อต้องการส่งเสริมสนับสนุนให้นักเรียนกีฬาทั้งสองโครงการได้รับประสบการณ์การแข่งขันระดับชาติ และเดินทางมาฝึกซ้อม ณ สนามกีฬาในร่ม ศูนย์กีฬาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สําหรับตารางการแข่งขันของทีมSport Programมีดังต่อไปนี้ วันที่ เวลา คู่แข่งขัน วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2560 10.30 วิทยาลัยเทคโนโลยีนครหาดใหญ่ วันเสาร์ที่ 29 เมษายน 2560 14.15 ออสเตรเลีย 2 วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม 2560 8.00 น วิทยาลัยเทคโนโลยีจรัสสนิทวงศ์
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3267
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปนัดดา" เปิดงาน FedEx Express/JA (Junior Achievement) International Trade Challenge 2017
วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560 "ปนัดดา" เปิดงาน FedEx Express/JA (Junior Achievement) International Trade Challenge 2017 ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดและกล่าวสุนทรพจน์ในงาน FedEx Express/JA (Junior Achievement) International Trade Challenge 2017 เมื่อวันพุธที่ 5 เมษายน 2560 ณ United Nations Conference Centre, Bangkok (UNESCAP) โดย ~~ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดและกล่าวสุนทรพจน์ในงาน FedEx Express/JA (Junior Achievement) International Trade Challenge 2017 เมื่อวันพุธที่ 5 เมษายน 2560 ณ United Nations Conference Centre, Bangkok (UNESCAP) โดยมี ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธาน Junior Achievement Thailand, Mr Marco Roncarati ผู้แทน Social Affairs Officer, Social Development Division, United Nations ESCAP, Ms Vivian Lau ประธาน Junior Achievement Asia Pacific, นายศศธร ภาสภิญโญ ผู้จัดการอาวุโส บริษัท FedEx Express ประเทศไทย, ตลอดจนครู อาจารย์ และนักเรียน เข้าร่วมงาน ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล กล่าวว่า JA เป็นองค์กรเกี่ยวกับเยาวชนที่ไม่แสวงหากําไรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งได้ดําเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อให้การศึกษากับลูกหลานเยาวชนเกี่ยวกับการเป็นผู้ประกอบการ และการเตรียมความพร้อมในการทํางานผ่านประสบการณ์ และโครงการที่เกี่ยวข้องโดยตรง ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา JA ได้ดําเนินโครงการต่าง ๆ ในหลายประเทศ โดยที่ JA มีเป้าหมายเดียวกับรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการไทยคือ การฝึกฝนและพัฒนาทักษะในการประกอบอาชีพของผู้เรียน เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงาน อีกทั้งยังมีเป้าหมายในการพัฒนาเยาวชน อาทิ นโยบายประชารัฐ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่าง Stakeholder, ภาครัฐ และภาคเอกชน เป็นต้น ในการเตรียมความพร้อมให้กับกําลังคนในอนาคต สําหรับการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ มีผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการและบริหารธุรกิจจํานวนมาก รวมทั้งผู้ชนะการแข่งขัน Junior Achievement International Trade Challenge ในปีล่าสุด มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ โดยกิจกรรมนี้ถือเป็นโอกาสอันดีของเยาวชนไทยในการเรียนรู้การวางแผนและวิเคราะห์ด้านการตลาด พร้อมทั้งได้พัฒนาทักษะด้านนวัตกรรมและการเป็นผู้ประกอบการด้วย จึงขอให้ครู นักเรียน และผู้เข้าร่วมงานทุกท่านใช้เวลากับกิจกรรมนี้อย่างคุ้มค่า ทั้งนี้ จะทําการคัดเลือก 3 ทีมที่ชนะการแข่งขัน เพื่อเป็นตัวแทนของประเทศไทยไปแข่งขัน Junior Achievement International Trade Challenge 2017 ระดับนานาชาติ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2560 จึงขอให้ผู้ที่ได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทย ไม่ต้องวิตกกังวลว่าการแข่งขันจะเป็นอย่างไร โดยขอให้คิดว่าเป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้ และเป็นความท้าทายหนึ่งที่ต้องผ่านไปให้ได้ นอกจากนี้ ได้เน้นย้ําเกี่ยวกับการพัฒนาการศึกษาที่ให้ความสําคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ ซึ่งมีกรอบแนวทางการดําเนินงาน เพื่อลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา ส่งเสริมการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม และสนับสนุนการจัดการศึกษาตลอดชีวิตเพื่อทุกคน อีกทั้งขอให้ทุกคนน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 มาปรับใช้ โดยเป็นรูปแบบการผสมผสานและบูรณาการ อันจะนําพาไปสู่ความสมดุลระหว่างการพัฒนาและความสุข ดังเช่นที่มีการใช้ดัชนีวัดความสุขมวลรวมประชาชาติ หรือ GDH: Gross Domestic Happiness ทั้งนี้ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่สิ่งที่ขัดขวางการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่เป็นปรัชญาที่แฝงไปด้วยความสําคัญอย่างยิ่งในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่จะสามารถบรรลุความพอประมาณอย่างสมเหตุสมผลหรือการบริโภคอย่างเหมาะสม รวมทั้งสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง และบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ด้วยการส่งเสริมให้ผลิตและบริโภคทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจํากัด เพื่อลดอัตราความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ และเพิ่มความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้ประเทศ ซึ่งเป็นไปตามหลักการการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ หรือ 2030 Agenda for Sustainable Development ที่ให้ความสําคัญกับความกลมกลืนของ 3 สิ่ง ได้แก่ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การอยู่ร่วมกันในสังคม และการปกป้องรักษาสิ่งแวดล้อม โดยที่รัฐบาลปัจจุบันมีภารกิจในการพัฒนาความสามารถของทรัพยากรมนุษย์ เพื่อลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม สร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจ และสร้างความมั่งคั่งอีกด้วย ในนามของกระทรวงศึกษาธิการ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมงาน FedEx Express/JA (Junior Achievement) International Trade Challenge 2017 ในครั้งนี้ โดยกิจกรรมดังกล่าวได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาคเอกชน, องค์กรนานาชาติ, มูลนิธิ, องค์กรวิชาการ ในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระดับโลก จึงขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมา ณ ที่นี้ด้วย อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ 5/4/2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปนัดดา" เปิดงาน FedEx Express/JA (Junior Achievement) International Trade Challenge 2017 วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560 "ปนัดดา" เปิดงาน FedEx Express/JA (Junior Achievement) International Trade Challenge 2017 ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดและกล่าวสุนทรพจน์ในงาน FedEx Express/JA (Junior Achievement) International Trade Challenge 2017 เมื่อวันพุธที่ 5 เมษายน 2560 ณ United Nations Conference Centre, Bangkok (UNESCAP) โดย ~~ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดและกล่าวสุนทรพจน์ในงาน FedEx Express/JA (Junior Achievement) International Trade Challenge 2017 เมื่อวันพุธที่ 5 เมษายน 2560 ณ United Nations Conference Centre, Bangkok (UNESCAP) โดยมี ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธาน Junior Achievement Thailand, Mr Marco Roncarati ผู้แทน Social Affairs Officer, Social Development Division, United Nations ESCAP, Ms Vivian Lau ประธาน Junior Achievement Asia Pacific, นายศศธร ภาสภิญโญ ผู้จัดการอาวุโส บริษัท FedEx Express ประเทศไทย, ตลอดจนครู อาจารย์ และนักเรียน เข้าร่วมงาน ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล กล่าวว่า JA เป็นองค์กรเกี่ยวกับเยาวชนที่ไม่แสวงหากําไรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งได้ดําเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อให้การศึกษากับลูกหลานเยาวชนเกี่ยวกับการเป็นผู้ประกอบการ และการเตรียมความพร้อมในการทํางานผ่านประสบการณ์ และโครงการที่เกี่ยวข้องโดยตรง ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา JA ได้ดําเนินโครงการต่าง ๆ ในหลายประเทศ โดยที่ JA มีเป้าหมายเดียวกับรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการไทยคือ การฝึกฝนและพัฒนาทักษะในการประกอบอาชีพของผู้เรียน เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงาน อีกทั้งยังมีเป้าหมายในการพัฒนาเยาวชน อาทิ นโยบายประชารัฐ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่าง Stakeholder, ภาครัฐ และภาคเอกชน เป็นต้น ในการเตรียมความพร้อมให้กับกําลังคนในอนาคต สําหรับการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ มีผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการและบริหารธุรกิจจํานวนมาก รวมทั้งผู้ชนะการแข่งขัน Junior Achievement International Trade Challenge ในปีล่าสุด มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ โดยกิจกรรมนี้ถือเป็นโอกาสอันดีของเยาวชนไทยในการเรียนรู้การวางแผนและวิเคราะห์ด้านการตลาด พร้อมทั้งได้พัฒนาทักษะด้านนวัตกรรมและการเป็นผู้ประกอบการด้วย จึงขอให้ครู นักเรียน และผู้เข้าร่วมงานทุกท่านใช้เวลากับกิจกรรมนี้อย่างคุ้มค่า ทั้งนี้ จะทําการคัดเลือก 3 ทีมที่ชนะการแข่งขัน เพื่อเป็นตัวแทนของประเทศไทยไปแข่งขัน Junior Achievement International Trade Challenge 2017 ระดับนานาชาติ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2560 จึงขอให้ผู้ที่ได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทย ไม่ต้องวิตกกังวลว่าการแข่งขันจะเป็นอย่างไร โดยขอให้คิดว่าเป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้ และเป็นความท้าทายหนึ่งที่ต้องผ่านไปให้ได้ นอกจากนี้ ได้เน้นย้ําเกี่ยวกับการพัฒนาการศึกษาที่ให้ความสําคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ ซึ่งมีกรอบแนวทางการดําเนินงาน เพื่อลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา ส่งเสริมการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม และสนับสนุนการจัดการศึกษาตลอดชีวิตเพื่อทุกคน อีกทั้งขอให้ทุกคนน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 มาปรับใช้ โดยเป็นรูปแบบการผสมผสานและบูรณาการ อันจะนําพาไปสู่ความสมดุลระหว่างการพัฒนาและความสุข ดังเช่นที่มีการใช้ดัชนีวัดความสุขมวลรวมประชาชาติ หรือ GDH: Gross Domestic Happiness ทั้งนี้ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่สิ่งที่ขัดขวางการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่เป็นปรัชญาที่แฝงไปด้วยความสําคัญอย่างยิ่งในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่จะสามารถบรรลุความพอประมาณอย่างสมเหตุสมผลหรือการบริโภคอย่างเหมาะสม รวมทั้งสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง และบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ด้วยการส่งเสริมให้ผลิตและบริโภคทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจํากัด เพื่อลดอัตราความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ และเพิ่มความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้ประเทศ ซึ่งเป็นไปตามหลักการการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ หรือ 2030 Agenda for Sustainable Development ที่ให้ความสําคัญกับความกลมกลืนของ 3 สิ่ง ได้แก่ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การอยู่ร่วมกันในสังคม และการปกป้องรักษาสิ่งแวดล้อม โดยที่รัฐบาลปัจจุบันมีภารกิจในการพัฒนาความสามารถของทรัพยากรมนุษย์ เพื่อลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม สร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจ และสร้างความมั่งคั่งอีกด้วย ในนามของกระทรวงศึกษาธิการ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมงาน FedEx Express/JA (Junior Achievement) International Trade Challenge 2017 ในครั้งนี้ โดยกิจกรรมดังกล่าวได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาคเอกชน, องค์กรนานาชาติ, มูลนิธิ, องค์กรวิชาการ ในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระดับโลก จึงขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมา ณ ที่นี้ด้วย อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ 5/4/2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2930
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ส่งเสริมความสัมพันธ์
วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน 2560 ส่งเสริมความสัมพันธ์ ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ต้อนรับ นายเอกเตอร์ กอนเด อัลเมย์ดา (Mr.Hector Conde Almeida) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งสาธารณรัฐคิวบาประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะในโอกาสที่เข้ารับหน้าที่ใหม่และเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทยและคิวบา โดยมี นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์, นพ.สุขุม กาญจนพิมาย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวง ร่วมด้วย ที่ห้องรับรอง 1 ตึก สป.สธ. ********* พฤศจิกายน 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ส่งเสริมความสัมพันธ์ วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน 2560 ส่งเสริมความสัมพันธ์ ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ต้อนรับ นายเอกเตอร์ กอนเด อัลเมย์ดา (Mr.Hector Conde Almeida) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งสาธารณรัฐคิวบาประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะในโอกาสที่เข้ารับหน้าที่ใหม่และเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทยและคิวบา โดยมี นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์, นพ.สุขุม กาญจนพิมาย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวง ร่วมด้วย ที่ห้องรับรอง 1 ตึก สป.สธ. ********* พฤศจิกายน 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7755
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนกรณีความคืบหน้าการแก้ไขปัญหา IUU
วันอังคารที่ 17 เมษายน 2561 นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนกรณีความคืบหน้าการแก้ไขปัญหา IUU นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนกรณีความคืบหน้าการแก้ไขปัญหา IUU วันนี้ (17 เมษายน 2561) เวลา 13.30 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตอบคําถามจากสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี กรณีคณะผู้แทนจากสหภาพยุโรป (EU) เดินทางมาตรวจประเมินการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายไร้การควบคุม (IUU) นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การดําเนินเพื่อการแก้ไขปัญหาดังกล่าวมีแนวโน้มที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงทํางานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผลการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เพื่อเตรียมพร้อมกับการประเมินในอีก 3 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรีที่กํากับดูแลในเรื่องดังกล่าว ได้มีการประชุมติดตามการแก้ไขปัญหา IUU อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นไปตามนโยบาย และมาตรการที่กําหนดไว้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนกรณีความคืบหน้าการแก้ไขปัญหา IUU วันอังคารที่ 17 เมษายน 2561 นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนกรณีความคืบหน้าการแก้ไขปัญหา IUU นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนกรณีความคืบหน้าการแก้ไขปัญหา IUU วันนี้ (17 เมษายน 2561) เวลา 13.30 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตอบคําถามจากสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี กรณีคณะผู้แทนจากสหภาพยุโรป (EU) เดินทางมาตรวจประเมินการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายไร้การควบคุม (IUU) นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การดําเนินเพื่อการแก้ไขปัญหาดังกล่าวมีแนวโน้มที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงทํางานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผลการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เพื่อเตรียมพร้อมกับการประเมินในอีก 3 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรีที่กํากับดูแลในเรื่องดังกล่าว ได้มีการประชุมติดตามการแก้ไขปัญหา IUU อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นไปตามนโยบาย และมาตรการที่กําหนดไว้
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11535
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ดูแลสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม ส้วม ขยะ พื้นที่น้ำท่วม
วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2562 สธ. ดูแลสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม ส้วม ขยะ พื้นที่น้ําท่วม กระทรวงสาธารณสุข เร่งดูแลสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมการกําจัดสิ่งปฏิกูลและขยะในพื้นที่น้ําท่วม ให้ศูนย์อนามัย และสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด แนะนําการใช้ส้วม ป้องกันโรคระบบทางเดินอาหาร และให้คําแนะนําการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมหลังน้ําลด ทําความบ่อน้ําใช้ และที่พักอาศัย ปลอ กระทรวงสาธารณสุข เร่งดูแลสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมการกําจัดสิ่งปฏิกูลและขยะในพื้นที่น้ําท่วม ให้ศูนย์อนามัย และสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด แนะนําการใช้ส้วม ป้องกันโรคระบบทางเดินอาหาร และให้คําแนะนําการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมหลังน้ําลด ทําความบ่อน้ําใช้ และที่พักอาศัย ปลอดภัยจากเชื้อโรค สัตว์มีพิษ และอุบัติเหตุ วันนี้ (16 กันยายน 2562) นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ปัญหาที่พบในพื้นที่น้ําท่วมส่วนใหญ่คือ การกําจัดสิ่งปฏิกูลและขยะ เนื่องจากส้วมไม่สามารถใช้งานได้ ได้ให้ศูนย์อนามัย และสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด ลงพื้นที่ให้ความรู้ประชาชนในการขับถ่ายและกําจัดสิ่งปฏิกูลอย่างถูกวิธี โดยขับถ่ายอุจจาระลงในถุง หรือส้วมเก้าอี้ ส้วมกล่องกระดาษ ส้วมถัง ใส่ปูนขาวหรือน้ํายาฆ่าเชื้อลงในถุงแล้วมัดปากถุงให้แน่นเก็บไว้ในถังที่มีฝาปิดมิดชิด หรือขอใช้สุขาที่สาธารณะ เช่น วัด โรงเรียน ส้วมลอยน้ํา สุขาเคลื่อนที่ สําหรับการกําจัดขยะและเศษอาหารให้ใส่ถุงพลาสติกแล้วมัดปากถุงให้แน่น หรือทิ้งในภาชนะบรรจุที่ปิดมิดชิดป้องกันหนูและแมลงต่าง ๆ เก็บรวบรวมและนําไปทิ้งในถังขยะ หรือรถ/เรือกําจัดขยะ ในจุดที่ผู้นําชุมชนได้จัดไว้ นายแพทย์สุขุม กล่าวต่อว่า ได้ประสานการทํางานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลประชาชนในศูนย์พักพิง ห้องน้ําห้องส้วมให้เพียงพอและมีคุณภาพ สนับสนุนการกําจัดขยะ สัตว์และแมลงพาหะนําโรค มีการคัดแยกขยะ รวมทั้งคัดกรองอาหารที่มีผู้บริจาคจํานวนมาก เพื่อให้ประชาชนรับประทานอาหารที่ปลอดภัย ไม่บูด เสีย การใช้น้ําอุปโภค ขอให้ตักใส่ภาชนะ ใช้สารส้มกวนในน้ํา ให้ตกตะกอนและใส่คลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรค กรณีที่จะนําน้ํามาดื่มต้องต้มให้เดือดก่อน สําหรับบางพื้นที่ที่น้ําลดได้ให้เจ้าหน้าที่ให้คําแนะนําการฟื้นฟูสภาพแวดล้อม บ่อน้ําใช้ และทําความสะอาดที่พักอาศัย โดยให้สับคัตเอ๊าท์หรือสะพานไฟลงเพื่อความปลอดภัย ควรสวมรองเท้าและถุงมือที่เป็นฉนวนไฟฟ้า ตรวจดูระบบไฟฟ้าปลั๊กไฟ และไม่แตะอุปกรณ์ไฟฟ้าขณะร่างกายเปียกชื้น ขณะเก็บกวาดขยะควรใช้ไม้เขี่ยขยะหรือสิ่งของเพื่อไล่สัตว์มีพิษ เช่น ตะขาบ งู หนีออกไป สําหรับจังหวัดอุบลราชธานี ได้รับรายงานว่า ศูนย์อนามัยที่ 10 และสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบล ได้ลงพื้นที่ให้คําแนะนําประชาชนในการใช้ส้วมและการกําจัดขยะร่วมกับจิตอาสาและผู้นําชุมชนแจกชุดนายสะอาด 3,000 ชุด ส้วมเก้าอี้/ส้วมกล่องกระดาษ 4,000 ชุด และจัดการสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมในศูนย์พักพิงทั้ง 54 แห่ง ดูแลคุณภาพห้องน้ําห้องส้วมซึ่งมีจํานวนเพียงพอให้บริการ การจัดการอาหารบริจาคเพื่อให้ผู้นําชุมชนนําไปกระจายให้ประชาชน น้ําดื่ม น้ําใช้ และการกําจัดขยะแล้ว ส่วนสถานการณ์น้ําป่าไหลหลากที่เกาะช้าง จังหวัดตราด ขณะนี้ฝนหยุดตก เข้าสู่ภาวะปกติ โรงพยาบาลเกาะช้างไม่ได้รับผลกระทบ ได้เตรียมบุคลากร ยา เวชภัณฑ์พร้อมดูแลประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง และออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ที่วัดคลองพร้าวร่วมกับรพ.สต.คลองพร้าว ****************************************** 16 กันยายน 2562 *****************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ดูแลสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม ส้วม ขยะ พื้นที่น้ำท่วม วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2562 สธ. ดูแลสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม ส้วม ขยะ พื้นที่น้ําท่วม กระทรวงสาธารณสุข เร่งดูแลสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมการกําจัดสิ่งปฏิกูลและขยะในพื้นที่น้ําท่วม ให้ศูนย์อนามัย และสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด แนะนําการใช้ส้วม ป้องกันโรคระบบทางเดินอาหาร และให้คําแนะนําการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมหลังน้ําลด ทําความบ่อน้ําใช้ และที่พักอาศัย ปลอ กระทรวงสาธารณสุข เร่งดูแลสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมการกําจัดสิ่งปฏิกูลและขยะในพื้นที่น้ําท่วม ให้ศูนย์อนามัย และสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด แนะนําการใช้ส้วม ป้องกันโรคระบบทางเดินอาหาร และให้คําแนะนําการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมหลังน้ําลด ทําความบ่อน้ําใช้ และที่พักอาศัย ปลอดภัยจากเชื้อโรค สัตว์มีพิษ และอุบัติเหตุ วันนี้ (16 กันยายน 2562) นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ปัญหาที่พบในพื้นที่น้ําท่วมส่วนใหญ่คือ การกําจัดสิ่งปฏิกูลและขยะ เนื่องจากส้วมไม่สามารถใช้งานได้ ได้ให้ศูนย์อนามัย และสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด ลงพื้นที่ให้ความรู้ประชาชนในการขับถ่ายและกําจัดสิ่งปฏิกูลอย่างถูกวิธี โดยขับถ่ายอุจจาระลงในถุง หรือส้วมเก้าอี้ ส้วมกล่องกระดาษ ส้วมถัง ใส่ปูนขาวหรือน้ํายาฆ่าเชื้อลงในถุงแล้วมัดปากถุงให้แน่นเก็บไว้ในถังที่มีฝาปิดมิดชิด หรือขอใช้สุขาที่สาธารณะ เช่น วัด โรงเรียน ส้วมลอยน้ํา สุขาเคลื่อนที่ สําหรับการกําจัดขยะและเศษอาหารให้ใส่ถุงพลาสติกแล้วมัดปากถุงให้แน่น หรือทิ้งในภาชนะบรรจุที่ปิดมิดชิดป้องกันหนูและแมลงต่าง ๆ เก็บรวบรวมและนําไปทิ้งในถังขยะ หรือรถ/เรือกําจัดขยะ ในจุดที่ผู้นําชุมชนได้จัดไว้ นายแพทย์สุขุม กล่าวต่อว่า ได้ประสานการทํางานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลประชาชนในศูนย์พักพิง ห้องน้ําห้องส้วมให้เพียงพอและมีคุณภาพ สนับสนุนการกําจัดขยะ สัตว์และแมลงพาหะนําโรค มีการคัดแยกขยะ รวมทั้งคัดกรองอาหารที่มีผู้บริจาคจํานวนมาก เพื่อให้ประชาชนรับประทานอาหารที่ปลอดภัย ไม่บูด เสีย การใช้น้ําอุปโภค ขอให้ตักใส่ภาชนะ ใช้สารส้มกวนในน้ํา ให้ตกตะกอนและใส่คลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรค กรณีที่จะนําน้ํามาดื่มต้องต้มให้เดือดก่อน สําหรับบางพื้นที่ที่น้ําลดได้ให้เจ้าหน้าที่ให้คําแนะนําการฟื้นฟูสภาพแวดล้อม บ่อน้ําใช้ และทําความสะอาดที่พักอาศัย โดยให้สับคัตเอ๊าท์หรือสะพานไฟลงเพื่อความปลอดภัย ควรสวมรองเท้าและถุงมือที่เป็นฉนวนไฟฟ้า ตรวจดูระบบไฟฟ้าปลั๊กไฟ และไม่แตะอุปกรณ์ไฟฟ้าขณะร่างกายเปียกชื้น ขณะเก็บกวาดขยะควรใช้ไม้เขี่ยขยะหรือสิ่งของเพื่อไล่สัตว์มีพิษ เช่น ตะขาบ งู หนีออกไป สําหรับจังหวัดอุบลราชธานี ได้รับรายงานว่า ศูนย์อนามัยที่ 10 และสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบล ได้ลงพื้นที่ให้คําแนะนําประชาชนในการใช้ส้วมและการกําจัดขยะร่วมกับจิตอาสาและผู้นําชุมชนแจกชุดนายสะอาด 3,000 ชุด ส้วมเก้าอี้/ส้วมกล่องกระดาษ 4,000 ชุด และจัดการสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมในศูนย์พักพิงทั้ง 54 แห่ง ดูแลคุณภาพห้องน้ําห้องส้วมซึ่งมีจํานวนเพียงพอให้บริการ การจัดการอาหารบริจาคเพื่อให้ผู้นําชุมชนนําไปกระจายให้ประชาชน น้ําดื่ม น้ําใช้ และการกําจัดขยะแล้ว ส่วนสถานการณ์น้ําป่าไหลหลากที่เกาะช้าง จังหวัดตราด ขณะนี้ฝนหยุดตก เข้าสู่ภาวะปกติ โรงพยาบาลเกาะช้างไม่ได้รับผลกระทบ ได้เตรียมบุคลากร ยา เวชภัณฑ์พร้อมดูแลประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง และออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ที่วัดคลองพร้าวร่วมกับรพ.สต.คลองพร้าว ****************************************** 16 กันยายน 2562 *****************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23127
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามการดำเนินงานและมอบนโยบายแก่ รฟท.
วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามการดําเนินงานและมอบนโยบายแก่ รฟท. นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามการดําเนินงานและมอบนโยบายแก่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยมี นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม นายพีระพล ถาวรสุภเจริญ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงคมนาคม คณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม รักษาการผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย คณะผู้บริหาร รฟท. ร่วมประชุม เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ห้องประชุม รฟท. นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ กล่าวภายหลังรับฟังบรรยายสรุปผลการดําเนินงานของ รฟท. และมอบให้ รฟท. ดําเนินการ ดังนี้ 1. โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 1 จํานวน 7 เส้นทาง - เส้นทางชุมทางถนนจิระ - ขอนแก่น มีความก้าวหน้าร้อยละ 52 กําหนดแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 - เส้นทางฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า - แก่งคอย สัญญาที่ 1 มีความก้าวหน้าร้อยละ 66 กําหนดแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 สัญญาที่ 2 มีความก้าวหน้าร้อยละ 98 กําหนดแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม 2561 - เส้นทางลพบุรี - ปากน้ําโพ, มาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ, นครปฐม - หัวหิน, หัวหิน - ประจวบคีรีขันธ์ และประจวบคีรีขันธ์ - ชุมพร โครงการได้เริ่มการก่อสร้างในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 2. โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 จํานวน 9 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางปากน้ําโพ - เด่นชัย, ขอนแก่น - หนองคาย, ชุมทางถนนจิระ - อุบลราชธานี, ชุมพร - สุราษฎร์ธานี, สุราษฎร์ธานี - หาดใหญ่ - สงขลา, หาดใหญ่ – ปาดังเบซาร์, เด่นชัย – เชียงใหม่, เด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ และบ้านไผ่ - มุกดาหาร - นครพนม โดย รฟท. จะเสนอโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ เส้นทางเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ ให้กระทรวงฯ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการฯ ได้เป็นอันดับแรก 3. โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 3 (ทางรถไฟสายใหม่เชื่อมต่อจังหวัดสําคัญ) ได้เร่งรัดให้ รฟท. เริ่มศึกษาและออกแบบเส้นทางแม่สอด - ตาก - กําแพงเพชร - นครสวรรค์ และนครสวรรค์ - บ้านไผ่ ให้แล้วเสร็จภายในปี 2562 4. ให้ รฟท. เร่งศึกษาและออกแบบการเดินรถด้วยระบบไฟฟ้า จํานวน 4 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางกรุงเทพฯ - นครราชสีมา, กรุงเทพฯ - หัวหิน, กรุงเทพฯ - ฉะเชิงเทรา และกรุงเทพฯ - นครสวรรค์ 5. ให้ รฟท. จัดทําแผนการเดินรถโดยสารและรถสินค้า รวมถึงปรับรูปแบบการให้บริการเดินรถเพื่อเพิ่มปริมาณผู้ใช้บริการ ดังนี้ - ขบวนรถ Premium Train สําหรับขบวนรถที่ใช้เวลาการเดินทางไม่เกิน 4 ชั่วโมง เช่น เส้นทางกรุงเทพฯ - หนองคาย เป็นต้น - ขบวนรถ Overnight Train สําหรับขบวนรถทางไกลที่ใช้เวลาการเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมง - ขบวนรถ Inter City หรือขบวนรถไฟระหว่างเมืองที่มีระยะทางไม่เกิน 500 กิโลเมตร เช่น เส้นทางกรุงเทพฯ - นครสวรรค์ เป็นต้น - ขบวนรถชานเมือง เช่น รถไฟสายสีแดง เป็นต้น 6. ให้ รฟท. เตรียมความพร้อมด้านอัตรากําลัง การพัฒนาบุคลากร รวมถึงการยกระดับโรงเรียนวิศวกรรมรถไฟ เพื่อรองรับโครงการต่าง ๆ ของ รฟท. ในอนาคต
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามการดำเนินงานและมอบนโยบายแก่ รฟท. วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามการดําเนินงานและมอบนโยบายแก่ รฟท. นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามการดําเนินงานและมอบนโยบายแก่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยมี นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม นายพีระพล ถาวรสุภเจริญ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงคมนาคม คณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม รักษาการผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย คณะผู้บริหาร รฟท. ร่วมประชุม เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ห้องประชุม รฟท. นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ กล่าวภายหลังรับฟังบรรยายสรุปผลการดําเนินงานของ รฟท. และมอบให้ รฟท. ดําเนินการ ดังนี้ 1. โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 1 จํานวน 7 เส้นทาง - เส้นทางชุมทางถนนจิระ - ขอนแก่น มีความก้าวหน้าร้อยละ 52 กําหนดแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 - เส้นทางฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า - แก่งคอย สัญญาที่ 1 มีความก้าวหน้าร้อยละ 66 กําหนดแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 สัญญาที่ 2 มีความก้าวหน้าร้อยละ 98 กําหนดแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม 2561 - เส้นทางลพบุรี - ปากน้ําโพ, มาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ, นครปฐม - หัวหิน, หัวหิน - ประจวบคีรีขันธ์ และประจวบคีรีขันธ์ - ชุมพร โครงการได้เริ่มการก่อสร้างในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 2. โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 จํานวน 9 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางปากน้ําโพ - เด่นชัย, ขอนแก่น - หนองคาย, ชุมทางถนนจิระ - อุบลราชธานี, ชุมพร - สุราษฎร์ธานี, สุราษฎร์ธานี - หาดใหญ่ - สงขลา, หาดใหญ่ – ปาดังเบซาร์, เด่นชัย – เชียงใหม่, เด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ และบ้านไผ่ - มุกดาหาร - นครพนม โดย รฟท. จะเสนอโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ เส้นทางเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ ให้กระทรวงฯ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการฯ ได้เป็นอันดับแรก 3. โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 3 (ทางรถไฟสายใหม่เชื่อมต่อจังหวัดสําคัญ) ได้เร่งรัดให้ รฟท. เริ่มศึกษาและออกแบบเส้นทางแม่สอด - ตาก - กําแพงเพชร - นครสวรรค์ และนครสวรรค์ - บ้านไผ่ ให้แล้วเสร็จภายในปี 2562 4. ให้ รฟท. เร่งศึกษาและออกแบบการเดินรถด้วยระบบไฟฟ้า จํานวน 4 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางกรุงเทพฯ - นครราชสีมา, กรุงเทพฯ - หัวหิน, กรุงเทพฯ - ฉะเชิงเทรา และกรุงเทพฯ - นครสวรรค์ 5. ให้ รฟท. จัดทําแผนการเดินรถโดยสารและรถสินค้า รวมถึงปรับรูปแบบการให้บริการเดินรถเพื่อเพิ่มปริมาณผู้ใช้บริการ ดังนี้ - ขบวนรถ Premium Train สําหรับขบวนรถที่ใช้เวลาการเดินทางไม่เกิน 4 ชั่วโมง เช่น เส้นทางกรุงเทพฯ - หนองคาย เป็นต้น - ขบวนรถ Overnight Train สําหรับขบวนรถทางไกลที่ใช้เวลาการเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมง - ขบวนรถ Inter City หรือขบวนรถไฟระหว่างเมืองที่มีระยะทางไม่เกิน 500 กิโลเมตร เช่น เส้นทางกรุงเทพฯ - นครสวรรค์ เป็นต้น - ขบวนรถชานเมือง เช่น รถไฟสายสีแดง เป็นต้น 6. ให้ รฟท. เตรียมความพร้อมด้านอัตรากําลัง การพัฒนาบุคลากร รวมถึงการยกระดับโรงเรียนวิศวกรรมรถไฟ เพื่อรองรับโครงการต่าง ๆ ของ รฟท. ในอนาคต
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10196
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปตท. – องค์การเภสัชกรรม มอบแอลกอฮอล์ให้กระทรวงสาธารณสุข
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563 ปตท. – องค์การเภสัชกรรม มอบแอลกอฮอล์ให้กระทรวงสาธารณสุข บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) และองค์การเภสัชกรรม มอบแอลกอฮอล์ 30,000 ลิตรให้กระทรวงสาธารณสุข เพื่อส่งมอบไปยังโรงพยาบาลในสังกัด ใช้ทําความสะอาด ทําเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) และองค์การเภสัชกรรม มอบแอลกอฮอล์ 30,000 ลิตรให้กระทรวงสาธารณสุข เพื่อส่งมอบไปยังโรงพยาบาลในสังกัด ใช้ทําความสะอาด ทําเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 วันนี้ (27 มีนาคม 2563) นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รับมอบแอลกอฮอล์ปริมาณ 30,000 ลิตร จากนายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) และนายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อํานวยการองค์การเภสัชกรรม เพื่อนําไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ โดยแอลกอฮอล์นี้จะส่งมอบต่อไปยังโรงพยาบาล ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดระบบบริการและกระจายทรัพยากรต่าง ๆ ทั้ง ยา เวชภัณฑ์ วัสดุทางการแพทย์ ชุดป้องกันโรค หน้ากากชนิดต่างๆ จํานวนเตียง เครื่องช่วยหายใจ รวมทั้งแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรค ซึ่งเป็นเวชภัณฑ์จําเป็นที่บุคลากรสาธารณสุขมีความต้องการใช้อย่างมากในช่วงสถานการณ์โรคโควิด-19 โดยแอลกอฮอล์ที่ได้รับมอบวันนี้ เป็นแอลกอฮอล์เกรดคุณภาพสูงสําหรับยา และผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อความเข้มข้น 70 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งสิ้นจํานวน 30,000 ลิตรจากบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) และองค์การเภสัชกรรม โดยจะกระจายไปยังโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศต่อไป “ขอขอบคุณ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) และองค์การเภสัชกรรม ที่มีส่วนร่วมดูแลประชาชนในช่วงสถานการณ์วิกฤตนี้ ผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ที่ได้รับ เป็นการสนับสนุนการทํางาน และเป็นกําลังใจให้แก่บุคลากรสาธารณสุขที่ทําหน้าที่ในการป้องกันและดูแลรักษา ” นายแพทย์สุขุมกล่าว นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท. ได้จัดหาแอลกอฮอล์เกรดคุณภาพสูงสําหรับยา (pharmaceutical grade) จํานวน 15,000 ลิตร ส่งมอบให้แก่องค์การเภสัชกรรม เพื่อนําไปผลิตเป็นแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อที่มีความเข้มข้น 70 เปอร์เซ็นต์ ได้ผลิตภัณฑ์จํานวน 20,000 ลิตร และ ปตท. ได้จัดหาแอลกอฮอล์ชนิดอื่นๆ เช่น แอลกอฮอล์ 95 เปอร์เซนต์, สเปรย์ และเจลทําความสะอาดมือ เพิ่มเติมอีกประมาณ 10,000 ลิตร เพื่อร่วมส่งมอบให้แก่กระทรวงสาธารณสุขนําไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ต่อไป “กลุ่ม ปตท. ตระหนักถึงความสําคัญในการมีส่วนร่วมช่วยเหลือประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ที่ต้องการพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งทันทีหลังจากที่กรมสรรพสามิตได้ออกประกาศเพื่อปลดล็อคให้ผู้ผลิตสามารถบริจาคหรือจําหน่ายแอลกอฮอล์ได้นั้น กลุ่ม ปตท. จึงได้เร่งจัดหาแอลกอฮอล์จากโรงงานคู่ค้าเดิมที่จัดส่งแอลกอฮอล์แปลงสภาพ (denature) สําหรับผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิง เพื่อช่วยกระจายการเข้าถึงแอลกอฮอล์ให้แก่หน่วยงานของรัฐและโรงพยาบาลต่างๆ โดยสามารถจัดหาแอลกอฮอล์รวมจํานวนทั้งสิ้นกว่า 160,000 ลิตร ซึ่งคาดว่าจะดําเนินการกระจายไปยังหน่วยงานของรัฐ และโรงพยาบาลในแต่ละพื้นที่ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม” นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อํานวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า องค์การเภสัชกรรม ได้นําแอลกอฮอล์ความเข้มข้น 95 เปอร์เซ็นต์ ที่รับมอบจาก ปตท. จํานวน 15,000 ลิตร มาผลิตด้วยกรรมวิธีทางเภสัชกรรม เป็นผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อสีฟ้าใส ความเข้มข้น 70 เปอร์เซ็นต์ ได้ผลิตภัณฑ์จํานวน 20,000 ลิตร เป็นความเข้มข้นที่มีประสิทธิภาพที่ดีในการลดเชื้อและอยู่ในช่วงค่ามาตรฐานที่มีประสิทธิภาพในการทําความสะอาดตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนํา ทั้งนี้ องค์การเภสัชกรรมจะได้กระจายผลิตภัณฑ์ไปยังโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขตามความจําเป็นอย่างเหมาะสมต่อไป *********************************** 27 มีนาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปตท. – องค์การเภสัชกรรม มอบแอลกอฮอล์ให้กระทรวงสาธารณสุข วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563 ปตท. – องค์การเภสัชกรรม มอบแอลกอฮอล์ให้กระทรวงสาธารณสุข บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) และองค์การเภสัชกรรม มอบแอลกอฮอล์ 30,000 ลิตรให้กระทรวงสาธารณสุข เพื่อส่งมอบไปยังโรงพยาบาลในสังกัด ใช้ทําความสะอาด ทําเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) และองค์การเภสัชกรรม มอบแอลกอฮอล์ 30,000 ลิตรให้กระทรวงสาธารณสุข เพื่อส่งมอบไปยังโรงพยาบาลในสังกัด ใช้ทําความสะอาด ทําเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 วันนี้ (27 มีนาคม 2563) นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รับมอบแอลกอฮอล์ปริมาณ 30,000 ลิตร จากนายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) และนายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อํานวยการองค์การเภสัชกรรม เพื่อนําไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ โดยแอลกอฮอล์นี้จะส่งมอบต่อไปยังโรงพยาบาล ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดระบบบริการและกระจายทรัพยากรต่าง ๆ ทั้ง ยา เวชภัณฑ์ วัสดุทางการแพทย์ ชุดป้องกันโรค หน้ากากชนิดต่างๆ จํานวนเตียง เครื่องช่วยหายใจ รวมทั้งแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรค ซึ่งเป็นเวชภัณฑ์จําเป็นที่บุคลากรสาธารณสุขมีความต้องการใช้อย่างมากในช่วงสถานการณ์โรคโควิด-19 โดยแอลกอฮอล์ที่ได้รับมอบวันนี้ เป็นแอลกอฮอล์เกรดคุณภาพสูงสําหรับยา และผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อความเข้มข้น 70 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งสิ้นจํานวน 30,000 ลิตรจากบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) และองค์การเภสัชกรรม โดยจะกระจายไปยังโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศต่อไป “ขอขอบคุณ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) และองค์การเภสัชกรรม ที่มีส่วนร่วมดูแลประชาชนในช่วงสถานการณ์วิกฤตนี้ ผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ที่ได้รับ เป็นการสนับสนุนการทํางาน และเป็นกําลังใจให้แก่บุคลากรสาธารณสุขที่ทําหน้าที่ในการป้องกันและดูแลรักษา ” นายแพทย์สุขุมกล่าว นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท. ได้จัดหาแอลกอฮอล์เกรดคุณภาพสูงสําหรับยา (pharmaceutical grade) จํานวน 15,000 ลิตร ส่งมอบให้แก่องค์การเภสัชกรรม เพื่อนําไปผลิตเป็นแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อที่มีความเข้มข้น 70 เปอร์เซ็นต์ ได้ผลิตภัณฑ์จํานวน 20,000 ลิตร และ ปตท. ได้จัดหาแอลกอฮอล์ชนิดอื่นๆ เช่น แอลกอฮอล์ 95 เปอร์เซนต์, สเปรย์ และเจลทําความสะอาดมือ เพิ่มเติมอีกประมาณ 10,000 ลิตร เพื่อร่วมส่งมอบให้แก่กระทรวงสาธารณสุขนําไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ต่อไป “กลุ่ม ปตท. ตระหนักถึงความสําคัญในการมีส่วนร่วมช่วยเหลือประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ที่ต้องการพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งทันทีหลังจากที่กรมสรรพสามิตได้ออกประกาศเพื่อปลดล็อคให้ผู้ผลิตสามารถบริจาคหรือจําหน่ายแอลกอฮอล์ได้นั้น กลุ่ม ปตท. จึงได้เร่งจัดหาแอลกอฮอล์จากโรงงานคู่ค้าเดิมที่จัดส่งแอลกอฮอล์แปลงสภาพ (denature) สําหรับผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิง เพื่อช่วยกระจายการเข้าถึงแอลกอฮอล์ให้แก่หน่วยงานของรัฐและโรงพยาบาลต่างๆ โดยสามารถจัดหาแอลกอฮอล์รวมจํานวนทั้งสิ้นกว่า 160,000 ลิตร ซึ่งคาดว่าจะดําเนินการกระจายไปยังหน่วยงานของรัฐ และโรงพยาบาลในแต่ละพื้นที่ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม” นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อํานวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า องค์การเภสัชกรรม ได้นําแอลกอฮอล์ความเข้มข้น 95 เปอร์เซ็นต์ ที่รับมอบจาก ปตท. จํานวน 15,000 ลิตร มาผลิตด้วยกรรมวิธีทางเภสัชกรรม เป็นผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อสีฟ้าใส ความเข้มข้น 70 เปอร์เซ็นต์ ได้ผลิตภัณฑ์จํานวน 20,000 ลิตร เป็นความเข้มข้นที่มีประสิทธิภาพที่ดีในการลดเชื้อและอยู่ในช่วงค่ามาตรฐานที่มีประสิทธิภาพในการทําความสะอาดตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนํา ทั้งนี้ องค์การเภสัชกรรมจะได้กระจายผลิตภัณฑ์ไปยังโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขตามความจําเป็นอย่างเหมาะสมต่อไป *********************************** 27 มีนาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27968
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานผลสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ช่วงครึ่งแรกปี 2561
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2561 รายงานผลสํารวจตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ช่วงครึ่งแรกปี 2561 ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้จัดทํารายงานสรุปผลการสํารวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งแรกปี 2561 ในพื้นที่กรุงเทพฯ – ปริมณฑล โดยนับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ํากว่า 6 หน่วย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้จัดทํารายงานสรุปผลการสํารวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งแรกปี 2561 ในพื้นที่กรุงเทพฯ – ปริมณฑล โดยนับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ํากว่า 6 หน่วย จากการสํารวจพบว่า มีโครงการที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างการขายจํานวน 1,494 โครงการ มีหน่วยในผังโครงการรวมทั้งสิ้น 452,614 หน่วย จํานวนหน่วยเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2560 ร้อยละ 0.3 มีมูลค่าโครงการรวม 1,774,691 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยโครงการบ้านจัดสรร 1,041 โครงการ มีหน่วยในผังจํานวน 198,715 หน่วย จํานวนหน่วยลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2560 ร้อยละ 4.6 มีมูลค่าโครงการรวม 877,781 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 453 โครงการ มีหน่วยในผังจํานวน 253,899 หน่วย จํานวนหน่วยเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2560 ร้อยละ 4.5 มีมูลค่าโครงการรวม 896,910 ล้านบาท ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานกลยุทธ์ 2 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อํานวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า จากการสํารวจในช่วงครึ่งแรกปี 2561 มีหน่วยเหลือขายจํานวน 131,819 หน่วย หรือร้อยละ 29.1 ของหน่วยในผังโครงการทั้งหมด โดยโครงการบ้านจัดสรรมีหน่วยเหลือขายจํานวน 74,976 หน่วย หรือร้อยละ 37.7 ของหน่วยในผังโครงการบ้านจัดสรรทั้งหมด และโครงการอาคารชุด มีหน่วยเหลือขายจํานวน 56,843 หน่วย หรือร้อยละ 22.4 ของหน่วยในผังโครงการอาคารชุดทั้งหมด ภาพรวมอุปทานโครงการที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ช่วงครึ่งแรกปี 2561 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2560 ทั้งโครงการบ้านจัดสรรและอาคารชุด เนื่องจากอัตราการดูดซับของที่อยู่อาศัยเกือบทุกประเภทเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2560 โดยมีรายละเอียด ดังนี้ โครงการบ้านจัดสรร ที่อยู่ในระหว่างการขายในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล จํานวน 1,041 โครงการ มีหน่วยในผังของทุกโครงการรวมกัน 198,715 หน่วย มีหน่วยเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 74,976หน่วย คิดเป็นมูลค่าหน่วยเหลือขาย 330,752 ล้านบาท (เทียบกับในช่วงครึ่งแรกปี 2560 มีจํานวน 1,126โครงการ มีหน่วยในผังโครงการประมาณ 208,237 หน่วย และมีหน่วยเหลือขาย 78,219 หน่วย คิดเป็นมูลค่าหน่วยเหลือขาย 328,475 ล้านบาท) ทั้งนี้ หน่วยในผังโครงการทั้งหมด 198,715 หน่วย ส่วนใหญ่ร้อยละ 51.6 เป็นทาวน์เฮ้าส์ รองลงมา ร้อยละ 32.6 เป็นบ้านเดี่ยว ร้อยละ 11.4 เป็นบ้านแฝด ที่เหลือเป็นอาคารพาณิชย์และที่ดินเปล่า เมื่อแยกตามระดับราคา หน่วยในผังส่วนใหญ่ ร้อยละ 34.4 อยู่ในช่วงราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท รองลงมา ร้อยละ 27.1 อยู่ในช่วงราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท ร้อยละ 23.7 อยู่ในช่วงราคาเกินกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป และร้อยละ 14.7 อยู่ในช่วงราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท แยกตามสถานะของการก่อสร้าง พบว่า ส่วนใหญ่เป็นหน่วยที่ก่อสร้างเสร็จจํานวน 133,040 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 67.0 ของหน่วยในผังทั้งหมด รองลงมาเป็นหน่วยที่ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างจํานวน 34,825 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 17.5 และหน่วยที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างจํานวน 30,850 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 15.5 โดยหน่วยที่ก่อสร้างเหลือขาย หรือบ้านว่างมีจํานวน 17,077 หน่วย หรือร้อยละ 12.8 ของหน่วยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมด ทําเลบ้านจัดสรรในกรุงเทพมหานครที่ขายดีมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) ทําเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ 2) ทําเลคลองสามวา-มีนบุรี-หนองจอก-ลาดกระบัง 3) ทําเลลาดพร้าว-วังทองหลาง-บางกะปิ 4) ทําเลหลักสี่-ดอนเมือง-สายไหม-บางเขน 5) ทําเลตลิ่งชัน-บางแค-ภาษีเจริญ-หนองแขม-ทวีวัฒนา ทําเลบ้านจัดสรรในเขตปริมณฑลที่ขายดีมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) ทําเลเมืองสมุทรสาคร 2) ทําเลบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง 3) ทําเลพุทธมณฑล-นครชัยศรี-สามพราน 4) ทําเลเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ 5) ทําเลบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย ในช่วงครึ่งแรกปี 2561 บ้านจัดสรรในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ประเภททาวน์เฮ้าส์ มีหน่วยขายได้ใหม่จํานวน 12,020 หน่วย มีอัตราดูดซับร้อยละ 3.9 ต่อเดือน สูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2560 ซึ่งมีอัตราดูดซับร้อยละ 3.6 โดยบ้านเดี่ยว มีหน่วยขายได้ใหม่จํานวน 5,809 หน่วย มีอัตราดูดซับร้อยละ 3.2 ต่อเดือน เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งแรกปี 2560 ซึ่งมีอัตราดูดซับร้อยละ 3.0 และบ้านแฝด มีหน่วยขายได้ใหม่จํานวน 1,895 หน่วย มีอัตราดูดซับร้อยละ 3.2 ต่อเดือน ลดลงเล็กน้อยจากช่วงครึ่งแรกปี 2560 ซึ่งมีอัตราดูดซับร้อยละ 4.1 และอาคารพาณิชย์ มีหน่วยขายได้ใหม่จํานวน 592 หน่วย มีอัตราดูดซับร้อยละ 3.1 ต่อเดือน ลดลงเล็กน้อยจากช่วงครึ่งแรกปี 2560 ซึ่งมีอัตราดูดซับร้อยละ 3.8 โครงการอาคารชุด ที่อยู่ในระหว่างการขายในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล มีจํานวน 453 โครงการ มีหน่วยในผังของทุกโครงการรวมกัน 253,899 หน่วย มีหน่วยห้องชุดเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 56,843 หน่วย คิดเป็นมูลค่าหน่วยเหลือขาย 191,683 ล้านบาท (เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 ซึ่งมีโครงการอาคารชุด 437 โครงการ มีหน่วยในผังโครงการ 242,852 หน่วย มีหน่วยเหลือขาย 63,658 หน่วย คิดเป็นมูลค่าหน่วยเหลือขาย 197,598 ล้านบาท) ทั้งนี้หน่วยในผังโครงการทั้งหมด 253,899 หน่วย ส่วนใหญ่ร้อยละ 68.0 เป็นห้องชุดแบบหนึ่งห้องนอน รองลงมาร้อยละ 19.4 เป็นห้องแบบสตูดิโอ และร้อยละ 11.8 เป็นแบบสองห้องนอน ที่เหลือเป็นแบบสามห้องนอนขึ้นไป เมื่อแยกตามระดับราคา หน่วยในผังโครงการส่วนใหญ่ร้อยละ 35.2 อยู่ในช่วงราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ร้อยละ 29.5 อยู่ในช่วงราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท ร้อยละ 18.2 อยู่ในช่วงราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท ที่เหลืออีกร้อยละ 17.1 อยู่ในช่วงราคาเกินกว่า 5 ล้านบาท แยกตามสถานะของการก่อสร้าง พบว่า ส่วนใหญ่เป็นหน่วยที่ก่อสร้างเสร็จจํานวน 133,568 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 52.6 ของหน่วยในผังทั้งหมด รองลงมาเป็นหน่วยที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างจํานวน 92,088 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 36.3 และหน่วยที่ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างจํานวน 28,243 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 11.1 โดยหน่วยที่ก่อสร้างเหลือขาย หรือบ้านว่างมีจํานวน 19,088 หน่วย หรือร้อยละ 14.3 ของหน่วยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมด ทําเลอาคารชุดในกรุงเทพมหานครที่ขายดีมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) ทําเลสีลม-สาทร-บางรัก 2) ทําเลคลองสามวา-มีนบุรี-หนองจอก-ลาดกระบัง 3) ทําเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ 4) ทําเลบางซื่อ-ดุสิต 5) ทําเลบึงกุ่ม-คันนายาว-สะพานสูง ทําเลอาคารชุดในเขตปริมณฑลที่ขายดีมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) ทําเลกระทุ่มแบน-บ้านแพ้ว 2) ทําเลบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย 3) ทําเลบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง 4) ทําเลเมืองนครปฐม-กําแพงแสน-บางเลน-ดอนตูม 5) ทําเลลําลูกกา-คลองหลวง-ธัญบุรี-หนองเสือ ในช่วงครึ่งแรกปี 2561 อาคารชุดในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล มีหน่วยขายได้ใหม่จํานวน 27,781 หน่วย หรือคิดเป็นร้อยละ 14.1 ของหน่วยขายได้ทั้งหมดของอาคารชุด มีอัตราดูดซับร้อยละ 5.5 ต่อเดือน สูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2560 ซึงมีอัตราดูดซับร้อยละ 5.0 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 0-2645-9675-6 ฝ่ายประชาสัมพันธ์และบริการข้อมูล ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานผลสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ช่วงครึ่งแรกปี 2561 วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2561 รายงานผลสํารวจตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ช่วงครึ่งแรกปี 2561 ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้จัดทํารายงานสรุปผลการสํารวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งแรกปี 2561 ในพื้นที่กรุงเทพฯ – ปริมณฑล โดยนับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ํากว่า 6 หน่วย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้จัดทํารายงานสรุปผลการสํารวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งแรกปี 2561 ในพื้นที่กรุงเทพฯ – ปริมณฑล โดยนับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ํากว่า 6 หน่วย จากการสํารวจพบว่า มีโครงการที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างการขายจํานวน 1,494 โครงการ มีหน่วยในผังโครงการรวมทั้งสิ้น 452,614 หน่วย จํานวนหน่วยเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2560 ร้อยละ 0.3 มีมูลค่าโครงการรวม 1,774,691 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยโครงการบ้านจัดสรร 1,041 โครงการ มีหน่วยในผังจํานวน 198,715 หน่วย จํานวนหน่วยลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2560 ร้อยละ 4.6 มีมูลค่าโครงการรวม 877,781 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 453 โครงการ มีหน่วยในผังจํานวน 253,899 หน่วย จํานวนหน่วยเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2560 ร้อยละ 4.5 มีมูลค่าโครงการรวม 896,910 ล้านบาท ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานกลยุทธ์ 2 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อํานวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า จากการสํารวจในช่วงครึ่งแรกปี 2561 มีหน่วยเหลือขายจํานวน 131,819 หน่วย หรือร้อยละ 29.1 ของหน่วยในผังโครงการทั้งหมด โดยโครงการบ้านจัดสรรมีหน่วยเหลือขายจํานวน 74,976 หน่วย หรือร้อยละ 37.7 ของหน่วยในผังโครงการบ้านจัดสรรทั้งหมด และโครงการอาคารชุด มีหน่วยเหลือขายจํานวน 56,843 หน่วย หรือร้อยละ 22.4 ของหน่วยในผังโครงการอาคารชุดทั้งหมด ภาพรวมอุปทานโครงการที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ช่วงครึ่งแรกปี 2561 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2560 ทั้งโครงการบ้านจัดสรรและอาคารชุด เนื่องจากอัตราการดูดซับของที่อยู่อาศัยเกือบทุกประเภทเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2560 โดยมีรายละเอียด ดังนี้ โครงการบ้านจัดสรร ที่อยู่ในระหว่างการขายในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล จํานวน 1,041 โครงการ มีหน่วยในผังของทุกโครงการรวมกัน 198,715 หน่วย มีหน่วยเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 74,976หน่วย คิดเป็นมูลค่าหน่วยเหลือขาย 330,752 ล้านบาท (เทียบกับในช่วงครึ่งแรกปี 2560 มีจํานวน 1,126โครงการ มีหน่วยในผังโครงการประมาณ 208,237 หน่วย และมีหน่วยเหลือขาย 78,219 หน่วย คิดเป็นมูลค่าหน่วยเหลือขาย 328,475 ล้านบาท) ทั้งนี้ หน่วยในผังโครงการทั้งหมด 198,715 หน่วย ส่วนใหญ่ร้อยละ 51.6 เป็นทาวน์เฮ้าส์ รองลงมา ร้อยละ 32.6 เป็นบ้านเดี่ยว ร้อยละ 11.4 เป็นบ้านแฝด ที่เหลือเป็นอาคารพาณิชย์และที่ดินเปล่า เมื่อแยกตามระดับราคา หน่วยในผังส่วนใหญ่ ร้อยละ 34.4 อยู่ในช่วงราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท รองลงมา ร้อยละ 27.1 อยู่ในช่วงราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท ร้อยละ 23.7 อยู่ในช่วงราคาเกินกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป และร้อยละ 14.7 อยู่ในช่วงราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท แยกตามสถานะของการก่อสร้าง พบว่า ส่วนใหญ่เป็นหน่วยที่ก่อสร้างเสร็จจํานวน 133,040 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 67.0 ของหน่วยในผังทั้งหมด รองลงมาเป็นหน่วยที่ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างจํานวน 34,825 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 17.5 และหน่วยที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างจํานวน 30,850 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 15.5 โดยหน่วยที่ก่อสร้างเหลือขาย หรือบ้านว่างมีจํานวน 17,077 หน่วย หรือร้อยละ 12.8 ของหน่วยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมด ทําเลบ้านจัดสรรในกรุงเทพมหานครที่ขายดีมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) ทําเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ 2) ทําเลคลองสามวา-มีนบุรี-หนองจอก-ลาดกระบัง 3) ทําเลลาดพร้าว-วังทองหลาง-บางกะปิ 4) ทําเลหลักสี่-ดอนเมือง-สายไหม-บางเขน 5) ทําเลตลิ่งชัน-บางแค-ภาษีเจริญ-หนองแขม-ทวีวัฒนา ทําเลบ้านจัดสรรในเขตปริมณฑลที่ขายดีมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) ทําเลเมืองสมุทรสาคร 2) ทําเลบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง 3) ทําเลพุทธมณฑล-นครชัยศรี-สามพราน 4) ทําเลเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ 5) ทําเลบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย ในช่วงครึ่งแรกปี 2561 บ้านจัดสรรในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ประเภททาวน์เฮ้าส์ มีหน่วยขายได้ใหม่จํานวน 12,020 หน่วย มีอัตราดูดซับร้อยละ 3.9 ต่อเดือน สูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2560 ซึ่งมีอัตราดูดซับร้อยละ 3.6 โดยบ้านเดี่ยว มีหน่วยขายได้ใหม่จํานวน 5,809 หน่วย มีอัตราดูดซับร้อยละ 3.2 ต่อเดือน เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งแรกปี 2560 ซึ่งมีอัตราดูดซับร้อยละ 3.0 และบ้านแฝด มีหน่วยขายได้ใหม่จํานวน 1,895 หน่วย มีอัตราดูดซับร้อยละ 3.2 ต่อเดือน ลดลงเล็กน้อยจากช่วงครึ่งแรกปี 2560 ซึ่งมีอัตราดูดซับร้อยละ 4.1 และอาคารพาณิชย์ มีหน่วยขายได้ใหม่จํานวน 592 หน่วย มีอัตราดูดซับร้อยละ 3.1 ต่อเดือน ลดลงเล็กน้อยจากช่วงครึ่งแรกปี 2560 ซึ่งมีอัตราดูดซับร้อยละ 3.8 โครงการอาคารชุด ที่อยู่ในระหว่างการขายในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล มีจํานวน 453 โครงการ มีหน่วยในผังของทุกโครงการรวมกัน 253,899 หน่วย มีหน่วยห้องชุดเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 56,843 หน่วย คิดเป็นมูลค่าหน่วยเหลือขาย 191,683 ล้านบาท (เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 ซึ่งมีโครงการอาคารชุด 437 โครงการ มีหน่วยในผังโครงการ 242,852 หน่วย มีหน่วยเหลือขาย 63,658 หน่วย คิดเป็นมูลค่าหน่วยเหลือขาย 197,598 ล้านบาท) ทั้งนี้หน่วยในผังโครงการทั้งหมด 253,899 หน่วย ส่วนใหญ่ร้อยละ 68.0 เป็นห้องชุดแบบหนึ่งห้องนอน รองลงมาร้อยละ 19.4 เป็นห้องแบบสตูดิโอ และร้อยละ 11.8 เป็นแบบสองห้องนอน ที่เหลือเป็นแบบสามห้องนอนขึ้นไป เมื่อแยกตามระดับราคา หน่วยในผังโครงการส่วนใหญ่ร้อยละ 35.2 อยู่ในช่วงราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ร้อยละ 29.5 อยู่ในช่วงราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท ร้อยละ 18.2 อยู่ในช่วงราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท ที่เหลืออีกร้อยละ 17.1 อยู่ในช่วงราคาเกินกว่า 5 ล้านบาท แยกตามสถานะของการก่อสร้าง พบว่า ส่วนใหญ่เป็นหน่วยที่ก่อสร้างเสร็จจํานวน 133,568 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 52.6 ของหน่วยในผังทั้งหมด รองลงมาเป็นหน่วยที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างจํานวน 92,088 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 36.3 และหน่วยที่ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างจํานวน 28,243 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 11.1 โดยหน่วยที่ก่อสร้างเหลือขาย หรือบ้านว่างมีจํานวน 19,088 หน่วย หรือร้อยละ 14.3 ของหน่วยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมด ทําเลอาคารชุดในกรุงเทพมหานครที่ขายดีมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) ทําเลสีลม-สาทร-บางรัก 2) ทําเลคลองสามวา-มีนบุรี-หนองจอก-ลาดกระบัง 3) ทําเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ 4) ทําเลบางซื่อ-ดุสิต 5) ทําเลบึงกุ่ม-คันนายาว-สะพานสูง ทําเลอาคารชุดในเขตปริมณฑลที่ขายดีมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) ทําเลกระทุ่มแบน-บ้านแพ้ว 2) ทําเลบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย 3) ทําเลบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง 4) ทําเลเมืองนครปฐม-กําแพงแสน-บางเลน-ดอนตูม 5) ทําเลลําลูกกา-คลองหลวง-ธัญบุรี-หนองเสือ ในช่วงครึ่งแรกปี 2561 อาคารชุดในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล มีหน่วยขายได้ใหม่จํานวน 27,781 หน่วย หรือคิดเป็นร้อยละ 14.1 ของหน่วยขายได้ทั้งหมดของอาคารชุด มีอัตราดูดซับร้อยละ 5.5 ต่อเดือน สูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2560 ซึงมีอัตราดูดซับร้อยละ 5.0 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 0-2645-9675-6 ฝ่ายประชาสัมพันธ์และบริการข้อมูล ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17231
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี พร้อม ครม. นำหน่วยงานภาครัฐ ภาคีเครือข่ายและประชาชน ร่วมกันทำกิจกรรมจิตอาสา “เราทำความดี ด้วยหัวใจ”
วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม 2561 นายกรัฐมนตรี พร้อม ครม. นําหน่วยงานภาครัฐ ภาคีเครือข่ายและประชาชน ร่วมกันทํากิจกรรมจิตอาสา “เราทําความดี ด้วยหัวใจ” นายกรัฐมนตรี นําประชาชนทุกภาคส่วนปฏิบัติการจิตอาสา “เราทําความดี ด้วยหัวใจ” เพื่อเฉลิมพระเกียรติ และแสดงความจงรักภักดีแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2561 วันนี้ (26 ก.ค.61) เวลา 09.10 น. ณ บริเวณถนนครปฐม ด้านคลองเปรมประชากร ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดสํานักนายกรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ตลอดจนภาคีเครือข่ายภาคเอกชน นักศึกษา และประชาชนผู้มีจิตอาสา ร่วมกันทํากิจกรรม “เราทําความดี ด้วยหัวใจ” เพื่อแสดงน้ําหนึ่งใจเดียวกันในการร่วมกันปฏิบัติการจิตอาสา เพื่อเฉลิมพระเกียรติ และแสดงความจงรักภักดีแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2561 โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเปิดงานกิจกรรม “เราทําความดี ด้วยหัวใจ” การปฏิบัติการจิตอาสาเป็น กิจกรรมที่ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติในหลายๆ ด้าน ด้วยการร่วมแรงร่วมใจกันอย่างเข้มแข็ง หลอมรวมดวงใจของทุกคนให้เป็นพลังหนึ่งเดียวกัน และผนึกกําลังสร้างสรรค์สังคมไทยให้น่าอยู่ กลายเป็นพลังแห่งความรัก ความสามัคคีที่ยิ่งใหญ่ของคนในประเทศ ซึ่งทุกภาคส่วนได้มาร่วมกันทําสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่สังคม ด้วยพลังของจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดําริของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งรัฐบาลได้น้อมนําโครงการจิตอาสา “เราทําความดี ด้วยหัวใจ” มาสืบสาน ขยายผลออกไปในวงกว้างในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ รวมไปถึงกลุ่มคนไทยในต่างประเทศด้วย เพื่อให้ประชาชนผู้มีจิตอาสาทุกคนได้ร่วมกันเฉลิมพระเกียรติและน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวาระวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2561 โดยได้จัดให้มีกิจกรรมจิตอาสานี้อีกหลายๆ กิจกรรม โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 21 ถึงวันที่ 29 กรกฎาคม 2561 พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการจัดการผังเมืองของรัฐบาลในขณะนี้ว่า เพื่อให้ประชาชนเกิดความรับผิดชอบขยะของตนเอง ซึ่งต้องแก้ปัญหาร่วมกัน และต้องรู้วิธีจัดการขยะว่านําไปจัดการอย่างไร เช่น นําไปทําปุ๋ย ผลิตไฟฟ้า หรือเป็นพลังงาน อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ พร้อมกล่าวย้ําว่ารัฐบาลดําเนินการต่าง ๆ ไม่ได้เอื้อต่อประโยชน์แก่บุคคลหรือหน่วยงานใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นเรื่องที่จําเป็นและต้องแก้ปัญหานี้อย่างเร่งด่วนและทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการจัดการขยะ คือ ร่วมกันคัดแยกขยะก่อนทิ้งลงถัง เพื่อจะลดภาระให้แก่เจ้าหน้าที่ที่จัดเก็บ พร้อมกล่าวกับประชาชนจิตอาสาที่มาร่วมกิจกรรมว่าให้เรียนรู้และทําความเข้าใจในวัตถุประสงค์ที่รัฐบาลแก้ไขข้อกฎหมายด้านต่าง ๆ ซึ่งรัฐบาลมีการประเมินทั้งแผนระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเป็นการติดตามผลการดําเนินงานซึ่งจะทําให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์สูงสุด พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีและภริยา ได้ปลูกต้นรวงผึ้ง ซึ่งเป็นต้นไม้ประจําพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บริเวณด้านข้างศาลพระภูมิ จากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมภริยา และคณะรัฐมนตรี ได้ปลูกต้นทองอุไร บริเวณถนนนครปฐมด้านติดคลองเปรมประชากร ก่อนนําคณะรัฐมนตรี จิตอาสาจากทุกภาคส่วน ทํากิจกรรมจิตอาสาต่าง ๆ ได้แก่ การฉีดน้ําล้างทําความสะอาดบริเวณถนนครปฐม ด้านคลองเปรมประชากร ทําเนียบรัฐบาล ทาสีรั้วบริเวณสะพานอรทัยและแนวขอบริมทางเดินเท้า ชมการสาธิตเรือลอกตะกอนและเครื่องกลเติมอากาศใต้น้ํา รวมทั้งเยี่ยมชมให้กําลังใจจิตอาสา บริเวณจุดบริการอาหารแก่จิตอาสาเชิงสะพานอรทัย และบริเวณถนนพระรามที่ 5 จนถึงบริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ พร้อมชมการขุดลอกคลองบริเวณริมกําแพงโรงเรียนราชวินิต นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มอบอาหารเป็นห่อข้าวเหนียวไก่และน้ําดื่มให้แก่ผู้มาร่วมปฏิบัติการจิตอาสาครั้งนี้ด้วย ................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี พร้อม ครม. นำหน่วยงานภาครัฐ ภาคีเครือข่ายและประชาชน ร่วมกันทำกิจกรรมจิตอาสา “เราทำความดี ด้วยหัวใจ” วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม 2561 นายกรัฐมนตรี พร้อม ครม. นําหน่วยงานภาครัฐ ภาคีเครือข่ายและประชาชน ร่วมกันทํากิจกรรมจิตอาสา “เราทําความดี ด้วยหัวใจ” นายกรัฐมนตรี นําประชาชนทุกภาคส่วนปฏิบัติการจิตอาสา “เราทําความดี ด้วยหัวใจ” เพื่อเฉลิมพระเกียรติ และแสดงความจงรักภักดีแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2561 วันนี้ (26 ก.ค.61) เวลา 09.10 น. ณ บริเวณถนนครปฐม ด้านคลองเปรมประชากร ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดสํานักนายกรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ตลอดจนภาคีเครือข่ายภาคเอกชน นักศึกษา และประชาชนผู้มีจิตอาสา ร่วมกันทํากิจกรรม “เราทําความดี ด้วยหัวใจ” เพื่อแสดงน้ําหนึ่งใจเดียวกันในการร่วมกันปฏิบัติการจิตอาสา เพื่อเฉลิมพระเกียรติ และแสดงความจงรักภักดีแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2561 โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเปิดงานกิจกรรม “เราทําความดี ด้วยหัวใจ” การปฏิบัติการจิตอาสาเป็น กิจกรรมที่ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติในหลายๆ ด้าน ด้วยการร่วมแรงร่วมใจกันอย่างเข้มแข็ง หลอมรวมดวงใจของทุกคนให้เป็นพลังหนึ่งเดียวกัน และผนึกกําลังสร้างสรรค์สังคมไทยให้น่าอยู่ กลายเป็นพลังแห่งความรัก ความสามัคคีที่ยิ่งใหญ่ของคนในประเทศ ซึ่งทุกภาคส่วนได้มาร่วมกันทําสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่สังคม ด้วยพลังของจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดําริของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งรัฐบาลได้น้อมนําโครงการจิตอาสา “เราทําความดี ด้วยหัวใจ” มาสืบสาน ขยายผลออกไปในวงกว้างในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ รวมไปถึงกลุ่มคนไทยในต่างประเทศด้วย เพื่อให้ประชาชนผู้มีจิตอาสาทุกคนได้ร่วมกันเฉลิมพระเกียรติและน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวาระวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2561 โดยได้จัดให้มีกิจกรรมจิตอาสานี้อีกหลายๆ กิจกรรม โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 21 ถึงวันที่ 29 กรกฎาคม 2561 พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการจัดการผังเมืองของรัฐบาลในขณะนี้ว่า เพื่อให้ประชาชนเกิดความรับผิดชอบขยะของตนเอง ซึ่งต้องแก้ปัญหาร่วมกัน และต้องรู้วิธีจัดการขยะว่านําไปจัดการอย่างไร เช่น นําไปทําปุ๋ย ผลิตไฟฟ้า หรือเป็นพลังงาน อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ พร้อมกล่าวย้ําว่ารัฐบาลดําเนินการต่าง ๆ ไม่ได้เอื้อต่อประโยชน์แก่บุคคลหรือหน่วยงานใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นเรื่องที่จําเป็นและต้องแก้ปัญหานี้อย่างเร่งด่วนและทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการจัดการขยะ คือ ร่วมกันคัดแยกขยะก่อนทิ้งลงถัง เพื่อจะลดภาระให้แก่เจ้าหน้าที่ที่จัดเก็บ พร้อมกล่าวกับประชาชนจิตอาสาที่มาร่วมกิจกรรมว่าให้เรียนรู้และทําความเข้าใจในวัตถุประสงค์ที่รัฐบาลแก้ไขข้อกฎหมายด้านต่าง ๆ ซึ่งรัฐบาลมีการประเมินทั้งแผนระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเป็นการติดตามผลการดําเนินงานซึ่งจะทําให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์สูงสุด พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีและภริยา ได้ปลูกต้นรวงผึ้ง ซึ่งเป็นต้นไม้ประจําพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บริเวณด้านข้างศาลพระภูมิ จากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมภริยา และคณะรัฐมนตรี ได้ปลูกต้นทองอุไร บริเวณถนนนครปฐมด้านติดคลองเปรมประชากร ก่อนนําคณะรัฐมนตรี จิตอาสาจากทุกภาคส่วน ทํากิจกรรมจิตอาสาต่าง ๆ ได้แก่ การฉีดน้ําล้างทําความสะอาดบริเวณถนนครปฐม ด้านคลองเปรมประชากร ทําเนียบรัฐบาล ทาสีรั้วบริเวณสะพานอรทัยและแนวขอบริมทางเดินเท้า ชมการสาธิตเรือลอกตะกอนและเครื่องกลเติมอากาศใต้น้ํา รวมทั้งเยี่ยมชมให้กําลังใจจิตอาสา บริเวณจุดบริการอาหารแก่จิตอาสาเชิงสะพานอรทัย และบริเวณถนนพระรามที่ 5 จนถึงบริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ พร้อมชมการขุดลอกคลองบริเวณริมกําแพงโรงเรียนราชวินิต นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มอบอาหารเป็นห่อข้าวเหนียวไก่และน้ําดื่มให้แก่ผู้มาร่วมปฏิบัติการจิตอาสาครั้งนี้ด้วย ................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14173
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. กำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวหญิงของหญิงรายหนึ่งที่รับภาระเพียงลำพังเลี้ยงดูลูก 2 คน ที่ป่วยเป็นโรคบกพร่องทางการเรียนรู้และพิการทางสติปัญญา ที่ จ.ขอนแก่น
วันอังคารที่ 17 ตุลาคม 2560 รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวหญิงของหญิงรายหนึ่งที่รับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูลูก 2 คน ที่ป่วยเป็นโรคบกพร่องทางการเรียนรู้และพิการทางสติปัญญา ที่ จ.ขอนแก่น รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวหญิงของหญิงรายหนึ่งที่รับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูลูก 2 คน ที่ป่วยเป็นโรคบกพร่องทางการเรียนรู้และพิการทางสติปัญญา และสามีที่ป่วย ไม่สามารถทํางานได้ ที่ จ.ขอนแก่น นนี้ (17 ต.ค. 60) เวลา 08.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 735/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทาง การแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีคณะผู้บริหารและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 8 กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า จากกรณีหญิงรายหนึ่ง ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูอีก 3 ชีวิต ทั้งลูกชายคนโตวัย 15 ปี ที่ป่วยเป็นโรคบกพร่องทางการเรียนรู้ ลูกสาวคนเล็กวัย 11 ปี ที่พิการทางสติปัญญา และป่วยเป็นโรคหอบหืด ความดันสูง ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ และหัวใจวายระยะเฉียบพลัน ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ และสามีที่ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ มีอาการแน่นหน้าอกตลอดเวลา ไม่สามารถ ทํางานได้ ครอบครัวมีฐานะยากจน รายได้ไม่เพียงพอค่าใช้จ่าย ที่อําเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดขอนแก่น (พมจ.ขอนแก่น) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เร่งลงพื้นที่ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก และคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยของผู้ที่ป่วยอย่างใกล้ชิด รวมทั้ง การให้คําปรึกษาแนะนํา แก่ครอบครัวในเรื่องสวัสดิการทางสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม และการส่งเสริมการประกอบอาชีพให้แก่ครอบครัวดังกล่าว เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกรณีหญิงวัย 52 ปี พิการมือและเท้าด้วน แต่ต้องรับภาระ เพียงลําพังเลี้ยงดูพ่อแก่ชราวัย 87 ปี ที่พิการนอนป่วยติดเตียง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้ง 2 ชีวิตอาศัยในบ้านพักสภาพเก่าทรุดโทรม ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่อําเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุราษฎร์ธานี (พมจ.สุราษฎร์ธานี) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เร่งลงพื้นที่ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจ ด้านผู้สูงอายุ และคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยของผู้ที่ป่วยอย่างใกล้ชิด การปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มีความมั่นคง แข็งแรง และถูกสุขลักษณะ เหมาะสมกับผู้พิการ รวมทั้งการให้คําปรึกษาแนะนําแก่ครอบครัวในเรื่องสวัสดิการทางสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาวต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. กำชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวหญิงของหญิงรายหนึ่งที่รับภาระเพียงลำพังเลี้ยงดูลูก 2 คน ที่ป่วยเป็นโรคบกพร่องทางการเรียนรู้และพิการทางสติปัญญา ที่ จ.ขอนแก่น วันอังคารที่ 17 ตุลาคม 2560 รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวหญิงของหญิงรายหนึ่งที่รับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูลูก 2 คน ที่ป่วยเป็นโรคบกพร่องทางการเรียนรู้และพิการทางสติปัญญา ที่ จ.ขอนแก่น รมว.พม. กําชับ จนท. เร่งช่วยเหลือครอบครัวหญิงของหญิงรายหนึ่งที่รับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูลูก 2 คน ที่ป่วยเป็นโรคบกพร่องทางการเรียนรู้และพิการทางสติปัญญา และสามีที่ป่วย ไม่สามารถทํางานได้ ที่ จ.ขอนแก่น นนี้ (17 ต.ค. 60) เวลา 08.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 735/2557-2560 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทาง การแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีคณะผู้บริหารและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 8 กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า จากกรณีหญิงรายหนึ่ง ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูอีก 3 ชีวิต ทั้งลูกชายคนโตวัย 15 ปี ที่ป่วยเป็นโรคบกพร่องทางการเรียนรู้ ลูกสาวคนเล็กวัย 11 ปี ที่พิการทางสติปัญญา และป่วยเป็นโรคหอบหืด ความดันสูง ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ และหัวใจวายระยะเฉียบพลัน ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ และสามีที่ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ มีอาการแน่นหน้าอกตลอดเวลา ไม่สามารถ ทํางานได้ ครอบครัวมีฐานะยากจน รายได้ไม่เพียงพอค่าใช้จ่าย ที่อําเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดขอนแก่น (พมจ.ขอนแก่น) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เร่งลงพื้นที่ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก และคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยของผู้ที่ป่วยอย่างใกล้ชิด รวมทั้ง การให้คําปรึกษาแนะนํา แก่ครอบครัวในเรื่องสวัสดิการทางสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม และการส่งเสริมการประกอบอาชีพให้แก่ครอบครัวดังกล่าว เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกรณีหญิงวัย 52 ปี พิการมือและเท้าด้วน แต่ต้องรับภาระ เพียงลําพังเลี้ยงดูพ่อแก่ชราวัย 87 ปี ที่พิการนอนป่วยติดเตียง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้ง 2 ชีวิตอาศัยในบ้านพักสภาพเก่าทรุดโทรม ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่อําเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุราษฎร์ธานี (พมจ.สุราษฎร์ธานี) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เร่งลงพื้นที่ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจ ด้านผู้สูงอายุ และคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยของผู้ที่ป่วยอย่างใกล้ชิด การปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มีความมั่นคง แข็งแรง และถูกสุขลักษณะ เหมาะสมกับผู้พิการ รวมทั้งการให้คําปรึกษาแนะนําแก่ครอบครัวในเรื่องสวัสดิการทางสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาวต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7465
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- แก้ปัญหาสูญเสียที่ดิน จากสัญญาเงินกู้ไม่เป็นธรรม
วันจันทร์ที่ 17 กันยายน 2561 แก้ปัญหาสูญเสียที่ดิน จากสัญญาเงินกู้ไม่เป็นธรรม เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น กองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากไร้ โดยให้สินเชื่อเพื่อไถ่ถอนที่ดินเท่าที่เป็นหนี้จริง แต่ไม่เกินรายละ 2.5 ล้านบาท ชําระคืนภายใน 20 ปี จันทร์ที่ 17 ก.ย.61 แก้ปัญหาสูญเสียที่ดิน จากสัญญาเงินกู้ไม่เป็นธรรม ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลแก้ไขปัญหาการสูญเสียที่ดินจากสัญญาเงินกู้ที่ไม่เป็นธรรม เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น กองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากไร้ โดยให้สินเชื่อเพื่อไถ่ถอนที่ดินเท่าที่เป็นหนี้จริง แต่ไม่เกินรายละ 2.5 ล้านบาท ชําระคืนภายใน 20 ปี กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ให้สินเชื่อรายละไม่เกิน 2.5 ล้านบาท และสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดินจะสนับสนุนสินเชื่อเพื่อไถ่ถอนที่ดินตามสัญญาเงินกู้ ชําระหนี้ตามคําพิพากษาที่เกี่ยวกับที่ดิน รวมถึงการซื้อที่ดินที่ถูกบังคับจํานองและขายทอดตลาดไปแล้วไม่เกิน 5 ปีกลับคืนมา เป็นต้น ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งมั่นดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของผู้มีรายได้น้อยอย่างจริงจังและยั่งยืน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- แก้ปัญหาสูญเสียที่ดิน จากสัญญาเงินกู้ไม่เป็นธรรม วันจันทร์ที่ 17 กันยายน 2561 แก้ปัญหาสูญเสียที่ดิน จากสัญญาเงินกู้ไม่เป็นธรรม เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น กองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากไร้ โดยให้สินเชื่อเพื่อไถ่ถอนที่ดินเท่าที่เป็นหนี้จริง แต่ไม่เกินรายละ 2.5 ล้านบาท ชําระคืนภายใน 20 ปี จันทร์ที่ 17 ก.ย.61 แก้ปัญหาสูญเสียที่ดิน จากสัญญาเงินกู้ไม่เป็นธรรม ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลแก้ไขปัญหาการสูญเสียที่ดินจากสัญญาเงินกู้ที่ไม่เป็นธรรม เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น กองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากไร้ โดยให้สินเชื่อเพื่อไถ่ถอนที่ดินเท่าที่เป็นหนี้จริง แต่ไม่เกินรายละ 2.5 ล้านบาท ชําระคืนภายใน 20 ปี กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ให้สินเชื่อรายละไม่เกิน 2.5 ล้านบาท และสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดินจะสนับสนุนสินเชื่อเพื่อไถ่ถอนที่ดินตามสัญญาเงินกู้ ชําระหนี้ตามคําพิพากษาที่เกี่ยวกับที่ดิน รวมถึงการซื้อที่ดินที่ถูกบังคับจํานองและขายทอดตลาดไปแล้วไม่เกิน 5 ปีกลับคืนมา เป็นต้น ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งมั่นดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของผู้มีรายได้น้อยอย่างจริงจังและยั่งยืน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15413
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการคืนรอยยิ้มให้แก่น้องผู้ด้อยโอกาส
วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 โครงการคืนรอยยิ้มให้แก่น้องผู้ด้อยโอกาส คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีมอบทุน “โครงการคืนรอยยิ้มให้แก่น้องผู้ด้อยโอกาส” เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีมอบทุน “โครงการคืนรอยยิ้มให้แก่น้องผู้ด้อยโอกาส” โดยมีนายนิคม พงษ์รัตนสวัสดิ์ ประธานสภาทนายความจังหวัดสีคิ้ว นายรังสิสวุฒิ สุวรรณ์โรจน ผู้อํานวยการศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 11 จังหวัดนครราชสีมา คณะกรรมการสภาทนายความจังหวัดสีคิ้ว หัวหน้าส่วนราชการ คณะผู้บริหาร ครู นักเรียน และผู้ปกครอง ให้การต้อนรับ ณ ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 11 จังหวัดนครราชสีมา หน่วยบริการสีคิ้ว อําเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา นายนิคม พงษ์รัตนสวัสดิ์ ประธานสภาทนายความจังหวัดสีคิ้ว กล่าวว่า เนื่องด้วยวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็นวันทนายความ คณะกรรมการสภาทนายความจังหวัดสีคิ้ว ประกอบด้วย อําเภอสีคิ้ว โนนสูง ปากช่อง ด่านขุนทด และเทพารักษ์ จึงได้จัดกิจกรรมเพื่อสาธารณะประโยชน์แก่สังคมและส่วนรวม โดยจัดงาน "คืนรอยยิ้มให้แก่น้องผู้ด้อยโอกาส" เพื่อหาทุนการศึกษาแก่เด็กผู้ด้อยโอกาสและออกโรงทานเลี้ยงอาหารกลางวันให้แก่เด็กในกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ ให้มีกําลังใจและมีโอกาสได้พัฒนาเพื่อไปสู่โอกาสที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ในอนาคต และมีความสุขอย่างเด็กทั่ว ๆ ไป คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ กล่าวขอบคุณแทนเด็กที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษและผู้ปกครอง ของศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษาที่ 11 จังหวัดนครราชสีมา สาขาและหน่วยบริการสีคิ้ว ที่สภาทนายความจังหวัดสีคิ้วได้จัดกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมและส่วนรวม โดยการมอบทุนการศึกษา และเลี้ยงอาหารกลางวันแก่เด็กที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษ ในวันนี้ ดังแนวพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ทรงมีพระราชดํารัสว่า "งานช่วยเหลือคนพิการนี้ ก็มีความสําคัญอย่างยิ่ง เพราะผู้พิการไม่ได้อยากเป็นผู้พิการ และอยากช่วยเหลือตนเอง ถ้าเราไม่ช่วยเขาให้สามารถที่ปฏิบัติงานอะไรเพื่อชีวิต และเศรษฐกิจของครอบครัว จะทําให้เกิดสิ่งที่หนักในครอบครัว หนักแก่ส่วนรวม ฉะนั้นที่จะทําก็คือ ช่วยเขาให้ช่วยเหลือตนเองได้ เพื่อจะทําให้เขาสามารถเป็นประโยชน์ต่อสังคม" ซึ่งกระทรวงศึษาธิการได้นําแนวพระราชดํารัสนี้ ถือเป็นแนวทางปฏิบัติตลอดมา “ประเทศไทยมีประเพณี วัฒนธรรม ที่ดีงามเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันมาโดยตลอด แต่เมื่อมีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามา ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลก็เริ่มถดถอยหายไป เนื่องจากพ่อแม่สมัยนี้เลี้ยงลูกด้วยเทคโนโลยี เช่น โทรศัพท์มือถือ เครื่องคอมพิวเตอร์ และเกมที่รุนแรง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก รัก โกรธ เกลียด ยินดี หรือเสียใจ จึงเป็นสาเหตุที่ทําให้เด็กสมัยนี้มีจิตใจก้าวร้าว แข็งกระด้าง ถึงจะไม่ใช่สาเหตุหลักแต่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุดังกล่าว" "ในฐานะเป็นผู้หนึ่งในกระทรวงศึกษาธิการ ที่กํากับงานด้านนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ จึงขอใช้โอกาสอันดีนี้ขอให้พ่อแม่ทุกคนสละเวลาที่มีค่าเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง เพื่อให้เค้าเจริญเติบโตเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนหวาน โอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเกื้อกูล เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่าของสังคม และประเทศชาติต่อไป” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว โอกาสนี้ รมช.ศึกษาธิการ ได้ให้เกียรติมอบทุนการศึกษาแก่เด็กด้อยโอกาส จํานวน 43 ทุน และเยี่ยมชมการจัดการเรียนการสอน และการแสดงนิทรรศการการให้บริการเด็กที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 11 จังหวัดนครราชสีมา ทั้ง 7 เขตพื้นที่การศึกษา 32 หน่วยบริการ และการให้บริการอื่น ๆ ด้วย ณรีรัตน์ บุญหลัง: สรุป/เรียบเรียง ทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว: ถ่ายภาพ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการคืนรอยยิ้มให้แก่น้องผู้ด้อยโอกาส วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 โครงการคืนรอยยิ้มให้แก่น้องผู้ด้อยโอกาส คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีมอบทุน “โครงการคืนรอยยิ้มให้แก่น้องผู้ด้อยโอกาส” เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีมอบทุน “โครงการคืนรอยยิ้มให้แก่น้องผู้ด้อยโอกาส” โดยมีนายนิคม พงษ์รัตนสวัสดิ์ ประธานสภาทนายความจังหวัดสีคิ้ว นายรังสิสวุฒิ สุวรรณ์โรจน ผู้อํานวยการศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 11 จังหวัดนครราชสีมา คณะกรรมการสภาทนายความจังหวัดสีคิ้ว หัวหน้าส่วนราชการ คณะผู้บริหาร ครู นักเรียน และผู้ปกครอง ให้การต้อนรับ ณ ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 11 จังหวัดนครราชสีมา หน่วยบริการสีคิ้ว อําเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา นายนิคม พงษ์รัตนสวัสดิ์ ประธานสภาทนายความจังหวัดสีคิ้ว กล่าวว่า เนื่องด้วยวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็นวันทนายความ คณะกรรมการสภาทนายความจังหวัดสีคิ้ว ประกอบด้วย อําเภอสีคิ้ว โนนสูง ปากช่อง ด่านขุนทด และเทพารักษ์ จึงได้จัดกิจกรรมเพื่อสาธารณะประโยชน์แก่สังคมและส่วนรวม โดยจัดงาน "คืนรอยยิ้มให้แก่น้องผู้ด้อยโอกาส" เพื่อหาทุนการศึกษาแก่เด็กผู้ด้อยโอกาสและออกโรงทานเลี้ยงอาหารกลางวันให้แก่เด็กในกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ ให้มีกําลังใจและมีโอกาสได้พัฒนาเพื่อไปสู่โอกาสที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ในอนาคต และมีความสุขอย่างเด็กทั่ว ๆ ไป คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ กล่าวขอบคุณแทนเด็กที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษและผู้ปกครอง ของศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษาที่ 11 จังหวัดนครราชสีมา สาขาและหน่วยบริการสีคิ้ว ที่สภาทนายความจังหวัดสีคิ้วได้จัดกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมและส่วนรวม โดยการมอบทุนการศึกษา และเลี้ยงอาหารกลางวันแก่เด็กที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษ ในวันนี้ ดังแนวพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ทรงมีพระราชดํารัสว่า "งานช่วยเหลือคนพิการนี้ ก็มีความสําคัญอย่างยิ่ง เพราะผู้พิการไม่ได้อยากเป็นผู้พิการ และอยากช่วยเหลือตนเอง ถ้าเราไม่ช่วยเขาให้สามารถที่ปฏิบัติงานอะไรเพื่อชีวิต และเศรษฐกิจของครอบครัว จะทําให้เกิดสิ่งที่หนักในครอบครัว หนักแก่ส่วนรวม ฉะนั้นที่จะทําก็คือ ช่วยเขาให้ช่วยเหลือตนเองได้ เพื่อจะทําให้เขาสามารถเป็นประโยชน์ต่อสังคม" ซึ่งกระทรวงศึษาธิการได้นําแนวพระราชดํารัสนี้ ถือเป็นแนวทางปฏิบัติตลอดมา “ประเทศไทยมีประเพณี วัฒนธรรม ที่ดีงามเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันมาโดยตลอด แต่เมื่อมีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามา ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลก็เริ่มถดถอยหายไป เนื่องจากพ่อแม่สมัยนี้เลี้ยงลูกด้วยเทคโนโลยี เช่น โทรศัพท์มือถือ เครื่องคอมพิวเตอร์ และเกมที่รุนแรง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก รัก โกรธ เกลียด ยินดี หรือเสียใจ จึงเป็นสาเหตุที่ทําให้เด็กสมัยนี้มีจิตใจก้าวร้าว แข็งกระด้าง ถึงจะไม่ใช่สาเหตุหลักแต่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุดังกล่าว" "ในฐานะเป็นผู้หนึ่งในกระทรวงศึกษาธิการ ที่กํากับงานด้านนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ จึงขอใช้โอกาสอันดีนี้ขอให้พ่อแม่ทุกคนสละเวลาที่มีค่าเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง เพื่อให้เค้าเจริญเติบโตเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนหวาน โอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเกื้อกูล เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่าของสังคม และประเทศชาติต่อไป” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว โอกาสนี้ รมช.ศึกษาธิการ ได้ให้เกียรติมอบทุนการศึกษาแก่เด็กด้อยโอกาส จํานวน 43 ทุน และเยี่ยมชมการจัดการเรียนการสอน และการแสดงนิทรรศการการให้บริการเด็กที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษ ของศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 11 จังหวัดนครราชสีมา ทั้ง 7 เขตพื้นที่การศึกษา 32 หน่วยบริการ และการให้บริการอื่น ๆ ด้วย ณรีรัตน์ บุญหลัง: สรุป/เรียบเรียง ทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว: ถ่ายภาพ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26793
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พลเอกประวิตร” นั่งหัวโต๊ะประชุมนัดแรก คณะกรรมการขับเคลื่อนสมาร์ทซิตี้ เร่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ พร้อมเดินหน้าดันเขตส่งเสริมสู่เมืองอัจฉริยะ
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563 “พลเอกประวิตร” นั่งหัวโต๊ะประชุมนัดแรก คณะกรรมการขับเคลื่อนสมาร์ทซิตี้ เร่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ พร้อมเดินหน้าดันเขตส่งเสริมสู่เมืองอัจฉริยะ “พลเอกประวิตร” นั่งหัวโต๊ะประชุมนัดแรก คณะกรรมการขับเคลื่อนสมาร์ทซิตี้ เร่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ พร้อมเดินหน้าดันเขตส่งเสริมสู่เมืองอัจฉริยะ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2563 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล – รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง นําทัพเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ครั้งที่ 1/2563 โดยเป็นการประชุมครั้งแรกประจําปี 2563 ร่วมหารือเดินหน้าขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะประเทศไทย เร่งพิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและบริหารโครงการเมืองอัจฉริยะ รวมถึงเตรียมปรับแผนดําเนินงานให้ตรงตามนโยบายการพัฒนาประเทศมุ่งให้เกิดผลสําเร็จ สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ (New Normal) พร้อมสานต่อความร่วมมือเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียนประจําปี 2563 ณ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นประธานประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ครั้งที่ 1/2563 โดยมี นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อํานวยการใหญ่ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า พร้อมทีมงานจากฝ่ายส่งเสริมเมืองอัจฉริยะ ดีป้า รวมถึงผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สํานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) สํานักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เข้าร่วมประชุม ทั้งนี้ ที่ประชุมรับทราบเกี่ยวกับคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ผลการดําเนินงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่ผ่านมา รวมถึงความก้าวหน้าการดําเนินงานรายพื้นที่ ประกอบด้วย การประกาศเขตส่งเสริมเมืองอัจฉริยะทั้ง 27 เขตทั่วประเทศ ความก้าวหน้า Smart City กรุงเทพมหานคร ในพื้นที่ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน ความก้าวหน้า Smart City จังหวัดชลบุรี ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ความก้าวหน้า Smart City จังหวัดชลบุรี ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร และความก้าวหน้า Smart City จังหวัดภูเก็ต จากนั้น ที่ประชุมมีการพิจารณาในเรื่องการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิภายใต้คณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ 3 ด้าน ประกอบด้วย ด้านโทรคมนาคม ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและบริหารโครงการเมืองอัจฉริยะ รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการดําเนินงานสานต่อเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน ประจําปี 2563 (ASEAN Smart Cities Network: ASCN2020) พลเอกประวิตร กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งวาระเร่งด่วน โดยที่ประชุมเห็นชอบการพิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและบริหารโครงการเมืองอัจฉริยะ เพื่อให้การขับเคลื่อนพัฒนาเมืองอัจฉริยะเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยมอบหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานคณะอนุกรรมการฯ พร้อมบูรณาการการทํางานร่วมกับทุกภาคส่วนดําเนินการขับเคลื่อนพัฒนาเมืองอัจฉริยะให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว “ในส่วนของการเตรียมความพร้อมในการดําเนินงานสานต่อความร่วมมือด้านเมืองอัจฉริยะอาเซียน ASEAN Smart Cities Network ประจําปี 2563 ที่ประชุมพิจารณาเห็นชอบให้ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ดํารงตําแหน่ง National Representative (NR) รวมถึง ผู้อํานวยการใหญ่ ดีป้า ผู้อํานวยการ สนข. และ ผู้อํานวยการ สนพ. ดํารงตําแหน่ง Chief Smart City Officer (CSCOs) พร้อมมอบหมายให้เป็นผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมประชุมประจําปี ASCN ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 8-10 กรกฎาคม 2563 ณ เมืองฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ซึ่งเป็นวาระสําคัญของประเทศให้เกิดผลสําเร็จ สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ (New Normal)” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าว นอกจากนี้ พลเอกประวิตร ได้มอบหมายสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เร่งพิจารณาเรื่องการมอบสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมสําหรับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะให้ทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเป็นแนวทางหนึ่งในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยหารือร่วมกับ ดีป้า เพื่อทําข้อเสนอให้จูงใจนักลงทุน รวมถึงมีข้อเสนอแนะให้มีการพิจารณาเรื่องการเพิ่มลักษณะเมืองอัจฉริยะอีกหนึ่งด้านคือ ด้านสุขภาพอัจฉริยะ (Smart Health) หรือ นําไปเป็นส่วนประกอบเพิ่มเติมในด้าน การเป็นอยู่อัจฉริยะ (Smart Living) เนื่องจากเรื่องสุขภาพของประชาชนเป็นสิ่งสําคัญ และนํามาหารือในที่ประชุมครั้งต่อไป *******************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พลเอกประวิตร” นั่งหัวโต๊ะประชุมนัดแรก คณะกรรมการขับเคลื่อนสมาร์ทซิตี้ เร่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ พร้อมเดินหน้าดันเขตส่งเสริมสู่เมืองอัจฉริยะ วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563 “พลเอกประวิตร” นั่งหัวโต๊ะประชุมนัดแรก คณะกรรมการขับเคลื่อนสมาร์ทซิตี้ เร่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ พร้อมเดินหน้าดันเขตส่งเสริมสู่เมืองอัจฉริยะ “พลเอกประวิตร” นั่งหัวโต๊ะประชุมนัดแรก คณะกรรมการขับเคลื่อนสมาร์ทซิตี้ เร่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ พร้อมเดินหน้าดันเขตส่งเสริมสู่เมืองอัจฉริยะ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2563 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล – รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง นําทัพเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ครั้งที่ 1/2563 โดยเป็นการประชุมครั้งแรกประจําปี 2563 ร่วมหารือเดินหน้าขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะประเทศไทย เร่งพิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและบริหารโครงการเมืองอัจฉริยะ รวมถึงเตรียมปรับแผนดําเนินงานให้ตรงตามนโยบายการพัฒนาประเทศมุ่งให้เกิดผลสําเร็จ สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ (New Normal) พร้อมสานต่อความร่วมมือเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียนประจําปี 2563 ณ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นประธานประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ครั้งที่ 1/2563 โดยมี นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อํานวยการใหญ่ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า พร้อมทีมงานจากฝ่ายส่งเสริมเมืองอัจฉริยะ ดีป้า รวมถึงผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สํานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) สํานักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เข้าร่วมประชุม ทั้งนี้ ที่ประชุมรับทราบเกี่ยวกับคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ผลการดําเนินงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่ผ่านมา รวมถึงความก้าวหน้าการดําเนินงานรายพื้นที่ ประกอบด้วย การประกาศเขตส่งเสริมเมืองอัจฉริยะทั้ง 27 เขตทั่วประเทศ ความก้าวหน้า Smart City กรุงเทพมหานคร ในพื้นที่ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน ความก้าวหน้า Smart City จังหวัดชลบุรี ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ความก้าวหน้า Smart City จังหวัดชลบุรี ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร และความก้าวหน้า Smart City จังหวัดภูเก็ต จากนั้น ที่ประชุมมีการพิจารณาในเรื่องการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิภายใต้คณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ 3 ด้าน ประกอบด้วย ด้านโทรคมนาคม ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและบริหารโครงการเมืองอัจฉริยะ รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการดําเนินงานสานต่อเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน ประจําปี 2563 (ASEAN Smart Cities Network: ASCN2020) พลเอกประวิตร กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งวาระเร่งด่วน โดยที่ประชุมเห็นชอบการพิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและบริหารโครงการเมืองอัจฉริยะ เพื่อให้การขับเคลื่อนพัฒนาเมืองอัจฉริยะเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยมอบหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานคณะอนุกรรมการฯ พร้อมบูรณาการการทํางานร่วมกับทุกภาคส่วนดําเนินการขับเคลื่อนพัฒนาเมืองอัจฉริยะให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว “ในส่วนของการเตรียมความพร้อมในการดําเนินงานสานต่อความร่วมมือด้านเมืองอัจฉริยะอาเซียน ASEAN Smart Cities Network ประจําปี 2563 ที่ประชุมพิจารณาเห็นชอบให้ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ดํารงตําแหน่ง National Representative (NR) รวมถึง ผู้อํานวยการใหญ่ ดีป้า ผู้อํานวยการ สนข. และ ผู้อํานวยการ สนพ. ดํารงตําแหน่ง Chief Smart City Officer (CSCOs) พร้อมมอบหมายให้เป็นผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมประชุมประจําปี ASCN ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 8-10 กรกฎาคม 2563 ณ เมืองฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ซึ่งเป็นวาระสําคัญของประเทศให้เกิดผลสําเร็จ สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ (New Normal)” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าว นอกจากนี้ พลเอกประวิตร ได้มอบหมายสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เร่งพิจารณาเรื่องการมอบสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมสําหรับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะให้ทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเป็นแนวทางหนึ่งในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยหารือร่วมกับ ดีป้า เพื่อทําข้อเสนอให้จูงใจนักลงทุน รวมถึงมีข้อเสนอแนะให้มีการพิจารณาเรื่องการเพิ่มลักษณะเมืองอัจฉริยะอีกหนึ่งด้านคือ ด้านสุขภาพอัจฉริยะ (Smart Health) หรือ นําไปเป็นส่วนประกอบเพิ่มเติมในด้าน การเป็นอยู่อัจฉริยะ (Smart Living) เนื่องจากเรื่องสุขภาพของประชาชนเป็นสิ่งสําคัญ และนํามาหารือในที่ประชุมครั้งต่อไป *******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30849
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน ระดมพล สั่งเพิ่มเจ้าหน้าที่ กสร. เข้าช่วยวินิจฉัย [กระทรวงเเรงงาน]
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563 รมว.แรงงาน ระดมพล สั่งเพิ่มเจ้าหน้าที่ กสร. เข้าช่วยวินิจฉัย [กระทรวงเเรงงาน] รมว.แรงงาน ระดมพล สั่งเพิ่มเจ้าหน้าที่ กสร. เข้าช่วยวินิจฉัย จากการติดตามสถานการณ์การจ่ายสิทธิประโยชน์ การขอรับเงินว่างงานกรณีเหตุสุดวิสัย ของสํานักงานประกันสังคม พบว่าติดปัญหากําลังเจ้าหน้าที่ไม่พอหม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานสั่งการนายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสํานักงานประกันสังคมเข้าชี้แจง พบประเด็นปัญหาจึงสั่งการด่วน ออกคําสั่งกระทรวงแรงงานที่ 219/2563 ลงวันที่ 27 เม.ย. 2563 “แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2563” ให้แต่งตั้งข้าราชการกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้มีอํานาจหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวกับการตรวจสอบข้อมูล กรณีนายจ้างหยุดกิจการทั้งหมด หรือบางส่วน เป็นการชั่วคราวพร้อมรับรองผลการตรวจสอบ และรายงานต่อสํานักงานประกันสังคมโดยเร็ว เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกแก่นายจ้าง และผู้ประกันตน ทั้งคาดการณ์ว่าออกคําสั่งนี้ จะเพิ่มจํานวนเจ้าหน้าที่วินิจฉัยได้เป็นจํานวนกว่า 1,200 ราย และจะสามารถจ่ายเงินให้แก่ผู้ขอรับสิทธิประโยชน์ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสํานักงานประกันสังคมเปิดเผยว่า คําสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานดังกล่าว จะช่วยขับเคลื่อนการดําเนินงานได้มาก เนื่องจากกระบวนการจ่ายสิทธิประโยชน์ดังกล่าวเป็นการตรวจสอบตามขั้นตอนที่กฎหมายกําหนดมิใช่ระบบคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียว ดังนั้นข้อสั่งการของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในการออกคําสั่งให้มีการร่วมมือกันช่วยเหลือระหว่างหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องจะทําให้การดําเนินงานเร็วขึ้น ——————————— กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 28 เมษายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน ระดมพล สั่งเพิ่มเจ้าหน้าที่ กสร. เข้าช่วยวินิจฉัย [กระทรวงเเรงงาน] วันพุธที่ 29 เมษายน 2563 รมว.แรงงาน ระดมพล สั่งเพิ่มเจ้าหน้าที่ กสร. เข้าช่วยวินิจฉัย [กระทรวงเเรงงาน] รมว.แรงงาน ระดมพล สั่งเพิ่มเจ้าหน้าที่ กสร. เข้าช่วยวินิจฉัย จากการติดตามสถานการณ์การจ่ายสิทธิประโยชน์ การขอรับเงินว่างงานกรณีเหตุสุดวิสัย ของสํานักงานประกันสังคม พบว่าติดปัญหากําลังเจ้าหน้าที่ไม่พอหม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานสั่งการนายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสํานักงานประกันสังคมเข้าชี้แจง พบประเด็นปัญหาจึงสั่งการด่วน ออกคําสั่งกระทรวงแรงงานที่ 219/2563 ลงวันที่ 27 เม.ย. 2563 “แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2563” ให้แต่งตั้งข้าราชการกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้มีอํานาจหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวกับการตรวจสอบข้อมูล กรณีนายจ้างหยุดกิจการทั้งหมด หรือบางส่วน เป็นการชั่วคราวพร้อมรับรองผลการตรวจสอบ และรายงานต่อสํานักงานประกันสังคมโดยเร็ว เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกแก่นายจ้าง และผู้ประกันตน ทั้งคาดการณ์ว่าออกคําสั่งนี้ จะเพิ่มจํานวนเจ้าหน้าที่วินิจฉัยได้เป็นจํานวนกว่า 1,200 ราย และจะสามารถจ่ายเงินให้แก่ผู้ขอรับสิทธิประโยชน์ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสํานักงานประกันสังคมเปิดเผยว่า คําสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานดังกล่าว จะช่วยขับเคลื่อนการดําเนินงานได้มาก เนื่องจากกระบวนการจ่ายสิทธิประโยชน์ดังกล่าวเป็นการตรวจสอบตามขั้นตอนที่กฎหมายกําหนดมิใช่ระบบคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียว ดังนั้นข้อสั่งการของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในการออกคําสั่งให้มีการร่วมมือกันช่วยเหลือระหว่างหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องจะทําให้การดําเนินงานเร็วขึ้น ——————————— กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 28 เมษายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30001
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ เป็นประธานเปิดการอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้เรื่องบัญชีและการเงิน ส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจระดับเติบโต
วันพุธที่ 20 มิถุนายน 2561 ​รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ เป็นประธานเปิดการอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้เรื่องบัญชีและการเงิน ส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจระดับเติบโต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ "เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้เรื่องบัญชีและการเงิน" ครั้งที่ 1 ณ ห้องเลอคองคอร์ดบอลรูม โรงแรมสวิสโซเทล เลอคองคอร์ด รัชดา วันนี้ (20 มิถุนายน 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ "เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้เรื่องบัญชีและการเงิน" ครั้งที่ 1 ภายใต้โครงการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจระดับเติบโต จัดโดยสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ร่วมกับ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และ SME Bank โดยมีนายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อํานวยการ สสว. ให้การต้อนรับ พร้อมด้วยผู้ประกอบการ และเจ้าหน้าที่จากสถาบันทางการเงิน เข้าร่วมการอบรม ณ ห้องเลอคองคอร์ดบอลรูม โรงแรมสวิสโซเทล เลอคองคอร์ด รัชดา รัฐมนตรีช่วยฯ ก.อุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้กําหนดมาตรการพิเศษเพื่อขับเคลื่อน SMEs สู่ยุค 4.0 ในด้านของการส่งเสริมพัฒนาด้านการเงิน เพื่อให้การช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ให้มีศักยภาพและมีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น การบูรณาการการดําเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ในหลากหลายมิติ โดยกิจกรรมการอบรมสัมมนาในครั้งนี้ จะเป็นการจุดประกายให้ผู้ประกอบการ SMEs ของไทย ได้เห็นถึงความสําคัญของการเข้าสู่ระบบทางการเงิน ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการ เกิดความเข้มแข็งและดําเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องภายใต้สภาวะการเปลี่ยนแปลงของโลก และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและสร้างความแข็งแรงให้กับเศรษฐกิจของประเทศได้ ทั้งนี้ การอบรมสัมมนาดังกล่าว เป็นโครงการเพื่อส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ภายใต้ชื่อ "โครงการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจระดับเติบโต (SMEs Strong/Regular Level)" มุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการ SMEs ให้สูงขึ้น สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าหรือบริการ ให้เกิดมาตรฐานและคุณภาพในกระบวนการผลิต รวมทั้งผลักดันให้ผู้ประกอบการได้รับมาตรฐานสินค้าหรือบริการเป็นที่ยอมรับในระดับสากล สําหรับมาตรการส่งเสริมและช่วยเหลือ SMEs 9 มาตรการประกอบด้วย 1) Industry Transformation Center ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมทั่วประเทศ 2) SME Support Center ศูนย์สนับสนุนช่วยเหลือ SMEs 3) Train The Coach พัฒนาโค้ชหรือที่ปรึกษาเพื่อช่วยให้คําปรึกษา 4) SME Big Data พัฒนาฐานข้อมูล SMEs 5) Big Brothers โครงการพี่ช่วยน้อง 6) Digital Value Chain ผลักดัน SMEs สู่ห่วงโซ่การผลิต 7) SME Standard Up ยกระดับ SMEs สู่มาตรฐานที่เหมาะสม 8) Creative Industry Village ยกระดับเศรษฐกิจฐานชุมชน และ 9) Financial Literacy การเสริมแกร่งให้ SMEs รอบรู้ด้านบัญชีและการเงิน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ เป็นประธานเปิดการอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้เรื่องบัญชีและการเงิน ส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจระดับเติบโต วันพุธที่ 20 มิถุนายน 2561 ​รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ เป็นประธานเปิดการอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้เรื่องบัญชีและการเงิน ส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจระดับเติบโต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ "เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้เรื่องบัญชีและการเงิน" ครั้งที่ 1 ณ ห้องเลอคองคอร์ดบอลรูม โรงแรมสวิสโซเทล เลอคองคอร์ด รัชดา วันนี้ (20 มิถุนายน 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ "เสริมแกร่ง SMEs รอบรู้เรื่องบัญชีและการเงิน" ครั้งที่ 1 ภายใต้โครงการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจระดับเติบโต จัดโดยสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ร่วมกับ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และ SME Bank โดยมีนายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อํานวยการ สสว. ให้การต้อนรับ พร้อมด้วยผู้ประกอบการ และเจ้าหน้าที่จากสถาบันทางการเงิน เข้าร่วมการอบรม ณ ห้องเลอคองคอร์ดบอลรูม โรงแรมสวิสโซเทล เลอคองคอร์ด รัชดา รัฐมนตรีช่วยฯ ก.อุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้กําหนดมาตรการพิเศษเพื่อขับเคลื่อน SMEs สู่ยุค 4.0 ในด้านของการส่งเสริมพัฒนาด้านการเงิน เพื่อให้การช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ให้มีศักยภาพและมีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น การบูรณาการการดําเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ในหลากหลายมิติ โดยกิจกรรมการอบรมสัมมนาในครั้งนี้ จะเป็นการจุดประกายให้ผู้ประกอบการ SMEs ของไทย ได้เห็นถึงความสําคัญของการเข้าสู่ระบบทางการเงิน ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการ เกิดความเข้มแข็งและดําเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องภายใต้สภาวะการเปลี่ยนแปลงของโลก และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและสร้างความแข็งแรงให้กับเศรษฐกิจของประเทศได้ ทั้งนี้ การอบรมสัมมนาดังกล่าว เป็นโครงการเพื่อส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ภายใต้ชื่อ "โครงการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจระดับเติบโต (SMEs Strong/Regular Level)" มุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการ SMEs ให้สูงขึ้น สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าหรือบริการ ให้เกิดมาตรฐานและคุณภาพในกระบวนการผลิต รวมทั้งผลักดันให้ผู้ประกอบการได้รับมาตรฐานสินค้าหรือบริการเป็นที่ยอมรับในระดับสากล สําหรับมาตรการส่งเสริมและช่วยเหลือ SMEs 9 มาตรการประกอบด้วย 1) Industry Transformation Center ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมทั่วประเทศ 2) SME Support Center ศูนย์สนับสนุนช่วยเหลือ SMEs 3) Train The Coach พัฒนาโค้ชหรือที่ปรึกษาเพื่อช่วยให้คําปรึกษา 4) SME Big Data พัฒนาฐานข้อมูล SMEs 5) Big Brothers โครงการพี่ช่วยน้อง 6) Digital Value Chain ผลักดัน SMEs สู่ห่วงโซ่การผลิต 7) SME Standard Up ยกระดับ SMEs สู่มาตรฐานที่เหมาะสม 8) Creative Industry Village ยกระดับเศรษฐกิจฐานชุมชน และ 9) Financial Literacy การเสริมแกร่งให้ SMEs รอบรู้ด้านบัญชีและการเงิน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13208
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวนายกรัฐมนตรีในการประชุมผู้นำกลุ่ม ๒๐ (G20) วาระที่ ๑
วันพุธที่ 19 ตุลาคม 2559 คํากล่าวนายกรัฐมนตรีในการประชุมผู้นํากลุ่ม ๒๐ (G20) วาระที่ ๑ คํากล่าวนายกรัฐมนตรีในการประชุมผู้นํากลุ่ม ๒๐ (G20) วาระที่ ๑ วาระที่ ๑:การประสานนโยบายและแนวทางการพัฒนาใหม่ ๆ เพื่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก (Strengthening Policy Coordination and Breaking a New Path for Growth) วันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๙ เวลา ๑๐.๐๐ น.ณ นครหางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ประธานาธิบดีสี และผู้มีเกียรติทุกท่าน ก่อนอื่นผมขอขอบคุณสําหรับงานเลี้ยงต้อนรับที่อบอุ่นและน่าประทับใจ การแสดงที่อลังการผสมผสานอารยธรรมจีนและตะวันตกอย่างลงตัวผ่านการใช้เทคโนโลยีทันสมัย ขอขอบคุณรัฐบาลจีนที่เชิญไทยในฐานะประธานG77เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ซึ่งให้ความสําคัญกับวาระการพัฒนาและสะท้อนบทบาทที่สร้างสรรค์ของจีนในการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างG20และG77ซึ่งสอดคล้องกับแนวนโยบายของไทย ผมขอชื่นชมจีนและสหรัฐฯ ที่แสดงบทบาทนําในการรับรองข้อตกลงปารีส ซึ่งเป็นข่าวดีสําหรับชาวโลกในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ขณะนี้เศรษฐกิจโลกกําลังชะลอตัว และเผชิญกับความท้าทายในหลากมิติเราจึงต้องร่วมมือกันมากขึ้นโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังด้วยการผนึกกําลังสร้างความร่วมมือรูปแบบใหม่เพื่อเป็น“ยานยนต์แห่งศตวรรษที่ ๒๑”ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกสู่แนวทางการพัฒนาใหม่เพื่อสร้างหุ้นส่วนระดับโลก ทั้งเหนือ-ใต้ ใต้-ใต้ และไตรภาคีโดยเฉพาะการพึ่งพาซึ่งกันและกันระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกําลังพัฒนา ซึ่งเป็นวาระที่ไทยเน้นย้ําในฐานะประธาน G77 เพื่อให้เศรษฐกิจโลกเติบโตผมมองว่าต้องลงมือทําใน3ส่วนดังนี้ หนึ่งประสานนโยบายและความร่วมมือระหว่างG20และG77เพื่อให้โอกาส ทางเลือก ไม่ปิดกั้นประเทศกําลังพัฒนาเช่นในปีนี้ และ ควรทําอย่างต่อเนื่องเพื่อให้นโยบายเศรษฐกิจโลกมีความเชื่อมโยง สมดุล และส่งเสริมซึ่งกันและกันไม่เป็นการกีดกันทางการค้าและคงไว้ซึ่งพื้นที่นโยบายสําหรับรัฐบาลเพื่อใช้มาตรการที่เหมาะสมได้ด้วยสองการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจจากภายในด้วยการ (๑) พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ซึ่งเปรียบเสมือนผู้ขับขี่ให้ไปถึงเป้าหมายอย่างปลอดภัย โดยเน้นการศึกษาและพัฒนาทักษะเพื่อตอบสนองตลาดแรงงาน เช่น ไทยได้ดําเนินการแล้วกับประเทศกลุ่ม G20 อาทิ เยอรมนี และญี่ปุ่น (๒) การใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมเป็นพลังขับเคลื่อนยานยนต์ไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจแนวทางใหม่ เน้นการศึกษา การวิจัยและพัฒนา และสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนผลิตนวัตกรรมเพื่อลดช่องว่างทางดิจิตอลG20 ควรร่วมกับ G77แสวงหาศักยภาพของแต่ละประเทศ เพื่อสร้างห่วงโซ่คุณค่าร่วมกันพัฒนาสินค้าจากทรัพยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่น สร้างแบรนด์ของภูมิภาค เช่น อาเซียนแบรนด์ เป็นทางเลือกใหม่ เพิ่มรายได้ภาคเกษตร ซึ่งเป็นฐานเศรษฐกิจของประเทศกําลังพัฒนาและสร้างตลาดแรงงานใหม่ ๆ ซึ่งไทยก็กําลังส่งเสริมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่นโครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร(Food Innopolis)เพื่อพัฒนาการแปรรูปสินค้าเกษตรให้มีมูลค่าสูงขึ้น อาทิ อาหารเพื่อผู้สูงวัย เพื่อสุขภาพ เป็นต้น (๓) ส่งเสริมSMEsซึ่งเป็นตัวถังหลักของยานยนต์ลํานี้ให้สามารถขับเคลื่อนได้อย่างสมบูรณ์ ในฐานะแหล่งสร้างงานและนวัตกรรมที่สําคัญจึงควรเสริมสร้างขีดความสามารถของ SMEs3ล้านรายให้เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่คุณค่าโลกให้ความรู้และปรับปรุงการใช้ประโยชน์จาก IT การเข้าถึงตลาด เงินทุนสินเชื่อ สิทธิพิเศษทางภาษี และการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา สามสนับสนุนทุกภาคส่วนให้เข้ามามีส่วนร่วม ผ่านกลไกประชารัฐประกอบด้วยรัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อสร้างความเข้มแข็งจากภายในลดความเหลื่อมล้ํา ซึ่งไทยพยายามเร่งแก้ไขปัญหาภายในควบคู่ไปกับการพัฒนา โดยภายหลังจากมีการลงประชามติจะมีการเลือกตั้งในปี ๒๕๖๐ตามRoadmapที่กําหนดไว้ สุดท้ายนี้ ผมสนับสนุนวาระการปฏิรูปของG20ที่เน้นการเติบโตที่เข้มแข็งยั่งยืนและสมดุล และในฐานะตัวแทนของ G77 ขอให้ G20 ร่วมมือร่วมใจ โดยอาศัยประสบการณ์ และทรัพยากรที่มีอยู่ เป็นผู้นําขับเคลื่อนยานยนต์ใหม่ที่จะนําพาโลกไปสู่แนวทางการพัฒนาใหม่อย่างยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังดังคํากล่าวที่ว่าแข็งแกร่งไปด้วยกัน(Stronger Together) ขอบคุณครับ * * * * * * * * * กองนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวนายกรัฐมนตรีในการประชุมผู้นำกลุ่ม ๒๐ (G20) วาระที่ ๑ วันพุธที่ 19 ตุลาคม 2559 คํากล่าวนายกรัฐมนตรีในการประชุมผู้นํากลุ่ม ๒๐ (G20) วาระที่ ๑ คํากล่าวนายกรัฐมนตรีในการประชุมผู้นํากลุ่ม ๒๐ (G20) วาระที่ ๑ วาระที่ ๑:การประสานนโยบายและแนวทางการพัฒนาใหม่ ๆ เพื่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก (Strengthening Policy Coordination and Breaking a New Path for Growth) วันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๙ เวลา ๑๐.๐๐ น.ณ นครหางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ประธานาธิบดีสี และผู้มีเกียรติทุกท่าน ก่อนอื่นผมขอขอบคุณสําหรับงานเลี้ยงต้อนรับที่อบอุ่นและน่าประทับใจ การแสดงที่อลังการผสมผสานอารยธรรมจีนและตะวันตกอย่างลงตัวผ่านการใช้เทคโนโลยีทันสมัย ขอขอบคุณรัฐบาลจีนที่เชิญไทยในฐานะประธานG77เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ซึ่งให้ความสําคัญกับวาระการพัฒนาและสะท้อนบทบาทที่สร้างสรรค์ของจีนในการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างG20และG77ซึ่งสอดคล้องกับแนวนโยบายของไทย ผมขอชื่นชมจีนและสหรัฐฯ ที่แสดงบทบาทนําในการรับรองข้อตกลงปารีส ซึ่งเป็นข่าวดีสําหรับชาวโลกในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ขณะนี้เศรษฐกิจโลกกําลังชะลอตัว และเผชิญกับความท้าทายในหลากมิติเราจึงต้องร่วมมือกันมากขึ้นโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังด้วยการผนึกกําลังสร้างความร่วมมือรูปแบบใหม่เพื่อเป็น“ยานยนต์แห่งศตวรรษที่ ๒๑”ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกสู่แนวทางการพัฒนาใหม่เพื่อสร้างหุ้นส่วนระดับโลก ทั้งเหนือ-ใต้ ใต้-ใต้ และไตรภาคีโดยเฉพาะการพึ่งพาซึ่งกันและกันระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกําลังพัฒนา ซึ่งเป็นวาระที่ไทยเน้นย้ําในฐานะประธาน G77 เพื่อให้เศรษฐกิจโลกเติบโตผมมองว่าต้องลงมือทําใน3ส่วนดังนี้ หนึ่งประสานนโยบายและความร่วมมือระหว่างG20และG77เพื่อให้โอกาส ทางเลือก ไม่ปิดกั้นประเทศกําลังพัฒนาเช่นในปีนี้ และ ควรทําอย่างต่อเนื่องเพื่อให้นโยบายเศรษฐกิจโลกมีความเชื่อมโยง สมดุล และส่งเสริมซึ่งกันและกันไม่เป็นการกีดกันทางการค้าและคงไว้ซึ่งพื้นที่นโยบายสําหรับรัฐบาลเพื่อใช้มาตรการที่เหมาะสมได้ด้วยสองการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจจากภายในด้วยการ (๑) พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ซึ่งเปรียบเสมือนผู้ขับขี่ให้ไปถึงเป้าหมายอย่างปลอดภัย โดยเน้นการศึกษาและพัฒนาทักษะเพื่อตอบสนองตลาดแรงงาน เช่น ไทยได้ดําเนินการแล้วกับประเทศกลุ่ม G20 อาทิ เยอรมนี และญี่ปุ่น (๒) การใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมเป็นพลังขับเคลื่อนยานยนต์ไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจแนวทางใหม่ เน้นการศึกษา การวิจัยและพัฒนา และสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนผลิตนวัตกรรมเพื่อลดช่องว่างทางดิจิตอลG20 ควรร่วมกับ G77แสวงหาศักยภาพของแต่ละประเทศ เพื่อสร้างห่วงโซ่คุณค่าร่วมกันพัฒนาสินค้าจากทรัพยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่น สร้างแบรนด์ของภูมิภาค เช่น อาเซียนแบรนด์ เป็นทางเลือกใหม่ เพิ่มรายได้ภาคเกษตร ซึ่งเป็นฐานเศรษฐกิจของประเทศกําลังพัฒนาและสร้างตลาดแรงงานใหม่ ๆ ซึ่งไทยก็กําลังส่งเสริมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่นโครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร(Food Innopolis)เพื่อพัฒนาการแปรรูปสินค้าเกษตรให้มีมูลค่าสูงขึ้น อาทิ อาหารเพื่อผู้สูงวัย เพื่อสุขภาพ เป็นต้น (๓) ส่งเสริมSMEsซึ่งเป็นตัวถังหลักของยานยนต์ลํานี้ให้สามารถขับเคลื่อนได้อย่างสมบูรณ์ ในฐานะแหล่งสร้างงานและนวัตกรรมที่สําคัญจึงควรเสริมสร้างขีดความสามารถของ SMEs3ล้านรายให้เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่คุณค่าโลกให้ความรู้และปรับปรุงการใช้ประโยชน์จาก IT การเข้าถึงตลาด เงินทุนสินเชื่อ สิทธิพิเศษทางภาษี และการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา สามสนับสนุนทุกภาคส่วนให้เข้ามามีส่วนร่วม ผ่านกลไกประชารัฐประกอบด้วยรัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อสร้างความเข้มแข็งจากภายในลดความเหลื่อมล้ํา ซึ่งไทยพยายามเร่งแก้ไขปัญหาภายในควบคู่ไปกับการพัฒนา โดยภายหลังจากมีการลงประชามติจะมีการเลือกตั้งในปี ๒๕๖๐ตามRoadmapที่กําหนดไว้ สุดท้ายนี้ ผมสนับสนุนวาระการปฏิรูปของG20ที่เน้นการเติบโตที่เข้มแข็งยั่งยืนและสมดุล และในฐานะตัวแทนของ G77 ขอให้ G20 ร่วมมือร่วมใจ โดยอาศัยประสบการณ์ และทรัพยากรที่มีอยู่ เป็นผู้นําขับเคลื่อนยานยนต์ใหม่ที่จะนําพาโลกไปสู่แนวทางการพัฒนาใหม่อย่างยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังดังคํากล่าวที่ว่าแข็งแกร่งไปด้วยกัน(Stronger Together) ขอบคุณครับ * * * * * * * * * กองนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/304
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เตรียมเปิดตัวศูนย์นวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัยและบริหารงานขาย ( NHA INNOVATION CENTER) และ โครงการ “ยานยนต์เพื่อคนพิการและทุกคนในสังคม (Friendly taxi for all)”
วันพุธที่ 28 มีนาคม 2561 พม. เตรียมเปิดตัวศูนย์นวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัยและบริหารงานขาย ( NHA INNOVATION CENTER) และ โครงการ “ยานยนต์เพื่อคนพิการและทุกคนในสังคม (Friendly taxi for all)” พม. เตรียมเปิดตัวศูนย์นวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัยและบริหารงานขาย ( NHA INNOVATION CENTER) เน้นให้บริการงานขายแบบ ONE STOP SERVICE และ โครงการ “ยานยนต์เพื่อคนพิการและทุกคนในสังคม (Friendly taxi for all)” นวัตกรรมยานพาหนะ ระยะที่ 2 สําหรับคนพิการ วันนี้ (28 มี.ค. 61) เวลา 13.30 น. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) แถลงข่าวเกี่ยวกับการดําเนินงานตามภารกิจสําคัญของกระทรวง พม. ได้แก่ 1) การเปิดศูนย์นวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัยและบริหารงานขาย เขตห้วยขวาง กทม. 2) โครงการ "ยานยนต์เพื่อคนพิการและทุกคนในสังคม (Friendly taxi for all)” และ 3) ความคืบหน้าผลการตรวจสอบการทุจริตเงินสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่ง โดยมี นางสุภัชชา สุทธิพล ผู้ตรวจราชการกระทรวง พม.เป็นประธานการแถลงข่าว พร้อมด้วยนายสมคิด สมศรี อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการนายดุลมลชัย วิวัฒน์บวรวงษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ และนางสุจิตรา พิทยานรเศรษฐ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการร่วมแถลงข่าว ณ ห้องประชุมชั้น 8 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ การเคหะแห่งชาติ หรือ กคช. ได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยหลากหลายประเภท เพื่อให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ และคนพิการ มีโอกาสเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่มั่นคงได้มาตรฐาน และมีสภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยที่เหมาะสม ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) โดยมีวิสัยทัศน์ คือ "คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่วและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในปี 2579 (Housing for All)” และเพื่อให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติที่มีอยู่ในปัจจุบันได้โดยง่าย จึงได้จัดตั้งศูนย์นวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัยและบริหารงานขาย (NHA INNOVATION CENTER) ขึ้น ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเดียวกับบ้านมิตรไมตรีห้วยขวาง ซอยประชาสงเคราะห์ 37 ถนนประชาสงเคราะห์ เขตดินแดง กรุงเทพฯ เพื่อปรับภาพลักษณ์องค์กรให้ทันสมัยสอดคล้องตามนโยบาย Thailand 4.0 รวมทั้งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยของ กคช. ให้บริการงานขายแบบ ONE STOP SERVICE ทั้งยังเป็นแหล่งเรียนรู้ สนับสนุนข้อมูลนวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัยที่เกี่ยวข้อง และระบบสารสนเทศต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่อประชาชนที่สนใจและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ตลอดจนได้จัดแสดงห้องตัวอย่างโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้เข้ามาเยี่ยมชม โดยจะเปิดตัวศูนย์นวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัยและบริหารงานขาย (NHA INNOVATION CENTER) อย่างเป็นทางการในวันที่ 5 เมษายน 2561 โดย พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ให้เกียรติ เป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์ฯ เวลา 13.30 น. ณ ศูนย์นวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัยและบริหารงานขาย เขตดินแดง กรุงเทพฯ ทั้งนี้ ศูนย์นวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัยและบริหารงานขาย (NHA INNOVATION CENTER) แบ่งพื้นที่ออกเป็น 6 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 พื้นที่บริการงานขายแบบ ONE STOP SERVICE ซึ่งประชาชนสามารถเลือกชมโครงการและทําเลที่สนใจผ่านระบบการให้บริการค้นหาบ้านว่างพร้อมขาย และจองผ่านระบบจองบ้านออนไลน์ (Smart Device) สามารถจองได้ง่ายๆ ผ่านเว็บไซด์ http://house.nha.co.th รวมทั้งวางเงินจองและทําสัญญาได้ทันที ส่วนที่ 2 พื้นที่จัดแสดงนิทรรศการเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการ งานวิจัย เทคโนโลยีสารสนเทศ และนวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัยที่เกี่ยวข้อง เช่น งานวิจัยบ้านผู้สูงอายุ บ้านประหยัดพลังงาน แบบจําลองสารสนเทศอาคาร (Building Information Modeling : BIM) ระบบก่อสร้างชิ้นส่วนสําเร็จรูป และโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ส่วนที่ 3 พื้นที่จัดแสดงห้องตัวอย่างโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ขนาดพื้นที่ห้อง 33 ตารางเมตร ประกอบด้วย ห้องนอน พื้นที่เอนกประสงค์ ส่วนทําอาหารและห้องน้ํา ส่วนที่ 4 ห้องประชุมสัมมนาเชิงวิชาการ สามารถรองรับผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ 60 - 80 คน ส่วนที่ 5 ที่ทําการสํานักงานเคหะชุมชนห้วยขวาง และ ส่วนที่ 6 พื้นที่ส่วนบริการร้านค้าและร้านอาหาร กระทรวง พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ได้ขับเคลื่อนนโยบายผ่านกลไกพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 เพื่อให้คนพิการได้รับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองคนพิการ เพื่อมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม รวมทั้งให้คนพิการมีสิทธิได้เข้าถึงสิ่งอํานวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะและความช่วยเหลืออื่นจากรัฐ พร้อมให้เกียรติ โอกาส กําลังใจ และให้ความสําคัญกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนพิการ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดความเหลื่อมลํ้าการสร้างโอกาสในการเข้าถึงบริการของรัฐ อันเป็นสิทธิพื้นฐานและเครื่องหมายแสดงความเท่าเทียมในสังคม กระทรวง พม. โดย พก. จึงได้ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จัดทําโครงการออกแบบและผลิตรถยนต์รับจ้าง (แท็กซี่มิเตอร์) สําหรับคนพิการระยะที่ 2 และโครงการนวัตกรรมยานพาหนะระยะที่ 2 สําหรับคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกาย โดยดําเนินการออกแบบ พัฒนา และผลิตรถยนต์สามล้อสําหรับคนพิการ ทั้งนี้จะมีการแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ "ยานยนต์เพื่อคนพิการและ ทุกคนในสังคม (Friendly taxi for all)” ในวันพรุ่งนี้ (29 มี.ค. 61) ซึ่งจะเป็นการแสดงนวัตกรรมสําหรับคนพิการและทุกคนในสังคมให้สามารถดํารงชีวิต เดินทางได้อย่างอิสระ สะดวก ปลอดภัย ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ปราศจากอุปสรรค รวมทั้งมีส่วนร่วมกิจกรรมในสังคมอย่างเท่าเทียมกับคนทั่วไป สอดคล้องกับกฎหมายและอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ รวมถึงเป็นการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ผู้ผลิต (ภาคธุรกิจ) ที่มีความสนใจ เข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตรถแท๊กซี่ เพื่อเพิ่มจํานวนรถแท๊กซี่คนพิการ และยังเป็นการพัฒนาแนวทางและรูปแบบการให้บริการรถสาธารณะที่เอื้อต่อคนพิการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมการขนส่งทางบก องค์การขนส่งมวลชน กทม. ขสมก. ฯลฯ ทั้งนี้ แนวทางการให้บริการรถแท็กซี่จะพิจารณาให้ความสําคัญในการขอใช้บริการของคนพิการในการเดินทางไปโรงพยาบาลเป็นลําดับแรก โดยคนพิการและผู้ดูแลคนพิการสามารถติดต่อจองรถแท็กซี่ฯ ได้ที่สายด่วน 1479 หรือติดต่อขอรับบริการที่ศูนย์บริการคนพิการกรุงเทพมหานคร 02-354-3388 จะเป็นหน่วยงานประสานงานส่งต่อข้อมูลเพื่ออํานวยความสะดวกให้กับคนพิการได้อย่างเต็มที่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เตรียมเปิดตัวศูนย์นวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัยและบริหารงานขาย ( NHA INNOVATION CENTER) และ โครงการ “ยานยนต์เพื่อคนพิการและทุกคนในสังคม (Friendly taxi for all)” วันพุธที่ 28 มีนาคม 2561 พม. เตรียมเปิดตัวศูนย์นวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัยและบริหารงานขาย ( NHA INNOVATION CENTER) และ โครงการ “ยานยนต์เพื่อคนพิการและทุกคนในสังคม (Friendly taxi for all)” พม. เตรียมเปิดตัวศูนย์นวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัยและบริหารงานขาย ( NHA INNOVATION CENTER) เน้นให้บริการงานขายแบบ ONE STOP SERVICE และ โครงการ “ยานยนต์เพื่อคนพิการและทุกคนในสังคม (Friendly taxi for all)” นวัตกรรมยานพาหนะ ระยะที่ 2 สําหรับคนพิการ วันนี้ (28 มี.ค. 61) เวลา 13.30 น. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) แถลงข่าวเกี่ยวกับการดําเนินงานตามภารกิจสําคัญของกระทรวง พม. ได้แก่ 1) การเปิดศูนย์นวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัยและบริหารงานขาย เขตห้วยขวาง กทม. 2) โครงการ "ยานยนต์เพื่อคนพิการและทุกคนในสังคม (Friendly taxi for all)” และ 3) ความคืบหน้าผลการตรวจสอบการทุจริตเงินสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่ง โดยมี นางสุภัชชา สุทธิพล ผู้ตรวจราชการกระทรวง พม.เป็นประธานการแถลงข่าว พร้อมด้วยนายสมคิด สมศรี อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการนายดุลมลชัย วิวัฒน์บวรวงษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ และนางสุจิตรา พิทยานรเศรษฐ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการร่วมแถลงข่าว ณ ห้องประชุมชั้น 8 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ การเคหะแห่งชาติ หรือ กคช. ได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยหลากหลายประเภท เพื่อให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ และคนพิการ มีโอกาสเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่มั่นคงได้มาตรฐาน และมีสภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยที่เหมาะสม ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) โดยมีวิสัยทัศน์ คือ "คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่วและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในปี 2579 (Housing for All)” และเพื่อให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติที่มีอยู่ในปัจจุบันได้โดยง่าย จึงได้จัดตั้งศูนย์นวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัยและบริหารงานขาย (NHA INNOVATION CENTER) ขึ้น ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเดียวกับบ้านมิตรไมตรีห้วยขวาง ซอยประชาสงเคราะห์ 37 ถนนประชาสงเคราะห์ เขตดินแดง กรุงเทพฯ เพื่อปรับภาพลักษณ์องค์กรให้ทันสมัยสอดคล้องตามนโยบาย Thailand 4.0 รวมทั้งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยของ กคช. ให้บริการงานขายแบบ ONE STOP SERVICE ทั้งยังเป็นแหล่งเรียนรู้ สนับสนุนข้อมูลนวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัยที่เกี่ยวข้อง และระบบสารสนเทศต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่อประชาชนที่สนใจและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ตลอดจนได้จัดแสดงห้องตัวอย่างโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้เข้ามาเยี่ยมชม โดยจะเปิดตัวศูนย์นวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัยและบริหารงานขาย (NHA INNOVATION CENTER) อย่างเป็นทางการในวันที่ 5 เมษายน 2561 โดย พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ให้เกียรติ เป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์ฯ เวลา 13.30 น. ณ ศูนย์นวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัยและบริหารงานขาย เขตดินแดง กรุงเทพฯ ทั้งนี้ ศูนย์นวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัยและบริหารงานขาย (NHA INNOVATION CENTER) แบ่งพื้นที่ออกเป็น 6 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 พื้นที่บริการงานขายแบบ ONE STOP SERVICE ซึ่งประชาชนสามารถเลือกชมโครงการและทําเลที่สนใจผ่านระบบการให้บริการค้นหาบ้านว่างพร้อมขาย และจองผ่านระบบจองบ้านออนไลน์ (Smart Device) สามารถจองได้ง่ายๆ ผ่านเว็บไซด์ http://house.nha.co.th รวมทั้งวางเงินจองและทําสัญญาได้ทันที ส่วนที่ 2 พื้นที่จัดแสดงนิทรรศการเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการ งานวิจัย เทคโนโลยีสารสนเทศ และนวัตกรรมด้านที่อยู่อาศัยที่เกี่ยวข้อง เช่น งานวิจัยบ้านผู้สูงอายุ บ้านประหยัดพลังงาน แบบจําลองสารสนเทศอาคาร (Building Information Modeling : BIM) ระบบก่อสร้างชิ้นส่วนสําเร็จรูป และโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ส่วนที่ 3 พื้นที่จัดแสดงห้องตัวอย่างโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ขนาดพื้นที่ห้อง 33 ตารางเมตร ประกอบด้วย ห้องนอน พื้นที่เอนกประสงค์ ส่วนทําอาหารและห้องน้ํา ส่วนที่ 4 ห้องประชุมสัมมนาเชิงวิชาการ สามารถรองรับผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ 60 - 80 คน ส่วนที่ 5 ที่ทําการสํานักงานเคหะชุมชนห้วยขวาง และ ส่วนที่ 6 พื้นที่ส่วนบริการร้านค้าและร้านอาหาร กระทรวง พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ได้ขับเคลื่อนนโยบายผ่านกลไกพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 เพื่อให้คนพิการได้รับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองคนพิการ เพื่อมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม รวมทั้งให้คนพิการมีสิทธิได้เข้าถึงสิ่งอํานวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะและความช่วยเหลืออื่นจากรัฐ พร้อมให้เกียรติ โอกาส กําลังใจ และให้ความสําคัญกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนพิการ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดความเหลื่อมลํ้าการสร้างโอกาสในการเข้าถึงบริการของรัฐ อันเป็นสิทธิพื้นฐานและเครื่องหมายแสดงความเท่าเทียมในสังคม กระทรวง พม. โดย พก. จึงได้ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จัดทําโครงการออกแบบและผลิตรถยนต์รับจ้าง (แท็กซี่มิเตอร์) สําหรับคนพิการระยะที่ 2 และโครงการนวัตกรรมยานพาหนะระยะที่ 2 สําหรับคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกาย โดยดําเนินการออกแบบ พัฒนา และผลิตรถยนต์สามล้อสําหรับคนพิการ ทั้งนี้จะมีการแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ "ยานยนต์เพื่อคนพิการและ ทุกคนในสังคม (Friendly taxi for all)” ในวันพรุ่งนี้ (29 มี.ค. 61) ซึ่งจะเป็นการแสดงนวัตกรรมสําหรับคนพิการและทุกคนในสังคมให้สามารถดํารงชีวิต เดินทางได้อย่างอิสระ สะดวก ปลอดภัย ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ปราศจากอุปสรรค รวมทั้งมีส่วนร่วมกิจกรรมในสังคมอย่างเท่าเทียมกับคนทั่วไป สอดคล้องกับกฎหมายและอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ รวมถึงเป็นการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ผู้ผลิต (ภาคธุรกิจ) ที่มีความสนใจ เข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตรถแท๊กซี่ เพื่อเพิ่มจํานวนรถแท๊กซี่คนพิการ และยังเป็นการพัฒนาแนวทางและรูปแบบการให้บริการรถสาธารณะที่เอื้อต่อคนพิการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมการขนส่งทางบก องค์การขนส่งมวลชน กทม. ขสมก. ฯลฯ ทั้งนี้ แนวทางการให้บริการรถแท็กซี่จะพิจารณาให้ความสําคัญในการขอใช้บริการของคนพิการในการเดินทางไปโรงพยาบาลเป็นลําดับแรก โดยคนพิการและผู้ดูแลคนพิการสามารถติดต่อจองรถแท็กซี่ฯ ได้ที่สายด่วน 1479 หรือติดต่อขอรับบริการที่ศูนย์บริการคนพิการกรุงเทพมหานคร 02-354-3388 จะเป็นหน่วยงานประสานงานส่งต่อข้อมูลเพื่ออํานวยความสะดวกให้กับคนพิการได้อย่างเต็มที่
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11140
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพัฒนาแอพลิเคชัน EchoVE ยกระดับการศึกษา
วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2560 รัฐบาลพัฒนาแอพลิเคชัน EchoVE ยกระดับการศึกษา เพื่อสร้างบุคลากรสายอาชีวศึกษา ที่มีความพร้อมทางด้านภาษา เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของแรงงานไทย และศักยภาพของผู้ประกอบการไทย ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลพัฒนาแอพลิเคชัน EchoVE ต่อยอดจาก Echo English บรรจุบทเรียนภาษาอังกฤษสําหรับผู้เรียนในสายอาชีวศึกษากว่า 130 บท เช่น การสนทนาเรื่องทั่วไป ภาษาอังกฤษเพื่อธุรกิจการค้า ภาษาอังกฤษสําหรับอาชีพต่าง ๆ พร้อมแบบฝึกทักษะด้านการฟัง พูด อ่าน และเขียน ครอบคลุมทุกประเภทวิชาให้นักเรียน นักศึกษา ครูอาจารย์ และผู้ประกอบอาชีพในสายอาชีวะ สามารถฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รองรับการก้าวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 และโลกของการค้าไร้พรมแดนซึ่งต้องการแรงงานอาชีวศึกษาที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้มากขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังที่จะพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรด้านอาชีวะของไทย และยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมให้แข่งขันได้มากยิ่งขึ้น ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพัฒนาแอพลิเคชัน EchoVE ยกระดับการศึกษา วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2560 รัฐบาลพัฒนาแอพลิเคชัน EchoVE ยกระดับการศึกษา เพื่อสร้างบุคลากรสายอาชีวศึกษา ที่มีความพร้อมทางด้านภาษา เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของแรงงานไทย และศักยภาพของผู้ประกอบการไทย ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลพัฒนาแอพลิเคชัน EchoVE ต่อยอดจาก Echo English บรรจุบทเรียนภาษาอังกฤษสําหรับผู้เรียนในสายอาชีวศึกษากว่า 130 บท เช่น การสนทนาเรื่องทั่วไป ภาษาอังกฤษเพื่อธุรกิจการค้า ภาษาอังกฤษสําหรับอาชีพต่าง ๆ พร้อมแบบฝึกทักษะด้านการฟัง พูด อ่าน และเขียน ครอบคลุมทุกประเภทวิชาให้นักเรียน นักศึกษา ครูอาจารย์ และผู้ประกอบอาชีพในสายอาชีวะ สามารถฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รองรับการก้าวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 และโลกของการค้าไร้พรมแดนซึ่งต้องการแรงงานอาชีวศึกษาที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้มากขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังที่จะพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรด้านอาชีวะของไทย และยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมให้แข่งขันได้มากยิ่งขึ้น ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6042
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง EEC สมาคมธนาคารไทย และธนาคาร ICBC สนับสนุนนักลงทุนจีนมาลงทุนใน EEC
วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2560 พิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง EEC สมาคมธนาคารไทย และธนาคาร ICBC สนับสนุนนักลงทุนจีนมาลงทุนใน EEC รมต.ก.อุตฯ เป็นสักขีพยานพิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง EEC สมาคมธนาคารไทย และธนาคาร ICBC สนับสนุนนักลงทุนจีนมาลงทุนใน EEC วันนี้ (26 พฤษภาคม 2560) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความร่วมมือระหว่างสํานักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก สมาคมธนาคารไทย และธนาคาร Industrial and Commercial Bank of China Limited (ICBC) ณ อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนให้นักธุรกิจจีนเข้ามาลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งเป็นการแสดงถึงความตั้งใจของ ICBC และพันธมิตรเครือข่ายภายในประเทศไทย รวมทั้งสมาคมธนาคารไทยที่จะทํางานร่วมกันกับสํานักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เพื่อดึงดูดนักลงทุนจีนที่มีศักยภาพให้มาลงทุนในพื้นที่อีอีซี โดยเริ่มจากการคัดกรองนักลงทุนที่มีขีดความสามารถในการเข้ามาลงทุนในกลุ่ม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยให้เข้ามาลงทุนพื้นที่อีอีซี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง EEC สมาคมธนาคารไทย และธนาคาร ICBC สนับสนุนนักลงทุนจีนมาลงทุนใน EEC วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2560 พิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง EEC สมาคมธนาคารไทย และธนาคาร ICBC สนับสนุนนักลงทุนจีนมาลงทุนใน EEC รมต.ก.อุตฯ เป็นสักขีพยานพิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง EEC สมาคมธนาคารไทย และธนาคาร ICBC สนับสนุนนักลงทุนจีนมาลงทุนใน EEC วันนี้ (26 พฤษภาคม 2560) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความร่วมมือระหว่างสํานักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก สมาคมธนาคารไทย และธนาคาร Industrial and Commercial Bank of China Limited (ICBC) ณ อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนให้นักธุรกิจจีนเข้ามาลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งเป็นการแสดงถึงความตั้งใจของ ICBC และพันธมิตรเครือข่ายภายในประเทศไทย รวมทั้งสมาคมธนาคารไทยที่จะทํางานร่วมกันกับสํานักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เพื่อดึงดูดนักลงทุนจีนที่มีศักยภาพให้มาลงทุนในพื้นที่อีอีซี โดยเริ่มจากการคัดกรองนักลงทุนที่มีขีดความสามารถในการเข้ามาลงทุนในกลุ่ม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยให้เข้ามาลงทุนพื้นที่อีอีซี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4054
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมประมง จับมือ สวทช. ขับเคลื่อนนวัตกรรมและงานวิจัย ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก
วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม 2563 กรมประมง จับมือ สวทช. ขับเคลื่อนนวัตกรรมและงานวิจัย ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก กรมประมง จับมือ สวทช. ขับเคลื่อนนวัตกรรมและงานวิจัย ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก เมื่อวันที่ 1 กรกฏาคม 2563 กรมประมง : กรมประมง และ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยมี นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง และ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมลงนามความร่วมมือ “การวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมทางด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา” เพื่อการดําเนินงานด้านการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม รวมทั้งการเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนร่วมกันกําหนดทิศทางงานวิจัยและพัฒนาด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําของประเทศทั้งระบบอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของการแข่งขันในตลาดโลก และทําให้สัตว์น้ําไทยมีเอกลักษณ์เป็นอันดับหนึ่งของโลก ตลอดจนสนับสนุนให้มีการนําผลงานวิจัยมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีของทั้ง 2 หน่วยงาน ที่จะได้ร่วมมือกันเพื่อวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา จากข้อมูลการวิเคราะห์สถิติการประมงของจังหวัด พบว่า ตัวเลขข้อมูลของสัตว์น้ําที่ใช้ดําเนินงานจะมาจาก 2 ส่วน คือ การจับสัตว์น้ําจืดจากธรรมชาติ ประมาณ 70% และระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา ประมาณ 30% กรมประมงจึงมีนโยบายในการวิจัยและพัฒนาในส่วนของระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการอาหารของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การพัฒนาองค์ความรู้ในการวิจัย การศึกษา และวิเคราะห์จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสําหรับการพัฒนาระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําให้เติบโจและเจริญก้าวหน้า มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของห่วงโซ่อาหารไปจนถึงกระบวนการแปรรูปอาหาร ความร่วมมือนี้เป็นความเชื่อมั่นว่า ผลงานที่จะเกิดขึ้นของ กรมประมง และ สวทช. จะตอบโจทย์ประเทศในรูปแบบใหม่ให้เติบโตด้วยการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เพื่อสร้างธุรกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําของประเทศสู่การแข่งขันในตลาดโลก เนื่องจาก กรมประมง มีศักยภาพในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา และ สวทช. มีองค์ความรู้ด้านการวิจัยและพัฒนาที่จะสนับสนุนในเรื่องของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา ดังนั้นการที่อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําจะเจริญก้าวหน้าสู่อันดับแรก ๆ ของโลกได้นั้น จะต้องเกิดจากการร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง กรมประมง ยินดีที่จะมีความร่วมมือกับ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่จะพัฒนาร่วมกัน และเชื่อมั่นว่านี่คือ จุดเริ่มต้นที่จะนําไปสู่การพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําที่ดีและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลกต่อไปในอนาคต ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. มุ่งผลักดันให้ประเทศไทยแข็งแกร่งและก้าวสู่การแข่งขันบนเวทีเศรษฐกิจระดับโลก โดยการนําความสามารถทางด้าน วทน. มาสนับสนุนภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมให้สามารถดําเนินงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย สวทช. มีโปรแกรมการผลิตสัตว์น้ําและสุขภาพสัตว์น้ํา ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวิจัยด้านเกษตรและอุตสาหกรรมชีวภาพ ทํางานเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัย รวมถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับการผลิตสัตว์น้ําเศรษฐกิจ โดยเน้นการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พึ่งพาทรัพยากรและวัตถุดิบภายในประเทศและเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตสัตว์น้ําของประเทศทั้งด้านคุณภาพและความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ครอบคลุมการวิจัยและพัฒนาในหลายด้าน เช่น ด้านการปรับปรุงพันธุ์ สวทช. มีงานวิจัยเกี่ยวกับการคัดเลือกพันธุ์โดยใช้เครื่องหมายโมเลกุล ด้านอาหารมีการพัฒนาการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์เพื่อพัฒนาเป็นอาหารและสารเสริมภูมิคุ้มกันในสัตว์น้ํา รวมถึงการพัฒนาสูตรอาหารสัตว์น้ําโดยใช้เทคโนโลยีการเก็บสารสําคัญ ด้านระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํามีการพัฒนางานวิจัยด้านระบบอัจฉริยะที่ช่วยเกษตรกรติดตามดูแลคุณภาพน้ําในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําเศรษฐกิจ อันประกอบด้วย 3 เทคโนโลยีหลักคือ ระบบบริหารจัดการคุณภาพน้ํา อุปกรณ์ตรวจวัดปริมาณสารเคมี อุปกรณ์ตรวจวัดการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย รวมไปถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคและสุขภาพสัตว์น้ํา เช่น การพัฒนานาโนวัคซีนเพื่อป้องกันโรคในสัตว์น้ํา เป็นต้น ซึ่งความร่วมมือนี้ จะเป็นการดําเนินงานวิจัยทางด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา รวมทั้งการเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือทั้งภาครัฐและภาคเอกชน การพัฒนาบุคลากร ตลอดจนร่วมกันกําหนดทิศทางงานวิจัยและพัฒนาด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหารของประเทศ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก และการทําให้สัตว์น้ําไทยมีเอกลักษณ์เป็นที่หนึ่งของโลก ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําในปัจจุบันที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลมาจากการลดลงของผลผลิตจากการจับสัตว์น้ําตามแหล่งน้ําธรรมชาติ และการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก ทําให้มีการพัฒนาวิธีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําที่หลากหลาย การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําดังกล่าวบางครั้งอาจได้รับผลกระทบจากสภาวะแวดล้อมไม่เหมาะสม การเกิดโรคระบาด ที่อาจส่งผลต่อระบบการเลี้ยงสัตว์น้ําได้ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยถือว่า เป็นประเทศที่มีจุดแข็งในเรื่องของภูมิประเทศที่ค่อนข้างมีความหลากหลายทางชีวภาพ มีระบบนิเวศที่สมบูรณ์ มีผู้เชี่ยวชาญในการวิจัยด้านสัตว์น้ํา เกษตรกรในประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา รวมทั้งภาคเอกชนมีความเข้มแข็งเข้าถึง วทน. และตลาดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่อยู่เสมอ ทําให้มีโอกาสในการพัฒนาธุรกิจทางด้านสัตว์น้ําให้เติบโตขึ้นได้ ปัจจุบัน สวทช. เริ่มมีงานวิจัยที่ทําร่วมกับกรมประมงบ้างแล้ว เช่น โครงการ “การปรับปรุงลักษณะการเจริญเติบโตปลานิลในระบบการเลี้ยงแบบน้ําหมุนเวียน” ที่ดําเนินการอยู่ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ําปทุมธานี โครงการ “ผลของการใช้ถั่วเหลืองเป็นแหล่งโปรตีนทดแทนปลาป่นในอาหารเม็ดสําเร็จรูปต่ออาการขี้ขาวของกุ้งขาวแวนนาไม” ซึ่งผลงานวิจัยบางส่วนนี้ นํามาสู่การเชื่อมโยงกับการทํางานร่วมกัน เพื่อเป็นแนวทางนําผลงานวิจัยที่เข้มแข็งไปประยุกต์ใช้และสนับสนุนอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์น้ําของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน” ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล กล่าว ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนําไปสู่การสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมสัตว์น้ําไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกด้วยการใช้ วทน. มาช่วยยกระดับประสิทธิภาพด้านต่าง ๆ ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ําทั้งประเทศและเป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป ข้อมูลข่าวโดย : สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมประมง จับมือ สวทช. ขับเคลื่อนนวัตกรรมและงานวิจัย ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม 2563 กรมประมง จับมือ สวทช. ขับเคลื่อนนวัตกรรมและงานวิจัย ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก กรมประมง จับมือ สวทช. ขับเคลื่อนนวัตกรรมและงานวิจัย ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก เมื่อวันที่ 1 กรกฏาคม 2563 กรมประมง : กรมประมง และ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยมี นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง และ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมลงนามความร่วมมือ “การวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมทางด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา” เพื่อการดําเนินงานด้านการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม รวมทั้งการเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนร่วมกันกําหนดทิศทางงานวิจัยและพัฒนาด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําของประเทศทั้งระบบอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของการแข่งขันในตลาดโลก และทําให้สัตว์น้ําไทยมีเอกลักษณ์เป็นอันดับหนึ่งของโลก ตลอดจนสนับสนุนให้มีการนําผลงานวิจัยมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีของทั้ง 2 หน่วยงาน ที่จะได้ร่วมมือกันเพื่อวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา จากข้อมูลการวิเคราะห์สถิติการประมงของจังหวัด พบว่า ตัวเลขข้อมูลของสัตว์น้ําที่ใช้ดําเนินงานจะมาจาก 2 ส่วน คือ การจับสัตว์น้ําจืดจากธรรมชาติ ประมาณ 70% และระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา ประมาณ 30% กรมประมงจึงมีนโยบายในการวิจัยและพัฒนาในส่วนของระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการอาหารของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การพัฒนาองค์ความรู้ในการวิจัย การศึกษา และวิเคราะห์จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสําหรับการพัฒนาระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําให้เติบโจและเจริญก้าวหน้า มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของห่วงโซ่อาหารไปจนถึงกระบวนการแปรรูปอาหาร ความร่วมมือนี้เป็นความเชื่อมั่นว่า ผลงานที่จะเกิดขึ้นของ กรมประมง และ สวทช. จะตอบโจทย์ประเทศในรูปแบบใหม่ให้เติบโตด้วยการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เพื่อสร้างธุรกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําของประเทศสู่การแข่งขันในตลาดโลก เนื่องจาก กรมประมง มีศักยภาพในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา และ สวทช. มีองค์ความรู้ด้านการวิจัยและพัฒนาที่จะสนับสนุนในเรื่องของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา ดังนั้นการที่อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําจะเจริญก้าวหน้าสู่อันดับแรก ๆ ของโลกได้นั้น จะต้องเกิดจากการร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง กรมประมง ยินดีที่จะมีความร่วมมือกับ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่จะพัฒนาร่วมกัน และเชื่อมั่นว่านี่คือ จุดเริ่มต้นที่จะนําไปสู่การพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําที่ดีและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลกต่อไปในอนาคต ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. มุ่งผลักดันให้ประเทศไทยแข็งแกร่งและก้าวสู่การแข่งขันบนเวทีเศรษฐกิจระดับโลก โดยการนําความสามารถทางด้าน วทน. มาสนับสนุนภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมให้สามารถดําเนินงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย สวทช. มีโปรแกรมการผลิตสัตว์น้ําและสุขภาพสัตว์น้ํา ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวิจัยด้านเกษตรและอุตสาหกรรมชีวภาพ ทํางานเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัย รวมถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับการผลิตสัตว์น้ําเศรษฐกิจ โดยเน้นการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พึ่งพาทรัพยากรและวัตถุดิบภายในประเทศและเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตสัตว์น้ําของประเทศทั้งด้านคุณภาพและความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ครอบคลุมการวิจัยและพัฒนาในหลายด้าน เช่น ด้านการปรับปรุงพันธุ์ สวทช. มีงานวิจัยเกี่ยวกับการคัดเลือกพันธุ์โดยใช้เครื่องหมายโมเลกุล ด้านอาหารมีการพัฒนาการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์เพื่อพัฒนาเป็นอาหารและสารเสริมภูมิคุ้มกันในสัตว์น้ํา รวมถึงการพัฒนาสูตรอาหารสัตว์น้ําโดยใช้เทคโนโลยีการเก็บสารสําคัญ ด้านระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํามีการพัฒนางานวิจัยด้านระบบอัจฉริยะที่ช่วยเกษตรกรติดตามดูแลคุณภาพน้ําในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําเศรษฐกิจ อันประกอบด้วย 3 เทคโนโลยีหลักคือ ระบบบริหารจัดการคุณภาพน้ํา อุปกรณ์ตรวจวัดปริมาณสารเคมี อุปกรณ์ตรวจวัดการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย รวมไปถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคและสุขภาพสัตว์น้ํา เช่น การพัฒนานาโนวัคซีนเพื่อป้องกันโรคในสัตว์น้ํา เป็นต้น ซึ่งความร่วมมือนี้ จะเป็นการดําเนินงานวิจัยทางด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา รวมทั้งการเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือทั้งภาครัฐและภาคเอกชน การพัฒนาบุคลากร ตลอดจนร่วมกันกําหนดทิศทางงานวิจัยและพัฒนาด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหารของประเทศ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก และการทําให้สัตว์น้ําไทยมีเอกลักษณ์เป็นที่หนึ่งของโลก ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําในปัจจุบันที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลมาจากการลดลงของผลผลิตจากการจับสัตว์น้ําตามแหล่งน้ําธรรมชาติ และการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก ทําให้มีการพัฒนาวิธีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําที่หลากหลาย การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําดังกล่าวบางครั้งอาจได้รับผลกระทบจากสภาวะแวดล้อมไม่เหมาะสม การเกิดโรคระบาด ที่อาจส่งผลต่อระบบการเลี้ยงสัตว์น้ําได้ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยถือว่า เป็นประเทศที่มีจุดแข็งในเรื่องของภูมิประเทศที่ค่อนข้างมีความหลากหลายทางชีวภาพ มีระบบนิเวศที่สมบูรณ์ มีผู้เชี่ยวชาญในการวิจัยด้านสัตว์น้ํา เกษตรกรในประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา รวมทั้งภาคเอกชนมีความเข้มแข็งเข้าถึง วทน. และตลาดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่อยู่เสมอ ทําให้มีโอกาสในการพัฒนาธุรกิจทางด้านสัตว์น้ําให้เติบโตขึ้นได้ ปัจจุบัน สวทช. เริ่มมีงานวิจัยที่ทําร่วมกับกรมประมงบ้างแล้ว เช่น โครงการ “การปรับปรุงลักษณะการเจริญเติบโตปลานิลในระบบการเลี้ยงแบบน้ําหมุนเวียน” ที่ดําเนินการอยู่ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ําปทุมธานี โครงการ “ผลของการใช้ถั่วเหลืองเป็นแหล่งโปรตีนทดแทนปลาป่นในอาหารเม็ดสําเร็จรูปต่ออาการขี้ขาวของกุ้งขาวแวนนาไม” ซึ่งผลงานวิจัยบางส่วนนี้ นํามาสู่การเชื่อมโยงกับการทํางานร่วมกัน เพื่อเป็นแนวทางนําผลงานวิจัยที่เข้มแข็งไปประยุกต์ใช้และสนับสนุนอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์น้ําของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน” ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล กล่าว ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนําไปสู่การสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมสัตว์น้ําไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกด้วยการใช้ วทน. มาช่วยยกระดับประสิทธิภาพด้านต่าง ๆ ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ําทั้งประเทศและเป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป ข้อมูลข่าวโดย : สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33787
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปรับเกณฑ์บ้านล้านหลัง หนุนผู้มีรายได้น้อยมีบ้าน
วันพุธที่ 13 มีนาคม 2562 ปรับเกณฑ์บ้านล้านหลัง หนุนผู้มีรายได้น้อยมีบ้าน -- ช่วงปลายปีที่ผ่านมามีโครงการซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีที่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยมีโอกาสเข้าถึงที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่สําคัญต่อการดํารงชีวิต นั่นก็คือ...โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ หรือโครงการบ้านล้านหลัง ที่รัฐบาลได้จัดทําขึ้นเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยมุ่งเน้นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มคนวัยทํางาน หรือผู้ที่กําลังเริ่มต้นสร้างครอบครัว รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุ ได้มีที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ภายใต้กรอบวงเงิน 50,000 ล้านบาท แบ่งเป็น • วงเงินสําหรับผู้กู้ที่มีรายได้ต่อคนต่อเดือนไม่เกิน 25,000 บาท จํานวน 20,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3 ต่อปี นาน 5 ปี • วงเงินสําหรับผู้กู้ที่มีรายได้ต่อคนต่อเดือนเกิน 25,000 บาท จํานวน 30,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3 ต่อปี นาน 3 ปี ระยะเวลากู้ยืมสูงสุดไม่เกิน 40 ปี โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมต่าง ๆ สําหรับผู้กู้ที่มีรายได้น้อยต่อคนต่อเดือนไม่เกิน 25,000 บาท หรือพูดง่าย ๆ ว่า จะทําให้ผู้มีรายได้น้อยมีบ้านเป็นของตนเองราว 50,000 หลัง และเมื่อธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)ได้คิกออฟเปิดรับจองสิทธิสินเชื่อดังกล่าวเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 61 มีประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน ยื่นจองสิทธิสินเชื่อ จํานวน 113,064 ล้านบาท ซึ่งมากกว่ากรอบวงเงินที่กําหนดไว้ที่ 20,000 ล้านบาท และมียอดจองสินเชื่อสําหรับประชาชนที่มีรายได้เกิน 25,000 บาทต่อเดือน จํานวน 14,038 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่ากรอบวงเงินที่กําหนดไว้ที่ 30,000 ล้านบาท ซึ่งความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มี.ค. 62 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้อนุมัติสินเชื่อโครงการบ้านล้านหลังแล้ว 2,525 ราย รวมเป็นเงิน 1,538 ล้านบาท จากตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ประชาชนให้ความสนใจสินเชื่อบ้านล้านหลังจํานวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อยไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน และเพื่อเป็นการขยายโอกาสให้คนมีบ้านได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น รัฐบาลจึงมีมติเห็นชอบให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ปรับรายละเอียดโครงการบ้านล้านหลัง เพื่อสนับสนุนให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อที่อยู่อาศัยและมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในราคาที่เหมาะสม โดยปรับเพิ่มกรอบวงเงินกู้สําหรับกลุ่มผู้มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน จาก 20,000 ล้านบาท เป็น 40,000 ล้านบาท เพื่อให้คนกลุ่มนี้มีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อและมีบ้านเป็นของตนเองมากขึ้น พร้อมทั้งปรับลดกรอบวงเงินกู้สําหรับกลุ่มผู้มีรายได้เกิน 25,000 บาทต่อเดือน จากเดิม 30,000 ล้านบาท เป็น 10,000 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการจริงของประชาชน นอกจากนี้ ยังได้ขยายกรอบระยะเวลาดําเนินโครงการไปอีก 2 ปี จากเดิมที่จะสิ้นสุดการทํานิติกรรมภายในวันที่ 30 ธ.ค. 62 เป็นสิ้นสุดการทํานิติกรรมเมื่อธนาคารอาคารสงเคราะห์ให้สินเชื่อเต็มตามกรอบวงเงินที่มีอยู่ ไม่เกินวันที่ 30 ธ.ค. 64 ซึ่งรัฐบาลจะช่วยแบ่งเบาภาระของธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยจะจ่ายเงินชดเชยรายได้ดอกเบี้ยที่เสียไปราว 789 ล้านบาทให้อีกด้วย โอกาสดี ๆ แบบนี้ พลาดแล้วจะเสียใจ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0 2645 9000 หรือhttp://www.ghbank.co.th ---------------------- ภาพ / ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปรับเกณฑ์บ้านล้านหลัง หนุนผู้มีรายได้น้อยมีบ้าน วันพุธที่ 13 มีนาคม 2562 ปรับเกณฑ์บ้านล้านหลัง หนุนผู้มีรายได้น้อยมีบ้าน -- ช่วงปลายปีที่ผ่านมามีโครงการซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีที่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยมีโอกาสเข้าถึงที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่สําคัญต่อการดํารงชีวิต นั่นก็คือ...โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ หรือโครงการบ้านล้านหลัง ที่รัฐบาลได้จัดทําขึ้นเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยมุ่งเน้นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มคนวัยทํางาน หรือผู้ที่กําลังเริ่มต้นสร้างครอบครัว รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุ ได้มีที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ภายใต้กรอบวงเงิน 50,000 ล้านบาท แบ่งเป็น • วงเงินสําหรับผู้กู้ที่มีรายได้ต่อคนต่อเดือนไม่เกิน 25,000 บาท จํานวน 20,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3 ต่อปี นาน 5 ปี • วงเงินสําหรับผู้กู้ที่มีรายได้ต่อคนต่อเดือนเกิน 25,000 บาท จํานวน 30,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3 ต่อปี นาน 3 ปี ระยะเวลากู้ยืมสูงสุดไม่เกิน 40 ปี โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมต่าง ๆ สําหรับผู้กู้ที่มีรายได้น้อยต่อคนต่อเดือนไม่เกิน 25,000 บาท หรือพูดง่าย ๆ ว่า จะทําให้ผู้มีรายได้น้อยมีบ้านเป็นของตนเองราว 50,000 หลัง และเมื่อธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)ได้คิกออฟเปิดรับจองสิทธิสินเชื่อดังกล่าวเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 61 มีประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน ยื่นจองสิทธิสินเชื่อ จํานวน 113,064 ล้านบาท ซึ่งมากกว่ากรอบวงเงินที่กําหนดไว้ที่ 20,000 ล้านบาท และมียอดจองสินเชื่อสําหรับประชาชนที่มีรายได้เกิน 25,000 บาทต่อเดือน จํานวน 14,038 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่ากรอบวงเงินที่กําหนดไว้ที่ 30,000 ล้านบาท ซึ่งความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มี.ค. 62 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้อนุมัติสินเชื่อโครงการบ้านล้านหลังแล้ว 2,525 ราย รวมเป็นเงิน 1,538 ล้านบาท จากตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ประชาชนให้ความสนใจสินเชื่อบ้านล้านหลังจํานวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อยไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน และเพื่อเป็นการขยายโอกาสให้คนมีบ้านได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น รัฐบาลจึงมีมติเห็นชอบให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ปรับรายละเอียดโครงการบ้านล้านหลัง เพื่อสนับสนุนให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อที่อยู่อาศัยและมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในราคาที่เหมาะสม โดยปรับเพิ่มกรอบวงเงินกู้สําหรับกลุ่มผู้มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน จาก 20,000 ล้านบาท เป็น 40,000 ล้านบาท เพื่อให้คนกลุ่มนี้มีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อและมีบ้านเป็นของตนเองมากขึ้น พร้อมทั้งปรับลดกรอบวงเงินกู้สําหรับกลุ่มผู้มีรายได้เกิน 25,000 บาทต่อเดือน จากเดิม 30,000 ล้านบาท เป็น 10,000 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการจริงของประชาชน นอกจากนี้ ยังได้ขยายกรอบระยะเวลาดําเนินโครงการไปอีก 2 ปี จากเดิมที่จะสิ้นสุดการทํานิติกรรมภายในวันที่ 30 ธ.ค. 62 เป็นสิ้นสุดการทํานิติกรรมเมื่อธนาคารอาคารสงเคราะห์ให้สินเชื่อเต็มตามกรอบวงเงินที่มีอยู่ ไม่เกินวันที่ 30 ธ.ค. 64 ซึ่งรัฐบาลจะช่วยแบ่งเบาภาระของธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยจะจ่ายเงินชดเชยรายได้ดอกเบี้ยที่เสียไปราว 789 ล้านบาทให้อีกด้วย โอกาสดี ๆ แบบนี้ พลาดแล้วจะเสียใจ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0 2645 9000 หรือhttp://www.ghbank.co.th ---------------------- ภาพ / ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19290
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอรับทราบแนวทางปฏิบัติของกระทรวงกลาโหม เกี่ยวกับเรื่องการเกณฑ์ทหารกองประจำการ
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563 ขอรับทราบแนวทางปฏิบัติของกระทรวงกลาโหม เกี่ยวกับเรื่องการเกณฑ์ทหารกองประจําการ สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ เรื่อง ขอรับทราบแนวทางปฏิบัติของกระทรวงกลาโหม เกี่ยวกับเรื่องการเกณฑ์ทหารกองประจําการ ผู้ตั้งกระทู้ถาม ศาสตราจารย์ นิสดารก์ เวชยานนท์ สมาชิกวุฒิสภา ถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้ตอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม (พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล) ผู้ถาม : ศาสตราจารย์ นิสดารก์ เวชยานนท์ สมาชิกวุฒิสภา ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ ด้วยที่ผ่านมามีประเด็นที่เสนอให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหารและใช้ระบบสมัครใจแทนการบังคับนั้น โดยปัจจุบันประเทศไทยได้พัฒนาวิธีการคัดเลือกทหารแบบผสมทั้งความสมัครใจและเกณฑ์ควบคู่กัน แต่สังคมภายนอกยังไม่เข้าใจถึงเหตุผลความจําเป็นที่จะต้องมีการเกณฑ์ทหาร ขั้นตอนและวิธีการเกณฑ์ รวมถึงแผนด้านกําลังพลสํารองของกองทัพ จึงขอเรียนถามว่าเหตุผลความจําเป็น ที่จะต้องมีการเกณฑ์ทหาร และกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการเกณฑ์แผนกําลังพลสํารอง แผนการเรียกเกณฑ์และรับสมัครในแต่ละปี ตลอดจนตัวเลขสถิติของจํานวนทหารที่ต้องเรียกเกณฑ์และจํานวนของผู้สมัคร รวมถึงสถิติของผู้ที่ประสงค์สมัครเป็นทหารต่อเมื่อปลดประจําการแล้ว จํานวนกําลังพล และภารกิจของกองทัพสอดคล้องกันหรือไม่ อย่างไร นอกจากนี้มีการพัฒนาปรับปรุงระบบการเกณฑ์ทหาร ระบบกําลังพลสํารอง และพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนของทหารกองประจําการให้มีความทันสมัยรองรับศตวรรษที่ ๒๑ หรือไม่ อย่างไร ประกอบกับระบบการเกณฑ์ทหารสามารถตอบสนองยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคงหรือไม่ และการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของกองทัพนั้น มีส่วนร่วมในการสร้างคนดี สู่สังคมอย่างไร ในส่วนระบบการเกณฑ์ทหารของประเทศไทย เมื่อเปรียบเทียบกับนานาประเทศแล้วมีข้อดี และข้อเสียอย่างไร นอกจากนี้ขอตั้งข้อสังเกต ๓ ประเด็น คือ ทักษะการออมของกําลังพล ความร่วมมือของกองทัพกับท้องถิ่นในการดูแลช่วยเหลือผู้สูงวัยและผู้ถูกทอดทิ้งในสังคมชนบท และกรณีการไม่จํากัดผู้หญิงเพื่อเข้ารับราชการทหาร ผู้ตอบ : รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม (พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล)ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้ พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับมอบหมายให้ตอบชี้แจง ได้ตอบชี้แจงว่ารัฐธรรมนูญ มาตรา ๕๐ และมาตรา ๕๒ ประกอบกับพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้อง อาทิ การจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม การรับราชการทหาร รวมถึงกฎกระทรวงต่าง ๆ ได้ให้อํานาจในการจัดการกําลังพลสํารองสําหรับการจัดเตรียมกําลังพลเท่าที่จําเป็นเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยคุกคามที่คาดว่าจะเกิดขึ้น รวมถึงให้มีระบบกําลังสํารองที่มีประสิทธิภาพในการพร้อมรบอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ภารกิจและขีดความสามารถเป็นตัวตั้งในการกําหนดโครงสร้างกําลังของกองทัพ อย่างไรก็ตามความต้องการทหารกองประจําการมีจํานวนปีละประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ คน ซึ่งขณะนี้กองทัพอยู่ระหว่างปรับโครงสร้างให้เหมาะสมกะทัดรัด ทันสมัย และคาดว่าในอนาคตจํานวนความต้องการทหารกองประจําการจะลดลง ปัจจุบันกําลังพลมาจากการคัดเลือก และการรับสมัคร โดยข้อมูล ในปี ๒๕๖๒ มีทหารกองเกินที่จะเข้ามาตรวจ เลือกประมาณ ๕๖๐,๐๐๐ คน เข้ารับราชการประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ คน มีผู้สมัครใจปีละ ๔๐% หรือ ๔๐,๐๐๐ คน เข้าตรวจเลือก ๖๐% หรือ ๖๐,๐๐๐ คน และเมื่อครบกําหนดปลดประจําการแล้วมีเข้าเป็นทหารกองประจําการ ประมาณปีละ ๒,๐๐๐ คน โดยแต่ละหน่วยจะมีบัญชีบรรจุกําลังพลสํารองไว้ และกําลังพลสํารองส่วนหนึ่งมาจากนักศึกษาวิชาทหาร เป็นกําลังสํารองระดับนายสิบ ส่วนพลทหารมาจากทหารกองประจําการ และทหารกองเกิน หรือกองหนุนประเภทต่าง ๆ ในประเด็นระบบการตรวจเลือกได้มีการปรับปรุง และกํากับดูแลให้เกิดความโปร่งใส ยุติธรรม รวมถึงสนับสนุนให้ทหารกองเกินเข้ามาสมัครให้มากขึ้น ควบคู่กับการ พัฒนาระบบกําลังพลสํารองสําหรับหลักสูตร การเรียนการสอนเป็นการฝึกเบื้องต้น ๑๐ สัปดาห์ และมีการฝึกทบทวนเพิ่มเติมประจําหน่วย ในกรณีการฝึกทหารใหม่จะให้ครอบครัวทหารเข้าเยี่ยมเยียนเพื่อรับทราบความเป็นอยู่ รวมถึงสิทธิต่าง ๆ ด้วย ทั้งนี้ ระบบการตรวจเลือกทหารกองประจําการจะกําหนดไว้ในแผนย่อยในการพัฒนาศักยภาพของประเทศ รองรับประเด็นยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง ส่วนประเด็นการพัฒนา ทรัพยากรของกองทัพ ในกรณีทหารที่มีวุฒิต่ํากว่าระดับมัธยมศึกษาจะมีการเรียนการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) และขณะนี้อยู่ระหว่างประสานกระทรวงศึกษาธิการ ให้มีการเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) เพิ่มเติม นอกจากนี้เพื่อสร้างคนดีได้สนับสนุนให้มีการบําบัดฟื้นฟูกําลังพลที่ติดยาเสพติดเป็นการพัฒนาคนและกําลังพลเพื่อกลับสู่สังคม สําหรับข้อดีข้อเสียของระบบการเกณฑ์ทหารในประเทศที่มีเศรษฐกิจดีจะใช้ระบบสมัครใจเป็นส่วนใหญ่ ส่วนประเทศที่อยู่ระหว่างพัฒนาเศรษฐกิจจะใช้ทั้งระบบสมัครใจและตรวจเลือกสําหรับประเทศไทยจะใช้ระบบตรวจเลือกและสมัครใจควบคู่กันไป ทั้งนี้มีเป้าหมายให้มีผู้สมัครใจเข้ามาเป็นทหารกองประจําการมากขึ้น ส่วนการเลือกระบบการคัดเลือกทหารจะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ภัยคุกคาม ภูมิศาสตร์ประชากร และศักยภาพภารกิจของกองทัพ ในส่วนประเด็นเกี่ยวกับการออมเงินของกําลังพล ปัจจุบันได้มีการส่งเสริมการออมเงินในทุกหน่วยอยู่แล้ว และจะขยายผลมากขึ้น ในส่วนกรณีการดูแลผู้สูงอายุ กองทัพพร้อมดูแลและจะหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ต่อไป ส่วนกรณีการบรรจุทหารหญิงเข้ารับราชการ จะรับไปพิจารณาต่อไป ​ (โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสํานักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอรับทราบแนวทางปฏิบัติของกระทรวงกลาโหม เกี่ยวกับเรื่องการเกณฑ์ทหารกองประจำการ วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563 ขอรับทราบแนวทางปฏิบัติของกระทรวงกลาโหม เกี่ยวกับเรื่องการเกณฑ์ทหารกองประจําการ สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ เรื่อง ขอรับทราบแนวทางปฏิบัติของกระทรวงกลาโหม เกี่ยวกับเรื่องการเกณฑ์ทหารกองประจําการ ผู้ตั้งกระทู้ถาม ศาสตราจารย์ นิสดารก์ เวชยานนท์ สมาชิกวุฒิสภา ถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้ตอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม (พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล) ผู้ถาม : ศาสตราจารย์ นิสดารก์ เวชยานนท์ สมาชิกวุฒิสภา ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ ด้วยที่ผ่านมามีประเด็นที่เสนอให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหารและใช้ระบบสมัครใจแทนการบังคับนั้น โดยปัจจุบันประเทศไทยได้พัฒนาวิธีการคัดเลือกทหารแบบผสมทั้งความสมัครใจและเกณฑ์ควบคู่กัน แต่สังคมภายนอกยังไม่เข้าใจถึงเหตุผลความจําเป็นที่จะต้องมีการเกณฑ์ทหาร ขั้นตอนและวิธีการเกณฑ์ รวมถึงแผนด้านกําลังพลสํารองของกองทัพ จึงขอเรียนถามว่าเหตุผลความจําเป็น ที่จะต้องมีการเกณฑ์ทหาร และกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการเกณฑ์แผนกําลังพลสํารอง แผนการเรียกเกณฑ์และรับสมัครในแต่ละปี ตลอดจนตัวเลขสถิติของจํานวนทหารที่ต้องเรียกเกณฑ์และจํานวนของผู้สมัคร รวมถึงสถิติของผู้ที่ประสงค์สมัครเป็นทหารต่อเมื่อปลดประจําการแล้ว จํานวนกําลังพล และภารกิจของกองทัพสอดคล้องกันหรือไม่ อย่างไร นอกจากนี้มีการพัฒนาปรับปรุงระบบการเกณฑ์ทหาร ระบบกําลังพลสํารอง และพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนของทหารกองประจําการให้มีความทันสมัยรองรับศตวรรษที่ ๒๑ หรือไม่ อย่างไร ประกอบกับระบบการเกณฑ์ทหารสามารถตอบสนองยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคงหรือไม่ และการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของกองทัพนั้น มีส่วนร่วมในการสร้างคนดี สู่สังคมอย่างไร ในส่วนระบบการเกณฑ์ทหารของประเทศไทย เมื่อเปรียบเทียบกับนานาประเทศแล้วมีข้อดี และข้อเสียอย่างไร นอกจากนี้ขอตั้งข้อสังเกต ๓ ประเด็น คือ ทักษะการออมของกําลังพล ความร่วมมือของกองทัพกับท้องถิ่นในการดูแลช่วยเหลือผู้สูงวัยและผู้ถูกทอดทิ้งในสังคมชนบท และกรณีการไม่จํากัดผู้หญิงเพื่อเข้ารับราชการทหาร ผู้ตอบ : รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม (พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล)ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้ พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับมอบหมายให้ตอบชี้แจง ได้ตอบชี้แจงว่ารัฐธรรมนูญ มาตรา ๕๐ และมาตรา ๕๒ ประกอบกับพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้อง อาทิ การจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม การรับราชการทหาร รวมถึงกฎกระทรวงต่าง ๆ ได้ให้อํานาจในการจัดการกําลังพลสํารองสําหรับการจัดเตรียมกําลังพลเท่าที่จําเป็นเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยคุกคามที่คาดว่าจะเกิดขึ้น รวมถึงให้มีระบบกําลังสํารองที่มีประสิทธิภาพในการพร้อมรบอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ภารกิจและขีดความสามารถเป็นตัวตั้งในการกําหนดโครงสร้างกําลังของกองทัพ อย่างไรก็ตามความต้องการทหารกองประจําการมีจํานวนปีละประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ คน ซึ่งขณะนี้กองทัพอยู่ระหว่างปรับโครงสร้างให้เหมาะสมกะทัดรัด ทันสมัย และคาดว่าในอนาคตจํานวนความต้องการทหารกองประจําการจะลดลง ปัจจุบันกําลังพลมาจากการคัดเลือก และการรับสมัคร โดยข้อมูล ในปี ๒๕๖๒ มีทหารกองเกินที่จะเข้ามาตรวจ เลือกประมาณ ๕๖๐,๐๐๐ คน เข้ารับราชการประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ คน มีผู้สมัครใจปีละ ๔๐% หรือ ๔๐,๐๐๐ คน เข้าตรวจเลือก ๖๐% หรือ ๖๐,๐๐๐ คน และเมื่อครบกําหนดปลดประจําการแล้วมีเข้าเป็นทหารกองประจําการ ประมาณปีละ ๒,๐๐๐ คน โดยแต่ละหน่วยจะมีบัญชีบรรจุกําลังพลสํารองไว้ และกําลังพลสํารองส่วนหนึ่งมาจากนักศึกษาวิชาทหาร เป็นกําลังสํารองระดับนายสิบ ส่วนพลทหารมาจากทหารกองประจําการ และทหารกองเกิน หรือกองหนุนประเภทต่าง ๆ ในประเด็นระบบการตรวจเลือกได้มีการปรับปรุง และกํากับดูแลให้เกิดความโปร่งใส ยุติธรรม รวมถึงสนับสนุนให้ทหารกองเกินเข้ามาสมัครให้มากขึ้น ควบคู่กับการ พัฒนาระบบกําลังพลสํารองสําหรับหลักสูตร การเรียนการสอนเป็นการฝึกเบื้องต้น ๑๐ สัปดาห์ และมีการฝึกทบทวนเพิ่มเติมประจําหน่วย ในกรณีการฝึกทหารใหม่จะให้ครอบครัวทหารเข้าเยี่ยมเยียนเพื่อรับทราบความเป็นอยู่ รวมถึงสิทธิต่าง ๆ ด้วย ทั้งนี้ ระบบการตรวจเลือกทหารกองประจําการจะกําหนดไว้ในแผนย่อยในการพัฒนาศักยภาพของประเทศ รองรับประเด็นยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง ส่วนประเด็นการพัฒนา ทรัพยากรของกองทัพ ในกรณีทหารที่มีวุฒิต่ํากว่าระดับมัธยมศึกษาจะมีการเรียนการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) และขณะนี้อยู่ระหว่างประสานกระทรวงศึกษาธิการ ให้มีการเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) เพิ่มเติม นอกจากนี้เพื่อสร้างคนดีได้สนับสนุนให้มีการบําบัดฟื้นฟูกําลังพลที่ติดยาเสพติดเป็นการพัฒนาคนและกําลังพลเพื่อกลับสู่สังคม สําหรับข้อดีข้อเสียของระบบการเกณฑ์ทหารในประเทศที่มีเศรษฐกิจดีจะใช้ระบบสมัครใจเป็นส่วนใหญ่ ส่วนประเทศที่อยู่ระหว่างพัฒนาเศรษฐกิจจะใช้ทั้งระบบสมัครใจและตรวจเลือกสําหรับประเทศไทยจะใช้ระบบตรวจเลือกและสมัครใจควบคู่กันไป ทั้งนี้มีเป้าหมายให้มีผู้สมัครใจเข้ามาเป็นทหารกองประจําการมากขึ้น ส่วนการเลือกระบบการคัดเลือกทหารจะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ภัยคุกคาม ภูมิศาสตร์ประชากร และศักยภาพภารกิจของกองทัพ ในส่วนประเด็นเกี่ยวกับการออมเงินของกําลังพล ปัจจุบันได้มีการส่งเสริมการออมเงินในทุกหน่วยอยู่แล้ว และจะขยายผลมากขึ้น ในส่วนกรณีการดูแลผู้สูงอายุ กองทัพพร้อมดูแลและจะหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ต่อไป ส่วนกรณีการบรรจุทหารหญิงเข้ารับราชการ จะรับไปพิจารณาต่อไป ​ (โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสํานักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32982
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีกระแสพระราชดำรัสชื่นชมการทำงานของรัฐบาล และทุกภาคส่วนที่ร่วมกันทำงานอย่างหนัก ทำให้สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ดีขึ้น
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีกระแสพระราชดํารัสชื่นชมการทํางานของรัฐบาล และทุกภาคส่วนที่ร่วมกันทํางานอย่างหนัก ทําให้สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ดีขึ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีกระแสพระราชดํารัสชื่นชมการทํางานของรัฐบาล และทุกภาคส่วนที่ร่วมกันทํางานอย่างหนัก ทําให้สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ดีขึ้น วันที่ 13 เมษายน 2563 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเผย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีกระแสพระราชดํารัส ชื่นชมผลการปฏิบัติงานของรัฐบาล คณะรัฐมนตรี ข้าราชการพลเรือน ตํารวจ ทหาร เจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาล สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครสาธารณสุข จิตอาสา ตลอดจนภาคธุรกิจเอกชน และประชาชนที่ร่วมกันทํางานอย่างหนัก ด้วยความอดทน เสียสละ ร่วมมือกันจนทําให้สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยดีขึ้นตามลําดับเป็นที่น่าพอใจ พร้อมกับพระราชทานกําลังใจให้ทุกคนหากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่ประสงค์ให้พระองค์และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พระราชทานเพิ่มเติม ขอให้กราบบังคมทูลได้ตลอดเวลา ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ขอให้ทั้งสองพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีกระแสพระราชดำรัสชื่นชมการทำงานของรัฐบาล และทุกภาคส่วนที่ร่วมกันทำงานอย่างหนัก ทำให้สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ดีขึ้น วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีกระแสพระราชดํารัสชื่นชมการทํางานของรัฐบาล และทุกภาคส่วนที่ร่วมกันทํางานอย่างหนัก ทําให้สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ดีขึ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีกระแสพระราชดํารัสชื่นชมการทํางานของรัฐบาล และทุกภาคส่วนที่ร่วมกันทํางานอย่างหนัก ทําให้สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ดีขึ้น วันที่ 13 เมษายน 2563 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเผย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีกระแสพระราชดํารัส ชื่นชมผลการปฏิบัติงานของรัฐบาล คณะรัฐมนตรี ข้าราชการพลเรือน ตํารวจ ทหาร เจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาล สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครสาธารณสุข จิตอาสา ตลอดจนภาคธุรกิจเอกชน และประชาชนที่ร่วมกันทํางานอย่างหนัก ด้วยความอดทน เสียสละ ร่วมมือกันจนทําให้สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยดีขึ้นตามลําดับเป็นที่น่าพอใจ พร้อมกับพระราชทานกําลังใจให้ทุกคนหากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่ประสงค์ให้พระองค์และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พระราชทานเพิ่มเติม ขอให้กราบบังคมทูลได้ตลอดเวลา ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ขอให้ทั้งสองพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28916
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รถไฟความเร็วสูง...เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค
วันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม 2560 รถไฟความเร็วสูง...เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค โครงการที่จะพลิกโฉมการคมนาคมขนส่งของประเทศไทยให้เจริญรุดหน้าเฉกเช่นในหลายประเทศ รถไฟความเร็วสูง...เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค หรือ เรียกชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า รถไฟความเร็วสูงไทย – จีน เป็นโครงการที่จะพลิกโฉมการคมนาคมขนส่งของประเทศไทยให้เจริญรุดหน้าเฉกเช่นในหลายประเทศ เป็นโครงการที่จะทําให้เศรษฐกิจของไทยขยายตัว เป็นโครงการที่จะทําให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายในการเดินทาง และที่สําคัญเป็นเส้นทางรถไฟความเร็วสูงสายแรกที่เกิดขึ้นในภาคอีสาน โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีน วิ่งจาก กทม. ไปยัง จ.หนองคาย และสามารถเชื่อมโยงไป สปป.ลาว จีน ยุโรป และตะวันออกกลางในอนาคต โดยในระยะที่ 1 เริ่มก่อสร้างจาก กทม.ถึง จ.นครราชสีมา ระยะทาง 253 กม. ประกอบด้วยสถานียกระดับ 6 สถานี ได้แก่ สถานีบางซื่อ ดอนเมือง อยุธยา สระบุรี ปากช่อง และนครราชสีมา ด้วยอัตราความเร็วสูงสุดของรถไฟ 250 กม./ชม. นั้น ทําให้การเดินทางจาก กทม. ไปโคราช ใช้เวลาเพียงแค่ 1.17 ชม. คิดค่าโดยสารเพียง 535 บาท ซึ่งจะช่วยให้คนที่มีบ้านพักอยู่โคราช อยุธยา สระบุรี เดินทางไปทํางานใน กทม. แบบไป-กลับได้ ช่วยลดความแออัดในเมือง กระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค ประชาชนในท้องถิ่นมีงานมีรายได้มากขึ้น ส่วนในระยะที่ 2 จะขยายเส้นทางด้านบนขึ้นไปสู่ จ.ขอนแก่น อุดรธานี และหนองคาย ส่วนด้านล่างจะเชื่อมโยงลงไปยังนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) หรือเขตอุตสาหกรรมแห่งอนาคต การเลือกให้ภาคอีสาน เป็นเส้นทางรถไฟความเร็วสูงสายแรกของไทยนั้นมีนัยสําคัญ เพราะภาคอีสานเป็นภูมิภาคสําคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ มีพื้นที่เพาะปลูกที่กว้างขวาง สามารถเชื่อมโยงไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้สะดวก มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีธรรมชาติที่สวยงาม มีผู้คนที่เป็นมิตร และที่ผ่านมามีการลงทุนเพื่อผลิตสินค้าและบริการในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง จึงมีความพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขงได้ตามนโยบายของรัฐบาล ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 60 ซึ่งจัดขึ้น ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จ.นครราชสีมา ครม. ได้เห็นชอบร่างสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เส้นทางกทม.-โคราช งานจ้างออกแบบรายละเอียด เพื่อดําเนินการว่าจ้างบริษัท China Railway International Co.Ltd. และ China Railway Design Corporation ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลจีนที่มีประสบการณ์ตรงในการพัฒนารถไฟความเร็วสูง และได้รับการรับรองคุณภาพและประสิทธิภาพจาก National Development and Reform Commission ในการออกแบบรายละเอียดงานโยธาระยะที่ 1 ประกอบด้วย งานโครงสร้างทางยกระดับ อุโมงค์ สะพาน อาคาร ย่านสถานี และโครงสร้างพื้นฐานด้านโยธาอื่น ๆ วงเงินค่าจ้าง 1,706.771 ล้านบาท โดยใช้เวลาดําเนินการ 10 เดือน สําหรับข้อตกลงเกี่ยวกับสัญญางานจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านโยธา และ สัญญางานระบบราง ระบบไฟฟ้า และเครื่องกล รวมทั้งการจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากรนั้น อยู่ระหว่างการพิจารณาดําเนินการร่วมกันระหว่างไทยและจีน โดยสรุปแล้ว โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีนที่จะสําเร็จเป็นรูปธรรมในอนาคตอันใกล้นี้ จะเป็นบันไดแห่ง “โอกาส” นําการพัฒนามาสู่ภาคอีสาน และเป็นแรงดึงดูดการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว มายังประเทศไทย และตอกย้ําความเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียนได้อย่างแท้จริง ภาพ/ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รถไฟความเร็วสูง...เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค วันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม 2560 รถไฟความเร็วสูง...เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค โครงการที่จะพลิกโฉมการคมนาคมขนส่งของประเทศไทยให้เจริญรุดหน้าเฉกเช่นในหลายประเทศ รถไฟความเร็วสูง...เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค หรือ เรียกชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า รถไฟความเร็วสูงไทย – จีน เป็นโครงการที่จะพลิกโฉมการคมนาคมขนส่งของประเทศไทยให้เจริญรุดหน้าเฉกเช่นในหลายประเทศ เป็นโครงการที่จะทําให้เศรษฐกิจของไทยขยายตัว เป็นโครงการที่จะทําให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายในการเดินทาง และที่สําคัญเป็นเส้นทางรถไฟความเร็วสูงสายแรกที่เกิดขึ้นในภาคอีสาน โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีน วิ่งจาก กทม. ไปยัง จ.หนองคาย และสามารถเชื่อมโยงไป สปป.ลาว จีน ยุโรป และตะวันออกกลางในอนาคต โดยในระยะที่ 1 เริ่มก่อสร้างจาก กทม.ถึง จ.นครราชสีมา ระยะทาง 253 กม. ประกอบด้วยสถานียกระดับ 6 สถานี ได้แก่ สถานีบางซื่อ ดอนเมือง อยุธยา สระบุรี ปากช่อง และนครราชสีมา ด้วยอัตราความเร็วสูงสุดของรถไฟ 250 กม./ชม. นั้น ทําให้การเดินทางจาก กทม. ไปโคราช ใช้เวลาเพียงแค่ 1.17 ชม. คิดค่าโดยสารเพียง 535 บาท ซึ่งจะช่วยให้คนที่มีบ้านพักอยู่โคราช อยุธยา สระบุรี เดินทางไปทํางานใน กทม. แบบไป-กลับได้ ช่วยลดความแออัดในเมือง กระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค ประชาชนในท้องถิ่นมีงานมีรายได้มากขึ้น ส่วนในระยะที่ 2 จะขยายเส้นทางด้านบนขึ้นไปสู่ จ.ขอนแก่น อุดรธานี และหนองคาย ส่วนด้านล่างจะเชื่อมโยงลงไปยังนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) หรือเขตอุตสาหกรรมแห่งอนาคต การเลือกให้ภาคอีสาน เป็นเส้นทางรถไฟความเร็วสูงสายแรกของไทยนั้นมีนัยสําคัญ เพราะภาคอีสานเป็นภูมิภาคสําคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ มีพื้นที่เพาะปลูกที่กว้างขวาง สามารถเชื่อมโยงไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้สะดวก มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีธรรมชาติที่สวยงาม มีผู้คนที่เป็นมิตร และที่ผ่านมามีการลงทุนเพื่อผลิตสินค้าและบริการในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง จึงมีความพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขงได้ตามนโยบายของรัฐบาล ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 60 ซึ่งจัดขึ้น ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จ.นครราชสีมา ครม. ได้เห็นชอบร่างสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เส้นทางกทม.-โคราช งานจ้างออกแบบรายละเอียด เพื่อดําเนินการว่าจ้างบริษัท China Railway International Co.Ltd. และ China Railway Design Corporation ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลจีนที่มีประสบการณ์ตรงในการพัฒนารถไฟความเร็วสูง และได้รับการรับรองคุณภาพและประสิทธิภาพจาก National Development and Reform Commission ในการออกแบบรายละเอียดงานโยธาระยะที่ 1 ประกอบด้วย งานโครงสร้างทางยกระดับ อุโมงค์ สะพาน อาคาร ย่านสถานี และโครงสร้างพื้นฐานด้านโยธาอื่น ๆ วงเงินค่าจ้าง 1,706.771 ล้านบาท โดยใช้เวลาดําเนินการ 10 เดือน สําหรับข้อตกลงเกี่ยวกับสัญญางานจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านโยธา และ สัญญางานระบบราง ระบบไฟฟ้า และเครื่องกล รวมทั้งการจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากรนั้น อยู่ระหว่างการพิจารณาดําเนินการร่วมกันระหว่างไทยและจีน โดยสรุปแล้ว โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีนที่จะสําเร็จเป็นรูปธรรมในอนาคตอันใกล้นี้ จะเป็นบันไดแห่ง “โอกาส” นําการพัฒนามาสู่ภาคอีสาน และเป็นแรงดึงดูดการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว มายังประเทศไทย และตอกย้ําความเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียนได้อย่างแท้จริง ภาพ/ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6163
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนวทางการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน (Financial Technology : FinTech)
วันพุธที่ 18 เมษายน 2561 แนวทางการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน (Financial Technology : FinTech) กระทรวงการคลังมีนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรม FinTech อย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดแรงขับเคลื่อนในการพัฒนาอุตสาหกรรม FinTech ในวงกว้าง อันจะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินได้มากขึ้น นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังมีนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรม FinTech อย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดแรงขับเคลื่อนในการพัฒนาอุตสาหกรรม FinTech ในวงกว้าง อันจะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินได้มากขึ้น และสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาการให้บริการทางการเงินในระบบการเงินของไทย สอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาลที่มุ่งหวังให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศกระทรวงการคลังจึงเสนอแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน ซึ่งประกอบด้วย3 มาตรการ ได้แก่ 1) พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศที่เกี่ยวข้องกับการทําธุรกรรมทางการเงิน 2) ผลักดันหน่วยงานภาครัฐเป็นผู้ให้และผู้ใช้ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ FinTech และ 3) จัดตั้งสถาบันนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงิน (Institute for Financial Innovation and Technology) หรือ InFinIT ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแนวทางดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2561 แนวทางดังกล่าว สรุปสาระสําคัญได้ ดังนี้ 1) พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศที่เกี่ยวข้องกับการทําธุรกรรมทางการเงิน เพื่อให้ผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการทางการเงินสามารถทําธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างสะดวกและปลอดภัย โดยกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมอยู่ระหว่างดําเนินโครงการสําคัญ 2 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติที่ส่งเสริมการบูรณาการระบบการชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งในระบบภาครัฐและภาคเอกชน และ 2) โครงการพัฒนาระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Identification Platform) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการพิสูจน์และยืนยันตัวตนและลดขั้นตอนที่ซ้ําซ้อน ซึ่งเป็นภาระแก่ทั้งผู้แสดงตนและผู้มีหน้าที่ในการตรวจสอบความถูกต้องและยืนยันตัวตนในด้านเวลาและทรัพยากร 2) ผลักดันหน่วยงานภาครัฐเป็นผู้ให้และผู้ใช้ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ FinTech โดยกระทรวงการคลังจะผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นทั้งผู้ให้และผู้ใช้บริการผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ FinTech มากขึ้น เช่น การรับจ่ายเงินภาครัฐทางอิเล็กทรอนิกส์การบูรณาการระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ การจ่ายสวัสดิการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ การเพิ่มช่องทางในการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ของ SFIs เป็นต้น เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรม FinTech อีกทางหนึ่ง 3) จัดตั้งสถาบันนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงิน (Institute for Financial Innovation and Technology : InFinIT) เพื่อทําหน้าที่ส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นที่เกี่ยวข้องกับ FinTech (FinTech Startups) และพัฒนาสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศน์ของอุตสาหกรรม FinTech (FinTech Ecosystem) ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 โดย InFinIT จะทําหน้าที่ ดังนี้ 1) บ่มเพาะและส่งเสริม FinTech Startups ให้สามารถต่อยอดความคิดให้เป็นนวัตกรรมทางการเงิน 2) เสริมสร้างความสามารถทางการดําเนินธุรกิจเพื่อให้ FinTech Startups สามารถพัฒนานวัตกรรมในเชิงการค้าได้ 3) สร้างเครือข่ายของภาครัฐและภาคเอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ FinTech ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อให้ประเทศไทยมี FinTech Ecosystem ที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรม FinTech 4) ผลักดันให้มีการนําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการให้บริการทางการเงินในประเทศไทยในทุกภาคส่วน ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมการสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์หรือบริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ FinTech ของ SFIs และ 5) ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งทักษะที่เกี่ยวข้องกับ Fintech เพื่อสร้างผู้ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรม FinTech หรือผู้ประกอบการในอนาคต (Talent Pipeline) ทั้งนี้ InFinIT จะประสานงานกับหน่วยงานที่ทําหน้าที่บ่มเพาะและเร่งการพัฒนา (Incubators and Accelerators) ในระดับนานาชาติ สถาบันการศึกษาชั้นนํา หน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในการให้คําปรึกษาทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศรวมทั้ง สถาบันการเงินเฉพาะกิจและผู้ให้บริการทางการเงินประเภทต่างๆ ในการจัดทําโครงการต่าง ๆ ของ InFinIT นางสาวกุลยาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “FinTech และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ FinTech เช่น บล็อกเชน ปัญญาประดิษฐ์ เป็นต้น ได้มีบทบาทสําคัญเพิ่มขึ้นอย่างยิ่งในการทําธุรกรรมการเงินในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งอุตสาหกรรม FinTech และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องมีความสําคัญไม่เพียงต่อการให้บริการทางการเงินเท่านั้น แต่ยังจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอื่น ๆ ในวงกว้าง รัฐบาลได้เห็นถึงความสําคัญและได้พิจารณาถึงผลกระทบของ FinTech ที่มีต่อประชาชน และผู้ให้บริการทางการเงิน รวมถึงแนวทางในการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรม FinTech เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” สํานักนโยบายระบบการเงินและสถาบันการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3219 โทรสาร 0 2618 3366
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนวทางการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน (Financial Technology : FinTech) วันพุธที่ 18 เมษายน 2561 แนวทางการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน (Financial Technology : FinTech) กระทรวงการคลังมีนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรม FinTech อย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดแรงขับเคลื่อนในการพัฒนาอุตสาหกรรม FinTech ในวงกว้าง อันจะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินได้มากขึ้น นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังมีนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรม FinTech อย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดแรงขับเคลื่อนในการพัฒนาอุตสาหกรรม FinTech ในวงกว้าง อันจะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินได้มากขึ้น และสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาการให้บริการทางการเงินในระบบการเงินของไทย สอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาลที่มุ่งหวังให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศกระทรวงการคลังจึงเสนอแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน ซึ่งประกอบด้วย3 มาตรการ ได้แก่ 1) พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศที่เกี่ยวข้องกับการทําธุรกรรมทางการเงิน 2) ผลักดันหน่วยงานภาครัฐเป็นผู้ให้และผู้ใช้ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ FinTech และ 3) จัดตั้งสถาบันนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงิน (Institute for Financial Innovation and Technology) หรือ InFinIT ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแนวทางดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2561 แนวทางดังกล่าว สรุปสาระสําคัญได้ ดังนี้ 1) พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศที่เกี่ยวข้องกับการทําธุรกรรมทางการเงิน เพื่อให้ผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการทางการเงินสามารถทําธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างสะดวกและปลอดภัย โดยกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมอยู่ระหว่างดําเนินโครงการสําคัญ 2 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติที่ส่งเสริมการบูรณาการระบบการชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งในระบบภาครัฐและภาคเอกชน และ 2) โครงการพัฒนาระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Identification Platform) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการพิสูจน์และยืนยันตัวตนและลดขั้นตอนที่ซ้ําซ้อน ซึ่งเป็นภาระแก่ทั้งผู้แสดงตนและผู้มีหน้าที่ในการตรวจสอบความถูกต้องและยืนยันตัวตนในด้านเวลาและทรัพยากร 2) ผลักดันหน่วยงานภาครัฐเป็นผู้ให้และผู้ใช้ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ FinTech โดยกระทรวงการคลังจะผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นทั้งผู้ให้และผู้ใช้บริการผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ FinTech มากขึ้น เช่น การรับจ่ายเงินภาครัฐทางอิเล็กทรอนิกส์การบูรณาการระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ การจ่ายสวัสดิการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ การเพิ่มช่องทางในการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ของ SFIs เป็นต้น เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรม FinTech อีกทางหนึ่ง 3) จัดตั้งสถาบันนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงิน (Institute for Financial Innovation and Technology : InFinIT) เพื่อทําหน้าที่ส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นที่เกี่ยวข้องกับ FinTech (FinTech Startups) และพัฒนาสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศน์ของอุตสาหกรรม FinTech (FinTech Ecosystem) ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 โดย InFinIT จะทําหน้าที่ ดังนี้ 1) บ่มเพาะและส่งเสริม FinTech Startups ให้สามารถต่อยอดความคิดให้เป็นนวัตกรรมทางการเงิน 2) เสริมสร้างความสามารถทางการดําเนินธุรกิจเพื่อให้ FinTech Startups สามารถพัฒนานวัตกรรมในเชิงการค้าได้ 3) สร้างเครือข่ายของภาครัฐและภาคเอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ FinTech ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อให้ประเทศไทยมี FinTech Ecosystem ที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรม FinTech 4) ผลักดันให้มีการนําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการให้บริการทางการเงินในประเทศไทยในทุกภาคส่วน ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมการสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์หรือบริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ FinTech ของ SFIs และ 5) ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งทักษะที่เกี่ยวข้องกับ Fintech เพื่อสร้างผู้ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรม FinTech หรือผู้ประกอบการในอนาคต (Talent Pipeline) ทั้งนี้ InFinIT จะประสานงานกับหน่วยงานที่ทําหน้าที่บ่มเพาะและเร่งการพัฒนา (Incubators and Accelerators) ในระดับนานาชาติ สถาบันการศึกษาชั้นนํา หน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในการให้คําปรึกษาทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศรวมทั้ง สถาบันการเงินเฉพาะกิจและผู้ให้บริการทางการเงินประเภทต่างๆ ในการจัดทําโครงการต่าง ๆ ของ InFinIT นางสาวกุลยาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “FinTech และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ FinTech เช่น บล็อกเชน ปัญญาประดิษฐ์ เป็นต้น ได้มีบทบาทสําคัญเพิ่มขึ้นอย่างยิ่งในการทําธุรกรรมการเงินในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งอุตสาหกรรม FinTech และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องมีความสําคัญไม่เพียงต่อการให้บริการทางการเงินเท่านั้น แต่ยังจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอื่น ๆ ในวงกว้าง รัฐบาลได้เห็นถึงความสําคัญและได้พิจารณาถึงผลกระทบของ FinTech ที่มีต่อประชาชน และผู้ให้บริการทางการเงิน รวมถึงแนวทางในการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรม FinTech เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” สํานักนโยบายระบบการเงินและสถาบันการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3219 โทรสาร 0 2618 3366
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11572
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ใช้ชีวิตอย่างไรให้ปลอดภัยจากโควิด-19
วันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2563 ใช้ชีวิตอย่างไรให้ปลอดภัยจากโควิด-19 มีแนวทางปฏิบัติอย่างไรบ้างนะ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ใช้ชีวิตอย่างไรให้ปลอดภัยจากโควิด-19 วันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2563 ใช้ชีวิตอย่างไรให้ปลอดภัยจากโควิด-19 มีแนวทางปฏิบัติอย่างไรบ้างนะ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32988
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง. นรม. นายอนุทิน ฯ นำผู้ประกอบการไทยร่วมงาน IBTM World 2019 พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมไมซ์ไทยเป็นหนึ่งในเอเชีย
วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน 2562 รอง. นรม. นายอนุทิน ฯ นําผู้ประกอบการไทยร่วมงาน IBTM World 2019 พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมไมซ์ไทยเป็นหนึ่งในเอเชีย รอง. นรม. นายอนุทิน ฯ นําผู้ประกอบการไทยร่วมงาน IBTM World 2019 พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมไมซ์ไทยเป็นหนึ่งในเอเชีย น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยผู้ประกอบการ MICE ทั่วโลกให้ความสนใจเยี่ยมชมบูธศาลาไทย (Thailand Pavilion) ประทับใจศักยภาพสินค้าและการบริการในการรองรับการจัดงานประชุมในระดับนานาชาติหรือไมซ์ของไทย (MICE) รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า วานนี้ (อังคาร 19 พฤศจิกายน 2562)ณ นครบาร์เซโลน่า ราชอาณาจักรสเปน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นําผู้ประกอบการไมซ์ไทยกว่า 26 ราย เข้าร่วมงาน IBTM World 2019 ซึ่งเป็นนิทรรศการด้านการประชุมและงานกิจกรรม (Event) ชั้นนําระดับโลก โดยมีบูธศาลาไทย (Thailand Pavilion) เป็นเวทีนําเสนอสินค้าไทยและการบริการที่เกี่ยวข้องในการรองรับการจัดงานประชุมในระดับนานาชาติ โดยผู้ประกอบการไมซ์ทั่วโลกให้ความสนใจเข้าเยี่ยมชม พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยังได้พบปะกับผู้นําอุตสาหกรรมไมซ์ระดับโลก อาทิ นายเจมส์ รี ประธานสมาคมการประชุมนานาชาติ (ICCA) นายดิเลเย่ สเกลเล็ท ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สมาคมส่งเสริมธุรกิจการจัดอินเซนทีฟระดับโลกจากฝั่งยุโรปและอเมริกา (SITE) และนายแดเรน จอนสัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Reed Exhibitions โดยได้มีการพูดคุยหารือเกี่ยวกับยุทธศาสตร์เพื่อผลักดันและยกระดับอุตสาหกรรมไมซ์ไทยให้เป็นหนึ่งในเอเชีย “รองนายกรัฐมนตรีย้ําความสําคัญของอุตสาหกรรมไมซ์ในเชิงเศรษฐกิจว่า มีสัดส่วนในการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ถึงร้อยละ 3 โดยมีมูลค่ากว่า 507,400 ล้านบาท และสร้างสร้างงาน 340,595 ตําแหน่ง ประเทศไทยยังได้รับเลือกเป็นสถานที่จัดงานประชุมนานาชาติมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของอาเซียนถึง 3 ปีติดต่อกัน (2559-2561) รัฐบาลจึงพร้อมสนับสนุนการจัดงานระดับนานาชาติทั้งในกรุงเทพและจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมเมืองรองให้เป็นจุดหมายปลายทางของการเดินทาง ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการไว้” น.ส.ไตรศุลี เปิดเผย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง. นรม. นายอนุทิน ฯ นำผู้ประกอบการไทยร่วมงาน IBTM World 2019 พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมไมซ์ไทยเป็นหนึ่งในเอเชีย วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน 2562 รอง. นรม. นายอนุทิน ฯ นําผู้ประกอบการไทยร่วมงาน IBTM World 2019 พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมไมซ์ไทยเป็นหนึ่งในเอเชีย รอง. นรม. นายอนุทิน ฯ นําผู้ประกอบการไทยร่วมงาน IBTM World 2019 พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมไมซ์ไทยเป็นหนึ่งในเอเชีย น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยผู้ประกอบการ MICE ทั่วโลกให้ความสนใจเยี่ยมชมบูธศาลาไทย (Thailand Pavilion) ประทับใจศักยภาพสินค้าและการบริการในการรองรับการจัดงานประชุมในระดับนานาชาติหรือไมซ์ของไทย (MICE) รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า วานนี้ (อังคาร 19 พฤศจิกายน 2562)ณ นครบาร์เซโลน่า ราชอาณาจักรสเปน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นําผู้ประกอบการไมซ์ไทยกว่า 26 ราย เข้าร่วมงาน IBTM World 2019 ซึ่งเป็นนิทรรศการด้านการประชุมและงานกิจกรรม (Event) ชั้นนําระดับโลก โดยมีบูธศาลาไทย (Thailand Pavilion) เป็นเวทีนําเสนอสินค้าไทยและการบริการที่เกี่ยวข้องในการรองรับการจัดงานประชุมในระดับนานาชาติ โดยผู้ประกอบการไมซ์ทั่วโลกให้ความสนใจเข้าเยี่ยมชม พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยังได้พบปะกับผู้นําอุตสาหกรรมไมซ์ระดับโลก อาทิ นายเจมส์ รี ประธานสมาคมการประชุมนานาชาติ (ICCA) นายดิเลเย่ สเกลเล็ท ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สมาคมส่งเสริมธุรกิจการจัดอินเซนทีฟระดับโลกจากฝั่งยุโรปและอเมริกา (SITE) และนายแดเรน จอนสัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Reed Exhibitions โดยได้มีการพูดคุยหารือเกี่ยวกับยุทธศาสตร์เพื่อผลักดันและยกระดับอุตสาหกรรมไมซ์ไทยให้เป็นหนึ่งในเอเชีย “รองนายกรัฐมนตรีย้ําความสําคัญของอุตสาหกรรมไมซ์ในเชิงเศรษฐกิจว่า มีสัดส่วนในการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ถึงร้อยละ 3 โดยมีมูลค่ากว่า 507,400 ล้านบาท และสร้างสร้างงาน 340,595 ตําแหน่ง ประเทศไทยยังได้รับเลือกเป็นสถานที่จัดงานประชุมนานาชาติมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของอาเซียนถึง 3 ปีติดต่อกัน (2559-2561) รัฐบาลจึงพร้อมสนับสนุนการจัดงานระดับนานาชาติทั้งในกรุงเทพและจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมเมืองรองให้เป็นจุดหมายปลายทางของการเดินทาง ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการไว้” น.ส.ไตรศุลี เปิดเผย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24702
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 6 มิถุนายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 6 มิถุนายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 6 มิถุนายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) ประจําวันที่6 มิถุนายน 2563 วันนี้ (6 มิถุนายน 2563) ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ ว่ามีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 2 ราย เป็นคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ (รัสเซีย 1 ราย, คูเวต 1 ราย) ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้าน ยอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,971 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.72 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 75 ราย หรือร้อยละ 2.42 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,104 ราย ขณะนี้สถานการณ์การติดเชื้อโควิด 19 ใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 64 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศร้อยละ 98.44 (จํานวน 63 ราย) มีเพียง 1 รายที่เป็นผู้ติดเชื้อภายในประเทศ อย่างไรก็ตามมีคนไทยจากต่างประเทศทยอยกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการกําหนดจํานวนผู้ที่เดินทางเข้าประเทศอย่างเหมาะสมเพื่อให้การบริหารจัดการสถานที่เฝ้าระวังกักตัวและการดูแลของบุคลากรทางการแพทย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จากข้อมูลผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคของกรมควบคุมโรค ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึง 6 มิถุนายน 2563 มีผู้เข้ารับการกักตัวและเฝ้าระวังอาการสะสม 32,855 ราย จากการเฝ้าระวังสังเกตอาการผู้ที่เข้ารับการกักตัวในระยะหลังผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการป่วย เนื่องจากเป็นกลุ่มคนวัยทํางานและนักเรียนนักศึกษา ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงโดยเฉพาะในวัยหนุ่มสาวอาจเป็นผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการได้ หลังจากรัฐบาลได้ผ่อนปรนมาตรการ ทําให้ประชาชนรู้สึกผ่อนคลายและออกท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อภาคเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตามขอให้ผู้ที่เดินทางท่องเที่ยวตระหนักและระมัดระวังตนเองมากขึ้น ออกนอกบ้านทุกครั้งต้องสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า งดการเอามือสัมผัสใบหน้า จมูก ปาก พกแอลกอฮอล์เจลล้างมือ เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงการเข้าไปสถานที่แออัด คนรวมกันมากๆ เพื่อความปลอดภัย ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) ขอความร่วมมือประชาชนทุกคนปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด หากเข้าใช้บริการในสถานที่ต่างๆ สิ่งจําเป็นคือการลงทะเบียน เข้า-ออก พร้อมประเมินกิจการ / สถานที่ ในการปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน ควบคุมโรค ในแพลตฟอร์ม และแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ที่ภาครัฐจัดทําขึ้น เพื่อนําไปพัฒนากิจการและสถานที่ให้เป็นไปตามมาตรฐาน และหากพบผู้ติดเชื้อ กรมควบคุมโรคจะใช้เป็นข้อมูลในการติดตามผู้สัมผัสเพื่อนําเข้าสู่ระบบการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 6 มิถุนายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 6 มิถุนายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 6 มิถุนายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) ประจําวันที่6 มิถุนายน 2563 วันนี้ (6 มิถุนายน 2563) ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ ว่ามีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 2 ราย เป็นคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ (รัสเซีย 1 ราย, คูเวต 1 ราย) ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้าน ยอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,971 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.72 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 75 ราย หรือร้อยละ 2.42 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,104 ราย ขณะนี้สถานการณ์การติดเชื้อโควิด 19 ใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 64 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศร้อยละ 98.44 (จํานวน 63 ราย) มีเพียง 1 รายที่เป็นผู้ติดเชื้อภายในประเทศ อย่างไรก็ตามมีคนไทยจากต่างประเทศทยอยกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการกําหนดจํานวนผู้ที่เดินทางเข้าประเทศอย่างเหมาะสมเพื่อให้การบริหารจัดการสถานที่เฝ้าระวังกักตัวและการดูแลของบุคลากรทางการแพทย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จากข้อมูลผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคของกรมควบคุมโรค ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึง 6 มิถุนายน 2563 มีผู้เข้ารับการกักตัวและเฝ้าระวังอาการสะสม 32,855 ราย จากการเฝ้าระวังสังเกตอาการผู้ที่เข้ารับการกักตัวในระยะหลังผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการป่วย เนื่องจากเป็นกลุ่มคนวัยทํางานและนักเรียนนักศึกษา ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงโดยเฉพาะในวัยหนุ่มสาวอาจเป็นผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการได้ หลังจากรัฐบาลได้ผ่อนปรนมาตรการ ทําให้ประชาชนรู้สึกผ่อนคลายและออกท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อภาคเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตามขอให้ผู้ที่เดินทางท่องเที่ยวตระหนักและระมัดระวังตนเองมากขึ้น ออกนอกบ้านทุกครั้งต้องสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า งดการเอามือสัมผัสใบหน้า จมูก ปาก พกแอลกอฮอล์เจลล้างมือ เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงการเข้าไปสถานที่แออัด คนรวมกันมากๆ เพื่อความปลอดภัย ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) ขอความร่วมมือประชาชนทุกคนปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด หากเข้าใช้บริการในสถานที่ต่างๆ สิ่งจําเป็นคือการลงทะเบียน เข้า-ออก พร้อมประเมินกิจการ / สถานที่ ในการปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน ควบคุมโรค ในแพลตฟอร์ม และแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ที่ภาครัฐจัดทําขึ้น เพื่อนําไปพัฒนากิจการและสถานที่ให้เป็นไปตามมาตรฐาน และหากพบผู้ติดเชื้อ กรมควบคุมโรคจะใช้เป็นข้อมูลในการติดตามผู้สัมผัสเพื่อนําเข้าสู่ระบบการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32012
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ. รมช.สธ. นำผู้บริหาร ข้าราชการ วางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบรมราชชนก ในวันมหิดล
วันอังคารที่ 24 กันยายน 2562 รมว.สธ. รมช.สธ. นําผู้บริหาร ข้าราชการ วางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบรมราชชนก ในวันมหิดล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นําผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากรสาธารณสุข วางพวงมาลาถวายราชสักการะ และถวายสดุดีสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นําผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากรสาธารณสุข วางพวงมาลาถวายราชสักการะ และถวายสดุดีสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก พร้อมจัดกิจกรรมบริการประชาชน สืบสานงานสาธารณสุขตามรอยพระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทยเนื่องในวันมหิดล วันนี้ (24 กันยายน 2562) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นําผู้บริหาร ข้าราชการเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขรวมทั้งผู้แทนหน่วยงาน มูลนิธิ สมาคม องค์กรต่างๆวางพวงมาลาถวายราชสักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และกล่าวถวายสดุดี เนื่องในวันมหิดล ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก ตรงกับวันที่ 24กันยายนทุกปี นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะ ณ พระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี อยู่บนแท่นฐานเดียวกัน ในวันมหิดล 24 กันยายนของทุกปี เพื่อรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของทั้งสองพระองค์ที่ทรงมีคุณูปการต่อประเทศชาติ ในฐานะ “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย” และพระมารดาแห่งการสาธารณสุขไทย ทรงพัฒนาการเรียนการสอน การผลิตแพทย์ อันเป็นการวางรากฐานแก่วงการแพทย์และการสาธารณสุขของไทย ให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศมาโดยตลอดพระชนม์ชีพ ในปีนี้หน่วยงานในกระทรวงสาธารณสุขในส่วนกลาง พร้อมใจจัดกิจกรรมบริการประชาชน สืบสานงานสาธารณสุขตามรอย “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของและพระมารดาแห่งการสาธารณสุขไทย เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่าน อาทิ ตรวจวัดสายตา ตรวจวัดคลื่นหัวใจ/ความดันโลหิต วัดองค์ประกอบร่างกายและประเมินภาวะโภชนาการ ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันโรคคอตีบและบาดทะยัก วัคซีนป้องกันโรคหัด-หัดเยอรมันเด็กอายุ 7-12 ปี วัคซีนป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมันเด็กอายุ 1 ปี – น้อยกว่า 7 ปี ตรวจรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย ตรวจรักษากับแพทย์แผนจีน ตรวจเช็คเครื่องวัดความดันโลหิต ประเมินความเครียด พร้อมเปิดจําหน่ายแสตมป์ที่ระลึกเนื่องในโอกาส 100 ปีการสาธารณสุขไทย นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ นิทรรศการให้ความรู้ด้านสุขภาพ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง การดูแลสุขภาพจิต กัญชาทางการแพทย์แผนไทย เป็นต้น ให้บริการประชาชนฟรี ตั้งแต่เวลา 8.00 น.- 15.00 น. ที่ตึกสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ********************************************* 24 กันยายน 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ. รมช.สธ. นำผู้บริหาร ข้าราชการ วางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบรมราชชนก ในวันมหิดล วันอังคารที่ 24 กันยายน 2562 รมว.สธ. รมช.สธ. นําผู้บริหาร ข้าราชการ วางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบรมราชชนก ในวันมหิดล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นําผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากรสาธารณสุข วางพวงมาลาถวายราชสักการะ และถวายสดุดีสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นําผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากรสาธารณสุข วางพวงมาลาถวายราชสักการะ และถวายสดุดีสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก พร้อมจัดกิจกรรมบริการประชาชน สืบสานงานสาธารณสุขตามรอยพระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทยเนื่องในวันมหิดล วันนี้ (24 กันยายน 2562) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นําผู้บริหาร ข้าราชการเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขรวมทั้งผู้แทนหน่วยงาน มูลนิธิ สมาคม องค์กรต่างๆวางพวงมาลาถวายราชสักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และกล่าวถวายสดุดี เนื่องในวันมหิดล ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก ตรงกับวันที่ 24กันยายนทุกปี นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะ ณ พระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี อยู่บนแท่นฐานเดียวกัน ในวันมหิดล 24 กันยายนของทุกปี เพื่อรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของทั้งสองพระองค์ที่ทรงมีคุณูปการต่อประเทศชาติ ในฐานะ “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย” และพระมารดาแห่งการสาธารณสุขไทย ทรงพัฒนาการเรียนการสอน การผลิตแพทย์ อันเป็นการวางรากฐานแก่วงการแพทย์และการสาธารณสุขของไทย ให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศมาโดยตลอดพระชนม์ชีพ ในปีนี้หน่วยงานในกระทรวงสาธารณสุขในส่วนกลาง พร้อมใจจัดกิจกรรมบริการประชาชน สืบสานงานสาธารณสุขตามรอย “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของและพระมารดาแห่งการสาธารณสุขไทย เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่าน อาทิ ตรวจวัดสายตา ตรวจวัดคลื่นหัวใจ/ความดันโลหิต วัดองค์ประกอบร่างกายและประเมินภาวะโภชนาการ ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันโรคคอตีบและบาดทะยัก วัคซีนป้องกันโรคหัด-หัดเยอรมันเด็กอายุ 7-12 ปี วัคซีนป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมันเด็กอายุ 1 ปี – น้อยกว่า 7 ปี ตรวจรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย ตรวจรักษากับแพทย์แผนจีน ตรวจเช็คเครื่องวัดความดันโลหิต ประเมินความเครียด พร้อมเปิดจําหน่ายแสตมป์ที่ระลึกเนื่องในโอกาส 100 ปีการสาธารณสุขไทย นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ นิทรรศการให้ความรู้ด้านสุขภาพ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง การดูแลสุขภาพจิต กัญชาทางการแพทย์แผนไทย เป็นต้น ให้บริการประชาชนฟรี ตั้งแต่เวลา 8.00 น.- 15.00 น. ที่ตึกสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ********************************************* 24 กันยายน 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23357
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลระบุนายกรัฐมนตรีสั่งการกระทรวงที่เกี่ยวข้องเร่งติดตามความก้าวหน้าเกษตรแปลงใหญ่และความเหมาะสมการปรับเปลี่ยนปลูกพืชแบบผสมผสานให้เหมาะสมกับพื้นที่
วันพุธที่ 14 มิถุนายน 2560 โฆษกรัฐบาลระบุนายกรัฐมนตรีสั่งการกระทรวงที่เกี่ยวข้องเร่งติดตามความก้าวหน้าเกษตรแปลงใหญ่และความเหมาะสมการปรับเปลี่ยนปลูกพืชแบบผสมผสานให้เหมาะสมกับพื้นที่ โฆษกรัฐบาลระบุ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการกระทรวงที่เกี่ยวข้องเร่งติดตามความก้าวหน้าเกษตรแปลงใหญ่และความเหมาะสมการปรับเปลี่ยนปลูกพืชแบบผสมผสานให้เหมาะสมกับพื้นที่ วันนี้ ( 13 มิ.ย. 60) เวลา 14.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พลโท สรรเสริญแก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีสั่งการกระทรวงที่เกี่ยวข้องไปดําเนินการสํารวจติดตามความก้าวหน้าเกี่ยวกับการทําเกษตรแปลงใหญ่ตามนโยบายรัฐบาล ว่า ขณะนี้มีเกษตรกรทําเกษตรแปลงใหญ่จํานวนเท่าใด และมีพื้นที่ที่ไหนบ้าง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต กระบวนการผลิตของเกษตรกรให้มีต้นทุนที่ถูกลง และมีผลผลิตเพิ่มขึ้น เพื่อรัฐจะสามารถเข้าไปช่วยเหลือให้ตรงกับความต้องการของเกษตรกรได้อย่างแท้จริง โดยปัจจุบันได้มีเกษตรกรปรับเปลี่ยนจากการปลูกข้าวมาปลูกพืชแบบผสมผสานและมีความหลากหลายบ้างแล้ว เช่น เปลี่ยนจากปลูกข้าวหรือยางมาปลูกผลไม้ต่าง ๆ จึงมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปติดตามสํารวจพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมในการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชให้เหมาะสมกับพื้นที่แทนการปลูกข้าว โดยคํานึงถึงความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ป้องกันไม่ให้ปริมาณผลผลิตมีจํานวนมากเกินไปอันจะส่งผลกระทบต่อราคาในอนาคต นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการเกี่ยวกับเรื่องของการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการพลเรือนว่า ให้ทุกส่วนราชการเตรียมการรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตเกี่ยวกับเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายที่จะต้องดําเนินการให้เป็นไปอย่างเหมาะสมตามลําดับที่ควรจะเป็น เช่น จากตําแหน่งรองอธิบดีเป็นอธิบดี และจากตําแหน่งอธิบดีขึ้นเป็นปลัดกระทรวง ผู้ตรวจ โดยมีศักดิ์และสิทธิ์เท่ากัน ซึ่งทุกตําแหน่งจะต้องมีรายละเอียดขอบเขตงานที่ชัดเจนเพื่อให้ระบบ ระเบียบทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่กําหนด ไม่ใช่เป็นไปตามที่แต่ละคนคิดอยากจะเป็นและทําให้คนยึดติดกับตําแหน่งอย่างไรก็ตามจะอนุญาตการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ปีนี้ให้เป็นปีสุดท้าย ----------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลระบุนายกรัฐมนตรีสั่งการกระทรวงที่เกี่ยวข้องเร่งติดตามความก้าวหน้าเกษตรแปลงใหญ่และความเหมาะสมการปรับเปลี่ยนปลูกพืชแบบผสมผสานให้เหมาะสมกับพื้นที่ วันพุธที่ 14 มิถุนายน 2560 โฆษกรัฐบาลระบุนายกรัฐมนตรีสั่งการกระทรวงที่เกี่ยวข้องเร่งติดตามความก้าวหน้าเกษตรแปลงใหญ่และความเหมาะสมการปรับเปลี่ยนปลูกพืชแบบผสมผสานให้เหมาะสมกับพื้นที่ โฆษกรัฐบาลระบุ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการกระทรวงที่เกี่ยวข้องเร่งติดตามความก้าวหน้าเกษตรแปลงใหญ่และความเหมาะสมการปรับเปลี่ยนปลูกพืชแบบผสมผสานให้เหมาะสมกับพื้นที่ วันนี้ ( 13 มิ.ย. 60) เวลา 14.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พลโท สรรเสริญแก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีสั่งการกระทรวงที่เกี่ยวข้องไปดําเนินการสํารวจติดตามความก้าวหน้าเกี่ยวกับการทําเกษตรแปลงใหญ่ตามนโยบายรัฐบาล ว่า ขณะนี้มีเกษตรกรทําเกษตรแปลงใหญ่จํานวนเท่าใด และมีพื้นที่ที่ไหนบ้าง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต กระบวนการผลิตของเกษตรกรให้มีต้นทุนที่ถูกลง และมีผลผลิตเพิ่มขึ้น เพื่อรัฐจะสามารถเข้าไปช่วยเหลือให้ตรงกับความต้องการของเกษตรกรได้อย่างแท้จริง โดยปัจจุบันได้มีเกษตรกรปรับเปลี่ยนจากการปลูกข้าวมาปลูกพืชแบบผสมผสานและมีความหลากหลายบ้างแล้ว เช่น เปลี่ยนจากปลูกข้าวหรือยางมาปลูกผลไม้ต่าง ๆ จึงมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปติดตามสํารวจพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมในการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชให้เหมาะสมกับพื้นที่แทนการปลูกข้าว โดยคํานึงถึงความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ป้องกันไม่ให้ปริมาณผลผลิตมีจํานวนมากเกินไปอันจะส่งผลกระทบต่อราคาในอนาคต นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการเกี่ยวกับเรื่องของการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการพลเรือนว่า ให้ทุกส่วนราชการเตรียมการรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตเกี่ยวกับเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายที่จะต้องดําเนินการให้เป็นไปอย่างเหมาะสมตามลําดับที่ควรจะเป็น เช่น จากตําแหน่งรองอธิบดีเป็นอธิบดี และจากตําแหน่งอธิบดีขึ้นเป็นปลัดกระทรวง ผู้ตรวจ โดยมีศักดิ์และสิทธิ์เท่ากัน ซึ่งทุกตําแหน่งจะต้องมีรายละเอียดขอบเขตงานที่ชัดเจนเพื่อให้ระบบ ระเบียบทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่กําหนด ไม่ใช่เป็นไปตามที่แต่ละคนคิดอยากจะเป็นและทําให้คนยึดติดกับตําแหน่งอย่างไรก็ตามจะอนุญาตการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ปีนี้ให้เป็นปีสุดท้าย ----------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4488
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นิพนธ์ ลุยต่อเนื่อง แก้ปัญหาภัยแล้ง แปดริ้ว - ปราจีนฯ ช่วยภัยแล้ง ประสานกรมชลฯ ทำโครงการป้องกันน้ำเค็มรุก-น้ำแล้ง
วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563 นิพนธ์ ลุยต่อเนื่อง แก้ปัญหาภัยแล้ง แปดริ้ว - ปราจีนฯ ช่วยภัยแล้ง ประสานกรมชลฯ ทําโครงการป้องกันน้ําเค็มรุก-น้ําแล้ง นิพนธ์ ลุยต่อเนื่อง แก้ปัญหาภัยแล้ง แปดริ้ว - ปราจีนฯ ช่วยภัยแล้ง ประสานกรมชลฯ ทําโครงการป้องกันน้ําเค็มรุก-น้ําแล้ง เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (17 เม.ย. 63) นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2) และคณะลงพื้นที่แปลงนาข้าวของเกษตรกร ที่หมู่ 2 บ้านทางเกวียน ตําบลบางผึ้ง อําเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นพื้นที่ได้รับความเสียหายจากสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ เป็น 1 ใน 24 จังหวัด ประกอบด้วย ภาคเหนือ 6 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย พะเยา น่าน อุตรดิตถ์ สุโขทัยและเพชรบูรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 จังหวัด ได้แก่หนองคาย บึงกาฬ นครพนม สกลนคร กาฬสินธุ์ มหาสารคาม นครราชสีมา บุรีรัมย์ ชัยภูมิและศรีสะเกษ ภาคกลาง 7 จังหวัดได้แก่ นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ฉะเชิงเทราและปราจีนบุรี ภาคใต้ 1 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสงขลา ที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) ซึ่งนาข้าวได้รับความเสียหาย และได้รับเงินชดเชยตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ พ.ศ.2562 ไปแล้ว เพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที สําหรับพื้นที่ดังกล่าวอยู่บริเวณด้ายซ้ายของแม่น้ําบางปะกง เป็นพื้นที่ประสบปัญหาน้ําเค็มรุกเข้าพื้นที่ทําให้เกิดสภาพดินเค็ม ไม่สามารถเพาะปลูกได้ ซึ่งต้องอาศัยน้ําจืดจากแม่น้ําบางปะกงในการทําการเกษตร แต่สถานการณ์ปริมาณฝนเมื่อปลายปี 2562 มีปริมาณน้อยกว่าปี 2561 ประกอบกับน้ําจืดของแม่น้ําบางปะกงมีแค่ 3 เดือน (ส.ค.- ต.ค.) ทําให้ไม่มีน้ําจืดไว้ใช้ทํานาข้าว ส่งผลต่อนาข้าวส่วนใหญ่ยืนต้นตาย ในส่วนของการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง จังหวัดฉะเชิงเทราได้บูรณาการการทํางานกับทุกภาคส่วนทั้งภาคราชการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม รวมทั้งจิตอาสาต้านภัยแล้ง ได้ดําเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาแล้งในพื้นที่ประกอบด้วย การแจกจ่ายน้ําอุปโภคบริโภค การขุดลอกคลองไส้ไก่เข้าแปลงนาเกษตรกร การขุดหลุมขนมครกในคลอง เป็นต้น เพื่อลดผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ . นายนิพนธ์ (มท.2) กล่าวว่า ในส่วนของการเสนอโครงการเพื่อให้การช่วยเหลือในระยะยาว ตามที่เกษตรกรและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องการนั้น ตนจะรับไปดําเนินการเพื่อประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างกรมชลประทานเพื่อเร่งให้มีการออกมาสํารวจความเป็นไปได้และเร่งรัดให้ดําเนินการทันที เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นแก่เกษตรกร พร้อมทั้งเปิดเผยว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้จะเป็นตรวจติดตามการดําเนินโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งหลังจากที่มีการจัดสรรงบประมาณไปแล้วก่อนหน้านี้ พร้อมทั้งเป็นการกํากับติดตามการแก้ไขปัญหาภัยแล้งอย่างต่อเนื่องทั้งในส่วนของการบูรณาการปฏิบัติงานของ จนท. การบูรณาการสั่งใช้เครื่องจักรในหน่วยงานที่กํากับเพื่อช่วยเหลือแก้ไข ซึ่งตนในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบกํากับดูแลกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) อยู่นั้น มีภารกิจโดยตรงในการป้องกันดูแลพี่น้องประชาชนจากสาธารณภัยต่าง ๆ ซึ่งภัยแล้งก็เป็นเรื่องที่ประสบปัญหามาโดยตลอด จากสภาวะฝนทิ้งช่วงทําให้ขาดแคลนน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภคและน้ําเพื่อการเกษตร ขณะเดียวกันในหลายจังหวัดทราบว่าปริมาณฝนคาดการณ์ว่าน้อยกว่าปีก่อน ๆ ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องไปจัดการแก้ไข พร้อมทั้งการดําเนินการตามแผนบริหารจัดการน้ําในภาพรวม ซึ่งตนก็ได้กําชับและติดตามเพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างครอบคลุมทั้งภัยแล้ง อุทกภัย และภัยสาธารณะต่าง ๆ อย่างเรื่องปริมาณน้ําฝนทําอย่างไรเมื่อในมีฝนตกลงมากให้มีที่กักเก็บน้ํา (ทําที่ให้น้ําอยู่-ทําทางให้น้ําไหล) ไม่ให้ไหลเข้าท่วมพื้นที่สําคัญและไว้ใช้ประโยชน์ในฤดูแล้งปีถัดไปให้ได้ สิ่งนี้คือจุดสําคัญที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนได้ทั้งระบบ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นิพนธ์ ลุยต่อเนื่อง แก้ปัญหาภัยแล้ง แปดริ้ว - ปราจีนฯ ช่วยภัยแล้ง ประสานกรมชลฯ ทำโครงการป้องกันน้ำเค็มรุก-น้ำแล้ง วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563 นิพนธ์ ลุยต่อเนื่อง แก้ปัญหาภัยแล้ง แปดริ้ว - ปราจีนฯ ช่วยภัยแล้ง ประสานกรมชลฯ ทําโครงการป้องกันน้ําเค็มรุก-น้ําแล้ง นิพนธ์ ลุยต่อเนื่อง แก้ปัญหาภัยแล้ง แปดริ้ว - ปราจีนฯ ช่วยภัยแล้ง ประสานกรมชลฯ ทําโครงการป้องกันน้ําเค็มรุก-น้ําแล้ง เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (17 เม.ย. 63) นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2) และคณะลงพื้นที่แปลงนาข้าวของเกษตรกร ที่หมู่ 2 บ้านทางเกวียน ตําบลบางผึ้ง อําเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นพื้นที่ได้รับความเสียหายจากสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ เป็น 1 ใน 24 จังหวัด ประกอบด้วย ภาคเหนือ 6 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย พะเยา น่าน อุตรดิตถ์ สุโขทัยและเพชรบูรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 จังหวัด ได้แก่หนองคาย บึงกาฬ นครพนม สกลนคร กาฬสินธุ์ มหาสารคาม นครราชสีมา บุรีรัมย์ ชัยภูมิและศรีสะเกษ ภาคกลาง 7 จังหวัดได้แก่ นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ฉะเชิงเทราและปราจีนบุรี ภาคใต้ 1 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสงขลา ที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) ซึ่งนาข้าวได้รับความเสียหาย และได้รับเงินชดเชยตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ พ.ศ.2562 ไปแล้ว เพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที สําหรับพื้นที่ดังกล่าวอยู่บริเวณด้ายซ้ายของแม่น้ําบางปะกง เป็นพื้นที่ประสบปัญหาน้ําเค็มรุกเข้าพื้นที่ทําให้เกิดสภาพดินเค็ม ไม่สามารถเพาะปลูกได้ ซึ่งต้องอาศัยน้ําจืดจากแม่น้ําบางปะกงในการทําการเกษตร แต่สถานการณ์ปริมาณฝนเมื่อปลายปี 2562 มีปริมาณน้อยกว่าปี 2561 ประกอบกับน้ําจืดของแม่น้ําบางปะกงมีแค่ 3 เดือน (ส.ค.- ต.ค.) ทําให้ไม่มีน้ําจืดไว้ใช้ทํานาข้าว ส่งผลต่อนาข้าวส่วนใหญ่ยืนต้นตาย ในส่วนของการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง จังหวัดฉะเชิงเทราได้บูรณาการการทํางานกับทุกภาคส่วนทั้งภาคราชการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม รวมทั้งจิตอาสาต้านภัยแล้ง ได้ดําเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาแล้งในพื้นที่ประกอบด้วย การแจกจ่ายน้ําอุปโภคบริโภค การขุดลอกคลองไส้ไก่เข้าแปลงนาเกษตรกร การขุดหลุมขนมครกในคลอง เป็นต้น เพื่อลดผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ . นายนิพนธ์ (มท.2) กล่าวว่า ในส่วนของการเสนอโครงการเพื่อให้การช่วยเหลือในระยะยาว ตามที่เกษตรกรและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องการนั้น ตนจะรับไปดําเนินการเพื่อประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างกรมชลประทานเพื่อเร่งให้มีการออกมาสํารวจความเป็นไปได้และเร่งรัดให้ดําเนินการทันที เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นแก่เกษตรกร พร้อมทั้งเปิดเผยว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้จะเป็นตรวจติดตามการดําเนินโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งหลังจากที่มีการจัดสรรงบประมาณไปแล้วก่อนหน้านี้ พร้อมทั้งเป็นการกํากับติดตามการแก้ไขปัญหาภัยแล้งอย่างต่อเนื่องทั้งในส่วนของการบูรณาการปฏิบัติงานของ จนท. การบูรณาการสั่งใช้เครื่องจักรในหน่วยงานที่กํากับเพื่อช่วยเหลือแก้ไข ซึ่งตนในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบกํากับดูแลกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) อยู่นั้น มีภารกิจโดยตรงในการป้องกันดูแลพี่น้องประชาชนจากสาธารณภัยต่าง ๆ ซึ่งภัยแล้งก็เป็นเรื่องที่ประสบปัญหามาโดยตลอด จากสภาวะฝนทิ้งช่วงทําให้ขาดแคลนน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภคและน้ําเพื่อการเกษตร ขณะเดียวกันในหลายจังหวัดทราบว่าปริมาณฝนคาดการณ์ว่าน้อยกว่าปีก่อน ๆ ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องไปจัดการแก้ไข พร้อมทั้งการดําเนินการตามแผนบริหารจัดการน้ําในภาพรวม ซึ่งตนก็ได้กําชับและติดตามเพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างครอบคลุมทั้งภัยแล้ง อุทกภัย และภัยสาธารณะต่าง ๆ อย่างเรื่องปริมาณน้ําฝนทําอย่างไรเมื่อในมีฝนตกลงมากให้มีที่กักเก็บน้ํา (ทําที่ให้น้ําอยู่-ทําทางให้น้ําไหล) ไม่ให้ไหลเข้าท่วมพื้นที่สําคัญและไว้ใช้ประโยชน์ในฤดูแล้งปีถัดไปให้ได้ สิ่งนี้คือจุดสําคัญที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนได้ทั้งระบบ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29275
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดร้านหนูณิชย์ในปั๊มน้ำมัน ปตท.
วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2560 กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดร้านหนูณิชย์ในปั๊มน้ํามัน ปตท. กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน เปิดร้านหนูณิชย์ต้นแบบในสถานีบริการน้ํามันเชื้อเพลิง โดยมีนางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในพิธีฯ พร้อมด้วย นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมการค้าภายใน ณ สถานีบริการน้ํามันเชื้อเพลิงของ ปตท. สาขาหลักเมืองถาวรพาณิชย์ จังหวัดสุพรรณบุรี นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสําคัญ ในการบรรเทาปัญหาค่าครองชีพประชาชน กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จึงได้ดําเนินมาตรการต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการธงฟ้าราคาประหยัด ซึ่งปี 2560 มีแผนดําเนินการให้เข้าถึงประชาชนในเขตชุมชน จํานวน 1,110 ครั้ง ดําเนินการไปแล้ว 525 ครั้ง และช่วงต้นปีที่ผ่านมาพี่น้องภาคใต้ประสบอุทกภัยได้ดําเนินการจําหน่ายสินค้าธงฟ้าเพิ่มเติมจากแผนที่กําหนด เฉพาะกิจหลังน้ําลดเพื่อผู้ประสบอุทกภัย โครงการธงฟ้าประชารัฐ โดยร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็นรายใหญ่ผลิตสินค้าเพื่อจําหน่ายในโครงการฯ สู่ชุมชน ทั่วประเทศเพื่อต้องการให้ประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยมีทางเลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในราคาถูกกว่าท้องตลาดไม่น้อยกว่าร้อยละ 15-20 ซึ่งจะเปิดตัวให้ประชาชนได้รับทราบและใช้บริการช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 9 - 11 เมษายน 2560 ในบริเวณสถานีขนส่ง 3 แห่ง คือ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (หมอชิต) สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (สายใต้ใหม่) และบริเวณสถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลําโพง) และ โครงการจําหน่ายอาหารปรุงสําเร็จ “ร้านอาหารหนูณิชย์” ซึ่งร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน รับสมัครและคัดเลือก“ร้านอาหารหนูณิชย์” เพื่อสร้างทางเลือกให้แก่ประชาชนได้มีทางเลือกบริโภคอาหารปรุงสําเร็จอร่อย คุณภาพดี สะอาด ราคา ไม่เกิน 35 บาท/จาน/ชาม ซึ่งปัจจุบันมีร้านหนูณิชย์ 12,176 ราย (กรุงเทพฯ 3,780 ร้าน ภูมิภาค 8,012 ร้าน และร้านหนูณิชย์ในรูปแบบรถขายอาหารเคลื่อนที่ (Food Truck) จํานวน 17 คัน/ราย) กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้ขยายโครงการร้านหนูณิชย์ให้เข้าถึงประชาชน มากยิ่งขึ้น โดยได้ลงนามความร่วมมือ (MOU) กับบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) เพื่อให้มีร้านอาหารหนูณิชย์ในสถานีบริการน้ํามันเชื้อเพลิงทั่วประเทศ โดยในวันนี้ (7 เมษายน 2560) เป็นการเปิดตัวร้านหนูณิชย์ต้นแบบในสถานีบริการน้ํามันเชื้อเพลิง ณ สถานีบริการน้ํามันเชื้อเพลิงของ ปตท. สาขาหลักเมืองถาวรพาณิชย์ จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งปัจจุบันได้รับสมัครเข้าร่วมโครงการแล้วจํานวน 158 ร้านค้า และอยู่ระหว่างการรับสมัครร้านอาหารหนูณิชย์ในสถานีบริการน้ํามันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอีกทั้ง 60 จังหวัด 279 สาขา จํานวน 661 ร้านค้า รวมทั้งสาขาสถานีบริการน้ํามันเชื้อเพลิงที่จะเปิดใหม่ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดร้านหนูณิชย์ในปั๊มน้ำมัน ปตท. วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2560 กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดร้านหนูณิชย์ในปั๊มน้ํามัน ปตท. กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน เปิดร้านหนูณิชย์ต้นแบบในสถานีบริการน้ํามันเชื้อเพลิง โดยมีนางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในพิธีฯ พร้อมด้วย นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมการค้าภายใน ณ สถานีบริการน้ํามันเชื้อเพลิงของ ปตท. สาขาหลักเมืองถาวรพาณิชย์ จังหวัดสุพรรณบุรี นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสําคัญ ในการบรรเทาปัญหาค่าครองชีพประชาชน กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จึงได้ดําเนินมาตรการต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการธงฟ้าราคาประหยัด ซึ่งปี 2560 มีแผนดําเนินการให้เข้าถึงประชาชนในเขตชุมชน จํานวน 1,110 ครั้ง ดําเนินการไปแล้ว 525 ครั้ง และช่วงต้นปีที่ผ่านมาพี่น้องภาคใต้ประสบอุทกภัยได้ดําเนินการจําหน่ายสินค้าธงฟ้าเพิ่มเติมจากแผนที่กําหนด เฉพาะกิจหลังน้ําลดเพื่อผู้ประสบอุทกภัย โครงการธงฟ้าประชารัฐ โดยร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็นรายใหญ่ผลิตสินค้าเพื่อจําหน่ายในโครงการฯ สู่ชุมชน ทั่วประเทศเพื่อต้องการให้ประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยมีทางเลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในราคาถูกกว่าท้องตลาดไม่น้อยกว่าร้อยละ 15-20 ซึ่งจะเปิดตัวให้ประชาชนได้รับทราบและใช้บริการช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 9 - 11 เมษายน 2560 ในบริเวณสถานีขนส่ง 3 แห่ง คือ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (หมอชิต) สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (สายใต้ใหม่) และบริเวณสถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลําโพง) และ โครงการจําหน่ายอาหารปรุงสําเร็จ “ร้านอาหารหนูณิชย์” ซึ่งร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน รับสมัครและคัดเลือก“ร้านอาหารหนูณิชย์” เพื่อสร้างทางเลือกให้แก่ประชาชนได้มีทางเลือกบริโภคอาหารปรุงสําเร็จอร่อย คุณภาพดี สะอาด ราคา ไม่เกิน 35 บาท/จาน/ชาม ซึ่งปัจจุบันมีร้านหนูณิชย์ 12,176 ราย (กรุงเทพฯ 3,780 ร้าน ภูมิภาค 8,012 ร้าน และร้านหนูณิชย์ในรูปแบบรถขายอาหารเคลื่อนที่ (Food Truck) จํานวน 17 คัน/ราย) กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้ขยายโครงการร้านหนูณิชย์ให้เข้าถึงประชาชน มากยิ่งขึ้น โดยได้ลงนามความร่วมมือ (MOU) กับบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) เพื่อให้มีร้านอาหารหนูณิชย์ในสถานีบริการน้ํามันเชื้อเพลิงทั่วประเทศ โดยในวันนี้ (7 เมษายน 2560) เป็นการเปิดตัวร้านหนูณิชย์ต้นแบบในสถานีบริการน้ํามันเชื้อเพลิง ณ สถานีบริการน้ํามันเชื้อเพลิงของ ปตท. สาขาหลักเมืองถาวรพาณิชย์ จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งปัจจุบันได้รับสมัครเข้าร่วมโครงการแล้วจํานวน 158 ร้านค้า และอยู่ระหว่างการรับสมัครร้านอาหารหนูณิชย์ในสถานีบริการน้ํามันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอีกทั้ง 60 จังหวัด 279 สาขา จํานวน 661 ร้านค้า รวมทั้งสาขาสถานีบริการน้ํามันเชื้อเพลิงที่จะเปิดใหม่ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2977
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. เปิดโครงการป่าในเมือง “สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย” บนเนื้อ 2,080 ไร่กลางเมืองระนอง ลบอดีตสุดเศร้าป่าเสื่อมโทรมสู่วิกฤตสิ่งแวดล้อมทั้งขยะ-น้ำเน่า
วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2561 รมว.ทส. เปิดโครงการป่าในเมือง “สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย” บนเนื้อ 2,080 ไร่กลางเมืองระนอง ลบอดีตสุดเศร้าป่าเสื่อมโทรมสู่วิกฤตสิ่งแวดล้อมทั้งขยะ-น้ําเน่า รมว.ทส. เปิดโครงการป่าในเมือง “สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย” บนเนื้อ 2,080 ไร่กลางเมืองระนอง ลบอดีตสุดเศร้าป่าเสื่อมโทรมสู่วิกฤตสิ่งแวดล้อมทั้งขยะ-น้ําเน่า วานนี้ (16 สิงหาคม 2561) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดโครงการป่าในเมือง “สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย” ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าชายเลนริมถนนท่าเมือง บริเวณชุมชนด่านท่าเมือง ตําบลเขานิเวศน์ อําเภอเมือง จังหวัดระนอง โดยมี พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธี พร้อมทั้งมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (อทช.) ผู้บริหารสํานักงานบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 8 ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมงานเป็นจํานวนมาก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ดําเนินโครงการป่าในเมือง ตามนโยบายรัฐบาลที่มี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เล็งเห็นความสําคัญของทรัพยาการป่าไม้ ต้องการให้คนอยู่ร่วมกับป่า มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่สีเขียวให้สมบูรณ์ โดยใช้พื้นป่าของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช โดยเลือกพื้นที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองหรือพื้นที่ใกล้ชุมชนเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ได้ ไม่เพียงเฉพาะเพื่อประโยชน์ด้านป่าไม้ แต่ยังรวมถึงการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นศูนย์ศึกษาธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ สถานที่พักผ่อนหย่อนใจและออกกําลังกาย โดยที่ผ่านมา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ดําเนินโครงการป่าในเมืองอย่างต่อเนื่อง และมีผลตอบรับที่ดีจากพี่น้องประชาชน สําหรับโครงการป่าชายเลนในเมืองจังหวัดระนอง เป็นพื้นที่ป่าชายเลนตามมติคณะรัฐมนตรี ที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองหัวเขียวและป่าคลองเกาะสุย ปัจจุบันมีเนื้อที่ 2,080 ไร่ โดยในอดีตเป็นป่าชายเลนเสื่อมโทรมเข้าสู่ขั้นวิกฤต สืบเนื่องจากปี 2510-2530 มีการอนุญาตให้ทําเหมืองแร่ดีบุก พื้นที่ป่าชายเลนจึงสูญไปมาก ทําให้ภายหลังปี 2530 เป็นต้นมา พื้นที่ทําเหมืองทั้งหมดกลายเป็นพื้นที่เสื่อมโทรมและหมดสภาพป่าชายเลน ราษฎรจึงเข้าไปจับจองและครอบงําทําประโยชน์ รวมถึงสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยจนกลายเป็นชุมชน สู่วิกฤตในปี 2550 ชุมชนเมืองเริ่มขยายตัวส่งผลต่อการบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลนโดยรอบ จนประสบวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งขยะ สิ่งปฏิกูลและน้ําเน่า กระทั่งปี 2552 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเริ่มต้นโครงการอนุรักษ์และพัฒนาป่าชายเลน เพื่อยับยั้งการบุกรุกทําลายและฟื้นฟูระบบนิเวศป่าชายเลนปากแม่น้ํา จนพลิกฟื้นคืนป่ากลับมาได้ ปัจจุบันสามารถหยุดการบุกรุกป่าชายเลนและขอคืนพื้นที่ป่านํามาพื้นฟูได้ถึง 2,000 กว่าไร่ นอกจากนี้ ยังเกิดเครือข่ายอนุรักษ์ป่าชายเลนกลางเมืองขึ้น ทําให้มีป่าชายเลนแห่งนี้มีบทบาทสําคัญต่อชุมชนมากขึ้น เช่น รักษาสมดุลธรรมชาติบริเวณปากน้ําระนอง แหล่งทํามาหากินของชาวประมงพื้นบ้าน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้วางแผนพัฒนาโครงการป่าชายเลนในเมืองระนองตามนโยบายโครงการป่าในเมืองตั้งแต่ปี 2561 ถึง 2565 โดยแบ่งการพัฒนาพื้นที่ออกเป็นกิจกรรมหลายรูปแบบ ประกอบด้วย การขุดคูแพรกหรือรั้วและจัดทํากําแพงคอนกรีตเป็นแนวเขตป้องกันการบุกรุก ปลูก บํารุงและปรับสภาพป่าชายเลน จัดทําแห่งรวมพันธุ์ไม้เก่าแก่ จัดทําทางเดินธรรมชาติและหอชมป่าชายเลนในเมือง อาคารศูนย์เรียนรู้และห้องน้ําสาธารณะเพื่อการท่องเที่ยว ป้ายสื่อความหมาย ศาลาและอาคารนิทรรศการ พื้นที่ออกกําลังกายและพื้นที่นันทนาการ การปรับภูมิทัศน์ตามสภาพภูมินิเวศ ตลอดจนการจัดการขยะในป่าชายเลน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. เปิดโครงการป่าในเมือง “สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย” บนเนื้อ 2,080 ไร่กลางเมืองระนอง ลบอดีตสุดเศร้าป่าเสื่อมโทรมสู่วิกฤตสิ่งแวดล้อมทั้งขยะ-น้ำเน่า วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2561 รมว.ทส. เปิดโครงการป่าในเมือง “สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย” บนเนื้อ 2,080 ไร่กลางเมืองระนอง ลบอดีตสุดเศร้าป่าเสื่อมโทรมสู่วิกฤตสิ่งแวดล้อมทั้งขยะ-น้ําเน่า รมว.ทส. เปิดโครงการป่าในเมือง “สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย” บนเนื้อ 2,080 ไร่กลางเมืองระนอง ลบอดีตสุดเศร้าป่าเสื่อมโทรมสู่วิกฤตสิ่งแวดล้อมทั้งขยะ-น้ําเน่า วานนี้ (16 สิงหาคม 2561) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดโครงการป่าในเมือง “สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย” ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าชายเลนริมถนนท่าเมือง บริเวณชุมชนด่านท่าเมือง ตําบลเขานิเวศน์ อําเภอเมือง จังหวัดระนอง โดยมี พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธี พร้อมทั้งมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (อทช.) ผู้บริหารสํานักงานบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 8 ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมงานเป็นจํานวนมาก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ดําเนินโครงการป่าในเมือง ตามนโยบายรัฐบาลที่มี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เล็งเห็นความสําคัญของทรัพยาการป่าไม้ ต้องการให้คนอยู่ร่วมกับป่า มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่สีเขียวให้สมบูรณ์ โดยใช้พื้นป่าของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช โดยเลือกพื้นที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองหรือพื้นที่ใกล้ชุมชนเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ได้ ไม่เพียงเฉพาะเพื่อประโยชน์ด้านป่าไม้ แต่ยังรวมถึงการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นศูนย์ศึกษาธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ สถานที่พักผ่อนหย่อนใจและออกกําลังกาย โดยที่ผ่านมา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ดําเนินโครงการป่าในเมืองอย่างต่อเนื่อง และมีผลตอบรับที่ดีจากพี่น้องประชาชน สําหรับโครงการป่าชายเลนในเมืองจังหวัดระนอง เป็นพื้นที่ป่าชายเลนตามมติคณะรัฐมนตรี ที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองหัวเขียวและป่าคลองเกาะสุย ปัจจุบันมีเนื้อที่ 2,080 ไร่ โดยในอดีตเป็นป่าชายเลนเสื่อมโทรมเข้าสู่ขั้นวิกฤต สืบเนื่องจากปี 2510-2530 มีการอนุญาตให้ทําเหมืองแร่ดีบุก พื้นที่ป่าชายเลนจึงสูญไปมาก ทําให้ภายหลังปี 2530 เป็นต้นมา พื้นที่ทําเหมืองทั้งหมดกลายเป็นพื้นที่เสื่อมโทรมและหมดสภาพป่าชายเลน ราษฎรจึงเข้าไปจับจองและครอบงําทําประโยชน์ รวมถึงสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยจนกลายเป็นชุมชน สู่วิกฤตในปี 2550 ชุมชนเมืองเริ่มขยายตัวส่งผลต่อการบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลนโดยรอบ จนประสบวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งขยะ สิ่งปฏิกูลและน้ําเน่า กระทั่งปี 2552 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเริ่มต้นโครงการอนุรักษ์และพัฒนาป่าชายเลน เพื่อยับยั้งการบุกรุกทําลายและฟื้นฟูระบบนิเวศป่าชายเลนปากแม่น้ํา จนพลิกฟื้นคืนป่ากลับมาได้ ปัจจุบันสามารถหยุดการบุกรุกป่าชายเลนและขอคืนพื้นที่ป่านํามาพื้นฟูได้ถึง 2,000 กว่าไร่ นอกจากนี้ ยังเกิดเครือข่ายอนุรักษ์ป่าชายเลนกลางเมืองขึ้น ทําให้มีป่าชายเลนแห่งนี้มีบทบาทสําคัญต่อชุมชนมากขึ้น เช่น รักษาสมดุลธรรมชาติบริเวณปากน้ําระนอง แหล่งทํามาหากินของชาวประมงพื้นบ้าน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้วางแผนพัฒนาโครงการป่าชายเลนในเมืองระนองตามนโยบายโครงการป่าในเมืองตั้งแต่ปี 2561 ถึง 2565 โดยแบ่งการพัฒนาพื้นที่ออกเป็นกิจกรรมหลายรูปแบบ ประกอบด้วย การขุดคูแพรกหรือรั้วและจัดทํากําแพงคอนกรีตเป็นแนวเขตป้องกันการบุกรุก ปลูก บํารุงและปรับสภาพป่าชายเลน จัดทําแห่งรวมพันธุ์ไม้เก่าแก่ จัดทําทางเดินธรรมชาติและหอชมป่าชายเลนในเมือง อาคารศูนย์เรียนรู้และห้องน้ําสาธารณะเพื่อการท่องเที่ยว ป้ายสื่อความหมาย ศาลาและอาคารนิทรรศการ พื้นที่ออกกําลังกายและพื้นที่นันทนาการ การปรับภูมิทัศน์ตามสภาพภูมินิเวศ ตลอดจนการจัดการขยะในป่าชายเลน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14672
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกรัฐมนตรีสั่งผู้ว่า ฯ รายงานผลการปฏิบัติงานตามมาตรการรัฐบาลมายังศูนย์โควิด-19 เพราะนายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์ทุกวัน
วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2563 ​นายกรัฐมนตรีสั่งผู้ว่า ฯ รายงานผลการปฏิบัติงานตามมาตรการรัฐบาลมายังศูนย์โควิด-19 เพราะนายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์ทุกวัน ​นายกรัฐมนตรีสั่งผู้ว่า ฯ รายงานผลการปฏิบัติงานตามมาตรการรัฐบาลมายังศูนย์โควิด-19 เพราะนายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์ทุกวัน วันนี้ ( 19 มี.ค. 63) เวลา 10.00 น. ณ กระทรวงสาธารณสุข พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมร่วมกับผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ติดตามมาตรการเฝ้าระวังป้องกัน ควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ว่า วันนี้ ต้องการให้เกิดความเชื่อมั่นในการทํางานของรัฐบาล จึงตั้งใจมาร่วมหารือ รับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะและอุปสรรคการทํางานของบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งการแก้ปัญหาต้องเป็นไปตามขั้นตอนกระบวนการตามกฎหมายในสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น วันนี้ไทยพบมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มมากขึ้น ซึ่งต้องขอชื่นชมระบบคัดกรองของไทยที่ติดตามบุคคลที่เป็นกลุ่มเสี่ยงทําให้รู้จุดเริ่มต้นของการแพร่ระบาด เช่น สนามมวย สถานบันเทิงต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ทุกพื้นที่ที่มีความเสี่ยงว่าจะพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นการจัดแสดงคอนเสิรต์ ทุกคนจะต้องถูกคัดกรอง ตรวจสอบและติดตามให้ครบถ้วน นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึง 6 มาตรการที่รัฐบาลได้ประกาศไปแล้วว่า เป็นกรอบใหญ่ที่ให้ไปซึ่งได้ให้อํานาจฝ่ายปกครอง คือ กระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร และผู้ว่าราชการจังหวัด สามารถกําหนดมาตรการเพิ่มเติมจาก เช่น การปิดสถานบันเทิงและสถานบริการที่เข้าข่ายมีความเสี่ยงทุกแห่งในต่างจังหวัดเป็นการชั่วคราวระยะเวลา 14 วัน ก่อนเปิดให้บริการต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัย หากเห็นว่าไม่เพียงพอก็สามารถขยายระยะเวลาปิดให้บริการได้ รวมไปถึงให้งดกิจกรรมอื่นๆ ที่ต้องรวมกลุ่มคนจํานวนมาก เพื่อควบคุมการแพร่เชื้อโควิด-19 โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกําชับให้ข้าราชการระดับพื้นที่ ระดับจังหวัด โดยเฉพาะผู้ว่าราชการจังหวัด คณะกรรมการโรคติดต่อประจําจังหวัดประจําพื้นที่ ให้ทํางานอย่างเด็ดขาดและต้องรายงานผลการปฏิบัติงานทุกมาตรการที่รัฐบาลออกไปแล้วให้นายกรัฐมนตรีทราบผ่านช่องทางของหน่วยงานมายังศูนย์โควิด-19 ซึ่งตนเองติดตามสถานการณ์ทุกวันเพื่อนํามาปรับหรือเพิ่มมาตรการให้เหมาะสมกับพัฒนาการของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในไทยต่อไป .............. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกรัฐมนตรีสั่งผู้ว่า ฯ รายงานผลการปฏิบัติงานตามมาตรการรัฐบาลมายังศูนย์โควิด-19 เพราะนายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์ทุกวัน วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2563 ​นายกรัฐมนตรีสั่งผู้ว่า ฯ รายงานผลการปฏิบัติงานตามมาตรการรัฐบาลมายังศูนย์โควิด-19 เพราะนายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์ทุกวัน ​นายกรัฐมนตรีสั่งผู้ว่า ฯ รายงานผลการปฏิบัติงานตามมาตรการรัฐบาลมายังศูนย์โควิด-19 เพราะนายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์ทุกวัน วันนี้ ( 19 มี.ค. 63) เวลา 10.00 น. ณ กระทรวงสาธารณสุข พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมร่วมกับผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ติดตามมาตรการเฝ้าระวังป้องกัน ควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ว่า วันนี้ ต้องการให้เกิดความเชื่อมั่นในการทํางานของรัฐบาล จึงตั้งใจมาร่วมหารือ รับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะและอุปสรรคการทํางานของบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งการแก้ปัญหาต้องเป็นไปตามขั้นตอนกระบวนการตามกฎหมายในสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น วันนี้ไทยพบมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มมากขึ้น ซึ่งต้องขอชื่นชมระบบคัดกรองของไทยที่ติดตามบุคคลที่เป็นกลุ่มเสี่ยงทําให้รู้จุดเริ่มต้นของการแพร่ระบาด เช่น สนามมวย สถานบันเทิงต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ทุกพื้นที่ที่มีความเสี่ยงว่าจะพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นการจัดแสดงคอนเสิรต์ ทุกคนจะต้องถูกคัดกรอง ตรวจสอบและติดตามให้ครบถ้วน นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึง 6 มาตรการที่รัฐบาลได้ประกาศไปแล้วว่า เป็นกรอบใหญ่ที่ให้ไปซึ่งได้ให้อํานาจฝ่ายปกครอง คือ กระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร และผู้ว่าราชการจังหวัด สามารถกําหนดมาตรการเพิ่มเติมจาก เช่น การปิดสถานบันเทิงและสถานบริการที่เข้าข่ายมีความเสี่ยงทุกแห่งในต่างจังหวัดเป็นการชั่วคราวระยะเวลา 14 วัน ก่อนเปิดให้บริการต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัย หากเห็นว่าไม่เพียงพอก็สามารถขยายระยะเวลาปิดให้บริการได้ รวมไปถึงให้งดกิจกรรมอื่นๆ ที่ต้องรวมกลุ่มคนจํานวนมาก เพื่อควบคุมการแพร่เชื้อโควิด-19 โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกําชับให้ข้าราชการระดับพื้นที่ ระดับจังหวัด โดยเฉพาะผู้ว่าราชการจังหวัด คณะกรรมการโรคติดต่อประจําจังหวัดประจําพื้นที่ ให้ทํางานอย่างเด็ดขาดและต้องรายงานผลการปฏิบัติงานทุกมาตรการที่รัฐบาลออกไปแล้วให้นายกรัฐมนตรีทราบผ่านช่องทางของหน่วยงานมายังศูนย์โควิด-19 ซึ่งตนเองติดตามสถานการณ์ทุกวันเพื่อนํามาปรับหรือเพิ่มมาตรการให้เหมาะสมกับพัฒนาการของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในไทยต่อไป .............. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27526
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. กำชับทีม One Home เร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม
วันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม 2561 พม. กําชับทีม One Home เร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม พม. กําชับทีม One Home เร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม วันนี้ (11 ม.ค.61) เวลา 08.30 น. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยนายณรงค์ คงคํา รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)เป็นประธานการประชุม ศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 19/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา และประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ประจําเดือนมกราคม 2561 โดยผู้บริหารกระทรวง พม. ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ จากกรณีชายชราวัย 62 ปี และลูกชายวัย 10 ขวบ ที่ต้องใช้ชีวิตกินนอนอยู่บนรถสามล้อรับจ้าง อาศัยจอดนอนตามริมถนน เนื่องจากไม่มีที่อยู่อาศัย ต้องอาบน้ําในปั๊มน้ํามัน และอาศัยขอข้าววัดกินประทังชีวิต เนื่องจากครอบครัว มีฐานะยากจน ที่จังหวัดสงขลา นั้น ตนได้กําชับให้ทีม One Home จังหวัดสงขลา พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสงขลา (พมจ.สงขลา) บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสงขลา ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุสงขลา พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กและผู้สูงอายุของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อุปกรณ์การศึกษา และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการศึกษาของเด็กชายอย่างต่อเนื่อง ในระยะยาว อีกทั้งเรื่องการหาที่อยู่อาศัยให้แก่ครอบครัวดังกล่าว ทั้งนี้ กระทรวง พม. มีบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสงขลา ที่สามารถเป็นที่พักพิงชั่วคราว พร้อมให้คําแนะนําแก่ครอบครัวดังกล่าวในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป สําหรับกรณีเด็กหนุ่มวัย 17 ปี นักเรียนชั้น ม.4 เข้าร้องทุกข์ที่ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัดพิษณุโลก ว่าถูกชายวัย 50 ปี ที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศล่วงละเมิดทางเพศนานกว่า 4 ปี และยังถูกข่มขู่ ทั้งนี้ยังพบว่า ผู้ก่อเหตุยังมีการล่อลวงวัยรุ่นหน้าตาดีตามร้านเกมส์ไปก่อเหตุลักษณะดังกล่าวอีกจํานวนหลายคน ที่จังหวัดพิษณุโลก นั้น ตนได้กําชับให้ทีม One Home จังหวัดพิษณุโลก พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก (พมจ.พิษณุโลก) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวง พม. เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว และให้การช่วยเหลือเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กหนุ่มคนอย่างใกล้ชิดโดยด่วน เพื่อให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข อีกทั้ง ติดตามความคืบหน้าในกรณีดังกล่าว พร้อมร่วมกันหาแนวทางการช่วยเหลือดูแลและคุ้มครองสวัสดิภาพ ของเด็กตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ต่อไป อีกกรณีชายชราวัย 81 ปี ร่างกายผอมซูบ สุขภาพไม่แข็งแรง อาศัยอยู่เพียงลําพัง ในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรม ใกล้ผุพัง เนื่องจากเคยถูกไฟไหม้หลายจุด อาศัยเพื่อนบ้านแบ่งปันอาหารให้กินประทังชีวิต ที่จังหวัดสุรินทร์ และกรณีหญิงชราวัย 73 ปี ร่างกายพิการซีกซ้าย และขาขวาเดินไม่ถนัด อาศัยอยู่เพียงลําพังในเพิงสังกะสีสภาพเก่าทรุดโทรมใกล้ผุพัง ไม่สามารถกันฝนได้ ไม่มีไฟฟ้า และน้ําประปาใช้ ที่จังหวัดราชบุรี นั้น ตนได้กําชับให้ทีม One Home จังหวัดสุรินทร์และราชบุรี พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) จังหวัดทั้ง 2 จังหวัด ได้แก่ พมจ.สุรินทร์ และ พมจ.ราชบุรี พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวง พม. ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านผู้สูงอายุและคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลของผู้ที่ป่วยอย่างใกล้ชิด รวมทั้งการปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มีความมั่นคง แข็งแรง ถูกสุขลักษณะ และเหมาะสม กับผู้สูงอายุ พร้อมให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม และร่วมหาแนวทางช่วยเหลือในระยะยาวต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. กำชับทีม One Home เร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม วันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม 2561 พม. กําชับทีม One Home เร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม พม. กําชับทีม One Home เร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม วันนี้ (11 ม.ค.61) เวลา 08.30 น. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยนายณรงค์ คงคํา รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)เป็นประธานการประชุม ศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 19/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา และประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ประจําเดือนมกราคม 2561 โดยผู้บริหารกระทรวง พม. ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ จากกรณีชายชราวัย 62 ปี และลูกชายวัย 10 ขวบ ที่ต้องใช้ชีวิตกินนอนอยู่บนรถสามล้อรับจ้าง อาศัยจอดนอนตามริมถนน เนื่องจากไม่มีที่อยู่อาศัย ต้องอาบน้ําในปั๊มน้ํามัน และอาศัยขอข้าววัดกินประทังชีวิต เนื่องจากครอบครัว มีฐานะยากจน ที่จังหวัดสงขลา นั้น ตนได้กําชับให้ทีม One Home จังหวัดสงขลา พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสงขลา (พมจ.สงขลา) บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสงขลา ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุสงขลา พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กและผู้สูงอายุของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อุปกรณ์การศึกษา และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการศึกษาของเด็กชายอย่างต่อเนื่อง ในระยะยาว อีกทั้งเรื่องการหาที่อยู่อาศัยให้แก่ครอบครัวดังกล่าว ทั้งนี้ กระทรวง พม. มีบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสงขลา ที่สามารถเป็นที่พักพิงชั่วคราว พร้อมให้คําแนะนําแก่ครอบครัวดังกล่าวในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป สําหรับกรณีเด็กหนุ่มวัย 17 ปี นักเรียนชั้น ม.4 เข้าร้องทุกข์ที่ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัดพิษณุโลก ว่าถูกชายวัย 50 ปี ที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศล่วงละเมิดทางเพศนานกว่า 4 ปี และยังถูกข่มขู่ ทั้งนี้ยังพบว่า ผู้ก่อเหตุยังมีการล่อลวงวัยรุ่นหน้าตาดีตามร้านเกมส์ไปก่อเหตุลักษณะดังกล่าวอีกจํานวนหลายคน ที่จังหวัดพิษณุโลก นั้น ตนได้กําชับให้ทีม One Home จังหวัดพิษณุโลก พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก (พมจ.พิษณุโลก) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวง พม. เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว และให้การช่วยเหลือเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กหนุ่มคนอย่างใกล้ชิดโดยด่วน เพื่อให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข อีกทั้ง ติดตามความคืบหน้าในกรณีดังกล่าว พร้อมร่วมกันหาแนวทางการช่วยเหลือดูแลและคุ้มครองสวัสดิภาพ ของเด็กตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ต่อไป อีกกรณีชายชราวัย 81 ปี ร่างกายผอมซูบ สุขภาพไม่แข็งแรง อาศัยอยู่เพียงลําพัง ในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรม ใกล้ผุพัง เนื่องจากเคยถูกไฟไหม้หลายจุด อาศัยเพื่อนบ้านแบ่งปันอาหารให้กินประทังชีวิต ที่จังหวัดสุรินทร์ และกรณีหญิงชราวัย 73 ปี ร่างกายพิการซีกซ้าย และขาขวาเดินไม่ถนัด อาศัยอยู่เพียงลําพังในเพิงสังกะสีสภาพเก่าทรุดโทรมใกล้ผุพัง ไม่สามารถกันฝนได้ ไม่มีไฟฟ้า และน้ําประปาใช้ ที่จังหวัดราชบุรี นั้น ตนได้กําชับให้ทีม One Home จังหวัดสุรินทร์และราชบุรี พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) จังหวัดทั้ง 2 จังหวัด ได้แก่ พมจ.สุรินทร์ และ พมจ.ราชบุรี พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวง พม. ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านผู้สูงอายุและคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลของผู้ที่ป่วยอย่างใกล้ชิด รวมทั้งการปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มีความมั่นคง แข็งแรง ถูกสุขลักษณะ และเหมาะสม กับผู้สูงอายุ พร้อมให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม และร่วมหาแนวทางช่วยเหลือในระยะยาวต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9339
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ไทยชนะ” เน้นใช้งานสะดวก ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล [กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม]
วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2563 “ไทยชนะ” เน้นใช้งานสะดวก ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล [กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม] “ไทยชนะ” เน้นใช้งานสะดวก ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล ศบค. เผยไอเดียการออกแบบแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เน้นให้ประชาชน/ร้านค้าเข้ามาใช้งานสะดวก ควบคู่ปฏิบัติตามมาตรการผ่อนปรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ความมั่นใจไม่มีการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลแน่นอน เพราะวัตถุประสงค์ในการใช้งานมีเพียงหนึ่งเดียวคือ “การควบคุมโรคโควิด-19” ผศ.(พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านสื่อสารโทรคมนาคม และสื่อสังคมออนไลน์ ร่วมแถลงข่าวของศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) กล่าวว่า แนวคิดหลักของ ศบค. ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เน้นให้กลุ่มผู้ใช้งานเป้าหมายทั้งที่เป็นร้านค้า และประชาชนผู้ใช้บริการ เข้ามาใช้งานได้ง่ายภายในไม่กี่ขั้นตอน เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามมาตรการผ่อนปรนได้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ขั้นตอนการเข้ามาใช้งาน ในส่วนของร้านค้าหรือสถานประกอบการตามกิจการ/กิจกรรม ภายใต้มาตรการผ่อนปรน มีขั้นตอนดังนี้ 1.เข้ามาที่เว็บไซต์ www.ไทยชนะ .com เพื่อลงทะเบียนร่วมมาตรการ social distancing 2.กรอกข้อมูลเกี่ยวกับกิจการ และข้อมูลผู้ติดต่อ พร้อมระบุตําแหน่งที่ตั้งของกิจการเพื่อระบบจะปักหมุดให้ในแผนที่กูเกิลแมป 3.ทําแบบประเมินสถานประกอบการ ซึ่งจัดแบ่งไว้ตามประเภท/หมวดกิจการที่ประกาศไว้ตามมาตรการผ่อนปรน (เมื่อกรอกข้อมูลครบถ้วนและถูกต้อง จะได้รับรหัส OTP ทางเอสเอ็มเอสผ่านเบอร์โทรศัพท์ที่กรอกข้อมูลไว้ 4.กรอก OTP เพื่อยืนยันรายการ และ 5.เมื่อลงทะเบียนสําเร็จ สามารถดาวน์โหลดภาพใบรับรองการประเมินตามมาตรการ พร้อม QR Code เป็นไฟล์รูปภาพ (jpg) เพื่อนํามาติดไว้ให้ลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการ check-in/checkout สําหรับประชาชน มีขั้นตอนการเช็คอินเพื่อเข้าไปใช้บริการ ดังนี้ 1.ใช้มือถือสแกน QR Code และกด Link ที่แสดงด้านบนเพื่อเข้าสู่หน้าเช็คอิน 2.กดที่เมนูเช็คอินร้าน 3.รับข้อตกลงและความยินยอม 4.ระบุหมายเลขโทรศัพท์ และ 5.หน้าจอจะแสดงคําว่า “เช็คอินแล้ว” ทั้งนี้ในขั้นตอน 3 และ 4 จะให้กรอกเฉพาะการเช็คอินในระบบของไทยชนะครั้งแรกเท่านั้น และเมื่อใช้บริการเสร็จ มีขั้นตอนการเช็คเอาท์ออกจากร้าน ดังนี้ 1.สแกน QR Code และกด Link ที่แสดงด้านบนเพื่อเข้าสู่หน้าเช็คเอาท์ 2.กดที่เมนูเช็คเอาท์/ประเมินผล 3.ระบุเบอร์โทรศัพท์ (เฉพาะครั้งแรกที่มีการเช็คเอาท์จากระบบของไทยชนะ) 4.หน้าจอจะแสดงคําว่า “เช็คเอาท์แล้ว” และ 5. ทําแบบประเมินหลังใช้บริการ โดยในข้อนี้ไม่บังคับ แต่เป็นข้อมูลที่ผู้ใช้บริการจะช่วยให้คะแนนร้านค้า เกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการ 5 ข้อของกรมควบคุมโรค เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงบริการของร้านค้านั้นๆ ต่อไป นพ. พลวรรธน์ กล่าวย้ําว่า ประชาชนและร้านค้า ไม่ต้องกังวลเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลในการเข้าลงทะเบียนใช้งานแพลตฟอร์มไทยชนะ เนื่องจาก ศบค. พิจารณามอบหมายให้ กรมควบคุมโรคเป็น ผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller) และมอบหมายให้ธนาคารกรุงไทย เป็นผู้ประมวลผลข้อมูลภายใต้การควบคุม ดังนั้น ผู้ประมวลผลก็ไม่สามารถนําข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในเรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากวัตถุประสงค์การควบคุมโรคโควิด-19 จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีการส่งต่อข้อมูลไปให้หน่วยงานอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง “ส่วนกรอบเวลาจัดเก็บข้อมูล 60 วันนั้น เป็นการกําหนดตามข้อเสนอของกรมควบคุมโรคและแพทย์ เพื่อให้ทําการตรวจได้อย่างรอบคอบ เนื่องจากสาเหตุหนึ่งของการระบาด มาจากการติดเชื้อเพราะสัมผัสบุคคลใกล้ชิดที่เป็นโรคนี้ บางครั้งการติดไม่ได้เกิดขึ้นตั้งแต่การสัมผัสครั้งแรก ที่ผ่านมาพบว่าบางรายติดเชื้อในครั้งที่ 3 โดยการฟักตัวของเชื้อโควิด-19 ใช้เวลาเฉลี่ย 14 วัน/รอบการสัมผัส จึงมองว่าควรเก็บข้อมูลไว้ทั้ง 3 รอบ และล่วงหน้าอีก 1 รอบ รวมระยะเวลา 56 วัน เพื่อให้มีฐานข้อมูลใหญ่พอที่จะสืบสวนโคย้อนหลังได้ 3 สัปดาห์ และสืบไปได้เพิ่มอีก 1 สัปดาห์” นพ.พลวรรธน์กล่าว นอกจากนี้แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ยังเป็นประโยชน์ทั้งกับประชาชนผู้ใช้บริการ ทําให้สามารถได้รับการแจ้งเตือนหากพบความเสี่ยงในการติดเชื้อ, ประชาชนสามารถนําข้อมูลไปเป็นหลักฐานเพื่อประกอบการรับการตรวจคัดกรองทางห้องปฏิบัติการฟรี และสามารถตรวจสอบความเสี่ยงของสถานที่ให้บริการ โดยดูจากข้อมูลความหนาแน่นในช่วงเวลาที่ต้องการเข้าไปใช้บริการ รวมถึงคะแนนการประเมินจากผู้เข้าใช้บริการรายอื่นๆ ที่ทําการเช็คเอาท์แล้วนมา ขณะที่ ทางด้านร้านค้า/สถานปฏิบัติการที่ปฏิบัติตามมาตรการ ก็จะได้รับการรับรอง สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการ และนําผลการประเมินมาปรับปรุงการให้บริการให้เป็นไปตามมาตรการที่กําหนด ปัจจุบัน ช่องทางการสื่อสารของไทยชนะ ประกอบด้วย เว็บไซต์ www.ไทยชนะ .com ไลน์ทางการ “ไทยชนะ” และโทรสายด่วน 1119 ซึ่งมีไว้สําหรับการติดตามข่าวสารที่ถูกต้อง เที่ยงตรงเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 จากรัฐบาล ------------------------------------- #ไทยชนะ #ใส่ใจปลอดภัยไทยชนะ #covid19 #covid_19 #โควิด19
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ไทยชนะ” เน้นใช้งานสะดวก ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล [กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม] วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2563 “ไทยชนะ” เน้นใช้งานสะดวก ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล [กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม] “ไทยชนะ” เน้นใช้งานสะดวก ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล ศบค. เผยไอเดียการออกแบบแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เน้นให้ประชาชน/ร้านค้าเข้ามาใช้งานสะดวก ควบคู่ปฏิบัติตามมาตรการผ่อนปรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ความมั่นใจไม่มีการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลแน่นอน เพราะวัตถุประสงค์ในการใช้งานมีเพียงหนึ่งเดียวคือ “การควบคุมโรคโควิด-19” ผศ.(พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านสื่อสารโทรคมนาคม และสื่อสังคมออนไลน์ ร่วมแถลงข่าวของศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) กล่าวว่า แนวคิดหลักของ ศบค. ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เน้นให้กลุ่มผู้ใช้งานเป้าหมายทั้งที่เป็นร้านค้า และประชาชนผู้ใช้บริการ เข้ามาใช้งานได้ง่ายภายในไม่กี่ขั้นตอน เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามมาตรการผ่อนปรนได้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ขั้นตอนการเข้ามาใช้งาน ในส่วนของร้านค้าหรือสถานประกอบการตามกิจการ/กิจกรรม ภายใต้มาตรการผ่อนปรน มีขั้นตอนดังนี้ 1.เข้ามาที่เว็บไซต์ www.ไทยชนะ .com เพื่อลงทะเบียนร่วมมาตรการ social distancing 2.กรอกข้อมูลเกี่ยวกับกิจการ และข้อมูลผู้ติดต่อ พร้อมระบุตําแหน่งที่ตั้งของกิจการเพื่อระบบจะปักหมุดให้ในแผนที่กูเกิลแมป 3.ทําแบบประเมินสถานประกอบการ ซึ่งจัดแบ่งไว้ตามประเภท/หมวดกิจการที่ประกาศไว้ตามมาตรการผ่อนปรน (เมื่อกรอกข้อมูลครบถ้วนและถูกต้อง จะได้รับรหัส OTP ทางเอสเอ็มเอสผ่านเบอร์โทรศัพท์ที่กรอกข้อมูลไว้ 4.กรอก OTP เพื่อยืนยันรายการ และ 5.เมื่อลงทะเบียนสําเร็จ สามารถดาวน์โหลดภาพใบรับรองการประเมินตามมาตรการ พร้อม QR Code เป็นไฟล์รูปภาพ (jpg) เพื่อนํามาติดไว้ให้ลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการ check-in/checkout สําหรับประชาชน มีขั้นตอนการเช็คอินเพื่อเข้าไปใช้บริการ ดังนี้ 1.ใช้มือถือสแกน QR Code และกด Link ที่แสดงด้านบนเพื่อเข้าสู่หน้าเช็คอิน 2.กดที่เมนูเช็คอินร้าน 3.รับข้อตกลงและความยินยอม 4.ระบุหมายเลขโทรศัพท์ และ 5.หน้าจอจะแสดงคําว่า “เช็คอินแล้ว” ทั้งนี้ในขั้นตอน 3 และ 4 จะให้กรอกเฉพาะการเช็คอินในระบบของไทยชนะครั้งแรกเท่านั้น และเมื่อใช้บริการเสร็จ มีขั้นตอนการเช็คเอาท์ออกจากร้าน ดังนี้ 1.สแกน QR Code และกด Link ที่แสดงด้านบนเพื่อเข้าสู่หน้าเช็คเอาท์ 2.กดที่เมนูเช็คเอาท์/ประเมินผล 3.ระบุเบอร์โทรศัพท์ (เฉพาะครั้งแรกที่มีการเช็คเอาท์จากระบบของไทยชนะ) 4.หน้าจอจะแสดงคําว่า “เช็คเอาท์แล้ว” และ 5. ทําแบบประเมินหลังใช้บริการ โดยในข้อนี้ไม่บังคับ แต่เป็นข้อมูลที่ผู้ใช้บริการจะช่วยให้คะแนนร้านค้า เกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการ 5 ข้อของกรมควบคุมโรค เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงบริการของร้านค้านั้นๆ ต่อไป นพ. พลวรรธน์ กล่าวย้ําว่า ประชาชนและร้านค้า ไม่ต้องกังวลเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลในการเข้าลงทะเบียนใช้งานแพลตฟอร์มไทยชนะ เนื่องจาก ศบค. พิจารณามอบหมายให้ กรมควบคุมโรคเป็น ผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller) และมอบหมายให้ธนาคารกรุงไทย เป็นผู้ประมวลผลข้อมูลภายใต้การควบคุม ดังนั้น ผู้ประมวลผลก็ไม่สามารถนําข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในเรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากวัตถุประสงค์การควบคุมโรคโควิด-19 จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีการส่งต่อข้อมูลไปให้หน่วยงานอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง “ส่วนกรอบเวลาจัดเก็บข้อมูล 60 วันนั้น เป็นการกําหนดตามข้อเสนอของกรมควบคุมโรคและแพทย์ เพื่อให้ทําการตรวจได้อย่างรอบคอบ เนื่องจากสาเหตุหนึ่งของการระบาด มาจากการติดเชื้อเพราะสัมผัสบุคคลใกล้ชิดที่เป็นโรคนี้ บางครั้งการติดไม่ได้เกิดขึ้นตั้งแต่การสัมผัสครั้งแรก ที่ผ่านมาพบว่าบางรายติดเชื้อในครั้งที่ 3 โดยการฟักตัวของเชื้อโควิด-19 ใช้เวลาเฉลี่ย 14 วัน/รอบการสัมผัส จึงมองว่าควรเก็บข้อมูลไว้ทั้ง 3 รอบ และล่วงหน้าอีก 1 รอบ รวมระยะเวลา 56 วัน เพื่อให้มีฐานข้อมูลใหญ่พอที่จะสืบสวนโคย้อนหลังได้ 3 สัปดาห์ และสืบไปได้เพิ่มอีก 1 สัปดาห์” นพ.พลวรรธน์กล่าว นอกจากนี้แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ยังเป็นประโยชน์ทั้งกับประชาชนผู้ใช้บริการ ทําให้สามารถได้รับการแจ้งเตือนหากพบความเสี่ยงในการติดเชื้อ, ประชาชนสามารถนําข้อมูลไปเป็นหลักฐานเพื่อประกอบการรับการตรวจคัดกรองทางห้องปฏิบัติการฟรี และสามารถตรวจสอบความเสี่ยงของสถานที่ให้บริการ โดยดูจากข้อมูลความหนาแน่นในช่วงเวลาที่ต้องการเข้าไปใช้บริการ รวมถึงคะแนนการประเมินจากผู้เข้าใช้บริการรายอื่นๆ ที่ทําการเช็คเอาท์แล้วนมา ขณะที่ ทางด้านร้านค้า/สถานปฏิบัติการที่ปฏิบัติตามมาตรการ ก็จะได้รับการรับรอง สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการ และนําผลการประเมินมาปรับปรุงการให้บริการให้เป็นไปตามมาตรการที่กําหนด ปัจจุบัน ช่องทางการสื่อสารของไทยชนะ ประกอบด้วย เว็บไซต์ www.ไทยชนะ .com ไลน์ทางการ “ไทยชนะ” และโทรสายด่วน 1119 ซึ่งมีไว้สําหรับการติดตามข่าวสารที่ถูกต้อง เที่ยงตรงเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 จากรัฐบาล ------------------------------------- #ไทยชนะ #ใส่ใจปลอดภัยไทยชนะ #covid19 #covid_19 #โควิด19
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31178
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. แนะนายจ้างจัดสวัสดิการการออม เตรียมพร้อมลูกจ้างสู่สังคมสูงวัย
วันจันทร์ที่ 17 กันยายน 2561 กสร. แนะนายจ้างจัดสวัสดิการการออม เตรียมพร้อมลูกจ้างสู่สังคมสูงวัย กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน แนะนายจ้างจัดสวัสดิการนอกเหนือกฎหมายในรูปแบบการออม ให้ลูกจ้าง สร้างหลักประกันด้านเศรษฐกิจเตรียมพร้อมก้าวสู่สังคมสูงวัย นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กสร.ได้ส่งเสริมให้นายจ้าง สถานประกอบกิจการจัดสวัสดิการเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับลูกจ้างในการก้าวสู่สังคมสูงวัย ทั้งนี้ข้อมูลสํามะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2553 ของสํานักงานสถิติแห่งชาติ บ่งชี้ว่าจํานวนประชากรผู้สูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งผลให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยในอนาคต สําหรับรูปแบบของสวัสดิการที่ได้ส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการดําเนินการ ได้แก่ การจัดสวัสดิการเกี่ยวกับสุขภาพ เช่น การจัดกิจกรรมการออกกําลังกาย การตรวจสุขภาพประจําปี การจัดตั้งชมรมสุขภาพ เป็นต้น การจัดสวัสดิการด้านเศรษฐกิจได้ส่งเสริมในเรื่องของการจัดทําบัญชีครัวเรือน การสร้างวินัยการออม รวมไปถึงการสร้างกลไกด้านการออมด้วยการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการ เพื่อให้ลูกจ้างมีเงินสะสมไว้ใช้หลังเกษียณอายุ และในกรณีมีความจําเป็นสามารถกู้ยืมได้โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์มาค้ําประกันและเสียดอกเบี้ยต่ําซึ่งจะช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาการกู้ยืมเงินจากแหล่งเงินกู้นอกระบบให้กับลูกจ้างอีกทางหนึ่งด้วย อธิบดีกสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดสวัสดิการเพื่อเตรียมความพร้อมก้าวสู่สังคมสูงวัย จะช่วยให้ลูกจ้างสามารถพึ่งพิงตนเองได้ทั้งในเชิงสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม นายจ้าง สถานประกอบกิจการที่สนใจ สอบถามได้ที่กองสวัสดิการแรงงาน โทรศัพท์ 0 2246 6774 หรือ 0 2246 0383
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. แนะนายจ้างจัดสวัสดิการการออม เตรียมพร้อมลูกจ้างสู่สังคมสูงวัย วันจันทร์ที่ 17 กันยายน 2561 กสร. แนะนายจ้างจัดสวัสดิการการออม เตรียมพร้อมลูกจ้างสู่สังคมสูงวัย กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน แนะนายจ้างจัดสวัสดิการนอกเหนือกฎหมายในรูปแบบการออม ให้ลูกจ้าง สร้างหลักประกันด้านเศรษฐกิจเตรียมพร้อมก้าวสู่สังคมสูงวัย นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กสร.ได้ส่งเสริมให้นายจ้าง สถานประกอบกิจการจัดสวัสดิการเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับลูกจ้างในการก้าวสู่สังคมสูงวัย ทั้งนี้ข้อมูลสํามะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2553 ของสํานักงานสถิติแห่งชาติ บ่งชี้ว่าจํานวนประชากรผู้สูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งผลให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยในอนาคต สําหรับรูปแบบของสวัสดิการที่ได้ส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการดําเนินการ ได้แก่ การจัดสวัสดิการเกี่ยวกับสุขภาพ เช่น การจัดกิจกรรมการออกกําลังกาย การตรวจสุขภาพประจําปี การจัดตั้งชมรมสุขภาพ เป็นต้น การจัดสวัสดิการด้านเศรษฐกิจได้ส่งเสริมในเรื่องของการจัดทําบัญชีครัวเรือน การสร้างวินัยการออม รวมไปถึงการสร้างกลไกด้านการออมด้วยการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการ เพื่อให้ลูกจ้างมีเงินสะสมไว้ใช้หลังเกษียณอายุ และในกรณีมีความจําเป็นสามารถกู้ยืมได้โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์มาค้ําประกันและเสียดอกเบี้ยต่ําซึ่งจะช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาการกู้ยืมเงินจากแหล่งเงินกู้นอกระบบให้กับลูกจ้างอีกทางหนึ่งด้วย อธิบดีกสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดสวัสดิการเพื่อเตรียมความพร้อมก้าวสู่สังคมสูงวัย จะช่วยให้ลูกจ้างสามารถพึ่งพิงตนเองได้ทั้งในเชิงสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม นายจ้าง สถานประกอบกิจการที่สนใจ สอบถามได้ที่กองสวัสดิการแรงงาน โทรศัพท์ 0 2246 6774 หรือ 0 2246 0383
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15409
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครึ่งปีแรกธนาคารกรุงไทยมีกำไร 36,620 ล้านบาท
วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม 2560 ครึ่งปีแรกธนาคารกรุงไทยมีกําไร 36,620 ล้านบาท ผลประกอบการธนาคารกรุงไทยงวดครึ่งปีแรก ธนาคารและบริษัทย่อยมีกําไรก่อนสํารอง 36,620 ล้านบาท ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีกําไรสุทธิ 12,528 ล้านบาท โดยธุรกิจหลักมีแนวโน้มดีขึ้น ผลประกอบการธนาคารกรุงไทยงวดครึ่งปีแรก ธนาคารและบริษัทย่อยมีกําไรก่อนสํารอง 36,620 ล้านบาท ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีกําไรสุทธิ 12,528 ล้านบาท โดยธุรกิจหลักมีแนวโน้มดีขึ้น ธนาคารได้ปรับกลยุทธ์และกระบวนการบริหารจัดการสินเชื่อใหม่ มุ่งเน้นคุณภาพสินเชื่อ รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตาม ดูแลและการแก้ไขสินเชื่อด้อยคุณภาพ นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 ธนาคารและบริษัทย่อย มีกําไรจากการดําเนินงาน ก่อนการกันสํารองหนี้สูญ หนี้สงสัยจะสูญฯ จํานวน 36,620 ล้านบาท ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันในปีก่อน โดยลดลงเพียง 359 ล้านบาท (ร้อยละ 0.97) การบริหารจัดการในธุรกิจหลักมีแนวโน้มดีขึ้น โดยรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 936 ล้านบาท (ร้อยละ 8.88) จากธุรกิจบัตรและธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและต้นทุนทางการเงินได้ดีขึ้น ธนาคารมีค่าใช้จ่ายจากการดําเนินงานลดลง 204 ล้านบาท (ร้อยละ 0.83) จากนโยบายการควบคุมค่าใช้จ่าย อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost-to-Income Ratio) เท่ากับร้อยละ 39.85 ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 39.81 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงเล็กน้อยเพียง 94 ล้านบาท (ร้อยละ 0.22) จากการเติบโตของสินเชื่อที่ต่ําในช่วงครึ่งปีแรก ด้วยการเน้นสินเชื่อที่มีคุณภาพ ประกอบกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อลูกค้ารายย่อยชั้นดีลงร้อยละ 0.50 เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตาม จากนโยบายการบริหารต้นทุนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ ทําให้อัตราผลตอบแทนสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ (NIM) เท่ากับร้อยละ 3.40 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.16 จากช่วงครึ่งแรกของปี 2559 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 3.24 นายผยง ศรีวณิช เปิดเผยต่อไปว่า กําไรสุทธิของธนาคารและบริษัทย่อย สําหรับงวด 6 เดือนเท่ากับ 12,528 ล้านบาท ลดลง 4,317 ล้านบาท (ร้อยละ 25.63) กําไรสุทธิส่วนของธนาคารจํานวน 11,760 ล้านบาท ลดลง 4,471 ล้านบาท (ร้อยละ 27.55) สาเหตุหลักจากการตั้งสํารองหนี้สูญ หนี้สงสัยจะสูญฯ ที่เพิ่มขึ้น จํานวน 4,974 ล้านบาท (ร้อยละ 30.40) จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตามนโยบายการบริหารความเสี่ยงและหลักเกณฑ์ความระมัดระวังของธนาคาร โดยได้กันสํารองหนี้สูญเต็มจํานวน สําหรับลูกค้ารายใหญ่กลุ่มหนึ่งที่ดําเนินธุรกิจหลักในอุตสาหกรรมเกษตรและเหมืองแร่ ซึ่งมีแนวโน้มการดําเนินงานที่อ่อนแอลง ทําให้สามารถคงอัตราส่วนเงินสํารองสําหรับลูกหนี้ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ของธนาคารและบริษัทย่อยร้อยละ 112.50 ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2560 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินเชื่อด้อยคุณภาพ 99,078 ล้านบาท และมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพก่อนหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio-Gross) ร้อยละ 4.33 ธนาคารได้ปรับกลยุทธ์และกระบวนการบริหารจัดการสินเชื่อที่มุ่งเน้นคุณภาพสินเชื่อ เพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามดูแลและการแก้ไขมากยิ่งขึ้น ตลอดจนรักษาระดับของอัตราส่วนเงินสํารองสําหรับลูกหนี้ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ให้มีความเหมาะสม คงอัตราเงินสํารองฯ ไม่ต่ํากว่าร้อยละ 110 ของสินเชื่อด้อยคุณภาพ ธนาคารและบริษัทย่อยมีเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ เท่ากับ 1,918,010 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,921 ล้านบาท (ร้อยละ 0.73) จากสิ้นปี 2559 ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าภาครัฐ ด้านเงินรับฝาก ลดลง 9,982 ล้านบาท (ร้อยละ 0.51) ธนาคารยังคงมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ด้วยระดับเงินกองทุนที่เพียงพอ และการดําเนินงานที่มีประสิทธิภาพในการรองรับความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ส่วนอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารยังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดยอันดับความน่าเชื่อถือในประเทศระยะยาว เท่ากับ AA+(Tha) โดย Fitch Ratings และอันดับความน่าเชื่อต่างประเทศ เท่ากับ Baa1 (Moody’s), BBB (Standard and Poor’s) และ BBB (Fitch Ratings) ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร.0-2208-4174-7
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครึ่งปีแรกธนาคารกรุงไทยมีกำไร 36,620 ล้านบาท วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม 2560 ครึ่งปีแรกธนาคารกรุงไทยมีกําไร 36,620 ล้านบาท ผลประกอบการธนาคารกรุงไทยงวดครึ่งปีแรก ธนาคารและบริษัทย่อยมีกําไรก่อนสํารอง 36,620 ล้านบาท ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีกําไรสุทธิ 12,528 ล้านบาท โดยธุรกิจหลักมีแนวโน้มดีขึ้น ผลประกอบการธนาคารกรุงไทยงวดครึ่งปีแรก ธนาคารและบริษัทย่อยมีกําไรก่อนสํารอง 36,620 ล้านบาท ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีกําไรสุทธิ 12,528 ล้านบาท โดยธุรกิจหลักมีแนวโน้มดีขึ้น ธนาคารได้ปรับกลยุทธ์และกระบวนการบริหารจัดการสินเชื่อใหม่ มุ่งเน้นคุณภาพสินเชื่อ รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตาม ดูแลและการแก้ไขสินเชื่อด้อยคุณภาพ นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 ธนาคารและบริษัทย่อย มีกําไรจากการดําเนินงาน ก่อนการกันสํารองหนี้สูญ หนี้สงสัยจะสูญฯ จํานวน 36,620 ล้านบาท ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันในปีก่อน โดยลดลงเพียง 359 ล้านบาท (ร้อยละ 0.97) การบริหารจัดการในธุรกิจหลักมีแนวโน้มดีขึ้น โดยรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 936 ล้านบาท (ร้อยละ 8.88) จากธุรกิจบัตรและธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและต้นทุนทางการเงินได้ดีขึ้น ธนาคารมีค่าใช้จ่ายจากการดําเนินงานลดลง 204 ล้านบาท (ร้อยละ 0.83) จากนโยบายการควบคุมค่าใช้จ่าย อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost-to-Income Ratio) เท่ากับร้อยละ 39.85 ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 39.81 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงเล็กน้อยเพียง 94 ล้านบาท (ร้อยละ 0.22) จากการเติบโตของสินเชื่อที่ต่ําในช่วงครึ่งปีแรก ด้วยการเน้นสินเชื่อที่มีคุณภาพ ประกอบกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อลูกค้ารายย่อยชั้นดีลงร้อยละ 0.50 เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตาม จากนโยบายการบริหารต้นทุนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ ทําให้อัตราผลตอบแทนสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ (NIM) เท่ากับร้อยละ 3.40 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.16 จากช่วงครึ่งแรกของปี 2559 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 3.24 นายผยง ศรีวณิช เปิดเผยต่อไปว่า กําไรสุทธิของธนาคารและบริษัทย่อย สําหรับงวด 6 เดือนเท่ากับ 12,528 ล้านบาท ลดลง 4,317 ล้านบาท (ร้อยละ 25.63) กําไรสุทธิส่วนของธนาคารจํานวน 11,760 ล้านบาท ลดลง 4,471 ล้านบาท (ร้อยละ 27.55) สาเหตุหลักจากการตั้งสํารองหนี้สูญ หนี้สงสัยจะสูญฯ ที่เพิ่มขึ้น จํานวน 4,974 ล้านบาท (ร้อยละ 30.40) จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตามนโยบายการบริหารความเสี่ยงและหลักเกณฑ์ความระมัดระวังของธนาคาร โดยได้กันสํารองหนี้สูญเต็มจํานวน สําหรับลูกค้ารายใหญ่กลุ่มหนึ่งที่ดําเนินธุรกิจหลักในอุตสาหกรรมเกษตรและเหมืองแร่ ซึ่งมีแนวโน้มการดําเนินงานที่อ่อนแอลง ทําให้สามารถคงอัตราส่วนเงินสํารองสําหรับลูกหนี้ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ของธนาคารและบริษัทย่อยร้อยละ 112.50 ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2560 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินเชื่อด้อยคุณภาพ 99,078 ล้านบาท และมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพก่อนหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio-Gross) ร้อยละ 4.33 ธนาคารได้ปรับกลยุทธ์และกระบวนการบริหารจัดการสินเชื่อที่มุ่งเน้นคุณภาพสินเชื่อ เพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามดูแลและการแก้ไขมากยิ่งขึ้น ตลอดจนรักษาระดับของอัตราส่วนเงินสํารองสําหรับลูกหนี้ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ให้มีความเหมาะสม คงอัตราเงินสํารองฯ ไม่ต่ํากว่าร้อยละ 110 ของสินเชื่อด้อยคุณภาพ ธนาคารและบริษัทย่อยมีเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ เท่ากับ 1,918,010 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,921 ล้านบาท (ร้อยละ 0.73) จากสิ้นปี 2559 ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าภาครัฐ ด้านเงินรับฝาก ลดลง 9,982 ล้านบาท (ร้อยละ 0.51) ธนาคารยังคงมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ด้วยระดับเงินกองทุนที่เพียงพอ และการดําเนินงานที่มีประสิทธิภาพในการรองรับความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ส่วนอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารยังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดยอันดับความน่าเชื่อถือในประเทศระยะยาว เท่ากับ AA+(Tha) โดย Fitch Ratings และอันดับความน่าเชื่อต่างประเทศ เท่ากับ Baa1 (Moody’s), BBB (Standard and Poor’s) และ BBB (Fitch Ratings) ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร.0-2208-4174-7
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5333
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋”ตรวจฝึกอาชีพผู้มีรายได้น้อยที่เพชรบูรณ์ มั่นใจผู้ฝึกจบเกินครึ่งมีงานทำ
วันจันทร์ที่ 17 กันยายน 2561 “บิ๊กอู๋”ตรวจฝึกอาชีพผู้มีรายได้น้อยที่เพชรบูรณ์ มั่นใจผู้ฝึกจบเกินครึ่งมีงานทํา รมว.แรงงาน ลงพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ ติดตามความคืบหน้าโครงการเพิ่มศักยภาพผู้มีรายได้น้อยฯ พร้อมมอบเครื่องมือช่างชุมชน นําความรู้ ทักษะไปต่อยอดประกอบอาชีพ กําชับหัวหน้าส่วนในสังกัดบูรณาการทํางานรูปแบบประชารัฐ ให้ทันเวลา มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ รมว.แรงงาน ลงพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ ติดตามความคืบหน้าโครงการเพิ่มศักยภาพผู้มีรายได้น้อยฯ พร้อมมอบเครื่องมือช่างชุมชน นําความรู้ ทักษะไปต่อยอดประกอบอาชีพ กําชับหัวหน้าส่วนในสังกัดบูรณาการทํางานรูปแบบประชารัฐ ให้ทันเวลา มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ มั่นใจกลุ่มเป้าหมาย มีอาชีพ มีงานทํา รายได้เพิ่มอย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2561 พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินการฝึกอาชีพโครงการเพิ่มศักยภาพผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ เพิ่มรายได้และความมั่นคงในชีวิต ณ สํานักงานพัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดเพชรบูรณ์ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ โดยในช่วงเช้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานการประชุมมอบนโยบายหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงาน ณ ห้องประชุมสํานักงานพัฒนาฝีมือแรงงานเพชรบูรณ์ โดยกล่าวว่า ขอให้ทุกหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานบูรณาการดําเนินงานร่วมกัน ทั้งหน่วยงานภายใน และหน่วยงานภายนอกในรูปแบบประชารัฐ เพื่อให้การดําเนินการของโครงการฯ สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ และเป้าหมายไว้ได้ทันตามเวลาที่กําหนด มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ ขณะเดียวกันต้องมีการติดตามผลการดําเนินการเพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยที่เข้าร่วมโครงการของกระทรวงแรงงาน เมื่อผ่านการฝึกแล้วจะต้องมีอาชีพ มีงานทํา มีทักษะฝีมือ มีรายได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งมีหลักประกันทางสังคมและความมั่นคงในชีวิต นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้กล่าวถึงการทํางานของกระทรวงแรงงานในปี ๒๕๖๒ ด้านทักษะฝีมือแรงงานจะต้องมีความชัดเจนขึ้น ต้องมีการขับเคลื่อนเตรียมแรงงานเพื่อเข้าสู่ทักษะฝีมือแรงงานทั้งประเทศ ซึ่งหมายถึงมูลค่าปัจจัยการผลิต มูลค่าของค่าจ้าง โดยต้องมีการบูรณาการกับนายจ้าง กระทรวงแรงงาน และอุดมศึกษา ซึ่งจําเป็นต้องทําให้สําเร็จ และแรงงานของไทยต้องได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย ถูกต้องตามอาชีวอนามัย ส่วนแรงงานต่างด้าวต้องเข้าสู่ระบบที่ถูกต้อง และได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายของไทย การฝึกอาชีพผู้มีรายได้น้อยเมื่อเข้ามารับการฝึกแล้วจะต้องไปทํางานได้จริงๆ รวมถึงการจ้างงานผู้สูงอายุ และการขับเคลื่อนตามมาตรา ๓๓ และมาตรา ๔๐ ของสํานักงานประกันสังคมต้องมีผู้ใช้แรงงานเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น โดยภายใน ๕ ปี ต้องมีผู้ใช้แรงงานเข้าสู่มาตรา ๓๓ และมาตรา ๔๐ จํานวน ๕ ล้านคน โอกาสเดียวกันนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ฯ และคณะ ยังได้ตรวจเยี่ยมผู้ฝึกอาชีพฯ ในหลักสูตรช่างชุมชน 1 รุ่น อาหารไทย 2 รุ่น ขนมไทย 2 รุ่น ของว่างและน้ําสมุนไพร 1 รุ่น รวมจํานวนกว่า 140 คนและมอบเครื่องมือช่างประจําชุมชน 2 รุ่น จํานวน 40 คน เยี่ยมชมการออกบูธฝึกอาชีพของกลุ่มผู้รับงานไปทําที่บ้าน ได้แก่ กลุ่มสานตะกร้าด้วยเชือกพลาสติก ของตําบลซับเปิบ อ.วังโป่ง จ.เพชรบูรณ์ ผลิตภัณฑ์ที่นํามาจัดแสดง อาทิ เปล กระเป๋า เข่งมะขามหวาน เป็นต้น ปัจจุบันมีสมาชิก 23 คน กลุ่มส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระ ได้แก่ กลุ่มหัตถกรรมหญ้าแฝกของตําบลท้ายดง อ.วังโป่ง จ.เพชรบูรณ์ ผลิตภัณฑ์ที่นํามาจัดแสดง อาทิ หมวก พัด พานพุ่ม กล่องเอนกประสงค์ เป็นต้น ปัจจุบันมีสมาชิก 20 คน นอกจากนี้ รมว.แรงงาน ยังได้เยี่ยมชมการออกบูธของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน อาทิ การบริการคนหางานผ่านตู้ Job box การสาธิตการฝึกอาชีพ การให้คําปรึกษากฎหมายแรงงาน และการรับสมัครมาตรา 40 เป็นต้น จากนั้นตรวจเยี่ยมการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานสาขาช่างไฟฟ้าภายในอาคาร จํานวน 15 คน ตรวจเยี่ยมการฝึกฝีมือเพื่อเตรียมเข้าทํางานสาขาช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ จํานวน 15 คน จากนั้นช่วงบ่าย พล.ต.อ.อดุลย์ฯ และคณะ ได้ตรวจเยี่ยมการฝึกอาชีพตัดผมของตํารวจภูธรจังหวัดเพชรบูรณ์ จํานวน 21 นาย ณ วิทยาลัยสารพัดช่างเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่าง สนพ.เพชรบูรณ์ ตํารวจภูธรจังหวัดและวิทยาลัยสารพัดช่างเพชรบูรณ์ และเยี่ยมชมกิจกรรมส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระแก่กลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นการจักสานภาชนะจากไม้ไผ่ เช่น พัด หวดนึ่งข้าว กระติ๊บข้าว ไม้กวาด เป็นต้น ปัจจุบันมีสมาชิก 12 คน ณ วัดโพธิ์สว่าง หมู่ 8 ต.น่างั่ว อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ สําหรับสถานการณ์ด้านแรงงานของจังหวัดเพชรบูรณ์ ปัจจุบันมีกําลังแรงงาน 486,421 คน เป็นผู้มีงานทํา 476,873 คน ว่างงาน 6,296 คน คิดเป็นอัตรา 1.29 % ผู้รอฤดูกาล 3,253 คน มีสถานประกอบการทั้งสิ้น 2,764 แห่ง มีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทํางานทั้งสิ้น 8,771 คน ส่วนโครงการฝึกอาชีพผู้มีรายได้น้อยฯ มีเป้าหมายดําเนินการทั้งสิ้น 8,463 คน ดําเนินการแล้ว 7,148 คน คิดเป็นร้อยละ 84.46 ส่วนภาพรวมทั้งประเทศ ณ วันที่ 15 ก.ย.61 ดําเนินการแล้ว 266,308 คน จากเป้าหมาย 412,741 คน --------------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ กัณติภณ คูสมิทธิ์ - ข่าว/ สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/ 17 กันยายน 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋”ตรวจฝึกอาชีพผู้มีรายได้น้อยที่เพชรบูรณ์ มั่นใจผู้ฝึกจบเกินครึ่งมีงานทำ วันจันทร์ที่ 17 กันยายน 2561 “บิ๊กอู๋”ตรวจฝึกอาชีพผู้มีรายได้น้อยที่เพชรบูรณ์ มั่นใจผู้ฝึกจบเกินครึ่งมีงานทํา รมว.แรงงาน ลงพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ ติดตามความคืบหน้าโครงการเพิ่มศักยภาพผู้มีรายได้น้อยฯ พร้อมมอบเครื่องมือช่างชุมชน นําความรู้ ทักษะไปต่อยอดประกอบอาชีพ กําชับหัวหน้าส่วนในสังกัดบูรณาการทํางานรูปแบบประชารัฐ ให้ทันเวลา มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ รมว.แรงงาน ลงพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ ติดตามความคืบหน้าโครงการเพิ่มศักยภาพผู้มีรายได้น้อยฯ พร้อมมอบเครื่องมือช่างชุมชน นําความรู้ ทักษะไปต่อยอดประกอบอาชีพ กําชับหัวหน้าส่วนในสังกัดบูรณาการทํางานรูปแบบประชารัฐ ให้ทันเวลา มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ มั่นใจกลุ่มเป้าหมาย มีอาชีพ มีงานทํา รายได้เพิ่มอย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2561 พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินการฝึกอาชีพโครงการเพิ่มศักยภาพผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ เพิ่มรายได้และความมั่นคงในชีวิต ณ สํานักงานพัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดเพชรบูรณ์ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ โดยในช่วงเช้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานการประชุมมอบนโยบายหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงาน ณ ห้องประชุมสํานักงานพัฒนาฝีมือแรงงานเพชรบูรณ์ โดยกล่าวว่า ขอให้ทุกหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานบูรณาการดําเนินงานร่วมกัน ทั้งหน่วยงานภายใน และหน่วยงานภายนอกในรูปแบบประชารัฐ เพื่อให้การดําเนินการของโครงการฯ สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ และเป้าหมายไว้ได้ทันตามเวลาที่กําหนด มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ ขณะเดียวกันต้องมีการติดตามผลการดําเนินการเพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยที่เข้าร่วมโครงการของกระทรวงแรงงาน เมื่อผ่านการฝึกแล้วจะต้องมีอาชีพ มีงานทํา มีทักษะฝีมือ มีรายได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งมีหลักประกันทางสังคมและความมั่นคงในชีวิต นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้กล่าวถึงการทํางานของกระทรวงแรงงานในปี ๒๕๖๒ ด้านทักษะฝีมือแรงงานจะต้องมีความชัดเจนขึ้น ต้องมีการขับเคลื่อนเตรียมแรงงานเพื่อเข้าสู่ทักษะฝีมือแรงงานทั้งประเทศ ซึ่งหมายถึงมูลค่าปัจจัยการผลิต มูลค่าของค่าจ้าง โดยต้องมีการบูรณาการกับนายจ้าง กระทรวงแรงงาน และอุดมศึกษา ซึ่งจําเป็นต้องทําให้สําเร็จ และแรงงานของไทยต้องได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย ถูกต้องตามอาชีวอนามัย ส่วนแรงงานต่างด้าวต้องเข้าสู่ระบบที่ถูกต้อง และได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายของไทย การฝึกอาชีพผู้มีรายได้น้อยเมื่อเข้ามารับการฝึกแล้วจะต้องไปทํางานได้จริงๆ รวมถึงการจ้างงานผู้สูงอายุ และการขับเคลื่อนตามมาตรา ๓๓ และมาตรา ๔๐ ของสํานักงานประกันสังคมต้องมีผู้ใช้แรงงานเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น โดยภายใน ๕ ปี ต้องมีผู้ใช้แรงงานเข้าสู่มาตรา ๓๓ และมาตรา ๔๐ จํานวน ๕ ล้านคน โอกาสเดียวกันนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ฯ และคณะ ยังได้ตรวจเยี่ยมผู้ฝึกอาชีพฯ ในหลักสูตรช่างชุมชน 1 รุ่น อาหารไทย 2 รุ่น ขนมไทย 2 รุ่น ของว่างและน้ําสมุนไพร 1 รุ่น รวมจํานวนกว่า 140 คนและมอบเครื่องมือช่างประจําชุมชน 2 รุ่น จํานวน 40 คน เยี่ยมชมการออกบูธฝึกอาชีพของกลุ่มผู้รับงานไปทําที่บ้าน ได้แก่ กลุ่มสานตะกร้าด้วยเชือกพลาสติก ของตําบลซับเปิบ อ.วังโป่ง จ.เพชรบูรณ์ ผลิตภัณฑ์ที่นํามาจัดแสดง อาทิ เปล กระเป๋า เข่งมะขามหวาน เป็นต้น ปัจจุบันมีสมาชิก 23 คน กลุ่มส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระ ได้แก่ กลุ่มหัตถกรรมหญ้าแฝกของตําบลท้ายดง อ.วังโป่ง จ.เพชรบูรณ์ ผลิตภัณฑ์ที่นํามาจัดแสดง อาทิ หมวก พัด พานพุ่ม กล่องเอนกประสงค์ เป็นต้น ปัจจุบันมีสมาชิก 20 คน นอกจากนี้ รมว.แรงงาน ยังได้เยี่ยมชมการออกบูธของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน อาทิ การบริการคนหางานผ่านตู้ Job box การสาธิตการฝึกอาชีพ การให้คําปรึกษากฎหมายแรงงาน และการรับสมัครมาตรา 40 เป็นต้น จากนั้นตรวจเยี่ยมการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานสาขาช่างไฟฟ้าภายในอาคาร จํานวน 15 คน ตรวจเยี่ยมการฝึกฝีมือเพื่อเตรียมเข้าทํางานสาขาช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ จํานวน 15 คน จากนั้นช่วงบ่าย พล.ต.อ.อดุลย์ฯ และคณะ ได้ตรวจเยี่ยมการฝึกอาชีพตัดผมของตํารวจภูธรจังหวัดเพชรบูรณ์ จํานวน 21 นาย ณ วิทยาลัยสารพัดช่างเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่าง สนพ.เพชรบูรณ์ ตํารวจภูธรจังหวัดและวิทยาลัยสารพัดช่างเพชรบูรณ์ และเยี่ยมชมกิจกรรมส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระแก่กลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นการจักสานภาชนะจากไม้ไผ่ เช่น พัด หวดนึ่งข้าว กระติ๊บข้าว ไม้กวาด เป็นต้น ปัจจุบันมีสมาชิก 12 คน ณ วัดโพธิ์สว่าง หมู่ 8 ต.น่างั่ว อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ สําหรับสถานการณ์ด้านแรงงานของจังหวัดเพชรบูรณ์ ปัจจุบันมีกําลังแรงงาน 486,421 คน เป็นผู้มีงานทํา 476,873 คน ว่างงาน 6,296 คน คิดเป็นอัตรา 1.29 % ผู้รอฤดูกาล 3,253 คน มีสถานประกอบการทั้งสิ้น 2,764 แห่ง มีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทํางานทั้งสิ้น 8,771 คน ส่วนโครงการฝึกอาชีพผู้มีรายได้น้อยฯ มีเป้าหมายดําเนินการทั้งสิ้น 8,463 คน ดําเนินการแล้ว 7,148 คน คิดเป็นร้อยละ 84.46 ส่วนภาพรวมทั้งประเทศ ณ วันที่ 15 ก.ย.61 ดําเนินการแล้ว 266,308 คน จากเป้าหมาย 412,741 คน --------------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ กัณติภณ คูสมิทธิ์ - ข่าว/ สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/ 17 กันยายน 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15447
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำ รัฐบาลสนับสนุนการใช้ยาแผนโบราณ ส่งเสริมเกษตรกรปลูกพืชสมุนไพรไทย
วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน 2559 นายกรัฐมนตรีย้ํา รัฐบาลสนับสนุนการใช้ยาแผนโบราณ ส่งเสริมเกษตรกรปลูกพืชสมุนไพรไทย นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม หัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ครั้งที่ 1/2560 วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2559) เวลา 12.00 น. ณ กระทรวงสาธารณสุข อ. เมือง จ. นนทบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ครั้งที่ 1/2560 ว่า กระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานหลักในการดูแลรักษาสุขภาพอนามัยของประชาชนเพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง ซึ่งตามยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในอีก 20 ข้างหน้า จึงจําเป็นต้องเริ่มตั้งแต่วัยทารกจนกระทั่งไปถึงวัยชรา โดยเน้นในเรื่องของการป้องกันด้านสุขภาพ เพื่อให้งบประมาณค่าใช้จ่ายลดลงมากกว่าการรักษา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ปัจจุบันด้านสาธารณสุขของประเทศไทยเป็นไปในทางที่ดีขึ้น มีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น รัฐบาลจึงจําเป็นจะต้องหาแนวทางการดูแลรักษากลุ่มคนเหล่านี้อย่างต่อเนื่องควบคู่กับการเพิ่มมาตรการด้านสาธารณสุขของเด็กทารกตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 3 ขวบ โดยได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อดูแลกระบวนการดังกล่าวแล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายทางด้านสาธารณสุขที่มีอัตราเพิ่มมากขึ้นนั้น รัฐบาลได้มีมาตรการป้องกัน โดยเน้นในเรื่องของการออกกําลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นเกาะป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้ในระยะยาว สําหรับแนวทางการบริหารจัดการด้านเวชภัณฑ์นั้น นายกรัฐมนตีได้กล่าวว่า รัฐบาลพร้อมที่จะส่งเสริมยาแผนโบราณที่เป็นผลิตภัณฑ์พื้นบ้านของประเทศ โดยจะส่งเสริมการพัฒนาต่อยอดยารักษาโรค เน้นการใช้ยาแผนโบราณแทนยาปฏิชีวนะ ซึ่งสามารถนํามาบูรณาการและเชื่อมโยงไปถึงการส่งเสริมทางการเกษตรเพาะปลูกยาสมุนไพรในแตะละชุมชนด้วย จะได้กระจายโอกาสและสร้างรายได้ให้กับชุมชนต่าง ๆ ร่วมกันคิดหาแนวทางโดยรวมกลุ่มกันประชารัฐ ที่ทุกภาคส่วน ได้ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น ภาครัฐ เอกชน และประชาชน โดยรัฐบาลจะเป็นผู้นําในการส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป ------------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำ รัฐบาลสนับสนุนการใช้ยาแผนโบราณ ส่งเสริมเกษตรกรปลูกพืชสมุนไพรไทย วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน 2559 นายกรัฐมนตรีย้ํา รัฐบาลสนับสนุนการใช้ยาแผนโบราณ ส่งเสริมเกษตรกรปลูกพืชสมุนไพรไทย นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม หัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ครั้งที่ 1/2560 วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2559) เวลา 12.00 น. ณ กระทรวงสาธารณสุข อ. เมือง จ. นนทบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ครั้งที่ 1/2560 ว่า กระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานหลักในการดูแลรักษาสุขภาพอนามัยของประชาชนเพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง ซึ่งตามยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในอีก 20 ข้างหน้า จึงจําเป็นต้องเริ่มตั้งแต่วัยทารกจนกระทั่งไปถึงวัยชรา โดยเน้นในเรื่องของการป้องกันด้านสุขภาพ เพื่อให้งบประมาณค่าใช้จ่ายลดลงมากกว่าการรักษา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ปัจจุบันด้านสาธารณสุขของประเทศไทยเป็นไปในทางที่ดีขึ้น มีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น รัฐบาลจึงจําเป็นจะต้องหาแนวทางการดูแลรักษากลุ่มคนเหล่านี้อย่างต่อเนื่องควบคู่กับการเพิ่มมาตรการด้านสาธารณสุขของเด็กทารกตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 3 ขวบ โดยได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อดูแลกระบวนการดังกล่าวแล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายทางด้านสาธารณสุขที่มีอัตราเพิ่มมากขึ้นนั้น รัฐบาลได้มีมาตรการป้องกัน โดยเน้นในเรื่องของการออกกําลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นเกาะป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้ในระยะยาว สําหรับแนวทางการบริหารจัดการด้านเวชภัณฑ์นั้น นายกรัฐมนตีได้กล่าวว่า รัฐบาลพร้อมที่จะส่งเสริมยาแผนโบราณที่เป็นผลิตภัณฑ์พื้นบ้านของประเทศ โดยจะส่งเสริมการพัฒนาต่อยอดยารักษาโรค เน้นการใช้ยาแผนโบราณแทนยาปฏิชีวนะ ซึ่งสามารถนํามาบูรณาการและเชื่อมโยงไปถึงการส่งเสริมทางการเกษตรเพาะปลูกยาสมุนไพรในแตะละชุมชนด้วย จะได้กระจายโอกาสและสร้างรายได้ให้กับชุมชนต่าง ๆ ร่วมกันคิดหาแนวทางโดยรวมกลุ่มกันประชารัฐ ที่ทุกภาคส่วน ได้ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น ภาครัฐ เอกชน และประชาชน โดยรัฐบาลจะเป็นผู้นําในการส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป ------------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/928
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แนะประชาชนมีไข้สูงหลังกลับจากเที่ยวป่า รีบพบแพทย์และแจ้งประวัติการท่องเที่ยว
วันอังคารที่ 11 ธันวาคม 2561 สธ.แนะประชาชนมีไข้สูงหลังกลับจากเที่ยวป่า รีบพบแพทย์และแจ้งประวัติการท่องเที่ยว กระทรวงสาธารณสุข แนะนําประชาชนหากมีไข้สูง ปวดศีรษะมากโดยเฉพาะขมับและหน้าผาก มีแผลคล้ายถูกบุหรี่จี้ที่รักแร้ ขาหนีบ รอบเอว ภายใน 3 สัปดาห์หลังกลับจากการท่องเที่ยวป่า อาจเป็นโรคไข้รากสาดใหญ่จากไรอ่อนกัด ขอให้รีบพบแพทย์และแจ้งประวัติการท่องเที่ยวด้วย กระทรวงสาธารณสุข แนะนําประชาชนหากมีไข้สูง ปวดศีรษะมากโดยเฉพาะขมับและหน้าผาก มีแผลคล้ายถูกบุหรี่จี้ที่รักแร้ ขาหนีบ รอบเอว ภายใน 3 สัปดาห์หลังกลับจากการท่องเที่ยวป่า อาจเป็นโรคไข้รากสาดใหญ่จากไรอ่อนกัด ขอให้รีบพบแพทย์และแจ้งประวัติการท่องเที่ยวด้วย นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงนี้ ประชาชนนิยมไปท่องเที่ยวธรรมชาติ สัมผัสอากาศหนาวเย็น ทางภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ กระทรวงสาธารณสุข ขอให้ดูแลร่างกายให้อบอุ่น สวมเครื่องกันหนาวให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยที่พบบ่อยในฤดูหนาว ได้แก่ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม อุจจาระร่วง รวมทั้งโรคสครับไทฟัส หรือโรคไข้รากสาดใหญ่ที่เกิดจากไรอ่อนในป่ากัด ดังนั้นหากพบแผลถูกกัด ลักษณะมีรอยบุ๋มสีดํา คล้ายแผลบุหรี่จี้ (Eschar) มีไข้สูง ปวดศีรษะมาก โดยเฉพาะขมับและหน้าผาก ภายใน 3 สัปดาห์หลังกลับจากการท่องเที่ยวป่า ขอให้รีบพบแพทย์ และแจ้งประวัติการท่องเที่ยวด้วย ด้านนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่า โรคสครับไทฟัส (Scrub typhus) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่อยู่ในตัวไรอ่อน ซึ่งมีขนาดเล็กมาก และอาศัยอยู่ตามใบไม้ ใบหญ้า ใกล้กับพื้นดิน โดยไรอ่อนจะกระโดดเกาะตามเสื้อผ้าของคน และกัดผิวหนังที่สัมผัสกับเสื้อผ้า เช่น บริเวณรักแร้ ขาหนีบ รอบเอว หลังถูกไรอ่อนกัดประมาณ 10-12 วันหรือบางรายอาจนานถึง 3 สัปดาห์ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะที่ขมับและหน้าผาก มีไข้สูงตลอดเวลา หนาวสั่น ตาแดงคลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อยตัว อ่อนเพลีย และบริเวณที่ถูกกัดเป็นแผลบุ๋มสีดําคล้ายรอยไหม้จากบุหรี่จี้ (Eschar) พบผื่นแดงตามร่างกายและแขนขา แต่จะไม่คัน ผู้ป่วยบางรายอาจหายได้เอง แต่บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ เช่น ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองและสมองอักเสบ อาจทําให้เสียชีวิตได้ นายแพทย์สุวรรณชัยกล่าวต่อว่า ในการตั้งแคมป์ กางเต็นท์นอนในป่า ควรกางบริเวณโล่งเตียน หลีกเลี่ยงการนั่งและนอนบนพื้นหญ้า บริเวณพุ่มไม้ ป่าละเมาะ หรือหญ้าที่ขึ้นรก ควรสวมเสื้อผ้าให้มิดชิด เช่น เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว และทาโลชั่นกันยุงที่มีส่วนผสมของสาร DEET หรือใช้สมุนไพรทากันยุง ซึ่งสามารถป้องกันตัวไรอ่อนกัดได้ หลีกเลี่ยงการเข้าไปในบริเวณที่มีตัวไรอ่อนชุกชุม ไม่ว่าจะเป็นป่าโปร่ง ป่าละเมาะ บริเวณที่มีการปลูกป่าใหม่หรือตั้งรกรากใหม่ ทุ่งหญ้า ชายป่าหรือบริเวณต้นไม้ใหญ่ที่แสงแดดส่องไม่ถึง หลังออกจากป่าขอให้อาบน้ํา และนําเสื้อผ้าที่สวมใส่มาซักให้สะอาด ทั้งนี้ ข้อมูลจากสํานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม –26 พฤศจิกายน 2561พบผู้ป่วยโรคไข้รากสาดใหญ่ 8,773 ราย เสียชีวิต 4 ราย ************************************* 11 ธันวาคม 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แนะประชาชนมีไข้สูงหลังกลับจากเที่ยวป่า รีบพบแพทย์และแจ้งประวัติการท่องเที่ยว วันอังคารที่ 11 ธันวาคม 2561 สธ.แนะประชาชนมีไข้สูงหลังกลับจากเที่ยวป่า รีบพบแพทย์และแจ้งประวัติการท่องเที่ยว กระทรวงสาธารณสุข แนะนําประชาชนหากมีไข้สูง ปวดศีรษะมากโดยเฉพาะขมับและหน้าผาก มีแผลคล้ายถูกบุหรี่จี้ที่รักแร้ ขาหนีบ รอบเอว ภายใน 3 สัปดาห์หลังกลับจากการท่องเที่ยวป่า อาจเป็นโรคไข้รากสาดใหญ่จากไรอ่อนกัด ขอให้รีบพบแพทย์และแจ้งประวัติการท่องเที่ยวด้วย กระทรวงสาธารณสุข แนะนําประชาชนหากมีไข้สูง ปวดศีรษะมากโดยเฉพาะขมับและหน้าผาก มีแผลคล้ายถูกบุหรี่จี้ที่รักแร้ ขาหนีบ รอบเอว ภายใน 3 สัปดาห์หลังกลับจากการท่องเที่ยวป่า อาจเป็นโรคไข้รากสาดใหญ่จากไรอ่อนกัด ขอให้รีบพบแพทย์และแจ้งประวัติการท่องเที่ยวด้วย นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงนี้ ประชาชนนิยมไปท่องเที่ยวธรรมชาติ สัมผัสอากาศหนาวเย็น ทางภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ กระทรวงสาธารณสุข ขอให้ดูแลร่างกายให้อบอุ่น สวมเครื่องกันหนาวให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยที่พบบ่อยในฤดูหนาว ได้แก่ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม อุจจาระร่วง รวมทั้งโรคสครับไทฟัส หรือโรคไข้รากสาดใหญ่ที่เกิดจากไรอ่อนในป่ากัด ดังนั้นหากพบแผลถูกกัด ลักษณะมีรอยบุ๋มสีดํา คล้ายแผลบุหรี่จี้ (Eschar) มีไข้สูง ปวดศีรษะมาก โดยเฉพาะขมับและหน้าผาก ภายใน 3 สัปดาห์หลังกลับจากการท่องเที่ยวป่า ขอให้รีบพบแพทย์ และแจ้งประวัติการท่องเที่ยวด้วย ด้านนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่า โรคสครับไทฟัส (Scrub typhus) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่อยู่ในตัวไรอ่อน ซึ่งมีขนาดเล็กมาก และอาศัยอยู่ตามใบไม้ ใบหญ้า ใกล้กับพื้นดิน โดยไรอ่อนจะกระโดดเกาะตามเสื้อผ้าของคน และกัดผิวหนังที่สัมผัสกับเสื้อผ้า เช่น บริเวณรักแร้ ขาหนีบ รอบเอว หลังถูกไรอ่อนกัดประมาณ 10-12 วันหรือบางรายอาจนานถึง 3 สัปดาห์ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะที่ขมับและหน้าผาก มีไข้สูงตลอดเวลา หนาวสั่น ตาแดงคลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อยตัว อ่อนเพลีย และบริเวณที่ถูกกัดเป็นแผลบุ๋มสีดําคล้ายรอยไหม้จากบุหรี่จี้ (Eschar) พบผื่นแดงตามร่างกายและแขนขา แต่จะไม่คัน ผู้ป่วยบางรายอาจหายได้เอง แต่บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ เช่น ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองและสมองอักเสบ อาจทําให้เสียชีวิตได้ นายแพทย์สุวรรณชัยกล่าวต่อว่า ในการตั้งแคมป์ กางเต็นท์นอนในป่า ควรกางบริเวณโล่งเตียน หลีกเลี่ยงการนั่งและนอนบนพื้นหญ้า บริเวณพุ่มไม้ ป่าละเมาะ หรือหญ้าที่ขึ้นรก ควรสวมเสื้อผ้าให้มิดชิด เช่น เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว และทาโลชั่นกันยุงที่มีส่วนผสมของสาร DEET หรือใช้สมุนไพรทากันยุง ซึ่งสามารถป้องกันตัวไรอ่อนกัดได้ หลีกเลี่ยงการเข้าไปในบริเวณที่มีตัวไรอ่อนชุกชุม ไม่ว่าจะเป็นป่าโปร่ง ป่าละเมาะ บริเวณที่มีการปลูกป่าใหม่หรือตั้งรกรากใหม่ ทุ่งหญ้า ชายป่าหรือบริเวณต้นไม้ใหญ่ที่แสงแดดส่องไม่ถึง หลังออกจากป่าขอให้อาบน้ํา และนําเสื้อผ้าที่สวมใส่มาซักให้สะอาด ทั้งนี้ ข้อมูลจากสํานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม –26 พฤศจิกายน 2561พบผู้ป่วยโรคไข้รากสาดใหญ่ 8,773 ราย เสียชีวิต 4 ราย ************************************* 11 ธันวาคม 2561
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17429
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สานฝันกันต่อ ... หนุนคนไทยมีบ้าน
วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน 2561 ​สานฝันกันต่อ ... หนุนคนไทยมีบ้าน -- ต่อเนื่องกันอีกสัปดาห์ สําหรับมาตรการช่วยคนอยากมีบ้าน จากสัปดาห์ที่แล้วที่ให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา ผ่อนถูก ๆ กันยาว ๆ กับโครงการบ้านล้านหลัง ล่าสุดรัฐบาลอนุมัติโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ 2 ระยะที่ 1 ซึ่งมีบ้านหลายขนาด หลายราคา ให้ประชาชนมีบ้านสมใจ ดังนี้ 1.โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน เชิงสังคม มี 10 โครงการ กระจายอยู่ทั่วประเทศ คือ จ.ฉะเชิงเทรา สุพรรณบุรี นครนายก เพชรบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี ศรีสะเกษ สกลนคร ชุมพร และปัตตานี รูปแบบเป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และบ้านแถว ขนาด 2 ชั้น รวม 3,094 หน่วย ราคาขายต่อหน่วยประมาณ 650,000 – 850,000 บาท เหมาะกับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล มีรายได้ประมาณ 26,101 – 38,300 บาท/เดือน/ครัวเรือน 2) กลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ภูมิภาค มีรายได้ประมาณ 15,101 – 22,000 บาท/เดือน/ครัวเรือน 2.โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน เชิงพาณิชย์ มี 2 โครงการ คือ ทาวน์โฮม 2 ชั้น ที่ จ.สมุทรปราการ และบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ จ.ศรีสะเกษ รวม 271 หน่วย ราคาขายต่อหน่วยประมาณ 1.8 – 2.2 ล้านบาท เหมาะสําหรับผู้มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล มีรายได้ประมาณ 59,701 บาทขึ้นไป /เดือน/ครัวเรือน 2) กลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ภูมิภาค มีรายได้ประมาณ 34,701 บาทขึ้นไป /เดือน/ครัวเรือน ยังไม่หมดเท่านั้น...สําหรับผู้ที่มีรายได้น้อยกว่านั้น รัฐบาลมีโครงการอาคารเช่าสําหรับผู้มีรายได้น้อยที่โพไร่หวาน จ.เพชรบุรี โครงการนี้ ประกอบด้วยอาคารพักอาศัย สูง 4 ชั้น เป็นห้องพักขนาด 28 ตร.ม. รวม 246 หน่วย ออกแบบตามหลักการ Universal Design หรือ การออกแบบเพื่อคนทั้งมวล เพื่อรองรับการใช้ชีวิตของผู้พิการและผู้สูงอายุให้สะดวกสบายและปลอดภัย ราคาเช่าต่อห้องอยู่ที่ 1,700 บาท/เดือน เหมาะสําหรับผู้มีรายได้น้อยประมาณ 9,501 – 14,600 บาท/เดือน/ครัวเรือน นี่คือข่าวดีของคนที่กําลังสร้างเนื้อสร้างตัวที่รัฐจัดให้ เพื่อให้ทุกคนมีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน ทั้งหมดนี้ จะเริ่มก่อสร้างในปี 2562 – 2564 ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดสายด่วนการเคหะแห่งชาติ 1615 หรือ ที่เว็บไซต์ http://house.nha.co.th/ --------------------- ภาพ/ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สานฝันกันต่อ ... หนุนคนไทยมีบ้าน วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน 2561 ​สานฝันกันต่อ ... หนุนคนไทยมีบ้าน -- ต่อเนื่องกันอีกสัปดาห์ สําหรับมาตรการช่วยคนอยากมีบ้าน จากสัปดาห์ที่แล้วที่ให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา ผ่อนถูก ๆ กันยาว ๆ กับโครงการบ้านล้านหลัง ล่าสุดรัฐบาลอนุมัติโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ 2 ระยะที่ 1 ซึ่งมีบ้านหลายขนาด หลายราคา ให้ประชาชนมีบ้านสมใจ ดังนี้ 1.โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน เชิงสังคม มี 10 โครงการ กระจายอยู่ทั่วประเทศ คือ จ.ฉะเชิงเทรา สุพรรณบุรี นครนายก เพชรบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี ศรีสะเกษ สกลนคร ชุมพร และปัตตานี รูปแบบเป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และบ้านแถว ขนาด 2 ชั้น รวม 3,094 หน่วย ราคาขายต่อหน่วยประมาณ 650,000 – 850,000 บาท เหมาะกับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล มีรายได้ประมาณ 26,101 – 38,300 บาท/เดือน/ครัวเรือน 2) กลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ภูมิภาค มีรายได้ประมาณ 15,101 – 22,000 บาท/เดือน/ครัวเรือน 2.โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน เชิงพาณิชย์ มี 2 โครงการ คือ ทาวน์โฮม 2 ชั้น ที่ จ.สมุทรปราการ และบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ จ.ศรีสะเกษ รวม 271 หน่วย ราคาขายต่อหน่วยประมาณ 1.8 – 2.2 ล้านบาท เหมาะสําหรับผู้มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล มีรายได้ประมาณ 59,701 บาทขึ้นไป /เดือน/ครัวเรือน 2) กลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ภูมิภาค มีรายได้ประมาณ 34,701 บาทขึ้นไป /เดือน/ครัวเรือน ยังไม่หมดเท่านั้น...สําหรับผู้ที่มีรายได้น้อยกว่านั้น รัฐบาลมีโครงการอาคารเช่าสําหรับผู้มีรายได้น้อยที่โพไร่หวาน จ.เพชรบุรี โครงการนี้ ประกอบด้วยอาคารพักอาศัย สูง 4 ชั้น เป็นห้องพักขนาด 28 ตร.ม. รวม 246 หน่วย ออกแบบตามหลักการ Universal Design หรือ การออกแบบเพื่อคนทั้งมวล เพื่อรองรับการใช้ชีวิตของผู้พิการและผู้สูงอายุให้สะดวกสบายและปลอดภัย ราคาเช่าต่อห้องอยู่ที่ 1,700 บาท/เดือน เหมาะสําหรับผู้มีรายได้น้อยประมาณ 9,501 – 14,600 บาท/เดือน/ครัวเรือน นี่คือข่าวดีของคนที่กําลังสร้างเนื้อสร้างตัวที่รัฐจัดให้ เพื่อให้ทุกคนมีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน ทั้งหมดนี้ จะเริ่มก่อสร้างในปี 2562 – 2564 ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดสายด่วนการเคหะแห่งชาติ 1615 หรือ ที่เว็บไซต์ http://house.nha.co.th/ --------------------- ภาพ/ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17146
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.เกษตรฯ ตรวจเยี่ยมสหกรณ์การเกษตรคลองหลวง พร้อมมอบเครื่องอบลดความชื้นข้าวเปลือก
วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2562 รมช.เกษตรฯ ตรวจเยี่ยมสหกรณ์การเกษตรคลองหลวง พร้อมมอบเครื่องอบลดความชื้นข้าวเปลือก รมช.เกษตรฯ ตรวจเยี่ยมสหกรณ์การเกษตรคลองหลวง พร้อมมอบเครื่องอบลดความชื้นข้าวเปลือก หวังยกระดับเพิ่มมูลค่าสินค้าข้าว รมช.เกษตรฯตรวจเยี่ยมสหกรณ์การเกษตรคลองหลวงพร้อมมอบเครื่องอบลดความชื้นข้าวเปลือกหวังยกระดับเพิ่มมูลค่าสินค้าข้าว นางสาวมนัญญาไทยเศรษฐ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้ความสําคัญกับภาคเกษตรโดยมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้มีอาชีพที่มั่นคงและมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นซึ่งจากการที่เกษตรกรประสบปัญหาด้านการผลิตและผลผลิตมีราคาตกต่ําโดยเฉพาะช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวจะมีผลผลิตออกมาพร้อมกันเป็นจํานวนมากและผลผลิตมีความชื้นสูงเนื่องจากไม่มีที่จัดเก็บไม่มีลานตากไม่มีการลดความชื้นหรือเครื่องอบลดความชื้นจึงจําเป็นต้องเร่งขายผลผลิตทั้งๆที่มีความชื้นสูง จึงถูกตัดราคาลงส่งผลให้เกษตรกรขายได้ราคาที่ต่ํา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงเล็งเห็นว่าในช่วงระยะเวลาที่ผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันนั้นทําให้เกิดปริมาณผลผลิตเกินความต้องการของตลาดเกษตรกรได้รับความเดือนร้อนผลผลิตตกต่ํารัฐต้องเข้าไปแทรกแซงราคาหรือหามาตรการที่หลากหลายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสและต่อยอดการพัฒนาศักยภาพการรวบรวมของสถาบันเกษตรกรให้เพิ่มมากขึ้นดังนั้นกระทรวงเกษตรฯโดยกรมส่งเสริมสหกรณ์จึงสนับสนุนปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์อื่นที่จําเป็นเพื่อการรวบรวมการเก็บรักษาและสร้างเสถียรภาพด้านราคาในสินค้าข้าวให้กับสหกรณ์การเกษตรคลองหลวงจํากัดโดยสนับสนุนเครื่องอบลดความชื้นข้าวเปลือกพร้อมโรงคลุมขนาด400ตัน/วันตามโครงการพัฒนาสถาบันเกษตรกรจัดเก็บพืชผลทางการเกษตรกรตามนโยบายของรัฐบาลจํานวน27ล้านบาทสหกรณ์สมทบอีกจํานวน15.50ล้านบาท42,500,000บาทซึ่งได้ทําพิธีเปิดในวันนี้ณสหกรณ์การเกษตรคลองหลวงจํากัดอําเภอคลองหลวงจังหวัดปทุมธานีซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าของผลผลิตและช่วยลดต้นทุนการผลิตข้าวสามารถยกระดับราคาสินค้าข้าวสร้างความมั่นใจในระบบการผลิตและระบบการตลาดให้แก่สมาชิกและเกษตรกรทั่วไปได้ สําหรับสหกรณ์การเกษตรคลองหลวงจํากัดได้ดําเนินการช่วยเหลือสมาชิกและเกษตรกรในพื้นที่อําเภอคลองหลวงและพื้นที่ใกล้เคียงในการรับซื้อข้าวเปลือกตามคุณภาพและราคาตลาดช่วยเหลือสมาชิกในการลดต้นทุนการผลิตโดยใช้เครื่องอบลดความชื้นข้าวเปลือกเพื่อเพิ่มมูลค่าและการช่วยเหลือสมาชิกในด้านปัจจัยการผลิตต่างๆนอกจากนี้สหกรณ์แห่งนี้จะพัฒนาศักยภาพยกระดับเป็นศูนย์กลางการรับซื้อข้าวเปลือกในอนาคตซึ่งต้องมีอุปกรณ์การตลาดรองรับศักยภาพของสหกรณ์อีกทั้งสมาชิกสหกรณ์บางส่วนมีผลผลิตผักปลอดสารและต้องการนําผลผลิตมาจําหน่ายในซุปเปอร์มาเก็ตของสหกรณ์ปัจจุบันสหกรณ์การเกษตรคลองหลวงมีสมาชิก1,564คนถือเป็นศูนย์ธุรกิจและตลาดกลางผลิตผลการเกษตรสหกรณ์การเกษตรซึ่งประกอบด้วยโกดังสินค้าเกษตรโรงสีข้าวโรงงานปรับปรุงคุณภาพข้าวสารลานตากข้าวฉางเครื่องชั่งรถบรรทุกปั๊มน้ํามันเป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.เกษตรฯ ตรวจเยี่ยมสหกรณ์การเกษตรคลองหลวง พร้อมมอบเครื่องอบลดความชื้นข้าวเปลือก วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2562 รมช.เกษตรฯ ตรวจเยี่ยมสหกรณ์การเกษตรคลองหลวง พร้อมมอบเครื่องอบลดความชื้นข้าวเปลือก รมช.เกษตรฯ ตรวจเยี่ยมสหกรณ์การเกษตรคลองหลวง พร้อมมอบเครื่องอบลดความชื้นข้าวเปลือก หวังยกระดับเพิ่มมูลค่าสินค้าข้าว รมช.เกษตรฯตรวจเยี่ยมสหกรณ์การเกษตรคลองหลวงพร้อมมอบเครื่องอบลดความชื้นข้าวเปลือกหวังยกระดับเพิ่มมูลค่าสินค้าข้าว นางสาวมนัญญาไทยเศรษฐ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้ความสําคัญกับภาคเกษตรโดยมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้มีอาชีพที่มั่นคงและมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นซึ่งจากการที่เกษตรกรประสบปัญหาด้านการผลิตและผลผลิตมีราคาตกต่ําโดยเฉพาะช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวจะมีผลผลิตออกมาพร้อมกันเป็นจํานวนมากและผลผลิตมีความชื้นสูงเนื่องจากไม่มีที่จัดเก็บไม่มีลานตากไม่มีการลดความชื้นหรือเครื่องอบลดความชื้นจึงจําเป็นต้องเร่งขายผลผลิตทั้งๆที่มีความชื้นสูง จึงถูกตัดราคาลงส่งผลให้เกษตรกรขายได้ราคาที่ต่ํา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงเล็งเห็นว่าในช่วงระยะเวลาที่ผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันนั้นทําให้เกิดปริมาณผลผลิตเกินความต้องการของตลาดเกษตรกรได้รับความเดือนร้อนผลผลิตตกต่ํารัฐต้องเข้าไปแทรกแซงราคาหรือหามาตรการที่หลากหลายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสและต่อยอดการพัฒนาศักยภาพการรวบรวมของสถาบันเกษตรกรให้เพิ่มมากขึ้นดังนั้นกระทรวงเกษตรฯโดยกรมส่งเสริมสหกรณ์จึงสนับสนุนปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์อื่นที่จําเป็นเพื่อการรวบรวมการเก็บรักษาและสร้างเสถียรภาพด้านราคาในสินค้าข้าวให้กับสหกรณ์การเกษตรคลองหลวงจํากัดโดยสนับสนุนเครื่องอบลดความชื้นข้าวเปลือกพร้อมโรงคลุมขนาด400ตัน/วันตามโครงการพัฒนาสถาบันเกษตรกรจัดเก็บพืชผลทางการเกษตรกรตามนโยบายของรัฐบาลจํานวน27ล้านบาทสหกรณ์สมทบอีกจํานวน15.50ล้านบาท42,500,000บาทซึ่งได้ทําพิธีเปิดในวันนี้ณสหกรณ์การเกษตรคลองหลวงจํากัดอําเภอคลองหลวงจังหวัดปทุมธานีซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าของผลผลิตและช่วยลดต้นทุนการผลิตข้าวสามารถยกระดับราคาสินค้าข้าวสร้างความมั่นใจในระบบการผลิตและระบบการตลาดให้แก่สมาชิกและเกษตรกรทั่วไปได้ สําหรับสหกรณ์การเกษตรคลองหลวงจํากัดได้ดําเนินการช่วยเหลือสมาชิกและเกษตรกรในพื้นที่อําเภอคลองหลวงและพื้นที่ใกล้เคียงในการรับซื้อข้าวเปลือกตามคุณภาพและราคาตลาดช่วยเหลือสมาชิกในการลดต้นทุนการผลิตโดยใช้เครื่องอบลดความชื้นข้าวเปลือกเพื่อเพิ่มมูลค่าและการช่วยเหลือสมาชิกในด้านปัจจัยการผลิตต่างๆนอกจากนี้สหกรณ์แห่งนี้จะพัฒนาศักยภาพยกระดับเป็นศูนย์กลางการรับซื้อข้าวเปลือกในอนาคตซึ่งต้องมีอุปกรณ์การตลาดรองรับศักยภาพของสหกรณ์อีกทั้งสมาชิกสหกรณ์บางส่วนมีผลผลิตผักปลอดสารและต้องการนําผลผลิตมาจําหน่ายในซุปเปอร์มาเก็ตของสหกรณ์ปัจจุบันสหกรณ์การเกษตรคลองหลวงมีสมาชิก1,564คนถือเป็นศูนย์ธุรกิจและตลาดกลางผลิตผลการเกษตรสหกรณ์การเกษตรซึ่งประกอบด้วยโกดังสินค้าเกษตรโรงสีข้าวโรงงานปรับปรุงคุณภาพข้าวสารลานตากข้าวฉางเครื่องชั่งรถบรรทุกปั๊มน้ํามันเป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24822
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อาจารย์ยักษ์" นำทีมข้าราชการกระทรวงเกษตรฯ ผนึกกำลัง “เปลี่ยนเปลือกให้เป็นปุ๋ย”
วันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2561 "อาจารย์ยักษ์" นําทีมข้าราชการกระทรวงเกษตรฯ ผนึกกําลัง “เปลี่ยนเปลือกให้เป็นปุ๋ย” "อาจารย์ยักษ์" นําทีมข้าราชการกระทรวงเกษตรฯ ผนึกกําลัง “เปลี่ยนเปลือกให้เป็นปุ๋ย” ได้ประโยชน์ 3 ต่อ ลดปริมาณซังข้าวโพด- เพิ่มปุ๋ยอินทรีย์ - หยุดปัญหาหมอกควัน ​​ ดร.วิวัฒน์ศัลยกําธรรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นําทีมข้าราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และเครือข่ายประชารัฐจัดกิจกรรม“คืนชีวิตให้แจ่ม”ณอ.แม่แจ่มจ.เชียงใหม่นําศาสตร์ด้านการฟื้นฟูดินด้วยการ“ห่มดิน”โดยนําวัสดุอินทรีย์มาปกคลุมดินไว้เพื่อรักษาความชื้นในดินและเพิ่มอินทรียวัตถุพร้อมทั้งชักชวนเครือข่ายจิตอาสากว่า900คนนําข้าวโพดมาห่มดินราดด้วยน้ําหมักรสจืดได้ประโยชน์3ต่อปริมาณซังข้าวโพดเพิ่มปุ๋ยอินทรีย์หยุดปัญหาหมอกควันซึ่งสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า4พันล้านบาท(ข้อมูลจากม.เชียงใหม่) ​​ดร.วิวัฒน์ศัลยกําธรรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยว่า ​ปัญหาหมอกควันจากการเผาซังข้าวโพดเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นประจําในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งมาตรการที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมพัฒนาที่ดินดําเนินการในหลายปีที่ผ่านมาคือการลดปริมาณตอซังการประกาศ60วันห้ามเผาระหว่างวันที่20กุมภาพันธ์ถึง20เมษายนและมาตรการยั่งยืนโดยการเร่งจัดทําแผนยุทธศาสตร์จัดระเบียบพื้นที่ป่าไม้กับชุมชนโดยกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐและอีกแนวทางหนึ่งที่สําคัญคือการรณรงค์ให้เกษตรกรตระหนักถึงคุณค่าของ“ดิน”โมเดลดังกล่าวรู้จักกันในนาม“แม่แจ่มโมเดล” ​ ทั้งนี้ความสําเร็จของโครงการ“แม่แจ่มโมเดล”ในปี2559ถือเป็นครั้งแรกที่ฮอตสปอต(จุดวัดความร้อน)ที่แม่แจ่มต่ําที่สุดเป็นประวัติการณ์สามารถลดจุดความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้หรือฮอตสปอตลงไปได้กว่า90%จากที่เคยเกิดราว240จุดเหลือเพียง9จุด(ข้อมูลณวันที่29มีนาคม2559)สําหรับในปีนี้ได้ตั้งเป้าพัฒนา“คน”โดยกระบวนการ“เอามื้อสามัคคี”โดยการระดมจิตอาสาทุกภาคส่วนทั้งรัฐเอกชนประชาชนประชาสังคมศาสนาและสื่อมวลชนเข้าร่วมลงมือทําไปพร้อมๆกับการกระตุ้นให้กําลังใจโดยมุ่งปรับวิธีคิดของแกนนําชาวบ้านที่มีความสนใจและเยาวชนในระดับในโรงเรียนต้นแบบที่มีการจัดการเรียนการสอนเน้นการสร้างเสริมประสบการณ์ให้กับผู้เรียนให้เรียนรู้การปรับเปลี่ยนจากเกษตรเชิงเดี่ยวมาทําทฤษฎีใหม่ประยุกต์เป็นการบูรณาการศาสตร์ด้านต่างๆของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชลงปฏิบัติจริงในพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริง "ในหลวงรัชกาลที่9ทรงพระราชทานแนวพระราชดําริให้เราปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูกเนื่องจากป่าโดยธรรมชาติเพียงแค่ไม่เข้ามาเผาหรือมารุกรานก็จะฟื้นตัวได้โดยตนเองและเร็วกว่าการปลูกหลายเท่ากระทรวงเกษตรฯจึงสนับสนุนให้ประชาชนร่วมกันปลูกป่าในพื้นที่แม่แจ่มซึ่งเป็นพื้นที่ที่ใหญ่มากและน่าเป็นห่วงที่สุดมีการเผาป่าเผาซังข้าวโพดมากเกือบแสนตันอย่างไรก็ตามการที่จะให้ชาวบ้านหยุดเผาซังข้าวโพดนั่นคือต้องสนับสนุนให้ชาวบ้านมีอาชีพต้องมีพอกินพออยู่พอใช้โดยใช้ที่ดินของตนเก็บน้ําเก็บความสมบูรณ์ของดินเอาไว้ซึ่งกรมพัฒนาที่ดินจะเข้ามาให้คําแนะนําแก่เกษตรอย่างต่อเนื่องเพราะหากดินและน้ํามีความอุดมสมบูรณ์ก็จะทําให้ได้ผลผลิตสูงขายได้ราคาดีและน้ําก็จะไม่ท่วมในวันนี้จึงได้ชักชวนชาวบ้านมาร่วมกันสามัคคีในการเปลี่ยนเปลือกให้เป็นปุ๋ยโดยบูรณาการร่วมกับภาครัฐและหน่วยงานอื่นๆทั้งนี้สิ่งสําคัญอยู่ที่ความสามัคคีหากสามัคคีกันมากก็สามารถหยุดการเผาตอซังได้มากและหากหยุดที่นี่ได้ในส่วนพื้นที่อื่นๆก็ไม่น่าเป็นห่วงแล้ว"ดร.วิวัฒน์กล่าว ด้าน​​นายปราโมทย์ยาใจรองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดินกล่าวว่ากระทรวงเกษตรฯโดยกรมพัฒนาที่ดินได้รณรงค์ให้เกษตรกรนําซังข้าวโพดมาหมักทําปุ๋ยสูตรพระราชทานอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า5ปีได้รับการยอมรับจากเกษตรกรอย่างมากและเป็นแนวทางที่จะช่วยลดปัญหาภัยพิบัติหมอกควันเนื่องจากการเผาซังข้าวโพดประหยัดค่าขนส่งเพื่อนําซังข้าวโพดไปทิ้งเกษตรกรสามารถประยุกต์ใช้ต้นข้าวโพดที่เก็บผลผลิตแล้วหรือวัสดุอินทรีย์อื่นๆห่มคลุมดินราดรดด้วยน้ําหมักที่ทําจากวัสดุธรรมชาติรสจืดเช่นต้นกล้วยผักต่างๆกับสารเร่งซุปเปอร์พด. 2ของกรมพัฒนาที่ดินราดรดในอัตราส่วน1:200เพื่อเร่งอัตราการย่อยซังข้าวโพดให้เป็นปุ๋ยวิธีนี้จะช่วยฟื้นฟูดินได้จริง กิจกรรม“เปลี่ยนเปลือกให้เป็นปุ๋ย”เป็นกิจกรรมในโครงการคืนชีวิตให้แจ่มกิจกรรมที่2ต่อเนื่องจากโครงการเอามื้อจอบแรก–รักเธอเสมอดาวที่ดอยเสมอดาวจังหวัดน่านเพื่อให้ความรู้เกษตรกรและเครือข่ายผู้สนใจร่วมกันนําศาสตร์พระราชาที่ได้เรียนรู้ลงมือทําทันทีในพื้นที่โรงเรียนและขยายผลไปยังเกษตรกรผู้สนใจหวังสร้างการขยายผลทั่วประเทศเตรียมตั้งกลไกความร่วมมือทุกภาคส่วนในพื้นที่สานต่อแม่แจ่มโมเดลหยุดปัญหาการชะล้างหน้าดินและหมอกควันเป็นต้นแบบการจัดการดินด้วยศาสตร์พระราชาที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ​ ขณะที่ปัจจุบันปัญหาของพื้นที่ต้นน้ํายังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นที่อ.แม่แจ่มจ.เชียงใหม่ประสบกับปัญหาการพังทลายของหน้าดินและการสูญเสียหน้าดินสูงเนื่องจากภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูงชันนอกจากนั้นยังประสบกับปัญหาการกัดเซาะของน้ําและลมตามธรรมชาติการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างไม่เหมาะสมและขาดความรู้ความเข้าใจในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้อย่างถูกต้องจนเกิดการรุกล้ําพื้นที่ป่าเพื่อทําการเกษตรแบบเชิงเดี่ยวมากขึ้นผลกระทบที่เกิดจากการชะล้างพังทลายของหน้าดินได้แก่ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ไม่สามารถเพาะปลูกได้ดีเท่าเดิมเกิดร่องน้ําขึ้นเป็นจํานวนมากความชื้นในดินไม่สมดุลดินจะแห้งแล้งอย่างรวดเร็วทําให้ปริมาณจุลินทรีย์ในดินลดลงส่งผลทําให้ผลผลิตลดลงต้นทุนเพิ่มขึ้นจนถึงทําให้เกิดอุทกภัยอย่างร้ายแรงนํามาสู่การที่รัฐต้องชดเชยเงินเป็นจํานวนมากให้กับเกษตรกร ​ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์และสภาพแวดล้อมอีกประการคือปัญหาหมอกควันจากการเผาทําลายซังข้าวโพดซึ่งมีปริมาณเป็นจํานวนมากเฉพาะอําเภอแม่แจ่มพบว่ามีซังและเปลือกข้าวโพดรวมกันถึง9,000ตันผลกระทบเรื่องหมอกควันส่งผลถึงคุณภาพชีวิตของคนทั้งภูมิภาคและสภาพแวดล้อมโดยรวมของประเทศซึ่ง​พื้นที่อ.แม่แจ่มจ.เชียงใหม่เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มีความตะหนักถึงปัญหาดังกล่าวและพยายามหานาทางเพื่อแก้ไขและลดปัญหาดังกล่าวให้เบาบางลงจึงริเริ่มโครงการคืนชีวิตให้“แจ่ม”ซึ่งเป็นโครงการที่จะน้อมนําศาสตร์พระราชาชมาส่งเสริมและให้ความรู้เพื่อปลูกจิตสํานึกให้แก่ชุมชนทั้งเกษตรกรเยาวชนและคนในพื้นที่เพื่อให้คนอยู่กับป่าให้ป่าอยู่กับคนได้อย่างยั่งยืนเพื่อชีวิตที่เป็นสุขและสังคมที่น่าอยู่ยิ่งๆขึ้นไป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างพื้นที่ต้นแบบการทําพื้นที่ทฤษฎีใหม่ประยุกต์บนพื้นที่สูงเพื่อการบริหารจัดการดินน้ําป่าตามศาสตร์พระราชาการหยุดปัญหาหมอกควันและลดการพังทลายของหน้าดินด้วยหลักกสิกรรมธรรมชาติการประยุกต์ใช้ศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อเกิดประสิทธิภาพสูง สําหรับพื้นที่เป้าหมายคือบ้านสองธารต.บ้านทับอ.แม่แจ่มและโรงเรียนสาธิตชุมชนการเรียนรู้สมเด็จย่าบ้านดอยสันเกี๋ยงต.ช่างเคิ่งอ.แม่แจ่มจ.เชียงใหม่ส่วนกลุ่มเป้าหมายคือแกนนําชาวบ้านที่มีความสนใจจะปรับเปลี่ยนจากเกษตรเชิงเดี่ยวมาทําทฤษฎีใหม่ประยุกต์​และเยาวชนในระดับในโรงเรียนต้นแบบที่มีการจัดการเรียนการสอนแบบPBL (Project Base Learning)เน้นการสร้างเสริมประสบการณ์ให้กับผู้เรียนโดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมเอามื้อสามัคคีจํานวน​500คน กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อาจารย์ยักษ์" นำทีมข้าราชการกระทรวงเกษตรฯ ผนึกกำลัง “เปลี่ยนเปลือกให้เป็นปุ๋ย” วันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2561 "อาจารย์ยักษ์" นําทีมข้าราชการกระทรวงเกษตรฯ ผนึกกําลัง “เปลี่ยนเปลือกให้เป็นปุ๋ย” "อาจารย์ยักษ์" นําทีมข้าราชการกระทรวงเกษตรฯ ผนึกกําลัง “เปลี่ยนเปลือกให้เป็นปุ๋ย” ได้ประโยชน์ 3 ต่อ ลดปริมาณซังข้าวโพด- เพิ่มปุ๋ยอินทรีย์ - หยุดปัญหาหมอกควัน ​​ ดร.วิวัฒน์ศัลยกําธรรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นําทีมข้าราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และเครือข่ายประชารัฐจัดกิจกรรม“คืนชีวิตให้แจ่ม”ณอ.แม่แจ่มจ.เชียงใหม่นําศาสตร์ด้านการฟื้นฟูดินด้วยการ“ห่มดิน”โดยนําวัสดุอินทรีย์มาปกคลุมดินไว้เพื่อรักษาความชื้นในดินและเพิ่มอินทรียวัตถุพร้อมทั้งชักชวนเครือข่ายจิตอาสากว่า900คนนําข้าวโพดมาห่มดินราดด้วยน้ําหมักรสจืดได้ประโยชน์3ต่อปริมาณซังข้าวโพดเพิ่มปุ๋ยอินทรีย์หยุดปัญหาหมอกควันซึ่งสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า4พันล้านบาท(ข้อมูลจากม.เชียงใหม่) ​​ดร.วิวัฒน์ศัลยกําธรรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยว่า ​ปัญหาหมอกควันจากการเผาซังข้าวโพดเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นประจําในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งมาตรการที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมพัฒนาที่ดินดําเนินการในหลายปีที่ผ่านมาคือการลดปริมาณตอซังการประกาศ60วันห้ามเผาระหว่างวันที่20กุมภาพันธ์ถึง20เมษายนและมาตรการยั่งยืนโดยการเร่งจัดทําแผนยุทธศาสตร์จัดระเบียบพื้นที่ป่าไม้กับชุมชนโดยกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนตามกลไกประชารัฐและอีกแนวทางหนึ่งที่สําคัญคือการรณรงค์ให้เกษตรกรตระหนักถึงคุณค่าของ“ดิน”โมเดลดังกล่าวรู้จักกันในนาม“แม่แจ่มโมเดล” ​ ทั้งนี้ความสําเร็จของโครงการ“แม่แจ่มโมเดล”ในปี2559ถือเป็นครั้งแรกที่ฮอตสปอต(จุดวัดความร้อน)ที่แม่แจ่มต่ําที่สุดเป็นประวัติการณ์สามารถลดจุดความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้หรือฮอตสปอตลงไปได้กว่า90%จากที่เคยเกิดราว240จุดเหลือเพียง9จุด(ข้อมูลณวันที่29มีนาคม2559)สําหรับในปีนี้ได้ตั้งเป้าพัฒนา“คน”โดยกระบวนการ“เอามื้อสามัคคี”โดยการระดมจิตอาสาทุกภาคส่วนทั้งรัฐเอกชนประชาชนประชาสังคมศาสนาและสื่อมวลชนเข้าร่วมลงมือทําไปพร้อมๆกับการกระตุ้นให้กําลังใจโดยมุ่งปรับวิธีคิดของแกนนําชาวบ้านที่มีความสนใจและเยาวชนในระดับในโรงเรียนต้นแบบที่มีการจัดการเรียนการสอนเน้นการสร้างเสริมประสบการณ์ให้กับผู้เรียนให้เรียนรู้การปรับเปลี่ยนจากเกษตรเชิงเดี่ยวมาทําทฤษฎีใหม่ประยุกต์เป็นการบูรณาการศาสตร์ด้านต่างๆของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชลงปฏิบัติจริงในพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริง "ในหลวงรัชกาลที่9ทรงพระราชทานแนวพระราชดําริให้เราปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูกเนื่องจากป่าโดยธรรมชาติเพียงแค่ไม่เข้ามาเผาหรือมารุกรานก็จะฟื้นตัวได้โดยตนเองและเร็วกว่าการปลูกหลายเท่ากระทรวงเกษตรฯจึงสนับสนุนให้ประชาชนร่วมกันปลูกป่าในพื้นที่แม่แจ่มซึ่งเป็นพื้นที่ที่ใหญ่มากและน่าเป็นห่วงที่สุดมีการเผาป่าเผาซังข้าวโพดมากเกือบแสนตันอย่างไรก็ตามการที่จะให้ชาวบ้านหยุดเผาซังข้าวโพดนั่นคือต้องสนับสนุนให้ชาวบ้านมีอาชีพต้องมีพอกินพออยู่พอใช้โดยใช้ที่ดินของตนเก็บน้ําเก็บความสมบูรณ์ของดินเอาไว้ซึ่งกรมพัฒนาที่ดินจะเข้ามาให้คําแนะนําแก่เกษตรอย่างต่อเนื่องเพราะหากดินและน้ํามีความอุดมสมบูรณ์ก็จะทําให้ได้ผลผลิตสูงขายได้ราคาดีและน้ําก็จะไม่ท่วมในวันนี้จึงได้ชักชวนชาวบ้านมาร่วมกันสามัคคีในการเปลี่ยนเปลือกให้เป็นปุ๋ยโดยบูรณาการร่วมกับภาครัฐและหน่วยงานอื่นๆทั้งนี้สิ่งสําคัญอยู่ที่ความสามัคคีหากสามัคคีกันมากก็สามารถหยุดการเผาตอซังได้มากและหากหยุดที่นี่ได้ในส่วนพื้นที่อื่นๆก็ไม่น่าเป็นห่วงแล้ว"ดร.วิวัฒน์กล่าว ด้าน​​นายปราโมทย์ยาใจรองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดินกล่าวว่ากระทรวงเกษตรฯโดยกรมพัฒนาที่ดินได้รณรงค์ให้เกษตรกรนําซังข้าวโพดมาหมักทําปุ๋ยสูตรพระราชทานอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า5ปีได้รับการยอมรับจากเกษตรกรอย่างมากและเป็นแนวทางที่จะช่วยลดปัญหาภัยพิบัติหมอกควันเนื่องจากการเผาซังข้าวโพดประหยัดค่าขนส่งเพื่อนําซังข้าวโพดไปทิ้งเกษตรกรสามารถประยุกต์ใช้ต้นข้าวโพดที่เก็บผลผลิตแล้วหรือวัสดุอินทรีย์อื่นๆห่มคลุมดินราดรดด้วยน้ําหมักที่ทําจากวัสดุธรรมชาติรสจืดเช่นต้นกล้วยผักต่างๆกับสารเร่งซุปเปอร์พด. 2ของกรมพัฒนาที่ดินราดรดในอัตราส่วน1:200เพื่อเร่งอัตราการย่อยซังข้าวโพดให้เป็นปุ๋ยวิธีนี้จะช่วยฟื้นฟูดินได้จริง กิจกรรม“เปลี่ยนเปลือกให้เป็นปุ๋ย”เป็นกิจกรรมในโครงการคืนชีวิตให้แจ่มกิจกรรมที่2ต่อเนื่องจากโครงการเอามื้อจอบแรก–รักเธอเสมอดาวที่ดอยเสมอดาวจังหวัดน่านเพื่อให้ความรู้เกษตรกรและเครือข่ายผู้สนใจร่วมกันนําศาสตร์พระราชาที่ได้เรียนรู้ลงมือทําทันทีในพื้นที่โรงเรียนและขยายผลไปยังเกษตรกรผู้สนใจหวังสร้างการขยายผลทั่วประเทศเตรียมตั้งกลไกความร่วมมือทุกภาคส่วนในพื้นที่สานต่อแม่แจ่มโมเดลหยุดปัญหาการชะล้างหน้าดินและหมอกควันเป็นต้นแบบการจัดการดินด้วยศาสตร์พระราชาที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ​ ขณะที่ปัจจุบันปัญหาของพื้นที่ต้นน้ํายังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นที่อ.แม่แจ่มจ.เชียงใหม่ประสบกับปัญหาการพังทลายของหน้าดินและการสูญเสียหน้าดินสูงเนื่องจากภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูงชันนอกจากนั้นยังประสบกับปัญหาการกัดเซาะของน้ําและลมตามธรรมชาติการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างไม่เหมาะสมและขาดความรู้ความเข้าใจในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้อย่างถูกต้องจนเกิดการรุกล้ําพื้นที่ป่าเพื่อทําการเกษตรแบบเชิงเดี่ยวมากขึ้นผลกระทบที่เกิดจากการชะล้างพังทลายของหน้าดินได้แก่ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ไม่สามารถเพาะปลูกได้ดีเท่าเดิมเกิดร่องน้ําขึ้นเป็นจํานวนมากความชื้นในดินไม่สมดุลดินจะแห้งแล้งอย่างรวดเร็วทําให้ปริมาณจุลินทรีย์ในดินลดลงส่งผลทําให้ผลผลิตลดลงต้นทุนเพิ่มขึ้นจนถึงทําให้เกิดอุทกภัยอย่างร้ายแรงนํามาสู่การที่รัฐต้องชดเชยเงินเป็นจํานวนมากให้กับเกษตรกร ​ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์และสภาพแวดล้อมอีกประการคือปัญหาหมอกควันจากการเผาทําลายซังข้าวโพดซึ่งมีปริมาณเป็นจํานวนมากเฉพาะอําเภอแม่แจ่มพบว่ามีซังและเปลือกข้าวโพดรวมกันถึง9,000ตันผลกระทบเรื่องหมอกควันส่งผลถึงคุณภาพชีวิตของคนทั้งภูมิภาคและสภาพแวดล้อมโดยรวมของประเทศซึ่ง​พื้นที่อ.แม่แจ่มจ.เชียงใหม่เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มีความตะหนักถึงปัญหาดังกล่าวและพยายามหานาทางเพื่อแก้ไขและลดปัญหาดังกล่าวให้เบาบางลงจึงริเริ่มโครงการคืนชีวิตให้“แจ่ม”ซึ่งเป็นโครงการที่จะน้อมนําศาสตร์พระราชาชมาส่งเสริมและให้ความรู้เพื่อปลูกจิตสํานึกให้แก่ชุมชนทั้งเกษตรกรเยาวชนและคนในพื้นที่เพื่อให้คนอยู่กับป่าให้ป่าอยู่กับคนได้อย่างยั่งยืนเพื่อชีวิตที่เป็นสุขและสังคมที่น่าอยู่ยิ่งๆขึ้นไป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างพื้นที่ต้นแบบการทําพื้นที่ทฤษฎีใหม่ประยุกต์บนพื้นที่สูงเพื่อการบริหารจัดการดินน้ําป่าตามศาสตร์พระราชาการหยุดปัญหาหมอกควันและลดการพังทลายของหน้าดินด้วยหลักกสิกรรมธรรมชาติการประยุกต์ใช้ศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อเกิดประสิทธิภาพสูง สําหรับพื้นที่เป้าหมายคือบ้านสองธารต.บ้านทับอ.แม่แจ่มและโรงเรียนสาธิตชุมชนการเรียนรู้สมเด็จย่าบ้านดอยสันเกี๋ยงต.ช่างเคิ่งอ.แม่แจ่มจ.เชียงใหม่ส่วนกลุ่มเป้าหมายคือแกนนําชาวบ้านที่มีความสนใจจะปรับเปลี่ยนจากเกษตรเชิงเดี่ยวมาทําทฤษฎีใหม่ประยุกต์​และเยาวชนในระดับในโรงเรียนต้นแบบที่มีการจัดการเรียนการสอนแบบPBL (Project Base Learning)เน้นการสร้างเสริมประสบการณ์ให้กับผู้เรียนโดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมเอามื้อสามัคคีจํานวน​500คน กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 [email protected] www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9678
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” ขับเคลื่อนไทยนิยม ยั่งยืนผ่านกลไกความเข้มแข็งของยุติธรรมจังหวัด เพื่อนำความยุติธรรมให้แก่ประชาชนทั่วประเทศ
วันพุธที่ 18 เมษายน 2561 “ยุติธรรม” ขับเคลื่อนไทยนิยม ยั่งยืนผ่านกลไกความเข้มแข็งของยุติธรรมจังหวัด เพื่อนําความยุติธรรมให้แก่ประชาชนทั่วประเทศ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารเพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน กระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ ในวันอังคารที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหาร เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน กระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เพื่อรับทราบกลไกการขับเคลื่อนการทํางานโครงการไทยนิยม ยั่งยืนของกระทรวงยุติธรรมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตามกรอบหลักในการดําเนินงานที่แยกเป็นด้านเศรษฐกิจและสังคมกับด้านมั่นคง ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๖มกราคม ๒๕๖๑ มอบหมายให้ทุกส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการขับเคลื่อนการทํางานในระดับพื้นที่ตามแนวทางประชารัฐ เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างยั่งยืนในทุกด้าน โอกาสนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้มอบหมายให้สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม โดยสํานักนโยบายและยุทธศาสตร์ และส่วนนโยบายและยุทธศาสตร์ยุติธรรมชุมชนและยุติธรรมจังหวัด (สชจ.) กําหนดกรอบขั้นตอนการพัฒนาสมรรถนะในรูปแบบของโครงการ เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจในเรื่องโครงการไทยนิยม ยั่งยืน และเพิ่มศักยภาพให้แก่บุคลากรในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยเฉพาะยุติธรรมจังหวัดเพื่อจะได้สามารถวิเคราะห์สภาพปัญหาที่เกิดขึ้น และหาแนวทางการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ได้อย่างตรงจุด รวมทั้งพัฒนาทักษะของยุติธรรมชุมชนให้สามารถเชื่อมโยงการให้ความช่วยเหลือประชาชนร่วมกับยุติธรรมจังหวัด เพื่อเป็นกลไกของกระทรวงยุติธรรมในการสนับสนุนการดําเนินงานบําบัดทุกข์ บํารุงสุข และแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนได้ นอกจากนี้ ได้กําหนดพื้นที่ต้นแบบโครงการไทยนิยม ยั่งยืน กระทรวงยุติธรรม ใน ๖จังหวัดทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ประกอบด้วย จังหวัดพิษณุโลก พระนครศรีอยุธยา จันทบุรี กาฬสินธุ์ สงขลา และนราธิวาส รวมทั้งมอบหมายให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพลงพื้นที่ร่วมกับกรุงเทพมหานคร เพื่อสนับสนุน วิเคราะห์สภาพปัญหา และเปิดรับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนในพื้นที่ ๕๐ เขต พร้อมทั้งกําชับให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมติดตามและรายงานผลการดําเนินงานให้ทราบอย่างต่อเนื่อง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” ขับเคลื่อนไทยนิยม ยั่งยืนผ่านกลไกความเข้มแข็งของยุติธรรมจังหวัด เพื่อนำความยุติธรรมให้แก่ประชาชนทั่วประเทศ วันพุธที่ 18 เมษายน 2561 “ยุติธรรม” ขับเคลื่อนไทยนิยม ยั่งยืนผ่านกลไกความเข้มแข็งของยุติธรรมจังหวัด เพื่อนําความยุติธรรมให้แก่ประชาชนทั่วประเทศ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารเพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน กระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ ในวันอังคารที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหาร เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน กระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เพื่อรับทราบกลไกการขับเคลื่อนการทํางานโครงการไทยนิยม ยั่งยืนของกระทรวงยุติธรรมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตามกรอบหลักในการดําเนินงานที่แยกเป็นด้านเศรษฐกิจและสังคมกับด้านมั่นคง ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๖มกราคม ๒๕๖๑ มอบหมายให้ทุกส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการขับเคลื่อนการทํางานในระดับพื้นที่ตามแนวทางประชารัฐ เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างยั่งยืนในทุกด้าน โอกาสนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้มอบหมายให้สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม โดยสํานักนโยบายและยุทธศาสตร์ และส่วนนโยบายและยุทธศาสตร์ยุติธรรมชุมชนและยุติธรรมจังหวัด (สชจ.) กําหนดกรอบขั้นตอนการพัฒนาสมรรถนะในรูปแบบของโครงการ เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจในเรื่องโครงการไทยนิยม ยั่งยืน และเพิ่มศักยภาพให้แก่บุคลากรในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยเฉพาะยุติธรรมจังหวัดเพื่อจะได้สามารถวิเคราะห์สภาพปัญหาที่เกิดขึ้น และหาแนวทางการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ได้อย่างตรงจุด รวมทั้งพัฒนาทักษะของยุติธรรมชุมชนให้สามารถเชื่อมโยงการให้ความช่วยเหลือประชาชนร่วมกับยุติธรรมจังหวัด เพื่อเป็นกลไกของกระทรวงยุติธรรมในการสนับสนุนการดําเนินงานบําบัดทุกข์ บํารุงสุข และแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนได้ นอกจากนี้ ได้กําหนดพื้นที่ต้นแบบโครงการไทยนิยม ยั่งยืน กระทรวงยุติธรรม ใน ๖จังหวัดทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ประกอบด้วย จังหวัดพิษณุโลก พระนครศรีอยุธยา จันทบุรี กาฬสินธุ์ สงขลา และนราธิวาส รวมทั้งมอบหมายให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพลงพื้นที่ร่วมกับกรุงเทพมหานคร เพื่อสนับสนุน วิเคราะห์สภาพปัญหา และเปิดรับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนในพื้นที่ ๕๐ เขต พร้อมทั้งกําชับให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมติดตามและรายงานผลการดําเนินงานให้ทราบอย่างต่อเนื่อง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11547
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ พร้อมพบปะให้กำลังใจประชาชนชาว จ.นครศรีธรรมราช
วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2560 นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการประตูระบายน้ําอุทกวิภาชประสิทธิ พร้อมพบปะให้กําลังใจประชาชนชาว จ.นครศรีธรรมราช นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมพื้นที่โครงการประตูระบายน้ําอุทกวิภาชประสิทธิ ให้กําลังใจชาวนครศรีธรรมราช เผยห่วงใยสภาวะฝนตกหนักหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ย้ําให้ทุกหน่วยงานร่วมกันดูแลช่วยเหลือประชาชนอย่างดีที่สุดทันที วันนี้ (3 พ.ย. 60) เวลา 13.00 น. ณ ศูนย์ประสานการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ําปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการประตูระบายน้ําอุทกวิภาชประสิทธิ พร้อมพบปะประชาชน โดยมีนายจําเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง นักเรียนและประชาชนมารอให้การต้อนรับ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบเรือท้องแบน จํานวน15 ลํา มอบผ้าห่มให้ผู้สูงอายุ และมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนโรงเรียนเทศบาลในอําเภอปากพนัง จํานวน 100 ทุน รวมเป็นเงิน 100,000 บาท พร้อมกล่าวว่า การลงพื้นที่มาในวันนี้เพื่อมาเยี่ยมเยียนและให้กําลังใจพี่น้องประชาชน ซึ่งรัฐบาลต้องดูแลประชาชน 70 ล้านคน จะทําอย่างเต็มที่แต่ประเทศไทยมี 77 จังหวัด เราต้องแก้ปัญหาทั้งหมดไม่ว่าเรื่องเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และปัญหาความเดือดร้อนต่าง ๆ พร้อมนําพระราชกระแสความห่วงใยจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ที่ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้ช่วยเหลือประชาชนโดยเร็วที่สุด โดยขอให้มีการจัดทําแผนฟื้นฟูเยียวยาให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัย ซึ่งปัญหาอุทกภัยในปี 60 มีปริมาณน้ําที่ใกล้เคียงกับปี 54 ถือว่าไม่รุนแรงมากนัก ซึ่งการบริหารจัดการน้ํารัฐบาลได้ดําเนินการและแก้ปัญหาอย่างดีที่สุด โดยเน้นย้ําที่ประชาชนมากที่สุด เพราะประชาชนสําคัญ โดยขอให้มองที่ภาพรวมทั้งหมดของประเทศ และจะได้แก้ปัญหาแบบบูรณาการในภาพรวมร่วมกัน อีกทั้งขอให้ทุกภาคส่วนร่วมกันทําความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ให้ทราบถึงเหตุผลและความจําเป็น ที่บางครั้งจําเป็นต้องมีการระบายน้ําออกมาบ้างเป็นเวลา เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนที่ผ่านมา และต้องขอขอบคุณประชาชนที่เดือดร้อนเสียสละให้เป็นพื้นที่เก็บกักน้ํา ซึ่งรัฐบาลและหน่วยงานต่าง ๆ ต้องเร่งสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนว่าอาจจะมีพื้นที่ใดบ้างเป็นพื้นที่แก้มลิง โดยใช้แนวทางพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มาประยุกต์ใช้ตามศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ต้องอธิบายให้เข้าใจ ต้องมีการเรียนรู้ ซึ่งรัฐบาลก็เข้ามาดําเนินการในกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ําปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงทราบถึงความเดือดร้อนของราษฎรในพื้นที่ และมีพระราชดําริให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่อย่างต่อเนื่องยาวนานมาโดยลําดับถึง 13 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2521 จนเกิดมาเป็นโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ําปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดําริ โดยมีโครงการประตูระบายน้ําอุทกวิภาชประสิทธิ หรือที่เรียกว่า เขื่อนปากพนัง เป็นส่วนสําคัญของโครงการ โดยพระองค์ได้พระราชทานแนวพระราชดําริให้หาทางทางพิจารณาแก้ปัญหาทั้งน้ําท่วม น้ําแล้ง น้ําเค็ม ซึ่งการก่อสร้างประตูระบายน้ําดังกล่าว มีระบบการระบายน้ํา ระบบกักเก็บน้ํา และระบบส่งน้ําอื่น ๆ เพื่อป้องกันการรุกล้ําของน้ําเค็มไม่ให้เข้าไปทําลายพื้นที่การเกษตร อีกทั้งยังมีแหล่งเก็บกักน้ําจืดและลําน้ําสาขาไว้เพื่อการอุปโภคบริโภค เพื่อการเพาะปลูก และยังช่วยบรรเทาเรื่องปัญหาอุทกภัย ซึ่งเป็นปัญหาสําคัญของลุ่มน้ําปากพนังที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูฝน เนื่องจากมีปริมาณฝนตกมาก แต่พื้นที่ลุ่มน้ําเป็นพื้นที่ลุ่มราบเรียบ มีความลาดชันน้อย ประกอบกับภาวะอุทกภัยมักจะเกิดในช่วงน้ําทะเลหนุนสูง ทําให้ไม่สามารถระบายน้ําออกสู่ทะเล ซึ่งทําความเสียหายให้แก่พื้นที่เพาะปลูกและพื้นที่ชุมชนเมืองเป็นบริเวณกว้างขวาง ดังนั้น จึงได้มีโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ําปากพนังเพื่อช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความห่วงใยต่อสภาวะฝนตกหนักในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ที่ได้สร้างเสียหายและความเดือดร้อนให้กับประชาชน โดยขอให้ทุกหน่วยงานร่วมกันดูแลช่วยเหลือประชาชนอย่างดีที่สุดโดยทันที เพื่อไม่เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน และขอให้ทุกหน่วยงานเข้าคลี่คลายสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะเยี่ยมชมนิทรรศการโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืน และเยี่ยมชมสินค้า Otop ของ 23 จังหวัด ----------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ พร้อมพบปะให้กำลังใจประชาชนชาว จ.นครศรีธรรมราช วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2560 นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการประตูระบายน้ําอุทกวิภาชประสิทธิ พร้อมพบปะให้กําลังใจประชาชนชาว จ.นครศรีธรรมราช นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมพื้นที่โครงการประตูระบายน้ําอุทกวิภาชประสิทธิ ให้กําลังใจชาวนครศรีธรรมราช เผยห่วงใยสภาวะฝนตกหนักหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ย้ําให้ทุกหน่วยงานร่วมกันดูแลช่วยเหลือประชาชนอย่างดีที่สุดทันที วันนี้ (3 พ.ย. 60) เวลา 13.00 น. ณ ศูนย์ประสานการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ําปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการประตูระบายน้ําอุทกวิภาชประสิทธิ พร้อมพบปะประชาชน โดยมีนายจําเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง นักเรียนและประชาชนมารอให้การต้อนรับ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบเรือท้องแบน จํานวน15 ลํา มอบผ้าห่มให้ผู้สูงอายุ และมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนโรงเรียนเทศบาลในอําเภอปากพนัง จํานวน 100 ทุน รวมเป็นเงิน 100,000 บาท พร้อมกล่าวว่า การลงพื้นที่มาในวันนี้เพื่อมาเยี่ยมเยียนและให้กําลังใจพี่น้องประชาชน ซึ่งรัฐบาลต้องดูแลประชาชน 70 ล้านคน จะทําอย่างเต็มที่แต่ประเทศไทยมี 77 จังหวัด เราต้องแก้ปัญหาทั้งหมดไม่ว่าเรื่องเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และปัญหาความเดือดร้อนต่าง ๆ พร้อมนําพระราชกระแสความห่วงใยจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ที่ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้ช่วยเหลือประชาชนโดยเร็วที่สุด โดยขอให้มีการจัดทําแผนฟื้นฟูเยียวยาให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัย ซึ่งปัญหาอุทกภัยในปี 60 มีปริมาณน้ําที่ใกล้เคียงกับปี 54 ถือว่าไม่รุนแรงมากนัก ซึ่งการบริหารจัดการน้ํารัฐบาลได้ดําเนินการและแก้ปัญหาอย่างดีที่สุด โดยเน้นย้ําที่ประชาชนมากที่สุด เพราะประชาชนสําคัญ โดยขอให้มองที่ภาพรวมทั้งหมดของประเทศ และจะได้แก้ปัญหาแบบบูรณาการในภาพรวมร่วมกัน อีกทั้งขอให้ทุกภาคส่วนร่วมกันทําความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ให้ทราบถึงเหตุผลและความจําเป็น ที่บางครั้งจําเป็นต้องมีการระบายน้ําออกมาบ้างเป็นเวลา เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนที่ผ่านมา และต้องขอขอบคุณประชาชนที่เดือดร้อนเสียสละให้เป็นพื้นที่เก็บกักน้ํา ซึ่งรัฐบาลและหน่วยงานต่าง ๆ ต้องเร่งสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนว่าอาจจะมีพื้นที่ใดบ้างเป็นพื้นที่แก้มลิง โดยใช้แนวทางพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มาประยุกต์ใช้ตามศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ต้องอธิบายให้เข้าใจ ต้องมีการเรียนรู้ ซึ่งรัฐบาลก็เข้ามาดําเนินการในกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ําปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงทราบถึงความเดือดร้อนของราษฎรในพื้นที่ และมีพระราชดําริให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่อย่างต่อเนื่องยาวนานมาโดยลําดับถึง 13 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2521 จนเกิดมาเป็นโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ําปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดําริ โดยมีโครงการประตูระบายน้ําอุทกวิภาชประสิทธิ หรือที่เรียกว่า เขื่อนปากพนัง เป็นส่วนสําคัญของโครงการ โดยพระองค์ได้พระราชทานแนวพระราชดําริให้หาทางทางพิจารณาแก้ปัญหาทั้งน้ําท่วม น้ําแล้ง น้ําเค็ม ซึ่งการก่อสร้างประตูระบายน้ําดังกล่าว มีระบบการระบายน้ํา ระบบกักเก็บน้ํา และระบบส่งน้ําอื่น ๆ เพื่อป้องกันการรุกล้ําของน้ําเค็มไม่ให้เข้าไปทําลายพื้นที่การเกษตร อีกทั้งยังมีแหล่งเก็บกักน้ําจืดและลําน้ําสาขาไว้เพื่อการอุปโภคบริโภค เพื่อการเพาะปลูก และยังช่วยบรรเทาเรื่องปัญหาอุทกภัย ซึ่งเป็นปัญหาสําคัญของลุ่มน้ําปากพนังที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูฝน เนื่องจากมีปริมาณฝนตกมาก แต่พื้นที่ลุ่มน้ําเป็นพื้นที่ลุ่มราบเรียบ มีความลาดชันน้อย ประกอบกับภาวะอุทกภัยมักจะเกิดในช่วงน้ําทะเลหนุนสูง ทําให้ไม่สามารถระบายน้ําออกสู่ทะเล ซึ่งทําความเสียหายให้แก่พื้นที่เพาะปลูกและพื้นที่ชุมชนเมืองเป็นบริเวณกว้างขวาง ดังนั้น จึงได้มีโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ําปากพนังเพื่อช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความห่วงใยต่อสภาวะฝนตกหนักในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ที่ได้สร้างเสียหายและความเดือดร้อนให้กับประชาชน โดยขอให้ทุกหน่วยงานร่วมกันดูแลช่วยเหลือประชาชนอย่างดีที่สุดโดยทันที เพื่อไม่เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน และขอให้ทุกหน่วยงานเข้าคลี่คลายสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะเยี่ยมชมนิทรรศการโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืน และเยี่ยมชมสินค้า Otop ของ 23 จังหวัด ----------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7789
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม พัฒนาศักยภาพศูนย์ยุติธรรมชุมชน รุ่นที่ ๗
วันศุกร์ที่ 27 เมษายน 2561 กระทรวงยุติธรรม พัฒนาศักยภาพศูนย์ยุติธรรมชุมชน รุ่นที่ ๗ นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีปิดและมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้ผ่านการอบรมโครงการอบรมคณะกรรมการศูนย์ยุติธรรมชุมชน รุ่นที่ ๗ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๑ ณ โรงแรมหรรษา เจบี หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีปิดและมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้ผ่านการอบรมโครงการอบรมคณะกรรมการ ศูนย์ยุติธรรมชุมชน รุ่นที่ ๗ ระหว่างวันที่ ๒๔ – ๒๖ เมษายน ๒๕๖๑ พร้อมกันนี้ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ "ยุติธรรมชุมชน พลังประชาชน" โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า การแก้ปัญหาคนล้นคุก ซึ่งส่วนใหญ่คือคดียาเสพติด จําเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนในชุมชน ในการเฝ้าระวังปัญหายาเสพติดในชุมชน และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการฟื้นฟูผู้พ้นโทษ การนําภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม เช่น การเฝ้าระวังการเกิดปัญหาอาชญากรรมในชุมชน การเฝ้าระวังและดูแลช่วยเหลือกลุ่มเสี่ยง เพื่อให้การดําเนินงานด้านกระบวนการยุติธรรมมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ หากประชาชนมีปัญหาไม่ได้รับความยุติธรรม หรือผู้ตกเป็นผู้เสียหายหรือผู้ต้องหา สํานักงานยุติธรรมจังหวัดทุกจังหวัด และกองทุนยุติธรรม จะรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ ให้คําปรึกษาด้านกฎหมาย รวมทั้งให้ความช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้น เพื่อลดความเหลื่อมล้ําของประชาชนในสังคม สํานักงานยุติธรรมจังหวัดและหน่วยงานในพื้นที่ จึงต้องบูรณาการการทํางานผ่านกลไก กพยจ. เพื่อเชื่อมโยงฐานข้อมูลและส่งต่องาน เพื่ออํานวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน โดยคํานึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสําคัญ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม พัฒนาศักยภาพศูนย์ยุติธรรมชุมชน รุ่นที่ ๗ วันศุกร์ที่ 27 เมษายน 2561 กระทรวงยุติธรรม พัฒนาศักยภาพศูนย์ยุติธรรมชุมชน รุ่นที่ ๗ นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีปิดและมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้ผ่านการอบรมโครงการอบรมคณะกรรมการศูนย์ยุติธรรมชุมชน รุ่นที่ ๗ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๑ ณ โรงแรมหรรษา เจบี หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีปิดและมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้ผ่านการอบรมโครงการอบรมคณะกรรมการ ศูนย์ยุติธรรมชุมชน รุ่นที่ ๗ ระหว่างวันที่ ๒๔ – ๒๖ เมษายน ๒๕๖๑ พร้อมกันนี้ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ "ยุติธรรมชุมชน พลังประชาชน" โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า การแก้ปัญหาคนล้นคุก ซึ่งส่วนใหญ่คือคดียาเสพติด จําเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนในชุมชน ในการเฝ้าระวังปัญหายาเสพติดในชุมชน และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการฟื้นฟูผู้พ้นโทษ การนําภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม เช่น การเฝ้าระวังการเกิดปัญหาอาชญากรรมในชุมชน การเฝ้าระวังและดูแลช่วยเหลือกลุ่มเสี่ยง เพื่อให้การดําเนินงานด้านกระบวนการยุติธรรมมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ หากประชาชนมีปัญหาไม่ได้รับความยุติธรรม หรือผู้ตกเป็นผู้เสียหายหรือผู้ต้องหา สํานักงานยุติธรรมจังหวัดทุกจังหวัด และกองทุนยุติธรรม จะรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ ให้คําปรึกษาด้านกฎหมาย รวมทั้งให้ความช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้น เพื่อลดความเหลื่อมล้ําของประชาชนในสังคม สํานักงานยุติธรรมจังหวัดและหน่วยงานในพื้นที่ จึงต้องบูรณาการการทํางานผ่านกลไก กพยจ. เพื่อเชื่อมโยงฐานข้อมูลและส่งต่องาน เพื่ออํานวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน โดยคํานึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสําคัญ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11820
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. เตือนเกษตรกรแบ่งเงินออมเมื่อมีรายได้
วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2560 กอช. เตือนเกษตรกรแบ่งเงินออมเมื่อมีรายได้ กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เตือนเกษตรกรเร่งออมเมื่อมีรายได้ ย้ําการออมเพื่อเป็นหลักประกันยามชราเป็นเรื่องจําเป็น นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. กล่าวว่า ปัจจุบันกองทุนการออมแห่งชาติมีจํานวนสมาชิก 532,000 ราย กว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดประกอบอาชีพเกษตรกร คิดเป็นร้อยละ 55 ซึ่งจากสถิติการนําส่งเงินสะสมของสมาชิกพบว่า มีเพียงร้อยละ 27 ของสมาชิกที่เป็นเกษตรกรที่มีการส่งเงินสะสมในปี 2559 จึงยังมีปริมาณการออมในอัตราที่ต่ําอยู่มาก ซึ่งอาจเป็นเพราะรายได้ของเกษตรกรส่วนใหญ่จะสัมพันธ์กับฤดูกาลเก็บเกี่ยวและราคาพืชผลการผลิต โดยช่วงปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจการเกษตรของประเทศอยู่ในภาวะหดตัวเล็กน้อยจากปัจจัยลบหลายประการ ทั้งสถานการณ์ภัยแล้ง ปริมาณการส่งออกสินค้าเกษตรลดต่ําลงเพราะกําลังซื้อลดลง จึงทําให้เกษตรกรไทยประสบปัญหารายได้น้อยไม่เพียงพอใช้จ่าย ซึ่งปัจจัยลบทั้งหมดล้วนส่งผลต่อกําลังออมของสมาชิก กอช. ที่เป็นเกษตรกร อย่างไรก็ตาม กอช. ยังคงเดินหน้าภารกิจในการสร้างทัศนคติและวินัยการออมของสมาชิกและประชาชนทุกอาชีพอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเน้นย้ําหลักเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงความสําคัญของการวางแผนการเงินที่เหมาะสมกับตนเอง ให้สามารถปันเงินส่วนหนึ่งเมื่อมีรายได้ไว้สําหรับออมเพื่อการชราภาพ ก่อนที่จะนําไปใช้จ่ายอื่นที่ไม่จําเป็นจนไม่เหลือเงินให้ออม โดยเกษตรกรเป็นอาชีพหนึ่งของคนไทยที่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีชีวิตที่ยากลําบากเมื่อถึงวัยสูงอายุ "ปี 2560 นี้ รัฐคาดการณ์ว่าผลิตผลทางการเกษตรจะช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกรได้มากขึ้น เนื่องจากปีที่ผ่านมามีปริมาณน้ําเพื่อการเกษตรเพิ่มขึ้น คาดว่าจะเพียงพอต่อการเพาะปลูก และภาครัฐเองได้เร่งรัดมาตรการมากมายเพื่อช่วยเหลือภาคการเกษตรและประชากรกลุ่มฐานราก จึงอยากเตือนพี่น้องเกษตรกรว่า ท่านที่เป็นสมาชิก กอช. อยู่แล้ว เมื่อมีรายได้ก็อย่าลืมกันเงินส่วนหนึ่งนําส่งเข้ากองทุนเพื่อเก็บออมอย่างต่อเนื่องด้วย ส่วนใครที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิกถ้ามีคุณสมบัติครบถ้วนก็สามารถสมัครใหม่ได้ด้วยเช่นกัน โดยรัฐจะจ่ายเงินสมทบให้แก่ผู้ที่ส่งเงินสะสมเข้ากองทุน สูงสุดถึง 1,200 บาทต่อปี" นายสมพรกล่าว สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนการออมแห่งชาติได้ที่ กอช. สายด่วนเงินออม 02-017-0789 ในวันและเวลาทําการ และติดต่อสมัครสมาชิกได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ ... “กอช. ออมสบาย ได้บํานาญ” www.nsf.or.th ฝ่ายประชาสัมพันธ์และภาพลักษณ์องค์กร : โทร. 02-017-0789 ต่อ 213, 224 Email : [email protected] ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. เตือนเกษตรกรแบ่งเงินออมเมื่อมีรายได้ วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2560 กอช. เตือนเกษตรกรแบ่งเงินออมเมื่อมีรายได้ กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เตือนเกษตรกรเร่งออมเมื่อมีรายได้ ย้ําการออมเพื่อเป็นหลักประกันยามชราเป็นเรื่องจําเป็น นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. กล่าวว่า ปัจจุบันกองทุนการออมแห่งชาติมีจํานวนสมาชิก 532,000 ราย กว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดประกอบอาชีพเกษตรกร คิดเป็นร้อยละ 55 ซึ่งจากสถิติการนําส่งเงินสะสมของสมาชิกพบว่า มีเพียงร้อยละ 27 ของสมาชิกที่เป็นเกษตรกรที่มีการส่งเงินสะสมในปี 2559 จึงยังมีปริมาณการออมในอัตราที่ต่ําอยู่มาก ซึ่งอาจเป็นเพราะรายได้ของเกษตรกรส่วนใหญ่จะสัมพันธ์กับฤดูกาลเก็บเกี่ยวและราคาพืชผลการผลิต โดยช่วงปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจการเกษตรของประเทศอยู่ในภาวะหดตัวเล็กน้อยจากปัจจัยลบหลายประการ ทั้งสถานการณ์ภัยแล้ง ปริมาณการส่งออกสินค้าเกษตรลดต่ําลงเพราะกําลังซื้อลดลง จึงทําให้เกษตรกรไทยประสบปัญหารายได้น้อยไม่เพียงพอใช้จ่าย ซึ่งปัจจัยลบทั้งหมดล้วนส่งผลต่อกําลังออมของสมาชิก กอช. ที่เป็นเกษตรกร อย่างไรก็ตาม กอช. ยังคงเดินหน้าภารกิจในการสร้างทัศนคติและวินัยการออมของสมาชิกและประชาชนทุกอาชีพอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเน้นย้ําหลักเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงความสําคัญของการวางแผนการเงินที่เหมาะสมกับตนเอง ให้สามารถปันเงินส่วนหนึ่งเมื่อมีรายได้ไว้สําหรับออมเพื่อการชราภาพ ก่อนที่จะนําไปใช้จ่ายอื่นที่ไม่จําเป็นจนไม่เหลือเงินให้ออม โดยเกษตรกรเป็นอาชีพหนึ่งของคนไทยที่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีชีวิตที่ยากลําบากเมื่อถึงวัยสูงอายุ "ปี 2560 นี้ รัฐคาดการณ์ว่าผลิตผลทางการเกษตรจะช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกรได้มากขึ้น เนื่องจากปีที่ผ่านมามีปริมาณน้ําเพื่อการเกษตรเพิ่มขึ้น คาดว่าจะเพียงพอต่อการเพาะปลูก และภาครัฐเองได้เร่งรัดมาตรการมากมายเพื่อช่วยเหลือภาคการเกษตรและประชากรกลุ่มฐานราก จึงอยากเตือนพี่น้องเกษตรกรว่า ท่านที่เป็นสมาชิก กอช. อยู่แล้ว เมื่อมีรายได้ก็อย่าลืมกันเงินส่วนหนึ่งนําส่งเข้ากองทุนเพื่อเก็บออมอย่างต่อเนื่องด้วย ส่วนใครที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิกถ้ามีคุณสมบัติครบถ้วนก็สามารถสมัครใหม่ได้ด้วยเช่นกัน โดยรัฐจะจ่ายเงินสมทบให้แก่ผู้ที่ส่งเงินสะสมเข้ากองทุน สูงสุดถึง 1,200 บาทต่อปี" นายสมพรกล่าว สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนการออมแห่งชาติได้ที่ กอช. สายด่วนเงินออม 02-017-0789 ในวันและเวลาทําการ และติดต่อสมัครสมาชิกได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ ... “กอช. ออมสบาย ได้บํานาญ” www.nsf.or.th ฝ่ายประชาสัมพันธ์และภาพลักษณ์องค์กร : โทร. 02-017-0789 ต่อ 213, 224 Email : [email protected] ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3714
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ชุมชนการทอผ้าฝ้ายบ้านทุ่งโฮ้ง จ.แพร่
วันเสาร์ที่ 19 มกราคม 2562 รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ชุมชนการทอผ้าฝ้ายบ้านทุ่งโฮ้ง จ.แพร่ รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ชุมชนการทอผ้าฝ้ายบ้านทุ่งโฮ้ง จ.แพร่ แพร่ : วันนี้ (19 มกราคม 2562) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ จ.แพร่ พร้อมด้วยนางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายจารุพันธ์ จารโยภาส รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ชุมชนการทอผ้าฝ้ายบ้านทุ่งโฮ้ง โดยมี นายพงศ์รัตน์ ภิรมณ์รัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ และนางยุพิน สายสําเภา ประธานกลุ่มทอผ้าไทยพวน ให้การต้อนรับ ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนการทอผ้าฝ้ายบ้านทุ่งโฮ้ง (กลุ่มทอผ้าไทยพวน) เป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านการทอผ้า การย้อมครามหรือย้อมสีธรรมชาติ เป็นศูนย์การเรียนรู้ที่ใช้การบริหารจัดการแบบครัวเรือน ให้ความสําคัญกับการเรียนรู้และสืบทอดภูมิปัญญาไทยพวนด้านการทอผ้า ให้กับเยาวชนในชุมชน นักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจทั่วไป โดยศูนย์การเรียนรู้ฯดังกล่าวได้เข้าร่วมโครงการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมโดยใช้ทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญา กับกระทรวงอุตสาหกรรม นําไปสู่การส่งเสริมนักออกแบบรุ่นใหม่ “Young Designer” เพื่อยกระดับผ้าหม้อห้อมพื้นบ้านที่ย้อมสีธรรมชาติซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ จ .แพร่ สู่สากล ซึ่งถ้าได้รับการออกแบบและดีไซน์รูปแบบใหม่ ๆ จะช่วยยกระดับสินค้าผ้าพื้นเมืองของ จ.แพร่ให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น และจะก้าวสู่ระดับสากลได้ไม่ยาก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ชุมชนการทอผ้าฝ้ายบ้านทุ่งโฮ้ง จ.แพร่ วันเสาร์ที่ 19 มกราคม 2562 รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ชุมชนการทอผ้าฝ้ายบ้านทุ่งโฮ้ง จ.แพร่ รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ชุมชนการทอผ้าฝ้ายบ้านทุ่งโฮ้ง จ.แพร่ แพร่ : วันนี้ (19 มกราคม 2562) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ จ.แพร่ พร้อมด้วยนางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายจารุพันธ์ จารโยภาส รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ชุมชนการทอผ้าฝ้ายบ้านทุ่งโฮ้ง โดยมี นายพงศ์รัตน์ ภิรมณ์รัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ และนางยุพิน สายสําเภา ประธานกลุ่มทอผ้าไทยพวน ให้การต้อนรับ ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนการทอผ้าฝ้ายบ้านทุ่งโฮ้ง (กลุ่มทอผ้าไทยพวน) เป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านการทอผ้า การย้อมครามหรือย้อมสีธรรมชาติ เป็นศูนย์การเรียนรู้ที่ใช้การบริหารจัดการแบบครัวเรือน ให้ความสําคัญกับการเรียนรู้และสืบทอดภูมิปัญญาไทยพวนด้านการทอผ้า ให้กับเยาวชนในชุมชน นักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจทั่วไป โดยศูนย์การเรียนรู้ฯดังกล่าวได้เข้าร่วมโครงการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมโดยใช้ทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญา กับกระทรวงอุตสาหกรรม นําไปสู่การส่งเสริมนักออกแบบรุ่นใหม่ “Young Designer” เพื่อยกระดับผ้าหม้อห้อมพื้นบ้านที่ย้อมสีธรรมชาติซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ จ .แพร่ สู่สากล ซึ่งถ้าได้รับการออกแบบและดีไซน์รูปแบบใหม่ ๆ จะช่วยยกระดับสินค้าผ้าพื้นเมืองของ จ.แพร่ให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น และจะก้าวสู่ระดับสากลได้ไม่ยาก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18233
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"หม่อมเต่า" ส่งคณะทำงานเฉพาะกิจฯ ลงตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุนั่งร้านถล่มทับคนงานที่คลองถม
วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562 "หม่อมเต่า" ส่งคณะทํางานเฉพาะกิจฯ ลงตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุนั่งร้านถล่มทับคนงานที่คลองถม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ส่งคณะทํางานเฉพาะกิจตรวจสอบการเกิดอุบัติภัยหรือการประสบอันตรายจากการทํางาน กรณีร้ายแรง ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุนั่งร้านอาคารพาณิชย์ย่านคลองถม หล่นทับคนงานจนบาดเจ็บสาหัส เพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน และแจ้งความดําเนินคดีกับผู้รับผิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ส่งคณะทํางานเฉพาะกิจตรวจสอบการเกิดอุบัติภัยหรือการประสบอันตรายจากการทํางาน กรณีร้ายแรง ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุนั่งร้านอาคารพาณิชย์ย่านคลองถม หล่นทับคนงานจนบาดเจ็บสาหัส เพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน และแจ้งความดําเนินคดีกับผู้รับผิดชอบ และเร่งเยียวยาช่วยเหลือแรงงานให้ได้รับสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองตามขั้นตอนของกฎหมาย เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีเหตุการณ์นั่งร้านอาคารพาณิชย์ย่านคลองถม เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร หล่นลงมาทับคนงานจนทําให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจํานวน 3 ราย เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า กระทรวงแรงงานมีความห่วงใยแรงงานที่ประสบอันตรายจากการทํางาน โดยล่าสุดได้สั่งการให้คณะทํางานเฉพาะกิจตรวจสอบการเกิดอุบัติภัยหรือการประสบอันตรายจากการทํางาน กรณีร้ายแรง ซึ่งประกอบด้วย ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงานที่ปลัดกระทรวงแรงงานมอบหมาย เป็นหัวหน้าคณะทํางาน รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานหรือผู้ตรวจราชการกรมที่อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมอบหมาย ผู้อํานวยการกองนิติการ เป็นคณะทํางาน และผู้อํานวยการกองความปลอดภัยแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เป็นคณะทํางานและเลขานุการ นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวในตอนท้ายว่า คณะทํางานเฉพาะกิจตรวจสอบการเกิดอุบัติภัยหรือการประสบอันตรายจากการทํางาน กรณีร้ายแรง จะมีอํานาจหน้าที่ในการเดินทางเข้าไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ เมื่อมีเหตุการณหรืออุบัติภัยที่มีแรงงานบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิต เพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน และแจ้งความดําเนินคดีกับผู้รับผิดชอบ รวมถึงผู้บังคับบัญชาตามลําดับชั้นที่เห็นสมควร ทั้งนี้ จะต้องรายงานผลการดําเนินงานให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานรับทราบและพิจารณาให้การช่วยเหลือแก่แรงงานที่ประสบอันตรายจากการทํางานตามขั้นตอน เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์การคุ้มครองเยียวยาตามกฎหมายต่อไป ------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/ 23 พฤศจิกายน 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"หม่อมเต่า" ส่งคณะทำงานเฉพาะกิจฯ ลงตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุนั่งร้านถล่มทับคนงานที่คลองถม วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562 "หม่อมเต่า" ส่งคณะทํางานเฉพาะกิจฯ ลงตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุนั่งร้านถล่มทับคนงานที่คลองถม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ส่งคณะทํางานเฉพาะกิจตรวจสอบการเกิดอุบัติภัยหรือการประสบอันตรายจากการทํางาน กรณีร้ายแรง ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุนั่งร้านอาคารพาณิชย์ย่านคลองถม หล่นทับคนงานจนบาดเจ็บสาหัส เพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน และแจ้งความดําเนินคดีกับผู้รับผิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ส่งคณะทํางานเฉพาะกิจตรวจสอบการเกิดอุบัติภัยหรือการประสบอันตรายจากการทํางาน กรณีร้ายแรง ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุนั่งร้านอาคารพาณิชย์ย่านคลองถม หล่นทับคนงานจนบาดเจ็บสาหัส เพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน และแจ้งความดําเนินคดีกับผู้รับผิดชอบ และเร่งเยียวยาช่วยเหลือแรงงานให้ได้รับสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองตามขั้นตอนของกฎหมาย เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีเหตุการณ์นั่งร้านอาคารพาณิชย์ย่านคลองถม เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร หล่นลงมาทับคนงานจนทําให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจํานวน 3 ราย เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า กระทรวงแรงงานมีความห่วงใยแรงงานที่ประสบอันตรายจากการทํางาน โดยล่าสุดได้สั่งการให้คณะทํางานเฉพาะกิจตรวจสอบการเกิดอุบัติภัยหรือการประสบอันตรายจากการทํางาน กรณีร้ายแรง ซึ่งประกอบด้วย ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงานที่ปลัดกระทรวงแรงงานมอบหมาย เป็นหัวหน้าคณะทํางาน รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานหรือผู้ตรวจราชการกรมที่อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมอบหมาย ผู้อํานวยการกองนิติการ เป็นคณะทํางาน และผู้อํานวยการกองความปลอดภัยแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เป็นคณะทํางานและเลขานุการ นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวในตอนท้ายว่า คณะทํางานเฉพาะกิจตรวจสอบการเกิดอุบัติภัยหรือการประสบอันตรายจากการทํางาน กรณีร้ายแรง จะมีอํานาจหน้าที่ในการเดินทางเข้าไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ เมื่อมีเหตุการณหรืออุบัติภัยที่มีแรงงานบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิต เพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน และแจ้งความดําเนินคดีกับผู้รับผิดชอบ รวมถึงผู้บังคับบัญชาตามลําดับชั้นที่เห็นสมควร ทั้งนี้ จะต้องรายงานผลการดําเนินงานให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานรับทราบและพิจารณาให้การช่วยเหลือแก่แรงงานที่ประสบอันตรายจากการทํางานตามขั้นตอน เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์การคุ้มครองเยียวยาตามกฎหมายต่อไป ------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/ 23 พฤศจิกายน 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24782
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. เผยผลประกอบการ 3 ไตรมาส หนุน SMEs เข้าถึงสินเชื่อ 6.7 หมื่นล้าน
วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561 บสย. เผยผลประกอบการ 3 ไตรมาส หนุน SMEs เข้าถึงสินเชื่อ 6.7 หมื่นล้าน บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) รายงานผลดําเนินงานค้ําประกันสินเชื่อ 3 ไตรมาส หนุนผู้ประกอบการเข้าถึงสินเชื่อในระบบกว่า 67,000 ล้านบาท มอบนโยบาย เร่งยอดค้ําฯ โค้งสุดท้าย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ดัน SMEs ทุกกลุ่มเป้าหมายเข้าถึงสินเชื่อ นางนิภารัตน์ พิสิฐพิทยเสรี รักษาการแทนผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ผลดําเนินงาน 3 ไตรมาส (ม.ค. - ก.ย.) ปี 2561 บสย. สามารถช่วยผู้ประกอบการ SMEs ผ่านการค้ําประกันสินเชื่อ 67,834 ล้านบาท คิดเป็นจํานวนหนังสือค้ําประกัน (LG) 64,530 ฉบับ นอกจากนี้ บสย.ยังเดินหน้าเปิดตัว 2 โครงการใหม่ ซึ่งได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้แก่ โครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทรัพย์ (PGS7) วงเงิน 150,000 ล้านบาท และโครงการค้ําประกันสินเชื่อรายย่อยสร้างอาชีพ (MICRO3) วงเงิน 15,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันได้รับการตอบรับที่ดีจากธนาคารพันธมิตร ในการปล่อยสินเชื่อ โดยมี บสย.ค้ําประกันฯ ผ่าน 2 โครงการดังกล่าวเป็นจํานวนมาก ความสําเร็จครั้งนี้ มาจากกลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย และความต้องการของแต่ละธนาคารที่ชัดเจนขึ้น นอกจากโครงการค้ําประกันสินเชื่อเพื่อรายย่อยสร้างอาชีพ ที่มุ่งช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่วงเงินค้ําประกันไม่เกิน 2 แสนบาท รองรับกลุ่มพ่อค้า แม่ค้า หาบเร่ แผงลอย ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน บสย. ยังมีการแบ่งประเภทการค้ําประกัน จําแนกตามกลุ่มผู้ประกอบการ อาทิ กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ประชารัฐและนโยบายรัฐ ซึ่งร่วมกับธนาคารกรุงไทย, กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs นิติบุคคลบัญชีเล่มเดียว, กลุ่ม SMEs รายเล็ก, กลุ่ม SMEs ที่ได้รับสินเชื่อผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) และกลุ่ม SMEs ทั่วไป “สําหรับช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ได้มอบนโยบายให้ฝ่ายกิจการสาขา และฝ่ายการตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เร่งผลักดันและประสานการทํางานกับเครือข่ายพันธมิตร ในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าถึงสินเชื่อในระบบมากขึ้น” นางนิภารัตน์กล่าว บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ 0-2890-9999 ชนิญญา สันสมภาค 081-860-7477 [email protected] www.tcg.or.th ศรัญยู ตันติเสรี 091-771-2885 [email protected] www.facebook.com/tcg.or.th วิขุดา ก้องกีรติ 089-605-9870 [email protected]
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. เผยผลประกอบการ 3 ไตรมาส หนุน SMEs เข้าถึงสินเชื่อ 6.7 หมื่นล้าน วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561 บสย. เผยผลประกอบการ 3 ไตรมาส หนุน SMEs เข้าถึงสินเชื่อ 6.7 หมื่นล้าน บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) รายงานผลดําเนินงานค้ําประกันสินเชื่อ 3 ไตรมาส หนุนผู้ประกอบการเข้าถึงสินเชื่อในระบบกว่า 67,000 ล้านบาท มอบนโยบาย เร่งยอดค้ําฯ โค้งสุดท้าย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ดัน SMEs ทุกกลุ่มเป้าหมายเข้าถึงสินเชื่อ นางนิภารัตน์ พิสิฐพิทยเสรี รักษาการแทนผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ผลดําเนินงาน 3 ไตรมาส (ม.ค. - ก.ย.) ปี 2561 บสย. สามารถช่วยผู้ประกอบการ SMEs ผ่านการค้ําประกันสินเชื่อ 67,834 ล้านบาท คิดเป็นจํานวนหนังสือค้ําประกัน (LG) 64,530 ฉบับ นอกจากนี้ บสย.ยังเดินหน้าเปิดตัว 2 โครงการใหม่ ซึ่งได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้แก่ โครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทรัพย์ (PGS7) วงเงิน 150,000 ล้านบาท และโครงการค้ําประกันสินเชื่อรายย่อยสร้างอาชีพ (MICRO3) วงเงิน 15,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันได้รับการตอบรับที่ดีจากธนาคารพันธมิตร ในการปล่อยสินเชื่อ โดยมี บสย.ค้ําประกันฯ ผ่าน 2 โครงการดังกล่าวเป็นจํานวนมาก ความสําเร็จครั้งนี้ มาจากกลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย และความต้องการของแต่ละธนาคารที่ชัดเจนขึ้น นอกจากโครงการค้ําประกันสินเชื่อเพื่อรายย่อยสร้างอาชีพ ที่มุ่งช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่วงเงินค้ําประกันไม่เกิน 2 แสนบาท รองรับกลุ่มพ่อค้า แม่ค้า หาบเร่ แผงลอย ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน บสย. ยังมีการแบ่งประเภทการค้ําประกัน จําแนกตามกลุ่มผู้ประกอบการ อาทิ กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ประชารัฐและนโยบายรัฐ ซึ่งร่วมกับธนาคารกรุงไทย, กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs นิติบุคคลบัญชีเล่มเดียว, กลุ่ม SMEs รายเล็ก, กลุ่ม SMEs ที่ได้รับสินเชื่อผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) และกลุ่ม SMEs ทั่วไป “สําหรับช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ได้มอบนโยบายให้ฝ่ายกิจการสาขา และฝ่ายการตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เร่งผลักดันและประสานการทํางานกับเครือข่ายพันธมิตร ในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าถึงสินเชื่อในระบบมากขึ้น” นางนิภารัตน์กล่าว บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ 0-2890-9999 ชนิญญา สันสมภาค 081-860-7477 [email protected] www.tcg.or.th ศรัญยู ตันติเสรี 091-771-2885 [email protected] www.facebook.com/tcg.or.th วิขุดา ก้องกีรติ 089-605-9870 [email protected]
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16189
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ปี 2563 มุ่ง “การเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืน : GSB SUSTAINABLE BANKING”
วันพุธที่ 15 มกราคม 2563 ออมสิน ปี 2563 มุ่ง “การเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืน : GSB SUSTAINABLE BANKING” ธนาคารออมสินเผยความสําเร็จตลอด 5 ปี เติบโตแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนทุกมิติ พร้อมกางแผนปี 2563 มุ่งมั่น “เติบโต ยั่งยืน ตอบแทนคืนสู่สังคม : ขับเคลื่อน GSB SUSTAINABLE BANKING ธนาคารเพื่อความยั่งยืน” ธนาคารออมสินเผยความสําเร็จตลอด 5 ปี เติบโตแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนทุกมิติ พร้อมกางแผนปี 2563 มุ่งมั่น “เติบโต ยั่งยืน ตอบแทนคืนสู่สังคม : ขับเคลื่อน GSB SUSTAINABLE BANKING ธนาคารเพื่อความยั่งยืน” ขับเคลื่อนผ่านกลไก 3 Banking ได้แก่ Traditional Banking, Social Development Banking และ Digital Banking ผลักดันไปสู่ธนาคารที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งดูแลคนไทยและสังคมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ภายใต้แนวคิด GSB SUSTAINABLE BANKING แบ่งเป็น 4 มิติ ที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน ดําเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล คํานึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ธนาคารออมสินมีการเติบโตที่ดีเยี่ยมในทุกมิติ ภายใต้แผนงานและยุทธศาสตร์เพื่อสร้างความแข็งแกร่งขององค์กรอย่างยั่งยืนที่พร้อมปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์และวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของธุรกิจอยู่ตลอดเวลา ด้วยแนวคิด “เติบโต ยั่งยืน ตอบแทนคืนสู่สังคม” โดยมิติที่ 1 Financial Strengthening : สร้างความมั่นคงทางการเงินเพื่อเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งธนาคารออมสินได้สร้างความแข็งแรงทางการเงินนี้มาตลอดระยะเวลาเกือบ 107 ปี จนทําให้เป็นองค์กรที่มีความมั่นคงในระดับสูง เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความสําเร็จได้เป็นอย่างดี โดยตั้งแต่ปี 2558 ถึงปี 2562 ธนาคารฯ มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นจาก 2.4 ล้านล้านบาท เป็น 2.8 ล้านล้านบาท ด้านเงินฝากเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 2.08 ล้านล้านบาท เป็น 2.41 ล้านล้านบาท ด้านสินเชื่อขยายตัวจาก 1.92 ล้านล้านบาท เป็น 2.15 ล้านล้านบาท ขณะที่หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) แม้จะเพิ่มจาก 1.61 เป็น 2.72 แต่ธนาคารฯ สามารถควบคุมได้ดีตามการขยายตัวของสินเชื่อ ด้วยการบริหารคุณภาพสินเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีระดับ NPLs ต่ําที่สุดเมื่อเทียบกับ 5 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ และมีกําไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 22,699 ล้านบาท เป็น 26,554 ล้านบาท สําหรับมิติที่ 2 Stakeholder Responsibility : ดูแลลูกค้าและผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม นับตั้งแต่ปี 2542 หรือกว่า 20 ปี ธนาคารฯ ได้นําส่งรายได้แผ่นดินหรือเงินนําส่งกระทรวงการคลังเพื่อนําไปพัฒนาประเทศกว่า 1.9 แสนล้านบาท โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นําส่งถึง 78,883 ล้านบาท พร้อมทั้งเป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามนโยบายภาครัฐหลากหลายโครงการจนประสบผลสําเร็จ โดยเฉพาะการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs และ Startup สําหรับลูกค้าอันเป็นหัวใจสําคัญของธนาคารออมสินนั้น มีอัตราการขยายตัวถึง 20% นับจากปี 2557 คิดเป็น 36% ของประชากรไทย โดยหากพิจารณาตาม Customer Segment ของธนาคารจะพบว่ากลุ่มลูกค้านักเรียนนักศึกษาเพิ่มขึ้นถึง 41% กลุ่ม Middle Income เพิ่มขึ้น 33% กลุ่มผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าเพิ่มขึ้น 13% และ 19% ตามลําดับ และกลุ่มลูกค้า SMEs เพิ่มขึ้น 8% ขณะที่ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน โดยเฉพาะด้านอิเล็กทรอนิกส์และดิจิทัลนั้น มีผลตอบรับอย่างดีจากทุกกลุ่มลูกค้าของธนาคารฯ อาทิ Mobile Application หรือ MyMo ที่เปิดตัวเมื่อปี 2558 ด้วยฐานผู้สมัครใช้งานในช่วงเปิดให้บริการเพียง 3 แสนราย ขยายตัวเพิ่มเป็น 7.9 ล้านราย ณ สิ้นปี 2562 ขณะที่ผลิตภัณฑ์ Debit Card มีลูกค้าถึง 6.7 ล้านบัตร ด้านผลิตภัณฑ์ GSB Credit Card ได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 94,938 บัตร เมื่อปี 2559 เป็น 478,987 บัตร ณ สิ้นปี 2562 ส่วนด้าน QR Payment ณ สิ้นปี 2562 มีร้านค้า QR Payment ของธนาคารฯ กว่า 307,877 ร้านค้า เพิ่มจาก 23,518 ร้านค้า เมื่อปี 2560 ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ในมิติที่ 3 Business Environment : สร้างความเข้มแข็งแก่สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ธนาคารออมสินได้สนับสนุนการสร้างโครงสร้างพื้นฐานระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment) เพื่อเติมเต็มช่องว่างและลดความเหลื่อมล้ําในการเข้าถึงบริการทางการเงิน ตั้งแต่โครงการ Any ID ที่มีผู้ลงทะเบียน Promtpay กับธนาคารออมสินกว่า 3.23 ล้านราย ซึ่งต่อมาเมื่อภาครัฐได้พัฒนาระบบการชําระเงินเป็น e-Payment ผ่านโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ธนาคารออมสินได้เข้าร่วมสนับสนุนโครงการดังกล่าว โดยมีผู้ลงทะเบียนกับธนาคารฯ กว่า 4.33 ล้านราย พร้อมทั้งสนับสนุนการเปิดบัญชีเงินฝากพื้นฐานไปแล้วกว่า 1.89 ล้านบัญชี นอกจากนี้ยังสนับสนุนการทําบุญหรือบริจาคเงินผ่านระบบ Electronic (e-Donation) ด้วยการสแกน QR Code ผ่าน “QR สาธุ” โดยดําเนินโครงการรวมกับองค์กรต่างๆ ไปแล้วมากกว่า 3,000 แห่ง ทําให้บัญชีการเงินของวัดมีความชัดเจนโปร่งใสมากขึ้น ภาครัฐสามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวในการลดหย่อนภาษีให้แก่ประชาชนได้ทันที สําหรับมิติที่ 4 Corporate Governance : ดําเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล ธนาคารออมสินตระหนักและเล็งเห็นถึงความสําคัญถึงการดําเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล และการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของหน่วยงานกํากับอย่างเคร่งครัด ภายใต้หลักการ 3 Line of Defense, IT Governance, Data Governance ซึ่งสะท้อนให้เห็นผลสําเร็จจากการบริหารจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพและธรรมาภิบาล จนได้รับรางวัลได้รับรางวัลคุณธรรมละความโปร่งใสของภาครัฐ (ITA) ระดับ AA ในปี 2560-2562 โดยได้รับความน่าเชื่อถือเป็นลําดับที่ 4 ของรัฐวิสาหกิจ และลําดับที่ 12 ขององค์กรต่างๆ จากทั่วประเทศกว่า 8,299 หน่วยงาน นอกจากนี้ ธนาคารฯ ยังได้รับรางวัลองค์กรโปร่งใส (NACC Integrity Awards) 2 ปี ติดต่อกัน โดยได้รับรางวัลในระดับชมเชยในปี 2560 และได้รับรางวัลระดับดีเด่น ในปี 2561 นอกจากนี้ ธนาคารฯ ยังมุ่งเน้นการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ Market Conduct เพื่อกําหนดเป็นมาตรฐานในการให้บริการที่มีความถูกต้องและไม่เอาเปรียบลูกค้าตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ดร.ชาติชาย กล่าวต่อไปว่า ในปี 2563 ธนาคารฯ ได้ตั้งเป้าหมายสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้น 2.9 ล้านล้านบาท หรือ 3.5% และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยการให้กู้เพิ่มกว่า 550,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสุทธิกว่า 80,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4-5% เงินฝากเพิ่มสุทธิกว่า 75,000 ล้านบาท หรือเติบโต 3% และเป้าหมายขยายฐานลูกค้าเพิ่มเป็น 41% ของประชากรทั้งประเทศ โดยใช้แนวคิด GSB SUSTAINABLE BANKING เป็นกลไกผลักดันยุทธศาสตร์ 3 ธนาคาร มุ่งสู่การเป็น “ธนาคารเพื่อความยั่งยืน” ประกอบด้วย Traditional Banking ธนาคารฯ จะปรับปรุงความสามารถการแข่งขันของธนาคารในรูปแบบปกติ ด้วยการเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยปรับเปลี่ยนการให้บริการแบบเดิมไปสู่ “Delivery Banking” ผ่านบริการ .”QUEUE Application” ซึ่งจะออกไปให้บริการตามที่ลูกค้าทํานัดหมายผ่าน app ซึ่งสามารถเลือกบริการได้ไม่ว่าจะเป็นรถยตน์บริการเคลื่อนที่ เรือออมสิน หรือให้พนักงานออกไปให้บริการยังจุดที่ลูกค้าสะดวก ด้วยเครื่องมือให้บริการในชื่อ SUMO โดยสามารถให้บริการได้ตั้งแต่การรับฝากเงิน เปิดบัญชีเงินฝาก ฝากสลากออมสิน ฝากเงินกองทุนต่างๆ เปิดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ รับชําระสินเชื่อ เป็นต้น ซึ่งปีนี้จะมีจํานวนถึง 3,700 เครื่องออกไปให้บริการ ขณะเดียวกัน ได้เตรียมพัฒนาศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (GSB Contact Center) เพื่อยกระดับการให้บริการและตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า โดยเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมทุกความคิดเห็น ข้อร้องเรียน และเสนอแนะของลูกค้าจากทุกรูปแบบช่องทางการสื่อสาร (Omni-Channel) และเป็นศูนย์กลางในการให้บริการข้อมูล ข่าวสาร ผลิตภัณฑ์และบริการของธนาคารฯ ผ่านทุกช่องทางสําคัญ นอกจากนี้ ยังได้นําเทคโนโลยี AI, Chatbot, Speech Recognition มาเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ธนาคารฯ ยังมีความพร้อมที่จะเป็นองค์กรหลักที่ให้บริการในรูปแบบ ATM White Label กับสถาบันการเงินอื่น ทั้งธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ซึ่งธนาคารได้เตรียมติดตั้ง ATM ใหม่กว่า 5,000 เครื่อง ทั้งทดแทนเครื่องเดิมและเพิ่มเติมในจุดที่มีศักยภาพครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ด้าน Social Development Banking จาก 3 ออมสร้างโลกสีชมพู สู่ 3 สร้างประกอบด้วย สร้างความรู้/อาชีพ สร้างตลาด/รายได้ และสร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งทุน เพื่อลดความความเหลื่อมล้ํา เติมเต็มช่องว่างทางการเงิน สร้างความมั่นคงในชีวิต และยกคุณภาพชีวิต แก่ลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มเด็ก/เยาวชน ลูกค้าฐานราก/ชุมชน ผู้สูงอายุ และกลุ่ม Startup โดยปี 2563 ธนาคารปรับเปลี่ยนบทบาทสาขา Social Branch เป็นศูนย์พัฒนาสู่ความยั่งยืน Sustainable Banking Center มิติใหม่ของสถาบันการเงินที่จะมีสาขาดูแลด้านสังคมโดยเฉพาะ รวมถึงมีบริการศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน ศูนย์แก้ไขหนี้นอกระบบ ศูนย์พัฒนาอาชีพ ศูนย์แก้ไขหนี้นอกระบบ ข้อมูลด้านการท่องเที่ยวในท้องถิ่น จุดให้บริการทางการเงินเพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐ (Financial Logistic Center) ศูนย์แสดงสินค้าชุมชน ซึ่งปี 2563 จะเปิดให้บริการครบ 100 สาขา ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงการปรับบทบาทสํานักสินเชื่อธุรกิจลูกค้า SMEs ที่มีกระจายอยู่ทั่วประเทศ 82 ศูนย์ เป็น ศูนย์กลางพัฒนาส่งเสริม SMEs (SMEs Development Center) ให้สามารถสนับสนุนธุรกิจ SMEs ได้อย่างครบวงจร เพื่อการยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน สําหรับ Digital Banking ที่จะพัฒนาให้เป็น Ecosystem ตอบสนองได้ทุกช่วงชีวิตของลูกค้า ในปี 2563 ธนาคารฯ มีแผนที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการและช่องทางต่างๆ ให้มีบริการที่รวดเร็วและทันสมัยมากยิ่งขึ้นในโลกยุคดิจิทัล พร้อมทั้งสร้างความสะดวกสบายบน Digital Platform ใหม่ๆ ตอบสนองทุกช่วงชีวิตของลูกค้า ผ่านการพัฒนา New Feature ของ Mobile Application : Mymo ได้แก่ บริการซื้อประกันภัยรถยนต์/ที่พักอาศัย/ประกันชีวิต ผ่าน i-Insurance บริการบัญชีเพื่อการออม ด้วย I-Saving บริการซื้อขายหลักทรัพย์กับ i-Investment และบริการการค้ําประกันสินเชื่อด้วย Digital สลาก ด้วย i-Loan เป็นต้น โดยปีนี้มีเป้าหมายเพิ่มจํานวนผู้ใช้บริการ MyMo จาก 8 ล้านรายในปี 2562 เป็น 13 ล้านราย และเป็น 18 ล้านรายในปี 2564 “ด้วยกลไก 3 Banking ซึ่งเป็น 3 พลังขับเคลื่อนที่จะนําธนาคารออมสินมุ่งไปสู่ GSB SUSTAINABLE BANKING ธนาคารฯ พร้อมด้วยบุคลากร และหน่วยงานพันธมิตร จะทําหน้าที่เพื่อให้ลูกค้าและประชาชนให้เข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นในทุกๆ พื้นที่ จะให้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าธนาคารออมสินจะดูแลทุกคน ดูแลชุมชน มีดิจิทัลแบงก์ มีสาขาจะปรับปรุงรูปแบบสาขาให้เหมาะสมกับศักยภาพในพื้นที่ โดยจะเน้นบริการ การขยายช่องทาง Digital ขณะเดียวกันยังจะมีการพัฒนา Feature ใหม่ๆ ผ่านช่องทางบริการ Mobile Banking ที่จะเป็นอีกช่องทางสําคัญในปี 2563 นี้ด้วย ซึ่งจะทําให้สัญลักษณ์ธนาคารออมสินประทับใจ อยู่ในความคิดของประชาชนทุกคนเมื่อนึกถึงการให้บริการทางการเงิน” ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าวในที่สุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ปี 2563 มุ่ง “การเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืน : GSB SUSTAINABLE BANKING” วันพุธที่ 15 มกราคม 2563 ออมสิน ปี 2563 มุ่ง “การเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืน : GSB SUSTAINABLE BANKING” ธนาคารออมสินเผยความสําเร็จตลอด 5 ปี เติบโตแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนทุกมิติ พร้อมกางแผนปี 2563 มุ่งมั่น “เติบโต ยั่งยืน ตอบแทนคืนสู่สังคม : ขับเคลื่อน GSB SUSTAINABLE BANKING ธนาคารเพื่อความยั่งยืน” ธนาคารออมสินเผยความสําเร็จตลอด 5 ปี เติบโตแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนทุกมิติ พร้อมกางแผนปี 2563 มุ่งมั่น “เติบโต ยั่งยืน ตอบแทนคืนสู่สังคม : ขับเคลื่อน GSB SUSTAINABLE BANKING ธนาคารเพื่อความยั่งยืน” ขับเคลื่อนผ่านกลไก 3 Banking ได้แก่ Traditional Banking, Social Development Banking และ Digital Banking ผลักดันไปสู่ธนาคารที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งดูแลคนไทยและสังคมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ภายใต้แนวคิด GSB SUSTAINABLE BANKING แบ่งเป็น 4 มิติ ที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน ดําเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล คํานึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ธนาคารออมสินมีการเติบโตที่ดีเยี่ยมในทุกมิติ ภายใต้แผนงานและยุทธศาสตร์เพื่อสร้างความแข็งแกร่งขององค์กรอย่างยั่งยืนที่พร้อมปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์และวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของธุรกิจอยู่ตลอดเวลา ด้วยแนวคิด “เติบโต ยั่งยืน ตอบแทนคืนสู่สังคม” โดยมิติที่ 1 Financial Strengthening : สร้างความมั่นคงทางการเงินเพื่อเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งธนาคารออมสินได้สร้างความแข็งแรงทางการเงินนี้มาตลอดระยะเวลาเกือบ 107 ปี จนทําให้เป็นองค์กรที่มีความมั่นคงในระดับสูง เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความสําเร็จได้เป็นอย่างดี โดยตั้งแต่ปี 2558 ถึงปี 2562 ธนาคารฯ มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นจาก 2.4 ล้านล้านบาท เป็น 2.8 ล้านล้านบาท ด้านเงินฝากเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 2.08 ล้านล้านบาท เป็น 2.41 ล้านล้านบาท ด้านสินเชื่อขยายตัวจาก 1.92 ล้านล้านบาท เป็น 2.15 ล้านล้านบาท ขณะที่หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) แม้จะเพิ่มจาก 1.61 เป็น 2.72 แต่ธนาคารฯ สามารถควบคุมได้ดีตามการขยายตัวของสินเชื่อ ด้วยการบริหารคุณภาพสินเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีระดับ NPLs ต่ําที่สุดเมื่อเทียบกับ 5 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ และมีกําไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 22,699 ล้านบาท เป็น 26,554 ล้านบาท สําหรับมิติที่ 2 Stakeholder Responsibility : ดูแลลูกค้าและผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม นับตั้งแต่ปี 2542 หรือกว่า 20 ปี ธนาคารฯ ได้นําส่งรายได้แผ่นดินหรือเงินนําส่งกระทรวงการคลังเพื่อนําไปพัฒนาประเทศกว่า 1.9 แสนล้านบาท โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นําส่งถึง 78,883 ล้านบาท พร้อมทั้งเป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามนโยบายภาครัฐหลากหลายโครงการจนประสบผลสําเร็จ โดยเฉพาะการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs และ Startup สําหรับลูกค้าอันเป็นหัวใจสําคัญของธนาคารออมสินนั้น มีอัตราการขยายตัวถึง 20% นับจากปี 2557 คิดเป็น 36% ของประชากรไทย โดยหากพิจารณาตาม Customer Segment ของธนาคารจะพบว่ากลุ่มลูกค้านักเรียนนักศึกษาเพิ่มขึ้นถึง 41% กลุ่ม Middle Income เพิ่มขึ้น 33% กลุ่มผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าเพิ่มขึ้น 13% และ 19% ตามลําดับ และกลุ่มลูกค้า SMEs เพิ่มขึ้น 8% ขณะที่ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน โดยเฉพาะด้านอิเล็กทรอนิกส์และดิจิทัลนั้น มีผลตอบรับอย่างดีจากทุกกลุ่มลูกค้าของธนาคารฯ อาทิ Mobile Application หรือ MyMo ที่เปิดตัวเมื่อปี 2558 ด้วยฐานผู้สมัครใช้งานในช่วงเปิดให้บริการเพียง 3 แสนราย ขยายตัวเพิ่มเป็น 7.9 ล้านราย ณ สิ้นปี 2562 ขณะที่ผลิตภัณฑ์ Debit Card มีลูกค้าถึง 6.7 ล้านบัตร ด้านผลิตภัณฑ์ GSB Credit Card ได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 94,938 บัตร เมื่อปี 2559 เป็น 478,987 บัตร ณ สิ้นปี 2562 ส่วนด้าน QR Payment ณ สิ้นปี 2562 มีร้านค้า QR Payment ของธนาคารฯ กว่า 307,877 ร้านค้า เพิ่มจาก 23,518 ร้านค้า เมื่อปี 2560 ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ในมิติที่ 3 Business Environment : สร้างความเข้มแข็งแก่สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ธนาคารออมสินได้สนับสนุนการสร้างโครงสร้างพื้นฐานระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment) เพื่อเติมเต็มช่องว่างและลดความเหลื่อมล้ําในการเข้าถึงบริการทางการเงิน ตั้งแต่โครงการ Any ID ที่มีผู้ลงทะเบียน Promtpay กับธนาคารออมสินกว่า 3.23 ล้านราย ซึ่งต่อมาเมื่อภาครัฐได้พัฒนาระบบการชําระเงินเป็น e-Payment ผ่านโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ธนาคารออมสินได้เข้าร่วมสนับสนุนโครงการดังกล่าว โดยมีผู้ลงทะเบียนกับธนาคารฯ กว่า 4.33 ล้านราย พร้อมทั้งสนับสนุนการเปิดบัญชีเงินฝากพื้นฐานไปแล้วกว่า 1.89 ล้านบัญชี นอกจากนี้ยังสนับสนุนการทําบุญหรือบริจาคเงินผ่านระบบ Electronic (e-Donation) ด้วยการสแกน QR Code ผ่าน “QR สาธุ” โดยดําเนินโครงการรวมกับองค์กรต่างๆ ไปแล้วมากกว่า 3,000 แห่ง ทําให้บัญชีการเงินของวัดมีความชัดเจนโปร่งใสมากขึ้น ภาครัฐสามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวในการลดหย่อนภาษีให้แก่ประชาชนได้ทันที สําหรับมิติที่ 4 Corporate Governance : ดําเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล ธนาคารออมสินตระหนักและเล็งเห็นถึงความสําคัญถึงการดําเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล และการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของหน่วยงานกํากับอย่างเคร่งครัด ภายใต้หลักการ 3 Line of Defense, IT Governance, Data Governance ซึ่งสะท้อนให้เห็นผลสําเร็จจากการบริหารจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพและธรรมาภิบาล จนได้รับรางวัลได้รับรางวัลคุณธรรมละความโปร่งใสของภาครัฐ (ITA) ระดับ AA ในปี 2560-2562 โดยได้รับความน่าเชื่อถือเป็นลําดับที่ 4 ของรัฐวิสาหกิจ และลําดับที่ 12 ขององค์กรต่างๆ จากทั่วประเทศกว่า 8,299 หน่วยงาน นอกจากนี้ ธนาคารฯ ยังได้รับรางวัลองค์กรโปร่งใส (NACC Integrity Awards) 2 ปี ติดต่อกัน โดยได้รับรางวัลในระดับชมเชยในปี 2560 และได้รับรางวัลระดับดีเด่น ในปี 2561 นอกจากนี้ ธนาคารฯ ยังมุ่งเน้นการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ Market Conduct เพื่อกําหนดเป็นมาตรฐานในการให้บริการที่มีความถูกต้องและไม่เอาเปรียบลูกค้าตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ดร.ชาติชาย กล่าวต่อไปว่า ในปี 2563 ธนาคารฯ ได้ตั้งเป้าหมายสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้น 2.9 ล้านล้านบาท หรือ 3.5% และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยการให้กู้เพิ่มกว่า 550,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสุทธิกว่า 80,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4-5% เงินฝากเพิ่มสุทธิกว่า 75,000 ล้านบาท หรือเติบโต 3% และเป้าหมายขยายฐานลูกค้าเพิ่มเป็น 41% ของประชากรทั้งประเทศ โดยใช้แนวคิด GSB SUSTAINABLE BANKING เป็นกลไกผลักดันยุทธศาสตร์ 3 ธนาคาร มุ่งสู่การเป็น “ธนาคารเพื่อความยั่งยืน” ประกอบด้วย Traditional Banking ธนาคารฯ จะปรับปรุงความสามารถการแข่งขันของธนาคารในรูปแบบปกติ ด้วยการเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยปรับเปลี่ยนการให้บริการแบบเดิมไปสู่ “Delivery Banking” ผ่านบริการ .”QUEUE Application” ซึ่งจะออกไปให้บริการตามที่ลูกค้าทํานัดหมายผ่าน app ซึ่งสามารถเลือกบริการได้ไม่ว่าจะเป็นรถยตน์บริการเคลื่อนที่ เรือออมสิน หรือให้พนักงานออกไปให้บริการยังจุดที่ลูกค้าสะดวก ด้วยเครื่องมือให้บริการในชื่อ SUMO โดยสามารถให้บริการได้ตั้งแต่การรับฝากเงิน เปิดบัญชีเงินฝาก ฝากสลากออมสิน ฝากเงินกองทุนต่างๆ เปิดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ รับชําระสินเชื่อ เป็นต้น ซึ่งปีนี้จะมีจํานวนถึง 3,700 เครื่องออกไปให้บริการ ขณะเดียวกัน ได้เตรียมพัฒนาศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (GSB Contact Center) เพื่อยกระดับการให้บริการและตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า โดยเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมทุกความคิดเห็น ข้อร้องเรียน และเสนอแนะของลูกค้าจากทุกรูปแบบช่องทางการสื่อสาร (Omni-Channel) และเป็นศูนย์กลางในการให้บริการข้อมูล ข่าวสาร ผลิตภัณฑ์และบริการของธนาคารฯ ผ่านทุกช่องทางสําคัญ นอกจากนี้ ยังได้นําเทคโนโลยี AI, Chatbot, Speech Recognition มาเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ธนาคารฯ ยังมีความพร้อมที่จะเป็นองค์กรหลักที่ให้บริการในรูปแบบ ATM White Label กับสถาบันการเงินอื่น ทั้งธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ซึ่งธนาคารได้เตรียมติดตั้ง ATM ใหม่กว่า 5,000 เครื่อง ทั้งทดแทนเครื่องเดิมและเพิ่มเติมในจุดที่มีศักยภาพครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ด้าน Social Development Banking จาก 3 ออมสร้างโลกสีชมพู สู่ 3 สร้างประกอบด้วย สร้างความรู้/อาชีพ สร้างตลาด/รายได้ และสร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งทุน เพื่อลดความความเหลื่อมล้ํา เติมเต็มช่องว่างทางการเงิน สร้างความมั่นคงในชีวิต และยกคุณภาพชีวิต แก่ลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มเด็ก/เยาวชน ลูกค้าฐานราก/ชุมชน ผู้สูงอายุ และกลุ่ม Startup โดยปี 2563 ธนาคารปรับเปลี่ยนบทบาทสาขา Social Branch เป็นศูนย์พัฒนาสู่ความยั่งยืน Sustainable Banking Center มิติใหม่ของสถาบันการเงินที่จะมีสาขาดูแลด้านสังคมโดยเฉพาะ รวมถึงมีบริการศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน ศูนย์แก้ไขหนี้นอกระบบ ศูนย์พัฒนาอาชีพ ศูนย์แก้ไขหนี้นอกระบบ ข้อมูลด้านการท่องเที่ยวในท้องถิ่น จุดให้บริการทางการเงินเพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐ (Financial Logistic Center) ศูนย์แสดงสินค้าชุมชน ซึ่งปี 2563 จะเปิดให้บริการครบ 100 สาขา ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงการปรับบทบาทสํานักสินเชื่อธุรกิจลูกค้า SMEs ที่มีกระจายอยู่ทั่วประเทศ 82 ศูนย์ เป็น ศูนย์กลางพัฒนาส่งเสริม SMEs (SMEs Development Center) ให้สามารถสนับสนุนธุรกิจ SMEs ได้อย่างครบวงจร เพื่อการยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน สําหรับ Digital Banking ที่จะพัฒนาให้เป็น Ecosystem ตอบสนองได้ทุกช่วงชีวิตของลูกค้า ในปี 2563 ธนาคารฯ มีแผนที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการและช่องทางต่างๆ ให้มีบริการที่รวดเร็วและทันสมัยมากยิ่งขึ้นในโลกยุคดิจิทัล พร้อมทั้งสร้างความสะดวกสบายบน Digital Platform ใหม่ๆ ตอบสนองทุกช่วงชีวิตของลูกค้า ผ่านการพัฒนา New Feature ของ Mobile Application : Mymo ได้แก่ บริการซื้อประกันภัยรถยนต์/ที่พักอาศัย/ประกันชีวิต ผ่าน i-Insurance บริการบัญชีเพื่อการออม ด้วย I-Saving บริการซื้อขายหลักทรัพย์กับ i-Investment และบริการการค้ําประกันสินเชื่อด้วย Digital สลาก ด้วย i-Loan เป็นต้น โดยปีนี้มีเป้าหมายเพิ่มจํานวนผู้ใช้บริการ MyMo จาก 8 ล้านรายในปี 2562 เป็น 13 ล้านราย และเป็น 18 ล้านรายในปี 2564 “ด้วยกลไก 3 Banking ซึ่งเป็น 3 พลังขับเคลื่อนที่จะนําธนาคารออมสินมุ่งไปสู่ GSB SUSTAINABLE BANKING ธนาคารฯ พร้อมด้วยบุคลากร และหน่วยงานพันธมิตร จะทําหน้าที่เพื่อให้ลูกค้าและประชาชนให้เข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นในทุกๆ พื้นที่ จะให้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าธนาคารออมสินจะดูแลทุกคน ดูแลชุมชน มีดิจิทัลแบงก์ มีสาขาจะปรับปรุงรูปแบบสาขาให้เหมาะสมกับศักยภาพในพื้นที่ โดยจะเน้นบริการ การขยายช่องทาง Digital ขณะเดียวกันยังจะมีการพัฒนา Feature ใหม่ๆ ผ่านช่องทางบริการ Mobile Banking ที่จะเป็นอีกช่องทางสําคัญในปี 2563 นี้ด้วย ซึ่งจะทําให้สัญลักษณ์ธนาคารออมสินประทับใจ อยู่ในความคิดของประชาชนทุกคนเมื่อนึกถึงการให้บริการทางการเงิน” ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าวในที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25819
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อพวช. เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสมุ่งมั่นพัฒนาชิ้นงานและนิทรรศการเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดพิพิธภัณฑ์อีกครั้งหลัง COVID-19
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563 อพวช. เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสมุ่งมั่นพัฒนาชิ้นงานและนิทรรศการเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดพิพิธภัณฑ์อีกครั้งหลัง COVID-19 อพวช. เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสมุ่งมั่นพัฒนาชิ้นงานและนิทรรศการเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดพิพิธภัณฑ์อีกครั้งหลัง COVID-19 องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สืบเนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ทําให้หลายสถานที่ รวมทั้ง อพวช. ต้องปิดให้บริการพิพิธภัณฑ์มาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคม 2563 ที่ผ่านมา และปรับการเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ของ อพวช. เป็นรูปแบบออนไลน์ Virtual Museum แทน รวมทั้งปรับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ให้อยู่ในรูปแบบออนไลน์แทน โดยผ่านโครงการ Science Delivery By NSM ให้กับเยาวชนและประชาชนในสังคม นอกจากนี้แล้วแม้พิพิธภัณฑ์จะปิดให้บริการ แต่ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ อพวช. ทุกคนยังคงมุ่งมั่นทํางานอย่างเข้มแข็งเพื่อปรับปรุงพัฒนาชิ้นงานและนิทรรศการ รวมทั้ง กิจกรรม ต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมการกลับมาเปิดพิพิธภัณฑ์อีกครั้งหลังสถานการณ์ COVID-19 ผ่านพ้นไป ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อํานวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กล่าวว่า “ในสภาวะวิกฤตที่พิพิธภัณฑ์ของ อพวช. ต้องปิดให้บริการชั่วคราว เราไม่ได้หยุดที่จะพัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ โดยผ่านโครงการ Science Delivery By NSM ที่ชวนมาเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ของเราผ่านทางออนไลน์ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้ครอบครัวและเยาวชนที่ช่วงนี้ต้องใช้เวลาอยู่บ้าน สามารถหารู้อย่างสนุกสนานสร้างสรรค์ด้วยการนําความรู้มาส่งตรงถึงบ้านที่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา นอกจากนี้ อพวช. ยังถือโอกาสในช่วงปิดพิพิธภัณฑ์ชั่วคราวดําเนินการดูแลบํารุงรักษาและปรับปรุงพัฒนาชิ้นงานทั้ง 4 พิพิธภัณฑ์อย่างจริงจัง ได้แก่ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศ และพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า และมุ่งมั่นคิดค้นกิจกรรมเสริมศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ เพื่อรองรับการเปิดให้บริการอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าถ้าสถานการณ์ดีขึ้นตามลําดับก็จะสามารถกลับมาเปิดบริการได้เร็ว ๆ นี้ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ของ อพวช. ยังคงตรวจสอบสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้และพืชพรรณในบริเวณสวนป่าของพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า สัตว์ต่าง ๆ ที่จัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา อาทิ งู กบ นก และแมลง ต่าง ๆ ก็ได้รับการดูแลอย่างดีเยี่ยมเช่นเคย ซึ่ง อพวช. เชื่อมั่นว่าเมื่อได้กลับมาเปิดบริการอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง ทุกอย่างจะสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพอย่างดีเยี่ยมพร้อมให้บริการทุกท่านอย่างเต็มศักยภาพต่อไป” สําหรับเยาวชน และประชาชนทั่วไป ช่วงนี้ที่ใช้เวลาอยู่บ้านก็สามารถหาความสนุกสนานอย่างสร้างสรรค์ผ่านโครงการ Science Delivery By NSM ในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ออนไลน์ด้วยการนําองค์ความรู้มาส่งตรงถึงบ้านทุกท่าน รวมทั้ง สามารถติดตามรายการใหม่แกะกล่องจาก อพวช. ได้แก่ Yoga on the wild side รายการที่ชวนพวกเรามาสร้างสุขภาพที่แข็งแรงโดยการออกกําลังกายโยคะในท่าทางเลียนแบบจากท่าสัตว์นานาชนิด เช่น ท่าแมว ท่าวัว ท่าผีเสื้อ และรายการ Specimen show เป็นรายการที่หยิบ Collection ต่าง ๆ ในแต่ละพิพิธภัณฑ์ของ อพวช. มาเล่าเรื่อง เป็นต้น พร้อมชวนร่วมสนุกไปกับกิจกรรมชิงของรางวัลสุดพิเศษจาก อพวช. ซึ่งความสนุกเหล่านี้ สามารถติดตามได้ที่ Facebook : NSM Thailand สําหรับผู้สนใจสามารถติดตามกิจกรรมออนไลน์ และติดตามความคืบหน้าการเปิดให้บริการพิพิธภัณฑ์ได้ที่ Facebook :NSM Thailand และwww.nsm.or.th ข้อมูลข่าวโดย : องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อพวช. เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสมุ่งมั่นพัฒนาชิ้นงานและนิทรรศการเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดพิพิธภัณฑ์อีกครั้งหลัง COVID-19 วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563 อพวช. เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสมุ่งมั่นพัฒนาชิ้นงานและนิทรรศการเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดพิพิธภัณฑ์อีกครั้งหลัง COVID-19 อพวช. เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสมุ่งมั่นพัฒนาชิ้นงานและนิทรรศการเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดพิพิธภัณฑ์อีกครั้งหลัง COVID-19 องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สืบเนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ทําให้หลายสถานที่ รวมทั้ง อพวช. ต้องปิดให้บริการพิพิธภัณฑ์มาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคม 2563 ที่ผ่านมา และปรับการเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ของ อพวช. เป็นรูปแบบออนไลน์ Virtual Museum แทน รวมทั้งปรับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ให้อยู่ในรูปแบบออนไลน์แทน โดยผ่านโครงการ Science Delivery By NSM ให้กับเยาวชนและประชาชนในสังคม นอกจากนี้แล้วแม้พิพิธภัณฑ์จะปิดให้บริการ แต่ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ อพวช. ทุกคนยังคงมุ่งมั่นทํางานอย่างเข้มแข็งเพื่อปรับปรุงพัฒนาชิ้นงานและนิทรรศการ รวมทั้ง กิจกรรม ต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมการกลับมาเปิดพิพิธภัณฑ์อีกครั้งหลังสถานการณ์ COVID-19 ผ่านพ้นไป ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อํานวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กล่าวว่า “ในสภาวะวิกฤตที่พิพิธภัณฑ์ของ อพวช. ต้องปิดให้บริการชั่วคราว เราไม่ได้หยุดที่จะพัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ โดยผ่านโครงการ Science Delivery By NSM ที่ชวนมาเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ของเราผ่านทางออนไลน์ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้ครอบครัวและเยาวชนที่ช่วงนี้ต้องใช้เวลาอยู่บ้าน สามารถหารู้อย่างสนุกสนานสร้างสรรค์ด้วยการนําความรู้มาส่งตรงถึงบ้านที่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา นอกจากนี้ อพวช. ยังถือโอกาสในช่วงปิดพิพิธภัณฑ์ชั่วคราวดําเนินการดูแลบํารุงรักษาและปรับปรุงพัฒนาชิ้นงานทั้ง 4 พิพิธภัณฑ์อย่างจริงจัง ได้แก่ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศ และพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า และมุ่งมั่นคิดค้นกิจกรรมเสริมศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ เพื่อรองรับการเปิดให้บริการอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าถ้าสถานการณ์ดีขึ้นตามลําดับก็จะสามารถกลับมาเปิดบริการได้เร็ว ๆ นี้ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ของ อพวช. ยังคงตรวจสอบสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้และพืชพรรณในบริเวณสวนป่าของพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า สัตว์ต่าง ๆ ที่จัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา อาทิ งู กบ นก และแมลง ต่าง ๆ ก็ได้รับการดูแลอย่างดีเยี่ยมเช่นเคย ซึ่ง อพวช. เชื่อมั่นว่าเมื่อได้กลับมาเปิดบริการอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง ทุกอย่างจะสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพอย่างดีเยี่ยมพร้อมให้บริการทุกท่านอย่างเต็มศักยภาพต่อไป” สําหรับเยาวชน และประชาชนทั่วไป ช่วงนี้ที่ใช้เวลาอยู่บ้านก็สามารถหาความสนุกสนานอย่างสร้างสรรค์ผ่านโครงการ Science Delivery By NSM ในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ออนไลน์ด้วยการนําองค์ความรู้มาส่งตรงถึงบ้านทุกท่าน รวมทั้ง สามารถติดตามรายการใหม่แกะกล่องจาก อพวช. ได้แก่ Yoga on the wild side รายการที่ชวนพวกเรามาสร้างสุขภาพที่แข็งแรงโดยการออกกําลังกายโยคะในท่าทางเลียนแบบจากท่าสัตว์นานาชนิด เช่น ท่าแมว ท่าวัว ท่าผีเสื้อ และรายการ Specimen show เป็นรายการที่หยิบ Collection ต่าง ๆ ในแต่ละพิพิธภัณฑ์ของ อพวช. มาเล่าเรื่อง เป็นต้น พร้อมชวนร่วมสนุกไปกับกิจกรรมชิงของรางวัลสุดพิเศษจาก อพวช. ซึ่งความสนุกเหล่านี้ สามารถติดตามได้ที่ Facebook : NSM Thailand สําหรับผู้สนใจสามารถติดตามกิจกรรมออนไลน์ และติดตามความคืบหน้าการเปิดให้บริการพิพิธภัณฑ์ได้ที่ Facebook :NSM Thailand และwww.nsm.or.th ข้อมูลข่าวโดย : องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31532
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ขอคนไทยการ์ดอย่าตก ป้องกันโควิดระบาดรอบ 2
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563 สธ.ขอคนไทยการ์ดอย่าตก ป้องกันโควิดระบาดรอบ 2 กระทรวงสาธารณสุขขอคนไทยร่วมมือการ์ดอย่าตก รักษาระยะห่างระหว่างบุคคล สนับสนุนสถานประกอบการทั้งรัฐและเอกชนการทํางานที่บ้านร้อยละ 70 สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ ป้องกันไม่กลับไประบาดซ้ํา กระทรวงสาธารณสุขขอคนไทยร่วมมือการ์ดอย่าตก รักษาระยะห่างระหว่างบุคคล สนับสนุนสถานประกอบการทั้งรัฐและเอกชนการทํางานที่บ้านร้อยละ 70 สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ ป้องกันไม่กลับไประบาดซ้ํา วันนี้ (10 พฤษภาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า หลังเปิดมาตรการผ่อนปรนของรัฐบาลได้ 1 สัปดาห์แล้ว มีการแพร่ระบาดหากประชาชนขาดความระมัดระวังไม่สวมหน้ากากออกจากบ้าน หรือไปในสถานที่ที่มีผู้คนแออัดก็อาจทําให้เกิดความเสี่ยงที่โรคโควิด 19 จะกลับมาระบาดซ้ําได้ จึงขอความร่วมมือประชาชนทุกคนต้องรักษาสภาพการแพร่ระบาดให้อยู่ในระดับต่ําต่อไปให้ได้นานที่สุด ซึ่งมาตรการที่สําคัญที่ทุกคนต้องร่วมมือกันรวมถึงสถานประกอบการทั้งภาครัฐและเอกชน มี 4 ประการ คือ 1. การรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล การเหลื่อมเวลาทํางาน การจัดเจ้าหน้าที่ให้ทํางานที่บ้านร้อยละ 70 การจัดระบบคิวในการให้บริการ เพื่อลดความแออัดของพื้นที่สาธารณะลงให้ได้มากที่สุด เป็นต้น 2. การออกแบบทางวิศกรรม เช่น การจัดระบบระบายอากาศให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก เปิดหน้าต่างปิดแอร์ แต่หากไม่สามารถเปิดหน้าต่างได้ควรติดพัดลมดูดอากาศ การใช้แผนทึบกั้นระหว่างคนที่ต้องนั่งใกล้ชิดกัน3. ปรับปรุงระบบงาน โดยการนําเทคโนโลยีมาใช้ในการทํางาน เช่น การประชุมทางไกล การสนับสนุนให้ผู้รับบริการทําธุรกรรมทางอินเตอร์เน็ต การนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการทํางาน เป็นต้น และ 4. การใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า ล้างมือบ่อย ๆ รับประทานอาหารปรุงสุก สะอาด และใช้ช้อนกลางส่วนตัว จะเห็นได้ว่า สิ่งเหล่านี้หลายเรื่องเป็นสิ่งที่ควรจะต้องทําอยู่ต่อไปจนเป็นนิสัยหรือเป็นวิถีชีวิตแบบใหม่ ไม่ว่าโควิด 19 จะหมดไปแล้วหรือไม่ อย่างเช่น การทํางานที่บ้านช่วยลดปัญหาโรคทางเดินหายใจอื่น ๆ และไข้หวัดใหญ่ ทั้งยังช่วยลดปัญหาจราจร คนทํางานที่บ้านมีเวลาเพิ่มขึ้นไม่ต้องสูญเสียไปกับการจราจร ลดความเครียด ลดความแออัดของสังคมเมือง ช่วยลดมลพิษทางอากาศ ลดการนําเข้าน้ํามันเชื้อเพลิง ทั้งยังช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับหน่วยงานได้ด้วยหากบริหารจัดการได้ดี “หลายคนบ่นทํานองว่าโรคโควิด 19 ส่งผลกระทบต่อการดํารงชีวิต การทํางาน การเดินทาง เศรษฐกิจ และมุ่งหวังให้ภาครัฐเข้ามาจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ให้ จริงครับ ภาครัฐสามารถเข้ามาช่วยบรรเทาปัญหาลงได้ แต่ไม่ทั้งหมด คนไทยต้องไม่ลืมว่า พลังที่ยุติหรือยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด 19 รวมถึงลดผลกระทบต่าง ๆ อยู่ที่คนไทยทุกคน ทุกคนต้องให้ความร่วมมือกับทางภาครัฐในการป้องกันตัวเองให้เต็มที่ เจ้าของสถานประกอบการก็มีบทบาทที่สําคัญในการที่ช่วยลดความเสี่ยงในการกลับมาแพร่ระบาดในสังคมไทยให้คงระดับต่ําต่อเนื่องต่อไปด้วยการดูแลสถานที่หรือสถานประกอบการของตัวเองให้มีความเสี่ยงในการเป็นแหล่งแพร่เชื้อให้ต่ําที่สุด” นายแพทย์ธนรักษ์กล่าว ****************************** 10 พฤษภาคม2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ขอคนไทยการ์ดอย่าตก ป้องกันโควิดระบาดรอบ 2 วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563 สธ.ขอคนไทยการ์ดอย่าตก ป้องกันโควิดระบาดรอบ 2 กระทรวงสาธารณสุขขอคนไทยร่วมมือการ์ดอย่าตก รักษาระยะห่างระหว่างบุคคล สนับสนุนสถานประกอบการทั้งรัฐและเอกชนการทํางานที่บ้านร้อยละ 70 สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ ป้องกันไม่กลับไประบาดซ้ํา กระทรวงสาธารณสุขขอคนไทยร่วมมือการ์ดอย่าตก รักษาระยะห่างระหว่างบุคคล สนับสนุนสถานประกอบการทั้งรัฐและเอกชนการทํางานที่บ้านร้อยละ 70 สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ ป้องกันไม่กลับไประบาดซ้ํา วันนี้ (10 พฤษภาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า หลังเปิดมาตรการผ่อนปรนของรัฐบาลได้ 1 สัปดาห์แล้ว มีการแพร่ระบาดหากประชาชนขาดความระมัดระวังไม่สวมหน้ากากออกจากบ้าน หรือไปในสถานที่ที่มีผู้คนแออัดก็อาจทําให้เกิดความเสี่ยงที่โรคโควิด 19 จะกลับมาระบาดซ้ําได้ จึงขอความร่วมมือประชาชนทุกคนต้องรักษาสภาพการแพร่ระบาดให้อยู่ในระดับต่ําต่อไปให้ได้นานที่สุด ซึ่งมาตรการที่สําคัญที่ทุกคนต้องร่วมมือกันรวมถึงสถานประกอบการทั้งภาครัฐและเอกชน มี 4 ประการ คือ 1. การรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล การเหลื่อมเวลาทํางาน การจัดเจ้าหน้าที่ให้ทํางานที่บ้านร้อยละ 70 การจัดระบบคิวในการให้บริการ เพื่อลดความแออัดของพื้นที่สาธารณะลงให้ได้มากที่สุด เป็นต้น 2. การออกแบบทางวิศกรรม เช่น การจัดระบบระบายอากาศให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก เปิดหน้าต่างปิดแอร์ แต่หากไม่สามารถเปิดหน้าต่างได้ควรติดพัดลมดูดอากาศ การใช้แผนทึบกั้นระหว่างคนที่ต้องนั่งใกล้ชิดกัน3. ปรับปรุงระบบงาน โดยการนําเทคโนโลยีมาใช้ในการทํางาน เช่น การประชุมทางไกล การสนับสนุนให้ผู้รับบริการทําธุรกรรมทางอินเตอร์เน็ต การนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการทํางาน เป็นต้น และ 4. การใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า ล้างมือบ่อย ๆ รับประทานอาหารปรุงสุก สะอาด และใช้ช้อนกลางส่วนตัว จะเห็นได้ว่า สิ่งเหล่านี้หลายเรื่องเป็นสิ่งที่ควรจะต้องทําอยู่ต่อไปจนเป็นนิสัยหรือเป็นวิถีชีวิตแบบใหม่ ไม่ว่าโควิด 19 จะหมดไปแล้วหรือไม่ อย่างเช่น การทํางานที่บ้านช่วยลดปัญหาโรคทางเดินหายใจอื่น ๆ และไข้หวัดใหญ่ ทั้งยังช่วยลดปัญหาจราจร คนทํางานที่บ้านมีเวลาเพิ่มขึ้นไม่ต้องสูญเสียไปกับการจราจร ลดความเครียด ลดความแออัดของสังคมเมือง ช่วยลดมลพิษทางอากาศ ลดการนําเข้าน้ํามันเชื้อเพลิง ทั้งยังช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับหน่วยงานได้ด้วยหากบริหารจัดการได้ดี “หลายคนบ่นทํานองว่าโรคโควิด 19 ส่งผลกระทบต่อการดํารงชีวิต การทํางาน การเดินทาง เศรษฐกิจ และมุ่งหวังให้ภาครัฐเข้ามาจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ให้ จริงครับ ภาครัฐสามารถเข้ามาช่วยบรรเทาปัญหาลงได้ แต่ไม่ทั้งหมด คนไทยต้องไม่ลืมว่า พลังที่ยุติหรือยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด 19 รวมถึงลดผลกระทบต่าง ๆ อยู่ที่คนไทยทุกคน ทุกคนต้องให้ความร่วมมือกับทางภาครัฐในการป้องกันตัวเองให้เต็มที่ เจ้าของสถานประกอบการก็มีบทบาทที่สําคัญในการที่ช่วยลดความเสี่ยงในการกลับมาแพร่ระบาดในสังคมไทยให้คงระดับต่ําต่อเนื่องต่อไปด้วยการดูแลสถานที่หรือสถานประกอบการของตัวเองให้มีความเสี่ยงในการเป็นแหล่งแพร่เชื้อให้ต่ําที่สุด” นายแพทย์ธนรักษ์กล่าว ****************************** 10 พฤษภาคม2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30630
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562
วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562 รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 เห็นชอบจัดทํานโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ปี 2560 – 2564 วันนี้ (18 มกราคม 2562) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 สรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในการกําหนดทิศทางนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ปี 2560 – 2564 ที่มีนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ที่ 1 อนุรักษ์ คุ้มครอง ฟื้นฟู ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อย่างสมดุลและเป็นธรรม ยุทธศาสตร์ที่ 2 บริหารจัดการการใช้ประโยชน์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแบบบูรณาการ อย่างยั่งยืน ยุทธศาสตร์ที่ 3 เสริมสร้างประสิทธิภาพกลไกการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยเน้นการมีส่วนร่วมและทันต่อการเปลี่ยนแปลง และยุทธศาสตร์ที่ 4 เสริมสร้างความเข้มแข็งและพัฒนาความร่วมมือบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกันจากความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งนโยบายและแผนฯ ดังกล่าว มีความเชื่อมโยงและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติที่ 5 ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แผนปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2564) แผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล (พ.ศ. 2558 – 2564) และนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2558 – 2564) พร้อมกันนี้ ที่ประชุมรับทราบตามที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีนโยบายการจัดโครงการจัดวางปะการังเทียมจากขาแท่นผลิตปิโตรเลียมที่เลิกใช้งานแล้ว การกําหนดพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตามมาตรา 20 และ 22 การกําหนดพื้นที่ที่จะใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งตามมาตรา 21 โครงการชายหาดปลอดบุหรี่ และ การเป็นเจ้าภาพจัดประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษด้านขยะทะเล ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 5 มีนาคม 2562 นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้คณะกรรมการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเล ซึ่งอยู่ภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มาอยู่ภายใต้คณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ โดยเพิ่มอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นประธานอนุกรรมการร่วมและให้มีอํานาจหน้าที่คงเดิม ทั้งนี้ รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาขยะเป็นเรื่องใหญ่ที่ทําการแก้ไขมาหลายปี แต่ไม่ได้มีกระแสเหมือนตอนนี้ ที่มีทั้งภาคเอกชนและประชาชน เข้ามาร่วมมือกับรัฐบาลมากขึ้น โดยขอฝากให้ทุกฝ่ายช่วยกันสร้างกระแสให้เกิดความร่วมมือกันในเรื่องนี้ด้วย ..................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562 รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 เห็นชอบจัดทํานโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ปี 2560 – 2564 วันนี้ (18 มกราคม 2562) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 สรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในการกําหนดทิศทางนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ปี 2560 – 2564 ที่มีนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ที่ 1 อนุรักษ์ คุ้มครอง ฟื้นฟู ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อย่างสมดุลและเป็นธรรม ยุทธศาสตร์ที่ 2 บริหารจัดการการใช้ประโยชน์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแบบบูรณาการ อย่างยั่งยืน ยุทธศาสตร์ที่ 3 เสริมสร้างประสิทธิภาพกลไกการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยเน้นการมีส่วนร่วมและทันต่อการเปลี่ยนแปลง และยุทธศาสตร์ที่ 4 เสริมสร้างความเข้มแข็งและพัฒนาความร่วมมือบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกันจากความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งนโยบายและแผนฯ ดังกล่าว มีความเชื่อมโยงและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติที่ 5 ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แผนปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2564) แผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล (พ.ศ. 2558 – 2564) และนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2558 – 2564) พร้อมกันนี้ ที่ประชุมรับทราบตามที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีนโยบายการจัดโครงการจัดวางปะการังเทียมจากขาแท่นผลิตปิโตรเลียมที่เลิกใช้งานแล้ว การกําหนดพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตามมาตรา 20 และ 22 การกําหนดพื้นที่ที่จะใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งตามมาตรา 21 โครงการชายหาดปลอดบุหรี่ และ การเป็นเจ้าภาพจัดประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษด้านขยะทะเล ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 5 มีนาคม 2562 นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้คณะกรรมการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเล ซึ่งอยู่ภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มาอยู่ภายใต้คณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ โดยเพิ่มอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นประธานอนุกรรมการร่วมและให้มีอํานาจหน้าที่คงเดิม ทั้งนี้ รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาขยะเป็นเรื่องใหญ่ที่ทําการแก้ไขมาหลายปี แต่ไม่ได้มีกระแสเหมือนตอนนี้ ที่มีทั้งภาคเอกชนและประชาชน เข้ามาร่วมมือกับรัฐบาลมากขึ้น โดยขอฝากให้ทุกฝ่ายช่วยกันสร้างกระแสให้เกิดความร่วมมือกันในเรื่องนี้ด้วย ..................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18221
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมพิธีเปิดงานสัมมนา “Thailand Taking off to New Heights”
วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2561 รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมพิธีเปิดงานสัมมนา “Thailand Taking off to New Heights” รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วย น.ส.อัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมพิธีเปิดงานสัมมนา “Thailand Taking off to New Heights” โดยมี ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จัดขึ้น เพื่อเป็นการประกาศความพร้อมของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตในเวทีเศรษฐกิจโลก รวมทั้งเป็นเวทีในการประกาศทิศทางการส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทย โดยรัฐบาลได้เตรียมความพร้อมสําหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ด้วย 3 ยุทธศาสตร์สําคัญ ได้แก่ 1) โครงสร้างการลงทุนขนาดใหญ่ ที่จะช่วยยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านกายภาพของประเทศ 2) กลุ่มโครงการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งรัฐบาลตั้งใจพัฒนาให้เกิดการเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์ไร้รอยต่อในภูมิภาค ทั้งทางบก ทางน้ํา และทางอากาศ และ 3) กลุ่มโครงการเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัล หรือ 4.0 อาทิ การลงทุนในระบบอินเทอร์เน็ตหมู่บ้าน รวมถึงการผลักดันบริการภาครัฐสู่การเป็น e-Government เพื่อเพิ่มศักยภาพการบริการประชาชน และภาคธุรกิจ ซึ่งทั้ง 3 ยุทธศาสตร์ กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นหนึ่งหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนให้เกิดขึ้น ทั้งนี้ ภายในงานฯ บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) ได้นําโมเดลจําลองขนาดใหญ่ของโครงการ Digital Park Thailand ในอําเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี บนพื้นที่ 709 ไร่ มาจัดแสดง ซึ่งเป็นพื้นที่พัฒนาเขตอุตสาหกรรมและนวัตกรรมด้านดิจิทัล (EECd) เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีและสร้างสรรค์งานด้านดิจิทัลในรูปแบบต่างๆ ด้วย เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2561 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมพิธีเปิดงานสัมมนา “Thailand Taking off to New Heights” วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2561 รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมพิธีเปิดงานสัมมนา “Thailand Taking off to New Heights” รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วย น.ส.อัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมพิธีเปิดงานสัมมนา “Thailand Taking off to New Heights” โดยมี ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จัดขึ้น เพื่อเป็นการประกาศความพร้อมของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตในเวทีเศรษฐกิจโลก รวมทั้งเป็นเวทีในการประกาศทิศทางการส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทย โดยรัฐบาลได้เตรียมความพร้อมสําหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ด้วย 3 ยุทธศาสตร์สําคัญ ได้แก่ 1) โครงสร้างการลงทุนขนาดใหญ่ ที่จะช่วยยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านกายภาพของประเทศ 2) กลุ่มโครงการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งรัฐบาลตั้งใจพัฒนาให้เกิดการเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์ไร้รอยต่อในภูมิภาค ทั้งทางบก ทางน้ํา และทางอากาศ และ 3) กลุ่มโครงการเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัล หรือ 4.0 อาทิ การลงทุนในระบบอินเทอร์เน็ตหมู่บ้าน รวมถึงการผลักดันบริการภาครัฐสู่การเป็น e-Government เพื่อเพิ่มศักยภาพการบริการประชาชน และภาคธุรกิจ ซึ่งทั้ง 3 ยุทธศาสตร์ กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นหนึ่งหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนให้เกิดขึ้น ทั้งนี้ ภายในงานฯ บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) ได้นําโมเดลจําลองขนาดใหญ่ของโครงการ Digital Park Thailand ในอําเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี บนพื้นที่ 709 ไร่ มาจัดแสดง ซึ่งเป็นพื้นที่พัฒนาเขตอุตสาหกรรมและนวัตกรรมด้านดิจิทัล (EECd) เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีและสร้างสรรค์งานด้านดิจิทัลในรูปแบบต่างๆ ด้วย เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2561 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ********************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10882
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีฝากเตือนผู้ชุมนุมว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ขออย่าได้ทำ พร้อมขอให้นึกถึงส่วนรวม
วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 นายกรัฐมนตรีฝากเตือนผู้ชุมนุมว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ขออย่าได้ทํา พร้อมขอให้นึกถึงส่วนรวม นายกรัฐมนตรีฝากเตือนผู้ชุมนุมว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ขออย่าได้ทํา พร้อมขอให้นึกถึงส่วนรวม วันนี้ (13 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 14.20 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีมีการรวมตัวนัดชุมนุมว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องผิดกฎหมายหรือเปล่า ทําให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนหรือไหม รวมไปถึงทําให้การจราจร ถนนเสียหายไปด้วยหรือไม ซึ่งเมื่อรู้อยู่ว่าสิ่งที่ทําอยู่เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ก็อย่าไปทํา ขอให้รอเวลาก่อนค่อยทํา พร้อมทั้งขอให้นึกถึงส่วนรวมบ้าง ----------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีฝากเตือนผู้ชุมนุมว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ขออย่าได้ทำ พร้อมขอให้นึกถึงส่วนรวม วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 นายกรัฐมนตรีฝากเตือนผู้ชุมนุมว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ขออย่าได้ทํา พร้อมขอให้นึกถึงส่วนรวม นายกรัฐมนตรีฝากเตือนผู้ชุมนุมว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ขออย่าได้ทํา พร้อมขอให้นึกถึงส่วนรวม วันนี้ (13 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 14.20 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีมีการรวมตัวนัดชุมนุมว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องผิดกฎหมายหรือเปล่า ทําให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนหรือไหม รวมไปถึงทําให้การจราจร ถนนเสียหายไปด้วยหรือไม ซึ่งเมื่อรู้อยู่ว่าสิ่งที่ทําอยู่เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ก็อย่าไปทํา ขอให้รอเวลาก่อนค่อยทํา พร้อมทั้งขอให้นึกถึงส่วนรวมบ้าง ----------------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10069
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลสนับสนุนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นเพื่อพัฒนาประเทศ
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 รัฐบาลสนับสนุนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นเพื่อพัฒนาประเทศ เพื่อเสริมทักษะที่จําเป็นตามความต้องการของตลาดแรงงานให้แก่นักศึกษาอาชีวศึกษา ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาคุณภาพนักศึกษาอาชีวศึกษา โดยร่วมกับภาคเอกชนจัดหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นเสริมทักษะให้แก่นักศึกษา ประกอบด้วยหลักสูตรที่สําคัญ 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย 1,400 หลักสูตร เช่น การซ่อมสีรถด้วยระบบอัจฉริยะ เทคโนโลยีปรับฉีดพลาสติก งานควบคุมหลอดไฟบ้านผู้สูงวัยด้วยระบบสมองกลฝังตัว เป็นต้น และ2. กลุ่มหลักสูตรตามความต้องการท้องถิ่น 2,488 หลักสูตร เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับธุรกิจยุค 4.0 การออกแบบงานกราฟฟิกและภาพเคลื่อนไหว การซื้อขายและทําธุรกิจระบบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ทั้งนี้ รัฐบาลตั้งเป้ายกระดับเศรษฐกิจของประเทศด้วยศักยภาพของนักศึกษาอาชีวะ โดยส่งเสริมความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อพัฒนาอาชีวศึกษาทั้งระบบอย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลสนับสนุนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นเพื่อพัฒนาประเทศ วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 รัฐบาลสนับสนุนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นเพื่อพัฒนาประเทศ เพื่อเสริมทักษะที่จําเป็นตามความต้องการของตลาดแรงงานให้แก่นักศึกษาอาชีวศึกษา ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาคุณภาพนักศึกษาอาชีวศึกษา โดยร่วมกับภาคเอกชนจัดหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นเสริมทักษะให้แก่นักศึกษา ประกอบด้วยหลักสูตรที่สําคัญ 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย 1,400 หลักสูตร เช่น การซ่อมสีรถด้วยระบบอัจฉริยะ เทคโนโลยีปรับฉีดพลาสติก งานควบคุมหลอดไฟบ้านผู้สูงวัยด้วยระบบสมองกลฝังตัว เป็นต้น และ2. กลุ่มหลักสูตรตามความต้องการท้องถิ่น 2,488 หลักสูตร เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับธุรกิจยุค 4.0 การออกแบบงานกราฟฟิกและภาพเคลื่อนไหว การซื้อขายและทําธุรกิจระบบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ทั้งนี้ รัฐบาลตั้งเป้ายกระดับเศรษฐกิจของประเทศด้วยศักยภาพของนักศึกษาอาชีวะ โดยส่งเสริมความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อพัฒนาอาชีวศึกษาทั้งระบบอย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9201
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หากมีอาการแบบนี้อาจเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563 หากมีอาการแบบนี้อาจเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 หากมีอาการหายใจติดขัด ควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคจะดีที่สุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หากมีอาการแบบนี้อาจเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563 หากมีอาการแบบนี้อาจเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 หากมีอาการหายใจติดขัด ควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคจะดีที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31472
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"Safety & Hygienic Road Trip"
วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม 2563 "Safety & Hygienic Road Trip" "Safety & Hygienic Road Trip" โครงการคู่มือเส้นทางท่องเที่ยวปลอดโรค การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย เพื่อสร้างความมั่นใจในการเดินทางท่องเที่ยว เช้าวันนี้ 20 กรกฎาคม 2563 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วย นพ. ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายยุทธศักดิ์ สุภสรผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ องค์การมหาชน TCEB และนายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้อํานวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน องค์การมหาชน อพท. ร่วมกันแถลงข่าวโครงการคู่มือเส้นทางท่องเที่ยวปลอดโรค "Safety & Hygienic Road Trip" ตามแนวทางการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย เพื่อสร้างความมั่นใจในการเดินทางท่องเที่ยว เป็นหนึ่งโครงการที่เกิดจากการบูรณาการระหว่าง ททท. TCEB อพท. และหน่วยงานภาคเอกชน เช่น บริษัท ปตท. น้ํามันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) และ บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ช่วยกระตุ้นให้เกิดการเดินทางทั้งในลักษณะการท่องเที่ยวด้วยตนเอง การท่องเที่ยวเป็นหมู่คณะ การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล รวมถึงการเดินทางเพื่อการประชุม อบรมและสัมมนา โดยใช้คู่มือเส้นทางท่องเที่ยวปลอดโรค 5 ภูมิภาค Safety & Hygienic Road Trip เป็นแนวทางในการเดินทางท่องเที่ยว ตลอดจนแนวทางการเดินทางร่วมกิจกรรมกับชุมชนท่องเที่ยว ตามแนวคิดท่องเที่ยววิถีใหม่ New Normal ณ ห้องโถงธนะรัชต์ อาคาร ททท. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงอุตสาหกรรมท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวมีความกังวลในการเดินทางมากขึ้น เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่น ให้กับนักท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดย ททท. จึงร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ดําเนินโครงการมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย Amazing Thailand Safety & Health Administration (SHA) ซึ่งเป็นโครงการกระตุ้นให้สถานประกอบการ ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้เตรียมความพร้อมและดําเนินการปรับปรุงสถานประกอบการให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่ (New normal) ที่ผู้ประกอบการต้องเสนอสินค้าและบริการที่ดีควบคู่กับมาตรฐานความปลอดภัย ด้านสุขอนามัย ตราสัญลักษณ์ SHA เป็นเครื่องมือสื่อสารให้นักท่องเที่ยวในการสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า ททท. ได้ต่อยอดแนวมาตรฐาน SHA ให้สอดคล้องกับพฤติกรรม ของนักท่องเที่ยวไทยที่มีความสนใจในการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคล โดยรวมกันเป็นหมู่คณะเล็กๆ อาทิ สมาชิกในครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อน เพื่อท่องเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดใกล้เคียง ททท. จึงได้จัดทําคู่มือเส้นทางท่องเที่ยวปลอดโรค 5 ภูมิภาค (Safety & Hygienic Road Trip) ขึ้น เพื่อย้ําเตือนแนวทางการปฏิบัติตัวระหว่างเดินทางท่องเที่ยว ในการนี้ ททท. ได้จัดกิจกรรมนําร่องเส้นทางท่องเที่ยวปลอดโรค โดยนําคณะผู้บริหารจากหน่วยงานพันธมิตรและสื่อมวลชนร่วมเดินทางท่องเที่ยวตามมาตรฐานวิถีชีวิตใหม่ (New normal) เส้นทางกรุงเทพฯ-สมุทรสงคราม-ราชบุรี ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"Safety & Hygienic Road Trip" วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม 2563 "Safety & Hygienic Road Trip" "Safety & Hygienic Road Trip" โครงการคู่มือเส้นทางท่องเที่ยวปลอดโรค การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย เพื่อสร้างความมั่นใจในการเดินทางท่องเที่ยว เช้าวันนี้ 20 กรกฎาคม 2563 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วย นพ. ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายยุทธศักดิ์ สุภสรผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ องค์การมหาชน TCEB และนายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้อํานวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน องค์การมหาชน อพท. ร่วมกันแถลงข่าวโครงการคู่มือเส้นทางท่องเที่ยวปลอดโรค "Safety & Hygienic Road Trip" ตามแนวทางการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย เพื่อสร้างความมั่นใจในการเดินทางท่องเที่ยว เป็นหนึ่งโครงการที่เกิดจากการบูรณาการระหว่าง ททท. TCEB อพท. และหน่วยงานภาคเอกชน เช่น บริษัท ปตท. น้ํามันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) และ บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ช่วยกระตุ้นให้เกิดการเดินทางทั้งในลักษณะการท่องเที่ยวด้วยตนเอง การท่องเที่ยวเป็นหมู่คณะ การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล รวมถึงการเดินทางเพื่อการประชุม อบรมและสัมมนา โดยใช้คู่มือเส้นทางท่องเที่ยวปลอดโรค 5 ภูมิภาค Safety & Hygienic Road Trip เป็นแนวทางในการเดินทางท่องเที่ยว ตลอดจนแนวทางการเดินทางร่วมกิจกรรมกับชุมชนท่องเที่ยว ตามแนวคิดท่องเที่ยววิถีใหม่ New Normal ณ ห้องโถงธนะรัชต์ อาคาร ททท. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงอุตสาหกรรมท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวมีความกังวลในการเดินทางมากขึ้น เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่น ให้กับนักท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดย ททท. จึงร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ดําเนินโครงการมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย Amazing Thailand Safety & Health Administration (SHA) ซึ่งเป็นโครงการกระตุ้นให้สถานประกอบการ ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้เตรียมความพร้อมและดําเนินการปรับปรุงสถานประกอบการให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่ (New normal) ที่ผู้ประกอบการต้องเสนอสินค้าและบริการที่ดีควบคู่กับมาตรฐานความปลอดภัย ด้านสุขอนามัย ตราสัญลักษณ์ SHA เป็นเครื่องมือสื่อสารให้นักท่องเที่ยวในการสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า ททท. ได้ต่อยอดแนวมาตรฐาน SHA ให้สอดคล้องกับพฤติกรรม ของนักท่องเที่ยวไทยที่มีความสนใจในการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคล โดยรวมกันเป็นหมู่คณะเล็กๆ อาทิ สมาชิกในครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อน เพื่อท่องเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดใกล้เคียง ททท. จึงได้จัดทําคู่มือเส้นทางท่องเที่ยวปลอดโรค 5 ภูมิภาค (Safety & Hygienic Road Trip) ขึ้น เพื่อย้ําเตือนแนวทางการปฏิบัติตัวระหว่างเดินทางท่องเที่ยว ในการนี้ ททท. ได้จัดกิจกรรมนําร่องเส้นทางท่องเที่ยวปลอดโรค โดยนําคณะผู้บริหารจากหน่วยงานพันธมิตรและสื่อมวลชนร่วมเดินทางท่องเที่ยวตามมาตรฐานวิถีชีวิตใหม่ (New normal) เส้นทางกรุงเทพฯ-สมุทรสงคราม-ราชบุรี ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33550
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลจริงจังกวาดล้างบ่อนการพนัน ไม่ละเว้นผู้กระทำความผิดต้องถูกดำเนินคดี พร้อมลงโทษเจ้าหน้าที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่
วันอังคารที่ 4 สิงหาคม 2563 นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลจริงจังกวาดล้างบ่อนการพนัน ไม่ละเว้นผู้กระทําความผิดต้องถูกดําเนินคดี พร้อมลงโทษเจ้าหน้าที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลจริงจังกวาดล้างบ่อนการพนัน ไม่ละเว้นผู้กระทําความผิดต้องถูกดําเนินคดี พร้อมลงโทษเจ้าหน้าที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ วันนี้ (4 ส.ค. 63) เวลา 13.15 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยคณะรัฐมนตรีมีการพิจารณาอนุมัติแผนการใช้จ่ายเงินกู้ระยะที่ 1 โดยตรวจสอบ คัดกรอง โครงการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งหารือถึงมาตรการผ่อนคลายการเดินทางเข้ามาของชาวต่างชาติ อาทิ นักธุรกิจ ที่จะเข้ามาดําเนินการธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งจะต้องมีมาตรการที่รัดกุม สร้างความเชื่อมั่นแก่พี่น้องประชาชนว่าประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ โดย ศบค. จะเป็นผู้เสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป สําหรับกรณีทหารสหรัฐอเมริกาเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยหลังผ่านการฝึกที่ประเทศญี่ปุ่น ขณะนี้อยู่ภายใต้การดูแลอย่างรัดกุม เข้าสู่พื้นที่กักตัวสังเกตอาการ 14 วัน รับการตรวจ Swab Test 3 ครั้ง หากพบผู้ป่วยติดเชื้อจะต้องนําส่งโรงพยาบาลทันที นายกรัฐมนตรียืนยัน รัฐบาลจริงจังในการจับกุมบ่อนการพนันมาโดยตลอด ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตํารวจได้มีการกวาดล้างบ่อนการพนันในหลายพื้นที่ พร้อมสั่งลงโทษเจ้าหน้าที่ตํารวจที่ปล่อยประละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งประชาชนสามารถให้ความร่วมมือ ด้วยการร้องเรียนเพื่อติดตาม จับกุม โดยเฉพาะผู้อยู่เบื้องหลังการกระทําผิด ต้องถูกดําเนินคดี ................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลจริงจังกวาดล้างบ่อนการพนัน ไม่ละเว้นผู้กระทำความผิดต้องถูกดำเนินคดี พร้อมลงโทษเจ้าหน้าที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ วันอังคารที่ 4 สิงหาคม 2563 นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลจริงจังกวาดล้างบ่อนการพนัน ไม่ละเว้นผู้กระทําความผิดต้องถูกดําเนินคดี พร้อมลงโทษเจ้าหน้าที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลจริงจังกวาดล้างบ่อนการพนัน ไม่ละเว้นผู้กระทําความผิดต้องถูกดําเนินคดี พร้อมลงโทษเจ้าหน้าที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ วันนี้ (4 ส.ค. 63) เวลา 13.15 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยคณะรัฐมนตรีมีการพิจารณาอนุมัติแผนการใช้จ่ายเงินกู้ระยะที่ 1 โดยตรวจสอบ คัดกรอง โครงการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งหารือถึงมาตรการผ่อนคลายการเดินทางเข้ามาของชาวต่างชาติ อาทิ นักธุรกิจ ที่จะเข้ามาดําเนินการธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งจะต้องมีมาตรการที่รัดกุม สร้างความเชื่อมั่นแก่พี่น้องประชาชนว่าประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ โดย ศบค. จะเป็นผู้เสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป สําหรับกรณีทหารสหรัฐอเมริกาเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยหลังผ่านการฝึกที่ประเทศญี่ปุ่น ขณะนี้อยู่ภายใต้การดูแลอย่างรัดกุม เข้าสู่พื้นที่กักตัวสังเกตอาการ 14 วัน รับการตรวจ Swab Test 3 ครั้ง หากพบผู้ป่วยติดเชื้อจะต้องนําส่งโรงพยาบาลทันที นายกรัฐมนตรียืนยัน รัฐบาลจริงจังในการจับกุมบ่อนการพนันมาโดยตลอด ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตํารวจได้มีการกวาดล้างบ่อนการพนันในหลายพื้นที่ พร้อมสั่งลงโทษเจ้าหน้าที่ตํารวจที่ปล่อยประละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งประชาชนสามารถให้ความร่วมมือ ด้วยการร้องเรียนเพื่อติดตาม จับกุม โดยเฉพาะผู้อยู่เบื้องหลังการกระทําผิด ต้องถูกดําเนินคดี ................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33931
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม.พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สดช.) ครั้งที่ 2/2561
วันพุธที่ 2 พฤษภาคม 2561 รองนรม.พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สดช.) ครั้งที่ 2/2561 ที่ประชุม สดช. มีมติเห็นชอบขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ เพื่อเศรษฐกิจดิจิทัลตามนโยบายของรัฐบาล วันนี้ (2 พ.ค. 61) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 302 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 2/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบโครงการต่าง ๆ ที่ขอรับการสนับสนุนเงินทุน ตามที่คณะอนุกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการฯเสนอ ทั้งนี้ เป็นโครงการพัฒนาบุคลากรภาครัฐด้าน Big Data และ Data Analytics เพื่อสร้างนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist) รวมถึงงานวิจัยและการพัฒนาระบบอํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจแบบครบวงจร ตลอดจน โครงการศึกษาวิจัย เรื่อง นโยบายการกําหนดสิทธิในการส่งและรับสัญญาณในการเข้าตลาดของดาวเทียมต่างชาติ (Landing Rights and Market Access Policy) โดยโครงการต่าง ๆ ดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลและการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งจะส่งผลให้มีการใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริงต่อไป .......................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม.พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สดช.) ครั้งที่ 2/2561 วันพุธที่ 2 พฤษภาคม 2561 รองนรม.พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สดช.) ครั้งที่ 2/2561 ที่ประชุม สดช. มีมติเห็นชอบขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ เพื่อเศรษฐกิจดิจิทัลตามนโยบายของรัฐบาล วันนี้ (2 พ.ค. 61) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 302 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 2/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบโครงการต่าง ๆ ที่ขอรับการสนับสนุนเงินทุน ตามที่คณะอนุกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการฯเสนอ ทั้งนี้ เป็นโครงการพัฒนาบุคลากรภาครัฐด้าน Big Data และ Data Analytics เพื่อสร้างนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist) รวมถึงงานวิจัยและการพัฒนาระบบอํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจแบบครบวงจร ตลอดจน โครงการศึกษาวิจัย เรื่อง นโยบายการกําหนดสิทธิในการส่งและรับสัญญาณในการเข้าตลาดของดาวเทียมต่างชาติ (Landing Rights and Market Access Policy) โดยโครงการต่าง ๆ ดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลและการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งจะส่งผลให้มีการใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริงต่อไป .......................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11926
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว.คลอดสินเชื่อแฟคตอริ่งเสริมแกร่งSMEs ทำธุรกิจกับคู่ค้าในนิคมอุตสาหกรรม เปลี่ยนเอกสารวางบิลเป็นเงินสดด่วน ตอบโจทย์ต่อสายป่านธุรกิจเติบโตไม่สะดุด
วันเสาร์ที่ 1 กันยายน 2561 ธพว.คลอดสินเชื่อแฟคตอริ่งเสริมแกร่งSMEs ทําธุรกิจกับคู่ค้าในนิคมอุตสาหกรรม เปลี่ยนเอกสารวางบิลเป็นเงินสดด่วน ตอบโจทย์ต่อสายป่านธุรกิจเติบโตไม่สะดุด SME Development Bank คลอด “สินเชื่อ Factoring เสริมแกร่ง คู่ค้าการนิคมอุตสาหกรรม” เปิดโอกาสผู้ประกอบการเอสเอ็มอี นําเอกสารแจ้งหนี้ หรือสิทธิการรับเงินของลูกหนี้ที่อยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรม มาเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที แถมฟรีค่าธรรมเนียม ช่วยต่อสายป่าน SME Development Bank คลอด “สินเชื่อ Factoring เสริมแกร่ง คู่ค้าการนิคมอุตสาหกรรม” เปิดโอกาสผู้ประกอบการเอสเอ็มอี นําเอกสารแจ้งหนี้ หรือสิทธิการรับเงินของลูกหนี้ที่อยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรม มาเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที แถมฟรีค่าธรรมเนียม ช่วยต่อสายป่าน เพิ่มสภาพคล่อง ธุรกิจเติบโตไม่สะดุด นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. หรือ SME Development Bank) เปิดเผยว่า ธนาคารออกบริการสินเชื่อใหม่ “โครงการสินเชื่อ Factoring เสริมแกร่ง คู่ค้าการนิคมอุตสาหกรรม” เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งมีลูกหนี้การค้าที่มีสถานประกอบการหรือสาขาที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม หรือชุมชนอุตสาหกรรม หรือสวนอุตสาหกรรม เพียงนําเอกสารการแจ้งหนี้ของลูกหนี้การค้าที่ผ่านการวางบิลเรียบร้อยแล้ว มาเปลี่ยนเป็นเงินสดกับธนาคารได้ โดยไม่ต้องรอครบกําหนดเรียกเก็บเงินจากลูกหนี้การค้า ช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีเงินสดไปใช้จ่ายหมุนเวียนในการทําธุรกิจคล่องตัว ไม่ติดขัด ไม่มีปัญหาขาดสภาพคล่อง และยังเพิ่มศักยภาพการแข่งขันธุรกิจ สําหรับคุณสมบัติผู้กู้ ต้องเป็นนิติบุคคล ดําเนินธุรกิจมาไม่ต่ํากว่า 1 ปี ไม่มีประวัติการละทิ้งงาน หรือถูกบอกเลิกสัญญา วงเงินรวมของโครงการ 3,000 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการ 1 ปี หรือจนกว่าจะหมดวงเงินสินเชื่อรวมของโครงการ โดยธนาคารจะรับซื้อสูงสุดถึง 90% ของมูลหนี้ทางการค้า และกรณีลูกหนี้การค้าชําระหนี้โดยโอนเงินเข้าบัญชีของผู้ประกอบการเอง รับซื้อสูงสุด 80% วงเงินสินเชื่อตั้งแต่ 100,000 บาทถึงสูงสุด 15 ล้านบาท ดอกเบี้ยอัตราพิเศษMFR+1ต่อปี(ปัจจุบัน MFR =6.75% ต่อปี) ให้เครดิตนานถึง 180 วัน ฟรีค่าธรรมเนียมบริการ และที่สําคัญ เบิกจ่ายเงินภายในวันเดียว “จากนโยบายภาครัฐส่งเสริมและให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ในนิคมอุตสาหกรรม ทําให้การลงทุนจากกลุ่มทุนไทยและต่างประเทศขยายตัวอย่างสูง ส่งผลดีเชื่อมมายังธุรกิจเอสเอ็มอีในการเป็นฐานผลิตสินค้าให้แก่บริษัทในนิคมฯ อย่างไรก็ตาม คู่ค้ารายใหญ่ที่อยู่ในนิคมฯ โดยเฉพาะบริษัทต่างชาติ มักจะมีเงื่อนไขว่า เมื่อเอสเอ็มอีวางบิลแล้ว กว่าจะเรียกเก็บเงินจริงได้ ต้องใช้เวลาอีก 3-6 เดือนข้างหน้า ทําให้ธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งมีสายป่านสั้น ประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง ดังนั้น สินเชื่อ Factoring เสริมแกร่งฯจะมาช่วยตอบโจทย์ให้ผู้ประกอบการมีเงินทุน นําไปใช้ขับเคลื่อนธุรกิจได้ต่อเนื่อง ไม่เกิดปัญหาสะดุด” นายมงคล กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว.คลอดสินเชื่อแฟคตอริ่งเสริมแกร่งSMEs ทำธุรกิจกับคู่ค้าในนิคมอุตสาหกรรม เปลี่ยนเอกสารวางบิลเป็นเงินสดด่วน ตอบโจทย์ต่อสายป่านธุรกิจเติบโตไม่สะดุด วันเสาร์ที่ 1 กันยายน 2561 ธพว.คลอดสินเชื่อแฟคตอริ่งเสริมแกร่งSMEs ทําธุรกิจกับคู่ค้าในนิคมอุตสาหกรรม เปลี่ยนเอกสารวางบิลเป็นเงินสดด่วน ตอบโจทย์ต่อสายป่านธุรกิจเติบโตไม่สะดุด SME Development Bank คลอด “สินเชื่อ Factoring เสริมแกร่ง คู่ค้าการนิคมอุตสาหกรรม” เปิดโอกาสผู้ประกอบการเอสเอ็มอี นําเอกสารแจ้งหนี้ หรือสิทธิการรับเงินของลูกหนี้ที่อยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรม มาเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที แถมฟรีค่าธรรมเนียม ช่วยต่อสายป่าน SME Development Bank คลอด “สินเชื่อ Factoring เสริมแกร่ง คู่ค้าการนิคมอุตสาหกรรม” เปิดโอกาสผู้ประกอบการเอสเอ็มอี นําเอกสารแจ้งหนี้ หรือสิทธิการรับเงินของลูกหนี้ที่อยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรม มาเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที แถมฟรีค่าธรรมเนียม ช่วยต่อสายป่าน เพิ่มสภาพคล่อง ธุรกิจเติบโตไม่สะดุด นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. หรือ SME Development Bank) เปิดเผยว่า ธนาคารออกบริการสินเชื่อใหม่ “โครงการสินเชื่อ Factoring เสริมแกร่ง คู่ค้าการนิคมอุตสาหกรรม” เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งมีลูกหนี้การค้าที่มีสถานประกอบการหรือสาขาที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม หรือชุมชนอุตสาหกรรม หรือสวนอุตสาหกรรม เพียงนําเอกสารการแจ้งหนี้ของลูกหนี้การค้าที่ผ่านการวางบิลเรียบร้อยแล้ว มาเปลี่ยนเป็นเงินสดกับธนาคารได้ โดยไม่ต้องรอครบกําหนดเรียกเก็บเงินจากลูกหนี้การค้า ช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีเงินสดไปใช้จ่ายหมุนเวียนในการทําธุรกิจคล่องตัว ไม่ติดขัด ไม่มีปัญหาขาดสภาพคล่อง และยังเพิ่มศักยภาพการแข่งขันธุรกิจ สําหรับคุณสมบัติผู้กู้ ต้องเป็นนิติบุคคล ดําเนินธุรกิจมาไม่ต่ํากว่า 1 ปี ไม่มีประวัติการละทิ้งงาน หรือถูกบอกเลิกสัญญา วงเงินรวมของโครงการ 3,000 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการ 1 ปี หรือจนกว่าจะหมดวงเงินสินเชื่อรวมของโครงการ โดยธนาคารจะรับซื้อสูงสุดถึง 90% ของมูลหนี้ทางการค้า และกรณีลูกหนี้การค้าชําระหนี้โดยโอนเงินเข้าบัญชีของผู้ประกอบการเอง รับซื้อสูงสุด 80% วงเงินสินเชื่อตั้งแต่ 100,000 บาทถึงสูงสุด 15 ล้านบาท ดอกเบี้ยอัตราพิเศษMFR+1ต่อปี(ปัจจุบัน MFR =6.75% ต่อปี) ให้เครดิตนานถึง 180 วัน ฟรีค่าธรรมเนียมบริการ และที่สําคัญ เบิกจ่ายเงินภายในวันเดียว “จากนโยบายภาครัฐส่งเสริมและให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ในนิคมอุตสาหกรรม ทําให้การลงทุนจากกลุ่มทุนไทยและต่างประเทศขยายตัวอย่างสูง ส่งผลดีเชื่อมมายังธุรกิจเอสเอ็มอีในการเป็นฐานผลิตสินค้าให้แก่บริษัทในนิคมฯ อย่างไรก็ตาม คู่ค้ารายใหญ่ที่อยู่ในนิคมฯ โดยเฉพาะบริษัทต่างชาติ มักจะมีเงื่อนไขว่า เมื่อเอสเอ็มอีวางบิลแล้ว กว่าจะเรียกเก็บเงินจริงได้ ต้องใช้เวลาอีก 3-6 เดือนข้างหน้า ทําให้ธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งมีสายป่านสั้น ประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง ดังนั้น สินเชื่อ Factoring เสริมแกร่งฯจะมาช่วยตอบโจทย์ให้ผู้ประกอบการมีเงินทุน นําไปใช้ขับเคลื่อนธุรกิจได้ต่อเนื่อง ไม่เกิดปัญหาสะดุด” นายมงคล กล่าว
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15095
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส.เปิดเว็บไซต์ www.เยียวยาเกษตรกร.com สำหรับคนไม่มีบัญชี ธ.ก.ส. แจ้งโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารอื่น เท่านั้น [กระทรวงการคลัง]
วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2563 ธ.ก.ส.เปิดเว็บไซต์ www.เยียวยาเกษตรกร.com สําหรับคนไม่มีบัญชี ธ.ก.ส. แจ้งโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารอื่น เท่านั้น [กระทรวงการคลัง] ธ.ก.ส.เปิดรับแจ้งข้อมูลบัญชีเงินฝากธนาคารอื่น ๆ และหมายเลขโทรศัพท์ ผ่าน www.เยียวยาเกษตรกร.com เพื่อรับการโอนเงินเข้าบัญชีต่อไปหลังตรวจสอบความซ้ําซ้อน เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 พ.ค. 63 ที่ผ่านมา นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563 เห็นชอบให้ดําเนินมาตรการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19)โดยจ่ายเงินให้แก่ครัวเรือนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับหน่วยงานของรัฐรายละ5,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน (พ.ค. – ก.ค. 63)จํานวน 10ล้านราย วงเงินงบประมาณจํานวน 150,000 ล้านบาท สําหรับขั้นตอนการจ่ายเงินดังกล่าวธ.ก.ส. จะรับข้อมูลผู้ขึ้นทะเบียนที่ผ่านการตรวจสอบแล้วจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และดําเนินการโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงในกรณีเกษตรกรมีบัญชีเงินฝากกับ ธ.ก.ส. แล้ว สามารถใช้บัญชีเงินฝากเดิมได้ โดยไม่ต้องมาเปิดบัญชีใหม่ ส่วนเกษตรกรที่ไม่มีบัญชีเงินฝากกับ ธ.ก.ส. สามารถแจ้งเลขที่บัญชีเงินฝากที่มีอยู่กับธนาคารอื่น โดยเตรียมหมายเลขบัตรประชาชน หมายเลขโทรศัพท์ และเลขที่บัญชีเงินฝากธนาคารอื่นจากนั้นเข้าเว็บไซต์ www.เยียวยาเกษตรกร.comซึ่งมีเกษตรกรบางส่วนได้แจ้งบัญชีเงินฝากธนาคารอื่นแล้วทั้งนี้เป็นเพียงการรับแจ้งช่องทางในการโอนเงินเท่านั้น ยังไม่ได้ตรวจสอบความซ้ําซ้อนของการให้ความช่วยเหลืออื่นๆ ของรัฐ เช่น การเยียวยาผู้ประกอบอาชีพอิสระ(เราไม่ทิ้งกัน) ข้าราชการบํานาญ ประกันสังคม หรือโครงการอื่น ๆ กรณีเกษตรกรที่อยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียนหรือปรับปรุงข้อมูลทะเบียนเกษตรกรกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 ซึ่งหมดเขตวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 จะไม่พบข้อมูลในเว็บไซต์ เนื่องจากข้อมูลที่กระทรวงเกษตรฯ จัดส่งให้ ธ.ก.ส. กลุ่มเป้าหมายแรกจํานวน 8.35 ล้านราย เป็นข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรเพียง ณ วันที่ 30 เมษายน 2563 ดังนั้น เกษตรกรจะสามารถแจ้งบัญชีเงินฝากธนาคารอื่น หลังจากได้ตรวจสอบความซ้ําซ้อนตามเงื่อนไขของโครงการ โดยเริ่มแจ้งได้ตั้งแต่วันที่ 27พฤษภาคม 2563 และ ธ.ก.ส. จะเริ่มโอนเงินเข้าบัญชีกลุ่มเป้าหมายที่ 2 พร้อมกับเกษตรกรที่มีบัญชี ธ.ก.ส. ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป นอกจากนี้ เว็บไซต์ดังกล่าวยังสามารถตรวจสอบผลการโอนเงินได้ โดยเกษตรกรที่ได้รับเงินกลุ่มแรกกว่า 8 ล้านราย สามารถตรวจสอบได้ตั้งแต่วันที่15 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป “โครงการดังกล่าว ธ.ก.ส. จะเร่งดําเนินการภายใต้การควบคุมการแพร่กระจายของโรค COVID-19 อย่างเคร่งครัด ซึ่งนอกจากเกษตรกรไม่จําเป็นต้องมีบัญชีเงินฝากกับ ธ.ก.ส. แล้ว ยังสามารถใช้บัตร ATM ของ ธ.ก.ส.และของธนาคารอื่นๆ ถอนเงินจากตู้ ATM ได้ทุกธนาคาร หรือใช้โทรศัพท์มือถือที่มีแอปพลิเคชั่น ธ.ก.ส. A-Mobile ถอนเงินโดยไม่ใช้บัตร ATM ที่ตู้ ATM ของธ.ก.ส. ได้อีกด้วย” นายอภิรมย์กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส.เปิดเว็บไซต์ www.เยียวยาเกษตรกร.com สำหรับคนไม่มีบัญชี ธ.ก.ส. แจ้งโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารอื่น เท่านั้น [กระทรวงการคลัง] วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2563 ธ.ก.ส.เปิดเว็บไซต์ www.เยียวยาเกษตรกร.com สําหรับคนไม่มีบัญชี ธ.ก.ส. แจ้งโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารอื่น เท่านั้น [กระทรวงการคลัง] ธ.ก.ส.เปิดรับแจ้งข้อมูลบัญชีเงินฝากธนาคารอื่น ๆ และหมายเลขโทรศัพท์ ผ่าน www.เยียวยาเกษตรกร.com เพื่อรับการโอนเงินเข้าบัญชีต่อไปหลังตรวจสอบความซ้ําซ้อน เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 พ.ค. 63 ที่ผ่านมา นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563 เห็นชอบให้ดําเนินมาตรการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19)โดยจ่ายเงินให้แก่ครัวเรือนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับหน่วยงานของรัฐรายละ5,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน (พ.ค. – ก.ค. 63)จํานวน 10ล้านราย วงเงินงบประมาณจํานวน 150,000 ล้านบาท สําหรับขั้นตอนการจ่ายเงินดังกล่าวธ.ก.ส. จะรับข้อมูลผู้ขึ้นทะเบียนที่ผ่านการตรวจสอบแล้วจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และดําเนินการโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงในกรณีเกษตรกรมีบัญชีเงินฝากกับ ธ.ก.ส. แล้ว สามารถใช้บัญชีเงินฝากเดิมได้ โดยไม่ต้องมาเปิดบัญชีใหม่ ส่วนเกษตรกรที่ไม่มีบัญชีเงินฝากกับ ธ.ก.ส. สามารถแจ้งเลขที่บัญชีเงินฝากที่มีอยู่กับธนาคารอื่น โดยเตรียมหมายเลขบัตรประชาชน หมายเลขโทรศัพท์ และเลขที่บัญชีเงินฝากธนาคารอื่นจากนั้นเข้าเว็บไซต์ www.เยียวยาเกษตรกร.comซึ่งมีเกษตรกรบางส่วนได้แจ้งบัญชีเงินฝากธนาคารอื่นแล้วทั้งนี้เป็นเพียงการรับแจ้งช่องทางในการโอนเงินเท่านั้น ยังไม่ได้ตรวจสอบความซ้ําซ้อนของการให้ความช่วยเหลืออื่นๆ ของรัฐ เช่น การเยียวยาผู้ประกอบอาชีพอิสระ(เราไม่ทิ้งกัน) ข้าราชการบํานาญ ประกันสังคม หรือโครงการอื่น ๆ กรณีเกษตรกรที่อยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียนหรือปรับปรุงข้อมูลทะเบียนเกษตรกรกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 ซึ่งหมดเขตวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 จะไม่พบข้อมูลในเว็บไซต์ เนื่องจากข้อมูลที่กระทรวงเกษตรฯ จัดส่งให้ ธ.ก.ส. กลุ่มเป้าหมายแรกจํานวน 8.35 ล้านราย เป็นข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรเพียง ณ วันที่ 30 เมษายน 2563 ดังนั้น เกษตรกรจะสามารถแจ้งบัญชีเงินฝากธนาคารอื่น หลังจากได้ตรวจสอบความซ้ําซ้อนตามเงื่อนไขของโครงการ โดยเริ่มแจ้งได้ตั้งแต่วันที่ 27พฤษภาคม 2563 และ ธ.ก.ส. จะเริ่มโอนเงินเข้าบัญชีกลุ่มเป้าหมายที่ 2 พร้อมกับเกษตรกรที่มีบัญชี ธ.ก.ส. ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป นอกจากนี้ เว็บไซต์ดังกล่าวยังสามารถตรวจสอบผลการโอนเงินได้ โดยเกษตรกรที่ได้รับเงินกลุ่มแรกกว่า 8 ล้านราย สามารถตรวจสอบได้ตั้งแต่วันที่15 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป “โครงการดังกล่าว ธ.ก.ส. จะเร่งดําเนินการภายใต้การควบคุมการแพร่กระจายของโรค COVID-19 อย่างเคร่งครัด ซึ่งนอกจากเกษตรกรไม่จําเป็นต้องมีบัญชีเงินฝากกับ ธ.ก.ส. แล้ว ยังสามารถใช้บัตร ATM ของ ธ.ก.ส.และของธนาคารอื่นๆ ถอนเงินจากตู้ ATM ได้ทุกธนาคาร หรือใช้โทรศัพท์มือถือที่มีแอปพลิเคชั่น ธ.ก.ส. A-Mobile ถอนเงินโดยไม่ใช้บัตร ATM ที่ตู้ ATM ของธ.ก.ส. ได้อีกด้วย” นายอภิรมย์กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30638
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตรียมประกาศแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อบังคับใช้พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ ใหม่
วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2560 สธ. เตรียมประกาศแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อบังคับใช้พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ ใหม่ ​กระทรวงสาธารณสุข เตรียมประกาศแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อบังคับใช้ตาม พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 ทั่วราชอาณาจักร ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ เปิดเผยถึงมติที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560 ซึ่งมีมติเห็นชอบร่างอนุบัญญัติภายใต้พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 รวม 2 ฉบับ ได้แก่ ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 โดยสาระสําคัญเป็นการกําหนดตําแหน่งเจ้าหน้าที่ เพื่อแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มเจ้าหน้าที่ในสังกัดราชการบริหารส่วนกลาง หรือสังกัดส่วนกลางซึ่งปฏิบัติงานส่วนภูมิภาค 2. กลุ่มเจ้าหน้าที่ในสังกัดราชการบริหารส่วนภูมิภาค 3. กลุ่มเจ้าหน้าที่ในสังกัดกรุงเทพมหานคร และ 4. กลุ่มเจ้าหน้าที่ในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในระดับ อบจ. , เทศบาล, อบต., และเมืองพัทยา โดยให้มีการประเมินพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบทุก 6 เดือน เพื่อนํามาพัฒนาและวางแผนการดําเนินงานในการบังคับใช้กฎหมาย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ด้าน นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึง ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง แบบบัตรประจําตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ.2560 โดยมีสาระสําคัญเพื่อเป็นการกําหนดแบบเอกสารของรัฐ เพื่อใช้ในการแสดงตนต่อบุคคลภายนอก ในขณะออกปฏิบัติการตามกฎหมายให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อป้องกันช่องว่างในการปฏิบัติงานบังคับใช้กฎหมายในระหว่างที่รออนุบัญญัติทั้ง 2 ฉบับ ที่เห็นชอบในที่ประชุมลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้มีผลบังคับใช้นั้น ซึ่งพ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 ได้กําหนดบทเฉพาะกาล ให้อํานาจพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายเดิม 2 ฉบับ ซึ่งได้แก่ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2535 และ พ.ร.บ.คุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ. 2535 ทําหน้าที่บังคับใช้ได้ไปก่อน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตรียมประกาศแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อบังคับใช้พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ ใหม่ วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2560 สธ. เตรียมประกาศแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อบังคับใช้พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ ใหม่ ​กระทรวงสาธารณสุข เตรียมประกาศแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อบังคับใช้ตาม พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 ทั่วราชอาณาจักร ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ เปิดเผยถึงมติที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560 ซึ่งมีมติเห็นชอบร่างอนุบัญญัติภายใต้พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 รวม 2 ฉบับ ได้แก่ ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 โดยสาระสําคัญเป็นการกําหนดตําแหน่งเจ้าหน้าที่ เพื่อแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มเจ้าหน้าที่ในสังกัดราชการบริหารส่วนกลาง หรือสังกัดส่วนกลางซึ่งปฏิบัติงานส่วนภูมิภาค 2. กลุ่มเจ้าหน้าที่ในสังกัดราชการบริหารส่วนภูมิภาค 3. กลุ่มเจ้าหน้าที่ในสังกัดกรุงเทพมหานคร และ 4. กลุ่มเจ้าหน้าที่ในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในระดับ อบจ. , เทศบาล, อบต., และเมืองพัทยา โดยให้มีการประเมินพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบทุก 6 เดือน เพื่อนํามาพัฒนาและวางแผนการดําเนินงานในการบังคับใช้กฎหมาย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ด้าน นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึง ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง แบบบัตรประจําตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ.2560 โดยมีสาระสําคัญเพื่อเป็นการกําหนดแบบเอกสารของรัฐ เพื่อใช้ในการแสดงตนต่อบุคคลภายนอก ในขณะออกปฏิบัติการตามกฎหมายให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อป้องกันช่องว่างในการปฏิบัติงานบังคับใช้กฎหมายในระหว่างที่รออนุบัญญัติทั้ง 2 ฉบับ ที่เห็นชอบในที่ประชุมลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้มีผลบังคับใช้นั้น ซึ่งพ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 ได้กําหนดบทเฉพาะกาล ให้อํานาจพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายเดิม 2 ฉบับ ซึ่งได้แก่ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2535 และ พ.ร.บ.คุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ. 2535 ทําหน้าที่บังคับใช้ได้ไปก่อน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8012
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ เผยผลการจับกุมหน้ากากอนามัยขายแพงเกินจริง [กระทรวงพาณิชย์]
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563 พาณิชย์ เผยผลการจับกุมหน้ากากอนามัยขายแพงเกินจริง [กระทรวงพาณิชย์] “ปลัดพาณิชย์” เผยผลการจับกุมหน้ากากอนามัยขายแพงเกินจริง ล่าสุด ณ วันที่ 8 มี.ค. 63 จับดําเนินคดีไปแล้ว 102 ราย ซึ่งมีทั้งผู้ค้าที่เป็นห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ และผู้ค้ารายย่อย ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ในข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคา และจําหน่ายราคาเกินสมควรหรือแพงเกินจริง ซึ่งมีโทษสูงสุดจําคุกสูงสุด 7 ปี หรือปรับเงิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ วันนี้ (9 มี.ค.63) นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการจับกุมผู้ค้าหน้ากากอนามัยที่กระทําความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ว่ากระทรวงฯ ได้จัดส่งสายตรวจออกตรวจสอบทุกวันนับตั้งแต่วันที่ 31 มกราคมเป็นต้นมา โดยปัจจุบันได้มีการจับกุมดําเนินคดีไปแล้ว 102 ราย โดยแบ่งเป็นกรุงเทพฯ 74 ราย ส่วนต่างจังหวัดอีก 28 ราย ในความผิด 2 ข้อหาคือ มาตรา 28 ไม่ปิดป้ายแสดงราคา ซึ่งมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และความผิดตามมาตรา 29 และ 30 คือการค้ากําไรเกินควรและกักตุนสินค้า ซึ่งมีโทษหนักจําคุก 7 ปี ปรับสูงสุด 1.4 แสนบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ ในส่วนการจับกุมผู้ค้าออนไลน์ ทั้ง facebook Line Instagram กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปัจจุบันได้จับกุมไปทั้งหมด 14 ราย นอกจากนี้ ตั้งแต่วันนี้ คือวันที่ 9 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป กระทรวงจะได้ดําเนินการตรวจสอบและจับกุมผู้จําหน่ายหน้ากากอนามัยที่จําหน่ายเกินราคาที่กฎหมายกําหนดไว้คือชิ้นละ 2.50 บาท ซึ่งหากพบผู้กระทําความผิด จะถูกดําเนินคดีในข้อหาจําหน่ายหน้ากากอนามัยเกินราคาที่กฎหมายกําหนดซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 25 โดยมีอัตราโทษจําคุกสูงสุด 5 ปี ปรับ 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งหากพบว่าผู้กระทําผิดขายแพงเกินจริงและมีการกักตุนสินค้าด้วย จะเป็นความผิดทั้ง 2 กระทง โดยจะได้รับโทษหนักกว่า คือจําคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ โดยหากผู้พบเห็นการกระทําความผิดดังกล่าว โปรดแจ้งข้อมูลและหลักฐานมายังกรมการค้าภายใน โดยใช้สายด่วน 1569 หรือสื่อโซเชียลของกรมการค้าภายในเพื่อเป็นข้อมูลในการตรวจสอบและจับกุมต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ เผยผลการจับกุมหน้ากากอนามัยขายแพงเกินจริง [กระทรวงพาณิชย์] วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563 พาณิชย์ เผยผลการจับกุมหน้ากากอนามัยขายแพงเกินจริง [กระทรวงพาณิชย์] “ปลัดพาณิชย์” เผยผลการจับกุมหน้ากากอนามัยขายแพงเกินจริง ล่าสุด ณ วันที่ 8 มี.ค. 63 จับดําเนินคดีไปแล้ว 102 ราย ซึ่งมีทั้งผู้ค้าที่เป็นห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ และผู้ค้ารายย่อย ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ในข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคา และจําหน่ายราคาเกินสมควรหรือแพงเกินจริง ซึ่งมีโทษสูงสุดจําคุกสูงสุด 7 ปี หรือปรับเงิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ วันนี้ (9 มี.ค.63) นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการจับกุมผู้ค้าหน้ากากอนามัยที่กระทําความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ว่ากระทรวงฯ ได้จัดส่งสายตรวจออกตรวจสอบทุกวันนับตั้งแต่วันที่ 31 มกราคมเป็นต้นมา โดยปัจจุบันได้มีการจับกุมดําเนินคดีไปแล้ว 102 ราย โดยแบ่งเป็นกรุงเทพฯ 74 ราย ส่วนต่างจังหวัดอีก 28 ราย ในความผิด 2 ข้อหาคือ มาตรา 28 ไม่ปิดป้ายแสดงราคา ซึ่งมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และความผิดตามมาตรา 29 และ 30 คือการค้ากําไรเกินควรและกักตุนสินค้า ซึ่งมีโทษหนักจําคุก 7 ปี ปรับสูงสุด 1.4 แสนบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ ในส่วนการจับกุมผู้ค้าออนไลน์ ทั้ง facebook Line Instagram กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปัจจุบันได้จับกุมไปทั้งหมด 14 ราย นอกจากนี้ ตั้งแต่วันนี้ คือวันที่ 9 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป กระทรวงจะได้ดําเนินการตรวจสอบและจับกุมผู้จําหน่ายหน้ากากอนามัยที่จําหน่ายเกินราคาที่กฎหมายกําหนดไว้คือชิ้นละ 2.50 บาท ซึ่งหากพบผู้กระทําความผิด จะถูกดําเนินคดีในข้อหาจําหน่ายหน้ากากอนามัยเกินราคาที่กฎหมายกําหนดซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 25 โดยมีอัตราโทษจําคุกสูงสุด 5 ปี ปรับ 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งหากพบว่าผู้กระทําผิดขายแพงเกินจริงและมีการกักตุนสินค้าด้วย จะเป็นความผิดทั้ง 2 กระทง โดยจะได้รับโทษหนักกว่า คือจําคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ โดยหากผู้พบเห็นการกระทําความผิดดังกล่าว โปรดแจ้งข้อมูลและหลักฐานมายังกรมการค้าภายใน โดยใช้สายด่วน 1569 หรือสื่อโซเชียลของกรมการค้าภายในเพื่อเป็นข้อมูลในการตรวจสอบและจับกุมต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27268
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“Pre-Arrival Processing” มิติใหม่ในการผ่านพิธีการศุลกากร
วันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2561 “Pre-Arrival Processing” มิติใหม่ในการผ่านพิธีการศุลกากร อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานในงานสัมมนาทําความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทางศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง (Pre-Arrival Processing) ให้แก่ผู้ประกอบการภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จํานวนกว่า 300 ราย วันนี้ (วันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2561) เวลา 09.00 น นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานในงานสัมมนาทําความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทางศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง (Pre-Arrival Processing) ให้แก่ผู้ประกอบการภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จํานวนกว่า 300 ราย ณ ห้องประชุมใหญ่ สถาบันวิทยาการศุลกากร ชั้น 15 อาคาร 120 ปี กรมศุลกากร คลองเตย อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศสมาชิกขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ซึ่งมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามพันธกรณีของ WTO โดยหนึ่งในพันธกรณีที่มีความสําคัญและมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน คือ พันธกรณีภายใต้ความตกลงว่าด้วยการอํานวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation Agreement หรือ TFA) ซึ่งเป็นความตกลงที่มีวัตถุประสงค์ให้ประเทศสมาชิก อํานวยความสะดวกทางการค้าระหว่างกัน ในส่วนของประเทศไทยได้กําหนดกลไกเพื่อรองรับตามความตกลง TFA ไปกว่าร้อยละ 90 เพื่อเป็นการสนับสนุนการอํานวยความสะดวกทางการค้าภายใต้ความตกลง TFA กรมศุลกากรจึงได้ออกแบบ “กระบวนการทางศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง” (Pre – Arrival Processing) เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับผู้นําของเข้าได้มีทางเลือกในการผ่านพิธีการศุลกากรเพื่อนําสินค้าเข้ามาจากต่างประเทศได้ล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง ซึ่งจะทําให้สินค้าที่ไม่มีความเสี่ยงสามารถส่งมอบสินค้าได้ทันทีเมื่อสินค้ามาถึง เป็นการลดระยะเวลา ค่าใช้จ่าย รวมทั้งส่งเสริมระบบโลจิสติกส์และการค้าระหว่างประเทศ กระบวนการทางศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง (Pre-Arrival Processing) เป็นกระบวนการที่ให้สิทธิกับผู้นําของเข้าในการนําสินค้าเข้ามาจากต่างประเทศทางทะเลหรือทางอากาศที่จะสามารถยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและยื่นชําระค่าภาษีอากร (ถ้ามี) ล่วงหน้า ก่อนที่เรือ/อากาศยานจะเข้ามาถึง ณ ท่า/สนามบินที่เป็นด่านศุลกากรได้ ซึ่งจะสามารถช่วยให้ผู้นําของเข้าสามารถรับสินค้าได้ทันทีเมื่อเรือมาถึง (กรณียกเว้นการตรวจ) โดยได้รับความร่วมมือจากนายเรือ/ตัวแทนผู้รับมอบอํานาจจากนายเรือ/ตัวแทนเรือ หรือผู้ควบคุมอากาศยาน/ตัวแทนผู้รับมอบอํานาจจากผู้ควบคุมอากาศยาน/ตัวแทนอากาศยานในการจัดส่งรายงานอากาศยานเข้า ข้อมูลบัญชีสินค้าสําหรับอากาศยาน รายงานเรือเข้า และข้อมูลบัญชีสินค้าสําหรับเรือล่วงหน้ามายังระบบคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากร เพื่อให้ผู้นําของเข้าสามารถส่งข้อมูลใบขนสินค้าได้ล่วงหน้าก่อนเรือ/อากาศยานมาถึง และผู้นําของเข้าสามารถติดตามตามสถานะของการดําเนินการผ่านระบบ E-Tracking ของกรมศุลกากรเพื่อวางแผนล่วงหน้าในการรับมอบของเมื่อเรือ/อากาศยานมาถึงได้ทันที ซึ่งจะตอบโจทย์ความต้องการของผู้นําของเข้ากรณีมีความจําเป็นเร่งด่วน ทั้งนี้กระบวนการทางศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง (Pre-Arrival Processing) จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 สําหรับท่า/สนามบินที่เป็นด่านศุลกากรทั่วประเทศ ส่วนสํานักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง จะมีผลบังคับใช้ ในวันที่ 1 มีนาคม 2561 กรมศุลกากรเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า กระบวนการทางศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง (Pre-Arrival Processing) มีศักยภาพในระดับสูงที่จะเพิ่มความสะดวกในการปฏิบัติพิธีการศุลกากรให้กับผู้นําเข้า รวมทั้งมีความยืดหยุ่นที่จะพัฒนา ปรับเปลี่ยน และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบให้ดียิ่งขึ้นไปอีกได้ สําหรับผู้ที่สนใจผู้กระบวนการดังกล่าวสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.customs/go/th จากประกาศกรมศุลกากรที่ 5/2561 เรื่องกระบวนการทางศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง (Pre-Arrival Processing) ลงวันที่ 10 มกราคม 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“Pre-Arrival Processing” มิติใหม่ในการผ่านพิธีการศุลกากร วันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2561 “Pre-Arrival Processing” มิติใหม่ในการผ่านพิธีการศุลกากร อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานในงานสัมมนาทําความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทางศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง (Pre-Arrival Processing) ให้แก่ผู้ประกอบการภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จํานวนกว่า 300 ราย วันนี้ (วันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2561) เวลา 09.00 น นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานในงานสัมมนาทําความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทางศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง (Pre-Arrival Processing) ให้แก่ผู้ประกอบการภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จํานวนกว่า 300 ราย ณ ห้องประชุมใหญ่ สถาบันวิทยาการศุลกากร ชั้น 15 อาคาร 120 ปี กรมศุลกากร คลองเตย อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศสมาชิกขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ซึ่งมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามพันธกรณีของ WTO โดยหนึ่งในพันธกรณีที่มีความสําคัญและมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน คือ พันธกรณีภายใต้ความตกลงว่าด้วยการอํานวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation Agreement หรือ TFA) ซึ่งเป็นความตกลงที่มีวัตถุประสงค์ให้ประเทศสมาชิก อํานวยความสะดวกทางการค้าระหว่างกัน ในส่วนของประเทศไทยได้กําหนดกลไกเพื่อรองรับตามความตกลง TFA ไปกว่าร้อยละ 90 เพื่อเป็นการสนับสนุนการอํานวยความสะดวกทางการค้าภายใต้ความตกลง TFA กรมศุลกากรจึงได้ออกแบบ “กระบวนการทางศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง” (Pre – Arrival Processing) เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับผู้นําของเข้าได้มีทางเลือกในการผ่านพิธีการศุลกากรเพื่อนําสินค้าเข้ามาจากต่างประเทศได้ล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง ซึ่งจะทําให้สินค้าที่ไม่มีความเสี่ยงสามารถส่งมอบสินค้าได้ทันทีเมื่อสินค้ามาถึง เป็นการลดระยะเวลา ค่าใช้จ่าย รวมทั้งส่งเสริมระบบโลจิสติกส์และการค้าระหว่างประเทศ กระบวนการทางศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง (Pre-Arrival Processing) เป็นกระบวนการที่ให้สิทธิกับผู้นําของเข้าในการนําสินค้าเข้ามาจากต่างประเทศทางทะเลหรือทางอากาศที่จะสามารถยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและยื่นชําระค่าภาษีอากร (ถ้ามี) ล่วงหน้า ก่อนที่เรือ/อากาศยานจะเข้ามาถึง ณ ท่า/สนามบินที่เป็นด่านศุลกากรได้ ซึ่งจะสามารถช่วยให้ผู้นําของเข้าสามารถรับสินค้าได้ทันทีเมื่อเรือมาถึง (กรณียกเว้นการตรวจ) โดยได้รับความร่วมมือจากนายเรือ/ตัวแทนผู้รับมอบอํานาจจากนายเรือ/ตัวแทนเรือ หรือผู้ควบคุมอากาศยาน/ตัวแทนผู้รับมอบอํานาจจากผู้ควบคุมอากาศยาน/ตัวแทนอากาศยานในการจัดส่งรายงานอากาศยานเข้า ข้อมูลบัญชีสินค้าสําหรับอากาศยาน รายงานเรือเข้า และข้อมูลบัญชีสินค้าสําหรับเรือล่วงหน้ามายังระบบคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากร เพื่อให้ผู้นําของเข้าสามารถส่งข้อมูลใบขนสินค้าได้ล่วงหน้าก่อนเรือ/อากาศยานมาถึง และผู้นําของเข้าสามารถติดตามตามสถานะของการดําเนินการผ่านระบบ E-Tracking ของกรมศุลกากรเพื่อวางแผนล่วงหน้าในการรับมอบของเมื่อเรือ/อากาศยานมาถึงได้ทันที ซึ่งจะตอบโจทย์ความต้องการของผู้นําของเข้ากรณีมีความจําเป็นเร่งด่วน ทั้งนี้กระบวนการทางศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง (Pre-Arrival Processing) จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 สําหรับท่า/สนามบินที่เป็นด่านศุลกากรทั่วประเทศ ส่วนสํานักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง จะมีผลบังคับใช้ ในวันที่ 1 มีนาคม 2561 กรมศุลกากรเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า กระบวนการทางศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง (Pre-Arrival Processing) มีศักยภาพในระดับสูงที่จะเพิ่มความสะดวกในการปฏิบัติพิธีการศุลกากรให้กับผู้นําเข้า รวมทั้งมีความยืดหยุ่นที่จะพัฒนา ปรับเปลี่ยน และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบให้ดียิ่งขึ้นไปอีกได้ สําหรับผู้ที่สนใจผู้กระบวนการดังกล่าวสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.customs/go/th จากประกาศกรมศุลกากรที่ 5/2561 เรื่องกระบวนการทางศุลกากรล่วงหน้าก่อนสินค้ามาถึง (Pre-Arrival Processing) ลงวันที่ 10 มกราคม 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9684
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. พล.อ.ฉัตรชัย ฯ เป็นประธานเปิดการเสวนาพร้อมมอบนโยบายการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งขาติสู่ระดับพื้นที่
วันพุธที่ 22 สิงหาคม 2561 รองนรม. พล.อ.ฉัตรชัย ฯ เป็นประธานเปิดการเสวนาพร้อมมอบนโยบายการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งขาติสู่ระดับพื้นที่ รองนรม. พล.อ.ฉัตรชัยฯ เป็นประธานเปิดการเสวนาพร้อมมอบนโยบายการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งขาติสู่ระดับพื้นที่ครอบคลุมวัดเป้าหมาย ทั่วประเทศภายใน ปี 2562 วันนี้ (22 สิงหาคม 2561) เวลา 09.00 น. พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปจังหวัดขอนแก่นในโอกาสเป็นประธาน เปิดการเสวนา และมอบนโยบายการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขถภาพพระสงฆ์แห่งชาติสู่ระดับพื้นที่ ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร.) วิทยาเขตขอนแก่น โดยมี นพ.พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวต้อนรับ โอกาสนี้ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ได้กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์การจัดงานว่า นับแต่ปีพ.ศ.2555 เมื่อสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 5 ได้มีฉันทมติต่อประเด็นพระสงฆ์กับการพัฒนาสุขภาวะ เกิดจากการร่วมคิดร่วมพัฒนาประเด็นนโยบายสาธารณะของหน่วยงาน องค์กร และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง นํามาสู่การพัฒนาแนวทาง การขับเคลื่อน และการใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในการสร้างเสริมสุขภาวะที่ดีทั้งต่อพระสงฆ์ และเป็นการสร้างความมั่นคงต่อพระพุทธศาสนา อันกล่าวได้ว่าเป็นศาสนาหลักของประเทศไทย เป็นเครื่องมือที่สําคัญต่อการพัฒนาภาพพึงประสงค์ของสุขภาวะพระสงฆ์ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้อง คือ ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ พ.ศ.2560 ที่ได้มีการเห็นชอบโดยคณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคมที่มีพระเดชพระคุณพระพรหมวชิรญาณเป็นประธาน และผ่านมติการประชุมคณะกรรมการมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2561 รวมถึงได้มีการประกาศใช้ธรรมนูญฯในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 10 เมื่อเดือนธันวาคม 2561 ด้วยหลักการสําคัญ คือ “ใช้ทางธรรม นําทางโลก” โดยมีคณะสงฆ์ เป็นผู้มีบทบาทสําคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนธรรมนูญเพื่อสุขภาพของพระสงฆ์เอง โดยพระเดชพระคุณพระพรหมวชิรญาณได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ และได้เริ่มการดําเนินงานจัดทําแผนการขับเคลื่อนแล้ว ทั้งนี้ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติได้ให้ความสําคัญต่อการติดตามขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์อย่างต่อเนื่อง โดยได้กําหนดเป้าหมายและแผนการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติสู่ระดับพื้นที่ให้เกิดรูปธรรมความสําเร็จในช่วงเวลาปี 2561-2562 โดยให้บูรณาการกิจกรรมโครงการ 1 วัด 1 โรงพยาบาล /1 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) กับ โครงการพลัง บวร (บ้าน วัด โรงเรียน) รวมถึงกิจกรรมการดําเนินงานที่สําคัญ เช่น การอบรมพระคิลานุปัฎฐาก การจัดทําฐานข้อมูลพระสงฆ์ การตรวจคัดกรองสุขภาพพระสงฆ์ ซึ่งมีหน่วยงาน องค์กร ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายสงฆ์และฆราวาสได้ตกลงร่วมกันที่จะเป็นภาคียุทธศาสตร์ดําเนินงานตามนโยบายดังกล่าว อันจะนําไปสู่การบรรลุเป้าหมายตามธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ร่วมกันทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โอกาสนี้รองนายกรัฐมนตรี เปิดการเสวนาฯ และมอบนโยบายความตอนหนึ่ง ได้กล่าวว่า เวทีเปิดตัวการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติสู่พื้นที่ เริ่มต้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภาคแรกในวันนี้มีจุดเริ่มต้นจากความร่วมมือของหน่วยงานทุกภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ใหม่ ในการสร้างสุขภาวะร่วมกันของคนในชุมชนและสังคมโดยรวม ที่เริ่มต้นจากมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง “พระสงฆ์กับการพัฒนา” สุขภาวะจากการเสนอประเด็นโดยเครือข่ายพระสงฆ์นักพัฒนาสี่ภาค ขับเคลื่อนมาสู่ “ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ พ.ศ.2560” ซึ่งเป็นเครื่องมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายสงฆ์และฝ่ายฆราวาส นํามาใช้เป็นกรอบในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสุขภาพพระสงฆ์ร่วมกัน ผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน สิ่งสําคัญอยู่ที่การได้รับความกรุณาเป็นอย่างดีจากองค์กรปกครองคณะสงฆ์ คือ มหาเถรสมาคม ที่ได้บรรจุธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ให้เป็นส่วนหนึ่งในแผนการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา ในด้านสาธารณสงเคราะห์ อันมีพระเดชพระคุณพระพรหมวชิรญาณ กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นประธาน ส่งผลให้พระสงฆ์ได้เข้ามามีบทบาทในการจัดการ พัฒนา และร่วมดําเนินงานใน 3 เรื่อง คือ 1) พระสงฆ์กับการดูแลสุขภาพตนเอง 2) บทบาทพระสงฆ์ในการสร้างเสริมสุขภาวะของชุมชน รวมถึง 3) การที่ชุมชนและสังคมจะอุปัฎฐากดูแลสุขภาพพระสงฆ์อย่างถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย และตามหลักการสําคัญของการจัดทําธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ คือ “ธรรมนําโลก”เป้าหมายให้เกิดการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติสู่การปฏิบัติการจริงในพื้นที่ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวย้ําในตอนท้ายอีกว่า เพื่อให้บรรลุภาพพึงประสงค์ “พระแข็งแรง วัดมั่นคง ชุมชนเป็นสุข” เป็นเรื่องที่ท้าทาย และยังต้องอาศัยสรรพกําลังจากทุกภาคส่วนในการทํางานนี้ร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมของมีการเชื่อมโยงระหว่างคณะสงฆ์ ชุมชน และหน่วยงานราชการในพื้นที่เป็นการบูรณาการทรัพยากร และเครื่องมือที่แต่ละหน่วยงานได้มีการดําเนินงานแล้วให้เกิดผลสําเร็จตามเป้าหมาย โดยภายในปี 2562 ครอบคลุมวัดเป้าหมายทั่วประเทศ หน่วยงานทั้งระดับนโยบายและระดับพื้นที่ ของทั้งฝ่ายสงฆ์และฆราวาสได้เข้าใจรูปแบบการทํางานและยึดถือเป้าหมายงานร่วมกัน ซึ่งจะส่งผลดีในการเชื่อมประสานระบบสุขภาพชุมชนจากบริบทพื้นที่และวัฒนธรรมต่อไป ................................................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. พล.อ.ฉัตรชัย ฯ เป็นประธานเปิดการเสวนาพร้อมมอบนโยบายการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งขาติสู่ระดับพื้นที่ วันพุธที่ 22 สิงหาคม 2561 รองนรม. พล.อ.ฉัตรชัย ฯ เป็นประธานเปิดการเสวนาพร้อมมอบนโยบายการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งขาติสู่ระดับพื้นที่ รองนรม. พล.อ.ฉัตรชัยฯ เป็นประธานเปิดการเสวนาพร้อมมอบนโยบายการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งขาติสู่ระดับพื้นที่ครอบคลุมวัดเป้าหมาย ทั่วประเทศภายใน ปี 2562 วันนี้ (22 สิงหาคม 2561) เวลา 09.00 น. พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปจังหวัดขอนแก่นในโอกาสเป็นประธาน เปิดการเสวนา และมอบนโยบายการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขถภาพพระสงฆ์แห่งชาติสู่ระดับพื้นที่ ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร.) วิทยาเขตขอนแก่น โดยมี นพ.พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวต้อนรับ โอกาสนี้ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ได้กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์การจัดงานว่า นับแต่ปีพ.ศ.2555 เมื่อสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 5 ได้มีฉันทมติต่อประเด็นพระสงฆ์กับการพัฒนาสุขภาวะ เกิดจากการร่วมคิดร่วมพัฒนาประเด็นนโยบายสาธารณะของหน่วยงาน องค์กร และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง นํามาสู่การพัฒนาแนวทาง การขับเคลื่อน และการใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในการสร้างเสริมสุขภาวะที่ดีทั้งต่อพระสงฆ์ และเป็นการสร้างความมั่นคงต่อพระพุทธศาสนา อันกล่าวได้ว่าเป็นศาสนาหลักของประเทศไทย เป็นเครื่องมือที่สําคัญต่อการพัฒนาภาพพึงประสงค์ของสุขภาวะพระสงฆ์ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้อง คือ ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ พ.ศ.2560 ที่ได้มีการเห็นชอบโดยคณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคมที่มีพระเดชพระคุณพระพรหมวชิรญาณเป็นประธาน และผ่านมติการประชุมคณะกรรมการมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2561 รวมถึงได้มีการประกาศใช้ธรรมนูญฯในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 10 เมื่อเดือนธันวาคม 2561 ด้วยหลักการสําคัญ คือ “ใช้ทางธรรม นําทางโลก” โดยมีคณะสงฆ์ เป็นผู้มีบทบาทสําคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนธรรมนูญเพื่อสุขภาพของพระสงฆ์เอง โดยพระเดชพระคุณพระพรหมวชิรญาณได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ และได้เริ่มการดําเนินงานจัดทําแผนการขับเคลื่อนแล้ว ทั้งนี้ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติได้ให้ความสําคัญต่อการติดตามขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์อย่างต่อเนื่อง โดยได้กําหนดเป้าหมายและแผนการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติสู่ระดับพื้นที่ให้เกิดรูปธรรมความสําเร็จในช่วงเวลาปี 2561-2562 โดยให้บูรณาการกิจกรรมโครงการ 1 วัด 1 โรงพยาบาล /1 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) กับ โครงการพลัง บวร (บ้าน วัด โรงเรียน) รวมถึงกิจกรรมการดําเนินงานที่สําคัญ เช่น การอบรมพระคิลานุปัฎฐาก การจัดทําฐานข้อมูลพระสงฆ์ การตรวจคัดกรองสุขภาพพระสงฆ์ ซึ่งมีหน่วยงาน องค์กร ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายสงฆ์และฆราวาสได้ตกลงร่วมกันที่จะเป็นภาคียุทธศาสตร์ดําเนินงานตามนโยบายดังกล่าว อันจะนําไปสู่การบรรลุเป้าหมายตามธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ร่วมกันทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โอกาสนี้รองนายกรัฐมนตรี เปิดการเสวนาฯ และมอบนโยบายความตอนหนึ่ง ได้กล่าวว่า เวทีเปิดตัวการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติสู่พื้นที่ เริ่มต้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภาคแรกในวันนี้มีจุดเริ่มต้นจากความร่วมมือของหน่วยงานทุกภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ใหม่ ในการสร้างสุขภาวะร่วมกันของคนในชุมชนและสังคมโดยรวม ที่เริ่มต้นจากมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง “พระสงฆ์กับการพัฒนา” สุขภาวะจากการเสนอประเด็นโดยเครือข่ายพระสงฆ์นักพัฒนาสี่ภาค ขับเคลื่อนมาสู่ “ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ พ.ศ.2560” ซึ่งเป็นเครื่องมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายสงฆ์และฝ่ายฆราวาส นํามาใช้เป็นกรอบในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสุขภาพพระสงฆ์ร่วมกัน ผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน สิ่งสําคัญอยู่ที่การได้รับความกรุณาเป็นอย่างดีจากองค์กรปกครองคณะสงฆ์ คือ มหาเถรสมาคม ที่ได้บรรจุธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ให้เป็นส่วนหนึ่งในแผนการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา ในด้านสาธารณสงเคราะห์ อันมีพระเดชพระคุณพระพรหมวชิรญาณ กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นประธาน ส่งผลให้พระสงฆ์ได้เข้ามามีบทบาทในการจัดการ พัฒนา และร่วมดําเนินงานใน 3 เรื่อง คือ 1) พระสงฆ์กับการดูแลสุขภาพตนเอง 2) บทบาทพระสงฆ์ในการสร้างเสริมสุขภาวะของชุมชน รวมถึง 3) การที่ชุมชนและสังคมจะอุปัฎฐากดูแลสุขภาพพระสงฆ์อย่างถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย และตามหลักการสําคัญของการจัดทําธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ คือ “ธรรมนําโลก”เป้าหมายให้เกิดการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติสู่การปฏิบัติการจริงในพื้นที่ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวย้ําในตอนท้ายอีกว่า เพื่อให้บรรลุภาพพึงประสงค์ “พระแข็งแรง วัดมั่นคง ชุมชนเป็นสุข” เป็นเรื่องที่ท้าทาย และยังต้องอาศัยสรรพกําลังจากทุกภาคส่วนในการทํางานนี้ร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมของมีการเชื่อมโยงระหว่างคณะสงฆ์ ชุมชน และหน่วยงานราชการในพื้นที่เป็นการบูรณาการทรัพยากร และเครื่องมือที่แต่ละหน่วยงานได้มีการดําเนินงานแล้วให้เกิดผลสําเร็จตามเป้าหมาย โดยภายในปี 2562 ครอบคลุมวัดเป้าหมายทั่วประเทศ หน่วยงานทั้งระดับนโยบายและระดับพื้นที่ ของทั้งฝ่ายสงฆ์และฆราวาสได้เข้าใจรูปแบบการทํางานและยึดถือเป้าหมายงานร่วมกัน ซึ่งจะส่งผลดีในการเชื่อมประสานระบบสุขภาพชุมชนจากบริบทพื้นที่และวัฒนธรรมต่อไป ................................................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14810
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยืนยันโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ให้บริการได้ตามปกติ
วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน 2562 สธ.ยืนยันโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ให้บริการได้ตามปกติ กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ให้บริการได้ตามปกติ มีแผนให้บริการนอกโรงพยาบาล รับผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มานอนที่โรงพยาบาล และเตรียมเส้นทางรับผู้ป่วยส่งต่อจากโรงพยาบาลอํานาจเจริญและยโสธรกรณีน้ําท่วม กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ให้บริการได้ตามปกติ มีแผนให้บริการนอกโรงพยาบาล รับผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มานอนที่โรงพยาบาล และเตรียมเส้นทางรับผู้ป่วยส่งต่อจากโรงพยาบาลอํานาจเจริญและยโสธรกรณีน้ําท่วม วันนี้ (12 กันยายน 2562) นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 10 ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รายงานการดูแลประชาชนและผู้ป่วยกรณีน้ําท่วมให้ผู้บริหารรับทราบมาโดยตลอด ซึ่งผู้บริหารยินดีให้การสนับสนุนในทุกเรื่อง โดยขณะนี้สถานบริการสาธารณสุขทุกแห่งในพื้นที่น้ําท่วมมีความพร้อมให้บริการประชาชนอย่างต่อเนื่อง ได้เตรียมยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์การแพทย์สําหรับจัดบริการนอกสถานที่ในกรณีน้ําท่วมสถานพยาบาล เพื่ออํานวยความสะดวกประชาชนให้สามารถเดินทางมารับบริการได้ รวมทั้งมีแผนดําเนินการ เส้นทาง และประสานโรงพยาบาลใกล้เคียงในการย้ายผู้ป่วย สําหรับสถานการณ์โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ยังคงให้บริการได้ตามปกติ เนื่องจากอยู่บนพื้นที่สูง สถานการณ์น้ําคาดว่าจะใกล้เคียงปี 2545 ซึ่งก็ไม่ท่วมโรงพยาบาล แต่เพื่อเป็นการไม่ประมาท ทางโรงพยาบาลจึงวางแผนการป้องกันไว้ก่อน โดยขนย้ายเวชภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์ไว้ที่สูง สํารองยา เตรียมพื้นที่ชั้น 2 ไว้หากต้องย้ายจุดให้บริการผู้ป่วย พร้อมทั้งเตรียมน้ํา อาหารเพิ่มไว้ 2 เท่า เตรียมพื้นที่จัดจุดบริการผู้ป่วยนอกเชิงรุกที่สถานีบริการน้ํามันในพื้นที่สูงกรณีเส้นทางเข้าโรงพยาบาลน้ําท่วม รับตัวผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มานอนที่โรงพยาบาล รวมทั้งโรงพยาบาลชุมชนในจังหวัดอุบลราชธานีมีระบบเครือข่ายส่งต่อเป็นโซน อาทิ โรงพยาบาล 50 พรรษาฯ เตรียมรับผู้ป่วยที่ส่งต่อจากโรงพยาบาลเขมราช และโรงพยาบาลตระการพืชผล และโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้เตรียมเส้นทางรับส่งต่อผู้ป่วยกรณีน้ําท่วมโรงพยาบาลอํานาจเจริญและยโสธร ด้านนายแพทย์มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ กล่าวว่า โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ สามารถให้การดูแลรักษาผู้ป่วยได้ทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน ส่วนข่าวสังคมออนไลน์ที่ขอรับบริจาคโลหิตนั้น ขณะนี้โรงพยาบาลยังมีโลหิตประมาณ 800 ยูนิต เพียงพอหมุนเวียนให้บริการได้ แต่เนื่องจากไม่สามารถออกไปรับบริจาคนอกสถานที่ได้ จึงขอเชิญชวนประชาชนมาบริจาคโลหิตที่โรงพยาบาล เพื่อสํารองไว้ให้ได้วันละ 900 – 1,000 ยูนิต ******************************** 12 กันยายน 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยืนยันโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ให้บริการได้ตามปกติ วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน 2562 สธ.ยืนยันโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ให้บริการได้ตามปกติ กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ให้บริการได้ตามปกติ มีแผนให้บริการนอกโรงพยาบาล รับผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มานอนที่โรงพยาบาล และเตรียมเส้นทางรับผู้ป่วยส่งต่อจากโรงพยาบาลอํานาจเจริญและยโสธรกรณีน้ําท่วม กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ให้บริการได้ตามปกติ มีแผนให้บริการนอกโรงพยาบาล รับผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มานอนที่โรงพยาบาล และเตรียมเส้นทางรับผู้ป่วยส่งต่อจากโรงพยาบาลอํานาจเจริญและยโสธรกรณีน้ําท่วม วันนี้ (12 กันยายน 2562) นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 10 ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รายงานการดูแลประชาชนและผู้ป่วยกรณีน้ําท่วมให้ผู้บริหารรับทราบมาโดยตลอด ซึ่งผู้บริหารยินดีให้การสนับสนุนในทุกเรื่อง โดยขณะนี้สถานบริการสาธารณสุขทุกแห่งในพื้นที่น้ําท่วมมีความพร้อมให้บริการประชาชนอย่างต่อเนื่อง ได้เตรียมยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์การแพทย์สําหรับจัดบริการนอกสถานที่ในกรณีน้ําท่วมสถานพยาบาล เพื่ออํานวยความสะดวกประชาชนให้สามารถเดินทางมารับบริการได้ รวมทั้งมีแผนดําเนินการ เส้นทาง และประสานโรงพยาบาลใกล้เคียงในการย้ายผู้ป่วย สําหรับสถานการณ์โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ยังคงให้บริการได้ตามปกติ เนื่องจากอยู่บนพื้นที่สูง สถานการณ์น้ําคาดว่าจะใกล้เคียงปี 2545 ซึ่งก็ไม่ท่วมโรงพยาบาล แต่เพื่อเป็นการไม่ประมาท ทางโรงพยาบาลจึงวางแผนการป้องกันไว้ก่อน โดยขนย้ายเวชภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์ไว้ที่สูง สํารองยา เตรียมพื้นที่ชั้น 2 ไว้หากต้องย้ายจุดให้บริการผู้ป่วย พร้อมทั้งเตรียมน้ํา อาหารเพิ่มไว้ 2 เท่า เตรียมพื้นที่จัดจุดบริการผู้ป่วยนอกเชิงรุกที่สถานีบริการน้ํามันในพื้นที่สูงกรณีเส้นทางเข้าโรงพยาบาลน้ําท่วม รับตัวผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มานอนที่โรงพยาบาล รวมทั้งโรงพยาบาลชุมชนในจังหวัดอุบลราชธานีมีระบบเครือข่ายส่งต่อเป็นโซน อาทิ โรงพยาบาล 50 พรรษาฯ เตรียมรับผู้ป่วยที่ส่งต่อจากโรงพยาบาลเขมราช และโรงพยาบาลตระการพืชผล และโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้เตรียมเส้นทางรับส่งต่อผู้ป่วยกรณีน้ําท่วมโรงพยาบาลอํานาจเจริญและยโสธร ด้านนายแพทย์มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ กล่าวว่า โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ สามารถให้การดูแลรักษาผู้ป่วยได้ทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน ส่วนข่าวสังคมออนไลน์ที่ขอรับบริจาคโลหิตนั้น ขณะนี้โรงพยาบาลยังมีโลหิตประมาณ 800 ยูนิต เพียงพอหมุนเวียนให้บริการได้ แต่เนื่องจากไม่สามารถออกไปรับบริจาคนอกสถานที่ได้ จึงขอเชิญชวนประชาชนมาบริจาคโลหิตที่โรงพยาบาล เพื่อสํารองไว้ให้ได้วันละ 900 – 1,000 ยูนิต ******************************** 12 กันยายน 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23051
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประชุม อสค. ภาค ๗ (สัญจร) ยกระดับภาคประชาชนร่วมแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด
วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2561 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประชุม อสค. ภาค ๗ (สัญจร) ยกระดับภาคประชาชนร่วมแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทําผิด รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประชุม อสค. ภาค ๗ (สัญจร) ยกระดับภาคประชาชนร่วมแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทําผิด ในวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ นาฬิกา ณ เรือนจําชั่วคราวเขากลิ้ง อําเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมคณะ ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี เพื่อเป็นประธานเปิดการประชุมคณะกรรมการบริหารอาสาสมัครคุมประพฤติ ภาค ๗ (สัญจร) โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรม มีนโยบายที่สําคัญ ในการอํานวยความยุติธรรมให้กับประชาชนสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือจากภาครัฐอย่างสะดวก รวดเร็วและทั่วถึง พร้อมส่งเสริมให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการอํานวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม ซึ่งในส่วนของกรมคุมประพฤตินั้นได้นําภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ในการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทําความผิดในชุมชนในรูปแบบของอาสาสมัครคุมประพฤติ หรือ อ.ส.ค. ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเสียสละและมีจิตอาสาช่วยเหลือผู้กระทําผิดอันเป็นการส่งเสริมคนดีสู่สังคม สําหรับการประชุมมีการนําเสนอผลการดําเนินงานของอาสาสมัครคุมประพฤติ ๘ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดราชบุรี จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดนครปฐม จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมทั้งร่วมกันปรึกษาหารือและสะท้อนการปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ ตลอดจนการนําชุมชนเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทําผิดในชุมชน นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาดูงานเรือนจําต้นแบบ เรือนจําชั่วคราวเขากลิ้ง และศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง อันเป็นบูรณาการและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประโยชน์ นํามาสู่การพัฒนารูปแบบงานอาสาสมัครคุมประพฤติ ต่อจากนั้น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมคณะ ได้เยี่ยมชมนิทรรศการของอาสาสมัครคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม ซึ่งมีการสาธิตการฝึกอาชีพการทําไม้กวาดทางมะพร้าว การทํากรอบพระเครื่อง และการส่งเสริมอาชีพ อาทิ ขนมทองม้วน ลูกชิ้นปลาทอด น้ําเต้าหู้ สปาเกลือ เพื่อให้ผู้กระทําผิดมีอาชีพ สร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัว ซึ่งเป็นการแก้ไขฟื้นฟูอย่างยั่งยืน จากนั้น ได้เยี่ยมชมเรือนจําต้นแบบ เรือนจําชั่วคราวเขากลิ้ง ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง สร้างงานสร้างอาชีพฐานการเรียนรู้ต่าง ๆ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประชุม อสค. ภาค ๗ (สัญจร) ยกระดับภาคประชาชนร่วมแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2561 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประชุม อสค. ภาค ๗ (สัญจร) ยกระดับภาคประชาชนร่วมแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทําผิด รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประชุม อสค. ภาค ๗ (สัญจร) ยกระดับภาคประชาชนร่วมแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทําผิด ในวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ นาฬิกา ณ เรือนจําชั่วคราวเขากลิ้ง อําเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมคณะ ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี เพื่อเป็นประธานเปิดการประชุมคณะกรรมการบริหารอาสาสมัครคุมประพฤติ ภาค ๗ (สัญจร) โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรม มีนโยบายที่สําคัญ ในการอํานวยความยุติธรรมให้กับประชาชนสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือจากภาครัฐอย่างสะดวก รวดเร็วและทั่วถึง พร้อมส่งเสริมให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการอํานวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม ซึ่งในส่วนของกรมคุมประพฤตินั้นได้นําภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ในการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทําความผิดในชุมชนในรูปแบบของอาสาสมัครคุมประพฤติ หรือ อ.ส.ค. ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเสียสละและมีจิตอาสาช่วยเหลือผู้กระทําผิดอันเป็นการส่งเสริมคนดีสู่สังคม สําหรับการประชุมมีการนําเสนอผลการดําเนินงานของอาสาสมัครคุมประพฤติ ๘ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดราชบุรี จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดนครปฐม จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมทั้งร่วมกันปรึกษาหารือและสะท้อนการปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ ตลอดจนการนําชุมชนเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทําผิดในชุมชน นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาดูงานเรือนจําต้นแบบ เรือนจําชั่วคราวเขากลิ้ง และศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง อันเป็นบูรณาการและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประโยชน์ นํามาสู่การพัฒนารูปแบบงานอาสาสมัครคุมประพฤติ ต่อจากนั้น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมคณะ ได้เยี่ยมชมนิทรรศการของอาสาสมัครคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม ซึ่งมีการสาธิตการฝึกอาชีพการทําไม้กวาดทางมะพร้าว การทํากรอบพระเครื่อง และการส่งเสริมอาชีพ อาทิ ขนมทองม้วน ลูกชิ้นปลาทอด น้ําเต้าหู้ สปาเกลือ เพื่อให้ผู้กระทําผิดมีอาชีพ สร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัว ซึ่งเป็นการแก้ไขฟื้นฟูอย่างยั่งยืน จากนั้น ได้เยี่ยมชมเรือนจําต้นแบบ เรือนจําชั่วคราวเขากลิ้ง ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง สร้างงานสร้างอาชีพฐานการเรียนรู้ต่าง ๆ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13328
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. พัฒนาศักยภาพเครือข่ายอาสาสมัครหญิงไทยจาก 15 ประเทศ พร้อมใช้รูปแบบ “เพื่อนช่วยเพื่อน” ช่วยเหลือหญิงไทยที่แต่งงานกับชาวต่างชาติ
วันอังคารที่ 7 สิงหาคม 2561 พม. พัฒนาศักยภาพเครือข่ายอาสาสมัครหญิงไทยจาก 15 ประเทศ พร้อมใช้รูปแบบ “เพื่อนช่วยเพื่อน” ช่วยเหลือหญิงไทยที่แต่งงานกับชาวต่างชาติ พม. พัฒนาศักยภาพเครือข่ายอาสาสมัครหญิงไทยจาก 15 ประเทศ พร้อมใช้รูปแบบ “เพื่อนช่วยเพื่อน” ช่วยเหลือหญิงไทยที่แต่งงานกับชาวต่างชาติ วันนี้ (7 ส.ค.61) เวลา 15.00 น. ที่โรงแรม เอสดี อเวนิว เขตบางพลัด กรุงเทพฯพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานในพิธีเปิด"โครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายอาสาสมัครให้คําปรึกษาแก่หญิงไทยที่แต่งงานกับชาวต่างชาติ”จัดโดย กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ระหว่างวันที่ 6 – 10 สิงหาคม 2561 โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการฯ จํานวนทั้งสิ้น 70 คนประกอบด้วย เครือข่ายอาสาสมัครหญิงไทยในต่างประเทศจากภูมิภาคอเมริกา ยุโรป และเอเชีย จํานวน 15 ประเทศ รวมทั้งผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบัน คนไทยจํานวนมากเดินทางไปทั่วโลกด้วยวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย ทั้งการหางานทํา ศึกษาต่อ หรือสร้างครอบครัว จากสถิติปัจจุบัน พบว่า มีคนไทยอาศัยอยู่ในภูมิภาคอเมริกา ยุโรป เอเชีย แอฟริกา และแปซิฟิกใต้ จํานวน 1,138,878 คน (ประมาณ 1.13 ล้านคน) ซึ่งรัฐบาลไทยมีความห่วงใยต่อประชากรไทยทุกคน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พํานักอยู่ในราชอาณาจักรไทย ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี ได้กําชับให้ทุกส่วนราชการดําเนินการส่งเสริมและสนับสนุนให้คนไทยที่พํานักในต่างประเทศเกิดการรวมกลุ่ม เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และทําประโยชน์ในการสร้างชื่อเสียงต่อประเทศชาติ ทั้งนี้ กระทรวง พม. ได้ดําเนินการส่งเสริมและสนับสนุนให้คนไทยในต่างประเทศรวมตัวกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รวมถึงการสนับสนุนให้หญิงไทยสามารถทํางานเพื่อสังคม และรวมตัวกันเพื่อจดทะเบียนเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้เห็นถึงความเข้มแข็ง ความรัก ความสามัคคีของคนไทยและหญิงไทย เสมือนเป็นทูตของประเทศไทยในการสร้างความประทับใจให้แก่ชาวต่างชาติ กระทรวง พม. โดย สค. มีภารกิจสําคัญในการสร้างเสริมเครือข่ายจากทุกภาคส่วนให้มีส่วนร่วมพัฒนาสังคม เพื่อส่งเสริมความเสมอภาคและความเท่าเทียมให้กับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยดําเนินการ 2 มิติ ได้แก่1.มิติการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิด้วยการดําเนินงานผ่านศูนย์ส่งเสริมและประสานการพัฒนาสังคมสําหรับคนไทยในต่างประเทศ และบูรณาการการดําเนินงานภายในกระทรวง พม เพื่อให้การดูแลคนไทยครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งเด็ก เยาวชน สตรี ผู้พิการ ผู้สูงอายุ และครอบครัวไทยที่พํานักในต่างประเทศ รวมทั้งหน่วยงานภาคีเครือข่าย ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ สํานักงานอัยการสูงสุด กรมการจัดหางาน กรมการปกครอง กระทรวงสาธารณสุข สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด และเครือข่ายอาสาสมัครหญิงไทยในต่างประเทศ สําหรับในปี 2561 จะดําเนินการจัดทําบันทึกข้อตกลงเพิ่มเติมกับสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงกรณีการถูกล่อลวงไปต่างประเทศ ในกลุ่มนักเรียนนาฏศิลป์และดนตรีในระดับปริญญาตรีที่กําลัง จะสําเร็จการศึกษา และ 2.มิติด้านการส่งเสริมและช่วยเหลือได้แก่ การจดทะเบียนรับรองเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ การสนับสนุนให้องค์กรสาธารณประโยชน์ในต่างประเทศขอรับเงินสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อคนไทยในต่างประเทศจาก "กองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม” และการนําเทคโนโลยีมาใช้เป็นช่องทางสนับสนุนและช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้ มีเครือข่ายที่จดทะเบียนรับรองเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ทั้งหมด 26 องค์กร ใน 10 ประเทศ และมีโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้ว 8 องค์กร ใน 4 ประเทศ โดยมีรูปแบบการบริการช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศในยุค Thailand 4.0 ที่มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีด้านการสื่อสารเพื่ออํานวยความสะดวกด้านประสานการดําเนินการช่วยเหลือ ได้แก่ เว็ปไซต์ yingthai.dwf.go.th แอพพลิเคชั่น Yingthai แอพพลิเคชั่นครอบครัว กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว "โกลด์ แอพพลิเคชั่น คนไทยใส่ใจผู้สูงอายุ” และ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 โทร. +66 99 130 1300 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สําหรับ"โครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายอาสาสมัครให้คําปรึกษาแก่หญิงไทยที่แต่งงานกับชาวต่างชาติ”เกิดจากการขยายผลจากการขับเคลื่อนภารกิจที่สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล ในเรื่อง "การพัฒนาสังคมไทยในต่างประเทศ เพื่อการพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมและจิตอาสาสังคม” ผ่านการพัฒนาศักยภาพสตรีที่อยู่ ในต่างประเทศ และการสร้างเครือข่ายอาสาสมัครหญิงไทยในต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนให้สตรีไทยในต่างประเทศ มีความเข้มแข็ง สามารถช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน โดยอาสาสมัครทั้ง 70 คน จาก 15 ประเทศ ได้เดินทางมายังประเทศไทย และเข้ารับการส่งเสริมและพัฒนาทักษะความรู้ภายใต้การอบรมของกระทรวง พม. โดย สค. ในการนําความรู้กลับไปให้ความช่วยเหลือและให้คําปรึกษาแนะนํากับผู้ที่ยังประสบปัญหาทางสังคมในลักษณะเพื่อนช่วยเพื่อน เนื่องจากคนไทยในชุมชนหรือพื้นที่เดียวกัน ย่อมมีความเข้าใจในบริบทของสังคมและวัฒนธรรม อันจะส่งผลให้ การช่วยเหลือเป็นไปอย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เพื่อความสมบูรณ์ครบถ้วนของการอบรมในครั้งนี้ นอกจากการให้ความรู้เชิงวิชาการ ยังมีเสริมสร้างทักษะการให้ความช่วยเหลือ ด้วยกิจกรรมการศึกษาดูงาน ณ สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีในพระอุปถัมภ์พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ (บ้านพักฉุกเฉิน) ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่ให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กที่ประสบปัญหาวิกฤตชีวิต
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. พัฒนาศักยภาพเครือข่ายอาสาสมัครหญิงไทยจาก 15 ประเทศ พร้อมใช้รูปแบบ “เพื่อนช่วยเพื่อน” ช่วยเหลือหญิงไทยที่แต่งงานกับชาวต่างชาติ วันอังคารที่ 7 สิงหาคม 2561 พม. พัฒนาศักยภาพเครือข่ายอาสาสมัครหญิงไทยจาก 15 ประเทศ พร้อมใช้รูปแบบ “เพื่อนช่วยเพื่อน” ช่วยเหลือหญิงไทยที่แต่งงานกับชาวต่างชาติ พม. พัฒนาศักยภาพเครือข่ายอาสาสมัครหญิงไทยจาก 15 ประเทศ พร้อมใช้รูปแบบ “เพื่อนช่วยเพื่อน” ช่วยเหลือหญิงไทยที่แต่งงานกับชาวต่างชาติ วันนี้ (7 ส.ค.61) เวลา 15.00 น. ที่โรงแรม เอสดี อเวนิว เขตบางพลัด กรุงเทพฯพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานในพิธีเปิด"โครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายอาสาสมัครให้คําปรึกษาแก่หญิงไทยที่แต่งงานกับชาวต่างชาติ”จัดโดย กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ระหว่างวันที่ 6 – 10 สิงหาคม 2561 โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการฯ จํานวนทั้งสิ้น 70 คนประกอบด้วย เครือข่ายอาสาสมัครหญิงไทยในต่างประเทศจากภูมิภาคอเมริกา ยุโรป และเอเชีย จํานวน 15 ประเทศ รวมทั้งผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบัน คนไทยจํานวนมากเดินทางไปทั่วโลกด้วยวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย ทั้งการหางานทํา ศึกษาต่อ หรือสร้างครอบครัว จากสถิติปัจจุบัน พบว่า มีคนไทยอาศัยอยู่ในภูมิภาคอเมริกา ยุโรป เอเชีย แอฟริกา และแปซิฟิกใต้ จํานวน 1,138,878 คน (ประมาณ 1.13 ล้านคน) ซึ่งรัฐบาลไทยมีความห่วงใยต่อประชากรไทยทุกคน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พํานักอยู่ในราชอาณาจักรไทย ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี ได้กําชับให้ทุกส่วนราชการดําเนินการส่งเสริมและสนับสนุนให้คนไทยที่พํานักในต่างประเทศเกิดการรวมกลุ่ม เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และทําประโยชน์ในการสร้างชื่อเสียงต่อประเทศชาติ ทั้งนี้ กระทรวง พม. ได้ดําเนินการส่งเสริมและสนับสนุนให้คนไทยในต่างประเทศรวมตัวกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รวมถึงการสนับสนุนให้หญิงไทยสามารถทํางานเพื่อสังคม และรวมตัวกันเพื่อจดทะเบียนเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้เห็นถึงความเข้มแข็ง ความรัก ความสามัคคีของคนไทยและหญิงไทย เสมือนเป็นทูตของประเทศไทยในการสร้างความประทับใจให้แก่ชาวต่างชาติ กระทรวง พม. โดย สค. มีภารกิจสําคัญในการสร้างเสริมเครือข่ายจากทุกภาคส่วนให้มีส่วนร่วมพัฒนาสังคม เพื่อส่งเสริมความเสมอภาคและความเท่าเทียมให้กับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยดําเนินการ 2 มิติ ได้แก่1.มิติการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิด้วยการดําเนินงานผ่านศูนย์ส่งเสริมและประสานการพัฒนาสังคมสําหรับคนไทยในต่างประเทศ และบูรณาการการดําเนินงานภายในกระทรวง พม เพื่อให้การดูแลคนไทยครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งเด็ก เยาวชน สตรี ผู้พิการ ผู้สูงอายุ และครอบครัวไทยที่พํานักในต่างประเทศ รวมทั้งหน่วยงานภาคีเครือข่าย ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ สํานักงานอัยการสูงสุด กรมการจัดหางาน กรมการปกครอง กระทรวงสาธารณสุข สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด และเครือข่ายอาสาสมัครหญิงไทยในต่างประเทศ สําหรับในปี 2561 จะดําเนินการจัดทําบันทึกข้อตกลงเพิ่มเติมกับสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงกรณีการถูกล่อลวงไปต่างประเทศ ในกลุ่มนักเรียนนาฏศิลป์และดนตรีในระดับปริญญาตรีที่กําลัง จะสําเร็จการศึกษา และ 2.มิติด้านการส่งเสริมและช่วยเหลือได้แก่ การจดทะเบียนรับรองเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ การสนับสนุนให้องค์กรสาธารณประโยชน์ในต่างประเทศขอรับเงินสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อคนไทยในต่างประเทศจาก "กองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม” และการนําเทคโนโลยีมาใช้เป็นช่องทางสนับสนุนและช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้ มีเครือข่ายที่จดทะเบียนรับรองเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ทั้งหมด 26 องค์กร ใน 10 ประเทศ และมีโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้ว 8 องค์กร ใน 4 ประเทศ โดยมีรูปแบบการบริการช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศในยุค Thailand 4.0 ที่มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีด้านการสื่อสารเพื่ออํานวยความสะดวกด้านประสานการดําเนินการช่วยเหลือ ได้แก่ เว็ปไซต์ yingthai.dwf.go.th แอพพลิเคชั่น Yingthai แอพพลิเคชั่นครอบครัว กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว "โกลด์ แอพพลิเคชั่น คนไทยใส่ใจผู้สูงอายุ” และ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 โทร. +66 99 130 1300 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สําหรับ"โครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายอาสาสมัครให้คําปรึกษาแก่หญิงไทยที่แต่งงานกับชาวต่างชาติ”เกิดจากการขยายผลจากการขับเคลื่อนภารกิจที่สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล ในเรื่อง "การพัฒนาสังคมไทยในต่างประเทศ เพื่อการพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมและจิตอาสาสังคม” ผ่านการพัฒนาศักยภาพสตรีที่อยู่ ในต่างประเทศ และการสร้างเครือข่ายอาสาสมัครหญิงไทยในต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนให้สตรีไทยในต่างประเทศ มีความเข้มแข็ง สามารถช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน โดยอาสาสมัครทั้ง 70 คน จาก 15 ประเทศ ได้เดินทางมายังประเทศไทย และเข้ารับการส่งเสริมและพัฒนาทักษะความรู้ภายใต้การอบรมของกระทรวง พม. โดย สค. ในการนําความรู้กลับไปให้ความช่วยเหลือและให้คําปรึกษาแนะนํากับผู้ที่ยังประสบปัญหาทางสังคมในลักษณะเพื่อนช่วยเพื่อน เนื่องจากคนไทยในชุมชนหรือพื้นที่เดียวกัน ย่อมมีความเข้าใจในบริบทของสังคมและวัฒนธรรม อันจะส่งผลให้ การช่วยเหลือเป็นไปอย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เพื่อความสมบูรณ์ครบถ้วนของการอบรมในครั้งนี้ นอกจากการให้ความรู้เชิงวิชาการ ยังมีเสริมสร้างทักษะการให้ความช่วยเหลือ ด้วยกิจกรรมการศึกษาดูงาน ณ สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีในพระอุปถัมภ์พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ (บ้านพักฉุกเฉิน) ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่ให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กที่ประสบปัญหาวิกฤตชีวิต
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14425
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดนิสากรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงาน World Expo 2020 Dubai
วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน 2562 รองปลัดนิสากรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดงาน World Expo 2020 Dubai นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดงาน World Expo 2020 Dubai ณ ห้องประชุมชุณหะวัน อาคาร สปอ. วันที่ 4 กันยายน 2562 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดงาน World Expo 2020 Dubai ณ ห้องประชุมชุณหะวัน อาคาร สปอ. โดยที่ประชุมได้หารือในการขับเคลื่อนการจัดงาน World Expo 2020 Dubai ของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งได้ดําเนินการมีส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานสําคัญระดับโลก ซึ่งจะมีขึ้นในปี 2564 โดยที่ประชุมกําหนดได้กําหนดรูปแบบการจัดงานในธีม ''ฮาลาล'' ซึ่งจะมีการนําเสนอทั้ง FOOD and NON-FOOD และกระทรวงอุตสาหกรรมจะเข้าร่วมงานระหว่างวันที่ 17 มกราคม - 20 กุมภาพันธ์ 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดนิสากรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงาน World Expo 2020 Dubai วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน 2562 รองปลัดนิสากรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดงาน World Expo 2020 Dubai นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดงาน World Expo 2020 Dubai ณ ห้องประชุมชุณหะวัน อาคาร สปอ. วันที่ 4 กันยายน 2562 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดงาน World Expo 2020 Dubai ณ ห้องประชุมชุณหะวัน อาคาร สปอ. โดยที่ประชุมได้หารือในการขับเคลื่อนการจัดงาน World Expo 2020 Dubai ของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งได้ดําเนินการมีส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานสําคัญระดับโลก ซึ่งจะมีขึ้นในปี 2564 โดยที่ประชุมกําหนดได้กําหนดรูปแบบการจัดงานในธีม ''ฮาลาล'' ซึ่งจะมีการนําเสนอทั้ง FOOD and NON-FOOD และกระทรวงอุตสาหกรรมจะเข้าร่วมงานระหว่างวันที่ 17 มกราคม - 20 กุมภาพันธ์ 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22822
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กกจ. เดินหน้าสร้างงานวัยเก๋า
วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2563 กกจ. เดินหน้าสร้างงานวัยเก๋า เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2563 นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบเชื่อมโยงถึงการจ้างงานภายในประเทศ ในทุกช่วงวัย กรมการจัดหางาน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีภารกิจในการส่งเสริมการมีงานทํา ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้เร่งหาแนวทางและมาตรการเพื่อก่อให้เกิดการจ้างงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้สูงวัย โดยมอบให้เจ้าหน้าที่เร่งหาตําแหน่งงานว่างที่เหมาะสม ซึ่งในปีงบประมาณ 2563 กรมการจัดหางานได้จัดโครงการส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุในอาชีพที่เหมาะสมกับวัยและประสบการณ์ ประกอบด้วย 4 กิจกรรมคือ 1) กิจกรรม 1 อําเภอ 1 ภูมิปัญญา ภายใต้การดําเนินงาน “ผู้สูงอายุทรงคุณค่า สร้างภูมิปัญญา เพื่อไทยนิยมยั่งยืน” โดยจะจ้างงานผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปที่มีความรู้ มีภูมิปัญญาท้องถิ่นในสาขาต่าง ๆ มาถ่ายทอดความรู้ให้คนในชุมชน เพื่อไปถ่ายทอดและประกอบอาชีพต่อไป เป้าหมายผู้สูงอายุได้รับการจ้างเป็นวิทยากร จํานวน 104 คน ดําเนินการนําร่องใน 16 จังหวัดคือ จังหวัดลพบุรี กาญจนบุรี สระบุรี เพชรบุรี ฉะเชิงเทรา จันทบุรี ลําปาง พิษณุโลก กําแพงเพชร ชัยภูมิ มหาสารคาม สกลนคร กาฬสินธุ์ พัทลุง นราธิวาส และปัตตานี 2)กิจกรรมเพิ่มโอกาสสร้างงาน สร้างความมั่นคงแก่ผู้สูงอายุ เพื่อส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุในสถานประกอบการ โดยมีเป้าหมาย คือ ผู้สูงอายุมาใช้บริการจัดหางาน จํานวน 965 คน และผู้สูงอายุที่มาใช้บริการมีงานทําไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 3)กิจกรรมสร้างโอกาสการมีงานทําให้ผู้สูงอายุเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบรรจุงาน เพื่อจ้างเหมาบริการผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จํานวน 20 คน ทํางานในศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 10 สํานักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรปราการ ปทุมธานี นครปฐม สระบุรี ชลบุรี ระยอง ประจวบคีรีขันธ์ เชียงใหม่ ลําพูน พิษณุโลก นครราชสีมา อุบลราชธานี ขอนแก่น สกลนคร อุดรธานี นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และสงขลา มีระยะเวลาการทํางาน จํานวน 144 วัน ทํางานวันละ 3 ชั่วโมง ได้รับค่าจ้างชั่วโมงละ 250 บาท (ผู้สูงอายุจะมีรายได้ต่อคนรวมทั้งสิ้น จํานวน 108,000 บาท) และ4) กิจกรรมสํารวจข้อมูลผู้สูงอายุที่ต้องการประกอบอาชีพหรือทํางาน เพื่อสํารวจความต้องการประกอบอาชีพหรือทํางานของผู้สูงอายุ เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการส่งเสริมประกอบอาชีพที่ตรงตามความต้องการ โดยมีเป้าหมาย คือ สํารวจผู้สูงอายุ จํานวน 13,500 คน อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน กรมการจัดหางานได้จัดหาตําแหน่งงานว่างรองรับผู้สูงอายุ 1,466 อัตรา มีผู้สูงอายุมาใช้บริการแล้ว 924 คน ได้รับการบรรจุงานแล้วจํานวน 732 คน เป็นแรงงานด้านการผลิตมากที่สุด พนักงานดูแลความปลอดภัย รองลงมาเป็น แม่บ้าน พนักงานบริการลูกค้า เสมียนพนักงานทั่วไป ตามลําดับ (ข้อมูล ณ เดือน มิถุนายน 2563) ในส่วนของภาครัฐได้มีการจ้างงานผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 – 75 ปี ใน 20 หน่วยงานของกรมการจัดหางานเพื่อเป็นต้นแบบในการจ้างงานผู้สูงอายุ จํานวน 20 ราย ระยะเวลาทํางาน 144 วันๆ ละ 3 ชั่วโมง ค่าตอบแทน 250 บาทต่อชั่วโมง มีรายได้ 108,000 บาทต่อคน ซึ่งผู้สูงอายุที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย (Smart Job center) อาคาร 3 ชั้น ด้านหน้ากระทรวงแรงงาน ถ.มิตรไมตรี เขตดินแดง กรุงเทพฯ หรือโทร.สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กกจ. เดินหน้าสร้างงานวัยเก๋า วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2563 กกจ. เดินหน้าสร้างงานวัยเก๋า เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2563 นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบเชื่อมโยงถึงการจ้างงานภายในประเทศ ในทุกช่วงวัย กรมการจัดหางาน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีภารกิจในการส่งเสริมการมีงานทํา ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้เร่งหาแนวทางและมาตรการเพื่อก่อให้เกิดการจ้างงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้สูงวัย โดยมอบให้เจ้าหน้าที่เร่งหาตําแหน่งงานว่างที่เหมาะสม ซึ่งในปีงบประมาณ 2563 กรมการจัดหางานได้จัดโครงการส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุในอาชีพที่เหมาะสมกับวัยและประสบการณ์ ประกอบด้วย 4 กิจกรรมคือ 1) กิจกรรม 1 อําเภอ 1 ภูมิปัญญา ภายใต้การดําเนินงาน “ผู้สูงอายุทรงคุณค่า สร้างภูมิปัญญา เพื่อไทยนิยมยั่งยืน” โดยจะจ้างงานผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปที่มีความรู้ มีภูมิปัญญาท้องถิ่นในสาขาต่าง ๆ มาถ่ายทอดความรู้ให้คนในชุมชน เพื่อไปถ่ายทอดและประกอบอาชีพต่อไป เป้าหมายผู้สูงอายุได้รับการจ้างเป็นวิทยากร จํานวน 104 คน ดําเนินการนําร่องใน 16 จังหวัดคือ จังหวัดลพบุรี กาญจนบุรี สระบุรี เพชรบุรี ฉะเชิงเทรา จันทบุรี ลําปาง พิษณุโลก กําแพงเพชร ชัยภูมิ มหาสารคาม สกลนคร กาฬสินธุ์ พัทลุง นราธิวาส และปัตตานี 2)กิจกรรมเพิ่มโอกาสสร้างงาน สร้างความมั่นคงแก่ผู้สูงอายุ เพื่อส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุในสถานประกอบการ โดยมีเป้าหมาย คือ ผู้สูงอายุมาใช้บริการจัดหางาน จํานวน 965 คน และผู้สูงอายุที่มาใช้บริการมีงานทําไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 3)กิจกรรมสร้างโอกาสการมีงานทําให้ผู้สูงอายุเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบรรจุงาน เพื่อจ้างเหมาบริการผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จํานวน 20 คน ทํางานในศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 10 สํานักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรปราการ ปทุมธานี นครปฐม สระบุรี ชลบุรี ระยอง ประจวบคีรีขันธ์ เชียงใหม่ ลําพูน พิษณุโลก นครราชสีมา อุบลราชธานี ขอนแก่น สกลนคร อุดรธานี นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และสงขลา มีระยะเวลาการทํางาน จํานวน 144 วัน ทํางานวันละ 3 ชั่วโมง ได้รับค่าจ้างชั่วโมงละ 250 บาท (ผู้สูงอายุจะมีรายได้ต่อคนรวมทั้งสิ้น จํานวน 108,000 บาท) และ4) กิจกรรมสํารวจข้อมูลผู้สูงอายุที่ต้องการประกอบอาชีพหรือทํางาน เพื่อสํารวจความต้องการประกอบอาชีพหรือทํางานของผู้สูงอายุ เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการส่งเสริมประกอบอาชีพที่ตรงตามความต้องการ โดยมีเป้าหมาย คือ สํารวจผู้สูงอายุ จํานวน 13,500 คน อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน กรมการจัดหางานได้จัดหาตําแหน่งงานว่างรองรับผู้สูงอายุ 1,466 อัตรา มีผู้สูงอายุมาใช้บริการแล้ว 924 คน ได้รับการบรรจุงานแล้วจํานวน 732 คน เป็นแรงงานด้านการผลิตมากที่สุด พนักงานดูแลความปลอดภัย รองลงมาเป็น แม่บ้าน พนักงานบริการลูกค้า เสมียนพนักงานทั่วไป ตามลําดับ (ข้อมูล ณ เดือน มิถุนายน 2563) ในส่วนของภาครัฐได้มีการจ้างงานผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 – 75 ปี ใน 20 หน่วยงานของกรมการจัดหางานเพื่อเป็นต้นแบบในการจ้างงานผู้สูงอายุ จํานวน 20 ราย ระยะเวลาทํางาน 144 วันๆ ละ 3 ชั่วโมง ค่าตอบแทน 250 บาทต่อชั่วโมง มีรายได้ 108,000 บาทต่อคน ซึ่งผู้สูงอายุที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย (Smart Job center) อาคาร 3 ชั้น ด้านหน้ากระทรวงแรงงาน ถ.มิตรไมตรี เขตดินแดง กรุงเทพฯ หรือโทร.สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33858
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วิธีการดูแลที่พักคนงานก่อสร้าง
วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม 2563 วิธีการดูแลที่พักคนงานก่อสร้าง ปฏิบัติดังนี สําหรับนายจ้าง หรือผู้รับผิดชอบ -ดูแลความสะอาด -มีที่ล้างมือด้วยสบู่และเจลแอลกอฮอล์ -มีการคัดกรองเบื้องต้น สําหรับคนงาน หรือคนในครอบครัว -สังเกตอาการ -สวมหน้ากากอนามัย -ล้างมือให้สะอาด -หลีกเลี่ยงการรวมหมู่ -กินอาหารปรุงสุก ใช้ช้อนส่วนตัว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วิธีการดูแลที่พักคนงานก่อสร้าง วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม 2563 วิธีการดูแลที่พักคนงานก่อสร้าง ปฏิบัติดังนี สําหรับนายจ้าง หรือผู้รับผิดชอบ -ดูแลความสะอาด -มีที่ล้างมือด้วยสบู่และเจลแอลกอฮอล์ -มีการคัดกรองเบื้องต้น สําหรับคนงาน หรือคนในครอบครัว -สังเกตอาการ -สวมหน้ากากอนามัย -ล้างมือให้สะอาด -หลีกเลี่ยงการรวมหมู่ -กินอาหารปรุงสุก ใช้ช้อนส่วนตัว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31709
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียกย่องทีมนักวิจัยไทย พัฒนาวัคซีนและชุด PPE เพิ่มประสิทธิภาพตรวจคัดกรองและป้องกันไวรัสโควิด-19
วันพุธที่ 29 กรกฎาคม 2563 นายกรัฐมนตรียกย่องทีมนักวิจัยไทย พัฒนาวัคซีนและชุด PPE เพิ่มประสิทธิภาพตรวจคัดกรองและป้องกันไวรัสโควิด-19 นายกรัฐมนตรียกย่องทีมนักวิจัยไทย พัฒนาวัคซีนและชุด PPE เพิ่มประสิทธิภาพตรวจคัดกรองและป้องกันไวรัสโควิด-19 วันนี้ (29 ก.ค. 63) เวลา 08.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมนิทรรศการผลงานวิจัยและนวัตกรรมในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2563 (Thailand Research Expo 2020) โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมร่วมประชาสัมพันธ์เนื่องในวันรณรงค์ตับอักเสบโลก (World Hepatitis Day) โดยกระทรวงสาธารณสุข โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีร่วมเยี่ยมชมนิทรรศการในครั้งนี้ด้วย โอกาสนี้ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นําเด็กหญิงติณณา แดนเขตต์ นักเขียนเยาวชน ผู้เหนังสือ “กราบพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9” เข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อรับโอวาท ส่งเสริมให้เยาวชนทั่วประเทศรักการอ่าน การเขียน โดยหนังสือ “กราบพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9” ได้รับรางวัลหนังสือดีเด่น พ.ศ. 2560 ประเภทสารคดีสําหรับเด็ก อายุ 6 – 11 ปี นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมเด็กหญิงติณณาในการเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เด็ก เยาวชน ในการจดบันทึกเพื่อฝึกการอ่าน การเขียนภาษาไทยให้ถูกต้อง รวมทั้งยังช่วยสืบสานค่านิยมอันดีงามของประเทศไทย เพราะเยาวชนในวันนี้จะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ซึ่งเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศ จากนั้น นายกรัฐมนตรีร่วมประชาสัมพันธ์วันรณรงค์ตับอักเสบโลก (World Hepatitis Day) ประจําปี 2563 โดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและกระทรวงมหาดไทย มุ่งเน้นให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี พร้อมเชิญชวนให้ประชาชนเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ระหว่างวันที่ 10 ส.ค. – 31 ธ.ค. 2563 ณ โรงพยาบาลในสังกัดของกระทรวงสาธารณสุขที่เข้าร่วมโครงการ 77 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีชื่นชมความร่วมมือกันของหน่วยงานภาครัฐที่ดูแลประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล แม้วันนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะดีขึ้นตามลําดับ แต่รัฐบาลยังต้องให้ความใส่ใจกับสุขภาพด้านอื่น ๆ ยกระดับการแพทย์ การสาธารณสุขของประเทศไทยด้วย นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมนิทรรศการผลงานวิจัยและนวัตกรรมในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2563 (Thailand Research Expo 2020) ภายใต้หัวข้อ “การวิจัยและนวัตกรรมเกี่ยวกับโรคโควิด - 19” โดยจัดแสดง 7 ผลงานด้วยกัน ได้แก่ วัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ นวัตกรรมชุด PPE ระดับ 2 ชนิดใช้ซ้ําได้รุ่น “เราสู้” และ Coverall ระดับ 4 รุ่น “เราชนะ” หน้ากากผ้านาโน หน้ากากแรงดันบวก ชุดตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อ ประเภท RT - PCR แบบมาตรฐานสากล ชุดตรวจเสริมแบบได้ผลรวดเร็ว ประเภท LAMP และ ชุดตรวจเสริมแบบได้ผลรวดเร็ว ประเภท CRISPR – cas นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เป็นกําลังสําคัญในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อช่วยเหลือคนไทย พร้อมให้ความสนใจชุดตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมสําคัญช่วยเพิ่มความรัดกุมระบบการคัดกรองโรค สามารถนําไปใช้สถานที่หน้าด่านสําคัญ ณ ท่าอากาศยานหรือจุดผ่านแดนต่าง ๆ หากประเทศไทยมีความสามารถในการพัฒนาวิจัยวัคซีนรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้เอง นอกจะช่วยลดค่ารักษาพยาบาล ยังอาจเป็นสินค้าส่งออกของไทยในอนาคตอีกด้วย ...................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียกย่องทีมนักวิจัยไทย พัฒนาวัคซีนและชุด PPE เพิ่มประสิทธิภาพตรวจคัดกรองและป้องกันไวรัสโควิด-19 วันพุธที่ 29 กรกฎาคม 2563 นายกรัฐมนตรียกย่องทีมนักวิจัยไทย พัฒนาวัคซีนและชุด PPE เพิ่มประสิทธิภาพตรวจคัดกรองและป้องกันไวรัสโควิด-19 นายกรัฐมนตรียกย่องทีมนักวิจัยไทย พัฒนาวัคซีนและชุด PPE เพิ่มประสิทธิภาพตรวจคัดกรองและป้องกันไวรัสโควิด-19 วันนี้ (29 ก.ค. 63) เวลา 08.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมนิทรรศการผลงานวิจัยและนวัตกรรมในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2563 (Thailand Research Expo 2020) โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมร่วมประชาสัมพันธ์เนื่องในวันรณรงค์ตับอักเสบโลก (World Hepatitis Day) โดยกระทรวงสาธารณสุข โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีร่วมเยี่ยมชมนิทรรศการในครั้งนี้ด้วย โอกาสนี้ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นําเด็กหญิงติณณา แดนเขตต์ นักเขียนเยาวชน ผู้เหนังสือ “กราบพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9” เข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อรับโอวาท ส่งเสริมให้เยาวชนทั่วประเทศรักการอ่าน การเขียน โดยหนังสือ “กราบพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9” ได้รับรางวัลหนังสือดีเด่น พ.ศ. 2560 ประเภทสารคดีสําหรับเด็ก อายุ 6 – 11 ปี นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมเด็กหญิงติณณาในการเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เด็ก เยาวชน ในการจดบันทึกเพื่อฝึกการอ่าน การเขียนภาษาไทยให้ถูกต้อง รวมทั้งยังช่วยสืบสานค่านิยมอันดีงามของประเทศไทย เพราะเยาวชนในวันนี้จะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ซึ่งเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศ จากนั้น นายกรัฐมนตรีร่วมประชาสัมพันธ์วันรณรงค์ตับอักเสบโลก (World Hepatitis Day) ประจําปี 2563 โดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและกระทรวงมหาดไทย มุ่งเน้นให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี พร้อมเชิญชวนให้ประชาชนเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ระหว่างวันที่ 10 ส.ค. – 31 ธ.ค. 2563 ณ โรงพยาบาลในสังกัดของกระทรวงสาธารณสุขที่เข้าร่วมโครงการ 77 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีชื่นชมความร่วมมือกันของหน่วยงานภาครัฐที่ดูแลประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล แม้วันนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะดีขึ้นตามลําดับ แต่รัฐบาลยังต้องให้ความใส่ใจกับสุขภาพด้านอื่น ๆ ยกระดับการแพทย์ การสาธารณสุขของประเทศไทยด้วย นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมนิทรรศการผลงานวิจัยและนวัตกรรมในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2563 (Thailand Research Expo 2020) ภายใต้หัวข้อ “การวิจัยและนวัตกรรมเกี่ยวกับโรคโควิด - 19” โดยจัดแสดง 7 ผลงานด้วยกัน ได้แก่ วัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ นวัตกรรมชุด PPE ระดับ 2 ชนิดใช้ซ้ําได้รุ่น “เราสู้” และ Coverall ระดับ 4 รุ่น “เราชนะ” หน้ากากผ้านาโน หน้ากากแรงดันบวก ชุดตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อ ประเภท RT - PCR แบบมาตรฐานสากล ชุดตรวจเสริมแบบได้ผลรวดเร็ว ประเภท LAMP และ ชุดตรวจเสริมแบบได้ผลรวดเร็ว ประเภท CRISPR – cas นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เป็นกําลังสําคัญในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อช่วยเหลือคนไทย พร้อมให้ความสนใจชุดตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมสําคัญช่วยเพิ่มความรัดกุมระบบการคัดกรองโรค สามารถนําไปใช้สถานที่หน้าด่านสําคัญ ณ ท่าอากาศยานหรือจุดผ่านแดนต่าง ๆ หากประเทศไทยมีความสามารถในการพัฒนาวิจัยวัคซีนรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้เอง นอกจะช่วยลดค่ารักษาพยาบาล ยังอาจเป็นสินค้าส่งออกของไทยในอนาคตอีกด้วย ...................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33727